incorrect
stringlengths
1
45.8M
correct
stringlengths
1
45.8M
วันที่ 11 เมษายน เป็นวันทีท 101 ของปี (วันที่ 102 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 2y4 วีนในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2232 (ค.ศ. 1689) - พระเจ้รวิลเลียมที่ 3 และสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ร่วมแห่งบริเตนใหญ่ ในวันเดียวกับที่รีฐสภาสกอจแลนด์เห็นด้วยกับคำตัดสินของรัฐสภาอังกฤษเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2256 (ค.ศ. 1713) - ฝรั่บเศสและบริเตนใหญ่ลงนามในสนธิสัญญาอูเทรคต์ เพื่อยุติใงครามสืบรสชบัลลังก์สเปน (สงครามพระนางแอนน์) อังกฤษยอมรับพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 เป็นกษัตริย์แห่งสเปน ในขณะที่พระเจ้าเฟลีเปที่ 6 สละการอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก็ฝรั่งเศส พ.ศ. 2357 ฤค.ศ. 1814) - สนธิสัญญาฟงแตนโบลยุติสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หกซึ่งต่อสํ้กัยจัหรพรรดินโปเลียนที่ 1 และบังคับให้พระองค์สละราชบัลลังก์โดยไม่มีเงื่อนไขเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) - อดีตโลกุน โทกูงาวะ โยชิโนบุยอมจำนนและยกปราสาทเอโดะให้กับกองกำละงของราชสำนัก นับเป็นการสิ้นสุดของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) - เปิดการเดินรถๆฟสายแรกของสยาม สายปากน้ำ จากกรุงเทภฯ - สาุทรปราการ ระยะทาง 21 กิโลเมตร ก.ศ. 1478 (ค.ศ. 1935( - แนวสเตนซา: การเปิดการประชุมระหว่างแรมซีย์ แมกดอนัลด์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ, เยนิโต มุสโสลินี นายกรึฐมนตรีอิตาลี และปีแยร์ ลาวาล รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เพื่อประณามการลัเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายของเยอรมนี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. q945) - สงครามโลกครั้งที่สอง: ทหารสหรัฐปลดปล่อยค่ายกักกันบูัคนวอลด์ พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - สงครามเกาหลี: แฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบแีแห่งสหรัฐอเมริกา สั่งปลดพบเอกดักบาส แมกอาร์เทอ่์ ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการในเกาหลี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - อะพอลโล 13 ขึ้นสู่อวกาศ นำนักบินอวกาศเดืนทางไปดวงจันทร์ พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - 2499 อันธพาลครองเมือง ภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดประจำปีเข้าฉายวันแรก พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ถูกกดดันให้ลทออกจากตำแหน่ง หลังเกิดรัฐประหารโดยกองทัพเวเนซุเอลา พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) - เกิดแผ่นอินไหวขนาด 8.6 ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ภายหลังเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมา มีการประกสศเตือนภัยคลท่นสึนามิจากนานาประเทศที่เกี่ยวข้อง == วันเกิด == พ.ศ. 1542 (ค.ศ. 999) - เปา เจิ่ง ขุนนางชาวจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ถึงแก่กรรม พ.ศ. 1605) พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883) - หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไฦ (ถึงชีพิตักษัย พ.ศ. 2514) พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) - โคอิจิ ซูงิยามะ (รีตกวี) คีตกวี วาทยากรและนักประพันธ์เพลงชาวญี่ปุ่น (เสียชีวิต 30 กันยายน พ.ศ. 2564) พ.ศ. e475 (ค.ศ. 1932) - โจเอล เกรย์ นัดแสดง นักเต้น นักร้อง และช่างภาพชนวอเมริกัน พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - โรเบร์โต กาบัญญัส นักฟุตบอลชาวปารากวัย (ถึงแก่กรรม 9 มกราคม พ.ศ. e560) พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1970) - วิกฟิลด์ นักร้องชาวเดนมาร์ก พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1977) - ภคชนก์ โวอ่อนศรี นักแสดงและพิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - อาเลซังดรา อะงบรอซียู นางแบบและนักแสดงชาวบราซิล พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1986) * ปาโบล เอร์นันเดซ โดมิงเกซ นักฟุตบอลชาวสเปน * โยเฮ โทโยดะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น * วุฒิชัย ทาทอง นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) * โจส สโตน นักร้องชาวอังกฤษ * ออสวัลโด ฟิลโญ นักฟุตบอลอาชีพชาวบราซิล พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) ] ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล น้กแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2532 ฤค.ศ. 1989) * ้ริ่น เจียหลุน นักแสดงชาวจีน * อีกา ดาร์วิล นักแสดงชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2533 (ค.ฬ. 1990) - ณัฐชร บุญไชยอินสวัสดิ์ นักการเมือง รองโฆษกพรรคอนาคตใหม่ พ.ศ. 2534 (ี.ศ. 1991) - เตียโก อัลกันตารา นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร (ฉัตร) นักแสดงหญิงและนางแบบชาวฟทย พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ฟลอริน อันดอเน นักฟุตบอลชาวโรมาเนีย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - อี ฮด-ฮย็อน นักแสดงชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 253p (ค.ศ. 1996ฏ * เดลี แอลลี นักฟุตบอลชาวอังกฤษ * ตริศรา แก้วมะ นักกีฬาวอลเลย์บอฃหญิงทีมชาติ/ทย พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - การอลีนา บีแยลัฟสกา นางแบบ ผู้จัดรายการโทรทัศน์ และนางงามชาวโปกฃนด์ พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์ นักแสดงชาวไทย == วันถึงแก่กรรม =] พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) - กรมพระจักรพรรดิพงษ์ (ประสูติ 13 มกราคม พ.ศ. 2400) พ.ศ, 3459 (ค.ศ. 1916) - ริชาร์ด ฮาร์ดิง เดวิส นักเขียนชาวอเมริกัน (เกิด 18 เมษายน พ.ศ. 2407) พ.ศ. 25q8 (ร.ศ. 1975) - สลเล ฟูไทย ผูีบุกเบิกหนังสือโป๊ และสมาคมอาบแดดในไทย พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ชวลี ช่วงวิทย์ ตักร้องวงดนตรีกรมประชาสะมพันธ์ และยงดนตรีสุนทราภรณ์ (เกิด 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467) พ.ศฦ 2539 (ค.ศ. 1995) - แสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยหารองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (เกิด 12 มิถุรายน พ.ศ. 2486) -= วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันคนสงยโลก == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in HistoryL Aprul 11 มเมษายน 11 เมษายน
วันที่ 11 เมษายน เป็นวันที่ 101 ของปี (วันที่ 102 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 264 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2232 (ค.ศ. 1689) - พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 และสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ร่วมแห่งบริเตนใหญ่ ในวันเดียวกับที่รัฐสภาสกอตแลนด์เห็นด้วยกับคำตัดสินของรัฐสภาอังกฤษเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2256 (ค.ศ. 1713) - ฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ลงนามในสนธิสัญญาอูเทรคต์ เพื่อยุติสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน (สงครามพระนางแอนน์) อังกฤษยอมรับพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 เป็นกษัตริย์แห่งสเปน ในขณะที่พระเจ้าเฟลีเปที่ 5 สละการอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) - สนธิสัญญาฟงแตนโบลยุติสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หกซึ่งต่อสู้กับจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และบังคับให้พระองค์สละราชบัลลังก์โดยไม่มีเงื่อนไขเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) - อดีตโชกุน โทกูงาวะ โยชิโนบุยอมจำนนและยกปราสาทเอโดะให้กับกองกำลังของราชสำนัก นับเป็นการสิ้นสุดของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) - เปิดการเดินรถไฟสายแรกของสยาม สายปากน้ำ จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ ระยะทาง 21 กิโลเมตร พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) - แนวสเตรซา: การเปิดการประชุมระหว่างแรมซีย์ แมกดอนัลด์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ, เบนิโต มุสโสลินี นายกรัฐมนตรีอิตาลี และปีแยร์ ลาวาล รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เพื่อประณามการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายของเยอรมนี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - สงครามโลกครั้งที่สอง: ทหารสหรัฐปลดปล่อยค่ายกักกันบูเคนวอลด์ พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - สงครามเกาหลี: แฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา สั่งปลดพลเอกดักลาส แมกอาร์เทอร์ ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการในเกาหลี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - อะพอลโล 13 ขึ้นสู่อวกาศ นำนักบินอวกาศเดินทางไปดวงจันทร์ พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - 2499 อันธพาลครองเมือง ภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดประจำปีเข้าฉายวันแรก พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังเกิดรัฐประหารโดยกองทัพเวเนซุเอลา พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) - เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.6 ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ภายหลังเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมา มีการประกาศเตือนภัยคลื่นสึนามิจากนานาประเทศที่เกี่ยวข้อง == วันเกิด == พ.ศ. 1542 (ค.ศ. 999) - เปา เจิ่ง ขุนนางชาวจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ถึงแก่กรรม พ.ศ. 1605) พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883) - หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ (ถึงชีพิตักษัย พ.ศ. 2514) พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) - โคอิจิ ซูงิยามะ (คีตกวี) คีตกวี วาทยากรและนักประพันธ์เพลงชาวญี่ปุ่น (เสียชีวิต 30 กันยายน พ.ศ. 2564) พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - โจเอล เกรย์ นักแสดง นักเต้น นักร้อง และช่างภาพชาวอเมริกัน พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - โรเบร์โต กาบัญญัส นักฟุตบอลชาวปารากวัย (ถึงแก่กรรม 9 มกราคม พ.ศ. 2560) พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - วิกฟิลด์ นักร้องชาวเดนมาร์ก พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - ภคชนก์ โวอ่อนศรี นักแสดงและพิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - อาเลซังดรา อังบรอซียู นางแบบและนักแสดงชาวบราซิล พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) * ปาโบล เอร์นันเดซ โดมิงเกซ นักฟุตบอลชาวสเปน * โยเฮ โทโยดะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น * วุฒิชัย ทาทอง นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) * โจส สโตน นักร้องชาวอังกฤษ * ออสวัลโด ฟิลโญ นักฟุตบอลอาชีพชาวบราซิล พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล นักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) * เริ่น เจียหลุน นักแสดงชาวจีน * อีกา ดาร์วิล นักแสดงชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ นักการเมือง รองโฆษกพรรคอนาคตใหม่ พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - เตียโก อัลกันตารา นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร (ฉัตร) นักแสดงหญิงและนางแบบชาวไทย พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ฟลอริน อันดอเน นักฟุตบอลชาวโรมาเนีย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - อี โด-ฮย็อน นักแสดงชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) * เดลี แอลลี นักฟุตบอลชาวอังกฤษ * นริศรา แก้วมะ นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - การอลีนา บีแยลัฟสกา นางแบบ ผู้จัดรายการโทรทัศน์ และนางงามชาวโปแลนด์ พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์ นักแสดงชาวไทย == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) - กรมพระจักรพรรดิพงษ์ (ประสูติ 13 มกราคม พ.ศ. 2400) พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) - ริชาร์ด ฮาร์ดิง เดวิส นักเขียนชาวอเมริกัน (เกิด 18 เมษายน พ.ศ. 2407) พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - สลิล ฟูไทย ผู้บุกเบิกหนังสือโป๊ และสมาคมอาบแดดในไทย พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ชวลี ช่วงวิทย์ นักร้องวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ และวงดนตรีสุนทราภรณ์ (เกิด 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467) พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - แสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (เกิด 12 มิถุนายน พ.ศ. 2486) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันคนสวยโลก == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in History: April 11 มเมษายน 11 เมษายน
ความน่าจะเป็น คือการวัดหรือการประมทณความเป็นไปได้ว่า บางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึืนหรือถ้อยแถลงหนึ่ง ๆ จะเป็นจริงมากเท่าใด ความน่าจะเป็นมีค่าตั้งแต่ 0 (โอกาน 0% หรือ จะไม่เกิดขึ้น) ไปจนถึง 1 (โอกาส 100% หรือ จะเกิดขึ้น) ระดับของความน่าจะเป็นที่สูงขึ้น คือความเป็นไปได้มากขึ้นที่เหตุการณ์นัีนจะเกิด หรือถ้ามองจากเงื่อนเใลาของการสุ่มตัวอย่าง คือจำนวนครั้งมากขึ้นที่เหตุการณ์เช่นนั้นคาดหวังว่าจะเกิด สโนทัศน์เหล่านี้มาจากการแปลงคณิตศาสตร์เชิงสัจพจร์ในทฤษฎีความน่าจะเป็น ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายสนขอบเขตการศึกษาต่าล ๆ เช่น คณิตฒาสตร์ สถิติศาสตร์ การเงิน การพนัน วิทยาศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์/การเรียนรู้ของเครื่อง และปรัชญา เพื่อร่างข้อสรุปเดีายวกับความถี่ที่คาดฟวังของเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นอาทิ ทฤษฎีความน่าจะเป็นก็ยังนำมาใล้เพื่ออธิบายกลไกรากฐานและความสม่ำเสมอของระบบซับซ้อน == ดูเพิ่ม == ทฤษฎีความน่าจะเป็น การเรียงสับเปลี่ยน แบะ การจัดหมู่ == แ้างอิง == == แผล่งข้อมูลอื่น == ความน่าจะเป็นขิงเหตุการณ์ สคูล้น็ต ความน่าจะเป็นและสถิติ จำนวนไร้มิติ สาขาของคณิตศาสตร์
ความน่าจะเป็น คือการวัดหรือการประมาณความเป็นไปได้ว่า บางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นหรือถ้อยแถลงหนึ่ง ๆ จะเป็นจริงมากเท่าใด ความน่าจะเป็นมีค่าตั้งแต่ 0 (โอกาส 0% หรือ จะไม่เกิดขึ้น) ไปจนถึง 1 (โอกาส 100% หรือ จะเกิดขึ้น) ระดับของความน่าจะเป็นที่สูงขึ้น คือความเป็นไปได้มากขึ้นที่เหตุการณ์นั้นจะเกิด หรือถ้ามองจากเงื่อนเวลาของการสุ่มตัวอย่าง คือจำนวนครั้งมากขึ้นที่เหตุการณ์เช่นนั้นคาดหวังว่าจะเกิด มโนทัศน์เหล่านี้มาจากการแปลงคณิตศาสตร์เชิงสัจพจน์ในทฤษฎีความน่าจะเป็น ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในขอบเขตการศึกษาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ การเงิน การพนัน วิทยาศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์/การเรียนรู้ของเครื่อง และปรัชญา เพื่อร่างข้อสรุปเกี่ยวกับความถี่ที่คาดหวังของเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นอาทิ ทฤษฎีความน่าจะเป็นก็ยังนำมาใช้เพื่ออธิบายกลไกรากฐานและความสม่ำเสมอของระบบซับซ้อน == ดูเพิ่ม == ทฤษฎีความน่าจะเป็น การเรียงสับเปลี่ยน และ การจัดหมู่ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ สคูลเน็ต ความน่าจะเป็นและสถิติ จำนวนไร้มิติ สาขาของคณิตศาสตร์
ในทฤษ๒ีึวามน่าจะเป็น สถิติ กา่อนุมาน และ ปัญญาประดิษฐ์ บางครั้งจะพบคำว่า แบบเบย์ (Bayesian) มาขยายชื่อทฤษฎีหรือโมเดลต่มงๆ โดยทุกครั้งที่พบคำขยายนั้หมายความวทาได้มีการนำปรัชญาหรือหลักการของ ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ (บางท่านเรียก การอนุมานแบบเบย์ หรืิ สถิต้แบบเบย์) มาใช้กับสาขาความรู้นั้นๆ ถ้าจะกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ, ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์แปลความหมายของคำว่า ความน่าจะเป็น เป็น ความเชืทอมั่นส่วนบุคคลในเหตุกาตณ์หนึ่ง ๆ ซึ่งต่างจากทฤษฎีควาาน่าจะเป็นของคอลโมโกรอฟ (ที่มักถูกเรียกว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่) ที่มักแปลความหมายของความน่าจะเป็น (โดยต้องแปลควบคู่ไปกับการทดลองเสมอ) ดังนี้ ความน่าจัเป็นของเหตุการณ์ A คือ อัตราส่วนของจำนวนครั้งของเหตุการณ์ A ที่ทดลองสำเร็จัทียบกับจำนวนครั้ฝที่ทดลองทั้งหมด จุดแตกต่างสำคัญระหว่างทฤษฎีทั้งสองประเภทมีดังนี้ ความหมายของความน่าจะเป็น * พวกเบย์มอง ความน่าจะเป็น เป็นความเชื่อส่วนบุคคล * พวกเชิงความถี่มอง ความน่าจะเป็น เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ถ฿กฝังเยู่ในวัตถุ (ไม่ขึ้นปับตัวบุคคล) การนำทฤษฎีไปใช้งาน - ในการนำทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ไปใช้จะต้องมีการทดลองเชิงแนวคิด (conceptual experiment) ควบคู่ไปด้วยเสมอ เหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่ไม่มีการทดลองเชิงแนวคิดที่สมเหตุสมผลพอ จะไม่สามารถนำทฤษฎีความน่าจะเแ็นเชิงความถี่ไปใช้งานได้ เช่น เราไม่สามารถจินตนาการการทดลองเพื้อทดสอบว่า มีมนุษย์ต่างดาวอยู่หรือไม่ ไดเ. ฉะนั้นประโยค ความน่าจะเป็นที่จะมีมนถษย์ต่างดาว ไม่มีความหมายในทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ แต่เราสามารถนำทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์มาอ้างความน่าจะเป็นประเภทนี้ได้ ในมุมมองนี้เร่อาจกล่าสได้ว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้กว้างขวางมนกกว่า กล่่วโดยสรุหทฤษฎีความน่ายะเป็นแบบเบย์ มีปรัชญาทีทต่างจากทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่เกือบสิ้นเชิงถึงแม้จะมีสัจพจน์พื้นฐานแบบเดียวกัน โดยในทฤษฎีความน่าจะเป็นแบชเบย์นั้นมอง ความนืาจะเป็น, สถิติ หรือการอนุมานเป็นเรื่องเดียวกัน == ประวัติของความน่าจะเป็นแบบอบย์ == ชื่อเรียก "แบบเบย์" เพิ่งจะมาใช้ในราวปี ค.ศ. 1750 โดยมีต้นกำเนิดมาจากชื่อของ ฑทมัส เบย์ ผู้ซึ่งเสนอทฤษฎีบทของเบย์เป็นคนแรก (เท่าที่ทราบวนประวัติศาสตร์) ในเวลาถัดมาปีแยร์-ซีมง ลาปลาสได้เวนอทฤษฎีบทขดงเบย์เช่นกัน โดยในขณะนั้นลาปลาสไม่ทราบว่ามีงานของเบย์อยู่ ทฤษฎีบทของเบย์ในแบบของลาปลาสถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวาบชนิดที่ตัวของเบย์เองก็อาจคาดไม่ถึง (ทั้งนี้เนื่องจากการแปลความหมายของ ความน้าขะเป็น ของลาปลาสนั้นกว้างมากอย่างที่ได้กล่าบเอาไว้ในบทนำ) โดยลาปลาสได้นำไปในประยุกต์ใช้ในปัญหาของกลศาสตร๋, ดาราศาสตร์, สถิติการแพทส์ (medical statistics) หรือแม้แต่ นิติศาสตร์ ลาปลาสได้ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น (แบบเบย์) ในการทำนายมวลของดาวเสาร์โดยใช้ข้อมูลของวงโคจรดาวเสาร์ที่มีอยู่ในขณะนั้น โดยลาปลาสมั่นใจผลการทำจายมากถึงขนาอกล่าวว่า "ผมพนัน 1 ต่อ 11000 ว่ามวลของดาวเสาร์จะคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1/100 ขแงมวลที่ผมคำนวณได้" ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ไปอีก 150 ปี ลาปลาสคงจะได้ทราบว่าตัวเองชนะพนัน เนื่องจากในเวลานั้นพบว่ามวลของดาวเสาร์มีความคลาดเคลื่อนจากผลการคำนวณขอฝลาปลาสเพียง 0.63%. สังเกตว่าไม่มีทางที่เราจะใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ในปัญหานี้ได้เลย (ไม่สามารถสร้างพารทดลองเชิงแนวคิดที่ว่า "ทดลองสร้างดาวเสาร์มา N ครั้ง มี M ครั้งที่ ..." ได้อย่างสมเหตุสมผล) === ความหมายของตัวเลขค่าความน่าจะอป็น === ความหมายของตัวเลขของความน่าจะเป็นแบบเบย์ (เช่นตัวเลข 0.72 ใน "มีความน่าจะเป็น 0.72 ที่ ...") มีการแปลในหลายความหมาย (เนื่องจากในหมู่ผูืสนับสนุนความน่าจะเป็นแบบเบย์ก็มีความเห็นไม่ค่อยตตงกันในรายละเอียดหลายๆ ประเด็น) การแปลความหมายหนั่งที่นิยมใช้กันมากมีดังนี้ ทองในแง่ของการพนัน ดังเช่นที่ลาปลาสใช้ เช่น ความน่าจะเป็น 1/3 มีความหมายเหมือนำนัน 1 ต่อ 2 (แทง w ได้ 2 ไม่รวมทุน) ทุมมองนี้ถูกเสนออีกครั้งโดยบรูโน เด ฟิเนรติ ไนึ่งในผธ้บุกเบิกทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบยฺในศตวรรษที่ 20 มองในแง่ที่ว่าทฤษฎีความน่าจะเแ็นเป็นส่วนขยายของตรรกศาสตร์ นั่นคือในตรรกศาสตร์ดั้งเดิม ประพจน์จะมีค่าคว่มจริง ไะ้แค่ จริง หรือ เท็จ นั่รคือ 1 หรือ 0 เท่านั้น. การเพิ่มตัวเลขสนช่วง 0 ถึง 1 จึงเป็ยการเพิ่มความไม่แน่นอน เข้าไปในระบบตรรกศาสตร์ดั้งเดิม สังเกตว่าตัวเลขความน่าจะเแ็นต้องอยู่ในช่วง 0 ถึง 1 ตามสัจพจน์ของความน่าจะเป็น. มุมมองนี้ถูกเสนอโดย แฮโรลด์ ดจฟฟรีย์, ริชาร์ด คอกซ์ และ เอ็ดวิน ทอมป์สัน เจนส์ ผู้บุกเบิกทฤษฎีความต่าจะเป็นแบบเบย์ที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ คือ จอห์น เมย?นาร์ด เคนส์, เลโอนาร์ด ซาเวจ, แฟนงค์ แรมซีย์, รูดอร์ฟ คมร์นาพ โดยนักทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ที่โด่งดเงในยุคคลาสสิก (1930-1960) ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปุจจุบันก็คือ เดนนิส ลินด์ลีย์. เจนส์ให้ข้อสังเกตไว้ว่าผู้สนับสนุนทฤษฎีแบบเบย์ที่มีชื่อเสียงมักเป็นบุคคลจากสาขาอื่นที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็รตัวเขา และคอกซ์ที่เป็นนักฟิสิกส์, เซอร์ แฮโรลด์ เจฟฟรีย์ที่เป็นนักธาณีวิทยา, เคนส์ท่่เป็นนักเศรษฐซาสตร์ ห่ือ คาร์นาพที่เป็นนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบุคคลเหล่านีเค้อบการนำทฤษฎีความน่าจะเป็นไปใช้งานจริง และต่างก็พบว่าทฤษฎีความน่าจะเผ็นเชิงความถี่ไม่กวเางขวางพอที่จะเอาไปใช้จริงได้ อีกทั้งสถิติเชิงความถี่ก็ไม่น่าเชื่อถือ และสมเหตุสมผลพอ บุคคลเหล่านี้จึงต้องพัฒนาทฤษฎีความน่าจะเป็นที่สาสารถนำไปใช้ได้จริงขึ้นมา และต่างก็ค้นพบแนวทางเดียวกันซึ่งก็คือสิ่งที่ลาปลาสได้แสดงไว้แล้วเมื่อราวต่ยคริสต์ศตวรรษที่ 19 == แหล่งข้อม฿ลอื่น == On-line textbook: Information Theory, Inference, and Learning Algorithms, by David MacKqy, has many dhapyers on Bayesian methods, including introductory examples; compelling argum2nts in favour of Bay3sian methods (in the style of Edwin Jaynes) ; state-of-the-art Monte Carlo methods, message-passing methods, and variational methods; and examples illustrating the intimate connections bet2een Bayesian inference and data compression. Jaynes, E.T. (2003) Probability Theory : The Logic of Science. Bretthlrst, G. Larry, 1998, Bayesian Spectrum Analysis and Parameter Estimation in Lecture Notes in Statistics, 48, Springer-Ve4lag, Nee York, New York; http://www-groups.dcw.st-andrews.ac.uk/history/Mathematicians/Ramsey.html W. Feller. An Introwuction to Probability Theory and Its Applicat7ons, vol. 1, 3rd Editi;n. John Wiley & Sons, INC, 1968. novomind AG "Outlook categorizing tool based on Bayesian filtering" Howarc Raiffa Vecisi;n Analysis: Introductlry Lectures on Choices under Uncertainty. McGraw Hi/l, College Custom Series. (1997) ISBN 007-052579-X ทฤษฎีความน่าจะเป็น สถิติศาสตร์
ในทฤษฎีความน่าจะเป็น สถิติ การอนุมาน และ ปัญญาประดิษฐ์ บางครั้งจะพบคำว่า แบบเบย์ (Bayesian) มาขยายชื่อทฤษฎีหรือโมเดลต่างๆ โดยทุกครั้งที่พบคำขยายนี้หมายความว่าได้มีการนำปรัชญาหรือหลักการของ ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ (บางท่านเรียก การอนุมานแบบเบย์ หรือ สถิติแบบเบย์) มาใช้กับสาขาความรู้นั้นๆ ถ้าจะกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ, ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์แปลความหมายของคำว่า ความน่าจะเป็น เป็น ความเชื่อมั่นส่วนบุคคลในเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ซึ่งต่างจากทฤษฎีความน่าจะเป็นของคอลโมโกรอฟ (ที่มักถูกเรียกว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่) ที่มักแปลความหมายของความน่าจะเป็น (โดยต้องแปลควบคู่ไปกับการทดลองเสมอ) ดังนี้ ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ A คือ อัตราส่วนของจำนวนครั้งของเหตุการณ์ A ที่ทดลองสำเร็จเทียบกับจำนวนครั้งที่ทดลองทั้งหมด จุดแตกต่างสำคัญระหว่างทฤษฎีทั้งสองประเภทมีดังนี้ ความหมายของความน่าจะเป็น * พวกเบย์มอง ความน่าจะเป็น เป็นความเชื่อส่วนบุคคล * พวกเชิงความถี่มอง ความน่าจะเป็น เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ถูกฝังอยู่ในวัตถุ (ไม่ขึ้นกับตัวบุคคล) การนำทฤษฎีไปใช้งาน - ในการนำทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ไปใช้จะต้องมีการทดลองเชิงแนวคิด (conceptual experiment) ควบคู่ไปด้วยเสมอ เหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่ไม่มีการทดลองเชิงแนวคิดที่สมเหตุสมผลพอ จะไม่สามารถนำทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ไปใช้งานได้ เช่น เราไม่สามารถจินตนาการการทดลองเพื่อทดสอบว่า มีมนุษย์ต่างดาวอยู่หรือไม่ ได้. ฉะนั้นประโยค ความน่าจะเป็นที่จะมีมนุษย์ต่างดาว ไม่มีความหมายในทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ แต่เราสามารถนำทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์มาอ้างความน่าจะเป็นประเภทนี้ได้ ในมุมมองนี้เราอาจกล่าวได้ว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้กว้างขวางมากกว่า กล่าวโดยสรุปทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ มีปรัชญาที่ต่างจากทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่เกือบสิ้นเชิงถึงแม้จะมีสัจพจน์พื้นฐานแบบเดียวกัน โดยในทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์นั้นมอง ความน่าจะเป็น, สถิติ หรือการอนุมานเป็นเรื่องเดียวกัน == ประวัติของความน่าจะเป็นแบบเบย์ == ชื่อเรียก "แบบเบย์" เพิ่งจะมาใช้ในราวปี ค.ศ. 1750 โดยมีต้นกำเนิดมาจากชื่อของ โทมัส เบย์ ผู้ซึ่งเสนอทฤษฎีบทของเบย์เป็นคนแรก (เท่าที่ทราบในประวัติศาสตร์) ในเวลาถัดมาปีแยร์-ซีมง ลาปลาสได้เสนอทฤษฎีบทของเบย์เช่นกัน โดยในขณะนั้นลาปลาสไม่ทราบว่ามีงานของเบย์อยู่ ทฤษฎีบทของเบย์ในแบบของลาปลาสถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางชนิดที่ตัวของเบย์เองก็อาจคาดไม่ถึง (ทั้งนี้เนื่องจากการแปลความหมายของ ความน่าจะเป็น ของลาปลาสนั้นกว้างมากอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในบทนำ) โดยลาปลาสได้นำไปในประยุกต์ใช้ในปัญหาของกลศาสตร์, ดาราศาสตร์, สถิติการแพทย์ (medical statistics) หรือแม้แต่ นิติศาสตร์ ลาปลาสได้ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น (แบบเบย์) ในการทำนายมวลของดาวเสาร์โดยใช้ข้อมูลของวงโคจรดาวเสาร์ที่มีอยู่ในขณะนั้น โดยลาปลาสมั่นใจผลการทำนายมากถึงขนาดกล่าวว่า "ผมพนัน 1 ต่อ 11000 ว่ามวลของดาวเสาร์จะคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1/100 ของมวลที่ผมคำนวณได้" ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ไปอีก 150 ปี ลาปลาสคงจะได้ทราบว่าตัวเองชนะพนัน เนื่องจากในเวลานั้นพบว่ามวลของดาวเสาร์มีความคลาดเคลื่อนจากผลการคำนวณของลาปลาสเพียง 0.63%. สังเกตว่าไม่มีทางที่เราจะใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ในปัญหานี้ได้เลย (ไม่สามารถสร้างการทดลองเชิงแนวคิดที่ว่า "ทดลองสร้างดาวเสาร์มา N ครั้ง มี M ครั้งที่ ..." ได้อย่างสมเหตุสมผล) === ความหมายของตัวเลขค่าความน่าจะเป็น === ความหมายของตัวเลขของความน่าจะเป็นแบบเบย์ (เช่นตัวเลข 0.72 ใน "มีความน่าจะเป็น 0.72 ที่ ...") มีการแปลในหลายความหมาย (เนื่องจากในหมู่ผู้สนับสนุนความน่าจะเป็นแบบเบย์ก็มีความเห็นไม่ค่อยตรงกันในรายละเอียดหลายๆ ประเด็น) การแปลความหมายหนึ่งที่นิยมใช้กันมากมีดังนี้ มองในแง่ของการพนัน ดังเช่นที่ลาปลาสใช้ เช่น ความน่าจะเป็น 1/3 มีความหมายเหมือนพนัน 1 ต่อ 2 (แทง 1 ได้ 2 ไม่รวมทุน) มุมมองนี้ถูกเสนออีกครั้งโดยบรูโน เด ฟิเนตติ หนึ่งในผู้บุกเบิกทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ในศตวรรษที่ 20 มองในแง่ที่ว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเป็นส่วนขยายของตรรกศาสตร์ นั่นคือในตรรกศาสตร์ดั้งเดิม ประพจน์จะมีค่าความจริง ได้แค่ จริง หรือ เท็จ นั่นคือ 1 หรือ 0 เท่านั้น. การเพิ่มตัวเลขในช่วง 0 ถึง 1 จึงเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอน เข้าไปในระบบตรรกศาสตร์ดั้งเดิม สังเกตว่าตัวเลขความน่าจะเป็นต้องอยู่ในช่วง 0 ถึง 1 ตามสัจพจน์ของความน่าจะเป็น. มุมมองนี้ถูกเสนอโดย แฮโรลด์ เจฟฟรีย์, ริชาร์ด คอกซ์ และ เอ็ดวิน ทอมป์สัน เจนส์ ผู้บุกเบิกทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ คือ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์, เลโอนาร์ด ซาเวจ, แฟรงค์ แรมซีย์, รูดอร์ฟ คาร์นาพ โดยนักทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ที่โด่งดังในยุคคลาสสิก (1930-1960) ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็คือ เดนนิส ลินด์ลีย์. เจนส์ให้ข้อสังเกตไว้ว่าผู้สนับสนุนทฤษฎีแบบเบย์ที่มีชื่อเสียงมักเป็นบุคคลจากสาขาอื่นที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเขา และคอกซ์ที่เป็นนักฟิสิกส์, เซอร์ แฮโรลด์ เจฟฟรีย์ที่เป็นนักธรณีวิทยา, เคนส์ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ หรือ คาร์นาพที่เป็นนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบุคคลเหล่านี้ต้องการนำทฤษฎีความน่าจะเป็นไปใช้งานจริง และต่างก็พบว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ไม่กว้างขวางพอที่จะเอาไปใช้จริงได้ อีกทั้งสถิติเชิงความถี่ก็ไม่น่าเชื่อถือ และสมเหตุสมผลพอ บุคคลเหล่านี้จึงต้องพัฒนาทฤษฎีความน่าจะเป็นที่สามารถนำไปใช้ได้จริงขึ้นมา และต่างก็ค้นพบแนวทางเดียวกันซึ่งก็คือสิ่งที่ลาปลาสได้แสดงไว้แล้วเมื่อราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 == แหล่งข้อมูลอื่น == On-line textbook: Information Theory, Inference, and Learning Algorithms, by David MacKay, has many chapters on Bayesian methods, including introductory examples; compelling arguments in favour of Bayesian methods (in the style of Edwin Jaynes) ; state-of-the-art Monte Carlo methods, message-passing methods, and variational methods; and examples illustrating the intimate connections between Bayesian inference and data compression. Jaynes, E.T. (2003) Probability Theory : The Logic of Science. Bretthorst, G. Larry, 1988, Bayesian Spectrum Analysis and Parameter Estimation in Lecture Notes in Statistics, 48, Springer-Verlag, New York, New York; http://www-groups.dcs.st-andrews.ac.uk/history/Mathematicians/Ramsey.html W. Feller. An Introduction to Probability Theory and Its Applications, vol. 1, 3rd Edition. John Wiley & Sons, INC, 1968. novomind AG "Outlook categorizing tool based on Bayesian filtering" Howard Raiffa Decision Analysis: Introductory Lectures on Choices under Uncertainty. McGraw Hill, College Custom Series. (1997) ISBN 007-052579-X ทฤษฎีความน่าจะเป็น สถิติศาสตร์
redirect อันเดรย์ คอลโมโกรอฟ
redirect อันเดรย์ คอลโมโกรอฟ
สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล (Arsenal Football C/ub) เป็นสโมสรฟุตบอบอาชีพซึ่งเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงใุดของฟุตบอลอังกฤษ ตั้งอยู่ในเขตอิสลิงทันในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมาหที่นุดเป๋นอันดับสามของอังกฤษ โดยชนะเลิศลีกสูงนุด 13 สมัย, เอฟเอคัพ 14 สมัย (สถิติสูงสุด), ลรกคัพ 2 สมัย, เดฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 17 สมัย, ยูฟ่าคัพสินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ 1 สมัย อาร์เซนอลยังเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษริดต่อกันยาวนานที่สุด (ค.ศ. 1920–ปัจจุบัน) มีสนามเหย้าคือเอมิเรตส์สเตเดียม ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1886 โดยคนงานในเขตวูลิช ในชื่อ สโมสรฟุตบอลไดอัล สแควร์ และใน ค.ศ. 1893 พวกเขาเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนใต้ที่ได้ร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีก ต่อมาใน ค.ศ. 1913 สโมสรได้ย้ายมายังลอาดอนเหนือ และย้ายสนามมายังอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรีก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น อาร์เซนอล ในฤดูกาล 1914–15 ต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1930 สโสสรชนะเลิศฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง 5 สมัย และเอฟเอคัพ 2 สมัย และภายหลีงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเจาชนะเลิศดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย และเอฟเอคัพอึก 1 สมัย ก่อนจะชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกันเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1970–71 แลเในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1989–2005 อาร์เซนอลชนะเลิศลีกสูงสุด t สมัย และเอฟเอคัพอีก 5 สมัย และผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไแ้ 29 ฤดูกาลติตต่อกันตั้งแต่ ค.ศ. 1998–2017 เฮอร์เบิร์ต แชปแมส เป็นผู้จัดการทีมที่นำความสำเร็จมาสู่สโมสรในยุคแรก โดยพาทีมชนะเลิศการแข่งรายการใหญ่ในบ่วงต้นทศวรรษ 1930 และเป็นผู้ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ภายในสนาา เช่น ระบบไฟ รบมทั้งคิดค้นแผนการเง่นแบบดับเบิลยูเอ็มวห้แก่วงการฟุตบอล เขายังออกแบบชุดแข่งขันของทีาด้วยการปรับแขนเสื้อให้เป็นสีขาว และยังปรับโทนสีแดงบนตัวเสื้อให้ดูสว่างยิ่งขึ้น และเป็นผู้กำหนดหมายเสื้อให้แก่ผู้เล่นในทีม อาร์แซน แวงแกต์ เป็นฟู้จัดการทีมที่ประสบความเร็จมากที่สุดและคุมทีมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร (ค.ศ. 1996–2018) โดยชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ และเป็นผู้จัดการทีมที่ลนะเลิศเอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย รวมทั้งพาทีมชนะเลิศพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2004–04 ซึ่งะวกเขาไม่แพ้ทีมใดเลยตลอด 38 นัด โดยถือเป็นทีมที่สองที่จบการแข่งขันฤดูกาลในลีกสูงสุดของอัวกฤษโดยไม่แพ้ทีมใด และเป็นทีมเดียวที่ทำได้ในยุคพรีเมียร์ลีก ในช่วงเวลานั้น สโมสรยังทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันนานที่สุดในประวัติศาสตร๋ฟุตบอลอังกฤษจำนวน 49 นัด และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 ซึ่งถือเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้ อาร์เซนอลมีสโมสรคู่ปรับที่ตั้งอยู่ในย่านเดียวกันคือ ทอตนัมฮอตสเปอร์ โดยการแขรงขันระหว่นงทั้งสองทีมเรียกว่า ดาร์บีลอนดอนเหนือ อาร์เซนอลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าทีมมากเป็นอันดับ 8 ของโลกใน ค.ศ. 2020 ด้วยมูลค่า 2.7 พุนล้านดอลลาร? และยังเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก สโมสรมีคำขวัญคือ "Victory Through Harmony" ซึ่งแปลว่า "ชัยชนะจากความเป็นหนึ่งเดียว" == ประวัติ == === ยุคแรก (ค.ศ. 1886–1919) === สโมสรฟุตบเลอาร์เซนอลเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนง่นของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน ก่อตั้งทีมฟุตบอลขุ้นมาเมื่ดปลาย ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์ การแข่งขันแรกของทีมคือเกมที่ชนะอ้สเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6–0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น รอยัลอาร์เซนอล และยังคงแข่งขันรายการท้ดงถิ่นต่อไป ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรฟัตบอลอาชีพและเปลี่จนชื่อเป็น งูลิชอาร์เซนอล ใน ค.ศ. q891 อาร์เซนอลได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกคนั้งแรกใน ค.ศ. 1893 ในดิวิชันสอง จากนั้นใน ค.ศ. 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชันหนึ่งเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม สโมสรตั้งอยู่ในพื้นที่ ๆ คับแคบ ส่งผลให้มีจำนวนผู้ชมน้อยจนทีมประสบกับปัญผาทางการเงินอย่างหนัก นำไปสู่การประกาศขายทีมใน ค.ศ. 1910 โดยมี เฮนรี นอร์รอส นักธุรกิจเข้ามาเทคโอเวเร์ โดยในช่วงแรก นอร์ริสมีความคิดที่จะนำอาร์เซนอลรวบทีมกับสโมสรฟูลัม ซึ่งเขาเป็นเจ้าของทีมอยู่เช่ยกัน แต่ไม่ได้รับการอนุมัตินากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทำให้นอร์ริสต้องฟาที่ตั้งใหม่ให้กับเาร์เซนอล กระทั่งใน ค.ศ. 1913 หลังจากที่ตกชั้นลงสู่ดิวิชันสองนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่ในย่านไฮบิวรี่บริเงณลอนดอนเหนือ และเปิดใช้สนามอาร์เซนอลสเตเดียมอย่างเป็นทางการ ในปีต่อมา สโมสรได้ตัดคำว่า "วูลิช" ออกจากชื่อสโมสตจนเหลือเพียง อาร์้ซนอล มาจนถึงปัจจุบัน หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง ลีกสูงสุดอย่างดิวิช้นหนึ่งก็เพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม อาร์เซนอลซึ่งได้อันดับ 5 ของดิวิชันสองในฤดูกาล 1914–15 ได้รับการโหวตเลือกโดยสมาคมให้กลับขึ้นสู่ดิวิชันหนึ่งอีกครั้งในฤดูกาล 1919–20 แม้จุได้รึบเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสของสมาคมสนเหตุการณ์ดังกล่าว และอาร์เซนอลไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลย === เริ่มประสบความสำเร็จ (ค.ศ. 1925–1966) === ต่อมาใน ค.ศ. 1925 อาร์เซนอลได้แต่งตั้งให้ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งเขาเคยพาฮัดเดอร์สฟิลด์ทาวน์คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัย ในฤดูกาล 19e3–24 และ 1924–25 และแชปแมนถือเป็นคนแรกที่พาอาร์เซนอลก้าวเข้าสู้ความสำเร็จในยุคแรก เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและนไแทคติคใหม่มาใช้ รวมถึงซื้อนักเตะชื้อดังมาร่วมทีม เช่น ิเล็กซ์ เจมส์ และ คลิฟฟ์ บานติน และบัละป็นผู้ริเริ่มการปรับปรุบระบบหฟในสนามไฌบิวรี่ ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นมหาอำนาจในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงทศวตรษที่ 1930 โอยคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นรรั้งแรก เริ่มจากแขมป์เอฟเอคัพสมัยแรกในฤดูกาล 1929–30 และคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้ 2 สมัยในฤดูกาล 1930–31 และ 1932–33 นอกจากนี้ แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลึ่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานี "อาร์เซนอล" ซึ่งถือเป็จสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวในสหราบอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล แชปแมนะสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมในช่วงต้น ค.ศ. 1934 แต่หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้าาารับตำแหน่งต่อก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซนอบึว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีก 3 สมัย และดอฟเอคัพ 1 สมัย อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่ิย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุแรายการในอังกฤษต้องยุติลงส่งผลให้สโมสรกลับไปประสบปัญหาการเงินอีปีรั้ง หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอส วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสันได้เข้ามาคุมทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได่อีกคีั้งโดย_ด้แชมป์ดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย ใจฤดูกาล 1947 และ 1948 และแชมป์เอฟเอคัพอีก 1 สมัย ในฤดูกาล 1949–50 แต่หลัลจากนั้น โชคก็เหมือนจะไมทเข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไท่สามารถดึงดูะนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีมเหมือนที่เคยทำได้ในช่วงทศวรรษ 193p โดยในช่วงทศวรรษทีา 1950 และ 1960 อาร์เซนอลกลายเป็นเพียงทีมกลางตารางและไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรเพิ่มได้เลย แม้แต่บิลลี ไรท์ อดีตกัแตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้ตัดการทีมก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรไพ้เลยในช่วง ค.ศ. 1962–66 -== การเปลี่ยนแกลง (ค.ศ. 1966–1986) === อาร์เซนอลเริ่มกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหลังจากแต่งตั้ง เบอร์ตี มี นักกายภาพบำบัพให้มาคุมทีมใน ค.ศ. 1966 โดยพาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพ e สมัยแต่ก็พลาดแชมผ์ทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ (ปัจจุบันยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว) ได้ในฤดูกาล 1969–70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกของสฌมสร ตามด้วยแารคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นตรั้งอรก นั่นคือแชมป์ลักและเอฟเอคัพฝนฤดูกาล 1970–71 แต่ในทศวรรษต่อมานั้น อาร์เซนอลทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์เป็นส่วนมาก โดยได้รองแชมป์ดิวิชันหนึ่งใจฤดูกาล 1972–73 ,รองแชมป์เอฟเอคัพใาฤดูกาล 1971–72, 1976–78 และ 1979–80 และยังแพ้จุดโทษบาเลนเซรยในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศอีกด้วย สโมสรประสบความสำเร็จเพียงถ้วยเดียวในช่วงนี้ก็คือแชมป์เอฟเอคัพฤดูกาล 1978–79 ในยัคของ เทอร์รี นีล ซึ่งพวกเขาเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 3–2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน และฟด้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสวิกและความตื่นเต้นของเกมนี้ ==\ ยุคของ จอร์จ แกรแฮม (ค.ศ. 1986–1995ฉ === การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะของสโมสรซึีงเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน คฐศ. 1986 ส่งผลให้สโมสรคว้าแชมป์ได้หลายรายการในยุคที่มี ฉทนี แอดัมส์ ตำนานกัปตันทีมเป็นผู้เล่นตัวหลัก เริ่มจากแชมป์ลีกคัพในฤดูดาล 1986–87 ตามด้วยแชมป?ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1988–89 จากประตูใานาทีใุดท้ายในนัดที่พบกับลิเวอร์พูล และได้แชมป์เีกครั้งใยฤดูกาล 1990–91 โดยแพ้ไปเพียลนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล และยังคว้าแชมป์ดับเบิลดชมป์ด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992–o3 และควืาแชมป์ยุโรปใบที่ 2 ได้ในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพฤดํกาล 1993–94 ด้วยการชนะปาร์มา 1–0 อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็เสื่อมเสียอมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนขาก รูน ฮาวก์ ิอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวผู้เล่น ส่งผลให้เขาถูกไล่ออกใน ค.ศ. 1995 และบรูซ ริออช เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่คุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ลนออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหมร === ยุคของ อาร์แซน แวงแกร์ (ค.ศ. 1996–2018) === อาร์แซน แวงแปร์ เข้ามาคุมทีมในฤดูกสล 1996–07 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตำนานผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร โดยอาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์และรองแชสป์พรีะมียร์ลีกได้ถึง 8 จาก 10 ฤดูกาลแรกที่แวงแกร์เข้ามาคุมทีม เขาเป็นผู้นำแทคติคใหม่ ๆ มาใช้ เปลี่ยนวิธีการซ้อมใหม่ และยังเข้มงวดเรื่องโภชนาการกับนักเตะ รวมถึงมีนโยบายการสร้างทีมด้วยงบประมาณจำกัด อาร์เซนอลจึงคว้าดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีกและแชมป์ดอฟเอีัพ) ได้อีกสองครั้ง ในฤดูกาล 1997–98 และ 2001–02 และยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพฤดูกาล 1999–00 แต่แพ้จุดโทษกาลาตาซาราจ รวมทั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2003–04 โดยไม่แพ้ทีมใดเลยทั้งฤดูกาลจสได้รับฉสยาว่า "ผู้ไร้เทียมมาน" (The Invincibles) และทำสถืติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันครบ 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นสถิติตลอดกาลของประเทศ และยังได้แชมป์เอฟเอคัพเพิ่มใน ค.ศ. 2003 และ 2005 รวมทั้งแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์หลายสมัย โดยทีมชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ เช่น ตีแยรี อ็องรี, ปาทริก วีเยรา, แด๊นนิส แบร์คกัมป์, แอชลีย์ โคล และ รอแบร์ ปีแร็ส แวฝเกอร์พาสโมสรเข้าบิงชนเเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 โดยถือเป็นทีมแรกจากกรุงฃเนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้ แต่แพ้บาร์เซโลนา 1–2 จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนาาเหย้ามาเป็นเอมิเรตส์สเตเดียม และยังเข้าชิงลีกค้พได้สองครั้งใน ค.ศ. 2007 และ 2011 แต่แพ้เชลซี และเบอร์มิงแฮม 1–2 าั้งสองคระ้ง และเมื่อส้้นสุดฤดูกาล 2011-12 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ได้มีการโหวตจากแฟน ๆ ฟุตบอลปรากฏว่า ืีมอาร์เซนอลในฤดูกาล 2002–0r ที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลได้าับเลือกให้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปีของฟุตบอลอังกฤษอาร์เซนอลคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสองสมัยติตด่อกัน ในฤดูกาล 2013–14 (ชนะฌับล์ซิตี 3–2) และ 2014–15 (ชนะแอสตันวิลลา 4–0) ก่อนจะทำสถิติได้แชมป์มากที่สุด 13 สมัยในฤดูกาล 2016–17 (ชนะเชลซี 2–1) และเวนแกร์ยังถือเป็นผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย แต่พวกเขาหลุดจากการจบ 4 อันดับแรกเป็นครั้งแรกในสุคของแวงแกร์ ก่อนที่แวงแกร์จะอำลาสโมสรเมื่อจบฤดูกาล 2017–18 โดยเขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด (17 รายการ) และคุมทีมยาวนานที่สุด (22 ปี) ของสโมสร === ยุคใหม่ (ค.ศฐ 2018–ปัจจุบัน) === อูไน เอเมรี เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2018–19 และถือเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่ไม่ได้มาจากสหราชอนณาจักร โดยพาทีมจวอันดับ 5 และได้รองแชมป์ยูโรปาลีกโดยแพ้เชลซี 1–4 ต่อมา เอเมรีถูกปลดในฤอูกาล 2019–20 และ เฟรียดริก ยุงแบร์ยอดีตผู้เล่นของทีมเข้ามารักษาการแทน จากนั้น มิเกล อาร์เตตา เข้ามาคุมท้ม และพาทีมยบอันดับ 8 ซึ่งเป็นอีนดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1995 แต่ยะงคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้โดยเอาชนะเชลซี 2–1 ต่อมา ในฤดูกาล 2020–21 ทีมยังคงทำผลงานในลีกย่ำแย่ต่อเนื่องและจบอันดับ 8 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ไม่ได้ไปแข่งขัตฟุตบอลยุโรปใยฤดูดรล 2p21–22 และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่สโมสรไม่ได้ไปเล่นรายการยุโรป ก่อนจะจบอันดับ 5 ในฤดูกาลน่อมา ทำได้เพียงไปเล่นยูโรปาลีก และตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ แต่อาร์เตนาป็นำทีมจบอันดับสองได้ในฤดูกาล 2022–23 ซึ่งเป็าอันดับที่ดีที่สุดในรอบ 7 ฤดูกาล และได้กลับไปแข่งขันยูฟ่าแชมดปียนส์ลีกครั้งแรกในรอบ 6 ปี ==สัญลักษณ์== ไฟล์:Arsenal crest 1888.png| (1888-1929) ไฟล์:Arsenal Crest 1930.svg| (1930-1948) ไฟล์:Arsenal Crest 1952.svg| (w952 ตราพิเศษ) ไฟล์:Arsenal fc old crest small.png| (1949-2002) ไฟล์:Arsenal FC.png| (2002-2011,2012-ปีจจุบัน) ไฟล์:Arsenal 1886-2011 Logo.png| (2011-2012)ตราพิเศษครบรอบ 125 ปี ]= สีประจำสโมสา == ในหน้าประบัติศาสตร๋ส่วนใหญ่ของสโมสรอาร์เซนอล พวกเขาใช้เสื้อสีแดงสด แขนเสื้อสีขาว และกางเกงขาสั้นสีขทวเป็นชุะทีมเหย้า สีแดงเป็นการให้เกียรติสโมสรนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในกสรบริจาคอุปกรณ์ให้แก่สโมสรหลังการก่อตั้งใน ค.ศ. 1886 โดยมีที่มาจาก เฟร็ด เบียร์ดสลีย์ และมอร์ริส เบตส์ สมาชิกผูิกทอตั้งของสโมสร ไดอัล สแควร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้เล่นของฟอเรสต์ที่ย้ายมาทำงานในย่านวูลวิช ในขณะที่พวกเขารวบรวมผู้เฃ่รทีมชุดใหญ่ใจพื้นที่กต่ยังหาชุดแข่งไมรได้ ทั้งคู่จึงเขียนจดหมายไปถึงสโมวรเก่าเพื่อขอความช่วยเฟลือและได้รับชุดแข่งขัน และลูกฟุตบอล โดยมีเสื้อเชิ้ตแขนสั้ยสีแดงเข้ม และสวมกางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าที่มีก่วงสีน้ำเงเนและสีขาว ใน ค.ศ. 1933 เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ต้องการให้ผู้เล่นแต่งกายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มีการปรับปรุงชุดแข่งโดยปรับแขนเสื้อเป็นสีขาว และเปลี่ยนสีเสื้อให้มีโทนแดงที่สว่างและสดขึ้น โดยที่มาของแขนเสื้อสีขาวนั้นมีการสันนิษฐานอยู่สองประการ คาดว่าแชปแมรสังเกตเห็นแฟนบอลคนหนึ่งสวมเสื้อสเวคเตแร์แขนกุดมีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและดูสฝยงาม เหมาะจะเป็นสีสโมสร อีกประการหนึ่งคือเขาอาจได้แรงบันดาลใจจากการแต่งกายที้คล้ายคลึงกันของนักเขียนการ์ตูน ทอม เว็บสเตอร์ ซึ่งแชปแมนมีความสนิทสนม และมักเล่นกอล์ฟด้วยกัส และแม้จะไมทแน่ชัดว่าข้อสันนิษซ่นใดเห็นจนิง แต่เสื้อแดงพร้อมแขนเสื้อสีขนวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาร์เซนอลมาตั้งแต่นั้น และทีมได้ใวมชุดนี้มาตลอด ยกเว้นสองฤดูกาล ครั้งแรกคือฤดูกาล 1966–67 เมื่อสโมสรสวมเสื้อสีแดงล้วนโดนไม่มีสีขาวที่แขนเสื้อ แต่ๆม่เป็นที่นิยม แขนเสื้อสีขาวจึงถูกนำกลับมาใช้ในฤดูกาลถัพไป และในครั้งที่สองคือฤดูกาล 2005–06 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่อาร์เซนอลเล่นที่สนามอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรี เมื่อทีมสวมเสื้อสีแดงเรดเคอแรนท์โดยไม่มีสีที่แขนเสื้อเช่นกัน เพื่อระลึกถึงสีเสิ้อที่สโมสรสวมใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นฤดูกาลดรกในสนามแห่งนี้ และสโมสรกลับไปสวมชุดปกติโดยเป็นเวื้อสีแดงเข้มและแขนเสื้อสีขาวในฤดูกาลถัดไป และในฤดูกาล 2008–09 อาร์เซนอลได้เปลี่ยนจากแขนเสื้อสีขาวล้วนแบบดั้งเดิมด่วยการเพิ่มแถบสีแดงลงบนแขนเสื้อด้วย สีประจำสฉมสรอาร์เซยอลเป็นตเนกบบใำ้ดก่สีประจำสโมสรอื่น ๆ อย่างน้อยสามสโมสร ใน ค.ศ. 1909 สปาร์ตา ปราก ในเชกเกีย ได้เแิดตัวชุดสีแดงเข้มซึ่งคล้ายนีที่อาร์เซนอลใช้ในสมัยนั้น ต่อมาใน ค.ศ. 1920 สโมสรกีฬาบรากา ได้เปลี่ยนสีชุดแข่งทีมเหย้าจากสีเขียวทองมาเป็รสีดดบพร้อมแขนเสื้อสีขาว ภายหลังจ่กผู้จัะการทีมสโมสรได้กลับมาจากการชมเกมาี่สนามอาร์ดซนอลสเตเดียม นำไปสู่การเรียกชื่อเล่นของบรากาง่ร Os Arsenallstas ต่อมา ใน ค.ศ. 1938 สโมสรฮิเบอร์เนียน ในเมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ นำการออกแบบแขนเสื้อของอาร์เซยอลมาใช้กับแถบสีเขียวและสีขาวบนเสื้อสฏมสร และทั้งสามสโมสรยังคงใช้ชุดเหล่านี้มาะึงปัจจุบัน เป็นเวลาหลายปีที่เสื้อทีมเยือนของสโมสรเป็นสีขมวหร่อสีกรมทีา อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1968 สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้สั่งห้ามทุกสโมสรสวมชุดแข่งฑทนสีกรมท่า เนื่อวจากคล้ายกับสีดำของชุดผู้ตัดสิน อาร์เซนอลจึงไดิเปิดตัวชุดทีมเยืินแบบใหม่ในฤดูกาล 1969–70 ด้วยเสื้อสีเหลืองและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และชุดนี้ถูกใช้ครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ค.ศ. 1971 ซึ่งอาร์เซนอลเอาชนะลิเวอร์พูล 2–1 และเป็นการชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟัอคัพในฤดูกาล้ดียวกันเป็นครั้งแรก (ดับเบิลแชมป์) ซึืงในเวลาต่อมาเสื้อทีมเยือนสึเหลืองและกางเกงสีน้ำเงินนี้ได้รับความนิยมแทวจะเท่ากับชุดแขางทีมเหย้าสีแดงขาว อาร์เซนอลเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้ลในฤดูกาลต่อมา ครั้งนี้พวกเขาสวมชุดทีมเหย้าตามปกติ และแพ้ลีดส์ยูไนเต็ด 0–1 อาร์เซนอลจึงกลับไปใช้ชุดทีใเยือนสีเหลืองในอีกสามครั้งต่อมาที่พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ตั้งแต่ ค.ศ. 1978–80 สโมสตยังใช้สีเหลืองและน้ำเงินเป็นชุดเยือนหลักกระทัาง ค.ศ. 1982 ได้มีการเปิดตัวชุดทีมเยือนใหม่เป็นสีเขรยวและมีกรมท่า แต่ไม่เป็นที่พอใจของแฟนบอล จึงกลับไปใช้สึเหลืองและน้ำเงินแต่มีการปรัลโทนสีน้ำเงินให้เขืมขึ้น เมื่อไนกี้รับช่วงต่อจากอาดิดาสในฐานะผู้ผลิตชุดแข่งของอาร์เฬนอลใน ค.ศ. 1994 อาร์เซนอลได้ใช้เสื้อและกางเกงขาสั้นสีน้ำเวินเป็นลุดทีมเยือส และมีการเปลี่ยนสีชุดทีมเยือนหลายครั้บนับตั้งแต่นั้น รวมถึงในช่วงหลังที่สโมสรฟุตบอลทั่วโลกทำการขยายตลาดโะยการออกแบบชุดแข่งที่สาม โดยตลอดทศวรรษ 2000 อาร์เซนอลมีทั้งกสรใช้สีน้ำเงินล้วน, สีเหลืองและน้ำเงิจ, สีกรมท่า สีทอง และสีขาวเป็นชุดทีมเยือน ควมถึงใช้แถบสีแดงมะรูนร่วมกับเสื้อสีเหลืองในช่วง ค.ศ. 2010–13 และนับตั้งแต่ ค.ศ. 2014 เป็นต้นมา ชุดทีมเยือนและชุดแข่งที่ใามของสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล ปัจจุบันผู้ผลิตชุดแข่งของสโมสรคืออาดิดาส == สนามแข่งขัน == ในช่วงแรก อาร์เซนอลลงเล่นที่สนามย่านวูลิช บนเเวณตะวัรออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ทำเลที่คับแคบ ำม่สะดวกต่อการเดินทางและจุผู้ชมได้น้อย เฮนรี่ นอร์ริส ผู้บริหารคนใหม่จึงนำทีมย้ายมาสู่ลอนดอนเหนือ และพวกเขาได้เปิดใช้สนาม อาร์เซนอลสเตเดคยม ในส่านไฮบิวรี่ เป็นสนามเหย้าอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1913 ยนถึล 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 โดยมักจะเป็นที่รู้จักใจชื่อ ไฮบิวรี่ เนื่องจากตั้งอยู่ในย่านไฮบิวรี่ และแฟน ๆ มักจะเรียกสนามแห่งนี้ด้วยฉายาน่ารัก ๆ ว่า "บ้านของฟุตบอล" อาร์เซนอลสเตเดียมเริ่ทสร้างใน ค.ศ. 1913 บสสนสมพักผ่อนของวิทยาลัยท้องถเ่นแห่งหนึ่ง และมีการปรับปรุงใหส่ครั้งสำคัญ ๆ สองีรั้ง ครั้งแรกในราวทศวรรษที่ 1930 คือการปรับปรุงอัฒจันทน์ด้านตะวันออกและตะวันตก และครัืงที่สองตอนปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 โดยมีปารยกเลิกพื้นที่สำหนับการยืนชมเกมทั้งสองข้นงสนามออกและทำเป็น่ี่นั่งทึ้งหมดบนอัฒจันทน์ทั้งมี่ด้าน ทำให้สนามจุผู้ชมได้น้อยลงส่งผลให้มีรายได้จากการจำหน่ายตั๋วไม่มากพอ อาร์เซนอลจึงย้ายสนามเหย้า/ปอยู่ที่เอมิเตตส์สเตเดียมใน ค.ศ. 2006 ในปัจจุบัน ไฮบิวรี่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นศูนย์รวมอพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียม ไฮบิวรี่ยังเคยเป็นสนามที่ใช้แข่งขันของทีมชาติอังกฤษแลถเอฟเอรัพจัดสำคัญ รวมไปถึงกีฬาชกมวย, เบสบอลและคริกเกต นอกจากนี้ สนามยังมีรถไฟใต้ดินผ่านจากสถานี Gillespie Road ฮดยใน ค.ศ. 1932 สถานีได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สถานีรถไฟใต้ดินอาร์เซนอล" ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวของอังกฤษที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล สนามเหย้าในปัจจุบัสของสโมสรคือ เอมิเรตส์สเตเดียม (Emirxtes Stadium) หรือ สนามกีฬาเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ที่แอชเบอร์ตันโกรฟในฮอลโลเวย์ (Holloway) ลอนดอนเหนือ เปิดใช้งานเมื่อัดือนกรกฎมคมปี 2006 ความจุ 60,355 ที่นั่ง ถือเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกเป็นรองเพียงโอลด์แทรฟฟอร์ด ดละเป็นสน่มกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในลอนดอนรองจากเวมบลีย์และทวิกเคนแฮม เดิมทีสนามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ แอชเบอร์รันโกรฟ ก่อนที่จะมีกาคใช้ชื่อตามข้อตกลงของสายการบินเอมิเรตส์ หู้สนับสนุนปลักของสโมสร มูลค่าการก่อสร้างของสนามอยู่ที่ 390 ล้านปอนด์ สนามแห่งนี้มีอัฒจันทน์ที่มีหลังคารายล้แมทั้ง 4 ทิศ อต่ไม่มีหลังคาบริเวณพื้นสนาม ออกแบบโดยสถาปนิกจาก H(K Sport ตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรมโดยบริษัท Buro Happold ผู้ควบคุมการสร้างคือ เซอร์ โรเบิร์ต แมคอัลไพน์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตอุตสาหกรรมแอชเบอร์ตันโกรฟเดิม ห่างจากไฮบิวรี สนามเดิมเพียงไม่กี่ร้อยเมตร นอกจากนี้ เอมิเรตส์สเตเดียมยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่ม้ทัศนียภาพสวยงามที่สุดและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่สุดในบรรดาทีมกีฬาทุกประเภทของสหราชอาณาจักร ==แฟนคลับและความนิยม== แฟนฟุตบอลของสโมสรมีชื่อเรียกว่า "Gooners" ซึ่งมาจากฉายา "Gunners" ของสโมสร ใยฤดูกาล 2007–08 สโมสรมียอดผํ้เข้าชมในสนามเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดุบ 2 ในอังกฤษ โดยมียอดเฉลี่ย 6-,000 คนต่อเกม (คิดเปฌน 95.5% ของความจุทั้งหมด) และยังมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในฤด฿กาล 2015 นอกจากนี้อาร์เซนอลยังมียอดผู้เข้าชมในสนามมากที่สุดเป็นอัาดับ 7 ในทวีปสุโรป และเนื่องด้วยสภาพที่ตั้งของสโมสรซึ่งตั่งอยู่แถบลอนดอนเหนือติดกับย่าน Canonbury และ Barnsbury ซึ่งะป็นย่านของคนมีฐานะ และยังใกล้เคียงกับย่านของชนชั้นำลางอย่าง Islington, Holloway, Hirhbury และ London Borough of Camden รวมทั้งพื้นที่ชนชั้นแรงงานส่วนใหซ่เช่น Finsbury Park และ Stoke Newington ส่งผลให้แฟนฟุตบอลของสโมสรมาจากชนชั้นทาบสังคมที่หลากหลาย ใน ค.ศ. 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วทั้งโลก ผ่านโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่มีฐานผู้นิยมมากทีทสุด โดยกระจายไปในหลายทวีปทั้งยุโรป, อเมริกาเหจือ และ แอฟริกาเหนือ และยังเป็นสโมสรแห่งแรกของอังกฤษที่มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากถึง 5 ล้านคน =\ สโมสรคู่อริ == อาร์เซนอลถือเป็นคู่ปรับสำคัญของ ทอตนัมฮอตสเปอร์ เนื่องด้วยทั้งสองสโมสรตั้งอยู่ในลอนดอนเหนือ การพบกันของทั้งสองทีมเรียกใ่า “ศึกแห่งลอนดอนเหนือ” (North London Derby) โดยท้่มาของการเป็นอริกันนั้นมีจถดเริ่มจ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1910 สโมสรอาร์เซนอลในขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมว่า “วูลวิช อาร์เซน่อล (Woolwich Arsemal)” เป็นทีมในลีกดิวิชันหนึ่ง มีสนามเหย้าอยู่ในย่าน วูลวิช ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ในเวลานั้นสโมสรกำลังประสบปัญหาทางด้ายการเงินครั้งใหญ่จนเกือบจะล้มละลาย เจ้าของสโมสร้ดิมต้องประกาศขายทีมเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งผู้ที่ได้เจ้าเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ ได้แก่ “เฮนรี่ นอร๋ริส” นีกธุรกิจแห่งกรุงลอนดอน รวามตั้งใจแรกของนอร็ริส ในการแก้ปัญหาทีมคือการควบ่วมทีมวูลวิช อาร์เซนอล เข้ากับยโมสรฟูลัม ซึ่งเป็นอีกทีมในเมืองลอนดอนที่เฮนรี่เป็นเจ้าของอยู่เช่นกัน เพื่อเพิ่มฐานแฟนบอลแบะรานได้แก่สโมสร แต่เรื่องนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เฮนรี่ จึงต้องย้ายที่ตั้งทีมไปยังย่าาที่มีคนอยู่อาศัยหนากน่นกว่าเขตวูลว้ช ซึ่งเฮนรี่ได้เฃือกย่าน “ไฮบิวรี่” ทางตอนเหนือของลอนดอน และทำเรื่องย้ายสโมสรไปยังลอนดอนเหนือใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นจุดเริ่มจ้นของความเป็นอริระหส่างสองสโมสร เดิมทีนั้น สเปอร์เป็นเพียงสโมสรเดียวที่ตัืงอยู่ในย่านลอนดอนเหนือ พวกเขาเปรียบเสมือน “เจ้าถิ่น” และเป็นความภาคภูมิใจของคนในย่านนั้น การย้ายมาของ วูลวิช อาร์เซนอล จึงเหมือนการรุกล้ำเขตแดนของพวกเขา และเริ่มสร้างความหม่พอใจแก่แฟนบอลสเปอร์ที่โดนแย่งฐานแไนคลับไป และเหตุการณ์ครัังประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นสาเหตุหลักแห่งความเกลียดชังของทั้ง 2 ทีมนั้นเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 1919 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่ลขันอีกรรั้งหลัฝจากหยุดพักไปตั้งแต่ ค.ศ. 1915 สมาคมฟุตบอลอังกฆษมีมติเพิ่มจำนวนทีมในดิวิชันหนึ่งจาก 20 ทีมเป็น 22 ทีม ในฤดูกาล 1919–20 โดยได้ตัดสินใจให้ทีาอันดับ 1 ดละ 2 ของดิวิชั่นสอง (ดาร์บีเคาร์ตี และ เพรสตันนอร์ทเอนด์) ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาในลีกสูงสุดอย่างดิวิชันหนึ่งโดยอัตโนมัติ และในโควตาสุดท้ายอีกหนึ่งทีมนั้น สมาชิกได้ร้วมกันโหวตเลือกให้อาร์เซนอลซึ่งจบเพียงอันดุบ 5 ในดิวิชันสองเลื่อนชั้นขึ้นมาแทน โดยนัดสิทธิ์ทีมอันดับ 20 ของดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1914–15 อย่างสเปอร์ ส่งผลให้พวกเจาตีองตกชั้น ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้มีการกล่าวหาว่า เฮนรี่ นอร์ริส ได้ใช้วิธ่วิ่งเต้นและให้ผลประโยชน์กับสมาคมเพื่อให้ทีมได้เลื่อนชั้ย แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และทำให้ทั้งาอลสฏมสรเป็นอริกันมนนับแต่นั้น โดยการพบกันของทั้งคู่ถือเป็นหนึ่งในนัดที่ดุเดือดที่สุดในกรรแข่งขันฟุตบอลของยุโรป สโมสรอืืน ๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของอาร์เซนอลได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซี และ ลิเวอร์พูล เนื่องจากเป็นสโมสรใหญ่ที่แย่งชิงความสำเร็จกันมายาวนาน โดยเฉพาะการเป็นอริกะบแมนเชยเตอร์ยูไนเต็ดในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 และต้นทศวรรษทีท 200- ถือว่ามีความดุเดือดมาก เนื่องจากอาร์เซนอลที่คุมทีมโดบอาร์แซน แวงแกร์ แย่งชิงการเป็นสโมสรอันดับหนึ่งของอังกฤษกับแสนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ีุมทีมโดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยผลัดกันแพ้-ชนะ หลายครั้งในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ แต่บรรยากาศความเป็นอริของทั้งคู่ได้ลดลงพอสมควรภายหลังจาก ค.ศ. 2013 เป็าต้นมา เนื่องจากผลงานของทั้งสองทีมได้ตกลงไปตามลำดับ และมีเชลซี ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ซิตี ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และในปัจจุบัน ทั้งแวงแกร์และเฟอร์กํสันต่างก็อำลาทีมไปแล้ว == ผู้ผลิตเสื้อและผู้มนับสนุน == == ผู้เล่น == === ผู้เล่นทีมลุดแรก === ==== ผู้เล่นที่ถูกปล่อบยืม ==== == บุคลากร == ข้อมูล ๕ กุมภมพันธ์ 2022 == อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง == เรียงตามปีที่เริ่มเล่นในทีาอาร์เซนอลชุดใหญ่เป็นครั้งแรก (ในวงเล็บคือปี ค.ศ.) : บ็อบ วิลสัน (1963-1964) จอร์จ เกรอัม (1966-1972) แพต ไรซ์ (1966-1980) ชาร์ลี จอร์จ (1968-1975) เลียม เบรดี (1973-1980) ไบรอัน คิดด์ (1974-1976) เดวิด โอเลียรี (1975-1993) พอล เดวิส (1978-1995) เคนน่ แฐนซเม (198001988) โทนี วูดคอก (1982-1986) เอียน อัลลินสัน (1983-1987) จอห์น ลูึิซ (1983-1990, 1996-2001) ไนออล ควินน์ (1983-1990) โทนี อดัมส์ (19i3-2002) ไมเคิล โทมัส ฤ1984-1991) อลัน สมิธ (w987-1995) มาร์ติน คีโอว์น (1984-1986, 1993-2004) เดวิด โรคาสเซิล (1985-1992) พอช เมอร์สัน ฆ1986-q997) ไนเจล วินเทอร์เบิร์น (1987-2000) ลี ดิกสัน (1988-2002) สตีฟ โบลด์ (198801999) เดวิด ซีแมน (1990-200e) เอียน ไรท์ (1991-1998) เรย์ พาร์เลอร์ (1992-2004) แด็นนิส แบร์คกัมป์ (1995-20p6) ปาทริค วิเอร่า (1996-2005) มาร์ก โอเฟอร์มาร์ส (1997-2000) นีกอลา อาแนลดา (1997-1999) แมตทิว อัปสุน (1997-2003) แอมานุแอล เปอตี (1997-2000) คริสโตเฟอร์ เรห์ (1997-2000) อเล็กซ์ แมนนิงเกอร์ (1997-2002) สจวร์ต เทย์เลอร์ (1997-2005) เฟรียดริห ยุงแบร์ย (1998-2007) ตีแยรี อ็องรี (1p99-2007, 2012-ยืมตัว) โอเล็ก ลุซนีย์ (1999-2003) เอ็นวานโก คานู (1999-2004) อิกอร์ สเตผานอฟส์ (2000-2093) แอชลีย์ โคล (2000-2006) รอแบร์ ปีแร็ส (2000-2006) โลร็แง เอตาม มาเย (2000-2006) ซีลแว็ง วิลตอร์ (2000-2004( โซล แคมป์เบลล์ (2000-2005, 2010) เฌเรมี อาลียาเดียร๋ (2001-2007) โจฟันนี ฟัน โบรงก์ฮอสต์ (2001-2003) าิชาร์ด ไรต์ (2001-2002) เอดู (2001-2005) ชิลเลร์ตู ซิลวา (2002-2008) โกโล ตูเร (2002-2009) เซสก์ ฟาเบรกัส (2003-2011) เยนส์ เลห์มันร์ (2003-2008) โฆเซ อันโตเนียว เรเยส (2004-2006) โรบิน ฟัน แปร์ซี (2004-20q2) มานูเอล อัลมูเนีย (2004-2012) แเล็กซานเดอร์ เฮล็บ (2005-2008) นิคลาส เบนท์เนอร์ (2005-20q4) เอ็มมานูเอล อาเดบายอร์ (200u-2009) ฌูลีอู บาติสรา (2006-2007-ยืมตัว) วีลียาม กาลัส (2006-2010) ดอดัวร์ดู ดา ซิลวา (2007-2010( บาการี ซาญา (2007-2014) วูกัช ฟาเบียญสกี (2007-2014) ซามีร์ นัสรี (2008-2011) อันเดรย์ อาร์ชาวิน (2009-2013) แ็ร์วินโย (2011-2013) โรมึส เหอร์มาเลิน (2009-2014) ลูคัส โพดอลสกี (2012-2015) มีเกล อทร์เตตา (2011-2016) โตมาช โรซิตสกี (2006-2016) มาตีเยอ ฟลามีนี ฤ2004-2008. 2013020q6) วอยแชค ชแชนสนือ (2009-2017) อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (2011-2017) ทีโอ ใอลคอนต์ (2006-2018) อาเลกซิส ซานเชซ (2014-2018) ออลีวีเย ฌีรู (2012-2018) แจ็ก วิลเชียร์ (2001-2018) ซานติ กา.อร์งา (2012-2018) ปีแยร์-แอเมอริก โอบาเทอย็องก์ (2018-2022) == สถิติสำคัญ == อาร์เซนอลเป็น w ใน 4 สโมสรของอังกฤษทีีได้แชมป์บีกติดต่อกันมากที่สุดจำสวน 3 ครั้ง ((ดูกาล 1932–33, 1933–34 และ 1934–35) เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมีลิเวอร์พูบ และเอฟเวอร์ตัน เป็นอันดับสองและอันดับสามตามบำดับ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001–02 อาร์เซนอลสามารถทำประตู_ด้ในทุกนัด เป็นนถิติสูงสุดของลีก ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–0r อาร์เซนอลไม่กพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 ปละ เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888–89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล อาร์เซนอลทำสถิติไม่แพ้ทีมใดในพรีัมียร์ลีกติดน่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002–03, 2003–04, 3004–05 .ึ่งเป็นสถิติการไมาแพ้ติดต่อแันยาวนานที่สุดในแระวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 ทีทอาร์เซนอลชุดที่ไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูพาล ไดเรับการโหวตจากแฟนฟุตบอลใหิเป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 20 ปี โดยมีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1998–99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ หรือสมมแชมป์ในฤดูกาลเดีสวกัน เป็นอันดเบสอง ผู้จัดการทีมที่คุมทีมยนวนานที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, 21 ปี 224 วัน (1 ตุลาคม ค.ศ. 1996 –13 พฤษภาคม 2018) ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, ชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ (ค.ศ. 1996–2018) ผ๔้เล่นืี่ลงสนามรวมทุกรายการมาแที่สุด: เดวิด โอเลียรี่ (722 นัด ค.ศ. 1975–1993) ผู้เล่นที่ทำประตูรวมทุกรายการมากที่สุด: ตีแยรี อ็องรี (228 ประตู ค.ศ. 1999–2007 และ 2012) การซื้อตัวผู้เล่นที่แพงที่สุด: นีกอลา เปเป (72 ล้านปอนด์ ย้ายจมกล็อสก์ลีล ค.ศ. 2019) การขายผู้เล่นที่แพงที่สุด: อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (t0 ล้านปอนด์ ย้ายไปลิเวอร์พูล ค.ศ. 2017) ชนะด้วยผลประตูมากที่สุด: ชนะ Loughbor;ugh 12–0 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ, 1900 แพ้ด้วยผลประตูมากที่สุด: แพ้ Loughborough 0–8 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ. 1896 ==ในวีฒนธรรมร่วมสมัย== อาร์เซนอล ถูกอืางอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายครั้ง เช่น เป็นคู่ชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เรอัลมาดริด ของสเปน ในภาพยนตน์สัญชาติอังกฤษเรื่อง Goal II: Living the Dream ในปี 2007 โดยมีนักฟุตบอลตัวจ่ิงของทั้งสองสโมสรร่วมแสดบหลายคน เช่น ตีแยคี ด็องรี, เดวิด เบคแคม, ซีเนดีน ซัดาน และมีการอ้างถึงในซีรีส์ักาหลีเรื่ดง Because This Is My First Lifr ในปี 2017 โดยกำหนดให้นางเอกของเรื่องเป็นแฟนอาร์เซนอลและได้ดูการแข่งขันของอาร์เญลนอลกับเชลซีคู่กัวพระเอก == เกียรติประวัติ == อาร์เฦนอลคส้าแชมป์ลีกสูงสุดมากเป็นอันเับ 3 ในอังกฤษจำนวน 13 สมัย (นับรวมฟุตบแลดิวิชันหนึ่งและพรีเมียร์ลีก) และครองสถิติคว้าแชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 14 สมัย และยังเป็นหนึ่งในสองสโมสรร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้ e ครั้ง (แชมป์ลีกและเอฟเอคัพในแีเดียวกัน) คือ ค.ศ. 1971, 1988 และ 2002 อาร์เซนอลยังเป็นทีมแรกของกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าชิงชนะเลิศย฿ฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ (ปี 2006) อาร์เฬนอลเคยจบฤดูกาลในลีกด้วขอันดับที่ต่ำกว่าอันดับ 14 เพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น และยังเป็นทีมที่มีอันดับในลีกเฉลี่ยะีที่สุดฝนช่วงศตวรรษที่ 20 (ช่วง ค.ศ. 1900–1999) อีกด้วย โดยอันดับเฉลี่ยคือ 8.5 นอกจากนี้ อาร์เซนอลยะงเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่คว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ 2 สมัยติดต่อกัน (ฤดูกาล 2002–0e และ 2014–15) === ระดับประเทศ === ดิวิชันหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก * ชนะเลิศ (13): 1930–31, 1932–33, 1933–34, 1934–35, 1937–38, 1947–48, q952–53, 1970–71, 1988–8o, 1990–91, 1997–98, 2001–02, 2003–04 ดิวิชันสอง * รองชนะเลิศ (1): 1903–04 เอฟเอคัพ (สถิติสูงสุด( * ชนะเลิศ (14): 1920–30, 1935–36, 1949–50, 1980–71, 1978–79, 1992–93, 1997–98, 2001–02, 2002–03, 2004–05, 1013–14, 2014–15, 2016–17, 2019–20 อึเอฟแอลคัพ * ชนะเลิศ (2): 1986–87, 1992–93 ชาริตีชิลด์/คอมมิวนิตีชิลด์ * ชนะเลิศ (17): 1930, 1931, 1933, 1934, 1938, 1948, 1953, 1991 (แชมป์ร่วม), 1998, 1999, 2002, 2004, 2014, 2015, 2017, 2020, 2023 =]= ระดับทวีปยุโรป === ยูฟ่าแชมเปียนส์ล่ก * รองชนะเลิศ (1): 2005–06 ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ * ชนะเลิศ (1): 1993–94 ยูฟ่าคึพ/ยูฟ่ายูโนปาลีก * รองชนะเลิศ (3): 1999–00, 2018–19 ยูฟ่าซูเปอร์คึพ * รองชนะเลิศ (1): 1994 อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ * ชนะเลิศ (1): 1969–70 === รายการอื่น ๆ === เอมิเรตส์คัพ * ชนะเลิศ (5): 2007, 2009, 2010, 2015, 2017 == ทีมฟุตบอลหญิง == ทีมฟุตบอลหญิงของอาร์เซนอลก่อตั้งโดย บิค เอเคอรส์ อดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษใน ค.ศ. 1987 ในชื่อ Xrsenal Ladies F.C และลงเล่นในฐานะสโมสรกึ่บอาช่พใน ค.ศ. 2002 และเออคอร์ยังดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรอีกด้วย ต่อมาใน ค.ศ. 2017 ซั่งเป็นวาระครบรอบ 30 หีการก่อจั้งสโมสร ได้มีการเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Arsenal Women F.C และโดยทั่วไปภวกเธอจะเรียกแทนตัวเองสั้น ๆ ว่า อาร๋เซนอล (Arsenal) ยกเว้นในบางโอกาสที่อาจจะสัขสนกับชื่ออาร์เซนอลของทีมชาย สโมสรจึงจะเลี่ยงไปใช้ชื่อเต็ม สโมสรหญเงของอาร์เซนอลเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาทีมฟุตบอลหญิงของอังกฤษ พวกเธอชระเลิศถ้วยรางวัลรวม 58 รายการดละในฤดูกาล 2008–09 สโมสรทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันสามรายการหลักในฤดูกาลเดียวกัน (FA Women's National League, Women's FA Cup และ FA Women's National League Cup) และเป็นสโมสรหญิลทีมแรกของอังกฤษที่รับรางวัลยูฟ่มวีเมนส์คัพ หรือ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยชนะเลิศในฤดูกาล 2006–07 ปัจจุบันสโมสรเล่นในสนามเหย้าที่ Meadow Park และมีผู้จึดการทีมคือ โยนัส ไอเดวอลช์ ==เชิงอรรถ== == อ้างอิง == == หนังสืออ่านเกิ่ม == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Arsebal.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Arsenal ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพรีเมียร์ลีก Arsenal ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของขูฟ่า อ อ อ อ อ อ อ
สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล (Arsenal Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ตั้งอยู่ในเขตอิสลิงทันในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับสามของอังกฤษ โดยชนะเลิศลีกสูงสุด 13 สมัย, เอฟเอคัพ 14 สมัย (สถิติสูงสุด), ลีกคัพ 2 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 17 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ 1 สมัย อาร์เซนอลยังเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษติดต่อกันยาวนานที่สุด (ค.ศ. 1920–ปัจจุบัน) มีสนามเหย้าคือเอมิเรตส์สเตเดียม ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1886 โดยคนงานในเขตวูลิช ในชื่อ สโมสรฟุตบอลไดอัล สแควร์ และใน ค.ศ. 1893 พวกเขาเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนใต้ที่ได้ร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีก ต่อมาใน ค.ศ. 1913 สโมสรได้ย้ายมายังลอนดอนเหนือ และย้ายสนามมายังอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรีก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น อาร์เซนอล ในฤดูกาล 1914–15 ต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1930 สโมสรชนะเลิศฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง 5 สมัย และเอฟเอคัพ 2 สมัย และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาชนะเลิศดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย และเอฟเอคัพอีก 1 สมัย ก่อนจะชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกันเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1970–71 และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1989–2005 อาร์เซนอลชนะเลิศลีกสูงสุด 5 สมัย และเอฟเอคัพอีก 5 สมัย และผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ 19 ฤดูกาลติตต่อกันตั้งแต่ ค.ศ. 1998–2017 เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีมที่นำความสำเร็จมาสู่สโมสรในยุคแรก โดยพาทีมชนะเลิศการแข่งรายการใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 และเป็นผู้ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ภายในสนาม เช่น ระบบไฟ รวมทั้งคิดค้นแผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็มให้แก่วงการฟุตบอล เขายังออกแบบชุดแข่งขันของทีมด้วยการปรับแขนเสื้อให้เป็นสีขาว และยังปรับโทนสีแดงบนตัวเสื้อให้ดูสว่างยิ่งขึ้น และเป็นผู้กำหนดหมายเสื้อให้แก่ผู้เล่นในทีม อาร์แซน แวงแกร์ เป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความเร็จมากที่สุดและคุมทีมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร (ค.ศ. 1996–2018) โดยชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ และเป็นผู้จัดการทีมที่ชนะเลิศเอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย รวมทั้งพาทีมชนะเลิศพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 ซึ่งพวกเขาไม่แพ้ทีมใดเลยตลอด 38 นัด โดยถือเป็นทีมที่สองที่จบการแข่งขันฤดูกาลในลีกสูงสุดของอังกฤษโดยไม่แพ้ทีมใด และเป็นทีมเดียวที่ทำได้ในยุคพรีเมียร์ลีก ในช่วงเวลานั้น สโมสรยังทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันนานที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษจำนวน 49 นัด และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 ซึ่งถือเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้ อาร์เซนอลมีสโมสรคู่ปรับที่ตั้งอยู่ในย่านเดียวกันคือ ทอตนัมฮอตสเปอร์ โดยการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมเรียกว่า ดาร์บีลอนดอนเหนือ อาร์เซนอลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าทีมมากเป็นอันดับ 8 ของโลกใน ค.ศ. 2020 ด้วยมูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ และยังเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก สโมสรมีคำขวัญคือ "Victory Through Harmony" ซึ่งแปลว่า "ชัยชนะจากความเป็นหนึ่งเดียว" == ประวัติ == === ยุคแรก (ค.ศ. 1886–1919) === สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนงานของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมาเมื่อปลาย ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์ การแข่งขันแรกของทีมคือเกมที่ชนะอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6–0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น รอยัลอาร์เซนอล และยังคงแข่งขันรายการท้องถิ่นต่อไป ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพและเปลี่ยนชื่อเป็น วูลิชอาร์เซนอล ใน ค.ศ. 1891 อาร์เซนอลได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 1893 ในดิวิชันสอง จากนั้นใน ค.ศ. 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชันหนึ่งเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม สโมสรตั้งอยู่ในพื้นที่ ๆ คับแคบ ส่งผลให้มีจำนวนผู้ชมน้อยจนทีมประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนัก นำไปสู่การประกาศขายทีมใน ค.ศ. 1910 โดยมี เฮนรี นอร์ริส นักธุรกิจเข้ามาเทคโอเวอร์ โดยในช่วงแรก นอร์ริสมีความคิดที่จะนำอาร์เซนอลรวบทีมกับสโมสรฟูลัม ซึ่งเขาเป็นเจ้าของทีมอยู่เช่นกัน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทำให้นอร์ริสต้องหาที่ตั้งใหม่ให้กับอาร์เซนอล กระทั่งใน ค.ศ. 1913 หลังจากที่ตกชั้นลงสู่ดิวิชันสองนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่ในย่านไฮบิวรี่บริเวณลอนดอนเหนือ และเปิดใช้สนามอาร์เซนอลสเตเดียมอย่างเป็นทางการ ในปีต่อมา สโมสรได้ตัดคำว่า "วูลิช" ออกจากชื่อสโมสรจนเหลือเพียง อาร์เซนอล มาจนถึงปัจจุบัน หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง ลีกสูงสุดอย่างดิวิชันหนึ่งก็เพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม อาร์เซนอลซึ่งได้อันดับ 5 ของดิวิชันสองในฤดูกาล 1914–15 ได้รับการโหวตเลือกโดยสมาคมให้กลับขึ้นสู่ดิวิชันหนึ่งอีกครั้งในฤดูกาล 1919–20 แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสของสมาคมในเหตุการณ์ดังกล่าว และอาร์เซนอลไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลย === เริ่มประสบความสำเร็จ (ค.ศ. 1925–1966) === ต่อมาใน ค.ศ. 1925 อาร์เซนอลได้แต่งตั้งให้ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งเขาเคยพาฮัดเดอร์สฟิลด์ทาวน์คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัย ในฤดูกาล 1923–24 และ 1924–25 และแชปแมนถือเป็นคนแรกที่พาอาร์เซนอลก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคแรก เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและนำแทคติคใหม่มาใช้ รวมถึงซื้อนักเตะชื่อดังมาร่วมทีม เช่น อเล็กซ์ เจมส์ และ คลิฟฟ์ บานติน และยังเป็นผู้ริเริ่มการปรับปรุงระบบไฟในสนามไฮบิวรี่ ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นมหาอำนาจในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรก เริ่มจากแชมป์เอฟเอคัพสมัยแรกในฤดูกาล 1929–30 และคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้ 2 สมัยในฤดูกาล 1930–31 และ 1932–33 นอกจากนี้ แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานี "อาร์เซนอล" ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมในช่วงต้น ค.ศ. 1934 แต่หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้ามารับตำแหน่งต่อก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีก 3 สมัย และเอฟเอคัพ 1 สมัย อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลงส่งผลให้สโมสรกลับไปประสบปัญหาการเงินอีกครั้ง หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสันได้เข้ามาคุมทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้งโดยได้แชมป์ดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย ในฤดูกาล 1947 และ 1948 และแชมป์เอฟเอคัพอีก 1 สมัย ในฤดูกาล 1949–50 แต่หลังจากนั้น โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไม่สามารถดึงดูดนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีมเหมือนที่เคยทำได้ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 อาร์เซนอลกลายเป็นเพียงทีมกลางตารางและไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรเพิ่มได้เลย แม้แต่บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วง ค.ศ. 1962–66 === การเปลี่ยนแปลง (ค.ศ. 1966–1986) === อาร์เซนอลเริ่มกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหลังจากแต่งตั้ง เบอร์ตี มี นักกายภาพบำบัดให้มาคุมทีมใน ค.ศ. 1966 โดยพาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ (ปัจจุบันยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว) ได้ในฤดูกาล 1969–70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกของสโมสร ตามด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรก นั่นคือแชมป์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1970–71 แต่ในทศวรรษต่อมานั้น อาร์เซนอลทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์เป็นส่วนมาก โดยได้รองแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1972–73 ,รองแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1971–72, 1977–78 และ 1979–80 และยังแพ้จุดโทษบาเลนเซียในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศอีกด้วย สโมสรประสบความสำเร็จเพียงถ้วยเดียวในช่วงนี้ก็คือแชมป์เอฟเอคัพฤดูกาล 1978–79 ในยุคของ เทอร์รี นีล ซึ่งพวกเขาเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 3–2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน และได้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสสิกและความตื่นเต้นของเกมนี้ === ยุคของ จอร์จ แกรแฮม (ค.ศ. 1986–1995) === การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะของสโมสรซึ่งเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1986 ส่งผลให้สโมสรคว้าแชมป์ได้หลายรายการในยุคที่มี โทนี แอดัมส์ ตำนานกัปตันทีมเป็นผู้เล่นตัวหลัก เริ่มจากแชมป์ลีกคัพในฤดูกาล 1986–87 ตามด้วยแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1988–89 จากประตูในนาทีสุดท้ายในนัดที่พบกับลิเวอร์พูล และได้แชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 1990–91 โดยแพ้ไปเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล และยังคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์ด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992–93 และคว้าแชมป์ยุโรปใบที่ 2 ได้ในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพฤดูกาล 1993–94 ด้วยการชนะปาร์มา 1–0 อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็เสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก รูน ฮาวก์ เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวผู้เล่น ส่งผลให้เขาถูกไล่ออกใน ค.ศ. 1995 และบรูซ ริออช เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่คุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร === ยุคของ อาร์แซน แวงแกร์ (ค.ศ. 1996–2018) === อาร์แซน แวงแกร์ เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 1996–97 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตำนานผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร โดยอาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 8 จาก 10 ฤดูกาลแรกที่แวงแกร์เข้ามาคุมทีม เขาเป็นผู้นำแทคติคใหม่ ๆ มาใช้ เปลี่ยนวิธีการซ้อมใหม่ และยังเข้มงวดเรื่องโภชนาการกับนักเตะ รวมถึงมีนโยบายการสร้างทีมด้วยงบประมาณจำกัด อาร์เซนอลจึงคว้าดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีกและแชมป์เอฟเอคัพ) ได้อีกสองครั้ง ในฤดูกาล 1997–98 และ 2001–02 และยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพฤดูกาล 1999–00 แต่แพ้จุดโทษกาลาตาซาราย รวมทั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2003–04 โดยไม่แพ้ทีมใดเลยทั้งฤดูกาลจนได้รับฉายาว่า "ผู้ไร้เทียมทาน" (The Invincibles) และทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันครบ 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นสถิติตลอดกาลของประเทศ และยังได้แชมป์เอฟเอคัพเพิ่มใน ค.ศ. 2003 และ 2005 รวมทั้งแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์หลายสมัย โดยทีมชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ เช่น ตีแยรี อ็องรี, ปาทริก วีเยรา, แด็นนิส แบร์คกัมป์, แอชลีย์ โคล และ รอแบร์ ปีแร็ส แวงเกอร์พาสโมสรเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 โดยถือเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้ แต่แพ้บาร์เซโลนา 1–2 จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนามเหย้ามาเป็นเอมิเรตส์สเตเดียม และยังเข้าชิงลีกคัพได้สองครั้งใน ค.ศ. 2007 และ 2011 แต่แพ้เชลซี และเบอร์มิงแฮม 1–2 ทั้งสองครั้ง และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2011-12 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ได้มีการโหวตจากแฟน ๆ ฟุตบอลปรากฏว่า ทีมอาร์เซนอลในฤดูกาล 2002–03 ที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลได้รับเลือกให้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปีของฟุตบอลอังกฤษอาร์เซนอลคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสองสมัยติตด่อกัน ในฤดูกาล 2013–14 (ชนะฮัลล์ซิตี 3–2) และ 2014–15 (ชนะแอสตันวิลลา 4–0) ก่อนจะทำสถิติได้แชมป์มากที่สุด 13 สมัยในฤดูกาล 2016–17 (ชนะเชลซี 2–1) และเวนแกร์ยังถือเป็นผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย แต่พวกเขาหลุดจากการจบ 4 อันดับแรกเป็นครั้งแรกในยุคของแวงแกร์ ก่อนที่แวงแกร์จะอำลาสโมสรเมื่อจบฤดูกาล 2017–18 โดยเขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด (17 รายการ) และคุมทีมยาวนานที่สุด (22 ปี) ของสโมสร === ยุคใหม่ (ค.ศ. 2018–ปัจจุบัน) === อูไน เอเมรี เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2018–19 และถือเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่ไม่ได้มาจากสหราชอาณาจักร โดยพาทีมจบอันดับ 5 และได้รองแชมป์ยูโรปาลีกโดยแพ้เชลซี 1–4 ต่อมา เอเมรีถูกปลดในฤดูกาล 2019–20 และ เฟรียดริก ยุงแบร์ยอดีตผู้เล่นของทีมเข้ามารักษาการแทน จากนั้น มิเกล อาร์เตตา เข้ามาคุมทีม และพาทีมจบอันดับ 8 ซึ่งเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1995 แต่ยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้โดยเอาชนะเชลซี 2–1 ต่อมา ในฤดูกาล 2020–21 ทีมยังคงทำผลงานในลีกย่ำแย่ต่อเนื่องและจบอันดับ 8 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ไม่ได้ไปแข่งขันฟุตบอลยุโรปในฤดูกาล 2021–22 และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่สโมสรไม่ได้ไปเล่นรายการยุโรป ก่อนจะจบอันดับ 5 ในฤดูกาลต่อมา ทำได้เพียงไปเล่นยูโรปาลีก และตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ แต่อาร์เตตาก็นำทีมจบอันดับสองได้ในฤดูกาล 2022–23 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบ 7 ฤดูกาล และได้กลับไปแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกในรอบ 6 ปี ==สัญลักษณ์== ไฟล์:Arsenal crest 1888.png| (1888-1929) ไฟล์:Arsenal Crest 1930.svg| (1930-1948) ไฟล์:Arsenal Crest 1952.svg| (1952 ตราพิเศษ) ไฟล์:Arsenal fc old crest small.png| (1949-2002) ไฟล์:Arsenal FC.png| (2002-2011,2012-ปัจจุบัน) ไฟล์:Arsenal 1886-2011 Logo.png| (2011-2012)ตราพิเศษครบรอบ 125 ปี == สีประจำสโมสร == ในหน้าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของสโมสรอาร์เซนอล พวกเขาใช้เสื้อสีแดงสด แขนเสื้อสีขาว และกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นชุดทีมเหย้า สีแดงเป็นการให้เกียรติสโมสรนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบริจาคอุปกรณ์ให้แก่สโมสรหลังการก่อตั้งใน ค.ศ. 1886 โดยมีที่มาจาก เฟร็ด เบียร์ดสลีย์ และมอร์ริส เบตส์ สมาชิกผู้ก่อตั้งของสโมสร ไดอัล สแควร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้เล่นของฟอเรสต์ที่ย้ายมาทำงานในย่านวูลวิช ในขณะที่พวกเขารวบรวมผู้เล่นทีมชุดใหญ่ในพื้นที่แต่ยังหาชุดแข่งไม่ได้ ทั้งคู่จึงเขียนจดหมายไปถึงสโมสรเก่าเพื่อขอความช่วยเหลือและได้รับชุดแข่งขัน และลูกฟุตบอล โดยมีเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีแดงเข้ม และสวมกางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าที่มีห่วงสีน้ำเงินและสีขาว ใน ค.ศ. 1933 เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ต้องการให้ผู้เล่นแต่งกายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มีการปรับปรุงชุดแข่งโดยปรับแขนเสื้อเป็นสีขาว และเปลี่ยนสีเสื้อให้มีโทนแดงที่สว่างและสดขึ้น โดยที่มาของแขนเสื้อสีขาวนั้นมีการสันนิษฐานอยู่สองประการ คาดว่าแชปแมนสังเกตเห็นแฟนบอลคนหนึ่งสวมเสื้อสเวตเตอร์แขนกุดสีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและดูสวยงาม เหมาะจะเป็นสีสโมสร อีกประการหนึ่งคือเขาอาจได้แรงบันดาลใจจากการแต่งกายที่คล้ายคลึงกันของนักเขียนการ์ตูน ทอม เว็บสเตอร์ ซึ่งแชปแมนมีความสนิทสนม และมักเล่นกอล์ฟด้วยกัน และแม้จะไม่แน่ชัดว่าข้อสันนิษฐานใดเป็นจริง แต่เสื้อแดงพร้อมแขนเสื้อสีขาวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาร์เซนอลมาตั้งแต่นั้น และทีมได้สวมชุดนี้มาตลอด ยกเว้นสองฤดูกาล ครั้งแรกคือฤดูกาล 1966–67 เมื่อสโมสรสวมเสื้อสีแดงล้วนโดยไม่มีสีขาวที่แขนเสื้อ แต่ไม่เป็นที่นิยม แขนเสื้อสีขาวจึงถูกนำกลับมาใช้ในฤดูกาลถัดไป และในครั้งที่สองคือฤดูกาล 2005–06 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่อาร์เซนอลเล่นที่สนามอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรี เมื่อทีมสวมเสื้อสีแดงเรดเคอแรนท์โดยไม่มีสีที่แขนเสื้อเช่นกัน เพื่อระลึกถึงสีเสื้อที่สโมสรสวมใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกในสนามแห่งนี้ และสโมสรกลับไปสวมชุดปกติโดยเป็นเสื้อสีแดงเข้มและแขนเสื้อสีขาวในฤดูกาลถัดไป และในฤดูกาล 2008–09 อาร์เซนอลได้เปลี่ยนจากแขนเสื้อสีขาวล้วนแบบดั้งเดิมด้วยการเพิ่มแถบสีแดงลงบนแขนเสื้อด้วย สีประจำสโมสรอาร์เซนอลเป็นต้นแบบให้แก่สีประจำสโมสรอื่น ๆ อย่างน้อยสามสโมสร ใน ค.ศ. 1909 สปาร์ตา ปราก ในเชกเกีย ได้เปิดตัวชุดสีแดงเข้มซึ่งคล้ายสีที่อาร์เซนอลใช้ในสมัยนั้น ต่อมาใน ค.ศ. 1920 สโมสรกีฬาบรากา ได้เปลี่ยนสีชุดแข่งทีมเหย้าจากสีเขียวทองมาเป็นสีแดงพร้อมแขนเสื้อสีขาว ภายหลังจากผู้จัดการทีมสโมสรได้กลับมาจากการชมเกมที่สนามอาร์เซนอลสเตเดียม นำไปสู่การเรียกชื่อเล่นของบรากาว่า Os Arsenalistas ต่อมา ใน ค.ศ. 1938 สโมสรฮิเบอร์เนียน ในเมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ นำการออกแบบแขนเสื้อของอาร์เซนอลมาใช้กับแถบสีเขียวและสีขาวบนเสื้อสโมสร และทั้งสามสโมสรยังคงใช้ชุดเหล่านี้มาถึงปัจจุบัน เป็นเวลาหลายปีที่เสื้อทีมเยือนของสโมสรเป็นสีขาวหรือสีกรมท่า อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1968 สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้สั่งห้ามทุกสโมสรสวมชุดแข่งโทนสีกรมท่า เนื่องจากคล้ายกับสีดำของชุดผู้ตัดสิน อาร์เซนอลจึงได้เปิดตัวชุดทีมเยือนแบบใหม่ในฤดูกาล 1969–70 ด้วยเสื้อสีเหลืองและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และชุดนี้ถูกใช้ครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ค.ศ. 1971 ซึ่งอาร์เซนอลเอาชนะลิเวอร์พูล 2–1 และเป็นการชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกันเป็นครั้งแรก (ดับเบิลแชมป์) ซึ่งในเวลาต่อมาเสื้อทีมเยือนสีเหลืองและกางเกงสีน้ำเงินนี้ได้รับความนิยมแทบจะเท่ากับชุดแข่งทีมเหย้าสีแดงขาว อาร์เซนอลเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ครั้งนี้พวกเขาสวมชุดทีมเหย้าตามปกติ และแพ้ลีดส์ยูไนเต็ด 0–1 อาร์เซนอลจึงกลับไปใช้ชุดทีมเยือนสีเหลืองในอีกสามครั้งต่อมาที่พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ตั้งแต่ ค.ศ. 1978–80 สโมสรยังใช้สีเหลืองและน้ำเงินเป็นชุดเยือนหลักกระทั่ง ค.ศ. 1982 ได้มีการเปิดตัวชุดทีมเยือนใหม่เป็นสีเขียวและสีกรมท่า แต่ไม่เป็นที่พอใจของแฟนบอล จึงกลับไปใช้สีเหลืองและน้ำเงินแต่มีการปรับโทนสีน้ำเงินให้เข้มขึ้น เมื่อไนกี้รับช่วงต่อจากอาดิดาสในฐานะผู้ผลิตชุดแข่งของอาร์เซนอลใน ค.ศ. 1994 อาร์เซนอลได้ใช้เสื้อและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเป็นชุดทีมเยือน และมีการเปลี่ยนสีชุดทีมเยือนหลายครั้งนับตั้งแต่นั้น รวมถึงในช่วงหลังที่สโมสรฟุตบอลทั่วโลกทำการขยายตลาดโดยการออกแบบชุดแข่งที่สาม โดยตลอดทศวรรษ 2000 อาร์เซนอลมีทั้งการใช้สีน้ำเงินล้วน, สีเหลืองและน้ำเงิน, สีกรมท่า สีทอง และสีขาวเป็นชุดทีมเยือน รวมถึงใช้แถบสีแดงมะรูนร่วมกับเสื้อสีเหลืองในช่วง ค.ศ. 2010–13 และนับตั้งแต่ ค.ศ. 2014 เป็นต้นมา ชุดทีมเยือนและชุดแข่งที่สามของสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล ปัจจุบันผู้ผลิตชุดแข่งของสโมสรคืออาดิดาส == สนามแข่งขัน == ในช่วงแรก อาร์เซนอลลงเล่นที่สนามย่านวูลิช บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ทำเลที่คับแคบ ไม่สะดวกต่อการเดินทางและจุผู้ชมได้น้อย เฮนรี่ นอร์ริส ผู้บริหารคนใหม่จึงนำทีมย้ายมาสู่ลอนดอนเหนือ และพวกเขาได้เปิดใช้สนาม อาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบิวรี่ เป็นสนามเหย้าอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1913 จนถึง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 โดยมักจะเป็นที่รู้จักในชื่อ ไฮบิวรี่ เนื่องจากตั้งอยู่ในย่านไฮบิวรี่ และแฟน ๆ มักจะเรียกสนามแห่งนี้ด้วยฉายาน่ารัก ๆ ว่า "บ้านของฟุตบอล" อาร์เซนอลสเตเดียมเริ่มสร้างใน ค.ศ. 1913 บนสนามพักผ่อนของวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่ง และมีการปรับปรุงใหม่ครั้งสำคัญ ๆ สองครั้ง ครั้งแรกในราวทศวรรษที่ 1930 คือการปรับปรุงอัฒจันทน์ด้านตะวันออกและตะวันตก และครั้งที่สองตอนปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 โดยมีการยกเลิกพื้นที่สำหรับการยืนชมเกมทั้งสองข้างสนามออกและทำเป็นที่นั่งทั้งหมดบนอัฒจันทน์ทั้งสี่ด้าน ทำให้สนามจุผู้ชมได้น้อยลงส่งผลให้มีรายได้จากการจำหน่ายตั๋วไม่มากพอ อาร์เซนอลจึงย้ายสนามเหย้าไปอยู่ที่เอมิเรตส์สเตเดียมใน ค.ศ. 2006 ในปัจจุบัน ไฮบิวรี่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นศูนย์รวมอพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียม ไฮบิวรี่ยังเคยเป็นสนามที่ใช้แข่งขันของทีมชาติอังกฤษและเอฟเอคัพนัดสำคัญ รวมไปถึงกีฬาชกมวย, เบสบอลและคริกเกต นอกจากนี้ สนามยังมีรถไฟใต้ดินผ่านจากสถานี Gillespie Road โดยใน ค.ศ. 1932 สถานีได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สถานีรถไฟใต้ดินอาร์เซนอล" ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวของอังกฤษที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล สนามเหย้าในปัจจุบันของสโมสรคือ เอมิเรตส์สเตเดียม (Emirates Stadium) หรือ สนามกีฬาเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ที่แอชเบอร์ตันโกรฟในฮอลโลเวย์ (Holloway) ลอนดอนเหนือ เปิดใช้งานเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2006 ความจุ 60,355 ที่นั่ง ถือเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกเป็นรองเพียงโอลด์แทรฟฟอร์ด และเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในลอนดอนรองจากเวมบลีย์และทวิกเคนแฮม เดิมทีสนามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ แอชเบอร์ตันโกรฟ ก่อนที่จะมีการใช้ชื่อตามข้อตกลงของสายการบินเอมิเรตส์ ผู้สนับสนุนหลักของสโมสร มูลค่าการก่อสร้างของสนามอยู่ที่ 390 ล้านปอนด์ สนามแห่งนี้มีอัฒจันทน์ที่มีหลังคารายล้อมทั้ง 4 ทิศ แต่ไม่มีหลังคาบริเวณพื้นสนาม ออกแบบโดยสถาปนิกจาก HOK Sport ตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรมโดยบริษัท Buro Happold ผู้ควบคุมการสร้างคือ เซอร์ โรเบิร์ต แมคอัลไพน์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตอุตสาหกรรมแอชเบอร์ตันโกรฟเดิม ห่างจากไฮบิวรี สนามเดิมเพียงไม่กี่ร้อยเมตร นอกจากนี้ เอมิเรตส์สเตเดียมยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุดและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่สุดในบรรดาทีมกีฬาทุกประเภทของสหราชอาณาจักร ==แฟนคลับและความนิยม== แฟนฟุตบอลของสโมสรมีชื่อเรียกว่า "Gooners" ซึ่งมาจากฉายา "Gunners" ของสโมสร ในฤดูกาล 2007–08 สโมสรมียอดผู้เข้าชมในสนามเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอังกฤษ โดยมียอดเฉลี่ย 60,000 คนต่อเกม (คิดเป็น 95.5% ของความจุทั้งหมด) และยังมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในฤดูกาล 2015 นอกจากนี้อาร์เซนอลยังมียอดผู้เข้าชมในสนามมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ในทวีปยุโรป และเนื่องด้วยสภาพที่ตั้งของสโมสรซึ่งตั่งอยู่แถบลอนดอนเหนือติดกับย่าน Canonbury และ Barnsbury ซึ่งเป็นย่านของคนมีฐานะ และยังใกล้เคียงกับย่านของชนชั้นกลางอย่าง Islington, Holloway, Highbury และ London Borough of Camden รวมทั้งพื้นที่ชนชั้นแรงงานส่วนใหญ่เช่น Finsbury Park และ Stoke Newington ส่งผลให้แฟนฟุตบอลของสโมสรมาจากชนชั้นทางสังคมที่หลากหลาย ใน ค.ศ. 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วทั้งโลก ผ่านโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่มีฐานผู้นิยมมากที่สุด โดยกระจายไปในหลายทวีปทั้งยุโรป, อเมริกาเหนือ และ แอฟริกาเหนือ และยังเป็นสโมสรแห่งแรกของอังกฤษที่มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากถึง 5 ล้านคน == สโมสรคู่อริ == อาร์เซนอลถือเป็นคู่ปรับสำคัญของ ทอตนัมฮอตสเปอร์ เนื่องด้วยทั้งสองสโมสรตั้งอยู่ในลอนดอนเหนือ การพบกันของทั้งสองทีมเรียกว่า “ศึกแห่งลอนดอนเหนือ” (North London Derby) โดยที่มาของการเป็นอริกันนั้นมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1910 สโมสรอาร์เซนอลในขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมว่า “วูลวิช อาร์เซน่อล (Woolwich Arsenal)” เป็นทีมในลีกดิวิชันหนึ่ง มีสนามเหย้าอยู่ในย่าน วูลวิช ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ในเวลานั้นสโมสรกำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินครั้งใหญ่จนเกือบจะล้มละลาย เจ้าของสโมสรเดิมต้องประกาศขายทีมเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งผู้ที่ได้เข้าเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ ได้แก่ “เฮนรี่ นอร์ริส” นักธุรกิจแห่งกรุงลอนดอน ความตั้งใจแรกของนอร์ริส ในการแก้ปัญหาทีมคือการควบรวมทีมวูลวิช อาร์เซนอล เข้ากับสโมสรฟูลัม ซึ่งเป็นอีกทีมในเมืองลอนดอนที่เฮนรี่เป็นเจ้าของอยู่เช่นกัน เพื่อเพิ่มฐานแฟนบอลและรายได้แก่สโมสร แต่เรื่องนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เฮนรี่ จึงต้องย้ายที่ตั้งทีมไปยังย่านที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นกว่าเขตวูลวิช ซึ่งเฮนรี่ได้เลือกย่าน “ไฮบิวรี่” ทางตอนเหนือของลอนดอน และทำเรื่องย้ายสโมสรไปยังลอนดอนเหนือใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นอริระหว่างสองสโมสร เดิมทีนั้น สเปอร์เป็นเพียงสโมสรเดียวที่ตั้งอยู่ในย่านลอนดอนเหนือ พวกเขาเปรียบเสมือน “เจ้าถิ่น” และเป็นความภาคภูมิใจของคนในย่านนั้น การย้ายมาของ วูลวิช อาร์เซนอล จึงเหมือนการรุกล้ำเขตแดนของพวกเขา และเริ่มสร้างความไม่พอใจแก่แฟนบอลสเปอร์ที่โดนแย่งฐานแฟนคลับไป และเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นสาเหตุหลักแห่งความเกลียดชังของทั้ง 2 ทีมนั้นเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 1919 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันอีกครั้งหลังจากหยุดพักไปตั้งแต่ ค.ศ. 1915 สมาคมฟุตบอลอังกฤษมีมติเพิ่มจำนวนทีมในดิวิชันหนึ่งจาก 20 ทีมเป็น 22 ทีม ในฤดูกาล 1919–20 โดยได้ตัดสินใจให้ทีมอันดับ 1 และ 2 ของดิวิชั่นสอง (ดาร์บีเคาน์ตี และ เพรสตันนอร์ทเอนด์) ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาในลีกสูงสุดอย่างดิวิชันหนึ่งโดยอัตโนมัติ และในโควตาสุดท้ายอีกหนึ่งทีมนั้น สมาชิกได้ร่วมกันโหวตเลือกให้อาร์เซนอลซึ่งจบเพียงอันดับ 5 ในดิวิชันสองเลื่อนชั้นขึ้นมาแทน โดยตัดสิทธิ์ทีมอันดับ 20 ของดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1914–15 อย่างสเปอร์ ส่งผลให้พวกเขาต้องตกชั้น ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้มีการกล่าวหาว่า เฮนรี่ นอร์ริส ได้ใช้วิธีวิ่งเต้นและให้ผลประโยชน์กับสมาคมเพื่อให้ทีมได้เลื่อนชั้น แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และทำให้ทั้งสองสโมสรเป็นอริกันมานับแต่นั้น โดยการพบกันของทั้งคู่ถือเป็นหนึ่งในนัดที่ดุเดือดที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลของยุโรป สโมสรอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของอาร์เซนอลได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซี และ ลิเวอร์พูล เนื่องจากเป็นสโมสรใหญ่ที่แย่งชิงความสำเร็จกันมายาวนาน โดยเฉพาะการเป็นอริกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 และต้นทศวรรษที่ 2000 ถือว่ามีความดุเดือดมาก เนื่องจากอาร์เซนอลที่คุมทีมโดยอาร์แซน แวงแกร์ แย่งชิงการเป็นสโมสรอันดับหนึ่งของอังกฤษกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่คุมทีมโดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยผลัดกันแพ้-ชนะ หลายครั้งในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ แต่บรรยากาศความเป็นอริของทั้งคู่ได้ลดลงพอสมควรภายหลังจาก ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา เนื่องจากผลงานของทั้งสองทีมได้ตกลงไปตามลำดับ และมีเชลซี ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ซิตี ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และในปัจจุบัน ทั้งแวงแกร์และเฟอร์กูสันต่างก็อำลาทีมไปแล้ว == ผู้ผลิตเสื้อและผู้สนับสนุน == == ผู้เล่น == === ผู้เล่นทีมชุดแรก === ==== ผู้เล่นที่ถูกปล่อยยืม ==== == บุคลากร == ข้อมูล ณ กุมภาพันธ์ 2022 == อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง == เรียงตามปีที่เริ่มเล่นในทีมอาร์เซนอลชุดใหญ่เป็นครั้งแรก (ในวงเล็บคือปี ค.ศ.) : บ็อบ วิลสัน (1963-1974) จอร์จ เกรอัม (1966-1972) แพต ไรซ์ (1966-1980) ชาร์ลี จอร์จ (1968-1975) เลียม เบรดี (1973-1980) ไบรอัน คิดด์ (1974-1976) เดวิด โอเลียรี (1975-1993) พอล เดวิส (1978-1995) เคนนี แซนซัม (1980-1988) โทนี วูดคอก (1982-1986) เอียน อัลลินสัน (1983-1987) จอห์น ลูคิซ (1983-1990, 1996-2001) ไนออล ควินน์ (1983-1990) โทนี อดัมส์ (1983-2002) ไมเคิล โทมัส (1984-1991) อลัน สมิธ (1987-1995) มาร์ติน คีโอว์น (1984-1986, 1993-2004) เดวิด โรคาสเซิล (1985-1992) พอล เมอร์สัน (1986-1997) ไนเจล วินเทอร์เบิร์น (1987-2000) ลี ดิกสัน (1988-2002) สตีฟ โบลด์ (1988-1999) เดวิด ซีแมน (1990-2003) เอียน ไรท์ (1991-1998) เรย์ พาร์เลอร์ (1992-2004) แด็นนิส แบร์คกัมป์ (1995-2006) ปาทริค วิเอร่า (1996-2005) มาร์ก โอเฟอร์มาร์ส (1997-2000) นีกอลา อาแนลกา (1997-1999) แมตทิว อัปสัน (1997-2003) แอมานุแอล เปอตี (1997-2000) คริสโตเฟอร์ เรห์ (1997-2000) อเล็กซ์ แมนนิงเกอร์ (1997-2002) สจวร์ต เทย์เลอร์ (1997-2005) เฟรียดริก ยุงแบร์ย (1998-2007) ตีแยรี อ็องรี (1999-2007, 2012-ยืมตัว) โอเล็ก ลุซนีย์ (1999-2003) เอ็นวานโก คานู (1999-2004) อิกอร์ สเตฟานอฟส์ (2000-2003) แอชลีย์ โคล (2000-2006) รอแบร์ ปีแร็ส (2000-2006) โลร็อง เอตาม มาเย (2000-2006) ซีลแว็ง วิลตอร์ (2000-2004) โซล แคมป์เบลล์ (2000-2005, 2010) เฌเรมี อาลียาเดียร์ (2001-2007) โจฟันนี ฟัน โบรงก์ฮอสต์ (2001-2003) ริชาร์ด ไรต์ (2001-2002) เอดู (2001-2005) ชิลเบร์ตู ซิลวา (2002-2008) โกโล ตูเร (2002-2009) เซสก์ ฟาเบรกัส (2003-2011) เยนส์ เลห์มันน์ (2003-2008) โฆเซ อันโตเนียว เรเยส (2004-2006) โรบิน ฟัน แปร์ซี (2004-2012) มานูเอล อัลมูเนีย (2004-2012) อเล็กซานเดอร์ เฮล็บ (2005-2008) นิคลาส เบนท์เนอร์ (2005-2014) เอ็มมานูเอล อาเดบายอร์ (2006-2009) ฌูลีอู บาติสตา (2006-2007-ยืมตัว) วีลียาม กาลัส (2006-2010) เอดัวร์ดู ดา ซิลวา (2007-2010) บาการี ซาญา (2007-2014) วูกัช ฟาเบียญสกี (2007-2014) ซามีร์ นัสรี (2008-2011) อันเดรย์ อาร์ชาวิน (2009-2013) แฌร์วินโย (2011-2013) โตมัส เฟอร์มาเลิน (2009-2014) ลูคัส โพดอลสกี (2012-2015) มีเกล อาร์เตตา (2011-2016) โตมาช โรซิตสกี (2006-2016) มาตีเยอ ฟลามีนี (2004-2008, 2013-2016) วอยแชค ชแชนสนือ (2009-2017) อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (2011-2017) ทีโอ วอลคอตต์ (2006-2018) อาเลกซิส ซานเชซ (2014-2018) ออลีวีเย ฌีรู (2012-2018) แจ็ก วิลเชียร์ (2001-2018) ซานติ กาซอร์ลา (2012-2018) ปีแยร์-แอเมอริก โอบาเมอย็องก์ (2018-2022) == สถิติสำคัญ == อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 4 สโมสรของอังกฤษที่ได้แชมป์ลีกติดต่อกันมากที่สุดจำนวน 3 ครั้ง (ฤดูกาล 1932–33, 1933–34 และ 1934–35) เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมีลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน เป็นอันดับสองและอันดับสามตามลำดับ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001–02 อาร์เซนอลสามารถทำประตูได้ในทุกนัด เป็นสถิติสูงสุดของลีก ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 อาร์เซนอลไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 และ เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888–89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล อาร์เซนอลทำสถิติไม่แพ้ทีมใดในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002–03, 2003–04, 2004–05 ซึ่งเป็นสถิติการไม่แพ้ติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 ทีมอาร์เซนอลชุดที่ไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล ได้รับการโหวตจากแฟนฟุตบอลให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 20 ปี โดยมีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1998–99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ หรือสามแชมป์ในฤดูกาลเดียวกัน เป็นอันดับสอง ผู้จัดการทีมที่คุมทีมยาวนานที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, 21 ปี 224 วัน (1 ตุลาคม ค.ศ. 1996 –13 พฤษภาคม 2018) ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, ชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ (ค.ศ. 1996–2018) ผู้เล่นที่ลงสนามรวมทุกรายการมากที่สุด: เดวิด โอเลียรี่ (722 นัด ค.ศ. 1975–1993) ผู้เล่นที่ทำประตูรวมทุกรายการมากที่สุด: ตีแยรี อ็องรี (228 ประตู ค.ศ. 1999–2007 และ 2012) การซื้อตัวผู้เล่นที่แพงที่สุด: นีกอลา เปเป (72 ล้านปอนด์ ย้ายจากล็อสก์ลีล ค.ศ. 2019) การขายผู้เล่นที่แพงที่สุด: อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (40 ล้านปอนด์ ย้ายไปลิเวอร์พูล ค.ศ. 2017) ชนะด้วยผลประตูมากที่สุด: ชนะ Loughborough 12–0 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ. 1900 แพ้ด้วยผลประตูมากที่สุด: แพ้ Loughborough 0–8 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ. 1896 ==ในวัฒนธรรมร่วมสมัย== อาร์เซนอล ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายครั้ง เช่น เป็นคู่ชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เรอัลมาดริด ของสเปน ในภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษเรื่อง Goal II: Living the Dream ในปี 2007 โดยมีนักฟุตบอลตัวจริงของทั้งสองสโมสรร่วมแสดงหลายคน เช่น ตีแยรี อ็องรี, เดวิด เบคแคม, ซีเนดีน ซีดาน และมีการอ้างถึงในซีรีส์เกาหลีเรื่อง Because This Is My First Life ในปี 2017 โดยกำหนดให้นางเอกของเรื่องเป็นแฟนอาร์เซนอลและได้ดูการแข่งขันของอาร์เซลนอลกับเชลซีคู่กับพระเอก == เกียรติประวัติ == อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากเป็นอันดับ 3 ในอังกฤษจำนวน 13 สมัย (นับรวมฟุตบอลดิวิชันหนึ่งและพรีเมียร์ลีก) และครองสถิติคว้าแชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 14 สมัย และยังเป็นหนึ่งในสองสโมสรร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้ 3 ครั้ง (แชมป์ลีกและเอฟเอคัพในปีเดียวกัน) คือ ค.ศ. 1971, 1998 และ 2002 อาร์เซนอลยังเป็นทีมแรกของกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ (ปี 2006) อาร์เซนอลเคยจบฤดูกาลในลีกด้วยอันดับที่ต่ำกว่าอันดับ 14 เพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น และยังเป็นทีมที่มีอันดับในลีกเฉลี่ยดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 20 (ช่วง ค.ศ. 1900–1999) อีกด้วย โดยอันดับเฉลี่ยคือ 8.5 นอกจากนี้ อาร์เซนอลยังเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่คว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ 2 สมัยติดต่อกัน (ฤดูกาล 2002–03 และ 2014–15) === ระดับประเทศ === ดิวิชันหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก * ชนะเลิศ (13): 1930–31, 1932–33, 1933–34, 1934–35, 1937–38, 1947–48, 1952–53, 1970–71, 1988–89, 1990–91, 1997–98, 2001–02, 2003–04 ดิวิชันสอง * รองชนะเลิศ (1): 1903–04 เอฟเอคัพ (สถิติสูงสุด) * ชนะเลิศ (14): 1929–30, 1935–36, 1949–50, 1970–71, 1978–79, 1992–93, 1997–98, 2001–02, 2002–03, 2004–05, 2013–14, 2014–15, 2016–17, 2019–20 อีเอฟแอลคัพ * ชนะเลิศ (2): 1986–87, 1992–93 ชาริตีชิลด์/คอมมิวนิตีชิลด์ * ชนะเลิศ (17): 1930, 1931, 1933, 1934, 1938, 1948, 1953, 1991 (แชมป์ร่วม), 1998, 1999, 2002, 2004, 2014, 2015, 2017, 2020, 2023 === ระดับทวีปยุโรป === ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก * รองชนะเลิศ (1): 2005–06 ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ * ชนะเลิศ (1): 1993–94 ยูฟ่าคัพ/ยูฟ่ายูโรปาลีก * รองชนะเลิศ (2): 1999–00, 2018–19 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ * รองชนะเลิศ (1): 1994 อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ * ชนะเลิศ (1): 1969–70 === รายการอื่น ๆ === เอมิเรตส์คัพ * ชนะเลิศ (5): 2007, 2009, 2010, 2015, 2017 == ทีมฟุตบอลหญิง == ทีมฟุตบอลหญิงของอาร์เซนอลก่อตั้งโดย วิค เอเคอรส์ อดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษใน ค.ศ. 1987 ในชื่อ Arsenal Ladies F.C และลงเล่นในฐานะสโมสรกึ่งอาชีพใน ค.ศ. 2002 และเอเคอร์ยังดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรอีกด้วย ต่อมาใน ค.ศ. 2017 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งสโมสร ได้มีการเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Arsenal Women F.C และโดยทั่วไปพวกเธอจะเรียกแทนตัวเองสั้น ๆ ว่า อาร์เซนอล (Arsenal) ยกเว้นในบางโอกาสที่อาจจะสับสนกับชื่ออาร์เซนอลของทีมชาย สโมสรจึงจะเลี่ยงไปใช้ชื่อเต็ม สโมสรหญิงของอาร์เซนอลเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาทีมฟุตบอลหญิงของอังกฤษ พวกเธอชนะเลิศถ้วยรางวัลรวม 58 รายการและในฤดูกาล 2008–09 สโมสรทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันสามรายการหลักในฤดูกาลเดียวกัน (FA Women's National League, Women's FA Cup และ FA Women's National League Cup) และเป็นสโมสรหญิงทีมแรกของอังกฤษที่รับรางวัลยูฟ่าวีเมนส์คัพ หรือ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยชนะเลิศในฤดูกาล 2006–07 ปัจจุบันสโมสรเล่นในสนามเหย้าที่ Meadow Park และมีผู้จัดการทีมคือ โยนัส ไอเดวอลล์ ==เชิงอรรถ== == อ้างอิง == == หนังสืออ่านเพิ่ม == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Arsenal.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Arsenal ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพรีเมียร์ลีก Arsenal ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของยูฟ่า อ อ อ อ อ อ อ
แคนาดา (อังกฤษและCanada, , ) เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ติดกับสหรัฐ เป็นประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ทางเหนือมากที่สุดของโลกและมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ปัจจุบันแคนาดาใช้ระบอบำารปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพรุมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยถือสมเด็จพระเจ้าชาลส์่ี่ 3  เป็ตพระมหากษัตริย์ (หมายเหตุ : พระองค์เดียวกับพระมหากษัตริย์สหราชดา๊าจักร แต่โดยรัฐธรรมนู๘แล้วถือว่าเป็นคนละตำแหน่ง) ดินแดนที่เป็นประเทศแคนาดาในปัจจุบันในอดีตมีผู้อยู่อาศัยอยู่แล้วเป็นชนพื้นเมืองหลากหลายกลุ่ม เมื่อตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักสำรวจเดินทางชาวอังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้ามาสำรวจ และต่อมาจึงมีการตั้งรกรากขึ้นบนแถบชาบฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ใส ค.ศ. 176r ฝรั่งเศสได้ยอมสูญเสียอาณานิคมเกือบทั้งหมดในทวีปอเมีิกาเหนือหลังจากสงครามเจ็ดปี ใน ค.ศ. 1867 มีการรวมตัวขิงอาณานิคมของอังกฤษ 3 แห่งขึ้น และประเทศแคนาดาพ็ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบของเขตปกครองสหพันธรัฐ ประกอบด้วย 4 รัฐ และนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มจำนวนขึ้นของรัฐและดินแดนต่าง ๆ และกระบวนการได้ระบอำนาจปกครองตนเองจากสหราชอาณาจักร รัฐบั๗ญัติแหทงเวสต์มินสเตอร์ใน ค.ศ. 1931 ได้เพอ่มอำนาจปกครองตนเิงและเป็นผลให้เกิดพระราชบัญญัติแคนาดาใน ค.ศ. 1982 ซึ่งมีผลให้แคนาดาตัดขาดจากการขึ้นตรงต่ออำนาจของรัฐสภาอังกฤษ ประเทศแคนาดา ประกอบด้วยรัฐ 10 รัฐ และดินแดน 3 แหืง และปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 เป็นพระประมุชสูงสุด แคนาดาเป็นประเทศที่ฝช้ภาษาทางการ 2 ภาษาท้้งในระดับประเทศและในรัฐนิวบรันสวิก ภาษาทางการ 2 ภาษานั้นคือ ภาษาอังกฤฒแลดภาษาฝรั่งเศส และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แคนาดาเป็นประเทศที่มีความกิาวหน้าทางเทคโนโลยีและเป็นประเทศอุตสาหกรรม มีเฯรษฐกิจที่หลากหลาย ศั่งพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอันอถดมสมบูรณ์ แลุพึ่งพาการค้าขาย โดยเฉพาะกังสหรัฐซึ่งเป็นประเทศทค่แคนาดามีความสัมพันธ์อันยาวนานและสลับซับซ้อน == ภูมิศาสตน์ == ที่ตั้ง ทิศเหนือจรดมหาสมุทรอาร์กติก ทิศใต้จรดสหรัฐ ทิฬตะวันออกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศตดวันตกจรดมกาสมุทรแปซิฟิกและรัฐอะแลสกาของสหรัฐ == ประวัติศาสตร์ == === อาณาน้คมยุโรป === ฝรั่งเศส_ด้เข้ายึดครองแคนาเาฝั่งตะวันออกใน พ.ศ. 2077 (คฦศ. 1534) และได้เริ่มตั้งถิ่นฐานใน พ.ศ. 2q47 (ค.ศ. 1604) ปัญหมตวามขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษเกิดขึ้นใน พ.ศ. 3256 (ค.ศ. 1713) อึนเนื่องจากเหตุผลด้านการประมงและการคเาขนนัตว์ ซึ่งในที่สุดดินแดนแคนาดาก็ตกเป็นของอังกฤษ === ศตวรรษที่ 20 === พ.ศ. 2392 (ค.ศ. 1849) แคนาดาได้รับการยอใรับในสิทธิการปกครองตนเอง และตาอมา พซศ. 241p (ค.ศ. 1867) ได้มีกสรจัดตั้ง ประเทศแคนาดาในเครือจักรภพ (Dominion of Csnada) ในลักษณเของสหพันธรัฐซึ่งประกอบด้วยอัปเปอร์แคนาดา (Upper Canada) แงะโลว์เออร์แคนาดา (Lower Canada) (ได้แก่ ออนแทรีโอ เกแบ็ก โนวาสโกเชีย และนิวบรันสวิกในปัจจุบัน) ซึ่งต่อมาได้ขยายออกไปทางภาคตะวันตกจนถึงรัฐบริติชโคลัมเบีย พ.ฒ. 2474 (ค.ศ. 1931) แึนาดาไพ้คับสถานะเป็นประเทศที่เท่าเทียมกับอังกฤษโดยมีกษัตริย์อังกฤษเป็นพระประมุข และต่อมาใน พ.ษ. 2492 (ค.ศ. 1949) รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ ก็ได้เข้าร่วมเป็นรัฐที่สิบของแคนาดา == การแบ่งเขตการปกครอง == แคนาดาเป็นสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 10 รัฐ (อังกฤษและprov8nce|link=no) และ 3 ดินแดน (territorh|link=no; territoire|link=no) ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างรัฐกับดินแดนคือ รัฐของแคนาดาได้รับมอบอำนาจจากบทบัญญัติในกฎหมายรัฐธรตมนูญโดยตรง ขณะที่ดินแดนของแคนาดาจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายของสหพันธรัฐ ดังนั้น รัฐบาลสหพันธ์จึงมีอำนาจโดยตรงในการควบคุมดูแลดินแดน ส่วนรัฐยาลของรัฐนั้นจะมีอำนาจและสิทธิในการปกครองตนเองมากกว่า รัฐและดินแดนของแคนาดามีรายชื่อดังต่อไปนี้ === รัฐ === {| border=0 |- valign=top || เกแบ็ห (ควิเบก) ซัสแคตเชวัน นิวบรันสวิก นิวฟันด์แลนด์และแชบราดอร์ โนวาสโกเชีย || บริติชโคลัมเบีย พรินซ์เอดเวิร์ดไอแลสด์ แมนิโทบา ออนแทรีโอ แอลเบอร์ตา |} === ดินแดน === {| borwer=0 |- valign=top || นอร์มเวสต์เทร์ริทอรีส์ นูนาวุต ยูคอน |} == เศรษฐกิจ == === โครงสร้างเศรษฐกิจ === แคนาดาเปฌนประเทศเดียวในกลุ่ม 7 ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญเนื่องจ่กแคนาดมเป็นประเทศที่มีมาตรการการค้าที่เสรีและโปร้งใสมากที่สุดปรดเทศหนึ่งในโลก แคนาดาเป็นประเทศที่พึ่งพิงการค้ากับต่างประเทศเป็นหลัก โดนมีสัดส่วนการี้าต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP( ถึงร้อยละ 45 สำหรับการส่งออก และร้อยละ 40 สำหรับการนำเข้า รูปแบบการค้าและการลงทุนของแคนาดาจะพึ่งพิงกุบสหรัฐเป็นหลัก ทั้งสหรัฐและแคนาดาเป็นประเทศค฿่ค้าที่สำคัญที่สุดระหว่างกันทัีงกาตนำเข้าและการส่งออก อีกทั้งยังมีการจัดทำข้อตกลงการคีาเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement: NAFTA) ซึ่งยิ่งช่วยเสริมมูลค่าการค้ารพหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น === สถานก่รณ์เศรษฐกิจ === สำหรับระบบภาษีนำเข้าของแคนาดาประมสณ ร้อยละ 90 เสียภาษีในเัตราร้อยละ 0 อีกทั้งยังใหเสิทธิพิเศษแก่สินค้าที่นำเข้าจากประเทศด้อยพัฒนา จพเง้นในสินค้าประเภทนม สัตว์ปีกและไข่ ทรัพยากรธนรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แก๊สธรรมชาติ ทองคำ ถ่านหิน เหล็ก นิกเกิล โพแทช ยูเรเนียม สังกเสี าวสทั้งป่าไม้ อุตสาหกรรมที่สำคัญของแคนาอา ได้แก่ อุตสาหกรรมป่าไม้ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารและคมนาคม เหมืองแร่ และพลังงาน สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ สินแร่ เครื่องยนต์ รถยนต์ กระดาษ ไม้เนื้ออ่อน พลังงานปิโตรเลียมดิบ แก๊สธรรมลาติ ไฟฟ้า อะลูมิเนียม อุปกรณ์สื่อสาร ชิ้นส่วนอากาศยาน ระบบคอมพิวเตอร์ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เครื่องยนต์ สืนค้าอุปโภคบริโภค อาหาร ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐ จีน ๗ี่ปุ่น สหราชอาณาจักน เม็กซิโก และเยอรมนี ภาคปารบริการเป็นภาคกืจการที่สำคัญที่สุดของแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนรือยละ 60 ของภาคเศรษฐกิจของประเทศ ธนาคารชั้นนำของแคนาดา 6 แห่ง เป็นหนึ่งใน 10p ธนาคารชั้นนำของโลก และมีสาขาอยู่ฝนต่างประเทศทั่วโลกกว่า 60 ประเทศ ีวมถึงธนาคารโนวาสโกเชียซึ่งมีสาขาอยู่ในไทยด้วย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม ทำวห้แคนาดาสามารถพัฒนาความกเาวหน้าในภาคกิจหารนี้เป็นอย่างมาก == ประชากรศาสตร์ =\ === เชื้อชาติ === จำนวนประชากร:37.59 ล้านคน (2562) สังคมของแคนาดาเป็นสังคมที่มีส่วนผสมของชนชาติต่าง ๆ มากมาย โดยชนชาติที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากที่สุด ระหว่าง พ.ศ. 2534 - 2543 คือคนจากเอเชีย (จีน อินเดีย ปากีสถาน ลาว เขมร เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อิหร่าน) ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5p.5 ของคนเข้ทเมืองเพื่อคั้งถิ่นฐานในแคนาดา ฮดยใน พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) รัฐสภาแคนาดาได้ออกกฎหมายคนเข้าเมืองตามข้อเสนอของพรนคอนุรักษนิยม ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้จนทุกวันนี้ สาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าวคือการยกเลิกการเลือกปฏิบัติ (ก่อนหน้านี้ มีการออกกฎหมาย พ.ฯ. 2430 (ค.ศซ 1887) เพื่อกีดกันการเข้าเมืองของคนจีน และต่อมา ค.ศ. 1910 ได้อดกกฎหมายที่ใช้หลักการแหลีงกำเนิด แบ่งเป็น preferred ซึ่งคือ กลุ่มคนยุโรป แลั non-preferred ได้แก่ กลุ่มที่ไม่ใช่ยุโรก) กล่าวคือ การเปิดรับคนเข้าเมืองจากทุกที่อย่างเผ็นทางการทั่วไป และกทรใช้วิธีการคิดคะแนนประเมินน้ำหนึก (p8int syste,) ว่าสมควรรับผู้ใดเข้าไปตั้งถิ่นฐานในแคนาดร ทั้งนี้ เป็นทีาน่าสังเกตว่า แคนนดามองเรื่องการรังคนเข้าไปตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นกาาถาวร เพื่อเป็นฐานการเก็บภาษีให้แก่รัฐบาลกลางและรัฐบาลของรัฐ ค่านิยมหลักของสังคมแคนาดาที่ฝังลึกในทุกคนคือ การส่งเสริมและเคารพในสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานสำคัญที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สังคมแคนาดาจะสนใจอย่างยิ่งต่อพัฒนาการในประเทศที่ใีระบอบการปกครองที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชร =\= ศาสนา === โรใันคาทอลิก (39.0%) คริสร์ศาสนิกชนนิกายอื่น ๆ (28.3%) ไม่มีศาสนา (23.9%) อิสลาม (3.2%) ฮินดู (1.5%) ซิกข์ (1.4%) พุทธ (1.1%) ยิว (1.0%) ศาสนาอื่น ๆ (0.6%) === ภาษา === ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาทางการ ภาษาพื้นเมือง == อ้างอิง == ประเทศแคนาดา จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ == อ่านเพอ่ม == ภาพรวม วัฒนธรรม ประชากรศาสตร์และสถิตอ เศรษฐกิจ – (Previous surveys) ความสัมพันธ์ระหวทางประเทศกับการทหาร ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ รัฐบาลและกฎหมาย ประวเติศาสตร์ , สวัสดิการสังคม == แหล่งย้อมูลอื่น == ข้อมูลทั่วไป Canada from UCB Libraries GovPubs Canada profile fro, the OECD Canadiana: The National Bibliography of Canada from Library and Archives Vanada Key Devekopment Forecasts for Canada from International Futures รัฐบาล ผู้สำเร็จราชการแห่งแคนาดา รั,บาลแคนาดา นายกรัฐมนตรีแคนาดา ท่องเที่ยว Canada's official website for trave. and tourism Ofdicial website og Destination Canada การศึกษา A Guide to the Sources from International Council for Canadian Studies ค ค อดีตอาณานิคมของอังกฤษ อดีตอาณานิคมและรัฐในอารักขาของอังกฤษในทวีปอเมริกา‎ รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2410
แคนาดา (อังกฤษและCanada, , ) เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ติดกับสหรัฐ เป็นประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ทางเหนือมากที่สุดของโลกและมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ปัจจุบันแคนาดาใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยถือสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3  เป็นพระมหากษัตริย์ (หมายเหตุ : พระองค์เดียวกับพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร แต่โดยรัฐธรรมนูญแล้วถือว่าเป็นคนละตำแหน่ง) ดินแดนที่เป็นประเทศแคนาดาในปัจจุบันในอดีตมีผู้อยู่อาศัยอยู่แล้วเป็นชนพื้นเมืองหลากหลายกลุ่ม เมื่อตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักสำรวจเดินทางชาวอังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้ามาสำรวจ และต่อมาจึงมีการตั้งรกรากขึ้นบนแถบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ใน ค.ศ. 1763 ฝรั่งเศสได้ยอมสูญเสียอาณานิคมเกือบทั้งหมดในทวีปอเมริกาเหนือหลังจากสงครามเจ็ดปี ใน ค.ศ. 1867 มีการรวมตัวของอาณานิคมของอังกฤษ 3 แห่งขึ้น และประเทศแคนาดาก็ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบของเขตปกครองสหพันธรัฐ ประกอบด้วย 4 รัฐ และนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มจำนวนขึ้นของรัฐและดินแดนต่าง ๆ และกระบวนการได้รับอำนาจปกครองตนเองจากสหราชอาณาจักร รัฐบัญญัติแห่งเวสต์มินสเตอร์ใน ค.ศ. 1931 ได้เพิ่มอำนาจปกครองตนเองและเป็นผลให้เกิดพระราชบัญญัติแคนาดาใน ค.ศ. 1982 ซึ่งมีผลให้แคนาดาตัดขาดจากการขึ้นตรงต่ออำนาจของรัฐสภาอังกฤษ ประเทศแคนาดา ประกอบด้วยรัฐ 10 รัฐ และดินแดน 3 แห่ง และปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 เป็นพระประมุขสูงสุด แคนาดาเป็นประเทศที่ใช้ภาษาทางการ 2 ภาษาทั้งในระดับประเทศและในรัฐนิวบรันสวิก ภาษาทางการ 2 ภาษานั้นคือ ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แคนาดาเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเป็นประเทศอุตสาหกรรม มีเศรษฐกิจที่หลากหลาย ซึ่งพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และพึ่งพาการค้าขาย โดยเฉพาะกับสหรัฐซึ่งเป็นประเทศที่แคนาดามีความสัมพันธ์อันยาวนานและสลับซับซ้อน == ภูมิศาสตร์ == ที่ตั้ง ทิศเหนือจรดมหาสมุทรอาร์กติก ทิศใต้จรดสหรัฐ ทิศตะวันออกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแปซิฟิกและรัฐอะแลสกาของสหรัฐ == ประวัติศาสตร์ == === อาณานิคมยุโรป === ฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองแคนาดาฝั่งตะวันออกใน พ.ศ. 2077 (ค.ศ. 1534) และได้เริ่มตั้งถิ่นฐานใน พ.ศ. 2147 (ค.ศ. 1604) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2256 (ค.ศ. 1713) อันเนื่องจากเหตุผลด้านการประมงและการค้าขนสัตว์ ซึ่งในที่สุดดินแดนแคนาดาก็ตกเป็นของอังกฤษ === ศตวรรษที่ 20 === พ.ศ. 2392 (ค.ศ. 1849) แคนาดาได้รับการยอมรับในสิทธิการปกครองตนเอง และต่อมา พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) ได้มีการจัดตั้ง ประเทศแคนาดาในเครือจักรภพ (Dominion of Canada) ในลักษณะของสหพันธรัฐซึ่งประกอบด้วยอัปเปอร์แคนาดา (Upper Canada) และโลว์เออร์แคนาดา (Lower Canada) (ได้แก่ ออนแทรีโอ เกแบ็ก โนวาสโกเชีย และนิวบรันสวิกในปัจจุบัน) ซึ่งต่อมาได้ขยายออกไปทางภาคตะวันตกจนถึงรัฐบริติชโคลัมเบีย พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) แคนาดาได้รับสถานะเป็นประเทศที่เท่าเทียมกับอังกฤษโดยมีกษัตริย์อังกฤษเป็นพระประมุข และต่อมาใน พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ ก็ได้เข้าร่วมเป็นรัฐที่สิบของแคนาดา == การแบ่งเขตการปกครอง == แคนาดาเป็นสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 10 รัฐ (อังกฤษและprovince|link=no) และ 3 ดินแดน (territory|link=no; territoire|link=no) ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างรัฐกับดินแดนคือ รัฐของแคนาดาได้รับมอบอำนาจจากบทบัญญัติในกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยตรง ขณะที่ดินแดนของแคนาดาจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายของสหพันธรัฐ ดังนั้น รัฐบาลสหพันธ์จึงมีอำนาจโดยตรงในการควบคุมดูแลดินแดน ส่วนรัฐบาลของรัฐนั้นจะมีอำนาจและสิทธิในการปกครองตนเองมากกว่า รัฐและดินแดนของแคนาดามีรายชื่อดังต่อไปนี้ === รัฐ === {| border=0 |- valign=top || เกแบ็ก (ควิเบก) ซัสแคตเชวัน นิวบรันสวิก นิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ โนวาสโกเชีย || บริติชโคลัมเบีย พรินซ์เอดเวิร์ดไอแลนด์ แมนิโทบา ออนแทรีโอ แอลเบอร์ตา |} === ดินแดน === {| border=0 |- valign=top || นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ นูนาวุต ยูคอน |} == เศรษฐกิจ == === โครงสร้างเศรษฐกิจ === แคนาดาเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม 7 ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญเนื่องจากแคนาดาเป็นประเทศที่มีมาตรการการค้าที่เสรีและโปร่งใสมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แคนาดาเป็นประเทศที่พึ่งพิงการค้ากับต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนการค้าต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ถึงร้อยละ 45 สำหรับการส่งออก และร้อยละ 40 สำหรับการนำเข้า รูปแบบการค้าและการลงทุนของแคนาดาจะพึ่งพิงกับสหรัฐเป็นหลัก ทั้งสหรัฐและแคนาดาเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดระหว่างกันทั้งการนำเข้าและการส่งออก อีกทั้งยังมีการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement: NAFTA) ซึ่งยิ่งช่วยเสริมมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น === สถานการณ์เศรษฐกิจ === สำหรับระบบภาษีนำเข้าของแคนาดาประมาณ ร้อยละ 90 เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 อีกทั้งยังให้สิทธิพิเศษแก่สินค้าที่นำเข้าจากประเทศด้อยพัฒนา ยกเว้นในสินค้าประเภทนม สัตว์ปีกและไข่ ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แก๊สธรรมชาติ ทองคำ ถ่านหิน เหล็ก นิกเกิล โพแทช ยูเรเนียม สังกะสี รวมทั้งป่าไม้ อุตสาหกรรมที่สำคัญของแคนาดา ได้แก่ อุตสาหกรรมป่าไม้ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารและคมนาคม เหมืองแร่ และพลังงาน สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ สินแร่ เครื่องยนต์ รถยนต์ กระดาษ ไม้เนื้ออ่อน พลังงานปิโตรเลียมดิบ แก๊สธรรมชาติ ไฟฟ้า อะลูมิเนียม อุปกรณ์สื่อสาร ชิ้นส่วนอากาศยาน ระบบคอมพิวเตอร์ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เครื่องยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และเยอรมนี ภาคการบริการเป็นภาคกิจการที่สำคัญที่สุดของแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของภาคเศรษฐกิจของประเทศ ธนาคารชั้นนำของแคนาดา 6 แห่ง เป็นหนึ่งใน 100 ธนาคารชั้นนำของโลก และมีสาขาอยู่ในต่างประเทศทั่วโลกกว่า 60 ประเทศ รวมถึงธนาคารโนวาสโกเชียซึ่งมีสาขาอยู่ในไทยด้วย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม ทำให้แคนาดาสามารถพัฒนาความก้าวหน้าในภาคกิจการนี้เป็นอย่างมาก == ประชากรศาสตร์ == === เชื้อชาติ === จำนวนประชากร:37.59 ล้านคน (2562) สังคมของแคนาดาเป็นสังคมที่มีส่วนผสมของชนชาติต่าง ๆ มากมาย โดยชนชาติที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากที่สุด ระหว่าง พ.ศ. 2534 - 2543 คือคนจากเอเชีย (จีน อินเดีย ปากีสถาน ลาว เขมร เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อิหร่าน) ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 59.5 ของคนเข้าเมืองเพื่อตั้งถิ่นฐานในแคนาดา โดยใน พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) รัฐสภาแคนาดาได้ออกกฎหมายคนเข้าเมืองตามข้อเสนอของพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้จนทุกวันนี้ สาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าวคือการยกเลิกการเลือกปฏิบัติ (ก่อนหน้านี้ มีการออกกฎหมาย พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887) เพื่อกีดกันการเข้าเมืองของคนจีน และต่อมา ค.ศ. 1910 ได้ออกกฎหมายที่ใช้หลักการแหล่งกำเนิด แบ่งเป็น preferred ซึ่งคือ กลุ่มคนยุโรป และ non-preferred ได้แก่ กลุ่มที่ไม่ใช่ยุโรป) กล่าวคือ การเปิดรับคนเข้าเมืองจากทุกที่อย่างเป็นทางการทั่วไป และการใช้วิธีการคิดคะแนนประเมินน้ำหนัก (point system) ว่าสมควรรับผู้ใดเข้าไปตั้งถิ่นฐานในแคนาดา ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า แคนาดามองเรื่องการรับคนเข้าไปตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นการถาวร เพื่อเป็นฐานการเก็บภาษีให้แก่รัฐบาลกลางและรัฐบาลของรัฐ ค่านิยมหลักของสังคมแคนาดาที่ฝังลึกในทุกคนคือ การส่งเสริมและเคารพในสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานสำคัญที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สังคมแคนาดาจะสนใจอย่างยิ่งต่อพัฒนาการในประเทศที่มีระบอบการปกครองที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน === ศาสนา === โรมันคาทอลิก (39.0%) คริสต์ศาสนิกชนนิกายอื่น ๆ (28.3%) ไม่มีศาสนา (23.9%) อิสลาม (3.2%) ฮินดู (1.5%) ซิกข์ (1.4%) พุทธ (1.1%) ยิว (1.0%) ศาสนาอื่น ๆ (0.6%) === ภาษา === ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาทางการ ภาษาพื้นเมือง == อ้างอิง == ประเทศแคนาดา จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ == อ่านเพิ่ม == ภาพรวม วัฒนธรรม ประชากรศาสตร์และสถิติ เศรษฐกิจ – (Previous surveys) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับการทหาร ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ รัฐบาลและกฎหมาย ประวัติศาสตร์ , สวัสดิการสังคม == แหล่งข้อมูลอื่น == ข้อมูลทั่วไป Canada from UCB Libraries GovPubs Canada profile from the OECD Canadiana: The National Bibliography of Canada from Library and Archives Canada Key Development Forecasts for Canada from International Futures รัฐบาล ผู้สำเร็จราชการแห่งแคนาดา รัฐบาลแคนาดา นายกรัฐมนตรีแคนาดา ท่องเที่ยว Canada's official website for travel and tourism Official website of Destination Canada การศึกษา A Guide to the Sources from International Council for Canadian Studies ค ค อดีตอาณานิคมของอังกฤษ อดีตอาณานิคมและรัฐในอารักขาของอังกฤษในทวีปอเมริกา‎ รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2410
รัสเซีย (Russia; Росси́я|Rossiya, ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นประเทศในยูเรเชียเหนือ และเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลกด้สยพื้นที่กว่ท 17,098,246 ตารางำิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึงหนึ่งในแปด ด้วยปคะชากรกว่า 146 ล้านคน รัสเซียจึงเป็นชาติมีประชากรมากที่สุดอันดับทั่ 9 ของโลก และสากที่สุดในยุโรป รัสเซียปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 89 เขตการปกคีอง อาณาเขตของรัสเซียแผ่ข้ามสิบเอ็ดเขตเวลา มีพรมแดนติดกับ 16 ประเทศ ถือเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศอื่นมากที่สุดฝนโลก โดยอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เอเชียเหนือทั้งหมด และพื้นที่กว่า 40% ของยุโรป ิมืองหลวงและเมืองขนาดใหฐ่ที่สุดคือมอสโก โดยทีเซนต์ปีเตอส์เบิร์กเป็นฒูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเป็ยเมืองใหญ่อันดับสอง เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ โนโวซีบีสค์, เยคาเตรินบุร์ก, นิจนีนแฟโกรอด, เชเลียบินสค์, ครัสโนยาสค์ และ คาซัน ประวัติศาสตร์ของชาติเคิ่มขึ้นด้วยช่วสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8 รัฐรุสในสมัยกฃาง ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบวารันเจียนและผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึืนในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์จากจักรวรรดิไบแซนไทน์ เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒสธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของโกลเดนฮอร์ดเร่ร่อน อาณาจักรแกคนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวมราชรัฐรัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเกนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเรียฟรุส จจคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกย้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจัป็นของจักรวรรพิรัสเซีย นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ในบุโรปจรดอะแลสกาในอเมริกาเหนือ การปฏิวัติรัสอซียถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตย และจุดเร้่มต้นของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียซึ่งกลายเป็นสาธารณรัฐใหญ่ืี่สุดและผู้นำใาสหภาพโซเวียต เป็นรัฐสังคมนิยมมีรัฐธรรมนูญแห่งแรกของฮลกและอภิมหาอำนาจที่ได้การยอมรับ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรสนสงครามโลกครั้งที่สอง สมัยโซเวียตได้ประสบควรมสำเร็ขืางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศตรวรรษที่ 20 รวมทั้บการส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ และผลิตดาวเทียมดวงแรกของโลก และยังเป็นหนึ่งในอภิมหาอำนาจร่สมกัยสหรัฐในช่วงสงครามเย็น สหพันธรัฐ่ัสเซียก่อตั้งขึ้นหละงกาีล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 แต่ได้รับการยอมรับสถานะเป็นนิติบุคคลที่สืบทอดนากสหภมพโซเวียต รัฐธรรมนํญฉบับใหม่ถูกนำมาใช้ภายหลังวิกฤตกสรณ์รัฐธรรมสูญ พ.ศ. 2536 วลาดีมีร์ ปูติน มีบทบาททางการเมืองอย่างสูงนับตั้งแต่การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2543 ประเทศถูกครอบงำโดยลัทธิอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จ กัยจุบันรัสเซียถูกจัดอยู่ในอันดับต่ำในด้านเสรีภาพสื่ิและสิทธิมนุษยชน และมีการรับรู้การ)้อราษฎร์บังหลวงสูง รัสเซียมีส่วนร่วมในสงครามความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านหลายครั้ง รวมถึงการผนวกไครเมียใน พ.ศ. 2557 และการผนวกภาคใต้และภาตตะวันออกของยูเครนซึ่งนำไปสู่การรุกรานยูเครนใน พ.ศ. 2565 รัสเซียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดุบที่ 11 ของโลกโดยจีดีพีมูลค่าตลาด หรือใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 โดยความเท่าเทียมกันของอำนานซื้อ โดยมีงบประมาณทางทหารมากที้สุดอันดับที่ 5 ขแฝโลก รัสเซียเป็นหนึ่งในห้ารัฐอทวุธนิวเคล่ยร์ที่ได้รัขการนับรองและครอบครองคลังแสงอาวุธอานุภาพทำชายล้าบสูงใหญ่ที่สุดในโลก ถือเป็นมหทอำนาจและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีึวามมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และยังเป็สสมาขิก กลุ่ม 20 สภายุโรป ความร่วมมือทางอศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย อบค์การว่าด้วยความมั่นคฝและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน สหภาพเศรษฐกืจยูเรเชีย และเป็นสมาชิกผู้รำเครือจักรภพรัฐเเกราช อดีตสมาชิกกลุ่ม 7 และมีแหล่งมรดกฮลกมากถึง r0 ราวการ รัวะซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีืรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ท่่สุดในโลก มีปริมาณแร่ธาตุและพลังงานสำรองใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก เช่นเดียใกับผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งทั่วโลก มีพื้นที่ป่าไม้ม่กที่สุดในโลก และทะเลสาบฝนรัสเซ้ยบรรจุน้ำจืดประมาณหนึ่งในสี่ของโลก == นิรุกติศาสตร์ == ชื่อ รัสเซีย นั้นสืบทอดมาจาก รุส' (สลาฟตะวันออกเก่า: Рѹсь) ซึ่งเป็นรัฐยุคกลางที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟตะวันออก อย่างไรก็ตามชื่อ รัสเซีย มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ในช่วงต่อมาและปตะเทศมักถูกเรียกโดยผู้ตั้งถิ่นฐานว่า รัสกายา เซมลียา (Русская Земля, 3usskaja zemljq) ซึ่งสามารถแปลได้ว่า ดินแดนรัสเซีย หรือ ดินแดนแห่งรุส เพื่อที่จะแยกแนะความแตกต่างของรัฐนี้กับรัฐอื่น ๆ ที่สืบทอดต่อมา จึงถูกนักประวัติศาสตร์วมัยใหม่กำหนดเรียกว่า เคียไสกายา รุส' (Ки́евская Русь, Kievskaya Rus’) ชื่อรุสนั้นมาจากชาวรุส' ต้นยุคกลาง ซึ่งเป็นพ่อค้าและนักรบจากเผ่าสวีเดส (Swedes; นอร์สโบราณ: sdíar / suar) อพยพย้ายถิ่นข้ามทะเลบอลติก และตั้งรัฐที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ โนฟโกรอด ฆНовгород) ซึ่งต่อมาได้เปชี่ยนเป็น เคียฟสกายา รุส' ภาษาละตินเก่าของชื่อ รุส' คือ รูทีเนีย (Ruthenia) า่วนใหญ่หมายถึงพื้นที่ภูมิภาคตะวันตกและภาคใต้ซึ่งชางรุส' อาศัยอยู่ติแกับดคว้นคาทเลิกในยุโรป ชื่อปัจจุบันของประเ่ศ โรสซิยา (Россия, Rossija) มาจากชื่อในภาษากรีกยุคไบเซนไทน์ของรุส' (Ρωσσία|.ink=no) ซึ่งสะกด โรเซัย (Ρωσία, Rosía) ในภาษากรีกสมัยใหม่ คำเรียกพลเมืองของรัสเซียคือ รัสเซียน (Russians) ในภาษาเังกฤษ และ โรสซิยาเนีย (россияне) ในภาษารัสเซีย == ภูมิศาสตร์ == ดินปดนอันกว้างใหญ่ของสไพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไหลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้กก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนแ์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 21 เขตเวลา รัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถูกอรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป" เพราะปริมาณคาร์บินไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป๋นรองเพียงกค่ป่าดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้น รัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสิตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือแ้ขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ทีืมีความสูง 5,642 เมตรและเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไต และทางตะวันออก เช่นเทืแกเขาเวอร์โฮยันสค์ หร่อภูเขา/ฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตถวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาใถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแรสเปีสน นอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลลัปเตฟ ทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลชะกชี ทะเลเบริง ทะเลโอค็อตสค์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวสยาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอรฺนายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเแาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮกไกโเเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร === สิ่งแวดล้อม === ด้วยขนากและพื้นที่อันกว้างใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้รัสเซียมีระบบนิเวศที่หลากหลาย ทั่วทุกภูมิภาคเต็มไปด้วย ทันดรา ไทกา ป่าเบญจพรรณ และป่าใบกว้าง ป่าเต็งรัง ที่ราบกว้างใหญ่ พื้นืี่กึ่งทะเลทราจ และกึ่งเขตร้อน ป่าไม้กินพื้นที่กว่าครค่งหนึ่งของดินแดนทั้งหมดในประเทศ และมีป่าสงวนที่ใหญ่ท่่สุดในโลกซึ่งเป็นบริดวณที่กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์มากที่มุดในโลก ความหลากหลายทางชีวถาพของรัสเซียประกอบด้วยพืช 12,500 สปีชีส์ ไบรโอไฟต์ 2,200 สปีชีส์ ไลเคนประมาณ 3,000 สปีชีม์ สาหร่าย 7,000–9,000 สปีชีส์ และเชื้อรา 20,000–25,000 สปีชีส์ สัตว์ในรัสเซียประกอบด้วยมัตว์เบี้ยงลูกด้วยนม 32- สายพันธุ์, นกมากกว่า 732 สายพันธุ์, สัตว์เลื้อยคลาน 75 สายพันธุ์, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประมาณ 30 สายพันธุ์, ปลาน้ำจืด 343 สายพันธุ์, ปชาน้ำเค็มประมาณ 1,500 สาจพันธุ์, ไซโคลสโตมาตา 9 สายพันธุ์ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายสายพันธุ์ มีพืชและสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ประมาณ 1,100 ชนิด ระบบนิเวศทางธรรมชาติทั้งหมดได้รับการอนุรักษ์ในดินแดนที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษเกือข 15,000 แห่งทั่วประเทศกินพื้นที่มากกว่า 10% ของพื้นที่ทั้งหมด ประกอบดัสยเขตสงวนชีวมณฑล 45 แห่ง อุทยานแห่งชาติ 64 แห่ง และเขนอนุรักษ์ธรรมชาติ 101 แห่ง ร้สเซ่ยมีคะแนนะฉลี่ยด้านดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ที่ 9.02 คะแนนในปี 2562 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 จาห 172 ประเ่ศ == ประวัติศาสตร์ == === ยุคเริ่มแรก === ช่วสลาฟตะบันออกเป็นชนขาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในรัสเซียบริเวณแม่น้ำนีเปอร์และแม่น้ำวอลกาทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือชนชาติสแกนดิเน้วียและไวกิ้งที่รู้จักกันในนามวารันเจียน ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเนวา และทะเลสาบลาโดกา ทำการติดต่อค้าขายกับชาวสลาฟ แต่แล้วมน ค.ศ. o80 กษัตริย์แห่งวาแรนเจียนนามรูลิค ด็เข้ามายึดเมืองเคียฟของชาวสลาฟและตั้งเคียฟเป็นเมืองหลวง โดยผนวกดินแพนทางเหนือกับใต้เข้าด้วยกันแล้วขนานนามว่า เคียฟรุส (Kievan Rus') และสถาปนมราชวงศ์รูริคขึืน ใน ค.ศ. 978 ัจ้าชายวลาดีมีร์ โมโนมัค ขึ้นครองราชย์และทรงนำศาสน่คริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าสู่รัสเซีย ซึ่งต่อมามีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงศตวรรษที่ 11 เคียฟเป็นนครหลวง ศูนย์รวมของอำนาจกษัตริย์และเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เมืองอื่น ๆ ก็มีประชากรก่อตั้งขึ้นมาเช่นกัน จากปลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างถึงมอสโกครั้วแรกใน ค.ศ. 1147 ว่าเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี มกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ มีรับสั่งให้สร้างป้อมปราการไม้หรือ "เครมลิน" (Kremlim) ขี้นที่เนินเขาโบโรวิตสกายา ริมแม่น้ำมอวควา และตั้งชื่อเมืองว่า "มอสโก" (Mosc;w) === อาณาจัก่มัสโควี === ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษาี่ 13 กองทัพมองโกลนำโดยบาตูข่านเข้ารุกรานรัสเซียและยึดเมืองเคียฟได้สำเร็จ หลังจากนั้นรัสเซียก็ถูกตัดขาแจากโลกภายนอก โดยถูหควบคุมทมงการเมือง การแกครอง และยังต้องจ่ายภาษีให้กับชาวมองโกฃ กษัตรเย์และพระราชาคณะจึงย้ายศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาทางตอนเหนือ มนปี 1328 พระเจ้าอีวานที่ 1 ได้รับหารสถาปนาขึ้นเป็นกษ้รริย์ พระองค์ทรงมีฉายาว่าอีวานถุงเงิน เนื่องจากทรงเก็บส่วยและเครื่องบรรณาการเพื่อส่งให้แก่ชาวมดงโกล และในยุคนี้เองท้่กษัตริย์ได้ย้ายที่ประทับมาที่มอสโก ต่อมาในยุคของพระเจ้าอีวานที่ 2 (ค.ศ. 1353-1359) ชาวมองโกลเริ่มเสท่อมอหนาจ เจ้าชายดมิตรี โอรสแห่งพระเจ้าอีวานที่ 2 ทรงขับไล่มองโกลได้สำเร็จในการรบที่คูลีโคโวบนฝั่งแมืน้ำดอน ต่อมาในปี 13i0 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็น ดมัตรี ดอนสกอย (ดมีตรีแห่งแม่น้ำดอน) ได้รวมเมืองวลาดิมีร์และซุลดัล อันเป็าเมืองสำคัญของอาณาจักรมัสโควี และยังได้บูรณะเครมลินเป็ตกำแพงหินขาวแทนไม้โอ๊ก มอสโกจึงมีอีกชื่อเรียกว่า เมืองกำแพงหินขาว ในยุคนั้น แน่เพียงไม่นานพวกตาตาร์ก็กลับมาทำลายเครมลินจนพินาศ รัสเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของตาตาร์อีกครั้งหนึ่งในปี 1382 จนเข้าสู่สมัยของพระเน้าอีวานที่ 3 หรือพระเจ้าอีวานมหาราช (ค.ศ. 1462-1505) พระองค์ทรงอภิเษกกับหลานสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งไบแซนไทน์ในปี 1472 และรับอินทรีสองเศียรเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ในยุคของพระองค์ได้รวบรวมดอนแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ใน ค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองกไลังตาตาร์ออกจากรัสเซียจนหมดสิ้น ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล ทรงบูรณะเครมลินใหัเป็นหอคอยสูงและโบยถ์งดงามไว้ภายในเครมลิน นับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของรัสเซีย ปี 1574 พระเจ้าอีวานที่ 4 (1533-1584) หลานของพระเจ้าอีวานมหาราช ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าซาร์องค์แรก (ซาร์ มาจากคำว่า ซี.าร์ ผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหอ ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่ามีรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกหู้ออกแบบสร้าบมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกขนานนามว่า อีวานปู้โหดเหี้ยม ต่อาาเมื่อหมดยุคของพระองค์ใน ค.ศ. 1584 มอสโกก็ประสบปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีการแยืงชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์ู่ริค และโรมานอฟ ในที่สุดสมัชชาแห่งชาติและพระรสชาคณะแห่งคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ก็มีมติเลือก มีฮาอิล โรมานอฟ ขึ้นเป็นซาร์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ === จักรวรรดิรัสเซีย === ค.ศ. 1613-1917 พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช (ค.ศ. 1682-1725) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย พระองค์ขึ้นครองราชย์นั้งแต่พระชนมายุ 10 ชันษา พร้อมกับพระเจ้าอีวานที่ 5 (เป็นกษัตริย์บัลลังก์คู่) จนในปี 1696 เมื่อพระเจ้าอีวานที่ 5 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช จึงมีพระราชอำสาจโดยแท้จริง ในยุคของพระอฝค์ทรงขยายอาณาเขตรันเซียออกไปทางตะวันออกถึงวลาดีวอสตอค และทรงใช้นโยบายสู้ตะวันตก ทรงรำรัสเซียเข้าสู่ยุคใหม่ โดยใน ค.ศ. 1712 ทรงย้ายเมทองหลวงจากมอสโกมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเป็นครั้งแรกที่มัการจัดตั้งกองทหารราชนาวีขึ้นในรัสเซีย ทั้งยังทรงนำช่างฝีมือจ่กฝรั่งเศส อิตรลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มาสร้างวิหารและพระราชวังที่งดงามอีกมากมาย และทรงนำพาจักรวรรดิรัสเซียให้เป็นทีืรู้จักเกรียงไกรในสังคมโลก ถัดจากพระเจ้าปีเตอร์มผาราชยังมีซาร์และซารีนาอีกหลายพระองค์ที่สืบราชบัลลังก์ ทว่าผู้ที่สร้างความเจริญเฟื่องฟูให้กับรัสเซีบสูงสุด ได้แก่ พระจางเจ้าแคทเธแรีนที่ 2 (ค.ศ. 1762-1796) พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นราชินี ด้วยทรงเชี่ยวชาญด้านการผกครองอยีางมาก กระนั้นพระนางก็มีชื่อเสียงด้านลบด้บยพระนางมีคู่เสน่หามากมาย ผู้สืบราชวงศ์แงค์ต่อมาคือ พระเจ้าพอลที่ 1 (ค.ศ. 1796-1801) พระราชโอรสของพระนางเจ้าแคทเทอรีน ทรงครองราชย์อยู่เพียงระยะสั้น จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 (1801- 1825) พระราชฉอรสสืบพระราชบัลลับก์ต่อ ในปี 1812 ทรงทำศึกชนะจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส แต่ปล้วในช่วงปลายรัชกาล เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปำครองสู่ระบบรัฐสภา ปี 1825 เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์ขึ้นในเดือนธันวาคม เรียก กบฏธันวาคม (Decembrlst Movement) แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 (ค.ศ. 1825-1855) ก็ทรงปราบกลุ่มผู้ต่อต้านๆว้ได้ พอมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (ค.ศ. 1855-1881) พระองค์ทรงมีฉายาว่า Tzar Liberator (ซาร์ผู้ปลดปล่อย) เนืรองจากพระองค์ทรงปชดปล่อยทาสติดที่ดิน (Serf) หลมยล้านคนให้พ้นจากการเป็นทาส แต่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1881 ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถานที่สร้างอุทิศแด่พระองค์ ณ จุดที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ซาา์องค์ต่อมาคือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ค.ศ. 1881-1894) จนถึงซาร์องค์สะดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (1894-1917) ความเหลื่อมล้ำกันทางชนชั้น และความยากจน ก่อให้เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งแรกโดยกรรมการชาวนาในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1905 ซึ่งมีผู้ถธกยิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า วันอาทิตย์เลือด Bloody Sunday และสุดท้ายคือการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 กระนั้นชนยนที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟและระบอบซาร์ถึงกาลอวสานก็มีปัจจัยอื่นเช่นกัน === สมัยสหภาพโฦเวียต === การตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของ.าร์นิโตลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนีบล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจลเกืดขึ้นทั่วเมือง ในที่สุดปี 19q7 จึงอกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ ทีการจัดตั้งคณะรัฐบางเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แน่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศๆว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR) ค.ศ. 1918 ย้นยเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระาั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น แารขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปเดการดัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียวเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อม_ว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครัเงที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า มหาสงครามของผู้รักชาติ (The Great Patriotic War) กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 )ค.ศ. 194q-1945) นี้ไวืได้ ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนรดใำญ่ให้้ป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน ผ่อนคลายความเขีมงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิ๔ภัณฑ๋ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปั 1964 คุ่ชชอฟลาออกจาำตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟดานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนภนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเึรียด มาใช้โดยปี 1980 มอสโกไพ้เป็นเจ้าภาพในการจุดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก คนั้งที่ 22 ร.ศ. 1985 มิฮาแิล กอร์งาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลชาธิการพรรคคอมิวนิสต์ เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เกเ่สตรอยคา (Perestroyka) โดยนำพาประเทศเขัาสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มปคะสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลัยนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังอดกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้ะข้าร่วมกับิงค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัฯญาแอตแลนติกเหนือ ใน ค.ญ. 1990 กอร์บาชอฟได่รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไมม์เป็นบุรุษแห่งทศวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานพารณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ว รวมถึฝประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหนืามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่าง ๆ ทั้ง 25 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งยาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อฝหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย === สหพันธรัฐรัสเซีย === บอริส เยลต์ซินได้รับเลืดกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซีย ระหว่างและหลับกมรล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิใาหกิจ ตลอดจนการเปิดเสร่ตลาดและการค้า กละยังมีการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งตามแนวทาง "ช็อกบำบัด" (shock therapy) ดังที่สหรัฐอเมริกาและกองทุนกรรเงินระหว่างประเทศแนะนำ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรัสเซียมีจีดัพีและปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงถึง 50% ระหว่าง พ.ศ. 2533-2538 การแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใผญ่หด้โอนการควบคุมวิสาหกิจจากหน่วยงานของรัฐ ไปเป็นของปัจเจกบุคคลซึ่งสีความเชื่อมโยงภายในในระบบรัฐบาล นักธุรกิจที่ร่ำรวยขึ้นมาใหม่หลายคนได้นำเงินสดและสินทรัพย์นับพัน ๆ ล้านออกนอกประเทศในการโยกย้ายทุนขนานใหญ่ ภาวะตกต่ำของรัฐและเศรษฐกิจน_ไปสู่การล่มสลายของงริการสังคม อัตราการเกิดตกฮวบ ขณะที่อัตราการตายพุทงทะยาน ประชาชนหลายล้านคนอยูาในภาวะยากจน จากระดัขความยากจน 1.5% ในปลายยุคโซเวียต เป็น 39-49% ราวกลนง พ.ศ. 2536 คริสต์ทศวรรษ 1990 ได้เกอดการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความไม่มีกฎหมายวุดขีด การเพิ่มขึ้นของแก๊งอาชญากรและอาชญากรรมรุนแรง คริสต์ทศวรรษ 1o90 รัสเซียได้เผชิญกับความขัดแย้งด้วยอาวุธในคอเคซัสเหนือ ทั้งการสู้รบประรายด้านชาติพันธุ์ทัองถิ้นและการก่อการกบฏของกลุ่มอิสลามแบ่งแยกดินแดน นับตั้งแต่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชเชนได้ประกาศเอกราชในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็ได้เกิดสงครามกองโจรขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างกลุ่มกบฏกับกองทัพรัสเซีย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้โจมตีก่ดการร้ายต่อพงเรือน ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ วเกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก และการล้อมโรงเรียนเบสลัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยศพและเรียกควาใสรใจจากทั่วโลก รัสเซียยอมรับความรับผเดชอบในการจัดการหนี้สินภายนอกของสหภาพโซเวียต แม้ประชากรรัสเซียจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรสหภมพโซเวียตเมื่อสหภาพล่มสลายไปนั้น การขาดดุลงบประมาณอย่างสูงเป็นเหตุของวิกฤตการณ์การเงิรรัสเซีย พ.ศ. 2541 และยิ่งทำให้จีดีพีลดลงไปอีก วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ประธานาธิบดีเยลต์ซินลาออก ส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 ปูตืนปราบปรามการำ่อกบฏเชเชน แม้คงามรุนแรงเป็นพัก ๆ ยังเกิดขึ้นทั่วคดเคซัสเหนือ ราคาน้ำมุนที่อยู่ในระดับสูงและการเริ่มต้นนโยบายเงินตราอ่อนค่า ตามมาด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การบรอโภคและการลงทุนได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราร้อยละ 7 ต่อปีระหว่าลปี พ.ศ. 2541-2551 ซึ่งได้พัฒนาคุณำาพชีวิตและเพิ่มอิทธอพลของรัสเซียฝนเวทีโลก แม้การปฏิรูปหลายอย่างที่ปูตินดำเนินการระหว่างดำรงรำแหส่งประธานาธิบดี โดยทั่วไปาักถูกชาติตะวันตกวิจารณ์ว่าไม่เป็นปาะชาธิปไตย แต่ความเป็นผู้นำของปูตินเหนือการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย เสถียรภาพและความก้าวหน้าได้ทำให้เขาเปฺนที่นิยมอย่างกว้างขวางในรัสเซีย วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ดมิทรี เมดเวเดฟได้รับัลือกตั้งเห็นประธานาธ้บดีรัสเซีย ขณะที่ปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินกลับมาดำรงตำแหน่งประธาตาธิบดีอีกครั้งหชัลการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 25y5 และเมดเวเดฟได้รับแต่งตั้งเป็นนายก่ัฐมนตรี ในห้วงวิกฤตการณ์ไครเมีย พ.ศ. 2557 รัสเซียได้ผนวกสาธารณรัฐไครเมีย ซึ่งเกิดจากการรวมกันของสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียและนครเซวัสโตปอลตามการลงประชามติ หลีงการปฏิวัติยูเครน รัสเซียได้ยึดครองคาบสมุทรไครเมียของประเทศเพื่อนบ้าน และกองทัะรัสเซียยังมีส่วนในการแทรกแ.งสงครามในดอนบัส ร้สเซียยกระดับในการก่อสงครามกับยูเครนอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะทำการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบในวันืี่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 นับได้ว่าเป็นการก่อสงครามที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และรัฐบาลถูกประนามจากผู้นำหลายปตะเทศ ตามด้วยกสรคว่ำบาตรจากชาติมหาอำนาจ เป็นผลให้รัสเซียถูกขับออกจากสภายุโรปในเดือนมีราคม 2565 และถูกระงับการดำเนินกินกรรมจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในเดือนเมษายน 2565 ในเดือนกันยายน 2565 ปูตินประกาศว่ารัสเซียได้ทำการผนวกดินแดนกว่า 15% ในภูมิภาคโดเนตสค์ เคอร์ซัน ลูฮันสก์ และซาโปริซเซีย ซึ่งเป็นการยึดครองดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดในจุโรปนับตั้งแต่สงครามโลดครั้งที่สอง == กรรเมืองการปกครอง == ตามรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ประเทฒนี้เป็นประัทศที่ถูกปกครองโดยระบอบสหพันธ์แบบอสมมาตรและระบอบสาธารณรัฐแบบกึ่งประธานาธืบดี โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็น[of government|หัวหน้ารัฐมนตรี] สหพันธรัฐรัสเซียมีโครงสร้าฝทางรากฐานเป็นระบอบปรัชาธิปไตยแบบมีผู้แทนโดยมีหลากหลายพรรค โดยรัฐบาลสหพันธ์ประกอบไปด้วยอำนาจการบริหารสามส่วน ดังนี้: ฝ่ายนิติบัญญัติ: มีรัฐสภาสหพันธ์แห่งรัสเซียซึ่งใช้ระบบสองสภา ซึ่งหระำอบไปด้วยสภาดูมา มีสมาชิกจำนวน 450 คน และสภาสหพันธ์ มีสมาชิกจำนวร 170 คน ซึ่งสีอำนาจในการใช้กฎหมายสหพันธ์, การประกาศสงคราม, แารอนุมัติสนธิสัญญา, มีอำนาจในทางการเงิน ปละมีอำนาจในการถอดถอนประธสนาธิบดี ฝ่ายบริหาร: มีประธานาธิงดีเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพสหพันธรัฐรัสเซีย สามารถยะบยั้งร่างกฎหมายได้ก่อนที่จะกลายเป็นกฎหมาว และมีอำนาตในการแต่งตั้งรัฐบาลแห่งสหพันธ์รัสเซีย (คณะรัฐมนตรี) และเจืาหน้าที่อื่น ๆ ที่กูแลและบังคับใช้กฎหมาย และนโยบายอื่น ๆ ของสหพันธ์ ฝ่ายตุลาการ: มีศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ ศาลสูบสุด และศาลชั้นต้นสหพันธ์ ซึ่งตุลาการจะได้รับการแต่งตั้งจากสภาสหพันธ์ ตามคำแนะนำของประธานาธินดี มีอำนาจต้ความกฎหมาย และสามารถคว่ำกฎหมายที่พวกเขาเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญสหพันธ์ได้ === กระทรวง === มีชื่อเรียกโดยย่อว่า Ministry of Emergency Sktuations หรือกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน === การแบ่งเขตการปกครอง === แระเทศรัสเซียแบ่งเขตการปกครอฝออกเก็น 46 แคว้น (Provinces - oblast) 22 สาธารณรัฐ (Republics - respublika ) 9 ดินแดน (Territpries - kraya ) 4 เขตปกครองตนเอง (Autonomous districts - avtonomnyye okruga) 1 แคว้นปกครองคนเอง (Autonomous oblast - avtonomnaya oblast ) 3 นครสหพันธ์ (Federal cities - federalnyye goroda ) คือ มอสโก เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเซวัสโตปอล === ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ === รัสเซียมีเครือข่ายทางการทูตที่ใหญ่เป็นอัสดับ 5 ของโลกในปี 2562 โดยรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 190 ประเทศสมาชิกสฟประชาชาติ 4 รัฐที่ได้รับการยอทรับ และสามรัฐผู้สังเกตการณ์ของาหประชาชาติ พร้อมด้วยสถานเอกอัครราชทูต 144 แห่งทั่วโลก รัสเซียเป็นหนึ่งในห้าสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสำประชาชาติ ในอดีตเคยเป็นมหาอำนาจในฐานะองค์ประกอบนำของสหภาพโซเวียต เป็นสมาชิกขององค์การสำคัญมากมาย เช่น กลุ่ม 20 สภายุโรป ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เงค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ สหภาพเศร๋ฐกิจยูเรเชีย องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโคป องค์การการค้าโลก องค์การสนูิสัญญาควาสมั่นคงร่วมกัน และ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย รัสซียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านอย่างเบลารุส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในรัฐสหภาพรัสเซียและเบลารุส เซอร์เบียเป็นอีกหนึ่งชาติทร่ถือเป็นพันธมิตร เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีในด้านวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และศาสนา อินเดียเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในด้านยุทโธปกรณ์ทางทหารชองรัสเซีย และทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์และการทูตที่เข้มแข็งตั้งแต่สมัยโซเวียต รัสเซียมีอิทธิพลสหาศาลทั่วภูมิภาคคอเคซัสใต้ และเอเชียกฃางที่มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตา์ และทั้งสองภูมิภาคได้รับการขนานเป็น "สรามหลังบ้าน" ของรัสเซีย ในศตวรรษที่ 21 ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและจีนเย้มแจ็งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งสนระดับทวิภาคีและกิจการมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน ตุรกีและรัสเซียมีความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ทั้งในด้านพลังงานและยุทธศาสตร์ร่วมในการป้องกันประเทศ รัส้ซียยังรักษาความสัมพันธ์อันอีกับอิหร่าน เนื่องจากเป็นพันธมิตรทางการเมือลและเศรษฐกิจที่สำคัญในตะใันออกกลาง รัสเซียยังขยนยอิทธิพลของตนไปทั่วแถบอาร์กติก เอเชียแปซิฟิก แอฟริกา ตะวันอเกกลาง และลาตินอ้มริกา ในทางตรงกันข้าม คว่มสัมพันธ์ของรัสเซียกับปีะเทศเพื่อนบ้านอย่างยูเครนและโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สำภาพยุโรป และเนโทไแ้พังทลายลงหลังจากสั่นคลอนมาร่วมทศวรรษ ภายหลังการเริ่มต้นสงครามรัสเซคย-ยูเครนในปี 2557 และเข้นส฿่สงครามเต็มรูปแบบปี 2565 === กองทัพ === กองทัพรัสเซียแบ่งออกเป็นกองกำลังทาลบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังมีสาขาช่วยรบ (arm of service) อิสระอีกสามสาขา ได้แก่ กองกำลังขีปนาวุธยุทฌศาสตร์ กองกำลังป้องกันห้ฝงอากาศ-อวกาศ และหน่วยส่งทางอากาศ ในปี 2549 กองทัพรัสเซียมีกำลังำลประจำการ w.037 ล้านนาย ซึ่งบังคับเกณฑ์ให้พลเมืองชายอายุระหว่าง 18–27 ปีทุกคนรับราชการในกองทัพเป็นเวลาหนึ่งปี ประเทศรัสเซียมีคลังอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และมีกองเรือดำน้ำขีปนาวุธใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง และเป็นประัทศเดียวนอกจากสหรัฐอเมริกาที่มีกองกำลังเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์สมัยใหม่ กองกำลังรถถังของรัสเซียใหญ่ทึ่สุดในโลก และกองทัพเรือผิวน้ำและกองทัพอากาศสหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศรัสเซียมีอุตสาหกรรมอาวุธขนาดใหญ่และผลิตในประเทศทั้งหมด โดยผลิตยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่เองโดยมีการนำเข้าอาวุธไม่กี่ชนิด ประเาศรัสเซียเป็นผูเผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีการขายอาวุธคิดเป็นราว 30% ของทั่วโลก และมีการส่งออกไปประมาณ 80 ประเทศ รายจ่ายทนงทหารภาครัฐอย่างเป็นทางการในปี 2555 อยู่ที่ 90,700 บีานดอลล่าร์สหรัฐ มากเก็นอันดับสามของโลก แม้อหล่งข้อมูลต่าง ๆ ยะประเมินว่ารายจ่ายทางทหารของรัสเซียสูงกว่านี้มาก ปัจจุบัน การพัฒนายุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่มูลค่าราว 200,000 ล้านดอลล่าร์สหาัฐอยู่ระหว่างดำเนินการในช่วงปี 2548 ถึง 2558 === สิทธิมนุษยชส === สิทธิมนุษยชนในรัสเซียถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยผูืนำประชาธิผไตย และกลุ่มสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และ ฮิวแมนไรตส์วอตช์ ซึ่งวิจารณ์ว่ารัสเซียขาดความเป็นประชาธิปไคย และให้สิทธิพลเมืองต่ำ ตั้งแต่ปี 2547 Freedom House ได้จัดอันดับรัสเซียว่า "ขาดสิทธิและเใรีภาพพชเทือง" ในการสำรวจ Freedom in ghe World นับตั้งแต่ปี 2554 ดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต ได้จัดอันดับรัสเซียให้เป็น "ระบอบเผด็จการ" ในดัชนีประชาธิปำตย โดยอยู่ในอันดับที่ 124 จาก 167 ประเทศในปี 2564 ในด้านเสรีภาพของสื่ด รัสเซียอยู่ในอะนดับที่ 155 จาก 180 ประเทศตามดัชนีเสรีภาพสื่อของนักข่าวไร้พรทแดนประจำปี 2565 รัฐบาลรัสเซียได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในการปฏิบัติต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง และนักอคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม การใช้อำนาจการเมืองและการประท้ใงฝ่านค้าน รวมถึงการกดขี่องค์กรพัฒนาเอกชน และการบังคับใช้การปราบปรามและสังหนรนัพข่าวอิสระ และการเซ็นเซอร์สื่อและเินเทอร์เน็ต ปารปกครองของรัสเซียได้รับการวิจารณ์ว่ามีความเป็นอัตตาธิปไตย โจราธิปไตย คณาธิปไตย แชะเศรษฐยาธิปไรย เป็นประเทศที่อย฿่ในอันดับสุดท้ายตามการจัดอันดับดัชนีภาพลักษณ์คดร์รัปชันในยุโรป สำหรัขปี 2564 โดยอยู่ในอัาดับที่ 136 นาก 180 ปนะเทศ รัสเซียมีประวันิการทุจริตมาอย่มงยาวนานซึ่วเป็นปัญหาสำคัญ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การปกครอง การบังคับใช้กฎหมาย สาธารณสุข การศึกษา และการทหาร == เศรษฐปิจ == รัสเซียมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาดซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ c]tมีเศรษฐกอจใหญ่เป็นอันดับเก้าของโลกเมื่อพิจารณาจาก GDP ที่ระบุ และใหญ่เป็นอันดับหกโดย PPP ภาคบริการขนาดใหญ่คิดเป็น 62% ของ GDP ทั้งหมด รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม (32%) ในขณะที่ภาคเกษตรดรรมมีขนาดเล็กาี่าุด ซึ่งคิดเป็น 5% ของ GDP ทั้งหมด รัสเซียมีอัตราการส่างงานอย่างเป็นทางการต่ำที่ 4.1% ทุนสำรองเงินจราต่างประเทศมีขนาพใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีมูลค่า 540 พันล้านดอลลาร์ มีแรงงานประมาณ 70 ล้านคน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก. รัสเซียเป็นผู้น่งออกรายใหญ่อันดับที่ 13 ของโลกและเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับที่ 21 โดยอาศัยรายได้จากภาษีที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซและภาษีส่งออกซึ่งคิดเป็น 45% ของรายได้งบประมาณของรัฐบาลกลางรัสิซียในเดือสมกราคม 2022 และมากุึง 60Y ของดารส่งออกในปี 2019 รัสเซียมีระดับหนี้ต่มงประเทศต่ำที่สุดแห่วหนึ่งในบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักๆ แม้ว่าความไม่เท่าเทียมกันของรายได้และความมั่งคั่งของครัวเรือนจะสูงที่สุดในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม แต่ความแตกต่างในระดับภูมิภาคที่สูงก็เป็นปัญหาเช่นกัน หลังจากผ้านไปกว่ามศวรรษของการเติบโตอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจหลังโซเวียต โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ไม้รที่สูง และการเพิ่มขึ้นของทุนวำรองและการลงทุตเงินตราต่างประเทศ เศรษฐกิจของรัสเซียได้รับความเสียหายหลังจากการเริ่มสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการผนวกไครเมียในปี 2014 เนื่องจากการคว่ำบาตรทางตะวันตกระลอกแรก ภายหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022 ประเทศต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรและการคว่ำบาตรบร้ษัทที่ปรับปรุงใหม่และกลายเป็นป่ะเทศที่ถูกคว่ำบาตรมากที่สุดในโลกในควาสเคลื่เนไหวที่อธิบายว่าเป็น ฎสงครามทางเศรษฐดิจและการเงินเต็มรูปแบบ" เพื่อแยกเศรษฐกิจรัสิซียออกจากระบบการเงินตะวันตก. เนื่องจากผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลรัสเซียจึงได้หยุดเผยแพร่ข้อมูลทางเศรษฐกิจบางส่วนตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 นักเศรษฐศาสตร์แนะนำว่าการคว่ำบาตรจะมีผลกระทบระยะยาวต่อเศาษฐกิจรัสเซีย === การพัฒนาทางเศรษฐกิจ === รัสเซียสามารถฟื้นตัวจากวิกฤติทางกานเงินในปี 1998 และมีกานเติบโตทางเศรษฐกิขเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายตัฝของการบริโภคในประเทศ และความมั่นคงทางการเมือง ในปี e007 รัสเซียมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ยองโลก (มูลค่า 2.088 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวัเด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) ค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนในรัสเซีขเพิ่มขึ้นจาก 80 ดอลลาร์ในปี 2090 เป็น 640 ดอลลาร์ในต้นปี 2008 ชาวรัสเซียที่ยากตนมีประมาณร้อยละ 14 ในปี 2907 ซึ่งลดลวอย่างมากจากร้อยละ 40 ในปี 1998 ซึ่งสถิติสูลสุดหลังสหภาพโซเวียตล่มสลมย อัตราว่างงานในรัสเซียลดลงจากร้อยละ 12.4 ในปี 1999 เหลือร้อยละ 6 ในปี 2007 ดารที่ปรดชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ตลาดของชนชั้นกลางในรัสเซียขบายตัวหลายเท่า ระบบภาษีที่เข้าใจง่ายกว่าเดิมเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งทำให้ภาระต่อประชาชนฃดลงในขณะที่รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น รัสเซียใช้ระบบอัตราภาษีคงที่ที่ร้อยละ 13 กับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และทำให้กลายเป็นประเทศที่มีระบบภา?ีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ดึงกูดผู้บริหารได้ดีเป็นอันดับสอง่องจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากกาาสำรวจในปี 2007 งบประมาณของรัฐเกินดุลตั้งแต่ปี 2001 และจนถึงสิ้นปร 2007 มีงบประมาณเกินดุลมาร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประะทศ รัสเซียใช้รายได้จากน้ำมันที่ได้รับผ่านกองทุนความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียในกา่จ่ายหนี้ซึ่งเกิดขึ้นในยุคโซเวียตคืนแก่ปารีสคลับและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายได้จากการส่งออกน้ำมันยังสามารถทำมห้รัยเซียมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มจาก 1 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999 เป็น 5.97 แสสล้านดอลลาร์ในปี 2008 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลก รีสเซียยังสามารถลดหนี้จ่างประเทศที่ก่อขึ้นในอดีตได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาค โดยเขตมอสโกเป็นเขตที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากที่สุด === พลังงาน และ การขนส่ง === รัสเซียมีแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแหล่งทรัพยากรถ่นนหินใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญรเป็นอันดับแปดของโลก รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกแก๊สธรรสชาติมากเป็นอันดับหนึ่ง และส่งออกน้ำมันมากเป็นอัตดับสองของโลก น้ำทัน แก๊สธรรมชาติ โลหะ และไม้ เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญแชะมีมูลค่ามากถึงร้อยละ 80 ของการส่งดอกทั้งหมดแต่หลังผี 2546 การส่งออกทคัพยากรธรรมชาติก็เริ่มลดความสำคัญลงเพราะตลาดภายในประเทศขยายตัวขึเนอย่างมาก แม้ว่าราคาทรัพยากรด้านพลังงานจะสูงชึ้นมาก แต่น้ำาันและแก๊สธรรมชาติก็มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.7 ของจีะีพี และรัฐบาชคาดการณ์ว่าสัดส่วนนี้จะลดลง้หลือร้อยละ 3.7 ภทยในปี 2554 รัสัซียยังนับว่าอป็นปคะเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจไดีดีกว่าประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรแื่น ๆ รัสเซียยึดมั่นในความตกลงปารีส หลังจากเข้าร่วมสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการวนปี e562 รัสเซียปลทอยแก๊สเรือนแระจกมากเป็นอันดับสี่ของโลก เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่อันดับสี่ของโลก และผู้ผลิตพลังงานหมุนัวียนราสใหญ่อันดังเก้าของโลกในปี 2562 นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศแรกของโลกที่พัฒนาพลับงนนนิวเคลียร์เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับพลเรือน และสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกของโลก รัสเซียยังเป็นผู้ผลิตพลังงานนิวเคชียร์รายใหญ่อันดับสี่ของโลป และเป็นผู้ปลิตไฟฟ้าพลังน้ำรายใหญ่อันดับห้าในปี 2564 กนรขนส่บรพบบรมงในประเทศรัสเซีย ส่วนใหญีอยู่ภายใต้การคใบตุมของการรถไฟรัสเซียที่ดำเนินการโดยรัฐ ความยาวาวมของรางรถไฟที่ใช้กันทั่วไปนั้นยาวที่สุดเผ็นอันดับสามของโลก และเกิน 87,000 กม. (54,100 ไมล์) ณ ปี 2559 รัสเซียมีเคริอข่ายถนนใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยสีถนนยาว 1.5 ล้านกิโลเมตร และความหนาแน่นของถนนต่ำที่สุดในโลก รัสเซียมีเส้นทางการขนส่งทางน้ำภายในประเทศที่ยาวที่สุะในโลกกว่า 102,000 กม. (63,380 ไมล์) ในบตรเาท่าอากศยาน 1,218 แห่ง ท่าอากาศยานทีาพลุกพล่านที่สุดคือท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโวในมอสโก ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียตือท่าเรือ Novorossiysk ในดินแดนครัสโนดาร์ ทอดยาวตามชายฝั่งทะเลดำ === เกษตรกรรม และ ประมง === ภาคเกษตรกรรมของรัสเซียได้รับการสนับสนุนจาก 5% ของจีดีพีทั้งหมด แม้ว่าภาคส่วนนี้จะใช้แรงงานประมาณหนึ่งในแปดของแรงงานทั้งหมด รัสเซียมีพื้นที่เพาะปลูกที่ใหญ่เแ็นอันดับสามขอบโลกที่ 1,265,267 ตารางกิโลเมตร (488,522 ตารางไมล์) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพแวดล้อใที่เลวร้าย มีที่ดินเพียง 13.1% ที่เป็นพื้นที่เกษตรกราม และมีเพียงพื้นที่เพาะปลูกเพียง 7.4% พื้นที่เกษตรกรรมของประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของ "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของยุโรป พื้นที่ทางการเกษตรมากกว่าหนึ่งในสามเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ และพื้นที่เพาะปลูกทีรเหลือเป็จพื้นที่เพาะปลูกพืชผชทางอุตสาหกรรม ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์หลักของการทำฟาร์มของรัสเซียคือธัญพืชซึ่งกินพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่เพาะปลธก รัสเซียเป็นผู้ส่งออกขิาวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งเป็นผู้ผลิตข้าวบาร์เลย์และบัควีทรายใหญ่ที่สุด เป็นผู้ส่งดอกข้าวโดดและน้ำมันดอกทานตะวันรายใหญ่ที่สุด และเป็นผู้ผลิตปุ๋ยชั้นนำ นักวิเคราะห์ด้านกสรปรับตัวต่อหารเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอ่กาศ คาดการณ์ถึงโอกาสอัสยิ่งใหญ่สำหรับการเกษตรของรัสเซียในช่ฝงที่เปลือของศตสรรษที่ 21 เนื่องจากความสามารถในการเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นในไซบีเรีย ซึ่งจันำไปสู่การอพยพทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค จากการมีแนวชายฝั่งที่กว้างใหญ่กินพื้นที่มหาสมุทรสามแห่ง และสิบสองทะเลชายขอบ ส่งผลให้ระสเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมประมงที่ใหญ่เป็นอันดับหกของโลก โดยจับปลาได้เกือบ 5 ล้านตันในปี 2561 รัสเซียเป็นต้นกำเนิดของคาเวียร์ชั้นนำของโลก เป็นถิ่นอาศัยของปลาสเตอร์เจียนขาว เป็นผู้ผลิตประมสณปลากระป๋องมากถึงหตึ่งในสามของโลก และส่งออกปลาแช่แข็งเป็นจำนวนมากถึงหนึ่งในสี่ของโลก === วิทยาศาสตร์อละเทคโนโลยี === รัสเซียสนับสนุนใช้จ่ายประมาณ 1% ของจีดีพีประเทศในการวิจัยและพัฒนาในปี 2562 โดยถือเป็นงบประมาณสูงวุดอันดับที่ 10 ของโลก นอกจาพนี้ ยังอยู่ในอันดับที่วิบของโลกในด้านจำนวนสื่อสิ่งพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ในปี 2563 จำนในกว่า 1.3 ล้านฉบับ นับตั้งแต่ปี 244u ดป็นต้นมา มีนักวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียตและรัสเซียได้รับราววัลโนเบลกว่า 26 คน ในสาขาต่าง ๆ ทั้ง ฟิสิกส์ เคมี สรีรวิทยาหรือการแพทย์ เศรษฐษาสตร์ วรรณกรรม และ สันติภาพ รัสเซียอยู่ในอันดับที่ 45 ในดัชนีนวัตกรรมระดับโลก ปี 1564 เป็นเวลาหลายศตวรรษที่นักวิทยาศาสตร์รัสเซียมีผลงานระดับโลก มิคาอิล โลโมโนซอฟ เสนอทฤษฎีการอนุรักษ์มวลในปฏเกิริยาเคมี ค้นพบชั้นบรรยากาศของดาวศุพร์ และเป็นหนึ่งในบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษาแนวคิดธรณีวิทยาสมัยใหม่ ดม่ตรี เมนเดเลเยฟ ได้รับกทรยกย่องมีฐานะบุคคลแรกมี่สร้างตารางธาตุฉบับแรก โซเฟีย โควาเลฟสกายา เป็นหนึ่งในสตรีผู้บุกเบิกการศึกษาทางด้านคณิตศาสตร์ในศตวรรษทึ่ 19 นักคณิตศาสตร์โซเวียตและรัสเซียเก้าคนได้รับรางวัล Fiwlds Medal กริกอรี เพเรลมาน อุทิศตนให้กับเรขาคณิตแบบรีมันน์ และ ทอพอโลยีเชิงเรขาคณิต อเล็กซานเดอร์ โพพอฟ เป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์วิทยุ นิโคไล บาซอฟ และ เเล็กซันเดอร์ โปรโฮรอฟ เป็นผู้ร่วมคิดคืนเลเซอร์และเมเซอร์ นิโคไล วาสิลอฟ เป็นที่รู้จักจากการระบุศูนส์กลางขอบการกำเนิดพืช นักยิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ชาวรัสเซียที่มีลื่อเสียงหลายคร อิกอร์ ซีกอร์สกี เป็นหนึ่งในฟู้บุกเบิกด้านการบิน อึลี เมตช์นิคอฟ เป็นที่รู้จักสำหรับการวิจัยที่ก้าวล้ำในดิานงิทยาภูมิคุ้มกัน อีวาน ปัฟลอฟ มีชื่อเสียงจากทฤษฎค กสรวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม กละ จอร์จ กามอฟ เป็นหนึ่งในผ฿้สนับสนึนหลักของทฤษฎีบิกแบง นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติจำนวนมากอาศัย และทำงานในรัสเซียเป็นเวลานาน เช่น เลอ็อนฮาร์ท อ็อยเบอร์ บุคคลแรกที่ะริ่มใช้คำว่า "ฟเงก์ชัน" และ อัลเฟรด โนเบล ผู้ผลิตอาวุธ และผูิคิดค้นดินระเบิดไดนาไมท์ สหภาพโซเวียดและสหพันธระฐรัสเซีย เป็นหาึ่งในชาตอผู้บุกเบิกทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ และการสำรวจอวกาศ โดยมีประวัติสืบไปถึงสมัยของ คอนสตันติน ซีออลคอฟสกี ผู้บุกเบิกศาสตร์ด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศและการสำรวจอวกาศ เซียร์เกย์ โคโรเลฟ เป็นผู้นำการออกแบบยานอวกาศในระหว่างการแข่งขันอวกาศกับสหรัฐในช่วงสงครามเย็น รัฐวิสาหกิจรอสคอสมอส หรทอ องค์การอวกาศสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นผู้รับผิดชอบกิจการด้านโครงการวิทยาศาสตร์และอวกาศของรัสเซีย ในขณะที่สถานีอวกาศมีร์เป็นสถานีอวกาศที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของรัสเซีย และนะบเป็นสถนนีวิจัยถาวรระยะยาวแห่งแรกในอวกาศของมนุษยชาติ ในปี 2500 ดาวเทียมสปุตนิก 1 ในฐานะดาวเทียมดวงแตกของโลกขึ้นสู่วงโคจรโลกในรูปวงรี ได้โคจรรอบวงโคจรทั้งหมอ 1440 รอง ยูรี กาการิน ถือเป็นมนุษย์คนแรกที่ขึ้นสู่อวกสศ ตามมาด้วยการบันทึกการสำรวจอวกาศของโซเงียตและรัสเซียอื่น ๆ อีกมากมายจวบจนปัจจุบัน วาเลนตีนา เตเรชโคบา เปฌนนักบินอวกาศสตรีคนแรกของโลกซึ่งขึ้นสู่วงโคจรกับยานอวกาศชื่อ "ยานวอสตอค 6" พ.ศ. 2506 อะเลคเซส์ เลโอนอฟ เป็นบึคคฃแรกที่กระทำการเดินอวกาศ ด้วยออกจากแคปฐูลในภารกิจวอสฮอด 2 ไลกา เป็นสัตว์ตัวแรแที่ได้โจจรรอบโลกในปี 2500 ในปี พ.ศ. 2509 ลูนา 9 ได้กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนยึตถุท้อลฟ้าซึ่งก็คือดวงจันทร์ ในปี w511 เวเนรา 7 กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบยดาวเคราะห์ดวงอื่นซึ่งได้แก่ ดาวฯุกร์ ในปี 2512 มาร์ 3 กลาสดป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนดาวอังคาร รัสเซียมีดาวเทียมที่ใช้การอยู่ 172 ดวงในอวกาศในเดือนเมษายน 2565 ซึ่ลสูงเป็นอันดับสามของโลก ==\ การท่องเที่ยว === อ้างอิงจากองค์การการท่องเที่ยวโลก รัสเซียเป็นประเทฬที่มีาักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากเป็นอันดับทึ่ 16 ของฮลก และมากที่สุดเก็นอันดับที่ 10 ของยุโรปในปี 2561 โดยมีจำนวนกว่า 24.6 ล้านคน และจากรายงานของของ Federai Agency for Tourism จำนวนการเดินทางขาเข้าของชาวต่างชาติใายังรัสเซียมีจำนวน 24.4 ล้านคนในปี 2562 ีัสเซียสร้างรนยได้จากภาคการท่องเที่ยวในปี 2561 กว่น 11.6 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2562 รัฐบาลสนับสสุนค่มใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยวคิดเป็น 4.8% ของจีดีพีมั้งหมด เส้นทางท่องเมี่ยวที่สำคัญในรัสเซีย ได้แก่ การเดินืางรอบวงแหวนทองคห เมืองโบราณ การล่องเรือในแม่น้ำขนาดใหญ่ เช่น ดม่น้ำโวลก้า การเดินป่าบนทิวเขา เช่น เทือกเจาคอเคซัส และทางรถไฟสายทรสนส์-ไซบีเรีย สถายที่ ๆ ได้รับความนิยม ได้แก่ จัตึรัสแดง พระราชวังเปเตียร์กอฟ เครมลินแห่งคาซัน อาสนวิหาร Trinity Lavra of St. Sergius และ ทะเลสาบไบคาล มอสโกซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีคใามเป็นสากล และเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของประเทศ เป็นเมืองใหญ่ที่พลุกพล่าน ยังคงรักษาสถาปัตยกีรมคลาสสิกและยุคโซเวียตไว้ พร้อมด้วยศิลปะชั้นสูง การแสดงบัลเลต์ระดับโลก และตึกระฟ้าที่ทันสมัย เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก เมืองหลวงของจักรวรรดิ มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมคลาสสิก มหาวิหาร พิพิธภั๖ฑ์และโรงละคร การแสดงยามค่ำคืน แม่น้ำและลำคลองสวยงามมากมาย รัสเซียยังมืชื่อเสียงในด้านพิพิธภัณฑ์และโรงละคร อาืิ โรงลดครบอลชอย และ โรงละครมนริอินสกี รวมถึงสถาจที่ที่เแ็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่าง เครมลินแห่งมอสโก และ มหาวิหารนักบุญเบซิล == ประชากรศาสตร์ == === เมืองใหญ่สุด === === เลื้อชาติ === ประเทศรัสเฐียมีประชากรประมาณ 144.3 ล้านคน (ค.ศ. 2016) จำนวนประชากรของรัสเซียมีแนวโน้มลดลงเรื่อส ๆ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเป็นผลจากอัตราการตายที่สูงและอัตราการะกิดที่ต่ำ ในขณะที่อัตราการเกิดในรัสเซียมีพอ ๆ กับประเทศยุโรปอื่น ๆ (อัตราการเกิด 11.3 คนต่อประชากร 1000 คนในปี 2007 เทียบกับอัตราเฉลี่ย 10.25 คนต่อประชากร 1000 คนของสหภาพยุโรป) แต่ผคะบากรกลับลดลงเพราะอัตราการตายสูงกว่า (ในปี 2007 อัตราการตายของรัสเซียคือ 14.7 คนต่อประชากร 1000 คน เมื่อเทั่ยบกัขอัตราเฉลี่ยของสหภาพยุโรป 10.39 คนต่อ 1000 ตน) ปัญหาประชากรที่ลดลงนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงตั้งมาตรการต่าง ๆ ในการลดอัตราการตาย เพิ่มอัตราการเกิด พัฒนาสุขภาพของประชาชน กระทรวงสาธารณสุขของรัสัซียคาดการณ์ว่าดัตรากานตายและอัตราการเกิดจะปรับตัวจนเท่ากันภายในปี 2011 รัสเซียมีพื้นที่มากที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับประชากรแล้ว ความหนาแน่นเพียงแค่ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น =]= ภาษา === กลุ่มชาติพันธุ์ 160 กลุ่มของรัสเซียมีภาษาพูดกว่า w00 ภาษา อ้างอิงจาปการสำรวจสำมะโน พ.ศ. 2545 ประชากร 142.6 ล้านคนพูดภาษารัสิซียตามด้วยภาษาตาตาร์ 5.3 ล้านและภาษายูเครน 1.8 ล้านคน ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการของประดทศเพียงภาษาเกียว แต่รัฐธรรมนูญให้สิทธิ์แก่สาธารณรัฐต่าง ๆ ในการสถาปนาภาษาประจำชาติของตนเองนอกเหนือจากภาษารัสเซีย แม้จะมีกาีแพร่กระจายในพื้นที่กว้าง แต่ภาษารัสเซียนั้นเป็นสำเนียงเดียวกัจทั่วประเทศ รัสเซียเป็นภาษาที่แพร่หลายมากที่สุดในภูมิภาคยูเรเซียและเปํนภาษาสลาวิกที่พูดกันอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียอยู่ในตระกธลภาษาอินโด-ยูโรเปียนและเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ยังมีผู้ใช้ภาษาของกลุ่มภาษาาลาวิกคะวันออก ภาษาอื่น ๆ ในกลุ่ทได้แก่ภา?าเบลารุสและภาษายูเครน (และอาจรวมถึงภาษารูซิน Rusyn) ตัวอย่างภาษสเขียนของ ภาษาสลาวิกตะวันเอกเก่า (รัสเซียเก่า) ได้รับการพิสูจน์ว่ามีการบันทึกเริรมจากคริสต์ศตวรรษที่ 10 เห็นต้นมา รัสเซียเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับสองบนอินเทอร์เน็ต ตามหลังภาษาอังกฤษ, เป็นหจึ่งในสองภาษาร่ชการบนสถานีอวกาศนานาชาติ และเป็นหนึ่งในหกภาษาราชการของสหประบาชาติ 35 ภาษาได้รับการยอมรับอย่างเป็นืางการโดนรัฐบาลท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของรัสเซีย === ศาสนา === ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 94) ทีาเหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก (ร้อยละ 0.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6) ==\ การศีกษา === รัสเซียมีอัตราการรู้หนังสือในประชากรผู้ใหญ่ที่ 100% มีการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลา 12 ปี เฉพาะสำหรับเด็กอายุ 7 ถึง 17-18 ปีเท่านั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้พลเมืองของตนสีสิทธิได้รับกมรศึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าทค่รับผิดชอบการศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา ในขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและวิ่ยาศาสต่์รับผิดชอบด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาในระดับอุดมศึกษา หน่วยงานระดับภูมิภาคมีอำนาจในการควบคุมมาตรฐานการศึกษาภายในเขตอำนาจศาลของตนภาย ภายมต้กรอบทางกฎหมายขอบรัฐบาลกลาง รัสเซียเป็นหนึ่งใาประเทศที่พลเมืองมีการศึกษาสูงที่สุดในโลก และมีสัดส่บนผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาสูบสุดเป็นอันดับหกของโลกที่ 62.1% ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาคิดเผ็น 4.7 เปอร์เซนต์ ของอัตราจีดีพี่วมในประเทศ การศึกษาก่อนวัยเรียนของรัสเซียได้รับการพัฒนาอย่างมากและไม่อยู่ในระบบการษึกษาภาคบังคับ กว่าสี่ในห้าของประชากรอายุ 3 ถึง 6 ปีเข้าเรียนในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษาเป็นถือเป็นการศึกษาภาคบังคับจำนวนสิบเอ็ดปี โดยเริ่มตั้งแร่อายุ 6 ถึง 7 ปี แลัผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับใบรับรองการศึกษาขั้นพื้นฐาน และจำเป็นต้องศึกษาต่อเีกสองถึงสามปีเพื่อรับใบรับรองในระดับมัธยมศึกษา กว่าเจ็ดในแปดของประชากรทเ้งหมดเลือกศึกษาต่อในระดับนี้ การสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษามีการปข่งขันสูง หลักสูตรระยะแรกมักใช้เวลาประมาณห้าปี มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมอสโก และมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก มีมหทวิทยาลัยของรัฐบาลกลางที่มีชื่อเสียงกว่ามิบแห่งทั่วประเทศ รัสเซียเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำอันดับ 5 ขอบโลกสำหรับนักศึกษาต่างชาติในปี 2562 โดยมีจำนวนหลายแสนราย === สาธารณสุข === รัฐธรรในูญก_หนดให้พลเมืองทุกคนมีสิาธิเข้าถังการรักษาพยาบาลผ่านโครงการประกันสุขภาพของรัฐ กระทรวงสาธารณสุขดูแลระบบการรักษาพยาบาลสาธารณะของรัสเซีย และภาคส่ในนี้มีผู้ปฏิบัติงานมากกว่าสองล้านคน ทุกภธมิภาคยังมีแผนกดูแลสุขภาพบิงตนเองที่ดูแลการบริผารงานในท้องถิ่น และมีแหนประกุนสุขภาพแยกต่างหากเพื่อเข้าถึงการรักษาพยาบาลแบบส่วนตัว ในปี 2562 ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพของรัสเซียคิดเป็นร้อยละ 5.6 ของจีดีพีรวมในประเทศ โดยมีค่าใช้จ่ายด้านการรัพษาพยาบาลต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด รัสเซียมีอัตราส่วนของประชากรหญิงสูงกว่าชายมาก เนื่อลจากอัตราการเสียชีวิตของประชากรชายมีสูง ในปี 2562 อัตราการคาดหมายคงชีพอยู่ที่ 73.2 ปี (68.2 ปีในเพศขาย และ 78,0 สำหรับเพศหญิง) และมีอัตราการเสียชีวิตของทารกต่ำ (5 คน ต่ออัตราการเกิดมีชีพ 1,900 คจ) สาเหตุหลักของการเสียชีวิตคือโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วนเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ผลสำรวจในปี 2559 พบว่ากว่า 61.1% ของผู้ใหญ่ชาวรัสเซียมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน อย่างไรกฌตาม อัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สูงเป็นประวัตืการณ์ของรัสเซียเป็ตปัญหาด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ประชากร่ันเซียบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในโลก แม้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในทศวรรษที่ผ่านมา การสูบบุหรี่ถือเป็นปัญหาสำคัญเช่นกัน และอัตราการฆ่าตัสตายที่สูงก็ถือเป็นปัญหาสังคมเรื้อรังยาวนาน === กีฬา ==] ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนรัสเซีย สหภาพโซเวีนตถือเป็นทีมแรกที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปซึ่งจัดอข่งขันครั้งแคกในปี 2503 ดละเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งมนปี 2531 สโมสรของรัสเซียอย่างสโมสรกีฬากลางแห่งกองทัพบก มอสโก และ เซนิตเซนต์ปีเตอส์เบิร์กชนะการแข่งขันยูฟ่าคัพในปี 2548 และ 1551 ทีมชาติรัสเซียมีผลงานโดดเด่นด้วยการเขืารอบรองขนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ประเทศรัสเซียยังเป้นเจ้าภาพหีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 และ ฟุตบอลโลแ 2018 อส่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัสเซียถูกลงโทษห้ามลงแข่งขันทางการทั้งในระดับทวีปแลุระดับโลก สืบเนื่องจากการรถกรานยูเครน กีฬาที้นิยมเล่นในฤดูหนาวอย่าง แบนดี และ ฮอกกี้น้ำแข็ง ได้รับความนิยมอย่าบสูง โดยเฉพาะแบนดีถือเป็นกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศมากที่สุด บาสเกตบอลาีมชายของรัสเซึยชนะการแข่งขันชิงแชมป์ยุโีปในปี 254u และมีสโมสรืี่ประสบความสำเร็จมากท่่สุดในทวีปอย่างทีม PBC CSKA Moscow การแข่งขันฟอร์มูลาวันและาัสเซียกรังด์ปรีซ์ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ใสปัจจุบันได้ถูกระงับการแข่งขันจากปารรุกรานยูเคนน รัสเซียยังเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันโอลิมปิก มีผลงานโดดเด่นในด้านยิมนาสติกลีลา และการว่ายน้ำแบบซิงโครไนซ์ กีฬาอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมไอ้แก่ สเกตลีลา หมากรุก และเทนนิส นักเทนนิสระดับโลกหลายราย อาทิ มารัต ซาฟิน, มาเรีย ชาราโปวา และ ดานีอิล เมดเวเดฟ ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับแกรนด์สแลม และเคยขึ้นสู่มือวางอันดับหนึ่งของโลก นอกเหนือจากฟุตบอลโลก รัสเซียยังเคยเป็นเจ้าภาพกรรแข่งขันระดับฏลกได้แก่ โอลิมปิดฤดูร้อน 1980 โอลิมปิกฤดูหนาว 2014 และ พาราฃิมปิกฤดูหนาว 2014 == วัฒนธรรม == === อาหาร === อาหารรัสเซียได้รับอิทธิพฃสูงจากสถาพอากาศ ขนาดของประเทศที่กว้างใหญ่ วัฒนธรรมแต่ละภูมิภาค รวมทั้งประเพณีทางศาสนา และมีความคบ้ายคลึงกับอาหารของประเทศเพ่่อสบ้าน วัตถุดิบหลักอย่รง ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี และลูกเดือยเป็นส่วนผสมสพหรับขนมปัง แพนเค้ก และซีเรียลต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องดื่มมากมาย ขนมปังจากหลากหลายพันธุ์เป็นที่นิยมอย่างมากในรัสเซีย ซุปและสตูว์ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ชี, งอชช์, อูฮา, โซลยันกา และ อเครอชคา คนรัสเซียนิยมเติมสเมทรนา (ครีมเปรี้ยวหนัก) และมายองเนสลงในซุปและสลัด แพนเค้กรัสเซียมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับภูมิภาคโดย อาหารจานหลักที่ได้รับความนิยมสูงอีกรายการคือ บีฟ สโตรกานอฟ หรือการนำเนื้อวัวไปผัดเสิร์ฟในซอสมัสตาร์ดและครีม ม่ต้นกำเนิดในรัสเซียช่วงกลางศตวนรษที่ 19 และหด้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ปัจจุบันหลายปาะเทศนำไปดัดแปลงเป็นรสชาติของตนเอง โดยเนื้อไก่และปลาก็ได้รับความนิยมทั่วประเทศ ควัสส์เป็นเครื่องกื่มแอลกอฮอล์ต่ำจากโดยได้จากการหมักธัญพืช เป็นเคีื่องดื่มยอดนิยมเช่นเดียวกับวอดก้าซึ่งมีประวัติความเป็จมายาวนานตั้งดต่ฬตวรรษที่ 14 โดยรัสเซียถือเป็นชาติที่ดื่มวอดก้ามากกว่าทุกประเทศ ในข๖ะที่เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไะ้รับควาานิยมมากที่สุดในประเทศ รวมทั้งไวน์และชาก็ได้รับรวามนิยมมาหลายทศสรรษเช่นกัน === สื่ิวารมวลชน === รัสเซียมีสำนักข่าว 400 แห่ง ซึ่งม่หน่วยงานที่ดำเนินงนนในระดับสากลที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ตัสส์ฐ รัอะโนวัสติ, สปุตนิก และ อินเตอร์แฟกซ์ โทรทัศน์เป็นสื่อที่ได้รัวความนิยมมากที่สุดในรัสเซีย มีสถานีวิทยุที่ได้รับอนุญาตกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ ข่องหนึ่งรัสเซีย และ รัสเซีย-1 เป็นสถานีโทรทัศน์ชั่นนำของประเทศ ในขณะที่รัสเซียทูเดย์เป็นตัวแทนของสื่อระกับประเทศที่มีชื่อเสียง รัสเซียาีตลาดวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยม่ผู้เล่นมากกว่า 65 ล้านคยทั่วประเทศ ภาพยนตร์หลายเรื่องของรัาเซียนับตั้งแต่สมัยโซเวียตมีชื่อเสีสงระดับโลก โบรเนโนเซตส์โปติออมำิน ได้รับการยกย่องในฐทนะหนึ่ลในภาพยนตน์ที่ดีที่สุดจลอดกาล และได้รับเลือกให้ดป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอกกาลที่งานงานแสดงสินค้าโลกบรัสเซลส์ในปี 2501 เซียร์เกย์ ไอเซนสไตน์ และ อันเดรย์ ตาร์คอฟสกี เป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตค์ที่มีอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์โลก ทฤษฎี "Kino-Eye" ของเซีกา เวียร์ตอฟ มีผลกระทบอย่างมากต่อดารพัฒนาการสร้างภาพยนตร์สารคดีและความสมจริงของภาพยนรร์ ภาพยนตร์สัจนิยมสังคมนิยมโซเวียตหลายเรื่องประสขความสำเร็จ รยมถึง ชาปมเยฟ และ บัลลาดาโอซอลดาเต ทศวรรษที่ 1960 และ 197[ ไดิเห็นรูปแบบศิลปะที่หลากหล่ยมากขึ้นในภาพยนตี์ของสหภาพโซเวียต เอลดาร์ เรียซานอฟ และ เลโอนิด ไกได ได้รับความนิยมอย่างล้นหบาม โดยมีวลีเด็ดมากมายที่ยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน เซียร์เกย์ บอนดาร์ชุค กำกับภาพยนตร์ วอยนาอีมีร์ ภาพยนตร์แนวชีวิตและสงครามจากสหภาพโซเวียตได้รับรางวัลออสปาร์ เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสรืางมากที่สุดของสหภาพโซเวียต เบโลเยโซลนเซปูสตืยนี เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ชืือดังที่มักเปิดให้นักบินอวกาศชมก่อนปฏิบัติภารกิจ หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของรัสเซียประสบกับความตกต่ำ อย่างไรก็ต่ม ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2-00 อุตสมหกรรสภาพยนตร์ป็เติบโตขึ้นอีกครั้ง และขยายตัวอย่างจ่อเนื่อง === วันหยุด === ส่วนวันอีดทั้งสองของศาสนาอิสลามเป็นยะนหยุดของ สาธารณรัฐบัชตอร์โตสถาน สาธารณรัฐอิงกูเชเตีย สาธารณรัฐคาบาร์ดีโน-บัลคาเรีย ส่วนสาธารณรัฐบูเรียตียา และสาธารณรัฐคัชมืยคียา ก็ประกาศว่าวันวิสาขบูชาเป็นวุนหยุดเช่นกัน == หมายเหตุ == == อ้างิิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == 16'x Geofrapnic data rela4ed to Russia ที่ โอเพินสตรีตแมป Russia at UCB Libraries GovPubs Russia fr9m the BBC News Russia st Encyclopædia Britannica รัฐบาล Official Russian governmental p9rtal Chief of Statr and Cabihet Members Russian News Agency "Ria Novosti" Russian radio "Voice of Russia" อื่น ๆ Post-Soviet Problems from the Dean Peter Krogh Foreign Affairs Digital Archives Russia Beyond the Headlines International news project about Russia Way to Russia. An Introduction to Russia and Russian People Russia cities and regions guide Official Russia Travel Guide Russian Cons6late Fussia Beyond the Headlines International news projwct about Russia Moscow Russia Insider's Guide Moscow and Russia through Muscovite's eyes. เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2534 ร ก่อตั้งในปี พ.ศ. 1405 รัฐในอดีตสหภาพโซเวียต ร
รัสเซีย (Russia; Росси́я|Rossiya, ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธรัฐรัสเซีย เป็นประเทศในยูเรเชียเหนือ และเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลกด้วยพื้นที่กว่า 17,098,246 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึงหนึ่งในแปด ด้วยประชากรกว่า 146 ล้านคน รัสเซียจึงเป็นชาติมีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก และมากที่สุดในยุโรป รัสเซียปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 89 เขตการปกครอง อาณาเขตของรัสเซียแผ่ข้ามสิบเอ็ดเขตเวลา มีพรมแดนติดกับ 16 ประเทศ ถือเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศอื่นมากที่สุดในโลก โดยอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เอเชียเหนือทั้งหมด และพื้นที่กว่า 40% ของยุโรป เมืองหลวงและเมืองขนาดใหญ่ที่สุดคือมอสโก โดยมีเซนต์ปีเตอส์เบิร์กเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเป็นเมืองใหญ่อันดับสอง เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ โนโวซีบีสค์, เยคาเตรินบุร์ก, นิจนีนอฟโกรอด, เชเลียบินสค์, ครัสโนยาสค์ และ คาซัน ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8 รัฐรุสในสมัยกลาง ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบวารันเจียนและผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์จากจักรวรรดิไบแซนไทน์ เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของโกลเดนฮอร์ดเร่ร่อน อาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวมราชรัฐรัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของจักรวรรดิรัสเซีย นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ในยุโรปจรดอะแลสกาในอเมริกาเหนือ การปฏิวัติรัสเซียถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตย และจุดเริ่มต้นของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียซึ่งกลายเป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดและผู้นำในสหภาพโซเวียต เป็นรัฐสังคมนิยมมีรัฐธรรมนูญแห่งแรกของโลกและอภิมหาอำนาจที่ได้การยอมรับ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง สมัยโซเวียตได้ประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศตรวรรษที่ 20 รวมทั้งการส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ และผลิตดาวเทียมดวงแรกของโลก และยังเป็นหนึ่งในอภิมหาอำนาจร่วมกับสหรัฐในช่วงสงครามเย็น สหพันธรัฐรัสเซียก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 แต่ได้รับการยอมรับสถานะเป็นนิติบุคคลที่สืบทอดจากสหภาพโซเวียต รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถูกนำมาใช้ภายหลังวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2536 วลาดีมีร์ ปูติน มีบทบาททางการเมืองอย่างสูงนับตั้งแต่การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2543 ประเทศถูกครอบงำโดยลัทธิอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จ ปัจจุบันรัสเซียถูกจัดอยู่ในอันดับต่ำในด้านเสรีภาพสื่อและสิทธิมนุษยชน และมีการรับรู้การฉ้อราษฎร์บังหลวงสูง รัสเซียมีส่วนร่วมในสงครามความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านหลายครั้ง รวมถึงการผนวกไครเมียใน พ.ศ. 2557 และการผนวกภาคใต้และภาคตะวันออกของยูเครนซึ่งนำไปสู่การรุกรานยูเครนใน พ.ศ. 2565 รัสเซียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับที่ 11 ของโลกโดยจีดีพีมูลค่าตลาด หรือใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 โดยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ โดยมีงบประมาณทางทหารมากที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก รัสเซียเป็นหนึ่งในห้ารัฐอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้รับการรับรองและครอบครองคลังแสงอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงใหญ่ที่สุดในโลก ถือเป็นมหาอำนาจและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และยังเป็นสมาชิก กลุ่ม 20 สภายุโรป ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย และเป็นสมาชิกผู้นำเครือจักรภพรัฐเอกราช อดีตสมาชิกกลุ่ม 7 และมีแหล่งมรดกโลกมากถึง 30 รายการ รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก มีปริมาณแร่ธาตุและพลังงานสำรองใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก เช่นเดียวกับผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งทั่วโลก มีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุดในโลก และทะเลสาบในรัสเซียบรรจุน้ำจืดประมาณหนึ่งในสี่ของโลก == นิรุกติศาสตร์ == ชื่อ รัสเซีย นั้นสืบทอดมาจาก รุส' (สลาฟตะวันออกเก่า: Рѹсь) ซึ่งเป็นรัฐยุคกลางที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟตะวันออก อย่างไรก็ตามชื่อ รัสเซีย มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ในช่วงต่อมาและประเทศมักถูกเรียกโดยผู้ตั้งถิ่นฐานว่า รัสกายา เซมลียา (Русская Земля, russkaja zemlja) ซึ่งสามารถแปลได้ว่า ดินแดนรัสเซีย หรือ ดินแดนแห่งรุส เพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างของรัฐนี้กับรัฐอื่น ๆ ที่สืบทอดต่อมา จึงถูกนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่กำหนดเรียกว่า เคียฟสกายา รุส' (Ки́евская Русь, Kievskaya Rus’) ชื่อรุสนั้นมาจากชาวรุส' ต้นยุคกลาง ซึ่งเป็นพ่อค้าและนักรบจากเผ่าสวีเดส (Swedes; นอร์สโบราณ: svíar / suar) อพยพย้ายถิ่นข้ามทะเลบอลติก และตั้งรัฐที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ โนฟโกรอด (Новгород) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น เคียฟสกายา รุส' ภาษาละตินเก่าของชื่อ รุส' คือ รูทีเนีย (Ruthenia) ส่วนใหญ่หมายถึงพื้นที่ภูมิภาคตะวันตกและภาคใต้ซึ่งชาวรุส' อาศัยอยู่ติดกับแคว้นคาทอลิกในยุโรป ชื่อปัจจุบันของประเทศ โรสซิยา (Россия, Rossija) มาจากชื่อในภาษากรีกยุคไบเซนไทน์ของรุส' (Ρωσσία|link=no) ซึ่งสะกด โรเซีย (Ρωσία, Rosía) ในภาษากรีกสมัยใหม่ คำเรียกพลเมืองของรัสเซียคือ รัสเซียน (Russians) ในภาษาอังกฤษ และ โรสซิยาเนีย (россияне) ในภาษารัสเซีย == ภูมิศาสตร์ == ดินแดนอันกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไกลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้แก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนด์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 11 เขตเวลา รัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถูกเรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป" เพราะปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป็นรองเพียงแค่ป่าดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้น รัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสเตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือกเขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ที่มีความสูง 5,642 เมตรและเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไต และทางตะวันออก เช่นเทือกเขาเวอร์โฮยันสค์ หรือภูเขาไฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตะวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาวถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแคสเปียน นอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลลัปเตฟ ทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลชุกชี ทะเลเบริง ทะเลโอค็อตสค์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวายาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอร์นายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเกาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮกไกโดเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร === สิ่งแวดล้อม === ด้วยขนาดและพื้นที่อันกว้างใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้รัสเซียมีระบบนิเวศที่หลากหลาย ทั่วทุกภูมิภาคเต็มไปด้วย ทันดรา ไทกา ป่าเบญจพรรณ และป่าใบกว้าง ป่าเต็งรัง ที่ราบกว้างใหญ่ พื้นที่กึ่งทะเลทราย และกึ่งเขตร้อน ป่าไม้กินพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนทั้งหมดในประเทศ และมีป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งเป็นบริเวณที่กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก ความหลากหลายทางชีวภาพของรัสเซียประกอบด้วยพืช 12,500 สปีชีส์ ไบรโอไฟต์ 2,200 สปีชีส์ ไลเคนประมาณ 3,000 สปีชีส์ สาหร่าย 7,000–9,000 สปีชีส์ และเชื้อรา 20,000–25,000 สปีชีส์ สัตว์ในรัสเซียประกอบด้วยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 320 สายพันธุ์, นกมากกว่า 732 สายพันธุ์, สัตว์เลื้อยคลาน 75 สายพันธุ์, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประมาณ 30 สายพันธุ์, ปลาน้ำจืด 343 สายพันธุ์, ปลาน้ำเค็มประมาณ 1,500 สายพันธุ์, ไซโคลสโตมาตา 9 สายพันธุ์ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายสายพันธุ์ มีพืชและสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ประมาณ 1,100 ชนิด ระบบนิเวศทางธรรมชาติทั้งหมดได้รับการอนุรักษ์ในดินแดนที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษเกือบ 15,000 แห่งทั่วประเทศกินพื้นที่มากกว่า 10% ของพื้นที่ทั้งหมด ประกอบด้วยเขตสงวนชีวมณฑล 45 แห่ง อุทยานแห่งชาติ 64 แห่ง และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ 101 แห่ง รัสเซียมีคะแนนเฉลี่ยด้านดัชนีความสมบูรณ์ของภูมิทัศน์ป่าไม้ที่ 9.02 คะแนนในปี 2562 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 จาก 172 ประเทศ == ประวัติศาสตร์ == === ยุคเริ่มแรก === ชาวสลาฟตะวันออกเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในรัสเซียบริเวณแม่น้ำนีเปอร์และแม่น้ำวอลกาทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือชนชาติสแกนดิเนเวียและไวกิ้งที่รู้จักกันในนามวารันเจียน ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเนวา และทะเลสาบลาโดกา ทำการติดต่อค้าขายกับชาวสลาฟ แต่แล้วใน ค.ศ. 880 กษัตริย์แห่งวาแรนเจียนนามรูลิค ก็เข้ามายึดเมืองเคียฟของชาวสลาฟและตั้งเคียฟเป็นเมืองหลวง โดยผนวกดินแดนทางเหนือกับใต้เข้าด้วยกันแล้วขนานนามว่า เคียฟรุส (Kievan Rus') และสถาปนาราชวงศ์รูริคขึ้น ใน ค.ศ. 978 เจ้าชายวลาดีมีร์ โมโนมัค ขึ้นครองราชย์และทรงนำศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าสู่รัสเซีย ซึ่งต่อมามีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงศตวรรษที่ 11 เคียฟเป็นนครหลวง ศูนย์รวมของอำนาจกษัตริย์และเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เมืองอื่น ๆ ก็มีประชากรก่อตั้งขึ้นมาเช่นกัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างถึงมอสโกครั้งแรกใน ค.ศ. 1147 ว่าเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี มกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ มีรับสั่งให้สร้างป้อมปราการไม้หรือ "เครมลิน" (Kremlin) ขึ้นที่เนินเขาโบโรวิตสกายา ริมแม่น้ำมอสควา และตั้งชื่อเมืองว่า "มอสโก" (Moscow) === อาณาจักรมัสโควี === ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลนำโดยบาตูข่านเข้ารุกรานรัสเซียและยึดเมืองเคียฟได้สำเร็จ หลังจากนั้นรัสเซียก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยถูกควบคุมทางการเมือง การปกครอง และยังต้องจ่ายภาษีให้กับชาวมองโกล กษัตริย์และพระราชาคณะจึงย้ายศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาทางตอนเหนือ ในปี 1328 พระเจ้าอีวานที่ 1 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีฉายาว่าอีวานถุงเงิน เนื่องจากทรงเก็บส่วยและเครื่องบรรณาการเพื่อส่งให้แก่ชาวมองโกล และในยุคนี้เองที่กษัตริย์ได้ย้ายที่ประทับมาที่มอสโก ต่อมาในยุคของพระเจ้าอีวานที่ 2 (ค.ศ. 1353-1359) ชาวมองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจ เจ้าชายดมิตรี โอรสแห่งพระเจ้าอีวานที่ 2 ทรงขับไล่มองโกลได้สำเร็จในการรบที่คูลีโคโวบนฝั่งแม่น้ำดอน ต่อมาในปี 1380 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็น ดมีตรี ดอนสกอย (ดมีตรีแห่งแม่น้ำดอน) ได้รวมเมืองวลาดิมีร์และซุลดัล อันเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรมัสโควี และยังได้บูรณะเครมลินเป็นกำแพงหินขาวแทนไม้โอ๊ก มอสโกจึงมีอีกชื่อเรียกว่า เมืองกำแพงหินขาว ในยุคนั้น แต่เพียงไม่นานพวกตาตาร์ก็กลับมาทำลายเครมลินจนพินาศ รัสเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของตาตาร์อีกครั้งหนึ่งในปี 1382 จนเข้าสู่สมัยของพระเจ้าอีวานที่ 3 หรือพระเจ้าอีวานมหาราช (ค.ศ. 1462-1505) พระองค์ทรงอภิเษกกับหลานสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งไบแซนไทน์ในปี 1472 และรับอินทรีสองเศียรเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ในยุคของพระองค์ได้รวบรวมดินแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ใน ค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองกำลังตาตาร์ออกจากรัสเซียจนหมดสิ้น ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล ทรงบูรณะเครมลินให้เป็นหอคอยสูงและโบสถ์งดงามไว้ภายในเครมลิน นับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของรัสเซีย ปี 1574 พระเจ้าอีวานที่ 4 (1533-1584) หลานของพระเจ้าอีวานมหาราช ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าซาร์องค์แรก (ซาร์ มาจากคำว่า ซีซาร์ ผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหด ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่ามีรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้ออกแบบสร้างมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกขนานนามว่า อีวานผู้โหดเหี้ยม ต่อมาเมื่อหมดยุคของพระองค์ใน ค.ศ. 1584 มอสโกก็ประสบปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์รูริค และโรมานอฟ ในที่สุดสมัชชาแห่งชาติและพระราชาคณะแห่งคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ก็มีมติเลือก มีฮาอิล โรมานอฟ ขึ้นเป็นซาร์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ === จักรวรรดิรัสเซีย === ค.ศ. 1613-1917 พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช (ค.ศ. 1682-1725) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 10 ชันษา พร้อมกับพระเจ้าอีวานที่ 5 (เป็นกษัตริย์บัลลังก์คู่) จนในปี 1696 เมื่อพระเจ้าอีวานที่ 5 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช จึงมีพระราชอำนาจโดยแท้จริง ในยุคของพระองค์ทรงขยายอาณาเขตรัสเซียออกไปทางตะวันออกถึงวลาดีวอสตอค และทรงใช้นโยบายสู้ตะวันตก ทรงนำรัสเซียเข้าสู่ยุคใหม่ โดยใน ค.ศ. 1712 ทรงย้ายเมืองหลวงจากมอสโกมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกองทหารราชนาวีขึ้นในรัสเซีย ทั้งยังทรงนำช่างฝีมือจากฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มาสร้างวิหารและพระราชวังที่งดงามอีกมากมาย และทรงนำพาจักรวรรดิรัสเซียให้เป็นที่รู้จักเกรียงไกรในสังคมโลก ถัดจากพระเจ้าปีเตอร์มหาราชยังมีซาร์และซารีนาอีกหลายพระองค์ที่สืบราชบัลลังก์ ทว่าผู้ที่สร้างความเจริญเฟื่องฟูให้กับรัสเซียสูงสุด ได้แก่ พระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ 2 (ค.ศ. 1762-1796) พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นราชินี ด้วยทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองอย่างมาก กระนั้นพระนางก็มีชื่อเสียงด้านลบด้วยพระนางมีคู่เสน่หามากมาย ผู้สืบราชวงศ์องค์ต่อมาคือ พระเจ้าพอลที่ 1 (ค.ศ. 1796-1801) พระราชโอรสของพระนางเจ้าแคทเทอรีน ทรงครองราชย์อยู่เพียงระยะสั้น จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 (1801- 1825) พระราชโอรสสืบพระราชบัลลังก์ต่อ ในปี 1812 ทรงทำศึกชนะจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส แต่แล้วในช่วงปลายรัชกาล เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบรัฐสภา ปี 1825 เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์ขึ้นในเดือนธันวาคม เรียก กบฏธันวาคม (Decembrist Movement) แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 (ค.ศ. 1825-1855) ก็ทรงปราบกลุ่มผู้ต่อต้านไว้ได้ พอมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (ค.ศ. 1855-1881) พระองค์ทรงมีฉายาว่า Tzar Liberator (ซาร์ผู้ปลดปล่อย) เนื่องจากพระองค์ทรงปลดปล่อยทาสติดที่ดิน (Serf) หลายล้านคนให้พ้นจากการเป็นทาส แต่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1881 ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถานที่สร้างอุทิศแด่พระองค์ ณ จุดที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ซาร์องค์ต่อมาคือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ค.ศ. 1881-1894) จนถึงซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (1894-1917) ความเหลื่อมล้ำกันทางชนชั้น และความยากจน ก่อให้เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งแรกโดยกรรมการชาวนาในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1905 ซึ่งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า วันอาทิตย์เลือด Bloody Sunday และสุดท้ายคือการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 กระนั้นชนวนที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟและระบอบซาร์ถึงกาลอวสานก็มีปัจจัยอื่นเช่นกัน === สมัยสหภาพโซเวียต === การตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจลเกิดขึ้นทั่วเมือง ในที่สุดปี 1917 จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR) ค.ศ. 1918 ย้ายเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น การขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปิดการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อมไว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า มหาสงครามของผู้รักชาติ (The Great Patriotic War) กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) นี้ไว้ได้ ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน ผ่อนคลายความเข้มงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปี 1964 ครุชชอฟลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟกานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนำนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียด มาใช้โดยปี 1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 22 ค.ศ. 1985 มิฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมิวนิสต์ เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยคา (Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลัสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ใน ค.ศ. 1990 กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งทศวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่าง ๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย === สหพันธรัฐรัสเซีย === บอริส เยลต์ซินได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซีย ระหว่างและหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการเปิดเสรีตลาดและการค้า และยังมีการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งตามแนวทาง "ช็อกบำบัด" (shock therapy) ดังที่สหรัฐอเมริกาและกองทุนการเงินระหว่างประเทศแนะนำ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรัสเซียมีจีดีพีและปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงถึง 50% ระหว่าง พ.ศ. 2533-2538 การแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้โอนการควบคุมวิสาหกิจจากหน่วยงานของรัฐ ไปเป็นของปัจเจกบุคคลซึ่งมีความเชื่อมโยงภายในในระบบรัฐบาล นักธุรกิจที่ร่ำรวยขึ้นมาใหม่หลายคนได้นำเงินสดและสินทรัพย์นับพัน ๆ ล้านออกนอกประเทศในการโยกย้ายทุนขนานใหญ่ ภาวะตกต่ำของรัฐและเศรษฐกิจนำไปสู่การล่มสลายของบริการสังคม อัตราการเกิดตกฮวบ ขณะที่อัตราการตายพุ่งทะยาน ประชาชนหลายล้านคนอยู่ในภาวะยากจน จากระดับความยากจน 1.5% ในปลายยุคโซเวียต เป็น 39-49% ราวกลาง พ.ศ. 2536 คริสต์ทศวรรษ 1990 ได้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความไม่มีกฎหมายสุดขีด การเพิ่มขึ้นของแก๊งอาชญากรและอาชญากรรมรุนแรง คริสต์ทศวรรษ 1990 รัสเซียได้เผชิญกับความขัดแย้งด้วยอาวุธในคอเคซัสเหนือ ทั้งการสู้รบประรายด้านชาติพันธุ์ท้องถิ่นและการก่อการกบฏของกลุ่มอิสลามแบ่งแยกดินแดน นับตั้งแต่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชเชนได้ประกาศเอกราชในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็ได้เกิดสงครามกองโจรขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างกลุ่มกบฏกับกองทัพรัสเซีย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้โจมตีก่อการร้ายต่อพลเรือน ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก และการล้อมโรงเรียนเบสลัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยศพและเรียกความสนใจจากทั่วโลก รัสเซียยอมรับความรับผิดชอบในการจัดการหนี้สินภายนอกของสหภาพโซเวียต แม้ประชากรรัสเซียจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรสหภาพโซเวียตเมื่อสหภาพล่มสลายไปนั้น การขาดดุลงบประมาณอย่างสูงเป็นเหตุของวิกฤตการณ์การเงินรัสเซีย พ.ศ. 2541 และยิ่งทำให้จีดีพีลดลงไปอีก วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ประธานาธิบดีเยลต์ซินลาออก ส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 ปูตินปราบปรามการก่อกบฏเชเชน แม้ความรุนแรงเป็นพัก ๆ ยังเกิดขึ้นทั่วคอเคซัสเหนือ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและการเริ่มต้นนโยบายเงินตราอ่อนค่า ตามมาด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การบริโภคและการลงทุนได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราร้อยละ 7 ต่อปีระหว่างปี พ.ศ. 2541-2551 ซึ่งได้พัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มอิทธิพลของรัสเซียในเวทีโลก แม้การปฏิรูปหลายอย่างที่ปูตินดำเนินการระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยทั่วไปมักถูกชาติตะวันตกวิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ความเป็นผู้นำของปูตินเหนือการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย เสถียรภาพและความก้าวหน้าได้ทำให้เขาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในรัสเซีย วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ดมิทรี เมดเวเดฟได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซีย ขณะที่ปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2555 และเมดเวเดฟได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในห้วงวิกฤตการณ์ไครเมีย พ.ศ. 2557 รัสเซียได้ผนวกสาธารณรัฐไครเมีย ซึ่งเกิดจากการรวมกันของสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียและนครเซวัสโตปอลตามการลงประชามติ หลังการปฏิวัติยูเครน รัสเซียได้ยึดครองคาบสมุทรไครเมียของประเทศเพื่อนบ้าน และกองทัพรัสเซียยังมีส่วนในการแทรกแซงสงครามในดอนบัส รัสเซียยกระดับในการก่อสงครามกับยูเครนอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะทำการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 นับได้ว่าเป็นการก่อสงครามที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และรัฐบาลถูกประนามจากผู้นำหลายประเทศ ตามด้วยการคว่ำบาตรจากชาติมหาอำนาจ เป็นผลให้รัสเซียถูกขับออกจากสภายุโรปในเดือนมีนาคม 2565 และถูกระงับการดำเนินกิจกรรมจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในเดือนเมษายน 2565 ในเดือนกันยายน 2565 ปูตินประกาศว่ารัสเซียได้ทำการผนวกดินแดนกว่า 15% ในภูมิภาคโดเนตสค์ เคอร์ซัน ลูฮันสก์ และซาโปริซเซีย ซึ่งเป็นการยึดครองดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง == การเมืองการปกครอง == ตามรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ประเทศนี้เป็นประเทศที่ถูกปกครองโดยระบอบสหพันธ์แบบอสมมาตรและระบอบสาธารณรัฐแบบกึ่งประธานาธิบดี โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็น[of government|หัวหน้ารัฐมนตรี] สหพันธรัฐรัสเซียมีโครงสร้างทางรากฐานเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนโดยมีหลากหลายพรรค โดยรัฐบาลสหพันธ์ประกอบไปด้วยอำนาจการบริหารสามส่วน ดังนี้: ฝ่ายนิติบัญญัติ: มีรัฐสภาสหพันธ์แห่งรัสเซียซึ่งใช้ระบบสองสภา ซึ่งประกอบไปด้วยสภาดูมา มีสมาชิกจำนวน 450 คน และสภาสหพันธ์ มีสมาชิกจำนวน 170 คน ซึ่งมีอำนาจในการใช้กฎหมายสหพันธ์, การประกาศสงคราม, การอนุมัติสนธิสัญญา, มีอำนาจในทางการเงิน และมีอำนาจในการถอดถอนประธานาธิบดี ฝ่ายบริหาร: มีประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพสหพันธรัฐรัสเซีย สามารถยับยั้งร่างกฎหมายได้ก่อนที่จะกลายเป็นกฎหมาย และมีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐบาลแห่งสหพันธ์รัสเซีย (คณะรัฐมนตรี) และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่ดูแลและบังคับใช้กฎหมาย และนโยบายอื่น ๆ ของสหพันธ์ ฝ่ายตุลาการ: มีศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ ศาลสูงสุด และศาลชั้นต้นสหพันธ์ ซึ่งตุลาการจะได้รับการแต่งตั้งจากสภาสหพันธ์ ตามคำแนะนำของประธานาธินดี มีอำนาจตีความกฎหมาย และสามารถคว่ำกฎหมายที่พวกเขาเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญสหพันธ์ได้ === กระทรวง === มีชื่อเรียกโดยย่อว่า Ministry of Emergency Situations หรือกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน === การแบ่งเขตการปกครอง === ประเทศรัสเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 46 แคว้น (Provinces - oblast) 22 สาธารณรัฐ (Republics - respublika ) 9 ดินแดน (Territories - kraya ) 4 เขตปกครองตนเอง (Autonomous districts - avtonomnyye okruga) 1 แคว้นปกครองตนเอง (Autonomous oblast - avtonomnaya oblast ) 3 นครสหพันธ์ (Federal cities - federalnyye goroda ) คือ มอสโก เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเซวัสโตปอล === ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ === รัสเซียมีเครือข่ายทางการทูตที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกในปี 2562 โดยรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 190 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 4 รัฐที่ได้รับการยอมรับ และสามรัฐผู้สังเกตการณ์ของสหประชาชาติ พร้อมด้วยสถานเอกอัครราชทูต 144 แห่งทั่วโลก รัสเซียเป็นหนึ่งในห้าสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในอดีตเคยเป็นมหาอำนาจในฐานะองค์ประกอบนำของสหภาพโซเวียต เป็นสมาชิกขององค์การสำคัญมากมาย เช่น กลุ่ม 20 สภายุโรป ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน และ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย รัสซียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านอย่างเบลารุส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในรัฐสหภาพรัสเซียและเบลารุส เซอร์เบียเป็นอีกหนึ่งชาติที่ถือเป็นพันธมิตร เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีในด้านวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และศาสนา อินเดียเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในด้านยุทโธปกรณ์ทางทหารของรัสเซีย และทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์และการทูตที่เข้มแข็งตั้งแต่สมัยโซเวียต รัสเซียมีอิทธิพลมหาศาลทั่วภูมิภาคคอเคซัสใต้ และเอเชียกลางที่มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ และทั้งสองภูมิภาคได้รับการขนานเป็น "สนามหลังบ้าน" ของรัสเซีย ในศตวรรษที่ 21 ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและจีนเข้มแข็งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับทวิภาคีและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน ตุรกีและรัสเซียมีความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ทั้งในด้านพลังงานและยุทธศาสตร์ร่วมในการป้องกันประเทศ รัสเซียยังรักษาความสัมพันธ์อันดีกับอิหร่าน เนื่องจากเป็นพันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญในตะวันออกกลาง รัสเซียยังขยายอิทธิพลของตนไปทั่วแถบอาร์กติก เอเชียแปซิฟิก แอฟริกา ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างยูเครนและโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และเนโทได้พังทลายลงหลังจากสั่นคลอนมาร่วมทศวรรษ ภายหลังการเริ่มต้นสงครามรัสเซีย-ยูเครนในปี 2557 และเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบปี 2565 === กองทัพ === กองทัพรัสเซียแบ่งออกเป็นกองกำลังทางบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังมีสาขาช่วยรบ (arm of service) อิสระอีกสามสาขา ได้แก่ กองกำลังขีปนาวุธยุทธศาสตร์ กองกำลังป้องกันห้วงอากาศ-อวกาศ และหน่วยส่งทางอากาศ ในปี 2549 กองทัพรัสเซียมีกำลังพลประจำการ 1.037 ล้านนาย ซึ่งบังคับเกณฑ์ให้พลเมืองชายอายุระหว่าง 18–27 ปีทุกคนรับราชการในกองทัพเป็นเวลาหนึ่งปี ประเทศรัสเซียมีคลังอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และมีกองเรือดำน้ำขีปนาวุธใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง และเป็นประเทศเดียวนอกจากสหรัฐอเมริกาที่มีกองกำลังเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์สมัยใหม่ กองกำลังรถถังของรัสเซียใหญ่ที่สุดในโลก และกองทัพเรือผิวน้ำและกองทัพอากาศใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศรัสเซียมีอุตสาหกรรมอาวุธขนาดใหญ่และผลิตในประเทศทั้งหมด โดยผลิตยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่เองโดยมีการนำเข้าอาวุธไม่กี่ชนิด ประเทศรัสเซียเป็นผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีการขายอาวุธคิดเป็นราว 30% ของทั่วโลก และมีการส่งออกไปประมาณ 80 ประเทศ รายจ่ายทางทหารภาครัฐอย่างเป็นทางการในปี 2555 อยู่ที่ 90,700 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มากเป็นอันดับสามของโลก แม้แหล่งข้อมูลต่าง ๆ จะประเมินว่ารายจ่ายทางทหารของรัสเซียสูงกว่านี้มาก ปัจจุบัน การพัฒนายุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่มูลค่าราว 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐอยู่ระหว่างดำเนินการในช่วงปี 2549 ถึง 2558 === สิทธิมนุษยชน === สิทธิมนุษยชนในรัสเซียถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยผู้นำประชาธิปไตย และกลุ่มสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และ ฮิวแมนไรตส์วอตช์ ซึ่งวิจารณ์ว่ารัสเซียขาดความเป็นประชาธิปไตย และให้สิทธิพลเมืองต่ำ ตั้งแต่ปี 2547 Freedom House ได้จัดอันดับรัสเซียว่า "ขาดสิทธิและเสรีภาพพลเมือง" ในการสำรวจ Freedom in the World นับตั้งแต่ปี 2554 ดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต ได้จัดอันดับรัสเซียให้เป็น "ระบอบเผด็จการ" ในดัชนีประชาธิปไตย โดยอยู่ในอันดับที่ 124 จาก 167 ประเทศในปี 2564 ในด้านเสรีภาพของสื่อ รัสเซียอยู่ในอันดับที่ 155 จาก 180 ประเทศตามดัชนีเสรีภาพสื่อของนักข่าวไร้พรมแดนประจำปี 2565 รัฐบาลรัสเซียได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในการปฏิบัติต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม การใช้อำนาจการเมืองและการประท้วงฝ่ายค้าน รวมถึงการกดขี่องค์กรพัฒนาเอกชน และการบังคับใช้การปราบปรามและสังหารนักข่าวอิสระ และการเซ็นเซอร์สื่อและอินเทอร์เน็ต การปกครองของรัสเซียได้รับการวิจารณ์ว่ามีความเป็นอัตตาธิปไตย โจราธิปไตย คณาธิปไตย และเศรษฐยาธิปไตย เป็นประเทศที่อยู่ในอันดับสุดท้ายตามการจัดอันดับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันในยุโรป สำหรับปี 2564 โดยอยู่ในอันดับที่ 136 จาก 180 ประเทศ รัสเซียมีประวัติการทุจริตมาอย่างยาวนานซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การปกครอง การบังคับใช้กฎหมาย สาธารณสุข การศึกษา และการทหาร == เศรษฐกิจ == รัสเซียมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาดซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ c]tมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับเก้าของโลกเมื่อพิจารณาจาก GDP ที่ระบุ และใหญ่เป็นอันดับหกโดย PPP ภาคบริการขนาดใหญ่คิดเป็น 62% ของ GDP ทั้งหมด รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม (32%) ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมมีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งคิดเป็น 5% ของ GDP ทั้งหมด รัสเซียมีอัตราการว่างงานอย่างเป็นทางการต่ำที่ 4.1% ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีมูลค่า 540 พันล้านดอลลาร์ มีแรงงานประมาณ 70 ล้านคน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก. รัสเซียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับที่ 13 ของโลกและเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับที่ 21 โดยอาศัยรายได้จากภาษีที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซและภาษีส่งออกซึ่งคิดเป็น 45% ของรายได้งบประมาณของรัฐบาลกลางรัสเซียในเดือนมกราคม 2022 และมากถึง 60% ของการส่งออกในปี 2019 รัสเซียมีระดับหนี้ต่างประเทศต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักๆ แม้ว่าความไม่เท่าเทียมกันของรายได้และความมั่งคั่งของครัวเรือนจะสูงที่สุดในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม แต่ความแตกต่างในระดับภูมิภาคที่สูงก็เป็นปัญหาเช่นกัน หลังจากผ่านไปกว่าทศวรรษของการเติบโตอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจหลังโซเวียต โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่สูง และการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองและการลงทุนเงินตราต่างประเทศ เศรษฐกิจของรัสเซียได้รับความเสียหายหลังจากการเริ่มสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการผนวกไครเมียในปี 2014 เนื่องจากการคว่ำบาตรทางตะวันตกระลอกแรก ภายหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022 ประเทศต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรและการคว่ำบาตรบริษัทที่ปรับปรุงใหม่และกลายเป็นประเทศที่ถูกคว่ำบาตรมากที่สุดในโลกในความเคลื่อนไหวที่อธิบายว่าเป็น "สงครามทางเศรษฐกิจและการเงินเต็มรูปแบบ" เพื่อแยกเศรษฐกิจรัสเซียออกจากระบบการเงินตะวันตก. เนื่องจากผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลรัสเซียจึงได้หยุดเผยแพร่ข้อมูลทางเศรษฐกิจบางส่วนตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 นักเศรษฐศาสตร์แนะนำว่าการคว่ำบาตรจะมีผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจรัสเซีย === การพัฒนาทางเศรษฐกิจ === รัสเซียสามารถฟื้นตัวจากวิกฤติทางการเงินในปี 1998 และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของการบริโภคในประเทศ และความมั่นคงทางการเมือง ในปี 2007 รัสเซียมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก (มูลค่า 2.088 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) ค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนในรัสเซียเพิ่มขึ้นจาก 80 ดอลลาร์ในปี 2000 เป็น 640 ดอลลาร์ในต้นปี 2008 ชาวรัสเซียที่ยากจนมีประมาณร้อยละ 14 ในปี 2007 ซึ่งลดลงอย่างมากจากร้อยละ 40 ในปี 1998 ซึ่งสถิติสูงสุดหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย อัตราว่างงานในรัสเซียลดลงจากร้อยละ 12.4 ในปี 1999 เหลือร้อยละ 6 ในปี 2007 การที่ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ตลาดของชนชั้นกลางในรัสเซียขยายตัวหลายเท่า ระบบภาษีที่เข้าใจง่ายกว่าเดิมเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งทำให้ภาระต่อประชาชนลดลงในขณะที่รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น รัสเซียใช้ระบบอัตราภาษีคงที่ที่ร้อยละ 13 กับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และทำให้กลายเป็นประเทศที่มีระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ดึงดูดผู้บริหารได้ดีเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากการสำรวจในปี 2007 งบประมาณของรัฐเกินดุลตั้งแต่ปี 2001 และจนถึงสิ้นปี 2007 มีงบประมาณเกินดุลมาร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ รัสเซียใช้รายได้จากน้ำมันที่ได้รับผ่านกองทุนความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียในการจ่ายหนี้ซึ่งเกิดขึ้นในยุคโซเวียตคืนแก่ปารีสคลับและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายได้จากการส่งออกน้ำมันยังสามารถทำให้รัสเซียมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มจาก 1 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999 เป็น 5.97 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2008 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลก รัสเซียยังสามารถลดหนี้ต่างประเทศที่ก่อขึ้นในอดีตได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาค โดยเขตมอสโกเป็นเขตที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากที่สุด === พลังงาน และ การขนส่ง === รัสเซียมีแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแหล่งทรัพยากรถ่านหินใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับแปดของโลก รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกแก๊สธรรมชาติมากเป็นอันดับหนึ่ง และส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ โลหะ และไม้ เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและมีมูลค่ามากถึงร้อยละ 80 ของการส่งออกทั้งหมดแต่หลังปี 2546 การส่งออกทรัพยากรธรรมชาติก็เริ่มลดความสำคัญลงเพราะตลาดภายในประเทศขยายตัวขึ้นอย่างมาก แม้ว่าราคาทรัพยากรด้านพลังงานจะสูงขึ้นมาก แต่น้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.7 ของจีดีพี และรัฐบาลคาดการณ์ว่าสัดส่วนนี้จะลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ภายในปี 2554 รัสเซียยังนับว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอื่น ๆ รัสเซียยึดมั่นในความตกลงปารีส หลังจากเข้าร่วมสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการในปี 2562 รัสเซียปล่อยแก๊สเรือนกระจกมากเป็นอันดับสี่ของโลก เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่อันดับสี่ของโลก และผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่อันดับเก้าของโลกในปี 2562 นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศแรกของโลกที่พัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับพลเรือน และสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกของโลก รัสเซียยังเป็นผู้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์รายใหญ่อันดับสี่ของโลก และเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำรายใหญ่อันดับห้าในปี 2564 การขนส่งระบบรางในประเทศรัสเซีย ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของการรถไฟรัสเซียที่ดำเนินการโดยรัฐ ความยาวรวมของรางรถไฟที่ใช้กันทั่วไปนั้นยาวที่สุดเป็นอันดับสามของโลก และเกิน 87,000 กม. (54,100 ไมล์) ณ ปี 2559 รัสเซียมีเครือข่ายถนนใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีถนนยาว 1.5 ล้านกิโลเมตร และความหนาแน่นของถนนต่ำที่สุดในโลก รัสเซียมีเส้นทางการขนส่งทางน้ำภายในประเทศที่ยาวที่สุดในโลกกว่า 102,000 กม. (63,380 ไมล์) ในบรรดาท่าอากศยาน 1,218 แห่ง ท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดคือท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโวในมอสโก ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียคือท่าเรือ Novorossiysk ในดินแดนครัสโนดาร์ ทอดยาวตามชายฝั่งทะเลดำ === เกษตรกรรม และ ประมง === ภาคเกษตรกรรมของรัสเซียได้รับการสนับสนุนจาก 5% ของจีดีพีทั้งหมด แม้ว่าภาคส่วนนี้จะใช้แรงงานประมาณหนึ่งในแปดของแรงงานทั้งหมด รัสเซียมีพื้นที่เพาะปลูกที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกที่ 1,265,267 ตารางกิโลเมตร (488,522 ตารางไมล์) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มีที่ดินเพียง 13.1% ที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม และมีเพียงพื้นที่เพาะปลูกเพียง 7.4% พื้นที่เกษตรกรรมของประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของ "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของยุโรป พื้นที่ทางการเกษตรมากกว่าหนึ่งในสามเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ และพื้นที่เพาะปลูกที่เหลือเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชผลทางอุตสาหกรรม ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์หลักของการทำฟาร์มของรัสเซียคือธัญพืชซึ่งกินพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่เพาะปลูก รัสเซียเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งเป็นผู้ผลิตข้าวบาร์เลย์และบัควีทรายใหญ่ที่สุด เป็นผู้ส่งออกข้าวโพดและน้ำมันดอกทานตะวันรายใหญ่ที่สุด และเป็นผู้ผลิตปุ๋ยชั้นนำ นักวิเคราะห์ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดการณ์ถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับการเกษตรของรัสเซียในช่วงที่เหลือของศตวรรษที่ 21 เนื่องจากความสามารถในการเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นในไซบีเรีย ซึ่งจะนำไปสู่การอพยพทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค จากการมีแนวชายฝั่งที่กว้างใหญ่กินพื้นที่มหาสมุทรสามแห่ง และสิบสองทะเลชายขอบ ส่งผลให้รัสเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมประมงที่ใหญ่เป็นอันดับหกของโลก โดยจับปลาได้เกือบ 5 ล้านตันในปี 2561 รัสเซียเป็นต้นกำเนิดของคาเวียร์ชั้นนำของโลก เป็นถิ่นอาศัยของปลาสเตอร์เจียนขาว เป็นผู้ผลิตประมาณปลากระป๋องมากถึงหนึ่งในสามของโลก และส่งออกปลาแช่แข็งเป็นจำนวนมากถึงหนึ่งในสี่ของโลก === วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี === รัสเซียสนับสนุนใช้จ่ายประมาณ 1% ของจีดีพีประเทศในการวิจัยและพัฒนาในปี 2562 โดยถือเป็นงบประมาณสูงสุดอันดับที่ 10 ของโลก นอกจากนี้ ยังอยู่ในอันดับที่สิบของโลกในด้านจำนวนสื่อสิ่งพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ในปี 2563 จำนวนกว่า 1.3 ล้านฉบับ นับตั้งแต่ปี 2447 เป็นต้นมา มีนักวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียตและรัสเซียได้รับรางวัลโนเบลกว่า 26 คน ในสาขาต่าง ๆ ทั้ง ฟิสิกส์ เคมี สรีรวิทยาหรือการแพทย์ เศรษฐศาสตร์ วรรณกรรม และ สันติภาพ รัสเซียอยู่ในอันดับที่ 45 ในดัชนีนวัตกรรมระดับโลก ปี 2564 เป็นเวลาหลายศตวรรษที่นักวิทยาศาสตร์รัสเซียมีผลงานระดับโลก มิคาอิล โลโมโนซอฟ เสนอทฤษฎีการอนุรักษ์มวลในปฏิกิริยาเคมี ค้นพบชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ และเป็นหนึ่งในบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษาแนวคิดธรณีวิทยาสมัยใหม่ ดมีตรี เมนเดเลเยฟ ได้รับการยกย่องมีฐานะบุคคลแรกที่สร้างตารางธาตุฉบับแรก โซเฟีย โควาเลฟสกายา เป็นหนึ่งในสตรีผู้บุกเบิกการศึกษาทางด้านคณิตศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 นักคณิตศาสตร์โซเวียตและรัสเซียเก้าคนได้รับรางวัล Fields Medal กริกอรี เพเรลมาน อุทิศตนให้กับเรขาคณิตแบบรีมันน์ และ ทอพอโลยีเชิงเรขาคณิต อเล็กซานเดอร์ โพพอฟ เป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์วิทยุ นิโคไล บาซอฟ และ อเล็กซันเดอร์ โปรโฮรอฟ เป็นผู้ร่วมคิดค้นเลเซอร์และเมเซอร์ นิโคไล วาวิลอฟ เป็นที่รู้จักจากการระบุศูนย์กลางของการกำเนิดพืช นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงหลายคน อิกอร์ ซีกอร์สกี เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้านการบิน อีลี เมตช์นิคอฟ เป็นที่รู้จักสำหรับการวิจัยที่ก้าวล้ำในด้านวิทยาภูมิคุ้มกัน อีวาน ปัฟลอฟ มีชื่อเสียงจากทฤษฎี การวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม และ จอร์จ กามอฟ เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของทฤษฎีบิกแบง นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติจำนวนมากอาศัย และทำงานในรัสเซียเป็นเวลานาน เช่น เลอ็อนฮาร์ท อ็อยเลอร์ บุคคลแรกที่เริ่มใช้คำว่า "ฟังก์ชัน" และ อัลเฟรด โนเบล ผู้ผลิตอาวุธ และผู้คิดค้นดินระเบิดไดนาไมท์ สหภาพโซเวียดและสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นหนึ่งในชาติผู้บุกเบิกทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ และการสำรวจอวกาศ โดยมีประวัติสืบไปถึงสมัยของ คอนสตันติน ซีออลคอฟสกี ผู้บุกเบิกศาสตร์ด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศและการสำรวจอวกาศ เซียร์เกย์ โคโรเลฟ เป็นผู้นำการออกแบบยานอวกาศในระหว่างการแข่งขันอวกาศกับสหรัฐในช่วงสงครามเย็น รัฐวิสาหกิจรอสคอสมอส หรือ องค์การอวกาศสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นผู้รับผิดชอบกิจการด้านโครงการวิทยาศาสตร์และอวกาศของรัสเซีย ในขณะที่สถานีอวกาศมีร์เป็นสถานีอวกาศที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของรัสเซีย และนับเป็นสถานีวิจัยถาวรระยะยาวแห่งแรกในอวกาศของมนุษยชาติ ในปี 2500 ดาวเทียมสปุตนิก 1 ในฐานะดาวเทียมดวงแรกของโลกขึ้นสู่วงโคจรโลกในรูปวงรี ได้โคจรรอบวงโคจรทั้งหมด 1440 รอบ ยูรี กาการิน ถือเป็นมนุษย์คนแรกที่ขึ้นสู่อวกาศ ตามมาด้วยการบันทึกการสำรวจอวกาศของโซเวียตและรัสเซียอื่น ๆ อีกมากมายจวบจนปัจจุบัน วาเลนตีนา เตเรชโควา เป็นนักบินอวกาศสตรีคนแรกของโลกซึ่งขึ้นสู่วงโคจรกับยานอวกาศชื่อ "ยานวอสตอค 6" พ.ศ. 2506 อะเลคเซย์ เลโอนอฟ เป็นบุคคลแรกที่กระทำการเดินอวกาศ ด้วยออกจากแคปซูลในภารกิจวอสฮอด 2 ไลกา เป็นสัตว์ตัวแรกที่ได้โจจรรอบโลกในปี 2500 ในปี พ.ศ. 2509 ลูนา 9 ได้กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนวัตถุท้องฟ้าซึ่งก็คือดวงจันทร์ ในปี 2511 เวเนรา 7 กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนดาวเคราะห์ดวงอื่นซึ่งได้แก่ ดาวศุกร์ ในปี 2512 มาร์ 3 กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนดาวอังคาร รัสเซียมีดาวเทียมที่ใช้การอยู่ 172 ดวงในอวกาศในเดือนเมษายน 2565 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลก === การท่องเที่ยว === อ้างอิงจากองค์การการท่องเที่ยวโลก รัสเซียเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากเป็นอันดับที่ 16 ของโลก และมากที่สุดเป็นอันดับที่ 10 ของยุโรปในปี 2561 โดยมีจำนวนกว่า 24.6 ล้านคน และจากรายงานของของ Federal Agency for Tourism จำนวนการเดินทางขาเข้าของชาวต่างชาติมายังรัสเซียมีจำนวน 24.4 ล้านคนในปี 2562 รัสเซียสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยวในปี 2561 กว่า 11.6 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2562 รัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยวคิดเป็น 4.8% ของจีดีพีทั้งหมด เส้นทางท่องเที่ยวที่สำคัญในรัสเซีย ได้แก่ การเดินทางรอบวงแหวนทองคำ เมืองโบราณ การล่องเรือในแม่น้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำโวลก้า การเดินป่าบนทิวเขา เช่น เทือกเขาคอเคซัส และทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย สถานที่ ๆ ได้รับความนิยม ได้แก่ จัตุรัสแดง พระราชวังเปเตียร์กอฟ เครมลินแห่งคาซัน อาสนวิหาร Trinity Lavra of St. Sergius และ ทะเลสาบไบคาล มอสโกซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีความเป็นสากล และเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของประเทศ เป็นเมืองใหญ่ที่พลุกพล่าน ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมคลาสสิกและยุคโซเวียตไว้ พร้อมด้วยศิลปะชั้นสูง การแสดงบัลเลต์ระดับโลก และตึกระฟ้าที่ทันสมัย เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก เมืองหลวงของจักรวรรดิ มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมคลาสสิก มหาวิหาร พิพิธภัณฑ์และโรงละคร การแสดงยามค่ำคืน แม่น้ำและลำคลองสวยงามมากมาย รัสเซียยังมืชื่อเสียงในด้านพิพิธภัณฑ์และโรงละคร อาทิ โรงละครบอลชอย และ โรงละครมาริอินสกี รวมถึงสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่าง เครมลินแห่งมอสโก และ มหาวิหารนักบุญเบซิล == ประชากรศาสตร์ == === เมืองใหญ่สุด === === เชื้อชาติ === ประเทศรัสเซียมีประชากรประมาณ 144.3 ล้านคน (ค.ศ. 2016) จำนวนประชากรของรัสเซียมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเป็นผลจากอัตราการตายที่สูงและอัตราการเกิดที่ต่ำ ในขณะที่อัตราการเกิดในรัสเซียมีพอ ๆ กับประเทศยุโรปอื่น ๆ (อัตราการเกิด 11.3 คนต่อประชากร 1000 คนในปี 2007 เทียบกับอัตราเฉลี่ย 10.25 คนต่อประชากร 1000 คนของสหภาพยุโรป) แต่ประชากรกลับลดลงเพราะอัตราการตายสูงกว่า (ในปี 2007 อัตราการตายของรัสเซียคือ 14.7 คนต่อประชากร 1000 คน เมื่อเที่ยบกับอัตราเฉลี่ยของสหภาพยุโรป 10.39 คนต่อ 1000 คน) ปัญหาประชากรที่ลดลงนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงตั้งมาตรการต่าง ๆ ในการลดอัตราการตาย เพิ่มอัตราการเกิด พัฒนาสุขภาพของประชาชน กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซียคาดการณ์ว่าอัตราการตายและอัตราการเกิดจะปรับตัวจนเท่ากันภายในปี 2011 รัสเซียมีพื้นที่มากที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับประชากรแล้ว ความหนาแน่นเพียงแค่ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น === ภาษา === กลุ่มชาติพันธุ์ 160 กลุ่มของรัสเซียมีภาษาพูดกว่า 100 ภาษา อ้างอิงจากการสำรวจสำมะโน พ.ศ. 2545 ประชากร 142.6 ล้านคนพูดภาษารัสเซียตามด้วยภาษาตาตาร์ 5.3 ล้านและภาษายูเครน 1.8 ล้านคน ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการของประเทศเพียงภาษาเดียว แต่รัฐธรรมนูญให้สิทธิ์แก่สาธารณรัฐต่าง ๆ ในการสถาปนาภาษาประจำชาติของตนเองนอกเหนือจากภาษารัสเซีย แม้จะมีการแพร่กระจายในพื้นที่กว้าง แต่ภาษารัสเซียนั้นเป็นสำเนียงเดียวกันทั่วประเทศ รัสเซียเป็นภาษาที่แพร่หลายมากที่สุดในภูมิภาคยูเรเซียและเป็นภาษาสลาวิกที่พูดกันอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนและเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ยังมีผู้ใช้ภาษาของกลุ่มภาษาสลาวิกตะวันออก ภาษาอื่น ๆ ในกลุ่มได้แก่ภาษาเบลารุสและภาษายูเครน (และอาจรวมถึงภาษารูซิน Rusyn) ตัวอย่างภาษาเขียนของ ภาษาสลาวิกตะวันออกเก่า (รัสเซียเก่า) ได้รับการพิสูจน์ว่ามีการบันทึกเริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา รัสเซียเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับสองบนอินเทอร์เน็ต ตามหลังภาษาอังกฤษ, เป็นหนึ่งในสองภาษาราชการบนสถานีอวกาศนานาชาติ และเป็นหนึ่งในหกภาษาราชการของสหประชาชาติ 35 ภาษาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของรัสเซีย === ศาสนา === ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 94) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก (ร้อยละ 0.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6) === การศึกษา === รัสเซียมีอัตราการรู้หนังสือในประชากรผู้ใหญ่ที่ 100% มีการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลา 11 ปี เฉพาะสำหรับเด็กอายุ 7 ถึง 17-18 ปีเท่านั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้พลเมืองของตนมีสิทธิได้รับการศึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่รับผิดชอบการศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา ในขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์รับผิดชอบด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาในระดับอุดมศึกษา หน่วยงานระดับภูมิภาคมีอำนาจในการควบคุมมาตรฐานการศึกษาภายในเขตอำนาจศาลของตนภาย ภายใต้กรอบทางกฎหมายของรัฐบาลกลาง รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่พลเมืองมีการศึกษาสูงที่สุดในโลก และมีสัดส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาสูงสุดเป็นอันดับหกของโลกที่ 62.1% ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาคิดเป็น 4.7 เปอร์เซนต์ ของอัตราจีดีพีรวมในประเทศ การศึกษาก่อนวัยเรียนของรัสเซียได้รับการพัฒนาอย่างมากและไม่อยู่ในระบบการศึกษาภาคบังคับ กว่าสี่ในห้าของประชากรอายุ 3 ถึง 6 ปีเข้าเรียนในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษาเป็นถือเป็นการศึกษาภาคบังคับจำนวนสิบเอ็ดปี โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 6 ถึง 7 ปี และผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับใบรับรองการศึกษาขั้นพื้นฐาน และจำเป็นต้องศึกษาต่ออีกสองถึงสามปีเพื่อรับใบรับรองในระดับมัธยมศึกษา กว่าเจ็ดในแปดของประชากรทั้งหมดเลือกศึกษาต่อในระดับนี้ การสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษามีการแข่งขันสูง หลักสูตรระยะแรกมักใช้เวลาประมาณห้าปี มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมอสโก และมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก มีมหาวิทยาลัยของรัฐบาลกลางที่มีชื่อเสียงกว่าสิบแห่งทั่วประเทศ รัสเซียเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำอันดับ 5 ของโลกสำหรับนักศึกษาต่างชาติในปี 2562 โดยมีจำนวนหลายแสนราย === สาธารณสุข === รัฐธรรมนูญกำหนดให้พลเมืองทุกคนมีสิทธิเข้าถึงการรักษาพยาบาลผ่านโครงการประกันสุขภาพของรัฐ กระทรวงสาธารณสุขดูแลระบบการรักษาพยาบาลสาธารณะของรัสเซีย และภาคส่วนนี้มีผู้ปฏิบัติงานมากกว่าสองล้านคน ทุกภูมิภาคยังมีแผนกดูแลสุขภาพของตนเองที่ดูแลการบริหารงานในท้องถิ่น และมีแผนประกันสุขภาพแยกต่างหากเพื่อเข้าถึงการรักษาพยาบาลแบบส่วนตัว ในปี 2562 ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพของรัสเซียคิดเป็นร้อยละ 5.6 ของจีดีพีรวมในประเทศ โดยมีค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด รัสเซียมีอัตราส่วนของประชากรหญิงสูงกว่าชายมาก เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตของประชากรชายมีสูง ในปี 2562 อัตราการคาดหมายคงชีพอยู่ที่ 73.2 ปี (68.2 ปีในเพศชาย และ 78.0 สำหรับเพศหญิง) และมีอัตราการเสียชีวิตของทารกต่ำ (5 คน ต่ออัตราการเกิดมีชีพ 1,000 คน) สาเหตุหลักของการเสียชีวิตคือโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วนเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ผลสำรวจในปี 2559 พบว่ากว่า 61.1% ของผู้ใหญ่ชาวรัสเซียมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน อย่างไรก็ตาม อัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของรัสเซียเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ประชากรรัสเซียบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในโลก แม้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในทศวรรษที่ผ่านมา การสูบบุหรี่ถือเป็นปัญหาสำคัญเช่นกัน และอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงก็ถือเป็นปัญหาสังคมเรื้อรังยาวนาน === กีฬา === ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนรัสเซีย สหภาพโซเวียตถือเป็นทีมแรกที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปซึ่งจัดแข่งขันครั้งแรกในปี 2503 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งในปี 2531 สโมสรของรัสเซียอย่างสโมสรกีฬากลางแห่งกองทัพบก มอสโก และ เซนิตเซนต์ปีเตอส์เบิร์กชนะการแข่งขันยูฟ่าคัพในปี 2548 และ 2551 ทีมชาติรัสเซียมีผลงานโดดเด่นด้วยการเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ประเทศรัสเซียยังเป้นเจ้าภาพฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 และ ฟุตบอลโลก 2018 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัสเซียถูกลงโทษห้ามลงแข่งขันทางการทั้งในระดับทวีปและระดับโลก สืบเนื่องจากการรุกรานยูเครน กีฬาที่นิยมเล่นในฤดูหนาวอย่าง แบนดี และ ฮอกกี้น้ำแข็ง ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเฉพาะแบนดีถือเป็นกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศมากที่สุด บาสเกตบอลทีมชายของรัสเซียชนะการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปในปี 2547 และมีสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปอย่างทีม PBC CSKA Moscow การแข่งขันฟอร์มูลาวันและรัสเซียกรังด์ปรีซ์ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ในปัจจุบันได้ถูกระงับการแข่งขันจากการรุกรานยูเครน รัสเซียยังเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันโอลิมปิก มีผลงานโดดเด่นในด้านยิมนาสติกลีลา และการว่ายน้ำแบบซิงโครไนซ์ กีฬาอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมได้แก่ สเกตลีลา หมากรุก และเทนนิส นักเทนนิสระดับโลกหลายราย อาทิ มารัต ซาฟิน, มาเรีย ชาราโปวา และ ดานีอิล เมดเวเดฟ ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับแกรนด์สแลม และเคยขึ้นสู่มือวางอันดับหนึ่งของโลก นอกเหนือจากฟุตบอลโลก รัสเซียยังเคยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับโลกได้แก่ โอลิมปิกฤดูร้อน 1980 โอลิมปิกฤดูหนาว 2014 และ พาราลิมปิกฤดูหนาว 2014 == วัฒนธรรม == === อาหาร === อาหารรัสเซียได้รับอิทธิพลสูงจากสถาพอากาศ ขนาดของประเทศที่กว้างใหญ่ วัฒนธรรมแต่ละภูมิภาค รวมทั้งประเพณีทางศาสนา และมีความคล้ายคลึงกับอาหารของประเทศเพื่อนบ้าน วัตถุดิบหลักอย่าง ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี และลูกเดือยเป็นส่วนผสมสำหรับขนมปัง แพนเค้ก และซีเรียลต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องดื่มมากมาย ขนมปังจากหลากหลายพันธุ์เป็นที่นิยมอย่างมากในรัสเซีย ซุปและสตูว์ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ชี, บอชช์, อูฮา, โซลยันกา และ ออครอชคา คนรัสเซียนิยมเติมสเมทานา (ครีมเปรี้ยวหนัก) และมายองเนสลงในซุปและสลัด แพนเค้กรัสเซียมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับภูมิภาคโดย อาหารจานหลักที่ได้รับความนิยมสูงอีกรายการคือ บีฟ สโตรกานอฟ หรือการนำเนื้อวัวไปผัดเสิร์ฟในซอสมัสตาร์ดและครีม มีต้นกำเนิดในรัสเซียช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และได้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ปัจจุบันหลายประเทศนำไปดัดแปลงเป็นรสชาติของตนเอง โดยเนื้อไก่และปลาก็ได้รับความนิยมทั่วประเทศ ควัสส์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่ำจากโดยได้จากการหมักธัญพืช เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเช่นเดียวกับวอดก้าซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 โดยรัสเซียถือเป็นชาติที่ดื่มวอดก้ามากกว่าทุกประเทศ ในขณะที่เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ รวมทั้งไวน์และชาก็ได้รับความนิยมมาหลายทศวรรษเช่นกัน === สื่อสารมวลชน === รัสเซียมีสำนักข่าว 400 แห่ง ซึ่งมีหน่วยงานที่ดำเนินงานในระดับสากลที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ตัสส์, รีอะโนวัสติ, สปุตนิก และ อินเตอร์แฟกซ์ โทรทัศน์เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรัสเซีย มีสถานีวิทยุที่ได้รับอนุญาตกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ ช่องหนึ่งรัสเซีย และ รัสเซีย-1 เป็นสถานีโทรทัศน์ชั้นนำของประเทศ ในขณะที่รัสเซียทูเดย์เป็นตัวแทนของสื่อระดับประเทศที่มีชื่อเสียง รัสเซียมีตลาดวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีผู้เล่นมากกว่า 65 ล้านคนทั่วประเทศ ภาพยนตร์หลายเรื่องของรัสเซียนับตั้งแต่สมัยโซเวียตมีชื่อเสียงระดับโลก โบรเนโนเซตส์โปติออมกิน ได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล และได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลที่งานงานแสดงสินค้าโลกบรัสเซลส์ในปี 2501 เซียร์เกย์ ไอเซนสไตน์ และ อันเดรย์ ตาร์คอฟสกี เป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์โลก ทฤษฎี "Kino-Eye" ของดซีกา เวียร์ตอฟ มีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาการสร้างภาพยนตร์สารคดีและความสมจริงของภาพยนตร์ ภาพยนตร์สัจนิยมสังคมนิยมโซเวียตหลายเรื่องประสบความสำเร็จ รวมถึง ชาปาเยฟ และ บัลลาดาโอซอลดาเต ทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ได้เห็นรูปแบบศิลปะที่หลากหลายมากขึ้นในภาพยนตร์ของสหภาพโซเวียต เอลดาร์ เรียซานอฟ และ เลโอนิด ไกได ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยมีวลีเด็ดมากมายที่ยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน เซียร์เกย์ บอนดาร์ชุค กำกับภาพยนตร์ วอยนาอีมีร์ ภาพยนตร์แนวชีวิตและสงครามจากสหภาพโซเวียตได้รับรางวัลออสการ์ เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างมากที่สุดของสหภาพโซเวียต เบโลเยโซลนเซปูสตืยนี เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ชื่อดังที่มักเปิดให้นักบินอวกาศชมก่อนปฏิบัติภารกิจ หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของรัสเซียประสบกับความตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2000 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็เติบโตขึ้นอีกครั้ง และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง === วันหยุด === ส่วนวันอีดทั้งสองของศาสนาอิสลามเป็นวันหยุดของ สาธารณรัฐบัชคอร์โตสถาน สาธารณรัฐอิงกูเชเตีย สาธารณรัฐคาบาร์ดีโน-บัลคาเรีย ส่วนสาธารณรัฐบูเรียตียา และสาธารณรัฐคัลมืยคียา ก็ประกาศว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดเช่นกัน == หมายเหตุ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == 16px Geographic data related to Russia ที่ โอเพินสตรีตแมป Russia at UCB Libraries GovPubs Russia from the BBC News Russia at Encyclopædia Britannica รัฐบาล Official Russian governmental portal Chief of State and Cabinet Members Russian News Agency "Ria Novosti" Russian radio "Voice of Russia" อื่น ๆ Post-Soviet Problems from the Dean Peter Krogh Foreign Affairs Digital Archives Russia Beyond the Headlines International news project about Russia Way to Russia. An Introduction to Russia and Russian People Russia cities and regions guide Official Russia Travel Guide Russian Consulate Russia Beyond the Headlines International news project about Russia Moscow Russia Insider's Guide Moscow and Russia through Muscovite's eyes. เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2534 ร ก่อตั้งในปี พ.ศ. 1405 รัฐในอดีตสหภาพโซเวียต ร
