title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โปร 10 เดือน 10 กลับมาอีกครั้ง โอกาสดีของคนอยากมีบ้าน ธอส.เปิดประมูลขายบ้านมือสองออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ลดราคาเต็มพิกัดสูงสุด 40% ทำนิติกรรมภายใน 30 ธ.ค.63 ลดเพิมอีก 10%
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 โปร 10 เดือน 10 กลับมาอีกครั้ง โอกาสดีของคนอยากมีบ้าน ธอส.เปิดประมูลขายบ้านมือสองออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ลดราคาเต็มพิกัดสูงสุด 40% ทำนิติกรรมภายใน 30 ธ.ค.63 ลดเพิมอีก 10% พรุ่งนี้ห้ามพลาด!! ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ประจำเดือนตุลาคม ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดี ทำเลเด่นใจกลางเมือง พรุ่งนี้ห้ามพลาด!! ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ประจำเดือนตุลาคม ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดี ทำเลเด่นใจกลางเมือง อาทิ ใกล้ทางด่วน สถานีรถไฟฟ้า สถานศึกษา และแหล่งช้อปปิ้ง รวม 40 รายการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงทรัพย์ในส่วนภูมิภาค ด้วยราคาเริ่มต้นประมูลลดจัดหนักสูงสุด ถึง 40% จากราคาปกติ ราคาต่ำสุดเพียง 105,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0%นานสูงสุด 60 เดือน ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี ผู้ชนะประมูล หากทำนิติกรรมภายใน 30 ธันวาคม 2563 รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% เริ่มประมูลพร้อมกันทั้ง 40 รายการ ในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีกำหนดจัดมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส.ประจำเดือนตุลาคม โดยธนาคารได้คัดทรัพย์ใหม่สภาพดีทั่วประเทศรวม 40 รายการ ทั้งประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว ที่ดินเปล่า ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ มาเปิดประมูลให้กับลูกค้าที่ต้องการมีบ้านได้เลือกซื้อแบบ New Normal ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดแบบจัดหนักสูงสุด 40% จากราคาปกติ หากทำนิติกรรมภายใน 30 ธันวาคม 2563 รับส่วนลดเพิ่มไปเลยอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลสำหรับทรัพย์ที่นำมาเปิดประมูลในครั้งนี้แบ่งเป็นรายการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 18 รายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 865,000 บาท ได้แก่ ห้องชุดขนาด 28.5 ตารางเมตร ในโครงการสมาร์ทคอนโด พระราม 2 อ.บางขุนเทียน กรุงเทพฯ เดินทางสะดวกโดยรถยนต์เพราะอยู่ห่างจากทางด่วนเพียง 3.2 กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ เนื้อที่ 20.60 ตารางวา ในโครงการีสอร์ทต้าวัชรพล ซึ่งตั้งอยู่ในซอยสุขาภิบาล 5 (ซอย 10) ถนนวัชรพล ก็ถือเป็นอีกรายการที่เดินทางสะดวกเนื่องจากใกล้กับทางขึ้น-ลงทางด่วนฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมีราคาเริ่มต้นประมูลที่ 3,060,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นำออกประมูลมีจำนวน 22 รายการ แบ่งเป็นรายการที่น่าสนใจ อาทิ รายการที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุด 105,000 บาท ได้แก่ ที่ดินเปล่าขนาด 135 ตารางวา ในโครงการไทรโยคการ์เด้นฮิลล์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ส่วนทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงที่สุด 40% จากราคาปกติ โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลเหลือเพียง 840,000 บาทเท่านั้น ได้แก่ บ้านเดี่ยว 1 ชั้น ในโครงการบ้านสวนแสนสุข คลอง 29 ขนาด 64 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ อ.องครักษ์ ถนนรังสิต-นครนายก(ทล.305) จ.นครนายก และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดพื้นที่มากถึง 473 ตารางวา ในหมู่บ้านหนองแข้ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 1,890,000 บาทเท่านั้น ส่วนรายการ ที่ตั้งอยู่ในทำเลดี อาทิ รายการทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 56 ตารางวา ในโครงการเดอะวิกตอเรียพีค อ.เมือง จ.ขอนแก่น พื้นที่ใช้สอยในอาคาร 168 ตารางเมตร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานศึกษาถึง 2 แห่ง และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ราคาเริ่มต้นประมูล 2,735,000 บาท ทั้งนี้ การประมูลบ้านมือสองออนไลน์ในวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ทั้ง 40 รายการ จะเริ่มเปิดประมูลพร้อมกันตั้งแต่เวลา 12.00 – 13.00 น. ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ได้จนถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2563 เวลา 12.30 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ส่วนผู้ชนะการประมูลจะได้รับ QR Code สำหรับติดต่อกับธนาคารเพื่อชำระเงินและทำสัญญาตามที่ธนาคารกำหนดภายใน 3 วันทำการนับถัดจากวันที่ประมูลได้ และสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 60 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยก็มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารกำหนด) สอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35854
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จับกัง 1” ติดตาม “บิ๊กป้อม” ลง พท สมุทรสงคราม สั่ง 5 เสือแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 “จับกัง 1” ติดตาม “บิ๊กป้อม” ลง พท สมุทรสงคราม สั่ง 5 เสือแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ติดตามรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สั่ง 5 เสือแรงงานลุยช่วยชาวบ้านสมุทรสงครามแก้ยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ วันที่ 9 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ติดตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมประชุมการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในระดับพื้นที่โดยการใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลจากระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) ณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้ ได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน กระบวนการดำเนินงาน และผลสำเร็จของการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบบูรณาการจังหวัดสมุทรสงคราม ณ ห้องประชุม แม่กลอง ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงครามให้การต้อนรับ และบรรยายสรุปผลการดำเนินงานของจังหวัดในภาพรวม พร้อมนี้ ผู้แทน สภาพัฒน์ฯ ได้กล่าวความเป็นมาของการแก้ไขปัญหาความยากจน และตัวแทนผู้นำชุมชนและครัวเรือนเป้าหมายกล่าวถึงการได้รับความช่วยเหลือจากจังหวัดสมุทรสงคราม สำหรับสถานการณ์ด้านแรงงานของจังหวัดสมุทรสงคราม มีกำลังแรงงานที่มีงานทำ จำนวน 111,075 คน แบ่งเป็นแรงงานนอกระบบ 58,454 คน และแรงงานต่างด้าว จำนวน 15,256 คน ทั้งนี้ นายสุชาติฯ กำชับ 5 เสือแรงงานในพื้นที่ติดตามพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการขจัดและแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในประเทศ นำไปสู่การพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35835
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดฯกอบชัย เปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ปลัดฯกอบชัย เปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020 ภายใต้หัวข้อ "เตรียมพร้อมประเทศไทยรับมืออนาคตยุค Next Normal" ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท วันนี้ (9 ต.ค. 63) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา Delta Future Industry Summit 2020 ภายใต้หัวข้อ "เตรียมพร้อมประเทศไทยรับมืออนาคตยุค Next Normal" เพื่อเป็นเวทีพิเศษให้ทุกภาคส่วนได้เชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนแนวโน้มอุตสาหกรรมล่าสุด ร่วมผลักดันประเทศไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังยุคโควิด-19 โดยมี นายแจ็คกี้ จาง ประธานบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “การจัดงานในวันนี้ถือเป็นการเชื่อมโยงผู้นำในภาคอุตสาหกรรม เข้ากับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท้องถิ่นทั่วไทย เพื่อมุ่งพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและเดลต้าอีเลคโทรนิกส์ ได้ร่วมงานกันอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาหลายปี และเป็น Big Brother ที่ให้การสนับสนุนกองทุน Delta Angle Fund ที่จัดเป็นประจำทุกปี เพื่อสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นกว่า 500 ล้านบาท” -----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35832
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐ
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐ ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายมณเฑียร บุญตัน ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ถาม : นายมณเฑียร บุญตัน ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ภายหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ส่งผลให้มีการตระหนักถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ประกอบกับมีพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๒ จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๕๙ ได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสาธารณะในส่วนที่เปิดเผยได้ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก แต่มีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและทัศนคติของเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง รวมถึงฝ่ายการเมือง อีกทั้งในอดีตเว็บไซต์ที่อยู่ในความดูแลของภาครัฐที่ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก ได้นำการเข้าถึงเว็บไซต์ของคนพิการมาเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการประเมิน ซึ่งคนพิการสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของรัฐได้ไม่ถึงร้อยละ ๑๐ แตกต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่คนพิการสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของรัฐได้ถึงร้อยละ ๙๒ ในอดีตประเทศไทยขำดโครงสร้างทางกฎหมายที่จะเอื้อให้ระบบข้อมูลข่าวสารของรัฐเข้าถึงได้โดยสะดวก โดยปัจจุบันข้อมูลข่าวสารของรัฐใช้เว็บไซต์ที่เข้าถึงยาก ประชาชนยังคงใช้เอกสารในการเข้าถึงข้อมูลของรัฐ ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่เกิดการบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูล อย่างไรก็ดี ข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐที่เป็นความจริง ไม่มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน - ขอเรียนถามว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการวางมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง ความปลอดภัย และเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกสำหรับประชาชนอย่างไร และมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามมาตรฐาน เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารมีความเชื่อมโยง ความปลอดภัยและเอื้อต่อการเข้าถึงได้โดยสะดวกอย่างไร อีกทั้งกฎหมายข้อมูลข่าวสารที่จะตราเพื่อรองรับมาตรา ๕๙ ของรัฐธรรมนูญจะมีหลักการอย่างไร เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยเป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงได้กำหนดขึ้น และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ตลอดจนควรกำหนดการพัฒนาบุคลากรหรือการเข้าร่วมเป็นภาคีหรือมีส่วนร่วมในประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อกำหนดมาตรฐานของประเทศไทยและนำมาใช้หรือไม่อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผู้ถูกตั้งกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันข้อมูลคือ สิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะการนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในเชิงวิเคราะห์และนำไปใช้ในเรื่องงบประมาณ การพัฒนาประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ประสานงานร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่รับผิดชอบให้หน่วยงานของรัฐมาใช้ระบบดิจิทัลแต่เนื่องจากปัจจุบันสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลได้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีไม่ได้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้แนวทางการดำเนินการในช่วงหลังอาจไม่ตรงกัน จึงได้แก้ปัญหาโดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกรรมการในคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและเข้าร่วมประชุมเพื่อให้การทำงานมีความสอดคล้อง มีแนวทางการพัฒนาการนำข้อมูลดิจิทัลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันและในปีพ.ศ. ๒๕๖๔ รัฐบาลจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบฐานข้อมูลกลางของภาครัฐ โดยนำหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจมำพัฒนาการเก็บข้อมูล (Cloud) มาใช้ที่เดียวกัน ต่างจากในอดีตที่ข้อมูลหน่วยงานของรัฐแยกกัน และไม่มีความพร้อมเข้าสู่ระบบดิจิทัล การรวบรวมข้อมูลภาครัฐเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันมีความยากและแตกต่างกัน ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาสำนักงบประมาณได้ยุติการสนับสนุนงบประมาณที่หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยจะเช่า Cloud เพื่อเก็บข้อมูลของหน่วยงาน ฉะนั้น หน่วยงานของรัฐจึงต้องเก็บข้อมูลไว้ที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ช่วยประหยัดงบประมาณการเก็บข้อมูล ส่งผลให้มาตรฐานการเก็บข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกัน การนำข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้ประโยชน์ และเกิดรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E - Government) ซึ่งจะมีการหารือการเขียนโปรแกรมกับทุกหน่วยงาน เนื่องจากข้อมูลแต่ละหน่วยงานมีควำมหลากหลายและแตกต่างกัน จึงกำหนดให้การเข้าถึงข้อมูลแต่ละประเภทมีเหมาะสม และเมื่อรวมข้อมูลของหน่วยงานของรัฐไว้ที่เดียวกัน มีรูปแบบเดียวกัน การเข้าถึงและการเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชนย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น หน่วยงานของรัฐต้องปรับวิธีคิดของผู้บริหารขององค์กรต่าง ๆ ให้เข้าใจและพร้อมที่จะเปลี่ยนหน่วยงานของตนเข้าสู่กระบวนการทางดิจิทัล นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยตั้งเจ้าหน้าที่บริหารที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องระบบดิจิทัลหรือการบริหารจัดการหน่วยงานของตน และติดตามการทำงานของหน่วยงานของตนเข้าสู่กระบวนการดิจิทัล หรือรัฐบาลดิจิทัลตลอดทุกเดือน ซึ่งจะได้เห็นการบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง และมีสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทำหน้าที่ตรวจสอบและจัดทำมาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานดิจิทัลของประเทศไทย และมาตรฐานเทียบเคียงสากลโดยคำนึงถึงมาตรฐานในประเทศด้วย เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริงและคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน ส่วนการพัฒนาเจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาสู่รัฐบาลดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับการรักษาความปลอดภัยระบบข้อมูลหน่วยงานของรัฐและการสื่อสำรทางดิจิทัล ได้มีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยป้องกันมิให้ข้อมูลของหน่วยงานถูกละเมิดและนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมให้การสนับสนุนการช่วยเหลือต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35831
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ผนึกหน่วยงานภาครัฐ นำร่องศึกษาโครงการ ‘วันใหม่-ไปต่อ’ เดินหน้าช่วยผู้ประกอบการต่อเนื่อง มอบสิทธิพักชำระเงินต้นเพิ่มอีก 6 เดือน
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 SME D Bank ผนึกหน่วยงานภาครัฐ นำร่องศึกษาโครงการ ‘วันใหม่-ไปต่อ’ เดินหน้าช่วยผู้ประกอบการต่อเนื่อง มอบสิทธิพักชำระเงินต้นเพิ่มอีก 6 เดือน SME D Bank ผนึกกำลังหน่วยงานภาครัฐ จับมือ IAM- SAM ศึกษาโครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” ช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบโควิด-19 ฟื้นฟูกิจการด้วยหลักเกณฑ์ผ่อนปรน พร้อมช่วยต่อเนื่อง มอบสิทธิขยายเวลาพักชำระเงินต้นให้ลูกค้าสถานะชำระปกติเพิ่มอีก 6 เดือน SME D Bank ผนึกกำลังหน่วยงานภาครัฐ จับมือ IAM- SAM ศึกษาโครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” ช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบโควิด-19 ฟื้นฟูกิจการด้วยหลักเกณฑ์ผ่อนปรน พร้อมช่วยต่อเนื่อง มอบสิทธิขยายเวลาพักชำระเงินต้นให้ลูกค้าสถานะชำระปกติเพิ่มอีก 6 เดือน ประคองธุรกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติ นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นจำนวนมาก กระทบความสามารถการชำระหนี้ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง ซึ่งกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ตามปกติของระบบสถาบันการเงิน มีข้อจำกัดต้องเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมาย อีกทั้ง ต้นทุนสูง และใช้เวลานาน ไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีความเปราะบาง ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและโลกยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ดังนั้น SME D Bank จึงศึกษาแนวทางบูรณาการความช่วยเหลือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกับบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (IAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) เพื่อแก้ไขปัญหาและหาทางออกที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อ่อนแอเพราะสถานการณ์โควิด-19 ผ่านโครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” พาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูของสองหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งจะได้รับการผ่อนปรนหลักเกณฑ์และข้อกำหนดทางกฎหมาย ลดภาระการชำระหนี้ พลิกฟื้นธุรกิจได้อีกครั้ง รวมถึงรักษาสถานะทางการเงินของธนาคาร ช่วยให้มีสภาพคล่องรองรับการขับเคลื่อนนโยบายทางการเงิน ทั้งนี้ เมื่อผ่านกระบวนการฟื้นฟูมาแล้ว SME D Bank ประสานหน่วยงานกำกับดูแลและพันธมิตร เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นต้น ดำเนินกิจกรรมเพิ่มศักยภาพ รวมถึง พาสู่กระบวนการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ เช่น ขยายตลาดออนไลน์ มาตรฐานบัญชี เป็นต้น ช่วยยกระดับผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในที่สุด ก่อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการกลับมาเป็นเอสเอ็มอีที่มีความแข็งแรง ร่วมเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป “โครงการ “วันใหม่-ไปต่อ” เป็นการบูรณาการความช่วยเหลือดูแลลูกหนี้กลุ่มที่ต้องการการฟื้นฟู ซึ่งมีข้อตกลงเบื้องต้นให้ทั้งสองหน่วยงานเข้ามาศึกษา portfolio ของธนาคาร ซึ่งกรอบแนวทาง นอกจากการปรับโครงสร้างทางการเงินที่หน่วยงานบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) จะดำเนินการแล้ว ยังเพิ่มเติมด้วยการเสริมความรู้ด้านบริหารจัดการให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และหากสามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ SME D Bank ยินดีจะรับลูกค้ากลับมาดูแลต่อให้ธุรกิจดำเนินเติบโตต่อเนื่อง” นางสาวนารถนารี กล่าวถึงบทบาทของ SME D Bank ต่อการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผ่านมา ดำเนินการควบคู่ทั้งมาตรการทางการเงิน และมาตรการไม่ใช่การเงิน โดยด้านการเงิน ดำเนินมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติให้ลูกค้าทุกรายเป็นเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา มีลูกค้าธนาคารเข้าเกณฑ์มาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ จำนวน 43,215 ราย มูลค่ารวม 66,479 ล้านบาท สำหรับด้านที่ไม่ใช่ทางการเงิน ธนาคารได้สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยแนวคิด “เติมความรู้คู่ทุน” ออฟไลน์ควบคู่ออนไลน์ ยกระดับรับยุค New Normal เช่น หลักสูตรเรียนรู้ด้วยตัวเองที่เว็บไซต์ wdev.smebank.co.th, เพิ่มช่องทางขายสินค้าในตลาดนัดออนไลน์ ด้วยเฟซบุ๊กกรุ๊ป “ฝากร้านฟรี SME D Bank” และผลักดันสินค้าขยายตลาดผ่านแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง เช่น Shopee, LAZADA, Thailandpostmart.com, Alibaba, LINE , JD Central เป็นต้น เฉพาะแค่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา มียอดการเข้ามาลงทะเบียนร่วมกิจกรรมสูงกว่า 2,800 ราย ขณะที่ปัจจุบันมียอดร่วมกิจกรรมกว่า 23,321 ราย นอกจากนั้น SME D Bank ช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่อง รองรับหลังครบมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2563 นี้เป็นต้นไป โดยให้สิทธิลูกค้าที่มีสถานะชำระปกติ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 สามารถขยายระยะเวลาพักชำระเงินต้นเพิ่มเติม คงเหลือชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้อีก 6 เดือน สำหรับภาระหนี้ที่พักชำระไว้ ธนาคารจะนำยอดดังกล่าว ไปรวมให้ชำระในช่วงท้ายของสัญญา และในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต สำหรับลูกค้าที่ต้องการพักชำระหนี้เงินต้นเพิ่มเติมอีก 6 เดือน สามารถลงทะเบียนผ่านการสแกน QR Code ในใบแจ้งหนี้ที่ทางธนาคารจะส่งไปให้ โดยเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อได้ที่สาขา SME D Bank ทั่วประเทศ อีกทั้ง ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา SME D Bank เข้าเยี่ยมลูกค้า เพื่อแนะนำแนวทางช่วยเหลือขยายระยะเวลาพักชำระเงินต้นเพิ่มอีก 6 เดือน ซึ่ง ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2563 สอบถามลูกค้าไปแล้วกว่า 66% ของผู้เข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด โดยมีลูกค้าแจ้งความประสงค์ขอพักชำระเงินต้นเพิ่มเติม จำนวน 4,576 ราย วงเงิน 7,207 ล้านบาท ซึ่งก่อนจะครบกำหนดมาตรการในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ จะสอบถามความต้องการลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ได้ครบถ้วนทุกรายแน่นอน ช่วยลูกค้ารักษาเครดิตการค้า และป้องกันการตกชั้นหนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35839
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"มุ่งมั่น พัฒนา ส่งเสริมอุตสาหกรรม นำสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหรือ S-Curve 11 ตามนโยบายรัฐบาล"
