txt
stringlengths
202
53.1k
# ไม่ใช่แค่มีม ไมโครซอฟท์ทำ "ตู้เย็น Xbox Series X" ขึ้นมาจริงๆ เมื่อครั้งที่ Xbox Series X เผยโฉมใหม่ๆ จุดที่โดดเด่นคือขนาดเครื่องใหญ่จนมีคนไปทำมีมล้อเลียนว่าหน้าตาเหมือน "ตู้เย็น" (ซึ่งไมโครซอฟท์เองก็รับมุข ทวีตภาพเปรียบเทียบ Xbox Series X กับตู้เย็นด้วยจริงๆ) เวลาผ่านมาจน Xbox Series X ใกล้วางขายจริงๆ ไมโครซอฟท์กลับยังไม่ลืมมุขนี้ และทำ "ตู้เย็น Xbox" ขึ้นมาจริงๆ จำนวน 3 เครื่อง โดยส่งให้คนดังบางคนลองใช้งาน เช่น ช่อง iJustine หรือ SnoopDog แรปเปอร์ชื่อดัง ถือเป็นอีกหนึ่งสีสันของแคมเปญการตลาดในช่วงที่คอนโซลรุ่นใหม่กำลังจะวางขายกัน มีมเก่าเรื่องตู้เย็น ที่มา - IGN, MSPoweruser
# Acer จับมือ Porsche Design เปิดตัว Acer Book RS บอดี้โลหะ หนัก 1.2 กก. Acer ได้จับมือกับ Porsche Design เปิดตัวแล็บท็อปหรูรุ่น Acer Book RS ที่มีบอดี้เป็นโลหะ ไดมอนด์คัท ฝาหลังเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักเบาเพียง 1.2 กก. หนา 5.6 มม. Acer Book RS รองรับ Intel Evo ซีพียู Intel Core i7 เจน 11 การ์ดจอ NVIDIA MX350 แรม 16GB หน้าจอ 14 นิ้ว FHD IPS รองรับทัชสกรีนพร้อมเคลือบสารต่อต้านแบคทีเรีย แสดงผลสี sRGB 100% พอร์ทมี USB-C, Thunderbolt 4 และ USB3.2 Gen 2 รองรับ Wi-Fi 6 แบตเตอรี่ใช้งานได้ 17 ชม. ชาร์จ 30 นาที ใช้งานต่อได้ 4 ชม. รองรับ Windows Hello, Modern Standby และ Wake on Voice ราคาเริ่ม 1999.99 ดอลลาร์ หรือราว 62,500 บาท นอกจากนี้ยังมีเม้าส์ไร้สาย Porsche Design Acer Mouse RS ที่เปิดตัวพร้อมกัน โดยปุ่มคลิ๊กซ้ายครอบด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ราคา 329.99 ดอลลาร์หรือราว 10,000 บาท ที่มา - Acer
# SpaceX ฉลองครบรอบ 100 เที่ยวบินที่ประสบความเร็จ เก็บจรวดขั้นที่ 1 ได้ 63 ครั้ง ใช้ซ้ำไปแล้วรวม 45 เที่ยว SpaceX ฉลองการยิงจรวดประสบความสำเร็จครั้งที่ 100 หลังจากยิง Falcon 9 เพื่อนำส่งดาวเทียม Starlink ไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยภารกิจแรกที่ประสบความสำเร็จของ SpaceX คือ Falcon 1 เมื่อเดือนกันยายน 2008 หากนับเที่ยวบินทั้งหมดของ SpaceX ตอนนี้จะนับได้ 104 เที่ยวบิน เป็นจรวดในกลุ่ม Falcon 9 ไปทั้งหมด 99 เที่ยวบิน และ Falcon 1 ทั้งหมด 5 เที่ยวบิน โดย Falcon 1 ล้มเหลวใน 3 เที่ยวแรก ส่วน Falcon 9 ล้มเหลวระหว่างยิงเพียงครั้งเดียว และมีการระเบิดขณะทดสอบอีกหนึ่งครั้ง SpaceX ยิง Falcon 9 ถี่ขึ้นมากในช่วงหลังจากสามารถกู้คืนจรวดกลับมาใช้ใหม่ได้ ใน 100 รอบนี้ทาง SpaceX เก็บจรวดกลับมาได้แล้ว 63 รอบ และนำกลับมาใช้ใหม่แล้ว 45 ครั้ง ที่มา - YouTube: SpaceX
# จอย DualSense ของ PS5 ใช้กับพีซีและมือถือได้ เล่นเกม Xbox ผ่าน xCloud ได้ด้วย สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีนักรีวิวหรือเว็บไซต์บางแห่งได้เครื่อง PS5 ไปทดสอบกันแล้ว โดย Austin Evans ช่องยูทูบรีวิวสินค้าไอที นำจอย DualSense ของ PS5 มาลองเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ PS5 ดูว่าใช้งานได้หรือไม่ การทดสอบพบว่าจอย DualSense ใช้กับคอนโซลรุ่นอื่นทั้ง PS4 และ Xbox Series X ไม่ได้ แต่สามารถใช้กับพีซีและสมาร์ทโฟน Android ได้ด้วย (แม้ยังไม่รองรับฟีเจอร์สั่นและ haptic feedback) ซึ่ง Evans ก็ลองใช้งานเล่นเกมผ่าน xCloud บน Pixel 5 มันซะเลย ในช่วงท้ายคลิปยังมีการแกะ DualSense เพื่อดูชิ้นส่วนภายใน ที่แสดงให้เห็นว่ามีไมโครโฟนถึง 2 ตัวด้วย ที่มา - Video Games Chronicle
# แอป Robinhood ของ SCB ปล่อยให้ดาวน์โหลดได้แล้ว ทั้งบน iOS และ Android หลายคนน่าจะเคยผ่านตากับข่าว SCB เตรียมเปิดตัวแอป Food Delivery ชื่อ Robinhood มาแล้ว ตามกำหนดเดิม แอป Robinhood ควรจะเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วง ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ล่วงเลยมาถึงวันนี้แล้วก็ยังไม่มีข่าวอะไรเพิ่มเติม แต่วันนี้มีการพบว่าแอป Robinhood ได้ปรากฎให้ดาวน์โหลดได้แล้วใน ทั้งบน App Store และ Google Play จึงพอคาดเดาได้ว่าน่าจะมีข่าวประกาศเปิดตัวจากทาง SCB อย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ครับ ที่มา - App Store และ Google Play
# Lee Kun-hee ประธานซัมซุงรุ่นที่สอง เสียชีวิตแล้ว Lee Kun-hee อดีตซีอีโอและประธานบอร์ดของซัมซุง เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 78 ปี Lee Kun-hee เป็นบุตรชายของ Lee Byung-chul ผู้ก่อตั้งซัมซุง และรับบทเป็นประธานซัมซุงรุ่นที่สอง สามารถนำพาซัมซุงผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แต่ในปี 2014 เขาเริ่มป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลยาวนาน และถ่ายโอนอำนาจให้บุตรชาย Jay Y. Lee มารับหน้าที่แทน (ซึ่งภายหลัง Jay Y. Lee ก็โดนศาลเกาหลีใต้จำคุกในคดีสินบน) Lee Kun-hee เพิ่งเข้าโรงพยาบาลใหม่อีกรอบในปีนี้จากโรคหัวใจ และเสียชีวิตหลังอยู่ในโรงพยาบาลมาได้ 6 เดือน ที่มา - Reuters, ภาพจาก Samsung
# iFixit แกะ iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro แล้ว พบหน้าจอและแบตเตอรี่สลับใช้งานได้ iFixit ได้แกะ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนสองรุ่นใหม่ของปีนี้ที่แอปเปิลเริ่มจำหน่ายแล้ว (iPhone 12 mini กับ 12 Pro Max ยังไม่เริ่มขาย) ประเด็นสำคัญคือ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro นั้น มีขนาดเครื่องเท่ากัน หน้าจอ 6.1 นิ้ว เท่ากัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ผิดคาดนัก โดยผลการแกะหน้าจอออกมา แล้ววางสองเครื่องเทียบกัน แทบไม่เห็นความแตกต่างนอกจากส่วนที่ปิดกล้องหน้าของ iPhone 12 Pro โดย iFixit ลองนำชิ้นส่วนหน้าจอของสองเครื่องมาใส่สลับกัน พบว่าทำงานแทนกันได้ แต่ระดับความสว่างสูงสุดได้ไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับแบตเตอรี่ ที่ใช้แบตเตอรี่รุ่นเดียวกัน ความจุ 2,815mAh จึงสามารถสลับใช้งานได้ เมื่อแกะส่วนกล้องหลัง ก็พบว่าพื้นที่ถูกจัดวางไว้เหมือนกัน เพียงแต่ iPhone 12 มีสองกล้อง ขณะที่ iPhone 12 Pro มี 3 กล้อง จึงเกิดที่ว่างและมีชิ้นส่วนพลาสติกวางปิดไว้แทนเท่านั้น สุดท้าย iFixit นำเครื่องไปเอกซเรย์ พบการวางขดลวดสำหรับชาร์จไร้สายที่รองรับ MagSafe แบบเรียบง่าย เชื่อมต่อกับแบตเตอรี่และเมนบอร์ดตรง ๆ ไม่ซับซ้อนแต่อย่างใด สรุปคะแนนซ่อมแซม iFixit ให้ 6 เต็ม 10 ระบุว่าชิ้นส่วนหน้าจอและแบตเตอรี่สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย แต่หักคะแนนจากการใช้น็อตแบบพิเศษ และระบบกันน้ำที่ดีขึ้นทำให้การแกะยากมากขึ้น ที่มา: iFixit ผ่าน MacRumors
# แค่รุ่นเล็กก็เหลือเฟือ Ryzen 5 5600X ทำคะแนนทดสอบเธร็ดเดียว ชนะซีพียูอินเทลได้ทุกตัว AMD เปิดตัวซีพียู Ryzen 5000 ที่ใช้แกน Zen 3 ไปแล้ว สินค้าจะเริ่มวางขายจริง 5 พฤศจิกายน ตอนนี้จึงเริ่มมีผลทดสอบเบนช์มาร์คหลุดออกมาบ้างแล้ว ข้อมูลที่ออกมาคือเบนช์มาร์ค PassMark CPU Mark ที่ซีพียูระดับกลางอย่าง Ryzen 5 5600X ทำคะแนนทดสอบแบบเธร็ดเดียวไว้ที่ 3,495 คะแนน เอาชนะซีพียูของอินเทลได้ทุกตัว แถมทิ้งห่างซีพียูที่แรงที่สุดของอินเทลในตอนนี้คือ Core i9-10900K ที่ทำไว้ 3,175 คะแนน หากเทียบกับซีพียู Ryzen รุ่นก่อนหน้า ตัวที่ดีที่สุดคือ Ryzen 7 3800XT ทำไว้ 2,888 คะแนน ส่วนคะแนนเบนช์มาร์ครวมซึ่งจำนวนคอร์มีผลต่อคะแนน ผลทดสอบของ Ryzen 5 5600X (6 คอร์) ได้ 22,824 คะแนน ระดับใกล้เคียงกับรุ่นพี่ Ryzen 7 3700X (8 คอร์) ที่ทำไว้ 22,813 คะแนน แชมป์อันดับหนึ่งในปัจจุบันคือ Threadripper Pro 3995WX (64 คอร์) อยู่ที่ 88,673 คะแนน Ryzen 5 5600X ถือเป็นน้องเล็กสุดใน Ryzen ซีรีส์ 5000 โดยยังมีรุ่นพี่อีก 3 ตัวคือ Ryzen 7 5800X (8 คอร์), Ryzen 9 5900X (12 คอร์) และ Ryzen 9 5950X (16 คอร์) ซึ่งยังไม่มีมีคะแนนทดสอบออกมา ที่มา - PassMark, Notebookcheck, ภาพจาก @AMDRyzen
# DoorDash แพลตฟอร์ม Food Delivery เข้าถือหุ้นในร้านอาหารเองโดยตรง DoorDash แพลตฟอร์มบริการส่งอาหารในอเมริกา ประกาศเข้าลงทุนในกิจการร้านอาหารพม่า Burma Bites ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำเดลิเวอรี่อย่างเดียวในย่าน Bay Area ซานฟรานซิสโก ซึ่งดีลดังกล่าวไม่มีการเปิดเผยมูลค่า Georgie Thomas ผู้บริหาร DoorDash กล่าวว่าการร่วมมือกันในรูปแบบเข้าไปถือหุ้นนั้น จะช่วยตอบสนองความต้องการจากฝั่งร้านอาหารได้เร็วมากขึ้น ที่ผ่านมาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่นอกจากร่วมมือกับร้านอาหารต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมคือการสร้างคลาวด์คิทเช่น เป็นพื้นที่ส่วนกลางให้ร้านอาหารเข้ามามาใช้ สำหรับลดระยะทางในการจัดส่งอาหารตามพื้นที่ต่าง ๆ การที่แพลตฟอร์มเข้ามาลงทุนในร้านอาหารเองเลยจึงเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจ เพราะเท่ากับเชื่อมต่อบริการครบทุกส่วนเอง ที่มา: San Francisco Chronicle ภาพจาก DoorDash
# เอาอีกแล้ว CoD: Cold War ทำโหมด Zombies Onslaught เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ PS4/PS5 เป็นธรรมเนียมของเกม Call of Duty ทุกภาคที่ต้องมีโหมดซอมบี้ให้เล่นกัน ซึ่งเกมภาคล่าสุด Black Ops Cold War ก็มีโหมดนี้ด้วยเช่นกัน ล่าสุด Activision เผยรายละเอียดของโหมดใหม่ Zombies Onslaught ของเกมภาคนี้ (แยกจากโหมด Zombies ปกติ) ว่าเป็นการเล่นแบบ co-op สองคน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ PlayStation (ทั้ง PS4 และ PS5) เป็นเวลานาน 12 เดือน โดยจะลงแพลตฟอร์มอื่นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2021 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Call of Duty มีโหมดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับ PlayStation เพราะปีที่แล้วก็มีกรณีโหมด Spec Ops Survival ของภาค Modern Warfare เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ PS4 นาน 12 เดือน ที่แม้แต่ทีมพัฒนาของ Infinity Ward เองก็ไม่พอใจ แต่ก็บอกว่าทำอะไรไม่ได้ในเรื่องนี้ ที่มา - PlayStation Blog, Eurogamer
# Apple เผยแพร่ภาพบรรยากาศการขาย iPhone 12 วันแรก แบบ Social Distance แอปเปิลได้เริ่มส่งมอบ iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPad Air 4 ให้กับลูกค้าแล้วในประเทศที่เริ่มวางจำหน่าย ปกติเราจะคุ้นกับภาพคนต่อแถวกับยาวที่หน้าร้าน Apple Store แต่เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้แอปเปิลส่งเสริมให้ลูกค้าสั่งสินค้าออนไลน์ หรือนัดหมายเวลารับสินค้าที่ร้านแทน จึงไม่มีภาพการต่อแถวแบบเดิม โดยแอปเปิลเผยแพร่ภาพบรรยากาศในหลายประเทศทาง Newsroom ทำให้เห็นรูปแบบการส่งมอบสินค้าที่เปลี่ยนไป รวมทั้งมีภาพเบื้องหลังในคลังสินค้าด้วย บรรยากาศที่ Apple Store สาขา Orchard Road ประเทศสิงคโปร์ ภาพที่ศูนย์กระจายสินค้าในเมือง Carlisle รัฐ Pennsylvania ศูนย์จัดการพัสดุ UPS Worldport ในเมือง Louisville รัฐ Kentucky Apple Store สาขา Highland Village ติดตั้งซุ้ม Express ด้านหน้าร้าน ให้ลูกค้าที่เน้นการรับหรือซื้อสินค้าแบบรวดเร็ว ไม่ต้องเข้าไปในร้าน ลดความแออัด ที่มา: แอปเปิล
# Snowden ได้สิทธิ์ผู้พำนักถาวรจากรัสเซีย, เจ้าตัวยืนยันอยากกลับสหรัฐฯ ทางการรัสเซียออกหนังสือผู้พำนักถาวร (permanent resident) ให้กับ Edward Snowden หลังจากเขาเป็นผู้ลี้ภัยในรัสเซียมาตั้งแต่ปี 2013 ครั้งนี้ทางการรัสเซียใช้เวลาเพียงครึ่งปีเพื่อรับรองสิทธิ์ผู้พำนักถาวรหลังยื่นเรื่องเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยทนายของ Snowden ระบุว่าที่ล่าช้าเพราะติด COVID-19 ด้วยส่วนนึ่ง Snowden ยืนยันมาเสมอว่าเขาไม่ต้องการลี้ภัยในรัสเซีย แต่แผนการเดิมของเขาหลังออกจากฮ่องกงคือการไปต่อเครื่องบินไปยังประเทศในแถบละตินอเมริกา แต่ทางการสหรัฐฯ ยกเลิกหนังสือเดินทางของเขาเสียก่อนจนติดอยู่ในสนามบินรัสเซียทำให้ต้องยื่นขอลี้ภัย การที่ Snowden ติดอยู่ในรัสเซียทำให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างความเชื่อมโยงเขากับสายลับรัสเซีย Anatoly Kucherena ทนายของ Snowden ระบุว่าทางตรวจคนเข้าเมืองรัสเซียถามว่า Snowden ต้องการขอสิทธิ์พลเมืองรัสเซียต่อไปหรือไม่ แต่ Snowden ยืนยันกับ Kucherena ว่าต้องการกลับสหรัฐฯ หากได้รับการดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม ที่มา - The New York Times, Facebook: Anatoly Kucherena
# Spotify เปิดตัวรายการเช้า The Get Up เล่าข่าว ผสมเปิดเพลงแบบ Personalization Spotify เปิดตัวรายการเช้า The Get Up ที่เป็นการผสมผสานระหว่างการเล่าข่าวประจำวันกับการเปิดเพลง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วงชิงเวลาของผู้ใช้งานในช่วงเช้า ที่ต้องเดินทางไปโรงเรียนหรือไปทำงาน รูปแบบรายการ The Get Up ไม่ต่างอะไรจากรายการวิทยุตอนเช้า ที่เป็นการผสมผสานระหว่างข่าวทั่วไป ข่าวบันเทิง กับการเปิดเพลงเป็นระยะๆ แต่สิ่งที่แปลกใหม่จริงๆ คือผู้ใช้แต่ละคนอาจได้ฟังเพลงที่แตกต่างกัน เพราะเลือกเปิดเพลงตาม personalization ของผู้ใช้ ในแง่การใช้งาน ผู้ใช้จะมองเห็น The Get Up เป็นเหมือนรายการพ็อดแคสต์หนึ่งตอน แต่สามารถกดข้ามไปฟังแต่ละช่วงในรายการได้เลย เพราะเป็นรายการที่บันทึกเสียงไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่รายการสด รายการเปิดให้ผู้ใช้ Spotify ในสหรัฐอเมริกาฟังแล้ว โดยจะมีทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ ตัวอย่าง playlist ของรายการ The Get Up ที่มา - Spotify, TechCrunch
# GitHub ปิดหน้าโครงการสคริปต์โหลดไฟล์วิดีโอ youtube-dl ตามคำขอ RIAA GitHub ปิด repository ของโปรแกรมคอมมานด์ไลน์ youtube-dl ที่ใช้ดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอจาก YouTube ตามคำขอของสมาคมอุตสาหกรรมเพลงของสหรัฐอเมริกา (RIAA) youtube-dl เป็นสคริปต์ภาษา Python ที่ใช้ดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอจาก YouTube และเว็บฝากวิดีโออื่นๆ โดยถือเป็นโครงการยอดนิยมตัวหนึ่งบน GitHub มีคนให้ดาว 7.2 หมื่นครั้ง และถูก fork ออกไป 1.2 หมื่นครั้ง RIAA บอกว่าโปรแกรม youtube-dl ถูกใช้ละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและวิดีโอของสมาชิกสมาคม ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา (DMCA) และขอให้ GitHub สั่งปิด repository ทั้งหมดของ youtube-dl จำนวน 18 URL ซึ่งทาง GitHub ก็ยอมทำให้ตามคำขอ หากลองเข้าลิงก์ youtube-dl จะพบข้อความถูกสั่งปิดตามกฎหมาย DMCA โครงการ youtube-dl มีหน้าเว็บแยกเฉพาะ (yt-dl.org) ที่ยังใช้งานได้อยู่ แต่ข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นซอร์สโค้ด ไฟล์ไบนารี เอกสาร ถูกเก็บไว้บน GitHub ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว ที่มา - GitHub, ZDNet
# Among Us โดนแฮ็กเซิร์ฟเวอร์ ผู้เล่นจำนวนมากโดนข้อความสแปมในเกม ผู้เล่นเกม Among Us จำนวนมากเจอปัญหาสแปมในระบบแชทของเกม เชิญชวนให้สมัครช่อง YouTube และ Discord ของบุคคลชื่อ Eris Loris พร้อมข่มขู่ว่าถ้าไม่สมัครก็จะโดนแฮ็กเครื่อง นอกจากนี้ยังมีคำโฆษณาทางการเมืองคือ "Trump 2020" ติดมาด้วย ทาง InnerSloth ทีมพัฒนาเกม Among Us ระบุว่ารับทราบปัญหาการแฮ็กครั้งนี้แล้ว โดยจะแก้ด้วยการอัพเดตแพตช์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ พร้อมแนะนำให้ผู้เล่นเกมเลือกเล่นเฉพาะห้อง private หรือกับคนที่รู้จักและเชื่อใจได้เท่านั้น Kotaku ติดต่อไปยัง Eris Loris ได้รับคำยืนยันว่าเขาแฮ็กระบบได้จริง และอยากลองดูว่าถ้าส่งข้อความหาคนจำนวนมากๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขายังวิจารณ์ทีมพัฒนา Among Us ว่าตอนนี้เกมได้รับความนิยมอย่างมาก จนเกินที่ทีมพัฒนาเพียง 3 คนสามารถดูแลไหว เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ต้องจ้างคนเพิ่มได้แล้ว นอกจากนี้เขาก็ยอมรับว่าเป็นผู้สนับสนุน Trump จึงใส่ข้อความสนับสนุนลงไปด้วย ที่มา - Reddit, Kotaku
# คนขับรถ Uber ในแคลิฟอร์เนียยื่นฟ้องบริษัท ฐานโฆษณาชวนเชื่อในแอปคนขับให้โหวตรับ Prop 22 คนขับรถ Uber ในแคลิฟอร์เนียยื่นฟ้องบริษัท Uber โดยระบุว่าทางบริษัทกระทำผิดเนื่องจากใช้อำนาจทางเศรษฐศาสตร์กดดันให้ผู้ขับรถโหวตเห็นด้วยกับ Prop 22 ก่อนหน้านี้ แคลิฟอร์เนียเพิ่งออกกฎหมาย AB5 มาใหม่ โดยกำหนดให้พนักงานใน gig economy ที่บริษัทมักจะเลี่ยงไปใช้คำว่าคู่สัญญาทำให้พนักงานกลุ่มนี้ไม่ได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐานของพนักงาน (แต่ได้อิสระในเวลาทำงาน) ต้องได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐานเหมือนพนักงานประจำ ซึ่งกฎหมายนี้กระทบกับธุรกิจของ Uber, Lyft และบริษัท gig economy อื่น ๆ โดยตรง ส่วน Prop 22 ที่กำลังจะจัดโหวตขึ้นในแคลิฟอร์เนียในเดือนหน้า กำหนดให้แยกบริษัท gig economy ออกจาก AB5 หรือให้บริษัทยังคงใช้สถานะพาร์ทเนอร์หรือคู่สัญญาต่อไปได้ กลุ่มคนขับรถของ Uber ระบุว่า ในแอปคนขับรถจะแสดงข้อความ Prop 22 is progress และแสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากกฎหมาย Prop 22 ไม่ผ่านโหวต ซึ่งจะต้องกด OK ก่อนที่จะไปต่อได้ในแอป ถือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่บีบบังคับให้คนขับรถ Uber รับกฎหมายฉบับนี้ และกลุ่มผู้ขับรถต้องการให้ศาลสั่งห้าม Uber โฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับ Prop 22 ในแอปคนขับรถ ส่วนฝั่ง Uber โดยโฆษกยืนยันว่าคำฟ้องนี้ไม่มีเหตุผล และระบุว่ากลุ่มคนขับรถส่วนใหญ่ของ Uber พร้อมสนับสนุน Prop 22 เพราะมั่นใจว่าจะช่วยให้ชีวิตที่ดีขึ้นรวมถึงปกป้องวิธีการทำงานที่ตนเองต้องการ ที่มา - The Verge
# Huawei รายงานผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2020 หัวเหว่ยรายงานผลการดำเนินงานบริษัทในช่วง 9 เดือนของปี 2020 มีรายได้รวม 6.71 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 9.9% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว มีอัตรากำไรสุทธิ 8.0% โดยหัวเหว่ยบอกว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ ในตัวเลขการรายงานประจำไตรมาสนี้ หัวเหว่ยไม่ได้แยกรายได้ออกมาตาม 3 กลุ่มธุรกิจหลักคือ โทรศัพท์มือถือ, ลูกค้าองค์กร และลูกค้ารายย่อย หัวเหว่ยกล่าวว่าเทคโนโลยีและการสื่อสารเข้ามามีบทบาทสูงขึ้น ทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม ไม่ว่าจะเป็น AI, คลาวด์ หรือ 5G ซึ่งบริษัทก็ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าสูงสุด ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ซับซ้อนมากขึ้น ที่มา: หัวเหว่ย
# Phil Spencer บอกใบ้ จะออก TV stick ต่อทีวีเพื่อเล่นเกมผ่าน xCloud โดยตรง Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Stratechery ตอบคำถามเรื่องอนาคตของบริการคลาวด์เกมมิ่ง xCloud โดยเขาบอกว่าเป็นไปได้ที่อนาคตไมโครซอฟท์จะออกอุปกรณ์ TV stick ต่อกับทีวีเพื่อเล่นเกมผ่าน xCloud ได้โดยตรง ปัจจุบัน xCloud ยังจำกัดการใช้งานแค่บนสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ แต่ Spencer ก็ยืนยันว่าไมโครซอฟท์กำลังพัฒนา xCloud เวอร์ชัน iOS ที่รันผ่านเว็บเบราว์เซอร์ (เหมือนกับ Amazon Luna) อยู่เช่นกัน แนวทางการเล่นเกมแบบสตรีมมิ่งผ่าน TV stick ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Google Stadia ก็รองรับการต่อผ่านทีวีด้วย Chromecast และใช้จอยของ Stadia ได้ทันที ทำให้ความจำเป็นของการซื้อคอนโซลย่อมลดลงไปอีก Spencer ยังพูดถึงความเป็นไปได้ของการเพิ่มสมาชิก Xbox Game Pass ระดับที่สูงขึ้นจาก Ultimate ในปัจจุบัน (เรียกกันเล่นๆ ว่า Xbox Game Pass Platinum) ที่จ่ายแพงกว่า 15 ดอลลาร์ต่อเดือน แต่การันตีว่าจะได้ฮาร์ดแวร์ Xbox รุ่นใหม่ในแพ็กเกจเลย (ลักษณะคล้ายๆ โครงการผ่อนจ่าย Xbox All Access ในปัจจุบัน) ที่มา - The Verge
# ซัมซุงออกอัพเดตแก้ปัญหาจอทัชเพี้ยนของ Galaxy S20 FE แล้ว เว็บไซต์ SamMobile รายงานว่ามีผู้ใช้ Galaxy S20 FE ในยุโรป เริ่มได้อัพเดตเฟิร์มแวร์ตัวใหม่ที่แก้ปัญหาจอทัชเพี้ยนแล้ว เฟิร์มแวร์ตัวนี้ใช้เลขเวอร์ชัน G78xxXXU1ATJ5 ใหม่กว่ารุ่น G78xxXXU1ATJ1 ที่ออกมาในสัปดาห์ที่แล้ว และไม่สามารถแก้ปัญหาจอทัชเพี้ยนได้ หลังจากอัพเดตแล้ว ผู้ใช้กลุ่มหนึ่งแจ้งว่าอาการดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ยืนยันว่าหายขาดหรือไม่ ส่วนผู้ใช้ Galaxy S20 FE ในบางประเทศ (รวมถึงไทย) ก็น่าจะรออัพเดตกันอีกไม่นานนัก ก่อนหน้านี้ ซัมซุงไทยเพิ่งลดราคา Galaxy S20 FE ลง โดยรุ่น 4G ลดลงมาเหลือ 18,810 บาท ที่มา - SamMobile คลิปตัวอย่างปัญหาทัชสกรีนของ Galaxy S20 FE
# EA ออก Battlefield V Definitive Edition มัดรวมเนื้อหา เจาะกลุ่มผู้เล่นหน้าใหม่ระหว่างรอภาคใหม่ EA ประกาศวางขาย Battlefield V Definitive Edition เวอร์ชันมัดรวมคอนเทนต์ทั้งหมดที่ออกขายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (Battlefield V ออกปี 2018) เพื่อกระตุ้นตลาดระหว่างรอ Battlefield ภาคใหม่ที่น่าจะมาในปีหน้า ช่วงหลัง EA ใช้นโยบายออก Battlefield ภาคใหม่ทุก 2 ปี (ช่วงเดือนตุลาคมของปีเลขคู่) แต่จากปัจจัยหลายอย่าง เช่น Battlefield V ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทำให้ EA ประกาศไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าเราจะไม่เห็น Battlefield ภาคใหม่ในปี 2020 โดยขอไปโฟกัสที่เกม Apex Legends ไปพลางๆ ก่อน นโยบายของ Battlefield V ออกแผนที่ให้เล่นฟรีอยู่แล้ว สิ่งที่ขายคือสกินอาวุธ ชุด เสื้อผ้า สิ่งตกแต่งต่างๆ ซึ่งทั้งหมดถูกนำมารวมขายใน Definitive Edition ที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยเล่น Battlefield V มาก่อน ถือเป็นการยืดอายุเกมให้อยู่ต่อได้อีกระยะหนึ่ง แม้บริษัทจะไม่อัพเดตเนื้อหาใหม่ๆ ให้แล้วก็ตาม เกมมีขายทั้งบน PC, PS4, Xbox ในราคา 59 ดอลลาร์ ราคาบน Steam ของประเทศไทยคือ 1,899 บาท แต่ถ้าซื้อผ่าน Origin ในช่วงนี้ลดราคาเหลือ 759.60 บาท ที่มา - EA, Gamespot
# EA โดนเกมเมอร์ฟ้องแบบกลุ่มในแคนาดา บอก Loot Box เป็นการพนันผิดกฎหมาย EA โดนฟ้องแบบกลุ่มในประเทศแคนาดา โดยผู้ฟ้องระบุว่าระบบ loot box ของ EA ผิดกฎหมายการพนันของแคนาดา ในสำนวนฟ้องต้นฉบับ ผู้ฟ้อง 2 รายระบุว่าซื้อเกม Madden NFL และ EA NHL แต่ก็เชิญให้ผู้เล่นเกมอื่นๆ ของ EA เข้ามาร่วมฟ้องแบบกลุ่ม (class action) ด้วยกัน คำฟ้องบอกว่าการขาย loot box ของ EA ถือเป็นการพนันที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แคนาดาไม่มีกฎหมายด้าน loot box แยกเฉพาะ ลักษณะเดียวกับในยุโรปบางประเทศ เช่น เบลเยียม เมื่อคดีถึงชั้นศาลอาจต้องไปพิจารณาบนกฎหมายการพนันตามปกติ เมื่อปีที่แล้ว EA อธิบายต่อรัฐสภาอังกฤษว่า ระบบ Loot Box ของเรามีจริยธรรม และให้เรียกมันว่า Surprise Mechanics ที่มา - Gamespot, Kotaku
# นักวิจัยอ้างว่าเดารหัสผ่านทวิตเตอร์ โดนัลด์ ทรัมป์ สำเร็จ แต่ทำเนียบขาวปฎิเสธ Victor Gevers นักวิจัยความปลอดภัยไซเบอร์อ้างว่าสามารถล็อกอินบัญชี @realDonaldTrump ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ว่าใช้รหัสผ่าน "maga2020!" พร้อมกับระบุว่าทรัมป์ไม่ได้เปิดการล็อกอินสองขั้นตอนเอาไว้ ทางด้านทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับ Forbes ระบุว่าการอ้างของ Victor ไม่เป็นความจริง ขณะที่ Victor อ้างว่าได้รับการติดต่อจาก US Secret Service เพื่อขอบคุณที่แจ้งเตือนช่องโหว่นี้ และ Victor พบว่าบัญชีทวิตเตอร์ของทรัมป์เปิดใช้งานล็อกอินสองขั้นตอนแล้ว ทรัมป์พูดถึงประเด็นนี้ระหว่างการเดินสายหาเสียง ยืนยันว่าไม่ได้โดนแฮก พร้อมกับระบุว่า "ถ้าใครจะโดนแฮก ต้องใช้[แฮกเกอร์]ที่มีไอคิว 197 แถมต้องรู้รหัสผ่านอย่างน้อย 15%" ที่มา - ArsTechnica
# อดีตพนักงาน Blizzard รวมตัวตั้งบริษัทใหม่ Frost Giant ประกาศปลุกชีพเกมแนว RTS เราเพิ่งเห็นข่าว Mike Morhaime ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Blizzard เปิดบริษัทเกมใหม่ Dreamhaven โดยดึงอดีตพนักงาน Blizzard มาร่วมงานด้วยมากมาย ล่าสุดพนักงานอีกกลุ่มที่นำโดย Tim Morten หัวหน้าฝ่ายโปรดักชั่นของ StarCraft II ออกมาตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frost Giant Studios โดยประกาศชัดว่า "จะทำเกม RTS" (real-time strategy แบบเดียวกับ WarCraft หรือ StarCraft) Frost Giant ยังไม่เปิดเผยข้อมูลเกมที่กำลังพัฒนาอยู่ แต่ก็เผยรายชื่อพนักงานหลายคนที่เคยอยู่ในทีม StarCraft II และ WarCraft III โดยผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนคือ Tim Campbell เคยอยู่ Blizzard ในช่วงปี 2001-2004 และมีผลงานล่าสุดคือเป็นผู้กำกับเกม Wasteland 3 จะมาเป็นผู้กำกับเกมแรกของบริษัทตัวนี้ ที่มา - Ars Technica, GamesIndustry.biz
# Minecraft จะบังคับผู้เล่น Java Edition ต้องใช้ Microsoft Account มีผลปี 2021 Minecraft ประกาศการเปลี่ยนแปลงสำคัญ สำหรับผู้เล่นเกมเวอร์ชันดั้งเดิม Java Edition โดยจะบังคับใช้บัญชีไมโครซอฟท์ในการล็อกอิน จากเดิมที่สามารถใช้บัญชี Mojang ได้ ซึ่งหากไม่ย้ายบัญชีในช่วงเวลาที่กำหนด จะไม่สามารถล็อกอินได้ ทั้งนี้ Minecraft จะทยอยส่งอีเมลแจ้งผู้ใช้งานในการย้ายข้อมูลมาบัญชีไมโครซอฟท์ตั้งแต่ต้นปี 2021 ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการ Mojang ไปตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการออกเวอร์ชัน Bedrock ที่ต้องใช้บัญชีไมโครซอฟท์ แต่ก็ยังสนับสนุนเวอร์ชัน Java ต่อไป Minecraft ระบุว่าเกมในสองเวอร์ชันนี้จะยังคงแยกจากกันต่อไป แม้จะใช้ล็อกอินไมโครซอฟท์เหมือนกัน ที่มา: The Verge
# โซนี่เปิดตัวรีโมทคอนโทรล PS5 พร้อมปุ่มแอปสตรีมมิ่ง YouTube, Netflix, Disney+ จากที่บน PS4 เริ่มเป็นอุปกรณ์ความบันเทิงนอกเหนือจากเกมการรองรับ Netflix และ Spotify ในตัว ล่าสุดบน PS5 ทางโซนี่ยังคงต่อยอดแนวคิดนี้ ด้วยการเปิดตัวแอปสตรีมมิ่งที่รองรับบน PS5 พร้อมด้วยรีโมทคอนโทรลแยกต่างหาก แอปสตรีมมิ่งที่จะมาใน PS5 ตั้งแต่วันแรกก็มี Apple TV, Disney+, Netflix, Spotify, Twitch และ YouTube และจะมี Amazon Prime Video, MyCanal, Hulu, Peacok และอื่น ๆ ตามมาอีกในภายหลัง ขณะที่ตัวรีโมทมีชื่อทางการว่า Media Remote มีปุ่มควบคุมเหมือนรีโมทปกติ พร้อมปุ่มเปิดแอปสตรีมมิ่งแยกต่างหากได้แก่ Disney+, Netflix, Spotify และ YouTube ที่มา - PlayStation Blog
# Kojima Productions ยืนยันกำลังทำโปรเจ็คใหม่อยู่ แต่ยังไม่บอกว่าอะไร หลังจากปล่อย Death Stranding เกมแรกของ Kojima Productions ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ก็มีข่าวลือต่าง ๆ ออกมาว่า Kojima จะทำเกมใหม่อย่าง Death Stranding 2 หรือแม้แต่ Silent Hill ที่เคยล่มไปสมัยอยู่กับ Konami ล่าสุด Kojima Productions ยืนยันกลาย ๆ แล้วว่ากำลังทำโปรเจ็คใหม่อยู่ พร้อมรับสมัครทีมงานมาทำงานร่วมกันที่โตเกียว แต่แน่นอนว่ายังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ว่าโปรเจ็คใหม่นี้เกี่ยวกับอะไร ก่อนหน้านี้ Hideo Kojima เคยเปิดเผยว่า Death Stranding ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะเลยจุดคุ้มทุนแล้วและบริษัทก็มีเงินทุนสำหรับโปรเจ็คใหม่แล้ว ที่มา - @KojiPro2015_EN
# กระทรวงต่างประเทศจีนเรียกร้องสวีเดน ยกเลิกการแบน Huawei, ZTE ต่อเนื่องจากข่าวสวีเดนสั่งแบน Huawei และ ZTE ห้ามใช้อุปกรณ์ในเครือข่าย 5G ที่กำลังประมูล ล่าสุด Zhao Lijian โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาเรียกร้องแสดงความไม่เห็นด้วยท่าทีของสวีเดน พร้อมเรียกร้องสวีเดนยกเลิกคำสั่งแบน Zhao บอกว่าสวีเดนควรแสดงจุดยืนที่เป็นธรรมและยืนอยู่บนฐานของความจริงมากกว่านี้ และแก้ไขการตัดสินใจที่ผิดพลาดทันที เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีน-สวีเดน รวมถึงหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทสวีเดนในจีนด้วย คำสั่งแบนของสวีเดนมาจาก The Swedish Post and Telecom Authority (PTS) คล้าย ๆ กับ กสทช. บ้านเราที่ได้รับคำแนะนำของกองทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคงซึ่งระบุว่า จีนเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของสวีเดน จึงจำเป็นต้องรักษาความมั่นคงของเครือข่าย 5G ของประเทศ ที่มา - Reuters ภาพศูนย์วิจัยของ Huawei ในสวีเดน
# เปิดตัว Huawei Mate 40 ซีพียู Kirin 9000 5nm, กล้อง 5+2 ตัว ชนะ DXOMARK ทั้งกล้องหน้า-หลัง Huawei เปิดตัวเรือธงครึ่งหลังของปี Mate 40 Series โดยมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อยคือ Mate 40, Mate 40 Pro, Mate 40 Pro+ และ Mate 40 RS (Porsche Design) การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือดีไซน์กล้องหลัง เปลี่ยนมาใช้รูปวงแหวนที่เรียกว่า Space Ring Design (รุ่นก่อน Mate 30 เป็นกล้องอยู่ในวงกลมตรงกลาง แต่พอเป็น Mate 40 กล้องย้ายไปอยู่วงแหวนรอบๆ แทน) จุดเด่นของ Mate 40 Series คือหน่วยประมวลผล Kirin 9000 ตัวใหม่ 5nm และระบบกล้องที่ปรับปรุงเพิ่มเติม มีจำนวนกล้องสูงสุด 5+2 ตัว และได้คะแนนรีวิว DXOMARK เป็นอันดับหนึ่งทั้งหมวดกล้องหน้าและกล้องหลัง สเปก Mate 40 Pro, Pro+, RS สเปกเหมือนกันเกือบหมด ยกเว้นกล้องกับแรม หน่วยประมวลผล SoC ตัวใหม่ล่าสุด Kirin 9000 ผลิตที่ระดับ 5 นาโนเมตร ซีพียูแบบ 8 คอร์ (แบ่งเป็น [email protected] x1 + [email protected] x3 + [email protected] x4), จีพียูเป็น Mali-G78 รุ่นใหม่ล่าสุดของ Arm แบบ 24 คอร์ หน้าจอขนาด 6.76" 90Hz ความละเอียด FHD+ 2772x1344 แบตเตอรี่ 4400 mAh ชาร์จเร็ว 66W, ชาร์จเร็วไร้สาย 50W แรม/สตอเรจ Mate 40 Pro ให้แรม 8GB สตอเรจสูงสุด 256GB Mate 40 Pro+ และ RS ให้แรม 12GB สตอเรจสูงสุด 512GB ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm หมายเหตุ: รุ่น RS Porche Design สเปกเหมือนรุ่น Pro+ ทุกอย่างยกเว้นดีไซน์ Mate 40 รุ่นปกติ สเปกลดหลั่นลงมาจากรุ่นท็อป หน่วยประมวลผล Kirin 9000E ที่ลดจำนวนจีพียูลงเหลือ 22 คอร์ (ซีพียูเหมือนกัน) และลดสเปกของ NPU ลงเล็กน้อย หน้าจอขนาดเล็กลงเป็น 6.5" แต่ก็ยังเป็นจอ 90Hz แบตเตอรี่ขนาด 4200 mAh, ชาร์จเร็ว 40 วัตต์ ไม่มีชาร์จไร้สาย แรม 8GB และสตอเรจสูงสุด 256GB มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm มือถือทั้ง 4 รุ่นย่อยรองรับ 2 ซิม (5G ซิมเดียว อีกซิมเป็น 4G), กันน้ำ IP68, ใช้ EMUI 11.0 (Android 10) ไม่มี GMS กล้อง กล้องของ Mate 40 Series ยังเป็น co-engineered with Leica เช่นเดิม จุดเด่นของกล้องในซีรีส์นี้คือทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเป็นกล้องแบบ Ultra-Wide (ชื่อทางการค้าเรียกว่า Ultra Vision Camera) มุมมองกว้าง 100 องศา สามารถถ่ายภาพรอบตัวได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเครื่อง Mate 40 Pro ยังเพิ่มกล้องซูม Periscope ที่รองรับไฮบริดซูม 10x และในรุ่น Pro+ มีกล้องซูมตัวที่สอง ทำให้สามารถซูมได้รวม 20x แบบไฮบริดซูม (100x แบบดิจิทัลซูม) สำหรับกล้องหน้าของรุ่น Pro และ Pro+ มีกล้องหน้าตัวที่สองเป็น 3D Depth Sensor ทำให้มีฟีเจอร์ 3D Face Unlock ปลดล็อคด้วยใบหน้าแบบสามมิติด้วย Mate 40 กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหน้า 1 ตัว กล้องหลัง 50MP Ultra Vision Camera (Wide, f/1.9) 20MP Cinema Camera (Ultra-Wide, f/2.2) 8MP Telephoto OIS (f/2.4) กล้องหน้า 13MP Ultra Vision Camera (Wide, f/2.4) Mate 40 Pro กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหน้า 2 ตัว 50MP Ultra Vision Camera (Wide f/1.9) 20MP Cinema Camera (Ultra-Wide f/1.8) 12MP Telephoto OIS (f/3.4) กล้องหน้า 13MP Ultra Vision Camera (Wide, f/2.4) 3D Depth Sensing Mate 40 Pro+ และ Mate 40 RS กล้องหลัง 5 ตัว กล้องหน้า 2 ตัว 50MP Ultra Vision Camera (Wide f/1.9) 20MP Cinema Camera (Ultra-Wide f/1.8) 12MP Telephoto OIS (f/3.4) 8MP SuperZoom Camera (10x Optical, f/4.4) 3D Depth Sensing กล้องหน้า 13MP Ultra Vision Camera (Wide, f/2.4) 3D Depth Sensing แชมป์ DXOMARK ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง เมื่อพูดถึงกล้องของมือถือเรือธง Huawei ย่อมต้องมีคะแนน DXOMARK มาประกอบ ซึ่ง Huawei ก็ส่งมือถือรุ่น Mate 40 Pro (ยังไม่ใช่รุ่น Pro+ ที่เป็นตัวท็อปสุด) ไปทดสอบ ได้คะแนนกล้องหลัง 136 คะแนน เอาชนะ Xiaomi Mi 10 Ultra แชมป์ปัจจุบันที่ได้ 133 คะแนน - รีวิวบน DXOMARK ส่วนกล้องหน้า Mate 40 Pro ก็คว้าแชมป์เช่นกัน โดยได้คะแนนทดสอบ DXOMARK ที่ 104 คะแนน เฉือนชนะรุ่นพี่ P40 Pro ที่ทำไว้ 103 คะแนน - รีวิวบน DXOMARK ราคา ตอนนี้ยังมีเฉพาะราคาเป็นยูโร แยกดังนี้ Huawei Mate 40 (8GB+128GB) ราคา 899 ยูโร (ประมาณ 34,000 บาท) Huawei Mate 40 Pro (8GB+256GB) ราคา 1,199 ยูโร (ประมาณ 45,000 บาท) Huawei Mate 40 Pro+ (12GB+256GB) ราคา 1,399 ยูโร (ประมาณ 52,000 บาท) ที่มา - Huawei
# Intel รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2020 อินเทลรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2020 มีรายได้รวม 18,333 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน โดยรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Data-centric ลดลง 10% ส่วน PC-centric เพิ่มขึ้น 1% และมีกำไรสุทธิ 4,276 ล้านดอลลาร์ อินเทลระบุว่ารายได้กลุ่ม Data-centric ที่ลดลงมาก มาจากกลุ่มลูกค้าองค์และหน่วยงานรัฐที่ชะลอการใช้จ่าย เฉพาะกลุ่มนี้รายได้ลดลงถึง 47% ส่วนกลุ่ม PC-centric รายได้เพิ่มขึ้นจากยอดขายโน้ตบุ๊ก ที่มา: อินเทล
# Apple Store เปิดร้านฟอร์แมตใหม่ Express เน้นรับสินค้า มีฉากกั้น เพิ่มความปลอดภัย Deirdre O’Brien รองประธานอาวุโสส่วนธุรกิจค้าปลีกของแอปเปิล เปิดเผยว่าแอปเปิลมีแผนจะเปิดร้าน Apple Store ในรูปแบบใหม่เรียกว่า Apple Store Express โดยเป็นแผงติดตั้งด้านหน้าร้านหลัก และมีเคาน์เตอร์พร้อมฉากกั้น และชั้นวางสินค้าโชว์ สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อออนไลน์และนัดรับสินค้า หรือเพื่อปรึกษาปัญหาการใช้งาน ที่มาของแนวคิดนี้เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ที่กลับมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอเมริกาและยุโรป แต่เพื่อให้แอปเปิลยังสามารถขาย iPhone 12 ได้จำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเทศกาล รูปแบบร้านดังกล่าวจึงสามารถรองรับและแก้ปัญหานี้ได้ ปัจจุบันแอปเปิลทำหน้าร้านแบบ Express แล้ว 20 สาขาในอเมริกากับยุโรป และมีแผนเพิ่มเป็น 50 แห่งภายในเดือนนี้ ที่มา: Reuters
# Ubuntu 20.10 "Groovy Gorilla" ออกแล้ว รองรับการรันบน Raspberry Pi เต็มรูปแบบ Ubuntu ออกเวอร์ชัน 20.10 โค้ดเนม Groovy Gorilla ของใหม่ที่สำคัญคือการจับมือกับ Raspberry Pi Foundation ปรับแต่งอิมเมจให้ Ubuntu Desktop ตัวเต็มทำงานบน Raspberry Pi ได้อย่างเต็มที่ (RPi เวอร์ชัน 2, 3, 4 รุ่นที่มีแรม 4GB ขึ้นไปจะเป็น certified hardware) ของใหม่อย่างอื่นได้แก่ เคอร์เนล 5.8, GNOME 3.38, LibreOffice 7.0.2 เลือกแสดงเปอร์เซนต์ของไอคอนแบตเตอรี่ได้, แชร์รหัส Wi-Fi ผ่าน QR code ชุดซอฟต์แวร์สำหรับรันคลาวด์ขนาดเล็ก (micro cloud) เช่น LXD, MicroK8s, Ceph ที่มา - Ubuntu
# ถ้าเขาจะบล็อค หลบได้เขาก็บล็อค รู้จักกับ Telegram Proxy อาวุธที่ Telegram ใช้สู้กับทางการรัสเซีย แอปแชต Telegram มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งจากการต่อสู้กับการบล็อคโดยทางการรัสเซียอยู่ถึงสองปีจนกระทั่งรัสเซียยุติการบล็อคไปในที่สุด และระหว่างช่วงที่ถูกบล็อคอัตราการใช้งาน Telegram ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด แม้ว่า Telegram จะไม่ใช่โปรแกรมวิเศษที่สามารถหลบเลี่ยงการบล็อคได้เหนือว่าโปรแกรมอื่นๆ แต่ก็เป็นแอปแชตที่มีแนวทางสนับสนุนการหลบเลี่ยงการบล็อคไว้หลากหลาย จากปกติที่ผู้ใช้ต้องอาศัย VPN ในการหลบเลี่ยงการบล็อค ซึ่งหาก VPN มีความเร็วในการเชื่อมต่อไม่ดี โดยเฉพาะหากต้องการใช้บริการในประเทศ ก็จะทำให้การใช้งานโทรศัพท์โดยรวมแย่ลง แต่ Telegram รองรับการ "มุดท่อ" ของตัวเองอีกสองช่องทาง คือ SOCKS5 proxy และ MT Proto Proxy ระบบพรอกซี่แบบพิเศษที่เปิดให้คนที่เข้ามาเชื่อมต่อใช้งาน Telegram ได้อย่างเดียว SOCKS5 proxy นั้นสามารถสร้างได้โดยง่าย ที่สำคัญคือ ssh (secure shell) รองรับการทำ SOCKS5 proxy หากเราติดตั้ง ssh client บนเครื่องของเราเองแล้วเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ด้วยออปชั่น -D[หมายเลขพอร์ต] ก็จะได้ SOCKS proxy บนเครื่องของเราเองที่ทราฟิกจะมุดไปออกที่เซิร์ฟเวอร์ได้แล้ว ที่จริงแล้วเบราว์เซอร์ต่างๆ ก็มักรองรับ SOCKS5 กันทำให้มันเป็นตัวเลือกหนึ่งในการสร้างท่อหลบเลี่ยงการบล็อคเป็นรายแอป การใช้งานได้หลากหลายเช่นนี้แม้จะเป็นข้อดีแต่ก็อาจจะมองเป็นข้อเสียที่เราคงไม่ต้องการแชร์ SOCKS5 proxy กับคนอื่นนัก เพราะเขาอาจจะนำ proxy ไปใช้งานอะไรก็ได้ MT Proto Proxy (MTProxy) หรือ Telegram Proxy เป็นพรอกซี่เฉพาะสำหรับการเชื่อมต่อ Telegram เท่านั้น ทำให้คนจำนวนมากสะดวกใจที่จะติดตั้ง MTProxy แล้วแบ่งปันให้คนอื่นใช้งาน โดยทาง Telegram ปล่อย MTProxy ออกมาในเดือนพฤษภาคม 2018 หลังทางการรัสเซียสั่งบล็อค Telegram ไม่นานนัก หลังจากนั้นมีโครงการอื่นๆ อิมพลีเมนต์ Telegram Proxy ออกมาจำนวนมาก เช่น mtprotoproxy โครงการภาษา Python 3 mtproto_proxy โครงการภาษา Erlang mtg โครงการภาษา Go Telegram Proxy มีฟีเจอร์สำหรับหลบเลี่ยงการตรวจสอบหลายประการ ได้แก่ โปรแกรมทั้งหมดนิยมรันบนพอร์ต 443 ให้เหมือนเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ รหัสผ่าน (secret) สำหรับยืนยันว่าคนที่กำลังเชื่อมต่อรู้ว่ากำลังเชื่อมต่อกับ Telegram Proxy จริงๆ หากรหัสผ่านผิด หลายโครงการมีฟีเจอร์ส่งหน้าเว็บหลอกๆ ไปแทนเรียกว่า FakeTLS (ซ่อนใบไม้ต้องซ่อนในป่า) ตัวไคลเอนต์ Telegram มีความสามารถในการเติมข้อมูล (padding) เพื่อให้ตรวจสอบจากขนาดแพ็กเก็ตได้ยากว่าเป็นการเชื่อมต่อ Telegram การติดตั้ง Telegram Proxy MTProxy ของ Telegram เองไม่มีแจกเป็นไบนารีแต่แจกเป็นอิมเมจ Docker แทน หากเซิร์ฟเวอร์เพิ่งเปิดมาใหม่อาจจะต้องติดตั้ง docker ก่อน ด้วยคำสั่ง sudo apt install docker.io (สำหรับ Ubuntu) จากนั้นเราสามารถรันอิมเมจด้วยคำสั่ง docker run -d -p443:443 --name=mtproto-proxy --restart=always -v proxy-config:/data telegrammessenger/proxy:latest และเปิดดูข้อมูลคอนฟิกด้วยคำสั่ง docker logs mtproto-proxy จะเห็นข้อมูลใกล้เคียงคามนี้ สังเกตว่าเราจะได้ URL มาสองแบบได้แก่ tg://proxy?server=128.199.157.252&port=443&secret=af7160d1f251268c9c89eca69c555dcd สำหรับส่งทางแชต Telegram เอง https://t.me/proxy?server=128.199.157.252&port=443&secret=af7160d1f251268c9c89eca69c555dcd สำหรับส่งช่องทางอื่นๆ เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์นี้ ตัวแอป Telegram จะแสดงข้อมูลและถามว่าต้องการเชื่อมต่อกับพรอกซี่นี้หรือไม่ เพียงแค่กดเชื่อมต่อก็ใช้งานต่อไปได้ทันที ภาพหน้าจอยืนยันเชื่อมต่อพรอกซี่หลังกดลิงก์ หน้าจอรายการพรอกซี่ที่ใช้งานอยู่ Telegram เองมีโครงสร้างรองรับการวางพรอกซี่หลายอย่าง โดยเฉพาะ API สำหรับการดึงไอพีที่ใช้เชื่อมต่อ เฉพาะไอพีที่ทาง Telegram เปิดเผยผ่าน API ก็มีนับ 10 ไอพี ไม่ใช่เพียงแค่ 4 ไอพีอย่างที่มีความพยายามบล็อค แม้ตอนนี้กระบวนการบล็อคยังไม่เป็นผลนักแต่หากมีความพยายามมากกว่านี้ก็จะทำให้เราเชื่อมต่อไม่ได้บางช่วงจนกว่าทาง Telegram หลบหลีกไอพีให้ กลายเป็นเกมแมวจับหนูระหว่างรัฐบาลกับ Telegram การใช้พรอกซี่จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าในระยะยาวเพื่อการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องต่อไป ส่งท้าย เซิร์ฟเวอร์, รหัสผ่าน, และ URL ทั้งหมดในบทความนี้ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว
# ลาก่อน Google Play Music กูเกิลไม่ยอมให้ใช้แอพ-เว็บฟังเพลงแล้ว กูเกิลประกาศมาสักระยะแล้วว่า Google Play Music จะหยุดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ วันนี้มีผู้ใช้แอพ Google Play Music บนแอนดรอยด์แจ้งว่าแอพไม่สามารถใช้งานได้แล้ว การเปิดแอพ Google Play Music ขึ้นมาวันนี้จะเจอกับข้อความ Google Play Music is no longer available สิ่งที่ผู้ใช้ทำได้มีเพียงแค่สั่งย้ายไลบรารีเพลงไปยังแอพ YouTube Music หรือจัดการดาวน์โหลดไลบรารีเพลงมาเก็บไว้เท่านั้น ส่วนเว็บแอพ http://music.google.com/ ก็จะเจอหน้าจอลักษณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ไม่นาน กูเกิลเพิ่งหยุดขายเพลงผ่านระบบ Google Play Music ซึ่งประเทศไทยไม่มีให้บริการอยู่แล้ว จึงไม่กระทบกับผู้ใช้ในไทยมากนัก ที่มา - Android Police
# สวนกระแส Epic ลดขนาดไฟล์เกม Fortnite จากเดิม 90GB ลงมาเหลือแค่ 30GB ในขณะที่เกมยุคใหม่มีขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เกม Fortnite ของ Epic Games กลับปรับปรุงครั้งใหญ่ ลดขนาดไฟล์ของเกมเวอร์ชันพีซีจากประมาณ 90GB ลงมาเหลือเพียง 30GB ได้สำเร็จ (ลดลงมาถึง 60GB หรือประมาณ 2 ใน 3) Epic Games ยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าปรับแต่งเกมอย่างไรถึงลดขนาดไฟล์ลงมาได้ขนาดนี้ บอกเพียงว่าในแพตช์ตัวล่าสุด v14.40 จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ (แพตช์ทั้งตัวขนาดประมาณ 27GB) แต่เจ็บครั้งเดียวแล้วจบ ขนาดไฟล์ติดตั้งในเครื่องจะลดลงไปมาก และในอนาคตแพตช์ก็จะมีขนาดเล็กลงด้วย ที่มา - The Verge
# Microsoft ร่วมกับ Alaska Airlines ใช้เชื้อเพลิงสะอาด ลดคาร์บอนจากการเดินทางโดยเครื่องบินของพนักงานบริษัท Microsoft ประกาศความร่วมมือกับ SkyNRG และ Alaska Airlines เพื่อร่วมกันลดคาร์บอนจากการเดินทางโดยเครื่องบินเพื่อธุรกิจของพนักงานในบริษัท ภายใต้ความร่วมมือนี้ Microsoft จะซื้อเครดิตจาก SkyNRG เพื่อให้ทางบริษัทนำส่งน้ำมันเครื่องบินให้ Alaska Airlines เพื่อให้สายการบินใช้น้ำมันในการดำเนินการรับส่งผู้โดยสารระหว่าง Seattle-Tacoma International Airport (ใกล้กับสำนักงานใหญ่ Microsoft) กับ San Francisco, San Jose และ Los Angeles น้ำมันเครื่องบินของ SkyNRG เป็นน้ำมันที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยใช้วัตถุดิบเป็นน้ำมันทำอาหารและน้ำมันพืชอื่น ๆ ซึ่งทางบริษัทเคลมว่าน้ำมันแบบนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 75% เมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องบินคีโรซีนแบบเดิม ๆ สำหรับ Microsoft แล้ว ทางบริษัทมีเป้าหมายลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากโลกให้มากกว่าปริมาณก๊าซที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศจากการดำเนินกิจการภายในปี 2030 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า และเป้าหมายสูงสุดคือในปี 2050 ทางบริษัทจะลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้ได้เท่ากับที่เคยปล่อยออกมานับตั้งแต่ก่อตั้งกิจการ ที่มา - The Verge ภาพจาก Alaska Airlines
# Ubisoft เปิดตัว Ubisoft Connect มาแทน Uplay เพิ่มฟีเจอร์โซเชียล รวมทุกแพลตฟอร์มในแอปเดียว Ubisoft เปิดตัวแอป Ubisoft Connect แอปโซเชียลสำหรับเกมเมอร์ที่จะผูกกับ Ubisoft Account ผนวกรวมฟีเจอร์ทั้งการเพิ่มเพื่อน พูดคุย เก็บ Achievement เคล็ดลับและเทคนิคเกมต่างๆ ที่จะแสดงขึ้นมาโดยอิงจากสถานะในเกมของผู้เล่น โดยสามารถพูดคุย และเก็บสถานะต่างๆ แบบข้ามแพลตฟอร์มได้ Uplay และ Ubisoft Club ก็จะถูกผนวกรวมในแอปนี้ด้วย เกมที่ผู้เล่นมีอยู่ในแอคเคาท์ และฟีเจอร์ร้านค้า ก็จะถูกผนวกเข้าไปในแอป Ubisoft Connect เพียงแอปเดียว ภายในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ตรงกับวันวางจำหน่าย Watch Dogs: Legion พอดี Ubisoft กำลังพยายามพัฒนาแพลตฟอร์มเกมมิ่งของตัวเองคล้ายคลึงกับ Steam โดยมุ่งเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่น และการครอบคลุมไปยังเครื่องคอนโซลด้วย โดยมีเกมที่ระบุว่าสามารถเก็บสถานะต่างๆ ข้ามแพลตฟอร์มได้ เช่น Assassin’s Creed Valhalla, Immortals Fenyx Rising, Riders Republic เป็นต้น ที่มา - Ubisoft
# Facebook Dating เปิดตัวในยุโรป หลังเลื่อนมานานเพราะข้อกังวลความปลอดภัย Facebook Dating เปิดตัวในยุโรป หลังเลื่อนเปิดตัวมากว่า 9 เดือนเพราะข้อกังวลความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เนื่องจาก Facebook Dating มีการแชร์ข้อมูลมาก เช่นความสนใจที่มีร่วมกัน, Secret Crush ที่ให้เพิ่มคนที่แอบชอบเข้ามาในลิสต์ 9 คน ฯลฯ ส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลข้อมูลหรือ Irish Data Protection Commission (DPC) แสดงข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว จนนำไปสู่การเลื่อนเปิดตัวบริการซึ่งเดิมควรจะเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทาง DPC ระบุว่า Facebook ได้ชี้แจงโดยละเอียดเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลผ่านฟีเจอร์ Dating Facebook ซึ่ง DPC ก็จะจับตามองการเปิดใช้บริการอย่างใกล้ชิด ในบล้อกเปิดตัวของ Facebook Dating ในยุโรปมีการอธิบายว่า Facebook ใช้ข้อมูลอย่างไร และเอาไปทำอะไรบ้าง เช่น แนะนำการจับคู่ให้ผู้ใช้ตามกิจกรรมความชอบ, มีการใช้กิจกรรมบน Dating มาปรับแต่งประสบการณ์การแสดงโฆษณา เป็นต้น ตอนนี้ Facebook Dating เปิดตัวในยุโรปแล้ว มีประเทศ ออสเตรีย, เบลเยียม, บัลแกเรีย, ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, โครเอเชีย, ฮังการี, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลิทัวเนีย, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, มอลตา, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, โปรตุเกส, โรมาเนีย, สวีเดน, สโลวีเนีย, สโลวาเกีย, ไอซ์แลนด์, ลิกเตนสไตน์, นอร์เวย์, สเปน, สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ที่มา - TechCrunch
# iPhone 12 ในฝรั่งเศส มีกล่องครอบมาอีกชั้น เนื่องจากต้องให้หูฟัง EarPods ตามข้อกำหนด iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการหยุดให้หัวชาร์จไฟ และหูฟัง EarPods มาในกล่อง ด้วยเหตุด้านสิ่งแวดล้อม (แม้บางคนจะไม่เห็นด้วย) ส่งผลให้ขนาดกล่องแบนลง สามารถขนส่งได้คราวละมากขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงรวมไปถึง iPhone รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม iPhone 12 ที่ขายในประเทศฝรั่งเศสนั้นระบุว่ายังคงให้หูฟัง EarPods มาด้วย เนื่องจากข้อกำหนดในประเทศ ระบุว่าผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต้องให้อุปกรณ์สนทนาแฮนด์ฟรีมาด้วยเสมอ แต่แอปเปิลก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้ฝรั่งเศสโดยเฉพาะแต่อย่างใด โดยแอปเปิลใช้วิธีทำกล่องกระดาษเพิ่มอีกใบ ที่มีช่องสำหรับวาง EarPods แล้วมีกล่อง iPhone 12 แบบที่จำหน่ายทั่วโลกไว้ข้างในอีกชั้น ซึ่งคลิปจากยูทูบเบอร์ TheiCollection ก็ทำให้เห็นว่า iPhone 12 มีขนาดกล่องที่แบนลงไปมาก ทั้งนี้แอปเปิลบอกว่ากล่องแบบใหม่ทำให้สามารถบรรจุ iPhone ได้มากขึ้น 70% ต่อพาเลทในการขนส่ง ที่มา: MacRumors
# บริษัทความปลอดภัยพบบ็อทสร้างภาพเปลือยใน Telegram มีผู้หญิงเป็นเหยื่อร่วมแสนราย Sensity บริษัทด้านความปลอดภัยเผยพบเครือข่าย bot ใน Telegram สร้างภาพเปลือยผู้หญิงเป็นลักษณะ deepfakes ขึ้นมาตามคำขอ พบว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีการสร้างภาพเปลือยของผู้หญิงไปแล้ว 104,000 ราย เมื่อนับย้อนหลังไปสามเดือนที่แล้ว พบว่ามีการสร้างภาพเปลือยเพิ่มขึ้น 200% โดยเป็นการเอารูปผู้หญิงที่ผู้ใช้งานรู้จักไปให้ bot สร้างเป็นภาพเปลือยให้ และคาดว่าตัวเหยื่อก็ไม่รู้ว่าภาพปลอมของตัวเองถูกแชร์ว่อนในอินเทอร์เน็ต ทางบริษัท Sensity ยังพบด้วยว่ามีรูปของเหยื่อที่ยังเป็นเยาวชนด้วย Telegram มีผู้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย ซึ่ง Sensity ยังบอกด้วยว่า ตัว bot สร้างภาพเปลือยก็แพร่เข้าสู่ VK ซึ่งเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คใหญ่ในรัสเซียด้วย และพบว่ายังไม่เผยแพร่ไปยังประเทศอื่นนอกจากรัสเซีย ที่มา - Engadget
# Pokemon Go เพิ่มภารกิจ AR Mapping ให้ผู้เล่นเปิดกล้องสแกนรอบๆ PokéStop มาให้ Pokémon Go เพิ่มภารกิจใหม่ให้ผู้เล่นเลเวล 20 ขึ้นไป เป็นภารกิจ AR Mapping ให้ผู้เล่นเปิดกล้องเพื่อสแกนรอบๆ เสา PokéStop ในสถานที่จริง เพื่อที่ Niantic จะได้นำข้อมูลภาพสแกนนั้นไปพัฒนาประสบการณ์เกม เช่นการทำ Reality Blending ที่ให้ตัวโปเกมอนหลบข้างหลังวัตถุได้แนบเนียนยิ่งขึ้น Niantic ระบุว่า เมื่อผู้เล่น Spin ตามจุด Pokestop จะพบภารกิจ AR Mapping ผู้เล่นยกกล้องขึ้นมาถ่ายสแกนรอบๆ จุด PokeStop จากนั้นภารกิจก็จะไปเพิ่มเป็นคะแนนภารกิจประจำวันใน Field Research นักพัฒนาระบุว่า ข้อมูลวิดีโอสแกนที่ดีคือมีความยาว 20-30 วินาทีขึ้นไป และให้จุด PokéStop อยู่กลางเฟรมเสมอ ผู้เล่นต้องเอากล้องจ่อนิ่งๆ แล้วเดินรอบเสาให้ครบ 360 องศา ภารกิจ AR Mapping ยังไม่ให้บริการแก่บัญชีผู้เล่นเด็ก หรือ Niantic Kids ซึ่งอนาคตจะเปิดให้ผู้ปกครองสามารถเปิดโหมดภารกิจนี้ให้ลูกได้ ที่มา - Engadget, Pokemon Go Live
# Lenovo เปิดตัวมือถือเกมมิ่ง Legion Phone Duel ในไทย Snapdragon 865+ จอ 144Hz เริ่ม 23,990 บาท Lenovo เปิดตัว Legion Phone Duel มือถือเกมมิ่งมาพร้อม Snapdragon 865+ มาพร้อมคุณสมบัติต่างๆ แบบ เป็นคู่ ทั้งกล้องหลัง ลำโพงหันออกด้านหน้า มอเตอร์สั่น ปุ่มด้านบนสำหรับเล่นเกม พอร์ต USB Type-C และแบตเตอรี่ มีสเปกดังนี้ ชิป Snapdragon 865+ หน้าจอ 6.65 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล รีเฟรชเรต 144Hz อัตราตอบสนองการสัมผัส 240Hz กล้องหน้า 20MP กล้องหลังหลัก 64MP พร้อมเลนส์อัลตร้าไวด์ 16MP ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K 30fps แรม LPDDR5 12GB / 16GB หน่วยความจำภายใน UFS 3.1.5 ขนาด 256GB / 512GB ลำโพงหน้าคู่ มอเตอร์สั่นคู่ แบตเตอรี่ 2,500 mAh คู่ รวมเป็น 5,000 mAh รองรับชาร์จ 65W พอร์ต Type-C ด้านข้างและด้านล่าง มีสองความจุ สองสี สองราคา ดังนี้ Lenovo Legion Phone Duel 12GB / 256GB Blazing Blue ราคา 23,990 บาท Lenovo Legion Phone Duel 16GB / 512GB Vengeance Red ราคา 30,990 บาท วางจำหน่าย 28 ตุลาคมเป็นต้นไป สั่งจองตั้งแต่ 22-28 ตุลาคม รุ่น 12GB / 256GB ได้รับกระเป๋า Legion Gaming Backpack Recon รุ่น 16GB / 512GB รับ Legion Gaming Backpack Recon และ หูฟัง Legion Gaming Headset H300 ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# สงคราม 120 FPS ฝั่ง Xbox Series X เหนือกว่าช่วงแรก มีเกมรองรับ 15 เกม, PS5 ยังมี 5 เกม วงการเกมยุคปี 2020 ให้ความสำคัญกับเรื่องเฟรมเรตมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้เกมที่ประกาศตัวว่ารองรับ 120 FPS ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ประเด็นนี้ลามมาถึงวงการคอนโซลที่กำลังจะเปลี่ยนข้ามรุ่น ล่าสุดมีคนเปรียบเทียบเกมที่รองรับ 120 FPS ทั้งสองฝั่ง พบว่าตอนนี้ Xbox Series X เหนือกว่าที่จำนวน 15 เกม ส่วนฝั่ง PS5 มีจำนวน 5 เกม (ตัวเลขย่อมเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง) เกมทั้ง 5 เกมของฝั่ง PS5 คือ Call of Duty Black Ops Cold War, Devil May Cry 5 Special Edition, Dirt 5, Monster Boy and the Cursed Kingdom, Rainbow Six Siege ซึ่งทั้งหมดเป็นเกมข้ามแพลตฟอร์ม และเล่นได้บน Xbox Series X ด้วย ส่วนเกมของฝั่ง Xbox อีก 10 เกม มีเกมของไมโครซอฟท์เองอย่าง Gears 5, Gears Tactics, Halo the Master Chief Collection, Halo Infinite ซึ่งหลายเกมก็เป็นเกมเก่าที่เคยออกมาสักระยะแล้ว (แต่ไมโครซอฟท์นำมารองรับคอนโซลเจนใหม่) แต่ก็มีเกมใหม่ๆ อย่าง The Falconeer (เอ็กซ์คลูซีฟคอนโซล Xbox) ด้วยเช่นกัน ที่มา - Essentially Sports ภาพจากเกม The Falconeer
# Facebook ทดสอบฟีเจอร์ Neighborhoods ทำความรู้จักเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน มีคนไปเจอฟีเจอร์ใหม่ที่ Facebook กำลังทดสอบคือ Neighborhoods ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รู้จักคนในละแวกใกล้เคียง เริ่มจากต้องกรอกที่อยู่ และสร้างโปรไฟล์ที่ไว้ใช้สำหรับเล่น Neighborhoods ได้ ด้านโฆษก Facebook ยืนยันแล้วว่ามีการทดสอบ Neighborhoods เนื่องจากพบว่ามีผู้คนจำนวนมากใช้ Facebook เพื่อเข้าร่วมชุมชนท้องถิ่นของตัวเอง บริษัทจึงเปิดทดสอบ Neighborhoods แบบจำกัดสถานที่ เริ่มทดสอบที่แคนาดาก่อน จากหน้าจอใช้งานพบว่า Neighborhoods เป็นอีกเมนูใหม่ที่รวมอยู่กับเมนูต่างๆ ในแท็บสามขีด มีการเน้นย้ำมาตรฐานชุมชน เช่น หลีกเลี่ยงการโพสต์สแปม หรือโพสต์สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับท้องถิ่นของตัวเอง ไม่แสดงพฤติกรรมเหยียด เลือกปฏิบัติ เป็นต้น Neighborhoods มีความคล้ายกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท Nextdoor ที่เป็นโซเชียลมีเดียขนาดเล็ก ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 และกำลังจะ IPO ตัวบริษัทที่ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก อ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้บริการพื้นที่มากกว่า 268,000 แห่งทั่วโลก รวมถึงประมาณหนึ่งในสี่ของพื้นที่ในสหรัฐฯ ผู้คนใช้ Nextdoor ในการทำหลายอย่าง เช่นโพสต์ขายของ, แจ้งเตือนแชร์ข่าวอาชญากรรม, แชร์อีเว้นท์สำคัญในพื้นที่ ซึ่งถ้า Facebook ดันฟีเจอร์นี้ออกมาก็อาจส่งผลกระทบใหญ่ต่อ Nextdoor ได้ ที่มา - Bloomberg
# Audio-Technica เปิดตัวหูฟังเกมมิ่ง 2 รุ่น มีสายกับไร้สาย ราคา 6,200 และ 9,200 บาท Audio-Technica เปิดตัวหูฟังเกมมิ่ง ATH-G1, ATH-G1WL ในประเทศไทย เป็นหูฟังที่ปรับปรุงจากรุ่น ATH-M50x พร้อมไมค์ถอดได้ รับเสียงด้วยระบบไฮเปอร์คาร์ดิออย (Hyper Cardioid) ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง รุ่นมีสาย ATH-G1 ใช้แจ็ค 3.5 มิลลิเมตร สายยาว 2 เมตร ราคา 6,200 บาท รุ่นไร้สาย ATH-G1WL มาพร้อมตัวรับสัญญาณแบบ 2.4 GHz เสียบช่อง USB-A ไดรเวอร์ขนาดเท่ากัน และไมค์ถอดได้เช่นกัน แบตเตอรี่อยู่ได้ 15 ชั่วโมง สามารถใช้งานตอนชาร์จได้ ราคา 9,200 บาท ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# ซีเอฟโอพูดเอง IBM ยุคใหม่จะสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีของ Red Hat เป็นแกนกลาง ในงานแถลงผลประกอบการของ IBM ไตรมาส 3/2020 ซีเอฟโอ James Kavanaugh ตอบคำถามของนักวิเคราะห์ไว้ชัดเจนว่า ยุทธศาสตร์ของ IBM ในตอนนี้คือการสร้างตัวขึ้นมาใหม่จากสินทรัพย์ที่ได้มาจากการซื้อ Red Hat ทิศทางนี้ยิ่งเด่นชัดจากประกาศของ IBM ที่ต้องการแยกบริษัทเป็น 2 ส่วน โดยจะแยกธุรกิจด้านบริการ (Managed Infrastructure Services) ออกมาเป็นบริษัทใหม่อีกแห่งที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ บริษัทใหม่จะสืบทอดธุรกิจด้านบริการหรือดูแลเครื่องของ IBM เดิม ซึ่งเป็นธุรกิจที่อยู่มานานและเติบโตช้า ในขณะที่ IBM เดิมจะโฟกัสไปที่ซอฟต์แวร์คลาวด์ ซึ่งแกนกลางอยู่ที่ Red Hat นั่นเอง เว็บไซต์ Motley Fool ใช้คำว่า IBM จะกลายร่างเป็น Red Hat on Steroids หรือใช้แกนกลางเทคโนโลยีของ Red Hat แล้วมาขยายร่างด้วยพลังเงินที่มากกว่า และทีมเซลส์ที่มีจำนวนเยอะกว่ามากนั่นเอง ที่มา - Motley Fool
# พบบั๊กรีเซ็ตค่าแอป default บน iOS 14 อีกครั้ง หาก App Store มีอัพเดตแอปนั้น ถ้าจำกันได้ iOS 14 มีคุณสมบัติใหม่สำคัญคือผู้ใช้สามารถกำหนดแอปพื้นฐาน (Default) สำหรับแอปอีเมลหรือเบราว์เซอร์ได้เอง แต่ในช่วงแรกก็พบบั๊กรีเซ็ตการตั้งค่าส่วนนี้ และแอปเปิลก็ออกอัพเดตแก้ไขในสัปดาห์ถัดมา ล่าสุดมีผู้พบบั๊กการตั้งค่าแอปพื้นฐานถูกรีเซ็ตเองอีกครั้ง โดยพบแม้ใน iOS 14.1 ที่เพิ่งออกมา โดยปัญหาจะเกิดขึ้น เมื่อผู้ใช้งานตั้งค่าแอปพื้นฐานเป็นแอปอื่น เช่น Gmail หรือ Microsoft Edge แล้วแอปนั้นออกอัพเดตเวอร์ชันใหม่ผ่าน App Store ซึ่งหลังแอปอัพเดตเรียบร้อย ค่าแอปพื้นฐานจะรีเซ็ตกลับเป็นแอป Mail หรือ Safari คืน คาดว่าแอปเปิลก็จะแก้ไขปัญหาในอัพเดต iOS รอบถัดไป ที่มา: The Verge
# Dell เปิดตัว Project Apex บริการ IT-as-a-service บนคลาวด์สำหรับองค์กร งาน Dell Technology World เมื่อวานนี้ Dell ได้เปิดตัวกลุ่มภัณฑ์ใหม่ในชื่อ Project Apex ที่เป็นบริการ IT-as-a-service ผ่านคลาวด์สำหรับองค์กร มีผลิตภัณฑ์หลัก ๆ ตอนนี้อยู่ 2 ตัว Cloud Console เป็นคอนโซลกลางที่รองรับคลาวด์เจ้าหลัก ๆ ทุกเจ้า สำหรับควบคุม จัดการหรือดีพลอยบริการต่าง ๆ สำหรับองค์กรที่ใช้ไฮบริดคลาวด์ เริ่มให้บริการแบบพับลิกพรีวิวแล้ว Storage-as-a-serivce จุดแตกต่างของบริการนี้กับคลาวด์เจ้าอื่น ๆ คือเป็นแบบ on-prem ลูกค้าเอาไปติดตั้งเอง แต่ประสบการณ์ใช้งานและการคิดเงินจะเหมือนกับพับลิกคลาวด์ จะเริ่มให้บริการช่วงต้นปีหน้า Project Apex เป็นวิสัยทัศน์หรือทิศทางที่ Dell จะมุ่งไปหลังจากนี้ที่จะให้บริการหลาย ๆ อย่างในรูปแบบ as-a-service โดย Dell ระบุว่าจะมีโซลูชันอื่น ๆ ตามมาอีกทั้งเซิร์ฟเวอร์, เน็ตเวิร์ค, โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ หรือกระทั่งพีซี ที่มา - DellEMC
# Fujitsu เปิดตัว Lifebook UH-X / E3 ขนาด 13.3 นิ้ว น้ำหนักเบาสุด 634 กรัม ซีพียู Intel Tigerlake Fujitsu เปิดตัว Lifebook UH-X / E3 มาพร้อมหน้าจอ IGZO 13.3 นิ้วความละเอียด FHD ซีพียู Intel Core i7-1165G7 แรม 8GB SSD แบบ NVMe 1 TB แบตเตอรี่ 25 Wh ใช้งานได้ประมาณ 11 ชั่วโมง พอร์ต USB-C 3.2 Gen 2 สองพอร์ต USB-A 3.2 Gen 1 สองพอร์ต, Gigabit Ethernet, HDMI, SD card reader และรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร แต่ไม่สามารถอัปเกรดเพิ่มแรมหรือ SSD ได้ นอกจากนี้ยังมีรุ่น UH90 / E3 น้ำหนัก 834 กรัม ฮาร์ดดิสก์แค่ 512 GB แต่ให้แบตเตอรี่เพิ่มมาเป็น 54 Wh อยู่ได้ 22.5 ชั่วโมง ทั้งสองรุ่นนี้มีสามสี คือ Picto Black, Garnet Red และ Silver White กับอีกรุ่น UH75 / E3 น้ำหนักระบุว่า ต่ำกว่า 1 กิโลกรัม เป็นซีพียู AMD Ryzen 7 4700U แรม 8GB SSD 250GB แต่ไม่ได้หน้าจอแบบ IGZO สองรุ่นแรก เริ่มจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น 30 ตุลาคมนี้ ส่วน UH75 / E3 10 ธันวาคม ในราคาดังนี้ UH-X / E3 ราคา 220,000 เยน (ราว 65,800 บาท) UH90 / E3 ราคา 210,000 เยน (ราว 62,800 บาท) UH75 / E3 ราคา 190,000 เยน (ราว 56,800 บาท) ที่มา - PC Watch via Notebookcheck
# ทวิตเตอร์เปลี่ยนฟังก์ชั่นปุ่ม Retweet ชั่วคราว แสดงพื้นที่ให้เขียน Quote ก่อน Retweet ทวิตเตอร์ประกาศเปลี่ยนฟังก์ชั่นการกดปุ่ม Retweet ชั่วคราว เมื่อกดปุ่มแล้วจะแสดงพื้นที่ให้เขียน Quote ก่อน หากผู้ใช้เลือกที่จะไม่เขียนก็ปล่อยว่างไว้ แล้วกด Retweet ซ้ำได้ ซึ่งทวิตเตอร์หวังว่าฟังก์ชั่นใหม่จะช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวปลอมในช่วงใกล้เลือกตั้ง จากเดิมที่เมื่อกด Retweet แล้ว ระบบจะแสดงทางเลือกสองทางคือ Retweet พร้อมเขียน Quote หรือ Retweet เฉยๆ ซึ่งจากการเปลี่ยนฟังก์ชั่นทำให้มีผู้ใช้งานหลายรายบ่นว่าต้องเลื่อนนิ้วไปไกลกว่าจะกด Retweet ได้ตามต้องการ และหลายคนก็สับสนว่าสามารถกด Retweet เฉยๆ ได้หรือไม่ หรือบังคับต้องเขียน Quote หากเป็นโพสต์ที่มาพร้อมลิงค์บทความ ระบบก็จะแสดงคำแจ้งเตือนให้อ่านก่อน Retweet เพื่อป้องกันการแชร์ข่าวปลอม เป็นการป้องกันอีกชั้น ที่มา - Mashable
# Airbnb ประกาศความร่วมมือกับบริษัทดีไซน์ของ Jonathan Ive พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ Airbnb ประกาศความร่วมมือกับ LoveFrom บริษัทดีไซน์ที่ก่อตั้งโดย Jonathan Ive อดีตหัวหน้าฝ่ายดีไซน์ของแอปเปิล โดยเป็นความร่วมมือแบบหลายปี เพื่อพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ของ Airbnb Brian Chesky ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb กล่าวว่าบริษัทให้ความสำคัญกับงานออกแบบ และถือเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร ตัวเขาได้พูดคุยกับ Ive มาระยะหนึ่ง ซึ่งต่างมีความเชื่อในการออกแบบสินค้าและบริการ ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ให้ผู้คนไว้วางใจ เชื่อมต่อหากันได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คนต้องอยู่ห่างกันอย่างที่ผ่านมา ประกาศนี้ยังไม่ได้ระบุรายละเอียดมากนัก ก็ต้องรอดูผลิตภัณฑ์และบริการใหม่จาก Airbnb กันต่อไป ที่มา: Airbnb
# Dropbox ออกแพ็คเกจใหม่ Family ใช้งานรวมกันสูงสุด 6 คน ราคา 16.99 ดอลลาร์ต่อเดือน Dropbox ออกแพ็คเกจใหม่สำหรับใช้งานเป็นกลุ่มในชื่อ Dropbox Family ราคา 16.