txt
stringlengths
202
53.1k
# Dashlane รองรับ Passkey บน Android 14 มาตรฐาน Passkey เปิดทางให้ผู้ใช้สามารถผูกบัญชีเข้ากับบัญชีเก็บรหัสผ่าน เช่น Google Account หรือ iCloud ได้ แม้ว่าตอนนี้จะต้องใช้บัญชีของผู้ผลิตระบบปฎิบัติการเท่านั้นแต่ในอนาคตเราก็น่าจะเก็บบัญชีไว้ที่อื่นๆ ได้ด้วย ล่าสุด Dashlane ก็ออกมาประกาศแล้วว่าจะรองรับการทำงานเป็นผู้เก็บบัญชี Passkey บน Android 14 Android 14 เปิด API ออกมาให้ซอฟต์แวร์นอกเหนือจากกูเกิลสามารถทำหน้าที่จัดการ Passkey แทนได้ การใช้งานคล้ายกับตอนนี้ที่ใช้ Google Password Manager แต่เมื่อต้องการล็อกอินก็จะแสดงหน้าจอยืนยันตัวตนของ Dashlane ขึ้นมาแทน Android 14 จะออกจริงช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ระหว่างนี้คาดว่าโปรแกรมจัดการรหัสผ่านอีกหลายค่ายน่าจะออกมารองรับแบบเดียวกัน ที่มา - Dashlane
# นักวิเคราะห์มองที่โซเชียลมีเดียพากันออก Subscription เพื่อขายครีเอเตอร์มืออาชีพ ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป Alex Kantrowitz ผู้ก่อตั้งสื่ออิสระ Big Technology ซึ่งเน้นรายงานข่าวเชิงลึกเกี่ยวบริษัท Tech ในอเมริกา ให้ความเห็นหลังจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เริ่มออกบริการ Subscription เก็บค่าใช้จ่ายรายเดือนจากผู้ใช้งานกันมากขึ้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า หรือรูปแบบธุรกิจของโซเชียลมีเดียจะเปลี่ยนมาเป็นการใช้งานที่ต้องจ่ายเงิน ประเด็นนี้มีการพูดคุยมากขึ้นเมื่อ Meta ประกาศออกแพ็คเกจ Meta Verified ราคา 11.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ได้เครื่องหมายยืนยันตัวตน และการติดต่อซัพพอร์ตโดยตรง ซึ่งก่อนหน้านี้ Twitter ก็มี Twitter Blue ราคา 8 ดอลลาร์ และ Snapchat มี Snapchat+ ราคา 3.99 ดอลลาร์ จนดูเหมือนแพลตฟอร์มเหล่านี้จะหารายได้จาก Subscription ในความเห็นของ Alex เขามองว่ากลุ่มคนที่จะจ่ายเงินให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ คือครีเอเตอร์มืออาชีพ และภาคธุรกิจ ซึ่งกลุ่มนี้ยินดีจ่ายอยู่แล้ว หากได้ประโยชน์มากกว่า เช่น ทวีตได้ยาวกว่า รีชดีกว่า ติดต่อซัพพอร์ตได้โดยตรง ในอีกด้านคนกลุ่มนี้ก็เป็นผู้ผลิตเนื้อหาลงโซเชียลมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว จึงเป็นประโยชน์ร่วมกันสองฝ่าย เหมือนตัวเลขที่ Twitter เคยเปิดเผยว่าทวีตมากกว่า 90% บนแพลตฟอร์ม มาจากผู้ใช้งานที่น้อยกว่า 10% จึงอาจมองได้ว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ ไม่ได้มีแผนจะเก็บเงินผู้ใช้งานทุกคนให้ได้ สิ่งที่ท้าทายคือทำอย่างไรให้ครีเอเตอร์มืออาชีพยอมจ่ายมากกว่า และอาจสะท้อนรูปแบบโซเชียลในอนาคตได้เช่นกัน ที่มา: Big Technology ผ่าน Slate
# สหรัฐสั่งแบนบริษัทเซิร์ฟเวอร์จีน Inspur, บริษัทชิป Loongson, บริษัทพันธุกรรม BGI กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งแบนห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันทำธุรกิจบริษัทจีนรอบใหม่ คราวนี้ในรายชื่อมี Inspur ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์รายใหญ่ที่สุดของจีน (และอยู่อันดับสามของโลกในแง่จำนวนเซิร์ฟเวอร์) รวมอยู่ด้วย Inspur มีจุดกำเนิดจากการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และขยายกิจการเติบใหญ่จนกลายมาเป็นแบรนด์จีนยักษ์ใหญ่ด้านเซิร์ฟเวอร์ ปัจจุบันในรายชื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Top500 มีเครื่องของ Inspur ติดอยู่อันดับ 47 โดยเป็นเครื่องที่สร้างให้บริษัท Yandex ของรัสเซีย จากคำสั่งแบนครั้งนี้ บริษัทที่ "งานเข้า" ทันทีเลยคือ Cisco และ IBM ที่มีบริษัทร่วมทุนกับ Inspur เพื่อขายสินค้าในประเทศจีน ซึ่งตัวแทนของทั้งสองบริษัทยังไม่แสดงความเห็นต่อการแบนครั้งนี้ นอกจาก Inspur แล้ว ในคำสั่งแบนรอบนี้ยังมี BGI บริษัทด้านวิเคราะห์พันธุกรรมรายใหญ่ของจีน, Loongson Technology ผู้พัฒนาชิปตระกูล Loongson (MIPS) รวมถึงบริษัทจากประเทศอื่นๆ เช่น Neotec Semiconductor ของไต้หวัน, DMT Electronics ของรัสเซีย, กระทรวงคมนาคมและสื่อสารของพม่า เป็นต้น (รายชื่อทั้งหมด) ที่มา - Bloomberg
# อินเทลยกเลิกการออกจีพียูศูนย์ข้อมูล Rialto Bridge, ข้ามไปออก Falcon Shores ปี 2025 อินเทลยกเลิกโครงการจีพียูศูนย์ข้อมูล Rialto Bridge ที่เปิดตัวในปี 2022 และมีกำหนดขายปี 2023+ โดยจะข้ามไปออกจีพียูรุ่นถัดไป Falcon Shores ในปี 2025 เลยทีเดียว Rialto Bridge เป็นจีพียูระดับสูงของอินเทลตัวที่สอง ถัดจาก Ponte Vecchio (ชื่อทางการคือ Data Center GPU Max) ที่เพิ่งออกขายเมื่อต้นปี 2023 จับตลาดซูเปอร์คอมพิวเตอร์และคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (HPC) อินเทลให้เหตุผลของการยกเลิก Rialto Bridge ว่าเป็นเพราะต้องการออกจีพียูรุ่นใหม่ทุกสองปี แทนการออกทุกปี โดย Falcon Shores เป็นชิปลูกผสมที่รวมซีพียูและจีพียูเข้าด้วยกัน (อินเทลเรียก XPU) เดิมทีมีกำหนดออกปี 2024 ก็เลื่อนเล็กน้อยไปออกปี 2025 การเลื่อนออก Falcon Shores ทำให้อินเทลจะต้องตามหลังคู่แข่งเรื่อง XPU คือ AMD Instinct MI300 และ NVIDIA Grace Hopper ที่มีกำหนดออกปี 2023 ทั้งคู่ นอกจากนี้ อินเทลยังประกาศยกเลิกจีพียูศูนย์ข้อมูลตระกูล Data Center GPU Flex ที่เน้นเข้ารหัสวิดีโอ (รุ่นแรกโค้ดเนม Arctic Sound-M) โดยจีพียูรุ่นที่สอง Lancaster Sound ถูกข้ามไปยังตัวถัดไป Melville Sound แทน ซึ่งจะใช้รอบการออกจีพียูรุ่นใหม่ทุก 2 ปีเช่นเดียวกับจีพียูตระกูล Max ที่มา - Intel, Tom's Hardware
# [ไม่ยืนยัน] Visa/Mastercard หยุดโครงการเกี่ยวกับคริปโตไว้ก่อน Reuters อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวระบุว่า Visa และ Mastercard หยุดการประกาศพันธมิตรกับบริษัทคริปโตเพิ่มเติม และหยุดการเปิดบริการใหม่ๆ ไว้ชั่วคราวหลังตลาดไม่ค่อยดีในช่วงหลังและหน่วยงานกำกับดูแลเริ่มจับตามองมากขึ้น ทางโฆษกของ Visa ตอบเป็นทางการว่าเหตุการณ์ความล้มเหลวครั้งใหญ่ๆ ของวงการคริปโตเป็นข้อเตือนใจว่าต้องการใช้งานเงินคริปโตเพื่อจับจ่ายนั้นยังอยู่อีกไกล แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแผนกลยุทธ์ของบริษัทแต่อย่างใด ทั้งสองบริษัทพยายามเป็นพันธมิตรกับบริษัทคริปโตหลายแห่งทั่วโลก เช่น ในไทย Mastercard ประกาศความร่วมือกับ Bitkub ตั้งแต่ปี ​2021 หรือ Visa ที่เคยร่วมมือกับ FTX ก่อนบริษัทจะล้มละลายไป ที่มา - IT News
# พบโค้ดเนม Android 15 คือ Vanilla Ice Cream Android 14 เพิ่งออก Preview 1 แต่ล่าสุดมีข่าวโค้ดเนมของ Android 15 รุ่นของปี 2024 ออกมาแล้ว โดยทีมของกูเกิลใช้โค้ดเนมนี้ในซอร์สโค้ดของ Android คือ "Vanilla Ice Cream" ตามคิวตัว V ส่วนโค้ดเนมของ Android 14 ตัวอักษร U ที่เผยออกมาเมื่อปีที่แล้วคือ Upside Down Cake ที่มา - Android Police ภาพโดย DS Stories
# Reels บน Facebook เพิ่มความยาวคลิปสูงสุดเป็น 90 วินาที Meta ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ Facebook Reels แพลตฟอร์มวิดีโอสั้น มีรายละเอียดดังนี้ เพิ่มความยาววิดีโอสูงสุดเป็น 90 วินาที (เดิม 60 วินาที) สามารถสร้าง Reels ได้ทันทีจาก Memories Grooves ฟีเจอร์ใส่เพลงให้เข้ากับจังหวะเต้นในคลิป Templates ช่วยในการสร้างลูกเล่นในคลิป ฟีเจอร์ทั้งหมด Meta เริ่มเปิดให้กับ Reels บน Instagram ตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่เพิ่งมาเพิ่มให้กับ Reels ใน Facebook ที่มา: BGR
# Reid Hoffman ลาออกจากบอร์ด OpenAI แล้ว เพื่อป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn และพาร์ตเนอร์บริษัทการลงทุน Greylock ประกาศลาออกจากบอร์ดบริหาร ส่วนหน่วยงานไม่แสวงหากำไรของ OpenAI ด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน Hoffman เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ตั้งแต่ปี 2015 โดย OpenAI มีโครงสร้างองค์กรเพื่อศึกษาวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ แบบไม่แสวงหากำไร จนกระทั่งปี 2019 ได้ตั้งบริษัทลูกขึ้นมา เพื่อแสวงหากำไรแบบจำกัดเพดาน โดยกำไรส่วนเกินจะคืนกลับไปยัง OpenAI ส่วนไม่แสวงหากำไร การจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมานี้เองทำให้ OpenAI สามารถรับเงินลงทุนจากนักลงทุนเพิ่มเติมได้ ซึ่งไมโครซอฟท์คือหนึ่งในผู้ลงทุนรายสำคัญนั่นเอง (และ Hoffman ก็เป็นบอร์ดไมโครซอฟท์ด้วย) Reid Hoffman โพสต์ใน LinkedIn บอกว่าบริษัทของเขามีการลงทุนในหลายบริษัท เช่น Tome และ Coda ซึ่งต่างเป็นลูกค้า API ของ OpenAI การที่เขายังเป็นบอร์ดบริหาร OpenAI ส่วนไม่แสวงหากำไรด้วย ทำให้ต้องระมัดระวังผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมากในการตัดสินใจ จึงเป็นการดีกว่าที่จะลาออกจากตำแหน่งบอร์ดบริหารนี้ ในปี 2018 Elon Musk ซึ่งเป็นอีกผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ก็ลาออกจากบอร์ดด้วยเหตุผลคล้ายกัน นั่นคือ Tesla ก็มีการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ที่มา: CNBC ภาพ Wikimedia
# Michael Abbott หัวหน้าฝ่ายบริการคลาวด์ของ Apple ลาออกแล้ว Mark Gurman แห่ง Bloomberg อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเผยว่า Michael Abbott เป็นผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิลคนล่าสุด ที่เตรียมลาออกจากบริษัท โดย Abbott รับผิดชอบส่วน Infrastructure ของ iCloud และบริการอื่นที่เกี่ยวข้องเช่น iMessage, FaceTime, Find My งานส่วนนี้จะถูกโอนไปให้ Jeff Robbin ผู้สร้าง iTunes รุ่นแรก ซึ่งปัจจุบันเขาดูแลงานวิศวกรรมหลายโครงการภายใต้การดูแลของ Cue ทั้งนี้ Abbott เป็นผู้บริหารภายในทีม Services ของ Eddy Cue คนที่สองที่ลาออกในปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ Peter Stern ที่ดูแลส่วนบริการ subscription เช่น Apple TV+, Apple News ก็ลาออกเมื่อเดือนมกราคม Michael Abbott ร่วมงานกับแอปเปิลตั้งแต่ปี 2018 โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้บริหารในหลายบริษัทเทคโนโลยีทั้ง Twitter, Microsoft และ Palm ที่มา: Bloomberg
# Amazon สั่งหยุดการสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่สอง (HQ2) ในรัฐเวอร์จิเนีย Amazon ยืนยันรายงานข่าวว่าบริษัทได้หยุดการก่อสร้างสำนักใหญ่แห่งที่สอง (HQ2) ซึ่งอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย โดยส่วนที่หยุดเป็นเฟส 2 ของโครงการ ส่วนเฟส 1 ซึ่งเรียกว่า Metropolitan Park ได้ก่อสร้างเสร็จไปแล้ว กำหนดเปิดใช้งานเดือนมิถุนายนนี้ คาดว่ามีพนักงานในช่วงแรกประมาณ 8,000 คน การหยุดก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ เป็นส่วนหนึ่งในแผนลดค่าใช้จ่ายของ Amazon ซึ่งก่อนหน้าได้ประกาศปลดพนักงาน 18,000 คน และทบทวนโครงการหลายอย่างโดยเฉพาะส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ Amazon ประเมินว่าโครงการเฟสแรก จะรองรับพนักงานได้ประมาณ 14,000 คน ซึ่งเพียงพอสำหรับความต้องการในเวลานี้ หากสถานการณ์ดีขึ้นก็จะเดินหน้าโครงการเฟส 2 ต่อ Amazon ประกาศแผนสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ตั้งแต่ปี 2017 และเลือกสองสถานที่คือรัฐนิวยอร์ก กับรัฐเวอร์จิเนีย แต่ต่อมายกเลิกการสร้างสำนักงานในนิวยอร์กเนื่องจากถูกต่อต้านจากท้องถิ่น ที่มา: CNBC
# รายได้ Twitter เดือนธันวาคม 2022 ลดลงถึง 40% จากจำนวนโฆษณาที่ลดลง The Wall Street Journal ได้ข้อมูลที่ Twitter รายงานให้กับนักลงทุนประจำเดือนธันวาคม ซึ่งเกิดเหตุการณ์สำคัญคือบริษัทโฆษณาจำนวนมากลดหรือเลิกลงโฆษณาใน Twitter โดยเฉพาะเดือนธันวาคม 2022 บริษัทมีรายได้และกำไรลดลง 40% เมื่อเทียบเดือนธันวาคม 2021 ทั้งนี้ตัวเลขรายได้ปี 2021 ของ Twitter ไม่ได้มีการเปิดเผยเฉพาะส่วนเดือนธันวาคม แต่รายงานเป็นภาพรวมของไตรมาสซึ่งอยู่ที่ 1.57 พันล้านดอลลาร์ ต้นทุนการเงินเป็นความท้าทายสำคัญของ Elon Musk ที่เข้ามาซื้อกิจการ เนื่องจากเขาใช้เงินจากการกู้ยืมเงินธนาคารส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้เป็นวงเงินราว 13,000 ล้านดอลลาร์ และมีภาระดอกเบี้ยราว 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี โดยดอกเบี้ยงวดแรกเพิ่งชำระไปไม่นานมานี้ ที่มา: The Wall Street Journal
# Amazon ปิดร้านสะดวกซื้อ Amazon Go จำนวน 8 สาขา เพื่อลดค่าใช้จ่าย Amazon เตรียมปิดร้านสะดวกซื้อไร้แคชเชียร์ Amazon Go จำนวน 8 สาขาในสหรัฐ ด้วยเหตุผลเรื่องการลดจำนวนร้านค้าเชิงกายภาพ และลดค่าใช้จ่ายของบริษัทในภาพรวม หลังเพิ่งประกาศปลดพนักงานไปชุดใหญ่ 18,000 คน โฆษกของ Amazon บอกว่าบริษัทยังมุ่งมั่นกับธุรกิจค้าปลีกต่อไป ตอนนี้ยังมี Amazon Go มากกว่า 20 สาขาในสหรัฐ นอกจากร้านสะดวกซื้อแบรนด์ Go แล้ว บริษัทยังมีธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตไร้แคชเชียร์ Amazon Fresh, ร้านขายเสื้อผ้า Amazon Style และเป็นเจ้าของ Whole Foods Market ด้วย ที่มา - CNBC
# [ลือ] Twitter ไม่ยอมจ่ายค่าคลาวด์ให้ AWS เพื่อลดค่าใช้จ่าย, AWS ขู่กลับไม่จ่ายค่าโฆษณา เว็บไซต์ The Information รายงานข่าวไม่ยืนยันว่า Twitter ในยุค Elon Musk ไม่ยอมจ่ายค่าคลาวด์ AWS ทำให้โดน Amazon ขู่กลับว่าจะไม่จ่ายค่าโฆษณาให้ Twitter เริ่มใช้งาน AWS มาตั้งแต่ปี 2020 โดยก่อนหน้านั้นใช้ศูนย์ข้อมูลของตัวเองมาตลอด ข้อมูลของ The Information บอกว่าทั้งสองบริษัทเซ็นสัญญาใช้คลาวด์นาน 5 ปี มูลค่าอย่างน้อย 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Twitter พยายามเจรจาสัญญาใหม่ที่ราคาถูกลง มาตรการลดค่าใช้จ่ายของ Twitter เริ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก Elon Musk เข้ามาบริหาร ตัวอย่างการลดค่าใช้จ่ายคือ หยุดจ่ายเงินบริษัทเวนเดอร์ ปลดพนักงานทำความสะอาด ปิดศูนย์ข้อมูลหนึ่งแห่งจากสามแห่ง, ไม่จ่ายค่าเช่าสำนักงาน จนโดนฟ้องเรียกค่าเสียหาย และล่าสุดคือ ปิดระบบ Slack โดยคาดกันว่าไม่ต้องการจ่ายเงินให้ Slack อีกเช่นกัน ที่มา - The Information
# [ลือ] Apple อาจเปิดตัว iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สีใหม่ Yellow สัปดาห์หน้า มีรายงานจากหลายแหล่งข้อมูล ว่าแอปเปิลเตรียมประกาศสินค้าใหม่ในสัปดาห์หน้า โดยหนึ่งในนั้นคือ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ที่จะเพิ่มเติมสีใหม่คือสีเหลือง (Yellow) แต่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าแอปเปิลจะประกาศกลุ่มสินค้าใหม่ด้วยหัวข้ออะไร ช่วงหลายปีที่ผ่านมา แอปเปิลใช้วิธีการออก iPhone สีใหม่เพิ่มเติมในช่วงต้นปีฤดูใบไม้ผลิ เพื่อกระตุ้นยอดขายหลังสินค้าออกมาระยะหนึ่ง โดยใน iPhone 13 เป็นสีเขียว ส่วน iPhone 12 เป็นสีม่วง จึงไม่น่าแปลกนักถ้าจะทำแบบเดียวกันกับ iPhone 14 แอปเปิลออก iPhone สีเหลืองครั้งสุดท้ายคือ iPhone 11 เมื่อปี 2019 และก่อนหน้านั้นใน iPhone XR ปี 2018 ถ้าหากสีเหลืองมาจริงก็ต้องรอดูว่าจะเป็นเหลืองโทนใด ที่มา: MacRumors ภาพจากการเปิดตัว iPhone XR ปี 2018
# Meta หั่นราคาแว่น Quest Pro เหลือ 999 ดอลลาร์, Quest 2 256GB เหลือ 429 ดอลลาร์ Meta ประกาศหั่นราคาแว่น Quest แบบถาวร ดังนี้ Meta Quest Pro จากเดิม 1,499 ดอลลาร์ เหลือ 999 ดอลลาร์ (ลดลงทีเดียว 500 ดอลลาร์) Meta Quest 2 (256GB) จากเดิม 499 ดอลลาร์ เหลือ 429 ดอลลาร์ (ลดลง 70 ดอลลาร์) ส่วนแว่นรุ่นเล็กที่สุด Meta Quest 2 (128GB) ยังคงราคาเดิมที่ 399 ดอลลาร์ (เท่ากับว่าช่วงห่างของรุ่นความจุเหลือ 30 ดอลลาร์เท่านั้น) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 บริษัท Meta เพิ่งขึ้นราคา Meta Quest 2 ทั้งสองรุ่นความจุ จากเดิม 299 และ 399 ดอลลาร์ เป็น 399 และ 499 ดอลลาร์ตามลำดับ โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนการรอบนี้คือลดราคา Quest 2 เฉพาะรุ่น 499 ดอลลาร์ลงมาเหลือ 429 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าเป้าหมายคือการสร้างแว่น VR ที่เข้าถึงได้กว้างที่สุด (affordable for as many people as possible) และไม่พูดเรื่องต้นทุนแล้ว ที่มา - Meta
# Brave Search เพิ่มฟีเจอร์ Summarizer ใช้ AI