Book,Page,LineNumber,Text
21,0030,001,นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาบิดา
21,0030,002,อนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ขอพระผู้มี
21,0030,003,พระภาคเจ้าให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด. รัฐปาลกุลบุตรได้บรรพชา ได้อุปสมบท
21,0030,004,ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเมื่อท่านรัฐปาละอุปสมบทแล้วไม่นาน พอได้
21,0030,005,กึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในถุลลโกฏฐิตนิคมตามควรแล้ว เสด็จ
21,0030,006,จาริกไปทางนครสาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ได้เสด็จถึงนครสาวัตถีแล้ว.
21,0030,007,
รัฐปาละสำเร็จพระอรหัต
21,0030,008,[๔๓๓] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
21,0030,009,อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่าน
21,0030,010,รัฐปาละหลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไป
21,0030,011,แล้ว ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
21,0030,012,ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วย
21,0030,013,ปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
21,0030,014,อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
21,0030,015,ท่านพระรัฐปาละได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
21,0030,016,[๔๓๔] ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
21,0030,017,ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า
21,0030,018,ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะไปเยี่ยมมารดาบิดา ถ้าพระผู้มี
21,0030,019,พระภาคเจ้าทรงอนุญาตกะข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการกำหนด
21,0030,020,ใจของท่านพระรัฐปาละด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงทราบชัดว่า รัฐปาลกุลบุตร
21,0030,021,ไม่สามารถที่จะบอกลาสิกขาสึกออกไปแล้ว. ลำดับนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อน
21,0030,022,รัฐปาละ ท่านจงสำคัญกาลอันควร ณ บัดนี้เถิด. ท่านพระรัฐปาละลุกจาก