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (จ่ายล่วงหน้า 1 ปี) โดยสามารถรวมกลุ่มกันใช้งานได้สูงสุด 6 คน คุณสมบัติการใช้งานเหมือนกับแพ็คเกจ Plus ที่เป็นการใช้งานหนึ่งบัญชีในราคา 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน สิ่งที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยคือพื้นที่ใช้งานแบบ Family จะคิดรวมกันทั้งหมด 2,000GB โดยมีโฟลเดอร์กลางที่เรียกว่า Family Room สำหรับแชร์ไฟล์กันในกลุ่ม แต่ละคนจะมีบัญชีใช้งานแยกจากกัน นอกจากนี้แพ็คเกจ Family ยังได้การเข้าถึงฟีเจอร์จัดการข้อมูลล็อกอิน Dropbox Passwords และจัดการไฟล์ด้วยการเข้ารหัสเพิ่มเติม Vault อีกด้วย แพ็คเกจ Dropbox Family สามารถสมัครใช้งานได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ที่มา: Dropbox
# Quibi บริการสตรีมมิ่งวิดีโอสั้น ที่ได้เงินทุน 1,750 ล้านดอลลาร์ ประกาศปิดตัวหลังให้บริการ 6 เดือน Quibi บริการสตรีมมิ่งวิดีโอแนวคิดใหม่ ที่นำเสนอวิดีโอสั้นความยาวไม่เกิน 10 นาที เหมาะสำหรับการชมทั้งแนวตั้งและแนวนอนบนมือถือ ออกจดหมายเปิดผนึก ว่าบริษัทจะปิดกิจการและเตรียมขายคอนเทนต์รวมทั้งเทคโนโลยีให้ผู้สนใจ หลังเปิดให้บริการได้ราว 6 เดือน ก่อนหน้านี้บริการ Quibi ถูกจับตามองว่ามีโอกาสสูง เนื่องจากมีผู้ก่อตั้งคือ Jeffrey Katzenberg โปรดิวเซอร์ชื่อดังของฮอลลีวูด (The Little Mermaid, Beauty and the Beast, The Lion King, Shrek, Madagascar, Kung Fu Panda) และ Meg Whitman อดีตซีอีโอ HPE ได้รับเงินลงทุนถึง 1,750 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมทั้งผู้ลงทุนรายใหญ่อาทิ Disney, NBCUniversal และ WarnerMedia คอนเทนต์ช่วงแรกก็ได้ดารามีชื่อเสียงมาร่วมแสดง Quibi ระบุว่าบริษัทยังมีเงินทุนมากพอที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง แต่ตัดสินใจเช่นนี้เพื่อคืนเงินทุนที่เหลือให้กับนักลงทุน และหาบริษัทที่สามารถต่อยอดคอนเทนต์รูปแบบนี้มาซื้อกิจการบริษัทต่อไป บริษัทมองว่าที่ Quibi ไม่ประสบความสำเร็จ มาจากทั้งรูปแบบคอนเทนต์แนวใหม่นี้อาจยังไม่น่าสนใจในวงกว้าง นอกจากนี้ Quibi ยังเปิดตัวในช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาด ทำให้คนต้องอยู่บ้าน การที่บริการของ Quibi ให้ชมผ่านมือถือเพียงอย่างเดียว จึงอาจไม่ตอบโจทย์เท่าบริการสตรีมมิ่งรายอื่น แหล่งข่าวระบุว่า Quibi มีผู้ใช้งานปัจจุบันราว 5 แสนบัญชี ซึ่งน้อยกว่าที่บริษัทประเมินไว้ที่ 7 ล้านบัญชีภายในสิ้นปี 2020 ที่มา: CNBC
# Tesla รายงานผลประกอบการ มีกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 แล้ว Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2020 มีกำไรสุทธิ 874 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันที่มีกำไร และมีรายได้ 8,771 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 39% ก่อนหน้านี้ Tesla รายงานตัวเลขการผลิต โดยผลิตรถยนต์ไปได้ 145,036 คัน และส่งมอบให้ลูกค้า 139,300 คัน ซีอีโอ Elon Musk ให้ข้อมูลในช่วงแถลงผลประกอบการ ว่าโรงงานเบอร์ลินและออสตินคาดว่าเริ่มผลิตรถยนต์ออกมาได้ในปีหน้า แต่ด้วยธรรมชาติของการผลิตรถยนต์ ช่วงแรกจำนวนรถยนต์ที่ผลิตออกมาจะน้อย และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา ซึ่งใช้เวลา 12-24 เดือน ที่มา: Tesla และ CNBC
# React ออกเวอร์ชั่น 17.0 ไร้ฟีเจอร์ใหม่ แต่เปิดทางเก็บอัพเกรดบางส่วน โครงการ ReactJS ประกาศออกเวอร์ชั่น 17 ที่ระบุชัดว่าไม่มีฟีเจอร์ใหม่ แต่เป็นการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการอัพเกรดทีละส่วน และฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดถูกดันออกไปใน ReactJS 18 เดิมแอปที่พัฒนาด้วย ReactJS จะต้องอัพเกรดตัวเฟรมเวิร์คพร้อมกันทั้งแอป แต่หลายครั้งโค้ดบางส่วนไม่ได้พัฒนามานานทำให้ไม่สามารถอัพเกรดได้ ใน ReactJS 17 จะเปิดทางให้แอปสามารถดาวน์โหลด React เวอร์ชั่นเก่าขึ้นมาใช้งานบางส่วนได้ ทาง React เตรียมแอปสาธิตเอาไว้ โดยสามารถรัน React JS 17.0 ในแอปหลัก และรัน ReactJS 16.8 หรือเก่ากว่านั้นในบาง component ได้ โครงสร้างภายของ ReactJS 17 จะเปลี่ยนการ addEventListener ที่ document มาเป็นที่ root node แทน แนวทางนี้นอกจากรองรับการอัพเกรดบางส่วนแล้วยังแก้ปัญหาการทำงานกับแอปที่ไม่ใช่ ReactJS ลงด้วย ที่มา - ReactJS
# เฟซบุ๊กใช้ HTTP/3 เกิน 75% แล้ว แอปหน่วงน้อยลง, วิดีโอโหลดเร็วขึ้น เฟซบุ๊กรายงานถึงการย้ายโปรโตคอลไปยัง HTTP/3 หรือ QUIC ระบุว่าตอนนี้ทราฟิกของเฟซบุ๊กที่เชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตเป็น HTTP/3 มากกว่า 75% แล้ว หลังจากเฟซบุ๊กย้ายแอปให้เชื่อมต่อผ่าน HTTP/3 แทน เฟซบุ๊กระบุว่าการโยกย้ายมายัง HTTP/3 เริ่มจากเซิร์ฟเวอร์ GraphQL ก่อน ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตราการโหลดไม่สำเร็จลดลง 6% ระยะเวลาหน่วง (latency) ลดลง 20%, และขนาด header ลดลง 5% เทียบกับ HTTP/2 อย่างไรก็ดีตัวแอปเฟซบุ๊กนั้นพยายามคำนวณการดาวน์โหลดรูปจากความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล ทำให้มีช่วงหนึ่งที่แอปพยายามดาวน์โหลดรูปมากเกินไปเพราะดาวน์โหลดข้อมูลได้เร็ว แต่เซิร์ฟเวอร์ดาวน์โหลดรูปยังคงเป็น HTTP แบบ TCP อยู่ ทำให้แอปโดยรวมช้าลง หลังจากนั้นเฟซบุ๊กเริ่มเปิด HTTP/3 สำหรับการดาวน์โหลดวิดีโอ ทำให้ระยะเวลาโหลดบัฟเฟอร์ลดลง 22%, อัตราโหลดไม่สำเร็จลดลง 8%, อัตราวิดีโอกระตุกลดลง 20% แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่แอปคาดการณ์แบนวิดท์ผิดพลาดเนื่องจากพฤติกรรมการเชื่อมต่อต่างจาก TCP ปกติ ทำให้แอปเลือกวิดีโอคุณภาพสูงเกินกว่าที่เน็ตเวิร์ครองรับไหว ตอนนี้เฟซบุ๊กใช้ HTTP/3 กับแอปเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมแล้วทั้งบน iOS และ Android โดยสุดท้ายแล้ว HTTP/3 จะกลายเป็นการเชื่อมต่อหลักแบบเดียวที่เฟซบุ๊กใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ที่มา - Facebook โลโก้มาตรฐาน QUIC (HTTP/3) และ mvfast ไลบรารี HTTP/3 ของเฟซบุ๊กเอง
# เฟซบุ๊กโอเพนซอร์สโมเดล AI แปลภาษารองรับ 100 ภาษา ใช้ข้อมูลภาษายอดนิยมเสริมคุณภาพการแปล เฟซบุ๊กประกาศเปิดซอร์ส M2M-100 โมเดล AI ที่สามารถแปลภาษาระหว่างคู่ภาษาต่างๆ จากจำนวนภาษา 100 ภาษา โดยไม่ต้องแปลผ่านภาษาอังกฤษเป็นหลัก โมเดลปัญญาประดิษฐ์สำหรับแปลภาษาที่ต้องรองรับภาษาจำนวนมากๆ มักฝึกโมเดลโดยอาศัยภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง เช่น การแปลภาษาฝรั่งเศสไปยังภาษาจีน ก็มักจะฝึกแปลภาษาฝรั่งเศสไปยังภาษาอังกฤษ และฝึกแปลภาษาอังกฤษไปยังภาษาจีนอีกครั้งเนื่องจากชุดข้อมูลทั้งสองแบบมีปริมาณมากเพียงพอ แต่การแปลสองรอบก็ทำให้คุณภาพการแปลลดลงมาก การฝึก M2M-100 อาศัยชุดข้อมูลที่เฟซบุ๊กสร้างขึ้นโดยจับกลุ่มภาษาเป็นภาษาที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน เช่น ภาษาไทยและภาษาลาว, ภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปน รวมทั้งหมด 100 ภาษาจับกลุ่มได้ 14 กลุ่มภาษา แต่บางกลุ่มภาษาก็ยังมีข้อมูลน้อยมาก ทำให้เฟซบุ๊กกำหนดภาษาเชื่อม (bridge language) มาอีก 26 ภาษา แล้วพยายามหาข้อมูลที่มีการแปลจากภาษาต่างๆ ไปยังภาษาเชื่อมเหล่านั้น เช่นภาษาสเปนเมื่อรวมเอาชุดข้อมูลจากภาษาในกลุ่มเดียวกันและภาษาเชื่อมแล้ว ปริมาณข้อมูลการแปลไปยังภาษาต่างๆ ก็แทบจะเท่ากับภาษาอังกฤษเลยทีเดียว โดยรวมแล้วชุดข้อมูลของ M2M-100 มี 7,500 ล้านคู่ประโยคที่แปลไปมา 2,200 ทิศทางการแปล แนวทางการหาข้อมูลการแปลภาษาในกลุ่มและการแปลไปยังภาษาเชื่อมเช่นนี้ทำให้ชุดข้อมูลมากกว่าการใช้เฉพาะข้อมูลการแปลไปยังภาษาอังกฤษประมาณ 5-10 เท่าตัว โมเดลที่เฟซบุ๊กใช้งานมีขนาด 12,000 ล้านพารามิเตอร์ เฟซบุ๊กแสดงคุณภาพการแปลเทียบกับโมเดลเดิมที่เช่นชุดข้อมูลแปลภาษาผ่านภาษาอังกฤษเป็นหลัก การแปลในกลุ่มภาษาเดียวกันคะแนนดีขึ้นเฉลี่ย 7.6 BLEU และคะแนน BLEU โดยเฉลี่ยก็ยังดีกว่าโมเดล mBART ที่เฟซบุ๊กเสนอไว้เมื่อกลางปีที่ผ่านมาอยู่ 0.7 BLEU เผื่อใครสงสัย แม้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแปลด้วยปัญญาประดิษฐ์ยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความพยายามในการแปลภาษาที่มีข้อมูลน้อย แต่ควรตระหนักกว่าการฝึกปัญญาประดิษฐ์ด้วยข้อมูลน้อยก็ยังเป็นข้อจำกัดคุณภาพการแปลโดยรวม หลายครั้งชุดข้อมูลที่ได้จากการ mining นั้นผิดพลาดจนฝึกปัญญาประดิษฐ์ให้แปลข้อความบางประเภทผิดไปได้เสมอ แม้ว่าคะแนน BLEU โดยรวมจะดีขึ้นก็ตาม ที่มา - Facebook
# สรุปรีวิว iPhone 12 และ 12 Pro ดีขึ้นแทบทุกด้าน แต่แบตหมดไวขึ้นถ้าใช้ 5G iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่วางจำหน่ายก่อน Mini และ Pro Max เริ่มมีรีวิวออกมาแล้ว ในปีนี้ทั้งสองรุ่นมีข้อแตกต่างกันน้อยกว่า 11 และ 11 Pro เพราะ Apple ไม่ใช้ LCD อีกต่อไป แต่หันมาใช้หน้าจอ OLED แบบ Super Retina XDR ในมือถือทุกรุ่น พร้อมเพิ่มแม่เหล็ก MagSafe มาด้านหลังสำหรับการชาร์จไร้สายและอุปกรณ์เสริม ในตัวเครื่องดีไซน์ใหม่ ขอบเหลี่ยมคล้ายยุค iPhone 4 จนถึง 5s และมาพร้อมชิป A14 Bionic ที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิต 5 นาโนเมตร โดยรวม iPhone 12 และ iPhone 12 Pro จะได้รับคำชมในด้านดีไซน์เป็นอย่างแรก สื่อส่วนใหญ่ชอบดีไซน์ขอบเหลี่ยมที่จับถนัดมือมากขึ้น ขอบจอของ 12 เล็กลงเมื่อเทียบกับ 11 เพราะเปลี่ยนจาก LCD มาเป็น OLED กระจกด้านหลังของ iPhone 12 เห็นรอยนิ้วมือได้ชัดกว่ากระจกสีขุ่นบนรุ่น Pro แต่ขอบของรุ่น Pro ที่เป็นสแตนเลสผิวมัน จะเห็นรอยนิ้วมือชัดกว่าของอะลูมิเนียมในรุ่นธรรมดา กล้อง และวิดีโอ ในด้านกล้อง ปีนี้กล้องหลักของ iPhone มีรูรับแสงกว้างขึ้นเป็น f/1.6 เทียบกับ f/1.8 ในปีที่แล้ว จากการทดสอบของเว็บไซต์ต่างๆ พบว่าถ่ายรูปในที่แสงน้อยดีขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึงกับก้าวกระโดด แต่การที่ทุกเลนส์กล้องถ่าย Night Mode ได้ ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี แม้กล้องหลักจะถ่ายยังถ่าย Night Mode ได้ดีที่สุดก็ตาม ส่วนกล้องอัลตร้าไวด์ ยังมีมุมมอง 120 องศา และรูรับแสง f/2.4 เหมือนเดิม เลนส์เทเลบน 12 Pro เหมือนกับ 11 Pro ทุกประการ ส่วนเซ็นเซอร์ LiDAR ที่เพิ่มเข้ามา จะทำงานต่อเมื่อถ่ายภาพบุคคลใน Night Mode ซึ่ง The Verge ได้ทำการทดสอบ และพบว่าโฟกัสเร็วขึ้น เก็บรายละเอียดภาพได้เยอะขึ้นจริง และทำงานได้ลื่นไหลกว่าโหมดเดียวกันบน Pixel 5 กับอีกข้อดีคือช่วยให้ฟีเจอร์ในแอป Augmented Reality ทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังไม่มีประโยชน์อื่นให้เห็นชัดเจน อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ ด้านการถ่ายวิดีโอ iPhone 12 และ 12 Pro ยังทำได้ดีเช่นเคย ภาพมีสีสด รายละเอียดครบถ้วน กั่นสั่น OIS ทำงานได้ดี ยิ่ง 4K HDR แบบ Dolby Vision ยิ่งเก็บรายละเอียดความมืดและสว่างของวิดีโอได้เป็นอย่างดีเมื่อดูบนจอมือถือ แต่อาจมีข้อจำกัดบ้างหากต้องการดูวิดีโอแบบ Dolby Vision บนจอใหญ่ iPhone 12 และ 12 Pro ถ่ายวิดีโอ HDR เป็นไฟล์ Dolby Vision Profile 8.4 ซึ่งเป็นระบบ Dolby Vision ที่ส่ง metadata ของ Dolby Vision ไปพร้อมกับ HLG แบบ 10 bit ทำให้สามารถเล่นวิดีโอไฟล์เดียวกันโดยไม่ต้องแยกเวอร์ชั่นได้บนทีวีที่ไม่รองรับ Dolby Vision โดยวิดีโอจะเล่นเป็น HLG หรือ SDR ตามที่ทีวีรองรับแทน (แต่หากทีวีรองรับทั้ง HLG และ Dolby Vision แต่ไม่รองรับ Profile 8.4 ก็จะเล่นเป็น HLG แทน จึงอาจต้องเช็คสเปกทีวีให้ดี) อีกข้อจำกัดคือ iPhone 12 จะถ่าย 4K HDR แบบ Dolby Vision ได้ที่ 30fps เท่านั้น ต้องเป็น 12 Pro ถึงจะถ่ายได้แบบ 60fps เป็นอีกหนึ่งข้อแตกต่าง ระหว่างรุ่นธรรมดา กับ Pro หน้าจอและประสิทธิภาพโดยรวม ปีนี้ทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1170 x 2532 พิกเซลเท่ากัน และสื่อทุกสำนักก็ชื่นชมในด้านการแสดงสี contrast ratio และการรองรับ HDR รวมไปถึง Dolby Vision แม้จะดูเหมือนหน้าจอไม่ต่างกัน แต่ความสว่างหน้าจอของ 12 จะสว่างน้อยกว่า 12 Pro เล็กน้อย โดย Apple ระบุบนเว็บไซต์ว่า iPhone 12 มีความสว่างสูงสุด 625 nits (Tom’s Guide ทดสอบได้ที่ 569 nits เมื่อตั้งค่าสูงสุด) ส่วน iPhone 12 Pro จะมีความสว่างสูงสุดที่ 800 nits แต่ทั้งสองรุ่นมีความสว่างสูงสดในโหมด HDR เท่ากันที่ 1,200 nits รวมถึงสื่อทุกเจ้ามีข้อติเหมือนกันคือเสียดายที่หน้าจอ iPhone 12 ทั้งสองรุ่น ยังไม่เป็น 120Hz แบบใน iPad Pro หรือมือถือเรือธงฝั่ง Android หลายๆ รุ่น ทั้ง 12 และ 12 Pro ใช้ชิป A14 Bionic เช่นเดียวกัน ซึ่งทำคะแนนชนะ Snapdragon 865 และ 865+ ได้เกือบทุกการทดสอบ แต่ Tom’s Guide ตั้งข้อสังเกตว่า การที่หน้าจอมีรีเฟรชเรตแค่ 60Hz อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า iPhone 12 ช้ากว่ามือถือที่หน้าจอ 90Hz หรือ 120Hz ได้ แม้ฮาร์ดแวร์ภายในจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า ข้อแตกต่างหลักของสเปกภายใน คือ 12 Pro มีแรม 6GB ขณะที่ 12 รุ่นธรรมดามีแรม 4GB