txt
stringlengths
202
53.1k
# ภาพยนตร์จากค่ายสตรีมมิ่ง ถูกเสนอเข้าชิงออสการ์ปีนี้น้อยลง รวมเหลือ 19 รางวัล รางวัลออสการ์ รางวัลใหญ่ประจำปีของวงการภาพยนตร์ ประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลครั้งที่ 95 ไปเมื่อคืนนี้ ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจคือภาพยนตร์จากค่ายสตรีมมิ่ง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยภาพยนตร์จาก Netflix, Apple และ Amazon ได้รับการเสนอชื่อรวมปีนี้ 19 รางวัล เทียบกับปีก่อนรวมทั้งหมด 37 รางวัล อีกทั้งปีที่แล้ว CODA ของ Apple TV+ ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผลที่ออกมาปีนี้จึงอาจสะท้อนมุมมองของคณะกรรมการ The Academy ได้ Netflix ได้เข้าชิงรวม 16 รางวัล โดยมีภาพยนตร์หลักปีนี้คือ All Quiet on the Western Front ภาพยนตร์จากเยอรมนี เข้าชิงรวม 9 สาขา และเป็นหนังสตรีมมิ่งเรื่องเดียวที่ได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยเรื่องนี้ก็ได้ชิงสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมด้วย ส่วนผลงานอื่นที่ได้เข้าชิงคือ Blonde, Guillermo del Toro’s “Pinocchio”, The Sea Beast, Glass Onion: A Knives Out Mystery และสารคดีสั้นสองเรื่อง The Elephant Whisperers กับ The Martha Mitchell Effect Apple TV+ มีผลงานเข้าชิง 2 รางวัล โดย Brian Tyree Henry เข้าชิงนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Causeway และ The Boy, the Mole, the Fox and the Horse ที่มี Jony Ive ร่วมอำนวยการสร้าง เข้าชิงอนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยม ขณะที่ Amazon ได้เข้าชิง 1 รางวัล จากสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศ Argentina, 1985 ที่มา: Deadline
# Microsoft รายงานผลประกอบการไตรมาส รายได้เพิ่ม 2% จากลูกค้าองค์กรคุมค่าใช้จ่ายมากขึ้น ไมโครซอฟท์รายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่ 2 ตามปีการเงินบริษัท 2023 สิ้นสุดเดือนธันวาคม มีรายได้รวมตามบัญชี GAAP 52,747 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 16,425 ล้านดอลลาร์ รายได้แยกตามกลุ่มธุรกิจ แบ่งเป็น กลุ่ม Productivity and Business Processes เพิ่มขึ้น 7% เป็น 17,002 ล้านดอลลาร์ โดย Office Commercial เพิ่มขึ้น 7%, Office Consumer ลดลง 2% และ LinkedIn เพิ่มขึ้น 10% กลุ่ม Intelligent Cloud มีรายได้ 21,508 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% เฉพาะ Azure รายได้เพิ่มขึ้น 31% และกลุ่ม More Personal Computing รายได้ 14,237 ล้านดอลลาร์ ลดลง 19% ส่วนใหญ่มาจาก Windows OEM ที่ลดลง 39%, Xbox ลดลง 12% และกลุ่มอุปกรณ์รวมทั้ง Surface ลดลง 39% ซีอีโอ Satya Nadella ให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์ช่วงแถลงผลประกอบการ ว่าการเติบโตของธุรกิจคลาวด์ยังมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากลูกค้าควบคุมค่าใช้จ่าย โดยคุมเวิร์กโหลดกันมากขึ้น ขณะที่กลุ่มแอปสำหรับลูกค้าองค์กรยังเติบโตสูง Teams มีผู้ใช้งานกว่า 280 ล้านคนแล้ว ที่มา: ไมโครซอฟท์ และ CNBC
# กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ สั่งฟ้องกูเกิลข้อหาผูกขาดตลาดโฆษณา Display Ad กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยื่นฟ้องกูเกิลในข้อหาผูกขาดตลาดโฆษณาดิจิทัล (กลุ่ม display ad ไม่ใช่ search ad ที่เคยฟ้องแยกไปแล้วตั้งแต่ปี 2020 และคดียังอยู่ในชั้นศาล) จากการซื้อคู่แข่งและปรับเปลี่ยนวิธีการประมูลโฆษณาให้คู่แข่งเข้ามาสู้ไม่ได้ พฤติกรรมของกูเกิลที่ทำลายการแข่งขัน มีหลายอย่างประกอบกัน ได้แก่ ซื้อกิจการคู่แข่งหลายราย เพื่อตัดโอกาสการที่มีคู่แข่งรายใหม่ขึ้นมาท้าทาย บังคับผู้ลงโฆษณาและเว็บไซต์เจ้าของพื้นที่โฆษณา ต้องใช้เครื่องมือโฆษณาของกูเกิลเท่านั้น จำกัดการประมูลโฆษณาบนระบบ ad exchange ของกูเกิล ไม่ให้คู่แข่งแพลตฟอร์มโฆษณารายอื่นเข้ามาแข่งกับกูเกิลได้ง่าย ปรับแก้วิธีการประมูลโฆษณาให้คู่แข่งมาสู้กับกูเกิลไม่ได้ คดีนี้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐยื่นฟ้องต่อศาลเขต U.S. District Court for the Eastern District of Virginia ซึ่งจะเข้ากระบวนการคดีต่อไป ฝั่งกูเกิลออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าการซื้อกิจการบริษัทโฆษณาของกูเกิลเกิดขึ้นมานานมากแล้ว ได้แก่ AdMeld (12 ปีก่อน) และ DoubleClick (15 ปีก่อน) การมาบอกว่าซื้อกิจการแล้วทำลายการแข่งขันในตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องถูกต้องนัก อีกทั้งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐก็เป็นคนอนุมัติให้ซื้อเองด้วยซ้ำ กูเกิลยังบอกว่าตลาดโฆษณาออนไลน์มีการแข่งขันสูง มีผู้เล่นรายใหม่ๆ ข้ามมาจากอุตสาหกรรมอื่นมากมาย เช่น Amazon, Apple, TikTok รวมถึงไมโครซอฟท์ที่เพิ่งซื้อ Xandr ไปเมื่อปี 2021 นอกจากนี้ กูเกิลยังบอกว่าเคยถูกฟ้องลักษณะเดียวกันโดยอัยการรัฐเท็กซัส และสุดท้ายศาลยกฟ้องคดีนี้ ที่มา - U.S. Department of Justice, Google
# หัวหน้าฝ่าย AI ของ Meta บอก ChatGPT ไม่ได้ล้ำยุคมาก บริษัทอื่นก็มีเทคโนโลยีแบบเดียวกัน Yann LeCun นักวิจัยสาย AI ชื่อดังผู้สร้างอัลกอริทึม convolutional nets และปัจจุบันเป็นหัวหน้านักวิจัย AI ของบริษัท Meta ออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นต่อ ChatGPT ว่าไม่ได้มีนวัตกรรมมากนัก (not particularly innovative) เหตุผลเพราะเทคนิคที่ ChatGPT ใช้งานเบื้องหลัง ไม่ได้พัฒนาโดย OpenAI แต่เป็นการนำเทคนิคจากนักวิจัยคนอื่นๆ มาประกอบรวมกัน (ซึ่ง LeCun บอกว่านำมารวมได้ดี it's well put together) ตัวอย่างคือเทคนิคที่เรียกว่า Transformer (ตัว T ใน GPT) พัฒนาโดยกูเกิลมาตั้งแต่ปี 2017 (paper) และกลายเป็นพื้นฐานของโมเดล AI จำนวนมาก, เทคนิคด้านการเข้าใจภาษา พัฒนาโดย Yoshua Bengio นักวิจัยจากแคนาดา, เทคนิคการเรียนรู้จากความเห็นมนุษย์หรือ reinforcement learning บุกเบิกโดย DeepMind เป็นต้น LeCun ยังบอกว่า OpenAI ไม่ได้ก้าวหน้าเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับห้องแล็บ AI อื่นๆ ไม่ใช่เทียบแค่บริษัทใหญ่ระดับกูเกิลหรือ Meta แต่ยังรวมถึงสตาร์ตอัพอีกหลายรายที่มีเทคโนโลยีระดับเดียวกัน เหตุผลที่เราไม่เห็นโมเดลแบบ ChatGPT จากกูเกิลหรือ Meta ออกมาให้ใช้กัน เป็นเพราะสองบริษัทนี้กลัวเสียงวิจารณ์ หากออกโมเดลที่ "ปั้นเรื่อง" มาให้ใช้กัน จึงเลือกไม่ปล่อยของสู่สาธารณะ (หมายเหตุ: กูเกิลมี AI Test Kitchen ที่บอกว่าจะปล่อย แต่สุดท้ายก็ยังไม่มา) แต่เขาก็บอกว่าเราจะได้เห็นเทคนิคแบบเดียวกันจาก Meta เปิดให้ใช้งานผ่านบริการอื่นใน Facebook เช่น ช่วยออกแบบหรือแต่งข้อความในโฆษณา ภาพจาก NYU Engineering ที่มา - ZDNet
# NASA ร่วมมือ DARPA เริ่มวิจัยจรวดพลังนิวเคลียร์ลดระยะเวลาไปดาวอังคาร อาจยิงทดสอบปี 2027 NASA ประกาศความร่วมมือกับ DARPA หน่วยงานให้ทุนวิจัยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เริ่มพัฒนาเครื่องยนต์จรวดพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสร้างจรวดความเร็วสูง สามารถเดินทางไปยังดาวอังคารได้ภายในเวลาไม่นาน และเปิดทางให้มนุษย์เดินทางไปดาวอังคารได้ในที่สุด เครื่องยนต์พลังความร้อนนิวเคลียร์ (nuclear thermal) อาศัยความร้อนจากเตาปฎิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นมาทำความร้อนให้กับของเหลวให้ขยายตัวและพ่นออกไปจากจรวดด้วยความเร็วสูงเพื่อผลักดันยานไปข้างหน้า แรงขับจากเครื่องยนต์แบบนี้สูงกว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงปกติสูงสุดสามเท่าตัว และ NASA เองเคยพยายามพัฒนาเครื่องยนต์แบบนี้ในโครงการ NASA’s Nuclear Engine for Rocket Vehicle Application and Rover ตั้งแต่ 50 ปีที่แล้วแต่ล้มเลิกไป โครงการนี้เน้นการสร้างจรวดขึ้นมาสาธิตความเป็นไปได้ในการสร้างจรวดเป็นหลัก หากโครงการสำเร็จก็อาจจะมีการยิงจรวดสาธิตในปี 2027 ขณะเดียวกัน NASA ก็มีโครงการวิจัยอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เช่น งานวิจัยร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อสร้างเตาปฎิกรณ์นิวเคลียร์สำหรับใช้งานในฐานบนดวงจันทร์หรือดาวอังคาร หรือการสร้างเครื่องยนต์นิวเคลียร์ให้ความร้อนสูงขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจรวดรุ่นต่อไป ที่มา - NASA
# CEO Google ชี้แจง ผู้บริหารระดับสูงทั้งหมด จะถูกลดผลตอบแทนและโบนัส CNBC รายงานการประชุมทาวน์ฮอลล์พนักงานกูเกิล เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ 12,000 คน ซึ่งมาพร้อมคำถามมากมายจากพนักงาน โดยซีอีโอ Sundar Pichai กล่าวเปิดเริ่มต้นด้วยการแสดงความเสียใจ ต่อเหตุการณ์กราดยิงในเมืองมอนเทอเรย์พาร์ก (ข่าว) ซึ่งอยู่ในนครลอสแอนเจลิส ที่พนักงานกูเกิลจำนวนมากพักอาศัยอยู่ จากนั้น Pichai ชี้แจงเหตุผลของการปลดพนักงาน โดยบอกว่าย้อนไปในปี 2021 เป็นปีที่บริษัทเติบโตแข็งแกร่งที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์บริษัท บริษัทจึงตัดสินใจรับพนักงานเพิ่มจำนวนมาก เพื่อรองรับกับการเติบโต ซึ่งเรื่องนี้จะถูกต้องทุกอย่าง หากบริษัทยังเติบโตในระดับนี้ต่อไปได้ และสามารถเกิดปัญหาตามไม่ทันคู่แข่งด้วย หากบริษัทไม่รับคนเข้ามาให้เพียงพอก่อน แต่เมื่อการเติบโตไม่เป็นตามคาด เขาจึงได้หารือกับสองผู้ก่อตั้ง Sergey Brin และ Larry Page จนนำมาสู่ประกาศดังกล่าว ต่อมาเป็นการอธิบายขั้นตอนการปลดพนักงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกเผยแพร่ ทั้งการปลดฟ้าผ่า พนักงานถูกตัดการเข้าถึงระบบทันที ไม่มีโอกาสร่ำลาเพื่อนพนักงาน หรือแม้แต่คุยกับหัวหน้างาน ตลอดจนหลายคนทำงานกับกูเกิลมานาน หรือเพิ่งได้รับการโปรโมต ก็ถูกปลดด้วย Fiona Cicconi หัวหน้าฝ่ายบุคคลชี้แจงว่า กระบวนการตัดสินใจว่าใครจะถูกให้ออกนั้น เป็นการประชุมกับผู้บริหารอาวุโสประมาณ 750 คน โดยไม่มีการสื่อสารกับพนักงานระดับผู้จัดการ ที่กูเกิลมีมากกว่า 30,000 คน เพราะบริษัทต้องการให้ขั้นตอนนี้จบโดยเร็วที่สุด ส่วนเกณฑ์การปลดนั้น ดูจากฝ่ายหรือแผนกที่มีความจำเป็น จากนั้นในระดับบุคคล ดูที่สกิลเซต ประสบการณ์ทำงานที่ใช้ทักษะเหล่านั้น ตลอดจนผลการประเมินที่ผ่านมา ซีอีโอ Pichai ยังบอกว่า ผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดจะถูกปรับลดผลตอบแทน ส่วนระดับรองประธานอาวุโส ส่วนที่เป็นโบนัสประจำปีจะถูกปรับลดลงเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้ลงในรายละเอียด จากนั้น Thomas Kurian หัวหน้าฝ่าย Google Cloud ให้ข้อมูลว่าบริการคลาวด์ เป็นส่วนธุรกิจของกูเกิลที่ยังเติบโตสูงและรวดเร็ว บริษัทจึงจำเป็นต้องรับพนักงานส่วนนี้เพิ่มอีกตั้งแต่กลางปีนี้ เพื่อให้แข่งขันกับ Amazon และ Microsoft ต่อไปได้ ทั้งฝ่ายวิศวกรรม และฝ่ายขาย โดยเฉพาะในตลาดประเทศที่โฟกัส ซึ่งจะตรงข้ามกับภาพรวมบริษัทที่ปลดพนักงาน ช่วงท้ายเป็นการตอบคำถามจากพนักงาน เช่น ประเด็นการตัดพนักงานจากระบบไม่ให้ได้บอกลากับเพื่อน กูเกิลชี้แจงว่าอาจไม่ใช่แนวทางที่ดีนัก แต่ก็มองประเด็นรักษาความเป็นส่วนตัวให้พนักงานที่ถูกปลดได้ดีที่สุด จากนั้น Pichai ย้ำว่า AI คือเป้าหมายสำคัญที่สุดที่กูเกิลจะต้องบรรลุผลให้ได้ ที่มา: CNBC
# GoTo บริษัทแม่ LastPass แจ้งว่าข้อมูลหลุดไปพร้อมกับของ LastPass เมื่อปีที่แล้ว GoTo บริษัทแม่ของ LastPass ประกาศเหตุข้อมูลรั่วไหลเนื่องจากใช้คลาวด์สตอเรจแชร์กับ LastPass ที่ทำข้อมูลหลุดเมื่อปีที่แล้ว โดยคนร้ายได้ไฟล์สำรองข้อมูลและกุญแจถอดรหัสไฟล์สำรองข้อมูลบางส่วนไป รายการบริการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Central, Pro, join.me, Hamachi, และ RemotelyAnywhere โดยข้อมูลที่กระทบ ได้แก่ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่านที่แฮชแล้ว, การตั้งค่า MFA โดยสินค้าหลักคือ Rescue และ GoToMyPC ไม่ได้หลุดไปทั้งหมด แต่มีข้อมูล MFA ของผู้ใช้บางส่วนหลุดไป ตอนนี้ทางบริษัทกำลังติดต่อผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบให้รีเซ็ตรหัสผ่านและตั้งค่า MFA เสียใหม่เพื่อความปลอดภัย และยืนยันว่าบริษัทไม่ได้เก็บข้อมูลเลขบัตรเครดิต, ข้อมูลส่วนตัวลูกค้าเช่น วันเกิด, ที่อยู่, และหมายเลขบัตรแต่อย่างใด GoTo เดิมชื่อบริษัท LogMeIn และซื้อ LastPass ไปตั้งแต่ปี 2015 แต่เปลี่ยนชื่อเป็น GoTo หลังจากซื้อกิจการบางส่วนจาก Citrix ที่มา - GoTo
# Amazon เปิดตัว RxPass บริการ subscription รายเดือน รับยาตามใบสั่งแพทย์ไม่จำกัด Amazon เปิดตัวบริการใหม่ RxPass สำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิก Prime ในอเมริกา เป็น subscription ค่าบริการ 5 ดอลลาร์ต่อเดือน โดยสามารถรับยาสามัญตามใบสั่งแพทย์จัดส่งให้ถึงบ้าน รองรับมากกว่า 80 อาการ รวมทั้ง ความดัน, ผมร่วง, วิตกกังวล จนถึงกรดไหลย้อน แบบไม่จำกัด และค่าใช้จ่ายนี้รวมค่าส่งให้ถึงบ้านแล้ว Amazon ประเมินว่าจะมีลูกค้า Prime ประมาณ 150 ล้านคน ที่ขอรับยาผ่านโปรแกรมนี้อย่างน้อยเดือนละครั้ง ซึ่งเมื่อคิดถึงผลประโยชน์แล้ว ช่วยลดค่าใช้จ่าย เวลา และยังได้ดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าด้วย บริการด้านสุขภาพเป็นส่วนธุรกิจที่ Amazon ให้ความสำคัญมากขึ้น เมื่อปลายปีก็เพิ่งเปิดตัวบริการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ Amazon Clinic ที่มา: Amazon
# พบ Microsoft Edge Insider เพิ่มฟีเจอร์ Split Screen แบ่งครึ่งจอซ้าย-ขวา เปิดเว็บคู่กัน มีคนไปค้นพบว่า Microsoft Edge Insider แอบเพิ่มฟีเจอร์ Split Screen แบ่งครึ่งจอเปิดเว็บเพจฝั่งซ้าย-ขวาคู่กัน เหมาะสำหรับเวลาต้องเทียบหน้าเว็บ 2 หน้าพร้อมกัน ฟีเจอร์นี้ถูกเพิ่มเข้ามาเงียบๆ และต้องเปิดใช้จาก flag ชื่อ Microsoft Edge Split Screen ก่อน จากนั้นจะมีปุ่มใหม่บนทูลบาร์ชื่อ split window ขึ้นมาให้กดแบ่งจอเบราว์เซอร์เป็นครึ่งซ้าย-ขวา รูปแบบการใช้งานเหมือนเปิด 2 แท็บที่อยู่ภายใต้ทูลบาร์อันเดียวกัน แต่ช่อง URL/Address จะแยกเป็น 2 ช่องชัดเจน ไมโครซอฟท์ยังไม่เคยพูดถึงฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ และมันอาจเป็นแค่ฟีเจอร์หนึ่งที่ทดสอบแล้วไม่ถูกนำมาใช้จริง ที่มา - Reddit, MSpoweruser
# สิงคโปร์เริ่มให้บริการรถบัสไร้คนขับบนถนนจริงแล้ว ยังต้องมีพนักงานนั่งตลอดเวลา ประเทศสิงคโปร์เริ่มให้บริการรถบัสไร้คนขับบนถนนจริงเป็นครั้งแรก โดยเป็นผลงานของบริษัท MooVita สตาร์ตอัพท้องถิ่นที่ก่อตั้งในปี 2016 รถบัสไร้คนขับคันนี้เรียกว่า MooBus มีที่นั่งผู้โดยสาร 13 คน จะให้บริการระหว่างสถานีรถไฟใต้ดิน MRT King Albert Park ไปยังวิทยาลัย Ngee Ann Polytechnic โดยยังต้องมีพนักงาน safety operator อยู่บนรถตลอดเวลา และต้องทำหน้าที่ขับในบางจังหวะหากสภาพถนนไม่ปกติ (เช่น ซ่อมถนน หรือ มีรถจอดกีดขวาง) ก่อนหน้านี้ MooBus ให้บริการรับส่งคนในวิทยาลัย Ngee Ann มานานหลายปีแล้ว ทางบริษัท MooVita บอกว่าสภาพถนนมีความท้าทายสูง เช่น มีขึ้นลงเนินเขา มีเลี้ยวโค้งแคบๆ ที่ไม่เหมาะกับรถใหญ่ หลังจากทดสอบกับถนนภายในจนพอใจแล้ว ก็ได้รับอนุญาตจากกรมขนส่งทางบกของสิงคโปร์ให้ออกถนนจริง ที่มา - Channel News Asia
# อย.