txt
stringlengths
202
53.1k
# แบงค์ชาติสิงคโปร์ขึ้นทะเบียน Binance ในรายชื่อบริษัทที่นักลงทุนต้องระวัง Monetary Authority of Singapore (MAS) หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสิงคโปร์ (เทียบได้กับธนาคารแห่งประเทศไทย) ขึ้นทะเบียน Binance ในรายชื่อที่นักลงทุนควรระวัง (Investor Alert List) MAS ระบุว่า Binance อาจทำผิดกฎระเบียบด้านการเงินของสิงคโปร์ได้ แม้ตอนนี้ MAS ยังไม่ได้ทำอะไรกับ Binance แต่ก็นำชื่อมาขึ้นทะเบียนให้นักลงทุนสิงคโปร์รับทราบ ว่าปัจจุบัน Binance ไม่ได้รับใบอนุญาตด้านการเงินใดๆ จากรัฐบาลสิงคโปร์ หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น MAS ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ Binance มีจุดกำเนิดมาจากประเทศจีน แม้ปัจจุบันไม่มีสำนักงานใหญ่อย่างเป็นทางการ แต่ซีอีโอ Changpeng Zhao ปัจจุบันอาศัยอยู่ในสิงคโปร์ ช่วงหลังเราเห็นข่าว Binance ถูกแบนหรือขึ้นทะเบียนเฝ้าระวังจากหลายประเทศ เช่น อังกฤษ, ยุโรป, ฮ่องกง รวมถึง ก.ล.ต. ของไทยด้วย ที่มา - Financial Times
# เจอเว็บ rakloongtoo.com ชวนลงชื่อให้ลุงตู่อยู่ต่อ เลียนแบบเว็บโหวตไล่ประยุทธ์ของพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทย เปิดเว็บไซต์ vote.ptp.or.th ทำแคมเปญ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์”โดยประชาชนเข้ามากดโหวตไล่ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง และสามารถกดโหวตแยกเป็นรายจังหวัดได้ โดยตอนนี้มีคนโหวตแล้วกว่าล้านครั้ง แต่ล่าสุด มีอีกเว็บที่ทำขึ้นมาในแบบเดียวกัน แต่เป็นการลงมติสนับสนุนให้ พล.อ ประยุทธ์ อยู่ต่อ ชื่อเว็บไซต์คือ rakloongtoo.com ภายใต้ชื่อแคมเปญ ลงมติประชาชน สนับสนุนลุงตู่ ยังไม่ชัดเจนว่าใครสรา้งเว็บไซต์นี้ขึ้นมา แต่จากตัวเลขโหวตเห็นได้ชัดว่ากำลังปั่นโหวตแข่งกัน เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี โดยตอนนี้มีคนโหวตสนับสนุน พล.อ ประยุทธ์ แล้วเกือบ 4 แสนราย
# YouTube Music และ YouTube Premium มีผู้สมัครใช้งานเสียเงินมากกว่า 50 ล้านรายแล้ว Lyor Cohen หัวหน้าฝ่ายธุรกิจดนตรีของ YouTube ประกาศว่าจำนวนผู้สมัครใช้งานแบบเสียเงิน YouTube Music และ YouTube Premium มีจำนวนรวมกันทั่วโลกมากกว่า 50 ล้านราย โดยไม่ได้แยกออกมาว่าแต่ละกลุ่มมีจำนวนเท่าใด ในประเทศไทย อัตราค่าบริการ YouTube Music อยู่ที่ 129 บาทต่อเดือน ส่วน YouTube Premium อยู่ที่ 159 บาทต่อเดือน ซึ่งรวม YouTube Music มาด้วย สมาชิกกลุ่มนี้จะใช้งานได้แบบไม่มีโฆษณา ใช้งานออฟไลน์ และฟังเพลงในเบื้องหลังขณะปิดหน้าจอได้ เมื่อปีที่แล้วกูเกิลระบุในรายงานผลประกอบการว่า YouTube Premium และ YouTube Music มีผู้สมัครใช้งาน 30 ล้านราย ทำให้ Cohen ระบุว่านี่เป็นบริการฟังเพลงสตรีมมิ่งที่เติบโตเร็วที่สุด และยังระบุว่า YouTube จ่ายเงินให้กับอุตสาหกรรมดนตรีใน 12 เดือนที่ผ่านมามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์แล้ว ตัวเลขของคู่แข่งบริการฟังเพลงสตรีมมิ่งรายอื่น Apple Music เคยมีรายงานในปี 2020 มีจำนวนสมาชิกราว 72 ล้านราย ส่วน Spotify มีผู้ใช้งานแบบเสียเงิน 165 ล้านราย ที่มา: YouTube ผ่าน Android Headlines
# HPE ไตรมาสล่าสุด รายได้รวมโต 1% กลุ่มธุรกิจกลยุทธ์เติบโตระดับสองหลัก HPE (Hewlett Packard Enterprise) รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ตามปีการเงินบริษัท 2021 คำสั่งซื้อรวมเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน คิดเป็นรายได้ในไตรมาส 6,897 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1% กำไรสุทธิอยู่ที่ 392 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ HPE ยังให้ข้อมูลกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายรับต่อเนื่องในช่วง 12 เดือน (ARR) จากบริการ subscription รายได้ใน 1 ปี เพิ่มขึ้น 33% เป็น 705 ล้านดอลลาร์ รายได้แยกตามกลุ่มธุรกิจของ HPE แบ่งได้เป็น กลุ่ม Intelligent Edge เพิ่มขึ้น 27% เป็น 867 ล้านดอลลาร์ กลุ่ม HPC & MCS เพิ่มขึ้น 11% เป็น 741 ล้านดอลลาร์ ส่วน Compute ที่เป็นรายได้ส่วนใหญ่ลดลง 9% เป็น 3,104 ล้านดอลลาร์ และ Storage เพิ่มขึ้น 4% เป็น 1,176 ล้านดอลลาร์ Antonio Neri ซีอีโอ HPE กล่าวว่ากลยุทธ์ Edge-to-Cloud ส่งผลที่ดีต่อทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท โดยผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 จะเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของ Edge ที่มี Cloud สนับสนุน และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล องค์กรต่างต้องการความปลอดภัยในการเชื่อมต่อข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้เร็วมากขึ้น และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ได้ทุกที่ ที่มา: HPE
# Bloomberg อ้างเอกสารของ Juniper ระบุแฮกเกอร์จีนรู้ช่องโหว่การเข้ารหัส Dual EC ที่ NSA ผลักดันให้ใช้งาน ในปี 2015 ทาง Juniper ได้รายงานช่องโหว่ของ ScreenOS ที่ใช้เชื่อมต่อ VPN ระหว่างองค์กรจำนวนมาก โดยช่องโหว่ที่เปิดเผยออกมามีทั้งรหัสผ่านแบบฮาร์ดโค้ด และช่องโหว่ของกระบวนการเข้ารหัส Dual EC วันนี้ทาง Bloomberg ก็ออกมาระบุว่ากระบวนการเข้ารหัสนี้มีช่องโหว่จริง และกลุ่มแฮกเกอร์ APT 5 ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนก็ใช้ช่องโหว่นี้เป็นเวลานาน Dual EC เป็นระบบการสร้างค่าสุ่มเทียมที่เสนอโดย NSA และพยายามบีบให้ NIST ใส่ไว้เป็นมาตรฐานการเข้ารหัส โดยหากมีคนที่รู้กุญแจลับของค่าคงที่ที่ใช้งานใน Dual EC ก็จะถอดรหัสการเชื่อมต่อได้ทั้งหมด หลังจาก NSA ผลักดันกระบวนการเข้ารหัสจนเป็นมาตรฐานสำเร็จแล้ว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็บีบให้ผู้ผลิตต้องอิมพลีเมนตร์การเข้ารหัสนี้ในอุปกรณ์ของตัวเองไม่เช่นนั้นจะขายสินค้าให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ Bloomberg อ้างเอกสารการสอบสวนภายในของ Juniper ระบุว่ากลุ่ม APT 5 ขโมยกระบวนการถอดรหัสออกไปจาก NSA ได้ตั้งแต่ปี 2012 จนสามารถถอดรหัสการเชื่อมต่อ VPN ที่วิ่งผ่าน NetScreen ของ Juniper ได้ในที่สุด และในปี 2014 ก็ใช้ช่องโหว่นี้เจาะเข้าไปยัง Juniper เพื่อเติมรหัสผ่านแบบฮาร์ดโค้ดทำให้สามารถแฮกองค์กรอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น จนกระทั่งมีนักวิจัยมาพบช่องโหว่นี้ภายหลัง หากเรื่องนี้เป็นจริงก็นับเป็นบทเรียนราคาแพงของ NSA ที่พยายามสร้างช่องโหว่ในสินค้าความปลอดภัยเพื่อเปิดทางให้ตนเองเข้าไปสอดส่องข้อมูลได้ แต่กลับเป็นการเปิดช่องโหว่ให้หน่วยงานชาติอื่นๆ เช่นกัน แม้จนทุกวันนี้ NSA ยังไม่เคยยอมรับว่า Dual EC เป็นกระบวนการสร้างค่าสุ่มที่วางช่องโหว่เอาไว้ แต่ NIST ก็ถอดกระบวนการนี้ออกจากมาตรฐานความปลอดภัยหลัง Snowden เปิดเผยเอกสารออกมา กระทรวงการต่างประเทศจีนปฎิเสธความเกี่ยวข้องกับการแฮก Juniper ครั้งนี้ระบุว่ารัฐบาลจีนไม่เห็นด้วยกับกล่าวหาจีนโดยไม่มีหลักฐาน และที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ นั้นแฮกระบบและแอบดักฟังข้อมูลเป็นวงกว้างเสมอมา ที่มา - Yahoo! News (Bloomberg) โลโก้ล้อเลียนโลโก้ NSA โดย EFF
# โชว์เกมเพลย์ใหม่ Marvel's Midnight Suns สู้แบบเทิร์นเบสผสมระบบการ์ด ไม่มีกล่องสุ่ม Firaxis ผู้สร้าง XCOM เปิดเผยรายละเอียดเกมเพลย์ของ Marvel's Midnight Suns เพิ่มเติม ผู้เล่นจะได้เล่นเป็น Hunter ฮีโร่ลึกลับ ทายาทของ Lilith ตัวร้ายในเกม โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกให้ Hunter เป็นชายหรือหญิงก็ได้ และสามารถแต่งตัวละครได้อย่างอิสระ ระบบต่อสู้เทิร์นเบสแบบที่คุ้นเคยจะถูกยกเครื่องใหม่ ผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวละครฮีโร่ที่มีความสามารถแตกต่างกันไปได้ 3 ตัว และในแต่ละการต่อสู้ จะได้รับการ์ดสกิลตัวละครแบบสุ่ม (แต่ผู้เล่นจัดสำรับเองได้) จึงต้องวางแผนการใช้สกิลของตัวละครให้ดี โดยผสมผสานการใช้การ์ดสกิลกับสิ่งของในฉาก เช่นถังน้ำมัน หิน และการผลักศัตรูให้ตกตึก เมื่ออยู่นอกการต่อสู้ ผู้เล่นจะมีโซนพักผ่อน The Abbey เป็นโบสถ์กึ่งฐานลับของ Midnight Suns ที่สามารถเข้าไปสำรวจ และมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครฮีโร่ต่างๆ ตามเนื้อเรื่อง เพื่อเพิ่มความคุ้นเคย และเพื่อรับรางวัลต่างๆ ใช้การ์ดสกิลพิเศษ หลายคนเมื่อเห็นระบบการ์ด อาจจะกังวลว่าแบบนี้ต้องมาเปิดกล่องสุ่มหาการ์ดกันอีกหรือเปล่า เรื่องนี้ทีมพัฒนาให้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้ในโพสต์ทวิตเตอร์แล้วว่าเกมจะไม่มีระบบกล่องสุ่มการ์ด แต่จะมีสกินตัวละครให้ซื้อ ซึ่งเป็นแค่ของตกแต่ง ไม่มีผลกับเกมเพลย์ ที่มา - IGN
# ซัมซุงเปิดตัวเซ็นเซอร์ Isocell HP1 รุ่นใหม่ ความละเอียดสูงถึง 200MP ซัมซุงเปิดตัวเซ็นเซอร์ภาพใหม่ 2 รุ่น ที่น่าจับตาคือ Isocell HP1 ที่มีความละเอียดสูงถึง 200 ล้านเมกะพิกเซล แซงหน้าเซ็นเซอร์ตัวเดิมที่ความละเอียด 108 เมกะพิกเซลไปไกล (เปิดตัวปี 2019 และใช้ใน Galaxy S20 ปี 2020) Samsung Isocell HP1 ใช้เม็ดพิกเซลขนาด 0.64μm ถือว่าเล็กที่สุดของซัมซุงในปัจจุบัน (ก่อนหน้านี้ มีรุ่น 0.7μm) จึงสามารถรองรับความละเอียดภาพ 200MP ได้ในขนาดเซ็นเซอร์ที่เล็กมากพอใส่ลงในมือถือ ในการใช้งานจริงคงไม่มีใครใช้ภาพระดับ 200MP มากนัก เซ็นเซอร์ Isocell HP1 มีวิธีรวมภาพ (pixel binning) แบบใหม่ที่เรียกว่า ChameleonCell ออกมาเป็นภาพ 12.5MP (รวม 16 พิกเซลเข้าด้วยกัน กลายเป็นเม็ดพิกเซลขนาดใหญ่ 2.56μm แทน) ซึ่งซัมซุงคุยว่าสามารถรับแสงได้ปริมาณมากขึ้น ถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้น ส่วนจะดีแค่ไหนคงต้องรอดูกันในมือถือที่ใช้ Isocell HP1 จริงๆ (ซึ่งก็น่าจะเป็น Galaxy S22) ซัมซุงยังเปิดตัวเซ็นเซอร์อีกรุ่นคือ Isocell GN5 ความละเอียด 50MP เม็ดพิกเซลขนาด 1.0μm มีเทคโนโลยี Dual Pixel Pro มีโฟโต้ไดโอด 2 ตัวต่อหนึ่งเม็ดพิกเซล วางทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ผลคือการออโต้โฟกัสทำได้ดีขึ้นมาก เพราะเซ็นเซอร์สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของแสงได้ทั้งสองมิติ ของใหม่ใน GN5 คือตัวโฟโต้ไดโอดทั้งสองยังถูกกั้นระหว่างกัน Front Deep Trench Isolation (FDTI) เพื่อให้แต่ละตัวรับแสงได้เต็มที่ด้วย ที่มา - Samsung
# DEPA ร่วมกับ Vulcan ทำบริการจับคู่บริษัทกับผู้พิการที่มีทักษะดิจิทัลให้ได้ร่วมงานกัน โครงการส่งเสริมอาชีพดิจิทัลสำหรับคนพิการ ภายใต้ความร่วมมือของ DEPA สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมกับ Vulcan หน่วยงานขับเคลื่อนและสนับสนุนการจ้างงานคนพิการในสายงานดิจิทัล ทำบริการจับคู่คนพิการให้องค์กรและดำเนินเอกสารการจ้างงานตามมาตรา 35 ฟรี บริษัทที่อยากจ้างงานดิจิทัลผู้พิการสามารถเข้าไปลงชื่อได้ ที่นี่ โดยสิ่งที่บริษัทที่ร่วมโครงการได้รับคือ -จัดหาคนพิการที่ผ่านการอบรมทักษะด้านดิจิทัลตามจำนวนที่บริษัทต้องการ -ดำเนินการด้านเอกสารการจ้างงานตามมาตรา 35 -รายงานการทำงานของคนพิการและรายงานผลลัพธ์ทางสังคม Vulcan มีโครงการรับสมัคร อบรมช่วยเตรียมความพร้อมผู้พิการเพื่อทำงานต่อไปได้ Vulcan ระบุในช่องทางลงทะเบียนว่า ปัจจุบัน Vulcan มีเครือข่ายคนพิการ 1,000 คน ที่มีศักยภาพและผ่านการอบรมด้านดิจิทัล รอโอกาสเพื่อได้ใช้ศักยภาพของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ที่มา - Vulcan
# เหตุผลที่ Windows 11 ไม่ซัพพอร์ตซีพียูรุ่นเก่า อาจเป็นเพราะฟีเจอร์ MBEC ของซีพียู เว็บไซต์ Ars Technica วิเคราะห์ว่าข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ของ Windows 11 ที่จำกัดรุ่นซีพียูอย่างมาก เหตุผลหลักจริงๆ น่าจะมาจากฟีเจอร์ชื่อ mode-based execution control (MBEC) ที่เราไม่รู้จักกันมากนัก ไม่ใช่เรื่อง TPM ที่ตกเป็นเป้าโจมตีสักเท่าไร ในโพสต์อธิบายเหตุผลรอบล่าสุดของไมโครซอฟท์ ระบุปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์ไว้ทั้งหมด 3 ข้อคือ เสถียรภาพ (reliability) เป็นเรื่องไดรเวอร์แบบใหม่ที่เรียกว่า Declarative, Componentized, Hardware Support Apps (DCH) ความปลอดภัย (security) แยกเป็น 3 ข้อย่อยคือ TPM, UEFI Secure Boot และฟีเจอร์กลุ่ม virtualization-based security (VBS) ความเข้ากันได้ (compatibility) พูดรวมๆ ว่าฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าที่ไม่อัพเดตไดรเวอร์แล้ว จะไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง VBS ด้วย ประเด็นที่หลายคนมองข้ามไปคือฟีเจอร์ความปลอดภัยกลุ่ม VBS ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า hypervisor-protected code integrity (HVCI) หรือที่ใน OS (Windows 10 ก็มีให้ใช้งาน แต่มักไม่เปิดเป็นดีฟอลต์) เรียกว่า memory integrity เป็นการตรวจสอบว่าโค้ดที่รันอยู่ในโพรเซสเป็นโค้ดของแท้ ไม่ได้ถูกดัดแปลงระหว่างทาง ฟีเจอร์ HVCI สามารถทำงานบนคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ แต่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครื่อง ซีพียูรุ่นหลังๆ จึงเพิ่มฟีเจอร์ระดับฮาร์ดแวร์ชื่อ mode-based execution control (MBEC) มาเร่งให้ HVCI ทำงานเร็วขึ้น (ตัวอย่างเอกสารของอินเทลที่กล่าวถึง MBEC) ข้อมูลจากผู้ใช้บางรายระบุว่าการมี MBEC ทำให้ประสิทธิภาพของ HVCI สูงขึ้นถึง 40% เลยทีเดียว ซีพียูรุ่นใหม่ๆ ที่มี MBEC ได้แก่ ฝั่งอินเทลเป็น Kaby Lake (7th Gen) ขึ้นไป และฝั่ง AMD คือสถาปัตยกรรม Zen 2 ขึ้นไป ซึ่งใกล้เคียงกับรายชื่อซีพียูที่ Windows 11 รองรับมาก แม้อาจมีข้อยกเว้นบ้าง เช่น ไมโครซอฟท์ไม่รองรับ Core 7th Gen หลายรุ่นย่อย (ที่มี MBEC) แต่ดันรองรับ AMD Zen+ (ที่ไม่มี MBEC) ตรงนี้อาจเป็นเรื่องไดรเวอร์ DCH หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ไมโครซอฟท์ยังไม่ออกมาอธิบายชัดเจนนัก และต้องหาคำตอบกันต่อไป ที่มา - Ars Technica
# EVGA ระบุ การ์ดจอพังหลังเล่นเกม New World เป็นเพราะตัวการ์ดเอง หลังมีผู้เล่นพบปัญหาการ์ดจอพังหลังเล่นเกม New World เกม MMORPG ของ Amazon ซึ่งส่วนใหญ่การ์ดจอที่พังเป็นการ์ดจอรุ่น RTX 3090 ของ EVGA จน Amazon Games ต้องออกแพทช์ล็อกเฟรมให้เกมเพิ่มเติม รวมถึง EVGA ก็ต้องส่งการ์ดจอใหม่ให้ผู้ใช้ ล่าสุด EVGA ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเว็บไซต์ PCWorld หลังตรวจสอบการ์ดจอที่เกิดอาการนี้ประมาณ 24 ชิ้นที่รับมาจากผู้ใช้แล้ว EVGA ระบุว่าปัญหานี้เกิดขึ้นเฉพาะกับการ์ดที่ผลิตชุดแรกๆ ในปี 2020 และหลังจากตรวจสอบด้วยเครื่องเอ็กซ์เรย์ พบปัญหาที่การเชื่อมแผงวงจร MOSFET ที่เป็นตัวจัดการพลังงานของการ์ด แต่ไม่เปิดเผยจำนวนการ์ดจอที่มีปัญหาอย่างชัดเจน นอกจากบอกว่าพบน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของการ์ดจอทั้งหมด EVGA ร่วมกับ NVIDIA และ Amazon Games พยายามทดสอบการ์ด RTX 3090 ด้วยตัวเกมเวอร์ชั่นเบต้าที่ทำให้เกิดปัญหานี้ แต่ไม่พบปัญหาแบบที่ผู้ใช้เจอ อย่างไรก็ตามบริษัทก็กำลังเตรียมหาวิธีป้องกันปัญหาด้านพลังงานที่เกิดจากเหตุการณ์คล้ายกันนี้ คือหน้าเมนูของตัวเกมเวอร์ชั่นเบต้า ไม่มีการลิมิตเฟรมต่อวินาทีไว้ ทำให้เฟรมเรตพุ่งจาก 100 fps ไปถึง 800 fps ได้ EVGA ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสาเหตุที่มีผู้วิเคราะห์ก่อนหน้าว่าอาจเกี่ยวกับตัวควบคุมพัดลมของการ์ด ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง แต่เพราะเมื่อเฟรมเรตในหน้าเมนูพุ่งอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ข้อมูลพัดลมที่ส่งผ่านบัส i2c อาจทำให้โปรแกรมเช่น HWInfo หรือ GPU-Z แสดงผลว่าตัว micro-controller ของพัดลมทำงานผิดพลาดได้ และบริษัทออกอัพเดต micro-controller แก้ปัญหานี้แล้ว ที่มา - PCWorld
# Instagram ล่ม หลายประเทศรวมไทยใช้งานไม่ได้ แฮชแท็กเทรนด์ #ไอจีล่ม ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์ โดยวันนี้ 2 ก.