เขียนสรุปเนื้อหาจากคำถามที่เสิร์ช Brave Search บริการเสิร์ชของ Brave ที่มีจุดขายเน้นความเป็นส่วนตัวแบบเดียวกับเบราว์เซอร์ ประกาศเข้าสู่วงการ AI สร้างเนื้อหาหรือ Generative AI ด้วยเช่นกัน โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ Summarizer โดย Brave บอกว่า Summarizer เป็น AI ที่สร้างเนื้อหาแบบสรุป จากคำถามที่ผู้ใช้งานเสิร์ช โดยเน้นการให้คำตอบแบบเจาะจงไปเลย แตกต่างจาก Generative AI อื่น ที่มักให้ข้อมูลเป็นภาพกว้าง พร้อมกับแนบลิงก์เว็บที่ Brave Search ใช้ในการอ้างอิงเพื่อเขียนเนื้อหาสรุปนี้ออกมา การทำงานของ Summarizer ใช้โมเดล LLM 3 ตัว ซึ่งไม่มีของ ChatGPT โดยตัวแรกทำหน้าที่หาคำตอบจากคำถาม ตัวที่สองนำคำตอบที่ได้มากรองเนื้อหาความถูกต้อง และตัวที่สามทำหน้าที่เขียนสรุป จุดเด่นของการเขียนเนื้อหาแบบนี้ ทำให้รองรับการตอบคำถามที่ต้องการข้อมูลปัจจุบันที่สุด การแนบลิงก์เนื้อหามาด้วยก็ช่วยให้ผู้ใช้งานตรวจสอบความถูกต้องได้เองอีกครั้ง แบบเดียวกับการเสิร์ชหาข้อมูลเว็บแบบเดิม นอกจากนี้ผลลัพธ์เว็บในหน้าค้นหา ยังเพิ่มการไฮไลท์ข้อความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เสิร์ช ช่วยให้คัดเลือกเว็บเพื่อเข้าไปดูต่อได้สะดวกขึ้นอีก ฟีเจอร์ Brave Summarizer เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับผู้ใช้ Brave Search ทุกคน ซึ่ง Brave ก็บอกว่าไม่ต้องรอต่อคิวใช้งานแบบเสิร์ชค่ายอื่น หากไม่ต้องการก็สามารถปิดการทำงานได้ใน Settings ที่มา: Brave ตัวอย่าง Summarizer
# โมเดลปัญญาประดิษฐ์ LLaMA ของ Meta หลุดออก Torrent แล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Meta เปิดตัว LLaMA ปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่สูงสุด 65 พันล้านพารามิเตอร์ โดยมีจุดเด่นคือ Meta แจกโมเดลที่ฝึกแล้วให้ไปใช้งานกันด้วย แต่จำกัดการใช้งานเฉพาะการศึกษาวิจัยเท่านั้น และนักวิจัยต้องไปขอใช้งานจาก Meta เป็นรายคน ล่าสุดก็มีคนที่ได้โมเดลไป นำโมเดลมาแจกบน torrent แล้ว Meta แจกตัวโมเดลของ LLaMA เป็นโอเพนซอร์ส ใช้สัญญาอนุญาตแบบ GPLv3 ทำให้นำไปใช้งานเชิงการค้าได้แม้จะต้องเปิดซอร์สโค้ดไปด้วยแบบเดียวกับลินุกซ์ แต่ไม่ได้เปิดชุดข้อมูลสำหรับฝึกและพารามิเตอร์ของปัญญาประดิษฐ์ที่ฝึกเสร็จแล้ว ซึ่งชุดข้อมูลนั้นคนทั่วไปรวบรวมได้ยาก ยิ่งตัวโมเดลที่ฝึกเสร็จแล้วนั้นการฝึกแต่ละครั้งอาจจะใช้ต้นทุนหลายแสนหรือหลายล้านบาททำให้บริษัทขนาดเล็กหรือบุคคลทั่วไปไม่สามารถฝึกโมเดลเหล่านี้กันเองได้ การแจกพารามิเตอร์ของ LLaMA นั้น Meta จะสร้าง URL สำหรับผู้ได้รับอนุญาตรายคน แต่เมื่อนักพัฒนานำไฟล์ที่โหลดออกมาเทียบกันแล้วกลับพบว่าข้อมูลเหมือนกัน ไม่ได้ใส่ลายน้ำเอาไว้ในตัวพารามิเตอร์ ในกรณีนี้ผู้แจก torrent กลับพลาดใส่ URL ของตัวเองลงไปใน torrent ด้วยทำให้ Meta ตามหาผู้ปล่อยไฟล์ได้ LLaMA สามารถฝึกเพิ่มเติมด้วยมนุษย์แบบเดียวกับ ChatGPT ได้ การที่โมเดลหลุดออกมาเช่นนี้ก็อาจจะทำให้เห็นการพัฒนา LLaMA เพิ่มเติมด้วย แต่สัญญาอนุญาตของตัวโมเดลไม่ใช่โอเพนซอร์สก็อาจจะทำให้องค์กรที่ต้องระวังปัญหาลิขสิทธิ์ไม่สามารถใช้งานโมเดลนี้ได้ ที่มา - GitHub: facebookresearch/llama, Hacker News
# รัฐบาลสหรัฐออกแผนยุทธศาสตร์มั่นคงไซเบอร์ เสนอบริษัทซอฟต์แวร์ต้องรับผิดหากมีช่องโหว่ รัฐบาลสหรัฐ ออกแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติ (National Cybersecurity Strategy) เป็นกรอบกว้างๆ กำหนดแนวทางป้องกันการโจมตีไซเบอร์ โดยเฉพาะกับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ แผนยุทธศาสตร์นี้พูดถึงการรับมือกับกลุ่มผู้ประสงค์ร้าย (threat actors), การแลกเปลี่ยนข้อมูลกลุ่มแฮ็กเกอร์-กลุ่มผู้สร้างมัลแวร์ระหว่างรัฐบาลชาติต่างๆ, การลงทุนด้านงานวิจัยความปลอดภัย ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นกว้างๆ ที่พูดถึงกันในวงการความปลอดภัยไซเบอร์อยู่แล้ว ของใหม่ที่เป็นประเด็นจับตาคือ แผนฉบับนี้เสนอแนวคิดว่า ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์หรือผู้ให้บริการควรต้อง "มีภาระรับผิด" ต่อการเกิดช่องโหว่ด้วย (ยังไม่ระบุลงไปชัดว่าเป็นความผิดอาญา หรือเสียค่าปรับอย่างเดียว) เพื่อกระตุ้นให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ต้องเร่งปรับตัว นำเทคนิคและมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดช่องโหว่ความปลอดภัย ข้อความในแผนเขียนว่า ผู้ขายซอฟต์แวร์ไม่มีแรงจูงใจด้านการทำซอฟต์แวร์ให้ปลอดภัย แม้มีมาตรฐานที่ปฏิบัติกันในวงการอยู่แล้วแต่ก็ไม่ค่อยสนใจทำตาม เช่น ออกสินค้าที่ตั้งค่าดีฟอลต์แบบง่ายๆ เลยทำให้โดนเจาะได้ง่ายตามไปด้วย ระบบทั้งหมดจึงมีความปลอดภัยรวมน้อยลง เมื่อการทำแบบนี้ไม่มีภาระรับผิดใดๆ ก็ทำให้ผู้ขายซอฟต์แวร์ทำแบบนี้กันต่อไปอีกเหมือนเดิม หลังจากแผนยุทธศาสตร์นี้ออกมาแล้ว รัฐบาลสหรัฐกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อลงรายละเอียดและพัฒนาเป็นกฎหมายที่จำเป็นต่อไป ที่มา - Whitehouse, Ars Technica
# Dell รายงานผลประกอบการไตรมาส ธุรกิจ Infrastructure เติบโตเป็นสถิติใหม่ Dell Technologies รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ตามปีการเงินบริษัท 2023 สิ้นสุดวันที่ 3 กุมภาพันธ์ รายได้รวม 25,039 ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงาน 1,189 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิตามบัญชี GAAP 606 ล้านดอลลาร์ Chuck Whitten ซีโอโอร่วมของ Dell Technologies กล่าวว่าแนวโน้มในระยะยาวยังส่งผลดีต่อบริษัท โดยเฉพาะปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เราจึงมีบทบาทช่วยลูกค้าจัดการความซับซ้อนนี้ทั้งระดับไฮบริดคลาวด์ มัลติคลาวด์ และ Edge ส่วน Jeff Clarke ซีโอโอร่วม พูดถึงธุรกิจ Infrastructure ว่าเติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่แปด มีกำไรทำสถิติใหม่ เช่นเดียวกับธุรกิจสตอเรจที่เติบโตในระดับ 5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนธุรกิจพีซีมีตัวเลขที่ดีกว่าภาพรวมตลาด ทั้งนี้รายได้จากกลุ่ม Infrastructure เพิ่มขึ้น 7% เป็น 9,905 ล้านดอลลาร์ ส่วนกลุ่ม Client รายได้ 13,361 ล้านดอลลาร์ ลดลง 23% ที่มา: Dell Technologies
# HPE ซื้อกิจการซอฟต์แวร์ความปลอดภัย Axis Security - นำมาเป็นส่วนหนึ่งของ Aruba HPE หรือ Hewlett Packard Enterprise ประกาศซื้อกิจการ Axis Security บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ความปลอดภัยบนคลาวด์จากอิสราเอล ซึ่ง HPE บอกว่าดีลนี้จะทำให้โซลูชันความปลอดภัย Secure Access Services Edge (SASE) รองรับความต้องการที่มากขึ้น จากการที่ลูกค้าทำงานแบบรีโมทมากขึ้น และมีการรันแอพพลิเคชันบนคลาวด์มากขึ้นเช่นกัน ซอฟต์แวร์ความปลอดภัยของ Axis จะเข้ามารวมเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Aruba ของ HPE ในส่วนควบคุม SD-WAN และ Network Firewall ทำให้เป็นโซลูชันที่ครอบคลุมตั้งแต่ Edge จนถึง Cloud ควบคุมแบบ Zero Trust รองรับการเชื่อมต่อจากทุกที่และทุกอุปกรณ์ ดีลดังกล่าวไม่มีการเปิดเผยมูลค่าที่เข้าซื้ออย่างเป็นทางการ ที่มา: HPE
# HPE รายงานผลประกอบการไตรมาส เติบโตทุกกลุ่มธุรกิจ: HPC & AI ทำสถิติสูงสุด HPE หรือ Hewlett Packard Enterprise รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ตามปีการเงินบริษัท 2023 สิ้นสุดเดือนมกราคม มีรายได้รวม 7,809 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิตามบัญชี GAAP 501 ล้านดอลลาร์ ส่วนตัวเลขรายรับต่อเนื่องรายปีหรือ ARR ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาสนี้สูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์แล้ว Antonio Neri ซีอีโอ HPE กล่าวว่าไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรตามบัญชีแบบ non-GAAP สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 จากการเป็นผู้นำตลาดแพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์ HPE GreenLake ตลอดจนแผนงานต่าง ๆ ที่ดำเนินงานได้ตามกลยุทธ์ รายได้แยกตามกลุ่มธุรกิจเป็นดังนี้ Intelligent Edge มีรายได้ 1,127 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25%, กลุ่ม HPC & AI เพิ่มขึ้น 34% เป็น 1,056 ล้านดอลลาร์ เป็นสถิติสูงสุดที่เคยมีมา, Compute เพิ่มขึ้น 14% เป็น 3,456 ล้านดอลลลาร์ และสตอเรจ เพิ่มขึ้น 5% เป็น 1,187 ล้านดอลลาร์ ที่มา: HPE
# FTC สั่งให้โซนี่ต้องเปิดเผยสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟย้อนไปถึงปี 2019 ตามคำขอไมโครซอฟท์ คดีระหว่างไมโครซอฟท์กับโซนี่เรื่องดีล Activision Blizzard ฝั่งอเมริกามีพัฒนาการที่น่าสนใจคือ FTC หรือคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า เห็นชอบให้โซนี่ต้องเปิดเผยเอกสารจำนวนมาก ตามที่ไมโครซอฟท์ร้องขอ เรื่องเริ่มมาจากไมโครซอฟท์ยื่นคำขอเมื่อ 17 มกราคม ให้โซนี่ต้องเปิดเผยเอกสารภายในต่างๆ ซึ่งรวมถึงสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับสตูดิโอเกมต่าง ๆ ต่อ FTC ด้วย เพื่อใช้ต่อสู้เรื่องสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟเกมที่เป็นแกนหลักของดีล Activision Blizzard แน่นอนว่าฝั่งโซนี่ย่อมไม่ยินยอม และบอกว่าไมโครซอฟท์ขอข้อมูลภายในมากเกินไป แต่สุดท้ายผู้พิพากษาของ FTC ยืนยันตามคำขอของไมโครซอฟท์เกือบทั้งหมด ยกเว้นเอกสารประเมินผลงานของผู้บริหารระดับสูงโซนี่ และจำกัดช่วงเวลาของเอกสารสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟให้ย้อนไปถึงแค่ 1 มกราคม 2019 เท่านั้น (ไมโครซอฟท์ขอย้อนไปถึงปี 2012 ศาลบอกว่า 2019 ก็พอ) ที่ผ่านมา โซนี่มีสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับค่ายเกมบางค่ายอยู่แล้ว เช่น Activision Blizzard เองที่มีเนื้อหาเฉพาะของ Call of Duty บน PlayStation หรือเกมตระกูล Final Fantasy ที่เป็นคอนโซลเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ PlayStation เท่านั้น FTC จะเริ่มไต่สวนคดีนี้ในวันที่ 2 สิงหาคม 2023 ซึ่งคงต้องใช้เวลาเตรียมการอีกพักใหญ่ๆ ระหว่างนี้ไมโครซอฟท์มีคิวรอการอนุมัติจาก EU และ CMA ของสหราชอาณาจักรในช่วงปลายเดือนเมษายน ที่มา - Games Industry
# เปิดตัว Microsoft Intune Suite ชุดซอฟต์แวร์จัดการอุปกรณ์ Endpoint, ขั้นกว่าของ Intune ไมโครซอฟท์เริ่มให้บริการ Intune Suite ชุดซอฟต์แวร์จัดการอุปกรณ์ (endpoint management) และโซลูชันด้านความปลอดภัยอีกหลายด้าน ไมโครซอฟท์มีซอฟต์แวร์ Intune (เดิมชื่อ Windows Intune) สำหรับจัดการอุปกรณ์ (mobile device management / MDM หรือปัจจุบันเรียก endpoint management) มานานแล้ว ส่วน Intune Suite ที่เปิดตัวล่าสุดเป็นซูเปอร์เซ็ตของ Intune ที่เพิ่มความสามารถด้านอื่นๆ เข้ามา เช่น การช่วยเหลือแบบรีโมท, VPN/Tunnelling, การจัดการสิทธิ (privilege management), การวิเคราะห์ข้อมูล แล้วขายในราคาที่แพงขึ้นสำหรับองค์กรที่อยากได้ฟีเจอร์เหล่านี้ โดยเรียกรวมๆ ว่าเป็น Unified Endpoint Management (UEM) Intune รุ่นมาตรฐานที่ปัจจุบันเรียกว่า Intune core คิดราคา 8 ดอลลาร์ต่อเครื่อง (รวมอยู่แล้วในแพ็กเกจ Microsoft 365) ส่วน Intune Suite ต้องจ่ายเพิ่มอีก 10 ดอลลาร์ต่อเครื่อง (ตารางราคา) ที่มา - Microsoft
# [ลือ] EU จะอนุมัติดีลไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard หลังพอใจมาตรการเยียวยา Reuters อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด EU ระบุว่าจะอนุมัติดีลไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard หลังคณะกรรมการยุโรป (European Commission) พอใจกับมาตรการเยียวยาที่ไมโครซอฟท์เสนอ ทั้งการสัญญาว่านำเกมลงแพลตฟอร์มคู่แข่งทั้ง Nintendo และ NVIDIA ทางคณะกรรมการยุโรปมีกำหนดลงมติว่าจะอนุมัติหรือปฏิเสธดีลนี้ในวันที่ 25 เมษายน 2023 ถึงแม้ผ่านด่าน EU ได้ แต่ไมโครซอฟท์ยังต้องเจออุปสรรคสำคัญคือ FTC ของสหรัฐอเมริกา และ CMA ของสหราชอาณาจักรที่คัดค้านดีล ที่มา - Reuters ภาพจาก Microsoft
# ตัวอ่าน PDF ของ Google Drive บน Android รองรับการไฮไลท์-เขียนข้อความลงไฟล์แล้ว ตัวอ่าน PDF ของ Google Drive อาจถือเป็นหนึ่งในตัวอ่าน PDF ที่มีคนใช้เยอะที่สุด เพราะถือเป็นแอพดีฟอลต์ของ Android จำนวนมาก แต่ที่ผ่านมาความสามารถของมันค่อนข้างจำกัดมาก ทำอะไรอื่นนอกจากแสดงผลไฟล์ PDF แทบไม่ได้เลย ผู้ใช้หลายคนจึงต้องหาแอพอ่าน PDF ตัวอื่นมาใช้กันแทน ล่าสุดกูเกิลเพิ่มฟีเจอร์ annotation ให้กับ Google Drive PDF viewer รองรับการเขียนหน้าจอและไฮไลท์ข้อความด้วยสีต่างๆ ทั้งด้วยนิ้วมือและด้วยปากกาแล้ว ในแง่ฟีเจอร์คงไม่ต่างจากแอพอื่นๆ แต่ก็ช่วยลดการพึ่งพาการใช้แอพอื่นลงได้สำหรับคนที่ต้องการประหยัดพื้นที่สตอเรจ ฟีเจอร์นี้มากับอัพเดต Google Drive เวอร์ชัน 2.23.081.2 ซึ่งกำลังทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ทีละกลุ่ม ที่มา - Google, 9to5google
# Windows 11 Insider ออกแบบ Volume Mixer ใหม่ กลับมาปรับเสียงแยกรายแอพได้แล้ว ไมโครซอฟท์ออก Windows 11 Insider Preview Build 25309 (Dev Channel) ของใหม่ที่สำคัญคือออกแบบตัวปรับระดับเสียง Volume Mixer ใน Quick Settings ใหม่ สามารถปรับระดับเสียงแยกตามแอพได้โดยไม่ต้องเข้าหน้า Settings ในยุคของ Windows 10 ตัวปรับระดับเสียงตัวเก่ารองรับการตั้งค่าแยกตามแอพอยู่แล้ว คลิกที่ไอคอนลำโพงแล้วสามารถปรับเสียงแยกรายแอพได้เลย แต่พอมาเป็นยุค Windows 11 ไมโครซอฟท์ออกแบบตัวปรับระดับเสียงใหม่ ตัดความสามารถนี้ออกไป หากต้องการตั้งค่าแยกรายแอพ ต้องเข้าไปยังหน้า Settings > System > Sound > Volume mixer หลายขั้นตอน การดีไซน์ตัวปรับระดับเสียงใหม่รอบนี้ ยังรวมตัวเลือก Output Device และ Spatial Audio (ถ้าฮาร์ดแวร์รองรับ) ไว้ในหน้าเดียวกันเพื่อความสะดวกด้วยเลย Build 25309 ยังปรับแก้ UI จุดเล็กๆ อีกหลายจุด แต่ที่น่าสนใจคือ File Explorer เพิ่มปุ่มไอคอน Pizza เข้ามาในทูลบาร์ ซึ่งไม่มีฟีเจอร์ใดๆ แต่เป็นการบอกเวอร์ชันของ File Explorer เวอร์ชันใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้ WinUI 3 แทน WinUI 2 เท่านั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสนุกๆ ที่เราคงได้เห็นกันเฉพาะตอนเป็น Insider ที่มา - Windows Insider Blog
# Google Search เพิ่มตัวละคร Grogu มาทำลายหน้าจอ เมื่อหาคำว่า The Mandalorian Google Search ร่วมกิจกรรมกับซีรีส์ The Mandalorian ที่เพิ่งเริ่มฉาย Season 3 ทาง Disney+ โดยเพิ่มมุข easter egg หากค้นหาคำว่า "The Mandalorian" จะมีตัวละคร Grogu หรือที่หลายคนเรียก "โยดาน้อย" โผล่มาที่มุมขวาล่างของจอ เมื่อคลิกที่ตัว Grogu จะสามารถใช้พลัง force ทำลายผลการค้นหาไปทีละส่วนได้ แล้วชิ้นส่วนของผลค้นหาจะลงมากองที่ขอบล่างของหน้าจอ ที่มา - Android Central
# ESET พบมัลแวร์ BlackLotus ฝังตัวในเคอร์เนลหลังบูตเครื่องได้แม้เปิด Secure Boot ทีมวิจัยของ ESET รายงานถึงมัลแวร์ BlackLotus ที่มีกลุ่มแฮกเกอร์อ้างกันว่าสามารถใช้มัลแวร์ตัวนี้ฝังไปยังเครื่องของเหยื่อได้แม้เหยื่อจะเปิด Secure Boot เพื่อป้องกันการแก้ไขเคอร์เนลก็ตามที โดยผู้พัฒนาอาศัยช่องโหว่ CVE-2022-21894 ในเคอร์เนลวินโดวส์ ความสามารถในการเจาะทะลุ Secure Boot ทำให้ BlackLotus ฝังอยู่ส่วนลึกที่สุดของซอฟต์แวร์ในเครื่อง และรันในสิทธิ์ระดับสูงมากทำให้แก้ไขเครื่องได้หลายรูปแบบ เช่น ปิดการทำงาน BitLocker และสามารถเพิ่มหรือลดสิทธิ์ของ process ต่างๆ ในเครื่องได้ในกรณีนี้ BlackLotus จะลดสิทธิ์ที่โปรแกรมป้องกันไวรัสจำเป็นต้องใช้งานเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกตรวจจับได้ Secure Boot เป็นกระบวนการยืนยันความถูกต้องของเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ต่างๆ ในกระบวนการบูตคอมพิวเตอร์ขึ้นมา หากซอฟต์แวร์ตัวใดถูกแก้ไขด้วยมัลแวร์ กระบวนการบูตก็จะล้มเหลวจนทำให้ผู้ใช้ต้องติดตั้งใหม่หรือกู้คืนซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นที่ถูกต้อง ทำให้ปกติไม่สามารถฝังมัลแวร์เอาไว้ในระบบปฎิบัติการให้คงทนข้ามการบูตเครื่องได้ แฮกเกอร์ต้องเข้าถึงเครื่องได้ก่อนจึงจะติดตั้งมัลแวร์ลงไปได้ โดยตัวติดตั้งต้องการสิทธิ์ระดับ Administrator แต่เมื่อติดตั้งสำเร็จแล้วโค้ดก็จะโหลดเข้าเคอร์เนลทุกรอบหลักบูตเครื่องใหม่ จากนั้นมัลแวร์จะติดต่อเซิร์ฟเวอร์เพื่อรับคำสั่งต่อไป ตัวมัลแวร์เริ่มประกาศขายมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 ที่ผ่านมา ยังไม่แน่ชัดว่ามีการใช้งานมากน้อยแค่ไหนฃ ที่มา - ESET
# เปิดตัว Realme GT 3 จอ 144Hz, ชาร์จเร็ว 240W, ไฟ RGB หลังเครื่อง, ราคา 649 ดอลลาร์ Realme เปิดตัวมือถือกลุ่มเรือธง Realme GT 3 โดยชูจุดเด่นเรื่องการชาร์จเร็ว 240W ชาร์จแบตเต็ม 100% ภายใน 9.30 วินาที และดีไซน์ตัวเครื่องมีไฟ RGB ด้านหลังเปลี่ยนสีได้ สเปกอย่างอื่นคือหน้าจอ 6.74” AMOLED 144Hz, ชิปเซ็ต Snapdragon 8+ Gen 1, กล้องหลัก 50MP เซ็นเซอร์ Sony IMX890 มีกันสั่น OIS, แบตเตอรี่ขนาด 4600mAh เบื้องหลังระบบชาร์จเร็วของ Realme GT 3 คือชิปเซ็ตสำหรับชาร์จ 100W x3, สายเคเบิลที่จ่ายไฟได้ 12A, หัวชาร์จมีวงจร Dual-GaN ทำให้สามารถทำกำลังชาร์จระดับ 240W ได้ โดยยังมีความปลอดภัย ผ่านมาตรฐานการรับรองจาก TÜV Rheinland ส่วนในแง่อายุแบตเตอรี่ มีเทคนิคการขยายจาก 800 รอบเป็น 1,600 รอบ ส่วนลูกเล่นไฟ RGB ข้างกล้องหลังเรียกว่า Pulse Interface เปลี่ยนสีได้ 25 สี, 2 จังหวะ, กะพริบได้ 5 ระดับความเร็ว ใช้เป็นไฟแจ้งเตือนเหตุการณ์ต่างๆ เช่น สายเข้า, นับถอยหลังกล้อง, สถานะการชาร์จ ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่นความจุ 8GB+128GB คือ 649 ดอลลาร์ (ประมาณ 23,000 บาท) ทำให้เป็นมือถือชิป Snapdragon 8+ Gen 1 ที่ถูกที่สุดในท้องตลาดตัวหนึ่ง ที่มา - Realme, GSM Arena
# [ลือ] Xiaomi จะออกนาฬิกาที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Wear OS 3 แทน OS ของตัวเอง เว็บไซต์ 9to5google รายงานข่าวลือว่า Xiaomi อาจออกสินค้านาฬิกาสมาร์ทวอทช์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Wear OS 3 ของกูเกิล หลังจากที่ใช้ OS เฉพาะของตัวเองมาตลอดสำหรับสินค้ากลุ่มสวมใส่ทั้ง Mi Band และ Xiaomi Watch ระบบปฏิบัติการของ Xiaomi ในปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า MIUI Watch OS แม้ข้างในเป็น Android แบบคัสตอม แต่ก็ใช้ร่วมกับ Wear OS 3 ของกูเกิลไม่ได้ จึงทำให้ขาดแคลนแอพหรือฟีเจอร์ที่ผูกกับบริการของกูเกิลโดยตรง (ซึ่งผู้ใช้มักต้องการ) ข้อมูลที่มีตอนนี้มีเพียงว่านาฬิการุ่นใหม่จะยังใช้ชื่อ Xiaomi Watch เหมือนเดิม และเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอพ Mi Fitness / Xiaomi Wear เหมือนเดิม เปลี่ยนแค่ตัว OS มาเป็น Wear OS 3 โดยคาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2023 ที่มา - 9to5google ภาพ Xiaomi Watch S1 Pro ที่ใช้ MIUI Watch OS
# Microsoft เผยแพร่งานวิจัย Multimodal LLM เรียนรู้ อธิบาย ตอบคำถาม จากข้อมูลรูปภาพได้ ทีมงานนักวิจัยของไมโครซอฟท์ เผยแพร่งานวิจัย Kosmos-1 โมเดลสร้างภาษาบนข้อมูลสื่อผสมผสาน (Multimodal Large Language Model - MLLM) โดยสามารถเรียนรู้ข้อมูลทั้งตัวหนังสือ รูปภาพ แคปชันประกอบรูปภาพ มาประมวลผลจนสามารถให้ข้อมูลอธิบายได้ในหลากหลายมิติ ตัวอย่างความสามารถของ Kosmos-1 ที่เผยแพร่ในงานวิจัย เช่น การตอบคำถามจากข้อมูลรูปภาพที่กำหนด ซึ่งโมเดลสามารถเข้าใจบริบทเรื่องราวที่มีอยู่ในภาพได้, สามารถแปลงข้อมูลตัวหนังสือในภาพ (OCR) เพื่อตอบคำถามได้, สามารถหารายละเอียดสำคัญในรูปภาพ และสืบค้นข้อมูลต่อได้ เป็นต้น ในการทดสอบโมเดล งานวิจัยยังให้ตอบคำถามหลายรูปแบบ เช่น การให้เหตุผลจากในภาพ การตอบคำถามทดสอบไอคิว หรือการใส่คำถามที่ต้องสืบค้นหลายขั้นตอน สถานะของโมเดลนี้ยังอยู่ในระดับงานวิจัย แต่ทำให้เห็นว่าในอนาคต AI สร้างเนื้อหา จะสามารถเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ได้อีกแค่ไหน สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดงานวิจัยได้ที่นี่ ที่มา: Big Tech Wire ตัวอย่างการทดสอบโมเดล
# Elon Musk เผย Tesla Master Plan ตอนที่ 3 โลกต้องเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล มุ่งสู่พลังงานยั่งยืน ผู้ติดตาม Tesla ช่วงหลังอาจไม่ทราบว่าในยุคแรก Elon Musk ได้เขียน "Master Plan" หรือแผนระยะยาวของบริษัท Tesla ไว้ 2 ตอน ซึ่งตอนแรกเขียนไว้เกือบ 20 ปีแล้ว ส่วนตอนที่สองเขียนเมื่อกลางปี 2016 และล่าสุดที่งาน Investor Day เช้าวันนี้ได้กล่าวถึงตอนที่สาม ผมจะสรุปแผนตอนที่หนึ่งและสองให้คร่าวๆ ดังนี้ แผนตอนที่ 1 ผลิตรถยนต์จำนวนน้อยๆ และขายแพง (Tesla Roadster รุ่นแรกสุดปี 2008) ใช้เงินที่ได้จากข้อ 1 มาพัฒนารถยนต์ที่จะขายได้มากขึ้น และราคาถูกลง (Tesla Model S, Model X) ใช้เงินที่ได้จากข้อ 2 มาพัฒนารถยนต์ที่จะผลิตได้จำนวนมาก และคนส่วนใหญ่สามารถซื้อได้ (Tesla Model 3) ให้บริการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (SolarCity) แผนตอนที่ 2 รวมบริษัท Tesla และ SolarCity เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการด้านการผลิตและจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ครบวงจร ขยายบริษัทไปทำรถภาคอุตสาหกรรม (Tesla Semi) ทำรถยนต์ไร้คนขับ (Autopilot/Full-Self Driving) ปล่อยรถยนต์ออกไปวิ่งรับงานเพื่อสร้างรายได้ให้เจ้าของตอนที่ไม่ได้ใช้รถ (Robotaxi) หากสนใจอ่านรายละเอียดเต็มๆ เราเคยลงบทความอธิบายแผนทั้ง 2 ตอนไว้แล้ว (แผนตอนที่ 1, แผนตอนที่ 2) สำหรับแผนตอนที่ 3 Elon ได้ขึ้นเวทีร่วมกับ Drew Baglino ผู้บริหารด้านระบบขับเคลื่อนและวิศวกรรมพลังงานของ Tesla (เขาอยู่ที่ Tesla มานานถึง 17 ปีแล้ว) อธิบายว่าปัจจุบันพลังงานที่ใช้ในโลก 80% มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และเชื้อเพลิงก็เปลี่ยนเป็นพลังงานที่ใช้งานได้เพียง 1 ใน 3 นอกนั้นกลายเป็นความร้อนทิ้งไป ซึ่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานที่ยั่งยืนนั้นทำได้จริง และ Elon ย้ำว่าเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้า (Electrified Economy) จะต้องทำเหมืองน้อยกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่มากกว่า โดยแผนนี้แบ่งออกเป็น 5 ขั้นดังนี้ 1. เปลี่ยนการจ่ายไฟฟ้ามาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืน การเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืนคือการใช้ระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าราว 24 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง (24 TWh) รวมไปถึงการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ราว 10 ล้านล้านวัตต์ (10 TW) ใช้เงินลงทุนราว 0.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากทำได้ จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปได้ราว 35% เลยทีเดียว 2. เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องผลิตแบตเตอรี่และระบบจัดเก็บพลังงานให้ได้ราว 115 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง, ต้องผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ 4 ล้านล้านวัตต์ ใช้เงินลงทุนราว 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 21% นอกจากนี้ยังประเมินว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าของทั้งโลกจะมีรถยนต์ราคาแพง (แบบ Model S, X) ราว 40 ล้านคัน, รถยนต์กลางๆ (Model 3, Y) 380 ล้านคัน, หัวลากรถบรรทุก 20 ล้านคัน, รถอเนกประสงค์ (Cybertruck) 300 ล้านคัน และรถในยุคถัดไปอีก 700 ล้านคัน ทั้งสองคนเปรียบเทียบให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla Model 3 ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า Toyota Corolla ถึง 4 เท่า หรือยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อน Model 3 ให้ได้ 1 ไมล์นั้นเท่าๆ กับพลังงานที่ใช้ต้มน้ำ 1 หม้อเท่านั้นเอง 3. บ้านเรือน, ธุรกิจ และอุตสาหกรรม ต้องเปลี่ยนไปใช้ฮีทปั๊ม บ้านเรือนในเมืองหนาวต้องมีฮีทเตอร์ที่ปกติมักจะใช้ก๊าซในการเปลี่ยนเป็นความร้อน รวมไปถึงโรงงานต่างๆ ที่ต้องใช้ความร้อนในการผลิต ต้องเปลี่ยนมาใช้ฮีทปั๊มหรือปั๊มความร้อนแทน เนื่องจากมันใช้ไฟฟ้าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงฮีทปั๊มไม่ได้เปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อนโดยตรง แต่ใช้การนำอากาศภายนอกเข้ามาแยกความร้อนออก จากนั้นก็ผ่านคอมเพรสเซอร์ให้ร้อนยิ่งขึ้นก่อนจะนำไปใช้งานต่อ เช่นให้ความอบอุ่น หรือต้มน้ำ ส่วนอากาศเย็นที่แยกออกก็นำไปใช้งานอื่นได้อีก หากทำขั้นนี้ได้ โลกจะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 22% 4. เปลี่ยนเครื่องจักรที่สร้างความร้อนสูงไปใช้ไฟฟ้า และใช้ไฮโดรเจนแทนถ่านหิน สำหรับอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรผลิตความร้อนสูงมากๆ (มากกว่า 400 องศาเซลเซียส) ก็ต้องหาวิธีเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแต่ปัญหาคือลมและแสงอาทิตย์ไม่ได้มีตลอดจึงต้องทำระบบกักเก็บความร้อนไว้ด้วยเพื่อให้มีพลังงานใช้ตลอดเวลา ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กก็สามารถใช้ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งเป็นไฮโดรเจนที่สร้างจากพลังงานหมุนเวียนอีกที มาแทนถ่านหินในขั้นตอนการถลุงเหล็กในสภาพของแข็ง (Direct Reduction Process) หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 17% 5. เปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้พลังงานยั่งยืน Elon Musk กล่าวว่าการเปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้ไฟฟ้านั้นทำได้ แต่ไม่ใช่แค่เอาเครื่องออกแล้วยัดแบตเตอรี่เข้าไป แต่ต้องออกแบบใหม่หมด เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องออกแบบใหม่ให้แบตเตอรี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรถ ไม่ใช่แค่สลับเอาเครื่องออก ส่วนเครื่องบินระยะสั้นก็แน่นอนว่าทำได้ง่ายกว่า แต่เครื่องบินทางไกลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 5 % เมื่อรวมตัวเลขของทั้ง 5 ขั้นเข้าด้วยกัน โลกเราจะสามารถเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทั้งหมด กล่าวคือต้องผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์กับลมให้ได้มากขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบัน, ผลิตแบตเตอรี่มากขึ้น 29 เท่าจากปัจจุบัน และผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น 11 เท่าจากปัจจุบัน หากทำได้ตามนี้ภายในปี 2030 โลกเราจะอยู่ด้วยพลังงานยั่งยืนได้ภายในปี 2050 ส่วนการทำเหมืองปัจจุบันมีการขุดแร่ออกมาปีละ 68,000 ตัน ใช้ไปในการเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลราว 18,000 ตัน แต่หากเราอยู่ในยุคเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้าจะเหลือส่วนนี้เพียง 4,000 ตันต่อปีเท่านั้น ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลกในปัจจุบัน ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลก เพื่อไปใช้เป็นพลังงานยั่งยืน สรุปคือ Tesla พยายามบอกว่าการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ทำได้ แต่ยังถูกกว่าการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลอีกด้วย โดยใช้เงินลงทุนราว 10% ของมูลค่า GDP ของทั้งโลก และใช้พื้นที่ตั้งโซลาร์ฟาร์มและฟาร์มกังหันลมน้อยกว่า 0.2% ของพื้นดินในโลก สำหรับใครที่คิดว่าข้อมูลนี้ดูเป็นภาพกว้างมากๆ ก็รออีกสักนิด เพราะ Elon Musk บอกว่าจะปล่อย whitepaper ออกมาให้อ่านกันอย่างละเอียดหลังจากนี้ สุดท้าย Elon Musk กล่าวสรุปว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเกิดจากการคำนวณและหลักการทางฟิสิกส์ ไม่ได้มโนขึ้นมาเอง และโลกนี้จะเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานยั่งยืนอย่างแน่นอน และจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราด้วย ที่มา - YouTube: Tesla Investor Day (นาที 31:18 ถึง 58:03)
# ผู้บริหาร True-dtac เผย ใช้ชื่อบริษัท "ทรู คอร์ปอเรชั่น" เพราะแบรนด์มีนวัตกรรม ครอบคลุมกว่า ในงานแถลงข่าวการควบคุมกิจการ True-dtac คุณคุณมนัสส์ มานะวุฒิเวช ซีอีโอของทรู คอร์ปอเรชั่นเปิดเผยว่า สาเหตุที่เลือกชื่อบริษัทเป็น "ทรู คอร์ปอเรชั่น" ก็เพราะแบรนด์ดิ้งเป็นหลัก เนื่องจากแบรนด์ทรูมีภาพของนวัตกรรม และบริการที่หลากหลายกว่า ซึ่งบริษัทใหม่หลักการควบคุมก็ต้องการผลักดันโมเมนตั้มทางด้านนี้ บริษัทยังได้เปิดเผย 7 กลยุทธของบริษัท โดยหนึ่งในนั้นคือการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลควบคู่ไปกับโทรคมนาคม ต่อยอดนวัตกรรมบริการดิจิทัลต่างๆ ทั้ง IoT, AI Analytic, Machine Learning, Cyber Security ไปจนถึง ecosystem ที่ครบวงจร นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการสร้างมาตรฐานใหม่ด้าน Customer Experience นำเทคโนโลยีมาช่วยในการวิเคราะห์ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้า ทั้งการนำเสนอสินค้าบริการ การมอบสิทธิพิเศษ ตลอดจนช่องทางการเข้าถึง O2O, เติมเต็มไลฟ์สไตล์ชีวิตอัจฉริยะของคนไทย, ยกระดับมาตรฐานสำหรับลูกค้าองค์กร, สร้างสุดยอดองค์กรที่น่าทำงาน และ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มคุณค่าขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวตามแนวทาง ESG (Environment, Social, and Governance)
# True-dtac เผย บริการแต่ละแบรนด์เหมือนเดิม เพิ่มแค่ service เสริมระหว่างกัน วันนี้ True-dtac แถลงข่าวการจัดตั้ง ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด หลังการควบรวม โดยจะมีเลขหมายรวมกันทั้งหมด 55 ล้่านเลขหมาย (true 33.8 ล้านและ dtac 21.2 ล้าน) พร้อม True Online 5 ล้านราย และ True Vision 3.2 ล้านราย ในแง่การให้บริการคลื่นสัญญาณ ลูกค้า True และ dtac จะเห็นสัญลักษณ์สัญญาณโทรศัพท์เป็น True-dtac หรือ dtac-True ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยลูกค้าของแต่ละค่าย จะสามารถโรมมิ่งไปใช้คลื่นความถี่ของอีกค่ายได้ เช่น ลูกค้า dtac จะสามารถใช้ 4G/5G บนคลื่น 2600MHz หรือลูกค้า True ใช้คลื่น 700Mhz ส่วนเรื่องการแข่งขันและบริการ True-dtac ยืนยันว่าแต่ละแบรนด์จะยังคงให้บริการของตัวเอง มีแพ็กเกจของตัวเองต่อไป รวมถึงยืนยันการให้ความสำคัญกับลูกค้าเช่นเดิมต่อไป แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือแพ็กเกจ บริการไปจนถึง ecosystem ของทั้ง 2 แบรนด์ที่จะเสริมเข้ามา เช่น ลูกค้า dtac อาจมีแพ็กเกจพ่วงฟุตบอล นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าด้วยว่าจะขยายโครงข่าย 5G ครอบคลุม 98% ของประชากรทั่วประเทศให้ได้ในปี 2569 (2026)
# Bing เพิ่มตัวเลือกโหมดแชทคุยกับ AI เลือกได้เองว่าให้ตอบสั้นๆ หรือบรรยายยาวๆ ไมโครซอฟท์เพิ่มปุ่มเลือกโหมดการคุยกับ Bing พลัง AI ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้สามารถเลือกโหมดการคุยได้ 3 แบบคือ เน้นไปที่คำตอบ (Precise) หรืออยากให้ตอบยาว ๆ เพื่อหาไอเดีย (Creative) หรือเลือกแบบผสมผสาน (Balanced) UI การเลือกโหมดคุยกับ AI ถือเป็นการทดลองว่า UI แบบใดที่เหมาะกับผู้ใช้งานกันแน่ เพราะผู้ใช้แต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน ก่อนหน้านี้ Bing ใช้วิธี "คาดเดา" ว่าผู้ใช้ชอบแบบไหน แต่ล่าสุดเปลี่ยนมาลองดูแบบให้ผู้ใช้เลือกเอาเองเลย ตัวอย่างการสนทนาแบบ More Creative (ตอบยาวๆ) ตัวอย่างการสนทนาแบบ More Precise (ตอบสั้นตรงประเด็น)
# YouTube เผยแผนปี 2023 ยังเน้น Shorts, เกมมิ่ง, เตรียมเพิ่ม Generative AI ช่วยทำคลิป Neal Mohan ผู้บริหารสูงสุดของ YouTube คนใหม่ (ขึ้นมารับตำแหน่งแทน Susan Wojcicki ที่เพิ่งลงจากตำแหน่ง) เขียนบล็อกเล่าแผนของ YouTube ปี 2023 ว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง สนับสนุนครีเอเตอร์ เพิ่มวิธีการทำเงินแบบใหม่ๆ นอกเหนือจากโฆษณา เช่น ชอปปิ้ง การขายสินค้าดิจิทัล และแพ็กเกจสมาชิกของช่อง นอกจากนี้ Neal บอกว่าเขาจะเดินทางไปพบครีเอเตอร์แบบเจอหน้าให้มากขึ้น เพื่อรับฟังความเห็นนำไปพัฒนาฟีเจอร์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้จริงๆ และผลักดันชุมชนครีเอเตอร์โดยเฉพาะสายเกมมิ่ง พัฒนาฟีเจอร์ใหม่เพื่ออนาคต Neal เน้นที่การรับชมผ่านจอทีวี ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตเยอะที่สุดในปี 2022 โดยจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Shorts บนทีวี, การถ่ายทอดกีฬาอเมริกันฟุตบอล โดยจะมีของใหม่คือการชมหลายเกมพร้อมกันได้ในจอเดียว, อีกอย่างที่เขาอยากทำคือเรื่องการรับชมวิดีโอข้ามฟอร์แมตผสมผสานกัน เช่น การถ่ายคลิป Shorts และวิดีโอแบบปกติพร้อมกัน, Podcast ใน YouTube Music เขายังพูดถึงการนำฟีเจอร์ generative AI มาใช้ร่วมกับการถ่ายทำวิดีโอด้วย เช่น การเปลี่ยนชุดของคนในวิดีโอด้วย AI ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะฟีเจอร์สำหรับเด็กและคนอายุต่ำกว่า 18 ปี การอัพโหลดจะเป็น private โดยดีฟอลต์ก่อน และจะพัฒนาอัลกอริทึมคัดกรองเนื้อหาที่มีคุณภาพเพิ่มเติมอีก ที่มา - YouTube
# AWS ประกาศตั้งรีเจี้ยนในมาเลเซีย เตรียมลงทุน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงนี้เป็นที่ชัดเจนว่า AWS เน้นการเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเพิ่งจะประกาศตั้งรีเจี้ยนในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุดประกาศตั้งรีเจี้ยนที่มาเลเซียอีกแห่ง AWS ระบุว่ารีเจี้ยนนี้จะมี 3 Availability Zone เหมือนรีเจี้ยนอื่นๆ โดยแยกขาดจากกันและอยู่ไกลกันหากมีเหตุเกิดขึ้นกับ AZ ใด AZ หนึ่ง โดยระหว่าง AZ จะมีลิงค์ไฟเบอร์ความเร็วสูงเชื่อมต่อถึงกันพร้อมระบบสำรอง นอกจากนี้ AWS จะลงทุนในมาเลเซียเป็นเงินอย่างน้อย 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.55 หมื่นล้านริงกิตภายในปี 2037 ซึ่งไม่ใช่เงินลงทุนเฉพาะการตั้งศูนย์ข้อมูล แต่รวมไปถึงการพัฒนาทักษะของแรงงานและอื่นๆ ด้วย ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับที่จะมาลงทุนในประเทศไทย โดย Blognone เคยพูดคุยกับผู้บริหาร AWS ไปแล้วทั้งเรื่องการตั้งรีเจี้ยนในไทย และการพัฒนาทักษะแรงงาน ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ ในมาเลเซียใช้งาน AWS กันมากแล้วทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มา - AWS เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย | Jorge Láscar (CC BY 2.0)
# Tesla เตรียมผลิตมอเตอร์แม่เหล็กถาวรรุ่นใหม่ ไม่ใช้แร่โลหะหายากแล้ว Tesla ประกาศที่งาน Investor Day ว่าบริษัทจะผลิตมอเตอร์แม่เหล็กถาวรรุ่นใหม่แบบไม่ใช้แร่โลหะหายาก (rare-earth elements) แล้ว ปัจจุบันการผลิตมอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้าต้องใช้แร่โลหะหายากอย่าง Neodymium และมักผสมแร่หายากอื่นเช่น Dysprosium และ Terbium เข้าไปด้วยในแม่เหล็ก Neodymium Tesla ระบุว่าตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2022 บริษัทได้ลดการใช้แร่หายากลง 25% และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนได้พร้อมกัน แต่ล่าสุดก็ประกาศว่าจะไม่ใช้แร่หายากในการผลิตมอเตอร์แล้ว โดยในสไลด์ของ Tesla ไม่ได้ระบุชื่อของแร่หายากที่ใช้ แต่ระบุว่าปัจจุบันใช้แร่ 3 ชนิดคือแร่ 1, 2 และ 3 โดยใช้เป็นจำนวนราว 500, 10 และ 10 กรัม ตามลำดับ ทั้งนี้ Tesla ไม่ได้ระบุว่าการพัฒนามอเตอร์รุ่นใหม่อยู่ในขั้นไหนแล้ว หรือจะเริ่มนำมาใช้งานจริงเมื่อใด ที่มา - Electrek จำนวนแร่โลหะหายากที่ใช้ในมอเตอร์ของ Tesla Model Y ในปัจจุบัน Tesla จะลดจำนวนแร่โลหะหายากเหลือ 0 กรัม ในมอเตอร์รุ่นใหม่
# Tesla ตั้งเป้าผลิตรถปีละ 20 ล้านคัน, เตรียมสร้างโรงงาน Gigafactory ที่ประเทศเม็กซิโก Tesla ประกาศระหว่างงาน Investor Day ว่าจะตั้งโรงงาน Gigafactory ที่ประเทศเม็กซิโก นับเป็น Gigafactory แห่งที่ 6 แล้ว และเป็นแห่งที่ 3 นอกสหรัฐอเมริกา Giga Mexico จะตั้งอยู่ที่เมือง Santa Catarina รัฐ Nuevo Leon ซึ่งอยู่ติดชายแดนรัฐ Texas ของสหรัฐอเมริกา ห่างจากสำนักงานใหญ่ของ Tesla ราว 400 ไมล์ (640 กม.) ปัจจุบัน Tesla มีกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ราว 2 ล้านคันต่อปีจาก 4 โรงงาน (Fremont, เซี่ยงไฮ้, Texas และ Berlin) แต่ตั้งเป้าว่าจะผลิตให้ได้ถึง 20 ล้านคันต่อปี (ถ้าจะเทียบให้เห็นภาพ ปี 2022 Toyota ส่งมอบรถได้ 10 ล้านกว่าคัน) จึงต้องสร้างโรงงานเพิ่มอีกมาก คาดว่าต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลราว 1.5 ถึง 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Zachary Kirkhorn ซีเอฟโอของ Tesla กล่าวว่ามันอาจจะฟังดูเป็นการลงทุนที่เยอะ แต่จริงๆ แล้วเล็กน้อยมากหากเทียบกับเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ Tesla ยังประกาศว่าบริษัทได้ผลิตรถยนต์คันที่ 4 ล้านไปเมื่อวานนี้ ภาพเรนเดอร์ Gigafactory Mexico ที่มา - CNN
# หลุดแผนออกแว่น Meta Quest, Smart Glasses, AR Glasses ชุดใหญ่ระหว่างปี 2023-2027 Meta ประกาศแผนการออกฮาร์ดแวร์ Metaverse ทั้งหลายเป็นการภายใน และแน่นอนว่าหลุดออกมายังสื่อ ดังนี้ Meta Quest 3 โค้ดเนม Stinson ออกภายในปี 2023 ขนาดบางลง สเปกแรงขึ้นสองเท่า และเพิ่มราคาขึ้นจาก Quest 2 Meta Quest "Ventura" ที่ราคาถูกลงกว่า Quest 3 จะออกในปี 2024 Meta Quest "La Jolla" แว่นระดับสูง ที่น่าจะเป็น Quest Pro 2 ยังไม่กำหนดช่วงเวลา แต่ออกหลัง Ventura Smart Glasses รุ่นที่สอง ต่อจากแว่น Ray-Ban Stories จะออกภายในปี 2023 Smart Glasses รุ่นที่สาม ออกภายในปี 2025 เพิ่มฟีเจอร์ Viewfinder เป็นจอแสดงข้อความในแว่น และมีอุปกรณ์สายรัดข้อมือใช้สั่งการแว่น Smart Watch ที่ใช้ควบคู่กับ Smart Glasses รุ่นของปี 2025 แทนสายรัดข้อมือได้ ฟีเจอร์เยอะขึ้น AR Glass "Orion" อุปกรณ์ขั้นสุดในอุดมคติของ Meta แสดงภาพโฮโลแกรมได้ จะทดสอบกับพนักงานในปี 2024 และวางขายจริงปี 2027 Meta ยังเปิดเผยว่าขายแว่นตระกูล Quest รวมกันได้แล้วเกือบ 20 ล้านชิ้น แต่ก็ยอมรับว่าอัตราการใช้งาน Quest 2 ไม่เยอะนัก โดยเฉพาะกลุ่มที่ซื้อแว่น Quest 2 ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีล่าสุด ที่เป็นการซื้อตามกระแสช่วงลดราคา แต่ไม่ได้อินกับ VR เท่ากับลูกค้ากลุ่มที่ซื้อช่วงแรกๆ ภาพแว่น Meta Quest Pro รุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบัน ที่มา - The Verge
# Xiaomi โชว์เทคโนโลยีชาร์จ 300W ชาร์จแบตเต็ม 100% ภายใน 5 นาที Xiaomi โชว์เทคโนโลยีการชาร์จเร็ว HyperCharge 300W สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 4100 mAh จาก 0% เป็น 100% ได้ภายใน 5 นาที ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดเบื้องหลังเทคโนโลยีชาร์จ 300W และยังไม่บอกว่าจะนำมาใช้งานในสินค้ารุ่นที่ขายจริงเมื่อไร ปัจจุบัน Xiaomi มีเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 210W ที่ชาร์จแบตเตอรี่เต็มใน 9.3 นาที และถูกนำมาใช้งานแล้วใน Redmi Note 12 Series ที่มา - XDA
# TikTok ปรับปรุง Screen Time ควบคุมเวลาใช้งานของผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 18 ปี TikTok ประกาศปรับปรุงการใช้งานหลายรายการ เน้นไปที่ผู้ใช้งานกลุ่มเด็กและวัยรุ่น เพื่อลดการใช้งานแอปเป็นเวลานาน และให้พ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามากำหนดเงื่อนไขเวลาใช้งานได้ด้วย โดยเร็ว ๆ นี้ TikTok จะกำหนดค่าระยะเวลาการใช้งานแอป (Screen Time) ที่ 60 นาทีต่อวัน เป็นค่าเริ่มต้น มีผลกับผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 18 ปี หากครบกำหนดเวลาจะขึ้นการเตือนให้ใส่ Passcode หากต้องการใช้งานต่อ กรณีผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 13 ปี จะกำหนด Passcord ที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นคนกรอก และจะได้เวลาเพิ่ม 30 นาที กรณีผู้ใช้งานอายุ 13-17 ปี ไม่ได้ใช้ค่าเริ่มต้น 60 นาที และมีการใช้งานมากกว่า 100 นาที ระบบจะแนะนำให้ตั้งค่า Screen Time เพื่อกำหนดเวลาสูงสุดด้วย นอกจากนี้ TikTok ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Family Pairing ที่พ่อแม่สามารถผูกบัญชีเพื่อควบคุมการใช้งานของเด็กได้ เช่น การกำหนดเวลาใช้งานสูงสุดต่อวัน แดชบอร์ดสรุปการใช้งาน และสั่งปิดการแจ้งเตือนเพื่อลดการรบกวนได้ สุดท้าย TikTok ยังแนะนำผู้ใช้งานให้เปิด Screen Time สำหรับทุกคน เพื่อกำหนดเวลาใช้งานต่อวัน หรือแต่ละวันในสัปดาห์ หรือกำหนดช่วงเวลาที่ไม่มีการแจ้งเตือน (Mute) ตลอดจนเตือนเวลาถึงเวลานอนได้อีกด้วย ที่มา: TikTok
# EU อัพเดตคดี Apple - Spotify มองมีการกีดกันการค้า เรื่องห้ามแทรกลิงก์จ่ายเงินภายนอก คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission: EC) ออกคำชี้แจงล่าสุด ในข้อร้องเรียนจาก Spotify ว่าแอปเปิลผูกขาดทางการค้าของระบบ App Store มีผลต่อบริการสตรีมมิ่งเพลง โดยก่อนหน้านี้ EC มีมุมมองเบื้องต้นว่าแอปเปิลกีดกันการค้าจริงใน 2 ประเด็นคือ (1) บังคับใช้ In-App Purchase ทำให้คู่แข่งไม่สามารถทำต้นทุนแข่งได้ (2) ห้ามผู้พัฒนาแอป โฆษณาหรือแจ้งช่องทางจ่ายเงินอื่น ภายในแอปบนแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตามในคำชี้แจงล่าสุดนี้ EC บอกว่าได้ตัดประเด็น In-App Purchase ออกไป โดยจะทำการสอบสวนเฉพาะประเด็นการห้ามโฆษณาช่องทางจ่ายเงินอื่นเท่านั้น ตัวแทน Spotify ออกแถลงการณ์ว่า EC ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าแอปเปิลมีการผูกขาดทางการค้าจริง จึงรอคำตัดสินเพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ผู้บริโภค ส่วนตัวแทนของแอปเปิล บอกว่าบริษัทยังคงทำงานใกล้ชิดกับ EC เพื่อเข้าใจผลกระทบและสิ่งที่บริษัทต้องปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็ยินดีที่ EC ตัดประเด็นการเก็บค่าธรรมเนียมใน In-App ออกไป แอปเปิลยืนยันว่า App Store มีบทบาทสำคัญช่วยให้ Spotify เป็นแอปสตรีมเพลงยอดนิยมในภูมิภาคยุโรป และหวังว่าทาง EC จะหาข้อสรุปนี้ได้ ปัจจุบันแอปเปิลได้ลดเงื่อนไขของ App Store ในแอปกลุ่มที่เรียกว่า Reader ซึ่งรวมถึงแอปฟังเพลงด้วย ให้สามารถใส่ลิงก์เพื่อไปจ่ายเงินที่เว็บไซต์ของผู้พัฒนาได้ ซึ่งเป็นผลจากคำสั่งจากหน่วยงานญี่ปุ่น ที่มา: MacRumors และ The Verge
# Salesforce ไตรมาสล่าสุด รายได้เติบโต 14% กระแสเงินสูงสุดทำสถิติใหม่ Salesforce รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ตามปีการเงินบริษัท 2023 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 8,384 ล้านดอลลาร์ โดยขาดทุนตามบัญชี GAAP 98 ล้านดอลลาร์ รายได้จากส่วน Subscription และ Support เพิ่มขึ้นเป็น 7,789 ล้านดอลลาร์ ส่วน Professional services และรายได้อื่น เพิ่มขึ้นเป็น 595 ล้านดอลลาร์ Marc Benioff ซีอีโอ Salesforce กล่าวว่าอัตราการเติบโตของรายได้ตลอดปีการเงินที่ผ่านมาของ Salesforce ทำให้เป็นหนึ่งในบริษัท ที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในบรรดาบริษัทซอฟต์แวร์ ที่ขายให้กับลูกค้าองค์กร กระแสเงินสดบริษัทก็สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และมากที่สุดในบรรดาบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร ที่มา: Salesforce
# ประเมินยอดขาย Xbox ปี 2022 ที่ 18.5 ล้านเครื่อง เทียบกับ PS5 ทำได้ 30 ล้านเครื่อง บริษัทวิจัยตลาดเกม Ampere Analysis ออกรายงานประเมินยอดขาย Xbox Series X|S (ซึ่งไมโครซอฟท์ไม่เคยเผยตัวเลขทางการมานานมากแล้ว) ในปี 2022 ว่าอยู่ที่ราว 18.5 ล้านเครื่อง เทียบกับ PS5 ที่ขายได้ 30 ล้านเครื่อง ถ้านับตามส่วนแบ่งตลาด Xbox กลับทำได้ดีขึ้น จาก 25.5% ในปี 2021 ขยับเพิ่มเป็น 27.3% ในปี 2022 ในขณะที่ PlayStation ส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 46.3% เหลือ 45%, นินเทนโดลดลงจาก 28.2% เหลือ 27.7% Ampere Analysis ประเมินว่ายอดขาย PS5 ในปี 2023 จะกลับมาดี หลังโซนี่แก้ปัญหาสต๊อกไปได้เยอะแล้ว ส่วนยอดขาย Xbox ปี 2023 จะอยู่ในระดับเดียวกับครึ่งหลังของปี 2022 ทำให้ช่องว่างของทั้งสองค่ายกลับมาห่างกว่าเดิม ภาพรวมตลาดเกมคอนโซลโลกปี 2022 นับรวมทั้งฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์-บริการ มีรายได้ 56.2 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 7.8% เทียบกับปี 2021 ที่ทำไว้ 60.9 พันล้านดอลลาร์ จากปัจจัยคอนโซลขาดตลาด และเกมใหญ่ๆ จำนวนมากต้องเลื่อนวันวางขาย รวมถึงสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายลง แต่ก็ยังถือว่าเพิ่มจากปี 2019 ยุคก่อน COVID ถึง 18% ก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์เพิ่งออกมาให้ตัวเลขยอดขายทั่วโลกเป็นสัดส่วนว่า PlayStation 75% และ Xbox 25% ที่มา - Ampere Analysis, VGC
# EA ปลดทีม QA เกม Apex Legends ราว 200 คน, ปิดสำนักงานที่เมือง Baton Rouge ด้วย EA ปลดพนักงานสัญญาจ้างที่ทำงานตรวจสอบคุณภาพ (QA) ของเกม Apex Legends ราว 200 คน โดยพนักงานกลุ่มที่อยู่ในสำนักงานเมือง Baton Rouge รัฐลุยเซียนา โดนปลดออกทั้งหมด ถึงขั้นปิดสำนักงานแห่งนี้ไปเลย พนักงานกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นพนักงานของ EA โดยตรง แต่จ้างผ่านบริษัทเอาท์ซอร์สชื่อ Magnit Global อีกที พนักงานจะได้รับเงินชดเชย 60 วัน สำนักงานที่เมือง Baton Rouge ช่วยทดสอบเกมของ EA หลายๆ เกม การปิดสำนักงานแห่งนี้ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการตรวจสอบคุณภาพเกมของ EA เพราะพนักงานสั่งสมประสบการณ์มามากพอสมควร โฆษกของ EA ไม่ได้พูดถึงการปลดพนักงานตรงๆ แต่บอกว่าเปลี่ยนโครงสร้างทีมทดสอบเกม Apex Legends มาเป็นการกระจายงานให้ทีมทดสอบที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ทำงานแบบรีโมทแทน เพื่อให้สะท้อนกับการกระจายตัวของผู้เล่นทั่วโลก ก่อนหน้านี้ EA เพิ่งยกเลิกโครงการ Apex Legends Mobile และ Battlefield Mobile โดยถึงขั้นปิดสตูดิโอ Industry Toys ที่พัฒนาเกมไปเลยเช่นกัน ที่มา - Kotaku
# OpenAI เปิด API จากโมเดล ChatGPT ค่าบริการถูกกว่า GPT-3 10 เท่าตัว สัญญาว่าจะไม่ใช้ข้อมูลไปฝึก AI OpenAI เพิ่มบริการระดับองค์กรที่ต้องการใช้ API ของ ChatGPT โดยเพิ่มโมเดลใหม่ gpt-3.5-turbo ที่เป็นตัวเดียวกับที่ใช้งานใน ChatGPT โดยคิดค่าบริการ 0.002 ดอลลาร์ต่อ 1,000 โทเค็น (ประมาณ 750 คำ) ถูกกว่าโมเดล text-davinci-003 ที่เป็น GPT-3 เดิมเหลือเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น โมเดลใหม่นี้ยังเปลี่ยนฟอร์แมตในการถามตอบ โดยใช้ฟอร์แมต ChatML และอีกจุดคือโมเดลใหม่นี้ยังไม่นิ่ง โมเดลปัจจุบันจะซัพพอร์ตถึงกลางปีทีนี้เท่านั้น คาดว่าโมเดลรุ่นเสถียรจะออกเดือนเมษายนนี้ บริการอีกตัวที่เปิดเพิ่มขึ้นมาคือ Whisper โมเดลปัญญาประดิษฐ์แปลงเสียงเป็นข้อความพร้อมกับแปลภาษาในตัว แม้โมเดลจะเป็นโอเพนซอร์สแต่ในความเป็นจริงก็รันลำบาก ทาง OpenAI จึงนำโมเดลมารันเป็นบริการ คิดค่าใช้งาน 0.006 ดอลลาร์ต่อนาที การประกาศบริการรอบนี้ยังปรับการให้บริการตามเสียงเรียกร้อง โดยข้อมูลที่ใช้ผ่าน API จะไม่ถูกนำไปปรับปรุงบริการใดๆ รวมถึงไม่นำไปฝึกปัญญาประดิษฐ์เพิ่มเติม และเพิ่มระยะเวลาเก็บข้อมูลการใช้งาน (data retention) เป็นเวลา 30 วัน โดยผู้ใช้อาจจะเลือกเก็บข้อมูลนานกว่านั้นได้ ที่มา - OpenAI
# eSIM หลบไป Qualcomm เปิดตัว iSIM ฝังซิมลงในชิปประมวลผลเลย ฟีเจอร์เท่ากัน ลดพื้นที่ลง Qualcomm ร่วมกับ Thales เปิดตัว iSIM (Integrated SIM) ขั้นกว่าของ eSIM เพราะ iSIM เป็นระบบซิมที่ฝังมาในตัวชิปประมวลผลเลย ไม่ต้องนำแผ่น eSIM มาแปะลงที่บอร์ด PCB ของเครื่อง ลดการใช้พื้นที่ในตัวมือถือลงได้อีก iSIM คือการฝังซิมในตัวชิป (ตอนนี้เริ่มรองรับที่ Snapdragon 8 Gen 2) แล้วจัดการที่ฝั่งซอฟต์แวร์แบบเดียวกับ eSIM ใช้มาตรฐานการจัดการซิม GSMA Remote SIM Provisioning แบบเดียวกัน มีความปลอดภัยเท่ากัน ต่างกันที่ตัวขนาดซิมเท่านั้น Qualcomm ยังไม่ประกาศว่ามีโอเปอเรเตอร์ใดเตรียมใช้งาน iSIM แล้วบ้าง บอกแค่ตัวเลขคาดการณ์ว่าจะมีมือถือ 300 ล้านเครื่องใช้ iSIM ภายในปี 2027 ซึ่งคิดเป็นราว 17% ของการใช้งาน eSIM ที่มา - iSIM, Qualcomm
# IO Interactive ผู้สร้าง Hitman ประกาศทำเกมใหม่ Project Fantasy แฟนตาซีออนไลน์ IO