สหรัฐฯ เตรียมปรับวัคซีน COVID-19 เป็นวัคซีนรายปีเหมือนไข้หวัดใหญ่ องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เตรียมประชุมกับกรรมการที่ปรึกษาถึงแนวทางการปรับรูปแบบการใช้วัคซีน COVID-19 ให้ง่ายลง โดยไม่ต้องนับเดือนและติดตามข่าวเป็นรอบๆ แบบทุกวันนี้ แต่อาศัยการอัพเดตวัคซีนรายปีแบบเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แนวทางที่เสนอมาจะเริ่มต้นฉีดวัคซีนสองเข็มแบบเดิม โดยหลังจากนี้ผู้ที่ได้สองเข็มเริ่มต้นมักจะเป็นเด็ก แล้วหลังจากนั้นจะฉีดอัพเดตรายปี โดยคาดว่าจะเลือกสายพันธุ์ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปีจากนั้นวัคซีนที่ปรับสูตรกับสายพันธุ์ที่เลือกมาก็ได้เริ่มใช้งานได้ในเดือนกันยายน ที่ผ่านมาเราได้ยินข่าวสายพันธุ์ไวรัสเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น Omicron นั้นเริ่มพบในปลายปี 2021 และแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แต่เดือนเมษายน 2022 สายพันธุ์ย่อย Omicron BA.2 ก็แพร่มาแทนที่ แต่ในเดือนตุลาคม 2022 สายพันธุ์ที่แพร่หลักๆ ในสหรัฐฯ กลายเป็น ​Omicron BA.4/BA.5 จากนั้นก็มีสายพันธุ์ BQ.1/BQ1.1 และตอนนี้สายพันธุ์ XBB/XBB.1.5 ก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นสัดส่วน 30% ของผู้ติดเชื้อแล้ว FDA จะประชุมกับกรรมการที่ปรึกษาในวันที่ 26 นี้ ที่มา - FDA, NPR
# จำนวนรายการพ็อดแคสต์เกิดใหม่ปี 2022 เหลือแค่ 20% ของปี 2020, จำนวนคนฟังก็เริ่มลดลง Listen Notes เว็บค้นหารายการพ็อดแคสต์ สรุปสถิติจำนวนรายการของปี 2022 ว่ามีรายการเกิดใหม่ 2.2 แสนรายการ (นับทุกภาษาทั่วโลก) ลดลงจากช่วงพีคปี 2020 ที่มีรายการเกิดใหม่ถึง 1 ล้านรายการ (หายไปราว 80% ของปีที่พีค) ปี 2020 เป็นปีที่มี COVID-19 ทุกคนต้องอยู่บ้าน ทำให้มีรายการพ็อดแคสต์เกิดใหม่จำนวนมหาศาล ตัวเลขนี้ลดลงมาในปี 2021 มีรายการเกิดใหม่ 7.3 แสนรายการ ส่วนปี 2022 ลดลงมากจนมีรายการน้อยกว่าปี 2019 เสียอีก (3.4 แสนรายการ) หากนับรายการที่ยังผลิตเนื้อหาอยู่ (active podcast) โดยต้องมีจำนวนตอนใหม่อย่างน้อย 1 ตอนในปีนั้นๆ ตัวเลขของปี 2022 มีเหลืออยู่ 4.8 แสนรายการ และพอขึ้นปี 2023 ลดลงมาเหลือ 3 แสนรายการแล้ว ภาวะนี้อาจไม่น่าแปลกใจนักเพราะช่วงตลาดบูมมากๆ ทุกคนแห่กันมาทำพ็อดแคสต์กันหมด ทำให้คนที่เข้ามาทำเล่นๆ ย่อมหายไป นอกจากนี้ยังมีตัวเลขอีกตัวน่าสนใจ มาจากบริษัทวิจัย Edison Research ที่ระบุว่าจำนวนผู้ฟัง (นับเฉพาะในสหรัฐอเมริกา) เองก็ลดลงเป็นครั้งแรกในปี 2022 ด้วย หลังจากที่ตลาดเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ที่มา - Listen Notes, Nieman Lab
# [ข่าวลือ] แว่น Reality Pro ของแอปเปิลจะตามแทร็คนิ้วมือได้ ไม่จำเป็นต้องใช้คอนโทรลเลอร์ Mark Gurman นักข่าวสายแอปเปิลคนดังของ Bloomberg อัพเดตความคืบหน้าของแว่น Reality Pro ที่ลือกันมานาน ดังนี้ แว่นจะตั้งราคาราว 3,000 ดอลลาร์ ยังตั้งเป้าเปิดตัวช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นปีนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสเลื่อนได้ ตั้งเป้าขายให้ได้ 1 ล้านชิ้นในปีแรก โครงการ Reality Pro อยู่ภายใต้ทีมชื่อ Technology Development Group มีพนักงาน 1,000 คน ทำโครงการนี้มานานกว่า 7 ปีแล้ว จุดเด่นที่ต่างจากแว่นของ Meta คือความสามารถแทร็คสายตาและมือได้ในตัวเลย จากเซ็นเซอร์ภายในและกล้องที่อยู่ด้านนอกตัวแว่น เมื่อติดตามการเคลื่อนไหวของมือได้ ก็สามารถสั่งงานด้วยนิ้วได้ โดยไม่ต้องมีคอนโทรลเลอร์เลย ต่างจากแว่นของค่ายอื่นๆ แว่นรองรับทั้ง VR แสดงเฉพาะภาพในจอ และ AR คือแสดงภาพเสมือนทับลงบนภาพจริงจากกล้อง หน้าจอของแว่นเป็นจอความละเอียดสูงที่พัฒนาโดย Sony ปุ่มควบคุมแว่นเป็นปุ่มเลื่อน Digital Crown ลักษณะเดียวกับบน Apple Watch ใช้สลับโหมดระหว่าง VR/AR ตามต้องการ ฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์อื่นๆ ได้แก่ การประชุมผ่าน FaceTime โดยแสดงผู้ใช้เป็นอวตารเสมือนตัวจริง (ไม่ได้เป็นการ์ตูนแบบของ Meta), การรับชมวิดีโอแบบ immersive, ต่อเป็นจอนอกของเครื่องแมคได้ ที่มา - Bloomberg
# Meta จะถ่ายทอดสดบาสเก็ตบอล NBA แบบ VR หมุนคอชมบรรยากาศได้ 180 องศา Meta ประกาศความร่วมมือกับลีกบาสเก็ตบอล NBA และ WNBA ถ่ายทอดการแข่งขันในโลก VR ผ่านแว่น Meta Quest จุดเด่นของการชมถ่ายทอดกีฬาในโลก VR คือสามารถหมุนคอดูภาพได้กว้าง 180 องศา กว้างกว่าการชมในจอทีวีตามปกติ แต่ก็ยังมีเฉพาะการถ่ายทอดเพียงบางนัดเท่านั้น การรับชมแบบ 180 องศาต้องผ่านแอพชื่อ XTADIUM ที่มีเฉพาะในสหรัฐ (แอพตัวนี้ถ่ายทอดกีฬาประเภทอื่นแบบ 180 องศาด้วย เช่น รถแข่ง NASCAR) และจำเป็นต้องซื้อแพ็กเกจสมาชิก NBA League Pass ด้วย ที่มา - Meta
# Facebook Messenger เพิ่มฟีเจอร์ใหม่หลายรายการ สำหรับแชตเข้ารหัส End-to-end Facebook Messenger ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับแชตเข้ารหัสแบบ end-to-end เพื่อให้การสนทนามีลูกเล่นที่มากขึ้น โดยของใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ ธีมห้องแชต ใส่ลูกเล่นสีได้, เพิ่มอีโมจิ reaction แบบ custom, สร้างโปรไฟล์ที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มแชต, พรีวิวลิงก์, แสดงสถานะ Active และรองรับ Bubble เมื่อมีข้อความใหม่ สำหรับผู้ใช้ Android นอกจากนี้ Facebook จะเริ่มทดสอบให้การแชตแบบเข้ารหัสเป็นค่าเริ่มต้น โดยทยอยมีผลกับผู้ใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ที่มา: Facebook
# Apple อัพเดตแพตช์ความปลอดภัยอุปกรณ์เก่า iOS 15.7.3 และ 12.5.7 รวมทั้ง Big Sur 11.7.3 นอกจากอัพเดตระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุด iOS 16.3 และ macOS Ventura 13.2 แอปเปิลยังออกอัพเดตความปลอดภัยให้กับ iOS และ macOS เวอร์ชันเก่า สำหรับอุปกรณ์ที่ไม่สามารถอัพเดตมาเป็นเวอร์ชันล่าสุดได้ด้วย มีรายละเอียดดังนี้ iOS 15.7.3 สำหรับ iPhone 6s ทุกรุ่น, iPhone 7 ทุกรุ่น, iPhone SE (1st Gen) และ iPod touch (7th Gen) iPadOS 15.7.3 สำหรับ iPad Air 2, iPad mini (4th Gen) iOS 12.5.7 สำหรับ iPhone 5s, iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPad Air, iPad mini 2, iPad mini 3 และ iPod touch (6th Gen) macOS Monterey 12.6.3 และ macOS Big Sur 11.7.3 ช่องโหว่ความปลอดภัยที่แก้ไข แตกต่างกันไปในรายละเอียดของแต่ละระบบปฏิบัติการ ทั้งช่องโหว่ระดับเคอร์เนล, Mail Exchange, WebKit ผู้ใช้งานอุปกรณ์รุ่นเก่าจึงแนะนำให้อัพเดตเพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว ที่มา: แอปเปิล ผ่าน 9to5Mac
# Spotify ประกาศปลดพนักงาน 6% Spotify ประกาศปลดพนักงาน 6% มีผลกับพนักงานในทุกฝ่ายทั้งบริษัท โดยตัวเลขพนักงานทั้งหมดที่ Spotify เคยรายงานในผลการดำเนินงานล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 9,800 คน ทั้งนี้ซีอีโอ Daniel Ek ใช้คำอธิบายเหมือนกับ Sundar Pichai ซีอีโอกูเกิล ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำให้บริษัทต้องออกประกาศปลดพนักงานนี้ อยู่ในความรับผิดชอบของเขาเอง Spotify ยังประกาศปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยฝ่ายวิศวกรรมที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ และฝ่ายที่ดูแลส่วนธุรกิจจะรวมเป็นฝ่ายเดียวกัน นอกจากนี้ Dawn Ostroff หัวหน้าฝ่ายดูแลคอนเทนต์ ซึ่งที่ผ่านมามีบทบาทสำคัญกับส่วนพอดคาสต์ (Spotify ระบุว่าโตขึ้น 40 เท่า) ได้ลาออกจากบริษัท ที่มา: Spotify
# iOS 16.3 และ iPadOS 16.3 มาแล้ว: รองรับ Security Keys กับ Apple ID แอปเปิลออกอัพเดตระบบปฏิบัติการ iOS 16.3 และ iPadOS 16.3 รวมทั้งระบบปฏิบัติการอื่นในเครือ มีรายละเอียดของใหม่ดังนี้ Apple ID รองรับการล็อกอินด้วย Security Keys ปรับปรุงหน้าตา HomePod Handoff และรองรับ HomePod รุ่นใหม่ Emergency SOS ปรับขั้นตอนการกดเรียก เพื่อป้องกันปัญหาพลาดกดโดน ขยายการรองรับ Advanced Data Protection บน iCloud ไปยังผู้ใช้ทั่วโลก เพิ่มภาพพื้นหลัง และหน้าจอล็อกธีม Black Unity เพื่อเฉลิมฉลองเดือนแห่งประวัติศาสตร์ชาวผิวดำ แก้ปัญหาบั๊ก Freeform, บั๊กวอลล์เปเปอร์สีดำในหน้าล็อกจอ, แก้ปัญหาจอมีขีดเส้นตรงใน iPhone 14 Pro Max และปรับปรุงช่องโหว่ความปลอดภัยหลายรายการ ผู้ใช้งานสามารถอัพเดตได้โดยไปที่ Settings > General และเลือก Software Update แอปเปิลยังออกอัพเดตระบบปฏิบัติการอื่นดังนี้ macOS Ventura 13.2 รองรับ Security Keys ของ Apple ID และแก้ไขบั๊กกับปรับปรุงช่องโหว่ความปลอดภัย watchOS 9.3 เพิ่มฟีเจอร์ทั่วไป และแก้ไขบั๊ก อัพเดต แอปเปิลออกอัพเดตระบบปฏิบัติการเพิ่มเติมในเช้าวันพุธที่ 25 มกราคม ดังนี้ HomePod 16.3 เพิ่มฟีเจอร์สำหรับ HomePod รุ่นใหม่ และรองรับตัววัดความชื้น (ที่มา) tvOS 16.3 ปรับปรุงการทำงานทั่วไป (ที่มา) ที่มา: MacRumors [1], [2], [3]
# ไมโครซอฟท์ลงทุนใน OpenAI เพิ่ม "หลายพันล้านดอลลาร์" ต่อสัญญาเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายเดียว ไมโครซอฟท์ประกาศลงทุนใน OpenAI เพิ่มเติมอีกหลายพันล้านดอลลาร์ กระจายเงินลงทุนไปหลายปีโดยไม่ระบุทั้งมูลค่าเต็มและระยะเวลา (มีข่าวลือว่ามูลค่าถึงหมื่นล้านดอลลาร์แต่ไมโครซอฟท์ไม่ระบุในประกาศ) นับเป็นการประกาศการลงทุนครั้งที่สาม หลังจากลงทุนในปี 2019 และ 2021 โดยความร่วมมือมี 3 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้าง ไมโครซอฟท์จะลงทุนพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์สำหรับปัญญาประดิษฐ์ของ OpenAIโดยเฉพาะเพื่อให้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ใหม่ๆ ได้เต็มที่ OpenAI จะให้บริการปัญญาประดิษฐ์ต่างๆ ผ่านทางบริการของไมโครซอฟท์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งระดับองค์กรอย่าง Azure OpenAI Service หรือบริการระดับผู้ใช้ทั่วไปอื่นๆ OpenAI จะใช้ Azure เพียงรายเดียวในการให้บริการต่างๆ ประกาศครั้งนี้ยังไม่พูดถึงบริการใหม่ๆ โดยเฉพาะ ChatGPT ว่าไมโครซอฟท์จะทำมาให้บริการเมื่อใด แต่ไมโครซอฟท์ก็ระบุว่าตอนนี้ ChatGPT, DALL·E 2, หรือ GitHub Copilot นั้นก็เทรนและรันอยู่บน Azure อยู่แล้ว ที่มา - Microsoft
# งานวิจัยเผย ChatGPT สอบผ่านหรือเกือบผ่านใบประกอบวิชาชีพแพทย์ของสหรัฐ มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์บน medRxiv ชี้ว่า ChatGPT สามารถสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพแพทย์ของสหรัฐ (U.S. Medical Licensing Examination - USMLE) โดย USMLE จะมี 3 ชุดทดสอบย่อย ความแม่นยำในการวินิจฉัย เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 50% และในหลายๆ การวินิจฉัยก็แม่นยำถึง 60% ด้วย ทีมวิจัยเผยว่าในแต่ละปี ระดับคะแนนในแต่ละปีที่ถือว่าผ่านจะไม่เท่ากัน แต่เฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 60% และคำวินิจฉัยค่อนข้างมีความเข้าใจและมีคำอธิบายที่สอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล (a high level of concordance and insight in its explanations) ซึ่งก็ถือว่า ChatGPT ผ่านหรือเกือบผ่านการสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ โดยที่ไม่มีการเทรนด์หรือ reinforce เพิ่มใดๆ ที่มา - medxriv.org via Med Page Today
# Rentokil บริษัทกำจัดสัตว์รบกวน เตรียมนำ AI มาใช้จำใบหน้าหนูแต่ละตัว เพื่อวางแผนกำจัด Rentokil บริษัทด้านความสะอาด-กำจัดสัตว์รบกวน (pest control) เตรียมนำเทคโนโลยี AI จดจำใบหน้ามาใช้กับสิ่งที่เราอาจคาดไม่ถึง นั่นคือ "ใบหน้าของหนู" รูปแบบการใช้งานคือตั้งกล้องไว้ตามจุดต่างๆ ของอาคาร แล้วส่งภาพเข้าไปวิเคราะห์พฤติกรรมของหนูแต่ละตัว การแยกแยะใบหน้าของหนูได้ทำให้เรารู้พฤติกรรมของหนูอย่างแม่นยำ เช่น ชอบมาบริเวณไหน ชอบกินอะไร นำไปสู่การวางแผนได้ว่าจะจัดการหนูแต่ละตัวที่ไหน อย่างไร เทคโนโลยีของ Rentokil เกิดจากการซื้อกิจการสตาร์ตอัพและบริษัทด้านกำจัดสัตว์หลายราย โดยรายล่าสุดคือ Eitan Amichai จากอิสราเอล ช่วยให้บริษัทมีเทคโนโลยีดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด และตอนนี้เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับไซต์ของลูกค้าบางรายแล้ว ที่มา - Financial Times, ภาพจาก Rentokil
# ทีมสร้าง Dead Space Remake บอกเกมน่ากลัวมาก ไม่กล้าเล่นตอนกลางคืนคนเดียว David Robillard ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของเกม Dead Space Remake ที่พัฒนาโดยสตูดิโอ Motive ในเครือ EA ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Play ว่าเกมภาครีเมคจะ "น่ากลัวมาก" ถึงขั้นว่าตัวเขาเองในฐานะทีมงาน ยังไม่กล้าเล่นคนเดียวตอนกลางคืน โดยใส่หูฟังไปด้วยเลย Dead Space เป็นเกมสยองขวัญแนวไซไฟ ที่ตัวละครไปติดอยู่ในยานอวกาศ Ishimura ที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์น่ากลัว เกมภาคแรกออกในปี 2008 และประสบความสำเร็จอย่างมาก (คะแนนรีวิวเฉลี่ย 86/100 บนพีซี) เกมภาคหลักมีด้วยกัน 3 ภาค (ภาคสุดท้ายออกปี 2013) Robillard บอกว่าเกมภาครีเมคใช้ทั้งเอฟเฟคต์ เสียง ดนตรีประกอบเบื้องหลัง และระบบการเล่นอื่นๆ ร่วมกันเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่น่ากลัวมากที่สุดแก่ผู้เล่น เกม Dead Space Remake มีกำหนดวางขาย 27 มกราคม 2023 ที่มา - GamesRadar+
# The Last of Us Part I และ Remastered ยอดขายพุ่งหลังกระแสซีรีส์ HBO ดี มีรายงานยอดขายเกมรายสัปดาห์ในสหราชอาณาจักร โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว The Last of Us Part I ทำยอดขายพุ่งขึ้น 238% เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่เวอร์ชัน Remastered บน PS4 ก็ยอดขายพุ่งขึ้น 322% หลังซีรีส์ตอนแรกออกฉายและกระแสดีมาก เช่นเดียวกับบน Amazon ที่ The Last of Us Part II ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มเกมขายดีบน PlayStation 4 แซง Hogwarts Legacy ที่มาแรงก่อนหน้านี้ ขณะที่ The Last of Us Remaster ก็ขึ้นมาอยู่อันดับ 5 (แต่ในกลุ่มเกม PlayStation 5 ไม่ติดอันดับ) ที่มา - Amazon, GameIndustry
# GitHub ประกาศหยุดรองรับ Subversion ช่วงต้นปี 2024 หลายคนอาจไม่รู้ว่า GitHub รองรับบริการจัดการซอร์สโค้ดตัวอื่นนอกจาก Git ด้วย นั่นคือ Subversion (SVN) ที่เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2010 ด้วยเหตุผลว่าในยุคนั้น Git ยังเป็นของใหม่ และ Subversion ยังถูกใช้งานแพร่หลายอยู่มาก ล่าสุด GibHub ประกาศหยุดซัพพอร์ต Subversion แล้ว โดยจะมีผลในวันที่ 8 มกราคม 2024 (อีก 1 ปีถัดจากนี้) เพื่อให้ลูกค้าเก่ามีเวลาย้ายระบบ GitHub บอกว่าปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Subversion ในระบบน้อยมากแล้ว ถ้านับเป็นจำนวน request มีเพียง 0.02% เท่านั้น และมี repository เพียง 5,000 รายการที่ยังถูก request อย่างน้อยหนึ่งครั้งในแต่ละเดือน บริษัทจึงตัดสินใจปิดบริการนี้เพื่อลดภาระในการดูแลระบบลง และแนะนำให้ย้ายมาเป็น Git แทน ที่มา - GitHub
# ซีอีโอ OpenAI ปฏิเสธข่าวลือ GPT-4 บอกว่าเดี๋ยวถึงเวลาก็ออกมาเอง อย่าคาดหวังมากเดี๋ยวผิดหวัง Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ไปขี้นเวทีงานของ StrictlyVC พูดถึงอนาคตของโมเดล AI ในสังกัดคือ GPT-4 ที่ถูกพูดถึงกันมาก โดยเขาไม่ยอมบอกว่าจะออกเมื่อไรและมีพารามีเตอร์จำนวนเท่าไร เพื่อลดกระแสความคาดหวังของผู้คนลง โมเดล GPT-3 เปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 จากนั้นได้อัพเกรดเป็น GPT-3.5 ตัวที่ใช้ใน ChatGPT ในปี 2022 ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก ทำให้ผู้คนคาดหวังกันมากว่า GPT-4 จะพัฒนาไปจากปัจจุบันอีกมาก Altman บอกว่า GPT-4 จะออกสักวันแหละ (It’ll come out at some point) เมื่อทีมพัฒนามั่นใจแล้วว่าสามารถตอบคำถามได้อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบมากพอ เขายังบอกว่าตัวเลขพารามีเตอร์ของ GPT-4 ที่มีข่าวลือพูดๆ กันนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ (complete bullshit) เขาไม่รู้ว่าข่าวพวกนี้มาจากไหน คนที่คาดกันว่า OpenAI สร้างปัญญาประดิษฐ์แบบครอบจักรวาล (artificial general intelligence หรือ AGI) จะต้องผิดหวัง ประเด็นอื่นที่เขาพูดถึงคือ ปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้สร้างวิดีโอ (ซึ่ง Google และ Meta กำลังทำอยู่) ว่าเป็นสิ่งที่ OpenAI จะพยายามทำเช่นกัน เป็นหัวข้อวิจัยที่ดี แต่ไม่รู้ว่าจะได้เห็นเมื่อไร นอกจากนี้ยังมีประเด็นว่า OpenAI จะลองปรับค่าบางอย่างให้ GPT เพื่อแก้ปัญหาการโกงข้อสอบ ซึ่งน่าจะช่วยได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วสังคมมนุษย์ต้องปรับตัวเข้าหา generated text กันอยู่ดี เหมือนกับที่ปรับตัวให้เข้ากับเครื่องคิดเลขมาก่อนแล้ว Altman ยังบอกว่าการพูดว่า ChatGPT จะมาฆ่ากูเกิลเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การบอกว่าเทคโนโลยีใดๆ จะมาทำลายบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นสิ่งที่มักผิดอยู่แล้ว และต้องไม่ลืมว่ากูเกิลมีคนเก่งๆ ฉลาดๆ อยู่มาก ซึ่งพวกเขาจะพัฒนาบางสิ่งมาตอบโต้ของใหม่แบบนี้ได้ ที่มา - The Verge
# SQLite ปล่อยเวอร์ชั่น HC-Tree รองรับการเขียนพร้อมกันหลายโปรเซส ยังอยู่ในขั้นทดลอง SQLite นับเป็นระบบฐานข้อมูล SQL ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตัวหนึ่งโดยความได้เปรียบคือขนาดเล็ก แต่ข้อจำกัดคือการเขียนข้อมูลลง SQLite นั้นไม่รองรับการเขียนแบบขนาน ทำให้มันไม่เหมาะกับโหลดที่ต้องการเขียนข้อมูลเยอะมากๆ ตอนนี้ทาง SQLite ก็ปล่อยเวอร์ชั่นทดสอบ HC-Tree ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นเมื่อมีโปรเซสเข้ามาเขียนข้อมูลพร้อมกันหลายตัว เดิมนั้น SQLite ล็อกฐานข้อมูลขนาดเขียนที่ระดับไฟล์ทำให้การเขียนแบบขนานทำได้แย่มากๆ แต่ตอนนี้ก็มีส่วนขยาย bcw2 (begin-concurrent and wal2) ที่ล็อกข้อมูลที่ระดับ page ทำให้รองรับการเขียนแบบขนานได้ดีขึ้น แต่ HC-Tree นั้นจะล็อกข้อมูลที่ระดับ row ทำให้รองรับการเขียนข้อมูลแบบขนานได้เต็มรูปแบบเหมือนฐานข้อมูลตัวอื่นๆ รองรับการเขียนระดับล้าน transaction ต่อวินาทีได้โดยจำกัดที่ซีพียูและแบนวิดท์หน่วยความจำ ตอนนี้เวอร์ชั่น HC-Tree ยังอยู่ในระดับทดลองเท่านั้นและยังอิมพลีเมนต์ฟีเจอร์ไม่ครบถ้วน แต่ก็เริ่มทดสอบได้บ้างแล้ว ที่มา - SQLite
# Mercedes-Benz ได้รับอนุมัติให้ใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติ L3 เป็นรายแรกในสหรัฐ Mercedes-Benz ระบุว่าเป็นแบรนด์รถยนต์รายแรกในตลาดสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติ Level 3 บนถนนจริงแล้ว ระบบนี้คือ Drive Pilot ที่ Mercedes-Benz นำมาโชว์ตั้งแต่ต้นปี 2022 และได้รับอนุมัติให้ใช้งานในเยอรมนีมาก่อนแล้ว (มีใน S-Class และ EQS) ข้อจำกัดตอนนี้คือยังได้รับอนุมัติเฉพาะถนนในรัฐเนวาดาเพียงรัฐเดียว และจำกัดที่ความเร็วไม่เกิน 40 ไมล์ต่อชั่วโมง (64 กม./ชม.) เท่ากับว่าใช้ในช่วงรถติดเป็นหลัก ผู้ขับขี่สามารถนั่งโดยไม่ต้องจับพวงมาลัย แต่ต้องไม่หลับ เพราะรถอาจขอให้กลับมาขับแทนได้ตลอดเวลา และถ้าไม่ตอบสนองภายใน 10 วินาที รถยนต์จะหยุดฉุกเฉิน ในสหรัฐมีบริการแท็กซี่ไร้คนขับที่เป็น Level 4 อย่าง Waymo หรือ Cruise อยู่ก่อนแล้ว แต่กรณีของรถนั่งส่วนบุคคล เพิ่งมี Mercedes-Benz เป็นรายแรกที่ได้ Level 3 แบบจำกัดพื้นที่ ซึ่งบริษัทระบุว่าจะขออนุญาตในรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นลำดับถัดไป ที่มา - Carscoops, ภาพจาก Mercedes-Benz
# Thinkst