ย. ผู้ใช้งานในหลายประเทศรวมไทยบางส่วนไม่สามารถเข้าใช้งาน Instgram บนมือถือได้ โดยเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายโมง
# ไม่ต้องโหลด APK อีกต่อไป Android Auto เปิดให้บริการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว หลัง Google ประกาศเตรียมเพิ่มประเทศที่ Android Auto รองรับอีก 36 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะเปิดให้บริการในไทยช่วงไหน วันนี้ Google โพสต์ทวิตเตอร์ ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า Android Auto ระบบเชื่อมต่อมือถือ Android กับหน้าจอรถยนต์ เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว Android Auto เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับรถยนต์เพื่อใช้งานระบบนำทางหรือเครื่องเล่นเพลง และอื่นๆ โดยจะนำการแสดงผลไปไว้บนหน้าจอของรถยนต์เป็นหลัก ผู้ใช้ยังสามารถใช้งาน Android Auto for Phone Screens เพื่อแสดงผลบนจอมือถือได้หากหน้าจอรถยนต์ไม่รองรับ แต่อาจใช้แค่ใน Android 11 เป็นเวอร์ชั่นสุดท้าย หลังก่อนหน้านี้ Google ระบุว่าเตรียมใช้ Google Assistant Driving Mode เต็มรูปแบบบน Android 12 แทน ที่มา - Twitter: @GoogleThailand
# Qualcomm เปิดตัวโคเด็คเสียง aptX Lossless ระบุเล่นผ่าน Bluetooth ได้คุณภาพเท่า CD Qualcomm เปิดตัวโคเด็คเสียง aptX Lossless ระบุว่าสามารถเล่นเสียงผ่าน Bluetooth ได้คุณภาพเท่าแผ่น CD เพลงแบบ Lossless โดย aptX Lossless จะเป็นส่วนหนึ่งของโคเด็คเสียง Qualcomm aptX Adaptive ที่ปรับเปลี่ยนบิตเรตได้ตามคุณภาพการเชื่อมต่อและประเภทไฟล์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานระบบเสียง Snapdragon Sound Qualcomm ระบุว่า aptX Lossless จะไม่ทำให้สัญญาณเสียคุณภาพใดๆ เมื่อเข้ารหัสและถอดรหัสด้วย aptX Lossless โคเด็คนี้จะถูกเปิดใช้งานอัตโนมัติ เมื่อ aptX Adaptive ตรวจพบว่าไฟล์ต้นทางเป็นไฟล์แบบ lossless และจะทำงานคู่กับ Qualcomm Bluetooth High Speed Link เพื่อเพิ่มบิตเรตสูงสุดได้ถึง 1Mb/s และสเกลได้ต่ำสุดถึง 140Kb/s เพื่อลดปัญหาเสียงขาดหาย กรณีที่สัญญาณ Bluetooth เบาบางหรือถูกรบกวน aptX Lossless มีคุณสมบัติดังนี้ รองรับสัญญาณเสียงสูงสุด 44.1kHz, 16-bit คุณภาพเท่า CD lossless ปรับสเกลเพิ่มลดบิตเรต โดยอิงจากคุณภาพการเชื่อมต่อ Bluetooth ผู้ใช้เลือกปรับเสียงได้ว่าจะฟังแบบ CD lossless 44.1kHz หรือ 24-bit 96kHz lossy สัญญาณไม่สูญเสียคุณภาพ มาแบบ bit-for-bit ทางคณิตศาสตร์ บิตเรทสเกลได้ตั้งแต่ 140 kbit/s ถึง 1Mb/s Qualcomm ระบุเตรียมปล่อย aptX ให้ผู้ผลิตใช้งานช่วงปลายปี 2021 ที่มา - Qualcomm
# [ลือ] กูเกิลพัฒนาซีพียู Arm สำหรับโน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ต Chrome OS ใช้งานจริงปี 2023 Nikkei Asia รายงานว่ากูเกิลกำลังพัฒนาซีพียูของตัวเองเพื่อใช้กับโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตด้วย นอกเหนือจากชิป Tensor ที่ประกาศแล้วว่าจะใช้กับมือถือ Pixel 6 แหล่งข่าวของ Nikkei ระบุแค่ว่าชิปตัวนี้เป็นสถาปัตยกรรม ARM ซึ่งไม่น่าแปลกใจนัก ส่วนรายละเอียดทางเทคนิคว่าเหมือนหรือต่างกับชิป Tensor อย่างไรนั้นยังไม่มีข้อมูล ตามข่าวบอกว่ากูเกิลจะเริ่มใช้ชิปตัวนี้กับโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต Chrome OS ในปี 2023 สินค้ากลุ่ม Chromebook แบรนด์ Pixel ของกูเกิลเอง ที่ผ่านมาใช้ซีพียู x86 ของอินเทลเกือบทั้งหมด (Chromebook Pixel, Pixelbook, Pixel Book Go, Pixel Slate) เคยมีรุ่นที่ใช้ซีพียู Arm เพียงรุ่นเดียวคือ Pixel C (ใช้ Tegra X1) ที่ออกในปี 2015 นอกจากชิป Tensor ที่ใช้กับมือถือแล้ว กูเกิลยังมีชิป TPU สำหรับเซิร์ฟเวอร์มาตั้งแต่ปี 2017 และชิปความปลอดภัย Titan ที่ภายหลังกลายมาเป็น Titan M บนมือถือด้วย ที่มา - Nikkei
# เหตุเกิดจากจีนคุมเข้มวงการไอดอล iQiyi ระงับผลิตรายการค้นหาไอดอล ยกเลิกระบบโหวต จากประเด็นรัฐบาลจีนคุมเข้มวงการไอดอล แบนการจัดอันดับชาร์ตความนิยม กระทบรายการเซอร์ไววัลค้นหาไอดอล ล่าสุด iQiyi แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งรายใหญ่ของจีนประกาศระงับการถ่ายทำรายการค้นหาไอดอลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และจะยกเลิกระบบโหวตด้วย Yu Gong ซีอีโอของ iQiyi พูดในการประชุมที่จัดขึ้นในธีม "ไม่มีพื้นที่สำหรับศิลปินที่ผิดจรรยาบรรณ" จัดโดย China TV Artists Association หรือ สมาคมศิลปินโทรทัศน์จีน โดยเขาระบุว่า นโยบายใหม่เป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับของรัฐบาล ที่ผ่านมา iQiyi ผลิตซีรีส์การแข่งขันไอดอลที่ได้รับความนิยมสูงไม่ว่าจะเป็น Idol Producer และ Youth With You ซึ่งแต่ละตอนมีผู้ชมหลายล้านคน สร้างฐานแฟนคลับให้ไอดอลหน้าใหม่ ตามรายงานผลประกอบการของ iQiyi ระบุว่ารายการ Idol Producer มีผู้ชม 2.83 พันล้านครั้ง และจากรายงานจากบริษัทที่ปรึกษา ENdata มูลค่าตลาดไอดอลของประเทศสูงถึง 1 แสนล้านหยวน (15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2020 ภาพโปรโมทรายการ Idol Producer จาก iQiyi กฎของการแข่งขันไอดอลคือผู้ที่ได้ผลโหวตจากแฟนๆ สูงสุดถึงจะสามารถเข้ารอบไฟนอลเพื่อเดบิวต์ได้ การโหวตยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดสำหรับ iQiyi และแบรนด์สนับสนุน เช่นเปิดให้โหวตด้วยการแสกนคิวอาร์โค้ดข้างกล่องนมแบรนด์สนับสนุน เกิดปรากฏการณ์แห่ซื้อนมเพื่อโหวตเป็นหลายล้านกล่อง แต่ประเด็นที่ทำให้รัฐบาลจีต้องมาคุมเข้มวงการไอดอลมาจากพฤติกรรมไอดอลอย่างเช่น Zheng Shuang โดนข้อหาหลบเลี่ยงภาษี และ Kris Wu โดนข้อหาข่มขืน ที่มา - KrAsia
# Twitter Super Follows จ่ายรายเดือนเพื่อดูเนื้อหาพิเศษเปิดใช้งานแล้ว เริ่มที่สหรัฐ ทวิตเตอร์เปิดใช้งาน Super Follows อย่างเป็นทางการแล้ว เริ่มที่สหรัฐฯ และบนอุปกรณ์ iOS ก่อนจะขยายการใช้งานไปทั่วโลกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดย Super Follows เป็นอีกหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้เพิ่มของครีเอเตอร์ (รวมถึงทวิตเตอร์ด้วย) ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้จากคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟที่สร้างขึ้นสำหรับแฟนคลับหรือคนที่กดรับ Super Follows โดยตั้งราคาที่ 2.99, 4.99, 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันพิเศษคือโพสต์ไทม์ไลน์ให้เห็นกันเฉพาะในกลุ่ม Super Follows ได้ด้วย เป็นการกระตุ้นให้แฟนๆ กดสมัครติดตามเราผ่าน Super Follows มากขึ้น เพื่อจะได้เห็นเนื้อหาที่ไม่เปิด public ครีเอเตอร์ในพื้นที่ที่เปิดใช้งานสามารถกดเพื่อรับ Super Follows ได้โดยปัดเปิดแถบด้านข้างบนไทม์ไลน์หน้าแรก กด Monetization จากนั้นกด Super Follows เงื่อนไขคือต้องมีผู้ติดตาม 10,000 คนขึ้นไป อายุอย่างน้อย 18 ปี มีการโพสต์ทวิตเตอร์ 25 ครั้งภายใน 30 วัน ในการเก็บค่าธรรมเนียมนั้น ทวิตเตอร์ระบุว่า ครีเอเตอร์ได้ส่วนแบ่งไป 97% เมื่อรายได้ถึง 5 หมื่อนดอลลาร์ ส่วนแบ่งจะลดลงมาเป็น 80% Super Follows เป็นหนึ่งในช่องทางหารายได้ของทวิตเตอร์นอกเหนือจากโฆษณา ยังมี Ticketed Spaces, newsletter ที่จะเปิดตัวในอนาคต และ Tip Jar ด้วย ที่มา - ทวิตเตอร์, The Verge
# กองทัพภาคที่ 2 แจ้งความ ส.ส. ก้าวไกล ชี้ใช้เอกสารปลอมมาแฉโกงเบี้ยงเลี้ยง IO จากประเด็น ส.ส. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจอ้างอิงเอกสารภายในเผยการโกงเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าปฏิบัติการ IO ล่าสุดกระทรวงกลาโหมระบุว่าเป็นเอกสารปลอม พล.ต.สวราชย์ แสงผล โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงเรื่องเอกสารว่า ลายมือชื่อของแม่ทัพภาคที่ 2 ในเอกสารสองฉบับลายมือไม่เหมือนกัน, นามสกุลพิมพ์ไม่ถูกต้อง, ลายมือชื่อรองแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ตรงกับลายมือชื่อจริง, เลขลำดับเอกสารถึงแค่ลำดับที่ 851 ยังไม่ถึงลำดับที่ 1121 ตามเอกสารที่ผู้อภิปรายนำมาแสดง นอกจากนี้ รูปภาพการยืนต่อแถวรับเบี้ยเลี้ยง เป็นภาพเก่าของการจ่ายเบี้ยเลี้ยงตามปกติของหน่วยก่อนเกิดโรคระบาด สังเกตได้จากกำลังพล ไม่สวมหน้ากากอนามัย ที่มา - ประชาชาติธุรกิจ
# Apple จะอนุญาตให้แอปประเภท Reader ใส่ลิงก์ภายนอกสำหรับตั้งค่าหรือจัดการบัญชีได้ แอปเปิลประกาศปรับปรุงเงื่อนไขสำหรับนักพัฒนาแอปเพื่อการอ่าน (Reader) โดยสามารถใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ภายนอก เพื่อตั้งค่าหรือจัดการบัญชีได้ มีผลกับนักพัฒนาแอปทั่วโลก โดยข้อกำหนดใหม่นี้จะมีผลตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป ข้อกำหนดนี้เป็นผลจากการสอบสวนของคณะกรรมการค้ายุติธรรมของญี่ปุ่น (JFTC) ซึ่งก่อนหน้านี้แอปเปิลกำหนดให้เนื้อหาที่แสดงในเว็บเพื่อการอ่านนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในแอป การดำเนินการด้านบัญชีและการจ่ายเงินจึงต้องทำผ่าน App Store แอปเปิลบอกว่าจะอนุญาตให้นักพัฒนาแอปเหล่านี้ แชร์ลิงก์หนึ่งลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของพวกตนในการจัดการบัญชี เนื่องจากนักพัฒนาแอปเพื่อการอ่านไม่มีสินค้าและบริการจำหน่ายภายในแอป ที่มา: แอปเปิล
# Google Workspace เพิ่มคุณสมบัติพรีวิวไฟล์ Microsoft Office ที่ฝังในเอกสารได้ Google Workspace เพิ่มคุณสมบัติเมื่อใช้งานไฟล์ของ Microsoft Office ผ่าน Google Docs, Sheets, Slides โดยสามารถพรีวิวดูไฟล์ของ Office ที่ embed อยู่ในเอกสารได้ โดยไม่ต้องเปิดไปหน้าเว็บใหม่ หรือเลือกเซฟไฟล์นี้ที่ Drive หรือดาวน์โหลดออกมาก็ได้ กูเกิลบอกว่าฟีเจอร์นี้ เป็นฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งาน Workspace ร้องขอกันเข้ามามาก เพราะช่วยให้สามารถทำงานได้ไหลลื่นขึ้น โดยคุณสมบัติดังกล่าวเริ่มทยอยเปิดใช้งานแล้ววันนี้ มีกับผู้ใช้ Workspace ทุกประเภท รวมทั้ง G Suite และผู้ใช้งานทั่วไป ที่มา: กูเกิล ผ่าน Android Police
# ช่องโหว่การถอดรหัสแบบ SM2 ใน OpenSSL กระทบลินุกซ์จำนวนมาก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานถึงช่องโหว่ของตัวถอดรหัสข้อมูลแบบ SM2 (ShangMi) ที่เสนอโดยหน่วยงานมาตรฐานอุตหสากรรมจีน ใน OpenSSL เปิดทางให้แฮกเกอร์ที่ส่งข้อมูลเข้ารหัสที่ออกแบบมาเฉพาะ จนอาจจะรันโค้ดในเครื่องของเหยื่อได้ เนื่องจากเป็นช่องโหว่ของ OpenSSL ที่อ่านค่าผิดพลาด ทำให้ลินุกซ์จำนวนมากที่คอมไพล์ OpenSSL โดยเปิดใช้งาน SM2 ได้รับผลกระทบไปทั้งหมด ตอนนี้ลินุกซ์ที่ยืนยันว่าได้รับผลกระทบ เช่น Ubuntu 18.04 ขึ้นไป, SUSE Linux Enterprise 15, openSUSE Leap 15.2 ขึ้นไป, Debian (stretch, buster, bullseye, bookworm, sid), ตลอดจนลินุกซ์ใน Synology และ QNAP ลินุกซ์ส่วนมากออกแพกเกจรุ่นอุดช่องโหว่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่บางดิสโทรยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแพตช์ เช่น Synology และ QNAP แม้ว่าจะเป็นช่องโหว่ในตัวถอดรหัส SM2 แต่ช่องโหว่เช่นนี้ก็ไม่ได้อยู่ในโค้ดส่วนนี้เป็นการเฉพาะแต่อย่างใด โดย OpenSSL ระบุว่าพบบั๊กแบบเดียวกันในตัวอ่าน X509 มาตั้งแต่กรกฎาคมที่ผ่านมาและแก้ไขไปแล้ว แต่เมื่อมีการตรวจสอบโค้ดเพิ่มเติมในเดือนนี้จึงพบช่องโหว่แบบเดียวกันในตัวถอดรหัส SM2 ด้วย กระบวนการเข้ารหัสแบบ ShangMi เป็นชุดเข้ารหัสที่รัฐบาลจีนบังคับให้บริษัทจีนรองรับ โดยเป็นชุดเข้ารหัส SM2 สำหรับเซ็นดิจิทัล, SM3 สำหรับการแฮช, SM4 สำหรับการเข้ารหัส ตัวมาตรฐานเพิ่มผ่านเป็น RFC8998 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถใช้งานเชื่อมต่อ TLS 1.3 ได้ ที่มา - ThreatPost
# ไมโครซอฟท์ออก Microsoft Defender for Endpoint Plan 1 แพ็กเกจขนาดเล็กราคาถูกลง ไมโครซอฟท์ปล่อยบริการรักษาความปลอดภัยไคลเอนต์สำหรับองค์กร Microsoft Defender for Endpoint Plan 1 (P1) แพ็กเกจเริ่มต้นสำหรับองค์กรที่ต้องการควบคุมความปลอดภัยภายในองค์กร และขยับแพ็กเกจเต็มแบบเดิมไปเป็น P2 P1 จะตัดระบบจัดการภัยอัตโนมัติ, การทำ sandbox, และการให้คำปรึกษาจากไมโครซอฟท์ แต่ยังมีฟีเจอร์ด้านการควบคุมความปลอดภัยเครื่องไคลเอนต์มาตรฐานค่อนข้างครบ ทั้งการจัดการไฟร์วอลล์, การควบคุมการใช้อุปกรณ์ต่อพ่วง, ควบคุมการเข้าเว็บ, การกำหนดเงื่อนไขการเข้าถึงระบบขององค์กร, และการเชื่อมต่อข้อมูลเข้าไปยังระบบ SIEM ภายในองค์กร ตอนนี้ไมโครซอฟท์ยังไม่ระบุราคาแพ็กเกจ P1 โดยตรง แต่เปิดให้องค์กรสมัครทดสอบใช้งานได้ฟรี 90 วัน หลังจากนั้นต้องติดต่อผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อซื้อบริการ โดยอาจจะซื้อแยกเป็นแพ็กเกจเฉพาะ หรือหากใช้งาน Microsoft 365 E3/A3 อยู่แล้วก็จะใช้งานได้เลยเช่นกัน ที่มา - Microsoft
# Telegram รองรับไลฟ์สตรีม แบบไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าชมแล้ว Telegram ประกาศอัพเดตแอปสู่เวอร์ชัน 8.0 มีฟีเจอร์สำคัญคือการไลฟ์สตรีม ที่ไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าชม ทั้งใน Group และ Channel เป็นการขยายจากขีดจำกัดในเวอร์ชันก่อนหน้านี้ที่ 1,000 คน การขยายจำนวนคนดูไม่จำกัดนี้ทำให้ Telegram บอกว่าผู้ใช้งานสามารถสร้างสถานีโทรทัศน์ของตนเองได้เลย และยังเพิ่มเพิ่มเพื่อนที่ร้องขอ ให้มาแชร์หน้าจอไลฟ์ได้อีกด้วย ฟีเจอร์อื่นที่เพิ่มมาในเวอร์ชันนี้ได้แก่ Flexible Forwarding ปรับแต่งรูปแบบข้อความส่งต่อได้มากขึ้น, Jump to Next Channel ปัดหน้าจอ Channel ด้านล่างสุดเพื่อไปยัง Channel ถัดไปที่ยังไม่ได้อ่าน ทำให้ไม่ต้องสลับหน้ารายชื่อไปมา, Choosing a Sticker แสดงสถานะด้านบนเวลาสนทนา ในแบบเดียวกับ typing… แต่บอกว่ากำลังเลือกสติกเกอร์อยู่ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่นได้แก่ สติกเกอร์ที่กำลังมาแรง, อีโมจิแบบเคลื่อนไหวชุดใหม่ และแสดงจำนวนคอมเมนต์ที่ยังไม่ได้อ่าน อัพเดตนี้มีผลแล้วใน Telegram เวอร์ชัน 8.0 เป็นต้นไป ที่มา: Telegram
# Microsoft ประกาศจัดงานเปิดตัว Surface รุ่นใหม่ 22 กันยายนนี้ ไมโครซอฟท์ประกาศจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ ในวันที่ 22 กันยายนนี้ เวลา 22.00น. ตามเวลาในไทย โดยบอกว่างานนี้จะพูดถึงอุปกรณ์รุ่นใหม่ และ Windows 11 สินค้าที่คาดว่าจะเปิดตัวในงานได้แก่ Surface Duo 2, Surface Book รุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้ชื่อ Surface Laptop Pro แทนที่ชื่อรุ่นต่อคือ Surface Book 4 รวมทั้งแท็บเล็ตไฮบริดตระกูล Surface รุ่นใหม่ด้วย ที่มา: The Verge
# [ลือ] Intuit สนใจซื้อกิจการ Mailchimp มูลค่าดีลอาจสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สำนักข่าว Bloomberg อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง รายงานว่า Intuit บริษัทซอฟต์แวร์ด้านการเงินและภาษีรายใหญ่ เจ้าของ TurboTax, QuickBooks และ Mint กำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการ Mailchimp บริษัทการตลาดผ่านอีเมล โดยมูลค่าดีลอาจสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นดีลซื้อกิจการขนาดใหญ่ที่สุดของ Intuit โดยมีดีลซื้อกิจการก่อนหน้านี้คือ Credit Karma แพลตฟอร์มให้คะแนนเครดิตส่วนบุคคล ก่อนหน้านี้มีข้อมูลว่า Mailchimp ก็พยายามหาผู้มาซื้อกิจการ ซึ่งมีผู้สนใจทั้งกองทุนและบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ซึ่งรวมถึง Intuit ด้วย ที่มา: Bloomberg
# WD เปิดตัวเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ OptiNAND ฝังแฟลชช่วยเพิ่มความจุ-เสถียรภาพ Western Digital เปิดตัวเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ชื่อ OptiNAND ที่เป็นลูกผสมระหว่างฮาร์ดดิสก์จานหมุนแบบดั้งเดิม และสตอเรจแบบแฟลชในไดรฟ์เดียวกัน แนวคิดการนำแฟลชมารวมกับฮาร์ดดิสก์จานหมุน (เป็นไดรฟ์แบบไฮบริด) เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมายังเน้นการใช้แฟลชมาคั่นกลางก่อนหน้าดิสก์ เพื่อเก็บข้อมูลที่เรียกใช้บ่อย (hot storage) ส่วนฮาร์ดดิสก์ใช้เก็บข้อมูลที่ถูกเรียกไม่ถี่เท่า (warm storage) อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การคาดเดาว่าข้อมูลไหนเป็น hot/warm ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก Western Digital บอกว่าลองผิดลองถูกเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2015 จนกระทั่งซื้อกิจการ SanDisk ในปี 2016 ทำให้มีความเชี่ยวชาญในสตอเรจทั้งแบบดิสก์และแฟลช เมื่อทีมวิจัยจากทั้งสองฝั่งเริ่มทำงานร่วมกัน จึงเห็นแนวทางของการนำแฟลชมาใช้งานร่วมกับฮาร์ดดิสก์ที่เกิดประโยชน์จริงๆ สุดท้ายออกมาเป็น OptiNAND ที่เปิดตัวล่าสุด OptiNAND เป็นการนำแฟลชไดรฟ์แบบ universal flash storage (UFS) มาฝังไว้ในฮาร์ดดิสก์ แต่ต่างจากการฝังแฟลชแบบเดิมๆ ตรงที่ปรับอัลกอริทึมของเฟิร์มแวร์ และชิป SoC ที่ใช้ในฮาร์ดดิสก์ เพื่อนำแฟลชมาใช้ประโยชน์เพิ่มอีก 2 ด้าน เพิ่มความจุ ฮาร์ดดิสก์ในยุคหลังมีความหนาแน่นของแทร็คเพิ่มขึ้นมาก จึงมีโอกาสที่จะเกิดการรบกวนระหว่างแทร็ค (magnetic interference หรือ adjacent track interference) สูงขึ้น ฮาร์ดดิสก์ยุคใหม่จึงต้องเก็บค่า metadata ของข้อมูลต่างๆ เช่น จำนวนครั้งที่เซ็กเตอร์เคยถูกกวน จำนวนครั้งที่ถูกเขียนทับ ตำแหน่งล่าสุดของหัวอ่าน ฯลฯ เอาไว้ใน DRAM ของไดรฟ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อ DRAM มีขนาดจำกัด (เพราะราคาแพง) และขนาดของ metadata ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มเก็บลง DRAM ไม่พอ จนต้องเริ่มไปเก็บลงในพื้นที่ดิสก์เองโดยตรง ส่งผลกระทบต่อทั้งความจุ (เพราะต้องกันที่บนดิสก์ไปเก็บ metadata) และประสิทธิภาพในการเขียน-อ่าน metadata ทางออกของปัญหานี้จึงเป็นการนำสตอเรจแฟลชมาใช้เก็บ metadata แทน เพราะเป็นสตอเรจที่อยู่ตรงกลางระหว่าง DRAM และดิสก์ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและต้นทุน ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือประหยัดเนื้อที่ของดิสก์ และลดความจำเป็นของการใช้ DRAM ขนาดที่ใหญ่ขึ้น Western Digital บอกว่าการเพิ่มแฟลชเข้ามา และปรับสถาปัตยกรรมเป็นแบบ OptiNAND ช่วยเพิ่มความจุต่อจานเป็น 2.2TB ต่อแผ่น (platter) และขยายความจุของทั้งไดรฟ์ (ใช้ 9 จาน) เป็น 20TB เพิ่มประสิทธิภาพ-เสถียรภาพ นอกจากเรื่องการขยายความจุของดิสก์แล้ว สตอเรจแฟลชยังเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเสถียรภาพ (reliability) กรณีแหล่งพลังงานหายไปกะทันหัน (emergency power off - EPO) ปกติแล้ว ฮาร์ดดิสก์มีโหมดการเขียนข้อมูล 2 แบบคือ write-cache enabled (WCE) โปรแกรมสั่งเขียนข้อมูล แต่สนใจแค่ฮาร์ดไดรฟ์รับข้อมูลไปเข้าคิวเขียน ไม่ต้องเช็คว่าเขียนลงดิสก์แล้วจริงๆ วิธีนี้ให้ประสิทธิภาพของการเขียนข้อมูลดีกว่า แต่มีความเสี่ยงว่าหากไฟดับตอนที่ยังไม่ทันเขียนลงดิสก์ ข้อมูลอาจหายได้ อีกโหมดคือ write-cache disabled (WCD) ที่กลับด้านกันคือ ไดรฟ์ต้องตอบยืนยันว่าเขียนลงดิสก์แล้วจริงๆ มั่นใจได้ว่าข้อมูลไม่หาย แต่ประสิทธิภาพย่อมน้อยกว่าแบบ WCE สตอเรจแบบแฟลชเข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้ให้ เพราะเมื่อไฟดับ ไดรฟ์จะสั่ง flush ข้อมูลที่ค้างคิวอยู่ลงในแฟลชแทนดิสก์ (โดยใช้พลังงานจากแรงเหวี่ยงของจานหมุนดิสก์ที่หมุนอยู่แล้ว) ทำให้การันตีได้ว่าข้อมูลที่ค้างอยู่จะไม่สูญหาย (เหมือน WCD) โดยยังคงประสิทธิภาพในระดับ WCE อยู่ เทคโนโลยี OptiNAND จะเริ่มนำมาใช้กับสินค้าที่วางขายจริงภายในปี 2021 นี้ ทาง Western Digital ยังให้ข้อมูลคร่าวๆ ว่าชิป NAND ผลิตโดยโรงงานที่ร่วมลงทุนกับ Kioxia (Toshiba เดิม), รองรับสเปกคอนโทรลเลอร์ของสตอเรจหลายแบบ ตั้งแต่ eMMC 5.1 ไปจนถึง UFS 3.1, รองรับชิป NAND ทั้งแบบ Single Level และ Triple Level แต่ยังไม่บอกว่าแฟลชที่ใช้จริงมีความจุเท่าไรบ้าง ที่มา - Western Digital (1), (2), (3)
# NVIDIA โชว์ปัญญาประดิษฐ์แปลงข้อความเป็นเสียง ควบคุมได้ระดับร้องเป็นเพลง มีอารมณ์ในน้ำเสียง NVIDIA สาธิตปัญญาประดิษฐ์แปลงข้อความเป็นเสียง RAD-TTS ที่เคยเปิดตัวในงาน SIGGRAPH’s Real-Time Live จากเดิมที่เคยระบุว่า RAD-TTS สามารถแปลงข้อความเป็นเสียงโดยควบคุมได้อย่างละเอียดทั้งน้ำเสียง, ระยะเวลาเปล่งเสียง, และพลังในการเปล่งเสียง การสาธิตรอบนี้แสดงให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์สามารถแปลงเสียงจากโปรดิวเซอร์ให้กลายเป็นเสียงสังเคราะห์โดยยังเก็บน้ำหนักเสียง, อารมณ์ไว้ได้ครบ แม้เสียงที่สังเคราะห์ออกมาจะเป็นคนละเพศกับผู้พูดก็ตามที และเนื่องจากตัวปัญญาประดิษฐ์สร้างเสียงจากข้อความ ทำให้ก่อนสังเคราะห์เสียงเราสามารถปรับแต่งน้ำโทนเสียงให้ต่างจากตอนบันทึกได้ตามต้องการ การใช้งานปัญญาประดิษฐ์เช่นนี้อาจใช้สำหรับคนพิการ (แบบเดียวกับกูเกิล) หรือใช้สังเคราะห์เสียงในเกมที่ตัวละครสามารถพูดตามบทพูดตามเนื้อเรื่องได้โดยไม่ต้องอาศัยนักแสดงอัดเสียงไว้ล่วงหน้าทุกบทสนทนา ที่มา - NVIDIA
# แบงค์ชาติจีนเตรียมออกกฎใหม่ ผู้ให้บริการรับชำระเงินต้องรายงานการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการเพิ่มทุนล่วงหน้า ธนาคารกลางประเทศจีนหรือ PBOC กำลังเตรียมออกคำสั่งใหม่ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการระบบชำระเงินจะต้องรายงานเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญทางธุรกิจให้ทางธนาคารกลางรับทราบล่วงหน้าด้วย สำหรับเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ ในเบื้องต้นระบุว่ามีทั้ง IPO, เพิ่มทุน, เปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ไปจนถึงการร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทจีนเพื่อให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้จะต้องรายงานภายใน 5 หรือ 30 วันล่วงหน้า ขึ้นกับการตัดสินใจทางธุรกิจ ส่วนถ้าเป็นเหตุการณ์อย่างข้อมูลรั่วไหลหรือการฟอกเงินจะต้องรายงานภายใน 2 หรือ 24 ชั่วโมง ขึ้นกับว่าพบเหตุการณ์ครั้งแรกเมื่อไรและเป็นเหตุการณ์ลักษณะอย่างไร ถ้าบริษัทไม่สามารถทำตามได้จะถูกปรับโดย PBOC ประเทศจีนมีกฎหมายเกี่ยวกับบริการชำระเงินสำหรับผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคารมาแล้วตั้งแต่ปี 2010 แต่ช่วงหลังฟินเทคพัฒนารวดเร็วมาก และผู้ให้บริการชำระเงินรายใหญ่อย่าง Alipay หรือ WeChat Pay ก็มีบทบาทต่อการชำระเงินประเทศจีนค่อนข้างสูงจนทำให้บางร้านปฏิเสธการรับเงินสดไปแล้ว ดังนั้นธนาคารกลางจีนจึงออกกฎให้เข้มงวดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับการทดสอบหยวนดิจิทัล คือพยายามดึงความสามารถในการควบคุมระบบการเงินออกจากเอกชนมาอยู่กับ PBOC เพื่อรักษาเสถียรภาพภายในระบบการเงินของประเทศจีน ที่มา - Nikkei Asian Review ภาพจาก Wikimedia Commons
# ข้อมูลลูกค้าของ Bangkok Airways บางส่วนหลุดออกสาธารณะ หลังจากถูกโจมตีด้วย Ransomware โดยกลุ่ม LockBit จากเหตุกลุ่มมัลแวร์เรียกค่าไถ่ LockBit โจมตีสายการบิน Bangkok Airways เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยกำหนดเส้นตายการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนไว้ ล่าสุดทางกลุ่ม LockBit ก็เปิดเผยข้อมูลออกมาบางส่วนตามคำขู่ก่อนหน้า ไฟล์ที่หลุดออกมามีขนาดข้อมูลรวม 200GB ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ถูกเปิดเผยเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสายการบิน แต่ยังมีข้อมูลลูกค้าของสายการบินบางส่วนถูกเผยแพร่ออกมาจากการโจมตีครั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวที่ถูกเผยแพร่มีรายละเอียดของชื่อ, ที่อยู่อาศัย, ข้อมูลหนังสือเดินทาง, สัญชาติ, เพศสภาพ, หมายเลขโทรศัพท์, อีเมล์, ข้อมูลการเดินทาง รวมถึงข้อมูลบัตรเครดิตบางส่วนและรายละเอียดมื้ออาหารบนเที่ยวบินของลูกค้าด้วย แม้ว่าข้อมูลจะถูกเผยแพร่ออกมา แต่ทางสายการบินยังคงยืนยันว่ายังไม่มีผลกระทบกับระบบความปลอดภัยในด้านการปฏิบัติงานและในด้านการบินจากการโจมตีดังกล่าว และยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุ โดยได้แจ้งเหตุดังกล่าวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางลูกค้าให้รับทราบแล้ว ที่มา - The Register
# PUBG Mobile เตรียมนำแผนที่หิมะ Vikendi กลับมาใหม่ในอัพเดต 1.6 วันที่ 14 กันยายนนี้ Vikendi แผนที่หิมะในเกม PUBG Mobile ที่ถูกนำออกไปจากเกมในอัพเดตเวอร์ชั่น 1.3 ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เตรียมกลับมาให้เล่นกันอีกครั้งในอัพเดต 1.6 วันที่ 14 กันยายนนี้ โดยจะกลับมาในรูปแบบ Vikendi 2.0 แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าจะปรับปรุงจุดใดในแผนที่บ้าง นอกจากนี้ Krafton ทีมพัฒนา ยังเตรียมเพิ่มโหมดใหม่ เช่น Flora Menace ที่จะเพิ่มสิ่งใหม่ๆ เช่น Cell-Matrix ในแผนที่ Erangel ที่จะนำผู้เล่นขึ้นไปสู้กันบนยาน Cell-Matrix Mothership, Rejuvenation Barrier บาเรียร์ฟื้นฟูพลังชีวิตผู้เล่น จะปรากฎขึ้นมาแบบสุ่มในเขตเมืองบนแผนที่, และ Dynahex Supplies ให้ผู้เล่นใช้ชิป Nacore ที่ได้จากการสังหารศัตรูใน Cell-Matrix เพื่อเรียกไอเท็มมาส่งในแผนที่ได้ โหมดที่จะกลับมาจากอัพเดตเก่าประกอบด้วย Infection Mode, Survive Till Dawn และ Metro Royale: Reunion และมีการปรับปรุงอื่นเช่นกราฟฟิก แอนิเมชั่นตอนถูกยิง และ Highlight Moments ที่จะบันทึกเกมเพลย์ช่วงที่ผู้เล่นต่อสู้กับศัตรูแบบเข้าด้ายเข้าเข็มไว้โดยอัตโนมัติ (ปิดได้) ที่มา - TechRadar
# Facebook บอกคนชอบที่เห็นโพสต์การเมืองบนฟีดน้อยลง เตรียมขยายการทดสอบฟีดใหม่เพิ่ม หากยังจำกันได้ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Facebook เผยแนวทางใหม่ ลดเนื้อหาการเมืองบนหน้าฟีด เป้าหมายคือลดความแตกแยกบนแพลตฟอร์ม และได้ทำการสำรวจผลตอบรับในสหรัฐฯว่าประสบการณ์การใช้งานเป็นอย่างไร ล่าสุด Facebook เผยผลการสำรวจ ระบุเพียงว่าผู้คนมีผลตอบรับเชิงบวก ด้วยเหตุนี้ Facebook จึงจะขยายการสำรวจไปยัง คอสตาริกา สวีเดน สเปน และไอร์แลนด์ เพิ่มเติม ในรายละเอียดการสำรวจ Facebook บอกว่า เมื่อวิเคราะห์สัญญาณการมีส่วนร่วม (engagement) บางอย่างสามารถบ่งชี้ได้ว่าโพสต์ใดคนเห็นว่ามีค่า (value) มากกว่าโพสต์อื่นๆ หรือสามารถตีความได้ว่า เมื่อมีคนสร้าง engagement หรือคอมเม้นท์ แชร์โพสต์ใด ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากเห็นโพสต์นั้นๆ บนไทม์ไลน์ของเรา ในการสำรวจรอบใหม่ Facebook จะเน้นสัญญาณที่แนวโน้มที่ผู้คนจะแสดงความคิดเห็นเชิงลบบนโพสต์การเมือง ซึ่ง Facebook ยอมรับว่า แนวทางใหม่จะกระทบต่อเนื้อหาประชาสัมพันธ์ ผู้เผยแพร่โฆษณาอาจเห็นผลกระทบต่อทราฟิกของตน ซึ่งการทดสอบจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความพยายามลดโทนการเมืองบน Facebook มีชนวนสำคัญมาจากเหตุการณ์ผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บุกรัฐสภา โดยเขาใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางสำคัญในการเผยแพร่แนวคิด รวมถึงม็อบก็ใช้โซเชียลในการสื่อสารกัน ที่มา - Facebook, Wired
# ASUS เปิดตัว Chromebook รุ่นใหม่สามรุ่น Flip CX5500, CX5400 และ Flip C214 เน้นเรียนออนไลน์ ASUS เปิดตัว Chromebook รุ่นใหม่ในประเทศไทย 3 รุ่น คือ Chromebook Flip CX550, Flip CX5400 มาพร้อมซีพียู Intel Core 11th Gen และ Chromebook Flip C214 รุ่นเล็กใช้ Intel Celeron N4020 รัน Chrome OS เป็นโน้ตบุ๊กจอสัมผัสแบบพับได้ 2-in-1 เน้นความทนทาน เจาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่ต้องเรียนออนไลน์ผ่านบริการต่างๆ ของ Google แต่ละรุ่นมีสเปกดังนี้ Chromebook Flip CX5500 หน้าจอสัมผัส 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD ซีพียู Intel Core i3-1115G4 แรม LPDDR4 8GB SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 SSD ความจุ 256GB แบตเตอรี่ 57WHrs ทนทานมาตรฐาน MIL-STD 810H รัน Chrome OS มาพร้อมเม้าส์ไร้สาย, ซองใส่โน้ตบุ๊ก และปากกาสไตลัส ราคา 23,000 บาท Chromebook Flip CX5400 หน้าจอสัมผัส 14 นิ้ว ความละเอียด FHD แสดงผลสี sRGB100% ซีพียู Intel Core i5-1130G7 แรม LPDDR4X 8GB SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 SSD ความจุ 512GB แบตเตอรี่ 48WHrs รองรับ Wi-Fi 6 ทนทานมาตรฐาน MIL-STD 810H รัน Chrome OS น้ำหนัก 1.4 กิโลกรัม มาพร้อมเม้าส์ไร้สาย, ซองใส่โน้ตบุ๊ก และปากกาสไตลัส ราคา 30,000 บาท Chromebook Flip C214 หน้าจอสัมผัส 11.6 นิ้ว แบบ Anti-glare ความละเอียด HD ซีพียู Intel Celeron N4020 แรม LPDDR4 4GB หน่วยความจำ eMMC 32GB แบตเตอรี่ 50WHrs รองรับ Wi-Fi 5 ทนทานมาตรฐาน MIL-STD 810G รัน Chrome OS มาพร้อม USB-mouse ราคา 12,000 บาท ASUS Chromebook Flip CX5500 และ ASUS Chromebook Flip C214 วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ส่วน Chromebook Flip CX5400 วางจำหน่ายช่วงกลางเดือนกันยายน ทุกรุ่นมาพร้อม ASUS Expert Care ครอบคลุมการบริการซ่อมถึงที่ (on-site service) 3 ปี, ประกันระหว่างประเทศ 57 ประเทศทั่วโลก และประกันอุบัติเหตุ (Perfect Warranty) 1 ปีเต็ม ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# บีทีเอส ประกาศสิ้นสุดการขายเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท บีทีเอส ประกาศสิ้นสุดการขายเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท โดยสามารถเติมและซื้อเที่ยวเดินทางได้ถึงวันที่ 30 กันยายนนี้เป็นวันสุดท้าย โดยบัตรที่มีเที่ยวเดินทางเหลือ สามารถใช้ต่อได้จนกว่าเที่ยวเดินทางจะหมด ที่มา - BTS
# จอพับไม่ทิ้งกัน Samsung อัพเดตฟีเจอร์ใหม่จาก Galaxy Z Fold 3 / Z Flip 3 ให้รุ่นก่อนหน้า มือถือจอพับได้รุ่นใหม่ของ Samsung อย่าง Galaxy Z Fold 3 และ Z Flip 3 มาพร้อม One UI 3.1.1 ที่ปรับปรุง UI หลายส่วนให้เข้ากับหน้าจอพับได้มากขึ้น วันนี้ Samsung เปิดเผยว่าเตรียมออกอัพเดต One UI 3.1.1 ให้มือถือจอพับได้รุ่นก่อนหน้าเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มฟีเจอร์กลับไปถึง Galaxy Z Fold 2 และ Galaxy Z Fold (ที่เปิดตัวในชื่อ Galaxy Fold) ดังนี้ ฟีเจอร์ Drag & Split แตะหน้าต่างแอปเพื่อแบ่งส่วน ใช้ได้บนมือถือจอพับของ Samsung ทุกรุ่น ฟีเจอร์ Multi-Active Window และ Natural Window Switching ใช้งานหลายแอปและสลับหน้าต่างแอปไปมา ใช้ได้บน Galaxy Z Fold ทุกรุ่น ฟีเจอร์ Rotate All Apps หมุนแอปให้เข้ากับการใช้งาน ใช้ได้บน Galaxy Z Fold ทุกรุ่น ฟีเจอร์ปรับ Aspect Ratio ของแอป ใช้งานได้บน Galaxy Z Fold ทุกรุ่น ฟีเจอร์ App Split View แอปเดียวแต่แสดงผลแบบแบ่งข้าง ใช้ได้บน Galaxy Z Fold ทุกรุ่น ฟีเจอร์ Flex Mode Panel ใช้งานแอปแบ่งเป็นสองส่วน เมื่อพับครึ่งจอ 90 องศา ใช้งานได้บน Galaxy Z Fold ทุกรุ่น ฟีเจอร์พินแอปโปรดบนแทสก์บาร์ ใช้งานได้บน Galaxy Z Fold ทุกรุ่น ฟีเจอร์ Mirror Cover Screen ปรับหน้าจอภายนอกให้เหมือนภายใน ใช้ได้กับ Galaxy Z Fold 2 และ Galaxy Z Fold 3 ผู้ใช้ Galaxy Z Fold และ Z Fold 2 น่าจะได้ประโยชน์กับการปรับปรุง UI ครั้งนี้พอสมควร โดย One UI 3.1.1 จะเริ่มอัพเดตรุ่นปี 2020 เช่น Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Flip 5G และ Galaxy Z Flip ตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนรุ่นปี 2019 เช่น Galaxy Z Fold จะเริ่มได้อัพเดตในสัปดาห์ถัดไป ที่มา - Samsung
# แอปบันทึกการออกกำลัง Strava เลิกออกอัพเดตให้นาฬิกาที่ใช้ Wear OS เวอร์ชั่นเก่ากว่า 3.0 แอป Strava หนึ่งในแอปบันทึกการออกกำลังยอดนิยมที่เหล่านักวิ่งและนักปั่นใช้ หยุดออกอัพเดตให้กับนาฬิกาที่ใช้ระบบปฏิบัติการเก่ากว่า Wear OS 3.0 แล้ว หลัง Google จับมือ Samsung ใช้ระบบปฏิบัติการ รุ่นใหม่นี้บน Galaxy Watch 4 และ Watch 4 Classic นาฬิการุ่นที่ได้รับผลกระทบน่าจะมีเยอะพอสมควร ทั้งตระกูล Ticwatch, Huawei Watch 2, Montblanc Summit, Summit 2 และ Fossil รุ่นอื่นนอกเหนือจาก Fossil Gen 6 ที่เตรียมได้อัพเดต Wear OS 3.0 ปีหน้า นอกจากนี้แอปอื่นๆ เช่น YouTube Music ก็ออกเวอร์ชั่นที่ใช้งานได้แค่บน Wear OS 3.0 เท่านั้น และคาดว่าแอปอื่นๆ ทั้งของ Google และผู้พัฒนารายอื่นอาจตามมาในอนาคต เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้และผู้ผลิตเปลี่ยนมาใช้งานระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่มากขึ้น น่าสนใจที่แอป Telegram บน Wear OS ก็เพิ่งหายไปจากเพลย์สโตร์ หลังอัพเดตเป็นเวอร์ชั่น 8.0 ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถดาวน์โหลดแอปนี้บนนาฬิกาได้ แม้จะใช้งาน Wear OS 3.0 บน Galaxy Watch 4 ก็ตาม แต่ผู้ใช้ที่มีแอปอยู่แล้วยังใช้งานได้อยู่ ยังไม่แน่ชัดว่าทีมพัฒนาจะออกเวอร์ชั่นใหม่ที่ใช้งานได้เฉพาะบน Wear OS 3.0 มาภายหลังหรือไม่ Samsung Galaxy Watch 4 ที่มา - Strava, 9to5Google
# ผู้เล่น Apex Legends เสียงแตก หลังทีมงานเตรียมนำเทคนิคเคลื่อนที่ tap strafing ออกจากเกม เกิดดราม่าใหม่ในวงการเกม Apex Legends หลังทีมงาน Respawn เตรียมนำเทคนิคการเคลื่อนที่ tap strafing ออกจากเกมในอัพเดต 10.1 Tap strafing เป็นเทคนิคการเคลื่อนที่ใน Apex Legends ที่ผู้เล่นต้องใช้การหันหน้าด้วยเม้าส์ประกอบกับจังหวะปล่อยปุ่มเดินหน้าแล้วกดใหม่ หลังวิ่งสไลด์ เพื่อทำให้ตัวละครสามารถเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแบบหักศอกได้ทันที แม้อยู่กลางอากาศหรือสไลด์อยู่ เทคนิคนี้สามารถใช้ร่วมกับเทคนิคการเด้งจากกำแพง (wall bounce) หรือ Jump Pad ของ Octane เพื่อเปลี่ยนทิศทางการเด้งได้ เป็นเทคนิคการเคลื่อนที่ในเกม Apex Legends ที่ผู้เล่นที่ต้องหัดให้เชี่ยวชาญระดับหนึ่งจึงจะใช้งานได้คล่อง Respawn ให้เหตุผลว่า tap strafing เป็นเทคนิคที่ผู้เล่นใหม่ใช้งานได้ยาก เกิดความได้เปรียบในหมู่ผู้เล่นเก่า เพราะทำให้ผู้เล่นใหม่อ่านการเคลื่อนไหวตัวละครไม่ได้และแก้ทางได้ยาก วิดีโอสอนการใช้ tap strafe จากยูทูบแชนแนล Dazs การเปลี่ยนแปลงนี้มีทั้งผู้เล่นที่ชอบ ไม่ชอบ โดยผู้เล่นมือเก่าที่ใช้ tap strafe เป็นประจำ มองว่า tap strafe เป็นสกิลเพลย์ หรือเป็นทักษะที่ต้องฝึกเพื่อใช้งาน ทำให้ตัวเกมมีความลึกมากขึ้น และรู้สึกว่าไม่แฟร์ถ้าเกมจะนำออก ในขณะเดียวกันผู้เล่นหลายคนก็เห็นด้วย เพราะทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้าถึงเกมได้มากขึ้น และผู้เล่นหลายคนก็ไม่รู้จักการ tap strafe เลย แต่ก็มีการถกเถียงอย่างดุเดือดในฟอรั่มต่างๆ เช่น Reddit Respawn ระบุในโพสต์ทวิตเตอร์ว่าจะเปิดเผยรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงนี้มากขึ้นใน patch notes แบบเต็มของเวอร์ชั่น 10.1 ซึ่งยังไม่มีกำหนดวันชัดเจน ที่มา - Respawn, Reddit
# Xiaomi ตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า Xiaomi EV เสร็จแล้ว ทุนจดทะเบียน 5 หมื่นล้านบาท Xiaomi ประกาศจัดตั้งบริษัทลูก Xiaomi EV, Inc. เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าตามแผนที่ประกาศไว้เมื่อต้นปี มีทุนจดทะเบียน 1 หมื่นล้านหยวน หรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท Lei Jun ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Xiaomi เคยให้สัมภาษณ์ว่าสนใจธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า เพราะเคยพบปะกับ Elon Musk เขาจึงหันมาทำธุรกิจนี้จริงจัง โดยเขาจะลงมานำทีมพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าด้วยตัวเอง นับจากที่ประกาศข่าวไปแล้วครึ่งปี ตอนนี้ Xiaomi EV มีพนักงานแล้วประมาณ 300 คน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Xiaomi เพิ่งประกาศข่าวซื้อกิจการ Deepmotion Tech เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ ที่มา - Xiaomi
# Selaco เกมยิง FPS แนวย้อนยุค พัฒนาบนเอนจิน Doom ภาคแรก อายุเกือบ 30 ปี Doom เป็นที่รู้จักในฐานะต้นแบบของเกมแนว FPS จากเทคโนโลยีกราฟิก 3D ที่ล้ำสมัย (ในยุคนั้น) เกม Doom ภาคแรกออกวางขายในปี 1993 ถ้านับถึงปัจจุบันมีอายุ 28 ปีแล้ว แต่ล่าสุดมีนักพัฒนายุคใหม่ปี 2021 พัฒนาเกมใหม่ Selaco โดยใช้เอนจินของ Doom ฉบับปี 1993 จึงน่าสนใจว่า พลังกราฟิกยุคใหม่บนเอนจินเกมรุ่นเก่าเกือบ 30 ปีจะออกมาเป็นอย่างไร Selaco เป็นเกมที่พัฒนาโดยสตูดิโออินดี้ Altered Orbit Studios พัฒนาบนเอนจิน GZDoom (เอนจินที่พอร์ตมาจากซอร์สโค้ดของ Doom ภาคแรกอีกที) โดยออกแบบฉากของเกมเป็นธีมอวกาศสยองขวัญ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกม F.E.A.R. ของค่าย Monolith Productions ในยุค 2000s ทีมพัฒนา Selaco บอกว่าต้องการคงความย้อนยุคแบบ FPS ยุคดั้งเดิม แต่ก็พัฒนาฟีเจอร์สมัยใหม่ อย่างความฉลาดของศัตรูที่เพิ่มขึ้นจากเดิมมาก หรือกราฟิกที่ไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าอยู่บนเอนจินของ Doom อายุเกือบ 30 ปี เกมยังไม่มีกำหนดวางขาย (ในหน้า Steam ระบุวันวางขายเป็นปี 2255) และเปิดรับการสนับสนุนบน Patron ที่มา - Kotaku
# ก้าวไกลแฉ IO กองทัพไทย เผยชื่อเพจอวตารใน Facebook รุมถล่มผู้เห็นต่าง อัพเดท เพิ่มเนื้อหาฝั่งกระทรวงกลาโหม มหกรรมแฉ IO กลับมาอีกครั้ง ในการประชุมรัฐสภา ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 31 ส.ค. 2564 โดย ส.ส. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ พรรคก้าวไกล พร้อมเผยรายชื่อเพจอวตารในการรับหน้าที่โพสต์ด้อยค่าคนโจมตีรัฐบาล รวมถึงโพสต์ข่าวปลอมเข้าข้างรัฐบาล การปฏิบัติหน้าที่มีการมอบหน้าที่ชัดเจน ดังนี้ กรมทหารราบที่ 3 ให้ไปดูเพจ จอมยุทธ กรมทหารราบที่ 8 ให้ไปดูเพจเรื่องงานไม่ขยับ เรื่องกินตับขอให้บอก กรมทหารราบที่ 16 ให้ไปดูเพจ ชาวไทยร่วมมือ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 ให้ไปดูเพจ ระดม Teen กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 ดูเพจ อีหยังกะด้อกะเดี้ย กรมทหารม้าที่ 7 ดูเพจ ผู้ชายลายพราง พร้อมเผยภาพห้องปฏิบัติการ IO โดยมีผู้บังคับบัญชาคอยชี้เป้าเพจที่ต่อต้านรัฐบาล พร้อมส่งสัญญาณให้ IO เข้าไปโพสต์โจมตี นอกจากนี้ยังมีการให้รางวัลกันภายในด้วย หากเจ้าหน้าที่หรือหน่วยกรมกองใดมีผลงานดี เช่น รางวัลบุคคลที่มีผู้ติดตามในโซเชียลสูงสุด, เครือข่ายนักรบไซเบอร์ดีเยี่ยม เป็นต้น เรื่อง IO ได้รับความสนใจมาตั้งแต่ปีที่แล้วที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ แฉว่า กอ.รมน. ว่าอยู่เบื้องหลัง ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงพฤติกรรมรัฐบาล ว่าสมควรแล้วหรือ ที่นำภาษีประชาชนมาใช้กับปฏิบัติการ IO โดยเฉพาะในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ด้านกระทรวงกลาโหม นำโดย พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ตอบกลับในสภาว่า พรรคก้าวไกลใช้เอกสารปลอมมาโจมตี โดยพบว่าการลงลายมือชื่อเอกสารสองฉบับไม่เหมือนกัน ฉบับหนึ่งเป็นอดีตแม่ทัพ อีกฉบับเป็นแม่ทัพคนปัจจุบัน, นามสุกลแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบันไม่ถูกต้อง, รองผู้อำนวยการกองยุทธการแม่ทัพภาค 2 ย้ายตำแหน่งใหม่ประมาณปีกว่า จึงไม่น่าลงนามในเอกสารปี 2564 ด้วยชื่อตำแหน่งเดิมได้, ยศและตำแหน่งในเอกสารเขียนไม่ถูกต้อง, เลขที่ออกหนังสือเป็นเลข 1121 ขณะที่ ณ 31 ส.