Interactive สตูดิโอจากเดนมาร์กผู้สร้างเกมซีรีส์ Hitman ประกาศทำเกมแฟรนไชส์ใหม่เป็น RPG แนวแฟนตาซีออนไลน์ ยังใช้ชื่อโค้ดเนมว่า Project Fantasy และมีภาพคอนเซปต์ออกมาเพียงภาพเดียว IO Interactive บอกว่า Project Fantasy จะยังเดินตามรอยของ Hitman ที่สร้างโลกในเกมกว้างใหญ่ สามารถทำเกมได้ถึง 3 ภาคและภาคเสริมอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นโลกของ Project Fantasy จะเป็นโครงการระยะยาวของบริษัทไปอีกหลายปี นอกจาก Project Fantasy แล้ว ทางค่ายยังมีโปรเจคอีกเกมที่เคยประกาศมาแล้วคือ Project 007 เกม James Bond ที่ใช้เนื้อเรื่องออริจินัล ไม่อิงกับภาพยนตร์ภาคใด ที่มา - IO Interactive
# Population: One เกม Battle Royale แบบ VR ปรับโมเดลธุรกิจเป็น Free-to-Play Population: One เกมยิง Battle Royale แบบ VR (เล่นได้ทั้งบน Oculus Quest และพีซี Steam) ประกาศปรับโมเดลธุรกิจเป็น free-to-play ตามยุคสมัย (ฟรีเฉพาะบน Oculus) มีผลในวันที่ 9 มีนาคมนี้ ผู้เล่นเดิมที่จ่ายเงินซื้อเกมตัวเต็มไปแล้วจะได้ของตอบแทนเป็นไอเทมในเกม มูลค่ารวม 80 ดอลลาร์ Population: One เป็นผลงานพัฒนาของสตูดิโอ BigBox VR จากซีแอทเทิล ออกขายครั้งแรกในปี 2020 จากนั้น Meta เข้ามาซื้อกิจการไปในปี 2021 เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Oculus Studios แนวทางของเกม Population: One ที่เป็นเกม Battle Royale และกราฟิกที่สไตล์คล้ายเกม Fortnite จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกันเสมอ และถูกกดดันให้ต้องปรับโมเดลเป็น free-to-play เหมือนกับเกมลักษณะเดียวกันเกมอื่นๆ เพื่อขยายฐานผู้เล่นให้กว้างขึ้น (PUBG เปลี่ยนเป็นเล่นฟรีตั้งแต่ต้นปี 2022) ที่มา - VentureBeat
# จบปัญหาบำรุงรักษาอุปกรณ์ Server, Storage, Network กับ SDC บริการ MA อุปกรณ์ IT ครบจบที่เดียว หนึ่งในปัญหาของระบบไอที โดยเฉพาะฝั่งเซิร์ฟเวอร์ on-premise ขององค์กรในปัจจุบันคือการบำรุงรักษา เพราะการอัพเกรดระบบอุปกรณ์ใหม่ๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำรองรับระบบเดิมเอาไว้ดีแล้ว ขณะที่การบำรุงรักษาอุปกรณ์เดิมๆ ก็อาจจะเจอปัญหา ประกันจากผู้ผลิตไม่ตรงความต้องการ บริษัทฮาร์ดแวร์ไม่มีขายบางอุปกรณ์หรืออุปกรณ์เก่าไปเลิกผลิตแล้ว Blognone ขอพาไปรู้จักบริการ Hardware Maintenance Agreement Service (MA) จาก Systems Dot Com (SDC) ที่ตอบโจทย์ฮาร์ดแวร์ไอทีองค์กรแบบครบวงจร ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี บริการของ SDC ครอบคลุมตั้งแต่การจำหน่าย บริการติดตั้ง บริการให้เช่า และบำรุงดูแลรักษาอุปกรณ์ต่อพ่วง (MA) ภายใต้แบรนด์ชั้นนำทั้ง IBM, Dell, HP, Lenovo, Cisco และอื่นๆ ด้วยความพร้อมและความเชี่ยวชาญ SDC จึงมีธุรกิจองค์กรทั่วไทยตัดสินใจเลือกใช้บริการมากกว่า 500 แห่ง ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี นอกจากนี้ SDC ยังให้ความสำคัญกับระบบบริหารจัดการอะไหล่สำรองที่เพียงพอและเหมาะสมกับลูกค้าตลอดอายุสัญญาการให้บริการ ดังนั้นองค์กรจึงสามารถหมดห่วง หากเกิดกรณีอุปกรณ์สำคัญบางชิ้นเสียหาย SDC สามารถจัดหาอะไหล่มาทดแทนให้ได้ภายในเวลาที่กำหนดอย่างแน่นอน และมีการฆ่าเชื้อชิ้นส่วนทุกชิ้นก่อนส่งมอบให้ลูกค้าด้วย ไม่เพียงแต่การบริการที่ดีเท่านั้น SDC ยังได้ออกแบบให้รูปแบบการลงทุนใช้บริการมีความยืดหยุ่น ด้วยการเปิดให้ธุรกิจองค์กรสามารถกำหนด Payment Term ได้ด้วยตนเองให้เหมาะสมกับธุรกิจ และวางแผนการลงทุนใช้จ่ายได้ชัดเจนและง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม การให้บริการของ SDC นี้ครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันในแต่ละสัปดาห์ สามารถรับประกัน SLA ได้ 4 ชั่วโมงและมี Response Time ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง สามารถตรวจสอบการให้บริการ เรียกดูข้อมูลประวัติการเรียกใช้บริการ (Maintenance Report) Tracking Repair Process และ Tracking Location ของเจ้าหน้าที่ทางเทคนิค ได้ผ่านทาง Website ที่มีระบบความปลอดภัยของข้อมูลอย่างสูงสุด และเพื่อให้การให้บริการมีความโปร่งใสสามารถติดตามได้ ทาง SDC จึงได้มีการจัดเตรียมช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย ทั้ง Call Center, LINE Official Account และ Facebook นอกจากบริการ Hardware Maintenance Agreement Service (MA) แล้ว SDC ยังมีบริการอื่นๆ ด้วย Virtualization Solution บริการออกแบบ ติดตั้ง จัดหารและแก้ไขปัญหาสำหรับระบบ VM โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากแบรนด์เจ้าของผลิตภัณฑ์ทั้ง VMware, Microsoft, IBM และ Nutanix พร้อมทั้งการติดตั้งระบบ High Availability (HA หรือ Fail Over) พร้อมซอฟต์แวร์จัดสรรทรัพยากรให้ง่ายและยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนไม่ว่าจะ CPU, Memory หรือ Storage Data Protection Solution Backup บริการให้คำปรึกษา ออกแบบและติดตั้งระบบสำรองข้อมูลแบบครบวงจร พร้อมซอฟต์แวร์บริหารจัดการ Data Recovery Solution / Co-Location ปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง จัดหาอุปกรณ์สำหรับการทำ DR รวมถึงช่วยวางแผน และทดสอบแผนฉุกเฉิน Data Center Building Solution บริการ บริการให้คำปรึกษา ออกแบบ สร้าง และติดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับห้องเซิร์ฟเวอร์แบบครบวงจร Relocation บริการขนย้ายระบบและอุปกรณ์ไอทีที่เกี่ยวข้อง ด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์และมาตรฐานในทุกขั้นตอน Network & Cabling Solution บริการสำรวจ ออกแบบ ติดตั้งระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คทั้งภายในและภายนอกองค์กร พร้อมบริการงานเดินสายสัญญาณต่างๆ อย่างครบวงจร Security Solution บริการให้คำปรึกษา ออกแบบและติดตั้งระบบปกป้องข้อมูล เพื่อลดความเสี่ยงด้านการสูญหายของข้อมูลหรือการโจรกรรมทางข้อมูล รวมถึงการใช้ระบบเพื่อควบคุมสิทธิ์ในการใช้งานข้อมูลต่าง ๆ ให้เหมาะสม Surveillance Security บริการออกแบบ ติดตั้ง ระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับสำนักงาน โรงงาน ห้องคอมพิวเตอร์ หรือ พื้นที่ที่ต้องการควบคุมระบบรักษาความปลอดภัย Financial Solution บริการให้เช่าซื้ออุปกรณ์และระบบไอที กลุ่ม Server, Storage และ PC/Notebook เพื่อให้องค์กรสามารถบริหารจัดการการลงทุน และกระแสเงินสดได้อย่างสมดุลและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ องค์กรที่สนใจบริการ Hardware Maintenance Agreement Service หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ทางด้าน IT Infrastructure สามารถติดต่อทีมงาน SDC ได้ทันทีที่อีเมล์ [email protected] หรือโทร 02-744-1600 หรือ LINE @sdc_executive และเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ SDC ได้ที่ http://www.systems.co.th/ma-service/special
# LG เปิดตัว OLED Posé สมาร์ททีวีดีไซน์สวยหรู ราคาเริ่ม 49,990 บาท LG เปิดตัว LG OLED Objet Collection, Posé สมาร์ททีวีระดับพรีเมี่ยมขนาดหน้าจอ 42 นิ้วและ 55 นิ้ว โดยรุ่นหน้าจอ 55 นิ้วจะมาพร้อมหน้าจอ OLED evo ที่มีอัตรา refresh rate อยู่ที่ 120Hz ใช้ชิป α9 Gen5 AI Processor ความชัดระดับ 4K สมาร์ททีวีใช้จอ OLED ที่สามารถเปล่งแสดงเองได้ ทำให้แสดงภาพสว่างในส่วนที่สว่างมากได้และจอดำสนิทในส่วนที่มืด ใช้เทคโนโลยี Brightness Booster ที่เพิ่มความสว่างให้หน้าจอทีวีถึง 20% พร้อมรองรับ HDR, Dolby Vision IQ, HDR 10 Pro และ HLG รวมทั้งรองรับการเล่มเกมผ่าน G-Sync และ AMD FreeSync Premium นอกจากนี้ สมาร์ททีวีสามารถใช้กับเมจิกรีโมท รองรับ Apple Airplay2 มีพอร์ต USB จำนวน 2 พอร์ตและพอร์ต HDMI 2.1 3 พอร์ต สามารถต่อ Wi-Fi และ Bluetooth 5.0 วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ หน้าจอขนาด 42 นิ้ว ราคา 49,990 บาท และหน้าจอขนาด 55 นิ้ว ราคา 67,990 บาท ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์
# Square Enix ยุบสตูดิโอ Luminous Productions กลับเข้าบริษัทแม่ ยังทำ Forspoken ต่อ Luminous Productions ทีมพัฒนา FFXV ที่แยกตัวออกจาก Square Enix มาเป็นสตูดิโอในเครือตั้งแต่ปี 2018 และเพิ่งออกเกมแรก Forspoken ไปเมื่อเดือนมกราคม 2023 จะถูกยุบรวมกลับไปยัง Square Enix มีผลวันที่ 1 พฤษภาคม (เท่ากับว่าทำเกมเพียงแค่เกมเดียว) Square Enix ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมถึงยุบทีม Luminous Productions กลับเข้าไปคืน บอกเพียงแค่ว่าเป็นการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ตามยุทธศาสตร์ระยะกลางของบริษัท โดยจะนำความเชี่ยวชาญของ Luminous เรื่องการพัฒนาเกมเอนจินของตัวเอง Luminous Engine กลับไปช่วยทำเกมคุณภาพระดับ HD ของบริษัทต่อไป Luminous Productions ระบุว่าแม้เปลี่ยนโครงสร้างองค์กร แต่ทีมจะยังโฟกัสกับ Forspoken ต่อ ทั้งการออกแพตช์ปรับปรุงคุณภาพ และพัฒนา DLC "In Tanta We Trust" ซึ่งจะประกาศรายละเอียดต่อไป ที่มา - Square Enix, IGN
# เปิดตัว Honor Magic 5 Pro แชมป์ใหม่กล้อง DXOMARK ได้ 152 คะแนน, แชมป์จอภาพ 151 คะแนน สัปดาห์ที่ผ่านมา Honor เปิดตัวมือถือเรือธง Honor Magic 5 Pro ซึ่งทำคะแนนรีวิวกล้อง DXOMARK ได้ 152 คะแนน ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งรายใหม่ แทนแชมป์เก่า Huawei Mate 50 Pro ที่ทำไว้ 149 คะแนน สเปกของ Honor Magic 5 Pro มีดังนี้ หน้าจอ 6.81" ความละเอียด 2848×1312 LTPO หน่วยประมวลผล Snapdragon 8 Gen 2 หน่วยความจำ 12GB สตอเรจ 512GB กล้องหน้า 12MP + 3D Depth แบตเตอรี่ 5100 mAh + ชาร์จเร็ว 66W + ชาร์จเร็วไร้สาย 50W ระบบปฏิบัติการ MagicOS 7.1 (Android 13) จุดเด่นของ Honor Magic 5 คือกล้องหลัง 3 ตัวเรียงกันเป็นวงกลม ทั้งสามตัวมีความละเอียด 50MP มีสเปกดังนี้ 50MP Wide Main Camera (f/1.6) 50MP Ultra Wide Camera (f/2.0) 50MP Periscope Telephoto Camera (f/3.0, 3.5x Optical Zoom, 100x Digital Zoom, OIS) Honor บอกว่าปรับปรุงอัลกอริทึมกล้องหลายอย่างให้กล้องทั้งสามตัวทำงานร่วมกันได้ดี เช่น Ultra Fusion Computational Optics ช่วยปรับความคมชัดของภาพตอนซูม 3.5-100x, Millisecond Falcon Capture ใช้จับภาพได้แม่นยำ, Super Night Capture ช่วยถ่ายภาพตอนกลางคืน, AI Motion Sensing Capture ตรวจจับซีนภาพเคลื่อนไหวแล้วหาซีนที่เหมาะสมที่สุด เป็นต้น ในรีวิวของ DXOMARK ให้คะแนน Honor Magic 5 Pro เป็นอันดับหนึ่งในหลายหมวด เช่น คะแนนรวม Photo, Exposure, Texture, Noise, Zoom, Bokeh, Lowlight ส่วนจุดที่ทำคะแนนได้ไม่ดีนักคือหมวด Preview ที่ภาพพรีวิวก่อนถ่ายกับหลังถ่ายอาจได้รายละเอียดไม่ตรงกันนัก หน้าจอของ Honor Magic 5 Pro ยังเป็นจอเกรดพรีเมียมที่ได้คะแนนรีวิวจอ 151 คะแนนจาก DXOMARK ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของหมวดจอเช่นกัน สเปกคือ ความสว่าง HDR สูงสุด 1800 nits, มีชิป Discrete Display Chipset แยกเฉพาะสำหรับแสดงผลภาพเคลื่อนไหว, รองรับ HDR10+ และ IMAX Enhanced, ผ่านมาตรฐานจอลดแสงสีฟ้าของ TÜV Rheinland Honor Magic 5 Pro จะวางขายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2023 ราคาเริ่มต้น 1199 ยูโร (12G+512GB) มีให้เลือก 5 สีคือ Glacier Blue, Meadow Green, Coral Purple, Orange, Black ที่มา - Honor, DXOMARK
# CNCF เปิดตัว KWOK ระบบจำลอง Kubernetes สำหรับทดสอบ ต้องการแค่ Docker CNCF เปิดโครงการ KWOK (Kubernetes WithOut Kubelet) โครงการจำลอง Kubernetes ทำให้นักพัฒนาสามารถรัน Kubernetes ที่ไหนก็ได้โดยสร้างทั้งคลัสเตอร์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ตัวซอฟต์แวร์ KWOK เองเป็นคอนเทนเนอร์ที่จำลองการทำงานของ node และ pod รวมถึงทรัพยากรอื่นๆ เอาไว้ในตัวเอง ทำให้เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อด้วย API ของ Kubernetes จะมองเห็นเหมือนมีคลัสเตอร์ขนาดใหญ่มาก อาจจะระดับหลายพันโหนด แม้ที่จริงแล้วจะรันอยู่ในโน้ตบุ๊กตัวเดียวก็ตาม นักพัฒนาสามารถจำลองเหตุการณ์ต่างๆ จากใน KWOK ได้โดยตรง เช่น เหตุการณ์โหนดดับไปก็สามารถสั่งปิดจากใน KWOK ได้เลย หรืออาจจะสั่งแยกเน็ตเวิร์คให้เหมือนเน็ตเวิร์คหลุด แต่ข้อจำกัดคือพฤติกรรมอาจจะต่างจาก Kubernetes จริงไปบ้าง รวมถึงระยะเวลาการทำงานอาจจะไม่ตรงกับเครื่องจริง ที่มา - CNCF
# True-dtac ควบรวมเสร็จเรียบร้อย พร้อมจดชื่อบริษัทใหม่ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด True และ dtac ประกาศว่าการควบรวมบริษัทเสร็จสมบูรณ์แล้วในทางกฎหมาย พร้อมจดชื่อบริษัทใหม่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอย่างเป็นทางการในชื่อ “บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ผู้บริหารของ ทรู คอร์ปอเรเชั่น ใหม่คือคุณมนัสส์ มานะวุฒิเวช อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) กลุ่มทรูฯ มานั่งเก้าอี้ประธานคณะผู้บริหาร และคุณชารัด เมห์โรทรา อดีตซีอีโอ dtac ประจำประเทศไทย นั่งเก้าอี้รองประธานคณะผู้บริหาร ที่มา - อีเมลประชาสัมพันธ์ คุณมนัสส์ มานะวุฒิเวช (ขวา) ประธานคณะผู้บริหาร และคุณชารัด เมห์โรทรา (ซ้าย) รองประธานคณะผู้บริหาร
# [ไม่ยืนยัน] Musk กำลังตั้งทีมพัฒนาแชทบอท AI แบบ ChatGPT ของ OpenAI The Information รายงานอ้างอิงคนใกล้ชิดว่า Elon Musk กำลังตั้งทีมพัฒนาแชทบอท AI แบบเดียวกับ ChatGPT ออกมา โดยพยายามชวน Igor Babuschkin นักวิจัยที่เพิ่งลาออกจาก DeepMind มาร่วมทีม ก่อนหน้านี้ Musk เคยวิจารณ์ ChatGPT ที่มีข้อกำหนดว่าจะไม่ให้ตัวแชท ตอบโต้กับผู้ใช้ในเชิงหยาบคายหรือสร้างความไม่พอใจ ว่า OpenAI "เทรน AI ให้ woke" (น่าจะหมายถึงในเชิงการเป็น AI ที่ยึดกับ Political Correctness) พร้อมสื่อว่าอยากจะทำ AI ที่เปิดกว้างในบางเรื่องมากกว่านี้ แม้ Musk จะเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI แต่ก็ลาออก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทมานานแล้ว ที่มา - The Information
# นาฬิกา Pixel Watch ได้อัพเดตฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) แล้ว กูเกิลออกอัพเดตให้นาฬิกา Pixel Watch ตรวจจับการล้มได้เหมือนกับนาฬิกาคู่แข่งยี่ห้ออื่นๆ ตามที่เคยสัญญาไว้ตั้งแต่ตอนเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2022 การทำงานของ Fall detection คืออ่านค่าจาก motion sensor ในเครื่อง แล้วคาดเดาด้วย machine learning ว่าผู้ใช้ล้มกระแทกแรงแค่ไหน ส่งสัญญาณเตือน และสามารถตั้งค่าให้โทรเรียกบริการฉุกเฉินได้อัตโนมัติ หากไม่ตอบสนองในเวลาที่กำหนด (แปลว่าหมดสติ) กูเกิลบอกว่าอัลกอริทึมของตัวเองสามารถแยกแยะได้ระหว่างการล้มจริงๆ กับการกระแทกจากการเล่นกีฬา (เช่น สกี) หรือการสะดุดล้มแบบเล็กๆ น้อยๆ เพื่อป้องกันปัญหาตรวจสอบและแจ้งเตือนผิด (false notification) ที่มา - Google
# Google Wallet รองรับบัตร TrueMoney Mastercard แบบเติมเงินแล้ว เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2022 กูเกิลได้เปิดใช้งาน Google Wallet ในประเทศไทย โดยรองรับบัตรเครดิตจากสองธนาคารคือ กรุงเทพ (BBL) และกรุงไทย (KTC) โดยระบุตอนเปิดตัวว่าจะรองรับบัตร TrueMoney Mastercard เพิ่มเติม ล่าสุดแอพ Google Wallet รองรับการเพิ่มบัตร TrueMoney Mastercard แบบเติมเงินแล้ว ผู้ที่ใช้บัตรดังกล่าวสามารถเพิ่มบัตรเข้าแอพแล้วนำมือถือ Android หรือนาฬิกาที่รัน Wear OS ไปแตะจ่ายที่ร้านค้าต่างๆ ที่รองรับ contactless ได้ทันทีแทนการใช้บัตรจริง ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าธนาคารอื่นในประเทศไทยมีแผนรองรับ Google Wallet กันเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ที่มา - Google Wallet
# NVIDIA ออกไดรเวอร์ รองรับ Video Super Resolution ใช้จีพียูอัพสเกลภาพวิดีโอในเบราว์เซอร์แล้ว NVIDIA ออกอัพเดตไดรเวอร์ GeForce Game Ready Driver รอบเดือนมีนาคม 2023 (เลขเวอร์ชัน 531.18) มีของใหม่ที่สำคัญคือ RTX Video Super Resolution (VSR) ใช้พลัง AI ด้วยอัพสเกลวิดีโอที่รับชมผ่านเว็บเบราว์เซอร์ให้มีความละเอียดสูงขึ้น