Canary เปิดบริการเลขบัตรเครดิตปลอม เอาไว้วางล่อว่าข้อมูลหลุดเมื่อใด Thinkst Canary บริษัทให้บริการความปลอดภัยไซเบอร์ด้วยแนวทางขุดบ่อล่อ (honeypot) เปิดบริการเลขบัตรเครดิตปลอมที่จะแจ้งเตือนเมื่อมีการใช้งาน สำหรับวางไว้ร่วมกับข้อมูลอื่นว่าไฟล์หลุดหรือไม่ Canarytoken เดิมมีโทเค็นแบบอื่นๆ เพื่อล่อแฮกเกอร์แบบนี้อยู่แล้ว เช่น กุญแจ AWS, DNS (ตรวจสอบว่าโดเมนถูกคิวรี), หรืออีเมล แต่เพิ่งเพิ่มบริการเลขบัตรเครดิต บริการนี้เป็นบริการฟรี แนวทางการใช้งานเลขบัตรเครดิตปลอมแบบนี้อาจจะใส่ไปในฐานข้อมูลผสมกับข้อมูลลูกค้า หากเลขบัตรนี้ถูกใช้งานก็แสดงว่าฐานข้อมูลชุดนั้นรั่วไหล หรืออาจจะใช้ตรวจสอบกับพนักงานภายในว่าทำข้อมูลหลุดหรือเอาข้อมูลที่มีคนเผลอส่งให้ไปใช้งานหรือไม่ ที่มา - Thinkst
# ธนาคารปรับขั้นต่ำโอนเงินเข้าออก Binance ที่ 100,000 ดอลลาร์ Signature Bank ธนาคารที่ Binance เป็นพันธมิตรสำหรับการโอนเงินผ่านเครือข่าย SWIFT ปรับนโยบายการส่งคำสั่งโอนเงินเข้าออกจากตลาดซื้อขายคริปโตทั่วโลก ให้มีขั้นต่ำการโอนครั้งละ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ลูกค้าตลาดคริปโตรายย่อยได้รับผลกระทบ นโยบายใหม่นี้มีผลวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ดังนั้นหากใครยังต้องการโอนเงินกลับมาก็ยังพอมีเวลาอยู่ และตอนนี้ทาง Binance ก็กำลังหาพันธมิตรรายอื่นที่ยอมรับทำธุรกรรมโอนเงิน Signature Bank เป็นธนาคารที่เคยมีท่าทีเป็นมิตรกับบริษัทคริปโตมาก่อน และมีบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคริปโตมูลค่าสูงมาก FTX ที่เพิ่งล้มละลายไปก็เป็นลูกค้าของธนาคารเช่นกัน รายงานล่าสุดเงินฝากของธนาคารเกี่ยวกับคริปโตประมาณ 23.5% จากเงินฝากรวม 103,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยธนาคารตั้งเป้าจะลดสัดส่วนนี้ให้เหลือ 15-20% หรืออาจจะต่ำกว่านั้น ที่มา - Asia Markets
# WSJ มอง Apple ไม่น่าปลดพนักงานลอตใหญ่แบบบริษัท Tech อื่น เหตุที่ผ่านมารับพนักงานเพิ่มไม่มาก จากข่าวการประกาศปลดพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ตั้งแต่ต้นปี ไล่มาตั้งแต่ Amazon 18,000 คน ไมโครซอฟท์ 10,000 คน และล่าสุด กูเกิล 12,000 คน ทำให้เหลือหนึ่งบริษัทใหญ่ที่ยังไม่มีข่าวดังกล่าวออกมานั่นคือ แอปเปิล อย่างไรก็ตาม The Wall Street Journal รวบรวมข้อมูลและมองว่า แอปเปิลไม่น่ามีประกาศปลดพนักงานชุดใหญ่ เหตุผลสำคัญคือ ในช่วงที่ผ่านมาของการระบาดโควิด 19 ซึ่งนับตั้งแต่ปลายปี 2019 จนถึงปลายปี 2022 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างรับพนักงานเพิ่มเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในเวลานั้น Amazon มีพนักงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว ขณะที่ไมโครซอฟท์เพิ่มขึ้น 53% Alphabet บริษัทแม่ของกูเกิลเพิ่มขึ้น 57% Meta บริษัทแม่ของ Facebook เพิ่มขึ้น 94% ส่วนแอปเปิลเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคือเพิ่มขึ้น 20% จำนวนพนักงานเต็มเวลาของแอปเปิลล่าสุด อยู่ที่ราว 164,000 คน โดยเกือบ 40% เป็นพนักงานประจำร้าน Apple Store ทั่วโลก แอปเปิลเองก็เคยประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 1997 โดยปลดพนักงานเกือบ 4,100 คน หลังจากสตีฟ จ็อบส์ กลับเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอ และมีการปรับโครงสร้างบริษัท นักวิเคราะห์จาก D.A. Davidson & Co. มองว่าช่วงที่ผ่านมา แอปเปิลอาจมีการลดพนักงานบ้างแล้ว แต่ไม่ถึงกับต้องประกาศปลดชุดใหญ่ อาจมาในรูปแบบไม่รับคนมาแทนที่ตำแหน่งเมื่อมีคนลาออก หรือปลดจากการประเมินงาน ส่วนผู้จัดการกองทุนจาก Synovus Trust Co. มองว่า แอปเปิลแตกต่างจากบริษัทอื่น เนื่องจากไม่มีการลงทุนโครงการที่ใช้เงินลงทุนตั้งต้นสูง แบบหวังผลเติบโตทางธุรกิจในอนาคตเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น โดยโครงการใหญ่ที่แอปเปิลมีตอนนี้คือโครงการเฮดเซต AR/VR และโครงการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ที่มา: The Wall Street Journal
# Google Meet จับมือ Zoom ให้ฮาร์ดแวร์ประชุมออนไลน์ ใช้งานโปรแกรมข้ามค่ายได้ กูเกิลประกาศความร่วมมือกับ Zoom ให้ฮาร์ดแวร์ประชุม Google Meet ใช้คุยวิดีโอคอลล์ข้ามกับ Zoom ได้ ในทางกลับกัน ฮาร์ดแวร์แบรนด์ Zoom Rooms ก็ใช้คุยผ่าน Google Meet ได้เช่นกัน เมื่อปี 2021 กูเกิลมีความร่วมมือแบบเดียวกันกับ Cisco ให้ฮาร์ดแวร์ Meet กับ Webex คุยกันได้ ข้อดีของความร่วมมือแบบนี้คือลูกค้าองค์กรที่ลงทุนซื้อฮาร์ดแวร์สำหรับการประชุมออนไลน์ ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อชุดแยกเมื่อต้องคุยผ่านโปรแกรมวิดีโอคอลล์อื่น (ในกรณีที่องค์กรพาร์ทเนอร์ใช้ตัวอื่น) ที่มา - Google Workspace Updates
# ChatGPT เวอร์ชัน Pro มาแล้ว คิดเงิน 42 ดอลลาร์ต่อเดือน ตอบสนองเร็วกว่าเวอร์ชันฟรี OpenAI เปิดบริการ ChatGPT แบบ Professional Plan ตามที่ออกแบบสอบถามก่อนหน้านี้ คิดราคาเดือนละ 42 ดอลลาร์ แลกกับการใช้งานที่ไม่ติดลิมิตช่วงคนใช้เยอะๆ ได้คำตอบเร็วกว่าเวอร์ชันฟรี และได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ในอนาคตก่อนคนอื่น แผนการเก็บเงิน ChatGPT เป็นส่วนสำคัญของโมเดลการหารายได้ของ OpenAI ที่คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 200 ล้านดอลลาร์ มีคนเอาราคา 42 ดอลลาร์ไปถาม ChatGPT ว่าคิดอย่างไร คำตอบที่ได้คือ "แพงไป" ราคาที่เหมาะสมคือ 15-20 ดอลลาร์
# ไมโครซอฟท์สั่งปิด AltspaceVR บริการโซเชียลโลกเสมือนที่ซื้อมาปี 2017 ไมโครซอฟท์สั่งปิด AltspaceVR บริการโซเชียลโลกเสมือนที่ซื้อกิจการมาตั้งแต่ปี 2017 (แต่ไม่น่ามีใครรู้จัก) โดยเป็นส่วนหนึ่งของการปลดพนักงานรอบล่าสุด 10,000 คน AltspaceVR เป็นบริการโซเชียลในโลก VR สร้างอวตารมาพูดคุยกัน (ลักษณะเดียวกับ Horizon Worlds ของ Meta) แต่ใช้ได้กับแพลตฟอร์มหลากหลาย ทั้ง Oculus, HTC Vive, Windows Mixed Reality และใช้งานบนเดสก์ท็อปแบบไม่ต้องใส่แว่นก็ได้ เหตุผลที่ AltspaceVR ถูกสั่งปิดเป็นเพราะซ้ำซ้อนกับบริการอีกตัวคือ Microsoft Mesh ที่เปิดตัวในปี 2021 ที่นำมาเชื่อมต่อกับการประชุมใน Microsoft Teams และเป็นพันธมิตรธุรกิจกับ Meta Quest ด้วย AltspaceVR จะปิดตัววันที่ 10 มีนาคม 2023 ตัวคอนเทนต์ที่ถูกสร้างขึ้นในโลกเสมือนจะสามารถดาวน์โหลดเก็บไว้ได้ ที่มา - AltspaceVR, VentureBeat
# 343 Industries ยืนยัน ยังทำหน้าที่พัฒนาเกม Halo ต่อไปตามเดิม 343 Industries ออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าจะไม่ได้พัฒนาเกม Halo ต่อ โดย Pierre Hintza หัวหน้าสตูดิโอคนปัจจุบัน อธิบายสั้นๆ แค่ว่า 343 Industries จะยังทำหน้าที่พัฒนาเกม Halo ต่อไป 343 Industries ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานของไมโครซอฟท์ที่ถูกปลดคนออกจำนวนหนึ่ง เคียงคู่ไปกับ Bethesda ที่ถูกปลดคนออกเช่นกัน
# ผู้พัฒนา Tweetbot ประกาศปิดตัวแอป พร้อมเดินหน้าต่อสู่ Ivory ไคลเอนต์ของ Mastodon Tapbots บริษัทผู้พัฒนา Tweetbot ไคลเอนต์ Twitter ยอดนิยมตัวหนึ่ง ประกาศการปิดตัวของแอป หลังจาก Twitter ได้อัพเดตข้อตกลงการใช้งาน API สำหรับนักพัฒนา ที่ห้ามไม่ให้สร้างแอปไคลเอนต์ Tapbots บอกว่าผู้ใช้งานที่ได้ผลกระทบจากประกาศดังกล่าวมีระดับหลายแสนคน ตัวแอป Tweetbot ให้บริการมามากกว่า 10 ปี ทีมนักพัฒนาขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและข้อเสนอแนะที่มีมาโดยตลอด แต่การสิ้นสุดก็คือการเริ่มต้น Tapbots บอกว่าตอนนี้ทีมงานได้พัฒนาแอปใหม่ Ivory ที่รองรับการทำงานกับ Mastodon โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ให้ผู้ใช้นำซอฟต์แวร์ไปตั้งเซิร์ฟเวอร์ได้เอง ซึ่งตัวแอปจะนำข้อดีทุกอย่างจาก Tweetbot มาใส่ไว้ในแอป สามารถติดตามรายละเอียดได้จากบัญชี Mastodon ทั้งของ @tapbots และ @ivory ที่มา: Tapbots
# ฟีเจอร์ใหม่ Twitter ชุดใหญ่: แถบ List, เตรียมเพิ่ม Subscription ไม่มีโฆษณา และอื่น ๆ Elon Musk ซีอีโอ Twitter เปิดเผยฟีเจอร์ใหม่ ๆ ในบริการ รวมทั้งฟีเจอร์ที่อยู่ในแผนงานอนาคต โดยฟีเจอร์แรกคือการสร้างแถบที่ 3 เพิ่มจาก For You กับ Following แต่การเพิ่มแถบมีขั้นตอนเล็กน้อย โดยต้องไปที่ List ที่เราต้องการจากหน้าโปรไฟล์ และกดไอคอน Pin จะทำให้ List นั้น มาเป็นแถบที่ 3 ในหน้าหลัก (ดูตัวอย่างด้านล่าง) Musk ยังบอกว่าในอัพเดตถัดไปของ Twitter แอปจะจดจำว่าผู้ใช้งานอยู่ในตำแหน่งสุดท้ายที่แถบไหน เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งก็เริ่มที่แถบนั้นต่อ จากเดิมจะไปที่ For You เสมอ คุณสมบัติต่อมาคือการเซฟทวีตด้วย Bookmark ได้จากหน้ารายละเอียดของทวีต การทำงานของ Bookmark ต่างจาก Like ตรงที่ Bookmark จะเป็น private และไม่แสดงผลกับคนที่ติดตามเหมือนการกด Like อีก 2 คุณสมบัติซึ่ง Musk บอกว่า อยู่ในขั้นตอนพัฒนาและจะอัพเดตในอนาคต อย่างแรกคือระบบโฆษณา เขาบอกว่าโฆษณาบน Twitter ปัจจุบัน แสดงถี่และกินพื้นที่มาก ต้องได้รับการปรับปรุง นอกจากนี้ยังเตรียมเพิ่ม Subscription ตัวใหม่ที่ราคาสูงกว่าปัจจุบัน แต่ได้ปิดการแสดงผลโฆษณามาเพิ่มเติม ส่วนอีกคุณสมบัติ Twitter จะเริ่มแนะนำทวีตที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดยแปลเป็นภาษาของผู้ใช้งานให้พร้อม เขาบอกว่าแต่ละวันมีทวีตที่สนุกและบันเทิงจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น ที่มา: The Verge
# ทีมพัฒนา Fuchsia และโครงการ Area 120 ได้รับผลกระทบหนัก จากประกาศปลดพนักงาน Google มีรายงานเพิ่มเติมของการปลดพนักงานกูเกิล 12,000 คน ที่บริษัทเพิ่งประกาศไป ว่าทีมที่ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก คือทีมที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Fuchsia ซึ่งถูกปลดคิดเป็น 16% ของพนักงานทั้งหมดประมาณ 400 คน ซึ่งมากกว่าตัวเลขภาพรวมที่กูเกิลบอกว่า 6% ทั้งนี้ฝ่ายที่ถูกปลดในช่วงแรกมีผลทันที เป็นพนักงานที่อยู่ในอเมริกา ส่วนประเทศอื่น กูเกิลบอกอยู่ในขั้นตอนดำเนินการตามกฎหมายท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าพนักงานใน Area 120 โครงการบ่มเพาะนวัตกรรมของกูเกิล ก็ได้รับผลกระทบมากในการปลดพนักงานรอบนี้ จากปีที่แล้วลดขนาดโครงการลงครึ่งหนึ่ง ก็ถูกสั่งให้ตัดเหลือเพียง 3 โครงการ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ AI และโครงการทั้งหมดจะต้องจบการศึกษา (Graduate) เพื่อนำมารวมกับผลิตภัณฑ์ของกูเกิลให้ได้ภายในปีนี้ ที่มา: 9to5Google
# ซีอีโอ Obsidian Entertainment บอกอยากกลับมาทำ Fallout อีกสักภาคก่อนเกษียณ Feargus Urquhart คือผู้ก่อตั้งสตูดิโอเกม 2 แห่ง ได้แก่ Black Isle Studios ในปี 1996 (ทำเกม Fallout 2 ภาคแรก) จากนั้นลาออกมา Obsidian Entertainment ในปี 2003 ถึงแม้สิทธิการสร้างเกม Fallout ภายหลังย้ายไปอยู่กับ Bethesda (และ Obsidian ได้ทำภาคแยก New Vegas ในปี 2010 ในฐานะสตูดิโอภายนอกที่รับไลเซนส์จาก Bethesda) แต่สุดท้ายชะตาชีวิตของ Urquhart ก็กลับมาเจอกับ Fallout อีกครั้ง เพราะไมโครซอฟท์ซื้อทั้ง Bethesda และ Obsidian มาอยู่ใต้ร่มเดียวกัน คำถามที่เขาถูกถามบ่อยๆ จึงหนีไม่พ้นว่า เมื่อไรที่ทีมงานต้นฉบับอย่าง Obsidian จะทำ Fallout ภาคใหม่สักที? คำตอบของ Urquhart ที่ให้สัมภาษณ์ล่าสุดคือตอนนี้ยังไม่มีแผนทำ เพราะสตูดิโอวุ่นกับการทำ 3 เกมพร้อมกัน (Grounded, Avowed และ The Outer Worlds 2) ก็เยอะพอแล้ว แต่เขาก็ให้ความหวังกับแฟนๆ ว่าเขาฝันอยากทำ Fallout อีกสักภาคก่อนเกษียณอายุตัวเองแน่นอน ตอนนี้เขาอายุ 52 ปีแล้ว แม้ยังไม่ตั้งเป้าว่าจะเกษียณตอนไหนก็ตาม ขอให้แฟนๆ รอกันต่อไป ทีมงานฝั่ง Bethesda เคยออกมาพูดว่าจะออก Fallout 5 ในอนาคต แต่ต้องรอหลังทำ The Elder Scrolls 6 ให้เสร็จก่อน ส่วน Obsidian ก็เคยมีข่าวลือว่าจะเป็น Fallout ภาค New Vegas 2 หรือภาคต่อในลักษณะเดียวกัน ที่มา - GamePressure
# บริษัทเกมมือถือ Playtika เสนอซื้อกิจการ Rovio ผู้สร้างเกม Angry Birds Playtika บริษัทเกมมือถือแนวพัซเซิล-คาสิโนจากประเทศอิสราเอล ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการ Rovio Entertainment ผู้สร้างเกม Angry Birds ในราคาราว 813 ล้านดอลลาร์ แพงกว่าราคาหุ้น Rovio ในตลาดหลักทรัพย์ฟินแลนด์ 55% Playtika บอกว่าสนใจแฟรนไชส์เกมในสังกัด Rovio และต้องการนำมาขยายสู่ฐานผู้เล่นที่กว้างขึ้น และนำมาผนวกกับแนวทางการหารายได้ของ Playtika ที่เชี่ยวชาญเกมแนวคาสิโน-สล็อตแมชีน (ปัจจุบัน Playtika ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ของสหรัฐ) ฝั่ง Rovio บอกว่าเพิ่งทราบถึงข้อเสนอซื้อกิจการครั้งนี้ และต้องรอเข้าที่ประชุมบอร์ดเพื่อประเมินท่าทีก่อน การตอบรับจำเป็นต้องได้มติเอกฉันท์จากบอร์ด และเสียงโหวต 90% จากผู้ถือหุ้นด้วย ที่มา - GamesIndustry
# [ลือ] ไมโครซอฟท์ปรับโครงสร้าง 343 Industries ผู้สร้าง Halo, กระจายงานให้สตูดิโอภายนอกแทน อัพเดต 343 Industries ปฏิเสธข่าวแล้ว มีข่าวลือในแวดวง Halo ว่าไมโครซอฟท์กำลังปรับทิศทางของสตูดิโอ 343 Industries ผู้พัฒนาแฟรนไชส์ Halo ใหม่ เปลี่ยนมาเป็นการดูแลภาพรวมของแฟรนไชส์อย่างเดียว แล้วกระจายงานพัฒนาเกมให้สตูดิโอภายนอกบริษัทแทน 343 Industries เป็นสตูดิโอที่ไมโครซอฟท์ตั้งขึ้นมารับผิดชอบการพัฒนาเกม Halo แทนผู้สร้างเดิม Bungie ที่แยกตัวจากไมโครซอฟท์ในปี 2007 (หลังออก Halo 3) ผลงานสำคัญของ 343 Industries คือ Halo ภาคหลักไตรภาคที่สอง (4, 5, Infinite) รวมถึงภาครีมาสเตอร์ของเก่า The Master Chief Collection แนวทางการพัฒนาเกมแฟรนไชส์ Halo ใช้สตูดิโอภายใน (343 Industries) พัฒนาเกมภาคหลัก ส่วนเกมอื่นๆ ใช้สตูดิโอภายนอกอยู่แล้ว (เช่น Creative Assembly ทำ Halo Wars 2) หากข่าวลือนี้เป็นจริง เท่ากับว่าไมโครซอฟท์จะโยกงานพัฒนาเกมให้สตูดิโอภายนอกทั้งหมด ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้คือ ความวุ่นวายภายใน 343 Industries ระหว่างการพัฒนา Halo Infinite ภาคล่าสุด ที่ทำให้เกมต้องเลื่อนวางขาย จนมีผู้บริหารลาออกไปหลายคน รวมถึง Bonnie Ross หัวหน้าสตูดิโอ 343 Industries นับตั้งแต่ก่อตั้ง ก็เพิ่งลาออกในเดือนกันยายน 2022 ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพิ่งมีข่าวว่า 343 Industries ถูกปลดพนักงาน ในรอบการปลดพนักงานครั้งใหญ่ของไมโครซอฟท์ 10,000 คนด้วย ที่มา - Game Developer
# อินเดียออกข้อกำหนด อินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดียต้องเปิดเผย หากคอนเทนต์นั้นได้รับการสนับสนุน หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของอินเดีย ประกาศแนวทางเพื่อกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย ให้ต้องเปิดเผยข้อมูล หากคอนเทนต์ที่นำเสนอได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าหรือเอเจนซี หากไม่สามารถปฏิบัติตามและตรวจสอบพบ จะมีโทษปรับสูงสุด 1 ล้านรูปีอินเดีย หรือประมาณ 4 แสนบาท และมีค่าปรับที่มากขึ้นหากกระทำความผิดซ้ำ ข้อบังคับดังกล่าวมีผลทั้งกับบุคคลมีชื่อเสียง อินฟลูเอนเซอร์ ตลอดจนคาแรกเตอร์เสมือน (Virtual) โดยการเปิดเผยข้อมูลว่าได้รับการสนับสนุน ต้องแสดงให้เห็นชัดเจน ไม่ใช่แค่ในแฮชแท็กหรือคำบรรยาย (Description) โดยยกตัวอย่างเช่นการไลฟ์ จะต้องแสดงข้อความบนวิดีโอเป็นระยะ ทางการประเมินว่าตลาดของอินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์ในอินเดีย จะเติบโตเป็น 2.8 หมื่นล้านรูปีอินเดีย หรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ในปี 2025 ที่มา: Mint
# Crystal Dynamics หยุดพัฒนาเกม Marvel's Avengers, เลิกขายเกมกันยายน 2023 สตูดิโอ Crystal Dynamics ประกาศยุติการพัฒนา เกม Marvel's Avengers ที่วางขายเมื่อปี 2020 (ตั้งแต่ยุคอยู่ใต้ Square Enix) และไม่ประสบความสำเร็จมากนัก (คะแนนรีวิวเฉลี่ย 68/100 สำหรับเวอร์ชันพีซี) 31 มีนาคม 2023 - ออกแพตช์สุดท้าย Update 2.8 และปิดระบบการซื้อขายเครดิตในเกม, แจกไอเทมและคอนเทนต์ต่างๆ ในเกมให้ฟรี 30 กันยายน 2023 - สิ้นสุดการซัพพอร์ตเกม และหยุดการขายเกมผ่านช่องทางดิจิทัล ตัวเกมจะยังเล่นได้ต่อไปหลังสิ้นระยะซัพพอร์ตแล้ว ทั้งแบบเล่นคนเดียวและมัลติเพลเยอร์ แต่ Crystal Dynamics จะไม่แก้ปัญหาใดๆ ให้อีกหากมีปัญหาการเล่นเกมในอนาคต ปัญหาของเกม Marvel's Avengers นับตั้งแต่วันเปิดตัว บวกกับการเปลี่ยนมือเจ้าของ Crystal Dynamics ไปอยู่กับ Embracer Group คงเป็นเหตุให้ทีมบริหารตัดสินใจปิดเกมนี้ เพื่อโยกทีมพัฒนาไปช่วยทำ Tomb Raider ภาคใหม่แทน ที่มา - Crystal Dynamics via IGN
# ไมโครซอฟท์จ้างนักร้องดัง Sting เล่นคอนเสิร์ตให้ผู้บริหาร 50 คน ในวันที่ปลดพนักงาน 10,000 คน Wall Street Journal รายงานข่าวว่าไมโครซอฟท์จ้างนักร้องเพลงร็อคชื่อดัง Sting ไปแสดงคอนเสิร์ตส่วนตัวให้ผู้บริหารระดับสูง 50 คน ระหว่างการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์นี้ ข่าวนี้อาจไม่เป็นประเด็นเลย หากไม่ออกมาในช่วงเดียวกับที่ไมโครซอฟท์ประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ถึง 10,000 คน ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมยังมีงบฟุ่มเฟือยกับคอนเสิร์ตอยู่ ในขณะที่คนจำนวนมากต้องตกงาน ถึงแม้เป็นไปได้สูงว่า การตกลงว่าจ้าง Sting มาแสดงคอนเสิร์ตอาจเกิดขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว และฝ่ายที่จัดจ้างคอนเสิร์ตไม่น่าจะรู้เรื่องการปลดคนล่วงหน้าก็ตาม