ค. 2564 เลขหนังสือเพิ่งอยู่ที่ 851 ยังไม่ถึงช่วงเวลาของเลขดังกล่าว ก่อนหน้านี้ คณะก้าวหน้า องค์กรการเมืองเน้นงานรณรงค์ปฏิรูปทางการเมืองแฉกระบวนการ IO โดยกองทัพไทย พร้อมเผยรายชื่อผู้อยู่เบื้องหลัง เช่น กองพล ร.2.รอ. หรือ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่มา - การประชุมรัฐสภา, บีบีซีไทย
# Motive Studios โชว์ Dead Space รีเมคเบื้องต้น เอฟเฟกต์ล้ำขึ้น โมเดลศัตรูปั้นใหม่หมด ตัดชิ้นส่วนได้สมจริงขึ้น เมื่อคืนนี้ Motive Studios ทีมงาน EA ที่กำลังพัฒนา Dead Space ภาครีเมคบนเอนจิ้น Frostbyte ไลฟ์สดโชว์การพัฒนาเบื้องต้นของเกมที่เพิ่งเริ่ม มีตั้งแต่แสดงการนำโมเดลของฉากในภาคเก่า มาเติมเท็กซ์เจอร์ แสงเงา และเอฟเฟกต์หมอกแบบใหม่เข้าไป เพื่อรักษารูปแบบแผนที่ของภาคเก่าเอาไว้ แค่ทำให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โมเดลศัตรูถูกปั้นใหม่หมด เพิ่มรายละเอียดภายในให้ผู้เล่นสามารถใช้พลาสมาคัตเตอร์เพื่อยิงชิ้นเนื้อและกระดูกของศัตรูได้ชัดเจนขึ้น ตัดชิ้นส่วนได้สมจริงยิ่งขึ้น และอาวุธแต่ละชนิดส่งผลต่อกล้ามเนื้อและกระดูกของศัตรูแตกต่างกันไป ระบบการเคลื่อนที่ในจุดไร้แรงโน้มถ่วงของยานถูกปรับปรุงใหม่ให้เคลื่อนที่ได้แบบ 360 องศาคล้ายภาค 2 นอกจากนี้ทีมงานยืนยันว่าเกมนี้ไม่มี Microtransactions และทีมงานยืนยันว่าแก่นของเนื้อเรื่องจะคงอยู่เหมือนเดิม Gunner Wright นักพากย์ดั้งเดิมของ Isaac Clarke จะเข้ามาให้เสียงพากย์ Isaac อีกครั้งในภาครีเมค และ บทพูดในเกมจะมีไม่เยอะนัก เพราะ Isacc จะพูดตอบเมื่อมีคนสื่อสารด้วย และพูดเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อรักษาบรรยากาศความรู้สึกโดดเดี่ยวของเกมเอาไว้ ผู้เล่นน่าจะต้องรอกันอีกสักพัก เพราะทีมพัฒนาระบุว่าเพิ่งเริ่มทำกันได้ไม่ถึงปี และน่าจะใช้เวลาพอสมควร หากดูจากการใส่ใจในรายละเอียดแบบนี้ ไม่ใช่แค่อัพเกรดกราฟิกเฉยๆ ตัวเกมเตรียมลง PC, PS5 และ Xbox Series X|S ในอนาคต ที่มา - Twitter @Nibellion
# [ไม่ยืนยัน] Apple ห้ามพนักงานสร้างห้อง Slack หารือเรื่องจ่ายค่าจ้าง อ้างผิดกฎใช้ Slack ในองค์กร มีดราม่าเรื่องราวในองค์กรเกิดขึ้น เมื่อมีรายงานว่า Apple แบนการสร้างห้อง Slack ที่ไว้พูดคุยหารือเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนแก่พนักงาน โดยบริษัทอ้างว่าหัวข้อการพูดคุยนี้ ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการใช้งาน Slack ของบริษัท ข้อกำหนดการใช้งาน Slack ของบริษัทระบุว่า ช่อง Slack สำหรับกิจกรรมและงานอดิเรกที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็น Apple Employee club หรือ Diversity Network Associations (DNA) จะไม่ได้รับอนุญาตให้สร้าง แต่ดูเหมือนกฎข้างต้นจะไม่ได้บังคับใช้อย่างทั่วถึง เพราะในองค์กร Apple มีห้อง Slack ที่พูดคุยกิจกรรมไม่เกี่ยวกับงานมากมาย เช่น ห้อง #fun-dogs (สมาชิกมากกว่า 5,000 คน) #gaming (สมาชิกมากกว่า 3,000 คน) และ #dad-jokes (สมาชิกมากกว่า 2,000 คน) Vincent P. White ทนายความด้านการจ้างงานให้ความเห็นว่า การอ้างเงื่อนไข Slack อาจเป็นเพียงข้ออ้างในการปิดกั้นการอภิปรายเรื่องค่าจ้างที่ไม่เท่าเทียมกันในที่ทำงาน ซึ่งถ้าทำแบบนั้นตรงๆ จะผิดกฎหมายแรงงาน เรื่องการจ่ายค่าจ้างอย่างเป็นธรรม เป็นประเด็นร้อนในกลุ่มพนักงาน Apple ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทปิดกั้นการสำรวจข้อมูลคนทำงาน โดยมีการสำรวจหนึ่งของวิศวกรใน Apple ชื่อ Cher Scarlett ที่ทำการสำรวจต่อได้ และเบื้องต้นพบว่า มีความเหลื่อมล้ำค่าจ้างระหว่างชาย-หญิง 6% Apple ยังไม่ออกมาพูดอะไรต่อกรณีนี้ ที่มา - The Verge
# ผู้สร้าง PUBG ลาออกจาก Krafton ตั้งสตูดิโอใหม่ PlayerUnknown Productions Brendan Greene นักพัฒนาเกมเจ้าของชื่อ “PlayerUnknown” ผู้สร้างเกม PUBG ประกาศลาออกจากต้นสังกัด Krafton บริษัทเกมของเกาหลีใต้แล้ว Greene จะตั้งสตูดิโอพัฒนาเกมของตัวเองชื่อ PlayerUnknown Productions ที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยระบุเป้าหมายว่าต้องการสำรวจแนวทางใหม่ๆ ในการพัฒนาเกม ตอนนี้สตูดิโอมีเกมต้นแบบแนว open world หนึ่งเกมชื่อว่า Prologue ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่ปี 2019 และยังไม่เปิดให้คนภายนอกร่วมทดสอบ สตูดิโอ PlayerUnknown Productions จะถือเป็นสตูดิโออิสระ โดย Krafton ร่วมถือหุ้นด้วยเล็กน้อย ที่มา - VentureBeat
# Ola แอพเรียกรถแท็กซี่ของอินเดีย เตรียมไอพีโอระดมทุนอีก 1 พันล้านดอลลาร์ CNBC รายงานว่า Ola สตาร์ทอัพบริการเรียกรถแท็กซี่ของอินเดีย เตรียมยื่นไฟลิ่งเพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายที่ตลาดหุ้นในประเทศ โดยคาดมีการขายหุ้นเพิ่มทุนมูลค่าราว 1,000 ล้านดอลลาร์ Ola มีผู้ถือหุ้นรายสำคัญคือกลุ่ม SoftBank ซึ่งในปีนี้มีหลายบริษัทที่ SoftBank ลงทุน ได้ exit เข้าตลาดหุ้น นอกจากในอินเดียแล้ว Ola ยังมีการดำเนินงานในอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในปีนี้สตาร์ทอัพรายใหญ่ในอินเดียหลายราย ต่างมีแผนนำบริษัทไอพีโอเข้าตลาดหุ้น โดย Zomato แอปส่งอาหารรายใหญ่ ได้เข้าตลาดหุ้นไปแล้ว ส่วนบริการจ่ายเงินผ่านมือถือ Paytm กำลังยื่นไฟลิ่ง และ Flipkart อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ก็มีข่าวว่าเตรียมไอพีโอเช่นกัน ที่มา: CNBC
# LinkedIn ประกาศหยุดแสดงเนื้อหาแบบ Stories LinkedIn ประกาศหยุดการแสดงเนื้อหาแบบ Stories โดยจะมีผลตั้งแต่ 30 กันยายน 2021 เป็นต้นไป ทั้งนี้ LinkedIn ได้เริ่มเปิดใช้งาน Stories ตั้งแต่ปีที่แล้ว Liz Li ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ LinledIn บอกว่า ในตอนแรก LinkedIn เพิ่ม Stories เพื่ออยากให้มีวิธีการแชร์วิดีโอสั้นที่สนุกและดูเป็นกันเอง แต่เมื่อเปิดใช้งานไป ก็พบว่าผู้ใช้งานต้องการสื่อผสมผสานที่นำเสนอความจริงจัง และเป็นไปในทิศทางเดียวกับหน้าโปรไฟล์มากกว่า ในหลายปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มโซเชียลต่างเพิ่มฟีเจอร์วิดีโอแนวตั้งแบบ Stories ซึ่งมี Snapchat เป็นต้นแบบ แต่ก็ปิดตัวในเวลาต่อมา ก่อนหน้านี้ Twitter ก็ประกาศปิดฟีเจอร์ Fleets ที่มา: The Verge
# Docker ประกาศคิดค่าใช้ Docker Desktop สำหรับบริษัทพนักงานเกิน 250 คน Docker Inc ประกาศปรับนโยบายการใช้งาน Docker Desktop โดยให้ใช้งานฟรีได้เฉพาะผู้ใช้ส่วนตัว, ใช้เพื่อการศึกษา, และใช้งานในองค์กรขนาดเล็กที่พนักงานไม่เกิน 250 คน และรายได้ปีล่าสุดไม่เกิน 10 ล้านดอลลาร์ (330 ล้านบาท) เท่านั้น ผู้ใช้ที่ไม่เข้าข่ายนี้จะต้องสมัครบริการ Docker แบบเสียเงินที่เริ่มต้นเดือนละ 5 ดอลลาร์ขึ้นไป เดิม Docker Desktop นั้นให้ใช้งานฟรีมาโดยตลอด แม้ผู้ที่ไม่ได้จ่ายเงินจะพบความรำคาญไปบ้างเช่นการแจ้งเตือนให้อัพเดตโดยปิดไม่ได้หากไม่ได้สมัครแบบจ่ายเงิน แนวทางนี้ทำให้องค์กรที่ใช้ Docker Desktop ในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นอยู่ต้องเตรียมย้ายไปใช้งานแบบเสียเงิน หรือย้ายไปใช้โซลูชั่นอื่นๆ ต่อไป โดยทาง Docker Inc มีเวลาให้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2022 ก่อนที่จะเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานอย่างเป็นทางการ ช่วงเวลานี้องค์กรต่างๆ คงต้องเริ่มสำรวจการใช้งาน Docker Desktop ในองค์กรและตัดสินใจว่าจะใช้งานต่อไปด้วยการซื้อไลเซนส์หรือจะเปลี่ยนไปใช้งานอย่างอื่น โดยทาง Docker Inc แจ้งในเอกสารคำถามตอบว่าต่อให้เป็นพนักงานสัญญาจ้าง (contract) บริษัทก็ต้องรับผิดชอบซื้อไลเซนส์เพื่อใช้งาน ที่ผ่านมา Docker Inc พยายามสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงตัวเองหลายทาง โดยก่อนหน้านี้เคยปรับแนวทางการให้บริการ Docker Hub จำกัดการ pull image หากไม่ได้สมัครบริการแบบเสียเงิน แนวทางนี้ทำให้บริษัทมีอัตราเติบโตรายได้ค่อนข้างดี ที่มา - Docker
# ผลสำรวจคนใช้ Android ในอเมริกา มีเพียง 18% สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone 13 จากปีก่อนมี 33% SellCell เว็บเปรียบเทียบราคาสำหรับการซื้อขายโทรศัพท์มือสองในอเมริกา รายงานผลการสำรวจผู้ใช้ Android มากกว่า 5,000 คน ในประเด็นว่าพวกเขาสนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวหรือที่เรียกกันตอนนี้ว่า iPhone 13 หรือไม่? ภาพรวมของคำตอบนี้คือ 18.3% ของผู้ใช้ Android เท่านั้นที่สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone น้อยกว่าการสำรวจคำถามเดียวกันในปี 2020 ซึ่งมีผู้สนใจถึง 33.1% เมื่อเจาะเฉพาะกลุ่มผู้สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone พบว่า 39.8% สนใจใช้รุ่น Pro Max ที่ขนาดจอใหญ่ที่สุด รองลงมาคือรุ่นปกติ (iPhone 13) ที่ 39.8% และมีเพียง 4.6% เท่านั้นที่สนใจรุ่น mini คำถามต่อมาคืออะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สนใจเปลี่ยนไปใช้ iPhone โดย 51.4% บอกว่าเพราะได้อัพเดตซอฟต์แวร์เป็นเวลานานกว่า 23.8% บอกว่าเพราะระบบนิเวศของแอปเปิล และ 11.4% บอกว่าปกป้องความเป็นส่วนตัวดีกว่า เมื่อกลับมาที่กลุ่มไม่สนใจย้ายไป iPhone ว่าสาเหตุใดที่ทำให้ไม่อยากย้าย 31.9% บอกว่าเพราะไม่มีตัวสแกนนิ้ว 16.7% บอกว่าเพราะ iOS ปรับแต่งได้น้อย ขณะที่ประเด็นการสแกนรูป CSAM ใน iCloud มีคนให้เหตุผลนี้ 10.4% ที่มา: SellCell ผ่าน Apple Insider
# Windows 11 ที่ออกอัพเดต 5 ตุลาคมนี้ ยังไม่รองรับการใช้แอป Android ตามที่ไมโครซอฟท์ประกาศว่า Windows 11 จะเริ่มทยอยออกมาให้อัพเดตกันตั้งแต่ 5 ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตามไมโครซอฟท์ก็ได้ระบุว่าคุณสมบัติการใช้งานแอป Android ยังไม่มีออกมาในอัพเดตรอบแรกนี้ Aaron Woodman ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดของไมโครซอฟท์อธิบายในบล็อกว่า Windows 11 ที่รองรับ Android ผ่านความร่วมมือกับ Intel และ Amazon นั้น จะเพิ่มเติมในเดือนถัด ๆ ไป ของการอัพเดต ซึ่งอาจตีความได้ว่า Windows 11 ที่รองรับแอป Android น่าจะได้เห็นเร็วที่สุดก็ปี 2022 คุณสมบัติการรองรับแอป Android บน Windows 11 เป็นคุณสมบัติเด่นอีกอย่าง โดยไมโครซอฟท์บอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี Intel Bridge ทำให้ทำงานบนซีพียู x86 ได้ ส่วนตัว Store ของแอปนั้นเป็น Amazon Appstore ที่มา: The Verge
# Windows 11 มาวันที่ 5 ตุลาคม 2021 ค่อยๆ ปล่อยเป็นกลุ่มถึงกลางปีหน้า ไมโครซอฟท์ประกาศปล่อย Windows 11 วันที่ 5 ตุลาคมนี้ โดยจะปล่อยเป็นอัพเดตเป็นกลุ่มๆ กลุ่มอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่เข้าข่ายจะได้รับอัพเดตก่อน โดยคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่เข้าข่ายได้รับอัพเกรด น่าจะได้รับครบภายในกลางปี 2022 ประกาศครั้งนี้ไมโครซอฟท์พยายามบอกผู้ใช้ว่าไม่ต้องรอซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่พร้อม Windows 11 เพราะเครื่องส่วนใหญ่จะได้รับอัพเกรดฟรีในที่สุด ส่วนเครื่องที่ยังไม่เข้าข่าย ไมโครซอฟท์จะปล่อยโปรแกรม PC Health Check ให้ทุกคนตรวจสอบสเปคสุดท้ายว่าอัพเกรดได้หรือไม่ สำหรับเครื่องที่ไม่ได้รับอัพเกรดฟรี จะยังได้รับซัพพอร์ต Windows 10 ไปจนถึงตุลาคม 2025 Windows 11 ไม่ซัพพอร์ตซีพียู Intel Core 7th Gen กับ AMD Zen 1 ในการประกาศเสปคครั้งแรก และยังบังคับว่าต้องติดตั้งชิป TPM 2.0 เพื่อใช้งาน ทำให้คอมพิวเตอร์จำนวนมากไม่เข้าข่าย แม้จะค่อยๆ ปลดล็อกสเปคบางอย่างไปตอนหลังก็ตาม ที่มา - Windows Blog
# Motional และ Hyundai เปิดตัวแท็กซี่ไฟฟ้าไร้คนขับ IONIQ 5 robotaxi ขับอัตโนมัติระดับ 4 Motional บริษัทพัฒนารถยนต์ไร้คนขับที่เป็นการร่วมทุนกับ Hyundai จากเกาหลีใต้และ Aptiv ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากไอร์แลนด์ ประกาศเปิดตัวรถแท็กซี่ไฟฟ้า IONIQ 5 robotaxi ที่เคลมว่าสามารถขับอัตโนมัติได้ถึงระดับ 4 ตามมาตรฐาน SAE IONIQ 5 robotaxi ถูกพัฒนาโดยมีพื้นฐานมาจากรถยนต์ไฟฟ้า Hyundai IONIQ 5 ที่เปิดตัวในปีนี้ แต่เพิ่มเซ็นเซอร์ต่างๆ ไปกว่า 30 ตัว ทั้งกล้อง, เรดาร์ และ Lidar เพื่อให้รถมองเห็นได้รอบคัน 360 องศา และตรวจจับวัตถุต่างๆ ได้จากระยะไกล ผนวกกับระบบขับขี่อัตโนมัติที่พัฒนาโดย Motional เอง ใช้ machine learning ที่ระบุว่าเทรนจากข้อมูลของโลกจริงจำนวนหลายสิบปี ทีมงาน Motional ระบุว่ารถแท็กซี่ IONIQ 5 robotaxi มีระบบป้องกันความผิดพลาดสองชั้นในทุกฟีเจอร์ เช่นการเร่ง, เลี้ยว, เบรค เพื่อความปลอดภัย และหากรถตกอยู่ในสถานการณ์ที่ขับต่อเองไม่ได้ เช่นน้ำท่วมหรือมีการก่อสร้างบนถนน เจ้าหน้าที่ของ Motional จะเข้าควบคุมรถได้จากระยะไกลผ่านระบบ Remote Vehicle Assistance นอกจากนี้ Motional ยังเป็นพาร์ทเนอร์กับ Lyft โดยตั้งเป้าเริ่มให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับผ่าน Lyft ในปี 2023 และจะโชว์รถคันจริงในงาน IAA Mobility ที่มิวนิคในเดือนกันยายนนี้ Motional เป็นบริษัทหน้าใหม่ เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2020 นี่เอง แต่ทีมงานอยู่ในวงการมานาน โดยเริ่มต้นจากการก่อตั้ง nuTonomy สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์รถยนต์ไร้คนขับที่แยกออกจากมหาวิทยาลัย MIT ในปี 2013 ส่วนอีกทีมงานก่อตั้ง Ottomatika จากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ที่พัฒนาซอฟต์แวร์รถไร้คนขับเช่นกัน และผ่านการควบรวมกิจการโดย Aptiv ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากไอร์แลนด์ให้ทั้งสองบริษัทเข้ามาอยู่ใต้บริษัทแม่เดียวกัน พร้อมตั้งเป็นทีมพัฒนารถไร้คนขับ ก่อนจะร่วมทุนกับ Hyundai และกลายมาเป็น Motional เมื่อปีที่แล้ว SAE (Society of Automotive Engineers) เป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานต่างๆ ในวงการรถยนต์ โดยมาตรฐานของรถยนต์ไร้คนขับที่ยึดถือกันในปัจจุบันก็กำหนดโดย SAE แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 5 ซึ่ง IONIQ 5 robotaxi เคลมว่าอยู่ในระดับ 4 หมายถึงสามารถขับอัตโนมัติได้เต็มรูปแบบโดยไม่ต้องการให้มนุษย์เข้ามาควบคุมรถเมื่อสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์เข้าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ส่วนระดับ 5 คือขับอัตโนมัติได้เต็มรูปแบบในทุกสถานการณ์ ภาพโดย SAE ที่มา - Motional ภาพรถทั้งหมดโดย Motional/Hyundai
# ธนาธร เตรียมทำโปรเจกต์ NFT กับ NFT1 รายได้ทั้งหมดมอบให้กองทุนด้านสิทธิมนุษยชน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เตรียมทำโปรเจกต์ชิ้นงานศิลปะดิจิตอลแบบ NFT ร่วมกับ NFT1 โปรดักชั่นเฮ้าส์ผลิตงานศิลปะ NFT สัญชาติไทย ที่เคยร่วมผลิตผลงาน NFT ให้กับศิลปินอย่าง YOUNGOHM โปรเจกต์นี้ยังไม่เปิดเผยว่าเป็นงานศิลปะประเภทไหน แต่ NFT1 พูดถึงงานอดิเรกด้านการวาดภาพของธนาธร ส่วนลงประมูลแพลตฟอร์มใด หรือเริ่มเปิดประมูลเมื่อไรยังไม่เปิดเผย ข้อมูลอื่นเบื้องต้นจากโพสต์ทวิตเตอร์ของธนาธร ระบุว่ารายได้ทั้งหมดจากการประมูลงานจะถูกนำไปบริจาคให้กับกองทุนด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เพื่อเป็นส่วนในการสนับสนุนการต่อสู้ของประชาชน ที่มา - Twitter: @Thanathorn_FWP
# เกาหลีใต้เคาะแล้ว Apple และ Google ต้องเปิดให้นักพัฒนาใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ ในที่สุด เกาหลีใต้ก็ผ่านกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้เจ้าของแพลตฟอร์มรายใหญ่อย่าง Google และ Apple จำกัดนักพัฒนาแอปไม่ให้ไปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก โดยขั้นตอนอยู่ระหว่างรอประธานาธิบดี มุนแจอิน ลงนาม กฎหมายฉบับนี้เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติธุรกิจโทรคมนาคมของเกาหลีใต้ หรือ Telecommunications Business Act ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั่วโลกของทั้งสองบริษัท แน่นอนว่าทั้ง Google และ Apple ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว ทาง Google บอกว่า เช่นเดียวกันกับนักพัฒนาที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนาแอป แต่ Google เองก็มีค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างและบำรุงรักษาระบบปฏิบัติการและร้านค้าแอปเช่นกัน ซึ่ง Google จะกลับไปหาวิธีที่จะปฏิบัติตามกฎหมายนี้ ในขณะที่ยังรักษาคุณภาพของระบบจัดการร้านค้าแอปต่อไป ด้าน Apple ให้ความเห็นก่อนหน้านี้ว่า กฎหมายอาจทำกระทบความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานในการซื้อบริการแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ฟีเจอร์ Ask to Buy และ Parental Controls ก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลง และส่งผลกระทบต่อนักพัฒนาในเกาหลีกว่า 482,000 คนด้วย ที่มา - The Verge
# SCB Easy ขัดข้อง โอนเงินไม่ถึงปลายทาง ช่วงห้าโมงครึ่งที่ผ่านมา ผู้ใช้แอป SCB Easy ของธนาคารไทยพาณิชย์รายงานว่าโอนเงินไปยังธนาคารอื่นแล้วปลายทางกลับไม่ได้รับเงิน ล่าสุดทางธนาคารออกมาระบุว่าเกิดความขัดข้องแล้ว ยังไม่แน่ชัดว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจุดใดในระบบ โดยขณะที่เขียนข่าวนี้แอป SCB Easy ปิดไม่ให้ผู้ใช้โอนเงินไปยังธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, และธนาคารกรุงเทพ ขณะที่ K PLUS ของธนาคารกสิกรไทยและ NEXT ของธนาคารกรุงไทยปิดไม่ให้โอนเงินไปยังธนาคารไทยพาณิชย์ สำหรับรายการโอนเงินที่ไม่ถึงธนาคารปลายทาง ทางธนาคารไทยพาณิชย์ระบุว่าจะปรับปรุงยอดภายในวันพรุ่งนี้เวลาหนึ่งทุ่ม ที่มา - @scb_thailand
# เรือดริฟต์! Whatever เกมซิ่งเรือสินค้าฝีมือคนไทย แรงบันดาลใจจากเหตุเรือขวางคลองสุเอซ Whatever เกมซิ่งเรือสินค้าจากคุณณภัสร์ ต่อทีฆะ นักพัฒนาชาวไทย เตรียมเปิดขายบน Steam ปลายเดือนกันยายนนี้ ตัวเกมได้แรงบันดาลใจจากเหตุเรือสินค้าของบริษัท Evergreen ติดขวางคลองสุเอซเมื่อเดือนมีนาคมจนการขนส่งข้ามทวีปต้องหยุดชะงัก (ที่หลายคนอาจลืมไปแล้ว) ผู้เล่นจะได้รับบทเรือขนส่งสินค้า Whatever (คาดว่าตั้งล้อ Evergreen) ที่ต้องพยายามซิ่งไปส่งสินค้าให้ทันเวลา