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 "มุ่งมั่น พัฒนา ส่งเสริมอุตสาหกรรม นำสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหรือ S-Curve 11 ตามนโยบายรัฐบาล" พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวกลาโหม ร่วมเป็นเกียรติในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ครบ ๖๗ ปี โดยมี คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งผู้ช่วยทูต ฝ่ายทหารสถานเอกอัครราชทูตจากมิตรประเทศ 12 ประเทศ อดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกระทรวงกลาโหม และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมแสดงความยินดี โดยมี พลโท เอกชัย หาญพูนวิทยา เจ้ากรมการอุตสาหกรรมทหาร ให้การต้อนรับและนำชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ​​กรมการอุตสาหกรรมทหาร ฯ เป็นหน่วยงานหลักของกระทรวงกลาโหมที่สนับสนุน พัฒนาและควบคุมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อการพึ่งพาตนเองมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ นอกจากนี้ ยังดำเนินการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับราชการทหารตามนโยบายของกระทรวงกลาโหม โดยประสานงานกับกระทรวงอื่น โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับการอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการทหาร พร้อมควบคุมและส่งเสริมกิจการขององค์การอุตสาหกรรมต่างๆ ร่วมกับทุกภาคส่วนในการดำเนินการร่วมกันให้นำพาประเทศไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหรือ S-Curve 11 ตามนโยบายรัฐบาล ​นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงกลาโหม ยังได้ขึ้นกล่าวแนวความคิดด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม โดยย้ำว่าเพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนารมย์ของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมในการที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้มีผลผลิตออกมาเป็นรูปธรรมสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพความพร้อมรบให้กับกองทัพ อันเป็นหลักประกันด้านความมั่นคง และเป็นไปตามหลักการพึ่งพาตนเอง เสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35844
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35859
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563 วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (เนปาล 1 ราย, นอร์เวย์ 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 2 ราย, เมียนมา 2 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด,สถานกักตัวรูปแบบเฉพาะองค์กร มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,441 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 128 ราย หรือร้อยละ 3.53 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,628 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก เนปาล 1 ราย เพศหญิง อายุ 23 ปี สัญชาติเนปาล อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 24 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักตัวรูปแบบเฉพาะองค์กร (Organization Quarantine) ในจังหวัดปทุมธานี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 7 ตุลาคม 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานี นอร์เวย์ 1 ราย เพศชาย อายุ 29 ปี สัญชาติลิทัวเนีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 3 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 6 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร สหรัฐอเมริกา 2 ราย มีสัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 3 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร โดยทั้ง 2 ราย พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร รายแรก เพศหญิง อายุ 21 ปี อาชีพนักศึกษา อาการป่วยรายที่ 2 เพศชาย อายุ 23 ปี ป่วยด้วยอาการเจ็บคอในวันที่ 3 ตุลาคม 2563 เมียนมา 2 ราย เพศชาย อายุ 43 ปี และเพศหญิง อายุ 47 ปี ทั้ง 2 ราย มีสัญชาติไทย อาชีพพนักงานบริษัท เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ระดับจังหวัด (Local Quarantine) ที่จังหวัดตาก พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 5 ตุลาคม 2563 (วันแรกของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดตาก นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยขณะนี้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งภาพรวมผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย 1,000 คน จะพบผู้ติดเชื้อเพียง 7 ราย ทั้งนี้ อัตราการติดเชื้อของผู้เดินทางเข้ามาจากแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การติดเชื้อของประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกยังคงพบการระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา และ อินเดีย แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี เช่น ในประเทศเวียดนาม นิวซีแลนด์ และประเทศไทย ประเทศไทยอาจพบผู้ติดเชื้อในผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเพื่อนบ้านได้ แต่จะเกิดการระบาดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตรวจจับผู้ติดเชื้อได้รวดเร็วของภาครัฐ ควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด รวมถึงความร่วมมือจากภาคประชาชนที่ระมัดระวัง ป้องกันการติดเชื้อให้กับตัวเองและครอบครัว อย่างไรก็ตาม การเข้มงวดมาตรการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ดี แต่กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับปัญหาทุกมิติ ทั้งสังคม และระบบเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพ-วิถีชีวิต-วิถีทางสังคม-เศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการเปิดเศรษฐกิจ-เปิดประเทศให้กว้างขึ้น โดยยึดหลักความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด และจะดำเนินการภายใต้มาตรการความปลอดภัย รัดกุมและเหมาะสม มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างเป็นระบบ ให้คำแนะนำแนวทางการดำเนินงานให้ปลอดภัยแก่ผู้ประกอบการ/กิจการต่างๆ สนับสนุนการสื่อสารความเสี่ยงและเตรียมพื้นที่ชุมชน สนับสนุนการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกเพื่อให้สามารถตรวจจับผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด และควบคุมเหตุการณ์หากเกิดสถานการณ์การพบผู้ติดเชื้อขึ้น ***************** 9 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35863
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.แรงงาน ชี้ อสร.ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อ ปชช. ในชุมชน
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ​รมช.แรงงาน ชี้ อสร.ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อ ปชช. ในชุมชน - - วันที่ 9 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ อ.เดชอุดม และ อ.นาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี มอบป้ายผู้ทำคุณประโยชน์แก่อาสาสมัครแรงงาน (อสร) รวม 163 คน และพบปะแรงงานภาคการเกษตรกว่า 1,000 คน พร้อมจัดกิจกรรมบริการเคลื่อนที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทั้ง 5 หน่วยงานลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของแต่ละกระทรวง ซึ่งในวันนี้ มีโอกาสมาพบกับแรงงานในเขตจังหวัดอุบลราชธานี จะนำข้อเสนอต่างๆ ไปหาแนวทางและมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่แก่พี่น้องกลุ่มเกษตรกรด้วย ได้แก่ ให้คำแนะนำตำแหน่งงานว่าง การสมัครเป็นผู้ประกันตนตาม ม.40 ให้ความรู้ด้านความปลอดภัย และการรับสมัครฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือ รวมถึงสาธิตอาชีพอิสระ ภารกิจต่างๆ ที่กระทรวงแรงงานมีบริการแก่แรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย จะมี อสร.ทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลจากภาครัฐไปสู่ประชาชนในชุมชน ให้ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารดังกล่าว รวมถึงเป็นสื่อกลางรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ความต้องการในเรื่องต่างๆ แจ้งให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป วันนี้จึงมีการมอบป้ายผู้ทำคุณประโยชน์แก่ อสร. รวม 163 คน “อาสาสมัครแรงงานที่อยู่ในชุมชน เป็นบุคคลสำคัญที่ทำหน้าที่ทั้งตัวแทนของภาครัฐ และตัวแทนของพี่น้องประชาชนในระดับพื้นที่ นำเสียงสะท้อนจากประชาชนให้ภาครัฐช่วยเหลือตั้งแต่ระบบฐานราก จะส่งผลให้การทำงานของภาครัฐสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35846
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปัญหาภาคบริการจากผลกระทบ Covid – 19 ในเกาะสมุย
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ปัญหาภาคบริการจากผลกระทบ Covid – 19 ในเกาะสมุย สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ปัญหาภาคบริการจากผลกระทบ Covid – 19 ในเกาะสมุย ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายเจตน์ ศริธรานนท์ ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ถาม : นายเจตน์ ศริธรานนท์ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้ลงพื้นที่เกาะสมุย เมื่อวันที่ ๑๐ – ๑๒ กันยายน ๒๕๖๓ เพื่อรับฟังปัญหาผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid - 19 จากผู้ประกอบการในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งพบว่าราคาตั๋วเครื่องบินไปกลับเกาะสมุยมีราคาแพง ไม่เอื้ออำนวยต่อการท่องเที่ยว จึงควรมีการเจรจาต่อรองกับสายการบิน นอกจากนี้ เกาะสมุยยังมีผู้ประกอบการสปาและนวดแผนไทยที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ดังนั้น ควรเพิ่มธุรกิจสปาและนวดแผนไทยรวมเข้าไปในภาคบริการโรงแรมกับร้านอาหารด้วย ส่วนภาพรวมของประเทศได้มีการบริหารจัดการเกี่ยวกับ Covid - 19 ได้เป็นอย่างดีเป็นที่ยอมรับและสร้างความเชื่อมั่นต่อต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาด Covid - 19 ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติเป็นหลัก แม้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณอาจทำให้ประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาลดน้อยลง ทั้งนี้ ภาครัฐได้กระตุ้นการท่องเที่ยวโดยจัดโครงการเราเที่ยวด้วยกันในช่วงระยะเวลาวันที่ ๑ กรกฎาคม - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ขอเรียนถามว่า ผลจากการดำเนินการโครงการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากน้อยอย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรงการท่องเที่ยวและกีฬา ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาผู้ถูกตั้งกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า ผลกระทบจาก Covid - 19 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของประเทศเริ่มจากวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๓ สาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศปิดประเทศ นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมีจำนวนมากประมาณร้อยละ ๒๗ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ประกอบกับ ประเทศไทยได้ประกาศปิดประเทศในเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ ต่อมาเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ รัฐบาลได้เริ่มมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวส่งผลให้สถานการณ์การท่องเที่ยวดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาภาคบริการธุรกิจท่องเที่ยวได้ขยายตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือ อาทิ มาตรการดอกเบี้ยต่ำการช่วยเหลือมัคคุเทศก์ ๓ เดือน เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท การคืนเงินหลักประกันร้อยละ ๗๐ ให้กับบริษัททัวร์ อีกทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้พยายามหาช่องทางเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยได้เสนอแนวทางให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อรับนักท่องเที่ยวประกอบกับเตรียมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด Covid - 19 รวมทั้งใช้มาตรการกักตัว ๑๔ วัน สำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จะมีการช่วยค่าห้องพัก ร้อยละ ๔๐ สูงสุดไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ค่าเครื่องบิน ๑,๐๐๐ บาท ค่าอาหารต่อวัน ๖๐๐ บาท โดยเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ มีผู้ใช้สิทธิ์ไปแล้วประมาณ ๘๕๑,๐๐๐ คน นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เสนอขอขยายโครงการโดยให้บริษัทที่มีขนาดใหญ่ซื้อแพคเกจท่องเที่ยวเพื่อแจกให้ลูกค้าหรือพนักงาน อีกทั้งจะขอขยายระยะเวลาโครงการไปถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๓ และกรณีค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไปเกาะสมุย จะดำเนินการหารือกับกระทรวงคมนาคม พร้อมทั้งให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปเจรจาต่อรองกับสายการบิน ในส่วนสปาและนวดแผนไทยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อเพิ่มในส่วนของอาหารจาก ๖๐๐ บาท เป็น ๙๐๐ บาท โดยจะรวมสปาและนวดแผนไทยเข้าไปในส่วนนี้ด้วย สำหรับภูเก็ตโมเดลจะรวม ๓ จังหวัด คือ ภูเก็ต กระบี่ (เกาะพีพี) สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน) และจะเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการ Special Tourist Visa (STV) คือ การขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ๙๐ วัน และสามารถต่อได้อีก ๑๘๐ วัน ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาวที่จะรองรับนักท่องเที่ยวจากยุโรป นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นกรณีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และได้มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อจะนำเสนอรายงานต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะมีการลงพื้นที่เกาะสมุยเพื่อสำรวจและรับฟังความเห็นเบื้องต้นต่อไป (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35829
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระแสตอบรับดี กว่า 2 แสนร้านค้าร่วมลงทะเบียน “คนละครึ่ง”
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 กระแสตอบรับดี กว่า 2 แสนร้านค้าร่วมลงทะเบียน “คนละครึ่ง” -- #ไทยคู่ฟ้าความคืบหน้าการเปิดลงทะเบียนร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง จนถึงวันที่ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการร้านค้าสนใจเข้าร่วมแล้ว 210,010 ร้านค้า แบ่งเป็นร้านค้าที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 152,795 ร้าน โดยส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ สำหรับกิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จแบ่งออกเป็น กิจการที่มีหน้าร้านจำนวน 127,852 ร้าน และหาบเร่ แผงลอย จำนวน 24,943 ร้าน . เมื่อแบ่งตามภูมิภาค ร้านค้าในภาคกลางมีจำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็น 34.8% รองลงมา คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็น 25% และภาคใต้จำนวน 37,229 ร้าน คิดเป็น 17.7% โดยในรายจังหวัดนั้นพบว่า ร้านค้าที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวน 25,526 ร้าน คิดเป็น 12.2% รองลงมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 7,105 ร้าน คิดเป็น 3.4% และจังหวัดสงขลา จำนวน 6,516 ร้าน คิดเป็น 3.1% . อย่างไรก็ตาม สำหรับร้านค้ารายย่อย หาบเร่ แผงลอย ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. คนละครึ่ง .com หรือติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่ www. คนละครึ่ง .com เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 63 เป็นต้นไป และรอรับ SMS ยืนยัน โดยจะเริ่มใช้สิทธิใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. - 31 ธ.ค. 63
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35843
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผุด “ชอปดีมีคืน” ลดภาษี – กระตุ้นการใช้จ่าย
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ผุด “ชอปดีมีคืน” ลดภาษี – กระตุ้นการใช้จ่าย -- #ไทยคู่ฟ้า ที่ประชุม ศบศ. หรือศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) วันนี้ เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ชอปดีมีคืน” และปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกันและมาตรการกำลังใจ >>> 1) มาตรการ “ชอปดีมีคืน” • ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงหนังสือ และสินค้า OTOP ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท (ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน) เริ่ม 23 ต.ค. – 31 ธ.ค. 63 **เงื่อนไข : หากประชาชนได้ใช้สิทธิ์ตาม 1) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ 2) โครงการคนละครึ่ง แล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้ 2) ปรับปรุงมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “กำลังใจ” • เพิ่มสิทธิ์ให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 570 คน และเจ้าหน้าที่หัวหน้างานสาธารณสุขมูลฐานและงานสุขภาพภาคประชาชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอ กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2,615 คน สามารถเข้าร่วมโครงการกำลังใจได้ • ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้บริการโรงแรมที่พัก และใช้ E-Voucher สำหรับค่าสนับสนุนอาหาร ค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว ค่าสินค้า OTOP ในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านได้ • ขยายระยะเวลาโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ถึงวันที่ 31 ม.ค. 64 • อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ถึงวันที่ 31 มี.ค. 64
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35840
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอนิดเดียว! e-Catt แพลตฟอร์มโคเนื้อไทย
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รอนิดเดียว! e-Catt แพลตฟอร์มโคเนื้อไทย -- #ไทยคู่ฟ้าe-Catt เป็นแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับให้เกษตรกรมีการเลี้ยงโคที่ดี ได้มาตรฐาน ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนที่เกี่ยวกับพันธุ์วัว จำนวนวัวแต่ละพื้นที่ ตลอดจนราคา และช่วยส่งเสริมเลี้ยงวัวให้มีรายได้ในช่วงภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วง พร้อมอำนวยความสะดวกในการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ (E-Commerce) ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการซื้อขายโคเนื้อระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เน้น “ตลาดนำการผลิต” โดยอีกไม่นานนี้ จะเปิดระบบให้เกษตรกรได้ลงทะเบียน แอดมินจะรีบมาแจ้งข่าวให้ทราบทันที... . ประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับหลังจากที่ระบบ e-Catt เปิดให้บริการ เช่น 1. เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. 2. เชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านวิชาการจากเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ 3. เกษตรกรได้รับการสนับสนุน และเข้าถึงบริการพื้นฐานจากเจ้าหน้าที่รัฐ 4 เชื่อมโยงการตลาด และประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35842
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 เหตุผลที่ทั่วโลกนิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 5 เหตุผลที่ทั่วโลกนิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19 5 เหตุผลที่นิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19 5 เหตุผลที่ทั่วโลกนิยมใช้จักรยานในช่วงโควิด-19 1. ปลอดภัยตามหลัก Social Distancing 2. ทดแทนการใช้บริการขนส่งมวลชน 3. ออกกำลังกายได้สุขภาพ 4. ประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน 5. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35865
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว" ปีที่ 21
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว" ปีที่ 21 ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว" ปีที่ 21 วันนี้ (9 ต.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องราชาวดี สโมสรราชพฤกษ์ (นอร์ธปาร์ค) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานรับมอบผ้าห่ม ในพิธีส่งมอบผ้าห่มตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว” ปีที่ 21 โดยมี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานฝ่ายส่งมอบ โอกาสนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ร่วมเป็นสักขีพยานรับมอบ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กล่าวว่า นับเป็นเวลา 21 ปี ที่กลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ได้ดำเนินโครงการ "ไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาว" ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่ได้ร่วมแบ่งปันความช่วยเหลือประชาชนเพื่อก้าวเดินไปด้วยกันกับภาครัฐในการบรรเทาสาธารณภัยเติมเต็มการบรรเทาภัยหนาว ดังคำขวัญ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ด้วยการส่งมอบผ้าห่ม จำนวน 200,000 ผืน เพื่อมอบให้ประชาชนจังหวัดพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครพนม สกลนคร บึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลำภู เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ พะเยา และน่าน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า ในนามของประชาชนผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 21 นี้ ต้องขอขอบคุณกลุ่มบริษัทไทยเบฟที่ดูแลประชาชน เข้าสู่ปีที่ 21 ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความสุขทางกาย คือ ได้รับผ้าห่มในการบรรเทาความช่วยเหลือร่วมกับทางราชการ และ "ความสุขทางใจ" ซึ่งประเทศไทยต้องการความเอื้ออาทรเพื่อนำไปสู่ความสามัคคี สุขกาย สุขใจ เป็นประโยชน์ที่ดีกับประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืนดังนโยบายของรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35855
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณฯ แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ก.อุตฯ ปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณฯ แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา กระทรวงอุตสาหกรรม ปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณฯ แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) เวลา 10.30น. รปอ.(นางวรวรรณ ชิตอรุณ) ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม (ศอ.จอส.อก.) เข้ารายงานผลการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ระยะที่ 2 แก่ พระธรรมรัตนดิลก เจ้าคณะภาค 9 เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม และได้ตรวจติดตามความเรียบร้อยของงานทั้งหมด ทั้งนี้ ศอ.จอส.อก. ได้จัดทำโครงการฯ เพื่อให้ระบบไฟฟ้าของวัดอรุณฯ มีความปลอดภัยและสวยงามยิ่งขึ้น โดยดำเนินการ 1) พัฒนาระบบป้องกันฟ้าผ่ารอบองค์พระปรางค์ เชื่อมต่อกราวด์ลงดินลึก 30 เมตร พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกทางสายไฟฟ้า 2) งานระบบไฟฟ้า ซึ่งได้เดินท่อร้อยสายไฟเพื่อเก็บและจัดระเบียบสายไฟทั้งหมดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และ 3) ปรับระบบกราวน์ และไฟฟ้าส่องสว่าง บริเวณรอบองค์พระปรางค์วัดอรุณฯ จนแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35852
