Book,Page,LineNumber,Text 23,0033,001,ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ไม่พักอิริยาบถเลย ดำรงอยู่. ในวาระทั้งปวง 23,0033,002,ก็นัยนี้. บทว่า อิติห ตตฺถ ความว่า ย่อมรู้ตัวในอิริยาบถนั้น ๆ โดยรู้ว่า 23,0033,003,เราจักไม่กล่าวอย่างนี้. ถึงในทุติยวาระ ภิกษุก็รู้ตัว โดยรู้ว่า เราจะกล่าว 23,0033,004,ถ้อยคำเห็นปานนี้. ก็ภิกษุนี้ยังมีสมถวิปัสสนาอ่อนอยู่โดยแท้. เพื่อจะตาม 23,0033,005,รักษาสมถวิปัสสนาเหล่านั้น พึงปรารถนาสัปปายะ ๗ อย่าง คือ 23,0033,006,อาวาส ๑ โคจร ๑ การสนทนา ๑ 23,0033,007,บุคคล ๑ โภชนะ ๑ ฤดู ๑ อิริยาบถ ๑ 23,0033,008,เพื่อจะแสดงสัปปายะ ๗ เหล่านั้น จึงตรัสอย่างนี้. ในวิตักกวาระ 23,0033,009,ทั้งหลาย พึงทราบความเป็นผู้รู้ตัว ทั้งอวิตกและวิตก. 23,0033,010,พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมรรคทั้งสองด้วยการละวิตกดังกล่าวมานี้แล้ว 23,0033,011,บัดนี้ เพื่อจะตรัสบอกการเห็นแจ้ง ตติยมรรค จึงตรัสคำมีอาทิว่า ปญฺจ โข 23,0033,012,อิเม อานนฺท กามคุณา ดังนี้. บทว่า อายตเน ความว่า ในเหตุ 23,0033,013,เกิดกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกามคุณเหล่านั้น. บทว่า สมุทาจาโร ได้แก่ 23,0033,014,กิเลสที่ยังละไม่ได้ เพราะยังฟุ้งซ่าน. บทว่า เอวํ สนฺตํ ความว่า มีอยู่ 23,0033,015,อย่างนี้แล. บทว่า สมฺปชาโน ได้แก่รู้ชัด โดยรู้ว่ากัมมัฏฐานยังไม่สมบูรณ์ 23,0033,016,ในทุติยวารมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ บทว่า เอวํ สนฺตํ แปลว่า มีอยู่อย่างนี้. 23,0033,017,บทว่า เอวํ สมฺปชาโน ได้แก่ รู้ชัด โดยรู้ว่า กัมมัฏฐานสมบูรณ์ 23,0033,018,ก็เมื่อภิกษุนี้พิจารณาอยู่ว่า ฉันทราคะในกามคุณทั้ง ๕ เราละได้แล้วหรือยังหนอ 23,0033,019,ดังนี้ รู้ว่ายังละไม่ได้ ต้องประคองความเพียร จึงจะเพิกถอนฉันทราคะนั้นได้ 23,0033,020,ด้วยอนาคามิมรรค. แต่นั้น พิจารณาผลสมาบัติในลำดับแห่งมรรค ออกจาก 23,0033,021,ผลสมาบัติแล้วพิจารณาอยู่จึงรู้ว่าละได้แล้ว. อธิบายว่า ย่อมรู้ชัด โดยรู้ว่า 23,0033,022,ละฉันทราคะนั้นได้แล้ว. 23,0033,023,บัดนี้ เมื่อจะตรัสบอกความเห็นแจ้งอรหัตตมรรค จึงตรัสคำมีอาทิว่า 23,0033,024,ปญฺจ โข อิเม อานนฺท อุปาทานกฺขนฺธา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น