Book,Page,LineNumber,Text 03,041,001,ฝ่ายพระมหาบุรุษเสวยอาหารแข้น ทำพระกายให้กลับมีพระ 03,041,002,"กำลังขึ้นได้อย่างเดิม ทรงเริ่มความเพียรเป็นไปในจิตต่อไป, นับแต่" 03,041,003,บรรพชามา ๖ ปีล่วงแล้ว จึงได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือได้ 03,041,004,พระปัญญารู้ธรรมพิเศษ เป็นเหตุพอพระหฤทัยว่า ' รู้ละ ' ในราตรี 03,041,005,แห่งวิศาขปุรณมี ดิถีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงวิศาขนักขัตฤกษ์ ที่ใต้ 03,041,006,ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์โพธิใบ ในปีก่อนพุทธศก ๔๕. 03,041,007,พระองค์ทรงรู้เห็นธรรมอะไร จึงพอพระหฤทัยว่ารู้ และหยุด 03,041,008,การแสวงต่อไป และเริ่มสั่งสอนผู้อื่น ? ทางดีในอันสันนิษฐานข้อนี้ 03,041,009,คือกระแสพระธรรมเทศนาของพระองค์ ที่ได้ประทานไว้ในที่นั้น ๆ 03,041,010,ในกาลนั้น ๆ มีปฐมเทศนาเป็นอาทิ. ฝ่ายพระมัชฌิมภาณกาจารย์ 03,041,011,แสดงความตรัสรู้ของพระองค์ไว้ดังนี้ :- 03,041,012,ทรงเจริญสมถภาวนา ทำจิตให้เป็นสมาธิ คือแน่แน่วบริสุทธิ์ 03,041,013,ปราศจากอุปกิเลส คืออารมณ์เครื่องเศร้าหมอง สุขุมเข้าโดยลำดับ 03,041,014,"นับว่าได้บรรลุฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔, แล้วยังญาณอันเป็นตัว" 03,041,015,ปัญญา ๓ ประการให้เกิดขึ้นในยามทั้ง ๓ แห่งราตรีตามลำดับกัน. 03,041,016,ญาณ ๓ นั้น ที่ ๑ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แปลว่าความ 03,041,017,"รู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน, ท่านแจกอรรถโดย" 03,041,018,อาหารระลึกชาติหนหลังของตนได้. ที่ ๒ จุตูปปาตญาณ แปลว่า 03,041,019,"ความรู้ในจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย, ท่านแจกอรรถโดยอาการรู้สัตว์" 03,041,020,"ทั้งหลายอันดีเลวต่างกันว่าเป็นด้วยอำนาจกรรม, อีกนัยหนึ่งเรียกว่า"