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายวันชัย เอนกลาภ นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากสมาคมศิลปินพื้นบ้านภาคต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อปรึกษาหารือเรื่อง แนวทางในการเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาของเครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวอัจฉราพร พงษ์ฉวี รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมหารือ ณ ห้องรับรอง ชั้น ๗ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35858
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมลงนามความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ ช่วยกลุ่มเป้าหมายสร้างอาชีพใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 พม. ร่วมลงนามความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ ช่วยกลุ่มเป้าหมายสร้างอาชีพใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล พม. ร่วมลงนามความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ ช่วยกลุ่มเป้าหมายสร้างอาชีพใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล วันนี้ (9 ต.ค. 63) เวลา 14.00 น. ที่ห้องอีเทอร์นิตี้บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมเป็นสักขีพยานและกล่าวถึงความร่วมมือ “การพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ” ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และธนาคารออมสิน โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในพิธี และนางสาววิจิตา รชตะนันทิกุล รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว รักษาราชการแทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมลงนามความร่วมมือดังกล่าว นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนด้านสุขภาพและอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคมที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งโดยพื้นฐานมีความเดือดร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นจากสถานการณ์โรคโควิด-19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาสังคม สร้างความเป็นธรรม ส่งเสริมและพัฒนาความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนความมั่นคงของสถาบันครอบครัวและชุมชน เพื่อมุ่งสู่การ “สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ” มีความตระหนักต่อผลกระทบของสถานการณ์ดังกล่าวที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาส ซึ่งบทเรียนสำคัญที่ผ่านมาบอกกับเราเสมอว่า ปัญหาเรื่องสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แยกส่วนกัน จึงทำให้เราได้เห็นพัฒนาการหลายอย่างของการให้บริการภาครัฐและโอกาสใหม่ๆของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีกับการให้บริการแก่ผู้บริโภคทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการเปิดรับ Social Normal ใหม่ๆ ที่เป็นผลพวงจากการใช้ระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อาทิ สังคมไร้เงินสด และการทำงานทางไกล เป็นต้น นางสาวสราญภัทร กล่าวต่อไปว่า ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวง พม. ได้บูรณาการความร่วมมือกับส่วนราชการ สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิต “อาชีพใหม่ ชีวิตใหม่หลังโควิด” ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบกับวิกฤติในเรื่องอาชีพและรายได้ โดยการสำรวจผู้ที่ตกงานจากภาคแรงานและกลุ่มคนเปราะบางทางสังคม เช่น คนยากจน พ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้ที่มีการศึกษาในระดับไม่สูงนัก รวมไปถึงบัณฑิตใหม่ที่จบการศึกษาในช่วงวิกฤตินี้ ทั้งนี้ จึงได้ปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรการฝึกอาชีพให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น อาชีพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อาชีพการดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ (Caregiver) อาชีพธุรกิจการบริการแบบใหม่ (Hospitality) ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้ และเร่งส่งเสริมและพัฒนาทักษะกลุ่มอาชีพในชุมชน ให้มีทักษะการใช้ช่องทางออนไลน์ ซึ่งจะเปิดโอกาสของการเข้าสู่ระบบตลาดที่เปิดกว้างและสร้างแรงจูงใจให้แรงงานพัฒนาตนเอง โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ นางสาวสราญภัทร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซหรือผู้ที่ผ่านการอบรมเรียนรู้ทางออนไลน์ จากหลักสูตร “EASY E-COMMERCE ACADEMY SKILLS LEARN BY YOURSELF” ของ ETDA สามารถเข้ารับการประเมินทดสอบสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้ เพื่อยกระดับทักษะความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซของคนไทยให้เป็นที่ยอมรับของสากล สู่การสร้างความมั่นใจให้กับผู้ร่วมลงทุน ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงิน ที่สำคัญยังก่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากร การฝึกอบรม และการขับเคลื่อนธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดระบบนิเวศน์ การพัฒนากำลังคนด้านอีคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก ที่สนับสนุนให้ กระทรวง พม. มีส่วนร่วมในโครงการ THAILAND e-Commerce SUSTAINABILITY โดยเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดในการทำอีคอมเมิร์ซ การเพิ่มช่องทางการขายของออนไลน์ การยกระดับสินค้าชุมชน GO Online พร้อมต่อยอดถอดบทเรียนการพัฒนาคู่มือสำหรับกลุ่มอาชีพในชุมชน ซึ่งจะร่วมกันดำเนินการต่อเนื่องไปถึงปี 2564 ซึ่งกระทรวง พม. มั่นใจว่า “อีคอมเมิร์ซ” จะเป็นกระบวนการทำงานอย่างหนึ่งที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้สามารถช่วยเหลือตนเองในการดำรงชีวิตให้ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยืดหยุ่นในการปรับตัวให้เข้ากับกิจกรรมภายใต้ฐานวิถีชีวิตใหม่ และพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา โดยกระทรวง พม. พร้อมที่จะให้การสนับสนุน ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือ “การพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ” ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเกิดประโยชน์สูงสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35860
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เดินสายทัวร์อีสาน เร่งขับเคลื่อนไทยมีงานทำ
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 นฤมล เดินสายทัวร์อีสาน เร่งขับเคลื่อนไทยมีงานทำ - - วันที่ 9 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เยี่ยมชมการพัฒนาทักษะฝีมือรองรับเทคโนโลยีชั้นสูง และมอบหนังสือรับรองความรู้ความสามารถแก่ผู้ผ่านการประเมิน ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 7 อุบลราชธานี ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การพัฒนาทักษะฝีมือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อแรงงานในปัจจุบัน ที่ต้องพัฒนาทักษะฝีมือของตนเองอยู่เสมอ เนื่องจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต้องปรับตัวรับวิถีใหม่ (New Normal) หลังพบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รูปแบบการเรียนรู้และการประกอบอาชีพจึงเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนเกิดอาชีพใหม่ขึ้นด้วย ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ทั้งด้านความรู้และทักษะฝีมือให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การฝึกอบรมที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงานดำเนินการนั้น จึงเป็นการสร้างแรงงานให้มีคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย การยกระดับมาตรฐานฝีมือเพื่อให้ได้รับค่าจ้างอย่างเป็นธรรม โดยผ่านกระบวนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ผลักดันให้สาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องและอาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ ต้องดำเนินการโดยผู้ที่ผ่านการรับรองความรู้ความสามารถเท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน ประกาศให้สาขาอาชีพช่างไฟฟ้าเป็นสาขาอาชีพแรก ลำดับต่อไปจะเป็นช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็กและช่างเชื่อม รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถในวันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นแรงงานที่มีฝีมือและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับผู้ที่จบการฝึกหลักสูตรเตรียมเข้าทำงาน สาขาช่างกลึง ต้องเข้าไปฝึกงานในสถานประกอบกิจการ ขอให้ตั้งใจเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เพื่อสร้างโอกาสในการทำงาน และขอฝากให้อาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ ช่วยประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงแรงงาน แก่ประชาชนในชุมชนได้ทราบถึงภารกิจต่างๆ ของกระทรวงแรงงาน ทั้งการจัดหางาน การพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองดูแลด้านสวัสดิการและการสมัครเป็นผู้ประกันตนตาม ม.40 หลังจากนั้น รมช.แรงงาน และคณะ ได้เยี่ยมชมการฝึกอบรมและกิจกรรมอื่นๆ ของ สพร.7 อุบลราชธานี ได้แก่ การประเมินรับรองความรู้ความสามารถ สาขาช่างเครื่องปรับอากาศและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และเยี่ยมชมการบริการของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน และสถานประกอบกิจการที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน การฝึกเตรียมเข้าทำงาน สาขาช่างกลึง การฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้าภายในอาคารผ่านระบบ Ad Zoom ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท โฮมโปร จำกัด พร้อมชมผลงานนวัตกรรมสนับสนุนเกษตรยุคใหม่ โดยการนำระบบ IOT และพลังงานทดแทน มาประยุกต์การให้น้ำอัตโนมัติ ในช่วงบ่ายได้เดินทางพบปะประชาชนภาคการเกษตร อ.เดชอุดม และ อ.นาจะหลาย จ.อุบลราชธานี ที่เข้ารับฟังแนวทางการให้ความช่วยเหลือแรงงานภาคการเกษตร และนำข้อเสนอจากกลุ่มเกษตรกร ไปวางแผนและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยฉบับใหม่ คัดกรองเด็กพิเศษ-ด้อยโอกาสให้ได้ 99 เปอร์เซ็นต์