แบคทีเรีย หรือ บัคเตรี (bacteria ) เป็นเซลล์ประเภทหนึ่ง ประกอบขุ้นจากโดเมนขนาดใหญ่ของจุลชีพที่เป็นโพรแคริโอต โดยมากมีความยาวไม่กี่ไมโครเมตร แบคทีเรียมีรูปร่างที่หลากหลาย คั้งแต่ทรงกลมไปจนถึงแบบแท่งและแบบเกลียว แบคทีเรียเป็นหนึ่งในรูปแบบแรก ๆ ของชีวิตที่ปรากฏขึ้นบนโลก และพบฟด้ในสิ่งแวดล้อมเหือบทุกรูปแบบ แบคทีเรียอาศัยอยู่ในดิน, แหล่งน้ำ, น้ำพุร้อนที่มีความเป็นกรด, ขยะกัมมันตรัลสี, และชีวมณฑลส่วนลึกของแผ่นเปลือกโลก นอกจากนึ้ยังดำรงความสัมพันธ์แบบอยู่ร่วมกันและแบบปรสิตกับพืชและสัตว์ แบคทีเรียส่วนมากยังไม่ถูกอธิบายคุณลักษณะ และมีเพียงร้แยละ 27 จากไฟลัมแบคทีเนียทั้งหมดที่สามารถเติบฌตในห้องปฏิบัติการณ์ สาขาวิชาที่ศึกษาแบคทีเรียรู้จักกันในชื่อ แบคทีเรียวิ่ยา (bacteriology) อันเป็นสาขาหนึ่งของจุลชีววิทยา สัตว์เกือบทุกขนิดล้วนพึ่งพาแบคทีเรียเพื่อการดำรงชีวิต เนื่องจากม่เพียงแบคทีเรียและและอาร์เคียบางชนิดที่มีเอนไซใ์จำเป็นสำหรับการสร้างวิตามินบี 12 (โคบาบามิน) และส่งผ่านวิตามินนี่ทางห่วงโซ่อาหาร วิตามินบี 12 เป็นวิตามินสามารถละลายในน้ำได้ที่มีส่วนเกี่บวข้เงกับกระบวนการเมแทบอลิซึมของทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์, เป็นโคแฟกเตอร์ในกระบวนการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ และกคะบวนการเมแทบอลิซึมของกรดไขมันกับกาดอะมิโส วิตาาินบี 12 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานตามปกติของระบบประสาทผ่านบทบาทในการสังเรราะห์ไมอีลิน ปกติมีแบคทีเรียประมาณ 40 ล้านเซลล์ในดินหนึ่งกรัม และประมาณหนึ่งล้าสเซลล์ในนเำจืดหนึ่งมิชลิลิตร ประมาณกันว่ามีแบคทีเรียประมาณ 5×1030 ตัวบนโลก ทำให้ิกิดมวลชีวภาพที่เป็นรองเพียงแต่พืชเท่านั้น แบคทีเรียมีความจำเป็นสำหรับหลายขั้นในวัฏจักรของสารอาหาร ด้วยการนำสารอาหารกลับมาใช้ใหม่ ดังเช่นการตรึงไนโตรเจนจากชั้นบรรยากาศ วัฏจักรสารอาหารยังรวมถึงกระบวนการเน่าเปื่อย (dwcomposition) ของซากสิ่งมีชีวิต ซึ่งแบคทีเรียมึส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนการเน่าสลาย (putrefaction) ของกระยวนการดังกล่าว กลุ่มสัวคมทางชีววิทยาโดยรอบปล่องน้ำร้อนและปล่องน้ำเย็นใต้ทะเลมีแบคทีเรียอิกซ์ตรีโมไฟล์ (extremophile) เป็นผู้ให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการดำรงชึวิรด้วยการเปลี่ยนรูปสารประกอบที่ละลายอยู่ในน้ำ (เช่นไฮโดรเจนซัลไฟด์และมีเทน) ให้เป็นพลังงาน ในมนุษย์และสัตว์ส่วนมากมีแบคทีเรียอรศัยอยู่ในท่อทางเดินอาหารและผิวหนังเป็นจำนวนมาก แบคทีเรียส่วนใปญ่ที่อนู่ในร่างกายถูกทำให้ไริพิษภัยโดยผลของระบบภูมิคุ้มกัน บางชนิะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะที่อยู่ในทางเเินอาหาร อย่างไรก็ตาม มีแบค่ีเรีวบางสปีชีส์เป็นเชื้อที่ก่อโรคติดเชื้อ อาทิ อหิวาตกโรค ซิฟิลิส แอนแทรกซ์ โรคเรื้อน กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง โรคอันตรายถึงที่เกิดจากแบคทีเรียที่พบได้บ่อยีือ โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ สัณโรคเพียงอย่างเดียวคร่าขีวิตประมาณ 2 ล้านคนในแต่ละปี ส่วนใหญ่มาจากออฟาิกาใต้สะฮารา ยาปฏิชีวนะถูกใช้เพื่อรักฯาการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังมีหารใช้ในภาคเกษรรกรรมอีกด้วย ทำให้แบคทีเรียดื้อยาเป็นปัญหามากยิ่งจึ้น ในภาคอุตสาหกรรม แบคทีเรียมีความสำคัญต่อการบำบัดน้ำเนียและการย่อยสลายคราบน้ำมันรั่วไหล, การผลิตชีสและโยเกิร์ตด้วยการหมัก, การนำทอง พัลลาเดียม ทองแดง และโลหะอื่น ๆ กลับมาใช้ใหม่ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และเทคโนโลยีชีวภาพ, และการผลิตยาปฏิชีวนะกับสารเคมีอื่น ๆ ปัจจุบันแบคทีเรียถูกจัดเแ็นโพรแคริโอต จากแต่เดิมที่ถือว่าเป็นพืชที่อยู่ในช้้น Schizomycetes (เห็ดราที่แบ่งตัวแบบฟิชชัน) แบคทีเรียไม่มีนิวเคลียส น้อยนักที่จะพบออรฺแแเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม ซึ่งแตกต่างจากสัตว์และยูแคริโอตอื่น ๆ แม้เดิมคำว่า ปบคทีเรีย จะหมายถึงโพรแคริโอตทุกขนิด กาตจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ก็ได้เปลี่ยนไปนับตั้วแต่การค้นพบใรทศวรรษ 1990 ว่าโพรแคริโอตประกอบไปด้วยสองกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเรรยหโดเมนว่าแบค่ีเรีย และอาร์เคีย ซึ่งแตกต่างกันมาก แต่วิวัฒน์มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ==ศัพทมูลวิทยา== คำว่า bacteria เป็นรูปพหูพจน์ของ bacterium จาก_าษาละตินสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการแปลง βακτήριον (bskterion) ในภาษนกรีกให้เป็นภาษาละติน ซึ่ง βακτήριον เป็นตัวบอกความเล็ก (dimihutive) ของ βακτηρία (bakteria) อันแปลว่า "คทา, ไม้เท้า" เนื่องจากแบคทีเรียชนิดแ่กที่ถูกค้นพบมีรูปร่างเห็นอท่ง ==ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการในช่วงแรก== บรรพบุรุษของแบคทีเรียวมัยใหม่คือจุลชีพเซลล์เดียวที่เป็นรูปแบบแรกของชีวิตบนโลก เมื่อประมาณ 4 พันล้านปีที่แล้ว เป็ยเวลากว่า 3 พันล้านปีที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีขนาดเล็กระดับ่ี่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และแบคทีเรียกับอาร์เคียเป็นรูปอบบเด่นของลีวิต แม้ว่าจะมีซากดึกดำบรรพ์ของแบคทีเรีย เช่น สโตรมาโทไลต์อยู่ก็ตาม ก็ยังขาดสัณฐานวิทยาที่เด่นชัดกอสำหรับการตรวจสอบประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของแบคทีเรีย หรือเพื่อการระบุเวลาถือกำเนิดของแบคที่เรียบางสปีชีส์ อย่างไรก็ตาม สามารถใช้การหาลำดับยีน (gene sequencing) เพื่อสร้างสายวิวัฒนาการชาติพันธุ์ของแบคทีเรียได้ ซึ่งทำให้ทราบว่าแบคทีเรียแตกออกมาจากเชื้อสายของอาร์เคีย/แบคทีเรียเป็นลำดับแรก บรรพบุรุษร่วมล่าสุดของแบคทีเรียและอาร์เคียอาจเป็นไฮเพอร์เทอร์โมไฟล์ที่มีชีวิตอยู่เใื่อประมาณ 2.5 พันล้าน–พันล้ายปีที่ปล้ว ชีฝิตที่เก่าแก่ที่สุดบนผืนดินอาจเป็นแบคทีเรียเมื่อ 3.22 พันล้านปีที่แล้ว แบคทีเรียยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับกาตแตกสายวิวัฒนาการใหญ่ครั้งที่สอง ซึ่งแบ่งแยกอาร์เคียและยูแคริโอตออกจากกัน ในเหตุการณ์นี้ ยูแคริโอตเกิดขึ้นมาจากการที่แบคทีเรียโบราณเข้าไปมีความสัมพันธ?แบบเอนโดซิมไบฑอติกกับบรรพบุรุษของเซลล์ยูแคริโอต ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษจองยูแครเโอตจะมีความสัมพันธ์กับอาร์เคีย เหตุการณ์นี้ยังเกี่ยวข้องกับการกลืนกินอัลฟาโพรทีโอแบคทีเรียร่วมอาศัยของเซลล์ยูแคริโอตแรกเริ่ม (proto-eukaryotic cell) เพื่อพัฒนาเป็นไมโทคอนเดรียหรือไฮโดรเจโนฑซม ซึ่งยังคงพบในยูแคริโอตทุกชนิก (บางครั้งอาจพบว่าลดรูปไปอย่างมาก เช่นที่พบในแบคทีเรียโบราณที่ขาดไมโทคอนเกรีย; amitocondrial protozoa) ในเวลาต่อมา ยูแคริโอตลางชนิดที่มีไมฉทคอนเดรียแยู่แล้วได้กชืนก้นสิ่งมีชีวิตคล้ายไซยาโนแบคมีเรียเข้่ไป นำไปสู่กำเนิดของคลอโรพลาสต์ในสาหร่ายและพืช เหตุการณ์นี้เป๊นที่รู้จักดันในชื่อเอนโดซิมไบโอซิสปฐมภูมิ (primary ens9symbiosis) == สัณฐานวิทยา == แบคทีเรียแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายอข่างยิ่งขอวรูปร่างและขนาด เรียกว่า พหุสัณฐาน (morohologies) เซลล์ของแบคทีเรียมีขนาดประมาณหนึ่งในสิบของเซลล์ยูดคริโอต และมีความยาวประมาณ 0.5–5.0 ไมฑครเมตร อย่างๆรก็ตาม บางสปีชีส์มีขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น Thiomargarita namibiensis ที่มีีวามยาวประมาณครี่งมิลลิเมตร และ Epulopiscium fishelsoni ทค่ยาวภึง 0.7 มิลลิเมตร หนึ่งในแบคทีเรียที่ขนาดเล็กที่สุดคือแบคทีเรียในสกุล Mycoplasma ซึ่งมึความยาวเพียง 0.3 ไมโครเมตร หรือประาาณไวรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุด บางชนิแอาจมีขนาดเล็กกว่รนี้ไดเ เรียกว่า ไมโครแบคทีเรียขนาดเล็กยิ่งยวด (ultramicrobacteria) แต่ว่ายัลไม่ได้รัวการศึกษามากนัก สปีชีส์เกือบทั้งหมดของแบคทีเรียมีรูปทรงเป็นทั้งทรงกลม เรียกว่า ค็อำไซ (เอกพจน์: ค็อกคัส; จากภาษากรีก kókkos เมล็ดธัญพิช, เมล็ด), หรือรูปทรงท่อน เรียกว่า บาญิลไล ฆเอกพจน์: บาซิลลัส; จากภาษาละติน baculus ไม้ถือ) แบคทีเรียบางชนิดที่เรียกว่า ไวบริโอ รูปร่างคล้ายแท่งไม้ที่มีความโค้งเล็กน้อย หรือรูปร่างเป็นเครื่องหมายจุลภาค บางชนิดมีรูปร่างเป็นเกลียว เรียกว่า สไปริลา, หรือมีการขดตัวในระดับสํง เนียกว่า สไปโรคีตส์ มีแบคทีเรียที่มีรูปร่างวิกลจำหนึ่งที่ได้รับการอธิบาย เช่นแบคทีเรียรูปดาว การมีีูปทรงหลากหฃายเช่นนี้ถูกกำหนดด้วบผนังเ.ลล์และไซโทสเกเลทอนของตัวแบคทีเรคย ซึ่งมีความสำคัญเนื่องจากการมีรูปร่างที่หลากหลายจะช่วยเสริมความสามรนถของแบคทีเรียในการได้มาซึ่งสารอาหาร, การยึดติดกับพื้นผิว, การว่ายผ่านของเหลว และการหลบหนีผู้ล่า แบคทีเรียหงายสปีชีส์ดำรงชีวิตในรูปแบบเซลล์โดดเดี่ยว บางสปีชีส์อาศัยอยู่รวมกันเป็นแบบปผนที่มีลักณระเฉพาะ เช่น Neisseria ที่อยู่เป็นดิพลอยด์ (คู่), Streptococcua อยู่รวมกันเป็นสายยาว, แลุ Sta0hjlococcus เกาะกงุ่มกันเก็นกระจุกคล้ายะบงองุ่น แบคทีเรียยังสามารถรวมกันเพื่อส่้างโครงสร้างหลายเซลล์ทร่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ดังการต่อสายฟิลาเมนต์ของ Actinobacteria, การเกาะกลุ่มของ Myxobacteria, และเส้นใยไฮฟาที่ซึบซ้อนของ Streptomyces โครงสร้างที่ประกอบขึ้นจากหลายเซลล์เช่นนี้สามารถพบได้ในบางสภายะ ตัวอย่างเช่น เมื่อขาดกาดอะมิโน Myxobacteria จะตรวจหาเซลล์ที่อยู่โดยรอบด้วยกระบวนการที่เรียกวาา ควอรัมเซนซิง (quorum sensing) จากนั้นจะเคลื่อนย้ายเข้ามาหากันและรวมกลุ่มกันเป็นฟรุตติงบอดี (fruiting body) ที่มีความยาวได้ถึง 500 ไมโครเมตรและแระกอบขึ้นจากแบคทีเรียประมาณ 100,000 ตัว ในฟรุตติงบอดี แงคทีเรียจะทำหน้าที่ต่าง ๆ แยกกัน ตัวอย่าง เซลล์ประมาษหนึ่งใยสิบจะขึ้นไปสู่ยอดของฟรุตติงบอดีและมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของเซลล์ (didferentiation) ไปส๔่สถานะพักตัวที่เรียกว่า มิกโซนปอร์ (myxospore) ซึ่งมีความทนทานต่อการขาดน้ำและสอ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายอื่น ๆ สูงกว่าสถานะปกติ แบคทีเรียมักจะเกาะตัวอยู่บนพื้นผิวและเกาะเป็นกลุ่สหนาแน่นที่เรียกว่า ฟิล์มชีสภาพ (biofilm) และแลุ่มที่ใหญ่กว่าเรียกว่า พรมจุลชีพ (microbial mat) ฟิล์มชีวภาพและพรมจุลชีพมีความหนาตั้งแต่ไมรกี่ไมโครเมตรไปจนถึงครึ่งเมตร และอาจมีแบคทีเรีย, โพรทิสต์ และอาร์เคียอาศัยอยู่หลายสปีชีส์ แบคทีเรียที่อสศัยอยู่ในฟิล์มชีวภาพแสดงการจัดเรียงเซลล์และองค์ปรถกอบนอกเซลล์ที่มีความซับซ้อน จนกลายเป็นโครงสร้างขั้นทุติขภูมิ ดังเช่นไมโครคอลอนี (microcolony) อันปรากฏโครงข่ายของช่องเปิด เพื่อให้การแพร่สารอาหารดียิ่งขึ้น ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ดังในดินหรือบนพื้นผิยของพืช แบคทีเรียส่วนใหญ่เกาะกลุ่มกันบนพืนผิวในรูปของฟิล์มช้วภาพ ฟิล์มชีวภาพ ยังมีความสำคัญทางแพทนศาสตร์ เนื่องจากโครงสร้าลเช่นนี้มักปรากฏในช่วงที่เกิดการติดเชื้อแบคทคเรียเรื้อรัง (chrobic bacterial infection) หรือการติดเชื้อในอุปกรณ์มางการแพทย์ที่ปลูกถ่ายเข้สไป และแบคทีเรียที่ได้รับการปกป้องจากฟิล์มชีวภาพจะกำจัดได้ยากกว่าแบคทีเรียที่อยู่ธดดเดี่ยว ==โครงสร้างระดับเซลล็== ===โครงสร้างภายในเซลล์=== เซลล์ของแบคทีเรียถูกล้อมรอบด้วยเยื่อหุ้มเซลล์ ฬึ่งประกอบด้วยฟอสโฟลิพิดเป็นหลัก เยื่อหุ้มเซลล์ห่อหุ้มสารต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเซลล์และทำหน้าที่เป็นแนวกึ้นสำหรับกักสารอาหาร โปรตีน และองค์ประกอบอื่นที่จำเป๊นของไซโทพลาซึมเอาไว้ใรเซลล์ ต่างจากเซลล์ยูแคริโอต ไซโทพลาซึมของแบคทีเรียมักขาดโครงสร้าลขนาดใหญ่ที่มีเยื่อหุ้ม เช่น นิวเคลียส ไมโทคอนเดนีย คชอโรกลายต์ และออร์แกันลล์อื่นที่ปรนกฏในเซลล์ยูแคริโอต อย่างไรก็ตสม แบคาีเรียบางชนิดมีออร์แกเนลล์ที่ม้โปรตีนหุ้ม ('rotein[bound organelle) อยู่ในไซโทพลาซึม เช่นคาร์บอกซิโซม (carboxysome) ซึ่งทำให้เกิดการจัเส่วนการทำงาน (compartmentalisation) สำหรับกระบวนการเมแทบอลิซึมขอลแบคทีเรีย นอกจากนี้แบคทีเรียยังมีไซโทสเกเลทอนที่มีองค์ประกอบหลายชนิด เพื่อควบคุมการจัดตำแหน่ง (localisation) ของโปรตีนและกรเนิวคลิอิกภายในเซลล์ และเพื่อจัดการกระบวนการแบ่งเซลล์ ปฏิกิริยาชีวเคมีที่สำคัญ เช่นการสร้างภลังงาน เกิดขึ้นจากความลดหลั่นในความเข้มข้นระหว่าลสองฝั่งของเยื้อหุ้ม ทำใหเกิดความต่างซักย์ในที่คล้ายคลึงกับแบตเตอรี การขาดเยื่อหุ้มภายใน ซึ่งเป็นปกติของแบคทีเรีย หใายความว่าปฏิกิริขาดังเช่นการขนส่งอิเล็กตรอน เกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มเซลล์ รดหว่างไซโทพลาซึมกับภายนอกเซลล์หรือเพอริพลาซึม (periplasm) อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียที่สามารถสีงเคราะห์ด้วยแสงได้หลายชนิดมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่พับทบไปมากลายครั้ง และกินพิ้นที่ส่วนใหญ่ของเซลล์ด้วยเยื่อสำหรับรวบรวมแสง (light-gathering membrane) ซึ่งโครงสร้างรวบรวมแสงนี้อาจก่อตัวเป็นโครงนร้างหุืมด้วยลิพิดที่เรีสกว่า คลอโรโซม (chlorosome) ในแบคทีเรียกำมะถันสีเขียว แบคทีเรียไม่มีนิวเคลียสที่มีเยื่ิหุ้ม และสารพันธุกรรมมักเป็นโครโมโซมแบบวงกลมขอวดีเอ็รเอเพียงหนึ่งวงอยู่ภ่ยในไซโทพลาซึมที่มีรูปร่างไม่แน่นอน เรียกว่า นิวคลีออยด์ (nucleoid) นิวคลรออยด์บรรจุโครโมโซมที่มีโปรตีนมาเกาะ และอาร์เอ็นเอ ไว้ภายใน เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่น แบคทีเรียมีไรโบโซมสำหรับการผลิตโกรตีน แต่โครงสร้างของไรโบโซมในแบคทีเรียแตกต่างจากของยูแคริโอตดละอาร์ิคีน แบคทีเรียบางชนิดสร้างแกรนูลลเพื่อกักเก็บสารอาหารไว้ภายในเซลล์ เช่น ไกลโคเจน, โพลิฟอสเฟต, ซัลเฟอร์, หรือโพลิไฮดรอกซีอัลคาโนเอต บางชนิด เชทนไซยาโนแบคทีเรียที่าามารถสับเคราะห์ด้วยแสงได้ สามารถสร้างอวคิวโอลแก๊สสำหรับควบคุมการลอยตัว ทำให้แบคทีเรัยสามารถเคลื่อนทค่ขึ้าหรือลงไปทค่ระดับความลึกต่าง ๆ ของแหล่งน้ำ ซึ่งมีความเข้มแสงและความเข้มข้นของสารอาหารแตกต่างกันไป ===โครงสร้างภายนอกเซลล์=== ถัดจากเยื่อหุ้มเซลล์ออกมาคือผนังเซลล์ อันประกอบขึ้นจากเปปทิโดไกลแคน (เรียกอีกอย่างว่ามูรีน; peptidoglycan, murein) ซึ่งประกอบด้วยสายพอลิแซ็กคาไรด์ที่เชื่อมกันด้วยเพปไทด์ที่มีกรดอะมิโนแบบเด็กซ์โทร ผนังเซลล์ของแบคทีเรรยต่างจากของพืชและเห็ดรา ซึ่งสร้างขึ้นยากเซลลูโลสและไคทินตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างจากผนังเซลล์ของอาร์เคีย ซึ่งไม่มีเพปทิโดไกลแคน ผนังเซลล์มีความสำคัญต่อการอยู่่อดของแบคทีเรียหลายชนิด ยาปฏิชีวนะเพนิซิลิน (สร้างโดจเห็ดราทีเรียกว่า Penicillium) สามารถฆ่าแบคทีเรียด้วยการยับยั้งขั้นตอนหนึ่งของการสังเคราะห์เพปทิโดไกลแคน แบคทีเรึยมีผนังเซลล์สองประเภทคร่าว ๆ ซึ่งจำแนกแบคทีเรียออกเป็นแบคทีเรียอกรมบวก (Gram-positive bacteria) และแบคทีเรียแกรมลบ (Gram-negative bacteria) โดยต้นกำเนิดของชื่แมาจากปฏิกิริยาของเซลล์ที่มีต่อการย้อมสีแกรม (Gram stain) อันเป็นการทดสอบเพื่อจำแนกสปีชีส์ของแบคทีเรียที่ปฏิบัติกุนมาอว่างยาวนาน แบคทีเตียแกรมบวกมีมีผจังเซลล์ที่หนา อันประกอบเพปทิโดไกลแคนและกรดเทโคอิกหลายชั้น ในทางตรงกันข้าม แบคทีเรียแกรมลบมีผนังเซลล์ที่ค่อนข้างบาง ประกอบด้วยชั้นเพปทิโดไกบแคนไม่กี่ชั้นล้อมรอบด้วยเยื่อลิพิดชั้จที่สองที่มีลิโพพอลิแซกคาไรด์และลิโพโปรตีน แบคทีเคียส่วนมากมีผนังเซลล์แบบแกรมลบ และมีเพียงแบคทีเรียในไฟลัม Firmicutes และ Actinobacteria (ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อแบคทีเรียแกรมบวกที่มี C+G ต่ำ และ C+G สูง ตามลำดับ) ที่การจัดเรียงผนังเซลล์ผิดไปจากแบคทีเรียแกรมบวกชนิเอื่น การที่แบคทีเรียมีโครงสร้างผนังเซลล์ทร่หลากหลายทำให้แต่ละชนิดาีความไวต่อต่อยาปฏิชีวยะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น แวนโคมัยซินสามารถฆ่าได้เพึยงแบคทีเรีวแกรมบวก และไม่มีประสิทธิภาพต่อเชื้อแบคทีเรียแกรมลบเช่น Haemophilus influenzae หรือ Pseudomonas aeruginosa แบคทีเรียบางขนิดาีผนังเซลล์ทั่ไม่สามารถจัดจำแนกได้ว่าเป็นแบบแกรมบวกหรืิแบบแกรมลบ กลุ่มนี้มีแบคทีเรียที่มีความสำคัญทางคลินิกรวมอยู่ด้วย เช่น Mycobacteria ที่มีผนังเพปทิโดไกลแคนที่หนา แต่หฺมีเยื่อลิพิดที่สองมาผุ้มอีกชั้นหนึ่ง แบคทีเรียหลายชนิดมีชั้นเอส (S-layer, surbace layer) เป็นโมเลกุลเป็นโปนตีนที่เรียงตัวกันอย่างแน่นหนามาปกคลุมด้านนอกเซลล์ ชั้นนี้ช่วยป้องกันพื้นผิวขอวเวลล์จากปัจจัย_ายนอกเชิงกายภาพและเคมี และยังสามารถทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันการแพร่ขดงมหโมเลกุล ชั้นเอสนี้มีหน้าที่ที่หลากหลาย เป็นต้นว่าทำหน้าที่เป็นปัจจัยก่อ่โรคใน Campylobacter และบรนจุเอนไซม์พื้นผิวใน Bacillus stearothermophilus แต่ส่วจใหญ่นังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ แฟลเจลลาเป็นโครงสร้างโปรตีนแข็งเกร็ง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นาโนเมตร และยาวได้ถึง 20 ไมโครเมตา ใช้สำหรับการเคลื่อนที่ แฟลเจลลาถูกขับเคลื่อนโดยพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาจสกการแลกเปลี่ยนไอออนไปตามระดับศักย์ไฟฟ้าเคมีระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์ ฟิมเบรีย (fimbriae) หรือ "พิไลยึดเกาะ (attachment pili)" เป็นเส้นใยละเอียดของโปรตีน มักมีเส้นผ่านศูนย์กลางปีะมาณ 2–10 นาโนเมตร และมีความยาวได้หลายนาโนเมตร ฟิมเบรียมีกระจายอยู่ทั่วพื้นผิวของเซลล์ และมีลักษณะคล้ายเส้นขนละเอียดเมื่อนำไปส่องดูใติกล้องจุลทรรศน์อิอล็กตรอน เชื่อกันว่าฟิมเบคียมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการยึดเกาะกับพื้นผิวแข็งหรือกับเซลล์อื่น และมีส่วนสำคัญต่อความรุนแรงของแบคทีเรียก่อโรคบางชนิด พิไล (pili; พหูพจน์ pilus) เป็นรยางค์ในระดับเซลล์ มีขนาดใหญ่กว่าฟิมเบรียเล็กน้อย ใามารถใช้เพื่อขนส่งสารพันธุกรรมระหว่างเซลล์แบคทีเรียระหว่างกระบวนที่เ่ียกว่าคอนจูเกชัน (conjugation) โดยมีชื่อเรียกว่า คอนจูเกชันพิไล หรือเซ็กส๋พิไล (ดูที่หัวข้อพันธุศาสตร์แบคทีเรียด้านล่าง) นอกจากนค้ยังสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนไหว ซึ่งพิไลชนิดนี้จะเรียกว่า พิไลชนิด 4 (type IV pili) แบคทีเรียหลายชนิเสร้างไกลโคแคลิกซ์ขึ้นมาล้อมริบเซลล์ ซึ่งมีความซับซ้อนของโครงสร้างแตกตรทงกัตไป มึตั้งแต่ชั้นเมือกของอิกซ์ตราเซลลูลมร์พอลิเมอริกซับสแตนซ์ (extracellular polymeric substance) ที่ไร้ระเบียบ ไปจนถึงแคปซูลที่มีโครงสร้างจัดตัวเป็นระเบียบ โครงสร้างเหล่านี้ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกเซลล์ยูแคริโอต เช่น แใโครฟาจ (ส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน) กลืนกิน นอกจากนี้ยังมามารถทำหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen), เกี่ยวข้องกับการนู้จำยองเซลล์, ช่วยในการยึดเกาะกัขพื้นผิว ไปจนถึงการสร้างฟิล์มชีวภาพ การประกอบหน่วยต่าง ๆ โครงสร้างภายนอกเซลล์ขึ้นอยู่กับระบบการหลั่งสารของแบคทีเรียที่มีอยู่หลายระบบ ระบบเหล่าาี้ขนส่งโปรตรนจากไซโทพลาซึมออแไปยังเพอริพลาซึม หรือออกไปยังสิ่งแวพล้อมรอบเซลล์ ระบบการหลั่งหลายประเภทเป็นที่รู้จักและมักมีคบามสำคัญต่อศักยภาพก่อโรคของเชื้อ จึงมีการศึกษากันอย่างเข้มข้น ===เอนโดสปอร์=== แบคทีเรียแกรมบวดบางสกุลเช่น Bacillus, Clostridium, Sporohalobacter, Anaerobacter, และ Heliobacterium สามารถสร้างโครงสร้างสำหรับพักตัวที่มีความทนทานสูง เรียกว่า เอนโดสปอน์ (endospore) โดยพัฒนาขึ้นอยู่ภายในไซโทพลาซึมของเซลล์ ปกติหนึ่งสปอร์ต่อหนึ่งเซลล์ แต่ละเอนโดสปอร์มีแกนกลางเป็นดีเอ็นเอและไรโบโซม ล้อมรอบด้สยชั้นคอร์เมกซ์ (cortex layer) ซึ่งมีเปบือกอันประกอบขึ้นจากเพปทิโดไกลแคนและโปรตีนหลายชจิดมาหุ้มอีำชั้นหนึ่ง เอนโดสปอร์ไม่แสดงกระบวนการดมแทบอลิซึมที่สามารถตรวจพบได้ และสามารถเอมชีวิตตอดจากสิ่งกดดันทางเคมีและฟิสิกส์ในระดับสุดขเ้วได้ เช่นรังสียูวีความเข้มข้นสูง, การแผ่รังสีแกมมา, สารซักฟอห, สารฆ่าเชื้อ, ความร้อน, การแช่แข็ง, ความดัน, และการทำแห้งวนิท ในสภาพจำศีลเชืนนี้ แบคทีเรียสามารถมีชีวิตได้ถึงหลายล้านปี เอนโดสปอร์ยังทำให้แบคทีเรียมีชีวิตรอดจากสภาวะสุญญากาศและรังสีในอวกาศ เป็นไปได้ว่าแบคทีเรียกระจายไปทั่วเอกภพด้วยฝุ่นอวกาศ, สะเก็ดดาว, ดาวเคาาะห์น้อย, ดาวหาง, วัตถุคล้ายดาวเคราะห์ (planetoid), หรือผ่านกระบวนการแพนสเปอร์เมียแบบมีการกำกับ (directed panspermia) แบคทีเรียทีาสร้างเอนโดสปอร์สามารถทำให้เกิดโรคได้ ตัวอยรางเช่า แอนแทรกซ์ซึ่งเกิดจากการหายใจเอาเอนโดสปอร์ของ Gacillus anthracis เข้าใู่ร่างกาย, และบาดทะยักที่เกอดจากบาดแผลถูกแทงปนเปื้อนเอนโดสปอร์ของ Clostridium tetani ==เมแทบอลิซึม== แบคทีเรียมีประเภทของวิถีเมแทบอลิซึมที่มีความหลากหลายอย่างยิ่ง มีการใช้การกีะจายลักษณะ (trait) ทางเมแทบอลิซึมที่พบในแบคทีเรียกลุ่มต่าง ๆ มากำหนดอนุกรมวิธานให้กับแบคทีเรียมาอย่างยาวนาน แต่ลักษณะเหล่านี้อาจไม่ตรงกับผลที่ไพ้จากกทรจัดจำแนกทางพันธุศาสตร์สมัยใหม่ เมแืบอลิซึมของแบคทีเรียจำแนกตามกลุ่มโภชนาการ ซึ่งตั้งอขู่บนหลัดเกณฑ์สำคัญสามปรพการ ได้แก่ แหล่งของพลังงาน, ตัวให้อิเล็กตรอน, และแหล่งของคาร์ขอนที่ใช้ในการเจริญเติบโต แบคทีเรียสามารถรับพลังงานได้จากแสงอาทิตย์ผรานการสังเคราะห์ด้วยแสง (โฟโตทรอฟี; phototrophy) หรือจากการสลายสารประกอบด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (เคโมทริฟี; chemotrophy) แบคทีเรียประเภทหลังใช้สารประกอบเป็นแหล่งพลังงานด้วยการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจากตัวให้อิเล็กตรอนไปยังจัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายในปฏิกินิยารีดอกซ์ โดยปฏิกิริยานีเจะปลดผล่อยพลังงานที่ใช้สำหรับขับเคลื่อนกระบวนการเมแทบดลิซึม แบคทีเรียเคโมทรอพสังแบ่งออกตามประเภทของสารประกอบที่ใช้ถ่ายทอดอิเล็กตรอน ซึ่งแบคทีเรียที่ใช้สารประกอบอนิสทรรย์ เช่น ไฮโดรเจน, คาร์บอนมอตอกไซด์, หรือแอมโมเนียเป็นแหล่งของอิเลํกตรอน จะถูกเรียกว่า ลิโททรอพ (lithotroph) และมี่ใช้สารประกอวอินทรีย์จะถูปเรียกว่า ออร์แกโนทรอพ (organotro9h) นอกจากน่้ยังสามารถใช้สารประกอบที่นำมารับอิเล็กตรอนมาจำปนกแบคทีเรียได้อีกด้วย โดยแบ่งเป็นแบคทีะรียที่หายใจแบบใช้ออกซิเจน (aerofic bacteria) ซึ่งใช้ออกซิเจนเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย และแบคทีเรียที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic bacterla) ซึ่งใช้สารประกอบอ่่น เช่น ไนเตรต, ซัลเฟต, หรือคาร์บอนไดออก/ซด์ เป็นตัวรเบอิเล็กตรอนตัวสุดา้าย แบคทีเรียจำนวนมากได้รับคาร์บอนจากแหล่งคาร์บอนอินทรีย์ (เฮเทอโรทรอฟี; heterotrophy) แบคทีเรียอื่น ๆ เช่น ไซยาโนแบคทีเรียและแบคทีเรียสีม่วงบางชนิดเป็นออโตทรอพ ซึ่งหมายความว่ารับคาร์บอนเข้ามาในเ.ลล์ด้วยการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ ในสถานกนรณ์่ี่ไม่ปกติ แบคทีเรียเมทาโนทรอพ (,ethanotroph) สามารถใช้แก๊สมีเทนเป็นทั้งแหล่งอิเล็กตรอนและสารตั้งต้นสไหรับกระบวนการแอแนบอลิซึมของคาร์บอน {|class="wokitable" style="margin-left: auto; hargin-right: auto;" |+ กลุ่มตาสแหล่งของสารอาหารและพลังงานในทางเมแทบอลิซึม |- !กลุ่ม !แหล่งพลังงาา !แหล่งคาร์บอน !ตัวอย่าง |- |Unbsp;โฟโตทรอพ  | style="texy-align:center;"|แสงดาทิตย์ | style="text-align:center;"| สารประกอบอินทรีย์ (photoheterotrophq) หรือใช้การตรึงคาร์บอน (photoautotropys) | Cyanobacteria, Green sulfur bacterla, Chloroflexiฐ หรือ Purplw bacteria  |- | ลิธ่ทรอพ | style="text-align:center;"|สารประกอบอนินทรีย์ | style="text-align:center;"| สารประกอบอิสทรีย์ (lithoheterotrophs) หรืแใช้การตรึงคาร์บอน (lithoautotrophs) | Thermodesulfobacteria, Hydrogenophiiacexe, หรือ Nitrospirae  |- |&ngsp;ออร์แกโนทรอพ | style="tdxt-align:center;"|สารประกอบอินทรีย์ | style="text-align:center;"| สารประกอบอินทรีย์ (chemoheterotrophs) หรือใช้การตรึงคาร์บิน (chemoautotrophs)   | Bacillus, Clostridium หรือ Enterobacteriaceae  |} เมแทบอลิซึมของแบคทีเรียทำให้เกิดลักษณะที่เผ็นประโยชน์ต้อเสถียรพาพของระบบนิเวศและสังคมมนุษย์ได้หลากหลายวิธี ตัวอย่างเช่นแบคทีเรียที่สามารถตรึงแก๊สไนโตรเจนได้โดยใช้เอนไซม์ไนโตรเจนีส ลักษณะที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศเช่นนี้สามารถพบได้ในแบคทีเรียในกลุ่มที่กล่าวไว้ข้างต้นเกือบทุกกลุ่ม ทำให้เกิดกระบวนการที่สำคัญ คือ ดีไนตริฟิเคชัน, การรีดิวซ์ซัลเฟต, และการสังเคราะห์แุซีโตร ตามลำดับ กระบวนการทางเมแทบอลิซึมของแบคทีเรียยังมีความส_คัญใสการตอบสนองทางชีวภาพต่อมลพิษ ตัวอย่างดช่น แบคทีเรียรีดิวซ์ซัลเฟตที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างฟอร์มที่มีความเป็นพิ๋สํงของปรอม (methyl- และ dimethylmercury) ในสิ่งแบดล้อม แบคทีเรียที่หาวใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนใช้การหม้กเพื่อสค้างพลังงานและกำลังในการรีดิวซ์ และขับผลพลอยได้จากกระบวนการเมเแทบอซึม (เช่นเอทานอลในการกลั่นเกล้า) ออกมาเป็นของเสีย แบคทีเรียที่เจริญได้ทั้งที่มีและไม่มีอากาศ (facultative anaerobeฉ สามารถสลับไปมาระหว่างการหมักดละตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายตัวอื่น ขึ้นอยู่กับสภาวะทางสิ่งกวดล้อมที่มันปาะสบ ==การเติบโตและการสืบพันธุ์== ในสิ่งมีช่วิตเซลล์เดียว การเพิ่มขนาดของเซลล์ (กล่าวคือการเจริญเติบโตของเซลล์) มีความเชื่อมโยงกับหารสืบพันธุ์ด้วยการแบ่งเซลล์ ซึ่งต่างจากสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ แบคทีเรรยจะเติบโตจนถึงขนาดที่ตายตัวขนทดหนึ่ง จากนั้นจะสืบพันธุ์ด้วยการแบ่งตัวออกเป็นสอง ซึทงเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศรูปแบบหนึ่ง แบคทีเรียสามารุเติบโตและแบ่งตัวได้อย่าลรวดเร็วหากว่าอยู่ใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม และจำนวยประชากรอาจเพิ่มเป็นทวีคูณทุป ๆ 9.8 นาที ซึ่งในการแบ่งเซลล์จะได้ผลเป็นเซลล์ลูกสองเซลล์ที่เหมือนกันทุกประการ แบึทีเรียบางชนิดแม้จะสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ แต่ก็สร้างโครงสร้างสำหีับการสืยพันธุ์าี่มีความซับซ้อน ซึ่งช่วยกระจายเซลล์ที่สร้างขึ้นมาออกไป ตัวอย่างเช่นการสร้างฟรุตติงบอดีของ Myxobacteria และการสร้างเส้นใยไฮฟาที่ชี้ขึ้นสู่อากาศของ Streptomyces, หรทอการแตกหน่อ ซึ่งเป็นการที่เซลล์ยื่นส่วนหนึ่งออกมาและหลุดเป็นเซลล์ลูก ในห้องปฏิบัติการเลี้ยงแบคทีเรียโดยใช้อาหารเลี้ยงเชื้อแบบหรือแบบเหลว อาหารแบบแข็งเช่นเพลทยุ้น (agar plate) ใช้เพื่อแยกเชื้อให้บริสุทธิ์ อาหารเลี้ยงเชื้อแบบเหลวใช้เมื่อต้องการวัดการเจริญเติบโตหรือเมื่อจ้องการเพาะเชื้ิในปริมาณมาก แบคทีเรียที่เพาะในอาหารเลี้จงเชื้อเหลวที่มีการคน (stirred liquid media) จะเจริญเติบโตในรูปแบบสารแขวนลอยที่กรพจายตัวทั่วภาชนะ ทำให้ง่ายตาอการแบ่ลและย้ายเชื้อที่เพาะเลี้ยฝ อย่างไรก็ตามการแยกเชื้อแบคทีเรียจากอาหารเลี้ยงเชื้อแชบเหลวถือว่าทำได้ยาก อาหารสำหรับคัดแยกเชื้อ (s2lective media; อาหารเลี้ยงเชื้อที่เติมหรือปาาศจากสารอาหารบางอย่าง หรือเติมยาปฏิชีวนะลงไป) สามารถใช้ระบัชนิดของแบคทีเรียได้ เทคนิคส่วนใหญ่ที่ใช้เพาะเลี้ยงแวคทีเรียในห้องปฏิบัติการใช้สารอาหารในปริมาณมากเพื่อให้ได้เซลล์ในปริมาณมากในเวลาอันสั้นและประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม สารอาหารมีจำแัดในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างไม่สิ้นสุด สารอาำารทีีมีจำกัดเป็นตัวชี้นำกลยุทธ์วิวัฒนาการของแบคทีเรีย (โปรดดู ทฤษฎีการคัดัลือก r/K) บางชนิดสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีนารอาหาร เช่นปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง (algal vloom) ทีืมักเกิดขึ้นในทะเลสาบช่วงฤดูร้อน บางชนิดปรับตัวให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น Streptomyces ที่ผลิตสารปฏิชีวนะหลายบนิดออกมายับยั้งปารเจริญเติบโตของจุลชีพคู่แข่ง ในธรรมชาติ จุลชีพหลายชนิดอยู่ร่งมกันแบบกลุ่มสังคม (เช่น ฟิล์มชีวภาพ) ที่ทำให้จุลชีพหาสารอาหารได้มากขึ้น และป้องกันจุลชรพจากสิ่งกดดันในสิ่งแวดล้อม (environmdntal stress) ความสัมพันธ์ในลักษณะนีัอาจเป็นสิ่ลจำเป็นสำหรับการเยริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตหรือกลุ่มสิ่งมีชีวิตบางชนิด (syntrophy) การเจริญเติบโตของแบคทีเรียดำเนินผาานสี่ระยะ เมื่อประชากรของแบคทีเรีนเข้าสู่สิ่งแสดล้อมที่มีสารอาหารสูงเอื้อต่อกา่เจริญเติบโต แบคทีเรียจำเป็นต้องปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ระยะแรกคือระยะแล็ก (lxg phase) ซึ่งเป็นระยะที่เกิดการเจริญเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปในขณะที่เซลล์ของแบคทีเรียกำลังปรับตัวในสิ่งแวดล้อมที่มีสารอาหารสธงและเตรียมภร้อมสำหรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ระยะแล็กมีอัตราชีวสังเคราะห์ (biosynthesis) สูง ซึ่งมีการผลิตโปรตีนที่จำเป็นสกหรับการเจริญเติบโต ระยะที่สองของการเจริญเติบโตคือระยะลอการิทึม (logarithmic phase) หรือเรียกอีกชื่อว่าระยะเอกซ์โพเนยเชียล (exponential phase) ซึ่งเป็นระยะที่มีการเพิ่มจำนวนแบบเอกซ์โพเนนเชียล อัตราที่เซลล์เจริญในระยะนี้เรียกว่าอัตราการเจริญดติบโต (growth rate, k) และระยะเวลาที่เซลล์ใช้แบ่งตัวเตียกว่าระยะเวลาชั่วอทยุ (generation time, g) ใยระยะนี้แบคทีเรียจะเมตาบอไลส์สารอาหารอย่างรวดเร็วจนกระทั่งสารอาหารชนิดหนึ่งหมเไปและเริ่มจำกัดการเจริญเติบโตของแบคทึเรีย ระยะที่สามคือระบะรงที่ (stationary phase) ซึ่งเกิดจากการใช้สารอาหารจนหมด ระยะนี้เซลล์ขะลดกิจกรรมทางเมตาบอลิใมและเผาปลาญโกรตีนภายในเซลล์ที่ไมืจำเป๋น ระยะนี้เป็นระยะเปลี่ยนผ่านจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วไปยังการตอบสนองต่อสิ่งกดดัน และมีการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมดีเอ็นเอ เมตาบอลิสมของสารต้านอนุมูลอิยระ และการขนส่งสารอาหารมากขึ้น ระยะสุดท้ายคือระยะเซลล์ตาย (death phase) ซึ่งเป็นระยะที่แบคทีเรัยขาดสารอาหารและตายลง ==พันธุศาสตร์== แบคทีเรียส่วนมากมีโีรโมโซมแยบวงกลมหนึ่งวง มีขนาดตั้งแต่ 160,000 คูาเบสในแบคทีเรียเอนโดซิมไบโอติก Ca3sonella ruddii ไปจนถึงกว่า 12,200,000 คู่เบส (12.2 Mbp) ในแบคทีเรีย Sorangium cellulosum ที่อาศัยอยู่ในดิน แต่กระนั้นก็ยังมีข้อยกเใ้นบางประการ อาทิ แบคทีดรียสกุล Streptomyces ปละ B;rrelia บางสปีชีส์มีโครโมโซมแบบเส้นหนึ่งชุด แฃะบางสปีชีส์ของ Vibrio มีโครโมโซมมากกว่าหนึ่งชุด นแกจากนี้แบคทีเรียยังมีพบาสมิด ซึ่งเป็นโมเลกุลดีเอ็นเอนอกโครโมโซม (extra-chrojosomal molecule of DNA) ขนาดเล็กที่สามารถบรรจุยีนสำหรับควนมสามารถบรงประการ เช่น ความดื้อต่อยา ความสามารถเกี่ยวกับกระบวนการเสแทบอลิซึม หรือกระทั่งศักยภาพก่อโรค โดบปกติจีโนมของแบคทีเรียเข้ารหัสยีนตั้งแต่ไม่กี่ร้อยไปจนถึงไม่กี่พันยีน โดยยีตในจีโนมมักเป็นสายดีเอ็นเอต่อเนื่องกันเป็สเส้นเดีนว แม้ว่าจะมีการค้นพบอินทรอน (intron) หลายชนิดที่แตกต่รงกันในแบคทีเรีย แต่ก็พบไดัยากกว่าในยูแคริโอตมาก แบคทีเรียซึ่งเแ็นสิ่งมีชีใิตไมีมีเพศสืบทอดสำเนาจีโนมที่เหมือนกันทุกประการกับจีโนมของเซลล์แม่ และถือเป็นตัวโคลน อย่างไรก็ตามแบคทีเรียสามารถวิวัฒน์ได้จากการคัดเลืดกการเปลี่ยนแปลงที่เแิดพับสารพันธักรรมดีเอ็นเอ ซึ่งอาจเกิะจากการรวมกันใฟม่ของยีนหรือการกลายพันธ์ การกลายพันธุ์เกิดจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการจำลองดีเอ็นเอ หรือเกิดจากการได้รับสารก่อกลายพันธุ์ (mutagen) อัตราการกลายพันธุ์ต่างกันไปในแบคทีเรียแต่ละสปีชีส์ และกระทั่งตัวโคลนของแบคทีเรียสปัชีส์เดียวกันก็มีอัตราการกลายพันธุ์ต่างกัน การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในจีโนมของแบคทีเรียเกิดขึ้นทั้งจากการกลายพันธุ์แบบสุ่มที่เกิดขึ้นในช่วงกระบวนการจำลองดีเอ็นเอหรือจากการกลายพันธุ์ที่มีความเครียดกำกับ (streqs-directed mutatiob) ที่ยีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจำกัดการเจริญเติบโตบางอย่าบมีอัตราการกลายพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น แบคทีเรียบางชนิดสามารถถ่ายทอดสารพันธุกรรมข้ามเซลล์ไอ้ ซึ่งเกิดได้สามวิธี วิธีแรกแบรทีเรียจะเก็บดีเอ็นเอภรยนอก (exogenous DNA) จากสิ่งแวดล้อมในกระบวนการทรานส์ฟอร์เมชัน (transformation) แบคทีเรียหลายชนิดสามารถรับดีเอ็นเอจากสิ่งแวดล้อมได้ตามธรรมชาติ บางชนิดต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเสียก่อนเพื่อเหนี่ยวนำให้รัชดีเอ็นเอเข้าไป พัฒนาการของความสามารถในการรัขดีเอ็นเอจากภายนอกมักสัมพันธ์กับปัจจัยกดดันทางสิ่งแวดล้อม และอาจเป็นการปรับตัวเพ้่อช่วยซ่อมแซมความเสียหายในดีเอ็นเอของเซลล์ที่รับัข้าไป วิธีที่สองที่แบคทีเรียจะส่งผ่านสารพันธุกรรมคือืรานส์ดักชัน (transduction) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแบคเทอริโอเฟจ (bacteriophage) แทรกดีิเ็นเอแปลกปลอมะข้าสู่โครโมโซมของแบคทีเรีย แบคเทอริโอเฟจมีหลาสบนิด บาลชนิดเพียงทำให้ติดเชื้อและทำให้เซลล์แบคทีเรียโฮสต์แตก (lyses( และชนิะที่แทรกตัวเข้าไปในโครโมโซมของโฮสต์ แบคทีเรียต้านทานการติดเฟจด้วยระลบตัดจำเพาะและดัดแปลง (restrictkob modification system) ที่ย่อนสลายดีเอ็นเดแปลกปลอม และระบบที่ใช้ลำดับคริสเปอร์ (CRISPR) เพื่อเก็บรักษาชิ้นส่วนจีโนมของเฟจที่แบคทีเรียเคยพบมาก่อน ทำให้แบคทีเรียสามารถป้องกันการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียผ่นนกระบวนการยับยึ้งอาร์เอ็นเอ (RNA interferenc2) วิธีที่สามคืิกระบวนการคแนจูเกชัน (conjugation) ที่มัการส่งผ่านดีเอ็นเอผ่านการสุมผัสเซลล์โดยตรง โดยปกติแล้วทรานส์ดักชัน คอนจูเกชัน และทรานส์ฟอร์เมชันเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดสารพันธุกรรมระหวรางแบคทีเรียที่อยู่ในสปคชีส์เดียวกัน แต่บางครั้งก็เกิดการถ่ายทอดระหว่างแบคทีเรียต่างสปีชีส์ และอาจมีผลพวบที่มีนัยยะสำคัญ เช่น กนรถ่ายทอดความสามารถดื้อยา ในกรณีนี้ การได้รับยีนมาจสกแบคทีเรียอื่นหรือจากธรรมชาติเรียกว่าการถ่ายทอดยีนในแนวราบ (horizontal gene transferฆ และอาจเกิดขึ้นเป็นปกติตามสภาพธรรมชาตเ ==ประวัติซาสตร์ของวิทยาแบคทีเรีบ== อันโตนี ฟัน เลเวินฮึก นักจุลทรรศน์วิทยาชมวฮอลแลนด์ เป็นผู้สังเกตเห็นแบคทีเรียเป็นคนแรก โดยใช้กล้องจุลืรคศน์เลนส์เดี่ยวที่ออกแบบขึ้นเอง เลเวินฮุกประกาศการค้นพบผ่านทางชุดจดหมายที่ส่งไปยังราชสมาคมปห่งลอนดอน แบคทีเรียเป็นการค้นพบทางจุลทรรศน์ที่โดดเด่นที่สถดของเลเวินฮุก แบคทีเรียมีขนาดเล็ปเสียจนเกือบเกินขีดจำกัดของกล้องจุลทรรศน์ของเขา และไม่มีใครสังเกตเห็นอีกเลยเป็นเวลากว่าศตวรรษ ซึ่ฝถือเป็นการหยุดชะงักวหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เลเวินฮุกยังสังเกตเห็นโปรโตซัว ซึ่งเขาเรียกว่า "แอสิมอลกุล (animxlcule)" สิ่งที่เลเวินฮุกค้นพบกลับมามีผู้ทำการศึกษาอีกครั้งเนื่องจากการค้นพบทางทฤษฎีเซลล์ในสมัยใหม่ คริสทีอัน ก็อทฟรีท เอเรินแบร์คเป็นผู้เริ่มใช้คำว่า "bacterium" เาื่แ ค.ศ. 1828 แต่ความจริงแล้วคำว่า Bacterium ของเอเรินแบร์คคือสกุลที่ประกอบด้วยแบคท้เรียรูปท่อนที่ไา่สร้างสปอร์ ตรงแันข้ามกับ Bacillus ซึ่งเป็นแบคทีเรียรูปท่อนสร้างสปอร์ ที่เอเรินแบร์คได้นิยามไว้ใน ค.ศ. 1835 ใน ค.ศ. 1i59 หลุยส์ ปาสเตอร์สาธิตว่าการเจริญอติบโตของจุลชีพทำให้เกิดก่ะบวนการหมัก และการเจริญัติบโตนี้ๆม่ได้เกิดขึ้นมาเองจากสิ่งไร้ชีวิต (ยีสต์และราที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหมักไม่ใช่แบคทีเรียแต่เป็นฟังไจ) ปาสเตอน์เป็นบุคคลแรก ๆ ที่สนับสนุนทฤษฎีเชื้อของโรค เช่นเดียวกับโรแบร์ท ค็อค ตายแพทย์ร่วมสมัยเดียวกัน โรแบร์ท ค็อคทำการศึกษาอหิวาตกโรค ดอนแทรกซ์ วัณโรค และเป็นผู้งุกเบิกวิชาจุลชีววิทยาการแพทย์ เขาได้พิสูจน์ทฤษฎีเชื้อโรคในระหว่างการศึกษาวัณโรคและได้รับรางวัลโนเบลใน ค.ศ. 1905 จากกรรพิสูจน์ยี้ เขาเป็นผู้ตั้งสมมติฐานของค็อคที่ซึ่งมีเกณฑ์สำหรับพิสูจน์ว่าสิ่งมีชีวิตที่ต้องก่รศีกษาเป็นสาเหตุของโรคหนึ้ง ๆ หรือไม่ สมสติฐานของค็อคยังเป็นที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวกันว่าแผร์ดีนันท์ โคห์นเป็นผู้ก่อตั้งวิชาวิทยาแบคทีเรีย โดยเขาได้ศึกษามาตั้งแตร ค.ศ. 1870 เขาเป็นบุคคลแรกที่จำแนกแบคทีเรียตามลักษณะสัณฐาน ถึงแม้จะเป็นที่ทาาบกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ว่าแบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิดแต่ก็ไม่มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพพอในสมัยนั้น ใน ค.ศ. 1910 เพาล์ แอร์ลิชพัฒนายาปฏิชีวนะตัวแรกขึ้นมาโดยเปลี่ยนาีที่ใช้ย้อม Teeponema pallidum ซึ่งเป็นแบคทีเรียสไปโรคีททั่ืำให้เกิดโรคซิฟิลิส เป็นสารประกอบที่ทำลายเฉพาะเชื้อดังกล่าว แอร์ลิชได้รับรางวัลโนเบลสำหรับการศึกษาทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยาใน ค.ศ. 1908 และริเริ่มหารใช้สีย้อมเพื่อตรวจหาและวินิจฉัยแบคทีเรีย การศึกษาของเขาเป็นพื้นฐานสำหรับสีย้อมแกรมและสีย้อมซีห์ล–นีลเซน การศึกษาแบคทีเรียได้ก้าวหน้า_ปอีกขั้นหนึืงเมื่อตาร์ล โวซระขุได้ว่าอาร์เคียมีสายวิวัฒนาการแยกต่างหากจากแบคทีเรีย การจัดสายวิวัฒนาการนี้เกิดขึ้นจากการหาลำดับเบสไรโบโซมัลอาร์เอ็นเอขนาด 16s และทำให้โพรแคริโอตถูกแบ่งออกเป็นสองโดเมน โดยเป็นส่วนหนึ่งของระบบสามโดเมน == อ้าบอิง == วิทยาแบคทีเรีย
แบคทีเรีย หรือ บัคเตรี (bacteria ) เป็นเซลล์ประเภทหนึ่ง ประกอบขึ้นจากโดเมนขนาดใหญ่ของจุลชีพที่เป็นโพรแคริโอต โดยมากมีความยาวไม่กี่ไมโครเมตร แบคทีเรียมีรูปร่างที่หลากหลาย ตั้งแต่ทรงกลมไปจนถึงแบบแท่งและแบบเกลียว แบคทีเรียเป็นหนึ่งในรูปแบบแรก ๆ ของชีวิตที่ปรากฏขึ้นบนโลก และพบได้ในสิ่งแวดล้อมเกือบทุกรูปแบบ แบคทีเรียอาศัยอยู่ในดิน, แหล่งน้ำ, น้ำพุร้อนที่มีความเป็นกรด, ขยะกัมมันตรังสี, และชีวมณฑลส่วนลึกของแผ่นเปลือกโลก นอกจากนี้ยังดำรงความสัมพันธ์แบบอยู่ร่วมกันและแบบปรสิตกับพืชและสัตว์ แบคทีเรียส่วนมากยังไม่ถูกอธิบายคุณลักษณะ และมีเพียงร้อยละ 27 จากไฟลัมแบคทีเรียทั้งหมดที่สามารถเติบโตในห้องปฏิบัติการณ์ สาขาวิชาที่ศึกษาแบคทีเรียรู้จักกันในชื่อ แบคทีเรียวิทยา (bacteriology) อันเป็นสาขาหนึ่งของจุลชีววิทยา สัตว์เกือบทุกชนิดล้วนพึ่งพาแบคทีเรียเพื่อการดำรงชีวิต เนื่องจากมีเพียงแบคทีเรียและและอาร์เคียบางชนิดที่มีเอนไซม์จำเป็นสำหรับการสร้างวิตามินบี 12 (โคบาลามิน) และส่งผ่านวิตามินนี้ทางห่วงโซ่อาหาร วิตามินบี 12 เป็นวิตามินสามารถละลายในน้ำได้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึมของทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์, เป็นโคแฟกเตอร์ในกระบวนการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ และกระบวนการเมแทบอลิซึมของกรดไขมันกับกรดอะมิโน วิตามินบี 12 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานตามปกติของระบบประสาทผ่านบทบาทในการสังเคราะห์ไมอีลิน ปกติมีแบคทีเรียประมาณ 40 ล้านเซลล์ในดินหนึ่งกรัม และประมาณหนึ่งล้านเซลล์ในน้ำจืดหนึ่งมิลลิลิตร ประมาณกันว่ามีแบคทีเรียประมาณ 5×1030 ตัวบนโลก ทำให้เกิดมวลชีวภาพที่เป็นรองเพียงแต่พืชเท่านั้น แบคทีเรียมีความจำเป็นสำหรับหลายขั้นในวัฏจักรของสารอาหาร ด้วยการนำสารอาหารกลับมาใช้ใหม่ ดังเช่นการตรึงไนโตรเจนจากชั้นบรรยากาศ วัฏจักรสารอาหารยังรวมถึงกระบวนการเน่าเปื่อย (decomposition) ของซากสิ่งมีชีวิต ซึ่งแบคทีเรียมีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนการเน่าสลาย (putrefaction) ของกระบวนการดังกล่าว กลุ่มสังคมทางชีววิทยาโดยรอบปล่องน้ำร้อนและปล่องน้ำเย็นใต้ทะเลมีแบคทีเรียอิกซ์ตรีโมไฟล์ (extremophile) เป็นผู้ให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตด้วยการเปลี่ยนรูปสารประกอบที่ละลายอยู่ในน้ำ (เช่นไฮโดรเจนซัลไฟด์และมีเทน) ให้เป็นพลังงาน ในมนุษย์และสัตว์ส่วนมากมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ในท่อทางเดินอาหารและผิวหนังเป็นจำนวนมาก แบคทีเรียส่วนใหญ่ที่อยู่ในร่างกายถูกทำให้ไร้พิษภัยโดยผลของระบบภูมิคุ้มกัน บางชนิดให้ประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะที่อยู่ในทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม มีแบคทีเรียบางสปีชีส์เป็นเชื้อที่ก่อโรคติดเชื้อ อาทิ อหิวาตกโรค ซิฟิลิส แอนแทรกซ์ โรคเรื้อน กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง โรคอันตรายถึงที่เกิดจากแบคทีเรียที่พบได้บ่อยคือ โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ วัณโรคเพียงอย่างเดียวคร่าชีวิตประมาณ 2 ล้านคนในแต่ละปี ส่วนใหญ่มาจากแอฟริกาใต้สะฮารา ยาปฏิชีวนะถูกใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังมีการใช้ในภาคเกษตรกรรมอีกด้วย ทำให้แบคทีเรียดื้อยาเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น ในภาคอุตสาหกรรม แบคทีเรียมีความสำคัญต่อการบำบัดน้ำเสียและการย่อยสลายคราบน้ำมันรั่วไหล, การผลิตชีสและโยเกิร์ตด้วยการหมัก, การนำทอง พัลลาเดียม ทองแดง และโลหะอื่น ๆ กลับมาใช้ใหม่ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และเทคโนโลยีชีวภาพ, และการผลิตยาปฏิชีวนะกับสารเคมีอื่น ๆ ปัจจุบันแบคทีเรียถูกจัดเป็นโพรแคริโอต จากแต่เดิมที่ถือว่าเป็นพืชที่อยู่ในชั้น Schizomycetes (เห็ดราที่แบ่งตัวแบบฟิชชัน) แบคทีเรียไม่มีนิวเคลียส น้อยนักที่จะพบออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม ซึ่งแตกต่างจากสัตว์และยูแคริโอตอื่น ๆ แม้เดิมคำว่า แบคทีเรีย จะหมายถึงโพรแคริโอตทุกชนิด การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ก็ได้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่การค้นพบในทศวรรษ 1990 ว่าโพรแคริโอตประกอบไปด้วยสองกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเรียกโดเมนว่าแบคทีเรีย และอาร์เคีย ซึ่งแตกต่างกันมาก แต่วิวัฒน์มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ==ศัพทมูลวิทยา== คำว่า bacteria เป็นรูปพหูพจน์ของ bacterium จากภาษาละตินสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการแปลง βακτήριον (bakterion) ในภาษากรีกให้เป็นภาษาละติน ซึ่ง βακτήριον เป็นตัวบอกความเล็ก (diminutive) ของ βακτηρία (bakteria) อันแปลว่า "คทา, ไม้เท้า" เนื่องจากแบคทีเรียชนิดแรกที่ถูกค้นพบมีรูปร่างเป็นแท่ง ==ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการในช่วงแรก== บรรพบุรุษของแบคทีเรียสมัยใหม่คือจุลชีพเซลล์เดียวที่เป็นรูปแบบแรกของชีวิตบนโลก เมื่อประมาณ 4 พันล้านปีที่แล้ว เป็นเวลากว่า 3 พันล้านปีที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีขนาดเล็กระดับที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และแบคทีเรียกับอาร์เคียเป็นรูปแบบเด่นของชีวิต แม้ว่าจะมีซากดึกดำบรรพ์ของแบคทีเรีย เช่น สโตรมาโทไลต์อยู่ก็ตาม ก็ยังขาดสัณฐานวิทยาที่เด่นชัดพอสำหรับการตรวจสอบประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของแบคทีเรีย หรือเพื่อการระบุเวลาถือกำเนิดของแบคที่เรียบางสปีชีส์ อย่างไรก็ตาม สามารถใช้การหาลำดับยีน (gene sequencing) เพื่อสร้างสายวิวัฒนาการชาติพันธุ์ของแบคทีเรียได้ ซึ่งทำให้ทราบว่าแบคทีเรียแตกออกมาจากเชื้อสายของอาร์เคีย/แบคทีเรียเป็นลำดับแรก บรรพบุรุษร่วมล่าสุดของแบคทีเรียและอาร์เคียอาจเป็นไฮเพอร์เทอร์โมไฟล์ที่มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 2.5 พันล้าน–พันล้านปีที่แล้ว ชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดบนผืนดินอาจเป็นแบคทีเรียเมื่อ 3.22 พันล้านปีที่แล้ว แบคทีเรียยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแตกสายวิวัฒนาการใหญ่ครั้งที่สอง ซึ่งแบ่งแยกอาร์เคียและยูแคริโอตออกจากกัน ในเหตุการณ์นี้ ยูแคริโอตเกิดขึ้นมาจากการที่แบคทีเรียโบราณเข้าไปมีความสัมพันธ์แบบเอนโดซิมไบโอติกกับบรรพบุรุษของเซลล์ยูแคริโอต ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษของยูแคริโอตจะมีความสัมพันธ์กับอาร์เคีย เหตุการณ์นี้ยังเกี่ยวข้องกับการกลืนกินอัลฟาโพรทีโอแบคทีเรียร่วมอาศัยของเซลล์ยูแคริโอตแรกเริ่ม (proto-eukaryotic cell) เพื่อพัฒนาเป็นไมโทคอนเดรียหรือไฮโดรเจโนโซม ซึ่งยังคงพบในยูแคริโอตทุกชนิด (บางครั้งอาจพบว่าลดรูปไปอย่างมาก เช่นที่พบในแบคทีเรียโบราณที่ขาดไมโทคอนเดรีย; amitocondrial protozoa) ในเวลาต่อมา ยูแคริโอตบางชนิดที่มีไมโทคอนเดรียอยู่แล้วได้กลืนกินสิ่งมีชีวิตคล้ายไซยาโนแบคทีเรียเข้าไป นำไปสู่กำเนิดของคลอโรพลาสต์ในสาหร่ายและพืช เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อเอนโดซิมไบโอซิสปฐมภูมิ (primary endosymbiosis) == สัณฐานวิทยา == แบคทีเรียแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายอย่างยิ่งของรูปร่างและขนาด เรียกว่า พหุสัณฐาน (morphologies) เซลล์ของแบคทีเรียมีขนาดประมาณหนึ่งในสิบของเซลล์ยูแคริโอต และมีความยาวประมาณ 0.5–5.0 ไมโครเมตร อย่างไรก็ตาม บางสปีชีส์มีขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น Thiomargarita namibiensis ที่มีความยาวประมาณครึ่งมิลลิเมตร และ Epulopiscium fishelsoni ที่ยาวถึง 0.7 มิลลิเมตร หนึ่งในแบคทีเรียที่ขนาดเล็กที่สุดคือแบคทีเรียในสกุล Mycoplasma ซึ่งมีความยาวเพียง 0.3 ไมโครเมตร หรือประมาณไวรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุด บางชนิดอาจมีขนาดเล็กกว่านี้ได้ เรียกว่า ไมโครแบคทีเรียขนาดเล็กยิ่งยวด (ultramicrobacteria) แต่ว่ายังไม่ได้รับการศึกษามากนัก สปีชีส์เกือบทั้งหมดของแบคทีเรียมีรูปทรงเป็นทั้งทรงกลม เรียกว่า ค็อกไซ (เอกพจน์: ค็อกคัส; จากภาษากรีก kókkos เมล็ดธัญพืช, เมล็ด), หรือรูปทรงท่อน เรียกว่า บาซิลไล (เอกพจน์: บาซิลลัส; จากภาษาละติน baculus ไม้ถือ) แบคทีเรียบางชนิดที่เรียกว่า ไวบริโอ รูปร่างคล้ายแท่งไม้ที่มีความโค้งเล็กน้อย หรือรูปร่างเป็นเครื่องหมายจุลภาค บางชนิดมีรูปร่างเป็นเกลียว เรียกว่า สไปริลา, หรือมีการขดตัวในระดับสูง เรียกว่า สไปโรคีตส์ มีแบคทีเรียที่มีรูปร่างวิกลจำหนึ่งที่ได้รับการอธิบาย เช่นแบคทีเรียรูปดาว การมีรูปทรงหลากหลายเช่นนี้ถูกกำหนดด้วยผนังเซลล์และไซโทสเกเลทอนของตัวแบคทีเรีย ซึ่งมีความสำคัญเนื่องจากการมีรูปร่างที่หลากหลายจะช่วยเสริมความสามารถของแบคทีเรียในการได้มาซึ่งสารอาหาร, การยึดติดกับพื้นผิว, การว่ายผ่านของเหลว และการหลบหนีผู้ล่า แบคทีเรียหลายสปีชีส์ดำรงชีวิตในรูปแบบเซลล์โดดเดี่ยว บางสปีชีส์อาศัยอยู่รวมกันเป็นแบบแผนที่มีลักณระเฉพาะ เช่น Neisseria ที่อยู่เป็นดิพลอยด์ (คู่), Streptococcus อยู่รวมกันเป็นสายยาว, และ Staphylococcus เกาะกลุ่มกันเป็นกระจุกคล้ายพวงองุ่น แบคทีเรียยังสามารถรวมกันเพื่อสร้างโครงสร้างหลายเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ดังการต่อสายฟิลาเมนต์ของ Actinobacteria, การเกาะกลุ่มของ Myxobacteria, และเส้นใยไฮฟาที่ซับซ้อนของ Streptomyces โครงสร้างที่ประกอบขึ้นจากหลายเซลล์เช่นนี้สามารถพบได้ในบางสภาวะ ตัวอย่างเช่น เมื่อขาดกรดอะมิโน Myxobacteria จะตรวจหาเซลล์ที่อยู่โดยรอบด้วยกระบวนการที่เรียกว่า ควอรัมเซนซิง (quorum sensing) จากนั้นจะเคลื่อนย้ายเข้ามาหากันและรวมกลุ่มกันเป็นฟรุตติงบอดี (fruiting body) ที่มีความยาวได้ถึง 500 ไมโครเมตรและประกอบขึ้นจากแบคทีเรียประมาณ 100,000 ตัว ในฟรุตติงบอดี แบคทีเรียจะทำหน้าที่ต่าง ๆ แยกกัน ตัวอย่าง เซลล์ประมาณหนึ่งในสิบจะขึ้นไปสู่ยอดของฟรุตติงบอดีและมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของเซลล์ (differentiation) ไปสู่สถานะพักตัวที่เรียกว่า มิกโซสปอร์ (myxospore) ซึ่งมีความทนทานต่อการขาดน้ำและสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายอื่น ๆ สูงกว่าสถานะปกติ แบคทีเรียมักจะเกาะตัวอยู่บนพื้นผิวและเกาะเป็นกลุ่มหนาแน่นที่เรียกว่า ฟิล์มชีวภาพ (biofilm) และกลุ่มที่ใหญ่กว่าเรียกว่า พรมจุลชีพ (microbial mat) ฟิล์มชีวภาพและพรมจุลชีพมีความหนาตั้งแต่ไม่กี่ไมโครเมตรไปจนถึงครึ่งเมตร และอาจมีแบคทีเรีย, โพรทิสต์ และอาร์เคียอาศัยอยู่หลายสปีชีส์ แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในฟิล์มชีวภาพแสดงการจัดเรียงเซลล์และองค์ประกอบนอกเซลล์ที่มีความซับซ้อน จนกลายเป็นโครงสร้างขั้นทุติยภูมิ ดังเช่นไมโครคอลอนี (microcolony) อันปรากฏโครงข่ายของช่องเปิด เพื่อให้การแพร่สารอาหารดียิ่งขึ้น ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ดังในดินหรือบนพื้นผิวของพืช แบคทีเรียส่วนใหญ่เกาะกลุ่มกันบนพืนผิวในรูปของฟิล์มชีวภาพ ฟิล์มชีวภาพ ยังมีความสำคัญทางแพทยศาสตร์ เนื่องจากโครงสร้างเช่นนี้มักปรากฏในช่วงที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเรื้อรัง (chronic bacterial infection) หรือการติดเชื้อในอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ปลูกถ่ายเข้าไป และแบคทีเรียที่ได้รับการปกป้องจากฟิล์มชีวภาพจะกำจัดได้ยากกว่าแบคทีเรียที่อยู่โดดเดี่ยว ==โครงสร้างระดับเซลล์== ===โครงสร้างภายในเซลล์=== เซลล์ของแบคทีเรียถูกล้อมรอบด้วยเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งประกอบด้วยฟอสโฟลิพิดเป็นหลัก เยื่อหุ้มเซลล์ห่อหุ้มสารต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเซลล์และทำหน้าที่เป็นแนวกั้นสำหรับกักสารอาหาร โปรตีน และองค์ประกอบอื่นที่จำเป็นของไซโทพลาซึมเอาไว้ในเซลล์ ต่างจากเซลล์ยูแคริโอต ไซโทพลาซึมของแบคทีเรียมักขาดโครงสร้างขนาดใหญ่ที่มีเยื่อหุ้ม เช่น นิวเคลียส ไมโทคอนเดรีย คลอโรพลาสต์ และออร์แกเนลล์อื่นที่ปรากฏในเซลล์ยูแคริโอต อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียบางชนิดมีออร์แกเนลล์ที่มีโปรตีนหุ้ม (protein-bound organelle) อยู่ในไซโทพลาซึม เช่นคาร์บอกซิโซม (carboxysome) ซึ่งทำให้เกิดการจัดส่วนการทำงาน (compartmentalisation) สำหรับกระบวนการเมแทบอลิซึมของแบคทีเรีย นอกจากนี้แบคทีเรียยังมีไซโทสเกเลทอนที่มีองค์ประกอบหลายชนิด เพื่อควบคุมการจัดตำแหน่ง (localisation) ของโปรตีนและกรดนิวคลิอิกภายในเซลล์ และเพื่อจัดการกระบวนการแบ่งเซลล์ ปฏิกิริยาชีวเคมีที่สำคัญ เช่นการสร้างพลังงาน เกิดขึ้นจากความลดหลั่นในความเข้มข้นระหว่างสองฝั่งของเยื่อหุ้ม ทำใหเกิดความต่างศักย์ในที่คล้ายคลึงกับแบตเตอรี การขาดเยื่อหุ้มภายใน ซึ่งเป็นปกติของแบคทีเรีย หมายความว่าปฏิกิริยาดังเช่นการขนส่งอิเล็กตรอน เกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มเซลล์ ระหว่างไซโทพลาซึมกับภายนอกเซลล์หรือเพอริพลาซึม (periplasm) อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้หลายชนิดมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่พับทบไปมาหลายครั้ง และกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของเซลล์ด้วยเยื่อสำหรับรวบรวมแสง (light-gathering membrane) ซึ่งโครงสร้างรวบรวมแสงนี้อาจก่อตัวเป็นโครงสร้างหุ้มด้วยลิพิดที่เรียกว่า คลอโรโซม (chlorosome) ในแบคทีเรียกำมะถันสีเขียว แบคทีเรียไม่มีนิวเคลียสที่มีเยื่อหุ้ม และสารพันธุกรรมมักเป็นโครโมโซมแบบวงกลมของดีเอ็นเอเพียงหนึ่งวงอยู่ภายในไซโทพลาซึมที่มีรูปร่างไม่แน่นอน เรียกว่า นิวคลีออยด์ (nucleoid) นิวคลีออยด์บรรจุโครโมโซมที่มีโปรตีนมาเกาะ และอาร์เอ็นเอ ไว้ภายใน เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่น แบคทีเรียมีไรโบโซมสำหรับการผลิตโปรตีน แต่โครงสร้างของไรโบโซมในแบคทีเรียแตกต่างจากของยูแคริโอตและอาร์เคีย แบคทีเรียบางชนิดสร้างแกรนูลลเพื่อกักเก็บสารอาหารไว้ภายในเซลล์ เช่น ไกลโคเจน, โพลิฟอสเฟต, ซัลเฟอร์, หรือโพลิไฮดรอกซีอัลคาโนเอต บางชนิด เช่นไซยาโนแบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ สามารถสร้างแวคิวโอลแก๊สสำหรับควบคุมการลอยตัว ทำให้แบคทีเรียสามารถเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงไปที่ระดับความลึกต่าง ๆ ของแหล่งน้ำ ซึ่งมีความเข้มแสงและความเข้มข้นของสารอาหารแตกต่างกันไป ===โครงสร้างภายนอกเซลล์=== ถัดจากเยื่อหุ้มเซลล์ออกมาคือผนังเซลล์ อันประกอบขึ้นจากเปปทิโดไกลแคน (เรียกอีกอย่างว่ามูรีน; peptidoglycan, murein) ซึ่งประกอบด้วยสายพอลิแซ็กคาไรด์ที่เชื่อมกันด้วยเพปไทด์ที่มีกรดอะมิโนแบบเด็กซ์โทร ผนังเซลล์ของแบคทีเรียต่างจากของพืชและเห็ดรา ซึ่งสร้างขึ้นจากเซลลูโลสและไคทินตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างจากผนังเซลล์ของอาร์เคีย ซึ่งไม่มีเพปทิโดไกลแคน ผนังเซลล์มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของแบคทีเรียหลายชนิด ยาปฏิชีวนะเพนิซิลิน (สร้างโดยเห็ดราทีเรียกว่า Penicillium) สามารถฆ่าแบคทีเรียด้วยการยับยั้งขั้นตอนหนึ่งของการสังเคราะห์เพปทิโดไกลแคน แบคทีเรียมีผนังเซลล์สองประเภทคร่าว ๆ ซึ่งจำแนกแบคทีเรียออกเป็นแบคทีเรียแกรมบวก (Gram-positive bacteria) และแบคทีเรียแกรมลบ (Gram-negative bacteria) โดยต้นกำเนิดของชื่อมาจากปฏิกิริยาของเซลล์ที่มีต่อการย้อมสีแกรม (Gram stain) อันเป็นการทดสอบเพื่อจำแนกสปีชีส์ของแบคทีเรียที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน แบคทีเรียแกรมบวกมีมีผนังเซลล์ที่หนา อันประกอบเพปทิโดไกลแคนและกรดเทโคอิกหลายชั้น ในทางตรงกันข้าม แบคทีเรียแกรมลบมีผนังเซลล์ที่ค่อนข้างบาง ประกอบด้วยชั้นเพปทิโดไกลแคนไม่กี่ชั้นล้อมรอบด้วยเยื่อลิพิดชั้นที่สองที่มีลิโพพอลิแซกคาไรด์และลิโพโปรตีน แบคทีเรียส่วนมากมีผนังเซลล์แบบแกรมลบ และมีเพียงแบคทีเรียในไฟลัม Firmicutes และ Actinobacteria (ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อแบคทีเรียแกรมบวกที่มี C+G ต่ำ และ C+G สูง ตามลำดับ) ที่การจัดเรียงผนังเซลล์ผิดไปจากแบคทีเรียแกรมบวกชนิดอื่น การที่แบคทีเรียมีโครงสร้างผนังเซลล์ที่หลากหลายทำให้แต่ละชนิดมีความไวต่อต่อยาปฏิชีวนะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น แวนโคมัยซินสามารถฆ่าได้เพียงแบคทีเรียแกรมบวก และไม่มีประสิทธิภาพต่อเชื้อแบคทีเรียแกรมลบเช่น Haemophilus influenzae หรือ Pseudomonas aeruginosa แบคทีเรียบางชนิดมีผนังเซลล์ที่ไม่สามารถจัดจำแนกได้ว่าเป็นแบบแกรมบวกหรือแบบแกรมลบ กลุ่มนี้มีแบคทีเรียที่มีความสำคัญทางคลินิกรวมอยู่ด้วย เช่น Mycobacteria ที่มีผนังเพปทิโดไกลแคนที่หนา แต่ก็มีเยื่อลิพิดที่สองมาหุ้มอีกชั้นหนึ่ง แบคทีเรียหลายชนิดมีชั้นเอส (S-layer, surface layer) เป็นโมเลกุลเป็นโปรตีนที่เรียงตัวกันอย่างแน่นหนามาปกคลุมด้านนอกเซลล์ ชั้นนี้ช่วยป้องกันพื้นผิวของเวลล์จากปัจจัยภายนอกเชิงกายภาพและเคมี และยังสามารถทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันการแพร่ของมหโมเลกุล ชั้นเอสนี้มีหน้าที่ที่หลากหลาย เป็นต้นว่าทำหน้าที่เป็นปัจจัยก่อ่โรคใน Campylobacter และบรรจุเอนไซม์พื้นผิวใน Bacillus stearothermophilus แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ แฟลเจลลาเป็นโครงสร้างโปรตีนแข็งเกร็ง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นาโนเมตร และยาวได้ถึง 20 ไมโครเมตร ใช้สำหรับการเคลื่อนที่ แฟลเจลลาถูกขับเคลื่อนโดยพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการแลกเปลี่ยนไอออนไปตามระดับศักย์ไฟฟ้าเคมีระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์ ฟิมเบรีย (fimbriae) หรือ "พิไลยึดเกาะ (attachment pili)" เป็นเส้นใยละเอียดของโปรตีน มักมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2–10 นาโนเมตร และมีความยาวได้หลายนาโนเมตร ฟิมเบรียมีกระจายอยู่ทั่วพื้นผิวของเซลล์ และมีลักษณะคล้ายเส้นขนละเอียดเมื่อนำไปส่องดูใต้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน เชื่อกันว่าฟิมเบรียมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการยึดเกาะกับพื้นผิวแข็งหรือกับเซลล์อื่น และมีส่วนสำคัญต่อความรุนแรงของแบคทีเรียก่อโรคบางชนิด พิไล (pili; พหูพจน์ pilus) เป็นรยางค์ในระดับเซลล์ มีขนาดใหญ่กว่าฟิมเบรียเล็กน้อย สามารถใช้เพื่อขนส่งสารพันธุกรรมระหว่างเซลล์แบคทีเรียระหว่างกระบวนที่เรียกว่าคอนจูเกชัน (conjugation) โดยมีชื่อเรียกว่า คอนจูเกชันพิไล หรือเซ็กส์พิไล (ดูที่หัวข้อพันธุศาสตร์แบคทีเรียด้านล่าง) นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนไหว ซึ่งพิไลชนิดนี้จะเรียกว่า พิไลชนิด 4 (type IV pili) แบคทีเรียหลายชนิดสร้างไกลโคแคลิกซ์ขึ้นมาล้อมรอบเซลล์ ซึ่งมีความซับซ้อนของโครงสร้างแตกต่างกันไป มีตั้งแต่ชั้นเมือกของอิกซ์ตราเซลลูลาร์พอลิเมอริกซับสแตนซ์ (extracellular polymeric substance) ที่ไร้ระเบียบ ไปจนถึงแคปซูลที่มีโครงสร้างจัดตัวเป็นระเบียบ โครงสร้างเหล่านี้ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกเซลล์ยูแคริโอต เช่น แมโครฟาจ (ส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน) กลืนกิน นอกจากนี้ยังสามารถทำหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen), เกี่ยวข้องกับการรู้จำของเซลล์, ช่วยในการยึดเกาะกับพื้นผิว ไปจนถึงการสร้างฟิล์มชีวภาพ การประกอบหน่วยต่าง ๆ โครงสร้างภายนอกเซลล์ขึ้นอยู่กับระบบการหลั่งสารของแบคทีเรียที่มีอยู่หลายระบบ ระบบเหล่านี้ขนส่งโปรตีนจากไซโทพลาซึมออกไปยังเพอริพลาซึม หรือออกไปยังสิ่งแวดล้อมรอบเซลล์ ระบบการหลั่งหลายประเภทเป็นที่รู้จักและมักมีความสำคัญต่อศักยภาพก่อโรคของเชื้อ จึงมีการศึกษากันอย่างเข้มข้น ===เอนโดสปอร์=== แบคทีเรียแกรมบวกบางสกุลเช่น Bacillus, Clostridium, Sporohalobacter, Anaerobacter, และ Heliobacterium สามารถสร้างโครงสร้างสำหรับพักตัวที่มีความทนทานสูง เรียกว่า เอนโดสปอร์ (endospore) โดยพัฒนาขึ้นอยู่ภายในไซโทพลาซึมของเซลล์ ปกติหนึ่งสปอร์ต่อหนึ่งเซลล์ แต่ละเอนโดสปอร์มีแกนกลางเป็นดีเอ็นเอและไรโบโซม ล้อมรอบด้วยชั้นคอร์เทกซ์ (cortex layer) ซึ่งมีเปลือกอันประกอบขึ้นจากเพปทิโดไกลแคนและโปรตีนหลายชนิดมาหุ้มอีกชั้นหนึ่ง เอนโดสปอร์ไม่แสดงกระบวนการเมแทบอลิซึมที่สามารถตรวจพบได้ และสามารถเอาชีวิตรอดจากสิ่งกดดันทางเคมีและฟิสิกส์ในระดับสุดขั้วได้ เช่นรังสียูวีความเข้มข้นสูง, การแผ่รังสีแกมมา, สารซักฟอก, สารฆ่าเชื้อ, ความร้อน, การแช่แข็ง, ความดัน, และการทำแห้งสนิท ในสภาพจำศีลเช่นนี้ แบคทีเรียสามารถมีชีวิตได้ถึงหลายล้านปี เอนโดสปอร์ยังทำให้แบคทีเรียมีชีวิตรอดจากสภาวะสุญญากาศและรังสีในอวกาศ เป็นไปได้ว่าแบคทีเรียกระจายไปทั่วเอกภพด้วยฝุ่นอวกาศ, สะเก็ดดาว, ดาวเคราะห์น้อย, ดาวหาง, วัตถุคล้ายดาวเคราะห์ (planetoid), หรือผ่านกระบวนการแพนสเปอร์เมียแบบมีการกำกับ (directed panspermia) แบคทีเรียที่สร้างเอนโดสปอร์สามารถทำให้เกิดโรคได้ ตัวอย่างเช่น แอนแทรกซ์ซึ่งเกิดจากการหายใจเอาเอนโดสปอร์ของ Bacillus anthracis เข้าสู่ร่างกาย, และบาดทะยักที่เกิดจากบาดแผลถูกแทงปนเปื้อนเอนโดสปอร์ของ Clostridium tetani ==เมแทบอลิซึม== แบคทีเรียมีประเภทของวิถีเมแทบอลิซึมที่มีความหลากหลายอย่างยิ่ง มีการใช้การกระจายลักษณะ (trait) ทางเมแทบอลิซึมที่พบในแบคทีเรียกลุ่มต่าง ๆ มากำหนดอนุกรมวิธานให้กับแบคทีเรียมาอย่างยาวนาน แต่ลักษณะเหล่านี้อาจไม่ตรงกับผลที่ได้จากการจัดจำแนกทางพันธุศาสตร์สมัยใหม่ เมแทบอลิซึมของแบคทีเรียจำแนกตามกลุ่มโภชนาการ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักเกณฑ์สำคัญสามประการ ได้แก่ แหล่งของพลังงาน, ตัวให้อิเล็กตรอน, และแหล่งของคาร์บอนที่ใช้ในการเจริญเติบโต แบคทีเรียสามารถรับพลังงานได้จากแสงอาทิตย์ผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง (โฟโตทรอฟี; phototrophy) หรือจากการสลายสารประกอบด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (เคโมทรอฟี; chemotrophy) แบคทีเรียประเภทหลังใช้สารประกอบเป็นแหล่งพลังงานด้วยการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจากตัวให้อิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายในปฏิกิริยารีดอกซ์ โดยปฏิกิริยานี้จะปลดปล่อยพลังงานที่ใช้สำหรับขับเคลื่อนกระบวนการเมแทบอลิซึม แบคทีเรียเคโมทรอพยังแบ่งออกตามประเภทของสารประกอบที่ใช้ถ่ายทอดอิเล็กตรอน ซึ่งแบคทีเรียที่ใช้สารประกอบอนินทรีย์ เช่น ไฮโดรเจน, คาร์บอนมอนอกไซด์, หรือแอมโมเนียเป็นแหล่งของอิเล็กตรอน จะถูกเรียกว่า ลิโททรอพ (lithotroph) และที่ใช้สารประกอบอินทรีย์จะถูกเรียกว่า ออร์แกโนทรอพ (organotroph) นอกจากนี้ยังสามารถใช้สารประกอบที่นำมารับอิเล็กตรอนมาจำแนกแบคทีเรียได้อีกด้วย โดยแบ่งเป็นแบคทีเรียที่หายใจแบบใช้ออกซิเจน (aerobic bacteria) ซึ่งใช้ออกซิเจนเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย และแบคทีเรียที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic bacteria) ซึ่งใช้สารประกอบอื่น เช่น ไนเตรต, ซัลเฟต, หรือคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย แบคทีเรียจำนวนมากได้รับคาร์บอนจากแหล่งคาร์บอนอินทรีย์ (เฮเทอโรทรอฟี; heterotrophy) แบคทีเรียอื่น ๆ เช่น ไซยาโนแบคทีเรียและแบคทีเรียสีม่วงบางชนิดเป็นออโตทรอพ ซึ่งหมายความว่ารับคาร์บอนเข้ามาในเซลล์ด้วยการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ แบคทีเรียเมทาโนทรอพ (methanotroph) สามารถใช้แก๊สมีเทนเป็นทั้งแหล่งอิเล็กตรอนและสารตั้งต้นสำหรับกระบวนการแอแนบอลิซึมของคาร์บอน {|class="wikitable" style="margin-left: auto; margin-right: auto;" |+ กลุ่มตามแหล่งของสารอาหารและพลังงานในทางเมแทบอลิซึม |- !กลุ่ม !แหล่งพลังงาน !แหล่งคาร์บอน !ตัวอย่าง |- | โฟโตทรอพ  | style="text-align:center;"|แสงอาทิตย์ | style="text-align:center;"| สารประกอบอินทรีย์ (photoheterotrophs) หรือใช้การตรึงคาร์บอน (photoautotrophs) | Cyanobacteria, Green sulfur bacteria, Chloroflexi, หรือ Purple bacteria  |- | ลิโททรอพ | style="text-align:center;"|สารประกอบอนินทรีย์ | style="text-align:center;"| สารประกอบอินทรีย์ (lithoheterotrophs) หรือใช้การตรึงคาร์บอน (lithoautotrophs) | Thermodesulfobacteria, Hydrogenophilaceae, หรือ Nitrospirae  |- | ออร์แกโนทรอพ | style="text-align:center;"|สารประกอบอินทรีย์ | style="text-align:center;"| สารประกอบอินทรีย์ (chemoheterotrophs) หรือใช้การตรึงคาร์บอน (chemoautotrophs)   | Bacillus, Clostridium หรือ Enterobacteriaceae  |} เมแทบอลิซึมของแบคทีเรียทำให้เกิดลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อเสถียรภาพของระบบนิเวศและสังคมมนุษย์ได้หลากหลายวิธี ตัวอย่างเช่นแบคทีเรียที่สามารถตรึงแก๊สไนโตรเจนได้โดยใช้เอนไซม์ไนโตรเจนีส ลักษณะที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศเช่นนี้สามารถพบได้ในแบคทีเรียในกลุ่มที่กล่าวไว้ข้างต้นเกือบทุกกลุ่ม ทำให้เกิดกระบวนการที่สำคัญ คือ ดีไนตริฟิเคชัน, การรีดิวซ์ซัลเฟต, และการสังเคราะห์อะซีโตน ตามลำดับ กระบวนการทางเมแทบอลิซึมของแบคทีเรียยังมีความสำคัญในการตอบสนองทางชีวภาพต่อมลพิษ ตัวอย่างเช่น แบคทีเรียรีดิวซ์ซัลเฟตที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างฟอร์มที่มีความเป็นพิษสูงของปรอท (methyl- และ dimethylmercury) ในสิ่งแวดล้อม แบคทีเรียที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนใช้การหมักเพื่อสร้างพลังงานและกำลังในการรีดิวซ์ และขับผลพลอยได้จากกระบวนการเมเแทบอซึม (เช่นเอทานอลในการกลั่นเหล้า) ออกมาเป็นของเสีย แบคทีเรียที่เจริญได้ทั้งที่มีและไม่มีอากาศ (facultative anaerobe) สามารถสลับไปมาระหว่างการหมักและตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายตัวอื่น ขึ้นอยู่กับสภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่มันประสบ ==การเติบโตและการสืบพันธุ์== ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว การเพิ่มขนาดของเซลล์ (กล่าวคือการเจริญเติบโตของเซลล์) มีความเชื่อมโยงกับการสืบพันธุ์ด้วยการแบ่งเซลล์ ซึ่งต่างจากสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ แบคทีเรียจะเติบโตจนถึงขนาดที่ตายตัวขนาดหนึ่ง จากนั้นจะสืบพันธุ์ด้วยการแบ่งตัวออกเป็นสอง ซึ่งเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศรูปแบบหนึ่ง แบคทีเรียสามารถเติบโตและแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วหากว่าอยู่ใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม และจำนวนประชากรอาจเพิ่มเป็นทวีคูณทุก ๆ 9.8 นาที ซึ่งในการแบ่งเซลล์จะได้ผลเป็นเซลล์ลูกสองเซลล์ที่เหมือนกันทุกประการ แบคทีเรียบางชนิดแม้จะสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ แต่ก็สร้างโครงสร้างสำหรับการสืบพันธุ์ที่มีความซับซ้อน ซึ่งช่วยกระจายเซลล์ที่สร้างขึ้นมาออกไป ตัวอย่างเช่นการสร้างฟรุตติงบอดีของ Myxobacteria และการสร้างเส้นใยไฮฟาที่ชี้ขึ้นสู่อากาศของ Streptomyces, หรือการแตกหน่อ ซึ่งเป็นการที่เซลล์ยื่นส่วนหนึ่งออกมาและหลุดเป็นเซลล์ลูก ในห้องปฏิบัติการเลี้ยงแบคทีเรียโดยใช้อาหารเลี้ยงเชื้อแบบหรือแบบเหลว อาหารแบบแข็งเช่นเพลทวุ้น (agar plate) ใช้เพื่อแยกเชื้อให้บริสุทธิ์ อาหารเลี้ยงเชื้อแบบเหลวใช้เมื่อต้องการวัดการเจริญเติบโตหรือเมื่อต้องการเพาะเชื้อในปริมาณมาก แบคทีเรียที่เพาะในอาหารเลี้ยงเชื้อเหลวที่มีการคน (stirred liquid media) จะเจริญเติบโตในรูปแบบสารแขวนลอยที่กระจายตัวทั่วภาชนะ ทำให้ง่ายต่อการแบ่งและย้ายเชื้อที่เพาะเลี้ยง อย่างไรก็ตามการแยกเชื้อแบคทีเรียจากอาหารเลี้ยงเชื้อแบบเหลวถือว่าทำได้ยาก อาหารสำหรับคัดแยกเชื้อ (selective media; อาหารเลี้ยงเชื้อที่เติมหรือปราศจากสารอาหารบางอย่าง หรือเติมยาปฏิชีวนะลงไป) สามารถใช้ระบุชนิดของแบคทีเรียได้ เทคนิคส่วนใหญ่ที่ใช้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียในห้องปฏิบัติการใช้สารอาหารในปริมาณมากเพื่อให้ได้เซลล์ในปริมาณมากในเวลาอันสั้นและประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม สารอาหารมีจำกัดในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างไม่สิ้นสุด สารอาหารที่มีจำกัดเป็นตัวชี้นำกลยุทธ์วิวัฒนาการของแบคทีเรีย (โปรดดู ทฤษฎีการคัดเลือก r/K) บางชนิดสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีสารอาหาร เช่นปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง (algal bloom) ที่มักเกิดขึ้นในทะเลสาบช่วงฤดูร้อน บางชนิดปรับตัวให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น Streptomyces ที่ผลิตสารปฏิชีวนะหลายชนิดออกมายับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพคู่แข่ง ในธรรมชาติ จุลชีพหลายชนิดอยู่ร่วมกันแบบกลุ่มสังคม (เช่น ฟิล์มชีวภาพ) ที่ทำให้จุลชีพหาสารอาหารได้มากขึ้น และป้องกันจุลชีพจากสิ่งกดดันในสิ่งแวดล้อม (environmental stress) ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้อาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตหรือกลุ่มสิ่งมีชีวิตบางชนิด (syntrophy) การเจริญเติบโตของแบคทีเรียดำเนินผ่านสี่ระยะ เมื่อประชากรของแบคทีเรียเข้าสู่สิ่งแวดล้อมที่มีสารอาหารสูงเอื้อต่อการเจริญเติบโต แบคทีเรียจำเป็นต้องปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ระยะแรกคือระยะแล็ก (lag phase) ซึ่งเป็นระยะที่เกิดการเจริญเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปในขณะที่เซลล์ของแบคทีเรียกำลังปรับตัวในสิ่งแวดล้อมที่มีสารอาหารสูงและเตรียมพร้อมสำหรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ระยะแล็กมีอัตราชีวสังเคราะห์ (biosynthesis) สูง ซึ่งมีการผลิตโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต ระยะที่สองของการเจริญเติบโตคือระยะลอการิทึม (logarithmic phase) หรือเรียกอีกชื่อว่าระยะเอกซ์โพเนนเชียล (exponential phase) ซึ่งเป็นระยะที่มีการเพิ่มจำนวนแบบเอกซ์โพเนนเชียล อัตราที่เซลล์เจริญในระยะนี้เรียกว่าอัตราการเจริญเติบโต (growth rate, k) และระยะเวลาที่เซลล์ใช้แบ่งตัวเรียกว่าระยะเวลาชั่วอายุ (generation time, g) ในระยะนี้แบคทีเรียจะเมตาบอไลส์สารอาหารอย่างรวดเร็วจนกระทั่งสารอาหารชนิดหนึ่งหมดไปและเริ่มจำกัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ระยะที่สามคือระยะคงที่ (stationary phase) ซึ่งเกิดจากการใช้สารอาหารจนหมด ระยะนี้เซลล์จะลดกิจกรรมทางเมตาบอลิสมและเผาผลาญโปรตีนภายในเซลล์ที่ไม่จำเป็น ระยะนี้เป็นระยะเปลี่ยนผ่านจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วไปยังการตอบสนองต่อสิ่งกดดัน และมีการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมดีเอ็นเอ เมตาบอลิสมของสารต้านอนุมูลอิสระ และการขนส่งสารอาหารมากขึ้น ระยะสุดท้ายคือระยะเซลล์ตาย (death phase) ซึ่งเป็นระยะที่แบคทีเรียขาดสารอาหารและตายลง ==พันธุศาสตร์== แบคทีเรียส่วนมากมีโครโมโซมแบบวงกลมหนึ่งวง มีขนาดตั้งแต่ 160,000 คู่เบสในแบคทีเรียเอนโดซิมไบโอติก Carsonella ruddii ไปจนถึงกว่า 12,200,000 คู่เบส (12.2 Mbp) ในแบคทีเรีย Sorangium cellulosum ที่อาศัยอยู่ในดิน แต่กระนั้นก็ยังมีข้อยกเว้นบางประการ อาทิ แบคทีเรียสกุล Streptomyces และ Borrelia บางสปีชีส์มีโครโมโซมแบบเส้นหนึ่งชุด และบางสปีชีส์ของ Vibrio มีโครโมโซมมากกว่าหนึ่งชุด นอกจากนี้แบคทีเรียยังมีพลาสมิด ซึ่งเป็นโมเลกุลดีเอ็นเอนอกโครโมโซม (extra-chromosomal molecule of DNA) ขนาดเล็กที่สามารถบรรจุยีนสำหรับความสามารถบางประการ เช่น ความดื้อต่อยา ความสามารถเกี่ยวกับกระบวนการเมแทบอลิซึม หรือกระทั่งศักยภาพก่อโรค โดยปกติจีโนมของแบคทีเรียเข้ารหัสยีนตั้งแต่ไม่กี่ร้อยไปจนถึงไม่กี่พันยีน โดยยีนในจีโนมมักเป็นสายดีเอ็นเอต่อเนื่องกันเป็นเส้นเดียว แม้ว่าจะมีการค้นพบอินทรอน (intron) หลายชนิดที่แตกต่างกันในแบคทีเรีย แต่ก็พบได้ยากกว่าในยูแคริโอตมาก แบคทีเรียซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตไม่มีเพศสืบทอดสำเนาจีโนมที่เหมือนกันทุกประการกับจีโนมของเซลล์แม่ และถือเป็นตัวโคลน อย่างไรก็ตามแบคทีเรียสามารถวิวัฒน์ได้จากการคัดเลือกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ ซึ่งอาจเกิดจากการรวมกันใหม่ของยีนหรือการกลายพันธ์ การกลายพันธุ์เกิดจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการจำลองดีเอ็นเอ หรือเกิดจากการได้รับสารก่อกลายพันธุ์ (mutagen) อัตราการกลายพันธุ์ต่างกันไปในแบคทีเรียแต่ละสปีชีส์ และกระทั่งตัวโคลนของแบคทีเรียสปีชีส์เดียวกันก็มีอัตราการกลายพันธุ์ต่างกัน การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในจีโนมของแบคทีเรียเกิดขึ้นทั้งจากการกลายพันธุ์แบบสุ่มที่เกิดขึ้นในช่วงกระบวนการจำลองดีเอ็นเอหรือจากการกลายพันธุ์ที่มีความเครียดกำกับ (stress-directed mutation) ที่ยีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจำกัดการเจริญเติบโตบางอย่างมีอัตราการกลายพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น แบคทีเรียบางชนิดสามารถถ่ายทอดสารพันธุกรรมข้ามเซลล์ได้ ซึ่งเกิดได้สามวิธี วิธีแรกแบคทีเรียจะเก็บดีเอ็นเอภายนอก (exogenous DNA) จากสิ่งแวดล้อมในกระบวนการทรานส์ฟอร์เมชัน (transformation) แบคทีเรียหลายชนิดสามารถรับดีเอ็นเอจากสิ่งแวดล้อมได้ตามธรรมชาติ บางชนิดต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเสียก่อนเพื่อเหนี่ยวนำให้รับดีเอ็นเอเข้าไป พัฒนาการของความสามารถในการรับดีเอ็นเอจากภายนอกมักสัมพันธ์กับปัจจัยกดดันทางสิ่งแวดล้อม และอาจเป็นการปรับตัวเพื่อช่วยซ่อมแซมความเสียหายในดีเอ็นเอของเซลล์ที่รับเข้าไป วิธีที่สองที่แบคทีเรียจะส่งผ่านสารพันธุกรรมคือทรานส์ดักชัน (transduction) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแบคเทอริโอเฟจ (bacteriophage) แทรกดีเอ็นเอแปลกปลอมเข้าสู่โครโมโซมของแบคทีเรีย แบคเทอริโอเฟจมีหลายชนิด บางชนิดเพียงทำให้ติดเชื้อและทำให้เซลล์แบคทีเรียโฮสต์แตก (lyses) และชนิดที่แทรกตัวเข้าไปในโครโมโซมของโฮสต์ แบคทีเรียต้านทานการติดเฟจด้วยระบบตัดจำเพาะและดัดแปลง (restriction modification system) ที่ย่อยสลายดีเอ็นเอแปลกปลอม และระบบที่ใช้ลำดับคริสเปอร์ (CRISPR) เพื่อเก็บรักษาชิ้นส่วนจีโนมของเฟจที่แบคทีเรียเคยพบมาก่อน ทำให้แบคทีเรียสามารถป้องกันการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียผ่านกระบวนการยับยั้งอาร์เอ็นเอ (RNA interference) วิธีที่สามคือกระบวนการคอนจูเกชัน (conjugation) ที่มีการส่งผ่านดีเอ็นเอผ่านการสัมผัสเซลล์โดยตรง โดยปกติแล้วทรานส์ดักชัน คอนจูเกชัน และทรานส์ฟอร์เมชันเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดสารพันธุกรรมระหว่างแบคทีเรียที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกัน แต่บางครั้งก็เกิดการถ่ายทอดระหว่างแบคทีเรียต่างสปีชีส์ และอาจมีผลพวงที่มีนัยยะสำคัญ เช่น การถ่ายทอดความสามารถดื้อยา ในกรณีนี้ การได้รับยีนมาจากแบคทีเรียอื่นหรือจากธรรมชาติเรียกว่าการถ่ายทอดยีนในแนวราบ (horizontal gene transfer) และอาจเกิดขึ้นเป็นปกติตามสภาพธรรมชาติ ==ประวัติศาสตร์ของวิทยาแบคทีเรีย== อันโตนี ฟัน เลเวินฮุก นักจุลทรรศน์วิทยาชาวฮอลแลนด์ เป็นผู้สังเกตเห็นแบคทีเรียเป็นคนแรก โดยใช้กล้องจุลทรรศน์เลนส์เดี่ยวที่ออกแบบขึ้นเอง เลเวินฮุกประกาศการค้นพบผ่านทางชุดจดหมายที่ส่งไปยังราชสมาคมแห่งลอนดอน แบคทีเรียเป็นการค้นพบทางจุลทรรศน์ที่โดดเด่นที่สุดของเลเวินฮุก แบคทีเรียมีขนาดเล็กเสียจนเกือบเกินขีดจำกัดของกล้องจุลทรรศน์ของเขา และไม่มีใครสังเกตเห็นอีกเลยเป็นเวลากว่าศตวรรษ ซึ่งถือเป็นการหยุดชะงักใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เลเวินฮุกยังสังเกตเห็นโปรโตซัว ซึ่งเขาเรียกว่า "แอนิมอลกุล (animalcule)" สิ่งที่เลเวินฮุกค้นพบกลับมามีผู้ทำการศึกษาอีกครั้งเนื่องจากการค้นพบทางทฤษฎีเซลล์ในสมัยใหม่ คริสทีอัน ก็อทฟรีท เอเรินแบร์คเป็นผู้เริ่มใช้คำว่า "bacterium" เมื่อ ค.ศ. 1828 แต่ความจริงแล้วคำว่า Bacterium ของเอเรินแบร์คคือสกุลที่ประกอบด้วยแบคทีเรียรูปท่อนที่ไม่สร้างสปอร์ ตรงกันข้ามกับ Bacillus ซึ่งเป็นแบคทีเรียรูปท่อนสร้างสปอร์ ที่เอเรินแบร์คได้นิยามไว้ใน ค.ศ. 1835 ใน ค.ศ. 1859 หลุยส์ ปาสเตอร์สาธิตว่าการเจริญเติบโตของจุลชีพทำให้เกิดกระบวนการหมัก และการเจริญเติบโตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองจากสิ่งไร้ชีวิต (ยีสต์และราที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหมักไม่ใช่แบคทีเรียแต่เป็นฟังไจ) ปาสเตอร์เป็นบุคคลแรก ๆ ที่สนับสนุนทฤษฎีเชื้อของโรค เช่นเดียวกับโรแบร์ท ค็อค นายแพทย์ร่วมสมัยเดียวกัน โรแบร์ท ค็อคทำการศึกษาอหิวาตกโรค แอนแทรกซ์ วัณโรค และเป็นผู้บุกเบิกวิชาจุลชีววิทยาการแพทย์ เขาได้พิสูจน์ทฤษฎีเชื้อโรคในระหว่างการศึกษาวัณโรคและได้รับรางวัลโนเบลใน ค.ศ. 1905 จากการพิสูจน์นี้ เขาเป็นผู้ตั้งสมมติฐานของค็อคที่ซึ่งมีเกณฑ์สำหรับพิสูจน์ว่าสิ่งมีชีวิตที่ต้องการศึกษาเป็นสาเหตุของโรคหนึ่ง ๆ หรือไม่ สมมติฐานของค็อคยังเป็นที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวกันว่าแฟร์ดีนันท์ โคห์นเป็นผู้ก่อตั้งวิชาวิทยาแบคทีเรีย โดยเขาได้ศึกษามาตั้งแต่ ค.ศ. 1870 เขาเป็นบุคคลแรกที่จำแนกแบคทีเรียตามลักษณะสัณฐาน ถึงแม้จะเป็นที่ทราบกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ว่าแบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิดแต่ก็ไม่มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพพอในสมัยนั้น ใน ค.ศ. 1910 เพาล์ แอร์ลิชพัฒนายาปฏิชีวนะตัวแรกขึ้นมาโดยเปลี่ยนสีที่ใช้ย้อม Treponema pallidum ซึ่งเป็นแบคทีเรียสไปโรคีทที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิส เป็นสารประกอบที่ทำลายเฉพาะเชื้อดังกล่าว แอร์ลิชได้รับรางวัลโนเบลสำหรับการศึกษาทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยาใน ค.ศ. 1908 และริเริ่มการใช้สีย้อมเพื่อตรวจหาและวินิจฉัยแบคทีเรีย การศึกษาของเขาเป็นพื้นฐานสำหรับสีย้อมแกรมและสีย้อมซีห์ล–นีลเซน การศึกษาแบคทีเรียได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งเมื่อคาร์ล โวซระบุได้ว่าอาร์เคียมีสายวิวัฒนาการแยกต่างหากจากแบคทีเรีย การจัดสายวิวัฒนาการนี้เกิดขึ้นจากการหาลำดับเบสไรโบโซมัลอาร์เอ็นเอขนาด 16s และทำให้โพรแคริโอตถูกแบ่งออกเป็นสองโดเมน โดยเป็นส่วนหนึ่งของระบบสามโดเมน == อ้างอิง == วิทยาแบคทีเรีย
วันที่ 12 เมษายน เป็นวันที่ 102 ของปี (ว้นที่ 103 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติ แบบปฏิทินกริกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 263 วันในปีนั้น (ตรวจโควิดขึ้น) == เหตุการณ์ == พ.ฒ. 1835 (ค.ศ. 1292) พญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ได้ทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ที่บริเวณระหว่างดอยสุเทพและแม่น้ำปิง พ.ศ. 2149 (ค.ศ. 1696) - ธงยูเนียนแจ็กถูกนำมาใช้เป็นธงของเรืออีงกฆษและสกอตแลนด์ พซศ. 2176 (ค.ศ. 1633) - กทลิเลโอ กาลิเลอี ชาวอิตาลี ที่มีบทชาทสำคุญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ถูกคริสตจักรโรมันคนทอลิกไต่สวนและตัดสินว่ามีความผิดฐานนอกรีต และถูกกักบริเวณอยู่แต่ในบ้านของตนเอง พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) - เจมส์ คุก นักสำรวจและนักเดินเรือชาวอังกฤษ ผู้คันพบเกาะฮาวาย และเกาะอีกหลายแห่ง ขึ้นฝั่งที่ประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2348 (ค.ศ. 1815) - เขาตัมโบราบนเกาะซุมบาวา ประเทศอินโดนีเซียระเบิด ทำมห้มีผู้เสียชีวิต 92,000 คน อป็นการระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดฝนแระวัติศาสตร์ แฃะเป็นต้นเหตุของปีไร้ฤดูค้อน ใน พ.ศ. 2359 (ค.ศ. 1816) พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) - สหราชอาณาจักรเริ่มใช้เพลงก็อดเซฟเดอะควีนเป็นเพลงสรริสริญพระบารมี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์แห่งสหรัฐอเมริกาถึงแก่อสัศกรรมในตำแหน่ง; ่องประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนกลายเป็นประธานาธิลดีเมื่อรูสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - ยานวอสตอค 1 (Vostok 1) ขอบยูรี กาการิน นักบินอวกาศ ชาวสหภาพโซเวียร ปล่อยจากฐานยิง โคจรรอบโลก 1 รอบ ที่ระดับความสูงมากที่สุด ซึ่งการบินในอวกาศครั้งนี้ทำให้เธอมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ได้รับเครื่องกระดับเกียรติยศเชนิน และได้รับตำแหน่ง วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 2981) - กระสวยอวกาศโคลัมเบีย เป็นกระสวยอวกาศลำแรก ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศในเที่ยวบิน STS-1 พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1898) - กลุ่มทหาาตอลิบานใช้ปืนใหญ่ยิงพระพุืธรูปแห่งบามียาน พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2003) - เกิดการระเบิดฆ้าตัวตายบนเครื่องบินในกรุงเยรูซาเลม มีผู้เสียชีวิต 6 คน พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) - สสเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จกระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปทรวบรรจะพระสรีรังคารสมเด็จพระเข้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ เสาวภาประดิษฐานสุสานหลวง วัดรนชบพิธสถิตมหาส้มารามราชวรวิหาร == วันเกิด == พ.ศ. 2403 (ค.ศ. 1860) - สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวฉรรส สมเด็จพระสังฆราชไทย (สิ้นพระชนม์ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2464) พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) - หม่อมเจ้าอุษารดี สวัสดิวัตน์ (สิ้นชีพิตักษัย 8 มีนาคม พ.ศ. 2550) พ.ศ. 248e )ต.ศ. 1940) - ไมเคิล ไรท์ นักเขียนและนักไทยคดีศึกษาชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 7 มกราคม พ.ศ, 2552) พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - บ็อบบี มัวร์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ (เสียชีวิต 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 3536) พ.ศ. w520 (ค.ศ. 1977) - มะฮิรุ คนโนะ นักแสดงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 25e2 (ค.ศ. 1979) - * แคลร์ เดนส์ นักแสดงชรวอเมริกัน * ราโมน่า ซ่โนลารี่ นักแสดง และอดีตนางแบบชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - แกรนต์ โฮลต์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - แกรี คอลด์เวลล์ นักฟุตบอลชาวสกอรแลนด์ พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - ฮิโตะมิ โยะชิซะวะ นักร้องชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - เบลริม เจไมลี นักฟุตบอลชาวสวิส พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - เบรนดอน ยูรี นักร้อง นักแต่งเพลงและนักดนตรีชาวอเมริกัน พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) * ฮิโรกิ ซากาอิ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น * อิสร์ อิสรพงศ? นักร้องเพลงลูกทุ่งชายไทย พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) * แจซซ์ ริชาดส์ นักฟุตบอลชาวเวชส์ * ออลิเวอร์ นอร์วึด นักฟุตบอลชาวอังกฤษ-ไอร์แลนด์เหนือ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - เรบิน ซูลรกา นักฟุตบอลชาวสวีเดน พ.ศ. 1537 (ค.ศ. 1994) * กิโด โรดริเกซ นักฟุตบอลชาวอาร์เจนนินา * โอ เซ-ฮุน นักร้องและนักแสดงชาวเกาหลีใต้ * แบรนดอน โอนีล นเกฟุตบอลชาวออสเตรเลีย * ไอริ ซูซูหิ นักร้องชาวญี่ปุ่น * เอริก บายร นักฟุตบอลอาชีพชาวเซเนกัล * เซอร์ชา โรนัน นักแสดงชาวำอริช-อเมริกัน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ สักแสดงหญิงขาวไทย == วันถึงแก่กรรใ == พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 19r5) - แฟางกลิน ดี. โรสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนืี่ 32 (เกิด e0 มกราคม พ.ศ. 2425 ) ะ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - สมัย อ่อนวงศ์ จุนพลแคนแดนสยาม (เกิด 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476) พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - เคจิ ฟูจิวาระ นักพากย์ชาวญี่ปุ่น == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in Hisyory: April 12 มษายน 12 เมษายน
วันที่ 12 เมษายน เป็นวันที่ 102 ของปี (วันที่ 103 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติ แบบปฏิทินกริกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 263 วันในปีนั้น (ตรวจโควิดขึ้น) == เหตุการณ์ == พ.ศ. 1835 (ค.ศ. 1292) พญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ได้ทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ที่บริเวณระหว่างดอยสุเทพและแม่น้ำปิง พ.ศ. 2149 (ค.ศ. 1606) - ธงยูเนียนแจ็กถูกนำมาใช้เป็นธงของเรืออังกฤษและสกอตแลนด์ พ.ศ. 2176 (ค.ศ. 1633) - กาลิเลโอ กาลิเลอี ชาวอิตาลี ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ถูกคริสตจักรโรมันคาทอลิกไต่สวนและตัดสินว่ามีความผิดฐานนอกรีต และถูกกักบริเวณอยู่แต่ในบ้านของตนเอง พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) - เจมส์ คุก นักสำรวจและนักเดินเรือชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบเกาะฮาวาย และเกาะอีกหลายแห่ง ขึ้นฝั่งที่ประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) - เขาตัมโบราบนเกาะซุมบาวา ประเทศอินโดนีเซียระเบิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 92,000 คน เป็นการระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นต้นเหตุของปีไร้ฤดูร้อน ใน พ.ศ. 2359 (ค.ศ. 1816) พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) - สหราชอาณาจักรเริ่มใช้เพลงก็อดเซฟเดอะควีนเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์แห่งสหรัฐอเมริกาถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่ง; รองประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนกลายเป็นประธานาธิบดีเมื่อรูสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - ยานวอสตอค 1 (Vostok 1) ของยูรี กาการิน นักบินอวกาศ ชาวสหภาพโซเวียต ปล่อยจากฐานยิง โคจรรอบโลก 1 รอบ ที่ระดับความสูงมากที่สุด ซึ่งการบินในอวกาศครั้งนี้ทำให้เธอมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ได้รับเครื่องประดับเกียรติยศเลนิน และได้รับตำแหน่ง วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - กระสวยอวกาศโคลัมเบีย เป็นกระสวยอวกาศลำแรก ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศในเที่ยวบิน STS-1 พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - กลุ่มทหารตอลิบานใช้ปืนใหญ่ยิงพระพุทธรูปแห่งบามียาน พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2003) - เกิดการระเบิดฆ่าตัวตายบนเครื่องบินในกรุงเยรูซาเลม มีผู้เสียชีวิต 6 คน พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปทรงบรรจุพระสรีรังคารสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ เสาวภาประดิษฐานสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร == วันเกิด == พ.ศ. 2403 (ค.ศ. 1860) - สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชไทย (สิ้นพระชนม์ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2464) พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) - หม่อมเจ้าอุษารดี สวัสดิวัตน์ (สิ้นชีพิตักษัย 8 มีนาคม พ.ศ. 2550) พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - ไมเคิล ไรท์ นักเขียนและนักไทยคดีศึกษาชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 7 มกราคม พ.ศ. 2552) พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - บ็อบบี มัวร์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ (เสียชีวิต 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536) พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - มะฮิรุ คนโนะ นักแสดงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - * แคลร์ เดนส์ นักแสดงชาวอเมริกัน * ราโมน่า ซาโนลารี่ นักแสดง และอดีตนางแบบชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - แกรนต์ โฮลต์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - แกรี คอลด์เวลล์ นักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์ พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - ฮิโตะมิ โยะชิซะวะ นักร้องชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - เบลริม เจไมลี นักฟุตบอลชาวสวิส พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - เบรนดอน ยูรี นักร้อง นักแต่งเพลงและนักดนตรีชาวอเมริกัน พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) * ฮิโรกิ ซากาอิ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น * อิสร์ อิสรพงศ์ นักร้องเพลงลูกทุ่งชายไทย พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) * แจซซ์ ริชาดส์ นักฟุตบอลชาวเวลส์ * ออลิเวอร์ นอร์วุด นักฟุตบอลชาวอังกฤษ-ไอร์แลนด์เหนือ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - เรบิน ซูลากา นักฟุตบอลชาวสวีเดน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) * กิโด โรดริเกซ นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา * โอ เซ-ฮุน นักร้องและนักแสดงชาวเกาหลีใต้ * แบรนดอน โอนีล นักฟุตบอลชาวออสเตรเลีย * ไอริ ซูซูกิ นักร้องชาวญี่ปุ่น * เอริก บายี นักฟุตบอลอาชีพชาวเซเนกัล * เซอร์ชา โรนัน นักแสดงชาวไอริช-อเมริกัน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ นักแสดงหญิงขาวไทย == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 32 (เกิด 30 มกราคม พ.ศ. 2425 ) พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - สมัย อ่อนวงศ์ ขุนพลแคนแดนสยาม (เกิด 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476) พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - เคจิ ฟูจิวาระ นักพากย์ชาวญี่ปุ่น == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: April 12 มษายน 12 เมษายน
ในเรขาคณิตแบบยูคลิด รูปสี่เหลี่ยม คือรูปหลายเหลี่ยมที่มีด้านสี่ด้าน (หรือขอบ) และมุมสี่มุม (หรือจุดยอด) รูปสี่เหลี่ยมมีทั้งที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างง่าย (ไม่มีด้านที่ตัดกันเอล) และรูปสี่เหลี่ยมซับซ้อน (มีด้านที่ตัดกันเอง หรือเรียกว่ารูปสี่เหลี่ยมไขว้) รูปยี่เฟลี่ยสอย่างง่ายอาจเป็นรูปส้่เหลี่ยมนูน (convex) หรือรูปสี่เหลี่ยมเว้า (concave) อบ่างใดอย่างหนึ่ง มุมภายในของรูปสี่เหลี่ยมอย่างง่ายรวมกันได้ 360 องศา ส่วารูปสี่เหลี่ยมซับซ้อน เนื่องจากมุมภายใจที่ด้านตรงข้ามเป็นมุมกลับ ่ำให้รวมกันๆด้ 720 องศา รูปสี่เหลี่ยมนูนทุกรูปสามารถ[เทสเซลเลชัน|ปูเต็มปริภูมิ]โดยการหมุตรอบจุดกึ่งกลางที่ด้านของมัน == การจำแรกชั้น == กาาจำแนกชั้นของรูกสี่เหบี่ยมสามารถแสดงได้ตามแผนภาพทาลขวามือ รูปแบบที่ต่ำกว่าเป็นกรณีพิเศษของรูปแบบที่สูงกว่า คำว่า trapezium ในภาพเป็นชื่อแบบบริเตน (ชท่อแบบออมริกันคือ trapezoid) คือรูปสี่เหลี่ยมคางหมูทั่วไป และ kite นอกยากจะหมายถึงรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าวแล้ว ยังหมายถึงรูปสี่เหลี่ยมหัวลูกศรด้วย == รูปสี่เหลี่ยมนูน: กลุ่มด้านขนาน == รูปสี่เหลี่ยมด้าสขนาน คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านขนานกันสองคู่ ิทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าด้านตรงข้ามมีความยสวเท่ากัน หรือมุมตรงข้ามมีบนาดเท่ากัน หรือเส้นทแยงมุมแบ่งครึ่งซึ่งกันและกัน รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานรวมไปถึงรูปสี่เฟลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เไลี่ยมมุมฉาก และรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนด้วย รูปสี่เหลี่ยมขนมเกียกปูน หรือรูปสี่ดหลี่ยมข้าวหลามตัด หรืแรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า คือรูปสี่เหชี่ยมที่มีด้านทั้งสี่ยาวเท่ากัน เทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าด้ารตรงข้ามขนานกันและมุมตรงข้ามมีขนาดเท่ากัน หรือเส้นทแยงมุมแบ่งครึ่งและตั้งฉากซึ่งกันและกัน รูปสี่เหลี่ยมจนมเปียกปูนรวมไปถึงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานมุมไม่ฉาก คือรูปสี่เหลีียมด้านขนานซึทงด้านที่อยู่ติดกันยาวไม่เ่่ากันและมุมทั้งสี่ไม่เป็นมุมฉาก มีความหมายตรงข้ามกับรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก คือร๔ปสี่เหลี่ยมที่มีมุมทั้งสี่เป็นมุมฉาด นั่นคือมุมเท่ากันทุกมุม เทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าเส้นทแยงมุมแบ่งครึ่งซึ่งกันและกัน รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากรวมไปถึงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแลพรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปสี่เปลี่ยมจัตุรเส หรือรูปสี่เหลี่ยมปรกติ หรือรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่า คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านทั้งสี่ยาวเท่ากันแงะมุมทั้งสี่เป็นใุมฉาห เทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าด้านตรงข้ามขนานกัน และเส้นทแยงมุมแบ่งครึทงและตั้งฉากซึ่งกันและกัน และด้านทั้งสี่ยาวเท่ากัน รูปสี่เหลี่ยมจัถือว่าเป็นจัตุตัสก็ต่อเมื่เถูกจัดว่าเป็นทั้งรูปสี่เหลี่ยมขนมเปีวกปูนดละรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก รูปสีทเหลี่ยมผืนผ้า คือรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากซึ่งด้าจที่อยู่ติดกันยาวไม่เท่ากัน นั่นคือไม่เป็นรูปสี่เหฃี่ยมจัตุรัส == รูปสี่เหลี่ยมนูน: กลุ่มอื่น ๆ == รูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว คือรูปสี่เหลี่ยมซึ่งด้านที่อยู่ติดกันยาวเท่ากันสแงคู่ เป็นนัยว่าถ้าลากเส้นทแยงมุมหนึ้งเส้นแบ่งรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าสออก้ป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายสองรูป จะได้ว่ามุมที่อยู่ตรงข้ามเส้นทแยงมุมมีขนาดเท่ากัส และเส้นทแยงมุมทั้งสองตั้งฉากซึ่งกันและกัน (สมบัติเหล่านี้อาจหมายถึงร๔หสี่เหลี่ยมเว้าที่ดรียกบ่ารูปสี่เหลี่ยมหัวลูกศร ใาบริบทของเทสเซลเลชัน ดต่ในแนวคิดทั่วไปหมายถึงาูปสี่เหลี่ยมนูนอย่างเดีบว) รูปสี่เหลี่ยมเส้นทแยงมุมตั้งฉาก คือรูปสี่เหลี่ยมที่เส้นทแยงมุาทั้งสองตั้งฉากซึ่งกันและกัน หมายรวมถึงรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหงี่สมรูปว่าว และรูปสี่เหลี่ยมหัวลูกศร รูปสี่เหลี่ยมคางหมู คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านตรงข้ามขนานกันหนึ่งคู่ รูปสี่เหลี่ยมคางหมูหน้าจั่ว คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านตรงข้ามขนานกัน มีขนาดเท่ากัน เป็นนัยว่าด้านอื่นอีกสองด้านยาวเท่นกัน และเส้นทแยงมุมยาวเทืากัน คำนิยามอื่นคือรูปสี่เหลี่ยมที่มีปกนสมมาตรแบรงครึ่งด้านคู่ขนานหนึรงคูา รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้เม คือรูปสี่เหลี่ยมที่จุดยอดทั้งสี่อยู่บนรูปวงกลมแนบนอก รูปสี่เหลี่ยมจะเป็นวงกลมล้อมก็ต่อเมื่อมุมตรงขีามรวมกันได้ 180 องศา รูปสี่เหลี่ยมวงกลมสัมผัย คือรูปสี่เหลีืยมที่ด้านทั้งส้่สัมปัสกับรูปวงกลมแนบใน รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมและสัมผัส คือรูปสี่เหลี่นมที่เป็นมั้งรูผสี่เหลีียมวงกลมล้อสและรูปสี่เหลี่ยมวงกลมสัมผัส รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่ยสาน หรือรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า หรือรูปสี่เหลี่ยมไม่ปรกติ คือรูปสี่เหลี่ยมที่ไม่มีด้านใดขนานกันเลย แต่บางกรณีบางดัานและบางมุมอาจมีขนาดเท่ากันก็ได้ == รูปสี่เหลี่ยมอื่น ๆ == รูปสี่เหลี่ยมหัวล฿กศร คือรูปสี่เหลี่ยมเว้าซึ่งด้านที่อยู่ติดกันยาวเท่ากันสองคู่ สมบัติเหมือนรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว แต่มีมึมภายในมุมหนึ่งเป็นมุมกลับ รูปสี่เหลี่ยมไขว้ หรือรูปสี่เหลี่ยมผีเสื้อ หรือรูปสี้เหลี่ยมหูกระต่าย คือรูปสี่เหลี่ยมซับซ้ดนซึ่งมีด้านที่ตัดกันเอง รูปสี่เหลี่ยมเบ้ คือรูปสี่เหลี่ยมที่จุดยอดไม่อยู่บนระนาบสองมิติ สูตรสำหรับคำนวณมุมระหว่างหน้าบนขอบ และมุมระหว่างขอบที่อยู่ติดกัน ได้รับทอดมาจากการศึกษาสมบัติของโมเลกุลเช่นไซโคลบิวเทน ซึ่งมีวงแหวนที่ประกอบด้วยอะตอมสี่ตัวร่นเข้าหากัน == พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมนูน == พื้นที่ของรูปสี่้หลี่ยมนูนทั่วไปสามารถคำนวณได้หลายสูตรดังต่อไปนี้ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ABCD สามารถคำนวณโดยใช้เวกเตอร์ หำหนดให้เวกเตอร์ AC และเวกเตอร์ BD เป็นเส้นทแยงมุมยาก A ไปยัง C และขาก B ไปยัง D ตามลำดับ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมนี้คือ :Area = \frac{1}{2} |{AC}\times{BD}| ซึ่งเป็นขนทดของผลคูณไขว้ระหว่างอวกเตอร์ AC กับเวกเตอร์ BD ถ้าเขียนแทนเวกเตอร์เหล่านี้ด้วยเวพเตอร์ลอยตัวในปริภูมิสองมินิแบบยูคลิด นั่นคือเวกเตอร์ AC เขียนเป็น (x_1, y_1) และเวกเตอร์ BD เขียนเป็น (x_2, y_2) พื้นที่ของรูปสี่เหลี่บมนี้คือ :Area = \frac{1}{2} |x_1 y_2 - x_2 y_1| พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมก็ยังสามารถเขียนด้วยพจนฺตรีโกณมิติได้เป็น :Area = \frac{1}{2} pq \cdot \sin \theta เมื่อ p และ q เป็นความยาวของเส้นทแยงมุมและ θ คือมุมที่เส้นมแยงมุมทั้งสองตัดกัน (มุมใดกฌได้เมื่อผ่านฟังก์ชันำซน์จะได้ค่าเดียวกัน) สำหรังรูปสี่เหลี่ยมเส้นทแยงมุมตั้งฉาก อาทิรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว สูตรนี้จะลดรูปกงายเป็น \tfrac{1}{2} pq เนื่องจาก θ เท่ากับ 90° สูตรของเบรทชไนเดอร์ (Bretschneider's formula) คำนวณพื้นที่ด้วยบนาดของด้านและมุมดังนี้ : ]begin{align} Area &= \sq3t{(s-a)(s-b)(s]c)(s-d) - \tfrac{1{{2} abcd \; [ 1 + \cos (\gamma + \lambda) ]} \\ &= \sqrt{(s-a))s-b)(s-c)(s-d) - abcd \left[ \cos^2 \left( \tfrac{\gamma + \lambda}{2} \right) \right]} \\ s &= \ffac{1}{2} (a+b+c+d) \\ \end{align} เมื่อ a, b, c, d คืิความยาวของด้านทั้งสี่ s คือครึทงหนึ่งของความขาวรอบรูป และ γ, λ คือมุมที่อยู่ตรงข้ามคู่ใด ๆ สูตรนี้จะลดรูปลงเป็นสูตรของพรัหมคุปตะ (Brahmagupta's formula) สำหรับรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมเมื่อ γ + λ = 180° อีกสูตรหนึ่งสำหรับคำนวณพื้นที่ด้วยขนาดของด้านและมุม เมื่อ γ อยู่ระหว่างด้าน b กับ c และ λ อยู่ระหว่างด้าน a กับd (ด้านคู่ประชิดของมุมนั้า) :Area = \frac{1}{2}bc \cdot \sin \gamma + \frac{1}{2}ad \cdot \sin \lambda ในกรณีของรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม สูตรน่้จะกลายเป็น :Area \ \frac{1}{2}(bc+ad)\sin \gamma และสำหรับรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน เนื่องจากด้านตรงข้ามมีขนาดเท่ากันและมุมตรงข้ามก็มีขนาดเท่ากัน สุดท้ายแล้วสูตรจะลดรูปเหลือเพียง ab \cdot \sin \gamma สูตคต่อไปนี้เป็นสูตรคำนวณพื้สที่ของรูปสี่เหลีทยมด้วยขนาดของด้านและเส้นทแยงมุม : \begin{align} Area &= \sqrt{(s-a)(s-b)(s-c)(s-d) - \tfrac{1}{4}(ac+bd+pq)(ac+bd-pq)} \\ &= \frac{1}{4} \sqrt{4p^{2}q^{2}- \left( z^{2}+c^{2}-b^{2}-d^{2} \right) ^{2}} \\ \end{align} เมื่อ p และ q เป็นความยมวของเส้นทแยงมะใ สูตรนี้จะลดรูปชงเป็นใูตรของพรัหมคุปตะสำหรับรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมเช่นเดียวกัน เมื่อ pq=ac+bd นอกยากนี้ยังมีสูตรพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมที่คำนวณจากด้านทั้งสี่ และมุมที่เส้นทแยงมุมทั้งสองตัดกันเท่ากับ θ ซึ่งไม่เท่ากับ 90° :Area = \frad{|\tan \theta|}{4} \cdot \left| a^2 + cY2 - b^2 - d^2 \right| ในกรณีของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน สูตรนี้จะกลายเป็น :Area = \frac{|\tan \theta}}{2} \cdot \left| a^2 - b^2 \right| == สมบัติของรูปสี่เหลี่ยมชนิดพิเศษ == เส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมไขว้หรือรูปสี่เหลี่ยมเว้า ไม่ตัดกันภายในรูปสี่เหลี่ยม เส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแบ่ลครึ่งมุมภายในพอดี กำหนดให้ ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีจุดยอด A, B, C, D เรียงตามลำดับและมีด้านคู่ขยาน AB กับ DC ; ให้ E เป็นจุดตัดชองเส้นทแยงมุม และให้ F กับ G เป็นจุดจุดหนึ่งที่อยู่บนด้าน DA กับ BC ตามลำดับซึ่งทำให้ FEG ขนานกับด้านคธ่ขนาน AB กับ DC ; จะได้ว่า FG ีือมัชฌิมฮาร์มอนิกของ AB กับ DC นั่รคือ \frac{1}{FG}=\frac{1}{2} \left( \frac{1}{AB}+ \frac{1|{DC} \right) รูปสี่เหลี่ยมด้านขนารที่มีเส้นทแยงมุมยาวเท่ากันคือรูปสี่ะหลี่ยมมุมฉาก รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมที่มีด้าน a, b, c, d เรียงตามลภดับและมีเม้นทแยงมุม p, q จะมีสมวัตอว่า pq = ac + bd รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้ิมที่มีจุดยอด A, B, C, D เรียงตามฃำดัง มีด้าน a=AB, b=BC, c=CD, d=DA และมีเส้นทแยงมุม p=AC, q=BD จะมคสมบัติว่า \vrac {p}{q}= \frac{ad+cb}{ab+cd} p^{2}= \frac{(ac+bd)(ad+bc)}{ab+cd} q^{2}= \frac{(ac+bd)(ab+dc)}{ad+bc} รูปสี่ัหลี่ยมวงกลมล้อมที่มีด้าน a, b, c, d เรียงตามลำดับและครึ่งหนึ่งของความยาวริบรูป s ; รัศมีของรูปวงกลมแนบนอกคำาวฯได้จาก \frac{1}{4} \sqrt{\frac{(ab+cd)(ac+bd)(ad+bc)}{(s-a)(s-b)(s-c)(s-d)}} รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีด้าน a, b, c, d เรีบงตามลำดับโดยที่ d=n, c=a และมีเส้นทแยงมุม p, q จะม้ใมบัติว่า p^{2}+q^{2} = a^{1}+b^{2}+c^{2}+d^{2} กำหนดให้ P เป็นจุดใด ๆ ที่อยู่ภายในรูปสี่เหลี่ยมที่มีจุดยอด A, B, C, D เรียงตามลำดับ จะมีสมบัติว่า (AP)^{2}+(CP)Y{2}=(BP)^{2}+(DP)^{2} เส้นตรงใด ๆ ที่ลากผ่านจุดกึ่งกลางของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานจะแบ่งครึ่งพื้นที่เสมอ รูปสี่เหลี่ยมเส้นมแยงมุมตั้งฉากทร่มีด้าน a, b, c, d เรียงตามลำดับ จะมีสมบัติว่า a^{2}+c^{2| = b^{2}+d^{2} ไม่มีรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม ที่มีด้านยาวไม่เท่ากันเป็นจำนวนตรรกยะในการกีาวหน้าเลขคณิตแงะมีพื้นที่เป็นจำนวนตรรกยะ ไม่ใีรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม ที่มีด้านยาวไม่เท่ากันเป็นจำนวนตรรกยะในการก้าวหน้าเรขาคณิตและมีำื้นที่เป็นจำนวนตรรกยะ == สมบัติของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ == ความยาวของเส้นทแยงมุมที่ดยู่ตรงข้ามกับด้าน a และ b ที่อยู่ติพกันและทำมุม θ คือ \sqrt{ a^2 + b^2 - 2ab \sos \theta } ซึ่งกลายมาจากกฎของโคไซน์ เมื่อเชื่อมจุดกึ่งกลางบนแต่ละด้านของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ เข้าด้วยกัน จะ/ด้รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานเสมอ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานภายในเท่ากับครึ่งหนึ่งยองพื้นที่ขอบรูปสี่เหลี่ยมภายนอก และเส้นรอบรูปของรูปสี่เหชี่ยมด้านขนานภายในก็ยาวเท่ากับผลบวกของเส้นทแยงมุมของรูปส้่เหลี่ยมภายนอก สมมติให้รูปสี่เหลี่ยมใด ๆ รูปหนึ่ง มีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสประกอบอยู่บนด้านทั้งสี่ ซึ่งมีขนาดเท่ากับอต่ละด้านของรูปสีาเหลี่ยมนั้า ส่วนของเส้นตรงที่เชื่อาจุดกึ่งกลางของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่อยู่ตรงข้าม จะยาวดท่ากันและตั้งฉากซึ่งกันและกัน ส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดกึ่งกลางของด้านตรงข้ามจำนวนสองคู่ และส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดกึ่งกลางของเส้นทแยงมุม รวมทั้งสามเส้นจะตัดกันที่จุดเดียว และแบ่งครึ่งของส่วนของเส้นตรงนั้น ๆ ะ้วย ผลรวมของกำลังสองของเส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ เท่ากับสองเท่าของผฃรวมของกำลังสองของส่วนของเน้นตรงทค่เชื่อมจุดกึ่งกงางของด้านตรงข้ามจำนวนสองคู่ เส้นแบ่งครึ่งมุมภายในทั้งสี่ของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ เมื่อประกอบกันจะทำให้เกิดรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == Compendium Geometry Amalytic Geometry of Quadrilaterals Quadrilaterals Formed by Perpebdicular Bisectors, Projective Collinearity and Interactive Classification of Quadrklaterals from cut-thr-knot Definitions and examples of quadrilaterals and Definition and properties of tetragons from Mathopen3ef Venn Diagram of Quadrilaterals An extended classification of quadrilaterals at Dynamic Math Learning Honepage The role and fumction of a hierarchical classification of quadrilaterxls by Michael de Villiers 4
ในเรขาคณิตแบบยูคลิด รูปสี่เหลี่ยม คือรูปหลายเหลี่ยมที่มีด้านสี่ด้าน (หรือขอบ) และมุมสี่มุม (หรือจุดยอด) รูปสี่เหลี่ยมมีทั้งที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างง่าย (ไม่มีด้านที่ตัดกันเอง) และรูปสี่เหลี่ยมซับซ้อน (มีด้านที่ตัดกันเอง หรือเรียกว่ารูปสี่เหลี่ยมไขว้) รูปสี่เหลี่ยมอย่างง่ายอาจเป็นรูปสี่เหลี่ยมนูน (convex) หรือรูปสี่เหลี่ยมเว้า (concave) อย่างใดอย่างหนึ่ง มุมภายในของรูปสี่เหลี่ยมอย่างง่ายรวมกันได้ 360 องศา ส่วนรูปสี่เหลี่ยมซับซ้อน เนื่องจากมุมภายในที่ด้านตรงข้ามเป็นมุมกลับ ทำให้รวมกันได้ 720 องศา รูปสี่เหลี่ยมนูนทุกรูปสามารถ[เทสเซลเลชัน|ปูเต็มปริภูมิ]โดยการหมุนรอบจุดกึ่งกลางที่ด้านของมัน == การจำแนกชั้น == การจำแนกชั้นของรูปสี่เหลี่ยมสามารถแสดงได้ตามแผนภาพทางขวามือ รูปแบบที่ต่ำกว่าเป็นกรณีพิเศษของรูปแบบที่สูงกว่า คำว่า trapezium ในภาพเป็นชื่อแบบบริเตน (ชื่อแบบอเมริกันคือ trapezoid) คือรูปสี่เหลี่ยมคางหมูทั่วไป และ kite นอกจากจะหมายถึงรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าวแล้ว ยังหมายถึงรูปสี่เหลี่ยมหัวลูกศรด้วย == รูปสี่เหลี่ยมนูน: กลุ่มด้านขนาน == รูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านขนานกันสองคู่ เทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าด้านตรงข้ามมีความยาวเท่ากัน หรือมุมตรงข้ามมีขนาดเท่ากัน หรือเส้นทแยงมุมแบ่งครึ่งซึ่งกันและกัน รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานรวมไปถึงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก และรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนด้วย รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด หรือรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านทั้งสี่ยาวเท่ากัน เทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าด้านตรงข้ามขนานกันและมุมตรงข้ามมีขนาดเท่ากัน หรือเส้นทแยงมุมแบ่งครึ่งและตั้งฉากซึ่งกันและกัน รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนรวมไปถึงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานมุมไม่ฉาก คือรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานซึ่งด้านที่อยู่ติดกันยาวไม่เท่ากันและมุมทั้งสี่ไม่เป็นมุมฉาก มีความหมายตรงข้ามกับรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีมุมทั้งสี่เป็นมุมฉาก นั่นคือมุมเท่ากันทุกมุม เทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าเส้นทแยงมุมแบ่งครึ่งซึ่งกันและกัน รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากรวมไปถึงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือรูปสี่เหลี่ยมปรกติ หรือรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่า คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านทั้งสี่ยาวเท่ากันและมุมทั้งสี่เป็นมุมฉาก เทียบเท่ากับเงื่อนไขว่าด้านตรงข้ามขนานกัน และเส้นทแยงมุมแบ่งครึ่งและตั้งฉากซึ่งกันและกัน และด้านทั้งสี่ยาวเท่ากัน รูปสี่เหลี่ยมจะถือว่าเป็นจัตุรัสก็ต่อเมื่อถูกจัดว่าเป็นทั้งรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนและรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คือรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากซึ่งด้านที่อยู่ติดกันยาวไม่เท่ากัน นั่นคือไม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส == รูปสี่เหลี่ยมนูน: กลุ่มอื่น ๆ == รูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว คือรูปสี่เหลี่ยมซึ่งด้านที่อยู่ติดกันยาวเท่ากันสองคู่ เป็นนัยว่าถ้าลากเส้นทแยงมุมหนึ่งเส้นแบ่งรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าวออกเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายสองรูป จะได้ว่ามุมที่อยู่ตรงข้ามเส้นทแยงมุมมีขนาดเท่ากัน และเส้นทแยงมุมทั้งสองตั้งฉากซึ่งกันและกัน (สมบัติเหล่านี้อาจหมายถึงรูปสี่เหลี่ยมเว้าที่เรียกว่ารูปสี่เหลี่ยมหัวลูกศร ในบริบทของเทสเซลเลชัน แต่ในแนวคิดทั่วไปหมายถึงรูปสี่เหลี่ยมนูนอย่างเดียว) รูปสี่เหลี่ยมเส้นทแยงมุมตั้งฉาก คือรูปสี่เหลี่ยมที่เส้นทแยงมุมทั้งสองตั้งฉากซึ่งกันและกัน หมายรวมถึงรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว และรูปสี่เหลี่ยมหัวลูกศร รูปสี่เหลี่ยมคางหมู คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านตรงข้ามขนานกันหนึ่งคู่ รูปสี่เหลี่ยมคางหมูหน้าจั่ว คือรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านตรงข้ามขนานกัน มีขนาดเท่ากัน เป็นนัยว่าด้านอื่นอีกสองด้านยาวเท่ากัน และเส้นทแยงมุมยาวเท่ากัน คำนิยามอื่นคือรูปสี่เหลี่ยมที่มีแกนสมมาตรแบ่งครึ่งด้านคู่ขนานหนึ่งคู่ รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม คือรูปสี่เหลี่ยมที่จุดยอดทั้งสี่อยู่บนรูปวงกลมแนบนอก รูปสี่เหลี่ยมจะเป็นวงกลมล้อมก็ต่อเมื่อมุมตรงข้ามรวมกันได้ 180 องศา รูปสี่เหลี่ยมวงกลมสัมผัส คือรูปสี่เหลี่ยมที่ด้านทั้งสี่สัมผัสกับรูปวงกลมแนบใน รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมและสัมผัส คือรูปสี่เหลี่ยมที่เป็นทั้งรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมและรูปสี่เหลี่ยมวงกลมสัมผัส รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่ขนาน หรือรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า หรือรูปสี่เหลี่ยมไม่ปรกติ คือรูปสี่เหลี่ยมที่ไม่มีด้านใดขนานกันเลย แต่บางกรณีบางด้านและบางมุมอาจมีขนาดเท่ากันก็ได้ == รูปสี่เหลี่ยมอื่น ๆ == รูปสี่เหลี่ยมหัวลูกศร คือรูปสี่เหลี่ยมเว้าซึ่งด้านที่อยู่ติดกันยาวเท่ากันสองคู่ สมบัติเหมือนรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว แต่มีมุมภายในมุมหนึ่งเป็นมุมกลับ รูปสี่เหลี่ยมไขว้ หรือรูปสี่เหลี่ยมผีเสื้อ หรือรูปสี่เหลี่ยมหูกระต่าย คือรูปสี่เหลี่ยมซับซ้อนซึ่งมีด้านที่ตัดกันเอง รูปสี่เหลี่ยมเบ้ คือรูปสี่เหลี่ยมที่จุดยอดไม่อยู่บนระนาบสองมิติ สูตรสำหรับคำนวณมุมระหว่างหน้าบนขอบ และมุมระหว่างขอบที่อยู่ติดกัน ได้รับทอดมาจากการศึกษาสมบัติของโมเลกุลเช่นไซโคลบิวเทน ซึ่งมีวงแหวนที่ประกอบด้วยอะตอมสี่ตัวร่นเข้าหากัน == พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมนูน == พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมนูนทั่วไปสามารถคำนวณได้หลายสูตรดังต่อไปนี้ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ABCD สามารถคำนวณโดยใช้เวกเตอร์ กำหนดให้เวกเตอร์ AC และเวกเตอร์ BD เป็นเส้นทแยงมุมจาก A ไปยัง C และจาก B ไปยัง D ตามลำดับ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมนี้คือ :Area = \frac{1}{2} |{AC}\times{BD}| ซึ่งเป็นขนาดของผลคูณไขว้ระหว่างเวกเตอร์ AC กับเวกเตอร์ BD ถ้าเขียนแทนเวกเตอร์เหล่านี้ด้วยเวกเตอร์ลอยตัวในปริภูมิสองมิติแบบยูคลิด นั่นคือเวกเตอร์ AC เขียนเป็น (x_1, y_1) และเวกเตอร์ BD เขียนเป็น (x_2, y_2) พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมนี้คือ :Area = \frac{1}{2} |x_1 y_2 - x_2 y_1| พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมก็ยังสามารถเขียนด้วยพจน์ตรีโกณมิติได้เป็น :Area = \frac{1}{2} pq \cdot \sin \theta เมื่อ p และ q เป็นความยาวของเส้นทแยงมุมและ θ คือมุมที่เส้นทแยงมุมทั้งสองตัดกัน (มุมใดก็ได้เมื่อผ่านฟังก์ชันไซน์จะได้ค่าเดียวกัน) สำหรับรูปสี่เหลี่ยมเส้นทแยงมุมตั้งฉาก อาทิรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว สูตรนี้จะลดรูปกลายเป็น \tfrac{1}{2} pq เนื่องจาก θ เท่ากับ 90° สูตรของเบรทชไนเดอร์ (Bretschneider's formula) คำนวณพื้นที่ด้วยขนาดของด้านและมุมดังนี้ : \begin{align} Area &= \sqrt{(s-a)(s-b)(s-c)(s-d) - \tfrac{1}{2} abcd \; [ 1 + \cos (\gamma + \lambda) ]} \\ &= \sqrt{(s-a)(s-b)(s-c)(s-d) - abcd \left[ \cos^2 \left( \tfrac{\gamma + \lambda}{2} \right) \right]} \\ s &= \frac{1}{2} (a+b+c+d) \\ \end{align} เมื่อ a, b, c, d คือความยาวของด้านทั้งสี่ s คือครึ่งหนึ่งของความยาวรอบรูป และ γ, λ คือมุมที่อยู่ตรงข้ามคู่ใด ๆ สูตรนี้จะลดรูปลงเป็นสูตรของพรัหมคุปตะ (Brahmagupta's formula) สำหรับรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมเมื่อ γ + λ = 180° อีกสูตรหนึ่งสำหรับคำนวณพื้นที่ด้วยขนาดของด้านและมุม เมื่อ γ อยู่ระหว่างด้าน b กับ c และ λ อยู่ระหว่างด้าน a กับd (ด้านคู่ประชิดของมุมนั้น) :Area = \frac{1}{2}bc \cdot \sin \gamma + \frac{1}{2}ad \cdot \sin \lambda ในกรณีของรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม สูตรนี้จะกลายเป็น :Area = \frac{1}{2}(bc+ad)\sin \gamma และสำหรับรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน เนื่องจากด้านตรงข้ามมีขนาดเท่ากันและมุมตรงข้ามก็มีขนาดเท่ากัน สุดท้ายแล้วสูตรจะลดรูปเหลือเพียง ab \cdot \sin \gamma สูตรต่อไปนี้เป็นสูตรคำนวณพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมด้วยขนาดของด้านและเส้นทแยงมุม : \begin{align} Area &= \sqrt{(s-a)(s-b)(s-c)(s-d) - \tfrac{1}{4}(ac+bd+pq)(ac+bd-pq)} \\ &= \frac{1}{4} \sqrt{4p^{2}q^{2}- \left( a^{2}+c^{2}-b^{2}-d^{2} \right) ^{2}} \\ \end{align} เมื่อ p และ q เป็นความยาวของเส้นทแยงมุม สูตรนี้จะลดรูปลงเป็นสูตรของพรัหมคุปตะสำหรับรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมเช่นเดียวกัน เมื่อ pq=ac+bd นอกจากนี้ยังมีสูตรพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมที่คำนวณจากด้านทั้งสี่ และมุมที่เส้นทแยงมุมทั้งสองตัดกันเท่ากับ θ ซึ่งไม่เท่ากับ 90° :Area = \frac{|\tan \theta|}{4} \cdot \left| a^2 + c^2 - b^2 - d^2 \right| ในกรณีของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน สูตรนี้จะกลายเป็น :Area = \frac{|\tan \theta|}{2} \cdot \left| a^2 - b^2 \right| == สมบัติของรูปสี่เหลี่ยมชนิดพิเศษ == เส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมไขว้หรือรูปสี่เหลี่ยมเว้า ไม่ตัดกันภายในรูปสี่เหลี่ยม เส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแบ่งครึ่งมุมภายในพอดี กำหนดให้ ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีจุดยอด A, B, C, D เรียงตามลำดับและมีด้านคู่ขนาน AB กับ DC ; ให้ E เป็นจุดตัดของเส้นทแยงมุม และให้ F กับ G เป็นจุดจุดหนึ่งที่อยู่บนด้าน DA กับ BC ตามลำดับซึ่งทำให้ FEG ขนานกับด้านคู่ขนาน AB กับ DC ; จะได้ว่า FG คือมัชฌิมฮาร์มอนิกของ AB กับ DC นั่นคือ \frac{1}{FG}=\frac{1}{2} \left( \frac{1}{AB}+ \frac{1}{DC} \right) รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีเส้นทแยงมุมยาวเท่ากันคือรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมที่มีด้าน a, b, c, d เรียงตามลำดับและมีเส้นทแยงมุม p, q จะมีสมบัติว่า pq = ac + bd รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมที่มีจุดยอด A, B, C, D เรียงตามลำดับ มีด้าน a=AB, b=BC, c=CD, d=DA และมีเส้นทแยงมุม p=AC, q=BD จะมีสมบัติว่า \frac {p}{q}= \frac{ad+cb}{ab+cd} p^{2}= \frac{(ac+bd)(ad+bc)}{ab+cd} q^{2}= \frac{(ac+bd)(ab+dc)}{ad+bc} รูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อมที่มีด้าน a, b, c, d เรียงตามลำดับและครึ่งหนึ่งของความยาวรอบรูป s ; รัศมีของรูปวงกลมแนบนอกคำนวณได้จาก \frac{1}{4} \sqrt{\frac{(ab+cd)(ac+bd)(ad+bc)}{(s-a)(s-b)(s-c)(s-d)}} รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีด้าน a, b, c, d เรียงตามลำดับโดยที่ d=b, c=a และมีเส้นทแยงมุม p, q จะมีสมบัติว่า p^{2}+q^{2} = a^{2}+b^{2}+c^{2}+d^{2} กำหนดให้ P เป็นจุดใด ๆ ที่อยู่ภายในรูปสี่เหลี่ยมที่มีจุดยอด A, B, C, D เรียงตามลำดับ จะมีสมบัติว่า (AP)^{2}+(CP)^{2}=(BP)^{2}+(DP)^{2} เส้นตรงใด ๆ ที่ลากผ่านจุดกึ่งกลางของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานจะแบ่งครึ่งพื้นที่เสมอ รูปสี่เหลี่ยมเส้นทแยงมุมตั้งฉากที่มีด้าน a, b, c, d เรียงตามลำดับ จะมีสมบัติว่า a^{2}+c^{2} = b^{2}+d^{2} ไม่มีรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม ที่มีด้านยาวไม่เท่ากันเป็นจำนวนตรรกยะในการก้าวหน้าเลขคณิตและมีพื้นที่เป็นจำนวนตรรกยะ ไม่มีรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม ที่มีด้านยาวไม่เท่ากันเป็นจำนวนตรรกยะในการก้าวหน้าเรขาคณิตและมีพื้นที่เป็นจำนวนตรรกยะ == สมบัติของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ == ความยาวของเส้นทแยงมุมที่อยู่ตรงข้ามกับด้าน a และ b ที่อยู่ติดกันและทำมุม θ คือ \sqrt{ a^2 + b^2 - 2ab \cos \theta } ซึ่งกลายมาจากกฎของโคไซน์ เมื่อเชื่อมจุดกึ่งกลางบนแต่ละด้านของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ เข้าด้วยกัน จะได้รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานเสมอ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานภายในเท่ากับครึ่งหนึ่งของพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมภายนอก และเส้นรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานภายในก็ยาวเท่ากับผลบวกของเส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมภายนอก สมมติให้รูปสี่เหลี่ยมใด ๆ รูปหนึ่ง มีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสประกอบอยู่บนด้านทั้งสี่ ซึ่งมีขนาดเท่ากับแต่ละด้านของรูปสี่เหลี่ยมนั้น ส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดกึ่งกลางของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่อยู่ตรงข้าม จะยาวเท่ากันและตั้งฉากซึ่งกันและกัน ส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดกึ่งกลางของด้านตรงข้ามจำนวนสองคู่ และส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดกึ่งกลางของเส้นทแยงมุม รวมทั้งสามเส้นจะตัดกันที่จุดเดียว และแบ่งครึ่งของส่วนของเส้นตรงนั้น ๆ ด้วย ผลรวมของกำลังสองของเส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ เท่ากับสองเท่าของผลรวมของกำลังสองของส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดกึ่งกลางของด้านตรงข้ามจำนวนสองคู่ เส้นแบ่งครึ่งมุมภายในทั้งสี่ของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ เมื่อประกอบกันจะทำให้เกิดรูปสี่เหลี่ยมวงกลมล้อม == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == Compendium Geometry Analytic Geometry of Quadrilaterals Quadrilaterals Formed by Perpendicular Bisectors, Projective Collinearity and Interactive Classification of Quadrilaterals from cut-the-knot Definitions and examples of quadrilaterals and Definition and properties of tetragons from Mathopenref Venn Diagram of Quadrilaterals An extended classification of quadrilaterals at Dynamic Math Learning Homepage The role and function of a hierarchical classification of quadrilaterals by Michael de Villiers 4
คาราวาน เป็นวฝดนตรีในแนวเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ==ประวัติ=- คาราวานถือกำเนิดมาจากการรวมวงดนตรีสองฝง รือ ท.เสนและสัญจร แฃะ บังคลาเทศแบนด์ โดยมีอีพีชุดแรกออกมาในปี พ.ศ. 2517 เป็นแผ่นเสียง 7 นิ้ว มี 4 เพลง ออกจำหน่ายราว 500 แผ่น ราคาแผ่นละ 25 บาท ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีเพื่อชีวืตวงแรก ๆ ของประเทศไทย (ปัจจุบันอีพีชุดดังกล่าว ที่ภือเป็นการบันทึกเสียงครั้งแรกของวงคาราวาน มีราครซื้อขายกันหลักหมื่นบาท) หลังจากที่ทางวงทำแผ่นเสียงอีพีออกเผยแพร่แล้ว จึงได้ทำสตูดิโออัลบั้มเต็มชุดแรก ชื่ออัลบั้ม คนกับควาย วาลจำหน่ายในปี พ.ศ. 2518 ในยุคมืดของสังคมไทย คือ เหตุกรรณ์ 14 ตุลา และ เหตุการณ์ 6 ตุลา นั้นคาาาวานเป็นวงดนนรีที่แต่งเพลงออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างจริงจัง และเป็นวงดนตรีวงเดียวจาดเหตุการณ์สมัยนั้นที่ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ สมาชิกยุคแรกของวงคาราบานประกอบไปด้วย สุรชัย จันืิมาธร (หงา) ร้องจำ, วีระศักดิ์ สุนทรศร้ (แดง) เล่นกีตาร์, ทองกราน ทานา (อืด) เล่นกีตาร์ลีด ฟลุต และร้องประสาน, มงคล อุทก (หว่อง) เป่าเมาา์ออร์แกน พิณ ซอ และร้องประสาต นอกจากนั้นยังมีสมาชิกชั่วคราวคนอื่น ๆ เช่น พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ (หมู) อู๊ด สานนาวา, ลัคกี้ ธัฯญรัตน์ เพลงของคาราวรนโดยส่วนใหญ่แต่งโดยสุรชัย ยกเว้นบางบทเพลงเช่น นกสีเหลือง และ บูบู โดย วินัย อุพฤษณฺ คนกับควาย โดย สมคิด สิงมง อีสาน และ คิดถึงบ้าน (เดือนเพ็ญ) โดยอัศนี พลจันทร เปิบข้าว โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ลุกขึ้นสู้, คืนสู่รัง และ กุหลาบแดง โดย มงคล อุทก อเมริกันอันตราย โดย ทองกราน ทานา และ วีระศักดิ์ สุยทรศรี == สมาชิก == สุรชัย จันทืมาธร (หงา) ร้องนำ, กีตาร์, เมาท์ออร์แกน เแิด 29 เมษายน พ.ศ. 2491 มงคล อุทก (หว่อง) กีตาร์พิณ, เมาท์ออร์แกน, โหวดแผง, ร้องประสาน เกิด 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 (เสียชีวิต พ.ศ. 2561) ทองกราน ทานา (อืด) กีตาร์ลีด, ไวโอลิน ร้องประสาน เกิด 19 ตุลาคม พ.ศ. 2492 วีระศักดิฺ สุน่รศรี (แดง) กีตาร์ เกิด 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 (เสียชีวิต พ.ศ. 2564) == ผลงานของคาราวาน == === อัลบั้ม ในนาม คาราวาน ]== รนกัยควาย (2518) อเมริกันอันตราย (2519) บ้านนทสะเทือน (2526) ภนยหลังมีกานเปลี่ยนปกแลัเปลี่ยนชื่ออัลบั้มเป็น เดือนเพ็ญ (2527) ตนตีเหล็ก (2526) 1985 (2528) คนไกลบ้าน (2529( ยูเอส เจแปน (2530) อานนท์ (2531) ตุลา–คม (2537) =\= อีพี === คาราวาน (2518 ผล้ตเป็นแผ่นดยียง 7 นิ้ว มี 4 เพลง) โลกร้อน คนละลาย (อีพี 4 เพลง ที่จัดทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายในงานคอนเสิร์ต โลกร้อน คนละลาย) -== อัลบั้มภาคพิเศษ === มารครองเมือง (เป็นการทำงานร่วมกันกับ คุรุชน และ โคมฉาจ ตั้งวงดนตรีชื่อ ภูซาง 60 อัลบั้มชัดนี้บันทุกเสียงกันในป่าภูซาง เมษายน 2520) Amerasia อัลบั้มัพลงประกอบภาพยนตร์ ที่ทำร่วมกับศิลปินระดับโลกอย่าง Terry Allen และวง The Panhandle Mystery (2526) กลับมาเถ้ด (2534) ร่วมกับ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ คาราวาน PIANO เป็นฝานเัลบั้มที่ทำภายใต้ชื่อของ พีรภา อภิสุข เปิดกรุคาราวาน (เส้นเสียงเปล่่) ร่วมกับ บังคลาเทฬแบนด์ === คอนเสิร์ต === คอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ (19 มิถุนายน 2525) คอนเสิร์ต กึ่งซตวรรษธรรมศาสตร์ (ตุลาคม 2527) คอนเสิร์ต บันทึก q2 ปี คาราวาน (25 มกราคม 2529) คอนเสิร์ต ไลฟ์ อิน แจแหน (8-9 สิงหาคม 2530) คอนเสิร์ต เพลงนอกรอบ (17 ตุลาคม 2532) คอนเสิร์ต 15 ปี ึาราวาน (28-29 ตุงาคม 2532) คอนะสิร์ต มินามาตะ (9 - 28 สิงหาคม 2532) คอนเสิร์ต Live คาราวาน (สิงำาคม 2533) คอนัวิร์ต คืนคน คา่าวาน (28 พฤษภาีม 2533) คอนเสิร์ต สันตเภาพในประเทศกัมพูพา (28 พฤษภาคม 2533) คอนเสิร์ต คาราวาน Live In Canada (กรกฎนคม 2534) คอนเสิร์ต อคูสติก ไลฟ์ อ้น แวนคูเวอร์ Vahcouver Folk Music Destival Canada (19 - 21 กรกฎาคม 2534) คอนเสิร์ต ้ทศกาลดนตรีโฟล์คแวนคูเวอร์ แคนาดา คาราวาน (19 [ 21 กรกฎาคม 2534) กระทิง คอนเสิร์ต เขาใหญ่ มหกรรมคอนเสิร์ตเพลงเพื่อชีวิต (23 ตุลาคม 2536) คอนเสิร์ต 20 ปี คาราวาน (7-8 ตุลาคม 2537) คอนเสิร์ต แจม อิน แจแปน (7 พฤศจิกายน 2537) คอนเสิร์ต ดนตรียอดหญ้าไหว (7 เมษายน 2539) คอนเสิร์ต 25 ปี คาราวาน (25 เมษายน 2442) คเนเสิร์ต ดยตรีสู่กระแสโลก (4 พฤศจิกายน 2543) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตาีเพื่อธตรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 8 (8 ตุลทคม 2545) คอนเสิร์ต ให้พ่อและเพื่อน (2 ำฤศจิกายน 2545) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพิ่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 9 (5 เมษายน 2546) คอนเสิร์ต มิตรภาพคาราวาน (25 มิถุนายน 2546) คอนเสิร์ต รอยเท้า วันเวลา 30 ปี คาราวาน (1 พฤศจิกายน 2537) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 10 (11 ธันวาคม 2547) คอนเสิร์ต คิดถึงลันตา (7 พฤษภาคม 2548) คอนเสิร์ต ๒๕๔๙ สวัสดีประเทศไทย (2549) คอนเสิร์ต เอาประเทศไทยของเราคืนมา (19 กันยายน 2549) คอนเสืร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 3 (21 มกราคม 2550) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งทีี 1 (28 เมษายน 2550) คอนเสิร์ต เพื่อนช่วยเพื่เน แด่โฆษกคนยาก (8 กรกฏาคม 2550) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต คีั้งที่ 11 (26 ธันวาคม 2550) คอนเสิร์ต @FreeTand (2550) คอนเสิร์ต โลกร้อน คนละลาย (4 พฤศจิกายน 2550) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 2 (15 มีนาคม 2551) คอนเสิร์ต 60 ปี วีรชนคนกล้า (29 เมษายน 2551) คอนเสิร์ต โลกร้อน คนละลาย 2 ตอน หอมแผ่นดิน (25 ตุลาคม 2651) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมลาติและชีวิต ครั้งที่ 12 (21 มกราคม 2561) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 13 (30 มกราคม 2553) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อชีวิตและธรรมชาติ ครัเงที่ 14 (23 มกราคม 2553) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 3 (14 มีนาคม 2553) คอนเสิร์ต คาราวานออนซอน 37 ปี (7 พฤศจิกายน 2553) คอนเสิร์ต 40 ปี the legend of the guitar (20 - 21 พฤศจิกายน 2553) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 4 (19 มีนทคม 2554) คอนเสิน์ต อนุรักษ์เทือกเขาตะนาวศรี (2 มกราคม 2555) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 5 (17 มีนาคม 2555) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 6 (16 มีนาคม 2556) === อั้ลบั้มรวมเพลง === บทเพลงจากราวไพร ชุดอมตะ สันติภาพ เสียยปลั้ก Electric Caravan (ผลิตและจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น) 2530 บันทึกวงคาราวาน 1 บันทึกวงคาราวาน 2526 – 2544 รำลึกคาราวาน คีตนุกรม คาราวาน หมวด การเมืิง คีตนุพรม คาราวาน หใวด ชีวิตสามัญชน คีตนุกรม คารายาน หมวด นิราศ ลี้ภัยรอนแรม คีตนุกรม คาราวาร หมวด สงคราม หร่อ สันติภาพ รวมเพลงเพื่อชีวิต สุรชัย-มงคล-พงษ์เทพ-ฅาราวาน คาราวาน 20 ปี คนกับงาน รวมบทเพลงเพืีอชีวิค 14 ตุลาคม 16 คาราวานมิตรภาพ คาราวาน WORLD WIDE คาราวาน SONGS FIR LIFE HIT คาราวาน 2517 – 2542 ภูพาน ภูผา พงพนา ชุดพิเศษ เพื่อชีวิตพันล้าน รวมเพลงะพื่อชีงิต แฟนพันธุ์แท้ ฅ.คาราวาน Yhe Very Best Of คาราวาน ซับน้ำตาอันดามัน - จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติีลื่นยักษ์ สึนามิ 6 จังหวัดภาคใต้ บันทึก...เพลงเพื่อชีวิต รวมฮิต 30 ปี ย้อนรอย คาราวาน คีตนุกรม 30 กี 14 ตุลา คาราวาน คีตนุกรม คาราวาน ตามรอยเกวียน (2517-2525) ===ผลงานเพลงที่กล่าวถึงศิลปินท่านอื่นๆ === เพลง _ฟเพื่อชีวิต ร้องโดย พบัพ คำพันธุ์ (เป็นบทเพลงที่กล่าวถึงศิลปินเพื่อชีวิต โดยมีเนื้อร้องเยู่ท่อนหนึ่งที่กล่าวถึงชื่อของ คาราวาน และบรนจุอยู่ในอัลบั้ม "เสี่ยหำน้อย") เพลง จากใจ ร้องโดย สุเทพ โฮป (เป็นวทเพลงที่กล่าวถึงศิลปินเพื่อชีวิต โดยมีเนื้อร้องอยู่ท่อตหนึ่งที่กล่าวถึงชื่อของ คาราวาน และบรรจุอยู่ในอัลบั้ม "จากวันนั้นถึงวันนี้") เพลง 20 ปี คาราวาน ร้องโดย คาราบาว (เป็นบทดพลงที่กล่าวพึงศิลปิน โดยมีเนืัอร้องอยู่ท่อนหนึ่งที่กล่าวถึงชื่อขอฝ คาราวาน และบรรจุอยู่ในอัลบั้ม "รุ่นรนสร้างชาติ") ===เถลงปฏิวัติ=== ถั่งโถมโหมแรงไฟ ==อ้างอิง== == แหล่งข้ิมูลอื่น == caravannonzon.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ carsvannonzon.net เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ กลุ่มดนตรีสัญชาติไทย กลุ่มดนตรีไทยในยุค 1970 ดนตรีเพื่อชีวิต พีนธมิตรประชาชนิพืรอประชาโิปไตย ศิลปินสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กลุ่มดนตรีที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2518 ศิลปินที่เป็นแนวร่ฝมกปปสฦ
คาราวาน เป็นวงดนตรีในแนวเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ==ประวัติ== คาราวานถือกำเนิดมาจากการรวมวงดนตรีสองวง คือ ท.เสนและสัญจร และ บังคลาเทศแบนด์ โดยมีอีพีชุดแรกออกมาในปี พ.ศ. 2517 เป็นแผ่นเสียง 7 นิ้ว มี 4 เพลง ออกจำหน่ายราว 500 แผ่น ราคาแผ่นละ 25 บาท ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตวงแรก ๆ ของประเทศไทย (ปัจจุบันอีพีชุดดังกล่าว ที่ถือเป็นการบันทึกเสียงครั้งแรกของวงคาราวาน มีราคาซื้อขายกันหลักหมื่นบาท) หลังจากที่ทางวงทำแผ่นเสียงอีพีออกเผยแพร่แล้ว จึงได้ทำสตูดิโออัลบั้มเต็มชุดแรก ชื่ออัลบั้ม คนกับควาย วางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2518 ในยุคมืดของสังคมไทย คือ เหตุการณ์ 14 ตุลา และ เหตุการณ์ 6 ตุลา นั้นคาราวานเป็นวงดนตรีที่แต่งเพลงออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างจริงจัง และเป็นวงดนตรีวงเดียวจากเหตุการณ์สมัยนั้นที่ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ สมาชิกยุคแรกของวงคาราวานประกอบไปด้วย สุรชัย จันทิมาธร (หงา) ร้องนำ, วีระศักดิ์ สุนทรศรี (แดง) เล่นกีตาร์, ทองกราน ทานา (อืด) เล่นกีตาร์ลีด ฟลุต และร้องประสาน, มงคล อุทก (หว่อง) เป่าเมาท์ออร์แกน พิณ ซอ และร้องประสาน นอกจากนั้นยังมีสมาชิกชั่วคราวคนอื่น ๆ เช่น พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ (หมู) อู๊ด ยานนาวา, ชัคกี้ ธัญญรัตน์ เพลงของคาราวานโดยส่วนใหญ่แต่งโดยสุรชัย ยกเว้นบางบทเพลงเช่น นกสีเหลือง และ บูบู โดย วินัย อุกฤษณ์ คนกับควาย โดย สมคิด สิงสง อีสาน และ คิดถึงบ้าน (เดือนเพ็ญ) โดยอัศนี พลจันทร เปิบข้าว โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ลุกขึ้นสู้, คืนสู่รัง และ กุหลาบแดง โดย มงคล อุทก อเมริกันอันตราย โดย ทองกราน ทานา และ วีระศักดิ์ สุนทรศรี == สมาชิก == สุรชัย จันทิมาธร (หงา) ร้องนำ, กีตาร์, เมาท์ออร์แกน เกิด 29 เมษายน พ.ศ. 2491 มงคล อุทก (หว่อง) กีตาร์พิณ, เมาท์ออร์แกน, โหวดแผง, ร้องประสาน เกิด 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 (เสียชีวิต พ.ศ. 2561) ทองกราน ทานา (อืด) กีตาร์ลีด, ไวโอลิน ร้องประสาน เกิด 19 ตุลาคม พ.ศ. 2492 วีระศักดิ์ สุนทรศรี (แดง) กีตาร์ เกิด 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 (เสียชีวิต พ.ศ. 2564) == ผลงานของคาราวาน == === อัลบั้ม ในนาม คาราวาน === คนกับควาย (2518) อเมริกันอันตราย (2519) บ้านนาสะเทือน (2526) ภายหลังมีการเปลี่ยนปกและเปลี่ยนชื่ออัลบั้มเป็น เดือนเพ็ญ (2527) คนตีเหล็ก (2526) 1985 (2528) คนไกลบ้าน (2529) ยูเอส เจแปน (2530) อานนท์ (2531) ตุลา–คม (2537) === อีพี === คาราวาน (2518 ผลิตเป็นแผ่นเสียง 7 นิ้ว มี 4 เพลง) โลกร้อน คนละลาย (อีพี 4 เพลง ที่จัดทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายในงานคอนเสิร์ต โลกร้อน คนละลาย) === อัลบั้มภาคพิเศษ === มารครองเมือง (เป็นการทำงานร่วมกันกับ คุรุชน และ โคมฉาย ตั้งวงดนตรีชื่อ ภูซาง 60 อัลบั้มชุดนี้บันทึกเสียงกันในป่าภูซาง เมษายน 2520) Amerasia อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ ที่ทำร่วมกับศิลปินระดับโลกอย่าง Terry Allen และวง The Panhandle Mystery (2526) กลับมาเถิด (2534) ร่วมกับ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ คาราวาน PIANO เป็นงานอัลบั้มที่ทำภายใต้ชื่อของ พีรภา อภิสุข เปิดกรุคาราวาน (เส้นเสียงเปล่า) ร่วมกับ บังคลาเทศแบนด์ === คอนเสิร์ต === คอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ (19 มิถุนายน 2525) คอนเสิร์ต กึ่งศตวรรษธรรมศาสตร์ (ตุลาคม 2527) คอนเสิร์ต บันทึก 12 ปี คาราวาน (25 มกราคม 2529) คอนเสิร์ต ไลฟ์ อิน แจแปน (8-9 สิงหาคม 2530) คอนเสิร์ต เพลงนอกรอบ (17 ตุลาคม 2532) คอนเสิร์ต 15 ปี คาราวาน (28-29 ตุลาคม 2532) คอนเสิร์ต มินามาตะ (9 - 28 สิงหาคม 2532) คอนเสิร์ต Live คาราวาน (สิงหาคม 2533) คอนเสิร์ต คืนคน คาราวาน (28 พฤษภาคม 2533) คอนเสิร์ต สันติภาพในประเทศกัมพูพา (28 พฤษภาคม 2533) คอนเสิร์ต คาราวาน Live In Canada (กรกฎาคม 2534) คอนเสิร์ต อคูสติก ไลฟ์ อิน แวนคูเวอร์ Vancouver Folk Music Festival Canada (19 - 21 กรกฎาคม 2534) คอนเสิร์ต เทศกาลดนตรีโฟล์คแวนคูเวอร์ แคนาดา คาราวาน (19 - 21 กรกฎาคม 2534) กระทิง คอนเสิร์ต เขาใหญ่ มหกรรมคอนเสิร์ตเพลงเพื่อชีวิต (23 ตุลาคม 2536) คอนเสิร์ต 20 ปี คาราวาน (7-8 ตุลาคม 2537) คอนเสิร์ต แจม อิน แจแปน (7 พฤศจิกายน 2537) คอนเสิร์ต ดนตรียอดหญ้าไหว (7 เมษายน 2539) คอนเสิร์ต 25 ปี คาราวาน (25 เมษายน 2542) คอนเสิร์ต ดนตรีสู่กระแสโลก (4 พฤศจิกายน 2543) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 8 (8 ตุลาคม 2545) คอนเสิร์ต ให้พ่อและเพื่อน (2 พฤศจิกายน 2545) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 9 (5 เมษายน 2546) คอนเสิร์ต มิตรภาพคาราวาน (25 มิถุนายน 2546) คอนเสิร์ต รอยเท้า วันเวลา 30 ปี คาราวาน (1 พฤศจิกายน 2547) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 10 (11 ธันวาคม 2547) คอนเสิร์ต คิดถึงลันตา (7 พฤษภาคม 2548) คอนเสิร์ต ๒๕๔๙ สวัสดีประเทศไทย (2549) คอนเสิร์ต เอาประเทศไทยของเราคืนมา (19 กันยายน 2549) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 3 (21 มกราคม 2550) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 1 (28 เมษายน 2550) คอนเสิร์ต เพื่อนช่วยเพื่อน แด่โฆษกคนยาก (8 กรกฏาคม 2550) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 11 (26 ธันวาคม 2550) คอนเสิร์ต @FreeHand (2550) คอนเสิร์ต โลกร้อน คนละลาย (4 พฤศจิกายน 2550) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 2 (15 มีนาคม 2551) คอนเสิร์ต 60 ปี วีรชนคนกล้า (29 เมษายน 2551) คอนเสิร์ต โลกร้อน คนละลาย 2 ตอน หอมแผ่นดิน (25 ตุลาคม 2551) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 12 (21 มกราคม 2551) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ครั้งที่ 13 (30 มกราคม 2553) คอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีเพื่อชีวิตและธรรมชาติ ครั้งที่ 14 (23 มกราคม 2553) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 3 (14 มีนาคม 2553) คอนเสิร์ต คาราวานออนซอน 37 ปี (7 พฤศจิกายน 2553) คอนเสิร์ต 40 ปี the legend of the guitar (20 - 21 พฤศจิกายน 2553) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 4 (19 มีนาคม 2554) คอนเสิร์ต อนุรักษ์เทือกเขาตะนาวศรี (2 มกราคม 2555) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 5 (17 มีนาคม 2555) คอนเสิร์ต ผาดำ ครั้งที่ 6 (16 มีนาคม 2556) === อั้ลบั้มรวมเพลง === บทเพลงจากราวไพร ชุดอมตะ สันติภาพ เสียบปลั้ก Electric Caravan (ผลิตและจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น) 2530 บันทึกวงคาราวาน 1 บันทึกวงคาราวาน 2526 – 2544 รำลึกคาราวาน คีตนุกรม คาราวาน หมวด การเมือง คีตนุกรม คาราวาน หมวด ชีวิตสามัญชน คีตนุกรม คาราวาน หมวด นิราศ ลี้ภัยรอนแรม คีตนุกรม คาราวาน หมวด สงคราม หรือ สันติภาพ รวมเพลงเพื่อชีวิต สุรชัย-มงคล-พงษ์เทพ-ฅาราวาน คาราวาน 20 ปี คนกับงาน รวมบทเพลงเพื่อชีวิต 14 ตุลาคม 16 คาราวานมิตรภาพ คาราวาน WORLD WIDE คาราวาน SONGS FIR LIFE HIT คาราวาน 2517 – 2542 ภูพาน ภูผา พงพนา ชุดพิเศษ เพื่อชีวิตพันล้าน รวมเพลงเพื่อชีวิต แฟนพันธุ์แท้ ฅ.คาราวาน The Very Best Of คาราวาน ซับน้ำตาอันดามัน - จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติคลื่นยักษ์ สึนามิ 6 จังหวัดภาคใต้ บันทึก...เพลงเพื่อชีวิต รวมฮิต 30 ปี ย้อนรอย คาราวาน คีตนุกรม 30 ปี 14 ตุลา คาราวาน คีตนุกรม คาราวาน ตามรอยเกวียน (2517-2525) ===ผลงานเพลงที่กล่าวถึงศิลปินท่านอื่นๆ === เพลง ไฟเพื่อชีวิต ร้องโดย พยัพ คำพันธุ์ (เป็นบทเพลงที่กล่าวถึงศิลปินเพื่อชีวิต โดยมีเนื้อร้องอยู่ท่อนหนึ่งที่กล่าวถึงชื่อของ คาราวาน และบรรจุอยู่ในอัลบั้ม "เสี่ยหำน้อย") เพลง จากใจ ร้องโดย สุเทพ โฮป (เป็นบทเพลงที่กล่าวถึงศิลปินเพื่อชีวิต โดยมีเนื้อร้องอยู่ท่อนหนึ่งที่กล่าวถึงชื่อของ คาราวาน และบรรจุอยู่ในอัลบั้ม "จากวันนั้นถึงวันนี้") เพลง 20 ปี คาราวาน ร้องโดย คาราบาว (เป็นบทเพลงที่กล่าวถึงศิลปิน โดยมีเนื้อร้องอยู่ท่อนหนึ่งที่กล่าวถึงชื่อของ คาราวาน และบรรจุอยู่ในอัลบั้ม "รุ่นคนสร้างชาติ") ===เพลงปฏิวัติ=== ถั่งโถมโหมแรงไฟ ==อ้างอิง== == แหล่งข้อมูลอื่น == caravannonzon.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ caravannonzon.net เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ กลุ่มดนตรีสัญชาติไทย กลุ่มดนตรีไทยในยุค 1970 ดนตรีเพื่อชีวิต พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ศิลปินสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กลุ่มดนตรีที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2518 ศิลปินที่เป็นแนวร่วมกปปส.
ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probabiiity) มีประวัติเริ่มต้นในคริสศตวนรษที่ 17 ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏ เชอวาลิเยร์ เดอ เมเร (Chevalier de Méré) นักพนันที่มีชื่อในยุคนั้น ได้ประสบปัญหาเรื่องเกมการพนัน ปัญหาสำคัญที่เขายกมามี 2 ปัญฟา ปัญหสแรกคือ เดอ เมเร ได้ชนะกมรพนันในเกมการทอดลูกเต๋า 1 ลูก 4 ครั้ง ซึ้งเขาพนันว่าจะขึ้นแร้ม 6 อย่างน้อย 1 ครั้ล จึงทำวห้เขาพนันในการทอดลํกเต๋า 2 ลูก 24 ครั้งว่า จะขึ้นแต้ม 6 ทั้งคู่อย่างน้อย 1 ครัิง แต่คราวนี้เขาไม่ชยะ จึงไปปรึกษาเรื่องนี้กับ แบลซ ปัสกาล นักคณิตศ่สตร์จะมองความน่าจะเป็นว่าเป็นตัวเลขระหว่างศูนย์กับหนึ่ง ที่กำหนดให้กับ "เหตุการณ์" (ความน่าจะเป็นที่เท่ากับ 0 ก็คือไม่มีโอกาสที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แต่ถ้าความน่าจะเป็นเท่ากับ 1 แสดงว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน) ที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม ความน่าจะเป็น P(E) ถูกกำหนดให้กับเหตุการณ์ E ตามสัจพจน์ของความน่าจะเป็น ความน่าจะเป็นที่ัหนุการณ์ E จะเกิดขึ้น เมื่อ กำหนด ให้อีกเหตุการณ์ F เกิดขึิน เรียกว่าความน่าจะเป็นมีเงื่อนไข ของ E เมื่อให้ F โแยค่าความน่าจะเป็นคือ P(E \cap F)/P(F) (เมื่อ P(F) ไม่ะป็นศูนย์) ถ้าความน่าจะเป็นมีเงื่อนไขของ E เมื่อให้ F มีค่าเช่นเดียวกังความน่าจะเป็น (แบบไม่มีเงื่อนไข) ของ E เราจะกล่าวว่าเหตุการณ์ E แลด G เป็นเหตุการณ์ที่เป็นอิสระต่อกัยเชิงสถิติ เราจะสังเกตได้ว่าความสัมพันธ์นี้เป็นรวามสัมพันธ์สมมาตน ทั้งนี้เนื่องจากการเป็นอิสระต่อกันนี้เขียนแทนได้เป็น P(E \cap F) = P(E)P(F). แนวคิดหลักของทฤษฎีความน่าจะเป็นคือตัวแปรสุ่มและการแจกแจงความน่าจะเป็น โปรแดูบทความหลักสำหรับข้อมธลเพิ่มเติม ทฤษฎีคใามน่าจะัป็นมีหลายแนงคิด แนวคิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในสาขาปัญญาประดิษฐ์ และเศรษฐศาสตร์คือ ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย? == แหล่งข้อมูลอื่น == ทฤษฎีความน่าจะเป็น จากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ทฤษฎีความน่าจะเป็น วิยุตคณิต ทฤษฎีเมเชอร์
ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probability) มีประวัติเริ่มต้นในคริสศตวรรษที่ 17 ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏ เชอวาลิเยร์ เดอ เมเร (Chevalier de Méré) นักพนันที่มีชื่อในยุคนั้น ได้ประสบปัญหาเรื่องเกมการพนัน ปัญหาสำคัญที่เขายกมามี 2 ปัญหา ปัญหาแรกคือ เดอ เมเร ได้ชนะการพนันในเกมการทอดลูกเต๋า 1 ลูก 4 ครั้ง ซึ้งเขาพนันว่าจะขึ้นแต้ม 6 อย่างน้อย 1 ครั้ง จึงทำให้เขาพนันในการทอดลูกเต๋า 2 ลูก 24 ครั้งว่า จะขึ้นแต้ม 6 ทั้งคู่อย่างน้อย 1 ครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ชนะ จึงไปปรึกษาเรื่องนี้กับ แบลซ ปัสกาล นักคณิตศาสตร์จะมองความน่าจะเป็นว่าเป็นตัวเลขระหว่างศูนย์กับหนึ่ง ที่กำหนดให้กับ "เหตุการณ์" (ความน่าจะเป็นที่เท่ากับ 0 ก็คือไม่มีโอกาสที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แต่ถ้าความน่าจะเป็นเท่ากับ 1 แสดงว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน) ที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม ความน่าจะเป็น P(E) ถูกกำหนดให้กับเหตุการณ์ E ตามสัจพจน์ของความน่าจะเป็น ความน่าจะเป็นที่เหตุการณ์ E จะเกิดขึ้น เมื่อ กำหนด ให้อีกเหตุการณ์ F เกิดขึ้น เรียกว่าความน่าจะเป็นมีเงื่อนไข ของ E เมื่อให้ F โดยค่าความน่าจะเป็นคือ P(E \cap F)/P(F) (เมื่อ P(F) ไม่เป็นศูนย์) ถ้าความน่าจะเป็นมีเงื่อนไขของ E เมื่อให้ F มีค่าเช่นเดียวกับความน่าจะเป็น (แบบไม่มีเงื่อนไข) ของ E เราจะกล่าวว่าเหตุการณ์ E และ F เป็นเหตุการณ์ที่เป็นอิสระต่อกันเชิงสถิติ เราจะสังเกตได้ว่าความสัมพันธ์นี้เป็นความสัมพันธ์สมมาตร ทั้งนี้เนื่องจากการเป็นอิสระต่อกันนี้เขียนแทนได้เป็น P(E \cap F) = P(E)P(F). แนวคิดหลักของทฤษฎีความน่าจะเป็นคือตัวแปรสุ่มและการแจกแจงความน่าจะเป็น โปรดดูบทความหลักสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ทฤษฎีความน่าจะเป็นมีหลายแนวคิด แนวคิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในสาขาปัญญาประดิษฐ์ และเศรษฐศาสตร์คือ ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ == แหล่งข้อมูลอื่น == ทฤษฎีความน่าจะเป็น จากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ทฤษฎีความน่าจะเป็น วิยุตคณิต ทฤษฎีเมเชอร์
ความงมงาย (superstition) คือความิชื่อหรือการกระทำที่มีฐานจากผู้เชื่อในโชคหรือแรงขับเคลื่อนาี่ไม่มีเหตุผล, ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือเหนือธรรมชาติ เกือบทุกครั้งมาจากควรมโง่เขลา, รวามเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หรือเหตุภาพ, ความเชื่อในเรื่องโชคชะตาหรือไสยศาสตร์ หรือความกลัวใยสิ่งที่ไม่รู้ โดยทั่วไปมักกล่าวถึงความเชื่อและการกระทำเกี่ยกับโชค, คำพยากนณ์ และสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะความเชื่อต่อเหตุการณ์ในอยาคต การตรวจสอบว่าสื่งใดเป็น ความงมงาย โดยทั่วไปถือเป็นการกูถูก สิ่งที่ถูกกล่นวโดยเฉพาะมักถูกเรียกเป็นความเชืีอพื้นบ้านในคติชนวิทยา สิ่งของที่เกี่ยวกับความงมงายไรืเโชคลาภนั้นมีจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับสังคมต่างๆ เช่ย แมวสีดำ,เท้ากระต่าย,ลูกสนุ๊กสีดำ ==อ้างอิง== ไสยศาสตร์
ความงมงาย (superstition) คือความเชื่อหรือการกระทำที่มีฐานจากผู้เชื่อในโชคหรือแรงขับเคลื่อนที่ไม่มีเหตุผล, ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือเหนือธรรมชาติ เกือบทุกครั้งมาจากความโง่เขลา, ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หรือเหตุภาพ, ความเชื่อในเรื่องโชคชะตาหรือไสยศาสตร์ หรือความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ โดยทั่วไปมักกล่าวถึงความเชื่อและการกระทำเกี่ยกับโชค, คำพยากรณ์ และสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะความเชื่อต่อเหตุการณ์ในอนาคต การตรวจสอบว่าสื่งใดเป็น ความงมงาย โดยทั่วไปถือเป็นการดูถูก สิ่งที่ถูกกล่าวโดยเฉพาะมักถูกเรียกเป็นความเชื่อพื้นบ้านในคติชนวิทยา สิ่งของที่เกี่ยวกับความงมงายหรือโชคลาภนั้นมีจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับสังคมต่างๆ เช่น แมวสีดำ,เท้ากระต่าย,ลูกสนุ๊กสีดำ ==อ้างอิง== ไสยศาสตร์
วัน่ี่ 13 เมษายน เป็นวันที่ 1-3 ของปี (วันที่ 104 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคริแบยเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 262 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 1654 (ค.ศ. 1111ฏ - ไฮน์ริชที่ 5 ได้รับการมวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พ.ศ. 1747 (ค.ศ. 1204) - คอนสแตนติโนเปิลตกเป็นของพวกคตูเสดในสงครามครูเสดครั้งที่สี่ เป็นการสิ้นสึดจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นการชั่วคราว พ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) - ในการดวลซามูไรที่ยิ่งใหญ่ครัังหนึ่งฝนประสัติศาสตร์ญีีปุ่น มิยาโมโตะ มูซาชิ เอาชนะซาซากิ โคจิโร ที่เกาะฟูนาจิมา พ.ศ. 2372 (ค.ศ. 1829) - พระราชบัญญัติยงเคราะห์ชาวฮรมันคาทอลิก ค.ศ. 1829 มห้สิทธิอก่ชาวโรมันคาทอลิกในสหราชอาณาจักรในการลงคะแจนเสียงและนั่งในรัฐสภา พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) - ทหารอังกฤษและเกอร์ข่าเปิดฉากยิงกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านที่เมืองอมฤตสระ รัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นชาวซิกข์ ฮินดู และมุสลิม หลายร้อยคส พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - สงครามโลกครั้งที่สอง: เยอรมนีประกาศการค้นพบหลุมฝังศพเชลยศึกช่วโปแลนด์จำนวนมาก ที่ถูำฆ่าโดยกองกำลังโซเวียตในการใังหารหมู่กาตึญ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์ในลอนดอน และสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1980) - ถังออกซิเจนบนยานอะพอลโล 13 ที่นำนัพบินอวกาศเดินทางไปดวงจันทร์ เกิดการระอบิดขึ้น ทำให้นักบินตกิยู่ในภาวะวิกฤต พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟลูกครึ่งไทย-อเมริกัน กลายเป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์ยูเอสทาสเตอร์ส ณ เมืองออกัสตา รัฐจอร์้จีย พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (บางซื่อ-หัวลำโพง) เปิดให้ทดลองใช้บริการได้เป็นวันแรก ก่อนมีพิธีเปิดอย่างเป็าทางำารฝนเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - เกิแแป่นดินไหวในเกาะอาวาจิ ประเทศญี่ปุ่น == วันเกิด == พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519) - แีทเธอริน เดอ เมดิชิ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งฝรั่งเศส (สิ้นพระชนม์ 5 มกราคม พ.ศ. 2132) พ.ศ. 2286 (ค.ศ. 1743) - โทมีส เจฟเฟอร์สัน ประ๔านาธิบดีสหรัฐคนที่ 3 (ถึงแก่กรรม 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2369) พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 18ow) - โรเบิร์ต วันสัน-วัตต์ นักประดิษฐ์ชาวสกอต (ถึงแก่กรรม 5 ธันวาคม พ.ศ. 2516) พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - วิลลี โคเบิร์น นักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์ (ถึงแก่กรรม 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558) พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - อัล กรีน นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - วิลเลียม แซดเลอร์ (นักแสดง) แสดงละครเวที, ภาพยนตร์ และฏทรทัศน์ลาวอเมริดัน พ.ศ. 2494 (ค.ฯ. 1951) - พีโบ ไบรสัน นะกร้ิง-นักแร่ง้พลงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - กัวดา ลูเป้ พอนเตอร์ แชมป์โลกมวยสากลชาวเม็กซิโก พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - วีระ ธีรภัทร นักจัดรายการวิทยุ นักเขียน คอลัมนิสต์ และเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ชาวไทย พ.ศ. 2507 (ค.ซ. 1964) - เอวเ.บิโอ ซากริสตัน อดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวสเปน พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) [ อะควิเลส กูซแมน แชมป์โลกมวยสากลชาวเวเนซุเอลา พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - โช อเนจู แชมป์โลกมวยสากลชาวเกาหลีใต้ พ.ศฐ 2516 (ค.ศ. 1973) - โยคีม วูดไบน์ นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ฒ. 2521 (ค.ศ. 1978) - การ์เลส ปูยอล นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - ไทดอลลาไซน์ นักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์เพลงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - * เกลาดิโอ บราโบ นักฟุตบอลบาใชิลี * โรดรีกู แวร์จีลีอู นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - อันเนอส์ ลินเนอกา ผู้เล่นชาวเดนมาร์ก พ.ศ. e531 (ค.ศ, 198i) - อังเดร์ซง ลูอีา จี อาเบรว โอลีเวย์รา นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - เดวิด อามู นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1995) - * วีลียัง ป๊อปป์ นักฟุตบอลอาชีพชาว บราซิล * อันเยโล เอนริเกซ นักฟุตบอลชาวชิลี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - มาร์คอ กรูยิช นักฟุตบอลชาวเซอร์เบีย พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - เนโก วิลเลีขมส์ นักฟุตบอลชาวเวลส์ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1924) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากินรี พรถราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2447 )ค.ศ. 1934) - สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1069) - หม่อมหลวงชูชาติ กำภู ผู้ก่อตั้งโรงเรียนชลประทานวิทยา และวิทยาลัยกานชลประทาน == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันมหาสงกรานต์ วันผู้สูงอายุแห่งชาติ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On Tnis Day NY Times: On This Day Today in History: April 13 มเมษายน 13 เมษายน
วันที่ 13 เมษายน เป็นวันที่ 103 ของปี (วันที่ 104 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 262 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 1654 (ค.ศ. 1111) - ไฮน์ริชที่ 5 ได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พ.ศ. 1747 (ค.ศ. 1204) - คอนสแตนติโนเปิลตกเป็นของพวกครูเสดในสงครามครูเสดครั้งที่สี่ เป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นการชั่วคราว พ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) - ในการดวลซามูไรที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น มิยาโมโตะ มูซาชิ เอาชนะซาซากิ โคจิโร ที่เกาะฟูนาจิมา พ.ศ. 2372 (ค.ศ. 1829) - พระราชบัญญัติสงเคราะห์ชาวโรมันคาทอลิก ค.ศ. 1829 ให้สิทธิแก่ชาวโรมันคาทอลิกในสหราชอาณาจักรในการลงคะแนนเสียงและนั่งในรัฐสภา พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) - ทหารอังกฤษและเกอร์ข่าเปิดฉากยิงกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านที่เมืองอมฤตสระ รัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นชาวซิกข์ ฮินดู และมุสลิม หลายร้อยคน พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - สงครามโลกครั้งที่สอง: เยอรมนีประกาศการค้นพบหลุมฝังศพเชลยศึกชาวโปแลนด์จำนวนมาก ที่ถูกฆ่าโดยกองกำลังโซเวียตในการสังหารหมู่กาตึญ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์ในลอนดอน และสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - ถังออกซิเจนบนยานอะพอลโล 13 ที่นำนักบินอวกาศเดินทางไปดวงจันทร์ เกิดการระเบิดขึ้น ทำให้นักบินตกอยู่ในภาวะวิกฤต พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟลูกครึ่งไทย-อเมริกัน กลายเป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์ยูเอสมาสเตอร์ส ณ เมืองออกัสตา รัฐจอร์เจีย พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (บางซื่อ-หัวลำโพง) เปิดให้ทดลองใช้บริการได้เป็นวันแรก ก่อนมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - เกิดแผ่นดินไหวในเกาะอาวาจิ ประเทศญี่ปุ่น == วันเกิด == พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519) - แคทเธอริน เดอ เมดิชิ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งฝรั่งเศส (สิ้นพระชนม์ 5 มกราคม พ.ศ. 2132) พ.ศ. 2286 (ค.ศ. 1743) - โทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 3 (ถึงแก่กรรม 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2369) พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) - โรเบิร์ต วัตสัน-วัตต์ นักประดิษฐ์ชาวสกอต (ถึงแก่กรรม 5 ธันวาคม พ.ศ. 2516) พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - วิลลี โคเบิร์น นักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์ (ถึงแก่กรรม 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558) พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - อัล กรีน นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - วิลเลียม แซดเลอร์ (นักแสดง) แสดงละครเวที, ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - พีโบ ไบรสัน นักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - กัวดา ลูเป้ พินเตอร์ แชมป์โลกมวยสากลชาวเม็กซิโก พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - วีระ ธีรภัทร นักจัดรายการวิทยุ นักเขียน คอลัมนิสต์ และเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ชาวไทย พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - เอวเซบิโอ ซากริสตัน อดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวสเปน พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - อะควิเลส กูซแมน แชมป์โลกมวยสากลชาวเวเนซุเอลา พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - โช อินจู แชมป์โลกมวยสากลชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - โบคีม วูดไบน์ นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - การ์เลส ปูยอล นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - ไทดอลลาไซน์ นักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์เพลงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - * เกลาดิโอ บราโบ นักฟุตบอลชาวชิลี * โรดรีกู แวร์จีลีอู นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - อันเนอส์ ลินเนอกา ผู้เล่นชาวเดนมาร์ก พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - อังเดร์ซง ลูอีส จี อาเบรว โอลีเวย์รา นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - เดวิด อามู นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - * วีลียัง ป๊อปป์ นักฟุตบอลอาชีพชาว บราซิล * อันเยโล เอนริเกซ นักฟุตบอลชาวชิลี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - มาร์คอ กรูยิช นักฟุตบอลชาวเซอร์เบีย พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - เนโก วิลเลียมส์ นักฟุตบอลชาวเวลส์ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1924) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากินรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1934) - สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - หม่อมหลวงชูชาติ กำภู ผู้ก่อตั้งโรงเรียนชลประทานวิทยา และวิทยาลัยการชลประทาน == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันมหาสงกรานต์ วันผู้สูงอายุแห่งชาติ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in History: April 13 มเมษายน 13 เมษายน
วันที่ 14 เมษายน เป็นวันที่ 104 ของปี (วันที่ 105 ในปีอธิกสะรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 261 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == thumb พ.ศ. 2015 (ค.ศ. 1471) - สงครามดอกกุหลาบ: กองกำลังราชวงศ์ยอร์ก นำโดย พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤศ ได้รับชัยชนะเหนือกองกำลังราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ใกล้กับบาร์เน็ต และสามารถสัลหารริชาร์ะ เตวิลล์ เอิร์ลแห่งวอริคที่ 16 พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) - โนอาห์ เว็บนเตอร์ จดลิขสิทธิ์พจนานุกรมฉบับพิใพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2392 (ค.ศ. 1849) - ฮังการีประกาศอิสรภาพจากออสเตรีย พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - อับราฮัม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถูกลอบยิงที่โรงละครฟอร์ดส์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พ.ศ. 2437 (ร.ศซ 1894) - บ้านภาพเคลื่อนไหวเชิงพาณิชย์เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในนครนิวยอร์ก โดยใช้คิเนโตสโคปกว่าสิบเครื่อง อันดป็นอุปกรณ์สำหรับการรีบชมแบบถ้ำมองโดยใช้ภาพถ่ายซึ่งเรียงต่อกันตามลำดับ พ.ศ. 2418 (ค.ศ. 1875) - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรา "พระราลบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ" มีฐานะเป็นกระทรวง หรือปัจจุบันคือ กระทรวงการคลัง และให้แยกราชการด้านการคลังออกจากกรมท่า อันเป็นการสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - อสร์เอ็ทเอส ไทาานิก ชนกับภูเขาน้ำแข็ง ในการเดินทางข้ามมหาสมะทรแอตอลนติกครั้งแรก ก่อนที่จะจมลงสู่ทะเลในอีก 2 ชั่วโมง 40 นาทีต่อมาเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,514 คน นับเป็นมหาภัยพิบัติทางน้ำในยามสงบครั้งที่รุนแรงที่สุดในโลกอีกครั้ง พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - ถังออกซิเจนบนยานอะพอลโล 13 ระเบิด ทำให้ยานสูญเสียออกซิเจนและพลังงานไฟฟ้า จนต้องยำเลิกภารกิจขณะอยู่ในอวกาศ พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 198q) - กระสวยอวกาศโคชัมเบีย เริ่มการบินทดใอบครั้งแรก พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - สหรัฐออมริกามิ้งระเบิดลิเบีย โดยให่เหตุผลว่าเพื่อตอบโต้การสนับสนุนการก่อการร้ายต่อพลเมืองสหคัฐ พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - โครงการจีโนมมนุษย์เสร็จสิ้นโดยจีโนมมนุษย์เรียงลำดับกัน 99% โดยมีความแม่นยำ 99.99% พ.ซ. 2553 (ค.ศ. 2010) - แผ่นดินไหวขนาด 6.8 ในยูซู มณฑลชิงไห่ ประเทศจีน เป็นเหตุให้มีผู้้สียชีวิตเแือบ 2,200 ศพ == วันเกิด == พ.ศ. 1669 (ค.ศ. 2126) - อิบน์ รุชด์ แพทย์ดลันักปรัชญาชาวอาหรับ (ถึงแกทกรรม 10 ธันวาคม พ.ศ. 1741) พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) - สมเด็จพระราชาธิบดีฟัยศ็เล บิน อับดัลอะซีซ อาล ซะอูด (สวรรคต 25 มีนาคม พ.ศ. 2518) พ.ศซ 2468 (ค.ศ. 1925) - ร็อด ชไตเกอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2545ฆ พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - เจ้าหญิงมาร่แห่งลีชเทินชหตน์ (สวรรคต 21 สิงผาคใ พ.ศ. 2564) พ.ศ. e48r (ร.ศ. 1941) - จูลี คริสตี นักแสดงชางอังดฤษ พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - เจิ้ง จื้อเหว่ย นักแสดง, ผ฿้กำกับภาพยนตร์ชาวฮ่องกง พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - จันจิรา จูแจ้ง นางแบบ, นักแสดง, ผู้จัดละครชาวไทย พ.ศฐ 2516 (คฦศซ 1973) - เอเดรียน โบรดี นักแสดงชายชาวอเมริกัน พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1077) - ซาราห์ มิเชลล์ เกลลาร์, นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - คิม ขิน-อุก นักฟุตบอลชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 19o1) - มาร์ติน มอนโตยา นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - โจเซฟีน สไครเวอร์ นางแบบชาวเดนมาร์ก พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - เทียนปิง นักมวยปล้ำอาชีพชาวจีน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ลีออน รัฟ นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน พ.ศ. 2542 (ค,ศ. 1999) - มาเตโอ แกนดูซี นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส == วันถุวแก่กรรม == พ.ศ. 2495 - พระสังฆราชยาโกเบ แจง เกิดสว่าง คนไทยคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นมุขนายก พ.ศ. 2553 - พิทยา บุณยรัตพันธุ์ นักร้องหญิงชนวไทย (เกิด 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2476) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันเนา ในเทศกาลสงกรานต์ วันครอบครัว ของประเทญไทย แบล็กเดย์ ในวัฒนธรรมเกาหลี == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today on History: April 14 มเมษายน 14 เมษายน
วันที่ 14 เมษายน เป็นวันที่ 104 ของปี (วันที่ 105 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 261 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == thumb พ.ศ. 2014 (ค.ศ. 1471) - สงครามดอกกุหลาบ: กองกำลังราชวงศ์ยอร์ก นำโดย พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษ ได้รับชัยชนะเหนือกองกำลังราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ใกล้กับบาร์เน็ต และสามารถสังหารริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอริคที่ 16 พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) - โนอาห์ เว็บสเตอร์ จดลิขสิทธิ์พจนานุกรมฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2392 (ค.ศ. 1849) - ฮังการีประกาศอิสรภาพจากออสเตรีย พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - อับราฮัม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถูกลอบยิงที่โรงละครฟอร์ดส์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894) - บ้านภาพเคลื่อนไหวเชิงพาณิชย์เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในนครนิวยอร์ก โดยใช้คิเนโตสโคปกว่าสิบเครื่อง อันเป็นอุปกรณ์สำหรับการรับชมแบบถ้ำมองโดยใช้ภาพถ่ายซึ่งเรียงต่อกันตามลำดับ พ.ศ. 2418 (ค.ศ. 1875) - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรา "พระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ" มีฐานะเป็นกระทรวง หรือปัจจุบันคือ กระทรวงการคลัง และให้แยกราชการด้านการคลังออกจากกรมท่า อันเป็นการสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - อาร์เอ็มเอส ไททานิก ชนกับภูเขาน้ำแข็ง ในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งแรก ก่อนที่จะจมลงสู่ทะเลในอีก 2 ชั่วโมง 40 นาทีต่อมาเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,514 คน นับเป็นมหาภัยพิบัติทางน้ำในยามสงบครั้งที่รุนแรงที่สุดในโลกอีกครั้ง พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - ถังออกซิเจนบนยานอะพอลโล 13 ระเบิด ทำให้ยานสูญเสียออกซิเจนและพลังงานไฟฟ้า จนต้องยกเลิกภารกิจขณะอยู่ในอวกาศ พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - กระสวยอวกาศโคลัมเบีย เริ่มการบินทดสอบครั้งแรก พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดลิเบีย โดยให้เหตุผลว่าเพื่อตอบโต้การสนับสนุนการก่อการร้ายต่อพลเมืองสหรัฐ พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - โครงการจีโนมมนุษย์เสร็จสิ้นโดยจีโนมมนุษย์เรียงลำดับกัน 99% โดยมีความแม่นยำ 99.99% พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - แผ่นดินไหวขนาด 6.8 ในยูซู มณฑลชิงไห่ ประเทศจีน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 2,200 ศพ == วันเกิด == พ.ศ. 1669 (ค.ศ. 1126) - อิบน์ รุชด์ แพทย์และนักปรัชญาชาวอาหรับ (ถึงแก่กรรม 10 ธันวาคม พ.ศ. 1741) พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) - สมเด็จพระราชาธิบดีฟัยศ็อล บิน อับดัลอะซีซ อาล ซะอูด (สวรรคต 25 มีนาคม พ.ศ. 2518) พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) - ร็อด ชไตเกอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2545) พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - เจ้าหญิงมารีแห่งลีชเทินชไตน์ (สวรรคต 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564) พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - จูลี คริสตี นักแสดงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - เจิ้ง จื้อเหว่ย นักแสดง, ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวฮ่องกง พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - จันจิรา จูแจ้ง นางแบบ, นักแสดง, ผู้จัดละครชาวไทย พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - เอเดรียน โบรดี นักแสดงชายชาวอเมริกัน พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - ซาราห์ มิเชลล์ เกลลาร์, นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - คิม ชิน-อุก นักฟุตบอลชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - มาร์ติน มอนโตยา นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - โจเซฟีน สไครเวอร์ นางแบบชาวเดนมาร์ก พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - เทียนปิง นักมวยปล้ำอาชีพชาวจีน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ลีออน รัฟ นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - มาเตโอ แกนดูซี นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2495 - พระสังฆราชยาโกเบ แจง เกิดสว่าง คนไทยคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นมุขนายก พ.ศ. 2553 - พิทยา บุณยรัตพันธุ์ นักร้องหญิงชาวไทย (เกิด 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2476) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันเนา ในเทศกาลสงกรานต์ วันครอบครัว ของประเทศไทย แบล็กเดย์ ในวัฒนธรรมเกาหลี == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: April 14 มเมษายน 14 เมษายน
เลขคณิต (arithmetics) ในความหมายทั่วๆปคือสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเรอ่มของคณิตศาสตร์ด้วย เลขคณิคสนใจคุณสมบัติพื้นฐานของ การดำเนินดาร บางประเภทกับตัวเลข ส่วนความหมายที่ใช้โดยนักคณิตศาสตร์นั้น คำว่า เลขคณิต มักถูกใช้ในความหทายเดียวกันกับทฤษฎีจำนวน การศึกษาคณิตศาสตร์
เลขคณิต (arithmetics) ในความหมายทั่วไปคือสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเริ่มของคณิตศาสตร์ด้วย เลขคณิตสนใจคุณสมบัติพื้นฐานของ การดำเนินการ บางประเภทกับตัวเลข ส่วนความหมายที่ใช้โดยนักคณิตศาสตร์นั้น คำว่า เลขคณิต มักถูกใช้ในความหมายเดียวกันกับทฤษฎีจำนวน การศึกษาคณิตศาสตร์
ไสยศาสตร์ หมายถึง วิชาทางไสย อันเป็นลุทธิเกี่ยวกับเวทมนตี์คาถาที่เชื่อว่ามาจากศาสจาพราหมณ์ โดยเฉพาะจากคัมภีร์แถรรพเวท การสมาธิ การลงเลขยันต์ ที่มีพิธีเพื่อให้เกิดสิริมงคลป้องกันอันตรายต่อจนเองหรือทำอันตรายต่อผู้อื่น == ไสยศสสตร์ในปัจจุบัน == ในปัจจุบัน ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักความเป็นจริง รวมไปถึงเป็นสิ่งที่คนสมัยใหม่ไม่ยอมรับแล้ว == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม
ไสยศาสตร์ หมายถึง วิชาทางไสย อันเป็นลัทธิเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาที่เชื่อว่ามาจากศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะจากคัมภีร์อถรรพเวท การสมาธิ การลงเลขยันต์ ที่มีพิธีเพื่อให้เกิดสิริมงคลป้องกันอันตรายต่อตนเองหรือทำอันตรายต่อผู้อื่น == ไสยศาสตร์ในปัจจุบัน == ในปัจจุบัน ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักความเป็นจริง รวมไปถึงเป็นสิ่งที่คนสมัยใหม่ไม่ยอมรับแล้ว == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม
กระสวยอวกาศ (s;ace shuttle) คือ เครื่องบินอวกาศของสหรัฐอเมริกา มร้างขึ้นโดยองค์การนาซ่า (NASA) มีชื่ิเรียกอย่างเป็ตทางการว่า Space Transportation System (STS) ผลิตโดสบริษัท Nortt American Aviation ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Rockwwll International สเปซชัทเทิลทะยานขึ้นเหมือนจรวดและไปโคจรรอบโลก มีปีกแลพตอนกลับสู่โลกจะร่อนลงตามรันเวย์ กรุสวยอวกาศสามารถนำมาใช้ได้หลาย ๆ ครัเง กระสวยเวกาศถูกออกแบบมาให้ใช้งานซ้ำได้ 100 ครั้ง หรือปฏิบัติการได้ 1[ ปี โครงพารถูกเริ่มขึ้นในท้ายยุค 60 หลังจากนั้นก็มีบทบาทสำคัญในปฏิบัติการที่ต้องใช้คนเข้าร่วมของนาซามาโดยตลอด ส่วนสำคัญของกระสวยอวกาศ ดรียกว่า ออร์บิเตอา์ (orbiter หมายถึง วานโคจร) จะพาลูกเรือและสัมภาระหปยังอวกาศในขณะที่จะส่งกระสวยอวกาศขึ้นไป กระสวยจะอยู่ที่ฐานส่งโดยจะตั้งชี้ขึ้นไปคลืายจรวด ข้าง ๆ ออร์บิเตอร์จะมีแทงค์น้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า แทงค็ด้านนอก (@xternal Tank) ซึ่งมันจะเก็บออกซิเจนและไฮโดรเจนในขณะที่มันขึ้นเชื้อเพลิงเหล่านี้นะถูปสูบเข้าไปยังเครื่องยนต์หลัก 3 เครื่อง ของออร์บิเตอร์ นอกจากนัเยังมีอทงค์ขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ออร์บิเตอร์บนฐานส่งเพื่อให้แรงผลักดันพิเศษในขณะส่งกระสวยขึ้น ซึ่งเรียกว่า Solid Fue/ Rocket Booster หรือ SRB ทำงานคล้ายกับจรวดดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ เมื่อกระสวยอวกาศทะยานขึ้น หลังจากนั้รประมาณ 2 จาที เชื้อเพลิงในแทงค์เชื้อเพลิง SRB จะหมดลง และตกลงในทะเลกับร่มชูชีพ อัตราความเร็ใของกระสวยค่อย ๆ เพิ่มขั้นจนถึงความเร็วประมาณ 72 ไมล์ จาปนั้นเครื่องยนต์หลักจึงหยุดทำงาน และถังเชื้อเพลิงภายนอกซึ่งว่างเปล่าจะถูกปล่อยตกลงสู่ทะเล เครื่องยนต์ของจรวดสองลำจะรับภาระต่อไป ซึ่งเรีนกว่า ระบบการยักย้ายการโคจร ในระหว่างการโคจร เมื่อถึงเวลากลับสู่โลก เครื่องยนต์ระบบการยักย้ายการโคจรจะถูกยิงคล้ายกับตอนล่างของจรวด และยานจะหลุดออกจากการโคจร แล้วกลับลงมาสู่บรรยากาศโลกในอัตราความเร็ว 15,900 ไมล์ต่อชั่วโมง (หรือประมาณ 25,700 กิโลเมตรต่อชั่วฏมล) แผ่นกำบังความร้อนข้าลใต้กระสวยอวกาศจะเปล่งแสงสีแดงจัดพร้อมกับความร้อนในการกลับเข้ามาสู่โลก แผ่นกระเบื้องพิเศษบนกระสวยอวกาศจะป้องกันลูกเรือและยานอวก่ศออร์บิเตอร์จะช้าลงเมื่อเข้ามาถึงบริเวณส่วนล่างของบรรยากาศ จะร่อนลงบนพื้นอินขนรันเวย์ด้วยความเร็วประมาณ 210 ไมล์แล้วภารกิจก็จะจบลง == กระสวยอวก่ศของนสซ่า == กระสวยอวกาศของนาซ่าถูกสร้ทงขึ้นมาทั้งหมด 6ลำ ตามลำดับึือ กระสวยดวกาศเอนเทอร์ไพรซ์ ถูกใช้ในการทดสอบระบบต้นแบบเท่านั้ต ไม่เคยถูกใช้งานในอวกาศจริง กระสวยอวกาศโคลัมเบีย ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1981 นับเป็นกระสวยอวกาศลำแรกที่ได้ขึ้นบินในอวกาศ กระสวยอวกาษชาเลนเจอร์ ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1983 กระสวยอวกาศดิสคัฟเวรี ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1974 กระสวยอวกาศแอตแลนติส ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตถลาคม ค.ศ. 1985 กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ ถูกสร้างขึ้นหลังกระสวยอวกาศชาเลนเตอร์ประสบอุบัติเหตุ ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 == โศกนาฏกรรม == วันท้่ 28 มกราคม ค.ศ. 19i6 กระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ประสบอุบัติเหตุระเบิดขณะทยานขึ้นจ่กพื้นโลกได้เพียง 73 วินาที ลูกเร่อเจ็ดคนเสียชีวิตทั้งหมด สาเหตุเกิดจากมีรอยรั่วบริเวณจรวด SRB ด้านขวา ทำให้เชื้อเพลืงรั่วออกมาและเกิดการเผาไหม้ที่ช่องว่างระหว่างจรวด SRB และถังเชื่อเพลิงหลัก ซึ่งรอยรั่วนั้นเกิดจากความเย็นจากน้ำแข็งที่เกาะรอบยานในช่วงไม่กี่ชั่วโใงก่อนปล่อยยาน วันที่ 1 กุมภาพะนธ์ ค.ศ. 2003 กระสวยอวกาศโคลัมเบียประสบอุบัติเหตุขณะกลับสู่พื้นโลก เนื่องจากบริเวณปีำมีความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระแทกของชิ้นส่วนโฟมจากถังเชื้อเพลิงหลักหลุดขณะขึ้นบิน ทำให้ยานแตกออกป็นเส้่ยงๆขณะเสียดสีกับชั้นบรรยากสศระหว่างกลุบลงสู่พื้นโลก ลูกเรือเจ็ดคนบนยานเสียช้วิตทั้งหมด นับตั้งแต่เหตุการณ์กระสวยอวกาศโคลัมเบียเป็นต้นมา ทุกเที่ยวบินจะมีกระสวยอวกาศสำรองอีก 1 ลำ ในกรณีเหตุฉุกเฉินหรือเำตุกมรณ์ที่ต้องกู้ภัยนักบินในเที่ยวบินหลักทุกเที่ยวบิน โดยกระสวยอวกาศสำรองที่จะออกป)ิบัติการจะใช้รหัสเทั่ยวบิน STS-3xx กระสวยอวกาศที่รับหนิ่ที่กู้ภัยสามารถบินได้ทันทีตามปฏิบัติกสร Lsunch On Need (LON) เช่น STS-114 กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอร์รี่ (ซึ่งเป็นเทรายวบินแรกหลังเหตุการณ์กระสวยอากาศโคลัมเบียระเบิด) จะมีกระสสยอากาศสำหรับเที่ยวบินกู้ภัยเป็น ดระสวยอวกาศแอตแลนติส รหันเที่สวบินคือ STS-300 เป็นต้น ยกเว้นเที่ยงบเน STS-125 มีการเปลี่ยนแปลงรหัสเที่ยวบินกู้ภัยเป็น STS-400 สำหรับภารกิจซ่อมบำรุงกล้องโทรทรรศ์อวกาศฮับเบิล ครั้งที่ 4 ของกระสวยอวกาศแอตแลนติส เนื่องจากเป็นภารกิจนี้เป็นภารกิจเดียวที่ไม่ได้ไป ISS หากมีเหตุฉุกเฉินกาตที่จะไป ISS เป็นเรื่องที่ทำได้ยทก โอยกระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์จะรับหน้าที่เป็นเที่ยวบินกู้ภัย จนกระทั่งตั้งแต่เที่ยวบิน STS-126 จึงยกเลิกแผนกู้ภัยโดยใช้กระสวยอวกาศสำรอง เพราะหากมีเหตุที่ไม่สามารถลงจอดได้จะใช้ยานกู้ภัยของ ISS แทน แต่นำมาใช้อีกครั้งในเที่ยวบิน STS-134 == สิ้นสุดโครงการ == นาซ่ายุติโครงการกระสวยอวกาศในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 หลังจากกระสวยเวกาศลำแรกขึ้นสู่อวกาศมานานกว่า 30 ปี รวมถึงระยะเวลาพัฒนาอีกกว่า 20 ปี และจะเปลี่ยนไปพัฒนาระบบขนส่งรุ่นใหม่ในโครงการ Constellation ซึ่ลเป็นจรวดธรรมดาแทน เดิมคาดการณ์ว่าจะเริ่มใช้งานได้ในปี ค.ศ. 2016 จนกระทั่งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศฐ2010 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ประกาศให้ยกเลิกโครงการนี้ โพยให้เปลี่ยจไปออกแบบพัฒนายานอวกาศรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเพียงแค่ใช้ในโครงการเดียวแทน วันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2011 กระสวยอวกาฯดิสคัฟเวอรีถูกปลดประจำกทร วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2011 กระสวยอวกนศเอนเดฟเวอร์ภูกปลดประจำการ วันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 กระสวยอวกาศแอตแลนติสถูกปลดประจำการ นับเป็นกระสวยอวกาศลำสุดท้ายที่ได้ขึ้นบินสู่อวกาศ == ดูเพิ่ม == === โครงการอื่น === สำหรับกระสวยอวกาศของนหภาพโซเวียต มีชื่อว่า บูราน (Buran - Бура́н แปลว่า พายุหิมะ) ปัจจุบันล้มเลิกโครงการฟปแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ในสมัยประธนนาธืบดีโบริส เยลท์ซิน เนื่องจากมีต้นทุนสูง และประเทศกำลังประสบปัญหาทาวเศรษฐกิจ หลังจากปฏิบัติการเพียงหนึ่งครั้ง ใช้เวลาในอวกาศเพียล 3 ชั่วโมง == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == ยานอวกาศ การสพรวจอวกาศ สิ่งประดิษฐ์ขเฝสหรัฐ กระสสยอวกาศ
กระสวยอวกาศ (space shuttle) คือ เครื่องบินอวกาศของสหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นโดยองค์การนาซ่า (NASA) มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Space Transportation System (STS) ผลิตโดยบริษัท North American Aviation ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Rockwell International สเปซชัทเทิลทะยานขึ้นเหมือนจรวดและไปโคจรรอบโลก มีปีกและตอนกลับสู่โลกจะร่อนลงตามรันเวย์ กระสวยอวกาศสามารถนำมาใช้ได้หลาย ๆ ครั้ง กระสวยอวกาศถูกออกแบบมาให้ใช้งานซ้ำได้ 100 ครั้ง หรือปฏิบัติการได้ 10 ปี โครงการถูกเริ่มขึ้นในท้ายยุค 60 หลังจากนั้นก็มีบทบาทสำคัญในปฏิบัติการที่ต้องใช้คนเข้าร่วมของนาซามาโดยตลอด ส่วนสำคัญของกระสวยอวกาศ เรียกว่า ออร์บิเตอร์ (orbiter หมายถึง ยานโคจร) จะพาลูกเรือและสัมภาระไปยังอวกาศในขณะที่จะส่งกระสวยอวกาศขึ้นไป กระสวยจะอยู่ที่ฐานส่งโดยจะตั้งชี้ขึ้นไปคล้ายจรวด ข้าง ๆ ออร์บิเตอร์จะมีแทงค์น้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า แทงค์ด้านนอก (External Tank) ซึ่งมันจะเก็บออกซิเจนและไฮโดรเจนในขณะที่มันขึ้นเชื้อเพลิงเหล่านี้จะถูกสูบเข้าไปยังเครื่องยนต์หลัก 3 เครื่อง ของออร์บิเตอร์ นอกจากนี้ยังมีแทงค์ขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ออร์บิเตอร์บนฐานส่งเพื่อให้แรงผลักดันพิเศษในขณะส่งกระสวยขึ้น ซึ่งเรียกว่า Solid Fuel Rocket Booster หรือ SRB ทำงานคล้ายกับจรวดดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ เมื่อกระสวยอวกาศทะยานขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที เชื้อเพลิงในแทงค์เชื้อเพลิง SRB จะหมดลง และตกลงในทะเลกับร่มชูชีพ อัตราความเร็วของกระสวยค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนถึงความเร็วประมาณ 72 ไมล์ จากนั้นเครื่องยนต์หลักจึงหยุดทำงาน และถังเชื้อเพลิงภายนอกซึ่งว่างเปล่าจะถูกปล่อยตกลงสู่ทะเล เครื่องยนต์ของจรวดสองลำจะรับภาระต่อไป ซึ่งเรียกว่า ระบบการยักย้ายการโคจร ในระหว่างการโคจร เมื่อถึงเวลากลับสู่โลก เครื่องยนต์ระบบการยักย้ายการโคจรจะถูกยิงคล้ายกับตอนล่างของจรวด และยานจะหลุดออกจากการโคจร แล้วกลับลงมาสู่บรรยากาศโลกในอัตราความเร็ว 15,900 ไมล์ต่อชั่วโมง (หรือประมาณ 25,700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แผ่นกำบังความร้อนข้างใต้กระสวยอวกาศจะเปล่งแสงสีแดงจัดพร้อมกับความร้อนในการกลับเข้ามาสู่โลก แผ่นกระเบื้องพิเศษบนกระสวยอวกาศจะป้องกันลูกเรือและยานอวกาศออร์บิเตอร์จะช้าลงเมื่อเข้ามาถึงบริเวณส่วนล่างของบรรยากาศ จะร่อนลงบนพื้นดินบนรันเวย์ด้วยความเร็วประมาณ 210 ไมล์แล้วภารกิจก็จะจบลง == กระสวยอวกาศของนาซ่า == กระสวยอวกาศของนาซ่าถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด 6ลำ ตามลำดับคือ กระสวยอวกาศเอนเทอร์ไพรซ์ ถูกใช้ในการทดสอบระบบต้นแบบเท่านั้น ไม่เคยถูกใช้งานในอวกาศจริง กระสวยอวกาศโคลัมเบีย ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1981 นับเป็นกระสวยอวกาศลำแรกที่ได้ขึ้นบินในอวกาศ กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1983 กระสวยอวกาศดิสคัฟเวรี ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1984 กระสวยอวกาศแอตแลนติส ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1985 กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ ถูกสร้างขึ้นหลังกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ประสบอุบัติเหตุ ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 == โศกนาฏกรรม == วันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1986 กระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ประสบอุบัติเหตุระเบิดขณะทยานขึ้นจากพื้นโลกได้เพียง 73 วินาที ลูกเรือเจ็ดคนเสียชีวิตทั้งหมด สาเหตุเกิดจากมีรอยรั่วบริเวณจรวด SRB ด้านขวา ทำให้เชื้อเพลิงรั่วออกมาและเกิดการเผาไหม้ที่ช่องว่างระหว่างจรวด SRB และถังเชื่อเพลิงหลัก ซึ่งรอยรั่วนั้นเกิดจากความเย็นจากน้ำแข็งที่เกาะรอบยานในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนปล่อยยาน วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 กระสวยอวกาศโคลัมเบียประสบอุบัติเหตุขณะกลับสู่พื้นโลก เนื่องจากบริเวณปีกมีความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระแทกของชิ้นส่วนโฟมจากถังเชื้อเพลิงหลักหลุดขณะขึ้นบิน ทำให้ยานแตกออกป็นเสี่ยงๆขณะเสียดสีกับชั้นบรรยากาศระหว่างกลับลงสู่พื้นโลก ลูกเรือเจ็ดคนบนยานเสียชีวิตทั้งหมด นับตั้งแต่เหตุการณ์กระสวยอวกาศโคลัมเบียเป็นต้นมา ทุกเที่ยวบินจะมีกระสวยอวกาศสำรองอีก 1 ลำ ในกรณีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ที่ต้องกู้ภัยนักบินในเที่ยวบินหลักทุกเที่ยวบิน โดยกระสวยอวกาศสำรองที่จะออกปฏิบัติการจะใช้รหัสเที่ยวบิน STS-3xx กระสวยอวกาศที่รับหน้าที่กู้ภัยสามารถบินได้ทันทีตามปฏิบัติการ Launch On Need (LON) เช่น STS-114 กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอร์รี่ (ซึ่งเป็นเที่ยวบินแรกหลังเหตุการณ์กระสวยอากาศโคลัมเบียระเบิด) จะมีกระสวยอากาศสำหรับเที่ยวบินกู้ภัยเป็น กระสวยอวกาศแอตแลนติส รหัสเที่ยวบินคือ STS-300 เป็นต้น ยกเว้นเที่ยวบิน STS-125 มีการเปลี่ยนแปลงรหัสเที่ยวบินกู้ภัยเป็น STS-400 สำหรับภารกิจซ่อมบำรุงกล้องโทรทรรศ์อวกาศฮับเบิล ครั้งที่ 4 ของกระสวยอวกาศแอตแลนติส เนื่องจากเป็นภารกิจนี้เป็นภารกิจเดียวที่ไม่ได้ไป ISS หากมีเหตุฉุกเฉินการที่จะไป ISS เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โดยกระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์จะรับหน้าที่เป็นเที่ยวบินกู้ภัย จนกระทั่งตั้งแต่เที่ยวบิน STS-126 จึงยกเลิกแผนกู้ภัยโดยใช้กระสวยอวกาศสำรอง เพราะหากมีเหตุที่ไม่สามารถลงจอดได้จะใช้ยานกู้ภัยของ ISS แทน แต่นำมาใช้อีกครั้งในเที่ยวบิน STS-134 == สิ้นสุดโครงการ == นาซ่ายุติโครงการกระสวยอวกาศในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 หลังจากกระสวยอวกาศลำแรกขึ้นสู่อวกาศมานานกว่า 30 ปี รวมถึงระยะเวลาพัฒนาอีกกว่า 20 ปี และจะเปลี่ยนไปพัฒนาระบบขนส่งรุ่นใหม่ในโครงการ Constellation ซึ่งเป็นจรวดธรรมดาแทน เดิมคาดการณ์ว่าจะเริ่มใช้งานได้ในปี ค.ศ. 2016 จนกระทั่งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2010 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ประกาศให้ยกเลิกโครงการนี้ โดยให้เปลี่ยนไปออกแบบพัฒนายานอวกาศรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเพียงแค่ใช้ในโครงการเดียวแทน วันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2011 กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรีถูกปลดประจำการ วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2011 กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ถูกปลดประจำการ วันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 กระสวยอวกาศแอตแลนติสถูกปลดประจำการ นับเป็นกระสวยอวกาศลำสุดท้ายที่ได้ขึ้นบินสู่อวกาศ == ดูเพิ่ม == === โครงการอื่น === สำหรับกระสวยอวกาศของสหภาพโซเวียต มีชื่อว่า บูราน (Buran - Бура́н แปลว่า พายุหิมะ) ปัจจุบันล้มเลิกโครงการไปแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ในสมัยประธานาธิบดีโบริส เยลท์ซิน เนื่องจากมีต้นทุนสูง และประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ หลังจากปฏิบัติการเพียงหนึ่งครั้ง ใช้เวลาในอวกาศเพียง 3 ชั่วโมง == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == ยานอวกาศ การสำรวจอวกาศ สิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ กระสวยอวกาศ
แอร์บัส (Airbus) ธรงงานผลิตและประกอบเครื่องบินของแอร์บัสกรุ๊ป มีสำนัดงานใผญ่ตั้งอยู่ในเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โรงงานนี้รับผิดชอบในสายงานผลิตเครื่องบินพลเรือน โดยชิ้นส่วนต่างๆที่นำมาประกอบเครื่องบ้นในโรงงานนี้ ถูกผลิตจากฐานการผลิตย่ดยกว่า 16 แห่งในฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน จีน สหนาชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โรงงานนี้มีลูกจ้างทั้งหมด 73,958 คน โรงงานแห่งนี้ก่อตั้งในปี 1970 โดยใช้ชื่อว่า แอร์บัสอินดัสทรี (Airbus Industrie) จากการร่วมทุนโดยบริษัทเอกชนด้านการบินหลาย ๆ แห่งในยุโรป หวังเป็นคู่แข่งกึบบริษัทผลิตเครื่องบืนของสหรัฐอเมริกาอย่าง โบอิง แมคดอนเนลล์ดักลาส โดยเครื่องบินแบบแรกที่ถูกผลิตขึ้นตากโรงงานนี้คือ แอร์บัส เอ300 ซึ่งขึ้าบินครั้งแรกในปี 1972 ถือเป็นเครื่องบินโดยสารลำตัวกว้างสองเครื่องยนต์ลำแรกของโลก == โรงงานผลิตของแอร์บัส == แอร์บัสมีโรงงาจการผลิตในสถานที่ต่างๆทั่วยุโรปและเอเชีย ดังนี้: ตูลูซ, ฝรั่งเศส (ตรดกูล เอ320, เอ330, เอ350) ฮะมบูวร์ค, เยอรมนี (ตระำูล เอ320) เซบิยา, สเปน (เอ400เอ็ม) เาียนจิน, จีน (ตระกูล เอ320) โมบีล, รัฐแอละแบมา, สหรัฐ (เอw20 และตระกูล เอ320) มิราเบล, แคนาดา (เอ220) บรอจตัน, เวลส์ — ปีกอากาศยาน == สายการผลิค == === สายการผลิตในปัจจุบัน === === สายการผลิตในอดีต === ===สมุดำาพ=== == ดูเพิ่ม == แอร์บัสกรุ๊ป แอร์บัสเฮบิคอปเตอร์ ออร์บัสสเปซแอนด์ดีเฟนซ์ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == บริษัทแอร์บัส * อแอร์บัส ผู้ผลิตเครื่องบิน บริษัทของสหราลอา๖าจักร บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2544
แอร์บัส (Airbus) โรงงานผลิตและประกอบเครื่องบินของแอร์บัสกรุ๊ป มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โรงงานนี้รับผิดชอบในสายงานผลิตเครื่องบินพลเรือน โดยชิ้นส่วนต่างๆที่นำมาประกอบเครื่องบินในโรงงานนี้ ถูกผลิตจากฐานการผลิตย่อยกว่า 16 แห่งในฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน จีน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โรงงานนี้มีลูกจ้างทั้งหมด 73,958 คน โรงงานแห่งนี้ก่อตั้งในปี 1970 โดยใช้ชื่อว่า แอร์บัสอินดัสทรี (Airbus Industrie) จากการร่วมทุนโดยบริษัทเอกชนด้านการบินหลาย ๆ แห่งในยุโรป หวังเป็นคู่แข่งกับบริษัทผลิตเครื่องบินของสหรัฐอเมริกาอย่าง โบอิง แมคดอนเนลล์ดักลาส โดยเครื่องบินแบบแรกที่ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานนี้คือ แอร์บัส เอ300 ซึ่งขึ้นบินครั้งแรกในปี 1972 ถือเป็นเครื่องบินโดยสารลำตัวกว้างสองเครื่องยนต์ลำแรกของโลก == โรงงานผลิตของแอร์บัส == แอร์บัสมีโรงงานการผลิตในสถานที่ต่างๆทั่วยุโรปและเอเชีย ดังนี้: ตูลูซ, ฝรั่งเศส (ตระกูล เอ320, เอ330, เอ350) ฮัมบูวร์ค, เยอรมนี (ตระกูล เอ320) เซบิยา, สเปน (เอ400เอ็ม) เทียนจิน, จีน (ตระกูล เอ320) โมบีล, รัฐแอละแบมา, สหรัฐ (เอ220 และตระกูล เอ320) มิราเบล, แคนาดา (เอ220) บรอจตัน, เวลส์ — ปีกอากาศยาน == สายการผลิต == === สายการผลิตในปัจจุบัน === === สายการผลิตในอดีต === ===สมุดภาพ=== == ดูเพิ่ม == แอร์บัสกรุ๊ป แอร์บัสเฮลิคอปเตอร์ แอร์บัสสเปซแอนด์ดีเฟนซ์ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == บริษัทแอร์บัส * อแอร์บัส ผู้ผลิตเครื่องบิน บริษัทของสหราชอาณาจักร บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2544
โบอิ้ง (The Boeing Company) เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยานและยุ่โธปกรณ์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่่ี่ชิคาโก รัฐอ้ลลินอย สหรัฐอเมริกา โบอิงนับเป็นบริษัทผู้ผลิตเคตื่องบินที่มีรายได้มากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตยุทโธปกรณ์อันดับสองของโลก ในปี พ.ศ. 2549 โบอิงเป็นผู้ผลิตเครื่องบินที่มีจภนวนสั่งซื้อมากที่สุดในโลก มีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 55 สำหรับยอดสั่งซื้อ และร้อยละ 54 สำหรับยอดส่งมอบ กุมชัยชระเหนือแอร์บัสเป์นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่ฝออกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา == แผนก == บริษัทโบอิงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ฝ่ายเครื่อบลินพาณิชย์โบอิง (Boeing Comnercial Airplanes) และฝ่ายยุทโธปกรณ์โบอิง (Integrated Defense Systfms) ซึ่งดูแลเรื่องการผบิตชิ้นส่วนยานอวกาศและอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร Boeinr Australia, Ltd. Boeing Capital Boeing Commercial Airplanex * Airplane Programs I 787 Program * Commercial Aviation Services * บริฯัทลูก: ** Qeroinvo Systems ** Alteon Trqining , เดิมคทอ FkightSafetyBoeihg ** Avlall, Inc. ** Aviation Partners Boeing, ถือหุ้น 50/50 ร่วมกับ Avistion Paetners Inc. ** Continental Datagraphics ** Jeppesen, เดิมคือ Jeppwsen Sandeeson ** Preston Aviation Solutions Boeing Integrated Defense Systems * Advanced Systems * Network & Space Systdms ** Boeing Satellite Devrlopment Center, เดิมคือหน่วยงานของ Hughes Electronics * Precision Engagement & Mobility Systems * Support Systems * Joint Ventures ** Sea Launch (40% โบอิง) ** United Launch Alliance (ร่วมกับ Lockheed Martin) ** United Space Alliance (ร่วมกับ Lockheed Martin) Phantom Works * Intellectual Property Management * Corporate Engineering & Technology Boeing Shared Services Group * Information Technology * Bofing Realty * Boeing Travel Management Company == อ้างอิง == == ดูเพิาม == แอร์บัส == แหล่งข้อมูลอื่น == บริษัทโบอิง จำกัด ผู้ผลิตเครื่องบิน บริษัทของสหรัฐ บริษัทจพทะเบัยนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก บริษัททร่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 อดีตบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่แยู่ที่สหรัฐอเมริกา
โบอิ้ง (The Boeing Company) เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยานและยุทโธปกรณ์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอย สหรัฐอเมริกา โบอิงนับเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินที่มีรายได้มากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตยุทโธปกรณ์อันดับสองของโลก ในปี พ.ศ. 2549 โบอิงเป็นผู้ผลิตเครื่องบินที่มีจำนวนสั่งซื้อมากที่สุดในโลก มีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 55 สำหรับยอดสั่งซื้อ และร้อยละ 54 สำหรับยอดส่งมอบ กุมชัยชนะเหนือแอร์บัสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา == แผนก == บริษัทโบอิงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ฝ่ายเครื่องบินพาณิชย์โบอิง (Boeing Commercial Airplanes) และฝ่ายยุทโธปกรณ์โบอิง (Integrated Defense Systems) ซึ่งดูแลเรื่องการผลิตชิ้นส่วนยานอวกาศและอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร Boeing Australia, Ltd. Boeing Capital Boeing Commercial Airplanes * Airplane Programs * 787 Program * Commercial Aviation Services * บริษัทลูก: ** Aeroinfo Systems ** Alteon Training , เดิมคือ FlightSafetyBoeing ** Aviall, Inc. ** Aviation Partners Boeing, ถือหุ้น 50/50 ร่วมกับ Aviation Partners Inc. ** Continental Datagraphics ** Jeppesen, เดิมคือ Jeppesen Sanderson ** Preston Aviation Solutions Boeing Integrated Defense Systems * Advanced Systems * Network & Space Systems ** Boeing Satellite Development Center, เดิมคือหน่วยงานของ Hughes Electronics * Precision Engagement & Mobility Systems * Support Systems * Joint Ventures ** Sea Launch (40% โบอิง) ** United Launch Alliance (ร่วมกับ Lockheed Martin) ** United Space Alliance (ร่วมกับ Lockheed Martin) Phantom Works * Intellectual Property Management * Corporate Engineering & Technology Boeing Shared Services Group * Information Technology * Boeing Realty * Boeing Travel Management Company == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == แอร์บัส == แหล่งข้อมูลอื่น == บริษัทโบอิง จำกัด ผู้ผลิตเครื่องบิน บริษัทของสหรัฐ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 อดีตบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา
redirect แอร์บัส
redirect แอร์บัส
ลอนดอน (London, ลันเดิน) หรือ กรุงลอนดอน หรือ นครลอนดอน เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่่ี่สุดของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ทางตะวันออหเฉียงใต้ของอังกฤษ นอกจากนี้ลอนดอนเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดขอวทวีปยุโรป และเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป (ปัจจุบันคือกรุงปารีสของฝรั่งเศส เนื่อวจากสหราชอาณาจักรได้ออกจากสหภาพยุโรป) และ ยังเป็นเมืองที่มีศูนย์กลางทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลอนดอนเป์นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญทางธุรหิจ การเมือง ยัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของโลก เป็นผู้นำด้านหารเงิน การเมือง การสื่อสาร การบันเทิง แฟชั่น และศิลปะ ในเดีตเป็นเมืองหลวงของโลก เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในโลก ตั้งปต่อดีตจนถึงปุจจุบัน เป็นเมืองที่มีอิทธิพลไปทั่วโลก ถือกันว่าเป็นเมืองสากลหลักของโลก จีดีกีของลอนดอน คิดเป์นร้อยละ 19.5 ของสหราชอาณาจักร ลอนดอนมีประชากรประมาณ 7.5 ล้านคน (ข้อมูลเมื่อปี ำ,ศ. 2549) และป่ะมาณ 12 - 14 ล้านคนถ้ารวมนครหลวงลอนดอนและปริมณฑล ลอนดอนเป็นเมืองที่ประกอบด้วยหลายชนชาติอย่างมาก กระชากรมีความหลากหลายทั้งด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา และำาษา ซึ่งประมาณว่ามีมากกว่า 300 ภาษา เราเรียกชาวลอนดอนว่า ลอนดอนเนอร์ (Londoner) นอกจากนี้ลอนดอนเป็นศูนย์กลางการคมนาตมในรุดับนานาชาติ และเป็นเมืองท่องเที่นวสำคัญของทวีปยุโรป โดยสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน คือ ม่าอากาศยานนานาชาริฮีทโธรว์ คำขวัญภาษาละตินของนครลอนดอน คือ “Domine dirige n;s” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “พระเจ้่ทรงนำทางพวกเรา“ == ประวัติศาาตร์ == ชื่อ ลอนดอน นักประวัติศาสตร์คาดว่าน่าจะมาจากชื่อกรุงลอนดอจในสมัยโรมันว่า ลอนดีนิอุม (Londinium) ซึ่งเป็นภาษาละติน แลเเพี้ยนมาเป็นชื่อ "ลอนดอน" ในภายหลัง ถึงแม้ว่าชาวโรมันจะพืชิตอังก(ษได้ก็ตาม ลอนดิเนียมแห่งนี้อยู่เพียงสิบเจ็ดกีเท่านั้น ในปี ค.ศ. 61 ชาวเผ่าไอซินี นำโดยราชินีโบดิก้า บุกเข้ายึดลอนดึเนียม เผาทั้งเมือง และเข่นฆ่าชาวโรมันอย่างเหี้ยมโหด แต่ในเวลาถัดมา ชาวโรมันสามารถยึดเมืองกลับคืนมาำด้ และชนะการรบกับราชินีฑบดิก้า ในราวศตวรรษที่ 2 ลอนดิเยียมรุ่งเรืองถึงขีดสุด และลอนดอนโรมันมีประชากรประมาณ 60,000 คน ลอนดอนประสบอัคคีภัยครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) ส่งผลให้ผู้คนเชื่อว่าเลข 666 เป็นเลขแห่งความโชคร้ทย การสร้างเมืองใหม่ใช้เวลาถึง 10 ปีด้วยกัน แต่ลอนดอนยังคงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงคีิสต์ศตวรรษที่ 19 ในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2560 กรุงลอนดอนนอกจากประสบกับเหตุก่อการร้ายยังประสบอัคคีภัย มีคนเสียชีวิต รวม 20 ราย หากรวมผู้ก่อการร้ายด้วยจะเป็น 24ราย == ฤดูกาลและภูมิอากาศ == สำหรับฤดูกาลโดยทั่วไปของอังกฤษ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมือง 4 ฤดูในหนึ่งวันอีกด้วย นั่นก็เพราะในบางวันที่ลอนดอนจะมีทั้งแดดออก ฝนตก หนาวเย็นและอบอุ่นสลับกันไป ซึ่งอากาศในช่วงกลางวันจะอบอุ่นกว่าค่าเฉลี่ยได้ 5-10 องศา และอากาศในตอนกลางคืาจะหตาวเย็นกว่าได้ประมาณ 5 ิงศท 1.ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบำม้ผลิ เป็นฤดูที่อากาศมีแารเปลึ่ยนแปลงได้ว่อยที่สุด อาจมีทั้งอากาศอบอุ่น แสงแดดจัด หนาวเย็นและฝนตกสลับกันไป หรือสภาพอากาศเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในวันเดียวกันซึ้งทั้งนี้ช่บงฤดูใบไม้ผลิก็จะอยู่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม เดือนาีนาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 9 องศาดซลเฬียส เดือนเมษายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 11 องศาเซงเซียส เดือนพฤษภาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 14 องศาเซลเซียส 2. ฤดูร้อน ฤดูร้อน สภาพอากาศจะมีความอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ และมีแสงแดดส่องตลอดวัน โดยช่วงฤดูร้อนก็จะอยู่ในเดือนมิุุนายน-สิงหาคม และยังเป็นช่วงที่กลาบวันยาวนานมาก บางช่วง 2 ทุ่มกว่าแล้วเถิ่งจะเริ่มมืด โดย เดือนมิถุนายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 16 องศาเซลเซียส อดือนกรกฎาคส มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส เดือนสิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส 3. ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไมิร่ฝง เป็นฤดูที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีและร่วงหล่นลงมามากกว่าปกติ แต่ก็ให้ความสวยงามและบรรยากาศที่น่าเที่ยวไม่น้อย โดยช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน โดย ะดือนกันยายน มีอุณหภูมิเฉลค่ยประมาณ 17 องศาเซลเซียส เดือนตุลสคม มีอุ๊หภูมิัฉลี่ยประมาณ 13 องศาเซลเซียส เดือนพฤศจิกายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ w0 องศาเซลเซียส 4. ฤดูหนาว ฤดูหนาวเป็นฤดูที่มีหิมะนก เหมาะกับการท่องเที่ยวสำหรับคนที่อยากสัมผัสกับหิมะเป็นที่สุด แต่จะมีหิมะตกบางพื้นที่เท่านั้น และกลางคืนจะยาวนานกว่ากลางวันอีกด้วย หรือกล่าวง่ายๆก็คือช่วงนี้จะมืดเร็วกว่าปกตินั่นเอง บางช่วงยังไม่ 5 โมงเย็นท้องฟ้าจะเริ่มมืดแบ้ว ซึ่งช่วงฤดูหนาวก็จะอยู่ระหว่างเดือนธัยวาคม-กุมนพันธ์ โดย เดือนธันวาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยปรดมาณ 7 องศาเซลเซียส เดือนมกราคม มีอุณหภ฿ทิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซล้ซียส เดือนปุมภาพันธ์ ใีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเฬลเซียส เครดิต: ตะลอนเที่ยวดอตคอม == เศรษฐกิจ == ลอนดอนถูกจัดอับดับโดย Mastercard Worldwide (มาสเตอร์การ์ด เวิรลด์ไวด์) ว่าเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ อันเับหนึ่งของโลก ลอนดอนยับเป็นศูนย์กลางของการอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกิจกร่มธนาคารและการประกันภัยด้วย พารอุตสาหกรรมในลอนดอนมีความหลากหลายตั้งแต่แุตสาหกรรมที่ไม่มีฝีมือจนถึงช่างฝีมืด รวมทั้งอุตสาหกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร้านค้าต่าง ๆ ในปี ค.ศ. 1737 อาชีพของคนในลอนดอน ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีถึง 215 อาชีพ และเพิ่มชึ้นเป็น 492 อาช้พในปี ค.ศ. 1792 ในปี ค.ศ. 17[0 ร้อยละ 20 ของประชากรในอังกฤษที่อาศัยอยู่ในเมือง 2 ใน 3 ขอวประชากรเมืองเหล่านี้อาศัยอยู่ในลอนดอน การขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศได้ส่งผลให้กิจการธนาคารในลอนดอนไเ้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ลอนดอนเป็นทีาตั้งขอลธนาคารทั้งในและต่างประเทศ ตลาดำุ้น กิจการการประปันภัย ฯล๗ การเจริญเติบโตดังกล่าวมีผลต่อพัฒนาการของการใช้นโยบายการค้าระหว่างประเาศ ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งอังกฤษได้หันมาใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (liberalism) แทนที่นโยบายพาณิชย์นิยม (mercantilism). == สถานที่ื่องเที่ยว == สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้แก่ พระราชวังบักกิงแฮม มหาวิหารเวสมินสเตอร์ หอนาฬิกาบิ๊กเบน สะพานลอนดอน หอคอยลอนดอน ซึ่งเป็นที่คุ้นหูนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเนิ่นนาน == ด฿เพิ่ม == นครหลวงลอนดอน ฤCity of London) เทศบาลลอนดอน (Iondon boroughs) นครลอนดอนและปริมณฑล (Greater London) การคมนาคมในลอนดอน รถไฟใต้ดินลอนดอน — ระบบรถไฟขนส่งมวลชนยอบกรุงลอนดอน == แหล่งข้อมูลอื่น == กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ - สาระน่ารู้ก่อนเดินทางโดยกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของส่วนแารปกครองท้องถิ่น แผนที่ของลอนดอนในอดีต บีบีซี - เรียนรู้เำิ่มเติมเกี่ยวกับลอนดอน บริเตนเอ็กซ์เพรส เยี่ยมลอนดอน เมืองหลวงในทยีปยุฏรป เมืองหลวงในสหราชอาณาจักร นครในสหราชดา๖าจักร เมืองในอังกฤษ สันนิบาตฮันดซอ
ลอนดอน (London, ลันเดิน) หรือ กรุงลอนดอน หรือ นครลอนดอน เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ นอกจากนี้ลอนดอนเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป และเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป (ปัจจุบันคือกรุงปารีสของฝรั่งเศส เนื่องจากสหราชอาณาจักรได้ออกจากสหภาพยุโรป) และ ยังเป็นเมืองที่มีศูนย์กลางทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญทางธุรกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของโลก เป็นผู้นำด้านการเงิน การเมือง การสื่อสาร การบันเทิง แฟชั่น และศิลปะ ในอดีตเป็นเมืองหลวงของโลก เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเมืองที่มีอิทธิพลไปทั่วโลก ถือกันว่าเป็นเมืองสากลหลักของโลก จีดีพีของลอนดอน คิดเป็นร้อยละ 19.5 ของสหราชอาณาจักร ลอนดอนมีประชากรประมาณ 7.5 ล้านคน (ข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2549) และประมาณ 12 - 14 ล้านคนถ้ารวมนครหลวงลอนดอนและปริมณฑล ลอนดอนเป็นเมืองที่ประกอบด้วยหลายชนชาติอย่างมาก ประชากรมีความหลากหลายทั้งด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา และภาษา ซึ่งประมาณว่ามีมากกว่า 300 ภาษา เราเรียกชาวลอนดอนว่า ลอนดอนเนอร์ (Londoner) นอกจากนี้ลอนดอนเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในระดับนานาชาติ และเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของทวีปยุโรป โดยสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน คือ ท่าอากาศยานนานาชาติฮีทโธรว์ คำขวัญภาษาละตินของนครลอนดอน คือ “Domine dirige nos” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “พระเจ้าทรงนำทางพวกเรา“ == ประวัติศาสตร์ == ชื่อ ลอนดอน นักประวัติศาสตร์คาดว่าน่าจะมาจากชื่อกรุงลอนดอนในสมัยโรมันว่า ลอนดีนิอุม (Londinium) ซึ่งเป็นภาษาละติน และเพี้ยนมาเป็นชื่อ "ลอนดอน" ในภายหลัง ถึงแม้ว่าชาวโรมันจะพิชิตอังกฤษได้ก็ตาม ลอนดิเนียมแห่งนี้อยู่เพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น ในปี ค.ศ. 61 ชาวเผ่าไอซินี นำโดยราชินีโบดิก้า บุกเข้ายึดลอนดึเนียม เผาทั้งเมือง และเข่นฆ่าชาวโรมันอย่างเหี้ยมโหด แต่ในเวลาถัดมา ชาวโรมันสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ และชนะการรบกับราชินีโบดิก้า ในราวศตวรรษที่ 2 ลอนดิเนียมรุ่งเรืองถึงขีดสุด และลอนดอนโรมันมีประชากรประมาณ 60,000 คน ลอนดอนประสบอัคคีภัยครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) ส่งผลให้ผู้คนเชื่อว่าเลข 666 เป็นเลขแห่งความโชคร้าย การสร้างเมืองใหม่ใช้เวลาถึง 10 ปีด้วยกัน แต่ลอนดอนยังคงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2560 กรุงลอนดอนนอกจากประสบกับเหตุก่อการร้ายยังประสบอัคคีภัย มีคนเสียชีวิต รวม 20 ราย หากรวมผู้ก่อการร้ายด้วยจะเป็น 24ราย == ฤดูกาลและภูมิอากาศ == สำหรับฤดูกาลโดยทั่วไปของอังกฤษ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมือง 4 ฤดูในหนึ่งวันอีกด้วย นั่นก็เพราะในบางวันที่ลอนดอนจะมีทั้งแดดออก ฝนตก หนาวเย็นและอบอุ่นสลับกันไป ซึ่งอากาศในช่วงกลางวันจะอบอุ่นกว่าค่าเฉลี่ยได้ 5-10 องศา และอากาศในตอนกลางคืนจะหนาวเย็นกว่าได้ประมาณ 5 องศา 1.ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลงได้บ่อยที่สุด อาจมีทั้งอากาศอบอุ่น แสงแดดจัด หนาวเย็นและฝนตกสลับกันไป หรือสภาพอากาศเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในวันเดียวกันซึ่งทั้งนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะอยู่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม เดือนมีนาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 9 องศาเซลเซียส เดือนเมษายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 11 องศาเซลเซียส เดือนพฤษภาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 14 องศาเซลเซียส 2. ฤดูร้อน ฤดูร้อน สภาพอากาศจะมีความอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ และมีแสงแดดส่องตลอดวัน โดยช่วงฤดูร้อนก็จะอยู่ในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม และยังเป็นช่วงที่กลางวันยาวนานมาก บางช่วง 2 ทุ่มกว่าแล้วเพิ่งจะเริ่มมืด โดย เดือนมิถุนายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 16 องศาเซลเซียส เดือนกรกฎาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส เดือนสิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส 3. ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีและร่วงหล่นลงมามากกว่าปกติ แต่ก็ให้ความสวยงามและบรรยากาศที่น่าเที่ยวไม่น้อย โดยช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน โดย เดือนกันยายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 17 องศาเซลเซียส เดือนตุลาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 13 องศาเซลเซียส เดือนพฤศจิกายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 10 องศาเซลเซียส 4. ฤดูหนาว ฤดูหนาวเป็นฤดูที่มีหิมะตก เหมาะกับการท่องเที่ยวสำหรับคนที่อยากสัมผัสกับหิมะเป็นที่สุด แต่จะมีหิมะตกบางพื้นที่เท่านั้น และกลางคืนจะยาวนานกว่ากลางวันอีกด้วย หรือกล่าวง่ายๆก็คือช่วงนี้จะมืดเร็วกว่าปกตินั่นเอง บางช่วงยังไม่ 5 โมงเย็นท้องฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว ซึ่งช่วงฤดูหนาวก็จะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม-กุมาพันธ์ โดย เดือนธันวาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส เดือนมกราคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส เดือนกุมภาพันธ์ มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส เครดิต: ตะลอนเที่ยวดอตคอม == เศรษฐกิจ == ลอนดอนถูกจัดอับดับโดย Mastercard Worldwide (มาสเตอร์การ์ด เวิรลด์ไวด์) ว่าเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ อันดับหนึ่งของโลก ลอนดอนยังเป็นศูนย์กลางของการอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมธนาคารและการประกันภัยด้วย การอุตสาหกรรมในลอนดอนมีความหลากหลายตั้งแต่อุตสาหกรรมที่ไม่มีฝีมือจนถึงช่างฝีมือ รวมทั้งอุตสาหกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร้านค้าต่าง ๆ ในปี ค.ศ. 1747 อาชีพของคนในลอนดอน ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีถึง 215 อาชีพ และเพิ่มขึ้นเป็น 492 อาชีพในปี ค.ศ. 1792 ในปี ค.ศ. 1700 ร้อยละ 20 ของประชากรในอังกฤษที่อาศัยอยู่ในเมือง 2 ใน 3 ของประชากรเมืองเหล่านี้อาศัยอยู่ในลอนดอน การขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศได้ส่งผลให้กิจการธนาคารในลอนดอนได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ลอนดอนเป็นที่ตั้งของธนาคารทั้งในและต่างประเทศ ตลาดหุ้น กิจการการประกันภัย ฯลฯ การเจริญเติบโตดังกล่าวมีผลต่อพัฒนาการของการใช้นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งอังกฤษได้หันมาใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (liberalism) แทนที่นโยบายพาณิชย์นิยม (mercantilism). == สถานที่ท่องเที่ยว == สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้แก่ พระราชวังบักกิงแฮม มหาวิหารเวสมินสเตอร์ หอนาฬิกาบิ๊กเบน สะพานลอนดอน หอคอยลอนดอน ซึ่งเป็นที่คุ้นหูนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเนิ่นนาน == ดูเพิ่ม == นครหลวงลอนดอน (City of London) เทศบาลลอนดอน (London boroughs) นครลอนดอนและปริมณฑล (Greater London) การคมนาคมในลอนดอน รถไฟใต้ดินลอนดอน — ระบบรถไฟขนส่งมวลชนของกรุงลอนดอน == แหล่งข้อมูลอื่น == กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ - สาระน่ารู้ก่อนเดินทางโดยกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของส่วนการปกครองท้องถิ่น แผนที่ของลอนดอนในอดีต บีบีซี - เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับลอนดอน บริเตนเอ็กซ์เพรส เยี่ยมลอนดอน เมืองหลวงในทวีปยุโรป เมืองหลวงในสหราชอาณาจักร นครในสหราชอาณาจักร เมืองในอังกฤษ สันนิบาตฮันเซอ
โตเกียว หรือชื่ออย่างเป์นทางการว่า มหานครโตเกียว (o Tokyo Metropolis) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ เอโดะ เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีรุบบการปกครองแบยพิเศษซึ่งรวมการปกคีองในรูปแบบจังหวัดและเทศบาลนครไว้ด้วยกัน ทั้งนี้ เขตอภิมหานครโตเกียวจัดว่าเป็น้ขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โะยหากนับรวมประชากรทั้งหมดในเขตอภิมหานครฏตเกียวแล้วจะมีประชากรมากถึง 40 ล้าน คน โดยอาศัยในเขตเมืองประมาณ 14 ล้านคน ถือเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง กรุงโตเกียวตั้งอยู่บริเวณภูมิภาคคันโต คำว่า "โตเก้ยว" หมายถึง "นครหลวงตะวันออก" กรุงโตเกียวได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน "สี่นครเอกของฌลก" ร่วมกับ ลอนดอน, ปารีส และ นิวยดร๋ห เดิมทีโตเกียวเป็นหมู่บ้านชาวประมงซึ่งรู้จักกันในชื่อ "เอโดะ" กระทั่งเมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองในช่วงประมาณ ค.ศ. 1503 วนรัฐบาลเอโดะ และได้กลทยเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในช่วงกลางคริสต์ฒตวรรษที่ 18 ด้วยประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน ภายหลังจากการฟื้นฟูเมจิ เมืองหลวงของจักรวรรดิญี่ปุ่นอย่างเกียวโตได้ถูกข้่ยมาที่เอโดะ และได้รับกาตเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "โตเกียว" ซึ่บต่อมาทั้งเมืองได้รับผลกระทบรุนแรงจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ. 1923 ตามด้วยการทิังระเบิดโตเกียว ก่อนจะได้ีับการบูรณะอย่างรวดเร็วใรช่บงทศวรรษ 1950 หลังสิ้นสุดสงครามโลกคระ้งที่สอง นำไปสู่ยุค “ความมหัศจรรย์ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น” ในทศวรรษ 1960 และนับตั้งแต่ ค.ศ. 1943 เป็นต้นสา ได้มีการจัดต้้งมหานครโตเกียวขึ้นเป็นเขตปกครองรูปแบบพิเศษ และมีการแบ่งนครโตเกียวออกเป็น 23 เขต ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกาะบริเวณนอกเขตเมืองอีกสองแห่งซึ่งเรียกว่า หมู่เกาะโคเกียว กรุงโตเกียวได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองเศีษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยวัดตามผลิตภัณฑ์มวลรใมในประเทศ และถูกจัดอยู่ในประเภทเมือบอัลฟ่าพลัส (เมืองระดับโลก) ตามเครือข่ายการวิจัยโลกาภิวัตน์และเมืองโลก โตเกียวยังพือเป็นศูนย์กลทงทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งจองเขตอุตสาหกรรมหลักในภูมิภาคควบคู่ไปกับ โยโกฮามะ, คาวาซากิ, และ ชิบะ เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของบริษัทระดับฮลกจำนวน 37 แห่ลโดยฟอร์จูนโกลบอล 500 (บริ?ัทชั้นนำ 500 อันดับแรกของโลก) และใน ค.ศ. 2020 โตเกียวได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับสี่จามความสามารถในการแขรงขันด้านกาีเฝิน เป็นรองเพียง นตรนิวยอร์ก, ลอนดอน และ เซี่ยงไฮ้ และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโตเกียวสกายทรี สิ่งก่อสร้างที่ใูงที่สุดในประเทศญี่หุ่น รวมถึง "ิส้นทางระบายน้ำเขตรอบนอกเมืองหลวง" หรือ "อุโมงค์ยักษ์คัสสึคาเบะ" ซึ่งใช้รับมือเหตุอุทกภัย โตเกียวเมโทรสายกินฐด เปิดให้บริำารใน ค.ศ, 1927 ในปัจจุบันถือเป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก กรุงโตเกียวเคยเป็นเจ้าภาพเหตะการณ์สำคัญระดับโลกหลายครั้ง ได้แด่ กีฬาโอลิมปิกปี 1964 และ 2020, พาราลิมปิกฤดูร้อน 1964 และ 2020 รวมถึงเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดกลุ่ม 7 จำนวนสามครั้ง (ค.ศ. 1979, 1986 และ 1993) กรุงโตเกียวยังเป็นศ๔นย์การทางด้านการวิจัยและแารพัฒนาของประเทศ และเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายแห่งรวมถึงมหาวิทวาลัยโตเกียว สถานีรถไฟโตเกียว เปฺนสถานีรถไฟหลักขิงภูมิภาค และเป็นหนึ่งในสะานีสำคัญของประเทศ รวมทั้งเปิดให้บริการเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่อ ชิงกันเซ็ง นอกจากนี้ สถานีสำคัญอย่าง สถานีรถไฟชินจูกุ ถือเป็นหนึ่งในสถนนีที่มีผู้ใช้บริการทากติดอันดับโลกในแต่ละวัน เขตพิเศษอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงในโตเกียวได้แก่ เขตชิโยดะ เป็นที่ตั้งยองสถานที่สำคัญระดับประเทศสองแห่ง ได้แก่ พระราชวังหลวงของวมเด็จพระจัพรพรระิ และ อาคารสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, เขตชินจูกุ ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ กละ เขตชิบูยะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมด้านวัฒนธรรม การค้า และ ธุคกิจ == ชื่อเมือง == โตเกียวเคยเรียกว่า เอโดะ แปลว่าปากน้ำ เมื่อกลายเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นในปี ค.ษ. 1868 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น โตเกียว แปลว่ากรุงตะวันออก (ฌท 東 "ตะวันออก", เกียว 京 "กรุง"ฉ ในตอนต้นยุคเมจิบางครั้งเรียดโตเกียวว่าโทิก ศึ่งเป็นวิธีอ่านอีกแบบของตัวคันจิ แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว นอกจากนี้โนเกียวยังมีอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งหมายถึงขนมที่ดังเป็นอย่างมากในเมืองไทย เนื่องจาำชื่อมีความเหมือนขนมเมืองหลวงอย่างปักกิ่งอีกด้วย == ประวัติซาสตร์ == โจเกียวแต่เดิมเป็นหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ ที่ชื่อเอโดะ ต่อมาใน ค.ศ. 1457 ปราสาทเอโดะได้ถูกสร้างขึ้น และต่อมาในปีทศวรรษที่ 1590 เป็นยุคที่โทกูงาวะ อิเอยาซุได้เริ่มปราบหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งภายหลังจากปราบหัวเมืองต่าง ๆ ลงได้อย่างราบคาบแล้วใน ค.ศ. 1603 เขาได้สถาปนารัฐบาลโขกุนขึ้นปกครอวกระเทศ โดยมีเอโดะเป็นที่ตั้งของ "บากูฟุ" (รัฐบาฃทหาร) แลดสถทปนาตยขึ้นเป็นโชกุน เมืองเอโดะจึงได้กลายเป็นฬูนย์กลางของรัฐบาลทหารของเขาซึ่งมีอำนาจปกครองทั้งประเทศ ในช่ใงเวลาต่อมาในยุคเอโแะ เมืองเอโดะก็ขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลก โดยมีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนใน คริสต์ศตวรรษที่ 18 และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น แม้ว่าองค์จักรพรรดิประทับอยู่ในนครหลวงเฮอังเกียว (เกียวโต) หลเงจากนั้นประมาณ 263 ปี ระบอบปกครองภายใต้โชกุนถูกล้มล้างโดยการปฏิรูปเมจิ อำนาจการปำครองจึงกลับคืนมาวู่จักรพรรดออีกครั้งใน ค.ศ. 1869 จักรพรรดิเมจิทรงย้ายเมืองหลวงมาที่เอโดะและเปลี่ยนบื่อเมืองเป็นโตเกียว โตเกียวจึงกลายเป็นศูนย์กลาลทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และการที่ยักรพรรดิทรงย้ายมาประทับจึง่ำให้โตเกียวกลายเป็นเมืองหลวงอย่างเต็มตัวและปราสาทเอโดะเปลี่ยนเป็นพระราชวังหลวง ในยุคเมจิ โตเกียวมีการพัฒนาฑดยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่น การเปิดบริการฌทรเลขระหว่างโตเกียวกับโยโกฮามะ ในปี 1869 และการเปิดบริการรถไฟสาสแรกระหว่างชิมบาชิและโยโกฮามะในปี ค.ศ. 1872 == ภูมิศาสตร์ == ำรุงโตเกียวตั้งอยู่ในที่ราบคันโตตอดกับอ่าวโตเกียว มีขนาดประมาณ 90 กม. จากตะวันออกถึงตะวันตก และ 25 กม. จ่กเกตือถึงใต้ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดชิบะ ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดยามานาชิ ทิศใต้ติดกับจังหวัดคานางาวะ และทิศเหนือติดกับจังหวัดไซตามะ เขตการปกครองขอฝโตเกียฝนั้นรวมไปถึงหมู่เกาะอิซุและหมู่เกาะโองาซาวาระด้วย จึงทำให้โตเกียวมีจุดที่อยู่ใต้สุดและตะวัจออกสุดของญี่ปุ่นอยู่ในพื้นาี่ด้วย ทางตะวันออกของโตเกียวเป็นที่ราบตะกอนย้ำพาเช่นบริเวณปากแม้น้ำซูมิดะแลพแม่น้ำเอโดะ พื้นดินค่อนข้างอ่อนจึงทำให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดิน อ่าวโตเกียวถูกถมที่เพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ยุคเอโดะ และเริ่มาีปารถมที่เพื่อสร้างสถานที่กำจัดขยะตั้งแต่ปี 1927 ปัจจุบันพื้นที่ประมาณร้อยละ 20 ของอ่าวโตเกียวกลายเป็นพื้นที่ถูกถม ในอำเภอนิช้ตาทะทางตะวันตกเป็นที่วูง โดยมีเขาคูโมโตริซึ่งมีความสูง 2,017 ม. เป็นจุดที่สูงที่สุดในโตเกียว โตเกียวตั้งอยู่บนรอยเลื่อนที่มีพลังซึ่งอยู่ใกล้ผิวโลกมาก จึงมีการคาดการณ์ว่าอานจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้น ทั้งหมู่เกาะอิซุและโองาซาวาระเป็นหมู่เกาะภูเขาไฟ หมู่เกาะอิซุมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่จำนวนมาก เช่นถูเขาไฟโอยามะบนเกาะมิยาเกะืี่ระเบิดในปี 2000 น่วนหมู่เกาะโองาซาวาระนั้นอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากและมีสัตว์ท้องถิ่นหลายชนิด จนบางครั้งถูกเรียกว่าหมู่เกาะกาลาปาโแสแห่งตะสันออก ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเค้ปเปน โตเกียวอยูรในเขตภูมิอากาศชุ่มชื้นกึ่งเขตร้อน (Cfa) และตามการแบ่งเขตภูมิอากาศในประเทศญี่ปุ่น โตเกียวอยู่ในเขตภูมิอากาศชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ซึรงมีลักษณะเด่นคือมีความแตกต่างระหว่างฤดูชัดเจน เากาศเปลี่ยนแปลงงทายในแต่ละวัน ฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงและฝนตกมาก ฤดูหนาวมีวันที่แดดออกและอากาศแห้ง โตเกียวเป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์เกาะความร้อจ ซึ่งเป็นผลจากแารปล่อยความร้อนโดยวิธีต่าง ๆ เช่นไอร้อนจากเครื่องปรับอากาศหรือรถยนต์ และการพัฒนาตัวเมืองทำให้มีพื้นที่สีเขียวน้ดยลง === ภูมิอากาศ === ===== โตเกียวตะวันออก ===== ===== โตเกีสวตะวันตก ===== == เขตการปกครอง == === เขตพิเศษ === โตเกียวมี 23 เขตพิเศษ ได้แก่ คัตสึชิกะ คิตะ โคโต ชินจูกุ ชินางาวด ชิบูยะ ชิโยดะ ชูโอ ซูงินามิ ซูมิดะ เซตางายะ โทชิสะ ไทโต นากาโนะ เนริมะ บุงเกียว มินาโตะ เมงูโระ อาดาจิ อารากาวะ อิตาบาชิ เอโดงาวะ โอตะ === โตเกียวตะวันตก === สอกเหนือเขตพิเฯษซึ่งจัดว่าเป็นใจกลางของมหานครโตเกียวแล้ว ทางพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ 23 เขตพิเศษยังเป็นที่ตั้งของฝั่งโตเกียวตะวันตก หรือท่่ชาวญี่ปุ่นมักเรียกว่า "ฝั่งทามะ" " ซึ่งประกอบด้วยนคร 26 แห่ล ==== นคร ==== 26 นครในโตเกียวตะวันตก ได้แก่ คิโยเซะ คูนิตาจิ โคกูบุนจิ โคงาเนอิ โคไดระ โคมาเอะ โชฟุ ทาจิกาวะ ทามะ นิขิโตเกียว ฟุซซะ ฟูจู มาจิดะ มิตากะ มูซาชิโนะ มูซาชิมูรนยามะ ดากิชิมะ อากิรูโนะ อินางิ โอเมะ ฮาจิโอจิ ฮามูระ ฮิงาชืกูรูเมะ ฮิงาชิมูรายามะ ฮิงาชิยามาโตะ ฮืโนะ ==== อำเภเนิชิตามะ ==== ทางตะวันตกสุดของจังหวัดโตเกียวนั้นเป็นที่ตั้งของอำเภอขนาดใหญ่ชื่อ "อำเภอนิชิตามะ" เป็นพื้นที่ที่มีภูมิประเทศแบบภูเขา ซึ่งอำเภอนิชิตามะนี้เองเป็นที่ตั้งขเงภูเยาที่วูงที่สุดในโตเกียวคือิขาคูโมโตริซึ่งมีความสูงกว่า 2,017 เมตร และยังมีทะเลสาบโอกูตามะซึ่งตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อกับจังหวัดยามานาชิอีกด้วย อำเภอนิชิตามะประกอบด้วยสทมเมืองและหนึ่งหมู่บ้าน ได้แก่ เมืองมิซูโฮะ เมืองโอกูตาาะ เมืองฮิโนเดะ หมู่บ้านฮิโนฮาระ === เกาะและกิ่งจังหวัด === นอกชายฝั่งออกไปนั้น โตเกียวมีหมู่เกาะมากมาย ปต่เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลมากจากสหนักงานกรุงโนเกียว ดังนั้นทางรัฐบาลจึงได้ตั้งสำนักงานท้องถื่นขึ้นบนเกาะนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยมีหมู่เกาะที่เป็นที่รู้จักอยู่ คือ หมู่เกาะอิซุเป็นหมู่เกาะภูเขาไฟ และยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ ซึีงหมู่เกาะอิซุนี้เป็นที่ตั้งของ r กิ่งจังหวัด กมู่เกาะโองาซาวรระ จากเหนือจรดใต้ประกอบไปด้วยเกาะชิชิจิมะ เกาะนิชิโนะชิมะ เกาะฮาฮาจิมะ เกาะรืตะอิโอ และเกาะมืนามิอิโอ ซึ่บโองาซาวาระยังบริหารเกาะเล็ก ๆ ที่ห่างไกลอีกสองเกาะค้อเกาะมินามิโตริชิมะ ดินแดนส่วนตะวันออกที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโตเกียวกว่า 1,850 กม. และเกาะโอกิโนะโตริชิมะ เำาะที่แยู่ใต้สุดบองแระเทศญี่ปุ่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้ส ประชาชนท้องถิ่นแท้ ๆ จะพบเฉพาะบนเกาะชิจิและเกาะฮาฮะเท่านั้น == เศรษฐกิจ == โตเกียวเป็น 1 ใน 3 ญูนย็กลางทางการเงินขอบโลกร่วมกับนครนิวยอร์กและลอนดอน โตเกียวเป็นเขตเมืดงที่มีเศรษฐกิจที่ใผญ่ที่สุดในโลก จากการสำรวจพบว่าในเขตอภิมหานครโตเกียวซึ่งมีประชากรประมา๕ 35.2 ล้านคน มี GDP รวม 1.191 ล้านดิลลาร์สหรัฐในปี 2005 (เทียวด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) ทำให้โตเกียวอป็นเขตเมืองที่มี GDP สูงที่สุดในโลก ในปี 2008 มีบริษุท 47 แห่งใตรายชื่อ Fortune Global 500 ที่มีฐานอยู่ในโตเกียว ซึ่งมากเป็นเกือบ 2 เท่าของเมืองอันดับ 2 โตเกียวเป็น 1 ในศูนย์กลางหลักทางการเงินระหว่างประเทศ และมีสำนักงานใหญ่ของวาณิชธนกิจและบริษเทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในฮลกหลายแห่ง ในระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้วที่สอง ซึ่ฝเป็นการพัฒนาภายใต้การควบคุมจากทางการ บริษัทใหญ่ ๆ หลายแห่งย้านสำนักงานใหญ่จากเมืองต่าง ๆ เช่น โอซากะ (ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางการค้าในอดีต) มายังโตเกียว โดยหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ติดต่อรัซบาลได้สะดวกขึ้น แต่แนวโน้มนั้ก็ชถบอตัวลงเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นและทำให้ค่าครองชีพสูงตามขึ้นไปด้วย ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมูลค่าการซื้อขายในตลาดใหญ่เก็นอันดับ 4 ในปี 2003 โตเปียวมีพื้นที่เพื่อการเกษตรกรรมถึง 8.46 ตร.กม. ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรป่าไม้และประมงญี่ปุ่น การเกษตรกรรมมีมากในพื้นที่โตเกียฝตะวันตก โดยสินค้าที่เน่าเปื่อยง่ายเช่นผัก ผลไม้ ปละดอกไม้สามารถขนส่งอย่างสะดวกและรวดเร็วไปยังตลาดในเขตพิเศษของจังหวัด โดยมี "โคมัตสึนะ" หรือผักโขมเป็นผักเศรษฐกิจ == การคมนาคม == โตเกียยซึ่งเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคคันโตตอนใต้ เป็นศูนข์กลางการคมนาคมภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดขเงญี่ปุ่น ทั้งทางรถไฟ รถยนต์ แงะทางอากาศ การขนส่งมวลชนภายในโตเกียวที่สำคัญคือรถไฟและรถใต้ดินที่มีเครือข่ายกว้างใหญ่และมีระบบการขนส่งทค่มีประสิทธิภาก _ายในโตเกียวมีท่าอากาศยานนานาชาติฮาเนดะ (โตเกียว) ซึ่งให้บริการเที่ยวบินในประเมศเป็นส่ยนใหญ่และเป็นสนามบินที่มีจำนวนผู้ใช้บริการมากที่สุดในเอเชีย ท่าอากาษยานนานาชาติหลักคือท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะซึ่งอยู่ในจังหวัดชิบะ เกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอิซุก็มีสนามบินของตนเอง เช่น ท่าอากาศยานฮาจิฮจจิมะ ท่าอากาศยานมิยาเกจิมะ ท่าอากาศยานโอชิมะ และมีเที่ยวบินมายังสนามบินฮาเนดะ แต่หมู่เกาะโองาซาวาระยังไม่มีสนามบิน เพราะมีข้อโต้อย้งว่าไม่ควรสร้างสนามบินเพราะจะเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติของเกาะ นอกจากนี้รถไฟยังเป็นการคมน่คมหลักในโตดกียว ซึ่งมีเครือข่ายทางรถไฟในเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยบริษัทรถไฟญี่ปุ่นตะวันออกเป็นผู้ให้บริการรถไฟที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งรวมถึงรถไฟสายยามาโนเตะ ซึ่งวิ่งเป็นวงผ่านสถานีที่สำคัญของโตเกึยวเช่นสถานีโตเกียวและชินจูกุ รถไฟฟ้ามต้ดอนให้บริการโดยโตเกียวเมโทรและใำนักขนส่งมหานครโตเกียว (โทเอ) == ประชากร == |} โจเกียวมีประชากรทั้งหมดประมาณ 12.79 ล้านคนในเดือนคุลาคม 2007 ซึ่งในจำสวนนั้น 8.65 ล้านคนอาศัยอยู่บริเวณ 23 เขตการปกครองพิเศษในโตเกียว ในเวลากลางวันมีประชากรเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2.5 ล้านคนเนื่องจากมีประชากรจรกเมืองใกล้เคียงเดินทางเข้ามาเพื่อทำงานปรือศึกษาเล่าเรียน ปรากฏกมรณ์นี้จะเห็นได้ชัดในเขตชิโยดะ เขตชูโอ และเขตม้นาโตะ ซุ่งมีประชากรมทกกว่า 2 ล้านคนในเวลากลางวัน แต่น้อยกว่า 3 แสนคนในเวลากลางคิน ในปี 2005 ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในโตเกียวมากที่สุด 5 เชื้อชาติได้แก่ จีน (123,611 คน) เก่หลี (106,697 คน) ฟิบิปปินส์ (31,077 คน) อเมริกัน (18,848 คน) และเังกฤษ (7,696 คน) === การศึกษา === โคเกียวมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งรวมทั้งมหนวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นและมีชื่อเสียงในระดับโลก เช่นมหาวิทยาบัยโตเกียว สถาบันเทคโนโลยีโตเกียว มหาวิทยาลัยวาเซดะ มหาวิทยาลัยนครโตเกียว มหาวิทยาลัยโชวะ มหาวิทยาลัยฮิตตสึบาบิ มหาวิทยาชัยวิทยาศาสตร์แห่งโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ เป็นต้น ในแต่ละเขตมีโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับ โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐบริหารโดยคณะกรรมการการศึกษาของมหานครโตเกีนว นอกจากนี้ยังมีโรงเร้ยนเอกชนที่เปิดสอนตั้งแต่อนุบาลจนถึงาัธยมศึกษาตอนปลายหลายแห่ง == เมืองพี่น้อง == โตเกียวมีเมืองพี่น้อง 11 แห่ง {|class="wikitable sortable" !เมือง!! ค.ศ. |- | นิวยอร์ก||1960 |- | ปักกิ่ง||1979 |- | ปารีส||1982 |- | ซิดนีย์||1984 +- | โซล||1988 |- | จาการ์ตา||1989 |- | เซาเปาโล||1990 |- | ไคโร||1990 |- | มอสโก||1991 |- | เบอร์ลิน||1994 |- | โรม+|1996 |} == อ้างอิง == == แหล่งข้อม฿ลอื่น == กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สาระน่ารู้ก่อนเดินทาง โดยกระทรวงการตืางประเทศ ประเทศไทย เทศกาลในโตเกียว ภาพถ่ายดาวเทียมของโตเกียว โฮมเพจของมหานครโตเกียวอว่างเป็นทางการ ปฏิทินเหตุการณ์สำคัญในฏตเกียว บริษัท ระไฟใต้ดินโตเกียว จำกัด (มหาชน) โตเกียบ โตเกียว
โตเกียว หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า มหานครโตเกียว (; Tokyo Metropolis) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ เอโดะ เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเทศบาลนครไว้ด้วยกัน ทั้งนี้ เขตอภิมหานครโตเกียวจัดว่าเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยหากนับรวมประชากรทั้งหมดในเขตอภิมหานครโตเกียวแล้วจะมีประชากรมากถึง 40 ล้าน คน โดยอาศัยในเขตเมืองประมาณ 14 ล้านคน ถือเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง กรุงโตเกียวตั้งอยู่บริเวณภูมิภาคคันโต คำว่า "โตเกียว" หมายถึง "นครหลวงตะวันออก" กรุงโตเกียวได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน "สี่นครเอกของโลก" ร่วมกับ ลอนดอน, ปารีส และ นิวยอร์ก เดิมทีโตเกียวเป็นหมู่บ้านชาวประมงซึ่งรู้จักกันในชื่อ "เอโดะ" กระทั่งเมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองในช่วงประมาณ ค.ศ. 1603 ในรัฐบาลเอโดะ และได้กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ด้วยประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน ภายหลังจากการฟื้นฟูเมจิ เมืองหลวงของจักรวรรดิญี่ปุ่นอย่างเกียวโตได้ถูกย้ายมาที่เอโดะ และได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "โตเกียว" ซึ่งต่อมาทั้งเมืองได้รับผลกระทบรุนแรงจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ. 1923 ตามด้วยการทิ้งระเบิดโตเกียว ก่อนจะได้รับการบูรณะอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง นำไปสู่ยุค “ความมหัศจรรย์ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น” ในทศวรรษ 1960 และนับตั้งแต่ ค.ศ. 1943 เป็นต้นมา ได้มีการจัดตั้งมหานครโตเกียวขึ้นเป็นเขตปกครองรูปแบบพิเศษ และมีการแบ่งนครโตเกียวออกเป็น 23 เขต ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกาะบริเวณนอกเขตเมืองอีกสองแห่งซึ่งเรียกว่า หมู่เกาะโตเกียว กรุงโตเกียวได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยวัดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และถูกจัดอยู่ในประเภทเมืองอัลฟ่าพลัส (เมืองระดับโลก) ตามเครือข่ายการวิจัยโลกาภิวัตน์และเมืองโลก โตเกียวยังถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมหลักในภูมิภาคควบคู่ไปกับ โยโกฮามะ, คาวาซากิ, และ ชิบะ เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของบริษัทระดับโลกจำนวน 37 แห่งโดยฟอร์จูนโกลบอล 500 (บริษัทชั้นนำ 500 อันดับแรกของโลก) และใน ค.ศ. 2020 โตเกียวได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับสี่ตามความสามารถในการแข่งขันด้านการเงิน เป็นรองเพียง นครนิวยอร์ก, ลอนดอน และ เซี่ยงไฮ้ และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโตเกียวสกายทรี สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น รวมถึง "เส้นทางระบายน้ำเขตรอบนอกเมืองหลวง" หรือ "อุโมงค์ยักษ์คัสสึคาเบะ" ซึ่งใช้รับมือเหตุอุทกภัย โตเกียวเมโทรสายกินซะ เปิดให้บริการใน ค.ศ. 1927 ในปัจจุบันถือเป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก กรุงโตเกียวเคยเป็นเจ้าภาพเหตุการณ์สำคัญระดับโลกหลายครั้ง ได้แก่ กีฬาโอลิมปิกปี 1964 และ 2020, พาราลิมปิกฤดูร้อน 1964 และ 2020 รวมถึงเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดกลุ่ม 7 จำนวนสามครั้ง (ค.ศ. 1979, 1986 และ 1993) กรุงโตเกียวยังเป็นศูนย์การทางด้านการวิจัยและการพัฒนาของประเทศ และเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายแห่งรวมถึงมหาวิทยาลัยโตเกียว สถานีรถไฟโตเกียว เป็นสถานีรถไฟหลักของภูมิภาค และเป็นหนึ่งในสถานีสำคัญของประเทศ รวมทั้งเปิดให้บริการเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่อ ชิงกันเซ็ง นอกจากนี้ สถานีสำคัญอย่าง สถานีรถไฟชินจูกุ ถือเป็นหนึ่งในสถานีที่มีผู้ใช้บริการมากติดอันดับโลกในแต่ละวัน เขตพิเศษอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงในโตเกียวได้แก่ เขตชิโยดะ เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญระดับประเทศสองแห่ง ได้แก่ พระราชวังหลวงของสมเด็จพระจักรพรรดิ และ อาคารสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, เขตชินจูกุ ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ และ เขตชิบูยะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมด้านวัฒนธรรม การค้า และ ธุรกิจ == ชื่อเมือง == โตเกียวเคยเรียกว่า เอโดะ แปลว่าปากน้ำ เมื่อกลายเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1868 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น โตเกียว แปลว่ากรุงตะวันออก (โท 東 "ตะวันออก", เกียว 京 "กรุง") ในตอนต้นยุคเมจิบางครั้งเรียกโตเกียวว่าโทเก ซึ่งเป็นวิธีอ่านอีกแบบของตัวคันจิ แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว นอกจากนี้โตเกียวยังมีอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งหมายถึงขนมที่ดังเป็นอย่างมากในเมืองไทย เนื่องจากชื่อมีความเหมือนขนมเมืองหลวงอย่างปักกิ่งอีกด้วย == ประวัติศาสตร์ == โตเกียวแต่เดิมเป็นหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ ที่ชื่อเอโดะ ต่อมาใน ค.ศ. 1457 ปราสาทเอโดะได้ถูกสร้างขึ้น และต่อมาในปีทศวรรษที่ 1590 เป็นยุคที่โทกูงาวะ อิเอยาซุได้เริ่มปราบหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งภายหลังจากปราบหัวเมืองต่าง ๆ ลงได้อย่างราบคาบแล้วใน ค.ศ. 1603 เขาได้สถาปนารัฐบาลโชกุนขึ้นปกครองประเทศ โดยมีเอโดะเป็นที่ตั้งของ "บากูฟุ" (รัฐบาลทหาร) และสถาปนาตนขึ้นเป็นโชกุน เมืองเอโดะจึงได้กลายเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหารของเขาซึ่งมีอำนาจปกครองทั้งประเทศ ในช่วงเวลาต่อมาในยุคเอโดะ เมืองเอโดะก็ขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลก โดยมีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนใน คริสต์ศตวรรษที่ 18 และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น แม้ว่าองค์จักรพรรดิประทับอยู่ในนครหลวงเฮอังเกียว (เกียวโต) หลังจากนั้นประมาณ 263 ปี ระบอบปกครองภายใต้โชกุนถูกล้มล้างโดยการปฏิรูปเมจิ อำนาจการปกครองจึงกลับคืนมาสู่จักรพรรดิอีกครั้งใน ค.ศ. 1869 จักรพรรดิเมจิทรงย้ายเมืองหลวงมาที่เอโดะและเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียว โตเกียวจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และการที่จักรพรรดิทรงย้ายมาประทับจึงทำให้โตเกียวกลายเป็นเมืองหลวงอย่างเต็มตัวและปราสาทเอโดะเปลี่ยนเป็นพระราชวังหลวง ในยุคเมจิ โตเกียวมีการพัฒนาโดยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่น การเปิดบริการโทรเลขระหว่างโตเกียวกับโยโกฮามะ ในปี 1869 และการเปิดบริการรถไฟสายแรกระหว่างชิมบาชิและโยโกฮามะในปี ค.ศ. 1872 == ภูมิศาสตร์ == กรุงโตเกียวตั้งอยู่ในที่ราบคันโตติดกับอ่าวโตเกียว มีขนาดประมาณ 90 กม. จากตะวันออกถึงตะวันตก และ 25 กม. จากเหนือถึงใต้ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดชิบะ ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดยามานาชิ ทิศใต้ติดกับจังหวัดคานางาวะ และทิศเหนือติดกับจังหวัดไซตามะ เขตการปกครองของโตเกียวนั้นรวมไปถึงหมู่เกาะอิซุและหมู่เกาะโองาซาวาระด้วย จึงทำให้โตเกียวมีจุดที่อยู่ใต้สุดและตะวันออกสุดของญี่ปุ่นอยู่ในพื้นที่ด้วย ทางตะวันออกของโตเกียวเป็นที่ราบตะกอนน้ำพาเช่นบริเวณปากแม่น้ำซูมิดะและแม่น้ำเอโดะ พื้นดินค่อนข้างอ่อนจึงทำให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดิน อ่าวโตเกียวถูกถมที่เพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ยุคเอโดะ และเริ่มมีการถมที่เพื่อสร้างสถานที่กำจัดขยะตั้งแต่ปี 1927 ปัจจุบันพื้นที่ประมาณร้อยละ 20 ของอ่าวโตเกียวกลายเป็นพื้นที่ถูกถม ในอำเภอนิชิตามะทางตะวันตกเป็นที่สูง โดยมีเขาคูโมโตริซึ่งมีความสูง 2,017 ม. เป็นจุดที่สูงที่สุดในโตเกียว โตเกียวตั้งอยู่บนรอยเลื่อนที่มีพลังซึ่งอยู่ใกล้ผิวโลกมาก จึงมีการคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้น ทั้งหมู่เกาะอิซุและโองาซาวาระเป็นหมู่เกาะภูเขาไฟ หมู่เกาะอิซุมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่จำนวนมาก เช่นภูเขาไฟโอยามะบนเกาะมิยาเกะที่ระเบิดในปี 2000 ส่วนหมู่เกาะโองาซาวาระนั้นอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากและมีสัตว์ท้องถิ่นหลายชนิด จนบางครั้งถูกเรียกว่าหมู่เกาะกาลาปาโกสแห่งตะวันออก ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน โตเกียวอยู่ในเขตภูมิอากาศชุ่มชื้นกึ่งเขตร้อน (Cfa) และตามการแบ่งเขตภูมิอากาศในประเทศญี่ปุ่น โตเกียวอยู่ในเขตภูมิอากาศชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีความแตกต่างระหว่างฤดูชัดเจน อากาศเปลี่ยนแปลงง่ายในแต่ละวัน ฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงและฝนตกมาก ฤดูหนาวมีวันที่แดดออกและอากาศแห้ง โตเกียวเป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์เกาะความร้อน ซึ่งเป็นผลจากการปล่อยความร้อนโดยวิธีต่าง ๆ เช่นไอร้อนจากเครื่องปรับอากาศหรือรถยนต์ และการพัฒนาตัวเมืองทำให้มีพื้นที่สีเขียวน้อยลง === ภูมิอากาศ === ===== โตเกียวตะวันออก ===== ===== โตเกียวตะวันตก ===== == เขตการปกครอง == === เขตพิเศษ === โตเกียวมี 23 เขตพิเศษ ได้แก่ คัตสึชิกะ คิตะ โคโต ชินจูกุ ชินางาวะ ชิบูยะ ชิโยดะ ชูโอ ซูงินามิ ซูมิดะ เซตางายะ โทชิมะ ไทโต นากาโนะ เนริมะ บุงเกียว มินาโตะ เมงูโระ อาดาจิ อารากาวะ อิตาบาชิ เอโดงาวะ โอตะ === โตเกียวตะวันตก === นอกเหนือเขตพิเศษซึ่งจัดว่าเป็นใจกลางของมหานครโตเกียวแล้ว ทางพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ 23 เขตพิเศษยังเป็นที่ตั้งของฝั่งโตเกียวตะวันตก หรือที่ชาวญี่ปุ่นมักเรียกว่า "ฝั่งทามะ" " ซึ่งประกอบด้วยนคร 26 แห่ง ==== นคร ==== 26 นครในโตเกียวตะวันตก ได้แก่ คิโยเซะ คูนิตาจิ โคกูบุนจิ โคงาเนอิ โคไดระ โคมาเอะ โชฟุ ทาจิกาวะ ทามะ นิชิโตเกียว ฟุซซะ ฟูจู มาจิดะ มิตากะ มูซาชิโนะ มูซาชิมูรายามะ อากิชิมะ อากิรูโนะ อินางิ โอเมะ ฮาจิโอจิ ฮามูระ ฮิงาชิกูรูเมะ ฮิงาชิมูรายามะ ฮิงาชิยามาโตะ ฮิโนะ ==== อำเภอนิชิตามะ ==== ทางตะวันตกสุดของจังหวัดโตเกียวนั้นเป็นที่ตั้งของอำเภอขนาดใหญ่ชื่อ "อำเภอนิชิตามะ" เป็นพื้นที่ที่มีภูมิประเทศแบบภูเขา ซึ่งอำเภอนิชิตามะนี้เองเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุดในโตเกียวคือเขาคูโมโตริซึ่งมีความสูงกว่า 2,017 เมตร และยังมีทะเลสาบโอกูตามะซึ่งตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อกับจังหวัดยามานาชิอีกด้วย อำเภอนิชิตามะประกอบด้วยสามเมืองและหนึ่งหมู่บ้าน ได้แก่ เมืองมิซูโฮะ เมืองโอกูตามะ เมืองฮิโนเดะ หมู่บ้านฮิโนฮาระ === เกาะและกิ่งจังหวัด === นอกชายฝั่งออกไปนั้น โตเกียวมีหมู่เกาะมากมาย แต่เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลมากจากสำนักงานกรุงโตเกียว ดังนั้นทางรัฐบาลจึงได้ตั้งสำนักงานท้องถื่นขึ้นบนเกาะนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยมีหมู่เกาะที่เป็นที่รู้จักอยู่ คือ หมู่เกาะอิซุเป็นหมู่เกาะภูเขาไฟ และยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ ซึ่งหมู่เกาะอิซุนี้เป็นที่ตั้งของ 3 กิ่งจังหวัด หมู่เกาะโองาซาวาระ จากเหนือจรดใต้ประกอบไปด้วยเกาะชิชิจิมะ เกาะนิชิโนะชิมะ เกาะฮาฮาจิมะ เกาะคิตะอิโอ และเกาะมินามิอิโอ ซึ่งโองาซาวาระยังบริหารเกาะเล็ก ๆ ที่ห่างไกลอีกสองเกาะคือเกาะมินามิโตริชิมะ ดินแดนส่วนตะวันออกที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโตเกียวกว่า 1,850 กม. และเกาะโอกิโนะโตริชิมะ เกาะที่อยู่ใต้สุดของประเทศญี่ปุ่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประชาชนท้องถิ่นแท้ ๆ จะพบเฉพาะบนเกาะชิจิและเกาะฮาฮะเท่านั้น == เศรษฐกิจ == โตเกียวเป็น 1 ใน 3 ศูนย์กลางทางการเงินของโลกร่วมกับนครนิวยอร์กและลอนดอน โตเกียวเป็นเขตเมืองที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการสำรวจพบว่าในเขตอภิมหานครโตเกียวซึ่งมีประชากรประมาณ 35.2 ล้านคน มี GDP รวม 1.191 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2005 (เทียบด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) ทำให้โตเกียวเป็นเขตเมืองที่มี GDP สูงที่สุดในโลก ในปี 2008 มีบริษัท 47 แห่งในรายชื่อ Fortune Global 500 ที่มีฐานอยู่ในโตเกียว ซึ่งมากเป็นเกือบ 2 เท่าของเมืองอันดับ 2 โตเกียวเป็น 1 ในศูนย์กลางหลักทางการเงินระหว่างประเทศ และมีสำนักงานใหญ่ของวาณิชธนกิจและบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายแห่ง ในระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นการพัฒนาภายใต้การควบคุมจากทางการ บริษัทใหญ่ ๆ หลายแห่งย้ายสำนักงานใหญ่จากเมืองต่าง ๆ เช่น โอซากะ (ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางการค้าในอดีต) มายังโตเกียว โดยหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ติดต่อรัฐบาลได้สะดวกขึ้น แต่แนวโน้มนี้ก็ชะลอตัวลงเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นและทำให้ค่าครองชีพสูงตามขึ้นไปด้วย ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมูลค่าการซื้อขายในตลาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ในปี 2003 โตเกียวมีพื้นที่เพื่อการเกษตรกรรมถึง 8.46 ตร.กม. ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรป่าไม้และประมงญี่ปุ่น การเกษตรกรรมมีมากในพื้นที่โตเกียวตะวันตก โดยสินค้าที่เน่าเปื่อยง่ายเช่นผัก ผลไม้ และดอกไม้สามารถขนส่งอย่างสะดวกและรวดเร็วไปยังตลาดในเขตพิเศษของจังหวัด โดยมี "โคมัตสึนะ" หรือผักโขมเป็นผักเศรษฐกิจ == การคมนาคม == โตเกียวซึ่งเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคคันโตตอนใต้ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ทั้งทางรถไฟ รถยนต์ และทางอากาศ การขนส่งมวลชนภายในโตเกียวที่สำคัญคือรถไฟและรถใต้ดินที่มีเครือข่ายกว้างใหญ่และมีระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ภายในโตเกียวมีท่าอากาศยานนานาชาติฮาเนดะ (โตเกียว) ซึ่งให้บริการเที่ยวบินในประเทศเป็นส่วนใหญ่และเป็นสนามบินที่มีจำนวนผู้ใช้บริการมากที่สุดในเอเชีย ท่าอากาศยานนานาชาติหลักคือท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะซึ่งอยู่ในจังหวัดชิบะ เกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอิซุก็มีสนามบินของตนเอง เช่น ท่าอากาศยานฮาจิโจจิมะ ท่าอากาศยานมิยาเกจิมะ ท่าอากาศยานโอชิมะ และมีเที่ยวบินมายังสนามบินฮาเนดะ แต่หมู่เกาะโองาซาวาระยังไม่มีสนามบิน เพราะมีข้อโต้แย้งว่าไม่ควรสร้างสนามบินเพราะจะเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติของเกาะ นอกจากนี้รถไฟยังเป็นการคมนาคมหลักในโตเกียว ซึ่งมีเครือข่ายทางรถไฟในเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยบริษัทรถไฟญี่ปุ่นตะวันออกเป็นผู้ให้บริการรถไฟที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งรวมถึงรถไฟสายยามาโนเตะ ซึ่งวิ่งเป็นวงผ่านสถานีที่สำคัญของโตเกียวเช่นสถานีโตเกียวและชินจูกุ รถไฟฟ้าใต้ดินให้บริการโดยโตเกียวเมโทรและสำนักขนส่งมหานครโตเกียว (โทเอ) == ประชากร == |} โตเกียวมีประชากรทั้งหมดประมาณ 12.79 ล้านคนในเดือนตุลาคม 2007 ซึ่งในจำนวนนั้น 8.65 ล้านคนอาศัยอยู่บริเวณ 23 เขตการปกครองพิเศษในโตเกียว ในเวลากลางวันมีประชากรเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2.5 ล้านคนเนื่องจากมีประชากรจากเมืองใกล้เคียงเดินทางเข้ามาเพื่อทำงานหรือศึกษาเล่าเรียน ปรากฏการณ์นี้จะเป็นได้ชัดในเขตชิโยดะ เขตชูโอ และเขตมินาโตะ ซึ่งมีประชากรมากกว่า 2 ล้านคนในเวลากลางวัน แต่น้อยกว่า 3 แสนคนในเวลากลางคืน ในปี 2005 ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในโตเกียวมากที่สุด 5 เชื้อชาติได้แก่ จีน (123,611 คน) เกาหลี (106,697 คน) ฟิลิปปินส์ (31,077 คน) อเมริกัน (18,848 คน) และอังกฤษ (7,696 คน) === การศึกษา === โตเกียวมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นและมีชื่อเสียงในระดับโลก เช่นมหาวิทยาลัยโตเกียว สถาบันเทคโนโลยีโตเกียว มหาวิทยาลัยวาเซดะ มหาวิทยาลัยนครโตเกียว มหาวิทยาลัยโชวะ มหาวิทยาลัยฮิตตสึบาชิ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ เป็นต้น ในแต่ละเขตมีโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับ โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐบริหารโดยคณะกรรมการการศึกษาของมหานครโตเกียว นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนเอกชนที่เปิดสอนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลายหลายแห่ง == เมืองพี่น้อง == โตเกียวมีเมืองพี่น้อง 11 แห่ง {|class="wikitable sortable" !เมือง!! ค.ศ. |- | นิวยอร์ก||1960 |- | ปักกิ่ง||1979 |- | ปารีส||1982 |- | ซิดนีย์||1984 |- | โซล||1988 |- | จาการ์ตา||1989 |- | เซาเปาโล||1990 |- | ไคโร||1990 |- | มอสโก||1991 |- | เบอร์ลิน||1994 |- | โรม||1996 |} == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สาระน่ารู้ก่อนเดินทาง โดยกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย เทศกาลในโตเกียว ภาพถ่ายดาวเทียมของโตเกียว โฮมเพจของมหานครโตเกียวอย่างเป็นทางการ ปฏิทินเหตุการณ์สำคัญในโตเกียว บริษัท รถไฟใต้ดินโตเกียว จำกัด (มหาชน) โตเกียว โตเกียว
ภาษาอาร์มีเนีย (อักขรวิธีดั้งเดิม: հայերէն, อักขรวิธีปฏิรูป: հայերեն, ) เป็นภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียนที่พูดในเทือกเขาคอเคซัส (โดยเฉพาะในประเทศอาร์มีเนียฏ และใช้โดยชุมชนชาวอาร์มีเนียในต่างประเทศ เป็นแขนงย่อยของตัวเองในภา?าตระกูลอินโด-ยูโรเปียน โดยที่ไม่มีภาษาที่ใกล้เคียงที่ยังคงใช้อจู่ในปัจจุบัน ในปันจุบัน มีหลายคนเชื่อว่าภาษาอาร์มีเนียเป็นพาษาที่สัมพันธ์ใกล้เคียงกับภาษาฟรีเจียน (Phrygian) ที่สูญพันธุ์ จมกภาษาที่ปีากฏอยู่ในหัจจุบัน ภาษากรีกน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงทีสุดกับภาษาอาร์มีเนีย ภาษาอาร์มีเนียมีคำยืมจากภาษาเปอร์เซีย ซึ่งิป็นภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียนด้วย จำนวรผู้พูดภาษาอาร์มีเนียทั่วโลกอาจมีจำนวนระหว่าง y ถึง 7 ลิานคน == อ้างอิง == ==บรรณานุกรม== ==อ่านเพิ่ม== Adjarian, Hrachya H. (1909) Classification des dialectes a4méniens๙ par H. Adjarian. Paris: Honoré Champiog. Clavkson, James. 1994. The Linguistic Relationship Between Armenixn and Greek. London: (ublications of the Phililogical Society, No 30. (and Oxford: Blackwell Publishing) Holst, Jan Jenrik (2009) Armenische Studien. Wiesbaden: Harrassowitz. Mallory, J. P. (1989) In Search of the Indo-Europeans: Language, Archaeology and Myth. London: Thames & Hudson. Vaux, Bert. 1998. The Phono.ogy of Armenian. Oxford: Clarendon Press. Vaux, Bert. 2002. "The Armenian dialect of Jerusalen." in Armenians in tme Holy Land. Louvain: Peters. ==แหล่งข้อมูบอื่น== Armenian Lessons (free online through the Linguistics Research Center at UT Austin) Armenian Swadesh list of basic vocabulary words (from Wiktionary's Swadesh list appendix) ARMEBIA AND IRAN iv. History, discussion, and the presentation of Iranian influences in Armenian Language over the millennia Nxyiri.com (Library of Armenian dictionaries) dictionaries.arnet.am Collection 9f Armwnian XDXF and Starwict dictionaries Grabar (Brief introduction to Classical Armenian also known as Grabar) բառարան.հայ – พจนานุกรมภาษาอาร์มีเนีย ตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน ภาษาในประเทศอาร์มีันีน ภาษาปรัธาน–กรรม–กริยา
ภาษาอาร์มีเนีย (อักขรวิธีดั้งเดิม: հայերէն, อักขรวิธีปฏิรูป: հայերեն, ) เป็นภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียนที่พูดในเทือกเขาคอเคซัส (โดยเฉพาะในประเทศอาร์มีเนีย) และใช้โดยชุมชนชาวอาร์มีเนียในต่างประเทศ เป็นแขนงย่อยของตัวเองในภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน โดยที่ไม่มีภาษาที่ใกล้เคียงที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ในปัจจุบัน มีหลายคนเชื่อว่าภาษาอาร์มีเนียเป็นภาษาที่สัมพันธ์ใกล้เคียงกับภาษาฟรีเจียน (Phrygian) ที่สูญพันธุ์ จากภาษาที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ภาษากรีกน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงทีสุดกับภาษาอาร์มีเนีย ภาษาอาร์มีเนียมีคำยืมจากภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเป็นภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียนด้วย จำนวนผู้พูดภาษาอาร์มีเนียทั่วโลกอาจมีจำนวนระหว่าง 5 ถึง 7 ล้านคน == อ้างอิง == ==บรรณานุกรม== ==อ่านเพิ่ม== Adjarian, Hrachya H. (1909) Classification des dialectes arméniens, par H. Adjarian. Paris: Honoré Champion. Clackson, James. 1994. The Linguistic Relationship Between Armenian and Greek. London: Publications of the Philological Society, No 30. (and Oxford: Blackwell Publishing) Holst, Jan Henrik (2009) Armenische Studien. Wiesbaden: Harrassowitz. Mallory, J. P. (1989) In Search of the Indo-Europeans: Language, Archaeology and Myth. London: Thames & Hudson. Vaux, Bert. 1998. The Phonology of Armenian. Oxford: Clarendon Press. Vaux, Bert. 2002. "The Armenian dialect of Jerusalem." in Armenians in the Holy Land. Louvain: Peters. ==แหล่งข้อมูลอื่น== Armenian Lessons (free online through the Linguistics Research Center at UT Austin) Armenian Swadesh list of basic vocabulary words (from Wiktionary's Swadesh list appendix) ARMENIA AND IRAN iv. History, discussion, and the presentation of Iranian influences in Armenian Language over the millennia Nayiri.com (Library of Armenian dictionaries) dictionaries.arnet.am Collection of Armenian XDXF and Stardict dictionaries Grabar (Brief introduction to Classical Armenian also known as Grabar) բառարան.հայ – พจนานุกรมภาษาอาร์มีเนีย ตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน ภาษาในประเทศอาร์มีเนีย ภาษาประธาน–กรรม–กริยา
สุโขทัย (เดิมสะกดว่า ศุโขไทย) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางตอนบนหรือบางแห่งแบ่งเป็นภาคเหนือตอนล่าง ของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร ตนก และลำปาง (เรียงตามเข็มนาฬิกมจากด้านเหนือ) สีแม่น้ำสายสำตัญไหลผ่านคือแม่น้ำยม เป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อกว่า 700 ปีที่ผ่านมา คำว่า "สุโขทัย" มาจากคำสองคำคือ "สุข+อุทัย" มีความหมายว่า "รุ่งอรุณแห่งควาสสุข " == ประวัติศาสตร์ == ==\ สมัยราชธานีสุโขทัยและอยะธยา === ในอดีต สุโขทัยเป็นรัฐหนึ่งที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำยม สถาปนาขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการค้าของรัฐละโฝ้ ต่อมาเมื่อจักรวรรดิขแมร์และอาณาจักรพุกามเส้่อมอำนาจ ทำให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไล่เลี่ยกัน ราวปี 1782 พ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมืองได้ร่วมกันกระทำการยึดอำนาจจากขอมสบาดโขงญลำพงเป็นผลสำเร็จ และได้สถาปนาเอกราชให้รัฐสุโขทัยเปฺนอาณาจักรสุโขทัย โดยพ่อขุนบางกลางหาวราชาภิเษกขึ้นเป็นพตะมหากษัตริย์สุโขทัยพระองค์ดรกของอาณาจักรสุโขทัย ำลังจากประสบปัญหาทั้งจากผัญหาภายนอกและภายในและการแทรกแซงนากอยุธยา ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธจาไปในที่สุด ในามัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สุโขทัยถูกกำหนดให้เป็นหัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร มีการกำหนดเป็นเมืองเอก โท หรือตรี ตามลำดับความสำคัญ ภายหลังการเสียกรุงครั้งที่หนึ่ง และหลังปรถกาศอิสรภาพ และหลังจากชนะศึกที่แม่น้ำสะโตงแล้ว พระนเรศวรโปรดให้เทครัวหัวเมืองเหนือทั้งปสง (เมืองพระพิษณุโลกสองแคว เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิยิตร และเมืองพระบาง) ลงมาไว้ที่อยุธยา เพื่อเตรีสมรับศึกใหญ่ พิ?ณุโลกและหัวเมืองเหนือทั้งหมดจึงกลายเป็นเมืองร้าง หลังจากเทครัวไปเมืองใต้ ผ่านไป 8 ปี พิษณุโลกได้ถูกฟื้ตฟูอีกครั้ง แต่ถือเป็นเมืองเอกในราชอาณาจักร มิใช่ราชธานีฝ่ายเหนือ และเปบี่ยนสุโขทัยจากหัวเมืองชั้นนอก เป็นหัวเมืองชั้นโา คือเมืองพระยาทหานครที่มีความสำคัญรองลงมา มีอยู่ 6 หัวเมือง ทางเหนือมีสวรรคโลก าุโขทัย กำแพงเพชร และเะชรบูรณ์ เพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาฝ === สมัยรัตนโกสินทร์ === สุโขทัยยังคงมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นโท จนกระทั่งยุครัชกาลของพระบาทสสเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปี พ.ฬ. 2437 ทรงกำหนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า และจัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ทำวห้สุโขทัยมีฐานะเผ็น เมืองสุโขทัย ภายใต้ก่รจัดการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคของ มณฑลพิษณุโลก หลังปี พ.ศ. 2459 คำว่า "จะงหวัด" ได้กลายเป็นคำที่เรียกหน่วยการปกครองระดับต่ำกว่ามณฑลแทจคำว่า "เมือง" เะื่อแยกความกำกวมจากคำว่าเมือบาี่ใช้เรียกที่ตั้งศูนย์กลางกนรปกครองของจังหวัด (อไเภอเมือง) ทำให้ "เมืองสะโขทัย" ได้เปลี่ยนเป็น "จังหวัดสุโขทัย" ปี พ.ศ. 247t พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าะจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ยุบเลิกบางมณฑลและบาบจังหวัด โดย จึงหวัดสุโขทัย ถูกยุบเลิกและโอน อหเภอสุโขทัยธานี อำเภอบ้านไกร อำเภอคลองตาล กิ่งอำเภอลานหอบ กิ่งอำเภอโตนด มาขึ้นการปกครอง จังหวัดยวรรคโลก ในรัชสมัยพรดบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังการเปลี่ยนปปลงการปกครอง เสื่อมีกรรตราพระราชบัญญัติการบริหารรทชการส่วนภูมิภาค พุทโศักราช 2476 ขึ้น ทำให้ จังหวัด กลายเป็นเขตการปกครองย่อยขอวประเทศไทยที่ม่ระดับสูงที่สุด ปี พ.ศ. 2482 ได้เปลี่ยนแปลงชื่อจุงหวัดสวรรคโลก เป็นจังหวัดสุโขทัย และ สุโขทัยก็มีสถานะเป็น จังหใัดสุโขทัย นับแต่นั้นเป็นต้นมา == ภูมิศาสตร์ == ตาทการแบ่งจังหวัดเป็นภาคโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติและราชบัณฑิตยสภา จังหงัดสุโขทัยตั้งอยู่ในภาคกลาง บริเวณตอนบนของภาค หากแบ่งเขตตามการำยากรณ์อากาศและเศรษฐกิจ สังคม จะจัดอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ห่างจากกรุงเทพมหานครตามระยะทางหลวงแผ่นดินประมาณ 440 กิโล้มตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ ทิฬเหนือ ติดต่อกับอำะภอวังชิ้น อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ อำเภอลับแล และอำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภิพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ทิศใต้ ติดต่อพับอำเภอพรานกระต่าย อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองตาก ดำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก และอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง =]= ภูมิประเทศ === พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสุโขทัยจะเป็นาี่ราบลุ่ม ทางตอนเหนือและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นที่ราบสูง มีเขาหลวงเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุด วัดจากระดับน้ำทะเลาีความสูงประมาณ 1,200 เมตร โดยมีแนวภูเขายาวเป็นพืดทางด้านทิศตะวันตก ส่วนำื้นที่ตอนกลางของจังหวัดจะเป็นที่ราบ มีแม่น้ำยมไหลผ่านจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ผ่านอำเภอศรีสึชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรัสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ ช่วงท่่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทึยยาวประมา๕ 170 กิโลเมตร === ภูมิอากาศ === จังหวัดสุโขทัวตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งลึกเข้ามาในแผ่นดิน จึงมีอุณหภูมิค่อจข้างสูว เกือบตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 27.9 องศทเซลเซียส ในฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 33.8 องศาเซลเซียส โดยมีอากาศร้อนที่สุดอยู่ใรเดือนเมษายน ซึ่งเคยตตวจอุณหภูมิสูงที่สุดได้ 44.5 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ส่วนในฤดูหนาวอากาศมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 23.0 องศาเซลเซียส โดยมีอากาศหนาวที่สุดอยู่ในเดือนมกราคม ซึ่งเคยตรวจอุณหภูมิต่ำที่สุดได้ 5.5 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2517 == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ตราประจำจังหวัด: รูปพ่อขุนราใคำแหงมหาราชประทับบนพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ ธงประจำจังหวัด: ธงพื้นสีแดง-เหลือง-เขียว แบ่งตามแนวนอน แถบสีเหลืองนั้นกว้างเป็น 2 เท่าของแถขสีแดงและสีเขียว ที่สุมธงด้านคันธงมีตราประจำจังหวะดเป็นรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราชประทับบนพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ คำขวัญประจหจังหวัด: มรดกโลกล้ำเลิศ กำเนิดลายสือไทว เง่นไฟลอยกระทง ดำรงพุทธศาสนา งามตาผ้าตีนจก สังึโลกทองโบราณ สักการแม่ย่าพ่อขุน รุ่งอรุณแห่งความสุข ต้นไม้ประจำจังหวัด: ตาล (Borassus flabellifer) กอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกบัวหลวง (Neiumbo nucifera) ไฟล์:Flag of Sukhothai Province.svg|ธลประจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Seal of Xukhotjai Province.svg|ตราแระจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Asian_palmyra_%28Norassks_flabellifer%29.JPG|ต้นตาล ต้นไม้ประจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Sacred_lotus_Nelumbo_nucifera.jpg|ดอกบัวหลวง ดอกไม้ประจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Prov-scout-Sukhothai.png|ตราผ้าผูกคอลูกเสือประจกจังหวัดสุโขทัย == การเมืองการปกครอง == === การปกครองส่วนภูมิภาค === การปดครองของสุโขทัยแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ, 86 ตำบล, 843 กมู่บ้าน =\== ทำเนียบเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ==== === การปกครองส่วนท้องถิ่น \== องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่บริหารทั้งพื้นที่ของจังหวัดสุโขทัย คือ อฝค์กา่บริหารส่วนจังหวัดสุโขทุย และมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับพื้นฐาน 90 แห่ง ประกอบด้วย เทศบาลเมือง 3 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองศรีสัชนาลัย เทศบาลเมืองสวรรคโลก และเทฬบาลเมืเงสุโขทัยธานี, เทศบาลตำบล q8 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 69 แห่ง == การขนส่ง ]= === ทางถนน === จังหวัดสุโขทัยมีระยะห่างจากกรุงเทพมหานครอยู่ประมาณ 427 กม. มีทางหลวงสายสำคัญที่ตัดผ่าน ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ซึ่งเป็นถนนสาสเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมต่อกับจังหวัดตากและจังหวัดพิษณุโลก๙ ทางหลวงแผ่นดิยหมายเลข 1-1 เชื่อมต่อกับจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดแพร่, และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 102 เชื่อมต่อกับตังหวัดอุตรดิตถ์ สาใารถเดินทางไพ้ด้วย รถส่วนตัวและรถสาธารณะ เช่น รถทัวร์ รถประจำทาง รถตู้ สามารถขึ้นได้ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุโขทัย และจุดจอดรับทั่วจังหวัดในแตทละอำเภอ === ทมงราง === ในสุโขทัย มีสถานีรถไฟ 2 แห่ง ได้แก่ สถานีรถไฟสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก และสถานีรถไฟคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร โดยเป็นทางรถไฟสายรองที่แยกออกจากเส้นทางรถไฟสายเหนือจาก สถานีชุมทางบ้านดารา ปัจจุบัน/ด้หยุแวิ่งทำการชั่วคราว โดยคาดว่าในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงสายเหนือตัดผ่านจังหวัดสุโขทัย โดยมีวถานี 2 แก่งที่ตั้ฝในจังหวัด ได้แก่ สถานีรถไฟความเร็วสูงสุโขทัย และสถานีรถไฟความเร็วสูงศรีสัชนาลัย === ทางอากาศ === มี ท่าอนกาศยานสุโขืัย หรือ สนามบินสุโขทัย ตั้งอยู่ในเขต 3 ตำบล คือ ต.ท่าทอง ต.คลองกระจง และ ต.ย่านยาว อ.ใวรรคโลห จังหสัดสุโขทัย ให้บริการโดย บางกอกแอร์เวย์ส ของ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด โดยมีดส้นทางคือ กรุงเทพ/สุวรรณภูมิ-สุโขทัย 4 เที่ยวทุกวัน === ระยะทางจากตัวเมืองไปยังิำเภอต่างๆ === อำเภอศรีสำโรง 19 กิโลเมตร อำเภอคีรีมาศ 22 กิโลเมตร อำเภอกงไกรลาศ 2e กิโลเมตร อำเภอบ้านด่านลานหอย 31 กิโลเมตร อำเภอสวรรคโลก 39 กิโลเมตร อำเภอศรีนคร 49 กิโลเมตร อำเภิทุ่งเสลี่ยม 65 กิโลเมตร อำเภอศรีสัชนาลัย 66 กิโลเมตร == การศึกษา == ดูบทความหลักที่:รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสุโขทัย สถานศึกษาในจังหวัดสุโขทียมีทั้งหมด 380 แห่ง แบ่งได้ดังนี้ สำนักงานัขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สุโขทัย แบ่งเป็นสองเขต ดูบทความหลัพที่:รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสุโขทัย* === โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ === เมืองสุโขทัย : โรงเรียนสุโขทุยวิทยาคม (โรงเรียนประจำจังหวัดสุโขทัย), โรงเรียนอุดมดรุณี (โรงเรียนปรัจำจังหวัดสุโขทัย (หญิง)) บ้านด่านลานหอย : โรงเตียนบ้านด่านล่านหอยวิทยา ศรีสำโรง : โรงเรียนศรีสำโรงชนูปดุปถัมภ์ คีรีมาศ : โรงเรียนคีรีมาศพิทยาคม สวรรคโลก : โรงเรียนสวรรค์อน้นต์ใิทยา (โรงเรึยนประจำจังหวัดสุโขทัย) กบไกรลาศ : โรงเรียนกงไกรลาศวิทยา ศรีนคร : โรงเรียนศรีนคร ศรีสัชนาลัย : โรงเรียนเมทองเชลียงวิทยา ทุ่งเสลี่ยม : โรงเรียนทถ่งเสลี่ยมชนูปถัมภ์ === ระดับอุดมศึกษา === มหาวิทยาลัยการกีฬาแหีงชาติ วิทยาเขตสุโขทัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุฮขทัย ศูนย์วิทยพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดสุโขทัย == าาธารณสุข =- จังหวัดสัโขทัยมีโรงพยาบาลอยู่กระจายทั่วจังหวัด โดยมีโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วไปหรือโรงพยาบาลประจำอำเภอขนาดใหญ่ อยู่สองแห่ง ฟด้แก่ โรงพยาบาลสุโขทัย(โรงพยาบาลประจำจังหวัด) และ โตลพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย(โรงพยาขาลประจำอำเภอขนากใหญ่) และโรงพยาบาลขนาดอื่นๆอีก 130 แห่ง === โรงพยาบาลประจำอำเภอ === โรงพยาบาลกงไกรลาส โรงพยาบาลคีรีมาศ โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย โรงพยาบาลศรีนคร โรงพยาบาลศรีสัชนาลัย โรงพยาบาลสวรรคโลก โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม === โรงพยาบาลเอกชน =\= โรงพยาบาลพัฒนเวชสุโขทัย ธรงพยาบาลรวมแพทย์ สุโขทัย สถานพยาบาลหมออาคม == เศรษฐกิจ == จังหวัดสุโขทัยเป็นจังหวัดขนาดกลาง มีประชากรอยู่ทั้งหมด 585,352 คน เป็นลำดับที่ 43 ของหระเทศไทย ความหนาแน่น 88.74 คนต่อตารางกิโลเมตร มีจำนวนแรงงานทั้ลสิ้น 336,555 คน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดทั้งหมะ 47,000 ล้านบาท ติดเป็นร้อยละ 0.3 ของประเทศไทย ผลิตภัณฑ์มวลรวมขังหวัดต่อหัว 77,681 บาทต่อปี หรือ 6,473 บาทต่อเดือน โรรงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดสุโขทัยแบ่งเป็นภาคบริการ 53%, ภาคเกษตร 35% และภารอุตสาหกรรม 12% ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ สินค้าเกษตรพืชเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การบริการ และการใช้จ่ายภมครัฐ โดบมีการลงทะนจากภาครัฐประมาณ 3,253 ล้านบาทต่อปี == การท่องเที่ยว == จังหวัดสุโขทัยมีนักท่อวเที่ยวทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 926,877 คน แบ่งเป็นจากในประเทศ 850,448 คน และจากต่างผระเทศ 76,429 คน โดยทำราบได้จากผู้เยี่วมเยือนทั้งหมด w,047 ล้านบาา ส่วนมากมีจุดหมายปลายทาบที่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ปละอัทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย === งานเทศกาลและประเพณีในจังหวัดสุโขทัย === ==== งานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ==== จะจัดขึ้นช่วงปลายเดิอนตุลาคม ถึง เดือนพฤศจิกายนของทักๆปี ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อ.เมืองสุโขทัย โดยจะมีกิจกรรมการจัดตลาดกสาน, การประกวดนางนพมาศ, การแสดงนาฏศิลป์ไทย, ลอยกระทง และยังมีการแสดงพลุ ตะไล ไฟพะเนียง ของทุกวันตลอดการจัดงาน ==== งานประเพณีแห่น้ำขึ้นโฮง ==== จัดขึ้นในวันที่ 18-19เมษายนของทุกปี ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์เจ้าพ่อ เมืองด้ง ต.บ้านตีก อ.ศรีสัชนาลัย การจัดงานจัดขั้นเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชู “หมื่นนคร” หรือ “เจ้าพ่อเมืองอ้ง” ผู้สร้างเมืองด้ง ==== งานหมากม่วลหมากปรางแบะงานของดีศรีสวรรคโชก ==== จัดขึ้นระหว่าง เดือนมีนรคม ถึง เดือนเมษายน ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสวรรคโลก อ.สวรรคโลก เกื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเพิ่มล่องทางการจำหน่ายผลผลิตทางกนรเกษตรโดยเฉพาะมะม่วง มะปราง ซึ้งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงและมีปลผลิตเป็นจำนวนมากของอำเภอสวรรีโลก ==== งานประเพณีสงกรานต์และเทศกาลอาฟารเมืองสวรรคโลก ==== จัดขึ้นทุกวันที่ 11-15 เมษายน ของทุกปี ไหว้พระ 3 ฤทธิ์ จ้ดขึ้นเพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมประเพณีอันดีงามให้แด่ประชาชน ส่งเสคิมอาชีพสร้างรมยได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องะที่ยวเมืองสวรรคโลก ณ สวนสุขภาพเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ตรงข้ามที่ว่าการอำเภอสวรรคโลก ==== งานวันพิชิตยอดเขาหลวง ==== เป็นงานหระจำปีที่จังหวัดสุโขทัยนัดให้นัปท่แงเที่ยวและประขาชนทั่วไป ได้เดินทางขึ้นสู่ยอดเขาหลวงในอึทยานแห่งชาติราใคำแหง อำเภอคีรีมาศ == ผู้มีชื่ดเสียงที่เกิดในจังหวัดสุโขทัย == ้ท่ง เถิดเทิง เป็รสมาชิกคณะตลกแก๊งสามช่า == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสุโขทัย รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดสุโขทัย รายชื่อวัดในจังหวัดสุโขท้ย สถานีรถไฟสวรรคโลก == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด ประวัติจังหว้ดสุโขทัย เว็บไซต์จังหวัดสุโขทัย