ตอนนี้เว็บเบราว์เซอร์ที่รองรับแล้วคือ Chrome และ Edge โดยต้องใช้กับจีพียู GeForce RTX ซีรีส์ 30 หรือ 40 (ซีรีส์ 20 จะตามมาในอนาคต) และต้องเปิดใช้งานในหน้า Settings ของ NVIDIA Control Panel ด้วย ผู้ใช้สามารถเลือกระดับของการปรับคุณภาพวิดีโอได้ตั้งแต่ 1-4 ซึ่งคุณภาพยิ่งเยอะยิ่งกินแรงจีพียู NVIDIA อธิบายว่าอัลกอริทึม VSR ปรับคุณภาพวิดีโอเป็นคนละตัวกับ DLSS ที่ใช้อัพสเกลภาพในเกม จุดต่างคือ VSR ใช้ข้อมูลจากเฟรมวิดีโอเท่านั้นในการคำนวณภาพเฟรมที่ละเอียดขึ้น ส่วน DLSS ใช้ข้อมูลจากเอนจินของเกมในการสร้างเฟรมด้วย ข้อจำกัดของ VSR คือไม่สามารถใช้กับวิดีโอแบบไลฟ์สตรีมได้ เพราะต้องบัฟเฟอร์วิดีโอมาคำนวณก่อน วิดีโอที่รองรับการอัพสเกลครอบคลุมบริการสตรีมมิ่งต่างๆ ที่รับชมผ่านเบราว์เซอร์ เช่น Prime Video, HBO Max, Disney+ รวมถึง YouTube แต่ยังไม่รวม YouTube Shorts, วิดีโอที่เป็น HDR และวิดีโอที่ติด DRM บางประเภท รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านใน FAQ ไดรเวอร์เวอร์ชันนี้ยังรองรับ DLSS 3 สำหรับเกม Atomic Heart, ซัพพอร์ตเกมใหม่ The Finals, ปรับปรุงการตั้งค่าแบบ optimal ให้เกม Hogwarts Legacy และ Company of Heroes 3 ด้วย ที่มา - NVIDIA
# Bluesky โซเชียลกระจายศูนย์ที่แยกตัวจาก Twitter ออกแอพ iOS แล้ว, ยังจำกัดผู้ใช้งาน Bluesky บริการโซเชียลเน็ตเวิร์คแบบกระจายศูนย์ ที่ริเริ่มโดย Jack Dorsey อดีตซีอีโอ Twitter ตั้งแต่ปี 2019 และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 2021 ออกแอพเวอร์ชัน iOS แล้ว แต่ยังจำกัดเฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้น (App Store) สถานะของ Bluesky ตอนนี้คือแยกออกมาจาก Twitter เป็นบริษัทใหม่ชื่อ Bluesky PBLLC มีสำนักงานที่เมืองซีแอทเทิล เป็นบริษัทที่จดทะเบียนแบบ Public Benefit Limited Liability Company หวังผลกำไรแต่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยก่อนหน้านี้ได้รับเงินสนับสนุนจาก Twitter และมี Dorsey นั่งเป็นบอร์ด (ไม่แน่ชัดว่ายังได้เงินจาก Twitter หรือไม่ หลัง Elon ตัดค่าใช้จ่าย) หน้าตาของแอพ Bluesky แทบไม่ต่างอะไรจาก Twitter ในยุคก่อน Elon Musk เข้ามาบริหาร มีปุ่ม retweet, favorite เหมือนกัน แต่ยังขาดฟีเจอร์อย่าง list และ DM สิ่งที่แตกต่างคือโปรโตคอลเบื้องหลัง ใช้โปรโตคอลใหม่ที่เรียกว่า AT (Authenticated Transfer Protocol) ทำงานแบบกระจายศูนย์ มีแนวคิดว่าทุกคนสร้างเซิร์ฟเวอร์ได้เองแล้วมาเชื่อมต่อกัน (federated) ลักษณะคล้ายกับโปรโตคอล ActivityPub ที่ใช้ในแอพโซเชียล Mastodon ในการใช้งาน ผู้ใช้จะได้ชื่อเป็น @username.domain ของเซิร์ฟเวอร์ กรณีนี้คือใช้บนเซิร์ฟเวอร์ของ Bluesky เองคือ @username.bsky.social ไอเดียหนึ่งที่น่าสนใจของโปรโตคอล AT คือผู้ใช้สามารถเลือก "อัลกอริทึม" ในการแสดง feed ได้เองตามแต่ละเซิร์ฟเวอร์ (Personal Data Servers - PDS) เช่น ดูเฉพาะโพสต์ยอดนิยม, ดูเฉพาะโพสต์แมว ฯลฯ และส่งเสริมแนวคิดการสร้างอัลกอริทึมมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน แทนการกำหนดอัลกอริทึมโดยแพลตฟอร์ม แน่นอนว่าทีมผู้สร้าง Mastodon ย่อมไม่ชอบใจ Bluesky ที่มีแนวคิดคล้ายๆ กันกลายมาเป็นคู่แข่ง และพยายามชูว่าควรมาใช้โปรโตคอล ActivityPub ที่เป็นมาตรฐานกลางของ W3C แทนการไปสร้างโปรโตคอลใหม่ของตัวเอง ตัวของ Jack Dorsey เองไม่ได้สนับสนุนแต่ Bluesky เท่านั้น ก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งออกมาเชียร์โซเชียลแบบกระจายศูนย์อีกตัวชื่อ Nostr ที่มีแนวคิดเรื่อง public key มาใช้ยืนยันตัวตน และมีแนวคิดแบบ relay ที่ต่างจากเซิร์ฟเวอร์แบบ ActivityPub หรือ AT ที่มา - TechCrunch
# Viu เผยผลการดำเนินงานปี 2022 - รายได้รวมโต 45% - ผู้ใช้งาน 66 ล้านบัญชี Viu แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่ทำตลาดในเอเชีย 16 ประเทศ รายงานตัวเลขการดำเนินงานสำคัญของปี 2022 ระบุว่ามีจำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAUs) 66.4 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า มีจำนวนสมาชิกที่จ่ายเงินรับชมเพิ่มขึ้น 45% เป็น 12.2 ล้านบัญชี รายได้รวมของ Viu ซึ่งมาจากทั้งค่าสมาชิก โฆษณา และการขายไลเซนส์คอนเทนต์ เพิ่มขึ้น 45% เป็น 206 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้บริษัทบอกว่ามีตัวเลข EBITDA เป็นบวกในปีที่ผ่านมา รวมทั้งกระแสเงินสดก็เป็นบวกด้วย คอนเทนต์เด่นของ Viu ในปีที่ผ่านมาได้แก่ Again My Life, Law Café และซีรี่ส์ออริจินัล Reborn Rich ซึ่งขายลิขสิทธิ์ไปได้มากกว่า 150 ประเทศ ที่มา: Variety
# [ลือ] Apple กลับมาพัฒนา iPhone SE 4 อีกครั้ง - ใช้ดีไซน์ iPhone 14 - เลิกใช้ Touch ID ข้อมูลนี้มาจาก Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ผู้รายงานข้อมูลสินค้าใหม่แอปเปิลขาประจำ ซึ่งเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เขาบอกเองว่าแอปเปิลยกเลิกแผนออก iPhone SE รุ่นใหม่ไปแล้ว แต่ล่าสุดเปลี่ยนมาบอกว่าแอปเปิลกลับมาเดินหน้าแผนออก iPhone SE ใหม่อีกครั้ง Kuo บอกว่า iPhone SE ซึ่งรุ่นใหม่นี้จะเป็นรุ่นที่ 4 ใช้ดีไซน์เดียวกับ iPhone 14 หน้าจอ 6.1 นิ้ว OLED ซึ่งเป็นการอัพเกรดมาก เทียบกับ iPhone SE 3 ปัจจุบัน ที่หน้าจอ 4.7 นิ้ว จอ LCD ส่วนชิป 5G เปลี่ยนมาใช้ตัวที่แอปเปิลพัฒนาออกแบบเอง จากที่ iPhone SE ปัจจุบันใช้ชิป 5G ของ Snapdragon X57 ส่วนกำหนดเปิดตัวและวางขาย Kuo บอกว่าเขายังไม่มีข้อมูล แต่ไม่น่าเร็วกว่ามีนาคม 2024 หรือปีหน้า และประเด็นสำคัญหาก iPhone SE เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์ iPhone 14 จริง จะทำให้ไลน์สินค้า iPhone ไม่มีรุ่นไหนใช้ Touch ID ในการปลดล็อกหน้าจออีกต่อไป ที่มา: MacRumors
# HP รายงานผลประกอบการไตรมาส - รายได้รวมลดลง ท่ามกลางการควบคุมต้นทุน HP รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ตามปีการเงินบริษัท 2023 สิ้นสุดเดือนมกราคม มีรายได้รวมตามบัญชี GAAP 13,063 ล้านดอลลาร์ ลดลง 18.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 487 ล้านดอลลาร์ Enrique Lores ซีอีโอ HP กล่าวว่าตัวเลขกำไรต่อหุ้นแบบ non-GAAP ของบริษัททำได้ตามเป้าหมาย ท่ามกลางความผันผวนในอุตสาหกรรม สะท้อนความมีวินัยในการดำเนินงานตามแผนของบริษัท HP ยังคงดำเนินงานตามแผน The Future Ready ที่ประกาศไปเมื่อไตรมาสที่แล้ว เมื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันยังคงรักษาการลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว รายได้จากกลุ่มธุรกิจ Personal Systems อยู่ที่ 9,215 ล้านดอลลาร์ ลดลง 24% แบ่งเป็นตลาดลูกค้าทั่วไป ลดลง 36% และลูกค้าองค์กรลดลง 18% จำนวนเครื่องส่งมอบลดลงรวม 28% ส่วนธุรกิจ Printing รายได้ 4,612 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5% ที่มา: HP
# Windows 11 ออกอัพเดตชุดใหญ่ เพิ่มเสิร์ช Bing ที่รองรับแชตบอท AI, Phone Link รองรับ iOS ไมโครซอฟท์ประกาศรายการอัพเดตชุดใหญ่ของ Windows 11 โดยมีของใหม่ที่สำคัญคือกล่องเสิร์ช ที่ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ผ่านแชต AI ของ Bing ตัวใหม่ ซึ่งไมโครซอฟท์เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้การใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว บัญชีผู้ใช้ต้องผ่านการอนุมัติจาก waitlist ก่อน อัพเดตต่อมาคือ Phone Link โดยเพิ่มการรองรับ iOS ทำให้ผู้ใช้ iPhone สามารถรับข้อความหรือแจ้งเตือนสายโทรเข้าได้ผ่านหน้าจอ Windows ส่วนของ Android นอกจากรองรับการเปิด Hotspot มือถือจากพีซีได้เลย ที่รองรับโทรศัพท์ของซัมซุงก่อน ยังสามารถโอนเซสชันที่ของเบราว์เซอร์มาใช้งานต่อใน Windows ได้ด้วย ของใหม่อื่น ได้แก่ Studio Effects ฟีเจอร์ใส่เอฟเฟกต์สำหรับการคอลวิดีโอ, Chat รองรับการวิดีโอคอลผ่าน Teams ได้ง่ายขึ้น, Quick Assist ปรับปรุงใหม่, Snipping Tool รองรับการจับหน้าจอเป็นวิดีโอ, Notepad เพิ่มแท็บ และอื่น ๆ ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้จะมาพร้อมกับ Windows Update เดือนมีนาคม ที่มา: ไมโครซอฟท์ Bing ที่รองรับ AI ใน Windows 11 Phone Link รองรับ iOS Snipping Tool ใหม่ รองรับการบันทึกเป็นวิดีโอ
# Waymo ฉลองให้บริการแบบไร้คนขับครบ 1 ล้านไมล์ ไม่มีผู้บาดเจ็บ ชนแรงเพียง 2 ครั้ง Waymo รายงานถึงการให้บริการรถไร้คนขับพร้อมกับฉลองครบ 1 ล้านไมล์ (1.6 ล้านกิโลเมตร) แรกที่รถให้บริการโดยไม่มีคนขับจริงๆ ไม่เพียงแค่สามารถให้บริการได้จำนวนไมล์สูง แต่อัตราการเกิดอุบัติเหตุยังต่ำมาก มีเหตุชนแรงจนต้องใช้รถยกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกจากที่เกิดเหตุเพียง 2 ครั้ง และชนเล็กๆ น้อยๆ อีก 18 ครั้ง โดยรวมไม่มีผู้บาดเจ็บเลย รายงานของ Waymo แจกแจงรายละเอียดเหตุการณ์ทั้ง 20 ครั้งไว้เป็นตาราง ระบุคู่กรณีและความเสียหาย เหตุการณ์ที่แรงที่สุดคือรถ Waymo กำลังชะลอไฟแดง แต่รถคันหลังดูโทรศัพท์มือถือจนชนท้าย และจากข้อมูลอุบัติเหตุในช่วงกลางคืนนั้นต่ำมาก เพราะไม่มีคนเดินถนนและมอเตอร์ไซต์ แม้ที่ผ่านมาจะมีรายงานว่ากลางคืนนั้นมีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนสูงเพราะความเหนื่อยล้าและความเมาแต่รถของ Waymo ก็ไม่เจอปัญหานี้ ทาง Waymo ระบุว่าต้องการเปรียบเทียบระดับการเกิดอุบัติเหตุของ Waymo กับคนขับรถ แต่ความยากคือไม่มีฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลการชนเล็กๆ น้อยๆ แบบ Waymo ทำให้เทียบกันได้เฉพาะการชนรุนแรงเท่านั้น ที่มา - Waymo
# Xiaomi 13 เปิดราคาไทย 29,990 บาท, Xiaomi 13 Pro ราคา 39,990 บาท Xiaomi ประเทศไทย เปิดตัวมือถือเรือธง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ คือ นาฬิกา Xiaomi Watch S1 Pro และหูฟัง Buds 4 Pro ในประเทศไทย โดยราคาไทยคือ Xiaomi 13 Pro (12GB+512GB) ราคา 39,990 บาท Xiaomi 13 (12GB+256GB) ราคา 29,990 บาท Xiaomi Watch S1 Pro ราคา 9,990 บาท Xiaomi Buds 4 Pro ราคา 6,990 บาท ทั้งนี้โปรโมชั่นช่วงพรีออเดอร์ทั้งของ Xiaomi เอง และโปรโมชั่นของโอเปอเรเตอร์​ สามารถอ่านได้จากเพจของ Xiaomi ที่มา - Xiaomi Thailand
# The Outer Worlds ออก Spacer’s Choice Edition รีมาสเตอร์กราฟิกใหม่ ยังลง PS4/PS5 ด้วย Obsidian Entertainment ประกาศออกเกม The Outer Worlds: Spacer’s Choice Edition เป็นการนำเกมไซไฟอวกาศ The Outer Worlds ที่ออกในปี 2019 มามัดรวมกับภาคเสริม Murder on Eridanos และ Peril on Gorgon ขายเป็นบันเดิลใหม่ แต่ความแตกต่างสำคัญจากการขายบันเดิลทั่วไปคือ Spacer's Choice Edition ยังรีมาสเตอร์กราฟิกให้ความละเอียดสูงขึ้นให้เข้ากับคอนโซลเจนใหม่ (เกมออกปี 2019 ได้รีมาสเตอร์แล้ว ยุคสมัยนี้) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเกมเพลย์บางส่วน เช่น เพิ่ม Level Cap, ปรับปรุงระบบแสงเงาและสภาพอากาศภายในเกม, ปรับปรุงประสิทธิภาพของเกม The Outer Worlds: Spacer’s Choice Edition มีกำหนดขาย 7 มีนาคม ที่ราคาเต็ม 59.99 ดอลลาร์ ส่วนคนที่ซื้อเกมภาคหลัก + DLC ครบชุดไปแล้ว สามารถซื้อการอัพเกรดกราฟิกได้ในราคา 9.99 ดอลลาร์ ซึ่งก็โดนแฟนๆ วิจารณ์ไม่น้อยว่าแค่นี้ควรให้อัพเกรดฟรี เหมือนกับเกมอื่นๆ ที่ออก next-gen update ให้ฟรี ถึงแม้ Obsidian Entertainment กลายเป็นบริษัทลูกของไมโครซอฟท์ไปแล้วตั้งแต่ปี 2018 แต่เกม The Outer Worlds ภาคแรกมีสัญญาจัดจำหน่ายโดย Private Division ในเครือ Take-Two อยู่ก่อน จึงลงแพลตฟอร์ม PS4 และออกเวอร์ชันรีมาสเตอร์บน PS5 ด้วย ในขณะที่โปรเจค The Outer Worlds 2 ประกาศชัดว่าเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ Xbox ที่มา - Gematsu, PC Gamer
# กูเกิลประกาศนำ ChromeOS Flex มาใช้ในประเทศไทย ตั้งเป้า 500 โรงเรียน กูเกิลประกาศแผนนำ ChromeOS Flex ระบบปฎิบัติการ Chrome OS แบบติดตั้งได้เองมาใช้งานในประเทศไทย โดยตั้งเป้าช่วยเหลือโรงเรียน 500 แห่งให้มาใช้ Chrome OS Flex ในปีนี้ แม้ว่า Chrome OS Flex จะฟรีแต่ต้องกรอกข้อมูลขอดาวน์โหลดล่วงหน้า โดยทั่วไปแล้วไม่มีเงื่อนไขในการติดตั้ง แต่ทางกูเกิลก็ทดสอบโน้ตบุ๊กไว้จำนวนมากล่วงหน้า หากมีเครื่องในรายการก็อุ่นใจได้ว่าทำงานได้ไม่มีปัญหา Chrome OS ครองส่วนแบ่งในตลาดการศึกษาได้ดีมากในสหรัฐฯ แต่ช่วงปี 2022 ก็มีรายงานว่ายอดขายอุปกรณ์ Chrome OS ตกลงอย่างหนัก เนื่องจากหน่วยงานการศึกษาโยกงบประมาณออกจากการลงทุนไอทีหลังลงทุนอย่างหนักในช่วงปี 2020-2021 การใช้ Chrome OS Flex มาทำตลาดในประเทศไทยอาจจะได้เสียงตอบรับที่ดีเนื่องจากโรงเรียนไม่ต้องซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ ที่มา - Google Blog
# PC Game Pass เปิดบริการเพิ่มอีก 40 ประเทศ รวมเป็น 86 ประเทศแล้ว ประเทศไทยได้ใช้บริการ PC Game Pass ไปตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 อาจไม่ต้องสนใจข่าวของประเทศอื่นเท่าไรนัก แต่ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศขยายบริการ PC Game Pass อีกรวดเดียว 40 ประเทศ รวมเป็น 86 ประเทศ หรือเรียกง่ายๆ คือขยายเกือบเท่าตัวของพื้นที่บริการเดิม แสดงให้เห็นความเอาจริงของไมโครซอฟท์ต่อบริการ Game Pass ได้เป็นอย่างดี (แม้มาเฉพาะ PC Game Pass ไม่ได้ขยายประเทศที่ขายฮาร์ดแวร์ Xbox หรือให้บริการ Xbox Game Pass อย่างที่หลายคนหวังไว้) ประเทศที่เพิ่มมารอบนี้มีทั้งประเทศในยุโรปตะวันออก (เช่น โครเอเชีย บัลแกเรีย), ยุโรปตะวันตก (ลัตเวีย ไอซ์แลนด์), แอฟริกา (อียิปต์ โมร็อกโก), ตะวันออกกลาง (คูเวต กาตาร์), อเมริกาใต้ (เปรู ปารากวัย อุรุกวัย) เรียกได้ว่าหลังจากเก็บประเทศใหญ่ๆ ครบหมดแล้ว รอบนี้ถึงคิวไล่เปิดบริการในประเทศเล็กๆ ตามมา
# Elden Ring ประกาศทำภาคเสริม Shadow of the Erdtree ยังไม่ระบุวันวางขาย FromSoftware ประกาศทำภาคเสริมหรือ DLC ของเกม Elden Ring ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในปี 2022 ทั้งในแง่รางวัลและยอดขาย ตอนนี้ยังมีข้อมูลแค่ชื่อภาค Shadow of the Erdtree และภาพประกอบเพียงภาพเดียว แต่ยังไม่ระบุวันวางขาย เกมจะลงแพลตฟอร์ม PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X|S, Steam เช่นเดียวกับเกมภาคหลัก ที่มา - Elden Ring
# นักวิจัยชี้ปัญหาโจรขโมย iPhone ดูดเงินแก้ได้ด้วยฟีเจอร์ ​ Screen Time ปัญหาโจรขโมยไอโฟนเพื่อขโมยเงินเหยื่อโดยอาศัยการแอบมองรหัสผ่านเครื่อง อาจจะน่ากลัวสำหรับหลายคนที่เพราะความเสียหายนั้นสูงมาก และดูเหมือนผู้ใช้ไอโฟนกำลังตกเป็นเป้าของอาชญากร ล่าสุด Matthew Green นักวิจัยวิทยาการเข้ารหัสลับระบุว่าปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยการเปิดใช้ฟีเจอร์ Screen Time ปกติแล้ว Screen Time ใน iOS/iPadOS มีไว้สำหรับควบคุมการใช้งานไม่ให้ผู้ใช้ติดแอปบางประเภทมากเกินไป ทั้งการมอนิเตอร์การใช้งานของตัวเองหรือดูแลการใช้งานของคนในครอบครัว แต่สามารถใช้บล็อคการเปลี่ยน Passcode หรือข้อมูลบัญชีได้ด้วย ทำให้กระบวนการเปลี่ยนรหัสผ่าน iCloud บนโทรศัพท์ต้องรู้ Passcode ของ Screen Time ซึ่งเป็นคนละรหัสกับรหัสผ่านของเครื่อง ความอันตรายของกระบวนการนี้คือผู้ใช้ห้ามลืม Passcode ของ Screen Time ไม่เช่นนั้นก็จะล็อกตัวเองจนแก้ไขข้อมูลบัญชีหรือเปลี่ยน Passcode เครื่องไม่ได้ไปด้วย ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ Passcode ของ Screen Time นั้นเป็นตัวเลข 4 ตัวเท่านั้น แต่ก็น่าจะซื้อเวลาได้นานพอที่จะใช้บริการ Find my ล็อกเครื่องก่อนคนร้ายเปลี่ยนรหัสได้ ที่มา - @matthew_d_green
# Snapchat เปิดตัว My AI แชตบอทพลัง ChatGPT สำหรับเป็นเพื่อนคุย Snapchat เปิดตัว My AI แชตบอทที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี ChatGPT ของ OpenAI ซึ่งมีการปรับแต่งให้เข้ากับ Snapchat โดยเฉพาะ ทั้งนี้ My AI จะเปิดให้ทดสอบใช้งานเฉพาะลูกค้าที่สมัครบริการ Snapchat+ ก่อน โดยเริ่มทยอยเปิดให้ใช้งานในสัปดาห์นี้ Evan Spiegel บอกว่าเขาเดิมพันว่าแชตบอท AI จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน ในระดับที่นอกจากคนเราจะคุยกับเพื่อนฝูง หรือคนในครอบครัวแล้ว AI ก็จะเป็นคนที่เราต้องพูดคุยด้วยทุกวัน