Book,Page,LineNumber,Text 42,0038,001,เท่านั้น แต่ถ้ากล่าวด้วยปรารถนาจะหยอกล้อ ก็เป็นอาบัติทุพภาสิต 42,0038,002,เสมอกัน ทั้งอุปสัมบัน ทั้งอนุปสัมบัน หาต่างอะไรกันไม่. 42,0038,003,๙/๙/๒๔๖๗ 42,0038,004,ถ. พระ ก. สนทนากับพระ ข. กำลังอธิบายฟุ้ง พระ ค. 42,0038,005,มาถึงก็เอ่ยขึ้นโดยฐานะคุ้นเคยว่า ท่าทางสมเป็นนักปราชญ์ พระ ก. 42,0038,006,นึกฉุนจึงพูดว่า คุณไม่มีสมบัติผู้ดีเลย พระ ข. เห็นท่าไม่ดี จึงเตือน 42,0038,007,พระ ก. ว่า ทำเป็นคนกิเลสหยาบดังนี้ไม่ดีดอก ใน ๓ รูปนี้ รูปไหน 42,0038,008,จะเป็นอาบัติอะไร เพราะถ้อยคำนั้นบ้างหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? 42,0038,009,ต. พระ ก. เป็นอาบัติปาจิตตีย์ พระ ข. ไม่เป็นอาบัติอะไร แต่ 42,0038,010,พระ ค. เป็นอาบัติทุพภาสิต เพราะถ้อยคำของพระทั้ง ๓ นั้นเป็นอักโกส- 42,0038,011,วัตถุทั้งนั้น แต่ที่เป็นอาบัติบ้าง ไม่เป็นบ้าง หรือเป็นก็ต่างประเภท 42,0038,012,กันนั้น เป็นเพราะเจตนาไม่เหมือนกัน พระ ก. กล่าวด้วยเจตนาโกรธ- 42,0038,013,ซึ่งส่อว่าเพื่อประหารให้เจ็บใจหรืออัปยศ จึงเป็นปาจิตตีย์ เพราะ 42,0038,014,โอมสวาทสิกขาบท. พระ ข. กล่าวด้วยเจตนาดี มีอาการเตือนสติ 42,0038,015,หรือสอนเป็นเบื้องหน้า จึงไม่เป็นอาบัติอะไร แต่พระ ค. กล่าวด้วย 42,0038,016,เจตนาหยอกล้อฐานคุ้นเคยกัน จึงเป็นเพียงทุพภาสิต. 42,0038,017,๙/๙/๒๔๖๗ 42,0038,018,ถ. ถ้าภิกษุนั่งแทรกแซงในสกุลกำลังบริโภคอาหารอยู่ ต้อง 42,0038,019,ปาจิตตีย์ในสิกขาบทที่ ๓ แห่งอเจลกวรรคนั้นถูก ส่วนภิกษุที่เข้าไป 42,0038,020,นั่งในสกุลที่มีแต่สามีกับภรรยา ตามที่ท่านแก้ไว้ในคัมภีร์วิภังค์ก็เป็น 42,0038,021,อันไม่ต้องอาบัติละซิ จะบริหารว่ากระไร ?