แต่ข่าวลักษณะนี้คงไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทนัก ที่มา - Wall Street Journal, The Register
# Gartner รายงานการใช้จ่ายไอทีขององค์กรในประเทศไทยปี 2023 โตเพิ่มขึ้น 4.2% เป็น 9.35 แสนล้านบาท บริษัทวิจัย Gartner รายงานข้อมูลการใช้จ่ายไอทีขององค์กรปี 2023 โดยเป็นข้อมูลเพิ่มเติมส่วนของประเทศไทย ต่อจากรายงานข้อมูลภาพรวมทั่วโลกก่อนหน้านี้ Gartner ประเมินว่ายอดรวมการใช้จ่ายด้านไอทีขององค์กรในประเทศไทยปีนี้ จะเพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อนเป็น 9.35 แสนล้านบาท ซึ่งการเติบโตสูงระดับเลขสองหลักจะมาจากกลุ่มซอฟต์แวร์และกลุ่มบริการด้านไอที เนื่องจากองค์กรมีการเพิ่มค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับโครงการดิจิทัลที่มากขึ้น ส่วนแนวโน้มกลุ่มอื่นคล้ายกับภาพรวมทั่วโลก นั่นคือกลุ่มอุปกรณ์ไอทีมีการใช้จ่ายลดลง เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนใหญ่เพิ่งถูกเร่งอัพเกรดไปในช่วงโควิด 19 จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องอัพเกรดตอนนี้ John-David Lovelock รองประธานฝ่ายวิจัยของ Gartner กล่าวถึงภาพรวมของตลาดประเทศไทย ว่าปัญหาเงินเฟ้อ การขาดแคลนทักษะ และปัญหาซัพพลายเชน ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้บริหารด้านไอทีลังเล ชะลอการตัดสินใจ และต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่ แต่ยังเห็นการใช้จ่ายในโครงการดิจิทัลที่มากขึ้น ที่มา: ข่าวประชาสัมพันธ์จาก Gartner
# Google จะเพิ่มแชตบอตในระบบเสิร์ชภายในปีนี้ - 2 ผู้ก่อตั้งมาร่วมวางแผนงานด้วย มีรายงานจาก The New York Times เผยว่าเมื่อเดือนที่แล้ว Larry Page และ Sergey Brin สองผู้ก่อตั้งกูเกิล ซึ่งปัจจุบันลดบทบาท และไม่ได้ทำงานกับกูเกิลมากนัก ได้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของกูเกิล เพื่อหารือผลกระทบจากเสิร์ชแชตบอต และวางกลยุทธ์การนำแชตบอตมาใช้กับเสิร์ชของบริษัท ในสไลด์การประชุม พูดถึงแผนการนำแชตบอตไปใช้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของกูเกิลที่มีอยู่แล้ว ซึ่งโครงการนี้ซีอีโอ Sundar Pichai ให้ความสำคัญสูง มีโค้ดเนมภายในว่า code red ซึ่งกูเกิลตั้งเป้าเปิดตัวแชตบอตในมากกว่า 20 ผลิตภัณฑ์ของบริษัทภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะเปิดตัวในงาน I/O ช่วงกลางปี ในเนื้อหาการประชุมยังพูดถึงผลิตภัณฑ์ AI อื่นที่กูเกิลพัฒนา เช่น เครื่องมือสร้างรูปภาพอัตโนมัติ, ฟีเจอร์ทดลองสวมใส่ในการซื้อสินค้า, รองเท้าเสมือนให้ทดลองใส่แบบ 3D และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังพูดถึงความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ AI ทั้งความถูกต้องของข้อมูล ปัญหาลิขสิทธิ์ ความเป็นส่วนตัว การผูกขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่กูเกิลต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่มา: The New York Times
# Nintendo สั่งเพิ่มการผลิต Switch ขึ้นจากแผนเดิม คาดความต้องการเครื่องมีมากขึ้น มีรายงานว่านินเทนโดได้วางแผนเพิ่มการผลิตคอนโซล Nintendo Switch ขึ้นอีก ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป จากก่อนหน้านี้บริษัทปรับลดตัวเลข Switch ที่ขายในปีปัจจุบันลงมาที่ 19 ล้านเครื่อง จากตัวเลขแรก 21 ล้านเครื่อง ด้วยเหตุผลจากปัญหาซัพพลายเชน แต่ล่าสุดกลับมาที่ตัวเลข 21 ล้าน เหมือนแผนแรกแล้ว รายงานบอกว่านินเทนโดประเมินว่าปัญหาซัพพลายเชนเริ่มดีขึ้น ทั้งมองว่าเกมใหม่ที่เปิดตัวครึ่งแรกของปีอย่าง Fire Emblem Engage (วางขายแล้ว) และ The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom รวมถึง Pikmin 4 ที่ยังไม่กำหนดวันวางขาย จะทำให้ความต้องการคอนโซลมีเพิ่มขึ้น ตัวเลขจากรายงานผลประกอบการล่าสุด Switch ขายไปได้แล้วรวมกว่า 114 ล้านเครื่อง แซงยอดขายของ Wii และใกล้แซง Game Boy แล้ว ที่มา: The Verge
# บริษัทให้กู้ยืมคริปโต Genesis ล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้ 1 แสนราย ความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ Genesis บริษัทด้านให้กู้ยืมคริปโต ประกาศยื่นขอล้มละลายตามกฎหมาย Chapter 11 ของสหรัฐ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ Genesis ถือเป็นบริษัทใหญ่ด้านคริปโตอีกราย มีรูปแบบธุรกิจคือรับเงินคริปโตไปปล่อยกู้อีกต่อ แล้วกินส่วนต่างดอกเบี้ย เมื่อตลาดคริปโตขาลง บวกกับการล่มสลายของ FTX ทำให้ลูกค้าแห่ไปถอนเงินจาก Genesis จนเสียสภาพคล่อง และต้องยื่นขอล้มละลายในท้ายที่สุด เอกสารของ Genesis ระบุว่ามีเจ้าหนี้มากกว่า 100,000 ราย ยอดหนี้รวมบอกกว้างๆ ว่าอยู่ระหว่าง 1-10 พันล้านดอลลาร์ โดยมีตัวเลขว่าเจ้าหนี้ 50 รายที่ใหญ่ที่สุดมีหนี้รวมกัน 3.4 พันล้านดอลลาร์ Genesis เลือกเข้าแผนล้มละลายเพื่อฟื้นฟูกิจการและเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ บริษัทระบุว่ามีเงินสดในมือ 150 ล้านดอลลาร์ (ตามกฎหมาย Chapter 11 อนุญาตให้บริษัทที่ยื่นล้มละลายสามารถดำเนินกิจการต่อได้ในระหว่างฟื้นฟู) การล้มละลายของ Genesis อาจส่งผลไปยังพาร์ทเนอร์ใกล้ชิด Gemini (ของสองฝาแฝด Winklevoss ที่ร่วมก่อตั้ง Facebook) ที่มีหนี้ค้างอยู่มูลค่า 765.9 ล้านดอลลาร์ ให้ต้องล้มละลายตามไปด้วย ที่มา - Genesis, CNBC, Bloomberg
# Zilingo สตาร์ตอัพสายแฟชั่นจากสิงคโปร์ ยื่นขอล้มละลายแล้ว หลังปลดซีอีโอในปี 2022 Zilingo สตาร์ตอัพสายแฟชั่นจากสิงคโปร์ ซึ่งมีธุรกิจในไทยด้วย ยื่นขอล้มละลายเรียบร้อยแล้ว Zilingo มีอาการไม่ดีมาสักพักใหญ่ๆ หลังปลดซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Ankiti Bose หลังพบความผิดปกติทางบัญชี ในเดือนพฤษภาคม 2022 และส่งผลให้ผู้บริหารคนอื่นๆ ทยอยลาออกตาม หลังจากนั้น บอร์ดของ Zilingo ที่นำโดย Shailendra Singh หัวหน้าของบริษัทลงทุน Sequoia India ก็พยายามเสนอขายธุรกิจให้เจ้าของใหม่ Bloomberg รายงานว่าเจ้าหนี้ของ Zilingo สามารถหาคนมาซื้อสินทรัพย์บางส่วนได้แล้ว เมื่อโอนถ่ายสินทรัพย์เสร็จ จึงยื่นขอล้มละลายในท้ายที่สุด ที่มา - Bloomberg Ankiti Bose ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Zilingo - ภาพจาก Zilingo
# Google ประกาศปลดพนักงาน 12,000 คน คิดเป็น 6% ของพนักงานทั่วโลก Bloomberg รายงานว่า Sundar Pichai ซีอีโอกูเกิลและ Alphabet ได้ส่งอีเมลถึงพนักงานทุกคน แจ้งว่าบริษัทจะปลดพนักงานประมาณ 12,000 คน คิดเป็น 6% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด มีผลกับพนักงานทั่วโลก โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ในความรับผิดชอบของเขาเอง Pichai บอกว่าจากนี้บริษัทจะต้องโฟกัสในสิ่งที่สำคัญให้ชัดมากขึ้นกว่าเดิม ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุน ทั้งยืนยันว่าบริษัทยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจาก AI ทั้งนี้เมื่อปลายปีที่แล้ว TCI ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน Alphabet เคยเสนอให้บริษัทปลดพนักงานออกเพื่อลดค่าใช้จ่าย ที่มา: Bloomberg และ กูเกิล
# คลิปโปรโมท Autopilot ของ Tesla เมื่อปี 2016 เป็นการจัดฉาก, Musk คุมด้วยตัวเอง ช่วงกลางสัปดาห์ Reuters รายงานอ้างอิงข้อมูลจากวิศวกรอาวุโสของ Tesla ว่าคลิปที่โปรโมทฟีเจอร์ Self-Driving เมื่อปี 2016 (ยังมีอยู่บนหน้าเว็บไซต์) เป็นการจัดฉากขึ้นมา ตัวรถ ณ ตอนนั้นยังไม่ได้มีความสามารถที่จะทำได้อย่างที่โชว์ เช่นหยุดตอนไฟแดงและเหยียบคันเร่งตอนไฟเขียว ข้อมูลดังกล่าวมาจากคำให้การของพนักงาน Tesla ในการให้การในชั้นศาลจากคดี เมื่อปี 2018 ที่รถ Tesla X ชนเข้ากับกำแพงตอนเปิด Autopilot จนมีผู้เสียชีวิต Full Self-Driving Hardware on All Teslas from Tesla on Vimeo. ล่าสุด Bloomberg ขยี้ต่อโดยอ้างอิงจากอีเมลภายในว่า การจัดทำคลิปโฆษณาดังกล่าวถูกควบคุมและดูแลโดยตัว Elon Musk เอง โดยเนื้อหาหลักๆ ระบุว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเดโม Autopilot นี้ออกมาให้ได้ และในเมื่อมันเป็นแค่เดโม่ ฉะนั้นจะ "ฮาร์ดคอร์" เท่าไหร่ก็ได้ แล้วบริษัทค่อยอัพเดต OTA ตามให้ในภายหลัง Musk บอกว่าด้วย เขาต้องการบอกกับโลกว่า นี่คือสิ่งที่ Tesla "จะ" ทำได้ ไม่ใช่ว่าทำได้เลยตั้งแต่ตอนรับรถ ที่ผ่านมาตัว Musk และ Tesla เองก็โดนโจมตีและฟ้องร้อง เรื่องการโปรโมท Autopilot ว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง และข้อความดังกล่าวก็ชวนให้คนฟังหรือคนใช้เข้าใจผิด ที่มา - Reuters, Bloomberg
# Apple ปล่อยซอร์สโค้ด Apple Lisa คอมพิวเตอร์ที่ตั้งชื่อตามลูกสาวสตีฟ จ็อบส์ แอปเปิลปล่อยซอร์สโค้ดเครื่อง Apple Lisa ในโอกาสครบรอบ 40 ปีที่คอมพิวเตอร์รุ่นนี้เปิดตัว (19 มกราคม 1983) นับเป็นคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ใช้หน้าจอกราฟิกที่ได้แนวคิดจาก Xerox PARC Lisa นับเป็นโปรเจคที่จ็อบส์ฟูมฟักโดยตรงตั้งแต่แรก ทีมงานสร้างภาษาใหม่เพื่อทำงานกับ GUI จนกลายเป็น Object Pascal และฮาร์ดแวร์มีประสิทธิภาพสูง พร้อมกับฮาร์ดดิสก์ในตัว ราคาเปิดตัววันแรกของ Lisa อยู่ที่ 9,995 ดอลลาร์ แม้ว่าจะถูกกว่าคอมพิวเตอร์ของ PARC เองอยู่มาก แต่ก็แพงกว่าพีซีหลายเท่าตัว แถมการใช้งาน GUI ในสมัยนั้นก็ยังทำงานได้ช้ามาก แอปเปิลพัฒนาทั้ง Lisa และ Macintosh แข่งกันเองอยู่พักใหญ่ แต่ Macintosh นั้นสเปคต่ำกว่าและราคาถูกกว่ามากทำให้กลายเป็นสินค้าสำคัญของแอปเปิลในที่สุด ซอร์สโค้ดของ Lisa ดาวน์โหลดได้ผ่าน Computer History Museum แม้จะเปิดให้ศึกษาได้แต่ก็ยังเป็นลิขสิทธิ์ของแอปเปิล และห้ามใช้งานเพื่อการค้า ที่มา - Computer History Museum
# NITMX เผยสถิติ PromptPay ปี 2565 ธุรกรรมรวม 1.37 หมื่นล้านรายการ ผู้ใช้ 67 ล้านเลขหมาย บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด หรือ NITMX เผยสถิติการใช้งาน PromptPay ในปี 2565 ดังนี้ มีจำนวนบุคคลธรรมดา ลงทะเบียนพร้อมเพย์ 66.94 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นลงทะเบียนด้วยหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน 39.47 ล้านเลขหมาย และลงทะเบียนด้วยหมายเลขโทรศัพท์ 27.47 ล้านเลขหมาย มีนิติบุคคลที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์จำนวน 2.43 แสนราย ยอดการทำธุรกรรมโอนเงินและชำระเงินผ่านพร้อมเพย์ตลอดทั้งปี 2565 รวมทั้งสิ้น 13,705 ล้านรายการ เดือนธันวาคม 2565 มีปริมาณธุรกรรมชำระเงินระหว่างธนาคารผ่านระบบพร้อมเพย์ 1,475.9 ล้านรายการ เพิ่มขึ้น 34.66% จากเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2565 มีธุรกรรม 58.08 ล้านรายการ เป็นสถิติสูงที่สุดตั้งแต่เปิดให้บริการมา รูปแบบธุรกรรมยอดนิยม อันดับ 1 โอนเงินด้วยหมายเลขบัญชีธนาคาร จำนวน 68.8% อันดับ 2 โอนเงินด้วยหมายเลขอ้างอิง จำนวน 16.3% อันดับ 3 การชำระสินค้าด้วย QR Code และใบแจ้งหนี้ จำนวน 9.3% และอันดับ 4 การเติมเงิน e-Wallet 5.7% ช่วงเวลาที่ประชาชนนิยมโอนเงินมากที่สุดคือพักเที่ยงและหลังเลิกงาน วันทำงานมีการใช้งานมากกว่าวันหยุดและวันหยุดนักขัตฤกษ์
# และแล้วก็มีวันนี้ Notepad มีแท็บแล้ว เริ่มใช้ใน Windows 11 Insider ไมโครซอฟท์ออก Windows 11 Insider Preview Build 25281 ให้กลุ่มทดสอบ Dev Channel ของใหม่ที่สำคัญคือ Notepad มีแท็บแล้ว ตามข่าวหลุดก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์อธิบายว่าแท็บใน Notepad เป็นฟีเจอร์ที่ถูกเรียกร้องเข้ามามากที่สุด เพราะผู้ใช้ต้องการแก้หลายไฟล์พร้อมกันในหน้าต่างเดียว ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้เปิดไฟล์ใหม่ในแท็บหรือในหน้าต่างใหม่เป็นค่าดีฟอลต์ ฟีเจอร์ใหม่ของ Notepad ยังปรับปรุงการเก็บไฟล์ที่ยังไม่ได้เซฟ เช่น ตั้งชื่อไฟล์ชั่วคราวให้โดยอิงจากเนื้อหาในไฟล์ และมีสัญลักษณ์บ่งบอกในแท็บว่ายังไม่ได้เซฟไฟล์ด้วย ของใหม่อย่างอื่นใน Build 25281 ได้แก่ ทดสอบ UI ใหม่ของ Windows Spotlight, ปรับดีไซน์ของหน้าจอตั้งค่ากราฟิก (Settings > Display > Graphics) ที่มา - Microsoft, Microsoft
# โซนี่ประกาศชื่อเกม PSVR2 ช่วงเปิดตัว 37 เกม มีเกมจาก PSVR1 พอร์ตมาให้เพียบ โซนี่ประกาศไลน์อัพเกมของ PlayStation VR 2 จำนวนทั้งหมด 37 เกม เพิ่มขึ้นจากรายชื่อชุดแรก 11 เกมที่ประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 เกมเด่นของโซนี่เองคือ Horizon Call of the Mountain และ Gran Turismo 7 ที่ประกาศไปแล้ว นอกจากนี้ยังมี Resident Evil Village, No Man's Sky, Cities VR, Jurassic World Aftermath Collection เกมเด่นที่ประกาศชื่อเพิ่มในรอบนี้คือ Tetris Effect: Connected ที่เคยลง PS4/PSVR1 มาก่อน รอบนี้พอร์ตมาลง PS5/PSVR2 ด้วย (เล่นได้แบบไม่ต้องมีแว่น), Before Your Eyes เกมผจญภัยกราฟิกแนวการ์ตูนที่เคยลงพีซี รอบนี้ปรับให้รองรับ PSVR2, เกมยิงแนวทหาร Pavlov VR ที่พอร์ตมาจากพีซี เกมอื่นที่พอร์ตมาจาก PSVR1 ยังมีเกมพัซเซิลสามมิติ Puzzling Places, เกมแนวเอาตัวรอดในป่า Song in the Smoke: Rekindled, เกมจังหวะดนตรี Synth Riders: Remastered Edition, เกมแอคชั่นความเร็วสูง Thumper, เกมยิงไซไฟ Rez Infinite, เกมชกมวย Creed: Rise to Glory – Championship Edition, เกมอเมริกันฟุตบอล NFL Pro Era เป็นต้น บางเกมอาจอัพเกรดเป็นเวอร์ชัน PSVR2 ให้ฟรี บางเกมอาจต้องจ่ายค่าอัพเกรดเพิ่ม เกมทั้งหมดจะออกในช่วง launch window ภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2023 แปลว่าบางเกมอาจออกหลัง PSVR2 วางขาย 22 กุมภาพันธ์เล็กน้อย ที่มา - PlayStation Blog
# Texas Instruments แต่งตั้ง Haviv Ilan เป็น CEO คนใหม่ มีผล 1 เมษายน Texas Instruments ประกาศแต่งตั้ง Haviv Ilan ซีโอโอคนปัจจุบัน ขึ้นเป็นซีอีโอคนใหม่ มีผลตั้งแต่ 1 เมษายน เป็นต้นไป โดยแทนที่ Rich Templeton ที่อยู่ในตำแหน่งนี้มาเกือบ 19 ปี โดย Templeton จะยังอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัทต่อไป Texas Instruments ระบุว่าการแต่งตั้งซีอีโอคนใหม่นี้ เป็นไปตามแผนงานสืบทอดผู้บริหารที่วางไว้ในระยะเวลาหลายปี โดยให้ Haviv ขึ้นเป็นรองประธานอาวุโสในปี 2014, โปรโมตเป็นซีโอโอในปี 2020 และเข้ามาเป็นกรรมการบอร์ดบริหารเมื่อปี 2021 Haviv ร่วมงานกับ Texas Instruments ตั้งแต่ปี 1999 ผ่านการซื้อกิจการ Butterfly บริษัทพัฒนาชิปส่งข้อมูลไร้สายของอิสราเอล ที่มา: Texas Instruments
# Twitter อัพเดตข้อตกลงนักพัฒนาใหม่ ระบุห้ามทำ 3rd Party Client Twitter อัพเดตข้อตกลงการใช้งานสำหรับนักพัฒนา (Developer Agreement) มีผลตั้งแต่ 19 มกราคม 2023 ซึ่งกระทบกับไคลเอนต์ 3rd Party ของ Twitter โดยตรง โดยข้อกำหนดการใช้งาน Twitter API ใหม่นั้น ระบุชัดเจนว่า นักพัฒนาไม่สามารถสร้างไคลเอนต์ Twitter สำหรับใช้งานแบบเดียวกับแอป Twitter ได้ จึงกระทบกับบรรดาแอป 3rd Party ทั้ง Tweetbot หรือ Twitterific ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป Twitterrific เขียนบล็อกชี้แจงต่อประกาศนี้ว่า Twitter ไม่ใช่องค์กรที่น่าเชื่อถือหรือควรร่วมงานด้วยอีกต่อไป รวมทั้งเล่าอดีตที่เคยมีส่วนร่วมในการสร้าง Twitter แบบในปัจจุบัน ทั้งการออกแอปเดสก์ท็อปรายแรก, เป็นแอปมือถือรายแรก ๆ จนได้รางวัล Apple Design, ร่วมสร้างคำว่า Tweet ทั้งนี้ Iconfactory บริษัทผู้พัฒนา Twitterrific ยังร้องขอให้ลูกค้าแอป ไม่ทำเรื่องขอคืนเงินกับแอปเปิล เนื่องจากจะกระทบกับรายได้ของบริษัททันที ส่วน subscription ในอนาคต จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ เนื่องจากแอปถูกถอดจาก App Store แล้ว ส่วน Paul Haddad จาก Tapbots ผู้พัฒนา Tweetbot ก็ชี้แจงใน Mastodon ว่าในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำผิดกฎการใช้ API ที่ Twitter บอกว่ามีมานานเรื่องใด แม้จะรู้สึกว่าเหมือนเพิ่งทำผิดกฎไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม จึงต้องขอโทษ Twitter ด้วย ที่มา: Engadget
# PayPal พบการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ 3.5 หมื่นราย ข้อมูลส่วนตัวถูกเข้าถึง คาดได้รหัสจากที่อื่น PayPal ส่งอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้งาน (บางส่วน) ว่าพบการล็อกอินเข้าบัญชีของผู้ใช้ โดยใช้รหัสผ่านที่หลุดมาจากที่อื่น (ไม่ใช่ PayPal ทำหลุดเอง) แต่ยังไม่พบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ PayPal บอกว่าค้นพบการเข้าถึงบัญชีกลุ่มนี้ในวันที่ 20 ธันวาคม 2022 และคาดว่าเหตุการณ์เข้าถึงเกิดขึ้นราววันที่ 6-8 ธันวาคม 2022 มีผู้ใช้ได้รับผลกระทบ 34,942 ราย ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงได้ประกอบด้วยชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประกันสังคม (SSN) หมายเลขภาษี และวันเกิด บัญชีที่ได้รับผลกระทบถูกรีเซ็ตรหัสผ่านแล้ว และ PayPal แนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีอื่นๆ หากใช้รหัสผ่านเดียวกัน รวมถึงเปิดใช้การล็อกอินแบบ 2FA ด้วย ที่มา - PayPal, BleepingComputer
# Netflix ไตรมาส 4/2022 จำนวนสมาชิกเพิ่มสูงจากแพ็คเกจโฆษณา - ซีอีโอร่วม Reed Hastings ลาออก Netflix รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2022 โดยบอกว่าตัวเลขดีกว่าที่บริษัทประเมินไว้ ทั้งรายได้ กำไรจากการดำเนินงาน และจำนวนสมาชิก ไฮไลท์สำคัญคือไตรมาสที่ผ่านมา Netflix