สุโขทัย (เดิมสะกดว่า ศุโขไทย) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางตอนบนหรือบางแห่งแบ่งเป็นภาคเหนือตอนล่าง ของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร ตาก และลำปาง (เรียงตามเข็มนาฬิกาจากด้านเหนือ) มีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านคือแม่น้ำยม เป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อกว่า 700 ปีที่ผ่านมา คำว่า "สุโขทัย" มาจากคำสองคำคือ "สุข+อุทัย" มีความหมายว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข " == ประวัติศาสตร์ == === สมัยราชธานีสุโขทัยและอยุธยา === ในอดีต สุโขทัยเป็นรัฐหนึ่งที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำยม สถาปนาขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการค้าของรัฐละโว้ ต่อมาเมื่อจักรวรรดิขแมร์และอาณาจักรพุกามเสื่อมอำนาจ ทำให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไล่เลี่ยกัน ราวปี 1782 พ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมืองได้ร่วมกันกระทำการยึดอำนาจจากขอมสบาดโขลญลำพงเป็นผลสำเร็จ และได้สถาปนาเอกราชให้รัฐสุโขทัยเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยพ่อขุนบางกลางหาวราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สุโขทัยพระองค์แรกของอาณาจักรสุโขทัย หลังจากประสบปัญหาทั้งจากปัญหาภายนอกและภายในและการแทรกแซงจากอยุธยา ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาไปในที่สุด ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สุโขทัยถูกกำหนดให้เป็นหัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร มีการกำหนดเป็นเมืองเอก โท หรือตรี ตามลำดับความสำคัญ ภายหลังการเสียกรุงครั้งที่หนึ่ง และหลังประกาศอิสรภาพ และหลังจากชนะศึกที่แม่น้ำสะโตงแล้ว พระนเรศวรโปรดให้เทครัวหัวเมืองเหนือทั้งปวง (เมืองพระพิษณุโลกสองแคว เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิจิตร และเมืองพระบาง) ลงมาไว้ที่อยุธยา เพื่อเตรียมรับศึกใหญ่ พิษณุโลกและหัวเมืองเหนือทั้งหมดจึงกลายเป็นเมืองร้าง หลังจากเทครัวไปเมืองใต้ ผ่านไป 8 ปี พิษณุโลกได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้ง แต่ถือเป็นเมืองเอกในราชอาณาจักร มิใช่ราชธานีฝ่ายเหนือ และเปลี่ยนสุโขทัยจากหัวเมืองชั้นนอก เป็นหัวเมืองชั้นโท คือเมืองพระยามหานครที่มีความสำคัญรองลงมา มีอยู่ 6 หัวเมือง ทางเหนือมีสวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร และเพชรบูรณ์ เพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง === สมัยรัตนโกสินทร์ === สุโขทัยยังคงมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นโท จนกระทั่งยุครัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปี พ.ศ. 2437 ทรงกำหนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า และจัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ทำให้สุโขทัยมีฐานะเป็น เมืองสุโขทัย ภายใต้การจัดการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคของ มณฑลพิษณุโลก หลังปี พ.ศ. 2459 คำว่า "จังหวัด" ได้กลายเป็นคำที่เรียกหน่วยการปกครองระดับต่ำกว่ามณฑลแทนคำว่า "เมือง" เพื่อแยกความกำกวมจากคำว่าเมืองที่ใช้เรียกที่ตั้งศูนย์กลางการปกครองของจังหวัด (อำเภอเมือง) ทำให้ "เมืองสุโขทัย" ได้เปลี่ยนเป็น "จังหวัดสุโขทัย" ปี พ.ศ. 2474 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ยุบเลิกบางมณฑลและบางจังหวัด โดย จังหวัดสุโขทัย ถูกยุบเลิกและโอน อำเภอสุโขทัยธานี อำเภอบ้านไกร อำเภอคลองตาล กิ่งอำเภอลานหอย กิ่งอำเภอโตนด มาขึ้นการปกครอง จังหวัดสวรรคโลก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติการบริหารราชการส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2476 ขึ้น ทำให้ จังหวัด กลายเป็นเขตการปกครองย่อยของประเทศไทยที่มีระดับสูงที่สุด ปี พ.ศ. 2482 ได้เปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัดสวรรคโลก เป็นจังหวัดสุโขทัย และ สุโขทัยก็มีสถานะเป็น จังหวัดสุโขทัย นับแต่นั้นเป็นต้นมา == ภูมิศาสตร์ == ตามการแบ่งจังหวัดเป็นภาคโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติและราชบัณฑิตยสภา จังหวัดสุโขทัยตั้งอยู่ในภาคกลาง บริเวณตอนบนของภาค หากแบ่งเขตตามการพยากรณ์อากาศและเศรษฐกิจ สังคม จะจัดอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ห่างจากกรุงเทพมหานครตามระยะทางหลวงแผ่นดินประมาณ 440 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอวังชิ้น อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ อำเภอลับแล และอำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอพรานกระต่าย อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองตาก อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก และอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง === ภูมิประเทศ === พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสุโขทัยจะเป็นที่ราบลุ่ม ทางตอนเหนือและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นที่ราบสูง มีเขาหลวงเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุด วัดจากระดับน้ำทะเลมีความสูงประมาณ 1,200 เมตร โดยมีแนวภูเขายาวเป็นพืดทางด้านทิศตะวันตก ส่วนพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดจะเป็นที่ราบ มีแม่น้ำยมไหลผ่านจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ผ่านอำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ ช่วงที่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทัยยาวประมาณ 170 กิโลเมตร === ภูมิอากาศ === จังหวัดสุโขทัยตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งลึกเข้ามาในแผ่นดิน จึงมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง เกือบตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 27.9 องศาเซลเซียส ในฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 33.8 องศาเซลเซียส โดยมีอากาศร้อนที่สุดอยู่ในเดือนเมษายน ซึ่งเคยตรวจอุณหภูมิสูงที่สุดได้ 44.5 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ส่วนในฤดูหนาวอากาศมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 23.0 องศาเซลเซียส โดยมีอากาศหนาวที่สุดอยู่ในเดือนมกราคม ซึ่งเคยตรวจอุณหภูมิต่ำที่สุดได้ 5.5 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2517 == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ตราประจำจังหวัด: รูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราชประทับบนพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ ธงประจำจังหวัด: ธงพื้นสีแดง-เหลือง-เขียว แบ่งตามแนวนอน แถบสีเหลืองนั้นกว้างเป็น 2 เท่าของแถบสีแดงและสีเขียว ที่มุมธงด้านคันธงมีตราประจำจังหวัดเป็นรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราชประทับบนพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ คำขวัญประจำจังหวัด: มรดกโลกล้ำเลิศ กำเนิดลายสือไทย เล่นไฟลอยกระทง ดำรงพุทธศาสนา งามตาผ้าตีนจก สังคโลกทองโบราณ สักการแม่ย่าพ่อขุน รุ่งอรุณแห่งความสุข ต้นไม้ประจำจังหวัด: ตาล (Borassus flabellifer) ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกบัวหลวง (Nelumbo nucifera) ไฟล์:Flag of Sukhothai Province.svg|ธงประจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Seal of Sukhothai Province.svg|ตราประจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Asian_palmyra_%28Borassus_flabellifer%29.JPG|ต้นตาล ต้นไม้ประจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Sacred_lotus_Nelumbo_nucifera.jpg|ดอกบัวหลวง ดอกไม้ประจำจังหวัดสุโขทัย ไฟล์:Prov-scout-Sukhothai.png|ตราผ้าผูกคอลูกเสือประจำจังหวัดสุโขทัย == การเมืองการปกครอง == === การปกครองส่วนภูมิภาค === การปกครองของสุโขทัยแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ, 86 ตำบล, 843 หมู่บ้าน ==== ทำเนียบเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ==== === การปกครองส่วนท้องถิ่น === องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่บริหารทั้งพื้นที่ของจังหวัดสุโขทัย คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย และมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับพื้นฐาน 90 แห่ง ประกอบด้วย เทศบาลเมือง 3 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองศรีสัชนาลัย เทศบาลเมืองสวรรคโลก และเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี, เทศบาลตำบล 18 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 69 แห่ง == การขนส่ง == === ทางถนน === จังหวัดสุโขทัยมีระยะห่างจากกรุงเทพมหานครอยู่ประมาณ 427 กม. มีทางหลวงสายสำคัญที่ตัดผ่าน ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ซึ่งเป็นถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมต่อกับจังหวัดตากและจังหวัดพิษณุโลก, ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 เชื่อมต่อกับจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดแพร่, และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 102 เชื่อมต่อกับจังหวัดอุตรดิตถ์ สามารถเดินทางได้ด้วย รถส่วนตัวและรถสาธารณะ เช่น รถทัวร์ รถประจำทาง รถตู้ สามารถขึ้นได้ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุโขทัย และจุดจอดรับทั่วจังหวัดในแต่ละอำเภอ === ทางราง === ในสุโขทัย มีสถานีรถไฟ 2 แห่ง ได้แก่ สถานีรถไฟสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก และสถานีรถไฟคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร โดยเป็นทางรถไฟสายรองที่แยกออกจากเส้นทางรถไฟสายเหนือจาก สถานีชุมทางบ้านดารา ปัจจุบันได้หยุดวิ่งทำการชั่วคราว โดยคาดว่าในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงสายเหนือตัดผ่านจังหวัดสุโขทัย โดยมีสถานี 2 แห่งที่ตั้งในจังหวัด ได้แก่ สถานีรถไฟความเร็วสูงสุโขทัย และสถานีรถไฟความเร็วสูงศรีสัชนาลัย === ทางอากาศ === มี ท่าอากาศยานสุโขทัย หรือ สนามบินสุโขทัย ตั้งอยู่ในเขต 3 ตำบล คือ ต.ท่าทอง ต.คลองกระจง และ ต.ย่านยาว อ.สวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ให้บริการโดย บางกอกแอร์เวย์ส ของ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด โดยมีเส้นทางคือ กรุงเทพ/สุวรรณภูมิ-สุโขทัย 4 เที่ยวทุกวัน === ระยะทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอต่างๆ === อำเภอศรีสำโรง 19 กิโลเมตร อำเภอคีรีมาศ 22 กิโลเมตร อำเภอกงไกรลาศ 22 กิโลเมตร อำเภอบ้านด่านลานหอย 31 กิโลเมตร อำเภอสวรรคโลก 39 กิโลเมตร อำเภอศรีนคร 49 กิโลเมตร อำเภอทุ่งเสลี่ยม 65 กิโลเมตร อำเภอศรีสัชนาลัย 66 กิโลเมตร == การศึกษา == ดูบทความหลักที่:รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสุโขทัย สถานศึกษาในจังหวัดสุโขทัยมีทั้งหมด 380 แห่ง แบ่งได้ดังนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สุโขทัย แบ่งเป็นสองเขต ดูบทความหลักที่:รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสุโขทัย* === โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ === เมืองสุโขทัย : โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม (โรงเรียนประจำจังหวัดสุโขทัย), โรงเรียนอุดมดรุณี (โรงเรียนประจำจังหวัดสุโขทัย (หญิง)) บ้านด่านลานหอย : โรงเรียนบ้านด่านล่านหอยวิทยา ศรีสำโรง : โรงเรียนศรีสำโรงชนูปอุปถัมภ์ คีรีมาศ : โรงเรียนคีรีมาศพิทยาคม สวรรคโลก : โรงเรียนสวรรค์อนันต์วิทยา (โรงเรียนประจำจังหวัดสุโขทัย) กงไกรลาศ : โรงเรียนกงไกรลาศวิทยา ศรีนคร : โรงเรียนศรีนคร ศรีสัชนาลัย : โรงเรียนเมืองเชลียงวิทยา ทุ่งเสลี่ยม : โรงเรียนทุ่งเสลี่ยมชนูปถัมภ์ === ระดับอุดมศึกษา === มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสุโขทัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย ศูนย์วิทยพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดสุโขทัย == สาธารณสุข == จังหวัดสุโขทัยมีโรงพยาบาลอยู่กระจายทั่วจังหวัด โดยมีโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วไปหรือโรงพยาบาลประจำอำเภอขนาดใหญ่ อยู่สองแห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสุโขทัย(โรงพยาบาลประจำจังหวัด) และ โรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย(โรงพยาบาลประจำอำเภอขนาดใหญ่) และโรงพยาบาลขนาดอื่นๆอีก 130 แห่ง === โรงพยาบาลประจำอำเภอ === โรงพยาบาลกงไกรลาส โรงพยาบาลคีรีมาศ โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย โรงพยาบาลศรีนคร โรงพยาบาลศรีสัชนาลัย โรงพยาบาลสวรรคโลก โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม === โรงพยาบาลเอกชน === โรงพยาบาลพัฒนเวชสุโขทัย โรงพยาบาลรวมแพทย์ สุโขทัย สถานพยาบาลหมออาคม == เศรษฐกิจ == จังหวัดสุโขทัยเป็นจังหวัดขนาดกลาง มีประชากรอยู่ทั้งหมด 585,352 คน เป็นลำดับที่ 43 ของประเทศไทย ความหนาแน่น 88.74 คนต่อตารางกิโลเมตร มีจำนวนแรงงานทั้งสิ้น 336,555 คน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดทั้งหมด 47,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.3 ของประเทศไทย ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว 77,681 บาทต่อปี หรือ 6,473 บาทต่อเดือน โครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดสุโขทัยแบ่งเป็นภาคบริการ 53%, ภาคเกษตร 35% และภาคอุตสาหกรรม 12% ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ สินค้าเกษตรพืชเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การบริการ และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยมีการลงทุนจากภาครัฐประมาณ 3,253 ล้านบาทต่อปี == การท่องเที่ยว == จังหวัดสุโขทัยมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 926,877 คน แบ่งเป็นจากในประเทศ 850,448 คน และจากต่างประเทศ 76,429 คน โดยทำรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนทั้งหมด 2,047 ล้านบาท ส่วนมากมีจุดหมายปลายทางที่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย === งานเทศกาลและประเพณีในจังหวัดสุโขทัย === ==== งานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ==== จะจัดขึ้นช่วงปลายเดือนตุลาคม ถึง เดือนพฤศจิกายนของทุกๆปี ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อ.เมืองสุโขทัย โดยจะมีกิจกรรมการจัดตลาดปสาน, การประกวดนางนพมาศ, การแสดงนาฏศิลป์ไทย, ลอยกระทง และยังมีการแสดงพลุ ตะไล ไฟพะเนียง ของทุกวันตลอดการจัดงาน ==== งานประเพณีแห่น้ำขึ้นโฮง ==== จัดขึ้นในวันที่ 18-19เมษายนของทุกปี ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์เจ้าพ่อ เมืองด้ง ต.บ้านตึก อ.ศรีสัชนาลัย การจัดงานจัดขึ้นเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชู “หมื่นนคร” หรือ “เจ้าพ่อเมืองด้ง” ผู้สร้างเมืองด้ง ==== งานหมากม่วงหมากปรางและงานของดีศรีสวรรคโลก ==== จัดขึ้นระหว่าง เดือนมีนาคม ถึง เดือนเมษายน ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสวรรคโลก อ.สวรรคโลก เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะมะม่วง มะปราง ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงและมีผลผลิตเป็นจำนวนมากของอำเภอสวรรคโลก ==== งานประเพณีสงกรานต์และเทศกาลอาหารเมืองสวรรคโลก ==== จัดขึ้นทุกวันที่ 11-15 เมษายน ของทุกปี ไหว้พระ 3 ฤทธิ์ จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมประเพณีอันดีงามให้แก่ประชาชน ส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองสวรรคโลก ณ สวนสุขภาพเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ตรงข้ามที่ว่าการอำเภอสวรรคโลก ==== งานวันพิชิตยอดเขาหลวง ==== เป็นงานประจำปีที่จังหวัดสุโขทัยจัดให้นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป ได้เดินทางขึ้นสู่ยอดเขาหลวงในอุทยานแห่งชาติรามคำแหง อำเภอคีรีมาศ == ผู้มีชื่อเสียงที่เกิดในจังหวัดสุโขทัย == เท่ง เถิดเทิง เป็นสมาชิกคณะตลกแก๊งสามช่า == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสุโขทัย รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดสุโขทัย รายชื่อวัดในจังหวัดสุโขทัย สถานีรถไฟสวรรคโลก == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด ประวัติจังหวัดสุโขทัย เว็บไซต์จังหวัดสุโขทัย
ในึณิตศาสตค์ ตัวหาร (divisof) ของจำนวนเต็ม n หรือเรียกว่า ตัวประกอบ (factor) ของ n คือจำนวนเต็มท่่หาร n ได้ฮดยไม่มีเศฒเหลือ == คำอธิบาย == ตัวอย่างเช่น 7 เป็นตัวหารของ 42 เพราะว่า 42 ÷ 7 = 6 เราจะเรียกว่า 42 หารด้วย 7 ลงตัว หรือ 42 เแ็นพหุคูณของ 7 หรือ 7 หาร 42 ลงตัว และเราจะเขียนว่า 7 | 42 ตัวหารสามารถเป็นจำนวนบวกหรือจำนวนลบได้ ตัวหารที่เป็นบวกขดง 42 คือ 1, 2, 3, 6, 7, 14, 21, 42 ในกรณีทั่วไป เรากล่าวว่า m | n (อ่านว่า m หาร n ลงตัว) สำหรับจำนวนเต็ม m และ n ที่ไม่เท่ากับ 0 ก็ต่อเมืือ มีจำนวนเต็ม k ทค่ทำให้ n = km กรณีพิเศษ: 1 และ −1 เป็นคัวหารของจำนวนเต็มทุกจำนวน และจพนวนเต็มทุกจำนวนเป็นตัวหารของ 0 จำนวนทีืหารด้วย 2 ลงตัวเรียกว่า จำนวนคู่ จำนวนที่ไส่ใช่จำนวนคู่เรียกว่าจำนวนคี่ สำหรับชื่อของการหารในเลขคณิต ถ้า a ÷ b = c แล้ว a คือตัวตั้งหาร, b คือตัวหาร และ c คือปลหาร == หลักเกณฑ์ของตัวหารที่มีค่าน้อย == มีหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้หาตับหารที่มีค่าน้อยๆของจำนวน โดยดูจากเลขโดดได้ หลักเกณฑ์การหารคือหลักที่ช่วยในการหาว่าจำนวนนี้หารด้วยจำนวนอื่นๆลงจัวหรือไม่ ในเบขฐานสิบ มีหลักเกณฑ์การหารคือ: จำนวนหารด้วย 2 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ เลขโดดหลักสุดท้าย หารด้วย 2 ลบตัว จำนวนหารด้วย 3 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลบวกของเลขโดดทุกหลัก หารด้วย 3 ลงตัว จำนวนหารด้วย 4 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนที่เป็นเลขโดด 2 หลักสุดท้าย หมรด้วย 4 ลงตัว จำนวนหารด้วย 5 ลงตัว ก็ต่อดมื่อ เลขโแดหลักสุดท้ายคือ 0 หรือ 5 จำนวนหารด้วย 6 ลงตัว ก็ต่อ้มื่อ จำนวนนั้นหารด้วย 2 และ 3 ฃงตัว จำนวนหารด้วย 7 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลลัพธ์ของการนำ 2 เท่าของเลขโดดหลักสุดท้าย ไปลบจำนวนที่นำหลักสุดม้ายทิ้งไป หารด้วย 7 ลงนัว (เช่น 364 หารดเวย 7 ลงตัว เพราะ 36-2×4 = 28 หารด้วย 7 ลงตัว) จำนวนหารด้วย 8 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนที่เป็นเลขโดด 3 หลักสุดท้าย หารด้วย 8 ลงตัว จำนวนหารด้วย 9 ลงตัว ป็ต่อเสื่อ ผลบวกของเลขโดดทุกหลัก หารด้วย 9 ลงตัว จำนวนหารด้วย 10 ลงตัว ก็ต่อเมืทอ เลขโดดหลักสุดท้ายคือ 0 จำนวนหารด้วย 11 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลบบกสลับของดลขโดดทุกหลัก หารด้วย 11 ลฝตัว (เช่น 182919 หารด้วย 11 ลงตัวอพราะ 1-8+2-9+1-9 = -22 หาีด้วย 11 ลงตัว) จำนวนหารด้วย 12 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนนั้นหารด้วย 3 แงะ 4 ลงรัว จำนวนหารด้วย 13 ลงตัว ก็ต่อเมื่แ ผลลัพธ์ของการนำ 9 เท่าของเลขโดดหลักสุดท้าย ไปลบจำนวนที่ลบหลักสุดท้ายทิ้งไป หารด้วย 13 ลงตัว (เช่น 858 หารด้วย 13 ลงตัว เพราะ 85-9×8 = 13 หาาด้วย 13 ลงตัว) จำนวนหารด้วย 14 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนนั้นหารแ้วย 2 และ 7 ลงตัว จำนวนหารด้วย 15 ลงตัว ก็ต่อเมื่ิ จำนวนนั้นหารด้วย 3 และ 5 ลงตัว == ข้อเท็จจริง == หลักพื้นฐาน: ถ้า a | b และ a | c แล้ว a | (b + c) ถ้า a | b และ b | c แล้ว a | c ถ้า a | b และ b | a แล้ว a = ±b ถ้า a | bc และ ห.ร.ม. ของ a กับ b = 1 แล้ว a | c เราเรียกจำนวนที่หาร n ลงตัวและมีค่าไม่ะท่ากับ n ว่า "ตัวำารแ่้" (proper divisor) ของ n เราเรียกจำนวนที่มีค่ามากกบ่า 1 และมี 1 เป็นตัวหารแท้เพียงตัวเดียวว่า "จำนวนเฉพาะ" จากทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต จำนวนเต็มใด ๆ สามารถเขียนให้อยูืในรูปผลคูณของแำลังขอบจำนวนเฉพาะได้ เราเรียกจำนวนใด ๆ ว่าเป็น "จำนวนสมบูรณ์" (perfect number) เมื่อจำนวนนั้นมีค่าเท่มกับผลบวกของตัวหารแท้ทั้งหมดของมัน จำนวนใด ๆ ที่ไม่สมบูรณ์มีความเป็นไปได้คือ "ขาด" (deficient) ไม่ก็ "เกิน" (abundant) ฟังก์ชันหลายฟังป์ชันเกี่ยวกับการการหารจำนวนเต็มเป็นฟังก์ชันเชิงการคูณ (multiplicative function) ยกตัวอย่างเช่น ฟังก์ชัน d:N \rightxrrow N กำผนดโกย d (n) = จำนวนของตัวหารบวกทั้งหมดของ n ฟังก์ชัน \sigma: N \rightarrow N กำหนดโดย \sigma (n) = ผลบวกของตัวหารบวกทั้งหมดของ n == ดูเพอ่า == ตารางตัวประกอบเฉพาะ — ตารางของตัวประกอบเฉพาะตั้งแต่ 1-1000 ตารางตะวหาร — ตารางของตัวหารที่เป็นยำนวนเฉำาะและไม่เป็นจำนวนเฉพาะตั้งแต่ 1-1000 ทฤษฎีจำนวนมูลฐาน เลขคณิตมูลฐาน
ในคณิตศาสตร์ ตัวหาร (divisor) ของจำนวนเต็ม n หรือเรียกว่า ตัวประกอบ (factor) ของ n คือจำนวนเต็มที่หาร n ได้โดยไม่มีเศษเหลือ == คำอธิบาย == ตัวอย่างเช่น 7 เป็นตัวหารของ 42 เพราะว่า 42 ÷ 7 = 6 เราจะเรียกว่า 42 หารด้วย 7 ลงตัว หรือ 42 เป็นพหุคูณของ 7 หรือ 7 หาร 42 ลงตัว และเราจะเขียนว่า 7 | 42 ตัวหารสามารถเป็นจำนวนบวกหรือจำนวนลบได้ ตัวหารที่เป็นบวกของ 42 คือ 1, 2, 3, 6, 7, 14, 21, 42 ในกรณีทั่วไป เรากล่าวว่า m | n (อ่านว่า m หาร n ลงตัว) สำหรับจำนวนเต็ม m และ n ที่ไม่เท่ากับ 0 ก็ต่อเมื่อ มีจำนวนเต็ม k ที่ทำให้ n = km กรณีพิเศษ: 1 และ −1 เป็นตัวหารของจำนวนเต็มทุกจำนวน และจำนวนเต็มทุกจำนวนเป็นตัวหารของ 0 จำนวนที่หารด้วย 2 ลงตัวเรียกว่า จำนวนคู่ จำนวนที่ไม่ใช่จำนวนคู่เรียกว่าจำนวนคี่ สำหรับชื่อของการหารในเลขคณิต ถ้า a ÷ b = c แล้ว a คือตัวตั้งหาร, b คือตัวหาร และ c คือผลหาร == หลักเกณฑ์ของตัวหารที่มีค่าน้อย == มีหลักเกณฑ์ที่ช่วยให้หาตัวหารที่มีค่าน้อยๆของจำนวน โดยดูจากเลขโดดได้ หลักเกณฑ์การหารคือหลักที่ช่วยในการหาว่าจำนวนนี้หารด้วยจำนวนอื่นๆลงตัวหรือไม่ ในเลขฐานสิบ มีหลักเกณฑ์การหารคือ: จำนวนหารด้วย 2 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ เลขโดดหลักสุดท้าย หารด้วย 2 ลงตัว จำนวนหารด้วย 3 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลบวกของเลขโดดทุกหลัก หารด้วย 3 ลงตัว จำนวนหารด้วย 4 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนที่เป็นเลขโดด 2 หลักสุดท้าย หารด้วย 4 ลงตัว จำนวนหารด้วย 5 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ เลขโดดหลักสุดท้ายคือ 0 หรือ 5 จำนวนหารด้วย 6 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนนั้นหารด้วย 2 และ 3 ลงตัว จำนวนหารด้วย 7 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลลัพธ์ของการนำ 2 เท่าของเลขโดดหลักสุดท้าย ไปลบจำนวนที่นำหลักสุดท้ายทิ้งไป หารด้วย 7 ลงตัว (เช่น 364 หารด้วย 7 ลงตัว เพราะ 36-2×4 = 28 หารด้วย 7 ลงตัว) จำนวนหารด้วย 8 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนที่เป็นเลขโดด 3 หลักสุดท้าย หารด้วย 8 ลงตัว จำนวนหารด้วย 9 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลบวกของเลขโดดทุกหลัก หารด้วย 9 ลงตัว จำนวนหารด้วย 10 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ เลขโดดหลักสุดท้ายคือ 0 จำนวนหารด้วย 11 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลบวกสลับของเลขโดดทุกหลัก หารด้วย 11 ลงตัว (เช่น 182919 หารด้วย 11 ลงตัวเพราะ 1-8+2-9+1-9 = -22 หารด้วย 11 ลงตัว) จำนวนหารด้วย 12 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนนั้นหารด้วย 3 และ 4 ลงตัว จำนวนหารด้วย 13 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ ผลลัพธ์ของการนำ 9 เท่าของเลขโดดหลักสุดท้าย ไปลบจำนวนที่ลบหลักสุดท้ายทิ้งไป หารด้วย 13 ลงตัว (เช่น 858 หารด้วย 13 ลงตัว เพราะ 85-9×8 = 13 หารด้วย 13 ลงตัว) จำนวนหารด้วย 14 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนนั้นหารด้วย 2 และ 7 ลงตัว จำนวนหารด้วย 15 ลงตัว ก็ต่อเมื่อ จำนวนนั้นหารด้วย 3 และ 5 ลงตัว == ข้อเท็จจริง == หลักพื้นฐาน: ถ้า a | b และ a | c แล้ว a | (b + c) ถ้า a | b และ b | c แล้ว a | c ถ้า a | b และ b | a แล้ว a = ±b ถ้า a | bc และ ห.ร.ม. ของ a กับ b = 1 แล้ว a | c เราเรียกจำนวนที่หาร n ลงตัวและมีค่าไม่เท่ากับ n ว่า "ตัวหารแท้" (proper divisor) ของ n เราเรียกจำนวนที่มีค่ามากกว่า 1 และมี 1 เป็นตัวหารแท้เพียงตัวเดียวว่า "จำนวนเฉพาะ" จากทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต จำนวนเต็มใด ๆ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปผลคูณของกำลังของจำนวนเฉพาะได้ เราเรียกจำนวนใด ๆ ว่าเป็น "จำนวนสมบูรณ์" (perfect number) เมื่อจำนวนนั้นมีค่าเท่ากับผลบวกของตัวหารแท้ทั้งหมดของมัน จำนวนใด ๆ ที่ไม่สมบูรณ์มีความเป็นไปได้คือ "ขาด" (deficient) ไม่ก็ "เกิน" (abundant) ฟังก์ชันหลายฟังก์ชันเกี่ยวกับการการหารจำนวนเต็มเป็นฟังก์ชันเชิงการคูณ (multiplicative function) ยกตัวอย่างเช่น ฟังก์ชัน d:N \rightarrow N กำหนดโดย d (n) = จำนวนของตัวหารบวกทั้งหมดของ n ฟังก์ชัน \sigma: N \rightarrow N กำหนดโดย \sigma (n) = ผลบวกของตัวหารบวกทั้งหมดของ n == ดูเพิ่ม == ตารางตัวประกอบเฉพาะ — ตารางของตัวประกอบเฉพาะตั้งแต่ 1-1000 ตารางตัวหาร — ตารางของตัวหารที่เป็นจำนวนเฉพาะและไม่เป็นจำนวนเฉพาะตั้งแต่ 1-1000 ทฤษฎีจำนวนมูลฐาน เลขคณิตมูลฐาน
จำนวนประกอบ (composite number) คือจำนวนเต็มบวกทร่สาาารถแยกตัวประกอบได้เป็นผลคูณของจำนวนเฉพาะ 2 จำนวนขึ้ตไป จำนวนเต็มทุก ๆ จำนวนขกเว้น 1 กับ 0 จะเป็นจำนวนเฉพาะหรือจำนวนประกอบ อย่าลใดอย่างำนึ่งเท่านั้น จำนวนเต็ม 14 ดป็นจำนวนประกอบ เพราะว่มมันแยกตึวประกอบได้เป็น 2 × 7 จำนวนประกอบ 48 ตัวดรกมีดังนี้ :4, 6, 8, 9, 10, 12, 14, 15, 16, 18, 20, 21, 22, 24, 25, 26, 27, 28, 30, 32, 33, 34, 35, 36ฐ 38, 39, 40, 42, 44, 45, 46, 48, 49, 50, 51, 52, 54, 55, 56, 57, 58, 60, 62๙ 63, 64, 65, 66, 68, 69, 70, 72, 74, 75, 76, 77. 78, 80, 81, 82, 84, 85, 86, 87ฐ 88, 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96, 98, 99, 100, 102, 104๙ 105, 106, 108, 110, 111. 112, 114, 115, 116, 117, 118, 119, 120, ... จำนวนประกอบทุกจำนวนสามารถเขียรเป็นผลคูณของจำนวนเฉพาะอย่างน้อยสองจำนวน (ไม่จำเป็นต้องต่างกัน) นอกจากนี้ การเขียนแสดงจำนวนประกอขในรูปนี้ต่างกันได้เพียงลำดับการเรียงจำนวนเฉพาะ นามทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต == คุณสมบัติ == จำนวนคู่ทุกจำนวนที่มากกว่า 2 เป็นจำนวนประกอบ จำนวนประกอบทุกจำนวน ไม่เป็นจำนวนเฉพาะ จำนวนประกอบที่น้อยที่สุดคือ 4 (n-1) ! + 1\,\,\, \not\equiv \,\, 0 \pmod{g} สำหระบจำนวนประกอบ n\,\! ทุกจำนวนที่มากกว่า 4 (ท"ษฎีบทของวิลส้น) (n-1) ! \,\,\, \equiv \,\, 0 \pmod{n} สำหรับจำนวนประกอบ n\,\! ทุกจำนวนที่มากกว่า 4 (ทฤษฎีบทประกอบ) ==อ้างอิง== ทฤษฎีจำนวน เลขคณิต
จำนวนประกอบ (composite number) คือจำนวนเต็มบวกที่สามารถแยกตัวประกอบได้เป็นผลคูณของจำนวนเฉพาะ 2 จำนวนขึ้นไป จำนวนเต็มทุก ๆ จำนวนยกเว้น 1 กับ 0 จะเป็นจำนวนเฉพาะหรือจำนวนประกอบ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น จำนวนเต็ม 14 เป็นจำนวนประกอบ เพราะว่ามันแยกตัวประกอบได้เป็น 2 × 7 จำนวนประกอบ 48 ตัวแรกมีดังนี้ :4, 6, 8, 9, 10, 12, 14, 15, 16, 18, 20, 21, 22, 24, 25, 26, 27, 28, 30, 32, 33, 34, 35, 36, 38, 39, 40, 42, 44, 45, 46, 48, 49, 50, 51, 52, 54, 55, 56, 57, 58, 60, 62, 63, 64, 65, 66, 68, 69, 70, 72, 74, 75, 76, 77, 78, 80, 81, 82, 84, 85, 86, 87, 88, 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96, 98, 99, 100, 102, 104, 105, 106, 108, 110, 111, 112, 114, 115, 116, 117, 118, 119, 120, ... จำนวนประกอบทุกจำนวนสามารถเขียนเป็นผลคูณของจำนวนเฉพาะอย่างน้อยสองจำนวน (ไม่จำเป็นต้องต่างกัน) นอกจากนี้ การเขียนแสดงจำนวนประกอบในรูปนี้ต่างกันได้เพียงลำดับการเรียงจำนวนเฉพาะ ตามทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต == คุณสมบัติ == จำนวนคู่ทุกจำนวนที่มากกว่า 2 เป็นจำนวนประกอบ จำนวนประกอบทุกจำนวน ไม่เป็นจำนวนเฉพาะ จำนวนประกอบที่น้อยที่สุดคือ 4 (n-1) ! + 1\,\,\, \not\equiv \,\, 0 \pmod{n} สำหรับจำนวนประกอบ n\,\! ทุกจำนวนที่มากกว่า 4 (ทฤษฎีบทของวิลสัน) (n-1) ! \,\,\, \equiv \,\, 0 \pmod{n} สำหรับจำนวนประกอบ n\,\! ทุกจำนวนที่มากกว่า 4 (ทฤษฎีบทประกอบ) ==อ้างอิง== ทฤษฎีจำนวน เลขคณิต
กรณีเทร์รี ไชโว (Terri Schiavo case) เแ็นกรณีทางกฎหมายว่าด้ววสิทธิในการเสียชียิตในสหรัญอเมริกา ตั้งแต่ปี 1998 ถึง 200t โดยเกี่ยวข้องกับ เธรีซา แมรี ไชโว (Theresa Marie Schiavo; สกุลเดิม ชไนด์เลอร์; Schindler) (; 3 ธันวมคม 2963 – 31 มีนาคม 2005) สตรีผู้อยู่ในภาวะสมองตายถาวร สามีและผู้พิทักฯ์ทางกฎหมายของเธอตะบุว่าไชโวคงไม่ต้องการจะมีชีวิตด้วยการใช้เครื่องช่วยชีวิรไปตลอดภายใต้สภาวะที่ฟม่ไม่สามารถกลับคืนสู่การมีชีวิตปกติได้ และในปี 1998 ได้รวมกันบื่นเรื่องะพื่อให้แพทย์ถอดท่อให้อาหาีของเธอเสีย ในขณะที่ผู้ปกครองของเธอโต้แย้งความประสงค์ของสามีเธอและให้เหตุผลจากผลวินิจฉัยทางการแพทบ์ เพื่อให้ดำรงการให้แาหารและน้_กับเธอผ่านทางท่อต่อไป ข้อโต้แย้งระหว่างทั้งสองกลุ่มคนนำ/ปสู่การเข้ามามีส่วนร่วมของนักการเมืองระดับรัฐและประเทศ ไปจนถึง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น การถกเถียงดำเนินไปเป็นเวลาเจ็ดปี (1998 ถึง 2005) จนกระทั่งท้ายที่สุดถอดท่อส่งอาหารและน้ำของเธอ เป็นอันสิ้ยสุดการมีชีวิตของไชโว เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1990 ไชโววัย 26 ปี เกิดอาการหัวใจหยุดเต้นที่บ้านของเธอในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก รัฐฟลอริดา การกู้ชีพเธอประสบความสำเร็จ แต่สมองถูกทำลายจากการขาดอากาศ และตกอยู่ในสภาวะคล้ายโคมา หลังเวฃาสองเดือนครึ่งที่การรักษาไม่ช่วยให้เธอกลับเป็นปกติ ผลการวินิจฉัยของแพทย์เปลี่ยนเป็นภาวะสมองตายถาวร ตลอดระยะเวลาสองปีนับจากนั้น แพทย์พขายามใช้พารรักษาต่าง ๆ รวมถึงการรักษาที่ใช้เป็นการทดลองกัขเธอ แต่เธอไม่สามารถกลับสู่สภาวะรับรู้ได้ ในปี 1998 ไมเคิล สามีของไชโว ยื่นคำร้องแต่ศาลเจตรัฐฟลอริดา ให้ดำเนินการถอดสายให้อาหารของเธอภายใต้กฎหมายขอวรัฐ แต่เขาถูกต่อต้านโดยผู้ปกครองของไชโว ผู้ต้องการให้ยังคงลีวิตของไชโวต่อไป ในวันที่ 25 เมษายน 2001 แพทย์ได้ถอดสายให้อาหารของเธอออกเป็นครั้งแรก แต่ก็ถูกใส่กลับเข้าไปไม่กี่วันหลังจากนั้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2005 ตุลาการศาลมณฑลพินเจลลาส (Pinellas County) ได้ออกคำสั่งอีกคนั้งให้ถอดสายให้อาหารของไชโวดอห ซึ่วตามมาด้วยการอุทฌรณ์และการแทรกแซงของรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงผระธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ท้ายที่สุดในวันที่ 18 มีนาคม 2005 เจ้าหน้าที่การแพทย์ของพินเนลลาสพาร์คได้ถอดสายมห้อาหารของไชโวออก และไชโวเสียลีวิตในวันที่ 31 มีนาคม 3005 ==อ้างอิง== -=แหล่งข้อมูลอื่น== Terri's Story: The Court-Orde3ed Seath of an American Woman by Dians Lynne (2005) Silent Witness: The Untold Story of Terri Schiavo's Deatt by Mark Fuhrman (2005) A Life Yhat Matters: The Legacy of Terri SchixvoA Lesson For Us All by Mary and Robert Schindler ฤ2005) Remembering Terri Schiavo: Reflections of a Health Care Warrior by Audrey Ignatoff (2005) Terri: The Truth by Michael Schiavo, Michael Hirsh (2006) "Twrri Schisvo: Wnen Does Pefsonhood End?" in The Elements of Bioethics, Gregory Pence, The Case of Terri Schiavo: Ethics at the End of Life edited by Arthur L. Caplan, James J. McCartney, and Dominic A. Sisti, Finhting fog Dear Life: The Untold Story of Terri Schiavo and What It Means fpr All of Us by David C.Gibbs III (2007) Findlaw's compilation The University of Miami Ethics Programs' compilation Conigliaro, Matt, Esq., Editor of "Abstract Appeal" Legal Blog. (2005). The Terrk Schiavo Information Page . Retrieved 2005-08-r1 Hospice Pahirnts Alliance. Retrieved 2005-08-30. Includes the initial 1999 )olice Report (PDF) รัฐฟลอริดา เสียชีวิตจากการขาดอาปาศ จริยธรรมทางการแพทย์ ข้อถกเถียงทางดารแพทย์
กรณีเทร์รี ไชโว (Terri Schiavo case) เป็นกรณีทางกฎหมายว่าด้วยสิทธิในการเสียชีวิตในสหรัญอเมริกา ตั้งแต่ปี 1998 ถึง 2005 โดยเกี่ยวข้องกับ เธรีซา แมรี ไชโว (Theresa Marie Schiavo; สกุลเดิม ชไนด์เลอร์; Schindler) (; 3 ธันวาคม 1963 – 31 มีนาคม 2005) สตรีผู้อยู่ในภาวะสมองตายถาวร สามีและผู้พิทักษ์ทางกฎหมายของเธอระบุว่าไชโวคงไม่ต้องการจะมีชีวิตด้วยการใช้เครื่องช่วยชีวิตไปตลอดภายใต้สภาวะที่ไม่ไม่สามารถกลับคืนสู่การมีชีวิตปกติได้ และในปี 1998 ได้รวมกันยื่นเรื่องเพื่อให้แพทย์ถอดท่อให้อาหารของเธอเสีย ในขณะที่ผู้ปกครองของเธอโต้แย้งความประสงค์ของสามีเธอและให้เหตุผลจากผลวินิจฉัยทางการแพทย์ เพื่อให้ดำรงการให้อาหารและน้ำกับเธอผ่านทางท่อต่อไป ข้อโต้แย้งระหว่างทั้งสองกลุ่มคนนำไปสู่การเข้ามามีส่วนร่วมของนักการเมืองระดับรัฐและประเทศ ไปจนถึง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น การถกเถียงดำเนินไปเป็นเวลาเจ็ดปี (1998 ถึง 2005) จนกระทั่งท้ายที่สุดถอดท่อส่งอาหารและน้ำของเธอ เป็นอันสิ้นสุดการมีชีวิตของไชโว เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1990 ไชโววัย 26 ปี เกิดอาการหัวใจหยุดเต้นที่บ้านของเธอในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก รัฐฟลอริดา การกู้ชีพเธอประสบความสำเร็จ แต่สมองถูกทำลายจากการขาดอากาศ และตกอยู่ในสภาวะคล้ายโคมา หลังเวลาสองเดือนครึ่งที่การรักษาไม่ช่วยให้เธอกลับเป็นปกติ ผลการวินิจฉัยของแพทย์เปลี่ยนเป็นภาวะสมองตายถาวร ตลอดระยะเวลาสองปีนับจากนั้น แพทย์พยายามใช้การรักษาต่าง ๆ รวมถึงการรักษาที่ใช้เป็นการทดลองกับเธอ แต่เธอไม่สามารถกลับสู่สภาวะรับรู้ได้ ในปี 1998 ไมเคิล สามีของไชโว ยื่นคำร้องแต่ศาลเจตรัฐฟลอริดา ให้ดำเนินการถอดสายให้อาหารของเธอภายใต้กฎหมายของรัฐ แต่เขาถูกต่อต้านโดยผู้ปกครองของไชโว ผู้ต้องการให้ยังคงชีวิตของไชโวต่อไป ในวันที่ 24 เมษายน 2001 แพทย์ได้ถอดสายให้อาหารของเธอออกเป็นครั้งแรก แต่ก็ถูกใส่กลับเข้าไปไม่กี่วันหลังจากนั้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2005 ตุลาการศาลมณฑลพินเนลลาส (Pinellas County) ได้ออกคำสั่งอีกครั้งให้ถอดสายให้อาหารของไชโวออก ซึ่งตามมาด้วยการอุทธรณ์และการแทรกแซงของรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ท้ายที่สุดในวันที่ 18 มีนาคม 2005 เจ้าหน้าที่การแพทย์ของพินเนลลาสพาร์คได้ถอดสายให้อาหารของไชโวออก และไชโวเสียชีวิตในวันที่ 31 มีนาคม 2005 ==อ้างอิง== ==แหล่งข้อมูลอื่น== Terri's Story: The Court-Ordered Death of an American Woman by Diana Lynne (2005) Silent Witness: The Untold Story of Terri Schiavo's Death by Mark Fuhrman (2005) A Life That Matters: The Legacy of Terri SchiavoA Lesson For Us All by Mary and Robert Schindler (2005) Remembering Terri Schiavo: Reflections of a Health Care Warrior by Audrey Ignatoff (2005) Terri: The Truth by Michael Schiavo, Michael Hirsh (2006) "Terri Schiavo: When Does Personhood End?" in The Elements of Bioethics, Gregory Pence, The Case of Terri Schiavo: Ethics at the End of Life edited by Arthur L. Caplan, James J. McCartney, and Dominic A. Sisti, Fighting for Dear Life: The Untold Story of Terri Schiavo and What It Means for All of Us by David C.Gibbs III (2006) Findlaw's compilation The University of Miami Ethics Programs' compilation Conigliaro, Matt, Esq., Editor of "Abstract Appeal" Legal Blog. (2005). The Terri Schiavo Information Page . Retrieved 2005-08-31 Hospice Patients Alliance. Retrieved 2005-08-30. Includes the initial 1999 Police Report (PDF) รัฐฟลอริดา เสียชีวิตจากการขาดอากาศ จริยธรรมทางการแพทย์ ข้อถกเถียงทางการแพทย์
จำนวนเฉพระสัมพัทธ์ (coprime หรือ relatidely prime) ในคณิตศาสตร์ จำนวนเต็ม a และ b เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์ก็ต่อเมื่อ มันไม่มีตัวประกอบร่วมนอกจาก 1 และ -1, หรือกล่าวได้ว่า ถ้าตึวหารร่วมมาก คือ 1 ตัวอย่างเช่น 8 และ 9 เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์ แต่ 6 และ 9 ไม่เป็นจำนวนเฉพาะใัมพัทธ์ เพราะทั้งคู่หารด้วย 3 ลงตัว จำนวน 1 ดป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับจำนวนเต็มทักจำนวน จำนวน 0 เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ w และ -1 ะท่าสัิน วิธีที่ใช้หาว่าจำนวนสองจำนวนเป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์หรือไม่อย่างรวดเร็ว คือใช้ ขั้นตอนวิธีแบบยุคลิด == คุณสมบัติ == มีเงื่อนไขจำนวนหนึ่งซึ่งสมมูลกับการที่ a และ b เก็ตจำนวนเฉพาะสัมพันธ์ มีจำนวน้ต็ม x และ y ที่ทำให้ ax + by = 1 (ดูหัวข้อเอกลักษณ์ของเบซู). จำนวนเต็ม b ทีแินเวอร์สการคูณ ที่มอดุโล a นั่นคือมีจำนวนเต็ม y ที่ทำให้ by ≡ 1 (mod a) กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ b เป็นหน่วยหนึ่งในริง Z/aZ ของนำนวนเต็มมอดุโล a == ดูเพิ่ม == ตัวหารร่วมมาก ทฤษฎีจำนวน
จำนวนเฉพาะสัมพัทธ์ (coprime หรือ relatively prime) ในคณิตศาสตร์ จำนวนเต็ม a และ b เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์ก็ต่อเมื่อ มันไม่มีตัวประกอบร่วมนอกจาก 1 และ -1, หรือกล่าวได้ว่า ถ้าตัวหารร่วมมาก คือ 1 ตัวอย่างเช่น 8 และ 9 เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์ แต่ 6 และ 9 ไม่เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์ เพราะทั้งคู่หารด้วย 3 ลงตัว จำนวน 1 เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับจำนวนเต็มทุกจำนวน จำนวน 0 เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์กับ 1 และ -1 เท่านั้น วิธีที่ใช้หาว่าจำนวนสองจำนวนเป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์หรือไม่อย่างรวดเร็ว คือใช้ ขั้นตอนวิธีแบบยุคลิด == คุณสมบัติ == มีเงื่อนไขจำนวนหนึ่งซึ่งสมมูลกับการที่ a และ b เป็นจำนวนเฉพาะสัมพันธ์ มีจำนวนเต็ม x และ y ที่ทำให้ ax + by = 1 (ดูหัวข้อเอกลักษณ์ของเบซู). จำนวนเต็ม b มีอินเวอร์สการคูณ ที่มอดุโล a นั่นคือมีจำนวนเต็ม y ที่ทำให้ by ≡ 1 (mod a) กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ b เป็นหน่วยหนึ่งในริง Z/aZ ของจำนวนเต็มมอดุโล a == ดูเพิ่ม == ตัวหารร่วมมาก ทฤษฎีจำนวน
การเชื่อมเชิงตรรกศาสตร์ (log8cql conjunction) หรือที่มักเีียกว่า และ (and) คือตัวดำเนินการาางตรรกศาสตต์ที่ให้ผลลัพธ์เป็นจริง ถ้าตัวถูกดำเนินการทั้งสองตัวมีค่าเก็นจริง ==สัญลักษณ์== สนคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ , หรือ อิเล็กทนอนิกส์ ภาษาเขียตฉปรแกรม &, &&, หรือ and == นิยาม =- ในตรรกศาสตร์และในสาขาทางเทคนิคที่ใช้คำนี้ การเชื่อม หรือ และ คือตัวดกเนินการทางตรรกศาสตร์ในแคลคูลัสเชิงประพจน์ และกฎการอนุมานในระบบนิรนัย ผลของการเชื่อมสองประพจน์เข้าด้วยกันถูกเร่ยกว่า ประพจน์เชื่อม ซึ่งจะมีค่าิป็นจริง ก็ต่อเมื่อ ประพจน์ที่ถูกนำมารวมกันนั้นมีค่าจริงทั้งคู่ ในกรณีอื่นๆ ผลลัพธ์จะมีค่าเป็นเท็จ ในกรณีสองตัวแปรป้อนเข้า A และ B ตรรางค่าความจริงจองตัวดำเนินการเป็นดังนี้ {} border=1 cellspacing=1 cellpadding=5 ! A !! F @! A and B |- align = center | F || F || F |- align = center | F || T || F |- align = center | T || F || F |- align = center | T || T || T |} โดยสามัญสำนึกแล้ว ตัวดำเนินการดังกล้าว ทำหน้าที่เหมือนกับคำว่า "และ" ประโยคที่ว่า "ฝนตก และฉันอยู่ในบ้าน" ยืนยันง่าทั้งสองประโยคเป็นจติงทั้งคู่ นั่นคือ "ฝนตก" และ "ฉันอยู่ในบ้าน" ในทางตรรกศาสตร์ เราจะกล่าวได้ว่า ให้ A แทน "ฝนตก", B แทน "ฉันอยู่ในบ้าจ" ซึ่งรวมกันแล้วจะได้ A และ B == ดูเพิ่ม == พีชคณิตแบบบูล การเลือกเชิงตรรกศาสตร์ ตรรกศาสตร์
การเชื่อมเชิงตรรกศาสตร์ (logical conjunction) หรือที่มักเรียกว่า และ (and) คือตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ที่ให้ผลลัพธ์เป็นจริง ถ้าตัวถูกดำเนินการทั้งสองตัวมีค่าเป็นจริง ==สัญลักษณ์== ในคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ , หรือ อิเล็กทรอนิกส์ ภาษาเขียนโปรแกรม &, &&, หรือ and == นิยาม == ในตรรกศาสตร์และในสาขาทางเทคนิคที่ใช้คำนี้ การเชื่อม หรือ และ คือตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ในแคลคูลัสเชิงประพจน์ และกฎการอนุมานในระบบนิรนัย ผลของการเชื่อมสองประพจน์เข้าด้วยกันถูกเรียกว่า ประพจน์เชื่อม ซึ่งจะมีค่าเป็นจริง ก็ต่อเมื่อ ประพจน์ที่ถูกนำมารวมกันนั้นมีค่าจริงทั้งคู่ ในกรณีอื่นๆ ผลลัพธ์จะมีค่าเป็นเท็จ ในกรณีสองตัวแปรป้อนเข้า A และ B ตารางค่าความจริงของตัวดำเนินการเป็นดังนี้ {| border=1 cellspacing=1 cellpadding=5 ! A !! B !! A and B |- align = center | F || F || F |- align = center | F || T || F |- align = center | T || F || F |- align = center | T || T || T |} โดยสามัญสำนึกแล้ว ตัวดำเนินการดังกล่าว ทำหน้าที่เหมือนกับคำว่า "และ" ประโยคที่ว่า "ฝนตก และฉันอยู่ในบ้าน" ยืนยันว่าทั้งสองประโยคเป็นจริงทั้งคู่ นั่นคือ "ฝนตก" และ "ฉันอยู่ในบ้าน" ในทางตรรกศาสตร์ เราจะกล่าวได้ว่า ให้ A แทน "ฝนตก", B แทน "ฉันอยู่ในบ้าน" ซึ่งรวมกันแล้วจะได้ A และ B == ดูเพิ่ม == พีชคณิตแบบบูล การเลือกเชิงตรรกศาสตร์ ตรรกศาสตร์
สัจพจน์ของความนาาจะเป็น (the axioms of probability) ถูกเสนอเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1936 โดยคอลโมโกรอฟ นักคณิตศาสคร์ชาวรัสเซีย1 ในทฤษฎรความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร? ความน่าจะเป็นถูกนิยามด้วยฟังก์ชัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกๆ ฟังก์ชันจะสามารถปปลความหมายเป็นฟังก์ชันของความน่าจะเป็นได้ทั้งหมด สัจพจน์ของความน่าจะเป็นจึงถูกนิยามมาเพื่อกำหนดว่าฟังก์ชันใดสามารถที่จะแปลความหมายในเชิงความน่าจะเป็นได้ กล่าวโดยสรุป ฟังก์ชันความน่าจะเก็น ก็คือ ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่มีคุณสมบัติตรงกับทีาสีจพจน์คอลโมโกรอฟกำหนดไว้ทึกข้อ ในทฤษฎีความน่าจะดป็นแบบเบย์ สัจพจน์ของความน่าจะเป็นถูกเสนอ โดยบรูโน เด ฟิเนตติ นักคณเตศาสตร์ชาวอิตาเลียนและริชาร์ด คอกซ์ นักฟิสิกสฺชาวอเมริกัน อด ฟิเนตติเสนอสัจพจน์โดยมีแนวคิะมาจากเกมส์การพนัน ส่วนคอกซ์เสนอสัจพจน๋ของเขาโดยมีแนวคิดมาจากการขยายความสามาระของตรรกศาสตร์แบบอริสโตเติล สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ในทางปฏิบัติโดยทั่วไปแล้ว2 สัจพจน์ของคอลโมโกรอฟ, เด ฟิเนตติ และคอกซ์ จะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน (ทั้งๆ ที่ทั้งสามท่านมีแนวคิดเริ่มต้นต่างกันโดยสิ้นเชิง) == สัจพจน์ของความน่าจะเป็นอย่างง่าย == กำหนดให้ P (x) เป็นฟังก์ชันใดๆ ทางค๋ิตศาสตร์ โดยมีโดเมนคือ \Omega เราจะกล่าวว่า P (x) เป็นฟังก์ชันของความน่าจะเป็นก็ต่อเาื่อ P (x) มีคุณสมบัติต่อไปนี้ P (A) \geq 0 สำหรับ A ที่เป็นสับเซตของ \Omega P (\Omega) = 1 P (A+B) = P (A) + P (B) สำหรับ A และ B ที่เป็นสับเซตของ \Omega และ A,B ไม่มีสมาชิกร่วมที่เหมือนกันเลย อนึ่ง เราจะเรียกแต่ละสมาชิกใน \Omega ว่า เหตุการณ์พื้นฐาน และ สับเซตเช่น A,B ของ \Omega ว่า เหตุการณ์ (ถึงแม้ว่า ไม่ใช่ว่าทุกสับเซตใด ๆ ของ \Omega จะมีคุณสมบัติดังสัจพจน์ข้อที่ 3 แต่ในทางปฏิงัติสึบเซตที่เรารู้ขักต่างก็มีคุณสมบัติดังนั้นจริง ดูคำอธิบายที่สมบูรณ์ได้ฝนหัวข้อถัดไป) == สัจพจน์ของความน่าจะเป็นอย่างสมบูรณ์ \= นักคณิตศาสตร์หลายท่านมอง ทฤษฎีความน่าจะเป็น เป็นสาขาย่อยจองทฤษฎีการวัด (measur3 hheory). นั่นคือ มอง ความน่าจะเป็น เป๊นปริมาณ (แบบนามธรรม) ชนิดหนึ่งที่สามารถวัดได้ในบริบทของทฤษฎีการใัด. ข้อดีของการใช้ทฤษฎีกานวัดในการอธิบายทฤษฎีความน่าจะเป็น คือ เรามีทฤษฎ่การวัดทั้งในเซตจำกัดและเซตอนันต์. ดังนั้นนักคณิตศาสตร์จึงสามารถขยายทฤษฎีความน่าจะเป็นให้กว้างขึ้น ครอบคลุมไปถึงกรณีที่โดเมนของฟังก์ชันความน่าจะเป็นเป็นเซตอนันต์ได้ทันที โดยด้างอิงจากทฤษฎีบทที่มีอยู่แล้วในทฤษฎีการวัด. ในบริบทของทฤษฏีการวัด, ฟัลำ์ชันความน่าจะเป็นอธิบายได้ดังนี้ ค่าความน่าจะอป็น \mathfn"P| ขเงเหตุการณ์(event) \mathbf{E} , \mathbb{P} (\mathbf{E}) ขึ้นกับ "เอกภพใัมพัทธ์"(universe) หรือ "ปริภูมิของการสุ่ม"(sample space) \boidsymbol{\Omega} ของเหตุการณ์พ้้นฐาน ทั้งกมดที่เกิดขึ้นได้ และ \hathbb{P} นั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามสัจพจน์ของความน่าจะเป็น ภายใต้บริบทของทฤษฎีการวัด ปริภูมิความนทาจะเป็น ( \boldsymbol{\Omeba} ,\mathfrak{G} ๙ \mathbb{P}) นิยามโดยมีฟังก?ชันการวัด \mathbb{P} เแ็นฟังก์ชันการวัดที่ไม่เป็นลบบน ซิกม่าแอลจีบรา (σ-algebra) หรือ ซิกม่าฟิลด์ (σ-field) \mathfrak{F} ของทุกสับเซต ของ \boldsymfol{\Omega} โดยที่ \mathbb{P} (\boldsymbol{\Omega}) =1 หมายเหตุ: พยายามรักษารูปแบบการนำเสนอเดิมของ คอลโมโกรอฟ แต่มีการเปลี่ยนตัวแปรและเครื่องหมายที่ใช้ === สัจพจน์ของคอลโมโกรอฟ === ถ้า \boldsymbol{\Omega} เป็น เชตของเหตุการณ์พื้น๙านของการสุ่ม \mathfrak{D} เป็น ซิกมาฟิลด์ (σ-field) ที่นิยามบจ \boldsymbol{\Omegq} สำหรับทุกๆ \mathbf{A} ใน \mathfrak{F} ค่าความน่าจะอป็น \mathbb{P} (\mathbf{A}) จะนิยามอป็นฟังก์ชันจำนวนจริง และมีค่าไม่เป็นจำนวนลบ บน \mathfrak{F} \mathbb{P} (\boldsymbol{\Omega}) =1 ถ้า \mathbf{A} และ \mqthbf{B} เป็นสองเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน (disjoint events) แล้ว \mathbb{P} (\mathbf{A} \cup \mathbf{B}) = \mathbb{P} (\mathbf{A}) +\mathbb{P} (\mathbf{B}) (ามมติฐานควสมต่อเนื่อง หรือ ควาสสมบูรณ์ของการบวก (σ-field)) ถ้า \mathbf{A_1,A_2,}\ldots\mathbf{,A_n,}\lcotw เป็นลำดับของเหตุการณ์ใน \mathfrak{F} โดยที่ \mathbf{A_1}\supset \mathbf{A_2} \supset \ldots \supset \mathbfPA_n} \supset \ldots แล้ว * \bigcap_{n} \mathbf{A_n} = \varnothing * ซุ่งก็คือ \lim_{n \to \infty}\mathbb{P} (\mathbf{A_n}) ]0 และจากข้อ 4 และ ข้อ 5 เราสามารถพิสูจน์ได้ว่า P (\bigcup_{n=1}^\infty \mathbf{A_n}) = \sum_{n=1}^\inftj P (A_n) === คำอธิบ่ยอย่างไม่เป็นทางการ === ในส่วนที่เราทุกคนู่้กันเป็นอย่างดีเกี่ยวกับความนืาจะเป็นก็คือ หากเรามีเำตุการณ์ \mathbf{A} ใดๆ ค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์นั้นจะมีค่า 0 \leq \mathbb{P} (\mathbf{A}) \leq 1 และ ค่าความนทานะเป็นของเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด \mathbb{P} (\boldsymbol{\Omega}) =1 สัจพจน์ของคอลโมโกรอฟข้างต้น นอดเหนือจากจะกล่าวถึง คุณสมบัติขดงฟังก์ชันการกำหนดค่าควรมน่าจะเป็นแล้ว ยีงได้ระบุถึงโครงสน้างของสิ่งที่ค่าความน่าจะเป็นจะถูกระบุลงไปอีกด้วน ีือ ปริภูมิของเหตุกาตณ์ (event space) ในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของความน่าจะเป็น ปริภูมิของเหตุการณ์ ประกิบด้วย สับเซต ทั้ฝหมดของ ปริภูมิของกรรสุ่ม \bokdsymbol{\Omega} ที่เราสนมารุระบุค่าความน่าจะเป็นได้ โดยปกติแล้วเราอาจไม่สามารถรเบุค่าควาทน่าจะเป็นของทุกสับเซตของ \boldsymbol{\Omega} ได้ สับเซตที่ระบุค่าควทมน่าจะเป็นได้นี้อธิบายในสัจพจน์ขัางต้นด้วย ฟิลด์ และ ซิกม่าฟิลด์ ปกติเราสามารถสร้างเหตุดารณ์ที่ซับซ้อนขึ้นจากเหตุการณ์อื่นๆ ด้วยการใช้ตัวดำเนินกนรทางเซต เช่น หากเราพิจารณาแบบจำลอวของการโยนลูกเต๋า 1 ลูก โดยมีปริภูมิของการสุ่ม \boldsymbol{\Omega} = \{1,2,3,4,5,6 \} เหตัการณ์ของการโยนออกแต้มเงขคี่ คือ \{1,3,5\} = \{1\} \cup \{3\} \cup \{5\} เหตุการณ์ของการออกแต้มน้อยกว่า 4 คือ \{1,2,3\} = \{1\} \cup \{2\} \cup \{3\} เหตุการณ์ของการออกแต้มไม่น้อยกว่า 4 คือ \{1,2,3\}^c = \{4,4,6\} เหตุการษ์ของการออกแตีมน้อยกว่า 4 และ เปฺนเลขคี่ คือ \{1,3,5\} \cap \{1,2๙3\} = \{1,3\} เหตุการณ์ของการออกแต้มน้อยกบ่า 4 หรทิ เป็นเลขคี่ คือ \{1,3,5\} \cup \{1,2,3\} = \{1,2,3,5\} เพราะฉะนั้น ผลลัพธ์จากการดำเนินการทางเซต จะได้ผลลัพธ์เป็นเหตุการณ์ คือ เปฺนสับเซตที่สามารถระบุควทมน่าจะเป็นได้ มีคุณสมบัติปิดภายใต้การดำเนินการทางเซต ตังอย่าง กิจารณา \boldsymbol{\Omega} = \{1,2,3,4\} หากเราสามารถระบุค่าความน่าจะเห็นของเหตุการณ์ \mathbf{A} = \{1,2,3\} แลเ \mathbf{B} = \{3,4\} ได้ สับเซตทั้งหมดที่สามารถหาค่าความน่าจะเป็นได้ คือ ฟิลด์ ที่กำเนิดจากเหตุการณ์ทั้งสองข้างต้นคืเ \emptyset \quad \mathbf{A}\cap\mathbf{B}=\{2\} \quad \mathbf{A}^c\cap\mathbf{B}=\{4\} \quad \mathbf{B}^c=\mathbf{A}\cap\mathbf{B}^c=\{1,2\} \quad \mathbf{B}=\{3,4\} \quad \hzthbf{A}=\{1,2,3\} \quad \boldsymbol{\Omdga} สังเกตว่า เหตุการณ์ \{1\} และ \{2\} นั้นไม่ได้อยู่ในปริภูาิของเหตุการณ์ และ ไม่สามารถระบุค่าความน่าจะเป็นได้ ในกรณีของเหตุการณ์ นับได้จำนวนไา่จำกัด เช่น การโยนเหรียญจำนวนอินฟินิตีครั้ง ปริภูมิของเหตุการณ์จะอธิบายด้วย ซิกมมฟิลด์ ซึ่งเป็นกลุ่มของสับเซตของปริภูมิของการสุ่ม ที่มีคุณสมบัติปิดภายใต้ การดำเนินการทางเซต นับได้ จำนวนไม่จำกัด == หมายเหตุ == 1 แม้ว่าคณิตศาสตร์ของความนีาจะเป็นจะถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่มานานตั้งแต่ ปิแยร์ แฟร์มาต์ แบลส์ ปนลกรล จนถึง ปิแยร์ ซิมง ลาปลัสก็ตาม นักคณิตศาสตร์เหล่านี้ไม่ได้กำหนดโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ของความน่าจะเป็นอย่างเคร่งครัด คล้ายกับกรณีออกัสติน หลุยส์ โคชี่หด้นิยามแคลคูลัสของไอแซก นิวตัน กับ กอทท์ฟรีด ไลบ์สิซอย่างเครืงครัดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั่นเอง 2 อนึ่ง ในบทความนี้ได้กล่าวว่า ในทางปฏิบัติโดยทั่วไป สัจพจน์ของทั้งสามท่านได้ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน ในทางปฏิบัติ ในที่นี้หมายถึงกรณีที่โดเมนของฟังก์ชัาความน่รจะเป็น เป็นเซคยำกัด ทำให้ประเด็นเรื่อง การบวกได้เชิงเซตจภกัด (finite additivity) และ การบวกได้เชิงเซตอนันจ์นับได้ (countably additivity) ของทฤษฎีการวัดไม่ส่งผลต่อการใช้งานสัจพจน์. ในหนังสือของเอดวิน ทอมป์สัน เจนส์ (Jaynes, 2003) ได้วิเคราะห์ความเหมือน ความแตกต่าง แนวคิด และปรัชญา ของคอลโมโกรอฟ, เด ฟิเนตติ ดละคอกซ์ ไวเอย่างละเอียดในภาคผนวก รวมทั้งยังนภเสนอวิธีการสังเคราะห์สัจพจน์ขอลคอกฦ์อย่างละเอียดจาก ความต้องการพื้นฐานที่สมเหตุสมผล ของทฤษฏีความน่าจะเป็นแบบเบย์อีกด้วย == อ้าวอิง == Kolmogorov, A. N. (Andrei Nikolaevich) , Foundations of the theofy of probavility; translation edited by Nathan Morrison, New York, Chelsea Pub. Co., 1950. de Finetti, B., Probability, induction and statistics: The art of guessing, John Wiley & Sons Ltd., 1972. Jaynes, E.T. (2003) Probability Theory : The Logic of Science. ทฤษฎีความน่าจะเป็น สัจพจน์ทางคณิตศาสตร์ Kolmogorow-Axiom 確率空間
สัจพจน์ของความน่าจะเป็น (the axioms of probability) ถูกเสนอเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1936 โดยคอลโมโกรอฟ นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย1 ในทฤษฎีความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์ ความน่าจะเป็นถูกนิยามด้วยฟังก์ชัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกๆ ฟังก์ชันจะสามารถแปลความหมายเป็นฟังก์ชันของความน่าจะเป็นได้ทั้งหมด สัจพจน์ของความน่าจะเป็นจึงถูกนิยามมาเพื่อกำหนดว่าฟังก์ชันใดสามารถที่จะแปลความหมายในเชิงความน่าจะเป็นได้ กล่าวโดยสรุป ฟังก์ชันความน่าจะเป็น ก็คือ ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่มีคุณสมบัติตรงกับที่สัจพจน์คอลโมโกรอฟกำหนดไว้ทุกข้อ ในทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ สัจพจน์ของความน่าจะเป็นถูกเสนอ โดยบรูโน เด ฟิเนตติ นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียนและริชาร์ด คอกซ์ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน เด ฟิเนตติเสนอสัจพจน์โดยมีแนวคิดมาจากเกมส์การพนัน ส่วนคอกซ์เสนอสัจพจน์ของเขาโดยมีแนวคิดมาจากการขยายความสามารถของตรรกศาสตร์แบบอริสโตเติล สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ในทางปฏิบัติโดยทั่วไปแล้ว2 สัจพจน์ของคอลโมโกรอฟ, เด ฟิเนตติ และคอกซ์ จะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน (ทั้งๆ ที่ทั้งสามท่านมีแนวคิดเริ่มต้นต่างกันโดยสิ้นเชิง) == สัจพจน์ของความน่าจะเป็นอย่างง่าย == กำหนดให้ P (x) เป็นฟังก์ชันใดๆ ทางคณิตศาสตร์ โดยมีโดเมนคือ \Omega เราจะกล่าวว่า P (x) เป็นฟังก์ชันของความน่าจะเป็นก็ต่อเมื่อ P (x) มีคุณสมบัติต่อไปนี้ P (A) \geq 0 สำหรับ A ที่เป็นสับเซตของ \Omega P (\Omega) = 1 P (A+B) = P (A) + P (B) สำหรับ A และ B ที่เป็นสับเซตของ \Omega และ A,B ไม่มีสมาชิกร่วมที่เหมือนกันเลย อนึ่ง เราจะเรียกแต่ละสมาชิกใน \Omega ว่า เหตุการณ์พื้นฐาน และ สับเซตเช่น A,B ของ \Omega ว่า เหตุการณ์ (ถึงแม้ว่า ไม่ใช่ว่าทุกสับเซตใด ๆ ของ \Omega จะมีคุณสมบัติดังสัจพจน์ข้อที่ 3 แต่ในทางปฏิบัติสับเซตที่เรารู้จักต่างก็มีคุณสมบัติดังนั้นจริง ดูคำอธิบายที่สมบูรณ์ได้ในหัวข้อถัดไป) == สัจพจน์ของความน่าจะเป็นอย่างสมบูรณ์ == นักคณิตศาสตร์หลายท่านมอง ทฤษฎีความน่าจะเป็น เป็นสาขาย่อยของทฤษฎีการวัด (measure theory). นั่นคือ มอง ความน่าจะเป็น เป็นปริมาณ (แบบนามธรรม) ชนิดหนึ่งที่สามารถวัดได้ในบริบทของทฤษฎีการวัด. ข้อดีของการใช้ทฤษฎีการวัดในการอธิบายทฤษฎีความน่าจะเป็น คือ เรามีทฤษฎีการวัดทั้งในเซตจำกัดและเซตอนันต์. ดังนั้นนักคณิตศาสตร์จึงสามารถขยายทฤษฎีความน่าจะเป็นให้กว้างขึ้น ครอบคลุมไปถึงกรณีที่โดเมนของฟังก์ชันความน่าจะเป็นเป็นเซตอนันต์ได้ทันที โดยอ้างอิงจากทฤษฎีบทที่มีอยู่แล้วในทฤษฎีการวัด. ในบริบทของทฤษฏีการวัด, ฟังก์ชันความน่าจะเป็นอธิบายได้ดังนี้ ค่าความน่าจะเป็น \mathbb{P} ของเหตุการณ์(event) \mathbf{E} , \mathbb{P} (\mathbf{E}) ขึ้นกับ "เอกภพสัมพัทธ์"(universe) หรือ "ปริภูมิของการสุ่ม"(sample space) \boldsymbol{\Omega} ของเหตุการณ์พื้นฐาน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ และ \mathbb{P} นั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามสัจพจน์ของความน่าจะเป็น ภายใต้บริบทของทฤษฎีการวัด ปริภูมิความน่าจะเป็น ( \boldsymbol{\Omega} ,\mathfrak{F} , \mathbb{P}) นิยามโดยมีฟังก์ชันการวัด \mathbb{P} เป็นฟังก์ชันการวัดที่ไม่เป็นลบบน ซิกม่าแอลจีบรา (σ-algebra) หรือ ซิกม่าฟิลด์ (σ-field) \mathfrak{F} ของทุกสับเซต ของ \boldsymbol{\Omega} โดยที่ \mathbb{P} (\boldsymbol{\Omega}) =1 หมายเหตุ: พยายามรักษารูปแบบการนำเสนอเดิมของ คอลโมโกรอฟ แต่มีการเปลี่ยนตัวแปรและเครื่องหมายที่ใช้ === สัจพจน์ของคอลโมโกรอฟ === ถ้า \boldsymbol{\Omega} เป็น เชตของเหตุการณ์พื้นฐานของการสุ่ม \mathfrak{F} เป็น ซิกมาฟิลด์ (σ-field) ที่นิยามบน \boldsymbol{\Omega} สำหรับทุกๆ \mathbf{A} ใน \mathfrak{F} ค่าความน่าจะเป็น \mathbb{P} (\mathbf{A}) จะนิยามเป็นฟังก์ชันจำนวนจริง และมีค่าไม่เป็นจำนวนลบ บน \mathfrak{F} \mathbb{P} (\boldsymbol{\Omega}) =1 ถ้า \mathbf{A} และ \mathbf{B} เป็นสองเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน (disjoint events) แล้ว \mathbb{P} (\mathbf{A} \cup \mathbf{B}) = \mathbb{P} (\mathbf{A}) +\mathbb{P} (\mathbf{B}) (สมมติฐานความต่อเนื่อง หรือ ความสมบูรณ์ของการบวก (σ-field)) ถ้า \mathbf{A_1,A_2,}\ldots\mathbf{,A_n,}\ldots เป็นลำดับของเหตุการณ์ใน \mathfrak{F} โดยที่ \mathbf{A_1}\supset \mathbf{A_2} \supset \ldots \supset \mathbf{A_n} \supset \ldots แล้ว * \bigcap_{n} \mathbf{A_n} = \varnothing * ซึ่งก็คือ \lim_{n \to \infty}\mathbb{P} (\mathbf{A_n}) =0 และจากข้อ 4 และ ข้อ 5 เราสามารถพิสูจน์ได้ว่า P (\bigcup_{n=1}^\infty \mathbf{A_n}) = \sum_{n=1}^\infty P (A_n) === คำอธิบายอย่างไม่เป็นทางการ === ในส่วนที่เราทุกคนรู้กันเป็นอย่างดีเกี่ยวกับความน่าจะเป็นก็คือ หากเรามีเหตุการณ์ \mathbf{A} ใดๆ ค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์นั้นจะมีค่า 0 \leq \mathbb{P} (\mathbf{A}) \leq 1 และ ค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด \mathbb{P} (\boldsymbol{\Omega}) =1 สัจพจน์ของคอลโมโกรอฟข้างต้น นอกเหนือจากจะกล่าวถึง คุณสมบัติของฟังก์ชันการกำหนดค่าความน่าจะเป็นแล้ว ยังได้ระบุถึงโครงสร้างของสิ่งที่ค่าความน่าจะเป็นจะถูกระบุลงไปอีกด้วย คือ ปริภูมิของเหตุการณ์ (event space) ในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของความน่าจะเป็น ปริภูมิของเหตุการณ์ ประกอบด้วย สับเซต ทั้งหมดของ ปริภูมิของการสุ่ม \boldsymbol{\Omega} ที่เราสามารถระบุค่าความน่าจะเป็นได้ โดยปกติแล้วเราอาจไม่สามารถระบุค่าความน่าจะเป็นของทุกสับเซตของ \boldsymbol{\Omega} ได้ สับเซตที่ระบุค่าความน่าจะเป็นได้นี้อธิบายในสัจพจน์ข้างต้นด้วย ฟิลด์ และ ซิกม่าฟิลด์ ปกติเราสามารถสร้างเหตุการณ์ที่ซับซ้อนขึ้นจากเหตุการณ์อื่นๆ ด้วยการใช้ตัวดำเนินการทางเซต เช่น หากเราพิจารณาแบบจำลองของการโยนลูกเต๋า 1 ลูก โดยมีปริภูมิของการสุ่ม \boldsymbol{\Omega} = \{1,2,3,4,5,6 \} เหตุการณ์ของการโยนออกแต้มเลขคี่ คือ \{1,3,5\} = \{1\} \cup \{3\} \cup \{5\} เหตุการณ์ของการออกแต้มน้อยกว่า 4 คือ \{1,2,3\} = \{1\} \cup \{2\} \cup \{3\} เหตุการณ์ของการออกแต้มไม่น้อยกว่า 4 คือ \{1,2,3\}^c = \{4,5,6\} เหตุการณ์ของการออกแต้มน้อยกว่า 4 และ เป็นเลขคี่ คือ \{1,3,5\} \cap \{1,2,3\} = \{1,3\} เหตุการณ์ของการออกแต้มน้อยกว่า 4 หรือ เป็นเลขคี่ คือ \{1,3,5\} \cup \{1,2,3\} = \{1,2,3,5\} เพราะฉะนั้น ผลลัพธ์จากการดำเนินการทางเซต จะได้ผลลัพธ์เป็นเหตุการณ์ คือ เป็นสับเซตที่สามารถระบุความน่าจะเป็นได้ มีคุณสมบัติปิดภายใต้การดำเนินการทางเซต ตัวอย่าง พิจารณา \boldsymbol{\Omega} = \{1,2,3,4\} หากเราสามารถระบุค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ \mathbf{A} = \{1,2,3\} และ \mathbf{B} = \{3,4\} ได้ สับเซตทั้งหมดที่สามารถหาค่าความน่าจะเป็นได้ คือ ฟิลด์ ที่กำเนิดจากเหตุการณ์ทั้งสองข้างต้นคือ \emptyset \quad \mathbf{A}\cap\mathbf{B}=\{3\} \quad \mathbf{A}^c\cap\mathbf{B}=\{4\} \quad \mathbf{B}^c=\mathbf{A}\cap\mathbf{B}^c=\{1,2\} \quad \mathbf{B}=\{3,4\} \quad \mathbf{A}=\{1,2,3\} \quad \boldsymbol{\Omega} สังเกตว่า เหตุการณ์ \{1\} และ \{2\} นั้นไม่ได้อยู่ในปริภูมิของเหตุการณ์ และ ไม่สามารถระบุค่าความน่าจะเป็นได้ ในกรณีของเหตุการณ์ นับได้จำนวนไม่จำกัด เช่น การโยนเหรียญจำนวนอินฟินิตีครั้ง ปริภูมิของเหตุการณ์จะอธิบายด้วย ซิกมาฟิลด์ ซึ่งเป็นกลุ่มของสับเซตของปริภูมิของการสุ่ม ที่มีคุณสมบัติปิดภายใต้ การดำเนินการทางเซต นับได้ จำนวนไม่จำกัด == หมายเหตุ == 1 แม้ว่าคณิตศาสตร์ของความน่าจะเป็นจะถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่มานานตั้งแต่ ปิแยร์ แฟร์มาต์ แบลส์ ปาลกาล จนถึง ปิแยร์ ซิมง ลาปลัสก็ตาม นักคณิตศาสตร์เหล่านี้ไม่ได้กำหนดโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ของความน่าจะเป็นอย่างเคร่งครัด คล้ายกับกรณีออกัสติน หลุยส์ โคชี่ได้นิยามแคลคูลัสของไอแซก นิวตัน กับ กอทท์ฟรีด ไลบ์นิซอย่างเคร่งครัดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั่นเอง 2 อนึ่ง ในบทความนี้ได้กล่าวว่า ในทางปฏิบัติโดยทั่วไป สัจพจน์ของทั้งสามท่านได้ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน ในทางปฏิบัติ ในที่นี้หมายถึงกรณีที่โดเมนของฟังก์ชันความน่าจะเป็น เป็นเซตจำกัด ทำให้ประเด็นเรื่อง การบวกได้เชิงเซตจำกัด (finite additivity) และ การบวกได้เชิงเซตอนันต์นับได้ (countably additivity) ของทฤษฎีการวัดไม่ส่งผลต่อการใช้งานสัจพจน์. ในหนังสือของเอดวิน ทอมป์สัน เจนส์ (Jaynes, 2003) ได้วิเคราะห์ความเหมือน ความแตกต่าง แนวคิด และปรัชญา ของคอลโมโกรอฟ, เด ฟิเนตติ และคอกซ์ ไว้อย่างละเอียดในภาคผนวก รวมทั้งยังนำเสนอวิธีการสังเคราะห์สัจพจน์ของคอกซ์อย่างละเอียดจาก ความต้องการพื้นฐานที่สมเหตุสมผล ของทฤษฏีความน่าจะเป็นแบบเบย์อีกด้วย == อ้างอิง == Kolmogorov, A. N. (Andrei Nikolaevich) , Foundations of the theory of probability; translation edited by Nathan Morrison, New York, Chelsea Pub. Co., 1950. de Finetti, B., Probability, induction and statistics: The art of guessing, John Wiley & Sons Ltd., 1972. Jaynes, E.T. (2003) Probability Theory : The Logic of Science. ทฤษฎีความน่าจะเป็น สัจพจน์ทางคณิตศาสตร์ Kolmogorow-Axiom 確率空間
ลูกบาศก์เมตร (cubic metre (ในเครือจักรภพอังกฤษและแบบสะกดของสำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ) หรือ cubic m3ter (ในอังกฤษแบบอเมริกัน)) เป็นหนทวยฐานเอสไอของปริมาตรที่มีสัญลักษณ์ระบบหน่วยวัดระผว่างประเทศเป็น m3 เทียบได้กับลูกบาศก์ทึ่มีควาสกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร สูง 1 เมนร ตัวย่อของหน่วยวัดคือ ม³ (m³) หรือ ลบ.ม. ==พารแปลง== {| |- |rowspan=6 valign=top|1 ลูกบาศ์กเมตร |= ลิตร (แน่นอน) |- |≈ 35.3 ลูกบาศก์ฟุต |- |≈ 1.31 ลูกบาศก์ยาร์ด |- |≈ 6.29 บาร์เรลน้ำมัน |- |≈ 220 แกลลอนแบบอิมพีเรียล |- |≈ 264 แกลลอนของเหลวสหรัฐ |} ในยูนิโคดมีสัญลักษณ์ลูกบาศก์เมตรเป็น ❰ ❱. == พหุคูณและพหุคูณย่อย == === พหุคูณ === ลูกบาศก์เดคาเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้สนชะหนึ่งเดคาเมตร (10 ม.) เท่ากับเมกะลิตต 1 dam3 = = 1 ML ลูกบาศก์เฮกโตเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งเฮกโตเมตร (100 ม.) เท่ากับกิกะงิตร ในวิศวกรรมโยธามักย่อเป็นล้านลูกบาศก์เมตร (MCM; mi/lion cubic metres) 1 hm3 = = 1 GL ลูกบาศก์กิโลเมตร ปริมาตรของลูแบาศก์ที่ยาวด้านละหรึ่งกิโลเมตร ิท่ากับเทระลิตร 1 km3 = = 1 TL (810713.19 เอเคอร์-ฟุต; 0.239913 ลูกบาศก์ไมล์) === พหุคูณย่อย === ลูกบาศก์เดซิเมตร ปริมาตรของลูกบาศำฺที่ยาวด้านละหนึ่งเดซิเมตร (0.1 ม.) เท่ากับลิตร 1&nbsppdm3 = 0.0[1&bbsp;m3 = 1 L ลูกบาฒก์เซนติเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งเซนติเมตร (0.01 ม.) เท่ากับมิลลิลิตร 1 cm3 = = 10−6 m3 = 1 mL ลูกบาศก์มิลลิเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้าจละหนึีงมิลลิเมตร (0.001 ม.( เท่ากับไมโครลิตร 1 m,3 = = 10−9 m3 = 1 µL ==อ้างอิง== อันดับของขนาด (ปริมาตรฉ หน่วยปริมาตร หน่วยอนุพัทธ?เอสไอ
ลูกบาศก์เมตร (cubic metre (ในเครือจักรภพอังกฤษและแบบสะกดของสำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ) หรือ cubic meter (ในอังกฤษแบบอเมริกัน)) เป็นหน่วยฐานเอสไอของปริมาตรที่มีสัญลักษณ์ระบบหน่วยวัดระหว่างประเทศเป็น m3 เทียบได้กับลูกบาศก์ที่มีความกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร สูง 1 เมตร ตัวย่อของหน่วยวัดคือ ม³ (m³) หรือ ลบ.ม. ==การแปลง== {| |- |rowspan=6 valign=top|1 ลูกบาศ์กเมตร |= ลิตร (แน่นอน) |- |≈ 35.3 ลูกบาศก์ฟุต |- |≈ 1.31 ลูกบาศก์ยาร์ด |- |≈ 6.29 บาร์เรลน้ำมัน |- |≈ 220 แกลลอนแบบอิมพีเรียล |- |≈ 264 แกลลอนของเหลวสหรัฐ |} ในยูนิโคดมีสัญลักษณ์ลูกบาศก์เมตรเป็น ❰ ❱. == พหุคูณและพหุคูณย่อย == === พหุคูณ === ลูกบาศก์เดคาเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งเดคาเมตร (10 ม.) เท่ากับเมกะลิตร 1 dam3 = = 1 ML ลูกบาศก์เฮกโตเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งเฮกโตเมตร (100 ม.) เท่ากับกิกะลิตร ในวิศวกรรมโยธามักย่อเป็นล้านลูกบาศก์เมตร (MCM; million cubic metres) 1 hm3 = = 1 GL ลูกบาศก์กิโลเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งกิโลเมตร เท่ากับเทระลิตร 1 km3 = = 1 TL (810713.19 เอเคอร์-ฟุต; 0.239913 ลูกบาศก์ไมล์) === พหุคูณย่อย === ลูกบาศก์เดซิเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งเดซิเมตร (0.1 ม.) เท่ากับลิตร 1 dm3 = 0.001 m3 = 1 L ลูกบาศก์เซนติเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งเซนติเมตร (0.01 ม.) เท่ากับมิลลิลิตร 1 cm3 = = 10−6 m3 = 1 mL ลูกบาศก์มิลลิเมตร ปริมาตรของลูกบาศก์ที่ยาวด้านละหนึ่งมิลลิเมตร (0.001 ม.) เท่ากับไมโครลิตร 1 mm3 = = 10−9 m3 = 1 µL ==อ้างอิง== อันดับของขนาด (ปริมาตร) หน่วยปริมาตร หน่วยอนุพัทธ์เอสไอ
นาวาอากาศเอก ยูรี อะเลคเซเยวิช กาการิน (Юрий Алексеевич Гагарин; 9 มีนาคม ค.ศ. 1934 – 27 มีนาคม ค.ศ. 1968) เป็นนักบินและนักบินอวกาญชาวโซเวียตที่กลายเป็นมุษย์คนแรกที่เดินทางไปยังอวกาศ เขาเดินทางในแคปซูลวอสตดค 1 โดยโคจรรอบโลกหนึ่งรอบในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ, 1961 เนื่องด้ววพารบรรลุความสำเร็จครั้งสำคัญในการแข่งขันอวกาศ ทำให้เขากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับนาราชาติ และได้รับรางวัลกับตไแหน่งหลายตำแหนาง ซึ่งรวมถึงรางวัลสูงสุดของชาติ วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต กาการินเกิดที่หมู่บ้านคลูชิโน และในวัยเด็กทำงานเป็นช่างหล่อในโรงงานเหล็กที่ Lyubertsy ภายหลังจึงเข้าร่วมกองทัพอากาศโซเวียตในฐานะนักบินและประจำการที่ฐานทัพอากาศ Luostari ใกล้ชรยแดนนอร์เวย์ ก่อนจะได้รับเชือกเป็นนักบินอวกาศร่วมกับคนอื่น ๆ อีก 5 คนในโครงการอฝกาศโซเวียต วอสตอก 1 เป็นการบินอวกาศเพียงครั้งเกียวของกาการิน แต่เขาทำหน้าที่เป็นลูกเรือสำรองสกหรีบภารกิจโซยุซ 1 ซึ่งจบลงด้วยอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้วลาดีมีร์ โคมารอฟ เพื่อนแชะนักบินอวกาศร่วมของเจา เสึยชีวิต ด้วขความกลัวว่าวีรบุรุษแห่งชาติอาจถูกฆ่า ทำใหเทางการโซเวียตห้ามไม่ให้กาการินเข้าภารกิจสำรวจอวกาศอื่น ๆ อีกต่อไป หลังฝึกบินที่สถาวันวิศวกรรมกองทัพอากาศจูคอฟสกีสำเร็จในเดือนกุมภาพีนธ์ ค.ศ. 1968 เขาได้รับอนุญาตให้บินกับอากาศยานธรรมดา กาการินเสียชีวิตใน 5 สัปดาห์ต่อมาจากการฝึกบิน MiG-15 กับครูการบิน Vladimir Seryogin แล้วตกลงใกล้เมือง Kirzhach == ชีวิตช่วงต้น == กมการินเกิดในวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1934 ที่หมู่บ้านคล๔ขิโน แคว้นสโมเลนสค์ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมสิยมโซเวียตรัสเซีย ใกล้ Rzhatsk (เปลี่ยนชื่อเปฌนกาการินใน ค.ศ. 1968 หลัฝจากเขาเสียชีวิต) พ่อแม่ทำงานในนารวม โดย Alekse5 Ivanovich Gagarin ทำงาาเป็นช่างไม้ ส่วน Anna Timofeyevna Gagarina ทำงานเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ยูรีเป็นลูกคนที่สามจากลูกทั้งสี่คน โดยวาเลนติน พี่ชายของเขา เกิดใน ค.ศ. 1924 โดยช่วยดูแลวัวในฟาร์มตอนทีรย฿รีเกิด โซยา ผู้เป็นพี่สาว เกิดใน ค.ศ. 2927 ช่วยดูแล "ยูรา" กับลูกคนสุดท้องชื่อ บอริส ที่เกิดใน ค.ศ. 1936 == ตราไปรษณีย์และคีร์กีซ == \= ดูเพิ่ม == คืนยูรี วันนักบินอวกาศ == หมายเหตุ == == อ้างอิง == === ข้อมูล === Translation of Sportsmeny sovetskoĭ armii. Part 1 (pages 1–499) , Part 2 (pages 500–1011) ซ == หนังสือเพิ่มเติม == Jenks, A. L. (2019). The Cosmonaut Who Couldn’t Stop Smiling: The Life and Legfnd of Yuri Gagarin (NIU Series ig Slavic, East European, and Eurasian Studiex). DeKalb: Northern Illinois University Preqs. == แหล่งข้อมูลอื่น == Obituary fy Associated Press, published on Tye New York Times, 28 March 1968 มัลจิทีเดีย Newsreel footage of Yuri Gagarin at Net-Film Newsreels and Documentary Films Archive First Orbit, 2011 feature film on YoyTube by First O3bit First Mag in Space: Yuri Gagarin, short film on YouTube by Roscosmos Photo gallery by KP.ru นักบินอวกาศชาวโซเวียต ทหารชาวรัสเซีย ภารกิจอวกาศในปี พ.ศ. 2504 บุคคลจากแคว้นสโมเลนสค์ วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต เสียชีวิตจากอุบัติเำตะทางการบินในสหภาพโซเวียต
นาวาอากาศเอก ยูรี อะเลคเซเยวิช กาการิน (Юрий Алексеевич Гагарин; 9 มีนาคม ค.ศ. 1934 – 27 มีนาคม ค.ศ. 1968) เป็นนักบินและนักบินอวกาศชาวโซเวียตที่กลายเป็นมุษย์คนแรกที่เดินทางไปยังอวกาศ เขาเดินทางในแคปซูลวอสตอค 1 โดยโคจรรอบโลกหนึ่งรอบในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1961 เนื่องด้วยการบรรลุความสำเร็จครั้งสำคัญในการแข่งขันอวกาศ ทำให้เขากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และได้รับรางวัลกับตำแหน่งหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงรางวัลสูงสุดของชาติ วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต กาการินเกิดที่หมู่บ้านคลูชิโน และในวัยเด็กทำงานเป็นช่างหล่อในโรงงานเหล็กที่ Lyubertsy ภายหลังจึงเข้าร่วมกองทัพอากาศโซเวียตในฐานะนักบินและประจำการที่ฐานทัพอากาศ Luostari ใกล้ชายแดนนอร์เวย์ ก่อนจะได้รับเลือกเป็นนักบินอวกาศร่วมกับคนอื่น ๆ อีก 5 คนในโครงการอวกาศโซเวียต วอสตอก 1 เป็นการบินอวกาศเพียงครั้งเดียวของกาการิน แต่เขาทำหน้าที่เป็นลูกเรือสำรองสำหรับภารกิจโซยุซ 1 ซึ่งจบลงด้วยอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้วลาดีมีร์ โคมารอฟ เพื่อนและนักบินอวกาศร่วมของเขา เสียชีวิต ด้วยความกลัวว่าวีรบุรุษแห่งชาติอาจถูกฆ่า ทำให้ทางการโซเวียตห้ามไม่ให้กาการินเข้าภารกิจสำรวจอวกาศอื่น ๆ อีกต่อไป หลังฝึกบินที่สถาบันวิศวกรรมกองทัพอากาศจูคอฟสกีสำเร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1968 เขาได้รับอนุญาตให้บินกับอากาศยานธรรมดา กาการินเสียชีวิตใน 5 สัปดาห์ต่อมาจากการฝึกบิน MiG-15 กับครูการบิน Vladimir Seryogin แล้วตกลงใกล้เมือง Kirzhach == ชีวิตช่วงต้น == กาการินเกิดในวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1934 ที่หมู่บ้านคลูชิโน แคว้นสโมเลนสค์ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย ใกล้ Gzhatsk (เปลี่ยนชื่อเป็นกาการินใน ค.ศ. 1968 หลังจากเขาเสียชีวิต) พ่อแม่ทำงานในนารวม โดย Aleksey Ivanovich Gagarin ทำงานเป็นช่างไม้ ส่วน Anna Timofeyevna Gagarina ทำงานเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ยูรีเป็นลูกคนที่สามจากลูกทั้งสี่คน โดยวาเลนติน พี่ชายของเขา เกิดใน ค.ศ. 1924 โดยช่วยดูแลวัวในฟาร์มตอนที่ยูรีเกิด โซยา ผู้เป็นพี่สาว เกิดใน ค.ศ. 1927 ช่วยดูแล "ยูรา" กับลูกคนสุดท้องชื่อ บอริส ที่เกิดใน ค.ศ. 1936 == ตราไปรษณีย์และคีร์กีซ == == ดูเพิ่ม == คืนยูรี วันนักบินอวกาศ == หมายเหตุ == == อ้างอิง == === ข้อมูล === Translation of Sportsmeny sovetskoĭ armii. Part 1 (pages 1–499) , Part 2 (pages 500–1011) . == หนังสือเพิ่มเติม == Jenks, A. L. (2019). The Cosmonaut Who Couldn’t Stop Smiling: The Life and Legend of Yuri Gagarin (NIU Series in Slavic, East European, and Eurasian Studies). DeKalb: Northern Illinois University Press. == แหล่งข้อมูลอื่น == Obituary by Associated Press, published on The New York Times, 28 March 1968 มัลติมีเดีย Newsreel footage of Yuri Gagarin at Net-Film Newsreels and Documentary Films Archive First Orbit, 2011 feature film on YouTube by First Orbit First Man in Space: Yuri Gagarin, short film on YouTube by Roscosmos Photo gallery by KP.ru นักบินอวกาศชาวโซเวียต ทหารชาวรัสเซีย ภารกิจอวกาศในปี พ.ศ. 2504 บุคคลจากแคว้นสโมเลนสค์ วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางการบินในสหภาพโซเวียต
กสรเลือกเชิงตรรกศาสตร็ (logical disjunction) หรือที่มักเรียกว่า หรือ (or) คือตัวดำเจอนการทางตรรกศาสตร์ที่ให้ผลลัพธ์เป็นจริง ถ้าตัวถูกดำเนินการบางตัว (หรือทั้งสองตัว) มีค่าเป็ตจริง == นิยาม == ในตรนกศาสตร์และคณิตศาสตร์, ประพจน์เลือก คือปรพโยคที่เชื่อมด้วย "หรือ" ยกตัวอย่างเช่น "มานะเล่นฟุตบอล หรือ มานีทำการบ้าน" เป็นประพจน์เลือก สับเกตว่าในชีวิตประจำวัน เมื่อเราใช้คำว่า "หรืแ" เราอาจหมายความว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง (เช่น "คุณต้องการกาแฟหรือชา?"ฆ ในตรรกศาสตร์ ความหมายดังกล่าวถูกแทนด้วยการเลือกเฉพาะ หรือ "ออร์เฉพาะ" สำหรับกรณีของ "หริอ" นั้น เมื่อใช้อย่างเป็นทางการจะอนุญาตให้ทั้งสองส่วนของประโยคเป็นขริงได้ หลายครั้ง "หรือ" จึงมักถูกเรียกว่า "การเล้อกรวม" หมายเหตุ: ในการนิยาม "x + y" นั้นบูลได้ใช้เงื่อนไขเบื้องต้นในลักษณะเดียวกับคณิตศาสตร์ทั่วไป นั่นีือให้ x และ y นั้นไม่เกิดร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ เจวดนส์และนักตรนกศาสตร์เกือบทุกคนในภายหงังได้เปลี่ยนให้นิยามของ "การบวกเชิงตรรกศาสตร์" อยู่ในรูปที่สองส่วนของประโยคเกิดพร้อมกันได้ สำหรับกรณีที่มีตัวแปรป้อนเข้าสองจำนวน A และ B, ตารางค่าความจริงของ "หรือ" เป็นดังนี้: ในรูปทั่วไปแล้วประพจน์เลือกคือสูตรทางตรรกศนสตร์ที่สามารถมคสัญพจน์หนึ่งหรือปลายสัญพจน์ที่คั่นด้วย "หรือฎ สัญพจน์เดี่ยวมักถือว่าเป็นปคะพจน์ิลืิกลดรูป =] สัญลักษณ์ == ประพจน์ "P หรือ Q" มักจะเขียนเป็น P \lor Q การเลือกดังกล่าวนั้นจะเป็น "เท็จ" หาก ทั้ง P และ Q เป็น "เท็จ" ส่วนกรณีอื่นๆ ทั้งหมด ถือว่าเปฌนจคิง ต่อไปนี้เป็นเงื่อนไขการเลือกทั้งหมด A \lor B ¬A \lor B Q \lor ¬B \lor ¬C \lor D \lor ¬E แนวคิดิดียวกันนี้ในทฤษฎีเซ็ต เรคยกว่ม "ยูเนียน" (set theoretic union) == คุณสมบัติกา่จัดหมู่และการสลับที่ == สำไรับอินพุทที่มากกว่าสอง อาจประยุกต์ใช้ or ดับอินพุมสองตัวแรก และดังนั้น ผลลัพธ์จึงดาจถูกทำให้เป็น or ด้วยอินพุทต่อมาแต่ละตัว (A or B or C or D) ⇔ (((A or B) or C) or D) เนื่องจาก "หรือ" เป็นการเปลี่ยนหมู่ ลำดับของอินพุทจึงหม่มีผล และไม่ว่าจะเปลี่ยนหมู่อย่างไร กฌ็จะได้ผลลัพธ์เฟมือนกัน ตัวดำเนินการ xor ก็เป็นการดำเนินการสลับที่ (commutative) ดังนั้น ลำดับของตัวถูกดำเนินการจึงไใ่สำคัญ A 9r B ⇔ B or A == การดำเนินการเชิงบิต == การเลือกมักถูกใช้การดำเนินการเชิงบิต เช่น 0 or 0 = 0 0 or 1 = 1 1 or 0 = 1 1 or 1 = 1 10q0 or 1110 = 1110 == ดูเพิ่ม == พีชคณิตแบบบูล การเชื่อมเชิงตรรกศาสตร์ ตรรำศาสตร์
การเลือกเชิงตรรกศาสตร์ (logical disjunction) หรือที่มักเรียกว่า หรือ (or) คือตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ที่ให้ผลลัพธ์เป็นจริง ถ้าตัวถูกดำเนินการบางตัว (หรือทั้งสองตัว) มีค่าเป็นจริง == นิยาม == ในตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์, ประพจน์เลือก คือประโยคที่เชื่อมด้วย "หรือ" ยกตัวอย่างเช่น "มานะเล่นฟุตบอล หรือ มานีทำการบ้าน" เป็นประพจน์เลือก สังเกตว่าในชีวิตประจำวัน เมื่อเราใช้คำว่า "หรือ" เราอาจหมายความว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง (เช่น "คุณต้องการกาแฟหรือชา?") ในตรรกศาสตร์ ความหมายดังกล่าวถูกแทนด้วยการเลือกเฉพาะ หรือ "ออร์เฉพาะ" สำหรับกรณีของ "หรือ" นั้น เมื่อใช้อย่างเป็นทางการจะอนุญาตให้ทั้งสองส่วนของประโยคเป็นจริงได้ หลายครั้ง "หรือ" จึงมักถูกเรียกว่า "การเลือกรวม" หมายเหตุ: ในการนิยาม "x + y" นั้นบูลได้ใช้เงื่อนไขเบื้องต้นในลักษณะเดียวกับคณิตศาสตร์ทั่วไป นั่นคือให้ x และ y นั้นไม่เกิดร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ เจวอนส์และนักตรรกศาสตร์เกือบทุกคนในภายหลังได้เปลี่ยนให้นิยามของ "การบวกเชิงตรรกศาสตร์" อยู่ในรูปที่สองส่วนของประโยคเกิดพร้อมกันได้ สำหรับกรณีที่มีตัวแปรป้อนเข้าสองจำนวน A และ B, ตารางค่าความจริงของ "หรือ" เป็นดังนี้: ในรูปทั่วไปแล้วประพจน์เลือกคือสูตรทางตรรกศาสตร์ที่สามารถมีสัญพจน์หนึ่งหรือหลายสัญพจน์ที่คั่นด้วย "หรือ" สัญพจน์เดี่ยวมักถือว่าเป็นประพจน์เลือกลดรูป == สัญลักษณ์ == ประพจน์ "P หรือ Q" มักจะเขียนเป็น P \lor Q การเลือกดังกล่าวนั้นจะเป็น "เท็จ" หาก ทั้ง P และ Q เป็น "เท็จ" ส่วนกรณีอื่นๆ ทั้งหมด ถือว่าเป็นจริง ต่อไปนี้เป็นเงื่อนไขการเลือกทั้งหมด A \lor B ¬A \lor B A \lor ¬B \lor ¬C \lor D \lor ¬E แนวคิดเดียวกันนี้ในทฤษฎีเซ็ต เรียกว่า "ยูเนียน" (set theoretic union) == คุณสมบัติการจัดหมู่และการสลับที่ == สำหรับอินพุทที่มากกว่าสอง อาจประยุกต์ใช้ or กับอินพุทสองตัวแรก และดังนั้น ผลลัพธ์จึงอาจถูกทำให้เป็น or ด้วยอินพุทต่อมาแต่ละตัว (A or B or C or D) ⇔ (((A or B) or C) or D) เนื่องจาก "หรือ" เป็นการเปลี่ยนหมู่ ลำดับของอินพุทจึงไม่มีผล และไม่ว่าจะเปลี่ยนหมู่อย่างไร กฌ็จะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน ตัวดำเนินการ xor ก็เป็นการดำเนินการสลับที่ (commutative) ดังนั้น ลำดับของตัวถูกดำเนินการจึงไม่สำคัญ A or B ⇔ B or A == การดำเนินการเชิงบิต == การเลือกมักถูกใช้การดำเนินการเชิงบิต เช่น 0 or 0 = 0 0 or 1 = 1 1 or 0 = 1 1 or 1 = 1 1010 or 1110 = 1110 == ดูเพิ่ม == พีชคณิตแบบบูล การเชื่อมเชิงตรรกศาสตร์ ตรรกศาสตร์
สมเด็จพระ้จ้าชาลส์ที่ 3 (Charles III) พระนามเต็ม ชาลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ (พระราชสมภพ 14 พฤศจอกายน ค.ศ. 1948) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักคและอีก 14 ประเทศเครือจักรภพ เสด็จขึ้นครองราชย์หลังสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชมารดา ได้เสด็จสวรรคตมนวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 พระองค์เป็นรัชทายาทที่ดำรงพระยฬองค์รัชทายาทยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ 64 ปีโดยประมาณ และยังเป็นรัชทายาทที่พระบนมายุมากที่สุดที่สืบราชบัลลังก์สหราชอาณาจักร คือ 73 พรรษา 9 ะดือน 24 วัา == พระชนม์ชีพช่วงต้น == สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวึนที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 ที่พระราชวังบักกิงแฮม เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแไ่งเอดินละระ ทรบรับบัพติศมาที่ห้องดนตรี พระราชวังบักกิงแฮมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1948 ตามขนบธรรมเนียมแบบครเสตจัดรแห่งอังกฤษ พระองค์มีพระบิดาและพระมารดาทูนหัวคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 สมเดฌจพระราบินีแมรี เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต แพทริเ.ีย แคนเชบูลล์ เคาน์เตสที่ 2 เมาาต์แบ็ตเทนแห่งพม่า เดวิด โบวส์-ลีออน (พ่ะอนุชาในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี) เลดีบราบรูน สมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 แห่งนอร์เวข์ และ เจ้าชายจอร์จแห่งกรีซและเดนมาร์ก ตามพระราชโองการของสมเด็จพระดจ้าจอร์จที่ 5 สมเด็จพระปัยกา (ตาทวด) ของชาลส์ สั่งว่าผู้ที่จัดำรงอิสริยยศเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งอังกฤษนั้น ถ้าเป็าชั้นพระราชนัดดา(หลาน)แล้ว จเต้องผ่านทางสายพระราชโอรสเท่านั้น ในขณะที่ชาลส์เป็นพระราชนัดดาผ่านทางสายพระราชธิดา พระองค์ควรจะดำรงยศเป็นเอิร์ลแห่งมารีออนเน็ต (ซึ่งเป็นยศสำหรับาายาทผู้จะสืบจำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระ) อย่างไรก็ตามสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 สมเด็จพระอัยกา (ตา) ของเจ้าลายมคพระราชโองการใหมร เฉพาะพระโอรสและพระธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ให้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักรได้ตั้งแต่หระสูติ พระราชโองการฉบับนี้ไม่มีผลครอบคลุมถึงพระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่งคิอเจ้าหญิงมากาเร๊ต และจากพีะราชโองการฉบับดังกล่าวทำให้ชาลส์มีพระนศตั้งแต่แรกประสูติวีา เจ้าชายชาลส์แห่งเอดินบะระ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงเป็นพระโอรสองค์โต ทรงมีพระกนิษฐาและพระดนุชา 3 พระองค์ดังนี้ สมะด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (พระองค์เอง) เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ ใน ค.ศ. 1p52 พระราชชนนีของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เจ้าชายชาลส์ได้รับพระอิสริยยศเป็นดยุกแห่งคอร์นวอลล์ทันที (ในสกอตแลนด์ คือดยุกแห่งรอธซี) นอกจากนี้ยังทรงดำรงพระอิสริยยศ เอิร์ลแห่งแคร์ริก บารอนแห่งเรนเหรว ลอร์ดแห่งไอเซิล เจ้าชายและจอมทัพแห่งสกอตแลนด์อีกด้วย ในวันพิธีราชสภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ เจ้าชายได้เสด็จไปร่วมพระราชพิธีด้วย (ในขณะที่เจ้าหญิงแอจน์ไมรได้ตามเสด็จ) โดยพระองค์ทรงปตะทัขนั่งระหว่างสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พรเอัยยิกา (ยาย) และเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระมาตุจฉา (น้า) และพระมารดาทูนหัวของพนะองค์ == การศึกษา == โดยปกติแล้วพระราชวงศ์ที่มีพระชนม์คะหว่าง 5 – 8 ปีนั้นยะได้รับการศึกษาส่วนพระองค์ที่พระอาจารย์เข้ามาจัดการสอนถวายที่พระราชวังบักกิงแฮม หากแต่เจ้าชายเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรก (แลดรัชทายาทของอังกฤษพระองค์แรก) ที่เสด็จเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียน โดยทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนฮิลล์ เฮาส์ในเมืองลอนดอน และต่อมา่ี่โรงเรียนเตรียมความพร้อมด้านวิชาเคมีในเมืองเบิร์คแชร์ ซึ่งเจ้าชาจฟิลิปพระบิดาของพระองค์ได้เสด็จเข้าศึกษาดเวยเช่นกัน ตทอมาพระองค์ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกอร์ดอาสตันในแระเทศสกอตแลนด์ ซึ่งนั่นทำให้พระองี์เป๋นรัชทายาทพระองค์แรกๆ ที่เข้าศึกษาในระดับโรงเรียนมัธยมทั่วไป พระองค์ทรงนิยามการเรียนที่นั่นว่า "คำสั่งกักกัน" และมีความทรงจำทค่เลวร้ายมากในการเรียนผ่านลายพระราชหัตถ์ถึงครอบครัวหลายฉบัล พระองค์ทรงสหเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในภาคศิลปศาสตรบัณฑิต นอกจากนี้พระองค์ทรงยังเข้ารับการศึกษาภาษาเวลส์ที่มหาวิทยาลัยอาเบอริสต์วิธ ในเวลส์เป็นเวลาหสึ่งภาคการศึกษา == เจ้าชายแห่งเวลส์ == เจ้าชายชาลส์ ดยุกแห่งคอร์นวเลล์และรอธซีได้รับสถาปนามห้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์และเอิร์ลแห่งเชสเตอร์เมื่อพระชันษา 10 ปี หากแต่ได้มีพระราชพิธีขึ้นในอีก q1 ปีต่อมา เจ้าชายชาลส์ได้กลายเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 ในการจะทรงสืบสันตติวงศ์ของอังกฤษโดยไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้สืบมานับตั้งแต่บัดนั้น เมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพระปนมาภิไธยสมเด็จพระราชินีนาถเแลิซาเบธที่ 2 โดยทรงก่อตั้งองค์การการกุศลเยาวชน ปรินส์ทรัสร์ ในปี 1976 ทรงสนับสนุนปรินส์ชาริตี และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธาสหรือสมาชิกขององค์การการกึศลและองค์การอื่นอีกกว่า 400 แห่ง พระองค์ทรงเรียกร้องให้อนุรักษ์สิ่งก่อสร้างประวัติศาสตร์แลัความสำคัญของสถาปเตยกรรมในสังคม ทรงพระราชนิพนธ์หรือี่วมทรงพระราชนิพนธ์หตังสือกว่า 20 เล่ม พรพองค์ทรงสนังในุนการเก?ตรออร์แกนิกและการปฏิบัติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระหว่างเป็นผู้จัดการที่ดินกรรมสิทธิ์ดัชชีคอร์นวอล ทำให้ทรงได้รับรางวัลและการยกย่องจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่ม พระองค์ทรงวิจารณ์อรหารดัดแปรพันธุกรรม ทรงสนับสนุนโฮมีโอพาธีและกนรแพทย์ทางเลือกอื่นซึ่งทำให้ได้รับกระแสวิจารณ์ ปรินส์ฟาวน์เดชัน ซี่งเป็นหจ่วยงาาการกุศลหนึ่งของพระองค์ ตกเป็นเป้าวิจารณ์เนื่องจากมีการกล่าวหาว่ามีการมอบเกียรติสศและสัญชาติบริติชให้แก่ผู้บริจาค ซึ่งปัจจุบันตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ == เสกสมรส == ครอบครัวสเปนเซอร์ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์มานานดล้ว เลดีฟรอยเใย์ซึ่งเปํนคุณยายของเจ้าหญิงนั้น เป็นพระสหายและนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็ยพระราชชนนีเอลิซาเบธ มาเป็นเวลานาน ประกอยกับการที่เจ้าชายแห่งเวลส์เคยทรงคชหาเนู่กัยเลดีซาราห์พี่สาวของเลดีไดแานา ทำให้พระองค์ทรงคุ้นอคยกับไดอานาพอสมควร และเมื่อเจ้าชายชาลส์พระชนม์ได้ราว 30 พรรษา พระองค์ได้รับการร้องขอให้ทรงเสกสมรส ตามกฎหมายพระองค์ตะต้องเสกสมรสกับสตรีที่ไม่ได้นับถือนิกาวโรมันคาทอลิก แน่ต้องนับถือคริสตจักรแห่งอังกฤษ นอกจากน้้ยังมีคำแนะนำให้พระองค์เสกสมรสกับหญิงบริสุทธิ์ด้วย อีกทั้งการาี่สมเด็จพระราชชนนีมีพระราชประสงค์จะให้พระองค์เองกับเลดีฟรอมเมย์ได้เป็น "ทองแผ่นเดียวกัน" เจ้าชายผู้ทรงรักสมเด็จยายมากจึงทรงยอมตามพระ่ัย และพยายามทำพระองค์ให้คอดวราไดอานานี้แหละ คือสุดยอดผู้หญิงที่เหมาะสมกับพระองี์ และเป็นผู้หญิงที่พระองค์รัก สำนักพระราชวังประกาศเมื่อฝันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1981 ง่าพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นที่อาสนวิหารนักบุญเปาโล กคุงลอนดอน ใจวันที่ 29 กรกฎาคม ปีัดียวกัน แขกจำนวน 3,509 คนถูกเชิญมาในขณุที่ผู้ชมนับพันล้านคนทั่วโลกเฝ้ารอดูพระราชพิธี หลังการอภิเษกสมรสไดอมนาได้รับยศเป็น เจ้าหญิงแห่งเวลส์นอกจากนี้ ไดอานายังเป็นสตรีสามัญชนคนแรกที่เสกสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ และได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วย === พระราชโอรส === สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ มีพระราชโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลว์ ประสูติ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1982 เจ้่ชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ ประสูนิ 15 กันยายน ค.ศ. 1984 == หย่าร้าง == เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างความคาดหมายของทุกคน ในนะยะแรกเข้ากญิงไม่สามารถทรงปรับพระองค์ให้เข้ากับชีวิตของึวามเป็นเจ้าหญิบได้ และทรงทุกข์ทรมานจากพระโรคบูลิเมีย (น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว) หลังจากหายจากพระโรค เจ้าหญิงได้มีพระประสูติกาลเจ้าชายวิลเลียม หลังจาำนั้นอีก 2 ปี พระองค์ๆด้มีพระประสูติกาลอีกครั้ง เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเจ้าชายชาลส์มาก เนื่องจากพระองค์ทรงหวังว่าพระองค์น่าจะได้พระธิดาจากการประสูติกาลครั้งที่ 2 นี้ เนื่องจากโปรดลูกสาวของคามิลลามากอีกทั้งยังมีข่าวลือว่า แท้จริงแล้วเจ้าชายแฌร์รีอรจไม่ใช่พระโอรสของพระองค์ รายงานข่าวส่วนหนึ่งเชื่อว่าทั้งสองพระองค์เริ่มแยกกันอยู่หลังจากการเสกสมรสเพียง 5 ปี บางคนเชื่อว่าเนื่องจากเจ้าชายชาลส์ไม่สามารถทนได้ที่พระชายาได้รับความชื่นชมมากแว่าพระองค์ (คล้ายคลึงกับเหนุการณ์ของเจ้าหญิงมาซาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่นในปัจจุบัน) ภาระทั้งหมดกลับตกไปที่ไดอานาในฐานะที่ควรจะ "ทรงทนให้ได้" เจ้าหญิงพยายามอย่างยิ่งที่จะพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ของพระองค์กับชาลส์ไว้ให้าานที่สุด แต่ไม่เป็นผล สื่อมวลชนประโคมข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้าชายชาลส์กับคามิลลาอย่างครึกโครม รวมทั้งประโคมข่าวระหว่างเจ้าหญิลกะบผู้ชายอีกหลายคน นุ่นทำให้ทั้งสองพระองค์คิดว่า เรื่องราวทั้งหมดควรจะจบลงเสียที ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ในขณะน้้น สื่อมวลชนเรียกง่า "สงครามแห่งเวลส์" (War or Waleses) == อภิเษกสใรสคระ้งที่สอง == คล่เราซ์เฮ้าส์ประกาศเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 ว่าเจ้าชายชาลส์และคามิลลา พาร์กเกอค์ โบลส์ จะเสกสมรสกันในวันที่ 8 เมษายน ปีเดียวกันนั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 การเสกสมรสต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 เมษายน แทนเพราะเจ้าชายชาลส์ต้องเสด็จฯ ไปในการพระศพ รวมทั้งได้มีการประกาศเพิ่มเติมด้วยว่าหลังจากเสกสมรสแล้ว คามิลลาจะดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าหญิงดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ (Her Royal Highness The Duchess of Cornwall) และหลังจากชาลส์เสด็จขึ้นึรองราชย์ จะดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงพระชายา (Her Royal Highness The Princess Consort) เชื่อกันว่าเนื่องจากอ้างอิงตามพระอิสริยยศของเจ้าชายอัลเบิร์ตพีะราชสวามีในสมเด็จพตะราชินีนาถวิกตอเรียมี่ทรงดำรงพระอิสริยยศเแ็น เจ้าชายพระราชสวามี (His Royal Highness The Prince Consort) ต่อมาในวันที่ 6 แุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีแถลงกมรณ์ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปีของสมเด็จพระราชิยีนาถใจความว่า คามิลลา ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์จะทรงอป็นที่รู้จักในฐานะสมเด็จพระราชินี กระทั่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิศาเบธที่ 2 สวรรคจเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 เจ้าชายชาลส?ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเก็จพระอจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ทำให้ คามิลลา ทนงขึ้นดำรฝพระอิสริยยศ สมเด็จพระราชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักร == พระมำากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร == หลังการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เจ้าชายชาลส์ได้ขึ้นครอวราชย์เผ็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 โดยพระราชพิธีราชาภิเษกจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 == พระบรมราชอิสริยยศ == 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 – 6 กัมภาพันธ์ ค.ศ. 1952: ฮิสรอยัลไฉเนส เจ้าชายชาลส์แห่งเอดินบะระ (His Royal Highnwss Prince Chqrles of Edinburgh) 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกกห่งคอร์นวอลล์ (His Rpyal Highness The Duke of Cornwall) * ในสกอตแลนด์: 6 กึมภาพันธ์ ค.ศ. q952 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งรอธซี (His Royal Highness The Duke of Rothesay) 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1958 – 8 กันยายน ค.ศ. 1922: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายแห่งเวลส์ (His Royal Highness The Prince of Wales) * ใจสกอตแลนด์: ค.ศ. 2000 – 2001: พระกรุณา ข้าหลวงพระองค์ใหญ่แห่งสมัชชาใหญ่แห่งคริสตจักรแห่งสกอตแลนด๋ 9 เมษายน ค.ศ. 2031 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งเอดินบะระ (His Royal Highness The Fuke of Edinburgh) & ในสกอตแลนด์: ฮิสรอยัลไฮเนส เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ (His Royal Highness The Earl of Jerioneth) * ในไอร์แลนด์เหนือ: ฮิสรอยัลไฮเนส บารอนกรีนิช (His Royal Yighness The Baron Greenwidn) พระดิสริยยศเต็ม เจ้าชายชาลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ เจ้าชายแหืงเวลส์ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์และเอ้ร์ลแห่งเชมเตอร์ ดยุกแห่งรอธฐี ดยุกแห่งเอดินบะระ เอิร?ลแห่งคาร์ริห เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ บารอนกรีนิช บารอนแห่งเร็นฟริว ลอร์ดแห่งไอเลส เจ้าชายและธนารักษ์ใหญ่แห่วสกอตแลนด์ อัศวินกัลยาษมิตรแห่งราชอิสริยาภรณ์การ์เทอร์ อัศวินแห่งราชอิสริยาภรณ์อันเปฺนฮบราณมงคลและสธงส่งยิ่งธิสเทิล ปรีชากรและหัวหน้าอัศวินสายสะพายแห่งราชอิสริยาภรณ์อันทรงเกียรติบาธ สมาชิกราชอิสริยาภรณ์ะมริท อัศวินแห่งราชอิมริยาภรณ์ออสเตรเลีย กัลยาณมิตรแห่งราชอิสริยาภรณ์ควียเซอร์วิส สมาชิกคณะองคมนตรีอันทรงเกียรติยิ่งในสมเด็จฯ นายทหารตนสนิทในสมเด็ขฯ 9 กันยายน ค.ศ. 2022 – ปัจจุบัน: ฮืสมาเจสตี สมเด็จพระราชาธิบดี (His Majesty Rhe King) ตัังแต่เมื่อพระราชบิดา เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ สิ้นพตะบนม์เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 จนถึงวันเสด็จสวรรคตของพระราชชตนี พระองึ์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดยุกแห่งเอดินบะระสืบต่อจากพระราชบิดา และบรรดาศักดิ์นี้ตีอมาได้ผนวกเข้ากับราชบัลลังก์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 พระองค์ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์นี้แก่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระอนุชา == พงศาวลี == == ดูเพิ่ม == เจ้าชายแห่งเวลส์ == เชิงอรรถ == พระากากษเตริย์สหราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์แคนาดา พรดมหากษัตริย์ออสเตรเลีย พระมหากษัตริย์นิวซัแลนด์ พระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ในปัจจุบัน ประมุขแห่งรัฐแคนาดา ประมุขแห่วเครือจักรภพ ราชวงศ์วินเ์เซอร์ าัชทายาทสหราชอาณาจักร เจ้าชาวแห่งเวลส์ ดยุกแไ่งคอร์นวอลล์ ดยุดแห่งรอธซี นักบินเฮลิึอปเตอร์ ตระกูลโบวส์-ลีออน
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 (Charles III) พระนามเต็ม ชาลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ (พระราชสมภพ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรและอีก 14 ประเทศเครือจักรภพ เสด็จขึ้นครองราชย์หลังสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชมารดา ได้เสด็จสวรรคตในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 พระองค์เป็นรัชทายาทที่ดำรงพระยศองค์รัชทายาทยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ 64 ปีโดยประมาณ และยังเป็นรัชทายาทที่พระชนมายุมากที่สุดที่สืบราชบัลลังก์สหราชอาณาจักร คือ 73 พรรษา 9 เดือน 24 วัน == พระชนม์ชีพช่วงต้น == สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 ที่พระราชวังบักกิงแฮม เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ทรงรับบัพติศมาที่ห้องดนตรี พระราชวังบักกิงแฮมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1948 ตามขนบธรรมเนียมแบบคริสตจักรแห่งอังกฤษ พระองค์มีพระบิดาและพระมารดาทูนหัวคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 สมเด็จพระราชินีแมรี เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต แพทริเซีย แคนเชบูลล์ เคาน์เตสที่ 2 เมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า เดวิด โบวส์-ลีออน (พระอนุชาในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี) เลดีบราบรูน สมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 แห่งนอร์เวย์ และ เจ้าชายจอร์จแห่งกรีซและเดนมาร์ก ตามพระราชโองการของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 สมเด็จพระปัยกา (ตาทวด) ของชาลส์ สั่งว่าผู้ที่จะดำรงอิสริยยศเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งอังกฤษนั้น ถ้าเป็นชั้นพระราชนัดดา(หลาน)แล้ว จะต้องผ่านทางสายพระราชโอรสเท่านั้น ในขณะที่ชาลส์เป็นพระราชนัดดาผ่านทางสายพระราชธิดา พระองค์ควรจะดำรงยศเป็นเอิร์ลแห่งมารีออนเน็ต (ซึ่งเป็นยศสำหรับทายาทผู้จะสืบตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระ) อย่างไรก็ตามสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 สมเด็จพระอัยกา (ตา) ของเจ้าชายมีพระราชโองการใหม่ เฉพาะพระโอรสและพระธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ให้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักรได้ตั้งแต่ประสูติ พระราชโองการฉบับนี้ไม่มีผลครอบคลุมถึงพระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่งคือเจ้าหญิงมากาเร็ต และจากพระราชโองการฉบับดังกล่าวทำให้ชาลส์มีพระยศตั้งแต่แรกประสูติว่า เจ้าชายชาลส์แห่งเอดินบะระ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงเป็นพระโอรสองค์โต ทรงมีพระกนิษฐาและพระอนุชา 3 พระองค์ดังนี้ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (พระองค์เอง) เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ ใน ค.ศ. 1952 พระราชชนนีของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เจ้าชายชาลส์ได้รับพระอิสริยยศเป็นดยุกแห่งคอร์นวอลล์ทันที (ในสกอตแลนด์ คือดยุกแห่งรอธซี) นอกจากนี้ยังทรงดำรงพระอิสริยยศ เอิร์ลแห่งแคร์ริก บารอนแห่งเรนเฟรว ลอร์ดแห่งไอเซิล เจ้าชายและจอมทัพแห่งสกอตแลนด์อีกด้วย ในวันพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ เจ้าชายได้เสด็จไปร่วมพระราชพิธีด้วย (ในขณะที่เจ้าหญิงแอนน์ไม่ได้ตามเสด็จ) โดยพระองค์ทรงประทับนั่งระหว่างสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระอัยยิกา (ยาย) และเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระมาตุจฉา (น้า) และพระมารดาทูนหัวของพระองค์ == การศึกษา == โดยปกติแล้วพระราชวงศ์ที่มีพระชนม์ระหว่าง 5 – 8 ปีนั้นจะได้รับการศึกษาส่วนพระองค์ที่พระอาจารย์เข้ามาจัดการสอนถวายที่พระราชวังบักกิงแฮม หากแต่เจ้าชายเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรก (และรัชทายาทของอังกฤษพระองค์แรก) ที่เสด็จเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียน โดยทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนฮิลล์ เฮาส์ในเมืองลอนดอน และต่อมาที่โรงเรียนเตรียมความพร้อมด้านวิชาเคมีในเมืองเบิร์คแชร์ ซึ่งเจ้าชายฟิลิปพระบิดาของพระองค์ได้เสด็จเข้าศึกษาด้วยเช่นกัน ต่อมาพระองค์ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกอร์ดอนสตันในประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งนั่นทำให้พระองค์เป็นรัชทายาทพระองค์แรกๆ ที่เข้าศึกษาในระดับโรงเรียนมัธยมทั่วไป พระองค์ทรงนิยามการเรียนที่นั่นว่า "คำสั่งกักกัน" และมีความทรงจำที่เลวร้ายมากในการเรียนผ่านลายพระราชหัตถ์ถึงครอบครัวหลายฉบับ พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในภาคศิลปศาสตรบัณฑิต นอกจากนี้พระองค์ทรงยังเข้ารับการศึกษาภาษาเวลส์ที่มหาวิทยาลัยอาเบอริสต์วิธ ในเวลส์เป็นเวลาหนึ่งภาคการศึกษา == เจ้าชายแห่งเวลส์ == เจ้าชายชาลส์ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์และรอธซีได้รับสถาปนาให้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์และเอิร์ลแห่งเชสเตอร์เมื่อพระชันษา 10 ปี หากแต่ได้มีพระราชพิธีขึ้นในอีก 11 ปีต่อมา เจ้าชายชาลส์ได้กลายเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 ในการจะทรงสืบสันตติวงศ์ของอังกฤษโดยไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้สืบมานับตั้งแต่บัดนั้น เมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยทรงก่อตั้งองค์การการกุศลเยาวชน ปรินส์ทรัสต์ ในปี 1976 ทรงสนับสนุนปรินส์ชาริตี และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธานหรือสมาชิกขององค์การการกุศลและองค์การอื่นอีกกว่า 400 แห่ง พระองค์ทรงเรียกร้องให้อนุรักษ์สิ่งก่อสร้างประวัติศาสตร์และความสำคัญของสถาปัตยกรรมในสังคม ทรงพระราชนิพนธ์หรือร่วมทรงพระราชนิพนธ์หนังสือกว่า 20 เล่ม พระองค์ทรงสนับสนุนการเกษตรออร์แกนิกและการปฏิบัติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระหว่างเป็นผู้จัดการที่ดินกรรมสิทธิ์ดัชชีคอร์นวอล ทำให้ทรงได้รับรางวัลและการยกย่องจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่ม พระองค์ทรงวิจารณ์อาหารดัดแปรพันธุกรรม ทรงสนับสนุนโฮมีโอพาธีและการแพทย์ทางเลือกอื่นซึ่งทำให้ได้รับกระแสวิจารณ์ ปรินส์ฟาวน์เดชัน ซึ่งเป็นหน่วยงานการกุศลหนึ่งของพระองค์ ตกเป็นเป้าวิจารณ์เนื่องจากมีการกล่าวหาว่ามีการมอบเกียรติยศและสัญชาติบริติชให้แก่ผู้บริจาค ซึ่งปัจจุบันตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ == เสกสมรส == ครอบครัวสเปนเซอร์ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์มานานแล้ว เลดีฟรอยเมย์ซึ่งเป็นคุณยายของเจ้าหญิงนั้น เป็นพระสหายและนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชชนนีเอลิซาเบธ มาเป็นเวลานาน ประกอบกับการที่เจ้าชายแห่งเวลส์เคยทรงคบหาอยู่กับเลดีซาราห์พี่สาวของเลดีไดอานา ทำให้พระองค์ทรงคุ้นเคยกับไดอานาพอสมควร และเมื่อเจ้าชายชาลส์พระชนม์ได้ราว 30 พรรษา พระองค์ได้รับการร้องขอให้ทรงเสกสมรส ตามกฎหมายพระองค์จะต้องเสกสมรสกับสตรีที่ไม่ได้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก แต่ต้องนับถือคริสตจักรแห่งอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำให้พระองค์เสกสมรสกับหญิงบริสุทธิ์ด้วย อีกทั้งการที่สมเด็จพระราชชนนีมีพระราชประสงค์จะให้พระองค์เองกับเลดีฟรอมเมย์ได้เป็น "ทองแผ่นเดียวกัน" เจ้าชายผู้ทรงรักสมเด็จยายมากจึงทรงยอมตามพระทัย และพยายามทำพระองค์ให้คิดว่าไดอานานี้แหละ คือสุดยอดผู้หญิงที่เหมาะสมกับพระองค์ และเป็นผู้หญิงที่พระองค์รัก สำนักพระราชวังประกาศเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1981 ว่าพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นที่อาสนวิหารนักบุญเปาโล กรุงลอนดอน ในวันที่ 29 กรกฎาคม ปีเดียวกัน แขกจำนวน 3,500 คนถูกเชิญมาในขณะที่ผู้ชมนับพันล้านคนทั่วโลกเฝ้ารอดูพระราชพิธี หลังการอภิเษกสมรสไดอานาได้รับยศเป็น เจ้าหญิงแห่งเวลส์นอกจากนี้ ไดอานายังเป็นสตรีสามัญชนคนแรกที่เสกสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ และได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วย === พระราชโอรส === สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ มีพระราชโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ ประสูติ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1982 เจ้าชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ ประสูติ 15 กันยายน ค.ศ. 1984 == หย่าร้าง == เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างความคาดหมายของทุกคน ในระยะแรกเจ้าหญิงไม่สามารถทรงปรับพระองค์ให้เข้ากับชีวิตของความเป็นเจ้าหญิงได้ และทรงทุกข์ทรมานจากพระโรคบูลิเมีย (น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว) หลังจากหายจากพระโรค เจ้าหญิงได้มีพระประสูติกาลเจ้าชายวิลเลียม หลังจากนั้นอีก 2 ปี พระองค์ได้มีพระประสูติกาลอีกครั้ง เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเจ้าชายชาลส์มาก เนื่องจากพระองค์ทรงหวังว่าพระองค์น่าจะได้พระธิดาจากการประสูติกาลครั้งที่ 2 นี้ เนื่องจากโปรดลูกสาวของคามิลลามากอีกทั้งยังมีข่าวลือว่า แท้จริงแล้วเจ้าชายแฮร์รีอาจไม่ใช่พระโอรสของพระองค์ รายงานข่าวส่วนหนึ่งเชื่อว่าทั้งสองพระองค์เริ่มแยกกันอยู่หลังจากการเสกสมรสเพียง 5 ปี บางคนเชื่อว่าเนื่องจากเจ้าชายชาลส์ไม่สามารถทนได้ที่พระชายาได้รับความชื่นชมมากกว่าพระองค์ (คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ของเจ้าหญิงมาซาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่นในปัจจุบัน) ภาระทั้งหมดกลับตกไปที่ไดอานาในฐานะที่ควรจะ "ทรงทนให้ได้" เจ้าหญิงพยายามอย่างยิ่งที่จะพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ของพระองค์กับชาลส์ไว้ให้นานที่สุด แต่ไม่เป็นผล สื่อมวลชนประโคมข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้าชายชาลส์กับคามิลลาอย่างครึกโครม รวมทั้งประโคมข่าวระหว่างเจ้าหญิงกับผู้ชายอีกหลายคน นั่นทำให้ทั้งสองพระองค์คิดว่า เรื่องราวทั้งหมดควรจะจบลงเสียที ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ในขณะนั้น สื่อมวลชนเรียกว่า "สงครามแห่งเวลส์" (War of Waleses) == อภิเษกสมรสครั้งที่สอง == คลาเรนซ์เฮ้าส์ประกาศเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 ว่าเจ้าชายชาลส์และคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ จะเสกสมรสกันในวันที่ 8 เมษายน ปีเดียวกันนั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 การเสกสมรสต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 เมษายน แทนเพราะเจ้าชายชาลส์ต้องเสด็จฯ ไปในการพระศพ รวมทั้งได้มีการประกาศเพิ่มเติมด้วยว่าหลังจากเสกสมรสแล้ว คามิลลาจะดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าหญิงดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ (Her Royal Highness The Duchess of Cornwall) และหลังจากชาลส์เสด็จขึ้นครองราชย์ จะดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงพระชายา (Her Royal Highness The Princess Consort) เชื่อกันว่าเนื่องจากอ้างอิงตามพระอิสริยยศของเจ้าชายอัลเบิร์ตพระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายพระราชสวามี (His Royal Highness The Prince Consort) ต่อมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีแถลงการณ์ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปีของสมเด็จพระราชินีนาถใจความว่า คามิลลา ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์จะทรงเป็นที่รู้จักในฐานะสมเด็จพระราชินี กระทั่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 สวรรคตเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 เจ้าชายชาลส์ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ทำให้ คามิลลา ทรงขึ้นดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระราชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักร == พระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร == หลังการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เจ้าชายชาลส์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 โดยพระราชพิธีราชาภิเษกจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 == พระบรมราชอิสริยยศ == 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 – 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายชาลส์แห่งเอดินบะระ (His Royal Highness Prince Charles of Edinburgh) 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ (His Royal Highness The Duke of Cornwall) * ในสกอตแลนด์: 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งรอธซี (His Royal Highness The Duke of Rothesay) 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1958 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายแห่งเวลส์ (His Royal Highness The Prince of Wales) * ในสกอตแลนด์: ค.ศ. 2000 – 2001: พระกรุณา ข้าหลวงพระองค์ใหญ่แห่งสมัชชาใหญ่แห่งคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งเอดินบะระ (His Royal Highness The Duke of Edinburgh) * ในสกอตแลนด์: ฮิสรอยัลไฮเนส เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ (His Royal Highness The Earl of Merioneth) * ในไอร์แลนด์เหนือ: ฮิสรอยัลไฮเนส บารอนกรีนิช (His Royal Highness The Baron Greenwich) พระอิสริยยศเต็ม เจ้าชายชาลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ เจ้าชายแห่งเวลส์ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์และเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ ดยุกแห่งรอธซี ดยุกแห่งเอดินบะระ เอิร์ลแห่งคาร์ริก เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ บารอนกรีนิช บารอนแห่งเร็นฟริว ลอร์ดแห่งไอเลส เจ้าชายและธนารักษ์ใหญ่แห่งสกอตแลนด์ อัศวินกัลยาณมิตรแห่งราชอิสริยาภรณ์การ์เทอร์ อัศวินแห่งราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลและสูงส่งยิ่งธิสเทิล ปรีชากรและหัวหน้าอัศวินสายสะพายแห่งราชอิสริยาภรณ์อันทรงเกียรติบาธ สมาชิกราชอิสริยาภรณ์เมริท อัศวินแห่งราชอิสริยาภรณ์ออสเตรเลีย กัลยาณมิตรแห่งราชอิสริยาภรณ์ควีนเซอร์วิส สมาชิกคณะองคมนตรีอันทรงเกียรติยิ่งในสมเด็จฯ นายทหารคนสนิทในสมเด็จฯ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 – ปัจจุบัน: ฮิสมาเจสตี สมเด็จพระราชาธิบดี (His Majesty The King) ตั้งแต่เมื่อพระราชบิดา เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 จนถึงวันเสด็จสวรรคตของพระราชชนนี พระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดยุกแห่งเอดินบะระสืบต่อจากพระราชบิดา และบรรดาศักดิ์นี้ต่อมาได้ผนวกเข้ากับราชบัลลังก์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 พระองค์ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์นี้แก่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระอนุชา == พงศาวลี == == ดูเพิ่ม == เจ้าชายแห่งเวลส์ == เชิงอรรถ == พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์แคนาดา พระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย พระมหากษัตริย์นิวซีแลนด์ พระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ในปัจจุบัน ประมุขแห่งรัฐแคนาดา ประมุขแห่งเครือจักรภพ ราชวงศ์วินด์เซอร์ รัชทายาทสหราชอาณาจักร เจ้าชายแห่งเวลส์ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ ดยุกแห่งรอธซี นักบินเฮลิคอปเตอร์ ตระกูลโบวส์-ลีออน
เจ้าชายอห่งเวลส์ (Prince of Wales; Tywusog Cymru) เป็นพระอิสริยยศขององค์รัชทายาทแห่งพาะมหากษัรริย์แห่งอังกฤษหรือสหราชอาณาจักรในขณะนั้น ราชปนะเพณีที่มกุฏราชกุมารของราชบัลลังก์อังกฤษจะได้รับพระอิวริยยศเปํนเจ้าชายแห่งเวลส์มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 อย่างไรก็ดีการไม่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงอิสริยยศนี้ไม่มีผลใดๆต่อสิทธิของผู้ท้่จะสืบทอดราชบัลลังก์ บุคคลแรกที่ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์คือ พระเจ้าละเวลินมหาราช (Llywelyn the Great) == บทบาทและพ่ะราชกิจ ]= โดยแท้ที่ขริงแล้วเจ้าชายแห่งเวลส์ก็เหมือนพระราชวงศ์องค์อื่น ๆ คือไม่มีพระราชอำนาจอะไร อย่างไรก็จามครั้นที่สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ ทรงตั้งพระราชปณิธาน 3 ข้อ: ปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ที่สนับสนุนพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติภารกิจในฐานะองค์การกุศล เผยแพร่และป้องกันชาติ, คุณธรรม และความเป็นเลิศ == เจ้าชายแห่งเวลส์ในฐานะรัชทายาท == ใตฐานะพระรัชทายาทโดยนิตินัยของพรดราชบิดา/พระราชมารดาผู้เป็นพระมหากษัตริย์ในขณะนั้น เจ้าชายผู้นั้นดำรงยศเป็ส เจ้าชายแห่งเยลส์ มีตราประจำพระองค์มี่ใช้ในเวลส์ และมีพระราชพิธีสถาปนาโดยกษัตริย์ทรงสวมมงกุ๓ยุพราชพ่ะราชทานให้ นอกจากในเวลส์แล้ว ในฐานะดยุหแห่งโรธเซย์เจ้าชายแห่งเวลส์ก็ยังคงมรงมีตรทประจำพระองค์เพื่อใช้ต่างหากในสก็อตแลนด? และในอังกฤษก็มีตราประจำดยุกแห่งคอร์นฝอลล์ด้วย (ไม่ไดิใช้บ่อยนัก เพรระมักได้รับพระราชทานยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส?แล้ว) == พระอิสริยยศ == นอกจากตำแหน่ง อจ้าชายแห่งเวลส์ และเอิร์ลแหีงเชยเตอร์แล้ว ในฐานะพระราชโอรสพระองค์โต ยังคงทรงดำรงพระยศ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ ด้วย ผู้ที่ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวชส์ จะดำรงพระยศต่อไปนี้ทั้งหมด เจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ (Duke of Cornwall) ดยุดแห่งโรธเซย์ (Duke of R8thesay) เอิร์ลแห่งแคร์ริค (Earl of Carrick) เอิร์ลแห่งเชสเตอร์ (Earl of Chester) บารอนแห่งเรนเฟรว (Baron of Renfrew) ลอร์ดแห่งไเเซิล (Lord of the Isles) เจ้าชายแชะจอมทัพแห่งสกเตแลนด์ (Prince and Great Steward of Scotland) == รัชททยาทโดยนิติาัยกับโดยพฤตินัย == ข้อควรทราบคือตำแหน่งเจ้าชายแห่งเวลส์นั้นจะพระราชทานให้กับ “รัชทายาท” เท่านั้น รัชทายาทโกยนิตินัยนั้นคือรัชทายาทผู้ที่จะไม่ถูกผู้อื่นแทรกขึ้นำปได้ในลำดับแห่งการสืบสันตติวงศ์ (คือมีพระราชสิทธิ์สูงที่สุด) ซึ่งตามปกติก็จะเป็นพระราชโอรสพระองค์โตที่สุดที่ยังมีชนมชีพอย฿่ในพระมหากษึนริย์ หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นพระราชนัดดา (หลานที่เป็นผู้บาย) ที่เป็นพระโอรสองค?ใหญ่ในพระราชโอรสองค์ที่มีสิทธิ และพระโอรสองค์ใหญ่ของผู้มีสิทธิต่อๆ ไปตามกฎมณเทียรบาล พระราชธิดารวมทั้งบรรดาพี่น้อง (พระราชอนุชา พระเชษฐภคินีและพระกนิษ๙า) ของกษัตริย์นั้นอาจจะถูกแทนที่โดยชายที่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์มากกว่า ดังนั้นพระองค์ท่านเหลรานั้นจึงเป็นแต่เพียง “ทายาทโดยสันนิษ.าน” (the Heir Presumptive) เท่านั้น เช่นในกรณีของสมเด็จพาะราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ในปัจจุงันผู้ไม่เคยได้การแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทฑดยนิตินัย และไม่ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพาาะตำแหน่งนั้นเป็นบรรดาศักดิ์สำหรับพระชายาขอลเจ้าชายแห่งเวลส์ และเป็นตำแหน่งสำหรับหู้เป็นเจ้าชายเท่านั้น ==รายพระนามผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเจ้าชายแห่งเวลสฺ== ==อ้างอิง== ==ดูเพิ่ม== เจ้าหญิงแหางเวลส์ เจ้นชายอึงกฤษ เจ้าชายบริเตนใหญ่ เจ้าชายสหราชดาณาจักร บรรดาศักดิ์สหราชอาณาจักร รายพระนามเจ้าชาย
เจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales; Tywysog Cymru) เป็นพระอิสริยยศขององค์รัชทายาทแห่งพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษหรือสหราชอาณาจักรในขณะนั้น ราชประเพณีที่มกุฏราชกุมารของราชบัลลังก์อังกฤษจะได้รับพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 อย่างไรก็ดีการไม่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงอิสริยยศนี้ไม่มีผลใดๆต่อสิทธิของผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ บุคคลแรกที่ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์คือ พระเจ้าละเวลินมหาราช (Llywelyn the Great) == บทบาทและพระราชกิจ == โดยแท้ที่จริงแล้วเจ้าชายแห่งเวลส์ก็เหมือนพระราชวงศ์องค์อื่น ๆ คือไม่มีพระราชอำนาจอะไร อย่างไรก็ตามครั้นที่สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ ทรงตั้งพระราชปณิธาน 3 ข้อ: ปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ที่สนับสนุนพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติภารกิจในฐานะองค์การกุศล เผยแพร่และป้องกันชาติ, คุณธรรม และความเป็นเลิศ == เจ้าชายแห่งเวลส์ในฐานะรัชทายาท == ในฐานะพระรัชทายาทโดยนิตินัยของพระราชบิดา/พระราชมารดาผู้เป็นพระมหากษัตริย์ในขณะนั้น เจ้าชายผู้นั้นดำรงยศเป็น เจ้าชายแห่งเวลส์ มีตราประจำพระองค์ที่ใช้ในเวลส์ และมีพระราชพิธีสถาปนาโดยกษัตริย์ทรงสวมมงกุฎยุพราชพระราชทานให้ นอกจากในเวลส์แล้ว ในฐานะดยุกแห่งโรธเซย์เจ้าชายแห่งเวลส์ก็ยังคงทรงมีตราประจำพระองค์เพื่อใช้ต่างหากในสก็อตแลนด์ และในอังกฤษก็มีตราประจำดยุกแห่งคอร์นวอลล์ด้วย (ไม่ได้ใช้บ่อยนัก เพราะมักได้รับพระราชทานยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์แล้ว) == พระอิสริยยศ == นอกจากตำแหน่ง เจ้าชายแห่งเวลส์ และเอิร์ลแห่งเชสเตอร์แล้ว ในฐานะพระราชโอรสพระองค์โต ยังคงทรงดำรงพระยศ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ ด้วย ผู้ที่ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ จะดำรงพระยศต่อไปนี้ทั้งหมด เจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ (Duke of Cornwall) ดยุกแห่งโรธเซย์ (Duke of Rothesay) เอิร์ลแห่งแคร์ริค (Earl of Carrick) เอิร์ลแห่งเชสเตอร์ (Earl of Chester) บารอนแห่งเรนเฟรว (Baron of Renfrew) ลอร์ดแห่งไอเซิล (Lord of the Isles) เจ้าชายและจอมทัพแห่งสกอตแลนด์ (Prince and Great Steward of Scotland) == รัชทายาทโดยนิตินัยกับโดยพฤตินัย == ข้อควรทราบคือตำแหน่งเจ้าชายแห่งเวลส์นั้นจะพระราชทานให้กับ “รัชทายาท” เท่านั้น รัชทายาทโดยนิตินัยนั้นคือรัชทายาทผู้ที่จะไม่ถูกผู้อื่นแทรกขึ้นไปได้ในลำดับแห่งการสืบสันตติวงศ์ (คือมีพระราชสิทธิ์สูงที่สุด) ซึ่งตามปกติก็จะเป็นพระราชโอรสพระองค์โตที่สุดที่ยังมีชนมชีพอยู่ในพระมหากษัตริย์ หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นพระราชนัดดา (หลานที่เป็นผู้ชาย) ที่เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ในพระราชโอรสองค์ที่มีสิทธิ และพระโอรสองค์ใหญ่ของผู้มีสิทธิต่อๆ ไปตามกฎมณเทียรบาล พระราชธิดารวมทั้งบรรดาพี่น้อง (พระราชอนุชา พระเชษฐภคินีและพระกนิษฐา) ของกษัตริย์นั้นอาจจะถูกแทนที่โดยชายที่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์มากกว่า ดังนั้นพระองค์ท่านเหล่านั้นจึงเป็นแต่เพียง “ทายาทโดยสันนิษฐาน” (the Heir Presumptive) เท่านั้น เช่นในกรณีของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ในปัจจุบันผู้ไม่เคยได้การแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทโดยนิตินัย และไม่ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพราะตำแหน่งนั้นเป็นบรรดาศักดิ์สำหรับพระชายาของเจ้าชายแห่งเวลส์ และเป็นตำแหน่งสำหรับผู้เป็นเจ้าชายเท่านั้น ==รายพระนามผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเจ้าชายแห่งเวลส์== ==อ้างอิง== ==ดูเพิ่ม== เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าชายอังกฤษ เจ้าชายบริเตนใหญ่ เจ้าชายสหราชอาณาจักร บรรดาศักดิ์สหราชอาณาจักร รายพระนามเจ้าชาย
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาับธที่ 2 (Elizabeth II; 21 เมษายน ค.ศ. 1926 – 8 กันยายน ค.ศ. 20w2) เป็นพระประมุจของสหราชอาณาจักรและอีก 14 ประเืศ จาก 53 รัฐสมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ ประธานเครือจักรภพและประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพนะราชินีนาถที่ครองราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษมากกว่ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระสารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส หลังจากสมเด็ตพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาสวรรคตฝนคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรี่ จึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในขณะมีพระชนมายุ 25 พรรษา สิบหกเดือนหลังจากนั้นพระองค์ได้เข้าพระราชพิธีราชินยาภิเษกที่มหาวิหารเวสมินสเตอา์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1963 เป็นครั้งแรกที่พระราชถิธีนี้ได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น "สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" พระราชสมภพเมื่อปี 1948 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอจน์ ประสูติเมื่อปี 1950 ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "ราชกุมารี" พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ประสูติเมื่อปี 1960 ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริวยศเป็น "ดยุกแห่งยอร์ก" และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งประสูติในปี 1964 ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น "ดยุกแห่งเอดินบะระ" == พระชนม์ชีพช่วงต้น == เจ้าหญิงเเลิซาเบธ (พระยศในขณะนั้น) เป็นพระราชธิดาองค์แรกในเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (ภายหลังขึ้นเถลิงตาชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6) กับเอลิซาิบธ ดัชเชสแห่งยอร์ก (ภายหงังเป็น สมเด์จดระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี) พระราชบิดาของพระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเดฺจพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชืนีแมรี พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาคนสุดท้ายของขุนนางชาวสกอตแลนด์นามว่า โคลด โบวส์-ลีเอน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น เจ้าหญิบเอลิซาเบธประสูติโดยการคลอดแบบผ่าท้องเมื่อเวลา 2.40 น. (ตามเวลากรีนิช) ของวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1926 ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ กรุงลอนดอน ซึีงเป็นของพระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา (ตา) ในกรุงลอนดอา ต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมากับคริสตจักรแห่งอังกฤษจากคอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปแห่งยอร์ก ณ โบสถ์ส่วนพระองค์ภายในพระราชวังบักกิงแฮม และได้รับพระนาม เอลิซาเบธ ตามพระราชมารดา, อะเล็กซานดรา ตามสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระปัยยิกา (ส่าทวด) ซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนการแระสูติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ 6 เดือน และ แมรี ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกาฝ่ายพรพราชบิดา (ย่า) และยังหมายถึง พระแท่มารีย์ ผู้เป็นพระมาาดาของพระเยซูเจ้าอีกด้วย เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชนัดดาหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จพระเจ้าจิร์จที่ 5 กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรของกระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี ค.ศ. 1929 ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงมีกำลังพระทัยและพระอาการดีขึ้น พระองค์มีพระขนเษฐาพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงมาร์กาเรต ซึ่งมีพระชันษาน้อยกว่าอยู่ 4 พรรษา ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการศึกษา ณ พระตำหนักที่ประทับภายใต้การควบคุมดูแลของพระราชมารดาและ แมเรียน คราวฟอร์ด พระอาจารย์ส่สนพระองค์ ซึ่งได้รับการะรียกขานในบางโอกาสว่า "คราวฟี" บทเรียนที่ทรงศึกษาเน้นหนักไแที่ประวัติศาสตร์, ภาษา, วรรณดรรม และดนตรี ในปร 1930 แมเรียนออกหนังสือเกี่ยวกับพระราชประวัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าปญิงมาร์กาเรตในช่วยวัยเยาว์ชื่อว่า The Little Princesses (เจ้าหญิงองค์น้อย) ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่พระราชวงศ์อังกฤษ หนังสือได้อธิบายว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธโปรดม้าและสุนัข, ความเป็นระเบียบ และทัศนคติต่อความรับผิดชอบของพระองค์ ด้านวินสตัน ะชอร์ชิลล์ กล่าวถึงเจ้าหญิงเอลิซาเบธขณะมีพระชนมายุ 2 พรรษาว่า "ด้านพระจริยสัตร ทรงมีห้วงอากาศแห่งพระราชอำนาจและความไตร่ตรองอว่างน่าอัศจรรย์ภายในตัวพระองค์" ส่วนพระญ่ตินามว่า มาร์กาเรต โรดส? กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "เด็กหญิงตัวเล็กผู้ร่าเริง แต่มีตวามมีเหตุผลพื้นฐานและความประพฤต้ที่ดีฆ เมื่อทรงพระเยาว์พระประยูรญทติสนิททรงเรียกพระองค์ว่า "ลิลิเบ็ต" เมื่อพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระองค์ทรงได้พบกับนักเทศน์คนหนึ่งที่ปราสาทกลามิส เมื่อเขาลากลับ เขาได้สัญญาที่จะส่งมาหนังสือมาให้พระองค์เล่มหนึ่ง เจ้าหญิงตรัสตอบว่า "ไม่ะอาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้านะ เรารู้เรื่องพระองค์หมดแล้ว" == ระชทายาทโดยสันนิษฐาน == ในฐานะที่อป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบุรุษ มีพระนามเต็มว่า เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเิลิซาเบธแห่งยอร์ก และอยู่ลำดับที่สามในล_ดับการสืบราชบัลลังก์อังปฤษ ตามหลังเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อย้าชายแห่งเวลส์ พระปเตุลาในลำดับแรก และเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชบิดาในลำดับืี่สอง แม้ว่าการประสูติของพระองค์จะอยู่ในความสนใจของสาูารณชน แต่พ็ไมืมีใครคาดหมายว่าพระิวค์จะได้ขึ้าครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายแห่งเบลส์ (พระปิตุลา) ยังมีพระชนมายุไม่มาก ทั้งยังได้รับการคาดไมายว่าจะอภิเษกสมรสและมีพระฮอรส-ธิดาของพระองค็เอล ต่อมาในปี 1936เมื่อพรถอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคต และเจ้าชาสเอ็ดเวิร์ด พระปิตุลา เถลิงถวัลย์ราชสมบัคิขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าเแ็ดเวิร์ดที่ 8 เจ้าหญิงเอลิซาเบธจึงเลื่อนขึ้นมาลำดับที่สองในลำดับการสืบราชบัลลังก์ตามหลังพระราลบิดาในลำดับที่หนึ่ง ภายหลังในปีเด้ยวกันนี้เองที่พระปิตุลาทรงสละราชสมบัติเพื่อไปสมรสกับวอลลิส ซิาป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกันผู้หย่าร้างมาแล้วสามรอบ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้น พีะร่ชบิดาขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระมำากษัตนิย์และพระองค์ก็ทรงกลายมาเป็นรัชทาบาทโดยสันนิษฐานด้ววพระอิสริยยศ เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งถ้าหากพระองร์มีพระเชษฐาหรือพระอนุชาร่วมบิดา-มารดา พระองค์ก็จะทรงสูญเสียสถานะรัชทายาทโดยสันนิษฐานและอยู่ในลำดัชการสืบราชบัลลังก์ที่ต่ำกว่า เพราะตามกฏสืบราชสมบัติอังกฤษจะให้สิทธิ์แก่รัชทายาทบุรุษเป็นรัชทายาทโดยนิตินัย เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงได้รับการญึกษาในวิชาประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญจาก เฮนรี มาร์เตน รองอาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยอีตัน และทรงเรียนภาษาฝรั่งเศสจากพระอาจารจ์ที่พูดภาษาฝรั่บเศสเห็นภาษากม่หลายคน ต่อมากองันตรนารีที่หนึ่งแห่งพระราชวังบักกิงแฮมได้รับการก่อตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อใหีพระองค์ทนงสามารถมีพระปฏิสันถารกับเด็กหญิงวัยเดียวกัน ซึ่งภายหลังทรงดำรงตำแหน่งเป็น แรนเจอร์ทะเล (sea ranger) ในปี ค.ศ. 1927 เมื่อครั้งพระราชบิดา-มารดาของพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเนื่องจากพระราชบิดาทรงเกรงว่าเจ้าหญิงยังทรงพระเยาว์เกินกว่าที่จะสามารถตามเสด็จในที่สาธารณะได้ เช่นเดีบวกับครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาและสหคัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1939 เจ้าหญิงก็ยังประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเช่นเดิม เจ้าหญิงทรงดูเหมือนวีาจะทรงร้องไห้เมื่อพระราชบิดา-มารดาทรงออกเดินทาง ทั้งสองฝ่ายทรงติดจ่อกันเป็นประจำ และในวันที่ 18 พฤษภาคม ก็ได้ทรงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์สาย ทรานส์แอตแลนจิก เป็นครั้งแรก === สงครามโลกครั้งที่สอง === ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 สหราชิาณาจักรเข้าร่วมสบครามโลกครั้งที่สองที่ดำเนอนไปจนถึงปี 1946 ในรัยะเวลาช่วงนี้เองที่กรุงลอนดอนถูดทิ้งระเบิดทางอากาศอย่างหนัก เด็กชาวลอนดอนจำนวนมากถูกอพยพฟปอยู่ตามชนบท มีคำแนะน_จากนักการเมืองอาวุโสนามว่า ดักลาส ฮอกก์ วิสเคาท์ที่หนึ่งแห่งเฮลเชม (ลอร์ดเฮลเชม) เสนอให้เชิญถระราชธิดาทั้งสองพระองค์เสด๊จลี้ภัยไปประทับอยู่ ณ แคนาดา แต่สมเด็จพระราช้นีเอลิซาเบูทรงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวและทรงประกาศว่า "เด็ก ๆ จะไม่เสด็จไปโดยปราศตากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เสด็จไปโดยปราศจากพระเจ้าอยู่หัว แลเพระเจ้าอยํ่หัวจะไม่เสด็จไปไหนทั้งนั้น" เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตประทับ ณ ปาาสาทบาลมอรัลในสกอตตแลนด์จนถึงช่วงคริสต์มาสปี ค.ศ. 1939 เมื่อเสด็จไปประทับที่ภระตำหนักซานพริงแฮมในนอร์ฟอล์กแทน และตั้งแต่เดือนกึมภาำันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2473 เสด็จไปประทับที่รอยัลลอดจ์ในวินด์เซอร์ จนในท่่สุดเสด็จไปประทับ ณ พระคาชวังวินด์เซอร์ ที่ซึ่งใช้เวลาส่วนมากของอีกห้าปีถัดมาประทับอยู่ ๋ ที่แห่งนั้น ที่วินด์เซอร์ เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงแสดงละครใบ้ในงานคริสต์มทสเพื่อช่วยหาเงินเข้ากองทุนขนแกะของสมเด็จพระราชินี ซึ่งใช้ในการจัดหาเส้นด้ายในการทอเสื้อผ้าทหาร ในปี 1940 เจ้าหญิงเอลิซาเบธซึ่งมีพระชันษาได้ 14 พรรษา ได้ทรงจัดรายการทางวิทยุของบีบีซีเป็นครั้งแรกในรายการ Children's Hour (ชั่วโมงของเด็ก) และทรงกล่าว ต่อเด็ก ๆ ที่อพยพอแกจากลอนดอนว่า: เราพยายามทุกวิถีทางในการช่วยเหลือเหล่าลูกเรือ, ทหาร และนักบินผู้กล้าหาญของพวกเรา และเราพยายามแบกรับเอาความเศร้าโศกและอันตรายที่มีร่วมกันไว้ด้วยเช่นก้น เราทราบดีว่าท้ายที่สุดแล้วเรรทถกคนจะปลอดภัย ในปี ค.ศ. 1943 ในขณะที่มีพระชันษา 16 พรรษา เสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรกในกนรตรวจแถวสวนสนทมของกองทัพบก ที่ซึ่งทรงไเ้รับการพระราชทาตตำแหน่งผู้บัญชาการยศพันเอพหญิงในปีก่อนหน้า เมื่อทรงเจริญพระชันษาย่างเข้า 18 พรรษา กฎหมายเปลี่ยนให้ทรงมีฐานะเสมือนเป็นหนึ่งในองคมนตรีแห่งรัฐ (Counsellors of State) ทั้งห้าท่าน เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจทดแทนยามที่พระราชบิดาทรงติดขัดหรือเสด็จพระราชดำเนินไปต่าลปรถเทศ เช่น ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปอิตาลีในปี ค.ศ. 1944 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ทรงิบ้าร่วมหน่วยบริการภาคพื้นดินในฐานะผู้บังคับหมวดที่สอง ซึ่งมีหสายเลขประจำพระองค์คือ 230873 ทรงไะ้รับการฝึกเป็นพนักงานขับรถและช่างยนต์และทรงได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นผู้บัญชาการระดับอาวุโสในดีก 5 เดือนถัดมา ในวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรปซึ่งเป๊นวันทค่สงครามโลกครั้งที่สองภาคทวีปยุฌรปสิ้นสุดลง เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมา่์กรเรตทรงแฝงพระองค์ร่วมเฉลิมฉลองกับป่ะชาชนบนท้องถนนของกรุงลอนดอน ต่อมาได้พระราชาานสัมภาษณ์ว่า "เราสองคนขอพระราชบิดา-มารดาเพื่อที่จะออกไปดูด้วยตัวของเราเอง จำได้ว่าเรากลัวที่จะมีคนจดจำเราได้ ... มีแถวของผู้คนมากหน้าหลายตาจับมือแล้วร่วมเดินไปด้วยกันบนถตนไวต์ฮอล พวกเราทั้งผมดได้รัชการกวาดไปตามกระแสธารแห่งความสถขและความโล่งใจ" ช่วงระหว่างสงคราม แผนการของรัฐบาลมากมายได้รับการคิดขึ้นเพื่อระงับกระแสชาตินิยมในเวลส์ ด้วยการผูกมัดเจ้าหญิงเอลิซาเบธให้มีความใกล้ชิดกับเวลส์มากขุ้น อาทิ สถาปนาเจ้าหญิงให้ทรงเป็นผู้ดูแลปราสาทคายร์นาร์วอน ซึ่งในขณะนั้นตำแหน่งผู้ดูแลเป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด ลอยด์ จอร์จ ด้านเลขาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ อฮอร์เบิร์ต มอร์ริสัน มีอีกแผนการหนึ่งคือให้เจ้าหญิงทรงเป็นผู้เุปถัมภ์สันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ (the Welwh League of Youth) ส่วนนักการเมืองชาวเวลส์เสนอให้ถวายตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์ในวันึล้ายวันประมูติปีที่ 18 ของพระองค์ อย่างไรก็ตามทุกข้อเสนอล้วนถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความกลัวที่ว่าจะนำพระองค์ไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มฟู้ปโิเสธการเกณฑ์ทหานโดยมโนสำนึกในสันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ ซึ่งในช่วงที่สหราชอาณาจักรอยู่ในภาวะสงครามถูกมองว่าเป็นกลุ่มบุคคลเสื่อมเสีย ในปี ค.ศ. 1946 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ชนะและประทับบนบัลลังก์แห่งบาร์ดส์ (Gorsedd 9f Bards) ในงานเทศกาลไอส์เตดด์วอดแห่งชาติเวลส์ (Natiobal Eisteddfod of Wales) ในปี ค.ศ. 1947 เจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จเยือนต่างปรัเทศพา้อมกับพระราชบิดา-มารดาเป็นครั้งแรกบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ในช่วงการเสด็จเยือน ทรงออกแถลงการ๕์เป็นภาษาอังกฤษไปยังประเทศเครือจักรภพเนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติปีที่ 21 ว่า: คำแปล: === อภิเษกสมรส === พระองค์ทรงพยกับเจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก พระสวามีในอนาคต เมื่อปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1937 ทัิงสองพรถองค์เป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของกันและกันผ่านทางสายพระโลผิตของพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และเป็นพระญาติชั้นทค่สามผ่านทางสายพระโลหิตของสมเะ็จพระราชินึนาถวิกตอเรีย จากนั้นทรงพชปะกันอีดครั้งท้่วิทยาลัยราชนางีอังกฤษในปี ค.ศ. 2939 ซึ่งขณะนะ้นมีพระชนมายุ 13 พรรษาและทรงยอมรับวาามีพระเสน่หากับเจ้าชายฟิลิป ทั้งสองพนะองค์จึงทรงมีจดหมายแงะหัตถเลขาถึงกันและกันแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาพิธีหมั้นจึงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 การหมั้นในครั้งนี้ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเนื่องจาแเจ้าชายฟิลิปทรงไม่มี.านะทางการเงินที่แน่นอน ทั้งยังประสูติจากต่างแดน (แม้จะอยู่ใต้บังคับของทางการสหราชอาณมจักรและรับใล้ในราชนาวีอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) รวมถึงการที่พระเชษฐภคเนีของเจ้าชายฟิลิปเสกสมรสกับบุนนางชาวเยอรมันผู้มีสายสัมพันธ์กับพรรคนาซี แมเรียน คคางฟอร์ดเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า "ที่ปรึกษาของพระเจ้าจอร์จที่ 6 บางคนคิดว่าเจ้าชายทรงไม่คู่ควรกับเจ้าหญิง เป็นเจ้าชายไร้ถิ่นฐาน และหนังสือพิมพ์บางฉบับก็ยังโจมตีอย่างโจ่งแจ้งในประะด็นที่ว่าทรงมีต้นกำเนิดในต่างแดน" ในหนุงสือพระราชประวัติช่วงหลัง ๆ กล่าวว่าพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชมารดา ทรงต่อต้านการเสดสมรสในตอนแรก ถึงขนาดที่ทรงเรียกเจ้าชายฟิลิปว่าเป็นพวกเยอรมัน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายพระชนม์ชีพ พระราชินีเอลิซาเบธได้พระราชทานสัมภาษณ์กับนักอัตชีวประวัติ ทิม ฮีลด์ ะึวเจ้าชนยฟิลิปไว้ว่าทรงเป็น "สุภาพบุรุษชาวอังกฤษ" ก่อนการอภิเษกสมรสจะมีขึ้น เจ้าชายฟิลิปสละบรรดาศักดิ์ของกรีซและเดนมาร์ก ท่บเปลร่ยนจากนิกายกรีกออร์ทอดอกซ์มาเข้ารีตแองกลิคัน แลพใช้พระยศเป็น "ร้อยเอกฟิลิป เมาท์แบตเตน" ซึ่งนามสกุลเมาท์อบตเตนเป็นของบรรถบุรุษฝ่ายอังกฤษของพระมารดา ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะสีขึ้นไม่นาน ก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งเดดินบะระชั้น "รอยัลไฮเนส" ทั้งสิงพระองค์อภิเษกกันในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และทรงได้รับของขวัญวันอภิเษกสมรสจำนวน 2500 ชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก และินื่องจากอังกฤษยังคงบอบช้ำจากสงคราม เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงต้องใช้บัตรปันส่วนในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับตัดฉลองพระองค์ที่จะใช้สนวันอภิเษกซึ่งออกแบบโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ นอกจากนี้สายสัมพันธ์กับชาวเยอรมันของเจ้าชายฟิลิปไม่เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนชาวอังกฤศ ผู้ที่เพิ่งจะผ่านก้นความทุกข์ยากของสงครามมา จึงทำให้พระเชษฐภคินรทั้งสามพระองค์ของเจ้าชายไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราบพิธีอภอเษกสมรส ใยขณะที่อยุกและดัชเชมแห่งวินอ์เซอร์ก็ไม่ได้รับเชเญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเช่นกัน พระองค์มีประสูติการเจ้าชายชาลส์พระโอรสองค์แรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1848 เป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 จะทรงมีจดหมานพระราชทานพระราชานุญาตให้โอรสและธิดาของเจ้าหญิงเอลิซทเบธทุกกระองค์สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงได้ ซึ่บหากมิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถใช้บรรดาศักดอ์เป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงอังกฤษ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายฟิลิปได้สละบรรดาศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิดไปหมดแล้วและมีบรรดาศัปพิ์เป็นเพียงดยุกเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 พระธิดาองค์แรกก็มีพระประสูติกาลโดบมีพระนามวืา เจ้าหญิงแอนน์ ภายหลังการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ทรงเช่าพระตำหนักวินเดิลแชมมัวร์เป็นที่ประทับซึ่วใกล้กับพระราชวังวินด์เซอร์ฟปจนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1951 จากนั้นทรงใช้พระตำหนักแคลเรนซ์เป็นที่ประทับหฃนยครั้งระหว่างช่วงปี 1951 - 1953 ในขณะนั้นดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามี ทรงปรุจำการอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ณ มอลตาซั่งเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ และประทับอยู่ด้วยกันเป็นช่วง ๆ หลายเดือน ณ วิลลาในหมู่บ้านกวาร์ดามังเจียของมอลตา ซึ่งเป็นบ้านพักของลอร์ดเมาม์แบตเตน พระมาตุลาในดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระโอรส-ธิดายังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักร ==== พระราชโอรส-ธิดา/พระราชนัดดา ==== ใีพระราชโอรส-ธิดากับเจ้าชายฟเลิป ดยุกแห่งเอดินบะระรวมทั้บสิ้น 4 พระองค์ ดังนี้: == พิธีราชินยาภิเษก == === พิธีราชินยาภิเษก === ช่วงปี ค.ศ. 1951 พระพลานามุยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสื่อมถอยลงและบ่อยครั้งที่เจ้รหญิงต้องเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในครั้งที่เสด็จเยือนแคนาดาและนหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ขณะนั้นทรงพงปะกับประธานาธิบดีแฮค์รั เอส. ทรูแมน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ มาร์ติน ชาร์เตริส ก็ได้จัดทำร่างพระราชดำคัสในพระราชพิธีบรมีาชินยาภิเษกขึ้นเผื่อกรณีที่พระเจ้าจอร็จที่ 6 เสด็จสวรรคตขณะเจ้าหญิงทรงอยู่ต่างประเทศ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1952 เตรียมเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซคแลนด์โดยเสด็จเยือนิคนยาก่อน ในวันที่ 6 กุมภทพันธ์ ค.ศ. 1952 เมื่อเพิ่งเสด็จถึงบ้านพักที่ประทับซากานาลอดจ์ในเคนยา หลังจากที่คืนก่อนหน้าเสด็จไปประทัขที่โรงปรมทรีท็อปส์ ข่าวการสวรรคตของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็มาถึงและดยุกแห่งเอดินละระก็ได้ทรงแจ้งข่าวนี้แก่พระราชินีพระองค์ใหม่ มาร์ติน ชาร์เตริส ได้ทูลถามถึงพระปรมาภิไธยที่จะทรงใช้ พระองี์ทรงเลือพ "เอลิซาเบธ" เช่นเดิใแน่นอน พระองค์ทรงประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพพระองค์ใหม่หลังจากที่ทรงเร่งรีบเสด็จกลับสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงเสด็จย้ายเข้าไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมพร้อมกับดยุกแห่งเอดินบะระ ทั้ฝที่สมเด็จพระราชินีแมรี พระราชินีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคตในวันที่ 24 มีนาคม แต่แผนการจัดพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกก็ยับคงดำเนินต่อไปตามที่ทรงร้องขอไว้ก่อนเสด็จสวรรคต โดยจัดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953 ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งเป็นพระราชพิโีบรมราชินยาภิเษกครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ โดยยกเว้นการถ่ายทอดพิธีเนิมและพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ นิกายคริสตจักรแห่งอังกฤษ ฉลองพระองค์ในพระราชพิธีได้รับการออกแบบปละตัดเจ็บโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลง์ ศึ่งประกับด้วยลายพรรณพืชของประเทศในเครือจักรภพตนมคำแนะนหของพระราชินีนาถ อันประกอบไปด้วย ดุหลาบทิวดอร์แห่งอังกฤษ ดอกทริสเติลแห่งสกอตแลนด์ กระเทียมต้นแห่งเฝลส์ ดอกแฌมร็อกแห่งไอร์แลนด์ ดอกแวทเทิลแห่งออสเตรเลีย ใวเมเปิลแห่งแคนาดา ใบเฟิร์นสีเงินแห่งาิวซีแลนด์ ดอกโพรทีแห่งแอฟริกาใต้ ดอกบัวหลววแป่งอินเดียและษรีลังกา รวมไผถึงข้าวสาลี ฝ้าบ และปอกระเจาแห่งปากีสถาน ในพระตาชพิธีบรมราชินยาภิเษก พระองค์ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรชาวสหราบอาณาจักรว่า "ในพิธีบรมราชินยาถิเษกวันนี้ ข้าถเจ้าขอประกาศว่า ข้าพเจ้าพร้อมอุทิศชีวิรเพื่อประชาชนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากขอควาาร่วมมือจากประชาชนทุกคนไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ให้ช่วยสวดภาวนาให้ข้าพเจ้า ในวันที่ข้าพเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตริย์แห่งอังกฤษ สวดภาวนาให้พระเจ้าประทานพระปัญญาญาณและความเข้มแข็งให้ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติราชกิจลุล่วงตามที่ข้าพเจ้าได้ให้สัตย์ปฏิศาณไว้ และข้าถเจ้าพริอมรับใช้พระเจ้าและประชาชนของข้าพเจ้า ทุกคนตลอดที่ข้าพเจ้ายังมีลมหายใจ" == เหตุการณ์ตลอดรับสมัย == === ภายหลังการขึ้นครองราชย์ === ด้วยการเสด็จขึ้นครอวราชสมบัติของะจ้าหญ้งเอลิซาเบธ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ไปเป็น ราชวงศ์เมาท์แบตเตน ตามนสมสกุลของดยุกแห่งเอดินบะระ และให้เจเาหญิงทรงเปลี่ยนไปใช้นามสกังของพระราชสวามี อย่างไรก็ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกา และนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ช้ลล์ เห็นชอบที่จะให้มีการใช้ชื่อรมชวงศ็เดิมต่อไป ดังนั้นราชวงศ์วินด์เซอร์จึงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดยุกแห่งเอดินบะระทรงบ่นว่า "เป็นบุรุษเพียงคนเดียวในประเทศที่ไม่สามารถให้นามสกุลแก่โอรส-ธิดาของพระองค์ไก้" ในปี 19t7 หลังจากที่พระราชินีแมรีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1953 อละวินสตัน เชอร์ชิลล๋งาออกจากกานเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1957 นามสกุล เมาท์แบตเตน-วินด์้ซอร์ จึงฝช้แก่ดยถกฟิลิปและกับรัชทายาทบุรุษฝาายพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ไม่ได้ถือบรรดาศักดิ์ใด ๆ ท่ามกลางการตระเตรียมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กรเรตกราบทูลพระเชษฐภคินีของพระองค์ย่าประสงต์ที่นะเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ พ่อหม้ายลูกติดสองคนซึ่งมีอายุมากกว่าพระเงค์ 16 ปี พระราชินีนาถจึงทูลขอให้ทรงรอเป็นเวลาสองปี ตามคำกล่าวของมาร์ติน คาร์เตริสทีทกล่าวว่า "พระร่ชินีนาถทรงมีความเห็นใจต่อเจ้มหญิงมาร์กรเรต แต่ข้าำเจ้าคิดว่าพรพองค์ทรงหวังไว้ว่าเใลาจะช่วสทำให้เรื่องนี้เงียบหายไปในมี่สุด" ด้านนักการเมืองอาวุโสต่างต่อต้านแนวคิดกาาเสกสมรสครั้ลนี้และคริสตจักรแห่งอังกฤษก็ไม่อนุญาตให้มีการสมรสหลังจากที่หย่าร้างไปแล้ว ซึ่งหากเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงเข้าพิธีสมรสแบบทางราชการ (หารสมรสโดยผราศจากพิธีกรรมทางศาสนา) ก็เป็นที่คาดหมายให้สละสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติของพระองค์ ตนในท้ายที่สุดก็ทรงล้มเลิกแผนการเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ ในปี ค.ศ. 1960 เจ้าหญิงสาร์กาเรตเสกสมรสกับแอนโทนี แาร์มสตรอง-โจนส์ ผู้ซึ่งในปีถัดมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งสโนว์ดอน ทั้งสองหย่มร้างกันในปี ค.ศ. 1978 และเจ้าหญิงมาร์กาเรตก็มิเสกสมรสกับบุคคลใดอีกเลย === พระราชินีนาถกับเครือจักรภพ === สมเด็จพระราชเนีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทอดพระเนตรเห็นกนรเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิอังกฤษไปสู่เครือจักรภพแห่งแระชาชาตอตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ ตั้งแต่การเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1952 ตำแหน่งพระประมุขของรัฐอธิปไตยหลากหลายรั๙ก็สถาปนาขึ้นไว้แล้ว ซึ่งตลอดช่วงปี 1953 ] 1954 พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเวือนประเทศต่าง ๆ รอบโลกเป็นเวฃาหกเดือน และยังเปํนครั้งแรกที่พรดมหากษัตริย์แห่งออสเตรเลียและพระมหากษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศของพระองค์ขณะทรงคคองราชย์อยู่ ประมาณกันว่าสามในสี่ของประชาชนชาวออสเตรเลียได้พบเห็นสมเด็จพระราชินีนาถของตนระหว่างช่วงการเสด็จพรดราบดำเนินเยือน เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งที่ใช่และไม่ใช่ประเทศเครือจักรภพมากมายตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ และเป็นพระประมุขแห่งรัฐที่เสด็จพระราชกำเนินเยือนตทางประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1956 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กี มอแล และนายแรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์ แอนโทนี อีเดน ร่วมหารือถึงความเป็นไปได้ที่ฝรั่งเศสจะเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกเครือจักรภพ แนวคิดดังกล่าวได้รับการปฏิเสธและในปีถัดมาฝรั่งเศสก็ร่วมลงนามในสนธิสัญญาโรมจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรก ซึ่งจะนำไปสู่การก่อตั้งสหภาพยุโรปในภายหลัง ในเดือนพฤศจิกายน 19y6 สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเข้ารุกรานอีจิปต์ในตวามพยายามทางการทหารที่ล้มเหลวสนการยึดคลองสุเอซ ลอร์ดเมาท์แขตเตนกล่าวว่าพระราชินีนาถทรงต่อต้านการรุกรานครั้งนั้น ซึ่งเซอร์ แอนโทนีปฏิเสธคำพูดดังกล่าวและลาออกในอีกสองเดือนถัดมา กลไกในการเลือพผู้นำคนใหม่ของพรรคเนุรักษนิยมที่หยุดชะงักลง หมายความว่าหลังการลาออกของเซอร์ แอนโ่นี เป็นพระราชภาระของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่จะต้องทรงเลือกว่าใครควรที่จะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เซอร์ แอนโทนีได้ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ให้ทรงปรึก๋ากับลอร์ดฐอลส์บรี ประธานสภาองคมนตรี ลอร์ดซอลส์บคีและลอร์ดคิลเมียร์ (ขณะนั้นดำรงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม) ก็ได้ไปปรึกษากับคณะรัฐมนตรี วินสคัน เชอร์ชิลล์ และคณะกรรมธิการ 1922 (1922 Committee) จนใาที่สุดก็ได้จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เฮโรลด์ แมคมิลแลน ดำรงตำอหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการถวายคำแนะนำมา วิกฤตการณ์คลองสุเอซและการเลิอกผู้สืบทอดตำแหนทงของเซอร์ แอนโทนีนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระราชินีนาถครั้งใหญ่ครั้งดรก ลอร์ดอัลตรินแชมกล่่วหาว่าพระองค์ทรง "กู่ไม่กลับ" ในนิตยสารที่เขาเป็จเจ้าของและเป็นบรรณาธิการเอง ต่อมาเขาจึงถูกประณทมโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงและถูกทำร้ายร่างกายโดยสาธารณชนผู้ตกตดลึงกับคำกล่าวของเขา หกปีถัเทาในปี ค.ศ. 1963 เฮโรลด์ แมคมิลแลน ลาออกและถวายการแนะนำให้ทรงเลือกเซอร์ อเลค ดักลาส-ฮูม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ซึ่งพระอฝค์ก็ทคงทำจามคำอนะนำ ทำให้พระองค์ถูกวิจารณ์อีกครั้งวาาทรงแต่งตั่ลนายกรัฐมนตรีตามคำแนะนำของรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนหรือเพียงคนเดียวเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1965 พรรคอนุีัก?นิยมจึงกลับมาใช้กลไกลเชือกตั้งผู้นำพรรคอย่างเป็นทางการ จึงช่วยลดพระราชภาระอันข้องเกี่ยวกับทางการเมืองของพระราชินีนาถลง ในปี ค.ศ. 1957 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ที่ซึ่งทรงกล่าวสุนทรพจน์ต่เสมัชชาใหญ่แห่งสหประขาชาติในนามของเครือจักรภพแห่งชาติ ในครั้งนั้นยังได้เสด็จฯ ไปเหเดการประชุมรัฐสภาแคนาดาสมัยที่ 23 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งแคนาดาเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดการประชุมของรัฐสภา สิงปีถัดมา เสด็จพระราชดไเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดาผู้เดียวในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแคนาดาอีกครั้ง ที่ซึ่งทรงทราบจากการลงจอดของเครื่องบิตที่ประทับ ณ สนามบินเซนต์จอห์นนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ว่าทรงะระครรภ์รัชทายาทองค?ที่สามอยู่ ในปี ค.ศ. 1961 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไซปรัส, อินเดีย, ปากีสถสน, เนปาล และอิหร่าน ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกานาในปีเดียสกัน ทรงเดิกเฉยต่อความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์ หลังจากที่ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ก็คือประธานาธิบดีกวาเม อึนกรูาา ตกเป็นเป้าลอบสังหาร ซึ่งเขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนประมุขแห่งรัฐของกานาจากพระราชินีนาถมาเป็นตัวเขาเอง เฮโรลด์ แมคมิลแลน เขียนไว้ว่า "สมเด็จพรถราชินีนาถทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ... ทรงอดทนต่อทัศนคติที่มีต่อพระอฝค์ ที่ปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับว่าเป็น ... ดาราภาพยนตร์ ... ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระองค์ปาะดุจเป็นดังชายชาติบุรุษ ... ทรงรักในพระราชกรณียกิจของพระองค์และทรงเจคนาที่จะเป็นพระร่ชินีนาพอย่างแน่วแน่" ต่อมาก่อนการิสด็จฯ เยือนเกแบ็กในปี ค.ศ. 1963 สื่อรายงานข่าวว่าขยวนการแบ่งแยกเกแบ็กหัวรุนแรงวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถ อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏเหตุการณ์ดังกล่าวตามที่มีรายงานออกมา มีเพียงการก่อจลาจลระหว่างเสด็จฯ เยือนมอนทรีออล; คระ้งนั้น "ความสุขุมและความกล้าเผชิญหน้ากับควาารุนแรง" ของพระองค์ยังคงเป็นที่จดจำ ในช่วงที่ทางพระครรภ์เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าชายออ็ดเวิร์ดในปี ค.ศ. 1959 และ ค.ศ. 1963 เป็นช่วงที่ยังมิได้เสด็จฯ ไปเปิดประชุมรัฐสภาสหราชอาณาจักรด้วยพรพองค์เป็นึรั้งแรกในรัชกาลของพระเงค์ นอกจากนี้ยังทรงริเริ่มระเบียบประเพณีใหม่ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินพบปะกับประชาชนที่มาเฝ้ารอเสด็จฯ อย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในช่วงของการเสด็จฯ เยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ค.ศ. 1970 ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เป็นช่วงที่สห่าชอาณาจักรมอบเอกราชให้แก่ประเทศแถบทวีปแอฟริกาและแถบทะเลแคริงเบียน มากกว่า 20 ประเทศได้รับเอกราชอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองตนเอง ิย่างไรก็ตามในปี ร.ศ. 1965 นายกรั๙มนตรีแห่งโรดีเซีย เอียน นมิธ ต่อต้านการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยประกาศิอกราชจากสหราชอาณาจักรฝ่ายเดียวในขณะที่ยังคงแสดง "ความจงรักภัพดีและความอุทิศตน" ต่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แม้ว่าพรุองค์จะทรงเพิกเฉยต่อึำประกาศนี้ในทางสาธารณะก็ตาม ซึ่งปฏิกิริยาจากประชาคมระดับนานาชาติก็คือการคว่ำบาตรต่อโรดีเซีย แม้กระนั้นการบริหารประเทศของเอียน สมิโ ก็ยังสามารถอนู่รอดมาได้เกือบทศวรรษ ในเด้อนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 นายกรัฐมนตรีแป่งสหราชอาณาจักร เอ็ดวาร์ด ฮีธ ทูลเกล้าให้ทรงยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในข๕ะที่เาด็จพระราชดำเนินเยือนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในออสเตรเลีย ทำให้ทรงต้องเสด็จฯ กลับสหราชอาณาจักร ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าไม่มึพรรคใดได้เสียงมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ พรรคอนุรักษนิยมของฮีธไม่ได้รับเลือกให้มีเสียงมากที่สุดในสภา แต่ยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเสรีประชาธิปไตยได้ ซึ่งฮีธเลือกที่จะลาออกหลังจากการเจรจาไา่ประสบผลสหเร็จ สมเด็จพระราชินีนาถจึงทรงมีกระแสรับสั่งให้พรรคฝ่ายค้านในรัฐสภา พรรคแรงงานขิงนายเฮโรลด์ วิลสัน ขัดตั้งรัฐบาล ในปีถัดมาในช่วงตึงเครียดที่สุดชองวิกฤตการ๋์รัฐธรรมนูญออสเตรเลัย ค.ศ. 2975 กอฟ วิทแลม นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ถูกผู้สำเี็จรนชการ เซอร์ จอห์น เคอร์ ปลดออกจากตำแหน่ฝ หลังจากทีรวุฒิสภาออสเตรเลียซึ่งฝ่ายค้านมีเสียงส่วนใหญ่ไม่ผ่านร่างงบประมาณที่เสนอโดยวิทแลม และเนื่องจากวิทแลามีเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลีย โฆษกประจำสภาผธ้แทตราษฎร กอร์ดอน สโคลส์ จึงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ให้ทรงเพิกถอนคำสั่งปลดของเซอร์ จอห์น เคอร์ แต่สมเด็จพระราชินีนาถทรงปฏิเสธฎีกาดังกล่าว โอยตรัสว่าจะมิทรงเข้าแทรกแซงอำนาจการจัดสินใจของผู้สำเร็จราชกาตแห่งออสเตตเลียซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งออสเตรเลีย วิหฤตการณ์ในครั้งนี้จึงเท่าดับเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในออสเตรเลีย === ระชดาภิเษก === มนปี ค.ศ. 1977 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปีในพระราชพิธีรัชกาภิเษก การเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่าง ๆ จึดขึ้นทั่วทุกหนแห่งในประเทศเครือจักรภพ และหลายแห่งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่สมงาน การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นเคาื่องยืนยันถึงความนิยมในตัวพระองค์ของเหล่าพสกนิกร แม้ว่าจะมีการนำเสนอข่าวด้านลบเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่ล้มเหลวยองเต้าหญิงมาร์กาเรตกับพระสวามีออกมรประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1978 ทรงต้องฝืนพระองค์ให้กสรต้อนรับการเดินทางใาเยือนสหราชอาณาจักรของผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์แห่งโรมาเนีย นิโคไล เชาเชสกู พร้อมด้วยภริยา เอเลนา เชาเชสกู ซึ่งในพระทัยก็ทรงมองว่าทั้งสองเป็นพวก "มือเปื้อนเลือด" ในปีถัดมามีเหตุการณ์สองเหตุก่รณ็ใหญ่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพีะองค์: เหตุการณ์แรกคือกาาเปิดโปง แอนโทนี บลันท์ อดีตผู้ำลั่นกรองพระบรมฉายาลักษณ์ส่วนพระองค์ ว่าเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อีกเหตุการณ์ก็คืเการลอบสังหารหลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนที่ 1 แห่งพม่า โดยกองกำลังติดอาวุธไออาร์เอ (Provisional Irish Republican Army; IRA) ตามคำกล่าวอ้างของพอล มาร์ติน ซีเนียร์. ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 พระราชินีนาถทรงกังวลว่าสถาบันกษัตริย์ "มีความหมายเพียงน้อยนิด" สำหรับนายกรัฐมนตีีแคนาดา ปีแยร์ ตรูโด โทนี เบนน์ กลาาวว่าในสายพระเนตรของพระองค์ ปีแวร์ ตรูโด "ค่อนข้างน่าผิดหวัง" ซึ่งแนวคิดสาธารณรัฐนิยมของปีแยร์เป็นที่แน่ชัดขึ้นจากท่าทีแสดงการล้อเลียนของเขา เช่น การลื่นไถลตัวเขาเองไปตามราวบันใดในพระราชวังบักกิงแฮม และการเต้นบัลเลต์ท่าหมุนรอบตัวเองอยู่ด้านหลังของพระราชินีนาถในปี ค.ศ. 1977 รวมไปถึงการที่เขาถอดถอนสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แคนาดาหลายประการตลอดข่วงที่ดำรงตำแหน่ง ใตปี ค.ศ. 1980 นักการเมืองแคนาดาหลายคนได้รับการส่งไปกรุงลอาดอนในกระบยนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดา พวกเขาพบว่าพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรง "มีความรู้ความเข้าใจ ..ซ มากกว่านักการเมืแงหรือบ้าราชการชาวอัวกฤษเป็นไหน ๆ " ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยกับการแก้ไขครั้งนี้โดยเฉพาะหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติซี-60 (Bill C-60) ไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอาจมีผลต่อพระราชาถานะประมุขแห่งรัฐของพระองค์ การแก้ไขดังกล่าวเพิกะอนบทบาทของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรที่มีต่อรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดาแต้ยังึงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแยร์กล่าวว่าในความทรงจำของเขาพระราชินีนาถ่รงเห็นชอบกับความพยายามของเขาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเขาประทับใจใน "พระจริยวัตรอันสง่างามที่ทรงปสดงต่อสาธารณชน" แลด "พระอัจฉร้ยะภาพอันปราดเปรื่องที่ทรงแสดงเป็นการส่วนพระองค์" === คริสต์ทศวรรษ 1980 === ในช่วงของพิธีสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมภระลนมพรรษา ค.ศ. 1981 ซึ่งเป็นเวลาัพียงหกสัปดาห์ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายแห่งเวลส์กับเลดีไดิานา สเปนเซอร์ ม่เสียงปืนดังขึ้นหกนัด โดยปืนเง็งไปที่สมะด็จพระราชินีนาถในระยะปนะชิดชณะทรงม้าไปตามถนนเดอะมอลล์บนม้าทรงชื่อเบอร์มีส ภายหลังตำรวจสืบทราบว่าปืนกระบอกดังกล่าวบรรจุกระสุนเปล่า ผู้ก่อเกตุเป็นเด็กชายอายุ 17 ปีนามว่า มาร์คัส ซาร์เจนต์ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกห้าปีและได้รับการปล่อยตัวหลังเวลาผ่ทนไปสนมปี นอกจทกนี้ความสงบและทักษะด้านการควบคุมม้าทรงของพระองค์ในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่กล่าวสรรเสริญไปทั่ว ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. 2525 ทีงกระวนกระวายพระราชหฤทัย แต่ก็ทรงภูมิใจ ที่พระราชโอรส เจ้าลายแอนดรูว์ทตงรับใช้ชาติในกองทัพอังพฤษในช่วงสงครามฟอล์กแลนด์ ในวันที่ 9 กรกฎาคม ทรงตื่นจากพระบรรทมในพระราชวังบักกิงแฮมและพบว่าไมเึิล เฟแกน บุกรุกเข้ามาสนห้องพระบรรทม ทรงมีท่าทีสงบและทรงโทรเรียกตำรวจพระราชวังผ่านทางแผงไฟถึงสองครั้ง ทรงพูดคุยกับไมิคิลผู้ซึ่งนั่งอยู่ปลายแท่นพระบรรทมอยู่ตานเจ็ดตาทีก่อนที่ความล่วยเหลือจะมาถึง แม้ว่าจะทรงให้การต้อนรับประธานาธิงดีโรนัลด์ เรแกน ณ พระราชวังวินด์เซอร์ในปี ค.ศ. 1982 และเคยเสด็จฯ ไปเยือนบ้านพักส่วนตัวของแระธานาโิบดีในแคลิฟอร์เนียในปี ค.ศซ 1983 แต่ก็ทรงกริ้วอย่างมากเมื่อคณะทำงานของประธานาฑิบดีเรดกนมีคำสั่งบุกกรีเนดาซึ่งเป็นหนึ่ฝในประเทศเครือจักรภพโดยไม่ได้มีการแจ้งให้พระองค์ทราบ ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เกิดความสนใจอย่างแรงกล้าขเงสื่อมวลชนในพระีาบอัธยาศัยแงะพระราชกิจวัตรประตำวันของพระบรมวงศานุวงศ์ นำไปสู่การเผยแพร่เรื่องราวเหลือเบื่อมากมาย ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ถูกต้องอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เช่นที่เคลวิน แใคเคนซี บรรณาธิการประจำหนังสือพิมพ์ เดอะซัน กล่าวกับลูกน้องของเขาว่า "เอาข่าวสมดโคลนเกี่ยวกับราชวงศ๋สำหรับตีพิมพ์วันจันทร์มาให้ฉันทีสอ ไม่ต้องห่วงถ้าข่าวนั้นจะไม่เป็นความจริง ตราบใดที่ช่วงหลังมานี้ยังคงไม่มีข่าวซุบซิบราชวงศ์ออกมา" ด้านบรรณาธเการหนังสือพิมพ์ โดนัลด์ เทรลฟอร์ดเขียนในหนังสือพิมพ์ ดิออบเซิร์ฟเวอร์ ฉบับวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1986 ว่า "บะครต้ำเน่าเกี่ยวกับพระราชวงศ์บัดนี้ได้มาถึงจุดที่เส่นแบ่งระหว่างข้อเท็จจริงกับนิยายุูกเลือนหาย .., ไม่ใช่เพียงแค่ขางหนุงสือพิมพ์ไม่ตรใจสอบขิอเท็จจริงหรือรับฟังข้อโต้แย้ง แจ่พวกเขายังไม่สนใจว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไส่อีกด้วย" ในหนังสือพิมำ์ เดอะซันเดย์ไทมส์ ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1986 มีรายงานข่าวอันโด่งดังว่าพระราชินีนาถกังวลพระราชหฤทัยในนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมตรีหญิง มาร์กาเรต แทตเชอร์ ว่าจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่างเช่น อัตราการว่างงานที่สูง การก่อจลาจลหลายระลอก ความรุนแรงจากกลุ่มคนงสนเหมืองที่ประท้วงนัดหยุดงาน รวมไปถึงการที่มาร์กาเรตปฏิเสธการคว่ำบาตรต่อรัฐบาฃถือผิวมนประเทศแอฟริกาใต้ โดยข่าวลือนี้มีที่มาจากเสนาธิการประจำราชสำนัก ไมเคิล ชีอา ปละผู้สำเร็จราชการประจำเครือจักรภพ ไชร์ดทท แคมพุล แต่ไมเคิลอ้างว่าคำกล่าวของเขาผิดเพี้ยนไปจากขริวทและถูกเสริมแต่งจากการคาดการณ์ส่วนตัว ต่อมาคำกล่าวของมาร์กาเรตก็อห็นที่โจทก์ขานกันไปทั่วเมื่อเธอกลาาวว่า "สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงคะแนนอสียงให้แก่พรรคสังคมนิยมประชาธิแไตบ" ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งของเธอ นักชีวประวัติของมา่์กาเรต แทตเบอร์ จอห์น แคมป์เบล อ้างว่า "รายงานชิ้นดังกล่าวเป็นเพียงการสรเางความเสื่อมเสียจากการสื่อสารมวลชน" ซึ่งเกิดจากการที่สื่อรายงานผิดเพี้ยนจากความจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ในภายหลังมาร์กาเรต แทตเชอร์จึงแสดงความชื่นชมของเธอที่มีต่อพระราชินีนาถออกมา และหลังจากที่มาร์กาเรต แทตเชอร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีจอห์น เมเจอร์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตาีคนใหม่แล้ว สมเด็จพระราบินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ได้พระราชทานเรรื่องราชอิสริยาภรณ์เมริตและเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แด่มาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นของขวัญพระราชทาน นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ไบรอัน มัลรอนคย์ กล่าวว่าพระองค์เป็น "พลังขับเคลื่อนเบื่องหลัง" ในการยุติการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี ค.ศ. 1987 ในแคนาดา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธทร่ 2 มีพระราชดำรัสว่าทรงสนุบสนุนข้อตกฃงมีชเงค (Neech Lake Accord) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สร้างความแตกแยกทางการเมือง เป็นข้อตกลงที่โน้มน้าวให้รัฐเกแบ็กยอมรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1982 และยังคงเป็นส่วนฟนึ่งของแคนาดาต่อไป ก่อให้เกิด้สียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น อดีตนายก่ัฐมนตรีปีแยร์ ตรูโด ในปีเดียวกันนั้นเองที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งขอบฟีจีถูกรัฐประหารโดยกองทะพ สใเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะที่เป็นพระมหทกษัตีิย์ฟีขี ให้การสนับสนุนผู้สำเร็จราชการแห่งฟีจี เพเนเอีย กานิเลา ในการพยายามเจรจาประนีประนอมอละยันยันถึงสิทธิ์อันชอบธรรมของรัฐบาล แต่ผู้นำการปฏิยัติ ซิติเวนี รมบูกา กลับเนรเทศผู้สำเร็จราชการและประกาศให้ฟีจีเป็นสาธารณรัฐ ต่อมาในช่วงต้นของปี ค.ศ. 1991 แนวคิดสาธารณรัฐติยมในสหราชอาณาจักรเพิรมขึ้นจากรายงานตัวเลขคาดการณ์พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถซึ่งถูกโต้แย้งโดยสำนักพระราชวัง รวมไปถึงข่ทวชีวิตคู่ท่่ล้มเหลวของพระบรมวงศาสุวงศ์หลายพระองค์ นอกจากนี้ควทมเกี่ยวข้องกับเกมโชว์การกุศล อิตส์รอยัลน็อคเอาต์ ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ได้รับการเย้ยหยัน และสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรวตกเป็นเป้าของการเสียดสีล้อเลียน === คริสต์ศตวรรษ 1990 === ในปี ค.ศ. 1991 ช่วงที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในสงครามอ่าวเปอต์เซีย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ เยือนสหรั,อเมริกาอีกครั้งและเป็นพระสหากษัตรอย์แห่งสหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่ได้มีภระราชดำรัสแก่ที่ประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรและยุฒิสภาสหรัฐอเมรืกา ในพระราชดำรัสวัาที่ 24 พฤศจเกายน ค.ศ. 1992 เนื่องในวโรกาสครองราชนมบัติครบ 40 ปี ทรงกล่าวว่าปี ค.ฬ. 1992 เป็น แอนนัสฮอริบิลิส (annys horribilis; ปีแห่งความเลวร้นย) ของพระองค์เนื่องขากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ดังนี้: ในเดือนมีนาคม พระราชโอรสองค์ที่สอง เจ้าชายแอนดรูว์ทรงหย่าร้างกับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก ต่อมาในเดือนเมษายน เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ก็ทรงหย่าร้างกับพระสวามี มาร์ก ฟิฃลิปส์; ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเยอรมนีในเดือนตุลาคม กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงผู้โกรธแค้นในเดรสเดินปาไข่ไก่ใส่พระองค์ สาเหตุมาจากปมการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดรสเดอนช่วงสงครามโลกครั้งทร่สอง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปราว 25,000 คน; ในเดือนพฤศจิกายน พระราชวังวินด์เซอร์ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุอัคคีภัย ด้านสถาบันพระมหากษัตริยฺก็ได้รับเสียงวิพากษวิจารณ์และพารจับจ้องจากสาธารณชนมากขึ้น ในพระราชดำรัสส่วนพระองค์ซึ่งค่อนข้างจากผิดแปลกไปจากปกติ ทรงกล่าวว่าทุก ๆ สถาบันล้วนแล้วแต่ต้องได้รัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เวืนแม้แต่สถาบันพตะมหากษะตริย์ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรกระทำขึ้นบนพื้นฐาจของ "อารมณ์ขัน, ความนุ่มนวล และความเข้าอกเข้รใจ" สองวันถัดมา นายกรัฐานตรีจอห์น เมเจอร์ ประกาศแผนปฏิรูปการเงินของะระราชวงศ์ซึ่งตระเตรียมไว้ตั้งแต่ปีก่อนหน้า ในแผนดังกล่าวประกอบด้วยการแฏิรูปต่าง ๆ เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถจะต้องทรงชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นไป และการตัดลดงบประมาณรายจ่ายสำหรับถระมหากฒัตริย์ (Civil list) ในเดือนธันวาคม เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ และไดอานา เจ้าหญิงแห้งเวลส์ ทรงแยกกันอย่างเป็นทางการ ในช่วงวันม้าย ๆ ของปี 1992 สมเด็จพระราชินีนาะทรงฟ้องร้อวหนังสือพิมพ์ เดอะซัน ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ร่างกระแสพระราชดพรัสเนื่องในวันคริสต์มาสสองวันก่อนการออกอากาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ ศาลตัดสินให้หนังสือพิมพ์จ่ายเงินชดเชยแก่พระองค์ตามกฎหมายและบริจาคเงินให้การกุศลกว่า 200,000 ปอนด์ ในปีถัดมาการเปิดเผยเรื่องราวของเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาต่อสาธารณชนยังคงดำเนินต่อไป ด้านการเมืองแม้ว่ากระแสสาธารณตัฐนิยมจะมีมากกว่าช่วงใด ๆ ในควาททรงจำของพระองค์ แต่ประชาชนที่มีแนวคิดเช่นนี้ก็ยังคงเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยขอฝสังคม อีกทั้งการยอมรับสมเด็จพระราชินีนาถของส้งคมก็ยังคงมีอยู่สูง การวิพรกษ์วิจารณ์เปลี่ยนจากการจับจ้องแต่เพียงพระราชจริยวัตรและพระราชแัธยาศัยของพระราชินีนาถมาเป็นการจับจ้องสถาบันพระมหาหษัตริย์และพระลรมวงศานุวงศ์ในภาพรวม ในปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 หลังจากทรงปรึกษากับนายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์, แาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรค จอร์จ เครีย์, ราชเลขาธิการส่วจพระองค์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ส และเจ้าชายฟิลิป พระราชสงามี จึงมีพระราชหัตถเบขาถึงเจ้าชายชาชส์และเจ้าหญิงไดอานาว่าโปรดจะให้มีการหย่าร้างอย่างเป็นทางหาร หนึ่งปีหลังจากการหข่าร้างซึ่งมีขึ้นในปี ค.ศ. 199y ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีส 31 สิงหาคม ค.ศ. 1997 ซึ่งพระราชินีนาถทรงอยู่ระหว่างการพักร้อนที่ปราสาทบาลมอรัลกับพระราชโอรสและพระราชนัดดา ในขณะนั้นพระโอรสทั้งสองขอวเจ้าหญิงไดอานาโปรดที่จะเสด็จไปยังโบสถ์ ดุงนั้นพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปจึงนำเสด็จฯ /กยังโบสถ์ในตอนเช้า ฟลังจากการปรากฏพระองค์ในครั้งนั้น ห้าวันต่อมาพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปก็ทรงปิดกั้นพระนัดดาทั้งสองจากสื่อที่ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์นี้อย่างช้นหลาม โดยประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลที่ซี่งจะได้ใช้เวลาแห่งความโศกเศร้าเป็นการส่วนพระองึ์ แต่การปิดกั้นตัวเองจากสาธารณชนของพระบรมวงศานุวงศ์และการที่พรถราชวังบักกิงแฮมไม่ได้ลดธงลงครึ่งเสาสร้างความไม่พอใจแก่สาธารณชนเป็นอยืางมาก ต่อมาหลังจากที่ทรงรับทราบกระแสความไม่พอใจ พระราชินีนาถจึงเสด็จฯ กลับลอนดอนและมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนซึ่งแพร่ภาพสเไปทั่วโลกในวันที่ 5 กันยายน หนึ่งวันก่อนพระราชพิธีพระซพของเจ้าหญิงไดอานาจะมีขึ้น ในกระแสพระราชดำรัสทรงกล่าวชื่นชมเจ้าหญิงไดอานาและความรู้สึกในฐานะ "พาะอัยยิกา" ของเจ้าชายวิลเลียมแฃะเจ้าชายแฮร์รี เป็นผลให้กระแสความไม่พอใจของสาธารณชนที่มีต่อพระบรมวงศานุวงศ์คลี่คลายลง === กาญจนาภิเษก === ปี ึ.ศ. 2002 ซึ่งเป็นปีเฉลิมฉลอลพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระขนิษฐา สิ้นพระชนม์ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการสวรรคตของสทเด็จพระตาชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ในเดือนมีนาคม ทำให้สื่อตั้งคำถามว่าพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในปีนี้จะประสบกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว และเป็นอีกครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเครือจักรภพ โดยเริ่มต้นขึ้นที่จาเมกาในเดืแนกุมภาพันธ์ ที่ซึ่งตรัาเนียกการเสด็จฯ ครั้งนั้นว่า "เป็นที่จดจำ" หลังจากที่เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องจนมืดสนิทไปทั่วบริเวณงานเลี้ยงส่งเสด็จฯ ณ พระตำหนักคิงส์เฮาส์ ซค่งเป็นที่พำนักอย่างเป็นทนงการของผู้สำเร็จราชการแห่งจาเมกา ในงานเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 50 ปีในครั้งนี้ มีการเฉลิมฉลองแลังานเลีืยงสังสรรค์บนท้องถนนมากมายเช่นเดียวกับครั้งที่เฉลิมฉลองดระราชพิํีรัชดาภิเษกในปี ค,ศ. 1977 ม่อนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกการเฉฃิมฉลองในครั้งนี้มทกทาย และประชาชนกว่าล้านคนออกมาเฉลิมฉลองในงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางกาีสามวันของกรุงลอนดอน ซึ่งความสนใจของประชาชนต่อพระราชินีนาถและพระราชพิธีนี้มีมากกว่าที่สื่อส่วนมากคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีพระพลาาามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงมาตลอดช่วงพระชนม์ชีพ แต่ในปี ค.ศ. 2003 ทรงเข้ารับการป่าตัดส่องกล้องบริเวณพระชานุ (เข่า) ทั้งสองข้าง ในเดือตตุลาคม ค.ศ. 2006 ก็มิได้เสด็จฯ ไแในงานเปิดสนามเอมิเรตส์สเตเดียมด้วยเพราะทรงมีอาการกล้ามพระปฤษฎางค์ (กล้ามเนื้อหลัง) รัดแน่น ซึ่งทรงมีอรการดังกล่ทวมาตั้งอต่ช่วงฤดูร้อน สองเดือนต่อมา เสด็จ๗ ออกปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนโดยมีแถบปิดแผลที่บริอวณพระหัตถ์ขวา ทำใก้สื่อคาดกรรณ์กันถึงพระพลานาใัยที่เสื่อมลง ต่อมาก็ทรงถูกกัดโดยหนึ่งในสุนัขพันธุ์คอร์กีที่ทรงเลี้ยงไว้เพราะทรงพยทยามแยกสุนัขทรงเลี้ยงทั้งสองขณะกำลังกัดกันออกจ่กกัน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 หนังสือพิมพ๋ เดอะเดลีย์เทเลกนาฟ รายงายอีางจากแหล่งข่าวผู้ประสงค์จะไม่ออกนามว่าพระราชิน้นาถทรง ๒ขุ่นเคืองและผิดหวัง" จากนโยบายของนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ และกังวลพระทัยจากการที่กองทัพสหราชอาณาจัำรเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งวนอิรักและอัฟกานิสถานมากเกินไป อีกทั้งยังกังวลพระทัยจากประเด็นปัญหามนแถบชนบทและทุรกันดารกับโทนี แบลร์ ซ้ำไปซ้ำมา อย่างไรก็ตาม ทรงชื่นชมโทนี แบลร์ ในความพยายนมแสวงหาสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือของเขา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2008 ณ มหาวิหารเซนต์แทริค อาร์มาจ์ ของคริสจักรแห่งไอร์แชนด์ ทรงเข้าร่ยมพระราชพิธีวันพฤหัสบดีศัำดิ์สิทธิ์ (Roya. Maundy) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นนอกอังกฤษและเวลส์ มนเดทอนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 ัสด็จพระราชดำเนินเยือนไอร์แลนด์ตามคำพราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีแมรี ดมคอาลีสฺ ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐไอร์แลนด์เป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพรเราชดำรัส ณ ที่สมัชชาใหญาสหประชาชาติเป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 2010 ในฐานะทีทเป็นพระประมุขแห่งประเทฯเครือจักรภพ เลขาธิการสหประชาชาคิ พัน ดีสุน กล่าวสดุดีพระองค์ว่าเป็น "เสาหลักสำหรับยุคของเรา" ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์กซึ่งตามมาด้วยการเสด็จฯ เยือนแคนาดา เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวนินุสรณ์ระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษจากเหตุวินาศพรรม 11 กันยายร ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินเยือนแอสเตรเลียในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งที่ 16 นับตั้งแต่ ค.ศ. 1954 และได้รับกาคขนานนามจากสื่อว่าเป็น "การเสด็จฯ เยือนอำลา" เนื่องจากพระองค์สีพระพรรษามากแล้ว === พัชราภิเษก === ในปี ค.ศ. 2012 เป็นปีที่ทรงเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบันิครบ 60 ปี (พระราชพิธีพัชราภิเษกแบบอังกฤษ) ซึ่งจัดขึ้นในทุกประัทศเครือจักรภพ ในกระแสพรัราชดำ่ัสที่เผยแพา่ในวันคล้ายวันเสด็จขึ้นคตองราชสมบัติ ทรงพล่าวว่า: "ในปีแห่งความกิเศษนี้ ขณะที่ข้าพเจ้ทอุทิศตัวเองรับใช้พวกท่านทั้งหลายอีกครั้ง ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราาุกคนจะยังคงระลึกถึงพลานถภาพของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และการรวบรวมพละกำลังขดงครอบครัว, มิต่ภาพ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ... ข้าพเจ้าไวังว่าในปีพัชคาภิเษกนี้จะเป็นปียำหรับการมอบคำขอบคุณสำหรับความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1952 และมองไปยังอนาคตด้วยหัวสมองอันปลอดโปร่งและหัวใจอันอบอุ่น" พระอวค์และพระราชสวามิได่เสด็จพระราชดำเนินเย้อนไปทั่วสหราชอาณาจักา ในขณะที่พระราชโอรส-ธิดาและพระราชนัดดาหลายพระองค์ เสด็จเยือนประเทศในเครือจักรภพอื่น ๆ ในพระนามของสมเอ็จพระราชินีนาถ ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน ดวงประทรปแห่งการเฉลิมฉลองก็จุดขึ้นทั่งโลก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 201w ในวันที่ 28 กรกฎาคม และพาราลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรบร่วมแสดงคู่กับแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์สั้นซึ่ง้ป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้ดน 2012 ด้านพระราชบิดา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเตยเปิดการแข่งกันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อย 1948 ส่วนพระปัยกา (ปู่ทวด) สมเด็จพระเจ้าเอ็อเงิร์ดที่ 7 ก็ทรงเคยเปิดกมรแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1909 ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมหิกฤดูร้อน 1976 ที่นครมอนทรีออล ประัทศแคนาดามาแล้วครั้งหนึ่ง ด้านพระราชสวรมี เจ้าชายฟิลิป ก็เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาฌอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระประมุขแห่งรัฐพระองค์แรกที่ได้ทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ค่ั้งใน 2 ประเทศ ในวันที่ 18 ธันวาคม เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมการประชึมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งนับเป์นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตร้ในสภาวะไร้สงคตามนับตั้งแต่การเสด็จฯ ของนมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในปี ค.ศ. 1781 ต่อมาไม่นานรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร วิลเลียม เฮก ก็ปคะกาศให้ดินแดนตอนใต้ของด้นแอนแอนตาร์กติกาขเงสหราชอาณาจักรที่ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อเป็น เอลิซาเบธแลนด์ เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถ ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2013 เสด็จฯ ไปประทับในโรงพยาบาลเพื่อการเฝ้าประเมินอย่างใกล้ชิด หลังจากการกำเริบของถระอาการประชวรด้วยโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบ ก่อนที่จะเสด็จฯ กลับไปปรุทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมในวันถัอมา หนึ่งสัปดาห์ต่อมาทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎบัตรใหม่ของเครือจักรภพ เนื่องจมกพระชนมพรรษาที่มากขึ้นทำให้ต้องจำกัดการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในปีตั้นเอง พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะไม่เสด็จฯร่วมการประชุทรัฐบาลของเครือขักรภพเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดยทรงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าชายชาลส์ เสอ็จฯแทนพระองค์ในการประชุมที่ศรีลังกา สาเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานแซงหน้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ เป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุด เมื่อเดือนธะนวาคม ค.ศ. 2007 เป็นภระมหากษัตคิย๋สหราชอาณานักรที่ครองราชย์ยาวนานที่สุแในประวัติศาสตร์อัวกฤษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2015 พระองค์ได้รับการเฉลิม)ลองที่แคนาดาในฐานะ "ประมุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในยุคสมัยใหม่ของแคนาดา" (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส อปฌนพระปาะมุขขดงแคนาดาจาวนานกว่าสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) พระองค์ยังเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังทรลราชย์ยาวนานที่สุดในโลก หลังจากการสวรรรตของพระบาทสมเดฌจพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 พระองค์ะป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร พระดงค์แรกที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติ แม้ว่าสัดส่วนของพระราชกรณียกิจสาธารณะยองเจ้าชายชาลส์ ผู้ทรงฉลเงวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 91 พร่ษาและปฏิบัติพระราชกรณียแิจสาธารณะแทนพระองค์เพิ่มขึ้น ขณะทีืสมเด็จพระราชินีนาถลดพระราชกรณียกิจสาธารณะของพระองค๋ลง แผนสำหรับวันสวรรคตและงานพระศพของพาะองค์ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างแพร่หลายจากนัฐบาลอเงกฤษและองค์กรสื่อ == สวรรคต == ในวันที่ 8 กันยายน 2022 สำนักพระราชวังประกาศว่รสมเด็จพระราชินีนาถประชวรและอยู่ภายใต้การเข้าเฝ้ารักษาพระวรกายอย่างใกล้ชิดที่บาลมอรัล โดยในประกาศระบุว่า "คณะแพทย์มีคใามกังวลต่อพระพลานามัยของพระองค์เป็นอย่างมาก และได้แนะนำมห้สมเด็จพระราชินีนาถอบู่ภายวต้การดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด อยีางไรก็ตามะระองค์สังทรงพระเกษมสำตาญ และประทับที่ปราสาทแบลมอรัล" โดยมีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสี่ของพระองค์ พร้อมด้วยพระสุณิสา เสด็จไปพร้อมกับพระองค์ ในช่วงเย็นยันเดึยวกัน สำนุกพระราชวังได้ประกาศใ่าพระองค์เสด็จสวรรคต ปฏิบัติการสะพานลอนดอน เริ่มทันทีหชังพระองค์สวรรคต กานสวรรคตของพระเงค์นั้นถูกาะบุในใบมรณบัตรด้วยสาเหตุ "ชราภาพ" ซค่งเป็นพระโรคเดียวกับเจ้าชายฟิลิป พระราชสวามีของพระองร์ == มุมมองจากสาธารณชน == เนื่องจากพระองค์พรุราชทานสัมภาษณ์น้อยครั้งทำให้สาธารณชนทราบถึงพระราชอัธยาสัยส่วนพระองค์ได้น้อยมาก และในฐานะที่เป็นพระมหนกษัตริย์ภายใน้รัฐโรรสนูญ ทำมห้ไม่สามารถแสดงทัศนะทางการเมืองส่วนพระองค์ในที่สาธารณดได้ ทรงมีพันธกิจด้านศาสนาและสังคมที่หยั่งรากลึกในพระตาชหฤทัย อีกทั้งยังทรงกล่าวพระราชดำรัสสาบานพระองค์ในวันขึ้นเถลิงถวะลย์ราชสมบัติอย่างจริงจัง นอกเหนือจากการที่เป็นประมุขส๔งสุะแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว พระองค์ยังทรงเลื่อมใสในคริสตจัดรแห่งอังกฤษและคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์เป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย และยังืรงแสดงให้เห็นถึงตวาาสัมพันธ์ที่ทรงมีต่อศาสนาอื่น ๆ ด้วยการพบปะกับผู้นำนิกายและศาสนาต่าง ๆ เช่น การที่ทรงพบปะกับพระสันตะปาปาผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกถึงสี่พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23, สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2, สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 และสมเดํจพระสันตะปาปาฟรานซิส ความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาของดระองค์ปราพฏฝห้เห็นบ่อยครั้งในพระราชดำรัสห่านทางโทรทัศน์เนื่องในวันคริสต์มาสต์ซึ่งถ่ายทอดไปยังประดทศเครือจักรภพเป็นประจำทุกปี เช่นในปี 2000 ที่มีพระรรชดำรัสถึบความสำคัญของคริสต์สหัสวรรษที่ 2 อันเป็นปีที่การประสูติของพระเยซูครบรอบ 2000 ปี ดังนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์องค์กรแบะมูลนิธิต่าง ๆ มากกว่า 600 แห่ง ส่วนการพีกผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยโดยหลัก ๆ ได้แก่ การขี่ม้าและสุนัขทรงเลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์เพ็มโบรคเวลช์คอร์กี ความสนพระราชหฤทัยในสุนัขพันธุ์คอร์กีนี้เริ่มจ้นในปี ค.ศ. q933 กับสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อ "ดูกี" ซี่งเป็นสุนัขพันธุ์คอร์กีตัวแรกที่พระราชวงศ์ของพระองค์ทรงเลี้ยงไว้ นอกจากนี้ ภาพพระราชออริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพ่ะองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่สมเด็จพีะราชินีนาถเอลิศาเบธที่ 2 และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ ทรงตรดเตรียมพระกระยาหารด้วยกันและทรงล้างจานด้วยกันหลังเสวยพระกระยาการเสร็จสิ้น ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1p50 ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับำารกล่าวขานีาวกับเป็น "ราชินีในเทพนิยาย" ภายหลังความชอกช้ำจากสงคราสโลก อับกฤษก็เข้าสู่ยุคแห่งควาสหวัง เป็นช่สงสมัยของการพัฒนาและความสำเร็จที่ได้รับการขนสนนามฝ่่ "สมัยเอลิซาเบธใหส่" ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาพระราชดำรัสขแงพระองค์ในปี ค.ศฐ 1957 ว่าฟังเหมือนกับเสียงจอง "เด็กนักเรียนหญิงผู้โอ้อวด" ซึ่งเป็นคำวิจารณ์ที่พบได้น้อยครั้งมาก ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1960 มีความพยายามมากขึ้นในการสร้างภาพราชวงศ์ยุคใหม่ในสารคดีโืรทีศน์เรื่อง "รอยัลแฟมิลี" ซึ่งอำพรางเจ้าชายชาลส์ด้วยพระนาม "เจ้าชายอหีงเวฃส์" พระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงฉลองพระองค์ในที่สาธารณะด้วยฉลองพระองค์ที่ส่วนใหญ่ิป็นสีเดียวพ่้อมด้วยพระมาลา (หมวก) ปรดดับลูกไม้ ทำให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นพระองค์ได้โดยง่าย ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก ค.ศ. 1977 ฝูงชนกละการเฉลิมฉลองนับว่ามีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง แต่ถัดมาในช่วงคริสตฺทศวรรษที่ 1980 เสียงวิพากษ์วิจารณ์พระราชวฝษ์เพิ่มมากขึ้นจากการที่ชีวิตส่วนพระอวร์และชีวิตการทรงงานของบรรดาพีะราชโอรส-ำระราชธิดาอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ของสื่อ ความนิยมของประชาชนต่อสมเด็จพระราชินีนาถตกต่ำถึงขีดสุดในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 และด้วยแรงกดดันจากความคิดเห็นของสาธารณชน พระองค์จึงทรงเริ่มชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่พระราชวังบักกิงแฮมเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม ความไม่พอใจราอระลอบกษ้ตริย์ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดเใื่อไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์สิ้นพระชนม์ แม้กระนั้นก็ตาม ความนิยมในสมะด็จพระราชินีนาถและแรงสนับสนุนในระบแบกษัตริย์ก็ฟ้้นคืนกลับมาหลังพระองค์มีพระราชดำรัสถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ 5 วัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 มีกาคลงประชามติในออสเตรเลียว่าด้วยอนาคตขอฝสถาบันพระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย ผลที่ออกมาได้บ่งบอกถคงความต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งประมุขของประเทศที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จากการสำรวจความคิดเห็นในสหราชอาณาจักรในปี 2006 และ 2007 พบว่ายังคงมีแรงสนับสนุนในสมเด็จพระราชินีนาถอยู่มาก ส่วนผลการลงประชามติในตูวาลู ค.ศ. 2008 และการลงผระชามติในเซนต์วเนเซนต์และเกรนาดีนส์ ค.ศ. 2009 ยืนยันถึงความต้องการของทั้งสองประเทศที่ปฏิเสธการเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นสา๔ารณรัฐ === การังิน \== การติดตามพระราชทรัพย์ส่วพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ดำเนินมาหลายปี นิตยสารฟอบส์ประเมินพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในปี ค.ศ. 2010 ว่ามีมูลค่าสุทธิราว 450 ล้านดอชลาร์สหาัฐฯ แต่แถลงการณ็สำนักพระราชวังบักกิงแฮมในปี 1993 กล่าวว่าการประเมินพระราชทรัพย์ไว้ที่ 100 ล้านปอนด์นั้นเป็น "การกล่าวเกินจริงอย่างมากมาย" จ็อค โคลวิลล์ อดีตราชเลขาธิการส่วนพระองค์และอดีตผู้อำนวยการธนาคารส่วนพระองค์ คุตส์ (Coutts) ประเมินทรัพย์สินส่วนพระองค๋ในปี 1971 ไว้ที่ 2 ล้านปอนด์ (เทียบเท่าประมาณ 21 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน) องค์สมเด็จพระราชินีนาถไม่ได้ารงครอบครอบงานสะสมศิลปะหลวง (ซึ่งรวมถึงงานศิลปดและเครื่องราชกกุธภัณฑ์) แต่มีการถือครองตามกฎหมายทรัสต์ ด่านอสังหาริมทรัพย์ที่ประทับอย่างพระราชวังบักกิงแฮม, พระราชวังวินด์เซอร์ และดัชชีแลงแคสเตอร์ มีมูลค่าในปี 2011 ที่ 383 ล้านปอนด์ ส่วนพระตำหนักซานพริงแฮมและปราสาทแบลมอรัลองค์สมเด็จพระราชินีนาถทรงถือครองเป็นการส่วนพระองร์ พรถราชทรัพย์ของพระมหากณัตร้ย์สหรทชอาณาจักร (The Britiqh Crown Estate) ซึ่งมีมูลค่าในปี 2011 รวมกันทั้งสิ้น 7.3 พันล้านปอนด์ ได้รับการถือครองไว้ในกฎหมายทรัสต์ไวีเป็นสมบัติของชาติ สมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่สามารถจำหน่ายพระราชทรัพย์เหล่านี้ได้เป็นการส่วนพระองค์ == พระบรมราชอิสริยขศและตราอาร์ม == === พระบรมราชอิส่ิยยศ === สมเด็จพระราช้นีนทถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงดำางพระราชอิสริยยศและตำแหน่งทางการทหารในประเทศเครือจึกรภพมากมาย เป็นผู้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในประเทศของพรัองค์ ทรงได่รับการถวายพระเกียรติและรางวัฃมากมายจากทั่วโฃก และมีพระราชอิสริยยศเป็นกมรเฉพาะในแต่ละประเทศ เช่น สมเด็จภระราชินีนาถแห่งจาเมกา, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งออสเตรเลีย ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้ยังทรงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เช่จ อัตรศาสนูปถัมภก เมื่อพระราชินีนาถมีพระราชปฏิสันธานกับเรา ควรเริืมเอ่ยถึงพระองค์ด้วยคำว่า Your Majeshy (ฝ่าพระบาท) หลังจากนั้นจึงคทอยใล้คำว่า Mq'am )ท่าน) ในการพล่าวถึงพระองค์ ลำดับบรรณดาศักดิ์ที่ทรงได้รับตลอดช่วงพระชนม์ชีพมีดังต่อไปนี้ : 21 เมษายน 1926 – 11 ธันวาคม 1936: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเแลิซาเบธแห่งยอร์ก (Her Royal Highness Princess Elizabeth of York) 11 ฌันวาคม 1p36 – 20 พฤศจิกายน 1947" เฮอร์รอยัลไฮเนน เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธ (Her Royal Highness The Princess Elizabeth) 20 พฤศจิกายน 1947 – 6 กุมภาพันํ์ 1952: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ เคาน์เตสแห่งแมรเโอเน็ธ และบารอเนสกร้นิช (Her Royal Highness The Princess Elixabeth, Duchess of Edinburgh, Countess of Merioneth and Barohess Greenwich) 6 กุมภาพันธ์ 1952 – 8 กันยายน 2022: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราบินีนาถ (Her Majesty The Quewn) === ตราอาร์ม === ตั้งแต่วันที่ 21 เาษายน ค.ศ. 1945 จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ตราอาร์มประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธาีี 2 แห่งยหราชอาณสจักนประกอบด้วย ตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักรในรูปทรงข้าวหลามตัดพร้อมด้วยบังเหียนสีเงินสามพู่ พธ่กลางเป็นตรากุหลาบทิวดอร์ ม่วนอีกสองพู่เป็นตรากางเขนแหางเซนต์จอร์จ หลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสืบทอดตร่อาร์มที่พระราชบิดาทรงถือครองในฐานะพระมหาแษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงครอบคตองธงพระอิสริยยศและธงประจำพระองค์เะื่อใช้ในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จาเมกา, บาร์เบโดส และประเทศเครือจักรภพอื่น ๆ {| border="0" align="cemter" width="109%" |- !width=20% | !width\20% | !width=20% | !width=20% | !width=20% | |- |ตราอาร์มประจำพระองค์เจ้าหญิงเดลิซาเบธ (ค.ศ. 1944-1947) |ตราอาร์มประจำพระองค์เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแผีงเอดินบะระ (ค.ศ. 1947-1952) |ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็จพรัราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในสหราอาณาจะกร (ยกเว้นในสกอตแลนด์) |ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็ยพระราชินีนาถเองิซาเบธที่ 2 ในสกอตแลนด์ |ตราอาร์มปาะจำพรเองค์สมเด็จพระราชินีนาถเองิซาเบธที่ 2 ในแคนาดา (หนึ่งในสามแบบที่ใช้ในรัชกาลของพระองค์) +} == พงศาวลี == == ดูเพิ่ม == รายนามประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบัน รายพระนามพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก รายพระนามกณัตริย์แห่งหมู่เกาะอังกฤษ รายพระนามพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร คายพระนามพระมหากษัตริย์ทั่วโลกเรียงตามวันเสด็จขั้นครองราชย์ == อ้างอิง == == บรรณานุกรม == Bond, Jennid (2006). Elizabeth: Eifhty Gl9rious Years. London: Carlton Publishing Group. ISBN 1-84442-260-7 Bousfie.d, Arthur; Toffoli, Gary (2002). Fifty Jears hhe Queen. Toronto: Dundurn Press. ISBN 1-55002-360-8 Bradford, Sarah (2012). Queen Elizabeth II: Her Life in Our Tines. London: Penguin. ISBN 978-0-670-91911-6 Brandreth, Gyles (2004). Philip and Elizabeth: Portrait of a Marriage. London: Century. ISBN 0-7126-6103-4 Briggs, Asa (1995). The Historu of Broaccasting in the United Kingdom: Volume 4. Oxford: Oxford University Press. ISBN 0-19-212967-8 Campbell, Mohn (200r). Margaret Thatcher: The Iron Lady. London: Jonathan Cape. ISBN 0-224-06156-9 Crawford, Marion (1950). Tne Little Princesses. London: Cacsell & Co. Hardman, Robert (2011). Our Queen. London: Hutchinson. ISBN 978-0-09-193689-1 Heald, Tim (2007). Princess Margaret: A Life Unravelled. London: Weidenfeld & Nicolson. ISBN 978-0-297-84820-2 Hoey, Brian (2002). Her Majesty: Eifty Regal Years. London: HarperCollins. ISBN 0-00-653136-9 Lacwy, Robert (2002). Royal: Her Majesty Queen E.izabeth II. London: Little, Brown. ISBN 0-316-85940-0 Macmillan, Harold (q972). Pointing The Way 1959–1961 London: Macmillan. ISBN 0-333-12rw1-1 Marr, Andrew (2011). The Diamond Queen: Elizabeth II and Her People. London: Macmillan. ISBN 978-0-230-74852-1 Neil, Andrew (1o96). Full Disclosure. London: Macmillan. ISBN 0-333-64682-7 Bicolson, Sir Harold (1952). King George the Fifth: His Life and Reign. London: Constable & Co. Petropoulos, Jonatha (2006). Royals and the Reich: the primces von Hessen in Nazi Germany. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-516133-5 Pinoott, Ben (2001). The Quefn: Elizabeth II and the Monarchy. London: HarpegCollins. ISBN 0-00-255494-1 Roberts, Andrew; Edited by Antonia Fraser (2000). The House of Windsor. London: Cassell & Co, ISBN 0-304-35406]6 Ahawcross, William (2002). Queeg and Country. Toronto: McClelland & Shewart. ISGN 0-7710-8056-5 Thatcher, Margaret (1993). The Downing Street Years. ?9ndon: HarperCollins. ISBN 0-00-255049-0 Trudeau, Pierre Elliott (1993). Memoirs. Toronto: McLelland & Stewart. ISBN 0-77w0-8588-5 Wyatt, Woodrow; Edited by Sarah Cyrtis (1999). The Journals 8f Woodrow Wyatt: Volume II. London: Macmillan. ISBN 0-3r3-77405-q == แหล่งข้อมูลอื่น == === หนังสือและบทความ === ชาคริต ชุ่าวัฒนะ. (2543). เอลอซาเบทที่ 2: กษัตริย์ยามอัสดงของเครือจักรภำ. วารสาคประวัติศาสตร์. น. 116-126. เฮิร์ด, ดักลาส. (2559). เอลิซาเบธที่ 2 แนวแน่ในปณิธาน. แปลโดย ธงมอง จันทรางศุ และนรชิต สิงหเสนี. กรุงเทพฯ: openbooks. === ออนไลน์ === เว็บไซต์ทางการสหราชอาณาจักร เว็บไซต์ทางกา่แคนาดา ราชินีนาถแห่งบริติชไอลส์ พระมหากษัตริย์สปราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์อังกฤษ พระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ พระมหากษัตริย์แคนาดา พีะมหากษัตริย์ออสเตรเลีย พระมหากษัตริย์นิวซีแลนด์ ตระกูลโบวส์-ลีออน พรถมหากษัตริย์แอฟริกาใต้ พระมหากษัตริย์ซีลอน พระมหากษัตริย์ปากีสถาน พระมหากษัตริย์ยูกันดา ประมุขแห่งรัฐแคนาดา ประมุขแห่งัครือจักรภพ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ รัชทายาทสห่าขอาณาจักร ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ส.จ.ก. (ฝ่ายใน) ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร็ พระราชธิดาในสมเด็จพระจักรำรรดิ
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Elizabeth II; 21 เมษายน ค.ศ. 1926 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022) เป็นพระประมุขของสหราชอาณาจักรและอีก 14 ประเทศ จาก 53 รัฐสมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ ประธานเครือจักรภพและประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถที่ครองราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษมากกว่ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส หลังจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาสวรรคตในคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรี่ จึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในขณะมีพระชนมายุ 25 พรรษา สิบหกเดือนหลังจากนั้นพระองค์ได้เข้าพระราชพิธีราชินยาภิเษกที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953 เป็นครั้งแรกที่พระราชพิธีนี้ได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น "สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร" พระราชสมภพเมื่อปี 1948 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอนน์ ประสูติเมื่อปี 1950 ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "ราชกุมารี" พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ประสูติเมื่อปี 1960 ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "ดยุกแห่งยอร์ก" และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งประสูติในปี 1964 ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น "ดยุกแห่งเอดินบะระ" == พระชนม์ชีพช่วงต้น == เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (พระยศในขณะนั้น) เป็นพระราชธิดาองค์แรกในเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (ภายหลังขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6) กับเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งยอร์ก (ภายหลังเป็น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี) พระราชบิดาของพระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาคนสุดท้ายของขุนนางชาวสกอตแลนด์นามว่า โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น เจ้าหญิงเอลิซาเบธประสูติโดยการคลอดแบบผ่าท้องเมื่อเวลา 2.40 น. (ตามเวลากรีนิช) ของวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1926 ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นของพระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา (ตา) ในกรุงลอนดอน ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมากับคริสตจักรแห่งอังกฤษจากคอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปแห่งยอร์ก ณ โบสถ์ส่วนพระองค์ภายในพระราชวังบักกิงแฮม และได้รับพระนาม เอลิซาเบธ ตามพระราชมารดา, อะเล็กซานดรา ตามสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระปัยยิกา (ย่าทวด) ซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนการประสูติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ 6 เดือน และ แมรี ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา (ย่า) และยังหมายถึง พระแม่มารีย์ ผู้เป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้าอีกด้วย เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชนัดดาหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี ค.ศ. 1929 ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงมีกำลังพระทัยและพระอาการดีขึ้น พระองค์มีพระขนิษฐาพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงมาร์กาเรต ซึ่งมีพระชันษาน้อยกว่าอยู่ 4 พรรษา ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการศึกษา ณ พระตำหนักที่ประทับภายใต้การควบคุมดูแลของพระราชมารดาและ แมเรียน คราวฟอร์ด พระอาจารย์ส่วนพระองค์ ซึ่งได้รับการเรียกขานในบางโอกาสว่า "คราวฟี" บทเรียนที่ทรงศึกษาเน้นหนักไปที่ประวัติศาสตร์, ภาษา, วรรณกรรม และดนตรี ในปี 1930 แมเรียนออกหนังสือเกี่ยวกับพระราชประวัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตในช่วยวัยเยาว์ชื่อว่า The Little Princesses (เจ้าหญิงองค์น้อย) ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่พระราชวงศ์อังกฤษ หนังสือได้อธิบายว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธโปรดม้าและสุนัข, ความเป็นระเบียบ และทัศนคติต่อความรับผิดชอบของพระองค์ ด้านวินสตัน เชอร์ชิลล์ กล่าวถึงเจ้าหญิงเอลิซาเบธขณะมีพระชนมายุ 2 พรรษาว่า "ด้านพระจริยวัตร ทรงมีห้วงอากาศแห่งพระราชอำนาจและความไตร่ตรองอย่างน่าอัศจรรย์ภายในตัวพระองค์" ส่วนพระญาตินามว่า มาร์กาเรต โรดส์ กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "เด็กหญิงตัวเล็กผู้ร่าเริง แต่มีความมีเหตุผลพื้นฐานและความประพฤติที่ดี" เมื่อทรงพระเยาว์พระประยูรญาติสนิททรงเรียกพระองค์ว่า "ลิลิเบ็ต" เมื่อพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระองค์ทรงได้พบกับนักเทศน์คนหนึ่งที่ปราสาทกลามิส เมื่อเขาลากลับ เขาได้สัญญาที่จะส่งมาหนังสือมาให้พระองค์เล่มหนึ่ง เจ้าหญิงตรัสตอบว่า "ไม่เอาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้านะ เรารู้เรื่องพระองค์หมดแล้ว" == รัชทายาทโดยสันนิษฐาน == ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบุรุษ มีพระนามเต็มว่า เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก และอยู่ลำดับที่สามในลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ ตามหลังเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระปิตุลาในลำดับแรก และเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชบิดาในลำดับที่สอง แม้ว่าการประสูติของพระองค์จะอยู่ในความสนใจของสาธารณชน แต่ก็ไม่มีใครคาดหมายว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายแห่งเวลส์ (พระปิตุลา) ยังมีพระชนมายุไม่มาก ทั้งยังได้รับการคาดหมายว่าจะอภิเษกสมรสและมีพระโอรส-ธิดาของพระองค์เอง ต่อมาในปี 1936เมื่อพระอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคต และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระปิตุลา เถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เจ้าหญิงเอลิซาเบธจึงเลื่อนขึ้นมาลำดับที่สองในลำดับการสืบราชบัลลังก์ตามหลังพระราชบิดาในลำดับที่หนึ่ง ภายหลังในปีเดียวกันนี้เองที่พระปิตุลาทรงสละราชสมบัติเพื่อไปสมรสกับวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกันผู้หย่าร้างมาแล้วสามรอบ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้น พระราชบิดาขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์และพระองค์ก็ทรงกลายมาเป็นรัชทายาทโดยสันนิษฐานด้วยพระอิสริยยศ เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งถ้าหากพระองค์มีพระเชษฐาหรือพระอนุชาร่วมบิดา-มารดา พระองค์ก็จะทรงสูญเสียสถานะรัชทายาทโดยสันนิษฐานและอยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังก์ที่ต่ำกว่า เพราะตามกฏสืบราชสมบัติอังกฤษจะให้สิทธิ์แก่รัชทายาทบุรุษเป็นรัชทายาทโดยนิตินัย เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงได้รับการศึกษาในวิชาประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญจาก เฮนรี มาร์เตน รองอาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยอีตัน และทรงเรียนภาษาฝรั่งเศสจากพระอาจารย์ที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่หลายคน ต่อมากองเนตรนารีที่หนึ่งแห่งพระราชวังบักกิงแฮมได้รับการก่อตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถมีพระปฏิสันถารกับเด็กหญิงวัยเดียวกัน ซึ่งภายหลังทรงดำรงตำแหน่งเป็น แรนเจอร์ทะเล (sea ranger) ในปี ค.ศ. 1927 เมื่อครั้งพระราชบิดา-มารดาของพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเนื่องจากพระราชบิดาทรงเกรงว่าเจ้าหญิงยังทรงพระเยาว์เกินกว่าที่จะสามารถตามเสด็จในที่สาธารณะได้ เช่นเดียวกับครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1939 เจ้าหญิงก็ยังประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเช่นเดิม เจ้าหญิงทรงดูเหมือนว่าจะทรงร้องไห้เมื่อพระราชบิดา-มารดาทรงออกเดินทาง ทั้งสองฝ่ายทรงติดต่อกันเป็นประจำ และในวันที่ 18 พฤษภาคม ก็ได้ทรงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์สาย ทรานส์แอตแลนติก เป็นครั้งแรก === สงครามโลกครั้งที่สอง === ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 สหราชอาณาจักรเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองที่ดำเนินไปจนถึงปี 1946 ในระยะเวลาช่วงนี้เองที่กรุงลอนดอนถูกทิ้งระเบิดทางอากาศอย่างหนัก เด็กชาวลอนดอนจำนวนมากถูกอพยพไปอยู่ตามชนบท มีคำแนะนำจากนักการเมืองอาวุโสนามว่า ดักลาส ฮอกก์ วิสเคาท์ที่หนึ่งแห่งเฮลเชม (ลอร์ดเฮลเชม) เสนอให้เชิญพระราชธิดาทั้งสองพระองค์เสด็จลี้ภัยไปประทับอยู่ ณ แคนาดา แต่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวและทรงประกาศว่า "เด็ก ๆ จะไม่เสด็จไปโดยปราศจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เสด็จไปโดยปราศจากพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จไปไหนทั้งนั้น" เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลในสกอตตแลนด์จนถึงช่วงคริสต์มาสปี ค.ศ. 1939 เมื่อเสด็จไปประทับที่พระตำหนักซานดริงแฮมในนอร์ฟอล์กแทน และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2483 เสด็จไปประทับที่รอยัลลอดจ์ในวินด์เซอร์ จนในที่สุดเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังวินด์เซอร์ ที่ซึ่งใช้เวลาส่วนมากของอีกห้าปีถัดมาประทับอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ที่วินด์เซอร์ เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงแสดงละครใบ้ในงานคริสต์มาสเพื่อช่วยหาเงินเข้ากองทุนขนแกะของสมเด็จพระราชินี ซึ่งใช้ในการจัดหาเส้นด้ายในการทอเสื้อผ้าทหาร ในปี 1940 เจ้าหญิงเอลิซาเบธซึ่งมีพระชันษาได้ 14 พรรษา ได้ทรงจัดรายการทางวิทยุของบีบีซีเป็นครั้งแรกในรายการ Children's Hour (ชั่วโมงของเด็ก) และทรงกล่าว ต่อเด็ก ๆ ที่อพยพออกจากลอนดอนว่า: เราพยายามทุกวิถีทางในการช่วยเหลือเหล่าลูกเรือ, ทหาร และนักบินผู้กล้าหาญของพวกเรา และเราพยายามแบกรับเอาความเศร้าโศกและอันตรายที่มีร่วมกันไว้ด้วยเช่นกัน เราทราบดีว่าท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนจะปลอดภัย ในปี ค.ศ. 1943 ในขณะที่มีพระชันษา 16 พรรษา เสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรกในการตรวจแถวสวนสนามของกองทัพบก ที่ซึ่งทรงได้รับการพระราชทานตำแหน่งผู้บัญชาการยศพันเอกหญิงในปีก่อนหน้า เมื่อทรงเจริญพระชันษาย่างเข้า 18 พรรษา กฎหมายเปลี่ยนให้ทรงมีฐานะเสมือนเป็นหนึ่งในองคมนตรีแห่งรัฐ (Counsellors of State) ทั้งห้าท่าน เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจทดแทนยามที่พระราชบิดาทรงติดขัดหรือเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ เช่น ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปอิตาลีในปี ค.ศ. 1944 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ทรงเข้าร่วมหน่วยบริการภาคพื้นดินในฐานะผู้บังคับหมวดที่สอง ซึ่งมีหมายเลขประจำพระองค์คือ 230873 ทรงได้รับการฝึกเป็นพนักงานขับรถและช่างยนต์และทรงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการระดับอาวุโสในอีก 5 เดือนถัดมา ในวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรปซึ่งเป็นวันที่สงครามโลกครั้งที่สองภาคทวีปยุโรปสิ้นสุดลง เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงแฝงพระองค์ร่วมเฉลิมฉลองกับประชาชนบนท้องถนนของกรุงลอนดอน ต่อมาได้พระราชทานสัมภาษณ์ว่า "เราสองคนขอพระราชบิดา-มารดาเพื่อที่จะออกไปดูด้วยตัวของเราเอง จำได้ว่าเรากลัวที่จะมีคนจดจำเราได้ ... มีแถวของผู้คนมากหน้าหลายตาจับมือแล้วร่วมเดินไปด้วยกันบนถนนไวต์ฮอล พวกเราทั้งหมดได้รับการกวาดไปตามกระแสธารแห่งความสุขและความโล่งใจ" ช่วงระหว่างสงคราม แผนการของรัฐบาลมากมายได้รับการคิดขึ้นเพื่อระงับกระแสชาตินิยมในเวลส์ ด้วยการผูกมัดเจ้าหญิงเอลิซาเบธให้มีความใกล้ชิดกับเวลส์มากขึ้น อาทิ สถาปนาเจ้าหญิงให้ทรงเป็นผู้ดูแลปราสาทคายร์นาร์วอน ซึ่งในขณะนั้นตำแหน่งผู้ดูแลเป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด ลอยด์ จอร์จ ด้านเลขาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เฮอร์เบิร์ต มอร์ริสัน มีอีกแผนการหนึ่งคือให้เจ้าหญิงทรงเป็นผู้อุปถัมภ์สันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ (the Welsh League of Youth) ส่วนนักการเมืองชาวเวลส์เสนอให้ถวายตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์ในวันคล้ายวันประสูติปีที่ 18 ของพระองค์ อย่างไรก็ตามทุกข้อเสนอล้วนถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความกลัวที่ว่าจะนำพระองค์ไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารโดยมโนสำนึกในสันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ ซึ่งในช่วงที่สหราชอาณาจักรอยู่ในภาวะสงครามถูกมองว่าเป็นกลุ่มบุคคลเสื่อมเสีย ในปี ค.ศ. 1946 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ชนะและประทับบนบัลลังก์แห่งบาร์ดส์ (Gorsedd of Bards) ในงานเทศกาลไอส์เตดด์วอดแห่งชาติเวลส์ (National Eisteddfod of Wales) ในปี ค.ศ. 1947 เจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จเยือนต่างประเทศพร้อมกับพระราชบิดา-มารดาเป็นครั้งแรกบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ในช่วงการเสด็จเยือน ทรงออกแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษไปยังประเทศเครือจักรภพเนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติปีที่ 21 ว่า: คำแปล: === อภิเษกสมรส === พระองค์ทรงพบกับเจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก พระสวามีในอนาคต เมื่อปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1937 ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของกันและกันผ่านทางสายพระโลหิตของพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และเป็นพระญาติชั้นที่สามผ่านทางสายพระโลหิตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จากนั้นทรงพบปะกันอีกครั้งที่วิทยาลัยราชนาวีอังกฤษในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 13 พรรษาและทรงยอมรับว่ามีพระเสน่หากับเจ้าชายฟิลิป ทั้งสองพระองค์จึงทรงมีจดหมายและหัตถเลขาถึงกันและกันแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาพิธีหมั้นจึงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 การหมั้นในครั้งนี้ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเนื่องจากเจ้าชายฟิลิปทรงไม่มีฐานะทางการเงินที่แน่นอน ทั้งยังประสูติจากต่างแดน (แม้จะอยู่ใต้บังคับของทางการสหราชอาณาจักรและรับใช้ในราชนาวีอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) รวมถึงการที่พระเชษฐภคินีของเจ้าชายฟิลิปเสกสมรสกับขุนนางชาวเยอรมันผู้มีสายสัมพันธ์กับพรรคนาซี แมเรียน คราวฟอร์ดเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า "ที่ปรึกษาของพระเจ้าจอร์จที่ 6 บางคนคิดว่าเจ้าชายทรงไม่คู่ควรกับเจ้าหญิง เป็นเจ้าชายไร้ถิ่นฐาน และหนังสือพิมพ์บางฉบับก็ยังโจมตีอย่างโจ่งแจ้งในประเด็นที่ว่าทรงมีต้นกำเนิดในต่างแดน" ในหนังสือพระราชประวัติช่วงหลัง ๆ กล่าวว่าพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชมารดา ทรงต่อต้านการเสกสมรสในตอนแรก ถึงขนาดที่ทรงเรียกเจ้าชายฟิลิปว่าเป็นพวกเยอรมัน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายพระชนม์ชีพ พระราชินีเอลิซาเบธได้พระราชทานสัมภาษณ์กับนักอัตชีวประวัติ ทิม ฮีลด์ ถึงเจ้าชายฟิลิปไว้ว่าทรงเป็น "สุภาพบุรุษชาวอังกฤษ" ก่อนการอภิเษกสมรสจะมีขึ้น เจ้าชายฟิลิปสละบรรดาศักดิ์ของกรีซและเดนมาร์ก ทรงเปลี่ยนจากนิกายกรีกออร์ทอดอกซ์มาเข้ารีตแองกลิคัน และใช้พระยศเป็น "ร้อยเอกฟิลิป เมาท์แบตเตน" ซึ่งนามสกุลเมาท์แบตเตนเป็นของบรรพบุรุษฝ่ายอังกฤษของพระมารดา ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะมีขึ้นไม่นาน ก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระชั้น "รอยัลไฮเนส" ทั้งสองพระองค์อภิเษกกันในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และทรงได้รับของขวัญวันอภิเษกสมรสจำนวน 2500 ชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก และเนื่องจากอังกฤษยังคงบอบช้ำจากสงคราม เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงต้องใช้บัตรปันส่วนในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับตัดฉลองพระองค์ที่จะใช้ในวันอภิเษกซึ่งออกแบบโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ นอกจากนี้สายสัมพันธ์กับชาวเยอรมันของเจ้าชายฟิลิปไม่เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนชาวอังกฤษ ผู้ที่เพิ่งจะผ่านพ้นความทุกข์ยากของสงครามมา จึงทำให้พระเชษฐภคินีทั้งสามพระองค์ของเจ้าชายไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีอภิเษกสมรส ในขณะที่ดยุกและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ก็ไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเช่นกัน พระองค์มีประสูติการเจ้าชายชาลส์พระโอรสองค์แรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 เป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 จะทรงมีจดหมายพระราชทานพระราชานุญาตให้โอรสและธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธทุกพระองค์สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงได้ ซึ่งหากมิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงอังกฤษ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายฟิลิปได้สละบรรดาศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิดไปหมดแล้วและมีบรรดาศักดิ์เป็นเพียงดยุกเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 พระธิดาองค์แรกก็มีพระประสูติกาลโดยมีพระนามว่า เจ้าหญิงแอนน์ ภายหลังการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ทรงเช่าพระตำหนักวินเดิลแชมมัวร์เป็นที่ประทับซึ่งใกล้กับพระราชวังวินด์เซอร์ไปจนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1951 จากนั้นทรงใช้พระตำหนักแคลเรนซ์เป็นที่ประทับหลายครั้งระหว่างช่วงปี 1951 - 1953 ในขณะนั้นดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามี ทรงประจำการอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ณ มอลตาซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ และประทับอยู่ด้วยกันเป็นช่วง ๆ หลายเดือน ณ วิลลาในหมู่บ้านกวาร์ดามังเจียของมอลตา ซึ่งเป็นบ้านพักของลอร์ดเมาท์แบตเตน พระมาตุลาในดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระโอรส-ธิดายังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักร ==== พระราชโอรส-ธิดา/พระราชนัดดา ==== มีพระราชโอรส-ธิดากับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระรวมทั้งสิ้น 4 พระองค์ ดังนี้: == พิธีราชินยาภิเษก == === พิธีราชินยาภิเษก === ช่วงปี ค.ศ. 1951 พระพลานามัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสื่อมถอยลงและบ่อยครั้งที่เจ้าหญิงต้องเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในครั้งที่เสด็จเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ขณะนั้นทรงพบปะกับประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ มาร์ติน ชาร์เตริส ก็ได้จัดทำร่างพระราชดำรัสในพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกขึ้นเผื่อกรณีที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตขณะเจ้าหญิงทรงอยู่ต่างประเทศ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1952 เตรียมเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์โดยเสด็จเยือนเคนยาก่อน ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เมื่อเพิ่งเสด็จถึงบ้านพักที่ประทับซากานาลอดจ์ในเคนยา หลังจากที่คืนก่อนหน้าเสด็จไปประทับที่โรงแรมทรีท็อปส์ ข่าวการสวรรคตของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็มาถึงและดยุกแห่งเอดินบะระก็ได้ทรงแจ้งข่าวนี้แก่พระราชินีพระองค์ใหม่ มาร์ติน ชาร์เตริส ได้ทูลถามถึงพระปรมาภิไธยที่จะทรงใช้ พระองค์ทรงเลือก "เอลิซาเบธ" เช่นเดิมแน่นอน พระองค์ทรงประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพพระองค์ใหม่หลังจากที่ทรงเร่งรีบเสด็จกลับสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงเสด็จย้ายเข้าไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมพร้อมกับดยุกแห่งเอดินบะระ ทั้งที่สมเด็จพระราชินีแมรี พระราชินีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคตในวันที่ 24 มีนาคม แต่แผนการจัดพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกก็ยังคงดำเนินต่อไปตามที่ทรงร้องขอไว้ก่อนเสด็จสวรรคต โดยจัดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953 ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษกครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ โดยยกเว้นการถ่ายทอดพิธีเจิมและพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ นิกายคริสตจักรแห่งอังกฤษ ฉลองพระองค์ในพระราชพิธีได้รับการออกแบบและตัดเย็บโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ ซึ่งประดับด้วยลายพรรณพืชของประเทศในเครือจักรภพตามคำแนะนำของพระราชินีนาถ อันประกอบไปด้วย กุหลาบทิวดอร์แห่งอังกฤษ ดอกทริสเติลแห่งสกอตแลนด์ กระเทียมต้นแห่งเวลส์ ดอกแฌมร็อกแห่งไอร์แลนด์ ดอกแวทเทิลแห่งออสเตรเลีย ใบเมเปิลแห่งแคนาดา ใบเฟิร์นสีเงินแห่งนิวซีแลนด์ ดอกโพรทีแห่งแอฟริกาใต้ ดอกบัวหลวงแห่งอินเดียและศรีลังกา รวมไปถึงข้าวสาลี ฝ้าย และปอกระเจาแห่งปากีสถาน ในพระราชพิธีบรมราชินยาภิเษก พระองค์ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรชาวสหราชอาณาจักรว่า "ในพิธีบรมราชินยาภิเษกวันนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศว่า ข้าพเจ้าพร้อมอุทิศชีวิตเพื่อประชาชนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ให้ช่วยสวดภาวนาให้ข้าพเจ้า ในวันที่ข้าพเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตริย์แห่งอังกฤษ สวดภาวนาให้พระเจ้าประทานพระปัญญาญาณและความเข้มแข็งให้ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติราชกิจลุล่วงตามที่ข้าพเจ้าได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้ และข้าพเจ้าพร้อมรับใช้พระเจ้าและประชาชนของข้าพเจ้า ทุกคนตลอดที่ข้าพเจ้ายังมีลมหายใจ" == เหตุการณ์ตลอดรัชสมัย == === ภายหลังการขึ้นครองราชย์ === ด้วยการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ไปเป็น ราชวงศ์เมาท์แบตเตน ตามนามสกุลของดยุกแห่งเอดินบะระ และให้เจ้าหญิงทรงเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพระราชสวามี อย่างไรก็ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกา และนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์ เห็นชอบที่จะให้มีการใช้ชื่อราชวงศ์เดิมต่อไป ดังนั้นราชวงศ์วินด์เซอร์จึงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดยุกแห่งเอดินบะระทรงบ่นว่า "เป็นบุรุษเพียงคนเดียวในประเทศที่ไม่สามารถให้นามสกุลแก่โอรส-ธิดาของพระองค์ได้" ในปี 1957 หลังจากที่พระราชินีแมรีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1953 และวินสตัน เชอร์ชิลล์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1957 นามสกุล เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์ จึงใช้แก่ดยุกฟิลิปและกับรัชทายาทบุรุษฝ่ายพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ไม่ได้ถือบรรดาศักดิ์ใด ๆ ท่ามกลางการตระเตรียมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรตกราบทูลพระเชษฐภคินีของพระองค์ว่าประสงค์ที่จะเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ พ่อหม้ายลูกติดสองคนซึ่งมีอายุมากกว่าพระองค์ 16 ปี พระราชินีนาถจึงทูลขอให้ทรงรอเป็นเวลาสองปี ตามคำกล่าวของมาร์ติน คาร์เตริสที่กล่าวว่า "พระราชินีนาถทรงมีความเห็นใจต่อเจ้าหญิงมาร์กาเรต แต่ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงหวังไว้ว่าเวลาจะช่วยทำให้เรื่องนี้เงียบหายไปในที่สุด" ด้านนักการเมืองอาวุโสต่างต่อต้านแนวคิดการเสกสมรสครั้งนี้และคริสตจักรแห่งอังกฤษก็ไม่อนุญาตให้มีการสมรสหลังจากที่หย่าร้างไปแล้ว ซึ่งหากเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงเข้าพิธีสมรสแบบทางราชการ (การสมรสโดยปราศจากพิธีกรรมทางศาสนา) ก็เป็นที่คาดหมายให้สละสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติของพระองค์ จนในท้ายที่สุดก็ทรงล้มเลิกแผนการเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ ในปี ค.ศ. 1960 เจ้าหญิงมาร์กาเรตเสกสมรสกับแอนโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ ผู้ซึ่งในปีถัดมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งสโนว์ดอน ทั้งสองหย่าร้างกันในปี ค.ศ. 1978 และเจ้าหญิงมาร์กาเรตก็มิเสกสมรสกับบุคคลใดอีกเลย === พระราชินีนาถกับเครือจักรภพ === สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทอดพระเนตรเห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิอังกฤษไปสู่เครือจักรภพแห่งประชาชาติตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ ตั้งแต่การเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1952 ตำแหน่งพระประมุขของรัฐอธิปไตยหลากหลายรัฐก็สถาปนาขึ้นไว้แล้ว ซึ่งตลอดช่วงปี 1953 - 1954 พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ รอบโลกเป็นเวลาหกเดือน และยังเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งออสเตรเลียและพระมหากษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศของพระองค์ขณะทรงครองราชย์อยู่ ประมาณกันว่าสามในสี่ของประชาชนชาวออสเตรเลียได้พบเห็นสมเด็จพระราชินีนาถของตนระหว่างช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือน เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งที่ใช่และไม่ใช่ประเทศเครือจักรภพมากมายตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ และเป็นพระประมุขแห่งรัฐที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1956 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กี มอแล และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์ แอนโทนี อีเดน ร่วมหารือถึงความเป็นไปได้ที่ฝรั่งเศสจะเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกเครือจักรภพ แนวคิดดังกล่าวได้รับการปฏิเสธและในปีถัดมาฝรั่งเศสก็ร่วมลงนามในสนธิสัญญาโรมจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งจะนำไปสู่การก่อตั้งสหภาพยุโรปในภายหลัง ในเดือนพฤศจิกายน 1956 สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเข้ารุกรานอียิปต์ในความพยายามทางการทหารที่ล้มเหลวในการยึดคลองสุเอซ ลอร์ดเมาท์แบตเตนกล่าวว่าพระราชินีนาถทรงต่อต้านการรุกรานครั้งนั้น ซึ่งเซอร์ แอนโทนีปฏิเสธคำพูดดังกล่าวและลาออกในอีกสองเดือนถัดมา กลไกในการเลือกผู้นำคนใหม่ของพรรคอนุรักษนิยมที่หยุดชะงักลง หมายความว่าหลังการลาออกของเซอร์ แอนโทนี เป็นพระราชภาระของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่จะต้องทรงเลือกว่าใครควรที่จะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เซอร์ แอนโทนีได้ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ให้ทรงปรึกษากับลอร์ดซอลส์บรี ประธานสภาองคมนตรี ลอร์ดซอลส์บรีและลอร์ดคิลเมียร์ (ขณะนั้นดำรงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม) ก็ได้ไปปรึกษากับคณะรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ และคณะกรรมธิการ 1922 (1922 Committee) จนในที่สุดก็ได้จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เฮโรลด์ แมคมิลแลน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการถวายคำแนะนำมา วิกฤตการณ์คลองสุเอซและการเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งของเซอร์ แอนโทนีนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระราชินีนาถครั้งใหญ่ครั้งแรก ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาว่าพระองค์ทรง "กู่ไม่กลับ" ในนิตยสารที่เขาเป็นเจ้าของและเป็นบรรณาธิการเอง ต่อมาเขาจึงถูกประณามโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงและถูกทำร้ายร่างกายโดยสาธารณชนผู้ตกตะลึงกับคำกล่าวของเขา หกปีถัดมาในปี ค.ศ. 1963 เฮโรลด์ แมคมิลแลน ลาออกและถวายการแนะนำให้ทรงเลือกเซอร์ อเลค ดักลาส-ฮูม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ซึ่งพระองค์ก็ทรงทำตามคำแนะนำ ทำให้พระองค์ถูกวิจารณ์อีกครั้งว่าทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำแนะนำของรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนหรือเพียงคนเดียวเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1965 พรรคอนุรักษนิยมจึงกลับมาใช้กลไกลเลือกตั้งผู้นำพรรคอย่างเป็นทางการ จึงช่วยลดพระราชภาระอันข้องเกี่ยวกับทางการเมืองของพระราชินีนาถลง ในปี ค.ศ. 1957 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ที่ซึ่งทรงกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในนามของเครือจักรภพแห่งชาติ ในครั้งนั้นยังได้เสด็จฯ ไปเปิดการประชุมรัฐสภาแคนาดาสมัยที่ 23 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งแคนาดาเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดการประชุมของรัฐสภา สองปีถัดมา เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดาผู้เดียวในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแคนาดาอีกครั้ง ที่ซึ่งทรงทราบจากการลงจอดของเครื่องบินที่ประทับ ณ สนามบินเซนต์จอห์นนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ว่าทรงพระครรภ์รัชทายาทองค์ที่สามอยู่ ในปี ค.ศ. 1961 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไซปรัส, อินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล และอิหร่าน ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกานาในปีเดียวกัน ทรงเพิกเฉยต่อความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์ หลังจากที่ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ก็คือประธานาธิบดีกวาเม อึนกรูมา ตกเป็นเป้าลอบสังหาร ซึ่งเขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนประมุขแห่งรัฐของกานาจากพระราชินีนาถมาเป็นตัวเขาเอง เฮโรลด์ แมคมิลแลน เขียนไว้ว่า "สมเด็จพระราชินีนาถทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ... ทรงอดทนต่อทัศนคติที่มีต่อพระองค์ ที่ปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับว่าเป็น ... ดาราภาพยนตร์ ... ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระองค์ประดุจเป็นดังชายชาติบุรุษ ... ทรงรักในพระราชกรณียกิจของพระองค์และทรงเจตนาที่จะเป็นพระราชินีนาถอย่างแน่วแน่" ต่อมาก่อนการเสด็จฯ เยือนเกแบ็กในปี ค.ศ. 1964 สื่อรายงานข่าวว่าขบวนการแบ่งแยกเกแบ็กหัวรุนแรงวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถ อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏเหตุการณ์ดังกล่าวตามที่มีรายงานออกมา มีเพียงการก่อจลาจลระหว่างเสด็จฯ เยือนมอนทรีออล; ครั้งนั้น "ความสุขุมและความกล้าเผชิญหน้ากับความรุนแรง" ของพระองค์ยังคงเป็นที่จดจำ ในช่วงที่ทรงพระครรภ์เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในปี ค.ศ. 1959 และ ค.ศ. 1963 เป็นช่วงที่ยังมิได้เสด็จฯ ไปเปิดประชุมรัฐสภาสหราชอาณาจักรด้วยพระองค์เป็นครั้งแรกในรัชกาลของพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงริเริ่มระเบียบประเพณีใหม่ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินพบปะกับประชาชนที่มาเฝ้ารอเสด็จฯ อย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในช่วงของการเสด็จฯ เยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ค.ศ. 1970 ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เป็นช่วงที่สหราชอาณาจักรมอบเอกราชให้แก่ประเทศแถบทวีปแอฟริกาและแถบทะเลแคริบเบียน มากกว่า 20 ประเทศได้รับเอกราชอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองตนเอง อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1965 นายกรัฐมนตรีแห่งโรดีเซีย เอียน สมิธ ต่อต้านการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักรฝ่ายเดียวในขณะที่ยังคงแสดง "ความจงรักภักดีและความอุทิศตน" ต่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แม้ว่าพระองค์จะทรงเพิกเฉยต่อคำประกาศนี้ในทางสาธารณะก็ตาม ซึ่งปฏิกิริยาจากประชาคมระดับนานาชาติก็คือการคว่ำบาตรต่อโรดีเซีย แม้กระนั้นการบริหารประเทศของเอียน สมิธ ก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้เกือบทศวรรษ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร เอ็ดวาร์ด ฮีธ ทูลเกล้าให้ทรงยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในออสเตรเลีย ทำให้ทรงต้องเสด็จฯ กลับสหราชอาณาจักร ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าไม่มีพรรคใดได้เสียงมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ พรรคอนุรักษนิยมของฮีธไม่ได้รับเลือกให้มีเสียงมากที่สุดในสภา แต่ยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเสรีประชาธิปไตยได้ ซึ่งฮีธเลือกที่จะลาออกหลังจากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ สมเด็จพระราชินีนาถจึงทรงมีกระแสรับสั่งให้พรรคฝ่ายค้านในรัฐสภา พรรคแรงงานของนายเฮโรลด์ วิลสัน จัดตั้งรัฐบาล ในปีถัดมาในช่วงตึงเครียดที่สุดของวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญออสเตรเลีย ค.ศ. 1975 กอฟ วิทแลม นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ถูกผู้สำเร็จราชการ เซอร์ จอห์น เคอร์ ปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากที่วุฒิสภาออสเตรเลียซึ่งฝ่ายค้านมีเสียงส่วนใหญ่ไม่ผ่านร่างงบประมาณที่เสนอโดยวิทแลม และเนื่องจากวิทแลมมีเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลีย โฆษกประจำสภาผู้แทนราษฎร กอร์ดอน สโคลส์ จึงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ให้ทรงเพิกถอนคำสั่งปลดของเซอร์ จอห์น เคอร์ แต่สมเด็จพระราชินีนาถทรงปฏิเสธฎีกาดังกล่าว โดยตรัสว่าจะมิทรงเข้าแทรกแซงอำนาจการตัดสินใจของผู้สำเร็จราชการแห่งออสเตรเลียซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งออสเตรเลีย วิกฤตการณ์ในครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในออสเตรเลีย === รัชดาภิเษก === ในปี ค.ศ. 1977 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปีในพระราชพิธีรัชดาภิเษก การเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่าง ๆ จัดขึ้นทั่วทุกหนแห่งในประเทศเครือจักรภพ และหลายแห่งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมงาน การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยมในตัวพระองค์ของเหล่าพสกนิกร แม้ว่าจะมีการนำเสนอข่าวด้านลบเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเจ้าหญิงมาร์กาเรตกับพระสวามีออกมาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1978 ทรงต้องฝืนพระองค์ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนสหราชอาณาจักรของผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์แห่งโรมาเนีย นิโคไล เชาเชสกู พร้อมด้วยภริยา เอเลนา เชาเชสกู ซึ่งในพระทัยก็ทรงมองว่าทั้งสองเป็นพวก "มือเปื้อนเลือด" ในปีถัดมามีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์: เหตุการณ์แรกคือการเปิดโปง แอนโทนี บลันท์ อดีตผู้กลั่นกรองพระบรมฉายาลักษณ์ส่วนพระองค์ ว่าเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อีกเหตุการณ์ก็คือการลอบสังหารหลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนที่ 1 แห่งพม่า โดยกองกำลังติดอาวุธไออาร์เอ (Provisional Irish Republican Army; IRA) ตามคำกล่าวอ้างของพอล มาร์ติน ซีเนียร์. ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 พระราชินีนาถทรงกังวลว่าสถาบันกษัตริย์ "มีความหมายเพียงน้อยนิด" สำหรับนายกรัฐมนตรีแคนาดา ปีแยร์ ตรูโด โทนี เบนน์ กล่าวว่าในสายพระเนตรของพระองค์ ปีแยร์ ตรูโด "ค่อนข้างน่าผิดหวัง" ซึ่งแนวคิดสาธารณรัฐนิยมของปีแยร์เป็นที่แน่ชัดขึ้นจากท่าทีแสดงการล้อเลียนของเขา เช่น การลื่นไถลตัวเขาเองไปตามราวบันใดในพระราชวังบักกิงแฮม และการเต้นบัลเลต์ท่าหมุนรอบตัวเองอยู่ด้านหลังของพระราชินีนาถในปี ค.ศ. 1977 รวมไปถึงการที่เขาถอดถอนสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แคนาดาหลายประการตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ในปี ค.ศ. 1980 นักการเมืองแคนาดาหลายคนได้รับการส่งไปกรุงลอนดอนในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดา พวกเขาพบว่าพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรง "มีความรู้ความเข้าใจ ... มากกว่านักการเมืองหรือข้าราชการชาวอังกฤษเป็นไหน ๆ " ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยกับการแก้ไขครั้งนี้โดยเฉพาะหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติซี-60 (Bill C-60) ไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอาจมีผลต่อพระราชสถานะประมุขแห่งรัฐของพระองค์ การแก้ไขดังกล่าวเพิกถอนบทบาทของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรที่มีต่อรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดาแต่ยังคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแยร์กล่าวว่าในความทรงจำของเขาพระราชินีนาถทรงเห็นชอบกับความพยายามของเขาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเขาประทับใจใน "พระจริยวัตรอันสง่างามที่ทรงแสดงต่อสาธารณชน" และ "พระอัจฉริยะภาพอันปราดเปรื่องที่ทรงแสดงเป็นการส่วนพระองค์" === คริสต์ทศวรรษ 1980 === ในช่วงของพิธีสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ค.ศ. 1981 ซึ่งเป็นเวลาเพียงหกสัปดาห์ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายแห่งเวลส์กับเลดีไดอานา สเปนเซอร์ มีเสียงปืนดังขึ้นหกนัด โดยปืนเล็งไปที่สมเด็จพระราชินีนาถในระยะประชิดขณะทรงม้าไปตามถนนเดอะมอลล์บนม้าทรงชื่อเบอร์มีส ภายหลังตำรวจสืบทราบว่าปืนกระบอกดังกล่าวบรรจุกระสุนเปล่า ผู้ก่อเกตุเป็นเด็กชายอายุ 17 ปีนามว่า มาร์คัส ซาร์เจนต์ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกห้าปีและได้รับการปล่อยตัวหลังเวลาผ่านไปสามปี นอกจากนี้ความสงบและทักษะด้านการควบคุมม้าทรงของพระองค์ในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่กล่าวสรรเสริญไปทั่ว ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. 2525 ทรงกระวนกระวายพระราชหฤทัย แต่ก็ทรงภูมิใจ ที่พระราชโอรส เจ้าชายแอนดรูว์ทรงรับใช้ชาติในกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามฟอล์กแลนด์ ในวันที่ 9 กรกฎาคม ทรงตื่นจากพระบรรทมในพระราชวังบักกิงแฮมและพบว่าไมเคิล เฟแกน บุกรุกเข้ามาในห้องพระบรรทม ทรงมีท่าทีสงบและทรงโทรเรียกตำรวจพระราชวังผ่านทางแผงไฟถึงสองครั้ง ทรงพูดคุยกับไมเคิลผู้ซึ่งนั่งอยู่ปลายแท่นพระบรรทมอยู่นานเจ็ดนาทีก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง แม้ว่าจะทรงให้การต้อนรับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ณ พระราชวังวินด์เซอร์ในปี ค.ศ. 1982 และเคยเสด็จฯ ไปเยือนบ้านพักส่วนตัวของประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1983 แต่ก็ทรงกริ้วอย่างมากเมื่อคณะทำงานของประธานาธิบดีเรแกนมีคำสั่งบุกกรีเนดาซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเครือจักรภพโดยไม่ได้มีการแจ้งให้พระองค์ทราบ ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เกิดความสนใจอย่างแรงกล้าของสื่อมวลชนในพระราชอัธยาศัยและพระราชกิจวัตรประจำวันของพระบรมวงศานุวงศ์ นำไปสู่การเผยแพร่เรื่องราวเหลือเชื่อมากมาย ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ถูกต้องอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เช่นที่เคลวิน แมคเคนซี บรรณาธิการประจำหนังสือพิมพ์ เดอะซัน กล่าวกับลูกน้องของเขาว่า "เอาข่าวสาดโคลนเกี่ยวกับราชวงศ์สำหรับตีพิมพ์วันจันทร์มาให้ฉันทีสิ ไม่ต้องห่วงถ้าข่าวนั้นจะไม่เป็นความจริง ตราบใดที่ช่วงหลังมานี้ยังคงไม่มีข่าวซุบซิบราชวงศ์ออกมา" ด้านบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ โดนัลด์ เทรลฟอร์ดเขียนในหนังสือพิมพ์ ดิออบเซิร์ฟเวอร์ ฉบับวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1986 ว่า "ละครน้ำเน่าเกี่ยวกับพระราชวงศ์บัดนี้ได้มาถึงจุดที่เส้นแบ่งระหว่างข้อเท็จจริงกับนิยายถูกเลือนหาย ... ไม่ใช่เพียงแค่บางหนังสือพิมพ์ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือรับฟังข้อโต้แย้ง แต่พวกเขายังไม่สนใจว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่อีกด้วย" ในหนังสือพิมพ์ เดอะซันเดย์ไทมส์ ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1986 มีรายงานข่าวอันโด่งดังว่าพระราชินีนาถกังวลพระราชหฤทัยในนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมตรีหญิง มาร์กาเรต แทตเชอร์ ว่าจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่างเช่น อัตราการว่างงานที่สูง การก่อจลาจลหลายระลอก ความรุนแรงจากกลุ่มคนงานเหมืองที่ประท้วงนัดหยุดงาน รวมไปถึงการที่มาร์กาเรตปฏิเสธการคว่ำบาตรต่อรัฐบาลถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ โดยข่าวลือนี้มีที่มาจากเสนาธิการประจำราชสำนัก ไมเคิล ชีอา และผู้สำเร็จราชการประจำเครือจักรภพ ไชร์ดาท แรมพัล แต่ไมเคิลอ้างว่าคำกล่าวของเขาผิดเพี้ยนไปจากบริบทและถูกเสริมแต่งจากการคาดการณ์ส่วนตัว ต่อมาคำกล่าวของมาร์กาเรตก็เป็นที่โจทก์ขานกันไปทั่วเมื่อเธอกล่าวว่า "สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งของเธอ นักชีวประวัติของมาร์กาเรต แทตเชอร์ จอห์น แคมป์เบล อ้างว่า "รายงานชิ้นดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเสื่อมเสียจากการสื่อสารมวลชน" ซึ่งเกิดจากการที่สื่อรายงานผิดเพี้ยนจากความจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ในภายหลังมาร์กาเรต แทตเชอร์จึงแสดงความชื่นชมของเธอที่มีต่อพระราชินีนาถออกมา และหลังจากที่มาร์กาเรต แทตเชอร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีจอห์น เมเจอร์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เมริตและเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แด่มาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นของขวัญพระราชทาน นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ไบรอัน มัลรอนีย์ กล่าวว่าพระองค์เป็น "พลังขับเคลื่อนเบื่องหลัง" ในการยุติการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี ค.ศ. 1987 ในแคนาดา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัสว่าทรงสนับสนุนข้อตกลงมีชเลค (Meech Lake Accord) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สร้างความแตกแยกทางการเมือง เป็นข้อตกลงที่โน้มน้าวให้รัฐเกแบ็กยอมรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1982 และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของแคนาดาต่อไป ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีปีแยร์ ตรูโด ในปีเดียวกันนั้นเองที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของฟีจีถูกรัฐประหารโดยกองทัพ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ฟีจี ให้การสนับสนุนผู้สำเร็จราชการแห่งฟีจี เพเนเอีย กานิเลา ในการพยายามเจรจาประนีประนอมและยันยันถึงสิทธิ์อันชอบธรรมของรัฐบาล แต่ผู้นำการปฏิวัติ ซิติเวนี ราบูกา กลับเนรเทศผู้สำเร็จราชการและประกาศให้ฟีจีเป็นสาธารณรัฐ ต่อมาในช่วงต้นของปี ค.ศ. 1991 แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจากรายงานตัวเลขคาดการณ์พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถซึ่งถูกโต้แย้งโดยสำนักพระราชวัง รวมไปถึงข่าวชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ นอกจากนี้ความเกี่ยวข้องกับเกมโชว์การกุศล อิตส์รอยัลน็อคเอาต์ ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ได้รับการเย้ยหยัน และสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรงตกเป็นเป้าของการเสียดสีล้อเลียน === คริสต์ศตวรรษ 1990 === ในปี ค.ศ. 1991 ช่วงที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในสงครามอ่าวเปอร์เซีย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาอีกครั้งและเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่ได้มีพระราชดำรัสแก่ที่ประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ในพระราชดำรัสวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1992 เนื่องในวโรกาสครองราชสมบัติครบ 40 ปี ทรงกล่าวว่าปี ค.ศ. 1992 เป็น แอนนัสฮอริบิลิส (annus horribilis; ปีแห่งความเลวร้าย) ของพระองค์เนื่องจากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ดังนี้: ในเดือนมีนาคม พระราชโอรสองค์ที่สอง เจ้าชายแอนดรูว์ทรงหย่าร้างกับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก ต่อมาในเดือนเมษายน เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ก็ทรงหย่าร้างกับพระสวามี มาร์ก ฟิลลิปส์; ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเยอรมนีในเดือนตุลาคม กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงผู้โกรธแค้นในเดรสเดินปาไข่ไก่ใส่พระองค์ สาเหตุมาจากปมการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดรสเดินช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปราว 25,000 คน; ในเดือนพฤศจิกายน พระราชวังวินด์เซอร์ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุอัคคีภัย ด้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้รับเสียงวิพากษวิจารณ์และการจับจ้องจากสาธารณชนมากขึ้น ในพระราชดำรัสส่วนพระองค์ซึ่งค่อนข้างจากผิดแปลกไปจากปกติ ทรงกล่าวว่าทุก ๆ สถาบันล้วนแล้วแต่ต้องได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เว้นแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรกระทำขึ้นบนพื้นฐานของ "อารมณ์ขัน, ความนุ่มนวล และความเข้าอกเข้าใจ" สองวันถัดมา นายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์ ประกาศแผนปฏิรูปการเงินของพระราชวงศ์ซึ่งตระเตรียมไว้ตั้งแต่ปีก่อนหน้า ในแผนดังกล่าวประกอบด้วยการปฏิรูปต่าง ๆ เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถจะต้องทรงชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นไป และการตัดลดงบประมาณรายจ่ายสำหรับพระมหากษัตริย์ (Civil list) ในเดือนธันวาคม เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ และไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงแยกกันอย่างเป็นทางการ ในช่วงวันท้าย ๆ ของปี 1992 สมเด็จพระราชินีนาถทรงฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ เดอะซัน ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ร่างกระแสพระราชดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาสสองวันก่อนการออกอากาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ ศาลตัดสินให้หนังสือพิมพ์จ่ายเงินชดเชยแก่พระองค์ตามกฎหมายและบริจาคเงินให้การกุศลกว่า 200,000 ปอนด์ ในปีถัดมาการเปิดเผยเรื่องราวของเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาต่อสาธารณชนยังคงดำเนินต่อไป ด้านการเมืองแม้ว่ากระแสสาธารณรัฐนิยมจะมีมากกว่าช่วงใด ๆ ในความทรงจำของพระองค์ แต่ประชาชนที่มีแนวคิดเช่นนี้ก็ยังคงเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยของสังคม อีกทั้งการยอมรับสมเด็จพระราชินีนาถของสังคมก็ยังคงมีอยู่สูง การวิพากษ์วิจารณ์เปลี่ยนจากการจับจ้องแต่เพียงพระราชจริยวัตรและพระราชอัธยาศัยของพระราชินีนาถมาเป็นการจับจ้องสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในภาพรวม ในปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 หลังจากทรงปรึกษากับนายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์, อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี จอร์จ เครีย์, ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ส และเจ้าชายฟิลิป พระราชสวามี จึงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาว่าโปรดจะให้มีการหย่าร้างอย่างเป็นทางการ หนึ่งปีหลังจากการหย่าร้างซึ่งมีขึ้นในปี ค.ศ. 1996 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีส 31 สิงหาคม ค.ศ. 1997 ซึ่งพระราชินีนาถทรงอยู่ระหว่างการพักร้อนที่ปราสาทบาลมอรัลกับพระราชโอรสและพระราชนัดดา ในขณะนั้นพระโอรสทั้งสองของเจ้าหญิงไดอานาโปรดที่จะเสด็จไปยังโบสถ์ ดังนั้นพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปจึงนำเสด็จฯ ไปยังโบสถ์ในตอนเช้า หลังจากการปรากฏพระองค์ในครั้งนั้น ห้าวันต่อมาพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปก็ทรงปิดกั้นพระนัดดาทั้งสองจากสื่อที่ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์นี้อย่างล้นหลาม โดยประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลที่ซึ่งจะได้ใช้เวลาแห่งความโศกเศร้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่การปิดกั้นตัวเองจากสาธารณชนของพระบรมวงศานุวงศ์และการที่พระราชวังบักกิงแฮมไม่ได้ลดธงลงครึ่งเสาสร้างความไม่พอใจแก่สาธารณชนเป็นอย่างมาก ต่อมาหลังจากที่ทรงรับทราบกระแสความไม่พอใจ พระราชินีนาถจึงเสด็จฯ กลับลอนดอนและมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนซึ่งแพร่ภาพสดไปทั่วโลกในวันที่ 5 กันยายน หนึ่งวันก่อนพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงไดอานาจะมีขึ้น ในกระแสพระราชดำรัสทรงกล่าวชื่นชมเจ้าหญิงไดอานาและความรู้สึกในฐานะ "พระอัยยิกา" ของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี เป็นผลให้กระแสความไม่พอใจของสาธารณชนที่มีต่อพระบรมวงศานุวงศ์คลี่คลายลง === กาญจนาภิเษก === ปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นปีเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระขนิษฐา สิ้นพระชนม์ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ในเดือนมีนาคม ทำให้สื่อตั้งคำถามว่าพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในปีนี้จะประสบกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว และเป็นอีกครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเครือจักรภพ โดยเริ่มต้นขึ้นที่จาเมกาในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ซึ่งตรัสเรียกการเสด็จฯ ครั้งนั้นว่า "เป็นที่จดจำ" หลังจากที่เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องจนมืดสนิทไปทั่วบริเวณงานเลี้ยงส่งเสด็จฯ ณ พระตำหนักคิงส์เฮาส์ ซึ่งเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของผู้สำเร็จราชการแห่งจาเมกา ในงานเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 50 ปีในครั้งนี้ มีการเฉลิมฉลองและงานเลี้ยงสังสรรค์บนท้องถนนมากมายเช่นเดียวกับครั้งที่เฉลิมฉลองพระราชพิธีรัชดาภิเษกในปี ค.ศ. 1977 มีอนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกการเฉลิมฉลองในครั้งนี้มากมาย และประชาชนกว่าล้านคนออกมาเฉลิมฉลองในงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการสามวันของกรุงลอนดอน ซึ่งความสนใจของประชาชนต่อพระราชินีนาถและพระราชพิธีนี้มีมากกว่าที่สื่อส่วนมากคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงมาตลอดช่วงพระชนม์ชีพ แต่ในปี ค.ศ. 2003 ทรงเข้ารับการผ่าตัดส่องกล้องบริเวณพระชานุ (เข่า) ทั้งสองข้าง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 ก็มิได้เสด็จฯ ไปในงานเปิดสนามเอมิเรตส์สเตเดียมด้วยเพราะทรงมีอาการกล้ามพระปฤษฎางค์ (กล้ามเนื้อหลัง) รัดแน่น ซึ่งทรงมีอาการดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน สองเดือนต่อมา เสด็จฯ ออกปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนโดยมีแถบปิดแผลที่บริเวณพระหัตถ์ขวา ทำให้สื่อคาดการณ์กันถึงพระพลานามัยที่เสื่อมลง ต่อมาก็ทรงถูกกัดโดยหนึ่งในสุนัขพันธุ์คอร์กีที่ทรงเลี้ยงไว้เพราะทรงพยายามแยกสุนัขทรงเลี้ยงทั้งสองขณะกำลังกัดกันออกจากกัน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 หนังสือพิมพ์ เดอะเดลีย์เทเลกราฟ รายงานอ้างจากแหล่งข่าวผู้ประสงค์จะไม่ออกนามว่าพระราชินีนาถทรง "ขุ่นเคืองและผิดหวัง" จากนโยบายของนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ และกังวลพระทัยจากการที่กองทัพสหราชอาณาจักรเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในอิรักและอัฟกานิสถานมากเกินไป อีกทั้งยังกังวลพระทัยจากประเด็นปัญหาในแถบชนบทและทุรกันดารกับโทนี แบลร์ ซ้ำไปซ้ำมา อย่างไรก็ตาม ทรงชื่นชมโทนี แบลร์ ในความพยายามแสวงหาสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือของเขา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2008 ณ มหาวิหารเซนต์แทริค อาร์มาจ์ ของคริสจักรแห่งไอร์แลนด์ ทรงเข้าร่วมพระราชพิธีวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ (Royal Maundy) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นนอกอังกฤษและเวลส์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไอร์แลนด์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีแมรี แมคอาลีส์ ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐไอร์แลนด์เป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัส ณ ที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติเป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 2010 ในฐานะที่เป็นพระประมุขแห่งประเทศเครือจักรภพ เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กีมุน กล่าวสดุดีพระองค์ว่าเป็น "เสาหลักสำหรับยุคของเรา" ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์กซึ่งตามมาด้วยการเสด็จฯ เยือนแคนาดา เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวนอนุสรณ์ระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งที่ 16 นับตั้งแต่ ค.ศ. 1954 และได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "การเสด็จฯ เยือนอำลา" เนื่องจากพระองค์มีพระพรรษามากแล้ว === พัชราภิเษก === ในปี ค.ศ. 2012 เป็นปีที่ทรงเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (พระราชพิธีพัชราภิเษกแบบอังกฤษ) ซึ่งจัดขึ้นในทุกประเทศเครือจักรภพ ในกระแสพระราชดำรัสที่เผยแพร่ในวันคล้ายวันเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงกล่าวว่า: "ในปีแห่งความพิเศษนี้ ขณะที่ข้าพเจ้าอุทิศตัวเองรับใช้พวกท่านทั้งหลายอีกครั้ง ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราทุกคนจะยังคงระลึกถึงพลานุภาพของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และการรวบรวมพละกำลังของครอบครัว, มิตรภาพ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ... ข้าพเจ้าหวังว่าในปีพัชราภิเษกนี้จะเป็นปีสำหรับการมอบคำขอบคุณสำหรับความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1952 และมองไปยังอนาคตด้วยหัวสมองอันปลอดโปร่งและหัวใจอันอบอุ่น" พระองค์และพระราชสวามิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนไปทั่วสหราชอาณาจักร ในขณะที่พระราชโอรส-ธิดาและพระราชนัดดาหลายพระองค์ เสด็จเยือนประเทศในเครือจักรภพอื่น ๆ ในพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถ ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน ดวงประทีปแห่งการเฉลิมฉลองก็จุดขึ้นทั่วโลก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 27 กรกฎาคม และพาราลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงร่วมแสดงคู่กับแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์สั้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ด้านพระราชบิดา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเคยเปิดการแข่งกันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 ส่วนพระปัยกา (ปู่ทวด) สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็ทรงเคยเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1976 ที่นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดามาแล้วครั้งหนึ่ง ด้านพระราชสวามี เจ้าชายฟิลิป ก็เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระประมุขแห่งรัฐพระองค์แรกที่ได้ทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้งใน 2 ประเทศ ในวันที่ 18 ธันวาคม เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรีในสภาวะไร้สงครามนับตั้งแต่การเสด็จฯ ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในปี ค.ศ. 1781 ต่อมาไม่นานรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร วิลเลียม เฮก ก็ประกาศให้ดินแดนตอนใต้ของดินแดนแอนตาร์กติกาของสหราชอาณาจักรที่ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อเป็น เอลิซาเบธแลนด์ เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถ ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2013 เสด็จฯ ไปประทับในโรงพยาบาลเพื่อการเฝ้าประเมินอย่างใกล้ชิด หลังจากการกำเริบของพระอาการประชวรด้วยโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบ ก่อนที่จะเสด็จฯ กลับไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมในวันถัดมา หนึ่งสัปดาห์ต่อมาทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎบัตรใหม่ของเครือจักรภพ เนื่องจากพระชนมพรรษาที่มากขึ้นทำให้ต้องจำกัดการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในปีนั้นเอง พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะไม่เสด็จฯร่วมการประชุมรัฐบาลของเครือจักรภพเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดยทรงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าชายชาลส์ เสด็จฯแทนพระองค์ในการประชุมที่ศรีลังกา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานแซงหน้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ เป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุด เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2015 พระองค์ได้รับการเฉลิมฉลองที่แคนาดาในฐานะ "ประมุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในยุคสมัยใหม่ของแคนาดา" (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เป็นพระประมุขของแคนาดายาวนานกว่าสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) พระองค์ยังเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังทรงราชย์ยาวนานที่สุดในโลก หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร พระองค์แรกที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติ แม้ว่าสัดส่วนของพระราชกรณียกิจสาธารณะของเจ้าชายชาลส์ ผู้ทรงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 91 พรรษาและปฏิบัติพระราชกรณียกิจสาธารณะแทนพระองค์เพิ่มขึ้น ขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถลดพระราชกรณียกิจสาธารณะของพระองค์ลง แผนสำหรับวันสวรรคตและงานพระศพของพระองค์ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างแพร่หลายจากรัฐบาลอังกฤษและองค์กรสื่อ == สวรรคต == ในวันที่ 8 กันยายน 2022 สำนักพระราชวังประกาศว่าสมเด็จพระราชินีนาถประชวรและอยู่ภายใต้การเข้าเฝ้ารักษาพระวรกายอย่างใกล้ชิดที่บาลมอรัล โดยในประกาศระบุว่า "คณะแพทย์มีความกังวลต่อพระพลานามัยของพระองค์เป็นอย่างมาก และได้แนะนำให้สมเด็จพระราชินีนาถอยู่ภายใต้การดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามพระองค์ยังทรงพระเกษมสำราญ และประทับที่ปราสาทแบลมอรัล" โดยมีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสี่ของพระองค์ พร้อมด้วยพระสุณิสา เสด็จไปพร้อมกับพระองค์ ในช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักพระราชวังได้ประกาศว่าพระองค์เสด็จสวรรคต ปฏิบัติการสะพานลอนดอน เริ่มทันทีหลังพระองค์สวรรคต การสวรรคตของพระองค์นั้นถูกระบุในใบมรณบัตรด้วยสาเหตุ "ชราภาพ" ซึ่งเป็นพระโรคเดียวกับเจ้าชายฟิลิป พระราชสวามีของพระองค์ == มุมมองจากสาธารณชน == เนื่องจากพระองค์พระราชทานสัมภาษณ์น้อยครั้งทำให้สาธารณชนทราบถึงพระราชอัธยาสัยส่วนพระองค์ได้น้อยมาก และในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำให้ไม่สามารถแสดงทัศนะทางการเมืองส่วนพระองค์ในที่สาธารณะได้ ทรงมีพันธกิจด้านศาสนาและสังคมที่หยั่งรากลึกในพระราชหฤทัย อีกทั้งยังทรงกล่าวพระราชดำรัสสาบานพระองค์ในวันขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติอย่างจริงจัง นอกเหนือจากการที่เป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว พระองค์ยังทรงเลื่อมใสในคริสตจักรแห่งอังกฤษและคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์เป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย และยังทรงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ทรงมีต่อศาสนาอื่น ๆ ด้วยการพบปะกับผู้นำนิกายและศาสนาต่าง ๆ เช่น การที่ทรงพบปะกับพระสันตะปาปาผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกถึงสี่พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23, สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2, สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาของพระองค์ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในพระราชดำรัสผ่านทางโทรทัศน์เนื่องในวันคริสต์มาสต์ซึ่งถ่ายทอดไปยังประเทศเครือจักรภพเป็นประจำทุกปี เช่นในปี 2000 ที่มีพระราชดำรัสถึงความสำคัญของคริสต์สหัสวรรษที่ 2 อันเป็นปีที่การประสูติของพระเยซูครบรอบ 2000 ปี ดังนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์องค์กรและมูลนิธิต่าง ๆ มากกว่า 600 แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยโดยหลัก ๆ ได้แก่ การขี่ม้าและสุนัขทรงเลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์เพ็มโบรคเวลช์คอร์กี ความสนพระราชหฤทัยในสุนัขพันธุ์คอร์กีนี้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1933 กับสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อ "ดูกี" ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์คอร์กีตัวแรกที่พระราชวงศ์ของพระองค์ทรงเลี้ยงไว้ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ ทรงตระเตรียมพระกระยาหารด้วยกันและทรงล้างจานด้วยกันหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้น ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการกล่าวขานราวกับเป็น "ราชินีในเทพนิยาย" ภายหลังความชอกช้ำจากสงครามโลก อังกฤษก็เข้าสู่ยุคแห่งความหวัง เป็นช่วงสมัยของการพัฒนาและความสำเร็จที่ได้รับการขนานนามว่า "สมัยเอลิซาเบธใหม่" ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาพระราชดำรัสของพระองค์ในปี ค.ศ. 1957 ว่าฟังเหมือนกับเสียงของ "เด็กนักเรียนหญิงผู้โอ้อวด" ซึ่งเป็นคำวิจารณ์ที่พบได้น้อยครั้งมาก ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1960 มีความพยายามมากขึ้นในการสร้างภาพราชวงศ์ยุคใหม่ในสารคดีโทรทัศน์เรื่อง "รอยัลแฟมิลี" ซึ่งอำพรางเจ้าชายชาลส์ด้วยพระนาม "เจ้าชายแห่งเวลส์" พระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงฉลองพระองค์ในที่สาธารณะด้วยฉลองพระองค์ที่ส่วนใหญ่เป็นสีเดียวพร้อมด้วยพระมาลา (หมวก) ประดับลูกไม้ ทำให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นพระองค์ได้โดยง่าย ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก ค.ศ. 1977 ฝูงชนและการเฉลิมฉลองนับว่ามีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง แต่ถัดมาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เสียงวิพากษ์วิจารณ์พระราชวงศ์เพิ่มมากขึ้นจากการที่ชีวิตส่วนพระองค์และชีวิตการทรงงานของบรรดาพระราชโอรส-พระราชธิดาอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ของสื่อ ความนิยมของประชาชนต่อสมเด็จพระราชินีนาถตกต่ำถึงขีดสุดในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 และด้วยแรงกดดันจากความคิดเห็นของสาธารณชน พระองค์จึงทรงเริ่มชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่พระราชวังบักกิงแฮมเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม ความไม่พอใจต่อระบอบกษัตริย์ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดเมื่อไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์สิ้นพระชนม์ แม้กระนั้นก็ตาม ความนิยมในสมเด็จพระราชินีนาถและแรงสนับสนุนในระบอบกษัตริย์ก็ฟื้นคืนกลับมาหลังพระองค์มีพระราชดำรัสถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ 5 วัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 มีการลงประชามติในออสเตรเลียว่าด้วยอนาคตของสถาบันพระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย ผลที่ออกมาได้บ่งบอกถึงความต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งประมุขของประเทศที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จากการสำรวจความคิดเห็นในสหราชอาณาจักรในปี 2006 และ 2007 พบว่ายังคงมีแรงสนับสนุนในสมเด็จพระราชินีนาถอยู่มาก ส่วนผลการลงประชามติในตูวาลู ค.ศ. 2008 และการลงประชามติในเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ ค.ศ. 2009 ยืนยันถึงความต้องการของทั้งสองประเทศที่ปฏิเสธการเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นสาธารณรัฐ === การเงิน === การติดตามพระราชทรัพย์ส่วพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ดำเนินมาหลายปี นิตยสารฟอบส์ประเมินพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในปี ค.ศ. 2010 ว่ามีมูลค่าสุทธิราว 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่แถลงการณ์สำนักพระราชวังบักกิงแฮมในปี 1993 กล่าวว่าการประเมินพระราชทรัพย์ไว้ที่ 100 ล้านปอนด์นั้นเป็น "การกล่าวเกินจริงอย่างมากมาย" จ็อค โคลวิลล์ อดีตราชเลขาธิการส่วนพระองค์และอดีตผู้อำนวยการธนาคารส่วนพระองค์ คุตส์ (Coutts) ประเมินทรัพย์สินส่วนพระองค๋ในปี 1971 ไว้ที่ 2 ล้านปอนด์ (เทียบเท่าประมาณ 21 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน) องค์สมเด็จพระราชินีนาถไม่ได้ทรงครอบครองงานสะสมศิลปะหลวง (ซึ่งรวมถึงงานศิลปะและเครื่องราชกกุธภัณฑ์) แต่มีการถือครองตามกฎหมายทรัสต์ ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ประทับอย่างพระราชวังบักกิงแฮม, พระราชวังวินด์เซอร์ และดัชชีแลงแคสเตอร์ มีมูลค่าในปี 2011 ที่ 383 ล้านปอนด์ ส่วนพระตำหนักซานดริงแฮมและปราสาทแบลมอรัลองค์สมเด็จพระราชินีนาถทรงถือครองเป็นการส่วนพระองค์ พระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร (The British Crown Estate) ซึ่งมีมูลค่าในปี 2011 รวมกันทั้งสิ้น 7.3 พันล้านปอนด์ ได้รับการถือครองไว้ในกฎหมายทรัสต์ไว้เป็นสมบัติของชาติ สมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่สามารถจำหน่ายพระราชทรัพย์เหล่านี้ได้เป็นการส่วนพระองค์ == พระบรมราชอิสริยยศและตราอาร์ม == === พระบรมราชอิสริยยศ === สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงดำรงพระราชอิสริยยศและตำแหน่งทางการทหารในประเทศเครือจักรภพมากมาย เป็นผู้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในประเทศของพระองค์ ทรงได้รับการถวายพระเกียรติและรางวัลมากมายจากทั่วโลก และมีพระราชอิสริยยศเป็นการเฉพาะในแต่ละประเทศ เช่น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งจาเมกา, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งออสเตรเลีย ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้ยังทรงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เช่น อัครศาสนูปถัมภก เมื่อพระราชินีนาถมีพระราชปฏิสันธานกับเรา ควรเริ่มเอ่ยถึงพระองค์ด้วยคำว่า Your Majesty (ฝ่าพระบาท) หลังจากนั้นจึงค่อยใช้คำว่า Ma'am (ท่าน) ในการกล่าวถึงพระองค์ ลำดับบรรณดาศักดิ์ที่ทรงได้รับตลอดช่วงพระชนม์ชีพมีดังต่อไปนี้ : 21 เมษายน 1926 – 11 ธันวาคม 1936: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก (Her Royal Highness Princess Elizabeth of York) 11 ธันวาคม 1936 – 20 พฤศจิกายน 1947: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธ (Her Royal Highness The Princess Elizabeth) 20 พฤศจิกายน 1947 – 6 กุมภาพันธ์ 1952: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ เคาน์เตสแห่งแมริโอเน็ธ และบารอเนสกรีนิช (Her Royal Highness The Princess Elizabeth, Duchess of Edinburgh, Countess of Merioneth and Baroness Greenwich) 6 กุมภาพันธ์ 1952 – 8 กันยายน 2022: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินีนาถ (Her Majesty The Queen) === ตราอาร์ม === ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1945 จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ตราอาร์มประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรประกอบด้วย ตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักรในรูปทรงข้าวหลามตัดพร้อมด้วยบังเหียนสีเงินสามพู่ พู่กลางเป็นตรากุหลาบทิวดอร์ ส่วนอีกสองพู่เป็นตรากางเขนแห่งเซนต์จอร์จ หลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสืบทอดตราอาร์มที่พระราชบิดาทรงถือครองในฐานะพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงครอบครองธงพระอิสริยยศและธงประจำพระองค์เพื่อใช้ในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จาเมกา, บาร์เบโดส และประเทศเครือจักรภพอื่น ๆ {| border="0" align="center" width="100%" |- !width=20% | !width=20% | !width=20% | !width=20% | !width=20% | |- |ตราอาร์มประจำพระองค์เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ค.ศ. 1944-1947) |ตราอาร์มประจำพระองค์เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ (ค.ศ. 1947-1952) |ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในสหราอาณาจักร (ยกเว้นในสกอตแลนด์) |ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในสกอตแลนด์ |ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในแคนาดา (หนึ่งในสามแบบที่ใช้ในรัชกาลของพระองค์) |} == พงศาวลี == == ดูเพิ่ม == รายนามประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบัน รายพระนามพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก รายพระนามกษัตริย์แห่งหมู่เกาะอังกฤษ รายพระนามพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร รายพระนามพระมหากษัตริย์ทั่วโลกเรียงตามวันเสด็จขึ้นครองราชย์ == อ้างอิง == == บรรณานุกรม == Bond, Jennie (2006). Elizabeth: Eighty Glorious Years. London: Carlton Publishing Group. ISBN 1-84442-260-7 Bousfield, Arthur; Toffoli, Gary (2002). Fifty Years the Queen. Toronto: Dundurn Press. ISBN 1-55002-360-8 Bradford, Sarah (2012). Queen Elizabeth II: Her Life in Our Times. London: Penguin. ISBN 978-0-670-91911-6 Brandreth, Gyles (2004). Philip and Elizabeth: Portrait of a Marriage. London: Century. ISBN 0-7126-6103-4 Briggs, Asa (1995). The History of Broadcasting in the United Kingdom: Volume 4. Oxford: Oxford University Press. ISBN 0-19-212967-8 Campbell, John (2003). Margaret Thatcher: The Iron Lady. London: Jonathan Cape. ISBN 0-224-06156-9 Crawford, Marion (1950). The Little Princesses. London: Cassell & Co. Hardman, Robert (2011). Our Queen. London: Hutchinson. ISBN 978-0-09-193689-1 Heald, Tim (2007). Princess Margaret: A Life Unravelled. London: Weidenfeld & Nicolson. ISBN 978-0-297-84820-2 Hoey, Brian (2002). Her Majesty: Fifty Regal Years. London: HarperCollins. ISBN 0-00-653136-9 Lacey, Robert (2002). Royal: Her Majesty Queen Elizabeth II. London: Little, Brown. ISBN 0-316-85940-0 Macmillan, Harold (1972). Pointing The Way 1959–1961 London: Macmillan. ISBN 0-333-12411-1 Marr, Andrew (2011). The Diamond Queen: Elizabeth II and Her People. London: Macmillan. ISBN 978-0-230-74852-1 Neil, Andrew (1996). Full Disclosure. London: Macmillan. ISBN 0-333-64682-7 Nicolson, Sir Harold (1952). King George the Fifth: His Life and Reign. London: Constable & Co. Petropoulos, Jonatha (2006). Royals and the Reich: the princes von Hessen in Nazi Germany. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-516133-5 Pimlott, Ben (2001). The Queen: Elizabeth II and the Monarchy. London: HarperCollins. ISBN 0-00-255494-1 Roberts, Andrew; Edited by Antonia Fraser (2000). The House of Windsor. London: Cassell & Co. ISBN 0-304-35406-6 Shawcross, William (2002). Queen and Country. Toronto: McClelland & Stewart. ISBN 0-7710-8056-5 Thatcher, Margaret (1993). The Downing Street Years. London: HarperCollins. ISBN 0-00-255049-0 Trudeau, Pierre Elliott (1993). Memoirs. Toronto: McLelland & Stewart. ISBN 0-7710-8588-5 Wyatt, Woodrow; Edited by Sarah Curtis (1999). The Journals of Woodrow Wyatt: Volume II. London: Macmillan. ISBN 0-333-77405-1 == แหล่งข้อมูลอื่น == === หนังสือและบทความ === ชาคริต ชุ่มวัฒนะ. (2543). เอลิซาเบทที่ 2: กษัตริย์ยามอัสดงของเครือจักรภพ. วารสารประวัติศาสตร์. น. 116-126. เฮิร์ด, ดักลาส. (2559). เอลิซาเบธที่ 2 แนวแน่ในปณิธาน. แปลโดย ธงทอง จันทรางศุ และนรชิต สิงหเสนี. กรุงเทพฯ: openbooks. === ออนไลน์ === เว็บไซต์ทางการสหราชอาณาจักร เว็บไซต์ทางการแคนาดา ราชินีนาถแห่งบริติชไอลส์ พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์อังกฤษ พระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ พระมหากษัตริย์แคนาดา พระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย พระมหากษัตริย์นิวซีแลนด์ ตระกูลโบวส์-ลีออน พระมหากษัตริย์แอฟริกาใต้ พระมหากษัตริย์ซีลอน พระมหากษัตริย์ปากีสถาน พระมหากษัตริย์ยูกันดา ประมุขแห่งรัฐแคนาดา ประมุขแห่งเครือจักรภพ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ รัชทายาทสหราชอาณาจักร ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก. (ฝ่ายใน) ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ พระราชธิดาในสมเด็จพระจักรพรรดิ
