Book,Page,LineNumber,Text 33,0010,001,พระศาสดาทรงเห็นพระนางกำลังเสด็จมาจึงทรงใช้พุทธฤทธิ์เนรมิต 33,0010,002,เทพอัปสรนางหนึ่งซึ่งกำลังถือก้านใบตาลถวายงานพัดอยู่. พระนางเขมาเทวี 33,0010,003,เห็นเทพอัปสรนั้น แล้วทรงพระดำริว่า เสียหายแล้วสิเรา เหล่าสตรีที่เทียบ 33,0010,004,กับเทพอัปสรเห็นปานนี้ ยังยืนอยู่ไม่ไกลพระทศพล เราแม้จะเป็นปริจาริกา 33,0010,005,ของสตรีเหล่านั้น ก็ยังไม่คู่ควรเลย ก็เพราะเหตุไรเล่าเราจึงเป็นผู้เสียหาย 33,0010,006,ด้วยอำนาจจิตที่คิดชั่ว เพราะอาศัยความมัวเมา แล้วก็ถือนิมิตนั้น ยืน 33,0010,007,ทอดพระเนตรสตรีนั้นอยู่. เมื่อพระนางพิจารณาสตรีนั้นอยู่นั้นแล แต่ 33,0010,008,ด้วยกำลังพระอธิฐานของพระตถาคต สตรีนั้นล่วงปฐมวัยไป เหมือนตั้ง 33,0010,009,อยู่ในมัชฌิมวัยฉะนั้น ล่วงมัชฌิมวัยไป เหมือนตั้งอยู่ในปัจฉิมวัยฉะนั้น 33,0010,010,ได้เป็นผู้มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ฟันหักแล้ว. แต่นั้นเมื่อพระนางกำลังแลดู 33,0010,011,อยู่นั่นแหละ. สตรีนั้นก็ล้มลงกลิ้งพร้อมกับพัดใบตาล. ลำดับนั้น พระนาง 33,0010,012,เขมา เมื่ออารมณ์นั้นมาสู่วิถี เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยบุพเหตุ จึงทรง 33,0010,013,พระดำริอย่างนี้ว่า สรีระมีอย่างอย่างนี้ ยังถึงความวิบัติอย่างนี้ได้ แม้สรีระ 33,0010,014,ของเรา ก็จักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน. ขณะที่พระนางมีพระดำริอย่างนี้ 33,0010,015,พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาในธรรมบทนี้ว่า 33,0010,016,เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ 33,0010,017,สยํ กตํ มกฺกฏโกว ชาลํ 33,0010,018,เอตมฺปิ เฉตฺวาน ปริพฺพชนฺติ 33,0010,019,อนเปกฺขิโน กามสุขํ ปหาย. 33,0010,020,ชนเหล่าใด ถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไป 33,0010,021,ตามกระแส เหมือนแมลงมุมตกไปตายใยข่ายที่ตนเอง