ผ่าน 9 ฉาก และ บอส 2 ตัว โดยต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ ตั้งแต่แรงเฉื่อยของเรือสินค้าขนาดยักษ์ที่ควบคุมยาก ลำน้ำที่คดเคี้ยว สะพาน ไปจนถึงไคจูและยูเอฟโอ ภายใต้ภาพการ์ตูนน่ารักบนเอนจิ้น Godot ตัวเกมเตรียมวางขายให้เล่นแบบ Early Access บน Steam ก่อน ส่วนแบบเต็มระบุว่าจะวางจำหน่ายเมื่อพร้อม ที่มา - 80 Level
# Google Calendar เปิดใช้งาน Time Insights ตัววิเคราะห์ว่าเราประชุมเยอะเกินไปหรือไม่ Google Calendar เริ่มเปิดใช้งาน Time Insights เป็นเครื่องมือ analytic ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมว่า ในแต่ละวันเราประชุมออนไลน์กันมากแค่ไหน หากมากเกินไปจะได้ช่วยให้เราจัดารลดจำนวนการประชุมลงได้ ป้องกันความเหนื่อยล้าจากการประชุมอยู่บนหน้าจอเป็นเวลานาน ใน Time Insights ประกอบด้วย Time breakdown คือการให้ภาพรวมว่าในแต่ละช่วงเวลาการทำงาน ใช้ไปกับอะไรบ้าง, Time in meetings คือการแสดงเวลาประชุมของเราในแต่ละวัน ดูภาพรวมว่า วันไหนเราประชุมเยอะที่สุด และน้อยที่สุด ส่วนนี้จะช่วยให่เราวางแผนกระจายวันประชุมออกไปในสัปดาห์ถัดไป ไม่กระจุกอยู่ในวันเดียวได้ และ People you meet with คือส่วนที่แสดงให้เห็นว่าเราใช้เวลาประชุมกับใครมากที่สุด Time Insights เปิดใช้งานเฉพาะ Google Calendar บนเว็บไซต์ และใช้งานได้เฉพาะผู้ใช้งานเสียค่าบริการของ Google Workspace เท่านั้น ภาพจาก Google ที่มา - Google Workspace
# โตโยต้ากลับมาให้บริการรถยนต์ไร้คนขับในพาราลิมปิก หลังเพิ่มมาตรการความปลอดภัย โตโยต้า อธิบายสาเหตุของเหตุการณ์ รถยนต์ไร้คนขับชนนักกีฬาในพาราลิมปิก 2020 หลังสอบสวนอย่างละเอียดแล้ว จุดเกิดเหตุเป็นทางแยก (intersection) ในหมู่บ้านนักกีฬาที่มีคนเดินไปเดินมาอยู่ตลอดเวลา นักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บมีข้อจำกัดด้านการมองเห็น เดินอยู่คนเดียว และพยายามเดินข้ามแยกโดยที่ไม่ทราบว่ามีรถยนต์ไร้คนขับกำลังวิ่งอยู่ ฝั่งของรถยนต์กำลังจะเลี้ยวขวาที่แยก ตรวจพบว่ามีคนอยู่ที่แยกจึงหยุดรถ จากนั้นพนักงานบนรถตรวจสอบสภาพแวดล้อมว่าปลอดภัยแล้วจึงเดินเครื่องอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังแยกและสั่งชะลอความเร็ว เซ็นเซอร์ของรถยนต์ตรวจเจอคนเดินมาที่แยกจึงเบรกอัตโนมัติ แต่ไม่ทัน จึงชนกับนักกีฬาเข้า พื้นที่บริเวณแยกมีเจ้าหน้าที่คอยเป็นไกด์อยู่ 2 คน แต่ไม่มีไฟจราจร โตโยต้ายอมรับว่าไม่มีวิธีการสื่อสารที่ดีระหว่างไกด์และพนักงานบนรถ และยอมรับว่าพนักงานบนรถยังไม่มีความเข้าใจความต้องการของนักกีฬาพาราลิมปิก ที่แตกต่างจากนักกีฬาโอลิมปิกเท่าที่ควร จากเหตุการณ์นี้ โตโยต้าและคณะกรรมการโอลิมปิก ได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยหลายอย่าง เช่น เพิ่มเสียงสัญญาณเตือนของรถให้ดังขึ้น ปรับวิธีการควบคุมรถกรณีพนักงานบนรถเข้ามาสั่งงานเอง เพิ่มจำนวนพนักงานบนรถ และจำนวนไกด์ที่ถนน และกลับมาให้บริการรถยนต์ไร้คนขับ e-Palette อีกครั้งในวันนี้ (31 สิงหาคม) ที่มา - Toyota
# ผู้เชี่ยวชาญระบุ iPhone 13 ไม่น่าจะรองรับสัญญาณดาวเทียม แต่แค่รองรับ 5G เพิ่มอีกช่วงคลื่น หลังมีข่าวจาก Ming-Chi Kuo ลือว่า iPhone 13 อาจรองรับการใช้งานผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญและสื่อในวงการสื่อสารหลายคน ออกมาให้ข้อมูลเห็นแย้ง ว่าการปรับแต่งโมเด็ม Qualcomm X60 ที่ Apple ใช้ใน iPhone 13 เป็นไปเพื่อการรองรับช่วงคลื่น 5G เพิ่มเติมมากกว่า ในข่าวMacrumors อ้างว่ารายงานของ Kuo พูดถึงการที่ Apple จะทำงานร่วมกันกับบริษัทสื่อสารผ่านดาวเทียม Globalstar เพื่อให้บริการโทรหรือส่งข้อความผ่านดาวเทียม ในช่วงคลื่น n53 วันนี้ผู้เชี่ยวชาญในวงการสื่อสารหลายราย เช่น Sascha Segan แห่ง PCMag ออกมาให้ข้อมูลแย้งว่าแม้โมเด็ม X60 จะใช้งานคลื่นช่อง n53 ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้ แม้ว่าคลื่นช่องนี้จะเป็นของบริษัท Globalstar แต่บริษัทก็ทำธุรกิจอื่นๆ ร่วมถึงเครือข่ายภาคพื้นดิน นอกจากนี้ตัวโมเด็ม X60 เดิมก็ไม่ได้รองรับคลื่น n53 เองแม้ว่าแอปเปิลอาจจะสั่งทำรุ่นพิเศษให้รองรับก็ตาม ผู้ใช้อื่นในทวิตเตอร์ก็โพสต์คำอธิบายคล้ายคลึงกัน เช่น @ErrataRob และ @spacanpanman ที่ระบุว่าช่วงคลื่น 2.483GHz ถึง 2.495GHz ที่ Globalstar มี น่าจะถูกนำมาใช้กับสัญญาณ 5G ภาคพื้นดินมากกว่า และเคยมีข่าวเรื่องนี้ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เมื่อมีชื่อ Globalstar ที่เป็นบริษัทการสื่อสารผ่านดาวเทียม ออกมาคู่กับข่าวโมเด็ม iPhone จึงเกิดความเข้าใจผิดได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนประเด็นเรื่อง iPhone 13 จะรองรับการสื่อสารผ่านดาวเทียม อาจยังไม่จบ เพราะล่าสุด Mark Gurman นักข่าวสายไอทีของ Bloomberg รายงานเพิ่มเติมว่า Apple เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ส่งข้อความฉุกเฉินผ่านสัญญาณดาวเทียมใน iPhone รุ่นใหม่ ที่แม้จะระบุว่าไม่น่าเปิดใช้งานทันภายในปี 2021 แต่ก็เป็นไปได้ว่า Apple อาจเตรียมฮาร์ดแวร์ให้รองรับตั้งแต่เนิ่นๆ คงต้องรอ iPhone 13 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อหาบทสรุปที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ที่มา - Macrumors, Bloomberg
# รู้จัก Svelte เฟรมเวิร์คจาวาสคริปต์ที่นักพัฒนาบน Stack Overflow โหวตว่ารักที่สุด ในผลการสำรวจนักพัฒนาของ Stack Overflow ประจำปี 2021 ที่เพิ่งออกมาเมื่อต้นเดือนนี้ มีเรื่องที่เซอร์ไพร์สคือ เว็บเฟรมเวิร์คที่นักพัฒนา "รัก" มากที่สุด (most loved web framework) มีแชมป์ 2 รายได้คะแนนเท่ากันคือ ASP.NET Core และ Svelte กรณีของ ASP.NET Core ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะเป็นแชมป์เก่าของปี 2020 อยู่ก่อนแล้ว แต่ Svelte เป็นเฟรมเวิร์คใหม่ที่ยังไม่เคยติดอันดับใดๆ มาก่อนในการสำรวจปี 2020 กลับโผล่เข้าชาร์ทมาพรวดเดียวครองอันดับหนึ่งร่วมได้ทันที ทำให้เกิดกระแสความสนใจในโครงการ Svelte เพิ่มตามมา บทความนี้จะแนะนำข้อมูลเบื้องต้นของ Svelte ว่ามีอะไรน่าสนใจ ถึงทำให้ผงาดขึ้นมาเป็นเฟรมเวิร์คที่นักพัฒนารักที่สุดได้อย่างรวดเร็ว Svelte เป็นเว็บเฟรมเวิร์คที่ใช้แนวคิด component แบบเดียวกับ React หรือ Vue แต่มีการทำงานเบื้องหลังที่ต่างกันมาก เพราะจริงๆ แล้ว Svelte ไม่ได้เป็นเฟรมเวิร์ค (ในความหมายดั้งเดิม) แต่มันเป็นคอมไพเลอร์ต่างหาก! การจะเข้าใจ Svelte ว่าคืออะไรกันแน่ ต้องเข้าใจสิ่งที่ Svelte พยายามแก้ปัญหาก่อน นั่นคือ React React: Virtual DOM การแสดงผลเว็บเพจที่บรรยายด้วยภาษา HTML ใช้หลักการ DOM (Document Object Model) ที่มองวัตถุในแท็ก HTML/XML เป็นโมเดลต้นไม้ (tree structure) แต่ละกิ่งก้านแทนความสัมพันธ์ของแท็กที่ซ้อนกันลงไปเป็นชั้นๆ การทำงานของเว็บเบราว์เซอร์จะอ่านโค้ด HTML แล้วสร้างเป็นแผนภาพ DOM ขึ้นมา ก่อนเรนเดอร์ออกมาเป็นกราฟิกบนหน้าจอ ในยุคที่เว็บมีจาวาสคริปต์ฝังมาเพื่อเพิ่มลูกเล่นหรือคุณสมบัติต่างๆ เบราว์เซอร์จะอ่านโค้ดจาวาสคริปต์แล้วเข้าไปแก้ไข-เปลี่ยนแปลงวัตถุต่างๆ ใน DOM ของเว็บเพจ ปัญหาของการใช้จาวาสคริปต์มาแก้ไข DOM คือเมื่อเว็บเพจมีความซับซ้อนสูงๆ มีวัตถุซ้อนกันหลายๆ ชั้นมากๆ จะเริ่มมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพตามมา เพราะเบราว์เซอร์ต้องอ่านค่าและสร้างต้นไม้ DOM ขึ้นมาใหม่ทั้งอัน เว็บเฟรมเวิร์คยอดฮิตในปัจจุบันอย่าง React แก้ปัญหานี้ด้วยวิธีที่เรียกว่า Virtual DOM เป็นการสร้าง DOM ของตัวเองขึ้นมาในเอนจินจาวาสคริปต์ของเบราว์เซอร์ (ที่รันแยกจาก DOM ของเว็บเพจปกติ) เมื่อโค้ดต้องการเปลี่ยนค่าใดๆ ก็เปลี่ยนใน Virtual DOM ได้เลย ซึ่งทำงานได้เร็วกว่าเพราะ Virtual DOM รันอยู่ในแรมอย่างเดียวอยู่แล้ว จากนั้น React จะหาความเปลี่ยนแปลงของ Virtual DOM สองเวอร์ชัน (ก่อน-หลังอัพเดต) เพื่อหา diff แล้วค่อยนำเฉพาะ diff ไปอัพเดตใน DOM ของเว็บเพจจริงอีกที วิธีนี้ช่วยให้ไม่ต้องอัพเดตค่า DOM ของเว็บเพจจริงทั้งอัน ช่วยแก้ปัญหาประสิทธิภาพไปได้มาก เมื่อบวกกับฟีเจอร์สมัยใหม่อื่นๆ ของ React (เช่น component) จึงทำให้ React กลายเป็นเฟรมเวิร์คจาวาสคริปต์ยอดนิยมในเวลาไม่นาน แผนภาพอธิบายการทำงานของ Virtual DOM จาก JavaScript in Plain English โดย Ayush Verma Svelte: เฟรมเวิร์คที่ไม่ใช่เฟรมเวิร์ค เพราะมันคือคอมไพเลอร์ Rich Harris นักพัฒนาที่อาชีพหลักเป็นฝ่ายกราฟิกแบบอินเทอร์แอคทีฟของหนังสือพิมพ์ The New York Times (ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ ผลงาน) มีแนวคิดว่าเฟรมเวิร์คสำหรับงาน frontend แบบ React มีส่วนที่สิ้นเปลือง (overhead) เยอะเกินไป แม้เว็บเฟรมเวิร์คที่มีขนาดไฟล์ประมาณ 100KB อาจเล็กกว่าไฟล์ภาพ JPG เพียงไฟล์เดียว แต่นอกจากค่าแบนด์วิดท์ส่งข้อมูล ค่าสตอเรจ แล้วยังต้องสิ้นเปลืองพลังของเบราว์เซอร์ด้วย (Virtual DOM is pure overhead) เขาจึงมีแนวคิด frameworks without the framework แทนที่เราจะสร้างเฟรมเวิร์คเพื่อซ่อนความซับซ้อนของโค้ดจาวาสคริปต์ตอนเขียน (ตอนเขียนง่ายขึ้น โดยเฟรมเวิร์คจัดการงานที่ซับซ้อนให้ตอนรันไทม์) ก็เปลี่ยนมาเป็นการแปลงโค้ด (compile) ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนนำไปรัน (แปลงจากโค้ดที่เขียนง่ายเป็น Vanilla JS จาวาสคริปต์แบบปกติ) แล้วนำไปรันในเบราว์เซอร์ได้เลยจะดีกว่า แนวคิดนี้กลายเป็น Svelte ที่กระบวนการเขียนโค้ดไม่ต่างจาก React มากนัก แต่แทนที่จะให้เฟรมเวิร์ค (React) นำโค้ดไปแปลงในเบราว์เซอร์ตอนรันไทม์ให้มี overhead ซะเปล่าๆ ก็คอมไพล์ก่อนใช้ให้เสร็จก่อน ได้โค้ดจาวาสคริปต์ธรรมดาที่ machine optimized แล้วไปให้เบราว์เซอร์ใช้ต่อแทน ผลคือขนาดไฟล์ที่ใช้งานเล็กลง (Svelte ไม่ต้องพ่วงไฟล์ของตัวมันไปด้วย เพราะออกมาเป็นโค้ดที่แปลงแล้ว) เหลือเพียงหลักไม่กี่ KB เมื่อบีบอัดแล้ว (React + ReactDOM ขนาดรวมกันประมาณ 45KB) อีกทั้งทำงานได้เร็วกว่า เพราะมันคือจาวาสคริปต์ธรรมดาๆ แผนภาพอธิบายความแตกต่างระหว่าง Svelte กับ React จากบล็อก Bits and Pieces โดย Keshav Kumaresan Reactive Programming โค้ดสั้นลง เขียนง่ายขึ้น นอกจากแนวคิดเรื่องประสิทธิภาพแล้ว การที่ Svelte เป็นคอมไพเลอร์ในตัวมันเอง ทำให้ Svelte สามารถดัดแปลงตัว syntax ของภาษาได้ด้วย Svelte เวอร์ชันแรกยังเป็นการทดสอบความเป็นไปได้ของแนวคิดการใช้คอมไพเลอร์มาแทน Virtual DOM ตัวมันเองเขียนด้วยจาวาสคริปต์ ออกช่วงปลายปี 2016 และมีอัพเดตฟีเจอร์ย่อยเป็นเวอร์ชัน 2.0 ในปี 2018 แต่หลังจากนั้น Svelte ถูกยกเครื่องใหญ่ เขียนใหม่เป็น TypeScript ในเวอร์ชัน 3.0 เมื่อปี 2019 แถมยังมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญระดับตัวภาษา (syntax) ให้เขียนโค้ดง่ายขึ้นด้วยแนวคิดที่เรียกว่า "reactivity" ซึ่งหมายถึงการปรับสถานะของตัวแปร (change state) ที่ระดับของตัวภาษาเลย ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการบอกคอมพิวเตอร์ว่าสถานะของตัวแปรเปลี่ยน ใน React ต้องใช้คำสั่ง setState แต่ด้วย syntax ของ Svelte 3.0 สามารถใช้แค่ เบื้องหลังการทำงาน คอมไพเลอร์ของ Svelte จะแปลงเป็นโค้ดจาวาสคริปต์ดังนี้ ผลคือโค้ดของ Svelte 3.0 สั้นลงจากเดิม เป็นมิตรกับนักพัฒนามากขึ้น นักพัฒนาเขียนโค้ดน้อยลง (โอกาสผิดพลาดน้อยลง)​ และแน่นอนว่าใช้จำนวนบรรทัดของโค้ดน้อยลงเมื่อเทียบกับ React การที่ Svelte มีสถานะเป็นคอมไพเลอร์​ สามารถดัดแปลง syntax ของตัวเองได้ สโลแกนของ Svelte จึงใช้คำว่า "cybernetically enhanced web apps" ซึ่งเปรียบได้กับการเป็น "ไซบอร์กดัดแปลง"​ ให้การเขียนเว็บแอพง่ายขึ้น เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้บทความยาวเกินไป รายละเอียดของเรื่องการออกแบบ syntax ของ Svelte อ่านได้จากโพสต์ Svelte 3: Rethinking reactivity และ Write less code รวมถึงดูคลิป Rich Harris อธิบายแนวคิดของ reactivity ตามวิดิโอด้านล่าง หมายเหตุ: การปรับ syntax ของตัวภาษาที่ Svelte ใช้อาจช่วยให้โปรแกรมเมอร์เขียนโค้ดได้ง่ายขึ้น แต่ในมุมกลับ ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าทำให้ภาษาไม่เป็นมาตรฐาน มีความเฉพาะตัวสูง เรียนรู้ยาก และมี "magic" ที่โปรแกรมเมอร์อาจไม่รู้ว่าจริงๆ เบื้องหลังมันทำงานอย่างไร ลักษณะเดียวกับที่ Perl โดนวิจารณ์มาตลอด มีใครใช้ Svelte บ้าง ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Svelte เองระบุว่ามีองค์กรใหญ่ๆ หลายแห่งเริ่มนำ Svelte มาใช้งานแล้ว เช่น IBM, Square, GoDaddy, Rakuten, Avast, Philips, 1Password, The New York Times (แต่ไม่ได้ระบุว่านำไปใช้กับโครงการใดบ้าง ทำให้เราไม่เห็นภาพมากนักว่าใช้เยอะแค่ไหน) และนอกจากบริษัทใหญ่ๆ ยังมีคนรวมรายชื่อโครงการย่อยๆ ที่ใช้ Svelte ให้เป็นตัวอย่างใช้อ้างอิงได้เช่นกัน ถ้าดูจากความนิยมของ Svelte บน GitHub ก็ถือว่าค่อนข้างมาแรง มีคนให้ดาว (star) ประมาณ 5 หมื่นดาว (เทียบกับ Vue 1.87 แสน และ React 1.73 แสน) มีนักพัฒนาเข้ามาร่วม (contributors) ประมาณ 440 คน (Vue 400 คน และ React 1,500 คน) ก็น่าจะช่วยให้เบาใจได้ว่าโครงการค่อนข้างจุดติดแล้ว ไม่ถูกทิ้งร้างไปง่ายๆ ในระยะยาว นอกจากผลสำรวจของ Stack Overflow แล้ว ผลสำรวจนักพัฒนาจากแหล่งอื่นยังออกมาคล้ายกันคือ นักพัฒนาให้ความพอใจกับ Svelte มากที่สุด ในขณะที่ความนิยมในการใช้งานจริง อยู่ประมาณอันดับ 3-4 รองจากแชมป์ตลอดกาล React และ Vue/Angular ผลสำรวจของ State of JavaScript ปี 2020 Svelte ได้คะแนน satisfaction อันดับหนึ่ง แต่คะแนน usage ยังเป็นอันดับสี่ ผลสำรวจของ State of Frontend ปี 2020 ได้คะแนนความนิยมเป็นอันดับสี่ ตามหลัง React, Angular, Vue จุดเด่น-ข้อจำกัดของ Svelte โครงการ Svelte เทียบจุดแข็งของตัวเองกับ React เสมอ ดังนั้นในแง่การใช้งาน Svelte ย่อมถูกนำไปเทียบกับ React ด้วยเช่นกัน ว่ามีข้อดีข้อด้อยอย่างไร ฝั่งของข้อดี Svelte ชูจุดเด่น 3 ข้อตามที่กล่าวไปแล้ว นั่นคือ ไม่ต้องใช้ Virtual DOM ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น,​เขียนโค้ดน้อยลง และ syntax โค้ดมีฟีเจอร์ reactive ที่ตัวภาษา ส่วนข้อจำกัดของ Svelte นอกจากประเด็นเรื่องการสร้าง syntax เฉพาะอย่างที่กล่าวไปแล้ว ปัญหาของ Svelte (รวมถึงเฟรมเวิร์ค "ผู้ท้าชิง" อื่นๆ ที่มีมากมายในท้องตลาด) ย่อมเป็นเรื่องการใช้งานและ ecosystem ที่ยังไม่แพร่หลายเท่ากับ React ที่เป็นเจ้าตลาดมานาน มีความพร้อมของเครื่องมือต่างๆ, เอกสาร และประสบการณ์ของนักพัฒนาในท้องตลาดกว่ามาก ตัวอย่างเช่น Svelte ยังโฟกัสเฉพาะการเขียนเว็บเป็นหลัก ยังไม่รองรับการเขียนแอพมือถือเต็มรูปแบบนัก (มีโครงการ Svelte Native ที่พัฒนาโดยชุมชน แต่ยังไม่ใช่ทีมหลักมาทำ, เพิ่งมี SvelteKit ชุดช่วยพัฒนาเว็บแอพแบบจริงจัง ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้) อย่างไรก็ตาม ความนิยมของ Svelte ที่เติบโตรวดเร็วมากในช่วงหลัง ดังที่เห็นได้จากความนิยมใน Stack Overflow น่าจะทำให้ชุมชนและเครื่องมือของ Svelte มีความพร้อมมากขึ้นในเร็ววัน และเราน่าจะเห็นองค์กรขนาดใหญ่เริ่มนำ Svelte มาใช้ในโครงการใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ (แต่ยังคงใช้ React สำหรับโครงการเดิมที่ทำไปแล้วอยู่)
# ระบบเก็บข้อมูลโควิดผู้เดินทางเข้าออกอินโดนีเซียเปิดฐานข้อมูล Elasticsearch ออกอินเทอร์เน็ต ใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงปิด ทีมวิจัยจาก vpnMentor พบฐานข้อมูล Elasticsearch ของระบบ eHAC ที่ใช้เก็บข้อมูลโควิดสำหรับผู้เดินทางเข้าออกจากอินโดนีเซีย เปิดสู่อินเทอร์เน็ตโดยไม่มีการป้องกัน รวมฐานข้อมูล 1.4 ล้านชุดกระทบคนประมาณ 1.3 ล้านคน ข้อมูลประกอบไปด้วยข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ, หมายเลขประจำตัว, หมายเลขโทรศัพท์, เพศ, วันเกิด, ภาพหนังสือเดินทาง, ข้อมูลโรงแรมที่เข้าพัก, โรงพยาบาลที่ตรวจโควิด, ผลการตรวจ ทาง vpnMentor พบฐานข้อมูลนี้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา และพยายามติดต่อกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียแต่ไม่สำเร็จ จึงแจ้งไปยัง Indonesian CERT และกูเกิลผู้ให้บริการคลาวด์ สุดท้ายทางกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียจึงปิดฐานข้อมูลนี้ในวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่มา - vpnMentor
# ชื่นชมกันเอง ป.ป.