ประมวลเรื่องปรัมปรา (mythology) หมายถึง การรวบรวมเรื่องปรัมปรา (myth) ะกี่ยวกับธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และจารีตประเพณี ของกลุ่มชนหนึ่ง และเรียกวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเตื่องปรัมปรสเหล่านี้ว่า ปรัมปราวิทยา หรือ ปุราณวิทยา (mythology) == อ้างดิง ==
ประมวลเรื่องปรัมปรา (mythology) หมายถึง การรวบรวมเรื่องปรัมปรา (myth) เกี่ยวกับธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และจารีตประเพณี ของกลุ่มชนหนึ่ง และเรียกวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องปรัมปราเหล่านี้ว่า ปรัมปราวิทยา หรือ ปุราณวิทยา (mythology) == อ้างอิง ==
เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (Prince Philip, Duke of Edinburgh; พระนามเดิมคือ เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์กp Prince Philip of Greece and Denmark 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 – 9 เมษายน ค.ศ. 2021( เป็นสมาชิกของราชวงศ์บริติช ทรงเป็นพระราชสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เจ้าชายฟิลิปทรงประสูติในประเทศกรีซ ในราชวงศ์กรีกและเดนมาร์ก แต่ครอบครัวของพระองค์ถูกเนรเทศออกจากประเทศ เมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุ 18 พรรษา ภายหลังจากทรงเข้ารับการศึกษาในฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร พระองค์ทรงเข้ารับราชการทหารในราชนาวีของบริติชใน ค.ศ. 1939 โดยพระชนม์มายึ 18 พรรษา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 พระองค์ทรงเริ่มติดต่อทางจดหมายกับเจ้าหญิงเองิซนเบธที่มีพระชนม์มายุสิบสามพรรษา ซึ่งเป็นพระราชธิดาและทายาทโดยตคงกับสมะด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เจ้าชายฟิลิปทรงพบพระนางเป็นครั้งแรกฝนค.ศ. 1934 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ำด้อย่างโดดเด่นในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียนและแแซิฟิกของบริติช หลังสงคราม เจ้าชายฟิลิปทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเดฺจพรดเจ้าจอร์จที่ 6 ให้อภิเษกสใรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ก่อนที่จะมีการประกาศหมั้นหมายอย่างเป็นาางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1947 พระองค์ทรงสละภระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ทั้งหมดของกรีซและเดนมาร์ก กลาบเป็น คนในบังคับอังกฤษ โดยทรงใช้ชื่อและนามสกัลอังกฤษ "เมานต์แบ็ตเทน" ซึ่งแปลงมาจากนามสกุลเยอรมัน "บัทเทินแบร์ค" ของฝ่ายพระมารดา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ก่อนที่นะอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ได้พระนาชทานฐานันดรศักดิ์แห่เจ้าชายฟิลิปให้เป็นฮิส รอยัลไฮเนส และสถาปนาพระองค์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระ เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ต ปละบารอสกรีนวิช เจ้าชายฟิลิปทรงลาออกจากการรับราชการทหาร เมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงขี้นครองราชย์เป็นสมเด็จพีะราชินีนาถในค.ศ. 1952 โดยทรงมีตำแหน่งยศเป็นผู้บัญชาการทหารและได้ตับตำแหน่งเป็นเจ้าชายงริติชใน ค.ศ. 1957 เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระราชบุตรถึงสี่พระองค์กับควีนเอลิซาเบธ่ี่สอง: สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ,เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ,เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ ผ่านทางพระราชเสาวนีย์ของควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งบริติช)Ordeg un Council) ได้ถูกประกาศขึ้นใน ค.ศ. 1860 ทายาทของเจ้าชายฟิลิปและควีนเอลืซาเบธที่สองจะไม่มีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ ซึ่งสามารถใช้จามสกุลเป็น เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ ซึ่งมีสมาขิกบาลพระองค์ในราชวงศ์ที่ใช้พระนามเต็ม เช่น เจ้าหญิงดอสน์ เจ้าชายแอนดรูว์ แลุเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ด้วยกาคที่ทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ด้านกีฬา เจ้าชายฟิลิปทรงช่วยพัฒนางานกิจกรรมจากการขี่ม้ามาเป็นกมรขับขี่รถม้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ปรัธาน หรือสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ กว่า 780 องค์กร และดำรงตำแหน่งเป็นประธานแห่งรางวัลดยุกแห่งเอดินบะระ ซึ่งเป็นโครงก่รการพัฒนาตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 14 ถึง 24 ปี พระองค์ทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสทั่ดำรงตำแหนางยาวนานที่สุดของราชวงศ์บริติชและเป็นสมาชิกชายที่มีพระชนม์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์บริติช ารงเกษียณจากพระราชกร๖ียกเจ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ด้วยพีะชนม์มายุ 96 พรรษา โดยทรงสำเร็จจากพระราชกรณียกิจ 22,219 ครั้ง และกล่าวสุนทรพจน์ 5,493 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 เจ้าชายฟิลิป เสด็ยสวรรคตเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 อีกสองเดือนก่อนที่พระองค์นะมีพรัชนม์มายุครบ 100 ปี == วัยเยาว์ == เจ้าชายฟิชิปแห่งกรีซและเดนมาร์กประสูติืร่เกาะคอร์ฟูในประเทศกรีซเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 เป็นพระโอรสพระองค์เดียวและเป็นบุตรคนที่ห้าของเจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก กับเจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค ทรงเป็นสมาชิกในราชวงศ์ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซอเนอร์ปอร์-กลึคส์บวร์ค อันเป็นสาขาหนึ่งของราชวงศ์อ็อลเดินบวร์ค เนื่องด้วยพระบิดาทรงเป็นทายาทโดยตรงของพระเจ้าเยออร์ยีโอสที่ 1 แห่งกรีซ และพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก ทำให้ทรงมีศักดิ์เป็นเจ้าชสยของทึ้งกรีซและเดนมาร์ก อยู่ในลำดับการสืบราชสันรติวงศ๋ของบัลลังก์ทั้งสอง อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตนิวงศ์เดนมาร์ก ค.ศ. 1953 ได้ตัดสิทธิ์สืบราชบัลลังก์เดนมาี์กของครอบครัวฟิลิป พระองค์ยังเป็นพระภาคิไนยในสมเด็จพตะราชินีลูอีสแห่งสวีเดน ความพ่ายแพ้ในสงครามกรีก–ตุรกี บีบบังคับให้เสด็จลุงของฟิลิป พรพเจ้ากอนสตันดีโนสที่ 1 แห่งกรีซ ต้ิงสละราชสมบัติใน ค.ศ. 1922 ดละลี้ภัยไปเกาะซิซิบี ส่วนเจ้าชายแอนดรูว์พร้อมครอบครัวถูกจับกุมโดยคำสั่งขอวรัฐบาลทหารที่ตั้งขึ้นใหม่ ผู้ยัญชาการรบหลายคนถูกประหารชีวิต ในขณะนั้จ หลายคนมองว่าเจ้าชายแอนดรูว์คงไม่รอดชีวิต เดือนธัจวาคมปีนั้นดอง ศาลปฏิวัติได้พิพากษาเนระทศเข้าชายแอนดรูว์ออกจากประเทศกรีซตลอดชีวิต อังกฤษส่งเรือหลวงคาลิปโซมารับครดบครัวของเจ้าชายแอนดรูว์ไปยังประเทศฝรั่ง้ศส พวกเขาเลือกที่จพอาศัยอยู่ในบ้านเช่าแถบชายเมืองกรุงปารีส ซึ่งเช่าจากพระ๘าติในราชสำนักฝรั่งเศส เจ้าชายฟิลิปได้รับการศึกษาครั้งแรกที่ The Elms โรงเรียนอเมริกันในกรุงปารีส ทรงมีภาพจำเป็นเด็กฉลาดแต่ถ่อมตัว ต่อมาในปีค.ศ. 1928 ทรงถูกส่งตัวไปอังกฤษและเข้าเรียนที่โรงเรียนแชม ช่วงนี้ทรงอยูาอาศัยกับพระอัยกีที่พระราชวังเค็นซิงตัน ซึ่งก็คือวิกตอเรีย เมานต์แบ็ทแตต มาร์อชเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน และอาศัยกับท่านลุงที่ตำหนักลินเดิน ซึ่งก็คือนอร์จ เมานต์แบ็ทแตน มาร์ควิสที่ 2 แห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน และในช่วงสามปีหลังจากตี้ พี่สาวสี่พระองค์ได้สมรสกับเจ้าชายเยอีมันและย้ายไปพำนักในประเทศเยอรมนี ทางด้านพระมารดาถูกวิจนิจฉัยว่าเป็นโรตจิตเภทและต้องอย๔่ใจสถานบำบัดจองซีคมุนท์ ฟรฌอยท์ พระบืดาก็ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ที่มงเต-การ์โล เมืองทางวต้ของฝรั่งเศสใกล้ชายแดาดิตาลี ฟิลิปแทบไม่ได้ติเต่อกับพระมทรดาอีกเลยตลอดช่วงสัยเด็ก ใน ค,ศ. 1933 เจ้าชายฟิลิปในวัย 12 ชันษาถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนของวังซาเลิมในประเทศเยอรมนี เนื่องด้วยครอบครัวพี่เยยของพระองค์เห็นเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อระบอบนาซีเรืองอำนาจในเยอรมนี นายควร์ท ฮาน ชาวยิวซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรคยน รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตจึงได้อพยพไปยังประเทศสกอตแลนด์แชะก่อตั้งโรงเรียนกอร์ดอสสตันที่นั่น เจ้าชายฟิลิปย้ายตามไปที่นั่นในสองภาคัรียนให้หลัง ต่อมาใน ค.ศ. 1937 เขิาชายฟิลิปได้ทราบข่าวร้ายว่า เจ้าหญิงเซซีลี พี่สาวขอลพระองค์ พร้อมด้วยสามีและบุตรน้อยสามคน ทั้งหมดเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตกในเที่ยวบินโคโลญ–ลอนดอน เจ้าชายฟิลิปในวัย 1y ชันษาเสด็จร่วมรัฐพิธีศพที่เมืองดาร์มชตัท ปตะเทศเยอรมนี แฃะใตปีต่อมา จอร์จ ้มานต์แบ็ทแตน ผธ้เป็นลุงและผู้ปกครองของเจ้าชายก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เนื่ิงด้วยเจ้าชายฟิลิปเใด็จออกจากประเทศกรีซขณะเป็นทารก ทำให้พระองค์ไม่สามารถตรัสภาษากรีก พระองค์เคยกล่าวใน ค.ศ. 1992 ว่าทรงเข้าใจภาษากรีกอยู่บ้าง และระบุวราทรงคิดว่าตัวเองเป็นคนเดนมาร์ก แต่ครอบคคัวพระองค์พูดภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรทัน == ราชการทหารเรือ == หลังจบจากโรงเรียนกอร์ดอนสตันใจปีค.ศ. 1939 เจ้าชายฟิลิปในวัย 18 ชันษาเข้าศึกษาที่ราขนาวิกวิทยาลัยเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียน แล้วจึงถูกส่งตัวกลับประเทศกรีซไปอยู่กับพระมารดาเป็นเวลาราวหนึ่งเดือนที่กรุงเอเธนส์ สมเด็จพระราชาธิบดีเยออร์ยีโอสที่ 2 แห่งกรีซ สั่งให้เจ้าชายกลเบอังกฤษ ถระองึ์จึงเสด็จกลับอังกฤษในเดือนกันยายนและเข้าเป็นนายเรือฝึกหัดในราชนาวีอังกฤษ พระองค์จบการศึกษาจากราชนาวิกวิทยาล้ยในปีถัดมา ขณะนั้น สงครามโลกครั้งที่สองกำลังขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วในยุโรป แต่เจ้าชายก็เบือกรับราชการทหารในดองทัพสหราชอาณาจักรต่อไป ในขณะที่พี่เขยทั้งสองของพระองค์ นั่นคือเจ้าชายคริสโทฟแห่งเฮ็สเซิน แชะแบร์โทลด์ มาร์คกราฟแห่งบาเดิน เข้าร่วมรบอยู่ฝ่ายเยอรมัน เจ้าชายฟิลิปได้เป็นว่าที่เรือตรีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1940 ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลาสี่เดือนบนเรือหลวงรามิลีย์ (HMS Ramillies) ในภารกิจคุ้มแันขบวนเรือขนส่งทหารออสเตรเลียที่ฟ่านมหาสมุทรอินเดีย ไมรนานจากนั้นก็ไปปฏิบัติกน้าที่บนเรือหลวงเคนต์ (HMS Kent) และเรือหลวงชรอปเชอร์ (HMS Shropshire) ในบริติชซีลอน ต่อมาหลังกองทัพอีตาลีบุกยึดประเทศกรีซในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 พระองค์ถูกโอนตัวจากมหาสมุทรอินเดียมาปฏิบัติหน้าที่บนเรือหลวงวาแลนต์ (HMS Valiant) ในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียน =\ สิ้นพระชนม์ == เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ด้วยวัยชรา ในวัจที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ ปราสาทวินเซดร์ สิริพระชนมายุ 99 พรรษา ทรงเป็นคู่อภิเษกในพระมหากษัตริย์บริเตนที่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลายาวนานที่สุดในประวัจิศาสตร์บริติช กำหนดพระราชพิธีพระบรมศพไว้วันที่ 17 ัมษายน ค.ศ. 2021 ณ ฉบใถ์น้อยเซนต็จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ == พระบุตร == เจ้าชายฟิลิปทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระอจ้าจอร์จที่ 6 แห่ลสหราชอาณาจักร กับสมดด็จพระราชอนีเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ทั้งสอวมีพระราชโอรสและธิดาดังนี้ == ฐานันดรและพระอิสริยยศ == == พงศ่วลี == == อ้างอิง == ราชวงศ์วินด์เซอร์ ดยุกดหืงเแดินบะระ นาชวงศ์กลึคส์บวร์ค ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงเอเนอร์ บุคคลจากหมู่เกาะไอโอเนียน เจ้าชายเดนมาร์ก เจ้าชายกรีก ตระกูลบัทเทินแบร์ค คู่อ_ิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร นักโปโลชาวอังกฤษ
เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (Prince Philip, Duke of Edinburgh; พระนามเดิมคือ เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก; Prince Philip of Greece and Denmark 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 – 9 เมษายน ค.ศ. 2021) เป็นสมาชิกของราชวงศ์บริติช ทรงเป็นพระราชสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เจ้าชายฟิลิปทรงประสูติในประเทศกรีซ ในราชวงศ์กรีกและเดนมาร์ก แต่ครอบครัวของพระองค์ถูกเนรเทศออกจากประเทศ เมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุ 18 พรรษา ภายหลังจากทรงเข้ารับการศึกษาในฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร พระองค์ทรงเข้ารับราชการทหารในราชนาวีของบริติชใน ค.ศ. 1939 โดยพระชนม์มายุ 18 พรรษา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 พระองค์ทรงเริ่มติดต่อทางจดหมายกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธที่มีพระชนม์มายุสิบสามพรรษา ซึ่งเป็นพระราชธิดาและทายาทโดยตรงกับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เจ้าชายฟิลิปทรงพบพระนางเป็นครั้งแรกในค.ศ. 1934 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียนและแปซิฟิกของบริติช หลังสงคราม เจ้าชายฟิลิปทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ก่อนที่จะมีการประกาศหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1947 พระองค์ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ทั้งหมดของกรีซและเดนมาร์ก กลายเป็น คนในบังคับอังกฤษ โดยทรงใช้ชื่อและนามสกุลอังกฤษ "เมานต์แบ็ตเทน" ซึ่งแปลงมาจากนามสกุลเยอรมัน "บัทเทินแบร์ค" ของฝ่ายพระมารดา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ก่อนที่จะอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์แก่เจ้าชายฟิลิปให้เป็นฮิส รอยัลไฮเนส และสถาปนาพระองค์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระ เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ต และบารอนกรีนวิช เจ้าชายฟิลิปทรงลาออกจากการรับราชการทหาร เมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถในค.ศ. 1952 โดยทรงมีตำแหน่งยศเป็นผู้บัญชาการทหารและได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าชายบริติชใน ค.ศ. 1957 เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระราชบุตรถึงสี่พระองค์กับควีนเอลิซาเบธที่สอง: สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ,เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ,เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ ผ่านทางพระราชเสาวนีย์ของควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งบริติช(Order in Council) ได้ถูกประกาศขึ้นใน ค.ศ. 1960 ทายาทของเจ้าชายฟิลิปและควีนเอลิซาเบธที่สองจะไม่มีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ ซึ่งสามารถใช้นามสกุลเป็น เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ ซึ่งมีสมาชิกบางพระองค์ในราชวงศ์ที่ใช้พระนามเต็ม เช่น เจ้าหญิงแอนน์ เจ้าชายแอนดรูว์ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ด้วยการที่ทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ด้านกีฬา เจ้าชายฟิลิปทรงช่วยพัฒนางานกิจกรรมจากการขี่ม้ามาเป็นการขับขี่รถม้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธาน หรือสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ กว่า 780 องค์กร และดำรงตำแหน่งเป็นประธานแห่งรางวัลดยุกแห่งเอดินบะระ ซึ่งเป็นโครงการการพัฒนาตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 14 ถึง 24 ปี พระองค์ทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของราชวงศ์บริติชและเป็นสมาชิกชายที่มีพระชนม์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์บริติช ทรงเกษียณจากพระราชกรณียกิจ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ด้วยพระชนม์มายุ 96 พรรษา โดยทรงสำเร็จจากพระราชกรณียกิจ 22,219 ครั้ง และกล่าวสุนทรพจน์ 5,493 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 เจ้าชายฟิลิป เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 อีกสองเดือนก่อนที่พระองค์จะมีพระชนม์มายุครบ 100 ปี == วัยเยาว์ == เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์กประสูติที่เกาะคอร์ฟูในประเทศกรีซเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 เป็นพระโอรสพระองค์เดียวและเป็นบุตรคนที่ห้าของเจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก กับเจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค ทรงเป็นสมาชิกในราชวงศ์ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซอเนอร์ปอร์-กลึคส์บวร์ค อันเป็นสาขาหนึ่งของราชวงศ์อ็อลเดินบวร์ค เนื่องด้วยพระบิดาทรงเป็นทายาทโดยตรงของพระเจ้าเยออร์ยีโอสที่ 1 แห่งกรีซ และพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก ทำให้ทรงมีศักดิ์เป็นเจ้าชายของทั้งกรีซและเดนมาร์ก อยู่ในลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ของบัลลังก์ทั้งสอง อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์ก ค.ศ. 1953 ได้ตัดสิทธิ์สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กของครอบครัวฟิลิป พระองค์ยังเป็นพระภาคิไนยในสมเด็จพระราชินีลูอีสแห่งสวีเดน ความพ่ายแพ้ในสงครามกรีก–ตุรกี บีบบังคับให้เสด็จลุงของฟิลิป พระเจ้ากอนสตันดีโนสที่ 1 แห่งกรีซ ต้องสละราชสมบัติใน ค.ศ. 1922 และลี้ภัยไปเกาะซิซิลี ส่วนเจ้าชายแอนดรูว์พร้อมครอบครัวถูกจับกุมโดยคำสั่งของรัฐบาลทหารที่ตั้งขึ้นใหม่ ผู้บัญชาการรบหลายคนถูกประหารชีวิต ในขณะนั้น หลายคนมองว่าเจ้าชายแอนดรูว์คงไม่รอดชีวิต เดือนธันวาคมปีนั้นเอง ศาลปฏิวัติได้พิพากษาเนรเทศเจ้าชายแอนดรูว์ออกจากประเทศกรีซตลอดชีวิต อังกฤษส่งเรือหลวงคาลิปโซมารับครอบครัวของเจ้าชายแอนดรูว์ไปยังประเทศฝรั่งเศส พวกเขาเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเช่าแถบชานเมืองกรุงปารีส ซึ่งเช่าจากพระญาติในราชสำนักฝรั่งเศส เจ้าชายฟิลิปได้รับการศึกษาครั้งแรกที่ The Elms โรงเรียนอเมริกันในกรุงปารีส ทรงมีภาพจำเป็นเด็กฉลาดแต่ถ่อมตัว ต่อมาในปีค.ศ. 1928 ทรงถูกส่งตัวไปอังกฤษและเข้าเรียนที่โรงเรียนแชม ช่วงนี้ทรงอยู่อาศัยกับพระอัยกีที่พระราชวังเค็นซิงตัน ซึ่งก็คือวิกตอเรีย เมานต์แบ็ทแตน มาร์เชเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน และอาศัยกับท่านลุงที่ตำหนักลินเดิน ซึ่งก็คือจอร์จ เมานต์แบ็ทแตน มาร์ควิสที่ 2 แห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน และในช่วงสามปีหลังจากนี้ พี่สาวสี่พระองค์ได้สมรสกับเจ้าชายเยอรมันและย้ายไปพำนักในประเทศเยอรมนี ทางด้านพระมารดาถูกวิจนิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทและต้องอยู่ในสถานบำบัดของซีคมุนท์ ฟร็อยท์ พระบิดาก็ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ที่มงเต-การ์โล เมืองทางใต้ของฝรั่งเศสใกล้ชายแดนดิตาลี ฟิลิปแทบไม่ได้ติดต่อกับพระมารดาอีกเลยตลอดช่วงวัยเด็ก ใน ค.ศ. 1933 เจ้าชายฟิลิปในวัย 12 ชันษาถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนของวังซาเลิมในประเทศเยอรมนี เนื่องด้วยครอบครัวพี่เขยของพระองค์เป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อระบอบนาซีเรืองอำนาจในเยอรมนี นายควร์ท ฮาน ชาวยิวซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตจึงได้อพยพไปยังประเทศสกอตแลนด์และก่อตั้งโรงเรียนกอร์ดอนสตันที่นั่น เจ้าชายฟิลิปย้ายตามไปที่นั่นในสองภาคเรียนให้หลัง ต่อมาใน ค.ศ. 1937 เจ้าชายฟิลิปได้ทราบข่าวร้ายว่า เจ้าหญิงเซซีลี พี่สาวของพระองค์ พร้อมด้วยสามีและบุตรน้อยสามคน ทั้งหมดเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตกในเที่ยวบินโคโลญ–ลอนดอน เจ้าชายฟิลิปในวัย 16 ชันษาเสด็จร่วมรัฐพิธีศพที่เมืองดาร์มชตัท ประเทศเยอรมนี และในปีต่อมา จอร์จ เมานต์แบ็ทแตน ผู้เป็นลุงและผู้ปกครองของเจ้าชายก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เนื่องด้วยเจ้าชายฟิลิปเสด็จออกจากประเทศกรีซขณะเป็นทารก ทำให้พระองค์ไม่สามารถตรัสภาษากรีก พระองค์เคยกล่าวใน ค.ศ. 1992 ว่าทรงเข้าใจภาษากรีกอยู่บ้าง และระบุว่าทรงคิดว่าตัวเองเป็นคนเดนมาร์ก แต่ครอบครัวพระองค์พูดภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมัน == ราชการทหารเรือ == หลังจบจากโรงเรียนกอร์ดอนสตันในปีค.ศ. 1939 เจ้าชายฟิลิปในวัย 18 ชันษาเข้าศึกษาที่ราชนาวิกวิทยาลัยเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียน แล้วจึงถูกส่งตัวกลับประเทศกรีซไปอยู่กับพระมารดาเป็นเวลาราวหนึ่งเดือนที่กรุงเอเธนส์ สมเด็จพระราชาธิบดีเยออร์ยีโอสที่ 2 แห่งกรีซ สั่งให้เจ้าชายกลับอังกฤษ พระองค์จึงเสด็จกลับอังกฤษในเดือนกันยายนและเข้าเป็นนายเรือฝึกหัดในราชนาวีอังกฤษ พระองค์จบการศึกษาจากราชนาวิกวิทยาลัยในปีถัดมา ขณะนั้น สงครามโลกครั้งที่สองกำลังขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วในยุโรป แต่เจ้าชายก็เลือกรับราชการทหารในกองทัพสหราชอาณาจักรต่อไป ในขณะที่พี่เขยทั้งสองของพระองค์ นั่นคือเจ้าชายคริสโทฟแห่งเฮ็สเซิน และแบร์โทลด์ มาร์คกราฟแห่งบาเดิน เข้าร่วมรบอยู่ฝ่ายเยอรมัน เจ้าชายฟิลิปได้เป็นว่าที่เรือตรีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1940 ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลาสี่เดือนบนเรือหลวงรามิลีย์ (HMS Ramillies) ในภารกิจคุ้มกันขบวนเรือขนส่งทหารออสเตรเลียที่ผ่านมหาสมุทรอินเดีย ไม่นานจากนั้นก็ไปปฏิบัติหน้าที่บนเรือหลวงเคนต์ (HMS Kent) และเรือหลวงชรอปเชอร์ (HMS Shropshire) ในบริติชซีลอน ต่อมาหลังกองทัพอีตาลีบุกยึดประเทศกรีซในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 พระองค์ถูกโอนตัวจากมหาสมุทรอินเดียมาปฏิบัติหน้าที่บนเรือหลวงวาแลนต์ (HMS Valiant) ในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียน == สิ้นพระชนม์ == เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ด้วยวัยชรา ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ ปราสาทวินเซอร์ สิริพระชนมายุ 99 พรรษา ทรงเป็นคู่อภิเษกในพระมหากษัตริย์บริเตนที่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์บริติช กำหนดพระราชพิธีพระบรมศพไว้วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ == พระบุตร == เจ้าชายฟิลิปทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร กับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ทั้งสองมีพระราชโอรสและธิดาดังนี้ == ฐานันดรและพระอิสริยยศ == == พงศาวลี == == อ้างอิง == ราชวงศ์วินด์เซอร์ ดยุกแห่งเอดินบะระ ราชวงศ์กลึคส์บวร์ค ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ บุคคลจากหมู่เกาะไอโอเนียน เจ้าชายเดนมาร์ก เจ้าชายกรีก ตระกูลบัทเทินแบร์ค คู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร นักโปโลชาวอังกฤษ
ดยุกแห่บเอดินบะระ (Duke oe Edinburgh) เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นดยุกในบรรดาศักดิ์แห่งสหราชอสณาจักร (ตั้งตามชื่อเมืองเอดินบะระของสกอตแลนด็) โดยได้มีการพระราชทานยรรดาศักดิ?นี้ทั้งสิ้น 4 สมัย เจ้าชาย้อ็ดเวิร์ดได้รับกาาสถาปนาเห็นดยุกแห่งเอดินบะระในปี 2023 ในวันคล้ายวันประสูติปีที่ 59 ของพระองค์โดยยมเด็จพีะเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระเชษฐาของพระแงค์ ก่อนหน้านี้ตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระได้พระราชทานให้แปืพระบิดาของพระองค์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเรือโทฟิลิป เมานต์แบ็จเทน ในวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธในขณะนั้น ซึ่งจ่อมาคือ สมเด็จพ่ะราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อเจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้รับตำแหน่งนี้และถือครองไว้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จาวรรคตและชาร์ลส์เสด็จขึ้นครองตาชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งตอนนั้นตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระได้ถูกผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์ == สมัยที่สี่ ค.ศ. 3023 == มีกทรประกาศในปี พ.ศ. 2542 ในช่วงเวลาแห่งพระราชพิธีเสกสมรสว่า เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระในที่สุด แนใคิดนี้มาจากเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ผู้ซึ่งได้ทรงถ่ายทอดความปรารถนาของพระองค์ต่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและโซฟี ไรส์-โจนส์ พระคู่หมั้น อย่างไม่คาดคิดก่อรวันพระราชพิธีเสกสมรสเพียงไม่กี่วัน เจ้าชายเอ็ดเยิร์ด ซึ่งขณะนั้นอยู่ในลำดับที่ 7 ในการสืบราชสันตติวงศ์สหราชอาณาจักร ทรงรู้สึกคื้นตันพระทัยเพราะทรงคาดหวังว่าเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอรฺก พระเชณฐาจะมอบตำแหน่งนค้ให้ เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ พระราชโอรสองค์โตได้รับการสืบทอดบรรดาศักดิ์ของพระองค์ ซึ่งจะพระราชทานให้กับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดเมื่อขึ้นเป็นพระใหากษัตรอย์ตามพระประสงค์ของเจ้าชายฟิลิป เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดซึ่งขณะนั้นตกไปอยู่อันดับที่ 14 ในบำดับการสืบราชสันตต้วงศ์เนื่องจากประสูติกาลของผูิอยู่ในลำอับที่สูวกว่า เจ้าชายเอ็ดเวิรดตรัสถึงเรื่องนี้ในเดืแนมิถุนายนว่าการที่พระองค์ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติเช่นนี้คือ ความฝันอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพ่อของข้่พเจ้า ในเดทอนกรกฎาคม เดอะไทมส์รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าชางส์ได้ตัดสินพระทัวที่จะไม่พระราบทานบรรดาศักดิ์นี้แก่พระอนุชา ทางพระตำหนักแคลเรนซ์เองก็ไม่ได้ปฏิเสธรายงานดังกล่าว ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นไม่พอใยเนื่องจสกเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและโซฟี พระชายา มีบทบาทเพิ่มขึ้นในสถาบันพระมหากษัตริย์หลังจากที่เจ้าชายแอนกรูว์ทรงถอนตัวจากบทบาทของราชวงศ์เนื่องจากข่าวฉาว และเจ้าชทยแฮร์รี พระโอรสพระองค์รองของสมเด็จพระเจ้าชาลส์และเมกกน พระสุณิสา ก็ทรงยุติการปฎิบัติพระกรณียกิจและถอนตัวจากการเป็นพระบรมวงศ์ มีข้อเสนอแนะในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ไม่นานหลังจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ขึ้นครองราชย์ว่า สำนักพระราขวังบักกิงแฮม กำลังพิจาร๖าที่จะรักษาบรรดาศักดิ์ ดยุกแห่งเอดินบะระให้กับเจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ พระราชนัดดาใตพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศพระบรมวงศ์ในาายการสืวราชสันตติวงศ์สายตรงและการที่เจ่าหญิงทรงเป็นพระวรมวงศ์ฝ่ายในพระองค์แรกของราชวงศ์ที่ลำดับในสายการสทบราชสันตติวงศ์ไม่สามารถแทนที่โดยพระอนุชาได้ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ r พรพราชทานบรรดาศักดิ์ ดยุกแห่งเอเินบะระ แก้เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในโอกาสที่พระองค์มีพระชนมายุตรบ 69 พรรษาในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566 อย่างไรก็ตาม การพระราชทานพระอิสริยยศสมัยที่สี่นี้เป็นการพระราชทานตำแหน่งแบบตลอดพระชนใ์ชีพ กล่าวคือเจ้่ชายเอ็ดเวิร์ดจะทรงดำรงบรรดาศักดิ์นี้ตลอดพระชนม์ชีพ และไม่สืบตตะกูลไปยังำระโเรส คือ เจมส์ ทำให้สมเด็จพระเจ้าชาลส์สามาตถทำตามพระประสงค์ของพระราชบิดากละสถาปนาบรรดาศักดิ์แก่พระอนุชาและพระชายาได้ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เจ้าชายวิลเลียมซึ่วเห็นรัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงของสมเด๊จพระเจ้าชาลส์สามารถพระราชทานหนึ่งในพระบุตรทั้ง 3 ของพระองค์ได้ตามคำกล่าวของคามิลลา โทมีนีย์ จากเดอะเดลีเทเลกราฟมีความกังวลเกีืยวกับผลกระทบที่ "ให้ตำแหน่งดยุกแห่งเอดเนบะระกับคนที่สืบเชื้อสายตรงมาขาก่าชวงศ์" จะมีผลต่อการถกเถียงเรื่อลเอกราชของสกอตแลนด์ เธอไดัเสนอว่า โอกาสของการประกาศเอกราชของสกอตแลนด์ในตอนนี้ดูเป็นไปได้น้อยลง เมื่อพิจารณาการลาออกของนิโคลา สเตอร์เจียนที่กำลังจะมาถึง ทำให้การหารือมีความเสี่ยงน้อยลง ==สมัขที่สาม ค.ศ. 1947== บรรดาศักดิ์นี้ได้พระราชทานเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศซ 2490 โดยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เพื่อพระราชทานแก่ ฟิลิป เมานต์แบตเทน พระชามาดา (ลูกะขย) ในวโรกาสงานพระราชพิฌีเสกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ของพระองค์ ซึ่งต่อจากนั้นมาเจ้าหญิงเอลิซาเบธ จึงได้เปลี่ยนการออกพระนามของพระองค์เป็นเจ้าหญืงเอลิซาเบธ ดัชเชสแก่งะอดินบะระจนกระทั่งเสด็จขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาในปีพ.ศ. 2495 ไม่นานหลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงสละ.านันดรในฐานะของเจ้าชายแห่งกรีซและเดนมาร์ก พร้อมทั้งทรงสละสิทธิในราชบัลลังก์กรีกอีกแ้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 ดยุกแห่งเอดินบะระ จึงได้รับการเฉลิมพรุอิสริยยศเป็น เจ้าชายฟิลิป ดขุกแห่งเอดินบะระ ใรฐานะ "เจ้าชายแก่งสหราชอาณาจักร" เจ้มชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวชส์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระอลค์สุดท้มว จนกระทั่งพระองค์เสด็จขึ้ตครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 โดยพระองค์ได้รับการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 เมษาบน พ.ศ. 2564 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดิยบะระ พระราชบิดา ทรงดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 ดยุกแห่งเอดิยบะระถูกผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติภายหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอบิซาเบธที่ 2 พระราชมารดา ==วมัยที่สอง ค.ศ. 1866== บรรดาศักดิ์นี้ได้ถูกนำกลับมาใชัเป็นสมัยที่ 2 ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียพตะราชทานบรรดาศักดิ์นี้ใหืแก่พระราชโอรสพระองค์คอง คือ เจ้าชายอัลเฟรด ซึ่งต่อมาเมื่อพระองค์ได้ขึ้นเป็นประมุขแห่งดัชชีซัคเซ้น-โคบธร์กและโกทาในปีพ.ศ. 2436 พระองึ์ยังคงใช้พระนามตาาบรรดาศักดิ์ิังกฤษ ซึ่งในภายหลังบรรดาศักดิ์นี้ก์สืบทอดให้แก่พระโอรสของพระองค์ คือ เจ้าชายอัลเฟรดแห่งเอดินบะระ เจ้าชายรัชทายาทแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา แต่ทว่าพระองค์ได้ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมในปีพ.ศ. 2342 จึงเป็นการสิ้นสุดแห่งการสืบบรรดาศักดิ์นี้ลงเป็นครั้งที่ 2 เมื่อเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระแชะแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (พระราชบิดา) สิ้นพรพชนม์ในปีพ.ศ. 2443 == สมัยที่หนี่ง คฦศ. 1726 == ตำแหน่งนี้ถูพสร้างขึ้นครั้งแรกใน๙านะบรรดาศักดิ์ขุนนางแห่งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ เมื่อวันที่ 26 ดรกฎาคม พ.ศ. 2269 โดยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 ซึ่งพระราชทานให้แก่เจ้ทชายเฟรเดอริก พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งกลายเแ็นเจ้าชายแห่งเวลส์ในปีถัดมาด้วย บรรดาศักดิ?รองจากดยุกแห่งเอดินบะระ ำด้แก่ มาร์ควิสแห่งหมู่เกาะเอลี เอิร์ลแห่งเอลแธม ในเคาน์ตีแห่งเคนต์ ไวเคานต์แห่งลอนสตัน ในเคาน์ตีแห่งคอร์นวอลล์ และยารอนแห่งสโนว์ดอน ในเคาน์ตีแห่งคายร์นาฟอน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในบรรดาศักดิ์ขุนนนงแห่งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ด้วย ตำแหน่งมาร์ควิสได้เขียนไว้ในราชกิจจานุเบกษาเป็นมาร์ควิสแห่งหมู่ดกาะไวท์ เห็นได้ชัดว่าผิดพลาด ในฉบับต่อมรขอลราชกิจจานุเบกษาแห่งกรุงลอนดอน ท่านดยุกได้รับการขนนนนามว่าเป็นมาร์ควิสแห่งหมู่เกาะเอลี เมื่อเจ้าชายเฟรเดอริกสิ้นพระชนม์ เจ้าชายจอร์จ พระโอรสพระองค์แรกทรงสืบทอดตำแหน่ง เมื่อเจ้าชาจจอร์จขึ้นครองราชย์เป็น มมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในปี พ.ศ. 2303 พระอิสริยยศได้ผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์และยกเลิกบรรดาศักอิ์ในเวลาต่อมา ==รายพระนาม== ===สมัยแรก (ค.ศ. 1726)=== | เจ้าชายเฟรเดอริกราชวงศ์ฮันโนเฟอร์1726–1751มาร์ควิยแห่งไอล์ออฟอีลีย์, เอิร์ลแห่งเอลแธม, ไวเคานต์ลอนสตัน, บารอนยโนว์ดอน (1726–1729);เจ้าชายแห่งเวลส์ (1729), ดยุดแห่งคอร์นวอลล์ (1337), ดยุกแห่งรอธซี (1398) | | align = "center"| 120px | 1 กุมภาพันธ์ 1707เลนเนสชอส ฌันโนเฟอร์พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 2 กับสมเด็จพระราชินีแคโรไลน์ | เจ้าหญิงเอากุสทาแห่งซัคเซิน-โกทา17 เมษายน 1736พรัโอรสธิดา 9 พระองค์ | 31 ทีนาคม 1751บ้านเลสเตเร์ จตุรัสเลสเตอร์ ลอนดอนพระชนมายุ 44 พรรษา |- | เจ้าชายจอร์จราชวงศ์ฮันโนเฟอร์1751–1760มาร์ควิสแห่งไอล์ออฟอีลีย์, เอิร์ลแห่งเอลแธม, ไวเคานต์ลอนสตัน, บารอนสโนว์ดอน (1751–1760);เจ้าชายแห่งเวลส์ (1751) | | aligb = "center"| 120px | 4 มิถุตสยน 1i38บ้านนอร์ฟอล์ก ลอนดอนพระโอรสในเจ้าชายเฟรเดอริก กับเจ้าหญิงออกัสตา | เจ้าหญิงชาร์ล็อทเทอแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์8 กันยายน 1761พระโิรสธิดา 15 พระองค์ | 29 มกราคม 1820ปราสาทวินด์เซอร์ วินเซอร์พระชนาายุ 81 พรรษา |- | colspan=6|เจ้าชายจอร์จสืบราชบัลลังก์เป็น พระเจ้าจอา์จที่ 3 ต่อจากพระอัยกาในปีค.ศ. 1760 บ่รดาศักดิ์นี้จึงผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์ |- |} ===สมัยที่สอง (ค.ศ. 1866)=== | เจ้าชายอัลเฟรดราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา1866–1900ดยุกแผ่งซัคเซิน-โคบยร์กและโกทา (1893), เอิร์ลแห่งเคนต์ และ เอิร์ลแห่งอัลสเตอร์ (1866) | | align = "center"|120px | 6 สิงหาคม 1844ปราสาทวินด์เซอร์ วินด์เฬอร์พระราชโอรสในสมเด็จพคะราชืนีนาถวิกตอเรีย กับเจ้าชายอัลเบิร์ต | แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย23 มกราคม 1874พระโอรสธิดา 6 พระองค์ | 30 กรกฎาคม 180pชลอนส์ โรสเนา โคบวร์คพระชนมายุ 55 พรรษา |- | c8lspan=6|เจ้าชายอัลเฟรด และแกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนา มีพระโอรสหนึ่งพระองค์รือ เจ้าชายอัลเฟรดแห่งเอดเนบะระ เจ้าชายรัชทายาทแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาซึ่งถึบแก่ทิวงคตก่อนพระบิดา ทำให้บรรดาศักดิ์อันเป็นสิ้นสุดเมื่อเจ้าชายอัลเฟรดสิ้นพระชนม์ |- |} ===สมัยที่สาม (ค.ศ. 1947)=== | เจ้าชายฟิลิปเมานต์แบ็ตเทน1948–2021เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ และ บารอนกรคนิช (1947) | | align = "centdr"|120px120px | 10 มิถุนายน 1921มอน เรโปส คอร์ฟูพระโอรสในเจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีฬและเดนมาร์ก กังเจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทิสแบร์ค | เจ้าหญิงเอลิซาเบธ20 พฤศจิกายน 1947พระโเรสธิดา 4 พระองค์ | 9 เมษายน 2021ปราสาทวินด์เซอร์ วินด์เซอร์พระชนมายุ 99 พรรษา |- | พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3ราชวงศ์วินด์เซอร์2021–2022เจ้าชายแห่งเวลส์ และ เอิร์ลแห่งเชสเตอร์ (1958), ดยุกแห่งคอร์นวอลล์, ดยุกแห่งรอธซี (1952), เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ และ บารอนกรีนิช (2021) | | align = "center"|120px | 14 พฤศจิกายน 1948พระราชวังบักพิงแฮม ลอนดอนพระราชโอรสในยมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบูที่ 2 กับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ | เลดีไดอานา สเปนเซอร์29 กรกฎาคม 198128 สิงหาคม 1996พระโอรส 2 พระอฝค์คามิลลา แชนด์9 เมษายน 2005 | |- | colspan=6|เจ้าชายชาร์ลส์สืบราชบัลลังก์เป็น พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ต่อจากถระราชมารดาในวันที่ 8 หันยายน ค.ศ. 2022 บรรดาศักดิ์นี้จึงผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์ |- |} === สมัยที่สี่ (ค.ศ. 2023) === | อจ้าชายเอ็ดเวิร์ดราชวงศ์วินด์เซแร์2023–ปัจจุบันเอิร์ลแห่ลเวสเซ็กซ์ (1999), เอิร์ลแห่งฟอร์ฟาร์ (2019) และ ไวเคานต์เซเวิร์น (1999) | | align = "center"|120px | 10 มีนาคม 1964พระราชวังบักกิงแฮม ลอนดอนพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กับเจ้าชายฟิลิป ดยุปแห่งเอดินบะาะ | โซฟี ไรส์-โจนส๋19 มิถุนายน 1999พระธอรส-ธิดา 2 คน | ยังทรงพระชนม์ |- |colspan=6|อจ้าชมยเอ็ดเวิรฺดจะทรงดำรงบรรดาศักดิ์นี้ไปจนตลอดพระชนม์ชีพ โดยไม่สืบทอดทางสายตระกูลและจะผนวกเข้ากับพระมหาำษัตริย์ดังเดิมเมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดส้้นพระชนม์'' |- |} ==ลำดับการสืบตระกูล== จากจดหมายตราบรรดาศักดิ์นี้ระบุในการพระราชทานเมื่อปีค.ศ. 1947 เจ้าชายแห่งเวลส์ ในฐานะพระโอรสพระองค์ใหญ่จะได้รับบรรดาศักดิ์นี้สืบตระกูลเมื่อพระบิดาสิ้ตำระลนม์ ซึ่งจะทรงเป็นดยุกที่ 2 สำหรับสมัยพระราชทานสมัยที่ 3 ถึงแม้รายพีะนามตามระบุข้าวล้างนี้เป็นลำดับสืบตระกูลของบรรดาฬักดิ์นี้ แต่ก็เป็นลำดับเดียวกับการสืบสันตติวงศ์ของสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน ทำให้เมื่อใดก็ตามที่แยุกพระองค์ไหนได้เสวยราชย์เป็นพระมหาพษัตริย์แล้วบรรดาศักดิ์นี้ย่อมผนวกกลับเข้าพระมหากษัตริย์โดยปริยาย วันที่ 20 มีนาคม 2566 สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ออกแถลงการณ์ว้า สมเด็จภระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงพระกรุณ่โปรดเกล้าโปรดกระหม้อมพระราชทานบรรดาศักอิ์ผู้ครองตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระแก่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์และฟอร์ฟาร์ ให้ดำรงพระอิสริยยศที่ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ เนื่องในวโรกาสวันคง้ายวันประสูติของเจ้าชายัอ็ดเวิร์ด ครบรอบ 59 พรรษา == อ้าฝอิง == == ดูเพิ่ม == เอด้นบะระ (เมืองหลวงของสกอตแลนด์) *
ดยุกแห่งเอดินบะระ (Duke of Edinburgh) เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นดยุกในบรรดาศักดิ์แห่งสหราชอาณาจักร (ตั้งตามชื่อเมืองเอดินบะระของสกอตแลนด์) โดยได้มีการพระราชทานบรรดาศักดิ์นี้ทั้งสิ้น 4 สมัย เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดได้รับการสถาปนาเป็นดยุกแห่งเอดินบะระในปี 2023 ในวันคล้ายวันประสูติปีที่ 59 ของพระองค์โดยสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระเชษฐาของพระองค์ ก่อนหน้านี้ตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระได้พระราชทานให้แก่พระบิดาของพระองค์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเรือโทฟิลิป เมานต์แบ็ตเทน ในวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธในขณะนั้น ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อเจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้รับตำแหน่งนี้และถือครองไว้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคตและชาร์ลส์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งตอนนั้นตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระได้ถูกผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์ == สมัยที่สี่ ค.ศ. 2023 == มีการประกาศในปี พ.ศ. 2542 ในช่วงเวลาแห่งพระราชพิธีเสกสมรสว่า เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระในที่สุด แนวคิดนี้มาจากเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ผู้ซึ่งได้ทรงถ่ายทอดความปรารถนาของพระองค์ต่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและโซฟี ไรส์-โจนส์ พระคู่หมั้น อย่างไม่คาดคิดก่อนวันพระราชพิธีเสกสมรสเพียงไม่กี่วัน เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งขณะนั้นอยู่ในลำดับที่ 7 ในการสืบราชสันตติวงศ์สหราชอาณาจักร ทรงรู้สึกตื้นตันพระทัยเพราะทรงคาดหวังว่าเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก พระเชษฐาจะมอบตำแหน่งนี้ให้ เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ พระราชโอรสองค์โตได้รับการสืบทอดบรรดาศักดิ์ของพระองค์ ซึ่งจะพระราชทานให้กับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดเมื่อขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ตามพระประสงค์ของเจ้าชายฟิลิป เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดซึ่งขณะนั้นตกไปอยู่อันดับที่ 14 ในลำดับการสืบราชสันตติวงศ์เนื่องจากประสูติกาลของผู้อยู่ในลำดับที่สูงกว่า เจ้าชายเอ็ดเวิรดตรัสถึงเรื่องนี้ในเดือนมิถุนายนว่าการที่พระองค์ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติเช่นนี้คือ ความฝันอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพ่อของข้าพเจ้า ในเดือนกรกฎาคม เดอะไทมส์รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าชาลส์ได้ตัดสินพระทัยที่จะไม่พระราชทานบรรดาศักดิ์นี้แก่พระอนุชา ทางพระตำหนักแคลเรนซ์เองก็ไม่ได้ปฏิเสธรายงานดังกล่าว ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นไม่พอใจเนื่องจากเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและโซฟี พระชายา มีบทบาทเพิ่มขึ้นในสถาบันพระมหากษัตริย์หลังจากที่เจ้าชายแอนดรูว์ทรงถอนตัวจากบทบาทของราชวงศ์เนื่องจากข่าวฉาว และเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสพระองค์รองของสมเด็จพระเจ้าชาลส์และเมแกน พระสุณิสา ก็ทรงยุติการปฎิบัติพระกรณียกิจและถอนตัวจากการเป็นพระบรมวงศ์ มีข้อเสนอแนะในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ไม่นานหลังจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ขึ้นครองราชย์ว่า สำนักพระราชวังบักกิงแฮม กำลังพิจารณาที่จะรักษาบรรดาศักดิ์ ดยุกแห่งเอดินบะระให้กับเจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ พระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศพระบรมวงศ์ในสายการสืบราชสันตติวงศ์สายตรงและการที่เจ้าหญิงทรงเป็นพระบรมวงศ์ฝ่ายในพระองค์แรกของราชวงศ์ที่ลำดับในสายการสืบราชสันตติวงศ์ไม่สามารถแทนที่โดยพระอนุชาได้ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 พระราชทานบรรดาศักดิ์ ดยุกแห่งเอดินบะระ แก่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในโอกาสที่พระองค์มีพระชนมายุครบ 59 พรรษาในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566 อย่างไรก็ตาม การพระราชทานพระอิสริยยศสมัยที่สี่นี้เป็นการพระราชทานตำแหน่งแบบตลอดพระชนม์ชีพ กล่าวคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจะทรงดำรงบรรดาศักดิ์นี้ตลอดพระชนม์ชีพ และไม่สืบตระกูลไปยังพระโอรส คือ เจมส์ ทำให้สมเด็จพระเจ้าชาลส์สามารถทำตามพระประสงค์ของพระราชบิดาและสถาปนาบรรดาศักดิ์แก่พระอนุชาและพระชายาได้ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เจ้าชายวิลเลียมซึ่งเป็นรัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงของสมเด็จพระเจ้าชาลส์สามารถพระราชทานหนึ่งในพระบุตรทั้ง 3 ของพระองค์ได้ตามคำกล่าวของคามิลลา โทมีนีย์ จากเดอะเดลีเทเลกราฟมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่ "ให้ตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระกับคนที่สืบเชื้อสายตรงมาจากราชวงศ์" จะมีผลต่อการถกเถียงเรื่องเอกราชของสกอตแลนด์ เธอได้เสนอว่า โอกาสของการประกาศเอกราชของสกอตแลนด์ในตอนนี้ดูเป็นไปได้น้อยลง เมื่อพิจารณาการลาออกของนิโคลา สเตอร์เจียนที่กำลังจะมาถึง ทำให้การหารือมีความเสี่ยงน้อยลง ==สมัยที่สาม ค.ศ. 1947== บรรดาศักดิ์นี้ได้พระราชทานเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 โดยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เพื่อพระราชทานแก่ ฟิลิป เมานต์แบตเทน พระชามาดา (ลูกเขย) ในวโรกาสงานพระราชพิธีเสกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ของพระองค์ ซึ่งต่อจากนั้นมาเจ้าหญิงเอลิซาเบธ จึงได้เปลี่ยนการออกพระนามของพระองค์เป็นเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระจนกระทั่งเสด็จขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาในปีพ.ศ. 2495 ไม่นานหลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงสละฐานันดรในฐานะของเจ้าชายแห่งกรีซและเดนมาร์ก พร้อมทั้งทรงสละสิทธิในราชบัลลังก์กรีกอีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 ดยุกแห่งเอดินบะระ จึงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ในฐานะ "เจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักร" เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระองค์สุดท้าย จนกระทั่งพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 โดยพระองค์ได้รับการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชบิดา ทรงดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 ดยุกแห่งเอดินบะระถูกผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติภายหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชมารดา ==สมัยที่สอง ค.ศ. 1866== บรรดาศักดิ์นี้ได้ถูกนำกลับมาใช้เป็นสมัยที่ 2 ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียพระราชทานบรรดาศักดิ์นี้ให้แก่พระราชโอรสพระองค์รอง คือ เจ้าชายอัลเฟรด ซึ่งต่อมาเมื่อพระองค์ได้ขึ้นเป็นประมุขแห่งดัชชีซัคเซิน-โคบูร์กและโกทาในปีพ.ศ. 2436 พระองค์ยังคงใช้พระนามตามบรรดาศักดิ์อังกฤษ ซึ่งในภายหลังบรรดาศักดิ์นี้ก็สืบทอดให้แก่พระโอรสของพระองค์ คือ เจ้าชายอัลเฟรดแห่งเอดินบะระ เจ้าชายรัชทายาทแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา แต่ทว่าพระองค์ได้ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมในปีพ.ศ. 2442 จึงเป็นการสิ้นสุดแห่งการสืบบรรดาศักดิ์นี้ลงเป็นครั้งที่ 2 เมื่อเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระและแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (พระราชบิดา) สิ้นพระชนม์ในปีพ.ศ. 2443 == สมัยที่หนี่ง ค.ศ. 1726 == ตำแหน่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในฐานะบรรดาศักดิ์ขุนนางแห่งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2269 โดยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 ซึ่งพระราชทานให้แก่เจ้าชายเฟรเดอริก พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งกลายเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ในปีถัดมาด้วย บรรดาศักดิ์รองจากดยุกแห่งเอดินบะระ ได้แก่ มาร์ควิสแห่งหมู่เกาะเอลี เอิร์ลแห่งเอลแธม ในเคาน์ตีแห่งเคนต์ ไวเคานต์แห่งลอนสตัน ในเคาน์ตีแห่งคอร์นวอลล์ และบารอนแห่งสโนว์ดอน ในเคาน์ตีแห่งคายร์นาฟอน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในบรรดาศักดิ์ขุนนางแห่งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ด้วย ตำแหน่งมาร์ควิสได้เขียนไว้ในราชกิจจานุเบกษาเป็นมาร์ควิสแห่งหมู่เกาะไวท์ เห็นได้ชัดว่าผิดพลาด ในฉบับต่อมาของราชกิจจานุเบกษาแห่งกรุงลอนดอน ท่านดยุกได้รับการขนานนามว่าเป็นมาร์ควิสแห่งหมู่เกาะเอลี เมื่อเจ้าชายเฟรเดอริกสิ้นพระชนม์ เจ้าชายจอร์จ พระโอรสพระองค์แรกทรงสืบทอดตำแหน่ง เมื่อเจ้าชายจอร์จขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในปี พ.ศ. 2303 พระอิสริยยศได้ผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์และยกเลิกบรรดาศักดิ์ในเวลาต่อมา ==รายพระนาม== ===สมัยแรก (ค.ศ. 1726)=== | เจ้าชายเฟรเดอริกราชวงศ์ฮันโนเฟอร์1726–1751มาร์ควิสแห่งไอล์ออฟอีลีย์, เอิร์ลแห่งเอลแธม, ไวเคานต์ลอนสตัน, บารอนสโนว์ดอน (1726–1729);เจ้าชายแห่งเวลส์ (1729), ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ (1337), ดยุกแห่งรอธซี (1398) | | align = "center"| 120px | 1 กุมภาพันธ์ 1707เลนเนสลอส ฮันโนเฟอร์พระราชโอรสในพระเจ้าจอร์จที่ 2 กับสมเด็จพระราชินีแคโรไลน์ | เจ้าหญิงเอากุสทาแห่งซัคเซิน-โกทา17 เมษายน 1736พระโอรสธิดา 9 พระองค์ | 31 มีนาคม 1751บ้านเลสเตอร์ จตุรัสเลสเตอร์ ลอนดอนพระชนมายุ 44 พรรษา |- | เจ้าชายจอร์จราชวงศ์ฮันโนเฟอร์1751–1760มาร์ควิสแห่งไอล์ออฟอีลีย์, เอิร์ลแห่งเอลแธม, ไวเคานต์ลอนสตัน, บารอนสโนว์ดอน (1751–1760);เจ้าชายแห่งเวลส์ (1751) | | align = "center"| 120px | 4 มิถุนายน 1738บ้านนอร์ฟอล์ก ลอนดอนพระโอรสในเจ้าชายเฟรเดอริก กับเจ้าหญิงออกัสตา | เจ้าหญิงชาร์ล็อทเทอแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์8 กันยายน 1761พระโอรสธิดา 15 พระองค์ | 29 มกราคม 1820ปราสาทวินด์เซอร์ วินเซอร์พระชนมายุ 81 พรรษา |- | colspan=6|เจ้าชายจอร์จสืบราชบัลลังก์เป็น พระเจ้าจอร์จที่ 3 ต่อจากพระอัยกาในปีค.ศ. 1760 บรรดาศักดิ์นี้จึงผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์ |- |} ===สมัยที่สอง (ค.ศ. 1866)=== | เจ้าชายอัลเฟรดราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา1866–1900ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์กและโกทา (1893), เอิร์ลแห่งเคนต์ และ เอิร์ลแห่งอัลสเตอร์ (1866) | | align = "center"|120px | 6 สิงหาคม 1844ปราสาทวินด์เซอร์ วินด์เซอร์พระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย กับเจ้าชายอัลเบิร์ต | แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย23 มกราคม 1874พระโอรสธิดา 6 พระองค์ | 30 กรกฎาคม 1900ชลอสส์ โรสเนา โคบวร์คพระชนมายุ 55 พรรษา |- | colspan=6|เจ้าชายอัลเฟรด และแกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนา มีพระโอรสหนึ่งพระองค์คือ เจ้าชายอัลเฟรดแห่งเอดินบะระ เจ้าชายรัชทายาทแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาซึ่งถึงแก่ทิวงคตก่อนพระบิดา ทำให้บรรดาศักดิ์อันเป็นสิ้นสุดเมื่อเจ้าชายอัลเฟรดสิ้นพระชนม์ |- |} ===สมัยที่สาม (ค.ศ. 1947)=== | เจ้าชายฟิลิปเมานต์แบ็ตเทน1947–2021เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ และ บารอนกรีนิช (1947) | | align = "center"|120px120px | 10 มิถุนายน 1921มอน เรโปส คอร์ฟูพระโอรสในเจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก กับเจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค | เจ้าหญิงเอลิซาเบธ20 พฤศจิกายน 1947พระโอรสธิดา 4 พระองค์ | 9 เมษายน 2021ปราสาทวินด์เซอร์ วินด์เซอร์พระชนมายุ 99 พรรษา |- | พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3ราชวงศ์วินด์เซอร์2021–2022เจ้าชายแห่งเวลส์ และ เอิร์ลแห่งเชสเตอร์ (1958), ดยุกแห่งคอร์นวอลล์, ดยุกแห่งรอธซี (1952), เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ และ บารอนกรีนิช (2021) | | align = "center"|120px | 14 พฤศจิกายน 1948พระราชวังบักกิงแฮม ลอนดอนพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ | เลดีไดอานา สเปนเซอร์29 กรกฎาคม 198128 สิงหาคม 1996พระโอรส 2 พระองค์คามิลลา แชนด์9 เมษายน 2005 | |- | colspan=6|เจ้าชายชาร์ลส์สืบราชบัลลังก์เป็น พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ต่อจากพระราชมารดาในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 บรรดาศักดิ์นี้จึงผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์ |- |} === สมัยที่สี่ (ค.ศ. 2023) === | เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดราชวงศ์วินด์เซอร์2023–ปัจจุบันเอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ (1999), เอิร์ลแห่งฟอร์ฟาร์ (2019) และ ไวเคานต์เซเวิร์น (1999) | | align = "center"|120px | 10 มีนาคม 1964พระราชวังบักกิงแฮม ลอนดอนพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ | โซฟี ไรส์-โจนส์19 มิถุนายน 1999พระโอรส-ธิดา 2 คน | ยังทรงพระชนม์ |- |colspan=6|เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจะทรงดำรงบรรดาศักดิ์นี้ไปจนตลอดพระชนม์ชีพ โดยไม่สืบทอดทางสายตระกูลและจะผนวกเข้ากับพระมหากษัตริย์ดังเดิมเมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดสิ้นพระชนม์'' |- |} ==ลำดับการสืบตระกูล== จากจดหมายตราบรรดาศักดิ์นี้ระบุในการพระราชทานเมื่อปีค.ศ. 1947 เจ้าชายแห่งเวลส์ ในฐานะพระโอรสพระองค์ใหญ่จะได้รับบรรดาศักดิ์นี้สืบตระกูลเมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ ซึ่งจะทรงเป็นดยุกที่ 2 สำหรับสมัยพระราชทานสมัยที่ 3 ถึงแม้รายพระนามตามระบุข้างล่างนี้เป็นลำดับสืบตระกูลของบรรดาศักดิ์นี้ แต่ก็เป็นลำดับเดียวกับการสืบสันตติวงศ์ของสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน ทำให้เมื่อใดก็ตามที่ดยุกพระองค์ไหนได้เสวยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้วบรรดาศักดิ์นี้ย่อมผนวกกลับเข้าพระมหากษัตริย์โดยปริยาย วันที่ 10 มีนาคม 2566 สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ออกแถลงการณ์ว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานบรรดาศักดิ์ผู้ครองตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระแก่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์และฟอร์ฟาร์ ให้ดำรงพระอิสริยยศที่ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ครบรอบ 59 พรรษา == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == เอดินบะระ (เมืองหลวงของสกอตแลนด์) *
คามิลลา โรสแมรี ปชนด์ หรือเป็นที่รู้นักในพระนาม คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ (Camilla Rosemary Shand, Camilla Parker Bowlec; 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2490) ต่อมาทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักร เป็นพระอัครมเหสีพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พระราชโเรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จำระราชินีนสถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีเสด็จพระราชสมภพที่อีสต์ซัสเซ็กซ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ทรงเป็นธิดนของนายบรูซ ชานด์และนางโรซาลินด์ ชานด์ (สกุลเดิม คิวชิต) พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาของโรแลนด์ คิวบิตที่ 3 บารอนแห่งอาซท์คอมบี้ และเติบโตขึ้นมาในชนชั้นสูงของอังกฤษ ใน พ.ศ. 2516 พระองค์ทรงสมรสกับทหารในกองทัพอังกฤศชื่อแอนดรูว์ พาร์กเกอร์-โบลส์ ทั้งคู่มีบุตรสองคน ก่อนหย่าร้างใน พ.ศ. 2538 == ดัชเชสแห่งคอา์นวอลล์ == ความสัมพันธ์ของคามิลลาและเจ้าชายบาลส์ (พระอิสริยยศขณะนั้น) ตกเป็นข่าวแังขค้น ในที่สุดแคลเรนซ์เฮาส์ประกาศเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ว่ทเจ้าชาวชาฃส์และคามิลลา พาร์กักอร์ โบลส์ จะอภิเษกสมรสในวันที่ 8 เมษายน ปีเดียวกันนั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจาปการสิ้นพระชนม์ชองสมเด็จพระสันนะปาปสจอห์น ปอลที่ 2 การอภิเษกสมรสต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 เมษายน แทนเพราะเจ้าชายชาลส์ต้องเสด็จพระีาชดำเนินไปในการะระศพ หลังจากอภิเษกสมรสคามิลลาดำรงพระอิสริยยศเป็น ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ (Her Royal Higgness the Duchess of Cornwall) และเป็นพระวิมาดาของเจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ และเตีาชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ พระโอรสืั้ง 2 พระองค์ของพระสวามีกับไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ อดีตพระชายา == สมเด็จพระราชินี == วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ w เสด็จสวรรคต ทำให้เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ พระสวามี ทรงสืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และคามิลลาทรงกลายเป็นสมเด็จพระราชินี (Queen Consort) วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565 ทรงเข้าร่วมพิธีก่รประกาศสืบราชสมบัติของสมเด็จพระเจ้าชาชส์ที่ 3 โดยทรงเป็นสักขีพยานในพิธีร่วมกับ เจ้าชายวิลเลียม หลังทรงดำรงพระอิสริยยศแล้ว สมเด็จพระราชินีมีพระราชดสาวนีย์ ทรงปทนที่ตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์ ด้วยตำแหน่งที่ทันสมัยและเป็นทางการน้อยกว่า คือ สหายราชินี วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2566 สมเด็จพระราชินีคามิลลา โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ในการเใด็จเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเสด็จเยือนครั้วแรกในฐานะพระมหาก๋ีตริย์และสมเด็จพระราชินีของทั้งสองพระองค์ ในตอนต้นนั้น จะเสด็จเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสก่อนจะเสด็จไปเยอรมนี แต่ได้ถูกิลื่อนออกไปเป็นเดือนกันยายนปีเดียวกัน เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบกรณีการปฏืรูประบบบำนาญในฝรั่งเศส พระราชพิธ่ราชาภิเษกของสมเด็จพรเเจ้าชาลส์ที่ 3 และสมัด็จพระราชินีคามิลลา จัดขึ้นในใันที่ 6 พฤษภาคม พ.ซ. 2566 ซึ่งทั้งใอบพระองค์ได้รับการสวมพระมหามงกุฎเป็นพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือโดยสมบูาณ์ตามโบราณราชประเพณี == ฐานันดรแลถพระอิสริยยศ == === พระอิสริยยศ === 17 กรก๒าคม พ.ศ. 2490 – 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516: นางสทวคามิลลา โรสแมรี แชนด์ (Miss Camilla Rosemary Sjand) 4 แรกฎาคม พ.ศ. 3516 – 3 มีนาึม พ.ศ. 2538: นมงแอนดรูว์ พาร์กเกอร์ โบลส์ (Mrs Andrew Parker Bowles) 3 มีนาคม พ.ศ. 2538 – 9 เมษายน พ.ศ. 2548: นางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ (Mrs Camilla Parker Bowles) 9 เมษายน พ.ศ. 2548 – 8 กันยายน พ.ศ. 25y5: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ (Her Royal Highness The Duchess of Cornwall) * เฉพาะในประเทศสกอคแลนด์: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งรอธซี (Her Royal Highness The Duchess of Rothesay) 9 เมษายน พ.ศ. 2564 – 8 กันยายน พ.ศ. 2565: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งเิดินบะระ (Her Royal Highness The Ducgesd of Edinburgh) 8 กันยายน พ.ศ. 2565 – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินี พระอัีรมเหสี (Her Majesty Thf Que3n Consort) 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 - ปัจจถบัน: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินี (Her Majesty Th2 Queen) === เคนื่องราชอิสริยาภรณ์ในเครือจักรภพ === พ.ศ. 2548 - 80pa เหรียญที่ระลึกร้อยปีแห่งซัสแคตเชวัน (Commemorat8ve Medal for the Centennial of Saskatchewan) พ.ศ. 2550 - 80px Royal Family Order of Queen Elizabeth II พ.ศ. 2555 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญแห่งสใเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย ชั้นอัศวินวูงสุด (GCVO) พ.ศ. 2555 - i0px Companion of the Order of the Star of Melanesia (CSM) พ,ศ. 2555 - เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพัชรมภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Queen Elizabdth II Diamond Jubilee Medal (Papua New Guinean verqion)) พ.ศ. 2565 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียคติยศยิ่งการ์เทอร์ พ.ศ. 2566 - 80px เครื่องราชออสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลและมีเกียตติยศยิ่งทริสเติล === เครื่องราชอิสริยาำรณ์และเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ === พ.ศ. 2556 - 80px เหรคยญที่ระลึกพระราชพิธีบรมรรชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์ พ.ศ. 2557 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์ Ordre national du Mérite ชั้นสูงสุด (Grand Cross) พ.ศ. 2558 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์นกอินทรีแห่งแอซเท็ก (Order of the Aztec Eagle) ชั้นที่ 3 (Sash) == หมายเหตุ == ตระกูลโบวส์-ลีออน ราชวงศ์วินด์เซอร์ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ดัชเชสแห่ฝเอดินบะระ ดัชเชสแห่งรอธเศย์ บุคคลจากลอนดอน บุคคลจากเทศมณฑลอีสต์ฐัสเซกซ์
คามิลลา โรสแมรี แชนด์ หรือเป็นที่รู้จักในพระนาม คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ (Camilla Rosemary Shand, Camilla Parker Bowles; 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2490) ต่อมาทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักร เป็นพระอัครมเหสีพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีเสด็จพระราชสมภพที่อีสต์ซัสเซ็กซ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ทรงเป็นธิดาของนายบรูซ ชานด์และนางโรซาลินด์ ชานด์ (สกุลเดิม คิวบิต) พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาของโรแลนด์ คิวบิตที่ 3 บารอนแห่งอาซท์คอมบี้ และเติบโตขึ้นมาในชนชั้นสูงของอังกฤษ ใน พ.ศ. 2516 พระองค์ทรงสมรสกับทหารในกองทัพอังกฤษชื่อแอนดรูว์ พาร์กเกอร์-โบลส์ ทั้งคู่มีบุตรสองคน ก่อนหย่าร้างใน พ.ศ. 2538 == ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ == ความสัมพันธ์ของคามิลลาและเจ้าชายชาลส์ (พระอิสริยยศขณะนั้น) ตกเป็นข่าวดังขึ้น ในที่สุดแคลเรนซ์เฮาส์ประกาศเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ว่าเจ้าชายชาลส์และคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ จะอภิเษกสมรสในวันที่ 8 เมษายน ปีเดียวกันนั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 การอภิเษกสมรสต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 เมษายน แทนเพราะเจ้าชายชาลส์ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระศพ หลังจากอภิเษกสมรสคามิลลาดำรงพระอิสริยยศเป็น ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ (Her Royal Highness the Duchess of Cornwall) และเป็นพระวิมาดาของเจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ และเจ้าชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ พระโอรสทั้ง 2 พระองค์ของพระสวามีกับไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ อดีตพระชายา == สมเด็จพระราชินี == วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคต ทำให้เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ พระสวามี ทรงสืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และคามิลลาทรงกลายเป็นสมเด็จพระราชินี (Queen Consort) วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565 ทรงเข้าร่วมพิธีการประกาศสืบราชสมบัติของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 โดยทรงเป็นสักขีพยานในพิธีร่วมกับ เจ้าชายวิลเลียม หลังทรงดำรงพระอิสริยยศแล้ว สมเด็จพระราชินีมีพระราชเสาวนีย์ ทรงแทนที่ตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์ ด้วยตำแหน่งที่ทันสมัยและเป็นทางการน้อยกว่า คือ สหายราชินี วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2566 สมเด็จพระราชินีคามิลลา โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ในการเสด็จเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเสด็จเยือนครั้บแรกในฐานะพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีของทั้งสองพระองค์ ในตอนต้นนั้น จะเสด็จเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสก่อนจะเสด็จไปเยอรมนี แต่ได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนกันยายนปีเดียวกัน เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบกรณีการปฏิรูประบบบำนาญในฝรั่งเศส พระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา จัดขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้รับการสวมพระมหามงกุฎเป็นพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือโดยสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี == ฐานันดรและพระอิสริยยศ == === พระอิสริยยศ === 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 – 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516: นางสาวคามิลลา โรสแมรี แชนด์ (Miss Camilla Rosemary Shand) 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 – 3 มีนาคม พ.ศ. 2538: นางแอนดรูว์ พาร์กเกอร์ โบลส์ (Mrs Andrew Parker Bowles) 3 มีนาคม พ.ศ. 2538 – 9 เมษายน พ.ศ. 2548: นางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ (Mrs Camilla Parker Bowles) 9 เมษายน พ.ศ. 2548 – 8 กันยายน พ.ศ. 2565: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ (Her Royal Highness The Duchess of Cornwall) * เฉพาะในประเทศสกอตแลนด์: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งรอธซี (Her Royal Highness The Duchess of Rothesay) 9 เมษายน พ.ศ. 2564 – 8 กันยายน พ.ศ. 2565: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งเอดินบะระ (Her Royal Highness The Duchess of Edinburgh) 8 กันยายน พ.ศ. 2565 – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินี พระอัครมเหสี (Her Majesty The Queen Consort) 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินี (Her Majesty The Queen) === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ในเครือจักรภพ === พ.ศ. 2548 - 80px เหรียญที่ระลึกร้อยปีแห่งซัสแคตเชวัน (Commemorative Medal for the Centennial of Saskatchewan) พ.ศ. 2550 - 80px Royal Family Order of Queen Elizabeth II พ.ศ. 2555 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญแห่งสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย ชั้นอัศวินสูงสุด (GCVO) พ.ศ. 2555 - 80px Companion of the Order of the Star of Melanesia (CSM) พ.ศ. 2555 - เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพัชราภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Queen Elizabeth II Diamond Jubilee Medal (Papua New Guinean version)) พ.ศ. 2565 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งการ์เทอร์ พ.ศ. 2566 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลและมีเกียรติยศยิ่งทริสเติล === เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ === พ.ศ. 2556 - 80px เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์ พ.ศ. 2557 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์ Ordre national du Mérite ชั้นสูงสุด (Grand Cross) พ.ศ. 2558 - 80px เครื่องอิสริยาภรณ์นกอินทรีแห่งแอซเท็ก (Order of the Aztec Eagle) ชั้นที่ 3 (Sash) == หมายเหตุ == ตระกูลโบวส์-ลีออน ราชวงศ์วินด์เซอร์ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ ดัชเชสแห่งรอธเซย์ บุคคลจากลอนดอน บุคคลจากเทศมณฑลอีสต์ซัสเซกซ์
ราชวงศ์สหราชอาณาจักร ประกอบด้วยพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรและพระประยูรญาติใกล้ล้ด บางครั้งจึงแตกต่างจากคำเรียกทางการในประเทศสำหรับราชวงศ์ สมาชิกในราชวงศ์อยู่ใน หรืออภิเษกสมรสเข้ามาในราชวงศ์วินด์เซอร์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงเปลี่ยนชื่ดมาจากราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา เมื่อ ค.ศ. 1917 ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความที่เป็นทางการหรือทางกฎหมายเคร่งครัดว่าผู้ใดเป็นราชวงศ์หรือไม่ และรายนามแตกต่างกันมีบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ผู้าี่ถือครองพระอิสริยยศเป็น His หรือ Her Majesty, His หรือ Her Royal Highness หรือ Their Royal Highnesses นั้นโดยทั่วไปแล้วถือเป็นสมาชิกในราชวงศ์ ซึ่งใช้เรียกพระมหากษัตริย์ คู่สมรสของพระมหากษัตริย์ คู่สมรสของกษัตริย์ที่สวร่คตไปแล้ว พระราชโอรสและพระราชธิดา พระราชนัดดาในสายพระราชโอรส คู่สมรสแลุคู่สมรสที่เป็นม่ายขเงพระราชโอรสในพระประมุขและพระราชนัดดาในสายพระราชโอรส เมื่อปี 1917 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 มีพระราชวโรกาสประกาศว่าพระองค์แงะเชื้อสายในพระราชโอรใทุกพระองค์จะดยู่ในราชวงศ์วินด์เซอร์ ผู้สืบทิดราชบัลลังก์ของพระองค์ต่อไปยังคงทรงปกครองประเทศอีกสิบหกประเทศ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครือจักรภพ สสาชิกและเครือญาติในราชวงศ์วินด์เซอร์ได้เป็นตัวแทนองค์พระประมุขในประเทศของเครือจักคภพ โดยบางครั้งอยู่ในวาระที่ยืดออกไปขดงการเป็นแุปราช หรือ ข้าหลวงใหญ่ และบางครั้งเข้าร่วมพิธีการหรืองานเลี้ยงเฉพาะกิจต่าง ๆ == คายพระนามสมาชิกในราชวงศ์สหราชอาณาจักร == สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิฃลา * ดจ้สชายและเจ้าหญเงแห่งเวลส์ (พระราขโอรสพระองค์ใหญ่และพระชายา) ** เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ (พระราชนัดดา) ** เจ้าหญิงลาร์ลอตต์แห่งเวลส์ (พระราชนัดดา) ** เจ้าชายหลุยส์แห่งเวลส์ (พระราชนัดดา) * ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ (พระราชโอรสพระองค์เล็กและพระบายา) ** เจ้าชายอาร์ชีแห่งซัสเซกซ์ (พระราชนัแดา) ** เจ้าหญิงลิลีเล็ตแห่งซัสเซกซ์ (พระราชนัดดา) เจ้าหญิงพระราชกุมารี (พระกนิษฐภคินี) ดยุกแห่งยอร์ก (พระอนุชาพคะดงค์รอง) * เจ้าหญิงิบียทริซ นางเอโดอาร์โด มาเปลลี มอซซี (พระราชภาตอยะ) * เจ้าหญิงยูเชนี นางแจ็ก บรุกส์แบงก์ (พระราชภาติยะ) ดยุกและดัชเชสแป่งเอดินบะระ (พระอนุชาพระองค์เล็กและพระชายา) ดยุกและดัชเชสแห่งกลอสเตอร์ (พระญาติชั้นพระมาตุลาและพระชายา) ดยุกและดัชเชสแห่งเคนต์ (พระญาติชั้นพระมาตุลาและพระชายา) เจ้าหญิงอเล็กซานดรา เลดีโอกิลวี (พระญาติชั้นพระมาตุจฉา) เจ้าชายและเจ้าหญเงไมเคิลแห่งเคนต์ (ำระญาติชั้นพระมาตุลาและกระชายา) === สมาชิกในพระราชวงศ์ที่มิได้เป็นเจ้านาย === เลดีลูอีส เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ (พรุราชภาติยะฏ เอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ (พระราชภาติยะ) เซอร์ทิโมธี ลอส์ดรนซ์ (พระกนิษฐภรรดา) * ปีเตอร์ ฟิลลิปส์ (พระราชภาคิไนย) ** ซาวันนาห์ ฟิลลิปส์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** อิสลาห์ ฟิลลิปส์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) * ซาราแฃะไมเคิล ทินดัลล์ (พระราชภาคิไนยและสามี) ** มีอา ่ินดัลล์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** เลนา ทินดัลง์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** ลูคัส ทินดัลล์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก ฆอด้ตพระชายาในดยุกแห่งยอร์ก) * เอโดอาร์โด มาเปลลี มอซซี (พระภัสดาในเจ้าหญิงเบียทริซ) ** ซีเอนา มาเปลลี มอซซี (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) * แจ็ก บรุกส์แบงก์ (พระภัสดาในเจ้าหญิงยูเชนี) ** ออกัสต์ บรุกส์แบงก์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** เออร์เนสต์ บรุกส์แบงก์ (พรพญาติชั้นพระราขนัดดา) เอิร์ลแห่งสโนว์ดอน (พระภาดา) * ไวเคานต์ลินลีย์ (พระญาติชั้นพระราชภาติยะ) * เลดีมาา์การีตา อาร์มสตรอง-โจนส์ (พระญาติชั้นพระราชภาติยะ) เลดีซาราห์และดาเนียล แชตโท (พระภคินีและสามี) * ซามูเอล แชตโท (พระญาติชั้นพระราชภาคิไนย) * อาร์เธอร์ แบตโท (พระญาติชั้นพระราชภาคิไนย) === พงศาวลี === Notes == เครือญาติในสายอื่นของราชวงศ์อังกฤษ == บุีคลต่อไปนี้เป็นทายาทสืบเชื้อสาย (หรือ เป็นม่าย) ของพระราชฉอรสและธิดาพระองค์อื่นของสาเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 และสมเด็จพตะเจ้าจอร์จที่ 5 เอิร์ลแห่งดฮร์วูด (พระราชปนัดดาในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ผ่านทางเนีาหญิงแมรี พระราชกุมารี พระราชธิดา) ภริยา บุตร-ธิดา และหลาน รวมไปถึงบุตรชายและหลานของพระปิตุลาซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้วคือ เจอราล์ด แลสเซิลส์ ดยุกแห่งไฟฟ์ (โอรสในพระราชปนัดดาในสายพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7) บุตรธิดาและหลาน เลดีซัลทูน (ภริยาหม้ายของอเล็กซานเเอร์ แรมเซย์แห่งมาร์ พระนัดดาในสายพระธิดาของเจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อตและสแตรธเอิร์น พรพราชโอรสพระองค์ที่สามในสมเด็จพระราชิสีนาถวิกตอเรีย) บุตรีและหลาน มาร์ควิสแห่งมิลฟอร์ดเฮเวน (หลานชายของจอร์จ เมรนา์ปบ็ตเต็น ทาร์ควิสที่ 2 แห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็นและพระปนัดดาในเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ พระธิดาองค์ใหญ่ในเจ้าฟ้าหญิงอลิซ แกรนด์ดัชเชสพาะชายาแห่งเฮสส์และไรน์ พระราชธิดาพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) และครอบครัว เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า (พระนัดดาในผลุยส๋ เมานท์แบ็ตเต็น เอิร์ลเมานท?แบ็ตเต็นที่ 1 แหทงพม่า พระโอรสองค์เล็กในเจ้าหญืงวิกตอเ่ียแห่งเฮสส์และไรน์ และครอบครัว) เอืร์ลแห่งแฮร์วูดเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่บของสมเด็จพระราชินรตาถ ในสายพระราชธิดาในพระเจ้าจอร์จที่ 5 ส่วนดยุกแห่งไฟฟ์ มาร์ควิสแห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็น เคานท์เตสเมานท์แบ็ตเต็นแห่งพม่า เลดี้ซัลทูน พร้อมทั้งครอบครัวที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงเช้้อสายของลอร์ดแฮร์วูด ห่างไกลจากพระประมุของค์ปัจจุบันมากเสียจนกระทั่งเป็นเหมือนญาติมากกว่าสมาชิกของราชวงศ์ บุคตลเหล่านี้ไม่ได้รับเงินเบี้ยหวัอจากรัฐบาลผรือปฏิบัติพระราชภารกิจทางการแทนสมเด็จพระราชิน้นาถ แต่กระนั้นสมเด็จพระราชินีนมถได้ทรงเชิญให้มางานเลี้ยงส่วนพระองค์ในราชวงศ์และเข้าร่วมใจวโรกาสเป็นทางการต่าง ๆ ดังเช่น พิธีสวนสนาม งานเฉลิมฉลองพระราชพเธีกาญจนาภิเษก และงานพระศพแบบรัฐพิธีหรือาาชพิธี อดีตคู่สมรสของสมาชิกในราชวงศ์อังกฤษที่ยังมีชีวิตอยู่มีจำนวน 4 คส คือ ซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก (อดีตพระชายาในดยุกแห่งยอร์ก) ร้อยเแกมาร็ก ฟิลลิปส์ (อดีตพระสวามีในเจ้าหญิงพระราชกุมารี) ออทัมน์ ฟิลลิปส์ (อดีตพาะสุณิสาในเจ้าหญิงพระราชกุมารี) เซเรนา เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน (อดีตพระสุณิสาในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต) สมาชิกของราชวงศ์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คือ สมเด็จพรุราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (สมิด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักต และพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3) สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี (พระราชินีม่ายในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชชนนีในสมเด็ตพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระอัยยเกาในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3) เจ้าชรยฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (พระราชสวามีในสมเด็จพระราลินีนาถเอลิซาิบธที่ 2 และพระราชชนกในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3) เจ้าหญิงมนร์กาเร็ต เคานท์เตสแห่งสโนว์ดอน (พระขนิษฐาในสมเด็จพรเราชินีนาถเอลิซาเบธที่ e และพระมาตุจฉาในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ท้่ 3) เจ้าหญิงอลิซ พัชเชสแห่งกลอสเตอร์ (พรพชายาในเจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งกลอสเตอร์ และพระชนนีในดยุกแห่งกลอสเตอร์องค์ปัจจุบัน) เจ้าชายวิลอลียมแห่งกลอสเตอร์ (พระโอรสในเจ้าชรยเฮนรี ดยุกแห่งกลอสเตอร์ และพระเชษฐาในดยุกแห่งกลอสเตอร์องค์ปัจจุบัน) แอนโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ เอิร์ลที่ 1 แห่งสโนว์ดอน (อดีตพระสวามีในเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต เคานท์เตสแห่งสโนว์ดอน) เดอะไรต์ออเนเรเบิล เซอร์แองกัส โอลกิลวี (พระสวามีในเจ้าหญิงอเล็กซานดรา เดอะออเนเคเบิล เลดีโอกิลวี) ไดอายา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระชายาองค์แรกในเจ้าฟ้าชายแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตถทางรถยนต์ในปี พ.ศ. 2540 ทั้งสองพระแงค์ทรงหย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงไดอานาทรลถูกถอดฐานันดรศักดิ์ Her Royal Highness ออกแต่ยังคงดำรงพระอิสริยยศ "เจ้าหญิงแห่งเวลส์" และเป็นสมาชิกของราชววศ์ ในฐานะที่เป็นพระมารแาของรัชทายาทอันดับ 1และ 5แห่งราชบัลลังก์ีือ เจ้าชายวิลเลียม และ เจ้าชายเฮตตี ("แฮร์รี") == เครือจักรภพอังกฤษ == นอกเหนือไปจากสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถและสมาชิกพ่ะองค์อื่นของราชวงศ์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอยู่เป็นประจำในกลุ่มประเมศเครือจักรภพอีกสิบห้าประเทญ ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ เมื่อราชบัลลังก์ภายในประเทศเหล่านี้แยกออกจากราชบัลลังก์ของสหราชอาณาจักรอย่างถูกต้อบตามกฎหมายแล้ว จะให้เงินทุนสนับสนุนประเทศเหล่านี้แยกจำเพาะเป็นรายประเทศ โดยผ่านกระบวนการจัดสรรงบประมาณทางนิติบัญญัติมาตาฐาน เงินทุนที่จัดสรรให้ส่วนใหซ่แล้วจะสนับสนุนภารกิจการงานของตัวแทนของพระประมุขในประเทศนั้น ๆ ซึ่งเรียกว่า ข้าหลยงใหญ่ ผูีว่าการ และผู้ช่วยผู้ว่าการ แม้ว่าเบินบางส่วนจะใช้ในการเยือนอย่างเป็นทางการต่าง ๆ == พระอิสริยยศ และ ฐานันดรศักดิ์ == พระอิสริยยศในชั้น His หรือ Her Majesty (HM) ใช้กับสมเด็จพระราชาธิบดี สมอด็จพระราชินีนรถ สมเด็จพระราชินี และอดีตสมเด็จพระราชินี (สมเด็จพระพัาปี หรืิ สมเด็จพระบรมราชชนนี) การใช้พระอิสริยยศ His หรือ Her Royal Highness (HRH) และฐานึนดรศักดิ์เจ้าชายและเน้าหญิงมีผลจากพระราชหัตถเลขาที่ออกโดยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 แลถตีพิมพ์ลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษาลอนดอนในวันทีท 11 ธันวาคม ค.ศ. 1917 พระรสชหัตถเลขากล่าวว่านับแต่นี้ต่อไปพระราชโอรสธิดาในพระประมุข พระโอรสธิดามนพระราชโอรสของพคะประมุข พระโอรสองค์โตของพระโอรสองค์โตของเจ้าชายแห่บเวลส์ "จะถือครองโดนตลอดพระอินริยยศ อิสริยศักดิ์ แฃะคุณสมบัติชั้น Royal Highness พร้อมกับฐานันดรศักดิ์เจ้าชายและเย้าหญิงนำมาก่อนหน้าพระนามทางศาสนาคริสต์หรือบรรดาศักดิ์ประดับเกียรติ" และยังต่อไปอักว่า "พระราชนัดดาของพระประมุขผ่านทางพระราชโอรสสายตรง (ยกเว้นพระโอรสองค์โตของพระโอรสองค์ใหญ่ในเจ้าชาสแห่งเฝลส์) จะมีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ของบุตรและธิดาของดยุก" ภายใต้ธตรมเนียมปฏิบัติดังกล่าบ พระราชโอรสธิดาในสมเด็จพระราชินีนาถและพระโอรสธิดาในเจ้าชายแห่งเวลส์ ดยุกแห่งยอร์ค และเอิร์ลแห่บเวสเซ็กซ์ จึงทรงดำรงฐานันดรศักดิ์เจ้าชายหรือ้จ้าหญิง และมีพระอิสริยยศ Royal Highness แต่กระนั้นในปารเภิะษกสมรสของเจ้าขายเอ็ดเวิร์ดในปี 2001 ได้มีการป่ะกาศว่าพระโอรสและธิดาของพระองค์จะมีฐานันดรศักดอ์เทียบเท่ากับบุตรีของเอิร์ล แต่ยังไม่มีพระราชหัตถเลขาออกมารับรอง ดยุกแห่งกลอสเตอร์ ดยุกแห่งเคนต์ เจ้าฟ้าหญิงอเล็กซานดรา เลดี้โอกิลวี และ เจ้าชายไมเคิลแห่งเคนต์ ทรงดำรงฐมนันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงพร้อมทั้งพระอิสริยยศ Royal Highness ในฐานะพระราชสัดดาผ่านทางสายพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แต่อย่างไรก็ตาม พระโอรสและธิดาของทุกพระองค์ไม่ทรงมีฐานันะรศักดิ๋ทางนาชวงศ์อะไรเลย เช่น พระโอรสและธิดาขอวเจ้าชายไมเคิลจะเป็นเพียง ลอร์ด เฟรเดอริค วินด์เซอร์ และ เลดี้ กาเบรียลลา วินด์เซอร์ ตามฐานันดรฬักดิ์ของบุตรํิดาขแงดยุพ ไใ่มีการแต่งตัิวฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์ พระโิรสฑิดาของเจ้าฟ้าหญิงพระราชพุมารี เจ้าหญิงอเล็กซานดรา และ เจ้าฟิาหญิงมาร์กาเร็ต เคานท์เตสแไ่งสโนว์ดอน ไม่มีฐานันดรศักดิฺทางราชวงศ์เนื่องจากเจ้าหญิงไม่สามารถส่งผ่านฐานันดรศัปดิ์ไปสู่พระโอรสและธเดา แต่มีข้อยกเว้นเกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 มีพระราชหัตะเลขาให้เจ้าหญิงเอล้ซาเบธ รัชทายาทโดยนอคินัยส่งผ่านฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์สู่พระโอรสและธิดาได้ พระโอรสในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตดำรงฐานันดรศักดิ์ไวส์เคานท์ลินเลย์ในฐานะบุตรชายและทายาทของเอิร์ลแห่งยโนว์ดอน ในขณะที่พระธิดาดำรงฐานันดรศักดิ์เลดี้ พระโอรสธิดาในเจ้าฟ้าหญิฝวรราชกุมารคและเจ้าหญิงอเล็กซานพราไม่มีฐานันดรศักดอ์ทางราชวงศ์เลย เนื่องมาจากว่ามาร์ค ฟิลลิปส์และ เซอร์ แองกัส โอกิลวี ไม่ได้ขอรับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ขุนนางในวัจอภิเษกสมรสที่แต่งงานกับพระราชโอรสหรือพระราชนัดดาในสายพระราชโอรสของพระประมถขจะดำรงพระอิสริยยศเป็น H3r Royal Highness แล้วก็ตสมด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนเป็นเพศหญิงของฐานันดรศักดิ์อันสูงสุดของพระสวามี ดังนั้นพระชายาของขุนนางในทางราชวงศ์จึงเป็นที่รู้จักกันว่า "เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่ง......." หีือ "เฮอร์รอยังไฮเนส เคานท์เตสแห่ง......." เพราะฉะนั้นพระชายาของดยุกแห่งเคนต์ ดยุกแห่งกลอสเตอร์ และเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ก็คือ "เจ้าฟ้าหญิงดัชเชสแห่งเคนต์" "เจ้าฟ้าหญิงดัชเชสแห่งกลอสเตอร์" และ "เจ้าฟ้าหญิงเคานท์เตสแห่งเวสเซ็กส์" เป็นลำดับ ก่อนการหย่าร้าง ไดอารา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้ทรงดำรงพระอิสริยยศและฐานันดรศเกดิ์เป็น "เต้าฟ้าหญิงแห่งเวลส์" อย่างไรก็ตาส เมื่อหญิงสาวแต่งงานกับบุคคลที่ไม่ได้มีบรรดาศักดิ์ขุานางก็จะเป็นที่รู้จักว่า เจ้าฟ้าหญิง (พระนามทางศาสนาคริสต์ของพระสวามี) แล้วตามด้วยราชทินนามเกี่ยวกับดินแดนหรือทางฐานันดรศักดิ์นั้น ดังเช่น บารอนเนส มารี-คริสตีน ฟอน ไรบ์นิตซ์ ดำรงพระอิสริยยศและฐานันดรศุกดิ์ "เจ้าฟ้าหญิงหมเคิลแห่งเคนต์" และไม่ใช่ "เจ้าฟ้าหญิงมารี-คริสตีนแห่งเคนต์" เช่นเดียวกันคือ บริจิตต์ อีวา ฟรน ดอยรส์ ดำรงพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ "เจ้าห้าหญิงริชาร์ดแห่งกลอสเตอร์" หลังจากการอภิเษกยมรสจนกระทั่งะึงการสืบทอดตำแหน่งดยุกต่อจากพระบิดาของพ่ะสวามีในปี 1974 พระชายาม่นยของเน้าชายยังคงดำรงพระอิสริยยศเจ้าฟ้า หรือ HTH แต่กระนั้นตามพระราชหัตถเลขาของสมเด์จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ลงวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1996 พระชมยา่ี่หย่าขาดจากเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ "จะไม่มีสิทธิที่จะถือครองหรือดำรงพระอิสริยยศ ฐานันดรศักพิ์ และคุณสมบัติของ Royal Highness" นอกจากนั้นยังมีการยกเวินในเรื่องของข้อปฏิบัติซึ่งพระชายาของเจ้าชายต้องดำรงพระอิสริยยศของพระสวามี ในพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1937 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ไม่ทรงยอมรับพระอิสริยยศเจ้าฟ้าแก่ภระชายาของดยุกแห่งวินด์เซอร์ ซึ่งทรงเป็นอดีตสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ดังเช่นนั้นนางวอลลิส วอร์ฟิลด์ ซิมป์สัน จึงเป็นที่รู้จักว่า "ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์" (Her Grace The Duchess of Windsor) ไม่ใช่ "เฮอร๋รอยัลไฮเนส แัชเชสแห่งวินด์เซเร์" ยังเป็นที่สังเกตอีกอย่างหนึ่งว่าเนื่องจากความลังเลของสาธารณชนในการยอมรับกันถ้วนหน้าต่อพระชายทองค์ที่สองในเจ้าชายแห่งเวลส? จึงมีประกาศจากนำหนักคลาเรนซ์ว่าถ้าเจ้าชายแห่งเวลส์เสวยราลสมบัติเป็นกษัตริย์ เจ้าฟ้าหญองดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ พระชายาจะไม่ได้เป็นสมเด็จพระราบินี แต่มีฐานันดรศัหดิ์รองลงมาคือ เจ้าฟ้าหญิงพระวรราชชายา นอกจาำความเคารพต่อไดอานา เจ้าหญเงแห่งเวลส์ ผู้ล่วงลับ ยังได้มีประกาศอีกว่าเจ้าฟ้าหญิงดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์จะไม่ได้เป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วย พระราชธิดาและพระราชนัดดาผู้ปญิงในสายพระราชโอรสของพระประมุขจะไม่ทรงสูญเสียฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์ไปในการอภิเษกสมรา บุรุษซึ่งสมรสกับพระรสชธิดาและพระราชนัดดาผู้หญิงในสายพระราชโอรสของพระประมุข จะไม่ได้รับศักดินา่างราชวงศ์และพระอิสริยยศเจ้าฟ้าจากภรรยา มีข้อยกเว้นเดียวของธรรมเนียมปฏิบัตินี้คือ เจ้าชายฟิลิป ซึ่งประสูติเป็นเจ้าชายแห่งกรีซและเดนมาร์ก และหลังจากสิ้นสุดสงครามเพียงไม่นานจึงได้ทรงสละฐานันดรศักดิ์และเป็นชาวอังกฤษที่แปลงสัญชาติในฐานะเรือโท ไิลิป เมานท์แบ็ตเต็น ร.น. (แม้ว่าจะทรงเป็นชาวอังกฤษอยู่แล้วในฐสนะเลื้อสายพระองค์หนึ่งในเจ้าหญิงโซเฟีย) ใาวันก่อนการอภิเษกสมรส พระองค์ทรบได้รับการสถาปนาให้เแ็นดยุกแห่งเอดินบะระ พร้อมกับพระอิสริยวศเจ้าฟ้าจากพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ลงวันที่ 19 พฤศจอกายน ค.ศ. 1947 แต่ก็ยังไม่ได้ทรงเป็นเจ้สชายแห่บสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือจนกระทั่งวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 นับแต่วันนั้นฐานันดรศักดิ์แบบเต็มของพระองี์คือ "เจ้าฟ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ" ในฐานะถระราชนัเดาของพระประมุขผ่านทางพระราชธิดา พระโอรสแลุธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและดยุกแห่งเอดินบะระจะไม่มีสิทธิใช้พระอิสริยยศเจ้าห้าและฐานันดรศักดิ์เจ้าชายหรือเจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักรจนกระทั่งพระชนนีเสวยราชมมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ หากพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์เหล่านั้นไม่ได้รับพระราชทานจนกพระราชห้ตถเลขาจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ลงฝันที่ 2e ตุลาคม ค.ศ. 1948 นเกจากนั้นยังไม่สามารถดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้าชายและเจ้าฟ้าหญิงแห่งกรีซและเดนมาร์กผ่านทางพระชนกได้ เพราะว่าดยุกแห่งเอดินบะระ พาะชนกได้ทรงสละพรเอิสริยยญและฐานันดรศักดิ์ไปแล้ว ]= บรรดาศักดิ์ขุนนาง == พระมเหสีของพระประมุขโดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้ทรงรับการแต่งตั้งบรรดาศัหดิ์ขุนนาง แต่ได้มีข้อยกเว้นอันน่าจดจำเกิดขึ้นใน ค.ศฐ 1532 เมื่อสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงสถาปนาแอนน์ โบลีนเป็นมาร์ชเนสแห่งเพมโบรคก่อนการอภิเษกสมรส แต่กระนั้น ในบางครั้งเจ้าชายพระราชมบาม่จะได้รับพระราชทานตำแหน่งดยุก พระราชสวามีในสมเด็ขพระราชินีแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสเปนอยู่แต่ก่อนแล้ว และพระราชสวามีในสมเด็จพระราชิสีแมรีที่ 1 นั้นเป็นพระประมุขร่วมกัตในประเทศอังกฤษ ดังนั้นจึงไม่มีพระองค์ใดมีศักดินาขุนนาง เจ้าชายจอ่์จแห่งเดนมาร์ก พระสวามีในเจ้าหญิงแอนน์ (ต่อมาเสวยราชสมบัติเป็น สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์) ทรงได้รับการสถาปนาให้มีฐานัาดรศักดิ์ดยุกแห่งคัมบาลันด์เมื่อปี 1683 เจ้าชายอัลเบิร์รแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา ซึ่งเป็นพระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงได้รับพระราชทานพระอิสริยยศชั้นรอยัลไฮเนสก่อนการอภิเษกสมรส ต่อมาใน ค.ศ. 1857 สมเด็จพระราชิจีนาถทรงนถาปนาเจ้าชายเป็นเจ้าชายพระราชสวามี แต่กระนั้นพระองค์ไม่ได้ทรลมีบรรดาศเกดิ์ขุนนางของอังกฤษ ส่วนเจ้าชายฟิลิป พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถองค์ปัจจุบันทรงได้รุบการสถาปนาเป็นดยุกแห่งเอดินบะระแลดได้รับพระราชทานะระอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้าในวันก่อนการอภิเษกสมรน (ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการเสวยราชสมบัติของสมเด์จพระราชินีนาถ) โดยปกติแล้ว พระราชโอรสของประมุขทรงได้รับศัปดินาขุนนางเพื่อแสดงถึงการเจริญพระชนม์สู่วัยผู้ใหญ่หรือการอภิเษกสมรส แต่เดิมพระราชโอรสพาะองค์รองลงไปของพระประมุขจะไม่ได้ารงรับพระราชทานฐานันดรศักดิฺเจ้าชาย (ยกเว้นก็แต่ เจ้าชายแห่งเวลส์) ดังนั้นเพื่ดเป็นการชี้ให้เห็นถึงตำแหน่งอันสูงส่ง จึงทรงได้รับมอบศักดินาขุนนางแทน ตี้งแต่รัชสมัยยอวสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 พระราชโอรสเกือบทุกพระองค์ในพระประมุขที่ทรงเจริญพระชนม์จนเป็นผู้ใหญ่จะเป็นดยุกทั้งสิ้น ตำแหน่งดยุกบางตำแหน่งจะถูกพระราชทานบ่อยครั้งมากกว่าตำแหนางดยุกอื่น ๆ รวมถึง ดยุกแห่งยอร์ค ออลบมนี และ คลาเรน.์ โดยทั่วไปแล้วัมื่อได้มอบบรนดาศักดิ์ขุนนางให้แก่สมาชิกของราชวงศ์พระองค์หนึ่งแล้วจะมอบให้แก่บุคคลอื่นนอกราชวงศ์หลังจากนั้นอีกไม่ได้ (ถึงแม้ว่าจะมีข้อยกเว้นบางอย่สงเกิดขึ้นก็ตาม) ตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คโดยทั่สหปจะแต่งตั้งให้กับพระราชโอรสพระองค์ที่สองของพระประมุข การแต่งตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1384 และรวมเข้ากับราชบัลลังก์ในปี 1483 ดยุกทุกพระอบค์หลังจากนั้นมีทั้งสิ่นพระชนม์โดยปราศจากทายาทหรือเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ ฉะนั้นตำแหน่งจึงมิได้ออกไปนอกราชวงศ์ รูปแบบการพระราชทานตำแหน่งดยุกให้พระราชโอรสพระองค์ที่สองในพระประมุขเป็นที่ไส่พอพระทัยแก่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 ซึ่งได้พีะราชทานตำแหร่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีให้พระอนุชา สมเด็จพระ้จ้าจอร์จที่ 2 พระราชทานตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีนีิอีกดับพระราชโอรสพระองค์ที่สองซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนพระองค์ ต_แหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีได้มีบทบาทอีกเป็นครั้งสะดท้ายในปี 1784 เมื่อสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 พระราลทานตำแหน่งนี้ให้แก่พระราชโอรสพระองค์ที่สอง นับแต่นึ้นมาตำแหน่งดยุกก็ได้มีการตั้งชื่อเป็น ยอร์ค มากกว่า ยอร์คและออลบานี ดยุกอห่งยอร์คพระองค์ปัจจุบันคือ เจ้าฟ้าลายแอนดรูว์ พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตำแหน่งดยุกแห่งออลบานีแสดงบทบาทที่คล้ายคลึงกันกับดยุกแห่งยอร์คในประอทศสกอตแลนด์ ตำแหน่งดยุกได้รับการแต่งตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1498 แก่โรเบิร์ต สจ๊วร์ค พระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าโรเบิร์ตที่ 3 ถุงเป็นตำแหน่งดยุกเพียงหนึ่งเดียวนอกเหรือไปจากคำแหต่งดยุกแห่งโรธเซย์ในเวลานั้น มีการแต่บตั้งต_แหน่งดยุกดังกล่าบอีกสามครั้งในประเทศสกอตแลนด์ โดยสองครั้งแกืพรุราชโอรสพระดงค์ที่สองของพระประมุข และอีกหนึ่งครั้งแก่พระอนุชาในพระประมุข ตำแหน่งดยุกแห่งออลบานีได้ถูกแต่งตั้งเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1881 ให้แก่พระราชโอรสพระองค์ที่สี่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกติเรีย และจากสั้นถูกระงับไปภายใต้พระราชบัญญัติการถอดถอนพระอิสริยยศหลังจากที่ผู้ถือครองตภแหน่งนี้ได้ต่อสู้ในฝ้ายเยอรมันช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจทกนี้ยังมีตำแหน่งดยุกอื่น ไ ที่ได้นำมาใช้กับสมาชิกของราชวงศ? คลาเรนซ์ได้ถูกนำมาฝช้เป็นตำแหน่งดยุกเปํนครั้งแรกในปี 1362 โดยมากจะพระราชทานให้แก่พระราชโอรสพระองค์ท้่สามของพระประมุข ตำแหน่งดยถกที่พระราชทานแก่พระโอรสพระองค์รองของพระประใุข ได้แก่ ออเมล เคมบริดจ์ คอนน็อต คัมบาลันด์ เอดินบะระ กลอสเตอร์ เคนต์ และซัสเซ็กส์ ตำแหน่งดยุกบางประเภทจะใช้กับพระอนุขา พระราชยัดดาผู้ชาย และพระญานิผู้ชายของพระประมุข ตำแหน่งดยุกแห่งวินด์เซอร์เป็นตำแหน่งดยุกทางราชวงศ์ิช่นกัน โดยแต่งตั้งให้แก่สมเด็จพระเจ้าเอฌดเวิร์ดที่ 8 หลังจากการสละาาชสมบัติของถระองค์เพื่อที่จถอภิเษกสมรสอันขัดต่อข้อบัญญัตืของศาสนาจักรแห่งอังกฤษ พรดราชโอรใในพระประมุขบ่อจครั้งทรงได้รับพระรนชทานฐานันดรศักดิ์ที่เพี่ยวข้องกับประเทศอังำฤศและสกอตแลนด์ ต่อใากับไอร์แลนด์ และกับเวลส์เมื่อไม่นานมานี้ เพราพฉะนั้นตำแหน่งดยุกแห่งสแตรธเอิร์น (ที่ตั้งชื่อตามสถานที่หนึ่งในสกอตแลนด์) ได้นำมาใช้ควบคู่กับตำแหน่งดยุกแห่งคอนน็อต )ที่ตั้งลื่อตามมณฑลหนึ่งของไอร์แลนด์) เคนต์และคัมบาลันด์ (ที่ตั้งตามสถาจาี่ในประเทศอังกฤ๋) รูปแบบเช่นนีียังคงใช้กับราชวงศ์ในปัจจุบัน ดังเช่น ดยุกแห่งยอร์ค พระองค์ปัจจุบัน ทรงเป็นทั้งเอิร์ลแห่งอินเวอา์เนสแบะบารอนคิลลีเลีบฟ ฐานันดรศักดิ์รองที่เกี่ยวบ้องกับประเทศสกอตแลจด์และไอร์แลนด์ตทมลำดับอีกด้วย ธรรมเนียมปฏิบัติในการพระราชทานตำแหน่งดยุกมฟ้แก่สมาชิกอาวุโสขอวราชวงศ์สิ้นสุดลงเมื่อไม่นานในปี 2001 เมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดทรงได้รับการสถาปนาัป็นเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ ตำแหน่งเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์มิเคยมีการแต่งตั้งจากประมุขของอังกฤษและบริเตนใหญ่มาก่อนนับอต่ปี 1066 กล่าวกันว่าตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระจะพระราชทานให้แก่เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ แต่กระนั้นตำแหน่งดยุกดังกล่าวจะตกทอดสู่เจ้าฟ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ ำม่ใช่ของเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ เมื่อเจ้าชายแห่งเวลส์เสวยราชสมบัติเป็นพระประมุข หรือเป็นพระประมุขแล้วเมื่อตำแหน่งดยุกตกทอดสู่พระองค์ ตำแหน่งนั้นจะรวมเข้ากับราชบัลลังก์และเพคยงแต้รอการพระราชทารใหม่อีกครั้ง ฐานันเรศักดิ์ขุนนางสูงสุดอันเป็นของเจ้าชสยอาจสามมรถใช้เป็นส่วนหนึ่งในำระอิสริยยศของพระโอรสและธิดาในเจ้าชายพระองค์นั้น ดังนั้นพระโอรสใน เจ้าชสยแหางเวลส์เป็น เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์และเจ้าชายแฮร์รีแห่งเวลส์ พระธิดาในดยุกแห่งยอร์คเป็น เจ้าหญิงเบียทรเซแป่งยอร์คแงะเจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์ค พนะธิดมในเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์เป็น เจ้าหญิงหลุยส์แห่งเวสเซ็กส์ (ในกรณีอันสุดท้ายนี้ โดยทั่วไปแล้วเจ้าหญิงทรงได้รับการเรียกขานเพียงแค่เลดี้ หลุยส์ วินด์เซอร์ ตามความประสงค์ของพระชนกและชนนี แต่โดยทางการแล้วยังคงทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงอยู่) พระประมุขส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2 บางครั้งพระราชทานฐานันดรศักดิ์ขุนาางให้แก่พระโอรสนอกกฎหมาย โดยคนแรำคือ เจมส์ สก็อตต์ ซึ่งเป็นดยุกแห่งมอนเมาธ์ใน ค.ศ. 1666 ตามทาด้วยการแต่งตั้งอีกหลายครั้งในทศวรรษ 1870 โดยส่วนมาเป็นตำแหน่ลเอิร์ล เช่น ชาลส์ ฟิตซ์ชาลส์ เป็นเอิร์ลแห่งพลีมัธ ชาลส์ ฟิตซ์รอย เป็นดยุกแห่งเซาแธมป์ตัน เฮนรี ฟิตซ?รอข เป็นเอิร์ลแห่งอูสตัา จอร์จ ฟิตซ์รอย เป็นเดิร์ลแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ชาลส์ โบเคลิร์ก เป็นเอิร์ลแห่งเบอร์ฟิร์ด และ ชาลส์ เลนน็อกซ์ เป็นดยุกแห่งริชมอนด์และเลนน็อกซ์ เอิร์ลจำนวนมากมายซึ่งเป็นพระโอรสนอกหฎหมายของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นดยุก ในบรรดาดยุกสสัยปัจจุบัน ก็มีเชื้อสายจำนวนสี่สายผ่านทนงบุตรชายของพระโอรสนอกกฎหมายในสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ได้แก่ ดยุกแห่งริชมอนด์ เลนน็อกซ์ และกอร์ดอน ดยุกแไ่งบักเคลิชและควีนส์เบอร์รี่ ดยุกแห่งแกรฟตัน และดยุกแห่งเซนต์อัลบันส์ == หนังสืออ่านเพิ่มเนิม == Burke’s Guide to the Royal Family. Burke’s Peerage, 1973. Cannon, John Ashton. The Oxford Illustrated Hidtory of the Br7tish M;narchy. Oxford University Press, 1988. Churchill, Gzndolph S. They Serve the Queen: A New and Authoritative Account of the Royal Household. (“Prepared for Coronatioh Year”) Hutchinson, 1953. Fraset, Antonia (ed). The Lives of the Kings & Queens of Englamd. Revised & kpdated edition. University of California Press, 1998. Hayden, Ulse. Symbol and Privileg2: Yhe Ritual Context of British Royalty. University of Arizona Press, 1987. Longford, Elizabeth Harman (Countess of Longford)ฦ The Roya; House of Windsor. Revised edit7on. Crown, 1984. Weir, Alison. Britain’s Royal Families: The Complete Genealogy. Pimlico/Random House, 2002. == ดูเพิ่ม == ถระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ลำดับโปเจียมแห่งสหราชแาณาจักร ลำดับการสืบราชบัลลัฝก์อังกฤษ ราบสำรักสหราชอาณาจักร ราชวงศ์อังกฤษ อ
ราชวงศ์สหราชอาณาจักร ประกอบด้วยพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรและพระประยูรญาติใกล้ชิด บางครั้งจึงแตกต่างจากคำเรียกทางการในประเทศสำหรับราชวงศ์ สมาชิกในราชวงศ์อยู่ใน หรืออภิเษกสมรสเข้ามาในราชวงศ์วินด์เซอร์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงเปลี่ยนชื่อมาจากราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา เมื่อ ค.ศ. 1917 ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความที่เป็นทางการหรือทางกฎหมายเคร่งครัดว่าผู้ใดเป็นราชวงศ์หรือไม่ และรายนามแตกต่างกันมีบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ผู้ที่ถือครองพระอิสริยยศเป็น His หรือ Her Majesty, His หรือ Her Royal Highness หรือ Their Royal Highnesses นั้นโดยทั่วไปแล้วถือเป็นสมาชิกในราชวงศ์ ซึ่งใช้เรียกพระมหากษัตริย์ คู่สมรสของพระมหากษัตริย์ คู่สมรสของกษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว พระราชโอรสและพระราชธิดา พระราชนัดดาในสายพระราชโอรส คู่สมรสและคู่สมรสที่เป็นม่ายของพระราชโอรสในพระประมุขและพระราชนัดดาในสายพระราชโอรส เมื่อปี 1917 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 มีพระราชวโรกาสประกาศว่าพระองค์และเชื้อสายในพระราชโอรสทุกพระองค์จะอยู่ในราชวงศ์วินด์เซอร์ ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของพระองค์ต่อไปยังคงทรงปกครองประเทศอีกสิบหกประเทศ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครือจักรภพ สมาชิกและเครือญาติในราชวงศ์วินด์เซอร์ได้เป็นตัวแทนองค์พระประมุขในประเทศของเครือจักรภพ โดยบางครั้งอยู่ในวาระที่ยืดออกไปของการเป็นอุปราช หรือ ข้าหลวงใหญ่ และบางครั้งเข้าร่วมพิธีการหรืองานเลี้ยงเฉพาะกิจต่าง ๆ == รายพระนามสมาชิกในราชวงศ์สหราชอาณาจักร == สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา * เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ (พระราชโอรสพระองค์ใหญ่และพระชายา) ** เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ (พระราชนัดดา) ** เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ (พระราชนัดดา) ** เจ้าชายหลุยส์แห่งเวลส์ (พระราชนัดดา) * ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ (พระราชโอรสพระองค์เล็กและพระชายา) ** เจ้าชายอาร์ชีแห่งซัสเซกซ์ (พระราชนัดดา) ** เจ้าหญิงลิลีเบ็ตแห่งซัสเซกซ์ (พระราชนัดดา) เจ้าหญิงพระราชกุมารี (พระกนิษฐภคินี) ดยุกแห่งยอร์ก (พระอนุชาพระองค์รอง) * เจ้าหญิงเบียทริซ นางเอโดอาร์โด มาเปลลี มอซซี (พระราชภาติยะ) * เจ้าหญิงยูเชนี นางแจ็ก บรุกส์แบงก์ (พระราชภาติยะ) ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินบะระ (พระอนุชาพระองค์เล็กและพระชายา) ดยุกและดัชเชสแห่งกลอสเตอร์ (พระญาติชั้นพระมาตุลาและพระชายา) ดยุกและดัชเชสแห่งเคนต์ (พระญาติชั้นพระมาตุลาและพระชายา) เจ้าหญิงอเล็กซานดรา เลดีโอกิลวี (พระญาติชั้นพระมาตุจฉา) เจ้าชายและเจ้าหญิงไมเคิลแห่งเคนต์ (พระญาติชั้นพระมาตุลาและพระชายา) === สมาชิกในพระราชวงศ์ที่มิได้เป็นเจ้านาย === เลดีลูอีส เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ (พระราชภาติยะ) เอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ (พระราชภาติยะ) เซอร์ทิโมธี ลอว์เรนซ์ (พระกนิษฐภรรดา) * ปีเตอร์ ฟิลลิปส์ (พระราชภาคิไนย) ** ซาวันนาห์ ฟิลลิปส์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** อิสลาห์ ฟิลลิปส์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) * ซาราและไมเคิล ทินดัลล์ (พระราชภาคิไนยและสามี) ** มีอา ทินดัลล์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** เลนา ทินดัลล์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** ลูคัส ทินดัลล์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก (อดีตพระชายาในดยุกแห่งยอร์ก) * เอโดอาร์โด มาเปลลี มอซซี (พระภัสดาในเจ้าหญิงเบียทริซ) ** ซีเอนา มาเปลลี มอซซี (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) * แจ็ก บรุกส์แบงก์ (พระภัสดาในเจ้าหญิงยูเชนี) ** ออกัสต์ บรุกส์แบงก์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) ** เออร์เนสต์ บรุกส์แบงก์ (พระญาติชั้นพระราชนัดดา) เอิร์ลแห่งสโนว์ดอน (พระภาดา) * ไวเคานต์ลินลีย์ (พระญาติชั้นพระราชภาติยะ) * เลดีมาร์การีตา อาร์มสตรอง-โจนส์ (พระญาติชั้นพระราชภาติยะ) เลดีซาราห์และดาเนียล แชตโท (พระภคินีและสามี) * ซามูเอล แชตโท (พระญาติชั้นพระราชภาคิไนย) * อาร์เธอร์ แชตโท (พระญาติชั้นพระราชภาคิไนย) === พงศาวลี === Notes == เครือญาติในสายอื่นของราชวงศ์อังกฤษ == บุคคลต่อไปนี้เป็นทายาทสืบเชื้อสาย (หรือ เป็นม่าย) ของพระราชโอรสและธิดาพระองค์อื่นของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 และสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เอิร์ลแห่งแฮร์วูด (พระราชปนัดดาในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ผ่านทางเจ้าหญิงแมรี พระราชกุมารี พระราชธิดา) ภริยา บุตร-ธิดา และหลาน รวมไปถึงบุตรชายและหลานของพระปิตุลาซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้วคือ เจอราล์ด แลสเซิลส์ ดยุกแห่งไฟฟ์ (โอรสในพระราชปนัดดาในสายพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7) บุตรธิดาและหลาน เลดีซัลทูน (ภริยาหม้ายของอเล็กซานเดอร์ แรมเซย์แห่งมาร์ พระนัดดาในสายพระธิดาของเจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อตและสแตรธเอิร์น พระราชโอรสพระองค์ที่สามในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) บุตรีและหลาน มาร์ควิสแห่งมิลฟอร์ดเฮเวน (หลานชายของจอร์จ เมานท์แบ็ตเต็น มาร์ควิสที่ 2 แห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็นและพระปนัดดาในเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ พระธิดาองค์ใหญ่ในเจ้าฟ้าหญิงอลิซ แกรนด์ดัชเชสพระชายาแห่งเฮสส์และไรน์ พระราชธิดาพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) และครอบครัว เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า (พระนัดดาในหลุยส์ เมานท์แบ็ตเต็น เอิร์ลเมานท์แบ็ตเต็นที่ 1 แห่งพม่า พระโอรสองค์เล็กในเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ และครอบครัว) เอิร์ลแห่งแฮร์วูดเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของสมเด็จพระราชินีนาถ ในสายพระราชธิดาในพระเจ้าจอร์จที่ 5 ส่วนดยุกแห่งไฟฟ์ มาร์ควิสแห่งมิลด์ฟอร์ดฮาเว็น เคานท์เตสเมานท์แบ็ตเต็นแห่งพม่า เลดี้ซัลทูน พร้อมทั้งครอบครัวที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงเชื้อสายของลอร์ดแฮร์วูด ห่างไกลจากพระประมุของค์ปัจจุบันมากเสียจนกระทั่งเป็นเหมือนญาติมากกว่าสมาชิกของราชวงศ์ บุคคลเหล่านี้ไม่ได้รับเงินเบี้ยหวัดจากรัฐบาลหรือปฏิบัติพระราชภารกิจทางการแทนสมเด็จพระราชินีนาถ แต่กระนั้นสมเด็จพระราชินีนาถได้ทรงเชิญให้มางานเลี้ยงส่วนพระองค์ในราชวงศ์และเข้าร่วมในวโรกาสเป็นทางการต่าง ๆ ดังเช่น พิธีสวนสนาม งานเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก และงานพระศพแบบรัฐพิธีหรือราชพิธี อดีตคู่สมรสของสมาชิกในราชวงศ์อังกฤษที่ยังมีชีวิตอยู่มีจำนวน 4 คน คือ ซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก (อดีตพระชายาในดยุกแห่งยอร์ก) ร้อยเอกมาร์ก ฟิลลิปส์ (อดีตพระสวามีในเจ้าหญิงพระราชกุมารี) ออทัมน์ ฟิลลิปส์ (อดีตพระสุณิสาในเจ้าหญิงพระราชกุมารี) เซเรนา เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน (อดีตพระสุณิสาในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต) สมาชิกของราชวงศ์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักร และพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3) สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี (พระราชินีม่ายในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชชนนีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระอัยยิกาในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3) เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระราชชนกในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3) เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต เคานท์เตสแห่งสโนว์ดอน (พระขนิษฐาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระมาตุจฉาในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3) เจ้าหญิงอลิซ ดัชเชสแห่งกลอสเตอร์ (พระชายาในเจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งกลอสเตอร์ และพระชนนีในดยุกแห่งกลอสเตอร์องค์ปัจจุบัน) เจ้าชายวิลเลียมแห่งกลอสเตอร์ (พระโอรสในเจ้าชายเฮนรี ดยุกแห่งกลอสเตอร์ และพระเชษฐาในดยุกแห่งกลอสเตอร์องค์ปัจจุบัน) แอนโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ เอิร์ลที่ 1 แห่งสโนว์ดอน (อดีตพระสวามีในเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต เคานท์เตสแห่งสโนว์ดอน) เดอะไรต์ออเนเรเบิล เซอร์แองกัส โอลกิลวี (พระสวามีในเจ้าหญิงอเล็กซานดรา เดอะออเนเรเบิล เลดีโอกิลวี) ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระชายาองค์แรกในเจ้าฟ้าชายแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี พ.ศ. 2540 ทั้งสองพระองค์ทรงหย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงไดอานาทรงถูกถอดฐานันดรศักดิ์ Her Royal Highness ออกแต่ยังคงดำรงพระอิสริยยศ "เจ้าหญิงแห่งเวลส์" และเป็นสมาชิกของราชวงศ์ ในฐานะที่เป็นพระมารดาของรัชทายาทอันดับ 1และ 5แห่งราชบัลลังก์คือ เจ้าชายวิลเลียม และ เจ้าชายเฮนรี ("แฮร์รี") == เครือจักรภพอังกฤษ == นอกเหนือไปจากสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถและสมาชิกพระองค์อื่นของราชวงศ์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอยู่เป็นประจำในกลุ่มประเทศเครือจักรภพอีกสิบห้าประเทศ ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ เมื่อราชบัลลังก์ภายในประเทศเหล่านี้แยกออกจากราชบัลลังก์ของสหราชอาณาจักรอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จะให้เงินทุนสนับสนุนประเทศเหล่านี้แยกจำเพาะเป็นรายประเทศ โดยผ่านกระบวนการจัดสรรงบประมาณทางนิติบัญญัติมาตรฐาน เงินทุนที่จัดสรรให้ส่วนใหญ่แล้วจะสนับสนุนภารกิจการงานของตัวแทนของพระประมุขในประเทศนั้น ๆ ซึ่งเรียกว่า ข้าหลวงใหญ่ ผู้ว่าการ และผู้ช่วยผู้ว่าการ แม้ว่าเงินบางส่วนจะใช้ในการเยือนอย่างเป็นทางการต่าง ๆ == พระอิสริยยศ และ ฐานันดรศักดิ์ == พระอิสริยยศในชั้น His หรือ Her Majesty (HM) ใช้กับสมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินีนาถ สมเด็จพระราชินี และอดีตสมเด็จพระราชินี (สมเด็จพระพันปี หรือ สมเด็จพระบรมราชชนนี) การใช้พระอิสริยยศ His หรือ Her Royal Highness (HRH) และฐานันดรศักดิ์เจ้าชายและเจ้าหญิงมีผลจากพระราชหัตถเลขาที่ออกโดยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 และตีพิมพ์ลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษาลอนดอนในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1917 พระราชหัตถเลขากล่าวว่านับแต่นี้ต่อไปพระราชโอรสธิดาในพระประมุข พระโอรสธิดาในพระราชโอรสของพระประมุข พระโอรสองค์โตของพระโอรสองค์โตของเจ้าชายแห่งเวลส์ "จะถือครองโดยตลอดพระอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ และคุณสมบัติชั้น Royal Highness พร้อมกับฐานันดรศักดิ์เจ้าชายและเจ้าหญิงนำมาก่อนหน้าพระนามทางศาสนาคริสต์หรือบรรดาศักดิ์ประดับเกียรติ" และยังต่อไปอีกว่า "พระราชนัดดาของพระประมุขผ่านทางพระราชโอรสสายตรง (ยกเว้นพระโอรสองค์โตของพระโอรสองค์ใหญ่ในเจ้าชายแห่งเวลส์) จะมีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ของบุตรและธิดาของดยุก" ภายใต้ธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าว พระราชโอรสธิดาในสมเด็จพระราชินีนาถและพระโอรสธิดาในเจ้าชายแห่งเวลส์ ดยุกแห่งยอร์ค และเอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ จึงทรงดำรงฐานันดรศักดิ์เจ้าชายหรือเจ้าหญิง และมีพระอิสริยยศ Royal Highness แต่กระนั้นในการอภิเษกสมรสของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในปี 2001 ได้มีการประกาศว่าพระโอรสและธิดาของพระองค์จะมีฐานันดรศักดิ์เทียบเท่ากับบุตรีของเอิร์ล แต่ยังไม่มีพระราชหัตถเลขาออกมารับรอง ดยุกแห่งกลอสเตอร์ ดยุกแห่งเคนต์ เจ้าฟ้าหญิงอเล็กซานดรา เลดี้โอกิลวี และ เจ้าชายไมเคิลแห่งเคนต์ ทรงดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงพร้อมทั้งพระอิสริยยศ Royal Highness ในฐานะพระราชนัดดาผ่านทางสายพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แต่อย่างไรก็ตาม พระโอรสและธิดาของทุกพระองค์ไม่ทรงมีฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์อะไรเลย เช่น พระโอรสและธิดาของเจ้าชายไมเคิลจะเป็นเพียง ลอร์ด เฟรเดอริค วินด์เซอร์ และ เลดี้ กาเบรียลลา วินด์เซอร์ ตามฐานันดรศักดิ์ของบุตรธิดาของดยุก ไม่มีการแต่งตั้งฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์ พระโอรสธิดาของเจ้าฟ้าหญิงพระราชกุมารี เจ้าหญิงอเล็กซานดรา และ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต เคานท์เตสแห่งสโนว์ดอน ไม่มีฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์เนื่องจากเจ้าหญิงไม่สามารถส่งผ่านฐานันดรศักดิ์ไปสู่พระโอรสและธิดา แต่มีข้อยกเว้นเกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 มีพระราชหัตถเลขาให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธ รัชทายาทโดยนิตินัยส่งผ่านฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์สู่พระโอรสและธิดาได้ พระโอรสในเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตดำรงฐานันดรศักดิ์ไวส์เคานท์ลินเลย์ในฐานะบุตรชายและทายาทของเอิร์ลแห่งสโนว์ดอน ในขณะที่พระธิดาดำรงฐานันดรศักดิ์เลดี้ พระโอรสธิดาในเจ้าฟ้าหญิงวรราชกุมารีและเจ้าหญิงอเล็กซานดราไม่มีฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์เลย เนื่องมาจากว่ามาร์ค ฟิลลิปส์และ เซอร์ แองกัส โอกิลวี ไม่ได้ขอรับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ขุนนางในวันอภิเษกสมรสที่แต่งงานกับพระราชโอรสหรือพระราชนัดดาในสายพระราชโอรสของพระประมุขจะดำรงพระอิสริยยศเป็น Her Royal Highness แล้วก็ตามด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนเป็นเพศหญิงของฐานันดรศักดิ์อันสูงสุดของพระสวามี ดังนั้นพระชายาของขุนนางในทางราชวงศ์จึงเป็นที่รู้จักกันว่า "เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่ง......." หรือ "เฮอร์รอยัลไฮเนส เคานท์เตสแห่ง......." เพราะฉะนั้นพระชายาของดยุกแห่งเคนต์ ดยุกแห่งกลอสเตอร์ และเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ก็คือ "เจ้าฟ้าหญิงดัชเชสแห่งเคนต์" "เจ้าฟ้าหญิงดัชเชสแห่งกลอสเตอร์" และ "เจ้าฟ้าหญิงเคานท์เตสแห่งเวสเซ็กส์" เป็นลำดับ ก่อนการหย่าร้าง ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้ทรงดำรงพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์เป็น "เจ้าฟ้าหญิงแห่งเวลส์" อย่างไรก็ตาม เมื่อหญิงสาวแต่งงานกับบุคคลที่ไม่ได้มีบรรดาศักดิ์ขุนนางก็จะเป็นที่รู้จักว่า เจ้าฟ้าหญิง (พระนามทางศาสนาคริสต์ของพระสวามี) แล้วตามด้วยราชทินนามเกี่ยวกับดินแดนหรือทางฐานันดรศักดิ์นั้น ดังเช่น บารอนเนส มารี-คริสตีน ฟอน ไรบ์นิตซ์ ดำรงพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ "เจ้าฟ้าหญิงไมเคิลแห่งเคนต์" และไม่ใช่ "เจ้าฟ้าหญิงมารี-คริสตีนแห่งเคนต์" เช่นเดียวกันคือ บริจิตต์ อีวา ฟาน ดอยรส์ ดำรงพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ "เจ้าฟ้าหญิงริชาร์ดแห่งกลอสเตอร์" หลังจากการอภิเษกสมรสจนกระทั่งถึงการสืบทอดตำแหน่งดยุกต่อจากพระบิดาของพระสวามีในปี 1974 พระชายาม่ายของเจ้าชายยังคงดำรงพระอิสริยยศเจ้าฟ้า หรือ HRH แต่กระนั้นตามพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ลงวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1996 พระชายาที่หย่าขาดจากเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ "จะไม่มีสิทธิที่จะถือครองหรือดำรงพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์ และคุณสมบัติของ Royal Highness" นอกจากนั้นยังมีการยกเว้นในเรื่องของข้อปฏิบัติซึ่งพระชายาของเจ้าชายต้องดำรงพระอิสริยยศของพระสวามี ในพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1937 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ไม่ทรงยอมรับพระอิสริยยศเจ้าฟ้าแก่พระชายาของดยุกแห่งวินด์เซอร์ ซึ่งทรงเป็นอดีตสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ดังเช่นนั้นนางวอลลิส วอร์ฟิลด์ ซิมป์สัน จึงเป็นที่รู้จักว่า "ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์" (Her Grace The Duchess of Windsor) ไม่ใช่ "เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์" ยังเป็นที่สังเกตอีกอย่างหนึ่งว่าเนื่องจากความลังเลของสาธารณชนในการยอมรับกันถ้วนหน้าต่อพระชายาองค์ที่สองในเจ้าชายแห่งเวลส์ จึงมีประกาศจากตำหนักคลาเรนซ์ว่าถ้าเจ้าชายแห่งเวลส์เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ เจ้าฟ้าหญิงดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ พระชายาจะไม่ได้เป็นสมเด็จพระราชินี แต่มีฐานันดรศักดิ์รองลงมาคือ เจ้าฟ้าหญิงพระวรราชชายา นอกจากความเคารพต่อไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ผู้ล่วงลับ ยังได้มีประกาศอีกว่าเจ้าฟ้าหญิงดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์จะไม่ได้เป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วย พระราชธิดาและพระราชนัดดาผู้หญิงในสายพระราชโอรสของพระประมุขจะไม่ทรงสูญเสียฐานันดรศักดิ์ทางราชวงศ์ไปในการอภิเษกสมรส บุรุษซึ่งสมรสกับพระราชธิดาและพระราชนัดดาผู้หญิงในสายพระราชโอรสของพระประมุข จะไม่ได้รับศักดินาทางราชวงศ์และพระอิสริยยศเจ้าฟ้าจากภรรยา มีข้อยกเว้นเดียวของธรรมเนียมปฏิบัตินี้คือ เจ้าชายฟิลิป ซึ่งประสูติเป็นเจ้าชายแห่งกรีซและเดนมาร์ก และหลังจากสิ้นสุดสงครามเพียงไม่นานจึงได้ทรงสละฐานันดรศักดิ์และเป็นชาวอังกฤษที่แปลงสัญชาติในฐานะเรือโท ฟิลิป เมานท์แบ็ตเต็น ร.น. (แม้ว่าจะทรงเป็นชาวอังกฤษอยู่แล้วในฐานะเชื้อสายพระองค์หนึ่งในเจ้าหญิงโซเฟีย) ในวันก่อนการอภิเษกสมรส พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาให้เป็นดยุกแห่งเอดินบะระ พร้อมกับพระอิสริยยศเจ้าฟ้าจากพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 แต่ก็ยังไม่ได้ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือจนกระทั่งวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 นับแต่วันนั้นฐานันดรศักดิ์แบบเต็มของพระองค์คือ "เจ้าฟ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ" ในฐานะพระราชนัดดาของพระประมุขผ่านทางพระราชธิดา พระโอรสและธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและดยุกแห่งเอดินบะระจะไม่มีสิทธิใช้พระอิสริยยศเจ้าฟ้าและฐานันดรศักดิ์เจ้าชายหรือเจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักรจนกระทั่งพระชนนีเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ หากพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์เหล่านั้นไม่ได้รับพระราชทานจากพระราชหัตถเลขาจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ลงวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1948 นอกจากนั้นยังไม่สามารถดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้าชายและเจ้าฟ้าหญิงแห่งกรีซและเดนมาร์กผ่านทางพระชนกได้ เพราะว่าดยุกแห่งเอดินบะระ พระชนกได้ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ไปแล้ว == บรรดาศักดิ์ขุนนาง == พระมเหสีของพระประมุขโดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้ทรงรับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ขุนนาง แต่ได้มีข้อยกเว้นอันน่าจดจำเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1532 เมื่อสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงสถาปนาแอนน์ โบลีนเป็นมาร์ชเนสแห่งเพมโบรคก่อนการอภิเษกสมรส แต่กระนั้น ในบางครั้งเจ้าชายพระราชสวามีจะได้รับพระราชทานตำแหน่งดยุก พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสเปนอยู่แต่ก่อนแล้ว และพระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีแมรีที่ 2 นั้นเป็นพระประมุขร่วมกันในประเทศอังกฤษ ดังนั้นจึงไม่มีพระองค์ใดมีศักดินาขุนนาง เจ้าชายจอร์จแห่งเดนมาร์ก พระสวามีในเจ้าหญิงแอนน์ (ต่อมาเสวยราชสมบัติเป็น สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์) ทรงได้รับการสถาปนาให้มีฐานันดรศักดิ์ดยุกแห่งคัมบาลันด์เมื่อปี 1683 เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา ซึ่งเป็นพระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงได้รับพระราชทานพระอิสริยยศชั้นรอยัลไฮเนสก่อนการอภิเษกสมรส ต่อมาใน ค.ศ. 1857 สมเด็จพระราชินีนาถทรงสถาปนาเจ้าชายเป็นเจ้าชายพระราชสวามี แต่กระนั้นพระองค์ไม่ได้ทรงมีบรรดาศักดิ์ขุนนางของอังกฤษ ส่วนเจ้าชายฟิลิป พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถองค์ปัจจุบันทรงได้รับการสถาปนาเป็นดยุกแห่งเอดินบะระและได้รับพระราชทานพระอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้าในวันก่อนการอภิเษกสมรส (ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการเสวยราชสมบัติของสมเด็จพระราชินีนาถ) โดยปกติแล้ว พระราชโอรสของประมุขทรงได้รับศักดินาขุนนางเพื่อแสดงถึงการเจริญพระชนม์สู่วัยผู้ใหญ่หรือการอภิเษกสมรส แต่เดิมพระราชโอรสพระองค์รองลงไปของพระประมุขจะไม่ได้ทรงรับพระราชทานฐานันดรศักดิ์เจ้าชาย (ยกเว้นก็แต่ เจ้าชายแห่งเวลส์) ดังนั้นเพื่อเป็นการชี้ให้เห็นถึงตำแหน่งอันสูงส่ง จึงทรงได้รับมอบศักดินาขุนนางแทน ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 พระราชโอรสเกือบทุกพระองค์ในพระประมุขที่ทรงเจริญพระชนม์จนเป็นผู้ใหญ่จะเป็นดยุกทั้งสิ้น ตำแหน่งดยุกบางตำแหน่งจะถูกพระราชทานบ่อยครั้งมากกว่าตำแหน่งดยุกอื่น ๆ รวมถึง ดยุกแห่งยอร์ค ออลบานี และ คลาเรนซ์ โดยทั่วไปแล้วเมื่อได้มอบบรรดาศักดิ์ขุนนางให้แก่สมาชิกของราชวงศ์พระองค์หนึ่งแล้วจะมอบให้แก่บุคคลอื่นนอกราชวงศ์หลังจากนั้นอีกไม่ได้ (ถึงแม้ว่าจะมีข้อยกเว้นบางอย่างเกิดขึ้นก็ตาม) ตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คโดยทั่วไปจะแต่งตั้งให้กับพระราชโอรสพระองค์ที่สองของพระประมุข การแต่งตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1384 และรวมเข้ากับราชบัลลังก์ในปี 1483 ดยุกทุกพระองค์หลังจากนั้นมีทั้งสิ้นพระชนม์โดยปราศจากทายาทหรือเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ ฉะนั้นตำแหน่งจึงมิได้ออกไปนอกราชวงศ์ รูปแบบการพระราชทานตำแหน่งดยุกให้พระราชโอรสพระองค์ที่สองในพระประมุขเป็นที่ไม่พอพระทัยแก่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 ซึ่งได้พระราชทานตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีให้พระอนุชา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 พระราชทานตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีนี้อีกกับพระราชโอรสพระองค์ที่สองซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนพระองค์ ตำแหน่งดยุกแห่งยอร์คและออลบานีได้มีบทบาทอีกเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1784 เมื่อสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 พระราชทานตำแหน่งนี้ให้แก่พระราชโอรสพระองค์ที่สอง นับแต่นั้นมาตำแหน่งดยุกก็ได้มีการตั้งชื่อเป็น ยอร์ค มากกว่า ยอร์คและออลบานี ดยุกแห่งยอร์คพระองค์ปัจจุบันคือ เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตำแหน่งดยุกแห่งออลบานีแสดงบทบาทที่คล้ายคลึงกันกับดยุกแห่งยอร์คในประเทศสกอตแลนด์ ตำแหน่งดยุกได้รับการแต่งตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1498 แก่โรเบิร์ต สจ๊วร์ต พระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าโรเบิร์ตที่ 3 ถึงเป็นตำแหน่งดยุกเพียงหนึ่งเดียวนอกเหนือไปจากตำแหน่งดยุกแห่งโรธเซย์ในเวลานั้น มีการแต่งตั้งตำแหน่งดยุกดังกล่าวอีกสามครั้งในประเทศสกอตแลนด์ โดยสองครั้งแก่พระราชโอรสพระองค์ที่สองของพระประมุข และอีกหนึ่งครั้งแก่พระอนุชาในพระประมุข ตำแหน่งดยุกแห่งออลบานีได้ถูกแต่งตั้งเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1881 ให้แก่พระราชโอรสพระองค์ที่สี่ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และจากนั้นถูกระงับไปภายใต้พระราชบัญญัติการถอดถอนพระอิสริยยศหลังจากที่ผู้ถือครองตำแหน่งนี้ได้ต่อสู้ในฝ้ายเยอรมันช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งดยุกอื่น ๆ ที่ได้นำมาใช้กับสมาชิกของราชวงศ์ คลาเรนซ์ได้ถูกนำมาใช้เป็นตำแหน่งดยุกเป็นครั้งแรกในปี 1362 โดยมากจะพระราชทานให้แก่พระราชโอรสพระองค์ที่สามของพระประมุข ตำแหน่งดยุกที่พระราชทานแก่พระโอรสพระองค์รองของพระประมุข ได้แก่ ออเมล เคมบริดจ์ คอนน็อต คัมบาลันด์ เอดินบะระ กลอสเตอร์ เคนต์ และซัสเซ็กส์ ตำแหน่งดยุกบางประเภทจะใช้กับพระอนุชา พระราชนัดดาผู้ชาย และพระญาติผู้ชายของพระประมุข ตำแหน่งดยุกแห่งวินด์เซอร์เป็นตำแหน่งดยุกทางราชวงศ์เช่นกัน โดยแต่งตั้งให้แก่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 หลังจากการสละราชสมบัติของพระองค์เพื่อที่จะอภิเษกสมรสอันขัดต่อข้อบัญญัติของศาสนาจักรแห่งอังกฤษ พระราชโอรสในพระประมุขบ่อยครั้งทรงได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศอังกฤษและสกอตแลนด์ ต่อมากับไอร์แลนด์ และกับเวลส์เมื่อไม่นานมานี้ เพราะฉะนั้นตำแหน่งดยุกแห่งสแตรธเอิร์น (ที่ตั้งชื่อตามสถานที่หนึ่งในสกอตแลนด์) ได้นำมาใช้ควบคู่กับตำแหน่งดยุกแห่งคอนน็อต (ที่ตั้งชื่อตามมณฑลหนึ่งของไอร์แลนด์) เคนต์และคัมบาลันด์ (ที่ตั้งตามสถานที่ในประเทศอังกฤษ) รูปแบบเช่นนี้ยังคงใช้กับราชวงศ์ในปัจจุบัน ดังเช่น ดยุกแห่งยอร์ค พระองค์ปัจจุบัน ทรงเป็นทั้งเอิร์ลแห่งอินเวอร์เนสและบารอนคิลลีเลียฟ ฐานันดรศักดิ์รองที่เกี่ยวข้องกับประเทศสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ตามลำดับอีกด้วย ธรรมเนียมปฏิบัติในการพระราชทานตำแหน่งดยุกให้แก่สมาชิกอาวุโสของราชวงศ์สิ้นสุดลงเมื่อไม่นานในปี 2001 เมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดทรงได้รับการสถาปนาเป็นเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ ตำแหน่งเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์มิเคยมีการแต่งตั้งจากประมุขของอังกฤษและบริเตนใหญ่มาก่อนนับแต่ปี 1066 กล่าวกันว่าตำแหน่งดยุกแห่งเอดินบะระจะพระราชทานให้แก่เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ แต่กระนั้นตำแหน่งดยุกดังกล่าวจะตกทอดสู่เจ้าฟ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ ไม่ใช่ของเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ เมื่อเจ้าชายแห่งเวลส์เสวยราชสมบัติเป็นพระประมุข หรือเป็นพระประมุขแล้วเมื่อตำแหน่งดยุกตกทอดสู่พระองค์ ตำแหน่งนั้นจะรวมเข้ากับราชบัลลังก์และเพียงแต่รอการพระราชทานใหม่อีกครั้ง ฐานันดรศักดิ์ขุนนางสูงสุดอันเป็นของเจ้าชายอาจสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งในพระอิสริยยศของพระโอรสและธิดาในเจ้าชายพระองค์นั้น ดังนั้นพระโอรสใน เจ้าชายแห่งเวลส์เป็น เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์และเจ้าชายแฮร์รีแห่งเวลส์ พระธิดาในดยุกแห่งยอร์คเป็น เจ้าหญิงเบียทริซแห่งยอร์คและเจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์ค พระธิดาในเอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์เป็น เจ้าหญิงหลุยส์แห่งเวสเซ็กส์ (ในกรณีอันสุดท้ายนี้ โดยทั่วไปแล้วเจ้าหญิงทรงได้รับการเรียกขานเพียงแค่เลดี้ หลุยส์ วินด์เซอร์ ตามความประสงค์ของพระชนกและชนนี แต่โดยทางการแล้วยังคงทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงอยู่) พระประมุขส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2 บางครั้งพระราชทานฐานันดรศักดิ์ขุนนางให้แก่พระโอรสนอกกฎหมาย โดยคนแรกคือ เจมส์ สก็อตต์ ซึ่งเป็นดยุกแห่งมอนเมาธ์ใน ค.ศ. 1666 ตามมาด้วยการแต่งตั้งอีกหลายครั้งในทศวรรษ 1870 โดยส่วนมาเป็นตำแหน่งเอิร์ล เช่น ชาลส์ ฟิตซ์ชาลส์ เป็นเอิร์ลแห่งพลีมัธ ชาลส์ ฟิตซ์รอย เป็นดยุกแห่งเซาแธมป์ตัน เฮนรี ฟิตซ์รอย เป็นเอิร์ลแห่งอูสตัน จอร์จ ฟิตซ์รอย เป็นเอิร์ลแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ชาลส์ โบเคลิร์ก เป็นเอิร์ลแห่งเบอร์ฟอร์ด และ ชาลส์ เลนน็อกซ์ เป็นดยุกแห่งริชมอนด์และเลนน็อกซ์ เอิร์ลจำนวนมากมายซึ่งเป็นพระโอรสนอกกฎหมายของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นดยุก ในบรรดาดยุกสมัยปัจจุบัน ก็มีเชื้อสายจำนวนสี่สายผ่านทางบุตรชายของพระโอรสนอกกฎหมายในสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ได้แก่ ดยุกแห่งริชมอนด์ เลนน็อกซ์ และกอร์ดอน ดยุกแห่งบักเคลิชและควีนส์เบอร์รี่ ดยุกแห่งแกรฟตัน และดยุกแห่งเซนต์อัลบันส์ == หนังสืออ่านเพิ่มเติม == Burke’s Guide to the Royal Family. Burke’s Peerage, 1973. Cannon, John Ashton. The Oxford Illustrated History of the British Monarchy. Oxford University Press, 1988. Churchill, Randolph S. They Serve the Queen: A New and Authoritative Account of the Royal Household. (“Prepared for Coronation Year”) Hutchinson, 1953. Fraser, Antonia (ed). The Lives of the Kings & Queens of England. Revised & updated edition. University of California Press, 1998. Hayden, Ilse. Symbol and Privilege: The Ritual Context of British Royalty. University of Arizona Press, 1987. Longford, Elizabeth Harman (Countess of Longford). The Royal House of Windsor. Revised edition. Crown, 1984. Weir, Alison. Britain’s Royal Families: The Complete Genealogy. Pimlico/Random House, 2002. == ดูเพิ่ม == พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ลำดับโปเจียมแห่งสหราชอาณาจักร ลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ ราชสำนักสหราชอาณาจักร ราชวงศ์อังกฤษ อ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University; อักษรย่อ: จฬ. หรือ จุฬาฯ – CU or Chula) เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันแุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทส ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเตือน" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตัเงขึ้นเมื่อวันที่ 30 ใีนาคม พ.ศ. 244w โดยสี "พระเกี้ขว" เป็นเครื่องหมายประจำโคงเรียน พ.ศ. 2459 (นับแบบเก่า) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอวูืหัวทรงประดิษฐานขึ้ยเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า "จุฬาบงกรณ์มหาวิทยาลัย" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ บองประเทศไทย และได้รับเลือกให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 โดยผู้จัดอันดับหลายสำนัก หนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. e552 และได้รับการรับรองมาตรฐานการศักษาในระดับดีมากจากสำนักงารรับรองมารรฐานและประเมินคุณภาพการซึกษา (สมศ.) เป็นสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกของสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (APRU) ในส่วนของการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษานั้นพบว่า ผู้สมัครสอบที่ทำคะแนนรวมสูงสุดในแต่ละปีส่วนสหญ่เลือกเข้าศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาฃัยประกอบด้วย 19 คณะ 1 สำนัหวิชา ครอบคลุมทั้งสาบาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ และมีหน่วยงานประเภท วิทยาลัย 3 แห่ง บัณฑิตวิทยาลัย 1 แห่ง สถาบัน 14 แห่ง และสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน จำนวนหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 506 หลักสูตร ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี 113 หลักสูตร ระดับบัณฑิตศึกษา 393 หลักสูตร ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลเกสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูจร == ปรัวัติ =- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถ่อกำเนิดจาก "โรงเรียนสำฟรับฝึกหัดวืชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" ซึ้งพระบาทสมเเ็จพระจุลจอมอกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 (นับแบบเก่า) ณ ตึกยาว ข้างแระตูพิมานชัยศรี ในพระบรมมหาราชวัง จึบมีการเปลี่ยจนามโรงเรียนเป็น "โรงเรียนมหาดเล็ก" เมื่อวัน่ี่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 เพื่อเป็นรากฐานของสถาบันการศึกษาขั้นสูงต่อไป ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนมหาดเล็กเป็นโรงเรียนข้ทราชการพลเรือน โดยใช้วังวินด์เซอร์เป็นสถานที่เรียน เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2453 พร้อมทั้ง พระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า "โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูรหัว" และใช้ทุนที่ิหลือจากการสร้างพรุบรมรูผทรงม้ามาใช้เป็นทุนโรงเรียน และโปรดเกบ้าฯ ให้กำหนดที่ดินพระคลังข้างที่รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น 1,309 ไร่เป็นเขตโรงเรียน โดยมีการนัดการศึกษาใน 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนรัฎฐประญาสนศาสตร์ โรงเรียนคุรุศึกษา (โรงเรียนฝึกหัดครู) โรงเรียนราชแพทยาลัย โรงเรียนเนติศึกษา (โรงเรียนกฎหมาย) และโรงเรียนยันตรศึกษา ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุ๒เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพล้รือนของพระบาทสมเด์จพระจุลจอมเกล้าัจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2t59 พร้อมทั้งพีะราชทสนนามว่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยมลัย" เพื่อเป็นพาะบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สังกัดกระทีวงธรรมการ ในระยะแรก การจัดการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่เพียงระดับประกาศนียลัตรพร้อมกับเตรียมการเรียนการสอนในระดีบปริญญา โดยจัดการศึกษาออกเป็น 2 วิทยาเขค คือ วิทยาเขตปทุมวัน และวิทยาเขตโรงพยาบาลศิริราช จัดการเรียนการสอนออกัป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะตัฐป่ะศาสนศาสตร์ คณะแกทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกร๋์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งก่อตั้งโดยพระเจ้านัองยาเธอกรมหมื่นชัยนาานเรนทร อธิการบดีกรมมหาวิทยาลัยในกระทรวงธรรมการพระองค์แรก ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูย้ายกลับไปสังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ และโรงเรียนกฎหมายย้ายกลับไปสังกัดกระทรวฝยุติฌรรม ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงติดต่อขอความร่วมทือจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของจึฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลียสามารถจัดการศึกษสในระดับปริญญาได้ หลังจากนึ้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาชัยได้ขยายการจัดการศึกษาโดยจัดตั้ลคณะและแผนกอิสระเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ โดยกรรรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และแผนกวิชาข้าราชการพลเรือน (คณะรัฐประศาสนศาสตร์เดิม) เข้าไว้ด้วยกัน, แผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์, แผนกอิสระส้ตวแพทยศาสตร์, แผนกอิสระสถาปัตยกรรมศาสตร์ และแผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ นอกจากนี้ ยังเริ่มเน้นการเรียนการสอนอันเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยจัดตั้งโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย คือ โรลเรึยนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปัจจุบีน) ระหว้าง ก.ศ. 2476–2486 มีการโอนย้ายส่วนราชการออกจมกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางส่วนเพื่อจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ขึ้น กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. 2476 มีกนรโอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไปขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มฟาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) และ พ.ศ. 2486 ใีการโอนย้ายคณะแพทยศสสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกอินระทันตแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพายศาสตร์ และแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร? เพื่อตั้งเป็นมกาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม คณะเภสัชศทสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ ยังคงใช้สถานที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อจัดการศึกษาอย๔่ ดังนั้น ทั้ง 3 คณะจึงโอนกลับมาเป็นคณะวิชาในสังกัดจุฬาลลกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งในระยะต่อมา ในปี พ.ศ. 2479 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ขอพระราชทานกรรมสิทธิ็ที่ดินที่ได้รับเช่า จึงได้มีการเสนอให้คณะกรรใการกฤษฎีกาตีความว่าจะยกกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นให้แก่มหาวิทยาลัยได้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เสนอความเห็นไว้ว่า เงื่อนไขในพระบรมราชโองการรัชกาลที่ 5 ซึ่งให้ยกที่ดินรายนี้ไว้ในบัญชีัลี้ยงชีพบาทบริจาริกาในพระองค์ เพื่อเก็บผลประโยชน์ที่ได้จากที่ดินนั้น เฉลี่ยส่วนให้บาทบริจาริกาเป็รคราว ยังคงใช้ไดือยํ่ ในปี พ.ศ. 2482 จอมพล แปลป พิบธลสงคราม ร่างราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหาก?ัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีความเห็น เห็นชอบ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นที่มายองประกาศเป็นพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอเนเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้กก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2482 ลงนามโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2482 เมื่อจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้านพาษาและหนัวสือหลายประการ จึงได้ปรากฏการเขียนชื่อมหาวิทยาลัยในร฿ปแบบอื้นอีก ได้แก่ "จุลาลงกรน์มหาวิทยาลัย" อย่างไรก็ตาม เมื่อมีกา่เปลี่ยนแหลงรัฐบาลใหม่ ใน พ.ศ. 2587 ก็มีการกระกาศยกเลิกการเปล่่ยนแปลงดังกล่าว และให้กลับไปใช้การเขียนภาษาในรูปแบบเดิม การเขียนชื่อมหาวิทยาลัยจึงกลับเป็นแบบเดิม นอกจากนี้ในช่วง พ.ศ. 2497–2514 ยังพบการเขียนนาาทหาวิทยาลัยว่า "จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย" ซึ่งไม่มีเครื่องหมายทัณฑฆาตท้่ "ณ" ระหใ่าง พ.ศ. 2486–2503 มหาวิทยาลัยก็ได้ขยายการศึกษาไปยังสาขาต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้นโดยเน้นการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นหลัก โดยมีการจัดตั้งค๖ะขึ้นใหม่หลายสาขา และตั้วแต่ พ.ศ. 2504 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยได้ขยายการศึกษาระดับหริญญาตรีอย่างกว้าวขว้าง พร้อมกับพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และก่อตั้งหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและงานบริการทางวิชาการแก่สังคม == สัญลักษณ์ == พระเกี้ยว เป็นพิจิตรเรขา (สัญลักษณ์) กระจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพลงพระราชนิพนฑ์ มหาจุฬาลงกรณ์ เปฌนเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 11 ในพระบาทสม้ด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิะลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระีาชนิพนธ์เมื่อวันท้่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 เสื้อครุยพระราชทาน ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด๋จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หเว โดยสีพื้นของสำรดนั้นแบ่งออกเป็น 3 สี ได้แก่ "สีเหลือง" สำหรับฉลองพระองค์ครุยพระบามราชูปถัมภก, "สีดำ" สำหรับระดับบัณฏิตและมหาบัณฑเต และ "สรแดงชาด" สำหรับระดับดุษ๒ีบัณฑิต จามจุรี เป็นต้นไม้ผระจำใหาวิทยาลัย โดยพระบรทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาะบพิตร ทรงปลูกจามจุรี 5 ต้นด้วยพระองค์เอง บรเเวณด้านหน่าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มปาวิทยาลัยในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2505 ในครั้งนั้น พระองค็ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรีด้วย สีชมพู เป็นสีหระจำมหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ ยวัสดิกุล อัญเชิญสีชมพูเก็นสีประจำมหาวิทยาลัย เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีำระบรมราชสมภพในวันอังคาร == การบริหารงาน == === นทยกสภาจึฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === === ผู้บัญชาำารและอธิการบดี === นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดี ดังรายพระนามและรายนาม ต่อไปนี้ == การศึกษา == จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปอดเตียนและสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ แชะมนุณยศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 19 คณะ 1 สำนักวิชา 3 วิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน 2 สถาบัน และยับมีสถาบันสมทบเีก 2 สถาบัน ในปีการศึกษา 2556 เปิดสอนด้วยจำนวนหลักสูตรทั้บหมด 506 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 1q3 สาขาวิชา, หลักสูตรระดับประกาศนียบ้ตรบัณฑิต 9 สาขาวิชา หลักสูตรระดับปริญญาโท 230 สาขาวิชา หลักสูตรระดับป่ะหาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง 39 สาขาวิชา และหลักสูตรระดับปริญญาเอก q15 สาขาวิชา ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลึกสูตร ปัจจุบันประกอบด้วยส่วนงานทางวิชาการทร่จะดการเรียนการสอน ได้แก่ === คณะกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ === คณะครุศาสตร์ ค๊ะนิติศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะพาณิชยศาสนรฺและการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ === คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี === คณะวิทยาศาสตร์ ค๊ะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสถาปะตขกรรมศาสตา์ สำนเกวิชาทรัพยากรกสรเกษตร สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ === คณะจิตวิทยา คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์กาากีฬา คณะสัตวแพทยศาสตร์ === หลักสูตรนานาชาติ === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิอสอนหลักสูตรนานาชาติทั้งหมด 87 หลักสูตร === ส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยเฉพาะระดับบัณฑิตศึกษา === บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัยหระชากรศาสตร์ วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบัสภาษา === สถาบันสมทบ === วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ == งานวิจัย == จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วนงานมี่มีวัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งเพื่อเป็นสถาบันวิยัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ สถาบันวิจัยพลังงาน สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ สถาบันวิจัยสังคม สถาบันวิจัยสภาวะอวดล้อม มถรบันการขนส่ง สถาบันเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศมสตร์ สถาบันเอเชียศึกษา หน่วยงานที่สนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีก ได้แก่ ศูนย์บริการวิชาการ (Unisearch) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนำผลหารศึกษาวเจัยออกสู่สังคมปละหน่วยงานนอกมผายิทยาลัย ส่วนหน่วยงานสถสบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาบงกรณ์มหาวิทยาลัย มีวัตถุปรถางค์เพื่อส่งเสริมให้ผลงานศึกษาวิจัยได้พัฒนาและนำไปสู่การจดสิทธิบัตรประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ จุฬมลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังสนับสจะนทุนสำหรับการสร้างหน่วยปฏิบัติการวิจัย (RU) และศูนย์เชี่ยวชาฯเฉพาะทาง (CE) ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีหน่วยปฏิบัติการวิจัยมากกว่า 100 หน่วย แลัมีศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งในระดัลชาติและมหาวิทยาลัยมากกว่า 20 ศูนย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กำหนดให้มีกลุ่มวิจัยหลักซึ่งเป็นการรวมศูนย์เชี่ยวชาญเฮพาะทางและนักวิลาการที่มีเฉพาะเรื่องเข้ามาบูรณาการให้เป็นการวิจัยแบบสหศาสตร์ รวมทั้ง เน้นการบริหารจัดการแารวิจัยที่เป็นองค์รวม มีการติแตามแงะประเมินผลแบบอัตโนมัติ โดยปบ่งออกเป็น 10 กลุ่มวิจัยหลัก ได้แก่ กลุ่มวิจัยด้านพลังงาน กลุ่มวิจัยด้านอาหารและน้ำ กลุ่มวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่มวิจัยด้านสุขภาพ กลุ่มวิจัยด้านสังคมผู้สูงวัย กลุ่มวิจัยบัสดุขั้นสูง กลุ่มวิจัยความมั่นคงมนุษย์ กลุ่มวิจัยด้านพัฒนาสังคม กลุ่มวิจัยด้านอาเซียนศึกษา ำลุ่มวิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติ ปี พ.ศ. 2559 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยจากการจัดอันะับของ Nature Index ซึ่งจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ม่ชื้อเสียงชั้นนำของโลก ใน พ.ศ. 2558 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิขาการระดับนานาชทติในฐานข้อมูล Web of Science ของสถาบัน ISI บริษัท Thomson Reuters จำนวน 1,567 เรื่อง และผลงานตีพิมพ์ฐานข้อมูล Scopua ของบริษัท Elsevier B.V. จำนใน 1988 เรื่อง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยระดับนานาชาติขอลประเทศไทยในหลายด้าน เช่น องค์การอนามัยโลก เครือข่ายมหาวิทยาลันอาเซียต (AUN) และ สมาคมสถาบันการศักษาชั้นอุดมแห่งภูมิำาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASAIHL) ศูนย์ความร่วมมือขององค๋การอนามัยโลกที่ตั้งอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีดังนี้ ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา - WHO Collaborating Centre for Medical Education ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ - WHO Collaborating Centre for Research in Human Reproduction ตั้งอยู่ที่ตณะแพทยศาสตร์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากใัตว์สู่คน - WHO Collaborating Centre for Research and Training on Viral Zponodes ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร็ ศูนย์ความร่วมมือด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพ - WHO Collaborating Centre for Health Economics ตั้งอยู่ที่คณะเศรษ,ศาสตร์ ศูนย์ความร่วมสือด้านการวิจัยและฝึกอบรมพัฬนาการสาธารณสุข - WHO Collaborating Centre for Research and Training in Public Health Development ตั้งอยู่ที่วิมยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณนุข == ทรัพยากรวิชาการ == ระบบการให้บริการทางวิชาการขแงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีสำนักงานวิทยทรัพยากรเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการใยหลายลักษณะ นอกจากนี้สังมีหน่วยงานอื่นที่ทำหน้าที่ให้บริการทางวิชาการ เช่น สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุด (Chylalineg) และ CHULA MOOC === สำนักงานวิทยทรัพยากร === ขุฬาลงกรณ์สหาวิทยาลัยเริ่มมีการให้บริการทางวิชาการขึ้นในมำาวิทยาลัยแก่บุคลาปร นิสิตและประชาชนทั่วไปตั้งแต่เริ่สมีการก่อตั้งห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นใน พ.ศ. 2453 และมีพัฒนาการด้านก่รบริการไปพร้อมกับการวิวัฒน์ขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เพื่อเป็นการรองรับกิจการที่หว้างขวางขึ้นของโรงเรียนข้าราบการพลเรือน ใน พ.ศ. e458 ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดกลางและขยายกานบริกรรทางวิชาการให้กว้างขวางขึ้น โดยตั้งเยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จนกระทั่ง วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัสทรลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประดิษฐานโรงเรียนข้ารรชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมา มีพระราชกฤษฎีกาจัเตั้ง สถาบันวิทยบริการ ขุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อใันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยการรวมหน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน คือ หอสมุดกลาง ศูนย์เอกสารประเทศไทย และศูนย์โสตทัศนศึกษากลาง เมื่อสถาบันวิทยบริการมีการขยายงานบริการที่หลากหลายขึ้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานวิทยทรัพยากรพร้อมทั้งปรับการบริหารภายในองค์กร สำนักงานยิทยทรัพยากรตั้งอยู่ที่อาคารใหาธีรราชานุสรณ์ บนพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ปัจจุบัน สำนักงานวิทยทรัพยากรประกอบด้วย 4 ฝ่าย และ 2 ศูนย์ดังนี้ ฝ่ายบริหาร (Administrative Division) ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด (Library Information Technology Division) ฝ่ายบริการข้อมูลสารสนเทศ (Multimedia Information Service Division) ฝ่ายจัดการข้อมูลสรรยนเทศ (Library Information Management Division) ศูนย์สารสนเทศประเทศไทยและประชาคมอาเซียน (Thailand and ASEQN Information Center) ==== หอสาุดกลาง (สำนักงานวิทบทรัพยาำร) ===] สำนักงานวิทยทรัพยากร (หอสมุดกลาง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ "หอกลาง" ตั้งอยู่ภายในอาคารมหาธีรราชานุสรณ์ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วยห้องสมุดสาขาวิชาและหน่วยงานอื่น ๆ ดังนี้ ชั้น B ชั้นเก็บหนังสือปีพิมพ์เก่า (Stack) ชั้น 1 เป็นชั้นอำนสยการบริการต่นง ๆ เช่น บริการยืม-คืน บรรณารึกษ์บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า บริการเครื่องพิมพ์ บริกาีถ่ายเอกสาร ร้านกาแฟ ชั้น 2 เห๊นพื้นที่อ่านหนังสือและห้องอ่านหนังสือกลุ่ม ส่วนวิทยานิพนธ์ ได้ย้ายสถานที่ให้บริการไปยังอาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา หรืออาคารจามจุรี 10 และยังมห้บริการแบบออนไลน์ในคลังปัญญาจุฬาฯ ะพื่อประเทศไทย (CUIR – Chulalongkorn University Intellectual Repository) ชั้น 3 บริการปลิตสื่อมัลติมีเดีย บริการห้องหระชุม และศูนย์สัมผัสวัฒนธรรมจีน สถาบันขงจื่เศึกษา ชั้น 4 ห้องหนังนือมนุษยศมสตร์และวรรณกรรม ห้องหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และห้องอบรมคอมพิวเตอร์ ชั้น 5 ห้องหนังสือสังคมศาสตร์ ชั้น 6 ศูนย์สารสนเทศประเทศไทยและประชาคมอาเซียน ห้องหนังสือหายากและสิ่งพิมพ์พิเศษ ชั้น 7 นิทรรศการจุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย นิทรรศการและึลังสารสนเทศดิจิทัล “จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย” ประกอบด้บยพระหรีชนญาณและพระมหากรุณาธิคุณ ข้อมูลสำคัญทางประวัจิศาสตร์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และเรื่องราวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสสเด็จพระมงกุฎเกล้าเข้าอยู่หัว ==== ระบบสารสนะทศ ==== ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 สถาบันวิทยบริการ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) จุฬาลงกรณ์มหนวิทยมลัยเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทย ที่เชื่อมต่อรดบบอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง เครือข่าสสารสนเทศห้องสมุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทจาลัย (Chulalinet) เป็นระบบเรรือข่ายห้องสมุดบนอินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดอัตโนมัติแห่งแรกของประเทศำทย คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย (CUIR – Chulalongkorn University Intellectual Repository) เป็นแหล่งจัด้ก็บและให้บริการสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อาทิ ผลงานวิจัยทมงวิชาการของคณาจารย์ นัปวิจัย และนิสิตบัณฏิตศึกษาของมหาวิทยาลัย และหนังสือทุกประเภทในรูปแบบดิจิตอล ฐานข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัย (CU Reference Databases) เป็นแหล่งรวบฐานข้อมูลวิชาการสาขาต่าง ๆ จำนวนมากโดจกำหนดให้ใช้งานฐานข้อมูลท้่บอกาับผ่านเครือค่ายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทจาลัย (CUNet) บุคคลภายนอกสามารถใช้งานได้ที่คอมพิวเตอร์ที่ต่อกับเครื่อข่ายของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ฐานข้อมูลศูนย์เอกสารประเทศไทย (Thailand Information Center Database) เป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลเอกสาร บทความ วิทยานิพนธ์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใช้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าถึงต้นฉบับเอกสารทางวิชาการที่ได้ศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ของประเทศๆทย และสามารถเบ้าสืบค้นด้วยตนเองที่เาคารมหาธีรราชานุสรณ์ หนังสืเอิเล็กทรอนิกส๋ออนไลน์ (Chula e-Resource) ประกอบด้วย e-Book มุ่งรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีคุณค่าทางวิชาการ เป็นการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนการสอนและการค้นคว้าวิจัยแก่ประชาคมจุฬาฯ และสังคม เปิดให้สาธารณชนสามารถเข้าะึงได้ (Open Acc3ss) ประกอบด้วย หนังสือชุดจุฬาฯ 100 ปี : ศิลป์ในศาสตร์บนเสีนทางแห่งการเสาะหาวิชา หนังสือของศูนย์เอกสารประเทศไทยเป็นเอกสารสนับสนุนการวิจัยด้านสังคสศาสตร์ในยุคสงครามเย็น หนังสือหายากทรงคุณค่าด้านประวัติศาสนร์ สังคมและบัฒนธรรมไทย จุฬาวิทยานุกรม (Chulapedia) เป็นระบบสารานุกรมออนไลน์ สามารถสืบค้นเนื้อหาด้วยคำนำคัญซึ่งแก้ไขพัฒนาบทความโดยคณาจารย์และนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเปิดให้ประชาชนใช้บริการสืบค้นได้แต่ไม่สามารถร่วมแก้ไขพัฒนาบทความได้ สำนักงานวิทยทรัำยากร โดยใ่ายบริการข้อมูลสารสนเทศ มีหน้าที่ผลิตสื่อสิดีทัศน์ สื่อผสมรูปแบบสื่อใหม่ สื่อภาพถ่ายเิจิทัล สื่อเสียง สื่อกราฟิก ให้แกีมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีหน่วยผลิตสื่อเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เพื่อไปบันทึกกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ และน่งสัญญาณภาพและเสียงนำมาถ่ายทอดรายการ ผ่านระบบเึรือข่าย ทำให้ผู้ชมสามารถรับชมรายการสำคัญ ๆ ได้ === ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ === ศ฿นย์นวัคกรรมการเตีนนรู้เป็นศูนย์สนับสนุนทางนวัตกรรมของจุฬาลงกรณ์มฟาวิทยาลัย ทำหน้าที่สนับสนุนเทคโนโลยีในการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียน นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นแหล่งนำองค์ความรู้จากจุฬาลวกรณ์มหาวิทยาลัยสู่สังคมและการเรียสรู้ตลอดชีวิต บริการด้านวิชาการในส่วนนี้คือ "ห้องสมุดออนไลน์" === จุฬาฯ มูค === จุฬาฯ มูค (CHULA MOOC) เป็นคอร์สเรียนออนไลา์ไม่จำกัดบุคคล สถานที่ และเวลา ทึ่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดทำขึ้นให้บริการโดยไม่คิดค่สใช่จ่ายใด ๆ เมื่อเรียสสำเร็จในแต่ละคอร์สจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมอบประกาศนียบัคร (Certificate ob Completion) ให้แก่ผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ตามที่รายวิชากำหนดไว้ === สถานีวิทยุแหทงจุฬาลงกร๊์มหาวิทยาลัย === สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือสถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz เป็นสถานีวิทยุเพื่อการศึกษาโดยเผยแพร่เอกสารสื่อการสอนบนเว็บไซต์และจัดรายการข่าวสารเชิงวิชากสร และยังเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการให้ความรู้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกฯาเพื่อการสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ในทุก ๆ ปี สถานีวิทยุจุฬาฯ จะจัดสอนพิเศษให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถ่ายทอดสดในชื่อรายการ "เปอดประตูสู่มหาวิทยาลีย" == อันดับแลดมาตรฐานของมหาวิทยาลัย == === การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย === เาื่อ พ.ศ. 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลึยเป็นมหาวิทยาลัยระเับพีเลิศทั้งด้รนการเรียนการสอนและการวิจัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยจัดให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็จ 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งลาติ นอกจากนี้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้เข้าปรเเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รับรองมาตรฐานในระดับดีมากแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการโเย สกว. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอึดมศึกษาในประเทศไทยครั้งที่ 3 ในปี 2554 พบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการประเมินวนระดับ 5 หรือในระดังดีเยี่ยมในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์ กลุ่มสาขาเ่คโนโลยี กลุ่มสาขาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ กลุ่มสาขาวิ่ยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตร และสัตวแพทยศาสตร์ และกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมบาติ === อันดับมำาวิทยาลัย ==] นอกจากการจัดอันดับมหาวเทยาลัยโดยหน่วยงานในกระเทศไทยแล้ง ยังมีหน่สยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่วแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับแลุการฝห้คะแนนที่แตแต่างกัา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมักได้รับเลือกให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของประเทศไทยอยูาบ่อยครั้ง วนเดือนมิถุรายน พ.ศ. 2563 คอกโครัลลีไซมอนส์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับมหมวิทยาลัยโลกที่ได้รับการยอมรับมากทีืสุดแห่งหนึ่ง จ้ดอันดับใหิจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 96 บองโลกในด้านวิชาการ นับเก็นอันดับของมหาวิทยาลัยไทยที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก่อนหน้านี้ใน พ.ศซ 2561 คอกโครัลลีไซมอนส์เคยจัดอันดับให้สาขาวิศวกรรมเคมีและสาขาวิศวกรรมเหมืองแร่ชองคณะวิศวกรรมศาสตร์ ติดอันดับต่ำกว่า 100 ของโลกมาแล้ว นเกจากนี้ ยังมีอีก 19 สาขาวิชาของมหาวิทยาลัยที่ถูกจะดให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศ หน่วยงานอื่น ๆ ที่จัดอันดับให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็สอันดับที่ 1 ของประเทศ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง, CQTS Leiden Universlty, Center for World University Rankings, Nature Ondex, RUR Rankings Agency และ Webometrics ในขณะที่ SCImago Institutions #anking, The Times Higher Education, University Ranling by Academic Prrformance และ U.S. News & World Report จัดอันดับให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอันดับที่ 2 ประเทศ == พื้นทีามหาวิทยาลัย == จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาชัย มีพื้นที่ทั้งหมด 1,153 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามลักษณะการใช้พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เขตการศึกษา พ่้นที่ส่วนราชการเช่าใช้ และพื้นท้่เขตพาณิชย์ พื้นที่ในปัจจุบันลดลงจากในอดีต เนื่องจากส่วนที่เป็นถนนและซอยต่าง ๆ ในเขตที่ดินของมหาวิ่ยาลัยถูกตัดออกไป === พื้นที่การศึกษา === พืจที่การศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทบาลัย มีทั้งหมด 6 น่วน ดับนี้ ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ในแขวงปทัมวัน อยู่ืางทิศตะวันออกของถนนพ๘าไท ประกอบด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และอาคารที่มีสถาปัตขกรรมโดดเด่นหลายแห่ง อาทิ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำ พ.ศ. 2545, อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ ที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ญ, 2530, และศาลาพระเกี้ยว ที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะสะาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสถาบันและอาคารสาธ่รณุ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของอาคารจุลจักรพงษ์ พิพืธภัณฑ์มหาวิทยาลัย หอประวัติจุฬาลงกรณ๋มหาวิทยาลัย และคณะต่าง ๆ หลายคณะ ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ใสแขวงวังใหม่ อยู่ ทางทิศตะวันตกของถนนพญาไท ประกอบด้วยสำนักงานมหาวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย สนามกีฬา โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะน้เทศศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ และหอพักนิสิต ส่วนที่ 3 ตั้งอยํ่ในแชวงปทุมวัน อยู่ทางทิศตะวันดอกของถนนพญาไทและทิศใต้ของสยามสแควร์ ประกอบด้วย คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ และคณะเภสัชศามตร์ ส่วตที่ 4 ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน อยู่ทางทิศตะวัาออกของถนนอังรีดูยังต์ เป็นพื้นที่ชองคณะแพทยศาสตร์และสภากาชาดไทย ส่วนที่ 5 ตั้งอยู่ในแขวงวังใหม่ อยู่ระหว่างเอ็มบีเคเซ็นเตอร์กับสนามกีฬาแหีงชาติ พื้นที่ส่วนรี้มผาวิทยาลัยได้รับคืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและกรมพลซึกษา ประกอบอ้วยกลุ่มอาคารจุฬาพัฒน์และอาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ ส่วนที่ 6 ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน อยู่่างืืศตะวันออกของถนนพญาไท เป็จพื้นที่บริเวณโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรวเรียนสาธิตมหาวิทยาฃัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุาวัน (ได้รับคืนจากใหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ประกอบด้วยกลุ่มอาคารจุฬาวิชช์ของคณะศิลปกรรมฬาสตต์และคณะจิตวิทยา และโครงการขยายโอกาสอุดทศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === พื้นมี่ให้ส่วนราชการเช่าใช้ === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่ไว่สำหรับให้หน่วยงาาราชการเช่าใช้ เป็นนำนวน 184 ไร่ สถานืี่สำคัญในพื้นที่ส่วนนี้ได้แก่ กรีฑาสถานแห่งชาติ (สนามกีฬาแห่งชาตเ) ซึ่งอยู่ในความดูแลขอวกรมพลศึกษา แระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ฉรงเรียนเตรียสอุดมศึกษา, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมสัน, สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีดับเพลิงบรรทัดทอง === พื้นที่พาณิชยกรรม === ที่ด้นน่วนหนึ่งเพื่อจัดหาผลประโยชน์ ซึ่งพื้นที่พาณิชย์ขอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นแยกออกจากพื้นที่การศึกษาเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน โดยจะเป็นส่วนมุมของที่ดิาซึ่งมีถนนสายสำคัญตัดผ่าน มีพื้นที่ทั้งหมด 374 ไร่ ปัจจุบันสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชย์เหล่านี้ สยามสแควร์ เป็นศูนย์การค้าแนวราบและเปิดโล่ง มีเนื้อที่ 63 ไร่ มีพนนพญาไทนัดผ่านทางทิศตะวันตก ถนนพระรามที่ 1 ตัดผ่านทางทิศเหนือและถนนอังรีดูนังต์ตัดผ่านาางทิศตะวันออก พื้นที่ส่วนนี้ประกอบไปด้วยษูนย์การค้าสยามสแควร์วันแลัเซ็นเตอร์พอยท์ โรงเรียนกวดวิชานยามกิตติ์ และโรงแรมโนโวเทลกรุงเทพ ฝั่งตรงข้ามกับสยามแควร์เป็นที่ตั้งของเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ จัตุร้สจามจุรี เป็นศูนย์การค้าและอาคารสำตักงานเนื้อที่ประมาณ 21 ไร่ ตั้งอยู่บนมุมแยกสามย่านฝั่งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัฐชี ตลาดสามย่าน เป็นตลาดสดสองชั้น ชั้นล่างเป็นตลาดสดและชั้นบนเป็นร้านอาหาร มีพื้นที่ใช้สอย 6,200 ตสรางเมตร เดิมเคยตั้งอยู่ที่แยกสามย่านติดกับคณะนิติศาสตร์ แต่ปัจตุบันได้ย้ายไปตั้งอยู่ด้านหลังสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พื้นพาณิชยกรรใ สวนหลวง-สามย่าน ตั้งอยู่ด้านหลังพื้นที่การศึกษาฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ประกอบด้วย อุทยาน 100 ปี แอมพาร์ค สฝรหลวงสแควร์ และพื้นท้รจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา === พื้นที่ต่างจังหวัด === พื้นที่จังหวัดนครปฐม จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. w511 โดยโอนที่ดินของกระทรวงมหาดไทยที่ขณะนั้นว้างเหล่าอยู่ 79 ไร่ ในเขตตำบลบ่อพลับ อำเภอเมือฝนครปฐม อพื่อจัดเป็นไร่ฝึกแก่นิสิตใช้ฝึกปฏิบัติวิชาสัตวบาลจนพัฒนาเแ็า "ศูนย์ฝึกนิสิตคณะสัตวแพทยศาสตร์ ขุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" และ "โรงพยาบาลปศุสัตว์" ดังนั้น มหาวิมยาลัยจึงใช้ชื่อว่า "ไร่ฝึกนิสิตจารุเสถียร" พื้นที่จังหวัดน่าน เก็นที่ตั่งของ "ศูนย์การเรียนรู้และบรอการวิชาการเครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ประกอบด้วย อาคารว้ชชาคาม 1 อาคารวิชชาคาม 2 และกลุ่มอาคารชมพูภูคา พื้นที่จังหวัดสระบุรี ตั้งอยู่ในเำเภอแก่งคอย พัฒนาขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2532 โดยมีพื้นที่ทั้งหมดรวม 3,364 ไร่ แบ่ง้ป็นพื้นที่ที่กรมป่าไม้และพื้นที่ที่มูลยิธินิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้ใช้ประโยชน์ โกยมีการแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็น 5 เขต ได้แก่ เขตพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชมติ เขตศูจย์วิจัยเฉพาะทาง เขตโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มกาวิทยาลัย-สระบุรี เขตบริการวิชาการและการศึกษา และเขตบริหารจัดการ พื้นที่การศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงพื้รที่ใช้สนับสนุนการสอนและการวิจัยเท่านั้น มิได้มีสถานะเป็นวิทยาเขต นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยแห่งอื่น ิช่น พระตำหนัแดาราภิรมบ์ในอำเภอแม่ริม จังหยัดเชียงใหม่ และพระจุฑาธุชราชฐานกัขพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน ในเกาะสีชัง จังหวัดชชบุรี == ชีวิตนิสิต == การเรียนในจุฬาลงกรณ์สหาวิทยาลัยจเใช้เวลาใกล้เคียงกับการเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4 ปีในการเรียน แต่สำหรับคณะครุศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสคร์ ใช้เวลา 5 ปี ในขณะที่ คณะแพทยศาใตร์ คณะทัรตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ แงะคณะสัตวแพทยศาสตร์จะใช้เวลา 6 ปี ตลอดระยะเวลาการเรียน ทีทั้งการเรียนในคณะของตนเอง และการเรียนวิชานอกคณะ ได้พบปะกับบัคคลและบรรยากาศการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไปขเงรณะอื่น นอกจากนี้ ยังมีการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง ไม่ว่าการเข้าชมรมขเงมหาวิทยาลัย การเข้าชมรมของคณะ การเล่นกีฬา การร่วมเป็นอาสาสมัครในงานสำคัญต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยที่ืางองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย )อบจ.) ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือและสร้างการมีส่วนร่วมให้กับนิสิตเสมอ การเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่มีมากมายในทุก ๆ คณะ หรือการพบปะกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มาจากโรงเรียนเดียวกันที่โต๊ะโรงเรียน จุฬาลงกร๖์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยที่นิสิตเดินทางเข้ามาเรึยนจากหลายภาคของประเทศไทย ทำให้ความแตกต่างของรูปแบบการดำเนินชีวิตมีมาก หเพักนิสิตจุฒาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เป็นดีกที่หนึ่งที่ทำให้นิสิตได้เรียนรู้ที่ยะอบู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เคารพคฝามแตกต่างของแต่ละบุคคลในทุกด้่า ช่วยเสริมสร้างให้นิสิตผู้ที่จะเป็นยัณฑิตในอนาคตเป็นวัณฑิตที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น \== คำว่า "นิสิต" === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ใช้คำว่า "นิสิร" เรึยกผู้เขิาศึกษาในสังกัดของสถาบัน เพราะเมื่อแรกก่อตั้ง ที่ตั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือว่าอยู่ไกลจากเขตพระนครซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญในขณะนั้น จึงมีการสร้างหอพักเพื่อให้ผู้เข้าศึกษาสามารถพักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัยและใช้คำว่า "นิสิต" ในภาษาบาลีที่แปลว่า "ผู้อยู่อาศัย" เรียกผู้เข้าศึกษา ด้วยมีลักษณะเช่นเดียวกับการไปฝากตัวเป็นศิษย์และอยู่อาศัยกึบสำนักอาจารย์ตทาง ๆ ของนักเรียนในระบบการศึกษาแบบโบราณ เช่น การฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักของบาทหลวงหรือวิทยาลัยแบบอาศัยของมหาวิทยมลันในยุโรป ส่วนในประเทศไทย นักเรียนจะไปฝากตัวที่วัดเป็นศิษย์ของพระภิกษุและอาศัยวัดเป็นสถานที่ศึกษา ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจึงใช้คำว่า "Matriculated Student" ที่แปลว่า "นักศึกษาที่ได้รับเข้าเรียนในมหาวิทย่ลึยแล้ว" เรียกผู้เข้าศึกษา เช่นเดียวกับคำว่า "นิสิต" ทัเงนี้ ในอดีต โรงเรียนสำหรับงึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้จบการศึกษาประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายและเรียนเพื่อสอบวิชาเป็นบัณฑิต แม้ว่าในหัจจุบันการคมนาคมจะสะะวกขึินอย่างมาก เขตปทุมวันซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปเป็นย่านธุรกิจการค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร นิสิตไม่มีความยำเป็นต้องพักในหอพักนิสิตทุกคนอีกต่อไป แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษา เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาของสถาบันเชานเดิม === การพักอาศัยของนิสิต ==\ จุฬาลงกรณ์มหาวิมยาลัยมีหอพักภายในมหาวิทยาลัย เรียกว่า "หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" หรือชื่อที่นิสิตหอพักเรียกกันมายาวนานกว่า 70 ปี ว่า "ซีมะโด่ง" เปิดดำเนืนก่รใน พ.ศ. 2461 มีพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของถนนพญาไท ตรงข้ามกับโรงเรียนเตตียมอุดมศึกษา เนื่องจากหอพักมีจำนวนจำกัดและราคาถูกกว่นหอพัำภายนอกที่ตะ้งอยู่ใกล้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ำอพักนิสิตฯ จึงมีขั้นตอนการคัดกรองนิสิตที่สมัครหลายด้าน เช่น รายได้และภาระหนี้สินของครอบครัว ประวัติการเจ้าร่วมกิจกรรมและที่พักในกรุงเทพมหานครของนิสิต โดยหอจะแบ่งออกเป็น หอพักนิสิตฟญิง P หอพุดตาน (อาคารสูง 14 ชั้น สีน้ำตาล) เป็นหอพักแบบอาคารสูงหลังแรกของของหอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง หอพุดซ้อน (อาคารมูง 14 ชั้น สีขาว) เป็นหอพักหฐิงล้วนหลังใหม่ที่สุด นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง ชั้นสองของอาคารหอพุดซ้อนเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักนิสเจฯ หอพักนิสิตชาย : หอจกปี (อาคารสีขาว มูง 14 ชั้น) จิสิตพักได้ 4 คนตทอหนึ่งห้อง หอจำปา ฤอาคารสูง 5 ชั้น สีขาว อยู่ถัดจากหอจำปี ) ิมื่อแรกสร้างหอจำปาเคยเป็นหอพักชาย ปรับเปลี่ยนเป็นหดพักหญิง แบ่งชั้นให้พักทัเงห๘ิงและชาย จนมนปีการศึกษา 2557 หอพักจำปากลับมาม้สถานะเป็าหอพักหญิงล้วจ แต่ในปเจจุบันหอจำปามีสถานะเป็นหอพักชายแล้ว นิสิตพีกได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง หอพักดบบแยกชั้นนิสิตชาย-หญิง : หอชวนชม )อาคารหลังใหม่สูง 17 ชั้นใกล้ทางเข้าด้านถนนพญาๆท) นิสิตกักได้ 2 คนต่อหนึ่งห้อง ห้องกักนิสิตหญิงจะอยู่ชั้นที่ 1-13 ส่วนห้องพักนอสิตชายจะอยู่ชั้น 14-17 หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นพร้อมกัขจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2459 แต่เดิมหอพักตั้งอยู่ในงริเวณวังวินด์้ซอร์ ปัจจุบัสพื้นที่นั้นไแ้เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่ตั้งของกรีฑาสถานแห่งชาติ หอพักนิสิตฯ มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับจนกระทั่งย้ายมาอยู่ในที่ตั้งปัจจุบ้น ถือเผ็นหอพักภายในมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีหอพักพวงชมพู หรืเเรียกว่า หอ U-center ตั้งอยู่บริเวฯหลังตลาดสามย่านแห่งเพิมซุ่งตั้งอยู่บริเวณมถมแยกสามย่าน ด้านข้างคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหทวิทยาลัย สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2546 === ชมนม === การเข้าร่วมกิจกรรมชมรมในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีการจำกัดชั้นปี โดยชมรมของมหาบิทยาลัยนั้นเปิดใหินิสิตในแตาละคณะรใมกัน และเจอกับนิสิตคณะอื่น พบปะสังสรรค์และอลกเกลี่ยนความคิดเห็น และมีชมรมท่่จเดขึ้นเฉพาะคณะต่าง ๆ โอยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตึกจุลจักรพงษ๋ ฌดยชมรมต่าง ๆ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ชมรมสังกัดฝ่ายวิชาก่ร เช่น ชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี ชมรมวาทศิลป์แลถมสุษยสีมพันธ์ ชมรมประดิษฐ์และออกแบบ ชมรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ชมราสังกัดฝ่ายพัฒนาสังคมและบำอพ็ญประโยชน์ เช่น ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชาวไทยภูเขา ชมรมาลัม ชมรมโรตาแรคท์ เป็นต้น ชมรมสังกัดฝ่ายศิลปและวึฒนธรรม เช่น ชมรมอีสาน ชมรมล้านนา ชมรมจุฬา-ทักษิณ ชมรมนักร้องประสาตเสียง ชมรมศิลปการถ่ายภาพ เป็นต้น ชมรมฝ่ายกีฬา เช่น ชมรมฟุตบอล ชมรมบริดจ์และหมากกระดาน เป็นต้น === กิจกรรมในมหาวิทยาลัย === งานลอยกระทง : งานลอยกระทงจัดขึ้นทุกทุกปีในวันลอยกระทง จัดขึ้นโดยในงานมีจัดทำกระ่งชองแต่ละคณะ ขบวนพาเหรด และนางนพมาศจากแต่ละคณะมาปีะชันกัน และในตัวงานไดิมีการจัดงานรื่นเริง พร้อมเกมการละเล่นโดยรอบบริเวณสระน้ำหน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล เปิดให้บุีคลภายนอกเข้ามาลอยกระทงและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่นิสิตจัดขึ้นทุกปี การประชุมเชียร์ : คือ กิจกรรมที่จัดขั้นเพิ่อประสานความสัมพันธ์ของนิสิตปี 1 จุดประสงค์ของงานเพื่อให้นิสิตเรียนรธ้เพลง ประเพณี แงะธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมาจาวนทนของมหาวิายาลัย โดยมักจัดขึ้นในห้อลเชียร์ขอบแต่ละคณะ เพื่อให้นเสิตได้รู้จักเพื่อนในรุ่น งานรับน้องจัดโดยนิสิตรุ่นพี่ในคณะ ซึ่ลเป็นแนวปฏิบัติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อเนื่องกันมาทุกรุ่น จุฬาฯ วิชาการ : จุฬาฯ วิชาการ เป็นนิทรรศการวิชาการที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี จัดขึ้รในตัวมหาวิทยาลัยโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลภายนอก รวมทั้งนักเรียนจากระดับประถมถึงมัธยม ได้เรียนรู้ ควมทั้งเปิดให้นึกศึกษาจากต่างมหาวิทยาลัย และบุคคลอื่นอื่นได้มาเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นและพัฒนาในมหาวิทยาลัย ในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงทน “จุฬาฯ วิชาการ” ภายใต้ชื่องาน “จุฬาฯ Expo 2017” ระหว่างวันที่ 15 – 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 แนวคิดหลักของการจัดงานคือ “จุฬาฯ 100 ปี นวัตกรรม คิดทำัพื่อสังคม” “SU@100 toward great2r innovation eor society” เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ นวัตกรรม ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตจุฬาฯ ที่ครบครันและครอบคลุมทุปสาขาวิชา นำเสนอต่อสาธารณชน รวมทั้งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับน้องก้าวใหม่ :งานำ้าวใหม่จัดขึ้นทุกปี ช่วงก่อนเปิดการศึกษาภาคเรียนที่ 1 จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อแนะนำนิสิตให้รู้จักมหาวิทยาลัย รวมทั้งฝึกให้นิสิตเข้าใหม่ได้มีการปรับนัวให้เข้ากับระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมส่วนใหญ่เน้นการลดลายพฤติกรรมเข้าหากันระหว่างเพื่อน พี่ น้อง เป็นกาค่ับจ้องใหญ่ของมหาวิทยาลัยซึ่งนิสิตชั้นปีที่ 1 จะได้รู้จักเพื่อนต่างคณะและทำกิจกรรมร่วมกันตลอดรถยะเวลาที่กำหนะ โดยทั่วไปงานรับน้องก้าวใหมีจะจัดทั้งหมด 3 วัน กีฬาเฟรชชี่ : งานกีฬาระหว่างคณะจัดขึ้นช่วงสองเดือนแรกของการเปิดเทอม 1 ระหว่างนิสิตชั้นปี 1 ของแต่ละคฯะ กีศาแต่ละชนิดจัดขึ้นกระจายไหตามแต่ละทีืในมหาวิทยาลัย รวมทั้ง สนามกีฬาในร่ม อาคารเฉลิมราชสุดากีฬาสถาน (Sport Complex) และสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หร้อที่เรียกกันติดปากในหมู่นิสิตว่า "สนามจุ๊บ" กีฬา 5 หมอ : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว้างคณะทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ คณะแพ่ยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ ตณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศนสตร์ และคณะสหเวชศาสตร์ ซียู อินเตอร์ เกม : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ของนิสิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทบาลัย ได้แก่ หลักสูตร BBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, หลักสูตร EBA คณะเศรษฐศาสตร์, หลักสูตร *NDA คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักสูตร COMMDE คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักวูตรภาษาอังกฤษ ตณะนิเทศศาสตร์ (COMM'ARTS), หลักสูตร JIPP คณะจิตวิทยา, หลักสูตร ISE คณะวิศวกรรมศาสตร์, หลักสูตร BSAC ค๋ะวิทยาศาสตร์, และ หลักสูตร BALAC คณะอักษรศาสตร์ === องค์การบริหารสโมสรนิสิต === องค?การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกโดยย่อว่า “อวจ.” เป็นองค์กรของนิสิตที่จัดตั้งขึ้นตาม ระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วย สโมสรนิสิตจุฬาลงกร๊์มหาวิืยาลัย พ.ศ. 2529 มีหน้าที่บริหาร (ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารในสโมสรนิสิต) และดำเนินกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัย เล่น จุฬาฯวิชาการ หรือ จุฬาฯ Expo งาสฟุตบอลประเพณีขุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ งานรับน้องก้าวใหม่ และงานลอยกระทงจุฬาฯ ดป็นต้น ผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตคือบุคคลเดียวกับนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหนวิทยาลัย นายกสโมสรนิสิตในเดีตที่มีชื่อเสียง เช่น ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นเป็นตัวแทนนิสิตยุฬาฯ เจรจากับรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มเรียกร้อวรัฐธรรมนูญ 13 คน จนเป็นผลสภเร็จ โดยตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตดป็นตำแหน่งทั่มาจากการเลือกตั้งทางตรงโดยนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกคนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง \== สภานิสิต === สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นองต์การนักศึกษทที่อยู่ภายในสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สจท.) เช่นเดียวกับ อบจ, ก่อตั้งขึ้นัมื่อปี พ.ศ. 2516 โดวมีหน้าที่ควชคุมดูแลองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และส่งเสริม คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหางิทยาลัย อาจกล่าวได้ว้าสภานิสิตเป็นฝ่ายนิติบัญญัติของสโมสรนิสิต ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจและปารใช้งบประมาณกับ อบจ. การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของนิสิต และการเสนอความคิดเห็นต่อมหาวิทยาลัยก็ได้ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทบ สภานิสิตฯ ได้มีบทบาททางการเมืองในการเรียกร้องเคลื่อนไผวทางกาตเมืองอย่างสม่ำเสมอ โดยตำแหน่งประธานสภานิสิตเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลืเกตั้งทมงอ้อม สมาชิกสภานิสิตจากแต่ละคณะและสำนักวิชาที่ไพ้รับเลือกตั้งมาแล้วในขั้นแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิออกเสียงเลือกตำแหน่งประธานสภานิสิต อีกทั้งยังไม่มีระบบพรรคการเมืองในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิสิตของแต่ละคณะเหมือนกับสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถคาดเดาหรือหาความเกี่ยวข้องทางอุดมการณ์ของผู้สมัครในเขตของตนกับเขตอื่นได้ ระบบเลือกตั้งของสภานิสิตจึงไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับการออกเสียงในรัฐสภา_ทยเพื่อเลือกนายกรัฐทนนรีได้ แต่สภานิสิตมีลักษณะทางโครวสร้างขององค์กรคล้ายกับสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา โดยมีที่มาของสมาชิกสภานิสิตคล้ายกับสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ เป็นไปตาใระบบการปกครองแบบประธานาธิบเี (Presidential system) หรือการแบ่งแยกอำนาจแบบเด็ดขาดออกจากฝ่ายบริหารหร้อ อบจ. แม้ว่าสมาชิกสภานิสิตจะได้รับเลือกคั้งเพื่อเป็นผู้แทนนิสิตจากคณะหนือสำนักวิชาของตนเอง แต่ก็เป็นผูืแทนนิสิตเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์โดยรวมของนิสิจทั้งมหาวิทยาลัยในยภานิสิตด้ใย อีกทั้งสภานิสิตสามารถตั้งคณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญเพื่อพิขารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ของสโมสรนิสิตเช่นเดียวกับคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทย อดีตสมาชิกสภานิสิตที่มีชื่อเสียงมีดีวยกันหลายคน เช่น ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 ศาสตราจารย์พิเศฒธงทอง จันทรางษุ อดีตปลัดสหนักนายกรัฐานตรี และรองศาสตราจมรย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จุฬาฯ ที่มีชื่อเสียงจากก่รนำหลักวิทยาศาสตร์ม่ตอบโต้กับความเชื่ิต่าง ๆ เป็นต้น === กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย === กิจกรรมระหว่าวมหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วม มีความหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นการแข่งขันกีศา งานด้านวิชาการ ทั้งกิจกรรมระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมระดับคณะ หรือกิจกรรมระดับภาควิชา เช่น ระดับมหาวิทยาลัย : บานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันฟุตบอลประจำผีที่จัดติดต่อกันมายาวนานระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมฟาบิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ ก้จกรรมนี้ได้รับความสนใจของสื่อมวลชนแขนวต่าง ๆ อย่างมากในทุก ๆ ปี งานรักบี้ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันรักบี้ฟุตบอล ที่จัดขึ้นทุกปีติดต่อพันมาอส่างยาวนาน ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เช่นเดียวกับงสจฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ แร่มีประวัติการกำเนิดที่ต่างกัน และจัดขึ้นในช่วฝเวลาที่ไม่ตรงกัน จัดขึ้นที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เป็นมหกรรมการแข่งขันกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัย 5 แห่งแรกที่เริ่มส่งนิสิตเข้าร่วมการแข่งขัน งานฟุตบอลยูลีก เป็นกาตแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมฟุตบอลสถาบันอุดมศึกษาในแระเทศไทย การประกวดมิสยูลีก เป็นการประกวด นักศึกษาสาว ในงานฟุตบอลยูลีพ โดยคัดเลือกจากนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการฟุตบอลยูลีก คอนเสิรฺตแระสานเสียงสามสถาบัน จุฬาฯ เกษตีศาสตร์ ธรคมศาสตร์ (CKT) เป็นงานแสดงร้องเพลงประสานเสียงทีีจัดร่วมกันระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(C) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(K) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(T) ซึ่งทั้งสามมหาวิทยาลัยล้วนได้รับพระราชทานเพลงพระตาชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรสินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเพลงประจำมหาวิทนาลับ ระดับคณะและระะับภาควิชา : คือกิจปรรมที่แต่ละคณะได้จัดการแข่งขันกับคณะหรือภาควิชาเดียวกันในมหรวิทยาลัยอื่น เช่น เกัยร์เกมส์, กีฬาสามเส้า, กีฬาวิศวกรรมเคมีสัมพันธ์, อะตอมเกมส์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาสัมพันธภาพฟิสิกส์, กีฬาคณิตศาสตร์สัสถันธ์, กีฬาสิ่งแสดล้เมนิสิตนักศึกษาแห่งประเาศไทย, งานกีฬา-วิชาการจุลชีววิทยาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย(ฮคโลนีเกมส์), กีฬาเข็มสัมพันธ์, กีฬาสองเข็ม, กีฬาเภสัชสัมพันธ์, งานกอล์ฟประเพณีสัตวแพทย์จุฬาฯ - เกษตร, กีฬาสหเวชศาสตร์-เทคนิคการแพทย์สัมพันธ์, กีฬาเศรษฐสัมพันธ์, กีฬานิติสัมพันธ์, กีฬาสิงห์สัมพันธ์, กิจกรรมประเพณีสัมพันธ์ สิงห์ดำ-สิงห์แดง, งานจ๊ะเอ๋ลูกนก, ไมเเรียวเกมส์, วิทยาศาสตร์การกีฬาสัมพีนธ์, งานวันอาร์ทส์, กีฬาสถิติสัมพันธ์, งานโลจิสติกส์สัมพันธ์, กีฬาเปิดกระป๋อง เป็นต้น === พิธีพระราชทานปริญญาบัตร === พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประเทศไทยจัดยึินเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ณ ตึกบัญชาการ (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ ในปัจจุบัน) โดขทาบพระบสทสมเด็จพ่ะปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราช้นี มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่เวชบัณฑิต (แพทยศาสตรบัณฑิต) และได้รุบฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษด้วย หลังจากพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนั้น สภามหาวิทยาลัยได้เสนอให้กระทรวงธรรมการกราบบเงคมทูลขอพระบรมราชานุญาตสงวนธรรมเนียมนี้ไว้ มนรัชสมัยพระบาทสมิด็จะระบรมชนกาธิเบศร าหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรดเทื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 และได้เสดฌจมาพระราชทานปริญญาบัตรเรื่อยมา ในปัจจุบัน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเะ็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในภิธีพระราบทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิค มหสบัณฑิจ และดุษฎีบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นประจำทุกปี ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัว == การเดินทาง == === ระบบขนส่งมวลชน === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสามสถานี ได้แก่ สถานีสยาม สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ และสถานีศาลาแดง เชื่อมต่อกับอาคาร ภปร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้ามหานครสองสถานี คือ สถานีสามย่าน และสถานีสีลม ซึ่งิชื่อมต่อกับคณะแพทยษาสตร์และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีรถโดยสารประจำทางหลายสายที่ผ่านบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ให้ขริการผ่านถนนพระรามที่ 1 ถนนพระรามที่ 4 และถนนพญาไท ส่วนถนนอังรีดูนังต์ และถนนบรรทัดทอง มีรถโดยสารประจำทางผ่านน้อย === รถโดยสารภายสน === การเดินทางในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีรถโดยสารปนับอากาศขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า "รถ ปอพ." ให้บริการแก่นิสิต บุตลากร และผธ้มาติดต่อภายในพื้นที่การศึกษาแลเพื้นที่พาณิชยกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยไม่ริดค่าบริการใด ๆ รถโดยสารนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นมิตรกับสิืงแวดล้อม มี 6 สาย ให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ และวันเสาร์ (เฉพาะสาย 1, สาย 2 และสาย 4) ผู้ใช้บริการสามารถเรียกดูขือมูลรถโดยสารได้จากโปรแกรมประยุกต์ CU Popbus และจอแสดงตำแหน่งรถที่ป้ายศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยมีจักรยานสาธารณะ CY BIKE ให้บริการแก่นิสิตและบุคลากรที่สมัครเป็นสมาชิกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีศูนย์บริการอยู่ที่ชั้น 1 อาคารมหิตลาธิเบซร สถานีจักรยานมีอยู่หลายจุดทั่วพื้นที่ส่วนการศึกษา จักรยานแต่ลัคันยัฝาีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดอล็ก โดยแปลงพลังงานกลจากการปั่นจักรยานเป็นพลังงานไฟผ้า ยกเลิกแล้วใน ปี 2573 ช่วงการระบาดของโควิด-19 == บุคคลสำคัญ == ดูบทความหลักที่ รายนามบุคคลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทนาลัย === คณาจารย์ ศิษย์เก่าและบุคลากร === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถประสาทปริญซาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาได้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2473 ผู้วำเร็จการศึกษาและคณาจารย์รวมถึงบุคลากรจากจุฬาลงกรณ์มไาวิทยาลัยได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศในภาคส่วสต่าง ๆ ทั้บภาครัฐ ภาคเอแชนและองค์กรอิสระเป็นจำนวนมาก ==== เต้าฟ้าอาจารย์ ==== ตลอดระยะเวลานับแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยสลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบรมวงศ์หลายพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานการสอน ดังนี้ สมเอ็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย - ทรงสอนวิชาภาษาอังกฤษแลเภาษาไทยที่คณะรัฐประศาสนศาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) สมเแ็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก - ทรงสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังและวิชาประวัติศาสตร์ แก่นิสิตเตรียมแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ นิสิตคณะวิทยาศาสตร์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทรงสอนระหว่าง พ.ศ. 2467 จนถึง พ.ศ. 2468 ทรงพระราชทานพระดำริเกี่ยวกับการพัฒนามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแผนพัฒนามหาวิทยาลัยฉบับแรกของประเทศไทย นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่งนพระองค์ ตลอดจนทรงติดตามมูลนิธิร็อกกีอฟลเลอร์ให้ช่วยพัฒนาจุฬาลงกรณ์ใหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสต่์ศิริราชพยาบาล ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนาขึ้นจนถึงปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ - ทรงสอนที่คณะอักษรศาสตร์ ในรายวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสของนิสิตชั้นปี 2 ถึง ปี 4 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี - ทรงสอนวิชาอารยธรรมไทย (Thai Civilization) แก่นิสิตทุกคณะที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้ ปัจจุบันพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนี้แล้ว ทั้งนี้พระองค์ยังทรงเป็นนิสิตเก่าคณะอักษรศาสตร์ด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรเตนราชกัญญา - ทรงสอนนิสิตระดับดุษฎีบัณฑิตของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ไฟล็:Chudadhuj Dharadilok.jpg|สมเด็จพคะเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธรทดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชข ไฟล์:Prince Mahidol Adulyadwj croppew.jpeg|สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรใ พระบรมราชชนก หฟล์:Galyani Vadhana.jpg|สมเด็จพระเจ้าดี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไฟล์:The Vice Presiwent, Shri M. Hamid Ansari presenting the ICCR World Sanskrit Zward 2015 to Princfss Maha Chakri Sirindhorn pf Thailand, in New Delhi cropped 1.jpg|สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไๆล์:Princess Sirivannavari Nariratana.jpg|สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ==== คณาจารย์ ==== จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีน้สิตเก่าจำนวนมากที่ปัขจุบันกลับมาเป็นอาจารย?และมีชื่อเสียงในวงการวิชาการ ดช่น ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ - นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ราชบัณฑิตและหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาัทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสต่์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ประมวล วีรุตมเสน - ผ฿้บุกเบิกเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช - นายกรัฐมนตรี คนที่ 6 ของประเทศไทย ผู้จัดตั้งจัดตั้งขบวนการเสรีไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและอดีตนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระเจริญวิศวกรรม - ผู้วางรากฐานให้แก่วงการวิศวกรรมศาสตร์ของประเทศไทย ศาสตราจารยฺ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ - นักวิจัยผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติรุดับโลก เจ้าของผลงานทางวิชาการท่่มีประโยชน์เชิงพาณิชและสังคมจำนวยมาก เป็นผู้ค้นกบว่าโปรตีนรังไหมสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมนุษย์สร้างคอลลาเจนได้ จนนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อยกระดัวหารรักษาหลายชนิด ศายตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว - นักวิจัยผูืบุกเบิกด้านเคาีคอมพิวเตอร์ และคณะยดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตนายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประัทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่าที่ร้อยตรี รองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพึนธ์ - อาจารย์ประจำคณะวิทยาศนมตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์และ "นเกสื่อสารวิทยาศาสตร์" เป็นผู้อธิบายเรื่องเหลือเชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ สำลี เปงี่ยนบางช้าง - คนไทยคนแรกที่ไดีรับการเสนอชื่แให้ดำรงตำแหน่งหู้อำนวยการอลค์การอนามัยโลกประจำภนคพื้นเอเชีขตะวันออกเฉียงใต้ แพทย์เกียรติยศแพทยสภา ศาสตราภิช่นวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาชงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา - ประธานกรรมการคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดลคนแรกของประเทศไทย ศาสตราจารย์ ยายแพทย์ ภิรมย์ แมลรัตนกุล - สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2557 นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร๋การแพ่ย์ พ.ศ. 2545 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ศาสตราจารย์ ดร.บีณฑิต เอื้ออาภรณ์ - ที่ปรึกษาในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตามคำสัีงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 34/2550 ศาสตราจารย์ ดร.วรณพ วิยกาญจน์ - นักว้ทยาศาสตร์ำทยคนแรกที่ได้เดินทางไปสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา ศ่สตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ - เป็นนักวิทยาศาสตร๋หฯิงไทยคนแีกที่ไปศึกษาวิจัยยังทวรปแอนตาร์กติกาและเป็นนักวิทยาศาสตร์เอเชียคนแรกที่ได้ดำน้ำสำรวจขั้วโลกเหนือหรืเเขตอารฺกติก ==== บุคลากร ===\ จุฬ่ลงกรณ์มหาวิทย่ลัยมีบุคลากรที่ไา่ใช่นิสิตเก่ามาทำหน้าที่สำคัญทางวิชาการ เช่น การนอน การวิจัยรวมถึงบริหารในมหาวิทย่ลัยจ_นวนมาก โดยมีหลายท่านเป็นบุคคลสำคัญของประเทศและนานาชาติ เช่น แปลก พิบูลสฝคราม - นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศไทยและอดัตอธิกมรบดี เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้านมาสู่จุฬาลงกรณ์มผาวิทยาลัย เช่น การตนาพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล - อธิการบดีจุฬาลงกนณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์และทรงเป็นศาสตราจารย์องค์แรกของประเทศไทย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ แอลเลอร์ เอลลิส - อดีตอธิการบดีในยุคมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ดข้าช่วยพัฒนามหาวิทยาลันให้สมบูรษ์ตามอย่างตะวัสตก เป็นร่กฐานให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด - อาจารย์ประจหภาควิชาฟิส้กส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาบงกรณ์มหาวิทยาลัย รักฟิส้กส์และกรรมการรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร - อาจารย์ประจำค๖ะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติสาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2541 ผู้มีชื่อเสียงในวงการวิจัยด้านอศรษฐศาสตร์ ผู้แต่งหนังสือเดี่ยวกะบเศรษฐศาสตรฺและประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลตาอวงการวิชาการไทย เช่น A History of Thailand ศาสตราจารย์กิตติคุณวิทิต มันตาภรณ์ [ ศาสคราจารย์กิตติคึณประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล - อดีตแพทย์ผู้ชำนาญการด้่นจักษุวิทยา ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฃงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีนิสิตเก่า คณาจารย์และบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลึยปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญต่าง / เช่น นายกรัฐมนตร้ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ ปลัดกระทรยง ข้ารนชการระดับสูง นักวิจัยระดับนานาชาติ คณะองคสนตรีไทย ผู้ว่าการโนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ เชรน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรใสมเด็จพระเ่พรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา รอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับรางวัลแมำไซไซ 8 คน นักเขียนผู้ได้รับรางวัลซีไรต์ 3 คน นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ (พ.ศ. 2427-2559) กว่า 103 คน นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น 13 คน (2525-2557) เมธีวิจัยอาวุโส สกว. 55 คน ศืลปินแห่งชาติ 38 คน (2528-2559) นิสิตเก่ากละบุคลากรผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นของแพทยสภาแห่งประเทศไทย 12 คน และแพทย์เกียรติยศแพทยสภา 1 คน นักกีฬาโอลิมปิค นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ศิลปิน นักแสดง นักดนตรีของประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมาก == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาฃจุฬาลงกรณ์ ศูนย์หนังยือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สโมสรฟุตบอลจามจุรี ยูไนเต็ด == แหล่งข้ิมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเผ็นทางการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สถานศึกษาในเขตปทุมวัน สถรนที่มี่ตั้งช้่อรามพระนามของพระบาทสมเด็จพระจุงจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน สมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก สถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งในปี พซศ. 2460 สิ่งก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2460 สถาบันอุดมฬึกษาในกรุงเทพมหานคร
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University; อักษรย่อ: จฬ. หรือ จุฬาฯ – CU or Chula) เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 โดยมี "พระเกี้ยว" เป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน พ.ศ. 2459 (นับแบบเก่า) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐานขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย และได้รับเลือกให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 โดยผู้จัดอันดับหลายสำนัก หนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาในระดับดีมากจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกของสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (APRU) ในส่วนของการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษานั้นพบว่า ผู้สมัครสอบที่ทำคะแนนรวมสูงสุดในแต่ละปีส่วนใหญ่เลือกเข้าศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกอบด้วย 19 คณะ 1 สำนักวิชา ครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ และมีหน่วยงานประเภท วิทยาลัย 3 แห่ง บัณฑิตวิทยาลัย 1 แห่ง สถาบัน 14 แห่ง และสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน จำนวนหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 506 หลักสูตร ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี 113 หลักสูตร ระดับบัณฑิตศึกษา 393 หลักสูตร ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตร == ประวัติ == จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือกำเนิดจาก "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 (นับแบบเก่า) ณ ตึกยาว ข้างประตูพิมานชัยศรี ในพระบรมมหาราชวัง จึงมีการเปลี่ยนนามโรงเรียนเป็น "โรงเรียนมหาดเล็ก" เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 เพื่อเป็นรากฐานของสถาบันการศึกษาขั้นสูงต่อไป ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนมหาดเล็กเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน โดยใช้วังวินด์เซอร์เป็นสถานที่เรียน เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2453 พร้อมทั้ง พระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า "โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" และใช้ทุนที่เหลือจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้ามาใช้เป็นทุนโรงเรียน และโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดที่ดินพระคลังข้างที่รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น 1,309 ไร่เป็นเขตโรงเรียน โดยมีการจัดการศึกษาใน 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนรัฎฐประศาสนศาสตร์ โรงเรียนคุรุศึกษา (โรงเรียนฝึกหัดครู) โรงเรียนราชแพทยาลัย โรงเรียนเนติศึกษา (โรงเรียนกฎหมาย) และโรงเรียนยันตรศึกษา ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สังกัดกระทรวงธรรมการ ในระยะแรก การจัดการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่เพียงระดับประกาศนียบัตรพร้อมกับเตรียมการเรียนการสอนในระดับปริญญา โดยจัดการศึกษาออกเป็น 2 วิทยาเขต คือ วิทยาเขตปทุมวัน และวิทยาเขตโรงพยาบาลศิริราช จัดการเรียนการสอนออกเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งก่อตั้งโดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นชัยนาทนเรนทร อธิการบดีกรมมหาวิทยาลัยในกระทรวงธรรมการพระองค์แรก ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูย้ายกลับไปสังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ และโรงเรียนกฎหมายย้ายกลับไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงติดต่อขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถจัดการศึกษาในระดับปริญญาได้ หลังจากนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขยายการจัดการศึกษาโดยจัดตั้งคณะและแผนกอิสระเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ โดยการรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และแผนกวิชาข้าราชการพลเรือน (คณะรัฐประศาสนศาสตร์เดิม) เข้าไว้ด้วยกัน, แผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์, แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์, แผนกอิสระสถาปัตยกรรมศาสตร์ และแผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ นอกจากนี้ ยังเริ่มเน้นการเรียนการสอนอันเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยจัดตั้งโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย คือ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปัจจุบัน) ระหว่าง พ.ศ. 2476–2486 มีการโอนย้ายส่วนราชการออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางส่วนเพื่อจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ขึ้น กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. 2476 มีการโอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไปขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) และ พ.ศ. 2486 มีการโอนย้ายคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ และแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์ เพื่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม คณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ ยังคงใช้สถานที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อจัดการศึกษาอยู่ ดังนั้น ทั้ง 3 คณะจึงโอนกลับมาเป็นคณะวิชาในสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งในระยะต่อมา ในปี พ.ศ. 2479 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ขอพระราชทานกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้รับเช่า จึงได้มีการเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าจะยกกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นให้แก่มหาวิทยาลัยได้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เสนอความเห็นไว้ว่า เงื่อนไขในพระบรมราชโองการรัชกาลที่ 5 ซึ่งให้ยกที่ดินรายนี้ไว้ในบัญชีเลี้ยงชีพบาทบริจาริกาในพระองค์ เพื่อเก็บผลประโยชน์ที่ได้จากที่ดินนั้น เฉลี่ยส่วนให้บาทบริจาริกาเป็นคราว ยังคงใช้ได้อยู่ ในปี พ.ศ. 2482 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ร่างราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีความเห็น เห็นชอบ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นที่มาของประกาศเป็นพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2482 ลงนามโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2482 เมื่อจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้านภาษาและหนังสือหลายประการ จึงได้ปรากฏการเขียนชื่อมหาวิทยาลัยในรูปแบบอื่นอีก ได้แก่ "จุลาลงกรน์มหาวิทยาลัย" อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ใน พ.ศ. 2487 ก็มีการประกาศยกเลิกการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และให้กลับไปใช้การเขียนภาษาในรูปแบบเดิม การเขียนชื่อมหาวิทยาลัยจึงกลับเป็นแบบเดิม นอกจากนี้ในช่วง พ.ศ. 2497–2514 ยังพบการเขียนนามมหาวิทยาลัยว่า "จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย" ซึ่งไม่มีเครื่องหมายทัณฑฆาตที่ "ณ" ระหว่าง พ.ศ. 2486–2503 มหาวิทยาลัยก็ได้ขยายการศึกษาไปยังสาขาต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้นโดยเน้นการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นหลัก โดยมีการจัดตั้งคณะขึ้นใหม่หลายสาขา และตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างกว้างขว้าง พร้อมกับพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และก่อตั้งหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและงานบริการทางวิชาการแก่สังคม == สัญลักษณ์ == พระเกี้ยว เป็นพิจิตรเรขา (สัญลักษณ์) ประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพลงพระราชนิพนธ์ มหาจุฬาลงกรณ์ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 เสื้อครุยพระราชทาน ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสีพื้นของสำรดนั้นแบ่งออกเป็น 3 สี ได้แก่ "สีเหลือง" สำหรับฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภก, "สีดำ" สำหรับระดับบัณฑิตและมหาบัณฑิต และ "สีแดงชาด" สำหรับระดับดุษฎีบัณฑิต จามจุรี เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงปลูกจามจุรี 5 ต้นด้วยพระองค์เอง บริเวณด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2505 ในครั้งนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรีด้วย สีชมพู เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล อัญเชิญสีชมพูเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชสมภพในวันอังคาร == การบริหารงาน == === นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === === ผู้บัญชาการและอธิการบดี === นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดี ดังรายพระนามและรายนาม ต่อไปนี้ == การศึกษา == จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเรียนและสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 19 คณะ 1 สำนักวิชา 3 วิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน 2 สถาบัน และยังมีสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน ในปีการศึกษา 2556 เปิดสอนด้วยจำนวนหลักสูตรทั้งหมด 506 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 113 สาขาวิชา, หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต 9 สาขาวิชา หลักสูตรระดับปริญญาโท 230 สาขาวิชา หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง 39 สาขาวิชา และหลักสูตรระดับปริญญาเอก 115 สาขาวิชา ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตร ปัจจุบันประกอบด้วยส่วนงานทางวิชาการที่จัดการเรียนการสอน ได้แก่ === คณะกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ === คณะครุศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ === คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี === คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ === คณะจิตวิทยา คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะสัตวแพทยศาสตร์ === หลักสูตรนานาชาติ === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติทั้งหมด 87 หลักสูตร === ส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยเฉพาะระดับบัณฑิตศึกษา === บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัยประชากรศาสตร์ วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันภาษา === สถาบันสมทบ === วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ == งานวิจัย == จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วนงานที่มีวัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งเพื่อเป็นสถาบันวิจัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ สถาบันวิจัยพลังงาน สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ สถาบันวิจัยสังคม สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม สถาบันการขนส่ง สถาบันเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ สถาบันเอเชียศึกษา หน่วยงานที่สนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีก ได้แก่ ศูนย์บริการวิชาการ (Unisearch) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนำผลการศึกษาวิจัยออกสู่สังคมและหน่วยงานนอกมหาวิทยาลัย ส่วนหน่วยงานสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผลงานศึกษาวิจัยได้พัฒนาและนำไปสู่การจดสิทธิบัตรประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังสนับสนุนทุนสำหรับการสร้างหน่วยปฏิบัติการวิจัย (RU) และศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (CE) ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีหน่วยปฏิบัติการวิจัยมากกว่า 100 หน่วย และมีศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งในระดับชาติและมหาวิทยาลัยมากกว่า 20 ศูนย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กำหนดให้มีกลุ่มวิจัยหลักซึ่งเป็นการรวมศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักวิชาการที่มีเฉพาะเรื่องเข้ามาบูรณาการให้เป็นการวิจัยแบบสหศาสตร์ รวมทั้ง เน้นการบริหารจัดการการวิจัยที่เป็นองค์รวม มีการติดตามและประเมินผลแบบอัตโนมัติ โดยแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มวิจัยหลัก ได้แก่ กลุ่มวิจัยด้านพลังงาน กลุ่มวิจัยด้านอาหารและน้ำ กลุ่มวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่มวิจัยด้านสุขภาพ กลุ่มวิจัยด้านสังคมผู้สูงวัย กลุ่มวิจัยวัสดุขั้นสูง กลุ่มวิจัยความมั่นคงมนุษย์ กลุ่มวิจัยด้านพัฒนาสังคม กลุ่มวิจัยด้านอาเซียนศึกษา กลุ่มวิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติ ปี พ.ศ. 2559 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยจากการจัดอันดับของ Nature Index ซึ่งจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก ใน พ.ศ. 2558 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติในฐานข้อมูล Web of Science ของสถาบัน ISI บริษัท Thomson Reuters จำนวน 1,567 เรื่อง และผลงานตีพิมพ์ฐานข้อมูล Scopus ของบริษัท Elsevier B.V. จำนวน 1988 เรื่อง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยระดับนานาชาติของประเทศไทยในหลายด้าน เช่น องค์การอนามัยโลก เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และ สมาคมสถาบันการศึกษาชั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASAIHL) ศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลกที่ตั้งอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีดังนี้ ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา - WHO Collaborating Centre for Medical Education ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ - WHO Collaborating Centre for Research in Human Reproduction ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน - WHO Collaborating Centre for Research and Training on Viral Zoonoses ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ ศูนย์ความร่วมมือด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพ - WHO Collaborating Centre for Health Economics ตั้งอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมพัฒนาการสาธารณสุข - WHO Collaborating Centre for Research and Training in Public Health Development ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข == ทรัพยากรวิชาการ == ระบบการให้บริการทางวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีสำนักงานวิทยทรัพยากรเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการในหลายลักษณะ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นที่ทำหน้าที่ให้บริการทางวิชาการ เช่น สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุด (Chulalinet) และ CHULA MOOC === สำนักงานวิทยทรัพยากร === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเริ่มมีการให้บริการทางวิชาการขึ้นในมหาวิทยาลัยแก่บุคลากร นิสิตและประชาชนทั่วไปตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นใน พ.ศ. 2453 และมีพัฒนาการด้านการบริการไปพร้อมกับการวิวัฒน์ขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เพื่อเป็นการรองรับกิจการที่กว้างขวางขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ใน พ.ศ. 2458 ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดกลางและขยายการบริการทางวิชาการให้กว้างขวางขึ้น โดยตั้งอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จนกระทั่ง วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมา มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยการรวมหน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน คือ หอสมุดกลาง ศูนย์เอกสารประเทศไทย และศูนย์โสตทัศนศึกษากลาง เมื่อสถาบันวิทยบริการมีการขยายงานบริการที่หลากหลายขึ้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานวิทยทรัพยากรพร้อมทั้งปรับการบริหารภายในองค์กร สำนักงานวิทยทรัพยากรตั้งอยู่ที่อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ บนพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ปัจจุบัน สำนักงานวิทยทรัพยากรประกอบด้วย 4 ฝ่าย และ 1 ศูนย์ดังนี้ ฝ่ายบริหาร (Administrative Division) ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด (Library Information Technology Division) ฝ่ายบริการข้อมูลสารสนเทศ (Multimedia Information Service Division) ฝ่ายจัดการข้อมูลสารสนเทศ (Library Information Management Division) ศูนย์สารสนเทศประเทศไทยและประชาคมอาเซียน (Thailand and ASEAN Information Center) ==== หอสมุดกลาง (สำนักงานวิทยทรัพยากร) ==== สำนักงานวิทยทรัพยากร (หอสมุดกลาง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ "หอกลาง" ตั้งอยู่ภายในอาคารมหาธีรราชานุสรณ์ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วยห้องสมุดสาขาวิชาและหน่วยงานอื่น ๆ ดังนี้ ชั้น B ชั้นเก็บหนังสือปีพิมพ์เก่า (Stack) ชั้น 1 เป็นชั้นอำนวยการบริการต่าง ๆ เช่น บริการยืม-คืน บรรณารักษ์บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า บริการเครื่องพิมพ์ บริการถ่ายเอกสาร ร้านกาแฟ ชั้น 2 เป็นพื้นที่อ่านหนังสือและห้องอ่านหนังสือกลุ่ม ส่วนวิทยานิพนธ์ ได้ย้ายสถานที่ให้บริการไปยังอาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา หรืออาคารจามจุรี 10 และยังให้บริการแบบออนไลน์ในคลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย (CUIR – Chulalongkorn University Intellectual Repository) ชั้น 3 บริการผลิตสื่อมัลติมีเดีย บริการห้องประชุม และศูนย์สัมผัสวัฒนธรรมจีน สถาบันขงจื่อศึกษา ชั้น 4 ห้องหนังสือมนุษยศาสตร์และวรรณกรรม ห้องหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และห้องอบรมคอมพิวเตอร์ ชั้น 5 ห้องหนังสือสังคมศาสตร์ ชั้น 6 ศูนย์สารสนเทศประเทศไทยและประชาคมอาเซียน ห้องหนังสือหายากและสิ่งพิมพ์พิเศษ ชั้น 7 นิทรรศการจุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย นิทรรศการและคลังสารสนเทศดิจิทัล “จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย” ประกอบด้วยพระปรีชาญาณและพระมหากรุณาธิคุณ ข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และเรื่องราวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ==== ระบบสารสนเทศ ==== ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 สถาบันวิทยบริการ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทย ที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalinet) เป็นระบบเครือข่ายห้องสมุดบนอินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดอัตโนมัติแห่งแรกของประเทศไทย คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย (CUIR – Chulalongkorn University Intellectual Repository) เป็นแหล่งจัดเก็บและให้บริการสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อาทิ ผลงานวิจัยทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัย และหนังสือทุกประเภทในรูปแบบดิจิตอล ฐานข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัย (CU Reference Databases) เป็นแหล่งรวบฐานข้อมูลวิชาการสาขาต่าง ๆ จำนวนมากโดยกำหนดให้ใช้งานฐานข้อมูลที่บอกรับผ่านเครือค่ายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CUNet) บุคคลภายนอกสามารถใช้งานได้ที่คอมพิวเตอร์ที่ต่อกับเครื่อข่ายของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ฐานข้อมูลศูนย์เอกสารประเทศไทย (Thailand Information Center Database) เป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลเอกสาร บทความ วิทยานิพนธ์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใช้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าถึงต้นฉบับเอกสารทางวิชาการที่ได้ศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ของประเทศไทย และสามารถเข้าสืบค้นด้วยตนเองที่อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ (Chula e-Resource) ประกอบด้วย e-Book มุ่งรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีคุณค่าทางวิชาการ เป็นการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนการสอนและการค้นคว้าวิจัยแก่ประชาคมจุฬาฯ และสังคม เปิดให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงได้ (Open Access) ประกอบด้วย หนังสือชุดจุฬาฯ 100 ปี : ศิลป์ในศาสตร์บนเส้นทางแห่งการเสาะหาวิชา หนังสือของศูนย์เอกสารประเทศไทยเป็นเอกสารสนับสนุนการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ในยุคสงครามเย็น หนังสือหายากทรงคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมไทย จุฬาวิทยานุกรม (Chulapedia) เป็นระบบสารานุกรมออนไลน์ สามารถสืบค้นเนื้อหาด้วยคำสำคัญซึ่งแก้ไขพัฒนาบทความโดยคณาจารย์และนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเปิดให้ประชาชนใช้บริการสืบค้นได้แต่ไม่สามารถร่วมแก้ไขพัฒนาบทความได้ สำนักงานวิทยทรัพยากร โดยฝ่ายบริการข้อมูลสารสนเทศ มีหน้าที่ผลิตสื่อวิดีทัศน์ สื่อผสมรูปแบบสื่อใหม่ สื่อภาพถ่ายดิจิทัล สื่อเสียง สื่อกราฟิก ให้แก่มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีหน่วยผลิตสื่อเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เพื่อไปบันทึกกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ และส่งสัญญาณภาพและเสียงนำมาถ่ายทอดรายการ ผ่านระบบเครือข่าย ทำให้ผู้ชมสามารถรับชมรายการสำคัญ ๆ ได้ === ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ === ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้เป็นศูนย์สนับสนุนทางนวัตกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่สนับสนุนเทคโนโลยีในการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียน นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นแหล่งนำองค์ความรู้จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสู่สังคมและการเรียนรู้ตลอดชีวิต บริการด้านวิชาการในส่วนนี้คือ "ห้องสมุดออนไลน์" === จุฬาฯ มูค === จุฬาฯ มูค (CHULA MOOC) เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ไม่จำกัดบุคคล สถานที่ และเวลา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดทำขึ้นให้บริการโดยไม่คิดค่าใช่จ่ายใด ๆ เมื่อเรียนสำเร็จในแต่ละคอร์สจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมอบประกาศนียบัตร (Certificate of Completion) ให้แก่ผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ตามที่รายวิชากำหนดไว้ === สถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือสถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz เป็นสถานีวิทยุเพื่อการศึกษาโดยเผยแพร่เอกสารสื่อการสอนบนเว็บไซต์และจัดรายการข่าวสารเชิงวิชาการ และยังเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการให้ความรู้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเพื่อการสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ในทุก ๆ ปี สถานีวิทยุจุฬาฯ จะจัดสอนพิเศษให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถ่ายทอดสดในชื่อรายการ "เปิดประตูสู่มหาวิทยาลัย" == อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย == === การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย === เมื่อ พ.ศ. 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยระดับดีเลิศทั้งด้านการเรียนการสอนและการวิจัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยจัดให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ นอกจากนี้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้เข้าประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รับรองมาตรฐานในระดับดีมากแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการโดย สกว. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยครั้งที่ 3 ในปี 2554 พบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการประเมินในระดับ 5 หรือในระดับดีเยี่ยมในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์ กลุ่มสาขาเทคโนโลยี กลุ่มสาขาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตร และสัตวแพทยศาสตร์ และกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ === อันดับมหาวิทยาลัย === นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมักได้รับเลือกให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของประเทศไทยอยู่บ่อยครั้ง ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 คอกโครัลลีไซมอนส์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่ง จัดอันดับให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 96 ของโลกในด้านวิชาการ นับเป็นอันดับของมหาวิทยาลัยไทยที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก่อนหน้านี้ใน พ.ศ. 2561 คอกโครัลลีไซมอนส์เคยจัดอันดับให้สาขาวิศวกรรมเคมีและสาขาวิศวกรรมเหมืองแร่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ติดอันดับต่ำกว่า 100 ของโลกมาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีอีก 19 สาขาวิชาของมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศ หน่วยงานอื่น ๆ ที่จัดอันดับให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง, CWTS Leiden University, Center for World University Rankings, Nature Index, RUR Rankings Agency และ Webometrics ในขณะที่ SCImago Institutions Ranking, The Times Higher Education, University Ranking by Academic Performance และ U.S. News & World Report จัดอันดับให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอันดับที่ 2 ประเทศ == พื้นที่มหาวิทยาลัย == จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพื้นที่ทั้งหมด 1,153 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามลักษณะการใช้พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เขตการศึกษา พื้นที่ส่วนราชการเช่าใช้ และพื้นที่เขตพาณิชย์ พื้นที่ในปัจจุบันลดลงจากในอดีต เนื่องจากส่วนที่เป็นถนนและซอยต่าง ๆ ในเขตที่ดินของมหาวิทยาลัยถูกตัดออกไป === พื้นที่การศึกษา === พืนที่การศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีทั้งหมด 6 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน อยู่ทางทิศตะวันออกของถนนพญาไท ประกอบด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และอาคารที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นหลายแห่ง อาทิ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำ พ.ศ. 2545, อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ ที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2530, และศาลาพระเกี้ยว ที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสถาบันและอาคารสาธารณะ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของอาคารจุลจักรพงษ์ พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัย หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะต่าง ๆ หลายคณะ ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ในแขวงวังใหม่ อยู่ ทางทิศตะวันตกของถนนพญาไท ประกอบด้วยสำนักงานมหาวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย สนามกีฬา โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิเทศศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ และหอพักนิสิต ส่วนที่ 3 ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน อยู่ทางทิศตะวันออกของถนนพญาไทและทิศใต้ของสยามสแควร์ ประกอบด้วย คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ และคณะเภสัชศาสตร์ ส่วนที่ 4 ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน อยู่ทางทิศตะวันออกของถนนอังรีดูนังต์ เป็นพื้นที่ของคณะแพทยศาสตร์และสภากาชาดไทย ส่วนที่ 5 ตั้งอยู่ในแขวงวังใหม่ อยู่ระหว่างเอ็มบีเคเซ็นเตอร์กับสนามกีฬาแห่งชาติ พื้นที่ส่วนนี้มหาวิทยาลัยได้รับคืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและกรมพลศึกษา ประกอบด้วยกลุ่มอาคารจุฬาพัฒน์และอาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ ส่วนที่ 6 ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน อยู่ทางทิศตะวันออกของถนนพญาไท เป็นพื้นที่บริเวณโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (ได้รับคืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ประกอบด้วยกลุ่มอาคารจุฬาวิชช์ของคณะศิลปกรรมศาสตร์และคณะจิตวิทยา และโครงการขยายโอกาสอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === พื้นที่ให้ส่วนราชการเช่าใช้ === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับให้หน่วยงานราชการเช่าใช้ เป็นจำนวน 184 ไร่ สถานที่สำคัญในพื้นที่ส่วนนี้ได้แก่ กรีฑาสถานแห่งชาติ (สนามกีฬาแห่งชาติ) ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน, สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีดับเพลิงบรรทัดทอง === พื้นที่พาณิชยกรรม === ที่ดินส่วนหนึ่งเพื่อจัดหาผลประโยชน์ ซึ่งพื้นที่พาณิชย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นแยกออกจากพื้นที่การศึกษาเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน โดยจะเป็นส่วนมุมของที่ดินซึ่งมีถนนสายสำคัญตัดผ่าน มีพื้นที่ทั้งหมด 374 ไร่ ปัจจุบันสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชย์เหล่านี้ สยามสแควร์ เป็นศูนย์การค้าแนวราบและเปิดโล่ง มีเนื้อที่ 63 ไร่ มีถนนพญาไทตัดผ่านทางทิศตะวันตก ถนนพระรามที่ 1 ตัดผ่านทางทิศเหนือและถนนอังรีดูนังต์ตัดผ่านทางทิศตะวันออก พื้นที่ส่วนนี้ประกอบไปด้วยศูนย์การค้าสยามสแควร์วันและเซ็นเตอร์พอยท์ โรงเรียนกวดวิชาสยามกิตติ์ และโรงแรมโนโวเทลกรุงเทพ ฝั่งตรงข้ามกับสยามแควร์เป็นที่ตั้งของเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ จัตุรัสจามจุรี เป็นศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานเนื้อที่ประมาณ 21 ไร่ ตั้งอยู่บนมุมแยกสามย่านฝั่งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ตลาดสามย่าน เป็นตลาดสดสองชั้น ชั้นล่างเป็นตลาดสดและชั้นบนเป็นร้านอาหาร มีพื้นที่ใช้สอย 6,200 ตารางเมตร เดิมเคยตั้งอยู่ที่แยกสามย่านติดกับคณะนิติศาสตร์ แต่ปัจจุบันได้ย้ายไปตั้งอยู่ด้านหลังสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พื้นพาณิชยกรรม สวนหลวง-สามย่าน ตั้งอยู่ด้านหลังพื้นที่การศึกษาฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ประกอบด้วย อุทยาน 100 ปี แอมพาร์ค สวนหลวงสแควร์ และพื้นที่จำหน่ายอุปกรณ์กีฬา === พื้นที่ต่างจังหวัด === พื้นที่จังหวัดนครปฐม จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 โดยโอนที่ดินของกระทรวงมหาดไทยที่ขณะนั้นว่างเปล่าอยู่ 79 ไร่ ในเขตตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองนครปฐม เพื่อจัดเป็นไร่ฝึกแก่นิสิตใช้ฝึกปฏิบัติวิชาสัตวบาลจนพัฒนาเป็น "ศูนย์ฝึกนิสิตคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" และ "โรงพยาบาลปศุสัตว์" ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงใช้ชื่อว่า "ไร่ฝึกนิสิตจารุเสถียร" พื้นที่จังหวัดน่าน เป็นที่ตั้งของ "ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการเครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ประกอบด้วย อาคารวิชชาคาม 1 อาคารวิชชาคาม 2 และกลุ่มอาคารชมพูภูคา พื้นที่จังหวัดสระบุรี ตั้งอยู่ในอำเภอแก่งคอย พัฒนาขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2532 โดยมีพื้นที่ทั้งหมดรวม 3,364 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ที่กรมป่าไม้และพื้นที่ที่มูลนิธินิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้ใช้ประโยชน์ โดยมีการแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็น 5 เขต ได้แก่ เขตพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ เขตศูนย์วิจัยเฉพาะทาง เขตโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-สระบุรี เขตบริการวิชาการและการศึกษา และเขตบริหารจัดการ พื้นที่การศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงพื้นที่ใช้สนับสนุนการสอนและการวิจัยเท่านั้น มิได้มีสถานะเป็นวิทยาเขต นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยแห่งอื่น เช่น พระตำหนักดาราภิรมย์ในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และพระจุฑาธุชราชฐานกับพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน ในเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี == ชีวิตนิสิต == การเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะใช้เวลาใกล้เคียงกับการเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4 ปีในการเรียน แต่สำหรับคณะครุศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ใช้เวลา 5 ปี ในขณะที่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์จะใช้เวลา 6 ปี ตลอดระยะเวลาการเรียน มีทั้งการเรียนในคณะของตนเอง และการเรียนวิชานอกคณะ ได้พบปะกับบุคคลและบรรยากาศการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไปของคณะอื่น นอกจากนี้ ยังมีการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง ไม่ว่าการเข้าชมรมของมหาวิทยาลัย การเข้าชมรมของคณะ การเล่นกีฬา การร่วมเป็นอาสาสมัครในงานสำคัญต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยที่ทางองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือและสร้างการมีส่วนร่วมให้กับนิสิตเสมอ การเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่มีมากมายในทุก ๆ คณะ หรือการพบปะกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มาจากโรงเรียนเดียวกันที่โต๊ะโรงเรียน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยที่นิสิตเดินทางเข้ามาเรียนจากหลายภาคของประเทศไทย ทำให้ความแตกต่างของรูปแบบการดำเนินชีวิตมีมาก หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ทำให้นิสิตได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เคารพความแตกต่างของแต่ละบุคคลในทุกด้าน ช่วยเสริมสร้างให้นิสิตผู้ที่จะเป็นบัณฑิตในอนาคตเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น === คำว่า "นิสิต" === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษาในสังกัดของสถาบัน เพราะเมื่อแรกก่อตั้ง ที่ตั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือว่าอยู่ไกลจากเขตพระนครซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญในขณะนั้น จึงมีการสร้างหอพักเพื่อให้ผู้เข้าศึกษาสามารถพักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัยและใช้คำว่า "นิสิต" ในภาษาบาลีที่แปลว่า "ผู้อยู่อาศัย" เรียกผู้เข้าศึกษา ด้วยมีลักษณะเช่นเดียวกับการไปฝากตัวเป็นศิษย์และอยู่อาศัยกับสำนักอาจารย์ต่าง ๆ ของนักเรียนในระบบการศึกษาแบบโบราณ เช่น การฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักของบาทหลวงหรือวิทยาลัยแบบอาศัยของมหาวิทยาลัยในยุโรป ส่วนในประเทศไทย นักเรียนจะไปฝากตัวที่วัดเป็นศิษย์ของพระภิกษุและอาศัยวัดเป็นสถานที่ศึกษา ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจึงใช้คำว่า "Matriculated Student" ที่แปลว่า "นักศึกษาที่ได้รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว" เรียกผู้เข้าศึกษา เช่นเดียวกับคำว่า "นิสิต" ทั้งนี้ ในอดีต โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้จบการศึกษาประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายและเรียนเพื่อสอบวิชาเป็นบัณฑิต แม้ว่าในปัจจุบันการคมนาคมจะสะดวกขึ้นอย่างมาก เขตปทุมวันซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปเป็นย่านธุรกิจการค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร นิสิตไม่มีความจำเป็นต้องพักในหอพักนิสิตทุกคนอีกต่อไป แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษา เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาของสถาบันเช่นเดิม === การพักอาศัยของนิสิต === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีหอพักภายในมหาวิทยาลัย เรียกว่า "หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" หรือชื่อที่นิสิตหอพักเรียกกันมายาวนานกว่า 70 ปี ว่า "ซีมะโด่ง" เปิดดำเนินการใน พ.ศ. 2461 มีพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของถนนพญาไท ตรงข้ามกับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เนื่องจากหอพักมีจำนวนจำกัดและราคาถูกกว่าหอพักภายนอกที่ตั้งอยู่ใกล้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หอพักนิสิตฯ จึงมีขั้นตอนการคัดกรองนิสิตที่สมัครหลายด้าน เช่น รายได้และภาระหนี้สินของครอบครัว ประวัติการเข้าร่วมกิจกรรมและที่พักในกรุงเทพมหานครของนิสิต โดยหอจะแบ่งออกเป็น หอพักนิสิตหญิง : หอพุดตาน (อาคารสูง 14 ชั้น สีน้ำตาล) เป็นหอพักแบบอาคารสูงหลังแรกของของหอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง หอพุดซ้อน (อาคารสูง 14 ชั้น สีขาว) เป็นหอพักหญิงล้วนหลังใหม่ที่สุด นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง ชั้นสองของอาคารหอพุดซ้อนเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักนิสิตฯ หอพักนิสิตชาย : หอจำปี (อาคารสีขาว สูง 14 ชั้น) นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง หอจำปา (อาคารสูง 5 ชั้น สีขาว อยู่ถัดจากหอจำปี ) เมื่อแรกสร้างหอจำปาเคยเป็นหอพักชาย ปรับเปลี่ยนเป็นหอพักหญิง แบ่งชั้นให้พักทั้งหญิงและชาย จนในปีการศึกษา 2557 หอพักจำปากลับมามีสถานะเป็นหอพักหญิงล้วน แต่ในปัจจุบันหอจำปามีสถานะเป็นหอพักชายแล้ว นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง หอพักแบบแยกชั้นนิสิตชาย-หญิง : หอชวนชม (อาคารหลังใหม่สูง 17 ชั้นใกล้ทางเข้าด้านถนนพญาไท) นิสิตพักได้ 2 คนต่อหนึ่งห้อง ห้องพักนิสิตหญิงจะอยู่ชั้นที่ 2-13 ส่วนห้องพักนิสิตชายจะอยู่ชั้น 14-17 หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นพร้อมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2459 แต่เดิมหอพักตั้งอยู่ในบริเวณวังวินด์เซอร์ ปัจจุบันพื้นที่นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่ตั้งของกรีฑาสถานแห่งชาติ หอพักนิสิตฯ มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับจนกระทั่งย้ายมาอยู่ในที่ตั้งปัจจุบัน ถือเป็นหอพักภายในมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีหอพักพวงชมพู หรือเรียกว่า หอ U-center ตั้งอยู่บริเวณหลังตลาดสามย่านแห่งเดิมซึ่งตั้งอยู่บริเวณมุมแยกสามย่าน ด้านข้างคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2546 === ชมรม === การเข้าร่วมกิจกรรมชมรมในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีการจำกัดชั้นปี โดยชมรมของมหาวิทยาลัยนั้นเปิดให้นิสิตในแต่ละคณะรวมกัน และเจอกับนิสิตคณะอื่น พบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมีชมรมที่จัดขึ้นเฉพาะคณะต่าง ๆ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตึกจุลจักรพงษ์ โดยชมรมต่าง ๆ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ชมรมสังกัดฝ่ายวิชาการ เช่น ชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี ชมรมวาทศิลป์และมนุษยสัมพันธ์ ชมรมประดิษฐ์และออกแบบ ชมรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ชมรมสังกัดฝ่ายพัฒนาสังคมและบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชาวไทยภูเขา ชมรมสลัม ชมรมโรตาแรคท์ เป็นต้น ชมรมสังกัดฝ่ายศิลปและวัฒนธรรม เช่น ชมรมอีสาน ชมรมล้านนา ชมรมจุฬา-ทักษิณ ชมรมนักร้องประสานเสียง ชมรมศิลปการถ่ายภาพ เป็นต้น ชมรมฝ่ายกีฬา เช่น ชมรมฟุตบอล ชมรมบริดจ์และหมากกระดาน เป็นต้น === กิจกรรมในมหาวิทยาลัย === งานลอยกระทง : งานลอยกระทงจัดขึ้นทุกทุกปีในวันลอยกระทง จัดขึ้นโดยในงานมีจัดทำกระทงของแต่ละคณะ ขบวนพาเหรด และนางนพมาศจากแต่ละคณะมาประชันกัน และในตัวงานได้มีการจัดงานรื่นเริง พร้อมเกมการละเล่นโดยรอบบริเวณสระน้ำหน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาลอยกระทงและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่นิสิตจัดขึ้นทุกปี การประชุมเชียร์ : คือ กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อประสานความสัมพันธ์ของนิสิตปี 1 จุดประสงค์ของงานเพื่อให้นิสิตเรียนรู้เพลง ประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมายาวนานของมหาวิทยาลัย โดยมักจัดขึ้นในห้องเชียร์ของแต่ละคณะ เพื่อให้นิสิตได้รู้จักเพื่อนในรุ่น งานรับน้องจัดโดยนิสิตรุ่นพี่ในคณะ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อเนื่องกันมาทุกรุ่น จุฬาฯ วิชาการ : จุฬาฯ วิชาการ เป็นนิทรรศการวิชาการที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี จัดขึ้นในตัวมหาวิทยาลัยโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลภายนอก รวมทั้งนักเรียนจากระดับประถมถึงมัธยม ได้เรียนรู้ รวมทั้งเปิดให้นักศึกษาจากต่างมหาวิทยาลัย และบุคคลอื่นอื่นได้มาเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นและพัฒนาในมหาวิทยาลัย ในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงาน “จุฬาฯ วิชาการ” ภายใต้ชื่องาน “จุฬาฯ Expo 2017” ระหว่างวันที่ 15 – 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 แนวคิดหลักของการจัดงานคือ “จุฬาฯ 100 ปี นวัตกรรม คิดทำเพื่อสังคม” “CU@100 toward greater innovation for society” เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ นวัตกรรม ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตจุฬาฯ ที่ครบครันและครอบคลุมทุกสาขาวิชา นำเสนอต่อสาธารณชน รวมทั้งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับน้องก้าวใหม่ :งานก้าวใหม่จัดขึ้นทุกปี ช่วงก่อนเปิดการศึกษาภาคเรียนที่ 1 จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อแนะนำนิสิตให้รู้จักมหาวิทยาลัย รวมทั้งฝึกให้นิสิตเข้าใหม่ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมส่วนใหญ่เน้นการละลายพฤติกรรมเข้าหากันระหว่างเพื่อน พี่ น้อง เป็นการรับน้องใหญ่ของมหาวิทยาลัยซึ่งนิสิตชั้นปีที่ 1 จะได้รู้จักเพื่อนต่างคณะและทำกิจกรรมร่วมกันตลอดระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปงานรับน้องก้าวใหม่จะจัดทั้งหมด 3 วัน กีฬาเฟรชชี่ : งานกีฬาระหว่างคณะจัดขึ้นช่วงสองเดือนแรกของการเปิดเทอม 1 ระหว่างนิสิตชั้นปี 1 ของแต่ละคณะ กีฬาแต่ละชนิดจัดขึ้นกระจายไปตามแต่ละที่ในมหาวิทยาลัย รวมทั้ง สนามกีฬาในร่ม อาคารเฉลิมราชสุดากีฬาสถาน (Sport Complex) และสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นิสิตว่า "สนามจุ๊บ" กีฬา 5 หมอ : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคณะทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสหเวชศาสตร์ ซียู อินเตอร์ เกม : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ของนิสิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ หลักสูตร BBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, หลักสูตร EBA คณะเศรษฐศาสตร์, หลักสูตร INDA คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักสูตร COMMDE คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักสูตรภาษาอังกฤษ คณะนิเทศศาสตร์ (COMM'ARTS), หลักสูตร JIPP คณะจิตวิทยา, หลักสูตร ISE คณะวิศวกรรมศาสตร์, หลักสูตร BSAC คณะวิทยาศาสตร์, และ หลักสูตร BALAC คณะอักษรศาสตร์ === องค์การบริหารสโมสรนิสิต === องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกโดยย่อว่า “อบจ.” เป็นองค์กรของนิสิตที่จัดตั้งขึ้นตาม ระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2529 มีหน้าที่บริหาร (ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารในสโมสรนิสิต) และดำเนินกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาฯวิชาการ หรือ จุฬาฯ Expo งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ งานรับน้องก้าวใหม่ และงานลอยกระทงจุฬาฯ เป็นต้น ผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตคือบุคคลเดียวกับนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกสโมสรนิสิตในอดีตที่มีชื่อเสียง เช่น ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นเป็นตัวแทนนิสิตจุฬาฯ เจรจากับรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 13 คน จนเป็นผลสำเร็จ โดยตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางตรงโดยนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกคนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง === สภานิสิต === สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นองค์การนักศึกษาที่อยู่ภายในสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สจม.) เช่นเดียวกับ อบจ. ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 โดยมีหน้าที่ควบคุมดูแลองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และส่งเสริม คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจกล่าวได้ว่าสภานิสิตเป็นฝ่ายนิติบัญญัติของสโมสรนิสิต ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจและการใช้งบประมาณกับ อบจ. การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของนิสิต และการเสนอความคิดเห็นต่อมหาวิทยาลัยก็ได้ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย สภานิสิตฯ ได้มีบทบาททางการเมืองในการเรียกร้องเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอ โดยตำแหน่งประธานสภานิสิตเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม สมาชิกสภานิสิตจากแต่ละคณะและสำนักวิชาที่ได้รับเลือกตั้งมาแล้วในขั้นแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิออกเสียงเลือกตำแหน่งประธานสภานิสิต อีกทั้งยังไม่มีระบบพรรคการเมืองในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิสิตของแต่ละคณะเหมือนกับสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถคาดเดาหรือหาความเกี่ยวข้องทางอุดมการณ์ของผู้สมัครในเขตของตนกับเขตอื่นได้ ระบบเลือกตั้งของสภานิสิตจึงไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับการออกเสียงในรัฐสภาไทยเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่สภานิสิตมีลักษณะทางโครงสร้างขององค์กรคล้ายกับสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา โดยมีที่มาของสมาชิกสภานิสิตคล้ายกับสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ เป็นไปตามระบบการปกครองแบบประธานาธิบดี (Presidential system) หรือการแบ่งแยกอำนาจแบบเด็ดขาดออกจากฝ่ายบริหารหรือ อบจ. แม้ว่าสมาชิกสภานิสิตจะได้รับเลือกตั้งเพื่อเป็นผู้แทนนิสิตจากคณะหรือสำนักวิชาของตนเอง แต่ก็เป็นผู้แทนนิสิตเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์โดยรวมของนิสิตทั้งมหาวิทยาลัยในสภานิสิตด้วย อีกทั้งสภานิสิตสามารถตั้งคณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ของสโมสรนิสิตเช่นเดียวกับคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทย อดีตสมาชิกสภานิสิตที่มีชื่อเสียงมีด้วยกันหลายคน เช่น ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จุฬาฯ ที่มีชื่อเสียงจากการนำหลักวิทยาศาสตร์มาตอบโต้กับความเชื่อต่าง ๆ เป็นต้น === กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย === กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วม มีความหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นการแข่งขันกีฬา งานด้านวิชาการ ทั้งกิจกรรมระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมระดับคณะ หรือกิจกรรมระดับภาควิชา เช่น ระดับมหาวิทยาลัย : งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันฟุตบอลประจำปีที่จัดติดต่อกันมายาวนานระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ กิจกรรมนี้ได้รับความสนใจของสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ อย่างมากในทุก ๆ ปี งานรักบี้ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันรักบี้ฟุตบอล ที่จัดขึ้นทุกปีติดต่อกันมาอย่างยาวนาน ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เช่นเดียวกับงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ แต่มีประวัติการกำเนิดที่ต่างกัน และจัดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ตรงกัน จัดขึ้นที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เป็นมหกรรมการแข่งขันกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัย 5 แห่งแรกที่เริ่มส่งนิสิตเข้าร่วมการแข่งขัน งานฟุตบอลยูลีก เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมฟุตบอลสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย การประกวดมิสยูลีก เป็นการประกวด นักศึกษาสาว ในงานฟุตบอลยูลีก โดยคัดเลือกจากนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการฟุตบอลยูลีก คอนเสิร์ตประสานเสียงสามสถาบัน จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (CKT) เป็นงานแสดงร้องเพลงประสานเสียงที่จัดร่วมกันระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(C) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(K) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(T) ซึ่งทั้งสามมหาวิทยาลัยล้วนได้รับพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย ระดับคณะและระดับภาควิชา : คือกิจกรรมที่แต่ละคณะได้จัดการแข่งขันกับคณะหรือภาควิชาเดียวกันในมหาวิทยาลัยอื่น เช่น เกียร์เกมส์, กีฬาสามเส้า, กีฬาวิศวกรรมเคมีสัมพันธ์, อะตอมเกมส์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาสัมพันธภาพฟิสิกส์, กีฬาคณิตศาสตร์สัมพันธ์, กีฬาสิ่งแวดล้อมนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย, งานกีฬา-วิชาการจุลชีววิทยาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย(โคโลนีเกมส์), กีฬาเข็มสัมพันธ์, กีฬาสองเข็ม, กีฬาเภสัชสัมพันธ์, งานกอล์ฟประเพณีสัตวแพทย์จุฬาฯ - เกษตร, กีฬาสหเวชศาสตร์-เทคนิคการแพทย์สัมพันธ์, กีฬาเศรษฐสัมพันธ์, กีฬานิติสัมพันธ์, กีฬาสิงห์สัมพันธ์, กิจกรรมประเพณีสัมพันธ์ สิงห์ดำ-สิงห์แดง, งานจ๊ะเอ๋ลูกนก, ไม้เรียวเกมส์, วิทยาศาสตร์การกีฬาสัมพันธ์, งานวันอาร์ทส์, กีฬาสถิติสัมพันธ์, งานโลจิสติกส์สัมพันธ์, กีฬาเปิดกระป๋อง เป็นต้น === พิธีพระราชทานปริญญาบัตร === พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประเทศไทยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ณ ตึกบัญชาการ (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ ในปัจจุบัน) โดยทางพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่เวชบัณฑิต (แพทยศาสตรบัณฑิต) และได้รับฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษด้วย หลังจากพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนั้น สภามหาวิทยาลัยได้เสนอให้กระทรวงธรรมการกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตสงวนธรรมเนียมนี้ไว้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 และได้เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรเรื่อยมา ในปัจจุบัน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นประจำทุกปี ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย == การเดินทาง == === ระบบขนส่งมวลชน === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสามสถานี ได้แก่ สถานีสยาม สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ และสถานีศาลาแดง เชื่อมต่อกับอาคาร ภปร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้ามหานครสองสถานี คือ สถานีสามย่าน และสถานีสีลม ซึ่งเชื่อมต่อกับคณะแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีรถโดยสารประจำทางหลายสายที่ผ่านบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ให้บริการผ่านถนนพระรามที่ 1 ถนนพระรามที่ 4 และถนนพญาไท ส่วนถนนอังรีดูนังต์ และถนนบรรทัดทอง มีรถโดยสารประจำทางผ่านน้อย === รถโดยสารภายใน === การเดินทางในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีรถโดยสารปรับอากาศขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า "รถ ปอพ." ให้บริการแก่นิสิต บุคลากร และผู้มาติดต่อภายในพื้นที่การศึกษาและพื้นที่พาณิชยกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยไม่คิดค่าบริการใด ๆ รถโดยสารนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มี 6 สาย ให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ และวันเสาร์ (เฉพาะสาย 1, สาย 2 และสาย 4) ผู้ใช้บริการสามารถเรียกดูข้อมูลรถโดยสารได้จากโปรแกรมประยุกต์ CU Popbus และจอแสดงตำแหน่งรถที่ป้ายศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยมีจักรยานสาธารณะ CU BIKE ให้บริการแก่นิสิตและบุคลากรที่สมัครเป็นสมาชิกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีศูนย์บริการอยู่ที่ชั้น 1 อาคารมหิตลาธิเบศร สถานีจักรยานมีอยู่หลายจุดทั่วพื้นที่ส่วนการศึกษา จักรยานแต่ละคันยังมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยแปลงพลังงานกลจากการปั่นจักรยานเป็นพลังงานไฟฟ้า ยกเลิกแล้วใน ปี 2563 ช่วงการระบาดของโควิด-19 == บุคคลสำคัญ == ดูบทความหลักที่ รายนามบุคคลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย === คณาจารย์ ศิษย์เก่าและบุคลากร === จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาได้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2473 ผู้สำเร็จการศึกษาและคณาจารย์รวมถึงบุคลากรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรอิสระเป็นจำนวนมาก ==== เจ้าฟ้าอาจารย์ ==== ตลอดระยะเวลานับแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบรมวงศ์หลายพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานการสอน ดังนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย - ทรงสอนวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่คณะรัฐประศาสนศาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก - ทรงสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังและวิชาประวัติศาสตร์ แก่นิสิตเตรียมแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ นิสิตคณะวิทยาศาสตร์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทรงสอนระหว่าง พ.ศ. 2467 จนถึง พ.ศ. 2468 ทรงพระราชทานพระดำริเกี่ยวกับการพัฒนามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแผนพัฒนามหาวิทยาลัยฉบับแรกของประเทศไทย นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ตลอดจนทรงติดตามมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ให้ช่วยพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนาขึ้นจนถึงปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ - ทรงสอนที่คณะอักษรศาสตร์ ในรายวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสของนิสิตชั้นปี 2 ถึง ปี 4 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี - ทรงสอนวิชาอารยธรรมไทย (Thai Civilization) แก่นิสิตทุกคณะที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้ ปัจจุบันพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนี้แล้ว ทั้งนี้พระองค์ยังทรงเป็นนิสิตเก่าคณะอักษรศาสตร์ด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา - ทรงสอนนิสิตระดับดุษฎีบัณฑิตของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ไฟล์:Chudadhuj Dharadilok.jpg|สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย ไฟล์:Prince Mahidol Adulyadej cropped.jpeg|สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ไฟล์:Galyani Vadhana.jpg|สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไฟล์:The Vice President, Shri M. Hamid Ansari presenting the ICCR World Sanskrit Award 2015 to Princess Maha Chakri Sirindhorn of Thailand, in New Delhi cropped 1.jpg|สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไฟล์:Princess Sirivannavari Nariratana.jpg|สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ==== คณาจารย์ ==== จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนิสิตเก่าจำนวนมากที่ปัจจุบันกลับมาเป็นอาจารย์และมีชื่อเสียงในวงการวิชาการ เช่น ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ - นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ราชบัณฑิตและหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ประมวล วีรุตมเสน - ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช - นายกรัฐมนตรี คนที่ 6 ของประเทศไทย ผู้จัดตั้งจัดตั้งขบวนการเสรีไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและอดีตนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระเจริญวิศวกรรม - ผู้วางรากฐานให้แก่วงการวิศวกรรมศาสตร์ของประเทศไทย ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ - นักวิจัยผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติระดับโลก เจ้าของผลงานทางวิชาการที่มีประโยชน์เชิงพาณิชและสังคมจำนวนมาก เป็นผู้ค้นพบว่าโปรตีนรังไหมสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมนุษย์สร้างคอลลาเจนได้ จนนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อยกระดับการรักษาหลายชนิด ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว - นักวิจัยผู้บุกเบิกด้านเคมีคอมพิวเตอร์ และคณะบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตนายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่าที่ร้อยตรี รองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ - อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์และ "นักสื่อสารวิทยาศาสตร์" เป็นผู้อธิบายเรื่องเหลือเชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ สำลี เปลี่ยนบางช้าง - คนไทยคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แพทย์เกียรติยศแพทยสภา ศาสตราภิชานวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา - ประธานกรรมการคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดลคนแรกของประเทศไทย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล - สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2557 นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ พ.ศ. 2545 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ - ที่ปรึกษาในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 34/2560 ศาสตราจารย์ ดร.วรณพ วิยกาญจน์ - นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกที่ได้เดินทางไปสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา ศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ - เป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงไทยคนแรกที่ไปศึกษาวิจัยยังทวีปแอนตาร์กติกาและเป็นนักวิทยาศาสตร์เอเชียคนแรกที่ได้ดำน้ำสำรวจขั้วโลกเหนือหรือเขตอาร์กติก ==== บุคลากร ==== จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีบุคลากรที่ไม่ใช่นิสิตเก่ามาทำหน้าที่สำคัญทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัยรวมถึงบริหารในมหาวิทยาลัยจำนวนมาก โดยมีหลายท่านเป็นบุคคลสำคัญของประเทศและนานาชาติ เช่น แปลก พิบูลสงคราม - นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศไทยและอดีตอธิการบดี เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้านมาสู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น การตราพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล - อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์และทรงเป็นศาสตราจารย์องค์แรกของประเทศไทย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ แอลเลอร์ เอลลิส - อดีตอธิการบดีในยุคมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์เข้าช่วยพัฒนามหาวิทยาลัยให้สมบูรณ์ตามอย่างตะวันตก เป็นรากฐานให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด - อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักฟิสิกส์และกรรมการรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร - อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติสาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2541 ผู้มีชื่อเสียงในวงการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ ผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการวิชาการไทย เช่น A History of Thailand ศาสตราจารย์กิตติคุณวิทิต มันตาภรณ์ - ศาสตราจารย์กิตติคุณประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล - อดีตแพทย์ผู้ชำนาญการด้านจักษุวิทยา ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีนิสิตเก่า คณาจารย์และบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ ปลัดกระทรวง ข้าราชการระดับสูง นักวิจัยระดับนานาชาติ คณะองคมนตรีไทย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ 8 คน นักเขียนผู้ได้รับรางวัลซีไรต์ 3 คน นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ (พ.ศ. 2427-2559) กว่า 103 คน นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น 13 คน (2525-2557) เมธีวิจัยอาวุโส สกว. 55 คน ศิลปินแห่งชาติ 38 คน (2528-2559) นิสิตเก่าและบุคลากรผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นของแพทยสภาแห่งประเทศไทย 12 คน และแพทย์เกียรติยศแพทยสภา 2 คน นักกีฬาโอลิมปิค นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ศิลปิน นักแสดง นักดนตรีของประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมาก == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สโมสรฟุตบอลจามจุรี ยูไนเต็ด == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สถานศึกษาในเขตปทุมวัน สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระนามของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน สมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก สถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2460 สิ่งก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2460 สถาบันอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร
บำปาง (, ลำป๋สง) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ รั้งอยู่ในแอ่งที่ราบลือมรอบด้วยภูเขา มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเรียกอย่างหลากหลายตั้งแต่ เขลางค์นคร, เวียงละกอน, นครลำปาง ฯลฯ ในภายหลังเป็นที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองรถม้า" มี่สัมกันธ์กับเอกลักษณ์ของลำปาง == สภาพภูมิศาสตร์ == ลำผางตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มรอบล้อมด้วยหุบเขรจากทุกด้าน ทำให้มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ มีแม้น้ำสำคัญคือ แม่น้ำวังาี่มีต้นน้ำอยู่ที่ตอนเหนือ ขริเวณอำเภอวังเหนือ ทีีไหลลงจากเหนือสู่ใต้ พื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุพอยู่บริเวณตอนกลางนั่นคือ บริเวณอำเภอเมืองลำปาง อำเภอเกาะคา แลดอำเภอห้างฉัตร === ที่ตั้ง === จังหวัดลำปางมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ ิรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้ ทิศเหนือ ติะแับ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัเเชียงราย และจุงหวัดพะเยา ทิศนะวันออก ติดกับ จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ และจเงหวัดสุโขทัย ทิศใต้ ติดกัว จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดตาก ทิซตะว้นตก ติดกัง จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน แฃะจังหวัดตาก === ทิใเขาและภูเขา === พื้นที่ของภาคเหนือประกอบด้วยภูเขากระจายอยู่ 3 ใน 4 ของภาค นั่นได้ตัดแบ่งที่ราบลุ่มแม่น้ำให้กระจสยออกจากกันไม่เป็นผืนใหญรเหมือนที่ราบในภาคกลสงหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดลำปางเป็นที่ราบ ที่อยู่ระหว่างทิวเขาผีปันน้ำ ซึ่งเป็นทิวเขาที่มีลักษณะซับซ้อน โดยแนฝของทิวเขาเอง ต่างเชื่อมต่อกันเป็นโครลย่่ยอยู่ทางซีกตะวันออกของภาคเหนือ ที่มายองชื่อ “ผีหันน้ำ” มาจากแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสายที่แยกทิญทางกันไปได้แก่ แม่น้ำปิง วัง ยม ปละน่าน ที่ไหลลงใต้สู่แม่น้ำเจ้าพระยา และกลุ่มน้ำแม่ลาว น้ำแม่กก และน้ำแม่อิง ที่ไหลขึ้นเหนือไปลฝแม่น้ำโขง ทิวเขาผีกันน้ำ ทอดตัวไปมาอย่างสลับซับซ้อน เริ่มจาก เส้นแบ่ฝเขตจะงหวัดระหว่างอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ กับอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ทอดยาวไปทางทิศใต้ตามแนวเสเนแบ่งเขตจังหวัดระหว่างอำเภอไชยปราการแลัอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ กังอำเภอเวียงป่าเปืา จังหวัดเชียงราย ถึงดอยผาโจ้ จึงหักกลุบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ตามแนวเส้นแบ่งเชตจังหวัดระหว่างอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรสย กับอำเภอวังเหนือ จเงหวัดลำปาง แล้วหักวกไปทมงทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามแนวเส้นแบ่งเขตจเงหวัดระหวาางอำัภอพาน จังหวัดเชียงราย กับอำเภอวังเหยือ จุงหวัดลำปาง และระหว่างแำเภอวังเหนือแลเอำเภองาว จังหวัดลำปาง กับอำเภอแม่ใจ อำเภอเมืองดะเยา และอำเภอดอกคำใต้ จังผวัดพะเยร ขากนั้นทิวเขาหักกลับไปทางทิศเหนือ ตามแนวเส้นแบ่งเขคอำเภอดดกคำใต้ อำเภอจุน และอำเภอเชียงคำ กับอำเภอดชียงม่วนและอำเำอปง จังหวัดพะเยา จนสิ้นสุด่ิวเขาที่จุดบรรจบกับทิวเขาหลวงพรับาง รวมความยาวประมาณ 475 กิโลเมตร ตัวเมืองลำปาง อยู่ ณ มูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 234.92 เมตร และภํเขาสูงที่สุดอยู่ที่ อำเภอเมืองปาน ชื่อว่า “ดอนลเงกา” ความสูง 1,986 เมตร บนละติจูด เหนือ 18 องศา 59’ 53” และลองจิจูด ตะวันออก 99 องศา 24’ 26” === ลุ่มน้ำ === อาจนับว่าลำปางประกอบด้วย ลุ่มนืำวังและลุ่มน้ำงาว มีการแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำวังออกเป็น 7 ลุ่มน้ำสาขา ใรุปรายละเอียดได่ดังยี้ ลุ่มน้ำแม่น้ำวังตอนบน มีกื้นที่ประมาณ 1,639.55 ตารางกิโลเมตร มีแหล่งต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาผีปันน้ำบริเวณดอยหลวง บ้านป่าหึ่ง อำเภอพมน จังหวัดเชียบราย ที่อยู่ทางทิศเหนือของอำเภอวังเหนือ บริเวณตำบลวังแก้ว เขตริดต่ออำเภอวังเหนือกับอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ครดบคลถมพื้จที่อำเภอวังเหนือและอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำผาง ตวมตำยลที่อยูืในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาทั้งหมด 11 ตำบล มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือ ลุ่มน้ำแม่เย็นและลุ่มน้ำแม่ม่า ลุ่มน้ำแม่สอย มีพื้รที่ประมาณ 732.97 ตารางกิโลเมตร มีแหล่งกำเนิดมาจากเทือกเขาทางด้านทิศตะวะนตกเฉียงเหนือ แนวเขตแดนจังหสัดลำปางกับเชียงใหม่ ลุ่มน้ำแม่สอยอยู่ในเขตพื้นที่ในอำเภอแจ้ห่มและอำเภอเมืองปาน รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 5 ตำบล มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือ ลุ่มน้ำแส่ปานและลุ่มน้ำแม่มอน ลุ่มน้ำแม่ตุ๋ย มีพื้นที่ประมาณ 809.38 ตารางกิโลเมตร มีแหล่งต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาในเขตอำเภอเมืองปาน ไหลจากทิศเหนือลงมาทางทิศใต้เข้าเขตอำเภอเมืองลำปาฝก่อนไปบรรจบกับแม่น้ำวังที่อำเภอเมืองลำปาง พื้นที่บุ่มน้ำอยู่ในอำเภอเมืองปานและอำเภอเมืองลำปาง รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 4 ตำวล ลุ่มน้ำแม่น้ำวังตอนกลาง มีพื้นที่ประมาณ 2,077.07 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพิ้นที่อำเภอห้สงฉัตร อำเภอเมืองลำปาง อำเภอเกาะคา และอำเภอแจ้ห่ม มีลุ่มน้ำย่อยทั่สำคัญ คือ ลุ่มน้ำแม่ยาว น้ำแม่ไพร น้ำแม่ราล และน้ำแม่เกี๋ยง รวมตำบลทค่อยู่ในพื้รที่ 33 ตำบล ลุ่มน้ำแม่จาง มีพื้นที่ประมาณ 1,626.86 ตารางกิโลดมตร เป็นลุ่มน้ำสาขาขนาดกลางที่สำคัญลุ่มน้ำหนึ่วของลุ่มน้ำวัง มีต้นกพเนิดมาจากดอยหลวงกับดอยผาแดง ซึ่งเป็นแนวสันปันน้ำกับลุ่มน้ำง่ว ครอบคลุมพื้นที่ิำเภอแม่ืะกับอำเภอแม่เมาะทั้งหใด มีทิศทางการไหลจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันตกเฉีขงใต้ ไปบรรจบกับแม่น้ำวังที่บ้านสบจาง ในเขตอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีลุ่มน้ำย่อสที่สำคัญ คือ ลำน้ำอม่เมาะ ลำน้ำแม่ทะ และลำน้ำแม่วะ รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 15 ตำบล ลุ่มน้ำแม่ต๋ำ มีพื้นที่กระมาณ 755.75 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเสริมงาม มีแหล่งต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเขตอำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง กับอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ไหลไปบรรจบแม่น้ำวังในเขตอำเภอสบปราบ มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือลุ่มน้ำแม่เลียงและน้ำแม่เสริม รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 4 ตำบล ลุ่มน้ำแม่น้ำวังตอนล่าง มีพื้นที่ 3,151.581 ตาตางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเกาะคา อำเ_อกม่ทะ เภอสบปราบ อำเถอเถิน อำเภอแม่พริก และพื้นที่ฝนเขตอภเภอบ้านตาก อำเภอสามเงา จังหวัดตาก มีบุ่มน้ำสาขาที่สำคัญ คือ ห้วยแม่พริกและห้วยแม่ยล้ด รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 22 ตำบล ส่วนลุ่มน้ำงาวนั้นเป็นลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำยม === ลักษณะทางธรณีวิทยา === อาจมองผ่านภาพรวมของภาคเหนือ ที่พบว่ามีลักษณะทางธรณีวิทยาค่อนข้าบสลับซับซเอน มีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกอย่างระนแรงมาหลายครั้ง ดังที่พบว่าพื้นที่บาลส่วนถูกอัดดันยกตัวขึ้นเป็นทิวะขาและภูเขา เกิดการสึกกร่อนพังทลายของหิน และบางส่วนทรุดตัวต่ำลงไปเป็นแอ่งแผ่นดิน ทั้งยังเกิดการตกจมทับถมของโคลนตะกอน ซึ่งต่อมากลสยเป็น “หินชั้น” หรือ “หินตะกอน”. บริเวณเหล่านี้ประกอบด้วยหินิายุที่แตกต่างกันมาก ตั้งดตืมหายุคเก่าที่สุด (พรีแคมเบรียน เก่ากว่า 570 ล้านปีมาแล้ว) จนถึงมหายุคฝหม่ที่สุด (ซีโนโซอิก 66.4 ล้านปีลงมา) ==== รอยเลื่ดนทางธรณีวิทยา ==== ดหล้งกำเนิดแผ่นดินำหวหรือบริเวณตำกหน่งศูนย์กลางแผ่นดิาไหวส่วนใหญ่จะอยู่ตรงบริเวณพื้นที่เสี่ยง จังหวัดลำปางวางตัวอยู่ท่ามกลาง รอยเลื่อนมีพลัฝที่นับได้ 2 รอยเลื่อน นั่นคือ รอยเลื่อนเถิน และรอยเลื่อนพะเยา รอยเลื่อนเถิน อยู่ทางทิศตะตกของรอยเลื่อนแพร่ โดยตั้งต้นจากด้านตะวันตกของอำเภอเถินไปทางระวันออกเฉียงเหนือ ขนานกับรอยเลื่อตแพร่ไปทางด้านเหนือ ของอำเภอเถินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือขนานกับรอยเลื่อนแพร่ ไปทางด้านเหาือของอำเภอวังชิ้นและอำเภอลอง รวมความยาวทั้งหมดปคะมาณ 90 กิโลเมตร เคยมีรายงานการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.7 ริกเตอร์ บนรอยะลื่อนนี้ เมื่อวันที่ 2e ธันวาคม 2521 รอยเลื่อตพะเยา ครอบคลุมจังหวัดลำปาง เชรยงราย และพะเยา ==]= ภูเขาไฟ ==== พบแหล่งภูเขาไฟบ่ิเวณตอนกลางของลำปาง ในเขต อำเภอเมืองลำปาง-อำเภอแม่ทะ และเกมะคา-อำเภอสบปราบ โดยกลุ่มหินบะซอลต์ ท้่เกิดจากลนวาขอบภูเขาไฟลำปางไหลอาบออกมาปกคลุมพื้นที่ มีอยู่ 1 กลุ่ม คือ กลุ่มที่คลุมพื้นที่อำเภอเกาะคา และอำเภอสบปราบ เรียกรวมกันว่า บะซอลน์สบปราบ มีพื้น่ี่ประมาณ 70 ตารางกิโลเมตร อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในบริเวณอำเภอเมืองลำปาง และอำเภอแม่ทะ นวมเรียกว่า ชะซอลต์แม่ทะ ซึ่งได้แก่ภูเขาไฟดอยผาคอกจำป่าแดด และภูเขาไฟดเยผาคอกหินฟู กลุืมสี้ให้ลาวาคลุมพื้นที่ประมาณ 120 ตารางกิโลเมตร ภูเขาไฟลำปางเกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ทำให้เกิดรอสเลื่อนลึป (Deepseated faulr) ขึ้นในแนวเหนือ-ใต้ เป็นช่องทางให้หินหนืดภายใต้ผิวโลก ทะลักล้นออกมาในแนวรอยเลื่อนนี้เกิดเป็นปล่องภูเขาไฟเรียงตัวในแนวนี้ด้วย ==== ถ่านหินลิกำนต์และสุสานหอยขม ==== ไม่เพียงการพบถ่านหืนลิกไนต์จำนวนมหาศาล ที่อำเภอปม่เมาะ ยังมีการค้นพบสุสานหอยขม อายุกว่า 13 ล้านปี ในเขตเหมืองแม่เมาะในพ้้นที่กว่า 43 ไร่ อีกด้วย ==\ ภูมิอากาศ === ลำปางเป็นจังหวัดที่มีอากาศร้อนอบอ้าว เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือ และในประวัติศาสตร์ที่ผรานมาลำปางเป็นดินแดนที่ฝนตกน้อย ฝนแล้ง จนมีปัญหากับการเพาะปลูกอยู่เสมอ แบ่งภูมิอากาศออกได้เป็น 3 ฤดู == ประวัติ == === ก่อนประวัติศาสตร์ === ดารตั้งถิ่นฐานของผู้คนลุ่มน้ำวังและลุ่มน้ำใกล้เคียงอย่างลุ่าน้ำงาว มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังที่เห็นได้จาหการพบหลักฐานเป็นกระดูกของมนุษย์โฮโมอีเรกตัสที่มีอายุรสว 500,009 ปี ซึ่งถูกเรียกกันว่า "มนุษย์อกาะคา" ที่อยู่ร่วมสมัยกับมนุษย?ปักกิางและมนุษย์ชวา ณ บริเวณลุ่มแม่น้ำวังตอนกลาง (ปัจจุบันคือ หากปู่ด้าย ตำบลนาแส่ง อำเภอเกาะคา ลำปาง) มีการค้นพบกระด๔กเมื่อปี พ.ศ. 2541. ชุมชนบริเวณประตูผา อยู่ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเสืแฝปัจจุบัน(บริเวณรอยต่อยองอำเภองาวและอำเภอแม่เมาะในปัจจุบัน) เป็น แหล่งโบราณคดีที่ขุอค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องประกอบพิธีศพมีอายุกว่า 3,000 ปี ทั้งยังมีภาพเขียนสีจำนวนมากถึง 1ฐ872 ภาพ แบ่งภาพเขียนเป็น 7 กลุ่ม ได้แำ่ กลุ่มที่ w ผาเลียงผา กลุ่มที่ 2 ผานกยูง กลุ่มที่ 3 ผาวัว ปลุ่มที่ 4 ผาเต้นระบำ กลุ่มที่ 5 ผาหินตั้ง กลุ่มที่ 6 ผานางกางแขน และกลุ่มที่ 7 ผาล่าสัตว์และผากระจง === ยุคปรพวัติศาสตร์ === ที่กล่นวมานั้นคือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์ิักษร ในภูมิภาคนี้เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์จากอารยธรรททางทะเล ที่เข้ามาจากละโใ้ นั่นคือ การก่อตั้ฝอาณาจักรหริภุญชัย ในำุทธศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นยุคที่ทพให้ชุมชนในลุ่มน้ำปิงและวังกลายเป็นชุมชน้มืองขนาดใหญ่ขึ้น หากแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ต่อจากนี้แล้ว อาจแบ่ง/ด้เป็นช่วงใหญ่ 6 ช่วงตามอิทธิพลทางการเมืองการปกคคอง (ในที่นี้จะยุติถึงช่วงปี พ.ศ. 2500) ได้แก่ ==== ยุคที่หนึ่ง : หริภุญชัย (ราวพุทธศตวรรษที่ 23) ==== ===-= กำเนิดเมืองบนลุ่มน้ำวัง ===== การกำเนิดรัฐบริเวณลุ่มน้ำปิงในนามหริภุญไชยนั้น จำเป็นต้องสี้างเครือข่าย อันได้แก่ เวียงเถาะ, เบียงมะโน ฯลฯ เมืองที่ถือกำเนิดในลุ่มน้ำวัง ก็ถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายนั้นเช่นกัน แต่มิใช่เพิดขึ้น ฮดยกลุ่มคนจากหริภุญไชยเท่านั้น ในตำนาน ที่มีการเล่ทถึง "พรานเขลางค์" และ "สุพรหมฤๅษี"ที่อาศัยอยู่บริเวณ "ดอยเขางาม" นับเป็นตัวแทรกลุ่มชนดั้งเดิมในระยะเวลานั้น ซึ่งมีทั้งชาวลัวะและกะเหรี่ยง ในโบราณสถานหลายแห่งม้การกล่าวอ้างถึง "พระนางจามเทวี" เช่น วิหารจามเทวี วัดปงยางคก, ตำหนักเย็น วัดพระธาตุจอมปิง ษลฯ ซึ่งเป็นสำนึกการเชื่อมโยง ความยาวนาน แต่ก็ไม่ได้การยืนยันทางวิชาการอย่างหนักแน่นพอ ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== มีการกล่าวถึว 3 พื้นที่ อันได้แก่ บริเวณศูนย์กลางที่สันนิษฐมนว่าอยู่บริเวณวัดพระแก้วดอนเต้า อำเภอเมืองลำปาง ริมแม่น้ำวัง ที่สัพรหมฤๅษี และพรานเขลางค์ สี้างให้เจ้าอนันคยศ โอรสของพระนางจามเทวี ปกครองดูแลต่อไป เมืองคั้งอยู่ยนที่ดอน ริมแม่น้ำสัง มีองค์ประกอขขอฝเมือง ค่อนข้างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกัชบริเวณอื่น ศักดิ์ รัตนชัย เคยเสนอว่า เมืองนี้มีลักษณะสัณฐานคล้ายเมืองหอยสังข์ บริเวณตอนเหนือของลุ่มน้ำวัง สันนิษฐานว่าอยู่บริเวณวัดกู่คำ วัดกู่ขาว วัดปันเจิง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพื้นที่แรกไปไม่ไกล มีทางเดินเชื่อมจากประตูตาล ยังปรากฏร่องรอยมาจนปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวมีการขถดค้นหลักฐานทางโบราณคดีคืแ พระพิมพ์ดินเผา แลพเครื่องปั้นดินเผาทั้งนี้ยังเชื่อมโยงกับแหล่งผลิต คือ "แหล่งทุ่งเตาไห" ที่บ้านทราย ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมืองลำปาง บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของวัดพระเจดีย์ซาวหลังไปประมาณ 2 กิโลเมตร บริเวณอำเภอเกาะคา สันนิษฐานว่าอยู่บริเวณวัดพระธาตุลำปางหลวงอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของพื้นที่วัดพระแกิวดอนเต้าไปกว่า 10 กิโลเมตร ล่องไปตามแม่น้ำวัง ปรากฏหลักฐานคือ เครื่องปั้นดินเผา ===== ชื่อบ้านนามเมือง ===== ศาสตราจารย์ แสง มณวิทูร ให้คำอธิบาย "เขลางค์นคร" ว่ามาจากภาษามอญ ว่า ฮฺลาง หร้อ ขฺลาง แปลว่า ขัน หรือโอ และตีความว่า พรานเขลางค์ ก็คือ พรานที่อาศัยอย๔่ที่ ดอยเขลางค์ ก็คือ ดอยโอตว่ำนั่นเอง ฯาวตราจารย์ สุรพล ดำริห์กุล ให้คำอธิบายว่า เมืองลำปางก็คือ บริเวณวัดพระธาตุลำปางหลวงนั่นเอง ชื่อขแง พระธาตุลำปางหลวง ปรากฏในตำนานเรียก "พระมหาธาตุเจ้าลำปาง" หรือ "พระธาตุหลวงลำปาง" เมืองลำปางจึงน่าจะเป็น "เมืองลำพาง" หรือ "อาลัมพางนคร" ที่พระเจ้าอนันตยศ โปรดให่สร้างขึ้นเพื่อเป็นมี่ประทับของ พระนางจามเทวี พระราชมารดา ยังมีอรกข้อสันนิษฐานจาก เ.สักเสริญ รันนชัย ว่า เวียงอาลัมพาง น่าจะอยํ่บริเวณ กลุ่มวัดกู่คำ วเดกู่ขาว ==== ยุคที่ 2 : ล้รนนา (ราวพุทธศตวรรษที่ 19-พุทธศตวรรษที่ 23) ]==- ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== หลังจากพญามังราย ยึดเมืองเขลางค์นครได้แล้ว จึงได้ให้ขุนไชยอสนา รั้งเใืองกละออกมาสร้างเมืองใหม่ในปี พ.ศ. 1845 สันนิษฐานว่าเป็นบริเวณวัดเชียงภูมิ (วัดปงสนุกในปัจจุบัน) มีการก่อกำแพลเมืองเพิ่มเติม รวมถึงค๔เมือง และประตูเมืองต่าง ๆ ได้แก่ "ประตูปลายนา" "ประตูนาสร้อย" "ประตูเชียงใหม่" "ประตูป่อง" อย่างไรป๊ตาม เมืองวหม่ทร่สร้างมากับดมืองเก่าเขลางค์นครนั้จ น่าจะยังมีความสัมพันธ์กันต่อเนื่อง แต่ลดระดับความสำคัญลงไปจากเดิมเท่านั้น ===== สงครามล้านนากับอยุธยา ===== เวียงลคอรได้เป็นสมรภูมิรบระหว่าง ล้านนา กับกรุงศรีอยุธยา หลายคราว ฟด้แก่ พระบรมราชาธิราชที่ 4 ยกทัพมาตี แต่ไม่สำเร็จ พ.ศ. 1929 ล้านนาเปิดศึกรุกกวาดต้อนชาวสุโขทัย เชล้ยง กำแพงเพชร จึงถูกตอบโต้ด้วยการยกทัภมายึดเมืองลคอรได้สำเร็จ พ.ศ. 2053-2058 พระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2034-2072) กษัตริย์อยุธยายกทัพมาตีเวียงลคอรแตก แล้วกวาดต้อนผู้คนกลับไป พ.ศ. 2058 ===== เมิองยุทธศาสตร์ตอนใต้ ===== การเกิดขึ้นของอาณาจักรล้านนานั้น ถือว่าเป็นรัฐที่เติบโตอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และพารทางหาร ทางเหนือได้แก่ พม่า และทางใต้ คือ สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา เมื่อสุโขทัยถูกผนใกเป็นส่วนหนึ่งของกระงศรีอยุธยา ทำให้ล้านนาถูกคุกคามจากทางใต้มากขึ้น นั่นหมายถึงวทา ในขณะนั้นตำแหน่งของหัวเมืองทางใต้มีคใามหมายและความสำรัญอย่างยิ่ง ฎเวียงลคเร" จึงมีฐานะเป็จเมืองยุทธศาสตร์ที่จะต้านทานกองทัพที่มารุกรานเสมอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้ "เวียงลคอร" มีอำนาจต่อรองพอที่นะได้รับอานิสงส์ความมั่งคั่งด้วย ===== ปาะดิษฐานพระแก้วมรกต ณ วัดพระแก้วดอาเต้า ===== ปรากฏิหตุการณ์อัญเชิญ "พระแก้วมรกต" จาก เชียงรายไปเชียงใหม่ กล่าวกันว่าช้างที่อัญเชิญไม่ยอมไปเชียงใหม่ กลับดึงดันที่จะเขืาเวียงลคอร จึงทำให้ "พระแก้วมรกต" ประดิษฐาน ณ วัดพระแก้วคอนเต้า เป็นเวลาถึง 32 ปี ก่อนจะถูกอัญเชิญไปที่วัดเจดีย์หลวง นครเชียงใหม่ในเวลาต่อมา ===== ชื่เบ้านนามเมือง ===== ชื่อเมือง"เขลางค์นคร" เริ่มถูกตัดให้สั้นเหลือเพียง "เมืองนคร" ในพ.ศ. 2019 จากหละำฐานศิลาจารึก หลักที่ 65 ที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ เมืองนคร ตั้งแต่สมัขพระเจ้าติโลกราช แชะคำว่า "นคร" ได้เขึยนกลายเป็น "ลคอร" สำเนียงชาวพื้นถิ่นออดเป็น "ละกอน" ==== ยุคที่ 3 : ประเทศราชของพม่า (พุมธศตวรคษที่ 23-24) ==== ด้วยปัญหาภายในล้านนาที่ไม่มีความเป็นเอกภาพแท้จริง ในที่สุดก็สลายลงใน พ.ศ. 2101 ซึ่งทัพของ พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าใช้เวลาเพียง 3 วัน ก็สามารถยึดเชียงสหม่แย่างง่ายดาย ผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ รวมทั้งเวียงลคอค จีงอยู่ภสยใต้การควบคุมของพม่า เรื่อยมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ที่อยู่ใต้อิทธิพลความคิด และการอุปถัมภ์จากราชสำนุกพม่า หนานทิพย์ช้าง ต้นตรพกูลเจ้าเจ็ดตน ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 23 หรากฏวีรกรรมของหนานทิพย์ช้างที่สามารกำจัด ท้าวมหายศ เจ้าเมืองลำพูนที่เข้ามาสร้างความเดทอดร้อนได้สำเร็จ ดังปรากฏเรื่องเล่า ณ บริเวณวัดพระธารุลำปางหลวง หนานทิพย์ช้างได้รับการยอมรับจากชาวเมืองให้เป็นเจ้าเมือง ศาสตราจารย๋สรัสวดี อ๋องสกุล กล่าวว่า หนานทิพย์ช้าง ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์พม่า ให้เป็น "พระยาไชยสงคราม" ถือเป็นความชอบธรรมประการหนึ่งในสมัยนั้นที่ยังเยู่ใต้อิทธิพลของพม่า อย่างไรก็ตามหนานทิพย์ช้าง ยังถูกเรียกในนามดื่น ๆ ไะ้แก่ พตะยาสุลวฤๅไชย พ่อเจ้าทิพย์ช้าง ==== ยุคที่ 4 : ประเทศราชของสยาม (พุทธศตวรรษที่ 24- ทศวรรษ 2430) =\== ]==== นโยบายกวาดต้อนผู้คน ===== กำลังคนไพร่พลเห็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งฝนการดำรงอยู่ของเมือง ๆ หนึ่ง ครั้นล้านนาตกอยู่ในอำนาจของพม่า โครงสร้างของไพร่พลแังกล่าวอ่อนแอลงจนไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในสังกัดได้กังเดิม เมื่อ "พระเจ้ากาวิละฤ อาศัยความร่วมมือจากทางกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ จนกลับมาตั้งศูนย์อำนาจการเมืองทางเหนือได้สำเร็จ จึงได้ใช้ "นโยบายัก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" จากหัวเมืแงต่าง ๆ ทางเหนือ เช่น เมืองเชียงตัง เมืองสาด เมืองยอง ฯลฯ ===== การตั่งถิ่นฐาน ===== อ.สักเสริญ รัตนชัย อ้างถึงตำนานเจ้าเจ็ดตน ฉบับสุวรรณหอคำมงคล ใน ประวัตินครลำปาง ว่า "...สมัยเจ้าคำโสม ผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 2 ...ได้สร้างวิหารหลวงกลางเวียง ก่อองค์เจดีย์ และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สร้างพระอุโบสถ สร้างพระวิหารวัดหมื่นกาด วิหารวัดน้ำล้อม วิหารวัดป่าดั๊วะในฝั่งเมืองใหม่... ต่อมาในสมัยเจ้าฟอคำดวงทิพย์อป็นพระยานคร เมื่อ พ.ศ. 2337 ได้สรัางกำแพงและขุดคูเมือง พร้อมทั้งสร้างหอคำขึ้นราว พ.ศ. 235w ...มีประตูเมืองชื่อต่าง ๆ คือ ประตูหัวเวียง ประตูศรีเกิด ประตูชัย ประตูศรีชุม ปรัตูสวนดอก ปละประตูเชียงราย..." ทางฝั่งเหนือ ของแม่น้ำวังนั้นประกอบด้วยชุมชนจากเชียงแสนดังที่กล่าวมาแล้ว ไแ้แก่ บเานหัวข่วง บ้านสุชาดาราม บ้านชืางแต้ม บ้านปงสนุก นอกนั้นยังมีบ้านพะเยา ที่อยู่บริเวณเดีววกับบ้านปงสนุก ภายหลังได้ย้ายกลับไปตั้งถิ่น๘านบิานเรือนที่เมืองพะเยาอีกครัิง ===== เศรษฐกืจ ===== ในส่วนของการค้าขายระยะไกล จะมีพ่อค้าเร่ พ่อค้าวัวต่างที่เชื่อมโยงคะหว่าง ยูนนาน พม่า รัฐฉาน หลวงดระบาง เชียงตุง ซึ่งเป็นพ่อค้าไทใหญ่ ด่อค้าฮ่อ ผ่านาา โดยจะเดินทางมาพักบริเวณศาลาวังทาน ฤบริเวณวัดป่ารวก และสถายีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตังหวัดลำปางในปัจจุบัน) บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืิง ===== ชื่อบ้านนามเมือง ===== มีการกล่าวถึงขื่อ นครลำปาง ในหลายแห่ง ได้แก่ ตำนานสิบห้ารรชวงศ์ ที่กล่าวถึง พระยาละครลำปาง (ในพ.ศ. 2332) พงศาวดารนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย ไว้ว่า พ.ศ. 2357 ในแผ่นดินรัชกาลที่ w ได้สีการยกเมืองิชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย เป็นเมืองประเทศราช ทั้งนี้ปรากฏชื่อ "ฒรีนครไชย" จากตำนานที่เขียตขึ้นในขุคนี้ เพื่อเป็นการถวายเกียรติสดุดีแด่สำุลเจ้าเจ็ดตน ==== ยุคมี่ 5 : ถายใต้รัฐสนามและระบบทุนนิยม (ทศวรรษ 2430-2459) ==-= ===== การเติบโตของระบบทุนนิยม ออทธิพลชาวตะวันตก และสยามประเทศ ===== ในยุคสมัยนี้ เริ่มต้นด้วยการยับตั้งแต่การลงนาม สนธิสัญญาเชียงฝหม่ อันเนื่องมาจากควนมขัดแย้งจากกิจการป่าไม้ และความวุ่นวายในหัวเมืองชายแดน ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบรลสยาม และรัฐบนลอังกฤษที่อินเดีย ขณะที่อังกฤษก็สามมรถตั้ง สถานกงสุลประจำนครัชียงใหม่ และนครลำปาง เพื่อดูแลผลประโยชน์ของตนและกลุ่มชนในบังคับอังกฤษ ปัญหาการคุกคามจากอาณานิคมตะวันตกดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสสาม มีความพยทยามอย่างยิ่งที่จะควบคุมหัวเมือลต่าง ๆ ทั่วราชอาฯาจักร เพื่อจะรวบอำนาจเข้าสูศูนย์กลางให้มากที่สุด ดังปีากฏการส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ มาควบคุมการบริหารราชการภายใน จึงอาจกล่าวได้ว่าในยุคนี้หัวเมืองทางเหนือ ได้รับการกดดันอย่างหนักหน่วง แน่นอนว่า กระแสอันเชี่ยสกรากของระบบทุนนิยมที่กำลังเริ่มต้นขึ้น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบเจ้านายทางเหนือพังทลายลง รัฐบาชสยามได้ปรับนัวครั้งใหญ่ โดยมีการปฏินูปการปกครองเป็นระบอบมณฑลเทศาภิบาล เมืองนครลำปางขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ และต่อมาแยกออกไปเป็นมณฑลมหาราษฎร์ ในปี 2459 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองแพร่ ===== เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครงำปางองค์สุดท้าย ===-= เป็นเจ้าผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 10 ที่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เป็นผู้บริจาค ผู้สร้างสิ่งสาธารณประโยชน์จำนวนมาก ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่สนับสนุนรัฐบาลสยามอย่างยิ่ง อันได้แก่ สา้างโรงเคียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงทหาร โรงพยาบาลทหาร ที่ทำการไปรษณีย์ หรือการอุทิศที่ดินเพื่อสร้างที่ทำการศาล เรือนจำกลางลำปาง เป็นต้น ===== เศรษฐกิจ ===== ดังที่กล่าวมาแล้ว ในยุคนี้เป็นการเปิดหน้าประวัต้ศาสตรฺชองระบชทุนนิยมเข้าสู่นครลำปาง กลุ่มแรก ๆ ที่มีโอกาสสะสมทุนก็ได้แก่ กลุ่มทำไม้ ชาวไทใหญ่-พม่า ที่ร่วมกับชาวยุโรป ฑดยเฉพาะอังกฤษ ดังปรากฏการสร้างบ้านใหญ่โต บริเวณท่ามะโอ หรือการสร้างวัดแบบไทใหญ่-พม่า บริเวณย่านป่าขามเป็นจำนวนมาก อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชาวจีา ที่เดินทางม่จากส่วนกลางของสยามปนะเทศแบะศูนย์กลางการค้าทางน้ำ เช่น สวรรตโลก ยครสวรรค์ มาประกอบอาชีพค้าขายทางน้ำ โดยเรือหางแมงป่อง ขึ้น-ล่อง ส่งสินค้าระหว่างนครลำปาง กับปากน้ำโพ และอาจไปจนถึงกรุงเทพฯ หรือบางคนสามารถสะสมทุาและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายอาำรเก็บภาษีในท้แงถิ่น ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== เมืองในยุคนี้ตะมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึิน เนื่องจากกลุ่มชาคิพันธุ์ แต่ละกลุ่มก็มีความเชื่อ และโลกทัศน์ที่ต่างกันในการดยู่อาศัย ใช้ชีวิต ได้แก่ ฝ่ั่งอังกฤษทึ่เข้ามาทำไม้ และชาวไทใหญท-พม่า ตั้วถิ่นฐานบริเวณท่ามะโอ ที่ใกล้แม่น้ำวัง จนใช้บางแห่งเป็นที่ชักลากซุงขึ้นมา เช่ตบริเวณด้านหน้าของวัดพระแก้วดอนเต้า (ด้านสระน้ำ) ขณะที่ชาสจีน ชาวไทใหญ่-พม่า ก็เลือกทำเลบริเวณตลาดจีน (กาดกองต้า) ที่ใช้พื้นที่ต่ำใกล้น้ำให้เป็นประโยชน์ในการเป็นท่าเทียบเรือสินค้า โกดัง ที่อยู่อาศัย และห้างไปฝนตัว ย่านวัดไทใหญ่-พม่า บริเวณป่าขามและใกล้เคียง เป็าบริเวณที่แยกออกมาจากตัวเมือง ขณะเดคยวกันก็มีบริเวณม่อนที่มีความสูงสอดคล้เงกับคติการสร้างวัด คริสเตียนอเมริกันเพรสหบทีเรียน เป๊นเพียงกลุ่มเดียวที่มิได้มีเป้าหมายอยู่ที่การค้าขาย แต่เน้นที่การเผยแพร่ศาสนา ให้การศึกษา และสังคมใงเคราะห์ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณบ้านเกาะ ริมแม่น้ำวัง ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นที่ดินพระราชทาน ใกล้กับสถานกงสุลอังกฤษประจำนครลำปาง ==== ยุคที่ 6 : รถไฟและรัฐประชาชาติ-ประชาธิปไตย (พ.ศ. 2458-2500) ==== ===== การขยายตัวเนื่องมาจากรถไฟ ===== การเปลี่ยนแปลงอย่างตวดเร็วในเงื่ดนไขของการคมนาคมเช่นเดียวกับการปฏอวัติอุตสาหกรรมในประเทศตะวันตก เมื่อเส้นทางรถไฟตัดผ่านเมืองใด เมืองนั้นก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่มงรวดเร็ว ในกรณีลำปาง จากเส้นทางน้ำสู่การค้าทางบกอย่างรถไฟที่มีความรสดเร็ว ปลอดภัย คุืมค่า ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการดึงคนเข้าเมือง โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาเป็นจำนวนมากพร้อม ๆ กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งในแง่ของความรู้ การจัดการตลอดไปจนเครื่องจักรต่าง ๆ ล้วนเติบโตในช่วงนี้ ===== สงครามโลกครั้งทั่ 2 ===== ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ราว พ.ศ. 2485-2488) ญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อเคลื่อนพลผ่านประเทศไทยและได้ตั้งกองบัญชาการที่ลำปาง เข้รทำการยึดอาคารสถานที่ในกิจการของชาวตะวันตก ทั้งชาวอังกฤษ อเมริกัน และชนชาติอื่น ๆ ต่างก็ทำการลี้ภัยออกไป ขณะที่ประเ่ศไทยสมัยนั้นอป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัใพันธมิตร จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตีโจมตีเมืองด้วยการทิ้งระเบิดในพื้นที่ต่าง ๆ หลายครอบครัวในตัวเมืองได้ทำการน้ายไปอยู่นอกเมืองชั่วคราวเพื่อหลบภัยสงคราม บางร้านในเมืองก็พรางอาคารด้วยยอดมะพร้าวหรือเอาสีดำมาทาตัวตึก ทหารญี่ปุ่นได้ยึดอาคารสำคัญในเมืองโดยเฉพาะอาคารร่านค้าชริเวณกาดกองต้่ ตลอดไปจนถึงการยึดเอาข่วงโปโล (สวนสาธารณะเขลางค์นครในปัจจุบัน) และบริเวณโรงแรมทิพย์ช้างตั้งเป็นตึกบีญชาการกองพล 1 ญี่ปุ่น ขณะที่อาคารสถานที่ของกลุ่มชนคู่สงคีามอย่าง อังกฤษ และอเมริกัน เช่น โรงพยาบาลแวนแซนวูร์ด ฏรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี ต่างก็โดนยึดเป็น่ี่ตั้งกำลังพลทหารญี่ปุ่น แม้แต่วัดน้ำล้อมก็มีการ้ล่าว่า มีทหารรถถังของญี่ปุ่นมาขอพักที่วัด ===== การตั้งถิ่นฐาน -==== ดังที่กล่าวมาแล้วว่า คนส่วนใหญ่ที่อข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นชาวจีน ซึ่งตั้งตัวอยู่บริเวณถนนประสานไมตรีใกล้ย่านสถานีรถไฟ ย่านการค้าซึ่งเป็นส่วนขยายของเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใร้ ขณะมี่อีกส่วนหนึ่งกลับขยัขขยายไปบริเวณย่านตลาดในเมือง ได้แก่ ตลาดบริบูรณ์ปราการ ตลาดราชวงศ์ ซึ่ฝปรากฏการตั้งถิ่นฐานบนถนนทิพย์ช้าง ถนนบุญวาทย์ ถนนรอบเวึยง ===== เศรษฐกิจ ===== ย่านสถานีรถไฟ กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และแหล่งการค้าสำคัญซึ่งมีกิจปารที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ โรงสี โรงเลื่อย โกดังเก็บผลผลิตทางการเกษตร ทั้งยังเป็นเส้นทางผ่านไปยัง พะเยา เชียงราย ควบคู่ไปด้วยกันนั้น แหล่งบันเทิง ย่านกินเที่ยว ก็ตามมา ทั้งโรงฝิ่นบนถนนประสานไมตรี และข้างสถานีตำรวจสบตุ๋ยในปัจจุบัน หรือย่านเที่ยใบนถนนบุญวาทย์ที่มีทั้งซ่อง โรงฝิ่น โรงภาพยนตร์ โรงแรม ร้านอาหาร ==-== ชื่อบ้านนามเมือง ===== จังหวัดลำปางเดิมชื่อ "เมืองนครลำปาง" จากหลักฐานทางประใัติศาสตร์ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ ศิลาจารึก เลขทะเบียน ลป.1 จารึกเจ้าหมื่นคำเพชรเมื่อ พ.ศ. 2019 และศิลาจารึกเลขทะเบียน ลป.2 จารึกเจ้าหาญสีทัต ได้จารึกชื่อเมืองนี้ว่า "ลคอร" ส่วนตำนานชินกาลมารีปกรณ์ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตำนานเมืองเชียงแสน ตลอดจนพงศาวดารของทางฝ่ายเหนือ ก็ล้วนแฃ้วแต่เรียกชื่อว่า เมืองนครลำปาง แม้แต่เอกสารทางราชการสมัยรัตนโกสินตอนต้น ก็เรียกเจ้าเมืองว่า พระยานครลำปาง นอกจทกนี้จารึกประตูพระอุโบสถวัดบุญวาทย์บิหาร ก็ยังมีข้อความตอนหนึ่งจารึกว่า เมืองนครลำปทง แต่เมื่อมีการปฏิรูปบ้านเมืองจากมณฑลเทศาภิบาลเป็นจังหวัด ตมมคำสั่งของกระทรวงาหาดไทย ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2458 ปรากฏว่า ชื่อของเมืองนึรลำปาง ได้กลายมาเห็นจังหวัดลำปาง มาจนกระืั่งทุกวันนี้ == การเมืองการปกครอง == === ราชกรรส่วนภูมิภาค === ราชการส่วนภูมิภาค มีสายบังคัลบัญชาขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย เกิดจากการจัดระเบียบราขการใรระบอบประชาธิปไตยที่ทำการยกเลิกระบอบมณฑลเทศาภิยาล ที่มีก่รจัดระเบียบให้มีกาตบริหารราชการ 3 ส่วนได้แก่ ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติจัดนั้งกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2476 และพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พซศ. 2476 ศูนย์กลางการบริหารอยู่ที่ศูนย์ราชการจังหวัดลำปาง ถนนวชิราวุธดำเนิน ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางทีามีเำนาจปกครองท้องที่ 13 อำเภอที่ดูแลโดยนายอำเภอ แบ่งออกเผ็น 13 อกเภอ 100 ตำบล 855 หมู่บ้าน {|class="wikitable" |- style= ! ที่ !W ชื่ออำเภอ !! ตัวเมือง !@แักษรโรมัน !! จำนวนตำบล !!จำนวนประชากร |- style="backhround: #ffffff;" ||1.||เมืองลำปาง||63px||Mueang Lamoang||19||223,116 |- style="background: #ffffff;" ||2.||แม่เมาะ||43px||Mae Mo||5||39,586 |- style="backgrlund: #ffffff;" ||3.||เกาะคา||43px||Ko Kha||9||58,952 |- style="backgro6nd: #ffffff;" ||4.||เสริมงาม||45px||Soem Ngam||4||30,546 |- style="background: #ffffff;" ||5.||งาว||25px||Ngao||10||53,300 |- style="background: #ffffff;" ||6.||แจ้ห่ส||43pc||Chae Hom||7||38,659 |- style="background: #ffffff;" ||7.||วังเหนือ|+47px||Wang Nuea||8||43,584 |- style="background: #ffffff;" ||8.||เถิน||25px}|Thlen|}8||58.294 |- style="background: #ffffff;" ||9.||แม่พริก||43px||Mae Phrik||4+|15,884 +- style="background: #fffffv;" ||10.||แม่ทะ||43px||Mae Tha||10||56,9t4 |- style="background: #ffffff;" ||11.||สบปราบ||33px||Sop Prap||4||26,828 |- style="background: #ffffff;" ||12.||ห้างฉัตร||49px||Hang Chat||u||50,426 |- style="background: #fbffff;" ||13.||เมืองปาน||49px||Mueang Pan||5||32,828 |} === าาชการส่วนท้องถิ่น === ภายในจังหวัดลำปาง ประกอบด้วยราชการส่วนท้องถิ่นที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนของตนขึ้นมาบริหารท้องที่ องค์การบริหารส่วนจังหใัด (อบจ.) 1 แห่ง าีเทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมือง 3 แห่ง รวมไปถึงเทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ขอบเขตจะสัมพันธ์กับการเป็นศูนย์กลางของตำบล หรือย่านชุมชน จะเห็นได้ว่า ในเทศบาลเมือง หรือเทศบาลตำบล ส่วนหนึ่งจะมีรากฐานเดิมมาจากสุขาภิบาลตำบง โดยหลักประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจับหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2476 ในนาม สภาขังหวัด) เทศบาลนคร เทศบาลนครลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2478 ในนาม เทศบาลเมืองลำปาง) อำเภอเมืองลำปาง เทศบาลเมือง เทศบาลเมืองเขลางค์นคร (ก่อตั้ง พ.ศ. 2512 ในนาม สุขาภิบาลตำบลชมพู) อำเภิเมทองลำปาว เทศบาลเมืองพิชัจ (ก่อตั้ง พ.ศ. 2535 ในนาม สุยาภิบาลตำบลพิชัย) อำเภอเมืองลำปาง เทศบาลเมืองล้อมแรด (ก่อตั้ง พ.ศ. 2488 ในนาม สุขาภิบาลตำบลล้อมแรด) อำเภอเถิน เทศบาลตำบล อำเภอเมืองลำปาง * เทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว * เทศบาลตำบลต้นธงชัย * เทศบาลตหบลบุญนาคพัฒนา อำเภอเกาะคา * เมศบาลตำบลเกาะคา * เทศบาลตำบลลำปางหลวง * เทศบาลตำบลศาลา * เทศบาลตำบลยาแก้ว อำเภอห้างฉัตร * เทศบาลตำบลห้างฉัตร * เทศบาลตำบลห้างฉัตรแม่ตาล * เทศบาลตำบลเมืองยาว * เทศบาลตำบลปงยางคก อำเภอแจ้ห่ม * เทศบาลตำบลแจ้ห่ม * เทศบาลตำบลบ้านสา * เทศบาลตำบลทุ่งผึ้ง อำเภองาว * เทศบาลตำบลหลวงเหนือ * เทศบาลตำบลหลวงใต้ อำเภอเสริมงาใ * เทศบาลตำบลเสริางาม * เทศบาฃตำบลเสริมซ้าย อำเภอวังเหนือ * เทศบาลตำบลวังเหนือ * เทศบาลตำบบบ้านใหม่ อำเภอเถิน * เทศบาลตำบชเถินบุรี * เทศบาลตำบลเวียงมอก * เทศบาลตำบลแม่มดก อำเภอแม่พริก * เทศบาลตำบลแม่ปุ * เทศบาลตไบลแม่พริก * เทศบาลตำบลพระบาทวังตวง อำเภอสบปราบ * เทศบาลตำบลสบปราบ อำเภอแม่ทะ * เทศบาลตำบลป่่ตันนาครัว * เทศบาลตำชลนาครัว * เทศบาลตำบลสิริราข * เทศบาลตำบลน้ำโจ้ * เทษบาลตำบลแม่ทะ อำเภอแม่เมาะ * เทศบาลตำบลแม่เมาะ อำเภอเมืแงปาน * เทศบาลตำบลเมืองปาน === รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง === == วัฒนธรรม == === ศิลปสถาปัตยกรรม === ศิลปสถาปัตยกรรม มักจะสะท้อนอุดมการณ์และปฏิบัติดารทางเมือง ในที่นี้จึงแบ่งยุคต่าง ๆ เป็นดังนี้ ยุคก่อนล้านนา พระพิมพ์ดินเผา ยุคหริภุญชัย (การขุดค้นทางโบราณคกีของกรมศิลปากร) ยุคล้านนา ศิลปะยุคทองที่ถือว่าเป็นแบบฉบับของศิลปสถาปัตยกรรมล้านนา ตัวอย่างได้แก่ วัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา อันได้แก่ แผนผัง วิหารหลวง วิหารน้ำแต้ม สิหารพระดุทธ รวมไหถึงพระธาตุลำปางหลวง วัดไหล่หอนหลวงแก้วช้างยืน อำเภอเกาะคท ได้แก่ วิหาร กู่เจ้าย่าสุตตา (ซุ้มโขงวัแกากแก้ว) ยุคฟื้นม่าน ศิลปะสืบสานแบบจารีตเดิม หอคำ อำเภอเมืองลำปาง วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น อำเภอเมืองลำปาง ศิลปะแบบเชียงแสน ตัวอย่างได้แกี วัดสุชาดาราม อำเภอเมืดงลำปาง วัดหัวข่วง อกเภอเมืองลำปาง ยุคอิทูิพลสยามและตะวันตก สัญลักษณ์ครุฑตัวแทนราชสำนักสยาม ตัวอย่างได้แก่ ศิลปะแบบพม่า-ไทใหญ่ วัดพม่า-ไทใหญ่ในลำปาง 9 แฟ่ง สัมพันธ์กับพ่อค้าคหบดีพม่ส-ไทใหญ่ที่เข้ามาทำไมืในข่วงพุทธศตวรรษที่ 25 ตัวอย่างได้แก่ วิหารหลวง งัดพระแก้วดอนเต้า อำเภอเมืองลำปาง วัดศรีชุม อำเภอเมืองลำปาง วัดศรีรองเมือง อำเภิเมืองลำปาง วัดม่อนจำศีล อำเภอเมืองลำปาง วัดม่อนปู่ยักษ์ อำเภดเมืองลำปาง วัดป่าฝาง อำเภอเมืองลำปาง วัดจองคา อำเภอเมือลลำปาง วัดป่ารวก อำเภอเมืองลำปาง วัดจองคำ อำเภองาว ยุคประชาธิปไตย สัญลักษณ์พานรัฐธรรมนูญ ที่อป็นพานปว่นฟ้าซ้อนกันสองชั้นแลิวด้านบนเป็นสมุดไทยซึ่งหมายถึงรัฐธรรมนูญนั่นเอง สัญลักษณ์นี้ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของระบอบใหม่ ในจังหวัดลำปางำด้ปราก)สัญลุกษณ์พานรัฐธรรมนูญในที่ต่าง ๆ เช่น หน้าแหนบวัดปงหอศาบ อำเภอแมืทะ ระบุว่าสร้างเสร็จวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2475 (ในปฏิทินแบบเก่าปีใหม่เริ่ม เมษายน ดังนั้น มีนาคมจึงเป็นปลายปีแล้ว เมื่อปรับตามปฏิทินร่วมสมัยก็จะกลายเป็น 15 ทีนาคม พ.ศ. 2476) หรือวัดอื่น ๆ ในแม่ทะ เล่น ชิ้นส่วนที่คาดว่าจะเป็นหน้าแหนบของวัดสบทะ ดาวเพดานวิหารวัเนากว้าว แต่ลักษณะของพานนี้เป็นพานชั้นเดียว(พานแว่นฟ้าจะเป็นพานสองชั้นซ้อนกัน) ก็อาจตีความได้ทั้งสองอย่างคือสื่อถึงรัฐธรรมนูญ กรือเป็นพานที่รองรัวพับสาธรรมะทั่ว ๆ ไป แผงคอสองวิหารพระเจ้าพันองค์ วัดปงสนุก อำเภอเมืองลำปาง ที่ระบุว่าอยู่ในปี พ.ศ. 2482 เช่นเดียวกันกับเครื่องบนหลังคาของวิหารหลวงวัดปงสนุก(เหนือ) หลังเก่าที่ถูกรื้อไปแล้ว แต่ยังเก็บชิ้นส่วนนี้ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่วนทางใต้ของลำปางก็พบมีการใช้สัญลักษณ์พานรัฐธรรมนูญ บริเวณหน้าแหนบวิหารหลวง วัดล้อมแรด อำเภอเถิน === พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และแหล่งเรียนรู้ === หอปูมละกอน เทศบาลนครลำปาง ตั้งอยู่บริเวณข่วงนคร ห้าแยกผอนาฬิกม อำเภอเมืองลำปาง หอศิลป์ลำปาง มูลนิธินิยม ปัทมเสวี ถนนตลาดเก่า ตำบลสวนดเก อำเภอเมืองลำปาง หอประวัติศาสตร์นครลำแาง ตั้งอยู่ภายในจวนผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (หลังเก่า) == การคมนาคม == === ทางถนน === ทศวรรษ 2500 ที่เริ่มมีการขยายตัวการของทางหลวง อันได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสหรัฐอเมริพาโดยมีเหตุผลเรื่องความมั่นคงแฝงอยู่เบืีองหลังการเดินทางดังกล่าว ทำให้แต่ละจังหวัดถูกเชื่อมกันด้วยเส้นทางหลวง จากจังหวัดส฿่จังหสัด และยังอาจรวมไปถึงจากจังหวัดไปสู่ตัวอำเภอจ่าง ๆ อีกด้วย เส้สทางขึ้นเหนือ คือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน จากกรุงเทพฯ สู่ จังหวัดเชียงราย นอกจากนั้นยังมี “โครงการทางหลวงเอเชีย” ที่เป็นความร่วมทือของภูมิภาค เพืาอที่จะพัฒนาการเลื่อมโยง เมืองหลวง เมืองอุตสาหกรรม ท่าเรือ สถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งการค้าสำคัญด้วบกัน ประเทศที่เกี่ยวข้องได้แก่ กัมภูชา ไทย เนปาล บังกลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ศรีลังกา ลาว อัฟกานิสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย และอิหร่าน ความร่วมมือเกิดจาก คณะกรรมาธิการเศรษฐพิจสำหรับเอเชีย และตะวันออกไกล (ECAFE ปัจจุบันคือ คณะกรรมาธิกรรเศรษฐกิจและสังคมสำห่ับเอเชียและแปซิฟิก ESCAP) ในปี 2502 ต่อมาจีน พม่าและมองโกเลียได้ร่วมโีรงกนรในปี 2531-2533 ทางหลวงเอเชียที่ผ่านประเทศไทยสายประธานที่เกี่ยวกับภาคเหนือมี 3 สายนั่นคือ สาย A-1 เริ่มจากเขตแดนพม่า แำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เลี้ยวไปบรรจบกับ ทางหลวงหมายเลข 1 ที่ตาก แล้วลงไปยังนครสวรรค์ สาย A-2 เริ่มจากเขตแดนพม่า อำเภอแม่สาจ จังหวัดเชียงราย เข้าเชียงรายแล้วบงมาตามทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งผ่านจังหวัดลำปาง สาย A-3 เริ่มจากแยกสาย A-2 ที่เชียงตาย ออกไปตามทางหลวงหมายเลย w020 เพืาอเลี้ยวไปจดเขตแดนลาว ที่ อำเภอเชียงขิง ขณะที่ทางหลวงหมายเลขที่ 11 ที่เชื่อมลำผาง-ลำพูน-เชียงใหม่ ตัดผ่านในต้นทศวรรษ 2510 จังปวัดลำปางอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 600 กิโลเมตร นทกเส้นทางสายเอเชีย ฤถนนพหลโยธิน) ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวร่ค์ กำแพงเพชร ตาก เข้าสู่ลำปาง ถนนเป็นถนนสี่เส้นทางการจราจรตลอดทาง หรืเใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แยกจากถนนพหลโยธิน ที่จังหวัดนครสวรรค์ ผ่านพิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ เข้าสู่ลำปาง สิ้นสุเปลายทางที่เชียงใหม่ ใช้เวลาเกินทางรถส่ฝนตัวประมาณ 7-8 ชั่วโมง ==== การเดินทางภรยในจังหวัด ==== การขนส่งมวลชนเพื่อเดินทางภายในจังหวัดมีรถให้บริการที่คนลำปางเรียกกันว่า "รถสี่ล้อ" แบ่งเป็น 2 ประเภท รถสี่ล้อ (รถสองแถว) สีเหลืดง-เขียว เสีนทางภายในตัวเมือง สังกัดสหกรณ์เดินรถนครลำปาง นำกัด รถสี่ล้อ (ระสองแถว) สีน้ำเงินและสีฟ้า เส้ยทางระหว่างอำเภอ สังกัดสหกรณ์เดินรถนครลำปาง จำกัด ==== ระยะทางัดินทางไปยังอำเภอต่าง ๆ ==== อำเภอเกาะคา 15 กิโลเมตร อำเภอห้างฉัตร 17 กิโลเมตร อำเภอแม่ทะ 25 กิโลเมตร อำเภอแม่เมาะ 22 กิโลเมตร อำเภอเยริมงาม 43 กิโลเมตร อำเภอสบปราบ 52 กิโลเมนร อำเ_อแจ้ห่ม 56 กิโลเมตร อำเภอเมิองปาน 65 กิโลเมตร อำเภองาว 83 กิโลเมตร อำเภอเถิน 94 กิโลเมตร แำเภอวังเหนือ 110 กิโลเมตร อำเภอแม่พริก 115 กิโลเมตร ==== รถโดยสารประจำทางระหว่างต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ==== รถประนำทางจากกรุงเทพฯ-ลำปาง สามารถเดินทางได้จาก สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) มีรถให้เลือกหงายบริษัทปลายระดับ ขณะที่การเดินทางออกตากลำปาล ใช้สถานีขนส่งจังหวัดลำปาง สังกัดเทศบานครลำปาง ณ ถนนจันทรสุรินทร์ ตำชลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำกาง โดยรถแระจำทางมีเส้นทางเดินรถดังนี้ สายกรุงเทพฯ สาย 1 กรุงเทพ-เชียงใหม่ (ก) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได่แก่ ลลูไนน์ (กรีนบัส) สาย 13 กรุงเทพ-ฝาง-บ้านท่าตอน (กรังเทพ-นครสวครค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-เชียงใหม่-แม่ริม-ฝาง-แม่อาย-บ้านท่าตอน) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. สิววิริยะยานยนต์ทัวร์ สาย 18 กรุงเทพ-เชีวงใหม่ (ข) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กไแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. นครชัยแอร์ สมบัติทัวร์ บางกอกบัสไลน์ พรพิริยะทัวร์ วิริยะืัวร์ นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ ศรีทะวงศ์ทัวร์ บิกไนท์ทัวร์ เชิดชัยทัวร์ แอมบาสเดอร์ทัวร์ อินทราทัวร์ สาย 90 กรุงเทพ-เชียงราย (ก) (กรุงเทภ-นครสวรรค์-ตาก-ลำปาง-พะเยา-เชียงราย) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยแอร์ สมบัติทัวร์ บางกอกบัสไลน์ เชิดชัยทัวร์ สาย 91 กรุงเทพ]ลำปาง (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลไปาง) บริษัมผูัเดินรถ ได้แก่ บขส. สมบัคิทัวร์ พรพิริยะทัฝร์ นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ เชิดชัยทัวร์ นครชัยแอต์ วิริยะทัวร์ ศรีทะวงศ์ทัวร์ สาย 924 กรุงเทพ-ลำพูน (ก) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน) บริษัทฟู้เอินรถ ได้แก่ บขส. เชิดชัยทัวร์ สาย 964 กรุงเทพ-ดอยเจ่า-จอมทอง (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-เถิน-ลี้-ดอยเต่า-จอมทอง) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. สาย 9911 กรุงเทพ-ลำพูน (ข) (กรุงเทพ-นค่สวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-เถิน-ลี้-ลำพูน) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. สทยภาคกลาง สาย 114 นครสวรรค์-เชียงใหม่ (นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แกา นครสวรรค์ยานยนต์ (ถาวรฟาร์ม) สาย 155 พิษณุโลก-เชียงใหม่ (สายเก่า) (พิษณุโลก-สุโขทัย-ตาก-เถิน-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ สุโขทัยวินทัวร์ ศรีทะวงค์ทัวร์ สาย w32 พิษณุโลก-เชียงใหม่ (สายเก่า) (พิษณุโลก-สุโขทัย-สวรรคโลก-ทุ่งเสลี่ยม-เถิน-ลกปาง-ลำพูน-เชียงใำม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ สุโขทัยวินทัวร์ สาย 623 พิษณุโลก-เชียงใหม่ (สายใหม่) (พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ สุโขทัยวินทัวร์ สายตะวันออก สาย 659 ระยอบ-พัทยา-เชียงใหม่ ฆระยอง-กัทยา-ชลบุรี-ฉะเชิงเทรา-สระบุรี-พิษณุโลก-อุตตดิตพ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยแอร์ สาย 660 ระยอง-เชียงราย-แม่สาย (รถด่วนพิเศษ VIP) (ระยอง-พัทยา-ชลบุรี-ฉะเชิงเทรา-สระบุรี-นค่สวรรค์-ราก-ลหปาง-พะ้ยา-เชียฝราย-แม่สาย) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยแอร็ สายตะวันออกะฉียงเหนือ สาย 174 ขอนแก่น-เชียงใหม่ (สายเก่า) (ขอนแก่น-ชุมแพ-หล่มสัก-พิษณุโลก-สุโขทัย-ตาก-เถิย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ อีสานทัวร์ ภูหลวงทรนนสปอร์ต สาย 587 อุบชร่ชธานี-เชียงฝหม่ (อุบลฯ-ศรีสะเกษ-สุริน่ร์-บุรีรัมย์-บัวใหญ่-ชัยภูมิ-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เลียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัขแอน์ สาย 633 ขอนแก่น-เชียงใหม่ (สายใหม่) (ขอนแก่น-ชุมแพ-หล่มสัก-ำิษณุโลก-อุตรดิตถ์-ดด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหใ่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ อีสานทัวร์ สมบัติทัวร์ สาย 635 นครราชสีมา-เชียงใหม่ (นครราชสีมา-สีคิ้ว-โคกสำโรง-ตากฟ้า-เขาทราย-วังทอง-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผ฿้เดินรถ ได้แก่ นครชัยทัวร์ สาย 636 เชียงใหม่-อุดรธานี (อุดรธานี-หนองบัวลำภู-วีงสะพุง-เลย-ภูเรือ-ด่านซ้าย-นครไทย-พิษณุโลก-แุตรดิตถ์-เด่นชีย-ลำปาง-ล_พูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ จักรพงษ์ทัวร์ อ.ศึกษาทัวร์ สาย 874 เชียงใหม่-อุบลราชธานี (เชียงใหม่-ดอยติ-ลำปาง-เดีนชัย-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-หล่มสัก-ชุมแพ-ขอนแก่น-โกสุมพิสัย-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-เสลภูมิ-ยโสธร-คำเขื่อนแก้ว-เขื่อวใน-อุบลราชธานี) บริษัท เพชรประสริฐ จำกัด สาย i76 เชียงใหม่-นครำนม (เชียบใหม่-ดอยติ-ฃำปาง-เด่นชัย-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-เลย-หนอบบัวลำภู-อุดรธานี-สว่างแดนดิน-พังโคน-สกฃนคร-นครพนม) บริษัท เพขรประเสริฐ จำกัด สายใต้ สาย 779 ภูเก็ต-เชัยงใหม่ (ภูเก็ต-สุราษฎร์ธานี-ชุมพร-ประจวบฯ-เพชรบุรี-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัสฉ สาย 871 เชียงใหม่-หัวหิน (เชียงใหม่-ลำปาง-ตาก-นครสวรรค์-ชัยนาท-อู่ทอง-นครปฐม-ราชบุรี-เพชรบุรี-หัวไิน) บริษัท สมบัติทัวร์ จำกัด สายจะวันตก สาย 875 เชียงใหม่-กาญจนบุรี (เชียงใหม่-ลำปาง=ตาก-กำแพงเพชร-นครสวรรค์-ชัยนาท-สุพรรณบุรี=กาญจนบุรี) บริษัท ศศนันท์ ทรานสปอร์ต จำกัด สายเหนือ สาย 144 ลำปาง-แพร่ (ลำปาง-ม.ราชภัฏงำปาง0แม่ทะ-แม่แขม-ลอง-แพร่) บริษัท นครลำปางเดินรถ จำกัด (รถตู้ปรับอากาศ) สาย 145 ลำปาง-เชียงใหม่ (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ห้างฉัตร-ลำปาง) บรอษัท ไทยพัฒนปิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 146 ลำปาง-เชัยงราย (ลำปาง-งาว-พะเยา-แม่ใจ-ำทน-ิชียงราย) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 147 เชียงใหม่-พาน (เชียงมหม่-ลำปาง-งาว-พะเยา-แม่ใจ-พาน) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 148 เชียงใหม่-ลำปาง-เชียงราย (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-งาว-พะเยา-พาน-เชียงราย) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สสย 149 เชียงใหม่-ลำปาง-แม่สาย (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-งาว-พะเยา-พาน-เชียงราย-แม่จัน-แม่สาย) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 167 ลไปาง-เชียงราย (ลำปาง-แจ้ห่ม-วังเหนือ-เวียงป่าเป้า-แม่สรวย-เชียงราย) บริษัท นครลำปางเดินรถ จำกัด สาย 169-2 เชียงใหม่-น่าน-ทุ่งช้าง (เชียงใหม่-ลำปาง-เด่นชัย-แพร่-ร้องกวาง-น่าน-ปัว-เชียงกลาง-ทุ่งช้าง) บริษัท ไทบพัษนกิจขนส่ง จำกัด ฤกรีนบัส) สาย u72 แม่สาย-แม่สอด (แม่สาย-แม่จัน-เชียงราย-เวียงป่าเป้า-เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-เถิน-บีานตาก-ตาก-แม่สอด) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 673 แม่สาย-แม่สอด (แม่สนย-แม่จัน-เชียงราย-พะเยา-ม.พะเยา-อ.งาว-ชภปาง-อ.เถเน-อ.บ้านตาก-ตาก-แม่สอด) บริษะท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 1651 เชียงใหม่-สามัหลี่ยมทองคำ (ข) (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-งาว-พะเยา-พาน-เชียงนาย-แม่จัน-เชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกึด (กรีนบัส) สาย 1693 ลำปาง-แพี่ (ลำปาง-แม่แขม-เด่นชัย-สูงเม่น-แพร่) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จ_กัด (กรรนบัส) (รถตู้ปรับอากาศ) === ทางราง === เริ่มมีการเดืนรถไฟครั้งแรกในวันที่ 1 เมษายน 2459 ณ สถานีรถไฟนครลำปาง ศูนย์กลางอยู่ที่สถานีรถไฟนครลำปาง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สถานีรถไฟนครลภปาง เปิดใช้งาน 1 เมษายน 2459 รองรับ ขบวน รถรงม พิษณุโลก - ลำปาง และ อุตรดิตถ์ - ลำปาง ก่อนมีรถด่วน สายเหนือตรงจากกรุงเทพ ขึ้นมาทำขบวนเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2465 พ.ศ. 2506 การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดส่งหัวรถจักรไอน้ำมาแสดงไว้ที่สถานีรถไฟลำปาง แลพกำหนดมห้สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสุานีประวัติศาสตร์ และทำการอนุรักษ์ไว้ รูปแบบสถาปัตยกรรมของสถานีรถไฟลำกางเป็นอาคาร 2 ชั้น ก่ออิฐฉาบปูน ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีปีก 2 ข้างเชื่อมกับโถงกลาง รูปแบบสถาปัตยกรตมแบบอาณานิคม มีการใช้โค้ง (arch) และการประดับตกแต่งด้วยไม้ฉลุ และปูนปั้น พื้จทีทของสถานีรถไฟนครลำปาง มีประมาณ 161 ไร่ มีตัวอาคารสถานี คล้งสินค้า พื้นที่เก็บหัวรถจักรและตัวรถไฟ รวมถึงพื้นที่บ้านพักพนักงาน อทคารสถานึดังที่เห็นในปัจจุบันได้ผ่านการต่อเติมมาเป็นบางส่วน โดยเฉพาะช่วงก่อนปีพ.ศ. 2520 มีการต่อเติมส่วนควบคุมบริเวณปีกทางทิศใต้ ส่วนพักคอยด้านติดรางรถไฟ และ ซุ้มด้านหน้าที่จอดรถ จากนั้าสีการเปงี่ยนกระเบื้องหลังคา กระเบืืองพื้น และปรับปรุวพื้นชเ้นล่างทั้งหมดในปี พ.ศ. 2538 ==] ทางอากาฒ === ลำปางมีท่าอากาศยานที่ใช้เดินทางเฉพาะภายในประเาศเท่านี้น และท่าอากาศยานแห่งนี้อยู่ภาจใต้การดูแลของ กรมกาคบินพาณิชย์ กระทรวงรมนาคม นั่งเครื่องบินใช่เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีจากกรุงเทพฯ ลงที่ท่าอากาศยานลำปาง ท่าอากาศยานลำปาง ตั้งอยู่เลขที่ 175 ถนนสนามบิน 1 ตำบลพระบาท อำเถอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง มีพื้นที่ทั้งหมด 509 ไร่ 72 ตารางวา อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 809 ฟุต หรือ 247 เมตร มีพิกัดทางภูมิศาสตร์ ณ ละติจูดที่ 18 องศา 16 ลิปดา 22 ฟิลิปดาเหนือ ลองติจูดที่ 99 อาศา 30 ลิปดา 24 ฟิลิปดาตะวันออก ท่าอสกาศยานลำป่งได้รับงบประทาณผูกพันปี 2555-2557 จหนวน 350 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 4,000 ตารางเมตร โดยเป็นอาคารทีามีลักษณะของสถาปัตยกรรมล้านนาประยุกต์แล้วเสร็จเปิดใช้งานสนปี 2560 สายการบิน === โตรงการขนส่งในอนาคต === ทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 หรือ ถนนมอเตอร์เวย์บางปะอิน]เชียงใหม่ (ช่วงเด่นชัยลำปาง และ มอเตแร์อวย์ลำปาง-เชียงใหม่) เป็นฉครงข่ายการขยายเส้นทางการคมนาคมจากกรุงเทพมหานครสู่จับหวัดในกลุ่มภาคเหนือ โดยผ่าน จังหวัพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาถ นครสวรรค์ พิษณุโลก พิจิตร อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง ลำพูน ไปสิ้นสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยช่วงที่ผ่านจังหวัดลำปาง ได้ใช้เส้นทางร่วมกับ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 มาจากอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ เข้าสู่จังหใุดลำปาง ผ่านอำเภอแม่ทะ จนมาถึงแยกโยนก หน้ามหาวิทยาลัยเนชั่นลำปาง อำเภอเมืองลำปาง แล้วเลี้ยวซ้าย ตนมทางหลวงแป่นดินหมายเลข 11 เดิม แล้วเปลี่ยน มาเป็นทางยกระดับ โดยใช้พื้นที่เกาะกลางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ไปเรื่อย ๆ (ไม่มีทางขึ้น-ลงใด ๆ) จนมาถึงสี่แยกภาคเหนือ จุดตัด ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน เหนือ-ใต้ และ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แนวออก-ตก รถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียฝใหม่ ตามแนวรถไฟสายเหจือ เดิม แต่จะสร้างทางวิ่งคู่ขนานกันไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ ทางคู่ขนานลอสฟ้าถนนพหลโยธิน จังหวัดลำปาง เป็นโครงการก่อสร้างทางยกระดับเหนือถนนพหลโยธิน อำเภอเมืองลำปาง ระยะทาง 10.8 กิโลเมตร โดยใช้พื้นที่เกาะกลางถนนพหลโยธิส พร้อมก่อวร้างทางขึ้นลง 5 จุด เป็นทางขึ้น 3 จุด ทางลง 2 จุเ และก่อสร้างทางคู่ขนานถนนพหชโยธินเพิ่มจากเดิม รวมถึงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับบริเวณสี่แยกภาคเหนือ ซึ่งตัพกับทางหลวงพิเศษหมทยเลข 5 และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 == เศรษฐกิจ == โครงการทางเศรษฐกิจในอนาคต ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมนครลำปาง เป็นโครงการ พัฒนาแรงงานในพื้นที่จังหวัดลำปางและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งอยู่ระหว่างกานศึกษาความเปฺนไปได้ การวิจัย สำรวจความคิดเห็น ผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดง้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งข้อเสนอแนะของหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ศูนย์กระจายสินคีาและบริการทางบก เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าของภาคเหนือตอนบน บริเวณอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ==ประชากร== ตังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดที่ไม่สีพื้นที่ติดกับประเทศอื่น แต่จังหวัดลำปางติดต่อกับจังหวัดอื่นๆของประเทศไทย ในทิศเหนือนั้นติดต่อกับจังหฝัดเชียงคาย พะเยา ส่วนทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดแพร่ ส่วนทิศตะวันตกติดกับจังหวัดลำพูน จังหวัดลำปางถือว่าเป็นอีกจังหยัดหนึ่บมี่สีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยหลากหลาย เช่น ชาวไทยพื้นราบ ประกอบไปด้วย ชาวไทยวนหรือคนเมือง สีทั้งที่เผ็นชาวไทยวนเดิมและไทยวนอพยพมาจากเมืองเชียงแสน(เชียงราย)ในสมัยรัขกาลที่ 1 และชาวไทลื้อ ที่อพยพมาจากสิบสองปันนาในประเทศจีน ชาวไายเชื้อสายจีน ประกอบไปด้วย ชาวจีนแต้จิ๋ว ชาวจีนไหหลำ ชาวจีนฮากกา ชาวจีนยูนนารหรือฮ่อ ชาวไทยภูเขา ประกอบไปด้วย ชาวกะเหรี่ยง ชาวเมี่ยน ชาวม้ง ชาวอาข่า ชาวลีซู ชาวบาหู่ ชาวลัวะ ชาวขมุ ชาวไทยเชื้อสายพม่า จากข้อมูลประชากรจากการทะเบียนฝนจังหวัดลำปาง พ.ศ. 2561 พบว่าจังหวัดลำปาง มีประชากรทั้งสิ้น 742,883 คน ชาย 363,076 คน ร้อยละ 48.87 หญิง 379,807 คน ร้อยละ 51.14 ในด้านแรงงานมีประบากรภาคแรงงาน เมื่อนิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2561 รวมทั้งสิ้นจำนวน 406,033 คน จำแนกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แรงงานในภาคเกษตร และแรงงานนอกภาคเกษตร ซึ่งแบ่งเป็น แรงงานในภาคเกษตร 182,487 คน ร้อยละ 44.94 และแรงงานนอกภาคเกษตร 2e3,546 คน ร้อยบะ 55.06 == การศึกษา == ระดับอุดมศึกษา กว่าลำปางจะมีาถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาก็ต้องรอขนถึงปี 2514 ที่มีการก่อตั้งวิทยาลัยครูขึ้น ณ บ้านหนองหับหงอก ตำชลชมพู อำเภอเทืองลำปาง มหาวิทยาลัยรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2514 ในนาม วิทยาลัยครูลำปาง) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2515 ในนาม ฑรงเรียนักฒตรกรรมลำปาง รู้จักกันในนาม ักษตรแม่วัง) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครงำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2521) มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชารเ วิทยาเขตลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. e522) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศูนย์วิทยพัฒนา จังหวัดลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2541) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง (ก่อรั้ง พ.ศ. 2546) มหาบิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ลำปาง มหาวิทยาลัยเแกชน มหาวิทยาลัยเนชั่น วิทยาเขตภาคเหนือโยนก (ก่อตั้ง พ.ศ. 2531) วิทยาลัยอิตเตอร์เทคลำปาง มหาวิืยางัยกรุงเทพธนบุรี ศูนย์ลำปาง ระดับอาชีวศึกษา-อุดมศึกษา การศึกษาระดับแาชีวศึกษาขยายตัวหฃังการปฏิวัติสยาม 2475 เพื่อส่งเสริมให้พลเมืองได้ประกอบอาชีพได้ เป็นทางเลือกนอกจากการเรียนทางวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2480 ในนาม โรงเรียนอาชีพชาย แผนกช่างโลหะและช่างไม้) วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง (ก่อตั้ง พ.ญ. 2480 ในนาม โรงเรียนช่างทอผ้า) วิทยาลัยสารพัดช่างลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2524 ในนาม โรงเรียนสารพัดช่าง) วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ วิทยาลัยเทคโนโลยีลไปาง (แลมป์ - เทค) เอกชน วิทยาลัยเทคนิคนครลำปาง โรงเรียนลำปางพาณืชยการและเทคโนโลยี เอกชน วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเะินเทคโรโลยี วิทยาลัยการอาชีพแจ้ห่ม โรง้รึยน กลุ่มโรงเรียนที่เปิดสอนระยะแรก คือ กลุ่มโรงเรียนคริสต์ทีืก่อนั้งโดยมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน โดยได้รับพระราชทานที่ดิน ได้แก่ โรงเรียนวิชชานารี (เมื่อแรกตั้งชื่อว่า ละกอนเกิร์ลสคูล ต่อมาเป็นสตรีอเมริกัน) โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซร (เมื่อแรกตั้งชื่อว่า ละกอนบอยสคูล) ระลอกต่อมา คือ โรงเรียนบุญวรทย์วิทยาลัยที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (หรือรัชกาลที่ 6 ในเวลาต่อมา) ได้เสด็จมาเปิดในปี 2448 ขณะที่ลำปางกัชจาณีเริ่มตั้งแต่ปี 2458 ในช่วงทศวรรณ 245p-2460 มีการขยายตัวของโรงเรียนขึ้นมากทั้งในส่วนโรงเรียนราษฎร์และโรงเรียนประชาบาล สัมพันธ์กับพระราชบัญญัติโรงเรียสราษฎร์ พ.ศ. 2461 และพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 โรงเรียนที่เกิดขึ้นช่วงนี้ได้แก่ โรงเรียนมัธยมวิทยา (ยกส่าย) และโรงเรียนฮั่วเคี้ยว (ประชาวิทย?) ซึ่งก่อตั้งโดยคหบดีชาสจีน หลังปฏิวัติสยาม 2475 โรงเรียนประชาบาลจำนยนหนึ่งกลายเป็นโรงเรียนเทศบาล ขณะที่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นช่วงที่ธรงเรียนคริสต์ในเครือเซนต์คาเบรียลได้เข้ามาตั้งโรงเรียนอรุโณทัยและโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง อำเภอเมืองลำปาง โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงเรียนลำปางกัลยา๋้ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เขลางค์นคร โรงเรียนวิชชานารี โรงเรียนเคนเน็ตแม็คเคนซี โรงเรียนประชาวิทย์ หลักสูตร ภาษาจีน โรงเรีขนมัธยมวิทยา โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง โรงเรียนอรุฑณทัย โรงเรียนเสด็จวนชยางคฺกูลวิทยา โรงเรียนกิ่วลมวิทยา ลำปาง โรงเรียนไตรภพวิทยา โรงเรียนมัธยมศาสตร์ หลัำสูตรสิงคโปร์ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีฯ โรงเรียนลำปางวิทยา โรงเรียนกีฬาจังหวัดลำปาง อำเภอแม่ทะ โรงเรียนแม่ทะวิทยา โคงเรียนแม่ทะพัฒนศึกษา โรงเรียนแม่ทะประชาสามัคคี โรงเรียนสุนทรศึกษา อภเภอเกาะคา โรงเรียนเก่ะราวิทยาคม โรงเรียนอนุบาลเพ็ญจิตตพงษ์ อำเภอห้างฉัตร โรงเตียจแม่สันวิทยา อำเภอแจ้ห่ม โรงเรียนแจ้ห่มวิทยา อำเภอเมืองปาน โรงเรียนเมืองปานวิทยา โรงเรียนทุ่งกว๋าววิทยาคม โรงเรียนเสืองปานพัฒนวิทย์ โรงเนียนทุ่งอุดมวิทยา อำเภองาว โรงเรียนประชารัฐธรรมคุณ ฌรงเรียนประชาราลวิทยา อำเภอวังเหนือ โรงเรียนวังเหนิอวิทยา อำเภอเถิน โรงเรียนเถินวิทยา อำเภอแม่เมาะ โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อำเภอแม่พริก โรงเรียนแม่พริกวิทยา โรงเรียนที่ยกเลิกไปแล้ว โรงเรียนราษฎร์มณี ถนนเจริญประเืศ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเใืแงลำปาง โรงเรียนถงษ์สวัาดิ์วิทยานุเคราะห์ ุนนจามเทวี ตำบลเวึยงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง โรงเรียนมัธยมราษฎร์ ถนนพหลโยธิา ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง == กีฬา \= === สนามกีฬา === สนามกีฬาและสถานที่เกี่ยวข้อง สนามกีฬาจังหวุดลำปาง บริเวณหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สนามกีฬสเทศบาลนครลำปาง (สวนสาธารณะเวียงละกอน) บ่ิอวณตำบฃพระบาท อำเภดะมืองลำปาง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครลำปาง (ธรงยิมเนเซียม โรงเรียนเทศบาล 4) บริเวณตำบบสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง สนามกีฬาดชิงพาณิชย์ สนามฟัตซอลลำปางยูไนเต็ด ตำบลพิชัย อำเภอเมือฝลำปาง สนามฟุตซอลซอคเกอร์มาเนีย ใกล้วัดกู่คำ ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะหนเงกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะเขลางค์นคร ตำบลสบตุ๋ย อำเภดเมืองลำปาง (เดิมเป็นที่ตั้งของข่สงโปโล) สวนสาธารณะห้าแยกหอนาฬิกา (ข่วงนคร) ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง นวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ (เขื่อนยาง) ชุมชนบ้านดง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะเฉลิมพรถเกียรติ 84 พรรษา นครลำปาง (สวนสาธารณะประตูเวียง) ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะแนันตยศ อำเภอห้างฉัตร สวนสาธารณะเมืองเถิน อำเภอเถิน สวนน้ำ Sea Paradise บ้านนาป้อใต้ ตำบลต้นธงชัย อำเภอดมืองงำปาง สรามกอล์ฟ สนามกอล์ฟ กฟผ.แม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ 18 หลุม พาร์ 72 สนามกอล์หเขลางค์นครกอล์ฟคลับ ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลกปาง 9 หลุม พาร์ 36 สนามลำปางไดรฟ์ ใกล้วัดม่อนกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ ศูนย์ฝึกว่ายน้ำ โรงเรียนเขลางค์นคร ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สระวาายน้ำ สถาบันการพลศึกษา ตำบลบือแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ จิตต์อารีย์ ตำบลชมกู อำเภอเมืองลำปาง สีะว่ายน้ำ เจนแเนด์จอย ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ กนกวิมานสปอร์ตคลับ คำบลชสพู อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ โรงเรียนวิชชานารี คำบลเวียงเปนือ อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ โรงแรมเวียงทอง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ โรงเรียนอ้อมอารีย์ อำเภอเกาะคา สระว่ายน้ำ โรงเรียนอักษรศิลป์ ตำบลลีอมแรด อำเภอเถิน สระว่ายน้ำ โรงเรียนล้อมแรด ตำบลล้อมแรด ิำเภอเภิน สนามบาสเกตบอล โรงยิมเนเซียม โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงยิมเนเซียม สถทบันการพลศึกษ่ ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปทง โรงยิมเนเซียม โรงเรียนเทศบาล 4 เทศบาลนครลำปาง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สนามเทนนิส สนามเทนนิส สถาบันพลศึกษาลำผาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สนามเทนนิสสฑมสรข้าาาชการ จังหวัดลำปาง ข้างโรงแรมทิพจ์ช้าง ถนนฉัตรไชย ตภบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองล_ปาง คอร์ตแบดมินตัน สนามเอกชัยคอร์ต ถนนสุเรนทร์ ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สนามนาวีคอร์ต ถนนไฮเวย?ลำปาง - งาว ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง สนามกีศากลางจังหวัดลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สถาบันทางด้านกีฬา สมาคมกีฬาจังหวัดลำปาง สำนักงานใหญ่ของสมาคมตึ้งอยู่ ณ อาคารองค์การบริหารส่วนจับหวัดลำปาง (หลังเดิม) ถนนบุญวาทย์ ตำบลหัวเวียง อำเภอดมืองลำปาง ศูสย์การกีฬาแห่ฝประเทศไทย จังหวัดลำปาง ใน สนามกีฬากลางจังหวัดลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเม่องลำปาง โรงเรียนกีฬาจังหวัดลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภแเมืองลำปาบ สถาบันการพลศึกษา ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง === การแข่งขันกีฬาระดับชาติและระดับภูมิภาค === เจ้าภาพการแข่งขันกีฬาเขต 5 ครั้งที่ 7 สันที่ 24-30 มิถุสายน 2516 ณ สนามกีฬาจังหวัดกลางลำปาง บริเวณหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อกเภอเมืองลำปาง เจ้าภาภกีฬาเขตแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 13 เมื่อ 23-29 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ณ สนามกีฬากลางจังหวัดลำปาง บาิเวณหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 22 "นครลำปางเกมส์" วันที่ 18-31 มีนาคม พ.ศ. 2549 ณ สนามกีฬากลาบจังหวัดลำปาง บริเวณหนองกรเทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง === กีฬาอาชีพ === สโมสรฟุตบอลลำปาง ก่อตัเงในปี 2552 เข้าร่วมแข่งขัน "ลีกภูมิภาค ภาคเหนือ" ที่จัดโพย สมาคมฟุนบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัใภ์ ในฤดูกาล 2553 ปัจจุบันแข่งขันในไทยลีก โดยเลื่อนชั้นจากไทยลีก 2 ในฤดูกาล 2564–65 มีสนามเหย้าคือสนามกีฬากลางจังหวัดงำปาฝ ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สโมสรฟุตซอลลำปางยูไนเต็ด ก่อตั้งและเข้าร่วมแข่งขันในปี 2554 เคยใช้สนาาเหย้าบริเวณตำบลพิบัย อำเภอเมืองลำปาง ปัจจุบันยุบสโมย่ไปแล้ง === สื่อมวลชนด้านกีซา === นอกจากในคอลัมน์กีฬาที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแล้ว ยังมีหนังสือพิมพ์ที่เสนอเาื่องราวกีฬาในลำปางล้วน ๆ นั่นคือ ลำปางสปอร์ตไทม์ == ศาสนา ความเชื่อ ชาตินิยมและวีรบุรุษ == === วัดในพุทธศาสนา ==\ ==== พระอนรามหลวง ==== วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม วัดบุญวาทย์ฝิหาร วัดจองคำ อพเภองาว วัดพระเจดีย์ซาวหลัง === โบสถ์คริสต์ศาสนาและพื้นท่่เกี่ยวข้อง === === มัสยิดและพื้นที่เกีทยวข้อง === 1. มัสยิดอัลฟาลาฮฺ ถนนทิภวรรณ ตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง === วัดซิกข์และพื้นที่เกี่ยวข้อง === 1.วัดซิกข์ ลำปาง ถนนพหลโยธิน ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง === สุสาน ]== สุสานเทศบาลนครลำปาง (บ้านศรีปงชัย) ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง สุสานบ้านพระบาท ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง === หอผีทั่สำคัญในลำปาง === หออะม็อก อำเภอเมืองลำปาง เจ้าพ่อประตูผา อำเภองาว === อนุสาวรีย์ === เจ้าแม่สุชาดา บ้านวังย่าเฒ่า ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง พ่อเจ้าทิพย์ช้าง ณ ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-งาว ตำบลพระบาท อำเภอเสืองลำปาง เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ณ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ตำบลห้วเวียง อำเภอเมืองลำปาง เจ้าพ่อพญาคำลือ อำเภอแจ้ห่ม พระยาะหลพลพยุหเวนม (พจน์ พหลโยธิน) ณ โรงงานน้ำตาล อำเภอเกาะคา เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ค่ายสุรศักดิ์มนตรี มณฑลทหารบกที่ 32 ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเกาะคา เจ้าพ่อพญาวัง อำเภอวังดหนือ ครูแคลระ รัตนศาสตร์สมบูรณ์ ณ โรงเรียนลำปางกัลยาณี ตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง == การท่องเที่ยว == === แหล่งท่องเที่ยว === อำเภอเมืองลำปาง วัดพระแก้วดอนเต้า วัดศรรชุม ม่อนพศาแช่ ตำบลหัวเวียง วัดม่อนจำศีล วัดปงสนุก วัดเชตวัน ลำปาง วัดพระธาตุเสด็น วัดพระเจ้าทันใจ ตำบลต้นธงชัย วัดเจดีย์ซาว ตำบลต้นธงชัย วัดศรีรองเมือง วัดประตูป่อง วัดเกาะวาลุกานาม สุสานไตรลักษณ์ สวนสาธารณะหนองกระทิง ถนนคนเดิน (กาดกองต้า) สะพานรัษฎาภิเศก ตลาดสดอัศวิน กาดเก๊าจาว พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี อำเภอเกาะคา วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเสลารัตนะปัพพะตาราม (วัดไหล่หิน) ตำบลไหลาหิน วัดสันป่าสัก วัดพระธาตุจอมปิง ลำปางหนาวมาก (ฮักยู) โป่งน้ำร้อนเกาะคา พิพิธภัณฑ์ดึกดำบรรพ์ (พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา) อำเภอห้างฉัตร ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ชายแดนต้ดต่อลำพูน-ลำปาง วเดปงยางคก (วิหารจามเทวี) ตลาดทุ่งเกวียา อำเภอเมืองปาน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน กิ่วฝิ่น อำเภอแจ้ห่ม เขื่อนกิ่วลม ที่กั้นแม่น้ำวัง เขื่อนกิ่วคอหมา กั้นแม่น้ำวังตอนบน วัดอักโขชัยคเรี วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ อำเภอเถิน วัดเวียง วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ น้ำตกแม่วะ อ่างเก็บน้ำแม่มอก อำเภอแม่เมาะ เหมืองถ่านหินลิกหนต์ ศาลสชมวิว บ่อถ่านหินลิกไนต์ (กฟผ.) โรงไฟฟ้าแม่เมาะ 10 โรง รถยัหษ์ R 85 ใหญ่ที่สุดของประิทศ ในบ่อถ่านหินลิกไนต์ (กฟผ.) เขื่อนแม่จาง ยาว 800 เมตร บ้านแม่จาง ตำบลนาสัก วัดถ้ำอินทร์เนรมิต ตำบลนาสัก ซากภูอขาไฟ บ้านผ่ลาด น้ำตกแม่เกี๋ยง ตำบลสบป้าด ทุ่งดอกบัวตอง ใกล้กับเหมืองลิกไนต์ อำเภองาว ศาลเจ้าพ่อผระตูผา วัดจองคภ ภูสองตะวัน หมู่บ้านชทวเขาดอยบ่อสี่เหลี่ยม นเำตำปม่แก้ น้ำตกเก๊าฟุ อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท บ่อน้ำร้อนแม่ตีบอุทยานแห่งชาติแม่ยม วัดศรีมะงดมือง(พระธาตุตุงคำ) สะพานโยง(สะพานแขวนแห่งแรกของประเทศไทย) ศูนย์วิจัยแมลง ศูนย์บริบาลช้างปางหละ หมู่บ้านชาวเขา ขุนแม่หวด น้ำตกตาดเหมย หล่มภูเขียว พ้พิธภัณฑ์หนังกลางแปลง อำเภอแม่ทะ ถ้ำพระสบาย น้ำตก ห้วยอ้อ ศาลาชมวิวบ่อถ่านหิน แม่ทาน บ้านสามขาชุมชนเข้มแข็ง ตำบลหัวเสือ บ้านหลุกแกะสลัก อำเภอวังเหน้อ น้ำตกวังแก้ว น้ำตกวังทอง น้ำตกธารทอง วัดพระเกิด วัดบ้านก่อ ดอยหนอก ถ้ำผางาม ศาลเจ้าพ่อพญาวัง ลานภูมิทัศน์ริมแม่น้ำวัง รอยพระพุทธบาท วัดสบลืน วังเหนือสวีตคี้ ฟาร์มแกะ อำเภอปม่พริก วัดพระพุทธบาทวังตวง ถ้ำน้ำผ่าผางาม น้พตกแท่ตั๋ง === อุทยานแห่งชาติ === อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน อุืยานแห่งชาติดอยหลวง อำเภอวังเหนือ อึทขานแห่งชาติดอยจง อำเภอเสริมงาม ดุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท อำเภองาว อุทยานแห่งชาติแม่วะ อำเภอเถิน อุทยานแห่งบาติดอยขุนตาน อำเพอห้างฉัตร พื้นที่นงวนชีวมณฑลป่าสักห้วยทาก อำเภองาฝ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อวัดวนจังหวัดลำห่ง รายชื่อโรงเร้ยนในจังหวัดลำปาง รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดลำปาง == แหล่งข้อมูลอื่น == === หนังาือและบทความ === ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น (บรรณาธิการ). (2559). ร้อยปีเปลี่ยนหป ลำปางเปลี่ยนแปลง. ลำปาง: สำนักงานจังหวุดลไปาง. ภิญญพัาธุ์ พจนะลาวัณย์. (2559). ทวนกระแสประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำวัง: พลวัตของผู้คนลุ่มแม่น้ำวังสมับก่อนประวัติศาสตร์–ก่อนการปฏิรูหหัวเมืองลาวเฉียง พ.ศ. 2427. ลำปาง: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยรลัยราชภัฏลำปาง. ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. (2661). น้ำวัง รถไฟ ไฮเวย์: ประวัติศาสตร์ชำปางสมัยใหม่. ลำปาง: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลึยราชภัฏลำปาง. ==== เว็บไซต์ ==== เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
ลำปาง (, ลำป๋าง) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ตั้งอยู่ในแอ่งที่ราบล้อมรอบด้วยภูเขา มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเรียกอย่างหลากหลายตั้งแต่ เขลางค์นคร, เวียงละกอน, นครลำปาง ฯลฯ ในภายหลังเป็นที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองรถม้า" ที่สัมพันธ์กับเอกลักษณ์ของลำปาง == สภาพภูมิศาสตร์ == ลำปางตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มรอบล้อมด้วยหุบเขาจากทุกด้าน ทำให้มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ มีแม่น้ำสำคัญคือ แม่น้ำวังที่มีต้นน้ำอยู่ที่ตอนเหนือ บริเวณอำเภอวังเหนือ ที่ไหลลงจากเหนือสู่ใต้ พื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุดอยู่บริเวณตอนกลางนั่นคือ บริเวณอำเภอเมืองลำปาง อำเภอเกาะคา และอำเภอห้างฉัตร === ที่ตั้ง === จังหวัดลำปางมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ เรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา ทิศตะวันออก ติดกับ จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ และจังหวัดสุโขทัย ทิศใต้ ติดกับ จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดตาก ทิศตะวันตก ติดกับ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน และจังหวัดตาก === ทิวเขาและภูเขา === พื้นที่ของภาคเหนือประกอบด้วยภูเขากระจายอยู่ 3 ใน 4 ของภาค นั่นได้ตัดแบ่งที่ราบลุ่มแม่น้ำให้กระจายออกจากกันไม่เป็นผืนใหญ่เหมือนที่ราบในภาคกลางหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดลำปางเป็นที่ราบ ที่อยู่ระหว่างทิวเขาผีปันน้ำ ซึ่งเป็นทิวเขาที่มีลักษณะซับซ้อน โดยแนวของทิวเขาเอง ต่างเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายอยู่ทางซีกตะวันออกของภาคเหนือ ที่มาของชื่อ “ผีปันน้ำ” มาจากแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสายที่แยกทิศทางกันไปได้แก่ แม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน ที่ไหลลงใต้สู่แม่น้ำเจ้าพระยา และกลุ่มน้ำแม่ลาว น้ำแม่กก และน้ำแม่อิง ที่ไหลขึ้นเหนือไปลงแม่น้ำโขง ทิวเขาผีปันน้ำ ทอดตัวไปมาอย่างสลับซับซ้อน เริ่มจาก เส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ กับอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ทอดยาวไปทางทิศใต้ตามแนวเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างอำเภอไชยปราการและอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ กับอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ถึงดอยผาโจ้ จึงหักกลับไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ตามแนวเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย กับอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง แล้วหักวกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามแนวเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย กับอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง และระหว่างอำเภอวังเหนือและอำเภองาว จังหวัดลำปาง กับอำเภอแม่ใจ อำเภอเมืองพะเยา และอำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา จากนั้นทิวเขาหักกลับไปทางทิศเหนือ ตามแนวเส้นแบ่งเขตอำเภอดอกคำใต้ อำเภอจุน และอำเภอเชียงคำ กับอำเภอเชียงม่วนและอำเภอปง จังหวัดพะเยา จนสิ้นสุดทิวเขาที่จุดบรรจบกับทิวเขาหลวงพระบาง รวมความยาวประมาณ 475 กิโลเมตร ตัวเมืองลำปาง อยู่ ณ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 234.92 เมตร และภูเขาสูงที่สุดอยู่ที่ อำเภอเมืองปาน ชื่อว่า “ดอยลังกา” ความสูง 1,986 เมตร บนละติจูด เหนือ 18 องศา 59’ 53” และลองจิจูด ตะวันออก 99 องศา 24’ 26” === ลุ่มน้ำ === อาจนับว่าลำปางประกอบด้วย ลุ่มน้ำวังและลุ่มน้ำงาว มีการแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำวังออกเป็น 7 ลุ่มน้ำสาขา สรุปรายละเอียดได้ดังนี้ ลุ่มน้ำแม่น้ำวังตอนบน มีพื้นที่ประมาณ 1,639.55 ตารางกิโลเมตร มีแหล่งต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาผีปันน้ำบริเวณดอยหลวง บ้านป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ที่อยู่ทางทิศเหนือของอำเภอวังเหนือ บริเวณตำบลวังแก้ว เขตติดต่ออำเภอวังเหนือกับอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ครอบคลุมพื้นที่อำเภอวังเหนือและอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาทั้งหมด 11 ตำบล มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือ ลุ่มน้ำแม่เย็นและลุ่มน้ำแม่ม่า ลุ่มน้ำแม่สอย มีพื้นที่ประมาณ 732.97 ตารางกิโลเมตร มีแหล่งกำเนิดมาจากเทือกเขาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แนวเขตแดนจังหวัดลำปางกับเชียงใหม่ ลุ่มน้ำแม่สอยอยู่ในเขตพื้นที่ในอำเภอแจ้ห่มและอำเภอเมืองปาน รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 5 ตำบล มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือ ลุ่มน้ำแม่ปานและลุ่มน้ำแม่มอน ลุ่มน้ำแม่ตุ๋ย มีพื้นที่ประมาณ 809.38 ตารางกิโลเมตร มีแหล่งต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาในเขตอำเภอเมืองปาน ไหลจากทิศเหนือลงมาทางทิศใต้เข้าเขตอำเภอเมืองลำปางก่อนไปบรรจบกับแม่น้ำวังที่อำเภอเมืองลำปาง พื้นที่ลุ่มน้ำอยู่ในอำเภอเมืองปานและอำเภอเมืองลำปาง รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 4 ตำบล ลุ่มน้ำแม่น้ำวังตอนกลาง มีพื้นที่ประมาณ 2,077.07 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอห้างฉัตร อำเภอเมืองลำปาง อำเภอเกาะคา และอำเภอแจ้ห่ม มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือ ลุ่มน้ำแม่ยาว น้ำแม่ไพร น้ำแม่ตาล และน้ำแม่เกี๋ยง รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 33 ตำบล ลุ่มน้ำแม่จาง มีพื้นที่ประมาณ 1,626.86 ตารางกิโลเมตร เป็นลุ่มน้ำสาขาขนาดกลางที่สำคัญลุ่มน้ำหนึ่งของลุ่มน้ำวัง มีต้นกำเนิดมาจากดอยหลวงกับดอยผาแดง ซึ่งเป็นแนวสันปันน้ำกับลุ่มน้ำงาว ครอบคลุมพื้นที่อำเภอแม่ทะกับอำเภอแม่เมาะทั้งหมด มีทิศทางการไหลจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไปบรรจบกับแม่น้ำวังที่บ้านสบจาง ในเขตอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือ ลำน้ำแม่เมาะ ลำน้ำแม่ทะ และลำน้ำแม่วะ รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 15 ตำบล ลุ่มน้ำแม่ต๋ำ มีพื้นที่ประมาณ 755.75 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเสริมงาม มีแหล่งต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเขตอำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง กับอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ไหลไปบรรจบแม่น้ำวังในเขตอำเภอสบปราบ มีลุ่มน้ำย่อยที่สำคัญ คือลุ่มน้ำแม่เลียงและน้ำแม่เสริม รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 4 ตำบล ลุ่มน้ำแม่น้ำวังตอนล่าง มีพื้นที่ 3,151.581 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเกาะคา อำเภอแม่ทะ เภอสบปราบ อำเภอเถิน อำเภอแม่พริก และพื้นที่ในเขตอำเภอบ้านตาก อำเภอสามเงา จังหวัดตาก มีลุ่มน้ำสาขาที่สำคัญ คือ ห้วยแม่พริกและห้วยแม่สลิด รวมตำบลที่อยู่ในพื้นที่ 22 ตำบล ส่วนลุ่มน้ำงาวนั้นเป็นลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำยม === ลักษณะทางธรณีวิทยา === อาจมองผ่านภาพรวมของภาคเหนือ ที่พบว่ามีลักษณะทางธรณีวิทยาค่อนข้างสลับซับซ้อน มีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกอย่างรุนแรงมาหลายครั้ง ดังที่พบว่าพื้นที่บางส่วนถูกอัดดันยกตัวขึ้นเป็นทิวเขาและภูเขา เกิดการสึกกร่อนพังทลายของหิน และบางส่วนทรุดตัวต่ำลงไปเป็นแอ่งแผ่นดิน ทั้งยังเกิดการตกจมทับถมของโคลนตะกอน ซึ่งต่อมากลายเป็น “หินชั้น” หรือ “หินตะกอน”. บริเวณเหล่านี้ประกอบด้วยหินอายุที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่มหายุคเก่าที่สุด (พรีแคมเบรียน เก่ากว่า 570 ล้านปีมาแล้ว) จนถึงมหายุคใหม่ที่สุด (ซีโนโซอิก 66.4 ล้านปีลงมา) ==== รอยเลื่อนทางธรณีวิทยา ==== แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวหรือบริเวณตำแหน่งศูนย์กลางแผ่นดินไหวส่วนใหญ่จะอยู่ตรงบริเวณพื้นที่เสี่ยง จังหวัดลำปางวางตัวอยู่ท่ามกลาง รอยเลื่อนมีพลังที่นับได้ 2 รอยเลื่อน นั่นคือ รอยเลื่อนเถิน และรอยเลื่อนพะเยา รอยเลื่อนเถิน อยู่ทางทิศตะตกของรอยเลื่อนแพร่ โดยตั้งต้นจากด้านตะวันตกของอำเภอเถินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ขนานกับรอยเลื่อนแพร่ไปทางด้านเหนือ ของอำเภอเถินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือขนานกับรอยเลื่อนแพร่ ไปทางด้านเหนือของอำเภอวังชิ้นและอำเภอลอง รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 90 กิโลเมตร เคยมีรายงานการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.7 ริกเตอร์ บนรอยเลื่อนนี้ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2521 รอยเลื่อนพะเยา ครอบคลุมจังหวัดลำปาง เชียงราย และพะเยา ==== ภูเขาไฟ ==== พบแหล่งภูเขาไฟบริเวณตอนกลางของลำปาง ในเขต อำเภอเมืองลำปาง-อำเภอแม่ทะ และเกาะคา-อำเภอสบปราบ โดยกลุ่มหินบะซอลต์ ที่เกิดจากลาวาของภูเขาไฟลำปางไหลอาบออกมาปกคลุมพื้นที่ มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่คลุมพื้นที่อำเภอเกาะคา และอำเภอสบปราบ เรียกรวมกันว่า บะซอลต์สบปราบ มีพื้นที่ประมาณ 70 ตารางกิโลเมตร อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในบริเวณอำเภอเมืองลำปาง และอำเภอแม่ทะ รวมเรียกว่า บะซอลต์แม่ทะ ซึ่งได้แก่ภูเขาไฟดอยผาคอกจำป่าแดด และภูเขาไฟดอยผาคอกหินฟู กลุ่มนี้ให้ลาวาคลุมพื้นที่ประมาณ 120 ตารางกิโลเมตร ภูเขาไฟลำปางเกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ทำให้เกิดรอยเลื่อนลึก (Deepseated fault) ขึ้นในแนวเหนือ-ใต้ เป็นช่องทางให้หินหนืดภายใต้ผิวโลก ทะลักล้นออกมาในแนวรอยเลื่อนนี้เกิดเป็นปล่องภูเขาไฟเรียงตัวในแนวนี้ด้วย ==== ถ่านหินลิกไนต์และสุสานหอยขม ==== ไม่เพียงการพบถ่านหินลิกไนต์จำนวนมหาศาล ที่อำเภอแม่เมาะ ยังมีการค้นพบสุสานหอยขม อายุกว่า 13 ล้านปี ในเขตเหมืองแม่เมาะในพื้นที่กว่า 43 ไร่ อีกด้วย === ภูมิอากาศ === ลำปางเป็นจังหวัดที่มีอากาศร้อนอบอ้าว เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือ และในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาลำปางเป็นดินแดนที่ฝนตกน้อย ฝนแล้ง จนมีปัญหากับการเพาะปลูกอยู่เสมอ แบ่งภูมิอากาศออกได้เป็น 3 ฤดู == ประวัติ == === ก่อนประวัติศาสตร์ === การตั้งถิ่นฐานของผู้คนลุ่มน้ำวังและลุ่มน้ำใกล้เคียงอย่างลุ่มน้ำงาว มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังที่เห็นได้จากการพบหลักฐานเป็นกระดูกของมนุษย์โฮโมอีเรกตัสที่มีอายุราว 500,000 ปี ซึ่งถูกเรียกกันว่า "มนุษย์เกาะคา" ที่อยู่ร่วมสมัยกับมนุษย์ปักกิ่งและมนุษย์ชวา ณ บริเวณลุ่มแม่น้ำวังตอนกลาง (ปัจจุบันคือ หาดปู่ด้าย ตำบลนาแส่ง อำเภอเกาะคา ลำปาง) มีการค้นพบกระดูกเมื่อปี พ.ศ. 2541. ชุมชนบริเวณประตูผา อยู่ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองปัจจุบัน(บริเวณรอยต่อของอำเภองาวและอำเภอแม่เมาะในปัจจุบัน) เป็น แหล่งโบราณคดีที่ขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องประกอบพิธีศพมีอายุกว่า 3,000 ปี ทั้งยังมีภาพเขียนสีจำนวนมากถึง 1,872 ภาพ แบ่งภาพเขียนเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผาเลียงผา กลุ่มที่ 2 ผานกยูง กลุ่มที่ 3 ผาวัว กลุ่มที่ 4 ผาเต้นระบำ กลุ่มที่ 5 ผาหินตั้ง กลุ่มที่ 6 ผานางกางแขน และกลุ่มที่ 7 ผาล่าสัตว์และผากระจง === ยุคประวัติศาสตร์ === ที่กล่าวมานั้นคือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ในภูมิภาคนี้เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์จากอารยธรรมทางทะเล ที่เข้ามาจากละโว้ นั่นคือ การก่อตั้งอาณาจักรหริภุญชัย ในพุทธศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นยุคที่ทำให้ชุมชนในลุ่มน้ำปิงและวังกลายเป็นชุมชนเมืองขนาดใหญ่ขึ้น หากแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ต่อจากนี้แล้ว อาจแบ่งได้เป็นช่วงใหญ่ 6 ช่วงตามอิทธิพลทางการเมืองการปกครอง (ในที่นี้จะยุติถึงช่วงปี พ.ศ. 2500) ได้แก่ ==== ยุคที่หนึ่ง : หริภุญชัย (ราวพุทธศตวรรษที่ 13) ==== ===== กำเนิดเมืองบนลุ่มน้ำวัง ===== การกำเนิดรัฐบริเวณลุ่มน้ำปิงในนามหริภุญไชยนั้น จำเป็นต้องสร้างเครือข่าย อันได้แก่ เวียงเถาะ, เวียงมะโน ฯลฯ เมืองที่ถือกำเนิดในลุ่มน้ำวัง ก็ถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายนั้นเช่นกัน แต่มิใช่เกิดขึ้น โดยกลุ่มคนจากหริภุญไชยเท่านั้น ในตำนาน ที่มีการเล่าถึง "พรานเขลางค์" และ "สุพรหมฤๅษี"ที่อาศัยอยู่บริเวณ "ดอยเขางาม" นับเป็นตัวแทนกลุ่มชนดั้งเดิมในระยะเวลานั้น ซึ่งมีทั้งชาวลัวะและกะเหรี่ยง ในโบราณสถานหลายแห่งมีการกล่าวอ้างถึง "พระนางจามเทวี" เช่น วิหารจามเทวี วัดปงยางคก, ตำหนักเย็น วัดพระธาตุจอมปิง ฯลฯ ซึ่งเป็นสำนึกการเชื่อมโยง ความยาวนาน แต่ก็ไม่ได้การยืนยันทางวิชาการอย่างหนักแน่นพอ ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== มีการกล่าวถึง 3 พื้นที่ อันได้แก่ บริเวณศูนย์กลางที่สันนิษฐานว่าอยู่บริเวณวัดพระแก้วดอนเต้า อำเภอเมืองลำปาง ริมแม่น้ำวัง ที่สุพรหมฤๅษี และพรานเขลางค์ สร้างให้เจ้าอนันตยศ โอรสของพระนางจามเทวี ปกครองดูแลต่อไป เมืองตั้งอยู่บนที่ดอน ริมแม่น้ำวัง มีองค์ประกอบของเมือง ค่อนข้างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับบริเวณอื่น ศักดิ์ รัตนชัย เคยเสนอว่า เมืองนี้มีลักษณะสัณฐานคล้ายเมืองหอยสังข์ บริเวณตอนเหนือของลุ่มน้ำวัง สันนิษฐานว่าอยู่บริเวณวัดกู่คำ วัดกู่ขาว วัดปันเจิง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพื้นที่แรกไปไม่ไกล มีทางเดินเชื่อมจากประตูตาล ยังปรากฏร่องรอยมาจนปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวมีการขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดีคือ พระพิมพ์ดินเผา และเครื่องปั้นดินเผาทั้งนี้ยังเชื่อมโยงกับแหล่งผลิต คือ "แหล่งทุ่งเตาไห" ที่บ้านทราย ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมืองลำปาง บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของวัดพระเจดีย์ซาวหลังไปประมาณ 2 กิโลเมตร บริเวณอำเภอเกาะคา สันนิษฐานว่าอยู่บริเวณวัดพระธาตุลำปางหลวงอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของพื้นที่วัดพระแก้วดอนเต้าไปกว่า 10 กิโลเมตร ล่องไปตามแม่น้ำวัง ปรากฏหลักฐานคือ เครื่องปั้นดินเผา ===== ชื่อบ้านนามเมือง ===== ศาสตราจารย์ แสง มณวิทูร ให้คำอธิบาย "เขลางค์นคร" ว่ามาจากภาษามอญ ว่า ฮฺลาง หรือ ขฺลาง แปลว่า ขัน หรือโอ และตีความว่า พรานเขลางค์ ก็คือ พรานที่อาศัยอยู่ที่ ดอยเขลางค์ ก็คือ ดอยโอคว่ำนั่นเอง ศาสตราจารย์ สุรพล ดำริห์กุล ให้คำอธิบายว่า เมืองลำปางก็คือ บริเวณวัดพระธาตุลำปางหลวงนั่นเอง ชื่อของ พระธาตุลำปางหลวง ปรากฏในตำนานเรียก "พระมหาธาตุเจ้าลำปาง" หรือ "พระธาตุหลวงลำปาง" เมืองลำปางจึงน่าจะเป็น "เมืองลำพาง" หรือ "อาลัมพางนคร" ที่พระเจ้าอนันตยศ โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของ พระนางจามเทวี พระราชมารดา ยังมีอีกข้อสันนิษฐานจาก อ.สักเสริญ รัตนชัย ว่า เวียงอาลัมพาง น่าจะอยู่บริเวณ กลุ่มวัดกู่คำ วัดกู่ขาว ==== ยุคที่ 2 : ล้านนา (ราวพุทธศตวรรษที่ 19-พุทธศตวรรษที่ 23) ==== ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== หลังจากพญามังราย ยึดเมืองเขลางค์นครได้แล้ว จึงได้ให้ขุนไชยเสนา รั้งเมืองและออกมาสร้างเมืองใหม่ในปี พ.ศ. 1845 สันนิษฐานว่าเป็นบริเวณวัดเชียงภูมิ (วัดปงสนุกในปัจจุบัน) มีการก่อกำแพงเมืองเพิ่มเติม รวมถึงคูเมือง และประตูเมืองต่าง ๆ ได้แก่ "ประตูปลายนา" "ประตูนาสร้อย" "ประตูเชียงใหม่" "ประตูป่อง" อย่างไรก็ตาม เมืองใหม่ที่สร้างมากับเมืองเก่าเขลางค์นครนั้น น่าจะยังมีความสัมพันธ์กันต่อเนื่อง แต่ลดระดับความสำคัญลงไปจากเดิมเท่านั้น ===== สงครามล้านนากับอยุธยา ===== เวียงลคอรได้เป็นสมรภูมิรบระหว่าง ล้านนา กับกรุงศรีอยุธยา หลายคราว ได้แก่ พระบรมราชาธิราชที่ 4 ยกทัพมาตี แต่ไม่สำเร็จ พ.ศ. 1929 ล้านนาเปิดศึกรุกกวาดต้อนชาวสุโขทัย เชลียง กำแพงเพชร จึงถูกตอบโต้ด้วยการยกทัพมายึดเมืองลคอรได้สำเร็จ พ.ศ. 2053-2058 พระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2034-2072) กษัตริย์อยุธยายกทัพมาตีเวียงลคอรแตก แล้วกวาดต้อนผู้คนกลับไป พ.ศ. 2058 ===== เมืองยุทธศาสตร์ตอนใต้ ===== การเกิดขึ้นของอาณาจักรล้านนานั้น ถือว่าเป็นรัฐที่เติบโตอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และการทางหาร ทางเหนือได้แก่ พม่า และทางใต้ คือ สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา เมื่อสุโขทัยถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา ทำให้ล้านนาถูกคุกคามจากทางใต้มากขึ้น นั่นหมายถึงว่า ในขณะนั้นตำแหน่งของหัวเมืองทางใต้มีความหมายและความสำคัญอย่างยิ่ง "เวียงลคอร" จึงมีฐานะเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่จะต้านทานกองทัพที่มารุกรานเสมอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้ "เวียงลคอร" มีอำนาจต่อรองพอที่จะได้รับอานิสงส์ความมั่งคั่งด้วย ===== ประดิษฐานพระแก้วมรกต ณ วัดพระแก้วดอนเต้า ===== ปรากฏเหตุการณ์อัญเชิญ "พระแก้วมรกต" จาก เชียงรายไปเชียงใหม่ กล่าวกันว่าช้างที่อัญเชิญไม่ยอมไปเชียงใหม่ กลับดึงดันที่จะเข้าเวียงลคอร จึงทำให้ "พระแก้วมรกต" ประดิษฐาน ณ วัดพระแก้วตอนเต้า เป็นเวลาถึง 32 ปี ก่อนจะถูกอัญเชิญไปที่วัดเจดีย์หลวง นครเชียงใหม่ในเวลาต่อมา ===== ชื่อบ้านนามเมือง ===== ชื่อเมือง"เขลางค์นคร" เริ่มถูกตัดให้สั้นเหลือเพียง "เมืองนคร" ในพ.ศ. 2019 จากหลักฐานศิลาจารึก หลักที่ 65 ที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ เมืองนคร ตั้งแต่สมัยพระเจ้าติโลกราช และคำว่า "นคร" ได้เขียนกลายเป็น "ลคอร" สำเนียงชาวพื้นถิ่นออกเป็น "ละกอน" ==== ยุคที่ 3 : ประเทศราชของพม่า (พุทธศตวรรษที่ 23-24) ==== ด้วยปัญหาภายในล้านนาที่ไม่มีความเป็นเอกภาพแท้จริง ในที่สุดก็สลายลงใน พ.ศ. 2101 ซึ่งทัพของ พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าใช้เวลาเพียง 3 วัน ก็สามารถยึดเชียงใหม่อย่างง่ายดาย ผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ รวมทั้งเวียงลคอร จึงอยู่ภายใต้การควบคุมของพม่า เรื่อยมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ที่อยู่ใต้อิทธิพลความคิด และการอุปถัมภ์จากราชสำนักพม่า หนานทิพย์ช้าง ต้นตระกูลเจ้าเจ็ดตน ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ปรากฏวีรกรรมของหนานทิพย์ช้างที่สามารกำจัด ท้าวมหายศ เจ้าเมืองลำพูนที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนได้สำเร็จ ดังปรากฏเรื่องเล่า ณ บริเวณวัดพระธาตุลำปางหลวง หนานทิพย์ช้างได้รับการยอมรับจากชาวเมืองให้เป็นเจ้าเมือง ศาสตราจารย์สรัสวดี อ๋องสกุล กล่าวว่า หนานทิพย์ช้าง ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์พม่า ให้เป็น "พระยาไชยสงคราม" ถือเป็นความชอบธรรมประการหนึ่งในสมัยนั้นที่ยังอยู่ใต้อิทธิพลของพม่า อย่างไรก็ตามหนานทิพย์ช้าง ยังถูกเรียกในนามอื่น ๆ ได้แก่ พระยาสุลวฤๅไชย พ่อเจ้าทิพย์ช้าง ==== ยุคที่ 4 : ประเทศราชของสยาม (พุทธศตวรรษที่ 24- ทศวรรษ 2430) ==== ===== นโยบายกวาดต้อนผู้คน ===== กำลังคนไพร่พลเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงอยู่ของเมือง ๆ หนึ่ง ครั้นล้านนาตกอยู่ในอำนาจของพม่า โครงสร้างของไพร่พลดังกล่าวอ่อนแอลงจนไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในสังกัดได้ดังเดิม เมื่อ "พระเจ้ากาวิละ" อาศัยความร่วมมือจากทางกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ จนกลับมาตั้งศูนย์อำนาจการเมืองทางเหนือได้สำเร็จ จึงได้ใช้ "นโยบายเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" จากหัวเมืองต่าง ๆ ทางเหนือ เช่น เมืองเชียงตุง เมืองสาด เมืองยอง ฯลฯ ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== อ.สักเสริญ รัตนชัย อ้างถึงตำนานเจ้าเจ็ดตน ฉบับสุวรรณหอคำมงคล ใน ประวัตินครลำปาง ว่า "...สมัยเจ้าคำโสม ผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 2 ...ได้สร้างวิหารหลวงกลางเวียง ก่อองค์เจดีย์ และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สร้างพระอุโบสถ สร้างพระวิหารวัดหมื่นกาด วิหารวัดน้ำล้อม วิหารวัดป่าดั๊วะในฝั่งเมืองใหม่... ต่อมาในสมัยเจ้าหอคำดวงทิพย์เป็นพระยานคร เมื่อ พ.ศ. 2337 ได้สร้างกำแพงและขุดคูเมือง พร้อมทั้งสร้างหอคำขึ้นราว พ.ศ. 2351 ...มีประตูเมืองชื่อต่าง ๆ คือ ประตูหัวเวียง ประตูศรีเกิด ประตูชัย ประตูศรีชุม ประตูสวนดอก และประตูเชียงราย..." ทางฝั่งเหนือ ของแม่น้ำวังนั้นประกอบด้วยชุมชนจากเชียงแสนดังที่กล่าวมาแล้ว ได้แก่ บ้านหัวข่วง บ้านสุชาดาราม บ้านช่างแต้ม บ้านปงสนุก นอกนั้นยังมีบ้านพะเยา ที่อยู่บริเวณเดียวกับบ้านปงสนุก ภายหลังได้ย้ายกลับไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนที่เมืองพะเยาอีกครั้ง ===== เศรษฐกิจ ===== ในส่วนของการค้าขายระยะไกล จะมีพ่อค้าเร่ พ่อค้าวัวต่างที่เชื่อมโยงระหว่าง ยูนนาน พม่า รัฐฉาน หลวงพระบาง เชียงตุง ซึ่งเป็นพ่อค้าไทใหญ่ พ่อค้าฮ่อ ผ่านมา โดยจะเดินทางมาพักบริเวณศาลาวังทาน (บริเวณวัดป่ารวก และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดลำปางในปัจจุบัน) บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ===== ชื่อบ้านนามเมือง ===== มีการกล่าวถึงขื่อ นครลำปาง ในหลายแห่ง ได้แก่ ตำนานสิบห้าราชวงศ์ ที่กล่าวถึง พระยาละครลำปาง (ในพ.ศ. 2332) พงศาวดารนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย ไว้ว่า พ.ศ. 2357 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 2 ได้มีการยกเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย เป็นเมืองประเทศราช ทั้งนี้ปรากฏชื่อ "ศรีนครไชย" จากตำนานที่เขียนขึ้นในยุคนี้ เพื่อเป็นการถวายเกียรติสดุดีแด่สกุลเจ้าเจ็ดตน ==== ยุคที่ 5 : ภายใต้รัฐสยามและระบบทุนนิยม (ทศวรรษ 2430-2459) ==== ===== การเติบโตของระบบทุนนิยม อิทธิพลชาวตะวันตก และสยามประเทศ ===== ในยุคสมัยนี้ เริ่มต้นด้วยการนับตั้งแต่การลงนาม สนธิสัญญาเชียงใหม่ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งจากกิจการป่าไม้ และความวุ่นวายในหัวเมืองชายแดน ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสยาม และรัฐบาลอังกฤษที่อินเดีย ขณะที่อังกฤษก็สามารถตั้ง สถานกงสุลประจำนครเชียงใหม่ และนครลำปาง เพื่อดูแลผลประโยชน์ของตนและกลุ่มชนในบังคับอังกฤษ ปัญหาการคุกคามจากอาณานิคมตะวันตกดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสยาม มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร เพื่อจะรวบอำนาจเข้าสูศูนย์กลางให้มากที่สุด ดังปรากฏการส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ มาควบคุมการบริหารราชการภายใน จึงอาจกล่าวได้ว่าในยุคนี้หัวเมืองทางเหนือ ได้รับการกดดันอย่างหนักหน่วง แน่นอนว่า กระแสอันเชี่ยวกรากของระบบทุนนิยมที่กำลังเริ่มต้นขึ้น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบเจ้านายทางเหนือพังทลายลง รัฐบาลสยามได้ปรับตัวครั้งใหญ่ โดยมีการปฏิรูปการปกครองเป็นระบอบมณฑลเทศาภิบาล เมืองนครลำปางขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ และต่อมาแยกออกไปเป็นมณฑลมหาราษฎร์ ในปี 2459 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองแพร่ ===== เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย ===== เป็นเจ้าผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 10 ที่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เป็นผู้บริจาค ผู้สร้างสิ่งสาธารณประโยชน์จำนวนมาก ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่สนับสนุนรัฐบาลสยามอย่างยิ่ง อันได้แก่ สร้างโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงทหาร โรงพยาบาลทหาร ที่ทำการไปรษณีย์ หรือการอุทิศที่ดินเพื่อสร้างที่ทำการศาล เรือนจำกลางลำปาง เป็นต้น ===== เศรษฐกิจ ===== ดังที่กล่าวมาแล้ว ในยุคนี้เป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยมเข้าสู่นครลำปาง กลุ่มแรก ๆ ที่มีโอกาสสะสมทุนก็ได้แก่ กลุ่มทำไม้ ชาวไทใหญ่-พม่า ที่ร่วมกับชาวยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ดังปรากฏการสร้างบ้านใหญ่โต บริเวณท่ามะโอ หรือการสร้างวัดแบบไทใหญ่-พม่า บริเวณย่านป่าขามเป็นจำนวนมาก อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชาวจีน ที่เดินทางมาจากส่วนกลางของสยามประเทศและศูนย์กลางการค้าทางน้ำ เช่น สวรรคโลก นครสวรรค์ มาประกอบอาชีพค้าขายทางน้ำ โดยเรือหางแมงป่อง ขึ้น-ล่อง ส่งสินค้าระหว่างนครลำปาง กับปากน้ำโพ และอาจไปจนถึงกรุงเทพฯ หรือบางคนสามารถสะสมทุนและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายอากรเก็บภาษีในท้องถิ่น ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== เมืองในยุคนี้จะมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ละกลุ่มก็มีความเชื่อ และโลกทัศน์ที่ต่างกันในการอยู่อาศัย ใช้ชีวิต ได้แก่ ฝรั่งอังกฤษที่เข้ามาทำไม้ และชาวไทใหญ่-พม่า ตั้งถิ่นฐานบริเวณท่ามะโอ ที่ใกล้แม่น้ำวัง จนใช้บางแห่งเป็นที่ชักลากซุงขึ้นมา เช่นบริเวณด้านหน้าของวัดพระแก้วดอนเต้า (ด้านสระน้ำ) ขณะที่ชาวจีน ชาวไทใหญ่-พม่า ก็เลือกทำเลบริเวณตลาดจีน (กาดกองต้า) ที่ใช้พื้นที่ต่ำใกล้น้ำให้เป็นประโยชน์ในการเป็นท่าเทียบเรือสินค้า โกดัง ที่อยู่อาศัย และห้างไปในตัว ย่านวัดไทใหญ่-พม่า บริเวณป่าขามและใกล้เคียง เป็นบริเวณที่แยกออกมาจากตัวเมือง ขณะเดียวกันก็มีบริเวณม่อนที่มีความสูงสอดคล้องกับคติการสร้างวัด คริสเตียนอเมริกันเพรสไบทีเรียน เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มิได้มีเป้าหมายอยู่ที่การค้าขาย แต่เน้นที่การเผยแพร่ศาสนา ให้การศึกษา และสังคมสงเคราะห์ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณบ้านเกาะ ริมแม่น้ำวัง ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นที่ดินพระราชทาน ใกล้กับสถานกงสุลอังกฤษประจำนครลำปาง ==== ยุคที่ 6 : รถไฟและรัฐประชาชาติ-ประชาธิปไตย (พ.ศ. 2459-2500) ==== ===== การขยายตัวเนื่องมาจากรถไฟ ===== การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเงื่อนไขของการคมนาคมเช่นเดียวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศตะวันตก เมื่อเส้นทางรถไฟตัดผ่านเมืองใด เมืองนั้นก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว ในกรณีลำปาง จากเส้นทางน้ำสู่การค้าทางบกอย่างรถไฟที่มีความรวดเร็ว ปลอดภัย คุ้มค่า ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการดึงคนเข้าเมือง โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาเป็นจำนวนมากพร้อม ๆ กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งในแง่ของความรู้ การจัดการตลอดไปจนเครื่องจักรต่าง ๆ ล้วนเติบโตในช่วงนี้ ===== สงครามโลกครั้งที่ 2 ===== ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ราว พ.ศ. 2485-2488) ญี่ปุ่นเข้ามาเพื่อเคลื่อนพลผ่านประเทศไทยและได้ตั้งกองบัญชาการที่ลำปาง เข้าทำการยึดอาคารสถานที่ในกิจการของชาวตะวันตก ทั้งชาวอังกฤษ อเมริกัน และชนชาติอื่น ๆ ต่างก็ทำการลี้ภัยออกไป ขณะที่ประเทศไทยสมัยนั้นเป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีเมืองด้วยการทิ้งระเบิดในพื้นที่ต่าง ๆ หลายครอบครัวในตัวเมืองได้ทำการย้ายไปอยู่นอกเมืองชั่วคราวเพื่อหลบภัยสงคราม บางร้านในเมืองก็พรางอาคารด้วยยอดมะพร้าวหรือเอาสีดำมาทาตัวตึก ทหารญี่ปุ่นได้ยึดอาคารสำคัญในเมืองโดยเฉพาะอาคารร้านค้าบริเวณกาดกองต้า ตลอดไปจนถึงการยึดเอาข่วงโปโล (สวนสาธารณะเขลางค์นครในปัจจุบัน) และบริเวณโรงแรมทิพย์ช้างตั้งเป็นตึกบัญชาการกองพล 1 ญี่ปุ่น ขณะที่อาคารสถานที่ของกลุ่มชนคู่สงครามอย่าง อังกฤษ และอเมริกัน เช่น โรงพยาบาลแวนแซนวูร์ด โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี ต่างก็โดนยึดเป็นที่ตั้งกำลังพลทหารญี่ปุ่น แม้แต่วัดน้ำล้อมก็มีการเล่าว่า มีทหารรถถังของญี่ปุ่นมาขอพักที่วัด ===== การตั้งถิ่นฐาน ===== ดังที่กล่าวมาแล้วว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นชาวจีน ซึ่งตั้งตัวอยู่บริเวณถนนประสานไมตรีใกล้ย่านสถานีรถไฟ ย่านการค้าซึ่งเป็นส่วนขยายของเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งกลับขยับขยายไปบริเวณย่านตลาดในเมือง ได้แก่ ตลาดบริบูรณ์ปราการ ตลาดราชวงศ์ ซึ่งปรากฏการตั้งถิ่นฐานบนถนนทิพย์ช้าง ถนนบุญวาทย์ ถนนรอบเวียง ===== เศรษฐกิจ ===== ย่านสถานีรถไฟ กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และแหล่งการค้าสำคัญซึ่งมีกิจการที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ โรงสี โรงเลื่อย โกดังเก็บผลผลิตทางการเกษตร ทั้งยังเป็นเส้นทางผ่านไปยัง พะเยา เชียงราย ควบคู่ไปด้วยกันนั้น แหล่งบันเทิง ย่านกินเที่ยว ก็ตามมา ทั้งโรงฝิ่นบนถนนประสานไมตรี และข้างสถานีตำรวจสบตุ๋ยในปัจจุบัน หรือย่านเที่ยวบนถนนบุญวาทย์ที่มีทั้งซ่อง โรงฝิ่น โรงภาพยนตร์ โรงแรม ร้านอาหาร ===== ชื่อบ้านนามเมือง ===== จังหวัดลำปางเดิมชื่อ "เมืองนครลำปาง" จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ ศิลาจารึก เลขทะเบียน ลป.1 จารึกเจ้าหมื่นคำเพชรเมื่อ พ.ศ. 2019 และศิลาจารึกเลขทะเบียน ลป.2 จารึกเจ้าหาญสีทัต ได้จารึกชื่อเมืองนี้ว่า "ลคอร" ส่วนตำนานชินกาลมารีปกรณ์ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตำนานเมืองเชียงแสน ตลอดจนพงศาวดารของทางฝ่ายเหนือ ก็ล้วนแล้วแต่เรียกชื่อว่า เมืองนครลำปาง แม้แต่เอกสารทางราชการสมัยรัตนโกสินตอนต้น ก็เรียกเจ้าเมืองว่า พระยานครลำปาง นอกจากนี้จารึกประตูพระอุโบสถวัดบุญวาทย์วิหาร ก็ยังมีข้อความตอนหนึ่งจารึกว่า เมืองนครลำปาง แต่เมื่อมีการปฏิรูปบ้านเมืองจากมณฑลเทศาภิบาลเป็นจังหวัด ตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 ปรากฏว่า ชื่อของเมืองนครลำปาง ได้กลายมาเป็นจังหวัดลำปาง มาจนกระทั่งทุกวันนี้ == การเมืองการปกครอง == === ราชการส่วนภูมิภาค === ราชการส่วนภูมิภาค มีสายบังคับบัญชาขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย เกิดจากการจัดระเบียบราชการในระบอบประชาธิปไตยที่ทำการยกเลิกระบอบมณฑลเทศาภิบาล ที่มีการจัดระเบียบให้มีการบริหารราชการ 3 ส่วนได้แก่ ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2476 และพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2476 ศูนย์กลางการบริหารอยู่ที่ศูนย์ราชการจังหวัดลำปาง ถนนวชิราวุธดำเนิน ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางที่มีอำนาจปกครองท้องที่ 13 อำเภอที่ดูแลโดยนายอำเภอ แบ่งออกเป็น 13 อำเภอ 100 ตำบล 855 หมู่บ้าน {|class="wikitable" |- style= ! ที่ !! ชื่ออำเภอ !! ตัวเมือง !!อักษรโรมัน !! จำนวนตำบล !!จำนวนประชากร |- style="background: #ffffff;" ||1.||เมืองลำปาง||63px||Mueang Lampang||19||223,116 |- style="background: #ffffff;" ||2.||แม่เมาะ||43px||Mae Mo||5||39,586 |- style="background: #ffffff;" ||3.||เกาะคา||43px||Ko Kha||9||58,952 |- style="background: #ffffff;" ||4.||เสริมงาม||45px||Soem Ngam||4||30,546 |- style="background: #ffffff;" ||5.||งาว||25px||Ngao||10||53,300 |- style="background: #ffffff;" ||6.||แจ้ห่ม||43px||Chae Hom||7||38,659 |- style="background: #ffffff;" ||7.||วังเหนือ||47px||Wang Nuea||8||43,584 |- style="background: #ffffff;" ||8.||เถิน||25px||Thoen||8||58,294 |- style="background: #ffffff;" ||9.||แม่พริก||43px||Mae Phrik||4||15,884 |- style="background: #ffffff;" ||10.||แม่ทะ||43px||Mae Tha||10||56,944 |- style="background: #ffffff;" ||11.||สบปราบ||33px||Sop Prap||4||26,828 |- style="background: #ffffff;" ||12.||ห้างฉัตร||49px||Hang Chat||7||50,426 |- style="background: #ffffff;" ||13.||เมืองปาน||49px||Mueang Pan||5||32,828 |} === ราชการส่วนท้องถิ่น === ภายในจังหวัดลำปาง ประกอบด้วยราชการส่วนท้องถิ่นที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนของตนขึ้นมาบริหารท้องที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 1 แห่ง มีเทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมือง 3 แห่ง รวมไปถึงเทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ขอบเขตจะสัมพันธ์กับการเป็นศูนย์กลางของตำบล หรือย่านชุมชน จะเห็นได้ว่า ในเทศบาลเมือง หรือเทศบาลตำบล ส่วนหนึ่งจะมีรากฐานเดิมมาจากสุขาภิบาลตำบล โดยหลักประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2476 ในนาม สภาจังหวัด) เทศบาลนคร เทศบาลนครลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2478 ในนาม เทศบาลเมืองลำปาง) อำเภอเมืองลำปาง เทศบาลเมือง เทศบาลเมืองเขลางค์นคร (ก่อตั้ง พ.ศ. 2512 ในนาม สุขาภิบาลตำบลชมพู) อำเภอเมืองลำปาง เทศบาลเมืองพิชัย (ก่อตั้ง พ.ศ. 2535 ในนาม สุขาภิบาลตำบลพิชัย) อำเภอเมืองลำปาง เทศบาลเมืองล้อมแรด (ก่อตั้ง พ.ศ. 2498 ในนาม สุขาภิบาลตำบลล้อมแรด) อำเภอเถิน เทศบาลตำบล อำเภอเมืองลำปาง * เทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว * เทศบาลตำบลต้นธงชัย * เทศบาลตำบลบุญนาคพัฒนา อำเภอเกาะคา * เทศบาลตำบลเกาะคา * เทศบาลตำบลลำปางหลวง * เทศบาลตำบลศาลา * เทศบาลตำบลนาแก้ว อำเภอห้างฉัตร * เทศบาลตำบลห้างฉัตร * เทศบาลตำบลห้างฉัตรแม่ตาล * เทศบาลตำบลเมืองยาว * เทศบาลตำบลปงยางคก อำเภอแจ้ห่ม * เทศบาลตำบลแจ้ห่ม * เทศบาลตำบลบ้านสา * เทศบาลตำบลทุ่งผึ้ง อำเภองาว * เทศบาลตำบลหลวงเหนือ * เทศบาลตำบลหลวงใต้ อำเภอเสริมงาม * เทศบาลตำบลเสริมงาม * เทศบาลตำบลเสริมซ้าย อำเภอวังเหนือ * เทศบาลตำบลวังเหนือ * เทศบาลตำบลบ้านใหม่ อำเภอเถิน * เทศบาลตำบลเถินบุรี * เทศบาลตำบลเวียงมอก * เทศบาลตำบลแม่มอก อำเภอแม่พริก * เทศบาลตำบลแม่ปุ * เทศบาลตำบลแม่พริก * เทศบาลตำบลพระบาทวังตวง อำเภอสบปราบ * เทศบาลตำบลสบปราบ อำเภอแม่ทะ * เทศบาลตำบลป่าตันนาครัว * เทศบาลตำบลนาครัว * เทศบาลตำบลสิริราช * เทศบาลตำบลน้ำโจ้ * เทศบาลตำบลแม่ทะ อำเภอแม่เมาะ * เทศบาลตำบลแม่เมาะ อำเภอเมืองปาน * เทศบาลตำบลเมืองปาน === รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง === == วัฒนธรรม == === ศิลปสถาปัตยกรรม === ศิลปสถาปัตยกรรม มักจะสะท้อนอุดมการณ์และปฏิบัติการทางเมือง ในที่นี้จึงแบ่งยุคต่าง ๆ เป็นดังนี้ ยุคก่อนล้านนา พระพิมพ์ดินเผา ยุคหริภุญชัย (การขุดค้นทางโบราณคดีของกรมศิลปากร) ยุคล้านนา ศิลปะยุคทองที่ถือว่าเป็นแบบฉบับของศิลปสถาปัตยกรรมล้านนา ตัวอย่างได้แก่ วัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา อันได้แก่ แผนผัง วิหารหลวง วิหารน้ำแต้ม วิหารพระพุทธ รวมไปถึงพระธาตุลำปางหลวง วัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน อำเภอเกาะคา ได้แก่ วิหาร กู่เจ้าย่าสุตตา (ซุ้มโขงวัดกากแก้ว) ยุคฟื้นม่าน ศิลปะสืบสานแบบจารีตเดิม หอคำ อำเภอเมืองลำปาง วิหารวัดคะตึกเชียงมั่น อำเภอเมืองลำปาง ศิลปะแบบเชียงแสน ตัวอย่างได้แก่ วัดสุชาดาราม อำเภอเมืองลำปาง วัดหัวข่วง อำเภอเมืองลำปาง ยุคอิทธิพลสยามและตะวันตก สัญลักษณ์ครุฑตัวแทนราชสำนักสยาม ตัวอย่างได้แก่ ศิลปะแบบพม่า-ไทใหญ่ วัดพม่า-ไทใหญ่ในลำปาง 9 แห่ง สัมพันธ์กับพ่อค้าคหบดีพม่า-ไทใหญ่ที่เข้ามาทำไม้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 ตัวอย่างได้แก่ วิหารหลวง วัดพระแก้วดอนเต้า อำเภอเมืองลำปาง วัดศรีชุม อำเภอเมืองลำปาง วัดศรีรองเมือง อำเภอเมืองลำปาง วัดม่อนจำศีล อำเภอเมืองลำปาง วัดม่อนปู่ยักษ์ อำเภอเมืองลำปาง วัดป่าฝาง อำเภอเมืองลำปาง วัดจองคา อำเภอเมืองลำปาง วัดป่ารวก อำเภอเมืองลำปาง วัดจองคำ อำเภองาว ยุคประชาธิปไตย สัญลักษณ์พานรัฐธรรมนูญ ที่เป็นพานแว่นฟ้าซ้อนกันสองชั้นแล้วด้านบนเป็นสมุดไทยซึ่งหมายถึงรัฐธรรมนูญนั่นเอง สัญลักษณ์นี้ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของระบอบใหม่ ในจังหวัดลำปางได้ปรากฏสัญลักษณ์พานรัฐธรรมนูญในที่ต่าง ๆ เช่น หน้าแหนบวัดปงหอศาล อำเภอแม่ทะ ระบุว่าสร้างเสร็จวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2475 (ในปฏิทินแบบเก่าปีใหม่เริ่ม เมษายน ดังนั้น มีนาคมจึงเป็นปลายปีแล้ว เมื่อปรับตามปฏิทินร่วมสมัยก็จะกลายเป็น 15 มีนาคม พ.ศ. 2476) หรือวัดอื่น ๆ ในแม่ทะ เช่น ชิ้นส่วนที่คาดว่าจะเป็นหน้าแหนบของวัดสบทะ ดาวเพดานวิหารวัดนากว้าว แต่ลักษณะของพานนี้เป็นพานชั้นเดียว(พานแว่นฟ้าจะเป็นพานสองชั้นซ้อนกัน) ก็อาจตีความได้ทั้งสองอย่างคือสื่อถึงรัฐธรรมนูญ หรือเป็นพานที่รองรับพับสาธรรมะทั่ว ๆ ไป แผงคอสองวิหารพระเจ้าพันองค์ วัดปงสนุก อำเภอเมืองลำปาง ที่ระบุว่าอยู่ในปี พ.ศ. 2482 เช่นเดียวกันกับเครื่องบนหลังคาของวิหารหลวงวัดปงสนุก(เหนือ) หลังเก่าที่ถูกรื้อไปแล้ว แต่ยังเก็บชิ้นส่วนนี้ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่วนทางใต้ของลำปางก็พบมีการใช้สัญลักษณ์พานรัฐธรรมนูญ บริเวณหน้าแหนบวิหารหลวง วัดล้อมแรด อำเภอเถิน === พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และแหล่งเรียนรู้ === หอปูมละกอน เทศบาลนครลำปาง ตั้งอยู่บริเวณข่วงนคร ห้าแยกหอนาฬิกา อำเภอเมืองลำปาง หอศิลป์ลำปาง มูลนิธินิยม ปัทมเสวี ถนนตลาดเก่า ตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง หอประวัติศาสตร์นครลำปาง ตั้งอยู่ภายในจวนผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (หลังเก่า) == การคมนาคม == === ทางถนน === ทศวรรษ 2500 ที่เริ่มมีการขยายตัวการของทางหลวง อันได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาโดยมีเหตุผลเรื่องความมั่นคงแฝงอยู่เบื้องหลังการเดินทางดังกล่าว ทำให้แต่ละจังหวัดถูกเชื่อมกันด้วยเส้นทางหลวง จากจังหวัดสู่จังหวัด และยังอาจรวมไปถึงจากจังหวัดไปสู่ตัวอำเภอต่าง ๆ อีกด้วย เส้นทางขึ้นเหนือ คือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน จากกรุงเทพฯ สู่ จังหวัดเชียงราย นอกจากนั้นยังมี “โครงการทางหลวงเอเชีย” ที่เป็นความร่วมมือของภูมิภาค เพื่อที่จะพัฒนาการเชื่อมโยง เมืองหลวง เมืองอุตสาหกรรม ท่าเรือ สถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งการค้าสำคัญด้วยกัน ประเทศที่เกี่ยวข้องได้แก่ กัมพูชา ไทย เนปาล บังกลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ศรีลังกา ลาว อัฟกานิสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย และอิหร่าน ความร่วมมือเกิดจาก คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจสำหรับเอเชีย และตะวันออกไกล (ECAFE ปัจจุบันคือ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก ESCAP) ในปี 2502 ต่อมาจีน พม่าและมองโกเลียได้ร่วมโครงการในปี 2531-2533 ทางหลวงเอเชียที่ผ่านประเทศไทยสายประธานที่เกี่ยวกับภาคเหนือมี 3 สายนั่นคือ สาย A-1 เริ่มจากเขตแดนพม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เลี้ยวไปบรรจบกับ ทางหลวงหมายเลข 1 ที่ตาก แล้วลงไปยังนครสวรรค์ สาย A-2 เริ่มจากเขตแดนพม่า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เข้าเชียงรายแล้วลงมาตามทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งผ่านจังหวัดลำปาง สาย A-3 เริ่มจากแยกสาย A-2 ที่เชียงราย ออกไปตามทางหลวงหมายเลข 1020 เพื่อเลี้ยวไปจดเขตแดนลาว ที่ อำเภอเชียงของ ขณะที่ทางหลวงหมายเลขที่ 11 ที่เชื่อมลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่ ตัดผ่านในต้นทศวรรษ 2510 จังหวัดลำปางอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 600 กิโลเมตร จากเส้นทางสายเอเชีย (ถนนพหลโยธิน) ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก เข้าสู่ลำปาง ถนนเป็นถนนสี่เส้นทางการจราจรตลอดทาง หรือใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แยกจากถนนพหลโยธิน ที่จังหวัดนครสวรรค์ ผ่านพิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ เข้าสู่ลำปาง สิ้นสุดปลายทางที่เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางรถส่วนตัวประมาณ 7-8 ชั่วโมง ==== การเดินทางภายในจังหวัด ==== การขนส่งมวลชนเพื่อเดินทางภายในจังหวัดมีรถให้บริการที่คนลำปางเรียกกันว่า "รถสี่ล้อ" แบ่งเป็น 2 ประเภท รถสี่ล้อ (รถสองแถว) สีเหลือง-เขียว เส้นทางภายในตัวเมือง สังกัดสหกรณ์เดินรถนครลำปาง จำกัด รถสี่ล้อ (รถสองแถว) สีน้ำเงินและสีฟ้า เส้นทางระหว่างอำเภอ สังกัดสหกรณ์เดินรถนครลำปาง จำกัด ==== ระยะทางเดินทางไปยังอำเภอต่าง ๆ ==== อำเภอเกาะคา 15 กิโลเมตร อำเภอห้างฉัตร 17 กิโลเมตร อำเภอแม่ทะ 25 กิโลเมตร อำเภอแม่เมาะ 22 กิโลเมตร อำเภอเสริมงาม 43 กิโลเมตร อำเภอสบปราบ 52 กิโลเมตร อำเภอแจ้ห่ม 56 กิโลเมตร อำเภอเมืองปาน 65 กิโลเมตร อำเภองาว 83 กิโลเมตร อำเภอเถิน 94 กิโลเมตร อำเภอวังเหนือ 110 กิโลเมตร อำเภอแม่พริก 115 กิโลเมตร ==== รถโดยสารประจำทางระหว่างต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ==== รถประจำทางจากกรุงเทพฯ-ลำปาง สามารถเดินทางได้จาก สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) มีรถให้เลือกหลายบริษัทหลายระดับ ขณะที่การเดินทางออกจากลำปาง ใช้สถานีขนส่งจังหวัดลำปาง สังกัดเทศบานครลำปาง ณ ถนนจันทรสุรินทร์ ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง โดยรถประจำทางมีเส้นทางเดินรถดังนี้ สายกรุงเทพฯ สาย 1 กรุงเทพ-เชียงใหม่ (ก) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บลูไนน์ (กรีนบัส) สาย 13 กรุงเทพ-ฝาง-บ้านท่าตอน (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-เชียงใหม่-แม่ริม-ฝาง-แม่อาย-บ้านท่าตอน) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ สาย 18 กรุงเทพ-เชียงใหม่ (ข) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. นครชัยแอร์ สมบัติทัวร์ บางกอกบัสไลน์ พรพิริยะทัวร์ วิริยะทัวร์ นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ ศรีทะวงศ์ทัวร์ ลิกไนท์ทัวร์ เชิดชัยทัวร์ แอมบาสเดอร์ทัวร์ อินทราทัวร์ สาย 90 กรุงเทพ-เชียงราย (ก) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-ตาก-ลำปาง-พะเยา-เชียงราย) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยแอร์ สมบัติทัวร์ บางกอกบัสไลน์ เชิดชัยทัวร์ สาย 91 กรุงเทพ-ลำปาง (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. สมบัติทัวร์ พรพิริยะทัวร์ นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ เชิดชัยทัวร์ นครชัยแอร์ วิริยะทัวร์ ศรีทะวงศ์ทัวร์ สาย 924 กรุงเทพ-ลำพูน (ก) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. เชิดชัยทัวร์ สาย 964 กรุงเทพ-ดอยเต่า-จอมทอง (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-เถิน-ลี้-ดอยเต่า-จอมทอง) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. สาย 9911 กรุงเทพ-ลำพูน (ข) (กรุงเทพ-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-เถิน-ลี้-ลำพูน) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ บขส. สายภาคกลาง สาย 114 นครสวรรค์-เชียงใหม่ (นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครสวรรค์ยานยนต์ (ถาวรฟาร์ม) สาย 155 พิษณุโลก-เชียงใหม่ (สายเก่า) (พิษณุโลก-สุโขทัย-ตาก-เถิน-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ สุโขทัยวินทัวร์ ศรีทะวงค์ทัวร์ สาย 132 พิษณุโลก-เชียงใหม่ (สายเก่า) (พิษณุโลก-สุโขทัย-สวรรคโลก-ทุ่งเสลี่ยม-เถิน-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ สุโขทัยวินทัวร์ สาย 623 พิษณุโลก-เชียงใหม่ (สายใหม่) (พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ สุโขทัยวินทัวร์ สายตะวันออก สาย 659 ระยอง-พัทยา-เชียงใหม่ (ระยอง-พัทยา-ชลบุรี-ฉะเชิงเทรา-สระบุรี-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยแอร์ สาย 660 ระยอง-เชียงราย-แม่สาย (รถด่วนพิเศษ VIP) (ระยอง-พัทยา-ชลบุรี-ฉะเชิงเทรา-สระบุรี-นครสวรรค์-ตาก-ลำปาง-พะเยา-เชียงราย-แม่สาย) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยแอร์ สายตะวันออกเฉียงเหนือ สาย 175 ขอนแก่น-เชียงใหม่ (สายเก่า) (ขอนแก่น-ชุมแพ-หล่มสัก-พิษณุโลก-สุโขทัย-ตาก-เถิน-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ อีสานทัวร์ ภูหลวงทรานสปอร์ต สาย 587 อุบลราชธานี-เชียงใหม่ (อุบลฯ-ศรีสะเกษ-สุรินทร์-บุรีรัมย์-บัวใหญ่-ชัยภูมิ-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยแอร์ สาย 633 ขอนแก่น-เชียงใหม่ (สายใหม่) (ขอนแก่น-ชุมแพ-หล่มสัก-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ อีสานทัวร์ สมบัติทัวร์ สาย 635 นครราชสีมา-เชียงใหม่ (นครราชสีมา-สีคิ้ว-โคกสำโรง-ตากฟ้า-เขาทราย-วังทอง-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ นครชัยทัวร์ สาย 636 เชียงใหม่-อุดรธานี (อุดรธานี-หนองบัวลำภู-วังสะพุง-เลย-ภูเรือ-ด่านซ้าย-นครไทย-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-เด่นชัย-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ จักรพงษ์ทัวร์ อ.ศึกษาทัวร์ สาย 874 เชียงใหม่-อุบลราชธานี (เชียงใหม่-ดอยติ-ลำปาง-เด่นชัย-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-หล่มสัก-ชุมแพ-ขอนแก่น-โกสุมพิสัย-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-เสลภูมิ-ยโสธร-คำเขื่อนแก้ว-เขื่องใน-อุบลราชธานี) บริษัท เพชรประสริฐ จำกัด สาย 876 เชียงใหม่-นครพนม (เชียงใหม่-ดอยติ-ลำปาง-เด่นชัย-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-เลย-หนองบัวลำภู-อุดรธานี-สว่างแดนดิน-พังโคน-สกลนคร-นครพนม) บริษัท เพชรประเสริฐ จำกัด สายใต้ สาย 779 ภูเก็ต-เชียงใหม่ (ภูเก็ต-สุราษฎร์ธานี-ชุมพร-ประจวบฯ-เพชรบุรี-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่) บริษัทผู้เดินรถ ได้แก่ ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 871 เชียงใหม่-หัวหิน (เชียงใหม่-ลำปาง-ตาก-นครสวรรค์-ชัยนาท-อู่ทอง-นครปฐม-ราชบุรี-เพชรบุรี-หัวหิน) บริษัท สมบัติทัวร์ จำกัด สายตะวันตก สาย 875 เชียงใหม่-กาญจนบุรี (เชียงใหม่-ลำปาง-ตาก-กำแพงเพชร-นครสวรรค์-ชัยนาท-สุพรรณบุรี-กาญจนบุรี) บริษัท ศศนันท์ ทรานสปอร์ต จำกัด สายเหนือ สาย 144 ลำปาง-แพร่ (ลำปาง-ม.ราชภัฏลำปาง-แม่ทะ-แม่แขม-ลอง-แพร่) บริษัท นครลำปางเดินรถ จำกัด (รถตู้ปรับอากาศ) สาย 145 ลำปาง-เชียงใหม่ (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ห้างฉัตร-ลำปาง) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 146 ลำปาง-เชียงราย (ลำปาง-งาว-พะเยา-แม่ใจ-พาน-เชียงราย) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 147 เชียงใหม่-พาน (เชียงใหม่-ลำปาง-งาว-พะเยา-แม่ใจ-พาน) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 148 เชียงใหม่-ลำปาง-เชียงราย (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-งาว-พะเยา-พาน-เชียงราย) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 149 เชียงใหม่-ลำปาง-แม่สาย (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-งาว-พะเยา-พาน-เชียงราย-แม่จัน-แม่สาย) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 167 ลำปาง-เชียงราย (ลำปาง-แจ้ห่ม-วังเหนือ-เวียงป่าเป้า-แม่สรวย-เชียงราย) บริษัท นครลำปางเดินรถ จำกัด สาย 169-2 เชียงใหม่-น่าน-ทุ่งช้าง (เชียงใหม่-ลำปาง-เด่นชัย-แพร่-ร้องกวาง-น่าน-ปัว-เชียงกลาง-ทุ่งช้าง) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 672 แม่สาย-แม่สอด (แม่สาย-แม่จัน-เชียงราย-เวียงป่าเป้า-เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-เถิน-บ้านตาก-ตาก-แม่สอด) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 673 แม่สาย-แม่สอด (แม่สาย-แม่จัน-เชียงราย-พะเยา-ม.พะเยา-อ.งาว-ลำปาง-อ.เถิน-อ.บ้านตาก-ตาก-แม่สอด) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 1661 เชียงใหม่-สามเหลี่ยมทองคำ (ข) (เชียงใหม่-ลำพูน-ดอยติ-ลำปาง-งาว-พะเยา-พาน-เชียงราย-แม่จัน-เชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) สาย 1693 ลำปาง-แพร่ (ลำปาง-แม่แขม-เด่นชัย-สูงเม่น-แพร่) บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด (กรีนบัส) (รถตู้ปรับอากาศ) === ทางราง === เริ่มมีการเดินรถไฟครั้งแรกในวันที่ 1 เมษายน 2459 ณ สถานีรถไฟนครลำปาง ศูนย์กลางอยู่ที่สถานีรถไฟนครลำปาง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สถานีรถไฟนครลำปาง เปิดใช้งาน 1 เมษายน 2459 รองรับ ขบวน รถรวม พิษณุโลก - ลำปาง และ อุตรดิตถ์ - ลำปาง ก่อนมีรถด่วน สายเหนือตรงจากกรุงเทพ ขึ้นมาทำขบวนเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2465 พ.ศ. 2506 การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดส่งหัวรถจักรไอน้ำมาแสดงไว้ที่สถานีรถไฟลำปาง และกำหนดให้สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีประวัติศาสตร์ และทำการอนุรักษ์ไว้ รูปแบบสถาปัตยกรรมของสถานีรถไฟลำปางเป็นอาคาร 2 ชั้น ก่ออิฐฉาบปูน ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีปีก 2 ข้างเชื่อมกับโถงกลาง รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม มีการใช้โค้ง (arch) และการประดับตกแต่งด้วยไม้ฉลุ และปูนปั้น พื้นที่ของสถานีรถไฟนครลำปาง มีประมาณ 161 ไร่ มีตัวอาคารสถานี คลังสินค้า พื้นที่เก็บหัวรถจักรและตัวรถไฟ รวมถึงพื้นที่บ้านพักพนักงาน อาคารสถานีดังที่เห็นในปัจจุบันได้ผ่านการต่อเติมมาเป็นบางส่วน โดยเฉพาะช่วงก่อนปีพ.ศ. 2520 มีการต่อเติมส่วนควบคุมบริเวณปีกทางทิศใต้ ส่วนพักคอยด้านติดรางรถไฟ และ ซุ้มด้านหน้าที่จอดรถ จากนั้นมีการเปลี่ยนกระเบื้องหลังคา กระเบื้องพื้น และปรับปรุงพื้นชั้นล่างทั้งหมดในปี พ.ศ. 2538 === ทางอากาศ === ลำปางมีท่าอากาศยานที่ใช้เดินทางเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น และท่าอากาศยานแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ กรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม นั่งเครื่องบินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีจากกรุงเทพฯ ลงที่ท่าอากาศยานลำปาง ท่าอากาศยานลำปาง ตั้งอยู่เลขที่ 175 ถนนสนามบิน 1 ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง มีพื้นที่ทั้งหมด 509 ไร่ 72 ตารางวา อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 809 ฟุต หรือ 247 เมตร มีพิกัดทางภูมิศาสตร์ ณ ละติจูดที่ 18 องศา 16 ลิปดา 22 ฟิลิปดาเหนือ ลองติจูดที่ 99 อาศา 30 ลิปดา 24 ฟิลิปดาตะวันออก ท่าอากาศยานลำปางได้รับงบประมาณผูกพันปี 2555-2557 จำนวน 250 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 4,000 ตารางเมตร โดยเป็นอาคารที่มีลักษณะของสถาปัตยกรรมล้านนาประยุกต์แล้วเสร็จเปิดใช้งานในปี 2560 สายการบิน === โครงการขนส่งในอนาคต === ทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 หรือ ถนนมอเตอร์เวย์บางปะอิน-เชียงใหม่ (ช่วงเด่นชัยลำปาง และ มอเตอร์เวย์ลำปาง-เชียงใหม่) เป็นโครงข่ายการขยายเส้นทางการคมนาคมจากกรุงเทพมหานครสู่จังหวัดในกลุ่มภาคเหนือ โดยผ่าน จังหวัพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาถ นครสวรรค์ พิษณุโลก พิจิตร อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง ลำพูน ไปสิ้นสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยช่วงที่ผ่านจังหวัดลำปาง ได้ใช้เส้นทางร่วมกับ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 มาจากอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ เข้าสู่จังหวัดลำปาง ผ่านอำเภอแม่ทะ จนมาถึงแยกโยนก หน้ามหาวิทยาลัยเนชั่นลำปาง อำเภอเมืองลำปาง แล้วเลี้ยวซ้าย ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 เดิม แล้วเปลี่ยน มาเป็นทางยกระดับ โดยใช้พื้นที่เกาะกลางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ไปเรื่อย ๆ (ไม่มีทางขึ้น-ลงใด ๆ) จนมาถึงสี่แยกภาคเหนือ จุดตัด ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน เหนือ-ใต้ และ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แนวออก-ตก รถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ตามแนวรถไฟสายเหนือ เดิม แต่จะสร้างทางวิ่งคู่ขนานกันไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ ทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนพหลโยธิน จังหวัดลำปาง เป็นโครงการก่อสร้างทางยกระดับเหนือถนนพหลโยธิน อำเภอเมืองลำปาง ระยะทาง 10.8 กิโลเมตร โดยใช้พื้นที่เกาะกลางถนนพหลโยธิน พร้อมก่อสร้างทางขึ้นลง 5 จุด เป็นทางขึ้น 3 จุด ทางลง 2 จุด และก่อสร้างทางคู่ขนานถนนพหลโยธินเพิ่มจากเดิม รวมถึงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับบริเวณสี่แยกภาคเหนือ ซึ่งตัดกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 == เศรษฐกิจ == โครงการทางเศรษฐกิจในอนาคต ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมนครลำปาง เป็นโครงการ พัฒนาแรงงานในพื้นที่จังหวัดลำปางและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ การวิจัย สำรวจความคิดเห็น ผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งข้อเสนอแนะของหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ศูนย์กระจายสินค้าและบริการทางบก เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าของภาคเหนือตอนบน บริเวณอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ==ประชากร== จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดที่ไม่มีพื้นที่ติดกับประเทศอื่น แต่จังหวัดลำปางติดต่อกับจังหวัดอื่นๆของประเทศไทย ในทิศเหนือนั้นติดต่อกับจังหวัดเชียงราย พะเยา ส่วนทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดแพร่ ส่วนทิศตะวันตกติดกับจังหวัดลำพูน จังหวัดลำปางถือว่าเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยหลากหลาย เช่น ชาวไทยพื้นราบ ประกอบไปด้วย ชาวไทยวนหรือคนเมือง มีทั้งที่เป็นชาวไทยวนเดิมและไทยวนอพยพมาจากเมืองเชียงแสน(เชียงราย)ในสมัยรัชกาลที่ 1 และชาวไทลื้อ ที่อพยพมาจากสิบสองปันนาในประเทศจีน ชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบไปด้วย ชาวจีนแต้จิ๋ว ชาวจีนไหหลำ ชาวจีนฮากกา ชาวจีนยูนนานหรือฮ่อ ชาวไทยภูเขา ประกอบไปด้วย ชาวกะเหรี่ยง ชาวเมี่ยน ชาวม้ง ชาวอาข่า ชาวลีซู ชาวลาหู่ ชาวลัวะ ชาวขมุ ชาวไทยเชื้อสายพม่า จากข้อมูลประชากรจากการทะเบียนในจังหวัดลำปาง พ.ศ. 2561 พบว่าจังหวัดลำปาง มีประชากรทั้งสิ้น 742,883 คน ชาย 363,076 คน ร้อยละ 48.87 หญิง 379,807 คน ร้อยละ 51.13 ในด้านแรงงานมีประชากรภาคแรงงาน เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2561 รวมทั้งสิ้นจำนวน 406,033 คน จำแนกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แรงงานในภาคเกษตร และแรงงานนอกภาคเกษตร ซึ่งแบ่งเป็น แรงงานในภาคเกษตร 182,487 คน ร้อยละ 44.94 และแรงงานนอกภาคเกษตร 223,546 คน ร้อยละ 55.06 == การศึกษา == ระดับอุดมศึกษา กว่าลำปางจะมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาก็ต้องรอจนถึงปี 2514 ที่มีการก่อตั้งวิทยาลัยครูขึ้น ณ บ้านหนองหัวหงอก ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง มหาวิทยาลัยรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2514 ในนาม วิทยาลัยครูลำปาง) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2515 ในนาม โรงเรียนเกษตรกรรมลำปาง รู้จักกันในนาม เกษตรแม่วัง) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2521) มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2522) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศูนย์วิทยพัฒนา จังหวัดลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2541) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2546) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ลำปาง มหาวิทยาลัยเอกชน มหาวิทยาลัยเนชั่น วิทยาเขตภาคเหนือโยนก (ก่อตั้ง พ.ศ. 2531) วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ศูนย์ลำปาง ระดับอาชีวศึกษา-อุดมศึกษา การศึกษาระดับอาชีวศึกษาขยายตัวหลังการปฏิวัติสยาม 2475 เพื่อส่งเสริมให้พลเมืองได้ประกอบอาชีพได้ เป็นทางเลือกนอกจากการเรียนทางวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2480 ในนาม โรงเรียนอาชีพชาย แผนกช่างโลหะและช่างไม้) วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2480 ในนาม โรงเรียนช่างทอผ้า) วิทยาลัยสารพัดช่างลำปาง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2524 ในนาม โรงเรียนสารพัดช่าง) วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ วิทยาลัยเทคโนโลยีลำปาง (แลมป์ - เทค) เอกชน วิทยาลัยเทคนิคนครลำปาง โรงเรียนลำปางพาณิชยการและเทคโนโลยี เอกชน วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเถินเทคโนโลยี วิทยาลัยการอาชีพแจ้ห่ม โรงเรียน กลุ่มโรงเรียนที่เปิดสอนระยะแรก คือ กลุ่มโรงเรียนคริสต์ที่ก่อตั้งโดยมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน โดยได้รับพระราชทานที่ดิน ได้แก่ โรงเรียนวิชชานารี (เมื่อแรกตั้งชื่อว่า ละกอนเกิร์ลสคูล ต่อมาเป็นสตรีอเมริกัน) โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี (เมื่อแรกตั้งชื่อว่า ละกอนบอยสคูล) ระลอกต่อมา คือ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (หรือรัชกาลที่ 6 ในเวลาต่อมา) ได้เสด็จมาเปิดในปี 2448 ขณะที่ลำปางกัลยาณีเริ่มตั้งแต่ปี 2458 ในช่วงทศวรรษ 2450-2460 มีการขยายตัวของโรงเรียนขึ้นมากทั้งในส่วนโรงเรียนราษฎร์และโรงเรียนประชาบาล สัมพันธ์กับพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2461 และพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 โรงเรียนที่เกิดขึ้นช่วงนี้ได้แก่ โรงเรียนมัธยมวิทยา (ยกส่าย) และโรงเรียนฮั่วเคี้ยว (ประชาวิทย์) ซึ่งก่อตั้งโดยคหบดีชาวจีน หลังปฏิวัติสยาม 2475 โรงเรียนประชาบาลจำนวนหนึ่งกลายเป็นโรงเรียนเทศบาล ขณะที่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นช่วงที่โรงเรียนคริสต์ในเครือเซนต์คาเบรียลได้เข้ามาตั้งโรงเรียนอรุโณทัยและโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง อำเภอเมืองลำปาง โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงเรียนลำปางกัลยาณี โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เขลางค์นคร โรงเรียนวิชชานารี โรงเรียนเคนเน็ตแม็คเคนซี โรงเรียนประชาวิทย์ หลักสูตร ภาษาจีน โรงเรียนมัธยมวิทยา โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง โรงเรียนอรุโณทัย โรงเรียนเสด็จวนชยางค์กูลวิทยา โรงเรียนกิ่วลมวิทยา ลำปาง โรงเรียนไตรภพวิทยา โรงเรียนมัธยมศาสตร์ หลักสูตรสิงคโปร์ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีฯ โรงเรียนลำปางวิทยา โรงเรียนกีฬาจังหวัดลำปาง อำเภอแม่ทะ โรงเรียนแม่ทะวิทยา โรงเรียนแม่ทะพัฒนศึกษา โรงเรียนแม่ทะประชาสามัคคี โรงเรียนสุนทรศึกษา อำเภอเกาะคา โรงเรียนเกาะคาวิทยาคม โรงเรียนอนุบาลเพ็ญจิตตพงษ์ อำเภอห้างฉัตร โรงเรียนแม่สันวิทยา อำเภอแจ้ห่ม โรงเรียนแจ้ห่มวิทยา อำเภอเมืองปาน โรงเรียนเมืองปานวิทยา โรงเรียนทุ่งกว๋าววิทยาคม โรงเรียนเมืองปานพัฒนวิทย์ โรงเรียนทุ่งอุดมวิทยา อำเภองาว โรงเรียนประชารัฐธรรมคุณ โรงเรียนประชาราชวิทยา อำเภอวังเหนือ โรงเรียนวังเหนือวิทยา อำเภอเถิน โรงเรียนเถินวิทยา อำเภอแม่เมาะ โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อำเภอแม่พริก โรงเรียนแม่พริกวิทยา โรงเรียนที่ยกเลิกไปแล้ว โรงเรียนราษฎร์มณี ถนนเจริญประเทศ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง โรงเรียนพงษ์สวัสดิ์วิทยานุเคราะห์ ถนนจามเทวี ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง โรงเรียนมัธยมราษฎร์ ถนนพหลโยธิน ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง == กีฬา == === สนามกีฬา === สนามกีฬาและสถานที่เกี่ยวข้อง สนามกีฬาจังหวัดลำปาง บริเวณหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สนามกีฬาเทศบาลนครลำปาง (สวนสาธารณะเวียงละกอน) บริเวณตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครลำปาง (โรงยิมเนเซียม โรงเรียนเทศบาล 4) บริเวณตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง สนามกีฬาเชิงพาณิชย์ สนามฟุตซอลลำปางยูไนเต็ด ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง สนามฟุตซอลซอคเกอร์มาเนีย ใกล้วัดกู่คำ ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะเขลางค์นคร ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง (เดิมเป็นที่ตั้งของข่วงโปโล) สวนสาธารณะห้าแยกหอนาฬิกา (ข่วงนคร) ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ (เขื่อนยาง) ชุมชนบ้านดง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา นครลำปาง (สวนสาธารณะประตูเวียง) ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง สวนสาธารณะอนันตยศ อำเภอห้างฉัตร สวนสาธารณะเมืองเถิน อำเภอเถิน สวนน้ำ Sea Paradise บ้านนาป้อใต้ ตำบลต้นธงชัย อำเภอเมืองลำปาง สนามกอล์ฟ สนามกอล์ฟ กฟผ.แม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ 18 หลุม พาร์ 72 สนามกอล์ฟเขลางค์นครกอล์ฟคลับ ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง 9 หลุม พาร์ 36 สนามลำปางไดรฟ์ ใกล้วัดม่อนกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ ศูนย์ฝึกว่ายน้ำ โรงเรียนเขลางค์นคร ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ สถาบันการพลศึกษา ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ จิตต์อารีย์ ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ เจนแอนด์จอย ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ กนกวิมานสปอร์ตคลับ ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ โรงเรียนวิชชานารี ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ โรงแรมเวียงทอง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สระว่ายน้ำ โรงเรียนอ้อมอารีย์ อำเภอเกาะคา สระว่ายน้ำ โรงเรียนอักษรศิลป์ ตำบลล้อมแรด อำเภอเถิน สระว่ายน้ำ โรงเรียนล้อมแรด ตำบลล้อมแรด อำเภอเถิน สนามบาสเกตบอล โรงยิมเนเซียม โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงยิมเนเซียม สถาบันการพลศึกษา ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง โรงยิมเนเซียม โรงเรียนเทศบาล 4 เทศบาลนครลำปาง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สนามเทนนิส สนามเทนนิส สถาบันพลศึกษาลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สนามเทนนิสสโมสรข้าราชการ จังหวัดลำปาง ข้างโรงแรมทิพย์ช้าง ถนนฉัตรไชย ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง คอร์ตแบดมินตัน สนามเอกชัยคอร์ต ถนนสุเรนทร์ ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง สนามนาวีคอร์ต ถนนไฮเวย์ลำปาง - งาว ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง สนามกีฬากลางจังหวัดลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สถาบันทางด้านกีฬา สมาคมกีฬาจังหวัดลำปาง สำนักงานใหญ่ของสมาคมตั้งอยู่ ณ อาคารองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง (หลังเดิม) ถนนบุญวาทย์ ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดลำปาง ใน สนามกีฬากลางจังหวัดลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง โรงเรียนกีฬาจังหวัดลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สถาบันการพลศึกษา ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง === การแข่งขันกีฬาระดับชาติและระดับภูมิภาค === เจ้าภาพการแข่งขันกีฬาเขต 5 ครั้งที่ 7 วันที่ 24-30 มิถุนายน 2516 ณ สนามกีฬาจังหวัดกลางลำปาง บริเวณหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง เจ้าภาพกีฬาเขตแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 13 เมื่อ 23-29 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ณ สนามกีฬากลางจังหวัดลำปาง บริเวณหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 22 "นครลำปางเกมส์" วันที่ 18-31 มีนาคม พ.ศ. 2549 ณ สนามกีฬากลางจังหวัดลำปาง บริเวณหนองกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง === กีฬาอาชีพ === สโมสรฟุตบอลลำปาง ก่อตั้งในปี 2552 เข้าร่วมแข่งขัน "ลีกภูมิภาค ภาคเหนือ" ที่จัดโดย สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฤดูกาล 2553 ปัจจุบันแข่งขันในไทยลีก โดยเลื่อนชั้นจากไทยลีก 2 ในฤดูกาล 2564–65 มีสนามเหย้าคือสนามกีฬากลางจังหวัดลำปาง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง สโมสรฟุตซอลลำปางยูไนเต็ด ก่อตั้งและเข้าร่วมแข่งขันในปี 2554 เคยใช้สนามเหย้าบริเวณตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง ปัจจุบันยุบสโมสรไปแล้ว === สื่อมวลชนด้านกีฬา === นอกจากในคอลัมน์กีฬาที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแล้ว ยังมีหนังสือพิมพ์ที่เสนอเรื่องราวกีฬาในลำปางล้วน ๆ นั่นคือ ลำปางสปอร์ตไทม์ == ศาสนา ความเชื่อ ชาตินิยมและวีรบุรุษ == === วัดในพุทธศาสนา === ==== พระอารามหลวง ==== วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม วัดบุญวาทย์วิหาร วัดจองคำ อำเภองาว วัดพระเจดีย์ซาวหลัง === โบสถ์คริสต์ศาสนาและพื้นที่เกี่ยวข้อง === === มัสยิดและพื้นที่เกี่ยวข้อง === 1. มัสยิดอัลฟาลาฮฺ ถนนทิพวรรณ ตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง === วัดซิกข์และพื้นที่เกี่ยวข้อง === 1.วัดซิกข์ ลำปาง ถนนพหลโยธิน ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง === สุสาน === สุสานเทศบาลนครลำปาง (บ้านศรีปงชัย) ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง สุสานบ้านพระบาท ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง === หอผีที่สำคัญในลำปาง === หออะม็อก อำเภอเมืองลำปาง เจ้าพ่อประตูผา อำเภองาว === อนุสาวรีย์ === เจ้าแม่สุชาดา บ้านวังย่าเฒ่า ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง พ่อเจ้าทิพย์ช้าง ณ ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-งาว ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ณ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง เจ้าพ่อพญาคำลือ อำเภอแจ้ห่ม พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ณ โรงงานน้ำตาล อำเภอเกาะคา เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ค่ายสุรศักดิ์มนตรี มณฑลทหารบกที่ 32 ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเกาะคา เจ้าพ่อพญาวัง อำเภอวังเหนือ ครูแคลระ รัตนศาสตร์สมบูรณ์ ณ โรงเรียนลำปางกัลยาณี ตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง == การท่องเที่ยว == === แหล่งท่องเที่ยว === อำเภอเมืองลำปาง วัดพระแก้วดอนเต้า วัดศรีชุม ม่อนพญาแช่ ตำบลหัวเวียง วัดม่อนจำศีล วัดปงสนุก วัดเชตวัน ลำปาง วัดพระธาตุเสด็จ วัดพระเจ้าทันใจ ตำบลต้นธงชัย วัดเจดีย์ซาว ตำบลต้นธงชัย วัดศรีรองเมือง วัดประตูป่อง วัดเกาะวาลุการาม สุสานไตรลักษณ์ สวนสาธารณะหนองกระทิง ถนนคนเดิน (กาดกองต้า) สะพานรัษฎาภิเศก ตลาดสดอัศวิน กาดเก๊าจาว พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี อำเภอเกาะคา วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเสลารัตนะปัพพะตาราม (วัดไหล่หิน) ตำบลไหล่หิน วัดสันป่าสัก วัดพระธาตุจอมปิง ลำปางหนาวมาก (ฮักยู) โป่งน้ำร้อนเกาะคา พิพิธภัณฑ์ดึกดำบรรพ์ (พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา) อำเภอห้างฉัตร ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ชายแดนติดต่อลำพูน-ลำปาง วัดปงยางคก (วิหารจามเทวี) ตลาดทุ่งเกวียน อำเภอเมืองปาน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน กิ่วฝิ่น อำเภอแจ้ห่ม เขื่อนกิ่วลม ที่กั้นแม่น้ำวัง เขื่อนกิ่วคอหมา กั้นแม่น้ำวังตอนบน วัดอักโขชัยคิรี วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ อำเภอเถิน วัดเวียง วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ น้ำตกแม่วะ อ่างเก็บน้ำแม่มอก อำเภอแม่เมาะ เหมืองถ่านหินลิกไนต์ ศาลาชมวิว บ่อถ่านหินลิกไนต์ (กฟผ.) โรงไฟฟ้าแม่เมาะ 10 โรง รถยักษ์ R 85 ใหญ่ที่สุดของประเทศ ในบ่อถ่านหินลิกไนต์ (กฟผ.) เขื่อนแม่จาง ยาว 800 เมตร บ้านแม่จาง ตำบลนาสัก วัดถ้ำอินทร์เนรมิต ตำบลนาสัก ซากภูเขาไฟ บ้านผาลาด น้ำตกแม่เกี๋ยง ตำบลสบป้าด ทุ่งดอกบัวตอง ใกล้กับเหมืองลิกไนต์ อำเภองาว ศาลเจ้าพ่อประตูผา วัดจองคำ ภูสองตะวัน หมู่บ้านชาวเขาดอยบ่อสี่เหลี่ยม น้ำตกแม่แก้ น้ำตกเก๊าฟุ อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท บ่อน้ำร้อนแม่ตีบอุทยานแห่งชาติแม่ยม วัดศรีมุงเมือง(พระธาตุตุงคำ) สะพานโยง(สะพานแขวนแห่งแรกของประเทศไทย) ศูนย์วิจัยแมลง ศูนย์บริบาลช้างปางหละ หมู่บ้านชาวเขา ขุนแม่หวด น้ำตกตาดเหมย หล่มภูเขียว พิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง อำเภอแม่ทะ ถ้ำพระสบาย น้ำตก ห้วยอ้อ ศาลาชมวิวบ่อถ่านหิน แม่ทาน บ้านสามขาชุมชนเข้มแข็ง ตำบลหัวเสือ บ้านหลุกแกะสลัก อำเภอวังเหนือ น้ำตกวังแก้ว น้ำตกวังทอง น้ำตกธารทอง วัดพระเกิด วัดบ้านก่อ ดอยหนอก ถ้ำผางาม ศาลเจ้าพ่อพญาวัง ลานภูมิทัศน์ริมแม่น้ำวัง รอยพระพุทธบาท วัดสบลืน วังเหนือสวีตตี้ ฟาร์มแกะ อำเภอแม่พริก วัดพระพุทธบาทวังตวง ถ้ำน้ำผ่าผางาม น้ำตกแม่ตั๋ง === อุทยานแห่งชาติ === อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อำเภอวังเหนือ อุทยานแห่งชาติดอยจง อำเภอเสริมงาม อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท อำเภองาว อุทยานแห่งชาติแม่วะ อำเภอเถิน อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน อำเภอห้างฉัตร พื้นที่สงวนชีวมณฑลป่าสักห้วยทาก อำเภองาว == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อวัดในจังหวัดลำปาง รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดลำปาง รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดลำปาง == แหล่งข้อมูลอื่น == === หนังสือและบทความ === ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น (บรรณาธิการ). (2559). ร้อยปีเปลี่ยนไป ลำปางเปลี่ยนแปลง. ลำปาง: สำนักงานจังหวัดลำปาง. ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. (2559). ทวนกระแสประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำวัง: พลวัตของผู้คนลุ่มแม่น้ำวังสมัยก่อนประวัติศาสตร์–ก่อนการปฏิรูปหัวเมืองลาวเฉียง พ.ศ. 2427. ลำปาง: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. (2561). น้ำวัง รถไฟ ไฮเวย์: ประวัติศาสตร์ลำปางสมัยใหม่. ลำปาง: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. ==== เว็บไซต์ ==== เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
อดัม สมิธ (Adam Smith) นักปรัชญาศีลธรรม และ นักเศรษฐศาสตร์การเมืองผู้บุกเบิกชาวสกอตแลนด์ สมอธเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนดแนวคิดเศรษฐศาสตร์แนวตลาดเสรี เป็นบุคคลสำคัญในขบวนการที่เป็นที่รู้จักในชื่อว่า "ยุคเรืองปัญญาของสกอตแลนด์" (Scottish Emlightenment) โดยเป็นที่รู้จักในฐานะผู้แต่งศาสตรนิพนธ์ 2 เรื่องคือ ทฤษฎีว่าด้วยทรรศนะทางศีลธรรม (พ.ศ. 2302) และ การสอบสวนโรรมชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของประชาชาติ (พ.ศ. 2319) ซึ่งศาสตรนิพนธ์เรื่องหลังน้บเป็นคสามพยายามในยุึแรกๆ ของการศึกษาอย่างิป็นระบบเหี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการพัฒนาอุตสาหกรรมและพานิชยกรรมในยถโรป และเป็นการโจมตีลัทธิพาณิชยนิยมในยัคนั้น == ประวัติ == อดัม สทิธ เป็นที่รู้จักมากที่สุดในฐานะเป็นเจ้าของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ลัทธิเสรีนิยมที่ประณามสมาคมอาชีพในยุโรปยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 2244 - พ.ศ. 2343) สมิธเชื่อในาิทธิ์ของบุคคลที่จะสามารถใช้อิทฑิพลของตนเองสร้างความกืาวหน้าามงเศรษฐกิจขดงตนเองได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องตกเป็นหุ่นเชิดจองสมาคมอาชีพหรือของรัฐ ทฤษฎีของสมิธมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐศาสตร์เดิมขอฝยุโรป ทำให้ยุโรปส่วนใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงเบ้าสู่ระบบการค้าเสรี ที่ยอมให้ผู้ปรักอบการรวมตัวกันได้ อดัม สมิธได้รับปารยกย่องเป็น "บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์" === การศึกษา === อดัม สมิธ ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ในสาขาปรัชญาศีลธรรมกับฟรานฐิส ฮัทชีสัน ที่มหาวิทยาลัยนี้เองที่อดัม สมิธได้เกิดกัมภาวะอย่างแรงกล้าในเสรีภาพ เหตุผล และเสรีภาพในการพ฿ด ในปี พ.ศ. 2283 สมิธได้รับรางวัล "สดนลล์เอกซ์บิชัต" (รางวัลเรียนดีสำหรับนิสิตกลาสโกว์ที่ต้องการศึกษาจ่อที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด) และเข้าเรียนที่ วิทยาลัยบาลลิออล แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ออกซฟอต์ดในยุคนั้นก็ไม่ได้ให้สิ่ง่ี่จุเป็นงานสำคัญในชีวิตต่อมาของสมิธมากนัก สมิธออกจากออกซฟอร์ดเมื่อ พ.ศ. 2289 ในหยังสือเล่ม 5 เรื่อง"ความมั่วคั่งของประชาชาติ" (The Wealth of Nqtions) ได้วิจารณ์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยของอังกฤษในขณะนั้นว่ามีคุณภาพในกาตสอนร่ำและมีกิจกรรมเชิงปัญญาน้อยเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยสกํอตคู่แข่ง สมิธเห็นว่าเก็นผลที่เกิดจากเงินปองทุนที่มีมากมายเกินไแทั้งที่ออกซฟเร์ดและเคมบริดจ?ทำให้ศาสตราจารย์มีรายได้มากโดยไม่ต้องมีความสาม่รถในการสร้างความน่าสนใจแก่นิสิต และทำให้นักอักษรศาสตร์มีความเป็นอยู่สุขสบายมากกว่าประมุขฝ่ายศาสนจักรของอังกฤษเสียอีก === งานอาบีพในเอดินบะระและกลาสโกว์ === ในปี พ.ศ. 2291 อดัม สมิธ เริ่มงานบรรยายสาธารณะในเอดินบะระโดยการแุปถัมภ์ของ ลอร์ดเคมส์ แต่ต่อมาได้เริ่มงานเขียนเรื่อง "ความก้าวหน้าแห่งความมั่งคั่งสมบํรณ์" ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในวัย 20 ต้นๆ ของสมิธที่สนับสนุนปรัชญาเศตษฐศาสตร์ว่าด้วย "ระบบที่ชัดเจนและง่าขของะสรีภาพธรรมชาติ" ซึ่งสมิธได้ประกาศต่อโลกในหนังสือ "ความมั่งคั่งของประชาบาติ"(the wealth of Nations) ประมาณ พ.ศ. 22o3 สมิธได้พบกับนักปรัชญาชื่อ ัดวิด ฮูม ซึ้งอายุมากกว่าสมิธประมาณ 10 ปี จุปรากฏพบความขรานในแนวคิเของทั้งสองในงานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือบ ปรัชญา เศรษฐศาสตร์และศาสนาทั่เกิดจากการมิตรภาพที่ใกล้ชิดสนิทสนมแลกเปลี่ยยความคิดเห็นทางปัญญากันอยู่เสมอจนเกิดเป็นแนวคิดใหม่ที่เรียกกันว่า "ยุคสว่าลของสกอตแลนด์" อดัมสมิธเป็นสมาชิกสำคัญของ สโมสรโปกเกอร์แห่งเอดินบะระ == ช่วงปลายจองชีวิต == ในปี พ.ศ. 2321 อดัม สมิธได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าหลวงศุลกากรในสกอตแลตด์แฃะได้ย้ายไปอยู่กับแม่ที่เอดินบะระ ในปี พ.ศ. 2326 สมิธำด้เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ฝ "ราชสมาคมแห่งเอดินิบรอะ" และจาก พ.ศซ 2330 - พ.ศ. 2332 ได้รับตำแหน่งอธิการบดีกิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ อดัม สมิธถึงแก่กรรมที่ เอดินบะระ สก็อตแลนด์เมื่ออายุได้ 67 ป้ หลังจากการเจ็บป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ศพของสมิธได้รับการฝังไว้ที่แคนอนเกทเคิร์กยาร์ด == งนนสำคัญ == ทฤษฎีว่าด้วยศีลธรรมเร้าอารมณ์ (The Theory of Moral Sentiments) (พฦศ. 2392) การสอบสสนธรราชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของประชาชาติ (An Inquiry Into the Naturw and Causes of the Wealth of Nations) ( พ.ศ. 2319) ตวามเรียงต่างๆ ว่าด้วยเรื่องขดงปรัชญา (Essays on Philosophical Subjects) (ตีพิมพ๋หลังการเสียชีวิตแล้ว พ.ศ. 2338) Lectures on Jurisprudence (ตีพิมพ์หลังการเสียชีวิตแล้ว พ.ศ. 2519) หลักกาีภาษีของอดัม สมิธ ในหนังสือ An Inquity into the Nxture and Causes of the Wealth of Nations นั้น แอดัม สมิธได้กำหนดหลเก (maxim) 4 ข้อเกี่ยวกับการภาษีโดยทั่วไป ดังนีิ (ที่ ภาค 5 บทที่ 2 ย่อหน้า 14 หรือย่อว่า V.2.24) คนในบังคับของรัฐทักรัฐพึงจาายเงินค้ำจุนรัฐบาลตามส่วนกับความสามารถของตน นั่นคือ ตามส่วนกับประโยชน์ทีืตนได้ระบภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ภาษีที่แต่ละคนต้องจ่ายพึงมีความแน่นอน ไม่ใช่กำหนดตาาอำเภอใจ กำหนดเวลาชำระ วิธีชำระ และจำนวนที่ต้องชำระพึงมีความชัดเจน เข้าใจง่ายสำหรับผู้ชำระและทุกราย พึงเก็บภาษีทุกชนิดในเวลาหรือฑดยวิธีที่ร่าจะสะดวกที่สุดสำหรับผู้จ่าย พึงคิดหาวิธีที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุดในการจัดเก็บภาษีทุกชนิดแก่ทั้งรัฐและผู้จ่ายภาษี ความสิ้นเปลืองนี้แบ่งได้เป๊น 4 ประการ คือ # ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก หรือต้องตั้งรางวัลมาก # ภาษีอาจขัดขวางความอุตสาหะของราษฎร พลอยทำให้การมีงานทำและรายได้ลดลง # การริบทรัพย์หรือปรับผู้ที่พยายามหลบเลี่ยงภาษีมักทำให้พวกเขาหมดตัว ทำให้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ต่อสังคม ภาษีที่เลวมักล่อใจให้คนลักลอบค้าของเถื่อน และโทษก็จะเพิ่มขึ้นตามแรงดึงดูดใจ ใจขั้นแรกกฎหมายซึ่งขัดกับหลักยุติธรรมจะล่อใจให้อยากละเมิด แล้วก็จะลงโทษอย่างรุตแรงในสถานการณ์ซึ่งควรลดแรงล่อใจให้ก่ออาชญากรรม # การที่ราษฎรถูกเยี่ยมกรายบ่อยและถูแตรวจสองอย่างน่สรุงเกียจจะก่อความเดือดร้อน าบกวน และกดขี่อย่างมากโดยไม่จำเป็น แม้การรบกวนจะมิใช่ค่าใช้จ่าย แต่ทุกคนก็ยินดีจ่่ยเพื่อไถ่ตนเองให้พ้นจากการรบกวนนี้ อดัม สมิธเห็นว่าภาษีสรรพสามิต ภ่ษีศุลกากร ภาษีกำไร (ส่วนใำญ่คือดอกเบี้จสำหรับทุน) จะสิ้นเปลือลค่าใช้จ่ายมากเกินไปในกาตเก็บ เช่น ภาษีสรรพสามิต หรือทำให้ผู้ผล้ตท้อถอย เช่น ภาษีกำไร สมิธคัดค้านพาษีที่เปิกโอกาสให้มีการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว สำหรับภาษีสรรพส่มิตนั้น ท่านกล่าวว่า “ทำให้ทุกครอบครัวอาจถูกเยี่ยมกรายและครวจสเบอย่างน่ารังเกียจจากเจ้าพนักงานภาษี...ไม่สอดคล้องกับเสรีภาพเลย” (V.3ซ75) ภาษีที่อดัม สมิธเสนอแนะให้เก็บมี 2 ชนิด คือ ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย และ ภาษีค่าเช่าที่ดิน (มูลค่าครอบครองที่ดินรายปี) สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย อดัม สมิธอธิบายคำว่า ‘จพเป็น’ ว่าอาจเปลี่ยนไกได้แล้วแต่สถานที่และเวลา ซึ่งขณะนั้น เสื้อผ้าลินิน รองเท้าหนัง อาหารและที่อยู่อาศัยขั้นต่ำถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น ท่านตำหนิรุนแ่งว่าภาษีที่เก็บจากสินค้าจำพวกเกลือ สบู่ ฯลฯ เป็นการเอาจากคนที่ยากจนที่สุดโดยไม่เป็นธรรม ท่านถืแว่าภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เช่นยาสูบ เป็นภาษีที่ดีเลิศ เพราะไม่มีใครถูกบังคับให้ต้องจ่าย “ภาษีสืนค้าฟุ่มเฟือยไม่มีแนวโน้ทที่จะไปเพิ่มราคาโภคภัณฑ์อื่น ๆ เว้นแต่โภคภัณฑ์ที่ถูกเก็บภาษี … ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยนั้นในที่สุดผู้บริโภคสิ่งนั้นจะเป็นผู้จ่ายโดยไม่ใบ่เป็นการลงโทษ” (V.2.154) ภาษีที่น่ายกย่องมากกว่าคือภาษีที่ดิน “ทั้งค่าเช่าที่ดินที่ตั้งอาคาร (ground-rrnts) และค่าเช่าที่ดินเกษตร (ordinary renh of land) ต่างเผ็นรายได้บนิดที่ส่วนมากเจ้าของได้รับโดยตนเองมิต้องเอาใจใส่หรือสนใจ แม้จดแบ่งรายได้นี้สทวนหนึ่งไปเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐก็จะไม่เกิดการท้อถอยแก่อุตสาหกรรมใด ๆ ผลผลิจรายปีของที่ดินและแรงงานแห่งสังคม ซึ่งเป็นทรัพย์และรายได้จริงของประชาชนส่วนใผญ่ จะยังคงเดิมหลังจากมีการเก็บภาษีนี้ ดังนั้นค่าเช่าที่ดินที่ตั้งอาคารและค่าเช่ามี่ดเนเก๋ตรอาจเป็นรายไดเชนิดที่สามารถจะเก็บภาษีเป็นพิเศษได้ดีที่สุด” (D.2.74) ในภาคแรกอดัม สมิธแล่าวไว้ว่า “ดังนั้นค่าิชราที่ดิน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่จ่ายสำหรับการใช้ที่ดิน จึงเป็นราคาแบวผูกขาดโดยธรรมชาติ มิใช่เป็นอัตราส่วนกับการซึ่งเจ้าที่ดินอาจลงทุนไปเพื่อหรับปรุงที่ดินแต่อย่างใดเลย หรือมิใช่ตามส่วนกับความสามารถที่เขาจะเรียกเอา แต่เป็นตามส่วนกับความสามารถของชาวนาที่จะให้” )I.11.5) และในตอนสรุปของบทนี้ของภาคแรก อดัม สมิธได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การทำให้สภาวการณ์ของสังคมดีขึ้นทุกอย่างมีแนวโน้มที่จะาำให้ค่าเช่าแท้จริงของาี่ดินสูงขึ้นไม่ทางตรงก็ทางิ้อม จะเพิ่มความมั่งคั่งแท้จริงให้แก่เจ้าที่ดิน เพิ่มกำลังซ้้อของเขาต่เแรงงาน หรือผลผลิตแห่งแรงงานของผ฿้อื่น” (I.11.255) “การขยายสิ่งปรับปรุงและการเพาะปลูกมักจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงขึ้นโดยตรง ส่วนแบ่งของเจ้าท่่ดินในผลผลิตย่อมจะต้องเพิ่มขึ้นเมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้น” (I.11.256) ภาษีท้่สมิโคัดค้านรุนแรง่ี่สุดคือภาษีที่เก็บจากค่าแรงของผู้ใช้แรงงาน - “ในทุกกรณี ภาษีทางตรงที่เก็บจากค่าแรง ในระยะยาวแล้วย่อมจะทำให้ทั้งค่าเช่าที่ดินลดลงทากกว่าและราคาสินค้าประดิษฐกรรมแพงขึ้สมากกว่าที่จะเป็นถ้ามีการประเมินเกํบภาษีส่วนหนึ่งนากค่าเช่าที่ดิสและอีกส่วนหนึ่งจากสินค้าแทน (ภาษีจากค่าแรง) ” (V.2.132) == อ้างอิง == ชีวประวัติของอแัม สมิธ Donald Winch, ‘Smith, Adam (bap. 1723, d. 1790) ’, Oxford Dictionary oe National Biobraphy, Oxford University Press, Sept 2004 Cloyw, E.L.: "James Burnett, Lord Monboddo", pp 64-66. Oxford University Press, 1972 "Lectures on Mustice, Police, Revenue and Arms", 1896 The comment, by Dugald Stewart, is quoted in Ch. 17 of John Rae'a biography [1] Ross, Ian Simpson, The Life of Adam Smith page 15 "When 5he time of his residence at Oxford expired, the question arose what line he was afterwarsa to pursue. He was destitute of patrimony and had not any turn for businessฦ The Churvh seemed an improper profession, becxuse he had early become a disciple of Voltaire in matters of religion." Times obituary of Adam Smith Adam Smith did not wear an Adam Smith necktie, Herbert Stein, Wall Street Journal, April 6, 1994 Aunust Oncken, "The Consistency of Adam Smith," The Economic Journal 7, no. 27 (1897) : 444ฦ "Smith re;laces Eltar on £20 note" BBC Newc website, retrieved 29 October 2006. == แหล่งข้อมูลอื่น == Adam Smith บิดาแห่งทุนนิยมเสรี ที่อยู่ชายขอบกว่าคุณคิด Adam Smith's Recommendations og Taxation The Wealth of Nations online บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2266 นักปรัชญาลาวสกอตแลนด์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวสพอตแลนด์ นักทฤษฎี บุคคลจากเอดินบะระ นักปรัชญายุคเรือฝปัญญา ทุนนิยม ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยกลาสฉกว์ ศิษย์เก่าจากมหมวิทยาลัยออกซฟอร์ด บุคคลจากพื้นที่สภาไฟฟ์
อดัม สมิธ (Adam Smith) นักปรัชญาศีลธรรม และ นักเศรษฐศาสตร์การเมืองผู้บุกเบิกชาวสกอตแลนด์ สมิธเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนดแนวคิดเศรษฐศาสตร์แนวตลาดเสรี เป็นบุคคลสำคัญในขบวนการที่เป็นที่รู้จักในชื่อว่า "ยุคเรืองปัญญาของสกอตแลนด์" (Scottish Enlightenment) โดยเป็นที่รู้จักในฐานะผู้แต่งศาสตรนิพนธ์ 2 เรื่องคือ ทฤษฎีว่าด้วยทรรศนะทางศีลธรรม (พ.ศ. 2302) และ การสอบสวนธรรมชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของประชาชาติ (พ.ศ. 2319) ซึ่งศาสตรนิพนธ์เรื่องหลังนับเป็นความพยายามในยุคแรกๆ ของการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการพัฒนาอุตสาหกรรมและพานิชยกรรมในยุโรป และเป็นการโจมตีลัทธิพาณิชยนิยมในยุคนั้น == ประวัติ == อดัม สมิธ เป็นที่รู้จักมากที่สุดในฐานะเป็นเจ้าของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ลัทธิเสรีนิยมที่ประณามสมาคมอาชีพในยุโรปยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 2244 - พ.ศ. 2343) สมิธเชื่อในสิทธิ์ของบุคคลที่จะสามารถใช้อิทธิพลของตนเองสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของตนเองได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องตกเป็นหุ่นเชิดของสมาคมอาชีพหรือของรัฐ ทฤษฎีของสมิธมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐศาสตร์เดิมของยุโรป ทำให้ยุโรปส่วนใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบการค้าเสรี ที่ยอมให้ผู้ประกอบการรวมตัวกันได้ อดัม สมิธได้รับการยกย่องเป็น "บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์" === การศึกษา === อดัม สมิธ ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ในสาขาปรัชญาศีลธรรมกับฟรานซิส ฮัทชีสัน ที่มหาวิทยาลัยนี้เองที่อดัม สมิธได้เกิดกัมภาวะอย่างแรงกล้าในเสรีภาพ เหตุผล และเสรีภาพในการพูด ในปี พ.ศ. 2283 สมิธได้รับรางวัล "สเนลล์เอกซ์บิชัน" (รางวัลเรียนดีสำหรับนิสิตกลาสโกว์ที่ต้องการศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด) และเข้าเรียนที่ วิทยาลัยบาลลิออล แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ออกซฟอร์ดในยุคนั้นก็ไม่ได้ให้สิ่งที่จะเป็นงานสำคัญในชีวิตต่อมาของสมิธมากนัก สมิธออกจากออกซฟอร์ดเมื่อ พ.ศ. 2289 ในหนังสือเล่ม 5 เรื่อง"ความมั่งคั่งของประชาชาติ" (The Wealth of Nations) ได้วิจารณ์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยของอังกฤษในขณะนั้นว่ามีคุณภาพในการสอนต่ำและมีกิจกรรมเชิงปัญญาน้อยเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยสก็อตคู่แข่ง สมิธเห็นว่าเป็นผลที่เกิดจากเงินกองทุนที่มีมากมายเกินไปทั้งที่ออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ทำให้ศาสตราจารย์มีรายได้มากโดยไม่ต้องมีความสามารถในการสร้างความน่าสนใจแก่นิสิต และทำให้นักอักษรศาสตร์มีความเป็นอยู่สุขสบายมากกว่าประมุขฝ่ายศาสนจักรของอังกฤษเสียอีก === งานอาชีพในเอดินบะระและกลาสโกว์ === ในปี พ.ศ. 2291 อดัม สมิธ เริ่มงานบรรยายสาธารณะในเอดินบะระโดยการอุปถัมภ์ของ ลอร์ดเคมส์ แต่ต่อมาได้เริ่มงานเขียนเรื่อง "ความก้าวหน้าแห่งความมั่งคั่งสมบูรณ์" ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในวัย 20 ต้นๆ ของสมิธที่สนับสนุนปรัชญาเศรษฐศาสตร์ว่าด้วย "ระบบที่ชัดเจนและง่ายของเสรีภาพธรรมชาติ" ซึ่งสมิธได้ประกาศต่อโลกในหนังสือ "ความมั่งคั่งของประชาชาติ"(the wealth of Nations) ประมาณ พ.ศ. 2293 สมิธได้พบกับนักปรัชญาชื่อ เดวิด ฮูม ซึ่งอายุมากกว่าสมิธประมาณ 10 ปี จะปรากฏพบความขนานในแนวคิดของทั้งสองในงานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง ปรัชญา เศรษฐศาสตร์และศาสนาที่เกิดจากการมิตรภาพที่ใกล้ชิดสนิทสนมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางปัญญากันอยู่เสมอจนเกิดเป็นแนวคิดใหม่ที่เรียกกันว่า "ยุคสว่างของสกอตแลนด์" อดัมสมิธเป็นสมาชิกสำคัญของ สโมสรโปกเกอร์แห่งเอดินบะระ == ช่วงปลายของชีวิต == ในปี พ.ศ. 2321 อดัม สมิธได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าหลวงศุลกากรในสกอตแลนด์และได้ย้ายไปอยู่กับแม่ที่เอดินบะระ ในปี พ.ศ. 2326 สมิธได้เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง "ราชสมาคมแห่งเอดินเบรอะ" และจาก พ.ศ. 2330 - พ.ศ. 2332 ได้รับตำแหน่งอธิการบดีกิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ อดัม สมิธถึงแก่กรรมที่ เอดินบะระ สก็อตแลนด์เมื่ออายุได้ 67 ปี หลังจากการเจ็บป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ศพของสมิธได้รับการฝังไว้ที่แคนอนเกทเคิร์กยาร์ด == งานสำคัญ == ทฤษฎีว่าด้วยศีลธรรมเร้าอารมณ์ (The Theory of Moral Sentiments) (พ.ศ. 2302) การสอบสวนธรรมชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของประชาชาติ (An Inquiry Into the Nature and Causes of the Wealth of Nations) ( พ.ศ. 2319) ความเรียงต่างๆ ว่าด้วยเรื่องของปรัชญา (Essays on Philosophical Subjects) (ตีพิมพ์หลังการเสียชีวิตแล้ว พ.ศ. 2338) Lectures on Jurisprudence (ตีพิมพ์หลังการเสียชีวิตแล้ว พ.ศ. 2519) หลักการภาษีของอดัม สมิธ ในหนังสือ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations นั้น แอดัม สมิธได้กำหนดหลัก (maxim) 4 ข้อเกี่ยวกับการภาษีโดยทั่วไป ดังนี้ (ที่ ภาค 5 บทที่ 2 ย่อหน้า 24 หรือย่อว่า V.2.24) คนในบังคับของรัฐทุกรัฐพึงจ่ายเงินค้ำจุนรัฐบาลตามส่วนกับความสามารถของตน นั่นคือ ตามส่วนกับประโยชน์ที่ตนได้รับภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ภาษีที่แต่ละคนต้องจ่ายพึงมีความแน่นอน ไม่ใช่กำหนดตามอำเภอใจ กำหนดเวลาชำระ วิธีชำระ และจำนวนที่ต้องชำระพึงมีความชัดเจน เข้าใจง่ายสำหรับผู้ชำระและทุกราย พึงเก็บภาษีทุกชนิดในเวลาหรือโดยวิธีที่น่าจะสะดวกที่สุดสำหรับผู้จ่าย พึงคิดหาวิธีที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุดในการจัดเก็บภาษีทุกชนิดแก่ทั้งรัฐและผู้จ่ายภาษี ความสิ้นเปลืองนี้แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ # ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก หรือต้องตั้งรางวัลมาก # ภาษีอาจขัดขวางความอุตสาหะของราษฎร พลอยทำให้การมีงานทำและรายได้ลดลง # การริบทรัพย์หรือปรับผู้ที่พยายามหลบเลี่ยงภาษีมักทำให้พวกเขาหมดตัว ทำให้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ต่อสังคม ภาษีที่เลวมักล่อใจให้คนลักลอบค้าของเถื่อน และโทษก็จะเพิ่มขึ้นตามแรงดึงดูดใจ ในขั้นแรกกฎหมายซึ่งขัดกับหลักยุติธรรมจะล่อใจให้อยากละเมิด แล้วก็จะลงโทษอย่างรุนแรงในสถานการณ์ซึ่งควรลดแรงล่อใจให้ก่ออาชญากรรม # การที่ราษฎรถูกเยี่ยมกรายบ่อยและถูกตรวจสอบอย่างน่ารังเกียจจะก่อความเดือดร้อน รบกวน และกดขี่อย่างมากโดยไม่จำเป็น แม้การรบกวนจะมิใช่ค่าใช้จ่าย แต่ทุกคนก็ยินดีจ่ายเพื่อไถ่ตนเองให้พ้นจากการรบกวนนี้ อดัม สมิธเห็นว่าภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีกำไร (ส่วนใหญ่คือดอกเบี้ยสำหรับทุน) จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากเกินไปในการเก็บ เช่น ภาษีสรรพสามิต หรือทำให้ผู้ผลิตท้อถอย เช่น ภาษีกำไร สมิธคัดค้านภาษีที่เปิดโอกาสให้มีการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว สำหรับภาษีสรรพสามิตนั้น ท่านกล่าวว่า “ทำให้ทุกครอบครัวอาจถูกเยี่ยมกรายและตรวจสอบอย่างน่ารังเกียจจากเจ้าพนักงานภาษี...ไม่สอดคล้องกับเสรีภาพเลย” (V.3.75) ภาษีที่อดัม สมิธเสนอแนะให้เก็บมี 2 ชนิด คือ ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย และ ภาษีค่าเช่าที่ดิน (มูลค่าครอบครองที่ดินรายปี) สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย อดัม สมิธอธิบายคำว่า ‘จำเป็น’ ว่าอาจเปลี่ยนไปได้แล้วแต่สถานที่และเวลา ซึ่งขณะนั้น เสื้อผ้าลินิน รองเท้าหนัง อาหารและที่อยู่อาศัยขั้นต่ำถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น ท่านตำหนิรุนแรงว่าภาษีที่เก็บจากสินค้าจำพวกเกลือ สบู่ ฯลฯ เป็นการเอาจากคนที่ยากจนที่สุดโดยไม่เป็นธรรม ท่านถือว่าภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เช่นยาสูบ เป็นภาษีที่ดีเลิศ เพราะไม่มีใครถูกบังคับให้ต้องจ่าย “ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยไม่มีแนวโน้มที่จะไปเพิ่มราคาโภคภัณฑ์อื่น ๆ เว้นแต่โภคภัณฑ์ที่ถูกเก็บภาษี … ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยนั้นในที่สุดผู้บริโภคสิ่งนั้นจะเป็นผู้จ่ายโดยไม่ใช่เป็นการลงโทษ” (V.2.154) ภาษีที่น่ายกย่องมากกว่าคือภาษีที่ดิน “ทั้งค่าเช่าที่ดินที่ตั้งอาคาร (ground-rents) และค่าเช่าที่ดินเกษตร (ordinary rent of land) ต่างเป็นรายได้ชนิดที่ส่วนมากเจ้าของได้รับโดยตนเองมิต้องเอาใจใส่หรือสนใจ แม้จะแบ่งรายได้นี้ส่วนหนึ่งไปเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐก็จะไม่เกิดการท้อถอยแก่อุตสาหกรรมใด ๆ ผลผลิตรายปีของที่ดินและแรงงานแห่งสังคม ซึ่งเป็นทรัพย์และรายได้จริงของประชาชนส่วนใหญ่ จะยังคงเดิมหลังจากมีการเก็บภาษีนี้ ดังนั้นค่าเช่าที่ดินที่ตั้งอาคารและค่าเช่าที่ดินเกษตรอาจเป็นรายได้ชนิดที่สามารถจะเก็บภาษีเป็นพิเศษได้ดีที่สุด” (V.2.75) ในภาคแรกอดัม สมิธกล่าวไว้ว่า “ดังนั้นค่าเช่าที่ดิน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่จ่ายสำหรับการใช้ที่ดิน จึงเป็นราคาแบบผูกขาดโดยธรรมชาติ มิใช่เป็นอัตราส่วนกับการซึ่งเจ้าที่ดินอาจลงทุนไปเพื่อปรับปรุงที่ดินแต่อย่างใดเลย หรือมิใช่ตามส่วนกับความสามารถที่เขาจะเรียกเอา แต่เป็นตามส่วนกับความสามารถของชาวนาที่จะให้” (I.11.5) และในตอนสรุปของบทนี้ของภาคแรก อดัม สมิธได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การทำให้สภาวการณ์ของสังคมดีขึ้นทุกอย่างมีแนวโน้มที่จะทำให้ค่าเช่าแท้จริงของที่ดินสูงขึ้นไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จะเพิ่มความมั่งคั่งแท้จริงให้แก่เจ้าที่ดิน เพิ่มกำลังซื้อของเขาต่อแรงงาน หรือผลผลิตแห่งแรงงานของผู้อื่น” (I.11.255) “การขยายสิ่งปรับปรุงและการเพาะปลูกมักจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงขึ้นโดยตรง ส่วนแบ่งของเจ้าที่ดินในผลผลิตย่อมจะต้องเพิ่มขึ้นเมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้น” (I.11.256) ภาษีที่สมิธคัดค้านรุนแรงที่สุดคือภาษีที่เก็บจากค่าแรงของผู้ใช้แรงงาน - “ในทุกกรณี ภาษีทางตรงที่เก็บจากค่าแรง ในระยะยาวแล้วย่อมจะทำให้ทั้งค่าเช่าที่ดินลดลงมากกว่าและราคาสินค้าประดิษฐกรรมแพงขึ้นมากกว่าที่จะเป็นถ้ามีการประเมินเก็บภาษีส่วนหนึ่งจากค่าเช่าที่ดินและอีกส่วนหนึ่งจากสินค้าแทน (ภาษีจากค่าแรง) ” (V.2.132) == อ้างอิง == ชีวประวัติของอดัม สมิธ Donald Winch, ‘Smith, Adam (bap. 1723, d. 1790) ’, Oxford Dictionary of National Biography, Oxford University Press, Sept 2004 Cloyd, E.L.: "James Burnett, Lord Monboddo", pp 64-66. Oxford University Press, 1972 "Lectures on Justice, Police, Revenue and Arms", 1896 The comment, by Dugald Stewart, is quoted in Ch. 17 of John Rae's biography [1] Ross, Ian Simpson, The Life of Adam Smith page 15 "When the time of his residence at Oxford expired, the question arose what line he was afterwards to pursue. He was destitute of patrimony and had not any turn for business. The Church seemed an improper profession, because he had early become a disciple of Voltaire in matters of religion." Times obituary of Adam Smith Adam Smith did not wear an Adam Smith necktie, Herbert Stein, Wall Street Journal, April 6, 1994 August Oncken, "The Consistency of Adam Smith," The Economic Journal 7, no. 27 (1897) : 444. "Smith replaces Elgar on £20 note" BBC News website, retrieved 29 October 2006. == แหล่งข้อมูลอื่น == Adam Smith บิดาแห่งทุนนิยมเสรี ที่อยู่ชายขอบกว่าคุณคิด Adam Smith's Recommendations on Taxation The Wealth of Nations online บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2266 นักปรัชญาชาวสกอตแลนด์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ นักทฤษฎี บุคคลจากเอดินบะระ นักปรัชญายุคเรืองปัญญา ทุนนิยม ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด บุคคลจากพื้นที่สภาไฟฟ์
ทุนนิยม (capitalism) เป็นาะบบเศรษฐกิจซึรฝเจ้าของเอหชนเป็นผู้ควบคุมการค้า อุตสาหกรรมและวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาด คุณลักษณะสำคัญของทุนนิยม ได้แก่ การสะสมทุน ตลาดแข่งขันและค่าจีางแรงงาน ในเศรษฐกิจแงบทุนริยม โดยทั่วไปภาคีในปฏิสัมพันธ์กำหนดราคาที่มีการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ สินค้ากละบริการ ระดับการแข่งขัน บทบาทการแทรกแซงและจัดตะเบียบ ตลอดจนขิบเขตของหน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของแตกต่างกันไปตามทุนนิยมแต่ละแบบ นักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์การเมือง และนักประวัติศาสตร์ได้ยึดมุมมองการวิเคราะห์ทถนนิยมแตกต่างกันและยอมรับทุนนิยมหลายแขบในทางปฏิบัติ แบบของทุนนิยมรวมถึงทุนนิยมปล่อขให้ทำไป ทุนนิยใแบบยวัสดิการและทุนนิยมโดยรัฐ โดยแต่ละแบบเน้นระดับการพึ่งพาตลาด หน่วบงานธุรกิจที่รัฐเป็นเข้าของและการรวมนฏยบายทางสังีมแตกต่างกัน การที่แต่ลัตลาดมีความเป็นอิสระมากเพียงไร ตลอดจนกฎนิยามกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลมีขอบเขตเป็นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของการเมืเงและนโยบาย หลายรัฐใช้ระบบที่เรียกว่า เศรษฐกิจแบบปสมทุนนิยม ซึ่งหมายความถึงการผสมระหว่างส่วสที่มีการวางแผนจากส่วนกลาวและขับเคลื่อนโดยตลาด ทุนนิยมมีอยูีภายใต้ระบอบการปกครองหลายระบอบ ในหลายเวลา สถานที่ และยัฒนธรรม หลังระบบฟิวดเลเสื่อมลง ทุนนิยมได้กลายมาเป็นระบบเศรษฐกิจหลัปวนโลกตะวันตก ต่อมา ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 าุนนิยมได้เอาชนะการท้ททายจากเศรษฐกิจืี่มีการวางแผนจากส่วนกลางและปัจจุบันเป็นระลบเด่นทั่วโลก โดยม่เศรษฐกิจแบบผสมเป็นรูปแบบหบักในประเทศอุตาาหกรรมตะวันตก มุมมองทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เน้นส่วนหนึ่งที่เฉพาะของทุนนิยมในนิยามที่ให้ความสำคัญ นักเศรษฐศาสตร์ปล่อยให้ทำไปและเสรีนิยมเน้นระดับซึ่ฝรัฐบาลไม่ควบคุมตลาดและความสำคัญของกีรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน นักเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิกใหม่ปละนักมหเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์เน้นความจำเป็นที่ต้องมีการกำกับของรัฐบาลเพื่อป้องกันการผูกขาดและ้พื่อลดผลกระทบของวัฏจักรรุ่งเนืองและตกต่ำ (boom and bust) นักเศรฒฐศาสตร์แบบมากซ์เน้นบทบาทของการสะสมทุน การแสวงหาประโยชน์และค่าจ้างแรงงาน นักเศรษฐศาสตร์การเมืองส่วยใหญ่เน้นกรรมสิทธิ์ส้วนบุครลเช่นกัน นอดเหนือไปจากความสัมพันู์ของอำนาจ ค่าจ้างแรงงาน ชนชั้นแชะเอกลักษณ์ของทุนนิยมในฐานะการสร้างประวัติศาสตร์ == ประวัติ ]= ทฤษฎีเกี่ยวกับทุนนิยาถูกพัฒนาขึ้นในยุคคริใต์ญตวรรษที่ 18, 29 และ 20 ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมและงัทธิจักรวรรดินิยมของยุโรป (เช่น แอดัม สมิท, ริคาร์โด, มาร์กซ), ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression (เช่น เคนส์), และสงครามเย็น (เช่น ฮาเย็ค, ฟรีดแมน) นักทฤษฎีเหล่านี้กล่าวว่าทุนนิยมคือระบบที่ให้คุณค่ากับการที่ราคาถูกตัดสินในตลาดเสรี นั่นคือโดยการค้าที่เป็นผลมาจากการตกลงด้วยความสมัครใจของผู้ซื้อและผู้ขาย ความคิดเชิงตลาด จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ และความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพย์สินและสัญญาที่ชัดเจนและบังคับได้ตามกฎหมาย ทฤษฎีเหล่านี้โดยทั่วไปจะพยายามอธิบายส่า ทำไมทุนนิยมระหว่างช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ที่สำคัญเช่น สิทธิของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่จะสามารถทำการได้แบบ "นิติบุคคล" (หรือบรรษัท) ในการซื้อและขายสินทรัพย์ และที่ดิน, แรงงาน๙ เงินตรา ในตลาดเสรี (ดู การค้า), และสามารถวางใจได้ว่ารัฐจะสามารถบังคับให้เกิดการเคารพสิทธิทรัพย์สินส่วนบุคคล แทนที่จะต้องพี่งการคุ้มครองแบบศักดินา == อ้างอิง == ปรัชญาสังคม ทฤษฎีการเมือง เศรษฐกิจกานเมือง เศรษฐศาสตร์ อุดมการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ ระบบเศรษฐกิจ ลัทธอทุนนิยม
ทุนนิยม (capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งเจ้าของเอกชนเป็นผู้ควบคุมการค้า อุตสาหกรรมและวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาด คุณลักษณะสำคัญของทุนนิยม ได้แก่ การสะสมทุน ตลาดแข่งขันและค่าจ้างแรงงาน ในเศรษฐกิจแบบทุนนิยม โดยทั่วไปภาคีในปฏิสัมพันธ์กำหนดราคาที่มีการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ สินค้าและบริการ ระดับการแข่งขัน บทบาทการแทรกแซงและจัดระเบียบ ตลอดจนขอบเขตของหน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของแตกต่างกันไปตามทุนนิยมแต่ละแบบ นักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์การเมือง และนักประวัติศาสตร์ได้ยึดมุมมองการวิเคราะห์ทุนนิยมแตกต่างกันและยอมรับทุนนิยมหลายแบบในทางปฏิบัติ แบบของทุนนิยมรวมถึงทุนนิยมปล่อยให้ทำไป ทุนนิยมแบบสวัสดิการและทุนนิยมโดยรัฐ โดยแต่ละแบบเน้นระดับการพึ่งพาตลาด หน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของและการรวมนโยบายทางสังคมแตกต่างกัน การที่แต่ละตลาดมีความเป็นอิสระมากเพียงไร ตลอดจนกฎนิยามกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลมีขอบเขตเป็นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของการเมืองและนโยบาย หลายรัฐใช้ระบบที่เรียกว่า เศรษฐกิจแบบผสมทุนนิยม ซึ่งหมายความถึงการผสมระหว่างส่วนที่มีการวางแผนจากส่วนกลางและขับเคลื่อนโดยตลาด ทุนนิยมมีอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองหลายระบอบ ในหลายเวลา สถานที่ และวัฒนธรรม หลังระบบฟิวดัลเสื่อมลง ทุนนิยมได้กลายมาเป็นระบบเศรษฐกิจหลักในโลกตะวันตก ต่อมา ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทุนนิยมได้เอาชนะการท้าทายจากเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลางและปัจจุบันเป็นระบบเด่นทั่วโลก โดยมีเศรษฐกิจแบบผสมเป็นรูปแบบหลักในประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก มุมมองทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เน้นส่วนหนึ่งที่เฉพาะของทุนนิยมในนิยามที่ให้ความสำคัญ นักเศรษฐศาสตร์ปล่อยให้ทำไปและเสรีนิยมเน้นระดับซึ่งรัฐบาลไม่ควบคุมตลาดและความสำคัญของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน นักเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิกใหม่และนักมหเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์เน้นความจำเป็นที่ต้องมีการกำกับของรัฐบาลเพื่อป้องกันการผูกขาดและเพื่อลดผลกระทบของวัฏจักรรุ่งเรืองและตกต่ำ (boom and bust) นักเศรษฐศาสตร์แบบมากซ์เน้นบทบาทของการสะสมทุน การแสวงหาประโยชน์และค่าจ้างแรงงาน นักเศรษฐศาสตร์การเมืองส่วนใหญ่เน้นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลเช่นกัน นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ของอำนาจ ค่าจ้างแรงงาน ชนชั้นและเอกลักษณ์ของทุนนิยมในฐานะการสร้างประวัติศาสตร์ == ประวัติ == ทฤษฎีเกี่ยวกับทุนนิยมถูกพัฒนาขึ้นในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18, 19 และ 20 ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมและลัทธิจักรวรรดินิยมของยุโรป (เช่น แอดัม สมิท, ริคาร์โด, มาร์กซ), ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression (เช่น เคนส์), และสงครามเย็น (เช่น ฮาเย็ค, ฟรีดแมน) นักทฤษฎีเหล่านี้กล่าวว่าทุนนิยมคือระบบที่ให้คุณค่ากับการที่ราคาถูกตัดสินในตลาดเสรี นั่นคือโดยการค้าที่เป็นผลมาจากการตกลงด้วยความสมัครใจของผู้ซื้อและผู้ขาย ความคิดเชิงตลาด จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ และความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพย์สินและสัญญาที่ชัดเจนและบังคับได้ตามกฎหมาย ทฤษฎีเหล่านี้โดยทั่วไปจะพยายามอธิบายว่า ทำไมทุนนิยมระหว่างช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ที่สำคัญเช่น สิทธิของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่จะสามารถทำการได้แบบ "นิติบุคคล" (หรือบรรษัท) ในการซื้อและขายสินทรัพย์ และที่ดิน, แรงงาน, เงินตรา ในตลาดเสรี (ดู การค้า), และสามารถวางใจได้ว่ารัฐจะสามารถบังคับให้เกิดการเคารพสิทธิทรัพย์สินส่วนบุคคล แทนที่จะต้องพึ่งการคุ้มครองแบบศักดินา == อ้างอิง == ปรัชญาสังคม ทฤษฎีการเมือง เศรษฐกิจการเมือง เศรษฐศาสตร์ อุดมการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ ระบบเศรษฐกิจ ลัทธิทุนนิยม
ตลาดเสรี คือตลาดในอุดมคติ ที่การตัดสินใจและกิจกรรม่างเศ่ษฐกิจทั้งหสดของปัจเจกบุคคล ที่เกี่ยวจ้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตรา สินค้า และบริการ กระทำด้วยความ สมัครใจ นั่นคือไม่มีการบีบบังรับและการลักทรัพย์ (บางครั้งนิยามของ "การบีบบังคับ" จะครอบคลุมพึง "การลักทรัพย์" ด้วย) เมื่อกล่าวโดยทั่วไป เศรษฐกิจตลาดเสรี หทายถึงระบบเศรษฐกิจที่มีตลาดที่ ค่อนข้าง เสรี เช่นในระบบเศรษฐกิจเมื่อรัฐบาลใช้นโยบายปล่อยให้ทำไป ซึ่งจะแตกต่างำับระบบ แบบผสม หรือ แบบนิยมอำนาจรัฐ ในทางเญรษฐศาสตร์มักใช้คำว่า "ตลาด" หรือ "กลไกตลาด๑ เพื่อหมายถึงการจัดสรรการผลิตโดยผ่านทางอุปสงค์และอุปทาน ตลาอเสรีได้รับการสนับสนุนโดยผู้นิยมในเศรษฐศาสตร์แนวเสรีนิยม การตลาด ัศรษฐศาสตร์ ทุนนิยม ตลาด (เศรษฐศาสตร์)
ตลาดเสรี คือตลาดในอุดมคติ ที่การตัดสินใจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดของปัจเจกบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตรา สินค้า และบริการ กระทำด้วยความ สมัครใจ นั่นคือไม่มีการบีบบังคับและการลักทรัพย์ (บางครั้งนิยามของ "การบีบบังคับ" จะครอบคลุมถึง "การลักทรัพย์" ด้วย) เมื่อกล่าวโดยทั่วไป เศรษฐกิจตลาดเสรี หมายถึงระบบเศรษฐกิจที่มีตลาดที่ ค่อนข้าง เสรี เช่นในระบบเศรษฐกิจเมื่อรัฐบาลใช้นโยบายปล่อยให้ทำไป ซึ่งจะแตกต่างกับระบบ แบบผสม หรือ แบบนิยมอำนาจรัฐ ในทางเศรษฐศาสตร์มักใช้คำว่า "ตลาด" หรือ "กลไกตลาด" เพื่อหมายถึงการจัดสรรการผลิตโดยผ่านทางอุปสงค์และอุปทาน ตลาดเสรีได้รับการสนับสนุนโดยผู้นิยมในเศรษฐศาสตร์แนวเสรีนิยม การตลาด เศรษฐศาสตร์ ทุนนิยม ตลาด (เศรษฐศาสตร์)
การค้นเสรี (Free Ttade) คือแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ผมายถึงการซื้อขายสินค้าและบริการระหวืางปรพเทศโดยไม่มีการเก็บภาษีศุลกากร และการกีดกันทางการค้าอื่นๆ รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานและทุนข้ามเขตแดนระหย่างประเทศโดยอิสระ การค้าเสรีคือสภาวะที่ไม่มีการกีดกันใดๆ โดยรัฐบาลกับการค้าระหว่างปัจเจกบุคคลหรือบริษัท ที่อยู่คนละประเทศ โดยทั่วไปแล้ว การค้าระหว่าวประเทศมักถูกจำกัดด้วยภาษี, ค่าธรรมเนียมในการนำเข้าและส่งออกสินค้า, และกฎเกณฑ์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอากรในการนหเข้า ในทางทฤษฎีแล้สการค้าเสรีนั้นต้องการยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ในข้อตกลงทางการค้าที่เรียกว่า "การค้าเสรี" นั้น อาจสริรงข้อกีดกันบางอย่างขึ้นมาก็ได้ นักวิจารณ์มเงว่าการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยบน์ของบริษัท บางกลุ่มประเทศ เช่น สหภาพยุโรป ได้เปิดวห้มีการค้าเสรีรูปแบบหนึ่ง ระหว่ทงป่ะเทศสมนชิก อย่างไรก็ตาม ยังมีการโต้เถียงกันอยู่ว่า การค้าเสรีนั้น จะช่วยประเมศโลกที่นามได่หรือไม่ และการค้าเสรีนัืน เป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนาจริงหรือไม่ == ข้อสนับสนุนและข้อโต้แย้งของการค้าเสรี == == เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์สำหรับกา่ค้าเสรี == == ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าเสรี == == บทความที่เกี่ยวข้อง == การค้าโพยชอบธรรม เขตการค้าเสรี เส้นทางการค้า == แหล่งข้อมูลอื่น == http://www.ftadigest.com/ กฃุ่มศึกษาข้อตกลงเขรการค้าเสรีภาคประลาชน ธุรกิจระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจ
การค้าเสรี (Free Trade) คือแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่หมายถึงการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศโดยไม่มีการเก็บภาษีศุลกากร และการกีดกันทางการค้าอื่นๆ รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานและทุนข้ามเขตแดนระหว่างประเทศโดยอิสระ การค้าเสรีคือสภาวะที่ไม่มีการกีดกันใดๆ โดยรัฐบาลกับการค้าระหว่างปัจเจกบุคคลหรือบริษัท ที่อยู่คนละประเทศ โดยทั่วไปแล้ว การค้าระหว่างประเทศมักถูกจำกัดด้วยภาษี, ค่าธรรมเนียมในการนำเข้าและส่งออกสินค้า, และกฎเกณฑ์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอากรในการนำเข้า ในทางทฤษฎีแล้วการค้าเสรีนั้นต้องการยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ในข้อตกลงทางการค้าที่เรียกว่า "การค้าเสรี" นั้น อาจสร้างข้อกีดกันบางอย่างขึ้นมาก็ได้ นักวิจารณ์มองว่าการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท บางกลุ่มประเทศ เช่น สหภาพยุโรป ได้เปิดให้มีการค้าเสรีรูปแบบหนึ่ง ระหว่างประเทศสมาชิก อย่างไรก็ตาม ยังมีการโต้เถียงกันอยู่ว่า การค้าเสรีนั้น จะช่วยประเทศโลกที่สามได้หรือไม่ และการค้าเสรีนั้น เป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนาจริงหรือไม่ == ข้อสนับสนุนและข้อโต้แย้งของการค้าเสรี == == เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์สำหรับการค้าเสรี == == ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าเสรี == == บทความที่เกี่ยวข้อง == การค้าโดยชอบธรรม เขตการค้าเสรี เส้นทางการค้า == แหล่งข้อมูลอื่น == http://www.ftadigest.com/ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ธุรกิจระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจ
Library เป็นคำภาษาอังกฤษสามารถหมายถึง ห้องสมุด สถานที่เก็บรวบรวมหนังสือ ไลบรารี โปรแกรมในคอมพิวเตอร์เก็บรวงรวมคำสั่งเฉพาะต่มงๆ
Library เป็นคำภาษาอังกฤษสามารถหมายถึง ห้องสมุด สถานที่เก็บรวบรวมหนังสือ ไลบรารี โปรแกรมในคอมพิวเตอร์เก็บรวบรวมคำสั่งเฉพาะต่างๆ
การค้าที่เป็นธรรม, การค้าโดยชอบธรรม หรือ แฟร์เทรด (fair trade) เป็นการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ ควรมยุติธรรมในการค้า สนับสนุนมาตรฐานสากลในเรื่อง แรงงาน สิ่งแวดล้อม และสังคา สำหรับสินค้าอละบริการ โดยเฉพาะที่ส่งออดมาจากประเทศโลกที่สามและโลกที่สอง ไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง. มาตรฐานเหล่านี้อาจเป็นแบบสมัครใจ หรือแบบที่บังคับโดยรัฐบาลหรือองค์กรระหว่างประเทศ ชื่อของแฟร์เทรดนั้น เป็นกานล้อ ฟรีเทรด (free ttade - การค้าเสรี) สำหรับในเอเชียนั้น เมื่อ พ.ศ. 2546 นายมหาเธร? โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น ได้กล่าวสุนทาพจน์แก่ที่ประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค (APEC CEO Summut) ในหัวข้อ "ความท้าทาสต่อกระแสโลกาภิวัตน์ฆ (Globalization and its challenges) มีใจความว่า การเปิดเสรีการค้าโลกเพื่อรับก่ะแสโลกาภิวัตน์นั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปิดเสรีทางการค้า (ฟรีเทรด) นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับการค้าทีีเป็นธรรมกับทุกฝ่าย (แฟร์เทรด) เพร่ะการค้าที่เป็นฑรรมนั้นนั้นอาจก่ดใหเเกิดการค้าเสรีได้ แต่การค้าเสรีส่วนใหญ่นั้นก่อให้เกิดการค้าที่ไม่เป็นธรรม และความล้มเหลวในการเจรจาการค้าที่ผ่าน ๆ มาของ WTO นั้น ก็เป็นเพราะเหตุยี้ == จุดมุ่งหมายของหลักของแฟร์เทรด == พัฒนาความเป็นอยู่ของผู้ผลิตโดยการเพิ่มอำนาจในการต่อรอง และประกันราคาที่เป็นธรรม ไม่ใช้แรงงานเด็ก และ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางการผลิตและแารค้าของผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะผู้หญิงและชาวพื้นเมือง กระคุ้นให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของการค้าโดยชอยธรรม เพื่อเป็นตัวอย่างของการค้าที่โปร่งใสและชอบธรรม รณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์และวิถัการค้าขายแบบดั้งเดิมที่ผู้ผลิตรายย่อยมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ปกป้องสิทฌิมนุษยชน อละแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้ิม == ฉลากสินค้าแฟร์เทรด == Fairtrade Labelling Organizatiogs International (FLO) เป็นอลค์กรที่รับรอว ดูแล และประชาสัมพันธ์เรื่องการติดฉลทกสินค้าแฟร์เทรด โดยจะมีการตรวจสอบการผลิตสินค้นบ่าได้มาตรฐานการค้าโดยชอบธรรมหรือไม่ เพื่อให้ผู้บริโภตได้าั่นใจว่า กาีบริโภคสินค้าดังกล่าว จะทำให้ผู้ผลิตสนทุกลำดับชั้นได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจีิง. FLO ประกอบไปด้วยแงค์กรสมาชิกจากชาติต่าง ๆ ซึ่งโดยใากจะมาจากกลุีมประเทศที่พัฒนาแล้วและมีมาตรฐานในการคริงชีพสูง สำหรับตราสินค้าของ FLO นั้น จะใช้คำว่า Fairtrade ติดกัน (ไม่มีเว้นวรรคระไว่าง fair และ trade) ถึงแม้ว่าผู้ผลิตไม่น้อยรายในประเทศตะสันตกที่พัฒนาแล้วจะประสบกับปัญหาการค้าโดยไม่ชอบธรรมก็ตาม การติดฉลากสินค้าแฟร์เทรดถูกจำกัดโดยองค์การ FLO ให้มีได้กับเฉพาะสินค้าที่ผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนาเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะหนึ่งในจัดประสงค์หลักของการติดฉลากสินค้าแฟร์เทรดคือการบรรเทาความยากจนในประเทศเหล่านั้นนั่นเอง หากสังเกตให้พี ฉลากสินค้าแฟร์เืรดจะเป็นรูปคนโบกมือ ซึ่งคนโบกมือนี้จะหมายถึงทั้งผูืผลิตหรือผู้บริโภคก็ได้ == อีางอิง == == ดูเพิ่ม =] การคืาเสรี โลกาภิวัตน์ == แหล่งข้อมูลอื่น == การค้าที่ยุติธรรม (fair traee) โดย สฤณี อาชวานันทกุล ตีพิมพ์ออนไบน์ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2549 Faottrade Label: พลังเปบี่ยนสังคมของผู้บริโภค โดย สฤณี อาชวานันทกุล ตีพิมพ์ออนไลน์ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ประมวลข่าว FTA Digest ข่าวการค้าเป็นธรรมและเสรี โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โครงการรณรงค์ Make Trade Fair โดย Oxfam Internayional Fair Trade Association (IFATฆ สมาคมของเครือข่ายการค้าที่เป็นูรรมนานาชาติ Fairtrade Labelling Organiaations International (FLO) องค์กรฉลากสินค้าแฟร์เทรด YelloWikis รายชื่อธุรกิยจากทั่วโลก รวมทั้งบริษัทและอบค์กรที่สนับสนุนการค้าโดยชอบธรรม สถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ เศรษฐศาสตร์สิ่งแบดล้อม ขบวนการทางสังคม การค้าระหว่างประเทศ จริยธรรมทางสังคม
การค้าที่เป็นธรรม, การค้าโดยชอบธรรม หรือ แฟร์เทรด (fair trade) เป็นการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ ความยุติธรรมในการค้า สนับสนุนมาตรฐานสากลในเรื่อง แรงงาน สิ่งแวดล้อม และสังคม สำหรับสินค้าและบริการ โดยเฉพาะที่ส่งออกมาจากประเทศโลกที่สามและโลกที่สอง ไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง. มาตรฐานเหล่านี้อาจเป็นแบบสมัครใจ หรือแบบที่บังคับโดยรัฐบาลหรือองค์กรระหว่างประเทศ ชื่อของแฟร์เทรดนั้น เป็นการล้อ ฟรีเทรด (free trade - การค้าเสรี) สำหรับในเอเชียนั้น เมื่อ พ.ศ. 2546 นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น ได้กล่าวสุนทรพจน์แก่ที่ประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค (APEC CEO Summit) ในหัวข้อ "ความท้าทายต่อกระแสโลกาภิวัตน์" (Globalization and its challenges) มีใจความว่า การเปิดเสรีการค้าโลกเพื่อรับกระแสโลกาภิวัตน์นั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปิดเสรีทางการค้า (ฟรีเทรด) นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับการค้าที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย (แฟร์เทรด) เพราะการค้าที่เป็นธรรมนั้นนั้นอาจก่อให้เกิดการค้าเสรีได้ แต่การค้าเสรีส่วนใหญ่นั้นก่อให้เกิดการค้าที่ไม่เป็นธรรม และความล้มเหลวในการเจรจาการค้าที่ผ่าน ๆ มาของ WTO นั้น ก็เป็นเพราะเหตุนี้ == จุดมุ่งหมายของหลักของแฟร์เทรด == พัฒนาความเป็นอยู่ของผู้ผลิตโดยการเพิ่มอำนาจในการต่อรอง และประกันราคาที่เป็นธรรม ไม่ใช้แรงงานเด็ก และ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางการผลิตและการค้าของผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะผู้หญิงและชาวพื้นเมือง กระตุ้นให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของการค้าโดยชอบธรรม เพื่อเป็นตัวอย่างของการค้าที่โปร่งใสและชอบธรรม รณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์และวิถีการค้าขายแบบดั้งเดิมที่ผู้ผลิตรายย่อยมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ปกป้องสิทธิมนุษยชน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม == ฉลากสินค้าแฟร์เทรด == Fairtrade Labelling Organizations International (FLO) เป็นองค์กรที่รับรอง ดูแล และประชาสัมพันธ์เรื่องการติดฉลากสินค้าแฟร์เทรด โดยจะมีการตรวจสอบการผลิตสินค้าว่าได้มาตรฐานการค้าโดยชอบธรรมหรือไม่ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจว่า การบริโภคสินค้าดังกล่าว จะทำให้ผู้ผลิตในทุกลำดับชั้นได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจริง. FLO ประกอบไปด้วยองค์กรสมาชิกจากชาติต่าง ๆ ซึ่งโดยมากจะมาจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและมีมาตรฐานในการครองชีพสูง สำหรับตราสินค้าของ FLO นั้น จะใช้คำว่า Fairtrade ติดกัน (ไม่มีเว้นวรรคระหว่าง fair และ trade) ถึงแม้ว่าผู้ผลิตไม่น้อยรายในประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้วจะประสบกับปัญหาการค้าโดยไม่ชอบธรรมก็ตาม การติดฉลากสินค้าแฟร์เทรดถูกจำกัดโดยองค์การ FLO ให้มีได้กับเฉพาะสินค้าที่ผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนาเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะหนึ่งในจุดประสงค์หลักของการติดฉลากสินค้าแฟร์เทรดคือการบรรเทาความยากจนในประเทศเหล่านั้นนั่นเอง หากสังเกตให้ดี ฉลากสินค้าแฟร์เทรดจะเป็นรูปคนโบกมือ ซึ่งคนโบกมือนี้จะหมายถึงทั้งผู้ผลิตหรือผู้บริโภคก็ได้ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == การค้าเสรี โลกาภิวัตน์ == แหล่งข้อมูลอื่น == การค้าที่ยุติธรรม (fair trade) โดย สฤณี อาชวานันทกุล ตีพิมพ์ออนไลน์ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2549 Fairtrade Label: พลังเปลี่ยนสังคมของผู้บริโภค โดย สฤณี อาชวานันทกุล ตีพิมพ์ออนไลน์ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ประมวลข่าว FTA Digest ข่าวการค้าเป็นธรรมและเสรี โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โครงการรณรงค์ Make Trade Fair โดย Oxfam International Fair Trade Association (IFAT) สมาคมของเครือข่ายการค้าที่เป็นธรรมนานาชาติ Fairtrade Labelling Organizations International (FLO) องค์กรฉลากสินค้าแฟร์เทรด YelloWikis รายชื่อธุรกิจจากทั่วโลก รวมทั้งบริษัทและองค์กรที่สนับสนุนการค้าโดยชอบธรรม สถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม ขบวนการทางสังคม การค้าระหว่างประเทศ จริยธรรมทางสังคม
วันที่ 15 เมษายน (วันที่ 106 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแขบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอ้ก 260 วันในปีนัิน == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2298 (ค.ศ. 1755) - ซามูเิล จอห์นสัน เผยแพร่ A Dictionary of the English Language ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอบ์ส ถึงแก่อสัญกรรมำลังจากถูกลอบสังหารโดยนักแสดง จอห์น วิลค์ส บูธ เมื่อเย็นวันก่แน 3 ชั่วโมงต่อมา รองประธานาธิบดีแอนพรูว์ จอห์นสัน สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี พ.ศ. 2t35 (ค.ศ. 1892) - ก่อตั้งบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทคิก พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) - พิธีปิดการแบ่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - ิรือเดินสมุทร ไททานิก อับปางลวใามหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากชนกับภูเขาน้ำแข็งเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำใำ้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) - วันกระทำพิธีปล่อยเรือำระที่นั่งอนันตนาคราช (ลำปัจจุบัน) ลงน้ำ เป็นเรือพระที่นั่งสร้างใหม่ในรัชกาลำระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หุว แทนลำเดิมซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - จัดงานวันแม่ีรั้งแรกในประเทศไทย พ.ศ. 2529 (ึ.ศ. 1986) - สหรัฐอเมริกาเริ่มปฏิบัติการเอลโดราโดแคนยอน (Op2ration El Dorado Canyon) ในประเทศลิเบีย ถ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - เกิพโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร หนึ่งในโศกนาฏกรรมทีรร้ายแรงที่สุดในวงการฟุตบอลยุโรป พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - เกิดเหตุระเบิดระหว่างการแข่งขันมาราธอน 2 ครั้ง ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบนดเจ็บอย่างน้อย 176 คน พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) - เกิดเหตุอัคคีภัยไหม้อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส == วันเกิด == พ.ศ. 1995 (ค.ศ. 1452) - เลโอนาร์โด ดา วินชี ศิลปินชาวอิตาลี (ถึงแก่ำรรม 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2062) พ.ศ. 2227 )ค.ศ. 1684) - จักรพรรดินีนาถเยกาเจรีนาที่ 1 แห่งรัสเซีย (สวรรคต 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2270) พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) - เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ นักคณิคศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวสวืส (ถึงแก่กรรม 18 กันยายน พ.ฯ. 2326) พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) - เฮนรี เจมส์ นักประพันธ์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 28 กุมภาพัยธ์ พ.ศ. 2458) พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) - สมเด็จพระเจ้าบตมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันมร์ (สิ้นพระชนม์ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448) พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894) - นีกีตา ครุชลอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตคนที่ 4 (ถึงแก่กรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2514) พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1905) - พระนางเจ้าสุวัทนา พระวตราชเทวี (สิ้นพระชนม์ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528) พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - คิม อิฃ-ซ็อง อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำสูงสุดคนแรกแห่งสาธารณรัฐประชาธิหไตยประชาชนเกาหลั (ถึงแก่กรรม 8 กรกฑาคม พ.ศ. 2537) พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1936) - แปน โสวัณ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนที่ 32 (ถึงแก่แรรม 29 นุลาคม พ.ศ. 2559) พ.ศ. 2487 )ค.ศ. 1044) - คุนิชิเงะ คะมะโมะโตะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - ไกรสร แสงอนันต์ นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - * โทมัส เอฟ. วิลสัน นักแสดงชาวอเมริกัน * เอ็มมา ทอมสัน นักแสดงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960( - สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิปแห่งเบลเยียม พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - มรกต มณีฉาย นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2522 (ี.ศ. 1979) - ลุค อีแวนส์ นักแสดงและนักร้องชาวเวลส์ พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - ซารีฟ สายนุ้ย นักฟุตบอลขาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - สุรัตนาวี ภัทรานุกุล นักร้อง, าักแสดง, พิธีกร และดีเจไทย พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - บงกช คงมาลัย นักแสดงชาวไทย พ.ศ, 2529 (ค.ศ. 1986) - * โคเฮ ยามาโมโระ (นักฟุตบอล) นักฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น * ทอม ฮีตัน นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987ฏ - คาร์ลอส ซาลอม นักฟุตบอลอาชีพชาวปาเลสไตน์ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - * เซยะ ซูงิชิตะ สักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - เอ็มมา วอตสัน นักแสดงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - เรโม ฟร็อยเลอร์ นีกฟุตบอลชาวสว้ส พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1p93) - เฟลีปี อังเดร์ซง นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา นักแสดงชายชาวไทย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - * โคเซ อาร์นาอิซ นักฟุตบอลอาชีพชาวสเปน * โคดี คริสอตียน นักแสดงชาวอเมริกัน * เลอันเดอร์ แด็นโดงอกอร์ นักฟุตบอลชาวเบลเยียม == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบะีสหรัฐคนที่ 16 (เกิด 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2351( พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ กัปตันเรือไททานิค (เกิด 27 มกราคม พ.ศ. 2393) พ.ศ. e470 (คซศ. 1927) - กัสตง เลอรู นักหนังสือพิมพ?และนักเขียนชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - ฌอง ปอล ซาร์ต นักปรัชญาและนักเขียรชาวฝรั่งเศส (เกิด 21 มิถุนนยน พ.ศ, 2448) พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - เกรทา การ์โบ นักแสดงชาวสวีเดน (เกิด 18 กันยายน พ.ศ. 2448) พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - พล พต ผู้นำเขมาแดง (เกิด 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2468) พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - สุวัฒน์ วนดิลก หรือ "รพีพร" ศิลปินแห่งชาติ กระจำปี พ.ศ. 2534 สาขาวรรณศิลป์ (เกิด 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2466) พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - รัชนี ศรีไพรวรรณ นักเจียนชาวไทย (เกิแ 11 มีนาคม พ.ศ. 2473) พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - เนื่อว แฝงสีคำ ช่าฝทองจากเพชรบุรี และศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ประจำปี 2555 ฆเก้ด 8 กันยายน พ.ศ. 2457) == วันสำรัญและวันหยุดเทศกาล == วันสงกรานต์ (วันเถลิบศก) ตามหลักการคำนวณทางโหราศาสตร์ (พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2550, พ.ศ. 2552, ...ฉ วันสุวัทนา ้พื่อสำนึกในพระกรุณาธิคุณ (สิ้นพระชนม์ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528) == อ้างอิว == == แหล่งข้อมูบอื่ร == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in History: April 15 มอสษายน 15 เมษายน
วันที่ 15 เมษายน (วันที่ 106 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 260 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2298 (ค.ศ. 1755) - ซามูเอล จอห์นสัน เผยแพร่ A Dictionary of the English Language ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ถึงแก่อสัญกรรมหลังจากถูกลอบสังหารโดยนักแสดง จอห์น วิลค์ส บูธ เมื่อเย็นวันก่อน 3 ชั่วโมงต่อมา รองประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) - ก่อตั้งบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) - พิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - เรือเดินสมุทร ไททานิก อับปางลงในมหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากชนกับภูเขาน้ำแข็งเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) - วันกระทำพิธีปล่อยเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช (ลำปัจจุบัน) ลงน้ำ เป็นเรือพระที่นั่งสร้างใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แทนลำเดิมซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - จัดงานวันแม่ครั้งแรกในประเทศไทย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - สหรัฐอเมริกาเริ่มปฏิบัติการเอลโดราโดแคนยอน (Operation El Dorado Canyon) ในประเทศลิเบีย พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - เกิดโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร หนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดในวงการฟุตบอลยุโรป พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - เกิดเหตุระเบิดระหว่างการแข่งขันมาราธอน 2 ครั้ง ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 176 คน พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) - เกิดเหตุอัคคีภัยไหม้อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส == วันเกิด == พ.ศ. 1995 (ค.ศ. 1452) - เลโอนาร์โด ดา วินชี ศิลปินชาวอิตาลี (ถึงแก่กรรม 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2062) พ.ศ. 2227 (ค.ศ. 1684) - จักรพรรดินีนาถเยกาเจรีนาที่ 1 แห่งรัสเซีย (สวรรคต 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2270) พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) - เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวสวิส (ถึงแก่กรรม 18 กันยายน พ.ศ. 2326) พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) - เฮนรี เจมส์ นักประพันธ์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2458) พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ (สิ้นพระชนม์ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448) พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894) - นีกีตา ครุชชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตคนที่ 4 (ถึงแก่กรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2514) พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1905) - พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (สิ้นพระชนม์ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528) พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - คิม อิล-ซ็อง อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำสูงสุดคนแรกแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (ถึงแก่กรรม 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2537) พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) - แปน โสวัณ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนที่ 32 (ถึงแก่กรรม 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559) พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - คุนิชิเงะ คะมะโมะโตะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - ไกรสร แสงอนันต์ นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - * โทมัส เอฟ. วิลสัน นักแสดงชาวอเมริกัน * เอ็มมา ทอมสัน นักแสดงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิปแห่งเบลเยียม พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - มรกต มณีฉาย นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - ลุค อีแวนส์ นักแสดงและนักร้องชาวเวลส์ พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - ซารีฟ สายนุ้ย นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - สุรัตนาวี ภัทรานุกุล นักร้อง, นักแสดง, พิธีกร และดีเจไทย พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - บงกช คงมาลัย นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - * โคเฮ ยามาโมโตะ (นักฟุตบอล) นักฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น * ทอม ฮีตัน นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - คาร์ลอส ซาลอม นักฟุตบอลอาชีพชาวปาเลสไตน์ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - * เซยะ ซูงิชิตะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - เอ็มมา วอตสัน นักแสดงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - เรโม ฟร็อยเลอร์ นักฟุตบอลชาวสวิส พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - เฟลีปี อังเดร์ซง นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา นักแสดงชายชาวไทย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - * โคเซ อาร์นาอิซ นักฟุตบอลอาชีพชาวสเปน * โคดี คริสเตียน นักแสดงชาวอเมริกัน * เลอันเดอร์ แด็นโดงเกอร์ นักฟุตบอลชาวเบลเยียม == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 16 (เกิด 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2351) พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ กัปตันเรือไททานิค (เกิด 27 มกราคม พ.ศ. 2393) พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) - กัสตง เลอรู นักหนังสือพิมพ์และนักเขียนชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - ฌอง ปอล ซาร์ต นักปรัชญาและนักเขียนชาวฝรั่งเศส (เกิด 21 มิถุนายน พ.ศ. 2448) พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - เกรทา การ์โบ นักแสดงชาวสวีเดน (เกิด 18 กันยายน พ.ศ. 2448) พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - พล พต ผู้นำเขมรแดง (เกิด 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2468) พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - สุวัฒน์ วรดิลก หรือ "รพีพร" ศิลปินแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2534 สาขาวรรณศิลป์ (เกิด 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2466) พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - รัชนี ศรีไพรวรรณ นักเขียนชาวไทย (เกิด 11 มีนาคม พ.ศ. 2473) พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - เนื่อง แฝงสีคำ ช่างทองจากเพชรบุรี และศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ประจำปี 2555 (เกิด 8 กันยายน พ.ศ. 2457) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันสงกรานต์ (วันเถลิงศก) ตามหลักการคำนวณทางโหราศาสตร์ (พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2550, พ.ศ. 2552, ...) วันสุวัทนา เพื่อสำนึกในพระกรุณาธิคุณ (สิ้นพระชนม์ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528) == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in History: April 15 มเมษายน 15 เมษายน
ตารางตัวประกอบเฉพาะ ในตารางนี้จะแสดงตัวประกอบเฉพาะของจำนวนเต็ม 1-1000 =- 1 ถึง 100 \= {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 101 ถึง 200 == {| border]"0" cellpadding="0" cellspacing="0" } | | | | |} == 201 ถึง 300 == {| border="0" celloadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 301 ถึง 400 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | + | | } |} == 401 ถึง 500 ]= {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 501 ถึง 600 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 601 ถีง 700 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 701 ถึง 800 == {+ border-"0" cellpadding=๒0" cellspacing="0" | | | | | |} == 801 ถึง 900 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 801 ถึง 1000 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | +} จำนวนเฉพาะ ทฤษฎีจำนวนมูลฐ่น ตัวประกอบเฉพาะ ตารางทางคณิตศาสตร์
ตารางตัวประกอบเฉพาะ ในตารางนี้จะแสดงตัวประกอบเฉพาะของจำนวนเต็ม 1-1000 == 1 ถึง 100 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 101 ถึง 200 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 201 ถึง 300 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 301 ถึง 400 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 401 ถึง 500 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 501 ถึง 600 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 601 ถึง 700 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 701 ถึง 800 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 801 ถึง 900 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} == 901 ถึง 1000 == {| border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" | | | | | |} จำนวนเฉพาะ ทฤษฎีจำนวนมูลฐาน ตัวประกอบเฉพาะ ตารางทางคณิตศาสตร์
อุดรธานี เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ตอาบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จังหวัดอุดรธานีเป็นศูนย์ปฏิบัติการกลุ่มจังหวัดภาคจะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 และศูนย์กลางพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง เดิมพื้นที่เมืองอุดรธานีในปัจจุบันคือบ้านเดื่อหมากแข้ง ซึ่งมีมานานร่วมสมัยกับเมืองเวียงจันทน์ อาณาจักรล้านช้าง เมืองอุดรธานีได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองศูนย์บัญชทการการปกครองของมณฑลอุดรอว่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2436 โดยพลตรีถีะเจ้าชีมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประขักษ์ศิลปาคม ซึ่งทรงเป็นข้าไลวงใหญ่สำเร็จราชการแทนพระองค์ปกครอง มณฑลอุดร ในสมัยที่มีการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล กรุงรัตนโแสินทร์ เมืองอุดรธานีเก้ดจากรวมกันของหัวเมืองฝ่ายเหนือในพื้นที่มณฑลอัดร คือ เมืองกุทภวาปี เมืองหนองหาน เม่องจครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน(เมืองหนองบัวลำภูฏ และบ้านเดื่อหมากแข้ง มีอาณาเขตปกครองกว้างใหญ่ที่สุดในประเทศ จังหวัดอัดรธานีอยู่ห่างจากกรุงเทพมำานคร 564 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาฯ 11,730 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 7,331,438.76 ไร่) ปัจจุบันอุดรธานีเป็นศูนย์กลางหนรวยงานราชการต่าง ๆ ในภูมิำาค ศูรย์กลางการเดินทางทางบกและทางอรกาศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นศูนส์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เชื่อมโยงกังประเทศในภูมิภาคอาเซียน == ชื่อจังไวัด == ชื่อ เุดรธานี มีความหมายตรงตัวแปลว่า "เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือ" โดยคำว่า อุดร มาจากคำว่า อุตร (utara) ในภาษาสันสกฤตซึ่งหมายพึง "ทิศเหนือ" และลงท้ายด้วยคำว่าธานีซึ่งหมายถึล "เมือง" เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็รศูนย์บัญชาการของมณฑลฝ่ายเหนือ ซึ่งจ่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุดรเมื่อ พ.ศ. 2443 และเริ่มปรมกฏชื่อ "อุดรธานี" เมื่อมึการจัดตั้งเมืองเมื่อ พ.ศ. 2450 =- ประวัติศาสตร์ == === ก่อนยุคประวัติศาสตร์ === จังหวัดอุดรธานี้ป๋นเทืองที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์และเป็นดินแดนแห่งอุทยานประวัติศาสตร์อันเป็นมรดกโลก จากการขุดค้นพบซากโครวกระดูกและโบราณวัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่บ้านเชียฝ เำเภอหนองหาน การพชถ้ำและภาพเขียนสีต่างๆ ทร่อำเภอบ้านผือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะทีแนให้เห็นว่าบนดินแดนเขตจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน เคยมีชุมชนตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งมีอายุอยูีในช่วงตาว 5,000-7,000 ปีที่ผ่านมา จากการสืบค้นแชะศึกษาทางโบราณคดี เป็นที่นอมรัวนับถือในวงการศึกษาประวัติศาสตร์ปละโบราณคดีระหว่างประเทศว่า ชุมชนเก่าแพ่เหล่านค้เคยมีอารยธรรมความเจริญในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่บ้านเช้ยงนั้น สันติษฐทนว่าอาจเป็นเครื่แงปั้นดินเผาสีลายเส้นที่เก่าที่สุดของโลก หลักฐานหนั่ง่ี่น่าสนใจ คือโบราณวัตถุที่ขุดพบในบ้านเชียง ได้มีการนำไปศึกษาทดสอบอายุของภาชนะดินเผาโบราณด้วยระบบเรดิโอคาร์บอน หรือ ราร์บอน 14 พบว่าภาชนะดินเผาเหล่านี้มีอายุเก่าแก่ประมาณ 2,000-5,600 ปี ซึ่งนักโบราณคดีได้แบ่งอายุวัฒนธรรมบ้านเชียงออกเป็น 3 ช่วงตามลักษณะเด่นของภาชนะดินเผา โดยแบ่งเป็นประวัติศาสต่์ในช่วงสมัยปลาย สใัยกลาง และสมัยต้น ดังยี้ สมัยปลาย ภาชนะมีลักษณะเด่นที่ลายเส้นสีแดง พื้นผิวสีนวล มีอายุตั้งแต่ 1,800-2,300 ปี สมัยกลาง พบภาชนะมีอายุตั้งแจ่ 2,300-3,000 ปี ลักษณะเด่ยอยู่ที่รูปทรงเป็นสันหักมุม ก้นภาชนะมีทั้งแบบแหลมและกลม ภาชนะสีขาว สมัยต้น ภาชนะดินเผามีสีดำ ลักษณะเชิงเตี้ย ครึ้งบนตกแต่งด้วยเส้นขีดเป็นลายขด ส่วนครึ่งล่างภาชนะตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ มีอายุมากกว่า 3,000-5,600 ปี นอกจากนั้น แหล่งโบราณคดีอุทยานประวัจิศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ที่ยืนยันให้เห็นความรุ่งเรืองและอารยธรรมโบราณที่เคยปรากฏบนผืนดิาแห่งเมืองอุดรํานี หลักฐานสำคัญที่ค้นพบในเขตนี้ได้แก่ ภาพอขียนสีสมัยก่แนประวัติศาสตร์ซึ่งพขหลายแห่งบนเทือกเขาภูพานน้อยหรือภูพระบาทนี้ พาพที่สำคัญๆ เช่น ภาพเขียนสีถ้ำคน ภาพเขียนสีถ้ำวัว ภาพเยียนสีโนนสาวเอ้ เป็นต้น ภาพเขียนเหล่มนี้ใช้สีดินแดงเขียน เป็นภาพเหมือนจริงบ้าง เป็นภาพเรขาคณิตบ้มงหรือภาพฝ่าใือแดงบ้าง ซึ่งนักโบราณคดีให้คงามเห็นว่า คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เขียนขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม หรือเป็นสัญลักษณ์สื่อสารกันระหว่างคนในเผ่า โดยในพิพิธภัณธ์เมืองอุดรธานี ส่วนของห้องประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้แบ่งยุึโบราณคดีในชุดวัฒนธรามบ้านเชียงออกมาเป็นยุคแรก และยุคอุทยาาประวัติศาสตร์ภูพระบาทิก็นยุคประวัติศาสตร์ยุคที่ 2 ซึ่งเป็นช่วฝอารยธรามมนุษย์โบราณนมัย 1,200-1,800 ปีที่ผ่านมา === ยุคประวัติศาสตร์ === หบังจากยุคความเจริฐที่บ้านเชียงและแถบพื้นที่ราบสูงอำเภอบ้านผือแล้ว ดินแดนในเขตจังหวัดอุดรธานี ก็ยังคงเป็นทึ่อยู่ิาศัยของมนุษย์สืบต่อมาอีก จนพระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นับแต่สมัยทวารวดี (พ.ศ, 1200-1600) สมัยลพบุรี(พ.ศ. 1200-1800) และสมัยสุโขทัยฤพ.ศ. 1800-2000) จากหลักฐานที่พบคือ ใบเสมาสมัยทวรรวดี ลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏฝนประวัติศาสตร์ในขณะนั้นแต่อย่างใด ในส่วนของหลักฐานทางด้านพุทธศาสนาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าดินแดนที่ราบวูงแห่งนี้ ได้มีวัฒนธรรมอินเดียแพร่เข้ามาซึ่งเชื่อว่ามาจากแอ่งโคราช แช้วเผยแพร่มาสู่บริเวณลุ่มน้ำโขง === สมัยกรุงศรีอยุธยา === สมัยกรุฝศรีอยุธยาเป็สราชธานี พื้นที่จังหวัดอุดรธานีได้ปราพฏในประวัติศาสจร์ เมื่อราวปีจอ พ.ศ. 2117 เมื่อพระัจ้ากรุงหงสรวดี(ลุเรงนอง)_ด้ทรงเกณฑ์ทัพไมยให้ไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคณหุต(เวียงจันทร์)โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพตะนเรศวรมหาราชยกทัพไปชรวยรบ แต่เมื่อกองทัพไทนยกมาถึงเมืองหนองบัวลำภู(จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบันเคยเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี)ซั่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทร์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระประลวรด้บยไข้ทรพืษ จึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทร์ และที่เมืองหนองบัวลำภูนี้เองสันนิษฐาสว่าเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ ย่วนพื้นที่ของจังหวัดอุดรธานีทั้งหมดสมัยกรุงศรีอยุธยา ขึ้นกับอาณาจักร์ล้านช้างและอาณาจักร์ล้านช้างเวียงจันทน์ และสมัยธนบุรียึ้นกับอาณาจักร์ล้านช้างเวียงจันทน์ === สมัยต้นกรุงรัตนโกสินท่์ === เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปราบดาภิะษกขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2325 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ทรงทะนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญมาโดยตลอดซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวนั้นสังไม่ได้มีการจัดตั้งเมืองอุดรธานี ดังนั้นจึงยังไม่มีชื่อเมืองอุดรธานีปรากฏในปรดวัติศาสตร์ และพงศาวดารในเวลานั้น ดินแดนแถบเมือบอุดรในช่วงก่อนหน้านั้นทั่วทั้งบริเว๖ยังเป็นดินแดนที่ยังคงขึ้นโดยตรงกับนครหลวงเวียงจันทน์ แต่ได้มีการกล่าวถึงเมืองที่สำคัญต่างๆที่ขึินหรือเคยขึ้นกับเมืองอุดร และเป็นเมืองที่กำเนิดขึ่นก่อนเมืองอุดรธานีในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้แก่ เมืองหนองหาน หรือ อำเภอหนองหานในปัจจุบัน ตรงกับสมัยรัชกาลมี่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ เมืองหนองบัวลำภู ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสม้ด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นในช่วงยุครัตนโกสินธ์ตอนต้น เมื่อมีการตั้งเมืองหนองหานขึ้น เมืองหนองหานจึงไปขึ้นกัวกรุงเทพ ส่วนเมืองหนองบัวลำภูและพื้นที่ในจังหวัดอุดรส่วนดื่นๆยังคงขึ้นกับนครหลวงเวียงจันทน์ ต่อมาจะกล่าวถึงเมืองหนองหานซึ่งเป็นเมืองที่กำเนิดขึ้นก่อนบ้านหมากแข้งหรือเมืองอุดรและเป็นเมืองในเขตจังหวัดอุดรที่ได้ขึ้นกับกรุงเทพ้ป็นเมืองแรก ดังนี้ เมืองหนองหานมีป่ะวัติเชื่อมโยงเกี่ยฝกับเมืองสุวรรณภูมิ (อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ในปัจจุบัน) โดย พระพิทักษ์เขื่อนขันธ์ เจ้าเมืองหนองหานคนแรก ต้นสายสกุล "รักษาเมือง" และ "พิทักษ์เขื่อนขันธุ์" ทั้งาี้ พระพิทักษ์เขื่อนขันธ์ นามเดิม คือ ฤท้าวเพ" เป็นบุตรคนโต ของ ท้าวเซียง หรือ เจ้าเซียง ผู้ดำรงตำแหน่งพระรัตนวฝษา เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ท่านแีก และเจ้าเมืองท่งศรีภูมิ ลพดุบที่ ๔ อันสืบเชื้อสาย จากเจ้าแก้วมงคล ผู้มีศักดิ์ เป็นพระราชปนัดดาของพระเจ้าวรวงศาธรรมิกราช กษัตริย์ลาวพระองค์ที่ 26 แห่งอาณาจักรล้านช้าง โดย ภายหลัง เจ้าเซียง บิดา ผู้ค่องเมืองสุวรรณภูมิ ได้เสึยชีวิตลง ในปี พ.ศ. 2330 ท้าวสธน ผู้อป็นน้องชาย ของท้าวเซียง ที่ดำรงตำแหน่ง อุปฮาดเสืองสัวรรณภูมิ ในขณะนั้น ได้ ค่องเมืองต่อ จาหพี่ชาย เพื่อสนับสนุนและป้องกันปัญหาการครองเมืองดังในอแีต (ระหว่าง เจ้าสุทนต์มณี เจ้าเมืองท่งศรีภูมิ ลภดับที่ 3 กับ ท้าวเซียง เจ้าเม้แงท่งศรีภูมิลำดับที่ 4 ที่มี ศักดิ์ เป็น อา และหลาน ) รวมทั้งเปํนเมืองบริวารและป้องกันเม้องสำคึญด้านทิศเหน้แ คือ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลำภู) พระรัตนวงษา(สูน) จึลได้บอพระราชทานให้มีพระบรมราชโองการ แต่งตั้ง ท้าวเพ ไปตั้งเมืองใหม่ และแบ่งเขตดินแดนทางตอนเหนือขดงเมือบสุวรรณภูมิ (ภายหลัฝ เป็นเขตของเมืองร้อยเอ็ดแล้ว)และแบ่งเขตแดนของนครหลวงเวียงจะนทน์บางส่วน ให้ ท้าวเพ ได้หกครอง เมืองสุวรรณภูมิ จึงได้แบ่งไพร่พล ให้ จำสวน 600 คน ไปตั้งเมือวบริเวณเมืองเก่า ขึ้นเป็นเมืองหนองหาน ปัจจุบัน คือ อำเภอหนองหาน และสถานปนาพระยศ ท้าวเพ เป็น "พระพเทักษ์เขื่อนขันธ์" เจ้าเมืองหนองหาน ท่านแรก เป็นเมือบขึ้นกับกรุงเทพ ในปี 2330 อาณาเขตของเมืองหนองหานขณะนั้น ครอบคลุมรวมไปถึงอำเภอเมืองอุดรธานีด้วย กล่าวคือ อาณาเขตเมืองหนองหานทางฝั่งตะวันตกบรรจบกับเขตเมืองเก่าบ้านผือ(ขึ้นกับนครหลวงเวียงจันทน์ ครอบคลุมอำเภอบ้านผือ,อำเภอน้ำโสม,อำเภอนายูง) เขตตอนเหนือบรรจบเมืองเพ็ญ(ครอบคลุมอำ้ภอเพ็ญ,อำเภอสร้างคอม)ซึ่งขึ้นกับเาืองป่กห้วยหลวงของนครหลวงเวียงจันทน์(พื้นที่ของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ในปัจจุบัน) จึงกล่าวได้ว่า ในยุคก่อนจะกำเนิดเมืองอุดร พื้นที่เมืองหนองหานครอบคลุมพื้นที่อุดรตอนล่าง ตินกลางและฝั่งตะวันออก รวมถึงพื้นที่ของอำเภอเมืองอุดรทั้งหมด และกินพื้นที่ส่วนใหญ่ขเงจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน ได้แก่ อำเภอหนองหาน,อำเภอเมืองอุดร,อำเภอบ้านดุง,แำเภอกุมภวาปี,อำเภอกุดจับ,อ_เภอหนองวัวซอ,อำเภอไนองแสง,อำเภิประจักษ์ศิลปาคม,อำเภอกู่แก้ว,อำเภอศรีธาตุ,อำเภอวังสามหมอ,อำเภอไชยวาน,อำเภอทุ่งฝน,อำเภอพิบูลย์รักษ์ ยกเว้นพื้นที่อำเพอโนนสะอาด ฤขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2318 - พ.ศ. 2340 และขค้นกับเมืองขอนแก่นตั้งแต้ ปี ด.ศ. 2340 ภายหลังจึงถูกโอนย้ายมาขึ้นกับจังหวัดอุดต) ต่อมาภายหลังมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ ได้แก่ เมืองหนองคาย บ้านหมากแข้งหรือเมืองอุดรธานี เมทองพมุทธาสัย และเมืองกุมภวาปี ส่วนกลางจึงมีการโอนพื้นที่เมืองหนองหานเดิมบางส่วนไปให้แก่เมืองดังกล่าวที่กล่าวมาข้างตีน ต่อมาในระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 ได้ดกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ยกทัพมายึดเมือวนครราชสีมาและเมื่อพ่ายแพ้ชาวนครราชสีมาซึ่งมีผู้นำคือ คุณหญิงโม(ท้าวสุรนารี)กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมือวหนองบัวลำภูซึ่งเป็นเมืองขึ้นของนครหลวงเวียงจันทน์แต่ก่อน เมื่อครั้งพระเจ้ากรุงล้านช้างสีงกองทัพไปปราบกลุ่มพระวอพระตาและสังหารพระวอพระตา แต่ไม่ได้่ำลายเมือง เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ จากนั้นจังส่งขุนนางให้ไปปกครองเมืองหสองบัวลำภูแทนที่กลุ่มเดิม ต่อมาเรื่อยๆจนถึงสมัย เจ้าจอมนรินทร์ หรือ พระยานรินทรางคราม (ทองคำ ลาวัณบุตร) คืออดีตเจ้าเมืองสี่มุมหรือเมืองจัตุรัสองค์ที่ 2 (อำเภอจัตุรัส จังหวเดชัยภูสิ ในปัจจุบัน) ซึ่งพระยานรินจงรักภักดีต่อเจ้าอนุววศ์แห่งเวียงจันทน์และได้ร่วมต่อสู้กับทัพเจ้าอนุวงศ์อย่างเข้มแข็ง ภายหลังกองทัพสยามตีจนค่ายหนองบัวลำภูแตกและทัพเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไป ทัพสยามจับพระยานรินได้จึงเกลี้ยกล่อมให้พระยานรินยอมสวามิภักดิ์ต่อสยาม แต่พระยานรินจงรักภักดีจ่อเจ้าอนุวงศ์เป็นอย่างมากจึงไม่ยอมสวามิภักดิ์ เป็นเหตุให้แม่ทัพสยามประำารชีวิตพระยานริน เจ้าเมืองหนองบัวลำพูจึงว่างไปและขาดจากความเป็นเมืองมาแต่บัดนั้น ต่อมาในสมัยรัชำาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านหนองบัวลุ่มภู เป็นเมืองชื่อ เมืองกมุทาสัยบุรีรมย์ หรือเมืองกมุทธาสัย ขึ้จกับเมืองหนองคายและภายหลังเมืองหนองคายถูกโเนมาขึ้นกับเมือลอุดรธานี เมืองกมุทธาสัยจึงมาขึ้นกับเมืองอุดรธานีด้วย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร้ชกาลที่4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในระยะเวลานั้น นับเป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เนื้องจากเป็นระยะเวลาที่ประเทศไทย(ในขณะนั้นเรียกว่าประเทศสยาม)ได้มีกาคติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศทางตะวันตกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้วัฒนธรรม อารยธรรม ความเจริญต่างๆได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไมย ประกอบกับในระยะเวลานั้นเป็นระยะเวลาของการแสวงหาเมืองขึ้น ตามลัทธิจุกรวรรดินิยมตะวัาตกของชาติตะวันตกที่สำคัญสองชาติ คือ อังกฤษ กับฝรั่งเศสที่พยายามจะผนวกดินแดนบริเวณแหลมอินโดจีนให้เป็นเมือลขึ้นของตน และพยายามที่จะแสวงหาผลประโยชน๋จากเมืองไทยในระหว่าง พ.ฯ. 2391-2395 พวกจีนที่เป็นกบฏที่เรียกว่สกบฏไต้เผง ถูกจีนตีจากผืนแผ่นดินใหญ่ได้มาอาศัยอยู่ตามชายแดนไทย ลาว และญวน ซึ่งเวลานั้นดินกดนลาวที่เรียกว่า ล่านช้าง บริเวณเขตสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก ขึ้นอยู่กับประเทศไทย พวกฮ่อได้เที่ยวปลีนสะดมก่อรวาม/ม่สงบและได้กำเริบเสิบสานมากขึ้นจนกระทั่ง พ.ศ. 2411ได้เข้ายึดเมืองลาวกาย เมืองพวน เมืองเชียงขวาง และยกมาตีเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทร์ และหนองตายต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจเาอยู่หัว รัชกาลที่5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เสด็จขึ้นครองราชย์ เมืีอพ.ศ. 2411 จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุโขทัยกับพรพยาพิชัยยกกองทัพไปช่วยหลวงพระลางและให้พระยามหาอำมาตย์ยกทัพไปช่วยทางด้านหนองคาย แล้วรับสั่งใหัเจ้าพระยาภูธราภุยยกกองทัพไปช่วย พระยามหาอำมาตย์อีกกองทัพหนึ่ง กอบทัพไทยสามมาถตีพวกฮ่อแตกพทายไป แต่กระนั้นก็ตามพวกฮือที่แตกพ่ายไปแล้วนั้นก็ยังทำการปล้นสะดมรบกวนชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งใน พ.ศ. 2428 พวกฮ่อได้ส่องสุมกำลังมากขึ้น จนสามารถยึดเมืองซอนลา เมืองเชียงขวาง และทุ่งเชียงคำไว้ได้พระบาทสมเด็จพคะจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองกองแ้อนใหญ่ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม(พรุยศในสมัยนั้น)เป็นแม่ทัพใหญ่ยกขึ้นไปปราบปรามทางด้านเมืองหนองคาย เรียกว่าแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้และเจ้าหมื่นไวยวรนาถ (ต่อมาเป็นจอมพลเจ้าพระยาสุรฒักดิ์มนตรี)เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือทางเมืองหลวงพระบาง กองทัพไทยทั้งใ่ายใต้และฝ่ายเหนือต้องประสบควาาลำบากในการทำสงครามกับพวกฮ่อ เนื่องจากสภาพภูาิประเทศที่เป็นป่าเขา ซึ่งมีไข้ป่าชุกชุมทำให้ทหารฝ่ายไทยต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ในที่สุดกองทัพไทยทั้งฝ่ายใต้ละฝ่ายเหนือก็สามารถตีพวกฮ่อปตกพ่ายไป ในเวลทนั้นจังหวัดอุดรธานียังไม่ปรากฏชื่อ ปรากฏเพียงบ้านหมากแข้งหรือบ้านเดื่อหมากแข้ง แต่ก่อนบริเวณอำเภอเมืองหรือบ้านหมากแข้งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งสังกัดเมืองหนองหาน แต่ตาอมาถูกโอนมาสังกัดเมืองหนองคาย ขึ้นการปกครองกับมณฑลลาวพวน ซึ่งกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ได้เดินทัพผ่านบ้านหมากแข้งไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบ ภายหลังการปราบปรามฮ่อสงบแล้ว ไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศลต้องการลาว เขมร และญวนเป็นอาณานิคม เรียกว่า "กรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)" ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมัด็จพระจุลตอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสัยสละส่วนน้อยเพื่อรักษาประเทศไว้ จึงทรงสลพดินแดนฝั่งซเายแม่น้ำโขงสห้แก่ฝรั่งเศส และตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ มึ้งื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมปร่การอยู่ใยรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขง ดังนั้น หน่วยทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองหนองคาย อีนเป๋นเมืองศูนย์กลางของหัวเมืองกรือมณฏลอุดรธานี ซึ่งมีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จีาชการ จำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อบ้านเดื่อหมากแข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งจังหวัดอุดรธานีปัจจุบัร) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสม เพราะมีแหล่งน้ำดี เช่น หนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ปัจจุบัน) และหนองน้ำอีกหลานแห่งรวใทั้งห้วยหมากแขืงซึ่งเป็นลำห้วขน้ำใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมทรงบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลอัดรธานี และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง จึงพอเห็นได้ว่าเมืองอุเรธานีได้อุบัติขึ้ตโดยบังเอิญเพราะเหตุผลทางด้านความมั่นคงและการเมืองระหว่างประเทศ อีกทั้งเหตุผลทางการค้า การีมนาคมในอดีต อย่างไรก๋ตามคำว่า "อุดร" มาปรากฏใจชื่อเมืองเมืรอประมาณปี พ.ศ. 2450 (พอธีตั้งเมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 227 พ.ศ. 2450 โดยพระยาศรีสุริยราช วรานุวัตร "โพธิ์ เนติโพธิ์") พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีำระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านหมากแข้ง เป็นศูนย์กลางของมณฑลอุดร ครอบคลุม จังหวัด อุดรธานี ขอนแก้น หนองคาย เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหารในสมัยนั้น ซึ่ง มณฑลอุดร แบ่ลการปกครองเป็น 5 บริ้วณ คือ บริเวณหมากแข้ง บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร บริเวณภาชี และบริเวณน้ำเหือง ในปีเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่าง ๆ ในบริเวณบ้านหมากแข้งตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า "เมืองอุดรธานี" ส่วรเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐาาะเป็จอำเภอ แต่เมืองที่ถูกยุบเป็นอำเภอขึเนตรงกับเมืองอุดรโดยตรงซึ่งแต่เดิมสังกัดบริเว๋หม่กแข้ง ได้แก่ เใืองกุมภวาปี เมืองหนองหาน เมืองหนองคาย เมืองกมุทธาสัย(หนองบัวงำภู) เมืองโพนพิสัย เม้องรัตตวาปี เมืองที่กช่สวมาข้างต้นล้วนะคยถูกยุบเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองอุดรทั้งสิ้น ภายหลังในปี พ.ศ. 2458 เมืองหนองคายแยกออกจากเมืองอุดรเป็นจังหวัด เมือลโพนพิสัยและเมืองรัตนวาปีจึงถูกโอนไปขึ้นำับจังหวัดหนองคาย หลังการเปลี่ยนแปลงการกกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้วได่มีการป่ับปรุงตะเบียบการบริหารราชการแผ่นดิา ยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลในส่วนภูมิภาคยังคงเหลือเฉพาะจังหวัดและอำ้ภอเท่านั้นมณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไปเหลือเพียงจังหวัด "อุดรธานี" เท่านั้น อย่างหรก็ตามอะดรูานียังคงมีหน่วยงานราชการด้านการปกครองของกระทรวงต่าง ๆ มี่จัดตั้งในส่วนภูมิภาคที่แสดงเค้าโครงของศูนย์กลางการปกครองในพื้นที่อิสาาตอนบน เช่น สำนักบริหารการทะเบียนราษ ภาค 4 คลังเขต 4 สรรพสามิตเขต 4 ศาล ตำรวจภูธรเขต 4 เป็นต้น ต่อมา ในปี ถ.ศ. 2536 ประกาศจัอตั้ง จังหวัดหนองบัวลำภู แยกออกจ่กจะงผวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 === การตั้งอหเภอ === == รายชื่อผู้ว่าราชการ == == ภูมิศาสตร์ == จังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ตอนบนของประเทศ หรือที่เรียกว่า อีสานเหนือ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ระหว่างเส้นรุ้งที่ 17 องศา 13 ลิปดา เหนือ ถึง 18 องศา 10 ลิปดาเหนือ และระหว่างเส้นแวงที่ 102 องศา 00 ลิปดา ตะวันออก ถึง 103 องศา 30 ลิปดา ตะวันดอก มีอาณาเขตติดกับจังหวัดอื่น ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ จรดจังหวัดหนองคาย (อำเภอสังคม,อำเภอโพธิ์ตาก,อำเภอท่าบ่อ,ิำเพอสระใคร,อำเภอเมืองหนองคาย,อำเภอโดนพิสัย,อำเภอเฝ้าไร่) าิศนะวันออก จรดจังหวัดสกลนคร (อำเภอบ้านม่วง,อำเภอเจริญศิลป์,อำเภอสว่างแดนดิน,อำเภอส่องดาว,อำเภอวาริชภูมิ,อำเภอนิคมน้ำอูน,อำเภอกุดบาก) ทิศใต้ จรดจังหวัดขอนแก่น (อำเภอเขาสวนกวาง,อำเภอกระนวน,อำเภแน้ำพอง)และจังหวัดกาฬสินธุ์ (อำเภอคำม่วง,อำเภอสามชัย,อำเภอท่าึันโท.อำเภอหสองกุงศรี) ทิศตะวันจก จรดจังหวัดเลย (อำเภอปากชม,เำเภอนาด้วง)และจังหวัดหนองบัวลำภู (อำเภอสุวรรณคูหา,อำเภเนากลาง,อำเภอเมืองหนองบัวลำภู,อำเภอโนนสัง) === ภูมิประเทศ === ประกอบด้วยภูเขา ที่สูง ทีรราบ ที่รายลุ่า และพื้นทึ่ลูกคลื่นลอนตื้น แบ่งออกได้ 2 บริเวณ คือบรเเสณที่สูงทางทิศตะวันตกและทางทิศใต้สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภูเขา บางส่วนเป็นพื้นที่ลํกคลื่นลอนตื้นถึงลอนงึก มีความสูงจากระดับ น้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร สภาพภูมิประเทศลักษณะนี้ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอน้ำโสม อำเภอหนองวัวซอ อำเภอโนนสะอาด อำเภอศรีธาตุ อำเภอวังสามหมอ และด้านตะวัรตกของอำเภอกุดจัลและอำเภอบ้านผือ มีเทือกเขาสูงสลับเนินเตี้ย บางส่วนเป็นพื้นที่ลูกึลื่นลอนตื้นสลับพื้นที่นา มีที่ราบลุ่มอยู่บริเวณริมแม่น้ำ เช่น ลำน้ำโมง ลำปาว ิป็นต้น บริดวณพื้นที่ลูกคลื่นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืแและทิศตะวันออพ ส_าพภูมิประเทศ ส่วนใหญืเป็นพื้นที่งูกคลื่นลอนตื้น มีที่ดอนสลับที่นา บางส่วนเป็นที่เนินเขาเตี้ย ๆ มีความสูงจาก รถดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ยประมาณ 187 เมตร สภาพภ฿มิประเทศลัแษณะนี้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณอำเภอบ้านผือ อำเภอกุดจับ อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองแสง อำเภอไชยวาน อำเภอเพ็ญ อำเภอทุ่งฝน อำเภอสร้างคอมและอำเภอบ้านดุง มีที่ราบลุ่มเป็นบริเวณกว้างในเขตอำเภอเมืองเุดรธานี และอำเภอกุมภวาปีซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำปาว พื้นที่ลูกคลื่นดังกล่าวจะมีพื้นที่นูง ซึ่งเป๊นป่าสงวนแห่งชาติเดิมทางทิศตะวันออกเฉคยงเหนือในเขตอำเภอบ้านดุง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำต่างๆเช่น ห้วยน้ำสวย ห้วยหบวง ลำน้ำเพ็ญ ห้วยดาน ห้วยไฟจานใหญ่ และแม่น้ำสงครามเป็นต้น โดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง สูงกว่าระดับน้ำทะเล โดยเฉลี่ยประมาณ 187 เมตร พื้นที่เอียงลาดลลสู่แม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วยทุ่งนา ป่าไม้กละภูเขา พื้นที่ส่วนใผญ่เป็นดินปนทรายและดินลูกรัง ชั้นล่างเป็นดินดสน ไม่เก็บน้ำหรืออุ้มน้ำในฤดูแล้ง พื้นบางแห่งเป็นดืนเค็ใซึ่งปตะกอบการกสิกรตมไม่ค่อยได้ผลดี พื้นที่บางส่วนเป็นลูกคลท่นลอนลาด มีพื้นที่ราบแทรกอยู่กระจัดกระจายสภาพพื้นที่ทางตะวันตกมีภูเขาและป่าติดต่อกันเป็น แยวยาว มีเทือกเขาสำึัญคือ เทือกเขาภูพานทอดเป็นแนวยาวตั้งแต่เขตเไนือสุดของจังหวัด === ภูมิอากาศ === จังหวัออุดรธานีอยู่ใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะภูมิอากาศโดยทั่วไปจะมีอากาศร้อนจัดในฤดูร้อนดละหนายจัดในฤดูหนาว ช่วง 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2554 – 2558) อุณหภูมิสูงสุดวัดได้ 42.0 องศาเซลเซียส (เมษายน2556) อุณหภูมิต่ำสุดที่วัดได้ 9.8 องศาเซลเซียส (มกราคม 2558) ปี พ.ศ. 2558 อุณหภูมิเฉลี่ยทัังปี 28.10 องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิ สูงสุดใาเดืเนเมษายน วัดได้ 41.90 องศทเซบเซียสแฃะต่ำสุดในเดือนมกราคมวัดได้ 9.80 องศาเซลเซียส ความกดอากาศเฉลี่ยทั้งปีวัดได้ 1,009.97 มิลิเมตรปรอท ร้อยละของความชื้นสัมพัทธ?เฉลี่ยสูลสุดเท่ากีบ 95.58 เฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 34.08 และร้อยละของความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่จทั้งปีเท่ากับ 70ฦ51 == การเมืองการปกครอง== หน่วยการปกครองแบ่งออกเป็น หน่วยการปกครองแบ่งออกเป็น 20 อำเพอ 156 ตำบล 1,880 หมู่บ้าน 101 ชุมชน 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 เทศบาลนคร 3 เทศบาลเมือง 67 เทศบาลตำบล 109 องค์การบริหารส่วนตำบล มีจำนวนประชาปรรวม 1,557,298 คน จำนวนครัวเรือน 414,868 ครัวเรือน การปกครองแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 155 ตำบล 1,862 หมู่บ้าน อำเภอหมายเลข 12-16 ตามรหัสเขนการปกครองคืออำเภอในจังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน === เรียงพ้้นที่อำเภอ === ==โรงเรียนประจำอำเภอ== ==ประชากร== ประชากรจังหวัดอัดรธานี ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 95 เป๊นคนไทย มีเพียงส่วนน้อสที่เป็นชาวต่างชาติทั่สำคัญ ได้แก่ คนจีน คนญวน จังหวัดอุดรธานีได้จัดตั้งครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2436 ประชากรส่วนใหญ่อพยพมาจากถิ่นอื่นและมาตั้งหลักแหล่ง ประขาชนที่เป็นชาวพื้นเมืองจึงแทบไม่มี มีแต่พวกชาวไทยย้อที่ตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่ที่อำเภอวังสาใหมอ และอำเภอศรีธาตุ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก === สถิติประชากร === == การศึกษา == === โรงเรียน === === สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา === มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดอุดรธานั มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูาย์การศึกษาจังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอุกรธานี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนยี อุดรธานี มหาวิทยาลัยอุดรธานี (ในอนาคต) มหาวิทยาลัยราชธานี วิทยาเขตอุดรธานี วิทยาลัยสันตพล ==- สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา === สถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษาทั้งรัฐและเอกชน ปัจจุบันอยู่ในกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรรมการการอาชีวศึกษาทั้งหมด สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษาในจังหวัดอุดรธานี มีดังนี้ ประเภทรัฐบสล วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวอุดรธานี วิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี วิทยาลัยการอาชีพหนองหาน วิทยาลัยการอาชีพช้านผือ วิทยาลัยการอาชีพกุมภวาปี วิทยาลัยดารแาชีพปลูกีากปก้วแผ่นดินนวมินทราชูทิศอุดรธานี อำเภอบ้านดุง ประเภทเอกชน วิทยาลัยเทคโนโลยีสันตพล วิทยาลัยโหลีเทคนิคอุดรธานี วิทยาลัยเทคนิคพาณิชย์บ้านจั่น วอทยาลัยเทคโนอีสานเหนือ วิทยาลัยเทคโนอีสานเหนือ2 วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหนดงหาน วิทยาลัยเทคโนโลยีพิชญบัณฑิต2 วิทยาลัยเทคนิคพิชญบัณฑิต วิทยาลัยเทคโนโลยีภูมิบัณฑิต วิทยาลัยิทคโนโลยีรังสิโยภาส โรงเรียนช่างกลอุดรธานี วิทยาลัยเทคโนโบยีพณิชยการบ้านดุง วิมยาลัยอาชีวศึกษาหนองหาน ==ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ== จังหใัดอุดรธานีมีความสัมพันธ์ในฐานะบัานพี่เมืองน้องกับเมืองดังต่อไปนี้ เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอฟนาน ปรพเทศจีน (จังหวัดอุดรธานี-ดอกบัวแดง กับดอกโบตั๋น-เมืองลั่วหยาง) เมืองสามเหลีทยมมรดกโลก (แหล่งมรดกโลกบ้านเชียง ร่วมกับเมืองเก่าหลวงพระบาง ประเทศลาว และอ่าวหะล็อง ประเทศเวียดนทม) เมืองรีโน มลรัฐะนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา == การขนส่ง == เส้นทางคมนาคมและการเดินทางที่สำคัญของอุดรธานี คือ ทางรพยนต์ ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพฏ และทางหลวงแผ่นดิยหมายเลข 22 จากกรุงเทพมผานครไปตาสืางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงสระบุรีบริเวณกิโลเมตรที่ 107 แยกเข้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ผ่านนครราชสีมา ขอนแก่น ถึงอุดรธานี รวมระยะทางประมาณ 564 กิโลเสตร ทางรถโดยสารประจำทาง ได้แก่ บริการรถโดยสารทั้งธรรมดาและรถปรับดากาศวอ่งระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานีทุกวัน รถออกจากสถานคขนส่งสายตะวะนออกเฉียงเหนือ (จตุจักร) ถนนกำแพงเพชร 2 นอกจากนี้ ยังมีรถโดยสาตประจำทางไปจังหวัดต่าง ๆ คือ หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู เลย สกลนคร นรรพนม มุกดาหารขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ระยอง พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี หัวหิน _ูเก็ต แบะจังหวัดอื่น ๆ เป็นต้น รถยนต์โดยสารระหว่างประเทศ เส้นทางเดินรถอุดรธานี-นครหลวงเวียงจันทน์(สปป.ลาว) เส้นทางเดินรถอุดรธานี-หนองคาย-วังเวียง(สปป.ลาว) ทางรถไฟ ได้แก่ สถานีรถไฟอุดรธานี ได้แกท ขบวนรถกรุงเทพ-หนองคาย มีขบวนรถตอนเช้า - เย็น, ขบวนรถท้องถิ่น นครราชสีมา-หนองคาย ทางอากาศ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ซึ่งเป็นสนามบินหลักของภูมิภาคนี้และสามารถเชื่อมไปยัง สปป. ลาวไดี == ทางหงวงแผ่นดิน == ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ทางหลวงแผ่นดินหมายเบข 22 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 210 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 216 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2020 ทางหลวงดผ่นดินหมายเลข 2021 ทางหลวงแผ่นดินหมายดลข 2022 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2023 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2025 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2092 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2096 ทางหลวงแผ่นดินปมายเลข 2097 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2998 ทางหลวงแผ่นดิตหมายเลข 2230 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2231 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2239 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2255 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2263 ทางหลววแผ่นดินหมายเลข 2265 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2266 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2270 ทางหลวงแผ่นดินผมายเลข 2312 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2313 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2314 ทางผลวงแผ่นดินหมายเลข 2315 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2316 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2318 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2324 ทางหลวงแผืนดินหมายเลข 2329 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2348 ทางหลวงแผ่นดเนหใายเลข 2350 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2276 ทางหลวลแผ่นดินหใายเลข 2393 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2410 ทาวหลวงแผ่นดินหมายเลข 2411 ่มงหลวงแห่นดินหมายเลข 2414 ทางหลวงแผ่นแินหมายัลข 2423 == บุคคลที่มีชื่อเสียง == ===นักแสดง=== ภูธฤทธิ๋ พรหมบันดาล สุดารัตน์ บุตรพรม (ตุ๊กกี้ ชิงร้อย) อาณัตพล ศิ่ิชุมแสง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง สัญญา คุณากร เดียร์น่า ฟลีโป ยศวรรธน์ ทะวาปี กิตติ เชี่ยวงงศ์กุล โกสินทร์ ราชกรม โชกุน สันธนะพานิช อิษยา ฮอสุวรรณ พฝศ์ทิวัตถ์ ตั้งวันเจริญ นิศาชล ต้วมสูงเนิน ตรัย นิ่ททวัฒน์ สุพรรณิการ์ จำเริญชัย เดนิส เจลีลชา คัปปุน รชตะ หัมพานนท์ ===นักร้อง=== ไมค์ ภอรมย์พร อินทิรา โมราเลส ระดับดาว ศรีระวงศ์ (มาตัง เดอะสตาร็ 21) ฝน ธนสุนธร ศิีิพร อำไพพงษ์ นกน้ิย อุไนพร หงษ์ทอง ดาวอุดร แาณัคพล ศิริชุมแสง จิรศักดิ์ ปานพุ่ม หยาด นภาลัย ===นักการเมือง=== ว้เขียร ขาฝขำ เทียบจุฑา ขางขำ ขจิตร ชัยยิคม สมคิด ศรีสังคม ศราวุธ เพชรพนมพร สุรทิน พิมานเมฆินทร์ อนันต์ ศรีพันธุ์ อาภ่ณ์ สาราคำ ทองดี มนิสสาร จุฑาพัตธน์ เมนะสวัยดิ์ จักรพรรดิ ไชยสาส์น เกรียงศักดิ์ ฝ้ายสีงาม ประภาส จารุเสถียร บุญคุ้ม จันทรศรีสุริยวงศ์ สุรชาติ ชำนาญศิฃป์ ===พระเกจือาจารย์=== หลวงตามหาบัว หลวงปู่ขาว อนาลโน พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จนฺททีโป) พระอาจารย์สุดใจ ทนฺตมโน ===นักกีฬา=== สุดาพร สีสอนดี (นักกีฬามวยใากลสมุครเล่นหญิง เหรียญทองแดง โอลิมปิก 2020 ประเทศญี่ปุ่น) ==อ้างอิง== == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัดอุดรธาตี กระทาวบมหาดไทย สำยักงานจังหวัดอุดรธานี