เพื่อปรึกษา หาข้อมูล หรือหาไอเดียต่าง ๆ แนวคิดดังกล่าวจึงลงตัวมากกับแอปแบบ Snapchat My AI แตกต่างจากแชตบอทที่เราเห็นก่อนหน้านี้ โดยถูกปรับแต่งจากนักพัฒนาของ Snapchat ให้เลี่ยงการตอบคำถาม ที่อาจเกิดอคติ หรือการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงโอกาสจะตอบด้วยคำไม่สุภาพ ทำให้ในหลายคำถาม My AI จะปฏิเสธการจะตอบ เช่น การขอให้ช่วยทำการบ้านให้ เป็นต้น ที่มา: Snap ผ่าน The Verge
# Mark Zuckerberg บอกเอง Meta ตั้งทีมเฉพาะ เพื่อพัฒนา Generative AI แล้ว Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ประกาศผ่าน Broadcast Channels ของเขา ว่าตอนนี้บริษัทได้ตั้งทีมเฉพาะขึ้นมาเพื่อโฟกัสการสร้าง AI ผลิตเนื้อหา หรือ Generative AI โดยรวมทีมหลายฝ่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ Zuckerberg บอกว่าในช่วงแรก Generative AI นี้ จะเน้นไปที่งานสร้างสรรค์และไอเดีย เช่น การสร้างสรรค์เนื้อหาแบบข้อความใน WhatsApp หรือ Messenger และการสร้างสรรค์รูปภาพแบบใหม่ ๆ เช่น ฟิลเตอร์ใน Instagram หรือวิธีแสดงผลโฆษณา ตลอดจนการสร้างสรรค์เนื้อหาแบบวิดีโอ เขายังบอกว่าแผนงานในระยะยาว Meta ต้องการสร้าง AI ที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งานในแต่ละด้าน รายงานบอกว่าหัวหน้าทีม Generative AI นี้คือ Ahmad Al-Dahle ซึ่งก่อนหน้านี้ทำงานที่แอปเปิลมา 16 ปี และย้ายมา Meta ในปี 2020 ทีมงานนี้จะขึ้นตรงกับ Chris Cox หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ที่มา: Axios
# กูเกิลจะออกตัวช่วยย้าย eSIM ข้ามเครื่องให้กับมือถือ Android มือถือตระกูล Pixel รองรับการใช้งาน eSIM มาตั้งแต่ Pixel 2 ในปี 2017 แต่กระบวนการย้าย eSIM ไปยังมือถือเครื่องใหม่ฝั่ง Android ยังทำได้ยาก ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งในฝั่งของผู้ผลิตและโอเปอเรเตอร์ ล่าสุดกูเกิลประกาศในงาน MWC 2023 สั้นๆ ว่าจะออกเครื่องมือย้าย eSIM (eSIM transfer) มาให้ภายในปีนี้ โดยอิงกับมาตรฐานของ GSMA และ Deutsche Telekom จะเป็นโอเปอเรเตอร์เจ้าแรกที่ใช้งานเครื่องมือตัวนี้ คาดว่าเครื่องมือ eSIM จะเพิ่มเข้ามาในอัพเดต Android 13 QPR2 ที่น่าจะออกพร้อมกับแพตช์รอบเดือนมีนาคม 2023 ที่มา - Google, 9to5google, ภาพจาก Google
# IMF ชี้คริปโตยังไม่มีประโยชน์เหนือเงินปกติแต่สร้างความเสี่ยงหลายด้าน ต้องกำกับให้ดี IMF ออกรายงาน "Element of Effective Policies for Crypto Assets" แนะนำประเทศต่างๆ ให้ออกนโยบายกำกับดูแลเงินคริปโตให้หนาแน่นขึ้น ป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะทำให้โลกการเงินกระทบกระเทือนไปด้วย รายงานวิเคราะห์ถึงข้อดีของเงินคริปโตที่มีการเสนอกันมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะประโยชน์การโอนเงินข้ามประเทศที่วงการเงินคริปโตมักอ้างว่าโอนเงินได้รวดเร็วและราคาถูกกว่า ซึ่งก็จริงในบางกรณี เช่น การโอนเงิน 200 ดอลลาร์ มีค่าธรรมเนียมในช่วง percentile ที่ 75-25 (50% ตรงกลาง) อยู่ที่ 4-7.7% ขณะที่การโอนข้ามประเทศบางคู่ประเทศกลับมีค่าธรรมเนียมสูงมากกว่า 10% ขณะที่ค่าธรรมเนียมโอนเงินคริปโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2.9% เท่านั้น แต่เมื่อคำนึงถึงการแลกเปลี่ยนเงินจากปลายทางถึงปลายทาง (เช่น ดอลลาร์เป็นบาท) ค่าธรรมเนียมการโอนเงินด้วยคริปโตรวมๆ ก็สูงขึ้น และแทบไม่ชนะการโอนเงินปกติ หรือข้ออ้างที่ว่าเงินคริปโตจะทำให้คนเข้าถึงบริการธนาคารได้ดีขึ้นก็ไม่จริงเมื่อคำนึงถึงการที่ผู้ใช้ต้องมีอินเทอร์เน็ตและเข้าใจโลกเงินคริปโต แต่รายงานชี้ถึงความเสี่ยงหลายด้าน หากรัฐบาลอนุญาตให้ใช้เงินคริปโตเป็นเงินเพื่อการจับจ่าย ตั้งแต่การสูญเสียความควบคุมนโยบายทางการเงิน, การควบคุมเงินทุนไหลเข้าออกประเทศ, ปัญหาการเลี่ยงภาษี, และสร้างความเสี่ยงให้กับระบบการเงินโดยรวม รายงานแนะนำแนวทาง 9 ประการเพื่อดูแลเงินคริปโต รวมถึงข้อ 9 ที่แนะนำให้ชาติต่างๆ ร่วมมือกันสร้างระบบโอนเงินข้ามประเทศที่ดีขึ้นและแก้ปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของระบบการโอนเงินที่มีอยู่เดิม ที่มา - IMF
# ผู้ชนะตัวจริงของสงคราม AI คือ NVIDIA ขายจีพียูเทรนโมเดลราคาแพง กินส่วนแบ่ง 95% ท่ามกลางสงคราม AI ระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Google, Meta, Microsoft+OpenAI รวมถึงรายย่อยลงมาอย่าง Stable Diffusion ถึงแม้ยังไม่เห็นผลแพ้ชนะในเร็ววัน แต่ผู้ชนะตัวจริงอาจเป็น NVIDIA ผู้ขายจีพียูรุ่นท็อปสำหรับเทรนโมเดลขนาดใหญ่ ที่ทุกบริษัทต้องซื้อหามาใช้งาน จีพียูยอดนิยมของวงการ AI คือ NVIDIA A100 ที่เปิดตัวในปี 2020 ราคาตัวละเกือบ 10,000 ดอลลาร์ เซิร์ฟเวอร์ทั้งชุด DGX A100 มีจีพียู 8 ตัว มีราคาขายราว 200,000 ดอลลาร์ คาดกันว่า NVIDIA ครองตลาดจีพียู AI ถึง 95% เรียกได้ว่าแทบไร้คู่แข่ง ตัวอย่างลูกค้าของ NVIDIA คือบริษัท Stability AI เจ้าของโมเดล Stable Diffusion ที่ซีอีโอ Emad Mostaque เคยโพสต์ในทวิตเตอร์ว่าปีที่แล้วมี A100 จำนวน 32 ตัว ตอนนี้กำลังสะสม A100 เพิ่มขึ้น (มีรายงานประเมินว่าตอนนี้มี 5,400 ตัวแล้ว แต่ยังไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ) ลูกค้ารายใหญ่ของ NVIDIA คือ Meta ที่มีจีพียูถึง 16,000 ตัว, ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Leonardo ของรัฐบาลอิตาลี 13,800 ตัว, Tesla 7,360 ตัว เป็นต้น ตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง Microsoft, AWS, GCP ที่มีจีพียูให้เช่าอีกจำนวนมากด้วย มีตัวเลขประเมินจาก New Street Research ว่าโมเดล ChatGPT ของ Bing จำเป็นต้องใช้จีพียู 8 ตัวในการประมวลผลต่อหนึ่งคำถาม และไมโครซอฟท์จำเป็นต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จีพียูทั้งหมดราว 20,000 เครื่อง (เครื่องละ 8 จีพียู) เพื่อให้บริการ Bing กับผู้ใช้ทุกคน ต้นทุนแค่ค่าเครื่องอาจสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์ หากไม่ใช้จีพียู NVIDIA แล้วมีทางเลือกอื่นใดบ้าง คู่แข่งในตลาดที่ชัดเจนตอนนี้เป็นสายคลาวด์ เช่น กูเกิลที่ทำ TPU ใช้เอง, AWS มีชิปออกแบบเองชื่อ Inferentia ส่วนอินเทลและ AMD ถึงแม้มีชิปแบบเดียวกัน (เช่น Intel Habana) ในอีกทางยังมีสตาร์ตอัพที่พยายามทำชิป AI เฉพาะทาง เช่น Cerebras, Graphcore, Sambanova, Cambricon แต่ก็ยังไม่มีส่วนแบ่งตลาดมากนัก หากลองดูจากปริมาณเปเปอร์วิจัยด้าน AI ที่ระบุว่าใช้งานชิป NVIDIA มีรวมกันเกิน 21,000 ชิ้น ในขณะที่ใช้ชิปทางเลือกเพียงหลักสิบเท่านั้น ระยะห่างในตลาดชิปอาจยิ่งกว้างไปอีก เพราะปีที่แล้ว 2022 NVIDIA เพิ่งเปิดตัวจีพียูเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ H100 สถาปัตยกรรม Hopper ที่จะเริ่มส่งมอบในปี 2023 และมีประกาศความร่วมมือกับทั้ง Meta และ Microsoft เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์สำหรับเทรน AI รุ่นใหม่ด้วย H100 และในปีนี้เราคงจะได้เห็นการใช้ชิป H100 เพิ่มขึ้นอีกมาก ที่มา - State of AI, CNBC
# Spotify ปรับ UI ในแอพ เปลี่ยนปุ่มเซฟเพลง จากไอคอนหัวใจเป็นปุ่มเครื่องหมายบวก Spotify ปรับ UI ของหน้าแอพ โดยเปลี่ยนเครื่องหมายหัวใจ (heart) มาเป็นเครื่องหมายบวก (plus) เดิมที Spotify มีปุ่มหัวใจเอาไว้บันทึกเพลงที่ชอบ และปุ่ม Add to playlist บันทึกเพลงลงเพลย์ลิสต์ สิ่งที่เปลี่ยนคือการยุบรวมสองปุ่มเข้าด้วยกันเป็นปุ่ม Plus เพื่อเซฟ หากต้องการเลือกว่าจะเซฟลงที่ไหน ให้กดปุ่ม Plus อีกรอบจะมีรายชื่อขึ้นมาให้เลือก Spotify อธิบายเหตุผลของการเปลี่ยนรอบนี้ว่าทำให้ผู้ใช้เซฟเพลงที่ชอบง่ายขึ้น เซฟเพลงลงเพลย์ลิสต์หลายอันพร้อมกันในทีเดียวได้ และจากการทดสอบพบว่าการเซฟด้วยปุ่ม + ผู้ใช้มีโอกาสกลับมาฟังซ้ำสูงกว่าปุ่มหัวใจ ที่มา - Spotify
# มือถือ Honor, Motorola, Nothing, OPPO, vivo, Xiaomi จะรองรับการสื่อสารผ่านดาวเทียมของ Qualcomm Qualcomm ประกาศว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟน 6 แบรนด์คือ Honor, Motorola, Nothing, OPPO, vivo, Xiaomi เตรียมใช้งานเทคโนโลยีสื่อสารผ่านดาวเทียม Snapdragon Satellite ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม โดยยังไม่ระบุช่วงเวลาที่จะเริ่มให้บริการจริง Snapdragon Satellite จะใช้งานได้บนชิป Snapdragon ตั้งแต่ซีรีส์ 4-8 ที่ใช้ชิปโมเด็ม 5G Modem-RF รุ่นใหม่ เช่น Snapdragon X75 เบื้องหลังการทำงานคือสื่อสารกับดาวเทียมวงโคจรต่ำ (low-Earth orbiting หรือ LEO) ซึ่งในที่นี้คือ Iridium เพื่อส่งข้อความแบบ 2 ทางผ่านดาวเทียม สำหรับเหตุฉุกเฉินอย่างการหลงทางในป่าเขาที่สัญญาณปกติเข้าไม่ถึง Qualcomm ยังบอกว่า Snapdragon Satellite จะรองรับเทคโนโลยี 5G Non-Terrestrial Networks (NTN) แบบเดียวกับที่บางค่าย (Samsung, MediaTek) เปิดตัวไปก่อนแล้ว และจะใช้งานกับอุปกรณ์ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่มือถือ เช่น รถยนต์ หรืออุปกรณ์ IoT ด้วย ที่มา - Qualcomm
# รัฐบาลแคนาดา สั่งแบนการใช้ TikTok ในอุปกรณ์ของรัฐบาลแล้ว ตามหลังสหรัฐและ EU รัฐบาลแคนาดาเป็นประเทศล่าสุดที่ออกคำสั่งห้ามใช้งาน TikTok ในอุปกรณ์สื่อสารของรัฐบาล ด้วยเหตุผลว่ากลัวความลับหรือข้อมูลสำคัญของภาครัฐรั่วไหล ตามหลังสหรัฐอเมริกา และ EU ที่ออกคำสั่งแบบเดียวกันไปแล้ว คำสั่งแบนของรัฐบาลแคนาดามีผลในวันนี้ 28 ก.พ. 2023 โดยแอพจะถูกถอนการติดตั้งจากอุปกรณ์รัฐบาลทั้งหมด และบล็อคการดาวน์โหลดใหม่ในอนาคต ส่วนการใช้งานบนเครื่องส่วนตัว รัฐบาลบอกว่าไม่บังคับ และขึ้นกับวิจารณญาณส่วนบุคคล โฆษกของ TikTok Canada ออกแถลงการณ์ว่าผิดหวังกับคำสั่งนี้ของรัฐบาล และเป็นคำสั่งที่ไม่ชี้แจงรายละเอียดว่า TikTok อันตรายอย่างไร ที่มา - Government of Canada, National Post
# LastPass แจ้งรายละเอียดเหตุข้อมูลรั่วเมื่อปี 2022 คนร้ายแฮกคอมพิวเตอร์วิศวกร DevOps LastPass รายงานถึงเหตุข้อมูลรั่วเมื่อปลายปี 2022 ที่ร้ายแรงถึงขนาดที่คนร้ายได้ฐานข้อมูลรหัสผ่านลูกค้าไป แม้ตัวฐานข้อมูลจะเข้ารหัสด้วย master password ก็ตาม บริษัทระบุว่าวิศวกรที่เข้าถึงข้อมูลชุดนี้ได้มีเพียงวิศวกร DevOps สี่คนเท่านั้น และคนร้ายก็โจมตีคอมพิวเตอร์ที่บ้านของวิศวกรหนึ่งในสี่คนนี้ด้วยการเจาะโปรแกรมจากผู้ผลิตภายนอกและฝังเอา keylogger ลงในคอมพิวเตอร์ได้สำเร็จ เมื่อวิศวกรผู้นี้เข้าถึง vault ของบริษัทคนร้ายก็ได้ master password ของบริษัทไป ภายในมีกุญแจสำหรับเข้าถึง AWS S3 จำนวนมาก โดยเฉพาะระบบสำรองข้อมูล ระหว่างที่คนร้ายโหลดข้อมูลออกไประบบแจ้งเตือนไม่ได้เตือนอะไรเพราะกุญแจที่ใช้ถูกต้องดี จนกระทั่งคนร้ายพยายามส่งคำสั่งที่กุญแจไม่มีสิทธิ์ AWS GuardDuty จึงแจ้งเตือนขึ้นมา ตอนนี้ทาง LastPass ได้เปลี่ยนกุญแจสำคัญที่หลุดไปยังแฮกเกอร์ทั้งหมดแล้ว และกำลังไล่เปลี่ยนกุญแจอื่นๆ ทั้งหมดแม้จะไม่พบความเสี่ยงกับผู้ใช้ หลังจากนี้จะบีบนโยบายการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น รวมถึงการจำกัดไอพีที่เข้าได้, ถอดบัญชีผู้ใช้ที่ไม่จำเป็นออก, เพิ่มมาตรการเก็บ log เพิ่มเติม, และเพิ่มการแจ้งเตือน ที่มา - LastPass
# Netflix เปิดตัว Pokémon Concierge ซีรี่ส์แบบสต็อปโมชันเนื้อเรื่องใหม่ของโปเกมอน ในงานแถลงข่าว Pokémon Presents เมื่อคืนนี้ Netflix ได้เข้าร่วมแถลงข่าวด้วย โดยเปิดตัวซีรี่ส์ Pokémon Concierge ซึ่งเป็นอนิเมชันแบบสต็อปโมชัน เปิดเผยเรื่องย่อสั้น ๆ ว่า เป็นเรื่องราวของ ฮารุ คอนเซียร์จแห่ง Pokémon Resort ที่จะได้พบกับโปเกมอนและเทรนเนอร์หลากหลาย ที่มาเข้าพักยังสถานที่แห่งนี้ ในทีเซอร์สั้น ๆ ยังปรากฏ โคดัก โปเกมอนเป็ดด้วย Minyoung Kim รองประธานฝ่ายคอนเทนต์ในเอเชียของ Netflix บอกว่า Pokémon Concierge เป็นเรื่องเนื้อเรื่องและภาพการนำเสนอที่ใหม่ทั้งหมดสำหรับโปเกมอน โดยเป็นความร่วมมือกับ The Pokémon Company ผลิตโดย Dwarf Studios (Rilakkuma's Theme Park Adventure, Rilakkuma and Kaoru) Pokémon Concierge ยังไม่ได้ประกาศวันฉาย ที่มา: Variety
# Tencent ประกาศตั้งทีมพัฒนาแชตบอท AI ในชื่อ HunyuanAide มีรายงานว่า Tencent ได้ตั้งทีมพิเศษขึ้นมาสำหรับโครงการชื่อว่า HunyuanAide เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์แชตบอท AI แบบเดียวกับ ChatGPT เพื่อให้บริการกับลูกค้าในจีน โดยตอนนี้มีอย่างน้อย 7 ทีมในบริษัทที่ร่วมกับโครงการดังกล่าว หัวหน้าโครงการนี้คือ Zhang Zhengyou ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานที่ Microsoft Research Institute โฟกัสที่งานการศึกษาวิจัย และร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ไมโครซอฟท์หลายอย่าง เขาร่วมงานกับ Tencent ตั้งแต่ปี 2018 เริ่มที่ฝ่ายด้านหุ่นยนต์ จากข่าวนี้ Tencent จึงเป็นบริษัทเทคโนโลยีจากจีนรายล่าสุด ที่ร่วมการพัฒนาแชตบอท AI จากก่อนหน้านี้ทั้ง Baidu, Alibaba ก็ประกาศพัฒนาแชตบอทบนโมเดล LLM นี้ ที่มา: Pandaily
# Zoom ไตรมาสล่าสุด รายได้โต 4% ลูกค้าองค์กรยังเติบโตสูง Zoom รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ประจำปีการเงินบริษัท 2023 สิ้นสุดเดือนมกราคม รายได้รวม 1,117.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และขาดทุนสุทธิตามบัญชี GAAP 104.1 ล้านดอลลาร์ เทียบกับปีก่อนที่มีกำไร สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายหุ้นพนักงาน ตัวเลขในการดำเนินงาน Zoom บอกว่ามีลูกค้าระดับองค์กรประมาณ 213,000 ราย เพิ่มขึ้น 12% และมีลูกค้าที่จ่ายเงินย้อนหลัง 12 เดือนมากกว่า 1 แสนดอลลาร์อยู่ 3,471 ราย อัตราผู้ใช้งานทั่วไปทางออนไลน์ที่เลิกใช้งาน (Churn Rate) อยู่ที่ 3.4% ลดลงจากปีก่อน ซีอีโอ Eric S. Yuan กล่าวว่าการเติบโตในปีที่ผ่านมา มาจากลูกค้าองค์กรที่มองว่า Zoom เป็นเครื่องมือที่ครบครันสำหรับการสื่อสารและทำงานร่วมกัน สะท้อนได้จากการเติบโตในลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ตัวเลขการใช้ Zoom Phone ก็เพิ่มเป็นมากกว่า 5.5 ล้านรายแล้ว ก่อนหน้านี้ Zoom ประกาศปลดพนักงาน 1,300 คน รวมทั้งซีอีโอก็ประกาศลดเงินเดือนด้วย ที่มา: Zoom
# Pokémon Sleep เกมโปเกมอนที่ใช้ข้อมูลการนอนหลับ มาแน่ภายในปีนี้ ในงานแถลงข่าว Pokémon Presents เมื่อคืนนี้ ได้ประกาศเปิดตัวแอป Pokémon Sleep อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นแอปตรวจจับการนอนหลับของเราด้วยสมาร์ทโฟน ประเมินออกมาเป็น 3 ค่า เพื่อเลือกโปเกมอนตัวที่มีรูปแบบคล้ายการนอนหลับของผู้เล่น ให้ปรากฏมาในตอนเช้าข้างกับคาบิกอนที่เป็นโปเกมอนหลักของการนอนหลับ Pokémon Sleep ไม่ใช่ของใหม่ เคยมีการประกาศแอปนี้เมื่อปี 2019 และมีกำหนดออกมาปี 2020 แต่ก็ไม่ได้ออกมา จนกระทั่งมาประกาศถึงอีกครั้งเมื่อคืนนี้ โดยเพิ่มรูปแบบเกมด้วย จากตอนนั้นต้องการเป็นแอปตรวจจับการนอนหลับเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ Pokémon GO Plus + (โปเกมอนโก พลัสพลัส) ซึ่งใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยตรวจจับรูปแบบการนอนหลับ และสามารถซิงก์ข้อมูลเพื่อช่วยในการเล่น Pokémon GO ได้ด้วย Pokémon Sleep กำหนดเปิดตัวในฤดูร้อนปีนี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดวัน ที่มา: Nintendo Life
# Coinbase ประกาศหยุดซื้อขายเหรียญ BUSD หลังไม่ผ่านเกณฑ์ความเสี่ยง และถูกระงับออกเหรียญเพิ่ม Coinbase ประกาศหยุดการซื้อขายเหรียญ Binance USD (BUSD) ด้วยเหตุผลว่าไม่ผ่านมาตรฐานเหรียญที่ให้บริการซื้อขาย (listing standard) โดยจะมีผลในวันที่ 13 มีนาคม 2023 ส่วนเหรียญ USD เดิมของลูกค้ายังอยู่ในบัญชี และถอนออกได้ตามปกติ Coinbase อธิบายเหตุผลว่าเกิดจาก เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ Paxos บริษัทที่ออกเหรียญ BUSD ให้ Binance ถูกหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของนิวยอร์ก สั่งให้หยุดออกเหรียญ BUSD เพิ่ม เพราะไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินความเสี่ยง ทำให้ทีมของ Coinbase รีวิวและตัดสินใจหยุดการซื้อขายเหรียญ BUSD ตามมา ช่วงหลัง Binance เริ่มเจอแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ทั่วโลกมากขึ้น นอกจากเคส