เริ่มขายแพ็คเกจแบบมีโฆษณาไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ซึ่งแพ็คเกจนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มฐานสมาชิก และรายได้ช่องทางใหม่ โดยไตรมาสที่ผ่านมามีรายได้ 7,852 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงาน 550 ล้านดอลลาร์ และจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 7.66 ล้านบัญชี เป็น 230.75 ล้านบัญชี อย่างไรก็ตาม Netflix ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจำนวนสมาชิกแพ็คเกจมีโฆษณามีอยู่เท่าใด Netflix ยังประกาศการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารระดับสูง โดยซีอีโอร่วมและผู้ร่วมก่อตั้ง Reed Hastings จะลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ และไปรับตำแหน่งประธานบริษัท โปรโมตซีโอโอ Greg Peters มารับตำแหน่งซีอีโอร่วม คู่กับ Ted Sarandos ที่เป็นซีอีโอร่วมอยู่ก่อนหน้า คอนเทนต์เด่นของ Netflix ในไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ Wednesday ซึ่งมีการรับชมมากกว่า 1 พันล้านชั่วโมง, Harry & Meghan เป็นสารคดีที่ได้รับความนิยมสูง, Troll ภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ และ Glass Onion: A Knives Out Mystery เป็นภาพยนตร์ยอดนิยมในไตรมาส Netflix ยังอัพเดตแผนป้องกันผู้ใช้งานแชร์บัญชี โดยบอกจะเริ่มขยายระบบนี้ไปยังประเทศเพิ่มเติมช่วงปลายไตรมาสที่ 1/2023 โดยบัญชีทั่วโลกที่มีการแชร์บัญชีมีมากกว่า 100 ล้านบัญชี กรณีศึกษาจากภูมิภาคลาตินอเมริกาพบว่าช่วงแรกมีสมาชิกยกเลิกบัญชีพอสมควร แต่พอเวลาผ่านไปจะมีผู้ใช้งานที่เลือกจ่ายเงินเพิ่มเพื่อใช้งานต่อมาชดเชย ที่มา: Netflix (pdf)
# Instagram เพิ่มฟีเจอร์ แจ้งคอนเทนต์ที่เราไม่สนใจ Instagram จะได้เลิกแนะนำอีก Instagram ประกาศฟีเจอร์ใหม่หลายรายการ ทั้งฟีเจอร์เพื่อให้ผู้ใช้งานมีสมาธิกับเรื่องที่ต้องทำ ไปจนถึงจัดการคอนเทนต์ที่ Instagram แนะนำ มีรายละเอียดดังนี้ ฟีเจอร์แรกคือ Quiet Mode เมื่อเปิดการทำงาน Instagram จะหยุดการแจ้งเตือน สเตตัสในหน้า Activity ก็ขึ้นว่ากำลังอยู่ใน Quiet Mode รวมทั้งตอบข้อความ DM ให้อัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้งานมีสมาธิไม่ถูกรบกวน ไม่ว่าจะเป็นตอนนอน เรียน หรือทำงาน ฟีเจอร์นี้ Instagram จะขึ้นแนะนำสำหรับผู้ใช้งานวัยรุ่นให้เปิดในตอนกลางคืน แต่ก็สามารถใช้งานได้ทุกคน Quiet Mode จะเริ่มเปิดให้ใช้งานเฉพาะใน อเมริกา สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่วนประเทศอื่น Instagram หวังว่าจะได้เพิ่มเติมในอนาคต ฟีเจอร์ต่อมาคือตัวจัดการเนื้อหาแนะนำ (Recommendations) โดยในหน้า Explore ซึ่งแสดงเนื้อหาที่คิดว่าเราสนใจ ผู้ใช้งานสามารถบอก Instagram ได้ หากพบเนื้อหาที่จริง ๆ เราไม่ได้สนใจ โดยสามารถกดที่คอนเทนต์นั้น แล้วเลือก Not interested ซึ่ง Instagram จะจดจำและไม่แสดงเนื้อหาประเภทดังกล่าว มีผลทั้งใน Explore, Reels, Search และส่วนอื่นที่ Instagram จะแสดงเนื้อหาแนะนำ การเลือกคอนเทนต์ที่ไม่สนใจยังสามารถกดเป็น batch ได้ด้วย ฟีเจอร์สุดท้ายคือการซ่อนคีย์เวิร์ด อีโมจิ หรือแฮชแท็ก ที่ไม่ต้องการ เดิมฟีเจอร์นี้รองรับในการซ่อนคอมเมนต์ แต่จากนี้มีผลกับเนื้อหาแนะนำด้วย โดยคอนเทนต์ที่มีคีย์เวิร์ด อีโมจิ หรือแฮชแท็กนั้น ๆ Instagram จะไม่นำมาแสดงตามที่ผู้ใช้งานกำหนด สามารถกำหนดได้ที่ Privacy ในหน้า Settings ส่วน Hidden Words ที่มา: Instagram
# อดีตที่ปรึกษาแบงค์ชาติอังกฤษเตือน ธนาคารกลางไม่ควรสร้างเงินดิจิทัล ชี้ประโยชน์ไม่ชัดเจน ถ้าระบบเดิมแพงก็คุมราคาเอา Tony Yates นักเศรษฐศาสตร์อิสระและอดีตที่ปรึกษาธนาคารกลางอังกฤษในช่วงปี 1992-2013 แสดงความเห็นลง Financial Times ว่าธนาคารกลางไม่ควรพยายามผลักดันโครงการเงินดิจิทัล แม้ว่าธนาคารกลางหลายชาติจะแสดงความสนใจและพากันสร้างโครงการทดสอบใหญ่น้อยกันออกมาต่อเนื่อง Yates ระบุว่าในความเป็นจริงธนาคารกลางชาติต่างๆ ก็มีเงินสำรองอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วเป็นฐานข้อมูลการให้ยืมและการยืมเงินกับสถาบันทางการเงินต่างๆ แต่การทำโครงการเงินดิจิทัล (CBDC) นั้นจะเป็นการให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์เช่นนี้ในวงกว้างขึ้น ซึ่งก็จะมีคำถามว่าใครสามารถใช้งานได้บ้าง ตั้งแต่หน่วยตัวกลางที่ไม่ใช่ธนาคาร, ครัวเรือนทั่วไป, ภาคธุรกิจ, ประชาชนบุคคลธรรมดา, หรือแม้แต่ชาวต่างชาติ เขาระบุว่าธนาคารกลางพยายามแสดงตัวสนใจ CBDC เพราะเหตุผลที่ไม่ชัดเจน บางคนก็พูดลอยๆ ว่า CBDC จะเป็นอนาคต บางคนกลัวว่าถ้าเงินสกุลของตนไม่ออก CBDC แล้วจะเสื่อมความนิยมในเวทีโลก หรือบางทีก็พยายามผลักดันเพราะกลัวเงินคริปโต แม้ว่าในความเป็นจริงเงินคริปโตนั้นใช้งานเป็นเงินได้แย่มากๆ เพราะค่าเงินผันผวนแถมใช้งานลำบาก เหตุผลที่ดูดีสักหน่อยของ CBDC คือประสิทธิภาพในการจ่ายเงินสูงขึ้น เพราะบริการรับชำระต่างๆ คิดค่าบริการแพง แต่ถ้าให้บริการจริงธนาคารกลางก็ต้องวางระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อรองรับธุรกรรมทั้งหมด ทางเลือกที่ดีกว่าคือการไปคุมราคาบริการรับชำระทั้งหลายในตอนนี้ (คำพูดที่ใช้คือ tax the excess เป็นการเก็บภาษีเมื่อบริษัททำกำไรเกินควร) ข้อดีอีกข้อของ CBDC คือการจ่ายดอกเบี้ยทำให้ธนาคารกลางมีเครื่องมือออกมาตรการมากขึ้น เช่น การจ่ายดอกเบี้ยติดลบเพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่าย แต่ถ้าทำจริงๆ ก็จะส่งผลกระทบกับความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางอย่างมาก Yates และ IMF แสดงความกังวลต่อ CBDC คล้ายกันคือหากใช้งานจริงจะเกิดความเสี่ยงทางการเงินกับธนาคารเพิ่มขึ้น เพราะประชาชนอาจจะพากันถอนเงินจากธนาคารไปยัง CBDC อย่างรวดเร็วจนธนาคารขาดสภาพคล่อง และธนาคารกลางเองต้องเข้ามาแทรกแซงในที่สุด ที่มา - Financial Times แผนที่ชาติที่ทดลอง CBDC ในระดับต่างๆ จาก IMF
# Mailchimp รายงานการถูกโจมตีอีกครั้ง ด้วยวิธี Social Engineering ผ่านฝ่ายบริการลูกค้า Mailchimp ผู้ให้บริการระบบอีเมลมาร์เก็ตติ้ง รายงานการถูกโจมตีเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา โดยใช้ Social Engineering เข้าถึงข้อมูลผ่านระบบของฝ่ายบริการลูกค้า โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงบัญชีลูกค้า Mailchimp ได้ 133 บัญชี โดยไม่มีการโจมตีเข้ามาถึงระบบ หรือข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ Mailchimp ได้แจ้งไปยังลูกค้าทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากพบการโจมตี โดย TechCrunch ระบุว่าลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่ได้รับผลกระทบคืออีคอมเมิร์ซ WooCommerce ซึ่งได้แจ้งไปยังลูกค้าที่รับอีเมลการตลาด ว่าระบบได้รับผลกระทบแต่ไม่มีข้อมูลลูกค้าหลุดออกไป ก่อนหน้านี้ Mailchimp ก็เคยถูกโจมตีด้วยวิธีการคล้ายกัน ที่มา: Mailchimp ผ่าน TechCrunch
# เบื้องหลัง Meta เลิกทำจอ Portal เพราะตลาดไม่ใหญ่พอ เคยเกือบขายให้ Amazon แต่ดีลล่ม Andrew Bosworth ซีทีโอของ Meta ให้สัมภาษณ์ Buzzfeed เล่าถึงเบื้องหลังการปิดแผนกหน้าจออัจฉริยะ Portal เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่เกิดขึ้นพร้อมการปลดพนักงานรอบใหญ่ของบริษัท Bosworth บอกว่า Portal ขายดีเป็นหลักล้าน (millions) โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือผู้หญิงและคนอายุมากกว่า 40 ปี แต่บริษัทตัดสินใจปิดธุรกิจนี้เพราะไม่คิดว่ามันจะใหญ่ไปกว่านี้อีกมากนัก เมื่อบริษัทต้องปรับโฟกัสธุรกิจจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเลิกทำ ซึ่งเขาบอกว่าเสียใจมากในเรื่องนี้ แต่ก็เปรียบเทียบกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมประเภทอื่นๆ ว่าไม่ได้มียอดขายเยอะอย่างที่ทุกคนคาดไว้ตอนแรกเช่นกัน นอกจากนี้ Bosworth ยังเปิดเผยว่า Meta เกือบขายเทคโนโลยีของ Portal ให้ Amazon (ที่มีอุปกรณ์แบบเดียวกันคือ Echo Show) ช่วงกลางปี 2020 แต่ดีลล่มไปก่อน ด้วยเหตุผลว่าตอนนั้นเกิด COVID พอดี ยอดขาย Portal เลยกลับมาพุ่งทะยาน ทำให้บริษัทพับแผนการขายไปในตอนนั้น (ภายหลังเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ยอดขายของ Portal ก็ลดลง) Bosworth เล่าว่าบทเรียนสำคัญของการทำ Portal คือถึงแม้มันเป็นสินค้าที่ดี ผู้ใช้ชอบ แต่การขายอุปกรณ์ที่มีความสามารถวิดีโอคอลล์ได้เหมือนกับบนมือถือ (แต่สะดวกเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย) เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ที่มา - Buzzfeed
# กว่าจะมาเป็น HUAWEI Mate 50 Pro Kunlun Glass Edition: จากเทือกเขาในตำนาน สู่การสร้างสรรค์ระดับนวัตกรรม จากสถิติการให้บริการหลังการขาย หัวเว่ยพบว่ามีลูกค้านำสมาร์ทโฟนมาใช้บริการซ่อมกระจกหน้าจอเป็นจำนวนมากกว่า 50% ของการใช้บริการทั้งหมด1 และส่วนมากเกิดจากการทำเครื่องตก ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ในสมาร์ทโฟนทุกยี่ห้อ ดังนั้นวิศวกรของหัวเว่ยจึงเกิดไอเดียใหม่ คือ “จะทำอย่างไรให้กระจกหน้าจอได้รับผลกระทบจากการตกน้อยที่สุด” จึงเป็นที่มาของการพัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงที่หน้าจอแข็งแรงที่หัวเว่ยเคยผลิตมา คือ HUAWEI Mate 50 Pro Kunlun Glass Edition วิวัฒนาการแห่ง Kunlun Glass บน HUAWEI Mate Series HUAWEI Mate Series นับเป็นกลุ่มสมาร์ทโฟนเรือธงที่ผ่านการพัฒนาให้มีความโดดเด่นในหลากหลายด้านมากว่า 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นความกว้างของจอ ความจุของแบตเตอรี่ หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟนรุ่นบุกเบิกที่มี Fingerprint Power Button สำหรับครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่วิศวกรและนักวิจัยของหัวเว่ยได้มุ่งมั่นค้นคว้าเกี่ยวกับวัสดุหน้าจอ จนออกมาเป็นกระหน้าจอที่ประกอบด้วยนาโนคริสตัลความหนาถึงหนึ่งพันล้านล้านชั้นที่อัดเข้าด้วยกันโดยใช้ไอออนคอมโพสิท ผ่านความร้อนสูง 24 ชั่วโมง กระบวนการขัดเจียรไมโครคริสตัลไลน์ 108 ขั้นตอน และเทคโนโลยีหลอมละลายแพลตทินัมที่ 1,600 องศาเซลเซียส ช่วยให้กระจกมีความทนทาน รองรับแรงกระแทกจากการตกได้มากขึ้นถึง 10 เท่า2 นวัตกรรมล่าสุดครั้งนี้สร้างบทพิสูจน์ใหม่ในวงการสมาร์ทโฟน จนทำให้ HUAWEI Mate 50 Series ได้รับการรับรองจาก SGS ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่ามีความทนทานต่อแรงกระแทกในระดับ 5 ดาว เบื้องหลังที่มีแรงบันดาลใจจาก ‘จิตวิญญาณแห่งคุนหลุน’ หากมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น หัวเว่ยได้วิเคราะห์โครงสร้างทางเคมีของกระจกหน้าจอทั่วไปซึ่งมีความหนาราว 150 ไมโครเมตร และเพิ่มความแข็งแรงได้โดยการเพิ่มชั้นความหนาของกระจก แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านความทนทานต่อแรงกระแทก หัวเว่ยจึงคิดค้นการสร้างกระจกหน้าจอที่แตกยากขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจมาจากโครงสร้างภายในอันซับซ้อนของสถาปัตยกรรมคอนกรีต กลายมาเป็นแนวคิดการนำนาโนคริสตัลมาเป็นโครงสร้างหลักของกระจกหน้าจอ Kunlun Glass ยิ่งกว่านั้น ชื่อ Kunlun Glass ยังมีที่มาจากเทือกเขาคุนหลุนที่มีความยาวถึง 2,500 กิโลเมตร นับเป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นจุดกำเนิดของตำนานเทพปกรณัมซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และวัฒนธรรมของชาวจีนมารุ่นสู่รุ่น และฝังรากลึกอยู่ในทุกศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และมนุษยศาสตร์ และหัวเว่ยได้นำ ‘จิตวิญญาณแห่งคุนหลุน’ ที่แสดงถึงความไม่ย่อท้อที่จะพิชิตยอดเขาเพื่อเป้าหมายอันสูงส่ง มาเป็นคอนเซ็ปต์เบื้องหลังการพัฒนา Kunlun Glass ตอกย้ำความเป็นตำนาน ด้วยดีไซน์ใหม่สุดพรีเมียม หัวเว่ยออกแบบ HUAWEI Mate 50 Pro Kunlun Glass Edition มาให้รับกับแนวคิดเบื้องหลังการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องสีส้มใหม่ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสีส้มของแสงอาทิตย์ อีกทั้งยังใช้วัสดุภายนอกเป็นหนังสังเคราะห์ สามารถป้องกันตัวเครื่องจากแรงกระแทก รอยขีดข่วน ไปจนถึงกันน้ำและกันฝุ่นในระดับ IP68 โดยในรุ่นพิเศษนี้สามารถกันน้ำได้ที่ความลึกถึง 6 เมตร HUAWEI Mate 50 Pro Kunlun Glass Edition ยังคงมาในรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ประจำ HUAWEI Mate 50 Series คือลวดลาย Clous de Paris อันหรูหรา ประกอบกับ Space Ring ที่มีกล้องหลัง 3 ตัว ได้แก่ กล้อง Ultra Aperture XMAGE camera เลนส์ F1.4 50MP รับแสงให้ภาพสีสวยคมชัดมากขึ้น 24%3 กล้อง Periscope 64MP ที่สามารถซูมภาพระยะไกลได้รวมถึง 200 เท่า โดยมีระบบ OIS กันสั่น และกล้องแบบ Ultra Wide ความละเอียด 13MP โดยมีรูเซ็นเซอร์อย่าง Focus Sensor, Proximity Light Sensor และ 10-channel multispectral sensor จัดวางอยู่อย่างสมมาตร โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพสุดล้ำไม่แพ้ความทนทาน ในฐานะผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลก หัวเว่ยยกระดับ HUAWEI Mate 50 Pro Kunlun Glass Edition ให้มีประสิทธิภาพการทำงานที่ทรงพลัง และมอบความสะดวกสบายให้ผู้บริโภคมากกว่าที่เคย เริ่มจากเพิ่มความสามารถในการใช้งานได้นานด้วยแบตเตอรี่สูงสุด 4700mAh4 ประกอบกับโหมดแบตเตอรี่ฉุกเฉินเมื่อถึงระดับต่ำแบบใหม่ล่าสุด ซึ่งรวมแบตเตอรี่สเปกสูงเข้ากับอัลกอริธึม EMUI 13 และเทคโนโลยี SuperEnergy Boosting ที่จะทำงานเมื่อระดับแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 1% พร้อมเทคโนโลยี SuperCharge แบบหลายช่องสัญญาณ สามารถชาร์จเร็วทั้งแบบมีสาย 66W HUAWEI Super Charge และไร้สาย 50W5 และยังมาพร้อม ROM 512 GB เพิ่มพื้นที่สำหรับภาพภ่ายและวิดีโอได้อย่างจุใจ HUAWEI Mate 50 Series มาพร้อมความเหนือชั้นของ EMUI 13 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย อาทิ SuperHub หน้าต่างลอยที่ช่วยให้จัดการไฟล์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น Super Device ช่วยเชื่อมการทำงานระหว่างดีไวซ์ไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อป แท็บเล็ต หรือสมาร์ทวิชัน และ Smart Service Widgets & Stack Widgets ที่พร้อมให้เจ้าของเครื่องจัดสรรหน้าโฮมของตนเองให้เป็นระเบียบและเข้าถึงง่าย ผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มชิปเซ็ตระดับ Dragon Master ปฎิวัติการใช้งานให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งการปิด-เปิดแอปฯ (SuperHold) อัตรารีเฟรชเกมที่เสถียรมากขึ้น (SuperRender6) และการประหยัดพื้นที่ใช้สอยในตัวเครื่อง (SuperStorage) HUAWEI Mate 50 Pro Kunlun Glass Edition หน่วยความจำ 8 GB ความจุ 512 GB วางจำหน่ายในราคา 46,990 บาท ลูกค้าสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2566 ถึง 27 มกราคม 2566 พร้อมโปรโมชันสุดคุ้ม รับฟรี HUAWEI Watch GT 3 Pro มูลค่า 11,990 บาท และ HUAWEI App Benefits มูลค่า 1,181 บาท ที่ร้าน HUAWEI Experience Store ทั่วประเทศ ข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่ 1ข้อมูลจากหัวเว่ย 2เปรียบเทียบรุ่น Kunlun Glass Orange กับรุ่น Black และ Silver รุ่นปกติ ข้อมูลมาจาก Huawei Labs 3เมื่อเทียบกับ HUAWEI Mate 40 Pro ข้อมูลอ้างอิงจากผลการทดสอบของ Huawei Lab 4ค่าปกติ ความจุสูงสุดของแบตเตอรี่คือ 4600mAh 566W คือกำลังการชาร์จสูงสุด และสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเมื่อใช้ที่ชาร์จและสาย HUAWEI SuperCharge เฉพาะ 66W เท่านั้น 50W คือพลังงานการชาร์จแบบไร้สายสูงสุด และสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเมื่อใช้แท่นชาร์จไร้สาย HUAWEI SuperCharge (สูงสุด 50W) ซึ่งเป็นการซื้อแยกต่างหาก ประสิทธิภาพการชาร์จจริงอาจแตกต่างกันไป 6จำเป็นต้องมีการปรับแต่งเกมที่เล่น โปรดพิจารณาจากการใช้งานจริง ติดตามอัปเดตข่าวสารล่าสุดก่อนใครได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ Facebook Huawei Mobile TH สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อสินค้า คอมมิวนิตี้ และบริการ ง่ายๆ ในคลิกเดียว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน My HUAWEI ใน AppGallery หมายเหตุของสมนาคุณ 1. หัวเว่ยสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงประเภทของแถมเป็นของขวัญที่มีมูลค่าใกล้เคียงกัน โดยจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 2. ของแถมในกิจกรรมนี้ให้สิทธิ์ตามลำดับก่อน-หลังจนกว่าของจะหมด ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ได้ที่: Website: http://consumer.huawei.com/th Facebook: http://www.facebook.com/HuaweiMobileTH LINE: HuaweiMobileThailand, IG: Huawei.TH
# [ลือ] รัฐบาลอินเดียจะพัฒนาระบบปฏิบัติการ IndOS ของตัวเอง ลดการพึ่งพา Android สื่ออินเดีย Business Standard รายงานข่าวว่า รัฐบาลอินเดียมีแผนสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองชื่อ IndOS เพื่อลดการพึ่งพาระบบปฏิบัติการจากต่างชาติ ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดของ IndOS ออกมามากนัก มีเพียงว่ากระทรวงไอทีของอินเดีย (Ministry of Electronics and Information Technology หรือ MeitY) กำลังร่วมกับสตาร์ตอัพและสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนา OS ตัวนี้อยู่ เป้าหมายของรัฐบาลอินเดียคือลดการพึ่งพาต่างชาติ โดยเฉพาะ Android ที่มีส่วนแบ่งตลาดมือถืออินเดียสูงถึง 96% ทำให้กูเกิลมีอิทธิพลอย่างสูง เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการด้านการค้าของอินเดีย CCI เพิ่งสั่งปรับกูเกิลในข้อหาผูกขาด Android แสดงให้เห็นว่าอินเดียต้องการแก้ปัญหานี้ และมองว่าฐานผู้ใช้งานมือถือในอินเดียที่ใหญ่มาก น่าจะทำให้คุ้มค่าต่อการมี OS ของตัวเอง สื่ออินเดียบางรายประเมินว่าโครงการ IndOS อาจเป็นแค่ Android fork เพราะการสร้างระบบปฏิบัติการใหม่เป็นเรื่องยากมาก และที่ผ่านมาเราก็เห็นความล้มเหลวของระบบปฏิบัติการมือถือหลายตัว เช่น Tizen, Windows Phone, Firefox OS กันมาเยอะแล้ว ที่มา - Business Standard, Money Control หน้าเว็บของกระทรวง Ministry of Electronics and Information Technology หรือ MeitY
# Bitwarden ซื้อกิจการ Passwordless.dev ผู้พัฒนา API การล็อกอินไร้รหัสผ่านจากสวีเดน Bitwarden ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จัดการรหัสผ่านโอเพนซอร์สชื่อดังได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ Passwordless.dev บริษัทสัญชาติสวีเดนผู้พัฒนา API สำหรับการเปิดให้เว็บไซต์ต่างๆ รองรับการล็อกอินแบบไร้รหัสผ่านได้ง่ายๆ บริการของ Passwordless.dev นั้นพัฒนาขึ้นบนมาตรฐานกลางอย่าง WebAuthn ที่รองรับการล็อกอินด้วย Face ID, Windows Hello, สแกนนิ้ว และ security key โดยที่นักพัฒนาไม่ต้องศึกษามาตรฐานของ W3C รวมถึงเสี่ยงพัฒนาเองแล้วเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ภาพโดย Passwordless.dev ปัจจุบันปัญหารหัสผ่านหลุดทวีความรุนแรงขึ้น ดังที่เราเห็นข่าวกันเรื่อยๆ ว่าบริการต่างๆ โดนเจาะอยู่ตลอด แม้กระทั่ง LastPass ที่เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จัดการรหัสผ่านก็โดนมาแล้ว ทำให้เทรนด์การล็อกอินโดยไม่ใช้รหัสผ่านกำลังมาแรง เช่น Apple ก็เปิดตัว Passkeys สำหรับการล็อกอินไร้รหัสผ่าน หรือเมื่อปี 2021 Microsoft ก็อนุญาตให้ผู้ใช้ลบรหัสผ่านทิ้งและใช้แอพ Microsoft Authenticator หรือกุญแจ U2F อย่างเดียว หากผู้พัฒนาท่านใดสนใจ สามารถลองเวอร์ชันเบต้าได้ฟรีจนถึงเดือนเมษายนนี้ และหลังจากนั้นจะมีค่าใช้จ่าย หรือหากใครยังนึกไม่ออกว่าการล็อกอินแบบไร้รหัสผ่านเป็นอย่างไรก็สามารถเข้าไปหน้าเว็บของ Passwordless.dev แล้วกดที่ Experience Passwordless.dev in action เพื่อทดลองเล่นได้ โดยเบราว์เซอร์เจ้าใหญ่รองรับกันหมดแล้วเช่น Chrome, Edge, Firefox, Opera และ Safari ที่มา - TechCrunch
# Wikipedia ปรับหน้าเว็บครั้งแรกในรอบ 12 ปี โลโก้เล็กลง อ่านง่ายขึ้น บรรทัดไม่ยาวเท่าเดิม Wikipedia ปรับดีไซน์หน้าเว็บเวอร์ชันเดสก์ท็อปเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี (ปรับครั้งสุดท้ายปี 2011) การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือหน้าตาสะอาดขึ้น ไอคอนลูกโลกมีขนาดเล็กลง แถบ sidebar ข้างซ้ายกินพื้นที่มากกว่าเดิม ตัวเนื้อหาบทความขยับมาอยู่ตรงกลางหน้าจอมากขึ้น เหตุผลที่แถบด้านซ้ายมือขยายใหญ่ขึ้น เพราะมันกลายเป็บแถบ navigate แสดงโครงสร้างของเนื้อหาส่วนต่างๆ ในบทความแทน (ของเดิมอยู่รวมกับหน้าบทความ) ส่วนรายการบทความเดียวกันในภาษาอื่นๆ ที่เคยอยู่ในแถบ sidebar กลายมาเป็นเมนูแบบ drop-down ที่มุมขวาบนของบทความแทน ตัวบทความหลักยังออกแบบให้จำกัดความยาวของบรรทัด (line width) ไม่ให้ยาวเกินไปจนกวาดสายตาลำบาก และช่องค้นหาบทความก็เพิ่มฟีเจอร์แสดงภาพประกอบบทความ ให้เลือกดูผลลัพธ์ของการค้นหาง่ายขึ้นด้วย (รายการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด) การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นใน Wikipedia ภาษาอื่นๆ แล้ว และกำลังทยอยเปลี่ยนใน Wikipedia ภาษาอังกฤษ หน้าตาแบบใหม่ หน้าตาแบบเดิม วิวัฒนาการของหน้าเว็บ Wikipedia ที่มา - Wikipedia
# [ไม่ยืนยัน] แผนก HoloLens โดนปลดคน, สตูดิโอ Halo และ Bethesda ก็โดนด้วย Bloomberg ให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงแผนปลดพนักงานครั้งใหญ่ของไมโครซอฟท์ 10,000 ตำแหน่ง ว่าแผนกที่โดนผลกระทบด้วยคือทีม HoloLens และธุรกิจฝั่งเกม ที่มีชื่อคือ 343 Industries สตูดิโอที่สร้าง Halo และ Bethesda Game Studios ในประกาศของ Satya Nadella บอกใบ้อยู่แล้วว่าจะปรับโครงสร้างฝั่งธุรกิจฮาร์ดแวร์ (changes to our hardware portfolio) ซึ่งธุรกิจฝั่ง HoloLens ที่มีปัญหามาได้สักพักใหญ่ อีกทั้งแว่นตาสำหรับการทหารก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ย่อมเป็นแผนกแรกๆ ที่ถูกลดคน ส่วนธุรกิจเกม Bloomberg ได้อีเมลภายในของ 343 Industries ยืนยันเรื่องนี้ ส่วนสตูดิโอฝั่ง ZeniMax/Bethesda ก็โดนด้วยเช่นกัน ที่มา - Bloomberg
# Adobe ยืนยันอีกครั้ง ประเด็นข้อตกลงใช้งานใหม่ ไม่ใช่การขอข้อมูลไปเทรน Generative AI Scott Belsky หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ออกมาให้สัมภาษณ์ชี้แจง ประเด็นที่มีการรายงานเมื่อต้นเดือนว่า Adobe ปรับปรุงเงื่อนไขการใช้งาน ระบุว่าจะนำข้อมูลที่เก็บไว้ใน Creative Cloud มาใช้เทรนอัลกอริธึมเพื่อปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเป็นข้อตกลงแบบ opt-out ที่เปิดการยินยอมเป็นค่าเริ่มต้น ทำให้เกิดความกังวลว่า Adobe อาจใช้ข้อมูลนี้สำหรับใช้ในงานสร้างภาพจาก AI (Generative AI) ซึ่งเวลานั้น Adobe ก็ยืนยันว่าไม่ใช่ โดย Belsky ยอมรับว่ากระแสที่ออกมา เกิดจากข้อความที่ใช้ในข้อตกลงการใช้งานทำให้ผู้ใช้งานเป็นกังวล ซึ่ง Adobe กำลังปรับปรุงข้อความใหม่ให้มีความชัดเจนมากขึ้น และเขาก็ยืนยันอีกครั้งว่าข้อตกลงใหม่นี้ ไม่ใช่เพื่อขอนำข้อมูลไปใช้สำหรับงาน Generative AI แน่นอน ถ้าหากมีจริงจะมีการระบุที่ชัดเจนกว่านี้ และต้องเป็นข้อตกลงแบบ opt-in ที่ผู้ใช้งานยินยอมเท่านั้น ด้านโฆษกของ Adobe ให้ข้อมูลว่าข้อตกลงส่วนที่เป็นประเด็นนี้ไม่ใช่ของใหม่ Adobe มีการเก็บข้อมูลเหล่านี้สำหรับการพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เช่น ในงานปรับแต่งภาพ เพื่อให้โปรแกรมวิเคราะห์จับภาพวัตถุได้ดีมากขึ้น เป็นต้น ที่มา: Peta Pixel
# Twitter Blue ออกแพ็คเกจใหม่ เลือกจ่ายรายปี ให้ส่วนลด 12.5% Twitter ออกแพ็คเกจใหม่รายปีสำหรับผู้สมัครใช้งาน subscription Twitter Blue โดยสามารถเลือกจ่ายล่วงหน้าเพื่อใช้งาน 12 เดือน ในราคาที่ให้ส่วนลดลงไปอีก จากเดิมเดือนละ 8 ดอลลาร์ สำหรับผู้ใช้ในอเมริกา หรือคิดเป็น 96 ดอลลาร์ สำหรับ 12 เดือน ลดราคาเหลือ 84 ดอลลาร์ ราคานี้เป็นราคาสำหรับการสมัครผ่านเว็บเท่านั้น กรณีสมัครผ่านแอป iOS จะมีเฉพาะรายเดือน ซึ่ง Twitter ก็บวกราคาเพิ่มเพื่อชดเชยส่วนแบ่งที่ต้องการจ่ายให้แอปเปิลเป็น 11 ดอลลาร์ต่อเดือน ถึงแม้จะไม่มีการอธิบายของการออกแพ็คเกจใหม่ดังกล่าว แต่อาจเชื่อมโยงได้ว่าเป็นวิธีการเร่งเพิ่มกระแสเงินสดเข้ามา ตามสถานการณ์ที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า Twitter มีภาระต้องจ่ายหนี้ก้อนใหญ่งวดแรกภายในสิ้นเดือนนี้ ที่มา: The Verge
# [Gartner] การใช้จ่ายไอทีขององค์กรปี 2023 ยังเพิ่มขึ้นที่ระดับ 2.4% บริษัทวิจัย Gartner คาดการณ์การใช้จ่ายด้านไอทีของภาคองค์กรในปี 2023 จะเติบโต 2.4% ที่ระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเติบโตน้อยลงจากตัวเลข 5.1% ที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามก็ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น แม้มีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ John-David Lovelock นักวิเคราะห์ของ Gartner ให้ความเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ CIO องค์กรต่าง ๆ ต้องจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตามงบประมาณด้านไอทียังไม่เห็นผลกระทบชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมาการลงทุนทางไอทีพิสูจน์ว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายอื่นได้ Gartner ประเมินว่ากลุ่มค่าใช้จ่ายซอฟต์แวร์และบริการด้านไอที มีแนวโน้มโต 9.3% และ 5.3% ตามลำดับ ขณะที่การซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ จะลดลง 5.1% เนื่องจากบริษัทต้องการยืดระยะเวลาอัพเกรดออกไปก่อน เพราะส่วนมากมีการซื้อเกิดขึ้นเยอะแล้วในช่วงโควิด 19 ระบาด ที่มา: Gartner ภาพ Pixabay
# [ไม่ยืนยัน] Twitter ไตรมาส 4/2022 รายได้ลดลง 35% และแนวโน้มยังลดลงกว่าเดิม ปัจจุบัน Twitter มีสถานะเป็นบริษัทนอกตลาดหุ้น หลังการซื้อกิจการของ Elon Musk ทำให้ไม่ต้องรายงานตัวเลขผลประกอบการต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตามมีรายงานจาก The Information เกี่ยวกับตัวเลขผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ผ่านมา โดยตัวเลขนี้อ้างจากการประชุมทีมงานฝ่ายภายใน Twitter มีรายได้ 1,025 ล้านดอลลาร์ ลดลง 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และคิดเป็น 72% ของรายได้ที่บริษัทตั้งเป้าหมายภายในไว้ สาเหตุจากผู้ลงโฆษณารายใหญ่จำนวนมากระงับการลงโฆษณาใน Twitter เพื่อดูทิศทางก่อน รายงานยังอ้างข้อมูลจากในสไลด์ที่นำเสนอ บอกว่า Twitter ยังวัดตัวเลขรายได้ประจำวัน และพบว่าล่าสุดลดลงถึง 40% หากเทียบกับวันเดียวกันในปีก่อน ทั้งระบุว่าหากทิศทางรายได้ยังเป็นเช่นนี้ ไตรมาสปัจจุบันบริษัทคาดมีรายได้ลดลงที่ 720 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม Twitter ประเมินว่าบริษัทสามารถหารายได้ทางอื่นมาชดเชยได้เช่นบริการ Twitter Blue เป็นต้น ที่มา: Business Insider
# [ลือ] Apple กำลังพัฒนา Smart Display ควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน หวังแข่งกับ Amazon, Google Nest ข่าวลือสินค้าใหม่แอปเปิลวันนี้มาจาก Mark Gurman แห่ง Bloomberg คนเดิม เขาให้ข้อมูลว่าแอปเปิลกำลังพัฒนาหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ (Smart Display) ซึ่งพัฒนามาจาก iPad แต่มีฟังก์ชันสำหรับควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในบ้าน เช่น เทอร์โมสตัท ไฟ ตลอดจนเล่นวิดีโอ หรือ FaceTime ซึ่งอุปกรณ์นี้มีแม่เหล็กยึดเกาะ สามารถติดตั้งได้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน รูปแบบจึงไม่เหมือนกับ iPad ปัจจุบัน iPad เอง สามารถใช้งานสำหรับควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมได้อยู่แล้ว แต่ปัจจุบันคู่แข่งในตลาดมีการพัฒนาจออัจฉริยะสำหรับควบคุมโดยเฉพาะ เช่น Echo Show ของ Amazon หรือ Nest Hub ของกูเกิล ความท้าทายของแอปเปิลคืออุปกรณ์เหล่านี้เน้นการสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งทั้ง Alexa และ Google Assistant มีผู้ใช้งานจำนวนมากกว่าเมื่อเทียบกับ Siri ของแอปเปิล ในรายงานนี้ Gurman ยังพูดถึง Apple TV รุ่นใหม่ด้วย โดยบอกว่าจะมีออกมาในครึ่งแรกของปีหน้า 2024 ดีไซน์เดิม เป็นการอัพเกรดสเป็ก ที่มา: Bloomberg
# แอปเปิลเปิดตัว HomePod 2nd Gen หน้าตาเหมือนเดิม เพิ่มฟีเจอร์ Matter ราคาถูกลงเหลือ 299 ดอลลาร์ แอปเปิลสร้างเซอร์ไพร์สด้วยการนำลำโพง HomePod รุ่นใหญ่กลับมาขายอีกครั้ง หลังเลิกขายไปในปี 2021 โดยใช้ดีไซน์เหมือนเดิม ที่เพิ่มเข้ามาคือคุณภาพเสียงดีขึ้น และรองรับโปรโตคอล Matter สำหรับสมาร์ทโฮม HomePod 2nd Gen มีจำนวนลำโพงและไมโครโฟนภายในลดลงจากรุ่นแรก แต่แอปเปิลบอกว่ามีความสามารถใหม่คือตรวจสอบสภาพห้อง (room sensing) เพื่อปรับวิธีการกระจายเสียงให้ดีขึ้นตามการสะท้อน นอกจากนี้ยังเพิ่มเซ็นเซอร์วัดความชื้นและอุณหภูมิเข้ามา เพื่อใช้วัดค่าแล้วสั่งงานอุปกรณ์สมาร์ทโฮมในบ้านได้ด้วย HomePod 2nd Gen มีให้เลือก 2 สีคือขาวและดำ ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% ราคาขาย 299 ดอลลาร์ ถูกกว่าราคาเปิดตัวของลำโพงรุ่นแรก 349 ดอลลาร์ และจนภายหลังต้องลดราคาลงเหลือ 299 ดอลลาร์ ที่มา - Apple, The Verge
# เป็นทางการแล้ว ไมโครซอฟท์ปลดพนักงาน 10,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 5% ของทั้งหมด ไมโครซอฟท์ประกาศปลดพนักงาน 10,000 ตำแหน่ง คิดเป็นเกือบ 5% ของพนักงานทั่วโลก ตรงตามข่าวลือก่อนหน้านี้ ซีอีโอ Satya Nadella บอกว่าการปลดพนักงานครั้งนี้เป็นการปรับต้นทุนตามทิศทางธุรกิจในยุคเศรษฐกิจถดถอย ลูกค้าเริ่มจ่ายเงินซื้อบริการไอทีน้อยลงจากเดิม โดยไมโครซอฟท์จะยังจ้างพนักงานเพิ่มในบางธุรกิจที่สำคัญอยู่ ส่วนพนักงานที่ถูกปลดจะได้รับแพ็กเกจชดเชยที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย ประกันสุขภาพอีก 6 เดือน สิทธิในการได้หุ้นของบริษัทต่ออีก 6 เดือน ซึ่งรายละเอียดจะต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ที่มา - Microsoft
# หลุดสเปก Galaxy S23 ยืนยันใช้ Snapdragon ทั้งโลก, รุ่น Ultra ใช้กล้อง 200MP ใกล้วันเปิดตัว Galaxy S23 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2023 มาเรื่อยๆ ก็มีข้อมูลหลุดออกมามากมายตามธรรมเนียม (ข่าวก่อนหน้านี้คือหน้าตาเครื่อง S23 รุ่นปกติ) คราวนี้มีข้อมูลหลุดที่อ้างว่ามาจากซัมซุงฝรั่งเศส เป็นสเปกเครื่องของ S23, S23+, S23 Ultra ซึ่งก็ไม่ผิดจากความคาดหมาย Galaxy S23 หน้าจอ 6.1", กล้องหลัก 50MP, อัลตร้าไวด์ 12MP, เทเล 3x 10MP, กล้องหน้า 12MP, แบตเตอรี่ 3,900 mAh Galaxy S23+ หน้าจอ 6.6", กล้องหลัก 50MP, อัลตร้าไวด์ 12MP, เทเล 3x 10MP, กล้องหน้า 12MP, แบตเตอรี่ 4,700 mAh Galaxy S23 Ultra กล้องหลัก 200MP, เทเล 10x OIS, กล้องหน้า 12MP, แบตเตอรี่ 5,000 mAh มือถือทั้งสามรุ่นใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 2 เหมือนกันทั้งโลก ตามที่ Qualcomm เคยประกาศไว้ ไม่มีรุ่นที่เป็น Exynos แล้ว, แรมเป็น LPDDR5, กระจก Gorilla Glass Victus 2, กันน้ำ IP68, ชาร์จเร็วไร้สายตามมาตรฐานของรุ่นก่อนๆ ที่มา - SamMobile
# ลาก่อน Stadia ปิดตัววันนี้, กูเกิลออกตัวอัพเดตคอนโทรลเลอร์ให้ต่อ Bluetooth แทน Stadia บริการคลาวด์เกมมิ่งของกูเกิลจะปิดตัวในวันนี้ 18 มกราคม 2023 ถือเป็นอีกหนึ่งบริการของกูเกิลที่ต้องกลายเป็นตำนานลงหลุมศพกันไป ฝั่งของผู้เล่นที่ซื้อคอนโทรลเลอร์ Stadia ไปแล้วก็สามารถอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้เป็นคอนโทรลเลอร์ Bluetooth ธรรมดาได้ ตามที่กูเกิลสัญญาไว้ (ค่าเกมและคอนโทรลเลอร์จะคืนเงินให้เต็มจำนวน เท่ากับได้คอนโทรลเลอร์มาฟรี) ขั้นตอนคือเข้าไปยังหน้าเว็บ Stadia Controller เพื่อสลับโหมดการทำงานจากต่อ Wi-Fi ตรงเข้าเซิร์ฟเวอร์ Stadia มาเป็นการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth แทน การเปลี่ยนแปลงจะถาวร เปลี่ยนกลับไม่ได้อีก และกูเกิลจะเปิดบริการอัพเดตให้ถึงสิ้นปี 2023 เท่านั้น หลังอัพเดตเป็นโหมด Bluetooth แล้ว ผู้เล่นสามารถกดปุ่ม Y+Stadia ค้างไว้นาน 2 วินาที เพื่อเข้าโหมดแพร์กับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น พีซีหรือมือถือ ได้ ตัวคอนโทรลเลอร์ยังมีปุ่มพิเศษ 2 ปุ่มคือ Google Assistant และ Capture ที่ไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อต่อผ่าน Bluetooth แต่ผู้เล่นสามารถ remapping ปุ่มเป็นอย่างอื่นได้ตามต้องการ ที่มา - Android Central
# Rainbow Six กำลังจะกลายเป็นหนัง ได้ผู้กำกับ John Wick มากำกับ Rainbow Six นิยายแนวสงครามของ Tom Clancy ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเกมซีรีส์ Rainbow Six ของค่าย Ubisoft กำลังจะถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ โดยได้ Chad Stahelski ผู้กำกับ John Wick มากำกับ หนังจะได้ Michael B. Jordan มารับบทเป็น John Clark หัวหน้าหน่วยคอมมานโด Rainbow ซึ่งก่อนหน้านี้ Jordan เคยรับบท John Clark มาก่อนแล้วในภาพยนตร์ Without Remorse ที่ดัดแปลงจากนิยายของ Clancy เหมือนกัน (หนังฉายปี 2021 โดยฉายผ่าน Amazon Prime Video เท่านั้น) การที่หนังได้ผู้กำกับชื่อดังอย่าง Chad Stahelski ที่มีผลงานพิสูจน์แล้วจากหนังซีรีส์ John Wick ย่อมทำให้แฟนๆ Rainbow Six ทั้งฉบับนิยายและวิดีโอเกมมีความคาดหวังว่าหนังจะทำออกมาได้ดี ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าหนังจะใช้เนื้อเรื่องช่วงใด และมีกำหนดฉายเมื่อไร ตัวนิยาย Rainbow Six ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1998 จากนั้นถูกนำมาทำเป็นเกมภาคแรกออกในปี 1998 เช่นกัน เกมแฟรนไชส์นี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาจนถึงปัจจุบัน โดยเกมภาคล่าสุดคือ Rainbow Six Extraction เพิ่งออกในปี 2022 Michael B. Jordan จากเรื่อง Without Remorse ที่มา - Hollywood Reporters, Kotaku
# ราคาลงเร็วกว่าคริปโต ทีมงาน MKBHD บอก Mac Pro ของบริษัท Trade-in ได้แค่ $970 จากราคาเต็ม $52,199 อย่างที่หลายๆ คนทราบกันว่า Apple มีโครงการ Trade-in ให้นำอุปกรณ์ของ Apple มาใช้เป็นส่วนลดเพื่อซื้อรุ่นใหม่หรือเปลี่ยนเป็น Gift Card อย่างไรก็ตาม David ImeI นักเขียนของเว็บ Android Authority และทีมงานของช่อง MKBHD ทวีตว่าลองเอา Mac Pro อายุ 3 ปีของตัวเองที่ซื้อมาราคา $52,199 หรือราว 1.7 ล้านบาท (ที่ก็ยังมีวางขายอยู่บนเว็บ Apple ในราคาเดียวกัน) ไปลองคำนวนมูลค่า Trade-in พบว่า Apple ตีราคาให้เหลือเพียง 970 เหรียญ หรือราว 31,800 บาทเท่านั้น มูลค่าหายไปกว่า 5,000% หรือ 50 เท่า ทั้งนี้ทาง Apple จะมีการระบุเพดานของมูลค่าสินค้าในแต่ละรุ่นอยู่บนหน้าเว็บอยู่แล้ว