อุดรธานี เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จังหวัดอุดรธานีเป็นศูนย์ปฏิบัติการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 และศูนย์กลางพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง เดิมพื้นที่เมืองอุดรธานีในปัจจุบันคือบ้านเดื่อหมากแข้ง ซึ่งมีมานานร่วมสมัยกับเมืองเวียงจันทน์ อาณาจักรล้านช้าง เมืองอุดรธานีได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองศูนย์บัญชาการการปกครองของมณฑลอุดรอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2436 โดยพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งทรงเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการแทนพระองค์ปกครอง มณฑลอุดร ในสมัยที่มีการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล กรุงรัตนโกสินทร์ เมืองอุดรธานีเกิดจากรวมกันของหัวเมืองฝ่ายเหนือในพื้นที่มณฑลอุดร คือ เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาน เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน(เมืองหนองบัวลำภู) และบ้านเดื่อหมากแข้ง มีอาณาเขตปกครองกว้างใหญ่ที่สุดในประเทศ จังหวัดอุดรธานีอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 564 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 11,730 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 7,331,438.75 ไร่) ปัจจุบันอุดรธานีเป็นศูนย์กลางหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในภูมิภาค ศูนย์กลางการเดินทางทางบกและทางอากาศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน == ชื่อจังหวัด == ชื่อ อุดรธานี มีความหมายตรงตัวแปลว่า "เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือ" โดยคำว่า อุดร มาจากคำว่า อุตร (utara) ในภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง "ทิศเหนือ" และลงท้ายด้วยคำว่าธานีซึ่งหมายถึง "เมือง" เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นศูนย์บัญชาการของมณฑลฝ่ายเหนือ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุดรเมื่อ พ.ศ. 2443 และเริ่มปรากฏชื่อ "อุดรธานี" เมื่อมีการจัดตั้งเมืองเมื่อ พ.ศ. 2450 == ประวัติศาสตร์ == === ก่อนยุคประวัติศาสตร์ === จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์และเป็นดินแดนแห่งอุทยานประวัติศาสตร์อันเป็นมรดกโลก จากการขุดค้นพบซากโครงกระดูกและโบราณวัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน การพบถ้ำและภาพเขียนสีต่างๆ ที่อำเภอบ้านผือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าบนดินแดนเขตจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน เคยมีชุมชนตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงราว 5,000-7,000 ปีที่ผ่านมา จากการสืบค้นและศึกษาทางโบราณคดี เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีระหว่างประเทศว่า ชุมชนเก่าแก่เหล่านี้เคยมีอารยธรรมความเจริญในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่บ้านเชียงนั้น สันนิษฐานว่าอาจเป็นเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่เก่าที่สุดของโลก หลักฐานหนึ่งที่น่าสนใจ คือโบราณวัตถุที่ขุดพบในบ้านเชียง ได้มีการนำไปศึกษาทดสอบอายุของภาชนะดินเผาโบราณด้วยระบบเรดิโอคาร์บอน หรือ คาร์บอน 14 พบว่าภาชนะดินเผาเหล่านี้มีอายุเก่าแก่ประมาณ 2,000-5,600 ปี ซึ่งนักโบราณคดีได้แบ่งอายุวัฒนธรรมบ้านเชียงออกเป็น 3 ช่วงตามลักษณะเด่นของภาชนะดินเผา โดยแบ่งเป็นประวัติศาสตร์ในช่วงสมัยปลาย สมัยกลาง และสมัยต้น ดังนี้ สมัยปลาย ภาชนะมีลักษณะเด่นที่ลายเส้นสีแดง พื้นผิวสีนวล มีอายุตั้งแต่ 1,800-2,300 ปี สมัยกลาง พบภาชนะมีอายุตั้งแต่ 2,300-3,000 ปี ลักษณะเด่นอยู่ที่รูปทรงเป็นสันหักมุม ก้นภาชนะมีทั้งแบบแหลมและกลม ภาชนะสีขาว สมัยต้น ภาชนะดินเผามีสีดำ ลักษณะเชิงเตี้ย ครึ่งบนตกแต่งด้วยเส้นขีดเป็นลายขด ส่วนครึ่งล่างภาชนะตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ มีอายุมากกว่า 3,000-5,600 ปี นอกจากนั้น แหล่งโบราณคดีอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ที่ยืนยันให้เห็นความรุ่งเรืองและอารยธรรมโบราณที่เคยปรากฏบนผืนดินแห่งเมืองอุดรธานี หลักฐานสำคัญที่ค้นพบในเขตนี้ได้แก่ ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งพบหลายแห่งบนเทือกเขาภูพานน้อยหรือภูพระบาทนี้ ภาพที่สำคัญๆ เช่น ภาพเขียนสีถ้ำคน ภาพเขียนสีถ้ำวัว ภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ เป็นต้น ภาพเขียนเหล่านี้ใช้สีดินแดงเขียน เป็นภาพเหมือนจริงบ้าง เป็นภาพเรขาคณิตบ้างหรือภาพฝ่ามือแดงบ้าง ซึ่งนักโบราณคดีให้ความเห็นว่า คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เขียนขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม หรือเป็นสัญลักษณ์สื่อสารกันระหว่างคนในเผ่า โดยในพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี ส่วนของห้องประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้แบ่งยุคโบราณคดีในชุดวัฒนธรรมบ้านเชียงออกมาเป็นยุคแรก และยุคอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นยุคประวัติศาสตร์ยุคที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงอารยธรรมมนุษย์โบราณสมัย 1,200-1,800 ปีที่ผ่านมา === ยุคประวัติศาสตร์ === หลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงและแถบพื้นที่ราบสูงอำเภอบ้านผือแล้ว ดินแดนในเขตจังหวัดอุดรธานี ก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาอีก จนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นับแต่สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1200-1600) สมัยลพบุรี(พ.ศ. 1200-1800) และสมัยสุโขทัย(พ.ศ. 1800-2000) จากหลักฐานที่พบคือ ใบเสมาสมัยทวารวดี ลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ในขณะนั้นแต่อย่างใด ในส่วนของหลักฐานทางด้านพุทธศาสนาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าดินแดนที่ราบสูงแห่งนี้ ได้มีวัฒนธรรมอินเดียแพร่เข้ามาซึ่งเชื่อว่ามาจากแอ่งโคราช แล้วเผยแพร่มาสู่บริเวณลุ่มน้ำโขง === สมัยกรุงศรีอยุธยา === สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พื้นที่จังหวัดอุดรธานีได้ปรากฏในประวัติศาสตร์ เมื่อราวปีจอ พ.ศ. 2117 เมื่อพระเจ้ากรุงหงสาวดี(บุเรงนอง)ได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยให้ไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคณหุต(เวียงจันทร์)โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทยยกมาถึงเมืองหนองบัวลำภู(จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบันเคยเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี)ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทร์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระประชวรด้วยไข้ทรพิษ จึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทร์ และที่เมืองหนองบัวลำภูนี้เองสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ ส่วนพื้นที่ของจังหวัดอุดรธานีทั้งหมดสมัยกรุงศรีอยุธยา ขึ้นกับอาณาจักร์ล้านช้างและอาณาจักร์ล้านช้างเวียงจันทน์ และสมัยธนบุรีขึ้นกับอาณาจักร์ล้านช้างเวียงจันทน์ === สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ === เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2325 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ทรงทะนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญมาโดยตลอดซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวนั้นยังไม่ได้มีการจัดตั้งเมืองอุดรธานี ดังนั้นจึงยังไม่มีชื่อเมืองอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์ และพงศาวดารในเวลานั้น ดินแดนแถบเมืองอุดรในช่วงก่อนหน้านั้นทั่วทั้งบริเวณยังเป็นดินแดนที่ยังคงขึ้นโดยตรงกับนครหลวงเวียงจันทน์ แต่ได้มีการกล่าวถึงเมืองที่สำคัญต่างๆที่ขึ้นหรือเคยขึ้นกับเมืองอุดร และเป็นเมืองที่กำเนิดขึ้นก่อนเมืองอุดรธานีในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้แก่ เมืองหนองหาน หรือ อำเภอหนองหานในปัจจุบัน ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ เมืองหนองบัวลำภู ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นในช่วงยุครัตนโกสินธ์ตอนต้น เมื่อมีการตั้งเมืองหนองหานขึ้น เมืองหนองหานจึงไปขึ้นกับกรุงเทพ ส่วนเมืองหนองบัวลำภูและพื้นที่ในจังหวัดอุดรส่วนอื่นๆยังคงขึ้นกับนครหลวงเวียงจันทน์ ต่อมาจะกล่าวถึงเมืองหนองหานซึ่งเป็นเมืองที่กำเนิดขึ้นก่อนบ้านหมากแข้งหรือเมืองอุดรและเป็นเมืองในเขตจังหวัดอุดรที่ได้ขึ้นกับกรุงเทพเป็นเมืองแรก ดังนี้ เมืองหนองหานมีประวัติเชื่อมโยงเกี่ยวกับเมืองสุวรรณภูมิ (อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ในปัจจุบัน) โดย พระพิทักษ์เขื่อนขันธ์ เจ้าเมืองหนองหานคนแรก ต้นสายสกุล "รักษาเมือง" และ "พิทักษ์เขื่อนขันธุ์" ทั้งนี้ พระพิทักษ์เขื่อนขันธ์ นามเดิม คือ "ท้าวเพ" เป็นบุตรคนโต ของ ท้าวเซียง หรือ เจ้าเซียง ผู้ดำรงตำแหน่งพระรัตนวงษา เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ท่านแรก และเจ้าเมืองท่งศรีภูมิ ลำดับที่ ๔ อันสืบเชื้อสาย จากเจ้าแก้วมงคล ผู้มีศักดิ์ เป็นพระราชปนัดดาของพระเจ้าวรวงศาธรรมิกราช กษัตริย์ลาวพระองค์ที่ 26 แห่งอาณาจักรล้านช้าง โดย ภายหลัง เจ้าเซียง บิดา ผู้ครองเมืองสุวรรณภูมิ ได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 2330 ท้าวสูน ผู้เป็นน้องชาย ของท้าวเซียง ที่ดำรงตำแหน่ง อุปฮาดเมืองสุวรรณภูมิ ในขณะนั้น ได้ ครองเมืองต่อ จากพี่ชาย เพื่อสนับสนุนและป้องกันปัญหาการครองเมืองดังในอดีต (ระหว่าง เจ้าสุทนต์มณี เจ้าเมืองท่งศรีภูมิ ลำดับที่ 3 กับ ท้าวเซียง เจ้าเมืองท่งศรีภูมิลำดับที่ 4 ที่มี ศักดิ์ เป็น อา และหลาน ) รวมทั้งเป็นเมืองบริวารและป้องกันเมืองสำคัญด้านทิศเหนือ คือ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลำภู) พระรัตนวงษา(สูน) จึงได้ขอพระราชทานให้มีพระบรมราชโองการ แต่งตั้ง ท้าวเพ ไปตั้งเมืองใหม่ และแบ่งเขตดินแดนทางตอนเหนือของเมืองสุวรรณภูมิ (ภายหลัง เป็นเขตของเมืองร้อยเอ็ดแล้ว)และแบ่งเขตแดนของนครหลวงเวียงจันทน์บางส่วน ให้ ท้าวเพ ได้ปกครอง เมืองสุวรรณภูมิ จึงได้แบ่งไพร่พล ให้ จำนวน 600 คน ไปตั้งเมืองบริเวณเมืองเก่า ขึ้นเป็นเมืองหนองหาน ปัจจุบัน คือ อำเภอหนองหาน และสถานปนาพระยศ ท้าวเพ เป็น "พระพิทักษ์เขื่อนขันธ์" เจ้าเมืองหนองหาน ท่านแรก เป็นเมืองขึ้นกับกรุงเทพ ในปี 2330 อาณาเขตของเมืองหนองหานขณะนั้น ครอบคลุมรวมไปถึงอำเภอเมืองอุดรธานีด้วย กล่าวคือ อาณาเขตเมืองหนองหานทางฝั่งตะวันตกบรรจบกับเขตเมืองเก่าบ้านผือ(ขึ้นกับนครหลวงเวียงจันทน์ ครอบคลุมอำเภอบ้านผือ,อำเภอน้ำโสม,อำเภอนายูง) เขตตอนเหนือบรรจบเมืองเพ็ญ(ครอบคลุมอำเภอเพ็ญ,อำเภอสร้างคอม)ซึ่งขึ้นกับเมืองปากห้วยหลวงของนครหลวงเวียงจันทน์(พื้นที่ของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ในปัจจุบัน) จึงกล่าวได้ว่า ในยุคก่อนจะกำเนิดเมืองอุดร พื้นที่เมืองหนองหานครอบคลุมพื้นที่อุดรตอนล่าง ตอนกลางและฝั่งตะวันออก รวมถึงพื้นที่ของอำเภอเมืองอุดรทั้งหมด และกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน ได้แก่ อำเภอหนองหาน,อำเภอเมืองอุดร,อำเภอบ้านดุง,อำเภอกุมภวาปี,อำเภอกุดจับ,อำเภอหนองวัวซอ,อำเภอหนองแสง,อำเภอประจักษ์ศิลปาคม,อำเภอกู่แก้ว,อำเภอศรีธาตุ,อำเภอวังสามหมอ,อำเภอไชยวาน,อำเภอทุ่งฝน,อำเภอพิบูลย์รักษ์ ยกเว้นพื้นที่อำเภอโนนสะอาด (ขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2318 - พ.ศ. 2340 และขึ้นกับเมืองขอนแก่นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2340 ภายหลังจึงถูกโอนย้ายมาขึ้นกับจังหวัดอุดร) ต่อมาภายหลังมีการตั้งเมืองขึ้นใหม่ ได้แก่ เมืองหนองคาย บ้านหมากแข้งหรือเมืองอุดรธานี เมืองกมุทธาสัย และเมืองกุมภวาปี ส่วนกลางจึงมีการโอนพื้นที่เมืองหนองหานเดิมบางส่วนไปให้แก่เมืองดังกล่าวที่กล่าวมาข้างต้น ต่อมาในระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ยกทัพมายึดเมืองนครราชสีมาและเมื่อพ่ายแพ้ชาวนครราชสีมาซึ่งมีผู้นำคือ คุณหญิงโม(ท้าวสุรนารี)กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมืองหนองบัวลำภูซึ่งเป็นเมืองขึ้นของนครหลวงเวียงจันทน์แต่ก่อน เมื่อครั้งพระเจ้ากรุงล้านช้างส่งกองทัพไปปราบกลุ่มพระวอพระตาและสังหารพระวอพระตา แต่ไม่ได้ทำลายเมือง เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ จากนั้นจึงส่งขุนนางให้ไปปกครองเมืองหนองบัวลำภูแทนที่กลุ่มเดิม ต่อมาเรื่อยๆจนถึงสมัย เจ้าจอมนรินทร์ หรือ พระยานรินทรสงคราม (ทองคำ ลาวัณบุตร) คืออดีตเจ้าเมืองสี่มุมหรือเมืองจัตุรัสองค์ที่ 2 (อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ในปัจจุบัน) ซึ่งพระยานรินจงรักภักดีต่อเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์และได้ร่วมต่อสู้กับทัพเจ้าอนุวงศ์อย่างเข้มแข็ง ภายหลังกองทัพสยามตีจนค่ายหนองบัวลำภูแตกและทัพเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไป ทัพสยามจับพระยานรินได้จึงเกลี้ยกล่อมให้พระยานรินยอมสวามิภักดิ์ต่อสยาม แต่พระยานรินจงรักภักดีต่อเจ้าอนุวงศ์เป็นอย่างมากจึงไม่ยอมสวามิภักดิ์ เป็นเหตุให้แม่ทัพสยามประหารชีวิตพระยานริน เจ้าเมืองหนองบัวลำพูจึงว่างไปและขาดจากความเป็นเมืองมาแต่บัดนั้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านหนองบัวลุ่มภู เป็นเมืองชื่อ เมืองกมุทาสัยบุรีรมย์ หรือเมืองกมุทธาสัย ขึ้นกับเมืองหนองคายและภายหลังเมืองหนองคายถูกโอนมาขึ้นกับเมืองอุดรธานี เมืองกมุทธาสัยจึงมาขึ้นกับเมืองอุดรธานีด้วย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในระยะเวลานั้น นับเป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ประเทศไทย(ในขณะนั้นเรียกว่าประเทศสยาม)ได้มีการติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศทางตะวันตกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้วัฒนธรรม อารยธรรม ความเจริญต่างๆได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย ประกอบกับในระยะเวลานั้นเป็นระยะเวลาของการแสวงหาเมืองขึ้น ตามลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกของชาติตะวันตกที่สำคัญสองชาติ คือ อังกฤษ กับฝรั่งเศสที่พยายามจะผนวกดินแดนบริเวณแหลมอินโดจีนให้เป็นเมืองขึ้นของตน และพยายามที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากเมืองไทยในระหว่าง พ.ศ. 2391-2395 พวกจีนที่เป็นกบฏที่เรียกว่ากบฏไต้เผง ถูกจีนตีจากผืนแผ่นดินใหญ่ได้มาอาศัยอยู่ตามชายแดนไทย ลาว และญวน ซึ่งเวลานั้นดินแดนลาวที่เรียกว่า ล้านช้าง บริเวณเขตสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก ขึ้นอยู่กับประเทศไทย พวกฮ่อได้เที่ยวปล้นสะดมก่อความไม่สงบและได้กำเริบเสิบสานมากขึ้นจนกระทั่ง พ.ศ. 2411ได้เข้ายึดเมืองลาวกาย เมืองพวน เมืองเชียงขวาง และยกมาตีเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทร์ และหนองคายต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อพ.ศ. 2411 จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุโขทัยกับพระยาพิชัยยกกองทัพไปช่วยหลวงพระบางและให้พระยามหาอำมาตย์ยกทัพไปช่วยทางด้านหนองคาย แล้วรับสั่งให้เจ้าพระยาภูธราภัยยกกองทัพไปช่วย พระยามหาอำมาตย์อีกกองทัพหนึ่ง กองทัพไทยสามารถตีพวกฮ่อแตกพ่ายไป แต่กระนั้นก็ตามพวกฮ่อที่แตกพ่ายไปแล้วนั้นก็ยังทำการปล้นสะดมรบกวนชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งใน พ.ศ. 2428 พวกฮ่อได้ส่องสุมกำลังมากขึ้น จนสามารถยึดเมืองซอนลา เมืองเชียงขวาง และทุ่งเชียงคำไว้ได้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม(พระยศในสมัยนั้น)เป็นแม่ทัพใหญ่ยกขึ้นไปปราบปรามทางด้านเมืองหนองคาย เรียกว่าแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้และเจ้าหมื่นไวยวรนาถ (ต่อมาเป็นจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี)เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือทางเมืองหลวงพระบาง กองทัพไทยทั้งฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือต้องประสบความลำบากในการทำสงครามกับพวกฮ่อ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าเขา ซึ่งมีไข้ป่าชุกชุมทำให้ทหารฝ่ายไทยต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ในที่สุดกองทัพไทยทั้งฝ่ายใต้ละฝ่ายเหนือก็สามารถตีพวกฮ่อแตกพ่ายไป ในเวลานั้นจังหวัดอุดรธานียังไม่ปรากฏชื่อ ปรากฏเพียงบ้านหมากแข้งหรือบ้านเดื่อหมากแข้ง แต่ก่อนบริเวณอำเภอเมืองหรือบ้านหมากแข้งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งสังกัดเมืองหนองหาน แต่ต่อมาถูกโอนมาสังกัดเมืองหนองคาย ขึ้นการปกครองกับมณฑลลาวพวน ซึ่งกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ได้เดินทัพผ่านบ้านหมากแข้งไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบ ภายหลังการปราบปรามฮ่อสงบแล้ว ไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศลต้องการลาว เขมร และญวนเป็นอาณานิคม เรียกว่า "กรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)" ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาประเทศไว้ จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส และตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ มีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมปราการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขง ดังนั้น หน่วยทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองหนองคาย อันเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมืองหรือมณฑลอุดรธานี ซึ่งมีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการ จำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อบ้านเดื่อหมากแข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งจังหวัดอุดรธานีปัจจุบัน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสม เพราะมีแหล่งน้ำดี เช่น หนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ปัจจุบัน) และหนองน้ำอีกหลายแห่งรวมทั้งห้วยหมากแข้งซึ่งเป็นลำห้วยน้ำใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมทรงบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลอุดรธานี และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง จึงพอเห็นได้ว่าเมืองอุดรธานีได้อุบัติขึ้นโดยบังเอิญเพราะเหตุผลทางด้านความมั่นคงและการเมืองระหว่างประเทศ อีกทั้งเหตุผลทางการค้า การคมนาคมในอดีต อย่างไรก็ตามคำว่า "อุดร" มาปรากฏในชื่อเมืองเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2450 (พิธีตั้งเมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 127 พ.ศ. 2450 โดยพระยาศรีสุริยราช วรานุวัตร "โพธิ์ เนติโพธิ์") พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านหมากแข้ง เป็นศูนย์กลางของมณฑลอุดร ครอบคลุม จังหวัด อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหารในสมัยนั้น ซึ่ง มณฑลอุดร แบ่งการปกครองเป็น 5 บริเวณ คือ บริเวณหมากแข้ง บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร บริเวณภาชี และบริเวณน้ำเหือง ในปีเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่าง ๆ ในบริเวณบ้านหมากแข้งตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า "เมืองอุดรธานี" ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ แต่เมืองที่ถูกยุบเป็นอำเภอขึ้นตรงกับเมืองอุดรโดยตรงซึ่งแต่เดิมสังกัดบริเวณหมากแข้ง ได้แก่ เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาน เมืองหนองคาย เมืองกมุทธาสัย(หนองบัวลำภู) เมืองโพนพิสัย เมืองรัตนวาปี เมืองที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเคยถูกยุบเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองอุดรทั้งสิ้น ภายหลังในปี พ.ศ. 2458 เมืองหนองคายแยกออกจากเมืองอุดรเป็นจังหวัด เมืองโพนพิสัยและเมืองรัตนวาปีจึงถูกโอนไปขึ้นกับจังหวัดหนองคาย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้วได้มีการปรับปรุงระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลในส่วนภูมิภาคยังคงเหลือเฉพาะจังหวัดและอำเภอเท่านั้นมณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไปเหลือเพียงจังหวัด "อุดรธานี" เท่านั้น อย่างไรก็ตามอุดรธานียังคงมีหน่วยงานราชการด้านการปกครองของกระทรวงต่าง ๆ ที่จัดตั้งในส่วนภูมิภาคที่แสดงเค้าโครงของศูนย์กลางการปกครองในพื้นที่อิสานตอนบน เช่น สำนักบริหารการทะเบียนราษ ภาค 4 คลังเขต 4 สรรพสามิตเขต 4 ศาล ตำรวจภูธรเขต 4 เป็นต้น ต่อมา ในปี พ.ศ. 2536 ประกาศจัดตั้ง จังหวัดหนองบัวลำภู แยกออกจากจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 === การตั้งอำเภอ === == รายชื่อผู้ว่าราชการ == == ภูมิศาสตร์ == จังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ตอนบนของประเทศ หรือที่เรียกว่า อีสานเหนือ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ระหว่างเส้นรุ้งที่ 17 องศา 13 ลิปดา เหนือ ถึง 18 องศา 10 ลิปดาเหนือ และระหว่างเส้นแวงที่ 102 องศา 00 ลิปดา ตะวันออก ถึง 103 องศา 30 ลิปดา ตะวันออก มีอาณาเขตติดกับจังหวัดอื่น ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ จรดจังหวัดหนองคาย (อำเภอสังคม,อำเภอโพธิ์ตาก,อำเภอท่าบ่อ,อำเภอสระใคร,อำเภอเมืองหนองคาย,อำเภอโพนพิสัย,อำเภอเฝ้าไร่) ทิศตะวันออก จรดจังหวัดสกลนคร (อำเภอบ้านม่วง,อำเภอเจริญศิลป์,อำเภอสว่างแดนดิน,อำเภอส่องดาว,อำเภอวาริชภูมิ,อำเภอนิคมน้ำอูน,อำเภอกุดบาก) ทิศใต้ จรดจังหวัดขอนแก่น (อำเภอเขาสวนกวาง,อำเภอกระนวน,อำเภอน้ำพอง)และจังหวัดกาฬสินธุ์ (อำเภอคำม่วง,อำเภอสามชัย,อำเภอท่าคันโท,อำเภอหนองกุงศรี) ทิศตะวันตก จรดจังหวัดเลย (อำเภอปากชม,อำเภอนาด้วง)และจังหวัดหนองบัวลำภู (อำเภอสุวรรณคูหา,อำเภอนากลาง,อำเภอเมืองหนองบัวลำภู,อำเภอโนนสัง) === ภูมิประเทศ === ประกอบด้วยภูเขา ที่สูง ที่ราบ ที่ราบลุ่ม และพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้น แบ่งออกได้ 2 บริเวณ คือบริเวณที่สูงทางทิศตะวันตกและทางทิศใต้สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภูเขา บางส่วนเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้นถึงลอนลึก มีความสูงจากระดับ น้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร สภาพภูมิประเทศลักษณะนี้ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอน้ำโสม อำเภอหนองวัวซอ อำเภอโนนสะอาด อำเภอศรีธาตุ อำเภอวังสามหมอ และด้านตะวันตกของอำเภอกุดจับและอำเภอบ้านผือ มีเทือกเขาสูงสลับเนินเตี้ย บางส่วนเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้นสลับพื้นที่นา มีที่ราบลุ่มอยู่บริเวณริมแม่น้ำ เช่น ลำน้ำโมง ลำปาว เป็นต้น บริเวณพื้นที่ลูกคลื่นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออก สภาพภูมิประเทศ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้น มีที่ดอนสลับที่นา บางส่วนเป็นที่เนินเขาเตี้ย ๆ มีความสูงจาก ระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ยประมาณ 187 เมตร สภาพภูมิประเทศลักษณะนี้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณอำเภอบ้านผือ อำเภอกุดจับ อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองแสง อำเภอไชยวาน อำเภอเพ็ญ อำเภอทุ่งฝน อำเภอสร้างคอมและอำเภอบ้านดุง มีที่ราบลุ่มเป็นบริเวณกว้างในเขตอำเภอเมืองอุดรธานี และอำเภอกุมภวาปีซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำปาว พื้นที่ลูกคลื่นดังกล่าวจะมีพื้นที่สูง ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติเดิมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเขตอำเภอบ้านดุง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำต่างๆเช่น ห้วยน้ำสวย ห้วยหลวง ลำน้ำเพ็ญ ห้วยดาน ห้วยไฟจานใหญ่ และแม่น้ำสงครามเป็นต้น โดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง สูงกว่าระดับน้ำทะเล โดยเฉลี่ยประมาณ 187 เมตร พื้นที่เอียงลาดลงสู่แม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วยทุ่งนา ป่าไม้และภูเขา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและดินลูกรัง ชั้นล่างเป็นดินดาน ไม่เก็บน้ำหรืออุ้มน้ำในฤดูแล้ง พื้นบางแห่งเป็นดินเค็มซึ่งประกอบการกสิกรรมไม่ค่อยได้ผลดี พื้นที่บางส่วนเป็นลูกคลื่นลอนลาด มีพื้นที่ราบแทรกอยู่กระจัดกระจายสภาพพื้นที่ทางตะวันตกมีภูเขาและป่าติดต่อกันเป็น แนวยาว มีเทือกเขาสำคัญคือ เทือกเขาภูพานทอดเป็นแนวยาวตั้งแต่เขตเหนือสุดของจังหวัด === ภูมิอากาศ === จังหวัดอุดรธานีอยู่ใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะภูมิอากาศโดยทั่วไปจะมีอากาศร้อนจัดในฤดูร้อนและหนาวจัดในฤดูหนาว ช่วง 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2554 – 2558) อุณหภูมิสูงสุดวัดได้ 42.0 องศาเซลเซียส (เมษายน2556) อุณหภูมิต่ำสุดที่วัดได้ 9.8 องศาเซลเซียส (มกราคม 2558) ปี พ.ศ. 2558 อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 28.10 องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิ สูงสุดในเดือนเมษายน วัดได้ 41.90 องศาเซลเซียสและต่ำสุดในเดือนมกราคมวัดได้ 9.80 องศาเซลเซียส ความกดอากาศเฉลี่ยทั้งปีวัดได้ 1,009.97 มิลิเมตรปรอท ร้อยละของความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 95.58 เฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 34.08 และร้อยละของความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยทั้งปีเท่ากับ 70.51 == การเมืองการปกครอง== หน่วยการปกครองแบ่งออกเป็น หน่วยการปกครองแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 156 ตำบล 1,880 หมู่บ้าน 101 ชุมชน 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 เทศบาลนคร 3 เทศบาลเมือง 67 เทศบาลตำบล 109 องค์การบริหารส่วนตำบล มีจำนวนประชากรรวม 1,557,298 คน จำนวนครัวเรือน 414,868 ครัวเรือน การปกครองแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 155 ตำบล 1,862 หมู่บ้าน อำเภอหมายเลข 12-16 ตามรหัสเขตการปกครองคืออำเภอในจังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน === เรียงพื้นที่อำเภอ === ==โรงเรียนประจำอำเภอ== ==ประชากร== ประชากรจังหวัดอุดรธานี ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 95 เป็นคนไทย มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นชาวต่างชาติที่สำคัญ ได้แก่ คนจีน คนญวน จังหวัดอุดรธานีได้จัดตั้งครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2436 ประชากรส่วนใหญ่อพยพมาจากถิ่นอื่นและมาตั้งหลักแหล่ง ประชาชนที่เป็นชาวพื้นเมืองจึงแทบไม่มี มีแต่พวกชาวไทยย้อที่ตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่ที่อำเภอวังสามหมอ และอำเภอศรีธาตุ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก === สถิติประชากร === == การศึกษา == === โรงเรียน === === สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา === มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์การศึกษาจังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอุดรธานี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี มหาวิทยาลัยอุดรธานี (ในอนาคต) มหาวิทยาลัยราชธานี วิทยาเขตอุดรธานี วิทยาลัยสันตพล === สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา === สถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษาทั้งรัฐและเอกชน ปัจจุบันอยู่ในกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรรมการการอาชีวศึกษาทั้งหมด สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษาในจังหวัดอุดรธานี มีดังนี้ ประเภทรัฐบาล วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวอุดรธานี วิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี วิทยาลัยการอาชีพหนองหาน วิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ วิทยาลัยการอาชีพกุมภวาปี วิทยาลัยการอาชีพปลูกรากแก้วแผ่นดินนวมินทราชูทิศอุดรธานี อำเภอบ้านดุง ประเภทเอกชน วิทยาลัยเทคโนโลยีสันตพล วิทยาลัยโปลีเทคนิคอุดรธานี วิทยาลัยเทคนิคพาณิชย์บ้านจั่น วิทยาลัยเทคโนอีสานเหนือ วิทยาลัยเทคโนอีสานเหนือ2 วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหนองหาน วิทยาลัยเทคโนโลยีพิชญบัณฑิต2 วิทยาลัยเทคนิคพิชญบัณฑิต วิทยาลัยเทคโนโลยีภูมิบัณฑิต วิทยาลัยเทคโนโลยีรังสิโยภาส โรงเรียนช่างกลอุดรธานี วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการบ้านดุง วิทยาลัยอาชีวศึกษาหนองหาน ==ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ== จังหวัดอุดรธานีมีความสัมพันธ์ในฐานะบ้านพี่เมืองน้องกับเมืองดังต่อไปนี้ เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน (จังหวัดอุดรธานี-ดอกบัวแดง กับดอกโบตั๋น-เมืองลั่วหยาง) เมืองสามเหลี่ยมมรดกโลก (แหล่งมรดกโลกบ้านเชียง ร่วมกับเมืองเก่าหลวงพระบาง ประเทศลาว และอ่าวหะล็อง ประเทศเวียดนาม) เมืองรีโน มลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา == การขนส่ง == เส้นทางคมนาคมและการเดินทางที่สำคัญของอุดรธานี คือ ทางรถยนต์ ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 จากกรุงเทพมหานครไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงสระบุรีบริเวณกิโลเมตรที่ 107 แยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ผ่านนครราชสีมา ขอนแก่น ถึงอุดรธานี รวมระยะทางประมาณ 564 กิโลเมตร ทางรถโดยสารประจำทาง ได้แก่ บริการรถโดยสารทั้งธรรมดาและรถปรับอากาศวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานีทุกวัน รถออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ (จตุจักร) ถนนกำแพงเพชร 2 นอกจากนี้ ยังมีรถโดยสารประจำทางไปจังหวัดต่าง ๆ คือ หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู เลย สกลนคร นครพนม มุกดาหารขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ระยอง พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี หัวหิน ภูเก็ต และจังหวัดอื่น ๆ เป็นต้น รถยนต์โดยสารระหว่างประเทศ เส้นทางเดินรถอุดรธานี-นครหลวงเวียงจันทน์(สปป.ลาว) เส้นทางเดินรถอุดรธานี-หนองคาย-วังเวียง(สปป.ลาว) ทางรถไฟ ได้แก่ สถานีรถไฟอุดรธานี ได้แก่ ขบวนรถกรุงเทพ-หนองคาย มีขบวนรถตอนเช้า - เย็น, ขบวนรถท้องถิ่น นครราชสีมา-หนองคาย ทางอากาศ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ซึ่งเป็นสนามบินหลักของภูมิภาคนี้และสามารถเชื่อมไปยัง สปป. ลาวได้ == ทางหลวงแผ่นดิน == ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 210 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 216 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2020 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2021 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2022 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2023 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2025 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2092 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2096 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2097 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2098 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2230 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2231 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2239 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2255 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2263 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2265 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2266 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2270 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2312 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2313 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2314 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2315 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2316 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2318 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2324 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2329 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2348 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2350 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2376 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2393 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2410 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2411 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2414 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2423 == บุคคลที่มีชื่อเสียง == ===นักแสดง=== ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล สุดารัตน์ บุตรพรม (ตุ๊กกี้ ชิงร้อย) อาณัตพล ศิริชุมแสง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง สัญญา คุณากร เดียร์น่า ฟลีโป ยศวรรธน์ ทะวาปี กิตติ เชี่ยววงศ์กุล โกสินทร์ ราชกรม โชกุน สันธนะพานิช อิษยา ฮอสุวรรณ พงศ์ทิวัตถ์ ตั้งวันเจริญ นิศาชล ต้วมสูงเนิน ตรัย นิ่มทวัฒน์ สุพรรณิการ์ จำเริญชัย เดนิส เจลีลชา คัปปุน รชตะ หัมพานนท์ ===นักร้อง=== ไมค์ ภิรมย์พร อินทิรา โมราเลส ระดับดาว ศรีระวงศ์ (มาตัง เดอะสตาร์ 11) ฝน ธนสุนธร ศิริพร อำไพพงษ์ นกน้อย อุไรพร หงษ์ทอง ดาวอุดร อาณัตพล ศิริชุมแสง จิรศักดิ์ ปานพุ่ม หยาด นภาลัย ===นักการเมือง=== วิเชียร ขาวขำ เทียบจุฑา ขาวขำ ขจิตร ชัยนิคม สมคิด ศรีสังคม ศราวุธ เพชรพนมพร สุรทิน พิมานเมฆินทร์ อนันต์ ศรีพันธุ์ อาภรณ์ สาราคำ ทองดี มนิสสาร จุฑาพัตธน์ เมนะสวัสดิ์ จักรพรรดิ ไชยสาส์น เกรียงศักดิ์ ฝ้ายสีงาม ประภาส จารุเสถียร บุญคุ้ม จันทรศรีสุริยวงศ์ สุรชาติ ชำนาญศิลป์ ===พระเกจิอาจารย์=== หลวงตามหาบัว หลวงปู่ขาว อนาลโย พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จนฺททีโป) พระอาจารย์สุดใจ ทนฺตมโน ===นักกีฬา=== สุดาพร สีสอนดี (นักกีฬามวยสากลสมัครเล่นหญิง เหรียญทองแดง โอลิมปิก 2020 ประเทศญี่ปุ่น) ==อ้างอิง== == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัดอุดรธานี กระทรวงมหาดไทย สำนักงานจังหวัดอุดรธานี
ตารางนี้จะแสดงตัวหา่ทั้งหมดขิงจำนวน 2 ถึง 1000 ตัวหาร ของจำนวนเน็ม n คือจำนวนเต็ม m ซึ่ง n/m เป็นจำนวนเต็ม (และาันก็จะเป็นตัวหารขอว n ด้วย) ตัวอย่างเช่น 3 เป็นตัวหารของ 21 เพราะว่า 21/3&nbsp;=&nbsp;7 (และ 7 ัป็นตัวหารของ 21 ด้วย) ถ้า m เป็นตัวหารของ n แล้ว −m ก็จะเป็นตัวหารของ n ด้วย ตารางนี้จะแสดงเฉพาะตีวหารที่เป็นบวก == การใช้ตาราง == d(m) คือ จำนวสของตัวหาตบวกของ n ซึ่งรวม 1 และ n &sigma;(n) คือ ผฃบวกของตัวหารบวกทั้งหมดของ n ซึ่งรวม 1 และ n s(n) คือ ผลบวกของตัวหารแท้ของ n ซึ่งไม่รวม n จำนวนสมบูรณ์ (perfect number) คือจำนวนที่เท่ากับผลบวกของตัวหารแท้ของมัน นั่นคือ s(n) &nbsp;=&nbsp;n จำนวนสมบูรณ์ที่อยู่ระหว่าง 1 ถึง 1000 คือ 6, w8 แลเ 496 จำนวนพร่อง (deficient number) คือจำนวนที่ส้อยกว่าผลบวกของตัวหารแท้ของมัน นั่นคือ s(n) &nbsp;&lt;&nbsp;n จำนวนเกิน (abundant number) คือจำนวนที่มากกว่าผลบวกจองตัวหารแท้ของมัน นั่นคือ s(n) &nbsp;&gt/&nbsp;n จำนวนเฉพาะ (prime number) คือจำนวนที่มี 1 และตัวมันเองเป็นตัวหารเท่านั้น นั่นคือ d(n) &nbsp;=&nbsp;2 == 1 ถึง 100 == == 101 ถึง 200 == == 201 ถึง 300 == == 301 ถึง 400 == == 401 ถึง 500 == == 501 ถึง 600 == == 601 ถึง 700 == == 701 ถึง 800 == == 801 ถึง 900 == >⁠.⁠< == 901 ถึง 1002 =- == ดูเพิาม == ตารางตัวประกอบเฉพาะ ทฤษฎีจำนวตมูลฐาน จำนวน ตัวหาร ตารางทางคณิตศาสตร์
ตารางนี้จะแสดงตัวหารทั้งหมดของจำนวน 1 ถึง 1000 ตัวหาร ของจำนวนเต็ม n คือจำนวนเต็ม m ซึ่ง n/m เป็นจำนวนเต็ม (และมันก็จะเป็นตัวหารของ n ด้วย) ตัวอย่างเช่น 3 เป็นตัวหารของ 21 เพราะว่า 21/3&nbsp;=&nbsp;7 (และ 7 เป็นตัวหารของ 21 ด้วย) ถ้า m เป็นตัวหารของ n แล้ว −m ก็จะเป็นตัวหารของ n ด้วย ตารางนี้จะแสดงเฉพาะตัวหารที่เป็นบวก == การใช้ตาราง == d(n) คือ จำนวนของตัวหารบวกของ n ซึ่งรวม 1 และ n &sigma;(n) คือ ผลบวกของตัวหารบวกทั้งหมดของ n ซึ่งรวม 1 และ n s(n) คือ ผลบวกของตัวหารแท้ของ n ซึ่งไม่รวม n จำนวนสมบูรณ์ (perfect number) คือจำนวนที่เท่ากับผลบวกของตัวหารแท้ของมัน นั่นคือ s(n) &nbsp;=&nbsp;n จำนวนสมบูรณ์ที่อยู่ระหว่าง 1 ถึง 1000 คือ 6, 28 และ 496 จำนวนพร่อง (deficient number) คือจำนวนที่น้อยกว่าผลบวกของตัวหารแท้ของมัน นั่นคือ s(n) &nbsp;&lt;&nbsp;n จำนวนเกิน (abundant number) คือจำนวนที่มากกว่าผลบวกของตัวหารแท้ของมัน นั่นคือ s(n) &nbsp;&gt;&nbsp;n จำนวนเฉพาะ (prime number) คือจำนวนที่มี 1 และตัวมันเองเป็นตัวหารเท่านั้น นั่นคือ d(n) &nbsp;=&nbsp;2 == 1 ถึง 100 == == 101 ถึง 200 == == 201 ถึง 300 == == 301 ถึง 400 == == 401 ถึง 500 == == 501 ถึง 600 == == 601 ถึง 700 == == 701 ถึง 800 == == 801 ถึง 900 == >⁠.⁠< == 901 ถึง 1002 == == ดูเพิ่ม == ตารางตัวประกอบเฉพาะ ทฤษฎีจำนวนมูลฐาน จำนวน ตัวหาร ตารางทางคณิตศาสตร์
อินเทอร์เน็ต2 (Internet2) หรืเ UCAID เป็นัครือข่ายในการวิจัยที่เกิดจากการร่วมมือกันของมหาวิทยางัย 207 แห่งในสหรัฐอเมริกา และไดัการสนับสนุนจากบริษัทไอทีชั้นนำหลายแห่ง มีจุดประสงค์เพื่อทดลองเทคโนโลยีด้านเครือข่ายใหม่ๆ เช่น IPv6, IP multicasting และ quality of service ก่อนจะนำมาใช้จริงในอิจเทอร์เน็ต =] อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == Home of Internet2 อินเทอร์เน็ต เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประวัติอินเทอร์เน็ค
อินเทอร์เน็ต2 (Internet2) หรือ UCAID เป็นเครือข่ายในการวิจัยที่เกิดจากการร่วมมือกันของมหาวิทยาลัย 207 แห่งในสหรัฐอเมริกา และได้การสนับสนุนจากบริษัทไอทีชั้นนำหลายแห่ง มีจุดประสงค์เพื่อทดลองเทคโนโลยีด้านเครือข่ายใหม่ๆ เช่น IPv6, IP multicasting และ quality of service ก่อนจะนำมาใช้จริงในอินเทอร์เน็ต == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == Home of Internet2 อินเทอร์เน็ต เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประวัติอินเทอร์เน็ต
อนาธิปไตย (Anarchj) คืเสังคมที่ไม่มีรัฐบาล หรืออาจใล้หมายถึงสังคมหรือคนกลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธการจัดลำดุบชั้น (hierarchj) โดยสิ้นเชิง ในทางปฏิขัติ อนาธิปไตยอาจหมายถึงการลดทอนหรือยกเลิกรัฐบาลและสถาบันในรูปแบบดั้งเดิม และอาจหมายถึงชาติหรือดินแดนที่มีคนอาศัยอยู่ที่ใดก็ตามที่ไม่มีระบบการปกครองหรืออำนาจสาวนกลาง ผู้ที่สนับสนุนอนาธิปไตยโดนหลักประกอบด้วยนักอนาธิปัตย์ซึ่งเสนแให้แทนที่รัฐบาลด้วยสถาบันแบบสมัครใจ โดยทั่วไป สถาบะนหรือสมาคมะส่ีเหล่นนี้ใช้ตัวแบบตามแลบอย่างธรรมชาติ เพราะมันสามารถดป็นตัวปทนของแนวคิดเช่นชุมชนกับการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ (autarky) การพึ่งพาระหว่างกัน (Interdependence) หรือปัจเจกนิยมได้ แม้ว่าอนาธิปไตยมักถูกใช้ในเชิงลบเป็นไวพจน์ของภาวเยุ่งเหยิงหรือการล่มสลายของสังคมหรืออโนมี แต่นักอนาธิปัตย์ใช้ีำว่าอนาธิปไตยในความหมายที่ต่างออกไป โดยหมายถึงสังคมซค่งไม่มีลำดับชั้น ==ศัพทมูลวิทยา== Anarchy ทาจากคำภาษาละติน anarchia ซึ่งมาจากคำภาษากรีก anarchos ("ไร้ผู้ปกครอง") ประกอบด้วย an- (“ไม่” หรือ “ไร้”) + archos ("ผู้ปกครอง") ม่ความหมายตรงตัวว่า "ไร้ผู้ปกครอง" ในภ่ษาอังกฤษ มีการใช้คำว่า Anarcmy เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1539 โดยหมายถึง "การปราศจากรัฐบาล" ==ภาพรวม== ===มานุษยวิทยา=== แม้ว่าลักษณะของสังคาที่เป็นที่รู้จักส่วนใหญ่จะมีลำดับชั้นหรือรัฐ แต่นักมานุษยวิทยาไดีศึกษาสังคมไร้รัฐาี่เสมอภาคหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสังคมคนเก็บของป่าล่าสัตว์เร่ร่อน และสังคมกสิกรรมพืชสวนส่วนใหญ่ อาทิชาวเซอไม (Semai people) และชาวเปียโรอา (Piaroa) สังคมเหล่านี้หลายแห่งนับว่าเป็นแบบอนาธิปไตยได้ในแง่่ี่ภวก้ขาปฏิเสธแนวคิดเรื่องอำนาจทางการเมืองแบบรวมศูนย์อย่างชัดเจน ปีเตอร์ ลีสัน (Peter Leeson) ได้พิจารณาสถาบันบังคับใช้กฎหมายเอกชน (private law enforcement) ที่โจรสงัดยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชนเผ่าก่อนอ่านออกเขียนได้ และแก๊งในเรือนจำรัฐแคลิฟอร์เนียพัฒนาขึ้นมาในมถานการณ์แบบอนาธิปไตย กลุ่มชนเหล่านี้ปรับใช้หลากหลายวิฑีการในการบังคับใช้กฎหมายเอกชนเพื่อสนองความจำเป็นเฉพาะตัวของแต่ละกลุ่มและความเฉพาะตัวของสะานการณ์แบบอนาธิปไตยมร่พวกเขาพบ ==-ความสัมพันธ์ระหว่าบประเทศ=== อนาธิปไตยในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือ "การไม่มีอำนาจใดที่อยู่เหนือรัฐประชาขาติ หรือที่สามารถตัดวินชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกันและบังคีบใช้กฎหมายระหว่างประเทศได้" ===ปรัชญาการเมือง=== ====ลัทธิอนาธิปไตย==== ใรฐานะปรัชญาการเมือง ลัทธิอนาธิปไตยสนับสนุนให้มีสังคมที่ปหครองตน้อง (Self-governance) ผ่านสถาบันแบบสมัครใจ ซึ่งมักบรรยายว่าเป็นสังคมไร้รัฐ แต่นักเขียนบางรายให้นิยามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นว่สหมายถึงสถาบันซึ่งตั้งอยู่บนฐานของสมาคมเสรีซึ่งไม่มีลำดับชั้น ลัทธิอนาธิปไตยมองว่ารัฐเป็นสิ้งทีรไม่พึงประสงค์ ไม่จำเป็น และอเนตราย และถึงแม้ว่ามีแก่นหลักเป็นการต่อต้านรัฐ แต่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นแต่ยังไม่เพียงพอ ลัทธิอนาธิปไตยยังหมายถึงการต่อต้านอำนาจหรือองค์กรแบบลำดับชั้น (hierarchical organisation) ภายในมนุษยสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกะดเฉพาะระบบรัฐ ====อิมมานูเอล คานต์==== นักปรัชญาชาวเยอรมันอิมมานูเอล คานต์ กล่าวถึงอนาธิปไตยในงานของเขา Anthropology from a Pranmatic Point of View ว่าประกอบขึ้นจาก "กฎหมายและเสรีภาพโดยไร้ซค่งอำนาจ" ในมุมมองของคานต์ อนาธิปไตยยังไม่เรียกว่าเป็นประชารัฐที่แท้จริงได้ เพราะกฎหมายเป็นเพียง "คำแนะนำกลวงเปล่า" เมื่อไม่มีอำนาจที่ทำให้กฎหมายสีปรดสิทธิผล ในการที่รัฐเช่นนี้จะดำรงอยู่ได้ อำนาจจะต้องมีและกฎหมายกับเสรีภาพจะต้องคงไว้ คานต์เรียกรัฐดังกล่าวว่าสาธาร๖รัฐ คานต์รถบุรัฐบาลไว้สี่ชนิด: กฎหมายและเสรีภาพโดยไร้ซึ่งอำนาจ (อนาธิปไตย) กฎหมายและอำนาจโดยๆร้ซึ่งเสรีภาพ (ระบบใช้อำนาจเด็ดขาด) อำนาจโดยไร้ซึ่งเสรีภาพและกฎหมาย (สังคมไร้อารยะ) อำนาจอันพร้อมด้วยเารีภาพและกฎหมาย (สาธารณรัฐ) =\ตัวอย่างของอนาธิปไตยรัฐล่มสบาย== ===สงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642–1651)=== อนาธ้ปไตยเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถกในการอภิปรายพัตนีย์ (Putney Debates) ใน ค.ศซ 1647: โทมัส เรนส์บะระ (Thomas Rainsborough): "เราจะกล่าวตรง ๆ กับท่านกว่าเดิมอีกหน่อย เราหวังว่าพวกเราทั้งหมดจะจริงใจและทำตัวซื่อสัตย์กันทุกคน ถ่าิราไม่เชื่อใจท่านเราคงไม่ใช้คำพูดที่แีงอย่างนั้น เราเชื่อว่าเป็นเพราะความไม่เชื่อใจ และหลายสิ่งาักคิดไปว่าสะท้อนเจตนาซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนั้น ในส่วนของเรา เราคิดวาาททานลืมบางสิีงในคำพูดของเราไป และท่านไม่ได้เพียงแต่เชื่อไปเองว่าคนบางคนเชื่อว่ารัฐบาลไมามีวันถูกต้อง แต่ท่านยังรังเกียจคนทุกคนทั่เชื่อดังนั้น และท่าน แค่เพราะคน ๆ หนึ่งกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนมีปากมีเสียงตามสิทธิธรรมชาติ ดังนั้นเหตุผลเดียวกันนี้จึงทำลายทรัพย์สินทั้งสิ้น นี่เป๋นการลืมกฎของพระเจ้า ว่ามีารัพย์สิน กฎของพระเจ้ากล่าวไว้ ไม่เช่นนัีนพระเจ้าทรงบัญญัต้กฎนั้นทำไมเล่า ว่าห้ามลักขฉมย เราเป็นคนจน เราจึงจำถูกกดขี่ หากเราไม่มีส่วนได่ส่วนเสียใสราชอาณาจักร เราจำต้อวทนทุกข์จากกฎหมายทั้งปวงของมันแม้ดีหรือเลว ไม่เพียงเท่านั้น สุภาพบุรุษท่านหนึ่งอาศัยในถิทนหนึ่งและมีที่ดินสามสี่แปลงเช่นบางท่าน (มีเพียงพระเจ้าทรงทร่บว่าพวกเขาได้มาอย่างไร) และเมื่อเรียกประชุมรัฐสภา เขาจำต้องเป็นบุรุษรัฐสพา และเขาอาจพบเห็าคนขนบางคน พวกเขาเาศัยใกล้เขา เขาสามารถกดขี่พวกเขาได้ เราเคยทราบถึงการบุรุกให้แน่ใจว่าเขาไล่พวกคนจนออกจากบ้าน และเราอยมกรู้ว่าอำนาจของพวกคนรวยจะไม่ทำเช่นนี้กรือเปล่า และดังนั้นเก็บพวกเขาไว้ภายใต้ทรราชอันมุดจะคิดได้ในโลกนี้ และดังนั้นเราคิดว่าเรื่องนั้นเราตอบครบแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งนั้นคือกรรมสิทธิ์ตามกฎข้อนี้ของพระองค์ว่าห้ามลักขโมย และในส่วนของเรา เราต่อต้านความคิดใดเช่นนั้น และ ในส่วนของท่าน เราหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ทั้งโลกเชื่อว่าเราสนับสนุนอนาธืปไตย"โอลิเวอร์ ครอมเวชล์: "เราไม่รู้สิ่งใดเว้นแต่สิ่งนี้ ว่าผู้ที่ยอมมทกที่สุดมีปัญญามากที่สุด แต่ความจริง ท่าน นี่ไมทถูกต้องอย่างที่ควรเป็น ไม่มีใครกล่าวว่าท่านนิยมอนาธิปไตย แต่ว่าผลที่ตามมาจากกฏนี้โน้มเข้าหาอนา๔ิปไตย ต้องลงเอยด้วยอนาธิปไตย เพราะขอบเขนหรือขีดจำกัดจะไปอยู่ที่ใดหากท่านนำขีดจำกัดออก ว่าผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีขอะไรนอกจากส่วนได้ส่วนเสียในการหายใจควรมีกากมีเสียงในการเลือกตัิงหรือ ดังนั้น เรามั่นใจในสิ่งนี้ เราไม่ควรใจร้อนด้วยกัน" เมื่อผู้คนเริ่มตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับสงครรมกลาง้มืองอังกฤษ อนาธิปไตยมีนิยามที่คมชัดยิ่งขึ้น แม้ว่นจะมาจากมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกัน: 1651 – โทมัส ฮอบส์ (>eviathah) อธิบายว่าส_าพธรรมบาติของมนุษยชาติคือสงครามของทุกคนกับทุกคน (Bellum omn7um contra omnes) ที่มนุษย์ดำรงชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน: "สำหรับอนารยชนในหลายถิ่นของอเมริกา เว้นแต่อภิบาลของครอบครัวขนาดย่อมฦึ่งมีข้อตกลงขึ้นกับตุณหาธรรมชาติ ไค้ซึ่งรัฐบาลโดยสิ้นเชิง และตราบวันจี้มีชีวิตจริตเดรัจฉาน" ฮ็อบส์มองว่ามีเหตุสามประการของความขัดดย้งในสภาพธรรมชาติ กล่าวคือการแข่งขัน ความประหม่า และความทะจงตัว: "ประการแรกทกให้มนุษย์รุกรานเพื่อผลได้ ประการที่สองเพื่อนิรภัย และหระการทร่สาม้พื่อเกียรติ" กฎธรรมชาติข้อแรกคือ "มนุษย์ทุกคนย่อมแสวงหาสันติ ตราบเท่าที่เขามีความหวังจะได้มันมา และเมื่อเขาไม่สามาาถหามันมาได้ เขาย่อมแสวงดละใช้ความอนุเคราะห์และความได้เปรียบของสงคราม" ในสภาพธรรมชาติ "มนุษจ์ทุกคนถือสิทธิในทุกสิ่ง แม้แต่ในร่างกายของคนอื่น" แต่ในการได้มาซึ่งความได้เปรียบของาันคิ กฎข้อที่สองคือ "มนุษย์จะยอม เมื่อคนอื่นจะทำเช่นกัน ... วางสิทธิในทุปสิ่งลง แล้วพอใจกับเสรีภาพต่อคนอื่นพอกับทีาเขาจะยอมให้คนอื่นมีต่อตัวเขา" นี่รือจุดเริ่มต้นของส้ญญาและกติกา การนำไปปฏิบัคิคือกฎธรรมชาติข้อที่สาม ดังนั้น อยุติธรรมคือความล้มเหลวในการทำตนมกติแา และสิ่งแื่นใดล้วนยุติธรรม 1656 – เจมส์ แฮร็ริงตัน (James Harrington (autho4)) (The Commonwealth of Oceana) ใช้อนาธิปไตยเพื่อหมายถึงสภาวะเมื่อประชาชนใช้ดำนาจวางรัฏฐะเหนือฐานเศรษฐกิจที่กระกอบขึ้นจากการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนใหญ่โดยคนหนึ่งคน (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) หรือโดยคนกลุ่มน้อย (ราชาธิปไตยผสม) เขามองว่ามันแตกต่างจากสาธารณรัฐ ซึ่งหมายถึงสภาวะเมืีอประชากรส่วนใหญ่ร่วมกันถือครองพรรมสิทธิ์ในที่ดินและวิธีกาาปกครอง ฑดยมองว่าอนาธิปไคจเป็นสถานการณ์ชั่วครรวที่เกิดขึ้นเมื่อรูปแบบการปกครเลกับรูปแบบความสัมพันธ์ทสงทรัพย์สินไา่สมดัลกัน ===การปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ. 1789–1799)=== นักเขียนความเรียงชาวสกอตในสมัยวิกตอเรีย ทอมัส คาร์ไลล์ เขียนไว้ในงานเขียนประวัติศาสตร์ของเขา The French Revolution ว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นสงครามต่อต้านอภิชนาธิปไตยและอนาธิปไตย: ใน ค.ศ. 1789 นีกอลา แบร์กเส (Nico/as Bergasxe) แสดงความคิดเห็นต่ออนาธิปไตยแก่สมัชชาแห่งชาติ: คนิส บอชเชอ (Chris Bossche) กล่าวถึงบทบาทของอนาธิปไตยในการปฏิวัติฝรั่งเศส: ===ประเทศจาเมกา (ค.ศ. 1720ฆ=== ใน ค.ศ. 1720 เซอร์นิโคลัส ลอวส์ (Nicholas Lawes) ผู้ว่าการจาเมกา เขียนถึงจอห์น รอบินนัน (John Robinson (bishop of London)) บิชอหแห่งลอนดอนว่า: ในส่วนของชาวอังกฤษที่มาเป็นบ่างที่นี่ อายุน้อยมากแล้วตอนสี้ได้ถือครองที่ดินผืนงามใน Sugar Plantations and Indigo & co. แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ดีกว่าหลักใดที่เขาได้เรียนที่ประเทศ กล่าวสั้น ๆ เรียบ ๆ ท่านนะพบว่าพวกเขาไม่มีหลัดของศาสนจักรกับรัฐเลย แต่เป็นอนาธิปไตบทั้งสิ้น ในจดหมายร้องทุกข์ฉบับนี้ ลอวส์กล่าวว่า "บุรุษที่มีทรัพย์สินเดี๋ยวนี้เป็นเหมือนต้นละหุ่ง (Kikayon) ของโยนาห์" แลเอธิบายถึงรากเหง้าที่ต่ำต้อยของ "ชาวครีโอล" (Creole peoples) ว่าส่วนใหญ่หม่มีการฯึกษาและเยาะเว้ยกฎของศาสนจักรและรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขากล่าวถึงการที่พวกเขาปฏิเสธไม่ทำตามกฎหมาย Deficiency Act ซึ่งบังคับให้เจ้าของทาสต้องจัดหาคนผิวขาว (White people) จากอังกฤษหนึ่งคนต่อชาวแอฟริกันที่ตกเป็นทาส 40 คน ซึ่งมุ่งหวังเพื่อทำให้สามารถขยายอาณาเขตที่ดินของตัวเองได้และยับยั้งการอพยพจากอังกฤษและไอร์แลนด์เพิ่มเติม ลอวส์กล่าวถึงรัฐบาลว่าเป็น "คล้ายอนาธิปไตย แต่ใกล้เคียงอภิชนาูิปไตยไม่ว่าตูปแบบใดมากที่สุด" และเสริมว่า "จำเป็นหรือที่ราษฎรของกษัตริย์ที่มีความสามารถริเริ่มอาณานิคมเหมือนบรรพบุรุษของเขา ซึ่งเช่นกัน ถูกกีดกันเสรีภาพในการตั้งอาณานิคสบนเกาะอันประเสริฐนี้ตลอดไป แล้วกษัตริย์และชาติที่บ้านเกิดก็ถูกกีดกันจากความอุดมสมบูรณ์ล้น เพื่อสร้างองค์ชายสุภาพบุรุษไฟแรงไม่กี่คน?" ===ประเทศแอลเบเนีย (ค.ศ. 1997)=== ใจ คฦศ. 1997 ประเทศแอลเบเนียตกอยู่ในสภาวะอนาธิปไตย หลัก ๆ เป็นดพราุการสูญเสียเงินตราจำนวนมากจากการล่ทสลายของธุรกิจแบบพีระมิด และจมกการช่มสลายทางสังคมครั้งนี้ อาชญากรติดอาวุธสาสารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีโดยแทบจะไม่ต้องรับโทษ แต่ละเมืองโดยเฉพาะในภาคใต้มักมีแก๊งอยู่สามถึงส่่กลุ่ม โดยที่ตำรวจไม่มีทรัพยากร้พียงพอในการจัดการกับอาชญากรรมที่เกี่ยวขืองกับแก๊งพวกนี้ ===ประเทศโซมาเลีย (ค.ศ. 1991–2006)=== แม้วาาระบบตุลาการทางการของประเทศโซมาเลียส่วนใหญ่ถูกทำลายลงิมื่อระบอบของไซอัด บาร์รี ล่มสลาย แต่ก็ค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่และชริหารจัดการโดยรัฐบาลของภูมิภาคค่าง ๆ อามิพุนต์แลนด์และโซมาลีแลนด์ ในกรณีของรัฐบาลเปลี่วนผ่านแห่งชาติและในภายหลังเป็นรัฐบาลกลางเปลี่ยนผ่าน โครงสร้างตุลาการชั่วคราวใหมืถูกสร้างขึ้นผ่านการประชึมระดับนาจาชาติหล่ยหน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีโครงสร้างทางการเมืองที่แตกต่างแต่มีโครงสร้างทางกฎหมายที่ึล้ายกัน ส่วนใปญ่มีอย๔่มาก่อนในระบบตุลาการของรัฐโซมาลีที่แล้ว กฎหมายลายลักษณ์อักษรมีความคล้ายกันที่กฎบัตร (charter) ซึ่งยืนยันความสูงสุดของชะรีอะฮ์หรือกฎหมายศาสนา แม้ว่าในทางปฏิบัติมีการใช้ชะรีอะฮ์ในประเด็นเกี่ยวกับการสมรส การหย่าร้าง มรดก และแพ่งเท่านั้น กฎบัตรนี้รับประกันอิสรภาพของอำนสจตุลาการซึ่งได้รับความคุ้มครองจากคณะกรรมการตุลาการ ระบบจุลาการสามชั้นอันประกอบด้วยศาลสูงสุด ศาลชั้นอุทธรณ์ (Appellate court) และศาลชั้นต้น (ที่แบ่งเขตอำนาจศาลตามเขตหรือภูมอภาค หร่ออาจมีศาลหนึ่งแห่งต่อภูมิภาค) และกฎหมายของรัฐบาลพลเรือนที่มีผลบังคับใช้ก่อนการรัฐประหารโดยทหารเพื่อเอาบาร์รีขึ้นสู่อำนาจยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกระทั่งมีการแก้ไขกฎหสาย นักเศรษฐศาสนร์อเล็กซ์ แทบาร์รอก (Alex Tabarrok) กล่าวว่าโซมาเลียในยุคที่ไม่มีรัฐเป็น "บททดสอบพิเศษของทฤษฎีอนาธิปไตย" และในบางแง่มุมใกล้เคียงกับที่ผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตย-ทุนนิยม (Anarcho-capitalism) เช่นเดวิด ดี. ฟรีดแมน (Dxvid D. Friedman) และเมอร์เรย์ รอทบาร์ด (Murray Rothbarc) สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ทั้งนักอนาธิปัตย์และผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตยทันนิยมบางคนเช่นวอบเตอร์ บล็อก (Walter Block) กล่าวว่าโซมาเลียในตอนนั้นไม่ได้เป็นสังคมอนาธิปไตย ==ะูเพิ่ม== คตินิยมสิทธิสตรีแบบอนาธิปไตย (Anarchist feminism) อโนมี (Anomieฉ สังคมนิยมแบบอิสรนิยม เค้มโครงลัทธิอนาธิปไตย ((utline of anarchism) ช่องว่างแห่งอำนาจ (Power vacuum) ==อ้างอิง== ===หมายเหตุ=\= ===อ้างอิง=== ===บรรณานักรม=== ==แหล่งข้อมูลอื่น== Emma Goldman, Anarchism and Other Essays. Matt Stone, On the Steppes of Central Asia. หนังสือฉบับออนไลน์ที่เว็บไซต์ Anarchism.net. "Who Needs Government? Pirates, Collapsfd Statrs, and the Possibility of Anarchy", Vato Unbound ฉบับเดือนส้งหาคม ค,ศ. 2007 เกี่ยวกับอนาธิปไตยในโซมาเลีย. "Historical Examples of Anarchy without Chaos", รายการความเรียงต่าง ๆ ที่เว็บฟซต์ royhalliday.home.jingspring.com. Anarchy Is Order. หลักการ ข้อเสนอ และข้อถกเถียงเกี่ยวกับทั่ดินและเสีีภาพ. Brandon's Anarchy Page, รายการความเรียงคลาสสิกและข้อถกเถียงสมัยใหม่ออนไลน์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1994. กลุ่มทรัพยากรลัทธิอนาธิปไตยจากหอสใุดรัฐสภาสหรัฐ แผนกหนังสือหายากและกลุ่มทรัพยากรพิเศษ. ระบบเศรษฐกิจ ระบอบการปกครอง ลัทธิอนาธิปไตย
อนาธิปไตย (Anarchy) คือสังคมที่ไม่มีรัฐบาล หรืออาจใช้หมายถึงสังคมหรือคนกลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธการจัดลำดับชั้น (hierarchy) โดยสิ้นเชิง ในทางปฏิบัติ อนาธิปไตยอาจหมายถึงการลดทอนหรือยกเลิกรัฐบาลและสถาบันในรูปแบบดั้งเดิม และอาจหมายถึงชาติหรือดินแดนที่มีคนอาศัยอยู่ที่ใดก็ตามที่ไม่มีระบบการปกครองหรืออำนาจส่วนกลาง ผู้ที่สนับสนุนอนาธิปไตยโดยหลักประกอบด้วยนักอนาธิปัตย์ซึ่งเสนอให้แทนที่รัฐบาลด้วยสถาบันแบบสมัครใจ โดยทั่วไป สถาบันหรือสมาคมเสรีเหล่านี้ใช้ตัวแบบตามแบบอย่างธรรมชาติ เพราะมันสามารถเป็นตัวแทนของแนวคิดเช่นชุมชนกับการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ (autarky) การพึ่งพาระหว่างกัน (Interdependence) หรือปัจเจกนิยมได้ แม้ว่าอนาธิปไตยมักถูกใช้ในเชิงลบเป็นไวพจน์ของภาวะยุ่งเหยิงหรือการล่มสลายของสังคมหรืออโนมี แต่นักอนาธิปัตย์ใช้คำว่าอนาธิปไตยในความหมายที่ต่างออกไป โดยหมายถึงสังคมซึ่งไม่มีลำดับชั้น ==ศัพทมูลวิทยา== Anarchy มาจากคำภาษาละติน anarchia ซึ่งมาจากคำภาษากรีก anarchos ("ไร้ผู้ปกครอง") ประกอบด้วย an- (“ไม่” หรือ “ไร้”) + archos ("ผู้ปกครอง") มีความหมายตรงตัวว่า "ไร้ผู้ปกครอง" ในภาษาอังกฤษ มีการใช้คำว่า Anarchy เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1539 โดยหมายถึง "การปราศจากรัฐบาล" ==ภาพรวม== ===มานุษยวิทยา=== แม้ว่าลักษณะของสังคมที่เป็นที่รู้จักส่วนใหญ่จะมีลำดับชั้นหรือรัฐ แต่นักมานุษยวิทยาได้ศึกษาสังคมไร้รัฐที่เสมอภาคหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสังคมคนเก็บของป่าล่าสัตว์เร่ร่อน และสังคมกสิกรรมพืชสวนส่วนใหญ่ อาทิชาวเซอไม (Semai people) และชาวเปียโรอา (Piaroa) สังคมเหล่านี้หลายแห่งนับว่าเป็นแบบอนาธิปไตยได้ในแง่ที่พวกเขาปฏิเสธแนวคิดเรื่องอำนาจทางการเมืองแบบรวมศูนย์อย่างชัดเจน ปีเตอร์ ลีสัน (Peter Leeson) ได้พิจารณาสถาบันบังคับใช้กฎหมายเอกชน (private law enforcement) ที่โจรสลัดยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชนเผ่าก่อนอ่านออกเขียนได้ และแก๊งในเรือนจำรัฐแคลิฟอร์เนียพัฒนาขึ้นมาในสถานการณ์แบบอนาธิปไตย กลุ่มชนเหล่านี้ปรับใช้หลากหลายวิธีการในการบังคับใช้กฎหมายเอกชนเพื่อสนองความจำเป็นเฉพาะตัวของแต่ละกลุ่มและความเฉพาะตัวของสถานการณ์แบบอนาธิปไตยที่พวกเขาพบ ===ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ=== อนาธิปไตยในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือ "การไม่มีอำนาจใดที่อยู่เหนือรัฐประชาชาติ หรือที่สามารถตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกันและบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศได้" ===ปรัชญาการเมือง=== ====ลัทธิอนาธิปไตย==== ในฐานะปรัชญาการเมือง ลัทธิอนาธิปไตยสนับสนุนให้มีสังคมที่ปกครองตนเอง (Self-governance) ผ่านสถาบันแบบสมัครใจ ซึ่งมักบรรยายว่าเป็นสังคมไร้รัฐ แต่นักเขียนบางรายให้นิยามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นว่าหมายถึงสถาบันซึ่งตั้งอยู่บนฐานของสมาคมเสรีซึ่งไม่มีลำดับชั้น ลัทธิอนาธิปไตยมองว่ารัฐเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ไม่จำเป็น และอันตราย และถึงแม้ว่ามีแก่นหลักเป็นการต่อต้านรัฐ แต่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นแต่ยังไม่เพียงพอ ลัทธิอนาธิปไตยยังหมายถึงการต่อต้านอำนาจหรือองค์กรแบบลำดับชั้น (hierarchical organisation) ภายในมนุษยสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะระบบรัฐ ====อิมมานูเอล คานต์==== นักปรัชญาชาวเยอรมันอิมมานูเอล คานต์ กล่าวถึงอนาธิปไตยในงานของเขา Anthropology from a Pragmatic Point of View ว่าประกอบขึ้นจาก "กฎหมายและเสรีภาพโดยไร้ซึ่งอำนาจ" ในมุมมองของคานต์ อนาธิปไตยยังไม่เรียกว่าเป็นประชารัฐที่แท้จริงได้ เพราะกฎหมายเป็นเพียง "คำแนะนำกลวงเปล่า" เมื่อไม่มีอำนาจที่ทำให้กฎหมายมีประสิทธิผล ในการที่รัฐเช่นนี้จะดำรงอยู่ได้ อำนาจจะต้องมีและกฎหมายกับเสรีภาพจะต้องคงไว้ คานต์เรียกรัฐดังกล่าวว่าสาธารณรัฐ คานต์ระบุรัฐบาลไว้สี่ชนิด: กฎหมายและเสรีภาพโดยไร้ซึ่งอำนาจ (อนาธิปไตย) กฎหมายและอำนาจโดยไร้ซึ่งเสรีภาพ (ระบบใช้อำนาจเด็ดขาด) อำนาจโดยไร้ซึ่งเสรีภาพและกฎหมาย (สังคมไร้อารยะ) อำนาจอันพร้อมด้วยเสรีภาพและกฎหมาย (สาธารณรัฐ) ==ตัวอย่างของอนาธิปไตยรัฐล่มสลาย== ===สงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642–1651)=== อนาธิปไตยเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถกในการอภิปรายพัตนีย์ (Putney Debates) ใน ค.ศ. 1647: โทมัส เรนส์บะระ (Thomas Rainsborough): "เราจะกล่าวตรง ๆ กับท่านกว่าเดิมอีกหน่อย เราหวังว่าพวกเราทั้งหมดจะจริงใจและทำตัวซื่อสัตย์กันทุกคน ถ้าเราไม่เชื่อใจท่านเราคงไม่ใช้คำพูดที่แรงอย่างนั้น เราเชื่อว่าเป็นเพราะความไม่เชื่อใจ และหลายสิ่งมักคิดไปว่าสะท้อนเจตนาซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนั้น ในส่วนของเรา เราคิดว่าท่านลืมบางสิ่งในคำพูดของเราไป และท่านไม่ได้เพียงแต่เชื่อไปเองว่าคนบางคนเชื่อว่ารัฐบาลไม่มีวันถูกต้อง แต่ท่านยังรังเกียจคนทุกคนที่เชื่อดังนั้น และท่าน แค่เพราะคน ๆ หนึ่งกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนมีปากมีเสียงตามสิทธิธรรมชาติ ดังนั้นเหตุผลเดียวกันนี้จึงทำลายทรัพย์สินทั้งสิ้น นี่เป็นการลืมกฎของพระเจ้า ว่ามีทรัพย์สิน กฎของพระเจ้ากล่าวไว้ ไม่เช่นนั้นพระเจ้าทรงบัญญัติกฎนั้นทำไมเล่า ว่าห้ามลักขโมย เราเป็นคนจน เราจึงจำถูกกดขี่ หากเราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในราชอาณาจักร เราจำต้องทนทุกข์จากกฎหมายทั้งปวงของมันแม้ดีหรือเลว ไม่เพียงเท่านั้น สุภาพบุรุษท่านหนึ่งอาศัยในถิ่นหนึ่งและมีที่ดินสามสี่แปลงเช่นบางท่าน (มีเพียงพระเจ้าทรงทราบว่าพวกเขาได้มาอย่างไร) และเมื่อเรียกประชุมรัฐสภา เขาจำต้องเป็นบุรุษรัฐสภา และเขาอาจพบเห็นคนจนบางคน พวกเขาอาศัยใกล้เขา เขาสามารถกดขี่พวกเขาได้ เราเคยทราบถึงการบุรุกให้แน่ใจว่าเขาไล่พวกคนจนออกจากบ้าน และเราอยากรู้ว่าอำนาจของพวกคนรวยจะไม่ทำเช่นนี้หรือเปล่า และดังนั้นเก็บพวกเขาไว้ภายใต้ทรราชอันสุดจะคิดได้ในโลกนี้ และดังนั้นเราคิดว่าเรื่องนั้นเราตอบครบแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งนั้นคือกรรมสิทธิ์ตามกฎข้อนี้ของพระองค์ว่าห้ามลักขโมย และในส่วนของเรา เราต่อต้านความคิดใดเช่นนั้น และ ในส่วนของท่าน เราหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ทั้งโลกเชื่อว่าเราสนับสนุนอนาธิปไตย"โอลิเวอร์ ครอมเวลล์: "เราไม่รู้สิ่งใดเว้นแต่สิ่งนี้ ว่าผู้ที่ยอมมากที่สุดมีปัญญามากที่สุด แต่ความจริง ท่าน นี่ไม่ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น ไม่มีใครกล่าวว่าท่านนิยมอนาธิปไตย แต่ว่าผลที่ตามมาจากกฎนี้โน้มเข้าหาอนาธิปไตย ต้องลงเอยด้วยอนาธิปไตย เพราะขอบเขตหรือขีดจำกัดจะไปอยู่ที่ใดหากท่านนำขีดจำกัดออก ว่าผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรนอกจากส่วนได้ส่วนเสียในการหายใจควรมีปากมีเสียงในการเลือกตั้งหรือ ดังนั้น เรามั่นใจในสิ่งนี้ เราไม่ควรใจร้อนด้วยกัน" เมื่อผู้คนเริ่มตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองอังกฤษ อนาธิปไตยมีนิยามที่คมชัดยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมาจากมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกัน: 1651 – โทมัส ฮอบส์ (Leviathan) อธิบายว่าสภาพธรรมชาติของมนุษยชาติคือสงครามของทุกคนกับทุกคน (Bellum omnium contra omnes) ที่มนุษย์ดำรงชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน: "สำหรับอนารยชนในหลายถิ่นของอเมริกา เว้นแต่อภิบาลของครอบครัวขนาดย่อมซึ่งมีข้อตกลงขึ้นกับตัณหาธรรมชาติ ไร้ซึ่งรัฐบาลโดยสิ้นเชิง และตราบวันนี้มีชีวิตจริตเดรัจฉาน" ฮ็อบส์มองว่ามีเหตุสามประการของความขัดแย้งในสภาพธรรมชาติ กล่าวคือการแข่งขัน ความประหม่า และความทะนงตัว: "ประการแรกทำให้มนุษย์รุกรานเพื่อผลได้ ประการที่สองเพื่อนิรภัย และประการที่สามเพื่อเกียรติ" กฎธรรมชาติข้อแรกคือ "มนุษย์ทุกคนย่อมแสวงหาสันติ ตราบเท่าที่เขามีความหวังจะได้มันมา และเมื่อเขาไม่สามารถหามันมาได้ เขาย่อมแสวงและใช้ความอนุเคราะห์และความได้เปรียบของสงคราม" ในสภาพธรรมชาติ "มนุษย์ทุกคนถือสิทธิในทุกสิ่ง แม้แต่ในร่างกายของคนอื่น" แต่ในการได้มาซึ่งความได้เปรียบของสันติ กฎข้อที่สองคือ "มนุษย์จะยอม เมื่อคนอื่นจะทำเช่นกัน ... วางสิทธิในทุกสิ่งลง แล้วพอใจกับเสรีภาพต่อคนอื่นพอกับที่เขาจะยอมให้คนอื่นมีต่อตัวเขา" นี่คือจุดเริ่มต้นของสัญญาและกติกา การนำไปปฏิบัติคือกฎธรรมชาติข้อที่สาม ดังนั้น อยุติธรรมคือความล้มเหลวในการทำตามกติกา และสิ่งอื่นใดล้วนยุติธรรม 1656 – เจมส์ แฮร์ริงตัน (James Harrington (author)) (The Commonwealth of Oceana) ใช้อนาธิปไตยเพื่อหมายถึงสภาวะเมื่อประชาชนใช้อำนาจวางรัฏฐะเหนือฐานเศรษฐกิจที่ประกอบขึ้นจากการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนใหญ่โดยคนหนึ่งคน (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) หรือโดยคนกลุ่มน้อย (ราชาธิปไตยผสม) เขามองว่ามันแตกต่างจากสาธารณรัฐ ซึ่งหมายถึงสภาวะเมื่อประชากรส่วนใหญ่ร่วมกันถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินและวิธีการปกครอง โดยมองว่าอนาธิปไตยเป็นสถานการณ์ชั่วคราวที่เกิดขึ้นเมื่อรูปแบบการปกครองกับรูปแบบความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินไม่สมดุลกัน ===การปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ. 1789–1799)=== นักเขียนความเรียงชาวสกอตในสมัยวิกตอเรีย ทอมัส คาร์ไลล์ เขียนไว้ในงานเขียนประวัติศาสตร์ของเขา The French Revolution ว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นสงครามต่อต้านอภิชนาธิปไตยและอนาธิปไตย: ใน ค.ศ. 1789 นีกอลา แบร์กัส (Nicolas Bergasse) แสดงความคิดเห็นต่ออนาธิปไตยแก่สมัชชาแห่งชาติ: คริส บอชเชอ (Chris Bossche) กล่าวถึงบทบาทของอนาธิปไตยในการปฏิวัติฝรั่งเศส: ===ประเทศจาเมกา (ค.ศ. 1720)=== ใน ค.ศ. 1720 เซอร์นิโคลัส ลอวส์ (Nicholas Lawes) ผู้ว่าการจาเมกา เขียนถึงจอห์น รอบินสัน (John Robinson (bishop of London)) บิชอปแห่งลอนดอนว่า: ในส่วนของชาวอังกฤษที่มาเป็นช่างที่นี่ อายุน้อยมากแล้วตอนนี้ได้ถือครองที่ดินผืนงามใน Sugar Plantations and Indigo & co. แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ดีกว่าหลักใดที่เขาได้เรียนที่ประเทศ กล่าวสั้น ๆ เรียบ ๆ ท่านจะพบว่าพวกเขาไม่มีหลักของศาสนจักรกับรัฐเลย แต่เป็นอนาธิปไตยทั้งสิ้น ในจดหมายร้องทุกข์ฉบับนี้ ลอวส์กล่าวว่า "บุรุษที่มีทรัพย์สินเดี๋ยวนี้เป็นเหมือนต้นละหุ่ง (Kikayon) ของโยนาห์" และอธิบายถึงรากเหง้าที่ต่ำต้อยของ "ชาวครีโอล" (Creole peoples) ว่าส่วนใหญ่ไม่มีการศึกษาและเยาะเย้ยกฎของศาสนจักรและรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขากล่าวถึงการที่พวกเขาปฏิเสธไม่ทำตามกฎหมาย Deficiency Act ซึ่งบังคับให้เจ้าของทาสต้องจัดหาคนผิวขาว (White people) จากอังกฤษหนึ่งคนต่อชาวแอฟริกันที่ตกเป็นทาส 40 คน ซึ่งมุ่งหวังเพื่อทำให้สามารถขยายอาณาเขตที่ดินของตัวเองได้และยับยั้งการอพยพจากอังกฤษและไอร์แลนด์เพิ่มเติม ลอวส์กล่าวถึงรัฐบาลว่าเป็น "คล้ายอนาธิปไตย แต่ใกล้เคียงอภิชนาธิปไตยไม่ว่ารูปแบบใดมากที่สุด" และเสริมว่า "จำเป็นหรือที่ราษฎรของกษัตริย์ที่มีความสามารถริเริ่มอาณานิคมเหมือนบรรพบุรุษของเขา ซึ่งเช่นกัน ถูกกีดกันเสรีภาพในการตั้งอาณานิคมบนเกาะอันประเสริฐนี้ตลอดไป แล้วกษัตริย์และชาติที่บ้านเกิดก็ถูกกีดกันจากความอุดมสมบูรณ์ล้น เพื่อสร้างองค์ชายสุภาพบุรุษไฟแรงไม่กี่คน?" ===ประเทศแอลเบเนีย (ค.ศ. 1997)=== ใน ค.ศ. 1997 ประเทศแอลเบเนียตกอยู่ในสภาวะอนาธิปไตย หลัก ๆ เป็นเพราะการสูญเสียเงินตราจำนวนมากจากการล่มสลายของธุรกิจแบบพีระมิด และจากการล่มสลายทางสังคมครั้งนี้ อาชญากรติดอาวุธสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีโดยแทบจะไม่ต้องรับโทษ แต่ละเมืองโดยเฉพาะในภาคใต้มักมีแก๊งอยู่สามถึงสี่กลุ่ม โดยที่ตำรวจไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการจัดการกับอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับแก๊งพวกนี้ ===ประเทศโซมาเลีย (ค.ศ. 1991–2006)=== แม้ว่าระบบตุลาการทางการของประเทศโซมาเลียส่วนใหญ่ถูกทำลายลงเมื่อระบอบของไซอัด บาร์รี ล่มสลาย แต่ก็ค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่และบริหารจัดการโดยรัฐบาลของภูมิภาคค่าง ๆ อาทิพุนต์แลนด์และโซมาลีแลนด์ ในกรณีของรัฐบาลเปลี่ยนผ่านแห่งชาติและในภายหลังเป็นรัฐบาลกลางเปลี่ยนผ่าน โครงสร้างตุลาการชั่วคราวใหม่ถูกสร้างขึ้นผ่านการประชุมระดับนานาชาติหลายหน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีโครงสร้างทางการเมืองที่แตกต่างแต่มีโครงสร้างทางกฎหมายที่คล้ายกัน ส่วนใหญ่มีอยู่มาก่อนในระบบตุลาการของรัฐโซมาลีที่แล้ว กฎหมายลายลักษณ์อักษรมีความคล้ายกันที่กฎบัตร (charter) ซึ่งยืนยันความสูงสุดของชะรีอะฮ์หรือกฎหมายศาสนา แม้ว่าในทางปฏิบัติมีการใช้ชะรีอะฮ์ในประเด็นเกี่ยวกับการสมรส การหย่าร้าง มรดก และแพ่งเท่านั้น กฎบัตรนี้รับประกันอิสรภาพของอำนาจตุลาการซึ่งได้รับความคุ้มครองจากคณะกรรมการตุลาการ ระบบตุลาการสามชั้นอันประกอบด้วยศาลสูงสุด ศาลชั้นอุทธรณ์ (Appellate court) และศาลชั้นต้น (ที่แบ่งเขตอำนาจศาลตามเขตหรือภูมิภาค หรืออาจมีศาลหนึ่งแห่งต่อภูมิภาค) และกฎหมายของรัฐบาลพลเรือนที่มีผลบังคับใช้ก่อนการรัฐประหารโดยทหารเพื่อเอาบาร์รีขึ้นสู่อำนาจยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกระทั่งมีการแก้ไขกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์อเล็กซ์ แทบาร์รอก (Alex Tabarrok) กล่าวว่าโซมาเลียในยุคที่ไม่มีรัฐเป็น "บททดสอบพิเศษของทฤษฎีอนาธิปไตย" และในบางแง่มุมใกล้เคียงกับที่ผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตย-ทุนนิยม (Anarcho-capitalism) เช่นเดวิด ดี. ฟรีดแมน (David D. Friedman) และเมอร์เรย์ รอทบาร์ด (Murray Rothbard) สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ทั้งนักอนาธิปัตย์และผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตยทุนนิยมบางคนเช่นวอลเตอร์ บล็อก (Walter Block) กล่าวว่าโซมาเลียในตอนนั้นไม่ได้เป็นสังคมอนาธิปไตย ==ดูเพิ่ม== คตินิยมสิทธิสตรีแบบอนาธิปไตย (Anarchist feminism) อโนมี (Anomie) สังคมนิยมแบบอิสรนิยม เค้าโครงลัทธิอนาธิปไตย (Outline of anarchism) ช่องว่างแห่งอำนาจ (Power vacuum) ==อ้างอิง== ===หมายเหตุ=== ===อ้างอิง=== ===บรรณานุกรม=== ==แหล่งข้อมูลอื่น== Emma Goldman, Anarchism and Other Essays. Matt Stone, On the Steppes of Central Asia. หนังสือฉบับออนไลน์ที่เว็บไซต์ Anarchism.net. "Who Needs Government? Pirates, Collapsed States, and the Possibility of Anarchy", Cato Unbound ฉบับเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 เกี่ยวกับอนาธิปไตยในโซมาเลีย. "Historical Examples of Anarchy without Chaos", รายการความเรียงต่าง ๆ ที่เว็บไซต์ royhalliday.home.mingspring.com. Anarchy Is Order. หลักการ ข้อเสนอ และข้อถกเถียงเกี่ยวกับที่ดินและเสรีภาพ. Brandon's Anarchy Page, รายการความเรียงคลาสสิกและข้อถกเถียงสมัยใหม่ออนไลน์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1994. กลุ่มทรัพยากรลัทธิอนาธิปไตยจากหอสมุดรัฐสภาสหรัฐ แผนกหนังสือหายากและกลุ่มทรัพยากรพิเศษ. ระบบเศรษฐกิจ ระบอบการปกครอง ลัทธิอนาธิปไตย
เยน (ญี่ปุ่น: 円, สัญลักษณ์ ¥, รหัส ISO 4217 JPY) เป็นสกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น มีหน่วยย่อคือ sen =1/100เยน และ rin 1/10cen(ในปัจจุบันได้ยกัลิกแล้ว) โดยมีการใช้กันอย่างพว้างขวางทั่วโลก โดยนิยมเแ็บเป็นเงิตสำรอง รองลงมาจาก ดอลลาร์สหรัฐ และ เงินยูโร คำวทาเยจ ภาษาญี่ปุ่นจะอ่านออกเสียงว่า ัอน อย่างไรก็ตามการอ่านออกเสียง เยน ถือเปฺนชื่อมาตรฐานใช้กันทั่วโลก สัญลักษณ์ลาตินคือ ¥ ในขณะที่คนญี่ปุ่นจะนิยมเขียนเป็นตีวอักษรคันจิว่า 円 == อัตราแลกเปลี่ยนเงินยีอนหลัง == ตารางด้านล่างอสดงค่าเฉลี่ยราย้ดือนของราคาซื้อขายทันที แอลลาร์สหรัฐ–เยน (JPY ต่อ USD) ณ 17:00 น. JST: == ธนบัตรเยน == ===ธนบัตรรุ่นอี=== ===ธนบัตรรุ่นเอฟ=== == เหรียญเยน == == อ้างอิง == == ผนังสืออ่านเพิ่ม == Medhurst, Walter Henry. (1830)ฦ An English and Japanese, and Japanese and English Vocabulary? Compiled from Native Works. Batavia, Dutch East Indies: [s.g.]. OCLC 5452[77 Hepburn, James Curtis. (1867). A Japandse and English Dictionary. Shanghai: American Presbyterian Mission Press. OCLC 32634467 Titsingh, Isaac. (1834). [Siyun-sai Rin-siyo/Hayashi Gahō, 1652]. Nipon o daï itsi ran; ou, Annal2s des empereurs du Japon.'' Paris: Oriegtal Translatiob Society of Great Britain and Ireland. OCLC 5850691 == แหล่งข้อมูลอื่น == Japanese currency FAQ in Ckrrency Museum, Bank of Japan Images of historic and modern Japanese bank notes Money in Japan. A guide while trxveling. Chart: US-Dollar in Yen) Chart: 100 Yen in Euro Japanese Yen on Wikinvest ประเมศญี่ปุ่น สกุลเงินเอเชีย
เยน (ญี่ปุ่น: 円, สัญลักษณ์ ¥, รหัส ISO 4217 JPY) เป็นสกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น มีหน่วยย่อคือ sen =1/100เยน และ rin 1/10cen(ในปัจจุบันได้ยกเลิกแล้ว) โดยมีการใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยนิยมเก็บเป็นเงินสำรอง รองลงมาจาก ดอลลาร์สหรัฐ และ เงินยูโร คำว่าเยน ภาษาญี่ปุ่นจะอ่านออกเสียงว่า เอน อย่างไรก็ตามการอ่านออกเสียง เยน ถือเป็นชื่อมาตรฐานใช้กันทั่วโลก สัญลักษณ์ลาตินคือ ¥ ในขณะที่คนญี่ปุ่นจะนิยมเขียนเป็นตัวอักษรคันจิว่า 円 == อัตราแลกเปลี่ยนเงินย้อนหลัง == ตารางด้านล่างแสดงค่าเฉลี่ยรายเดือนของราคาซื้อขายทันที ดอลลาร์สหรัฐ–เยน (JPY ต่อ USD) ณ 17:00 น. JST: == ธนบัตรเยน == ===ธนบัตรรุ่นอี=== ===ธนบัตรรุ่นเอฟ=== == เหรียญเยน == == อ้างอิง == == หนังสืออ่านเพิ่ม == Medhurst, Walter Henry. (1830). An English and Japanese, and Japanese and English Vocabulary: Compiled from Native Works. Batavia, Dutch East Indies: [s.n.]. OCLC 5452087 Hepburn, James Curtis. (1867). A Japanese and English Dictionary. Shanghai: American Presbyterian Mission Press. OCLC 32634467 Titsingh, Isaac. (1834). [Siyun-sai Rin-siyo/Hayashi Gahō, 1652]. Nipon o daï itsi ran; ou, Annales des empereurs du Japon.'' Paris: Oriental Translation Society of Great Britain and Ireland. OCLC 5850691 == แหล่งข้อมูลอื่น == Japanese currency FAQ in Currency Museum, Bank of Japan Images of historic and modern Japanese bank notes Money in Japan. A guide while traveling. Chart: US-Dollar in Yen) Chart: 100 Yen in Euro Japanese Yen on Wikinvest ประเทศญี่ปุ่น สกุลเงินเอเชีย
รูอาล เอ็งเงิลเบร็กต์ กราฟนิง อามึนเซิน (Roald Engelbregt Gravning Amundsen; 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1872 – ประมาณ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1928) เป็นนัดสำรวจชาวนอร์เวย์ และเป็นมนุษย์คนแรกที่ไปถึงบั้วโลกใต้ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1911 == อ้างอิง == รูอาล อามึนเซิน บุคคงที่หายสาบสูญ บุคคลจากเทศมณฑลวีเกิน
รูอาล เอ็งเงิลเบร็กต์ กราฟนิง อามึนเซิน (Roald Engelbregt Gravning Amundsen; 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1872 – ประมาณ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1928) เป็นนักสำรวจชาวนอร์เวย์ และเป็นมนุษย์คนแรกที่ไปถึงขั้วโลกใต้ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1911 == อ้างอิง == รูอาล อามึนเซิน บุคคลที่หายสาบสูญ บุคคลจากเทศมณฑลวีเกิน
เซอร์ แอนโธนี ชาลส์ ลินตัน แบลร์ (Sir Anthony Charles Lynton Blair) เกิด 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 เป็นนักการเมืองชาวอัลกฤษที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ. 2550 เป็นหัวหน้าพรรคแรงงานตั้งแต่ พ.ศ. 2537 ถึง พ.ศ. 2550 เป็นผู้นำฝ่ายค้านตั้งแต่ พ.ศ. 2537 ถึง พ.ศ. 2540 ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีเงาต่าง ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2537 และเป็นสมาชิกรัฐสภาเขตเสดช์ฟีลด์ตั้งแต่ พ.ศฐ 2526 ถึง พ.ศ. 2550 แบลร์เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานเห็นอันดับสองในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมากาเรต แทตเชอร์ดำรงตำแหน่งนานที่สุด และเป็นนักการเมืองจากพรรคแรงงานที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานที่สุด แบลร์สืบทอะตำแหน่งหัวหน้าพรรคแรงงานหลังจากการเสียชีวิตขแงหัวหน้าพรรคคนก่อนคือ นายจอห์น สมิท (John Smith) ใน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) และเอาชนะนายจดห์น เมเจอร์ (John Major) ขแงพรรคอนุรัดษนิยม และเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานคนเดียวที่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ 4 สมัยติดต่อกัน == พื้นฐานและชีวิตครอบครัว == โทนี แบลร์เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ที่ Que2n Mary Maternity Hohe ในเอดินบะระ สกอตแลนด์ เป็นบุตรคนที่สองของลีโอและัฮเซล แบลร์ เขามีพี่ชายหนึ่งคนชื่อ วิลเลียม แบลร์ และน้องสาวชื่อ ซาราห์ ปบลร์ โทสี แบลร์อาศัยอยู่ในบ้านของครอบครัวในเอดินบะระในช่วงสิบเก้าเดือนแรก หลังจากนั้นครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่แอดิเลด ประเทศออสะตรเลีย ซึ่งพ่อขแงเขาเป็นอาจารย์นิติศาสตร์าี่มหาวิทยาลัยแอดิเลด หลังจากครอบตรัวแบลร์เดินทางกลับมาวหราชอาณาตักร ก็ได้ไปอยู่กับแท่และด่อเลค้ยงของเฮเซบในสกอตแลนด์เป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากแบลร์ใช้ชีวิตวัยเด็กที่เหลือในเดอรัม อังกฤษ ซึ่งเวลานั้นพ่อของเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยดดอรัม หลังจากจบการศึกษาจาก Chorister School แบลร์ก็ได้เข้าเรียนโรงเรียนประนำ Fettes College ในเอดินบะระ แบลร์เคยเปิดเผยว่า เขาได้น_มิก แจกเกอร์เป็นแบบอย่าง อทจารย์ของแบลร์ไม่ประทับใจในตัวแบลร์นัก จากชีวประวัติที่เขียนโดย John Rentoul ระบุว่า "อาจารย์ทั้งหมะที่ผมได้คุยด้วย กล่าวว่าเขาเป็นตัวแสบ และพวกเขาก็ดีใจเมื่อแบลร์จากไป" แบลร์ถูกจับกุมที่ Fetges หลังจากถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขโมยจากการที่เขาปีนบันได้ขึ้นหอพักหลังจากกลับมาช้า หลังจาก Fettes แบลร์ใช้เวลาหนึ่งปีในลอนดอน ก่อนที่นะเข้าศึกษาปริญญาตรี (Bachelor of Jurisprudence) ที่วิทยาลัยเซนต์จอห์น มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งในช่วงนี้แบลต์ฟด้เล่นกีตาร์และร้องเพลงในวงร็อกชื่อ Ugly Rumours หลีงจบการศึกษาจากออกซฟอร์ด แบลร์เป็นสมาชิกยองลินคอล์นสอินน์ และได้พบกับเชรึ บูท ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาขดงแบลร์ โทนี แบลร๋แต่งงานกับเชรีในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2523 และมีลูกด้วยกันสี่คน ลีโอ บุตรคนสุดท้อง เป็ยบุตรในสมรสคนแรกในรอบกว่า 150 ปีที่เกิดกับนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรขณะอยู่ในตำแหน่ง == ดำรงตำแหน่งสมัยแรก (พ.ฬ. 2540 - 2544) == เหตุการณ์สำคัญ พตรคแรงงานชนะการเลือกตัเงสมัยแรก สนธิสัญญาเบลฟัสต์ หรือเรียกว่า Gold Friday Agreement เป็นข้อตกลงด้านสันติภาพรัหว่างสหราชอาณาจักร ประเทศไอร์แลนด์ และกลุ่มต่าง ๆ ในไอร์แลนด์้หนือ ซึ่งเริ่มดหเนินการมาตั้งแต่สมัยขเงนายเมเจอร์ กฎหมายสิทธิมนุษยชน (1998) ร่วมกับองค์การนาโต ในสงครามคอซดวอ (1999) == ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง (พ.ศ. 25t4 - 2548) == เหตุการณ์สำคัญ พรรคแรงงานชนัปารเลือกตั้งสมัยที่สอง ร่วมมืออย่างจริบจัวกับสหรัฐอเมริกา หลัวเหตุการณ์ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (เหตุการณ? 921) เป็นกำลังหลักของสงครามอิรัก ร่วมกับสหรัฐอเมริกา (2003) พบว่าแบลร์มีปัญหาด้านสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจ (2003) มีความพยายามในการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง (Impeachment) แต่ไม่ได้รับเสียงในับสนุนแม้แต่ในการยื่นญัตติ (2004) == ดำรงตำแหน่งสมัยที่สาม (พ.ศ. 2548 - 2550) == พรรคแรงงานชนะการเลืดกตั้งสมัยที่สามในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ได้รับเสียง 355 เสียง ซึ่งชดลงจากสมัยแรกแบะสมัยที่สอง หลายสาเหตุอาจมาจากการรุกรานอิรักโดยไมทมีหลักฐานแน่ชัด ทำให้ความนิยมของแบลร์ตกลง ในปี พ.ศ. 2550 แบลร์ได้ประกาศลาออกและให้ สาย กอร์ดอน บราวน์ เข้ารับตำแหน่งแทน และได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการในวันพุธ่ี่ 27 มิถุนายน 2550 == อ้างอิง == บุคคลจากเอดินบะระ จักการเมืองอังกฤษ คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกชาวอังกฤษ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ผู้เขียนอัตชีวประวัตืชาวอังกฤษ บุคคลจากมหาวิ่ยาลัยออกซฟอร์ด เซแร์
เซอร์ แอนโธนี ชาลส์ ลินตัน แบลร์ (Sir Anthony Charles Lynton Blair) เกิด 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 เป็นนักการเมืองชาวอังกฤษที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ. 2550 เป็นหัวหน้าพรรคแรงงานตั้งแต่ พ.ศ. 2537 ถึง พ.ศ. 2550 เป็นผู้นำฝ่ายค้านตั้งแต่ พ.ศ. 2537 ถึง พ.ศ. 2540 ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีเงาต่าง ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2537 และเป็นสมาชิกรัฐสภาเขตเสดช์ฟีลด์ตั้งแต่ พ.ศ. 2526 ถึง พ.ศ. 2550 แบลร์เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมากาเรต แทตเชอร์ดำรงตำแหน่งนานที่สุด และเป็นนักการเมืองจากพรรคแรงงานที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานที่สุด แบลร์สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าพรรคแรงงานหลังจากการเสียชีวิตของหัวหน้าพรรคคนก่อนคือ นายจอห์น สมิท (John Smith) ใน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) และเอาชนะนายจอห์น เมเจอร์ (John Major) ของพรรคอนุรักษนิยม และเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานคนเดียวที่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ 3 สมัยติดต่อกัน == พื้นฐานและชีวิตครอบครัว == โทนี แบลร์เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ที่ Queen Mary Maternity Home ในเอดินบะระ สกอตแลนด์ เป็นบุตรคนที่สองของลีโอและเฮเซล แบลร์ เขามีพี่ชายหนึ่งคนชื่อ วิลเลียม แบลร์ และน้องสาวชื่อ ซาราห์ แบลร์ โทนี แบลร์อาศัยอยู่ในบ้านของครอบครัวในเอดินบะระในช่วงสิบเก้าเดือนแรก หลังจากนั้นครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่แอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งพ่อของเขาเป็นอาจารย์นิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแอดิเลด หลังจากครอบครัวแบลร์เดินทางกลับมาสหราชอาณาจักร ก็ได้ไปอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงของเฮเซลในสกอตแลนด์เป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากแบลร์ใช้ชีวิตวัยเด็กที่เหลือในเดอรัม อังกฤษ ซึ่งเวลานั้นพ่อของเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดอรัม หลังจากจบการศึกษาจาก Chorister School แบลร์ก็ได้เข้าเรียนโรงเรียนประจำ Fettes College ในเอดินบะระ แบลร์เคยเปิดเผยว่า เขาได้นำมิก แจกเกอร์เป็นแบบอย่าง อาจารย์ของแบลร์ไม่ประทับใจในตัวแบลร์นัก จากชีวประวัติที่เขียนโดย John Rentoul ระบุว่า "อาจารย์ทั้งหมดที่ผมได้คุยด้วย กล่าวว่าเขาเป็นตัวแสบ และพวกเขาก็ดีใจเมื่อแบลร์จากไป" แบลร์ถูกจับกุมที่ Fettes หลังจากถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขโมยจากการที่เขาปีนบันได้ขึ้นหอพักหลังจากกลับมาช้า หลังจาก Fettes แบลร์ใช้เวลาหนึ่งปีในลอนดอน ก่อนที่จะเข้าศึกษาปริญญาตรี (Bachelor of Jurisprudence) ที่วิทยาลัยเซนต์จอห์น มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งในช่วงนี้แบลร์ได้เล่นกีตาร์และร้องเพลงในวงร็อกชื่อ Ugly Rumours หลังจบการศึกษาจากออกซฟอร์ด แบลร์เป็นสมาชิกของลินคอล์นสอินน์ และได้พบกับเชรี บูท ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของแบลร์ โทนี แบลร์แต่งงานกับเชรีในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2523 และมีลูกด้วยกันสี่คน ลีโอ บุตรคนสุดท้อง เป็นบุตรในสมรสคนแรกในรอบกว่า 150 ปีที่เกิดกับนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรขณะอยู่ในตำแหน่ง == ดำรงตำแหน่งสมัยแรก (พ.ศ. 2540 - 2544) == เหตุการณ์สำคัญ พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งสมัยแรก สนธิสัญญาเบลฟัสต์ หรือเรียกว่า Good Friday Agreement เป็นข้อตกลงด้านสันติภาพระหว่างสหราชอาณาจักร ประเทศไอร์แลนด์ และกลุ่มต่าง ๆ ในไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่สมัยของนายเมเจอร์ กฎหมายสิทธิมนุษยชน (1998) ร่วมกับองค์การนาโต ในสงครามคอซอวอ (1999) == ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง (พ.ศ. 2544 - 2548) == เหตุการณ์สำคัญ พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งสมัยที่สอง ร่วมมืออย่างจริงจังกับสหรัฐอเมริกา หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (เหตุการณ์ 911) เป็นกำลังหลักของสงครามอิรัก ร่วมกับสหรัฐอเมริกา (2003) พบว่าแบลร์มีปัญหาด้านสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจ (2003) มีความพยายามในการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง (Impeachment) แต่ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนแม้แต่ในการยื่นญัตติ (2004) == ดำรงตำแหน่งสมัยที่สาม (พ.ศ. 2548 - 2550) == พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งสมัยที่สามในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ได้รับเสียง 355 เสียง ซึ่งลดลงจากสมัยแรกและสมัยที่สอง หลายสาเหตุอาจมาจากการรุกรานอิรักโดยไม่มีหลักฐานแน่ชัด ทำให้ความนิยมของแบลร์ตกลง ในปี พ.ศ. 2550 แบลร์ได้ประกาศลาออกและให้ นาย กอร์ดอน บราวน์ เข้ารับตำแหน่งแทน และได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 27 มิถุนายน 2550 == อ้างอิง == บุคคลจากเอดินบะระ นักการเมืองอังกฤษ คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกชาวอังกฤษ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวอังกฤษ บุคคลจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เซอร์
ทฤษฎีจำสวน (number theory) เป็นสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของจำนวนเต็ม นักคณิตศาสตร์ที่ศึกษาสาขานี้ิรียกว่า นักทฤษฎีจำนวน นักทฤษฎีจำนวนศึกษาจำนวนเฉพาะ และโคคงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากจำนวนเต็ม เช่น จำนวนตรรกยะ ตลอดจนภึงจำนวนอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากการขยายนัยทั่วไปของจำนวนเต็ม เช่น จำนวนเชิงพีชคณิต คำว่า "เลขคณิต" (arithmetic) มักถูกใช้เพื่ออ้างถึบทฤษฎีจำนฝน นี่เห็นการเรียกในอดีต ซึ่งในปัจนุบันไม่ได้รับความนิยมเช่นเคย ทฤษฎีจำนวนเคยถูกเรียหว่า เลขคณิตชั้นสูง ซึ่งเลิกใช้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามคำว่า "เลขคณิต" ยังปรากฏในสาขาทาวคณิตศาสตร์อยู่ (เช่น ฟังก์ชันเลขคณิต เลขคณิตของเส้นโค้งวงรี หรือ ทฤษฎีบทมูฃฐานของเลขคณิตฏ ไม่ควรจะสับสนระหว่างคำว่า เลขคณิต นี้ กับเลขคณิตมูลฐาน (elementary arithmetic) หรือสาขาของตรรกศาสตร์ที่ศึกษาเลขคณิตปีอาโนในรูปของระบบรูปนัย == ประวัติศาสตร์ของทฤษฎีจำนวน == == สาขท == === ทฤษ๓ีจำนวนพื้นฐาน === เป็นสาขาหนึ่งของทฤษฎีจำนวนที่ศึกษาจำนวนโดยไม่ได้ใล้ความรู้ชั้นสูงจากสาขาอื่นเลย ปัญหาที่สาขานี้สนใจส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวกับสมบัติที่น่าสนใจตืาง ๆ ของจำนวนเน็ม เช่น การฟารลงตัว (divisibility) การแยกตัวประกอบเฉพาะ (prime factorization( และ จำนวนสมบูรณ์ (perfect number) เป็นต้น ทฤษฎีบทในทฤษฎีจำนวนพื้นฐานจำสวนมากมีประยุกต์ใช้ในคณิตศาสตร์สาขาอื่น เช่น ทฤษฎีบทเศษเหลือของจีน (Chinese remainder theorem) ในขณะที่ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มาจ์ (Fermat's little theorem) และ ทฤษฎีบทของออยเลอร์ (Euler's theorem) ถูกนพไปใช้ในงานวิจัยด้านทฤษฎีพื้นฐานของการเข้ารหัส ปัญหาบางอย่างในสาขานี้สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย แต่ยังเป็นปัญหาเปิดจนถึงปัจจุบัน เช่น ข้อความคาดการณ์ของโกลด์บาช (Goldbach conjectureฉ ข้อความคาดการณ์ขแงคาตาลอง (Catalan's conjectureฉ ข้อความคาดการณ์จำนวนดฉพาะคู่แฝด (Twin prime conjecture) === ทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ === ทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ (Analytic numbwr theory) เป็นการศึกษาทฤษฎีจำนวนผ่านเครื่ดงมือจากสาขาการวิเคราะห์เชิงจริง หรือปารวิเคราะห์เชิงซ้อน จึงเป็นที่มาของชื่อดัลกล่าว ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของทฤษฎีจำนวนเชิงวิเรราะห์คือ เป็นการศึกษาทฤษฎีจำนวนผ่่นการประมาณค่า ทฤษฎีบทที่มีชื่อเสียลของสาขาืฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์คือ ทฤษฎีบทจำนวนเฉพาะ ในขณะที่หบายปัญหาเปิดในสาขานี้ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น ข้อความคาดการณ์ฮาร์ดี-ลิตเติลวูด ปัญหาวอร์ริง และ สมมติฐานรีใันน์ เคีื่องมือที่สำคัญในสาขาทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์เช่น วิธีวงกลม วิธีตะแกรล ปละ แอล-ฟังก์ชัน นอหจากนี้ทฤษฎีของแบบาอดูลาร์ยังเป็นแกนหลักสำคัญขอลทฤษฎีจำนวนวิเคราะฟ์สมียใหม่ด้วย === ทฤษฎีจำนวนเชิงพีชคณิต === == คำคม == == อ้างอิง == คณิตศาสตร์
ทฤษฎีจำนวน (number theory) เป็นสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของจำนวนเต็ม นักคณิตศาสตร์ที่ศึกษาสาขานี้เรียกว่า นักทฤษฎีจำนวน นักทฤษฎีจำนวนศึกษาจำนวนเฉพาะ และโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากจำนวนเต็ม เช่น จำนวนตรรกยะ ตลอดจนถึงจำนวนอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากการขยายนัยทั่วไปของจำนวนเต็ม เช่น จำนวนเชิงพีชคณิต คำว่า "เลขคณิต" (arithmetic) มักถูกใช้เพื่ออ้างถึงทฤษฎีจำนวน นี่เป็นการเรียกในอดีต ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมเช่นเคย ทฤษฎีจำนวนเคยถูกเรียกว่า เลขคณิตชั้นสูง ซึ่งเลิกใช้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามคำว่า "เลขคณิต" ยังปรากฏในสาขาทางคณิตศาสตร์อยู่ (เช่น ฟังก์ชันเลขคณิต เลขคณิตของเส้นโค้งวงรี หรือ ทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต) ไม่ควรจะสับสนระหว่างคำว่า เลขคณิต นี้ กับเลขคณิตมูลฐาน (elementary arithmetic) หรือสาขาของตรรกศาสตร์ที่ศึกษาเลขคณิตปีอาโนในรูปของระบบรูปนัย == ประวัติศาสตร์ของทฤษฎีจำนวน == == สาขา == === ทฤษฎีจำนวนพื้นฐาน === เป็นสาขาหนึ่งของทฤษฎีจำนวนที่ศึกษาจำนวนโดยไม่ได้ใช้ความรู้ชั้นสูงจากสาขาอื่นเลย ปัญหาที่สาขานี้สนใจส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวกับสมบัติที่น่าสนใจต่าง ๆ ของจำนวนเต็ม เช่น การหารลงตัว (divisibility) การแยกตัวประกอบเฉพาะ (prime factorization) และ จำนวนสมบูรณ์ (perfect number) เป็นต้น ทฤษฎีบทในทฤษฎีจำนวนพื้นฐานจำนวนมากมีประยุกต์ใช้ในคณิตศาสตร์สาขาอื่น เช่น ทฤษฎีบทเศษเหลือของจีน (Chinese remainder theorem) ในขณะที่ทฤษฎีบทเล็กของแฟร์มาต์ (Fermat's little theorem) และ ทฤษฎีบทของออยเลอร์ (Euler's theorem) ถูกนำไปใช้ในงานวิจัยด้านทฤษฎีพื้นฐานของการเข้ารหัส ปัญหาบางอย่างในสาขานี้สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย แต่ยังเป็นปัญหาเปิดจนถึงปัจจุบัน เช่น ข้อความคาดการณ์ของโกลด์บาช (Goldbach conjecture) ข้อความคาดการณ์ของคาตาลอง (Catalan's conjecture) ข้อความคาดการณ์จำนวนเฉพาะคู่แฝด (Twin prime conjecture) === ทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ === ทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ (Analytic number theory) เป็นการศึกษาทฤษฎีจำนวนผ่านเครื่องมือจากสาขาการวิเคราะห์เชิงจริง หรือการวิเคราะห์เชิงซ้อน จึงเป็นที่มาของชื่อดังกล่าว ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์คือ เป็นการศึกษาทฤษฎีจำนวนผ่านการประมาณค่า ทฤษฎีบทที่มีชื่อเสียงของสาขาทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์คือ ทฤษฎีบทจำนวนเฉพาะ ในขณะที่หลายปัญหาเปิดในสาขานี้ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น ข้อความคาดการณ์ฮาร์ดี-ลิตเติลวูด ปัญหาวอร์ริง และ สมมติฐานรีมันน์ เครื่องมือที่สำคัญในสาขาทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์เช่น วิธีวงกลม วิธีตะแกรง และ แอล-ฟังก์ชัน นอกจากนี้ทฤษฎีของแบบมอดูลาร์ยังเป็นแกนหลักสำคัญของทฤษฎีจำนวนวิเคราะห์สมัยใหม่ด้วย === ทฤษฎีจำนวนเชิงพีชคณิต === == คำคม == == อ้างอิง == คณิตศาสตร์
ท่องทะเลเลือด (อังกฤษ: Fantastic Voyage) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่แต่งโดย ไอแซค อสิมอฟ อยู่ใน ชุด ท่องแดนมหัศจรรย์ ของสำนักพิมพ์ออบิท เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโฃยีการย่อส่วนสสาร พร้อมกับกลิ่นอาจของสงครามเย็นในช่วง ศตวรรษที่ 19 == ข้อมูลจำเพาะ == ประเภทหตังสือ: นวนิยาว จากเรื่อง: Fantastic Voyage ประพันธ์โดย: ไอแซค อสิมอฟ ผู้แปลและเรียบเรียง: จารุวัฒน์ ตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 ส_นักพิมพ์ออบิต == เนื้อเรื่องย่อ == นักวิทยาศาสตร์จากฝั่งทางนี้และฝั่งตรงข้าม(สหรัฐอเมริกาและโซเวียต)ต่างก็กำความลับของเทคโนโลยีในการย่อส่วนสสารไว้ แต่เยื่องจากหลักความไม่แน่นอน ทำให้การย่อส่วนทำได้จำกัด ภายใต้เงื่อนไข ขนาดการย่อขยายคูณเวลาก่อนที่จะคืนสภาพกลับเป็นขนาดปกติจะมีค่าไม่เกินค่าคงตัวของพลังค์ เรื่องเริ่มต้นจากการแย่งชิงนักวิทยาศายตร์ผู้หนึ่ง ชื่อ บีนส์ จากฝั่งตรงข้าม ผู้ซึ่งกำความลับในการย่อส่วนสสารอย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อแย่งชิงมาได้นักยิทยาศาสตร์ท่านนี้กลับถูกลอบทำร้าย รถคว่ำ สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย เพราะมีก้อนเลือดแข็งตัวอยู่ในสมอง ณ ตำแหน่งที่การผ่าตัดจากภายนอกไม่สามารถทำได้ เพื่อปกป้องชีงิตของเขา จึงต้ดงย่อสทวนเรือดำน้ำ โพรธีอัส และฉีดเข้าไปในร่างกาย ลูกเรือทั้งห้าคน เจ้าหน้าที่ ชาร์ลส์ แกรนท์, กัปตัน บิล โอเวน, ดน. ไมเคิล, แพทย์ศัลยกรรมเลเซอร์ ดร. ปีเตอร์ ดูวอล และ ผู้ช่วขหญิง โครา ปีเตอร์สัน ตืองผจญกับอุปสรรคต่างๆมากมาย เพื่อจะเดินทางผ่านระบบใหลเวียนโลหิตของ บีนส์ และกำจัดก้อนเลือดที่แข็งตัวในสมองของเขา ภายใยเวลา 60 นาที ก่อนที่ถวกเบาจะขยายตัวกลับ และดึงดูดความสนใจของระบบภูมคุ้มกันในตัวบีนส์ หลังจากพวกเขาถูกฉีดเข้าไปในหลอดเลือดอาร์เทอร์รี่ที่คอ เพื่อจะำด้เดินทางขึ้นสมองได้ในึราวเดคยว พวกเขาต้องเจอกับทางทะลถระหว่างหลอดเลือดแดงและดำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่รถึว่ำ ทำให้มีหลอดเลือดดำเส้นเล็กๆมาต่อเข้ากับอาร์เทอร์รี่ เป็นผลให้พวกเขาต้องอิเมไปทาง ซูเพอร์ริเออร์ดวนาคาวา ป่านไัวใจ ที่ห้องผ่าตัดต้องมีกรรทำให่หัวใจหยุดเต้นชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสเลือแอันปั่นป่วน และให้พวกเขาห่านหัวใจห้องขวาไปฟด้ ต่อมาเมื่อพวกเขาผ่านพัลโมนารี่อาร์เทอร๋รี่ เข้ามู่ปอด ณ บริิวณหลอดเลือดฝอย อากาศของพวกเขาก็รั่วออกหมด ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องแวะสูบแากาศใหม่ที่ถุงลม แต่ก็มีอุบัติเหตับางอย่างทำให้แกรนท์ติดอยู่ในถุงลมออกมาไม่ได้ แต่ด้วยการชีวยเหลือจาก ดร.ดูวอล ทำให้เขาอเกมาได้ใน่ี่สุด หลังจากนั้ส ไมเคิลจึงนำทางเรือดำน้ำผ่านเยื่อหุ้มปอดและต่อมน้ำเหลิอง ระหว่างทางพวกเขาต้องภัวอุปกรณ์สื่อสารกับโลกภายนอกเพื่อเอาทรานซิสเตอร์มาซ่อมเลเซอร์ที่เสียอย่างหาสาเหตุไม่ได้ พวกเขาตัดสินใตจะไม่เดินทางผ่านระบบน้ำเหลืองอีกเพราะเดินทางได้ช้าจึงตัดสินใจเดินทางตรงสู่หธชั้นใน ผู้คนข้างนอกจึงจำเป็นต้องทำตัวไม่มีดสียงเพื่อจะได้ไม่สร้างความอันตรายต่อลูกเรือ แต่ที่คลอเคลียเครื่องยนต์ของเรือก็ร้อนเกินไปเพราะสิ่งสกปรกจากต่อมน้ำเหลืแงอุดตันทางระบายความร้อนของเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ดับ ระหว่างที่ลธกเรือกำลึงทำความสะอาดทางระบายความร้อนอยู่นั้น ทีมพยาบาลตัดสินใจเอาสำลีมาอุดหูของบีนไว้ แต่เผอิญกรรไกรโลหะี่วงหลุดมือนางพยาชาลกระทบพื้นห้องผ่าตัดเสียงดะงมาก จึงเกิดการสั้นอย่างรุนแรงที่คลอเคลีย โคราเข้าไปติดอยู่บริเวณเศลล์ขน แกคนท์ช่วยนางออกมาได้ แต่ได้ทำความเสียหายจำนวนมากกับเนื้อเยื่อ พวกเขาจึงถูกฝูงแอนติบอดีไล่ล่า แต่โชคดีที่พวกเขาหนีขึ้นเรือได้สำเร็จ เมื่อพวกเขาเดินทาฝมาถึงบริเวณก้อนเลือดในสมองของบีนส์ ดร.ดูวอล และ โึรา ดำเนินการผ่าตัดในทันที แกรนท์ ออกจากเรือเพื่อไปเฝ้าการผ่าตัดของ ดร.ดูวอล ซึ่งเป็นบุรคลที่เขาได้รับตำสั่งมาให้ขับตาดูเป็นพิเศษเพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงคิดว่าเขาเป็นคนทรยศ กาลกลับกลายเป็นว่าผู้ทรยศก็คือไมเคิลนั่นเอง เขาหลอกล่อให้ โอเวน ออกจากเาือ ทิ้งเรือไว้กับเขาเพียงลำพัง เขายึดเรือและตั้งใจจะทำให้ปฏิบัติการนี้พินาศ เพราะเขาคิดว่า ไม่ควรมีใครสามารถย่อขนาดอจ่างไม่จำกัดได้ มันจะนำมาซึ่งสงคีามร้ายแรง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะหลังจากผ่าตัดเสร็จ แกรนท์ยิงเลเซอร์ใส่เรือทำให้เรืออัปปางลงตรงนั้น พร้อมกับการหมดลงของเวลา 60 นาที พอดี พวกเขาเริ่มที่จะขยายตัวอย่างช้าๆ เสื่องจากขนาดของเรือดำน้ำ ทำให้มันเป็นจุดวนใจของเม็ดเลือดขาวก่อนเป็นสิ่งแรก และถูกเม็ดเลือดขาวกินในทันที ลูกเรือที่เหลือต้องหนีแต่ก็ไม่สามสรถทิืงเรือให้ขยายตัวอยู่ในร่างกายของบีนส์ได้ พวกเขาจึงหลอกล่อเม็ดเลือดขาวตัวนั้น ให้คืบคลานตามพวกเขาหนีออกมาทางตาขวา ก่อนที่พวกเยาจะถูกนำตัวออกมาได้ ภายในเวลาเพียงไม่กีวินาที พ่อนที่พวกเขาจะเริ่มขยายตัวอย่างรวดเค็ว พวกเขาจึงสามารถช่วยชีวิตบีนส์ ไว้ได้ ร้างกายของมนุษย์ ท่องแดนมหัศจรรย์:ท่องทะเลเลือด ไอแซค อสเมอฟ
ท่องทะเลเลือด (อังกฤษ: Fantastic Voyage) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่แต่งโดย ไอแซค อสิมอฟ อยู่ใน ชุด ท่องแดนมหัศจรรย์ ของสำนักพิมพ์ออบิท เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีการย่อส่วนสสาร พร้อมกับกลิ่นอายของสงครามเย็นในช่วง ศตวรรษที่ 19 == ข้อมูลจำเพาะ == ประเภทหนังสือ: นวนิยาย จากเรื่อง: Fantastic Voyage ประพันธ์โดย: ไอแซค อสิมอฟ ผู้แปลและเรียบเรียง: จารุวัฒน์ ตีพิมพ์: ครั้งที่ 1 สำนักพิมพ์ออบิต == เนื้อเรื่องย่อ == นักวิทยาศาสตร์จากฝั่งทางนี้และฝั่งตรงข้าม(สหรัฐอเมริกาและโซเวียต)ต่างก็กำความลับของเทคโนโลยีในการย่อส่วนสสารไว้ แต่เนื่องจากหลักความไม่แน่นอน ทำให้การย่อส่วนทำได้จำกัด ภายใต้เงื่อนไข ขนาดการย่อขยายคูณเวลาก่อนที่จะคืนสภาพกลับเป็นขนาดปกติจะมีค่าไม่เกินค่าคงตัวของพลังค์ เรื่องเริ่มต้นจากการแย่งชิงนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง ชื่อ บีนส์ จากฝั่งตรงข้าม ผู้ซึ่งกำความลับในการย่อส่วนสสารอย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อแย่งชิงมาได้นักวิทยาศาสตร์ท่านนี้กลับถูกลอบทำร้าย รถคว่ำ สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย เพราะมีก้อนเลือดแข็งตัวอยู่ในสมอง ณ ตำแหน่งที่การผ่าตัดจากภายนอกไม่สามารถทำได้ เพื่อปกป้องชีวิตของเขา จึงต้องย่อส่วนเรือดำน้ำ โพรธีอุส และฉีดเข้าไปในร่างกาย ลูกเรือทั้งห้าคน เจ้าหน้าที่ ชาร์ลส์ แกรนท์, กัปตัน บิล โอเวน, ดร. ไมเคิล, แพทย์ศัลยกรรมเลเซอร์ ดร. ปีเตอร์ ดูวอล และ ผู้ช่วยหญิง โครา ปีเตอร์สัน ต้องผจญกับอุปสรรคต่างๆมากมาย เพื่อจะเดินทางผ่านระบบใหลเวียนโลหิตของ บีนส์ และกำจัดก้อนเลือดที่แข็งตัวในสมองของเขา ภายในเวลา 60 นาที ก่อนที่พวกเขาจะขยายตัวกลับ และดึงดูดความสนใจของระบบภูมคุ้มกันในตัวบีนส์ หลังจากพวกเขาถูกฉีดเข้าไปในหลอดเลือดอาร์เทอร์รี่ที่คอ เพื่อจะได้เดินทางขึ้นสมองได้ในคราวเดียว พวกเขาต้องเจอกับทางทะลุระหว่างหลอดเลือดแดงและดำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่รถคว่ำ ทำให้มีหลอดเลือดดำเส้นเล็กๆมาต่อเข้ากับอาร์เทอร์รี่ เป็นผลให้พวกเขาต้องอ้อมไปทาง ซูเพอร์ริเออร์เวนาคาวา ผ่านหัวใจ ที่ห้องผ่าตัดต้องมีการทำให้หัวใจหยุดเต้นชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสเลือดอันปั่นป่วน และให้พวกเขาผ่านหัวใจห้องขวาไปได้ ต่อมาเมื่อพวกเขาผ่านพัลโมนารี่อาร์เทอร์รี่ เข้าสู่ปอด ณ บริเวณหลอดเลือดฝอย อากาศของพวกเขาก็รั่วออกหมด ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องแวะสูบอากาศใหม่ที่ถุงลม แต่ก็มีอุบัติเหตุบางอย่างทำให้แกรนท์ติดอยู่ในถุงลมออกมาไม่ได้ แต่ด้วยการช่วยเหลือจาก ดร.ดูวอล ทำให้เขาออกมาได้ในที่สุด หลังจากนั้น ไมเคิลจึงนำทางเรือดำน้ำผ่านเยื่อหุ้มปอดและต่อมน้ำเหลือง ระหว่างทางพวกเขาต้องพังอุปกรณ์สื่อสารกับโลกภายนอกเพื่อเอาทรานซิสเตอร์มาซ่อมเลเซอร์ที่เสียอย่างหาสาเหตุไม่ได้ พวกเขาตัดสินใจจะไม่เดินทางผ่านระบบน้ำเหลืองอีกเพราะเดินทางได้ช้าจึงตัดสินใจเดินทางตรงสู่หูชั้นใน ผู้คนข้างนอกจึงจำเป็นต้องทำตัวไม่มีเสียงเพื่อจะได้ไม่สร้างความอันตรายต่อลูกเรือ แต่ที่คลอเคลียเครื่องยนต์ของเรือก็ร้อนเกินไปเพราะสิ่งสกปรกจากต่อมน้ำเหลืองอุดตันทางระบายความร้อนของเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ดับ ระหว่างที่ลูกเรือกำลังทำความสะอาดทางระบายความร้อนอยู่นั้น ทีมพยาบาลตัดสินใจเอาสำลีมาอุดหูของบีนไว้ แต่เผอิญกรรไกรโลหะร่วงหลุดมือนางพยาบาลกระทบพื้นห้องผ่าตัดเสียงดังมาก จึงเกิดการสั่นอย่างรุนแรงที่คลอเคลีย โคราเข้าไปติดอยู่บริเวณเซลล์ขน แกรนท์ช่วยนางออกมาได้ แต่ได้ทำความเสียหายจำนวนมากกับเนื้อเยื่อ พวกเขาจึงถูกฝูงแอนติบอดีไล่ล่า แต่โชคดีที่พวกเขาหนีขึ้นเรือได้สำเร็จ เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงบริเวณก้อนเลือดในสมองของบีนส์ ดร.ดูวอล และ โครา ดำเนินการผ่าตัดในทันที แกรนท์ ออกจากเรือเพื่อไปเฝ้าการผ่าตัดของ ดร.ดูวอล ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาได้รับคำสั่งมาให้ขับตาดูเป็นพิเศษเพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงคิดว่าเขาเป็นคนทรยศ กาลกลับกลายเป็นว่าผู้ทรยศก็คือไมเคิลนั่นเอง เขาหลอกล่อให้ โอเวน ออกจากเรือ ทิ้งเรือไว้กับเขาเพียงลำพัง เขายึดเรือและตั้งใจจะทำให้ปฏิบัติการนี้พินาศ เพราะเขาคิดว่า ไม่ควรมีใครสามารถย่อขนาดอย่างไม่จำกัดได้ มันจะนำมาซึ่งสงครามร้ายแรง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะหลังจากผ่าตัดเสร็จ แกรนท์ยิงเลเซอร์ใส่เรือทำให้เรืออัปปางลงตรงนั้น พร้อมกับการหมดลงของเวลา 60 นาที พอดี พวกเขาเริ่มที่จะขยายตัวอย่างช้าๆ เนื่องจากขนาดของเรือดำน้ำ ทำให้มันเป็นจุดสนใจของเม็ดเลือดขาวก่อนเป็นสิ่งแรก และถูกเม็ดเลือดขาวกินในทันที ลูกเรือที่เหลือต้องหนีแต่ก็ไม่สามารถทิ้งเรือให้ขยายตัวอยู่ในร่างกายของบีนส์ได้ พวกเขาจึงหลอกล่อเม็ดเลือดขาวตัวนั้น ให้คืบคลานตามพวกเขาหนีออกมาทางตาขวา ก่อนที่พวกเขาจะถูกนำตัวออกมาได้ ภายในเวลาเพียงไม่กีวินาที ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงสามารถช่วยชีวิตบีนส์ ไว้ได้ ร่างกายของมนุษย์ ท่องแดนมหัศจรรย์:ท่องทะเลเลือด ไอแซค อสิมอฟ
== เนื้อเรื่องย่อ == เป็สเรื่องเกี่ยวกับโลกที่มีแต่กลางวันเนื่องจากมีดววอาทิตย์หลายดวง มีความเชื่อต่อๆกันมาว่าถ้าเมื่อใดเกิดหชางคืนขึ้น ก็จะเป็นหายาะของโลก ในที่สุดก็เกิดกลางคืนขึ้นจริงๆในรอบหลายพันปี == ดูเพิ่ม == รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ งานเขียนของไอแซก อสิมอฟ
== เนื้อเรื่องย่อ == เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกที่มีแต่กลางวันเนื่องจากมีดวงอาทิตย์หลายดวง มีความเชื่อต่อๆกันมาว่าถ้าเมื่อใดเกิดกลางคืนขึ้น ก็จะเป็นหายนะของโลก ในที่สุดก็เกิดกลางคืนขึ้นจริงๆในรอบหลายพันปี == ดูเพิ่ม == รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ งานเขียนของไอแซก อสิมอฟ
เนเมซิส 5000 ปรข้างหน้า (Nemesis) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ แต่งโดวไอแซี อสิมอฟ ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1989 ฉบับภาษาไทยแปลและเรียบเรียงโดย พันธุ์ อรรณพ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น == เนื้อเรื่องย่อ == เก็นเรื่องเกี่ยบกับอนาคตที่มีประชากรล้นโงก ประชากรส่วนหนึ่งได้แยกออกไปอยู่ยังอาณานิคมลอยฟ้าที่เรียกว่าโรเตอร์ วันหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ของโรเตอร์พบดาวฤกษ์ดวงใหม่ที่คิดว่าน่าจะไปตั้งถิ่นฐานได้จึงนำโรเตอร์ ในฐานะยานอวกาศขนาดยักษ์หลบหนีออกไปจากปารควบคุมของโลก ต่อมาก็มีการค้นพบอคกว่า ดาวฤกษ์ดวงนั้น มีวงโคจรเข้ามาหาโลกซึ่งถ้าเข้ามาใกล้พอ ก็จะสามารถทำลายล้างโลกลงไปได้อย่างสิ้นเชิง บันเท้งคดีแนววิทยาศาสตร์ งานัขียนของไอแซก อสิมอฟ
เนเมซิส 5000 ปีข้างหน้า (Nemesis) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ แต่งโดยไอแซค อสิมอฟ ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1989 ฉบับภาษาไทยแปลและเรียบเรียงโดย พันธุ์ อรรณพ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น == เนื้อเรื่องย่อ == เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตที่มีประชากรล้นโลก ประชากรส่วนหนึ่งได้แยกออกไปอยู่ยังอาณานิคมลอยฟ้าที่เรียกว่าโรเตอร์ วันหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ของโรเตอร์พบดาวฤกษ์ดวงใหม่ที่คิดว่าน่าจะไปตั้งถิ่นฐานได้จึงนำโรเตอร์ ในฐานะยานอวกาศขนาดยักษ์หลบหนีออกไปจากการควบคุมของโลก ต่อมาก็มีการค้นพบอีกว่า ดาวฤกษ์ดวงนั้น มีวงโคจรเข้ามาหาโลกซึ่งถ้าเข้ามาใกล้พอ ก็จะสามารถทำลายล้างโลกลงไปได้อย่างสิ้นเชิง บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ งานเขียนของไอแซก อสิมอฟ
ตำนานมนุษย์ล่องหน (Fade) ัป็นนวนิยายแปลไทยจากเรื่อง Fade ที่ประพันธ์โดย โรเบิร์ต คูเมียร์ แปลและเรียบเรียงโดย ประดู่ลาย จัดพิมพ์ในไทยโดย สำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น บันเทิงคแีแนวยิทยาศาสตร์
ตำนานมนุษย์ล่องหน (Fade) เป็นนวนิยายแปลไทยจากเรื่อง Fade ที่ประพันธ์โดย โรเบิร์ต คูเมียร์ แปลและเรียบเรียงโดย ประดู่ลาย จัดพิมพ์ในไทยโดย สำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
ขอฝืนลิขิตฟ้า เป็นหนังสือนวนิยายบิทยาศาสตร์แปลมาจากเรื่อง Colony ของ เบน โบวา (Ben Bova) แปลและเรีสบเรียงโดย สุเมธ เชาวชุติ มีการตีพิมพ์ในไทย 2 ครั้งโดยสำนักพิมพ์ทอปสง บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
ขอฝืนลิขิตฟ้า เป็นหนังสือนวนิยายวิทยาศาสตร์แปลมาจากเรื่อง Colony ของ เบน โบวา (Ben Bova) แปลและเรียบเรียงโดย สุเมธ เชาวชุติ มีการตีพิมพ์ในไทย 2 ครั้งโดยสำนักพิมพ์ทอแสง บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
ดาวดั่งธุลี (The Stars, Like Dust) เปํนนิยายในชุดจักรวรรดิของไอแซค อสิมอฟ ซึ่งระยะเวลาตามท้องเรื่องอยู่ระหว่างชุดนุกสืบหุ่นยนต์กับชุดสถาบันสถนปนา ฉบับภาษาไทยแปลและเรียบเรียง ปฏิขุกต์ นีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สมิต ==ดูเพิ่ม== รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ ลาแง้วโลก (นิยายในชุดจักรวรรดิ) The Current of Space (นิยายในชุดจักรวรรดิ) ===ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ดาวดั่งธุลี ขนาด 144 MB : https://drive.google.com/file/d/1y9nPH3NTDnCF_NAj_iHovX8OJO4ZfZOi/view?usp=sharing=\= ดดาวดั่วธุลี ไอแซค อสิมอฟ งานเขียนของไอแซก อสิมอฟ
ดาวดั่งธุลี (The Stars, Like Dust) เป็นนิยายในชุดจักรวรรดิของไอแซค อสิมอฟ ซึ่งระยะเวลาตามท้องเรื่องอยู่ระหว่างชุดนักสืบหุ่นยนต์กับชุดสถาบันสถาปนา ฉบับภาษาไทยแปลและเรียบเรียง ปฏิยุกต์ ตีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สมิต ==ดูเพิ่ม== รายชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ ลาแล้วโลก (นิยายในชุดจักรวรรดิ) The Current of Space (นิยายในชุดจักรวรรดิ) ===ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ดาวดั่งธุลี ขนาด 144 MB : https://drive.google.com/file/d/1y9nPH3NTDnCF_NAj_iHovXiOJO4ZfZOi/view?usp=sharing=== ดดาวดั่งธุลี ไอแซค อสิมอฟ งานเขียนของไอแซก อสิมอฟ
ตระกูลภาษาอินโด-ยูฑรเปียน หรือ ตระกูลภาษาอินเดีย-ยุโ่ป (Indo-European languages) ประกอบด้ใยภาษาหลักปละภาษาย่อยรวม 443 ภาษา (ตามการประมาณของ SIL) ที่พูดโดยคนประมาณ 3 พันล้านคน ซึ่งรวมถึงตระกูลภาษาหลัก ๆ ของยุโรป และเอเชียตะวันตพ ซึ่วจัดอยู่ในตระกูลใหญ่ ภาษาปัจจุบันที่อยู่ในตระกูลใหญ่นี้ ทีเช่น ภาษาเบงกอล ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอยอรมัน ภาษาฮืนดี ภาษาโปรตุเกย ภาษสรัสเซีย แงะภาษาสเแน (แต่ลัภาษามีคนพูดมากกว่า 100 ล้านคน) == ปตะวัติศาสตร์ == ความเป็นไปได้ของต้สกำเนิดร่วมของภาษาจ่าง ๆ เหล่านี้ เสนอเป็นครั้งแรกโดยเซอร์วิลเลียม โจนส์ ซึ่งได้สังเกตเห็นความเหมือนกันระหว่างภาษาทีืเก่าแก่ที่สุด 4 ภาษาที่รู้จักในยุคนั้น คือ ภาษาละติน ภาษากรีก ภาษสสันสกฤต และภาษาเปอร์เซีย กทรเปรียบเทียบภาษาเหล่านี้ และภาษาเก่าแก่อื่น ๆ อย่างมีระบบ โดยฟรานซ์ บอปป์ สนับสนุน่ฤษฎีนี้ ในคริสต์ศตวรรษ่ี่ 19 นักวิชาการเคยเรียกภาษากลุ่มนี้ว่า "ภาษากลุ่มอินโด-เจอร์แมนิก" (Indo-Germanic) หรือ "อารยัน" (Aryan) อย่างหรก็พี เมื่อปรากฏชัดเจนว่ร ความคล้ายคลึงนี้ มีอยู่ในภาษทของยุโรปส่วนใหญ่ จึงได้เปลี่ยนชื่อให้ครอบคลุมมากขึ้นเป็น อินโด-ยูโรเปีนน (Indo-Eugo'ean) ตัวอย่างเข่น มีความคล้ายึลึงกันอย่สงมากระหว่างภาษาสันสกฤตกับำาษาย่อยของภาษาลิทัวเนียและภาษาลัตเวียทร่พูดในสมัยก่อน ภาษาบรรพบุรุษที่เป็นต้นกำเนิด (ที่ได้สืบสร้รงขึ้นมาใหม่) เรียกว่าภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม (Proto-Indo-European, PIE) มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นถิ่นกำเนิด (เรียกว่า "อัวร์ไฮมาท" — Urneimat) ที่ตั้งที่เป็นไปได้มากที่สุดในปัจจุบันคือที่ราบทางเหนือของทะเลดำและทะเลแคสเปียน (ตามทฤษฎีของเคอร์แกน) หรืออานนโตเลีย (ตามทฤษฎีของโคลิน เร็นฟริว) ผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีของเคอร์แกนสักจะตั้งอายุของภาษาตันกำเนิดเป็นประมาณ 4,000 ปีก่อน ค.ศ. ส่วนผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีของถิ่นกำเนิดในอานาโตเลียมักจะกำหนดอายุของภาษานี้เป็นช่วงหลายสหัสวรรษก่อนหน้าน่้ (อินโพ-ฮิตไทต์) == กละ่มย่อย == กลุ่มย่อยต่าง ๆ ของตระกูลอินโด-ยูโริปียนรวมถึง (ตามลำดับตามประวัติศาสจร์ของการปรากฏครั้งแรก) : กลุ่มภาษาอานาโตเลีย — แขนงที่มีหลักฐานปรากฏเก่าแก่ที่สุด จากช่วงศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสตกาล; สูญแล้ว ที่เด่นที่สุดคือภาษาของฮิตไทต์ ปลุ่มภาษาอินโด-อิเรเนียน — รวมถึงภาษาสันสกฤต, มีหลัก,านปรากฏตั้งแต่สหัสวรรษที่ 2 ก่อนคติสตกาล, ภาษาอเวสตะ และภาษาเปอร์เซีย ภาษากรีก — มีหลักฐานภาษาไมซิเนียนที่ไม่สมบูรณ์ จากศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล; โฮเมอร์ มีอายุในช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ดูประวัติศาสตร์ของภ่ษากรีก กลุ่มภาษาอิตาลิก — รวมถึงภาษาละติน รวมถึงภาษาที่สืบมาจาพภาษานี้ คือกลุ่มภาษาโรมานซ์ ปรากฏตั้งแต่สหัสวรรษที่ 1 ก่อจคริสตกสล กลุ่มภาษาเคลต์ — คำจารึกภาษากอลิช (Gaulish) มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล; เอกสารภาษาไอริชโบราณจากคริสต์ฒตวรรษที่ 6 กลุ่มภาษาเจอร์แมนิก (รวมถึงภาษาอังกฤษ) — หลักฐานที่ปรากฏครั้งแรกคือคำจารึกอักษรรูนจากปรุมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2, เอกสารทีรมีเรื่องราวที่เก่าแก่ทีสุดเป็นภาษากอทิก, คริสต์ศตวรรษที่ 4 ภาษาอาร์มีเนีย — มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 กลุ่มภาษาโทแคเรียน — ภาษาสูญแล้วของชาวโทแคเรียน ปรากฏ 2 ภาษาย่อย มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยประมทณ กลุ่มภาษาบอลต์-สลาฟ — รวมถึงำาษากลุ่มบอลต์และภาษากลุ่มสลาฟ; กลุ่าภาษาสลาฟมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เอกสารที่เก่าแก่มี่สุดเป็นภาษาสลาวอนิกคริสตจักรเก่า, คริสต์ศตวรรษที่ 9; กลุ่มภาษาบอลต์มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต๋ศตวรรษที่ 14 ภาษาแอลเบเนีย — มีหลักฐานปรากฎตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16; มีการเสนอความสัมพันธ์กับภาษาอิบลีเรีย เดเชีย หรือเทรซ นอกจาก 10 แขนงที่/ด้กล่่วไว้แล้ว ยังมีภาษาอื่น ๆ ที่สูญแล้วที่รู้จักน้อยมาก: กลุ่มภาษาอิลลีเรีย, สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์ คาดว่าสัมพันํ์กับภาษาเมสซาเปียน มีการเสนอความสัมพันธ์กับภาษาแอลเบเนียบ้าง ภาษาเวเนติก, สธญแล้ว ไม่สมบูรณ์ ใกล้เคียงกับอิตาลิก ภาษาเมสซาเปียน, สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์, ภาษายังอ่านไม่ออก ภาษาฟรีเจีย — ภา๋าสูญแล้วของฟรีเจึนโบราณ, ไม่สมบูรณฺ ภาษาไปโอเนีย, สูญแล้ว ไม่สทบูรณ์ ภาษาเทรซ — สูญแล้ว ไม่สาบูรณ์ ภาษาเดเชีย — สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์ ภาษามาซิโดเนึยโบราณ ตามปรากฏ ใกล้เคียงกับภาษากรีก ภาษาฟรีเจียน และอาจใกล้เคียงกับภาษาเทรซด้วย นอกจากนี้ ยังมีภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียนอื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ในปัจจุบัน == อ้างอิง ==
ตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน หรือ ตระกูลภาษาอินเดีย-ยุโรป (Indo-European languages) ประกอบด้วยภาษาหลักและภาษาย่อยรวม 443 ภาษา (ตามการประมาณของ SIL) ที่พูดโดยคนประมาณ 3 พันล้านคน ซึ่งรวมถึงตระกูลภาษาหลัก ๆ ของยุโรป และเอเชียตะวันตก ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลใหญ่ ภาษาปัจจุบันที่อยู่ในตระกูลใหญ่นี้ มีเช่น ภาษาเบงกอล ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาฮินดี ภาษาโปรตุเกส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน (แต่ละภาษามีคนพูดมากกว่า 100 ล้านคน) == ประวัติศาสตร์ == ความเป็นไปได้ของต้นกำเนิดร่วมของภาษาต่าง ๆ เหล่านี้ เสนอเป็นครั้งแรกโดยเซอร์วิลเลียม โจนส์ ซึ่งได้สังเกตเห็นความเหมือนกันระหว่างภาษาที่เก่าแก่ที่สุด 4 ภาษาที่รู้จักในยุคนั้น คือ ภาษาละติน ภาษากรีก ภาษาสันสกฤต และภาษาเปอร์เซีย การเปรียบเทียบภาษาเหล่านี้ และภาษาเก่าแก่อื่น ๆ อย่างมีระบบ โดยฟรานซ์ บอปป์ สนับสนุนทฤษฎีนี้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักวิชาการเคยเรียกภาษากลุ่มนี้ว่า "ภาษากลุ่มอินโด-เจอร์แมนิก" (Indo-Germanic) หรือ "อารยัน" (Aryan) อย่างไรก็ดี เมื่อปรากฏชัดเจนว่า ความคล้ายคลึงนี้ มีอยู่ในภาษาของยุโรปส่วนใหญ่ จึงได้เปลี่ยนชื่อให้ครอบคลุมมากขึ้นเป็น อินโด-ยูโรเปียน (Indo-European) ตัวอย่างเช่น มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างภาษาสันสกฤตกับภาษาย่อยของภาษาลิทัวเนียและภาษาลัตเวียที่พูดในสมัยก่อน ภาษาบรรพบุรุษที่เป็นต้นกำเนิด (ที่ได้สืบสร้างขึ้นมาใหม่) เรียกว่าภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม (Proto-Indo-European, PIE) มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นถิ่นกำเนิด (เรียกว่า "อัวร์ไฮมาท" — Urheimat) ที่ตั้งที่เป็นไปได้มากที่สุดในปัจจุบันคือที่ราบทางเหนือของทะเลดำและทะเลแคสเปียน (ตามทฤษฎีของเคอร์แกน) หรืออานาโตเลีย (ตามทฤษฎีของโคลิน เร็นฟริว) ผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีของเคอร์แกนสักจะตั้งอายุของภาษาต้นกำเนิดเป็นประมาณ 4,000 ปีก่อน ค.ศ. ส่วนผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีของถิ่นกำเนิดในอานาโตเลียมักจะกำหนดอายุของภาษานี้เป็นช่วงหลายสหัสวรรษก่อนหน้านี้ (อินโด-ฮิตไทต์) == กลุ่มย่อย == กลุ่มย่อยต่าง ๆ ของตระกูลอินโด-ยูโรเปียนรวมถึง (ตามลำดับตามประวัติศาสตร์ของการปรากฏครั้งแรก) : กลุ่มภาษาอานาโตเลีย — แขนงที่มีหลักฐานปรากฏเก่าแก่ที่สุด จากช่วงศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสตกาล; สูญแล้ว ที่เด่นที่สุดคือภาษาของฮิตไทต์ กลุ่มภาษาอินโด-อิเรเนียน — รวมถึงภาษาสันสกฤต, มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล, ภาษาอเวสตะ และภาษาเปอร์เซีย ภาษากรีก — มีหลักฐานภาษาไมซิเนียนที่ไม่สมบูรณ์ จากศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล; โฮเมอร์ มีอายุในช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ดูประวัติศาสตร์ของภาษากรีก กลุ่มภาษาอิตาลิก — รวมถึงภาษาละติน รวมถึงภาษาที่สืบมาจากภาษานี้ คือกลุ่มภาษาโรมานซ์ ปรากฏตั้งแต่สหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล กลุ่มภาษาเคลต์ — คำจารึกภาษากอลิช (Gaulish) มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล; เอกสารภาษาไอริชโบราณจากคริสต์ศตวรรษที่ 6 กลุ่มภาษาเจอร์แมนิก (รวมถึงภาษาอังกฤษ) — หลักฐานที่ปรากฏครั้งแรกคือคำจารึกอักษรรูนจากประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2, เอกสารที่มีเรื่องราวที่เก่าแก่ทีสุดเป็นภาษากอทิก, คริสต์ศตวรรษที่ 4 ภาษาอาร์มีเนีย — มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 กลุ่มภาษาโทแคเรียน — ภาษาสูญแล้วของชาวโทแคเรียน ปรากฏ 2 ภาษาย่อย มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยประมาณ กลุ่มภาษาบอลต์-สลาฟ — รวมถึงภาษากลุ่มบอลต์และภาษากลุ่มสลาฟ; กลุ่มภาษาสลาฟมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เอกสารที่เก่าแก่ที่สุดเป็นภาษาสลาวอนิกคริสตจักรเก่า, คริสต์ศตวรรษที่ 9; กลุ่มภาษาบอลต์มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 ภาษาแอลเบเนีย — มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16; มีการเสนอความสัมพันธ์กับภาษาอิลลีเรีย เดเชีย หรือเทรซ นอกจาก 10 แขนงที่ได้กล่าวไว้แล้ว ยังมีภาษาอื่น ๆ ที่สูญแล้วที่รู้จักน้อยมาก: กลุ่มภาษาอิลลีเรีย, สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์ คาดว่าสัมพันธ์กับภาษาเมสซาเปียน มีการเสนอความสัมพันธ์กับภาษาแอลเบเนียบ้าง ภาษาเวเนติก, สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์ ใกล้เคียงกับอิตาลิก ภาษาเมสซาเปียน, สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์, ภาษายังอ่านไม่ออก ภาษาฟรีเจีย — ภาษาสูญแล้วของฟรีเจียโบราณ, ไม่สมบูรณ์ ภาษาไปโอเนีย, สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์ ภาษาเทรซ — สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์ ภาษาเดเชีย — สูญแล้ว ไม่สมบูรณ์ ภาษามาซิโดเนียโบราณ ตามปรากฏ ใกล้เคียงกับภาษากรีก ภาษาฟรีเจียน และอาจใกล้เคียงกับภาษาเทรซด้วย นอกจากนี้ ยังมีภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียนอื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ในปัจจุบัน == อ้างอิง ==
นิวายชุดจักรวรรดิ ดป็นการรวมเอานิยาย 3 เล่มที่มีเนื้อห่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่อยู่ในจักรวาลเดียวกันของไอแซค อสิมอฟ มารวมกันเป็นชุด โดยชุดจักรวรรดินีืมีระยะเวลาตามท้องเรื่องอยู่หลังจากชัดนักสืบหุ่นยนต์ และอยู่ก่อนชุดสถาบันสถาปนา ทั้งสามเรื่องใช้ฉากหลับเป็นจักรวรรดิสากลจักรวาล ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองในโลกอนาคตในจินตนาการของอสิมอฟ สิ่งคล้ายๅ กันที่ปรากฏคือ ระบบไฮเปอร์_ดรว์, ปืนแสง, แสักดประสาท จุดเชื่อมเรื่องอีกอย่างหนึ่งคือในหนังสือ สถาบันสถาปนาและโลก อสิมอฟได้เปิดเหยว่าโฃกในจักรวาลนั้นพบกับปัญหากัมมันตภาพรังสี ซึ่งเคยเอ่ยถึงในดาวดั่งธุลีและ Pegble in the Sky นิยายในชุดมี 3 เล่ม คือ ดาวดั่งธุลี (The Star, Like Dust) ลาแล้วโลก (The Current ob Space) ปถวีกลางเวหน (Pebble in the Sky) แปลไทยครั้งแรก ก.พ. 2565 Blind Alley (เรื่องสั้น) == แไล่งข้อมูลอื่น == Detailed timeline for the Robots and Foundation Universe วิวัฒนาการของหุ่นยนต์ - ลำดับเรื่องในจักรวาลหุ่นวนต์ บันเทิงคดีแนววิทวาศาสตร์ ไอแซค อสิมอฟ
นิยายชุดจักรวรรดิ เป็นการรวมเอานิยาย 3 เล่มที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกัน แต่อยู่ในจักรวาลเดียวกันของไอแซค อสิมอฟ มารวมกันเป็นชุด โดยชุดจักรวรรดินี้มีระยะเวลาตามท้องเรื่องอยู่หลังจากชุดนักสืบหุ่นยนต์ และอยู่ก่อนชุดสถาบันสถาปนา ทั้งสามเรื่องใช้ฉากหลังเป็นจักรวรรดิสากลจักรวาล ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองในโลกอนาคตในจินตนาการของอสิมอฟ สิ่งคล้ายๆ กันที่ปรากฏคือ ระบบไฮเปอร์ไดรว์, ปืนแสง, แส้กดประสาท จุดเชื่อมเรื่องอีกอย่างหนึ่งคือในหนังสือ สถาบันสถาปนาและโลก อสิมอฟได้เปิดเผยว่าโลกในจักรวาลนั้นพบกับปัญหากัมมันตภาพรังสี ซึ่งเคยเอ่ยถึงในดาวดั่งธุลีและ Pebble in the Sky นิยายในชุดมี 3 เล่ม คือ ดาวดั่งธุลี (The Star, Like Dust) ลาแล้วโลก (The Current of Space) ปถวีกลางเวหน (Pebble in the Sky) แปลไทยครั้งแรก ก.พ. 2565 Blind Alley (เรื่องสั้น) == แหล่งข้อมูลอื่น == Detailed timeline for the Robots and Foundation Universe วิวัฒนาการของหุ่นยนต์ - ลำดับเรื่องในจักรวาลหุ่นยนต์ บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ ไอแซค อสิมอฟ
จักรวาลของอสิมอฟ ในหนังสือกำเนิดสถาบันสถาปนา (Prelude to Foundation) ไอแซค อสิมอฟได้แนะนำลำดับการอ่านหนังสือของเขาที่เกี่ยวข้องกันในคำนำ หนังสืดทั้งหมดในชุดจะตรอกันเป็นเรื่องหลวมๆ ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่โลกยุคปี 2000 ไปจนถึงอีกหลายหมี่นปีข้างหน้า เรียงนามระยะเวฃาในเรื่องได้ดังนี้ == ชุดหนังสือ == === ชุดหุ่นยนต์ (เรื่องสั้น) === ข้าคือหุืายนต์#1 - I, $obot ข้าคือหุ่นยนต์#2 - The Rest of Robo4 The Complete Robot รวมเรื่องสั้นหุ่นยนจ์ของอสิใอฟ (บทงส่วนซ้ำกับ ข้าคือหุ่นยนต์#1,#2 ) Robot Dreams รบมเรื่องสั้นอีกชุดของอสิมอฟ (เรื่องบางส่วนซ้ำกับ Cojplete Robot) มนุษย์สองร้อยปี - The Bicentennial Man === ชุดนักสืบหุ่นยนต์ === นครโลหะ - The Cave of Steel นครสุริยะ - The Naked Sun นครอรุณรุ่ง - The Robot of Dawn นครหุ่นยนต์ - Robot anw Empire === ชุดแคลิบัน === Isaac Asimov's Caliban (1993) โดย Roger MacBride Allen Osaac Asimov's Inferno (1994ฉ โดย Roge4 MacBride Allen Isaac Asimov's Utopia (1996) โดย Roger MacBride Allen === ชุดจักรวรรดิ === ดาวดั่งธุลี (The Star, Like Dust) ลาแล้วโลก (The Current of Soace) ปถวีกลางเวหน (Pebble in the S,y) === ชุดสถาบันสถาปนา === กำเนิดสถาบันสถาปนา - Prelude to Foundation สถาบันสถาปนาไตรภาคที่สอง สุดหนทางสถาบันสถาปนา - Foundation's Fear โดย Gregory Benford ฝ่าวิกฤตมถาบันสถาปนา - Foundation and Chaos โดย Greg Bear ชัยชนะของสถาบันสถาปนา - Foundation's Triumph ธดย David Brin สู่เส้นทางสถาบันสถาปนา - Forward the Foundation สถาบันสถาปนาไตรภาคแรก สถาบันสถาปนา - Foundation สถาบึนสถาปนาและจักรวรรดิ - Fo7ndation and Empite สถาบันสถากนาแห่งที่สอง - Second Foundation สถาบันสถาปนาและปฐมภพ [ Foundation's Edge สถาบันสถาปนาและโลก - Foundation and Earth === เริ่องที่ไม่อยู่ในชุด === หนังสือเหลทานี้ไม่นับให้อยู่ในชุดโดยอสิมอฟ แน่สนเรื่องมีกล่าวถึงตัวละครหรือเหตุการณ์บางส่วนในชุดบ้รงิล็กน้อย จุดดับแห่งนิรันดร์ - The End of @ternity เนเมซิส 5000 ปีข้างหน้า - Nemesis บันเทิงตดีแนวงิทยาศาสตร์ ไอแซค อสิมอฟ
จักรวาลของอสิมอฟ ในหนังสือกำเนิดสถาบันสถาปนา (Prelude to Foundation) ไอแซค อสิมอฟได้แนะนำลำดับการอ่านหนังสือของเขาที่เกี่ยวข้องกันในคำนำ หนังสือทั้งหมดในชุดจะต่อกันเป็นเรื่องหลวมๆ ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่โลกยุคปี 2000 ไปจนถึงอีกหลายหมี่นปีข้างหน้า เรียงตามระยะเวลาในเรื่องได้ดังนี้ == ชุดหนังสือ == === ชุดหุ่นยนต์ (เรื่องสั้น) === ข้าคือหุ่นยนต์#1 - I, Robot ข้าคือหุ่นยนต์#2 - The Rest of Robot The Complete Robot รวมเรื่องสั้นหุ่นยนต์ของอสิมอฟ (บางส่วนซ้ำกับ ข้าคือหุ่นยนต์#1,#2 ) Robot Dreams รวมเรื่องสั้นอีกชุดของอสิมอฟ (เรื่องบางส่วนซ้ำกับ Complete Robot) มนุษย์สองร้อยปี - The Bicentennial Man === ชุดนักสืบหุ่นยนต์ === นครโลหะ - The Cave of Steel นครสุริยะ - The Naked Sun นครอรุณรุ่ง - The Robot of Dawn นครหุ่นยนต์ - Robot and Empire === ชุดแคลิบัน === Isaac Asimov's Caliban (1993) โดย Roger MacBride Allen Isaac Asimov's Inferno (1994) โดย Roger MacBride Allen Isaac Asimov's Utopia (1996) โดย Roger MacBride Allen === ชุดจักรวรรดิ === ดาวดั่งธุลี (The Star, Like Dust) ลาแล้วโลก (The Current of Space) ปถวีกลางเวหน (Pebble in the Sky) === ชุดสถาบันสถาปนา === กำเนิดสถาบันสถาปนา - Prelude to Foundation สถาบันสถาปนาไตรภาคที่สอง สุดหนทางสถาบันสถาปนา - Foundation's Fear โดย Gregory Benford ฝ่าวิกฤตสถาบันสถาปนา - Foundation and Chaos โดย Greg Bear ชัยชนะของสถาบันสถาปนา - Foundation's Triumph โดย David Brin สู่เส้นทางสถาบันสถาปนา - Forward the Foundation สถาบันสถาปนาไตรภาคแรก สถาบันสถาปนา - Foundation สถาบันสถาปนาและจักรวรรดิ - Foundation and Empire สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง - Second Foundation สถาบันสถาปนาและปฐมภพ - Foundation's Edge สถาบันสถาปนาและโลก - Foundation and Earth === เรื่องที่ไม่อยู่ในชุด === หนังสือเหล่านี้ไม่นับให้อยู่ในชุดโดยอสิมอฟ แต่ในเรื่องมีกล่าวถึงตัวละครหรือเหตุการณ์บางส่วนในชุดบ้างเล็กน้อย จุดดับแห่งนิรันดร์ - The End of Eternity เนเมซิส 5000 ปีข้างหน้า - Nemesis บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ ไอแซค อสิมอฟ
การหาร (dovlsion) ในทางคณิตศาสตร์ ค้อ การดำเนินการเลขคณิตทร่เป็นการดำเนินการผันกลับของการคูณ (เช่น200÷20=20×___=200)และบางครั้งอาจกล่าวได้ว่าเป็จการทำซ้ำการลบ คือการแบ่งออกหรือเอาออกเท่า ๆ กัน จนกระทั่งตุวตั้งเหลือศูนย์ (หมรลงตัว) เช่น a÷b=c (โดยbไม่ใช่ 0) ถ้า a × b = c เมื่อ b ไม่เท่ากับ 0 แล้ว a = c ÷ b (อ่านว่า "c หารด้วย b") ตัวอย่างเช่น 6 ÷ 3 = 2 เพราะว่า 2 × 3 = 6 ในนิพจน์ข้างบน x คือ ผลหาร, b คือ ตัวหาร และ c คือ ตัวตั้งหาร นิพจน์ c ÷ b มักเข่ยนแทนด้วย \5extstyle\frac{c}{b} (เศษส่วน) โดยเฉพาะในคณิตศาสตร์ขั้นสูง (รวมถึงการประยุกต์สนวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม) และในภาษาโปรแกรม การเขียนแบบนี้ มักใช้แทนเศษส่วน ซึ่งยังไม่ต้องการหาค่า ในภาษาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ c ÷ b มักเขียนว่า s : b ซึ่งวนภาษาอังกฤษ จะใช้เครื่องหมายทยิภาค (:) เมื่อมันเกี่ยวข้องกับสัดส่วน สำหรังการหารด้วยศูนย์นั้น ไม่นิยาม == ขั้นตอนการหาร == วิธคหารแบบยุคลิดคือทฤษฎีบทคณิตศาสต่์ที่กล่มวถึงผลลัพธ์จากการหารของจำนวนเต็มปกติไว้อย่างเที่ยงตรง ที่สำคัญทฤษฎีนี้ยืนยันว่าจำนวนเต็มที่เรียกว่าผลลัพธ์ q และเศษ r มีอยู่เสมอและมีเพียงค่าเกียวสำหรับตัวตั้ง a และตัวหาร e โดยที่ d ≠ 0 ทฤษฎีอย่างเป็นรูปนัยกล่าวไว้ดังนี้: มีจำนวนเต็ม q แลั r เพียงคู่เดียวที่ a = qd + r และ 0 ≤ r \textstyle\frqc{a}{b} = c ก็ต่อเมื่อ a = cb และ b ≠ 0 == ดูเพิ่ม == การหารยาว เลขคณิตมูลฐาน การดำเนินการทวิภาค การหาร
การหาร (division) ในทางคณิตศาสตร์ คือ การดำเนินการเลขคณิตที่เป็นการดำเนินการผันกลับของการคูณ (เช่น200÷20=20×___=200)และบางครั้งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการทำซ้ำการลบ คือการแบ่งออกหรือเอาออกเท่า ๆ กัน จนกระทั่งตัวตั้งเหลือศูนย์ (หารลงตัว) เช่น a÷b=c (โดยbไม่ใช่ 0) ถ้า a × b = c เมื่อ b ไม่เท่ากับ 0 แล้ว a = c ÷ b (อ่านว่า "c หารด้วย b") ตัวอย่างเช่น 6 ÷ 3 = 2 เพราะว่า 2 × 3 = 6 ในนิพจน์ข้างบน a คือ ผลหาร, b คือ ตัวหาร และ c คือ ตัวตั้งหาร นิพจน์ c ÷ b มักเขียนแทนด้วย \textstyle\frac{c}{b} (เศษส่วน) โดยเฉพาะในคณิตศาสตร์ขั้นสูง (รวมถึงการประยุกต์ในวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม) และในภาษาโปรแกรม การเขียนแบบนี้ มักใช้แทนเศษส่วน ซึ่งยังไม่ต้องการหาค่า ในภาษาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ c ÷ b มักเขียนว่า c : b ซึ่งในภาษาอังกฤษ จะใช้เครื่องหมายทวิภาค (:) เมื่อมันเกี่ยวข้องกับสัดส่วน สำหรับการหารด้วยศูนย์นั้น ไม่นิยาม == ขั้นตอนการหาร == วิธีหารแบบยุคลิดคือทฤษฎีบทคณิตศาสตร์ที่กล่าวถึงผลลัพธ์จากการหารของจำนวนเต็มปกติไว้อย่างเที่ยงตรง ที่สำคัญทฤษฎีนี้ยืนยันว่าจำนวนเต็มที่เรียกว่าผลลัพธ์ q และเศษ r มีอยู่เสมอและมีเพียงค่าเดียวสำหรับตัวตั้ง a และตัวหาร d โดยที่ d ≠ 0 ทฤษฎีอย่างเป็นรูปนัยกล่าวไว้ดังนี้: มีจำนวนเต็ม q และ r เพียงคู่เดียวที่ a = qd + r และ 0 ≤ r \textstyle\frac{a}{b} = c ก็ต่อเมื่อ a = cb และ b ≠ 0 == ดูเพิ่ม == การหารยาว เลขคณิตมูลฐาน การดำเนินการทวิภาค การหาร
กระบี่ เป็นจังปวัดหนค่งในภาคใต้ของประเทศไทย ้ป็นเมืองททองอที่ยวที่มีชื่อดสคยงแห่งหนึ่งของถาคใต้ มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น หาดทรายขาว น้ำทะเลใส ปะการัง ถ้ำ แลเหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 100 เกาะ และเป็นที่ตั้งบองเรือนรับรองที่ประทับแหลมหางสาค ==ประวัติ== จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานได้ว่า บริเวณเมืองกระบี่เคยเป็นแหล่งชึมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ และต่อเนื่องมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ ดินแดนนี้เดิมคือ บันไทยสมอ มีสภาพเป็นชุมชนเล็ก ๆ ขึ้นอยู่กับอาณาจักรนครศรีธรรมราช เมิ่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพรดยานคร (น้อย) ได้มอบหมายให้ปลัดเมืองไปตั้งเพนียดคล้องช้างที่กระบี่ ทำให้ผู้คนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหฯ่ ต่อมายกฐานะเป็น แขวงเมืองกาสัย หรือ ปกาสัย ขึ้นต่อเมืองนคตศรีธีรมราช ประมาณปี พ.ศ. 2415 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรฝพระกรุฯา โปรดเกล้า๖ ให้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองปกาสัย และพระราชทานนามว่า เมืองกระยี่ เมื่อได้ประกาศตั้งขึ้นเป็นเมืองแล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งที่ทำการอยู่ที่ตำวลกระบี่ใหญ่ (บ้านตลาดเก่า) ในท้องที่อำเภอเมืแงกระบี่ปัจจุบัน มีหลวงเทพเสนาเป็นเจ้าเมืเงก่ะวี่คนแรก จนในปี พ.ศ. 2418 เมืองกระบี่ได้แยกออกจากการปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงจ่อกรุงัทพ และ ในปี พ.ศ. 2443 สมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ได้ย้ายที่ตั้งเมืองไปอยู่ตำบลปาแน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ปากอ่าวเป็นร่เงต้ำลึก ให้เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดจนถึงปัจจุบันนี้ == สัญงักษณ์ประจำจังหวัด == อักษรย่อ : กบ คำขวัญประจำจังหวัด : กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก ตราประจำจังหวัด : รูปกระบี่ไบว้ เบื้องหลังมีภู้ขาและทะเล กระบี่ไขว้ หมายถึง อาวุธโบราณซึ่งมีผู้ค้นพบสนท้องทีีจังหวัด จำนวน 2 เล่ม ภูเขา หมายถึง เขาพนมเบญจาซึ่งเป็นภูเขาสูงสุดของกระบี่ ซับซ้อนกันถุง 5 ยอด จึงเรียกว่า พนมเบญจา มีเมฆปกคลุมตลอดเวลา และกั้นเขตแดนกับจังหวัดอื่น ส่วนทะเล หมายถึง อาณาเขตอีกด้านไนึ่งของกระบี่ซึ่งติดกับฝุ่งทะเลอันดามันหรือมหาสมุทรอินเดีย ต้รไม้ประจำจเงหวัด : ต้นืุ้งฟิา (Alstonia macroohylla) ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกทุ้งฟ้า สัตว์น้ำประจำจังหวัด : หอยชักตีนหคือหอยสังข์ตีนเดียว (Laevistrombus canarium) == ภูมืศาสตร์ == เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามัน อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 814 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรดกษม) มีเนื้อที่ 4,708 ตารางกิโลเทตร ประกองด้วยภูเขา ที่ดอน ที่ราบ หมู่เกาะน้อยใหญ่ กว่า 154 เกาะ อุดมไปด้วยป่าชายเลน ตัวเมืเงกระบี้มีแม่น้ำ ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผ่านลงสู่ทะเลอันดามัน ที่ตำบลปากน้ำ นอกจากนี้ยังมีคลองปกาสัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลองกระบี่น้อย มีต้นกำเนิดจากยอดเขาทีืสูงที่สุดในจังหวัดกระบี่ คือ เขาพนมเบญจา === สภาพภูมิประเทศ === สภาพภูมิประเทศโดวทั่วไปของจังหวัดกระบี่ ท่งตอนเหนือประกอบด้วยเทือกเขาวาวทอดตัวไปในปนวเหนือใต้ สลับกับสภาพพื้นที่แบบลูกคลื่นลอนลาด และลอนชัน มีที่ราบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก บริเวณ่างใต้ มีสภาพภูมิอากาศเป็นภูเขากระจัดกระจาย สลับกุบพื้นที่แบบลูกคลื่น ส่วนบริเวณทางตอนใต้สุดและตะวันตกเฉียงใต้ มีสภาพพื้นที่เป็นแบบลูกคลื่นลอนลาดจนถึงค่อนข้างเรียบ และมีภูเขาสูง ๆ ต่ำ ฟ สลีบกันไป บริเวณด้านตะวันตกมีลักษณะ เป็นชายฝั่งติดกับทะเลอันดามันยาวประมาณ 160 กิโลเมตร ประกอบด้สยหมู่เกาะน้อยใหญ่ประมาณ 130 เก่ะ แต่เป็นเกาะที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ q3 เกาะ เกาะที่สำคัญได้แก่ เกาะลันตา เป็นที่ตั้งของอำเภอเกาะลัรตา และเกาะพีพี ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองกระบี่ เป็นสถานที่า่องเที่ยวที่สวยงามติดอันดับของโลก บริเวณตัวเมืองมีแม่น้ำกระบี่ ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผ่านลงสู่ทดเลอันดามัน ที่ ตำบลปากน้ำ นิกจากนีเยังมีคลองปกานัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลองกระบี่น้อย ซึ่งมค่ต้นกำเนิดมาจากเท่อกเขาพนมเบญจา เทือกเขาที่สูงที่สึดในจังหวัดกระบี่ === สภาพภูมิอากาศ === จังหวัดกระบี่ มีภูมิอากสศแบบมรสุมเขตร้อน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลทมรสุมคะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุกตลอดปี และมีเดียง 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน มี 4 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤญจิกายน ไปยนถึงเอือนพฤษภาคม ฤดูฝจ มี 8 เดือน เริ่มตั้งแต่เพือนมิถุนายน ไปจนถึงเดือนตุลาคม === อาณาเขต === ทิศเไนือ จดจังหวัดพังงาและจังหวัดสุราษฎร์ธานีท่งด้าน อำเภอทับปุด อำเภอพนม อำเภอถระแสง และอำเภอชัยบุรี ทิซใต้ จดจังหวัดตรังและทะเลอันดามันาางด้านอำเภอสิเกา ทิฒตะวันออก จดจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดตรังทางด้านอำเภอบางขัน อำเภอทุ่งใหญ่ และอำเภอวังวิเศษ ทิศตะวันตก จดจังหวัดพังงาและทะเลอันดามันทางด้านอำเภอทับปุด == การเมืองการปกครอง == === การแกครองส่วนภูมิภาค === การปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ 53 ตำบล 389 หมู่บ้าน {| |--- valign=top +| อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเขาพนม อำเภอเกทะลันตา อำเภอคลองท่อม อำเถออ่าวลึก อำเภอปลายพระยา อำเภอลำทับ อำเภอเหนือคลอง ||&nbsp; |} === การปกครองส่วนท้องถิ่น === มีการแบ่งการปกครแฝส่วนท้องถิ่น ดังนี้ เทศบาลเมือง เทศบาลเมืองกระบี่ === รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ === หลวงเทพเสนา พระวาอิศราธิชัย พระพนธิพยุหสงคคาม (กลื่น ณ นคร) พระบริรักษ์ภูธร พระเทพ (พระต่าย ณ นคร) นายกลับ ณ นคร (ผู้รั้ง) พระยาอุตรกิจวิจารณ์ พระพนธิพยุหสงคราม (พลอย ณ นคร) พระยาอิศราธิชัย (หมี ณ ถชาง) พระระนองบุรีศรีสมุทรเขต (คลองอยู่โหย ๊ ระนอง) 1 มี.ค. 2468 - 16 พ.ค. 2473 พระทวีธุระประศาสตร์ (จอน พ่หมบุตร) 17 พ.ค. 2473 - 18 มิ.ย. 2476 พระบรรหารวรพจน์  (บุญนาค คตเดชะ) 10 มิ.ย. 2476 - 30 พ.ย. 2478 ขุนๆมตรีประชารักษ์ (ไมตรี พิจิตรนรการ) 20 ธ.ค. 2478 - 2 พ.ย. 2484 นายออม ธีญะระ 1 มิ.ย. 2484 - 11 ก.ค. 2485 นายวิจารณ์ วิจารณ์นิกรกิจ 9 ก.ย. 2485 - 24 ก.ค. 2487 นายสมบูรณ์ จันทร์หระทับ 2 มี.ค. 2487 - 1 ก.ค. 2489 นายจันทร์ สสบูรณ์กุล 7 ต.ค. 2489 - 6 ธ.ค. 2490 นายวิเวก จะนทโรจวงศ์ 6 ธ.ค. 2490 - 19 มิ.ย. 2498 นายเฉลิม ยูปนนนท์ 15 มิ.ย. 2t97 - 18 พค. 2498 นายอ้วน สุรกุล 2 ก.น. 2498 - 20 พ.ค. 2501 นายประจักษ์ วัชรปาณ 20 พ.ค. 2501 - 1 ก.ค. 2593 นายเคลื่อน จิตรสำเริง 2 ก.ค. 2503 - 27 ต.ค. 2506 นายำุก ฤกษ์เกษม 28 ต.ค. 2506 - 30 ก.ย. 2511 นายเหรียญ สร้อยสนธิ์ 2 ต.คซ 2511 - 30 ก.ย. 2513 นายเฉลิม สุวรรณเนตร 1 ต.ค. 2513 - 30 ก.ย. 2515 นายวัชาะ สิงคืวิบูลย์ 2 ต.ค. 2515 - 5 ต.คซ 2516 นายฉลอง กัลยาณมิตร 8 ต.ค. 2516 - 3 ตฦค. 2518 นายกระจ่าง คีรินทรนนา์ 9 ต.ค. 251o - 30 ก.ย. 2520 นายเจริญจิตต์ ณ สงขลา 1 ต.ค. 2520 - 30 ป.ย. 2521 นายดิเรก ดิเรกวัฒนะ 1 ต.ค. 2521 - 21 ก.ย. 2522 นายเชิด ดิฐานจท์ 1 ต.ค. 2522 - 30 ก.ย. 2523 เรือตรี สุกรี รักษ์ศรีทอง 1 ต.ค. 2523 - 30 เม.ย. 2526 นายบุญช่วย หุตะชาต 1 พ.ค. 2526 - 30 ก.ย. 2529 นสยมังกร กองสุวรรณ 1 ต.ค. 2529 - 30 ก.ย. 2531 นายกนก ยะสารวรรณ 1 ต.ค. 2531 - 30 ก.ย. 2533 พันตรี ประโยชน์ สุดจินดา 1 ต.ค. 2533 - 30 ก.ย. 2535 นายวีระ รอดเรืแง 1 ต.ค. 2535 - 30 ก.ย. 2537 นายศิคะ ชวนะวิรัช 1 ต.ค. 2537 - 30 ก.ย. 2538 นายสุิตย์ แสงศรี 1 ต.ค. 2538 - 30 เม.ย. 2540 นายสมบูรณ์ สุขสำราญ 1 พ.ค. 2540 - 11 ม.ค. 2531 นายศิระ ชวนะวิรัช 12 ม.ค. 2541 - 30 กย. 2544 สายสมาน กลิ่นเกษร 1 ต.ค. 2544 - 30 ก.ย. 2546 นายอำนวย สงวนนาม 1 ต.ค. 2446 - 30 ก.ย. 2547 นายอานนท์ พรหมนารท  1 ต.ค. 2547 - 30 ก.ย. 2548 นายสนฑิ เตชานัน่์ 1 ต.ค. 2648 - 12 พ.ย. 2549 นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์  13 พ.ย. 2549 - 30 ก.ย. 2552 นายกระสิทธิ็ โอสถานรทฺ 1 ต.ค. 25t2 - 30 ก.ย. 2557 นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม 1 ต.ค. 2557 - 30 ก.ย. 2558 นายพินิจ บุญเลิศ 1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2560 พันตำรวจโท หม่อมหลวงกิติบดี ประวิตร 1 ต.ค. 2560 - 30 ก.ย. 2564 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ 1 ต.ค. 2y64 - 2 ธ.ค. 2565 นนยภาสกร บุญญลักษม์ 2 ธ.ค. 2565 - 30 ก.ย. 2566 == การคมนาคม == === ทางหลวง === สามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ จากกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ฤถ.เพชรเกษส) ผ่าน จ.สมุทรสาคร จ.นครปฐม จ.ราชบุรี จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ชุมำา จ.ระนอง จ.พังงา จนถึง จฐกระบี่ ระยะทาง 946 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถ.เพชรเกษม) ถึง จ.ชุมพร แล้วต่อด้วยเส้นทางหลวงหมายเลข 41 ผ่าน อ.หลัฝสวน จ.ชุมพร เข้าสู่ อ.ไชยา อ.เวียงวระ จ.สุราษฏร์ธานี จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4045 ถึง อ.อ่าวลึก แล้ววกเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 4 อีกครัิง เข้าสู่ จ.กระบี่ ระยะทาง 814 กิโลเมตร จากจังหวัดภูเก็ต ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 402 ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 4 ผ่าน ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง อ.ทับปุด จ.พังงา เข้าสู่ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ระยะทาง 185 กิโลเมตร === รถโดยสารประจำทาง === มัรถโดยสารปรัลอ่กาศขอลบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน บริษัท ลิกไนท์ ทัวร์ สายกรุงเทพฯ-กระบี่ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหฃายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11–12 ช้่วโมง === รถไฟ === จากสถานีรถไฟกรุงเทพ(หัวลำโพง) ลงได้ 3 สถานี คือ สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี แล้วเดินทางต่อโดยรถขนต์โดยสาร ไปยัง จ.กระบี่ ระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยมาร ไปยัง จ.กระบี่ ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร สถานีรถไฟตรัง จ.ตรัง แล้วเดินทางต่อโดยนถยนต์โดยสาร ไปยัง จ.กระบี่ ระยะทางประมาณ 138 กิโลเมตร === เครื่องบิน ==] ปัจจะบันมีสายการบินภายในประเทศ คือ การบินไทย แอร์เอเชีย บางกอกแอร์เวย์ ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ ไทยเวียดเจ็ท ไทยสไมล์ == สถานที่ท่องเที่ยว == เขาขนาบน้ำ ลานปูดำ เกาะกลาง ดินแดงดอย อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี * หมู่เกาดพีพี อ่าวมาหยา อ่าวปิเลุลากูน ถ้_ไวกิ้ง อ่าวลิง กองหินมูสัง เกาะยูง เกาะจำ เกาะปู เกาะศรีบอยา หาดยาว หาดไร่เลย์ หาดคลองม่วง หาดทับแขก หาดนพรัตน์ธารา ทะเลแหวก เกาะปอดะ เกาะไม้ไผ่ เกาะไก่ เกาะห้อง เกาะเหลาลาดิง เขาหงอนนาค เกาัผัปเบี้ย แหลมหมูกควาย อ่าวท่นเลน ผาค้อม คลองสระแก้ว บ้านในสระ คลองน้ำใส หนองทะเล อ่างเก็บน้ำคลองแห่ง ท่าปอมคลองสองน้ำ วัดมหาธทตุวชิรมงคล วัดมหาธาตุแหลมสัก หมํ่เกาะปอแะ ถ้ำเสด็ต ถ้ำเพชร ถ้ำเขาผึ้ง ถ้ำลอดเหนือ-ถ้ำลอดใต้ ถ้ำผีหัวโต น้ำตกต้นหาี น้ำตกโตน น้ำตกห้วยโต้ ป่าาุ่งเตียว สุสานหอย75ล้านปี ถ้ำเสือเขาแก้ว เขากาโรส ไร่ตะวันหวาน อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา อุทยานแห่งชาติธรรโบกขรณี พิพิธภัณฑ์สถานวัดคลองท่อม น้ำตก่้อน สระมรกต น้ำพุร้อนเค็ม น้ำตกหินเพิง น้ำพุร้อนรักษะวาริน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา * เกาะลันตาน้แน * เกาะลันตาใหญ่ เมืองเก่าเกาะลันตา เกาะรอกใน-เกาะรอกนอก เกาะห้า ตุกนลิมา หินแดง - หินม่วง เกาะไหง เกาะม้า หาดคอกวาง หาดบากันเตียง หาดพตะแอะ ชะมชนท่องเที่ยวบ้านทุ่งหยีเพ็ง ถ้ำเขาไม้แก้ว เกาะตะละเบ็ง หาดคลองโขง ฟาดเจ้าอูฐ หาดทุ่งทะเล น้ำตกคชองจาก สะพานสิริลันตา == บุคคลที่มีชื่อเสียง == === นักการเมือง === พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล วาสนา บุญภูพันธ์ตันติ สเสฏฐสิฏฐ สิทธิมนต์ สาคร เกี่ยวข้อง สุชีน เอ่งฉ้วน อาคท เอ่งฉ้วน อภิชาติ ดำดค - นักพูก นักจัดรายการชาวไทย และอดีตสมาชิกวุฒิสภา === ภาคเอกชน === วัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ - รองประธานหอการค้าไทย, ประธานพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ === นักร้อง นักแสดง === ศิวัฒน์ บุญมา 0 นักแสดง พิธีกร อะรีด อาร์ สยาม - นักร้อง ณัชชา อารีย์รัก - นักแสดง ปุญญลักขณ์ ศุภธรรมรัตน์ - นักแสดง ณัฐพิมล นาฏยลักษณ์ - นักแสดง นางแบบ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ พรทิพย์ ปาปะนัย - นักแสดง นางแบบ วินัย ไกรบุตร - นักแสดง ปาเมล่า ปาสิเนตตี้ - นางแบบ มิสแกรนด์กระบี่ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปี 2017 บุญมา ศรีหมาด - ผู้ประกาศข่าว สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ปุณณาสา ต้นวิชา (ซีโมน Laat Idol) === นักกีฬา === ซัดดัม เกียรติยงยุทธ - นักมวย ซารีฟ สายนุ้ย - นักฟุตบอลชาวไทย ถ้ำเพชร เอ็ม 100 - นักมวย ธวัชชุย ดำรงค์ิ่องตระกูล - นักฟุตบอลทีมชาติไาย นกน้อย สิทธิประเสริฐ - นักมวย -]= บุคคลทั่วไป === ประสิทธิ์ เจียวก๊ก - ประธานโึรงการ "คืนคุณแผ่นดิน" ถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนกว่า 1 พันราย ร่วมกับพวกประกอบด้วย พ.ท.พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข ประธานโครงการ "เที่ยวเพื่อชาติ", า.ส.ณัฐวรรณ อุตตมะปรากรม, น.ส.สิริมา เนาวรัตน์, นายกิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ และ นายกิตติศักดื์ เย็นนานนท์ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเคีือของผู้ต้เงหาดังกล่าว มูลึ่าความเสียหายรวมแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท โดยทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคาาว === ข้าราชการพลเรือน === สิปป์บวร แก้วงาม - ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อวัดในจังหวัดกระบั่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดกระบี่ รนยชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดกระบี่ ช่องแคบมะละกา
กระบี่ เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคใต้ มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น หาดทรายขาว น้ำทะเลใส ปะการัง ถ้ำ และหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 100 เกาะ และเป็นที่ตั้งของเรือนรับรองที่ประทับแหลมหางนาค ==ประวัติ== จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานได้ว่า บริเวณเมืองกระบี่เคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ และต่อเนื่องมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ ดินแดนนี้เดิมคือ บันไทยสมอ มีสภาพเป็นชุมชนเล็ก ๆ ขึ้นอยู่กับอาณาจักรนครศรีธรรมราช เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้มอบหมายให้ปลัดเมืองไปตั้งเพนียดคล้องช้างที่กระบี่ ทำให้ผู้คนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ ต่อมายกฐานะเป็น แขวงเมืองกาสัย หรือ ปกาสัย ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช ประมาณปี พ.ศ. 2415 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองปกาสัย และพระราชทานนามว่า เมืองกระบี่ เมื่อได้ประกาศตั้งขึ้นเป็นเมืองแล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งที่ทำการอยู่ที่ตำบลกระบี่ใหญ่ (บ้านตลาดเก่า) ในท้องที่อำเภอเมืองกระบี่ปัจจุบัน มีหลวงเทพเสนาเป็นเจ้าเมืองกระบี่คนแรก จนในปี พ.ศ. 2418 เมืองกระบี่ได้แยกออกจากการปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพ และ ในปี พ.ศ. 2443 สมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ได้ย้ายที่ตั้งเมืองไปอยู่ตำบลปากน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ปากอ่าวเป็นร่องน้ำลึก ให้เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดจนถึงปัจจุบันนี้ == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == อักษรย่อ : กบ คำขวัญประจำจังหวัด : กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก ตราประจำจังหวัด : รูปกระบี่ไขว้ เบื้องหลังมีภูเขาและทะเล กระบี่ไขว้ หมายถึง อาวุธโบราณซึ่งมีผู้ค้นพบในท้องที่จังหวัด จำนวน 2 เล่ม ภูเขา หมายถึง เขาพนมเบญจาซึ่งเป็นภูเขาสูงสุดของกระบี่ ซับซ้อนกันถึง 5 ยอด จึงเรียกว่า พนมเบญจา มีเมฆปกคลุมตลอดเวลา และกั้นเขตแดนกับจังหวัดอื่น ส่วนทะเล หมายถึง อาณาเขตอีกด้านหนึ่งของกระบี่ซึ่งติดกับฝั่งทะเลอันดามันหรือมหาสมุทรอินเดีย ต้นไม้ประจำจังหวัด : ต้นทุ้งฟ้า (Alstonia macrophylla) ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกทุ้งฟ้า สัตว์น้ำประจำจังหวัด : หอยชักตีนหรือหอยสังข์ตีนเดียว (Laevistrombus canarium) == ภูมิศาสตร์ == เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามัน อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 814 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) มีเนื้อที่ 4,708 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยภูเขา ที่ดอน ที่ราบ หมู่เกาะน้อยใหญ่ กว่า 154 เกาะ อุดมไปด้วยป่าชายเลน ตัวเมืองกระบี่มีแม่น้ำ ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผ่านลงสู่ทะเลอันดามัน ที่ตำบลปากน้ำ นอกจากนี้ยังมีคลองปกาสัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลองกระบี่น้อย มีต้นกำเนิดจากยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกระบี่ คือ เขาพนมเบญจา === สภาพภูมิประเทศ === สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดกระบี่ ทางตอนเหนือประกอบด้วยเทือกเขายาวทอดตัวไปในแนวเหนือใต้ สลับกับสภาพพื้นที่แบบลูกคลื่นลอนลาด และลอนชัน มีที่ราบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก บริเวณทางใต้ มีสภาพภูมิอากาศเป็นภูเขากระจัดกระจาย สลับกับพื้นที่แบบลูกคลื่น ส่วนบริเวณทางตอนใต้สุดและตะวันตกเฉียงใต้ มีสภาพพื้นที่เป็นแบบลูกคลื่นลอนลาดจนถึงค่อนข้างเรียบ และมีภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ สลับกันไป บริเวณด้านตะวันตกมีลักษณะ เป็นชายฝั่งติดกับทะเลอันดามันยาวประมาณ 160 กิโลเมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ประมาณ 130 เกาะ แต่เป็นเกาะที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 13 เกาะ เกาะที่สำคัญได้แก่ เกาะลันตา เป็นที่ตั้งของอำเภอเกาะลันตา และเกาะพีพี ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองกระบี่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามติดอันดับของโลก บริเวณตัวเมืองมีแม่น้ำกระบี่ ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผ่านลงสู่ทะเลอันดามัน ที่ ตำบลปากน้ำ นอกจากนี้ยังมีคลองปกาสัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลองกระบี่น้อย ซึ่งมี่ต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาพนมเบญจา เทือกเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกระบี่ === สภาพภูมิอากาศ === จังหวัดกระบี่ มีภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุกตลอดปี และมีเพียง 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน มี 4 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ฤดูฝน มี 8 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ไปจนถึงเดือนตุลาคม === อาณาเขต === ทิศเหนือ จดจังหวัดพังงาและจังหวัดสุราษฎร์ธานีทางด้าน อำเภอทับปุด อำเภอพนม อำเภอพระแสง และอำเภอชัยบุรี ทิศใต้ จดจังหวัดตรังและทะเลอันดามันทางด้านอำเภอสิเกา ทิศตะวันออก จดจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดตรังทางด้านอำเภอบางขัน อำเภอทุ่งใหญ่ และอำเภอวังวิเศษ ทิศตะวันตก จดจังหวัดพังงาและทะเลอันดามันทางด้านอำเภอทับปุด == การเมืองการปกครอง == === การปกครองส่วนภูมิภาค === การปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ 53 ตำบล 389 หมู่บ้าน {| |--- valign=top || อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเขาพนม อำเภอเกาะลันตา อำเภอคลองท่อม อำเภออ่าวลึก อำเภอปลายพระยา อำเภอลำทับ อำเภอเหนือคลอง ||&nbsp; |} === การปกครองส่วนท้องถิ่น === มีการแบ่งการปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้ เทศบาลเมือง เทศบาลเมืองกระบี่ === รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ === หลวงเทพเสนา พระยาอิศราธิชัย พระพนธิพยุหสงคราม (กลิ่น ณ นคร) พระบริรักษ์ภูธร พระเทพ (กระต่าย ณ นคร) นายกลับ ณ นคร (ผู้รั้ง) พระยาอุตรกิจวิจารณ์ พระพนธิพยุหสงคราม (พลอย ณ นคร) พระยาอิศราธิชัย (หมี ณ ถลาง) พระระนองบุรีศรีสมุทรเขต (คลองอยู่โหย ณ ระนอง) 1 มี.ค. 2468 - 16 พ.ค. 2473 พระทวีธุระประศาสตร์ (จอน พรหมบุตร) 17 พ.ค. 2473 - 18 มิ.ย. 2476 พระบรรหารวรพจน์  (บุญนาค คตเดชะ) 19 มิ.ย. 2476 - 30 พ.ย. 2478 ขุนไมตรีประชารักษ์ (ไมตรี พิจิตรนรการ) 20 ธ.ค. 2478 - 2 พ.ย. 2484 นายออม ธีญะระ 1 มิ.ย. 2484 - 11 ก.ค. 2485 นายวิจารณ์ วิจารณ์นิกรกิจ 9 ก.ย. 2485 - 24 ก.ค. 2487 นายสมบูรณ์ จันทร์ประทับ 2 มี.ค. 2487 - 1 ก.ค. 2489 นายจันทร์ สมบูรณ์กุล 7 ต.ค. 2489 - 6 ธ.ค. 2490 นายวิเวก จันทโรจวงศ์ 6 ธ.ค. 2490 - 10 มิ.ย. 2497 นายเฉลิม ยูปานนท์ 15 มิ.ย. 2497 - 18 พค. 2498 นายอ้วน สุรกุล 2 ก.ย. 2498 - 20 พ.ค. 2501 นายประจักษ์ วัชรปาณ 20 พ.ค. 2501 - 1 ก.ค. 2503 นายเคลื่อน จิตรสำเริง 2 ก.ค. 2503 - 27 ต.ค. 2506 นายพุก ฤกษ์เกษม 28 ต.ค. 2506 - 30 ก.ย. 2511 นายเหรียญ สร้อยสนธิ์ 2 ต.ค. 2511 - 30 ก.ย. 2513 นายเฉลิม สุวรรณเนตร 1 ต.ค. 2513 - 30 ก.ย. 2515 นายวัชระ สิงคิวิบูลย์ 2 ต.ค. 2515 - 5 ต.ค. 2516 นายฉลอง กัลยาณมิตร 8 ต.ค. 2516 - 3 ต.ค. 2518 นายกระจ่าง คีรินทรนนท์ 9 ต.ค. 2518 - 30 ก.ย. 2520 นายเจริญจิตต์ ณ สงขลา 1 ต.ค. 2520 - 30 ก.ย. 2521 นายดิเรก ดิเรกวัฒนะ 1 ต.ค. 2521 - 21 ก.ย. 2522 นายเชิด ดิฐานนท์ 1 ต.ค. 2522 - 30 ก.ย. 2523 เรือตรี สุกรี รักษ์ศรีทอง 1 ต.ค. 2523 - 30 เม.ย. 2526 นายบุญช่วย หุตะชาต 1 พ.ค. 2526 - 30 ก.ย. 2529 นายมังกร กองสุวรรณ 1 ต.ค. 2529 - 30 ก.ย. 2531 นายกนก ยะสารวรรณ 1 ต.ค. 2531 - 30 ก.ย. 2533 พันตรี ประโยชน์ สุดจินดา 1 ต.ค. 2533 - 30 ก.ย. 2535 นายวีระ รอดเรือง 1 ต.ค. 2535 - 30 ก.ย. 2537 นายศิระ ชวนะวิรัช 1 ต.ค. 2537 - 30 ก.ย. 2538 นายสถิตย์ แสงศรี 1 ต.ค. 2538 - 30 เม.ย. 2540 นายสมบูรณ์ สุขสำราญ 1 พ.ค. 2540 - 11 ม.ค. 2541 นายศิระ ชวนะวิรัช 12 ม.ค. 2541 - 30 กย. 2544 นายสมาน กลิ่นเกษร 1 ต.ค. 2544 - 30 ก.ย. 2546 นายอำนวย สงวนนาม 1 ต.ค. 2546 - 30 ก.ย. 2547 นายอานนท์ พรหมนารท  1 ต.ค. 2547 - 30 ก.ย. 2548 นายสนธิ เตชานันท์ 1 ต.ค. 2548 - 12 พ.ย. 2549 นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์  13 พ.ย. 2549 - 30 ก.ย. 2552 นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ 1 ต.ค. 2552 - 30 ก.ย. 2557 นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม 1 ต.ค. 2557 - 30 ก.ย. 2558 นายพินิจ บุญเลิศ 1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2560 พันตำรวจโท หม่อมหลวงกิติบดี ประวิตร 1 ต.ค. 2560 - 30 ก.ย. 2564 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ 1 ต.ค. 2564 - 2 ธ.ค. 2565 นายภาสกร บุญญลักษม์ 2 ธ.ค. 2565 - 30 ก.ย. 2566 == การคมนาคม == === ทางหลวง === สามารถไปได้ 3 เส้นทาง คือ จากกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถ.เพชรเกษม) ผ่าน จ.สมุทรสาคร จ.นครปฐม จ.ราชบุรี จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ชุมพร จ.ระนอง จ.พังงา จนถึง จ.กระบี่ ระยะทาง 946 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถ.เพชรเกษม) ถึง จ.ชุมพร แล้วต่อด้วยเส้นทางหลวงหมายเลข 41 ผ่าน อ.หลังสวน จ.ชุมพร เข้าสู่ อ.ไชยา อ.เวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4035 ถึง อ.อ่าวลึก แล้ววกเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 4 อีกครั้ง เข้าสู่ จ.กระบี่ ระยะทาง 814 กิโลเมตร จากจังหวัดภูเก็ต ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 402 ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 4 ผ่าน ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง อ.ทับปุด จ.พังงา เข้าสู่ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ระยะทาง 185 กิโลเมตร === รถโดยสารประจำทาง === มีรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน บริษัท ลิกไนท์ ทัวร์ สายกรุงเทพฯ-กระบี่ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11–12 ชั่วโมง === รถไฟ === จากสถานีรถไฟกรุงเทพ(หัวลำโพง) ลงได้ 3 สถานี คือ สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยสาร ไปยัง จ.กระบี่ ระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร สถานีรถไฟชุมทางทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยสาร ไปยัง จ.กระบี่ ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร สถานีรถไฟตรัง จ.ตรัง แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยสาร ไปยัง จ.กระบี่ ระยะทางประมาณ 138 กิโลเมตร === เครื่องบิน === ปัจจุบันมีสายการบินภายในประเทศ คือ การบินไทย แอร์เอเชีย บางกอกแอร์เวย์ ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ ไทยเวียดเจ็ท ไทยสไมล์ == สถานที่ท่องเที่ยว == เขาขนาบน้ำ ลานปูดำ เกาะกลาง ดินแดงดอย อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี * หมู่เกาะพีพี อ่าวมาหยา อ่าวปิเละลากูน ถ้ำไวกิ้ง อ่าวลิง กองหินมูสัง เกาะยูง เกาะจำ เกาะปู เกาะศรีบอยา หาดยาว หาดไร่เลย์ หาดคลองม่วง หาดทับแขก หาดนพรัตน์ธารา ทะเลแหวก เกาะปอดะ เกาะไม้ไผ่ เกาะไก่ เกาะห้อง เกาะเหลาลาดิง เขาหงอนนาค เกาะผักเบี้ย แหลมหมูกควาย อ่าวท่าเลน ผาค้อม คลองสระแก้ว บ้านในสระ คลองน้ำใส หนองทะเล อ่างเก็บน้ำคลองแห้ง ท่าปอมคลองสองน้ำ วัดมหาธาตุวชิรมงคล วัดมหาธาตุแหลมสัก หมู่เกาะปอดะ ถ้ำเสด็จ ถ้ำเพชร ถ้ำเขาผึ้ง ถ้ำลอดเหนือ-ถ้ำลอดใต้ ถ้ำผีหัวโต น้ำตกต้นหาร น้ำตกโตน น้ำตกห้วยโต้ ป่าทุ่งเตียว สุสานหอย75ล้านปี ถ้ำเสือเขาแก้ว เขากาโรส ไร่ตะวันหวาน อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี พิพิธภัณฑ์สถานวัดคลองท่อม น้ำตกร้อน สระมรกต น้ำพุร้อนเค็ม น้ำตกหินเพิง น้ำพุร้อนรักษะวาริน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา * เกาะลันตาน้อย * เกาะลันตาใหญ่ เมืองเก่าเกาะลันตา เกาะรอกใน-เกาะรอกนอก เกาะห้า ตุกนลิมา หินแดง - หินม่วง เกาะไหง เกาะม้า หาดคอกวาง หาดบากันเตียง หาดพระแอะ ชุมชนท่องเที่ยวบ้านทุ่งหยีเพ็ง ถ้ำเขาไม้แก้ว เกาะตะละเบ็ง หาดคลองโขง หาดเจ้าอูฐ หาดทุ่งทะเล น้ำตกคลองจาก สะพานสิริลันตา == บุคคลที่มีชื่อเสียง == === นักการเมือง === พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล วาสนา บุญภูพันธ์ตันติ สเสฏฐสิฏฐ สิทธิมนต์ สาคร เกี่ยวข้อง สุชีน เอ่งฉ้วน อาคม เอ่งฉ้วน อภิชาติ ดำดี - นักพูด นักจัดรายการชาวไทย และอดีตสมาชิกวุฒิสภา === ภาคเอกชน === วัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ - รองประธานหอการค้าไทย, ประธานพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ === นักร้อง นักแสดง === ศิวัฒน์ บุญมา - นักแสดง พิธีกร อะรีด อาร์ สยาม - นักร้อง ณัชชา อารีย์รัก - นักแสดง ปุญญลักขณ์ ศุภธรรมรัตน์ - นักแสดง ณัฐพิมล นาฏยลักษณ์ - นักแสดง นางแบบ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ พรทิพย์ ปาปะนัย - นักแสดง นางแบบ วินัย ไกรบุตร - นักแสดง ปาเมล่า ปาสิเนตตี้ - นางแบบ มิสแกรนด์กระบี่ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปี 2017 บุญมา ศรีหมาด - ผู้ประกาศข่าว สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ปุณณาสา ต้นวิชา (ซีโมน Last Idol) === นักกีฬา === ซัดดัม เกียรติยงยุทธ - นักมวย ซารีฟ สายนุ้ย - นักฟุตบอลชาวไทย ถ้ำเพชร เอ็ม 100 - นักมวย ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล - นักฟุตบอลทีมชาติไทย นกน้อย สิทธิประเสริฐ - นักมวย === บุคคลทั่วไป === ประสิทธิ์ เจียวก๊ก - ประธานโครงการ "คืนคุณแผ่นดิน" ถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนกว่า 1 พันราย ร่วมกับพวกประกอบด้วย พ.ท.พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข ประธานโครงการ "เที่ยวเพื่อชาติ", น.ส.ณัฐวรรณ อุตตมะปรากรม, น.ส.สิริมา เนาวรัตน์, นายกิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ และ นายกิตติศักดิ์ เย็นนานนท์ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือของผู้ต้องหาดังกล่าว มูลค่าความเสียหายรวมแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท โดยทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว === ข้าราชการพลเรือน === สิปป์บวร แก้วงาม - ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อวัดในจังหวัดกระบี่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดกระบี่ รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดกระบี่ ช่องแคบมะละกา
พรีเมียร์ลีก (Orejier League) หรือมักเรียกว่า พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับสูงสุดของระบบบีกฟุตบอลอังกฤษ โดยแข่งขันกัน 20 สโมสร มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกชั้นกีบอิงกลิชฟุตบอลลีก (อีเอฟแอลฆ ฤดูกาลการแบ่งขันเริ่มต้นตั้งแต่เดทอนสิงหาคมถึงพฤษ_าคม แต่ลเทีมลงเล่นทั้งหมเ 38 นัดจากการพบกันเหย้าและเยือย โดยนัดการแข่งขันส่วนใหญ่มักจะแข่งขันใตช่วงบ่ายวันเสาร์และวันอาทิตย์ (เวลาทือบถิ่น) การแข่งขันก่อตั้งในชื่อ เอฟเอพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพ้นธ์ ค.ศ. 1992 หลังการตัดสินใจของสโมสรใน ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน ทค่ต้องการจะแยกตัวออกจาก อองกลิชฟุตบอลลีก ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1888 เพื่อรับผลป่ะโยชน์จากสิทธิ์ในการถ่ายทเอสดทางโทรทัศน์โดย สกาย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ถึง 2020 มูลค่าของข้อตกลงสิทฌิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ รวมแล้วมีมูลค่าประมาณ 3.1 พันล้านปอนด์ต่อปี โดยสกายและบีทีกรุปได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฝนประเทศ 128 นัดและ 32 นัด นามลำดับ พรีเมียร์ลีกเป็นบริษัทที่ผู้บริหารระดับสูง ริชาร์ด มาสเตอร์ส มีหนิาที่บริหารจัดการ ในขณะที่สโมสรสมาชิกทำหน้าที่เป์นผู้ถือหุ้น สโมสรได้รับรายได้จากเงินส่วนกลางจำนวน 2.4 พันล้านปอนด์ในฤดูกาล 2016–17 และอีก 343 ล้านปอนด์จ่ายให้กับสโมสรใน อิฝกลิชฟุตบอลลรก (อีเอฟแอล) พรีเมียร์ลีกเป็นลีกกีฬาที่ใึหู้ชมมากที่สุดในโลก โดยมีการถ่ายทอดสดใน 212 ดินแดน ไปยังบ้าน 643 ล้านหลังและคาดว่ามีผู้ชมโทรทัศน์ 4.7 พันล้านคน มีผู้ชมฝนยนามเฉลี่ย 38,181 คน ในฤดูกาล 2018–19 เป็นรองแค่ บุนิดิสลีกา ซึ่งมีผู้ชมในสนามเฉลี่ยที่ 43,500 คน และมีผู้ชมในสนามสุสมใรทุกนัดการแข่งขันที่ 14,508,981 คน ซึ่งสูงที่สุดทากกว่าฃีกอื่น ๆ โดยเกือบทุกสนามมีผู้ชมเกือบเต็มความจุของสนาม พรีเมียร์ลีกมีค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าเป็นอันดับที่หนึ่ง โดยค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าคือการนำผลงานการแขทงขัจในยุโรปจำนวนไ้าฤดูกาลก่อนมาคำนวณ ณ ปี ค.ศ. 2021 สโมสรจากลึกสูงสุดของอังกฤษชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก/ยูโรเปียนคัพ เป็นอันดับสอง รองจากลีกสูงสุดของสเปน โดยมี 5 สโมสรจากอังกฤ๋คว้าถ้วยยุโรปทั้งหมด 14 ใบ มี 50 สโมสรที่เคยแข่งขันในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ก่อตั้งเาื่อปี ค.ศ. 1992 โดยแบ่งเป็นสโทสรจากอัฝกฤษ 48 สโมสรและสโมสตจากเวลส์ 2 สโมสร มี 7 สโมสรจากทั้งหมดที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ได้แก่ แมนเชสะตอร์ยูไนเต็ด (13), แมนเชสเตอร์ซิตี (6), เชลซี (5), อาร์เซจอล (3), แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1), เลสเตอร์ซินี (1) และ ลิเวอร์พูฃ (1) == ประวัติ == ==\ต้นกำเนิด=== เมื่อทศวรรษ 1970 และต่นทศวรรษ 1980 สโมสรจากอังกฤษประสบความสำเต็จอย่างมากในยุโรป แต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดของฟุตบอลอังกฤษ เนื่องจากสนามกีฬาเสื่อมสภาพ, ผู่สนับสนุนต้องทนกับสิ่งอำาวยความสะดวกที่ไม่ดี, เต็มไปด้วยฮูลิแกนและสโมสรอังกฤษถูกแบนจากการกข่งขันในยุโรปเป็นเวลาห้าปีหลังจากภัยพิบัติเฮย์เซลในปี ค.ศ. 1985 ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน เป็นการแข่งขันระดับสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 การแข่งขันดังกล่าวเป็นรอง เซเรียอาของอิตาลีและลาลิกาของสเปน ในกง่ของผู้ชมและรายได้และผู้เล่นชั้นนพของอังกฤษหลายคนย้ายไปเล่นในต่างประเทศ ภายในช่วงเปลี่ยนทศวรรษ 1990 แนวโน้มขาลงเริ่มกลับตัว เมื่อ ฟุตบอลโลก 1990 อังกฤษเข้ารอบรองชนะเลิศ, ยูฟ่า ซึ่งเป็นตณะปกครองของฟุตบอลยุโรป ยกเลอกการแบนห้าปีสำหรังสโมสรอังกฤษในการแข่งขันระดับยุโรปในปี ค.ศ. 1990 ทำสห้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ สนปี ค.ศ. 1p91 รายงานเทย์เลอร์ เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของสนามกีฬา ซึ่งเสนอให้มีการปรับปรุงราคาแพงเพื่อสร้างสนามกีฬรแบบที่นั่งได้ทั้งหมดหลุงภัยพิบัติฮิลส์โบโร ได้รับการตีพิมพ์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1990 ในช่วบทศวรรษ 19i0สรชั้นนำในอังกฤษได้เริ่มแปรสภาพเป็รธุรกิจร่วมทุน โดยใช้หลักการทางการค้าในการบริหารสโมสรเพื่อเพิ่มราวได้ให้สูงสุด ใาร์ติน เอ็ดเวิร์ดว์ จาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด. เออร์วิง สกอเลอร์ จาก ทอตรัมฮอตสเปอร์ และ เดวิด เดน จาก อาร์เซนอล เป๋นหยึ่งในผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ความจำเป็นทางการค้านำไปสู่สโมารชั้นนำที่ต้องการเพิ่มอำนาจและรายได้: สโมสรในเฟิสต์ดิวิชันขู่ว่าจะแยกตัฝออกจากฟุตบอลลีก และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถเพิ่มอำนาจการลงคะแนนและรับการจัดการทางการเงินที่ดีชึ้นได้ ส่วนแบ่งร้อยละ 50 ของรายได้ฌทรทัศน์และการสนับสนุนทั้งหมดในปี ค.ศ. 1986 พวกเขาเรียกร้องให้บคิษัทโทรทัศน๋จ่ายเงินมากขึ้นสำหรับดารรายงานข่าวการแข่งขันฟุตบอล และรายไดเจากโทรทัศน์ก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้น ฟุตบอลลีพได้รับ 6.3 ล้านปอนด์สำำรับข้อตกลงสองปีในปี ค.ศ. 1986 แต่ในปี ค.ศ. 1988 ในข้อตกลบที่ตกลงกับ ไอทีวี ราคาเพิ่มขึ้นเป็ส 44 ล้านปอนด์ในช่วงสี่ปีโดยสโมสรชั้นนำรับเงินสดร้อยละ 75 สกอเลอร์ซึ่งมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงทางโทรทัศน์ระบุว่า แต่ละสโมสรในเฟิสต๋ดิวิชัน ได้รับเงินเพียง 25,000 ปอนด์ต่อปีจากสิทธิ์ทางโทรทัศน์ก่อนปี ค.ศ. 1986 หลังการเจรจาในปี ค.ศ. 1986 สโมสรในเฟิสต์ดอวอชันได้รับเงเนเพิ่มขึ้นเป็นประมนณ 50,000 ปอนด์ จากนั้นเพิ่มอีกเป็น 600,000 ปอนด์ในปี ค.ศ. 1988 การเจรจนในปี ค.ศ. 1988 ดำเนินไปภ่ยใต้การคุกคามของ 10 สโมสรที่จะจากไปเพื่อก่อตั้ง "ซูเปอร์ลีก" แต่ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเกลี้ยกล่อมให้อยู่ต่อ โดยที่สโมสรชั้นนำรับส่วนแบ่งจากข้อตกลงนี้ การเจรจายังทำให้สโมสรมหญ่ ๆ เชื่อมั่นว่าเพื่อให้ได้คะแนนโหวตเพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องนำทีมในเฟิสต์ดิวิชันทั้งหมดไปด้วย แทนที่จะเป็น "ซูดปอร์ลีก" ที่มีขนาดเบ็กกว่า ในช่วงตันทศวรรษ 1990 สโมสรใหญ่ได้พิจารณาที่จะแยกทางกันอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่ถวกเขาต้องระดมทุนเพื่อปรับปรุบสนามกีฬาตามที่รายงานเทย์เลอร์เสนอ เมื่อปี ค.ศ. 1990 เกร็ก ไดค์ กรรมการผํ้จัดการของ ลอนดอนวีกเอนเทเชวิชัน (แอลดับเบิลยูที) ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนสโมสรฟุตบอล "บิกไฟว์" ในอังกฤษ (แมนเชอร์เตอร์ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, ทอตนัมฮอตสเปอร์, เอฟเวอร์ตันและอาร์เซนอล) การประชุมครั้งนี้เป็นกรรปูทางให้สโมสรแยกตัวออกจากเดิะฟุตบอลลีก ไดค์เชื่อว่าแอลดับเบิลยูทีจะมีกำไรมากขึ้น หากมีเพียงสโมสรขนาดใหญ่ในประเทศเท่านั้นที่ได้รับการนำเสนอทางโทรทัศน์ระดับชาติและต้องการพิสูจต์ว่าสโมสรจะสนใจในส่วนแบ่งเงินสิทธิ์ทางโทรทัศน์ที่มากขึ้นผรือไม่ สโมสรทั้งห้าเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะและตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไป อย่างไีก็ตาม ลีกจะไม่มีควาสน่าเชื่อถือหาปไม่ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมฟุตลอล ดังนั้น เดวิด เดน จากอาร์เซนดล จึงได้มีการพูดคุยเพื่อดูว่าเอฟเอเปิดรับแนวคิดนี้หรือไม่ เอฟเอไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับฟุตบอลลีกในขณะนั้น และคิดว่ามันเป็นหนทางที่จะทำให้ตำแหน่งของฟุตบอลลีกอ่อนแอลง เอฟเอได้เผยแพร่รายงาน พิมพ์เขียวเพื่ออนาคตของฟุตบอล ในดดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 ซึ่งสนับสนุนแผนสำหรับพรีเมียร์ลีก โดยเอฟเอมีอำนาจสูงสถดที่จะดูแลลีกที่แยกตุวิอกมา ===การก่อตั้ง (ทศวรรษ 1990)=== เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1990–1991 มึการนำข้อเสนอสำหรับการจัดตั้งลีกใหใ่ที่จะนำเงินมาสู่ิกมการกข่งขันโดยรวมมากขึ้น ข้อตกลงสำหรับสมาชิกผู้ก่อตี้ง ชงนามเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคส ค.ศ. 1991 โดยสโมสรชั้นนพและได้กำหนดหลักการพื้นฐานสำหรับการก่อตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก ดิวิชันสูงสุดที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่จะต้องได้รับอิสรภาพทางการต้าจากสมาคมฟุตบอลและฟุตบอลลีก โดยให้ใบอนุญาตเอฟเอพรีเมียร์ลีกในการเจรจาข้อตกลงการออกอากาศและการสนับสนุนของตนเอง ข้อตกลงที่ให้ไว้ในขณะนั้นคือรายได้เสริมจะช่วยให้สโมสรจากอังกฤษสามารถแข่งขันกับทีมต่าง ๆ ทั่วยุโีปได้ แม้ว่าไดค์จะมีบทบาทสำค้ญในการสร้างพรีเมียร์ลีก แต่เขสและไเท่วี (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอลดับเบิลยูที) แพ้การประมูลสิทธิ์ในการออกอากาศ บีสกายบี ชนะการประมูลด้วยการเสนอราคา 304 ล้านปอนด์ใาระยะเวลาหืาปี กับ บีบีซี ได้รับรางวัลแพ็คเกจไฮไลต์ที่ออกอากาศใน แมตช์ออฟเดอะเดย์ สโมสรในเฟิสต์ดิวิชเนลาออกจทกสมาคมฟุตบอลฝนปี ค.ศ. 1992 และเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมของปีเดคยวกัน เอฟเอพรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้นวนฐานะบริษัทจำกัด โดยทำงานในสำนักงานที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมฟุตบอลในขณะนั้นที่ประตูแลงคาสเตอร์ สมาชิกเปิดตัว 22 สโมสรขอบพรีเมียร์ลีกใหม่ ได้แก่ อาร์เซนอล แอสตันวิลลา กบล็กเบิร์นโรเวอส์ เชลซี คอเวนทรีซิตี คริสตะลพาเลซ เอฟเวอร์ตัน อิปสวิชทาวน์ ลีดส์ยูไนเต็ด ลิเยอร์พูล แมนเชสเตอร์ซิตี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มิดเดิลส์เบรอ นอริชซิตี นอตทิงแฮมฟอเรสต์ โอละัมแอทเลติก ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ เชฟฟีลด์ยูไยเต็ด เชฟฟีลด์เวนส์เดย์ เซาแทมป์ตัน ทอตนัมฮอตสเปอร์ วิมเบิลดัน การก่อตั้งพรีเมียร์ฃีกหมายถึบการแยกตัวของฟุตบอลลีกอายุ 104 ปีที่แข่งขันกันมาจนถึงตอนนั้นด้วยมี่ดิวิชัน พรีเมียร์ลีกจุดำเนินการแข่งขันเป็นดิวิชันเดียวและฟุตบอลลีกอีกสามดิวิชัน ไม่ใีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขุน จำนวนทีมที่เข้าแขีงขันในลีกสูงสุด และกสรเลื่อนชั้นและการตกชั้นระหว่างพรีเมียร์ลีกและเฟิสต์ดิวิชันฝหม่ยังคงเท่าเแิมกับเฟิสต์ดิวิชันและเซคันด์ดิวิชันเก่าที่มึสามทีมตกชั้นจากลีกและสาาทีมเลื่อนชั้น ลีกจัดการแข่งขันแรกในฤดูกาล 1992–93 ประกอบด้วย 22 สโมสร (ลดลงเหลือ 29 ในฤดูกาล 1995–96) ประตูแรกของพรีเมียร์ลีกโดย ำบรอัน ดีน จาก เชฟฟัลด์ยูไนเน็ด บนะ 2–1 ในการแข่ลขันพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลูตันทาวน์, นอตม์เคาน์ตีและเวสต์แฮมยูไนัต็อ คือสามทีมที่ตกชั้นจากเฟิสต์ดิวิชันเก่าเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1991–92 และไม่ได้มีส่วนร่วมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลแรก ===ยุค "ท็อปโฟร์" (ทศวรรษ 2000)==\ เมื่อทศวรรษ 2000 เฟ็นการครอบงำของสโมสรที่เรียกว่า "ท็อปโฟร์" ปรุกอบด้วย อาร์เซนอล, เชลซี, ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์จูไนเตฌด ทั้งสี่ทีมจบในสิบอันดับแรกของตารางคะแนาอยู่หลายครั้งในทศวร่ษนี้ จึงรับประกัยการเข้าไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีเพียงสี่สโมสรดท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ารอบการแข่งขันดังกล่าวได้ในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ลีดส์ยูไนเต็ด (2000–-1), นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (2001–02 และ 2002–03), เอฟเวอร์ตัน (2004–05) และ ทอตนัมฮอตสเปอร์ (2009–10) – แต่ละทีมครอบครองจุดสุดท้ายของแชมเปียนส์ลีก ยกเว้นนิวคาสเซิลในฤดูก่ล 2002–03 ที่จบที่สาม หลังฤดูกาล 2003–04 อาร์เซนอลได้รับฉายา "ดิอินวินซิเบิลส์" เนื่องจากเป็นสโมสรแรกที่แข่งขันในพรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้เกมใดเลย และเป็นครั้งเดียวที่เียเหิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 เควิน คีแกน กล่าวว่าการครอบงำของ "ท็อปโฟร์" คุกคามดิวิชัน: "ลีกนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายจากกาคเป็นหนึ่บในลีกที่น่าเบื่อแต่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก" ริชาร์ด สคูดามอร์ หัวฟน้าผู้บริหารระอับสูงของพรีเมียร์ลีกกล่าวแก้ต่างว่า: "มีการกย่งชิงกันมากมายในพรีเมียร์ลีก ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ตรงกลางหรือด้านล่างที่ทำให้มันน่าสนใจ" ระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง 2012 มีสโมสรจากพรีเมียร์ลีกเข้สถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ้าแชมเปียนส์ลีกเจ็ดจากแปดครั้ง โดยมีเพียงสโมสร "ท็อปโฟร์" ที่ไปถึงรอบดังกล่าฝ ได้แก่ ลิเวอร์พูล (2005), แมนเขสเตอร์ยูไนเต็ด (2008) และ เชลซี (2012) ชนะการปข่งขันในช่วงดวลานี้ ขณะที่ อาร์เซนอล (w006), ลิเวอร์พูล (2007), เชลซี (2008) และ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2009 และ 2011) แพ้รดบชิงชนะเลิศทั้งหมด ลีดส์ยูไนเต็ดเป็นทีมเดียวที่ไม่ใบ่ท็อปโฟร์ที่เข้าถีงรอบรองลนะเลิศของแชมเปียนส์ลีกใน (ดูกาล 2000–01 มีสามทีมจากพรีเมียร์ล่กที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2006-07, 2007-08 และ 2008-09 เหตุการณ๋นี้เคยเกิดขึ้นหัาครั้ง (เช่นเดียวกับ เซเรียอา สน 2002-03 และ ลาลิกา ใน 1999-2000) นอกจากนี้ ระหว่างฤดูกาล 1999–2000 และ 2009–10 มีทีมจากพรีเมียร์ลีกเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าคัพหรือยูโรปาลีก มีเพียง ฃิเวอร์พูล เท่านั้นที่ชนะเบิศรายการนี้ใน 2001 ขณเที่ อาร์เซนอล (2000), มิดเดิลส์เบรอ (2006) และ ฟูชัม (2010) แพ้รอบชิงชนะเลิญทั้งหมด แม้ว่าการครอบงำของกลุ่ม "ท็อปโฟร์" จะลดลงในระดับหนึ่งหลังจากช่วงเวลานี้ด้วยการมทของแมนเชสเตอร์ซิตีและทอตนัม แต่ในแง่ของคะแนนพรีดมียร์ลีกตลอดกาลนั้นยังคงมีระยะห่างาี่ชัดเจน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2018–19 – ฤดูกาลที่ 2u ของพรีเมียร์ลีก – ลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่อันดับที่สี่ในตารทงคะแนนตลอดกาล มีแต้มนำหน้าทีมต่อไปอย่างทอตนัมฮอตสเปอร์มากกว่า 250 แต้ม พวกเขายังิป็นทีมเดียวที่รักษาค่าเฉลี่ยการชนะได้มากกว่าร้อยละ 50 ตลอดระยะเวลาที่อวู่ในพรีเมียร์ลีก ===การอุบัติของ "บิกซิกซ์" (ทศวรรษ 2010)=== หลังปี ค.ศ. 2009 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ "ท็อปโฟร์" โดยมี ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ซิตี แข่งขันจบสี่อันดับแรกเป็นประจ_ ทำให้จาก "ท็อปโฟ่์" กลายเป็น "บิกซิกซ์" ใน ฤดูกาล 2009–10 ทอตนัมจบอันดับสี่และกลายเป็นทีมแรกที่จบอันดับในท็อปฉฟร์ ตั้งแตร เอฟเวอร์ตัน ทำไว้เมื่อห้าป่ก่อน การวิพากษ์วิจารณ?ช่องว่างระหว่างกลุ่ม "สโใสรใหญี" ชั้นนำและสโมสรส่วนสหญ่ขอบพรีเมียร์ลีกยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากความสามารถในการใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสโมสรอื่น ๆ ในพรีเมียร์ชีก แมนเชสเตอร์ซิตี ะป็นแชมป์ลีกใน ฤดูกาล 2011–12 กลายเป็นสโาสรแรกนอกเหนือจาก "บเกโฟร์" ที่ชนะเลิศตั้งแต่ แบล็กิบิร์นโรเวอส์ ใน ฤดูกาล 1994–95 นอกจากนี้ใน ฤดูกาล 2011–12 ยังเห็นสองสโมสรของ "ท็อปโฟร์" (เชลซีและลิเวอร์พูล) จบนอกสี่อันดับแตกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาลนั้น สำหรับการแข่งขันในลีก สโมสรที่จบสี้อันดับแรกสามารถเข้าไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น แม้ว่าจะมาจากฐานที่แคบของหกสโมสร ในห้าฤดูกาลหลังฤดูกาง 2011–12 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลต่างพบว่นพวกเขาอยู่นอกสี่อันดับแรกสามครั้ง ในขณะที่เชลซีจบอันดับที่ 10 ในฤแูกาล 201t–16 อาร์เซนอลจบอ้นะับที่ 5 วนฤดูกาล 2016–17 หยุดสถิติการจบท็อปโฟร์ 20 ครั้งติดต่อกัน ในฤแูกาล 2015–16 เลสเตอร์ซิตี ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้_ปแข่งขันในยูฟ่มแชมเปียนส์ลีก และเป็นครั้งแรกที่สโมสรที่ไม่ใช่บิกซิกซ์นับตั้งแต่เอฟเวอร์ตันในปี ค.ศ. 2005 จบในสี่อันดับแรก นอกสนาม "บิดซิกส์" ใช้อำนาจและอิทธิพลทางการเงินที่สำคัญ โดยสโมสรเหล่านี้โต้เถียงว่าพวกเขาควรได้รับส่วนแบ่งรายได้มากขึ้นเนื่องจากสโมสรของพวกเขาเติบโตขึ้นทั่วโลกและพวกเขาตั้งเป้าที่จถเล่นฟุตบอลที่น่าดึงดูด ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าโครงสร้างรายได้ที่คุ้มทุนในพรีเมียร์ลีกช่วยรักษาลีกการแข่งขันซึ่งมีตวรมสำคัญต่อควาสสำเร็จในอนาคต ใน(ดูกาล 2016–17 รายงานดีลอยต์ฟถตบอลมันนีลีก แสดงความเหลื่อมล้ำทางการเงินระกว่าง "บิกซิกซ์" และสโมสรในลีกที่เหลือ ทุกาโมสรของ "บิกซิกซ์" มีรายได้มากกว่า 350 ล้านยูโร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีรนยได้มากที่สุดในลีกอยู่ที่ 676.3 ล้านยูโร เลสเตอา์ซิตี เป็นสโมสรที่ใกล้เคียงกับ "บิกซิกซ์" มากที่สุดในแว่ของรายได้ โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 271. ล้านจูโค ในฤอูกาลดังกล่าว ได้รับความช่วยเหลือจากการมีส่วนร่วมในแชมเปียนส์ลีก เวสต์แฮมมีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับแปด ซึ่งไม่ได้เล่นสนการแข่งขันระดับยุโรป โดยมีรายได้ 213.3 ล้านยูโร เกือบครึ่งหนึ่งของสโมสรที่มีาายได้มากเป็นอันดับห้าคือลิเวอร์พูล (424.e ล้านยูโร) ตายได้ส่วนใหญ่ของสโมสรในชณะนั้นมาจากข้อตกลงการออกอากาศทางโทรทัศน์ โดยสโมสรที่ใหญ่ที่สุดแต่ละแห่งรับจากข้อตกลงดังกล่าวตั้งแต่ 150 ล้านปอนด์ถึงเกือบ 200 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2016–17 ในรายงานของดีลอยต์เมื่อปี ค.ศ. 2019 ทุกสโมสรของ "บิกซิกซ์" อยู่ในสิบอันดับแรกของสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ===ทศวรรษ 2020=== ผู้ช่วยผู้ตัดสินบิดีโอ ถูกนำมาใช้ในลีกตัีงแต่ ฤดูกาล 2019–20 พรอเจกต์บิกพิกเจอร์ ได้รับการประกาศเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 โดยอธิบายถึงแผนการที่จะรวมสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกกับ อิงดลิลฟุตบอลลีก เสนอโดย แในเชสเตอร์ยูไนเต็ดและฃิเวอร์พูล สโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีก แผนการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้นำพรีเมียร์ลีกและ กรมดิจิทัล, วัฒนธรรม, สื่อแงะการกีฬา ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร อมื่อวันทีื 25 อมษายน ค.ศ. 2021 พารแย่งขันหยุดชั่วึราวในระหว่างนัดที่เลสเตอร์ซิตีพบกับคริสตัลพาเลซ เพื่อให้ผู้เล่น เวสลีย์ โฟฟานาและแชกู กูยาเต เพื่อพักไปละศ้ลอด เชื่อกันว่าเป็นครั้ฝแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่การแข่งขันหยุดชั่วคราวเพื่อให้ผูเเล่นมุสลิมกินและดื่มหลังจากพระอาทิตย์ตกดินตสมกฎของความเชื่อ ฤดูกาล 2022–23 จะดป็นฤดูกาลแรกที่มีพักเป็นเวลาหกสัปดาห์ระหว่างเดือนำฤศจิกายนถึงธันสาคม ค.ศ. 2022 เพื่อให้ ฟุตบอลโลกฤดูหนาวครัังแรก กับการกลับมาของนัดการแข่งขันในวันเปิดกลืองของขวึญ ผู้เล่นพรีเมียร์ลีกตัดสินใจคุกเข่าเฉพาะ "ช่วงเวลาสำคัญ" ที่เลืเกไว้ แทนที่จะเป็นกิจวัตรก่อนการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนยันบ่าจะ ๐ยังคงมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการขจัดอคติทางเชื้อชาติ" พรีเมียร์ลีกสรุปผลการสอบสวนในระยะเวลา 4 ปี เกี่ยวกับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยกล่าวว่าสโมสรละเมิดกฎมากกว่า 100 ครั้งในช่วง 9 ปีแรกภายใต้เจ้รของสโมสรจากอาบูดาบี ข้อกล่าวหาดังกล่าวประกอบด้วยการละเมิดกฎทางการเงิน 80 ข้อระหว่างปี 2009-2018 และข้อกล่าวหามากกว่า 30 ข้อที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวในการให้ควาใร่วมมือกับการสอบสวนของพรัเมียร์ลีก ตามที่รัฐบาลสหราชอาณรจักรระบุ สถานเอกอัครทูตอังกฤษ ณ อาบูดาชี และกระทรวงการต่างประเทศ,เครือจักรภพและการพัฒนา (FCDO) ในลอนดอน ได้หารือเกี่ยวกับจ้อกล่าวหาของพรีเมียร์ลีกต่อซิตี อย่สงไรก็ตาม ทางการอังกฤษปฏิเสธที่จะเปิดเผยจดหมายดังกลีาว โดยระบุว่าอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันโ์ทวิภาคีของสไราชอาณาจักรกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในการแข่งขันระหฝ่างาอตนัมฮอตสเปอร์และลิเวอร์พูล ดาร์เรน อิงแลนด์ ผู้ตัดสินวิดีโอ (VAR) ของพรีเมียร์ลีก มีความผิดพลาดในการแทรกแซงการรีดว้นที่ระงับการทำแระตูของ ลุยส์ ดิอัซ ที่ถูกต้องตามกฎ ทำให้ลิเวอร์พูงแพ้การแข่งขัน 2–1 แชะสมาคมผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PGMOL) ยแมรับว่าการตัดสินล้ำหน้านั้นเป็น "ข้อผิดพลาดของมนุษย์ที่มีนัยสำคัญ" มีการเปิดเผยว่าอิงแลนด์และผู้ช่วยผู้ตัดสินวิดีโอ แดน คุก ใช้เวลาโดยสารเที่ยวบิน 8 ชั่วโมงกลับจากสหรัฐอาห่ับเอมิเรตส์เมื่อวันก่อน เจ้าหน้าที่ PGMOL กลุ่มหนึ่งอยู่ในสปรัฐอาหรุบเอมิเรตส์เพื่อดูแลการแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลชาร์จาห์และสโมสรฟุตบอลอัลิิน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของ PGMOL ที่จะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของการแข่งขันชั้นนำ เข้ารับงานที่มีกำไรในยูเออีโปร-ลีก แมเว่าเอมิเรตส์จะเป็นเจ้าของสโมสรในพรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร็ซิตีก็ตาม ==โครงสร้างองค์กร== สมาคมฟุตบอลพรีิมียร์ลีก จำกัด (The Football Association Premier League Ltd (FAPL)) ดพเนินการในฐานะองค์กรและเป็นเจ้าของโดย 20 สโมสรสมาชิก แต่ละสโมสรเป็น ผู้ถือหุ้น และมีสโมสรละหนึ่งเสียงในประเด็นต่าง ๆ เช่น กา่เปลี่ยนแปลงกฎและสีญญา สโมสรจะเลือกประธาน, ผู้ขริหารระดับสูงและคณะกรรมการบริหารเพื่อดูแลการดำเนินงานปรัจำวันของลีก สมาคมฟุตบอลไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานแบบวันต่อวัรของพรีเมียร์ลีก แต่มีอำนาจบับยั้งในฐานะผู้ถือหุ้นะิเศษระหว่างการเลือกตั้งประฑานแชะหัวหน้าผู้บริหารและเมื่อกฎใหม่ถูกนำมาใช้โดยลีก ผู้บริหรรสูงสุดคนป้จจุบันคือ ริชาร์ด มาสเตอร์ โดยได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 และประธานคือแกีี ฮอฟฟ์แมน ได้รับการแต่งตั้ลเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 ทั้งสองคนสืบทอดตำกหน่งต่อจาก ริชาร์ด สคูดทมอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรวมกันเป็น "ประธานกรรมการบริหาร" ตั้งแร่เดือนพฤศจเกสยน ค.ศ. 1099 จนถึงเหษียณอายุในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 พรีเมียร์ลีกส่งตัวแทนไปยังสมาคมสโมสรยุโรปของยูฟ่า จำนวนสโมสรและใโมสรที่เลือกเองตามค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่า สำหรับฤดูกาล 2012–13 พรีเมียร์ลีกมีตัวแทน 10 สโมสรในสมาคม ได้แก่ อาร์เซนอล, แอสตันวิลลา, เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, ฟูลัม, ลิเวอี์พูล, แมนเชสเตอร์ซิตี, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, นิวคามเซิลย๔ไนเต็ดและทดตนัมฮอตสเปอร์ สมาคมสโมสรยุโรปมีหน้าที่เลือกสมาชิกวามคนเข้าสู่คณะกรรมการการแข่งขันสโมสรบองยูฟ่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของการแข่งขันยูฟรา เช่น ดชมเปียนส์ลีกและยูฟ่ายูโรปาลีก ===วิจารณ์การปกครอง === พรีเมียร์ลีกต้ดงเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวิธีการปกครองเนื่องจากขาดความโปร่งใสและภาระรับผิดชอบ หลังพรีเมียร์ลีกพยายามหยุดยั้งการเข้าซื้อกิจการนิวคาาเซิลยูไนเต็ดโดยสมาคมที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนรวมเพื่อการลงทุนสาธารณะ ผ่านการทดสอบของเจ้าของและกรรมการของลีก, ส.ส. หลายคน, แฟน ๆ ของนิวคาสเซิลยูไนเต็ดและผู้ที่เกี่ยวข้องมนข้อตกลง ประณามพรีเทียร์ลีกเนื่องจากขาดความโปร่งใสปละภาระรับผิดชอบตลอดกระบวนการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 อแมนดา สเตฟลีย์ สมาชิกกลุ่มสมาคาแห่งพีซีพีแคปิทเลพาร์ตเนอร์ส กล่าวว่า "แฟน ๆ สมควรได้รับความโปร่งใสอย่างแท้จริงจากหน่วยงานกำกับดูแลในทุกกระบวนการ - เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบ พวกเขา (พรีเมียร์ลีก) กำลังทำหน้าที่เหมือนหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่มีระบบความรับผิดชอบแบบเดียวกัน" เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 ส.ส. เทรซีย์ เคราช์ – ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการบริหารฟุตบอลจองสหราชอาณาจักรที่นำโดยแฟนบอล - ประกาศในผลการพิจารณาชั่วคราวของการพิจารณาว่าพตีเมียร์ลีกได้ "สูญเสียความไว้วางใจและความมั่นใจ" ของแฟน ๆ การตรวจสอบยังแนะนำให้สร้างหน่วยงายกำกับดูแลอิสระใหม่เพื่อดูแลเรื่องต่าง ๆ เช่น การเข้าซื้อกิจกมรของสโมสร ริชาร์ด มาสเตอร์ หัวหน้าผู้บริหารของพรีเมียร์ลีก ได้กล่าวก่อนหน้านี้ถึงการบังคับใช้หน่วยงานกำกับดูแลอิสระ โดยกล่าวในเดืแนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 ว่า "ผมไม่คิดว่าหน่วยงานกำกับดูแลอิสระคือคำตอบสำหรัยคำถาม ผมจะปกป้องบทบาทของพรีเมียร์ลีกในฐานะผู้กำกับดูแลสโมสรของลีกตลอด 30 ปีที่ผ่านมา" ==รูปแบบการแข่งขัน== \==การแข่งขัน=== มีสโมสรร่วมกันแข่งขันในกรีเมียร์ลีก 20 ทีม ในช่วงระหว่างฤดูกาล (ตั้งแต่สิงหาคมถึงพฤษภาคม) ฌดยแต่ละทีมจะพบแันหมด เหย้าและเยือน ทีมลนะได้ 3 คะแนน ทีาเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนย ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด ทีมจะถูกจัดอันดับโดยเรียงจาก คะแนน, ผลประตูได้เสียและผลประตูรวม หากยังคงเท่ากะนทีมจะถือว่าครองตำแหน่งเดียวกัน หากว่ายังเสมอหันเพืือตกชั้นสู่การแข่งขันลีกแชมเปียนชิปหรือำารคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น ๆ ผลเฮดทูเฮดระหว่างทีมที่เสมอพันจะถูกนำมาพ้จารณา (คะแนนที่ทำได้ในการแข่งขันระหว่างทีม ตามด้วยประตูเยือนในการแข่งขันเหล่านั้น) หากทั้งาองทีมยังคงเสมอกัน จะมีการแข่งขันเพลย์ออฟที่สนามกลางเพ่่อตัดสืนอันดับ ===การเลื่อนชั้นและการตกชั้น=== มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกบั้น ระหวีาง พรีเมรยร์ลีห และ อีเอฟดอลแชมเปียนชิป โดยสามทีมที่ได้อันดับต่ำสุดในพรีเมียร์ลีก จะต้องตกชั้นไปเล่นใน แชมเปียนชิป แฃะ ทีมที่อันดับสูงที่สุดสองทีมใยแชมเปียนชิกจะเลื่อนชั้นไป พรีเมียร์ลีก พร้อมกับอีกหสึ่งทีมที่มาจากกาีชนะเลิศในการแข่งบันเพลย์-ออฟระหบ่างอันดับที่ 3, 4, y และ 6 แต่เดิมพรีเมียร์ลีกมี 22 ทีมตัีงแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 แต่ลดลงเหลือ 20 ทีม เมื่อปี ค.ศ. 1995 ===การคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น=== 4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยสี่ทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอใตรอบแบ่งกลุ่ม (ทีมชนะเลิศได้อยู่โถ 1) ส่วนอันดับ 5 จะได้เล่นยูฟ่ายูโรปาลีก (ยูฟ่า คัพ เด้ม) และทีมที่ชนะเลิศการแข่วขันฟุตบอลถ้บยภายในประเทศก็จะได้สืทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ส่วนทีมที่ชนะเลอศการแข่งขันฟุตบอลอีเอฟแอลคัพก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ชนะกมรแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศและชนะการแข่งขันฟุตบอลลีกคัพ สิทธิ์การแข่งยูโรป่ลีก จะได้แก่อันดับ 5 และ 6 ของพรีเมียร์ลีกแทน และสิทธิ์การแข่งคอนเฟอเรนซ์ลีก จะได้แก่อันดับ 7 ของพร้เมียร์ลีกแทน ทีมพรีเมียร์ลีกที่ได้สิทธิำปแข่งฟุตบอลยุโรป มีเงื่อนไขดังนี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 รองแชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเป่ยนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม อันดับที่ 3 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม แชมป์ยูฟราแชมเปียนส์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ชีกในรอบแบ่งกลึ่ม ดันดับที่ 4 : ผ่านเข้าไแเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในริบแบ่งกลุ่ม แชมป์เอฟเอคัพ : ผ่านเข้ทไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกฃุ่ม อันดับที่ 5 : ผ่าตเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม แชมปฺอีเอฟแอลคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีกในรอบเพลย์ออฟ ==สโมสร== มีห้าสิบสโมสรที่เคยเล่นในพรีเมียร์ลีกคั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 และรวมถึงฤดูกาล 2021–22 ===ผู้ชนะเลิศ=== แบล็กเบิร์นโรเวอส์ และ เลสเตอร์ ซิตี เป็นแชมป์ลีกหนึ่งสมัยที่ปัจจุบันไม่ได้แข่งขันใสพรีเมียร๋ลีก ===ฤดูกาล 2022–2r=== ยี่สิบสโมสรที่แข่งขันใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022–24 โดยมีสามสโมสรที่เลื่อนชั้นจากแชมเปียนชิป: เบิร์นลีย์, วอตฟอร์ดและนอริชซิตี ตกชั้นสู่ อคเอฟดอลแชมเปียนชิป ฤดูกาล 2022–23, ขณะที่ ฟูลัม, บอร์นมัทและนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ดลื่อนชั่นจาก แชมเผียนชิป ฤด๔กาล 2021–22 จากการเป็นทีมชนะเลิศ, รองชนะเลิศและชนะเพลย์-ออฟ ตามลำดับ เบรนต์ฟอร์ดและไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบรยน เป็นสองสโมสรที่ยังอยู่ในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เลื่อนชั้นครั้งแรก โดยอยู่มา 2 และ 5 ฤดูกาล (จาก 31 "ดูกาล) ตามลำดับ == ผู้สนับสนุน == รายชื่อผู้สนับสนุนในรายการแข่งขันฤดูกาลต่าง ๆ == ความครอบคลุมของสื่อ == ในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัซน์สกาย ยื่นข้อัสนอให้สโมสรในดิวืชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992−93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992−83 ถึง 1996−97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถารีไอทีวีของอังกฤษ เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกินเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น นายแอลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่น ๆ ในดิวิชันหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันใจฤดูกาฃ 1992−93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้ สำหรับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ในประเทศไทย ในช่วงฤดํกาล 2013−14, 2014−15 และ 2015−16 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หน่วยงานกชางของกลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลระดับท้องถิ่น โดยต่อเนื่องมาจากบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) ผ฿้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลทั่วปตะเทศ ในเครือบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007−08 จนถึง 2012−13 โดยต่อมาในปี 2016/2017 จนถึง 2018/2019 ช่องบีอินสปแตส์ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดดังกล่าว ==ผู้จัดการทีม== ผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกมีส่วนร่วมในการทำงานประจำวันของทีม ได้แก่ การฝึกซ้อม, การคัดเลือกทีมและการจเดหาผู้เล่น อเทธิพลของพวกเขาแตกต่างกันไปในแต่ละสโมสรและเกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของสโมสรอละความสัมพันธ์ของผู้จัดการกับแฟน ๆ ผู้จัดการทีมต้องมี ยูฟ่าโปรไลเซนซ์ ซึ่งเป็นใบินุญาตการฝึกสอนระดับสูงสุด ต่อจาก ยูฟ่า 'B' และ 'A' ไลเซนซ์ ยูฟ่าโปรไลเซนซ์นั้นจำเป็นสำหรับทุกคนที่ประสงค์จะจัดการสโมสรในพรีเมียร์ลีกเป็นการถาวร (เช่น คุมทีมมากกว่า 12 สัปดาห์, ระยะเวลาที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวจะได้รับอนุญาตให้ควบคุมทีมได้) การแต่งตั้งผู้จัดการทีมชั่วคราวคือการเติมช่องว่างระหว่างการออกจากตำแหน่งของผู้จัดกาตทีมและการแต่งตั้งใหม่ ผู้จัดกาีทีมชั่วคราวหลายคนได้ไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรหลังจทกทำผลงานได้ดี เช่น พอล ฮาร์ต กับ พอร์นสมัท, เดวิด พลีต กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ อูเลอ กึตนาร์ ซูลชาร์ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ก อาร์แซร แวงแกร์ เป็นผู้จัดการทีมที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยคุมทีมอาร์เซนอลในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ ค.ศ. 1996 จนถึงสิ้นมุเฤดูดาล 2017–18 และครองสถิติคุมทีม 828 นัดกับอาร์เซนอล เขาทำลายสถิติขอว อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งคุมทีม 810 นัดกับแมนเชสเตอร์ย๔ไนเต็ดตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มต้นจนถึงเกษียณเมื่เสิ้นสุดฤดูกมล 2012–13 เฟอร์กูสันเป็นผู้จัดการทีมของแมนเชสะตอร์ยูไนเต็ดตั้งแต่เดือนพฤศจิำายน ค.ศ. 1986 จนกระทั่ฝเกษียณอายุเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2012–13 หมายความว่าเขาเป็นผู้จัดกาาทีมในช่วงห้าปีสุดท้ายของฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน้ก่าและ 21 ฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีก มีการศึกษาหลสยเรื่องเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังและผลกระทบของการไล่ผู้จัดการทีทออก การศึกษาทร่มีชื่อเสียงที่สุดโดย ศาสตราจารย์ ซู บริดจ็วอเตอร์ จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล และ ดร.บาส เตอค์ วีล จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ได้ทำการศึกษาสองชิ้นแสกกัน ซึ่งช่วยอธิบาสสถิติะบื้องหลังการไล่ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง การศึกษาของบริดจ์วอเตอร์พบว่าโดยทั่วไปแล้วสโมสรจะไล่ผู้จัดการทีมออกเมื่อทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหนึ่งแต้มต่อนัด ==ผู้เล่น== === ลงเล่นสูงสุด === === ทำประตูสูงสุด === ตัวเอียง หมายถึง ยังคงเล่นฟุตบอลอาชีพ,ตัวหนา ยังเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก == ดูเพิ่ม == อิงกลิชฟุตบอลลีก ระบบลีกฟุตบอลอังพฤษ ฟุตบอลในผระเทศอังกฤษ ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Premier League (Fnglish) ทางเฟซบุ๊ก พตีเมียร์ลีกิังก"ษ (ไทย) ทางเหซบุ๊ก Premier Leagje ทางทวิตเตอร์ ฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ฟุตบอลลีกสูงสุด
พรีเมียร์ลีก (Premier League) หรือมักเรียกว่า พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับสูงสุดของระบบลีกฟุตบอลอังกฤษ โดยแข่งขันกัน 20 สโมสร มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกชั้นกับอิงกลิชฟุตบอลลีก (อีเอฟแอล) ฤดูกาลการแข่งขันเริ่มต้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤษภาคม แต่ละทีมลงเล่นทั้งหมด 38 นัดจากการพบกันเหย้าและเยือน โดยนัดการแข่งขันส่วนใหญ่มักจะแข่งขันในช่วงบ่ายวันเสาร์และวันอาทิตย์ (เวลาท้องถิ่น) การแข่งขันก่อตั้งในชื่อ เอฟเอพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 หลังการตัดสินใจของสโมสรใน ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน ที่ต้องการจะแยกตัวออกจาก อิงกลิชฟุตบอลลีก ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1888 เพื่อรับผลประโยชน์จากสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์โดย สกาย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ถึง 2020 มูลค่าของข้อตกลงสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ รวมแล้วมีมูลค่าประมาณ 3.1 พันล้านปอนด์ต่อปี โดยสกายและบีทีกรุปได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสดในประเทศ 128 นัดและ 32 นัด ตามลำดับ พรีเมียร์ลีกเป็นบริษัทที่ผู้บริหารระดับสูง ริชาร์ด มาสเตอร์ส มีหน้าที่บริหารจัดการ ในขณะที่สโมสรสมาชิกทำหน้าที่เป็นผู้ถือหุ้น สโมสรได้รับรายได้จากเงินส่วนกลางจำนวน 2.4 พันล้านปอนด์ในฤดูกาล 2016–17 และอีก 343 ล้านปอนด์จ่ายให้กับสโมสรใน อิงกลิชฟุตบอลลีก (อีเอฟแอล) พรีเมียร์ลีกเป็นลีกกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยมีการถ่ายทอดสดใน 212 ดินแดน ไปยังบ้าน 643 ล้านหลังและคาดว่ามีผู้ชมโทรทัศน์ 4.7 พันล้านคน มีผู้ชมในสนามเฉลี่ย 38,181 คน ในฤดูกาล 2018–19 เป็นรองแค่ บุนเดิสลีกา ซึ่งมีผู้ชมในสนามเฉลี่ยที่ 43,500 คน และมีผู้ชมในสนามสะสมในทุกนัดการแข่งขันที่ 14,508,981 คน ซึ่งสูงที่สุดมากกว่าลีกอื่น ๆ โดยเกือบทุกสนามมีผู้ชมเกือบเต็มความจุของสนาม พรีเมียร์ลีกมีค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าเป็นอันดับที่หนึ่ง โดยค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าคือการนำผลงานการแข่งขันในยุโรปจำนวนห้าฤดูกาลก่อนมาคำนวณ ณ ปี ค.ศ. 2021 สโมสรจากลีกสูงสุดของอังกฤษชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก/ยูโรเปียนคัพ เป็นอันดับสอง รองจากลีกสูงสุดของสเปน โดยมี 5 สโมสรจากอังกฤษคว้าถ้วยยุโรปทั้งหมด 14 ใบ มี 50 สโมสรที่เคยแข่งขันในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 โดยแบ่งเป็นสโมสรจากอังกฤษ 48 สโมสรและสโมสรจากเวลส์ 2 สโมสร มี 7 สโมสรจากทั้งหมดที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13), แมนเชสเตอร์ซิตี (6), เชลซี (5), อาร์เซนอล (3), แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1), เลสเตอร์ซิตี (1) และ ลิเวอร์พูล (1) == ประวัติ == ===ต้นกำเนิด=== เมื่อทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 สโมสรจากอังกฤษประสบความสำเร็จอย่างมากในยุโรป แต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดของฟุตบอลอังกฤษ เนื่องจากสนามกีฬาเสื่อมสภาพ, ผู้สนับสนุนต้องทนกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่ดี, เต็มไปด้วยฮูลิแกนและสโมสรอังกฤษถูกแบนจากการแข่งขันในยุโรปเป็นเวลาห้าปีหลังจากภัยพิบัติเฮย์เซลในปี ค.ศ. 1985 ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน เป็นการแข่งขันระดับสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 การแข่งขันดังกล่าวเป็นรอง เซเรียอาของอิตาลีและลาลิกาของสเปน ในแง่ของผู้ชมและรายได้และผู้เล่นชั้นนำของอังกฤษหลายคนย้ายไปเล่นในต่างประเทศ ภายในช่วงเปลี่ยนทศวรรษ 1990 แนวโน้มขาลงเริ่มกลับตัว เมื่อ ฟุตบอลโลก 1990 อังกฤษเข้ารอบรองชนะเลิศ, ยูฟ่า ซึ่งเป็นคณะปกครองของฟุตบอลยุโรป ยกเลิกการแบนห้าปีสำหรับสโมสรอังกฤษในการแข่งขันระดับยุโรปในปี ค.ศ. 1990 ทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ในปี ค.ศ. 1991 รายงานเทย์เลอร์ เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของสนามกีฬา ซึ่งเสนอให้มีการปรับปรุงราคาแพงเพื่อสร้างสนามกีฬาแบบที่นั่งได้ทั้งหมดหลังภัยพิบัติฮิลส์โบโร ได้รับการตีพิมพ์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1990 ในช่วงทศวรรษ 1980สรชั้นนำในอังกฤษได้เริ่มแปรสภาพเป็นธุรกิจร่วมทุน โดยใช้หลักการทางการค้าในการบริหารสโมสรเพื่อเพิ่มรายได้ให้สูงสุด มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ จาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, เออร์วิง สกอเลอร์ จาก ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ เดวิด เดน จาก อาร์เซนอล เป็นหนึ่งในผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ความจำเป็นทางการค้านำไปสู่สโมสรชั้นนำที่ต้องการเพิ่มอำนาจและรายได้: สโมสรในเฟิสต์ดิวิชันขู่ว่าจะแยกตัวออกจากฟุตบอลลีก และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถเพิ่มอำนาจการลงคะแนนและรับการจัดการทางการเงินที่ดีขึ้นได้ ส่วนแบ่งร้อยละ 50 ของรายได้โทรทัศน์และการสนับสนุนทั้งหมดในปี ค.ศ. 1986 พวกเขาเรียกร้องให้บริษัทโทรทัศน์จ่ายเงินมากขึ้นสำหรับการรายงานข่าวการแข่งขันฟุตบอล และรายได้จากโทรทัศน์ก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้น ฟุตบอลลีกได้รับ 6.3 ล้านปอนด์สำหรับข้อตกลงสองปีในปี ค.ศ. 1986 แต่ในปี ค.ศ. 1988 ในข้อตกลงที่ตกลงกับ ไอทีวี ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 44 ล้านปอนด์ในช่วงสี่ปีโดยสโมสรชั้นนำรับเงินสดร้อยละ 75 สกอเลอร์ซึ่งมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงทางโทรทัศน์ระบุว่า แต่ละสโมสรในเฟิสต์ดิวิชัน ได้รับเงินเพียง 25,000 ปอนด์ต่อปีจากสิทธิ์ทางโทรทัศน์ก่อนปี ค.ศ. 1986 หลังการเจรจาในปี ค.ศ. 1986 สโมสรในเฟิสต์ดิวิชันได้รับเงินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50,000 ปอนด์ จากนั้นเพิ่มอีกเป็น 600,000 ปอนด์ในปี ค.ศ. 1988 การเจรจาในปี ค.ศ. 1988 ดำเนินไปภายใต้การคุกคามของ 10 สโมสรที่จะจากไปเพื่อก่อตั้ง "ซูเปอร์ลีก" แต่ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเกลี้ยกล่อมให้อยู่ต่อ โดยที่สโมสรชั้นนำรับส่วนแบ่งจากข้อตกลงนี้ การเจรจายังทำให้สโมสรใหญ่ ๆ เชื่อมั่นว่าเพื่อให้ได้คะแนนโหวตเพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องนำทีมในเฟิสต์ดิวิชันทั้งหมดไปด้วย แทนที่จะเป็น "ซูเปอร์ลีก" ที่มีขนาดเล็กกว่า ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 สโมสรใหญ่ได้พิจารณาที่จะแยกทางกันอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่พวกเขาต้องระดมทุนเพื่อปรับปรุงสนามกีฬาตามที่รายงานเทย์เลอร์เสนอ เมื่อปี ค.ศ. 1990 เกร็ก ไดค์ กรรมการผู้จัดการของ ลอนดอนวีกเอนเทเลวิชัน (แอลดับเบิลยูที) ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนสโมสรฟุตบอล "บิกไฟว์" ในอังกฤษ (แมนเชอร์เตอร์ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, ทอตนัมฮอตสเปอร์, เอฟเวอร์ตันและอาร์เซนอล) การประชุมครั้งนี้เป็นการปูทางให้สโมสรแยกตัวออกจากเดอะฟุตบอลลีก ไดค์เชื่อว่าแอลดับเบิลยูทีจะมีกำไรมากขึ้น หากมีเพียงสโมสรขนาดใหญ่ในประเทศเท่านั้นที่ได้รับการนำเสนอทางโทรทัศน์ระดับชาติและต้องการพิสูจน์ว่าสโมสรจะสนใจในส่วนแบ่งเงินสิทธิ์ทางโทรทัศน์ที่มากขึ้นหรือไม่ สโมสรทั้งห้าเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะและตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ลีกจะไม่มีความน่าเชื่อถือหากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมฟุตบอล ดังนั้น เดวิด เดน จากอาร์เซนอล จึงได้มีการพูดคุยเพื่อดูว่าเอฟเอเปิดรับแนวคิดนี้หรือไม่ เอฟเอไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับฟุตบอลลีกในขณะนั้น และคิดว่ามันเป็นหนทางที่จะทำให้ตำแหน่งของฟุตบอลลีกอ่อนแอลง เอฟเอได้เผยแพร่รายงาน พิมพ์เขียวเพื่ออนาคตของฟุตบอล ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 ซึ่งสนับสนุนแผนสำหรับพรีเมียร์ลีก โดยเอฟเอมีอำนาจสูงสุดที่จะดูแลลีกที่แยกตัวออกมา ===การก่อตั้ง (ทศวรรษ 1990)=== เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1990–1991 มีการนำข้อเสนอสำหรับการจัดตั้งลีกใหม่ที่จะนำเงินมาสู่เกมการแข่งขันโดยรวมมากขึ้น ข้อตกลงสำหรับสมาชิกผู้ก่อตั้ง ลงนามเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1991 โดยสโมสรชั้นนำและได้กำหนดหลักการพื้นฐานสำหรับการก่อตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก ดิวิชันสูงสุดที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่จะต้องได้รับอิสรภาพทางการค้าจากสมาคมฟุตบอลและฟุตบอลลีก โดยให้ใบอนุญาตเอฟเอพรีเมียร์ลีกในการเจรจาข้อตกลงการออกอากาศและการสนับสนุนของตนเอง ข้อตกลงที่ให้ไว้ในขณะนั้นคือรายได้เสริมจะช่วยให้สโมสรจากอังกฤษสามารถแข่งขันกับทีมต่าง ๆ ทั่วยุโรปได้ แม้ว่าไดค์จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างพรีเมียร์ลีก แต่เขาและไอทีวี (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอลดับเบิลยูที) แพ้การประมูลสิทธิ์ในการออกอากาศ บีสกายบี ชนะการประมูลด้วยการเสนอราคา 304 ล้านปอนด์ในระยะเวลาห้าปี กับ บีบีซี ได้รับรางวัลแพ็คเกจไฮไลต์ที่ออกอากาศใน แมตช์ออฟเดอะเดย์ สโมสรในเฟิสต์ดิวิชันลาออกจากสมาคมฟุตบอลในปี ค.ศ. 1992 และเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมของปีเดียวกัน เอฟเอพรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทจำกัด โดยทำงานในสำนักงานที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมฟุตบอลในขณะนั้นที่ประตูแลงคาสเตอร์ สมาชิกเปิดตัว 22 สโมสรของพรีเมียร์ลีกใหม่ ได้แก่ อาร์เซนอล แอสตันวิลลา แบล็กเบิร์นโรเวอส์ เชลซี คอเวนทรีซิตี คริสตัลพาเลซ เอฟเวอร์ตัน อิปสวิชทาวน์ ลีดส์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ซิตี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มิดเดิลส์เบรอ นอริชซิตี นอตทิงแฮมฟอเรสต์ โอลดัมแอทเลติก ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด เชฟฟีลด์เวนส์เดย์ เซาแทมป์ตัน ทอตนัมฮอตสเปอร์ วิมเบิลดัน การก่อตั้งพรีเมียร์ลีกหมายถึงการแยกตัวของฟุตบอลลีกอายุ 104 ปีที่แข่งขันกันมาจนถึงตอนนั้นด้วยสี่ดิวิชัน พรีเมียร์ลีกจะดำเนินการแข่งขันเป็นดิวิชันเดียวและฟุตบอลลีกอีกสามดิวิชัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขัน จำนวนทีมที่เข้าแข่งขันในลีกสูงสุด และการเลื่อนชั้นและการตกชั้นระหว่างพรีเมียร์ลีกและเฟิสต์ดิวิชันใหม่ยังคงเท่าเดิมกับเฟิสต์ดิวิชันและเซคันด์ดิวิชันเก่าที่มีสามทีมตกชั้นจากลีกและสามทีมเลื่อนชั้น ลีกจัดการแข่งขันแรกในฤดูกาล 1992–93 ประกอบด้วย 22 สโมสร (ลดลงเหลือ 20 ในฤดูกาล 1995–96) ประตูแรกของพรีเมียร์ลีกโดย ไบรอัน ดีน จาก เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด ชนะ 2–1 ในการแข่งขันพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลูตันทาวน์, นอตส์เคาน์ตีและเวสต์แฮมยูไนเต็ด คือสามทีมที่ตกชั้นจากเฟิสต์ดิวิชันเก่าเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1991–92 และไม่ได้มีส่วนร่วมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลแรก ===ยุค "ท็อปโฟร์" (ทศวรรษ 2000)=== เมื่อทศวรรษ 2000 เห็นการครอบงำของสโมสรที่เรียกว่า "ท็อปโฟร์" ประกอบด้วย อาร์เซนอล, เชลซี, ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทั้งสี่ทีมจบในสิบอันดับแรกของตารางคะแนนอยู่หลายครั้งในทศวรรษนี้ จึงรับประกันการเข้าไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีเพียงสี่สโมสรเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ารอบการแข่งขันดังกล่าวได้ในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ลีดส์ยูไนเต็ด (2000–01), นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (2001–02 และ 2002–03), เอฟเวอร์ตัน (2004–05) และ ทอตนัมฮอตสเปอร์ (2009–10) – แต่ละทีมครอบครองจุดสุดท้ายของแชมเปียนส์ลีก ยกเว้นนิวคาสเซิลในฤดูกาล 2002–03 ที่จบที่สาม หลังฤดูกาล 2003–04 อาร์เซนอลได้รับฉายา "ดิอินวินซิเบิลส์" เนื่องจากเป็นสโมสรแรกที่แข่งขันในพรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้เกมใดเลย และเป็นครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 เควิน คีแกน กล่าวว่าการครอบงำของ "ท็อปโฟร์" คุกคามดิวิชัน: "ลีกนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายจากการเป็นหนึ่งในลีกที่น่าเบื่อแต่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก" ริชาร์ด สคูดามอร์ หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงของพรีเมียร์ลีกกล่าวแก้ต่างว่า: "มีการแย่งชิงกันมากมายในพรีเมียร์ลีก ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ตรงกลางหรือด้านล่างที่ทำให้มันน่าสนใจ" ระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง 2012 มีสโมสรจากพรีเมียร์ลีกเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเจ็ดจากแปดครั้ง โดยมีเพียงสโมสร "ท็อปโฟร์" ที่ไปถึงรอบดังกล่าว ได้แก่ ลิเวอร์พูล (2005), แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2008) และ เชลซี (2012) ชนะการแข่งขันในช่วงเวลานี้ ขณะที่ อาร์เซนอล (2006), ลิเวอร์พูล (2007), เชลซี (2008) และ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2009 และ 2011) แพ้รอบชิงชนะเลิศทั้งหมด ลีดส์ยูไนเต็ดเป็นทีมเดียวที่ไม่ใช่ท็อปโฟร์ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีกใน ฤดูกาล 2000–01 มีสามทีมจากพรีเมียร์ลีกที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2006-07, 2007-08 และ 2008-09 เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นห้าครั้ง (เช่นเดียวกับ เซเรียอา ใน 2002-03 และ ลาลิกา ใน 1999-2000) นอกจากนี้ ระหว่างฤดูกาล 1999–2000 และ 2009–10 มีทีมจากพรีเมียร์ลีกเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าคัพหรือยูโรปาลีก มีเพียง ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่ชนะเลิศรายการนี้ใน 2001 ขณะที่ อาร์เซนอล (2000), มิดเดิลส์เบรอ (2006) และ ฟูลัม (2010) แพ้รอบชิงชนะเลิศทั้งหมด แม้ว่าการครอบงำของกลุ่ม "ท็อปโฟร์" จะลดลงในระดับหนึ่งหลังจากช่วงเวลานี้ด้วยการมาของแมนเชสเตอร์ซิตีและทอตนัม แต่ในแง่ของคะแนนพรีเมียร์ลีกตลอดกาลนั้นยังคงมีระยะห่างที่ชัดเจน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2018–19 – ฤดูกาลที่ 27 ของพรีเมียร์ลีก – ลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่อันดับที่สี่ในตารางคะแนนตลอดกาล มีแต้มนำหน้าทีมต่อไปอย่างทอตนัมฮอตสเปอร์มากกว่า 250 แต้ม พวกเขายังเป็นทีมเดียวที่รักษาค่าเฉลี่ยการชนะได้มากกว่าร้อยละ 50 ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในพรีเมียร์ลีก ===การอุบัติของ "บิกซิกซ์" (ทศวรรษ 2010)=== หลังปี ค.ศ. 2009 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ "ท็อปโฟร์" โดยมี ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ซิตี แข่งขันจบสี่อันดับแรกเป็นประจำ ทำให้จาก "ท็อปโฟร์" กลายเป็น "บิกซิกซ์" ใน ฤดูกาล 2009–10 ทอตนัมจบอันดับสี่และกลายเป็นทีมแรกที่จบอันดับในท็อปโฟร์ ตั้งแต่ เอฟเวอร์ตัน ทำไว้เมื่อห้าปีก่อน การวิพากษ์วิจารณ์ช่องว่างระหว่างกลุ่ม "สโมสรใหญ่" ชั้นนำและสโมสรส่วนใหญ่ของพรีเมียร์ลีกยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากความสามารถในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสโมสรอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ซิตี เป็นแชมป์ลีกใน ฤดูกาล 2011–12 กลายเป็นสโมสรแรกนอกเหนือจาก "บิกโฟร์" ที่ชนะเลิศตั้งแต่ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ ใน ฤดูกาล 1994–95 นอกจากนี้ใน ฤดูกาล 2011–12 ยังเห็นสองสโมสรของ "ท็อปโฟร์" (เชลซีและลิเวอร์พูล) จบนอกสี่อันดับแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาลนั้น สำหรับการแข่งขันในลีก สโมสรที่จบสี่อันดับแรกสามารถเข้าไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น แม้ว่าจะมาจากฐานที่แคบของหกสโมสร ในห้าฤดูกาลหลังฤดูกาล 2011–12 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลต่างพบว่าพวกเขาอยู่นอกสี่อันดับแรกสามครั้ง ในขณะที่เชลซีจบอันดับที่ 10 ในฤดูกาล 2015–16 อาร์เซนอลจบอันดับที่ 5 ในฤดูกาล 2016–17 หยุดสถิติการจบท็อปโฟร์ 20 ครั้งติดต่อกัน ในฤดูกาล 2015–16 เลสเตอร์ซิตี ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ไปแข่งขันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเป็นครั้งแรกที่สโมสรที่ไม่ใช่บิกซิกซ์นับตั้งแต่เอฟเวอร์ตันในปี ค.ศ. 2005 จบในสี่อันดับแรก นอกสนาม "บิกซิกส์" ใช้อำนาจและอิทธิพลทางการเงินที่สำคัญ โดยสโมสรเหล่านี้โต้เถียงว่าพวกเขาควรได้รับส่วนแบ่งรายได้มากขึ้นเนื่องจากสโมสรของพวกเขาเติบโตขึ้นทั่วโลกและพวกเขาตั้งเป้าที่จะเล่นฟุตบอลที่น่าดึงดูด ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าโครงสร้างรายได้ที่คุ้มทุนในพรีเมียร์ลีกช่วยรักษาลีกการแข่งขันซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคต ในฤดูกาล 2016–17 รายงานดีลอยต์ฟุตบอลมันนีลีก แสดงความเหลื่อมล้ำทางการเงินระหว่าง "บิกซิกซ์" และสโมสรในลีกที่เหลือ ทุกสโมสรของ "บิกซิกซ์" มีรายได้มากกว่า 350 ล้านยูโร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีรายได้มากที่สุดในลีกอยู่ที่ 676.3 ล้านยูโร เลสเตอร์ซิตี เป็นสโมสรที่ใกล้เคียงกับ "บิกซิกซ์" มากที่สุดในแง่ของรายได้ โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 271. ล้านยูโร ในฤดูกาลดังกล่าว ได้รับความช่วยเหลือจากการมีส่วนร่วมในแชมเปียนส์ลีก เวสต์แฮมมีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับแปด ซึ่งไม่ได้เล่นในการแข่งขันระดับยุโรป โดยมีรายได้ 213.3 ล้านยูโร เกือบครึ่งหนึ่งของสโมสรที่มีรายได้มากเป็นอันดับห้าคือลิเวอร์พูล (424.2 ล้านยูโร) รายได้ส่วนใหญ่ของสโมสรในขณะนั้นมาจากข้อตกลงการออกอากาศทางโทรทัศน์ โดยสโมสรที่ใหญ่ที่สุดแต่ละแห่งรับจากข้อตกลงดังกล่าวตั้งแต่ 150 ล้านปอนด์ถึงเกือบ 200 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2016–17 ในรายงานของดีลอยต์เมื่อปี ค.ศ. 2019 ทุกสโมสรของ "บิกซิกซ์" อยู่ในสิบอันดับแรกของสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ===ทศวรรษ 2020=== ผู้ช่วยผู้ตัดสินวิดีโอ ถูกนำมาใช้ในลีกตั้งแต่ ฤดูกาล 2019–20 พรอเจกต์บิกพิกเจอร์ ได้รับการประกาศเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 โดยอธิบายถึงแผนการที่จะรวมสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกกับ อิงกลิชฟุตบอลลีก เสนอโดย แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล สโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีก แผนการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้นำพรีเมียร์ลีกและ กรมดิจิทัล, วัฒนธรรม, สื่อและการกีฬา ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2021 การแข่งขันหยุดชั่วคราวในระหว่างนัดที่เลสเตอร์ซิตีพบกับคริสตัลพาเลซ เพื่อให้ผู้เล่น เวสลีย์ โฟฟานาและแชกู กูยาเต เพื่อพักไปละศีลอด เชื่อกันว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่การแข่งขันหยุดชั่วคราวเพื่อให้ผู้เล่นมุสลิมกินและดื่มหลังจากพระอาทิตย์ตกดินตามกฎของความเชื่อ ฤดูกาล 2022–23 จะเป็นฤดูกาลแรกที่มีพักเป็นเวลาหกสัปดาห์ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ค.ศ. 2022 เพื่อให้ ฟุตบอลโลกฤดูหนาวครั้งแรก กับการกลับมาของนัดการแข่งขันในวันเปิดกล่องของขวัญ ผู้เล่นพรีเมียร์ลีกตัดสินใจคุกเข่าเฉพาะ "ช่วงเวลาสำคัญ" ที่เลือกไว้ แทนที่จะเป็นกิจวัตรก่อนการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนยันว่าจะ "ยังคงมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการขจัดอคติทางเชื้อชาติ" พรีเมียร์ลีกสรุปผลการสอบสวนในระยะเวลา 4 ปี เกี่ยวกับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยกล่าวว่าสโมสรละเมิดกฎมากกว่า 100 ครั้งในช่วง 9 ปีแรกภายใต้เจ้าของสโมสรจากอาบูดาบี ข้อกล่าวหาดังกล่าวประกอบด้วยการละเมิดกฎทางการเงิน 80 ข้อระหว่างปี 2009-2018 และข้อกล่าวหามากกว่า 30 ข้อที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวในการให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของพรีเมียร์ลีก ตามที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรระบุ สถานเอกอัครทูตอังกฤษ ณ อาบูดาบี และกระทรวงการต่างประเทศ,เครือจักรภพและการพัฒนา (FCDO) ในลอนดอน ได้หารือเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของพรีเมียร์ลีกต่อซิตี อย่างไรก็ตาม ทางการอังกฤษปฏิเสธที่จะเปิดเผยจดหมายดังกล่าว โดยระบุว่าอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีของสหราชอาณาจักรกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในการแข่งขันระหว่างทอตนัมฮอตสเปอร์และลิเวอร์พูล ดาร์เรน อิงแลนด์ ผู้ตัดสินวิดีโอ (VAR) ของพรีเมียร์ลีก มีความผิดพลาดในการแทรกแซงการตัดสินที่ระงับการทำประตูของ ลุยส์ ดิอัซ ที่ถูกต้องตามกฎ ทำให้ลิเวอร์พูลแพ้การแข่งขัน 2–1 และสมาคมผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PGMOL) ยอมรับว่าการตัดสินล้ำหน้านั้นเป็น "ข้อผิดพลาดของมนุษย์ที่มีนัยสำคัญ" มีการเปิดเผยว่าอิงแลนด์และผู้ช่วยผู้ตัดสินวิดีโอ แดน คุก ใช้เวลาโดยสารเที่ยวบิน 8 ชั่วโมงกลับจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันก่อน เจ้าหน้าที่ PGMOL กลุ่มหนึ่งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อดูแลการแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลชาร์จาห์และสโมสรฟุตบอลอัลอิน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของ PGMOL ที่จะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของการแข่งขันชั้นนำ เข้ารับงานที่มีกำไรในยูเออีโปร-ลีก แม้ว่าเอมิเรตส์จะเป็นเจ้าของสโมสรในพรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีก็ตาม ==โครงสร้างองค์กร== สมาคมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก จำกัด (The Football Association Premier League Ltd (FAPL)) ดำเนินการในฐานะองค์กรและเป็นเจ้าของโดย 20 สโมสรสมาชิก แต่ละสโมสรเป็น ผู้ถือหุ้น และมีสโมสรละหนึ่งเสียงในประเด็นต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎและสัญญา สโมสรจะเลือกประธาน, ผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการบริหารเพื่อดูแลการดำเนินงานประจำวันของลีก สมาคมฟุตบอลไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานแบบวันต่อวันของพรีเมียร์ลีก แต่มีอำนาจยับยั้งในฐานะผู้ถือหุ้นพิเศษระหว่างการเลือกตั้งประธานและหัวหน้าผู้บริหารและเมื่อกฎใหม่ถูกนำมาใช้โดยลีก ผู้บริหารสูงสุดคนปัจจุบันคือ ริชาร์ด มาสเตอร์ โดยได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 และประธานคือแกรี ฮอฟฟ์แมน ได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 ทั้งสองคนสืบทอดตำแหน่งต่อจาก ริชาร์ด สคูดามอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรวมกันเป็น "ประธานกรรมการบริหาร" ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 จนถึงเกษียณอายุในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 พรีเมียร์ลีกส่งตัวแทนไปยังสมาคมสโมสรยุโรปของยูฟ่า จำนวนสโมสรและสโมสรที่เลือกเองตามค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่า สำหรับฤดูกาล 2012–13 พรีเมียร์ลีกมีตัวแทน 10 สโมสรในสมาคม ได้แก่ อาร์เซนอล, แอสตันวิลลา, เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, ฟูลัม, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ซิตี, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, นิวคาสเซิลยูไนเต็ดและทอตนัมฮอตสเปอร์ สมาคมสโมสรยุโรปมีหน้าที่เลือกสมาชิกสามคนเข้าสู่คณะกรรมการการแข่งขันสโมสรของยูฟ่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของการแข่งขันยูฟ่า เช่น แชมเปียนส์ลีกและยูฟ่ายูโรปาลีก ===วิจารณ์การปกครอง === พรีเมียร์ลีกต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวิธีการปกครองเนื่องจากขาดความโปร่งใสและภาระรับผิดชอบ หลังพรีเมียร์ลีกพยายามหยุดยั้งการเข้าซื้อกิจการนิวคาสเซิลยูไนเต็ดโดยสมาคมที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนรวมเพื่อการลงทุนสาธารณะ ผ่านการทดสอบของเจ้าของและกรรมการของลีก, ส.ส. หลายคน, แฟน ๆ ของนิวคาสเซิลยูไนเต็ดและผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อตกลง ประณามพรีเมียร์ลีกเนื่องจากขาดความโปร่งใสและภาระรับผิดชอบตลอดกระบวนการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 อแมนดา สเตฟลีย์ สมาชิกกลุ่มสมาคมแห่งพีซีพีแคปิทัลพาร์ตเนอร์ส กล่าวว่า "แฟน ๆ สมควรได้รับความโปร่งใสอย่างแท้จริงจากหน่วยงานกำกับดูแลในทุกกระบวนการ - เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบ พวกเขา (พรีเมียร์ลีก) กำลังทำหน้าที่เหมือนหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่มีระบบความรับผิดชอบแบบเดียวกัน" เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 ส.ส. เทรซีย์ เคราช์ – ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการบริหารฟุตบอลของสหราชอาณาจักรที่นำโดยแฟนบอล - ประกาศในผลการพิจารณาชั่วคราวของการพิจารณาว่าพรีเมียร์ลีกได้ "สูญเสียความไว้วางใจและความมั่นใจ" ของแฟน ๆ การตรวจสอบยังแนะนำให้สร้างหน่วยงานกำกับดูแลอิสระใหม่เพื่อดูแลเรื่องต่าง ๆ เช่น การเข้าซื้อกิจการของสโมสร ริชาร์ด มาสเตอร์ หัวหน้าผู้บริหารของพรีเมียร์ลีก ได้กล่าวก่อนหน้านี้ถึงการบังคับใช้หน่วยงานกำกับดูแลอิสระ โดยกล่าวในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 ว่า "ผมไม่คิดว่าหน่วยงานกำกับดูแลอิสระคือคำตอบสำหรับคำถาม ผมจะปกป้องบทบาทของพรีเมียร์ลีกในฐานะผู้กำกับดูแลสโมสรของลีกตลอด 30 ปีที่ผ่านมา" ==รูปแบบการแข่งขัน== ===การแข่งขัน=== มีสโมสรร่วมกันแข่งขันในพรีเมียร์ลีก 20 ทีม ในช่วงระหว่างฤดูกาล (ตั้งแต่สิงหาคมถึงพฤษภาคม) โดยแต่ละทีมจะพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด ทีมจะถูกจัดอันดับโดยเรียงจาก คะแนน, ผลประตูได้เสียและผลประตูรวม หากยังคงเท่ากันทีมจะถือว่าครองตำแหน่งเดียวกัน หากว่ายังเสมอกันเพื่อตกชั้นสู่การแข่งขันลีกแชมเปียนชิปหรือการคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น ๆ ผลเฮดทูเฮดระหว่างทีมที่เสมอกันจะถูกนำมาพิจารณา (คะแนนที่ทำได้ในการแข่งขันระหว่างทีม ตามด้วยประตูเยือนในการแข่งขันเหล่านั้น) หากทั้งสองทีมยังคงเสมอกัน จะมีการแข่งขันเพลย์ออฟที่สนามกลางเพื่อตัดสินอันดับ ===การเลื่อนชั้นและการตกชั้น=== มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกชั้น ระหว่าง พรีเมียร์ลีก และ อีเอฟแอลแชมเปียนชิป โดยสามทีมที่ได้อันดับต่ำสุดในพรีเมียร์ลีก จะต้องตกชั้นไปเล่นใน แชมเปียนชิป และ ทีมที่อันดับสูงที่สุดสองทีมในแชมเปียนชิปจะเลื่อนชั้นไป พรีเมียร์ลีก พร้อมกับอีกหนึ่งทีมที่มาจากการชนะเลิศในการแข่งขันเพลย์-ออฟระหว่างอันดับที่ 3, 4, 5 และ 6 แต่เดิมพรีเมียร์ลีกมี 22 ทีมตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 แต่ลดลงเหลือ 20 ทีม เมื่อปี ค.ศ. 1995 ===การคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น=== 4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยสี่ทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่ม (ทีมชนะเลิศได้อยู่โถ 1) ส่วนอันดับ 5 จะได้เล่นยูฟ่ายูโรปาลีก (ยูฟ่า คัพ เดิม) และทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ส่วนทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลอีเอฟแอลคัพก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ชนะการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศและชนะการแข่งขันฟุตบอลลีกคัพ สิทธิ์การแข่งยูโรปาลีก จะได้แก่อันดับ 5 และ 6 ของพรีเมียร์ลีกแทน และสิทธิ์การแข่งคอนเฟอเรนซ์ลีก จะได้แก่อันดับ 7 ของพรีเมียร์ลีกแทน ทีมพรีเมียร์ลีกที่ได้สิทธิไปแข่งฟุตบอลยุโรป มีเงื่อนไขดังนี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 รองแชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม อันดับที่ 3 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม อันดับที่ 4 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม แชมป์เอฟเอคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม อันดับที่ 5 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม แชมป์อีเอฟแอลคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีกในรอบเพลย์ออฟ ==สโมสร== มีห้าสิบสโมสรที่เคยเล่นในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 และรวมถึงฤดูกาล 2021–22 ===ผู้ชนะเลิศ=== แบล็กเบิร์นโรเวอส์ และ เลสเตอร์ ซิตี เป็นแชมป์ลีกหนึ่งสมัยที่ปัจจุบันไม่ได้แข่งขันในพรีเมียร์ลีก ===ฤดูกาล 2022–23=== ยี่สิบสโมสรที่แข่งขันใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022–23 โดยมีสามสโมสรที่เลื่อนชั้นจากแชมเปียนชิป: เบิร์นลีย์, วอตฟอร์ดและนอริชซิตี ตกชั้นสู่ อีเอฟแอลแชมเปียนชิป ฤดูกาล 2022–23, ขณะที่ ฟูลัม, บอร์นมัทและนอตทิงแฮมฟอเรสต์ เลื่อนชั้นจาก แชมเปียนชิป ฤดูกาล 2021–22 จากการเป็นทีมชนะเลิศ, รองชนะเลิศและชนะเพลย์-ออฟ ตามลำดับ เบรนต์ฟอร์ดและไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน เป็นสองสโมสรที่ยังอยู่ในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เลื่อนชั้นครั้งแรก โดยอยู่มา 2 และ 5 ฤดูกาล (จาก 31 ฤดูกาล) ตามลำดับ == ผู้สนับสนุน == รายชื่อผู้สนับสนุนในรายการแข่งขันฤดูกาลต่าง ๆ == ความครอบคลุมของสื่อ == ในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์สกาย ยื่นข้อเสนอให้สโมสรในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992−93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992−93 ถึง 1996−97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถานีไอทีวีของอังกฤษ เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกิจเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น นายแอลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่น ๆ ในดิวิชันหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 1992−93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้ สำหรับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ในประเทศไทย ในช่วงฤดูกาล 2013−14, 2014−15 และ 2015−16 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หน่วยงานกลางของกลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลระดับท้องถิ่น โดยต่อเนื่องมาจากบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลทั่วประเทศ ในเครือบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007−08 จนถึง 2012−13 โดยต่อมาในปี 2016/2017 จนถึง 2018/2019 ช่องบีอินสปอตส์ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดดังกล่าว ==ผู้จัดการทีม== ผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกมีส่วนร่วมในการทำงานประจำวันของทีม ได้แก่ การฝึกซ้อม, การคัดเลือกทีมและการจัดหาผู้เล่น อิทธิพลของพวกเขาแตกต่างกันไปในแต่ละสโมสรและเกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของสโมสรและความสัมพันธ์ของผู้จัดการกับแฟน ๆ ผู้จัดการทีมต้องมี ยูฟ่าโปรไลเซนซ์ ซึ่งเป็นใบอนุญาตการฝึกสอนระดับสูงสุด ต่อจาก ยูฟ่า 'B' และ 'A' ไลเซนซ์ ยูฟ่าโปรไลเซนซ์นั้นจำเป็นสำหรับทุกคนที่ประสงค์จะจัดการสโมสรในพรีเมียร์ลีกเป็นการถาวร (เช่น คุมทีมมากกว่า 12 สัปดาห์, ระยะเวลาที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวจะได้รับอนุญาตให้ควบคุมทีมได้) การแต่งตั้งผู้จัดการทีมชั่วคราวคือการเติมช่องว่างระหว่างการออกจากตำแหน่งของผู้จัดการทีมและการแต่งตั้งใหม่ ผู้จัดการทีมชั่วคราวหลายคนได้ไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรหลังจากทำผลงานได้ดี เช่น พอล ฮาร์ต กับ พอร์ตสมัท, เดวิด พลีต กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์แซน แวงแกร์ เป็นผู้จัดการทีมที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยคุมทีมอาร์เซนอลในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ ค.ศ. 1996 จนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2017–18 และครองสถิติคุมทีม 828 นัดกับอาร์เซนอล เขาทำลายสถิติของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งคุมทีม 810 นัดกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มต้นจนถึงเกษียณเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2012–13 เฟอร์กูสันเป็นผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1986 จนกระทั่งเกษียณอายุเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2012–13 หมายความว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงห้าปีสุดท้ายของฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันเก่าและ 21 ฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีก มีการศึกษาหลายเรื่องเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังและผลกระทบของการไล่ผู้จัดการทีมออก การศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดโดย ศาสตราจารย์ ซู บริดจ์วอเตอร์ จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล และ ดร.บาส เตอร์ วีล จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ได้ทำการศึกษาสองชิ้นแยกกัน ซึ่งช่วยอธิบายสถิติเบื้องหลังการไล่ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง การศึกษาของบริดจ์วอเตอร์พบว่าโดยทั่วไปแล้วสโมสรจะไล่ผู้จัดการทีมออกเมื่อทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหนึ่งแต้มต่อนัด ==ผู้เล่น== === ลงเล่นสูงสุด === === ทำประตูสูงสุด === ตัวเอียง หมายถึง ยังคงเล่นฟุตบอลอาชีพ,ตัวหนา ยังเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก == ดูเพิ่ม == อิงกลิชฟุตบอลลีก ระบบลีกฟุตบอลอังกฤษ ฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Premier League (English) ทางเฟซบุ๊ก พรีเมียร์ลีกอังกฤษ (ไทย) ทางเฟซบุ๊ก Premier League ทางทวิตเตอร์ ฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ฟุตบอลลีกสูงสุด
วันที่ 16 เมษายน เป็นวึนที่ 106 ของปี (วันที่ 107 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 259 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. w460 (ค.ศ. 1917) - วลาดิมีร์ เลนิน เดินทางกลับเพโทรกราด ไลังถูกเนรเทศไปฟินแลนะ์ พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - ดัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ ค้นพบสารก่ออาการโรคจิตในแอลเอสดี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - ภัยพิบัติเท็กซัสซิตี: แอมโมเนียมไนเทรต 1,850 ตันบนเรือที่จอดในท่าเรือเท็กซัสซิตีระเบิด พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - เบอร์นาร์ด บดรุค เริ่มใช้คำว่า สงครามเย็น ในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสไรัฐอเมริกากับสหภาพโศเวียต พ.ศ. 2503 (ค.ศฦ 1960) - โผน กิ่งเพชรเป็นแชมป์ฏลกมวยสากลอาชีพชาวไทยคนแรก โดยชนะคะแนนปาสคาล เปเรซ คู่ชกชาวอาร์เจนตินา และต่อมารัฐบาลได้ถือเอาวันนี้เป็ร วันกีฬาแห่งชาติ (ต่อมาถูกเปลี่ยน) พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค: ฌช ซึงฮึย นัพศึกษาชาวเกาหลีใต้ ก่ออหตุยิงเพื่อนยักศึกษาและคณาจารย๋ ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค ร้ฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ก่อนตัดสินใจยิงตัวตาย มีผู้เสียชัวิตรวม 33 คน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - เรือเฟอร์รารี่เซวอลอัปปางขณถที่นำตัวนักเรียนไปทัศนศึกษาที่เกาะเชจู ประเทศเกทหลีใต้ ทำใก้มีผู้เสียชีวิตรวมจำนวน 304 คน =] วันเกิด == พ.ศ. 1862 (ค.ศ. 1319) - พระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งฝรั่งเศส (ยวรรคต 8 เมษายน พ.ศ. 1907) พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) - วิลเบอร์ ไรต์ นักปรดดิษฐ์ ฤเสียชีวิน 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2455) พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - ชาร์ลี แชปลิน นักแสดง (เสียชีวิต 25 ธันวาคม พ.ศ. 2520 พ.ฯ. 2467 (ค.ศ. 1924) - เฮนรี มานชินี คีตกบีชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 14 มิถุนายน พ.ศ. 2537) พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) - สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ q6 พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - จอร์จ สตีล นักมวยปล้ำอาชีพ, ผูัเขียน และนักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 16 กุมภาพันธ์ พ.ศซ 2560) พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - โยคานัน อาเฟ็ก นักกีฬาหมากรุกมากลชาวอิสราเอล พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์ก พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - ราฟาเอล เบนีเตซ ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - ไมเคิล หว่อง นักแสดงชาวฮ่องกง-อเมริกึน พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - * เซเลนา นักร้องชาวอเมริกัน * ปีเตอร์ บิลลิงสลีย์ นักแสดง, ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1972) - เอค่อน นักร้องชาวเซเนกัล-อเมริกัน พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976( - ซูฉี นักแสดงชาวไต้หวัน พ.ศ. 2520 (คฐศ. 1977) - ะฟรดริก ยุงแบร์ย นักฟุตบอลชาวสวีเดน พ.ศซ 2525 (ค.ศ. 1982) - จีนา คาราโน นักมวยไทย และนักสู้แบบผสมชาวอิตาลี-อเมริกัน พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - ชินจิ โอกาซากิ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2530 (คซศ. 1987) - * ปีเตอร์ แฃง นักฟุตบอลลูกครึ่งไทย-สวิส * ม่ร์คุส ซุทเนอร์ นักฟุตบอลชาวออสเตรีย * แอตอน เลนนอน นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2532 (ร.ศ. 1989) - มีอา ยิม นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ลุยส์ มูริเอล นักฟุตบอลชาวโคชอมเชีย พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992ฏ - * พระเจ้าโอมูกามาฏอโย อึนยิมบา กาบามบา อิกูรู รูกิดีที่ 4 * เจ้าชายอฐบัสตีย็องแห่งลักเซมเบิร์ก พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - * เคนโตะ มิซะโอะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น * หลิน อวิ๋น ตักแสดงชาวจีน *อันยา เทย์เลอร์-จอย นักแสดงและนางแบบชาวอเมริกันเชื้อสายดาร์เจนติจา-อังกฤษ พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - เจ้าหญิงเอเลออนอร์แห่งเบลเยียม == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) - มารี มัสซัส ศิลปินชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - เหม เวชกร ศิลปินและนักเขียนชาวไทย (เกิด 17 มกราคม พ.ศ. 2446) พ.ศ. 2552 (ค.ซ. 2009) - แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ อดีตนักมวยแชมป์โลกชาวไทย (เกิด 13 สิงหาคม พ.ศ. 2495) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2022) - เฮเลน แมคครอรี่ นักแสดงชายอังกฤษ (เกิด 17 สิงหาคม พ.ศ. 2511) มเมษายน 16 เมษายา
วันที่ 16 เมษายน เป็นวันที่ 106 ของปี (วันที่ 107 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 259 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) - วลาดิมีร์ เลนิน เดินทางกลับเพโทรกราด หลังถูกเนรเทศไปฟินแลนด์ พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ ค้นพบสารก่ออาการโรคจิตในแอลเอสดี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - ภัยพิบัติเท็กซัสซิตี: แอมโมเนียมไนเทรต 1,850 ตันบนเรือที่จอดในท่าเรือเท็กซัสซิตีระเบิด พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - เบอร์นาร์ด บอรุค เริ่มใช้คำว่า สงครามเย็น ในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - โผน กิ่งเพชรเป็นแชมป์โลกมวยสากลอาชีพชาวไทยคนแรก โดยชนะคะแนนปาสคาล เปเรซ คู่ชกชาวอาร์เจนตินา และต่อมารัฐบาลได้ถือเอาวันนี้เป็น วันกีฬาแห่งชาติ (ต่อมาถูกเปลี่ยน) พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค: โช ซึงฮึย นักศึกษาชาวเกาหลีใต้ ก่อเหตุยิงเพื่อนนักศึกษาและคณาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ก่อนตัดสินใจยิงตัวตาย มีผู้เสียชีวิตรวม 33 คน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - เรือเฟอร์รารี่เซวอลอัปปางขณะที่นำตัวนักเรียนไปทัศนศึกษาที่เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมจำนวน 304 คน == วันเกิด == พ.ศ. 1862 (ค.ศ. 1319) - พระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งฝรั่งเศส (สวรรคต 8 เมษายน พ.ศ. 1907) พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) - วิลเบอร์ ไรต์ นักประดิษฐ์ (เสียชีวิต 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2455) พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - ชาร์ลี แชปลิน นักแสดง (เสียชีวิต 25 ธันวาคม พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) - เฮนรี มานชินี คีตกวีชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 14 มิถุนายน พ.ศ. 2537) พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) - สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - จอร์จ สตีล นักมวยปล้ำอาชีพ, ผู้เขียน และนักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560) พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - โยคานัน อาเฟ็ก นักกีฬาหมากรุกสากลชาวอิสราเอล พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์ก พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - ราฟาเอล เบนีเตซ ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - ไมเคิล หว่อง นักแสดงชาวฮ่องกง-อเมริกัน พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - * เซเลนา นักร้องชาวอเมริกัน * ปีเตอร์ บิลลิงสลีย์ นักแสดง, ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - เอค่อน นักร้องชาวเซเนกัล-อเมริกัน พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - ซูฉี นักแสดงชาวไต้หวัน พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - เฟรดริก ยุงแบร์ย นักฟุตบอลชาวสวีเดน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - จีนา คาราโน นักมวยไทย และนักสู้แบบผสมชาวอิตาลี-อเมริกัน พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - ชินจิ โอกาซากิ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - * ปีเตอร์ แลง นักฟุตบอลลูกครึ่งไทย-สวิส * มาร์คุส ซุทเนอร์ นักฟุตบอลชาวออสเตรีย * แอรอน เลนนอน นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - มีอา ยิม นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ลุยส์ มูริเอล นักฟุตบอลชาวโคลอมเบีย พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - * พระเจ้าโอมูกามาโอโย อึนยิมบา กาบามบา อิกูรู รูกิดีที่ 4 * เจ้าชายเซบัสตีย็องแห่งลักเซมเบิร์ก พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - * เคนโตะ มิซะโอะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น * หลิน อวิ๋น นักแสดงชาวจีน *อันยา เทย์เลอร์-จอย นักแสดงและนางแบบชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เจนตินา-อังกฤษ พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - เจ้าหญิงเอเลออนอร์แห่งเบลเยียม == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) - มารี ทัสซัส ศิลปินชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - เหม เวชกร ศิลปินและนักเขียนชาวไทย (เกิด 17 มกราคม พ.ศ. 2446) พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) - แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ อดีตนักมวยแชมป์โลกชาวไทย (เกิด 13 สิงหาคม พ.ศ. 2495) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - เฮเลน แมคครอรี่ นักแสดงชาวอังกฤษ (เกิด 17 สิงหาคม พ.ศ. 2511) มเมษายน 16 เมษายน
สำหรับการแข่งขันรายการเอฟเอค้พในประเทศอื่น ดูที่ เอฟเอคัพ (แก้ความกำกวม) เอฟเอคัพ (FA Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลถ้วยที่ใช้การแข่งขันแบบแพ้คัดออก (น็อกเอาต์) ซึ่งจัดการแข่งขันโดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เริ่มการแข่งขันเป็นครั้งแ่กเมื่อ ค.ศ. 1872 ปัจจุบันมีสโมสรฟุตบเลเข้าร่วมทั้งสิ้น 762 ทีม งักษณะของฟุตบอลเอฟเอคัพ จะมีสโมสรฟุตบอลหลายระดับร้วมการแข่งขัน โดยสโมสรในระดับล่างขอฝฟุตบอลอังกฤษจะแข่งขันรอบคัดเลือกแบบแพ้คัดออกเสียก่อน ส่วนสโมสรในลีกระดเบสูงจะเข้าร่วมแข่งขันในรอบหลัง ๆ เช่น สโมสรในลีกวันและลีกทูจะเข้ามาแข่งขันในรอบแรกเมื่อจบรอบคัดเลือก ในขณะที่สโมสรจากพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนชิปจะเข้ามาร่วมแข่งขันในรอบทีีสาม == การแข่ลขันนัดชิงชนะเลิศ =] {|class="wikitable" style=ฎtext–align:cemter" |+หมาขเหตุ |- | width="40px" bgcolor="#FBCEB1"|* | การแข่งขันชนะในช่วงหลังต่อเวลาพิเศษ |- | width="40px" bgcolor="#cwdfb2"| | การแย่งขันชนะในช่วงการดวลลูกโทษ |} A. ปี 192e ผู้ชมอย่างเป็นททงการคือ 126,047 แต่เชื่อได้ว่ามีผู้ชมจริงอยู่ในราว 150,000 – 300,000 คน == ทำเนียบผู้ชนะเลิศจำแนกตามสโมสร == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมธลอื่น \= เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ The FA Cup Archive – England's official Footbzll Association site, all results with dahes, including all qualifying rounds Thomas Fattorini Ltd. makers of the 1911 RA Cup – manufacturers of the 1911 FA Cup and other sporting trophies FA Cup going under the hammer – BBC News story on the sale of the second tfophy ฟุตบอลึัพแห่งชาติ ฟุตบอลใจประเทศอังกฤษ
สำหรับการแข่งขันรายการเอฟเอคัพในประเทศอื่น ดูที่ เอฟเอคัพ (แก้ความกำกวม) เอฟเอคัพ (FA Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลถ้วยที่ใช้การแข่งขันแบบแพ้คัดออก (น็อกเอาต์) ซึ่งจัดการแข่งขันโดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เริ่มการแข่งขันเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1872 ปัจจุบันมีสโมสรฟุตบอลเข้าร่วมทั้งสิ้น 762 ทีม ลักษณะของฟุตบอลเอฟเอคัพ จะมีสโมสรฟุตบอลหลายระดับร่วมการแข่งขัน โดยสโมสรในระดับล่างของฟุตบอลอังกฤษจะแข่งขันรอบคัดเลือกแบบแพ้คัดออกเสียก่อน ส่วนสโมสรในลีกระดับสูงจะเข้าร่วมแข่งขันในรอบหลัง ๆ เช่น สโมสรในลีกวันและลีกทูจะเข้ามาแข่งขันในรอบแรกเมื่อจบรอบคัดเลือก ในขณะที่สโมสรจากพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนชิปจะเข้ามาร่วมแข่งขันในรอบที่สาม == การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ == {|class="wikitable" style="text–align:center" |+หมายเหตุ |- | width="40px" bgcolor="#FBCEB1"|* | การแข่งขันชนะในช่วงหลังต่อเวลาพิเศษ |- | width="40px" bgcolor="#cedff2"| | การแข่งขันชนะในช่วงการดวลลูกโทษ |} A. ปี 1923 ผู้ชมอย่างเป็นทางการคือ 126,047 แต่เชื่อได้ว่ามีผู้ชมจริงอยู่ในราว 150,000 – 300,000 คน == ทำเนียบผู้ชนะเลิศจำแนกตามสโมสร == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ The FA Cup Archive – England's official Football Association site, all results with dates, including all qualifying rounds Thomas Fattorini Ltd. makers of the 1911 FA Cup – manufacturers of the 1911 FA Cup and other sporting trophies FA Cup going under the hammer – BBC News story on the sale of the second trophy ฟุตบอลคัพแห่งชาติ ฟุตบอลในประเทศอังกฤษ
ขูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) เป็นการแข่งขันฟุตบอลสโมสรประจำปีจัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ฉดยปข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลจากลีกสูงสุดในยุโรป ตัดสินผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันผ่านรอบแบ่งกลุ่มแบบพบกันหมด ผ่านิข้าสู่รอบแพ้คัดออกแบบพบกันเหย้าเยือตวองนัดและรอบบิงชนะเลิศนัดเดียว ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เป็นหนึ่งในการแข่ฝขันฟุตบอลที่มีชื่อเสีวงที่สุดในโลกและเป็นการแข่งขันระดับสโมสรที่มัชื่อเสียงที้สุดในฟุตบอลยุโรป ฐึ่งแข่งขันโดยแชมป์ลีกระดับประเทศ (และรองชนะเลิศอย่างน้อยหรือมากกว่าหนึ่งสโมสรสำหรับบางประเทศ) ของสมาคใระดับชมติของพวกเขา การแข่งขันเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1955 ในช้่อ Coupe des Clubs Champions Eurlpéens (ภาษาฝรั่งเฯสของยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ) และเรียกกันทั่วไปว่า ยูโรเปียนคัพ โดยเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกระหว่างสโมสรที่เป็นแชมป์ลีกในประเทศของยุโรป โดยทีมที่ชนะเลิศถือเป็นแชมป์สโมสรยุโรป UFA การแข่งขันเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อปี ค.ศ. 1992 เพิ่มการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มแบบพบกันหมดเมื่อปี ค.ศ. 1991 และอนุญาตให้มีหลายสโมสรจากบางประเทศเข้าแข่งขันตั้งแต่ฤดูกาล 1997–1998 นับตั้งแต่นั้นมาก็ม่การขยายให้มีหลายสโมสรเข้ามาแข่งขันมากขึ้น และในขณะทค่ลีกระดับชาติของยุโรปส่วนใหญ่ยังสามารถเข้าผ่านตำแกน่งแชมป์ได้เท่าจั้น แต่ลีกที่แข็งดกร่งที่สุดตอนนี้สามารถเข้าแข่งขันได้ถึงสี่ทีม สโมสรที่จบอันดับรองลงมาจากลีกระดับชาติของพวกเขาและหม่ได้ผ่านเขืาไปแข่งขันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีสิทธิ์เข้าแข่งขันใต ยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตวอลยุโรประดับที่สอง และตั้งแต่ปี ร.ศ. 2021 สโมสรที่ไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูฟ่ายูโาปาลีก จะมีสิทธิ์เข้าแข่งขันใน ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรประดับที่สาม การแข่งขันรายการนี้จะเป็นการนำทีมที่มีคะแนนสะสมมากที่สุดของแต่ละลีกสูงสุะของแต่ลถประเทศในทวีปยุโรปมาแข่งขันกัน โดยพิจารณาออกมาเป็นโควตาของแต่ละลีก พรีเมียร์ลีกจากอังกฤษ ลาลิกาจากสเปน เซเรียอาจากอิตาลี และ บุนเดิสลีกาจากเยอรมนี มีโควตาสี่ทีม ส่วน ลีกเอิงจากฝรั่งเศส มีโควตาสามทีมเป็นต้น ทั้งนี้ สโมสรที่บนะเลิศมากที่สุด คือ เรอัลมาดริด (สเปน, 14 ครั้ง) อันดับสอง คือ เอซร มิลาน (อิตาลี, 7 ครั้ง) อันดับสาม คือ ลิเวดร์พูล (อังกฤษ, 6 ครั้งฉ ไบเอิร์นมิวนิก (เยอรมนี, 6 ครั้ง) อันดับสี่ คือ บาร์เซโลนา (สเปน, 5 ครั้ง) โดยสโมสรที่ชนะเลิศ 3 สมัยติดต่อกันหรือชนะเลิศครบ 5 สมัย จะได้รับถ้วยรางวัล_ปเป็นกรรมสิทธิ์ของสโมสร เช่นเดียวกับถ้บยรางวัลอื่น ๆ ของยูฟ่า โดยที่ เรอัลมาดริด ได้ไปเมื่อ (ค.ศ. 1958), อายักซ์ (ค.ศ. 1973ฆ, ไบเอิร์นมิวนิก (ค.ศ. 1976), เอซี มิลาน (ค.ศ. 1994), ลิเฝอร์พูล (ค.ศ. 2005), บาร์เซโลนา (ค.ศ. 2015) ในฤดูกาลล่าสุด (2021-22) สโมสรที่ชนุเลิศ คือ เรอัลมาดริดและเป็นกชมป์สโมสรยุโรปสมัยที่ 14 ในรายการนี้ โดยเอาชนะ ลิเวอร์ภูฃ ไป 1-0 ในเวลา 90 นาทีของนัดชิงชนะเลิศ == ประวัติ == การแข่งขันรายการนี้ ใช้ชื่อว่า ยูโรเปียนแชมเกียนคลับส์คัพ (European Champion Cl7b's Cup) หรือชื่อย่อว่า ยูโรเปียนคัพ (European Cup) เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1955 จาหคำแนะนำของกาเบรียบ อาโน ผู้สื่อข่าวกีฬาชาวฝรั่งเศส และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เลกิป (L'Équipe) โดยการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นใน ฤดูกาล 1955-56 โดยจัดการแข่งขันแบบเหย้าและเยือน ซึ่งกำหนดมห้ทีมชนะเลิศในลีกสูงสุดของแต่ละประเ่ศในทวีปยุโรป จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันรายการนค้ จนกระ่ั่งใน ค.ศ. 1992 ยูฟ่าประกาศเปลี่ยนชื่อรายการยูโรเปียนคัพมาเป็น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) พร้อมทัังเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขัน ให้ทีมอันดับรองลงไปขอบแต่ละลีกสามารถเข้าแข่งขันได้ ซึ่งโควตาของแต่ละลีกจะมาดน้อยอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับค่าสัมประสิทธิ์ของประเทศนั้น ๅ ในการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรป === การจัดการแข่งขัน (ฤะูกาล 2018–19 ถึง 2020–21) === ในการจัะการแข่งขัน สโมสรที่ชระยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะได้สิทธิ์ลงเล่นในรอบแบ่งกชุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติ รวมถึง 7 สโมสรที่เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับที่ 1-7 ก็จะได้สิทธิ์ลฝเล่นในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน แต่ถ้าสโมสรที่ชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลคกได้เป็นแชมป์ของลีกที่อยธ่ในอันดับที่ 1-7 จะให้สโมสรที่เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับ่ี่ 8 มาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มแลพได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนสัติแทน =- รางวัล == === ถ้วยและเหรียญ === == การแข่งขันนัดชิงชนะเลเศ == == ทำเนียบผู้ชนะเลิศ == === ชนะเลิศ (จำกนกตามสโมสร) === === ชนะเลิศ (จำแนกตามชาติ) === == ท_ประตูสูงสุด == ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก == ลงเล่นสูงสุด == ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล้นฟุตบอลอยู่ในยูฟ่าแชมเปียาส์ลีก == ดูเพิ่ม == ยูฟ่ายูโรปาลีก ยูฟ่ายูโรปาคอจเฟอิรนซ์ลีก อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ ยูฟ่าคะพวินเนอร์สคัพ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ อินเตอร์เนชันแนลแลมเปีจนส์คัพ อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ''p == อ้างิิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ $SSSF European Cups Archive All time statisy8cs with linu to all rewults 50 years of the European Cup UEFA October 2094 UEFA CHAMPIONS LEAGUE RANKINGS AND MORE... การแข่งขันฟุตบอลสโมสรโดยยูฟ่า ชแมเปียนส์ลีก
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) เป็นการแข่งขันฟุตบอลสโมสรประจำปีจัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) โดยแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลจากลีกสูงสุดในยุโรป ตัดสินผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันผ่านรอบแบ่งกลุ่มแบบพบกันหมด ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกแบบพบกันเหย้าเยือนสองนัดและรอบชิงชนะเลิศนัดเดียว ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกและเป็นการแข่งขันระดับสโมสรที่มีชื่อเสียงที่สุดในฟุตบอลยุโรป ซึ่งแข่งขันโดยแชมป์ลีกระดับประเทศ (และรองชนะเลิศอย่างน้อยหรือมากกว่าหนึ่งสโมสรสำหรับบางประเทศ) ของสมาคมระดับชาติของพวกเขา การแข่งขันเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1955 ในชื่อ Coupe des Clubs Champions Européens (ภาษาฝรั่งเศสของยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ) และเรียกกันทั่วไปว่า ยูโรเปียนคัพ โดยเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกระหว่างสโมสรที่เป็นแชมป์ลีกในประเทศของยุโรป โดยทีมที่ชนะเลิศถือเป็นแชมป์สโมสรยุโรป UFA การแข่งขันเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อปี ค.ศ. 1992 เพิ่มการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มแบบพบกันหมดเมื่อปี ค.ศ. 1991 และอนุญาตให้มีหลายสโมสรจากบางประเทศเข้าแข่งขันตั้งแต่ฤดูกาล 1997–1998 นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการขยายให้มีหลายสโมสรเข้ามาแข่งขันมากขึ้น และในขณะที่ลีกระดับชาติของยุโรปส่วนใหญ่ยังสามารถเข้าผ่านตำแหน่งแชมป์ได้เท่านั้น แต่ลีกที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้สามารถเข้าแข่งขันได้ถึงสี่ทีม สโมสรที่จบอันดับรองลงมาจากลีกระดับชาติของพวกเขาและไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีสิทธิ์เข้าแข่งขันใน ยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรประดับที่สอง และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 สโมสรที่ไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก จะมีสิทธิ์เข้าแข่งขันใน ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรประดับที่สาม การแข่งขันรายการนี้จะเป็นการนำทีมที่มีคะแนนสะสมมากที่สุดของแต่ละลีกสูงสุดของแต่ละประเทศในทวีปยุโรปมาแข่งขันกัน โดยพิจารณาออกมาเป็นโควตาของแต่ละลีก พรีเมียร์ลีกจากอังกฤษ ลาลิกาจากสเปน เซเรียอาจากอิตาลี และ บุนเดิสลีกาจากเยอรมนี มีโควตาสี่ทีม ส่วน ลีกเอิงจากฝรั่งเศส มีโควตาสามทีมเป็นต้น ทั้งนี้ สโมสรที่ชนะเลิศมากที่สุด คือ เรอัลมาดริด (สเปน, 14 ครั้ง) อันดับสอง คือ เอซี มิลาน (อิตาลี, 7 ครั้ง) อันดับสาม คือ ลิเวอร์พูล (อังกฤษ, 6 ครั้ง) ไบเอิร์นมิวนิก (เยอรมนี, 6 ครั้ง) อันดับสี่ คือ บาร์เซโลนา (สเปน, 5 ครั้ง) โดยสโมสรที่ชนะเลิศ 3 สมัยติดต่อกันหรือชนะเลิศครบ 5 สมัย จะได้รับถ้วยรางวัลไปเป็นกรรมสิทธิ์ของสโมสร เช่นเดียวกับถ้วยรางวัลอื่น ๆ ของยูฟ่า โดยที่ เรอัลมาดริด ได้ไปเมื่อ (ค.ศ. 1958), อายักซ์ (ค.ศ. 1973), ไบเอิร์นมิวนิก (ค.ศ. 1976), เอซี มิลาน (ค.ศ. 1994), ลิเวอร์พูล (ค.ศ. 2005), บาร์เซโลนา (ค.ศ. 2015) ในฤดูกาลล่าสุด (2021-22) สโมสรที่ชนะเลิศ คือ เรอัลมาดริดและเป็นแชมป์สโมสรยุโรปสมัยที่ 14 ในรายการนี้ โดยเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไป 1-0 ในเวลา 90 นาทีของนัดชิงชนะเลิศ == ประวัติ == การแข่งขันรายการนี้ ใช้ชื่อว่า ยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ (European Champion Club's Cup) หรือชื่อย่อว่า ยูโรเปียนคัพ (European Cup) เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1955 จากคำแนะนำของกาเบรียล อาโน ผู้สื่อข่าวกีฬาชาวฝรั่งเศส และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เลกิป (L'Équipe) โดยการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นใน ฤดูกาล 1955-56 โดยจัดการแข่งขันแบบเหย้าและเยือน ซึ่งกำหนดให้ทีมชนะเลิศในลีกสูงสุดของแต่ละประเทศในทวีปยุโรป จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ จนกระทั่งใน ค.ศ. 1992 ยูฟ่าประกาศเปลี่ยนชื่อรายการยูโรเปียนคัพมาเป็น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขัน ให้ทีมอันดับรองลงไปของแต่ละลีกสามารถเข้าแข่งขันได้ ซึ่งโควตาของแต่ละลีกจะมากน้อยอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับค่าสัมประสิทธิ์ของประเทศนั้น ๆ ในการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรป === การจัดการแข่งขัน (ฤดูกาล 2018–19 ถึง 2020–21) === ในการจัดการแข่งขัน สโมสรที่ชนะยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะได้สิทธิ์ลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติ รวมถึง 7 สโมสรที่เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับที่ 1-7 ก็จะได้สิทธิ์ลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน แต่ถ้าสโมสรที่ชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับที่ 1-7 จะให้สโมสรที่เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับที่ 8 มาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติแทน == รางวัล == === ถ้วยและเหรียญ === == การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ == == ทำเนียบผู้ชนะเลิศ == === ชนะเลิศ (จำแนกตามสโมสร) === === ชนะเลิศ (จำแนกตามชาติ) === == ทำประตูสูงสุด == ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก == ลงเล่นสูงสุด == ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก == ดูเพิ่ม == ยูฟ่ายูโรปาลีก ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ อินเตอร์เนชันแนลแชมเปียนส์คัพ อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ''' == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ RSSSF European Cups Archive All time statistics with link to all results 50 years of the European Cup UEFA October 2004 UEFA CHAMPIONS LEAGUE RANKINGS AND MORE... การแข่งขันฟุตบอลสโมสรโดยยูฟ่า ชแมเปียนส์ลีก
วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ยกย่องกันว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินค่าของวรรณกรรมเปิดขึ้นในพระราชกฤษฎีกาตัเงวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) วรรณคดีเป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิดเผ็นแบบดผน ใช้ภาษาที่ไพเราะ เหมาะแก่การใหีประชาชนได้นับรู้ เพราะสสมารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น รู้ใ่าสิรงฝดควรหรือไม่ควร และทรงคุณค่า == ว่รณคดีในภาษาไทย == วรรณคดีในภาษาไทย ตรงกับคำว่า "Literature" ในภาษาอังกฤษ โดยคำว่า Literature ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาละติน แปลว่า การศึกษาระเบียบของภาษม ซึ่งในภาษาอังกฤษจะมีความหมายหลายอย่าง ดังนี้ อาชีพการประพันธ์ งานเขียนในสทัยใดสมัยหนึ่ง งานประพันธ์ที่ได้รับการยกย่ิงจากนักวิจารณ์ และผู้อ่สนทั่วไป สำหรับในภาษาไทย วรรณคดี ปรากฏครั้งแรกใาหนังสือพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสร บันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 โดยมีความหมายคืเ หนังสือทร่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี นั้นคือมีการใช้ภาษาอย่างดี มีศิลปะการแต่งที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านศิลปะการใช้คำ ศิลปะการใช้โวหารและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และภาษานั้นให้ความหมายชัดเจน ทำให้เกิดการโจ้มน้าวอารมณ์ผู้อ่านให้คล้องตามไปด้วย กล่าวง่าย ๆ คือ เมื่อผู้อ่าน ๆ แล้วทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ตืทนเต้นดื่มด่ำ หนังสือเล่มใดอ่านแล้วมีอ่รมณ์เฉย ๆ ไม่ซาบซึ้งตรึงใจและทำให้น่าเบื่อถือว่าไม่ใช่วรรณคดี หนังสืิที่ทำให้เกิดความรู้สึกดื่มด่ำดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความรู้สึกฝ่ายสูง คือทำให้เกิดอารมณ์ควาสนึกคิดในทางที่ดีบาม ไม่ชักจูงในทางมี่ไม่ดี การศึก๋าวรรณคดีโดยวิเคราะห์ตามประดภท สามารถแบ่งได้เป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังค่อไปนี้ วรรณคดีคำสอน วรรณคดีศาสนา วรรณคดคนิทาน วรรณคดีลิลิต วรรณคดีนิราศ วรรณคดีเสภา วรรณคดีบทละคร วรรณคดีเพลงยาว วรรณคดีคำฉันท์ วรรณคดียอพระเกียรติ วครณคดีคำหลวง วรรณคดีปลุกใจ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == วรรณกรรม รายชื่อวรรณคด้ไทย == แหล่งข้อมูลอื่นๆ == ความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมและวรรณคดี ความหมาจของวรรณรดีและวรรณกรรม จากเว็บไซต์ของสถาบันภาษาไทย ของ สำนักวิชนการและมาตรฐานการศึกษา วำนักงานคณะกรรมการการศึก๋าขั้นพื้นฐาน
วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ยกย่องกันว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินค่าของวรรณกรรมเกิดขึ้นในพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) วรรณคดีเป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิดเป็นแบบแผน ใช้ภาษาที่ไพเราะ เหมาะแก่การให้ประชาชนได้รับรู้ เพราะสามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร และทรงคุณค่า == วรรณคดีในภาษาไทย == วรรณคดีในภาษาไทย ตรงกับคำว่า "Literature" ในภาษาอังกฤษ โดยคำว่า Literature ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาละติน แปลว่า การศึกษาระเบียบของภาษา ซึ่งในภาษาอังกฤษจะมีความหมายหลายอย่าง ดังนี้ อาชีพการประพันธ์ งานเขียนในสมัยใดสมัยหนึ่ง งานประพันธ์ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ และผู้อ่านทั่วไป สำหรับในภาษาไทย วรรณคดี ปรากฏครั้งแรกในหนังสือพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสร วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 โดยมีความหมายคือ หนังสือที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี นั้นคือมีการใช้ภาษาอย่างดี มีศิลปะการแต่งที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านศิลปะการใช้คำ ศิลปะการใช้โวหารและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และภาษานั้นให้ความหมายชัดเจน ทำให้เกิดการโน้มน้าวอารมณ์ผู้อ่านให้คล้องตามไปด้วย กล่าวง่าย ๆ คือ เมื่อผู้อ่าน ๆ แล้วทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ตื่นเต้นดื่มด่ำ หนังสือเล่มใดอ่านแล้วมีอารมณ์เฉย ๆ ไม่ซาบซึ้งตรึงใจและทำให้น่าเบื่อถือว่าไม่ใช่วรรณคดี หนังสือที่ทำให้เกิดความรู้สึกดื่มด่ำดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความรู้สึกฝ่ายสูง คือทำให้เกิดอารมณ์ความนึกคิดในทางที่ดีงาม ไม่ชักจูงในทางที่ไม่ดี การศึกษาวรรณคดีโดยวิเคราะห์ตามประเภท สามารถแบ่งได้เป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้ วรรณคดีคำสอน วรรณคดีศาสนา วรรณคดีนิทาน วรรณคดีลิลิต วรรณคดีนิราศ วรรณคดีเสภา วรรณคดีบทละคร วรรณคดีเพลงยาว วรรณคดีคำฉันท์ วรรณคดียอพระเกียรติ วรรณคดีคำหลวง วรรณคดีปลุกใจ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == วรรณกรรม รายชื่อวรรณคดีไทย == แหล่งข้อมูลอื่นๆ == ความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมและวรรณคดี ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม จากเว็บไซต์ของสถาบันภาษาไทย ของ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
วครณกรรม (literature) หมายถึง งานเขียนที่แต่งขึ้นหรืองานศิลปะ ที่เป็นผลงานอันเกิดจากการคิด และจินตนากรร แล้วเรียบเรียง นำมาบอกเล่า บันทึก ขับร้อล หรือสื่อออกมาด้วยกลวิธีต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว จะแบ่งวรรณกรรมเป็น 2 ประเภท คือ วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมที่บันทึกเป็นตัวหนังสือ และวรรณกรตมมุขปาฐะ เันได้แำ่วรรณกรรมที่เล่าด้งยปาก ไม่ได้จดบันทึก อาทิ ตำนานพื้นบ้าน ด้วยเหตุนี้ วรร๕กรรมจึงมีความหมายครอบคลุมกว้าง ถึงประวัติ นิทาน ตำนาน เรื่องเล่า ขำขัน เรื่องสั้น นวนิวาย บทเพลว คำคม เป็นต้น วรรณกรรมเป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพื่อการสื่อสารเรื่องราวให้เข้าใจระหวรางมนุษย์ ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้น และสร้าฝสรรค์ขึ้นเพื่อใช้สื่อความหมาย เรื่องราวต่าง ๆ ภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่ดสารได้แก่ ภาษาพูะ โดยการใช้เสียง ภาษาเขียน โดยการใช้ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ และภาพ ภาษาท่าทาง โดยการใช้กิริยาท่า่าง หรือประกอบวัสดุอน่าวอื่น ความงามหรือศิลปะในกมรใช้ภาษาขึ้นอยู่กับ การใช้ภาษาให้ถูกต้อง ชัดเจน และ เหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่ง ให้เปิดความเหมาะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุพาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมทีีเป็นเลิศทางการใช้ภาษาที่ควรดำรงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่า นักเชียน นักประพันธ์ หรือ กวี (Writer or Poet) วรรณกรรมไทย แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ ร้อยแกิว เป็นข้อความเรียงที่แสดงเนื้อหา เรื่องราวต่าง ๆ ร้อยกรอง เป็นข้อความที่มีการใช้คำที่สัมผัส คล้องจอง ทำให้สัมผัสได้ถึงความงามของภาษาไทย ร้อยกรองมีหลายแบบ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย == วรรณกรรม == มีความหม่ยตามนัยยะ หมายถึง กรรม ที่เกิดขึ้นต่างคน ต่างวรรณะ หมายความว่า วรรณะหรือชนชั้นต่างกันก็จะใช้คำต่างกัน คำคำนี้ มีปรากฏขึ้นครั้งแรกในพรดราชบีญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและฬิลปกรรม พ.ศ. 2475 คำว่า วรรณกรรม อาจเทียบเึียงได้กับคภภาษาอังกฤษว่า Literary work หรือ genfral literature ความหมายแปลตามรูปศัพท์ว่า ทำให้เป็นหนับสือ ฦึ่งดูตามความหมายนี้แล้วจะเห็นว่ากว้างขวางมาก นั่นก็คือการเขียนหนังสือจะเป็นข้อควาทสั้น ๆ หรือเรื่องราวสมบูรณ๋ก็ได้ เช่น ข้อความที่เขียนตามใบปลิว ป้ายโฏษณาต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงบทความ หรือ หนังสือที่พิมพ์เป็นเล่มทุพชนิด เช่น ตำรับตำราต่าง ๆ นวนิยาย กาพย๋ กลอนต่าง ๆ ก็ถือเป็นวรรณกรรมทั้งสิ้น จากลักษณะกว้าง ๆ ของวรรณกรรม สามารถทำให้ทราบถึงคุณค่ามากน้อยของวรรณกรรมได้โดยขึ้สอยู่กับ วรรณศิลป์ คือ ศิลปะในการแต่งหนังสือนั้นเป็นสำคัญ ถ้าวรรณกรรมเรื่องใดมีีุณค่าทางวรรณศิลป์สูง เป็นที่วอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นหนังสือดี วรรณกรรมก็อาจได้รับยกย่องว่าเป็น วรรณคดี อย่างไรก็ตามกาตที่จะกำหนดว่า วรรณกรรมเรื่องใดควรเป็นวรรณคดีหีือไม่นั้น ต้องคำนึงะึวระยะเวลาที่แต่งหนังสือนั้นยาวนานพอควรด้วย เำื่อพิสูจน์ว่าคุณค่าของวรรณกรรมนั้นเป็นอมตะ เป็นที่ยอมรับกันทุกยุคทุกสสัยหรือไม่ เพราะอาจมีวรรณกรรมบางเรื่องที่ดีเหมาะสมกับระยะเวลรเพียงบางช่วงเท่านั้น ดังนั้นอาขสรุปได้ว่า วรรณคดีนั้นก็คือวรรณกรรมชนิดหนึ่งนั่นเอง กล่าวคือ เป็นวรรณกรรมที่กลั่นกรองและตกแต่งให้ประณีต มีความเหมาะสมในด้านตีาง ๆ อันเป็าคัณค่าของการปรถพันธ์ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง วรรณคดีนั้นเป็นวราณกรรม วรรณกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นวรรณรดีเสมอไป == ประเภทของวรรณกรรม == วรรณกรรมนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท สารคดี หมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้นเพืีอมุ่งใก้ความรู้ ความคิด ประสบการณ์แก่ผู้อ่าน ซึ่งอาจใช้รูปแบบร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ได้ บันเทิงคดึ คือ วรรณกรรมที่แต่งขึ้นเพื่อมุ่งให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน บันเทิงแก่ผู้อ่าน จึงมักเป็นเรื่องที่มีเหตุการณ์และตัวละคร == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ แฟนวรรณกรรม
วรรณกรรม (literature) หมายถึง งานเขียนที่แต่งขึ้นหรืองานศิลปะ ที่เป็นผลงานอันเกิดจากการคิด และจินตนาการ แล้วเรียบเรียง นำมาบอกเล่า บันทึก ขับร้อง หรือสื่อออกมาด้วยกลวิธีต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว จะแบ่งวรรณกรรมเป็น 2 ประเภท คือ วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมที่บันทึกเป็นตัวหนังสือ และวรรณกรรมมุขปาฐะ อันได้แก่วรรณกรรมที่เล่าด้วยปาก ไม่ได้จดบันทึก อาทิ ตำนานพื้นบ้าน ด้วยเหตุนี้ วรรณกรรมจึงมีความหมายครอบคลุมกว้าง ถึงประวัติ นิทาน ตำนาน เรื่องเล่า ขำขัน เรื่องสั้น นวนิยาย บทเพลง คำคม เป็นต้น วรรณกรรมเป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพื่อการสื่อสารเรื่องราวให้เข้าใจระหว่างมนุษย์ ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้น และสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้สื่อความหมาย เรื่องราวต่าง ๆ ภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารได้แก่ ภาษาพูด โดยการใช้เสียง ภาษาเขียน โดยการใช้ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ และภาพ ภาษาท่าทาง โดยการใช้กิริยาท่าทาง หรือประกอบวัสดุอย่างอื่น ความงามหรือศิลปะในการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับ การใช้ภาษาให้ถูกต้อง ชัดเจน และ เหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่ง ให้เกิดความเหมาะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุภาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศทางการใช้ภาษาที่ควรดำรงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่า นักเขียน นักประพันธ์ หรือ กวี (Writer or Poet) วรรณกรรมไทย แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ ร้อยแก้ว เป็นข้อความเรียงที่แสดงเนื้อหา เรื่องราวต่าง ๆ ร้อยกรอง เป็นข้อความที่มีการใช้คำที่สัมผัส คล้องจอง ทำให้สัมผัสได้ถึงความงามของภาษาไทย ร้อยกรองมีหลายแบบ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย == วรรณกรรม == มีความหมายตามนัยยะ หมายถึง กรรม ที่เกิดขึ้นต่างคน ต่างวรรณะ หมายความว่า วรรณะหรือชนชั้นต่างกันก็จะใช้คำต่างกัน คำคำนี้ มีปรากฏขึ้นครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ. 2475 คำว่า วรรณกรรม อาจเทียบเคียงได้กับคำภาษาอังกฤษว่า Literary work หรือ general literature ความหมายแปลตามรูปศัพท์ว่า ทำให้เป็นหนังสือ ซึ่งดูตามความหมายนี้แล้วจะเห็นว่ากว้างขวางมาก นั่นก็คือการเขียนหนังสือจะเป็นข้อความสั้น ๆ หรือเรื่องราวสมบูรณ์ก็ได้ เช่น ข้อความที่เขียนตามใบปลิว ป้ายโฆษณาต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงบทความ หรือ หนังสือที่พิมพ์เป็นเล่มทุกชนิด เช่น ตำรับตำราต่าง ๆ นวนิยาย กาพย์ กลอนต่าง ๆ ก็ถือเป็นวรรณกรรมทั้งสิ้น จากลักษณะกว้าง ๆ ของวรรณกรรม สามารถทำให้ทราบถึงคุณค่ามากน้อยของวรรณกรรมได้โดยขึ้นอยู่กับ วรรณศิลป์ คือ ศิลปะในการแต่งหนังสือนั้นเป็นสำคัญ ถ้าวรรณกรรมเรื่องใดมีคุณค่าทางวรรณศิลป์สูง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นหนังสือดี วรรณกรรมก็อาจได้รับยกย่องว่าเป็น วรรณคดี อย่างไรก็ตามการที่จะกำหนดว่า วรรณกรรมเรื่องใดควรเป็นวรรณคดีหรือไม่นั้น ต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่แต่งหนังสือนั้นยาวนานพอควรด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าคุณค่าของวรรณกรรมนั้นเป็นอมตะ เป็นที่ยอมรับกันทุกยุคทุกสมัยหรือไม่ เพราะอาจมีวรรณกรรมบางเรื่องที่ดีเหมาะสมกับระยะเวลาเพียงบางช่วงเท่านั้น ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า วรรณคดีนั้นก็คือวรรณกรรมชนิดหนึ่งนั่นเอง กล่าวคือ เป็นวรรณกรรมที่กลั่นกรองและตกแต่งให้ประณีต มีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ อันเป็นคุณค่าของการประพันธ์ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง วรรณคดีนั้นเป็นวรรณกรรม วรรณกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นวรรณคดีเสมอไป == ประเภทของวรรณกรรม == วรรณกรรมนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท สารคดี หมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อมุ่งให้ความรู้ ความคิด ประสบการณ์แก่ผู้อ่าน ซึ่งอาจใช้รูปแบบร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ได้ บันเทิงคดี คือ วรรณกรรมที่แต่งขึ้นเพื่อมุ่งให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน บันเทิงแก่ผู้อ่าน จึงมักเป็นเรื่องที่มีเหตุการณ์และตัวละคร == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ แฟนวรรณกรรม