ซึ่งแม้อาจยังไม่แตกต่างมากนักสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน แต่แรม 6GB บน 12 Pro น่าจะยืดอายุการใช้งานให้รองรับแอปในอนาคตได้ยาวนานกว่า และทำงานแบบมัลติแทสก์ได้ดีกว่า แบตเตอรี่ และ 5G ด้านแบตเตอรี่ในปีนี้ มีความเกี่ยวข้องกับการใช้งาน 5G ค่อนข้างมาก โดย The Verge ที่ทำการทดสอบ 5G ทั้งในรุ่น 12 และ 12 Pro พบว่าแบตเตอรี่ทั้งสองรุ่น ใช้งานได้น้อยลงกว่า iPhone 11 ทั้งสองรุ่น และ Nilay Patel ผู้รีวิว 12 Pro พบว่าแบตเหลือ 18% หลังทำการทดสอบ 5G อย่างหนักประมาณ 2.5 ชั่วโมง แต่ตอนที่เขาอยู่บ้านและใช้งานเพียง Wi-Fi ก็ยังสามารถใช้งานได้แบบเต็มวันอยู่ ส่วนในการทดสอบของ Tom’s Guide ที่ iPhone 11 เคยอยู่ได้ 11 ชั่วโมง 16 นาที ฝั่ง iPhone 12 นั้นอยู่ได้แค่ 8 ชั่วโมง 25 นาทีเท่านั้น แต่เมื่อปิด 5G จะอยู่ได้ 10 ชั่วโมง 23 นาที เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วน iPhone 12 Pro อยู่ได้ 9 ชั่วโมง 6 นาที เมื่อเปิด 5G และ 11 ชั่วโมง 24 นาที หากปิด 5G การทดสอบ 5G สื่อหลายสำนักที่ทดสอบทั้งแบบ sub 6GHz พบว่าแม้จะมีความเร็วมากกว่า 4G LTE แต่ก็ยังแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ตั้งแต่เร็วกว่าเล็กน้อย ไปจนถึงเร็วกว่าสองเท่า ส่วนแบบ mmWave แม้ในสหรัฐอเมริกาเองก็ยังมีพื้นที่ใช้งานน้อย และการขยับเพียงก้าวเดียวก็อาจทำให้สัญญาณหายได้ จากการทดสอบของ The Verge พบว่าการใช้งาน mmWave ทำให้เครื่องอุ่นขึ้นเล็กน้อย และกินแบตเตอรี่มากกว่า 5G ทั่วไป แต่ทำความเร็วได้ถึง 2 Gbps ในการทดสอบบน iPhone 12 Pro จุดด้อยนี้ Apple พยายามแก้ไขโดยใส่ฟีเจอร์ Smart Data มาให้ โดยจะเปิดใช้ 5G เวลาจำเป็นเท่านั้น และการใช้งานในบ้านเราที่สัญญาณ 5G ยังมีน้อยอยู่ (และรุ่นบ้านเราจะไม่มีเสารับสัญญาณ mmWave) อาจทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่าการทดสอบของสื่อต่างประเทศเล็กน้อย ไม่แถมที่ชาร์จ พอร์ต Lightning เดิมๆ สิ่งหนึ่งที่ทำเอา Apple ถูกมือถือฝั่ง Android หลายๆ เจ้าแซว ก็คือการไม่แถมที่ชาร์จและหูฟังมาในกล่องอีกต่อไป ซึ่งประเด็นเรื่องประหยัดพื้นที่ขนส่งเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมหรือประหยัดงบกันแน่ ยังคงเป็นที่ถกเถียง เช่นถ้า Apple อยากช่วยโลกจริง ทำไมไม่เปลี่ยนไปใช้ USB-C เพราะผู้ใช้จะสามารถใช้สายชาร์จและที่ชาร์จของอุปกรณ์อื่นที่มีอยู่แพร่หลายมาชาร์จได้ทันที แต่ผลกระทบที่แน่นอนในตอนนี้ ตกมายังผู้บริโภคที่ไม่เคยใช้ iPhone มาก่อน หรือมีหัวชาร์จ Apple รุ่นเก่า ที่เป็น USB-A to Lightning หรือผู้ที่อยากชาร์จเร็วบน iPhone 12 และ 12 Pro ด้วยสาย USB-C to Lightning ที่คงต้องซื้อหัวชาร์จใหม่ ซึ่งแม้ Apple จะลดราคาทั้งหัวชาร์จ 20W และหูฟัง EarPods ลงมาเป็น 690 บาท จาก 1,190 บาทแล้ว แต่รวมกันสองอุปกรณ์ ก็เป็นมูลค่าถึง 1,380 บาทอยู่ดี MagSafe ในวิดีโอการทดสอบของ Marques Brownlee (MKBHD) พบว่าอุปกรณ์ชาร์จไร้สาย MagSafe ทำงานได้ดี ชาร์จไร้สายได้ 15W ตามที่โฆษณาและชาร์จผ่านเคสจาก Apple ที่ผลิตมาเพื่อ MagSafe โดยเฉพาะได้ แต่หากติดกระเป๋าบัตร MagSafe ไปอีกชั้นพร้อมกับเคส ก็จะชาร์จไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูดติด และชาร์จ Pixel 5 ของเขาได้ ที่ 7.5W อีกด้วย หนึ่งจุดที่ Marques เป็นห่วง คือแม่เหล็กของ MagSafe ไม่ได้ดูดแรงนัก และพบว่าตัวเครื่องหลุดจากที่ชาร์จไร้สายได้ง่ายๆ แค่เขย่าเบาๆ รวมถึงกระเป๋าบัตรที่ติดหลังตัวเครื่องก็อาจหลุดออกได้ตอนหยิบตัวเครื่องเข้าออกจากกระเป๋ากางเกง โดยเขาคาดหวังว่าผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อาจทำอุปกรณ์พร้อมแม่เหล็กที่มีกำลังสูงกว่านี้ออกมาในอนาคต สรุป ในภาพรวม iPhone 12 นั้น ถือเป็นการอัปเกรดจาก iPhone 11 หลายด้าน เช่นชิป A14 กล้องหลักที่รูรับแสงใหญ่ขึ้นและหน้าจอที่เปลี่ยนจาก LCD มาเป็น OLED (และขอบเล็กลง) แม้อายุการใช้งานแบตเตอรี่จะลดลงเพราะ 5G ก็ตาม ส่วน iPhone 12 Pro เมื่อเทียบกับ 11 Pro อาจไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ก็จะได้หน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ดีไซน์ใหม่ LiDAR สำหรับถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืน และถ่ายวิดีโอ 4K HDR Dolby Vision แบบ 60 fps ซึ่งจะเพียงพอให้อัปเกรดมั้ย คงต้องใช้วิจารณญาณและพิจารณาราคากันอีกครั้ง iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro ในปีนี้มีข้อแตกต่างน้อยกว่าที่เคย เหลือเพียงกล้องเทเลที่เพิ่มมา หน้าจอที่สว่างกว่าเล็กน้อย เซ็นเซอร์ LiDAR แรมที่มากกว่าอยู่ 2GB ดีไซน์ แบตเตอรี่มากกว่าเล็กน้อย และการถ่ายวิดีโอแบบ 4K HDR Dolby Vision 60fps แต่สำหรับผู้ที่อยากประหยัดงบ ในปีที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี การมีข้อแตกต่างน้อยลงนี้อาจเป็นโอกาสดีที่จะซื้อรุ่นธรรมดาและได้หน้าจอ OLED แทนที่จะต้องจำใจซื้อรุ่นที่มีหน้าจอ LCD แบบปีที่แล้ว อีกสองรุ่นที่จะออกมาภายหลัง iPhone 12 Mini ไม่ได้ต่างจากรุ่นธรรมดามากนัก นอกจากขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว ส่วนใครที่อยากได้แบตที่อึดกว่า หรืออยากได้รุ่นจัดเต็มกว่านี้ อาจต้องรอ iPhone 12 Pro Max ที่นอกจากจะแบตเตอรี่จะมีความจุมากกว่า ยังมีกล้องหลักที่มีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่กว่า iPhone 12 Pro และมี sensor-shift OIS หรือระบบกันสั่นอยู่ที่ตัวเซ็นเซอร์แทนเลนส์ ทำให้ถ่ายภาพได้นิ่งกว่าอีกด้วย คะแนนจากสื่อเจ้าต่างๆ CNET - iPhone 12: 9.2 / 10, iPhone 12 Pro: 9.3 / 10 The Verge - iPhone 12: 9 / 10, iPhone 12 Pro: 9 / 10 Engadget - iPhone 12: 91 / 100, iPhone 12 Pro: 89 / 100 Tom’s Guide - iPhone 12: 4 / 5, iPhone 12 Pro: 4.5 / 5
# DeepMind โอเพ่นซอร์ส FermiNet โครงสร้าง neural network เพื่อเรียนรู้และจำลองการเคลื่อนไหวของอิเล็กตรอน DeepMind บริษัทพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ภายใต้ Alphabet ประกาศโอเพ่นซอร์ส FermiNet โครงสร้าง neural network เพื่อจำลองการเคลื่อนไหวของอิเล็กตรอน ตามหลักของควอนตัมฟิสิกส์ อนุภาคอย่างอิเล็กตรอนไม่ได้มีตำแหน่งที่อยู่ที่ชัดเจน และโดยมากมักจะนิยมใช้กลุ่มเมฆความน่าจะเป็นเพื่อบ่งบอกโอกาสการพบอนุภาค ณ ตำแหน่งหนึ่ง และการอธิบายสถานะของควอนตัมเป็นสิ่งที่ท้าทายมากเพราะต้องนำค่าความน่าจะเป็นมาคำนวณเป็นค่าของตำแหน่งอิเล็กตรอนในรูปแบบของ wavefunction ที่มีค่าที่เป็นไปได้มากมายมหาศาล ทีม DeepMind จึงคิดว่าจะนำ AI เข้ามาช่วยคำนวณในส่วนนี้ จากประสบการณ์ที่ neural network สามารถใช้งานกับฟังก์ชันหลายมิติได้ในปัญหาหลาย ๆ อย่างของ AI มาแล้ว neural network ก็น่าจะนำมาใช้กับ quantum wavefunction ได้เช่นกัน ตัว FermiNet เป็นชื่อที่ย่อมาจาก Fermionic Neural Network โดยรวมแล้วจะเป็น neural network สำหรับเรียนรู้ ground state wavefunction ของอะตอมและโมเลกุลเพื่อใช้ในการทำโมเดลสถานะทางควอนตัมของอิเล็กตรอนจำนวนมาก โดยโมเดลอะตอมและโมเลกุลจาก FermiNet นี้ DeepMind บอกว่าแม่นยำเพียงพอที่จะนำไปใช้งานได้ และถือเป็นวิธีทาง neural network ในการจำลองอะตอมและโมเลกุลที่แม่นยำที่สุด ณ ตอนนี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับโปรเจค FermiNet ได้ที่ GitHub ที่มา - VentureBeat, DeepMind
# Apple ถอดแอป Apple TV Remote ออกจาก App Store แล้ว ใช้งานผ่าน Control Center แทน แอปเปิลถอดแอป Apple TV Remote ออกไปจาก App Store โดยไม่มีการประกาศใด ๆ ซึ่งแอปนี้ใช้สำหรับควบคุม Apple TV ผ่าน iPhone หรือ iPad ทำงานได้เหมือนการใช้รีโมทควบคุม การถอดแอปนี้ออกไม่ทำให้ผู้ใช้ iPhone, iPad มีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากแอปเปิลใส่คุณสมบัติ Apple TV Remote เข้ามาเป็นพื้นฐานตั้งแต่ iOS 12 แล้ว โดยสามารถเพิ่มคำสั่งได้ใน Control Center (ศูนย์ควบคุม) เอกสารสนับสนุนล่าสุด แอปเปิลก็ระบุว่าการควบคุม Apple TV Remote ให้ทำผ่าน Control Center โดยไม่พูดถึงการดาวน์โหลดแอปแยกแต่อย่างใด ที่มา: 9to5Mac
# NSA เผยช่องโหว่ยอดนิยม 25 ตัว ที่แฮ็กเกอร์จีนนิยมสแกนดูว่ามีหรือไม่ National Security Agency หรือ NSA หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐ ออกรายงานรวมช่องโหว่ยอดนิยม 25 รายการ ที่มีข้อมูลว่าแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน (Chinese state-sponsored cyber actors) ชอบใช้งาน ซอฟต์แวร์ที่มีช่องโหว่เหล่านี้มาจากหลากหลายบริษัท เช่น Pulse Secure VPN, F5 BIG-IP proxy, Citrix ADC, MobileIron, Adobe ColdFusion, Oracle WebLogic, Oracle Coherence, Atlassian Confluence 17, Zoho, Symantec Messaging Gateway, Cisco IOS XR รวมถึงช่องโหว่ของไมโครซอฟท์หลายตัว (ทั้ง Windows, Exchange) ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดได้จากที่มา ช่องโหว่ทั้ง 25 ตัวมีแพตช์จากผู้ผลิตซอฟต์แวร์อยู่แล้ว แต่ผู้ใช้งานซอฟต์แวร์อาจไม่ได้ติดตั้งแพตช์เหล่านี้ การที่มีรายชื่อจาก NSA ย่อมช่วยให้ผู้ที่ใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้นว่า ซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ได้ติดตั้งแพตช์ครบแล้วหรือไม่ อย่างน้อยก็สามารถลดโอกาสถูกโจมตีลง (บ้าง) เพราะเป็นช่องโหว่ยอดนิยมที่บรรดาแฮ็กเกอร์จะเข้ามาสแกนหาเป็นอันดับแรกๆ นั่นเอง ที่มา - NSA, NSA (PDF), ZDNet
# Netflix เตรียมดันโปรโมชั่นใหม่ในอินเดีย ใช้งานช่วงวันหยุดได้ฟรี ในการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสของ Netflix เริ่มมองเห็นการชะลอตัวของผู้ใช้งานรายใหม่ ซึ่งในการประกาศได้เผยกลยุทธ์เพิ่มเติมที่จะทำให้ Netflix เข้าถึงกลุ่มคนมากขึ้น เตรียมทดสอบให้เข้าใช้งาน Netflix ฟรีในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยจะเริ่มที่อินเดียก่อน Greg Peters ซีโอโอ ระบุว่า การให้ทุกคนในประเทศอินเดียได้เข้าถึง Netflix ฟรีในช่วงสุดสัปดาห์ อาจเป็นวิธีที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนที่ยังไม่เคยใช้งาน Netflix ได้ทดลองใช้ และหวังว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทะเบียนใช้งานได้มากขึ้น อินเดียถือเป็นตลาดใหญ่ของสตรีมมิ่ง มีผู้เล่นรายใหญ่หลายรายทั้งดิสนีย์, Amazon และ Netflix เองก็ดันแพ็กเกจราคาถูกเพื่อใช้งานในอินเดียโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดคนมาใช้งาน อย่างไรก็ตามทาง Netflix ไม่ได้บอกว่าจะเริ่มทดสอบดูฟรีในวันหยุดเมื่อไร ที่มา - TechCrunch
# Galaxy S20 FE ทำให้ผู้บริโภคแทบไม่เหลือเหตุผลให้ซื้อ S20+ ในปีนี้ Galaxy S20 FE มือถือเรือธงราคาเป็นมิตรของ Samsung ปีนี้ อาจกลายมาเป็นมือถือนักฆ่าเรือธงเสียเอง แต่น่าสนใจที่เรือธงเหล่านั้น อาจรวมถึงมือถือ Samsung รุ่นอื่น เช่น S20+ ด้วย ซึ่งแม้ดูน่าสนใจในช่วงแรกที่เครื่องออก และมีราคาถูกกว่า S20 Ultra พอสมควร แต่เมื่อ S20 FE ที่ราคาถูกกว่า (ตอนนี้รุ่น 5G เหลือ 21,510 บาท) เปิดตัวออกมา ทำให้ S20+ แทบจะไม่มีข้อดึงดูดเหลืออีกต่อไป S20 FE มีขนาดหน้าจอเล็กกว่า S20+ แค่ 0.2 นิ้ว เป็นหน้าจอ 120Hz เช่นกัน กล้องหลักตัวเดียวกับ S20 และ S20+ แถม S20 FE รุ่น 5G ยังได้ Snapdragon 865 แม้ในประเทศที่ S20 รุ่นอื่นเป็น Exynos 990 ทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ DeX แบบไร้สาย รองรับชาร์จไร้สาย แบตเตอรี่ 4,500 mAh กันน้ำ IP68 และรองรับชาร์จมีสายสูงสุด 25W เท่ากัน สิ่งที่ S20 FE ด้อยกว่า คือหน้าจอสว่างไม่เท่า และไม่รองรับ HDR10+ ฝาหลัง S20 FE เป็นพลาสติก ไม่แถมหูฟัง แถมที่ชาร์จแค่ 15W และมีผู้พบปัญหาเกี่ยวกับจอสัมผัส คาดว่าจะแก้ได้ด้วยการอัปเดต แต่หากเป็นปัญหาที่ฮาร์ดแวร์ ก็น่าจะครอบคลุมในประกัน (แต่ก็จะเสียเวลาส่งเคลม) ถือว่าข้อแตกต่างเป็นจุดเล็กๆ ที่ไม่น่าส่งผลต่อการใช้งานมากนัก แค่ได้ชิป Snapdragon 865 แทน Exynos 990 ก็อาจทำให้หลายๆ คนในบ้านเราตัดสินใจซื้อ S20 FE แทน Samsung Galaxy ที่ราคาใกล้เคียงกันรุ่นอื่นๆ แล้ว หวังว่า Samsung จะเปิดให้มีตัวเลือกเช่นนี้อีกในรุ่นต่อๆ ไป ตามที่ได้ยืนยันว่าจะออกรุ่นเรือธงราคาเป็นมิตรในสไตล์ S20 FE ทุกปี ที่มา - SamMobile
# AOC นักการเมืองหญิงสหรัฐฯ ไลฟ์เล่น Among Us ใน Twitch คนดู 439,000 จากประเด็น Alexandria Ocasio-Cortez หรือ AOC สส.