อย่างเช่น iPhone 13 ที่ตอนนี้ Apple ระบุว่าแลกได้สูงสุด 12,700 บาท แต่ราคาที่ขายหน้าเว็บเริ่มที 29,900 และสูงสุด 42,900 บาท เท่ากับว่าถ้าซื้อ iPhone ออกจาก Apple แล้วจะ Trade in มูลค่าหายไปทันทีมากกว่า 50% ที่มา - @davidimel
# Getty Images ยื่นฟ้องบริษัท Stability AI นำภาพไปเทรน AI โดยไม่ขอลิขสิทธิ์ Getty Images ประกาศยื่นฟ้องบริษัท Stability AI ผู้สร้างโมเดล Stable Diffusion ต่อศาลลอนดอน ในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ภาพในสังกัดของ Getty Images นับล้านภาพ เพื่อนำไปใช้เทรนโมเดลของตัวเอง Getty Images ยังแสดงจุดยืนว่าเทคโนโลยี AI มีอนาคตต่อวงการสร้างสรรค์​ แต่ถ้าอยากได้ภาพไปเทรนก็มีแพ็กเกจเฉพาะงานลักษณะนี้ขายด้วย ซึ่ง Stablility AI ตั้งใจเพิกเฉยและนำภาพมาใช้โดยไม่มีลิขสิทธิ์ คดีนี้เป็นอีกคดีต่อเนื่องจาก กลุ่มนักวาดรวมตัวกันฟ้อง Stability AI ด้วยข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ภาพเช่นกัน ที่มา - Getty Images
# รีวิว Surface Laptop 5 ถือแล้วดูพรีเมียม, จอ 3:2 เหมาะสำหรับทำงาน, แบตอยู่ได้ 7 ชั่วโมง Microsoft เปิดตัว Surface Laptop 5 โน้ตบุ๊กสายพรีเมียมที่เผลอแป๊ปเดียวก็เดินทางมาถึงรุ่นที่ 5 แล้ว โดยในรุ่นนี้ก็เป็นการปรับซีพียูให้ทันรอบของ Intel โดยขยับมาใช้ Intel Core 12th gen (Alder Lake) เรียบร้อย (แต่วางขายพร้อมๆ กับที่ Intel เปิดตัว Core 13th gen) มีหน้าจอให้เลือกสองขนาดคือ 13.5 และ 15 นิ้ว ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองขนาด นอกจากสเปกแล้ว ยังมีเรื่องของวัสดุด้วย โดยในรุ่นจอ 13.5 นิ้วบางสเปกจะเลือกผ้า Alcantara สีเทาบุภายในบริเวณรอบคีย์บอร์ดและแป้นวางข้อมือได้ หรือจะเลือกสีดำที่เป็นอะลูมิเนียมก็ได้ แต่ในรุ่น 15 นิ้วจะมีแค่อะลูมิเนียมสีเทาหรือดำเท่านั้น สำหรับเครื่องที่ได้มารีวิว เป็นรุ่นท็อปสุด คือรุ่นจอ 15 นิ้ว ซีพียู Intel Core i7-1255U แรม 16GB, SSD 512GB ติดตั้ง Windows 11 Home ราคา 69,900 บาท โดยในกล่องมีเพียงตัว Surface Laptop 5, อะแดปเตอร์ชาร์จไฟผ่านพอร์ต Surface Connect และเอกสารนิดหน่อย ตัวเครื่องภายนอกออกแบบสวยงาม มินิมอล บาง สามารถเปิดจอขึ้นได้ด้วยมือเดียว ไม่ต้องกดเครื่องไว้อีกมือ แต่พอร์ตที่มีมาให้ค่อนข้างน้อย คือมีเพียง 1 USB-A 3.1, 1 USB-C 4.0 (รองรับ Thunderbolt 4), รูต่อหูฟัง 3.5 มม. และ Surface Connect สำหรับชาร์จไฟ และต่ออุปกรณ์เสริมพวก docking station ซึ่งความเห็นของผู้เขียนคิดว่า Microsoft ควรเลิกใช้พอร์ตเฉพาะของตนเองได้แล้ว และเปลี่ยนไปเพิ่ม USB-C อีกสัก 1-2 พอร์ตน่าจะดีกว่ามาก เพราะตัวผู้เขียนเองก็พกแค่หัวชาร์จ USB-C 65 วัตต์ อันเล็กๆ เป็นปกติ ใช้ชาร์จได้ทุกอย่าง แต่การที่ Surface Laptop 5 มีช่อง USB-C เพียงช่องเดียว ทำให้ไม่สามารถชาร์จไปและใช้งานอุปกรณ์ USB-C ชิ้นอื่นไปด้วยได้ (เช่น security key) กลายเป็นว่าต้องเลือกระหว่างการยอมพกอะแดปเตอร์ของ Surface Laptop 5 เพิ่มอีก หรือจะต้องคอยถอดสายชาร์จเข้าออกเมื่อต้องสลับใช้งานกับอุปกรณ์ชิ้นอื่น นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพอร์ต HDMI ที่คงเลิกหวังได้เลย เพราะดูทรงแล้วหวงพอร์ตมาก ในขณะที่คู่แข่งอย่าง MacBook Pro 14” นั้นให้ USB-C ถึง 3 พอร์ต, ช่องเสียบ SD card และ HDMI ขนาดเต็ม สำหรับคีย์บอร์ด เป็นเลย์เอาท์ทั่วไป ไม่มีอะไรพิสดาร ตัวปุ่มมีระยะกด (travel distance) ค่อนข้างตื้น แต่ไม่ได้ตื้นเหมือน Butterfly Keyboard ที่แอปเปิลเคยนำมาใช้งานอยู่ระยะหนึ่ง รวมๆ ใช้งานได้ดีปานกลาง ยังพิมพ์ไม่มันเหมือน ThinkPad ส่วนทัชแพดทำออกมาได้ดีมาก มีขนาดใหญ่และพื้นผิวลื่น การลากนิ้วไม่ติดขัด ใช้งานได้ดีเลยทีเดียว ส่วนน้ำหนักของเครื่อง ดูก็รู้ทันทีว่าตั้งใจทำมาชนกับ MacBook Pro เพราะรุ่น 13.5” หนัก 1.29 กก. ในขณะที่ MacBook Pro 13” (M2) หนัก 1.38 กก. และรุ่น 15” หนัก 1.56 กก. ในขณะที่ MacBook Pro 14” (M1 Pro) ที่จอเล็กกว่าหนัก 1.6 กก. หลังได้เครื่องมา ผมจัดการอัพเดต Windows ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดคือ Windows 11 22H2 และอัพเดตไดรเวอร์กับเฟิร์มแวร์ทุกอย่างให้ล่าสุดเท่าที่จะมีใน Windows Update ณ ช่วงปลายเดือนธันวาคม และใช้งานจริง ยังไม่พบปัญหาอะไรในการใช้งาน ประสิทธิภาพในการทำงานเอกสารทั่วไปไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ด้านความร้อน ใช้งานทั่วไปแค่อุ่นนิดๆ เรียกว่าใช้ติดต่อกันหลายชั่วโมงไม่รู้สึกถึงความร้อนผ่านคีย์บอร์ดและตัวถังขึ้นมาเลย และที่น่าประทับใจคือไม่เคยได้ยินเสียงพัดลมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เงียบกริบ ทั้งที่ Surface Laptop 5 ยังมีพัดลมอยู่ด้านใน (เลือก Power mode แบบ Recommended) แปลว่าระบบระบายความร้อนและการจัดการอุณหภูมิภายในเครื่องทำมาได้ดีมากจริงๆ แต่หากเลือก Power mode แบบ Best performance จะได้ยินเสียงพัดลม แต่ก็เบามากๆ หน้าจอของ Surface Laptop 5 เป็นระบบสัมผัส โดยรุ่น 15 นิ้วมีความละเอียด 2496 x 1664 พิกเซล (201 DPI) อัตราส่วน 3:2 ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 5 หน้าจอให้สีสวยมาก แต่ยังไม่สดจนแสบตา ทุกเครื่องถูกคาลิเบรตสีมาจากโรงงาน แต่ยังน่าเสียดายที่รีเฟรชเรทยังอยู่ที่ 60Hz เท่านั้น ผมพบว่าอัตราส่วน 3:2 เหมาะมากสำหรับการทำงาน เพราะได้พื้นที่แนวตั้งเยอะขึ้นมาก คนทำงานทุกคนจะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ตั้งแต่งานเอกสาร, เขียนโค้ด ไปจนถึงการวาดและดูไดอะแกรมต่างๆ สะดวกกว่าหน้าจอแบบ 16:9 มาก สำหรับยุคนี้ที่เป็นยุค hybrid workplace ย่อมหลีกเลี่ยงการประชุมออนไลน์ไม่ได้ แต่น่าผิดหวังที่เว็บแคมและไมโครโฟนของ Surface Laptop 5 ยังไม่โดดเด่น เว็บแคมให้มาเพียง 720p ให้ภาพแค่พอใช้งานได้ ไม่ต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วๆ ไปในตลาดที่ราคาต่ำกว่า ส่วนไมโครโฟนก็รับเสียงได้ดีปานกลาง ไม่ชัดมากอย่างที่หวังไว้ หากต้องประชุมเยอะๆ ก็ควรต้องใช้หูฟังดีๆ ต่อแยกเอาเหมือนเดิม (ทดสอบบน Microsoft Teams เวอร์ชันล่าสุด ณ ตอนที่เขียนรีวิวนี้) มาถึงสิ่งสำคัญมากคือแบตเตอรี่ ผมทดสอบโดยการชาร์จเต็มแล้วเปิดเครื่องใช้งานในลักษณะดังนี้ ทำงานเอกสารทั่วไป (Microsoft Office) คุยงานทาง Microsoft Teams (ไม่มีการประชุม) เข้าเว็บด้วย Microsoft Edge เปิด 3 หน้าต่าง จำนวนแท็บรวมกันราว 80 แท็บ แต่แท็บจำนวนมากก็ถูก sleep ไปเมื่อไม่ได้ใช้งาน (ฟีเจอร์ Sleeping Tabs) เชื่อมต่อเมาส์บลูทูธ เปิดความสว่างหน้าจอปานกลาง เปิดไฟคีย์บอร์ดปานกลาง แอพอื่นที่รันคือ Slack, LINE, Telegram Desktop, Netflix (ไม่ได้เล่น) และ Spotify ไม่ได้ยุ่งกับการตั้งค่าเรื่องพลังงานใดๆ ทุกอย่างใช้ default ทั้งหมด ไทม์ไลน์ของแบตเตอรี่เป็นดังนี้ 100% — 10:41 น. ดึงสายชาร์จออก 20% — 16:37 น. Battery Saver เริ่มทำงาน (5 ชั่วโมง 56 นาทีจากเริ่ม) 6% — 17:41 น. แจ้งเตือนแบตเตอรี่ต่ำ (7 ชั่วโมง 0 นาทีจากเริ่ม) 3% — 17:57 น. เครื่องเข้าสู่การ hibernate อัตโนมัติ (7 ชั่วโมง 16 นาทีจากเริ่ม) จึงพอจะสรุปได้ว่าอายุแบตเตอรี่ของ Surface Laptop 5 ในการใช้งานทั่วไป ไม่ได้รันอะไรที่กินซีพียูหนักๆ จะใช้งานได้ราว 7 ชั่วโมงนิดๆ ทั้งนี้ สไตล์การใช้งานของแต่ละคนก็ต่างกัน หากใช้งานเบากว่านี้หรือเปิดแสงหน้าจอต่ำๆ ก็อาจใช้งานได้เกือบ 8 ชั่วโมง สำหรับรายงานแบตเตอรี่อย่างละเอียด ดาวน์โหลดได้จากที่นี่ (การทดสอบแบตเตอรี่อยู่วันที่ 29 ธันวาคม 2022) สำหรับประสิทธิภาพ ผมได้ลองรัน Cinebench R23.200 ได้ผลการทดสอบดังนี้ สรุป Surface Laptop 5 เป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ตลอดการใช้งานหลายสัปดาห์ไม่พบปัญหาอะไร ตัวเครื่องผลิตมาแข็งแรง พรีเมียม สวยทุกมุม เหมาะกับผู้ใช้ส่วนใหญ่ตั้งแต่นักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน ประสิทธิภาพดีสามารถทำงานทั่วไปได้ไม่มีปัญหา หรือแม้กระทั่งโปรแกรมเมอร์บางกลุ่มก็อาจใช้ได้หากไม่ได้รันคอนเทนเนอร์หนักๆ เพราะ Surface Laptop 5 มีแรมมากสุดที่ 16GB และในไทยไม่มีรุ่น 32GB ให้เลือก นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการกราฟิกการ์ดอาจพิจารณาขยับไปใช้ Surface Laptop Studio แทนเพราะมี GPU แยก แต่ขณะนี้ Surface Laptop Studio รุ่น 2 ที่อัพเดตซีพียูเป็นรุ่นใหม่ยังไม่เปิดตัว ทำให้อาจมีตัวเลือกจำกัด
# ฮาร์ดคอร์พอมั้ย ผู้นำตาลีบันจ่ายเงินซื้อ Twitter Blue กระจายข้อความให้เห็นเด่นชัดขึ้น สำนักข่าว BBC รายงานว่าผู้นำของรัฐบาลตาลีบันในอัฟกานิสถานอย่างน้อย 2 ราย และผู้สนับสนุนอีกอย่างน้อย 4 ราย ได้เครื่องหมายถูก Twitter Blue มาต่อท้ายบัญชีแล้ว ซึ่งฟีเจอร์ของ Twitter Blue ในปัจจุบันเอื้อให้ข้อความของผู้ใช้ Blue เห็นเด่นชัดมากขึ้น ตัวอย่างคือ UI ใหม่แบบแท็บที่มีส่วนของผู้ใช้ Blue แยกเฉพาะ ทั้งนี้ไม่มีข้อมูลว่ากลุ่มผู้นำตาลีบันได้ Blue มาได้อย่างไร เพราะ Blue ยังขายเฉพาะในบางประเทศเท่านั้น และนโยบายของ Twitter เองพยายามทำเครื่องหมายถูกสีเทา สำหรับบุคคลและหน่วยงานของภาครัฐ จึงเป็นไปได้ว่าเป็นการจ่ายเงิน 8 ดอลลาร์ซื้อตามปกติ และ Twitter ไม่มีระบบตรวจสอบ Twitter ไม่มีฝ่าย PR มานานแล้ว (ตามแนวทางบริษัททุกแห่งของ Elon Musk) จึงไม่มีใครออกมาชี้แจงประเด็นนี้ จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่าบัญชีที่ BBC ระบุชื่อ (BBC ไม่ได้ระบุชื่อทุกบัญชี)​ ถูกนำเครื่องหมายถูกสีฟ้าออกไปแล้ว ที่มา - BBC
# แบงค์ชาติและสมาคมธนาคารไทย ระบุเหตุเหยื่อถูกดูดเงินออกจากบัญชีไม่ได้ถูกโจมตีด้วยสาย USB ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทยแถลงข่าวถึงกรณีที่มีเหยื่อถูกโจมตีเพื่อดูดเงินออกจากบัญชีจำนวนมาก พบว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดจากสายชาร์จปลอมแต่อย่างใด แต่เหยื่อถูกหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ ทั้งสองหน่วยงานแนะนำประชาชนให้ป้องกันตัวเอง และลดความเสียหาย 5 ข้อ ได้แก่ ไม่คลิกลิงก์จาก SMS, LINE, หรืออีเมล ที่มีที่มาไม่น่าเชื่อถือ ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรมนอกสโตร์ทางการ เช่น App Store หรือ Google Play Store อัพเดตแอป Mobile Banking เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดเสมอ ไม่ใช้โทรศัพท์​ในระบบปฎิบัติการล้าสมัย ไม่ใช้เครื่องที่ไม่ปลอดภัย เช่นถูก jailbreak ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อให้แก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ทางธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าหากลูกค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลส่วนตัว ธนาคารต้องพิจารณาช่วยเหลือโดยเร็วภายใน 5 วัน ที่มา - ธนาคารแห่งประเทศไทย
# [ลือ] ไมโครซอฟท์เตรียมปลดพนักงานชุดใหญ่ 11,000 คน คิดเป็น 5% ของพนักงานทั่วโลก สำนักข่าว Sky News ของอังกฤษ รายงานข่าวลือว่าไมโครซอฟท์เตรียมประกาศปลดพนักงานชุดใหญ่ในเร็วๆ นี้ โดยตัวเลขน่าจะอยู่ราว 5% ของพนักงานทั่วโลก 220,000 คน หรือปลดออกราว 11,000 คน บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ต่างทยอยปลดพนักงานกันมาก่อนแล้ว เช่น Meta ปลด 11,000 คน, Salesforce ปลด 10%, HP ประกาศปลด 4,000-6,000 คน, Amazon ประกาศแผนปลด 18,000 คน ที่มา - Sky News
# Firefox 109 เพิ่มปุ่ม Extension บนทูลบาร์, เริ่มรองรับส่วนขยาย Manifest V3 Mozilla ออก Firefox เวอร์ชัน 109 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ รองรับส่วนขยายที่เป็น Manifest Version 3 เป็นค่าดีฟอลต์แล้ว โดยยังซัพพอร์ตส่วนขยายที่เป็น Manifest Version 2 ต่อไปดังเดิม ซึ่งเป็นแนวทางที่ต่างจาก Chrome ที่จะเลิกซัพพอร์ต V2 เพิ่มปุ่ม Extension บนทูลบาร์ เอาไว้รวมส่วนขยายต่างๆ ให้เป็นหมวดหมู่ แบบเดียวกับที่ Chrome/Edge มีอยู่ก่อนแล้ว ยกเลิกฟีเจอร์ชุดแต่งสี Colorways ที่ใส่มาใน Firefox 94 บน macOS ปรับพฤติกรรมของเบราว์เซอร์เวลากด Ctrl/Cmd + scroll จากของเดิมเป็นซูมหน้าจอ มาเป็นเลื่อนหน้าจอ เหมือนเบราว์เซอร์อื่นๆ บนแมค ที่มา - Mozilla
# [Canalys] ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก Q4/2022 ลดลงถึง 17% - Apple ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 บริษัทวิจัยตลาด Canalys รายงานภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนโลกของไตรมาสที่ 4 ปี 2022 จำนวนส่งมอบลดลง 17% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ด้วยตัวเลขที่ลดลงมากนี้ Le Xuan Chiew นักวิเคราะห์ของ Canalys ให้ความเห็นว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทุกราย ทั้งการรักษาระดับกำไร และส่วนแบ่งการตลาด แอปเปิลขึ้นมามีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ที่ 25% ซึ่งแอปเปิลจะมีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 มาหลายปีเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ของปี ตามด้วยซัมซุงในอันดับ 2 ที่ 20% ส่วน Xiaomi, OPPO และ vivo อยู่ในอันดับที่ 3-5 ตามลำดับ Canalys ประเมินภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนปี 2023 ว่าอาจคงที่หรือเติบโตเพียงเล็กน้อย ทั้งผลจากเงินเฟ้อ ภาพรวมเศรษฐกิจ แต่มองครึ่งหลังของปีอาจมีการเติบโตสูงในหลายภูมิภาค เช่น จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มา: Canalys
# Discord ซื้อกิจการ Gas แอปโซเชียลทำโพลล์ ที่กำลังมาแรงในวัยรุ่น Discord ประกาศซื้อกิจการ Gas แอปโซเชียลสำหรับสร้างโพลล์สอบถามความคิดเห็น โดยดีลดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยมูลค่า Gas เป็นแอปที่เพิ่งเปิดตัวไม่นาน เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ได้รับความนิยมมากในกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่น มีจำนวนผู้ใช้งานประจำทุกวัน (DAUs) มากกว่า 1 ล้านคน จุดเด่นคือการโหวตในคำถามเพื่อเลือกเพื่อนด้วยกัน เช่น ใครสวยที่สุด ใครที่คุยด้วยแล้วสบายใจ เป็นต้น ถ้าหากคุ้น ๆ กับแอปรูปแบบดังกล่าว ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Gas ก็คือผู้ร่วมก่อตั้ง tbh แอปโซเชียลที่ Facebook ซื้อกิจการไปเมื่อปี 2017 Discord บอกว่า Gas จะยังให้บริการเป็นแอปแยกต่อไป แต่ทีมงานของ Gas (ที่มีอยู่ 4 คน) จะเข้ามาร่วมทีม Discord และพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ต่อไป ที่มา: The Verge
# Mac Pro เป็น Mac ใช้ Intel ตัวสุดท้าย หลัง Apple หยุดขาย Mac mini รุ่น Intel หลังจากแอปเปิลเปิดตัว Mac mini รุ่นใหม่ ใช้ชิป M2 และ M2 Pro แอปเปิลก็ได้หยุดขาย Mac mini รุ่นก่อนหน้าที่ใช้ซีพียูอินเทลไปพร้อมกันด้วย ทำให้ตอนนี้สินค้าตระกูล Mac ทั้งหมดที่แอปเปิลยังขายอยู่ เหลือเฉพาะ Mac Pro เท่านั้น ที่ยังใช้ซีพียูอินเทล ตอนที่แอปเปิลเปิดตัว Mac mini ที่ใช้ชิป M1 แอปเปิลก็ยังเลือกขาย Mac mini รุ่นอินเทลไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตามแอปเปิลเคยให้แผนการเปลี่ยนผ่านสินค้า Mac จาก x86 มาเป็น Apple Silicon ว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ซึ่งตอนนี้ก็ครบระยะเวลาแล้ว แต่ยังเหลือเฉพาะ Mac Pro รุ่นเดียว John Ternus รองประธานฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ของแอปเปิล เคยพูดถึง Mac Pro ที่ใช้ Apple Silicon เมื่อปีที่แล้วสั้น ๆ ว่า ยังคงอยู่ในแผนงาน ส่วนข่าวลือล่าสุดระบุว่าแอปเปิลน่าจะเปิดตัว Mac Pro ได้ในช่วงต้นปี ที่มา: MacRumors
# Twitter ชี้แจงปัญหา 3rd Party Clients แล้ว - ยืนยันบล็อกการใช้งานจริง ในที่สุด Twitter ก็ออกมาชี้แจงแล้ว หลังเกิดปัญหาไคลเอนต์ Twitter 3rd Party เช่น Tweetbot, Twitterific ไม่สามารถใช้งานได้ โดยชี้แจงผ่านบัญชี Twitter Dev ระบุว่า Twitter ได้เริ่มบังคับใช้ข้อกำหนดการใช้งาน API ที่มีมานานแล้ว จึงส่งผลให้แอปบางตัวไม่สามารถใช้งานได้ ถึงแม้การชี้แจงดังกล่าวจะยังคลุมเครือว่าข้อกำหนดที่แอป 3rd Pary ละเมิดคืออะไร แต่ถือเป็นการออกมาอธิบายเป็นทางการครั้งแรกต่อปัญหาที่เกิดขึ้น Paul Haddad ผู้ร่วมก่อตั้ง Tweetbot ให้ข้อมูลกับ The Verge ว่า จนถึงตอนนี้ทีมงานก็ยังไม่ได้รับการติดต่อเป็นทางการจาก Twitter พร้อมยืนยันว่าหากมีข้อกำหนดใดที่แอปละเมิดการใช้งานมามากกว่า 10 ปี ก็ยินดีที่จะปรับแก้ไขให้ตรงตามข้อกำหนด ที่มา: The Verge
# เปิดตัว MacBook Pro 14 และ 16 นิ้ว ชิป M2 Pro และ M2 Max เริ่ม 73,900 บาท แอปเปิลเปิดตัว MacBook Pro รุ่นขนาด 14 นิ้วและ 16 นิ้ว พร้อมตัวเลือกชิปใหม่ M2 Pro และ M2 Max (ไม่มีตัวเลือก M2) ดีไซน์เดิม รองรับ Wi-Fi 6E แบตเตอรี่ที่แอปเปิลเคลมคือ 22 ชม. (เดิม 21 ชม.) ตัวเลือกรุ่น 14 นิ้ว มีชิป M2 Pro ซีพียู 10 คอร์ จีพียู 16 คอร์ (หรือ 12 คอร์/19 คอร์) แรม 16GB/32GB ส่วนชิป M2 max มีซีพียูแบบเดียวคือ 12 คอร์ ส่วนจีพียูมีตัวเลือก 30 คอร์ (แรม 32GB/64GB) และ 38 คอร์ (แรม 32GB/64GB/96GB) ความจุเริ่ม 512GB สูงสุด 8TB ราคาเริ่มต้น 73,900 บาท จบสูงสุดที่ 222,900 บาท ขณะที่รุ่น 16 นิ้ว ตัวเลือกชิป M2 Pro มีแค่รุ่นซีพียู 12 คอร์ จีพียู 19 คอร์ ส่วน M2 Max ตัวเลือกเหมือนรุ่น 14 นิ้ว ราคาเริ่ม 89,900 บาท จบสูงสุดที่ 229,900 บาท ทั้งสองรุ่นมี 2 สีคือเทาสเปซเกรย์และเงิน ยังไม่กำหนดวันวางจำหน่ายในไทย ที่มา - Apple
# แอปเปิลเปิดตัวชิป M2 Pro และ M2 Max ซีพียู 12 คอร์, กราฟิก 38 คอร์ แรมสูงสุด 96GB แอปเปิลเปิดตัวซีพียูตัวท็อปของสาย Apple Silicon สองตัว คือ M2 Pro และ M2 Max โดยสเปคแต่ละรุ่นได้แก่ M2 Pro: มีให้เลือกระหว่างรุ่นซีพียู 10 และ 12 คอร์ (รุ่น 12 คอร์เป็นแบบ 8 คอร์ประสิทธิภาพสูง และ 4 คอร์ประหยัดพลังงาน) ส่วนกราฟิกสูงสุด 19 คอร์ แคช L2 ใหญ่ขึ้นกว่า M1 Pro โดยรวมมีทรานซิสเตอร์ 40,000 ล้านทรานซิสเตอร์ ใส่แรมได้สูงสุด 32GB แบนวิดท์ 200GB/s M2 Max: ซีพียูเท่ากับ M2 Pro แต่มีเฉพาะรุ่น 12 คอร์ แต่กราฟิกใส่ได้สูงสุดถึง 38 คอร์ และใส่แรมได้สูงสุด 96GB เชื่อมต่อที่แบนวิดท์ 400GB/s ทั้งสองรุ่นใส่วงจรปัญญาประดิษฐ์ Neural Engine รุ่นใหม่ขนาด 16 คอร์ พลังประมวลผล 15.8 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที เพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อน 40% ส่วนเร่งความเร็วการเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอ ทำให้สามารถเล่นวิดีโอระดับ 4K, 8K, และ ProRes ได้หลายสตรีมพร้อมกัน โดยตัว M2 Max จะมีชุดถอดรหัสนี้สองชุดเพื่อให้เข้ารหัสวิดีโอเร็วขึ้น ที่มา - Apple ภาพซีพียู M2 Max
# รอมานาน Mac Mini ชิป M2 และ M2 Pro มาแล้ว ราคาเริ่ม 20,900 และ 45,900 บาท หลังจากข้ามรุ่นชิป M1 Pro หรือ M1 Max ไป ล่าสุดแอปเปิลเปิดตัว Mac Mini กับชิปของแอปเปิลเองแล้วมี 2 ตัวเลือกคือ M2 และ M2 Pro (ไม่มี M2 Max) ในดีไซน์เดิม ตามข่าวลือ สำหรับรุ่น M2 ซีพียู 8 คอร์ จีพียู 10 คอร์ หน่วยประมวลผล Neural Engine 16 คอร์ มี Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต, USB-A 2 พอร์ต, HDMI 1 พอร์ต, พอร์ต Gigabit และพอร์ตหูฟัง แรมมีให้เลือกตั้งแต่ 8GB ถึง 24GB ส่วนความจุจะเริ่ม 256GB สูงสุด 2TB ส่วนพอร์ต Gigabit ก็มีตัวเลือกให้รองรับสูงสุด 10 GbE ราคาเริ่มที่ 20,900 บาท ไปจบที่สูงสุด 66,400 บาท ส่วนรุ่น M2 Pro มี 2 ตัวเลือกคือ ซีพียู 10 คอร์ จีพียู 16 คอร์ หรือ ซีพียู 12 คอร์ จีพียู 19 คอร์ ส่วน Neural Engine 16 คอร์ Thunderbolt 4 จำนวน 4 พอร์ต, USA-A 2 พอร์ต, HDMI 1 พอร์ต, พอร์ต Gigabit และพอร์ตหูฟัง แรม 16GB/32GB ความจุสูงสุด 8TB พร้อมตัวเลือกพอร์ต 10GbE ราคาเริ่ม 45,900 จบสูงสุด 157,900 บาท ทั้ง 2 รุ่นยังไม่กำหนดวันวางจำหน่ายในไทย ที่มา - Apple
# ตำรวจสิงคโปร์ไล่จับคนเปิดบัญชีม้า เอาผิดฐานฟอกเงิน, ฉ้อโกง, เปิดบริการรับชำระผิดกฎหมาย ตำรวจสิงคโปร์รายงานการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งหลอกลวงออนไลน์จำนวน 335 คน ที่ให้บริการกลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาใช้บัญชีของตัวเองเป็นบัญชีม้าเพื่อปกปิดเส้นทางการโอนเงิน โดยทั้ง 335 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงรวม 918 คดี ทางตำรวจระบุว่าผู้ต้องสงสัยน่าจะมีความผิดตามกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ กฎหมายฉ้อโกง (cheating) มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี, กฎหมายฟอกเงิน มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปีและปรับสูงสุด 500,000 ดอลลาร์สิงคโปร์, และกฎหมายบริการรับชำระ (payment service) มีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปีและปรับสูงสุด 125,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ แม้คดียังไม่สิ้นสุดแต่ทางตำรวจสิงคโปร์ก็แถลงว่าจะดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง และผู้ที่เปิดให้ผู้อื่นมาใช้บัญชีของตนก่ออาชญากรรมต้องรับผิดด้วย พร้อมกับเตือนว่าประชาชนควรปฎิเสธไม่ให้ผู้อื่นมาใช้บัญชีของตนเองทำธุรกรรมใดๆ สำหรับประเทศไทยเองทางกระทรวงดิจิทัลฯ ได้แถลงผลงานในปี 2022 ที่ผ่านมาระบุว่ามีการอายัดบัญชีม้าไปแล้ว 58,463 บัญชี และปิดกลุ่มโซเชี่ยลมีเดียสำหรับซื้อขายบัญชีม้าไปแล้ว 8 กลุ่ม ที่มา - Police.gov.sg ภาพรถตำรวจสิงคโปร์เมื่อปี 2019 โดย Mr Me
# เนเธอร์แลนด์ตัดสินใจ ยังไม่ห้ามส่งออกเครื่องจักรผลิตชิปรุ่นเก่าไปยังจีน Liesje Schreinemacher รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เนเธอร์แลนด์ให้สัมภาษณ์ออกโทรทัศน์ท้องถิ่น ระบุว่ารัฐบาลจะยังไม่ห้ามส่งออกเครื่องจักรผลิตชิปเพิ่มเติม หลังจากห้ามส่งออกเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดหรือเครื่องในกลุ่ม EUV ไปยังประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2019 หลังสหรัฐฯ ทำสงครามการค้ากับจีน ASML ผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตชิปรายใหญ่ และตอนนี้เป็นผู้ผลิตเครื่องในกลุ่ม EUV เพียงรายเดียว ส่งออกเครื่องจักรในกลุ่ม DUV หรือเครื่องที่เทคโนโลยีเก่ากว่านั้นไปยังจีนมาเรื่อยๆ ในปี 2021 มียอดขาย 2 พันล้านดอลลาร์แม้จะห้ามส่งออกเครื่องรุ่นใหม่ก็ตาม แต่กลางปีที่แล้วก็มีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ พยายามกดดันรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ให้ออกข้อห้ามเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ ASML ส่งเครื่องรุ่นเก่าไปยังจีนอีกเช่นกัน Schreinemacher ระบุว่าความกังวลของสหรัฐฯ ก็มีเหตุผล แต่ก็ตัดสินใจไม่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในรอบนี้ โดยเครื่องจักรในกลุ่ม DUV หรือเทคโนโลยีที่เก่ากว่านั้นมีผู้ผลิตทั้งในเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น ซึ่งสหรัฐฯ เองก็พยายามล็อบบี้ญี่ปุ่นให้ออกกฎแบบเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้เนเธอร์แลนด์ไม่ตกลงตามข้อเสนอของสหรัฐฯ แต่ Schreinemacher ก็ระบุว่าจะพูดคุยกับชาติที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป ที่มา - South China Morning Post เครื่อง TWINSCAN NXT:2050i เทคโนโลยี DUV ของ ASML
# Basecamp เผย จ่ายค่าคลาวด์ AWS ปีละ 100 ล้านบาท, กำลังย้ายออก ซื้อเซิร์ฟเวอร์ทำเอง David Heinemeier Hansson (@dhh) ผู้ร่วมก่อตั้ง Basecamp เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2022 ว่าบริษัท 37signals ของเขาจะเลิกเช่าคลาวด์เพราะมีต้นทุนแพง เวลาผ่านมาเกือบ 6 เดือน เขาโพสต์ข้อมูลอัพเดตของการย้ายออกจากคลาวด์ให้ทราบกัน DHH เปิดเผยตัวเลขให้เห็นชัดๆ ว่าเขาต้องจ่ายค่าคลาวด์ให้ AWS ตลอดทั้งปี 2022 เป็นเงิน 3,201,564.24 ดอลลาร์ (ตีเป็นเงินไทยปัจจุบันราว 106 ล้านบาท) โดยก้อนใหญ่ๆ เป็นค่า S3, RDS, OpenSearch, Elasticache ตามลำดับ ซึ่ง Basecamp จ่ายในราคาที่ถือว่ามีส่วนลดแล้ว เพราะเป็นการซื้อแบบการันตีระยะเวลานาน 4 ปี ทางออกของ 37signals คือเปลี่ยนมาซื้อเซิร์ฟเวอร์มาจัดการเอง ซึ่ง DHH ให้ข้อมูลว่าเป็นเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge R6525 ในราคาเครื่องละ 1,287 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 43,000 บาท) แต่ยังไม่เปิดเผยว่าต้องซื้อทั้งหมดกี่เครื่อง และมีต้นทุนอื่นๆ อีกเท่าไร (ฝากเครื่องไว้ที่ศูนย์ข้อมูลของบริษัท Deft เพื่อจัดการเครื่อง แบนด์วิดท์ ระบบไฟฟ้า) DHH บอกว่าเงินที่จ่ายไปถูกกว่าค่าคลาวด์มาก และจะมาเปิดเผยต้นทุนให้เห็นหลังจบปี 2023 แล้ว ที่มา - 37signals, The Register
# [ไม่ยืนยัน] Twitter ต้องจ่ายหนี้งวดแรกสิ้นเดือนมกราคม, ถ้าไม่มีจ่ายอาจต้องยื่นขอล้มละลาย หนังสือพิมพ์ Financial Times รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า ดีล Elon Musk ซื้อบริษัท Twitter มูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์ ที่มีสัดส่วนเงินกู้ถึง 13 พันล้านดอลลาร์จากธนาคารหลายแห่ง ทำให้บริษัทมีภาระหนี้สูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และกำหนดการจ่ายดอกเบี้ยงวดแรกอาจเป็นช่วงสิ้นเดือนมกราคมนี้ (ยังไม่แน่ชัดว่างวดแรกต้องจ่ายเท่าไร) หนี้ 13 พันล้านดอลลาร์เป็นภาระหนี้ของตัวบริษัท Twitter โดยตรง ซึ่งสถานการณ์รายได้ของบริษัทที่ลดลงอย่างมาก ทำให้บริษัทอยู่ในภาวะตัดสินใจยากว่าจะเอาตัวรอดจากการจ่ายหนี้อย่างไร ทางเลือกแรกคือยอมจ่ายหนี้ ตอนนี้บริษัทมีกระแสเงินสดในมือราว 1 พันล้านดอลลาร์ (ตัวเลขจาก Musk ระบุเอง) ข้อเสียของวิธีนี้ย่อมเป็นการที่กระแสเงินสดในมือลดลง อาจไม่มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องจ่ายทันที เช่น เงินเดือนพนักงาน ทางเลือกที่สองคือขายหุ้นบางส่วนออกไปเพื่อหาเงินสดมาใช้หนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Musk พยายามทำอยู่ แต่ยังไม่ชัดว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ และ Musk อาจต้องขายหุ้นออกในราคาต่ำกว่าทุนที่ซื้อมา ทางเลือกที่สามคือไม่จ่ายหนี้ (default) และจบด้วยยื่นขอล้มละลายเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จากนั้นเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อลดปริมาณหนี้ลง ข้อเสียคือกระบวนการนี้ยาวนานและมีค่าใช้จ่ายมหาศาล อีกทั้ง Musk จะเสียอำนาจควบคุมบริษัท เพราะจะอยู่ภายใต้กระบวนการฟื้นฟูของศาลล้มละลายแทน และหุ้นในส่วนของ Musk มูลค่าราว 26 พันล้านดอลลาร์อาจลดมูลค่าลงไปมาก ทางเลือกที่สี่คือ Musk อาจเจรจากับธนาคารเจ้าหนี้ ควักเงินส่วนตัวขอซื้อหนี้ของบริษัทมาเอง และถ้าพลิกกิจการกลับมาได้สำเร็จ ก็สามารถแปลงหนี้ส่วนนี้กลับมาเป็นหุ้นของบริษัทในสัดส่วนที่มากขึ้นได้ ข้อเสียของวิธีนี้คือเขาต้องยอมควักเงินเพิ่ม และธนาคารต้องยอมขายหนี้ในราคาที่ต่ำลงให้ Musk สามารถซื้อได้ด้วย ไม่ว่า Twitter จะเลือกทางใด ปัญหาอีกอย่างคืออัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางยังถือว่าอยู่ในระดับสูง (เมื่อเทียบกับช่วงที่ Musk เริ่มกระบวนการกู้เงินมาซื้อกิจการ) ทำให้ต้นทุนการเงินของ Twitter แพงขึ้นกว่าเดิมมาก สวนทางกับมูลค่าบริษัท Twitter ที่ตกลงมาก จากเดิม 44 พันล้านดอลลาร์ตอนซื้อ นักวิเคราะห์ประเมินว่ามูลค่าตอนนี้อยู่ราว 15 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น (สรุปสั้นๆ คือ ซื้อของมาแพง ของราคาตก แต่ดอกเบี้ยดันพุ่ง) Financial Times ยังให้ข้อมูลว่าตอนนี้ Musk กำลังเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อขอเปลี่ยนเงินกู้แบบไม่มีหลักประกัน (unsecured debt) มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีดอกเบี้ยแพง 11.75% มาเป็นเงินกู้แบบมีหลักประกันที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า โดยใช้หุ้น Tesla ของเขามาค้ำประกันแทน อย่างไรก็ตาม Musk ใช้หุ้น Tesla จำนวน 63% ของที่มีอยู่มาค้ำประกันอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งหุ้น Tesla เองก็มีมูลค่าต่ำลงมาในช่วงหลัง ที่มา - Financial Times
# NetEase ปฏิเสธขยายสัญญา Blizzard ทำตลาดในจีนไปอีก 6 เดือน หลัง Blizzard ประกาศเลิกทำตลาดในจีนในปีนี้ หลังจากเป็นพาร์ทเนอร์กับ NetEase มาตั้งแต่ปี 2008 โดยสัญญาจะสิ้นสุดวันที่ 23 มกราคมนี้ และบริการเกมต่างๆ ของ Blizzard (ยกเว้น Diablo Immortal) จะยุติทั้งหมด ล่าสุด Bloomberg เผยว่า Blizzard ได้ยื่นเรื่องขยายสัญญาให้กับ NetEase ออกไปชั่วคราวอีก 6 เดือน ซึ่งเป็นหนึ่งในทางเลือกจากการเซ็นสัญญาล่าสุดระหว่าง 2 บริษัทเมื่อปี 2019 ซึ่งทาง NetEase ก็ปฏิเสธที่จะเซ็นในทางเลือกนี้ ด้าน NetEase ปฏิเสธจะแสดงความเห็นในเรื่องนี้ ขณะที่ Blizzard ก็ระบุว่าพยายามจะหาผู้ให้บริการเจ้าอื่นอยู่ ที่มา - Bloomberg
# ซัมซุงเปิดตัว ISOCELL HP2 เซ็นเซอร์กล้องความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ใหญ่กว่า HP3 เล็กน้อย ซัมซุงเปิดตัวเซ็นเซอร์กล้อง ISOCELL HP2 ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ขนาด 1/1.3 นิ้ว มีขนาดพิกเซลที่ 0.6 ไมโครเมตร (μm) (มีอีกรุ่นคือ HP3 ความละเอียดเท่ากัน แต่ขนาดพิกเซลและขนาดเซ็นเซอร์เล็กกว่าเล็กน้อย) ในแง่ฟีเจอร์ HP2 แทบไม่ต่างจาก HP3 เช่น Tetra2pixel การนำพิกเซล 4 เม็ดมารวมแสงกัน หรือ Super QPD เม็ดพิกเซลทุกเม็ดช่วยทำออโต้โฟกัสได้ คาดว่า ISOCELL HP2 อาจทำมาสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงที่เป็นตัวรอง ที่มา - Samsung
# Google Translate รองรับการแปลโหมดออฟไลน์เพิ่ม 33 ภาษา รวมทั้งภาษาเมียนมาร์ ลาว เขมร กูเกิลประกาศรองรับการแปลภาษาแบบออฟไลน์เพิ่มเติมอีก 33 ภาษา ซึ่งผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแพ็คเกจภาษามาไว้ก่อน เพื่อใช้งานแปลแม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 33 ภาษาที่รองรับเพิ่มเติม ได้แก่ ภาษาบาสก์ ภาษาเซบัวโน ภาษาชิเชวา ภาษาคอร์ซิกา ภาษาฟรีเชีย ภาษา Hausa ภาษาฮาวาย ภาษาม้ง ภาษาอิกโบ ภาษาชวา ภาษาเขมร ภาษากิญญาร์วันดา ภาษาเคิร์ด ภาษาลาว ภาษาละติน ภาษาลักเซมเบิร์ก ภาษามาลากาซี ภาษาเมารี ภาษาเมียนมาร์ ภาษาโอริยา ภาษาซามัว ภาษาสกอตส์กาลิก ภาษา Sesotho ภาษาโชนา ภาษาสินธ์ ภาษาซุนดา ภาษาตาตาร์ ภาษาเติร์กเมน ภาษาอุยกูร์ ภาษาโคซ่า ภาษายิดดิช ภาษาโยรูบา และภาษาซูลู ที่มา: กูเกิล
# การแฮกโทรศัพท์ด้วยสาย USB ทำได้ยากมาก ถ้ามีจริงก็เหลือหลักฐานตรวจสอบง่าย หลายวันมานี้มีข่าวพูดถึงเหยื่อถูกแฮกขโมยเงินจากบัญชีในโทรศัพท์มือถือ โดนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการโจมตีด้วยสายชาร์จ USB ที่ออกแบบมาเพื่อมุ่งร้ายโดยเฉพาะ เช่น สาย O.MG ที่มีขายกันก่อนหน้านี้ แต่ในโลกความเป็นจริง การโจมตีด้วยสายเหล่านี้ทำได้ยาก มีต้นทุนที่สูง และหากมีการโจมตีจริงก็ควรจะพบตัวอย่างสายที่ใช้โจมตีบ้างแล้วเนื่องจากเหยื่อมีหลายคน สาย USB สำหรับโจมตี เน้นเก็บข้อมูลเหยื่อ การใช้สาย USB เพื่อโจมตีระบบคอมพิวเตอร์นั้นมีจริง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้ส่วนมากใช้งานพีซีที่ต้องเชื่อมต่อคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่านสาย USB หากแฮกเกอร์สามารถติดตั้งสายของตัวเองได้ ก็จะสามารถดักจับข้อมูลทุกอย่างที่ผู้ใช้พิมพ์ลงไปได้ การโจมตีที่ชัดเจนที่สุดคือสาย SURLYSPAWN ของ NSA ที่ Edward Snowden นำข้อมูลออกมาเปิดเผย แสดงให้เห็นว่า NSA สามารถติดตั้งวงจรขนาดเล็กเข้าไปในสาย USB เพื่อดึงข้อมูลที่ผู้ใช้พิมพ์ออกไปเป็นสัญญาณวิทยุ เพื่อให้สายลับของ NSA ที่อาจจะอยู่ไกลออกไปสามารถบันทึกการพิมพ์ทุกตัวอักษรเอาไว้ได้ แนวคิดของ NSA ทำให้มีผู้ผลิตเอกชน อย่างกลุ่ม Hak5 ผลิตสาย USB ชื่อว่า O.MG ออกมาโดยแนวคิดในการออกแบบเหมือนเดิม คือใช้ดักฟังการพิมพ์เท่านั้น แต่การส่งข้อมูลไปยังแฮกเกอร์นั้นใช้ Wi-Fi แถมตัวสายมีฟีเจอร์เก็บข้อมูลไว้ได้หากแฮกเกอร์ยังไม่เชื่อมต่อเข้ามา ต่างจากสาย SURELYSPAWN ของ NSA ที่ออกมาก่อนหน้านับสิบปีที่สายลับต้องคอยฟังสัญญาณวิทยุตลอดเวลา O.MG พัฒนาสายเวอร์ชั่นต่อมามีฟีเจอร์มากขึ้น สามารถแทรกข้อมูลเข้าไปได้ นั่นแปลว่าคนร้ายสามารถสั่งให้สายทำตัวเป็นคีย์บอร์ดแล้วพิมพ์ข้อมูลเข้าไปได้ แต่การโจมตีเช่นนี้ก็ทำโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัวได้ยาก เพราะเหยื่อจะเห็นข้อความที่หน้าจอเหมือนการพิมพ์โดยคีย์บอร์ดตามปกติ ข้อจำกัดสำคัญคือผู้ใช้ทุกวันนี้แทบไม่มีใครต่อคีย์บอร์ดกับโทรศัพท์มือถือ การที่อุปกรณ์สามารถจำลองเป็นคีย์บอร์ดได้แทบจะไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเครื่อง (ยกเว้นบ้าง เช่น ข้อมูลว่าผู้ใช้กดปุ่ม CapLock/ScrollLock/NumLock หรือยัง เพื่อให้คีย์บอร์ดแสดงไฟได้ถูกต้อง) และหากอุปกรณ์ล็อกไว้คนร้ายก็ไม่สามารถพิมพ์คำสั่งอะไรได้หากยังไม่ปลดหน้าจอ มัลแวร์ที่เหยื่อโดนหลอกให้ติดตั้งเป็นของจริง มีหลักฐาน ยังไม่ถูกแก้ไข ขณะที่สื่อและหน่วยงานต่างๆ พากันนำเสนอความน่ากลัวของสายชาร์จมุ่งร้าย แต่ในความเป็นจริง การโจมตีดูดเงินจากบัญชีธนาคารของไทยนั้นมีมานานหลายเดือน โดยโจมตีผ่านมัลแวร์ ข่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เมื่อวานนี้ระบุว่าเหยื่อทั้งหมดยังเป็นผู้ใช้โทรศัพท์แอนดรอยด์เท่านั้น เป็นสัญญาณที่แสดงว่าน่าจะเป็นมัลแวร์กลุ่มเดิมๆ ที่ผู้ใช้ถูกโจมตีกันมานานหลายเดือนแล้ว มัลแวร์เหล่านั้นมีความสามารถในการอ่านและ SMS โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว คนร้ายสามารถดูหน้าจอของเหยื่อได้จากระยะไกล และควบคุมได้โดยที่เหยื่อไม่ต้องทำอะไร โดยอาศัยฟีเจอร์ของโทรศัพท์ที่เปิดให้ติดตั้งแอปช่วยเหลือสำหรับคนพิการ ที่สำคัญคือประเทศไทยขาดการประสานงานกับผู้ผลิต ทำให้มัลแวร์เหล่านี้ไม่ถูกเตือนว่าเป็นซอฟต์แวร์มุ่งร้าย มัลแวร์ดูดเงินที่มีการรายงานมาหลายเดือนแล้ว อย่าง DSI.apk ก็ยังไม่ถูกเตือนว่าเป็นมัลแวร์
# [ลือ] Apple เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คืนนี้ คาด MacBook Pro M2 Pro และ Max, Mac Mini Jon Prosser ยูทูบเบอร์สายเทคที่ปล่อยข้อมูลและภาพเรนเดอร์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ได้ค่อนข้างแม่นยำ โพสต์ทวิตเตอร์ระบุว่า Apple เตรียมประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในคืนนี้ (หรืออาจจะพรุ่งนี้เช้า) ตามเวลาประเทศไทย ขณะที่ 9to5Mac ก็อ้างอิงแหล่งข่าวตัวเองระบุว่า Apple เริ่มให้ข้อมูลกับสื่อและอินฟลูเอนเซอร์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Mac ตัวใหม่แล้ว การเปิดตัวนี้จะอยู่ในรูปแบบของ Press Release และคาดว่าน่าจะเป็น MacBook Pro M2 Pro และ M2 Max ตามรอบ หลังจากเปิดตัว MacBook Pro M2 ไปเมื่อกลางปีที่แล้ว รวมถึง Mac Mini ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนมาใช้ชิปใหม่ของแอปเปิล ที่มา - 9to5Mac, @frontpagetech