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 บอร์ดเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยฉบับใหม่ คัดกรองเด็กพิเศษ-ด้อยโอกาสให้ได้ 99 เปอร์เซ็นต์ บอร์ดเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยฉบับใหม่ คัดกรองเด็กพิเศษ-ด้อยโอกาสให้ได้ 99 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยรับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2563-2570 หลังปรับปรุงยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นเด็กปฐมวัยได้รับการดูแลพัฒนารอบด้าน ได้รับการคัดกรองภาวะความต้องการพิเศษหรือด้อยโอกาสไม่น้อยกว่าร้อยละ 99 เมื่อร่างฯ ผ่านมติ ครม. 4 กระทรวงหลักบูรณาการการทำงานตามข้อเสนอผู้ตรวจการแผ่นดิน วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย ครั้งที่ 3/2563 ว่า ที่ประชุมได้รับทราบร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2563-2570 ซึ่งเป็นการปรับปรุงร่างฯ ฉบับเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 อาทิ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดและการให้บริการแก่เด็กปฐมวัย มีการปรับปรุงให้มีการพัฒนาระบบการดูแลและให้ความรู้แก่ทั้งพ่อและแม่ของทารกในครรภ์อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เด็กปฐมวัยได้รับการสำรวจและคัดกรองค้นหาภาวะความต้องการพิเศษ/ด้อยโอกาส ไม่น้อยกว่าร้อยละ 99 หากพบเด็กกลุ่มนี้จะต้องได้รับการส่งต่อ เพื่อวินิจฉัย ดูแล พัฒนาไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และได้รับบริการด้านต่างๆ อย่างเท่าเทียม มีคุณภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอเปลี่ยนคำว่าสถานบริการเป็นหน่วยบริการ โดยให้หน่วยบริการจัดโครงการ/กิจกรรมให้ความรู้และเตรียมความพร้อมในการดูแล พัฒนา และคุ้มครองสิทธิเด็กแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครอบครัว ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย ได้ปรับปรุงให้บุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้เด็กปฐมวัย ได้รับการพัฒนาศักยภาพและสนับสนุนให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอ 5 ข้อของผู้ตรวจการแผ่นดินที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีการจัดการศึกษาเด็กเล็ก ได้เสนอให้กำหนดแผนปฏิบัติการทำงานร่วมกันระหว่าง 4 กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ มหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรให้มีการดำเนินการแบบบูรณาการในหน่วยงานเดียวกัน (One Stop Service) ซึ่งจะสามารถทำได้เมื่อร่างแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2563-2570 ผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีแล้ว เนื่องจากกระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงสาธารณสุข จะไปจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องและเป็นไปตามแผน โดยมีสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะเลขานุการ เป็นหน่วยงานในการประสานงานและติดตามการดำเนินงานเป็นระยะ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กพิเศษและด้อยโอกาส โดยเพิ่มผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ชมรมกุมารแพทย์พัฒนาการ และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี จากเดิมที่มีเพียงผู้แทนกรมอนามัย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35861
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ลุยให้กำลังใจกลุ่มขุนโค จ.โคราช
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรีเกษตรฯ ลุยให้กำลังใจกลุ่มขุนโค จ.โคราช รัฐมนตรีเกษตรฯ ลุยให้กำลังใจกลุ่มขุนโค จ.โคราช นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมเยือนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโคขุนกู้วิกฤตโควิด ณ วีรชาติฟาร์ม บ้านเชียงสา ตำบลสะแกราช อำเภอปักธงชัย นครราชสีมา ซึ่งเป็นฟาร์มที่ลงทะเบียนผู้รวบรวม รับซื้อ และจำหน่ายโคขุน กับกรมปศุสัตว์ ตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา มีกลุ่มวิสาหกิจชุม ชนที่ขอเข้าร่วมโครงการ ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นและยื่นขอสินเชื่อจาก ธกส. แล้ว 68 กลุ่ม วงเงินกว่า 200 ล้านบาท โดยได้รับอนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 0.01% ตามโครงการดังกล่าวจาก ธ.ก.ส. แล้ว จำนวน 6 กลุ่ม วงเงินประมาณ 12 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35853
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ตรวจเยี่ยมด่านผ่านแดนบ้านเขาดิน จ.สระแก้ว
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรีเกษตรฯ ตรวจเยี่ยมด่านผ่านแดนบ้านเขาดิน จ.สระแก้ว รัฐมนตรีเกษตรฯ ตรวจเยี่ยมด่านผ่านแดนบ้านเขาดิน จ.สระแก้ว เล็งยกระดับเป็นจุดส่งออกสินค้า ลดการแออัดจากด่านคลองลึก อรัญประเทศ นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนบ้านเขาดินอ.คลองหาดจ.สระแก้วว่าจังหวัดสระแก้วตั้งอยู่ภาคตะวันออกของประเทศติดกับประเทศกัมพูชาด้านทิศเหนือติดกับจ.นครราชสีมาจ.บุรีรัมย์ทิศใต้ติดกับจ.จันทบุรีทิศตะวันตกติดกับจ.ปราจีนบุรีและจ.ฉะเชิงเทรามีพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชาเป็นเขตแดนทางบกมีความยาวทั้งสิ้น165กิโลเมตรมีช่องทางการนำเข้าและส่งออกสินค้ารวม5แห่งโดยแยกเป็นจุดผ่านแดนถาวร2แห่งและจุดผ่อนปรน3แห่งโดยจุดผ่านแดนบ้านเขาดินได้รับการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์2562 นายประภัตรกล่าวต่อไปว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้หารือร่วมกับนายเกียรติศักดิ์จันทราผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่โดยเฉพาะภาคการเกษตรเนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานกัมพูชาในการเก็บเกี่ยวผลผลิตส่งผลให้มีต้นทุนสูงจากเดิมดังนั้นจึงได้ประสานความร่วมมือกันในการสำรวจสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อเตรียมความพร้อมให้เป็นสถานที่ควบคุมโรคแห่งรัฐ(State Quarantine)และขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่จะนำแรงงานเข้ามาให้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดซึ่งแรงงานเป็นเรื่องจำเป็นจึงต้องเร่งรัดดำเนินการให้ทันก่อนช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตคือต้นเดือนพฤศจิกายน นายประภัตรกล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากนี้ได้หารือกันในการยกระดับด่านผ่านแดนบ้านเขาดินให้เป็นจุดส่งออกสินค้าที่สำคัญส่งเสริมให้มีสินค้าหลากหลายประเภทเพื่อลดการแออัดของจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึกอ.อรัญประเทศจ.สระแก้วรวมถึงพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต้องมีความสมบูรณ์รองรับนักท่องเที่ยวและผู้มาใช้บริการได้หากสามารถพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้การค้าชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาณจุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดินปี2563มียอดส่งออกสุกรมีชีวิตจำนวน482,014ตัวมูลค่า2,513,159,750บาทนำเข้าข้าวโพด100,437,500กิโลกรัมมูลค่า703,182,592บาทนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง17,937,500กิโลกรัมมูลค่า269,067,438บาทนำเข้ามันสำปะหลัง 575,179,400กิโลกรัมมูลค่า2,761,113,223บาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35838
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในระดับพื้นที่​ ๓​ จังหวัด​ (จังหวัดกำแพง​เพชร​ จังหวัด​ตาก​ และ​จังหวัด​สุโขทัย)​
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในระดับพื้นที่​ ๓​ จังหวัด​ (จังหวัดกำแพง​เพชร​ จังหวัด​ตาก​ และ​จังหวัด​สุโขทัย)​ นายสมศักดิ์​ เทพ​สุ​ทิน​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ เป็น​ประธาน​การประชุม​คณะกรรมการ​ขับเคลื่อน​ไทยไปด้วยกัน​ระดับพื้นที่​ ๓​ จังหวัด​ (จังหวัด​กำแพง​เพชร​ จังหวัด​ตาก​ และจังหวัด​สุโขทัย)​ ครั้งที่​ ๑/๒๕๖๓​ ในวันพฤหัส​บ​ดีที่​ ๘​ ตุลาคม​ ๒๕๖๓​ เวลา​ ๑๕.๐๐​ น.​ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์​ เทพ​สุ​ทิน​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ เป็น​ประธาน​การประชุม​คณะกรรมการ​ขับเคลื่อน​ไทยไปด้วยกัน​ระดับพื้นที่​ ๓​ จังหวัด​ (จังหวัด​กำแพง​เพชร​ จังหวัด​ตาก​ และจังหวัด​สุโขทัย)​ ครั้งที่​ ๑/๒๕๖๓​ โดยมี​ นายวราเทพ รัตนากร ที่ปรึกษาคณะกรรมการฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ นายวัลลภ​ นาค​บัว​ รองปลัด​กระทรวง​ยุติธรรม​ พร้อมด้วยคณะกรรมการ​ผู้​ทรงคุณวุฒิ​ เข้าร่วม​ฯ​ โดยที่ประชุมรับทราบ​คำสั่ง​แต่งตั้งคณะกรรมการ​ขับเคลื่อน​ไทยไปด้วยกัน​ระดับพื้นที่จังหวัด​ ๓​ จังหวัด​ฯ​ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี​เป็น​ประธาน​ รองนาย​กรัฐมนตรี​ และ​รัฐมนตรี​ทุกคนเป็นกรรมการ​ มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ​ ติดตาม​ เร่งรัด​ ช่วยเหลือ​เยียวยาและขับเคลื่อน​การแก้ไขปัญหา​ในระดับพื้นที่​ โดยให้มีการบูรณาการ​การทำงาน​ร่วมกัน​ของทุกภาค​ส่วน​ในพื้นที่แต่ละจังหวัด​เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์​อย่าง​เป็นรูปธรรมและรวดเร็ว​ทันเหตุการณ์​ตามหลักปรัชญา​เศรษฐกิจพอเพียง​ การดำเนิน​ชีวิต​วิถี​ใหม่​ (New​ Normal)​ และแนวคิดการขับเคลื่อน​ไทยไปด้วยกัน​ โดยรัฐ​มนตรีว่าการกระทรวง​ยุติธรรม​ นายสมศักดิ์​ เทพ​สุ​ทิน​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ ได้รับมอบหมาย​ให้​รับผิดชอบ​ในพื้นที่​ ๓​ จังหวัด​ ได้แก่​ จังหวัด​กำแพง​เพชร​ จังหวัด​ตาก​ และ​จังหวัด​สุโขทัย​นอกจากนี้​ ที่ประชุม​รับทราบ​กรอบแนวทางภาพรวมการขับเคลื่อน​ไทยไปด้วยกันในระดับพื้นที่​จังหวัด​กำแพง​เพชร​ จังหวัด​ตาก​ และ​จังหวัด​สุโขทัย​ และรับทราบกรอบทิศทาง​ในการขับ​เคลื่อน​ของจังหวัดในการช่วยเหลือประชาชน​ รวมทั้ง​ รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหา​ความยากจนของประชาชนในชนบท​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35825
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ร่วมงาน “มหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8” ชูสินเชื่อ GSB SMEs Startup No.1 ผ่อนล้านละ 1,700 บาท
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ออมสิน ร่วมงาน “มหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8” ชูสินเชื่อ GSB SMEs Startup No.1 ผ่อนล้านละ 1,700 บาท เลขาธิการ ก.ล.ต. ร่วมเปิดบูธธนาคารออมสินภายในงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2563 ณ อุดรธานีฮอลล์ ชั้น 4 เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี ซึ่งจัดบูธภายใต้แนวคิด “ธนาคารเพื่อสังคม” นางพัชลีพร วรวิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ให้การต้อนรับ นางรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ประธานเปิดงานฯ นายนิติพัฒน์ ลีลาเลิศแล้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และ นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน ให้เกียรติร่วมเปิดบูธธนาคารออมสินภายในงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2563 ณ อุดรธานีฮอลล์ ชั้น 4 เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี ซึ่งจัดบูธภายใต้แนวคิด “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่สะท้อนผ่านการให้บริการทางการเงินและกิจกรรมเพื่อดูแลสังคมของธนาคารออมสินมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน ส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชน สนับสนุนการประกอบอาชีพ และดูแลธุรกิจรายย่อยจนถึงระดับ SMEs ซึ่งปัจจุบันธนาคารฯ มุ่งให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สำหรับในงานนี้ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ คือ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs นำเสนอ สินเชื่อGSB SMEs Startup No.1 สำหรับธุรกิจใหม่ไม่เกิน 3 ปี หรือเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือการตลาด มาแล้วไม่เกิน 3 ปี วัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ หรือลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาท กรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันมากกว่า 50% ดอกเบี้ยปีแรก 1.07% (ผ่อนล้านละ 1,700 บาทต่อเดือน) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MRR +1.50% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MOR ของธนาคารฯ = 5.995% ต่อปี และ MRR = 6.245% ต่อปี) พร้อมกันนี้ นำเสนอ สินเชื่อเคหะ สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านใหม่ หรือคอนโดมีเนียมใหม่ และทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.5% เป็นระยะเวลา 3 ปี ปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% ต่อปี พร้อมยกเว้นค่าบริการสินเชื่อและค่าจัดทำนิติกรรมสัญญา โดยลูกค้าต้องจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35845
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย เพื่อหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ นายประยูร อินสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.ทองเปลว กองจันทร์) ให้เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อย เพื่อรับทราบและพิจารณาผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในโครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมภายหลังการก่อสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร เขื่อนธาตุน้อย จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงการหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบฯ โดยที่ประชุมมีมติให้รายงานผลการดำเนินงาน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรค เพื่อเสนอคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายโสธร-พนมไพร และโครงการฝ่ายธาตุน้อย ประกอบการพิจารณาต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35847
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมอบของขวัญให้คนไทย ดูบอลระดับไทยลีกฟรีจนจบฤดูกาล กระตุ้นกีฬาฟุตบอลให้คึกคัก
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รัฐบาลมอบของขวัญให้คนไทย ดูบอลระดับไทยลีกฟรีจนจบฤดูกาล กระตุ้นกีฬาฟุตบอลให้คึกคัก รัฐบาลมอบของขวัญให้คนไทย ดูบอลระดับไทยลีกฟรีจนจบฤดูกาล กระตุ้นกีฬาฟุตบอลให้คึกคัก วันนี้ (9 ตุลาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ บี โรงแรมดิแอทธินี แบงค็อก กรุงเทพมหานคร นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือโครงการ “รวมไทย SAVE บอลไทย 2020” หลังจากท่ีฟุตบอลไทยต้องหยุดแข่งขันเพราะพิษโควิด-19 ส่งผลให้วงการฟุตบอลไทยซบเซา รวมถึงนักเตะและผู้ประกอบธุรกิจกีฬาฟุตบอลขาดรายได้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภาครัฐโดยการนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญและสนับสนุนกีฬาฟุตบอล และกีฬาทุกประเภทอย่างจริงจัง ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้รับชมกีฬายอดนิยมจากช่องทีวีภาครัฐและเครือข่ายทีวีภาครัฐได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นการแสดงให้เห็นถึงการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการยกระดับฟุตบาลไทยให้เกิดความมั่นคง สร้างเงิน สร้างรายได้แก่ชุมชน รวมถึงเป็นการเปิดโอกาสให้แฟนบอลสามารถเข้าถึงกีฬาฟุตบอลได้อย่างใกล้ชิด ด้าน พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทยลีก มีความจำเป็นต้องเลื่อนโปรแกรมแข่งขันฟุตบอลไทยลีก แต่ที่ส่งผลกระทบต่อฟุตบอลไทยทั้งระบบ คือ การสิ้นสุดสัญญาลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในเดือนตุลาคม 2563 ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลโดยสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงเครือข่ายทีวีภาครัฐ ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และสนับสนุนด้านลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกตลอดฤดูกาลแข่งขัน 2563 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้วงการฟุตบอลสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง และจะทำให้บอลไทยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ในส่วนของ พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า กรมประชาสัมพันธ์ โดย NBT2HD มีความพร้อมในการถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีก เนื่องจากมีสถานีโทรทัศน์อยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทำให้สามารถครอบคลุมการถ่ายทอดสดในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นทีมเหย้าหรือทีมเยือน และเชื่อมั่นว่าการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ จะทำให้คนไทยได้รับชมฟุตบอลอย่างมีอรรถรส ประกอบกับ เป็นเรื่องดีที่จะทำให้ประชาชนมารับชมช่อง NBT มากขึ้น โดยทาง NBT ได้เตรียมการผลิตรายการเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล มีกูรูมาทำการวิเคราะห์ก่อนการแข่งขันในทุกสัปดาห์ ----------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35856
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารคดีสั้น ตอน 4 สืบสาน รักษา และต่อยอด
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 สารคดีสั้น ตอน 4 สืบสาน รักษา และต่อยอด สารคดีสั้น ตอน 4 สืบสาน รักษา และต่อยอด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35837
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยภายหลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการ และเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกร ณ หอประชุมโรงเรียนเดชอุดม อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ว่า มีนโยบายที่จะกระจายการถือครองลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกิน หรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพ และให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ปรับปรุงทรัพยากร และปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรให้เกิดผลดียิ่งขึ้น “วันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่พี่น้องเกษตรกร จำนวน 700 ราย 779 แปลง เนื้อที่ 4,043-1-21 ไร่ ทำให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทาง ได้มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม อันจะทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและยั่งยืนในการประกอบอาชีพทางการเกษตร ก่อให้เกิดประโยชน์การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน รักษาที่ดินไว้เพื่อใช้ในการดำรงชีพและเป็นมรดกตกทอดสู่ลูกหลานต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ประมาณ 2,478,061 ไร่ คลอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งจังหวัด จำนวน 24 อำเภอ จาก 25 อำเภอ โดยมีเกษตรกรได้รับการคัดเลือกเข้าทำประโยชน์และรับมอบเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 แล้ว จำนวน 137,095 ราย 164,816 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,609,871 ไร่ คงเหลือพื้นที่สามารถจัดได้อีก จำนวน 276,124 ไร่ ต่อมา ได้ไปเยี่ยมชมกิจกรรมในศูนย์เรียนรู้การเพิ่มการผลิตสินค้าเกษตรเครือข่าย (ศพก.เครือข่าย) ของนายพา สายสมบัติ ณ บ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 2 ต.นาจะหลวย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี ซึ่งเดิมปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยทำนา และปลูกมันสำปะหลังเป็นหลัก แต่รายได้ก็ยังไม่เพียงพอ ในปี 2552 จึงได้ไปศึกษาดูงานด้านการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และได้ลงมือทำเกษตรแบบผสมผสานอย่างจริงจัง พัฒนาพื้นที่การเกษตรทั้งหมดเป็นไร่นาสวนผสมแบบครบวงจร ทั้งยังได้รางวัลแปลงไร่นาสวนผสมดีเด่น ประจำปี 2560 จ.อุบลราชธานี โดยภายในศูนย์ฯ แบ่งเป็นฐานเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การเลี้ยงปลา การเลี้ยงเป็ด/ไก่ไข่ การเลี้ยงหนูพุก การทำถ่านชีวมวลคุณภาพสูงและผลิตน้ำส้มควันไม้ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเปิดให้บุคคลที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้การทำเกษตรภายในแปลงอีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35848
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดการอบรมหลักสูตร นบส.ปปส. รุ่นที่ ๒ เพื่อพัฒนาผู้บริหารให้เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยาเสพติด
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 รมว.ยุติธรรม เปิดการอบรมหลักสูตร นบส.ปปส. รุ่นที่ ๒ เพื่อพัฒนาผู้บริหารให้เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยาเสพติด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๒ ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ดร.สมศักดิ์ และคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ชั้น ๒ อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๒ โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม และนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ หลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ความคิดและประสบการณ์การบริหารงาน ตลอดจนเกิดการสร้างเครือข่าย ประสานการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ ทั้งนี้ การอบรมได้รับความร่วมมือจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นผู้ดูแลด้านเนื้อหา หลักสูตรมุ่งเน้นในเรื่องยาเสพติดและการบริหารจัดการองค์กรทั้งภาคทฤษฏี ภาคปฏิบัติ ผู้เข้าร่วมอบรมฯ ประกอบด้วย ข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน ตุลาการ อัยการ ทหาร ตำรวจ และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาคธุรกิจเอกชน รวมทั้งสิ้น ๔๕ คน โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกะทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า เนื่องจากปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่รัฐบาลไทยและนานาประเทศทั่วโลก รวมถึงองค์การสหประชาชาติ ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นปัญหาของมวลมนุษยชาติที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเป็นรากเหง้าของปัญหาทุกอย่างและยังเชื่อมต่อกับปัญหาอื่นอีกมากมาย เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การสาธารณสุข การก่อการร้าย การคอร์รัปชั่น และเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของชาติ ลดทอนศักยภาพของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม ไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น ทุกภูมิภาคทั่วโลกก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ รวมทั้งมีการผลิตและแพร่ระบาดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทชนิดใหม่ๆ หรือ NPS และสืบเนื่องจากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษ ว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. ๒๐๑๖ ชี้แนะการมองปัญหายาเสพติด และกำหนดแนวทางแก้ไขแนวใหม่แบบองค์รวมสำหรับประเทศสมาชิก เพื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ อีกทั้งทุกท่านถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ ของหน่วยงาน และภาคีเครือข่ายเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด โดยสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อสร้างเครือข่ายการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และความมั่นคงของประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35824

Dataset Card for "thaigov-v2-corpus-22032023"

This corpus made from Thaigov v2 corpus in 22 Mar 2023. https://github.com/PyThaiNLP/thaigov-v2-corpus/releases/tag/22032023

Corups: https://github.com/PyThaiNLP/thaigov-v2-corpus

English

  • Data from Thai government website. https://www.thaigov.go.th
  • This part of PyThaiNLP Project.
  • Compiled by Mr.Wannaphong Phatthiyaphaibun
  • License Dataset is public domain.

Data format

  • 1 file, 1 news, which is extracted from 1 url.
topic
(Blank line)
content
content
content
content
content
(Blank line)
ที่มา (URL source) : http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN

Thai

  • เป็นข้อมูลที่รวบรวมข่าวสารจากเว็บไซต์รัฐบาลไทย https://www.thaigov.go.th
  • โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนา PyThaiNLP
  • รวบรวมโดย นาย วรรณพงษ์ ภัททิยไพบูลย์
  • ข้อมูลที่รวบรวมในคลังข้อความนี้เป็นสาธารณสมบัติ (public domain) ตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 7 (สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ (1) ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสารอันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ [...] (3) ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือตอบโต้ของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น [...])

สามารถติดตามประวัติการแก้ไขคลังข้อความนี้ได้ผ่านระบบ Git

จำนวนข่าว

  • วันเริ่มต้นโครงการ 17 ก.ย. 2563

รูปแบบข้อมูล

  • 1 ไฟล์ 1 ข่าว ซึ่งดึงมาจาก 1 url
หัวเรื่อง
(บรรทัดว่าง)
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
(บรรทัดว่าง)
ที่มา : http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN

รายละเอียดชื่อไฟล์

  • ชื่อหมวดหมู่_จำนวนที่ของข่าว.txt

Script

  • run.py สำหรับเก็บข้อมูลจากหน้าเว็บ โดยจะดึงหน้าเว็บจาก url http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN โดยที่ NNN คือเลขจำนวนเต็ม
    • เปลี่ยนค่าตัวแปร i ในไฟล์เป็นเลขที่ต้องการเริ่มเก็บ
  • clean.py สำหรับทำความสะอาดข้อมูลเบื้องต้น โดยจะลบช่องว่างหน้าและท้ายบรรทัด ลบบรรทัดว่าง
    • clean.py ชื่อไฟล์
    • clean.py ชื่อไฟล์1 ชื่อไฟล์2
    • clean.py *.txt

We build Thai NLP.

PyThaiNLP

Downloads last month
35