Book,Page,LineNumber,Text 42,0016,001,อีกนัยหนึ่ง คำว่าแกล้งหรือรู้อยู่เป็นต้น ซึ่งเป็นคำบ่งเจตนามี 42,0016,002,ในสิกขาบทใด สิกขาบทนั้นเป็นสจิตตกะ มูลแห่งความฟั่นเฝือมี คือถ้อย 42,0016,003,คำตกหล่นมาแต่เดิม หรือจำทรงในระหว่าง. 42,0016,004,๒๔๗๖ 42,0016,005,ถ. ในอาการที่ต้องอาบัติทุกอย่าง ต้องด้วยอย่างไหนส่อให้เห็น 42,0016,006,เป็นคนน่าบัดสี เพราะเสียทั้งภูมิสมณะทั้งสัตบุรุษ จงแสดงเหตุผล 42,0016,007,ให้เห็นสม ? 42,0016,008,ต. ต้องด้วยอาการไม่ละอาย ที่เรียกว่า อลัชชิตา เห็นว่าน่า 42,0016,009,บัดสีมากกว่าอาการอื่น ๆ เพราะเป็นอาการเลว ส่อความเป็นคนด้าน 42,0016,010,ไม่มีอุชุปฏิบัติ คือไม่มีความซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยสัตถุศาสนา 42,0016,011,อันเป็นเหมือนร่มเงาที่ตนได้เข้าอาศัยพักผ่อน เสียภูมิของสมณะ ยิ่ง 42,0016,012,กว่านั้นยังทำให้เสียภาวะแห่งสัตบุรุษอีกด้วย เพราะส่อว่าเป็นคนไม่มี 42,0016,013,ยางอาย คือไม่มีหิริ ซึ่งเป็นสัปปุริสธรรมประการหนึ่ง โดยเหตุนี้ 42,0016,014,จึงเห็นเป็นน่าบัดสีกว่าอาการอื่น ๆ. 42,0016,015,๓/๙/๒๔๖๘ 42,0016,016,ถ. จงแสดงสมุฏฐานแห่งอาบัติ ที่เกิดแต่กายอย่างเดียว เกิด 42,0016,017,แต่วาจาอย่างเดียว มาพร้อมด้วยยกสิกขาบทเป็นตัวอย่าง ? 42,0016,018,ต. อาบัติที่เกิดแต่กายอย่างเดียว เกิดแต่วาจาอย่างเดียว ได้แก่ 42,0016,019,อาบัติที่เป็นอจิตตกะ. เกิดทางกาย เช่นภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ 42,0016,020,คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เก็บไว้ล่วง ๗ วันไป ต้อง 42,0016,021,นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๓ แห่งปัตตวรรค เกิดทางวาจา