Book,Page,LineNumber,Text 06,0002,001,พระหฤทัยไปในเข้าเป็นพวกช่วยท่านผู้อื่น และได้เสด็จเข้าไปอยู่ใน ๒ 06,0002,002,สำนัก แต่ไม่พอพระหฤทัยในลัทธิของ ๒ คณาจารย์นั้น ภายหลังจึง 06,0002,003,ทรงพระดำริจะทำตามลำพัง. เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง 06,0002,004,ที่จะต้องทรงเลือกทางและสันนิษฐานลงไปว่า จะสอนเขาในทางไหน 06,0002,005,ทรงค้นคว้าหาไป จึงได้พบความบริสุทธิ์ว่า เป็นมูลแห่งความดีทั้งปวง 06,0002,006,พระองค์ทรงตั้งอุตสาหะหากเพียร ทำพระองค์ให้บรรลุความบริสุทธิ์นั้น 06,0002,007,ได้ก่อนแล้ว จึงเทศนาสั่งสอนผู้อื่นในทางนั้นต่อไป. 06,0002,008,ในชั้นต้น ทรงแสดงแก่พวกนักบวชด้วยกันก่อน เมื่อมีผู้เชื่อถือ 06,0002,009,และทูลขอเข้าพวกด้วย ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุเหมือนกัน ด้วย 06,0002,010,พระวาจาว่า เป็นภิกษุมาเถิด เพียงเท่านี้ ก็เป็นอันทรงรับเข้าหมู่. 06,0002,011,การบวชอย่างนี้ เรียกเอหิภิกขุอุปสัมปทา แปลว่า อุปสมบทด้วย 06,0002,012,ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุมา. เมื่อมีสาวกหลายรูป พระองค์ทรงส่ง 06,0002,013,ให้แยกกันไปประกาศพระศาสนาในถิ่นฐานบ้านเมืองนั้น ๆ ครั้งมี 06,0002,014,ผู้เลื่อมใสสมัครจะบวช สาวกเหล่านั้นก็พาคนเหล่านั้นมาเฝ้าพระศาสดา 06,0002,015,เพื่อได้รับพระอนุญาตเป็นภิกษุ ตามธรรมเนียมที่เคยทรงมา. พระ 06,0002,016,ศาสดาทรงพระดำริเห็นความลำบากของท่านผู้พา และคนผู้ตามมานั้น 06,0002,017,เพราะทางกันดาร ไปมาไม่สะดวก จึงทรงพระอนุญาตให้สาวกรับ 06,0002,018,เข้าหมู่ได้เอง แต่เปลี่ยนวิธีรับเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่พระยักพะเยิดดังที่ 06,0002,019,ทรงมา ให้ผู้จะบวชเข้าหมู่นั้น ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ 06,0002,020,ถือเพสก่อนแล้ว เปล่งวาจาแสดงตนถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ด้วย 06,0002,021,อาการเคารพจริง ๆ เพียงเท่านี้ ชื่อว่าเป็นอันรับเข้าหมู่หรือบวชเป็น