BUSD ก่อนหน้านี้ยังมี ธนาคาร Signature Bank ที่เป็นพันธมิตรกับ Binance ปรับการโอนเงินดอลลาร์เข้าระบบเป็นขั้นต่ำ 100,000 ดอลลาร์ ส่งผลกระทบต่อลูกค้ารายย่อยเช่นกัน ที่มา - The Block
# Tesla หยุดปล่อย Full Self Driving เพิ่ม หลังเรียกรถกว่าสามแสนคันให้มาอัพเดตแพตช์ หลังจาก Tesla ประกาศเรียกรถที่เปิดฟีเจอร์ Full Self Driving (FSD) Beta ให้มาอัพเดตแพตช์เนื่องจากรถมีพฤติกรรมอันตรายในหลายกรณี ตอนนี้ Tesla ก็ทำเว็บประกาศข้อมูลเพิ่มเติม โดยระบุว่าจะหยุดปล่อย FSD Beta ให้กับผู้ใช้เพิ่มเติม ฟีเจอร์ FSD เป็นฟีเจอร์ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมตอนซื้อรถ Tesla โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 15,000 ดอลลาร์หรือประมาณห้าแสนบาท โดย FSD เป็นรถอัตโนมัติระดับ 2 ที่สามารถควบคุมพวงมาลัยพร้อมกับเร่งหรือเบรกรถได้ แต่ผู้ใช้ต้องพร้อมควบคุมรถตลอดเวลา ประกาศของ Tesla ยืนยันว่าผู้ที่ได้ใช้ FSD Beta แล้วจะได้ใช้งานต่อไปแม้จะอัพเดตเฟิร์มแวร์ไม่มีการถอนฟีเจอร์ออก ที่มา - Tesla
# Nebuly AI สร้าง ChatGPT แบบโอเพนซอร์ส ใช้โมเดลของ Meta เป็นฐาน Nebuly AI ผู้พัฒนาระบบฝึกปัญญาประดิษฐ์แบบโอเพนซอร์ส เปิดตัวฝึกปัญญาประดิษฐ์แบบใช้มนุษย์ฝึกเพิ่มเติม (Reinforcement Learning from Human Feedback - RLHF) แบบเดียวกับที่ OpenAI ใช้สร้าง ChatGPT โดยเรียกว่า ChatLLaMA ChatGPT นั้นใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างข้อความ คือ GPT-3 แต่ทาง Nebuly AI เลือกใช้ LLaMA ของ Meta ที่มีขนาดเล็กกว่า และในบางกรณีประสิทธิภาพดีกว่า GPT-3 แม้ขนาดโมเดลจะเล็กกว่ามาก แถม Meta ยังเปิดโมเดลให้นักพัฒนาภายนอกใช้งาน ข้อดีสำคัญของ ChatLLaMA คือมันมีขนาดเล็กมาก และสามารถฝึกได้ด้วยชิปกราฟิกชุดเดียว นอกจากนี้ทาง Meta ยังเปิดโมเดลให้นักวิจัยไปใช้งานได้ แม้จะห้ามใช้งานเชิงการค้าก็ตามที ซอฟต์แวร์ทั้งหมดโอเพนซอร์สอยู่ใน GitHub แต่ตัวโมเดล LLaMA ที่ฝึกไว้ล่วงหน้าโดย Meta ต้องขออนุญาตใช้งานจาก Meta กันเอง ที่มา - GitHub: Nebuly AI
# สถิติส่วนแบ่งตลาดสตรีมมิ่งในไทย Netflix นำห่าง 41%, Prime Video เบียด Disney+ JustWatch เว็บรวบรวมสถิติบริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์ ออกรายงานส่วนแบ่งตลาดสตรีมมิ่งของประเทศไทย ประจำไตรมาส 4/2022 อันดับหนึ่งยังเป็น Netflix นำห่างที่ 41% อันดับสองเป็นการเบียดกันระหว่าง Amazon Prime Video (15%) และ Disney+ Hotstar (14%) โดยมี HBO Go ตามมาที่ 12% หากดูทิศทางของส่วนแบ่งตลาด Disney+ Hotstar มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (กินส่วนแบ่งได้เพิ่ม 3%), Prime Video เพิ่ม 2%, HBO Go ลดลง 3% และ Viu ลดลง 1%
# Xiaomi โชว์แว่นตา AR ต้นแบบ จอภาพระดับเรติน่า สามารถควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านได้ Xiaomi เปิดตัวผลิตภัณฑ์ต้นแบบ เป็นแว่นตา Xiaomi Wireless AR Glass Discovery Edition สำหรับการใช้งานทั้งโหมด VR และ AR ด้วยจุดขายน้ำหนัก 126 กรัม และจอแสดงผล MicroLED ที่ละเอียดใกล้เคียงระดับเรติน่า การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนสามารถทำได้โดยนำแตะกับแว่นตา ค่า latency ต่ำกว่า 50ms ในโหมด AR สามารถควบคุมสั่งการได้อย่างสะดวก ซึ่ง Xiaomi เรียกระบบนี้ว่า Xiaomi AR Gesture Control โดยในวิดีโอสาธิตสามารถทำได้ระดับปิดเปิดหลอดไฟ จนถึงควบคุมทีวีในห้องได้ สินค้าตอนนี้ยังมีสถานะเป็นต้นแบบ (prototype) ยังไม่มีแผนและกำหนดการผลิตวางขายทั่วไป ที่มา: TechCrunch
# Google Keep รองรับการวางโน้ตอันเดียวลงหน้าโฮม ใช้เป็น To-Do List ได้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แอพจดโน้ตยอดนิยมอย่าง Google Keep รองรับการวาง widget บนหน้าโฮมของ Android เพียงแค่ 2 แบบ คือ Quick Capture ที่แสดงปุ่มเริ่มจดโน้ต และ Note Collections แสดงรายการโน้ตทั้งหมดในหมวดหมู่ที่ระบุ ล่าสุดกูเกิลประกาศอัพเดต Keep ให้วาง widget แบบโน้ตอันเดียว (Single Note) บนหน้าโฮมได้แล้ว โน้ตสามารถเป็นแบบไหนก็ได้ แต่ที่กูเกิลนำมาโชว์คือเราสามารถวางรายการ To-Do list จาก Keep ลงบนหน้าโฮม เพื่อใช้จดรายการที่ต้องทำได้โดยไม่ต้องใช้แอพแยก (อย่าง Google Tasks) นอกจากนี้ Google Keep ในสมาร์ทวอทช์ Wear OS ยังเพิ่มปุ่มสร้างโน้ตและ To-Do ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว แล้วพูดสิ่งที่ต้องการลงไปได้เลย ที่มา - Google
# ซัมซุงเปิดตัวชิปรุ่นกลาง Exynos 1380 รองรับกล้องความละเอียด 200MP ถึงแม้มือถือเรือธงย้ายไปใช้ Snapdragon ทั้งหมดแล้ว แต่ซัมซุงก็ยังออกชิป Exynos ใหม่มาจับตลาดระดับกลางอยู่ โดยชิปรุ่นล่าสุดคือ Exynos 1380 อัพเกรดขึ้นจาก Exynos 1280 ของเดิม ที่ใช้ใน Galaxy A33/A53 รุ่นของปี 2022 ซีพียู 8 คอร์ เป็น Cortex-A78 x4 และ Cortex-A55 x4 ให้ประสิทธิภาพมัลติคอร์ดีขึ้นจากรุ่นเดิม 30% (ของเดิมเป็นสูตร 2+6) จีพียู Mali-G68 แบบ 5 คอร์ (MP5) ความถี่ 950MHz เพิ่มจากของเดิมที่เป็น 4 คอร์ (MP4) ชิป NPU รุ่นปรับปรุง รองรับการประมวลผล AI 4.9 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที (TOPS) ชิป ISP ประมวลผลภาพ 3 ตัว รองรับความละเอียดเซ็นเซอร์สูงสุด 200MP รองรับ 5G ความเร็วสูงสุด 3.67 Gbps (download) และ 1.28 Gbps (upload) คาดว่า Exynos 1380 จะใช้กับ Galaxy A54 ที่จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ โดยคู่แข่งระดับเดียวกับ Exynos 1380 คือ MediaTek Dimensity 7200 ที่มา - Samsung via XDA
# TCL เฉือนชนะ LG ขึ้นเบอร์สองผู้ผลิตทีวีปี 2022, ซัมซุงยังครองแชมป์เป็นปีที่ 17 บริษัทวิจัยตลาด Omdia ออกรายงานส่วนแบ่งตลาดทีวีทั่วโลกปี 2022 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ TCL สามารถแซง LG ขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของโลกได้สำเร็จแล้ว (เฉือนชนะกันแค่นิดเดียว ประมาณ 3 หมื่นเครื่อง) ส่วนอันดับหนึ่งยังเป็นแชมป์เก่าซัมซุง ติดต่อเป็นปีที่ 17 ส่วนแบ่งตลาดทีวีโลก ตามข้อมูลของ Omdia Samsung 19.6% TCL 11.7% LG 11.69% HiSense 10.5% Xiaomi 6.2% หากรวมส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีน TCL, HiSense, Xiaomi เข้าด้วยกันคือ 28.4% หรือเกิน 1/4 ของยอดขายทีวีทั่วโลกแล้ว ส่วน Sony ตามมาเป็นอันดับ 7 แต่ไม่มีตัวเลขยอดขาย ภาพรวมของตลาดทีวีทั่วโลกปี 2022 หดตัวลง 4.8% จากภาวะเศรษฐกิจโลก ยอดขายรวม 203.26 ล้านเครื่อง ที่มา - Business Korea via 9to5google, ภาพจาก TCL Thailand
# เปิดตัว ThinkPad Z13 และ Z16 Gen 2 เลือกฝาหลังจากใยผ้าธรรมชาติ 100% ได้ Lenovo เปิดตัว ThinkPad Z13 Gen 2 และ Z16 Gen 2 เวอร์ชันอัพเกรดจาก ThinkPad Z Gen 1 ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2022 ThinkPad Z เป็นโน้ตบุ๊กซีรีส์ใหม่ของ ThinkPad ที่ Lenovo บอกว่าเป็น modern progressive design และใช้วัสดุรีไซเคิล-วัสดุจากธรรมชาติสำหรับคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไฮไลท์ของปีนี้คือ ThinkPad Z13 Gen 2 สามารถเลือกฝาหลังที่ทำด้วยวัสดุธรรมชาติ 100% คือเป็นเส้นใยของต้นแฟลกซ์ (flax plant) ลักษณะเดียวกับต้นปอ ที่ใช้ทำผ้าลินิน โดยเป็นวัสดุที่แปะครอบไปบนอะลูมิเนียมอีกทีหนึ่ง (รุ่นฝาหลังอะลูมิเนียมปกติสีเงินก็ยังมีให้เลือก) ของใหม่ใน ThinkPad Z13 และ Z16 Gen 2 คือการอัพเกรดซีพียูเป็น AMD Ryzen 7000 (ของเดิมคือ Ryzen 6000 ยังมีเฉพาะฝั่ง AMD อย่างเดียว), รองรับการใส่แรมสูงสุด 64GB และสตอเรจสูงสุด 2TB SSD, จุดต่างสำคัญของดีไซน์ Gen 2 เทียบกับ Gen 1 คือทัชแพดกระจกแบบไร้ปุ่มถูกตัดออกไปแล้ว (สงสัยโดนด่าเยอะ) กลับมาเป็นทัชแพดแบบมีปุ่มด้านบนใช้คู่กับ TrackPoint เหมือนเดิม แต่เป็นแผ่นเดียวกับตัวทัชแพดแล้วขีดเส้นแบ่งเอาแทน (ดูรูปประกอบ) ThinkPad Z13 Gen 2 เริ่มวางขายเดือนกรกฎาคม 2023 ราคาเริ่มต้น 1649 ยูโร ส่วน Z16 Gen 2 เริ่มขายเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้น 2249 ยูโร ที่มา - Lenovo
# พบบั๊กมือถือ Google Pixel บางรุ่นดูคลิปคลิปหนึ่งบน YouTube แล้วเครื่องรีบูต มีผู้ใช้ Reddit จำนวนมากรายงานว่าใช้มือถือ Google Pixel รุ่นใหม่ๆ บางรุ่น เช่น Pixel 7/7 Pro, 6/6 Pro/6a เปิดคลิปตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Alien แบบ HDR แล้วเครื่องรีบูตทันที ทั้งนี้ผู้ใช้มือถือ Pixel รุ่นเก่าเช่น 5, 4a, 3, 3a กลับเปิดคลิปดังกล่าวได้ปกติ ทั้งนี้การรีบูตจะเกิดขึ้นเมื่อดูคลิปทางแอพ YouTube เท่านั้น หากดูบนเบราว์เซอร์จะดูได้ปกติ ส่วนตัวผู้เขียนใช้ Pixel 7 Pro ทดลองเปิดคลิปแล้วเครื่องรีบูตทันทีเช่นกัน แต่แปลกกว่าการรีบูตทั่วไปตรงที่เครื่องบูตเร็วมาก เพียงไม่กี่วินาทีก็กลับมาใช้งานได้ ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบจากกูเกิลว่าเกิดจากอะไร ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2020 ที่การตั้งรูปรูปหนึ่งเป็นภาพพื้นหลังในมือถือ Android บางรุ่นจะทำให้มือถือแครช ซึ่งผู้บริหารกูเกิลออกมาบอกว่าเกิดจากการคำนวณค่าความสว่าง (luminance) ของภาพนั้น จึงอาจเป็นได้ว่าบั๊กในเคสใหม่นี้จะคล้ายกัน คลิปต้นเรื่องอยู่ท้ายข่าว ที่มา - Android Authority, กระทู้ Reddit
# เปิดตัว ThinkPad X13 Gen 4 ของปี 2023 ใช้ดีไซน์ใหม่ ขอบจอบางลง กล้องยื่นขึ้นมา Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊ก ThinkPad รุ่นของปี 2023 เพิ่มเติมในงาน MWC 2023 หลังจากเปิดตัว ThinkPad ซีรีส์ X1 ไปแล้วในงาน CES 2023 เดือนมกราคม โดยรอบนี้เปิดตัวซีรีส์อื่นๆ พร้อมกันชุดใหญ่คือ X, E, L, T เหมือนกับของปี 2022 ThinkPad X13 Gen 4, X13 Yoga Gen 4 ปรับดีไซน์ใหม่ ขอบจอบางกว่าเดิม, ราคาเริ่มต้น 1190 ยูโร (X13) และ 1290 ยูโร (X13 Yoga) เริ่มขายเดือน ก.ค. 2023 ThinkPad T14s, T14 Gen 4 และ T16 Gen 2 บอดี้เดิม, เพิ่มตัวเลือกกล้อง 5MP IR, ราคาเริ่มต้น 1590 ยูโร, 1345 ยูโร, 1390 ยูโร ตามลำดับรุ่น, เริ่มขายเดือน ก.ค. ThinkPad L13, L13 Yoga, L14, L15 Gen 4 บอดี้เดิม, เพิ่มตัวเลือกสตอเรจเป็น 2TB, ราคาเริ่มต้น 839 ยูโร, 980 ยูโร, 775 ยูโร, 755 ยูโร ตามลำดับ ThinkPad E14 Gen 5 รุ่นราคาถูก อัพเดตสเปกซีพียู และเพิ่ม E16 Gen 1 รุ่นจอ 16" เข้ามาเป็นครั้งแรก, ราคาเริ่มต้น 770 ยูโร, 780 ยูโร ตามลำดับ เริ่มขายเดือน มิ.ย. ThinkPad X13 Gen 4 บอดี้ใหม่ ดีไซน์ขอบจอบางลง แต่มีกล้องยื่นออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้น (ดีไซน์นี้ เริ่มใช้ใน ThinkPad Z รุ่นต้นปี 2022 จากนั้นทยอยใช้ตามมาใน ThinkPad X1 Carbon Gen 11 ของปี 2023 และ ThinkBook ปี 2023) เพิ่มตัวเลือกกล้อง 5MP+IR สำหรับ Windows Hello, ลำโพงคู่หันเข้าหาผู้ใช้, มีทั้งซีพียู Intel 13th Gen และ AMD Ryzen 7000, มีให้เลือกสองสีคือดำ Black และเทา Storm Grey (ในภาพด้านล่างคือเทา) ThinkPad E16 Gen 1 ครั้งแรกของซีรีส์ E รุ่นราคาถูก ที่มีแบบจอ 16 นิ้ว โดยมาพร้อมกับดีไซน์กล้องยื่นของปี 2023 เหมือนกับรุ่น X13 Gen 4 เลย ThinkPad T14s Gen 4 ยังเป็นบอดี้แบบเดิม (ขอบด้านบนเรียบตรง) แต่อัพเกรดสเปกเพิ่ม เปลี่ยนซีพียู ที่มา - Lenovo
# Xiaomi เปิดตัวหูฟัง Buds 4 Pro, นาฬิกา Watch S1 Pro, สกูตเตอร์ไฟฟ้า Scooter 4 Ultra นอกจากสมาร์ทโฟนเรือธง Xiaomi 13/13 Pro ที่เปิดตัวในตลาดนานาชาติ Xiaomi ยังเปิดตัวสินค้ากลุ่มอุปกรณ์เสริมและ gadget ในตลาดนานาชาติพร้อมกัน ดังนี้ หูฟังไร้สาย Xiaomi Buds 4 Pro มีฟีเจอร์ Sony LDAC ส่งข้อมูล 990kbps + HiRes Audio, ตัดเสียงรบกวน ANC สูงสุดที่ความดัง 48dB, แบตเตอรี่ใช้ฟังเพลงได้นาน 9 ชม. หรือ 38 ชม. ร่วมกับเคส, ราคา 249 ยูโร นาฬิกาอัจฉริยะ Xiaomi Watch S1 Pro หน้าจอ 1.47” AMOLED กระจกแซฟไฟร์กันรอย, แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 14 วัน, รองรับการแทร็คกิจกรรมกว่า 100 ประเภท, ราคา 299 ยูโร สกูตเตอร์ไฟฟ้า Xiaomi Electric Scooter 4 Ultra ล้อขนาด 10 นิ้ว, ความเร็วสูงสุด 25km/h, มอเตอร์กำลัง 940W, ระยะวิ่งสูงสุด 70 km ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง, ราคา 999 ยูโร ที่มา - Xiaomi
# Xiaomi 13 และ 13 Pro เปิดตัวรุ่น Global ขายนอกจีน, ราคาเริ่มต้น 999 ยูโร Xiaomi เปิดตัวมือถือเรือธง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ในตลาดนานาชาติแล้ว หลังเปิดตัวในประเทศจีนมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2022 มือถือทั้งสองรุ่นใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 2 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Qualcomm, กล้องแบรนด์ Leica เหมือนกัน จุดต่างไปอยู่ที่ขนาดหน้าจอ กล้อง และแบตเตอรี่+ระบบชาร์จเร็ว Xiaomi 13 หน้าจอ 6.36" (2400x1080), กล้องหลัก IMX800 50MP, แบตเตอรี่ 4,500mAh ชาร์จเร็ว 67W xiaomi 13 Pro หน้าจอ 6.73" (3200x1440), กล้องหลัก IMX989 50MP เซ็นเซอร์ขนาด 1", แบตเตอรี่ 4,820mAh ชาร์จเร็ว 120W Xiaomi 13 มาพร้อมรอม MIUI 14 ที่อิงจาก Android 13, การันตีอัพเกรด OS นาน 3 รุ่น, แพตช์ความปลอดภัยนาน 5 ปี เริ่มวางขาย 8 มีนาคม 2023 ราคาเริ่มต้น 999 ยูโร สำหรับ Xiaomi 13 และ 1,299 ยูโร สำหรับ Xiaomi 13 Pro ส่วนราคาในไทยต้องรอประกาศอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ Xiaomi ยังเปิดตัวมือถือรุ่นเล็ก Xiaomi 13 Lite มีสเปกดังนี้ หน้าจอ 120Hz 6.55” FHD+ AMOLED ชิป Snapdragon 7 Gen 1 กล้องหลัก 50MP Sony IMX766, ultrawide 8MP IMX355, macro 2MP กล้องหน้า 2 ตัวเน้นถ่ายเซลฟี่ 32MP + 8MP แบตเตอรี่ 4,500mAh ชาร์จเร็ว 67W ราคาเริ่มต้น 499 ยูโร วางขาย 8 มีนาคมพร้อมกัน ที่มา - Xiaomi
# Twitter ปลดพนักงานเพิ่มอีกประมาณ 50 คน รวมทั้ง Esther Crawford หัวหน้าฝ่าย Product มีรายงานว่า Twitter ได้ปลดพนักงานเพิ่มอีกในช่วงสุดสัปดาห์ทีผ่านมา ซึ่งตัวเลขที่มีการตรวจสอบล่าสุดอยู่ราว 50 คน โดยเป็นการปลดเพิ่มเติมจากไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า ในการปลดพนักงานรอบนี้มีรายชื่อที่สำคัญเช่น Martijn de Kuijper ผู้ก่อตั้ง Revue แพลตฟอร์มจดหมายข่าว ที่ Twitter ซื้อกิจการไป และ Esther Crawford หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ซึ่งตอนนี้รับผิดชอบ Twitter Blue และแพลตฟอร์มจ่ายเงิน โดย Crawford นั้น หลายคนอาจจดจำได้จากภาพที่นอนหลับในสำนักงานช่วง Elon Musk เพิ่งซื้อกิจการไปพร้อมแฮชแท็ก #SleepWhereYouWork รายงานบอกว่าในกลุ่มพนักงานที่ถูกปลดไปก่อนหน้านี้ คาดเดาว่า Elon Musk ต้องการจัดโครงสร้างองค์กรใน Twitter ใหม่แบบรีเซต จึงใช้วิธีการปลดพนักงานเก่าออกให้มากที่สุด ที่มา: The Verge
# Nokia เปลี่ยนโลโก้ใหม่ สะท้อนทิศทางใหม่ที่เป็นธุรกิจ B2B และกลับมาเติบโตอีกครั้ง Nokia บริษัทแม่ (ไม่ใช่ HMD Global ที่ทำมือถือ) เปิดตัวโลโก้ใหม่ที่งาน MWC Barcelona 2023 เพื่อสะท้อนทิศทางใหม่ของบริษัท หลังผ่านช่วง "รีเซ็ต" เปลี่ยนผ่านมาเน้นตลาด B2B เสร็จแล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วง "สเกล" กลับมาขยายธุรกิจใหม่ ยุทธศาสตร์ใหม่ของ Nokia ยังเน้นขยายส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์เครือข่ายสำหรับ ISP และ Enterprise ที่มีอยู่เดิม แต่จะมองหาธุรกิจใหม่ๆ นอกเหนือจากอุปกรณ์มือถือ (beyond mobile devices) จากฐานทรัพย์สินทางปัญญาและงานวิจัยของตัวเอง รวมถึงเพิ่มโมเดลธุรกิจแบบ as-a-Service มากขึ้นด้วย แนวทางฝั่งเทคโนโลยี Nokia บอกว่านิยามของเครือข่ายในยุคปัจจุบัน ไปไกลกว่าการเชื่อมต่อผู้คนและสิ่งของ (beyond connecting people and things) ต้องผสานกับคลาวด์มากขึ้น บริษัทจึงเปลี่ยนโลโก้ใหม่ให้สะท้อนยุคใหม่ของบริษัท อิงจากรากเหง้าของโลโก้เดิม แต่ทำให้ทันสมัย มีพลัง ดูเป็นดิจิทัลมากขึ้น (โลโก้เดิมใช้มาตั้งแต่ปี 1966) ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าแบรนด์ Nokia Mobile ที่ HMD Global ซื้อไลเซนส์ไปจะเปลี่ยนเป็นโลโก้ใหม่ด้วยหรือไม่ แต่ Nokia G22 ที่เปิดตัวเมื่อวานนี้ ยังใช้โลโก้เดิมอยู่ ที่มา - Nokia, Nokia Blog