ช. ให้คะแนนความโปร่งใสดีอีเอส ระดับ AA เป็นที่ 1 ระดับกระทรวง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เผย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ ITA โดย กระทรวงดิจิทัลฯ ได้คะแนน 95.42 อยู่ในระดับ AA และเป็นหน่วยงานที่ได้รับคะแนนประเมินสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในระดับกระทรวง เกณฑ์การประเมินของ ITA ครอบคลุม 10 ด้าน กระทรวงดิจิทัลฯ ได้คะแนนเต็ม 100 คะแนนด้านการป้องกันการทุจริต รองลงมาคือ ด้านการเปิดเผยข้อมูล 99.41 คะแนน และด้านคุณภาพการดำเนินงาน 96.01 คะแนน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่มา - วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา
# Tesla Model 3 ขับชนกับรถฉุกเฉินอีกครั้ง ในรัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เกิดเหตุรถ Tesla ขับชนกับรถฉุกเฉินที่จอดอยู่อีกครั้ง หลังหน่วยงานกำกับดูแลรถยนต์ของสหรัฐฯ (NHTSA) เริ่มสอบสวนระบบช่วยเหลือคนขับหรือ Autopilot ของรถ Tesla จากกรณีคล้ายกันที่เกิดขึ้นถึง 11 ครั้งระหว่างเดือนมกราคม 2018 ถึงกรกฎาคม 2021 กรณีล่าสุดนี้รถ Tesla Model 3 ขับชนทั้งรถตำรวจที่จอดกะพริบไฟ และรถเมอร์เซเดสเบนซ์ที่รับความช่วยเหลือจากตำรวจอยู่ ในเมืองออร์แลนโด้ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา โดยคนขับระบุว่ารถเปิดใช้งาน Autopilot แต่ระบบกลับตรวจไม่พบรถตำรวจที่จอดอยู่ข้างทาง หากตำรวจสืบสวนแล้วพบว่าฝั่ง Tesla ผิดจริง คนขับรถยังต้องรับความผิดตามปกติ เพราะทุกวันนี้ผู้ควบคุมรถยังต้องรับผิดชอบอุบัติเหตุของรถ Tesla อยู่แม้จะเปิด Autopilot ก็ตาม ระบบ Autopilot ของ Tesla เป็นระบบช่วยขับขี่บางส่วนที่มีฟีเจอร์น้อยกว่า Full Self-Driving คือไม่สามารถเปลี่ยนเลนเอง อ่านป้ายจราจร หรือเรียกรถจากที่จอดได้ แต่แม้แต่ Full Self-Driving เอง ก็ยังอยู่ในมาตรฐาน SAE ระดับ 2 คือขับขี่อัตโนมัติบางส่วนเท่านั้น และ Elon Musk เองก็เคยออกมายอมรับว่าระบบยังไม่ดีพอ ที่มา - Extreme Tech
# เอกสารศาลเผย ปี 2019 Google ได้กำไรขั้นต้นจาก Google Play ที่เดียวถึง 8.5 พันล้านเหรียญ จากคดีความฟ้องผูกขาด Google และ Apple ทำให้เราได้เห็นข้อมูลหลายด้าน ล่าสุด เอกสารศาลที่รัฐยูทาห์ ฟ้อง Google เผย Google ในปี 2019 มีรายได้ถึง 11.2 พันล้านดอลลาร์และกำไร 8.5 พันล้านดอลลาร์จากการขายแอป การซื้อในแอป และโฆษณาในร้านค้าแอป ตัวเลขนี้ถือเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะปกติ Google มักจะรายงานตัวเลขรายได้จากร้านค้าแอปรวมอยู่ในส่วนอื่นๆ ข้อมูลนี้ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นว่า ลำพังรายได้ร้านค้าแอปก็มากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์แล้ว Google ตอนนี้กำลังเจอศึกรอบด้านทั้งในและนอกสหรัฐฯ คดีใหญ่คืออัยการรัฐกว่า 36 รัฐรวมตัวฟ้องผูกขาด และในเกาหลีใต้ก็เตรียมเคาะเสนอแก้ไขกฎหมายจำกัดอำนาจของ Google และ Apple ในการบังคับเก็บค่าคอมมิชชันจากนักพฒนา จากความกดดันรอบด้าน ล่าสุด Apple ยอมความนักพัฒนา เปิดให้สื่อสารวิธีจ่ายเงินนอก App Store, จ่ายชดเชย 100 ล้านดอลลาร์ ที่มา - Digital Trends
# Twitch โดนดึงสตรีมเมอร์ดังไปอีกราย DrLupo เซ็นสัญญากับ YouTube Gaming แล้ว Twitch เสียสตรีมเมอร์ชื่อดังอีกรายให้ YouTube Gaming แพลตฟอร์มคู่แข่ง โดย DrLupo หรือ Benjamin Lupo ประกาศว่าเขาได้เซ็นสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับ YouTube Gaming แล้ว สองปีก่อน DrLupo เซ็นสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับ Twitch ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Twitch ลงทุนในสตรีมเมอร์อย่างหนักเพื่อให้คนยังอยู่บนแพลตฟอร์มต่อไป และจากการตัดสินใจล่าสุดของ DrLupo ทาง Twitch ให้การยกย่องเขาว่าเป็นคนที่ทำงานหนัก เพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น การย้ายแพลตฟอร์มครั้งนี้ เท่ากับว่า DrLupo ต้องทิ้งผู้ติดตามบน Twitch ที่มีถึง 4.5 ล้านคน ส่วนบน YouTube Gaming นั้น เขามีผู้ติดตาม 1.7 ล้านคน ซึ่งเขาอาจดึงดูผู้ติดตามจากแพลตฟอร์มเก่ามายัง YouTube Gaming ได้ โดยการสตรีมครั้งแรกบนแพลตฟอร์มใหม่เริ่ม 31 ส.ค. นี้ ภาพจาก DrLupo ที่มา - Engadget
# ผลพวงจากคนหนี WhatsApp ทำให้ Telegram ขึ้นแท่นแอปคนโหลด 1 พันล้านครั้งแล้ว Sensor Tower บริษัทวิจัยตลาดแอปมือถือเผย Telegram ขึ้นแท่นแอปที่มีคนโหลด 1 พันล้านครั้งแล้วทั่วโลก โดยมีอินเดียเป็นตลาดใหญ่สุด คิดเป็นสัดส่วน 22% รองลงมาคือ รัสเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% และ 8% ของการติดตั้งทั้งหมดตามลำดับ ช่วงที่มีการติดตั้ง Telegram สูงคือคือช่วงครึ่งแรกของปี 2021 โดยมีการติดตั้งประมาณ 214.7 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 61% จากปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงที่ WhatsApp มีปัญหานโยบายความเป็นส่วนตัวจนคนแห่ไปดาวน์โหลดแอปแชทอื่นกัน Telegramเป็นแอปที่ 15 ที่มีการดาวน์โหลด 1 พันล้านครั้งทั่วโลก ส่วนแอปอื่นๆ ได้แก่ WhatsApp, Messenger, Facebook, Instagram, Snapchat, Spotify และ Netflix ซึ่ง Sensor Tower ไม่ได้ติดตามข้อมูลแอปอื่นๆ ของกูเกิลที่มีการติดตั้งมาในเครื่องอยู่แล้วหรือ pre-installed ที่มา - TechCrunch
# Instagram จะให้ระบุวันเกิด เผยเป็นฟังก์ชันสำคัญเพื่อปกป้องเยาวชน ที่ผ่านมา Instagram อัพเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อการปกป้องเยาวชนให้สามารถใช้งานโซเชียลมีเดียได้อย่างปลอดภัย และมาตรการล่าสุดคือ Instagram เตรียมบังคับระบุวันเกิดเพื่อให้สามารถใช้งาน Instagram ต่อไปได้ โดย Instagram ระบุว่า นี่เป็นฟังก์ชันสำคัญเพื่อการปกป้องเยาวชน สำหรับคนที่เข้าใช้งาน Instagram และยังไม่เคยระบุวันเกิด จะเห็นหน้าต่างแจ้งเตือนให้ระบุวันเกิด และสำหรับโพสต์ไหนที่มีเนื้อหาไม่เหมาะกับเยาวชน ผู้ใช้งานจะต้องระบุวันเกิดตัวเองก่อนเพื่อจะเข้าดูโพสต์นั้นๆ ได้ แน่นอนว่าต้องมีคนที่พยายามไม่ใช้วันเกิดจริงของตัวเอง Instagram บอกว่ากำลังพัฒนาระบบใหม่เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ตัวอย่างเช่นการใช้ AI ประเมินอายุของคนโดยอิงจากโพสต์ “สุขสันต์วันเกิด” นอกจากฟังก์ชันข้างต้นแล้ว Instagram ที่ผ่านมายังประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เช่น ตั้งค่าบัญชีเยาวชนเป็น private, จำกัดการส่งข้อความหาเยาวชน และพัฒนาอัลกอริทึมเพื่อระบุและเตือนผู้ใช้หากใช้คำพูดที่ไม่เหมาะหรือเป็นภัยแก่เยาวชน ที่มา - Instagram
# Apple ซื้อกิจการ Primephonic แอปสตรีมเพลงคลาสสิก แอปเปิลประกาศซื้อกิจการ Primephonic บริการสตรีมเพลงคลาสสิก โดยไม่มีการเปิดเผยมูลค่าของดีลนี้ ทั้งนี้เพลย์ลิสต์เพลงคลาสสิกของ Primephonic ตลอดจนคอนเทนต์เฉพาะ และข้อมูลประวัติเพลง จะถูกนำมารวมเข้ากับบริการ Apple Music ในอนาคต แอปเปิลยังระบุว่ามีแผนจะเปิดตัวแอปสำหรับฟังเพลงคลาสสิกโดยเฉพาะในปีหน้า โดยจะใช้อินเทอร์เฟซแบบเดิมของแอป Primephonic Thomas Steffens ซีอีโอ Primephonic กล่าวว่า การร่วมมือกับแอปเปิล ก็เพื่อส่งมอบประสบการณ์ดนตรีคลาสสิกกับผู้ฟังหลายล้านคน ทำให้ดนตรีคลาสสิกเป็นที่แพร่หลาย เชื่อมโยงนักดนตรีรุ่นใหม่กับผู้ฟังรุ่นใหม่ได้ Primephonic จะปิดการรับสมาชิกใหม่ และหยุดให้บริการตั้งแต่ 7 กันยายนเป็นต้นไป สมาชิกเดิมจะได้สิทธิใช้งาน Apple Music ฟรี เป็นเวลา 6 เดือน รวมทั้งได้รับเงินค่าสมาชิกคืน ที่มา: แอปเปิล
# Zoom ไตรมาส 2/2021 รายได้รวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรก Zoom รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2021 รายได้รวม 1,021.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 54% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน มีกำไรสุทธิตามบัญชี GAAP 316.9 ล้านดอลลาร์ Zoom ไม่ได้ระบุจำนวนผู้ใช้งานรวมทั้งหมด แต่บอกว่ามีจำนวนลูกค้าที่สร้างรายได้ระดับมากกว่า 1 แสนดอลลาร์ต่อปี 2,278 ราย จำนวนนี้เพิ่มขึ้น 131% จากปีก่อน และมีลูกค้าประมาณ 504,900 ราย ที่เป็นหน่วยงานมีพนักงานมากกว่า 10 คน Eric S. Yuan ซีอีโอ Zoom กล่าวว่าไตรมาสนี้ Zoom ผ่านหลักสำคัญคือมีรายได้ในไตรมาสเดียวมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทยังมีกำไรสุทธิกับกระแสเงินที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้บริษัทยังจัดตั้งกองทุน Zoom Apps เพื่อต่อยอดให้แอปมาเชื่อมต่อกับ Zoom และเพิ่มบริการ Zoom Events สำหรับจัดการอีเวนต์ออนไลน์อีกด้วย ที่มา: Zoom
# IDC ประเมินตลาดสมาร์ทโฟนโลกปี 2021 จำนวนส่งมอบเพิ่มขึ้น 7.4% มี 5G เป็นปัจจัยหนุน บริษัทวิจัยตลาด IDC รายงานภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟน โดยประเมินว่าตลาดรวมในปี 2021 นี้ เพิ่มขึ้น 7.4% มีจำนวนส่งมอบรวมราว 1.37 พันล้านเครื่อง และปี 2022 จะเติบโตราว 3.4% ในรายละเอียดของการเติบโตปีนี้ที่ 7.4% นั้น แบ่งเป็นสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS เพิ่มขึ้น 13.8% และ Android 6.2% เมื่อแยกตามภูมิภาคแล้ว ในตลาดอย่างจีน อเมริกา ยุโรปตะวันตก การเติบโตกลับไปอยู่ในระดับช่วงก่อนโควิด (ปี 2019) แต่หลายพื้นที่เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา การเติบโตยังสูงมาก อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนคือ 5G โดยอุปกรณ์ 5G นอกจากจำนวนอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 570 ล้านเครื่องแล้ว ราคาเฉลี่ยต่ออุปกรณ์ (ASP) ก็เพิ่มขึ้นด้วยจากปี 2020 อยู่ที่ 634 ดอลลาร์ ขณะที่อุปกรณ์ 4G มีราคาเฉลี่ยที่ลดลงเป็น 206 ดอลลาร์ ตลาดที่สำคัญของ 5G คือจีน ตามด้วยอเมริกา อินเดีย และญี่ปุ่น คาดว่าในปี 2022 สมาร์ทโฟนใหม่ในตลาด 54.1% จะเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มา: IDC
# ByteDance ซื้อกิจการ Pico ผู้ผลิตเฮดเซต VR เบอร์ 3 ของโลก ByteDance ประกาศซื้อกิจการ Pico สตาร์ทอัพผู้พัฒนาอุปกรณ์เฮดเซต VR อย่างเป็นทางการแล้ว ตามที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ โดยดีลดังกล่าวไม่มีการเปิดเผยมูลค่า Bytedance บอกว่าเทคโนโลยีของ Pico นั้นมีครบทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ทีมงานก็มีประสบการณ์เชิงลึกในด้าน VR โฆษกของ Bytedance ซึ่งเป็นเจ้าของแอป TikTok ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บริษัทมีมุมมองที่ดีกับอนาคตของ VR และเทคโนโลยีนี้ก็สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท ข้อมูลจาก IDC ระบุว่า Pico เป็นผู้ผลิตเฮดเซต VR ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 3 ของโลก จำนวนส่งมอบในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 44.7% ที่มา: CNBC
# กูเกิลเปิดโครงการ Euphonia สร้างเสียงให้ผู้เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงกลับมาอีกครั้ง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (amyotrophic lateral sclerosis - ALS) เป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยค่อยๆ ไม่สามารถควบคุมออกแรงกล้ามเนื้อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ไม่สามารถขยับร่างกาย, พูด, ทานอาหาร, หรือหายใจได้ บุคคลหนึ่งในวงการวิทยาศาสตร์ที่เป็นโรคนี้คือ Stephen Hawking ที่ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องรวมถึงการบรรยายตามโอกาสต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์แปลงข้อความเป็นเสียง ล่าสุดกูเกิลนำเสนอโมเดลปัญญาประดิษฐ์ในโครงการ Euphonia ช่วยแปลงข้อความเป็นเสียงของ Steve Gleason อดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล และผู้รณรงค์ถึงโรค ALS โมเดลที่กูเกิลนำเสนอคือ PnG NAT ที่รวมเอาสองโมเดลปัญญาประดิษฐ์ก่อนหน้านี้ คือ PnG BERT และ Non-Attentive Tacotron (NAT) เข้าเป็นโมเดลเดียวกัน โมเดลแปลงข้อความเป็นเสียงมักฝึกโดยอาศัยเสียงพูดของเจ้าของเสียงเอง แต่ปัญหาสำคัญของผู้ป่วย ALS คือเสียงที่อัดไว้มักจะเป็นช่วงที่มีอาการของโรคแล้ว ทำให้ไม่สามารถฝึกปัญญาประดิษฐ์สร้างเสียงเดิมก่อนมีอาการได้ แต่ NAT มีตัวทำนายช่วงเวลาของเสียง (phoneme duration) เปิดทางให้สามารถฝึกระยะของเสียงในแต่ละคำได้อย่างละเอียด กูเกิลสร้างเสียงพูดของ Steve Gleason โดยฝึก PnG BERT ด้วยเสียงของนักพูดมืออาชีพ 31 คน จากนั้นจูนโมเดลให้เป็นเสียง Gleason อีกครั้งด้วยเสียงของเขาเอง แต่เนื่องจากเสียงเป็นเสียงที่อัดไว้หลัง Gleason เริ่มมีอาการ ALS กูเกิลจึงฝึกโมเดลส่วน NAT ให้ใช้ช่วงเวลาของเสียงจากนักพูดมืออาชีพ เสียงสุดท้ายที่ได้จึงออกมาเป็นเสียง Gleason ที่แทบไม่แสดงอาการ ALS เลย กูเกิลระบุว่าใช้เทคโนโลยี PnG NAT ในบริการ Google Cloud Custom Voice สำหรับสร้างเสียงเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละรายด้วย ที่มา - Google AI Blog วิดีโอเสียง Steve Gleason ทวนคำปาฐกถา "ชายผู้โชคดีที่สุดในโลก" ของ Lou Gehrig ผู้ป่วย ALS เมื่อปี 1939
# AWS เตรียมแจกโทเค็นล็อกอินสองชั้นให้ลูกค้าบางส่วนฟรี สัปดาห์ที่แล้วโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประชุมร่วมกับผู้บริหารบริษัทไอทีจำนวนมาก และบริษัทต่างๆ ก็สัญญาว่าจะลงทุนกับความปลอดภัยให้มากขึ้น แอมะซอนซึ่ง Andy Jessy เข้าประชุมด้วยก็ประกาศสองมาตรการ คือ การฝึกด้านความปลอดภัยฟรี และการแจกโทเค็นล็อกอินสองขั้นตอนให้ลูกค้าฟรี ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่าลูกค้าที่จะได้รับโทเค็นล็อกอินต้องเข้าข่ายใดบ้าง (เช่นต้องมียอดใช้งานต่อเดือนมากน้อยเพียงใด) โดย AWS ระบุเพียงว่าโครงการจะเริ่มเดือนตุลาคมนี้ และยังไม่ระบุว่าเป็นโทเค็นชนิดใด แต่ประกาศระบุว่าโทเค็นนี้จะใช้งานได้ทั้งกับ AWS และแอปพลิเคชั่นอื่นๆ จึงน่าจะเป็นโทเค็น U2F ที่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมไปแล้ว การฝึกด้านความปลอดภัยจะให้บริการหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยวิชาเรียนจะมี 10 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ, โปรตุเกส, ญี่ปุ่น, อิตาลี, ฝรั่งเศส, จีน, สเปน, เยอรมัน, เกาหลี, และภาษามืออเมริกัน ที่มา - AWS
# Fossil เปิดตัวสมาร์ทวอช Gen 6 พร้อม Snapdragon Wear 4100+ ยืนยันอัพเดต Wear OS 3 ได้ปีหน้า Fossil เปิดตัวนาฬิกาสมาร์ทวอช Gen 6 อย่างเป็นทางการ ซึ่งรายละเอียดเป็นไปตามข่าวลือที่เผยข้อมูลเบื้องต้นออกมาก่อนหน้านี้แล้ว สเปคของ Gen 6 ใช้ Qualcomm Snapdragon Wear 4100+ ซึ่ง Fossil เคลมว่าเร็วกว่า Gen 5 ถึง 30% พร้อมหน้าจอกลม 1.28 นิ้ว AMOLED 326 ppi สตอเรจในเครื่อง 8GB พร้อมแรม 1GB พร้อมปรับปรุงตัวนาฬิกาโดยรวม เช่น โหลดเร็วขึ้น fast charge 80% ในครึ่งชั่วโมง, Bluetooth ระยะทำการไกลขึ้นสูงสุด 4 เท่า พร้อมรับส่งข้อมูลไวขึ้น และมีเซนเซอร์ที่รองรับการติดตามอัตราการเต้นหัวใจต่อเนื่อง, เซนเซอร์ SpO2 สำหรับคำนวณค่าออกซิเจนในเลือด และแอปด้านสุขภาพใหม่ ๆ สำหรับติดตามกิจกรรมต่าง ๆ Fossil Gen 6 จะมาพร้อมกับ Wear OS 2 แต่ทางบริษัทยืนยันว่าสมาร์ทวอชรุ่นนี้จะรองรับ Wear OS 3 ด้วย ซึ่งคาดว่าผู้ใช้จะได้อัพเดตภายในปี 2022 สำหรับราคาวางจำหน่าย Fossil Gen 6 อยู่ที่ 299-319 ดอลลาร์ หรือราว 9,700-10,400 บาท มีเคสให้เลือกขนาด 42 และ 44 มิลลิเมตร โดยคาดว่า Fossil น่าจะปรับโฉมสมาร์ทวอชและวางขายภายใต้แบรนด์ Michael Kors ด้วยเหมือนรุ่นที่ผ่านมา ที่มา - Fossil, The Verge, Engadget ภาพจาก Fossil
# จีนคุมเข้ม ให้เยาวชนเล่นเกมแค่ 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ช่วงสองถึงสามทุ่มวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ประเทศจีนประกาศกฎใหม่ คุมเข้มการเล่นเกมของเยาวชน อายุต่ำกว่า 18 ปี จากเดิมอนุญาตให้เล่นได้ 1.5 ชั่วโมงในวันธรรมดา และ 3 ชั่วโมงในวันหยุด เหลือ 1 ชั่วโมงในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ช่วง 20.00 น. ถึง 21.00 น. เท่านั้น เท่ากับเยาวชนอาจได้เล่นเกมแค่ 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นส่วนใหญ่ แม้ Tencent หนึ่งในบริษัทเกมที่ใหญ่ที่สุดในจีน จะใช้ระบบสแกนใบหน้าเข้ามาคุมเวลาเล่นเกม และยังปรับมาตรการให้เยาวชนเล่น Honor of Kings (RoV) ได้แค่ 1 ชั่วโมงในวันธรรมดา และ 2 ชั่วโมงในวันหยุดก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่เพียงพอให้รัฐลดความเข้มข้นของนโยบายได้ รัฐบาลเตรียมบังคับใช้กฎนี้ด้วยการให้บริการเกมออนไลน์ทั้งหมดต้องเชื่อมกับระบบต่อต้านการเสพติดของรัฐ ผู้สมัครเล่นเกมต้องลงทะเบียนโดยใช้ชื่อและนามสกุลจริงเท่านั้น และหน่วยงานรัฐจะตรวจสอบระบบจำกัดเวลาเล่น และระบบซื้อของในเกมของบริษัทเกมต่างๆ อย่างเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงจะขอความร่วมมือกับผู้ปกครองและโรงเรียนเพื่อบังคับใช้มาตรการใหม่นี้ ประเทศจีนมองว่าปัญหาเด็กติดเกม เป็นปัญหาที่กำลังบ่อนทำลายอนาคตของชาติ ก่อนหน้านี้เคยออกกฎจำกัดการเล่นเกมของเยาวชนและคนทั่วไปมาหลายครั้ง รวมถึงเคยมีสื่อในสังกัดรัฐบาลจีน เขียนบทความระบุว่าเกมเป็นเหมือนสิ่งเสพติดอีกด้วย คงต้องติดตามต่อว่ามาตรการนี้จะส่งผลต่อหุ้นบริษัทเกมในประเทศจีน หรือตลาดเกมในประเทศจีนอย่างไรบ้าง ภาพจาก The Noun Project ที่มา - Reuters, Bloomberg
# Unity สำรวจคนเล่นเกมออนไลน์ ส่วนใหญ่เคยเจอพฤติกรรมแย่ๆ พบมากที่สุดในเกมยิง Unity เผยผลสำรวจพฤติกรรม toxic หรือพฤติกรรมแย่ๆ ในเกมออนไลน์ ของชาวอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 2,076 คน ในกลุ่มนี้เป็นคนที่เคยเล่นเกมออนไลน์ภายใน 1 ปีที่ผ่านมา 1,167 คน พบว่าเกมเมอร์ถึง 72% เคยพบเห็นพฤติกรรมแย่ๆ ในเกมออนไลน์ และ 68% ระบุว่าเคยเป็นเหยื่อของพฤติกรรมแย่ๆ เหล่านี้ ประเภทของพฤติกรรมแย่ๆ ที่พบมากสุด คือการใช้คำพูดแสดงความเกลียดชัง, การทำพฤติกรรมแย่ๆ ในเกมเช่นขโมยของ ป่วนทีมตัวเอง และพฤติกรรมโกงเกม โดยมีผู้เล่นราว 22% ระบุว่าพบพฤติกรรมแย่ๆ เหล่านี้ บ่อยครั้ง หรือแทบทุกครั้งที่เล่นเกม ประเภทเกมที่ผู้ตอบแบบสำรวจพบพฤติกรรมแย่ๆ มากที่สุด คือในเกมยิง เช่นเกมตระกูล Call of Duty และเกมอื่นๆ ที่ 61% รองลงมาเป็นเกมแนว battle royales เช่น PUBG, Fortnite ที่ 35% และเกมต่อสู้เป็นอันดับถัดมา ที่ 21% อย่างไรก็ตาม Unity ระบุไว้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามอาจเล่นเกมประเภทเหล่านี้มากที่สุด จึงพบพฤติกรรมแย่ๆ ส่วนมากในเกมเหล่านี้ ภาพจากเกม Call of Duty: Black Ops Cold War การตอบสนองของผู้เล่นเกมออนไลน์มีสี่อย่างที่ไล่เลี่ยกัน คือ เลิกเล่นไปเลย 43%, ทำเป็นไม่สนใจ 43%, ด่ากลับหรือโต้ตอบ (called the player out) 40% และใช้ระบบรายงานผู้เล่นในเกม 40% ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 92% เห็นด้วยว่าควรมีบทลงโทษในเกมต่อพฤติกรรมแย่ๆ เหล่านี้ โดยสามบทลงโทษหลักที่ผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าเหมาะสม คือการแบนชั่วคราว (44%), ถูกถีบออกจากเกมที่กำลังเล่น (42%) และถูกแบนถาวร (42%) Unity ระบุว่าการที่เกมออนไลน์มีผู้เล่นพฤติกรรมแย่อยู่มาก อาจทำให้เกมเกมนั้นเสียฐานผู้เล่นได้เรื่อยๆ และนักพัฒนาเกมควรใส่ใจในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมแย่ๆ ในเกม ที่เติบโตขึ้นตามจำนวนผู้เล่นที่มากขึ้นหลังช่วงระบาดของ COVID-19 และปกป้องผู้เล่นอื่นจากพฤติกรรมเหล่านี้ ด้วยการปรับปรุงระบบรายงานและลงโทษผู้เล่นที่มีพฤติกรรมแย่ๆ ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายงานแบบสำรวจฉบับเต็มได้ที่นี่ ที่มา - Unity
# เหมือนนั่งคุยในห้องเดียวกัน Clubhouse เพิ่มการฟัง Spatial Audio ใช้ได้ทั้งหูฟังมีสายไร้สาย Clubhouse เพิ่มการฟังแบบ Spatial Audio ในแอปฝั่ง iOS ก่อน เพื่อเพิ่มประสบการณ์การฟังเสียงที่มาจากต่างตำแหน่ง ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งคุยอยู่ในห้องเดียวกันจริงๆ ส่วน Android จะตามมาในภายหลัง จากวิดีโอด้านล่างเป็นตัวอย่างการทำงานของ Spatial Audio ของ Clubhouse ซึ่งฟังได้ทั้งจากหูฟังแบบมีสายและไร้สาย ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็น