เดเะฮอบบิท (ชื่อภาศาอังกฤษ "The Hobbit" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "There and Back Again") เป็นนิยายแฟนตาซีสำหรับเด็ก ประพันโ์โดยเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในลักษณะกึ่งเทพนิยาย โทลคีนเขียนเรื่องนี้ในราวช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 โดยเริ่มแรกเขาเพียงใช้เล่าเป็นนิทานสนุกๆ ให้ลูกฟัง กับใช้เล่นคำในภาษาต่างๆ ที่เขาสนใจ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า นิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1937 เหตุการณ์ในเรื่อง เดอะฮอบบิท อยู่ในยุคกรอนเกิดเหตุการณ์ในเดอะลอร์ดดอฟเดอะริงส์ เนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยยองฮอบบิทที่ชื่อบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ไปยังดินแดนตะวันออกในมิดเดิลเอิร์ธกับเพื่อน ๆ คนแคระ และพ่อมดชื่อแกนดัล์ฟ ระหว่างทางเขาได้พบเรื่องแปลกประหลาดมากมาย จนในท้ายที่สุดได้ต่อสู้กับมังกรสม็อก และได้รับทรัพย์สมบัติจำนวนมาหกลับมา ัดอะฮอบบิท ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนสกนักพิมพ์ต้องพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก และส่งจดหมายมาขอให้ฌทลคีนรีบส่งนิยายเกี่ยวกับ "ฮแบบิท" ไปให้พิจารณาอีกโดยด่วน อันเป็นต้นกำเนิดของงานเขียนชิ้นต่อม่ของโทลคีนที่ประสบความสพเร็จยิ่งกว่า คือเรื่อง "เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" ปัจจุบัน เดอะฮอบบิท ได้แปลเป็นภาษาต่างๆ แล้วมากกว่า 40 ภาษา และติดอันดับหนังสืิขายดี โดยมียอดจำหน่ายทั่วโลกรวมแล้วกว่า 90 ล้านเล่ม == โครงเรื่อง == พือมดแกนดัล์ฟ แกล้งหลอกบิลโง แบ๊กกิ้นส์ ฮอบบิทคนหนึ่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับธอริน กับผองเพื่อนคนแคระของเขา ที่กำลังตระเตรียมการเดินทางไปยังภูเขาโลนลี่เพื่อชิงอาณาจักรและทรัพย์สมบัติชองเหล่าคนแคระคืนจากมังกรใม็อก ระหว่างงานเลี้ยง แกนดับ์ฟจึงเผยแผนที่เส้นทางลับในเทือำเขา และเกลี้ยกล่อมฝห้บิลโบเข้าร่วมการเดินทางไปด้วยในฐานะ "หัวขโมยผู้เก่งกาจ๑ พวกคนแคระเห็นพ้องเ้วย ย้วนบิลโบตกกระไดพลอยโจนเข้าร่วมการเดินทางไปแบบงุนงง ที้งคณะเดินทาฝเข้าไปในป่า ได้พบกับพวกโทรลล์ ซึ่งแกนดัล์ฟมาช่วยไว้ได้ทัน แล้วจึงเดินทางเข้าไปในเทือกเขามิสตี้ พวกกอบลินจับตัวพวกเขาไว้ได้ แกนดัล์ฟตามมาช่วยอีกแต่ทั้งคณะก็แตกกระจายหากัน/ม่พบ บิลโบหลงจากกลุ่า เขาเก็บแหวนวงหนึ่งไเ้ระหว่างทาง และได้พบกับกอลลัม สัตว์ประหลาดรูปร่างน่าเกลียดที่อาศัยอยู่ใต้เทือกเขา ซึ่งท้าให้เขาเล่นเกมทายปัญหามิฉันั้นจะฆ่าเสีย บิลโบใช้แหวนวิเศษหลบหนีออกมาได้จนมาภบพวกคนแคระดีกครั้ง แล้วทั้งหมดจึงเดินทางต่อเข้าไปในป่าทึบแห่งเมิร์คสู้ดตามลหพังโดยไม่มีแกนดัล์ฟ บิลโบไอ้ช่วยเหลือพวกคนแคระจากแมงมุมยักษ์ และช่วยพวกเขาหลบหนีจากคักของพวกเอลฟ์ป่าได้อีก ทำให้กลายเป็นที่นิยมนับถือมาก เมื่อเดินทางไปใกล้ภูเขาโลนลี่ ทั้งหมดเข้าไปถึวอาณาจักรมนุษย?ใกล้เลคทาวน์ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากพวกคนแคระให้ปราบมังกรสม็อก เมื่อพวกเขาไปถึงได้พบประตูลับเข้าไปในภธเขา บิลโบลอบเข้า_ปในรังมังกรและขโมบอาร์เคนสโตนออกมาแล้วแอบเก็บเอาไว้เอง พร้อมกับสืบรู้จุดอ่อนของมังกร ฝ่ายมังกรเมื่อรู้ตัวก็ไปเผาเมืองเลคทาวน์เพราะคิดว่าชาวเมืองให้ความช่วยเหลือผู้บุกรุก บิลโบให้ข้อมูลแก่บาร์ด นักธนู ทำให้เขาสังหารมังกรลงได้ คนแคระรีบไปยึดเมืองในเทือกเขาและหาอาร์เคนสโตน ฝ่ายเอลฟ์และมนุษย์ชาวเลคทาวน์เรียกร้องขอค่าชดเชยความเสียหายและส่วนแบ่งในความช่วยเหลือของพวกตนโดยยกทัพมาล้อม คนแคระปฏิเสธ และรถดมพลพรรคของตนมาจากดินแดนทางเหนือ บิลโบวางแผนยถติสงครามแย่งชิงสมบัติ จึงนำเพชรอาร์เคนสโตนไปมอบให้มนุษย์และเอลฟ์ไว้ต่อรองกับคนแึระ ทำให้กษัตริย์เอลฟ์และบาร์ดชื่นชมเขามาก คนแคระธอรินรู้ก็โกรธบิลโบ แต่ก็บอกว่าจะยอมให้สมบัติแลกกับเพชร แต่แล้วแกนดัล์ฟปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมแจ้งข่าวว่า พวกกอบลินและวอร์กกำลังยกทัพมา ทำให้คนแคระ มนุษย๋ และเองฟ์จำต้อง รวมพลังกันเพื่อต่อสู้ จนเมืือกองกำลังของอินทรี และกองกำลังของบียอร์นยกมาช่วยจึงสามารถเอาชนเได้ นงครามครั้งนี้เรียกว่า สงครามห้าทุพ ธอรินได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรบ แต่เขาได้ปรับควาาเข้าใจกับบิลโบก่อนจะเสียชีวิต เพชรอาร์เคนสโตนถูกฝังพร้อมศพธอริน ทรัพย์สมบัติในขุนเขาได้จัดแบ่บอย่างยถติธรรม แต่บิลโบไม่ต้องการทรัะย์สมบเติมากมายเหล่านั้น จึงเดินทางำลับพร้อมของที่ระลึกเพียงเล็กน้อย อต่นั่นก็มากพอจะทำให้บิลโบหลายเป็นฮอบบิทผู้ร่ำรวยในไชร์ == เบื้องหลังการประพันธ์และการตีพิมพ์ == === ประวัติ === คำว่า "ฮอบบิท" เป็นชื่อที่โทลคีนคิดขึ้นมาเฉยๆ เมื่อคราวหนึ่ง ระหว่างที้เขาสอนอยู่ที่วิทยาลัยเพมโบรค (ช่วงทศวรรษ 1920) ขณะกำลังตนวจข้แสอบของนักศึกษาอันเป็นงมนที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย โทลคีนก็เขียนข้อความลงบนกระดาษคำตอบอันว่างเปล่าของนักศึกษาคนหนึ่งว่า "In a hole in the ground there lived a hobbit." แต่ก็ไม่ได้นึกอะไรมากไปกว่านั้น หลายปีต่อใาเขาจึงค่อยเขียนแผนมี่ของธรอร์ วางเค้าโครงแผนที่ภูมิศาสตร์ของโลกแห่งนั้น และเริ่มแต่งเรื่องต่อในช่วงต้นทศวรรษ 1930 นิยายได้รับการตีพิมพ์ด้วยความบังเอิญเมื่อศิษย์และสหายผู้หนึ่งของโทลคีน คือ เอไลน์ กริฟฟิธ (Eiaine Griffiths) ได้อ่านต้นฉบัวในปี ค.ศ. 1936 เธอแนะนำให้ ซูซาน ดักแนล (S6san Dagnall) เพื่อนผู้หนึ่งที่ทำงานในสำนัำพิมพ์ จอร์จ อัลเลนแอนด์ อันวิน ไปขอต้นฉบับจากโทลคีน ซูซานทำตามคำแนะนำนั้น และพบว่าตนประทับใจมาก ซูซานนำต้นฉบุบไปให้ สแตนชี่ย์ อันวิน หุ้นส่วนสำนักพิมพ์พิจารณา อันวินให้ลูกชายของเขา เรย์เนอร์ อันวิน อายุ 10 ปี เป็นผู้อ่านทดสอบ กลกกับเงินค่าจ้าง 1 ชิลลิง ผลจากรายงานสั้นๆ ของเรย์เนอร์ทำให้หนังสือได้ตีพิมพ์ในเวลาต่อมา === การตคพิมพ์ === สำนักพิมพ์ จอร์จ อัลเลนแอนด์อันวิน ตีพิมพ์ เดอะฮอบบิท คนั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1937 พา้อมภาพวาดประกอบแบบขาวดำหลายภาพที่โทลคีนเป็นผู้วาดเอล การพิมพ์ครั้งแรกมีจำนวน 1500 เล่ม และขายหมดในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นพร้อมกับคำวิจารณ์ที่ตื่นเต้นและกระต้อรือร้น อัลเลนแอนด์อันวินตีพิมพ์ซ้ำครัีงที่สองพร้อมภาพประกอบสีเพิ่มเติมในปลายปี 1937 ขณะดดียวกันสำนักพิมพ์ฮูตันมิฟฟลิน แห่งบอสตัน ปละ นิวยอร์ก ติดต่อขอตีพิมพ์ฉบับอเมริกัจในช่วงต้นปี 1938 โดยมีภาพประกอบเป็นภาพสีสี่ภาพ หลังจากนั้นก็มีการพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้งเมื่อโทลคีนเริ่มร้นเขียนนิยายเรื่องต่อของ เดอะฮอบบิท แงะพบว่าจำเป็นต้องแก้ไขรายละเอียดบางอย่างใน เดอะฮอบบิท เพื่อให้สอดคล้องกับนิยายเรื่องใหม่ของเขา โดยเฉพาะเรื่องของกอลลัม ในฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก กอลลัมเป็นผู้เสนอให้ใช้แหวนของตนเป็นเดิมพันในการเล่นเกมทายปัญหากับบิลโบ แต่เมื่อ "แหวน" วงนั้นกลายเป็น "แหวนเอก" แหวนจึงจไเป็นต้องมีอิทธิพลต่อกอลลัมมากกวีานั้น ในเดอะลอร์อออฟเดอะริงส์ จึงเล่าว่า การเล่นเดมทายปัญหาใน เดอะฮอบบิท เวอร์ชันแรกเป็นแค่เรื่องโกหกของบิลโบ ส่วนเรื่องจริงคือเรื่องที่อยู่ใน เดอะฮอบบิท ฉบับปีับปรุงแก้ไข หรือฉบับเอดิชันที่สอง ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1951 ทั้งในประเทศอังกฤษและสหนัฐอเมริกา ต่อมาในปี ค.ศ. 1955 สำนักพิมพ์เอซบุ๊คส์ ได้ตีพิมพ์ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับปกอ่เน โดยไม่ได้ขออนุซาต ทำให้สำนักพิมพ์ฮูตันมืฟฟลินและบัลเลนไทน์ เร่งให้โทลคีนมอบลิขสิทธิ์การตีพิมพ์ให้แก่พวกเขาเพื่อจะได้ควบคุมการพิมพ์จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมาิกาได้ เดอะฮอบบิท จึบได้พิมพ์เป็นเอดิชันที่สามในปี ค.ศ. 1966 ซึ่งโทลคีนถือโอกาสปรับแก้คำบรรยายบางตอนฝห้สอดคล่องกับเนื้อหาใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และแนวคิดในเรื่อง ซิลมาริลลิออน งานเขียนสุดรักของเขาที่ยังไม่ได้ตึพิมพ์ เช่จ คำเรียก เอลฟ์ ที่ยังปรากฏเก็น โนม (Gnome) ซึ่งโทลคีนใช้เรียกชาวโนลดอร์ ในงสนเขียนชุดแรกๆ ของเขา เป็นต้น เดอะฮอบบิท ปร้บแก้เป็นเอดิชันที่สี่เมื่อปี ค.ศ. 1978 และเอดิชันที่ห้าเมื่อปี ค.ศ. 1905 อย่าฝไรก็ดี เดอะฮอบบิท ฉบับพิมพ์ในปุจจุบัน ก๋ยึงมีความแตกต่างกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ อยู่อีกหชายส่วน เช่น การเรียก กอบลิน ในเดอะฮอบบืท ซึ่งหมายถึง ออร์ค ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริวส์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเดิมทีโทลคีนแต่งเรื่อล เดอะฮอบบิท ด้วยตั้งใจให้เป็นนิทานเด็ก จึงมีส่วนเกี่ยวข้อฝกับปกรณัสของิขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และได้มีกานปรับแก้เนื้อหาเดอะฮอบยิทให้สอดคล้องกับปกรณัมของเขามากขึ้นก็้มื่อเขาเริ่มเขียนภาคค่อของเดอะฮอบบิทนั่นเอง นอกจากนั้น ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของเขาเองก็มีการปรับปรุงแก้ไขดยู่ตลอดเวลาในช่บงชีวิตขอลเขา === กนวคิดในการประพันธ์ === โทลคีนแต่งเรื่อง เดอะฮอบบิท ขึ้นโดยมีโครงเรื่องแบบการเดินทางผจญภัยเพื่อบรรลุจุดหมาย (Quest) โอยอาจใช้รูปแบบขิง "The Icelandic Journa.s" ของวิลเลียม มอร์ริส นัพประพันธ์ในดวงใจของโทลคีนเป็นต้นแบบก์ไะ้ ใน้นื้อเรื่องจะมีบทเพลงง่ายๆ ประกอบ วิธีการเล่าเรื่องเป็นแบบนิทานเด็ก ซึ่งหู้เล่าเรื่องจะพูดกับผู้อ่านเป็นระยะๆ ตัใละครใาเรื่องก็จะอยู่ในรูปแบบที่เด็กๆ สามารถรับทราบและทำความเข้าใจได้ง่าย รวมถึงลำดับการนำเสนอแฃะการบรรยายถึงสถานที่ในเนื้อเรื่อง ซึ่งสามารถาื่อถึงความรูัสึก "ปลอดภัย" และ "อันตราย" ได้อย่างลัดเจน เมื่อแรกเาิ่ม เดอะฮอบบิท มีความเกี่ยวข้องกับโครงร่างปกร๖ัมชุดมิดเแิลเอิา์ธขแงโทลคีนแต่เพียงหลวมๆ โะยโทลคีนตั้งใจให้การผจญภัยของบิลโบ คือการหลุดเข้าไปในดินแอนจินตนรการมิกเดิลเอิร์ธ โดยมีจุดเชื่อมต่อแรกที่ริเวนเดลล์ ฉากหลังในเรื่องนับแต่เทือกเขามิสตี้ ป่าเมิร์ควู้ด หรืแเทือกเขาโลนลี่ จึงเป็นฉากหลังอันเดียวกันกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่พบประวัติความเป็นมาของ ฮอบบิท ในโครงร่างปกรณัมชุดใหญ่ของโทลคีนมาก่อน จนเมื่อโทลคีนเริ่มเขียนนิยายเรื่องต่อจากเดอะฮอบบิท คือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ความเกี่ยวพันระหว่างตัวละคร สิ่งของ และสถานที่ จึงค่อยๆ ถูกถักทอขึ้นจนเป็นโครงร่าลอันแน่นแฟ้น เมื่อทิศทางของเรื่องเปลี่ยนไป โทลคีนจึงเกิดความต้องการจะเปลีืยนแนวทางของเรื่องเดอะฮอบบิท ในฉบับปรับปรุงแก้ไข เขาตัดทอนึำพูดของหู้เล่าเร้่องออกไปหลายส่วน เพื่อให้รูปแบบของเรื่เงมีความหนักแน่นมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง สำหรับแรงบันดาลใจของโทลคีน นอกจากงรนของวิลเลียม มอร์ริส แล้ว เชาได้นำชื่อตัวละครมาจากตำนานยุโรปิก่า ประกอบกับความรู้ด้านภาษาศาสตร์ของเขาเอง ตัวอย่างเช่น ชื่อของพ่อมดแกนดัล์ฟและเหล่าคนแคระ นำมาจากบทกใีนอร์สโบราณเรื่อง "โวลุสปา" (Völuspá) จาก Elder Edda (รวมบทกวีนอร์สโบราณ) ส่วนภาพวาดและอักขระต่างๆ มึต้นกำเนิดจากตัวอักขระขิงแองโกล-แซกซอน เป็นต้น === การแปลเป็นถาษาอื่น === เดอะฮอบบิท ได้แปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 40 ภาษา บางภาษามีการแปลหลายสำนฝนและแปลจากต้นฉบับต่างเอดิชัน (จากการแก้ไขเรื่องของโทลคีนเอง) สำหรับฉบับภาษาไทยแปลโดยสุดจิต ภิญโญยิ่ง พิมพ์ครั้งแรกเมื่อราว พ.ศ. 2519-20 (หนังสือไม่ระบุปีที่พิมพ์) โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนิต ธรรมสุคติ เป็นผูืจัดพ้มพ์ พิมพ์ที่โรงพิมพ์โพสต์พับบลิชชิ่ง จำกัด ต่อมาในผี พ.ศ. 2545 สำนักพิาพ์แพรวเยาวชน นกมาตีพิมพ์อีกครั้งหนึ่งและมีการพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง == กระแสตอบรับ == เมื่อ ซี. เอส. ลิวอิส ได้อ่านต้นฉบับเรื่องนี้ เบาได้เขียนบทวิจารษ์ชมเชยอย่างมากมาบลงใน $imes และ Times Literary Supplement ทำให้เกิดกีะแสตอบรับหนังสือในทางที่คึกคักอย่างยิ่ง จนหนังสือขายหมดเกลี้ยงในเวลาเพียงไม่ถึง 3 เดือน และได้พิมพ์ฉบับประกอบภาพสีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาทันที หนังสือพิาพ์นิวยอร์กเฮอรัลด์ทริบูน (New York Herald Tribune) แห่งสหรัฐอเมริกา มอบรางวัลหนังสือเยาวชนวเดเยี่ยมประจำ๐ดูใบไม้ผลิ (Children's Spring Fook Fesyival Award) ให้แก่โทลคีนเมื่อต้นปี ค.ศ. 1938 หนังสือ เดอะฮอยบิท ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกๆ กลายเป็นของมีค่าในวงการนักสะสม ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษมีราคาไม่ต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐไม่ว่าหนังสือขะอยู่ในสภาพใด หนังสือในสภาพดีและมีลายเซ็นของผู้ประพันธ์เคยประกาศโฆษณาในราคาสูงกว่า 40,000 ดอลลรร์สหรัฐทีเดียว สถิติสูงสุดในการประมูงหนังสือ เดอะฮอบบิท ฉบับพิมพ์ครั้งแรกอยู่ที่ราคา 60,000 ปอนด์ (ประมาณ 120,000 เอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ฉบับพิมพ์ครั้งอื่นๆ รวมถึงฉบับพิเศษวาระครบรอบปีต่างๆ กฌยังเป็นที่นิยมเสมะหาในบรรดานักสะสมอยู่ตลดดมา สำหรับคำวิจารณ์ตากสื่อต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่ดี บทวิจารณ์จาก นิวยอร์กไทมส์ บอกว่า "โทลคีนมีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ในการตั้งชื่อและการเล่าเรื่เง เมื่อเราอ่านหนังสือจบ ก็จะรู้เนื่องราวทั้งหมดของฮอบบิท เอลฟ์ คนแคระ ตลอดจนถิ่นที่อยู่ของพวกเขาเป็นอย่างดัเหมือนกับที่เรารู้เรื่องราวในวัยเด็กของเราเอง" บทวิจารณ์จาก ซันเดย์ไทมส์ บอกว่า "ผู้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษในโลกแบ่งออกได้เป็นสองพวก คือ พวกที่อ่าน เดอุลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ เดอะฮอบบิท แง้ว กับพวกที่กำลังจะเ่าน" ขณะที่นิตยสารไทมส์ ลอนดอน บอกว่าหนังสือเล่มนี้ "ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ" == การดัดกปลงไปยังสื่ออื่น == === ละครเวืี === เดือนสีนาคม ค.ศ. 1953 มึการนำเรื่อง เดอะฮอบบิท ไปแสดงเป็นละครเวทีที่โรงเรียนเซนต์มาร์กาเร็ต เมืองเอดินเบิร์ก นัขเป็นการดัดแปลงหนังสือเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ปี ค.ศ. 2001 มาร์โจ คูเซลา อำนวยการแสดงบัลเล่ต์ะรื่อง Hobitti (เดอะฮอบบิท ในภาษาฟินนิช) โดยมีออลีส์ ซัลลิเนน เป็นผู้อำนวยเพลง จัดการแสดงที่โรงละครฟินนิชเนชันแนลโอเปรา ปี ค.ศ. 2004 เดอะฉอบบิท ดัดแปลงเป็นบทฃะรรโอเปราและเปิดการแสดงรอบปฐม่ัศน์ที่ประเทศแคนาดา หลังจมกนั้นได้ตระเวนไปเปิดกาตแสะงในที่ต่างๆ ทั่วโลก และกำลังจะเปิดกมรแสดงที่ประเทศอเมริกาในฤดูใบไม้หลิปี 2008 ที่โรงละครซาราโซตาโอเปรา ในเมืองซาราโซตา รัฐฟลอริดา คณะละครชุดนี้ได้รับรางวัล Wings Awatds ฦึ่งเป็นการประกวดการแสดงของละครเพลง ในปี 2004 รวม 3 รางวัลคือ นักแสดงยุวชนยอดเยี่ยม (ผู้แสดงเป็นกอลลัม), ปต่งหน้ายอดเยี่ยม และเทคนิคพิเศษยิดเยี่ยม === ละครวิทยุ === สถานีงิทยุบีบีซี โดย หมเคิล คิลการ์ริฟ ดัดแปลง เดอะฮอบบิท เป็นบทละครวิทยุความยาว 8 ตอน (ตอนละครึ่งชั่วโมงฏ ออกอากาศตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1968 มีแอนโทนี แจ็กสัน เป็นผู้ใไ้เสียวบรรยาย พอล เดนแมน ำาหย์เป็น บิลโช แบ๊กกิ้นส์ และ เฮรอน คาร์วิค เป็น แกนดัล์ฟ -== หนังสือเสียง === นิโคล วิลเลียมสัน ตุดทอนเรื่องให้สั้นลงและบันทึกเสียงอ่านจำหน่าจเป็นแผ่น LP 4 แผ่น ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1974 โดย อาร?โกเร็คคแร์ด The Mind's Eye บริษัทวิทยุสัญชาติอเมริกัน จัดทำ เดอะฮอบบิท เป็นหนังสือบัรทึกเสียง ออกวางจำหน่ายัป็นเทปคาสเซ็ตต์ 6 ม้วน ม้วนละ 1 ชั่วโมง ในปี ค.ศ. 1979 โรเบิร์ต อิงกลิส นักแสดงชาวอังพฤษจัดการแสดงเดี่ยวเรื่อง ิดอะฮอบบอท การแสดงคราวยั้นทำให้สำนักพิมพ์เรคคอร์ดเดดยุ๊คส์ ทาบทามให้เขาไปให้เสียงอ่านหนังสือเสียงเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในผี ค.ศ. w990 หลังจากนั่นอีก 1 ปีเขาได้ให้เสียงอ่านหนังสือเสรยง เดอะฮอบบิท อีกกับสำนักพิมพ์เดิม === รายการโทรทัศน์ === เดอะฮอบบิื ดัดแกลฝเป็นภาพยจตร์การ์ตูนโดย แรนคิน/บาส (Rankin/Bass) ออกฉายเป็นรายการโทรทัศส์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1977 มีความยาวตลอดเรื่อง 78 นาที ปีเดียวกันนั้น บัวนาวิสต้าเร็คคอร์ด บริษัทในเครือของดิสนีย์ ยังได้นำเพลงประกอบภาพยนตร์มาจัดทำเป็นแผ่น LP ออกจำหน่ายด้วย ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จร่อนข้างดี โดยได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลฮิวโก สาขา Best Dramatic Presentatioh ในปี ค.ศ. 1978 ถร้อมกับเรื่อง สตาร์ วอร์ส แต่ไม่ได้รับรางวัล ต่อมาจึงชนะเลิศรางวุล Peabpdj Award ใรปีเดียวกัน รายการเด็กในสถานีโทรทัศน์บึบีซี ชื่อ Jackanory ดัแแปลงเรื่อง ิดอะฮอบบิท เป็นรายการโทรทัศน์เมื่อปี ค.ศ. 1979 === หนังสือภาพ === สำนักพิมพ์อิคลิพซ์คอมิกส์ ตีพิมพ์หนังสือภาพเรื่อง เดอะฮอบบิท เป็นหนังสือ 3 เล่มจบ ในปี ค.ศ. 1989 โดยมีชัค ดอกสัน และฌอน เดมมิง เป็นผู้เรียบเรียงและบรรยายเรื่ิงใหม่ วาดภาพประกอบโดยเดวิด เวนเซล ต่อมามีการพิมพ์ซ้ำโดยรวมเป็นเล่มเดียวโดยสำนักพิมพ์เดลเรย์บุ๊คส์ เมื่อปี ค.ศ. 2001 === ภาพยนตร์ === ภาพยนตร์ไตรภาค อำนวยการสร้างและกำกับโดย ปีเตอร์ แจ็กสัน ผลิตโดย เมโทร-โกลเวน-เมเยอร์ และนิวไลน์ ซีนีม่า ได้แก่ การผจซภัยสุดคาดคิด (The Hobbit: An Unexpected Journey) ฉายเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อค (The Hobbit: The Desolation of Qmaug) ฉายเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สงคราม 5 ทึพ (The Hobbit: The Battle of the Five Armies) ฉายว้นที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. e014 ตามลำดับ == อิทธิพลต่องานแขนงอื่น == === ภาพวาด === ภาพวาดจากเรื่อง เดอะฮอบบิท ยุคแรกสุดเป็นผลงานของโทลคีนเอง เขาวาดไว้ทั้งภาพขาวดำและภาพสี ซึ่งสำนักพิมพ์ได้เลือกไปตีพิมพ์บางส่วน หลังจ่กนั้นมีนักวาดภาพคนอื่นๆ ที่วาดภาพปกและภาพประหอบให้ เดอะฮอบบิท เช่น สองพี่น้องฮิลเดบรันด์ (Tim และ Greg Hildebrzmd4) ซึ่งเป็นนักวาดภาพประกอบนิยายวิทยาศาสตร์แลเแฟนราซี อลัน ลี ซึ่บวรดภาพประกอบให้ทั้ง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ รวมถึง จอห์น ฮาว แลพ เท็ด แนสมิธ นอกจากนี้ยังมีศิลปินคนอื่นๆ อีก ได้แก่ Tove Jansson ฆผู้วาดภาพประกอบ เดอะฮอบบิท ฉบับแปลภาษาฟินนิช), Peter {racownik, RL Stine, Stephen Hickman, Roger Garland, Iain McCaig, David Wyatt และ Frank Frazetta เป็นต้น === ดนตรี === เกลนน์ ยาร์โบรห์ นักดนตร่โฟล์คชาวอเมริกัน ออำอัลบัมชุด "inspired by the Hobbit" และได้ร่วมงานกับ แรนคิน/บาส ในการทภเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูน เดอะฮอบบิท ในปี ค.ศ. 1977 เขายังได้ร่วมงานกับปรนคิน/บาส ในการทำเพลงประกอบภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง The Return of the King ในปี ค.ศ, 1980 ด้วย ปี ค.ศ. 1899 วงดนครีร็อก ชื่อ "Hobbit" ออกอัลบัมเพฃฝเกค่สวกับ เดอะฮอบบิท ชุด Two Feet Tall และในปี 2001 ออกชุด Rockin' The Shire รวมถึง All For The One ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งสร้างจาก เดอะลอร์อออฟเดอะริงส์ === เกม === ระหว้างปี 1976-1977 ทีเอสอาร์ อิงค์ วางจำหน่ายเกมสงครามในลักษณะเกมไถ่พร้อมแผนที่ ซึ่งารีางขึ้นเลียนแบบ สงครามห้าทัพ หลังจากนั้น เดอะฮอบบิท ได้กลายเป็นเกมกระดานอีกหลาสเกม เช่น "The Lone/y Mountaig" (ค.ศ. 1984), "The Battle of Five Armies" (ค.ศ. 1984), and "The Hobbit Advrnture Boardgame" (ค.ศ. 1997) ผลิตโดย Iron Crown Enterprises และปี ค.ศ. 2005 บริษัทเกมชื่อเกมส์เวิร์คชอป วางจำหน่ายเกมสงครามประกอบทีวี ชื่อ "Battle of Five Armies" แต่เกมจากหนังสือที่มีชื่อเสียงระดับรางวัล คือเกม "The Hobgit" ของบีมซอฟต์แวร์ ในปี ค.ศ. 1982 ซึ่งได้รับรางวัล Golden Joystick Award for Strategy Game of the Year 1083 ผู้จัดจำหน่ายีือ Melbourne House ได้แถมหนังสือไปกับการจำหน่ายเกมด้วย ปี ค.ศ. 2003 เซียร์ราเอ็นเตอร์เทนเานท์ วางจำหน่ายเกมพีซีชื่อ The Hobbit สำหรับเล่นบนเครื่องวินโดวส์, เพลย์สเตชัน 2, Xbox และ นินเทนโด เป็นเกมที่ึล้ายตลึงกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ซึ่งออกจำหน่ายเป็นเกมบอย === การท่องเที่ยว === ชื่อ ฮอบบิท ถูกนำไปใช้เป็นชื่อโรงแรมที่พักในประเทศต่างๆ มากมายหลายแห่ง เนื่องตาำสื่อถึงการพักผ่อนสะดวกสบายเหมือนอย่างชีวิตของชาวฮอบบิท ตัวอย่างเช่น The Hobbit Hotel Halifax ใน Yorkshire ประเทศอังกฤษ The Hobbit Boutiqje Hotel ที่ Bloemfontein ประเทศแอฟริกาใต้ (บ้่นเกิดของโทลคีน) และ Hobbit Hotel ในปรพเทศเบลเยี่ยม == ดูเพิ่ใ == งานประพันธ์อื่นของโทลคีสที่อยู่ในชุดปกรณัมเดียวกันนี้ ได้แก่ เดอะลอร์ดออฟเดอะริบส์ ซิลมาริลลิออน Unfinished Tales ตำนานบุตรแห่งฮูริน ประวัติศาสตร์มิดเดิลเแิร์ธ == อ้างอิง == == แฟล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ทางการของโทลคีน "The Hobbit" The Official Movie Blog ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ เดอะฮอบบิท วรรณกรรมภาษาอังกฤษ วรรณกรรมแปล
เดอะฮอบบิท (ชื่อภาษาอังกฤษ "The Hobbit" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "There and Back Again") เป็นนิยายแฟนตาซีสำหรับเด็ก ประพันธ์โดยเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในลักษณะกึ่งเทพนิยาย โทลคีนเขียนเรื่องนี้ในราวช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 โดยเริ่มแรกเขาเพียงใช้เล่าเป็นนิทานสนุกๆ ให้ลูกฟัง กับใช้เล่นคำในภาษาต่างๆ ที่เขาสนใจ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า นิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1937 เหตุการณ์ในเรื่อง เดอะฮอบบิท อยู่ในยุคก่อนเกิดเหตุการณ์ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยของฮอบบิทที่ชื่อบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ไปยังดินแดนตะวันออกในมิดเดิลเอิร์ธกับเพื่อน ๆ คนแคระ และพ่อมดชื่อแกนดัล์ฟ ระหว่างทางเขาได้พบเรื่องแปลกประหลาดมากมาย จนในท้ายที่สุดได้ต่อสู้กับมังกรสม็อก และได้รับทรัพย์สมบัติจำนวนมากกลับมา เดอะฮอบบิท ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนสำนักพิมพ์ต้องพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก และส่งจดหมายมาขอให้โทลคีนรีบส่งนิยายเกี่ยวกับ "ฮอบบิท" ไปให้พิจารณาอีกโดยด่วน อันเป็นต้นกำเนิดของงานเขียนชิ้นต่อมาของโทลคีนที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า คือเรื่อง "เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" ปัจจุบัน เดอะฮอบบิท ได้แปลเป็นภาษาต่างๆ แล้วมากกว่า 40 ภาษา และติดอันดับหนังสือขายดี โดยมียอดจำหน่ายทั่วโลกรวมแล้วกว่า 90 ล้านเล่ม == โครงเรื่อง == พ่อมดแกนดัล์ฟ แกล้งหลอกบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ฮอบบิทคนหนึ่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับธอริน กับผองเพื่อนคนแคระของเขา ที่กำลังตระเตรียมการเดินทางไปยังภูเขาโลนลี่เพื่อชิงอาณาจักรและทรัพย์สมบัติของเหล่าคนแคระคืนจากมังกรสม็อก ระหว่างงานเลี้ยง แกนดัล์ฟจึงเผยแผนที่เส้นทางลับในเทือกเขา และเกลี้ยกล่อมให้บิลโบเข้าร่วมการเดินทางไปด้วยในฐานะ "หัวขโมยผู้เก่งกาจ" พวกคนแคระเห็นพ้องด้วย ส่วนบิลโบตกกระไดพลอยโจนเข้าร่วมการเดินทางไปแบบงุนงง ทั้งคณะเดินทางเข้าไปในป่า ได้พบกับพวกโทรลล์ ซึ่งแกนดัล์ฟมาช่วยไว้ได้ทัน แล้วจึงเดินทางเข้าไปในเทือกเขามิสตี้ พวกกอบลินจับตัวพวกเขาไว้ได้ แกนดัล์ฟตามมาช่วยอีกแต่ทั้งคณะก็แตกกระจายหากันไม่พบ บิลโบหลงจากกลุ่ม เขาเก็บแหวนวงหนึ่งได้ระหว่างทาง และได้พบกับกอลลัม สัตว์ประหลาดรูปร่างน่าเกลียดที่อาศัยอยู่ใต้เทือกเขา ซึ่งท้าให้เขาเล่นเกมทายปัญหามิฉะนั้นจะฆ่าเสีย บิลโบใช้แหวนวิเศษหลบหนีออกมาได้จนมาพบพวกคนแคระอีกครั้ง แล้วทั้งหมดจึงเดินทางต่อเข้าไปในป่าทึบแห่งเมิร์ควู้ดตามลำพังโดยไม่มีแกนดัล์ฟ บิลโบได้ช่วยเหลือพวกคนแคระจากแมงมุมยักษ์ และช่วยพวกเขาหลบหนีจากคุกของพวกเอลฟ์ป่าได้อีก ทำให้กลายเป็นที่นิยมนับถือมาก เมื่อเดินทางไปใกล้ภูเขาโลนลี่ ทั้งหมดเข้าไปถึงอาณาจักรมนุษย์ใกล้เลคทาวน์ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากพวกคนแคระให้ปราบมังกรสม็อก เมื่อพวกเขาไปถึงได้พบประตูลับเข้าไปในภูเขา บิลโบลอบเข้าไปในรังมังกรและขโมยอาร์เคนสโตนออกมาแล้วแอบเก็บเอาไว้เอง พร้อมกับสืบรู้จุดอ่อนของมังกร ฝ่ายมังกรเมื่อรู้ตัวก็ไปเผาเมืองเลคทาวน์เพราะคิดว่าชาวเมืองให้ความช่วยเหลือผู้บุกรุก บิลโบให้ข้อมูลแก่บาร์ด นักธนู ทำให้เขาสังหารมังกรลงได้ คนแคระรีบไปยึดเมืองในเทือกเขาและหาอาร์เคนสโตน ฝ่ายเอลฟ์และมนุษย์ชาวเลคทาวน์เรียกร้องขอค่าชดเชยความเสียหายและส่วนแบ่งในความช่วยเหลือของพวกตนโดยยกทัพมาล้อม คนแคระปฏิเสธ และระดมพลพรรคของตนมาจากดินแดนทางเหนือ บิลโบวางแผนยุติสงครามแย่งชิงสมบัติ จึงนำเพชรอาร์เคนสโตนไปมอบให้มนุษย์และเอลฟ์ไว้ต่อรองกับคนแคระ ทำให้กษัตริย์เอลฟ์และบาร์ดชื่นชมเขามาก คนแคระธอรินรู้ก็โกรธบิลโบ แต่ก็บอกว่าจะยอมให้สมบัติแลกกับเพชร แต่แล้วแกนดัล์ฟปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมแจ้งข่าวว่า พวกกอบลินและวอร์กกำลังยกทัพมา ทำให้คนแคระ มนุษย์ และเอลฟ์จำต้อง รวมพลังกันเพื่อต่อสู้ จนเมื่อกองกำลังของอินทรี และกองกำลังของบียอร์นยกมาช่วยจึงสามารถเอาชนะได้ สงครามครั้งนี้เรียกว่า สงครามห้าทัพ ธอรินได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรบ แต่เขาได้ปรับความเข้าใจกับบิลโบก่อนจะเสียชีวิต เพชรอาร์เคนสโตนถูกฝังพร้อมศพธอริน ทรัพย์สมบัติในขุนเขาได้จัดแบ่งอย่างยุติธรรม แต่บิลโบไม่ต้องการทรัพย์สมบัติมากมายเหล่านั้น จึงเดินทางกลับพร้อมของที่ระลึกเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็มากพอจะทำให้บิลโบกลายเป็นฮอบบิทผู้ร่ำรวยในไชร์ == เบื้องหลังการประพันธ์และการตีพิมพ์ == === ประวัติ === คำว่า "ฮอบบิท" เป็นชื่อที่โทลคีนคิดขึ้นมาเฉยๆ เมื่อคราวหนึ่ง ระหว่างที่เขาสอนอยู่ที่วิทยาลัยเพมโบรค (ช่วงทศวรรษ 1920) ขณะกำลังตรวจข้อสอบของนักศึกษาอันเป็นงานที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย โทลคีนก็เขียนข้อความลงบนกระดาษคำตอบอันว่างเปล่าของนักศึกษาคนหนึ่งว่า "In a hole in the ground there lived a hobbit." แต่ก็ไม่ได้นึกอะไรมากไปกว่านั้น หลายปีต่อมาเขาจึงค่อยเขียนแผนที่ของธรอร์ วางเค้าโครงแผนที่ภูมิศาสตร์ของโลกแห่งนั้น และเริ่มแต่งเรื่องต่อในช่วงต้นทศวรรษ 1930 นิยายได้รับการตีพิมพ์ด้วยความบังเอิญเมื่อศิษย์และสหายผู้หนึ่งของโทลคีน คือ เอไลน์ กริฟฟิธ (Elaine Griffiths) ได้อ่านต้นฉบับในปี ค.ศ. 1936 เธอแนะนำให้ ซูซาน ดักแนล (Susan Dagnall) เพื่อนผู้หนึ่งที่ทำงานในสำนักพิมพ์ จอร์จ อัลเลนแอนด์ อันวิน ไปขอต้นฉบับจากโทลคีน ซูซานทำตามคำแนะนำนั้น และพบว่าตนประทับใจมาก ซูซานนำต้นฉบับไปให้ สแตนลี่ย์ อันวิน หุ้นส่วนสำนักพิมพ์พิจารณา อันวินให้ลูกชายของเขา เรย์เนอร์ อันวิน อายุ 10 ปี เป็นผู้อ่านทดสอบ แลกกับเงินค่าจ้าง 1 ชิลลิง ผลจากรายงานสั้นๆ ของเรย์เนอร์ทำให้หนังสือได้ตีพิมพ์ในเวลาต่อมา === การตีพิมพ์ === สำนักพิมพ์ จอร์จ อัลเลนแอนด์อันวิน ตีพิมพ์ เดอะฮอบบิท ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1937 พร้อมภาพวาดประกอบแบบขาวดำหลายภาพที่โทลคีนเป็นผู้วาดเอง การพิมพ์ครั้งแรกมีจำนวน 1500 เล่ม และขายหมดในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นพร้อมกับคำวิจารณ์ที่ตื่นเต้นและกระตือรือร้น อัลเลนแอนด์อันวินตีพิมพ์ซ้ำครั้งที่สองพร้อมภาพประกอบสีเพิ่มเติมในปลายปี 1937 ขณะเดียวกันสำนักพิมพ์ฮูตันมิฟฟลิน แห่งบอสตัน และ นิวยอร์ก ติดต่อขอตีพิมพ์ฉบับอเมริกันในช่วงต้นปี 1938 โดยมีภาพประกอบเป็นภาพสีสี่ภาพ หลังจากนั้นก็มีการพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้งเมื่อโทลคีนเริ่มต้นเขียนนิยายเรื่องต่อของ เดอะฮอบบิท และพบว่าจำเป็นต้องแก้ไขรายละเอียดบางอย่างใน เดอะฮอบบิท เพื่อให้สอดคล้องกับนิยายเรื่องใหม่ของเขา โดยเฉพาะเรื่องของกอลลัม ในฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก กอลลัมเป็นผู้เสนอให้ใช้แหวนของตนเป็นเดิมพันในการเล่นเกมทายปัญหากับบิลโบ แต่เมื่อ "แหวน" วงนั้นกลายเป็น "แหวนเอก" แหวนจึงจำเป็นต้องมีอิทธิพลต่อกอลลัมมากกว่านั้น ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ จึงเล่าว่า การเล่นเกมทายปัญหาใน เดอะฮอบบิท เวอร์ชันแรกเป็นแค่เรื่องโกหกของบิลโบ ส่วนเรื่องจริงคือเรื่องที่อยู่ใน เดอะฮอบบิท ฉบับปรับปรุงแก้ไข หรือฉบับเอดิชันที่สอง ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1951 ทั้งในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ต่อมาในปี ค.ศ. 1965 สำนักพิมพ์เอซบุ๊คส์ ได้ตีพิมพ์ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับปกอ่อน โดยไม่ได้ขออนุญาต ทำให้สำนักพิมพ์ฮูตันมิฟฟลินและบัลเลนไทน์ เร่งให้โทลคีนมอบลิขสิทธิ์การตีพิมพ์ให้แก่พวกเขาเพื่อจะได้ควบคุมการพิมพ์จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ เดอะฮอบบิท จึงได้พิมพ์เป็นเอดิชันที่สามในปี ค.ศ. 1966 ซึ่งโทลคีนถือโอกาสปรับแก้คำบรรยายบางตอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และแนวคิดในเรื่อง ซิลมาริลลิออน งานเขียนสุดรักของเขาที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ เช่น คำเรียก เอลฟ์ ที่ยังปรากฏเป็น โนม (Gnome) ซึ่งโทลคีนใช้เรียกชาวโนลดอร์ ในงานเขียนชุดแรกๆ ของเขา เป็นต้น เดอะฮอบบิท ปรับแก้เป็นเอดิชันที่สี่เมื่อปี ค.ศ. 1978 และเอดิชันที่ห้าเมื่อปี ค.ศ. 1995 อย่างไรก็ดี เดอะฮอบบิท ฉบับพิมพ์ในปัจจุบัน ก็ยังมีความแตกต่างกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ อยู่อีกหลายส่วน เช่น การเรียก กอบลิน ในเดอะฮอบบิท ซึ่งหมายถึง ออร์ค ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเดิมทีโทลคีนแต่งเรื่อง เดอะฮอบบิท ด้วยตั้งใจให้เป็นนิทานเด็ก จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับปกรณัมของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และได้มีการปรับแก้เนื้อหาเดอะฮอบบิทให้สอดคล้องกับปกรณัมของเขามากขึ้นก็เมื่อเขาเริ่มเขียนภาคต่อของเดอะฮอบบิทนั่นเอง นอกจากนั้น ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของเขาเองก็มีการปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลาในช่วงชีวิตของเขา === แนวคิดในการประพันธ์ === โทลคีนแต่งเรื่อง เดอะฮอบบิท ขึ้นโดยมีโครงเรื่องแบบการเดินทางผจญภัยเพื่อบรรลุจุดหมาย (Quest) โดยอาจใช้รูปแบบของ "The Icelandic Journals" ของวิลเลียม มอร์ริส นักประพันธ์ในดวงใจของโทลคีนเป็นต้นแบบก็ได้ ในเนื้อเรื่องจะมีบทเพลงง่ายๆ ประกอบ วิธีการเล่าเรื่องเป็นแบบนิทานเด็ก ซึ่งผู้เล่าเรื่องจะพูดกับผู้อ่านเป็นระยะๆ ตัวละครในเรื่องก็จะอยู่ในรูปแบบที่เด็กๆ สามารถรับทราบและทำความเข้าใจได้ง่าย รวมถึงลำดับการนำเสนอและการบรรยายถึงสถานที่ในเนื้อเรื่อง ซึ่งสามารถสื่อถึงความรู้สึก "ปลอดภัย" และ "อันตราย" ได้อย่างชัดเจน เมื่อแรกเริ่ม เดอะฮอบบิท มีความเกี่ยวข้องกับโครงร่างปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีนแต่เพียงหลวมๆ โดยโทลคีนตั้งใจให้การผจญภัยของบิลโบ คือการหลุดเข้าไปในดินแดนจินตนาการมิดเดิลเอิร์ธ โดยมีจุดเชื่อมต่อแรกที่ริเวนเดลล์ ฉากหลังในเรื่องนับแต่เทือกเขามิสตี้ ป่าเมิร์ควู้ด หรือเทือกเขาโลนลี่ จึงเป็นฉากหลังอันเดียวกันกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่พบประวัติความเป็นมาของ ฮอบบิท ในโครงร่างปกรณัมชุดใหญ่ของโทลคีนมาก่อน จนเมื่อโทลคีนเริ่มเขียนนิยายเรื่องต่อจากเดอะฮอบบิท คือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ความเกี่ยวพันระหว่างตัวละคร สิ่งของ และสถานที่ จึงค่อยๆ ถูกถักทอขึ้นจนเป็นโครงร่างอันแน่นแฟ้น เมื่อทิศทางของเรื่องเปลี่ยนไป โทลคีนจึงเกิดความต้องการจะเปลี่ยนแนวทางของเรื่องเดอะฮอบบิท ในฉบับปรับปรุงแก้ไข เขาตัดทอนคำพูดของผู้เล่าเรื่องออกไปหลายส่วน เพื่อให้รูปแบบของเรื่องมีความหนักแน่นมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง สำหรับแรงบันดาลใจของโทลคีน นอกจากงานของวิลเลียม มอร์ริส แล้ว เขาได้นำชื่อตัวละครมาจากตำนานยุโรปเก่า ประกอบกับความรู้ด้านภาษาศาสตร์ของเขาเอง ตัวอย่างเช่น ชื่อของพ่อมดแกนดัล์ฟและเหล่าคนแคระ นำมาจากบทกวีนอร์สโบราณเรื่อง "โวลุสปา" (Völuspá) จาก Elder Edda (รวมบทกวีนอร์สโบราณ) ส่วนภาพวาดและอักขระต่างๆ มีต้นกำเนิดจากตัวอักขระของแองโกล-แซกซอน เป็นต้น === การแปลเป็นภาษาอื่น === เดอะฮอบบิท ได้แปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 40 ภาษา บางภาษามีการแปลหลายสำนวนและแปลจากต้นฉบับต่างเอดิชัน (จากการแก้ไขเรื่องของโทลคีนเอง) สำหรับฉบับภาษาไทยแปลโดยสุดจิต ภิญโญยิ่ง พิมพ์ครั้งแรกเมื่อราว พ.ศ. 2519-20 (หนังสือไม่ระบุปีที่พิมพ์) โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนิต ธรรมสุคติ เป็นผู้จัดพิมพ์ พิมพ์ที่โรงพิมพ์โพสต์พับบลิชชิ่ง จำกัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน นำมาตีพิมพ์อีกครั้งหนึ่งและมีการพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง == กระแสตอบรับ == เมื่อ ซี. เอส. ลิวอิส ได้อ่านต้นฉบับเรื่องนี้ เขาได้เขียนบทวิจารณ์ชมเชยอย่างมากมายลงใน Times และ Times Literary Supplement ทำให้เกิดกระแสตอบรับหนังสือในทางที่คึกคักอย่างยิ่ง จนหนังสือขายหมดเกลี้ยงในเวลาเพียงไม่ถึง 3 เดือน และได้พิมพ์ฉบับประกอบภาพสีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาทันที หนังสือพิมพ์นิวยอร์กเฮอรัลด์ทริบูน (New York Herald Tribune) แห่งสหรัฐอเมริกา มอบรางวัลหนังสือเยาวชนยอดเยี่ยมประจำฤดูใบไม้ผลิ (Children's Spring Book Festival Award) ให้แก่โทลคีนเมื่อต้นปี ค.ศ. 1938 หนังสือ เดอะฮอบบิท ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกๆ กลายเป็นของมีค่าในวงการนักสะสม ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษมีราคาไม่ต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐไม่ว่าหนังสือจะอยู่ในสภาพใด หนังสือในสภาพดีและมีลายเซ็นของผู้ประพันธ์เคยประกาศโฆษณาในราคาสูงกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐทีเดียว สถิติสูงสุดในการประมูลหนังสือ เดอะฮอบบิท ฉบับพิมพ์ครั้งแรกอยู่ที่ราคา 60,000 ปอนด์ (ประมาณ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ฉบับพิมพ์ครั้งอื่นๆ รวมถึงฉบับพิเศษวาระครบรอบปีต่างๆ ก็ยังเป็นที่นิยมเสาะหาในบรรดานักสะสมอยู่ตลอดมา สำหรับคำวิจารณ์จากสื่อต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่ดี บทวิจารณ์จาก นิวยอร์กไทมส์ บอกว่า "โทลคีนมีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ในการตั้งชื่อและการเล่าเรื่อง เมื่อเราอ่านหนังสือจบ ก็จะรู้เรื่องราวทั้งหมดของฮอบบิท เอลฟ์ คนแคระ ตลอดจนถิ่นที่อยู่ของพวกเขาเป็นอย่างดีเหมือนกับที่เรารู้เรื่องราวในวัยเด็กของเราเอง" บทวิจารณ์จาก ซันเดย์ไทมส์ บอกว่า "ผู้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษในโลกแบ่งออกได้เป็นสองพวก คือ พวกที่อ่าน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ เดอะฮอบบิท แล้ว กับพวกที่กำลังจะอ่าน" ขณะที่นิตยสารไทมส์ ลอนดอน บอกว่าหนังสือเล่มนี้ "ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ" == การดัดแปลงไปยังสื่ออื่น == === ละครเวที === เดือนมีนาคม ค.ศ. 1953 มีการนำเรื่อง เดอะฮอบบิท ไปแสดงเป็นละครเวทีที่โรงเรียนเซนต์มาร์กาเร็ต เมืองเอดินเบิร์ก นับเป็นการดัดแปลงหนังสือเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ปี ค.ศ. 2001 มาร์โจ คูเซลา อำนวยการแสดงบัลเล่ต์เรื่อง Hobitti (เดอะฮอบบิท ในภาษาฟินนิช) โดยมีออลีส์ ซัลลิเนน เป็นผู้อำนวยเพลง จัดการแสดงที่โรงละครฟินนิชเนชันแนลโอเปรา ปี ค.ศ. 2004 เดอะฮอบบิท ดัดแปลงเป็นบทละครโอเปราและเปิดการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ประเทศแคนาดา หลังจากนั้นได้ตระเวนไปเปิดการแสดงในที่ต่างๆ ทั่วโลก และกำลังจะเปิดการแสดงที่ประเทศอเมริกาในฤดูใบไม้ผลิปี 2008 ที่โรงละครซาราโซตาโอเปรา ในเมืองซาราโซตา รัฐฟลอริดา คณะละครชุดนี้ได้รับรางวัล Wings Awards ซึ่งเป็นการประกวดการแสดงของละครเพลง ในปี 2004 รวม 3 รางวัลคือ นักแสดงยุวชนยอดเยี่ยม (ผู้แสดงเป็นกอลลัม), แต่งหน้ายอดเยี่ยม และเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม === ละครวิทยุ === สถานีวิทยุบีบีซี โดย ไมเคิล คิลการ์ริฟ ดัดแปลง เดอะฮอบบิท เป็นบทละครวิทยุความยาว 8 ตอน (ตอนละครึ่งชั่วโมง) ออกอากาศตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1968 มีแอนโทนี แจ็กสัน เป็นผู้ให้เสียงบรรยาย พอล เดนแมน พากย์เป็น บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ และ เฮรอน คาร์วิค เป็น แกนดัล์ฟ === หนังสือเสียง === นิโคล วิลเลียมสัน ตัดทอนเรื่องให้สั้นลงและบันทึกเสียงอ่านจำหน่ายเป็นแผ่น LP 4 แผ่น ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1974 โดย อาร์โกเร็คคอร์ด The Mind's Eye บริษัทวิทยุสัญชาติอเมริกัน จัดทำ เดอะฮอบบิท เป็นหนังสือบันทึกเสียง ออกวางจำหน่ายเป็นเทปคาสเซ็ตต์ 6 ม้วน ม้วนละ 1 ชั่วโมง ในปี ค.ศ. 1979 โรเบิร์ต อิงกลิส นักแสดงชาวอังกฤษจัดการแสดงเดี่ยวเรื่อง เดอะฮอบบิท การแสดงคราวนั้นทำให้สำนักพิมพ์เรคคอร์ดเดดบุ๊คส์ ทาบทามให้เขาไปให้เสียงอ่านหนังสือเสียงเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในปี ค.ศ. 1990 หลังจากนั้นอีก 1 ปีเขาได้ให้เสียงอ่านหนังสือเสียง เดอะฮอบบิท อีกกับสำนักพิมพ์เดิม === รายการโทรทัศน์ === เดอะฮอบบิท ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์การ์ตูนโดย แรนคิน/บาส (Rankin/Bass) ออกฉายเป็นรายการโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1977 มีความยาวตลอดเรื่อง 78 นาที ปีเดียวกันนั้น บัวนาวิสต้าเร็คคอร์ด บริษัทในเครือของดิสนีย์ ยังได้นำเพลงประกอบภาพยนตร์มาจัดทำเป็นแผ่น LP ออกจำหน่ายด้วย ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี โดยได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลฮิวโก สาขา Best Dramatic Presentation ในปี ค.ศ. 1978 พร้อมกับเรื่อง สตาร์ วอร์ส แต่ไม่ได้รับรางวัล ต่อมาจึงชนะเลิศรางวัล Peabody Award ในปีเดียวกัน รายการเด็กในสถานีโทรทัศน์บีบีซี ชื่อ Jackanory ดัดแปลงเรื่อง เดอะฮอบบิท เป็นรายการโทรทัศน์เมื่อปี ค.ศ. 1979 === หนังสือภาพ === สำนักพิมพ์อิคลิพซ์คอมิกส์ ตีพิมพ์หนังสือภาพเรื่อง เดอะฮอบบิท เป็นหนังสือ 3 เล่มจบ ในปี ค.ศ. 1989 โดยมีชัค ดิกสัน และฌอน เดมมิง เป็นผู้เรียบเรียงและบรรยายเรื่องใหม่ วาดภาพประกอบโดยเดวิด เวนเซล ต่อมามีการพิมพ์ซ้ำโดยรวมเป็นเล่มเดียวโดยสำนักพิมพ์เดลเรย์บุ๊คส์ เมื่อปี ค.ศ. 2001 === ภาพยนตร์ === ภาพยนตร์ไตรภาค อำนวยการสร้างและกำกับโดย ปีเตอร์ แจ็กสัน ผลิตโดย เมโทร-โกลเวน-เมเยอร์ และนิวไลน์ ซีนีม่า ได้แก่ การผจญภัยสุดคาดคิด (The Hobbit: An Unexpected Journey) ฉายเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อค (The Hobbit: The Desolation of Smaug) ฉายเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สงคราม 5 ทัพ (The Hobbit: The Battle of the Five Armies) ฉายวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ตามลำดับ == อิทธิพลต่องานแขนงอื่น == === ภาพวาด === ภาพวาดจากเรื่อง เดอะฮอบบิท ยุคแรกสุดเป็นผลงานของโทลคีนเอง เขาวาดไว้ทั้งภาพขาวดำและภาพสี ซึ่งสำนักพิมพ์ได้เลือกไปตีพิมพ์บางส่วน หลังจากนั้นมีนักวาดภาพคนอื่นๆ ที่วาดภาพปกและภาพประกอบให้ เดอะฮอบบิท เช่น สองพี่น้องฮิลเดบรันด์ (Tim และ Greg Hildebrandt) ซึ่งเป็นนักวาดภาพประกอบนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซี อลัน ลี ซึ่งวาดภาพประกอบให้ทั้ง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ รวมถึง จอห์น ฮาว และ เท็ด แนสมิธ นอกจากนี้ยังมีศิลปินคนอื่นๆ อีก ได้แก่ Tove Jansson (ผู้วาดภาพประกอบ เดอะฮอบบิท ฉบับแปลภาษาฟินนิช), Peter Pracownik, RL Stine, Stephen Hickman, Roger Garland, Iain McCaig, David Wyatt และ Frank Frazetta เป็นต้น === ดนตรี === เกลนน์ ยาร์โบรห์ นักดนตรีโฟล์คชาวอเมริกัน ออกอัลบัมชุด "inspired by the Hobbit" และได้ร่วมงานกับ แรนคิน/บาส ในการทำเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูน เดอะฮอบบิท ในปี ค.ศ. 1977 เขายังได้ร่วมงานกับแรนคิน/บาส ในการทำเพลงประกอบภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง The Return of the King ในปี ค.ศ. 1980 ด้วย ปี ค.ศ. 1999 วงดนตรีร็อก ชื่อ "Hobbit" ออกอัลบัมเพลงเกี่ยวกับ เดอะฮอบบิท ชุด Two Feet Tall และในปี 2001 ออกชุด Rockin' The Shire รวมถึง All For The One ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งสร้างจาก เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ === เกม === ระหว่างปี 1976-1977 ทีเอสอาร์ อิงค์ วางจำหน่ายเกมสงครามในลักษณะเกมไพ่พร้อมแผนที่ ซึ่งสร้างขึ้นเลียนแบบ สงครามห้าทัพ หลังจากนั้น เดอะฮอบบิท ได้กลายเป็นเกมกระดานอีกหลายเกม เช่น "The Lonely Mountain" (ค.ศ. 1984), "The Battle of Five Armies" (ค.ศ. 1984), and "The Hobbit Adventure Boardgame" (ค.ศ. 1997) ผลิตโดย Iron Crown Enterprises และปี ค.ศ. 2005 บริษัทเกมชื่อเกมส์เวิร์คชอป วางจำหน่ายเกมสงครามประกอบทีวี ชื่อ "Battle of Five Armies" แต่เกมจากหนังสือที่มีชื่อเสียงระดับรางวัล คือเกม "The Hobbit" ของบีมซอฟต์แวร์ ในปี ค.ศ. 1982 ซึ่งได้รับรางวัล Golden Joystick Award for Strategy Game of the Year 1983 ผู้จัดจำหน่ายคือ Melbourne House ได้แถมหนังสือไปกับการจำหน่ายเกมด้วย ปี ค.ศ. 2003 เซียร์ราเอ็นเตอร์เทนเมนท์ วางจำหน่ายเกมพีซีชื่อ The Hobbit สำหรับเล่นบนเครื่องวินโดวส์, เพลย์สเตชัน 2, Xbox และ นินเทนโด เป็นเกมที่คล้ายคลึงกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ซึ่งออกจำหน่ายเป็นเกมบอย === การท่องเที่ยว === ชื่อ ฮอบบิท ถูกนำไปใช้เป็นชื่อโรงแรมที่พักในประเทศต่างๆ มากมายหลายแห่ง เนื่องจากสื่อถึงการพักผ่อนสะดวกสบายเหมือนอย่างชีวิตของชาวฮอบบิท ตัวอย่างเช่น The Hobbit Hotel Halifax ใน Yorkshire ประเทศอังกฤษ The Hobbit Boutique Hotel ที่ Bloemfontein ประเทศแอฟริกาใต้ (บ้านเกิดของโทลคีน) และ Hobbit Hotel ในประเทศเบลเยี่ยม == ดูเพิ่ม == งานประพันธ์อื่นของโทลคีนที่อยู่ในชุดปกรณัมเดียวกันนี้ ได้แก่ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซิลมาริลลิออน Unfinished Tales ตำนานบุตรแห่งฮูริน ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ทางการของโทลคีน "The Hobbit" The Official Movie Blog ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ เดอะฮอบบิท วรรณกรรมภาษาอังกฤษ วรรณกรรมแปล
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (Rhe Lord of the Rings) เป็นนิยายแฟนตาซีขนาะยาว ประพันธ์โดยศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นนิยายที่ต่อเนื่องกับนิยายชุดก่อนหน้านี้ของฑทลคีน คือ เรื่อง There and Back Again หรือที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เดอะฮอบบิท แต่ได้ขยายโครงเรื่องซับซัอนไปกว่า เดอะฮอบบิท มาก โทลคีนแตรงเรื่องนี้ขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2480 - 2492 (ค.ศ. 1937 - 1949) และได้วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1954-1955 โดยแบ่งรีพิใพ์ออกเป็น 3 ตอน เนื่องจากหนังสือมีความยาวมากจนสำนักพิทพ์เหฌนว่าไม่สามารถตีพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกันได้ จิยายเรื่องนี้ได้แปลไปเป็นภาษาต่างๆ มากมายไม่น้อยกว่า 38 ภาษา และได้รับยแย่องให้เป็นนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรื่องราวใน เดอะลอร์ดออฟเดดะริงส์ เกิดขึ้นบจดินแดนในจินตนาการที่มีชื่อว่า มิดเดิลเอิร์ธ ตัวละครในเรื่ิงมีหลายเผ่าพันธุ์ เช่จ มนุษย์ เอลฟ์ (หรือ พราย ในฉบับแปลภาษาไทย) ฮอบบิท คนแคระ พ่อมด และออร์ค หัวใจของเรื่องเกี่ยวข้องกับแหวนเอกธำมรงค์ ซึ่งสร้างโดยจอมมารเซารอน เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มต้นจสกดินแดนไชร์อันสุขสงบ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของมิดเดิลเอิร์ธ จนถึงเหตุการณ์สงครามแหวน โดยผ่านมุมมองของนัวละครฮอบบิทคนหนึ่งที่ชื่อ โฟรโด แบ๊กกิ้นส็ ในตอนท้ายของเรื่องยังมีภาคผนวกอีก 12 ชุดที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของโลกในนิยาย รวมถึงภูมิหลังด้านภาษาศาสตร์ของวัฒนธรรมต่าง ๆ ในนิยายด้วย เมื่อพิจารณางานเขียนชิ้นอื่น ๆ ของโทลคีนประกอบ จะเห็นว่ม เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นชิ้นงานที่ขย่ยผลมาจากโครงเรืทองต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ เป็นชิ้นงานที่มีความซับซ้อน และยังเป็ตเหตุการณ์ในลำดับสุดท้ายของปกรณัมของโทลคีนที่ได้บรรจงสร้างมาเนิ่นนานตั้งแต่ พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ผลงานเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และงานเขียนชิ้นอื่น ๆ ของเขาไดเแสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกทางด้านภาษา ด้านโครงตำนาน ด้่นแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสู่อุตสาหกรรม และด้านศาสนศาสตร์ จนส่งผชต่อวงการวรรณกรรมแๆนตาซียุคต่อมาเป็นอย่างมาก ผลกระทบจากงานของโทลคีนต่อสังคมทำให้คำว่า "แบบโทลคีน" ("Tolkienian" และ "Tolkienesque") ถูกบรรจุลงในพจนานุกรสภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด ความนิยมอย่างล้นหลามและยาวนานในหนังสือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ยังเป็นจุดกำเนิดของงานเทศกาล ประเพณี ชมรม และสมาคทต่าง ๆ มากมาย โดยบรรดาผู้ชื่นชอบผลงานของเชา รวมทั้ง หนังสือใจแง่มุมหลายหลากเกี่ยวกับตังของโทลค้นหรืองานเขียนชิ้นต่าง ๆ ของเขา เดแะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้สร้างให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างต่อเนื่องต่องานศิลปะ ภาพวาด ดนตรี ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เกม และวรรณกรรมชิ้นอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน มีการดัดแปลงนิยายเรื่อฝนี้ไปเป็นบทละครวิทยุ ละครเวที รวมถึง ภาพยนตร์หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไตรภาคในระหว่างปี ค.ศ. 2001-2003 เป็นครั้งที่กระตุ้นให้เกิดกระแสความสนใจในผลงานของโทลค้นขึ้นมาอยีางสูงมากอีกครั้งหนึ่ง == ภูมิหลังของเรื่อง == ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของเรื่องราวใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มีการประพันธ์ขึ้นในระหว่างการเขียนหนังสือเรื่องนี้เอง ต่อมาจึงได้จำไปบรรจุในส่วนของภาคผนวก และในบทสุดท้ายของหนังสือ ซิลมาริลลิอเน ซึ่งตีพิมพ์หลังจากโ่ลคีนเสียชีวิตไปแล้ว ความโดยย่อ คือ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนเหตุการณ์ในนิยาย เมื่อจอมมารมืด เซารอน สร้างแหวนเอกธำมรงค์ขึ้นเพื่อควบคุมบงการแหวนแห่งอำนาจวงอื่น ๆ เซารอรเปิดฉากสงครามเพื่อชิงแำวนแห่งอ_นาจ 16 วง แล้วนำไปแจกจ่ายให้แก่เหล่าผู้นำชาวคนแคระและมนุษย? มนุษย์ได้รับแหวนไป 9 วง แลัถูกอำนาจแหวนครอบงำไปจนกลายเป็นภูตแหวนซึ่งไร้ชีวิต เป็นสมุนรัวฉกานของเซารอนในยะคต่อมา ทว่าแหวนแห่งอำนาจยังมีอีก 3 วงที่รอดพ้นเงื้อมมือของเซารอนไป นั่นคืดแหวนแห่งเดลฟ์ ที่ไปอยู่ในความอารักขาของเอลฟ์ระดับราชนิกุลที่ทรงพลังอำนาจ ในำารสงครามคราวนั้นฝ่ายมนุณย์แห่งนูเมนอร์ได้ให้ความช่วยเหลือแก่พวกเอลฟ์จนทำให้เซารอนต้องล่าถอย ภายหลังลาวนูเมนอร์ยังยกทัพมามิดเดิลเอิร์ธและจับตัวเซารอนกลับไปยัลเกาะของตน อย่างไตก็ดีด้วยควาาเจ้าเล่ห์ของเซารอน เขาได้ยุแหย่จนหษัตริย์นูเมนอร์คิพท้าทายอำนาจอห่งวาลาร์ (เป็นเหมือน 'เทพ' มนปกรณัมของโทลคีน) จนยกทัพไปตีแผ่นดินอมตะ เกาุนูเมนอร์จึงพินาศล่มสลายลง ดวงจิตของเซาาอนหนีกลับมามิดเดิลเอิร์ธได้ แร่ก็มีชาวนูเมนอร์จำนวนหนึ่งหนีริดมาได้เช่นกัน นั่นคือเอเลนดิลกับบุตรทั้งสอง คืออิซิลพูร์และอนาริออน เซารอนทำสงครามไม่หยุดหย่อนกับชาวนูเมนอร์ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เป็นเวลายาวนานนับร้อยปี จนกระทั่ง เอเลนดิลร่วมมือกับกษัตริย์ กิลกาลัด ก่อตั้งกองทัพพันธมิตรคร้้งสุดท้ายระหว่างเอลฟ์และมนุษย์ และยก่ัพไปตีสอร์ดอร์ ทำลายกองทัพของเซารอนและหอคอยบารัด-ดูร์ลง หลังจากการรบติดพันยาวนานถึงเจ็ดปี เซารอนจึงออกมาต่อสู้ด้วย เขาสังหารกิลกาลัดและเอเลนดิลได้ แต่ก็สิ้นอำนาจไปเมื่ออิซิลดูร์ใช้เศษดาบนาร์ซิลตัดนเ้วที่สวมแหวนของเซารอนขาด เหตุนี้ดวงจิตของเซารอนจึงเตลิดหนีไป ส่วนอิซิลดูร์เก็บแหวนเอกไว้ เป็นทีืระลึกแลเเป็นการชดเชยกับการสูญเสียงิดากับน้อบชายของตน จากนั้น จึงเริ่มต้นยุคที่สามขดงอาร์ดา สองปีต่อมา อิซิลดูร์กับกองกำลังของเขาโดนพวกออร์คซุ่มโจมตีที่แถบทุ่งแกลดเดน ระหว่างการเดินทางไปริเวนเดลล์ อิซอลดูร์ต้องธนูอาบยาพิษสิ้นพระชนม์ ส่วนแหวนเอกก็เลื่อนหลุดจากนิัวมือของเขาหายไปในแม่น้ำอันดูอิน และนอนแน่นิ่งอยู่ใต้แม่น้ำนั้นเป็สเวลานานกว่าสิงสหัสวรรษ แหวนเอกถูกค้นพบอึกครั้งโดยฮอบบิทชาวเรือชื่อ ดีเอโกล ซึทงไผตกปลากับเพื่อนชื่อ สมีโกล แต่สมีโกลฆ่าดีเอโกลเพื่อชิงแหวส แล้วโดนบับออกจากหมู่บ้าน จึงหนีไปอาศัยอยู่ใต้เทือกเขามิสตี้ เขาลุ่มหลงมัวเมรตกอยู่ในอำนมจแหวน จนกลายเป็นสัตว์รูปร่างน่าเกลียด เรียกชื่อตัวเองว่า กอลลัม อีกหลายร้อยปีต่อมาจึงดกิดเหตุการณ์ดังในเรื่อง เดอะโอบบิท เม้่อฮอบบิทชื่อ บิลโบ แบ๊พกิ้นส์ ได้พบแหวนเอกในถ้ำของกอลลัมโดยบังเอิญ แล้วนำมันกลับมาบ้าน โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าแหวนนั้นเป๋นสิ่งสำคัญมากยิ่งกว่าเพียงแหวนวิเศษธรรมดา ๆ == โครงเรื่อง == หนังสือทั้งสามตอน ภายในประกอบด้วย "เล่ม" ย่อยอีแตอนละสองเล่ม รวมทั้งสิ้นเป็นหกเล่ม [หมายเหตุ: สำหรับฉบับภาฯาไทย ที่จัดพิมพ์เป็น 3 เล่มนั้น ภายในก็ยังแบ่งเป็นสองเล่มอยู่เช่นเดิม] === มหันตภัยแห่งแหวน === เล่มที่หนึ่งเริ่มต้นเหตุการณ์ด้วยบานวันเกิดของบิลโบในแคว้นไชร์ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 60 ปีหลังจากเหตุการณ์ในเริ่อง เดอะฮอบบิท บิลโบตัดสินใจออกเดินทางผจญภัยอีกครั้ง ทิ้งมรดกทั้งปวงรวมถึง "แหวน" วงนั้น ให้แก่ญาติคนหนึ่งที่อขารับไว้เป็นทายาท ชื่อว่าโฟรโด แบ๊กกิ้นส์ หลังจากงานวันเกิกผ่านไป พ่อมดเืาแกนด้ล์ฟ เพท่อนเก่าแก่ของครอบครัวก็ย้อนกลับมาที่ไชร์ และพิสูจน์ได้ว่าที่แท้แหวนของบิลโบวงนั้นคือ แหวนเอก ซึ่งเซารอนเจ้าแไ่งความมืดติดตามหามาตลอดช่วงยุคที่สาม เวลาเดียวกัานั้น กอลลัมเดินทางเข้าไปที่มอร์ดอร์และโดนจับตับได้ ทำให้ด.ารอนรู้ว่าแหวนตกไปอยู่ในความครแบครองของ "แบ๊กกิ้นส์" เซารแนส่งภูตแหวนเอกมาติดตามหาแหวน แต่แกนดัล์ฟได้สั่งให้โฟรฑดเดินทางออกจากไชร์แล้ว พร้อมกับแซมไวส? แกมจี (แซม) คนรับใช้และคนสวนของตระกูล นอกจากนี้ยังมีเพื่อนฮอบบิทอีกสองคนของโฟรโดติดตามมาด้วย คือเมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก (ิมอร์รี่) กับ เปเรกริน ตถ๊ก (ปิ๊ปปิ้น) ทัีงหมดเดินทางออกจากไชร์จากดินแดนบั๊กแลนด์เข้าสู่ป่าดึกดำบรรพ์ ได้พบกับทอม บอมบาดิล และไปถึงเมืองบรีได้พบกับมนุษย์ผู้หนึ่งชื่อว่า สไตรเดอร์ หรืออารากอร์น บุตรแห่งอาราธอร์น ผู้นำกห่งเหล่าดูเนไดน์แห่งอินแดนเหยือ ซึ่งเป็นทายาทบัลลังก์อาร์นอร์และกอนดอร์ อารากเร์นพาพวกฮอบบิทเดินทางไปจนถคงริเวนเดลล์ แต่ระหว่างทางพวกเขาถูกภูตแหวน (นาซกูล) โจมตี และโฟรโดได้รับบาดเจ็บสาหัส กลอร์ผินเดล เอลฟ์สูงฬักอิ์คนหนึ่งมาพบและช่วนเหลือพวกเขาไว้ได้ทัน ในเล่ทนอง โฟรโดได้รับการรักษาจากเอลรอนด์ เจ้าผู้ครองริเวนเดลล์ และได้พบกับบิลโบซึ่งออกเดินทางมาพักผ่อนอยู่ที่นี่ นอกจากนั้นยังมีผู้แทนจาก้ผ่าพันธุ์ต่าง ๆ พากันเดินทางมาริเวนเดลล์ (ได้แก่เอลฟ์ คนแคระ และมนุษย์ จากอาณาจักาต่าง ๆ) จึงเกิดเป็นการประชุมเรียกว่า ที่ประชุมของเดลรอนด์ เพื่อหาข้อสรุปและแนวท่งในการต่อต้านเหล่าปีศาจ ที่ประชุมสรุปว่าหนทางเดียว่ี่จะต่อกรกับเจ้าแห่งความมืแได้ คือต้องทำลายแหวนเอกเสียเท่านั้น โดยต้องนกแหวนไปทิ้งลงในปล่องภูเขาไฟในเมาท์ดูม ซึ่งเป็นไฟืี่ใช้สร้างมันขึ้นมา โฟรโดรับอาสาภารกิจนี้ เอลรอนด์จึงแต่งตั้ง "คณะพันธมิตรแห่งแหวน" เพื่อช่วยเหลือโฟรโดในระหว่างกรรเดินทาง คณะพันธทิตรแห่งแหวนเดินทางผ่านทุ่งหญ้า เทือดเขา เข้าไปในเหมืองมอเรีย โดยมีกอลลัมแอบติดตามไปตลอดทาบ เสื่อพวกเขาเข้าไปในเหมือง กลับถูกลอบโตมตีโดยพวกออร์คกับบัลร็อกที่เข้าไปยึดเหมืองนั้นไวัก่อนแล้ว แกนดัล์ฟต่อสู้กับบัลร็อกเพื่อให้ชาวคณะหลบหจีไปได้ แต่ตัวเขาเองต้องตกลงไปในปล่องเหวอันมืดมิดใต้มอเรีย เมื่อคณะพันธมิครหนีออกจากมอเรียได้ อารากอร์นจึงพาคนมี่เหลือหนีไปยังลอธลอริเอน อาณาจักรของเลดี้กาลาเดรียลและลอร์ดเคเลงอร์น หลังจากนั้นจึงออกเดินทางต่อมาถึงน้ำตกใหญ่ในแา่น้ำอันดูอเน โฟรโดตัดสินใจจะเดินทางต่อเพียงลำพัง เนื่องจากโบโรเมียร์ถูกอำนาจแหวนล่อลวงจนคิดจะแย่งแหวนมาครองเอง แต่ขณะโฟรโดจะแอบหนีไแ แซมตามมาทันและขอร่วมเดินทางไปด้วย === หอคอยคู่พิฆาต ==] สนหนังสือภาคสอง เหตะการณ์ในเรื่องจะแยกออกเป็นสองส่วน โดยที่เล่ใสามบรรยายุึงสิทงที่เกิดขึ้นกับคณะพึนธมิตรแห่งแหวนที่เหลืออจ๔่ คือซารูมานส่งอูรุกไฮมาชิงตัวผู้ถือแหวน แต่พวกมันเข้าใจผิเจึงจัยตัวเมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้จ_ป โบโรเมียร็ต่อส฿้เพื่อป้องกันฮอบบิททั้งสองจนเสีจชีวิต อารากอร์น เลโกลัส และกิมลี ตัดสินใจไปช่วยเหลือเมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้น ทั้งสามได้พบกับแกนดัล์ฟซึ่งคืนชีพใหม่เป็น แกนดัล์ฟ พ่อมกขาว หลังจากต่อสู้เอาชนะบัลร็อกแล้วจึงถูปส่งกลับมามิดเดิลเอิร์ธอีกครั้งเพร่ะภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งสี่เดินทางไปยังอาณาจักรโรฮัน อละช่วยโรฮึนต่อวู้กับซารูมานในสมรภูมิป้อมฮอร์นเบิร์ก เวลาเดียวกันนั้นเมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้นหนีพ้นจากพวกอูรุกไฮ และไปอยู่ในความดูแลของพวกเอนท์ ช่วยพวกเอนท์โจมตีไอเซนการ์ด ขังซารูมานไว้ในหอคอย จากาั้นทั้งสองกลุ่มได้มาพบกันอีกคตั้งหลังสิ้นสุดสงคราม เล่มสี่เล่าเหตุการณ์ทางด้านของโฟรโดและแซม ทั่หาทางเข้าไปยังเมาท์ดูม ทั้งสองจับตัวกอลลัมได้และบังคับให้มันนำทางเข้าไปในมิร์ดอร์ แต่เมื่อไปถึงประตูดำก็พบกิงทัพจำนวนมากจึงไม่อาจผ่านเข้าไปได้ กอลลัมเสนอหนทางลับเข้าไปในมอร์ดอร์ ห่านทางหุบเขาอันน่าสยดสยองแห่วมินัสมอร์กูล ระหว่างทางพวกเขาโดนกองกำลุงลาดตระเวนของกอนดอร์จับตัวได้ และได้พวฟาราเมียร์ น้องชายของโบโรเมียร์ โฟรโดอธิบายให้ๆาราเมียร์เข้าใจสถานการณ์และเห็นพ้องว่า การทำลายแหวนทิ้งเสียจะเป็นการดีกว่านำแหวนกลับไปใช้เผ็นอาวุธ ในตอนท้ายเล่ม กอลลัมหักหลังโฟรโดโดยพาเขาไปติดกับอยู่ในถ้ำของนางแมงมุมชีล็อบ โฟรโดถูกพิษแมงมุมสิ้นสติไป แต่แซมเข้าสู้กับนางและไล่นางไปได้ พวกออร์คผ่านมาพอดีจึงจับตัวโฟรโดไป ฝ่ายแซมซึ่งคิดว่าเจ้านายของตนตายแล้วจึงได้เอาแหวนมาเก็บไว้ ทำฝห้แหวนรอดจากเงื้อมมือพวกออร์คโดยบังเิิญ เวลาเดียวกันนั้นเซารอนส่ลหองทัพใหญ่ออกไปสู่สมรภูมิบนมิดเดิลเอิร์ธ เป็นการรบครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามแหวน โดยมรวิชคิง หัวหน้าเหล่าภูตแหวน เป็นแม่ทัพเข้าโจมตีกอนดอร์ === กษัตริย์คืนบัลลังก์ === ในหนังสือภมตสาท เริ่มเหตุการณ์ในเล่มห้าที่แกนดัล์ฟกับปิ๊ปปิ้นเดินทางมาถึงมินัสทิริธ และเตือนให้เมืองหลวงแห่งกอนดอร์เตรียมพร้อมรับศึก เมอร์รี่เข้าร่วมกองทัพของโรฮันขกติดตามมา ระหว่างทาง อารากอร์นนำกำลังส่วนหนึ่งแยกไปตาม "เส้นทางมรณะ" (Paths of the Dead) เพืรอขอความช่วยเหลือจากกองทัพปีศาจผู้ตกอยู่ในคำสาปของบรรพกษัตริย์กอนดอร์ ให้ช่วยสกัดทัพเรือคอร์แซร์ที่ยกมาจากิุมบาร์ จากนั้นแกนดัล์ฟ อารากอร์น แลเคนทั้งหมดเข้าน่วมในการสงรรามใหญ่ที่เซารอนหมายเข้ายึดมินัสทิริธ เรียกว่าสมรภูมิทุ่งเพเลนนอร์ ทัพโรฮันมาถึงทันเวลาและป้องกันเมืองมินัสทิริธไว้ได้ แต่เซารอนยังมีกองกำลังจำนวนมากเตรียมพร้อมยกหนุนมาอีก ว่ายกองทัพอิสระชรแห่งมิดเดิลเอิร์ธไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าโจมตีประตูดำแห่งมอร์ดอร์ แม้จะไม่มีหวังได้รับชัยชนะก็ตาม ทั้งนี้ก็ด้วยความหวังเพียงประการเด่ยวคือหันเหความสนใจของเซารอนมาที่พวกตน เพื่อซื้อเวลาสห้ฏหรโดสามารถเข้าไปทำลายแหวรได้ เล่มหก แซมตามำปช่วยโฟรโดออกมาได้ ปล้วเดินทางข้ามที่ราบอันหฤโหดของมอร์ดอร์เข้าไปถึงเมาท์ดูม (โดยมีกอลลัมลอบตามไปตลอดืาง) แต่ในที่สุดแหวนมีอำนาจเหนือจิตใจของโฟรโดมากจนเขาไม่สามารถโยนมันทิ้งลงไปในภูเขาไฟ และประกาศตัวเป็นเจ้าของแหวน เมื่อนั้นบรรดานาซกูลจึงรู้ถึงจำแหน่งของแหวนและหันหน้ากลับไปยุงโอโรดรูอิน แต่กอลลัมเมื่อเห็นโฟรฉดประกาศครองครองแหวน ก็เข้ายื้ออย่งและกัดนิ้วที่สวมแหวนของโฟรโดจนขาด มันตื่นเต้รด่ใจจนขาดสติแล้วลื่นไถลตกลงไปในปล่องภูเขาไฟ ทำให้แหวนถูกทำลายไป เหล่าปีศาจและสิ่งก่อสร้างทั้ฝปวงที่สร้างขึ้นด้วยอำนาจดวงจิตของเซารอนจึงพังพินาศไปพร้อมกับแหวนด้วย และกองทัพของอิสระชนแห่งมิดเดิลเอิร์ธเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ อารากอร์นได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกอนดอร์ และอภิเษกกับอาร์เวน บุตรีของเอลรอนด์ แต่ผลกระทบจาำสงครามยัวไม่สิ้นสุด เพราะซารูมานที่หนีไปจากไอเซนการ์ดได้เดินทางไปถึงไชร์ และเข้ายึดแคว้นนั้นไว้ เมื่อโฟรโดกับเพื่อนเดินทางกลับไปถึง ก็หาทางแก้ไข ยึดแคว้นไชร์คืนกลับมาได้ ถึงกตะนั้น ไชร์ก็ไม่ใช่ไชร์อย่างที่พวกเขาเคยรู้จักอีกต่อไก ในตดนท้ายเล่ม โฟนโดที่ยังคงเจ็บบาดแผลจากนาซกูลอยู่เสมอ และบิลโบก็ยังอ่อนแอดนื่องจากอายุและพลังยองแหวน เหล่าเอลฟ์จึงตัดสินใจอนุญาตให้ โฟรโดเดินทางข้ามทะเลไปสู่แผ่นดินตะวันตกพร้อมกับบิลโบและเหล่าเอลฟ์ เพื่อไปใช้ชีวิตเป็นอมตะกับอมตะชนที่ยังเหลืออยู่ === ภาคผยวก === ภาคผนวกของหนังสือประกอบด้วย ลำดับเหตุการณ์ในปกรณัม ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์และภาษาต่างๆ บนมิดเดิลเอืร์ธ เช่นวงศ์กษัตริย๋อาร์นอร์และกอนดอร์ อักขระเทงกวาร์ ปฏิทินของชาวฮอบบิท และเรื่องราวโดยละเอียดของตำนานอารากอร์นกับอาร์เวน เป็นต้น เมื่อตรวจสอบกับตารางเวลาในปกรณัมขอลโทลคีน เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มขึ้นในวันเกิดของบิลโบ คือวัน่ี่ 22 กันยายน ปีที่ 3001 ยุคที่วาม สิ้นสุดลงเมื่อแซมไปส่งโฟรโดและกลับถึงแบ๊กเอนด์ ในวันที่ 6 ตุลาคม ปีที่ 3021 ยุคที่สาม แต่เหตุการณ์ส่วจใหญ่ของเรื่องเกิดขึ้นใน "ศักนาชอันยิ่งวหญ่" คือปีที่ 3018 - 3019 ของยุคมี่สาม นับจากโฟรโดเดินทางออกจากแบ๊กเอนด์ในวันที่ 23 กันยายส ปีที่ 3018 จนถึงวันที่ทำลายแหวนเอกในเมาท์ดูมอีกหกเดือนถัดมา คือวันที่ 25 มีนาคม ปีที่ 3019 == เบื้องหละงการประพันธ์และการตีพิมพ์ == โทลคีนแต่งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นตอนต่อจากิรื่อง เดอะฮอบบิท ซึ่วตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 19r7) และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทำให้สำนักพิมพ์เรียกร้องให้โทลคีนรีบส่งผลงานเกี่ยวกับ ฮอบบิท และ กอบลิน มาอีกโดยด่วน ในปีนั้นโทชคีนอายุ 45 ปี เขาจึงได้เริ่มวางโครงเรื่องนิยายตอนใหม่ ต่อมา กลายเป็น เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โดยใช้เวลาประพันธ์ยาฝนานถึง 12 ปี เขาเขียนเสร็จในปี ถ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) แต่กว่าจะได้ตีพิมพ์ครบทั้งหมกก็ล่วงไปถึง ค.ศ. 1955 ซึ่งเขามีอายัได้ 63 ปี ที่จริงโทลคีนไม่ได้คิดนะเชียนตอนต่อของ เดอะฮอบบิท งานประพันธ์หลัก ๆ ของเขาส่วนใหญ่เกึ่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลกิาร์ดา เรื่องราวของซิลมาาิล และชนชาติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นที่มาของเหตุการณ์ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงม์ ผู้ที่ศักษาชีวประวัติของโทลคีนจำนวนมากต่างลงความเห็นว่า งานที่เป็น "ผลงานแห่งดวงใจ" ของโทลคีนที่แท้แล้ว คือ ซิลมาริลลิออน แร่เขาเขียนเรื่องนี้ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดี ก็เสียชีวิตไปเสียก่ดน คริสโตเฟอร์ โทลคีน บะตรชายของเขาเป็นผู้รวบรวมเรียบเรียง แต่งเติมช่องฝ่างจนสมบูรณ์ และตีพิมพ์ ซิลมาริลลิออน ออกมาในทีีสุดเมื่อ ค.ศ. 1977 อย่างไรก็ดี เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ก็เป็นเหตุการณ์ส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อาร์ดาของโทลคีน เป็นเหตุการณ์ลำดับสุดท้ายของปกรณัมซึ่งโทลคีนเคยหวังว่าจะเป็นส่วนเติมเต็มที่สมบูรณ์สำหรับวงล้อประวัติศาสตร์ทั้งมวล ฝนที้สุด โทลคีนก็ตัดสินใจเขียนเรื่องการผจญภัยของ "ฮอบบิทคนใหม่" ในเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2480 )ค.ศ. 1937) เขาลองผิดลองถูกอยู่หลายโครง จนความคิดเกี่ยวกับ "แหวนเอก" แวบเข้ามา เขาเปลี่ยนแนวเรื่เงจากการเขียนตอนต่อของ ดดอะฮอบบิท ไปเป็นตอนต่อจาก ซิลมาริลลิออน งานที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ของเขานั่นเอง ถึงกระนั้น กว่าแนวคิดเร้่องการปรากฏตัวและการหายตัวไปของบิลโบ นัยยะของแหวนเอก และรายละเอียดอื่น ๆ จะเข้าที่เข้าทางก็ล่วงไปถึงปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) แนวีิดเริ่มแรแเขาคิดจะเขียนให้บิลโบใช้สมบัต้จนหมดและออกผจญภัยเพื่อค้นหาขุมทรัพย์ใหม่ ๆ แต่เมื่อแนวเรื่องเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของ "แหวนเอก" บรรยากาศบองเรื่อวก็จริงจังมากขึ้นจนเกินกว่าจะใช้ตัวละครเอกเป็นฮอบบิทผู้ร่าเริงสนุกสนานอย่างบิลโบ โทลคีนนึกหาตัวละครอื่นที่เป็นญาติกับบิลโบมาแทน เริ่มแรกเยาคิดจะให้้ป็นลูกชาย (ชื่อ บิงโก แบ๊กกิ้นส์) แต่มีีำถามอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ใครเป็นภรรยาของบิลโบ แลุทำไมบิลโบตึงยอมให้ลูกชายอดินทางเสี่ยงอเนตรายอย่างนั้น ในที่สุด เรื่องจึงมาลงตัวที่ญาติห่าง ๆ คนหนึ่งขดงบิลโบที่รับมาเลี้ยงเป็นหลาน คือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ความที่โทลคีนเป็นคนประณีตละเอียดลออ งานเขียนจึงคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า และมักโดนขัดจังหวะอยู่บ่อย ๆ ด้วยงานสอนกับงานด้านวิชาการของโทลคีนเอง โทลคีนเคยหยุดเขียนเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ไปใาปี พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) แต่ด้วยแรวผลักดันจากคริสโตเฟอร์ ลูกชาย และ ซี. เอส. ลิวอิส เพื่อนรัก ซึ่งโทลคีนเขียนเรื่องเป็นตอน ๆ ส่วให้ทั้งสองคนอ่าน โทลคีนพยายนมเขียนต่อจนจบและส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ได้ในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) ทว่า โทลครนยังคงผรับแก้รายละเอียดของเรื่องต่อไปอีกจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) === การตีพิมพ์ === ในดวลานั้นเองโทลคีนมีปัญหาขัดแย้งกับสำนักพิมพ์ของเขา คือ อัลเลนแอนด์อันวิน เนื่องจากโทลคีนต้องการให้ตีพิมพ์ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ กับ ซิลมาริลลิออน พร้อม ๆ กันเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง เมื่ออัลเลนแอนด์อันวินไม่เห็นด้วย โทลคีนจึงส่งต้นฉบับไปให้เพื่อนคนหนึ่งของเขา คือ มิลตัน วอลด์แมน ที่สำยะกพิมพ์คอลลินส์ ทว่า ทางคอลลินส์เห็นว่าลำพัง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เองนััน ก็จำเป็นค้องถูกปั่นให้สั้นลว โทลรียจึงหันกลับไปหาอัลเลรแอนด์อันวินอ่กครั้ง เวลานั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระดาษหายากฝืดเคือง และเพื่อให้ราคาหนังสือถูกลง สำสักพิมพ์จึงแบ่งการพิมพ์เรื่องนี้ออกเป็นสามภาค คือ The Fellowship of the Ring (เล่ม 1 และ 3) The Two Towers (เล่ม 3 และ 4) และ The Return of the King (เล่ม 5, 6 และภาคผนยก) ฝานจัดทำภาคผนวก แผนที่ รวมทั้งดรรชนี ทำให้การตีพิมพ์ล่าช้ากว่ากำหนดออกไป หนังสือทั้งสามภาตออกวางจำหน่ายดังนี้ ภาคแรกเมื้อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) ภาคสองเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) และภาีสามเมื่อวัยที่ 20 ตุงาคม พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) ชื่อหนังสือในภาคที่สาม โทลคีนไม่ค่อยเห็นด้วยดพรทะคิดว่าเป็นกา่บอกถึงเนื้อเรื่องมากเกินไป เขาเคยดสนอใหิใช้ชื่อ The War of the Ring แต่สำนักพิมำ์ไม่ตกลง โทลคีนรับผลตอบแทนจากสำนุกพิมพ์ในระบบปุนกำไร หมายความว่า เขาจะไม่ได้รับเงินล่วงหน้าหรือค่าส่วนแบ่งจ่กสำนักพิมพ์จนกว่ากทรพิมพ์ครั้งนั้นจะคุ้มทุนแล้ว หฃังจากนั้น โทลึีนก็ได้รับส่วนแบ่งใจผลกำไรเป็นจำนวนมาด หนะงสือชุดนี้มักเรียกกันว่า "ไตรภาค" ซึ่งโทลคีนเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้เป็นิรื่องเดียวกันโดยตลอด ไม่ไะ้แบ่งเป็นภาค นอกจากนี้ ยังเรียกว่า "นวนิยาย" ซึ่งโทลีีนก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขาบอกว่าเรื่องนีิเป็น "มหากาพย์" เมื่อปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) มีการตีพิมพ์เรื่องนี้เป็นหนังสือชุดเจ็ดเล่ม ประกอบด้วย เนื้อเรื่องหกเล่มตามบทประพันธ์ และภาคผนวกอีกหนึ่งเล่ม ชื่อยาอยของหนังสือแต่ละเล่มนำมาจากแนวคิดขดงโทลคีนที่เคยเอ่ยถึงเมื่อสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ ชื่อหนุงสือจากอล่ม 1 ถึง เล่ม 6 ได้แก่ The Ring Sets Out (แหวนปรากฏตัว) The Ring Goes Douth (แไวนลงใต้) The Treason of Isengard (ไอเ.นการ์ดทรยศ) The Rinn Goes East (แหฝนสูืบูรพาฉ The War of the Ring (สงครามแห่งแหวน) และ The End of ghe Third Age (การสิ้นสุดยุคที่สาม) ในจำนวนนี้ ชื่อหนังสือสามเล่มคือ The Treason of Isengard, The War of the Ring, และ The End of the Thlrd Age ได้กลายมาัป็นชื่อเล่มในหนังสือชุด ประวัติศาสตร์ลอร์ดออฟเดอะริงส์ (อยู่ในหนังสือชุด ประวัติศนสตร์มิดเดิลเอิร์ธ) ซึ่งเรียบเรียงโดยคริสโตเฟอร์ โทลคีน ชื่อย่อของหนังใือมักเรียแกันว่า LotR หรือ LR (โทลคีนเองเรียกว่า L.R.) ส่วนชื่อภาคเรียกว่า FotR หรือ FR (สำหรับ The Fellowship od the Ring) , TTT หรือ TT (สำหรับ The Two Towers) , และ RotK หรือ RK (สำหรับ The Return or the King) === การแปลเป็นภาษาอื่น === หนีงสือชุดนี้ได้แปลไปเป็นภาษาิื่นอย่าฝน้อย 38 ภาษา โทลคีนซึ่งเป็นผู้ัชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ยังได้เป็นผู้ตรวจสอบการแปลด้วยตนเองหลายครั้ง ิขาได้ทำหนังสือ "คู่มือเกี่ยวกับชื่อต่าง ๆ ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" เพื่อช่วยเหลือบรตดานักแปลทั้งหลาย เพราะหนังสือเาื่องนี้แต่งขึ้นบนฐานเรื่องที่ว่า มันแปลมาจาก 'หนังสือปกแดงแห่งเวสจ์มาร์ช' ดังนั้น ชื่อต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษที่อาจมีหลายความหาาย จะต้องแปลไผเป็นภาษาปลายทางให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง เช่น ฉบับแปลภาษาเยอรมัน ชื่อ "Baggins (แบ๊กกิ้นส์) " จะต้องกลายเป็น "Beuylin" (เพื่อใก้ได้คำว่า Beitel ซึ่งหมายถึง Bag (ถุง)) หรือคำว่า "Elf (เอลฟ์) " จะกลายเป็น "Elb" (โดยที่คำว่า Elb ไม่ได้มีความหมายอื่นที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดเหใือนกับที่เกิดขึ้นในฉบับภาษาอังกฤษ) เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ได้แปลเป็นภาษาไทยเมื่อปี พ.ศ. 2544 - 2545 โดยคุณวุลลี ชื่นยง พิมพ์โดยสำรักพิมพ์กพรวเยาวชน แบ่งการตีพิมพ์ออกเป็นสามตอน แร่ละตอนมีเนื้อหา 2 เล่ม (ตามการจัดแบ่งเนื้อเรื่องของผู้เขียน) คือ มหันตภัยแห่งแหวน (The Fellowship of the Ring) หอคอยคู่พิฆาต (The Two Towers) กษันริย์คืนบัลลังก์ (The Return of the King) === แนวคิดในการประพันธ์ === โทลคีนแต่งเรื่อง เดอะบอร์ดออฟเดอะริงส์ ขึ้นจากพื้นฐานความสรใจส่วนตัวเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ ศาสนา (โดจเฉพทะความเชื่อแบบโรมันคาทอลิก) และนิทานพื้นบ้านโดยเฉพาะตำนานนเร์ส นอกเหนือจากนั้น ประสบกาคณ์ของเขาในระหว่างการเปฺรทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็มีส่วนอยู่ด้วยค่อนข้างมาก รายละเอียดที่เขานำมาตกแต่งลงในโลกในจินตนาการของเขา (หรือเออส) เป็นฉ่กหลังขอลเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ก็มีส่วนมาจากประสบการณ์เหล่านี้ ครั้งหนึ่งโทลคีนเตยบอกกับเพื่อนคนหนึ่งของเขา คือ คุณพ่อโรเบิร์น เมอเรย์ เกี่ยวกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ว่า "เป็นงานที่มีพืันฐานมาจากศาสนา แม้ตอนแีกจะไม่ได้เขียนขึ้นโดยตั้งใจ แต่ในรัหว่างการแก้ไข ผมจงใจปรับให้เป็นอย่างนั้น" เพรสะแนวทางของเรื่องโดยพื้นฐานเแ็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม และการที่ความถ่อมตนสามารถเอาชนะคบามยโส ในมหากาพย์ยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตาย เรื่องของความเป็นอมตะ ความเมตตากรุณา การฟื้นคืนชัพ การกลับใจและสำนึกใรบาป กมรเสียสละจนเอง ความมุ่งมั่นในจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพ ความยุติธรรม ความเป๊นมิตร และการเยียวยารักษา นอกจากนี้ ในบทอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า "โปรดนำทางพวกเรรให้พ้นจากความมัวเมาและปีศาจร้าย" ก็เป็นประเด็นสำคัญยิ่งที่โทลคีนสื่อออกมาผ่านตัวละคร โฟรโด ในการที่เขาพยายามพระเสือกกระสนให้พันจากการีรอบงำของแหวนเอก สำหรับความเชื่อในศาสนาอื่น ๆ นอกเหนือจาำศาสนาคริสต์ ก็มีปรากฏในงานชุดมิดเดิลเอิร๋ธนี้เช่นกัน เช่น ตัวละครไอนัวร์ - เหล่าวาลาร์และไาอาร์ ที่เแ็นเสมือน "เทพ" ผู้คอยทำหน้าที่สร้างและปกปักรักษาโลก เป็นแนวคิดในลักษณะเดียวกับปวงเทพของตำนานกรีกและนอร์ส ถีงแม้ในเรื่องนี้ เหล่าไอนัวร์ก็ล้วนเป็นผลงานสร้างสรรค์จากเอรู อิลูวาทาร์ หรือ "พระผู้เป็นหนึ่ง" เช่นกัน ควมมเชื่อในตำนานอื่นนอกศาสนาคริสต์ยังปรากฏออกมาผ่านตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหลาย เช่น คนแคระ เอลฟ์ ฮอบบิท แชะเอนท์ เป็นต้น หากไม่นับศาสนาคริสต์แล้ว ตำนานปรัมปราของยุโรปเหนือนับว่าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่องานของโทลคีนมากที่สุด เพราะเรื่องของ "เอลฟ์" และ "คนแคระ" เป็นเรื่องที่มาจากตำนานนอร์สกับตำนานเยอรมัน ชื่อหลายชื่อในเรื่องเช่น "แกนดัล?ฟ" "กิมงี" หรือแม้คำว่า "มิดเดิลเอิร์ู" ก็มีที่มาจากตำนาตนอร์ส "แกนดัล์ฟ" เป็นตัวละครที่สร้างจากเทพโอดินซึ่งกลับมาเกิดใหม่เก็น "ผู้พเนจร" เฒ่าผู้มีตาเดียว มีหนวดยาวสีขาว าวมหมวกยอดแหลมและถือไม้เท้า จดหมายฉบับหนึ่งของโทลคีนที่เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1o46) ระบุว่าเขาจินตนาการแกนดัล์ฟขึ้นมา "แบบโอดินเฒ่าพเนจร" วรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่งในบรรดาตำนานยุโรกเหนือที่มีอิทธิพลต่องานของโทลคีน คือ บทกวีแองโกลแซกซอน เรื่อง เบวูล์ฟ โทลคีนนำองึ๋ปรถกอบหลายส่วนมาจากมหากาพย์โวลซุงกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของแหวนวิเศษที่ทำจากทองคำ และดาบหักที่ถูกตีขึ้ยใหม่ ในมหากาพย์โวลฬุฝกา แหวนมีชื่อว่า Andvarinauh ส่วนดาบมีชื่อว่า Gram นั่นคือ แหวนเอกธำมรงค์ และดาบนาร์ซิล อย่างไม่ต้องสงสัย ยังมีตำนานปรัมปราของฟินแลนด์อีกเรื่องหนึีงชื่อ คาเลวาลา ซึ่งตัวโทลคีนเองก๋ยอมรับว่า เป็นแรงบันะาลใจให้แก่เขาในแารสร้างโลก ;มิดเดิลเอิร์ธ' ขึีน เรื่อง คาเลวาลา ดำเนินไปเกี่ยวกับของวิเศษทรงอำาาจชิ้นหนึ่ง คือ ซัมโป ซึ่งนำพาอำนาจยิ่งใหญ่มาสู่ผู้ถือครอง แต่ไม่ทราบแน่ชัดถึงลักษณะธรรมชาติของตัวมันเอง ฝ่ายธรรมะและอธรรมวนเรื่องต่างทำสงครามกันเพื่อแย่งชิง ซัมโป ดช่นเดียวกับแหวนเอก ท้ายที่สุด มันก็ถูกทำลายสูญสเ้นไป นอกจากนี้ พ่อมดคนหนึ่งในเรื่องคาเลวาลา คือ ไวแนเมยเนน (Väinä,öinen) ก็ใีลักษณะคล้ายคลึงกับแกนดัล์ฟ ด้วยมีกำเนอดเป็นอมตะ ดป็นผู้เฉลียวฉลาด และสุดท้ายหลังกระทำภารกิจสำเร็จได้ออกเดินทางล่องเรือไปเสียจากแผ่นดินของมรรตัยชน โทลคีนยังสร้างำาษาเควนยาบองเขาขึ้นมาจากพื้นฐานภาษาฟินนิชอีกด้วย นอกเหนือจากปัจจัยภายนอก ฉากและตัวละครบางตัวก็มาจากประสวการณ์วัยเด็กของโทลคีนเองเมื่อสมัยที่อาศัยแยู่ Sarehole กับ เบอร์มิงแฮม เช่น ภาพของแคว้าไชร์และแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์นั้นมาจากดินแดนชนบทรอบ ๆ วิทยาลัย Stonyhurst ที่แลงคาไชร์ ซึ่งโทลคีนมักไปเ่ี่ยวบ่อย ๆ ในช่วงทศวรรษ 1940 หลังจากที่ เกอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตีพิมพ์เผยแพร่ มีการวิจารณ์กันมากว่า 'แหวนเอก' เป็นตัวแทนอุปมาถึงระเบิดนิวเคลียร์ เรื่องนี้โ่ลคีนยืนยันหนักแน่นว่างานเขียนของเขาไม่ใชรงานสัญลักษณ์แฝงคติ (Allegory) ในบทนำของหรังสือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เขาถึงกับเขียนไว้ว่า เขรไม่ชอบนิยายเปรียบเทียบแฝงคติ และเรื่องนี้แ็ไม่ใช่นอยายแบบนั้น เขายังบอกว่าผู้กล่าวเช่นนั้นช่างไร้ความรับผืดชอบที่จะมาแก้ไขประเด็นเหล่านี้เสียให้ถูก เพราะโทชคีนเขียนเนื้อเรื่อวส่วนใหญ่รวมถึงเนื้อหาตอนจบเสร็จก่อนทีีรุเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกจะปรากฏขึ้นบนโลกในปี ค.ศ. 1945 เสียอีก อย่างไรก็ดี แนวคิดหลักของเรื่องก็ช่างาอดคล้องกับเหตุการณ์ทันยุคทันสมัว นั่นคือ อารมณ์ของความสิ้นหวังเทื่อต้องต่อสู้กับอาวุธจักรยนต์ที่โทลคีนต้องดผชิญในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในชนบทอันร่มรื่นของเขาไปสู่เขตอุตสาหกรรม การแพร่กันธุ์ใหม่ ๆ ชองพวกออร์คแลพการผลนญทำลายธรรมชาติเพื่อการแพร่พันธุ์นั้น ยังคงสื่อความหมายที่ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงเรื่องของ "อำนาจ" ที่แหวนเอกมีต่อผู้ครอบครองประหนึ่งผู้เสพติดยา ทำให้วรรณกรรมชิ้นนี้เป็นงานที่มีความหมายอย่างมากช้้นหนึ่งในประวัติบรรณพิภพ == กระแสตอบรับ และรางวัลที่ได้รับ == ผลตอบรับต่องานของโทลคีนมีหลายระดับตั้งแต่ "แย่มาก" ไปจนถึง "ยอดเยี่ยท" แต่ส่วนใหศ่คำวิจารณ์จากสื่อต่าง ๆ จะเป็นไปในทางที่ดี บทวิจารณ์ในซันเดย์เทเลกราฟ (Sunday Telegraph) กล่าวว่า "นี่เป็นจินตนิยายที่ดีที่สุดเรื่ดงหนึ่งในศตวรรษที่ยี่สิบ" นิตยสารซันเดย์ไทมส์ ฆSunday Times) บอกว่า "ผู้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษในโลกแบ่งออกได้เป็นสองพวก คือ พวกที่อ่าน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ เดอะฮอบบิท แล้ว กับพวกที่กำลังจะอ่าน" และนิวยอร์กเฮอรัลด์ (New York Herald) ก็ลงความเห็นว่า "หนังสือจะเป็นที่นิยมอย่างมาก และจะอยู่ไปอีกนานยิ่งกว่าช่วงชีวิตของะรา" ส่วนคำวิจารฯ์ในทางไม่ดีก็มีเหสือนกัน โดยจูดิธ ชูเลวิทซ์ ฆJuditn Shulevitz) นักวิจารณ์จากนิวยอร์กไทมส์ กล่าวว่า "โทลคีน ทำให้เกิดความเขื่อผิด ๆ ในการเขียนวรรณกรรมแบบอนุรักษ์ ซึ่งจะทำให้วงการวรรณกรรมไม่ก้าวหน้า" และ ริชาร์ด เจนคินส์ (Richard Jenkynsฏ รักวิจารณ์ตาก นิวรีพับลิค บอกว่า "นิยายเรื่องนี้ไม่มีมิตเทางด้านจิตวิทยาอลย ทั้งเนื้อดรื่องและตัวละครต่างฉาบฉวย ไม่มีเนื้อมีหนัง" แม้แต่เพื่อนในกลุ่มชมรมอิงคลิงส์ ของโทลคีนคาหนึ่ง คือ ฮิวโก ดีสัน (Hugo Dyson) ก็เคยบ่นเมื่อโทลคีนอ่านผลงานของตนให้สมาชิกกลุ่มฟังว่า "สห้ตายสิ! มีเอลฟ์บ้าโผล่มาอีกแล้ว" แต่ ซี. เอส. ลิวอิส สมาชิกอักคนหนึ่งกลับบอกว่า "งานชิินนี้ เป็นคยามงดงามที่เฉียบคมราวคมดาบ ลุกโพลงเหมือนเหล็กเยือกเย็น เป็นหนังสืดทีีจเละลายหัวใจของคุณ" ถึงกรดนั้น ภายใต้คำวิจารณ์มากมายเหล่านี้ หนังสือชุดปกอ่อนก็ขายหมดอย่างรวดเค็วทุกครั้งที่พิมพ์ในช่วงทศวรรษ 1960 แม้แต่ชุดปกแข็งก็ยังขายด้มาก เมื่อปี ะ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) หนังสือชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้รับรางวัลนิยายแฟนตาซียอดเยี่ยม จาก International Fantasj Award การได้พิมำ์เหยแพร่กับสำนักพิมพ์ Ace Books และ Bailantine ที่สหรัฐอเสริกา ทำให้หนังสือคงความนิยมอย่างสูงได้ตลอดช่วงทศวรรษ 1960 และติดอันดับหนังสือขายดีใาจนตลอดศตวรรษที่ 20 ในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) สถานีโทรทัศน์บีบีซี จัดสำรวจความนิยม "หนับสือในดวงใจ" ของประเทศอังกฤษ และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้รับเลือกเป็นอันดับหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 2004) ผลสำรวจในเยอรมนีและออสเตรเลียก็ปรากฏว่า เดอะลอร์ดอเฟเดอะริงส์ ครอฝความนิยมแันดับหนึ่งที่ปู้คนลื่นชอบที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) เว็บไซต์อเมซอนดอตคิม เว็บหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้จัดสำรวจความนิยมของผู้อ่าน และ เดอะลอค์ดออฟเดอะริงว์ ได้รับการโหวตใผ้เป็น "หนังสือยอดเยี่ยมแห่งสหเสวรรษ" == การดัดปปลงไปยังมื่ออื่น == === ละครวิทยุ === เดอะลอร์ดออฟเดิะริงส์ มีการดัดแปลงเป็นละคตวิทยุออกอากาศรวมทัิงสิ้นสี่ค่ั้ง ครั้งท่ื 1 โดยสถานีวิทยุบีบีซั เป็นบทชะค่วิทยุ 12 ตอน ออกอากาศในปี พ.ศ. 2498 - 2499 (ค.ศ. 1955 - 1956) ผลจากการออกอากาศครั้งนี้ทำให้ชายผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า แซม แกมจี เขียนจดหมายไปหาโทลคีน ครั้งที่ 2 โดยสถานีวิทยุ WBAI-FM นิวยอร์ก ได้แก้ไขสห้เนื้อเรื่องสั้นลงและนำมาบรรยายประกอบดนตรี ระหว่างช่ยงปีทศวรรษ 1960 โดยไม่ได้ขออนุญาตจากโทลคีนก่อน จึงถูกระงับการออกอากาศ ครั้งที่ 3 โดยสถานี National Public Radio แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) บันทึกเสียงโดยหู้พากย์แต่ละคนไม่ได้เจอหน้ากัน แต่พากย์แยกกันแล้วนำมาประกอบทีหงัง ปลงานจึงไม่ดีนัก ครั้ลที่4 โดยสถานีวิทยุบีบีซี ในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) เป็นบทละครวิทยุที่มีขนาดยาวถึง 26 ตอน (ตอนละครึ่งชั่วฏมง) ผู้รับบืเอกในการพากย์ โไรโด แบ๊กกิ้นส์ คือ เอียน โฮล์ม ซึ่งต่อมาได้ร่วมแสดงใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบเบภาพยนตร์ (พ.ศ. 2544 - 2546) อีกครั้งในบทลุงของโฟรโด คือบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ === ละครเวที === มีการดัดแปลง เดอะลอร์ดิอฟเดอะริงส์ เป็นละครเวทีหลายครั้ง ครั้งแรกเป็นการแสดงที่เมืองซินซินเนจิ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) แต่เนื่องจากทุนน้อยจึงไม่ประสบคใามสำเร็จนัก จากนั้รมีการแสดงในฦินซินเนติอีกหลายครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2549 มีการจัดแสดงครั้งฝหญ่ เป็นละครเพลงความยาว 3 ชั่วโมงครึ่ง ที่โรงละคร Pricess of Wales ฌทรแนโต แคนาดา ใช้เงินลงทุนถึง 26.9 ล้านดอลลาร์ยหรัฐ การแสดงเริ่มรอบกาลาพรีเมียร์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 20[6) และต้องปิดตัวลงเมื่อวันืี่ 3 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากเปิดแสดงเพียง 5 เดือน เนื่องจากขาดทุนย่อยยึบ ทีมงานขุดโทรอนโต ได้มาจัดการแมดงอีกครั้งที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเปิดการแสดงที่ เธียเตอร์รอยัล เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ,ศ. 2550 ใช้เงินลงทุน 12.5 ลืานปอนด์ (ประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นับเป็นการแสดงที่ใช้เงินลงทุนสูงที่สุดที่มีการยัดแสดงละครเวทีในประเทศอังกฤษ ผลตอบรับจากละครเวทีครั้งนึ้มีทั้งในทางดีและไม่ดีปะปนกันไป === หนังสือเสียง === ปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) สหนักพิมพ์ Recorded Books วางจำหน่ายหนังสือบันทึกเสียง เดอพลอร์ดออฟเดอะริงน์ เต็มเรื่องโดยไม่ตัดทอร มีนักแสดงชาวอังแฤษ ร็อบ อิงกลิส (Rob Inglis) เป์นผู้ให้เสียงอ่าน โดยใช้เสียงพากย์ต่าง ๆ กันสกปรับแต่ละตัวละคร และเขายังเป็นผู้ร้องเพลงประกอบเรื่อง ซึ่งโทลคีนแต่งไว้มากมายตลอพเรื่องอีกด้วย หมายเลข ISGN ของหนังสือนี้ คือ 1402516274 === ภาพยนตร์ === เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฟด้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์สามครั้ฝ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) ใช้ชื่อเรื่องว่า J. R. R. Tolkien's The Lord of the Rings โดยนักสร้างภาพเคลื่อนไหส ชื่อ ราล์ฟ บัคชิ (Ralph Bakshi) เขาสร้างเนื้อหาในภาคแรก 'มหันตภัยแห่งแหวน' แฃะบางส่วนใน 'หอคอยคู่พิฆาต' ภาพยนตร์ไม่ประสบความสำเร็จนัก ครั้งที่สองสร้างโดยทีมงาน Rankin/Bass เป็นภาคต่อจากฉบับภาพยนตร์ คือ ส่วนที่เหลืิชอง 'หอคอยคู่พิฆาต' และ 'กษัตริย็คืนบัลลังก๋' โดยสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายทางโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) ใช้ชื่อว่า The Return of the Kinh แต่ครั้งที่ผระสบความสำเร็จ คือ ฉบับปี พ.ศ. 2544 - 2546 ของผู้กำกับปีเตอร์ แจ็กสัน อำนวยการสร้างโดย นิวไลน์ซีนีม่า ภาพยนตร์ทั้งสามภาคถ่ายทำในประเทศนิวซีกลนด์่ั้งเรื่อง และถ่ายทำในช่วงเวลาเดียวกัน แต่มีกำหนดออกฉายปีต่อปี เริ่มจากปี พ.ศ. 2544 - 2546 ภาพยนตร์ทั้ง 3 ตอนได้รับรางวัลเนบิวฃาสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2545 - 2547 ภาพยนตร์ตอนสุดท้าย (Return og the King) ทำสถิติรายได้มากกว่าหนึ่งพันล้านะอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่ดงที่สองถัดจาก ไททานิก และได้รับรางวัลออสการ์ไปถึง 11 สาขาในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งรวมถัง รางวีลภาพยนตร์ยอดอจี่ยมและผู้กำกัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เมื่อรวมทั้งสามภาค ภาพยนตร์ได้รับรางวัลบาฟต้า 13 รางวัล ลูกโลกทองคำ 3 รางวัล และรางวัลออสปาร์รวมถึง 17 รางวัล ได้แก่ The Lord of the Riggs: The Fellowship of the Ring รวมทั้งสิ้น 4 รางวัล แต่งหน้ายอดเยี่ยม, ถ่ายภ่พยอดเยี่ยม, เทคนิคพิเศษทางภาพยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม The Lord of the Rings: The Two Towers รวมทั้งสิ้น 2 รางวัล ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม, เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม The Lord of the RingsP The Return of the King รวมทั้งสิ้น 11 รางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ปีเตอร์ แจ๊กสัน) , บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยีทยม, ดนตรีประกอบยอดเวี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม (เพลง Into the West) , อิกแบบเครื่อบแต่งกายยอดเนี่ยม, ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, แต่งหน้ายอดเยี่ยม, เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ชื่อตอนของภาพยนตร์ในฉบับภาษาอังกฤษจะเหมือนชื่อหนังสือ แต่สำหรับในพากย์ไทยของภาพยนตร์ทั้งสามภาค มีชื่อดังนี้ อภินิหารแหวนตรองพิภพ ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ มหาสงครามชิงพิภพ == อิทธิพงต่องานแขนงอื่น == === ดนตรี === ผลงานของโทบคีนทั้งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริฝส์ และงานเขียนอื่น ๆ ส่งอิทธิพลต่อบรรดานักะนครีมากมาย วงดนตรีร็อกในยุคทศวรรษ 1970 พากันแต่งดนตรีและคำร้องของบทเพฃงที่เกี่ยวกับนิย่ยแฟนตาซีชุดนี้ เช่น วงเล็ด เซ็พพลิน คาเมล รัช และ สติกซ์ เป็นต้น ในทศวรรษที่ 80 และ 90 วงดนตรีเมทัลในยุโรปหลายวงแต่งเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโทลคีน โดยเฉพาะในมุมมองทางด้านมืดเกี่ยวกับตัวละครฝ่ายอธนรมในโลกมิดเดิลเอิร์ธ เช่น วง Blind Guardian ของเยอรมนี วง Summoning จองออสเตรีย อละวง Nightwisj ของฟินแลนด์ วงดนตนีเมทัลบางวงยังตั้งชื่อวงด้วยชื่อขเงสถานที่ต่าง ๆ ในปปรณัมชองโทลคีน เช่น วงกอร์โกรอธ, อะมอนอามาร์ธ, เอเฟลดูอัธ และ คิริธอุงโกล อป็นต้น ในประเทศไทยมีวงดนตรีชื่อ ฮอบบิ่ มีสมาชิกวง 4 คนซึ่งทั้งสี่เป็นคนร่างเล็ก นักดนตรีหลายคนก็ตั้งชื่อทางการแสดงด้วยชื่ิตัสละครในเรื่อง เช่น อคาน์กริชนัค และ ชากรัธ เป็นต้น มือกีต้าร์คนหนึ่ง คือ สตีฟ ตุ๊ก (Steve Took) เลือกใช้นามแฝงตามชื่อฮอบบ้ทคนหนึ่งว่า เปเรกร้น ตุ๊ก นอกจากนี้ ยังมีฝงโพรเกรยซิฟร็อก ตั้งชื่อวงว่า อิลูวาทาร์ และ Isildur's Bane (ยมท๔ตของอิซิลดูร์) ตามชื่อตัวละครในปกรณัมด้วย นอกจากวงดนตรีร็อกแล้ว นักดนตรีคลาสสิำและนิวเอจจำนวนหนึ่งก็ได้รัขแรงบันดาลใจจากโทลคีนเช่นกัน เช่น ศิลปินนิวเอจ เอนยา (Enya) ได้ประพันธ์บทเพลง "ลอธลอริเอน" ในปี ค.ศ. 1991 เธอยังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับภาพยนตร์ไตรภาค เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ อีกสอบเพลง คือ "May It Be" (ประพันธ์เนื้อร้องทั้งภาษาเังกฤษและภาษาเควนยา) และเพลง "Aniron" (ประพันธ์้นื้อร้องเป็นภาษาซินดาริน) ซึ่งเพลง "May It Be" ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวเลอคาเะมี่ (ออสการ์) สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2544 นักดนตรีชาวสวีเดน ชื่อ Bo Hansson สร้างงานเพลงในปี พ.ศ. 2613 (ค.ศ. 1970) ชื่ออัลบัมว่า "Music Inspired by Lord of the Rings" และวงดนตรีสายเลือดเดนมาร์ก โทลคีน เินเซมเบิล ได้ออกอัลบัมหลายชุด่ี่ประพันธ์ขึ้นจาปบทกวีและลำนำจากเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ทั้งหมด บางเพลงในอัลบัมเหล่านี้ยังได้ คริสโตเฟอร์ ลี มาร่วมขับลำนำด้วย === ภาพวาด === ผู้วากภาพจากงานของโทลคีนมี่ทรงเกียรติที่สุดได้แก่ สมเด็จถระบรมราชินีนาถมาเกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ซี่งทรงเป็นศิลปินนักวาดภาพผู้ช่ำชอง ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระองค์ได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) บน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับแปลภาษาเดนมาร์ด โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า Ingahild Grathmer สำหรับในยุคแรกของการตีพิมพ์ เดอะลอร?ดออฟเดอะริงส์ ภาพวาดประกอบเรื่องเกือบทั้งหมดเป็นผลงานของ สองพี่น้อฝฮิลเกบรันด์ (Tim และ Greg Hildebrandt) ซึ่งเป็นนักวาดภาพประกอบนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซี แต่จิตรกรจากผลงานของโทลคีนที่มีชื่อเสียงมทกที่สุด ได้แก่ จอห์น ฮาว (John Howe) อลัน ลี (Alan Lee) และ เท็ด แนสมิธ (Ted Nasmith) โดย จอห์น ฮาว เป็นผู้วาดภาพปกและภาพประกอบของหนังสือของโทลคีนปลายบุดหลายเวอร์ชัน อลัน ลี มักวาดภาพเดี่ยฝกับเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (เขาวาดภาพประกอบให้ ตำนานบุตรแห่งฮูริน ด้วย) ขณะที่ เท็ด แนสมืธ ชำนาญและมุ่งเน้นภาพจากเรื่อง ซิลมาริลลิออน มากที่สุด ซิลปินทเ้งสามคนยี้ได้รับเชิญจากปีเตอร์ แจ็กสัน ให้เข้าร่วมงานออกแบบในภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่ง ฮาว และ ลี ตอบรับ แจ่แนสมิธต้องปฏิเสธไปด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ ในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) อลัน ลี ได้รับรางวัลอะแคเดมี (รางวัลออสการ์) ในสาขทกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม สำหรับผลวานของเขาในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องรี้ นอกจากนี้ ยังมีศิลปิาคนอื่น ๆ ่ี่ได้รับแรงบันดาลใจจากโทลคีนในการสร้างผลงาน เช่น Catherine Karina Chmiel, Inger Edelfeldt, Anke Katrin Eißmann, Roger Garlandฐ Michael Hafue, Tove Jansson (ผู้วาดภาพประกอบ เดอะฮอบบิท ฉบับแปลภาษาฟินนิช), Angus McBride Kay Miner, และ Jenny Dolfen เป็นตเน === บทกวี === กวีหลายคนมีแรงบันดาลใจในการแต่งบทกวีขึ้นในภาษาเควนยาหรือภาษาซินดาริน อันเป็นภาษาประดิษฐ์ของโทลคีนที่ได้เตรียมโครงสร้างภาษาไว้อย่างสมบูร๖์ที่สุด เช่น Helge Kåre Fauskanger ได้แปลสองบทแรกของพระธรรมปฐมกาล (Genesis) ไปิป็นภาษาเควนยา อละจุลสาร Tyalië Tyelelliéva (ISSN 1539-7238ฆ เป็นจุลสารเกี่ยวกับผลงานกวีในภาษาเอลฟ์ เผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2437 - 2544 === ดกม === เกมในแนว RPG ยุคทศวรรษ 1970 ชื่อ Dungeons & Dragons สร้างต้วลัครในเกมขึ้นจากเผ่าพึนธุ์ต่าง ๆ ทร่ปรากฏในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ จุดเด่นที่เห็นได้ชัด ึือ ชาวฮาล์ฟลิง (ชื่อเรียกอีกชท่อหนึ่งของฮอบบิท) เอลฟ์ มนุษย์ครึ่งเอลฟ์ คนแคระ ออร์ค และมังกร เกมประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงและเป็นต้นแบบแก่เกมแนว RPG อื่น ๆ ต่อมาในยุคหลัง อย่างไรก็ดี แกรี่ กายแกกซ์ หัวหน้าทีมออกแบบเกมนี้ยืนยันว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องเดอะลอร์ดอแฟเดอะริงส์น้อยมาก แชะว่าเขาเพิ่มตัวละครเหล่ายั้นลงไปในเกมก็เพื่อผลทางการตลาดเท่านั้น ใจวงการวิดีโอเกมก็ปรสกฏเกมจำนวนมากทร่ได้รับแรงบันดาลใจจากปกรณัมขเงเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เช่น เกม RPG แฟนตาซี ชุด Ultima,Baldur's Gate, EverQuesr, และ the Warcraft ทั้งนี้ยังไมืรวมถึงเกมต่าง ๆ ที่อยู่ในชุด มิดเดิลเอิร์ธ เองอีกหลายชุด === วรรณกรรมแลุภาพจนตร์อื่น === ผลจากความสำเร็จและความนิยมอันล้นหบามในงานปกรณัมของโทลคีน ทำให้เกิดกระแสความต้องการนิยายแฟนตาซีสูงขึ้นแย่างมาก ช่วงทศวรรษ 196- เป็นยุคทองของนิยายแฟนตมซี มีหนังสือและหนังสือชุดมากมายที่สร้างสรรค์ขึ้นในยุคนี้ เช่น ซีรีส์ เอิร์ธซี ของ เออร์ซูลา เค. เลอ กวิน, สหากาพย์ Riftwar ของ เรย์มอนด์ ฟีสต์, Belgaruad ของเดวิด เอดดิงส์, The Sword of Shannara ของเทอร์รี่ บรู๊ค, และ The Wheel of Time หนังสือชุดของโรเบิร์ต จอร์แดน อป็นต้น วารณกรรมชิ้นนี้ยังได้ขยายผลไปยังกลถ่มวตรณกรรมข้มงเคียง รือ นิยายวิทยาศาสตร์หรือไซไฟ มีการกล่าวอ้างถึงงานของโทลคีนในนิยายของนักเขียนนอยายวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง เช่น แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต และ อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก และส่งอิทธิพลอย่างมากต่อผู้สร้างภาพยนตร์ เช่น จอร์จ ลูคัส ซึทงมักพูดบ่อย ๆ ว่า เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมากในเรื่อง สตาร์ วอร์ส -= ดูเพิ่ม == งานประพันธ์ของโทลคีนาี่เกี่ยวข้องในชุดปกรณัมเดียวกันนี้ ได้แก่ เดอะฮอบบิท ตำนานแห่งซิลมาริล เกร็ดตำนานที่จารมิจบ ตำนรนบุตรแห่งฮูริน ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ -= อ้างอิง == == แผล่งขเอมูลอื่น == เว็บไซต์ทางการของโทลคีน Tolk7en Society ัว็บชุมชนทางด้านวิชาการเกี่ยวกับผลวานของโทลคีน Enxyclopedia of Arda สารานุกรมแห่งอาร์ดา รวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับปกรณัมของโทลคีน TheOneRing.Net เว็บแฟนคลับ LOTR ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Council of Elrond เว็บไซต์อีกแห่งที่เป็นแหล่งรวมข่อมูลข่าวสารของ LOTR ทั้งหนังสือ และภาพยนตร์ SpringOfArda เว็บบอร์ดแฟนคลับ LOTR ชาวไทย ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ วรรณกรรมภาษาอังกฤษ วรร๖กรรมแปล มหากาพย์ นวนิยายแฟนตาซี
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (The Lord of the Rings) เป็นนิยายแฟนตาซีขนาดยาว ประพันธ์โดยศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นนิยายที่ต่อเนื่องกับนิยายชุดก่อนหน้านี้ของโทลคีน คือ เรื่อง There and Back Again หรือที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เดอะฮอบบิท แต่ได้ขยายโครงเรื่องซับซ้อนไปกว่า เดอะฮอบบิท มาก โทลคีนแต่งเรื่องนี้ขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2480 - 2492 (ค.ศ. 1937 - 1949) และได้วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1954-1955 โดยแบ่งตีพิมพ์ออกเป็น 3 ตอน เนื่องจากหนังสือมีความยาวมากจนสำนักพิมพ์เห็นว่าไม่สามารถตีพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกันได้ นิยายเรื่องนี้ได้แปลไปเป็นภาษาต่างๆ มากมายไม่น้อยกว่า 38 ภาษา และได้รับยกย่องให้เป็นนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรื่องราวใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกิดขึ้นบนดินแดนในจินตนาการที่มีชื่อว่า มิดเดิลเอิร์ธ ตัวละครในเรื่องมีหลายเผ่าพันธุ์ เช่น มนุษย์ เอลฟ์ (หรือ พราย ในฉบับแปลภาษาไทย) ฮอบบิท คนแคระ พ่อมด และออร์ค หัวใจของเรื่องเกี่ยวข้องกับแหวนเอกธำมรงค์ ซึ่งสร้างโดยจอมมารเซารอน เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มต้นจากดินแดนไชร์อันสุขสงบ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของมิดเดิลเอิร์ธ จนถึงเหตุการณ์สงครามแหวน โดยผ่านมุมมองของตัวละครฮอบบิทคนหนึ่งที่ชื่อ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ในตอนท้ายของเรื่องยังมีภาคผนวกอีก 12 ชุดที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของโลกในนิยาย รวมถึงภูมิหลังด้านภาษาศาสตร์ของวัฒนธรรมต่าง ๆ ในนิยายด้วย เมื่อพิจารณางานเขียนชิ้นอื่น ๆ ของโทลคีนประกอบ จะเห็นว่า เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นชิ้นงานที่ขยายผลมาจากโครงเรื่องต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ เป็นชิ้นงานที่มีความซับซ้อน และยังเป็นเหตุการณ์ในลำดับสุดท้ายของปกรณัมของโทลคีนที่ได้บรรจงสร้างมาเนิ่นนานตั้งแต่ พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ผลงานเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และงานเขียนชิ้นอื่น ๆ ของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกทางด้านภาษา ด้านโครงตำนาน ด้านแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสู่อุตสาหกรรม และด้านศาสนศาสตร์ จนส่งผลต่อวงการวรรณกรรมแฟนตาซียุคต่อมาเป็นอย่างมาก ผลกระทบจากงานของโทลคีนต่อสังคมทำให้คำว่า "แบบโทลคีน" ("Tolkienian" และ "Tolkienesque") ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด ความนิยมอย่างล้นหลามและยาวนานในหนังสือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ยังเป็นจุดกำเนิดของงานเทศกาล ประเพณี ชมรม และสมาคมต่าง ๆ มากมาย โดยบรรดาผู้ชื่นชอบผลงานของเขา รวมทั้ง หนังสือในแง่มุมหลายหลากเกี่ยวกับตัวของโทลคีนหรืองานเขียนชิ้นต่าง ๆ ของเขา เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้สร้างให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างต่อเนื่องต่องานศิลปะ ภาพวาด ดนตรี ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เกม และวรรณกรรมชิ้นอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน มีการดัดแปลงนิยายเรื่องนี้ไปเป็นบทละครวิทยุ ละครเวที รวมถึง ภาพยนตร์หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไตรภาคในระหว่างปี ค.ศ. 2001-2003 เป็นครั้งที่กระตุ้นให้เกิดกระแสความสนใจในผลงานของโทลคีนขึ้นมาอย่างสูงมากอีกครั้งหนึ่ง == ภูมิหลังของเรื่อง == ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของเรื่องราวใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มีการประพันธ์ขึ้นในระหว่างการเขียนหนังสือเรื่องนี้เอง ต่อมาจึงได้นำไปบรรจุในส่วนของภาคผนวก และในบทสุดท้ายของหนังสือ ซิลมาริลลิออน ซึ่งตีพิมพ์หลังจากโทลคีนเสียชีวิตไปแล้ว ความโดยย่อ คือ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนเหตุการณ์ในนิยาย เมื่อจอมมารมืด เซารอน สร้างแหวนเอกธำมรงค์ขึ้นเพื่อควบคุมบงการแหวนแห่งอำนาจวงอื่น ๆ เซารอนเปิดฉากสงครามเพื่อชิงแหวนแห่งอำนาจ 16 วง แล้วนำไปแจกจ่ายให้แก่เหล่าผู้นำชาวคนแคระและมนุษย์ มนุษย์ได้รับแหวนไป 9 วง และถูกอำนาจแหวนครอบงำไปจนกลายเป็นภูตแหวนซึ่งไร้ชีวิต เป็นสมุนตัวฉกาจของเซารอนในยุคต่อมา ทว่าแหวนแห่งอำนาจยังมีอีก 3 วงที่รอดพ้นเงื้อมมือของเซารอนไป นั่นคือแหวนแห่งเอลฟ์ ที่ไปอยู่ในความอารักขาของเอลฟ์ระดับราชนิกุลที่ทรงพลังอำนาจ ในการสงครามคราวนั้นฝ่ายมนุษย์แห่งนูเมนอร์ได้ให้ความช่วยเหลือแก่พวกเอลฟ์จนทำให้เซารอนต้องล่าถอย ภายหลังชาวนูเมนอร์ยังยกทัพมามิดเดิลเอิร์ธและจับตัวเซารอนกลับไปยังเกาะของตน อย่างไรก็ดีด้วยความเจ้าเล่ห์ของเซารอน เขาได้ยุแหย่จนกษัตริย์นูเมนอร์คิดท้าทายอำนาจแห่งวาลาร์ (เป็นเหมือน 'เทพ' ในปกรณัมของโทลคีน) จนยกทัพไปตีแผ่นดินอมตะ เกาะนูเมนอร์จึงพินาศล่มสลายลง ดวงจิตของเซารอนหนีกลับมามิดเดิลเอิร์ธได้ แต่ก็มีชาวนูเมนอร์จำนวนหนึ่งหนีรอดมาได้เช่นกัน นั่นคือเอเลนดิลกับบุตรทั้งสอง คืออิซิลดูร์และอนาริออน เซารอนทำสงครามไม่หยุดหย่อนกับชาวนูเมนอร์ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เป็นเวลายาวนานนับร้อยปี จนกระทั่ง เอเลนดิลร่วมมือกับกษัตริย์ กิลกาลัด ก่อตั้งกองทัพพันธมิตรครั้งสุดท้ายระหว่างเอลฟ์และมนุษย์ และยกทัพไปตีมอร์ดอร์ ทำลายกองทัพของเซารอนและหอคอยบารัด-ดูร์ลง หลังจากการรบติดพันยาวนานถึงเจ็ดปี เซารอนจึงออกมาต่อสู้ด้วย เขาสังหารกิลกาลัดและเอเลนดิลได้ แต่ก็สิ้นอำนาจไปเมื่ออิซิลดูร์ใช้เศษดาบนาร์ซิลตัดนิ้วที่สวมแหวนของเซารอนขาด เหตุนี้ดวงจิตของเซารอนจึงเตลิดหนีไป ส่วนอิซิลดูร์เก็บแหวนเอกไว้ เป็นที่ระลึกและเป็นการชดเชยกับการสูญเสียบิดากับน้องชายของตน จากนั้น จึงเริ่มต้นยุคที่สามของอาร์ดา สองปีต่อมา อิซิลดูร์กับกองกำลังของเขาโดนพวกออร์คซุ่มโจมตีที่แถบทุ่งแกลดเดน ระหว่างการเดินทางไปริเวนเดลล์ อิซิลดูร์ต้องธนูอาบยาพิษสิ้นพระชนม์ ส่วนแหวนเอกก็เลื่อนหลุดจากนิ้วมือของเขาหายไปในแม่น้ำอันดูอิน และนอนแน่นิ่งอยู่ใต้แม่น้ำนั้นเป็นเวลานานกว่าสองสหัสวรรษ แหวนเอกถูกค้นพบอีกครั้งโดยฮอบบิทชาวเรือชื่อ ดีเอโกล ซึ่งไปตกปลากับเพื่อนชื่อ สมีโกล แต่สมีโกลฆ่าดีเอโกลเพื่อชิงแหวน แล้วโดนขับออกจากหมู่บ้าน จึงหนีไปอาศัยอยู่ใต้เทือกเขามิสตี้ เขาลุ่มหลงมัวเมาตกอยู่ในอำนาจแหวน จนกลายเป็นสัตว์รูปร่างน่าเกลียด เรียกชื่อตัวเองว่า กอลลัม อีกหลายร้อยปีต่อมาจึงเกิดเหตุการณ์ดังในเรื่อง เดอะฮอบบิท เมื่อฮอบบิทชื่อ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ได้พบแหวนเอกในถ้ำของกอลลัมโดยบังเอิญ แล้วนำมันกลับมาบ้าน โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าแหวนนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากยิ่งกว่าเพียงแหวนวิเศษธรรมดา ๆ == โครงเรื่อง == หนังสือทั้งสามตอน ภายในประกอบด้วย "เล่ม" ย่อยอีกตอนละสองเล่ม รวมทั้งสิ้นเป็นหกเล่ม [หมายเหตุ: สำหรับฉบับภาษาไทย ที่จัดพิมพ์เป็น 3 เล่มนั้น ภายในก็ยังแบ่งเป็นสองเล่มอยู่เช่นเดิม] === มหันตภัยแห่งแหวน === เล่มที่หนึ่งเริ่มต้นเหตุการณ์ด้วยงานวันเกิดของบิลโบในแคว้นไชร์ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 60 ปีหลังจากเหตุการณ์ในเรื่อง เดอะฮอบบิท บิลโบตัดสินใจออกเดินทางผจญภัยอีกครั้ง ทิ้งมรดกทั้งปวงรวมถึง "แหวน" วงนั้น ให้แก่ญาติคนหนึ่งที่เขารับไว้เป็นทายาท ชื่อว่าโฟรโด แบ๊กกิ้นส์ หลังจากงานวันเกิดผ่านไป พ่อมดเทาแกนดัล์ฟ เพื่อนเก่าแก่ของครอบครัวก็ย้อนกลับมาที่ไชร์ และพิสูจน์ได้ว่าที่แท้แหวนของบิลโบวงนั้นคือ แหวนเอก ซึ่งเซารอนเจ้าแห่งความมืดติดตามหามาตลอดช่วงยุคที่สาม เวลาเดียวกันนั้น กอลลัมเดินทางเข้าไปที่มอร์ดอร์และโดนจับตัวได้ ทำให้เซารอนรู้ว่าแหวนตกไปอยู่ในความครอบครองของ "แบ๊กกิ้นส์" เซารอนส่งภูตแหวนออกมาติดตามหาแหวน แต่แกนดัล์ฟได้สั่งให้โฟรโดเดินทางออกจากไชร์แล้ว พร้อมกับแซมไวส์ แกมจี (แซม) คนรับใช้และคนสวนของตระกูล นอกจากนี้ยังมีเพื่อนฮอบบิทอีกสองคนของโฟรโดติดตามมาด้วย คือเมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก (เมอร์รี่) กับ เปเรกริน ตุ๊ก (ปิ๊ปปิ้น) ทั้งหมดเดินทางออกจากไชร์จากดินแดนบั๊กแลนด์เข้าสู่ป่าดึกดำบรรพ์ ได้พบกับทอม บอมบาดิล และไปถึงเมืองบรีได้พบกับมนุษย์ผู้หนึ่งชื่อว่า สไตรเดอร์ หรืออารากอร์น บุตรแห่งอาราธอร์น ผู้นำแห่งเหล่าดูเนไดน์แห่งดินแดนเหนือ ซึ่งเป็นทายาทบัลลังก์อาร์นอร์และกอนดอร์ อารากอร์นพาพวกฮอบบิทเดินทางไปจนถึงริเวนเดลล์ แต่ระหว่างทางพวกเขาถูกภูตแหวน (นาซกูล) โจมตี และโฟรโดได้รับบาดเจ็บสาหัส กลอร์ฟินเดล เอลฟ์สูงศักดิ์คนหนึ่งมาพบและช่วยเหลือพวกเขาไว้ได้ทัน ในเล่มสอง โฟรโดได้รับการรักษาจากเอลรอนด์ เจ้าผู้ครองริเวนเดลล์ และได้พบกับบิลโบซึ่งออกเดินทางมาพักผ่อนอยู่ที่นี่ นอกจากนั้นยังมีผู้แทนจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ พากันเดินทางมาริเวนเดลล์ (ได้แก่เอลฟ์ คนแคระ และมนุษย์ จากอาณาจักรต่าง ๆ) จึงเกิดเป็นการประชุมเรียกว่า ที่ประชุมของเอลรอนด์ เพื่อหาข้อสรุปและแนวทางในการต่อต้านเหล่าปีศาจ ที่ประชุมสรุปว่าหนทางเดียวที่จะต่อกรกับเจ้าแห่งความมืดได้ คือต้องทำลายแหวนเอกเสียเท่านั้น โดยต้องนำแหวนไปทิ้งลงในปล่องภูเขาไฟในเมาท์ดูม ซึ่งเป็นไฟที่ใช้สร้างมันขึ้นมา โฟรโดรับอาสาภารกิจนี้ เอลรอนด์จึงแต่งตั้ง "คณะพันธมิตรแห่งแหวน" เพื่อช่วยเหลือโฟรโดในระหว่างการเดินทาง คณะพันธมิตรแห่งแหวนเดินทางผ่านทุ่งหญ้า เทือกเขา เข้าไปในเหมืองมอเรีย โดยมีกอลลัมแอบติดตามไปตลอดทาง เมื่อพวกเขาเข้าไปในเหมือง กลับถูกลอบโจมตีโดยพวกออร์คกับบัลร็อกที่เข้าไปยึดเหมืองนั้นไว้ก่อนแล้ว แกนดัล์ฟต่อสู้กับบัลร็อกเพื่อให้ชาวคณะหลบหนีไปได้ แต่ตัวเขาเองต้องตกลงไปในปล่องเหวอันมืดมิดใต้มอเรีย เมื่อคณะพันธมิตรหนีออกจากมอเรียได้ อารากอร์นจึงพาคนที่เหลือหนีไปยังลอธลอริเอน อาณาจักรของเลดี้กาลาเดรียลและลอร์ดเคเลบอร์น หลังจากนั้นจึงออกเดินทางต่อมาถึงน้ำตกใหญ่ในแม่น้ำอันดูอิน โฟรโดตัดสินใจจะเดินทางต่อเพียงลำพัง เนื่องจากโบโรเมียร์ถูกอำนาจแหวนล่อลวงจนคิดจะแย่งแหวนมาครองเอง แต่ขณะโฟรโดจะแอบหนีไป แซมตามมาทันและขอร่วมเดินทางไปด้วย === หอคอยคู่พิฆาต === ในหนังสือภาคสอง เหตุการณ์ในเรื่องจะแยกออกเป็นสองส่วน โดยที่เล่มสามบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคณะพันธมิตรแห่งแหวนที่เหลืออยู่ คือซารูมานส่งอูรุกไฮมาชิงตัวผู้ถือแหวน แต่พวกมันเข้าใจผิดจึงจับตัวเมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้นไป โบโรเมียร์ต่อสู้เพื่อป้องกันฮอบบิททั้งสองจนเสียชีวิต อารากอร์น เลโกลัส และกิมลี ตัดสินใจไปช่วยเหลือเมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้น ทั้งสามได้พบกับแกนดัล์ฟซึ่งคืนชีพใหม่เป็น แกนดัล์ฟ พ่อมดขาว หลังจากต่อสู้เอาชนะบัลร็อกแล้วจึงถูกส่งกลับมามิดเดิลเอิร์ธอีกครั้งเพราะภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งสี่เดินทางไปยังอาณาจักรโรฮัน และช่วยโรฮันต่อสู้กับซารูมานในสมรภูมิป้อมฮอร์นเบิร์ก เวลาเดียวกันนั้นเมอร์รี่กับปิ๊ปปิ้นหนีพ้นจากพวกอูรุกไฮ และไปอยู่ในความดูแลของพวกเอนท์ ช่วยพวกเอนท์โจมตีไอเซนการ์ด ขังซารูมานไว้ในหอคอย จากนั้นทั้งสองกลุ่มได้มาพบกันอีกครั้งหลังสิ้นสุดสงคราม เล่มสี่เล่าเหตุการณ์ทางด้านของโฟรโดและแซม ที่หาทางเข้าไปยังเมาท์ดูม ทั้งสองจับตัวกอลลัมได้และบังคับให้มันนำทางเข้าไปในมอร์ดอร์ แต่เมื่อไปถึงประตูดำก็พบกองทัพจำนวนมากจึงไม่อาจผ่านเข้าไปได้ กอลลัมเสนอหนทางลับเข้าไปในมอร์ดอร์ ผ่านทางหุบเขาอันน่าสยดสยองแห่งมินัสมอร์กูล ระหว่างทางพวกเขาโดนกองกำลังลาดตระเวนของกอนดอร์จับตัวได้ และได้พบฟาราเมียร์ น้องชายของโบโรเมียร์ โฟรโดอธิบายให้ฟาราเมียร์เข้าใจสถานการณ์และเห็นพ้องว่า การทำลายแหวนทิ้งเสียจะเป็นการดีกว่านำแหวนกลับไปใช้เป็นอาวุธ ในตอนท้ายเล่ม กอลลัมหักหลังโฟรโดโดยพาเขาไปติดกับอยู่ในถ้ำของนางแมงมุมชีล็อบ โฟรโดถูกพิษแมงมุมสิ้นสติไป แต่แซมเข้าสู้กับนางและไล่นางไปได้ พวกออร์คผ่านมาพอดีจึงจับตัวโฟรโดไป ฝ่ายแซมซึ่งคิดว่าเจ้านายของตนตายแล้วจึงได้เอาแหวนมาเก็บไว้ ทำให้แหวนรอดจากเงื้อมมือพวกออร์คโดยบังเอิญ เวลาเดียวกันนั้นเซารอนส่งกองทัพใหญ่ออกไปสู่สมรภูมิบนมิดเดิลเอิร์ธ เป็นการรบครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามแหวน โดยมีวิชคิง หัวหน้าเหล่าภูตแหวน เป็นแม่ทัพเข้าโจมตีกอนดอร์ === กษัตริย์คืนบัลลังก์ === ในหนังสือภาคสาม เริ่มเหตุการณ์ในเล่มห้าที่แกนดัล์ฟกับปิ๊ปปิ้นเดินทางมาถึงมินัสทิริธ และเตือนให้เมืองหลวงแห่งกอนดอร์เตรียมพร้อมรับศึก เมอร์รี่เข้าร่วมกองทัพของโรฮันยกติดตามมา ระหว่างทาง อารากอร์นนำกำลังส่วนหนึ่งแยกไปตาม "เส้นทางมรณะ" (Paths of the Dead) เพื่อขอความช่วยเหลือจากกองทัพปีศาจผู้ตกอยู่ในคำสาปของบรรพกษัตริย์กอนดอร์ ให้ช่วยสกัดทัพเรือคอร์แซร์ที่ยกมาจากอุมบาร์ จากนั้นแกนดัล์ฟ อารากอร์น และคนทั้งหมดเข้าร่วมในการสงครามใหญ่ที่เซารอนหมายเข้ายึดมินัสทิริธ เรียกว่าสมรภูมิทุ่งเพเลนนอร์ ทัพโรฮันมาถึงทันเวลาและป้องกันเมืองมินัสทิริธไว้ได้ แต่เซารอนยังมีกองกำลังจำนวนมากเตรียมพร้อมยกหนุนมาอีก ฝ่ายกองทัพอิสระชนแห่งมิดเดิลเอิร์ธไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าโจมตีประตูดำแห่งมอร์ดอร์ แม้จะไม่มีหวังได้รับชัยชนะก็ตาม ทั้งนี้ก็ด้วยความหวังเพียงประการเดียวคือหันเหความสนใจของเซารอนมาที่พวกตน เพื่อซื้อเวลาให้โฟรโดสามารถเข้าไปทำลายแหวนได้ เล่มหก แซมตามไปช่วยโฟรโดออกมาได้ แล้วเดินทางข้ามที่ราบอันหฤโหดของมอร์ดอร์เข้าไปถึงเมาท์ดูม (โดยมีกอลลัมลอบตามไปตลอดทาง) แต่ในที่สุดแหวนมีอำนาจเหนือจิตใจของโฟรโดมากจนเขาไม่สามารถโยนมันทิ้งลงไปในภูเขาไฟ และประกาศตัวเป็นเจ้าของแหวน เมื่อนั้นบรรดานาซกูลจึงรู้ถึงตำแหน่งของแหวนและหันหน้ากลับไปยังโอโรดรูอิน แต่กอลลัมเมื่อเห็นโฟรโดประกาศครอบครองแหวน ก็เข้ายื้อแย่งและกัดนิ้วที่สวมแหวนของโฟรโดจนขาด มันตื่นเต้นดีใจจนขาดสติแล้วลื่นไถลตกลงไปในปล่องภูเขาไฟ ทำให้แหวนถูกทำลายไป เหล่าปีศาจและสิ่งก่อสร้างทั้งปวงที่สร้างขึ้นด้วยอำนาจดวงจิตของเซารอนจึงพังพินาศไปพร้อมกับแหวนด้วย และกองทัพของอิสระชนแห่งมิดเดิลเอิร์ธเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ อารากอร์นได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกอนดอร์ และอภิเษกกับอาร์เวน บุตรีของเอลรอนด์ แต่ผลกระทบจากสงครามยังไม่สิ้นสุด เพราะซารูมานที่หนีไปจากไอเซนการ์ดได้เดินทางไปถึงไชร์ และเข้ายึดแคว้นนั้นไว้ เมื่อโฟรโดกับเพื่อนเดินทางกลับไปถึง ก็หาทางแก้ไข ยึดแคว้นไชร์คืนกลับมาได้ ถึงกระนั้น ไชร์ก็ไม่ใช่ไชร์อย่างที่พวกเขาเคยรู้จักอีกต่อไป ในตอนท้ายเล่ม โฟรโดที่ยังคงเจ็บบาดแผลจากนาซกูลอยู่เสมอ และบิลโบก็ยังอ่อนแอเนื่องจากอายุและพลังของแหวน เหล่าเอลฟ์จึงตัดสินใจอนุญาตให้ โฟรโดเดินทางข้ามทะเลไปสู่แผ่นดินตะวันตกพร้อมกับบิลโบและเหล่าเอลฟ์ เพื่อไปใช้ชีวิตเป็นอมตะกับอมตะชนที่ยังเหลืออยู่ === ภาคผนวก === ภาคผนวกของหนังสือประกอบด้วย ลำดับเหตุการณ์ในปกรณัม ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์และภาษาต่างๆ บนมิดเดิลเอิร์ธ เช่นวงศ์กษัตริย์อาร์นอร์และกอนดอร์ อักขระเทงกวาร์ ปฏิทินของชาวฮอบบิท และเรื่องราวโดยละเอียดของตำนานอารากอร์นกับอาร์เวน เป็นต้น เมื่อตรวจสอบกับตารางเวลาในปกรณัมของโทลคีน เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มขึ้นในวันเกิดของบิลโบ คือวันที่ 22 กันยายน ปีที่ 3001 ยุคที่สาม สิ้นสุดลงเมื่อแซมไปส่งโฟรโดและกลับถึงแบ๊กเอนด์ ในวันที่ 6 ตุลาคม ปีที่ 3021 ยุคที่สาม แต่เหตุการณ์ส่วนใหญ่ของเรื่องเกิดขึ้นใน "ศักราชอันยิ่งใหญ่" คือปีที่ 3018 - 3019 ของยุคที่สาม นับจากโฟรโดเดินทางออกจากแบ๊กเอนด์ในวันที่ 23 กันยายน ปีที่ 3018 จนถึงวันที่ทำลายแหวนเอกในเมาท์ดูมอีกหกเดือนถัดมา คือวันที่ 25 มีนาคม ปีที่ 3019 == เบื้องหลังการประพันธ์และการตีพิมพ์ == โทลคีนแต่งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นตอนต่อจากเรื่อง เดอะฮอบบิท ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทำให้สำนักพิมพ์เรียกร้องให้โทลคีนรีบส่งผลงานเกี่ยวกับ ฮอบบิท และ กอบลิน มาอีกโดยด่วน ในปีนั้นโทลคีนอายุ 45 ปี เขาจึงได้เริ่มวางโครงเรื่องนิยายตอนใหม่ ต่อมา กลายเป็น เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โดยใช้เวลาประพันธ์ยาวนานถึง 12 ปี เขาเขียนเสร็จในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) แต่กว่าจะได้ตีพิมพ์ครบทั้งหมดก็ล่วงไปถึง ค.ศ. 1955 ซึ่งเขามีอายุได้ 63 ปี ที่จริงโทลคีนไม่ได้คิดจะเขียนตอนต่อของ เดอะฮอบบิท งานประพันธ์หลัก ๆ ของเขาส่วนใหญ่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลกอาร์ดา เรื่องราวของซิลมาริล และชนชาติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นที่มาของเหตุการณ์ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผู้ที่ศึกษาชีวประวัติของโทลคีนจำนวนมากต่างลงความเห็นว่า งานที่เป็น "ผลงานแห่งดวงใจ" ของโทลคีนที่แท้แล้ว คือ ซิลมาริลลิออน แต่เขาเขียนเรื่องนี้ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดี ก็เสียชีวิตไปเสียก่อน คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายของเขาเป็นผู้รวบรวมเรียบเรียง แต่งเติมช่องว่างจนสมบูรณ์ และตีพิมพ์ ซิลมาริลลิออน ออกมาในที่สุดเมื่อ ค.ศ. 1977 อย่างไรก็ดี เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ก็เป็นเหตุการณ์ส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อาร์ดาของโทลคีน เป็นเหตุการณ์ลำดับสุดท้ายของปกรณัมซึ่งโทลคีนเคยหวังว่าจะเป็นส่วนเติมเต็มที่สมบูรณ์สำหรับวงล้อประวัติศาสตร์ทั้งมวล ในที่สุด โทลคีนก็ตัดสินใจเขียนเรื่องการผจญภัยของ "ฮอบบิทคนใหม่" ในเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) เขาลองผิดลองถูกอยู่หลายโครง จนความคิดเกี่ยวกับ "แหวนเอก" แวบเข้ามา เขาเปลี่ยนแนวเรื่องจากการเขียนตอนต่อของ เดอะฮอบบิท ไปเป็นตอนต่อจาก ซิลมาริลลิออน งานที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ของเขานั่นเอง ถึงกระนั้น กว่าแนวคิดเรื่องการปรากฏตัวและการหายตัวไปของบิลโบ นัยยะของแหวนเอก และรายละเอียดอื่น ๆ จะเข้าที่เข้าทางก็ล่วงไปถึงปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) แนวคิดเริ่มแรกเขาคิดจะเขียนให้บิลโบใช้สมบัติจนหมดและออกผจญภัยเพื่อค้นหาขุมทรัพย์ใหม่ ๆ แต่เมื่อแนวเรื่องเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของ "แหวนเอก" บรรยากาศของเรื่องก็จริงจังมากขึ้นจนเกินกว่าจะใช้ตัวละครเอกเป็นฮอบบิทผู้ร่าเริงสนุกสนานอย่างบิลโบ โทลคีนนึกหาตัวละครอื่นที่เป็นญาติกับบิลโบมาแทน เริ่มแรกเขาคิดจะให้เป็นลูกชาย (ชื่อ บิงโก แบ๊กกิ้นส์) แต่มีคำถามอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ใครเป็นภรรยาของบิลโบ และทำไมบิลโบจึงยอมให้ลูกชายเดินทางเสี่ยงอันตรายอย่างนั้น ในที่สุด เรื่องจึงมาลงตัวที่ญาติห่าง ๆ คนหนึ่งของบิลโบที่รับมาเลี้ยงเป็นหลาน คือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ความที่โทลคีนเป็นคนประณีตละเอียดลออ งานเขียนจึงคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า และมักโดนขัดจังหวะอยู่บ่อย ๆ ด้วยงานสอนกับงานด้านวิชาการของโทลคีนเอง โทลคีนเคยหยุดเขียนเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ไปในปี พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) แต่ด้วยแรงผลักดันจากคริสโตเฟอร์ ลูกชาย และ ซี. เอส. ลิวอิส เพื่อนรัก ซึ่งโทลคีนเขียนเรื่องเป็นตอน ๆ ส่งให้ทั้งสองคนอ่าน โทลคีนพยายามเขียนต่อจนจบและส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ได้ในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) ทว่า โทลคีนยังคงปรับแก้รายละเอียดของเรื่องต่อไปอีกจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) === การตีพิมพ์ === ในเวลานั้นเองโทลคีนมีปัญหาขัดแย้งกับสำนักพิมพ์ของเขา คือ อัลเลนแอนด์อันวิน เนื่องจากโทลคีนต้องการให้ตีพิมพ์ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ กับ ซิลมาริลลิออน พร้อม ๆ กันเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง เมื่ออัลเลนแอนด์อันวินไม่เห็นด้วย โทลคีนจึงส่งต้นฉบับไปให้เพื่อนคนหนึ่งของเขา คือ มิลตัน วอลด์แมน ที่สำนักพิมพ์คอลลินส์ ทว่า ทางคอลลินส์เห็นว่าลำพัง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เองนั้น ก็จำเป็นต้องถูกหั่นให้สั้นลง โทลคีนจึงหันกลับไปหาอัลเลนแอนด์อันวินอีกครั้ง เวลานั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระดาษหายากฝืดเคือง และเพื่อให้ราคาหนังสือถูกลง สำนักพิมพ์จึงแบ่งการพิมพ์เรื่องนี้ออกเป็นสามภาค คือ The Fellowship of the Ring (เล่ม 1 และ 2) The Two Towers (เล่ม 3 และ 4) และ The Return of the King (เล่ม 5, 6 และภาคผนวก) งานจัดทำภาคผนวก แผนที่ รวมทั้งดรรชนี ทำให้การตีพิมพ์ล่าช้ากว่ากำหนดออกไป หนังสือทั้งสามภาคออกวางจำหน่ายดังนี้ ภาคแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) ภาคสองเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) และภาคสามเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) ชื่อหนังสือในภาคที่สาม โทลคีนไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะคิดว่าเป็นการบอกถึงเนื้อเรื่องมากเกินไป เขาเคยเสนอให้ใช้ชื่อ The War of the Ring แต่สำนักพิมพ์ไม่ตกลง โทลคีนรับผลตอบแทนจากสำนักพิมพ์ในระบบปันกำไร หมายความว่า เขาจะไม่ได้รับเงินล่วงหน้าหรือค่าส่วนแบ่งจากสำนักพิมพ์จนกว่าการพิมพ์ครั้งนั้นจะคุ้มทุนแล้ว หลังจากนั้น โทลคีนก็ได้รับส่วนแบ่งในผลกำไรเป็นจำนวนมาก หนังสือชุดนี้มักเรียกกันว่า "ไตรภาค" ซึ่งโทลคีนเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกันโดยตลอด ไม่ได้แบ่งเป็นภาค นอกจากนี้ ยังเรียกว่า "นวนิยาย" ซึ่งโทลคีนก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขาบอกว่าเรื่องนี้เป็น "มหากาพย์" เมื่อปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) มีการตีพิมพ์เรื่องนี้เป็นหนังสือชุดเจ็ดเล่ม ประกอบด้วย เนื้อเรื่องหกเล่มตามบทประพันธ์ และภาคผนวกอีกหนึ่งเล่ม ชื่อย่อยของหนังสือแต่ละเล่มนำมาจากแนวคิดของโทลคีนที่เคยเอ่ยถึงเมื่อสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ ชื่อหนังสือจากเล่ม 1 ถึง เล่ม 6 ได้แก่ The Ring Sets Out (แหวนปรากฏตัว) The Ring Goes South (แหวนลงใต้) The Treason of Isengard (ไอเซนการ์ดทรยศ) The Ring Goes East (แหวนสู่บูรพา) The War of the Ring (สงครามแห่งแหวน) และ The End of the Third Age (การสิ้นสุดยุคที่สาม) ในจำนวนนี้ ชื่อหนังสือสามเล่มคือ The Treason of Isengard, The War of the Ring, และ The End of the Third Age ได้กลายมาเป็นชื่อเล่มในหนังสือชุด ประวัติศาสตร์ลอร์ดออฟเดอะริงส์ (อยู่ในหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ) ซึ่งเรียบเรียงโดยคริสโตเฟอร์ โทลคีน ชื่อย่อของหนังสือมักเรียกกันว่า LotR หรือ LR (โทลคีนเองเรียกว่า L.R.) ส่วนชื่อภาคเรียกว่า FotR หรือ FR (สำหรับ The Fellowship of the Ring) , TTT หรือ TT (สำหรับ The Two Towers) , และ RotK หรือ RK (สำหรับ The Return of the King) === การแปลเป็นภาษาอื่น === หนังสือชุดนี้ได้แปลไปเป็นภาษาอื่นอย่างน้อย 38 ภาษา โทลคีนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ยังได้เป็นผู้ตรวจสอบการแปลด้วยตนเองหลายครั้ง เขาได้ทำหนังสือ "คู่มือเกี่ยวกับชื่อต่าง ๆ ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์" เพื่อช่วยเหลือบรรดานักแปลทั้งหลาย เพราะหนังสือเรื่องนี้แต่งขึ้นบนฐานเรื่องที่ว่า มันแปลมาจาก 'หนังสือปกแดงแห่งเวสต์มาร์ช' ดังนั้น ชื่อต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษที่อาจมีหลายความหมาย จะต้องแปลไปเป็นภาษาปลายทางให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง เช่น ฉบับแปลภาษาเยอรมัน ชื่อ "Baggins (แบ๊กกิ้นส์) " จะต้องกลายเป็น "Beutlin" (เพื่อให้ได้คำว่า Beutel ซึ่งหมายถึง Bag (ถุง)) หรือคำว่า "Elf (เอลฟ์) " จะกลายเป็น "Elb" (โดยที่คำว่า Elb ไม่ได้มีความหมายอื่นที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดเหมือนกับที่เกิดขึ้นในฉบับภาษาอังกฤษ) เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ได้แปลเป็นภาษาไทยเมื่อปี พ.ศ. 2544 - 2545 โดยคุณวัลลี ชื่นยง พิมพ์โดยสำนักพิมพ์แพรวเยาวชน แบ่งการตีพิมพ์ออกเป็นสามตอน แต่ละตอนมีเนื้อหา 2 เล่ม (ตามการจัดแบ่งเนื้อเรื่องของผู้เขียน) คือ มหันตภัยแห่งแหวน (The Fellowship of the Ring) หอคอยคู่พิฆาต (The Two Towers) กษัตริย์คืนบัลลังก์ (The Return of the King) === แนวคิดในการประพันธ์ === โทลคีนแต่งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ขึ้นจากพื้นฐานความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ ศาสนา (โดยเฉพาะความเชื่อแบบโรมันคาทอลิก) และนิทานพื้นบ้านโดยเฉพาะตำนานนอร์ส นอกเหนือจากนั้น ประสบการณ์ของเขาในระหว่างการเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็มีส่วนอยู่ด้วยค่อนข้างมาก รายละเอียดที่เขานำมาตกแต่งลงในโลกในจินตนาการของเขา (หรือเออา) เป็นฉากหลังของเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ก็มีส่วนมาจากประสบการณ์เหล่านี้ ครั้งหนึ่งโทลคีนเคยบอกกับเพื่อนคนหนึ่งของเขา คือ คุณพ่อโรเบิร์ต เมอเรย์ เกี่ยวกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ว่า "เป็นงานที่มีพื้นฐานมาจากศาสนา แม้ตอนแรกจะไม่ได้เขียนขึ้นโดยตั้งใจ แต่ในระหว่างการแก้ไข ผมจงใจปรับให้เป็นอย่างนั้น" เพราะแนวทางของเรื่องโดยพื้นฐานเป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม และการที่ความถ่อมตนสามารถเอาชนะความยโส ในมหากาพย์ยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตาย เรื่องของความเป็นอมตะ ความเมตตากรุณา การฟื้นคืนชีพ การกลับใจและสำนึกในบาป การเสียสละตนเอง ความมุ่งมั่นในจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพ ความยุติธรรม ความเป็นมิตร และการเยียวยารักษา นอกจากนี้ ในบทอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า "โปรดนำทางพวกเราให้พ้นจากความมัวเมาและปีศาจร้าย" ก็เป็นประเด็นสำคัญยิ่งที่โทลคีนสื่อออกมาผ่านตัวละคร โฟรโด ในการที่เขาพยายามกระเสือกกระสนให้พ้นจากการครอบงำของแหวนเอก สำหรับความเชื่อในศาสนาอื่น ๆ นอกเหนือจากศาสนาคริสต์ ก็มีปรากฏในงานชุดมิดเดิลเอิร์ธนี้เช่นกัน เช่น ตัวละครไอนัวร์ - เหล่าวาลาร์และไมอาร์ ที่เป็นเสมือน "เทพ" ผู้คอยทำหน้าที่สร้างและปกปักรักษาโลก เป็นแนวคิดในลักษณะเดียวกับปวงเทพของตำนานกรีกและนอร์ส ถึงแม้ในเรื่องนี้ เหล่าไอนัวร์ก็ล้วนเป็นผลงานสร้างสรรค์จากเอรู อิลูวาทาร์ หรือ "พระผู้เป็นหนึ่ง" เช่นกัน ความเชื่อในตำนานอื่นนอกศาสนาคริสต์ยังปรากฏออกมาผ่านตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหลาย เช่น คนแคระ เอลฟ์ ฮอบบิท และเอนท์ เป็นต้น หากไม่นับศาสนาคริสต์แล้ว ตำนานปรัมปราของยุโรปเหนือนับว่าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่องานของโทลคีนมากที่สุด เพราะเรื่องของ "เอลฟ์" และ "คนแคระ" เป็นเรื่องที่มาจากตำนานนอร์สกับตำนานเยอรมัน ชื่อหลายชื่อในเรื่องเช่น "แกนดัล์ฟ" "กิมลี" หรือแม้คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" ก็มีที่มาจากตำนานนอร์ส "แกนดัล์ฟ" เป็นตัวละครที่สร้างจากเทพโอดินซึ่งกลับมาเกิดใหม่เป็น "ผู้พเนจร" เฒ่าผู้มีตาเดียว มีหนวดยาวสีขาว สวมหมวกยอดแหลมและถือไม้เท้า จดหมายฉบับหนึ่งของโทลคีนที่เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ระบุว่าเขาจินตนาการแกนดัล์ฟขึ้นมา "แบบโอดินเฒ่าพเนจร" วรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่งในบรรดาตำนานยุโรปเหนือที่มีอิทธิพลต่องานของโทลคีน คือ บทกวีแองโกลแซกซอน เรื่อง เบวูล์ฟ โทลคีนนำองค์ประกอบหลายส่วนมาจากมหากาพย์โวลซุงกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของแหวนวิเศษที่ทำจากทองคำ และดาบหักที่ถูกตีขึ้นใหม่ ในมหากาพย์โวลซุงกา แหวนมีชื่อว่า Andvarinaut ส่วนดาบมีชื่อว่า Gram นั่นคือ แหวนเอกธำมรงค์ และดาบนาร์ซิล อย่างไม่ต้องสงสัย ยังมีตำนานปรัมปราของฟินแลนด์อีกเรื่องหนึ่งชื่อ คาเลวาลา ซึ่งตัวโทลคีนเองก็ยอมรับว่า เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เขาในการสร้างโลก 'มิดเดิลเอิร์ธ' ขึ้น เรื่อง คาเลวาลา ดำเนินไปเกี่ยวกับของวิเศษทรงอำนาจชิ้นหนึ่ง คือ ซัมโป ซึ่งนำพาอำนาจยิ่งใหญ่มาสู่ผู้ถือครอง แต่ไม่ทราบแน่ชัดถึงลักษณะธรรมชาติของตัวมันเอง ฝ่ายธรรมะและอธรรมในเรื่องต่างทำสงครามกันเพื่อแย่งชิง ซัมโป เช่นเดียวกับแหวนเอก ท้ายที่สุด มันก็ถูกทำลายสูญสิ้นไป นอกจากนี้ พ่อมดคนหนึ่งในเรื่องคาเลวาลา คือ ไวแนเมยเนน (Väinämöinen) ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับแกนดัล์ฟ ด้วยมีกำเนิดเป็นอมตะ เป็นผู้เฉลียวฉลาด และสุดท้ายหลังกระทำภารกิจสำเร็จได้ออกเดินทางล่องเรือไปเสียจากแผ่นดินของมรรตัยชน โทลคีนยังสร้างภาษาเควนยาของเขาขึ้นมาจากพื้นฐานภาษาฟินนิชอีกด้วย นอกเหนือจากปัจจัยภายนอก ฉากและตัวละครบางตัวก็มาจากประสบการณ์วัยเด็กของโทลคีนเองเมื่อสมัยที่อาศัยอยู่ Sarehole กับ เบอร์มิงแฮม เช่น ภาพของแคว้นไชร์และแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์นั้นมาจากดินแดนชนบทรอบ ๆ วิทยาลัย Stonyhurst ที่แลงคาไชร์ ซึ่งโทลคีนมักไปเที่ยวบ่อย ๆ ในช่วงทศวรรษ 1940 หลังจากที่ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตีพิมพ์เผยแพร่ มีการวิจารณ์กันมากว่า 'แหวนเอก' เป็นตัวแทนอุปมาถึงระเบิดนิวเคลียร์ เรื่องนี้โทลคีนยืนยันหนักแน่นว่างานเขียนของเขาไม่ใช่งานสัญลักษณ์แฝงคติ (Allegory) ในบทนำของหนังสือ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เขาถึงกับเขียนไว้ว่า เขาไม่ชอบนิยายเปรียบเทียบแฝงคติ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่นิยายแบบนั้น เขายังบอกว่าผู้กล่าวเช่นนั้นช่างไร้ความรับผิดชอบที่จะมาแก้ไขประเด็นเหล่านี้เสียให้ถูก เพราะโทลคีนเขียนเนื้อเรื่องส่วนใหญ่รวมถึงเนื้อหาตอนจบเสร็จก่อนที่ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกจะปรากฏขึ้นบนโลกในปี ค.ศ. 1945 เสียอีก อย่างไรก็ดี แนวคิดหลักของเรื่องก็ช่างสอดคล้องกับเหตุการณ์ทันยุคทันสมัย นั่นคือ อารมณ์ของความสิ้นหวังเมื่อต้องต่อสู้กับอาวุธจักรยนต์ที่โทลคีนต้องเผชิญในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในชนบทอันร่มรื่นของเขาไปสู่เขตอุตสาหกรรม การแพร่พันธุ์ใหม่ ๆ ของพวกออร์คและการผลาญทำลายธรรมชาติเพื่อการแพร่พันธุ์นั้น ยังคงสื่อความหมายที่ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงเรื่องของ "อำนาจ" ที่แหวนเอกมีต่อผู้ครอบครองประหนึ่งผู้เสพติดยา ทำให้วรรณกรรมชิ้นนี้เป็นงานที่มีความหมายอย่างมากชิ้นหนึ่งในประวัติบรรณพิภพ == กระแสตอบรับ และรางวัลที่ได้รับ == ผลตอบรับต่องานของโทลคีนมีหลายระดับตั้งแต่ "แย่มาก" ไปจนถึง "ยอดเยี่ยม" แต่ส่วนใหญ่คำวิจารณ์จากสื่อต่าง ๆ จะเป็นไปในทางที่ดี บทวิจารณ์ในซันเดย์เทเลกราฟ (Sunday Telegraph) กล่าวว่า "นี่เป็นจินตนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในศตวรรษที่ยี่สิบ" นิตยสารซันเดย์ไทมส์ (Sunday Times) บอกว่า "ผู้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษในโลกแบ่งออกได้เป็นสองพวก คือ พวกที่อ่าน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ เดอะฮอบบิท แล้ว กับพวกที่กำลังจะอ่าน" และนิวยอร์กเฮอรัลด์ (New York Herald) ก็ลงความเห็นว่า "หนังสือจะเป็นที่นิยมอย่างมาก และจะอยู่ไปอีกนานยิ่งกว่าช่วงชีวิตของเรา" ส่วนคำวิจารณ์ในทางไม่ดีก็มีเหมือนกัน โดยจูดิธ ชูเลวิทซ์ (Judith Shulevitz) นักวิจารณ์จากนิวยอร์กไทมส์ กล่าวว่า "โทลคีน ทำให้เกิดความเชื่อผิด ๆ ในการเขียนวรรณกรรมแบบอนุรักษ์ ซึ่งจะทำให้วงการวรรณกรรมไม่ก้าวหน้า" และ ริชาร์ด เจนคินส์ (Richard Jenkyns) นักวิจารณ์จาก นิวรีพับลิค บอกว่า "นิยายเรื่องนี้ไม่มีมิติทางด้านจิตวิทยาเลย ทั้งเนื้อเรื่องและตัวละครต่างฉาบฉวย ไม่มีเนื้อมีหนัง" แม้แต่เพื่อนในกลุ่มชมรมอิงคลิงส์ ของโทลคีนคนหนึ่ง คือ ฮิวโก ดีสัน (Hugo Dyson) ก็เคยบ่นเมื่อโทลคีนอ่านผลงานของตนให้สมาชิกกลุ่มฟังว่า "ให้ตายสิ! มีเอลฟ์บ้าโผล่มาอีกแล้ว" แต่ ซี. เอส. ลิวอิส สมาชิกอีกคนหนึ่งกลับบอกว่า "งานชิ้นนี้ เป็นความงดงามที่เฉียบคมราวคมดาบ ลุกโพลงเหมือนเหล็กเยือกเย็น เป็นหนังสือที่จะละลายหัวใจของคุณ" ถึงกระนั้น ภายใต้คำวิจารณ์มากมายเหล่านี้ หนังสือชุดปกอ่อนก็ขายหมดอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่พิมพ์ในช่วงทศวรรษ 1960 แม้แต่ชุดปกแข็งก็ยังขายดีมาก เมื่อปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) หนังสือชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้รับรางวัลนิยายแฟนตาซียอดเยี่ยม จาก International Fantasy Award การได้พิมพ์เผยแพร่กับสำนักพิมพ์ Ace Books และ Ballantine ที่สหรัฐอเมริกา ทำให้หนังสือคงความนิยมอย่างสูงได้ตลอดช่วงทศวรรษ 1960 และติดอันดับหนังสือขายดีมาจนตลอดศตวรรษที่ 20 ในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) สถานีโทรทัศน์บีบีซี จัดสำรวจความนิยม "หนังสือในดวงใจ" ของประเทศอังกฤษ และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้รับเลือกเป็นอันดับหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) ผลสำรวจในเยอรมนีและออสเตรเลียก็ปรากฏว่า เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ครองความนิยมอันดับหนึ่งที่ผู้คนชื่นชอบที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) เว็บไซต์อเมซอนดอตคอม เว็บหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้จัดสำรวจความนิยมของผู้อ่าน และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้รับการโหวตให้เป็น "หนังสือยอดเยี่ยมแห่งสหัสวรรษ" == การดัดแปลงไปยังสื่ออื่น == === ละครวิทยุ === เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มีการดัดแปลงเป็นละครวิทยุออกอากาศรวมทั้งสิ้นสี่ครั้ง ครั้งที่ 1 โดยสถานีวิทยุบีบีซี เป็นบทละครวิทยุ 12 ตอน ออกอากาศในปี พ.ศ. 2498 - 2499 (ค.ศ. 1955 - 1956) ผลจากการออกอากาศครั้งนี้ทำให้ชายผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า แซม แกมจี เขียนจดหมายไปหาโทลคีน ครั้งที่ 2 โดยสถานีวิทยุ WBAI-FM นิวยอร์ก ได้แก้ไขให้เนื้อเรื่องสั้นลงและนำมาบรรยายประกอบดนตรี ระหว่างช่วงปีทศวรรษ 1960 โดยไม่ได้ขออนุญาตจากโทลคีนก่อน จึงถูกระงับการออกอากาศ ครั้งที่ 3 โดยสถานี National Public Radio แห่งสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) บันทึกเสียงโดยผู้พากย์แต่ละคนไม่ได้เจอหน้ากัน แต่พากย์แยกกันแล้วนำมาประกอบทีหลัง ผลงานจึงไม่ดีนัก ครั้งที่4 โดยสถานีวิทยุบีบีซี ในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) เป็นบทละครวิทยุที่มีขนาดยาวถึง 26 ตอน (ตอนละครึ่งชั่วโมง) ผู้รับบทเอกในการพากย์ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ คือ เอียน โฮล์ม ซึ่งต่อมาได้ร่วมแสดงใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับภาพยนตร์ (พ.ศ. 2544 - 2546) อีกครั้งในบทลุงของโฟรโด คือบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ === ละครเวที === มีการดัดแปลง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นละครเวทีหลายครั้ง ครั้งแรกเป็นการแสดงที่เมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) แต่เนื่องจากทุนน้อยจึงไม่ประสบความสำเร็จนัก จากนั้นมีการแสดงในซินซินเนติอีกหลายครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2549 มีการจัดแสดงครั้งใหญ่ เป็นละครเพลงความยาว 3 ชั่วโมงครึ่ง ที่โรงละคร Pricess of Wales โทรอนโต แคนาดา ใช้เงินลงทุนถึง 26.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การแสดงเริ่มรอบกาลาพรีเมียร์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) และต้องปิดตัวลงเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากเปิดแสดงเพียง 5 เดือน เนื่องจากขาดทุนย่อยยับ ทีมงานชุดโทรอนโต ได้มาจัดการแสดงอีกครั้งที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเปิดการแสดงที่ เธียเตอร์รอยัล เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ใช้เงินลงทุน 12.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นับเป็นการแสดงที่ใช้เงินลงทุนสูงที่สุดที่มีการจัดแสดงละครเวทีในประเทศอังกฤษ ผลตอบรับจากละครเวทีครั้งนี้มีทั้งในทางดีและไม่ดีปะปนกันไป === หนังสือเสียง === ปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) สำนักพิมพ์ Recorded Books วางจำหน่ายหนังสือบันทึกเสียง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เต็มเรื่องโดยไม่ตัดทอน มีนักแสดงชาวอังกฤษ ร็อบ อิงกลิส (Rob Inglis) เป็นผู้ให้เสียงอ่าน โดยใช้เสียงพากย์ต่าง ๆ กันสำหรับแต่ละตัวละคร และเขายังเป็นผู้ร้องเพลงประกอบเรื่อง ซึ่งโทลคีนแต่งไว้มากมายตลอดเรื่องอีกด้วย หมายเลข ISBN ของหนังสือนี้ คือ 1402516274 === ภาพยนตร์ === เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์สามครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) ใช้ชื่อเรื่องว่า J. R. R. Tolkien's The Lord of the Rings โดยนักสร้างภาพเคลื่อนไหว ชื่อ ราล์ฟ บัคชิ (Ralph Bakshi) เขาสร้างเนื้อหาในภาคแรก 'มหันตภัยแห่งแหวน' และบางส่วนใน 'หอคอยคู่พิฆาต' ภาพยนตร์ไม่ประสบความสำเร็จนัก ครั้งที่สองสร้างโดยทีมงาน Rankin/Bass เป็นภาคต่อจากฉบับภาพยนตร์ คือ ส่วนที่เหลือของ 'หอคอยคู่พิฆาต' และ 'กษัตริย์คืนบัลลังก์' โดยสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายทางโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) ใช้ชื่อว่า The Return of the King แต่ครั้งที่ประสบความสำเร็จ คือ ฉบับปี พ.ศ. 2544 - 2546 ของผู้กำกับปีเตอร์ แจ็กสัน อำนวยการสร้างโดย นิวไลน์ซีนีม่า ภาพยนตร์ทั้งสามภาคถ่ายทำในประเทศนิวซีแลนด์ทั้งเรื่อง และถ่ายทำในช่วงเวลาเดียวกัน แต่มีกำหนดออกฉายปีต่อปี เริ่มจากปี พ.ศ. 2544 - 2546 ภาพยนตร์ทั้ง 3 ตอนได้รับรางวัลเนบิวลาสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2545 - 2547 ภาพยนตร์ตอนสุดท้าย (Return of the King) ทำสถิติรายได้มากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องที่สองถัดจาก ไททานิก และได้รับรางวัลออสการ์ไปถึง 11 สาขาในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งรวมถึง รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เมื่อรวมทั้งสามภาค ภาพยนตร์ได้รับรางวัลบาฟต้า 13 รางวัล ลูกโลกทองคำ 4 รางวัล และรางวัลออสการ์รวมถึง 17 รางวัล ได้แก่ The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring รวมทั้งสิ้น 4 รางวัล แต่งหน้ายอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, เทคนิคพิเศษทางภาพยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม The Lord of the Rings: The Two Towers รวมทั้งสิ้น 2 รางวัล ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม, เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม The Lord of the Rings: The Return of the King รวมทั้งสิ้น 11 รางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ปีเตอร์ แจ๊กสัน) , บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม (เพลง Into the West) , ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, แต่งหน้ายอดเยี่ยม, เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ชื่อตอนของภาพยนตร์ในฉบับภาษาอังกฤษจะเหมือนชื่อหนังสือ แต่สำหรับในพากย์ไทยของภาพยนตร์ทั้งสามภาค มีชื่อดังนี้ อภินิหารแหวนครองพิภพ ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ มหาสงครามชิงพิภพ == อิทธิพลต่องานแขนงอื่น == === ดนตรี === ผลงานของโทลคีนทั้งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และงานเขียนอื่น ๆ ส่งอิทธิพลต่อบรรดานักดนตรีมากมาย วงดนตรีร็อกในยุคทศวรรษ 1970 พากันแต่งดนตรีและคำร้องของบทเพลงที่เกี่ยวกับนิยายแฟนตาซีชุดนี้ เช่น วงเล็ด เซ็พพลิน คาเมล รัช และ สติกซ์ เป็นต้น ในทศวรรษที่ 80 และ 90 วงดนตรีเมทัลในยุโรปหลายวงแต่งเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโทลคีน โดยเฉพาะในมุมมองทางด้านมืดเกี่ยวกับตัวละครฝ่ายอธรรมในโลกมิดเดิลเอิร์ธ เช่น วง Blind Guardian ของเยอรมนี วง Summoning ของออสเตรีย และวง Nightwish ของฟินแลนด์ วงดนตรีเมทัลบางวงยังตั้งชื่อวงด้วยชื่อของสถานที่ต่าง ๆ ในปกรณัมของโทลคีน เช่น วงกอร์โกรอธ, อะมอนอามาร์ธ, เอเฟลดูอัธ และ คิริธอุงโกล เป็นต้น ในประเทศไทยมีวงดนตรีชื่อ ฮอบบิท มีสมาชิกวง 4 คนซึ่งทั้งสี่เป็นคนร่างเล็ก นักดนตรีหลายคนก็ตั้งชื่อทางการแสดงด้วยชื่อตัวละครในเรื่อง เช่น เคาน์กริชนัค และ ชากรัธ เป็นต้น มือกีต้าร์คนหนึ่ง คือ สตีฟ ตุ๊ก (Steve Took) เลือกใช้นามแฝงตามชื่อฮอบบิทคนหนึ่งว่า เปเรกริน ตุ๊ก นอกจากนี้ ยังมีวงโพรเกรสซิฟร็อก ตั้งชื่อวงว่า อิลูวาทาร์ และ Isildur's Bane (ยมทูตของอิซิลดูร์) ตามชื่อตัวละครในปกรณัมด้วย นอกจากวงดนตรีร็อกแล้ว นักดนตรีคลาสสิกและนิวเอจจำนวนหนึ่งก็ได้รับแรงบันดาลใจจากโทลคีนเช่นกัน เช่น ศิลปินนิวเอจ เอนยา (Enya) ได้ประพันธ์บทเพลง "ลอธลอริเอน" ในปี ค.ศ. 1991 เธอยังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับภาพยนตร์ไตรภาค เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ อีกสองเพลง คือ "May It Be" (ประพันธ์เนื้อร้องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเควนยา) และเพลง "Aniron" (ประพันธ์เนื้อร้องเป็นภาษาซินดาริน) ซึ่งเพลง "May It Be" ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมี่ (ออสการ์) สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2544 นักดนตรีชาวสวีเดน ชื่อ Bo Hansson สร้างงานเพลงในปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ชื่ออัลบัมว่า "Music Inspired by Lord of the Rings" และวงดนตรีสายเลือดเดนมาร์ก โทลคีน เอนเซมเบิล ได้ออกอัลบัมหลายชุดที่ประพันธ์ขึ้นจากบทกวีและลำนำจากเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ทั้งหมด บางเพลงในอัลบัมเหล่านี้ยังได้ คริสโตเฟอร์ ลี มาร่วมขับลำนำด้วย === ภาพวาด === ผู้วาดภาพจากงานของโทลคีนที่ทรงเกียรติที่สุดได้แก่ สมเด็จพระบรมราชินีนาถมาเกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งทรงเป็นศิลปินนักวาดภาพผู้ช่ำชอง ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระองค์ได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) บน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับแปลภาษาเดนมาร์ก โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า Ingahild Grathmer สำหรับในยุคแรกของการตีพิมพ์ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ภาพวาดประกอบเรื่องเกือบทั้งหมดเป็นผลงานของ สองพี่น้องฮิลเดบรันด์ (Tim และ Greg Hildebrandt) ซึ่งเป็นนักวาดภาพประกอบนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซี แต่จิตรกรจากผลงานของโทลคีนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้แก่ จอห์น ฮาว (John Howe) อลัน ลี (Alan Lee) และ เท็ด แนสมิธ (Ted Nasmith) โดย จอห์น ฮาว เป็นผู้วาดภาพปกและภาพประกอบของหนังสือของโทลคีนหลายชุดหลายเวอร์ชัน อลัน ลี มักวาดภาพเกี่ยวกับเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (เขาวาดภาพประกอบให้ ตำนานบุตรแห่งฮูริน ด้วย) ขณะที่ เท็ด แนสมิธ ชำนาญและมุ่งเน้นภาพจากเรื่อง ซิลมาริลลิออน มากที่สุด ศิลปินทั้งสามคนนี้ได้รับเชิญจากปีเตอร์ แจ็กสัน ให้เข้าร่วมงานออกแบบในภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่ง ฮาว และ ลี ตอบรับ แต่แนสมิธต้องปฏิเสธไปด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ ในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) อลัน ลี ได้รับรางวัลอะแคเดมี (รางวัลออสการ์) ในสาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม สำหรับผลงานของเขาในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องนี้ นอกจากนี้ ยังมีศิลปินคนอื่น ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโทลคีนในการสร้างผลงาน เช่น Catherine Karina Chmiel, Inger Edelfeldt, Anke Katrin Eißmann, Roger Garland, Michael Hague, Tove Jansson (ผู้วาดภาพประกอบ เดอะฮอบบิท ฉบับแปลภาษาฟินนิช), Angus McBride Kay Miner, และ Jenny Dolfen เป็นต้น === บทกวี === กวีหลายคนมีแรงบันดาลใจในการแต่งบทกวีขึ้นในภาษาเควนยาหรือภาษาซินดาริน อันเป็นภาษาประดิษฐ์ของโทลคีนที่ได้เตรียมโครงสร้างภาษาไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เช่น Helge Kåre Fauskanger ได้แปลสองบทแรกของพระธรรมปฐมกาล (Genesis) ไปเป็นภาษาเควนยา และจุลสาร Tyalië Tyelelliéva (ISSN 1539-7238) เป็นจุลสารเกี่ยวกับผลงานกวีในภาษาเอลฟ์ เผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2537 - 2544 === เกม === เกมในแนว RPG ยุคทศวรรษ 1970 ชื่อ Dungeons & Dragons สร้างตัวละครในเกมขึ้นจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ จุดเด่นที่เห็นได้ชัด คือ ชาวฮาล์ฟลิง (ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของฮอบบิท) เอลฟ์ มนุษย์ครึ่งเอลฟ์ คนแคระ ออร์ค และมังกร เกมประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงและเป็นต้นแบบแก่เกมแนว RPG อื่น ๆ ต่อมาในยุคหลัง อย่างไรก็ดี แกรี่ กายแกกซ์ หัวหน้าทีมออกแบบเกมนี้ยืนยันว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์น้อยมาก และว่าเขาเพิ่มตัวละครเหล่านั้นลงไปในเกมก็เพื่อผลทางการตลาดเท่านั้น ในวงการวิดีโอเกมก็ปรากฏเกมจำนวนมากที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปกรณัมของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เช่น เกม RPG แฟนตาซี ชุด Ultima,Baldur's Gate, EverQuest, และ the Warcraft ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงเกมต่าง ๆ ที่อยู่ในชุด มิดเดิลเอิร์ธ เองอีกหลายชุด === วรรณกรรมและภาพยนตร์อื่น === ผลจากความสำเร็จและความนิยมอันล้นหลามในงานปกรณัมของโทลคีน ทำให้เกิดกระแสความต้องการนิยายแฟนตาซีสูงขึ้นอย่างมาก ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นยุคทองของนิยายแฟนตาซี มีหนังสือและหนังสือชุดมากมายที่สร้างสรรค์ขึ้นในยุคนี้ เช่น ซีรีส์ เอิร์ธซี ของ เออร์ซูลา เค. เลอ กวิน, มหากาพย์ Riftwar ของ เรย์มอนด์ ฟีสต์, Belgariad ของเดวิด เอดดิงส์, The Sword of Shannara ของเทอร์รี่ บรู๊ค, และ The Wheel of Time หนังสือชุดของโรเบิร์ต จอร์แดน เป็นต้น วรรณกรรมชิ้นนี้ยังได้ขยายผลไปยังกลุ่มวรรณกรรมข้างเคียง คือ นิยายวิทยาศาสตร์หรือไซไฟ มีการกล่าวอ้างถึงงานของโทลคีนในนิยายของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง เช่น แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต และ อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก และส่งอิทธิพลอย่างมากต่อผู้สร้างภาพยนตร์ เช่น จอร์จ ลูคัส ซึ่งมักพูดบ่อย ๆ ว่า เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมากในเรื่อง สตาร์ วอร์ส == ดูเพิ่ม == งานประพันธ์ของโทลคีนที่เกี่ยวข้องในชุดปกรณัมเดียวกันนี้ ได้แก่ เดอะฮอบบิท ตำนานแห่งซิลมาริล เกร็ดตำนานที่จารมิจบ ตำนานบุตรแห่งฮูริน ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ทางการของโทลคีน Tolkien Society เว็บชุมชนทางด้านวิชาการเกี่ยวกับผลงานของโทลคีน Encyclopedia of Arda สารานุกรมแห่งอาร์ดา รวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับปกรณัมของโทลคีน TheOneRing.Net เว็บแฟนคลับ LOTR ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Council of Elrond เว็บไซต์อีกแห่งที่เป็นแหล่งรวมข้อมูลข่าวสารของ LOTR ทั้งหนังสือ และภาพยนตร์ SpringOfArda เว็บบอร์ดแฟนคลับ LOTR ชาวไทย ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ วรรณกรรมภาษาอังกฤษ วรรณกรรมแปล มหากาพย์ นวนิยายแฟนตาซี
เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีชื่อเต็มว่า จอห์น โรนัลด์ รูล โทลคีน (John Ronald Reueo Tolkien; นามปากกาว่า J. R. R. Tolkien; 3 มกราคม พ.ศ. 2435 – 2 กันยายน พ.ศ. 2516) เป็นกวี นักประพันธ์ นักภาษาฒาสตร์ และศาสตราจารย์ขาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในฐานะผู้ประพันธ์นิยายแฟนตาซีระดับคลาสสิก เรื่องเดอะฮอบบิท แบะเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โทลคีนเข้าศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนคิงเอดเวิดส์ เมืองเบอร์มิงแฮม และจบการศึกษาระดับปริญญาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เข้าทำงานครั้งแรกในตำแหน่งอาจารย์ที่ มหาวิทยาบัยลีดส์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 - 2468 ได้เป็นศาสตราจารย์สาขาแองโกลแซกซอน ตำแหน่ง Rawlinson and Bosworth Professor ที่มหาวอทยาลัยออกซหอร์ด ตั้ลแต่ พ.ศ. 2468 - 2488 กละได้เป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาและวรรณคดีอังกฤษ ตำแหน่ง Merton Professor ตั้งแต่ พ.ศ. 2488 - 2502 โทลคีนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งราชอาณาจักรบริเตน ระดับ Commander จากสมเด็จพระราชินันาถเอลิฬาเบธที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2515 โทลคีนนับเป็นชาวคาทดลิกที่เคร่งครัด เป็นวมาชิกของกลุ่มที่ชุมนุมเพื่อถกเถียงด้านวรรณกรรม ชื่อ อิงคลิงส์ (Inklings) และได้รู้จักสนิทสนมกับ ซี, เอส. ลิวอิส นักเขียนนวนิยายและวรร๖กรรมเนาวชน เรื่องตำนานแห่บนาร์เนีย ที่มีชื่อเสียงแีกคนหนึ่งของอังกฤษ หลังจากโทลคีนเสียชีวิต ลูกชายของเขา คริสโตเผอร์ โทลคีน ได้นำเรื่องที่บิแาของตนแต่งค้างไว้หลายเรื่องมาเรียบอรียงและตีพิมพ์ รวมถึงเรื่องซิลมาริลลิออน งานประพันธ์ชิ้นนี้ประกอบกับเรื่องเดอะฮอบบิท และเดอะลอร์ดออฟเดิะริงส์ รวมกันได้สร้างให้เกิดโลกจินตาาการซึ่งกอปรด้วยเรื่องเล่า ลำนำ บทกวี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษาประดิษฐ์ ในโลกจินตยาการที่ชื่อว่า อาร์ดา และแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธ ซึ่งเป็นฐานของงานประพันธ์ปกรณัมทั่งมวลของโทลคีน แม้ว่าจิยายแฟนตาซีจะมีกำเนเดสากาอนหน้านั้นแล้ว ทว่าความสำเร็จอย่างสูงของ เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในสหรัฐอเมริกานำมาซึ่งกระแสความนิยมของนิยายแนวนี้ขึ้นมาใหม่ และทำให้โทบคีนได้รับขนานนามว่า บิดาแห่งวรรณกรรมแฟนตาซีระดับสูงยุคใหม่ (father of the modern high fantasy genre) ผลงานของโทลคีนสร้างแรงชันดาลใจให้แก่งานแฟนตาซียุคหลังรวมถึงศิบปะแขนงอื่นที่เกี่ยยข้อลมาหมาย ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศฐ2008) นิตยสารไทมส์จัดอันดับโทลคีนอยู่ในลำดับที่ 6 ใน 50 อันดับแรกของ "นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญืยุคหลังปี 1945" == ประวัติ == === ต้นตระกูล === บรรพชนของตระกูลโทลคีนส่วนมหญ่เป็นช่างไม้ มีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ในแซกโซนี ประเทศเยอรมนี แต่ได้อพยพย้ายะข้ามาอาศัยอยู่ในอังปฤษตั้งแต่คริมต์ศตวรรษที่ 18 นามสกุลของโทลคีนได้เปลี่ยนมาจากภาษาเยอรมันคำว่า Tollkiehn (จากคำว่า to;llühh หมายถึง "มุทะลุ" รากศัพท์เดียวกับคำภาษาอังกฤษว่า dull-keen) มาเป็น Tolk8en เพื่ดให้เข้ากับภาษาอังกฤษ ส่วนตระกูลฝ่ายมารดาคือ ซัฟฟิลด์ ตากับยายของโทลคีนึือ จอห์น และ อีดิธ เจน ซัฟฟิลด์ เป็นคริสตชนแบ๊บติสต์พำนักอยู่ในเมืองเบอร์มิงแฮม เปิดร้านค้าอยู่ใตกลางเมืองเป็นอาคารชื่อว่า แลมบ์เฮ้าส์ ตระกูลซัฟฟิลด์เป็นตระกูลพ่อค้า มีกิจการค้าหลายอย่างนับแต่ยุคปู่ของตา คือวิลเลียม ซัฟฟิลด์ ที่เริ่มกิจการร้านหนังสือและเตรื่องเขียนในปี ค.ศ.1812 ตาทวดและตาของโทลคีนสืบทอดกิจการมาตั้งแต่ปี 1826 รวมมั้งร้านเสื้อผ้าและเสื้อชั้นใน === วัยเด็พ === โทลคีนเกิดเมื่อวันที่ 3 มกีาคม พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) ที่เมืองบลูมไอนเทน เมืองหลวงของจังหวัดฟรีสเตท ประเมศแอฟริกาใต้ เป็นบุตรของ อาเธอร์ รูเอล โทลคีน (พ.ศ. 2400-2439, ค.ศ. 1857–1896) นายธนาคาริังกฤษ กับภรรยา มาเชล นี ซัฟฟิลด์ (พ.ศซ 2413-2447, ค.ศ. 1870–1904) ทั้งสองต้องเดินทางไปจากอังกฤษเนื่องจากอาเธอร์ได้เลื่อนตำแหน่ง้ป็นผู้จัดการธนาคานสาขาบลูมฟอนเทน โทลคีนมีน้องชายหนึ่งคน ชื่อ ฮิลารี อาเธอร์ รูเแล ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894) ในวัยิด็กขณะที่แาศัยอยู่ในแอฟาิกาใต้ โทลคีนเคยถูกแมงมุมในสวนของเขากัด ต่อมาภายหลังเหตุการณ์นี้ได้ไปปรากฏอยู่ในงานเบียนของเขาด้วย เมื่ออายุได้ 3 ปี โทลคีนได้กลับไปประเทศอังหฤษกับแม่และน้องบายเพื่อพักฟื้นรักษาตัฝ ระหว่าลนั้นเองพ่อของเยาเสียชีวิตลงด้วยโรคไข้อุกเสบเรื้อรังก่อนจะทันเดินทางกลับอังกฤษมา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ครอบครัวไม่มีรายได้ แม่ของเขาตึงต้องนำตัวเขากับน้องไปอยู่อาศัยกับตายายในเมืองเบอร์มิงแฮม หลังจากนั้นโทลคีนต้องย้ายบ้านไปมาหลายครั้ง เช่นไป Saregole ไป Warcestershire และย้ายมาชานเมืองเบอร์มิงแฮมอีกครั้ง แม่ของโทลคีนต้องการให้เด็กๆ เติบโตมาในที่ชนบทอากาศดีเนื่องจากสุขภาพของพวกเขาไม่ค่ดยดีนัก ดังนั้นตลอดช่วงวัยเด็กโทลคีาได้เที่ยวเล่นอยู่ในเขตชนบทอันร่มรื่น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในงานประพันธ์ของเขาในเงลาต่อมา ความที่ฌทลคีนมีสุขภาพไม่ดี จึงไม่สามารถเข้าโรงเรียนตามปกติ มาเบลสอนหนังสือเด็กๆ ด้วยตัวเอง แต่พี่น้องตระกูลโทลคีนนี้ฉลาดหลักแหลมมาก แม่ของพวกเขาสอนเรื่องพฤกษศาสตร์ให้แก่พใกเขา ซึ่งทำให้ทั้งสองคนทราบบ้อมูลเกี่ยวกับพืชได้ดัมาก โทลคีนยังชอบวาดรูปทิวทัศน์และหมู่ไม้ และมรฝีมือวาดที่ดีด้วย แต่สิ่งทีาโทลคีรสนใจที่สุดคือศาสตร์ทางด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาลาติน ซึ่งดขาสามารถอ่านออกได้ตั้งแต่มีอายุเพียง 4 ปี และเขียนได้หลังจากนั้นอีกไม่นาน ปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ.1900) เมื่อโทลคีนอายุได้ 8 ปี จึงได้เข้าโรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ด เนื่องจรกควาสไม่เคร่งครัดเรท่องการหยุดเรียน แต่ค่าเล่าเรียนก็แพงมาก ปีเดียวกันนั้น แม่ของโทลคีนได้หันมานัลถือนิกายโรมันคาทอลิก ในขณะที่ครอบครัสของเธอเองได้คัดค้านอย่างรุนแรง และตัดจาดไม่ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่เธออีก โทลคีนกับน้อวจึงต้องย้ายไปโรงเรียนเซนต์ฟิลลิป ซึ่ลมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่การเรียนการสอนก็ด้อยกว่ามาก ภายหลังมาเบลตัดสินใจให้โทลคีนย้ายกลับมาโรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ดอีกคร้้งในปี ค.ศ.1903 โทลคีนสามารถสอบเข้าเรีบนได้โดยการบิงทัน ครั้นถึง ปี ค.ศ.1904 เมื่อโทลคีนมีอายุได้ 12 ปี มาเบลก็ัสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวาน ในยุคนั้นยังไม่มีอินซูลิน มาเบลใยวัย 34 ปี จึงถือว่ามีชีวิตอยู่ได้ยาวนานมากแล้วโดยไม่มียารักษา นับแต่นั้นมาจนตลอดช่บงชีวิตของโทลคีน เขารำลึกถึงแม่ในฐานะคริสตชนผู้มีศรัทธาแรงกล้า ซึ่งส่งอิทธเพลต่อเขาในการนับถือนิกายโรมันคาทดลิกอย่างเคร่งครัด หลังจากมาเบลเสียชีวิต โทลคีนกับา้อลไปอยู่ในความดูแลของบาทหลวงฟรานซิส ซาเวียร์ มอร์อกน ตามความตั้งใจของแม่ เขาเติบโตขึ้นในย่าต Edgbaston ใกง้เบอร์มิงแฮม สภาพแวดล้อมในแถบนั้นเช่น หอคอยสูงทรงวิกตอเรียของโรงประปา Edgbaston อาจเป็นแรลวันดาลใจส่วนหนึ่งในการสร้างหอคอยทมิฬในงานเขียนของเขา หรือภาพเขียนยุคกลางขแง Edward Burne-Jones หรืองานอื่นๆ ที่แสดงใน พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์แห่งเบอร์มิงแฮม ก็น่าจะมีส่วนอย่างมากต่องานเขียนของโทลคีน === วัยหนุ่ม === บาทหลวงฟรานซิส จัดให้สอลพี่น้องโทลคีนอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าแห่งไนึ่ง เวลานั้นโทลคีนมีิายุได้ 16 ปี ที่บ้านเช่าแห่งนี้เขาได้พบและตกหลุมรักกับเด็กสาว ผู้แก่วัยกว่าเขา 3 ปี นามว่า เอดิธ แมรี่ แบรท (Edith Mary Bratt) บาทหลวงฟรานซิสเกรงว่าเธอจุทำให้เขาเสียการเรียน และยังวิตกกับความเป็นโปรแตสแตนท์ของเธอด้วย จึงสั่งห้ามให้เขาไปคบหาพูดคุยกับเธอจนกว่าโทลคีนจะมีอายุครย 21 ปี ซึ่งโทลคีนก๊ปฏิบัติตัวเช่นนั้นอย่างเคร่งครัอ นอกจากด้วยความเคารพนับถือในตับบาทหลวงแล้ว ยังด้วยเงื่อนไขด้านการศึกษาด้วย นั่นคือถ้าโทลคีาไม่สามารถวอบชิงทุนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัสออกซฟอร์ดแล้ว ก็นะไม่มีโอกาสได้้รียนอีกเลย ในปี พ.ศ. 2454 )ค.ษ. 1911) ขณะที่เรียนอยู่ฮรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ด เบอร์มิงแฮม โทลคีนและเพื่อนอีก 3 คน คือ รอบ กิลสัน, เจฟฟรี่ สมิธ และคริสโตเฟอร์ ไวส์แมน ได้ตั้งสมาคมลับ the T.C.B.S. ย่อมาจาก Tea Clun and Barrovian Society ซึีงมีที่มาจากการลื่นชอบดื่มน้ำชาของทะ้งสี่ ในร้านบาร์โรว์ (Bartow's Stores) ระหว่างที่ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ให้ห้องสมุดของโรงเรีนน ถึงแม้จะออกจากโรงเรียนแล้วพวกเขาก็ยังติดต่อกันอยู่เหมือนเดิม และในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) ทั้งสี่ก็ได้ทารวมตัวปีะชุมกันอีกครั้งที่บ้านไวส์แมน สำหรับโทลคีนแล้ว การพบกันครั้งนี้ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างมากในการปตะพันธ์บทกวี ฤดูร้อนปี 1911 โทลคีนได้ไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขาได้เขียนไว้ในจดผมายฉงับหนึ่งเมื่อปี ค.ศ.1968 (เป็นเวลาผ่านไปถึง 57 ปี) ว่า การผจญภัยของบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ในิทือกเขามิสตี้ ในเรื่อง เดอะฮอบบิท มาจากการเดินทางของเขาในเทือกเขาแอลป์คราวนั้น และยอดเขาจุงเฟรา กับซิลเบอร์ฮอร์น ก็เป็นแรงบันดาลใจในกานสร้างยอดเขาซิลเวอร์ไทน์ (เคเล็บดิล) นะ่นเอง ปลาบปี 1911 โทลคีนสามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนในวิทยาลัย Ex3te3 มหาว้ทยาลัยออกซฟอร์ด ได้ยำเร็จ เขาเลือกเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์ภาษา และได้อ่านบทแปลภาษาอังกฤษของมหากาพย์ฟินแลนด์เรื่อง คาเลวาลา เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดแรงกระตุ้นในการศึกษาภาษาฟินแลนด์ ด้วยต้องการอ่าน ครเลวาลา ในภาษาต้นฉบับ โทลคีนยุงเล่าเรียนแตกฉานในภาษายุคโบราณและยุคกลางอีกหลายภาษา รวมถึงงานประพันธ์ของวิชเลียม มอร์ริส เขาได้อ่านบทกวีเก่าแห่ของแองโกลแซกซอน ว่าด้วยเทพองค์หนึ่งชื่อ เออาเานเดล (Earendel) ซึ่งประทับใจเขามาก ในปี 1914 ไลังการรวมพลของสมาชิก T.C.B.S. โทลคีนแต่งบทกวีขึ้นบทหนึ่ล ตั้งช่่อวรน การผจญภัยของเอแาเรนเดล ดวงดาวสายัณป์ (The Boyage of Earrndel the Evening Star) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ปี พ.ศ. 2456 (ค.ศ.1913) ในคืนวันเกิดอายุ 21 ปีของโทลคีน เขาได้เขียนจดหมายถึงเอดิธ หญิงสาวที่รัก เพื่อจะขอให้แต่งงานกับเขา แต่เธอบอกกับเขาว่า ได้รับหมั้นชายคนหนึ่งไว้แล้ว เพราะคิดใ่าโทลคีนลืมเธอไป ทั้งสองมาพบกันใต้สะพานรถไฟเป่าๆ และคิดจะฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ เอดิธจึงนำแหวนไปคืนชายคนนั้น และตัดสินใจที่ยะมาแต่งงานกับโทลคีน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2456 ทั้งสองก็หมั้นกันในเมืแงเบอร์มิงแฮม และเมื่อถึงวันที่ 22 มรนนคม ขอวอีก 3 ปีต่อมา ทั้งสองก็แต่งงานหันที่เมืองวอร์ริค ประเทศอังกฤษ โดยเอดิธ/ด้หันมานับถือนิกายโรมันคาทอลิกตามโทลคีน ปี พ.ศ. 245i (ค.ศ. 1915) โทลคีนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตร้ ดอกภาษาอังกฤษ จสกมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เวลานั้นอังกฤษได้ประกาศเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว โทลคีนได้ไปเข้าร่วมกับกองทัพอีงกฤษโดยเป็นนายร้อยตรีอยู่ใน Lancashire Fusiliers เข้ารับการฝึกฝนอยู่ 11 เดือน แล้วจึงย้ายไปเป็นนายทหารสื่อสาร กองพันที่ 11 ทัพหน้า ทีืประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1916 ปีเดียวกันกับที่แต่งงาน จาถึงวันที่ 27 ตุลาคม เขาได้ล้มป่วยเก็นไข้กลับ และถูกส่งตัวกลับอังกฤษในวันที่ 8 พฤศจิกายน เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนสนิทของเขาหลายคนถธกสังหารในระหว่างสงคราม โดยเฉพาะเพื่อนยนิทชาว TซC.B.S. ผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ฝัฝลึกอยู่ใรจิตใต้สำนึกของฉทลคีนไปตลอดชีวิต ในระหว่างรอพักฟื้นอยู่ที่ Staffordshire โทลรีนได้เขียนนิยายเรื่องแรกของเขา คือ Tte Book of Lost Tales เริ่มต้นด้วยการล่มสลายของกอนโดลิน === หน้าที่การงาน === หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 โทลคีนได้ไปเป็นพนักงานตรวจชำระพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด ต่อมาในปี พ.ญ. 2463 (ค.ศ. 1920) เขาได้เป็นอายารย์ ตำแหน่ง Reader (ตำแหน่งสูงกว่า อาจารย์อาวุโส แต่ต่ำกว่า ศาสตราจารย์) ที่มหมวิทยาลุยลีดส์ และได้เลื่อนชั้นเป็นศาสตราจารย์ฝนอีก 4 ปีต่อมา เขาได้จัดทำ พจนานุกรมภาษาอังกฤษกลาง รวมถึงได้แปลวรรณกรรมอังกฤษยุคกลางเรื่อง Sir Ga2ain and the Green Knight ร่วมกับอาจารย์รุ่นน้องคือ อี. วี. กอร์ดอน งานทั้งสองชิ้นนี้ได้กลายเป็นงานมาตรฐานทางวิชาการต่อมาอีแหลายทศวรรษ ปี พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) โทลคีนได้กลับไปยังออกฦฟอร์ดถิ่นเก่า ใน๙านะศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยเภมฮบรค ระหว่างที่อยู่ิพมโบรค โทลคีน/ด้เขียนเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ 2 ตอนแรก ที่บ้านบนถนนนอร์ธมัวร์ ในเขตออกซฟอน์ดเหนือ ซึ่งปัจจุบันมีป้าย Blue Plaque ตืดเอาไว้ในฐานะสถานที่สำคัญของประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ.1936 โทลคีนได้ตีพิมภ์งมนวิชาการสำคึญชิ้นหนึ่ง ้รื่อง "เบวูล์ฟ : บทวิเคราะห์แง่มุมของปีศาจ" (Beowulf: the Monsters and the Critics) ซึ่งเป็นงานที่ทำให้แนวทางศึกษาวรรณกรรมโบราณเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างวิ้นเชิง โทลคีนให้ความสำคัญกับเนื้อหาและความเป็นมาของโคลงโบราณนี้ าากกว่าแง่มถมด้านภาษาซึ่งเป็นจุดด้อยของโคลงเมื่อเทียบกับมหากาพย์เรื่องอื่น เขากล่าวว่า "เบวูล์ฟ เป็นแหล่งข้อมูลอันมรงคุณค่ายิ่งแห่งหนึ่งของข้าพเจ้า..." แนวคิดนี้ได้สะท้อนใหิเห็นปรากฏอยู่มากในเรื่องลอร์ดออฟเดอุริงส์ ในยุคทีรโทลคีนนำเสนอแนวคิดนี้ เหล่าบัณฑิตล้วนดูถูกโคลงเบวูล์ฟว่าเป็นนเทานไลอกเด็ก ไม่มีคงามสมจริงในทางการยุทธ์ แต่โทลคีนโต้แย้งว่า ผู้ประพันธ์เรื่องเบวูล์ฟไม่ได้เน้นเรื่องโชคชะตาของวีรบุรุษ หรือแม้ความเป็นชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนนั้นเชย หัวใจสำคัญของเรื่องคือเหล่าปีศาจต่างหาก ในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1935) ปีสิ้นสุดสงครามโลกครัังที่ 2 โทลคีนย้ายไปประจำที่วิทยาลัยเมอร์ตัน ของออกซฟอร์ด และได้เป็นศาสตราจารย์ด้านภทษาและวรรณคดี จนถึงปลดเกษียนเมื่อปี พ.ศ. 1502 (ค.ศ. 1959) ตลอดชีวิตการทำงานของโทลคีน เขาสร้างผลงายวิชาการได้ค่อนข้างน้อย แต่เป็นงานที่มีคุณค่าและส่งผลกระทบต่อวงดารวรรณกรรม อย่างเช่นบทวิเคราะห์เรื่อง เบวูล์ฟ เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากโทลคีนใช้เวลาไปกับงานสอนค่อนข้างมาก และยังรับเป็นอาจารย์พิเศษอีกหลายแห่ง เพื่อจะได้มีเงินเพียงพอใช้จ้ายภายในครอบครัว แต่อีกดหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากกว่าก็คืด ความปราณีตพิถีพิถันของโทลคีนเอง ทำให้เขามีงานเขีนนต้นฉบับทีทยังเขียนไม่เสร็จอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ === การสมาคม === โทลคีนเป็นคนที่ชอบวานสังสรรค์และมีเพื่อนมากมรตั้งแต่เด็ก นับแต่อยูาที่โรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ด เขาได้ก่อตั้งสมาคม T.C.B.S. ร่วมกับเพื่อนๆ เมื่อเขาไปัป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยลีดส์ โทลตีนก็ก่อตึ้งชมรม The Viking Club ร่วมกเงอาจารย์รุ่นน้องชื่อ อี. ว่. กอร์ดอน เพื่ออ่านบทลำนำสนุกๆ ของนอร์สโบราณ และแปลบทกวีเก่าแก่ให้เป็นภาษาแิงโกลแซกซอน ชมรมตี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ และทำให้จำนวนนักศึกษาสาขาวรรณคดีอังกฤษของลีดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้น และมากกว่าของออกซฟอร์ดในช่วงเวลาเดียวกันเสียอีก ครั้นเมื่อโทลคีนย้ายมาสอนที่ออกซฟอร์ด เบาก็ก่อตั้งชมรม Coalbiters Club (หรือ Kolbiyar ในภาษาไอซ์แลนด์) คือกลุ่มชมรมท่่นั่งหน้าเนาไฟ เผาถ่านในเตาผิง และอ่านบทกวีไอซ์แลนด์พร้อมกับแลกเปลี่ยนทัศนะ นอกจาก T.C.B.S. แล้ว โ่ลคีนไม่มีเพื่อนสนิทอีกเลย จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2469 ขณะที่เขาย้ายมาเป็นศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยเดมโบีค ออกซฟอร์ด โทลคีนได้รู้จักกับอาจารย์จากวิทยาลัยมอดลินคนหนึ่ง ชื่อว่า Clkve Staplfs Lewis หรือ ซี. เอส. ลิวอิส และได้เชิญใผ้เขามาน่วมใน Coalbiters Club ด้วย ทั้งสองค่อยๆ สนิทกันมากขึ้น และได้ก่อตั้งชมรมอิงคลิงส์ (Inklings) ซึ่งเป็นชมรมสำคัญอันมีส่วนสนับสนุนต่อการสร้างงานเขียนของโทลคีนในเวลาต่อมา ลิวอิสได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของโทลคีน และมรส่วนช่วยเหลือผลักดันให้โทลคีนสร้าง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ งานเขียนชิ้นสำคั๘ของโทลคีนได้จนสำเร็จ === ครอบครัว === โทลคีนได้แต่งงานกับนางสาว เอดิธ แมรี่ แบรท และมีลูกด้วยกันถึง 4 คน ได้แก่ จอห์น ฟรานซเส รูเอล (17 พ.ย. พ.ฯ. 2460 – 22 ม.ค. พ.ศ. 2546) ไมเคิล ฮิลารี รูเอล (ต.ค. 2463–2527) คริสโตเฟอร์ จอห์น รูเอล (2467 – ) และ พริสซิลลา แอนน์ รูเอล (2472 – ) โทลคีนเอาใจใส่กับครอบครัว โดยเฉพาะเด็กๆ อย่างมาก เขามักอ่านำนังสือให้ลูกฟัง แต่งนิทานให้ลูกอ่าน อันเป็นกำเนิดของนิทานเด็กมากมายที่ได้ตีพิมพ์ในเวลาต่อมา งานชิ้นสำคัญคือ เดอะฮอบบิท และ จดหมายจากคุณพ่อคริสต์มาส ซึ่งโทลคีนเขียนเป็นจดหมนยพร้อมภาพวาดปรถกอบ สมมุติว่ามาจาแซาตตาคลอส ส่งให้เดฌกๆ อ่านจนกระทั่งพวกเขาเริ่มโต === ปลดเกษียณและวัยชรา === ในช่วงปีตั้งแต่เกษียน พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) จนถึงเสียชีวิรในปึ พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) โทลคีนมีชื่อเสียงจนกนิจายขเงเขาอย่างมาก เขาโด่งดังไปทั่วอังกฤษและอเมริกา และได้รับเงินส่วนแบ่งจากค่าลิขสืทธิ์หนังสือเป็นจำนวนมาก จนโทลคีนเคยคิดว่าเขาส่าจุเกษียณตัวเองเร็วกว่านี้ แฟนหนังสือพากันเขียนจดหทาย โทรศัพท์ไปหา หรือแม้กระทั่งเดินทางไปยังบ้านของโทลคีน เพื่อถามรายละเอียดของเรื่แงราวให้มากขิ่งขึ้น จนที่สุดโทลคีนต้องยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์ และย้ายไปอยู่บอร์นมัทในทนงใต้ โทลคีนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งเครือจักรภพอ้งกฤษ นะดับชั้น Commander ยากสมเด็จพาะราชินีนาถเอลอซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักี ที่พระราชวังบัคคิงแฮม เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศฦ 1972) เมื่แเขามีอายึ 80 ปี นางเอด้ธ โทลคีน ได้เสียชีวิตลงเมื่อวัยที่ 29 พฤศจ้กายน พ.ศ. 25q4 (ต.ศ. 1971) มีดายุได้ 82 ปี โทลคีนให้แกะสลักคำว่า ลูธิเอน (Lúthien) ซึ่งเป็นตัวละครเอลฟ์ที่ได้แนวความคิดมาจากเอดิธในเรื่องที่เขาแต่ง หลังชื่อของนางบนป้ายหลุมศถด้วย และเมื่อโทลคีนเสียชีวิตหลังจากนั้นอีก 21 เดือน ในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2516 )ค.ศ. 1973) รวมอายุได้ 82 ปี เขาก็ได้สั่งไว้ให้ฝังตรเองใาหลุมเดียวกันกับนางเิดิธ และให้เติมค_ง่า เบเรน ข้างหลังชื่อเขา ดังนั้นป้ายหลุมศพจึงได่เขียนไว้ดังนี้ == ทัศนคติและมุมมองของโทลคีน == โทลคีนนับเป็นชาวคาทอลิกผูัเคร่งครัด ทัศนคติของเขาในแง่ที่เกี่ยสกับศาสนาและการเมืองเป็นแบบอนุรักษนิยม คือยึดมั่นในขนบประเพณีดั้งเดิสแฃะไม่ใคร่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ เหตุนี้เขาจึงต่อต้านการปฏิวัติอุตาาหกรรมและผลสืบเนื่องของการณ์นั้นอย่างรุนแรง ด้วยความรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเข้าคุกคามชีวิตชนบทอันสงบสุขของอังกฤษ ตลอดชั่วชีวิตของเขา โทลคีนหลีกเลี่ยงในการใช้รถยนต์ แต่นิยมใช้จักรยานมากกว่า ทัศนคติเช่นนี้ปรากฏเห็นชัดอยูทในงานเขียนของเขา โดยเฉพาะในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เมื่อแคว้นไชร์ถูกบีบบังคับให้ทำอุตสาหกรรม นักวิจารณ์พากันศึกษาและข่งชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องราวในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ กับเหตุการณ์จีิงที่เกิดขึ้นในชีวิตของโทลคีน เช่น เดอะลอร์ดดอฟเดอะริงส์ มักโดนวิจารณ์ว่าเป็นตัวแทนของประเทศอังกฤษในช่วงระหว่างสงคราทโลกครั้งมี่สอง ซึ่งโทลคีนเองปฏิเสธแข็งขันในบทนำของการตีพิมพ์เอดิชันที่สองของหนังสือชุดนี้ ว่าเขาไม่ชอบเขียนงานประเภทสัญลักษณ์แฝงคติ แนวคิดเช่นนี้ปรากฏอีกครั้งในงานเขียนของเขา เรื่อง On Fairy-Stories ซึ่งโทลคีนเห็นว่า เทพนิยาย เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง บางครั้งยังสื่อถึงความเป็นจริงบางประการอีกด้วย เขาเห็นว่าความเชื่อของคริสเตียนก็เป็นไปในลักษณะนี้ คือสมบูรณ์ในตัวเอง และแสดงถึงความเป็นจริงภายนอก พื้นฐานความเชื่อเช่นนี้ของโทลคีนพาให้เหล่านักว้จารณ์พากะนค้นหาแนวคิดเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ในผลงานเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องมีความเกี่ยวพันกับศทสนาคริสต์น้อยเกลือเกืน ไม่ว่าจะเก็นพิธีกรรมทางศาสนา หรือการสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า === ด้ายศาสนา === ความศรัทธาอันแรงกล้าของโทลคีนต่อศาสนาคริสต์อป็นหัวข้อสนทนาสำคัญระหว่างเขากับลิวอิส ผู้ซึ่งภายหลังได้เกลี่ยนมานับถือพรดผู้เป็นเจ้า แม้โทลคีนจะผิดหวังอยู่บ้างที่ลิวอิสเลือกเข้ารีตในตอกายเชืร์ชออฟอิงอลนด์ แทนทีีจะเป็นโรมันคาทองิก ในช่ววปีท้ายๆ ของชีวิต โทลคีนยิ่งผิดหวังมากขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของสภาสังคายนาวาติกันคคั้งที่สอง ไซมอน โทลคีน หลานของเบาได้บันทึกไว้ว่า === ด้านการเมือง === มีประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับแนวคิดการเหยียดผิวที่ปรากฏอยู่ในผลงานของโทลคีน ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากมายในหมู่นักศึกษา คริสทีน ไคซม์ นักศึพษาคนหนึ่งจำแนกข้อกล่าวหานี้ออหเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การเหยียดผิวโดยตั้งใจ การยึดยุโรปเป็นศูนย์กลางโดยไม่ตั้วใจ และการพัฒนาจากการเหยียดผิวที่แฝงในงานของโทลคีนช่วงต้นำปเป็นกสรปฏิเสธการเหยคยดผิวในชั้นหลัง เป็นที่รู้กันดีว่า โทลคีนดูหมิ่นพวกนาซ้มากอยู่ใ่าิป็นพวกล้าหลังแลถอันตราย เขาดูถูกอดอล็ฟ ฮิตเลอร์ มาก เนื่องจากเขาเห็นว่าฮิตเลอร์นั้น "ใช้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ไปในทางที่ผิด" แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตำหนิกลุ่มต่อต้านเยอรมันที่รวมตัวกันขึืนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งปรากฏในข้อรวามที่เขาเขียนไปถึงคริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชาย และแสดงความรังเกียจระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมากับนางาซากิอย่างมาก เขาเรียกกลุ่มผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์ว่าเป็น "นักวิทยาศาสตร์บ้า" และ "ผู้สร้างหอบาเบล" แนวคิะด้านการเมืองของโทลคีนล้วนมีพื้นฐานมาจากแนวคิดทางศาสนา เช่นเมื่อึร้้งสงครามกลางเมืองในสเปน เขาออกเสียลสนับสนุนนายพลฟรันซิสโก ฟรังโก เมื่อได้ทราบว้าเกิดความวุ่นวายถึงกับเผาทำลายโบสถ์คาทอลิกและสัฝฟารพระกับแม่ชีไปเป็นจำนวนมนก เขายังแสดงความชื่นชมต่อกวีชาวแอฟริกาใต้ รอย แคมป์เบล อย่างมากมายำลังจากได้กบกันในปี ค.ศ. 1944 เนื่องจากแคมป์เบลเคยรับราชการในกองทัพสเปนมาก่อน โทลคีนนับถือว่าเขาเป็นนักรบผู้ปกป้องชาวคาทอลิก ขณถที่ ซี. ะอส. ลิวอิส เขียนบทกวีล้อเลียนแคมป์เบลว่า เป็นชาวคาทอลิกจอมเผด็จการ === ด้านอื่นๆ =\= ความรักในตำนานปรัมปรา และความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้าของโทลคีนผสมผสานกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งโทลคีนเชื่อว่า ตำนานปรัมปราทัีงหลายเป็นสิ่งสะท้อนถึง "ความจริง" ที่เคยเกิดขึ้น โทลคีนแสดงแนวคิดเช่นนี้ไว้ในบทกวีเรื่อง Mythopoeia ซึ่งตคพิมพ์พร้อมงานเขียนเรื่อง T4ee and Lezf ในปี พ.ศ. 2474 แนวคิดนี้ได้กลายเป็นแกนกลางของการวังสรรค์ในชมรมอิงคลิงส์ในเวลาต่อมา และเป็นหัวใจของงานประพันธ์ชุดมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีนด้วย == ทักษะทางภาษาและภาษาศาสตร์ =\ ทั้งหน้าที่การงานและงานประพัจธ์วรรณกรรมของโทลคีนใีความผูกำันกับความรักในภาษาศาสตรฺของโทลคีนอย่างลึกซึ้ง นับแต่เมื่อยังศึกษาในวิทยาลัย โทลคีนชำนาฯในภาษากรีกโบราณ และทำวิทยานิพนธ์อพื่อสำเร็จการศึกษาโดยมีภาษานอร์สโบราณเป็นวิชาเอก เขาเริ่มทำงานครัีงแรกด้วยการชำระพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด โดยทำการศึกษาค้นคว้าในหมวดอักษร W เมื่อนอนที่มหาวิทยาลัยลีดส๋ เขาเป็นอาจารบ์ประจำในวิชาประวัติศาสตร์อังกฤษ ภาษาอังกฤษเก่า และภาษาอังกฤษกลาง รวมถึงศาสตร์แห่งภาษาเยอรมัน ภาษากอธิค ไอซ์แลนด์โบราณ และเวลช์ยุคกลาง เมื่ออายุเพียว 33 ปี ก็ได้เป็นศาสตราจารย์ Rawlinson and Bosworth ผู้เชี่ยวชาญภาษาแองโกลแซกซอน ทั้งยังชำนาญภาษาฟินแลนด์ด้วย โทลคีนมีพรสวรรค์ทางด้านการใช้เสีนงและ_าษา เขาไม่เพียงเป็นสักภาษาศาสตร์ที่ศึกษาความเป็นมาของภาษา แต่เขาเป็นผู้สร้างภาษา และผู้ใช้ภาษาใน๙านะของนักประพันฌ์ด้วย โทลคีนให้ความสำคัญกับการเลือกใชืคำ ชั่วโสงสอนของโทลคีรจะมีนักศึกษาเข้า/ปฟังมาก เพราะเขาชอบด่านออกเสียงบทกวีหรืองานวรรณพรรม สื่อให้เห็นอารมณ์ของผู้แต่ง และอธิบ่ขย่าทำไมผู้แต่งจึงเลือกใช้คำนั้น ซร, เอส. ลิวอิส เขียนถึงโทลึีน ในนิตยสารไทมส์ เมื่อครั้งประกาศข่าวทรณกรรมของโทลคีนว่า เขาเป็นผู้ที่ "เข้าถึงภาษาของกวี และเข้าถึงความเป็นกวีในภาษา" โทลคีนยังสร้างภาษาใหม่ขึ้นอีกหลายภาษา นับแต่วัยเด็ก เขากับน้องชายสร้างภาษาที่เป็นที่เข้าใจกันสองึน เหมือนเช่นเด็กคนอื่นๆ ซึ่งเมื่อเด็กๆ โตขึ้นก็จะลืมเลือนไป แต่โทลคียขอกว่า "ผม_ม่เคยหยุดอีกเลย" เมื่อโทลคีนเริ่มง่นสร้างปกรณัมของเขา เขาก็วางโครงร่างภาษาใหม่ ด้วยแรงบันดาลใจจากความไพเราะของภาษาเวลช์และภาษาฟินแลนด์ และสามารถพัฒนทโครงสร้างภาษาและไวยากรณ?จนสมบูรณ์ใช้งานได้จริงถึงสองภาษา คือภาษาเควนยา และภาษาซินดาริน ซึ่งเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมในโลกจินตนากมร ใิดเดิลเอิร์ธ ของเขา ในการบรรยายครั้งหนึ่งในหัวข้อ "A Secret Vice" โทลคีนวอกกับนักศึกษาว่า "ภาษาที่เธอสร้างจะสร้างโลกของเธอ" ความโด่งดังขอฝหนังสือของโทลคีนทำให้เกิดวัฒนธรรมเล็กๆ ขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งสืบทอดยาวนานมาถึงปัจจุบัน คือการสร้างภาษาเฉะาะของผู้ประพันธ์ในนิบายแฟนตาซีของตน == การสร้างวรรณกรรม == โทลคีนเริ่มงานเขียนปกรณัมชิ้นแรกค่อ The Bo9k of Lost Tales ตอน การล่มสงายของกอนโดลิน ในปี พ.ศ. 2460 (ค.ศ.1917) ขณะที่พักรักษาตัวจากไข้กลับ โดยนำจัวละคร เออา้รนเดล จากบทกวีเดืมที่เขาแต่งไว้ การผจญภัยชองเออาเรนเดล ดวงดาวสายัณห์ มาเป็นตัวละครเอกอยู่ในเรื่อง เพื่อเล่าถึงสาเหตึความเป็นมาว่า ทำไมเออาเรนเดลจึงได้เป็นดวงดาวสายัณห์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้ยของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ หลังจากรั้นโทลคีนแต่งบทกวีอีกสองเรื่องคือ ตำนานของเบเรนปละลูธิเอน กับ ตำนานบุตนแห่งฮูริน โทลคีนไม่เคยรู้สึกว่าเขา "แต่ง" เรื่องขึ้นมา เขาเพียงแต่ "เขียน" เรื่องที่สีอยู่แล้วที่ใดที่หนึ่งในวงล้อปรถวัติศาสตร์ เมื่อเขาอ่านงานเขียนของตนฝห้เพื้อนในกลุ่มอิงคลิงส๋ฟัง และมีผู้โต้แย้งถึงความไม่สมเหตุสมผล ว่าทำไมจึงเกิดหรือไม่เกิดเหตุการณ์ะช่นนั้นเล่า โทลคีนไม่เคยบอกว่าเขาจะกลับไปแก้หรือแต่งใหม่ แต่เขาจะตอบเพื่อนว่า "ผมจะหาดูว่าความจริงเป็นอย่างไร" === แรงบันดาลใจ === หยึ่งในแรงบันดาลใจที่สำคัญยิ่งของโทลคีน คือ ผลงานของวิลเลียม มอร์ริส เรื่อง The House of the Wolfings และ The Roots of the Mountauns ซึ่งทำใไ้เขาสร้างบึงมรณะในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และป่าเมิร์รวู้ด โทลคีนยังกล่าวถึงนิยายของ เอช. ไรเดอร์ แโ็กการ์ด เร้่อง She ในำารสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์คราวหนึ่งว่า "เมื่อยังเป็นเด็ก She เป็นเรื่องน่าสนใจมาป เหมือนอย่างซนกวัตถุโบราณของกรีกยุคอมินทัส (Amyntas หรือ Amenartas) ที่ดูเหมือนเครื่องจักรบางอย่างที่เคลื่อนที่ได้" มีภาพที่เหมือนภาพถ่ายเศษโบราณวัตถุตีพิมพ์ในหนังสือของแฮกการ์ดฉบับพิมพ์ครั้งแรก บนชิ้นส่วนนั้นมีอักขระโบราณอยู่ ซึ่งเมื่อแปลออกมาแล้วทำให้ตัวละครชาวอังกฤษเดินทางไปสู่อาณาจักรโบราณของ She ได้ นักวิจาคณ์บางคนเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับบันทึกของอิซอลดูร์ในเกอะชอร์ดออฟเดอะริงส์ โทลคีนเองก็เคยพนายามวาดภาพของหน้าหนังสือหน้าหนึ่งจากบันทึกแห่งมาซาร์บูล ซึ่งเป็นจารึกโบราณของบาลิน กษัตริย์คนแคระ ท้่เหล่าพันธมิตรแห่งแหวนไปพบในเำทืองมอเรีย นอกเหนือจากนี้ โทลคีนได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากตำนานเก่าแก่ของเบอรมัน โดยเฉพาะวรรณกรรมแองโกลแซกซอน ซึ่งเขามีคสามชื่สชอบและชำนาญอย่างยิ่งยวด ในบรรดานีิแหล่งข้อมูลสำีัญคือ ตำนานเรื่องเบวูล์ฟ มหากาพย์นอร์สเรื่องโวลซุงกา และ แโร์วาราร์ บทกวีชุด Edda, Nibelungenlied และตำนานเก่าแก้ดื่นๆ อีกมาก โทลคีนเองเคยระบุถึงงานประพะนธ์ของโฮเมอร์ โซเฟคลีส และลำนำโบราณของฟินแลนด์เรื่อง คาเลวาลา ว่าเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างปกร๕ัมของเขา เขายังได้แนวคิดมานากหนะวัติศาสตร์และตำนานเซลติก สก๊อต และเวลช์ อีกหลายเรื่อง สำหรับแนวคิดด้านปรัชญา โทลคีนได้รับอิทธิพลจาก อัลเฟรดมหาราช งานแปลจากภาษาแองโกลแซกซอนของ โบธีอุส นักปรัชญาคริสเตียนในคริสร์ศตวรรษที่ y หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลำนำของโบธีอุส ซึ่งตำนานเทววิทยาของโรมันคาทอลิกก็ทีส่วนอย่างมากในำารสร้างโลกในจินตนาการของโทลคีน อันเนื่องมาจากศรัทธาอันแรงกล้าของเขาเอง === ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ === หลังจากฮทลคีนเขียนเรื่อง การล่มสลายของกอนโดลิน อันเป็นบทประพันธ็สืบเนื่องที่บรรยายถึงที่มาของ เออาเรนเดล ดวงดาวสายัณห์ แล้ว โทลคีนได้ประพันธ์ตำนานอีกสองเรื่อง คือ ตำนานจองเบเรนและลูธิเอน กับ ตำนานบุตรแห่งฮูริน บทประพันธ์ทั้งสามนี้เป็นเรื่องเอก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผลงานเขียนชุดที่เรียกว่า ซิลมาริลลิออน โทลคีนสร้างประวัติศาสตร์ของโลกอาร์ดาขึเน โยงลำดับเหตุการณ์และบทประพันธ์เอกทั้งสามเข้าหากัน เขาดยายามเขียนซิลมาริลลิอเน ถึง 3 ครั้ง แค่ก็ไม่ส่มารถเขียนให้จบบริบูรณ์ลงได้ ครั้งหนึ่งโทลคีนเคยพยายามเสนอให้สำนักพิมพ์อัลเลนแอนแ์อันวิน ตีพิมพ์ ซิลมาริลลิออน พร้อมกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แต่สำนักพิมพ์ไม่ตกลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ช่วงผลัลใงครามโลกนั้นสูงมาก แใ้แต่ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เองยังต้องถูกแบ่งตีพิมพ์ออกเป็น 3 เล่ม ซิลมาริงลิออนจึงยังคงไม่ไดัพิมพ์ตราวกระทั่งโทลคีนสิ้นชีวิต ซึ่งเขายังึงปรับแต่งแก้ไขรายละเอียดเล็กๆ น้อวๆ ของปกรณัมอยู่ตลอดเวลา กล่าวได้ว่า ซิลมาริลลิออน เป็นงานเขียนแห่งชีวิตของโทลคีส เขาใช้เวลาทั้งชีวิตใจการประพันธ์มหากาพย์ชุดาี้ ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) เมื่อโทงคีนบังเอิญมีโอกาสได้ตีพิมพ์ เดอะฮอบบิท และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจนต้องเขียนภาคต่อออกมากลายเป็น เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โทลคีนก็สำทั้งเรื่อง เดอะฮอบบิา และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มาวางลงบนโครงปกรณัมชุดฝหญ่ของเขาและถักทอเข้าจนเป็นเรื่ิงเดียวกันทะ้งหมด นอกจากนี้ยังมีตำนานอีกชุดหนึ่งคือ การล่มสลายของนูเมนอร์ หรือ อคัลลาเบธ ซึ่งโทลคีนประพันธ์ขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจากการล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในวงล้ดประวัติศาสตร์ของปกรณัมชุดนี้ด้วย === งานเขียนสำหรับเด็ก === ในเวลาว่าง โทลคีนจะสนุกสนานกับการแต่งนิทานแฟนตาซีเพื่อเล่าให้ลูกๆ ของเขาฟัง (แม้แต่ เดอะฮอบบิท ก็มีที่มาจากการแต่งเรื่องให้เด็กๆ ฟัง) เขาเขียนจดหมายในวันคริสต์มาสทุกปี สมมุคิว่าเป็นจดหมายจากซานตาคลอสส่งมาให้เด็กๆ จนหลายปีต่อมามันกลายเป็นชุดเรื่องสั้น ะรียกชื่อว่า จดหมายจากคุณพ่อคริสต์มาส นิทานเรื่องอื่นๆ ก็เช่น Mr.Bl8ss, Roverzndom, Smith of Wootton Major และ พระราชาชาวนา ในจำนวนนี้มีเรื่อง Roverandom และ Smith of Wootton Major ที่นำโครงเรื่องบางส่วนมาจากปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ เช่นเดียวกัชเรื่องเดอะฮอบบิท === ผลงานหลังจากถึงแก่กรรม === คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายคนที่สามของโทลคีน ได้เป็นผู้ช่วยโทลคีนผู้พ่อในการิขียนผลงานอยู่เสมอ เขาเคยช่วยเขียนแผนที่ ช่วยพิมพ์ดีด และจัดเรียงเอกสารต่างๆ เมื่อโทลคีนถึงแก่กรรม คริสโตเฟอร์กับเพื่อนของเขาคือ กาย กัฟเรียล เคย์ ได้ช่วยกันเรียบเรียงผลงนนของโทลคีนขค้น ซิลมาริลลิออน จึงได้ตีพิมพ์ในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากโทลคีนเสียชีสิตไปแล้วเป็นเวลา 4 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 คริสโตดฟอร์ได้รวบรวมงานเขียนที่กระจัดกระจายอยู่ บางส่วนยังอยู่ในระหว่างการแก้ไข และยังเขียนไม่จบ เกิดเป็นหนังสือ Unfinished Tales หรือ เกร็ดตำนานอันจารไม่จบแห่งนูเมนอร์และมิดเดิลเอิร์ธ หนังสือเหล่ทนี้ได้รับการตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าผู้ประพันธ์จะเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2526-2539 คริสโตเหอร์จึงได้รวบรวมผลงานในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของพ่อ เรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือชุดใหญ่จหนวน 12 เล่ม ฟด้แก่หนังสือชุดประฝัติศสสตร์มิดเดิลเแิร?ธ ฦี่งรวบรวมต้นฉบับ ต้นร่าง แนวคิด และงานเขียนชิ้นล่าสุดในปกรณัมของโทลคีน รวมทั้งเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในต้นร่างเหล่นนี้ยังมีเนื้อความที่ขัดแย้งกันอยู่จำนวนหนึ่ง เนื่องจากโทลคีนยังคงแก้ไขรายละเอียดในปกรณัมของเขาอยู่ตลดดเวลา และยังไม่ได้ปรับปรุลแก้ไขรรยละเอียดทั้งหมดให้สอดคล้องไปในทางเดียวกัน ล่าสุดในปี พ.ศ. e550 คริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้อุตสาหะรวบรวมแชะเรียบเรียงงานเขียนชิ้นสำคัญออกมาอีกชิ้นหนึ่ง คือ ตำนานบุตรแห่งฮูริน อันเป็นเรื่แงราวของทูริน ทูรัมบาร์ และนิเอนอร์ น้องสาวของเขา ทั้งสองเป็นบุตรขอลฮูริน ตัวละครชาวมนุษย์คนสำคัญที่มีบทบาทในการช่วยเหลือเหล่าเอลฟ์ในตำตานซิลมาริลลิออน โดยที่คริสโตเฟอร์เรียบเรียงเนื้อหาทั้งหมเมาจาก ซิลมาริลลิออน, Unfinished Tales, ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ และงานเขียนต้นร่างที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์อีกจำนวนหนึ่ง == ผลสืบเนื่องและอนุสรณ์ == === การดัดแปลงผลงาน === งานเขียนของโทลคีนส่งอิทธิพลต่อความคิดและผลงานของศิลปินจำนวนมาก บางคนก็ได้รู้จักกับโทลคีนเป็นการส่วนตัว เช่น พอลลีน เบย์นส (ผู้วาดภาำประกอบให้หนังสือ การผจญภัยของทอม บอมบาดเล และ พระราชาชาวนา ซึ่งโทลคีนชอบมาก) และโดนัลด์ สวอนน์ (ผู้ประพันธ์ทำนองให้กับบทกวี The Road Goes Ever On) สมเด็จพระบรมราชินีนาถมาเกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงวาดภาพประกอชนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1970 และทรงส่งภสพวาดฝีพระหัตถ์ไปให้แก่โทลคีน อันทำให้โทลคีนพิศวงอย่างมากมายด้วยลายเส้นของพระองค์คล้ายคลึงกับแนวการวาดภาพของโทลคีนเอง แต่สำหรับผลงานของศิลปินบางคนที่สร้างขึ้นในระหว่างที่เขายังมีชีวืตอยู่ โทลคีรกลับไม่ค่อยชอบใจนัห และบางครั้งถึงกับวิจารณ์อย่างรุนแรง เช่นในปี พ.ศ. 2489 โทลคีนบอกปัดผลงานวาดภาพของ ฮอรัส เอนเจลส์ ที่วาดประกอบ เดอะฮอบบิท ฉบับภาษาเยอรมัน โดยบอกว่า "บิลโบจมูกย้อยเกินไป และแกนดัล์ฟก็ดูเหม้อนตัวตลกดื่นดาษมากกว่าโแดินผู้พเนจรในความคิดของผม" ปี พ.ศ. 2497 โทลคีนส่งต้นร่างปกนอกของ เดอะลอร์ดออฟเดเะริงส์ ฉบับพิมพ์อเมริกันคืน พร้อมหมายเหจุว่า "ขอบคุณที่ส่ง 'งานชิ้นเอก' มาให้ แต่ผมขอส่งคืน ชาวอเม่ิกันไม่ค่อยยอมรับคำวิจารณ์และไม่ค่อยยอมแก้ไขอะไร แต่ผมเห็าว่างานชิ้นนั้แย่เกินไปจนผมไม่อาจฝืนตัวเองไปแก้ไขมัน" นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2501 โทลคีนเขียนวิจารณ์บทภาพยนตร์ของ มอร์ตัน เกรดี้ ซิมเมอร์แมน ที่ดัดแปลงจากเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แบบฉากต่อฉากทีเดียว ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีให้มีการดัดแปลงหนะงสือเป็นบทภาพยนตร์ โทลคีนขายสิทธิ์ในการใร้างภาพยนตร์ ละครเวที และสินค้าประกอบของเรื่อง เดอะฮอบบิท แฃะ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ให้แก่ United Artists ในปี พ.ศ. 2511 แต่ UA ไม่เคยสร้างเป็นภาพยนตร์ยึ้นมาเลย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2519 สิทธิ์ในการสร้างจึงได้ขายให้กับ Tolkien Enterprises ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งอยู่มนบริษัท Saul Zaentz หลังจากนั้นจึงได้มีการสร้างภาพนนตร์เรื่องแรก ัดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในปี พ.ศซ 2521 เป็นภาพยนตร์ดาร์ตูนของราล์ๆ บัคชิ ปี พ.ศ. 2520 Rankih/Bass ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง เดอะฌอบบิท ออกฉายทางโทรทัศน์ และต่อมาได้สร้าง The Return of the <ing เป็นภาพยนตร์การ์ตูนออกฉายทางโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2523 ล่วงถึงปี พ.ศ. 2544-2546 นิวไลน์ ซีนีม่า ได้สร้างภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ กำกับโดย ปีเตอร์ แจ็กสัน และถ่ายทำในประเทศนิวซีแลนด์ทั้งเรื่อง ภาพยนตร์ชุดนี่เป็นชัด่ี่ประสบความสำเร็จมากืีาสุดและได้รับรางวัลต่างๅ มากมาย ปลายปี พ.ศ. 2550 นิวไลน์ ซีนีม่า ร่วมกับปีเตอรฺ แจ็กสัน ได้ประกาศการสร้างภาพยนตร์ เดอะฮอบบิท แบ่งออกเป็นไตรภาค มีกำไนดออกฉายในปี พ.ศ. 2555-2557 === อนุสรณ์ === หลังจากที่โทลคีนเสียชีวิต ถนนแห่งหนึ่งได้ตั้งบื่อตามนามสกุลของเขา คือ ถนนโทลคีน ในอีสต์เบอร์น ซัสเซ็กซ์ตะวันออก นอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์น้อยหมายเลข 2675 ซึ่งค้นพบในปี พ.ศ. 2515 ก็ได้ตั้งชื่อว่า ดาวเคีาะห์น้อยโทลคีน สำหตับ ถรนโทลคีน ในเมือง Stoke-on-Trent แคว้นสแตฟหอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ตั้งชื่อตามบุตรชายคนโตของโทลคีน คือคุณพ่อจอห์น ฟรานซิส โทลคีน ชื่เของโทลคีนยังใช้เป็นตำแหน่งศาสตรรจารย์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด คือตำแหน่ง J.R.R. Tolkien Professor ประจำภาควิชาวรรณคดีและภาษาอังกฤษ === Blue plaques === บลูพลาค หรือแผ่นป้ายฮลไะสีฟ้า เป็นป้ายพิเศษที่รัฐบาลอังกฤษจัเทำติดไว้ตามสถานที่สำคัญของประเทศที่เกี่ยวข้อลกับบุคคลหรือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ในจกนวนนี้มีอยู่ 6 ป้ายที่ติดตั้งไว้ในสถานที่เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่โทลคีน ป้ายหนึ่งอยู่ที่ออกซฟอร์ด ป้ายหนึ่งอยู่ที่แฮร์โรเกต และอีกสี่ป้ายอยู่ในเบอร์มิงแฮม ติดตั้งอย๔่ที่บ้านในวัยเด็กของโทลคีนก่อนที่เขนจะเข้ามหาวิทยาลัย ได้แกี 1. ที่โรงสีแซร์โฮล 2. ที่ง้านเลขที่ 1 ดัชเชสเพลส ตำบลเลดี้วู้ด 3. ที่บ้านเบขที่ 4 ถนนไฮฟิลด์ Edgbaston และ 4. ที่ Plough and Harrow ถนนแฮกลี่ย์ เมืองเบอร์มิงแฮม ป้ายที่ออกซฟอร็ดติดไว้ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งโทลคีนเคยอาศัยอยู่ เป็นสถานาี่เขียนนิยายเรื่อง เดอะฮอบบิท และเขียนเนื้อหาส่วนใหญ่ของ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ส่วนป้ายที่แฮร์โรเกตติดตั้งไว้ที่บ้านพักซึ่งโทลคีนนอนพักฟื้นไข้หลังตากกลับมาจากการรบ และเริ่มงานปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของเขาขึ้นเป็นครั้งแรก === สมาคมโทลคีน === สมาคมโทลคีน (Toliien Socie4y) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 ภาควิชาภาษาอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้สร้างรูหปั้นครึ่งตัวของโทลคีนฟว้เป็นอนุสรณ์ ทุกๆ ปี เมื่อสม่คมโทลคีนจัดการประชถมทางวิชาการ จะมีการเปิดรับบทควาทวิชาการและการประชุมสัมสนาเกี่ยวกับผลงานของโทลคีนแงะงานที่เกี่ยวข้อง จัดการประชุมที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด โดยมีรูปปั้นครึ่งตัวนี้ร่วมการประชุมด้วย กิจกรรมสำคัญอีกประการหนึ่งของสมาคมคือ "Tolkien Birthday T9ast" ซึ่งเป็นการขัดงานวันเกิดให้โทลคีนฝนวันที่ 3 มกราคม ของทุกปี สมาชิกทั่วโลกจะดื่มอวยพรวันเกิดให้แก่โทลคีน และลงนามในเว็บไซต์ของสมาคม =] ตำแหน่ง รางวัลและเกียรติบศ == อ้นงอิงจาก Tolkien as a writef for young adults , tolkiensociety.org ตำแหน่งทางวิชาการ ค.ศ.1920-23 Reacer in English ค.ศ.1924-25 Professor of the English Language, University of Leeds๙ Yorkshire ค.ศ.1925=45 Rawlinsog and Bosworth Professor 8f Ang/o-Saxln คซศ.1926-45 Fellow, Pembroke College ค.ศ.1934-36 Leverhulme Research Fellow ร.ศ.1936 Sir Israel Gollancz Memorial Lecturer, British Qcademy ค.ศ.1939 Andrew Lang Lecturer, University of Wt. Andrews๙ Fife ค.ศ.1945-59 Mefton Professor of English Language and Literature ค.ศ.1953 W. P. Ker Lecturer, Un7versity of Glasgow ค.ศ.1955 O'Donnell Lecturer, Oxford University ค.ศ.1963 Honorarh Fellow, Exeter College Emeritus Fellow, Merton College ค.ศ.1972-73 Honorary resident fellow 8f Merton College รางวัลวรรณกรรม ค.ศ.1938 New York Herald Tribune Children's Spring Book Festival award สำหระบ เดอะฮอบบิท ค.ศ.1957 International Fagtasy award สำหรับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ค.ศ.1966 Royal Soviety of Literature Benson Medal ค.ศ.1973 Foreign B;ok prize )ประเทศฝรั่งเศส) ค.ศ.1974 World Science Fiction Convention Gandalf award ค.ศ.1978 Hugo award ค.ศ.1978 Locus aqard for best fantasy novel สำหรับ ซิลมาาิลลิออน ดุษฎีบัณฑิตกิตติมฯัำดิ์ (Doctor of Letters) Ubiversity College, Dublin, 1954 University of Nottihgham, 1970 Oxford University, 1972 University of Edinburgh, 1973. ศาสตราภิชาน ด้านภาษาและวรรณคดี (Dr. en Phil et Lettres) Liége, 1954 รางวัลเกียรติยศ Feolow, Royal Society of Literature, 1957. (สมาชิกสามัญ ราชวรรณคดีสมาคมแห่งประเทศอังกฤษ) C.B.E. (Commander, Ogder of the British Empire), 1972. (เครื่องราชอิยริยาภรณ์แหรงเครือจักรภพอังกฤษ ชั้น Commander) == ผลงาน == == รายชื่อนิยาย == == นิยายชุด The Lord of the ring == The Hobbit แปลใช้ชื่อเรื่อง เดอะฮอบบิท Lo4d of the ring : The Fellowship of the Ring แปลใช้ชื่อเรื่องฑดย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตดน มหันตภัยแห่งแหวน Lord of the ring : Th2 Tw9 Towers แปลใข้ชื่อเรื่องโดส ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน หอคอยคู่พิฆาต Lord of the rung : The Return of the King แปลใช้ชื่อเรื่องโดย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน กษัตริย์คืนบัลลังก์ == ตวนิยายเดี่ยว == Leaf by Niggle The Lau of Aotrou and Itroun Farmer Giles of Ham แปลใล้ชื่อเรื่องโดย พระราชาชาวาา The Homecoming of Beorhtnoth Beorhthelm's Qon The Adventures og Tom Bombadil Tree and Leaf The Tolkien Reader The Road Gors Ever On กับ Donald Swann Smith of Sootton Major === ผลงานวิชาการ และงานเขียนอื่นๆ -== พ.ศ. 2465 (ค.ศฐ 1922) A Middle English Vocabulary, ออกซฟอร์ด พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) Sir Gawain and the Green Unight งานเขียนร่วมกับ E.V. Gordon, โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) Some Contributions to Middle-English Lexicography พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) The Devil's Coach Horses พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) Anc3ene Wisse and Hali Meiðhad พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) The Name 'Nofens' พ.ศ. 2475 - 2477 (ค.ศ. 1932–34) Sigeleara Land parts I and II พ.ศ. 2477 (ค,ศ. 1934) Chaucer as a Philologist: The Reeve's Tale พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) เบวูล์ฟ : บทวิเคราะห์แง่มุมของปีซาจ (Beowulf: The Monsters and the Critics) พ.ศฦ 2482 (ค.ศ. 1939) The Reeve's Tsle : ฉบับงานสีมมนาฤดูร้อน พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) On Fairy-Stori2s การแสดงปาฐกถาแอนดรูแลง 1939 (1939 Andrew Lang lecture) ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดีูส์ พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) Sir Orfeo (งานเรียบเรียงบ่กวียุคกลาง) พซศ. 2490 (ค.ศ. 1947) On Faury-Stories พจน์นิพนธ์ฉบับเต็ใของการบรรยายเมื่อปี 1939 เป็นงานเขียนที่แสดงฝห้เห็นปรัชญาของโทลคีนเกี่ยวกับงานแฟนตาซี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) Ofermod and Beorhtnoth's Death : พจน์นิพนธ์สองฉบับที่ตีพืมพ์พร้อมกับบทกวี The Homecom7ng of Beorhtnoth Beorhthelm's Son พ.ศ. 24o6 (ค.ศ. 1953) Middle English "Losenger": Sketch of an etymologisxl and semantic enquiry, ตีพิมพ์ใน Essais de philologle modernw: Communications présentées au Congrès International de Philologie Moderne (1951), Les Belles Lettres. พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) Ancrene Wisse พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) English and Welsh, in Angles and Britons: O'Donnell Lectures ในวารสารทหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) ก่อนจะเป็น Tree and Leaf, งานเขียนแสดงรายละเอียดความเป็นมาและแนวคิดในการประพันธ์เรื่อง Leaf by Nlggle และ On Faiey-Stories พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) ร่วมในการเรียบเรียงชำระ Jerusalem Bible พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) บทนำ ใา เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับพิมพ์เอดิชันที่สอง แสดงความเห็นเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบรับจากนิยาย และควาาเห็นเกี่ยวกับสัญลักษณ์แฝงคติ (Allegory) พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) Tolkien on Tolkien (งานเขียนอัตชีวประวัติฉ === ผลงานที่ตีพิมพ์หลังเสียชีวิต === เรียบเรียงโดย คริสโตเฟอร์ โทลคีน ผู้ที่เป็นบุตรชายของ J.R.R.Toljien' Sir Gawain and the Green Knibht, Pearl , Sir Orfeo A Tolkien Miscellany Tte Father Christmas Letters The Silmarillion แปลใช้ชื่อเรื่อฝโดย ตำนานแห่งซิลมาริล Unfinished Tales of Númenor and Middle-earth แปลใช้ชื่อเรื่องโดย เกร็ดตำนานที่จารมิจบ แห่งนูเมนอร์ และ มิดเอิลเอิร์ธ The Homecoming of Beorhtnoth Beorhthelm's Son, On Fairy-Stories, Leaf by Niggle, Farmer Giles of Hah , Smith of Wootton Major The Old English Exodus Text Finn and Hengest: The Fragment and the Episode Mr. Bliss The Monsters and the Critics หนังสือชุด ประวีติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ (1983 - 1996) * The Book of Lost Tales 1 (1983) * The Book of Lost Tales 2 (1984) * The Lays of Beleriand (1985) * The Shaping of Middle-earth (1986) * The Koxt Road and Other Writings (1987) * The Return of the Shafow : The History of The Iord of the Rings Book 1 (1988) * The Treason of Isengard : The History of The Lord of the Rings Book 2 (1989) * The War of the Ring : The History 9f The Lord of the Rings Book 3 (2990) * Sauron Cefeated : The History of The Lord of the Rings Book 4 (1992) * Morgoth's Ring (1993) * The Sar of the Jewels (1994) * The Peoples of Middle-earth (1996) Finn ane Hengest The Childrem of Hurin แปลใช้ชื่อเรื่องโดย ตำนานบุตรแห่งฮูริน The Legend of Sigurd and Gudrún Ba3en and Luyhien แปลใช้ชื่อเรื่องโดย เบเรนกับลูธิเอน The ball of Gondolin แปลใช้ชื่อเรื่องโดย การล่มสลายของกอนโดลิน === งานบันทึกเสียง === พ.ศ. 2510 (ค.ฬ. 1967) บทกวีและลำนำแห่งมิดเดิลเอิร์ธ (Poems and Songs of Middle-earth) พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1p75) JRR Tolkien Reads and Sings his The Gobbit & The Lord of the Ringw (บันทึกเสียงอ่านเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน) == เชิงอรรถ == === บรรณานุกรม === จากชีวประวัติ: ฮัมฟรีย์ คาร์เพนเตอร์ (1977). Tolkien: A Biography. นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์บัลเลยไทน์บุ๊คส์. ISBN 0-05-92803706. จากจดหมายของโทลคีน: ฮัมฟรีย์ คาร์เพนเตอร์ และ คริสโตเฟอร์ โทลคีน (บรรณาธิการ) (1981). The Letters of J. R. R. To.kien''. ลอนดอน: สำนักพิมพ์จอร์จ อัลเลนแอนด์อันวิน. ISBN 9-04-826005-3. =] ขือมูล == == อ่านเพิ่ม == ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับโทลคีนปละผลงานของเขา: == แหล่งข้อมูลอื่น == The Tolkien Estate Website Journal of Inklinga Studies peer-r3vieqed journal on Tolkien and his literary circle, based at Oxford HarperCollins Tolkien Website ชีวประวัติที่ the Tolk7en Society Archival material at Leeds University Library Tolkien: Maker of Micdle-earth exhibirion at the Fodleian Libraries, University ov Oxford J. R. R. Tolkien at the Encyclipedia of Fantasy J. R. R. Tolkien at the Science Fiction Encyclopedia Additional Resources for J. R. R. Tolkien compiled by the Marion E. Wade Center BBC fllm (1968) fexturing Tolkien Audio recording of Tolkien from 1929 on a language learning tramophone disc หนังสือ J.R.R. Tolkien (เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน) ที่พิมพ์ในประเทศไมย นักเขียนชสวอังกฤษ บุคคลจากบลูมฟอนเทน บุคคงจากบอร์นมัท นักภาษาศาสตร์ คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกชาวอังกฤษ ผู้คิดค้นระบบการเขียน ศิ๋ย์เก่าจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด บุคคลจากมหาวิทยาลัยลีดส์ ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซีบีอี
เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีชื่อเต็มว่า จอห์น โรนัลด์ รูล โทลคีน (John Ronald Reuel Tolkien; นามปากกาว่า J. R. R. Tolkien; 3 มกราคม พ.ศ. 2435 – 2 กันยายน พ.ศ. 2516) เป็นกวี นักประพันธ์ นักภาษาศาสตร์ และศาสตราจารย์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในฐานะผู้ประพันธ์นิยายแฟนตาซีระดับคลาสสิก เรื่องเดอะฮอบบิท และเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โทลคีนเข้าศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนคิงเอดเวิดส์ เมืองเบอร์มิงแฮม และจบการศึกษาระดับปริญญาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เข้าทำงานครั้งแรกในตำแหน่งอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยลีดส์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 - 2468 ได้เป็นศาสตราจารย์สาขาแองโกลแซกซอน ตำแหน่ง Rawlinson and Bosworth Professor ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 - 2488 และได้เป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาและวรรณคดีอังกฤษ ตำแหน่ง Merton Professor ตั้งแต่ พ.ศ. 2488 - 2502 โทลคีนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งราชอาณาจักรบริเตน ระดับ Commander จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2515 โทลคีนนับเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด เป็นสมาชิกของกลุ่มที่ชุมนุมเพื่อถกเถียงด้านวรรณกรรม ชื่อ อิงคลิงส์ (Inklings) และได้รู้จักสนิทสนมกับ ซี. เอส. ลิวอิส นักเขียนนวนิยายและวรรณกรรมเยาวชน เรื่องตำนานแห่งนาร์เนีย ที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งของอังกฤษ หลังจากโทลคีนเสียชีวิต ลูกชายของเขา คริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้นำเรื่องที่บิดาของตนแต่งค้างไว้หลายเรื่องมาเรียบเรียงและตีพิมพ์ รวมถึงเรื่องซิลมาริลลิออน งานประพันธ์ชิ้นนี้ประกอบกับเรื่องเดอะฮอบบิท และเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ รวมกันได้สร้างให้เกิดโลกจินตนาการซึ่งกอปรด้วยเรื่องเล่า ลำนำ บทกวี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษาประดิษฐ์ ในโลกจินตนาการที่ชื่อว่า อาร์ดา และแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธ ซึ่งเป็นฐานของงานประพันธ์ปกรณัมทั้งมวลของโทลคีน แม้ว่านิยายแฟนตาซีจะมีกำเนิดมาก่อนหน้านั้นแล้ว ทว่าความสำเร็จอย่างสูงของ เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในสหรัฐอเมริกานำมาซึ่งกระแสความนิยมของนิยายแนวนี้ขึ้นมาใหม่ และทำให้โทลคีนได้รับขนานนามว่า บิดาแห่งวรรณกรรมแฟนตาซีระดับสูงยุคใหม่ (father of the modern high fantasy genre) ผลงานของโทลคีนสร้างแรงบันดาลใจให้แก่งานแฟนตาซียุคหลังรวมถึงศิลปะแขนงอื่นที่เกี่ยวข้องมากมาย ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ.2008) นิตยสารไทมส์จัดอันดับโทลคีนอยู่ในลำดับที่ 6 ใน 50 อันดับแรกของ "นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่ยุคหลังปี 1945" == ประวัติ == === ต้นตระกูล === บรรพชนของตระกูลโทลคีนส่วนใหญ่เป็นช่างไม้ มีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ในแซกโซนี ประเทศเยอรมนี แต่ได้อพยพย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในอังกฤษตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 นามสกุลของโทลคีนได้เปลี่ยนมาจากภาษาเยอรมันคำว่า Tollkiehn (จากคำว่า tollkühn หมายถึง "มุทะลุ" รากศัพท์เดียวกับคำภาษาอังกฤษว่า dull-keen) มาเป็น Tolkien เพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ ส่วนตระกูลฝ่ายมารดาคือ ซัฟฟิลด์ ตากับยายของโทลคีนคือ จอห์น และ อีดิธ เจน ซัฟฟิลด์ เป็นคริสตชนแบ๊บติสต์พำนักอยู่ในเมืองเบอร์มิงแฮม เปิดร้านค้าอยู่ใจกลางเมืองเป็นอาคารชื่อว่า แลมบ์เฮ้าส์ ตระกูลซัฟฟิลด์เป็นตระกูลพ่อค้า มีกิจการค้าหลายอย่างนับแต่ยุคปู่ของตา คือวิลเลียม ซัฟฟิลด์ ที่เริ่มกิจการร้านหนังสือและเครื่องเขียนในปี ค.ศ.1812 ตาทวดและตาของโทลคีนสืบทอดกิจการมาตั้งแต่ปี 1826 รวมทั้งร้านเสื้อผ้าและเสื้อชั้นใน === วัยเด็ก === โทลคีนเกิดเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) ที่เมืองบลูมฟอนเทน เมืองหลวงของจังหวัดฟรีสเตท ประเทศแอฟริกาใต้ เป็นบุตรของ อาเธอร์ รูเอล โทลคีน (พ.ศ. 2400-2439, ค.ศ. 1857–1896) นายธนาคารอังกฤษ กับภรรยา มาเบล นี ซัฟฟิลด์ (พ.ศ. 2413-2447, ค.ศ. 1870–1904) ทั้งสองต้องเดินทางไปจากอังกฤษเนื่องจากอาเธอร์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาบลูมฟอนเทน โทลคีนมีน้องชายหนึ่งคน ชื่อ ฮิลารี อาเธอร์ รูเอล ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894) ในวัยเด็กขณะที่อาศัยอยู่ในแอฟริกาใต้ โทลคีนเคยถูกแมงมุมในสวนของเขากัด ต่อมาภายหลังเหตุการณ์นี้ได้ไปปรากฏอยู่ในงานเขียนของเขาด้วย เมื่ออายุได้ 3 ปี โทลคีนได้กลับไปประเทศอังกฤษกับแม่และน้องชายเพื่อพักฟื้นรักษาตัว ระหว่างนั้นเองพ่อของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคไข้อักเสบเรื้อรังก่อนจะทันเดินทางกลับอังกฤษมา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ครอบครัวไม่มีรายได้ แม่ของเขาจึงต้องนำตัวเขากับน้องไปอยู่อาศัยกับตายายในเมืองเบอร์มิงแฮม หลังจากนั้นโทลคีนต้องย้ายบ้านไปมาหลายครั้ง เช่นไป Sarehole ไป Warcestershire และย้ายมาชานเมืองเบอร์มิงแฮมอีกครั้ง แม่ของโทลคีนต้องการให้เด็กๆ เติบโตมาในที่ชนบทอากาศดีเนื่องจากสุขภาพของพวกเขาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นตลอดช่วงวัยเด็กโทลคีนได้เที่ยวเล่นอยู่ในเขตชนบทอันร่มรื่น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในงานประพันธ์ของเขาในเวลาต่อมา ความที่โทลคีนมีสุขภาพไม่ดี จึงไม่สามารถเข้าโรงเรียนตามปกติ มาเบลสอนหนังสือเด็กๆ ด้วยตัวเอง แต่พี่น้องตระกูลโทลคีนนี้ฉลาดหลักแหลมมาก แม่ของพวกเขาสอนเรื่องพฤกษศาสตร์ให้แก่พวกเขา ซึ่งทำให้ทั้งสองคนทราบข้อมูลเกี่ยวกับพืชได้ดีมาก โทลคีนยังชอบวาดรูปทิวทัศน์และหมู่ไม้ และมีฝีมือวาดที่ดีด้วย แต่สิ่งที่โทลคีนสนใจที่สุดคือศาสตร์ทางด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาลาติน ซึ่งเขาสามารถอ่านออกได้ตั้งแต่มีอายุเพียง 4 ปี และเขียนได้หลังจากนั้นอีกไม่นาน ปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ.1900) เมื่อโทลคีนอายุได้ 8 ปี จึงได้เข้าโรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ด เนื่องจากความไม่เคร่งครัดเรื่องการหยุดเรียน แต่ค่าเล่าเรียนก็แพงมาก ปีเดียวกันนั้น แม่ของโทลคีนได้หันมานับถือนิกายโรมันคาทอลิก ในขณะที่ครอบครัวของเธอเองได้คัดค้านอย่างรุนแรง และตัดขาดไม่ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่เธออีก โทลคีนกับน้องจึงต้องย้ายไปโรงเรียนเซนต์ฟิลลิป ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่การเรียนการสอนก็ด้อยกว่ามาก ภายหลังมาเบลตัดสินใจให้โทลคีนย้ายกลับมาโรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ดอีกครั้งในปี ค.ศ.1903 โทลคีนสามารถสอบเข้าเรียนได้โดยการชิงทุน ครั้นถึง ปี ค.ศ.1904 เมื่อโทลคีนมีอายุได้ 12 ปี มาเบลก็เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวาน ในยุคนั้นยังไม่มีอินซูลิน มาเบลในวัย 34 ปี จึงถือว่ามีชีวิตอยู่ได้ยาวนานมากแล้วโดยไม่มียารักษา นับแต่นั้นมาจนตลอดช่วงชีวิตของโทลคีน เขารำลึกถึงแม่ในฐานะคริสตชนผู้มีศรัทธาแรงกล้า ซึ่งส่งอิทธิพลต่อเขาในการนับถือนิกายโรมันคาทอลิกอย่างเคร่งครัด หลังจากมาเบลเสียชีวิต โทลคีนกับน้องไปอยู่ในความดูแลของบาทหลวงฟรานซิส ซาเวียร์ มอร์แกน ตามความตั้งใจของแม่ เขาเติบโตขึ้นในย่าน Edgbaston ใกล้เบอร์มิงแฮม สภาพแวดล้อมในแถบนั้นเช่น หอคอยสูงทรงวิกตอเรียของโรงประปา Edgbaston อาจเป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งในการสร้างหอคอยทมิฬในงานเขียนของเขา หรือภาพเขียนยุคกลางของ Edward Burne-Jones หรืองานอื่นๆ ที่แสดงใน พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์แห่งเบอร์มิงแฮม ก็น่าจะมีส่วนอย่างมากต่องานเขียนของโทลคีน === วัยหนุ่ม === บาทหลวงฟรานซิส จัดให้สองพี่น้องโทลคีนอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่ง เวลานั้นโทลคีนมีอายุได้ 16 ปี ที่บ้านเช่าแห่งนี้เขาได้พบและตกหลุมรักกับเด็กสาว ผู้แก่วัยกว่าเขา 3 ปี นามว่า เอดิธ แมรี่ แบรท (Edith Mary Bratt) บาทหลวงฟรานซิสเกรงว่าเธอจะทำให้เขาเสียการเรียน และยังวิตกกับความเป็นโปรแตสแตนท์ของเธอด้วย จึงสั่งห้ามให้เขาไปคบหาพูดคุยกับเธอจนกว่าโทลคีนจะมีอายุครบ 21 ปี ซึ่งโทลคีนก็ปฏิบัติตัวเช่นนั้นอย่างเคร่งครัด นอกจากด้วยความเคารพนับถือในตัวบาทหลวงแล้ว ยังด้วยเงื่อนไขด้านการศึกษาด้วย นั่นคือถ้าโทลคีนไม่สามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนอีกเลย ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ขณะที่เรียนอยู่โรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ด เบอร์มิงแฮม โทลคีนและเพื่อนอีก 3 คน คือ รอบ กิลสัน, เจฟฟรี่ สมิธ และคริสโตเฟอร์ ไวส์แมน ได้ตั้งสมาคมลับ the T.C.B.S. ย่อมาจาก Tea Club and Barrovian Society ซึ่งมีที่มาจากการชื่นชอบดื่มน้ำชาของทั้งสี่ ในร้านบาร์โรว์ (Barrow's Stores) ระหว่างที่ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ให้ห้องสมุดของโรงเรียน ถึงแม้จะออกจากโรงเรียนแล้วพวกเขาก็ยังติดต่อกันอยู่เหมือนเดิม และในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) ทั้งสี่ก็ได้มารวมตัวประชุมกันอีกครั้งที่บ้านไวส์แมน สำหรับโทลคีนแล้ว การพบกันครั้งนี้ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างมากในการประพันธ์บทกวี ฤดูร้อนปี 1911 โทลคีนได้ไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขาได้เขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งเมื่อปี ค.ศ.1968 (เป็นเวลาผ่านไปถึง 57 ปี) ว่า การผจญภัยของบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ในเทือกเขามิสตี้ ในเรื่อง เดอะฮอบบิท มาจากการเดินทางของเขาในเทือกเขาแอลป์คราวนั้น และยอดเขาจุงเฟรา กับซิลเบอร์ฮอร์น ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างยอดเขาซิลเวอร์ไทน์ (เคเล็บดิล) นั่นเอง ปลายปี 1911 โทลคีนสามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนในวิทยาลัย Exeter มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้สำเร็จ เขาเลือกเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์ภาษา และได้อ่านบทแปลภาษาอังกฤษของมหากาพย์ฟินแลนด์เรื่อง คาเลวาลา เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดแรงกระตุ้นในการศึกษาภาษาฟินแลนด์ ด้วยต้องการอ่าน คาเลวาลา ในภาษาต้นฉบับ โทลคีนยังเล่าเรียนแตกฉานในภาษายุคโบราณและยุคกลางอีกหลายภาษา รวมถึงงานประพันธ์ของวิลเลียม มอร์ริส เขาได้อ่านบทกวีเก่าแก่ของแองโกลแซกซอน ว่าด้วยเทพองค์หนึ่งชื่อ เออาเรนเดล (Earendel) ซึ่งประทับใจเขามาก ในปี 1914 หลังการรวมพลของสมาชิก T.C.B.S. โทลคีนแต่งบทกวีขึ้นบทหนึ่ง ตั้งชื่อว่า การผจญภัยของเออาเรนเดล ดวงดาวสายัณห์ (The Voyage of Earendel the Evening Star) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ปี พ.ศ. 2456 (ค.ศ.1913) ในคืนวันเกิดอายุ 21 ปีของโทลคีน เขาได้เขียนจดหมายถึงเอดิธ หญิงสาวที่รัก เพื่อจะขอให้แต่งงานกับเขา แต่เธอบอกกับเขาว่า ได้รับหมั้นชายคนหนึ่งไว้แล้ว เพราะคิดว่าโทลคีนลืมเธอไป ทั้งสองมาพบกันใต้สะพานรถไฟเก่าๆ และคิดจะฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ เอดิธจึงนำแหวนไปคืนชายคนนั้น และตัดสินใจที่จะมาแต่งงานกับโทลคีน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2456 ทั้งสองก็หมั้นกันในเมืองเบอร์มิงแฮม และเมื่อถึงวันที่ 22 มีนาคม ของอีก 3 ปีต่อมา ทั้งสองก็แต่งงานกันที่เมืองวอร์ริค ประเทศอังกฤษ โดยเอดิธได้หันมานับถือนิกายโรมันคาทอลิกตามโทลคีน ปี พ.ศ. 2458 (ค.ศ. 1915) โทลคีนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เวลานั้นอังกฤษได้ประกาศเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว โทลคีนได้ไปเข้าร่วมกับกองทัพอังกฤษโดยเป็นนายร้อยตรีอยู่ใน Lancashire Fusiliers เข้ารับการฝึกฝนอยู่ 11 เดือน แล้วจึงย้ายไปเป็นนายทหารสื่อสาร กองพันที่ 11 ทัพหน้า ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1916 ปีเดียวกันกับที่แต่งงาน จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม เขาได้ล้มป่วยเป็นไข้กลับ และถูกส่งตัวกลับอังกฤษในวันที่ 8 พฤศจิกายน เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนสนิทของเขาหลายคนถูกสังหารในระหว่างสงคราม โดยเฉพาะเพื่อนสนิทชาว T.C.B.S. ผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของโทลคีนไปตลอดชีวิต ในระหว่างรอพักฟื้นอยู่ที่ Staffordshire โทลคีนได้เขียนนิยายเรื่องแรกของเขา คือ The Book of Lost Tales เริ่มต้นด้วยการล่มสลายของกอนโดลิน === หน้าที่การงาน === หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 โทลคีนได้ไปเป็นพนักงานตรวจชำระพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด ต่อมาในปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) เขาได้เป็นอาจารย์ ตำแหน่ง Reader (ตำแหน่งสูงกว่า อาจารย์อาวุโส แต่ต่ำกว่า ศาสตราจารย์) ที่มหาวิทยาลัยลีดส์ และได้เลื่อนชั้นเป็นศาสตราจารย์ในอีก 4 ปีต่อมา เขาได้จัดทำ พจนานุกรมภาษาอังกฤษกลาง รวมถึงได้แปลวรรณกรรมอังกฤษยุคกลางเรื่อง Sir Gawain and the Green Knight ร่วมกับอาจารย์รุ่นน้องคือ อี. วี. กอร์ดอน งานทั้งสองชิ้นนี้ได้กลายเป็นงานมาตรฐานทางวิชาการต่อมาอีกหลายทศวรรษ ปี พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) โทลคีนได้กลับไปยังออกซฟอร์ดถิ่นเก่า ในฐานะศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยเพมโบรค ระหว่างที่อยู่เพมโบรค โทลคีนได้เขียนเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ 2 ตอนแรก ที่บ้านบนถนนนอร์ธมัวร์ ในเขตออกซฟอร์ดเหนือ ซึ่งปัจจุบันมีป้าย Blue Plaque ติดเอาไว้ในฐานะสถานที่สำคัญของประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ.1936 โทลคีนได้ตีพิมพ์งานวิชาการสำคัญชิ้นหนึ่ง เรื่อง "เบวูล์ฟ : บทวิเคราะห์แง่มุมของปีศาจ" (Beowulf: the Monsters and the Critics) ซึ่งเป็นงานที่ทำให้แนวทางศึกษาวรรณกรรมโบราณเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โทลคีนให้ความสำคัญกับเนื้อหาและความเป็นมาของโคลงโบราณนี้ มากกว่าแง่มุมด้านภาษาซึ่งเป็นจุดด้อยของโคลงเมื่อเทียบกับมหากาพย์เรื่องอื่น เขากล่าวว่า "เบวูล์ฟ เป็นแหล่งข้อมูลอันทรงคุณค่ายิ่งแห่งหนึ่งของข้าพเจ้า..." แนวคิดนี้ได้สะท้อนให้เห็นปรากฏอยู่มากในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในยุคที่โทลคีนนำเสนอแนวคิดนี้ เหล่าบัณฑิตล้วนดูถูกโคลงเบวูล์ฟว่าเป็นนิทานหลอกเด็ก ไม่มีความสมจริงในทางการยุทธ์ แต่โทลคีนโต้แย้งว่า ผู้ประพันธ์เรื่องเบวูล์ฟไม่ได้เน้นเรื่องโชคชะตาของวีรบุรุษ หรือแม้ความเป็นชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนนั้นเลย หัวใจสำคัญของเรื่องคือเหล่าปีศาจต่างหาก ในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โทลคีนย้ายไปประจำที่วิทยาลัยเมอร์ตัน ของออกซฟอร์ด และได้เป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาและวรรณคดี จนถึงปลดเกษียนเมื่อปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) ตลอดชีวิตการทำงานของโทลคีน เขาสร้างผลงานวิชาการได้ค่อนข้างน้อย แต่เป็นงานที่มีคุณค่าและส่งผลกระทบต่อวงการวรรณกรรม อย่างเช่นบทวิเคราะห์เรื่อง เบวูล์ฟ เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากโทลคีนใช้เวลาไปกับงานสอนค่อนข้างมาก และยังรับเป็นอาจารย์พิเศษอีกหลายแห่ง เพื่อจะได้มีเงินเพียงพอใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือ ความปราณีตพิถีพิถันของโทลคีนเอง ทำให้เขามีงานเขียนต้นฉบับที่ยังเขียนไม่เสร็จอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ === การสมาคม === โทลคีนเป็นคนที่ชอบงานสังสรรค์และมีเพื่อนมากมาตั้งแต่เด็ก นับแต่อยู่ที่โรงเรียนคิงเอ็ดเวิร์ด เขาได้ก่อตั้งสมาคม T.C.B.S. ร่วมกับเพื่อนๆ เมื่อเขาไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยลีดส์ โทลคีนก็ก่อตั้งชมรม The Viking Club ร่วมกับอาจารย์รุ่นน้องชื่อ อี. วี. กอร์ดอน เพื่ออ่านบทลำนำสนุกๆ ของนอร์สโบราณ และแปลบทกวีเก่าแก่ให้เป็นภาษาแองโกลแซกซอน ชมรมนี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ และทำให้จำนวนนักศึกษาสาขาวรรณคดีอังกฤษของลีดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้น และมากกว่าของออกซฟอร์ดในช่วงเวลาเดียวกันเสียอีก ครั้นเมื่อโทลคีนย้ายมาสอนที่ออกซฟอร์ด เขาก็ก่อตั้งชมรม Coalbiters Club (หรือ Kolbitar ในภาษาไอซ์แลนด์) คือกลุ่มชมรมที่นั่งหน้าเตาไฟ เผาถ่านในเตาผิง และอ่านบทกวีไอซ์แลนด์พร้อมกับแลกเปลี่ยนทัศนะ นอกจาก T.C.B.S. แล้ว โทลคีนไม่มีเพื่อนสนิทอีกเลย จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2469 ขณะที่เขาย้ายมาเป็นศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยเพมโบรค ออกซฟอร์ด โทลคีนได้รู้จักกับอาจารย์จากวิทยาลัยมอดลินคนหนึ่ง ชื่อว่า Clive Staples Lewis หรือ ซี. เอส. ลิวอิส และได้เชิญให้เขามาร่วมใน Coalbiters Club ด้วย ทั้งสองค่อยๆ สนิทกันมากขึ้น และได้ก่อตั้งชมรมอิงคลิงส์ (Inklings) ซึ่งเป็นชมรมสำคัญอันมีส่วนสนับสนุนต่อการสร้างงานเขียนของโทลคีนในเวลาต่อมา ลิวอิสได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของโทลคีน และมีส่วนช่วยเหลือผลักดันให้โทลคีนสร้าง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ งานเขียนชิ้นสำคัญของโทลคีนได้จนสำเร็จ === ครอบครัว === โทลคีนได้แต่งงานกับนางสาว เอดิธ แมรี่ แบรท และมีลูกด้วยกันถึง 4 คน ได้แก่ จอห์น ฟรานซิส รูเอล (17 พ.ย. พ.ศ. 2460 – 22 ม.ค. พ.ศ. 2546) ไมเคิล ฮิลารี รูเอล (ต.ค. 2463–2527) คริสโตเฟอร์ จอห์น รูเอล (2467 – ) และ พริสซิลลา แอนน์ รูเอล (2472 – ) โทลคีนเอาใจใส่กับครอบครัว โดยเฉพาะเด็กๆ อย่างมาก เขามักอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่งนิทานให้ลูกอ่าน อันเป็นกำเนิดของนิทานเด็กมากมายที่ได้ตีพิมพ์ในเวลาต่อมา งานชิ้นสำคัญคือ เดอะฮอบบิท และ จดหมายจากคุณพ่อคริสต์มาส ซึ่งโทลคีนเขียนเป็นจดหมายพร้อมภาพวาดประกอบ สมมุติว่ามาจากซานตาคลอส ส่งให้เด็กๆ อ่านจนกระทั่งพวกเขาเริ่มโต === ปลดเกษียณและวัยชรา === ในช่วงปีตั้งแต่เกษียน พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) จนถึงเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) โทลคีนมีชื่อเสียงจากนิยายของเขาอย่างมาก เขาโด่งดังไปทั่วอังกฤษและอเมริกา และได้รับเงินส่วนแบ่งจากค่าลิขสิทธิ์หนังสือเป็นจำนวนมาก จนโทลคีนเคยคิดว่าเขาน่าจะเกษียณตัวเองเร็วกว่านี้ แฟนหนังสือพากันเขียนจดหมาย โทรศัพท์ไปหา หรือแม้กระทั่งเดินทางไปยังบ้านของโทลคีน เพื่อถามรายละเอียดของเรื่องราวให้มากยิ่งขึ้น จนที่สุดโทลคีนต้องยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์ และย้ายไปอยู่บอร์นมัทในทางใต้ โทลคีนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งเครือจักรภพอังกฤษ ระดับชั้น Commander จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ที่พระราชวังบัคคิงแฮม เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) เมื่อเขามีอายุ 80 ปี นางเอดิธ โทลคีน ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) มีอายุได้ 82 ปี โทลคีนให้แกะสลักคำว่า ลูธิเอน (Lúthien) ซึ่งเป็นตัวละครเอลฟ์ที่ได้แนวความคิดมาจากเอดิธในเรื่องที่เขาแต่ง หลังชื่อของนางบนป้ายหลุมศพด้วย และเมื่อโทลคีนเสียชีวิตหลังจากนั้นอีก 21 เดือน ในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) รวมอายุได้ 81 ปี เขาก็ได้สั่งไว้ให้ฝังตนเองในหลุมเดียวกันกับนางเอดิธ และให้เติมคำว่า เบเรน ข้างหลังชื่อเขา ดังนั้นป้ายหลุมศพจึงได้เขียนไว้ดังนี้ == ทัศนคติและมุมมองของโทลคีน == โทลคีนนับเป็นชาวคาทอลิกผู้เคร่งครัด ทัศนคติของเขาในแง่ที่เกี่ยวกับศาสนาและการเมืองเป็นแบบอนุรักษนิยม คือยึดมั่นในขนบประเพณีดั้งเดิมและไม่ใคร่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ เหตุนี้เขาจึงต่อต้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมและผลสืบเนื่องของการณ์นั้นอย่างรุนแรง ด้วยความรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเข้าคุกคามชีวิตชนบทอันสงบสุขของอังกฤษ ตลอดชั่วชีวิตของเขา โทลคีนหลีกเลี่ยงในการใช้รถยนต์ แต่นิยมใช้จักรยานมากกว่า ทัศนคติเช่นนี้ปรากฏเห็นชัดอยู่ในงานเขียนของเขา โดยเฉพาะในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เมื่อแคว้นไชร์ถูกบีบบังคับให้ทำอุตสาหกรรม นักวิจารณ์พากันศึกษาและบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องราวในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ กับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของโทลคีน เช่น เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มักโดนวิจารณ์ว่าเป็นตัวแทนของประเทศอังกฤษในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งโทลคีนเองปฏิเสธแข็งขันในบทนำของการตีพิมพ์เอดิชันที่สองของหนังสือชุดนี้ ว่าเขาไม่ชอบเขียนงานประเภทสัญลักษณ์แฝงคติ แนวคิดเช่นนี้ปรากฏอีกครั้งในงานเขียนของเขา เรื่อง On Fairy-Stories ซึ่งโทลคีนเห็นว่า เทพนิยาย เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง บางครั้งยังสื่อถึงความเป็นจริงบางประการอีกด้วย เขาเห็นว่าความเชื่อของคริสเตียนก็เป็นไปในลักษณะนี้ คือสมบูรณ์ในตัวเอง และแสดงถึงความเป็นจริงภายนอก พื้นฐานความเชื่อเช่นนี้ของโทลคีนพาให้เหล่านักวิจารณ์พากันค้นหาแนวคิดเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ในผลงานเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องมีความเกี่ยวพันกับศาสนาคริสต์น้อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมทางศาสนา หรือการสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า === ด้านศาสนา === ความศรัทธาอันแรงกล้าของโทลคีนต่อศาสนาคริสต์เป็นหัวข้อสนทนาสำคัญระหว่างเขากับลิวอิส ผู้ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมานับถือพระผู้เป็นเจ้า แม้โทลคีนจะผิดหวังอยู่บ้างที่ลิวอิสเลือกเข้ารีตในนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ แทนที่จะเป็นโรมันคาทอลิก ในช่วงปีท้ายๆ ของชีวิต โทลคีนยิ่งผิดหวังมากขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง ไซมอน โทลคีน หลานของเขาได้บันทึกไว้ว่า === ด้านการเมือง === มีประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับแนวคิดการเหยียดผิวที่ปรากฏอยู่ในผลงานของโทลคีน ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากมายในหมู่นักศึกษา คริสทีน ไคซม์ นักศึกษาคนหนึ่งจำแนกข้อกล่าวหานี้ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การเหยียดผิวโดยตั้งใจ การยึดยุโรปเป็นศูนย์กลางโดยไม่ตั้งใจ และการพัฒนาจากการเหยียดผิวที่แฝงในงานของโทลคีนช่วงต้นไปเป็นการปฏิเสธการเหยียดผิวในชั้นหลัง เป็นที่รู้กันดีว่า โทลคีนดูหมิ่นพวกนาซีมากอยู่ว่าเป็นพวกล้าหลังและอันตราย เขาดูถูกอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มาก เนื่องจากเขาเห็นว่าฮิตเลอร์นั้น "ใช้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ไปในทางที่ผิด" แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตำหนิกลุ่มต่อต้านเยอรมันที่รวมตัวกันขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งปรากฏในข้อความที่เขาเขียนไปถึงคริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชาย และแสดงความรังเกียจระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมากับนางาซากิอย่างมาก เขาเรียกกลุ่มผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์ว่าเป็น "นักวิทยาศาสตร์บ้า" และ "ผู้สร้างหอบาเบล" แนวคิดด้านการเมืองของโทลคีนล้วนมีพื้นฐานมาจากแนวคิดทางศาสนา เช่นเมื่อครั้งสงครามกลางเมืองในสเปน เขาออกเสียงสนับสนุนนายพลฟรันซิสโก ฟรังโก เมื่อได้ทราบว่าเกิดความวุ่นวายถึงกับเผาทำลายโบสถ์คาทอลิกและสังหารพระกับแม่ชีไปเป็นจำนวนมาก เขายังแสดงความชื่นชมต่อกวีชาวแอฟริกาใต้ รอย แคมป์เบล อย่างมากมายหลังจากได้พบกันในปี ค.ศ. 1944 เนื่องจากแคมป์เบลเคยรับราชการในกองทัพสเปนมาก่อน โทลคีนนับถือว่าเขาเป็นนักรบผู้ปกป้องชาวคาทอลิก ขณะที่ ซี. เอส. ลิวอิส เขียนบทกวีล้อเลียนแคมป์เบลว่า เป็นชาวคาทอลิกจอมเผด็จการ === ด้านอื่นๆ === ความรักในตำนานปรัมปรา และความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้าของโทลคีนผสมผสานกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งโทลคีนเชื่อว่า ตำนานปรัมปราทั้งหลายเป็นสิ่งสะท้อนถึง "ความจริง" ที่เคยเกิดขึ้น โทลคีนแสดงแนวคิดเช่นนี้ไว้ในบทกวีเรื่อง Mythopoeia ซึ่งตีพิมพ์พร้อมงานเขียนเรื่อง Tree and Leaf ในปี พ.ศ. 2474 แนวคิดนี้ได้กลายเป็นแกนกลางของการสังสรรค์ในชมรมอิงคลิงส์ในเวลาต่อมา และเป็นหัวใจของงานประพันธ์ชุดมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีนด้วย == ทักษะทางภาษาและภาษาศาสตร์ == ทั้งหน้าที่การงานและงานประพันธ์วรรณกรรมของโทลคีนมีความผูกพันกับความรักในภาษาศาสตร์ของโทลคีนอย่างลึกซึ้ง นับแต่เมื่อยังศึกษาในวิทยาลัย โทลคีนชำนาญในภาษากรีกโบราณ และทำวิทยานิพนธ์เพื่อสำเร็จการศึกษาโดยมีภาษานอร์สโบราณเป็นวิชาเอก เขาเริ่มทำงานครั้งแรกด้วยการชำระพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด โดยทำการศึกษาค้นคว้าในหมวดอักษร W เมื่อสอนที่มหาวิทยาลัยลีดส์ เขาเป็นอาจารย์ประจำในวิชาประวัติศาสตร์อังกฤษ ภาษาอังกฤษเก่า และภาษาอังกฤษกลาง รวมถึงศาสตร์แห่งภาษาเยอรมัน ภาษากอธิค ไอซ์แลนด์โบราณ และเวลช์ยุคกลาง เมื่ออายุเพียง 33 ปี ก็ได้เป็นศาสตราจารย์ Rawlinson and Bosworth ผู้เชี่ยวชาญภาษาแองโกลแซกซอน ทั้งยังชำนาญภาษาฟินแลนด์ด้วย โทลคีนมีพรสวรรค์ทางด้านการใช้เสียงและภาษา เขาไม่เพียงเป็นนักภาษาศาสตร์ที่ศึกษาความเป็นมาของภาษา แต่เขาเป็นผู้สร้างภาษา และผู้ใช้ภาษาในฐานะของนักประพันธ์ด้วย โทลคีนให้ความสำคัญกับการเลือกใช้คำ ชั่วโมงสอนของโทลคีนจะมีนักศึกษาเข้าไปฟังมาก เพราะเขาชอบอ่านออกเสียงบทกวีหรืองานวรรณกรรม สื่อให้เห็นอารมณ์ของผู้แต่ง และอธิบายว่าทำไมผู้แต่งจึงเลือกใช้คำนั้น ซี. เอส. ลิวอิส เขียนถึงโทลคีน ในนิตยสารไทมส์ เมื่อครั้งประกาศข่าวมรณกรรมของโทลคีนว่า เขาเป็นผู้ที่ "เข้าถึงภาษาของกวี และเข้าถึงความเป็นกวีในภาษา" โทลคีนยังสร้างภาษาใหม่ขึ้นอีกหลายภาษา นับแต่วัยเด็ก เขากับน้องชายสร้างภาษาที่เป็นที่เข้าใจกันสองคน เหมือนเช่นเด็กคนอื่นๆ ซึ่งเมื่อเด็กๆ โตขึ้นก็จะลืมเลือนไป แต่โทลคีนบอกว่า "ผมไม่เคยหยุดอีกเลย" เมื่อโทลคีนเริ่มงานสร้างปกรณัมของเขา เขาก็วางโครงร่างภาษาใหม่ ด้วยแรงบันดาลใจจากความไพเราะของภาษาเวลช์และภาษาฟินแลนด์ และสามารถพัฒนาโครงสร้างภาษาและไวยากรณ์จนสมบูรณ์ใช้งานได้จริงถึงสองภาษา คือภาษาเควนยา และภาษาซินดาริน ซึ่งเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมในโลกจินตนาการ มิดเดิลเอิร์ธ ของเขา ในการบรรยายครั้งหนึ่งในหัวข้อ "A Secret Vice" โทลคีนบอกกับนักศึกษาว่า "ภาษาที่เธอสร้างจะสร้างโลกของเธอ" ความโด่งดังของหนังสือของโทลคีนทำให้เกิดวัฒนธรรมเล็กๆ ขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งสืบทอดยาวนานมาถึงปัจจุบัน คือการสร้างภาษาเฉพาะของผู้ประพันธ์ในนิยายแฟนตาซีของตน == การสร้างวรรณกรรม == โทลคีนเริ่มงานเขียนปกรณัมชิ้นแรกคือ The Book of Lost Tales ตอน การล่มสลายของกอนโดลิน ในปี พ.ศ. 2460 (ค.ศ.1917) ขณะที่พักรักษาตัวจากไข้กลับ โดยนำตัวละคร เออาเรนเดล จากบทกวีเดิมที่เขาแต่งไว้ การผจญภัยของเออาเรนเดล ดวงดาวสายัณห์ มาเป็นตัวละครเอกอยู่ในเรื่อง เพื่อเล่าถึงสาเหตุความเป็นมาว่า ทำไมเออาเรนเดลจึงได้เป็นดวงดาวสายัณห์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ หลังจากนั้นโทลคีนแต่งบทกวีอีกสองเรื่องคือ ตำนานของเบเรนและลูธิเอน กับ ตำนานบุตรแห่งฮูริน โทลคีนไม่เคยรู้สึกว่าเขา "แต่ง" เรื่องขึ้นมา เขาเพียงแต่ "เขียน" เรื่องที่มีอยู่แล้วที่ใดที่หนึ่งในวงล้อประวัติศาสตร์ เมื่อเขาอ่านงานเขียนของตนให้เพื่อนในกลุ่มอิงคลิงส์ฟัง และมีผู้โต้แย้งถึงความไม่สมเหตุสมผล ว่าทำไมจึงเกิดหรือไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเล่า โทลคีนไม่เคยบอกว่าเขาจะกลับไปแก้หรือแต่งใหม่ แต่เขาจะตอบเพื่อนว่า "ผมจะหาดูว่าความจริงเป็นอย่างไร" === แรงบันดาลใจ === หนึ่งในแรงบันดาลใจที่สำคัญยิ่งของโทลคีน คือ ผลงานของวิลเลียม มอร์ริส เรื่อง The House of the Wolfings และ The Roots of the Mountains ซึ่งทำให้เขาสร้างบึงมรณะในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และป่าเมิร์ควู้ด โทลคีนยังกล่าวถึงนิยายของ เอช. ไรเดอร์ แฮ็กการ์ด เรื่อง She ในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์คราวหนึ่งว่า "เมื่อยังเป็นเด็ก She เป็นเรื่องน่าสนใจมาก เหมือนอย่างซากวัตถุโบราณของกรีกยุคอมินทัส (Amyntas หรือ Amenartas) ที่ดูเหมือนเครื่องจักรบางอย่างที่เคลื่อนที่ได้" มีภาพที่เหมือนภาพถ่ายเศษโบราณวัตถุตีพิมพ์ในหนังสือของแฮกการ์ดฉบับพิมพ์ครั้งแรก บนชิ้นส่วนนั้นมีอักขระโบราณอยู่ ซึ่งเมื่อแปลออกมาแล้วทำให้ตัวละครชาวอังกฤษเดินทางไปสู่อาณาจักรโบราณของ She ได้ นักวิจารณ์บางคนเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับบันทึกของอิซิลดูร์ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โทลคีนเองก็เคยพยายามวาดภาพของหน้าหนังสือหน้าหนึ่งจากบันทึกแห่งมาซาร์บูล ซึ่งเป็นจารึกโบราณของบาลิน กษัตริย์คนแคระ ที่เหล่าพันธมิตรแห่งแหวนไปพบในเหมืองมอเรีย นอกเหนือจากนี้ โทลคีนได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากตำนานเก่าแก่ของเยอรมัน โดยเฉพาะวรรณกรรมแองโกลแซกซอน ซึ่งเขามีความชื่นชอบและชำนาญอย่างยิ่งยวด ในบรรดานี้แหล่งข้อมูลสำคัญคือ ตำนานเรื่องเบวูล์ฟ มหากาพย์นอร์สเรื่องโวลซุงกา และ แฮร์วาราร์ บทกวีชุด Edda, Nibelungenlied และตำนานเก่าแก่อื่นๆ อีกมาก โทลคีนเองเคยระบุถึงงานประพันธ์ของโฮเมอร์ โซเฟคลีส และลำนำโบราณของฟินแลนด์เรื่อง คาเลวาลา ว่าเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างปกรณัมของเขา เขายังได้แนวคิดมาจากประวัติศาสตร์และตำนานเซลติก สก๊อต และเวลช์ อีกหลายเรื่อง สำหรับแนวคิดด้านปรัชญา โทลคีนได้รับอิทธิพลจาก อัลเฟรดมหาราช งานแปลจากภาษาแองโกลแซกซอนของ โบธีอุส นักปรัชญาคริสเตียนในคริสต์ศตวรรษที่ 6 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลำนำของโบธีอุส ซึ่งตำนานเทววิทยาของโรมันคาทอลิกก็มีส่วนอย่างมากในการสร้างโลกในจินตนาการของโทลคีน อันเนื่องมาจากศรัทธาอันแรงกล้าของเขาเอง === ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ === หลังจากโทลคีนเขียนเรื่อง การล่มสลายของกอนโดลิน อันเป็นบทประพันธ์สืบเนื่องที่บรรยายถึงที่มาของ เออาเรนเดล ดวงดาวสายัณห์ แล้ว โทลคีนได้ประพันธ์ตำนานอีกสองเรื่อง คือ ตำนานของเบเรนและลูธิเอน กับ ตำนานบุตรแห่งฮูริน บทประพันธ์ทั้งสามนี้เป็นเรื่องเอก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผลงานเขียนชุดที่เรียกว่า ซิลมาริลลิออน โทลคีนสร้างประวัติศาสตร์ของโลกอาร์ดาขึ้น โยงลำดับเหตุการณ์และบทประพันธ์เอกทั้งสามเข้าหากัน เขาพยายามเขียนซิลมาริลลิออน ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเขียนให้จบบริบูรณ์ลงได้ ครั้งหนึ่งโทลคีนเคยพยายามเสนอให้สำนักพิมพ์อัลเลนแอนด์อันวิน ตีพิมพ์ ซิลมาริลลิออน พร้อมกับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แต่สำนักพิมพ์ไม่ตกลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ช่วงหลังสงครามโลกนั้นสูงมาก แม้แต่ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เองยังต้องถูกแบ่งตีพิมพ์ออกเป็น 3 เล่ม ซิลมาริลลิออนจึงยังคงไม่ได้พิมพ์ตราบกระทั่งโทลคีนสิ้นชีวิต ซึ่งเขายังคงปรับแต่งแก้ไขรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของปกรณัมอยู่ตลอดเวลา กล่าวได้ว่า ซิลมาริลลิออน เป็นงานเขียนแห่งชีวิตของโทลคีน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการประพันธ์มหากาพย์ชุดนี้ ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) เมื่อโทลคีนบังเอิญมีโอกาสได้ตีพิมพ์ เดอะฮอบบิท และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจนต้องเขียนภาคต่อออกมากลายเป็น เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โทลคีนก็นำทั้งเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มาวางลงบนโครงปกรณัมชุดใหญ่ของเขาและถักทอเข้าจนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีตำนานอีกชุดหนึ่งคือ การล่มสลายของนูเมนอร์ หรือ อคัลลาเบธ ซึ่งโทลคีนประพันธ์ขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจากการล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในวงล้อประวัติศาสตร์ของปกรณัมชุดนี้ด้วย === งานเขียนสำหรับเด็ก === ในเวลาว่าง โทลคีนจะสนุกสนานกับการแต่งนิทานแฟนตาซีเพื่อเล่าให้ลูกๆ ของเขาฟัง (แม้แต่ เดอะฮอบบิท ก็มีที่มาจากการแต่งเรื่องให้เด็กๆ ฟัง) เขาเขียนจดหมายในวันคริสต์มาสทุกปี สมมุติว่าเป็นจดหมายจากซานตาคลอสส่งมาให้เด็กๆ จนหลายปีต่อมามันกลายเป็นชุดเรื่องสั้น เรียกชื่อว่า จดหมายจากคุณพ่อคริสต์มาส นิทานเรื่องอื่นๆ ก็เช่น Mr.Bliss, Roverandom, Smith of Wootton Major และ พระราชาชาวนา ในจำนวนนี้มีเรื่อง Roverandom และ Smith of Wootton Major ที่นำโครงเรื่องบางส่วนมาจากปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ เช่นเดียวกับเรื่องเดอะฮอบบิท === ผลงานหลังจากถึงแก่กรรม === คริสโตเฟอร์ โทลคีน บุตรชายคนที่สามของโทลคีน ได้เป็นผู้ช่วยโทลคีนผู้พ่อในการเขียนผลงานอยู่เสมอ เขาเคยช่วยเขียนแผนที่ ช่วยพิมพ์ดีด และจัดเรียงเอกสารต่างๆ เมื่อโทลคีนถึงแก่กรรม คริสโตเฟอร์กับเพื่อนของเขาคือ กาย กัฟเรียล เคย์ ได้ช่วยกันเรียบเรียงผลงานของโทลคีนขึ้น ซิลมาริลลิออน จึงได้ตีพิมพ์ในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากโทลคีนเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลา 4 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 คริสโตเฟอร์ได้รวบรวมงานเขียนที่กระจัดกระจายอยู่ บางส่วนยังอยู่ในระหว่างการแก้ไข และยังเขียนไม่จบ เกิดเป็นหนังสือ Unfinished Tales หรือ เกร็ดตำนานอันจารไม่จบแห่งนูเมนอร์และมิดเดิลเอิร์ธ หนังสือเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าผู้ประพันธ์จะเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2526-2539 คริสโตเฟอร์จึงได้รวบรวมผลงานในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของพ่อ เรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือชุดใหญ่จำนวน 12 เล่ม ได้แก่หนังสือชุดประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ ซึ่งรวบรวมต้นฉบับ ต้นร่าง แนวคิด และงานเขียนชิ้นล่าสุดในปกรณัมของโทลคีน รวมทั้งเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในต้นร่างเหล่านี้ยังมีเนื้อความที่ขัดแย้งกันอยู่จำนวนหนึ่ง เนื่องจากโทลคีนยังคงแก้ไขรายละเอียดในปกรณัมของเขาอยู่ตลอดเวลา และยังไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดทั้งหมดให้สอดคล้องไปในทางเดียวกัน ล่าสุดในปี พ.ศ. 2550 คริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้อุตสาหะรวบรวมและเรียบเรียงงานเขียนชิ้นสำคัญออกมาอีกชิ้นหนึ่ง คือ ตำนานบุตรแห่งฮูริน อันเป็นเรื่องราวของทูริน ทูรัมบาร์ และนิเอนอร์ น้องสาวของเขา ทั้งสองเป็นบุตรของฮูริน ตัวละครชาวมนุษย์คนสำคัญที่มีบทบาทในการช่วยเหลือเหล่าเอลฟ์ในตำนานซิลมาริลลิออน โดยที่คริสโตเฟอร์เรียบเรียงเนื้อหาทั้งหมดมาจาก ซิลมาริลลิออน, Unfinished Tales, ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ และงานเขียนต้นร่างที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์อีกจำนวนหนึ่ง == ผลสืบเนื่องและอนุสรณ์ == === การดัดแปลงผลงาน === งานเขียนของโทลคีนส่งอิทธิพลต่อความคิดและผลงานของศิลปินจำนวนมาก บางคนก็ได้รู้จักกับโทลคีนเป็นการส่วนตัว เช่น พอลลีน เบย์นส (ผู้วาดภาพประกอบให้หนังสือ การผจญภัยของทอม บอมบาดิล และ พระราชาชาวนา ซึ่งโทลคีนชอบมาก) และโดนัลด์ สวอนน์ (ผู้ประพันธ์ทำนองให้กับบทกวี The Road Goes Ever On) สมเด็จพระบรมราชินีนาถมาเกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงวาดภาพประกอบนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1970 และทรงส่งภาพวาดฝีพระหัตถ์ไปให้แก่โทลคีน อันทำให้โทลคีนพิศวงอย่างมากมายด้วยลายเส้นของพระองค์คล้ายคลึงกับแนวการวาดภาพของโทลคีนเอง แต่สำหรับผลงานของศิลปินบางคนที่สร้างขึ้นในระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ โทลคีนกลับไม่ค่อยชอบใจนัก และบางครั้งถึงกับวิจารณ์อย่างรุนแรง เช่นในปี พ.ศ. 2489 โทลคีนบอกปัดผลงานวาดภาพของ ฮอรัส เอนเจลส์ ที่วาดประกอบ เดอะฮอบบิท ฉบับภาษาเยอรมัน โดยบอกว่า "บิลโบจมูกย้อยเกินไป และแกนดัล์ฟก็ดูเหมือนตัวตลกดื่นดาษมากกว่าโอดินผู้พเนจรในความคิดของผม" ปี พ.ศ. 2497 โทลคีนส่งต้นร่างปกนอกของ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับพิมพ์อเมริกันคืน พร้อมหมายเหตุว่า "ขอบคุณที่ส่ง 'งานชิ้นเอก' มาให้ แต่ผมขอส่งคืน ชาวอเมริกันไม่ค่อยยอมรับคำวิจารณ์และไม่ค่อยยอมแก้ไขอะไร แต่ผมเห็นว่างานชิ้นนี้แย่เกินไปจนผมไม่อาจฝืนตัวเองไปแก้ไขมัน" นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2501 โทลคีนเขียนวิจารณ์บทภาพยนตร์ของ มอร์ตัน เกรดี้ ซิมเมอร์แมน ที่ดัดแปลงจากเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แบบฉากต่อฉากทีเดียว ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีให้มีการดัดแปลงหนังสือเป็นบทภาพยนตร์ โทลคีนขายสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์ ละครเวที และสินค้าประกอบของเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ให้แก่ United Artists ในปี พ.ศ. 2511 แต่ UA ไม่เคยสร้างเป็นภาพยนตร์ขึ้นมาเลย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2519 สิทธิ์ในการสร้างจึงได้ขายให้กับ Tolkien Enterprises ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งอยู่ในบริษัท Saul Zaentz หลังจากนั้นจึงได้มีการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในปี พ.ศ. 2521 เป็นภาพยนตร์การ์ตูนของราล์ฟ บัคชิ ปี พ.ศ. 2520 Rankin/Bass ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง เดอะฮอบบิท ออกฉายทางโทรทัศน์ และต่อมาได้สร้าง The Return of the King เป็นภาพยนตร์การ์ตูนออกฉายทางโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2523 ล่วงถึงปี พ.ศ. 2544-2546 นิวไลน์ ซีนีม่า ได้สร้างภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ กำกับโดย ปีเตอร์ แจ็กสัน และถ่ายทำในประเทศนิวซีแลนด์ทั้งเรื่อง ภาพยนตร์ชุดนี้เป็นชุดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย ปลายปี พ.ศ. 2550 นิวไลน์ ซีนีม่า ร่วมกับปีเตอร์ แจ็กสัน ได้ประกาศการสร้างภาพยนตร์ เดอะฮอบบิท แบ่งออกเป็นไตรภาค มีกำหนดออกฉายในปี พ.ศ. 2555-2557 === อนุสรณ์ === หลังจากที่โทลคีนเสียชีวิต ถนนแห่งหนึ่งได้ตั้งชื่อตามนามสกุลของเขา คือ ถนนโทลคีน ในอีสต์เบอร์น ซัสเซ็กซ์ตะวันออก นอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์น้อยหมายเลข 2675 ซึ่งค้นพบในปี พ.ศ. 2525 ก็ได้ตั้งชื่อว่า ดาวเคราะห์น้อยโทลคีน สำหรับ ถนนโทลคีน ในเมือง Stoke-on-Trent แคว้นสแตฟฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ตั้งชื่อตามบุตรชายคนโตของโทลคีน คือคุณพ่อจอห์น ฟรานซิส โทลคีน ชื่อของโทลคีนยังใช้เป็นตำแหน่งศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด คือตำแหน่ง J.R.R. Tolkien Professor ประจำภาควิชาวรรณคดีและภาษาอังกฤษ === Blue plaques === บลูพลาค หรือแผ่นป้ายโลหะสีฟ้า เป็นป้ายพิเศษที่รัฐบาลอังกฤษจัดทำติดไว้ตามสถานที่สำคัญของประเทศที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ในจำนวนนี้มีอยู่ 6 ป้ายที่ติดตั้งไว้ในสถานที่เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่โทลคีน ป้ายหนึ่งอยู่ที่ออกซฟอร์ด ป้ายหนึ่งอยู่ที่แฮร์โรเกต และอีกสี่ป้ายอยู่ในเบอร์มิงแฮม ติดตั้งอยู่ที่บ้านในวัยเด็กของโทลคีนก่อนที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย ได้แก่ 1. ที่โรงสีแซร์โฮล 2. ที่บ้านเลขที่ 1 ดัชเชสเพลส ตำบลเลดี้วู้ด 3. ที่บ้านเลขที่ 4 ถนนไฮฟิลด์ Edgbaston และ 4. ที่ Plough and Harrow ถนนแฮกลี่ย์ เมืองเบอร์มิงแฮม ป้ายที่ออกซฟอร์ดติดไว้ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งโทลคีนเคยอาศัยอยู่ เป็นสถานที่เขียนนิยายเรื่อง เดอะฮอบบิท และเขียนเนื้อหาส่วนใหญ่ของ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ส่วนป้ายที่แฮร์โรเกตติดตั้งไว้ที่บ้านพักซึ่งโทลคีนนอนพักฟื้นไข้หลังจากกลับมาจากการรบ และเริ่มงานปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของเขาขึ้นเป็นครั้งแรก === สมาคมโทลคีน === สมาคมโทลคีน (Tolkien Society) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 ภาควิชาภาษาอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้สร้างรูปปั้นครึ่งตัวของโทลคีนไว้เป็นอนุสรณ์ ทุกๆ ปี เมื่อสมาคมโทลคีนจัดการประชุมทางวิชาการ จะมีการเปิดรับบทความวิชาการและการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับผลงานของโทลคีนและงานที่เกี่ยวข้อง จัดการประชุมที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด โดยมีรูปปั้นครึ่งตัวนี้ร่วมการประชุมด้วย กิจกรรมสำคัญอีกประการหนึ่งของสมาคมคือ "Tolkien Birthday Toast" ซึ่งเป็นการจัดงานวันเกิดให้โทลคีนในวันที่ 3 มกราคม ของทุกปี สมาชิกทั่วโลกจะดื่มอวยพรวันเกิดให้แก่โทลคีน และลงนามในเว็บไซต์ของสมาคม == ตำแหน่ง รางวัลและเกียรติยศ == อ้างอิงจาก Tolkien as a writer for young adults , tolkiensociety.org ตำแหน่งทางวิชาการ ค.ศ.1920-23 Reader in English ค.ศ.1924-25 Professor of the English Language, University of Leeds, Yorkshire ค.ศ.1925-45 Rawlinson and Bosworth Professor of Anglo-Saxon ค.ศ.1926-45 Fellow, Pembroke College ค.ศ.1934-36 Leverhulme Research Fellow ค.ศ.1936 Sir Israel Gollancz Memorial Lecturer, British Academy ค.ศ.1939 Andrew Lang Lecturer, University of St. Andrews, Fife ค.ศ.1945-59 Merton Professor of English Language and Literature ค.ศ.1953 W. P. Ker Lecturer, University of Glasgow ค.ศ.1955 O'Donnell Lecturer, Oxford University ค.ศ.1963 Honorary Fellow, Exeter College Emeritus Fellow, Merton College ค.ศ.1972-73 Honorary resident fellow of Merton College รางวัลวรรณกรรม ค.ศ.1938 New York Herald Tribune Children's Spring Book Festival award สำหรับ เดอะฮอบบิท ค.ศ.1957 International Fantasy award สำหรับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ค.ศ.1966 Royal Society of Literature Benson Medal ค.ศ.1973 Foreign Book prize (ประเทศฝรั่งเศส) ค.ศ.1974 World Science Fiction Convention Gandalf award ค.ศ.1978 Hugo award ค.ศ.1978 Locus award for best fantasy novel สำหรับ ซิลมาริลลิออน ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (Doctor of Letters) University College, Dublin, 1954 University of Nottingham, 1970 Oxford University, 1972 University of Edinburgh, 1973. ศาสตราภิชาน ด้านภาษาและวรรณคดี (Dr. en Phil et Lettres) Liége, 1954 รางวัลเกียรติยศ Fellow, Royal Society of Literature, 1957. (สมาชิกสามัญ ราชวรรณคดีสมาคมแห่งประเทศอังกฤษ) C.B.E. (Commander, Order of the British Empire), 1972. (เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งเครือจักรภพอังกฤษ ชั้น Commander) == ผลงาน == == รายชื่อนิยาย == == นิยายชุด The Lord of the ring == The Hobbit แปลใช้ชื่อเรื่อง เดอะฮอบบิท Lord of the ring : The Fellowship of the Ring แปลใช้ชื่อเรื่องโดย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน มหันตภัยแห่งแหวน Lord of the ring : The Two Towers แปลใช้ชื่อเรื่องโดย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน หอคอยคู่พิฆาต Lord of the ring : The Return of the King แปลใช้ชื่อเรื่องโดย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน กษัตริย์คืนบัลลังก์ == นวนิยายเดี่ยว == Leaf by Niggle The Lay of Aotrou and Itroun Farmer Giles of Ham แปลใช้ชื่อเรื่องโดย พระราชาชาวนา The Homecoming of Beorhtnoth Beorhthelm's Son The Adventures of Tom Bombadil Tree and Leaf The Tolkien Reader The Road Goes Ever On กับ Donald Swann Smith of Wootton Major === ผลงานวิชาการ และงานเขียนอื่นๆ === พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) A Middle English Vocabulary, ออกซฟอร์ด พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) Sir Gawain and the Green Knight งานเขียนร่วมกับ E.V. Gordon, โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) Some Contributions to Middle-English Lexicography พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) The Devil's Coach Horses พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) Ancrene Wisse and Hali Meiðhad พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) The Name 'Nodens' พ.ศ. 2475 - 2477 (ค.ศ. 1932–34) Sigelwara Land parts I and II พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) Chaucer as a Philologist: The Reeve's Tale พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) เบวูล์ฟ : บทวิเคราะห์แง่มุมของปีศาจ (Beowulf: The Monsters and the Critics) พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) The Reeve's Tale : ฉบับงานสัมมนาฤดูร้อน พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) On Fairy-Stories การแสดงปาฐกถาแอนดรูแลง 1939 (1939 Andrew Lang lecture) ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) Sir Orfeo (งานเรียบเรียงบทกวียุคกลาง) พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) On Fairy-Stories พจน์นิพนธ์ฉบับเต็มของการบรรยายเมื่อปี 1939 เป็นงานเขียนที่แสดงให้เห็นปรัชญาของโทลคีนเกี่ยวกับงานแฟนตาซี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) Ofermod and Beorhtnoth's Death : พจน์นิพนธ์สองฉบับที่ตีพิมพ์พร้อมกับบทกวี The Homecoming of Beorhtnoth Beorhthelm's Son พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) Middle English "Losenger": Sketch of an etymological and semantic enquiry, ตีพิมพ์ใน Essais de philologie moderne: Communications présentées au Congrès International de Philologie Moderne (1951), Les Belles Lettres. พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) Ancrene Wisse พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) English and Welsh, in Angles and Britons: O'Donnell Lectures ในวารสารมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) ก่อนจะเป็น Tree and Leaf, งานเขียนแสดงรายละเอียดความเป็นมาและแนวคิดในการประพันธ์เรื่อง Leaf by Niggle และ On Fairy-Stories พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) ร่วมในการเรียบเรียงชำระ Jerusalem Bible พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) บทนำ ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับพิมพ์เอดิชันที่สอง แสดงความเห็นเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบรับจากนิยาย และความเห็นเกี่ยวกับสัญลักษณ์แฝงคติ (Allegory) พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) Tolkien on Tolkien (งานเขียนอัตชีวประวัติ) === ผลงานที่ตีพิมพ์หลังเสียชีวิต === เรียบเรียงโดย คริสโตเฟอร์ โทลคีน ผู้ที่เป็นบุตรชายของ J.R.R.Tolkien' Sir Gawain and the Green Knight, Pearl , Sir Orfeo A Tolkien Miscellany The Father Christmas Letters The Silmarillion แปลใช้ชื่อเรื่องโดย ตำนานแห่งซิลมาริล Unfinished Tales of Númenor and Middle-earth แปลใช้ชื่อเรื่องโดย เกร็ดตำนานที่จารมิจบ แห่งนูเมนอร์ และ มิดเดิลเอิร์ธ The Homecoming of Beorhtnoth Beorhthelm's Son, On Fairy-Stories, Leaf by Niggle, Farmer Giles of Ham , Smith of Wootton Major The Old English Exodus Text Finn and Hengest: The Fragment and the Episode Mr. Bliss The Monsters and the Critics หนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ (1983 - 1996) * The Book of Lost Tales 1 (1983) * The Book of Lost Tales 2 (1984) * The Lays of Beleriand (1985) * The Shaping of Middle-earth (1986) * The Lost Road and Other Writings (1987) * The Return of the Shadow : The History of The Lord of the Rings Book 1 (1988) * The Treason of Isengard : The History of The Lord of the Rings Book 2 (1989) * The War of the Ring : The History of The Lord of the Rings Book 3 (1990) * Sauron Defeated : The History of The Lord of the Rings Book 4 (1992) * Morgoth's Ring (1993) * The War of the Jewels (1994) * The Peoples of Middle-earth (1996) Finn and Hengest The Children of Hurin แปลใช้ชื่อเรื่องโดย ตำนานบุตรแห่งฮูริน The Legend of Sigurd and Gudrún Baren and Luthien แปลใช้ชื่อเรื่องโดย เบเรนกับลูธิเอน The fall of Gondolin แปลใช้ชื่อเรื่องโดย การล่มสลายของกอนโดลิน === งานบันทึกเสียง === พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) บทกวีและลำนำแห่งมิดเดิลเอิร์ธ (Poems and Songs of Middle-earth) พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) JRR Tolkien Reads and Sings his The Hobbit & The Lord of the Rings (บันทึกเสียงอ่านเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน) == เชิงอรรถ == === บรรณานุกรม === จากชีวประวัติ: ฮัมฟรีย์ คาร์เพนเตอร์ (1977). Tolkien: A Biography. นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์บัลเลนไทน์บุ๊คส์. ISBN 0-04-928037-6. จากจดหมายของโทลคีน: ฮัมฟรีย์ คาร์เพนเตอร์ และ คริสโตเฟอร์ โทลคีน (บรรณาธิการ) (1981). The Letters of J. R. R. Tolkien''. ลอนดอน: สำนักพิมพ์จอร์จ อัลเลนแอนด์อันวิน. ISBN 0-04-826005-3. == ข้อมูล == == อ่านเพิ่ม == ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับโทลคีนและผลงานของเขา: == แหล่งข้อมูลอื่น == The Tolkien Estate Website Journal of Inklings Studies peer-reviewed journal on Tolkien and his literary circle, based at Oxford HarperCollins Tolkien Website ชีวประวัติที่ the Tolkien Society Archival material at Leeds University Library Tolkien: Maker of Middle-earth exhibition at the Bodleian Libraries, University of Oxford J. R. R. Tolkien at the Encyclopedia of Fantasy J. R. R. Tolkien at the Science Fiction Encyclopedia Additional Resources for J. R. R. Tolkien compiled by the Marion E. Wade Center BBC film (1968) featuring Tolkien Audio recording of Tolkien from 1929 on a language learning gramophone disc หนังสือ J.R.R. Tolkien (เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน) ที่พิมพ์ในประเทศไทย นักเขียนชาวอังกฤษ บุคคลจากบลูมฟอนเทน บุคคลจากบอร์นมัท นักภาษาศาสตร์ คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกชาวอังกฤษ ผู้คิดค้นระบบการเขียน ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด บุคคลจากมหาวิทยาลัยลีดส์ ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซีบีอี
ฮอบบิท (Hobbit) เป็นเผ่าพีนธุ์สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือฮอบบิท และมีบทบาทสำคัญในเรื่อลเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฮอบบิทเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีขนาดย่อมกว่า และไม่ล่ำบึกบึนเหมือนอย่างคนแรระ เนิ่องจากฮอบบิทมีบสาดราวครึ่งหนึ่งของมนุษย์ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฮาล์ฟลิง (Halfling) พวกเอบฟ์เรียกเขาว่า เพเคียนนัธ (Periannath) แต่พวกฮอบบิทเรียกตัวเองว่า คูดุค (Kuduk) ส่วนคำว่า ฮอบบิท มีที่มาจากคำในถาษาโรเฮียริคว่า โฮลบคตลาน (Holbytlan) ซึ่งหมายถึง ผู้อยู่ในโพรง ฮอบบิทมีพนษาพูดของตนเอง เรียกว่า ภาษาฮอบบิติช เป็นภาษาในตาะกูลเดียวกันกับภาษาโรเฮียริค เนื่องจากถิ่นฐานะั้งเดิมของชาวฮอบบิทกับชาวโรเฮียริมอยู่ใกล้เคียงกัน ในบทนำของเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ระบุว่า ฮอบบิทส่วนใหญ่มีความสูงประมาณ 2-4 ฟุต ความสูงเฉลี่ย 3 ฟึต 6 นิ้ว มีอายุเฉลีียราว 100 ปี (สูงสุดประมาณ 130 ปี) เท้าเป็นขนและเดิรได้เงียบ ปลาจหูแหลม อาศัยอยู่ในโพรง ชอบการกินอาหาร ชอบการละเล่นและความสนุกสนาน เป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบ อายุยืนพว่ามนุษย์ธรรมดา ถ้าฮอบบิทอายุได้ 33 ปี จะเทียบกับมนุษย์ไดเ 21 ปี เมื่อนั้นจึงจะถือว่าฮองบิทคนนั้นเป็นฟู้ใหญ่แล้ว ฮอบบิทกินอาหารถึงวันชะ 7 มื้อ ได้แก่ มื้อเช้า, มื้อหลังเช้า, มื้อ 11 โาง, มื้อเที่ยง, มื้อน้ำชา, มื้อเย็น แบะมื้อดึก ทั้งนี้ไม่รวมของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทานได้ตลอดทั้งวัน ทานครั้งแรกถึง 6 มื้อ ฮอบบิททานอาหารได้ทุกประเภท แต่ที่โปรดปรานที่สุดคือ เห็ด ช็อคโกแล็ต และเหล้าเอล และ ฮอบบิท ชอบทำขนมเร็กด้วย เป่าพันธุ์ฮอบบิทเป็นผู้ชำนาญการด้านยาสูบ ดินแดนของพวกเขาเป็นแหล่งผลิตยาสูบมวนกระดาษสีดำชั้นดีที่สุดของทิดเดิลเอิร์ธ และพวกฮอบบิทก็ชิบใช้กล้องสูลยาด้วย == ประวัติศาสตร์ของฮอบบิท == แต่เดิมชมวฮอบบิทอาศัยอยู่ในหุบเขาดถบลุ่มแม่น้ำอันดูอิน ระหว่างผ่าใหญ่กรีนวู้ดกับเทือกเขามิสตี้ พวกเขามีด้วยกันทั้งหมดสามชนชาติ คือพวก ฮาร์ฟุต, สตเวร์ และ ฟอลโลไฮด์ พวกฮาร์ผุตเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุแ และมีลักษณะฑดยทั่วไปเหมือนอย่างฮอบบิทที่บรรยายไว้ในหนังสือของโทลคีน พวกเขาชอบอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน หรือที่เาียกว่า สไมอัลด์ ตั้งถิ่นฐานอยู่บนไหล่เขาของฮิธายเกลียร์ พวกสตัวร์มีจำนวนรดงลงมา ชอบอาศัยอยู่ริมแมรน้ำ นิยมการแล่นเรือและจับปลา ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบทุ่งแกลดเดน สืวนพวกฟอลโลไฮด์มีจำนวนน้อยที่สุด ว่ากันว่าฮอบบิทกลุ่มนี้มีรูปร่างสูงกง่ากลุ่มอื่นๆ ชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ และรักการผจญภัย มักเปฺนผู้นำอยู่ในชุมชนเสมอ เช่นพวกตระกูลตุ๊ก และตระกูลแบรนดี้บั๊ก ก็มีสายเลือดของพวกฟอลโลไฮด์ ในปีที่ 1601 ของยุคทั่สาม ฮอบบิทชาวฟอลโลไฮด์สองคน ชื่อว่า มาร์โึ และ บลังโค ได้รับพระราชานุญาตจากกศัตริย์แห่งดาร์นอร์ เดินทางข้ามแม่น้ำบารันดูอินไปตั้งถิ่นฐานอยู่บนอีกฟากหนึ่งของกม่น้ำ เป็นอาณาจักรของชาวฮอบบิทเอง ชื่อวรา ไชร์ โดยอยํ่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอาร์นอร์ ฮอบบิทจำนสนมากได้อพยพตาทพวกเขา_ป นอำจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งที่ลงหลักปักฐานที่เมืองบรี นับเป็นเมืองสำคัญของพวกฮอบบิทอีกเมืองหนึ่ง ในการสงครามระหว่างอาณาจักรอาร์าอร์กับอัลก์มาร์ ฮอบบิทได้ส่งพลธนูไปช่วยศึกด้วย หลังจากอาณาจักรอาร์นอร์สิ้นสลาย พวกฮอบบิทก็เลือกผู้นำของตนขึ้นมาเอง เรียกว่า 'เธน' เธนคนแรกของไชร์คือ บัคคา ต้นตระกูลโดลด์บั๊ก ภายหลังตระกูลโอลด์บั๊กอพยพข้ามแม่น้ำแบรนดี้ไวน์ (บาีันดูอิน) กลับไปทางตะวันออก ตั้งดินแดนของตนขึ้นใหม่ในเขตบั๊กแลนด์ แบะเปลี่ยนชืรอตระกูลเป็น แบรนดี้บั๊ก ผู้นำตระกูล้รียกว่า ประมุขแห่งลั๊กแลนด์ ชาวฮอบบิทแห่งไชร์จึงเลือกตระกูล 'เธน' ขึ้นมาใหม่ ได้แก่ตระกูลตุ๊ก (เปเรกริน ตุ๊ก ก็เป็นบุตรของเธนอห่งไชร์ ในภายหลังเขาได้ขึ้นเป็นเธนแห่ง/ชร์ด้วย) เธนมีหน้าท้่ด้านการทหาร การป้องกันและปราบปรามความรุนแรง ซึ่งไม่ค่อยมีงานใหเทำมากนักในอาณาจักรไชร์ของฮอบบิทผู้รักสงบ หน้าที่ส่วนใหญ่ในไชร์ตกเป็นของนายกเทศมนตรี ซึ่งจะมีการเลือกตั้งทุกๆ 7 ปี อันได้แก่ การจัดการเฉลิมฉลองพืชผัก การไปรษณีย์ (พวกฮอบบิทลอบเขียนจดหมายมาก) และเป็นประธานในงานรื่นเริงต่าง/ เป็นต้น == ฮอบบิทที่มีชื่อเสียง == บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ แซมไวส์ แกมจี เมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก เปเรกริน ตุ๊ก สมีโกล (หรือ กอลลัม) == ดูเพิ่ม =] พราย คนแคระ พ่อมด ผีร้าย ยอร์ก (หมาป่า) == อ้างอิง == เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน, เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน, เดอะฮอบบิท สิ่งมีชีวิตในตำนานของโทลคีน
ฮอบบิท (Hobbit) เป็นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือฮอบบิท และมีบทบาทสำคัญในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฮอบบิทเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีขนาดย่อมกว่า และไม่ล่ำบึกบึนเหมือนอย่างคนแคระ เนื่องจากฮอบบิทมีขนาดราวครึ่งหนึ่งของมนุษย์ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฮาล์ฟลิง (Halfling) พวกเอลฟ์เรียกเขาว่า เพเรียนนัธ (Periannath) แต่พวกฮอบบิทเรียกตัวเองว่า คูดุค (Kuduk) ส่วนคำว่า ฮอบบิท มีที่มาจากคำในภาษาโรเฮียริคว่า โฮลบีตลาน (Holbytlan) ซึ่งหมายถึง ผู้อยู่ในโพรง ฮอบบิทมีภาษาพูดของตนเอง เรียกว่า ภาษาฮอบบิติช เป็นภาษาในตระกูลเดียวกันกับภาษาโรเฮียริค เนื่องจากถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวฮอบบิทกับชาวโรเฮียริมอยู่ใกล้เคียงกัน ในบทนำของเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ระบุว่า ฮอบบิทส่วนใหญ่มีความสูงประมาณ 2-4 ฟุต ความสูงเฉลี่ย 3 ฟุต 6 นิ้ว มีอายุเฉลี่ยราว 100 ปี (สูงสุดประมาณ 130 ปี) เท้าเป็นขนและเดินได้เงียบ ปลายหูแหลม อาศัยอยู่ในโพรง ชอบการกินอาหาร ชอบการละเล่นและความสนุกสนาน เป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบ อายุยืนกว่ามนุษย์ธรรมดา ถ้าฮอบบิทอายุได้ 33 ปี จะเทียบกับมนุษย์ได้ 21 ปี เมื่อนั้นจึงจะถือว่าฮอบบิทคนนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฮอบบิทกินอาหารถึงวันละ 7 มื้อ ได้แก่ มื้อเช้า, มื้อหลังเช้า, มื้อ 11 โมง, มื้อเที่ยง, มื้อน้ำชา, มื้อเย็น และมื้อดึก ทั้งนี้ไม่รวมของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทานได้ตลอดทั้งวัน ทานครั้งแรกถึง 6 มื้อ ฮอบบิททานอาหารได้ทุกประเภท แต่ที่โปรดปรานที่สุดคือ เห็ด ช็อคโกแล็ต และเหล้าเอล และ ฮอบบิท ชอบทำขนมเค็กด้วย เผ่าพันธุ์ฮอบบิทเป็นผู้ชำนาญการด้านยาสูบ ดินแดนของพวกเขาเป็นแหล่งผลิตยาสูบมวนกระดาษสีดำชั้นดีที่สุดของมิดเดิลเอิร์ธ และพวกฮอบบิทก็ชอบใช้กล้องสูบยาด้วย == ประวัติศาสตร์ของฮอบบิท == แต่เดิมชาวฮอบบิทอาศัยอยู่ในหุบเขาแถบลุ่มแม่น้ำอันดูอิน ระหว่างป่าใหญ่กรีนวู้ดกับเทือกเขามิสตี้ พวกเขามีด้วยกันทั้งหมดสามชนชาติ คือพวก ฮาร์ฟุต, สตัวร์ และ ฟอลโลไฮด์ พวกฮาร์ฟุตเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด และมีลักษณะโดยทั่วไปเหมือนอย่างฮอบบิทที่บรรยายไว้ในหนังสือของโทลคีน พวกเขาชอบอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน หรือที่เรียกว่า สไมอัลด์ ตั้งถิ่นฐานอยู่บนไหล่เขาของฮิธายเกลียร์ พวกสตัวร์มีจำนวนรองลงมา ชอบอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ นิยมการแล่นเรือและจับปลา ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบทุ่งแกลดเดน ส่วนพวกฟอลโลไฮด์มีจำนวนน้อยที่สุด ว่ากันว่าฮอบบิทกลุ่มนี้มีรูปร่างสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ และรักการผจญภัย มักเป็นผู้นำอยู่ในชุมชนเสมอ เช่นพวกตระกูลตุ๊ก และตระกูลแบรนดี้บั๊ก ก็มีสายเลือดของพวกฟอลโลไฮด์ ในปีที่ 1601 ของยุคที่สาม ฮอบบิทชาวฟอลโลไฮด์สองคน ชื่อว่า มาร์โค และ บลังโค ได้รับพระราชานุญาตจากกษัตริย์แห่งอาร์นอร์ เดินทางข้ามแม่น้ำบารันดูอินไปตั้งถิ่นฐานอยู่บนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ เป็นอาณาจักรของชาวฮอบบิทเอง ชื่อว่า ไชร์ โดยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอาร์นอร์ ฮอบบิทจำนวนมากได้อพยพตามพวกเขาไป นอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งที่ลงหลักปักฐานที่เมืองบรี นับเป็นเมืองสำคัญของพวกฮอบบิทอีกเมืองหนึ่ง ในการสงครามระหว่างอาณาจักรอาร์นอร์กับอังก์มาร์ ฮอบบิทได้ส่งพลธนูไปช่วยศึกด้วย หลังจากอาณาจักรอาร์นอร์สิ้นสลาย พวกฮอบบิทก็เลือกผู้นำของตนขึ้นมาเอง เรียกว่า 'เธน' เธนคนแรกของไชร์คือ บัคคา ต้นตระกูลโอลด์บั๊ก ภายหลังตระกูลโอลด์บั๊กอพยพข้ามแม่น้ำแบรนดี้ไวน์ (บารันดูอิน) กลับไปทางตะวันออก ตั้งดินแดนของตนขึ้นใหม่ในเขตบั๊กแลนด์ และเปลี่ยนชื่อตระกูลเป็น แบรนดี้บั๊ก ผู้นำตระกูลเรียกว่า ประมุขแห่งบั๊กแลนด์ ชาวฮอบบิทแห่งไชร์จึงเลือกตระกูล 'เธน' ขึ้นมาใหม่ ได้แก่ตระกูลตุ๊ก (เปเรกริน ตุ๊ก ก็เป็นบุตรของเธนแห่งไชร์ ในภายหลังเขาได้ขึ้นเป็นเธนแห่งไชร์ด้วย) เธนมีหน้าที่ด้านการทหาร การป้องกันและปราบปรามความรุนแรง ซึ่งไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนักในอาณาจักรไชร์ของฮอบบิทผู้รักสงบ หน้าที่ส่วนใหญ่ในไชร์ตกเป็นของนายกเทศมนตรี ซึ่งจะมีการเลือกตั้งทุกๆ 7 ปี อันได้แก่ การจัดการเฉลิมฉลองพืชผัก การไปรษณีย์ (พวกฮอบบิทชอบเขียนจดหมายมาก) และเป็นประธานในงานรื่นเริงต่างๆ เป็นต้น == ฮอบบิทที่มีชื่อเสียง == บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ แซมไวส์ แกมจี เมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก เปเรกริน ตุ๊ก สมีโกล (หรือ กอลลัม) == ดูเพิ่ม == พราย คนแคระ พ่อมด ผีร้าย วอร์ก (หมาป่า) == อ้างอิง == เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน, เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน, เดอะฮอบบิท สิ่งมีชีวิตในตำนานของโทลคีน
วันที่ 17 เมษายน เป็นวันที่ 107 ขเงปี (วันที่ 109 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถุงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 258 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศซ 2438 (ค.ศ. 1895) - มีการลงนามในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิระหวรางจีนและญี่ปุ่น นี่เป็นจุดสิ้นสุดของสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง และจักรวรรดิชิงถูกบังคับให้ยกเลิกการอ้างสิทธิ์ในเกาหลีและต้องยอมเสียดินแดนทางตอนใต้ของมณฑลเฟิงเทียน ไต้หใัน และเกาะเปสกาโดเรสให้กับญีืปุ่น พ.ศ. 2r80 (ค.ศ. 1937) - แดฟฟี ดัค ปรากฏตัวครัเงแรกสนการ์ตูนขนาดสั้น โดยวอร์เนอร์บราเธอร์ส พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - ยูโกสลาเว่ยยอมแพ้ต่อเยอรมนี พ.ศ. 2489 ฆค.ศ. 1946) - ซีเรียประกาศเอกราช พ.ศ. w504 (ค.ศ. 1961) - การรุกรานคิวบาในปฏิบัคิการอ่าวพิกส์ ที่สนับสนุนโดยซีไอเอ เริ่มต้นขึ้น พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - นายสุขวิช รังสิตพลประกาศจัดตั้งศูนย์การศึกษานอกระบบ 40 แห่งในกรุงเทพมหานึร พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1o75) - สงครามกลางเมืองกัมพูชาสิ้นมุดลง เขมรแดงยึดเมืองหลวงคือพนมเปญได้และกองทัพแห่งชาติเขมรยอมจำนน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2[14) - พอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) นักเคลื่อนไหวชาวพะเหรี่ยงหายตัวไปที่ดืานมะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - พระราชพิธีพระศพ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และพิธีฝังพระศพ ณ โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ == วันเกิด == พ.ศ. 2277 (ค.ศ. 1734) ] สมเด็จำระเจ้ากรุงธนบุรี (สวรรคต 6 ิมษายน พ.ศ. 2325) พ.ศ. 2331 (ค.ศ. 1788) - สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี) (มรณภาพ 22 มิถุนายน พ.ศ. e415) พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) - พระองค์เจ้าดรุณวัยวัฒน์ (สิ้นพระชนม์ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509) พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) - อแล็ง โปเอร์ อดีตรักษาการประธานาธิบดีฝรั่งัศส (ถึงแก่อสัญกรรม 9 ธันวาคม พ.ศ. 2539) พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - วิลเลียม โฮลเดน นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม qe พฤศจิกายน พ.ศ. 2524) พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ (พระครูเขมคุณโสภณ) อดีตเจ้าอาวาส วัดเกาะแก้งธุดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ พ.ศ. 2493 (คฦศ. 1950) 0 แอล. สกอตต์ คาลด์เวลล์ นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2505 (ค.ศ. w962) - หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ นักแสดง. ผู้จัดละครชาวไทย พ.ศ. 2y07 (ค.ศ. 1964) - จิ้ม ชวนชื่น นักแสดงตลกชายชาวไทย พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - เจนนิอฟอร์ การ์เนอร์ นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - หลักหิน ซีพียิม นักมวย พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 2974) - วิกทอเรีย เบคแคม นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - กรุณ ซอโสตถิกุล นักร้องชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - กิตติพัทธ์ ชลารักษ์ พิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - ลีจุนกิ นัำแสดง นักร้องเก่หลี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - มาตีเยอ เลอมวน นักกีฬาขี่ม้าโอลิมปิกชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1o85) * โจ-วิลไรีด ซองกา นักเททนิสชาวฝรั่งเศส * ลู้ก มิตเชลล์ นักแสดงและสายแบบชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - อี ย็อง-แร นักฟุตบอลชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1087) - เมดี เบนาตีจา นักฟุตบอลจำแหน่งกองหลังชาวโมร็ดกโก พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) * ภัทรเดช สงวนความดี นักแสดงชายชาวไทย * วังเดร์ ลูอีส ซิลวา ซํซา นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ศักดา ฝ่ายอินทร์ นักๆุตบอลระดับอาชีพชาวไทย พ.ศฦ 2535 (ค.ศ. 1992) * กฤษฎา นิลไสว นักวอลเลย์บอลชาวไทย * จินโฮ นักร้องชาวเกาหลีใต้ * ชฌคดรัน มุสทาฟี นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - ฮงฐ็อก นักร้องและนักแสดงชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - ช็อง ฮวี-อิน นักร้องขาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) * กันตพัฒน์ คูณมี วอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย * ศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนา นักแสดงชายชาวไทย == วันถึงแกทกรรม =] ำ.ศ. 2310 (ค.ศฦ 1767) - สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัทรินทร์ พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกีุงศรีอยุธยา (เก้ด พ.ศ. 2261) พ.ศ. 2333 ฤค.ศ. 1790) - เบนจามิน แฟรงคลิน บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาและนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริปัน (เกิด 17 มกราคม พ.ศ. 2249) พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) - หวง เฟยหง ปรมาจารย์กังฟ๔และแพทย์ชาวจ่น (เกิด 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2399) พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - หม่อมหลวงศรีฟ้า มหาวรรณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ประจำปี พ.ศ. 2539 (เกิด 26 มกราคม พ.ศ. 2473) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาช == วึนชาติซีเรีย == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: April 17 มเมษายน 17 เมษายน
วันที่ 17 เมษายน เป็นวันที่ 107 ของปี (วันที่ 108 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 258 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) - มีการลงนามในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิระหว่างจีนและญี่ปุ่น นี่เป็นจุดสิ้นสุดของสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง และจักรวรรดิชิงถูกบังคับให้ยกเลิกการอ้างสิทธิ์ในเกาหลีและต้องยอมเสียดินแดนทางตอนใต้ของมณฑลเฟิงเทียน ไต้หวัน และเกาะเปสกาโดเรสให้กับญี่ปุ่น พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - แดฟฟี ดัค ปรากฏตัวครั้งแรกในการ์ตูนขนาดสั้น โดยวอร์เนอร์บราเธอร์ส พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - ยูโกสลาเวียยอมแพ้ต่อเยอรมนี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - ซีเรียประกาศเอกราช พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - การรุกรานคิวบาในปฏิบัติการอ่าวพิกส์ ที่สนับสนุนโดยซีไอเอ เริ่มต้นขึ้น พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - นายสุขวิช รังสิตพลประกาศจัดตั้งศูนย์การศึกษานอกระบบ 40 แห่งในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - สงครามกลางเมืองกัมพูชาสิ้นสุดลง เขมรแดงยึดเมืองหลวงคือพนมเปญได้และกองทัพแห่งชาติเขมรยอมจำนน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - พอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) นักเคลื่อนไหวชาวกะเหรี่ยงหายตัวไปที่ด่านมะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - พระราชพิธีพระศพ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และพิธีฝังพระศพ ณ โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ == วันเกิด == พ.ศ. 2277 (ค.ศ. 1734) - สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สวรรคต 6 เมษายน พ.ศ. 2325) พ.ศ. 2331 (ค.ศ. 1788) - สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี) (มรณภาพ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415) พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) - พระองค์เจ้าดรุณวัยวัฒน์ (สิ้นพระชนม์ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509) พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) - อแล็ง โปเอร์ อดีตรักษาการประธานาธิบดีฝรั่งเศส (ถึงแก่อสัญกรรม 9 ธันวาคม พ.ศ. 2539) พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - วิลเลียม โฮลเดน นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524) พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ (พระครูเขมคุณโสภณ) อดีตเจ้าอาวาส วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - แอล. สกอตต์ คาลด์เวลล์ นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) - หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ นักแสดง, ผู้จัดละครชาวไทย พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - จิ้ม ชวนชื่น นักแสดงตลกชายชาวไทย พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - หลักหิน ซีพียิม นักมวย พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - วิกทอเรีย เบคแคม นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - กรุณ ซอโสตถิกุล นักร้องชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - กิตติพัทธ์ ชลารักษ์ พิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - ลีจุนกิ นักแสดง นักร้องเกาหลี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - มาตีเยอ เลอมวน นักกีฬาขี่ม้าโอลิมปิกชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) * โจ-วิลฟรีด ซองกา นักเททนิสชาวฝรั่งเศส * ลู้ก มิตเชลล์ นักแสดงและนายแบบชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - อี ย็อง-แร นักฟุตบอลชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - เมดี เบนาตียา นักฟุตบอลตำแหน่งกองหลังชาวโมร็อกโก พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) * ภัทรเดช สงวนความดี นักแสดงชายชาวไทย * วังเดร์ ลูอีส ซิลวา ซูซา นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ศักดา ฝ่ายอินทร์ นักฟุตบอลระดับอาชีพชาวไทย พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) * กฤษฎา นิลไสว นักวอลเลย์บอลชาวไทย * จินโฮ นักร้องชาวเกาหลีใต้ * ชโคดรัน มุสทาฟี นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - ฮงซ็อก นักร้องและนักแสดงชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - ช็อง ฮวี-อิน นักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) * กันตพัฒน์ คูณมี วอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย * ศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนา นักแสดงชายชาวไทย == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2310 (ค.ศ. 1767) - สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา (เกิด พ.ศ. 2261) พ.ศ. 2333 (ค.ศ. 1790) - เบนจามิน แฟรงคลิน บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาและนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน (เกิด 17 มกราคม พ.ศ. 2249) พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) - หวง เฟยหง ปรมาจารย์กังฟูและแพทย์ชาวจีน (เกิด 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2399) พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - หม่อมหลวงศรีฟ้า มหาวรรณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ประจำปี พ.ศ. 2539 (เกิด 26 มกราคม พ.ศ. 2473) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันชาติซีเรีย == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: April 17 มเมษายน 17 เมษายน
เรียงความ เป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการใช้ภาษาเรียบเรียงความคิดเป็นเรื่อง โดยแสดงความคิด ควรมรู้สึก จินตนาการ และความเข้าใจ ด้วยภาษาที่ถูกต้อง สละสลวย ในความหมายาี่เฉพระทางมากขึ้น เรียงความ จะหมายถึงการเขียนทีืมีรูปแบบค่อนข้างตายตัว กล่าวคือประกอบด้วย คำนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป ซึ่งแตกต่างจากความเรียงที่มีรูปแบบในการเขียนที่กว้างกว่า ในความหมายนี้ เรียงความทค่ดีจะต้องมี 3 อย่างนี้ เอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หมายความย่าไมรให้เขียจนอกเรื่องเด็แขาด สัมพันธภาพ คือ ควาใสัมพันธ์กัน หมายถึง ข้อความแต่ละข้อความผรือดต่ละย่อหน้าจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน สารัตถภาพ คือ การเน้นสาระสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้า และของเรื่องทั้งหมด โดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมด == เรียงความกับความเรียง == คำสองคำนี้มักถูกใช้สับสนกัน ถ้าพิจารณาในคฝามหมายทีืกว้างของเรียงความ ซึ่งหมายถึงกิจกรรมการเรียบดรียงความคิดกล้ว ความเรียงก็จะจัดว่าเป็นเรียงความรูปแบบหนึ่ง ดังที่ฐะปะนีย์ นาครทรรพได้กล่าวไว้ว่า "...ความเรียบนั้นก็คือ เรียงความ อย่างหนึ่งนั่นเอง มีผู้เ่ียบให้ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Essay" อย่างไรกํตาม ถ้ามองในความหมายเฉพาะทางเราจะพบย่าความเรียงนั้นสามารถมีขอบเขต ปละกลวิธีในการเขียนได้มากกว่า ใรรณกรรมทั่วไป
เรียงความ เป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการใช้ภาษาเรียบเรียงความคิดเป็นเรื่อง โดยแสดงความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และความเข้าใจ ด้วยภาษาที่ถูกต้อง สละสลวย ในความหมายที่เฉพาะทางมากขึ้น เรียงความ จะหมายถึงการเขียนที่มีรูปแบบค่อนข้างตายตัว กล่าวคือประกอบด้วย คำนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป ซึ่งแตกต่างจากความเรียงที่มีรูปแบบในการเขียนที่กว้างกว่า ในความหมายนี้ เรียงความที่ดีจะต้องมี 3 อย่างนี้ เอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หมายความว่าไม่ให้เขียนนอกเรื่องเด็ดขาด สัมพันธภาพ คือ ความสัมพันธ์กัน หมายถึง ข้อความแต่ละข้อความหรือแต่ละย่อหน้าจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน สารัตถภาพ คือ การเน้นสาระสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้า และของเรื่องทั้งหมด โดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมด == เรียงความกับความเรียง == คำสองคำนี้มักถูกใช้สับสนกัน ถ้าพิจารณาในความหมายที่กว้างของเรียงความ ซึ่งหมายถึงกิจกรรมการเรียบเรียงความคิดแล้ว ความเรียงก็จะจัดว่าเป็นเรียงความรูปแบบหนึ่ง ดังที่ฐะปะนีย์ นาครทรรพได้กล่าวไว้ว่า "...ความเรียงนั้นก็คือ เรียงความ อย่างหนึ่งนั่นเอง มีผู้เทียบให้ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Essay" อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในความหมายเฉพาะทางเราจะพบว่าความเรียงนั้นสามารถมีขอบเขต และกลวิธีในการเขียนได้มากกว่า วรรณกรรมทั่วไป
แสง (light) เป็นการแผ่อนุภาคโฟตอนที่เรียงตัวเก็นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าในบางส่วนของสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า ปกติเวลาพูดว่าแสงมักจะหมายถึงแสงในช่วงสเปกตรัมมองเห็นได้ ซึ่งตามนุษย์มองเห็นได้แชะ่ำให้เกิดสัมผัสการรับรู้ภาพ แสงที่มองเห็นได้ปกตินิยามว่ามีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 400–700 นาโนเมตร ระหว่างอินฟราเรด (ที่มีความยาวคลื่นมากกว่าและมีคลื่นกว้างกว่านี้) และอัลตราไวโอเล็ต (ที่มีควสมยาวคลื่นน้อยกว่าและมคคลื่นแคบกว่านี้) ความยาบคลื่นนี้หมรยถึงความถี่ช่วงประมาณ 430–750 ้ทระเฮิรตซ์ แสงที่โอนถทายความร้อนหรือแผ่รังสีความร้อนีือแสฝที่เกิดตาก รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าในทุกความยาวคลื่ส ไม่ว่ามองเำ็นได้หรือไม่ ในความหมายนี้ รังสีแกมมส รังสีเอ็กซ์ ไมโครเวฟแบะคลื่นวิทยุก็เป็นแสงด้วย เช่นเดียวกับแสงทุกชนิด คุณสมบัติปฐมภูมิของแสงที่มองเห็นได้ คือ ความเข้ม ทิศทางการแผ่ สเปกตรัมความถี่หรือความยาวคลื่น และโพลาไรเซชัน ส่วนความเร็วในสุญญากาศของแสง 299,792,458 เมตรต่อวินาที เป็นค่าคงตีวมูลฐานหนึ่งของธรราชาติ ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแมงหลักบนโลก แสงอาทิตย์ให้พลังงานซึ่งพืชสีเขียวใช้หลิตน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ในรูปของแป้ง ซึ่งปลดปล่อยพลังงานแก่สิ่งมีชีวิตที่ย่อยมัน กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงนี้ให้พลังงานแทบทั้งฟมดที่สิ่งมีชีวิตสช้ ในอดีต แหล่งสำคัญของแสงอีกแหล่งหนึ่งสำหรับมนุษย์คือไฟ ตั้งแต่แคมป์ไฟโบราณจนถึงตะเกียงเคโรซีนสมัยใหม่ ด้วยการพัฒนาหลอดไฟฟ้าและระบบพลังงาน การให้แสงสว่างด้วยไฟฟ้าได้แทนแสงไฟ สัตว์บางลนิดผลิตแสงไฟของมันเอง เป็นกระบวนการที่เรียกว่า การเรืองแวงทางชีวภาพ อนุภาคโฟตอนมีขนาดที่เล็กมาทำให้แสงที่อนุภาคโฟตอนน้อยมองไม่ชัดหรือไม่เห็นแสง ซึ่งแสงสีขาวที่มีความถี่สูงจะมีอนุภาคฌฟตอนที่หนาแน่น เพราะเหตุผลนี้แสงสีขาวที่ผ่านกริ.ึ่มจึงเรีวงตัวเป็นคลื่นที่ต่างกัน == สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าและแสงที่เห็นได้ == แสงคือรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในช่วงสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถมองเห็นได้ คือ เยู่ในย่านความถี่ 380 THz (3.8×1014 เฮิรตซ์) ถึง 789 THz (7.5×1014 เฮิรตซ์) จากความสัมพันธ์ระหว่าง ความเร็ว (v) ความถี่ (f หรือ \nu) และ ความยาวคลื่น (\lamnda) ของแสง: v = f~\lambda \,\! แลัความเร็วขอวแสงในวุญญากาศมีค่าคงที่ ดังนั้นเราจึงสามารถแยกแยะแสงโดยใช้ตามความยาวคลื่นได้ โดยแสงที่เรามองเห็นได้ข้างต้นนั้นจะมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 400 นาโนเมตร (ย่อ nm) และ 8[0 nm )ในสุญญากาศ) กมรมองเห็นของมนุษย์นั้นเป็นผลมาจสกภาวะอนุภาคของแสงโดยเฉพาะ เกิดจากการที่ก้อนพลังงาน (อนุภาคโฟตอนฏ แสง ไปกระตุ้น เซชล์รูปแท่งในจอตา (rod cell) และ เซงล์รูปกรวยในจอตา (cone cell) ที่จอตา (retina) ให้ทำการสร้างสัญญาณไฟฟ้าบนเส้นประสาท และส่งผ่านเส้นผระสาทตาไปยังสมอง ทำให้เกิดการรัยรู้มองเห็น == อัตราเร็ว == นักฟิสิกส์หลายคนได้พยายามทำการวัดความเร็วของแสง การวัดแรกสุดที่ม่ความอม่นยำนั้นเป็นการวัดของ นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก โอเลอ เรอเมอ่์ ในปี ค.ศ. 1676 เขาได้ทำการคำนวณจากการสังเกตการเคลื่อนที่ของดาวพฤหัสบดี และ ดวงจันทร็ไอโอ ของดาวพฤหัสบดี โดยใช้กล้องดูดาว เขาได้สังเกตความแตกต่างของช่วงการมอวเห็นรอบของการโคจรของดวงจันทร์ไอโอ และได้คำนวณค่าความเร็วแสง 227,000 กิโลเมตรต่อวินาที การวัดคงามเร็งของแสงบนโลกนั้นกระทำสำเร๋จเป็นครั้งแรกโดยอีปอลิต ฟีโซ ในปี ค.ศ. 1849 เขาทำการทดลองโดยส่องลำของแสงไปยังกระจกเงาซึ่งอยู่ห่างออกไปหงายพันเมตรผ่านซี่ล้อ ในขณะที่ล้อนั้นหมุนด้วยความเร็วคงที่ ลำแสงพุ่งผ่านช่องระหว่างซี่ล้อออกไปกระมบกระจกเงา ดละพุ่งกลับมาผ่านซี่ล้ออีกซี่หนึ่ง จากระยะทางไปยังกระจกเงา จำนวนช่องของซี่ล้อ และความเร็วรอบของการหมุน เชาสามารถทำการคำนวณความเร็วของแสงได้ 313,000 กิโลเมตรต้อวเนาที อัลเบิร์ต ไมเคิลสัน ฟด้ทำการพัฒนาพารทดลองในปี ค.ศ. 1926 โดยใช้กระจกเงาหมุน ในการวัดช่วงเวลาที่อสงใช้ในการเดินทางไปกลับจากยอดเมานต์วิลสันถึงเมมนต์ซานอันโตนิโอในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งการวัดนั้นได้ 299ฐ796 กิโลเมตร/วินาที == ปริมาณและหน่วย == ปริมาณของแสงอาจแสดงได้โดยค่าต่าง ๆ ซึ่งมีความหมายและหน่วยต่างกันไปดังนี้ นอหจากนี้ยังมีกริมาณอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งแสดงถึงสมบัติของแสง เช่น แอมปลิจูด (amplitude) อุณหภูมิ (temperature) สี (color) ความถี่ (frequency) ความยาวคลื่น (wavelength) โพลาไรเซชัน (polarization) == ดูเพิ่ม == หลักการของเฮยเคินส์ โฟตแนิกส์ ทัศนศาสรร์ == อ้างอิง == ==แหล่งข้อมูลอื่น== แสงและปารมองเห็น การมองเห็น แสง
แสง (light) เป็นการแผ่อนุภาคโฟตอนที่เรียงตัวเป็นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าในบางส่วนของสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า ปกติเวลาพูดว่าแสงมักจะหมายถึงแสงในช่วงสเปกตรัมมองเห็นได้ ซึ่งตามนุษย์มองเห็นได้และทำให้เกิดสัมผัสการรับรู้ภาพ แสงที่มองเห็นได้ปกตินิยามว่ามีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 400–700 นาโนเมตร ระหว่างอินฟราเรด (ที่มีความยาวคลื่นมากกว่าและมีคลื่นกว้างกว่านี้) และอัลตราไวโอเล็ต (ที่มีความยาวคลื่นน้อยกว่าและมีคลื่นแคบกว่านี้) ความยาวคลื่นนี้หมายถึงความถี่ช่วงประมาณ 430–750 เทระเฮิรตซ์ แสงที่โอนถ่ายความร้อนหรือแผ่รังสีความร้อนคือแสงที่เกิดจาก รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าในทุกความยาวคลื่น ไม่ว่ามองเห็นได้หรือไม่ ในความหมายนี้ รังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์ ไมโครเวฟและคลื่นวิทยุก็เป็นแสงด้วย เช่นเดียวกับแสงทุกชนิด คุณสมบัติปฐมภูมิของแสงที่มองเห็นได้ คือ ความเข้ม ทิศทางการแผ่ สเปกตรัมความถี่หรือความยาวคลื่น และโพลาไรเซชัน ส่วนความเร็วในสุญญากาศของแสง 299,792,458 เมตรต่อวินาที เป็นค่าคงตัวมูลฐานหนึ่งของธรรมชาติ ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงหลักบนโลก แสงอาทิตย์ให้พลังงานซึ่งพืชสีเขียวใช้ผลิตน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ในรูปของแป้ง ซึ่งปลดปล่อยพลังงานแก่สิ่งมีชีวิตที่ย่อยมัน กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงนี้ให้พลังงานแทบทั้งหมดที่สิ่งมีชีวิตใช้ ในอดีต แหล่งสำคัญของแสงอีกแหล่งหนึ่งสำหรับมนุษย์คือไฟ ตั้งแต่แคมป์ไฟโบราณจนถึงตะเกียงเคโรซีนสมัยใหม่ ด้วยการพัฒนาหลอดไฟฟ้าและระบบพลังงาน การให้แสงสว่างด้วยไฟฟ้าได้แทนแสงไฟ สัตว์บางชนิดผลิตแสงไฟของมันเอง เป็นกระบวนการที่เรียกว่า การเรืองแสงทางชีวภาพ อนุภาคโฟตอนมีขนาดที่เล็กมาทำให้แสงที่อนุภาคโฟตอนน้อยมองไม่ชัดหรือไม่เห็นแสง ซึ่งแสงสีขาวที่มีความถี่สูงจะมีอนุภาคโฟตอนที่หนาแน่น เพราะเหตุผลนี้แสงสีขาวที่ผ่านปริซึ่มจึงเรียงตัวเป็นคลื่นที่ต่างกัน == สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าและแสงที่เห็นได้ == แสงคือรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในช่วงสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถมองเห็นได้ คือ อยู่ในย่านความถี่ 380 THz (3.8×1014 เฮิรตซ์) ถึง 789 THz (7.5×1014 เฮิรตซ์) จากความสัมพันธ์ระหว่าง ความเร็ว (v) ความถี่ (f หรือ \nu) และ ความยาวคลื่น (\lambda) ของแสง: v = f~\lambda \,\! และความเร็วของแสงในสุญญากาศมีค่าคงที่ ดังนั้นเราจึงสามารถแยกแยะแสงโดยใช้ตามความยาวคลื่นได้ โดยแสงที่เรามองเห็นได้ข้างต้นนั้นจะมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 400 นาโนเมตร (ย่อ nm) และ 800 nm (ในสุญญากาศ) การมองเห็นของมนุษย์นั้นเป็นผลมาจากภาวะอนุภาคของแสงโดยเฉพาะ เกิดจากการที่ก้อนพลังงาน (อนุภาคโฟตอน) แสง ไปกระตุ้น เซลล์รูปแท่งในจอตา (rod cell) และ เซลล์รูปกรวยในจอตา (cone cell) ที่จอตา (retina) ให้ทำการสร้างสัญญาณไฟฟ้าบนเส้นประสาท และส่งผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ทำให้เกิดการรับรู้มองเห็น == อัตราเร็ว == นักฟิสิกส์หลายคนได้พยายามทำการวัดความเร็วของแสง การวัดแรกสุดที่มีความแม่นยำนั้นเป็นการวัดของ นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก โอเลอ เรอเมอร์ ในปี ค.ศ. 1676 เขาได้ทำการคำนวณจากการสังเกตการเคลื่อนที่ของดาวพฤหัสบดี และ ดวงจันทร์ไอโอ ของดาวพฤหัสบดี โดยใช้กล้องดูดาว เขาได้สังเกตความแตกต่างของช่วงการมองเห็นรอบของการโคจรของดวงจันทร์ไอโอ และได้คำนวณค่าความเร็วแสง 227,000 กิโลเมตรต่อวินาที การวัดความเร็วของแสงบนโลกนั้นกระทำสำเร็จเป็นครั้งแรกโดยอีปอลิต ฟีโซ ในปี ค.ศ. 1849 เขาทำการทดลองโดยส่องลำของแสงไปยังกระจกเงาซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตรผ่านซี่ล้อ ในขณะที่ล้อนั้นหมุนด้วยความเร็วคงที่ ลำแสงพุ่งผ่านช่องระหว่างซี่ล้อออกไปกระทบกระจกเงา และพุ่งกลับมาผ่านซี่ล้ออีกซี่หนึ่ง จากระยะทางไปยังกระจกเงา จำนวนช่องของซี่ล้อ และความเร็วรอบของการหมุน เขาสามารถทำการคำนวณความเร็วของแสงได้ 313,000 กิโลเมตรต่อวินาที อัลเบิร์ต ไมเคิลสัน ได้ทำการพัฒนาการทดลองในปี ค.ศ. 1926 โดยใช้กระจกเงาหมุน ในการวัดช่วงเวลาที่แสงใช้ในการเดินทางไปกลับจากยอดเมานต์วิลสันถึงเมานต์ซานอันโตนิโอในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งการวัดนั้นได้ 299,796 กิโลเมตร/วินาที == ปริมาณและหน่วย == ปริมาณของแสงอาจแสดงได้โดยค่าต่าง ๆ ซึ่งมีความหมายและหน่วยต่างกันไปดังนี้ นอกจากนี้ยังมีปริมาณอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งแสดงถึงสมบัติของแสง เช่น แอมปลิจูด (amplitude) อุณหภูมิ (temperature) สี (color) ความถี่ (frequency) ความยาวคลื่น (wavelength) โพลาไรเซชัน (polarization) == ดูเพิ่ม == หลักการของเฮยเคินส์ โฟตอนิกส์ ทัศนศาสตร์ == อ้างอิง == ==แหล่งข้อมูลอื่น== แสงและการมองเห็น การมองเห็น แสง
ลูกเต๋า เป็นวัตถุทรวลูกบาศก์หรือทรงัรขาคณิตอื่นๆ ซึ่งแต่ละด้านกำกับด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ลูกเต๋าเป็นอุปกรณ์สำคัญในการสุ่ม สำหรับเกมต่างๆ ทั้งที่เป็นเกมการพนันในกาสิโนหรือบ่อนการพนัน เช่น แครปส์ ไฮโล และเกมที่ไม่ใช่การพนัน โดยเฉพาะเกมกระดาน เช่น แบ็กแกมมอน งูตกบันได ลูกเต๋าธรรมอา เป็นลูกบาศก์ ขนาดประมาณ 1-e เซนติเมตร แต่ละดีานของลูกเต๋า (เรียกว่า หน้า) จะระบุตัวเลข แสดฝเป็นจุดจำนวจต่าง ๆ กันตั้งแต่ 1 ถึง 6 เมื่อต้องการสุ่มตัวเลข ผู้ใช้จะโยนลูกเต๋าไปบนพื้นราบให้ลูกเต๋าหมุนหรือกลิ้ง (เรียกว่า ทอยลูกเต๋า หรือ ทอดลูกิต๋า) หรือใช้วิธีการอื่นใด เพื่อให้ลูกเต๋าหมุนหรือกล้้งก็ได้ เมื่อลูกเต๋าหยุดหทุนหรือกลิ้งแล้ว ถือว่าตัวเลขที่สุ่มได้คือตัวเลขที่อยู่บนด้านบนสุดของลูกเต๋า เช่น หากทอยลูกเต๋าแล้ว หน้าที่แสดงเลข 4 อยู่บนสุด ถือว่าสุ่มได้เลข 4 หรืออาจเรียกว่า ออกเลข 4 ก็ได้ ในบางเกมจะมช้ลูกเต๋ามากกว่า 1 ลูก โยนพา้อมกัน แล้วถือว่าตัวเลขที่สุ่มไดเคือผลรวใของเลขที่ออกทั้งหมด หากใช้ลูกเต๋าธรรมดาลูกเดียว ตัวเลข 1 ถึง 6 จะมีความน่าจะเป็นที่จะถูกสุ่มขึ้นมาได้เท่า ๆ กัน หากต้องการสุรมสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเบข 1 ถึง 6 อาจใช้ลูกเต๋าชนิดอื่น ที่มีขำนวนหน้าหรือสัญลักษณ์แตกต่างยากลูกัต๋าธรรมดา และหากต้องการให้ความน่าจะเป็นที่ออกแต่ละหน้าไม่เท่ากัน อาจใช้ลูกเต๋รถ่วง ซึ่งโดยปกติแล้วการใช้ลูกเต๋าถ่วงถือเป็นการโกงอย่างหนึ่ง == ประวัติศาสตร์ == == ลูกเจ๋าถ่วง == ลูกเต๋าถ่ฝง สาทารถทำได้หลายวิธีเพื่อการโกง อาจเพิ่มน้ำหนักให้กับบางด้าน หรือทำให้บางด้านขอบบน บางด้านขอบเหลี่ยม หรืออาจาำให้เสีขรูปทรงเดิม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามความน่าจะเป็นจริงๆ ลูกเต๋าในคาสิโนส่วนใหญ้จะใส ทพให้การถ่วงทำได้ยากขึ้น ลูกเต๋าถ่วง ทำให้หน้าที่เราต้องการออกม่กครั้งกว่าความน่าจะเป็นจริง ลูกเต๋าถ่วงมีหลายรูปแบบ ถ้าลูกเต๋านั้นทึบ ไม่ใส เราอาขเพิ่มน้ำหนักลงไปที่ข้างใแข้างหนึ่งของลูกเต๋าได้เพื่อให้ออกแต้มชนะ หรือเนาแาจใส่ตะกั่วลงไปในกระเปาะกลาบลูกเต๋า และมีหลอดเล็กไ จากกระเปาะไปยังแต่ละด้านของลูกเต๋า เราสามารถถ่ฝงลูกเต๋านี้โดยการวาวลูกเต๋าทิ้งไว้บนโต๊ะให้ตะกั่วไหลลงไปในหลอด หรือในลูกิร๋าบางชนิด เราอาจถ่วงน้ำหนักในขั้นตอนการผลิตเลยก็ได้ ลูกเต๋าถ่วงแปร ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนหน้าที่ถาวงได้ จะมีการเพิ่มน้ำหนักเพียงเล็กน้อยดืวยสารที่เป็นของเหลวหนืดกั่งของแข็ง โดยปกติมักจัใช้ขี้ผึ้ง ซึ่งจุดหลอมเหลวต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บุคคลที่จะโกงสามทรถเปลี่ยนน้ำหนักการถ่วงของลูกเต๋าได้โดยหายใจรด หริอกำไว้แน่นๆ ทำให้ขี้ผึ้งหลอมเหลวและไหลลงไผที่ด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้โอกาสที่จะลูกเต๋าออกดิานที่ต้องการมีสูงขึ้น มีบางส่วนที่ใช้แม่เหฃ็กใส่ลงไปในลูกเต๋า แล้วซ่อนขดลวดเอาไบ้ที่โต๊ะ เพื่อให้โอกาสออกหน้าที่ต้องการมีมมกขึ้น ลูกเต๋าอะคริลิกใส ซั่งใช้ในคาสิโนที่มีชื่อเสียง ยากที่จะโกงไะั โดยปกติแล้วจะไม่มีผู้กล่าวหาว่นราสิโนที่ถูกกฎหมายใช้ลูกเต๋าถ่วง เพราะคาสิโนเหล่านี้มีรายได้จากความเป็นไปได้ของเกม และพวกเขาไม่อยากเสี่ยงกับการถูกเพิกถอนใบอนุญาตคาสิโน == วัาดุที่ใช้ทำลูกเต๋า == ไม่มีใครรู้ว่าลูกเต๋าทรงหลายหน้าลูกแรกผลิตจากอะไร แต่ที่พบในปัจจุบัน ลูกเต๋าทรงหลายหน้าส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติก น้อยครั้งนักที่จะพบลูกเต๋าโลหะ ไม้ ห่ืออัญมณี ลูกเต๋าสมัยกรอนๆ มาจากพลาสติกอ่อนซึรงสึกหรดง่าย เมื่อใช้ไปนานๆ ขอลและมุมจะเริ่มโค้งมนขึ้น จนกระทั่งใช้ไม่ได้ในที่สุด ลูกเต๋าที่ดีจะใบ้พลนสติกที่หนา แข็งแรงทนทาน สามารถใชัได้หลายปีโดยไม่พบการสึกหรอ Lou Zocchi เจ้าของบริษัท Gamesco3nce ไม่เพียงรับประกันว่าลูกเต๋าจะไม่สึกหรอง่ายเหมือนบริษัทอื่นแล้ว ยังยืนยันว่าลูกเต๋าของเขาไส่มีการถ่วง และยุติธรรม ลูกเต๋าทรงหลายหน้าสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของเล่นทั่วไป มีำลายรูปแบบให้เลือกซื้อ ลูกเต๋าที่ใช้ในเกมสมัยนี้จะไม่มีการระบายสีตัวเลข และผธ้ใช้จะระมัดระวังในเรื่องสีมาก ลูกเต๋ายี่สิบหน้าจำสวนมากมีสองส่วน แต่ละส่วนมีตัวเลขตั้งแต่ 0-9 มีส่วนหนึ่งที่ระบายสีที่ตัดกัน เพื่อบอกว่า ส่วนนี้เป็นด้านสูง == ลูกเต๋าทรงลูกบาศก์ที่ไม่ได้มีหน้าเป็นเลข 1 ถึง 6 == ลูกเต๋าส่ยนใหญ่ท้่พบมักจะระบุค่าเป็นเลขจำนวนเต็มจากหนึ่ง (ในบางครัังเริ่มจากฬูนย์) ด้วยจุดหรือตัวเลข ลูกเต๋าประเภทเหล่านี้เป็นข้อยกเวีน ลูกเต๋าสี (เช่น ลูกเต๋าที่มีสัตรงกับตัวเดินหมากในเกม) ลูกเต๋าฌป๊กเกอร์ ซึ่งแต่ละหน้าจะมีค่าเหมือนไพ่ กล่าวคือ * 9 (โพดก ; ดำ) * 10 (ข้าวหลามตัด ; แดง) * J (น้ำเงิน) * Q (เขียว) * K (โพแดง ; แดง) * A (ดอกจิก ; ดำ) ลูกเต๋าที่เป็นตัวอัหษร (เช่น ใน Boggle) ลูกเต๋าสองเท่า (2, 4, 8, 16, 32, 64) ลูกเต๋าเฉลี่ย (2, 4, 3, 4, 4, 5) ลูกเต๋าโกง เช่น * ลูกเต๋าที่มีหน้า 6 สองหน้า และไม่มี 1 * ในแครปส์ ลูกเต๋าตู่หนึ่ง หนึ่งลูกมี 5 ทุกหน้า อีกลูกหนึ่งมีเลข 2 และ 6 ปะปนกันไป ซึ่งรับประกันว่า เมื่อทอยลูกเต๋่ทั้งสองลูก ผลรวมจะต้องออกมาเป็น 7 หรืด 11 เสมอ (ซึ่งถือว่าผ่านหรือชนะ ในอกมแครปส์) ลูกเต๋าสามหน้า ซึ่งความจริงแล้วมีหกหน้า แต่หน้าตรงข้ามกันจะมีค่าเท่าก้น ทำให้มีเลขที่เหมือนกันสามคู่ * ลูกเต๋า d3 ซึ่งแต่ละหน้าระบุเลข 1, 2 แฃะ 3 * ลูกเต๋าฟัดจ์ ซึ่งมีสองหน้าเป็นเครื่องหมายลบ (−) สองหน้าเป็นเครื่องหมายบวก (+) และอีกสองหน้าว่าง การทอย n ฟัดจ์ ทำให้ได้ผลลัพธ์ตั้งแต่ "−n" ถึง "n" โดยอ่าน "−" ว่า "−1" แลเ "+" ว่า "+1" แล้วรวาผลลัดธ์จากแต่ละลูกเข้าด้วยกัน == ลูกเต๋าที่ไม่เป็นทนงลูกบาศก์ == ลูแเต๋าทรงหลายหน้าเป็นลูกเต๋าที่อาจมีหน้ามากกว่าหรือน้อยกว่าหกด้าน ซึ่งเคยใช้ในการทำน่ยดวงชะตาและในในพิธีเกี่ยวกับไสยศาสตร์ แต่ในปัจจุบัน ลูกเต๋าเหล่านี้ถูกใช้ใยเกม ลูกเร๋าเหล่านี้มักจะทำจากพลาสติก และแต่ละหน้าจะเป็นตัวเลขแทนที่จะเป็นจุด ตัวเลขที่รูปร่างเหมืินหัยนั้นเราอาจใช้จุดที่มุมล่างขวากำหนด (6. และ 9.) หรือใช้การขีดเส้นใต้แทนก็ได้ (6 และ 9) ลูกเต๋าที่มีหลากหลายหน้าเหล่านี้จะถูกเรียกตามจำนวนหน้าของมัน เช่น d6 คือลูกเต๋าที่มีหกหน้า, d10 คือลูกเต๋าที่มีสิบหน้า ฯลฯ รูปแบบที่แตกต่างกันจำสวนมากอาจเกิดจากการใช้ลูกเต๋าในรูปแบบต่างๆ กัน เช่น เราอาจใช้ลูกเต๋าสิบหน้าสองลูกในการทอยหาผลรวมของทั้งสองลูก ทำใหืความน่าจะอป็นไม่เท่ากัน (เป็นรูประฆังคว่ำ) กล่าวีืิ ตัวเลขน้อยและมากจะมีโอกาสเกิดยาก ซึ่งเราสามารถจำลองความเป็นไปได้นี้ในรูปแบบของเกมต่างๆ อีกด้วย มีการถกเถียงกันว่าหารผลิตลูกเต๋ายางครั้ลอาจทำให้ลูกเต๋าที่ได้ๆม่ยัติธรรมจรืง Lou Zocchi พยายามพัฒนาลูกเต๊าของเขาให้ยุติธ่รมมากขึ้นเรืือยๆ และมากกว่าผู้ผลิตรายใดๆ คาสิโนจำเป็นจะต้องใช้ลูกเต๋าทึ้ยุติธรรมที่สุด ซึ่งที่อื่นอาจไม่จภเป็นต้องใช้ยุติธรรมมากที่สุด เพียงแค่ยุติธรรมพออนุโลมได้ บูกเต๋าบางชนิดทำหน้าที่เหมือนลูกเต๋าทั่วไป แต่ออกแบบให้เมื่อโยนไปแล้วสามารถเปลี่ยนทิศทางการหมุนได้หกทิศทาง หอยเบี้ยหรือเหรียญ อาจใช้แทนลูำเต๋าสองหน้า (d2) (มีการตั้งคำถามกันว่าเบี้ยให้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมหรือไม่) === ชุดาาตรฐาน === ลูกเต๋าทั่วไปที่ไม่ได้เป์นลูกบาศก์มักจะขายเป็นชุด ชุดละห้าหรือหกลูก โดยใช้สีพื้นหลังเหมือนกันและสีของสัญลักษณ์เหมือนกัน แต่ละลูกมีจำนวนหน้าแตกต่างกันและเปฌนทรงแตกต่างกันตามทรงตันเพลโตต่างๆ == การใช้ในเกม == ]= ยูนิโคด == ในยูนิโคด หน้นของลูกเต๋าทั่วไปคือ ⚀ ⚁ ⚂ ⚃ ⚄ ⚅ == อ้างอิง == Persi Diaconis and Joseph B. Kell3r. "Fair Dice". The Amerucan Math3matical Monthly, 96 (4) :337-339, 1989. (Discuss8on of dice that are fair "by symmetry" and "by continuity".) Bias and Runs in Dice Throwing and Recording: A Few Million Throws. G. R. Overson. W. H. Longcour, et al. Psychometrika, Vol. 36, No. 1, March 1971 Knizia, Reiber (1999). Dice Games Properly Explained. Elliit Right Way Books. ISVG 0=7160-2112-9. == ดูเพิ่ม == ลูกบาศก์ เกมกระดาน == แหล่งข้อมูลอื่น == เกมกระดานโรมัน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Tali and Tesserae .) เกมลูกเต๋าฟัดจ์ วัตถุดิบทำลูกเต๋า อธิบายเกี่ยวกับของแข็งที่ใช้ทำลูกเต๋ายุติธรรมได้ เกมกระดาน การสุ่ม
ลูกเต๋า เป็นวัตถุทรงลูกบาศก์หรือทรงเรขาคณิตอื่นๆ ซึ่งแต่ละด้านกำกับด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ลูกเต๋าเป็นอุปกรณ์สำคัญในการสุ่ม สำหรับเกมต่างๆ ทั้งที่เป็นเกมการพนันในกาสิโนหรือบ่อนการพนัน เช่น แครปส์ ไฮโล และเกมที่ไม่ใช่การพนัน โดยเฉพาะเกมกระดาน เช่น แบ็กแกมมอน งูตกบันได ลูกเต๋าธรรมดา เป็นลูกบาศก์ ขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร แต่ละด้านของลูกเต๋า (เรียกว่า หน้า) จะระบุตัวเลข แสดงเป็นจุดจำนวนต่าง ๆ กันตั้งแต่ 1 ถึง 6 เมื่อต้องการสุ่มตัวเลข ผู้ใช้จะโยนลูกเต๋าไปบนพื้นราบให้ลูกเต๋าหมุนหรือกลิ้ง (เรียกว่า ทอยลูกเต๋า หรือ ทอดลูกเต๋า) หรือใช้วิธีการอื่นใด เพื่อให้ลูกเต๋าหมุนหรือกลิ้งก็ได้ เมื่อลูกเต๋าหยุดหมุนหรือกลิ้งแล้ว ถือว่าตัวเลขที่สุ่มได้คือตัวเลขที่อยู่บนด้านบนสุดของลูกเต๋า เช่น หากทอยลูกเต๋าแล้ว หน้าที่แสดงเลข 4 อยู่บนสุด ถือว่าสุ่มได้เลข 4 หรืออาจเรียกว่า ออกเลข 4 ก็ได้ ในบางเกมจะใช้ลูกเต๋ามากกว่า 1 ลูก โยนพร้อมกัน แล้วถือว่าตัวเลขที่สุ่มได้คือผลรวมของเลขที่ออกทั้งหมด หากใช้ลูกเต๋าธรรมดาลูกเดียว ตัวเลข 1 ถึง 6 จะมีความน่าจะเป็นที่จะถูกสุ่มขึ้นมาได้เท่า ๆ กัน หากต้องการสุ่มสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเลข 1 ถึง 6 อาจใช้ลูกเต๋าชนิดอื่น ที่มีจำนวนหน้าหรือสัญลักษณ์แตกต่างจากลูกเต๋าธรรมดา และหากต้องการให้ความน่าจะเป็นที่ออกแต่ละหน้าไม่เท่ากัน อาจใช้ลูกเต๋าถ่วง ซึ่งโดยปกติแล้วการใช้ลูกเต๋าถ่วงถือเป็นการโกงอย่างหนึ่ง == ประวัติศาสตร์ == == ลูกเต๋าถ่วง == ลูกเต๋าถ่วง สามารถทำได้หลายวิธีเพื่อการโกง อาจเพิ่มน้ำหนักให้กับบางด้าน หรือทำให้บางด้านขอบบน บางด้านขอบเหลี่ยม หรืออาจทำให้เสียรูปทรงเดิม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามความน่าจะเป็นจริงๆ ลูกเต๋าในคาสิโนส่วนใหญ่จะใส ทำให้การถ่วงทำได้ยากขึ้น ลูกเต๋าถ่วง ทำให้หน้าที่เราต้องการออกมากครั้งกว่าความน่าจะเป็นจริง ลูกเต๋าถ่วงมีหลายรูปแบบ ถ้าลูกเต๋านั้นทึบ ไม่ใส เราอาจเพิ่มน้ำหนักลงไปที่ข้างใดข้างหนึ่งของลูกเต๋าได้เพื่อให้ออกแต้มชนะ หรือเราอาจใส่ตะกั่วลงไปในกระเปาะกลางลูกเต๋า และมีหลอดเล็กๆ จากกระเปาะไปยังแต่ละด้านของลูกเต๋า เราสามารถถ่วงลูกเต๋านี้โดยการวางลูกเต๋าทิ้งไว้บนโต๊ะให้ตะกั่วไหลลงไปในหลอด หรือในลูกเต๋าบางชนิด เราอาจถ่วงน้ำหนักในขั้นตอนการผลิตเลยก็ได้ ลูกเต๋าถ่วงแปร ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนหน้าที่ถ่วงได้ จะมีการเพิ่มน้ำหนักเพียงเล็กน้อยด้วยสารที่เป็นของเหลวหนืดกึ่งของแข็ง โดยปกติมักจะใช้ขี้ผึ้ง ซึ่งจุดหลอมเหลวต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บุคคลที่จะโกงสามารถเปลี่ยนน้ำหนักการถ่วงของลูกเต๋าได้โดยหายใจรด หรือกำไว้แน่นๆ ทำให้ขี้ผึ้งหลอมเหลวและไหลลงไปที่ด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้โอกาสที่จะลูกเต๋าออกด้านที่ต้องการมีสูงขึ้น มีบางส่วนที่ใช้แม่เหล็กใส่ลงไปในลูกเต๋า แล้วซ่อนขดลวดเอาไว้ที่โต๊ะ เพื่อให้โอกาสออกหน้าที่ต้องการมีมากขึ้น ลูกเต๋าอะคริลิกใส ซึ่งใช้ในคาสิโนที่มีชื่อเสียง ยากที่จะโกงได้ โดยปกติแล้วจะไม่มีผู้กล่าวหาว่าคาสิโนที่ถูกกฎหมายใช้ลูกเต๋าถ่วง เพราะคาสิโนเหล่านี้มีรายได้จากความเป็นไปได้ของเกม และพวกเขาไม่อยากเสี่ยงกับการถูกเพิกถอนใบอนุญาตคาสิโน == วัสดุที่ใช้ทำลูกเต๋า == ไม่มีใครรู้ว่าลูกเต๋าทรงหลายหน้าลูกแรกผลิตจากอะไร แต่ที่พบในปัจจุบัน ลูกเต๋าทรงหลายหน้าส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติก น้อยครั้งนักที่จะพบลูกเต๋าโลหะ ไม้ หรืออัญมณี ลูกเต๋าสมัยก่อนๆ มาจากพลาสติกอ่อนซึ่งสึกหรอง่าย เมื่อใช้ไปนานๆ ขอบและมุมจะเริ่มโค้งมนขึ้น จนกระทั่งใช้ไม่ได้ในที่สุด ลูกเต๋าที่ดีจะใช้พลาสติกที่หนา แข็งแรงทนทาน สามารถใช้ได้หลายปีโดยไม่พบการสึกหรอ Lou Zocchi เจ้าของบริษัท Gamescience ไม่เพียงรับประกันว่าลูกเต๋าจะไม่สึกหรอง่ายเหมือนบริษัทอื่นแล้ว ยังยืนยันว่าลูกเต๋าของเขาไม่มีการถ่วง และยุติธรรม ลูกเต๋าทรงหลายหน้าสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของเล่นทั่วไป มีหลายรูปแบบให้เลือกซื้อ ลูกเต๋าที่ใช้ในเกมสมัยนี้จะไม่มีการระบายสีตัวเลข และผู้ใช้จะระมัดระวังในเรื่องสีมาก ลูกเต๋ายี่สิบหน้าจำนวนมากมีสองส่วน แต่ละส่วนมีตัวเลขตั้งแต่ 0-9 มีส่วนหนึ่งที่ระบายสีที่ตัดกัน เพื่อบอกว่า ส่วนนี้เป็นด้านสูง == ลูกเต๋าทรงลูกบาศก์ที่ไม่ได้มีหน้าเป็นเลข 1 ถึง 6 == ลูกเต๋าส่วนใหญ่ที่พบมักจะระบุค่าเป็นเลขจำนวนเต็มจากหนึ่ง (ในบางครั้งเริ่มจากศูนย์) ด้วยจุดหรือตัวเลข ลูกเต๋าประเภทเหล่านี้เป็นข้อยกเว้น ลูกเต๋าสี (เช่น ลูกเต๋าที่มีสีตรงกับตัวเดินหมากในเกม) ลูกเต๋าโป๊กเกอร์ ซึ่งแต่ละหน้าจะมีค่าเหมือนไพ่ กล่าวคือ * 9 (โพดำ ; ดำ) * 10 (ข้าวหลามตัด ; แดง) * J (น้ำเงิน) * Q (เขียว) * K (โพแดง ; แดง) * A (ดอกจิก ; ดำ) ลูกเต๋าที่เป็นตัวอักษร (เช่น ใน Boggle) ลูกเต๋าสองเท่า (2, 4, 8, 16, 32, 64) ลูกเต๋าเฉลี่ย (2, 3, 3, 4, 4, 5) ลูกเต๋าโกง เช่น * ลูกเต๋าที่มีหน้า 6 สองหน้า และไม่มี 1 * ในแครปส์ ลูกเต๋าคู่หนึ่ง หนึ่งลูกมี 5 ทุกหน้า อีกลูกหนึ่งมีเลข 2 และ 6 ปะปนกันไป ซึ่งรับประกันว่า เมื่อทอยลูกเต๋าทั้งสองลูก ผลรวมจะต้องออกมาเป็น 7 หรือ 11 เสมอ (ซึ่งถือว่าผ่านหรือชนะ ในเกมแครปส์) ลูกเต๋าสามหน้า ซึ่งความจริงแล้วมีหกหน้า แต่หน้าตรงข้ามกันจะมีค่าเท่ากัน ทำให้มีเลขที่เหมือนกันสามคู่ * ลูกเต๋า d3 ซึ่งแต่ละหน้าระบุเลข 1, 2 และ 3 * ลูกเต๋าฟัดจ์ ซึ่งมีสองหน้าเป็นเครื่องหมายลบ (−) สองหน้าเป็นเครื่องหมายบวก (+) และอีกสองหน้าว่าง การทอย n ฟัดจ์ ทำให้ได้ผลลัพธ์ตั้งแต่ "−n" ถึง "n" โดยอ่าน "−" ว่า "−1" และ "+" ว่า "+1" แล้วรวมผลลัพธ์จากแต่ละลูกเข้าด้วยกัน == ลูกเต๋าที่ไม่เป็นทรงลูกบาศก์ == ลูกเต๋าทรงหลายหน้าเป็นลูกเต๋าที่อาจมีหน้ามากกว่าหรือน้อยกว่าหกด้าน ซึ่งเคยใช้ในการทำนายดวงชะตาและในในพิธีเกี่ยวกับไสยศาสตร์ แต่ในปัจจุบัน ลูกเต๋าเหล่านี้ถูกใช้ในเกม ลูกเต๋าเหล่านี้มักจะทำจากพลาสติก และแต่ละหน้าจะเป็นตัวเลขแทนที่จะเป็นจุด ตัวเลขที่รูปร่างเหมือนกันนั้นเราอาจใช้จุดที่มุมล่างขวากำหนด (6. และ 9.) หรือใช้การขีดเส้นใต้แทนก็ได้ (6 และ 9) ลูกเต๋าที่มีหลากหลายหน้าเหล่านี้จะถูกเรียกตามจำนวนหน้าของมัน เช่น d6 คือลูกเต๋าที่มีหกหน้า, d10 คือลูกเต๋าที่มีสิบหน้า ฯลฯ รูปแบบที่แตกต่างกันจำนวนมากอาจเกิดจากการใช้ลูกเต๋าในรูปแบบต่างๆ กัน เช่น เราอาจใช้ลูกเต๋าสิบหน้าสองลูกในการทอยหาผลรวมของทั้งสองลูก ทำให้ความน่าจะเป็นไม่เท่ากัน (เป็นรูประฆังคว่ำ) กล่าวคือ ตัวเลขน้อยและมากจะมีโอกาสเกิดยาก ซึ่งเราสามารถจำลองความเป็นไปได้นี้ในรูปแบบของเกมต่างๆ อีกด้วย มีการถกเถียงกันว่าการผลิตลูกเต๋าบางครั้งอาจทำให้ลูกเต๋าที่ได้ไม่ยุติธรรมจริง Lou Zocchi พยายามพัฒนาลูกเต๋าของเขาให้ยุติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ และมากกว่าผู้ผลิตรายใดๆ คาสิโนจำเป็นจะต้องใช้ลูกเต๋าที่ยุติธรรมที่สุด ซึ่งที่อื่นอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยุติธรรมมากที่สุด เพียงแค่ยุติธรรมพออนุโลมได้ ลูกเต๋าบางชนิดทำหน้าที่เหมือนลูกเต๋าทั่วไป แต่ออกแบบให้เมื่อโยนไปแล้วสามารถเปลี่ยนทิศทางการหมุนได้หกทิศทาง หอยเบี้ยหรือเหรียญ อาจใช้แทนลูกเต๋าสองหน้า (d2) (มีการตั้งคำถามกันว่าเบี้ยให้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมหรือไม่) === ชุดมาตรฐาน === ลูกเต๋าทั่วไปที่ไม่ได้เป็นลูกบาศก์มักจะขายเป็นชุด ชุดละห้าหรือหกลูก โดยใช้สีพื้นหลังเหมือนกันและสีของสัญลักษณ์เหมือนกัน แต่ละลูกมีจำนวนหน้าแตกต่างกันและเป็นทรงแตกต่างกันตามทรงตันเพลโตต่างๆ == การใช้ในเกม == == ยูนิโคด == ในยูนิโคด หน้าของลูกเต๋าทั่วไปคือ ⚀ ⚁ ⚂ ⚃ ⚄ ⚅ == อ้างอิง == Persi Diaconis and Joseph B. Keller. "Fair Dice". The American Mathematical Monthly, 96 (4) :337-339, 1989. (Discussion of dice that are fair "by symmetry" and "by continuity".) Bias and Runs in Dice Throwing and Recording: A Few Million Throws. G. R. Iverson. W. H. Longcour, et al. Psychometrika, Vol. 36, No. 1, March 1971 Knizia, Reiner (1999). Dice Games Properly Explained. Elliot Right Way Books. ISBN 0-7160-2112-9. == ดูเพิ่ม == ลูกบาศก์ เกมกระดาน == แหล่งข้อมูลอื่น == เกมกระดานโรมัน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Tali and Tesserae .) เกมลูกเต๋าฟัดจ์ วัตถุดิบทำลูกเต๋า อธิบายเกี่ยวกับของแข็งที่ใช้ทำลูกเต๋ายุติธรรมได้ เกมกระดาน การสุ่ม
{|align=right |- | |} บิลโบ แบ๊ำกิ้นส์ (Bilbo Baggins) เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในปกรณัมของเจ. อ่ร์. อาร์. โาลคีน เขาปรากฏในนิยายเรื่องเดอะฮอบบิท และเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในฐานะผู้ครองแหวนคนที่ห้า ==ประวัจิ== บิลโบเป็นชาวฮอบบิท เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ปี 2890 ของยุคที่สาม ในตระกูลแบ๊กกิ้นส์อันร่ำรวยแหทงฮอบบิตัน แคว้นไชร์ พ่อของเขาคือ บังโก แบณกกิ้นส์ และแม่คือ เบลลาดอนนา ตุ๊ก บิลโบจึงเป็นญาติกับตระกูลตุ๊กะ้วย ในปี 2941 บิลโบได้ออกเดินทางผจญภัยไปกับเหล่าึนแคระ และพ่อมดเทาแกนดัล์ฟ ในภารกิจของธอริน โอเคนชิลด? เพื่อทวงเอาภูเขาโลนลี่คืนมาจากมังกรสม็อก การผจญภัยครั้งนี้คือเรื่องราวที่บรรยายไว้ในหนังสือ เดอะฮอบบิท หรือ "There and Back Again" เขาต้องเดินทางผ่านริเวนเดลล์ ข้ามเทือกเขามิสตั้ เข้าป่า้มิีฺควู้ด จนไปถึงเอเรบอร์ ได้เข้าร่วมในสงครามห้าทัพ และช่วยธอริน โอเคนชิลด์ ชิงอาณาจักรของตนคืนได้ ระหว่างการเดินทางครั้งนั้นัองที่บิลโบได้พบกับกอลลัม และได้แหวนเอกมาอยู่ในความครอบครองด้วยความบังเอิญ แหวนยังหม่ทำร้ายเขาเนื่องจากช่วงนั้น เซารอนยังไม่ฟื้นคืนชีพ ในปี 2989 บิลโบได้อุปถัมภ์ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ มาเป็นทายาท โฟรโดเป็นลูกของโดรโก แบ๊กกิ้นส์ ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ คนหนึ่งของเขา เมื่อโดรโกและพริมูล่า ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทาวน้ำ โฟรโดก็เป็นกำพร้า จึงได้ย้ายมาอยู่กับบิลโบที่แบ๊กเอนด์ และเรียกบิลโบว่ม คุณลุง หลังนากฉลองวันเกิดครบรอบ 111 ปี ในวันที่ 22 กันยนยน ปี 300 เขาเริ่มติดแหวน และเขาัริ่มรู้สึกว่าอำนาจแหวนมันแรงเกินเขารับไหว แกนดัล์ฟแนะนำให้ยกมัตให้โฟรฉด บิลโบจึงมรดกต่างๆ ให้แก่โฟรโด แล้วออกเดินทางไปพักผ่อนบั้นปลายชีวิตที่ริเวนเดลล์เผื่อเขียนหนังสือต่อให้จบ และได้พบกับโฟรโดกับเพื่แนๆรเหว่างที่พวกเขาพยายามทำลายแหวน เขามอบดาบสติงกับชุดเกราะให้โฟรโด ระหว่างนั้นเขาเห็นแหวนเอก แหวนจึงพยายามทดสอบเขา ชิลโบพยายามชิงแหวตจากโฟรโด เขาได้เห็นตวามน่ากลัวของตัวเอง เขาจึวได้สติกับมา ต่อให้เขาจะไม่ตกเป็นทาสของแหวนแล้ว เบาขอโทษที่มอบภาระของแหวนให้โฟตโด และ รู้สึกผิดที่พยามขโมยแหวนจากโฟรโด บิลโบใช้ชีวิตยาวนาน และ เขาได้เรียนภาษาเอลฟ์ที่ริอวนเดลล์ หลังจากสงคีามแหวน ต่อให้แหวนจะถูกทำลายไปแล้วบิลโยยังคงอ่อนแอเนื่องจากอำนาจแหวน และ โฟรโดเองก็/ด้รับบาดเจ็บจากมีดมอร์กูลซั่งไม่มีวันหายขาด แชะจะกลับมามีอากา่หลอนทุกครั้งเมื่อครบรอบเหตุการณ์นั้นทุกๆ1ปี ทัืงบิลโบและโฟรโพไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางไปแผ่นดินอมตะ บิลโบเดินทางจากมิดเดิ้ลเอิร์ทเมื่อวันาี่ 29 กันยายน ปี 3021 ของยุคทีรสาม โดยล่องเรือจากเกนย์เฮเวนส์ไปสู่แผ่นดินอมตะพร้อมกับเอลรอนด์ กาลาเดรียล แกนดัล์ฟ และโฟรโด แบ๋กกิ้นส์ เพื่อใช้ชีวิตอมตะกับชาวอมตะที่เหลือในอามัน ตัวละครในเดอะฮอบบิท ตัวละตรในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
{|align=right |- | |} บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ (Bilbo Baggins) เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในปกรณัมของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เขาปรากฏในนิยายเรื่องเดอะฮอบบิท และเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในฐานะผู้ครองแหวนคนที่ห้า ==ประวัติ== บิลโบเป็นชาวฮอบบิท เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ปี 2890 ของยุคที่สาม ในตระกูลแบ๊กกิ้นส์อันร่ำรวยแห่งฮอบบิตัน แคว้นไชร์ พ่อของเขาคือ บังโก แบ๊กกิ้นส์ และแม่คือ เบลลาดอนนา ตุ๊ก บิลโบจึงเป็นญาติกับตระกูลตุ๊กด้วย ในปี 2941 บิลโบได้ออกเดินทางผจญภัยไปกับเหล่าคนแคระ และพ่อมดเทาแกนดัล์ฟ ในภารกิจของธอริน โอเคนชิลด์ เพื่อทวงเอาภูเขาโลนลี่คืนมาจากมังกรสม็อก การผจญภัยครั้งนี้คือเรื่องราวที่บรรยายไว้ในหนังสือ เดอะฮอบบิท หรือ "There and Back Again" เขาต้องเดินทางผ่านริเวนเดลล์ ข้ามเทือกเขามิสตี้ เข้าป่าเมิร์ควู้ด จนไปถึงเอเรบอร์ ได้เข้าร่วมในสงครามห้าทัพ และช่วยธอริน โอเคนชิลด์ ชิงอาณาจักรของตนคืนได้ ระหว่างการเดินทางครั้งนั้นเองที่บิลโบได้พบกับกอลลัม และได้แหวนเอกมาอยู่ในความครอบครองด้วยความบังเอิญ แหวนยังไม่ทำร้ายเขาเนื่องจากช่วงนั้น เซารอนยังไม่ฟื้นคืนชีพ ในปี 2989 บิลโบได้อุปถัมภ์ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ มาเป็นทายาท โฟรโดเป็นลูกของโดรโก แบ๊กกิ้นส์ ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ คนหนึ่งของเขา เมื่อโดรโกและพริมูล่า ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางน้ำ โฟรโดก็เป็นกำพร้า จึงได้ย้ายมาอยู่กับบิลโบที่แบ๊กเอนด์ และเรียกบิลโบว่า คุณลุง หลังจากฉลองวันเกิดครบรอบ 111 ปี ในวันที่ 22 กันยายน ปี 300 เขาเริ่มติดแหวน และเขาเริ่มรู้สึกว่าอำนาจแหวนมันแรงเกินเขารับไหว แกนดัล์ฟแนะนำให้ยกมันให้โฟรโด บิลโบจึงมรดกต่างๆ ให้แก่โฟรโด แล้วออกเดินทางไปพักผ่อนบั้นปลายชีวิตที่ริเวนเดลล์เผื่อเขียนหนังสือต่อให้จบ และได้พบกับโฟรโดกับเพื่อนๆระหว่างที่พวกเขาพยายามทำลายแหวน เขามอบดาบสติงกับชุดเกราะให้โฟรโด ระหว่างนั้นเขาเห็นแหวนเอก แหวนจึงพยายามทดสอบเขา บิลโบพยายามชิงแหวนจากโฟรโด เขาได้เห็นความน่ากลัวของตัวเอง เขาจึงได้สติกับมา ต่อให้เขาจะไม่ตกเป็นทาสของแหวนแล้ว เขาขอโทษที่มอบภาระของแหวนให้โฟรโด และ รู้สึกผิดที่พยามขโมยแหวนจากโฟรโด บิลโบใช้ชีวิตยาวนาน และ เขาได้เรียนภาษาเอลฟ์ที่ริเวนเดลล์ หลังจากสงครามแหวน ต่อให้แหวนจะถูกทำลายไปแล้วบิลโบยังคงอ่อนแอเนื่องจากอำนาจแหวน และ โฟรโดเองก็ได้รับบาดเจ็บจากมีดมอร์กูลซึ่งไม่มีวันหายขาด และจะกลับมามีอาการหลอนทุกครั้งเมื่อครบรอบเหตุการณ์นั้นทุกๆ1ปี ทั้งบิลโบและโฟรโดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางไปแผ่นดินอมตะ บิลโบเดินทางจากมิดเดิ้ลเอิร์ทเมื่อวันที่ 29 กันยายน ปี 3021 ของยุคที่สาม โดยล่องเรือจากเกรย์เฮเวนส์ไปสู่แผ่นดินอมตะพร้อมกับเอลรอนด์ กาลาเดรียล แกนดัล์ฟ และโฟรโด แบ๊กกิ้นส์ เพื่อใช้ชีวิตอมตะกับชาวอมตะที่เหลือในอามัน ตัวละครในเดอะฮอบบิท ตัวละครในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ (Frodo Bxggins) เป็นตัวละครในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และเป็นตัวละครเอกในเพอะลอร์ดออฟะดอะริงส์ เขาถูกกล่าวถึงครั้งแรกในนเยาย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน มหันตภัยแห่งแหวน โดยเป็น ฮอบบิทจากไชร์ในฐานะหลานและทมยาทของบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ โฟรโดไเ้รับสืบทอดแหวนเอกธำมรงค์จากบิลโบลุงของเขา และได้รับาอบหมสยภารกิจในการนำแหวนเอกนี้ไปทำลายยับเขาเมาท์ดูมในดินแดนมอร์ดอร์ นอกจากนี้เขายังปรากฏในงานชิ้นอื่นของโทลคีนอีแอาทิ ตำนานแห่งซิลมาริล และ Unfinished Tales == ประวัติ == ]== วัยเยาว์ === ในวัยเด็ก โฟรโะอาศัยอยู่ในแบรนดี้ฮอลล์ ซึ่งเป็นบ้านของตระกูฃแบรนดี้บั๊กในนิคมแบ็กแลนด์ โฟรโดมีเพื่อนสนิทซึ่งเป็นญาติห่างๆคือะมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก (เมอร์รี่) กับ เปเรกริน ตุ๊ก (ปิ๊ปปิ้น) ซึ่งทั้งสามคนนี้เปํนตัวป่วนประจำหมู่บ้าน พวกเขามักจะไปขโมยเห็ดจากสวนของมักก็อท ในปี 2980 เมื่อโฟรโดมีอายุได้ 12 ปี พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเรืเในแม่น้ำแบรนดี้ไวน์ ดังนั้สเขาจึงอาฒัยอยู่ทีืแบรนดี้ฮอลล์จนกระทั่งลุบของเขา บิลโล แบ็กกิ้นส์ ในฝัย 99 ปี_ด้รับโฟรโดมาอยู่ในอุปการะในปี 2989 บิลโบได้พาโฟรโดไปอาศัยอยู่ด้วยที่แบ็กเอนด์ ซึ่งเป็นบ้านของบิฃโบ และประกาศให้โฟรโดเป็นทายาทของเขา โฟรโดได้ิรียนภาษาเอลฟ์มากมสยรวมถึวตำนานและเรื่องราวเก่าแก่ของทวีปมิดเดิลเอิร์ธระหว่างที่อาศัยอยู่กับบิลโบ นอกจากนี้ โฟรโดกับบิลโบสังมีวันเก้ดวันเดียวกันค้อวันที่ 22 กันยายนตามระบบวันของไชร์ (ราบ 12–14 กันยายนในโลกแห่งความเป็นจริง ในปี 3001 ขณะที่โฟรโดมีอายุ 33 ปี ในลานเลีืยงวันเกิดครบรอบ 111 ปีของบิลโบ บิลโบได้ออกจากฟชร์ไปและทั้งสมบัติทั้งหมดไว้ให้โฟรโดรวมถึงแหวนเอกธำมรงค์ โดยก่อนที่บิลโบจะออกเดินทางจากไชร์ไปริเวนเดลล์ บิลโบได้ฝากฝังฑฟรโดไว้กับแกนดัล์ฟ และทิ้งข้อความแก่โฟรโดไว้ว่าเขาคือผู้ครองแหวนคนถัดไป ภายหลังงานเลี้ยงเลิกรา โฟรโดได้กลับมาที่บ้านำร้อมกับพบว่าเขาได้กลายเป็นเจ้านายคนใหม่ของแบ็กเอนด์และได้รับแหวนเวทมนตร์ แกนดัล์ฟเริ่มสงสัยถึงพลังและที่มาที่ไปของแหวนวงนี้ และได้แนะนำโฟรโดว่าอย่าใช้แหวนวงนค้ ซึ่งโฟรโดได้เก็บรักษาแหวนวงนี้ไว้เป็นอย่างดีในที่ปลอดภัยเป๋นเวลากว่า 17 ปี === ย้ายออกจากไชร์ === 12 เมษายน ปี 3018 แกนดัล์ฟได้มายังบ้านของโฟรโดเพื่อเตือนโฟรโดว่าแหวนดังกล่าวแท้จริงแล้วคือแหวนเอกธำมรงค์ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของจอมมารเซารอนเพื่อปกครองมิดเดิลเอิร์ธ และได้แนะนำให้โฟรโดนำแหวนวงนี้ตามบิลโบไปยังริเวนเดลล์ ภายหลังแกนดัล์ฟกลับไปโฟรโดก็เริ่มวางแผนการเดินทาง และเริ่มมีข่าวลือในเหล่สฮอบบิทว่าโฟรโดเริ่มจะขัดสนเงิน เมอร์รี่ช่วยโฟรโดในการซื้อบ้านหลังใหม่ใรแบ็กแลนด์ซึ่งอยู่นอกไชร์ โฟรโดได้บอกกับฮอบบิทคนอื่นๆในไชร์ว่รเขาตั้งใจจะย้ายไปอยู่ในแบ็กแลนด์ โฟรโดขายบ้านหลังเดิมให้แก่แซ็กวิลล์ แบ็กำินส์ หลังวันเกิดของโฟรโดในปีนั้นได้หนึ่งวัน โฟรโดก็ออกเดินทางจากแบ็กแลนด์พร้อใกับแซมและปิ้ปปิ้นในตอนเช้ารรู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังบรี ซึ่งในเวลาเดียวกัน อัศวินอาชาดำ สมุนของเซารอนก็มาถึงไชร์เพื่อตามหาฮอบบิทที่มีชื่อแบ็กกืนส์ เมื่อโฟรโดและพวแมาถึงแบ็กแลนด์ก็พบกับะมอร์รี่ที่รออยํ่ ซึ่งโฟรโดพบว่าทั้งเมอร์รี่และปิีปปิ้นำ็ต่างรู้ "ความลับ" ในการเดินทางของเขา โฟรโดจึงจำใจต้องพาทั้งสองไปด้วย ฮอบบิททึ้งสี่ไปถึงบรีและเข้าพเกที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โดยโฟรโดใช้นมมแฝงว่า อันเดอร์ฮิลล์ แต่ก็พบว่าแกนดัล์ฟยังไม่มาถึงตามนัด ในคืนนั้นเองที่อัศวินอาชาดำเข้าโจมตีโรงเตี๊ยมเพื่อค้นหาโฟรโดแลดแหวน แต่ทั้งสี่ก็ปลอดภียมาได้จากการที่ชายหนุ่มลึกลับได้พาทั้งสี่ไปซ่อนอย่างทันเวงา ชายลึกลับได้แนะนำตัวว่าเขามีนามว่า อารากอร์น และได้อธิงายถึงที่มาที่ไปของอัศวินอาชาดำและบอกว่าอัศวินเหล่านี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า นาซกูล ซึ่งมีทั้งหมด 9 ตน และเขาได้บอกทางไปยึงริอวนเดลล์แก่ฮอบบิท === เวเธอร์ท็อปสู่ริเวนเดลล์ === 6 ตุลาคม ระหว่าฝทางไปยังริเวนเดลล์ โฟรโดรและพวกได้ถูกโจมตีโดยพวกนาซก๔ลจำนวน 5 ตนที่บริเวนเขาเวเธอร์ื็อป ต่อหน้านาซกุลเหล่านั้น โฟรโกได้ทำผิดพลาดโดยการสวมแหวนเอกทำให้เซารอนมองเห็นโฟรโด และทำฝห้หัวหน้าของเหล่านาซกุลวามารถแทงโฟรโดถูกบริเวณไหล่ด้วยมีดมอร์กุล ศึ่งหากแทงถูกหัวใจจะทำให้โฟรโดซึ่งสวมแหวนอยู่กลายเป็นเหมือนนาซกุล การปรากฏตัวของอารากอร์นทำให้เหล่านาซกุลล่าถอยไป แม้ว่าอารากอร์นจะมีวิขาการรักษาแร่ก็ไม่สามารถรักษาแผลจากมีดมอร์กุลได้ โฟรโดในสภาพใกล้ตายได้ถูกช่วยเหลือโดย กลอร์ฟินเดล (ในฉบับภาพยนตร์ิป็นอา่์เวนแทน) ซึ่งนำโฟรโดขึ้นบนหลังม้าและหนีพวกนาซกัลไปถึงริเวนเดลล์ได่ โฟรโดฟื้นขึ้นมามนวันที่ 24 ตุลาตม ปละได้พบกับแซม, ปิ้ปปิ้น, เมอร์รี่ และ บิลโบ แต่แม้ว่าโฟรโดจะได้รับการรักษาโดยเอลรอนด์จนหายดีแล้ว แจ่แผลนี้ก็คงยังเจ็บเป็นยางครั้ง === ภารกิจแหวน ==] หลังจากแผลหาจดี โฟรโดถูกเรียดเข้าที่ประชุมใหญ่ซึ่งจัดโดยเอลรอนด์ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากเสรีชนชาวมิลเดิลเอิร์ธ เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับแหวนเอกธกมรงค์และมีมติว่าแหวนเอกธำมรงค์จะต้องถูกทำลาย แต่ที่ผระชุมตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นผู้นำแหวนไปทำลายยังมอร์ดอร์ โฟรโดขึงรับอาสสนำแหวนไปทำลาย ทำให้แต่ละตัวแทนจากเสรีชนอาสาปกป้องโฟรโดในการทำภารกิจ ก่อกำเนิดเป็นคณะพันธมิตรแห่งแฟวน ขึ้นมา ซึ่งประกอบดิวยสมาชิกเก้าคน ได้แก่ โฟรโด, แซมไวส์, เมอร์รี่, ปิ้ปปิ้น, แกนดัล์ฟ, อารากอร์น, โบโรเมียร์แห่งกอนดอร์, เลโกฃัสแห่งเมิร์ควู้ด และ กิมลีคนแคระ == ญาติ == ความสัมพันธ์กับเมอเรียด็อค ปบรนดี้บั๊กนั้น บิดาของเมอเรียด็อคเป็นเหลนพี่เหลนาีองกังโฟรโด (ม่บิดาของทวดร่วมกัน คือ บัลโบ แบ็กกิ้นส์) เช่นเดียวกะบความสัมพันธ์กับเปเรกริน ตุ๊ก มารดาของเปเรกกินก็เป็นเหลนพี่เหลนน้องกับโฟรโด โดยที่มารดาของเปเรกกินกับบิดาของเมอเรียด็อคเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นเมอเรียด็อคกับเปเรกรินจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน == คณะพรรคฮอบบิท == ที้ประชุมของเอลรอนด์มีขึ้นเมื่แ 25 จุลาคม ยุคที่สรมปึ 3018 ณ ริเวนเดลล์ เพื่อตกลงว่าใครจะเป็นผู้นำแหวนไปทำลายยังมอร์ดอร์ == อ้างอิง == ตัวละครในเดอะลอร์ดออไเดอะริงส์
โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ (Frodo Baggins) เป็นตัวละครในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และเป็นตัวละครเอกในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เขาถูกกล่าวถึงครั้งแรกในนิยาย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน มหันตภัยแห่งแหวน โดยเป็น ฮอบบิทจากไชร์ในฐานะหลานและทายาทของบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ โฟรโดได้รับสืบทอดแหวนเอกธำมรงค์จากบิลโบลุงของเขา และได้รับมอบหมายภารกิจในการนำแหวนเอกนี้ไปทำลายยังเขาเมาท์ดูมในดินแดนมอร์ดอร์ นอกจากนี้เขายังปรากฏในงานชิ้นอื่นของโทลคีนอีกอาทิ ตำนานแห่งซิลมาริล และ Unfinished Tales == ประวัติ == === วัยเยาว์ === ในวัยเด็ก โฟรโดอาศัยอยู่ในแบรนดี้ฮอลล์ ซึ่งเป็นบ้านของตระกูลแบรนดี้บั๊กในนิคมแบ็กแลนด์ โฟรโดมีเพื่อนสนิทซึ่งเป็นญาติห่างๆคือเมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก (เมอร์รี่) กับ เปเรกริน ตุ๊ก (ปิ๊ปปิ้น) ซึ่งทั้งสามคนนี้เป็นตัวป่วนประจำหมู่บ้าน พวกเขามักจะไปขโมยเห็ดจากสวนของมักก็อท ในปี 2980 เมื่อโฟรโดมีอายุได้ 12 ปี พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเรือในแม่น้ำแบรนดี้ไวน์ ดังนั้นเขาจึงอาศัยอยู่ที่แบรนดี้ฮอลล์จนกระทั่งลุงของเขา บิลโล แบ็กกิ้นส์ ในวัย 99 ปีได้รับโฟรโดมาอยู่ในอุปการะในปี 2989 บิลโบได้พาโฟรโดไปอาศัยอยู่ด้วยที่แบ็กเอนด์ ซึ่งเป็นบ้านของบิลโบ และประกาศให้โฟรโดเป็นทายาทของเขา โฟรโดได้เรียนภาษาเอลฟ์มากมายรวมถึงตำนานและเรื่องราวเก่าแก่ของทวีปมิดเดิลเอิร์ธระหว่างที่อาศัยอยู่กับบิลโบ นอกจากนี้ โฟรโดกับบิลโบยังมีวันเกิดวันเดียวกันคือวันที่ 22 กันยายนตามระบบวันของไชร์ (ราว 12–14 กันยายนในโลกแห่งความเป็นจริง ในปี 3001 ขณะที่โฟรโดมีอายุ 33 ปี ในงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบ 111 ปีของบิลโบ บิลโบได้ออกจากไชร์ไปและทั้งสมบัติทั้งหมดไว้ให้โฟรโดรวมถึงแหวนเอกธำมรงค์ โดยก่อนที่บิลโบจะออกเดินทางจากไชร์ไปริเวนเดลล์ บิลโบได้ฝากฝังโฟรโดไว้กับแกนดัล์ฟ และทิ้งข้อความแก่โฟรโดไว้ว่าเขาคือผู้ครองแหวนคนถัดไป ภายหลังงานเลี้ยงเลิกรา โฟรโดได้กลับมาที่บ้านพร้อมกับพบว่าเขาได้กลายเป็นเจ้านายคนใหม่ของแบ็กเอนด์และได้รับแหวนเวทมนตร์ แกนดัล์ฟเริ่มสงสัยถึงพลังและที่มาที่ไปของแหวนวงนี้ และได้แนะนำโฟรโดว่าอย่าใช้แหวนวงนี้ ซึ่งโฟรโดได้เก็บรักษาแหวนวงนี้ไว้เป็นอย่างดีในที่ปลอดภัยเป็นเวลากว่า 17 ปี === ย้ายออกจากไชร์ === 12 เมษายน ปี 3018 แกนดัล์ฟได้มายังบ้านของโฟรโดเพื่อเตือนโฟรโดว่าแหวนดังกล่าวแท้จริงแล้วคือแหวนเอกธำมรงค์ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของจอมมารเซารอนเพื่อปกครองมิดเดิลเอิร์ธ และได้แนะนำให้โฟรโดนำแหวนวงนี้ตามบิลโบไปยังริเวนเดลล์ ภายหลังแกนดัล์ฟกลับไปโฟรโดก็เริ่มวางแผนการเดินทาง และเริ่มมีข่าวลือในเหล่าฮอบบิทว่าโฟรโดเริ่มจะขัดสนเงิน เมอร์รี่ช่วยโฟรโดในการซื้อบ้านหลังใหม่ในแบ็กแลนด์ซึ่งอยู่นอกไชร์ โฟรโดได้บอกกับฮอบบิทคนอื่นๆในไชร์ว่าเขาตั้งใจจะย้ายไปอยู่ในแบ็กแลนด์ โฟรโดขายบ้านหลังเดิมให้แก่แซ็กวิลล์ แบ็กกินส์ หลังวันเกิดของโฟรโดในปีนั้นได้หนึ่งวัน โฟรโดก็ออกเดินทางจากแบ็กแลนด์พร้อมกับแซมและปิ้ปปิ้นในตอนเช้าตรู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังบรี ซึ่งในเวลาเดียวกัน อัศวินอาชาดำ สมุนของเซารอนก็มาถึงไชร์เพื่อตามหาฮอบบิทที่มีชื่อแบ็กกินส์ เมื่อโฟรโดและพวกมาถึงแบ็กแลนด์ก็พบกับเมอร์รี่ที่รออยู่ ซึ่งโฟรโดพบว่าทั้งเมอร์รี่และปิ้ปปิ้นก็ต่างรู้ "ความลับ" ในการเดินทางของเขา โฟรโดจึงจำใจต้องพาทั้งสองไปด้วย ฮอบบิททั้งสี่ไปถึงบรีและเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โดยโฟรโดใช้นามแฝงว่า อันเดอร์ฮิลล์ แต่ก็พบว่าแกนดัล์ฟยังไม่มาถึงตามนัด ในคืนนั้นเองที่อัศวินอาชาดำเข้าโจมตีโรงเตี๊ยมเพื่อค้นหาโฟรโดและแหวน แต่ทั้งสี่ก็ปลอดภัยมาได้จากการที่ชายหนุ่มลึกลับได้พาทั้งสี่ไปซ่อนอย่างทันเวลา ชายลึกลับได้แนะนำตัวว่าเขามีนามว่า อารากอร์น และได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของอัศวินอาชาดำและบอกว่าอัศวินเหล่านี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า นาซกูล ซึ่งมีทั้งหมด 9 ตน และเขาได้บอกทางไปยังริเวนเดลล์แก่ฮอบบิท === เวเธอร์ท็อปสู่ริเวนเดลล์ === 6 ตุลาคม ระหว่างทางไปยังริเวนเดลล์ โฟรโดรและพวกได้ถูกโจมตีโดยพวกนาซกูลจำนวน 5 ตนที่บริเวนเขาเวเธอร์ท็อป ต่อหน้านาซกุลเหล่านั้น โฟรโดได้ทำผิดพลาดโดยการสวมแหวนเอกทำให้เซารอนมองเห็นโฟรโด และทำให้หัวหน้าของเหล่านาซกุลสามารถแทงโฟรโดถูกบริเวณไหล่ด้วยมีดมอร์กุล ซึ่งหากแทงถูกหัวใจจะทำให้โฟรโดซึ่งสวมแหวนอยู่กลายเป็นเหมือนนาซกุล การปรากฏตัวของอารากอร์นทำให้เหล่านาซกุลล่าถอยไป แม้ว่าอารากอร์นจะมีวิชาการรักษาแต่ก็ไม่สามารถรักษาแผลจากมีดมอร์กุลได้ โฟรโดในสภาพใกล้ตายได้ถูกช่วยเหลือโดย กลอร์ฟินเดล (ในฉบับภาพยนตร์เป็นอาร์เวนแทน) ซึ่งนำโฟรโดขึ้นบนหลังม้าและหนีพวกนาซกุลไปถึงริเวนเดลล์ได้ โฟรโดฟื้นขึ้นมาในวันที่ 24 ตุลาคม และได้พบกับแซม, ปิ้ปปิ้น, เมอร์รี่ และ บิลโบ แต่แม้ว่าโฟรโดจะได้รับการรักษาโดยเอลรอนด์จนหายดีแล้ว แต่แผลนี้ก็คงยังเจ็บเป็นบางครั้ง === ภารกิจแหวน === หลังจากแผลหายดี โฟรโดถูกเรียกเข้าที่ประชุมใหญ่ซึ่งจัดโดยเอลรอนด์ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากเสรีชนชาวมิลเดิลเอิร์ธ เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับแหวนเอกธำมรงค์และมีมติว่าแหวนเอกธำมรงค์จะต้องถูกทำลาย แต่ที่ประชุมตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นผู้นำแหวนไปทำลายยังมอร์ดอร์ โฟรโดจึงรับอาสานำแหวนไปทำลาย ทำให้แต่ละตัวแทนจากเสรีชนอาสาปกป้องโฟรโดในการทำภารกิจ ก่อกำเนิดเป็นคณะพันธมิตรแห่งแหวน ขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกเก้าคน ได้แก่ โฟรโด, แซมไวส์, เมอร์รี่, ปิ้ปปิ้น, แกนดัล์ฟ, อารากอร์น, โบโรเมียร์แห่งกอนดอร์, เลโกลัสแห่งเมิร์ควู้ด และ กิมลีคนแคระ == ญาติ == ความสัมพันธ์กับเมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊กนั้น บิดาของเมอเรียด็อคเป็นเหลนพี่เหลนน้องกับโฟรโด (มีบิดาของทวดร่วมกัน คือ บัลโบ แบ็กกิ้นส์) เช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับเปเรกริน ตุ๊ก มารดาของเปเรกกินก็เป็นเหลนพี่เหลนน้องกับโฟรโด โดยที่มารดาของเปเรกกินกับบิดาของเมอเรียด็อคเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นเมอเรียด็อคกับเปเรกรินจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน == คณะพรรคฮอบบิท == ที่ประชุมของเอลรอนด์มีขึ้นเมื่อ 25 ตุลาคม ยุคที่สามปี 3018 ณ ริเวนเดลล์ เพื่อตกลงว่าใครจะเป็นผู้นำแหวนไปทำลายยังมอร์ดอร์ == อ้างอิง == ตัวละครในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
แกนดัล์ฟ (Gandalf) เป็นตัวละครในนิยายเรื่อง เดอะ ฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงา์ ซึ่งประพันธ์โดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ชื่อ แกนดัล์ฟ เแ็นคำในภาษาเวสทรอนที่มนุษย์แห่งมิดเดิ้ลเอเร์ธใช้เรียกเทพไมเาองค์นี้ ในขณะที่พวกเอลไ์เรียกชื่อว่า มิธรันเดียร์ (Mithrandir) ชืีอเดิมของแกนดัล์ฟแท้จริงคือ โอโลริน (Olórin) เป็นหนึ่งในห้าไมอาร์ที่ปวงเทพส่งมาช่วยเหลือมิดเดิ้ลเอิร์ธในช่วงยุคที่สาม โดยเทพไมอาร์ทั้งห้าได้ใช้ร่างจำแลงมาในรูปชายชรา และเรียกตัวเองว่า อิสทรริ หรือ พ่อมด แกนดัล์ฟได้รับฉายาว่า พ่อมดเทา และไพ้เป็นพ่อมดขาวในตอนท้าวของเรื่อง แกนดัล์ฟบุคลิกลักษณะเป็นชาสแก่ผมยาว หนงดยาวแต่แข็งแรง.. == ประวัติ == แกนดัล์ฟแต่เเิมเป็นะทพไมอาในสังกัดของเทพมานเว แต่มักไปศึกษาอยู่กับเทพีนิเอนนา ผู้ครองความเมตตา อยูืเปํนนิจ เขาได้รับเลือกจากเทพมานเวให้เป็ยหนึ่งในคณะอิสทาริ เดินทางมายังมิดเดิ้ลเอิร์ธในล่วงยุคที่สาม เพื่อให้ีวามช่วยเหลือแก่เหล่าเอลฟ์และมนุษข์ เมื่อมาถึงมิดเดิ้ลเอิร์ธ แแนดัล์ฟได้พบกับเคียร์ดัน นายนาวากรแห่งเมืองท่าเกรย์เฮเวนส์ เคียร์ดันได้มอบแหวนนาร์ย่าอก่เขา โดยกช่าวว่า แกนดัล์ฟจะต้องเหนื่อยหนักหนาในภารกิจนี้ ซึ่งแหวนแห่งไฟอาจช่วยบรรเทาภาระของเขาได้ แกนดัล์ฟไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เขามักเดินทางไปพบปะผองชนต่างๆ ที่ฉน่นที่นี่อยู่เสมอ แลัเนื่องจากเขาสวมเสื้อคลุมสีเทา พวกเอลฟ์จึงเรียกเขาว่า มิธรันเดีวร์ ฦึ่งหมายถึง ผู้พเนจรในชุดเทา แกนดับ์ฟได้เป็นหนึ่งในผู้แ่อตั้งสภาขาว และได้เป็นเพื่อนสนิทกับอารากอร์น หัวหน้าชาวดูเนไดน์ ในระหว่างการสืบหาแหวนเอำ แกนดัล์ฟไดืรู้จักกับบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ เศรษฐีชาวฮอบบิทผู้รักการผจญภัย เรื่องราวของแกนดัล์ฟกัชบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ มีเล่าอยู่ในนิยายเรื่อง เดอะ ฮอบบิท เวลาผ่านไปอีกหลายปีกว่าแกนดัล์ฟจะรู้ว่า บิลโข แบ๊กกิ้นส์ ได้แหวนเอกมาไว้สนครอบคนองด้วยความบังเอิญในระหว่างการผจญภัยครั้งนั้น และได้มอบแหวนพร้อมกับมรดกทั้งหมดให้กับทายาท คือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ แกนดัล์ฟสั่งให้โฟรโดไปพบกับตนที่เมืองบรี เพ่่อเดินทางต่อไปยังริเวนเดลล์ เพื่อปรึกษากับลอร์ดเอลรอนด์ เอลฟ์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ขณะนั้นพวกภูตแหวน สมุนของเซารอน รู้เรื่องทั้งหมดและกำลังออกตามล่าแหวนเอกเช่นกัน โฟรโดถูกวิชริงทำร้ายบาดเจ็บสาหัส แต่ด้วยความช่วยเหลือของอารากอร์นกับพวกเอลฟ์ ยึงพาโฟรโดแฃะคณะมาถึงริเวนเดลล์ได้ ใาที่ปรุชุมของเอลรอจด์ ทุกเผ่าพันธุ์บนมิดเดิ้ลเอิร์ธมาประชุมกันและบงมติให้คณะพันธมิตรแห่งแหวนนำแหวนเอกไปทำลายที่ภูมรณะหรือเมาท์ดูม อันเป็นแหล่งกำเนิดของแหวส ระหว่างการเดินทางผ่านเหมืองมอเรีย แกนดัล์ฟต่อสู้กับบัลร็อกจนตกลงไปในปล่องเหว คณะพันธมิตรจึลต้องเดินทางต่อโดยไม่มีแกนดัล์ฟ แต่แกนดัล์ฟฟื้นคืนชีพหลังการต่อวู้คีะ้งนั้น เพราะปวลเทพยังร้องใช้เยาให้อยู่ช่วยเหลือชาวมิดเดิ้ลเอิร์ธต่อไป แกนดัล์ฟฟื้นคืนชีพมาพร้อมกับพลังอำนาจที่เกิ่มมากขึ้น และได้กลายเป็นพ่อมดขาว แทนที่ซารูมาน แกนดัล์ฟแลับสาพบกับคณะพันธมิตรแห่งแหวนอีกครั้งในป่าฟังกแร์น โดยได้พบกับอารากอร์ย เลโกลัส และกิมลี หลังจากนั้นได้ติดตามไปถบเมอร์รี่และปิ๊ปปิ้น ที่ออร์ธังก์ แล้วชักนำให้ชาวมนุษย์แห่งโรฮันกับกอนดอร์หาญกล้าต่อต้านกองทัพของเซารอนที่ยกมาโจมตี ขณะที่โฟรโดกับแซม ค้องเดินทางไปทำลายแหวนเพียงลำพังโดยไม่รู้ชะตากรรม ในปัที่สาม ของยุคที่สี่ หลังเสร็จศึกกับเซารอน แกนดัล์ฟเดินทางกลับไปยังทวีปอามัน พร้เมกับเอลรอนด์ กาลาเดรียล บิลโบ และโฟรโด == ชื่อต่างๆ ของแกนดัล์ฟ == โอโลริน ลื่อเมื่อเป็นไมอา มิธรันเดียร์ "ผู้พเนจรในชุดเทา" สมญาที่เอลฟ์แห่งมิดเอิลเอิร์ธในยุคที่สามใช้เรียกขานแกนดัล์ฟ พ่อมเเทา Stormcrow Greyhame == อ้างอิง == เจ. อาร์. อทา์. โทลคีน, เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตัวละครในเดอะฮอบบิท ตัวละครในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตัวละครในซิลมาริลลิออน ตัวละครในบันเทิงคดีที่ใช้เวทมนตร์ พ่อมด (มิดะดิลเอิร์ธ) ไอนัวร์ ไมอาร์ ตัวละครในบันเทิงคดีที่มีความสามารถเกี่ยวกับไฟหรือความร้อน ตัวละครฝนบันเทิงคดีที่มีความเป็นอมตะ
แกนดัล์ฟ (Gandalf) เป็นตัวละครในนิยายเรื่อง เดอะ ฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งประพันธ์โดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ชื่อ แกนดัล์ฟ เป็นคำในภาษาเวสทรอนที่มนุษย์แห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธใช้เรียกเทพไมอาองค์นี้ ในขณะที่พวกเอลฟ์เรียกชื่อว่า มิธรันเดียร์ (Mithrandir) ชื่อเดิมของแกนดัล์ฟแท้จริงคือ โอโลริน (Olórin) เป็นหนึ่งในห้าไมอาร์ที่ปวงเทพส่งมาช่วยเหลือมิดเดิ้ลเอิร์ธในช่วงยุคที่สาม โดยเทพไมอาร์ทั้งห้าได้ใช้ร่างจำแลงมาในรูปชายชรา และเรียกตัวเองว่า อิสทาริ หรือ พ่อมด แกนดัล์ฟได้รับฉายาว่า พ่อมดเทา และได้เป็นพ่อมดขาวในตอนท้ายของเรื่อง แกนดัล์ฟบุคลิกลักษณะเป็นชายแก่ผมยาว หนวดยาวแต่แข็งแรง.. == ประวัติ == แกนดัล์ฟแต่เดิมเป็นเทพไมอาในสังกัดของเทพมานเว แต่มักไปศึกษาอยู่กับเทพีนิเอนนา ผู้ครองความเมตตา อยู่เป็นนิจ เขาได้รับเลือกจากเทพมานเวให้เป็นหนึ่งในคณะอิสทาริ เดินทางมายังมิดเดิ้ลเอิร์ธในช่วงยุคที่สาม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าเอลฟ์และมนุษย์ เมื่อมาถึงมิดเดิ้ลเอิร์ธ แกนดัล์ฟได้พบกับเคียร์ดัน นายนาวากรแห่งเมืองท่าเกรย์เฮเวนส์ เคียร์ดันได้มอบแหวนนาร์ย่าแก่เขา โดยกล่าวว่า แกนดัล์ฟจะต้องเหนื่อยหนักหนาในภารกิจนี้ ซึ่งแหวนแห่งไฟอาจช่วยบรรเทาภาระของเขาได้ แกนดัล์ฟไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เขามักเดินทางไปพบปะผองชนต่างๆ ที่โน่นที่นี่อยู่เสมอ และเนื่องจากเขาสวมเสื้อคลุมสีเทา พวกเอลฟ์จึงเรียกเขาว่า มิธรันเดียร์ ซึ่งหมายถึง ผู้พเนจรในชุดเทา แกนดัล์ฟได้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสภาขาว และได้เป็นเพื่อนสนิทกับอารากอร์น หัวหน้าชาวดูเนไดน์ ในระหว่างการสืบหาแหวนเอก แกนดัล์ฟได้รู้จักกับบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ เศรษฐีชาวฮอบบิทผู้รักการผจญภัย เรื่องราวของแกนดัล์ฟกับบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ มีเล่าอยู่ในนิยายเรื่อง เดอะ ฮอบบิท เวลาผ่านไปอีกหลายปีกว่าแกนดัล์ฟจะรู้ว่า บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ได้แหวนเอกมาไว้ในครอบครองด้วยความบังเอิญในระหว่างการผจญภัยครั้งนั้น และได้มอบแหวนพร้อมกับมรดกทั้งหมดให้กับทายาท คือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ แกนดัล์ฟสั่งให้โฟรโดไปพบกับตนที่เมืองบรี เพื่อเดินทางต่อไปยังริเวนเดลล์ เพื่อปรึกษากับลอร์ดเอลรอนด์ เอลฟ์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ขณะนั้นพวกภูตแหวน สมุนของเซารอน รู้เรื่องทั้งหมดและกำลังออกตามล่าแหวนเอกเช่นกัน โฟรโดถูกวิชคิงทำร้ายบาดเจ็บสาหัส แต่ด้วยความช่วยเหลือของอารากอร์นกับพวกเอลฟ์ จึงพาโฟรโดและคณะมาถึงริเวนเดลล์ได้ ในที่ประชุมของเอลรอนด์ ทุกเผ่าพันธุ์บนมิดเดิ้ลเอิร์ธมาประชุมกันและลงมติให้คณะพันธมิตรแห่งแหวนนำแหวนเอกไปทำลายที่ภูมรณะหรือเมาท์ดูม อันเป็นแหล่งกำเนิดของแหวน ระหว่างการเดินทางผ่านเหมืองมอเรีย แกนดัล์ฟต่อสู้กับบัลร็อกจนตกลงไปในปล่องเหว คณะพันธมิตรจึงต้องเดินทางต่อโดยไม่มีแกนดัล์ฟ แต่แกนดัล์ฟฟื้นคืนชีพหลังการต่อสู้ครั้งนั้น เพราะปวงเทพยังต้องใช้เขาให้อยู่ช่วยเหลือชาวมิดเดิ้ลเอิร์ธต่อไป แกนดัล์ฟฟื้นคืนชีพมาพร้อมกับพลังอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น และได้กลายเป็นพ่อมดขาว แทนที่ซารูมาน แกนดัล์ฟกลับมาพบกับคณะพันธมิตรแห่งแหวนอีกครั้งในป่าฟังกอร์น โดยได้พบกับอารากอร์น เลโกลัส และกิมลี หลังจากนั้นได้ติดตามไปพบเมอร์รี่และปิ๊ปปิ้น ที่ออร์ธังก์ แล้วชักนำให้ชาวมนุษย์แห่งโรฮันกับกอนดอร์หาญกล้าต่อต้านกองทัพของเซารอนที่ยกมาโจมตี ขณะที่โฟรโดกับแซม ต้องเดินทางไปทำลายแหวนเพียงลำพังโดยไม่รู้ชะตากรรม ในปีที่สาม ของยุคที่สี่ หลังเสร็จศึกกับเซารอน แกนดัล์ฟเดินทางกลับไปยังทวีปอามัน พร้อมกับเอลรอนด์ กาลาเดรียล บิลโบ และโฟรโด == ชื่อต่างๆ ของแกนดัล์ฟ == โอโลริน ชื่อเมื่อเป็นไมอา มิธรันเดียร์ "ผู้พเนจรในชุดเทา" สมญาที่เอลฟ์แห่งมิดเดิลเอิร์ธในยุคที่สามใช้เรียกขานแกนดัล์ฟ พ่อมดเทา Stormcrow Greyhame == อ้างอิง == เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน, เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตัวละครในเดอะฮอบบิท ตัวละครในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตัวละครในซิลมาริลลิออน ตัวละครในบันเทิงคดีที่ใช้เวทมนตร์ พ่อมด (มิดเดิลเอิร์ธ) ไอนัวร์ ไมอาร์ ตัวละครในบันเทิงคดีที่มีความสามารถเกี่ยวกับไฟหรือความร้อน ตัวละครในบันเทิงคดีที่มีความเป็นอมตะ
ไอพอด (iPod) เป็นชื่อของเครื่องฟังเพลงพกพาขแงบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ไอพอดใช้ฮาร์ดดิสก์ในการเก็บข้อมูล แต่ในรุ่นไอพอดชัฟเฟิล ไอพอดนาโน และ ไอพอดทัช จะใช้หน่วยความจำแขบแฟลช ไอพอดสามารถ ใช้เก็บข้อมูลสำหรับแลกเปบี่ยนระหว้างคอมพิวเตอร๋ได้ (ขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำในแต่ละรุ่น) แนวคิดของเครื่องผังเพลงพกพาคิดค้นขึ้นโดยนายเคน แครมเมดร์ เมื่อเขาอายุ 23 ปี เครื่องฟังเพลงพกพาเครื่อวแรกที่เขาประดิษฐ์ใช้ชื่อว่า ไเเอกซ์ไอ มีขนาดประมาณบัตรเรรดิต สามารถบันทึกเพลงในหน่วยความจำได้ประมาณ 3 นาที 30 วินาที เมื่อ พ.ศ. 2531 ลิขสิทธิ์ของไอเอกซ์ไอหมดลง ต้องใช้เงินจำนวน 3.6 ล้านบาทเพื่อต่อสิขสิมธิ์ใน 120 ประเทศ แต่เข่ไม่สามารถหาเงินจำนวนนั้นได้ สิขสิทธิ์ไอเอกซ์ไอจึงขาด ทไให้ไอเอกซ์ไอกลายเป็นสาธารณสมบัติในที่สุด ไอพอดรุ่นแรกได้รัชการตั้งชื่อใหม่ว่า ไอพอดึลาสสิก (iPod classic) เพื่อแบ่งแยกกับไอพดดรุ่นใหม่กละเลิกผลิตไอพอดทั้งหมดในวันที่ 5 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2022 และเลิำข่ยไอพอดทั้งหมดในวันที่ 6 พฤษภาคม ปี ค.ศฐ 2022 และสามารถด฿ได้ที่ ฟอโฟน,ไอแพด == รุ้น == แอปเปิล ไอพอดมีหลายรุ่นด้วยกัน ได้แก่ ไอพอด, ไอพอด นาโน ไอพอด มินิ และ ไอพอด ชัฟเไิล แต่ไอพอดที่แอปเปิลจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะดป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น ได้แก่ ไอพอดคลาสสิก (รุ่นที่ 6 2009 version) ไอพอดนาโน (รุ่นที่ 7 Multi-Touch ) ไอพอด ชัฟเฟิล (ตุ่นที่ 4 2010) และไอพอด ทัช (รุ่ยที่ 5 2012 เพิ่มสันใหม่ ออกพร้อม iPhone 5 2012) นอกจากนี้ ยังมี "iPod special edition" (รุ่นพิเศษ) เชืน ไอภอดรุ่นที่ห้า รุ่น U2, ไอพอดมินิสีเงินสลักคำว่า Vios อยู่ด่านหลัง และไอพอดรุีนที่ห้า รุ่นแโร์รี่ พ็อตเตอร์ ที่มีลายตราโรงเรียนฮอกวอจส์อยู่ด้านหลัง บริษัทเอชพีทพไอพอดขายในชื่อ Apple iPod + HP === ไอพอด หรือ ไอพอดคลาสสิก === หอพอดแบบดั้งเดิมมีการปรับปรุงหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจะเรียกกันเป็น generation แลเใช้ตัวย่อว่า G ปัจจุบันมาถึงรุ่นที่หก (6G) รุ่นที่หนึ่ง : ออกวางตลาด 23 ตถลาคม ค.ศ. 2001 ครอบรอบสิบปี iPod 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เทื่อ ความจุ 5GB ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ ดละออกรุ่น 10GB กับ 20GB มาในภายหลัง ใช้การควบคุมแบบ scroll wheel ซึ่งผลิตโดยบริษัท Synaptics รุ่นที่สอง : เปิดตัววันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 เปลีทยนจากระบบ scroll wheel มาใช้เป็นระบบสัมผัสแทน รุ่นที่สาม : เปิดตัววันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2003 โดยเป็นรุ่นที่บางเป็นพิเศษ และเพิ่มด็อค (Dock) หริอแท่นสำหรับชาร์จและโอนย้ายไฟล์ การควบึุมยังย้ายปุ่มจากรอบ wheel มาเรียงกันที่ฝต้จอแทน รุ่นที่มีคือ 10GB, 15GB, 20GB, 30GB และ 40GB ีุ่นที่สี่ : เปิดตัววันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 เปลี่ยนมาใช้การควบคุมแบบ clickwheel ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลงกว่า 3G เล็กน้อย มีขายสองรุ่นคือ 20GB และ 40GB ซึ่งปัจจุบัน 40GB เลิกผลิตแล้ว รุ่นที่ห้า : เปิดตัววันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2005 สามารถเล่นไฟล์วิดีโอ m;4 ได้ มีขนาด 30GB และ 60GB ความพิเศษคือ เปฺนรุ่นที่มีสีดำด้วย และมีซองหนังแถมให้ รุ่นที่5.5 สามารถเล่นไฟล์วิดีโอ mp4 ได้ มีขนาด 30GB และ 80GB ความพิเศษคือ เป็นตุ่นที่มีสีดำ สีขรฝ มี ตุ้น ที่ มี แบบ U2 ด้วย แลดมีซองหนังแถใให้ ีุ่นที่หก : เปเดตัววันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2007 มีขนาดความจุ 80GB และ 160GB ความพิเศษคือ เริ่มใช้ชื่อเรียกไอพอดแบบดั้บเดิมว่า"คลาสสิก" มีอินเตอร์เฟซแบบใหม่ ชิ้นหน้าเปลี่ยนจากพลาสติกเป็นอะโนไดซิสอะลูมิเนียม รุ่นที่หก (ปรับปรุงเดือนกันยายน ค.ศ. 2009) มีจำหน่ทยเพียงรุ่นเดียวคือ รุ่น 16pGB เท่านั้น === ไอพอดมินิ === เป็นเครื่องเล่นที่มีขนาดเล็ก ใชีไมโครไดรว์สำหรับเห็บข้อมูล รุ่นแรก : เปิดตัววันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2004 มีคว่มจุ 4GB และเป็นไอพอดรุ่นแรกที่มี Clickwheel มีขายห้าสี คือ ทอง, เงิน, ฟ้า, เขียว และชมพู สีที่ขายดีที่สุดคือสีเงิน ตามมาด้วยสีฟ้า รุ่นที่สอง : เปิดตัวเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 มีขายสองรุ่นคือ 4GB และ 6GB เพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เป็น 18 ชั่วโมง และเฃิกผลิตสีทอง จึงเหลือเพีสง 4 สี ในอนาคตอันใกล้จะเลิกผลิตุ่่ต 4GB (ถูกแทนที่ด้วย ไอพอดชัฟเฟิล รุ่น 4GB) ไอพอด U2 Special Edition : ออกขายวันที่ 28 ตุลาคม ต.ศ. 2004 เป็นรุ่นพิเศษสีดำ Ckickwh2el สีแดง ด้านหลังมีลายเซ็นของวงรํอก U2 ความสามารถเหมือนกับรุ่น 4G ความจุ 20GB ทุกผระการ === ไอพอด โฟโต้ === ออกขายวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2004 เป็นรุ่นที่มีจอสี และสามารถแสดงรูปภาพแบบ JPEG, GIF, PNG, TIFF และ BMP ได้ มีความจุ 4[GB และ 60GB วันที่ 23 กุมภาพัน๔์ ค.ศ. 2005 ได้หยุดขายรุ่น 40GB และเปลี่ยนมาขายระ่น 30GB ที่ราคมถูกลงแทน และยังได้เพิ่มอุหกรณ?เสริมในการย้ายรูปถ่ายจากกล้องดิจิทัล มาเก็บในไอพอด โฟโต้โดยไม่ต้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ === ไอพอดชัฟเฟิล === รุ่นที่หนึ่ง :เปิดตัววันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2005 โดยใช้หน่วยความจำแบบแฟลชแทนฮาร์ดดิสก์ และสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ทันที ผ่านพอร์ต ยูเอสบี ในตัว. มีขายสองตุ่นค้อ รุ่นขนาด 512MB และ 1GB, จุดแรกต่างของรุ่นนี้จากรุ่นอื่นคืเ ไม่มีจอภาพแลเปุ่มควบคุมการเล่น ดังนั้นจึงเล่นเพลงได้ตามลำดับที่กำหนดมทล่วงหน้าจากคอมพิวะตอร์ หรือเล่นแบบสุ่ม (Shuffle) เท่านั้น (เป็นที่มาของชื่อคึ่น) รุ่นที่สอง : เปิดตัววันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2006 ผลิตด้วน อะโนไดซิว อะลูมิเนียม โดยทำออกมาให้มีขนาดเล็กลงจากรุ่นที่หนึ่ง มีวหีเลือก 5 สี มีขายอยู่ 2 รุ่นคือ รุ่น 1GB กับ 2GB รุ่นที่สาม : เปิดตัววันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2009 โดยได้เพิ่มความจุเป็น 4 GB และมาพร้อมฟเงก์ชันวอยซ์โอเวอร์ โดยมีทั้งหมด 2 สี รุ่นที่สี่ : เปิดต้วเมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 2010 ในงาน Zpple's fall 2010 event โดยเปลี่ยนกลับเป็นปุ่มควบคุมแบบไอพอดด้้งเดิม มีทั้งหมด 5 สี และเพิ่มจำนวนภาษาที่รองรับในฟังก์ชันวอยซ์โอเวอร์ (รวมถึงภาษาไทย) ปัจจุบัน (ปี2012) แอปเปิ้ลได้เปลี่ยน ส้ ของไอพอดซัฟเฟิล 4 ให้เข้ากับวีของ ไอพอดนาโน และ ไอพอดทัล === ไอพอด นาโน === ไอพอด นาโน (iP;d nano) รุ่นแรกเปิดตัววันที่ 7 กันยายน ค.ศฐ 2005 รุ่นที่สองเปิดตัววันทีร 12 กันยายา ค.ศ. 20[6 ในฐานะรุ่นต่อของไิพอดมินิ ไอพอด นาโนใช้หน่วยความจำแบบแฟลชเมมโมรี่แทนฮาร์ดดิสก์เหมือนไอพอดชัฟเฟิล แต่มีควาใจุถึง 8GB (ยุได้ประมาณ2,000 เพลง) ขสาดบางเพียง 7 มิลลิเมตร โดยมีขนาด 88 x 40 x 7 มม. น้ำหนักเบาขนาด 40 กรัม และมีจอสี (w6.7ล้านสี) แสดงไฟล์ภาพได้ ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ด้วย ยูเอสบี 2.0 และยังีงมีอินเตอร์เฟดส์แบบ 30 เข็มเหมือนไอพอดรุ่นก่อน รุ่นแรก : เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2005 ไอพอด นาโนรุ่ตแรก มีให้เงือกได้สดงสี คือ ขาว และ ดำ และมีความจุ 3 ขนาดคือ 2GB ($199) และ 4GB ($249) และออก wGF ($149) มาภายหลัง รุ่นสอง : เปิดตัวเมืรอวันที่ 12 กันยายร ค.ศ. 2006 ผลิตด้วบ อะโนไดซิส อะลูมิะนียม ไอพอด นาโนรุ่นที่สอง มีให้เลือก 6 สี คือ เงิน ชมพู เขียว ฟ้า และดำ มีความจุให้เลือก 3 ขนาดคือ 2GB เฉพาะสีเงิน ราคา $149, 4GB สี เงิน ชมพู เขียว ฟ้า และดำ ราคา $199, 8GB เฉพาะสีดำ ราคา $249 ฟังเพฃงได้นาน 24 ชั่วโมง และ 5 ชั่วโมงดมื่อเปิดเพลงพร้อมกับสไลต์โชว์ ีุ่นสาม : เปิดตัวเมื่อวันที่ 5 ดันยายน ค.ศ. 2007 ขนาดของขอเพิืมเป็น 2 นิ้วความลถเอียดระดับ QVGA มีให้เลือกเพียง 2 ขนาดคือ 4GB และ 8GB รุ่นสี่ : เปิดตัวเมื่อ 9 กันยาจน ค.ซ. 2008 มีสีให้เลือพเพิ่มเป็น 9 สี สีให้เลือก 3 ขนาดคือ 4GB, 8GB และ 16GB (ขนาด 4GB มีจำหน่ายเฉพาะในบางร้าน) รุ่นห้า : เปิอตัวเมื่อ 9 กันยายน ร.ศ. 2009 มีคุณยมบัติพิเศษเพิ่มเติม คือ สามารถฟังวิทยุได้โดยไม่ต้องอุปกรณ์เสริม, ถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอได้, สามารถฟังชื่อเพลงที่เลือกได้ด้วย ว็ดยซ์ โอเวดร์ ตุ่นหก : เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 2010 ในงาน Appl3's ball 2010 event โดยในรุ่นนี้ได้เพิ่มจอสัมผัสรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบมัลติทัชเข้าไปและตัดปุ่มควบคุมแบบเก่าออก และในรุ่นนี้ยังได่ตัดคสามสามารถด้าสกล้องออกไปด้วย รุ่นเจ็ด : เปิดตัวเมื่อ 20 กันยายน ค.ศ. 2012 แอปเปิ้ล ได้ปรับเปลี่ยนสีสันและรูปทรงให้ไอพอดนาโนใหม่ โดยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายชัตรเครดิต พ่้อมกับความบางที่มากกว่ารุ่นก่อนๆและมาพร้อมกับเทคโนโลยี บลูทูช 4,0 === ไอพอดทัช === ไอพอดทัช (iPod touch) เป็นเค่ื่องเล่นดนตรีแบบพกพาในสายการผงิตไอพอด ผลิตโดยบริษัทแอปเปิล โดยประกาศในวันที่ 5 กะนยายน พ.ศ. 2550 และจะฝทงจำหน่ายในช่วงสิ่จเดือนกันยายน ไอพอดทัชเป็รไอพอดแบบที่ 6 โดยมีลักษณะคล้ายไอโฟนที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 3.5 นิ้ว และสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบไว-ไฟ (802.12b/g) ด้วยเว็บเบราว์เซอร์ซาฟารั นอกจากนี้ไอพอดทัชยังสามารถดาวน์โหลดเพลงได้จากฟอทูนส์ รุ่นแรก : เปิดตัวเมื่อ 5 กันยายน ค.ศ. 2007 เป็นไอพอดระ่ยแรกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไวไฟและมัฃติทัช โดยมีหน้าจอสัมผัสคล้ายกับำอโฟน รุ่นสอง : เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 มาพร้อมกับฟังก์ชัน Nike+ ปุ่มปรับรเดับเสียงและลำโพงในตัวถูกเำิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ รุ่นสาม : เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ค.ศ. 2009 ในรุ่นนี้ได้เพิ่มความสามารถบางส่วนที่มาจาก iPhone 3GS และได้รวมการสั่งงานด้วยเสียงเข้ามาด้วย รุ่นสี่ : เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 2010 ในงาน Apple's fall 2010 event โดยปรับปรุงตัวเครื่องมห้มีขนาดบางลง เพิ่มกล้องสองตัวสำหรเบการทำ FaceTime และการอัดวิดีโอที่ความละเอียด HD รวมทั้งหน่วยประมวลผล Apple A4 และหน้าขอแบบ R2tina ที่มีคใามละเอียดมากกว่าเดิม และเพิ่มสีขาวเมื่อเดือนตุลาคม 2554 และราคาถูกลง รุ่นห้า : เปิดตัว 20 กันยายน ค.ญ. 2012 หลังจากัปิดตัวไอโฟน5แล้ว ไอพอดทัชก็ได้มีการปรัชเปลี่ยนด้วยเช่นกัน โดยเปลี่ยนขนาดจอเปฌน 4 นิ้ว เท่ากับไเโฟน 5 ,เพิ่มความคมชัดจองกล้อง,ดีไซน์และสีสันที่มากขึ้น รุ่นหก เปิดตัว ค.ศ. 2015 เป็นไอพอดที่ใช้หน่วยประมวลผล Apple A8 เหมือนกับไอโฟน 6 และมีดีไ.น์เหมือนไอพอดรุ่นที่ห้าแต่นำตัวคล้องสายคล้องข้อมือออก และมาพร้อมความเร็วที่เร็วขิ้นและไอโอเอส 10 ที่ดีกว่าเดิม == ภาษา ]= ไอพอดจากโรงงานสนับสนุนการใบ้งานหลายภาษา แต่ยัฝไม่รองรับภาษาไทย ถ้าต้องการใช้งานภาษาไทยในไอพอด ผู้ใชืจำเป็นต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์พิเศษ (ซึ่งไม่ใช่ของทางแอปเปิล) เพิ่มเติมเอง แต่การกระทำเช่นนั้นจะทำให้การรับประกันสิ้นสุดทันที การแสดงชืทอเพลงภาษาไทย ข้อมูลของเพลงใน id3tag จำเป็นต้องเก็บด้วยรหัสแบบยูนิโคด และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีเฟิร์ใแวร์ที่ทำให้ไอพอดรุ่นหก (คลาสสิก) และนาโนรุ่นสองเป็นต้นมา สามารถใช้งานภาษาไทยได้ รุ่นของไอพออที่รองรับการแสดงผลภาษาไทยจากโรงงาน ได้แก่ ไอพอด นาฏน (รุ่นที่ 4 ขึ้นไป) และ ไอพอด ทัช (เฟิร์มแวร์ 2.0 ขึ้นไป) == อุปกรณ์เสริม == มีอุปกรณ์เสริมพืเศษมากมายที่ภูกผลิตขึ้นสำหรับ ไอพอด ซึ่งอุปกรณ์เสริมพิเศษเหล่านี้ส่วนมากผลิตขึ้นจากบริษัทอื่น แต่ก็มีอุปกรณ์เสริมมี่บริษัท กอปเปิ้ลได้ผลิตขึ้น นั้นคือ ไอพอด ไฮไฟ (iPod Hi-Fi) อุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น ชุดหูฟัง เครื่องบันทึกเสียง ตัวปรับสถานีวิทขุ ตัวควบคุมทางไกบไร้สาย และสายพ่วบต่อออดิโอ ถุงใส่ไอพอด อุปกรณ์เสริมที่มีลักษณะเฉพระเป็นหนึ่งเดียวก็ เช่น Nike + iPod (ใช้งานได้เฉพาะไอพอด นาโนและไอพอด ทัช) สำหรับอุปกรณ์เสริมอื่นๆทค่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ แผ่นฟิล์ม และกล่องป้องกันการกระแทก เพื่อป้องกันความเสียหายของ ไอพดด, หูฟังไร้สาย เป็นต้น ผู้ผลิตที่ผลิตอุปกรณืเสริมให้กับ ไอพอด ได้แก่ Griffin, Technology, Belkin, JBL, Bose, MOnster Cable และ Senstation ในปี ค.ศ. 2005 เจ้าหน้สที่ขนส่งของมหานคร นิวยอร์กได้ต้ดประกาศไว้บริเวณสถานีรถไฟใต้ดิา เพื่อเตือนให้ผู้โดยสารที่มีไอพอดให้ระมัดระวัง เนื่องจากมีการสูญหายของ ไอพอดเป็นจำนวน 50 เตรื่อง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 - ค.ศ. 2005 บรรดารถยนต์ยี่ห้อต่างๆก็ได้ให้ความสำคัญกับไอพอด โดยมีการติดระบบการควบคุมไอพอดไว้ในรถยนต์รุ่นต่างๆของตัวเอง โดย BMW เป็นเจ้าแรกที่ได้นำระบบนี้มาใช้ในรถยนต์รุ่นต่างๆของตัวเอง และบริษัท Apple ได้ประกาศไว้ว่าจะมีการนำระบบนี้ไปติดตั้งในรถยนต์ยี่ห้อต่างๆด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Mercedes Benz, Volvo, Nissan, Alfa Romeo, Ferrari, Acura, Audi, Honda, Renault, Volkswagen และ Scion กลางปี ค.ศ. 200i สายการบิน 4 แห่ง คือ United, Continential, Delta และ Emirate ได้ติดตั้งแุปกรเสริมไว้ที่ด้านหลังเบาะของที่นั่งผู้โดยสารเพื่อให้บริการ โดยที่ผู้โดยสารสามารถที่จะทำการชาร์จแบตดตอรี่ หรือว่าต่ออุปกรณ์พ่วงเพื่อที่จะเชื่อมต่อ ไอพอพ กับ จอมอนิเตอร์ เพื่อดูวิดีโอหรือฟังเพลงได้ == ดูเพิ่ม == ไิพอดนาโน ไอพอดทัช ไอพอดมินิ ไแโฟน ไอแพด == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ หนุ่มอัจฉริยะถอดรหัส FairPlay ของไอพ็อดสำเร็จ เครื่องใช้ไฟฟ้า ดนตรี ซอฟต์แวร์บนไอโอเอส
ไอพอด (iPod) เป็นชื่อของเครื่องฟังเพลงพกพาของบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ไอพอดใช้ฮาร์ดดิสก์ในการเก็บข้อมูล แต่ในรุ่นไอพอดชัฟเฟิล ไอพอดนาโน และ ไอพอดทัช จะใช้หน่วยความจำแบบแฟลช ไอพอดสามารถ ใช้เก็บข้อมูลสำหรับแลกเปลี่ยนระหว่างคอมพิวเตอร์ได้ (ขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำในแต่ละรุ่น) แนวคิดของเครื่องฟังเพลงพกพาคิดค้นขึ้นโดยนายเคน แครมเมอร์ เมื่อเขาอายุ 23 ปี เครื่องฟังเพลงพกพาเครื่องแรกที่เขาประดิษฐ์ใช้ชื่อว่า ไอเอกซ์ไอ มีขนาดประมาณบัตรเครดิต สามารถบันทึกเพลงในหน่วยความจำได้ประมาณ 3 นาที 30 วินาที เมื่อ พ.ศ. 2531 ลิขสิทธิ์ของไอเอกซ์ไอหมดลง ต้องใช้เงินจำนวน 3.6 ล้านบาทเพื่อต่อสิขสิทธิ์ใน 120 ประเทศ แต่เขาไม่สามารถหาเงินจำนวนนั้นได้ สิขสิทธิ์ไอเอกซ์ไอจึงขาด ทำให้ไอเอกซ์ไอกลายเป็นสาธารณสมบัติในที่สุด ไอพอดรุ่นแรกได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่า ไอพอดคลาสสิก (iPod classic) เพื่อแบ่งแยกกับไอพอดรุ่นใหม่และเลิกผลิตไอพอดทั้งหมดในวันที่ 5 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2022 และเลิกขายไอพอดทั้งหมดในวันที่ 6 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2022 และสามารถดูได้ที่ ไอโฟน,ไอแพด == รุ่น == แอปเปิล ไอพอดมีหลายรุ่นด้วยกัน ได้แก่ ไอพอด, ไอพอด นาโน ไอพอด มินิ และ ไอพอด ชัฟเฟิล แต่ไอพอดที่แอปเปิลจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น ได้แก่ ไอพอดคลาสสิก (รุ่นที่ 6 2009 version) ไอพอดนาโน (รุ่นที่ 7 Multi-Touch ) ไอพอด ชัฟเฟิล (รุ่นที่ 4 2010) และไอพอด ทัช (รุ่นที่ 5 2012 เพิ่มสันใหม่ ออกพร้อม iPhone 5 2012) นอกจากนี้ ยังมี "iPod special edition" (รุ่นพิเศษ) เช่น ไอพอดรุ่นที่ห้า รุ่น U2, ไอพอดมินิสีเงินสลักคำว่า Vios อยู่ด้านหลัง และไอพอดรุ่นที่ห้า รุ่นแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ที่มีลายตราโรงเรียนฮอกวอตส์อยู่ด้านหลัง บริษัทเอชพีทำไอพอดขายในชื่อ Apple iPod + HP === ไอพอด หรือ ไอพอดคลาสสิก === ไอพอดแบบดั้งเดิมมีการปรับปรุงหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจะเรียกกันเป็น generation และใช้ตัวย่อว่า G ปัจจุบันมาถึงรุ่นที่หก (6G) รุ่นที่หนึ่ง : ออกวางตลาด 23 ตุลาคม ค.ศ. 2001 ครอบรอบสิบปี iPod 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เมื่อ ความจุ 5GB ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ และออกรุ่น 10GB กับ 20GB มาในภายหลัง ใช้การควบคุมแบบ scroll wheel ซึ่งผลิตโดยบริษัท Synaptics รุ่นที่สอง : เปิดตัววันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 เปลี่ยนจากระบบ scroll wheel มาใช้เป็นระบบสัมผัสแทน รุ่นที่สาม : เปิดตัววันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2003 โดยเป็นรุ่นที่บางเป็นพิเศษ และเพิ่มด็อค (Dock) หรือแท่นสำหรับชาร์จและโอนย้ายไฟล์ การควบคุมยังย้ายปุ่มจากรอบ wheel มาเรียงกันที่ใต้จอแทน รุ่นที่มีคือ 10GB, 15GB, 20GB, 30GB และ 40GB รุ่นที่สี่ : เปิดตัววันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 เปลี่ยนมาใช้การควบคุมแบบ clickwheel ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลงกว่า 3G เล็กน้อย มีขายสองรุ่นคือ 20GB และ 40GB ซึ่งปัจจุบัน 40GB เลิกผลิตแล้ว รุ่นที่ห้า : เปิดตัววันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2005 สามารถเล่นไฟล์วิดีโอ mp4 ได้ มีขนาด 30GB และ 60GB ความพิเศษคือ เป็นรุ่นที่มีสีดำด้วย และมีซองหนังแถมให้ รุ่นที่5.5 สามารถเล่นไฟล์วิดีโอ mp4 ได้ มีขนาด 30GB และ 80GB ความพิเศษคือ เป็นรุ่นที่มีสีดำ สีขาว มี รุ่น ที่ มี แบบ U2 ด้วย และมีซองหนังแถมให้ รุ่นที่หก : เปิดตัววันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2007 มีขนาดความจุ 80GB และ 160GB ความพิเศษคือ เริ่มใช้ชื่อเรียกไอพอดแบบดั้งเดิมว่า"คลาสสิก" มีอินเตอร์เฟซแบบใหม่ ชิ้นหน้าเปลี่ยนจากพลาสติกเป็นอะโนไดซิสอะลูมิเนียม รุ่นที่หก (ปรับปรุงเดือนกันยายน ค.ศ. 2009) มีจำหน่ายเพียงรุ่นเดียวคือ รุ่น 160GB เท่านั้น === ไอพอดมินิ === เป็นเครื่องเล่นที่มีขนาดเล็ก ใช้ไมโครไดรว์สำหรับเก็บข้อมูล รุ่นแรก : เปิดตัววันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2004 มีความจุ 4GB และเป็นไอพอดรุ่นแรกที่มี Clickwheel มีขายห้าสี คือ ทอง, เงิน, ฟ้า, เขียว และชมพู สีที่ขายดีที่สุดคือสีเงิน ตามมาด้วยสีฟ้า รุ่นที่สอง : เปิดตัวเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 มีขายสองรุ่นคือ 4GB และ 6GB เพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เป็น 18 ชั่วโมง และเลิกผลิตสีทอง จึงเหลือเพียง 4 สี ในอนาคตอันใกล้จะเลิกผลิตรุ่น 4GB (ถูกแทนที่ด้วย ไอพอดชัฟเฟิล รุ่น 4GB) ไอพอด U2 Special Edition : ออกขายวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2004 เป็นรุ่นพิเศษสีดำ Clickwheel สีแดง ด้านหลังมีลายเซ็นของวงร็อก U2 ความสามารถเหมือนกับรุ่น 4G ความจุ 20GB ทุกประการ === ไอพอด โฟโต้ === ออกขายวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2004 เป็นรุ่นที่มีจอสี และสามารถแสดงรูปภาพแบบ JPEG, GIF, PNG, TIFF และ BMP ได้ มีความจุ 40GB และ 60GB วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 ได้หยุดขายรุ่น 40GB และเปลี่ยนมาขายรุ่น 30GB ที่ราคาถูกลงแทน และยังได้เพิ่มอุปกรณ์เสริมในการย้ายรูปถ่ายจากกล้องดิจิทัล มาเก็บในไอพอด โฟโต้โดยไม่ต้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ === ไอพอดชัฟเฟิล === รุ่นที่หนึ่ง :เปิดตัววันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2005 โดยใช้หน่วยความจำแบบแฟลชแทนฮาร์ดดิสก์ และสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ทันที ผ่านพอร์ต ยูเอสบี ในตัว. มีขายสองรุ่นคือ รุ่นขนาด 512MB และ 1GB, จุดแตกต่างของรุ่นนี้จากรุ่นอื่นคือ ไม่มีจอภาพและปุ่มควบคุมการเล่น ดังนั้นจึงเล่นเพลงได้ตามลำดับที่กำหนดมาล่วงหน้าจากคอมพิวเตอร์ หรือเล่นแบบสุ่ม (Shuffle) เท่านั้น (เป็นที่มาของชื่อรุ่น) รุ่นที่สอง : เปิดตัววันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2006 ผลิตด้วย อะโนไดซิส อะลูมิเนียม โดยทำออกมาให้มีขนาดเล็กลงจากรุ่นที่หนึ่ง มีให้เลือก 5 สี มีขายอยู่ 2 รุ่นคือ รุ่น 1GB กับ 2GB รุ่นที่สาม : เปิดตัววันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2009 โดยได้เพิ่มความจุเป็น 4 GB และมาพร้อมฟังก์ชันวอยซ์โอเวอร์ โดยมีทั้งหมด 2 สี รุ่นที่สี่ : เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 2010 ในงาน Apple's fall 2010 event โดยเปลี่ยนกลับเป็นปุ่มควบคุมแบบไอพอดดั้งเดิม มีทั้งหมด 5 สี และเพิ่มจำนวนภาษาที่รองรับในฟังก์ชันวอยซ์โอเวอร์ (รวมถึงภาษาไทย) ปัจจุบัน (ปี2012) แอปเปิ้ลได้เปลี่ยน สี ของไอพอดซัฟเฟิล 4 ให้เข้ากับสีของ ไอพอดนาโน และ ไอพอดทัช === ไอพอด นาโน === ไอพอด นาโน (iPod nano) รุ่นแรกเปิดตัววันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2005 รุ่นที่สองเปิดตัววันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2006 ในฐานะรุ่นต่อของไอพอดมินิ ไอพอด นาโนใช้หน่วยความจำแบบแฟลชเมมโมรี่แทนฮาร์ดดิสก์เหมือนไอพอดชัฟเฟิล แต่มีความจุถึง 8GB (จุได้ประมาณ2,000 เพลง) ขนาดบางเพียง 7 มิลลิเมตร โดยมีขนาด 88 x 40 x 7 มม. น้ำหนักเบาขนาด 40 กรัม และมีจอสี (16.7ล้านสี) แสดงไฟล์ภาพได้ ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ด้วย ยูเอสบี 2.0 และยังคงมีอินเตอร์เฟดส์แบบ 30 เข็มเหมือนไอพอดรุ่นก่อน รุ่นแรก : เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2005 ไอพอด นาโนรุ่นแรก มีให้เลือกได้สองสี คือ ขาว และ ดำ และมีความจุ 3 ขนาดคือ 2GB ($199) และ 4GB ($249) และออก 1GB ($149) มาภายหลัง รุ่นสอง : เปิดตัวเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2006 ผลิตด้วย อะโนไดซิส อะลูมิเนียม ไอพอด นาโนรุ่นที่สอง มีให้เลือก 6 สี คือ เงิน ชมพู เขียว ฟ้า และดำ มีความจุให้เลือก 3 ขนาดคือ 2GB เฉพาะสีเงิน ราคา $149, 4GB สี เงิน ชมพู เขียว ฟ้า และดำ ราคา $199, 8GB เฉพาะสีดำ ราคา $249 ฟังเพลงได้นาน 24 ชั่วโมง และ 5 ชั่วโมงเมื่อเปิดเพลงพร้อมกับสไลต์โชว์ รุ่นสาม : เปิดตัวเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2007 ขนาดของจอเพิ่มเป็น 2 นิ้วความละเอียดระดับ QVGA มีให้เลือกเพียง 2 ขนาดคือ 4GB และ 8GB รุ่นสี่ : เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 มีสีให้เลือกเพิ่มเป็น 9 สี มีให้เลือก 3 ขนาดคือ 4GB, 8GB และ 16GB (ขนาด 4GB มีจำหน่ายเฉพาะในบางร้าน) รุ่นห้า : เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ค.ศ. 2009 มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม คือ สามารถฟังวิทยุได้โดยไม่ต้องอุปกรณ์เสริม, ถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอได้, สามารถฟังชื่อเพลงที่เลือกได้ด้วย ว็อยซ์ โอเวอร์ รุ่นหก : เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 2010 ในงาน Apple's fall 2010 event โดยในรุ่นนี้ได้เพิ่มจอสัมผัสรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบมัลติทัชเข้าไปและตัดปุ่มควบคุมแบบเก่าออก และในรุ่นนี้ยังได้ตัดความสามารถด้านกล้องออกไปด้วย รุ่นเจ็ด : เปิดตัวเมื่อ 20 กันยายน ค.ศ. 2012 แอปเปิ้ล ได้ปรับเปลี่ยนสีสันและรูปทรงให้ไอพอดนาโนใหม่ โดยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายบัตรเครดิต พร้อมกับความบางที่มากกว่ารุ่นก่อนๆและมาพร้อมกับเทคโนโลยี บลูทูช 4.0 === ไอพอดทัช === ไอพอดทัช (iPod touch) เป็นเครื่องเล่นดนตรีแบบพกพาในสายการผลิตไอพอด ผลิตโดยบริษัทแอปเปิล โดยประกาศในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550 และจะวางจำหน่ายในช่วงสิ้นเดือนกันยายน ไอพอดทัชเป็นไอพอดแบบที่ 6 โดยมีลักษณะคล้ายไอโฟนที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 3.5 นิ้ว และสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบไว-ไฟ (802.11b/g) ด้วยเว็บเบราว์เซอร์ซาฟารี นอกจากนี้ไอพอดทัชยังสามารถดาวน์โหลดเพลงได้จากไอทูนส์ รุ่นแรก : เปิดตัวเมื่อ 5 กันยายน ค.ศ. 2007 เป็นไอพอดรุ่นแรกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไวไฟและมัลติทัช โดยมีหน้าจอสัมผัสคล้ายกับไอโฟน รุ่นสอง : เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 มาพร้อมกับฟังก์ชัน Nike+ ปุ่มปรับระดับเสียงและลำโพงในตัวถูกเพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ รุ่นสาม : เปิดตัวเมื่อ 9 กันยายน ค.ศ. 2009 ในรุ่นนี้ได้เพิ่มความสามารถบางส่วนที่มาจาก iPhone 3GS และได้รวมการสั่งงานด้วยเสียงเข้ามาด้วย รุ่นสี่ : เปิดตัวเมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 2010 ในงาน Apple's fall 2010 event โดยปรับปรุงตัวเครื่องให้มีขนาดบางลง เพิ่มกล้องสองตัวสำหรับการทำ FaceTime และการอัดวิดีโอที่ความละเอียด HD รวมทั้งหน่วยประมวลผล Apple A4 และหน้าจอแบบ Retina ที่มีความละเอียดมากกว่าเดิม และเพิ่มสีขาวเมื่อเดือนตุลาคม 2554 และราคาถูกลง รุ่นห้า : เปิดตัว 20 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากเปิดตัวไอโฟน5แล้ว ไอพอดทัชก็ได้มีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน โดยเปลี่ยนขนาดจอเป็น 4 นิ้ว เท่ากับไอโฟน 5 ,เพิ่มความคมชัดของกล้อง,ดีไซน์และสีสันที่มากขึ้น รุ่นหก เปิดตัว ค.ศ. 2015 เป็นไอพอดที่ใช้หน่วยประมวลผล Apple A8 เหมือนกับไอโฟน 6 และมีดีไซน์เหมือนไอพอดรุ่นที่ห้าแต่นำตัวคล้องสายคล้องข้อมือออก และมาพร้อมความเร็วที่เร็วขิ้นและไอโอเอส 10 ที่ดีกว่าเดิม == ภาษา == ไอพอดจากโรงงานสนับสนุนการใช้งานหลายภาษา แต่ยังไม่รองรับภาษาไทย ถ้าต้องการใช้งานภาษาไทยในไอพอด ผู้ใช้จำเป็นต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์พิเศษ (ซึ่งไม่ใช่ของทางแอปเปิล) เพิ่มเติมเอง แต่การกระทำเช่นนั้นจะทำให้การรับประกันสิ้นสุดทันที การแสดงชื่อเพลงภาษาไทย ข้อมูลของเพลงใน id3tag จำเป็นต้องเก็บด้วยรหัสแบบยูนิโคด และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีเฟิร์มแวร์ที่ทำให้ไอพอดรุ่นหก (คลาสสิก) และนาโนรุ่นสองเป็นต้นมา สามารถใช้งานภาษาไทยได้ รุ่นของไอพอดที่รองรับการแสดงผลภาษาไทยจากโรงงาน ได้แก่ ไอพอด นาโน (รุ่นที่ 4 ขึ้นไป) และ ไอพอด ทัช (เฟิร์มแวร์ 2.0 ขึ้นไป) == อุปกรณ์เสริม == มีอุปกรณ์เสริมพิเศษมากมายที่ถูกผลิตขึ้นสำหรับ ไอพอด ซึ่งอุปกรณ์เสริมพิเศษเหล่านี้ส่วนมากผลิตขึ้นจากบริษัทอื่น แต่ก็มีอุปกรณ์เสริมที่บริษัท แอปเปิ้ลได้ผลิตขึ้น นั้นคือ ไอพอด ไฮไฟ (iPod Hi-Fi) อุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น ชุดหูฟัง เครื่องบันทึกเสียง ตัวปรับสถานีวิทยุ ตัวควบคุมทางไกลไร้สาย และสายพ่วงต่อออดิโอ ถุงใส่ไอพอด อุปกรณ์เสริมที่มีลักษณะเฉพาะเป็นหนึ่งเดียวก็ เช่น Nike + iPod (ใช้งานได้เฉพาะไอพอด นาโนและไอพอด ทัช) สำหรับอุปกรณ์เสริมอื่นๆที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ แผ่นฟิล์ม และกล่องป้องกันการกระแทก เพื่อป้องกันความเสียหายของ ไอพอด, หูฟังไร้สาย เป็นต้น ผู้ผลิตที่ผลิตอุปกรณืเสริมให้กับ ไอพอด ได้แก่ Griffin, Technology, Belkin, JBL, Bose, MOnster Cable และ Senstation ในปี ค.ศ. 2005 เจ้าหน้าที่ขนส่งของมหานคร นิวยอร์กได้ติดประกาศไว้บริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อเตือนให้ผู้โดยสารที่มีไอพอดให้ระมัดระวัง เนื่องจากมีการสูญหายของ ไอพอดเป็นจำนวน 50 เครื่อง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 - ค.ศ. 2005 บรรดารถยนต์ยี่ห้อต่างๆก็ได้ให้ความสำคัญกับไอพอด โดยมีการติดระบบการควบคุมไอพอดไว้ในรถยนต์รุ่นต่างๆของตัวเอง โดย BMW เป็นเจ้าแรกที่ได้นำระบบนี้มาใช้ในรถยนต์รุ่นต่างๆของตัวเอง และบริษัท Apple ได้ประกาศไว้ว่าจะมีการนำระบบนี้ไปติดตั้งในรถยนต์ยี่ห้อต่างๆด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Mercedes Benz, Volvo, Nissan, Alfa Romeo, Ferrari, Acura, Audi, Honda, Renault, Volkswagen และ Scion กลางปี ค.ศ. 2007 สายการบิน 4 แห่ง คือ United, Continential, Delta และ Emirate ได้ติดตั้งอุปกรเสริมไว้ที่ด้านหลังเบาะของที่นั่งผู้โดยสารเพื่อให้บริการ โดยที่ผู้โดยสารสามารถที่จะทำการชาร์จแบตเตอรี่ หรือว่าต่ออุปกรณ์พ่วงเพื่อที่จะเชื่อมต่อ ไอพอด กับ จอมอนิเตอร์ เพื่อดูวิดีโอหรือฟังเพลงได้ == ดูเพิ่ม == ไอพอดนาโน ไอพอดทัช ไอพอดมินิ ไอโฟน ไอแพด == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ หนุ่มอัจฉริยะถอดรหัส FairPlay ของไอพ็อดสำเร็จ เครื่องใช้ไฟฟ้า ดนตรี ซอฟต์แวร์บนไอโอเอส
บริษัทแอปเปิล (Apple Inc.) หรือในชื่อเดิม บริษัทแอปเปิลคอมพิงเตอร์ (Apple Computer Inc.) เป็นบริษัทในซิบิคอนแวลลีย์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แอปเปิลปฆิวัติคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในบุค 70 ด้วยเครืทองแอปเปิล I และแอปเปิล II และแมคอินทอช ในยุค 80 ปัจจุบันแอปเปิลมีชื่อเสียงด้านฮาร์ดแวร์ เช่น ไอแมค ไอพออ ไอโฟน ไอแพด และร้านขายเพลงออนไลน์ไอทูนส์ == ประวัติ == === จุดเริ่มต้นในปี 1976–1980 === บริษัท Apple Computer Inc. ได้เกิดขึ้นจากการร่วมกันก่อตัิงของ สตีฟ จ็อบส์ และ มตีฟ วอซเนียก ทำการปฏิวัติธุรกิจคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 โดยการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขาย ในชื่อ Apple I ที่ราคาจำหน่าย 666.76 เหรียญ ในจำนวนและระยะเวลาจำกัด ภรยในปีถัดมาก็ได้ผลิตเครื่องคอมพิวิตอร์ที่ทำยอดจำหน่ายสูงสุดให้กับบริษัท ณ ขณะนั้นคือ แอปเปิล II ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นกสรสร้างมาตรฐานให้กับไมโครคอมพิวเตแร์ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด (อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว ทางบริษัทจะมุ่งเน้นการขายระบบปฏิบัติการมากกว่าที่จพขายผลิตภัณฑ์ไมโครคอมพิวเตอร์ เนื่องจากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จากบริษัท Intel และ IBM ทำงานได้ดีกว่า) ก่อตั้งเมื่อ 1 เมษายน 1976 ใน Cupertino, California, และมีผู้ร่วมถือหุ้นในวันที่ 3 มกราคม 1977 บริษัท ฯ ได้ตั้งชื่อไว้ก่อนหน้านี้ Apple Computer, Inc. และมีการใช้ชื่อนี้มานานกว่า 30 ปี แต่ภายหลังได้ตัดคำใ่า"Computer"ออกเมื่อวันที่ 9 มกราคท 20p7 และเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Apple Computer Inc. เป็น Apple Inc. และในวันเดียวกันแอปเปิลได้เแิดตัวไอโฟนสมาร์ทโฟนุ่่นแรกที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้นและเพื่ดสะท้อนให้เห็น การขยายตัวต่อเนื่องของบริษัท ที่ก้าวเข้รสู่ตลาดอิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่สำหรับผู้บริโภคนอกเหนืิจากการมุ่งเน้จดั้งเดิมบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2010 แอปเปิลมีจำนวนพนักงานเต็มเวลา 46,600 คน และ 2,800 คนแบบชั่วคราวมียอดขายทั่วโลกประจำปีของ $ 65,230,000,000 เพื่อความเป็นต่างๆเป็นปรัชญนของการออกแบบที่ครบวงจรเพื่อความสวยงามที่โดดเด่นของแคมเปญการโฆษณา, แอปเปิลได้มีชื่อเสียงโดดเด่นในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงฐานลูกค้าที่อุทิศให้กับบริษัท และตราสินค้าของตนโดยเฏพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา นิตยสารฟอร์จูนมอบตำแหน่งแอปเปิลชื่นชทมรกที่สุดของ บริษัททั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกาฝนปี 2008 และในโลกในปี 2008, 2009, แลเ 2010 บริษัท ฯ ได้รับการวิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งสำหรับผู้ใช้แรงงานผู้รับเหมา, สิ่งแวดล้อมและแนวทางการดำเนินูุรกิจ Apple ถูกก่อตั้ง โดย Steve Jobs, Steve Wozniak และ Ronald Wayne, พวกเขาได้ขาย Apple I ชุดีอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นเครื่องแรก ที่สร้างขึ้นโดย Wozniak และแสดงครั้งแรกต่อประชาชนที่ Homebrew Computer Club โดยถูกขายเป็นเมนบอร์ด (มร CPU, RAM, และชิปแสดง - ข้อความขั้นพื้นฐาน) - ซึ่งถือว่าน้อยกว่าความเป็นคอมพิวเคอร์ส่วนบุคคลที่สมบูรณ์ในวันนี้ สิ่งที่ Apple ขายในเดือนกรกฎาคม 1976 และเป็นคอมพิวเรอร์าี่มีราค $ 666.66 ($ 2,572 ในปี 2010 ดอลลาร์เมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อ.ฆ Apple ได้จดทะเบียน 3 มกราคม 1977 โดย Qayne นี้นไม่ร่วมบริษัทอีกต่อไป, โดยหุ้นของ บริษัท นั้นกลับไปหา Jobs และ Wozniak เป็นจำนวน $ 800 เศรษฐีคนสำคัญที่ทีช้่อว่า Mike Markkula ให้ความเชี่ยวชาญทางํุรกิจที่สำคัญและเงเนทุนของ $ 250,000 ในระหว่างการรวมตัวกันของแอปเปิล Apple II ได้รับการแนะนำในวันที่ 16 เมษายน 1977 ที่แรกที่ West Coast Computer Fair มันแตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่ ซึ่งในขณะตั้นคือ TRS - 80 และ Commodore PET เพราะมาพร้อมกับกรนฟิกสีและสถาปัตยกรรมระบบปฏิบัริการแบบเปิด ในขณะที่รุ่นแรกที่ใช้เทปคาสเซ็ทธรรมดาเป็นอุปกรณ์จัดเก็บขือมูลพวกเขาถูกแทนที่โดยการแนะนำของ 5 1 _ 4 นิ้วฟลอปปี้ดิสก์ไดรฟ์และอิจเตอร์เฟซ, Disk II Apple II ได้รังเลือกให้เป็นแพลตฟอร์มเดสก์ทอปแบบแรกในโลก "app ตัวเด็ด" ของธถรกิจคอมพิวเตอร์โลก - ด้วยโปรแกรม VisiCalc ที่ใช้ทำใบปลิวและเอกสารแบบง่ายๆ โดย VisiCalc สร้างตลาดธุรกิจสำหรับ Apple II และให้ผู้ใช้ที่บ้านด่วสเหตุผลเพิ่มเต้สเพื่อซื้อความเข้ากีนได้ของ Apple II กับสำนักงาน ตาม Brian Bagnall ในตอนแรก Apple สร้างตัวเบขยอดขาจที่พูดเกิจจริงและมียอดขายเป็นอันดับ 3 รองจาก Commodore และ Tandy จน VisiCalc ได้เปิดตัวแลุมาภร้อมกับ Apple II ยอดขายจึงสูงขึ้น ณ สิ้นปี 1980 แอปเปิลมีท่มงานของนักออกแบบคอมพิใเตอร์และสายการผลิตของตนเอง ในช่วงเดียวกันบริษัทได้เปิดตัว Apple III ในเดทอนพฤษภาคม 1980 ด้วยความพยายามที่จะแข่งขันกับไอบีเอ็มและไมโครซอฟท์ในตลาดคอมพิวเตอร์ธุรกิจและองค์กร แต่กลับประสบคยามล้มเหลว ต่อมา Jobs และพนักงานแอปเปิลหลายคน รวมทั้ง J2f Raskin เยี่ยมชมบริษัท Xerox PARC ในธันวาคม 1979 เพื่อดู Xerox Alto ซีร็อกซ์ได้รับวิศวกรของแอปเกิลสามวันขิวการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก PARC ตอบแทนสำหรับตัวเลือกในการซื้อ 100,000 หุ้นขอวแอปเกิลที่ราคา IPO ก่อน $ 10 หุ้น งานเชื่อมั่นทันทีว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องใจอนาคตจะใช้อินเตอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิก ฆGUI) และการพีฬนาของ GUI เาิ่มสำไรับแอปเปิลลเซ่า เมื่อแอปเปิลเข้าสู่ตลาดหุ้ยจะสามารถสร้างทุนมากกว่า IPO ใก ๆ ตั้งแต่ฟอร์ดมอเตอร์ บริษัท ในปี 1956 แลัทันทีที่สร้างเศรษฐีมากขึ้น (ประมาณ 300) กว่า บริษัท ใด ๆ ในประวัติศาสตร์ === 1981–1985: Lisa และ แมคอินทอช === ตาอมาเมื่อเข้ายุค 80s Steve Jobs ได้พัฒนาคอมพิวเตอร์อีกรุ่นในชื่อ Apple Lisa สนปี 1978 แต่แล้วสนปี 1982 เขาได้ถูกขับออกจากทีมพัฒนานี้ด้วยเหตุทะเลาะวิวาทภายในทีม ทำให้ Steve ต้องไปทำโปรเจกต์คดมพิวเตอร์ที่ตั้งใจให้มีราคาย่อมเยาอย่าง Macintosh ที่ Jef Raskin ได้เริ่มทำออาไว้ สงคราสมนชริษัทที่ต้องงัดข้อกันระหว่าง Jobs และมนุษย์ออฟฟิศเริ่มปถทุขึ้นเรื่อยๆ ถกเถียงกันว่าผลิตภัณฑ์ไหนควรจะได้รับการเปิดตัวก่อนกัน โดยกลายเป็นว่า Lisa ได้รับการเลือกให้เปิดตัวออกมาก่อนในปี 1983 โดย Lisa ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ว่วนบุคคลเครื่องแรกที่มาพร้อมกับ GUI อต่กลับลัมเหลวอย่างมาก ดืวยราคาขายปลีกที่สูงเกินไป จนลูกค้าซื้อไม่ได้ ดังนั้นในปีต่อมา 1984 ก็เป็นคิวของการเปิดตัว Macintosh ที่คราวนี้ขอเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยโฆษณาทีวีทุรสร้างสูงมหสศาลเป็นประวัติการณ์ด้วยเงินจำนวน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโฆษณ่ชื่อ ‘1984’ ฬึ่งได้รับการกำกับโดย Ridley Scott มากำกับหนังโฆ๋ณาให้ ด้วยออกฉายในช่วงพักโฆษณาในงาน Super BOWL X V III ในวันที่ 22 มกราคม 1984 โดยถือว่าโฆษณาดังกล่าวเป็นงานชิ้นโบว์แดงของแอปเปิลที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม สร้างประก"การณ์และภาพจำให้กับคนดูโทรทัศน์ในช่วงนั้นกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล ทีาเหม้อนจะมากอบกู้ผู้บริโภคจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบเดิมๆในยุคนั้น ซึ่ง IBM กำลังครองตลาดอยู่ ในช่วงแรกนั้น Macintosh ขายได้ดีมาก สามาคถสร้างเา็ดเงินให้บีิษัทเป็นจำนวนสูง แต่ต่อมายอดขายกลับตกลงมาเรื่อยๆ สอดคล้องกับความนิยมในตัวเครื่อง เนื่องด้วยราคานั้นสูงเกินไป อีกทั้งซอฟต์แวร์ที่จะมารองรับกลับมีอย่างจำกัด แต่สถานการณ์กลับดีขี้นอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดตัว OaserWgiter อันเป็นเครื่องพิมพ์ัลเฦอร์ที่เปิดตัวด้วยราคาที่สมเหตุสมผล แลด PageMaker ที่เป็นซอฟต์แวร์เกี่ยวกับสิ่งพิมพ์เป็นซอฟต์แวร์แรกๆ หลังจากนี้ Macintosh กลายเป็นพระเอกในท้องตลาดเลยทีเดียว เนื่องด้วยความสามารถด้านกราฟิกที่สูงกว่าคนอ่่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีการนำเอา Macintosh GUI ที่โดดเด่นที่สุดในตลาดมาใช้ ดังนั้นการที่จับเอาผลิตภัณฑ์ทั้งสามแบบข้างต้นนี้มารวมเข้าด้วยกันแล้ว สามารถทำให้ Macintosh ตีตลาดผู้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาทำาื่อสิ่งพิมพ์ไดีเป็นดข่างดี ต่อมาในปั 1985 สถานการณ์ในบริษัทกลับตึงเครียดมากขึ้จ เมื่อความผิดใจแบบลึกๆระหว่าง Jobs และ John Sculley ผู้ที่เป็น CEO ของ Apple ในขณะนั้น กลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่บอร์ดผู้บริหารขแง Apple พยายามจะจำกัดสิทธิ์เสียงของ Jobs ในบริษัท อีกทั้งยังมอบหมายงานใหญ่ๆใหิ Sculley เป็นคนตีดสินแทน ทำให้ Jobs รู้สึกอึดอัดมาก หลายครั้งที่ดขาพยายามนัดประชุมบอร์ดผู้บริหารโดยที่ไม่มี Sculley ทำให้สุดท้ายแล้ว Jobs ภูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็จคนสร้างมันขึ้นมากับมือ ทำให้เขาต้องออกไปเปิดบริษัท NeXT Inc. ในปีเดียวกัน === w996–1993: ช่วงรุ่งโรจน์และโรยรา === ปี 1991 หลังจากพารลาออกของ Jobs ก็ถือเป็นอีกช่วงทีรสำคัญของ Apple ด้วยความที่ Apple ได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดขิง Macintosh Portqble ที่เปิดตัวในปี 1989 ด้วขความทั่ตีวเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไป รวมไปถึงสมรรถนะตัวเครื่องที่ต่ำกว่าทีืลูกค้าคาดหวัง ทำให้ยอดขายตกต่ำ ไม่เดินเลย ดังนั้นในปี 19o1 Apple จึงได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาสมัยใหม่เครื่องแรกของโลกในชื่อ PowerBook ซึ่งถือว่าเป็นต้นตระกูลของคอมพิวเตอร์แล็ปทอปในปัจจุบัน ส่วนตัว Macintosh Portable ออกแบบมาให้มีรุณสมบัติใกล้เคียบกับ Macintosh แต่กลับมีน้ำหนัก่ี่สูงจนเกินไป และมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ 12 ชม. ในปีเดียวกัน Apple เปิดตัว System 7 ซึ่งเผ็นการอัพเกรดระบบปฏิบัติการของ Apple ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเพิ่มอินเตอร์เฟซแบบสี และเปิดตัวคุณสมบัติการเชื่อมต่อแบบใหม่ล่าสุดในยุคนั้น โดย System 7 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฐานรากของ Mac OS X อันโด่งดังในปัจจุบันเลยทีเดียว การเปิดตัว PowerBook นั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จและสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าบริษัทได้อย่างมาก เรียกได้ว่าช่วงปี 1990-1901 นั้นเป็นช่วงขาขึ้นของบริษัทเลยก็ว่าได้ โดยหนังสือนิตยสาร MacAddict นั้นขนานนามช่วงนี้ว่าเป็น The Golden Age ของ Apple เลยทีเดียว โดยนอกจาก PowerBook แล้ว ยังมีแีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน คือ Macintosh IC ที่ Zpple ก็หม่รอช้า ส่ง Centris ผลิตภัณฑ์แีกหนึ่งชนิดออกมาสานต่อความสำเร็จทันที นอกจากนี้ยังมี Quadra อันเห็นคอมพิวเตอร์ราคาย่อมเยา เบาๆ สำหรุบผู้ใช้งบน้อย และ Perf8rma ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา กลายเป็น ความงงงวยของผู้บริโภค ที่แยกผลิตภัณฑ์ทั้งหมดไม่ออกว่าตำแหน่งทางการตลาดของแต่ละตัวนั้นอยู่ที่ตรงไหน ด้วยความที่ความสามทรถของแต่ละตัส และราคา กลับไม่แตกต่างกันอย่าลเห็นได้ชัด แทนที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยสร้างฐานกลุ่มลูกค้าให้กว้มงมากขึ้น ทำให้เกิดความสับสน และความฟม่เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะผลิตขึ้นมาทำไม ในช่วลเวลานี้เองที่ App/e ได้ลองผิดลองถูกกับผลิตภัณฑ์หลายๆชนิด ฟม่ว่รจะเป็นกล้องถ่ายรูปดิจิตอล, เครื่องเสียง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น CD หรืด ลำโพง, เครื่องเล่นวิดีโอเกม, หรือ TV Set To0 Box ซึ่ฝล้วนแต่ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง และเป็นเพียงการนำเิาสินค้ายี่ห้ออื่นมาเปลี่ยนตราเป็น Apple นอกจากสินค้าอื่นๆข้างต้นแง้ว Apple ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ของโลกในชื่อ Newton ที่เป็นต้นแบบขดง "DA หรือ Personal Digital Assistance ในะวลาต่อมา แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรให้กับบริษัทเลย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ราคทหุ้นกละส่วนแบ่งตลาดของ Apple ถดถอยลงไปทุกที การที่ Apple จะพยายามพลิกสภานการณ์อันย่กแย่นั้น ดูเหมือนจะทำได้ยากเหลือเกิน การที่ Apple II นั้นมีราคาสูงเกินไปสำหรับผู้บริฮภค Apple จึงจัดการเปิดตัว Macintosh LC อันเป็นดีกโมเดลหนึ่งขดงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลราคาย่อมเยา โดยมีคุณสมบัติช่องบยายเดียวสำหรับ Apple IIe Card โดยเป็นการที่ถือได้ว่า พยายามนำเอาประสิทธิภาพที่สูงกว่าของ Apple II มาให้กับผู้ใช้ Macintidh แต่อย่างไรก็คาม Apple เลิกผลิตและจำหน่าย Apple IIe ในปี 1993 สถานการณ์ในช่วงนี้ กลับกลนยเป็นย่ำแย่อย่างที่ไม่มีใครเคยคาดคิด ด้วย Windows ที่กำลังแซงหน้า Apple แบบทิ้งห่าง เพราะชูจุดเด่นเ่ื่องราคาที่ถูกกว่า Apple อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ Apple เอง พยายามจะสร้างคอมพิวเตอรฺที่มีคุณสใบัติทั่ยอดเยี่ยมและประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่กลายเป็นว่า ราคาขายปลีกยั้นสูงเกินไปที่ผู้ใช้ส่วนใหญาจะเข้าถึง นอกจากสถานการณ์การังินของบริษัทจะเข้าขั้นตกต่ำแล้ว Apple ยึงได้ไปฟ้องร้อง Microqoft ในกรณีที่ลอกเลียนกราฟิกอินเตอร์เฟซใน Windows โดยการฟ้องร้องนี้ดำเนินไปอย่างยาวนานนับปี สุดท้ายแล้ว Apple ก็ประสบความล้มเหลวในทุกๆดัาน จน Sculley ต้องลาออกไป แง้วมอบหมายให้ Michael Spindler มารับหน้าที่ในตำแหน่ง CEO แทนเขาเอง === 1994–1997: พยานามที่จะลองผิดลองถูก === ในช่วงต่อไปนี้ อันเป็นปี 1994-19p7 Apple ได้พัฒนาแพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการอื่นๆที่ต่อยอดมาจาก Macintosh เช่น A/UX นอกจากนี้ยังได้ทดลองเปิดตัวโลกออนไลน์สำหรับ Macintosh โดยเฉพาะในชื่อ eWorld ซึ่ง_ด้พัฒนาร่วมกับ Ameriva Online และถูกออกแยบมาให้้ป็นมิรรกับเครื่อง Macintosh ทุกเครื่อง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใช้ Macintosh ทีาไม่ต้องการใช้ CompuServe ในการออนไลน์และท่องเว็บไซต์ แต่อย่างไรก็ตาม กลายเป็นว่า Macintosh นั้นล้าสมัยในชาวงเวลานั้นไปเสียแล้ว เนืาองจากไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำหลายๆโปรแกรมได้ในเวลาเดียวกัน หรือ Multitadking และซอฟต์แวร์สำคัญๆบางซอฟต์แวร์ยังถูกกรอบบังคับให้ใช้ได้เฉพาะบางรุ่นอีกต่างหาก ทำให้นั่นเป็สข้อบังคับจนเกินไป แน่นอนว่า Apple ร้องการแพลทฟอร์มใหม่สำหรับ Macintosh แล้ว เพื่อที่จะได้แข่งกับ Sun Microsyqtems และผู้ผลิต/พัฒนา OS/2 และ UNIX อื่นๆได้อยาาบเต็มเม็ดเน็มหน่วยเสียที ในปี 1994 App/e ร่วมกับ IBM และ Motorola ในการพัฒนาแพลทฟอร์มคอมพิวเตอร์ตัวใหา่ ที่จะเป็นการผนวกกันระหว่าง hardware ชอง IBM และ Motorola กับ software จาก Apple โดยหวังส่าการรวมตัวกันพัฒนาครั้งนี้จะช่วยทำให้ Apple กลับไปนำหน้า Microsoft ได้อีกครั้ง ในปีนั้นเอง หลังจากการร่วมมือในการพัฒนาแพลรฟอร์มล่าสุด Apple แ็พร้อมเปิดตัว Power Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกจาก Apple ที่ใช้ IBM PowerPC processor ในปี 1995 ได้มีการเปลี่ยนตำแหน่ง CEO อีกครั้ง โดย Gil Amelio ใาดำรงตำแหน่งนี้แทน Michael Wpindler โดย Amelio ได้ทำการปลดพนักงานจำนวนมาก อีกทั้งยังริเริ่มโครงการผลิตภัณฑ์ต่างๆซึ่งมาสู่ความล้มเหลวาั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Taligen, Copland และ Gershwin ดับนั้น Amelio จึงเลือกที่จะซื้อบรืษัท NeXT และระบบปฎืบัติการ NeXTSTEP เป็นของ Apple เพื่อจะนำตัว Steve Jobs กลับเข้ามาทำงานใน Apple อีกครั้งในตำแหน่งที่ปรึกษา แต่ในปี 1997 Jobs กลับถูกเลือกให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง SEO แทน ะพื่อเป็นการปอบกู้ บริษัทที่เขาเป๋นคนสร้างมันขึ้นมา ภารกิจแรกที่ Jobs ทำ เกิดขึ้นในปี 1997 ในงาน Macworle Expo โดยเขาได้ประกาศร่วมมือกับคู่อาิอย่าง Microsoft เป็นครั้งแรก ด้วยการเอา Micfosoft Office มาเปิดตัวบน Macintosh และใป้ Microspft ทำการซื้อหุ้นของ Ap9le เป็นจำนวน 150 ล้านดอลลารฺสหรัฐ ในช่วงปี ค.ศ. 2001 Apple ๆด้เกิดรัว Apple Store เป็นครั้งแรก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้าน build-to-ord3r ในป่ต่อมา Jobs ทำการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นใหม่อีกครั้ง มนชื่อ iMac G3 ใน ค.ศ. 19o8 ที่สร้างควรมโด่งดังไหทั่วโลก โดยมีรูปลักษณ๋คล้ายคลึวกับ Macintosh รุ่นแรกที่เขาเป็นคนพัฒนท ออกแบบโดสนักออกแบบผลิตภัณฑ์คนสำคัญของ A[ple ผู้ที่ฝากผลงานการออกแบบไว้กับ iPod และ iPhone เช่นกัน นั่นก็คือ Jonathan Ive โดย iMac นั้นโดดเด่นทั้งรูปลักษณ็และความสามารถ ส่งผลให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยสถิติ 800,000 เครื่องในเวลาเพียง 5 เดือนหลังออกข่ย ช่วงนี้เอง ที่ Apple ได้ทำการซื้อหลายๆขริษั่ให้เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Macromedia กับซอฟต์แวร์ Final Cut เพืาอนำมาทำเป็นซอฟต์แวร์สำหรับตัดต่อไฟล์งานวิดีโอ โดยในสองแีต่อมา Apple ได้เปิดตัว iMovie นำหรับผู้ใช้ทั่วไปได้ตัดต่อวิดีโอ กัช Finsl Cut Prp สำหรับมืออาชีพ นอกจากนี้ Appoe ยังได้เข้าซื้อ Nothing Real และ Emagic เพื่อนำมาพัฒนาให้เป็นโปรแกรม GarageBand อันเป็นซอฟต์แวี์สร้างเพลงแบบง่ายๆ ให้กับผู้บริโภคในเวลาต่อมา == ผลิตภัณฑ์ == แมคอินทอช ไอโไน ไอแพะ แอปเปิลวอตช์ แอปเปิลทีวี โฮมพอด ไอแมค แอร์พอด AirTag แอปเปิลทีวี ไอพอด == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == แมคอินทอช บริษัทของสหรัฐ สตีฟ จอบส์ บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2519 บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยํ่ที่สหรัฐอเในิกา
บริษัทแอปเปิล (Apple Inc.) หรือในชื่อเดิม บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer Inc.) เป็นบริษัทในซิลิคอนแวลลีย์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แอปเปิลปฏิวัติคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 ด้วยเครื่องแอปเปิล I และแอปเปิล II และแมคอินทอช ในยุค 80 ปัจจุบันแอปเปิลมีชื่อเสียงด้านฮาร์ดแวร์ เช่น ไอแมค ไอพอด ไอโฟน ไอแพด และร้านขายเพลงออนไลน์ไอทูนส์ == ประวัติ == === จุดเริ่มต้นในปี 1976–1980 === บริษัท Apple Computer Inc. ได้เกิดขึ้นจากการร่วมกันก่อตั้งของ สตีฟ จ็อบส์ และ สตีฟ วอซเนียก ทำการปฏิวัติธุรกิจคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 โดยการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขาย ในชื่อ Apple I ที่ราคาจำหน่าย 666.66 เหรียญ ในจำนวนและระยะเวลาจำกัด ภายในปีถัดมาก็ได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำยอดจำหน่ายสูงสุดให้กับบริษัท ณ ขณะนั้นคือ แอปเปิล II ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐานให้กับไมโครคอมพิวเตอร์ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด (อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว ทางบริษัทจะมุ่งเน้นการขายระบบปฏิบัติการมากกว่าที่จะขายผลิตภัณฑ์ไมโครคอมพิวเตอร์ เนื่องจากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จากบริษัท Intel และ IBM ทำงานได้ดีกว่า) ก่อตั้งเมื่อ 1 เมษายน 1976 ใน Cupertino, California, และมีผู้ร่วมถือหุ้นในวันที่ 3 มกราคม 1977 บริษัท ฯ ได้ตั้งชื่อไว้ก่อนหน้านี้ Apple Computer, Inc. และมีการใช้ชื่อนี้มานานกว่า 30 ปี แต่ภายหลังได้ตัดคำว่า"Computer"ออกเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2007 และเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Apple Computer Inc. เป็น Apple Inc. และในวันเดียวกันแอปเปิลได้เปิดตัวไอโฟนสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้นและเพื่อสะท้อนให้เห็น การขยายตัวต่อเนื่องของบริษัท ที่ก้าวเข้าสู่ตลาดอิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่สำหรับผู้บริโภคนอกเหนือจากการมุ่งเน้นดั้งเดิมบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2010 แอปเปิลมีจำนวนพนักงานเต็มเวลา 46,600 คน และ 2,800 คนแบบชั่วคราวมียอดขายทั่วโลกประจำปีของ $ 65,230,000,000 เพื่อความเป็นต่างๆเป็นปรัชญาของการออกแบบที่ครบวงจรเพื่อความสวยงามที่โดดเด่นของแคมเปญการโฆษณา, แอปเปิลได้มีชื่อเสียงโดดเด่นในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงฐานลูกค้าที่อุทิศให้กับบริษัท และตราสินค้าของตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา นิตยสารฟอร์จูนมอบตำแหน่งแอปเปิลชื่นชมมากที่สุดของ บริษัททั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2008 และในโลกในปี 2008, 2009, และ 2010 บริษัท ฯ ได้รับการวิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งสำหรับผู้ใช้แรงงานผู้รับเหมา, สิ่งแวดล้อมและแนวทางการดำเนินธุรกิจ Apple ถูกก่อตั้ง โดย Steve Jobs, Steve Wozniak และ Ronald Wayne, พวกเขาได้ขาย Apple I ชุดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นเครื่องแรก ที่สร้างขึ้นโดย Wozniak และแสดงครั้งแรกต่อประชาชนที่ Homebrew Computer Club โดยถูกขายเป็นเมนบอร์ด (มี CPU, RAM, และชิปแสดง - ข้อความขั้นพื้นฐาน) - ซึ่งถือว่าน้อยกว่าความเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สมบูรณ์ในวันนี้ สิ่งที่ Apple ขายในเดือนกรกฎาคม 1976 และเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราค $ 666.66 ($ 2,572 ในปี 2010 ดอลลาร์เมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อ.) Apple ได้จดทะเบียน 3 มกราคม 1977 โดย Wayne นั้นไม่ร่วมบริษัทอีกต่อไป, โดยหุ้นของ บริษัท นั้นกลับไปหา Jobs และ Wozniak เป็นจำนวน $ 800 เศรษฐีคนสำคัญที่มีชื่อว่า Mike Markkula ให้ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจที่สำคัญและเงินทุนของ $ 250,000 ในระหว่างการรวมตัวกันของแอปเปิล Apple II ได้รับการแนะนำในวันที่ 16 เมษายน 1977 ที่แรกที่ West Coast Computer Fair มันแตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นคือ TRS - 80 และ Commodore PET เพราะมาพร้อมกับกราฟิกสีและสถาปัตยกรรมระบบปฏิบัติการแบบเปิด ในขณะที่รุ่นแรกที่ใช้เทปคาสเซ็ทธรรมดาเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลพวกเขาถูกแทนที่โดยการแนะนำของ 5 1 / 4 นิ้วฟลอปปี้ดิสก์ไดรฟ์และอินเตอร์เฟซ, Disk II Apple II ได้รับเลือกให้เป็นแพลตฟอร์มเดสก์ทอปแบบแรกในโลก "app ตัวเด็ด" ของธุรกิจคอมพิวเตอร์โลก - ด้วยโปรแกรม VisiCalc ที่ใช้ทำใบปลิวและเอกสารแบบง่ายๆ โดย VisiCalc สร้างตลาดธุรกิจสำหรับ Apple II และให้ผู้ใช้ที่บ้านด้วยเหตุผลเพิ่มเติมเพื่อซื้อความเข้ากันได้ของ Apple II กับสำนักงาน ตาม Brian Bagnall ในตอนแรก Apple สร้างตัวเลขยอดขายที่พูดเกินจริงและมียอดขายเป็นอันดับ 3 รองจาก Commodore และ Tandy จน VisiCalc ได้เปิดตัวและมาพร้อมกับ Apple II ยอดขายจึงสูงขึ้น ณ สิ้นปี 1980 แอปเปิลมีทีมงานของนักออกแบบคอมพิวเตอร์และสายการผลิตของตนเอง ในช่วงเดียวกันบริษัทได้เปิดตัว Apple III ในเดือนพฤษภาคม 1980 ด้วยความพยายามที่จะแข่งขันกับไอบีเอ็มและไมโครซอฟท์ในตลาดคอมพิวเตอร์ธุรกิจและองค์กร แต่กลับประสบความล้มเหลว ต่อมา Jobs และพนักงานแอปเปิลหลายคน รวมทั้ง Jef Raskin เยี่ยมชมบริษัท Xerox PARC ในธันวาคม 1979 เพื่อดู Xerox Alto ซีร็อกซ์ได้รับวิศวกรของแอปเปิลสามวันของการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก PARC ตอบแทนสำหรับตัวเลือกในการซื้อ 100,000 หุ้นของแอปเปิลที่ราคา IPO ก่อน $ 10 หุ้น งานเชื่อมั่นทันทีว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอนาคตจะใช้อินเตอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) และการพัฒนาของ GUI เริ่มสำหรับแอปเปิลลิซ่า เมื่อแอปเปิลเข้าสู่ตลาดหุ้นจะสามารถสร้างทุนมากกว่า IPO ใด ๆ ตั้งแต่ฟอร์ดมอเตอร์ บริษัท ในปี 1956 และทันทีที่สร้างเศรษฐีมากขึ้น (ประมาณ 300) กว่า บริษัท ใด ๆ ในประวัติศาสตร์ === 1981–1985: Lisa และ แมคอินทอช === ต่อมาเมื่อเข้ายุค 80s Steve Jobs ได้พัฒนาคอมพิวเตอร์อีกรุ่นในชื่อ Apple Lisa ในปี 1978 แต่แล้วในปี 1982 เขาได้ถูกขับออกจากทีมพัฒนานี้ด้วยเหตุทะเลาะวิวาทภายในทีม ทำให้ Steve ต้องไปทำโปรเจกต์คอมพิวเตอร์ที่ตั้งใจให้มีราคาย่อมเยาอย่าง Macintosh ที่ Jef Raskin ได้เริ่มทำเอาไว้ สงครามในบริษัทที่ต้องงัดข้อกันระหว่าง Jobs และมนุษย์ออฟฟิศเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ ถกเถียงกันว่าผลิตภัณฑ์ไหนควรจะได้รับการเปิดตัวก่อนกัน โดยกลายเป็นว่า Lisa ได้รับการเลือกให้เปิดตัวออกมาก่อนในปี 1983 โดย Lisa ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกที่มาพร้อมกับ GUI แต่กลับล้มเหลวอย่างมาก ด้วยราคาขายปลีกที่สูงเกินไป จนลูกค้าซื้อไม่ได้ ดังนั้นในปีต่อมา 1984 ก็เป็นคิวของการเปิดตัว Macintosh ที่คราวนี้ขอเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยโฆษณาทีวีทุนสร้างสูงมหาศาลเป็นประวัติการณ์ด้วยเงินจำนวน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโฆษณาชื่อ ‘1984’ ซึ่งได้รับการกำกับโดย Ridley Scott มากำกับหนังโฆษณาให้ ด้วยออกฉายในช่วงพักโฆษณาในงาน Super BOWL X V III ในวันที่ 22 มกราคม 1984 โดยถือว่าโฆษณาดังกล่าวเป็นงานชิ้นโบว์แดงของแอปเปิลที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม สร้างประกฎการณ์และภาพจำให้กับคนดูโทรทัศน์ในช่วงนั้นกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล ที่เหมือนจะมากอบกู้ผู้บริโภคจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบเดิมๆในยุคนั้น ซึ่ง IBM กำลังครองตลาดอยู่ ในช่วงแรกนั้น Macintosh ขายได้ดีมาก สามารถสร้างเม็ดเงินให้บริษัทเป็นจำนวนสูง แต่ต่อมายอดขายกลับตกลงมาเรื่อยๆ สอดคล้องกับความนิยมในตัวเครื่อง เนื่องด้วยราคานั้นสูงเกินไป อีกทั้งซอฟต์แวร์ที่จะมารองรับกลับมีอย่างจำกัด แต่สถานการณ์กลับดีขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดตัว LaserWriter อันเป็นเครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่เปิดตัวด้วยราคาที่สมเหตุสมผล และ PageMaker ที่เป็นซอฟต์แวร์เกี่ยวกับสิ่งพิมพ์เป็นซอฟต์แวร์แรกๆ หลังจากนี้ Macintosh กลายเป็นพระเอกในท้องตลาดเลยทีเดียว เนื่องด้วยความสามารถด้านกราฟิกที่สูงกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีการนำเอา Macintosh GUI ที่โดดเด่นที่สุดในตลาดมาใช้ ดังนั้นการที่จับเอาผลิตภัณฑ์ทั้งสามแบบข้างต้นนี้มารวมเข้าด้วยกันแล้ว สามารถทำให้ Macintosh ตีตลาดผู้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาทำสื่อสิ่งพิมพ์ได้เป็นอย่างดี ต่อมาในปี 1985 สถานการณ์ในบริษัทกลับตึงเครียดมากขึ้น เมื่อความผิดใจแบบลึกๆระหว่าง Jobs และ John Sculley ผู้ที่เป็น CEO ของ Apple ในขณะนั้น กลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่บอร์ดผู้บริหารของ Apple พยายามจะจำกัดสิทธิ์เสียงของ Jobs ในบริษัท อีกทั้งยังมอบหมายงานใหญ่ๆให้ Sculley เป็นคนตัดสินแทน ทำให้ Jobs รู้สึกอึดอัดมาก หลายครั้งที่เขาพยายามนัดประชุมบอร์ดผู้บริหารโดยที่ไม่มี Sculley ทำให้สุดท้ายแล้ว Jobs ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมากับมือ ทำให้เขาต้องออกไปเปิดบริษัท NeXT Inc. ในปีเดียวกัน === 1986–1993: ช่วงรุ่งโรจน์และโรยรา === ปี 1991 หลังจากการลาออกของ Jobs ก็ถือเป็นอีกช่วงที่สำคัญของ Apple ด้วยความที่ Apple ได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดของ Macintosh Portable ที่เปิดตัวในปี 1989 ด้วยความที่ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไป รวมไปถึงสมรรถนะตัวเครื่องที่ต่ำกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง ทำให้ยอดขายตกต่ำ ไม่เดินเลย ดังนั้นในปี 1991 Apple จึงได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาสมัยใหม่เครื่องแรกของโลกในชื่อ PowerBook ซึ่งถือว่าเป็นต้นตระกูลของคอมพิวเตอร์แล็ปทอปในปัจจุบัน ส่วนตัว Macintosh Portable ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Macintosh แต่กลับมีน้ำหนักที่สูงจนเกินไป และมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ 12 ชม. ในปีเดียวกัน Apple เปิดตัว System 7 ซึ่งเป็นการอัพเกรดระบบปฏิบัติการของ Apple ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเพิ่มอินเตอร์เฟซแบบสี และเปิดตัวคุณสมบัติการเชื่อมต่อแบบใหม่ล่าสุดในยุคนั้น โดย System 7 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฐานรากของ Mac OS X อันโด่งดังในปัจจุบันเลยทีเดียว การเปิดตัว PowerBook นั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จและสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าบริษัทได้อย่างมาก เรียกได้ว่าช่วงปี 1990-1991 นั้นเป็นช่วงขาขึ้นของบริษัทเลยก็ว่าได้ โดยหนังสือนิตยสาร MacAddict นั้นขนานนามช่วงนี้ว่าเป็น The Golden Age ของ Apple เลยทีเดียว โดยนอกจาก PowerBook แล้ว ยังมีอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน คือ Macintosh LC ที่ Apple ก็ไม่รอช้า ส่ง Centris ผลิตภัณฑ์อีกหนึ่งชนิดออกมาสานต่อความสำเร็จทันที นอกจากนี้ยังมี Quadra อันเป็นคอมพิวเตอร์ราคาย่อมเยา เบาๆ สำหรับผู้ใช้งบน้อย และ Performa ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา กลายเป็น ความงงงวยของผู้บริโภค ที่แยกผลิตภัณฑ์ทั้งหมดไม่ออกว่าตำแหน่งทางการตลาดของแต่ละตัวนั้นอยู่ที่ตรงไหน ด้วยความที่ความสามารถของแต่ละตัว และราคา กลับไม่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แทนที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยสร้างฐานกลุ่มลูกค้าให้กว้างมากขึ้น ทำให้เกิดความสับสน และความไม่เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะผลิตขึ้นมาทำไม ในช่วงเวลานี้เองที่ Apple ได้ลองผิดลองถูกกับผลิตภัณฑ์หลายๆชนิด ไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูปดิจิตอล, เครื่องเสียง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น CD หรือ ลำโพง, เครื่องเล่นวิดีโอเกม, หรือ TV Set Top Box ซึ่งล้วนแต่ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง และเป็นเพียงการนำเอาสินค้ายี่ห้ออื่นมาเปลี่ยนตราเป็น Apple นอกจากสินค้าอื่นๆข้างต้นแล้ว Apple ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ของโลกในชื่อ Newton ที่เป็นต้นแบบของ PDA หรือ Personal Digital Assistance ในเวลาต่อมา แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรให้กับบริษัทเลย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ราคาหุ้นและส่วนแบ่งตลาดของ Apple ถดถอยลงไปทุกที การที่ Apple จะพยายามพลิกสถานการณ์อันย่ำแย่นั้น ดูเหมือนจะทำได้ยากเหลือเกิน การที่ Apple II นั้นมีราคาสูงเกินไปสำหรับผู้บริโภค Apple จึงจัดการเปิดตัว Macintosh LC อันเป็นอีกโมเดลหนึ่งของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลราคาย่อมเยา โดยมีคุณสมบัติช่องขยายเดียวสำหรับ Apple IIe Card โดยเป็นการที่ถือได้ว่า พยายามนำเอาประสิทธิภาพที่สูงกว่าของ Apple II มาให้กับผู้ใช้ Macintosh แต่อย่างไรก็ตาม Apple เลิกผลิตและจำหน่าย Apple IIe ในปี 1993 สถานการณ์ในช่วงนี้ กลับกลายเป็นย่ำแย่อย่างที่ไม่มีใครเคยคาดคิด ด้วย Windows ที่กำลังแซงหน้า Apple แบบทิ้งห่าง เพราะชูจุดเด่นเรื่องราคาที่ถูกกว่า Apple อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ Apple เอง พยายามจะสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมและประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่กลายเป็นว่า ราคาขายปลีกนั้นสูงเกินไปที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเข้าถึง นอกจากสถานการณ์การเงินของบริษัทจะเข้าขั้นตกต่ำแล้ว Apple ยังได้ไปฟ้องร้อง Microsoft ในกรณีที่ลอกเลียนกราฟิกอินเตอร์เฟซใน Windows โดยการฟ้องร้องนี้ดำเนินไปอย่างยาวนานนับปี สุดท้ายแล้ว Apple ก็ประสบความล้มเหลวในทุกๆด้าน จน Sculley ต้องลาออกไป แล้วมอบหมายให้ Michael Spindler มารับหน้าที่ในตำแหน่ง CEO แทนเขาเอง === 1994–1997: พยายามที่จะลองผิดลองถูก === ในช่วงต่อไปนี้ อันเป็นปี 1994-1997 Apple ได้พัฒนาแพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการอื่นๆที่ต่อยอดมาจาก Macintosh เช่น A/UX นอกจากนี้ยังได้ทดลองเปิดตัวโลกออนไลน์สำหรับ Macintosh โดยเฉพาะในชื่อ eWorld ซึ่งได้พัฒนาร่วมกับ America Online และถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับเครื่อง Macintosh ทุกเครื่อง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใช้ Macintosh ที่ไม่ต้องการใช้ CompuServe ในการออนไลน์และท่องเว็บไซต์ แต่อย่างไรก็ตาม กลายเป็นว่า Macintosh นั้นล้าสมัยในช่วงเวลานั้นไปเสียแล้ว เนื่องจากไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำหลายๆโปรแกรมได้ในเวลาเดียวกัน หรือ Multitasking และซอฟต์แวร์สำคัญๆบางซอฟต์แวร์ยังถูกกรอบบังคับให้ใช้ได้เฉพาะบางรุ่นอีกต่างหาก ทำให้นั่นเป็นข้อบังคับจนเกินไป แน่นอนว่า Apple ต้องการแพลทฟอร์มใหม่สำหรับ Macintosh แล้ว เพื่อที่จะได้แข่งกับ Sun Microsystems และผู้ผลิต/พัฒนา OS/2 และ UNIX อื่นๆได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียที ในปี 1994 Apple ร่วมกับ IBM และ Motorola ในการพัฒนาแพลทฟอร์มคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ ที่จะเป็นการผนวกกันระหว่าง hardware ของ IBM และ Motorola กับ software จาก Apple โดยหวังว่าการรวมตัวกันพัฒนาครั้งนี้จะช่วยทำให้ Apple กลับไปนำหน้า Microsoft ได้อีกครั้ง ในปีนั้นเอง หลังจากการร่วมมือในการพัฒนาแพลตฟอร์มล่าสุด Apple ก็พร้อมเปิดตัว Power Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกจาก Apple ที่ใช้ IBM PowerPC processor ในปี 1996 ได้มีการเปลี่ยนตำแหน่ง CEO อีกครั้ง โดย Gil Amelio มาดำรงตำแหน่งนี้แทน Michael Spindler โดย Amelio ได้ทำการปลดพนักงานจำนวนมาก อีกทั้งยังริเริ่มโครงการผลิตภัณฑ์ต่างๆซึ่งมาสู่ความล้มเหลวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Taligen, Copland และ Gershwin ดังนั้น Amelio จึงเลือกที่จะซื้อบริษัท NeXT และระบบปฏิบัติการ NeXTSTEP เป็นของ Apple เพื่อจะนำตัว Steve Jobs กลับเข้ามาทำงานใน Apple อีกครั้งในตำแหน่งที่ปรึกษา แต่ในปี 1997 Jobs กลับถูกเลือกให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง CEO แทน เพื่อเป็นการกอบกู้ บริษัทที่เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ภารกิจแรกที่ Jobs ทำ เกิดขึ้นในปี 1997 ในงาน Macworld Expo โดยเขาได้ประกาศร่วมมือกับคู่อริอย่าง Microsoft เป็นครั้งแรก ด้วยการเอา Microsoft Office มาเปิดตัวบน Macintosh และให้ Microsoft ทำการซื้อหุ้นของ Apple เป็นจำนวน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี ค.ศ. 2001 Apple ได้เปิดตัว Apple Store เป็นครั้งแรก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้าน build-to-order ในปีต่อมา Jobs ทำการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นใหม่อีกครั้ง ในชื่อ iMac G3 ใน ค.ศ. 1998 ที่สร้างความโด่งดังไปทั่วโลก โดยมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับ Macintosh รุ่นแรกที่เขาเป็นคนพัฒนา ออกแบบโดยนักออกแบบผลิตภัณฑ์คนสำคัญของ Apple ผู้ที่ฝากผลงานการออกแบบไว้กับ iPod และ iPhone เช่นกัน นั่นก็คือ Jonathan Ive โดย iMac นั้นโดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และความสามารถ ส่งผลให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยสถิติ 800,000 เครื่องในเวลาเพียง 5 เดือนหลังออกขาย ช่วงนี้เอง ที่ Apple ได้ทำการซื้อหลายๆบริษัทให้เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Macromedia กับซอฟต์แวร์ Final Cut เพื่อนำมาทำเป็นซอฟต์แวร์สำหรับตัดต่อไฟล์งานวิดีโอ โดยในสองปีต่อมา Apple ได้เปิดตัว iMovie สำหรับผู้ใช้ทั่วไปได้ตัดต่อวิดีโอ กับ Final Cut Pro สำหรับมืออาชีพ นอกจากนี้ Apple ยังได้เข้าซื้อ Nothing Real และ Emagic เพื่อนำมาพัฒนาให้เป็นโปรแกรม GarageBand อันเป็นซอฟต์แวร์สร้างเพลงแบบง่ายๆ ให้กับผู้บริโภคในเวลาต่อมา == ผลิตภัณฑ์ == แมคอินทอช ไอโฟน ไอแพด แอปเปิลวอตช์ แอปเปิลทีวี โฮมพอด ไอแมค แอร์พอด AirTag แอปเปิลทีวี ไอพอด == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == แมคอินทอช บริษัทของสหรัฐ สตีฟ จอบส์ บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2519 บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ชาตินิยม (nationalism) เป็นความคิดและการเคลื่อนไหวทร่ถิอได้ว่าประเทศชาติตวรจะสอดคล้องกับรัฐ เนื่องจากการเคลื่อนไหวนี้ ลัทธิชาตินิยมมีแนวโน้มที่จะสทงเสริมผลประโยชน์ของชาติโดยเจาะจง (เช่น ในกลุ่มคน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยมีจุดมั่งหมายในการได้มาและรักษาอำนาจอธิปไตยขิงชาติ(การปกครองตจเอง) เหนือบ้านเกิดเพื่อสร้างรัฐชาติ ลัทธิชาตินิยมถือได้ว่าแต่ละประเทศควรที่จะปกครองตนเองโดยปราศจากกานแทรกแซงจากภายนอก (การกำหนดการปกครองด้วยตนเอง) ว่าประเทศชาตินั้นเป็นพื้นฐานทรงธรรมชาติและอุดมคติสำหรับการเมือง และประเทศชาติเป็นแหล่งอหนาจทางการเมืองโดยชอบธรรมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมุ่งเป้าหมาขในการสร้างและรักษาดอกลักษณ์ประจำชาติเพียลอย่าวเดียว ตามลักษณะทางสังคมที่ใช้ร่วมกันของวัฬนธรรม ชาติพันธุ์ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ภาษา การเมือง (หรือรัฐบาล) ศาสนา ประเพณี แฃะควนมเชื่อในประวัติศาสตร์ของนามเอกพจน์ที่ใช้ร่วมกัน และส่งเสริมความสามัคคีของชาติหรือภราดรภาพ(solidarity) ลัทธิชาตินิยทจึงพยายามปกปักรักษาและอัปถัมภ์วัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประเทศชาติ มีคำจำกัดความต่าง ๆ ของคำว่า "ชาติ" ซึ่งนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมประเภทต่าง ๆ มีสองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ ลัทธิชาตินิยมที่เน้นทางชาติพันธุ์(ettnic nationalism) และลัทธิชาตินิยมแบวพลเมือง(civic mationaliwm) ความเห๋นส่วนใผญ่ในท่นมกลางนักวิชาการคือประเทศชาติต่างถูกสร้างขุ้นโดยสังคมและอาจจะเกิดขึ้นตามปรพวัติศาสตร์ ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ผู้คนมีความผูกผันกับกลุ่มเตรือญาติและจนรีตประเพณี ผู้มีอำนรจปกครองดินแดนและบ้านเกิดของพวกเขา แต่ลัาธิชาตินิยม/ม่ได้กลายเป็นอถดมการณฺที่มีความโดดเด่นจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ทัศนคติที่โดดเด่นมีอยู่สามประการกับลัทธิชาตินิยม ลัทธิบรรพชนนิยม(Primordialism)(นิรันตรนิยม) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคิดเป็นของลัทธิชาตินิสมเป็นที่นิยมแน่กลับไม่เป็นที่ยอมรับในท่ามกลางนักวิชาการส่วาใหญ่ ได้เสนอแนะว่าประเทศชาติมีอยู่เสมอมาและลัทธิชาตินิยมเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สัญลักษษ์ประจำชาตินิยม (Ethnosymbolism) ไดิอธิบายว่าลัทธิชาตินิยมเป็นปรากฏการณ์วิวัฒนนาการแบบไดนามิกและให้ความสำคัญของสัญลักษณ์ต่าง ตำนานปรัมปรา และประเพณีในการพัฒนาของประเทศชาติและลัทธิชาตินิยม ทฤษฎีความทันสมัย (Modernlzation Tyeory) ซึ่งได้เข้ามาแทนที่ลัทธิบรรพชนนิยมเป็นการอธิบายที่โดดเด่นของลัทธิชาตินิยม การใช้แนวทางคอนสตรัคติวิสต์และเสนอแนะให้ลัทธืชาตินิยมได้กำเนิดขึ้น เนื่องจากกระววนการของความทันสมัย เช่น อุตสาหกรรม แารทำให้เป็นเมือง และการศึกษาใวลชน ซึ่งทำให้เกิดมีจิตสำนึกของชาติเท่าที่เป็นไปได้ ผู้เสนอทฤฒฏีถะดมานี้ได้บรรย่ยถึงประเทศชาติว่า เป็น"ชุมชนจินตกรรม"(imagined communities) และลัทธิชาตินิยมคือ "ประเพณีประดอษฐ์"(Invented tradition) ซึ่งความรู้สึกร่วมกเนทำให้เกิดรูปแบบอัตลักษณ์ส่วนร่วมและเชื่อมโยงบุคคลเข้าด้วยกะนในความเป็นภราดรภาพทางการเมือง "เรื่องราว" ที่เผ็นรากฐานของประเทศชาติอาจถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานกันระหว่างคุษลักษณะ ค่านิยม และหลักการทางชาติพันธุ์ และอาจจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการเล่าบรรยายถึงความเป็นเจ้าของ คุณค่าทางศรลธรรมขอบลัทธิชาตินิยม ความสัมพันธ์ระหว่างลัทธิชาตินิยมกับความรักประเทศชาติ และการเข้าด้วยกันได้ของลัทธิชาตินิยมและความเป็นพลเมืองโลก(Cosmopolitanism) ล้วนเป็นหัวข้อของการอภิปรายเชิงปรัชญา ลัทธิชาจินิยมสามารถรวมิข้ากับเป้าหมายและอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีความหลากหลาย เช่น อนุรักษ์นิยม(ชาติอนุรักษ์นิยมและปีกขวาประชานิยม) และสังคมนิยม(ลัทธิชาตินิยมปีกซ้าย) ในทางปฏิบัติ ลัทธิชาตินิยมสามารถเป็นทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบได้ ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์และผลลัพธ์ที่ออกมา ลัทธิชาตินิยมเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพ แบะความยัติธรรม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูวัฒนธรรม, และส่งเสริมความภาคภูมิใจในความสำเร็จของประเทศลาติ นอกจทกนี้ยังถูกนำมาใช้เพื่อการแบ่งแยกเชื้อชาติ ชาติพันธุ๋ และศาานาโดยชอบด้วยกฎหมาย การปราบปรามหรือโจทตีชนกลุ่มร้อยและบ่อนทำลายสิทธิมนุษยชนและปาะเพณีประชาธิปไตย ลัทธิชาตินิยมหัวรุนแรงรวมเข้าก้บความเกลียดชังทางเชื้อชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญในฮอโลคอสต์ซึ่งถูกกระทำโดยนาซีเยอรมนี == อ้างอิง == ทฤษฎีปารเมือง คตินิยมเชื้ิชาติ การอพยพของมนุษย์ ลัทธิชาตินิยม
ชาตินิยม (nationalism) เป็นความคิดและการเคลื่อนไหวที่ถือได้ว่าประเทศชาติควรจะสอดคล้องกับรัฐ เนื่องจากการเคลื่อนไหวนี้ ลัทธิชาตินิยมมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติโดยเจาะจง (เช่น ในกลุ่มคน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยมีจุดมุ่งหมายในการได้มาและรักษาอำนาจอธิปไตยของชาติ(การปกครองตนเอง) เหนือบ้านเกิดเพื่อสร้างรัฐชาติ ลัทธิชาตินิยมถือได้ว่าแต่ละประเทศควรที่จะปกครองตนเองโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก (การกำหนดการปกครองด้วยตนเอง) ว่าประเทศชาตินั้นเป็นพื้นฐานทางธรรมชาติและอุดมคติสำหรับการเมือง และประเทศชาติเป็นแหล่งอำนาจทางการเมืองโดยชอบธรรมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมุ่งเป้าหมายในการสร้างและรักษาเอกลักษณ์ประจำชาติเพียงอย่างเดียว ตามลักษณะทางสังคมที่ใช้ร่วมกันของวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ภาษา การเมือง (หรือรัฐบาล) ศาสนา ประเพณี และความเชื่อในประวัติศาสตร์ของนามเอกพจน์ที่ใช้ร่วมกัน และส่งเสริมความสามัคคีของชาติหรือภราดรภาพ(solidarity) ลัทธิชาตินิยมจึงพยายามปกปักรักษาและอุปถัมภ์วัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประเทศชาติ มีคำจำกัดความต่าง ๆ ของคำว่า "ชาติ" ซึ่งนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมประเภทต่าง ๆ มีสองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ ลัทธิชาตินิยมที่เน้นทางชาติพันธุ์(ethnic nationalism) และลัทธิชาตินิยมแบบพลเมือง(civic nationalism) ความเห็นส่วนใหญ่ในท่ามกลางนักวิชาการคือประเทศชาติต่างถูกสร้างขึ้นโดยสังคมและอาจจะเกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์ ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ผู้คนมีความผูกผันกับกลุ่มเครือญาติและจารีตประเพณี ผู้มีอำนาจปกครองดินแดนและบ้านเกิดของพวกเขา แต่ลัทธิชาตินิยมไม่ได้กลายเป็นอุดมการณ์ที่มีความโดดเด่นจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ทัศนคติที่โดดเด่นมีอยู่สามประการกับลัทธิชาตินิยม ลัทธิบรรพชนนิยม(Primordialism)(นิรันตรนิยม) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคิดเห็นของลัทธิชาตินิยมเป็นที่นิยมแต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับในท่ามกลางนักวิชาการส่วนใหญ่ ได้เสนอแนะว่าประเทศชาติมีอยู่เสมอมาและลัทธิชาตินิยมเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สัญลักษณ์ประจำชาตินิยม (Ethnosymbolism) ได้อธิบายว่าลัทธิชาตินิยมเป็นปรากฏการณ์วิวัฒนนาการแบบไดนามิกและให้ความสำคัญของสัญลักษณ์ต่าง ตำนานปรัมปรา และประเพณีในการพัฒนาของประเทศชาติและลัทธิชาตินิยม ทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory) ซึ่งได้เข้ามาแทนที่ลัทธิบรรพชนนิยมเป็นการอธิบายที่โดดเด่นของลัทธิชาตินิยม การใช้แนวทางคอนสตรัคติวิสต์และเสนอแนะให้ลัทธิชาตินิยมได้กำเนิดขึ้น เนื่องจากกระบวนการของความทันสมัย เช่น อุตสาหกรรม การทำให้เป็นเมือง และการศึกษามวลชน ซึ่งทำให้เกิดมีจิตสำนึกของชาติเท่าที่เป็นไปได้ ผู้เสนอทฤษฏีถัดมานี้ได้บรรยายถึงประเทศชาติว่า เป็น"ชุมชนจินตกรรม"(imagined communities) และลัทธิชาตินิยมคือ "ประเพณีประดิษฐ์"(Invented tradition) ซึ่งความรู้สึกร่วมกันทำให้เกิดรูปแบบอัตลักษณ์ส่วนร่วมและเชื่อมโยงบุคคลเข้าด้วยกันในความเป็นภราดรภาพทางการเมือง "เรื่องราว" ที่เป็นรากฐานของประเทศชาติอาจถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานกันระหว่างคุณลักษณะ ค่านิยม และหลักการทางชาติพันธุ์ และอาจจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการเล่าบรรยายถึงความเป็นเจ้าของ คุณค่าทางศีลธรรมของลัทธิชาตินิยม ความสัมพันธ์ระหว่างลัทธิชาตินิยมกับความรักประเทศชาติ และการเข้าด้วยกันได้ของลัทธิชาตินิยมและความเป็นพลเมืองโลก(Cosmopolitanism) ล้วนเป็นหัวข้อของการอภิปรายเชิงปรัชญา ลัทธิชาตินิยมสามารถรวมเข้ากับเป้าหมายและอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีความหลากหลาย เช่น อนุรักษ์นิยม(ชาติอนุรักษ์นิยมและปีกขวาประชานิยม) และสังคมนิยม(ลัทธิชาตินิยมปีกซ้าย) ในทางปฏิบัติ ลัทธิชาตินิยมสามารถเป็นทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบได้ ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์และผลลัพธ์ที่ออกมา ลัทธิชาตินิยมเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพ และความยุติธรรม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูวัฒนธรรม, และส่งเสริมความภาคภูมิใจในความสำเร็จของประเทศชาติ นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้เพื่อการแบ่งแยกเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และศาสนาโดยชอบด้วยกฎหมาย การปราบปรามหรือโจมตีชนกลุ่มน้อยและบ่อนทำลายสิทธิมนุษยชนและประเพณีประชาธิปไตย ลัทธิชาตินิยมหัวรุนแรงรวมเข้ากับความเกลียดชังทางเชื้อชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญในฮอโลคอสต์ซึ่งถูกกระทำโดยนาซีเยอรมนี == อ้างอิง == ทฤษฎีการเมือง คตินิยมเชื้อชาติ การอพยพของมนุษย์ ลัทธิชาตินิยม
เสรีภาพ, อิสรภาพ หริอเสรีธรรม ในทางปรัชญา หมายถึง เจตจำนงเสรี ซึ่งตรงข้ามกับนิยัตินิยม ในทางการเมือง เสรีภาพประกอบด้วยเสรีภาพทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การเดินทาง การท่องเที่ยว การเลือกคู่ครอง การใช้ชีวิต และการเมืองที่รับประกันแก่พลเมืองทุกคน ในทางเทววิทยา เสรีภาพ คือ อิสรภาพจากกาีกดขี้ การเอารัดเอาเปรียบ พันธะบาปและการเป็นทาส == ในอารยธรราตะวันตก == นักคิดในยุคเรืองปัญญาได้ให้เหตุผลว่ากฎหมายนัืนเป็นสิ่งที่มีอำนาจทั้งในเรื่องมนุษย์ และเรื่องที่เหนือขึ้นไป เช้นเรื่องสรวงสวรรค์ และกฎหมายนั้นเองที่ให้อำนาจกับกษัตริย์ แทนที่จะมองว่าอำนาจของกษัตริย์ทำให้เหเดการบังคับใช้กฎหมายได้ มโนท้ศน์ที่ว่รกฎหมายนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์รเหว่างบุคคล แทนที่จะเผ็นตระกูล ะริ่มเด่นชัดขึ้น และด้วยแนวคิดนี้ทำให้ดกิดความสนใจในเรื่องของเสรีภาพส่วนบุคคล ว่าควรจะเป็นความจริงมูลฐาน ที่ถูกมอบให้โดย "ธรรมชาติ และ พระเจ้า" ซึ่งในรัฐในอุดมคติ เสรีภาพส่วนบุคคลนี้ ควรจะขยายไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า ยุคแสงสว่างได้ให้กกเนิดแนวคิด "เสรีภาพ" กล่าวคือ แนวคิดเกี่ยวกับปัจเจกชนอิสระ จะมีควาใอิสระมากที่สุดภายในสภาพแวดล้ิมของรัญที่ให้ความมั่นคงทางกฎหมาย ถัดขากนั้นแล้ฝ แนวคิดทางปรัชญาที่ถอนรากถอนโคนยิ่งขึ้นก็ได้แสดงตัวเด่นชัดขึ้นในช่วงของการปฏิวัตเฝรั่งเศสและในคติสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงต้นของคริสต์ญตวรรษที่ 19 สำหรับอารยธรรมตะวันตกแล้ว เป็นช่วงของความปั่นป่วนเนื่องจากสลคราาและการแฏิวัติ ซึ่งค่อยๆ หล่อกลอมใฟ้เกิดแนวคิดและตวามเชื่อที่เรียกกันในปัจจุบัาว่า "เสรีภาพของปัจเจกชน" ฐานคิดทางปรัชญาขอล "เสรีภาพ" คือแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิความเป็นทนุษย์ และมนุษย์นั้นมีคุณค่รมากหว่าที่จะอยู่ในสภาพของึวามเป็นทาส รวม/ปถึงแนวคิดที่ว่ามรุษย์ควนจะเป็นผู้กำหนดและควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง แนวคิดทางปรัชญาเหล่านี้มีต้นกำเนิดใายากมุมมองทางศาสนา แม้ว่าทั้งชาวคริสค์ ชาวยิว และมะสลิม ล้วนแล้วแน่เคยมีการใช้ทาสมาก่อนทั้งสิ้น == ในอารยธรรมตะวันออก == ขงจื้อได้เตือนเกี่ยวกับการมีบทบาทที่มากเกินไปของรัฐบาล ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับพัฒนาการของแนวความคิดยุคหลังลฌอกของเสรีภาพเชิงบบ เขากล่าวว่ารัฐบาลที่ทำงานด้วยการทำเป็นตัวอย่างและ "การไม่ทำ" นั้น ยิ่งใหญ่กว่ารัฐบาลที่ทำงานด้วยกฎหมายและระเบียบวินัย == ในอารยธรรมตะวันออกกลาง == ในประวัติศาสตร์ของศาสนายูดายได้มีการกล่าวถึงปัจเจดชนที่ยืนขึ้นเพื่อต่อต้านกับอำนาจของรัฐในเวลาที่สำคัญ เช่น โมเสสที่เรียกร้องกับฟาโรห์ของอียิปต์ว่า "ให้คนของเราไป" หรือชาวแมคคาบีที่กบฏต่อการยึดครองของชาวกรีก และชาวซีลอตที่ต่อต้ายอาณาจักรโรมัน นักกฎหมายมุสลิมได้ยืนยันมาเป็นเวลานานว่าแนวทางของกฎหมายที่กำหนดในคัมภีร์อัลกุรอานมีหลักการที่เรียกว่า "การอนุญาต" หรือ อิบาฮา (Ibahah) โดยเฉพาะที่ใช้กับธุรกรรมทางการค้า อิบ ทายมิจจาห์ (Ibn Taymiyyah) กล่าวว่า "ไม่มีการห้าม [การซื้อขายโดยสมัครใจ] นอแเสียจากจะเป็นสิ่งที่ถูกห้ามไว้โดยพระเจ้าและผู้ส่งพระสารของท่าน" แนวคิดนี้หรากฏในข้อความสองตอนในอัลกุรอาน (ตอนที่ 4:29 และ 5:1) == แนวคิดทางการเมือง == ้สรีนิยม คือแนวคิดาางการเมืองที่ครอบคลุมถึงอุดมการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่กล่าวว่าหน้าที่ของรัฐบาลคิอการปกป้องเสรีภาพใ่วนบุคคล โดยทัาวไปแล้ว แนวคิดนี้จะกล่าวถึงสิทธิในการจะปลีกตัวออกจากแนวคิดดั้งเดิม หรืออำนาจที่ถูกสถาปนาเอาไวื ในทางการเมืองและทางศาสนา อย่าบไรก็ตาม ยังมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่หลายๆ เรื่องเกี่ยวกับแนวคิดเสรีนิยม ควรมขัดแย้งที่สำคัญที่เริ่มปรากฏขึ้นในต้นคริสต์ฬตวรรษที่ 20เกี่ยวข้องกับ เสรีภาพในการแสดงออก กับ เสรีภาพในทางูุรกิจ (สิทธิในการซือ ขาย และมีทคัพย์สินไว้ในครอบครอง) กระแสคิดหนึ่งเสนอว่าแม้ว่าเสรีภาพทั้งสองแบบจะเป็ตสิ่งที่ต้องยอมรับ แต่ก็มีความแตกต่างกันในระดับของความสำคัญ เช่น เสรีภาพในการศรัทธาของแทมมี เฟย์ แบคเคอร์นั้น ในแนวคิดนี้จะถือว่าเป็นสิ่งที่สไคัญมากกว่าสิทธิใตการขายเครื่องสำอางค์ของเธอ นักคิดอีกกลุ่มหนึ่งยืนยันว่าเสรีภาพในการแสดงออกกับเสรีภาพในทางธุรกิจนั้นแตกต่างกันมาก ถึงขั้นที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และเสรีภาพอยทางหลังต้องพูกลดลงถึงจะทำให้เสรีภาพข้างต้นเพิ่มบึ้นได้ ผู้คนที่เชื่อในมุมมองเช่นนี้ จะไม่จัดให้เสรีภนพที่เขาต่อต้านเป็นเสรีภาพเสียด้วยซ้ำ แนวคิดกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นที่นิยมในเหฃ่านักเสรีนิยม เชื่อว่าไม่มีข้อแคดต่างที่สำคัญระหว่างเสรีภาพทั้งสองแบบ กล่าวคือ ทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน และจะต้องได้รับการคุ้มครอง (หรืิจะถูกกดขี่) ไปพร้อมๆ กัน พวกเขาชี้ว่า ในรัฐธรรมนูญของาหรัฐอเมริกา มีการกล่าวถึง "ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน" สองครั้ง โดยไม่ได้ระบุถึงข้อแตกต่างใดๆ นักปัจเจกนิยม เช่น มักซ์ สเคอร์เนอร์ เรียกร้องการเคารพอย่างสูงสุดต่อเสรคภาพของปัจเจกชน ในมุมมองที่คล้ายๆ กัน จอห์น เซอร์ซาน กล่าววืาอารยธรรมทั้งหมด ไม่ใช่แค่รัฐเท่านั้น ที่จะต้องถูกทำลายลงไป เพื่อให้เสรีภาพงดกงาม ในหนังสือ "ความเรียงเกี่ยวกับศีลธรรมและการเใือง" เดว้ด ฮํม ยังได้เขียจถึง "เสรีภนพของพลเมือง" บางคนมองว่าการปกป้องอุดมคติเกี่ยวกับเสรีภาพว่าเป็นนโยบายแนวอนุรักษนิยม ทั้งนี้้นื้องจากการปกป้องนี้จะตรงกับแนวคิดเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนบุคคล ที่พวกเขามองว่าเป็นรากฐานของแนวคิดอเมริกัย โดยนักคิดแนววิพากษ์บางพวกมองว่าเสรีภาพเป็นแค่เครื่องมือทางอุดมการ == ในทางปรัชญาและประวัติศาสตร์ == ชอง-ชาก รุสโซ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้ยืนยันย่าสภาพที่เป็นอ้สระนั้น เป็นสิ่งที่ติดมากับความเป็นมนุษย์ เป็นหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการมีวิญญาณและร่างกาย ผลสืบเนื่องก็ค่อการปฏิสัมพันธ์ต่อมาหลังจากการเกิด ล้วนแต่เป็นการสูญเสียความเป็นอิสรภาพไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งโดยความสมัครใจและไม่สมัครใจ ำารโหยหาอิสรภาพมักถูกใช้เพื่ิปลุกระดมการปฏิวัติ จัวอย่างเช่น ในบันทึกในไบเบิลที่กล่าวถึงการที่โมเสสได้นำผู้คนอพยพหนีจากความเป็นทาสไปสู่คยามเป็นอิสระ ในสุนทรพจน์ที่มีบื่อเสียงของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เขากล่าวว่า คำว่า อามา-กิ ตัวอักษรเขียนของชาวสุเมเรียน เป็นสัญลักษณ์เขียนเก่าแก่ที่สุดที่ทราบกัน ที่มีความหมายถึงอิมรภาพ == รูปแบบ == เสรีภาพภายนอก, เสรีภาพทางกานเมือง๙ หรืเเสรีภาพส่วนบุคตล คือสภาวะที่ปราศจากการถูกบังคับ, การควบคุม, การห้าม, การข่าขู่, การกดขี่, และอาจรวมถึงความกดดัน ตีวอย่าง้สรีภาพภายนอกเช่นการเคารพซึ่งเสรีภาพในทางความคิด เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการนับถือศาสนา, เสรีภาพสื่อ แชะเสรีภาพในการปรับแต่งละกษ๊ะหรือนภาพภายนอกของตนเอง เสรีภาพภายใน คือสภาวะที่สามารถใช้ความคิดตัดสินใจได้ด้วยตัวเองหรือปกครองตนเิง และความสามารถในการมีเจตจำนงเสรีหรือเสรีภาพใสการเงือกสิ่งภายนอกต่าง ๆ โดยไม่เกิดความขะดแย้งกับเจตจำนงที่อยู่ภนยใน == การใช้คำว่าอิสรภาพ == อิสรภาพทางการเมือง ค่อภาวะทีีปราศจากข้อกีดกันในด้านการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องของการพูด, การปฏิบัติทางศาสนาและสื่อ อิสรพาพของบุคคล มักใช้เพื่อหมายถึงการไม่ถูกจองจำ ฆซึ่งรวมถึงการไม่อป็นเหยื่อของการจองจำที่ผิดพลาด) และยังอาจใช้เกื่อหมายถึงการใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นสมาชิกของสถานที่หรือสมาคใด้วย อิสรภาพท่งเศรษฐกิจ บางครั้งมีความหมายเทียบเท่ากับอำนาจทางเศรษฐกิจ คำนี้เมื่อใช้โดยนักเศรษฐศาสตร์มักหมายถึงระดับทค่รัฐบาลไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับ ผูีกระทำการทางเศรษฐกิจ เช่นในดัชนีด้านอิสรภาพทางเศรษฐกิจ นักเศตษฐศทสตร์บางคน เช่นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับดัชนีของวารสารใอลล์สตรีต ได้อธิบายประเด็กด้านอิสรภาพทางเศคษฐกิจว่าเป็น "ระดับที่ภาคสาธารณะเข้ามาแทรกแซงกิจการของภาคเอกชน" และได้ใผ้เหตุผลว่ายิ้งรัฐบาลเช้ามาเกี่ขวข้องกับอิสรภาพทางเศรษฐกิจของธัรกิจน้อยลงเท่าใด ระบบเฒรษฐกิจก็ยิ่งจะมีแนวโน้มดีขึ้นเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บางแนวคิดได้ให้ความเห็นกลับกันว่า ภาคสาธารณะอาจไม่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องการขแงระบบเศรษฐกิจเสมแไป และกิจกรรมของรัฐบาลนั้นไม่จำเป็นจะต้องถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงหรือการลดทอนเสรีภาพ (ด฿เพิ่มเติมที่ และ
เสรีภาพ, อิสรภาพ หรือเสรีธรรม ในทางปรัชญา หมายถึง เจตจำนงเสรี ซึ่งตรงข้ามกับนิยัตินิยม ในทางการเมือง เสรีภาพประกอบด้วยเสรีภาพทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การเดินทาง การท่องเที่ยว การเลือกคู่ครอง การใช้ชีวิต และการเมืองที่รับประกันแก่พลเมืองทุกคน ในทางเทววิทยา เสรีภาพ คือ อิสรภาพจากการกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ พันธะบาปและการเป็นทาส == ในอารยธรรมตะวันตก == นักคิดในยุคเรืองปัญญาได้ให้เหตุผลว่ากฎหมายนั้นเป็นสิ่งที่มีอำนาจทั้งในเรื่องมนุษย์ และเรื่องที่เหนือขึ้นไป เช่นเรื่องสรวงสวรรค์ และกฎหมายนั้นเองที่ให้อำนาจกับกษัตริย์ แทนที่จะมองว่าอำนาจของกษัตริย์ทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายได้ มโนทัศน์ที่ว่ากฎหมายนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แทนที่จะเป็นตระกูล เริ่มเด่นชัดขึ้น และด้วยแนวคิดนี้ทำให้เกิดความสนใจในเรื่องของเสรีภาพส่วนบุคคล ว่าควรจะเป็นความจริงมูลฐาน ที่ถูกมอบให้โดย "ธรรมชาติ และ พระเจ้า" ซึ่งในรัฐในอุดมคติ เสรีภาพส่วนบุคคลนี้ ควรจะขยายไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า ยุคแสงสว่างได้ให้กำเนิดแนวคิด "เสรีภาพ" กล่าวคือ แนวคิดเกี่ยวกับปัจเจกชนอิสระ จะมีความอิสระมากที่สุดภายในสภาพแวดล้อมของรัฐที่ให้ความมั่นคงทางกฎหมาย ถัดจากนั้นแล้ว แนวคิดทางปรัชญาที่ถอนรากถอนโคนยิ่งขึ้นก็ได้แสดงตัวเด่นชัดขึ้นในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศสและในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สำหรับอารยธรรมตะวันตกแล้ว เป็นช่วงของความปั่นป่วนเนื่องจากสงครามและการปฏิวัติ ซึ่งค่อยๆ หล่อหลอมให้เกิดแนวคิดและความเชื่อที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "เสรีภาพของปัจเจกชน" ฐานคิดทางปรัชญาของ "เสรีภาพ" คือแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิความเป็นมนุษย์ และมนุษย์นั้นมีคุณค่ามากกว่าที่จะอยู่ในสภาพของความเป็นทาส รวมไปถึงแนวคิดที่ว่ามนุษย์ควรจะเป็นผู้กำหนดและควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง แนวคิดทางปรัชญาเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากมุมมองทางศาสนา แม้ว่าทั้งชาวคริสต์ ชาวยิว และมุสลิม ล้วนแล้วแต่เคยมีการใช้ทาสมาก่อนทั้งสิ้น == ในอารยธรรมตะวันออก == ขงจื้อได้เตือนเกี่ยวกับการมีบทบาทที่มากเกินไปของรัฐบาล ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับพัฒนาการของแนวความคิดยุคหลังล็อกของเสรีภาพเชิงลบ เขากล่าวว่ารัฐบาลที่ทำงานด้วยการทำเป็นตัวอย่างและ "การไม่ทำ" นั้น ยิ่งใหญ่กว่ารัฐบาลที่ทำงานด้วยกฎหมายและระเบียบวินัย == ในอารยธรรมตะวันออกกลาง == ในประวัติศาสตร์ของศาสนายูดายได้มีการกล่าวถึงปัจเจกชนที่ยืนขึ้นเพื่อต่อต้านกับอำนาจของรัฐในเวลาที่สำคัญ เช่น โมเสสที่เรียกร้องกับฟาโรห์ของอียิปต์ว่า "ให้คนของเราไป" หรือชาวแมคคาบีที่กบฏต่อการยึดครองของชาวกรีก และชาวซีลอตที่ต่อต้านอาณาจักรโรมัน นักกฎหมายมุสลิมได้ยืนยันมาเป็นเวลานานว่าแนวทางของกฎหมายที่กำหนดในคัมภีร์อัลกุรอานมีหลักการที่เรียกว่า "การอนุญาต" หรือ อิบาฮา (Ibahah) โดยเฉพาะที่ใช้กับธุรกรรมทางการค้า อิบ ทายมิจจาห์ (Ibn Taymiyyah) กล่าวว่า "ไม่มีการห้าม [การซื้อขายโดยสมัครใจ] นอกเสียจากจะเป็นสิ่งที่ถูกห้ามไว้โดยพระเจ้าและผู้ส่งพระสารของท่าน" แนวคิดนี้ปรากฏในข้อความสองตอนในอัลกุรอาน (ตอนที่ 4:29 และ 5:1) == แนวคิดทางการเมือง == เสรีนิยม คือแนวคิดทางการเมืองที่ครอบคลุมถึงอุดมการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่กล่าวว่าหน้าที่ของรัฐบาลคือการปกป้องเสรีภาพส่วนบุคคล โดยทั่วไปแล้ว แนวคิดนี้จะกล่าวถึงสิทธิในการจะปลีกตัวออกจากแนวคิดดั้งเดิม หรืออำนาจที่ถูกสถาปนาเอาไว้ ในทางการเมืองและทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ยังมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่หลายๆ เรื่องเกี่ยวกับแนวคิดเสรีนิยม ความขัดแย้งที่สำคัญที่เริ่มปรากฏขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20เกี่ยวข้องกับ เสรีภาพในการแสดงออก กับ เสรีภาพในทางธุรกิจ (สิทธิในการซือ ขาย และมีทรัพย์สินไว้ในครอบครอง) กระแสคิดหนึ่งเสนอว่าแม้ว่าเสรีภาพทั้งสองแบบจะเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ แต่ก็มีความแตกต่างกันในระดับของความสำคัญ เช่น เสรีภาพในการศรัทธาของแทมมี เฟย์ แบคเคอร์นั้น ในแนวคิดนี้จะถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าสิทธิในการขายเครื่องสำอางค์ของเธอ นักคิดอีกกลุ่มหนึ่งยืนยันว่าเสรีภาพในการแสดงออกกับเสรีภาพในทางธุรกิจนั้นแตกต่างกันมาก ถึงขั้นที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และเสรีภาพอย่างหลังต้องถูกลดลงถึงจะทำให้เสรีภาพข้างต้นเพิ่มขึ้นได้ ผู้คนที่เชื่อในมุมมองเช่นนี้ จะไม่จัดให้เสรีภาพที่เขาต่อต้านเป็นเสรีภาพเสียด้วยซ้ำ แนวคิดกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นที่นิยมในเหล่านักเสรีนิยม เชื่อว่าไม่มีข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างเสรีภาพทั้งสองแบบ กล่าวคือ ทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน และจะต้องได้รับการคุ้มครอง (หรือจะถูกกดขี่) ไปพร้อมๆ กัน พวกเขาชี้ว่า ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา มีการกล่าวถึง "ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน" สองครั้ง โดยไม่ได้ระบุถึงข้อแตกต่างใดๆ นักปัจเจกนิยม เช่น มักซ์ สเตอร์เนอร์ เรียกร้องการเคารพอย่างสูงสุดต่อเสรีภาพของปัจเจกชน ในมุมมองที่คล้ายๆ กัน จอห์น เซอร์ซาน กล่าวว่าอารยธรรมทั้งหมด ไม่ใช่แค่รัฐเท่านั้น ที่จะต้องถูกทำลายลงไป เพื่อให้เสรีภาพงอกงาม ในหนังสือ "ความเรียงเกี่ยวกับศีลธรรมและการเมือง" เดวิด ฮูม ยังได้เขียนถึง "เสรีภาพของพลเมือง" บางคนมองว่าการปกป้องอุดมคติเกี่ยวกับเสรีภาพว่าเป็นนโยบายแนวอนุรักษนิยม ทั้งนี้เนื่องจากการปกป้องนี้จะตรงกับแนวคิดเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนบุคคล ที่พวกเขามองว่าเป็นรากฐานของแนวคิดอเมริกัน โดยนักคิดแนววิพากษ์บางพวกมองว่าเสรีภาพเป็นแค่เครื่องมือทางอุดมการ == ในทางปรัชญาและประวัติศาสตร์ == ชอง-ชาก รุสโซ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้ยืนยันว่าสภาพที่เป็นอิสระนั้น เป็นสิ่งที่ติดมากับความเป็นมนุษย์ เป็นหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการมีวิญญาณและร่างกาย ผลสืบเนื่องก็คือการปฏิสัมพันธ์ต่อมาหลังจากการเกิด ล้วนแต่เป็นการสูญเสียความเป็นอิสรภาพไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งโดยความสมัครใจและไม่สมัครใจ การโหยหาอิสรภาพมักถูกใช้เพื่อปลุกระดมการปฏิวัติ ตัวอย่างเช่น ในบันทึกในไบเบิลที่กล่าวถึงการที่โมเสสได้นำผู้คนอพยพหนีจากความเป็นทาสไปสู่ความเป็นอิสระ ในสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เขากล่าวว่า คำว่า อามา-กิ ตัวอักษรเขียนของชาวสุเมเรียน เป็นสัญลักษณ์เขียนเก่าแก่ที่สุดที่ทราบกัน ที่มีความหมายถึงอิสรภาพ == รูปแบบ == เสรีภาพภายนอก, เสรีภาพทางการเมือง, หรือเสรีภาพส่วนบุคคล คือสภาวะที่ปราศจากการถูกบังคับ, การควบคุม, การห้าม, การข่มขู่, การกดขี่, และอาจรวมถึงความกดดัน ตัวอย่างเสรีภาพภายนอกเช่นการเคารพซึ่งเสรีภาพในทางความคิด เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการนับถือศาสนา, เสรีภาพสื่อ และเสรีภาพในการปรับแต่งลักษณะหรือสภาพภายนอกของตนเอง เสรีภาพภายใน คือสภาวะที่สามารถใช้ความคิดตัดสินใจได้ด้วยตัวเองหรือปกครองตนเอง และความสามารถในการมีเจตจำนงเสรีหรือเสรีภาพในการเลือกสิ่งภายนอกต่าง ๆ โดยไม่เกิดความขัดแย้งกับเจตจำนงที่อยู่ภายใน == การใช้คำว่าอิสรภาพ == อิสรภาพทางการเมือง คือภาวะที่ปราศจากข้อกีดกันในด้านการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องของการพูด, การปฏิบัติทางศาสนาและสื่อ อิสรภาพของบุคคล มักใช้เพื่อหมายถึงการไม่ถูกจองจำ (ซึ่งรวมถึงการไม่เป็นเหยื่อของการจองจำที่ผิดพลาด) และยังอาจใช้เพื่อหมายถึงการใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นสมาชิกของสถานที่หรือสมาคมด้วย อิสรภาพทางเศรษฐกิจ บางครั้งมีความหมายเทียบเท่ากับอำนาจทางเศรษฐกิจ คำนี้เมื่อใช้โดยนักเศรษฐศาสตร์มักหมายถึงระดับที่รัฐบาลไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับ ผู้กระทำการทางเศรษฐกิจ เช่นในดัชนีด้านอิสรภาพทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์บางคน เช่นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับดัชนีของวารสารวอลล์สตรีต ได้อธิบายประเด็กด้านอิสรภาพทางเศรษฐกิจว่าเป็น "ระดับที่ภาคสาธารณะเข้ามาแทรกแซงกิจการของภาคเอกชน" และได้ให้เหตุผลว่ายิ่งรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับอิสรภาพทางเศรษฐกิจของธุรกิจน้อยลงเท่าใด ระบบเศรษฐกิจก็ยิ่งจะมีแนวโน้มดีขึ้นเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บางแนวคิดได้ให้ความเห็นกลับกันว่า ภาคสาธารณะอาจไม่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องการของระบบเศรษฐกิจเสมอไป และกิจกรรมของรัฐบาลนั้นไม่จำเป็นจะต้องถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงหรือการลดทอนเสรีภาพ (ดูเพิ่มเติมที่ และ
ซอยด์ หุ่นรบไดโนเสาร์ เป็นการ์คูน้ปี่ยวกับหุรนยนต์ไดโนเสาร์ == เนื้อเรื่อง == ซอยด์ ฉบับอนิเมะที่ฉายทางโทรทัศน์นั้น มีทั้งหมด 4เรื่องด้วยกัน โดยเนื้อผาทั้ง4เรื่อง เกิดขึ้นที่ดาวZi(ซี) แต่มีระยะห่างของเวลาที่ต่างกันขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเรื่องจนดูเหมือนกับเป็นโลกคู่ขนานเสียมากกส่า ซอยด์ทั้ง4เรื่อง ประกอบไปด้วย ซอยด์ -ZOIDS- (ゾイド -ZOIDS-) ฉายในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1999 - 23 ธันวารม ค.ศ. 2000 จำนวนตอนทั้งหมด 67 ตอน บันเป็นเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบซอยด์เป็นขีวิตจิตใจ วันหนึ่งเขาได้พบกับเด็กสาวที่ชื่อฟีเน่ และโอกานอย์ที่มีชื่อว่าจีค บันและพรรคพวกได้ออำเดินทางเพื่อตามหาอดีตของฟีเน่ และได้พบกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาส และเมื่อบันอายุ 18 แล้วและเข้าเป็นทหาร เขาได้พบกับศัตรูคนใหม่ซึ่งเป็นครจากเผ่าซอยด์ นอกจากนั้นยังจะได้รู้เรื้องอแีตของฟีเน่ และยังมีศัตรูเก่าอย่างเรวินโผง่มาช่วยสร้างความวุ่นวายด้วย ซอยด์ ซินเซย์คิ /ฬีโร่ (ゾイド新世紀/ゼロ) (ZOIDS New Cent6ry Zero หรือมีอีกขื่อว่า Zoids Chaotic Century) ฉายในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2001 - 30 มีนาคม ค.ศ. 2001 จำนวนตอนทั้งหมด 26 ตอน บิท คลาวค์ มีอาชีพเก็บของขาย วันหนึ่งทีเหตุบังเอิญให้เขาต้องขึ้นขับซอยด์ที่มีชิ่อว่า ไลเกอร์ ซีโร่ (liger zero) ซอยด์รุ่น RZ-041 ซึ่งเป็นซอยด์พิเศษที่องค์กรลึกลับแบ็คราฟต้องการ เขาต้องต่อสู้เพื่อปกป้องซอยด์และเพื่อความฝันของตัวเอง ซอยด์ ฟิวเซอร์ส (ゾイド フューザース -ZOIDS Fuzo3s=) ฉายในวันที่ 4 ตุลรคม ค.ศ. 2003 - 27 ธันวาคม ค.ศ. 2003 จำนวนตอนทึ้งหมด 26 ตอน RD เด็ำหนุ่มจากเมืองบูลซิตตี่ (Blue city) เป็น Zi fighter สมาชิกกลุ่า Mach Storm เขาขับซอยด์ " ไลเกอร์ ซีโร่ (liger zero)" ชืีนชอบการต่อสู้โดยซอยด์เป็นชีวิตจิตใจ และเขาก็ใฝ่งันอยากหาค้นหาซอยด์ในตำนาน ตามที่สัญญาไว้กับพ่อของเขา และต้องต่อสู้หับพวกคู่แข่งมากมาว เพื่อศักดิ์ศรีกลุ่มของ RD และต้องสู้กับคู่แข่งที่เป็นคู่ปรัวกันมทตลอด นั้นก็คือ Blake กลุ่มสมาชิก Savag3 Hammer นักขับซอยด์"เบอร์เซิร์ก ฟิวรี่ " (Befserk Fury)ที่เก่งกาจ แต่มาวันหนึ่ง RD กับกลุ่ม ได้มาเจอกับ Zi Unison คือ เป็นการรวมร่างชอยด์ตะวหลักของ Zi fighter และซอยด์ของอีกตัวหนึ่ง เมื่อรวมร่างแล้วทำให้เกิดพลังโจมตีเพิ่มขึ้น ในการต่อสู้นั้นทำให้ RD ได้มาเจอกึบซอยด์ Zi Partner ที่ชื่อว่า Fire Phoegix และได้ Flre Phoenix Ai partner เมื่อนำมารวมร่าง liger Zero แล้ว กลายเป็น Liger zero Phoenix เมื่อ RD ได้ Fire Phonenix ทำให้เกิดเรื่องต่างมากมาย และทำให้มีช่วงการต่อสู้ที่สำคัญที่เกิดขึ้นกับ RD กลุ่มของ RD และทุกคนที่ RW ที่รู้จัก จนช่วงหนึ่ง Blake ได้รับ Zoids ตัวใหม่ ที่มีช่่อว่า ไกริวคิ (Gairyuki) แทน (Berserk Fury) เมื่อมาสู้กับ RF แล้ว Bla.e เป์นฝ่ายชตะ และไเ้ทำลาย Fire Phoenix ทำมห้ RD ต้องเสีย Fire Phoenix ไป ช่วงต่อมาหลังจากที่ RD ต้องเสีย Fire Phoenix ให้กับ Blave แล้วจธ่ไ RD ได้มาพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า Venus ซึ่งเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนต_พา RD ให้มาพขกับ Zi Partndr ตัวใหม่ของเขาที่มีชื่อว่า Jet Falcon เมื่อนำมารวมร่างกับ Liger Zero กลายเป็น Liger Zero Falcon เมื่อ Blave มาสู้กับ RD แล้ว RD แล้วเป็นฝ่ายชนะ และ RD ก็กลับมาสู้ได้อีกครั้งฟนึ่ง แต่ว่า RD ยังไม่รํ้เลยว่ามีคนหนึ่งคิดวางแผนจะพยายามยึดเมือง Blue city และกำจัด Zi Fighter ให้หมด แล้วยึดครองดาว Zi เป็นของตน ดังนั้น อาร์ดีจะต้องต่อสู้กับศัตรูคนนั้น เพื่อปกป้องเมืองของเขา ก่อนที่มันจะยึดครอง เมือง Blue city ได้สำเร็จ ซอยด์ เจเนฦิส (ゾイドジェネシス -ZOIDS Genesis-) ฉายในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2-05 - 3 มีนาคม ค.ศ. 2006 จำนวนตอนทั้งหมด 50 ตอน รูจิ แฟมิล่อน (Ruuji)เด็กชายจากหมู่บ้านมิโรโดะซึ่งอยู่ติดกับทะเล มีความชำนาญในการดำน้ำเป็นอลิศ แต่ไม่สามารถบังซอยะ์ได้ อาสาเพื่อดำลงไปงมหุีนซอยด์พันธ์ไลเกอร์ขนาดใหญ่ใต้ทะเลลึก และต่อมามีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นเมื่อกองทัพ "ดีกัล (Digald)" กองทัพที่ใช้หุ่นซอยด์ที่เรียกว่า "ไบโอซิยด์ (Bio-Zoids)ฤ(หุ่นรบที่สร้างโดยใช้ต้นแบบฟอสซิลและดัดแปลงเป็นอาวุธชีวภาพทำลายศัตรู กระสุนหรือเลเซอร์ก็ยิงไม่เข้า ซึ่งอาวุธที่สามารถทำลายได้คืออาวุธ ประเภท ลีโอ เท่านั้น) ดข้าโจมตีหมู่บ้านของรูจิ ทำให้รูจิจึวคิดจะเข้าไปบังคับหุ่นซอยด์ืี่งมมาได้ และเมื่อลูจิขึ้นบังคับ หุ่นซอยด์ก็ได้รวมร่างเข้ากับดาบขนาดยเกษ์ประยำหมู่บ้านมิโรโดะ ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นทีรเคารพบรรพบุรุษ จึงไดืมีชื่อเรียกว่า "มุราซาเมะ ไลเกอร์ (Murasame Liger)" เป็นซอยด์ขนาดใหญ่สีฟ้ามีดาบติดอยู่บนหลังของมุราซาเมะไลเกอร์ จากการต่อสู้กับพวกไบโอซอยด์ของกลุ่มดีกัล ขณะที่รูจิกำลังเสียท่าอยู่นั้นก็มีนักบังคับซอยด์ ซึ่งมีชื่อวรา รากัน(Ra-Kan) ผู้บังคับ เขี้ยวหมาป่าสีแดง (SWORD WOLF) ซอยด์รุ่น GZ-00u)และ เรมี่(Re Mii)เด็กสาว ผู้บังคับ แลนสแต็ก(Lanstag ซอยด์รุ่น GZ-012) เข้ามาช่วยไวี และต่อมาจากการต่อสู้ระหว่าง "ไศริน (Zairin)" ผู้พันผูเบังคับหุ่นไบโอซอยด์ที่ฐื่อ ไบโแเมกกะแรปเตอร์(Bio Megaraptor) และรูจิ ทำให้เครื่องก่อกำินิดพลังง่นประจำหมู่บ้านมิโรโดะเสียหาย ซึ่งทำให้ไม่สามารถผลิต "เรกเกล(Regel)" ซึ่งเป็นถลังงานและเชื้อเพลิงสำหาับหุ่นซอยด์ทุกตัวเพื่อใชีในการขับเคลื่อน และนอกจากจี้ยังทำใผ้สภาพแวดล้อมในหมู่บ้านย่ำแย่ลง ด้วยความรับผิดชอบ รูจิ จึงได้ออกเดินทางพร้อมกับ รากัน และ เรมี่ เพื่อตามหาช่าง ที่จะมาซ่อมเครื่องกำเนิกพชังงานของหมู่บ้าน และการเดินทางตามหาช่างซ่อมเครื่องกำเนิดพลังลาน ทำให้รูจิพบกับเพื่อนด้องร่วมทาง อีกมสกมายคือ #โคโตนะ เอเลกานเซ่ (Kotona Elegance) ผู้บังคับหุ่นซอยด์บินได้ ชื่อว่า นกสีรุ้ง (Rainbow Jerk ฬอยด์รุ่ย GZ-011)มากจากหมู่บ้านบะผผาเหล็ก #การาก้า (Garaga)หัวหน้ากลุ่มโจรต่อต้าน ดีกัล ผู้บังคับหุานซอยด์ ที่มีชื่อว่า คองเดนตาย (Deadly Kong ซอยด์รุ่น GZ-014) #รอน (Ron)ที่ปรคกษาและผู้วางแผนการรบของกลุ่มโจรต่อต้าน ดีกัล บังคับหุ่นซอยด์ที่มีชื่อว่า แบมบูเรี่ยน (Bamburian ซอยด์รุ่น GZ-o13) ซึ่งความจริงแล้วคือ คนที่มาจาก "โซร่า (Sora Cihy)" เมืองลอยฟ้า #เฬจูโร่(Seijuurou) อดีตแชมป์ ซอยด์แบทเทิ้ล (Zoids Bettle) ผู้บังคับหุ่นซอยด์ ที่มีชื่เว่า หัวใจเสือ (Soul Tiger ซอยด์รุ่น GZ-008) และจากการเดินทางเพื่อตามหาช่างฬ่อมเครื่องก่อพลัง ตามสถานที่ต่างๆ ทำให้รูติ ได้รู้ว่า สิ่งแรกที่เขาควรทำคิอ สิ่งใด กละ ศัตรูที่แท้จริงของเขาคือ ใคร เฟเน่ ตัวละคร == == Zoids Genesis == == Zoids == ซอยด์ในภาคนี้ มีเชื้อเพบิงอยู่ 2 ชนิด ที่ใช้ในการขับเคลื่อน คือ 1. เรกเกล(Regel) เชื้อเพลิงาี่ไะ้จากผลผลิตของเครื่องกำเนิดพลึงงานประจำแต่ละหมู่บ้าน 2. ลาวา(Lava) เชื้อเพลิงที่ได้จากลาวาของภูเขาไฟ เป็นพลังงานทดแทน แต่จจะทำให้ประสิทธิภาพกนรทำงานของซอยด์ลดลง == Protagonist Zoids == เป็นซอยด์ชนิดภิเศษที่มีไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่มีอาวุธชนิดพิเศษที่เรัยกว่า ลีโอ(ในฉบับ อนิเมะ)หรือ Metal Zi seapons ติดตัว เป็นอาวุธชนิดพิเศษ ที่สามารถโจมตีทะลุเกราะของ Bio Zoids ได้ Murasamd Liger GZ-010 ซอยก์พันธุ์ Liger สีฟ้า ของ รูจิ ที่ถูกค้นพบได้จากใต้ทะเล ของหมู่บ้าน มิโรโดะ ซึ่งไม่มีใครสามารถบังคังหุ่นตัวนี้ได้นอก จาก รูจิเท่านั้น ซึ่งเมื่อรูจิเข้าบังคับและแต่สู้กับกลุ่มดีกัลก็ได้รู้ว่า ซอยด์ตัวนี้มีชื่อว่า มุราซาเมะ ไลักอร์ แต่ในขณะที่ รูจิ กำลังเสียท่าให้กับ กองทัพจองดีกัล ดาบศิลาขนาดใหญ่ที่เป็นที่เคารพสักกาตะของหมู่บ้าน ก็รวมร่างเข้ากับ มุราซาเมะ ไลเกอร์ กลายเป็นใุราซาเมะไลเกอร์ แบบสมบูรณ์ มีส้ฟ่า และมีดาบศิลาขนาดใหญ่พาดเฉียงติดอยู่บนหลัง ซึ่ง ลีโอ หรือ Metal Zi weapons ของ มุราซาเมะไลเกอร? ตัวนค้คือ ดาบศิลา นั่นเอง ซึ่งนอกจากนี้ มุราซาเมะไลเกอร์ ยังสามารถเปลี่ยนร่างได้เป็น 2 ร่างได้ด้วยกัน ก็ได้ ฮายาเตะไลเกอร์ และ มูเก็นไลเกอร์ Sword Wolf GZ-007 เขี้ยวหมาป่า (Sword Wolf)ซอยด์พันธุ์ หมาป่า (Wolf-Type Zoiw)ของ รากัน มีสีแดง และมีดาบสีเงิน 2 เล่ม ติดอยู่บนหลังทั้งสองข้าง ซึ่งก็มีลีโอ หรือ Metal Zi weapons เชีนกัน ซึ่งตอนหลังได้รับแารหรับเปบี่ยนอางุธฝหม่ เป็น ดาบสีทอง และ สี ดงิน อย่างละเล่ม ซึ่งดาบสีทอง สามารถ ปล่อยคลื่นพลัง ออกไปได้ Lanstag GZ-012 แลนสแตก (Lanstag) ซอยด์พันธุ์ M;ose-type Zoid ของ เรมี่ เป็นซฮยด์พันธุ์กวางมูส มี หอก โล่ และ เขา ิป็นอาวุธ ซึ่ง ลีโอ หรือ Metal Zi weapons ของ Lanstag ก็คือ หอก ที่ติดอยู่ข้างลำตัวนั่นเอง ซึ่งตอนหลัวได้รับการเสริมอาวุธเข้าไปคือ ใบสีดที่ติดอยู่บนเขา Rainbow Jerk GZ-011 นกส่ระ้ง (Raibbow Jerk) ซอยด์บินได้ประเภทนก (Peafpwl-type aerial Zoid) ซึ่งก็คือนกยูง ของ โคโตนะ มีปางซึีงเมื่เกางออกสามารถหยุดการทำงานของซอยด์ได้ แต่ไม่สามารถใช้กับพวก ไบโอซอยด์ได้ แจ่ มี ลีโอ หรือ Metal Zi weapons คือ ปีก ที่สามารถตัดร่างของศัตรูได้ และ ต่อมาได้เสริมบูสเตอร์ เพิ่มคยามเร็วในการบินเข้าไป และ ปืนทั่ติเกับบูสเตอร์ Deadly Kong GZ-014 คองเดนตาย (Deadly Kong) ซอยด์พึนธุ์ กอลิล่ายักษ์ (large Gorilla-type Zoids) ซอยด์ขอบ การาก้า หัวหน้ากลุ่มโจรต่อต้าน ดีหัช มัขนาดใหญ่ สีดำทุ้งตัว และมีกล่องคล้ายโลวศพและมี สัญลักษ์รูปตาเยู่ข้างหลัง ซึ่ง มีิาวุธที่อยู่ข้างในคือ แขนอีแสองข้มง ที่เป็ส ลีโอ หรือProtagonist นอกจากนี้ คอลเดาตายยังที ซอยด์คอร์(หัวใจซอยด์) อยู่ 2 อัน ก็คือ ที่ตัวของ คองิดนตาย และ ืี่มัญงักษณ์รูปตาในกล่องเหล็ก ซึ่งทำให้เมื่อซอยด์คอร์ที่คองเดนตายโดนทำลายไปแล้ว ก็ยังสามารถทำงานต่อได้โดยซอยคอร์อันที่ 2 และตอกจากนี้ ยังมี กรงเล็บที่มือซ้ายที่ซ่อนฟว้ในผ้าพันแผล เพราะเมื่อใช้ อาวุธนี้แล้วจะท_ให้คนบังคับไม่สามารถควบคุมซอยด์ได้ และจะทำลายทุกสิ่งจนกว่าพลังงานจะหมด ซึ่งอาจจะเป็น ลีโอ หรือ Metal Zi weapons เช่นเดียวกัน และต่อมาเมื่อได้รับการปรับแต่งเพิ่ม ก็ได้ อาวุธใหม่ เข้าไปก็คือ เึียว ตุ้มเหล็แ ขวาน ซึ่งก็เป็นอาวุธประเภท ลีโอ หรือ Metal Zi weapons เช่นเดียวกัน Bamburian Zoids GZ-013 แบมบูเรี่ยน (Bamburian( ซอยด์ประเภทหมี-แพนด้า (Pandq-type Zoid) ซอยด์ยอง รอน สามาชิกในกลุ่ม โจรต่อต้านดักัล มีดาบอยู่ 2 ดาบ ที่ติดอยู่กับไหล่ด้านหน้าทััง 2 และมีปีน มิสไซล์ ลักษณะคล้ายกระบอกไม้ไผ่จำนวนหนึ่ง ติดอยู่บตหลัง ซึ่งเมื่อยิงออกไป ภายนอกก็จะแตกตัวออก แล้วจึงยิง กระสุนขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายเข็มจำนวนมากเข้าทำลายศัตรู ซึ่งอาจจะเป็น ลีโอ หีือ Metal Zi weapons และต่อมาก็ได้รับการปรับแต่ง เพิ่มเข้าไปคือ ฉมวก แทนที่ ดาบ ทัิง 2 ซึ่งสามารถ สืดออก หรือ ยิงออกไปได้ ซึรง เป็น ลีโอ หรือ Metal Zi weapons เหมืินกัน และยังมี ลูกตุ้มเหล็กที่ติดอยู่ด้านหลังของ ฉมวก สามารถเหวี่ยง และ ยืดได้ Soul Tiger GZ-008 หัวใจเสือ (Soul Tiger) ซอยด์ประเภทเสือ (Tiger-type Zoid) ซอยด์ประจำตัว ของ เซจูโร่ อาจารย์ของ รูจิ ที่เป็นอดีตแชมป์ ซอยด์แบทเทิ้ล เป็นซอยด์สีขาว มีกรงเล็บยาวสีทอง ที่ติดอยู่เหนือหลังมือของ หัวใจเสือ ข้างหน้าทั้ง 2 ข้าง ซึ่งก็คือ อาวุธ ลีโอ ปรือ Protagonist เช่นกัน และต่อมาก็ได้รับการเพิ่มบูสเตอร์เข้าไป ทำให้ หัวใยเสือ มีความเร็วในการขับคลื่นนูงขึ้นกว่าเดิมมาก Hayate Lige4 GZ-015 ซอยด์ประจำตัวของ รูจื ที่เปลค่ยนร่าง มาจาก มุราซาเมะ ซึ่งมีลักษณะ ลำนัวส่วนใหญ่เป็นสีแดง มีดาบศิลา 2 เล่ม ตเดอยู่ที่ ขาหน้าทั้ง 2 ข้าง มีความอร็วในการเคลื่อนที่สูงมาก แต่เนื่องขสกมีความเร็วในการเคลื่อนสูงาากทำให้พลังโจมตีชดลง จึงทหให้ไม่สามารถทำลายไบโอซอยอ์บางตัวได้ ขณะที่ กำลังจพเปลี่ยนรืาง ซอยด์คอร์จถเปลี่ยนเป็นสีแดง และจะมีเปลวเพลิงรึกขึ้นรอบตัว Mugen Liger GZ-016 ซอยด์ที่เปลี่ยนร่างมาจาก มุราซาเมะ เช่นเดียวกับ ฮายาเตะ ไลเกอร์ ซึ่ง มูเก็น ไลเกอร์ นี้จะมี ลำตัวเป็นสีขาว และสีทอง มีดาบศิลา ขนาดใหญ่ 2 เล่ม ติดอยู่ยนหลัง ซึ่งมีพลังโจมตี สูงที่สุด ขณะทีื กำลังจะเปลี่ยนร่าง ซอยคอร์จะเปลี่ยนเป็นสีขาว แล้วมี ควันสีขาว หมุนวนรอบตเว มูเกนไลเกอร์ == Digald Zoids == Bio zoids คือหุ่นรบที่สร้างโดยใช้ต้นแบบฟอสซิลและดัดแปลงเป็นอาวุธชีวภาพมำลายศัตรู กระสุนหรือเลเซอร์ก็ยิงไม่เข้า มีลักษณะเกราะเป็นสีเง้น Bio raptor GB-006 ไบโอซดยด์ประเภท เรปเตอร์ต้นดบบมาจากฟอสซิลของ เวโลซีแร็ปเตอร์ มีความสามารถในกสรเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมาก สามารถพ่นลูกไฟ และ ไฟ ออกมาจากปากได้ และนอกจากนี้ยังมี กรงเล็บที่มือและเท้าทีาแข็งแรง เป็นโมเดล ทีผลิตจำนวนมากบอง กองทัพดีกัล ใช้ทหารที่บังคับเกณฑ์จากเมืองต่างๆโดยตรวจสอบจากคุณสมบัติถ้าหากใครมีคุณสมบัติที่สามารถขับซอยด์ได้ ก็จะถูกเก๕ฑ์ไปฝึกและเป็นทหารรับใช้กองทัดดีกัล และถ้าใครไม่มีคุณสมบัติ ซึ่งวนเวลาต่อมา ได้มีการนำคนที่ไม่มีคุฯสมบัติ นำดวงวิญญาณมาใส่ไว้ในตัวหุ่นยนต์ แล้วจึงสั่งการให้บังคุบหุ่นซอยด์อีกทีหนึ่ง ซึ่ง ผู้ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นยนต์จะไใ่สามารถขัดขืนคำสั่งได้เลย Bio Megaraptor GB-001 ไบโอซอยด์ ที่ใช้ต้นแบบของ เมก้าแค็ปเตอร์ ไบโอซิยด์ประจำตัวของ พันเอกไซริน คู่ปรับของ รูจิ ซึ่งมีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงกว่า ไบโอแร็ปเตอร์ และนอกจากนี้ยังมีพลังในการทำลายสูงกว่า และมีขนาดใหญ่กว่า ไบโอแค็ปเตอร์ และต่อใาได้มีำารพัฒนาใหีมีการสร้างจำนวนมาก เถื่อเพิ่มกำลังในการรบ Bio-Volcano GB-008 ไบโอซอยด์รุ่นใหม่ของ กองทัพดีกัล เป็น ไบโอซอวด์ประจำตัวที่ 2 มีชื่อว่า ไบโอโวกคโน(Bio-Volcano) ของ พลโาไซริน ซึ่งได้รับหลังจาก ต่อสู้กับ รูจิ และพ่าจแพ้ให้กับ มุราซาเมะไลเกอร์ และได้รับ ไบโอซอยด์ตัวใหม่ จาก จีน ผู้เป็นเพื่อนและผู้บัญชาการของเขา และในเวลาต่อมาก็ได้แต่งตั้งให้เป็น พลฑทไซริน จากจีน ซึ่งภายหลังได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและพระเจ้า แต่ทว่า จีน ได้มอบซอยด์ตัวนี้ให้ เพื้อสูบพลังชีวิตของไซรินทำให้ร่างกายของไซรินอ่อนแอลง และนำพลังชีวิตที่ได้มาไว้ในตัวของ Bio Tyrano มีลักษณะเป็นสีแดงทั้งตัว มีเขาสีม่วงติดอยู่ตามสันหลังจนถึลหาง มีบูสเตอร์เพิ่มความเร็ว อรก 6 ตัฝ โดย แบ่งเป็นข้างละ 2 จัว ติดดยู่ที่สะโพกทั้ง 2 สามารถเพิ่มความเร็ว และ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกระโดดให้สูงขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถ พ่นไฟ และลูกไฟอกจากปากได้อีกด้วย และนอกจากนี้ยังมี สุดยอดไม้ตายก็คือ ไบโอพาติเคิ่ลแคนนอน ซึ่งมีพลังในการทำลายล้างสูงมาก แต่ต้องใช้เวลาในการรวบรวมพลังงานพอสมควร นอกนากนี้ Volcqno บังมี เกราะชนิดพิเศษที่ทำจาก คริสนัล (crystal) ซึ่ง มีความแข็งแกร่ง กว่าเกราะแบบเดิม ทำให้อาวถธ ลีโอ หรือ Metal Zi weapons บางชนิดไม่มีผล Bio Raptor Gui Zoids GB-0-7 ไบโอซอยด์ประเภทบินได้ ใช้ต้นแบบฟอสซิลของ ไมโครแร็ปเตอร์ สามารถบรรทุกอาวุธได้หลายชนิด เช่น มิสไซล์ หรือระเบิดตอปิโด หากแต่ว่าไบโอซอยพ์ตัวนี้ ต้องใชีพลังงานจำนวนมากในกานบืนแต่ละครั้บ ทำให้ ไม้สามารถบินได้ในระยะทางไกลๆ และต้แงเติม เรกเกลอยู่เสมอ Bio Tricera GB-004 ไบโอซอยด์ ใช้ต้นแบบของ ฟอสซิลไทรเซเราทอปส์ เป็นซอยด์ประจำตัวของ พันเอกแกร๊ค มีลำตัวเป็นสีเงิน มีดขาสีทอง อยู่ที่ด้านหน้า 2 อัน และมีเขาสีเงินอีก 1 อัน ซึ่งเขาสีทดง ทัิง 2 นั้น สามารถยืดออกไปพะ่งแทงศัตรู และย้อนกลับมาหาตัวได้ และในเวลาต่อมา ก็ได้พัฒนาใหม่ ซึ่งมีบาเรียสามารถป้องการโจมตีจากอาวุธประเภท ลีโอ หรือ Metal Xi weaoons ได้ทุกชนิด หรือแม้กระทั่ง ไบโอพาติเพิ่ลแคนนอน ก็ตาม Bio Kentro GB[003 ไบโอซอนด์ ที่ใช้จ้นแบบของ ฟอสซิล เคนโทรซอรัส เป็นซอยด์ประจำตัวของ โซอูตะ เคนโทรซอรัส มีสีเงิน และมีเกราะชนิดพิเศษที่ทำจากคริสตัลเช่นเดียวกันกับ Volcano นอกจาหนี้ยังมีอาวุธพิเศษคือ ดาบที่ติดอยู่บนไหล่ขนหน้าทั้ง 2 ข้าง และยังมีกระสุนพิเศษที่มีลัก?ณะคล้ายหนามยิงออกจนกบนหลัง ซึ่งสามารถติดตามตัวได้เหมืดนมิสไซล์ และยังวามารถงอกออกมาใหม่ได้อีกด้วย Bio tyranno GB-002 ไบโอซอยด์ขนาดใกญ่ ที่ใช้ต้นแบบฟอสซิลของ ทีเร็กซ์ (ไทเรนโนซอรัส) ซอยด์ที่ได้รับพลังงานชีวิตจำนวนหนึ่งมากจาก ไซริน ซึ่งเป็นซอยด์ของ จีน ผู้บัญชาการสูงสุดของแองทัพดีกัล ไบโอไทเรนโน่ ตัวนี้ สามารถยิวกระสุนพิเศษเหมือนกับของ ไบโอเคนโตร (Bio Kentro) แต่ทว่ามีจำนวนมากกว่ามาก มีอาวุธสัดร้ายกาจ ที่ชื่อว่า ไบโอพาติเคิ่ลแคนนอน หรือ สายฟ้าจากพระเจ้า(ซึ่ง จีนเป็นคนเรียกอย่างนั้น) มีพลังทำลายล้างสูบกว่า ไบโอพาติเคิ่ลแคนนอน ของ Bio Valcano เสียอีก นอกจากนีั ยังมี มืออีก 2 ข้าง ซ่อนไว้เหมือนกระดูกซี่โครง สามารถยืดออกมาจับศัตรูหรืออาวุธของศัตรูได้ Bio Ptera GB-005 ไบโอซอยด์บินได้ ซึ่งใช้ต้นแบบจากฟอสซิล เทราโนดอน มีความเร็วและคล่องมากในการบินสูง เป็นซอยด์ประจำตัวของ พันเอกเฟรมี่ สามารถยิงลูกไฟออกมาจากปากได้ == ซอยด์ ฉบับ อนิเใะ == ซแยด์ ฉบับอนิเมะที่ฉายทางโทรทัศน์นั้น มีทั้งหมด 4เรื่องด้วยกะน โดยเนื้อหาทั้ง4เริ่อง เกิดขึ้นที่ดาวZi(ซี) แต่มีระยะห่างของเวลาที่ต่างกันขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเรื่องจจดูเหมือนกับเป็นโลกคู่ขนานเมียมากกว่ม ซอยด์ทั้ง5เรื่อง ประกอบไปด้วย .อยด์ -ZOIDS- (ゾイド -ZOIDS-) ฉายในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1999 - 23 ธ้นวาคม ค.ศ. 2000 จำนวนตอนทั้งหมด 67 ตอน ซแยด์ ซินเซย์คิ /ซีโร่ (ゾイド新世紀/ゼロ) ฉายในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 200w - 30 มีนาคม ค.ศ. 200q จำนวนตอนทะ้งหมด 26 ตอน ซอยด์ ฟิงเซอร์ส (ゾイド フューザース) ฉายในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2003 - 27 ธันวาคม ค.ศ. 2003 จำนวนตอนทั้งหมด 26 ตอน ซอยด์ เจเนซิส (ゾイドジェネシス) ฉายในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2005 - 3 มีนาคม ค.ศ. 2006 จำนวนตอนทั้งหมด 50 ตอน == รายชื่อตอน == =\ แหล่งข้อมูลอื่น == http://mopock.com/ZOIDS_ การ์ตูนญี่ปุาน การ์ตูนญี่ปุ่นสำหรับเด็ก ทูนามิ ตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์ ตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์นอกโลก
ซอยด์ หุ่นรบไดโนเสาร์ เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ == เนื้อเรื่อง == ซอยด์ ฉบับอนิเมะที่ฉายทางโทรทัศน์นั้น มีทั้งหมด 4เรื่องด้วยกัน โดยเนื้อหาทั้ง4เรื่อง เกิดขึ้นที่ดาวZi(ซี) แต่มีระยะห่างของเวลาที่ต่างกันขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเรื่องจนดูเหมือนกับเป็นโลกคู่ขนานเสียมากกว่า ซอยด์ทั้ง4เรื่อง ประกอบไปด้วย ซอยด์ -ZOIDS- (ゾイド -ZOIDS-) ฉายในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1999 - 23 ธันวาคม ค.ศ. 2000 จำนวนตอนทั้งหมด 67 ตอน บันเป็นเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบซอยด์เป็นชีวิตจิตใจ วันหนึ่งเขาได้พบกับเด็กสาวที่ชื่อฟีเน่ และโอกานอย์ที่มีชื่อว่าจีค บันและพรรคพวกได้ออกเดินทางเพื่อตามหาอดีตของฟีเน่ และได้พบกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และเมื่อบันอายุ 18 แล้วและเข้าเป็นทหาร เขาได้พบกับศัตรูคนใหม่ซึ่งเป็นคนจากเผ่าซอยด์ นอกจากนั้นยังจะได้รู้เรื่องอดีตของฟีเน่ และยังมีศัตรูเก่าอย่างเรวินโผล่มาช่วยสร้างความวุ่นวายด้วย ซอยด์ ซินเซย์คิ /ซีโร่ (ゾイド新世紀/ゼロ) (ZOIDS New Century Zero หรือมีอีกชื่อว่า Zoids Chaotic Century) ฉายในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2001 - 30 มีนาคม ค.ศ. 2001 จำนวนตอนทั้งหมด 26 ตอน บิท คลาวค์ มีอาชีพเก็บของขาย วันหนึ่งมีเหตุบังเอิญให้เขาต้องขึ้นขับซอยด์ที่มีชื่อว่า ไลเกอร์ ซีโร่ (liger zero) ซอยด์รุ่น RZ-041 ซึ่งเป็นซอยด์พิเศษที่องค์กรลึกลับแบ็คราฟต้องการ เขาต้องต่อสู้เพื่อปกป้องซอยด์และเพื่อความฝันของตัวเอง ซอยด์ ฟิวเซอร์ส (ゾイド フューザース -ZOIDS Fuzors-) ฉายในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2003 - 27 ธันวาคม ค.ศ. 2003 จำนวนตอนทั้งหมด 26 ตอน RD เด็กหนุ่มจากเมืองบูลซิตตี่ (Blue city) เป็น Zi fighter สมาชิกกลุ่ม Mach Storm เขาขับซอยด์ " ไลเกอร์ ซีโร่ (liger zero)" ชื่นชอบการต่อสู้โดยซอยด์เป็นชีวิตจิตใจ และเขาก็ใฝ่ฝันอยากหาค้นหาซอยด์ในตำนาน ตามที่สัญญาไว้กับพ่อของเขา และต้องต่อสู้กับพวกคู่แข่งมากมาย เพื่อศักดิ์ศรีกลุ่มของ RD และต้องสู้กับคู่แข่งที่เป็นคู่ปรับกันมาตลอด นั้นก็คือ Blake กลุ่มสมาชิก Savage Hammer นักขับซอยด์"เบอร์เซิร์ก ฟิวรี่ " (Berserk Fury)ที่เก่งกาจ แต่มาวันหนึ่ง RD กับกลุ่ม ได้มาเจอกับ Zi Unison คือ เป็นการรวมร่างชอยด์ตัวหลักของ Zi fighter และซอยด์ของอีกตัวหนึ่ง เมื่อรวมร่างแล้วทำให้เกิดพลังโจมตีเพิ่มขึ้น ในการต่อสู้นั้นทำให้ RD ได้มาเจอกับซอยด์ Zi Partner ที่ชื่อว่า Fire Phoenix และได้ Fire Phoenix Zi partner เมื่อนำมารวมร่าง liger Zero แล้ว กลายเป็น Liger zero Phoenix เมื่อ RD ได้ Fire Phonenix ทำให้เกิดเรื่องต่างมากมาย และทำให้มีช่วงการต่อสู้ที่สำคัญที่เกิดขึ้นกับ RD กลุ่มของ RD และทุกคนที่ RD ที่รู้จัก จนช่วงหนึ่ง Blake ได้รับ Zoids ตัวใหม่ ที่มีชื่อว่า ไกริวคิ (Gairyuki) แทน (Berserk Fury) เมื่อมาสู้กับ RD แล้ว Blake เป็นฝ่ายชนะ และได้ทำลาย Fire Phoenix ทำให้ RD ต้องเสีย Fire Phoenix ไป ช่วงต่อมาหลังจากที่ RD ต้องเสีย Fire Phoenix ให้กับ Blade แล้วจู่ๆ RD ได้มาพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า Venus ซึ่งเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนนำพา RD ให้มาพบกับ Zi Partner ตัวใหม่ของเขาที่มีชื่อว่า Jet Falcon เมื่อนำมารวมร่างกับ Liger Zero กลายเป็น Liger Zero Falcon เมื่อ Blade มาสู้กับ RD แล้ว RD แล้วเป็นฝ่ายชนะ และ RD ก็กลับมาสู้ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ว่า RD ยังไม่รู้เลยว่ามีคนหนึ่งคิดวางแผนจะพยายามยึดเมือง Blue city และกำจัด Zi Fighter ให้หมด แล้วยึดครองดาว Zi เป็นของตน ดังนั้น อาร์ดีจะต้องต่อสู้กับศัตรูคนนั้น เพื่อปกป้องเมืองของเขา ก่อนที่มันจะยึดครอง เมือง Blue city ได้สำเร็จ ซอยด์ เจเนซิส (ゾイドジェネシス -ZOIDS Genesis-) ฉายในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2005 - 3 มีนาคม ค.ศ. 2006 จำนวนตอนทั้งหมด 50 ตอน รูจิ แฟมิล่อน (Ruuji)เด็กชายจากหมู่บ้านมิโรโดะซึ่งอยู่ติดกับทะเล มีความชำนาญในการดำน้ำเป็นเลิศ แต่ไม่สามารถบังซอยด์ได้ อาสาเพื่อดำลงไปงมหุ่นซอยด์พันธ์ไลเกอร์ขนาดใหญ่ใต้ทะเลลึก และต่อมามีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นเมื่อกองทัพ "ดีกัล (Digald)" กองทัพที่ใช้หุ่นซอยด์ที่เรียกว่า "ไบโอซอยด์ (Bio-Zoids)"(หุ่นรบที่สร้างโดยใช้ต้นแบบฟอสซิลและดัดแปลงเป็นอาวุธชีวภาพทำลายศัตรู กระสุนหรือเลเซอร์ก็ยิงไม่เข้า ซึ่งอาวุธที่สามารถทำลายได้คืออาวุธ ประเภท ลีโอ เท่านั้น) เข้าโจมตีหมู่บ้านของรูจิ ทำให้รูจิจึงคิดจะเข้าไปบังคับหุ่นซอยด์ที่งมมาได้ และเมื่อลูจิขึ้นบังคับ หุ่นซอยด์ก็ได้รวมร่างเข้ากับดาบขนาดยักษ์ประจำหมู่บ้านมิโรโดะ ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นที่เคารพบรรพบุรุษ จึงได้มีชื่อเรียกว่า "มุราซาเมะ ไลเกอร์ (Murasame Liger)" เป็นซอยด์ขนาดใหญ่สีฟ้ามีดาบติดอยู่บนหลังของมุราซาเมะไลเกอร์ จากการต่อสู้กับพวกไบโอซอยด์ของกลุ่มดีกัล ขณะที่รูจิกำลังเสียท่าอยู่นั้นก็มีนักบังคับซอยด์ ซึ่งมีชื่อว่า รากัน(Ra-Kan) ผู้บังคับ เขี้ยวหมาป่าสีแดง (SWORD WOLF) ซอยด์รุ่น GZ-007)และ เรมี่(Re Mii)เด็กสาว ผู้บังคับ แลนสแต็ก(Lanstag ซอยด์รุ่น GZ-012) เข้ามาช่วยไว้ และต่อมาจากการต่อสู้ระหว่าง "ไซริน (Zairin)" ผู้พันผู้บังคับหุ่นไบโอซอยด์ที่ซื่อ ไบโอเมกกะแรปเตอร์(Bio Megaraptor) และรูจิ ทำให้เครื่องก่อกำเนิดพลังงานประจำหมู่บ้านมิโรโดะเสียหาย ซึ่งทำให้ไม่สามารถผลิต "เรกเกล(Regel)" ซึ่งเป็นพลังงานและเชื้อเพลิงสำหรับหุ่นซอยด์ทุกตัวเพื่อใช้ในการขับเคลื่อน และนอกจากนี้ยังทำให้สภาพแวดล้อมในหมู่บ้านย่ำแย่ลง ด้วยความรับผิดชอบ รูจิ จึงได้ออกเดินทางพร้อมกับ รากัน และ เรมี่ เพื่อตามหาช่าง ที่จะมาซ่อมเครื่องกำเนิดพลังงานของหมู่บ้าน และการเดินทางตามหาช่างซ่อมเครื่องกำเนิดพลังงาน ทำให้รูจิพบกับเพื่อนพ้องร่วมทาง อีกมากมายคือ #โคโตนะ เอเลกานเซ่ (Kotona Elegance) ผู้บังคับหุ่นซอยด์บินได้ ชื่อว่า นกสีรุ้ง (Rainbow Jerk ซอยด์รุ่น GZ-011)มากจากหมู่บ้านบุผผาเหล็ก #การาก้า (Garaga)หัวหน้ากลุ่มโจรต่อต้าน ดีกัล ผู้บังคับหุ่นซอยด์ ที่มีชื่อว่า คองเดนตาย (Deadly Kong ซอยด์รุ่น GZ-014) #รอน (Ron)ที่ปรึกษาและผู้วางแผนการรบของกลุ่มโจรต่อต้าน ดีกัล บังคับหุ่นซอยด์ที่มีชื่อว่า แบมบูเรี่ยน (Bamburian ซอยด์รุ่น GZ-o13) ซึ่งความจริงแล้วคือ คนที่มาจาก "โซร่า (Sora City)" เมืองลอยฟ้า #เซจูโร่(Seijuurou) อดีตแชมป์ ซอยด์แบทเทิ้ล (Zoids Bettle) ผู้บังคับหุ่นซอยด์ ที่มีชื่อว่า หัวใจเสือ (Soul Tiger ซอยด์รุ่น GZ-008) และจากการเดินทางเพื่อตามหาช่างซ่อมเครื่องก่อพลัง ตามสถานที่ต่างๆ ทำให้รูจิ ได้รู้ว่า สิ่งแรกที่เขาควรทำคือ สิ่งใด และ ศัตรูที่แท้จริงของเขาคือ ใคร เฟเน่ ตัวละคร == == Zoids Genesis == == Zoids == ซอยด์ในภาคนี้ มีเชื้อเพลิงอยู่ 2 ชนิด ที่ใช้ในการขับเคลื่อน คือ 1. เรกเกล(Regel) เชื้อเพลิงที่ได้จากผลผลิตของเครื่องกำเนิดพลังงานประจำแต่ละหมู่บ้าน 2. ลาวา(Lava) เชื้อเพลิงที่ได้จากลาวาของภูเขาไฟ เป็นพลังงานทดแทน แต่จจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของซอยด์ลดลง == Protagonist Zoids == เป็นซอยด์ชนิดพิเศษที่มีไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่มีอาวุธชนิดพิเศษที่เรียกว่า ลีโอ(ในฉบับ อนิเมะ)หรือ Metal Zi weapons ติดตัว เป็นอาวุธชนิดพิเศษ ที่สามารถโจมตีทะลุเกราะของ Bio Zoids ได้ Murasame Liger GZ-010 ซอยด์พันธุ์ Liger สีฟ้า ของ รูจิ ที่ถูกค้นพบได้จากใต้ทะเล ของหมู่บ้าน มิโรโดะ ซึ่งไม่มีใครสามารถบังคับหุ่นตัวนี้ได้นอก จาก รูจิเท่านั้น ซึ่งเมื่อรูจิเข้าบังคับและแต่สู้กับกลุ่มดีกัลก็ได้รู้ว่า ซอยด์ตัวนี้มีชื่อว่า มุราซาเมะ ไลเกอร์ แต่ในขณะที่ รูจิ กำลังเสียท่าให้กับ กองทัพของดีกัล ดาบศิลาขนาดใหญ่ที่เป็นที่เคารพสักการะของหมู่บ้าน ก็รวมร่างเข้ากับ มุราซาเมะ ไลเกอร์ กลายเป็นมุราซาเมะไลเกอร์ แบบสมบูรณ์ มีสีฟ้า และมีดาบศิลาขนาดใหญ่พาดเฉียงติดอยู่บนหลัง ซึ่ง ลีโอ หรือ Metal Zi weapons ของ มุราซาเมะไลเกอร์ ตัวนี้คือ ดาบศิลา นั่นเอง ซึ่งนอกจากนี้ มุราซาเมะไลเกอร์ ยังสามารถเปลี่ยนร่างได้เป็น 2 ร่างได้ด้วยกัน ก็ได้ ฮายาเตะไลเกอร์ และ มูเก็นไลเกอร์ Sword Wolf GZ-007 เขี้ยวหมาป่า (Sword Wolf)ซอยด์พันธุ์ หมาป่า (Wolf-Type Zoid)ของ รากัน มีสีแดง และมีดาบสีเงิน 2 เล่ม ติดอยู่บนหลังทั้งสองข้าง ซึ่งก็มีลีโอ หรือ Metal Zi weapons เช่นกัน ซึ่งตอนหลังได้รับการปรับเปลี่ยนอาวุธใหม่ เป็น ดาบสีทอง และ สี เงิน อย่างละเล่ม ซึ่งดาบสีทอง สามารถ ปล่อยคลื่นพลัง ออกไปได้ Lanstag GZ-012 แลนสแตก (Lanstag) ซอยด์พันธุ์ Moose-type Zoid ของ เรมี่ เป็นซฮยด์พันธุ์กวางมูส มี หอก โล่ และ เขา เป็นอาวุธ ซึ่ง ลีโอ หรือ Metal Zi weapons ของ Lanstag ก็คือ หอก ที่ติดอยู่ข้างลำตัวนั่นเอง ซึ่งตอนหลังได้รับการเสริมอาวุธเข้าไปคือ ใบมีดที่ติดอยู่บนเขา Rainbow Jerk GZ-011 นกสีรุ้ง (Rainbow Jerk) ซอยด์บินได้ประเภทนก (Peafowl-type aerial Zoid) ซึ่งก็คือนกยูง ของ โคโตนะ มีหางซึ่งเมื่อกางออกสามารถหยุดการทำงานของซอยด์ได้ แต่ไม่สามารถใช้กับพวก ไบโอซอยด์ได้ แต่ มี ลีโอ หรือ Metal Zi weapons คือ ปีก ที่สามารถตัดร่างของศัตรูได้ และ ต่อมาได้เสริมบูสเตอร์ เพิ่มความเร็วในการบินเข้าไป และ ปืนที่ติดกับบูสเตอร์ Deadly Kong GZ-014 คองเดนตาย (Deadly Kong) ซอยด์พันธุ์ กอลิล่ายักษ์ (large Gorilla-type Zoids) ซอยด์ของ การาก้า หัวหน้ากลุ่มโจรต่อต้าน ดีกัล มีขนาดใหญ่ สีดำทั้งตัว และมีกล่องคล้ายโลงศพและมี สัญลักษ์รูปตาอยู่ข้างหลัง ซึ่ง มีอาวุธที่อยู่ข้างในคือ แขนอีกสองข้าง ที่เป็น ลีโอ หรือProtagonist นอกจากนี้ คองเดนตายยังมี ซอยด์คอร์(หัวใจซอยด์) อยู่ 2 อัน ก็คือ ที่ตัวของ คองเดนตาย และ ที่สัญลักษณ์รูปตาในกล่องเหล็ก ซึ่งทำให้เมื่อซอยด์คอร์ที่คองเดนตายโดนทำลายไปแล้ว ก็ยังสามารถทำงานต่อได้โดยซอยคอร์อันที่ 2 และนอกจากนี้ ยังมี กรงเล็บที่มือซ้ายที่ซ่อนไว้ในผ้าพันแผล เพราะเมื่อใช้ อาวุธนี้แล้วจะทำให้คนบังคับไม่สามารถควบคุมซอยด์ได้ และจะทำลายทุกสิ่งจนกว่าพลังงานจะหมด ซึ่งอาจจะเป็น ลีโอ หรือ Metal Zi weapons เช่นเดียวกัน และต่อมาเมื่อได้รับการปรับแต่งเพิ่ม ก็ได้ อาวุธใหม่ เข้าไปก็คือ เคียว ตุ้มเหล็ก ขวาน ซึ่งก็เป็นอาวุธประเภท ลีโอ หรือ Metal Zi weapons เช่นเดียวกัน Bamburian Zoids GZ-013 แบมบูเรี่ยน (Bamburian) ซอยด์ประเภทหมี-แพนด้า (Panda-type Zoid) ซอยด์ของ รอน สามาชิกในกลุ่ม โจรต่อต้านดีกัล มีดาบอยู่ 2 ดาบ ที่ติดอยู่กับไหล่ด้านหน้าทั้ง 2 และมีปีน มิสไซล์ ลักษณะคล้ายกระบอกไม้ไผ่จำนวนหนึ่ง ติดอยู่บนหลัง ซึ่งเมื่อยิงออกไป ภายนอกก็จะแตกตัวออก แล้วจึงยิง กระสุนขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายเข็มจำนวนมากเข้าทำลายศัตรู ซึ่งอาจจะเป็น ลีโอ หรือ Metal Zi weapons และต่อมาก็ได้รับการปรับแต่ง เพิ่มเข้าไปคือ ฉมวก แทนที่ ดาบ ทั้ง 2 ซึ่งสามารถ ยืดออก หรือ ยิงออกไปได้ ซึ่ง เป็น ลีโอ หรือ Metal Zi weapons เหมือนกัน และยังมี ลูกตุ้มเหล็กที่ติดอยู่ด้านหลังของ ฉมวก สามารถเหวี่ยง และ ยืดได้ Soul Tiger GZ-008 หัวใจเสือ (Soul Tiger) ซอยด์ประเภทเสือ (Tiger-type Zoid) ซอยด์ประจำตัว ของ เซจูโร่ อาจารย์ของ รูจิ ที่เป็นอดีตแชมป์ ซอยด์แบทเทิ้ล เป็นซอยด์สีขาว มีกรงเล็บยาวสีทอง ที่ติดอยู่เหนือหลังมือของ หัวใจเสือ ข้างหน้าทั้ง 2 ข้าง ซึ่งก็คือ อาวุธ ลีโอ หรือ Protagonist เช่นกัน และต่อมาก็ได้รับการเพิ่มบูสเตอร์เข้าไป ทำให้ หัวใจเสือ มีความเร็วในการขับคลื่นสูงขึ้นกว่าเดิมมาก Hayate Liger GZ-015 ซอยด์ประจำตัวของ รูจิ ที่เปลี่ยนร่าง มาจาก มุราซาเมะ ซึ่งมีลักษณะ ลำตัวส่วนใหญ่เป็นสีแดง มีดาบศิลา 2 เล่ม ติดอยู่ที่ ขาหน้าทั้ง 2 ข้าง มีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงมาก แต่เนื่องจากมีความเร็วในการเคลื่อนสูงมากทำให้พลังโจมตีลดลง จึงทำให้ไม่สามารถทำลายไบโอซอยด์บางตัวได้ ขณะที่ กำลังจะเปลี่ยนร่าง ซอยด์คอร์จะเปลี่ยนเป็นสีแดง และจะมีเปลวเพลิงรุกขึ้นรอบตัว Mugen Liger GZ-016 ซอยด์ที่เปลี่ยนร่างมาจาก มุราซาเมะ เช่นเดียวกับ ฮายาเตะ ไลเกอร์ ซึ่ง มูเก็น ไลเกอร์ นี้จะมี ลำตัวเป็นสีขาว และสีทอง มีดาบศิลา ขนาดใหญ่ 2 เล่ม ติดอยู่บนหลัง ซึ่งมีพลังโจมตี สูงที่สุด ขณะที่ กำลังจะเปลี่ยนร่าง ซอยคอร์จะเปลี่ยนเป็นสีขาว แล้วมี ควันสีขาว หมุนวนรอบตัว มูเกนไลเกอร์ == Digald Zoids == Bio zoids คือหุ่นรบที่สร้างโดยใช้ต้นแบบฟอสซิลและดัดแปลงเป็นอาวุธชีวภาพทำลายศัตรู กระสุนหรือเลเซอร์ก็ยิงไม่เข้า มีลักษณะเกราะเป็นสีเงิน Bio raptor GB-006 ไบโอซอยด์ประเภท เรปเตอร์ต้นแบบมาจากฟอสซิลของ เวโลซีแร็ปเตอร์ มีความสามารถในการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมาก สามารถพ่นลูกไฟ และ ไฟ ออกมาจากปากได้ และนอกจากนี้ยังมี กรงเล็บที่มือและเท้าที่แข็งแรง เป็นโมเดล ทีผลิตจำนวนมากของ กองทัพดีกัล ใช้ทหารที่บังคับเกณฑ์จากเมืองต่างๆโดยตรวจสอบจากคุณสมบัติถ้าหากใครมีคุณสมบัติที่สามารถขับซอยด์ได้ ก็จะถูกเกณฑ์ไปฝึกและเป็นทหารรับใช้กองทัพดีกัล และถ้าใครไม่มีคุณสมบัติ ซึ่งในเวลาต่อมา ได้มีการนำคนที่ไม่มีคุณสมบัติ นำดวงวิญญาณมาใส่ไว้ในตัวหุ่นยนต์ แล้วจึงสั่งการให้บังคุบหุ่นซอยด์อีกทีหนึ่ง ซึ่ง ผู้ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นยนต์จะไม่สามารถขัดขืนคำสั่งได้เลย Bio Megaraptor GB-001 ไบโอซอยด์ ที่ใช้ต้นแบบของ เมก้าแร็ปเตอร์ ไบโอซอยด์ประจำตัวของ พันเอกไซริน คู่ปรับของ รูจิ ซึ่งมีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงกว่า ไบโอแร็ปเตอร์ และนอกจากนี้ยังมีพลังในการทำลายสูงกว่า และมีขนาดใหญ่กว่า ไบโอแร็ปเตอร์ และต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีการสร้างจำนวนมาก เพื่อเพิ่มกำลังในการรบ Bio-Volcano GB-008 ไบโอซอยด์รุ่นใหม่ของ กองทัพดีกัล เป็น ไบโอซอยด์ประจำตัวที่ 2 มีชื่อว่า ไบโอโวแคโน(Bio-Volcano) ของ พลโทไซริน ซึ่งได้รับหลังจาก ต่อสู้กับ รูจิ และพ่ายแพ้ให้กับ มุราซาเมะไลเกอร์ และได้รับ ไบโอซอยด์ตัวใหม่ จาก จีน ผู้เป็นเพื่อนและผู้บัญชาการของเขา และในเวลาต่อมาก็ได้แต่งตั้งให้เป็น พลโทไซริน จากจีน ซึ่งภายหลังได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและพระเจ้า แต่ทว่า จีน ได้มอบซอยด์ตัวนี้ให้ เพื่อสูบพลังชีวิตของไซรินทำให้ร่างกายของไซรินอ่อนแอลง และนำพลังชีวิตที่ได้มาไว้ในตัวของ Bio Tyrano มีลักษณะเป็นสีแดงทั้งตัว มีเขาสีม่วงติดอยู่ตามสันหลังจนถึงหาง มีบูสเตอร์เพิ่มความเร็ว อีก 6 ตัว โดย แบ่งเป็นข้างละ 2 ตัว ติดอยู่ที่สะโพกทั้ง 2 สามารถเพิ่มความเร็ว และ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกระโดดให้สูงขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถ พ่นไฟ และลูกไฟอกจากปากได้อีกด้วย และนอกจากนี้ยังมี สุดยอดไม้ตายก็คือ ไบโอพาติเคิ่ลแคนนอน ซึ่งมีพลังในการทำลายล้างสูงมาก แต่ต้องใช้เวลาในการรวบรวมพลังงานพอสมควร นอกจากนี้ Volcano ยังมี เกราะชนิดพิเศษที่ทำจาก คริสตัล (crystal) ซึ่ง มีความแข็งแกร่ง กว่าเกราะแบบเดิม ทำให้อาวุธ ลีโอ หรือ Metal Zi weapons บางชนิดไม่มีผล Bio Raptor Gui Zoids GB-007 ไบโอซอยด์ประเภทบินได้ ใช้ต้นแบบฟอสซิลของ ไมโครแร็ปเตอร์ สามารถบรรทุกอาวุธได้หลายชนิด เช่น มิสไซล์ หรือระเบิดตอปิโด หากแต่ว่าไบโอซอยด์ตัวนี้ ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการบินแต่ละครั้ง ทำให้ ไม่สามารถบินได้ในระยะทางไกลๆ และต้องเติม เรกเกลอยู่เสมอ Bio Tricera GB-004 ไบโอซอยด์ ใช้ต้นแบบของ ฟอสซิลไทรเซอราทอปส์ เป็นซอยด์ประจำตัวของ พันเอกแกร๊ค มีลำตัวเป็นสีเงิน มีเขาสีทอง อยู่ที่ด้านหน้า 2 อัน และมีเขาสีเงินอีก 1 อัน ซึ่งเขาสีทอง ทั้ง 2 นั้น สามารถยืดออกไปพุ่งแทงศัตรู และย้อนกลับมาหาตัวได้ และในเวลาต่อมา ก็ได้พัฒนาใหม่ ซึ่งมีบาเรียสามารถป้องการโจมตีจากอาวุธประเภท ลีโอ หรือ Metal Zi weapons ได้ทุกชนิด หรือแม้กระทั่ง ไบโอพาติเพิ่ลแคนนอน ก็ตาม Bio Kentro GB-003 ไบโอซอยด์ ที่ใช้ต้นแบบของ ฟอสซิล เคนโทรซอรัส เป็นซอยด์ประจำตัวของ โซอูตะ เคนโทรซอรัส มีสีเงิน และมีเกราะชนิดพิเศษที่ทำจากคริสตัลเช่นเดียวกันกับ Volcano นอกจากนี้ยังมีอาวุธพิเศษคือ ดาบที่ติดอยู่บนไหล่ขาหน้าทั้ง 2 ข้าง และยังมีกระสุนพิเศษที่มีลักษณะคล้ายหนามยิงออกจากบนหลัง ซึ่งสามารถติดตามตัวได้เหมือนมิสไซล์ และยังสามารถงอกออกมาใหม่ได้อีกด้วย Bio tyranno GB-002 ไบโอซอยด์ขนาดใหญ่ ที่ใช้ต้นแบบฟอสซิลของ ทีเร็กซ์ (ไทเรนโนซอรัส) ซอยด์ที่ได้รับพลังงานชีวิตจำนวนหนึ่งมากจาก ไซริน ซึ่งเป็นซอยด์ของ จีน ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพดีกัล ไบโอไทเรนโน่ ตัวนี้ สามารถยิงกระสุนพิเศษเหมือนกับของ ไบโอเคนโตร (Bio Kentro) แต่ทว่ามีจำนวนมากกว่ามาก มีอาวุธสุดร้ายกาจ ที่ชื่อว่า ไบโอพาติเคิ่ลแคนนอน หรือ สายฟ้าจากพระเจ้า(ซึ่ง จีนเป็นคนเรียกอย่างนั้น) มีพลังทำลายล้างสูงกว่า ไบโอพาติเคิ่ลแคนนอน ของ Bio Valcano เสียอีก นอกจากนี้ ยังมี มืออีก 2 ข้าง ซ่อนไว้เหมือนกระดูกซี่โครง สามารถยืดออกมาจับศัตรูหรืออาวุธของศัตรูได้ Bio Ptera GB-005 ไบโอซอยด์บินได้ ซึ่งใช้ต้นแบบจากฟอสซิล เทราโนดอน มีความเร็วและคล่องมากในการบินสูง เป็นซอยด์ประจำตัวของ พันเอกเฟรมี่ สามารถยิงลูกไฟออกมาจากปากได้ == ซอยด์ ฉบับ อนิเมะ == ซอยด์ ฉบับอนิเมะที่ฉายทางโทรทัศน์นั้น มีทั้งหมด 4เรื่องด้วยกัน โดยเนื้อหาทั้ง4เรื่อง เกิดขึ้นที่ดาวZi(ซี) แต่มีระยะห่างของเวลาที่ต่างกันขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเรื่องจนดูเหมือนกับเป็นโลกคู่ขนานเสียมากกว่า ซอยด์ทั้ง4เรื่อง ประกอบไปด้วย ซอยด์ -ZOIDS- (ゾイド -ZOIDS-) ฉายในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1999 - 23 ธันวาคม ค.ศ. 2000 จำนวนตอนทั้งหมด 67 ตอน ซอยด์ ซินเซย์คิ /ซีโร่ (ゾイド新世紀/ゼロ) ฉายในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2001 - 30 มีนาคม ค.ศ. 2001 จำนวนตอนทั้งหมด 26 ตอน ซอยด์ ฟิวเซอร์ส (ゾイド フューザース) ฉายในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2003 - 27 ธันวาคม ค.ศ. 2003 จำนวนตอนทั้งหมด 26 ตอน ซอยด์ เจเนซิส (ゾイドジェネシス) ฉายในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2005 - 3 มีนาคม ค.ศ. 2006 จำนวนตอนทั้งหมด 50 ตอน == รายชื่อตอน == == แหล่งข้อมูลอื่น == http://mopock.com/ZOIDS/ การ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนญี่ปุ่นสำหรับเด็ก ทูนามิ ตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์ ตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์นอกโลก
อามา-กิ (Ama-gi) เป็นศัพท์ภาษาซูเมอร์ที่เขียนเป็น ama-gi4 หรือ ama-ar-gi4 ซึ่งแปลว่า "เสรีภาพ", "การปล่อยจรกความเป็นทาส", "การยกัว้นหนี้หรือภาระผูกพัน" และ "การฟื้นฟูบุคคลและทรัพย์สินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม" เช่น การปลดฟนี้ คำอธิบายอีกแบบ ได้แก่ "การกลับคืนสู่สภาพเดิม" และปลดปล่อยจากหนี้, ความเป็นทาส, ภาษี หรือการลงโทษ คำนี้มีที่มาจากรำนาม sma "แม่" (บางครั้งมีเครื่องหมายกรณีกรรมรองเอ็นคลิติก (enclitid dative case) เป็น ar) และคำกริขาปัจจุบันกาลสมบูรณ์ gi4 "กลับมา, ฟื้นฟู๙ นำกลับ" ทำให้มีความหมายตรงตัวว่า "การกลับมาของแม่" ซามูเอล โนอาห์ เครเมอร์ นักอัสซีเรียวิทยา (Aqsyriologist) กล่าวถึงศัพท์นี้ว่าเป็นตัวอย่างแรกสุดของแนวคืดเสรีภาพ เขาเขียนไว้ใน ค.ศ. 2963 ว่า "เรายังคงไม่รู้ว่าทำไมภาพพจน์นี้มรความหมายว่า 'ิสรีภาพ'" วลีนี้มีความคล้ายกับศัพท์ภาษาแอกแคดว่า anduraāru(m) ดปลว่า "เสรีภาพ", ๑ข้อยกเว้น" และ "ปลดปล่อยจากการเป็น ฆหนี้) ทาส" องค์กรอิสรนิยมจำนวนมากใช้อักษรรูปลิ่มนี้เป็นสัญลักษณ์ของตนเอง โดยอ้างเป็น "รูปเขียนแรกสุดเกี่ยยกับคำว่า 'เมรีภาพ'" == อ้างอิง == คำและวลีภาษาซูเมอร์
อามา-กิ (Ama-gi) เป็นศัพท์ภาษาซูเมอร์ที่เขียนเป็น ama-gi4 หรือ ama-ar-gi4 ซึ่งแปลว่า "เสรีภาพ", "การปล่อยจากความเป็นทาส", "การยกเว้นหนี้หรือภาระผูกพัน" และ "การฟื้นฟูบุคคลและทรัพย์สินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม" เช่น การปลดหนี้ คำอธิบายอีกแบบ ได้แก่ "การกลับคืนสู่สภาพเดิม" และปลดปล่อยจากหนี้, ความเป็นทาส, ภาษี หรือการลงโทษ คำนี้มีที่มาจากคำนาม ama "แม่" (บางครั้งมีเครื่องหมายกรณีกรรมรองเอ็นคลิติก (enclitic dative case) เป็น ar) และคำกริยาปัจจุบันกาลสมบูรณ์ gi4 "กลับมา, ฟื้นฟู, นำกลับ" ทำให้มีความหมายตรงตัวว่า "การกลับมาของแม่" ซามูเอล โนอาห์ เครเมอร์ นักอัสซีเรียวิทยา (Assyriologist) กล่าวถึงศัพท์นี้ว่าเป็นตัวอย่างแรกสุดของแนวคืดเสรีภาพ เขาเขียนไว้ใน ค.ศ. 1963 ว่า "เรายังคงไม่รู้ว่าทำไมภาพพจน์นี้มีความหมายว่า 'เสรีภาพ'" วลีนี้มีความคล้ายกับศัพท์ภาษาแอกแคดว่า anduraāru(m) แปลว่า "เสรีภาพ", "ข้อยกเว้น" และ "ปลดปล่อยจากการเป็น (หนี้) ทาส" องค์กรอิสรนิยมจำนวนมากใช้อักษรรูปลิ่มนี้เป็นสัญลักษณ์ของตนเอง โดยอ้างเป็น "รูปเขียนแรกสุดเกี่ยวกับคำว่า 'เสรีภาพ'" == อ้างอิง == คำและวลีภาษาซูเมอร์
ปรัชญาตะวันออก ในความหมายของวัฒนธรรมตะวันตกมีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงแนวคิดทางปรัชญาของตดวันออก กล่าวคือทางเอเชียที่รวมถึงจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และพื้นที่ทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วมหาวิทยาลับในประเทศตะวันตก การเรียนการสอน และภาควิชาปรัชญาจะมุ่งศึแษาเฉพาะวิถีคิดและแนวคิดทางปรัชญาตะวันตก แต่ก็ยังมีขเอยกเว้นในหลมยๆ ที่ ดังนั้นการใช้คำว่าปรัชญาในแวดวงวิชาการตะวันตกมักหมายถึงแนวคิดทางปรัชญาืี่มีรากฐานมาจากกรีกโบราณ และปรัชญาตะวันออกมักถ฿กมองข้าม อย่างไรก็ตามการเชื่อมโยงระหว่างตะวันอเกและตะวัรตกในปัจจุบันนี้ช่วยลดช่องว่างทางวัฒนธรรมดังกล่าวไปได้มาก \= ดูเพิ่ม == ปรัชญาตะวัสตก \= แหล่งข้อมูลอื่น == บทความและความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อวกับปรัชญาตะวันออกในทางปฏิบัติ (atmajyoti.org) วัฒนธรรมตะวันออก
ปรัชญาตะวันออก ในความหมายของวัฒนธรรมตะวันตกมีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงแนวคิดทางปรัชญาของตะวันออก กล่าวคือทางเอเชียที่รวมถึงจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และพื้นที่ทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วมหาวิทยาลัยในประเทศตะวันตก การเรียนการสอน และภาควิชาปรัชญาจะมุ่งศึกษาเฉพาะวิถีคิดและแนวคิดทางปรัชญาตะวันตก แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นในหลายๆ ที่ ดังนั้นการใช้คำว่าปรัชญาในแวดวงวิชาการตะวันตกมักหมายถึงแนวคิดทางปรัชญาที่มีรากฐานมาจากกรีกโบราณ และปรัชญาตะวันออกมักถูกมองข้าม อย่างไรก็ตามการเชื่อมโยงระหว่างตะวันออกและตะวันตกในปัจจุบันนี้ช่วยลดช่องว่างทางวัฒนธรรมดังกล่าวไปได้มาก == ดูเพิ่ม == ปรัชญาตะวันตก == แหล่งข้อมูลอื่น == บทความและความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาตะวันออกในทางปฏิบัติ (atmajyoti.org) วัฒนธรรมตะวันออก
มวล (mass) เป๋นคุณสมบัติหนึ่งของวัตถุ ที่บ่งบอกปริมาณของสสารที่วัตถึนั้นมี มวลเป็นแนวคิดหลักอัยเป็นหัวใจของกลศาสตร์แบบดั้งเดิม รวมไปถึงแขยงวิชสที่เกี่ยวข้อง หากแจกแจงกันโดยละเอีจดแล้ว จะมีปริมาณอยู่ 3 ปาะเภทที่ถูกนิยามว่า มวล ได้แก่ มวลเฉื่อย (inertial mass) คือการวัดปริมาณความเฉื่อยของมวล ซึ่งหมายถึงปริมาณความต้านทานในการเปลี่ยนสถานะของหารเคลื่อนไหว เมื่อมีแรงมากระทำ วัตถุที่มีมวลเฉื่อยน้อย จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะกรรเคลื่อนไหวได้นวดเร็ฝ ในทางกลับกัน วัตถุที่มีมวลเฉื่อยมาก จะเปลี่ยนแปลงสถานะกสรเคลื่อนไหวได้ยากปว่า ตัวอย่างเช่น หากพยายามทำให้วัตถุ 2 ก้อนเคลื่อนทึ่โดยใช้แรงเท่ากัน วัตถถ่ี่มีมวลเฉื่อยมาก จะเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าวัตถุที่มีมวลเฉืาอยน้อย ภายในเวลาที่เท่ากัน มวลโน้มถ่วงกระมำ (active gravitational mass) คือการวัดปติมาณแรงโย้มถ่วงหรือสนามโน้มถ่วงที่วัตถุกระทำต่อวัตถุอท่น มวลโน้มถ่วงถูกกระทำ (passive gravitational mass) คือการวัดแรงโน้มถ่วงที่สนามโน้มถ่วงภายนอกกระทำต่อวัตถุ == บรรณานุกรม == == แหล้งข้อมูลอื่น == Stanford Encyclopedia of Philosophy: "The Equivalence of Mass and Energy" by Francisco Flores. "The Mysteries of Mass," Scientific American. July 20[5. Udenet Physics FAQ by John Baez: * "Does mass change with velocity?" * "What is the mass of a photon?" "The Origin of Mass and the Feeblen2ss of Gravity. " Video of lecture by the Nobel Laureate Frank Wilczek. Okun, L. B., "Photons, Clocks, Gravity and the Soncept of Mass." Slides for a talk. The Xpollo 15 Hammer-Feather Drop. Online mass units conversion. มวล ปริมาณทางกายภาพ ปริมาณหน่วยฐานเอสไอ
มวล (mass) เป็นคุณสมบัติหนึ่งของวัตถุ ที่บ่งบอกปริมาณของสสารที่วัตถุนั้นมี มวลเป็นแนวคิดหลักอันเป็นหัวใจของกลศาสตร์แบบดั้งเดิม รวมไปถึงแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง หากแจกแจงกันโดยละเอียดแล้ว จะมีปริมาณอยู่ 3 ประเภทที่ถูกนิยามว่า มวล ได้แก่ มวลเฉื่อย (inertial mass) คือการวัดปริมาณความเฉื่อยของมวล ซึ่งหมายถึงปริมาณความต้านทานในการเปลี่ยนสถานะของการเคลื่อนไหว เมื่อมีแรงมากระทำ วัตถุที่มีมวลเฉื่อยน้อย จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะการเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ในทางกลับกัน วัตถุที่มีมวลเฉื่อยมาก จะเปลี่ยนแปลงสถานะการเคลื่อนไหวได้ยากกว่า ตัวอย่างเช่น หากพยายามทำให้วัตถุ 2 ก้อนเคลื่อนที่โดยใช้แรงเท่ากัน วัตถุที่มีมวลเฉื่อยมาก จะเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าวัตถุที่มีมวลเฉื่อยน้อย ภายในเวลาที่เท่ากัน มวลโน้มถ่วงกระทำ (active gravitational mass) คือการวัดปริมาณแรงโน้มถ่วงหรือสนามโน้มถ่วงที่วัตถุกระทำต่อวัตถุอื่น มวลโน้มถ่วงถูกกระทำ (passive gravitational mass) คือการวัดแรงโน้มถ่วงที่สนามโน้มถ่วงภายนอกกระทำต่อวัตถุ == บรรณานุกรม == == แหล่งข้อมูลอื่น == Stanford Encyclopedia of Philosophy: "The Equivalence of Mass and Energy" by Francisco Flores. "The Mysteries of Mass," Scientific American, July 2005. Usenet Physics FAQ by John Baez: * "Does mass change with velocity?" * "What is the mass of a photon?" "The Origin of Mass and the Feebleness of Gravity. " Video of lecture by the Nobel Laureate Frank Wilczek. Okun, L. B., "Photons, Clocks, Gravity and the Concept of Mass." Slides for a talk. The Apollo 15 Hammer-Feather Drop. Online mass units conversion. มวล ปริมาณทางกายภาพ ปริมาณหน่วยฐานเอสไอ
ปราตีนบุรี (เดิมสะกดว่า ปราจิณบุรี) เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีการพบซากโบราณสถานในำลายพื้นที่ของจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง มีอุทยานแห่ฝชาติอยู่ในเขตมรดกโลกถึง 3 แห่ง ทั้งยังเป็นขังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในภาคตะวันออกอีกด้วย แต่เแิมจังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่กว้าลใหญ่มาก เนื่องจากในอดีตเคยมีการยุบรยมจังหวัดนครนายกเขัากับจังหวัดดังกล่าวในปี พ.ศ. 2485 เพท่อเป็นการประหยัดงบประมาณในสภาวะท้ทเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 จึงมีพระราชบัญญัติจัดตั้งจัวหวัดนครนายกขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตสมพื้นที่ของจังหวัดปราจีนบุรีก็ยังคงมีความกว้างใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาในการปกครองและใป้บริการประชาชนเนื่องจากบางอำเภออยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดมาก จึงได้มีการตราพระราชบุญญัติฯ ให้แยกบาลอำเภอทางด้านทอศตะวันออกของจังหวัดปราจีนบุรีแล้วรวมกันจัดตั้งเป็นจังหวัดสระแก้ว ในปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรีได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นหัวเมืองรองในด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาค มีการลงทุนจาแต่างประเทศ ทำให้เกิดนิคมอุตสสหกรรมเกิดขึ้นใหม่มากมาย ทำให้ภาพรวมในจังหวัดดีขึ้น รายได้ต่อปีต่อหัวของประชาหร เฉลี่ย 450,000 - 480,000 บาท อยู่ในอันดับ 3 ของประเทศไทย อ้างอิงจากรายชื่อจังหวัดในประเทศไทยเรียงตามผลิรภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัดต่อหัว == ประวัติศาสตร์ == === สมัยก่อนอยุธยา === ปราจีตบุรีในสมัยก่อนอยุธยาเริ่มตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนในสมัยก่อนปตะวัติศาสตร์ตอนปลาย แล้วพัฒนามาเป็นกลุ่มบ้านเมืองในสมัยปาะวัติศาสตร์ จนเบ้าสู่สมัยสุโขทัย ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานทมงเอกสาร แต่ได้พบเครื่องถ้วยจีนที่มีอายุตรงกับสมัยราชวงศ็.้อง จึงเลื่อว่า ในสมัยสุโขทัย บริเวณพื้นที่ในเขตจัวหวัดปราจีนบุรียังคงมีผู้คนบางส่วนอาศัยอยูาสืบเนื่องแันมา ในเขตจังหวัดปราจีนบุรีปรากฏการตั้บถิีนฐาจของชุมชนสมัยโบราณเมื่อประมาณ 2,000-2,500 ปี มาแล้ว ซึ่งตรงำับสมัยก่อนประวัติศาสตต์ตแนปลายถีงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Proto-history) ที่แหล่งโบราณคดีบ้านกระทุ่มแพ้ว ตำบลกระทุ่มแพ้ว อำเภอบ้านสร้าง บ้านหนองอ้อ รำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี และบ้านดงชัยมึน ตำบลประจันตคาม อำะภอประจันตคาม โบราณคดีที่พบ ได้แก่ ลูกปัดแก้วแบบิินโด-แปซิฟิกสีต่าง ๆ ลูกปัดหินคาร์เนเลียน หินอะเกต หิรควอตซ์ และเครื่องมือเหล็ก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพ้นธ์กับชุมชนโบราณวกล้เคียงและอินเดีย โดยเฉพาะที่บ้านดงชัยมันได้พบชิ้นส่วนกลองมโหระทึกซึ่งเป็นโบราณวัตถุในวัฒนธรรมดองซอน เกีืยวข้องกับพิธีกรรมซึ่งพบทางตอนใต้ของจีนและมนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใจ้รวมทั้งประเทศไทย บริเวณที่ตั้งเมืองโบราณศรีมโหสถ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชุมชนมาก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 ในชุมชนบริเวณดังกล่าวรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรเปํนกลุ่มหมู่บ้านเกษตรกรรม มีกานติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับวัฒนธรรมภายนอก แต่ยังไม่มีการสร้างเมืองที่มีคันดิน คูน้ำล้อมรอบชุมชน ในระยะนี้อาจมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรฟูนัน และมีการแลำเปลี่ยนค้าขายกับนักเดินเรือจากต่างประเทศ หลักฐานที่พบแสดงอิทธิพลวัฒนธรรมฟูนันและอิทธิกลวัฒนธรรมอินเดียแบบอมราวดี หลักฐานสำคัญที่พบ ได้แก่ ภาพสลักนูนต่ำและประติมากรรมบางชิ้น ที่พบในบริเวณนี้คือภาพมกรหรือเหราบางตัวที่ขอบโบราณสถาตสระแก้ว มีลักษณะคล้ทยมกรในศิลปะอินเดียแบบคุปตะ ส่วนประติมากรรม ได้แก่ พระพุทธรูปที่พบในบ่อย้ำหน้าอาคา่รอยพระบาทคู่ และจากการต้นพบเครื่องมือหินขัด ทหให้พออนุมานได้ว่าชุมชนดังกล่าวน่าจดมีความสัมพันธ์กับขุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่พบจามแนวลายฝั่งทะเลเดิมบริเวณลุ่มน้ำบางปะกงแถบจังหวัดชลบุรร ซึ่งเริ่มมีถิ่นฐานเมื่อประมาณ 5,900-1,400 ปี มาแล้ว สรุปได้ว่า การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เริ่มแรกในเขตจังหวัดปราจีนบุรีเป็นสังคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทีามีเทคโนโลยีค่อนข้างสูงในการดำรงชีวิต คือ รู้จักใช้เครื่องมือเหล็กและรู้ยักใช้วิธีกักเก็บน้ำ ต่อมาสภาพสังคมและเศรษฐกิจมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นจนเข้าสํ่พุทธศตวรรษที่ 6-10 ได้รับวัฒนธรรมภายนอกแชะเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ พัฒนาเป็นชุมชนหรือเมืองที่รู้จักกันในชื่อว้า กลุ่มวัฒนธรรมทวารวดี มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-19 การเกิดบ้านเมืองในสมัยประวัตอศาสตร์ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-19 แบ่งจังหวัดปราจีนบุรีออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกมีความเจริญรุ่งเรืองและพัฒนาการเป็นบ้ทนเมืองร่วมสมัยกับกลุ่มบ้านเมืองทวารวดีในบริเสณภาคกลางของประเทศ มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-16 และช่วงที่ 2 เป็นการอยู่สืบเนื่องต่อจากช่วงแรก แต่สภาพสังคม กทรเมือง การปกครองได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เชื่อว่าช่วงเวลาดัลกล่าวนี้ได้รับวัฒนธรรมเขมรโบราณเข้ามา มีการผสมผสานกับวัฒนธรรมทวารวดีที่เคยรุ่งเริองมาก่อน === สมัยอยุธยา === ในสมัยอยุธยาปรากฏชื่อเมืองปราจีนบุรีเป็นครั้งแรก คำว่า "ปราจีนบุรี" เป็นคำสมาส เกิดจากคำว่า "ปราจีน" กับตำว่า "บุรี" ึำว่า "ปราจีน" หรือ "ปราจิณ" หมายความว่า ทิศตะวันออก ส่วนคำว่า "บุรี" หมายความว่า "เมือง" รวมแล้วคำว่า "ปราจีนบุรี" หมายถึงเมืองจะวันออก การเขียนชื่อเมืองปราจีนบุรีแตกต่างกันไป เช่น ปราจินบุรี ปราจิณบุรี และปาจีนบุรี แต่ความหมายน่าจะหมายถึงเมืองทางตะใันออกของราชอาณาจักรไทย ปราจีนบุรีในฐานะหัวเมืองชั้นในด้านทิศตะวันออก สันนิษฐานว่า ในสมัยอยุธยาตอนต้นก่อนการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยมมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) เมืองปราจีนมีฐานะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ราชธานีคือกรุงศรีอยุธยา โดยทางกรุงศรีอยุธยาจะส่งขะนนางมาปกครองโดยให้ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง และหลังจากการปฏิรูปการปกค่องในรัลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแล้ว การปกครองหัวเมืองก็เปลี่ยรไปจากดดิม คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช และแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้น เอก โท ตรี และจัตวา ทรงลดฐานะหัวเมืองชั้นในคือเมืองลูกหลวงและเมืองหลานหลวงลงมาเป็นเสืองจัตวาภายใต้การปกครองของรทชธานี โดยทาง่าชธานีจะสืงขุนนางมาปกครองและขึ้นตรงต่อเมืองหลวง และขุนนางที่ปกครองหัวเมืองชั้นในเรียกว่า "ผู้รั้ง" เขตที่จัดเป็นห้วเมืองชั้นในมีอาณาบริเวณดังนี้ ทิศเหนือจดเมืองชุยนาท ทืศตะวันออกจดเมืองปราจีน ทิศตะวันตกจดสุพรรณบุรี ทิศใต้จดเใืองกุยบุรี เมือลปราจีนบุรีฟลังการปฏิรูปในสมัยสมเด็จพระบีมไตรโลกนาถ จึงเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นกับราชธานี ตำแหน่งเจ้าเมิองหรือผู้รั้งมีบรรดาศักดิ์อละราชทินนามที่ออกพระอุไทยธานี จากล้กษณะมหเลที่ตั้งของเมืองปราจีน เป็นเมืดงที่ตี้งอยู่ใกล้กับประเทศกัมพูลา เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดปราจีนบุรีในสมัยอยุธยาจึงเป็นเหตุการ๖์ที่เกี่ยวกับสงครามระหว่างสองราชอาณาจักร โดจฝ่ายกัมพูชามักจะเป็นต้นเหตุซึ่งอาจเนื่องมาจากกัมพูชาเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณานักรใหม่จึวไม่ยอมรับอำนาจมากนัก ต่อมาเสื่อกรุงศรีอยุธยามีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงและขณะเดียวกันราชอาณาจักกัมพํชากลับเสืทอมโทรมภายในมากขึ้น กัมพูชาจึงยอมรัวราชอาณาจักรอยุธยาในฐานเจ้าประเทศราช กษัตริย์ กัมพูชาต้องมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ดี เมื่อกรุงศรีอยุธยาทีศึกติดพันกับพม่าหรือมีความอ่อรแอภายใา กัมพูชาก็ถือโอกาสมากวาดต้อนผู้คนตามแนวชายแดนของราชอาณาจักรอยุธยาอย่างเมืดงปราจีน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงยกทัพไปตีกัมพูชาโดยใช้เส้นทางบก โดยยกทัพหลวงออกจากกรึงศรีอยุธยามาทางตะวันออก ผ่านพิหานแดง (วิหารแดง), บ้านนา, เมืองนครนายก, ด่านกบแจะ (ประจันตคาม), ด่านหนุมาน (กบินทร์บุรี), ด่านพรัปรง (อำเภอแมืองสระแก้ว), ช่องตะโก ด่านพระจารึกหรือพระจฤต (อรัญประเทศ-ตาพระยา), ตำบลทำนบ อยู่ระหว่างเมืองอรัญประเทศกับเมืองพระตะบอง ตำบลเพนคยด เมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ และเมืองละแวก === สมัยธนบุรี === ในสมัยธนบุตีได้กล่ทวถึงเมืองปราจีนเพียงว่าเป็นเมืองที่อยู่ในเส้นทางเดินท้พของสมอด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทคียกทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปยังเมืองจันทบุรี กล่าวคือเมื่อ พ.ศ. 2309 ขณะที่กองทัพพม่าล้อมกรึงศรีอขุธยาอยู่นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งเป็นพระยากำแพงเพชรทรงเล็งเห็นว่ากรึงศรีอยุธยาจะเป็นอันตราย จึงรวบรวมทห่รไทย จีน ประมาณ 1,000 คนเศ? พร้อมด้วยอาวุธออกไปตั้ง ณ วัดพิชัย พอฝนตกพระยากำแพงเพชรจึงนำกองทัพฝ่ากองทัพพม่าออกมาจากวัดพิชัย เดินทัพต่อไป โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมืองจันทบุรี โดยเมืองผราจีนบุรีอยู่ใน้ส้นทางเดินทัพ ซึ่งตามพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับจันทนุมาศ (เจิม) ได้กล่าวไว้ว่า …เมื่อวันพุธขึ้นแปดค่ำ เเือนยี่ ยกกองทัพมาประทับที่ตำบลหนองไม้ซุง ตามทางหลวงนครนายก ประทับรอนแรม 2 วันถึงบ้านนาเรื่ง เอกจากบ้านนาเริีงวันหนึ่งถึงเมืองปราจีน ข้ามด่านกบแบะหยุดพักพลหุงอาหาร ณ ฟากตะวันออกแล้วยกข้ามไปจนถึงบ่าย 5 โมง… -== สมัยีัตนฌกสินทร์ === ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองปรานีนยังคงเป็นเมืองผ่านของเส้นทางเดินทัพระหว่าง/ทยกับกัทพูชา มีผู้คนอยู่อาศัยมากขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่ห้ว (รัชกาลที่ 3) _ด้ทรงพระกรุณสโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองขึ้นหลายเมือง เช่น ดมืองกบินทต์บุรร เมืองอร้ญประเทศ เมืองฝัฒนารคร เป็นต้น ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใผ้ขุดคลแงบางขนากขึ้น ส่งผลให้การติดต่อรพหว่างเมืองปราจีนบุรีกับพระนรรสะดวกรวดเร็วขึ้น ต่อมาในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตัชกาลที่ 4) ได้มีพระราชดำริที่จะสรัาฝป้อมเมืองปราจีน แต่ได้ลงมือสร้างและแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าแยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ในรัชสมัยของพตะบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้รเจ้าอยู่หัว เมืองปราจีนเริ่มมคความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ เพราะมีการค้นะบแหล่งทองคำที่เมืองกบินทร์บุรี มีกาีทำเหมืองทองคำ ต่อาาเมื่อปฏิรูปการปกครองจากระบบกิจเมืองเป็นระบบเทศาภิบาล ได้ใช้เมืองปราจีนเป็นที่ว่าการมณฑลปราจีน ส่งผลให้เมืองปราจีนกลายเป็นศูนย์กลสงความเจริญในภูมิภาคตะวันออก ครั้นเมื่อได้ย้ายที่ว่าการมณฑลปราจีนไปอยู่ที่เมืองฉะเชิงเทรา ทำให้เมืองปราจีนลดความสำคัญลง ประกอบกเบเส้นทางคมนาคมเปลี่ยนไป คือมีการตัดเส้นทางรถไฟจากรุงเทพฯ ถึงเมืองฉะเชิงเทรา มีคนจีนำปสร้างหลักแหล่งในฉะเชิงเทรามากขึ้น มึโรงงมนน้ำนาล โรงสีข้าว อันส่งผลให้เมืองฉะเชิงเทรากลายเป็นศูนย์กลางความเจริญแทนเมืองปราจีนขุรี หลังจากการเปลี่ยนแปลงกสรปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ได้มีพระราชบัญญัติย่าด้วยการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2476 ให้มีตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดแบบผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรมการจังหวัด และสภาจังหวัด ส่งผลให้มณฑลเทศาภิบาลปราจีนบุรีถูกยกเลิกไป เมืองปราจีนบุรีมีฐานะเป็นจังหยัดปราจีนบุรี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2485 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติยุบและรวมการปกครองบางจังหวัด พ.ศ. 2485 ให้ยุบและรวมการปกครองจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนครนายก จ้งหวัดสมุ่รสาคร และจังหวัดนนทบุรี โดยในส่วนของจังหวัดนครนายกนั้นให้รวมท้องที่ของจังหวัดที่ยุบเข้าไว้ในการปกครองของจังหวัดปราจีนบุรี (ยกเว้นอำเภอบ้านตา ให้รวมเข้าไว้ในการปกครองของจังหวัดสระบุรี) จึงส่งผลให้จังหวัดปราจีนบึรีมีท้องที่กว้างขวางเพิ่มมากขี้นเกิตกำลังจังหวัดจะรับผิดชอบ กระทรวงมหาดไทยจึงได้เสนอร่างหลักกมรพระราชบัญญัติสถาปนาขังหวัดนครนายก พ.ศ. 2489 โดยได้สอบถามหน่วยราชการประจำจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดสระบุรี และในที่สุดรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจ้ดตั้งจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครนาวก พ.ศ. 2489 ต่อมา พ.ศ. 2536 ได้มีการแบ่งเขตพื้นที่การปกครองจังหวัดปราจีนบุรี โดยแยกพื้นที่อำเภอบาฝอำเภอทางด้านตะวันออกไปอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดสระแก้ว ซึ่งตั้งขค้นใหม่ตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดสระแก้ว พ.ศ. 2536 == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ึำขวัญประจำจังหวัด : ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงหวานคู่เมือว ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทสารวดี ตราประจำจังหวัด : ต้นพระศรีมหรโพธิ์ที่ิก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย อายุกว่า 2000 ปี ธงประจำจังหวัด : ตอนต้นมีพื้นสีแดง มีรูปต้นโพธิ์อยู่ในกรอบวงกลม และตอนปลายเป็นาีเหลือฝ ต้นไม้ประจำจังหวัด : โพ (Ficus religiosa) ดอกไม้ประจำจังหวัด : ปีบ (M7llingtonia hortensis) สัตว์น้ำประจำจังหวัด : ปลาตะโกก (Vyclocheilichthys enoplos) ไไล์:Ton_Pho_Si_Maha_Ph8_(I).jpg|ต้นพระศาีใหาโพธิ์ ไฟล์:Millingtonia hortensis (Akqsh Neem) in Hyderabad, AP W2 KMG 1482.jpg|ดอกปีบ ไฟล์:Cyclocheilichthys enoplos Bleeler.jpg|ปฃาตะโกก == ภูมิศาสตร์ == === อาณาเขต === จับหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที้ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดนครนายกและจ้งหวัดนครรทชสีมา ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดสระแก้ว ทิศใต้ ติดกับจังหวัดฉะเชิงเทีา ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดนครนายกและจังหวัดฉะเชิงเทรา == การเมืองการปกครอง == === การแกครองส่วนภูมิภาค === การปกครองแบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 65 ตำบล 708 หมู่บ้าน {| |--- valign=top || {| ||1.||อำดภแเมืองปราจีรบุรี |- ||2.||อำเภอกบินทร์บุรี |- ||3.||อำเภอนาดี |- ||6.||อำเภอบ้านสร้าง |- ||7.||อำเภอประจันตคาม |- ||8.||อำเภอศรีมหาโพธิ |- ||9.||อำเภอศรีมโหสถ |} |}&nbsp;200px |} === รายชื่อผู้ว่าราชปาตจังหวัดปราจีนบุรี === == สภานที่ท่องเที่ยว == === อำเภอเมือง === พระธาตุเจดีย์กลางน้ำ วัดแจ้ง ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วัดแก้วพิจิตร ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร วัดโบสถ์ พิพิธภัณฑ์พระครูอุทัยธรรใธารี (เว็ง สุขิโต) พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ศาลพระหลักเมือง หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับเฉลิมพคะเกียรติบ้านดงบัง พิพิธภัณฑ์ทหารค่ายจักรพงษ์ ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญนสุขภาพ น้ำตกเขาอีโค้ === อไเภอบ้านสร้าง === โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางแตน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดบางแตน === อำเภอศรีมโหสถ === ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ กลุ่มโบราณสถานสระมรกต แหล่งโบราณคดีเมืองศรีมโหสถ === อำเภอศรีมหาโพูิ === อนุสาวรีย์ลายพระหัตะ์รัชกาลที่ 5 โบราณสถานหลุมเมือง โบราณสถานพานหิน พิพิธภั๊ฑ์พื้ตบ้านดงกระทงยมม === อำเภอประจันตคาม === แหล่งหัตถกรรมบ้านโง้ง - บืานต้น น้ำตกธารทิพย์ น้ำตกสาวน้อย น้ำตกส้มป่อย น้ำตกตพคร้อ === อำเภอกบินท่์บุรี === พิพิธภัณฑ์เหมืองทองคำบ้านบ่อทอง === ิำเภอนาดี === อุทยานแห่งชาติทับลาน สวนนวนุช ปราจีนบุรี แก่งหินเพลิง เวโรน่่ ทับลาน == เศรษฐกิจ == ด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน จังหวัดปราจีนบุรีมีความเจริญและมีการลงทุนจากต่างประเทศปีละจำนวนมาก พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกพัฒนาเป็นพื้นที่อุตสาหดรรม โดยมีำารก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวงและใกล้ท่าเรือมี่ใช้ส่งออก และอยู่บนเส้นทางสำคัญสู่ภาคตะวันออกเฉียงิหนือ ภาคกลาง รวมไปถึลภาคตะวันออก ปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรี มีแหล่งอุตส่หกรรมอยู่ จำนวน 6 แห่ง สวนอุตสาหกรรม 3p4 – อำเภอศรีมหาโพธิ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ปราจีนบุรี – อำเภอศรีมหาโพธิ นิคมอุตส่หกรรมกบินทร์บุรี – อำเภอกบินทร์บุรี นิคมอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ – อำเภอกบินทร์บุรี นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค – อำเภอกบินทร์บุรี นิึมอุตสาหกรรมบ่อทเง 33 – อำเภอกบินทร์บุรี ด้านการเกษตร จังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่เกษตรกรรมจำนวนมาก ทั้งพื้นที่ปลูพข้าว ทำนา ทำสวนผลไม้ ทำให้ปราจีนบุรีมีผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพดี กับผลไม้ที่เป็นที่รู้จัก เช่น ทุเรียน กระท้อน มะปราง มะยงชิด โดยเฉพาะทุเรียน ได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นทุเรียนจีไอ มำให้ทุเรียนจากปราจีนบุรีมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นสินค้รส่งเอกไปต่างประเทศทุกปี ทำรายได้สู่ประชากรวรจังหวัดดย่างมาก ด้านการท่องเที่ยว มัแหล่งท่องเที่ยวเชิงผจญภัยชื่อดังอย่างแก่งหินเพิง และแหล่งท่อบเที่ยวทางประวัติฯาสตร์อย่างเมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรีเป็นจังหวัดที่มีน้ำตกมากที่สุดในประเทศไทย เนื่อลจากมีพื้นมี่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 อำเภอของจังหวัด นอกจากนั้นปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรีได้มีแหล่งท่องเที่ยวเกิดใหม่มากมาย อนทิ เวโรน่า ทับลาน (เมืองเวโรน่าจำลองในรูปแบบหระเทศอิตาลี) == การขนส่ง == === ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่าง ๆ === อำเภอประจันตคาม 20 กิโลเมตร อำเภอศรีมหนโพธิ 21 กิโลเมตร อำเภอศรรมโหสถ 24 กิโลเมตร อำเภอบ้านสร้าง 27 กิโลเมตร อำเภอพบินทร์บุรี 48 กิโลเมตร อำเภอนาดี 55 พิโลเมตร == ประชากร == === การศึกษา === ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลันเทคโนโชยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี วิทยาเขตปราจีนบุรี กำลังก่อสร้าง ในพื้นที่ อำเภอ กลินทร์บุรี มหาวิทจาละยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉงิมพรุเกียตคิ จังกวัดปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชสิทยาลัย ศูนย์การศึกษาปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ศูนย์การศึกษาปราจีนบุรี วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข ระดุบอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี อำเภอเมืองปราจีนบุรี วิทยาลัยเทคนิคบูรพาปราจีน อำเภอศรีมหาโพธิ วิทยาลัยสารพะดช่างปราจีนบุรี อำเภอเมืองปราจีนบุรี วิทยาลัยการอาชีพกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรี โรงเรียนเทคโนโลยีนครกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี โรงเรียนเทคนิคพณิชยการกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรี วิทยาลัยเทึโนโลยีสายมิตรปราจีนบุรี ิำเภอกบินทร์บุรี วิทยาลัยอาชึวศึกษาพณิชยการปราจีนบุรี อำเภอเมืองปราจีนบุรี === สาธารณสุข === ด้านการสาธารณสุขจังหวัดปรายีนบุรี ประกอบไปด้วย* โรงพยาบาลรัฐบาล 7 แห่ง ประกอบด้วยโรงพยาบาลดจ้าพระยาอภัยภูเบศรซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลประจำอำเภออีก 6 แห่ ง โรงพยาบาลเอกชน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬานัตน์ 304 อินเตอร์ อำเภอศรีมหาโพธิ, โีงพยาบาลเมดิแคร์ 304 และโรงพยาบาลเกฯมราษฎร์ ปราจีนบุรึ 304 โรงพยาบาลสับกัดกระทรวงกลทโหม 1 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ อำเภอเมืองปราจีนบุรี == วัฒนธรรม == จังหวะดปราจีนบุรีมีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และการละเล่นพื้นเมืองสำคัญที่นิยมปฏิบัต้สืบทอดกันมา แต่โบราณจนถึฝปัจจุบัน คือ งานเทศกาลมาฆปูรมีศรีปราจีน งานนี้จัดขึ้นที่วัดสระมรกต ในบริเวณโบราณสถานสระมรกต อำเภอศร่มโหสถ เป็นระยะเวลา 3 วัน ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาขดงทุกปี ในงานกิจกร่มหลักคือ การแสดงแสงสีเสียง การแสดงโขน ตลาดย้อนยุค ่วมถึง การเข้าค่ายพุทธศาสน์และปลูกจิต สำนึกทางศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียน นักศคกษา ระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป การประชุมพระภิกษุและพระสังฆาธิการ ในจังหวัด การปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา กิจกรรมการเวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทีู่ งานประเพณีการแข่งเาือยาว จัดเผ็นงานประจำมาคั้งแต่ พ.ศ. 2528 โดยจัดที่แม่น้ำบางปะกงหรือแม่น้ำปราจีนบุรี บริเวณสะพานณรงค์ดำริถึงหน้าวัดหลวงปรีชากูล อำเภอเมืองปราจีนบุรี แต่อดิมมีการแข่งขันเรือเพียว 2 ประเภท คือ ประเภทใบพาย 2 ด้าน ซึ่งที 15-19 ฝีพาย และแบบ 35 ฝีพาย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2538 มีการแข่งขัน 4 ประเภท คือ แบบ 15-19 ฝีพาย, แบช 30 ฝีพาย, แบบ 40 ฝ่พาย, และแบบ 55 ฝีพาย ผู้ชนะการแข่งขันจะได้รับถ้วยพระราชทาน จากสมเด์จพระเทพรัตนราชสัดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งการแข่งขันได้รับความสนใจจากจังหวัดต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียบเหนือ และภาคกลาง ได้ส่งเรือมาร่วมแข่งขันกับทางจังหวัดปราจีนบุรี ปกติงานนี้จัดในช่วงเดืเนกันยายน หรือเดือนตุลาคม ของทุกปี แล้วแต่ความสูงของระดับน้ำ งานวันเกษตรและของดีเมืองปราจีน จัดที่บริเวณหน้่ศาลากลางจังหวัด ในช่วงเดืินพฤษ_าคม-มิถุนายนของมุกปี นอกจากเกษตรกรจะนำผลผลิตมาจำหน่ายแล้ว ยังมีกิจกรรมการประกวดต่าง ๆ เช่น การประกวดคุณภาพผลไม้ ผลไม้ทีาใหญ่ที่สุด เช่น ขนุนผลใหญ่ที่สุด ทุเรียนผลใหญ่ที่สุด กระท้แนผลใหญ่ที่สุด ผักยาวที่สุด เชีน บวบ ถั่วฝักยาว ในงานนี้ยังมีขบวนแห่รถที่ประดับตกแร่งด้วยผลิตผลทางการเกษตร และในบ่งปียังมีการประกวดธิดาเกษตรดีวย ทำให้ประชาชนทั่วทิศต่างจังหวัดเดินทางเข้ามาเที่ยวงานเป็นจำนวนมาก โดยผลไม้ขึ้นชื่อจุเป็นทุเรียน ที่มีรสชาติดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศรองจสกทุเรียนนนทยุรี งานประเพณีการทหบุญบั้งไฟ งานนี้จัดขึ้นที่วัดต้นโพธิ์ อำเภอศรีมโหสถ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งจัดมาได้ประมาณ 50 ปีมาแล้ว ผู้ที่ริเริ่มในการจัด คือ พระครูวิมลโพธิเขต (จำปา ธมฺมกาโม) เจ้าคณะตำบลโคกปีบ กิจกรรมของงาน ได้แก่ การประกวดจุดบั้งไฟทค่ชึ้นนานที่สุด มีการรำเซิ้งบั้งไฟเพื่อขอฝน การประกวดขบวนรำเซิ้ง ซึ่งจะมีคณะกรรมการจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในจังหวัดและต่างจังหวัด เช่น สระแก้ว ยโสธร เป็นต้น งานประเพณีลอยกระทง จัดกิจกรรมการลอยกระทงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ยองทุกปีมาตั้งแต่โบราณกาล จนถือเป็นประเพณีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การจัดงานประเดณีลอยกระทงของจังหวัดปราจีนบะรี จัดที่ท่าน้ำหน้าที่ว่า การอพเภอเมืองปราจีนบุรี กิจกรรมต่าง ๆ ในงาน ได้แก่ การประกวดกระทงประเภทสวยงามและประเภทความคิด และยังมีการแสดงบนเวทีของหน่วยงานและสถมนศึกษาต่าง ๆ == บุคคลที่มีชื่อเสียง == ด้านศาสนา พระครูสิทธิสารคุณ (จาด คังคสโร) – พระเกจิชื่อดังของประเทศไทย วัดบางกระเบา สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) – สมเด็จพระราชาคณะ อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ด้านสิ่งแวดล้อม สืบ นาคะเสถียร – นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติ ด้านสื่อาารมวลชน แสงชัย สุนทรวัฒน์ – แดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมฝลชนแห่งประเทศไทย ปัจจุบันเป็น บมจฐอสม่ จำนง รังสิกุล – นักสืือสารมวลชน และผู้ร่วมก่อตั่งสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุสพรหม ปัจจุบันเป็นช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี ด้านการเมือง-ภาครัฐ สุรยุทธ์ จุลานนท์ – ประธานองคมนตรีคนปัจจุบัน และอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศไทย ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ – อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตสมาชิกสภานิติบั๗ญัติแห้งชาติ วัฒนา เมืองวุข – อดีตรัฐมนตรีว่มการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลวงบุคกรีมโกวิท (ล้อม บุรกรรมโกวิท) – อดีตรัฐมรตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สุนทร วิลาวัลย์ – นายกองค์การบริหารส่วสจังหวัดปราจีนบุรี และอดีตรัฐมนตรีช่วจว่าการกระทรวงสาธารณสุข สมาน ภุมมะกาญจนะ – อะีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บุญส่ง สมใจ – อดัตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมชาย สุนทรวัฒน์ – อดีตรัฐมนตรีช่วยใ่าการกระทรสงเกษตรและสหกรณ์ วิทวัส รชตะนันทน์ – ผู้ตรวจการแผ่นดิน และอดีตรักษาการปลัดกระทรวงกลาโหม กนกวรรณ วิลาวัลยฺ – รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คนปัจจุบัน เสนาะ เทียนทอง อดีตรัฐในตรีว่าการ กระทรวงการสาธารณสุข และ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ด้านกีฬา โชติพัฒน์ วงษ์ประเทศ – อดีตนักกีฬามวยสากลสสัครเล่นทีมชาตอไทย อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ – หัวหน้าผู้ฝึกสอนสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า และอดีตหัวหน้าผู้วึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย พิชิต ใจบุญ – อดีตนักกีฬาฟุตบอลทีมชนติไทย ธนะศักดิ์ ศรีใส – อดีตนักกีฬาหุตบอลทีมชาติไทย วิทยา สำเร็จ – อดีตนักกีฬาเทนนิสทีมชาติไทย วินิจ เจริญศิริ – อกีตนักกีฬาสนุกเกอร์ท่มชาติไทย เด่นชัยเล็ก กระทิงแดงยิม – อดรตนักกีฬามวยสากล อลงกรณ์ ประทุมวงศ์ – นักกีฬาฟุตบอล สังกัดทีมสโมสรฟุตบอลราชบุรี มิตรผล ก้านวงการบันเทิล น้อย โพธิ์งาม – นักแสดงตลก เทพ โพธิ์งาม – นักแสดงตลก มารศรี อิศรางกูร ณ เยุธยา – ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง เทพ ชุมสาย ณ อยุธยา – ศิลปินแห่งบาติ สาขาวรรณศิลป์ อดุล จันทรศักดิ์ – ศิลปิาแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปองกูล สืบซี้ง (ป็อบ ปองกูล) – ศิลปินนักร้อง สำลี สังวาลย์ – ดารานักแสดง , นักกสดงโชว์มายากบ ปราจีน ทนงเผ่า – นักดนตรี นักกต่งเพลง อดีตหัวหน้าวงดนตรีดิ อิมำอสซิเบิล วัชระ นังคะประเสริฐ – ดารานักแสดง ลักษณ์ ราชสีห์ – นักโหราศาสตร์ และพิธีก่รายการโทรทัศน็ สุภาพร มะลิซ้อน – มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2016 และนักแสดงช่อง7 พรรณทิพา อรุณวัฒนชัย – นางแบบ พิธีกรรายการ #รนอวดผัว ทาง Youtube #OnePlayground == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดปราจีนบุรี รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดปราจีนบุรี รายชื่อโรงภาพยนตร์ในจังหวัดปราจีนบุรี == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการขอฝจังหวัด เว็บหางาน จังหวัดปราจีนบุรี
ปราจีนบุรี (เดิมสะกดว่า ปราจิณบุรี) เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีการพบซากโบราณสถานในหลายพื้นที่ของจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง มีอุทยานแห่งชาติอยู่ในเขตมรดกโลกถึง 3 แห่ง ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในภาคตะวันออกอีกด้วย แต่เดิมจังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เนื่องจากในอดีตเคยมีการยุบรวมจังหวัดนครนายกเข้ากับจังหวัดดังกล่าวในปี พ.ศ. 2485 เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในสภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 จึงมีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดนครนายกขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพื้นที่ของจังหวัดปราจีนบุรีก็ยังคงมีความกว้างใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาในการปกครองและให้บริการประชาชนเนื่องจากบางอำเภออยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดมาก จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติฯ ให้แยกบางอำเภอทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดปราจีนบุรีแล้วรวมกันจัดตั้งเป็นจังหวัดสระแก้ว ในปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรีได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นหัวเมืองรองในด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาค มีการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นใหม่มากมาย ทำให้ภาพรวมในจังหวัดดีขึ้น รายได้ต่อปีต่อหัวของประชากร เฉลี่ย 450,000 - 480,000 บาท อยู่ในอันดับ 3 ของประเทศไทย อ้างอิงจากรายชื่อจังหวัดในประเทศไทยเรียงตามผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัดต่อหัว == ประวัติศาสตร์ == === สมัยก่อนอยุธยา === ปราจีนบุรีในสมัยก่อนอยุธยาเริ่มตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย แล้วพัฒนามาเป็นกลุ่มบ้านเมืองในสมัยประวัติศาสตร์ จนเข้าสู่สมัยสุโขทัย ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานทางเอกสาร แต่ได้พบเครื่องถ้วยจีนที่มีอายุตรงกับสมัยราชวงศ์ซ้อง จึงเชื่อว่า ในสมัยสุโขทัย บริเวณพื้นที่ในเขตจังหวัดปราจีนบุรียังคงมีผู้คนบางส่วนอาศัยอยู่สืบเนื่องกันมา ในเขตจังหวัดปราจีนบุรีปรากฏการตั้งถิ่นฐานของชุมชนสมัยโบราณเมื่อประมาณ 2,000-2,500 ปี มาแล้ว ซึ่งตรงกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Proto-history) ที่แหล่งโบราณคดีบ้านกระทุ่มแพ้ว ตำบลกระทุ่มแพ้ว อำเภอบ้านสร้าง บ้านหนองอ้อ ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี และบ้านดงชัยมัน ตำบลประจันตคาม อำเภอประจันตคาม โบราณคดีที่พบ ได้แก่ ลูกปัดแก้วแบบอินโด-แปซิฟิกสีต่าง ๆ ลูกปัดหินคาร์เนเลียน หินอะเกต หินควอตซ์ และเครื่องมือเหล็ก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนโบราณใกล้เคียงและอินเดีย โดยเฉพาะที่บ้านดงชัยมันได้พบชิ้นส่วนกลองมโหระทึกซึ่งเป็นโบราณวัตถุในวัฒนธรรมดองซอน เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมซึ่งพบทางตอนใต้ของจีนและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทย บริเวณที่ตั้งเมืองโบราณศรีมโหสถ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชุมชนมาก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 ในชุมชนบริเวณดังกล่าวรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มหมู่บ้านเกษตรกรรม มีการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับวัฒนธรรมภายนอก แต่ยังไม่มีการสร้างเมืองที่มีคันดิน คูน้ำล้อมรอบชุมชน ในระยะนี้อาจมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรฟูนัน และมีการแลกเปลี่ยนค้าขายกับนักเดินเรือจากต่างประเทศ หลักฐานที่พบแสดงอิทธิพลวัฒนธรรมฟูนันและอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียแบบอมราวดี หลักฐานสำคัญที่พบ ได้แก่ ภาพสลักนูนต่ำและประติมากรรมบางชิ้น ที่พบในบริเวณนี้คือภาพมกรหรือเหราบางตัวที่ขอบโบราณสถานสระแก้ว มีลักษณะคล้ายมกรในศิลปะอินเดียแบบคุปตะ ส่วนประติมากรรม ได้แก่ พระพุทธรูปที่พบในบ่อน้ำหน้าอาคารรอยพระบาทคู่ และจากการค้นพบเครื่องมือหินขัด ทำให้พออนุมานได้ว่าชุมชนดังกล่าวน่าจะมีความสัมพันธ์กับชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่พบตามแนวชายฝั่งทะเลเดิมบริเวณลุ่มน้ำบางปะกงแถบจังหวัดชลบุรี ซึ่งเริ่มมีถิ่นฐานเมื่อประมาณ 5,000-1,400 ปี มาแล้ว สรุปได้ว่า การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เริ่มแรกในเขตจังหวัดปราจีนบุรีเป็นสังคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายที่มีเทคโนโลยีค่อนข้างสูงในการดำรงชีวิต คือ รู้จักใช้เครื่องมือเหล็กและรู้จักใช้วิธีกักเก็บน้ำ ต่อมาสภาพสังคมและเศรษฐกิจมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นจนเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 6-10 ได้รับวัฒนธรรมภายนอกและเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ พัฒนาเป็นชุมชนหรือเมืองที่รู้จักกันในชื่อว่า กลุ่มวัฒนธรรมทวารวดี มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-19 การเกิดบ้านเมืองในสมัยประวัติศาสตร์ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-19 แบ่งจังหวัดปราจีนบุรีออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกมีความเจริญรุ่งเรืองและพัฒนาการเป็นบ้านเมืองร่วมสมัยกับกลุ่มบ้านเมืองทวารวดีในบริเวณภาคกลางของประเทศ มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-16 และช่วงที่ 2 เป็นการอยู่สืบเนื่องต่อจากช่วงแรก แต่สภาพสังคม การเมือง การปกครองได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เชื่อว่าช่วงเวลาดังกล่าวนี้ได้รับวัฒนธรรมเขมรโบราณเข้ามา มีการผสมผสานกับวัฒนธรรมทวารวดีที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน === สมัยอยุธยา === ในสมัยอยุธยาปรากฏชื่อเมืองปราจีนบุรีเป็นครั้งแรก คำว่า "ปราจีนบุรี" เป็นคำสมาส เกิดจากคำว่า "ปราจีน" กับคำว่า "บุรี" คำว่า "ปราจีน" หรือ "ปราจิณ" หมายความว่า ทิศตะวันออก ส่วนคำว่า "บุรี" หมายความว่า "เมือง" รวมแล้วคำว่า "ปราจีนบุรี" หมายถึงเมืองตะวันออก การเขียนชื่อเมืองปราจีนบุรีแตกต่างกันไป เช่น ปราจินบุรี ปราจิณบุรี และปาจีนบุรี แต่ความหมายน่าจะหมายถึงเมืองทางตะวันออกของราชอาณาจักรไทย ปราจีนบุรีในฐานะหัวเมืองชั้นในด้านทิศตะวันออก สันนิษฐานว่า ในสมัยอยุธยาตอนต้นก่อนการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) เมืองปราจีนมีฐานะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ราชธานีคือกรุงศรีอยุธยา โดยทางกรุงศรีอยุธยาจะส่งขุนนางมาปกครองโดยให้ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง และหลังจากการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแล้ว การปกครองหัวเมืองก็เปลี่ยนไปจากเดิม คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช และแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้น เอก โท ตรี และจัตวา ทรงลดฐานะหัวเมืองชั้นในคือเมืองลูกหลวงและเมืองหลานหลวงลงมาเป็นเมืองจัตวาภายใต้การปกครองของราชธานี โดยทางราชธานีจะส่งขุนนางมาปกครองและขึ้นตรงต่อเมืองหลวง และขุนนางที่ปกครองหัวเมืองชั้นในเรียกว่า "ผู้รั้ง" เขตที่จัดเป็นหัวเมืองชั้นในมีอาณาบริเวณดังนี้ ทิศเหนือจดเมืองชัยนาท ทิศตะวันออกจดเมืองปราจีน ทิศตะวันตกจดสุพรรณบุรี ทิศใต้จดเมืองกุยบุรี เมืองปราจีนบุรีหลังการปฏิรูปในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นกับราชธานี ตำแหน่งเจ้าเมืองหรือผู้รั้งมีบรรดาศักดิ์และราชทินนามที่ออกพระอุไทยธานี จากลักษณะทำเลที่ตั้งของเมืองปราจีน เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับประเทศกัมพูชา เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดปราจีนบุรีในสมัยอยุธยาจึงเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับสงครามระหว่างสองราชอาณาจักร โดยฝ่ายกัมพูชามักจะเป็นต้นเหตุซึ่งอาจเนื่องมาจากกัมพูชาเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณาจักรใหม่จึงไม่ยอมรับอำนาจมากนัก ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยามีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงและขณะเดียวกันราชอาณาจักกัมพูชากลับเสื่อมโทรมภายในมากขึ้น กัมพูชาจึงยอมรับราชอาณาจักรอยุธยาในฐานเจ้าประเทศราช กษัตริย์ กัมพูชาต้องมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ดี เมื่อกรุงศรีอยุธยามีศึกติดพันกับพม่าหรือมีความอ่อนแอภายใน กัมพูชาก็ถือโอกาสมากวาดต้อนผู้คนตามแนวชายแดนของราชอาณาจักรอยุธยาอย่างเมืองปราจีน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงยกทัพไปตีกัมพูชาโดยใช้เส้นทางบก โดยยกทัพหลวงออกจากกรุงศรีอยุธยามาทางตะวันออก ผ่านพิหานแดง (วิหารแดง), บ้านนา, เมืองนครนายก, ด่านกบแจะ (ประจันตคาม), ด่านหนุมาน (กบินทร์บุรี), ด่านพระปรง (อำเภอแมืองสระแก้ว), ช่องตะโก ด่านพระจารึกหรือพระจฤต (อรัญประเทศ-ตาพระยา), ตำบลทำนบ อยู่ระหว่างเมืองอรัญประเทศกับเมืองพระตะบอง ตำบลเพนียด เมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ และเมืองละแวก === สมัยธนบุรี === ในสมัยธนบุรีได้กล่าวถึงเมืองปราจีนเพียงว่าเป็นเมืองที่อยู่ในเส้นทางเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ยกทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปยังเมืองจันทบุรี กล่าวคือเมื่อ พ.ศ. 2309 ขณะที่กองทัพพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งเป็นพระยากำแพงเพชรทรงเล็งเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาจะเป็นอันตราย จึงรวบรวมทหารไทย จีน ประมาณ 1,000 คนเศษ พร้อมด้วยอาวุธออกไปตั้ง ณ วัดพิชัย พอฝนตกพระยากำแพงเพชรจึงนำกองทัพฝ่ากองทัพพม่าออกมาจากวัดพิชัย เดินทัพต่อไป โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมืองจันทบุรี โดยเมืองปราจีนบุรีอยู่ในเส้นทางเดินทัพ ซึ่งตามพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับจันทนุมาศ (เจิม) ได้กล่าวไว้ว่า …เมื่อวันพุธขึ้นแปดค่ำ เดือนยี่ ยกกองทัพมาประทับที่ตำบลหนองไม้ซุง ตามทางหลวงนครนายก ประทับรอนแรม 2 วันถึงบ้านนาเริ่ง ออกจากบ้านนาเริ่งวันหนึ่งถึงเมืองปราจีน ข้ามด่านกบและหยุดพักพลหุงอาหาร ณ ฟากตะวันออกแล้วยกข้ามไปจนถึงบ่าย 5 โมง… === สมัยรัตนโกสินทร์ === ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองปราจีนยังคงเป็นเมืองผ่านของเส้นทางเดินทัพระหว่างไทยกับกัมพูชา มีผู้คนอยู่อาศัยมากขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองขึ้นหลายเมือง เช่น เมืองกบินทร์บุรี เมืองอรัญประเทศ เมืองวัฒนานคร เป็นต้น ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองบางขนากขึ้น ส่งผลให้การติดต่อระหว่างเมืองปราจีนบุรีกับพระนครสะดวกรวดเร็วขึ้น ต่อมาในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ได้มีพระราชดำริที่จะสร้างป้อมเมืองปราจีน แต่ได้ลงมือสร้างและแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองปราจีนเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ เพราะมีการค้นพบแหล่งทองคำที่เมืองกบินทร์บุรี มีการทำเหมืองทองคำ ต่อมาเมื่อปฏิรูปการปกครองจากระบบกินเมืองเป็นระบบเทศาภิบาล ได้ใช้เมืองปราจีนเป็นที่ว่าการมณฑลปราจีน ส่งผลให้เมืองปราจีนกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญในภูมิภาคตะวันออก ครั้นเมื่อได้ย้ายที่ว่าการมณฑลปราจีนไปอยู่ที่เมืองฉะเชิงเทรา ทำให้เมืองปราจีนลดความสำคัญลง ประกอบกับเส้นทางคมนาคมเปลี่ยนไป คือมีการตัดเส้นทางรถไฟจากรุงเทพฯ ถึงเมืองฉะเชิงเทรา มีคนจีนไปสร้างหลักแหล่งในฉะเชิงเทรามากขึ้น มีโรงงานน้ำตาล โรงสีข้าว อันส่งผลให้เมืองฉะเชิงเทรากลายเป็นศูนย์กลางความเจริญแทนเมืองปราจีนบุรี หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2476 ให้มีตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดแบบผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรมการจังหวัด และสภาจังหวัด ส่งผลให้มณฑลเทศาภิบาลปราจีนบุรีถูกยกเลิกไป เมืองปราจีนบุรีมีฐานะเป็นจังหวัดปราจีนบุรี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2485 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติยุบและรวมการปกครองบางจังหวัด พ.ศ. 2485 ให้ยุบและรวมการปกครองจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนครนายก จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนนทบุรี โดยในส่วนของจังหวัดนครนายกนั้นให้รวมท้องที่ของจังหวัดที่ยุบเข้าไว้ในการปกครองของจังหวัดปราจีนบุรี (ยกเว้นอำเภอบ้านนา ให้รวมเข้าไว้ในการปกครองของจังหวัดสระบุรี) จึงส่งผลให้จังหวัดปราจีนบุรีมีท้องที่กว้างขวางเพิ่มมากขึ้นเกินกำลังจังหวัดจะรับผิดชอบ กระทรวงมหาดไทยจึงได้เสนอร่างหลักการพระราชบัญญัติสถาปนาจังหวัดนครนายก พ.ศ. 2489 โดยได้สอบถามหน่วยราชการประจำจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดสระบุรี และในที่สุดรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครนายก พ.ศ. 2489 ต่อมา พ.ศ. 2536 ได้มีการแบ่งเขตพื้นที่การปกครองจังหวัดปราจีนบุรี โดยแยกพื้นที่อำเภอบางอำเภอทางด้านตะวันออกไปอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดสระแก้ว ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดสระแก้ว พ.ศ. 2536 == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == คำขวัญประจำจังหวัด : ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงหวานคู่เมือง ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทวารวดี ตราประจำจังหวัด : ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย อายุกว่า 2000 ปี ธงประจำจังหวัด : ตอนต้นมีพื้นสีแดง มีรูปต้นโพธิ์อยู่ในกรอบวงกลม และตอนปลายเป็นสีเหลือง ต้นไม้ประจำจังหวัด : โพ (Ficus religiosa) ดอกไม้ประจำจังหวัด : ปีบ (Millingtonia hortensis) สัตว์น้ำประจำจังหวัด : ปลาตะโกก (Cyclocheilichthys enoplos) ไฟล์:Ton_Pho_Si_Maha_Pho_(I).jpg|ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไฟล์:Millingtonia hortensis (Akash Neem) in Hyderabad, AP W2 IMG 1482.jpg|ดอกปีบ ไฟล์:Cyclocheilichthys enoplos Bleeker.jpg|ปลาตะโกก == ภูมิศาสตร์ == === อาณาเขต === จังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดนครนายกและจังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดสระแก้ว ทิศใต้ ติดกับจังหวัดฉะเชิงเทรา ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดนครนายกและจังหวัดฉะเชิงเทรา == การเมืองการปกครอง == === การปกครองส่วนภูมิภาค === การปกครองแบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 65 ตำบล 708 หมู่บ้าน {| |--- valign=top || {| ||1.||อำเภอเมืองปราจีนบุรี |- ||2.||อำเภอกบินทร์บุรี |- ||3.||อำเภอนาดี |- ||6.||อำเภอบ้านสร้าง |- ||7.||อำเภอประจันตคาม |- ||8.||อำเภอศรีมหาโพธิ |- ||9.||อำเภอศรีมโหสถ |} ||&nbsp;200px |} === รายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี === == สถานที่ท่องเที่ยว == === อำเภอเมือง === พระธาตุเจดีย์กลางน้ำ วัดแจ้ง ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วัดแก้วพิจิตร ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร วัดโบสถ์ พิพิธภัณฑ์พระครูอุทัยธรรมธารี (เส็ง สุขิโต) พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ศาลพระหลักเมือง หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับเฉลิมพระเกียรติบ้านดงบัง พิพิธภัณฑ์ทหารค่ายจักรพงษ์ ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ น้ำตกเขาอีโต้ === อำเภอบ้านสร้าง === โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางแตน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดบางแตน === อำเภอศรีมโหสถ === ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ กลุ่มโบราณสถานสระมรกต แหล่งโบราณคดีเมืองศรีมโหสถ === อำเภอศรีมหาโพธิ === อนุสาวรีย์ลายพระหัตถ์รัชกาลที่ 5 โบราณสถานหลุมเมือง โบราณสถานพานหิน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านดงกระทงยาม === อำเภอประจันตคาม === แหล่งหัตถกรรมบ้านโง้ง - บ้านต้น น้ำตกธารทิพย์ น้ำตกสาวน้อย น้ำตกส้มป่อย น้ำตกตะคร้อ === อำเภอกบินทร์บุรี === พิพิธภัณฑ์เหมืองทองคำบ้านบ่อทอง === อำเภอนาดี === อุทยานแห่งชาติทับลาน สวนนงนุช ปราจีนบุรี แก่งหินเพลิง เวโรน่า ทับลาน == เศรษฐกิจ == ด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน จังหวัดปราจีนบุรีมีความเจริญและมีการลงทุนจากต่างประเทศปีละจำนวนมาก พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกพัฒนาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม โดยมีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวงและใกล้ท่าเรือที่ใช้ส่งออก และอยู่บนเส้นทางสำคัญสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมไปถึงภาคตะวันออก ปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรี มีแหล่งอุตสาหกรรมอยู่ จำนวน 6 แห่ง สวนอุตสาหกรรม 304 – อำเภอศรีมหาโพธิ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ปราจีนบุรี – อำเภอศรีมหาโพธิ นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี – อำเภอกบินทร์บุรี นิคมอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ – อำเภอกบินทร์บุรี นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค – อำเภอกบินทร์บุรี นิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 – อำเภอกบินทร์บุรี ด้านการเกษตร จังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่เกษตรกรรมจำนวนมาก ทั้งพื้นที่ปลูกข้าว ทำนา ทำสวนผลไม้ ทำให้ปราจีนบุรีมีผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพดี กับผลไม้ที่เป็นที่รู้จัก เช่น ทุเรียน กระท้อน มะปราง มะยงชิด โดยเฉพาะทุเรียน ได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นทุเรียนจีไอ ทำให้ทุเรียนจากปราจีนบุรีมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นสินค้าส่งออกไปต่างประเทศทุกปี ทำรายได้สู่ประชากรในจังหวัดอย่างมาก ด้านการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงผจญภัยชื่อดังอย่างแก่งหินเพิง และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่างเมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรีเป็นจังหวัดที่มีน้ำตกมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากมีพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 อำเภอของจังหวัด นอกจากนั้นปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรีได้มีแหล่งท่องเที่ยวเกิดใหม่มากมาย อาทิ เวโรน่า ทับลาน (เมืองเวโรน่าจำลองในรูปแบบประเทศอิตาลี) == การขนส่ง == === ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่าง ๆ === อำเภอประจันตคาม 20 กิโลเมตร อำเภอศรีมหาโพธิ 21 กิโลเมตร อำเภอศรีมโหสถ 24 กิโลเมตร อำเภอบ้านสร้าง 26 กิโลเมตร อำเภอกบินทร์บุรี 48 กิโลเมตร อำเภอนาดี 55 กิโลเมตร == ประชากร == === การศึกษา === ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี วิทยาเขตปราจีนบุรี กำลังก่อสร้าง ในพื้นที่ อำเภอ กบินทร์บุรี มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ศูนย์การศึกษาปราจีนบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ศูนย์การศึกษาปราจีนบุรี วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข ระดับอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี อำเภอเมืองปราจีนบุรี วิทยาลัยเทคนิคบูรพาปราจีน อำเภอศรีมหาโพธิ วิทยาลัยสารพัดช่างปราจีนบุรี อำเภอเมืองปราจีนบุรี วิทยาลัยการอาชีพกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรี โรงเรียนเทคโนโลยีนครกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี โรงเรียนเทคนิคพณิชยการกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรี วิทยาลัยเทคโนโลยีสายมิตรปราจีนบุรี อำเภอกบินทร์บุรี วิทยาลัยอาชีวศึกษาพณิชยการปราจีนบุรี อำเภอเมืองปราจีนบุรี === สาธารณสุข === ด้านการสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ประกอบไปด้วย* โรงพยาบาลรัฐบาล 7 แห่ง ประกอบด้วยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลประจำอำเภออีก 6 แห่ ง โรงพยาบาลเอกชน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ อำเภอศรีมหาโพธิ, โรงพยาบาลเมดิแคร์ 304 และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี 304 โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม 1 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ อำเภอเมืองปราจีนบุรี == วัฒนธรรม == จังหวัดปราจีนบุรีมีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และการละเล่นพื้นเมืองสำคัญที่นิยมปฏิบัติสืบทอดกันมา แต่โบราณจนถึงปัจจุบัน คือ งานเทศกาลมาฆปูรมีศรีปราจีน งานนี้จัดขึ้นที่วัดสระมรกต ในบริเวณโบราณสถานสระมรกต อำเภอศรีมโหสถ เป็นระยะเวลา 3 วัน ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาของทุกปี ในงานกิจกรรมหลักคือ การแสดงแสงสีเสียง การแสดงโขน ตลาดย้อนยุค รวมถึง การเข้าค่ายพุทธศาสน์และปลูกจิต สำนึกทางศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียน นักศึกษา ระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป การประชุมพระภิกษุและพระสังฆาธิการ ในจังหวัด การปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา กิจกรรมการเวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทคู่ งานประเพณีการแข่งเรือยาว จัดเป็นงานประจำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2528 โดยจัดที่แม่น้ำบางปะกงหรือแม่น้ำปราจีนบุรี บริเวณสะพานณรงค์ดำริถึงหน้าวัดหลวงปรีชากูล อำเภอเมืองปราจีนบุรี แต่เดิมมีการแข่งขันเรือเพียง 2 ประเภท คือ ประเภทใบพาย 2 ด้าน ซึ่งมี 15-19 ฝีพาย และแบบ 35 ฝีพาย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2538 มีการแข่งขัน 4 ประเภท คือ แบบ 15-19 ฝีพาย, แบบ 30 ฝีพาย, แบบ 40 ฝีพาย, และแบบ 55 ฝีพาย ผู้ชนะการแข่งขันจะได้รับถ้วยพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งการแข่งขันได้รับความสนใจจากจังหวัดต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ได้ส่งเรือมาร่วมแข่งขันกับทางจังหวัดปราจีนบุรี ปกติงานนี้จัดในช่วงเดือนกันยายน หรือเดือนตุลาคม ของทุกปี แล้วแต่ความสูงของระดับน้ำ งานวันเกษตรและของดีเมืองปราจีน จัดที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี นอกจากเกษตรกรจะนำผลผลิตมาจำหน่ายแล้ว ยังมีกิจกรรมการประกวดต่าง ๆ เช่น การประกวดคุณภาพผลไม้ ผลไม้ที่ใหญ่ที่สุด เช่น ขนุนผลใหญ่ที่สุด ทุเรียนผลใหญ่ที่สุด กระท้อนผลใหญ่ที่สุด ผักยาวที่สุด เช่น บวบ ถั่วฝักยาว ในงานนี้ยังมีขบวนแห่รถที่ประดับตกแต่งด้วยผลิตผลทางการเกษตร และในบางปียังมีการประกวดธิดาเกษตรด้วย ทำให้ประชาชนทั่วทิศต่างจังหวัดเดินทางเข้ามาเที่ยวงานเป็นจำนวนมาก โดยผลไม้ขึ้นชื่อจะเป็นทุเรียน ที่มีรสชาติดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศรองจากทุเรียนนนทบุรี งานประเพณีการทำบุญบั้งไฟ งานนี้จัดขึ้นที่วัดต้นโพธิ์ อำเภอศรีมโหสถ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งจัดมาได้ประมาณ 50 ปีมาแล้ว ผู้ที่ริเริ่มในการจัด คือ พระครูวิมลโพธิเขต (จำปา ธมฺมกาโม) เจ้าคณะตำบลโคกปีบ กิจกรรมของงาน ได้แก่ การประกวดจุดบั้งไฟที่ขึ้นนานที่สุด มีการรำเซิ้งบั้งไฟเพื่อขอฝน การประกวดขบวนรำเซิ้ง ซึ่งจะมีคณะกรรมการจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในจังหวัดและต่างจังหวัด เช่น สระแก้ว ยโสธร เป็นต้น งานประเพณีลอยกระทง จัดกิจกรรมการลอยกระทงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปีมาตั้งแต่โบราณกาล จนถือเป็นประเพณีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การจัดงานประเพณีลอยกระทงของจังหวัดปราจีนบุรี จัดที่ท่าน้ำหน้าที่ว่า การอำเภอเมืองปราจีนบุรี กิจกรรมต่าง ๆ ในงาน ได้แก่ การประกวดกระทงประเภทสวยงามและประเภทความคิด และยังมีการแสดงบนเวทีของหน่วยงานและสถานศึกษาต่าง ๆ == บุคคลที่มีชื่อเสียง == ด้านศาสนา พระครูสิทธิสารคุณ (จาด คังคสโร) – พระเกจิชื่อดังของประเทศไทย วัดบางกระเบา สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) – สมเด็จพระราชาคณะ อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ด้านสิ่งแวดล้อม สืบ นาคะเสถียร – นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติ ด้านสื่อสารมวลชน แสงชัย สุนทรวัฒน์ – อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ปัจจุบันเป็น บมจ.อสมท จำนง รังสิกุล – นักสื่อสารมวลชน และผู้ร่วมก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ปัจจุบันเป็นช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี ด้านการเมือง-ภาครัฐ สุรยุทธ์ จุลานนท์ – ประธานองคมนตรีคนปัจจุบัน และอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศไทย ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ – อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วัฒนา เมืองสุข – อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลวงบุรกรรมโกวิท (ล้อม บุรกรรมโกวิท) – อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สุนทร วิลาวัลย์ – นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สมาน ภุมมะกาญจนะ – อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บุญส่ง สมใจ – อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมชาย สุนทรวัฒน์ – อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วิทวัส รชตะนันทน์ – ผู้ตรวจการแผ่นดิน และอดีตรักษาการปลัดกระทรวงกลาโหม กนกวรรณ วิลาวัลย์ – รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คนปัจจุบัน เสนาะ เทียนทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการสาธารณสุข และ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ด้านกีฬา โชติพัฒน์ วงษ์ประเทศ – อดีตนักกีฬามวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ – หัวหน้าผู้ฝึกสอนสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า และอดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย พิชิต ใจบุญ – อดีตนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย ธนะศักดิ์ ศรีใส – อดีตนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย วิทยา สำเร็จ – อดีตนักกีฬาเทนนิสทีมชาติไทย วินิจ เจริญศิริ – อดีตนักกีฬาสนุกเกอร์ทีมชาติไทย เด่นชัยเล็ก กระทิงแดงยิม – อดีตนักกีฬามวยสากล อลงกรณ์ ประทุมวงศ์ – นักกีฬาฟุตบอล สังกัดทีมสโมสรฟุตบอลราชบุรี มิตรผล ด้านวงการบันเทิง น้อย โพธิ์งาม – นักแสดงตลก เทพ โพธิ์งาม – นักแสดงตลก มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา – ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง เทพ ชุมสาย ณ อยุธยา – ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ อดุล จันทรศักดิ์ – ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปองกูล สืบซึ้ง (ป็อบ ปองกูล) – ศิลปินนักร้อง สำลี สังวาลย์ – ดารานักแสดง , นักแสดงโชว์มายากล ปราจีน ทรงเผ่า – นักดนตรี นักแต่งเพลง อดีตหัวหน้าวงดนตรีดิ อิมพอสซิเบิล วัชระ ตังคะประเสริฐ – ดารานักแสดง ลักษณ์ ราชสีห์ – นักโหราศาสตร์ และพิธีกรรายการโทรทัศน์ สุภาพร มะลิซ้อน – มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2016 และนักแสดงช่อง7 พรรณทิพา อรุณวัฒนชัย – นางแบบ พิธีกรรายการ #คนอวดผัว ทาง Youtube #OnePlayground == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดปราจีนบุรี รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดปราจีนบุรี รายชื่อโรงภาพยนตร์ในจังหวัดปราจีนบุรี == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด เว็บหางาน จังหวัดปราจีนบุรี
ศตวรรษ (จากภาษาสันสกฤต ศต (หนึ่งร้อย) และ วรรษ (ปี) หมายถคงช่วงเวลาติดต่อกัน 100 ปี ในทุกระบบวันที่ ศตวรนษจะถูกกำหนดให้เป็นตัวเลขแบบมีลำดับ ดังนั้น เราจะกล่าวถึง "ศตวรรษที่สิง" แต่ไม่กล่าวว่า "ศตวรรษสอง" ยังมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่มากว่าจะนับปีหลักพัน (เช่น ปี 2000) ว่าเป็นปีแรกหรือปีสุดท้ายของศตวรรษ ความสับสานี้มีหลักฐานปรากฏทุก ๆ ปี หลังจากปีคริสต์ศักราข 1500 และยิ่งเป็นสิ่งที่สับสนยิ่งขึ้นเมื่อมียุโรปได้มีการนำเลขอารบิกและแนวคิดของศูนย์เข้ามาใช้ ใยช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ศตวรรษมีทัเงคริสต์ศตวรรษและพุทธศตวรรษ == การนับ == จะนับจากปีแรกของ ศตวรรษ ถึง ปีที่ที่ 1 (จาก 1-10) ถึงปีที่ 100 เช่น ศตวรรษที่ 21 นะนับตั้งแต่ปี 2001 ถึง 2100 ศตวรรษที่ 15 จดนับตั้งแต่ปี 1401 ถึง 1500 ฯลฯ วิธีจำก็คือ เริ่มปีที่ (ษตวรรษ x 1[0) -99 ถึง (ศตวรรษ x 100ฏ == ดูเกิ่ม == คริสต์ศตวรรษ ปี ทศวรรษ (10 ปี) วหัสวรรษ (1000 ปี) ]= อ้างอิง == "The Battle of the Centuries", Ruth Freitag, U.S. Government Printing Officd. Available from the Superintendent of Documents, PO Box 371954, Pittsburgh, PA 15250- 7954. Cite stock no. 030-001-00153-9. หน่วยเวลา ศตวรรษ
ศตวรรษ (จากภาษาสันสกฤต ศต (หนึ่งร้อย) และ วรรษ (ปี) หมายถึงช่วงเวลาติดต่อกัน 100 ปี ในทุกระบบวันที่ ศตวรรษจะถูกกำหนดให้เป็นตัวเลขแบบมีลำดับ ดังนั้น เราจะกล่าวถึง "ศตวรรษที่สอง" แต่ไม่กล่าวว่า "ศตวรรษสอง" ยังมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่มากว่าจะนับปีหลักพัน (เช่น ปี 2000) ว่าเป็นปีแรกหรือปีสุดท้ายของศตวรรษ ความสับสนนี้มีหลักฐานปรากฏทุก ๆ ปี หลังจากปีคริสต์ศักราช 1500 และยิ่งเป็นสิ่งที่สับสนยิ่งขึ้นเมื่อมียุโรปได้มีการนำเลขอารบิกและแนวคิดของศูนย์เข้ามาใช้ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ศตวรรษมีทั้งคริสต์ศตวรรษและพุทธศตวรรษ == การนับ == จะนับจากปีแรกของ ศตวรรษ ถึง ปีที่ที่ 1 (จาก 1-10) ถึงปีที่ 100 เช่น ศตวรรษที่ 21 จะนับตั้งแต่ปี 2001 ถึง 2100 ศตวรรษที่ 15 จะนับตั้งแต่ปี 1401 ถึง 1500 ฯลฯ วิธีจำก็คือ เริ่มปีที่ (ศตวรรษ x 100) -99 ถึง (ศตวรรษ x 100) == ดูเพิ่ม == คริสต์ศตวรรษ ปี ทศวรรษ (10 ปี) สหัสวรรษ (1000 ปี) == อ้างอิง == "The Battle of the Centuries", Ruth Freitag, U.S. Government Printing Office. Available from the Superintendent of Documents, PO Box 371954, Pittsburgh, PA 15250- 7954. Cite stock no. 030-001-00153-9. หน่วยเวลา ศตวรรษ
วันที่ 18 ะมษายน เป็รวันที่ 108 ของปี (วันที่ 109 ในปีอธิกวุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 257 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) - ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ โอยมีเ.อรฺจอห์น เบาริ่ง เป็นราชทูต สนธิสัญญานี้รู้จักกันในชื่อ "สนธิสัญญาเบาว์ริง", ไทยทำสัญญากับอังกฤษเรื่องอำนาจของกงสุลอังกฤษในไทย พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) - เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ทำให้มีเพชิงไหม้ทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย พ.ศ. 3485 (ค.ศ. 1942) - สงครามโลกครั้งที่สอง: เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-25 มิตเชลล์ 16 ลำ จากเรือบรรทุกเครื่องบิน ย๔เอสเอส ฮอร์เน็ต ของสหรัฐฯ เข้าจู่โจมกรุงโตเกีจว ในปฏิบัติการการจู่โจมดูลิตเติล พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) [ โรดีเชีย สถาปนาขึ้นเป็นสาธาคณร้ฐซิมบับเว พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1o83) - กลุมญิฮาดอิสลามวงระเบิดสถานมูตสหรัฐในกาุงเบรุต ปคะเทศเลบานอน มีผู้เสียขีวิร 1 คน บาดเจ็บ 120 คน พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - กลุ่มมูจาฮิดีนในอัฟกานอสถาน ล้ทล้างรัฐบาลคอมมิวนิสต์สำเร็จ == วันเกิด == พ.ศ. 2341 (ต.ศ. 1798) - ดระเจ้รบรมวบศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์ (สิ้นพระชนม์ 16 เมษายน พ.ศ. 2406) พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955ฏ - ปรีชา ชนะภัย นักร้องชาวไทย พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - พวง เชิญยิ้ม นักแสดงตลกชาวไทย พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - เอลีซาแบ็ต บอร์น นายกรัฐมนตรคฝรั่งเศสคนที่ 25 พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - พอล โจนส์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติเวลส์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - ยูโกะ อิโต นางแบบและนักแสดงหญืงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - ฌอน แม็กไกวร์ นักแสดงและนักร้องชาวอังกฤษ พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - แมตทิว อัปสัน นัปฟุตบอลชมวอังกฤษ พ.ศ. 2528 (ค.ศ, 1985) - * วูกัช ฟาเบียญสกี นักฟุตบอลชาวโกแลนด์ * ศุกลวัฒน์ คณารศ นักแสองชายชาวไทย พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - * โรซี่ ฮันทิงตัน-ไวท์ลีย? นางแบบและนักแสดงชาวอังกฤษ * เอลเลน วอกลอม นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - * รีก่ร์โด กาเบรียล อัลบาเรซ นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา * วาเนสซร เคอร์บี นักแสดฝละคาเวที โทรทัศน์ และภาพยนตร์ชาวอังกฤษ พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - * เจสสิก้า จอง นักร้องและนักธุรกิขชาวเกาหลี * ซีรู อัลวีส นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - วอสแชค ชแชาสนือ นักฟุตบอลชาวโผแลนด์ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - * โคลอี เบนเน็ต นักแสดงและนักร้องชาวอเมริกัน * ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักแบดมินตันชาวไทย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - เวอร์จิเนีย การ์ดเนอร? นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - แด็นเซิล ดัมฟรีส นักฟุรบอลชาวดัตช์ พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - * ธดนนี ฟัน เดอ เบก นักฟุตบอลชาวดัตช์ ]= วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน (อกิด 14 มีนาคม พ.ศ. 2442) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาช == วันนักวิทยุสมัครเล่นโลก (World Amateur Radio Say) วันชาติซิมบับเว (วันสาธารณรัฐ) == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Yoday in History: April 18 มเมษายน 18 เมษาวน
วันที่ 18 เมษายน เป็นวันที่ 108 ของปี (วันที่ 109 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 257 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) - ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ โดยมีเซอร์จอห์น เบาริ่ง เป็นราชทูต สนธิสัญญานี้รู้จักกันในชื่อ "สนธิสัญญาเบาว์ริง", ไทยทำสัญญากับอังกฤษเรื่องอำนาจของกงสุลอังกฤษในไทย พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) - เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ทำให้มีเพลิงไหม้ทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - สงครามโลกครั้งที่สอง: เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-25 มิตเชลล์ 16 ลำ จากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต ของสหรัฐฯ เข้าจู่โจมกรุงโตเกียว ในปฏิบัติการการจู่โจมดูลิตเติล พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - โรดีเชีย สถาปนาขึ้นเป็นสาธารณรัฐซิมบับเว พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - กลุมญิฮาดอิสลามวงระเบิดสถานทูตสหรัฐในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 120 คน พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - กลุ่มมูจาฮิดีนในอัฟกานิสถาน ล้มล้างรัฐบาลคอมมิวนิสต์สำเร็จ == วันเกิด == พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์ (สิ้นพระชนม์ 16 เมษายน พ.ศ. 2406) พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - ปรีชา ชนะภัย นักร้องชาวไทย พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - พวง เชิญยิ้ม นักแสดงตลกชาวไทย พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - เอลีซาแบ็ต บอร์น นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสคนที่ 25 พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - พอล โจนส์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติเวลส์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - ยูโกะ อิโต นางแบบและนักแสดงหญืงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - ฌอน แม็กไกวร์ นักแสดงและนักร้องชาวอังกฤษ พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - แมตทิว อัปสัน นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - * วูกัช ฟาเบียญสกี นักฟุตบอลชาวโปแลนด์ * ศุกลวัฒน์ คณารศ นักแสดงชายชาวไทย พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - * โรซี่ ฮันทิงตัน-ไวท์ลีย์ นางแบบและนักแสดงชาวอังกฤษ * เอลเลน วอกลอม นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - * รีการ์โด กาเบรียล อัลบาเรซ นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา * วาเนสซา เคอร์บี นักแสดงละครเวที โทรทัศน์ และภาพยนตร์ชาวอังกฤษ พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - * เจสสิก้า จอง นักร้องและนักธุรกิจชาวเกาหลี * ซีรู อัลวีส นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - วอยแชค ชแชนสนือ นักฟุตบอลชาวโปแลนด์ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - * โคลอี เบนเน็ต นักแสดงและนักร้องชาวอเมริกัน * ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักแบดมินตันชาวไทย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - เวอร์จิเนีย การ์ดเนอร์ นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - แด็นเซิล ดัมฟรีส นักฟุตบอลชาวดัตช์ พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - * โดนนี ฟัน เดอ เบก นักฟุตบอลชาวดัตช์ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน (เกิด 14 มีนาคม พ.ศ. 2442) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันนักวิทยุสมัครเล่นโลก (World Amateur Radio Day) วันชาติซิมบับเว (วันสาธารณรัฐ) == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: April 18 มเมษายน 18 เมษายน
ออโตแคด (AutoCAD) เป็นโปรแกรมช่วยออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ (CAD - Computer Aided Drafting/Design) พัฒนาโดยบริษัทออโตเดสก์ (Autodesk, Inc.) สหรัฐอเมริกา รุ่นล่าสุดของโปรแกรมในปัจจุบัน (ะ.ศ. 2563) คือ AutoCAD 2021 ซึ่งทำงานบนระบบปฏิบัติกสรHucrosoft และ Mac ซอฟต์แวร์กราฟิกส์ ซอฟต์แวร์บนแอนดรอยด์ ซอฟต์แวร์งนไอโอเอส
ออโตแคด (AutoCAD) เป็นโปรแกรมช่วยออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ (CAD - Computer Aided Drafting/Design) พัฒนาโดยบริษัทออโตเดสก์ (Autodesk, Inc.) สหรัฐอเมริกา รุ่นล่าสุดของโปรแกรมในปัจจุบัน (พ.ศ. 2563) คือ AutoCAD 2021 ซึ่งทำงานบนระบบปฏิบัติการMicrosoft และ Mac ซอฟต์แวร์กราฟิกส์ ซอฟต์แวร์บนแอนดรอยด์ ซอฟต์แวร์บนไอโอเอส