Book,Page,LineNumber,Text 11,0026,001,กาลที่ล่วงไปแล้วก็ดี ที่มีอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี เป็นส่วน ๆ เป็นกอง ๆ ทั่ว 11,0026,002,ทั้งหมด ตามอย่างที่กล่าวแล้ว ข้อนี้เป็นวิทยาที่ต้น พระองค์ได้ 11,0026,003,ตรัสรู้เองโดยลำพังในยามที่ต้นแห่งราตรี เมื่อวิทยาที่ต้นเกิดขึ้น กำจัด 11,0026,004,อวิทยาความไม่รู้เป็นเหตุให้หลงมืดอยู่ในกายใจอย่างนี้แล้ว พระองค์ 11,0026,005,ทรงปรารภส่วนกองซึ่งได้กำหนดรู้แล้วนั้น ซึ่งเรียกโดยสมมติว่าสัตว์ 11,0026,006,อันเกิดแล้ว จุติเคลื่อนไปเหมือนกันหมด แต่เหตุไฉน บางพวกจึง 11,0026,007,ต่ำช้าเลวทราม บางพวกประณีต บางพวกมีผิวพรรณอันดี บาง 11,0026,008,พวกมีผิวพรรณชั่ว บางพวกได้สุข บางพวกได้ทุกข์ ทรงเห็นด้วย 11,0026,009,พระญาณดังจักษุทิพย์อันบริสุทธ์ ล่วงญาณที่เป็นของมนุษย์สามัญว่า 11,0026,010,ส่วนกองที่เรียกตามสมมติว่าสัตว์นั้น ที่เกิดแล้วจุติเคลื่อนไปเหมือน 11,0026,011,กันหมด แต่เป็นต่างกันดังนี้ เพราะเป็นไปตามกรรมที่ตัวกระทำ ข้อ 11,0026,012,นี้เป็นวิทยาที่ ๒ พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วโดยลำพันพระองค์เอง ใน 11,0026,013,ยามเป็นท่ามกลางแห่งราตรีนั้น เมื่อวิทยาที่ ๒ เกิดขึ้น กำจัดอวิทยา 11,0026,014,ความไม่รู้ ที่เป็นเหตุให้หลงมืดในความเป็นต่าง ๆ แห่งส่วนแห่งกอง 11,0026,015,ที่เรียกตามสมมติว่าสัตว์อันเกิดขึ้นแล้วจุติเคลื่อนไปดังนี้แล้ว ก็ชื่อว่า 11,0026,016,ได้ทรงเห็นลักษณะทั้ง ๒ คือ ปัจจัตตลักษณะ คือ กำหนดโดยความ 11,0026,017,เป็นส่วนเป็นกอง และสามัญลักษณะ คือ กำหนดโดยความเป็น 11,0026,018,สภาพเสมอกัน คือ ความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 11,0026,019,ไม่ใช่ตน ครั้นทรงเห็นลักษณะทั้ง ๒ อย่างนี้แล้ว พระองค์ทรงกำหนด 11,0026,020,เห็นส่วนกองเหล่านั้นว่าเป็นเพียงทุกข์ คือ สิ่งอันสัตว์ถือมั่นว่าเป็น 11,0026,021,ของตน แล้วก็อดทนได้ด้วยยาก ตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก