File size: 3,914 Bytes
c5b6280
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
Book,Page,LineNumber,Text
06,0003,001,ภิกษุได้เหมือนกัน.   การบวชอย่างนี้  เรียกว่าติสรณคมนุปสัมปทา 
06,0003,002,แปลว่า  อุปสมบทด้วยถึง  ๓  สรณะ.  ในยุคต้นแห่งตรัสรู้  การรับเข้า
06,0003,003,หมู่หรือรับบวชให้ภิกษุ  สำเร็จด้วยอำนาจบุคคล  คือพระศาสดาทรง
06,0003,004,เองบ้าง  สาวกทำบ้าง  ด้วยประการอย่างนี้.  
06,0003,005,จำเนียรกาลล่วงมา   พระศาสนาเจริญแพร่หลายขึ้นโดยลำดับ
06,0003,006,มีคนนับถือมาก  พุทธบริษัทมีทั้งบรรพชิตทั้งคฤหัสถ์  ทั้งชายทั้งหญิง
06,0003,007,พระศาสดามีพระประสงค์จะทรงประดิษฐานให้เป็นหลักมั่นคง  พระ
06,0003,008,องค์ทรงมุ่งประโยชน์ของมหาชนยิ่งกว่าผลส่วนพระองค์เอง  จึงได้
06,0003,009,ทรงอนุญาตมอบให้สงฆ์เป็นใหญ่ในการบริหารคณะ.   สงฆ์นั้นไม่ใช่
06,0003,010,ภิกษุเฉพาะรูปดังคนสามัญเข้าใจกันอยู่  ภิกษุหลายรูปเข้าประชุมกัน
06,0003,011,เป็นหมู่เพื่อทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง  เหมือนประชุมแห่งพวกสมาชิก
06,0003,012,ของสมาคมนั้น  ๆ  ซึ่งมีอำนาจให้สำเร็จกิจธุระของเขา  นี้เรียกว่าสงฆ์.
06,0003,013,สงฆ์นั้นย่อมมีองค์เป็นกำหนดสำหรับกิจนั้น ๆ.  กิจโดยมาก  ต้องการ
06,0003,014,สงฆ์มีภิกษุ  ๔  รูป  สงฆ์ผู้ทำกิจเช่นนี้  เรียกว่าจตุวรรค  แปลว่า
06,0003,015,มีพวก  ๔.   แต่กิจบางอย่าง  ต้องการสงฆ์มีภิกษุ  ๕   รูปบ้าง  ๑๐  รูป
06,0003,016,บ้าง  ๒๐  รูปบ้าง  สงฆ์ผู้ทำกิจเหล่านั้น  เรียกว่าปัญจวรรค  มีพวก  ๕
06,0003,017,ทสวรรค  มีพวก  ๑๐  วีสติวรรค  มีพวก  ๒๐  เป็นลำดับกัน.  ตกมา
06,0003,018,ถึงชั้นนี้  อุปสัมปทา   คือรับบวชคนให้เป็นภิกษุเข้าหมู่  จึงเป็นหน้าที่
06,0003,019,ของสงฆ์จะพึงทำด้วยอย่างหนึ่ง    พระศาสดาจึงทรงงดการประทาน
06,0003,020,อุปสมบทด้วยพระองค์เสีย     และทรงเลิกการให้อุปสมบทของสาวก
06,0003,021,เสียด้วย   ทรงอนุญาตให้สงฆ์ทำด้วยวิธีซึ่งเรียกว่า  ญัตติจตุตถกัมม-