AirPods Pro หรือ AirPods Max เท่านั้น แต่ด้วยข้อจำกัดทางเทคนิค เราจะฟัง Spatial Audio ไม่ได้ถ้าพูดผ่าน Bluetooth แต่คนอื่นยังคงได้ยินเสียงเราแบบ Spatial Audio อยู่ ภาพจาก Clubhouse ที่มา - Engadget
# โซนี่ไทย เปิดจอง Xperia 1 III วันที่ 1 กันยายนนี้ ราคา 42,990 บาท แถมหูฟัง WF-1000XM4 โซนี่ประเทศไทย เตรียมเปิดจองสมาร์ทโฟน Sony Xperia 1 III ราคา 42,990 บาท มีตัวเลือกสองสี คือ สีดำ Frosted Black และ สีม่วง Frosted Purple จองภายใน 1 ถึง 17 กันยายนนี้ รับหูฟัง WF-1000XM4 หูฟังไร้สาย ANC ฟรี Xperia 1 III แพงขึ้นถึง 7,000 บาทจาก Xperia 1 II ซึ่งเปิดตัวในไทยด้วยราคา 35,990 บาท ซึ่งในขณะนั้นก็ถือว่าเป็นมือถือเรือธงที่ราคาแรงอยู่แล้ว แต่มารุ่นนี้กลับแรงขึ้นไปอีก แม้จะแถมหูฟังมูลค่า 8,990 บาทก็ตาม ผู้สนใจสั่งจองได้ที่เว็บไซต์ Sony ประเทศไทย วันที่ 1 ถึง 17 กันยายนนี้ ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# JerryRigEverything ทรมาน Galaxy Z Fold 3 จอภายในยังเป็นรอยได้ง่าย แต่ข้อต่อรอดจากฝุ่นทรายได้ JerryRigEverything ยูทูบเบอร์สายแกะทดสอบอุปกรณ์ไฮเทค ได้ลองนำ Galaxy Z Fold 3 มาทดสอบความคงทน หน้าจอด้านนอกที่เป็นกระจก Gorilla Glass Victus เป็นรอยที่ระดับ 6-7 เท่ากระจกทั่วไป หน้าจอ Dynamic AMOLED ภายนอกเกิดอาการเบิร์นอินหลังถูกไฟแช็กจี้ราว 14 วินาที แต่ไม่ได้มีการทดสอบตกกระแทก หน้าจอภายในที่เป็น Dynamic AMOLED แบบพับได้ ครอบด้วยพลาสติก เกิดอาการเบิร์นอินช้ากว่า โดยสามารถทนไฟแช็กได้ราว 30 วินาที แต่ยังเป็นรอยได้ง่ายเพราะเป็นพลาสติกเช่นเคย ส่วนการทดสอบปากกา S-Pen Fold Edition ที่มาพร้อมหัวสปริง กับหน้าจอ ไม่ทำให้เกิดรอยถาวรแม้ใช้แรงกดมากกว่าปกติ การใช้งานปกติทั่วไปไม่น่าจะทำให้เกิดรอยแบบถาวรได้เช่นกัน แม้ Galaxy Z Fold 3 จะกันน้ำแต่ไม่กันฝุ่น มีเรทติ้ง IPX8 แต่จากการทดสอบด้วยทรายหนึ่งกำมือของ JerryRigEverything เบื้องต้นไม่ทำให้ข้อต่อเสียหาย มีเสียง หรือฝืด (ไม่แนะนำให้ไปทำเอง) แม้อาจทำให้หน้าจอเกิดรอยได้บ้าง ตัวเครื่องอะลูมิเนียมยังเกิดรอยได้ตามปกติ การพยายามงอหน้าจอกลับอีกด้านหลังกางจอออกทำให้เกิดเสียงเปราะเล็กน้อย แต่ไม่หักกลางอย่างที่คาด ดูเหมือนข้อต่อของ Galaxy Fold 3 จะคงทนพอสมควร แต่ปากกา S-Pen Fold Edition ยังค่อนข้างเปราะบางอยู่ และ JerryRigEverything สามารถใช้มือหักเพื่อแสดงส่วนประกอบภายในได้อย่างง่ายดาย Samsung ระบุว่าหน้าจอภายในของ Z Fold 3 คงทนขึ้น 80% ซึ่ง JerryRigEverything ระบุว่าเขาไม่แน่ใจนักในเรื่องของหน้าจอภายใน แต่ถ้าพูดถึงตัวเครื่องโดยรวมแล้ว คงทนกว่าสเปกบนหน้ากระดาษแน่นอน อาจเพิ่มความสบายใจให้ผู้ที่ต้องการซื้อมือถือจอพับราคาเริ่มต้น 57,900 บาทเครื่องนี้ได้พอสมควร ที่มา - JerryRigEverything
# หรือเราจะหนี Facebook ไม่พ้น Facebook เก็บข้อมูลผู้ใช้ แม้ไม่มีบัญชีหรือไม่โพสต์อะไรเลย การใช้งาน Facebook แลกมาด้วยความเป็นส่วนตัว สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จริงๆ แล้ว แม้จะเข้าใช้งาน Facebook โดยไม่โพสต์อะไรเลย หรือแม้แต่ไม่มีบัญชี Facebook ก็อาจหนีเงื้อมมือ Facebook จากการถูกนำข้อมูลไปใช้ไม่พ้น มีสกู๊ปพิเศษจาก Wall Street Journal เขียนถึงเรื่องนี้ Blognone เห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาสรุปความ ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Megan Borovicka อายุ 42 ปีชาวแคลิฟอร์เนีย ได้ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal เธอเข้าใช้งาน Facebook ตั้งแต่ปี 2013 แต่ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ ต่อ และเธอมาพบภายหลังว่า Facebook ยังคงตามรอยเธอมาตลอดหลายปี โดย Facebook มีฟังก์ชั่นติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งานที่อยู่นอกแพลตฟอร์ม Facebook หรือ Off-Facebook Activity ซึ่งเมื่อกดเข้าไป จะพบว่า Facebook มองเห็นหมดว่าเวลาที่คุณใช้ไปบนออนไลน์ เข้าเว็บไซต์ใดบ้าง ภาพจาก Facebook Borovicka พยายามใช้กฎหมายเพื่อเข้าถึงข้อมูลลูกสาววัย 13 ปีของเธอที่มีบัญชี Instagram ซึ่งสามารถทำได้ตามพระราชบัญญัติความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งแคลิฟอร์เนีย บังคับใช้ในปี 2020 แต่ Instagram ไม่เคยตอบกลับมา เธอยังทำเรื่องไปยัง Facebook ขอดูข้อมูลเกี่ยวกับลูกชายวัย 11 ขวบ ซึ่งไม่เคยมีบัญชีบน Facebook หรือบน Instagram แต่ Facebook ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าลูกชายของเธอไม่มีบัญชี Facebook แต่ในขณะเดียวกัน Facebook ก็ยอมรับในอีเมลที่ตอบกลับไปยัง Borovicka ว่าสามารถรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กชายได้ หากเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือแอปที่ใช้บริการ Facebook เหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งบริการ เว็บไซต์และแอปเหล่านี้อาจส่งข้อมูลให้ Facebook โดยไม่คำนึงว่าบุคคลนั้นมีโปรไฟล์ Facebook หรือไม่ Off-Facebook Activity คือฟังก์ชันที่ Facebook เพิ่มมาในปี 2020 ดังนั้นสิ่งที่แสดงออกมาจึงเป็นข้อมูลในรอบสองปีเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว Facebook อาจมีข้อมูลของเรามากกว่าที่เห็น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะมีบัญชีหรือไม่ Facebook ก็จะรู้จักเราในทางใดทางหนึ่งอยู่ดี และยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า Facebook ไม่ใช่บริการฟรี แต่ต้องจ่ายด้วยข้อมูลส่วนตัว ผู้อ่านสามารถดูวิธีเข้าดูและ clear history ได้ใน [How-To] ดูข้อมูลกิจกรรมนอกแอปที่ Facebook ได้ไป และวิธีล้างประวัติกิจกรรมออก Facebook ทุกวันนี้ใหญ่เกินกว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียหนึ่งแพลตฟอร์ม เนื่องจาก Facebook มีซอฟต์แวร์ติดตามพันธมิตรทางธุรกิจที่ฝังไว้ในทั้งแอป เว็บไซต์ ครอบคลุมธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการทำการตลาดดิจิทัลตั้งแต่คนขายของชำ ไปจนถึงนักการเมือง บริษัทวิจัยแอป Sensor Tower ระบุว่า ในบรรดาแอปพลิเคชันมือถือยอดนิยม 100 แอป คุณจะสามารถค้นหาซอฟต์แวร์ของ Facebook ฝังอยู่ถึง 61 แอป ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ความเป็นส่วนตัว Ghostery ระบุว่า Facebook มีตัวติดตามในเว็บไซต์ถึง 25% ความน่ากังวลคือ การติดตามผู้ใช้ของ Facebook ไม่ได้สร้างความรู้สึกเป็นอันตรายหรือทำให้คนรู้สึกเดือดร้อน แต่ก็ไม่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัย เพราะโดนติดตามตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร ที่มา - Wall Street Journal
# Jack Dorsey ประกาศทำ TBD ตลาดซื้อขาย Bitcoin แบบกระจายศูนย์ Jack Dorsey ซีอีโอของ Twitter และ Square มีความสนใจเรื่องเงินคริปโตมายาวนาน (เช่น การเปิดประมูลข้อความแรกของ Twitter ผ่าน NFT หรือ แอพ Square Cash รองรับการซื้อ Bitcoin) ล่าสุด Dorsey ประกาศทิศทางของ TBD บริการใหม่ในเครือ Square ว่าต้องการเป็นตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (decentralized exchange) ของ Bitcoin ซึ่งจะแตกต่างจาก exchange ส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่เป็นแบบ centralized เช่น Coinbase หรือแม้แต่แอพ Cash ของ Square เองก็ตาม Mike Brock หัวหน้าทีม TBD ระบุว่าทีมเชื่อมั่นว่า Bitcoin จะกลายเป็นสกุลเงินของอินเทอร์เน็ต ตัว Bitcoin นั้นกระจายศูนย์อยู่แล้ว แต่การได้มาซึ่ง Bitcoin ในปัจจุบันมักต้องผ่านการแลกเงินแบบดั้งเดิม (fiat currency) ผ่านตัวกลางแบบรวมศูนย์ ทำให้การใช้งาน Bitcoin ไม่กระจายศูนย์อย่างแท้จริง TBD ต้องการแก้ปัญหานี้ แนวทางเบื้องต้นของ TBD คือตัวมันเองต้องกระจายศูนย์ ทีมงานอยากเขียนมันขึ้นมาบน Bitcoin ล้วนๆ แต่ก็มีข้อจำกัดทางเทคนิคอยู่หลายอย่าง จึงอาจต้องรัน TBD บนบล็อคเชนอื่นๆ แทน ส่วนกระบวนการพัฒนาย่อมเป็นโอเพนซอร์ส เปิดกว้าง และไม่มีองค์กรใดมีอำนาจควบคุมเหนือ TBD ด้วย ที่มา - MSN Money
# ผู้สร้าง Magisk ไปทำงานกับทีม Android, ยังทำ Magisk ต่อ แต่เลิกทำส่วนซ่อน Root เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ John Wu โปรแกรมเมอร์ชาวไต้หวันผู้สร้างโปรแกรม Magisk ประกาศว่าเขาย้ายไปทำงานในทีม Android Platform Security ของกูเกิล ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมายว่าอนาคตของ Magisk จะเป็นอย่างไรต่อ เพราะงานประจำกับงานส่วนตัวดูขัดแย้งกันโดยตรง ล่าสุด John Wu ออกมาประกาศผ่านบล็อกแล้วว่า หลังจากผ่านกระบวนการรีวิวของฝ่ายต่างๆ ภายในกูเกิล (ซึ่งใช้เวลาหลายเดือน) เขาได้รับอนุญาตให้พัฒนา Magisk ต่อ แต่ต้องหยุดทำ MagiskHide โปรแกรมที่ช่วยซ่อนการดักจับ root ด้วยเหตุผลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะเขามีสิทธิเห็นซอร์สโค้ดทั้งหมดของกูเกิล หากนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ซ่อน root ย่อมผิดมารยาท Wu เองยังบอกว่าช่วงหลังๆ เขาก็ไม่สนุกกับการทำ MagiskHide แล้วเพราะเป็นเกมแมวไล่จับหนู ที่ต้องคอยหนีการตรวจจับไปเรื่อยๆ แถมมาตรการความปลอดภัยของ Android ที่เข้มงวดขึ้นก็ทำให้การซ่อน root ทำได้ยากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ Wu ยังประกาศเลิกทำ Magisk-Module-Repo หรือการทำ repository สำหรับโมดูลเสริมของ Magisk เพราะบอกว่าไม่มีแรงทำ การตรวจสอบคุณภาพของโมดูลเป็นงานที่ไม่สนุกและโดนผู้ใช้บ่นเสมอ โดยเขาจะโอนงานส่วนนี้ไปให้นักพัฒนาคนอื่นๆ ในชุมชนรับช่วงต่อแทน ที่มา - John Wu
# [ลือ] iPhone 13 รองรับการเชื่อมต่อกับดาวเทียมวงโคจรต่ำ ทดแทนเวลาไม่มีสัญญาณ 4G/5G Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ที่มีประวัติให้ข้อมูลสินค้าใหม่แอปเปิลได้แม่นยำที่สุด คราวนี้เขามาพร้อมข้อมูลว่า iPhone 13 ที่กำลังจะเปิดตัว จะมีคุณสมบัติใหม่ที่สำคัญ คือรองรับการเชื่อมต่อกับดาวเทียมวงโคจรต่ำ (low-earth-orbit, LEO) ทำให้ยังสามารถใช้งานการโทรหรือส่งข้อความต่อได้ แม้พื้นที่นั้นไม่มีสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 4G หรือ 5G โดย iPhone 13 จะใช้ชิป Qualcomm X60 แบบปรับแต่งที่รองรับการเชื่อมต่อประเภทนี้ ประเด็น iPhone รองรับการเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียมไม่ใช่ของใหม่ เคยมีรายงานข่าวว่าแอปเปิลอยู่ในขั้นตอนการศึกษาตั้งแต่ปี 2019 Kuo บอกว่าแอปเปิลมีแผนพัฒนาการเชื่อมต่อดาวเทียมวงโคจรต่ำนี้ ไปยังสินค้าอื่นในอนาคตด้วยอาทิ เฮดเซต AR, รถยนต์ไร้คนขับ และสินค้า IoT ตัวอื่น ตอนนี้ Kuo ยังไม่มีข้อมูลว่าหาก iPhone 13 รองรับการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมได้ ค่าบริการส่วนนี้จะคิดราคาอย่างไร ที่มา: 9to5Mac
# [ลือ] Apple Watch Series 7 จะมาพร้อมหน้าปัดแบบใหม่โดยเฉพาะ รองรับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น Mark Gurman จาก Bloomberg รายงานผ่านจดหมายข่าว Power On ประจำสัปดาห์ โดยคราวนี้พูดถึงข้อมูลเกี่ยวกับ Apple Watch Series 7 ว่าจะมาพร้อมหน้าจอสองขนาดคือ 41 มม. และ 45 มม. เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้านี้ 1 มม. พร้อมกับหน้าจอแบบเรียบเสมอ ทำให้ลดพื้นที่ขอบหน้าจอ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือภาพหลุด ที่ระบุว่า Apple Watch รุ่นใหม่จะมีขนาดหน้าจอ 45 มม. ทั้งนี้แอปเปิลเคยขยายขนาดหน้าจอ Apple Watch มาและครั้งหนึ่งใน Apple Watch Series 4 เมื่อปี 2018 Gurman บอกว่าด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ทำให้แอปเปิลจะเพิ่มหน้าปัดแบบใหม่เฉพาะกับ Apple Watch Series ที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ซึ่งมากขึ้น เช่นหน้าปัดแบบอินโฟกราฟโมดูลาร์จะแสดงข้อมูลได้เยอะขึ้น ส่วนฟีเจอร์อื่นก็ต้องรอดูกันต่อไปเมื่อแอปเปิลเปิดตัว ที่มา: MacRumors
# Toyota บอกจะเอาจริงเรื่องซอฟต์แวร์แล้ว ตั้งเป้าขยายทีม 6 เท่า สัญญาอัพเดต OTA เร็วขึ้น Keiji Yamamoto ผู้บริหารฝ่ายเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ (Chief Product Integration Officer - CPIO) ของโตโยต้า ประกาศนโยบาย "เอาจริง" กับการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีรายละเอียดคือ ปรับโครงสร้างภายใน แยกเป็นฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ เบื้องต้นมีพนักงานภายใน 3,000 คน และจะขยายเป็น 18,000 คนในอนาคต (เพิ่ม 6 เท่า) ปรับปรุงการอัพเดตซอฟต์แวร์รถยนต์ผ่าน OTA (over-the-air) ให้เร็วกว่าเดิม เพื่อปรับตัวตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศให้เร็วขึ้น โดยจะเริ่มจาก Lexus NX รุ่นใหม่ที่กำลังจะวางขาย แยกการพัฒนาซอฟต์แวร์ออกจากฮาร์ดแวร์ เพื่อไม่ให้ต้องรอกัน สามารถออกซอฟต์แวร์ได้เร็วขึ้น ปัจจุบัน โตโยต้ามีทีมซอฟต์แวร์อยู่หลายทีม ทั้งในบริษัทแม่ Toyota Motor เอง และผ่านบริษัทลูกอย่าง Toyota Research Institute (TR), Woven Planet ที่ทำเรื่องรถยนต์ไร้คนขับ, Toyota Connected รวมถึงโครงการย่อยอย่าง รถยนต์ไฟฟ้า e-Palette, สมาร์ทซิตี้ Woven City, แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สำหรับรถยนต์ Arene เป็นต้น ที่มา - Toyota
# PlayStation 5 รุ่นใหม่น้ำหนักลดลงเพราะลดขนาดฮีตซิงก์ เครื่องทำงานร้อนขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส หลังจากมีรายงานว่า PlayStation 5 ที่ส่งมอบในบางตลาดเริ่มกลายเป็นรุ่นใหม่ CFI-11XX โดยมีความเปลี่ยนแปลงภายนอกเพียงน็อตยึดขาตั้งเครื่องเท่านั้น ล่าสุดก็มีนักรีวิว Austin Evans ไปซื้อเครื่องรุ่นใหม่มาแกะเครื่องดูความเปลี่ยนแปลง และพบว่าน้ำหนักเครื่องที่ลดลงไป 300 กรัมนั้นเป็นเพราะการลดขนาดฮีตซิงก์ลงเกือบครึ่งหนึ่ง ฮีตซิงก์ในรุ่นใหม่มีขนาดลงลงเกือบครึ่ง เฉพาะตัวบอร์ดและฮีตซิงก์นั้น น้ำหนักลดลง 270 กรัม จาก 1,639 กรัมเหลือ 1,368 กรัม เมื่อทดสอบความร้อนเครื่องพบว่าเครื่องทำงานร้อนขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส เครื่องที่ Evans นำมาแกะทดสอบเป็นเครื่อง Digital Edition ไม่มีช่องอ่านแผ่น และข่าว PlayStation 5 รุ่นน้ำหนักเบาที่ผ่านมาๆ ก็มีเฉพาะรุ่น Digital Edition เท่านั้น ส่วนรุ่นมีช่องผ่านแผ่นนั้นยังไม่มีข้อมูลว่าน้ำหนักลดลง (ซึ่งน่าจะมาจากการลดขนาดฮีตซิงก์) แต่อย่างใด ที่มา - YouTube: Austin Evans
# Pinduoduo แพลตฟอร์ม Group Buying ของจีน ประกาศโครงการสนับสนุนเกษตรกร วงเงิน 10,000 ล้านหยวน Pinduoduo แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซที่มาแรงของจีน รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2021 มีรายได้เพิ่มขึ้น 89% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 23,046 ล้านหยวน และมีไฮไลท์คือไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกคือ 2,414 ล้านหยวน อย่างไรก็ตาม Tony Ma รองประธานฝ่ายการเงินของ Pinduoduo ก็ให้ข้อมูลว่ากำไรในไตรมาสนี้น่าจะเป็นเหตุการณ์เฉพาะคราว เนื่องจากบริษัทยังต้องลงทุนอีกมาก จึงไม่คาดว่าจะมีกำไรในระยะสั้นจากนี้ รายได้ของ Pinduoduo มาจากค่าการตลาดออนไลน์ 18,080 ล้านหยวน, ค่าดำเนินการ 3,007 ล้านหยวน และมีจากการขายสินค้า 1,958 ล้านหยวน มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAUs) เพิ่มขึ้นเป็น 738 ล้านคน กลยุทธ์ของ Pinduoduo ในช่วงที่ผ่านมาคือเน้นไปที่สินค้าเกษตร และขายแบบให้ซื้อรวมกันเป็นกลุ่ม (Group Buying) ซึ่งได้ผลนี้ในตลาดเมืองรองของจีน ปัจจุบันแพลตฟอร์มเชื่อมต่อกับเกษตรกรในการขายผลิตผลมากกว่า 16 ล้านคน Pinduoduo ยังประกาศแผนสนับสนุนภาคเกษตรกรรม เป็นเงิน 1 หมื่นล้านหยวน เพื่อปรับปรุงเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล ให้ปรับปรุงกระบวนการความปลอดภัยของอาหาร รวมทั้งใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต โดยบริษัทจะใช้เงินจากกำไรสุทธิในไตรมาสนี้สนับสนุนโครงการดังกล่าว ที่มา: Pinduoduo และ KrAsia
# [ลือ] Bytedance กำลังเจรจาซื้อกิจการ Pico ผู้ผลิตเฮดเซต VR จากจีน Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง ว่า Bytedance บริษัทเจ้าของแอป TikTok กำลังอยู่ในขั้นตอนหารือเพื่อซื้อกิจการ Pico ผู้ผลิตเฮดเซต VR จากจีน เพื่อนำมาเสริมการเติบโตของธุรกิจ Pico เป็นบริษัทจากเมืองปักกิ่ง มีพนักงานอยู่ราว 300 คน มี 110 สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี VR บริษัทจัดจำหน่ายเฮดเซต VR โดยมีช่องทางออฟไลน์ครอบคลุมมากกว่า 40 เมืองทั่วทุกทวีป แหล่งระบุว่าการเจรจายังไม่มีข้อสรุป แต่ข่าวนี้ช่วยสะท้อนว่า VR กำลังเป็นที่สนใจจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่มากขึ้น ก่อนหน้านี้ Facebook ก็ซื้อกิจการ Oculus ไป ขณะที่แอปเปิลก็มีข่าวจะผลักดัน VR อยู่ตลอด ที่มา: Bloomberg
# รายงานอินเทอร์เน็ตจีนล่าสุด ประชากรอินเทอร์เน็ตมีมากกว่า 1 พันล้านคนแล้ว ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลสารสนเทศและโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแห่งชาติจีน (China Internet Network Information Center – CNNIC) ระบุว่าในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จีนมีประชากรอินเทอร์เน็ต 1.01 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 8% เทียบกับเดือนมิถุนายนปี 2020 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการรายงานตัวเลขมากกว่า 1,000 ล้านคน โดยตัวเลขนี้คิดเป็น 71.6% ของประชากร รายงานระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขประชากรอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูง มาจากการระบาดของโควิด 19 ทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำทั้งการซื้อของ จ่ายเงิน ต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้การขยายตัวของเครือข่าย 5G และสมาร์ทโฟนที่มีราคาถูกลงมาก ก็ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มด้วยเช่นกัน มีข้อมูลเพิ่มเติมในแยกตามกลุ่มประเภทบริการในออนไลน์ โดยเดลิเวอรี มีผู้ใช้งาน 468 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% ส่วนบริการเรียกรถแท็กซี่มี 396 ล้านคน แพลตฟอร์มวิดีโอ 943 ล้านคน การซื้อของออนไลน์ 812 ล้านคน