Book,Page,LineNumber,Text 30,0031,001,ไม่เกิด คิดมิให้เกิดเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรคความเพียร 30,0031,002,เป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วย 30,0031,003,สามารถให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่า สัมมาวายามะ. 30,0031,004,แม้สัมมาสติ ชื่อว่า ต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความต่างกัน 30,0031,005,แห่งจิตกำหนดกายเป็นต้น. ส่วนในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียว ย่อมเกิดขึ้น 30,0031,006,ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ เหล่านี้ 30,0031,007,นี้ชื่อว่า สัมมาสติ. 30,0031,008,พึงทราบในฌานเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น สัมมาสมาธิ ต่างกัน 30,0031,009,ด้วยสามารถสมาบัติ ในขณะแห่งมรรค ด้วยสามารถมรรคที่ต่างกัน. จริงอยู่ 30,0031,010,ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่ง ย่อมมีปฐมฌาน แม้ทุติยมรรคเป็นต้น มี 30,0031,011,ปฐมฌาน หรือมีฌานอย่างใด อย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น ปฐมมรรค 30,0031,012,ของฌานอย่างหนึ่ง ย่อมมีฌานอย่างใด อย่างหนึ่ง แห่งทุติยฌานเป็นต้น. 30,0031,013,แม้ทุติยมรรคเป็นต้น มีฌานอย่างใด อย่างหนึ่ง แห่งทุติยฌานเป็นต้น 30,0031,014,หรือมีปฐมฌาน. มรรคแม้ ๔ จะเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกัน 30,0031,015,บางอย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งฌาน อย่างนี้แล. 30,0031,016,ส่วนความต่างกันแห่งมรรคนี้ ย่อมมีด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. 30,0031,017,จริงอยู่ มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ 30,0031,018,ย่อมมีปฐมฌานด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. ส่วนในฌานนี้ ย่อมมีองค์แห่ง 30,0031,019,มรรคโพชฌงค์และฌานบริบูรณ์แล้วแล. มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากทุติยฌาน 30,0031,020,แล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีทุติยฌาน. ส่วนในฌานนี้ องค์มรรคมี ๗ มรรคที่เกิด 30,0031,021,ขึ้นแก่ผู้ออกจากตติยฌานเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีตติยฌานก็ในฌานนี้มีองค์มรรค ๗ 30,0031,022,โพชฌงค์มี ๖. ตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มีนัยนี้. 30,0031,023,จตุกกฌานและปัญจมกฌานในอรูปฌานย่อมเกิดขึ้น และฌานนั้น 30,0031,024,ท่านกล่าวว่า เป็นโลกุตระหาเป็นโลกิยะไม่ ดังนี้.