และระบบจ่ายเงินเช่น Alipay, WeChat Pay มี 872 ล้านคน ที่มา: GizChina ภาพ Pixabay
# Windows 11 ติดตั้งในเครื่องตกรุ่นได้ แต่จะไม่ได้อัพเดต รวมถึงแพตช์-ไดรเวอร์ เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญจากข่าว ไมโครซอฟท์ไม่บล็อคการติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องตกรุ่น แต่แบกรับความเสี่ยงกันเอง โดยโฆษกของไมโครซอฟท์แจ้งกับ The Verge ว่าพีซีที่สเปกไม่ผ่านเกณฑ์ จะไม่สามารถอัพเดตผ่าน Windows Update ได้ และการอัพเดตแพตช์-ไดรเวอร์ "อาจ" ถูกระงับเช่นกัน ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมจากไมโครซอฟท์ว่า ตกลงนโยบายการอัพเดตที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ และยังไม่มีข้อมูลเรื่องนี้บนเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์โดยตรง มีแค่การให้ข้อมูลของโฆษกกับ The Verge เท่านั้น ที่มา - The Verge
# เอกสารในคดี Epic Games เผย Google เคยเจรจากับ Netflix เพื่อลดส่วนแบ่ง In-App ลงจาก 30% มีข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสารประกอบการพิจารณาคดี ระหว่าง Epic Games กับกูเกิล ประเด็น Google Play ผูกขาด โดยพบว่ากูเกิลพยายามเจรจากับ Netflix เพื่อให้กลับมาใช้ระบบ In-App จ่ายเงิน พร้อมให้ข้อเสนอยอมลดส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมลง จากอัตราปกติที่ 30% แลกกับการไม่สร้างระบบจ่ายเงินแยกออกมาต่างหาก แสดงให้เห็นว่ากูเกิลก็สามารถลดอัตราค่าธรรมเนียมลงเป็นพิเศษได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้มีเอกสารจากฝั่งแอปเปิลในคดี Epic Games ว่าแอปเปิลพยายามเจรจาขอลดส่วนแบ่งกับ Netflix ซึ่งเป็นบริการที่มีคนสมัครใช้งาน subscription ยอดนิยมตัวหนึ่ง เอกสารที่นำเสนอยังเปิดเผยตัวเลขการเงินของ Google Play ซึ่งปกติไม่มีรายงาน โดยปี 2019 ทำเงิน 11.2 พันล้านดอลลาร์ มีกำไรจากการดำเนินงานราว 7 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนว่าเป็นอัตรากำไรที่สูงมาก ซึ่งทนายของ Epic Games มองว่ากูเกิลสามารถเลือกเก็บในอัตราที่น้อยกว่านี้ได้ ที่มา: Reuters และ Engadget
# พบชิปเก่า, ชิปปลอม, ชิปตก QC ระบาดในญี่ปุ่น Oki Engineering ผู้ให้บริการทดสอบชิปที่ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งมาให้ตรวจสอบก่อนนำไปใช้ผลิตสินค้าจริงพบว่าชิปที่ลูกค้าส่งมาให้ตรวจนั้นเป็นชิปที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ถึง 30% บริษัทเพิ่งเริ่มให้บริการตรวจสอบชิปตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ หลังจากเหตุการณ์ชิปขาดแคลนทั่วโลกทำให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต้องซื้อชิปจากบริษัทใหม่ๆ ที่ไม่ได้มีประวัติการขายเซมิคอนดักเตอร์มาก่อน ปัญหาหนักที่สุดคือชิปปลอม ที่ผู้ปลอมแปลงนำชิปจากผู้ผลิตอื่นมาลบชื่อบนชิปแล้วพิมพ์แบรนด์อื่นลงไปตามคำสั่งซื้อ, รองลงมาคือชิปเก่าที่ถอดออกมาจากขยะอิเล็กทรอนิกส์, และสุดท้ายคือชิปตกมาตรฐานที่ควรถูกทำลาย ที่มาของชิปเหล่านี้มักมากจากจีน, เกาหลีใต้, และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มา - Japan Times ภาพโดย Republica
# Samsung EVO Plus 1TB เปลี่ยนคอนโทรลเลอร์โดยไม่แจ้ง อัตราการเขียนข้อมูลระยะยาวลดลง เว็บไซต์รีวิวฮาร์ดแวร์ Computerbase ในเยอรมันและช่อง YouTube 潮 玩 客 ภาษาจีน รายงานถึงความเปลี่ยนแปลงของ SSD ของซัมซุงรุ่น 970 EVO Plus 1TB ที่ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแม้จะขายในชื่อรุ่นเดิมแต่กลับเปลี่ยนหมายเลขชิ้นส่วน (part number) จาก MZVLB1T0HBLR เป็น MZVL21T0HBLU Computerbase ทดสอบและพบว่าความเร็วของในการเขียนข้อมูลนั้นเปลี่ยนไป โดยรุ่นเดิมนั้นมีอัตราการเขียนข้อมูลสูงสุดที่ 1,750 MB/s และเมื่อเขียนข้อมูลไป 40GB แล้วก็จะลดลงเหลือ 1,500MB/s ขณะที่รุ่นใหม่สามารถเขียนข้อมูลได้ถึง 2,500MB/s แต่เมื่อเขียนข้อมูลไปได้ 115GB ความเร็วจะลงเหลือ 800MB/s เท่านั้น ทางซัมซุงแจ้ง The Register ว่าต้องเปลี่ยนชิปคอนโทรลเลอร์เพราะปัญหาชิปขาดแคลนและได้เปลี่ยนเอกสารข้อมูลของตัว SSD แล้ว โดยเอกสารสเปค SSD รุ่นล่าสุดของซัมซุงลบข้อความผลทดสอบความเร็วออกไปจากเดิมเคยแจ้งผลทดสอบทั้งอัตราการเขียนและ IOPS ของใหม่ระบุเพียงว่าความเร็วที่ได้อาจจะต่างกันไปตามเฟิร์มแวร์และฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ หรือปัจจัยอื่นๆ การเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในสินค้าบางประการเป็นเรื่องปกติของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายตัว โทรศัพท์หลายรุ่นก็มักใช้ชิ้นส่วนเช่นหน้าจอจากผู้ผลิตหลายรายสลับกันไปมา แต่โดยทั่วไปแล้วมักแทบไม่เห็นความแตกต่าง ในกรณีนี้แม้ความเร็วต้นในการเขียนของ SSD จะเพิ่มขึ้นแต่พฤติกรรมก็ต่างออกไปมาก โดยเฉพาะความเร็วปลายที่ลดลง หากซัมซุงแจ้งให้ชัดเจนตั้งแต่หน้ากล่องว่าเป็นคนละรุ่นกับของเดิมก็น่าจะเข้าใจได้ในยุคชิปขาดแคลนเช่นนี้ ที่มา - The Register
# AWS สั่งปิดเซิร์ฟเวอร์เผยแพร่ propaganda ของกลุ่ม ISIS แล้ว สำนักข่าว The Washington Post รายงานว่า Amazon ได้สั่งปิดเว็บไซต์สำหรับเผยแพร่ propaganda สำหรับ ISIS แล้ว หลังจากที่ทางสำนักข่าวรายงานเหตุการณ์เว็บไซต์นี้เผยแพร่ข้อมูลระเบิดฆ่าตัวตายที่ฆ่าคนไปกว่า 170 คนในกรุงคาบูลเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่าเว็บไซต์นี้ใช้ AWS เป็นโฮสต์ Nida-e-Haqq เป็นสื่อของกลุ่มรัฐอิสลามที่ใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเป็นภาษาอูรดูใช้งาน AWS เป็นโฮสต์คอนเทนต์ ซึ่ง AWS เองมีนโยบายไม่ทำงานกับกลุ่มก่อการร้าย โดย Rita Katz จาก SITE Intelligence Group ระบุว่าจากการแกะซอร์สโค้ดของแอป Nida-e-Haqq แล้ว พบว่านำคำและภาพมาจากเว็บไซต์เผยแพร่ propaganda ของกลุ่มรัฐอิสลาม โดยข้อมูลนี้ถูกล็อกรหัส แต่ Katz ระบุว่าจากข้อมูลบันทึกโดเมนออนไลน์ พบว่าเว็บไซต์นี้โฮสต์ไว้บน AWS ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา Casey McGee โฆษก Amazon ได้ยืนยันผ่านอีเมลกับทาง Washington Post แล้วว่าหลังจากทำการตรวจสอบแล้ว Amazon ได้ทำการปิดเว็บไซต์ที่ลิงก์ไปยังแอปนี้เนื่องจากฝ่าฝืน AWS Acceptable Use Policy ที่มา - Washington Post
# ลามมาทุบวงการไอดอลแล้ว จีนแบนชาร์ตจัดอันดับความนิยมดารา ชี้มอมเมาเยาวชน วันศุกร์ที่ 27 ส.ค. Cyberspace Administration of China หรือหน่วยงานควบคุมอินเทอร์เน็ตในจีนประกาศแบนการจัดอันดับความนิยมคนดังรวมถึงไอดอล โดยมีประเด็นเริ่มมาจากข่าวคราวเสียหายของดาราจีนเช่น Zheng Shuang โดนข้อหาหลบเลี่ยงภาษี และ Kris Wu ในข้อหาข่มขืน นอกจากนี้ยังห้ามจัดกิจกรรมส่งเสริมการโปรโมทไอดอลทุกรูปแบบ จากคำสั่งดังกล่าว พบว่าแพลตฟอร์มวิดีโอหลายรายในจีนตอบรับกฎใหม่ อย่าง iQiyi ได้ยกเลิกการแสดงความสามารถด้านไอดอลในสัปดาห์นี้ ก่อนหน้านี้ยังเคยมีกรณีแฟนคลับแห่ซื้อนมที่ไอดอลเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อเพิ่มคะแนนให้ไอดอล จนมีภาพนมถูกเททิ้งลงท่อระบายน้ำออกมา ในมุมมองของรัฐบาล มองว่าวัฒนธรรมแฟนคลับที่มีการบูชาคลั่งไคล้ไอดอลนั้นส่งผลเสียและเป็นการมอมเมาเยาวชน รัฐบาลคาดหวังว่าจะช่วยลดวัฒนธรรมคลั่งไคล้ไอดอลในทางที่ผิด อย่างกรณี Kris Wu ก็มีแฟนคลับบางส่วนพยายามระดมเงินเพื่อช่วยเหลือเขาให้หลุดพ้นคดี ภาพโดย Li Yang กฎใหม่กระทบกิจกรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องอย่างการเข้าไซน์ที่มีการเสียเงินเพื่อแลกกับคอนเทนต์ไอดอล หรือการโปรโมทกิจกรรมออนไลน์เพื่อพบปะไอดอลด้วย จีนมีแนวทางคุมเข้มเนื้อหาโซเชียลมีเดีย, เกม และวงการบันเทิงที่กระทบต่อความมั่นคงสถาบันทางการเมือง จากกฎใหม่แสดงให้เห็นว่า จีนพยายามควบคุมพฤติกรรมของดาราไอดอลด้วย ข่าวนี้มาพร้อมๆ กับกระแสทุบวงการเทคโนโลยีตั้งแต่อาลีบาบา, Tencent ไปจนถึงวงการกวดวิชาและวงการคริปโตด้วย ที่มา - The New York Times, Global Times
# โตโยต้าหยุดใช้รถยนต์ไร้คนขับในพาราลิมปิก 2020 ชั่วคราว หลังชนกับนักกีฬาบาดเจ็บ การแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีโตโยต้าเป็นสปอนเซอร์ และโตโยต้าก็นำรถยนต์ไร้คนขับรุ่น e-Palette มาให้บริการขนส่งนักกีฬาในหมู่บ้านนักกีฬาด้วย (เป็นรถยนต์ไร้คนขับ Level 4 แต่วิ่งที่ความเร็วต่ำ) อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา (26 ส.ค.)​ ระหว่างการแข่งขันพาราลิมปิกที่กำลังดำเนินอยู่ในช่วงนี้ เกิดเหตุรถยนต์ไร้คนขับชนกับนักกีฬาที่พิการทางสายตา (เป็นนักยูโดของญี่ปุ่นเอง) จนนักกีฬาได้รับบาดเจ็บที่หัวและขา ต้องพักรักษาตัวประมาณ​ 2 สัปดาห์ ทำให้โตโยต้าต้องระงับการใช้งาน e-Palette ทั้งหมดชั่วคราว โตโยต้ายังไม่ได้ให้รายละเอียดของการชนกันครั้งนี้มากนัก (แถลงการณ์ของโตโยต้า) จากข้อมูลเท่าที่สื่อญี่ปุ่นรายงาน ระบุว่ารถยนต์มองเห็นนักกีฬากำลังเดินข้ามถนนและหยุดให้ แต่ผู้ดูแลรถบัสคิดว่านักกีฬาจะหยุดรอรถบัส เลยกดปุ่มให้รถขับต่อและเป็นเหตุให้ชนกัน Akio Toyoda ซีอีโอของโตโยต้าออกมาขอโทษเรื่องนี้ และยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ารถยนต์ไร้คนขับยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานบนถนนจริง ภาพรถยนต์ e-Palette รุ่นที่ใช้รับส่งนักกีฬาในหมุ่บ้านนักกีฬา - Toyota ที่มา - Japan Today, Electrek
# [Strategy Analytics] ตลาดสมาร์ทวอทช์ ไตรมาส 2/2021 กลับมาเติบโตในระดับช่วงก่อนมีโควิดแล้ว บริษัทวิจัยตลาด Strategy Analytics รายงานภาพรวมตลาดสมาร์ทวอทช์ของไตรมาสที่ 2 ปี 2021 ประเด็นสำคัญคือภาพรวมตลาดเติบโต 47% จากปี 2020 มีจำนวนส่งมอบ 18.1 ล้านชิ้น ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงนับตั้งแต่ปี 2018 ทำให้กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด 19 แอปเปิลยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ที่ประมาณ 52% ยอดขายหลักมาจาก Apple Watch Series 6 ส่วนซัมซุงอยู่ในอันดับ 2 ที่ 11.0% และอันดับ 3 คือ Garmin ที่ 8.3% Neil Mawston นักวิเคราะห์จาก Strategy Analytics ให้ความเห็นว่าทิศทางตลาดสมาร์ทวอทช์น่าจะร้อนแรงในไตรมาส 4 ของปี เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ต่างออกรุ่นใหม่มาทั้ง Galaxy Watch 4 และ Apple Watch Series 7 ส่วนผู้ผลิตจากจีนอย่าง Xiaomi และ OPPO ก็มีรุ่นที่ทำราคาถูกกว่า และขายแพ็คเกจพ่วงกับผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศ ที่มา: Strategy Analytics
# SenseTime บริษัท AI รายใหญ่ที่สุดในจีน เตรียม IPO เข้าตลาดหุ้นฮ่องกง SenseTime Group สตาร์ทอัพด้าน AI ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ยื่นเอกสารไฟลิ่งเพื่อนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นฮ่องกงแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะออกหุ้นไอพีโออีก 2,000 ล้านดอลลาร์ ในเอกสารนี้ SenseTime ระบุความเสี่ยงของธุรกิจเอาไว้ด้วยว่า อาจได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดจากกฎหมาย หลังจากจีนออกร่างที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ของ SenseTime ที่เป็นที่รู้จักกว้างขวางคือซอฟต์แวร์ตรวจจับใบหน้าบุคคลในที่สาธารณะ ซึ่งมีการใช้งานหลายที่ในจีน แต่บริษัทมีผลิตภัณฑ์ด้าน AI อื่น ทั้งที่ใช้ทั้งในรถยนต์ไร้คนขับ, AR, การแพทย์ และสมาร์ทซิตี้ นักลงทุนรายสำคัญใน SenseTime มีทั้ง SoftBank, กองทุน Temasek และ Alibaba มูลค่ากิจการล่าสุดอยู่ที่ราว 8,000 ล้านดอลลาร์ ได้เงินเพิ่มทุนไปแล้วรวมประมาณ 2,600 ล้านดอลลาร์ ที่มา: South China Morning Post
# Shonen Jump ส่งแอป World Maker รวมเครื่องมือสำเร็จรูปสร้างมังงะ ทั้งตัวละคร พื้นหลัง เอฟเฟกต์ Shonen Jump สานฝันคนอยากสร้างมังงะแต่วาดรูปไม่เก่ง ด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชัน World Maker รวมเครื่องมือสำเร็จรูปสำหรับการสร้างมังงะไม่ว่าจะเป็นตัวละคร แพทเทิร์นการวางกรอบบนหน้ามังงะ เอฟเฟกต์ตามสไตล์มังงะญี่ปุ่น พื้นหลังให้เสร็จสรรพ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ในการสร้างพล็อตเรื่องเท่านั้น ตัวแอปจะเปิดตัวในวันที่ 22 ก.ย. นี้และยังเป็นเวอร์ชันเบต้า ทางผู้สร้างระบุว่า ในแอปมีภาพพื้นหลัง เอฟเฟกต์ และตัวละครมากกว่า 600,000 ภาพให้เลือกใช้ ดูคลิปด้านล่างเพื่อดูวิธีการใช้งานเพิ่มเติม ที่มา - Anime Senpai.net
# Google ออกโฆษณา Pixel 5a ชูจุดเด่น มีช่องหูฟัง 3.5 มม. นำเสนอในสไตล์ Jony Ive กูเกิลออกวิดีโอโฆษณา Pixel 5a โดยนำเสนอในรูปแบบล้อเลียน วิดีโอพรีเซนเทชั่นสินค้าแอปเปิลในอดีต ที่มักมี Jony Ive อดีตหัวหน้าฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลเป็นคนบรรยายที่มาเบื้องหลังของงานออกแบบ เนื้อหาในวิดีโอเป็นการย้ำว่า Pixel 5a มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ซึ่งเป็นการออกแบบวงกลมที่ Simply Perfect จากนั้นก็เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ประกอบเพื่อเสริมความยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าทำไมกูเกิลเพิ่งทำวิดีโอล้อเลียนแบบนี้ออกมา เพราะ Jony Ive นั้น ลาออกจากแอปเปิลมา 2 ปีแล้ว รับชมวิดีโอได้ท้ายข่าว ที่มา: CNET
# ไมโครซอฟท์ไม่บล็อคการติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องตกรุ่น แต่แบกรับความเสี่ยงกันเอง ไมโครซอฟท์ให้ข้อมูลเรื่องการติดตั้ง Windows 11 ที่เจอข้อกำหนดเรื่องสเปกฮาร์ดแวร์ขั้นต่ำ ดังนี้ การติดตั้ง Windows 11 ผ่านการอัพเกรดจาก Windows 10 ระบบจะ "เช็ค" สเปกฮาร์ดแวร์ขั้นต่ำก่อนติดตั้ง การติดตั้ง Windows 11 ผ่านไฟล์ ISO (Media Creation Tool) ระบบจะ "ไม่เช็ค" สเปกฮาร์ดแวร์ขั้นต่ำก่อนติดตั้ง เท่ากับว่าคอมพิวเตอร์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์สเปกฮาร์ดแว์ขั้นต่ำ สามารถเลือกติดตั้ง Windows 11 ด้วยวิธีที่สองได้ โดยไมโครซอฟท์ระบุว่าต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอง (คือไม่รองรับอย่างเป็นทางการ แต่ไม่บล็อคการติดตั้ง) และเผยสถิติจากการทดสอบในกลุ่ม Insiders ว่า ฮาร์ดแวร์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ จะมีปัญหาเคอร์เนลแครชมากกว่าฮาร์ดแวร์ที่ผ่านเกณฑ์ถึง 52% และมีปัญหาแอพค้างมากกว่ากัน 17% อัพเดต 29 สิงหาคม ตัวแทนของไมโครซอฟท์แจ้งว่า Windows 11 ติดตั้งในเครื่องตกรุ่นได้ แต่จะไม่ได้อัพเดต รวมถึงแพตช์-ไดรเวอร์ สเปกฮาร์ดแวร์ขั้นต่ำของ Windows 11 คือ ซีพียู 64 บิตรุ่นที่รองรับ รายชื่อ แรม 4GB สตอเรจ 64GB รองรับ UEFI, Secure Boot TPM 2.0 ที่มา - The Verge, Windows Central, Thurrott
# Apple ประกาศโครงการซ่อม iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่พบปัญหาไม่มีเสียงให้ฟรี แอปเปิลประกาศโครงการซ่อม iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่พบปัญหาไม่มีเสียงออกมา โดยระบุว่าพบปัญหาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก สาเหตุมาจากชิ้นส่วน Receiver Module iPhone 12 และ iPhone 12 Pro เครื่องที่พบปัญหานั้น แอปเปิลบอกว่าเป็นรุ่นที่มีการผลิตในช่วงเดือนตุลาคม 2020 ถึงเมษายน 2021 ไม่มีการรายงานปัญหานี้ใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 Pro Max ผู้ใช้งาน iPhone ทั้งสองรุ่นที่เจอปัญหานี้ สามารถติดต่อเพื่อซ่อมแซมได้ฟรี ที่ศูนย์บริการ AASP หรือที่ Apple Store ทั้งนี้ iPhone ต้องอยู่ในสภาพที่สามารถซ่อมแซมได้ หากมีปัญหา เช่น หน้าจอแตกอยู่ก่อนแล้ว จะต้องแก้ไขปัญหานี้ก่อนรับการซ่อมฟรีดังกล่าว ที่มา: MacRumors
# ไมโครซอฟท์เพิ่ม Core 7th Gen บางรุ่น ที่ใช้กับ Windows 11 ได้, AMD Zen 1 ไม่ได้ไปต่อ ไมโครซอฟท์ประกาศเพิ่มรายชื่อซีพียูที่รองรับ Windows 11 ตามที่เคยสัญญาไว้ว่าจะกลับไปทบทวนและทดสอบเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ซีพียูรุ่นที่ซัพพอร์ตเพิ่มเติมมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นคือ Intel Core X-series (กลุ่มที่เป็น 7th Gen และลงท้ายด้วย X ตั้งแต่ i5-7640X จนถึง i9-7980XE) Intel Core 7820HQ แต่จำกัดเฉพาะเครื่องที่มีไดรเวอร์แบบ DCH เท่านั้น (เช่น Surface Studio 2) Intel Xeon W-series ข่าวร้ายคือผู้ที่ใช้ AMD Zen 1 จะไม่ได้อัพเกรดเป็น Windows 11 ทั้งหมด หลังไมโครซอฟท์ร่วมกับ AMD ประเมินความเข้ากันได้เพิ่ม และพบว่าไม่สามารถรองรับได้ตามที่คาดไว้ (รายชื่อซีพียู AMD ที่รองรับ, รายชื่อซีพียู Intel) อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ก็ประกาศมาพร้อมกันว่าจะอนุญาตให้ติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่ผ่านเกณฑ์สเปกขั้นต่ำได้ หากติดตั้งแบบไฟล์ ISO โดยผู้ใช้ต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอง ไมโครซอฟท์ยังอัพเดตแอพ PC Health Check เจ้าปัญหาให้แสดงข้อมูลฮาร์ดแวร์ให้ละเอียดขึ้น พร้อมลิงก์ไปยังบทความอธิบายรายละเอียดในแต่ละหัวข้อด้วย ที่มา - Microsoft via PCGamer
# Waymo หยุดขายเทคโนโลยี Lidar ให้บริษัทอื่น เพื่อโฟกัสการทำรถยนต์ไร้คนขับอย่างเดียว Waymo ออกมายืนยันตามที่มีรายงาน ว่าบริษัทได้หยุดโครงการขายเทคโนโลยี Lidar ให้กับบริษัทอื่นเพื่อนำไปใช้งานต่อแล้ว ซึ่งโครงการนี้ Waymo เพิ่งประกาศไปเมื่อปี 2019 เนื่องจากบริษัทต้องการโฟกัสที่การนำเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ Waymo Driver ไปใช้งานกับ Waymo One รถแท็กซี่ไร้คนขับ และ Waymo Via รถขนส่งสินค้าไร้คนขับ การตัดสินใจยุติโครงการขาย Lidar ให้บริษัทอื่นนี้ เกิดขึ้นหลังจาก Waymo เปลี่ยนตัวซีอีโอจาก John Krafcik ที่ขอลาออก มาเป็นซีอีโอร่วม Tekedra Mawakana และ Dmitri Dolgov แทน สินค้า Lidar ที่ Waymo ทำออกมาขายในช่วงแรกคือ Laser Bear Honeycomb เซ็นเซอร์มุมมองระยะสั้น สำหรับงานด้านที่ไม่ใช่รถยนต์ไร้คนขับ เช่น หุ่นยนต์ เกษตรกรรม ความปลอดภัย ข้อมูลจาก Reuters บอกว่า Waymo ได้พัฒนาเทคโนโลยี Driver เป็นรุ่นที่ 5 แล้ว ซึ่งมีการใช้เซ็นเซอร์หลายอย่างรวมกัน ทำให้รถมีมุมมอง 360 องศา ทั้งในเวลากลางวัน-กลางคืน หรือแม้กระทั่งเวลาที่ทัศนวิสัยไม่ดีเช่นมีฝนตก หรือมีหมอก โดยใช้ทั้งเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเอง และจากบริษัทภายนอก ที่มา: Engadget