หญิงสหรัฐฯ โพสต์ในทวิตเตอร์ว่า อยากจะสตรีมเล่นเกม Among Us ใน Twitch เพื่อกระตุ้นคนไปโหวตเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่าสุดมีการไลฟ์เล่นเกมกับสตรีมเมอรืชื่อดังบางรายแล้ว มีคนดูไลฟ์ในช่องของ AOC ถึง 439,000 วิว และนี่ยังถือเป็นการไลฟ์เล่นเกมครั้งแรกของเธอด้วย สตรีมเมอร์ที่เล่นเกมไปพร้อมกับ AOC มี Hasan Piker, Pokimane, Dr Lupo, Disguised Toast, Moistcr1tikal, Myth, Mxmtoon และ Jacksepticeye รวมถึง สมาชิกสภาคองเกรส Ilhan Omar ด้วย ซึ่งถ้ารวมจำนวนการรับชมจากช่องของสตรีมเมอร์คนอื่นเป็นจำนวนราว 600,000 วิว โดย AOC ถือเป็นสตรีมเมอร์ที่มียอดคนดูไลฟ์ในช่องตัวเอง ณ ขณะที่ไลฟ์สูงสุดเป็นอันดับที่สามของ Twitch ที่มา - Kotaku
# 2K ชี้แจง โฆษณาก่อนเข้าแมตช์ในเกม NBA 2K21 "เป็นเรื่องไม่ตั้งใจ" จากกรณี NBA 2K21 แทรกโฆษณาในเกมแบบกดข้ามไม่ได้ ทางต้นสังกัด 2K Games ออกมาชี้แจง (หรือเปล่า?) ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ตั้งใจให้เกิด 2K Games บอกว่าโฆษณาที่ขึ้นมาแทรกเป็นส่วนหนึ่งของ 2KTV ที่มีโฆษณามาหลายปีแล้ว (แปลว่ายอมรับกันไปเถิด) แต่โฆษณารอบล่าสุดนั้นกระทบกับประสบการณ์ของผู้เล่น เพราะโฆษณานี้ไม่ควรขึ้นแสดงตอนฉากแนะนำก่อนเริ่มแมตช์แข่งขัน 2K Games บอกว่าจะแก้ไขปัญหานี้ในการอัพเดต episode ถัดๆ ไป และขอขอบคุณสำหรับความคิดเห็นจากแฟนเกม แน่นอนว่าคำชี้แจงแบบไม่ค่อยกระจ่างมากนักของ 2K ย่อมโดนแฟนๆ ตามถล่มกันต่อไป ที่มา - IGN
# Firefox 82 ออกแล้ว ถอดรหัสวิดีโอด้วยฮาร์ดแวร์บนวินโดวส์ ปรับปุ่ม Picture-in-Picture Mozilla ออก Firefox 82 เวอร์ชันเดสก์ท็อป มีของใหม่ดังนี้ ปุ่มเข้าโหมด Picture-in-Picture ปรับหน้าตาใหม่สวยขึ้น เพิ่มปุ่มลัด Option + Command + Shift + [ บนแมค Firefox บนวินโดวส์จะเรียกใช้ DirectComposition เพื่อถอดรหัสวิดีโอด้วยฮาร์ดแวร์ ลดพลังซีพียูและประหยัดแบต ปรับปรุงเอนจินแสดงผลเพิ่มเติม เว็บไซต์ที่ใช้เลย์เอาต์แบบ flexbox จะโหลดเร็วขึ้น 20% การเปิดโปรแกรมใหม่แล้วเรียกคืนหน้าแท็บชุดเดิม (restore session) เร็วขึ้น 17%, เปิดหน้าต่างใหม่เร็วขึ้น 20% บนแพลตฟอร์มวินโดวส์ ที่มา - Mozilla
# Microsoft Edge for Linux เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ว ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Microsoft Edge for Linux ตามที่เคยสัญญาไว้ Microsoft Edge for Linux ยังเป็นรุ่นทดสอบ Dev Channel มีแพ็กเกจทั้งแบบ .rpm และ .deb ใช้งานได้บน Ubuntu, Fedora, Debian, openSUSE สามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์แยกมาติดตั้งเอง (จาก Edge Insider) หรือจะผ่าน repository ของไมโครซอฟท์ ก็ได้เช่นกัน ไมโครซอฟท์บอกว่าจะปล่อย Dev Channel ใหม่ทุกสัปดาห์ ตอนนี้ Edge บนลินุกซ์ยังมีฟีเจอร์พื้นฐานให้ครบถ้วน แต่ยังขาดฟีเจอร์ซิงก์ข้อมูลผ่านบัญชี Microsoft Account หรือ Azure AD แบบที่แพลตฟอร์มอื่นมี ที่มา - Microsoft
# ที่ชาร์จไร้สาย MagSafe ใช้กับ Galaxy S20 หรือ Pixel 5 ได้ แต่ได้แค่ 7.5W XDA-Developers นำที่ชาร์จ MagSafe มาทดสอบกับมือถือแอนดรอยด์ ในบทความ Hands-On พบว่าแม่เหล็กบน MagSafe สามารถดูดติดกับหลังเครื่อง Samsung Galaxy S20 FE, และ Galaxy Z Fold 2 ได้ และใช้ชาร์จแบบไร้สายสำหรับมือถือที่รองรับระบบ Qi ได้ แต่ชาร์จได้ที่ 7.5W ไม่ใช่ 15W แบบบนตระกูล iPhone 12 นอกจากนี้ในคลิป Unboxing ของ Youtuber อย่าง Zollotech หรือ Maques Brownlee ก็พบว่าที่ชาร์จ Magsafe สามารถดูดติดและชาร์จ Pixel 5 ได้เช่นกัน น่าสนใจว่าในอนาคตจะมีอุปกรณ์คล้ายกันแบบนี้ หรือมีมือถือที่ใช้ระบบชาร์จไร้สายพร้อมแม่เหล็กแบบนี้เพิ่มขึ้นมามากแค่ไหน ที่มา - XDA-Developers
# ฟีเจอร์ปรับรูปด้วย Portrait Light บน Pixel 5 เริ่มอัพเดตให้ Pixel รุ่นเก่าแล้ว Google เริ่มปล่อยฟีเจอร์ Portrait Light สำหรับปรับแสงรูปหลังถ่ายบน Google Photos ที่ออกมาบน Pixel 5 และ Pixel 4a ให้กับ Pixel รุ่นเก่าแล้วผ่าน Google Photos การทำงานของ Portrait Light ยังคงขายความสามารถของ machine learning ของ Google นอกเหนือจากการใส่เอ็ฟเฟ็คโบเก้หลังถ่าย และด้วย Portrait light ผู้ใช้งานสามารถปรับเลือกแสงเพื่อเพิ่มความสว่างของใบหน้า พร้อมสร้างเงาและแสงสะท้อนให้แบบเรียลไทม์ ที่มา - xda
# Adobe XD เพิ่มส่วนขยายสำหรับ Visual Studio Code Adobe XD เครื่องมือออกแบบ UI เพิ่มส่วนขยายสำหรับ Visual Studio Code ให้นักพัฒนาเข้าถึงระบบออกแบบได้โดยไม่ต้องออกจากโปรแกรม นักพัฒนาสามารถสร้างเข้าถึงซอร์สของการออกแบบได้โดยตรง พร้อมระบุแพลตฟอร์มที่ต้องการใช้ผ่านทางโทเค็นการออกแบบ โดยสามารถกดติดตั้งได้ ที่นี่ Adobe ยังระบุด้วยว่า ฟีเจอร์ Coediting หรือการแก้งานร่วมกันเรียลไทม์พื้นสถานะเบต้าแล้ว, เตรียมเพิ่มปลั๊กอินใหม่ๆ เช่น Wrike, Miro, UserZoom Go, Marpipe, Maze, Zoom, Microsoft Teams และ Confluence ที่มา - Adobe
# Adobe XD ให้เปลี่ยนงานออกแบบเป็นสามมิติ, ดึงงานบน Creative Cloud Libraries มาใช้ง่ายขึ้น Adobe XD ตัวออกแบบ UI เพิ่มความสามารถใหม่ สามารถเปลี่ยนวัตถุบนหน้าออกแบบธรรมดาให้กลายเป็นสามมิติ หมุนได้ 360 องศา สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุให้บิดและนำไปซ้อนหลังกันเป็นชั้นๆ เหมือนโดมิโนได้ ผู้ใช้งานจะมองเห็นไอคอนใหม่ที่เป็นกล่องสามมิติบนแถบเครื่องมือด้านขวา หรือกดเขาทางลัดได้ที่ ⌘/Ctrl + T นอกจากนี้ยังมีเพิ่มเรื่องประสบการณ์ใช้งาน Creative Cloud Libraries หรือพื้นที่จัดเก็บวัตถุและงานออกแบบของตัวเอง ซิงค์ข้ามเครื่องอัตโนมัติให้ใช้งานบน XD ได้ง่ายขึ้น คือกด Publish งานที่ทำบน Creative Cloud Libraries ได้ในแอป XD ตั้งค่าแชร์ให้ทีมงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามองเห็นได้ด้วย และหากมีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบ คนที่เกี่ยวข้องจะสามารถรู้ได้ เพิ่มความสามารถเลือกได้ว่า จะเปิดให้งานชิ้นไหนบน Creative Cloud Libraries มาแสดงบนหน้าจอแอป XD ทันทีที่เปิดเอกสารใหม่ ลดขั้นตอนในการเลื่อนหา ที่มา - Adobe
# Adobe ทดสอบเครื่องมือระบุแหล่งที่มาภาพใน Photoshop และ Behance รับมือเนื้อหาปลอม ปี 2019 Adobe ก่อตั้ง Content Authenticity Initiative (CAI) เพื่อรับมือกับความท้าทายของความถูกต้องเนื้อหา เช่น การดัดแปลงวิดีโอ, deepfakes, ข่าวปลอม โดยหน้าที่หลักคือร่างข้อกำหนดและมาตรฐานของโซลูชั่นเพื่อรับมือปัญหาเนื้อหาปลอม รวมถึงแชร์ให้รู้ว่าเนื้อหามาจากสื่อใด ล่าสุด Adobe เริ่มเปิดตัวเครื่องมือระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาใน Photoshop และ Behance เว็บพอร์ตโฟลิโอโชว์งานของนักออกแบบ ให้แก่ผู้ใช้งานในวงจำกัด เครื่องมือนี้จะเผยให้เห็นว่า ภาพๆ หนึ่งได้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างไรมาบ้าง, ระบุแหล่งที่มาชัดเจนว่าเป็นภาพที่สร้างโดยใคร หน้าตาของเครื่องมือ Content Authenticity Initiative ใน Photoshop จะเป็นปุ่มที่เพิ่มมาทางช่องขวามือ นักออกแบบต้องเปิดโหมดเปิดเผยข้อมูลทั้งรูปภาพ Thumbnail, ผลิตโดยใคร, ประวัติการปรับแต่งทั้งหมด และเมื่อผลงานไปแสดงใน Behance ผู้ใช้งานทั่วไปก็จะสามารถเข้ามาดูได้ว่านักออกแบบปรับแต่งรูปอย่างไรบ้าง Adobe ระบุว่าตอนนี้ CAI มีพาร์ทเนอร์เป็นสื่อและบริษัทต่างๆ แล้วคือ The New York Times Company, Twitter, Inc., Microsoft, BBC, Qualcomm Technologies, Inc., Truepic, WITNESS, CBC เป็นต้น ที่มา - Adobe
# สวีเดนสั่งแบน Huawei และ ZTE ห้ามใช้อุปกรณ์ในเครือข่าย 5G ที่กำลังประมูล สวีเดนเป็นประเทศล่าสุดที่ประกาศแบนอุปกรณ์เครือข่ายจาก Huawei และ ZTE แล้ว คำสั่งแบนมาจาก Swedish Post and Telecom Authority (PTS) ซึ่งเปรียบได้กับ กสทช. ของสวีเดน ระบุว่าในการประมูลคลื่น 5G ย่าน 3.5GHz และ 2.3GHz ที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ มีเงื่อนไขว่าโอเปอเรเตอร์ที่ประมูลชนะจะต้องไม่ใช้อุปกรณ์จาก Huawei หรือ ZTE ด้วย ในกรณีที่โครงข่ายเดิมมีอุปกรณ์ของสองยี่ห้อนี้อยู่ จะอนุญาตให้ใช้ต่อได้จนถึง 1 มกราคม 2025 เป็นอย่างช้าที่สุด เหตุผลที่ PTS แบนอุปกรณ์จาก Huawei และ ZTE มาจากคำแนะนำของกองทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคง หนังสือพิมพ์ Financial Times อ้างคำสัมภาษณ์ Klas Friberg หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของสวีเดน ที่ระบุว่าจีนเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของสวีเดน จึงจำเป็นต้องรักษาความมั่นคงของเครือข่าย 5G ของประเทศ สวีเดนเป็นบ้านเกิดของ Ericsson ซึ่งถือเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Huawei และ ZTE แต่โอเปอเรเตอร์ในสวีเดนก็มีใช้งานอุปกรณ์ของ Huawei อยู่บ้าง เช่น Tele2 และ Telenor ที่ใช้อุปกรณ์ของ Huawei กับเครือข่าย 4G ในปัจจุบัน ที่มา - PTS, Financial Times, ภาพศูนย์วิจัยของ Huawei ในสวีเดน
# Parallels for Chromebook มาแล้ว รันวินโดวส์บนระบบปฏิบัติการ Chrome OS บริษัท Parallels เปิดตัว Parallels Desktop for Chromebook Enterprise เพื่อให้รันวินโดวส์แบบ virtualization ได้บนระบบปฏิบัติการ Chrome OS ตามความร่วมมือกับกูเกิลที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ Parallels ระบุว่านี่เป็นซอฟต์แวร์ตัวแรกในโลกที่ทำให้รันวินโดวส์ได้จาก Chromebook โดยเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าองค์กร ซึ่งอาจยังต้องการแอพบางตัวของวินโดวส์ (เช่น Microsoft Office หรือแอพเฉพาะทางขององค์กรเอง) ทำให้ยังติดขัด ไม่สามารถย้ายไปใช้ Chrome OS ได้ โซลูชันของ Parallels ยังเพิ่มการเชื่อม user profile ระหว่างวินโดวส์และ Chrome OS ให้เห็นไฟล์ชุดเดียวกัน (และฝั่ง Chrome OS ยังเข้าถึงไฟล์เหล่านี้ได้ แม้วินโดวส์ไม่ได้รันอยู่), แชร์คลิปบอร์ดให้ paste ข้ามไปมาได้, แชร์พรินเตอร์ระหว่าง 2 ระบบปฏิบัติการได้ด้วย ไลเซนส์ Parallels Desktop for Chromebook Enterprise ขายในราคาชุดละ 69.99 ดอลลาร์ (ยังไม่รวมไลเซนส์ Windows 10 ที่องค์กรสามารถนำไลเซนส์เดิมมาใช้ได้) ส่วนรายชื่อ Chromebook ที่ทดสอบแล้วว่าใช้งานได้ อ่านได้ตามลิงก์ ที่มา - Parallels
# Windows 10 October 2020 Update (v20H2) ออกแล้ว อัพเดตรอบครึ่งหลังของปี ไมโครซอฟท์ออก Windows 10 October 2020 Update (version 20H2) รุ่นอัพเดตใหญ่ของครึ่งปีหลังอย่างเป็นทางการ (เปลี่ยนมาใช้เลขเวอร์ชันแบบใหม่ v20H2 แทน v2004 แบบเดิม) Windows 10 v20H2 เป็นอัพเดตเล็กตามธรรมเนียมของไมโครซอฟท์ในช่วงหลัง (ต้นปีอัพเดตใหญ่ ปลายปีอัพเดตเล็ก) ของใหม่ที่สำคัญมีแค่ Start Menu โฉมใหม่ และ Edge ตัวใหม่เป็นดีฟอลต์เท่านั้น ผู้ที่ใช้ Windows 10 v2004 จะอัพเดตเป็น v20H2 ได้เร็วเท่ากับการอัพเดตแพตช์รายเดือน (เพราะมอง v20H2 เป็นอัพเดตย่อยของ v2004) ส่วนผู้ที่ใช้ v1903 หรือ v1909 ต้องรออัพเดตนานเหมือนอัพเดตใหญ่ตามปกติ ไมโครซอฟท์บอกว่าจะทยอยปล่อยอัพเดตทีละกลุ่มเล็กๆ เพื่อลดผลกระทบจากบั๊กที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในยุค Work From Home ที่คนต้องใช้พีซีทำงานอยู่บ้านกันมากขึ้นมาก ผู้ใช้จึงอาจต้องรอนานสักหน่อยกว่าจะเห็นอัพเดต การปล่อยอัพเดตยังอิงกับคอนฟิกฮาร์ดแวร์ของเครื่องเราด้วย โดยอุปกรณ์ที่มีปัญหาที่ไมโครซอฟท์ขึ้นรายการในหน้าเว็บตอนนี้ คือไดรเวอร์เสียงของ Conexant ซึ่งตอนนี้ไมโครซอฟท์กำลังแก้ปัญหาร่วมกับ Synaptics (บริษัทแม่ของ Conexant) ที่มา - Microsoft, Microsoft
# Apple ออกอัพเดต iOS 14.1 และ iPadOS 14.1 แก้ไขบั๊กหลายรายการ แอปเปิลออกอัพเดตระบบปฏิบัติการบน iPhone iOS 14.1 และบน iPad iPadOS 14.1 ซึ่งเป็นอัพเดตใหญ่ครั้งแรกตั้งแต่ iOS 14 ออกมาเมื่อเดือนกันยายน ผู้ใช้งานสามารถอัพเดตแบบ OTA ได้โดยไปที่ Settings > General > Software Update iOS 14.1 นั้น แอปเปิลระบุว่ามีการปรับปรุงและการแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น แก้ไขปัญหาอีเมลที่ส่งจากแอป Mail มีค่า alias ไม่ถูกต้อง, แก้ไขบั๊กวิดเจ็ตและไอคอนแสดงขนาดผิด, บั๊กเลขศูนย์ไม่แสดงในตำแหน่งทศนิยมบนแอป Calculator คุณสมบัติใหม่ที่สำคัญในอัพเดตนี้คือการรองรับการเล่นวิดีโอ HDR แบบ 10 บิต รวมทั้งการแก้ไขในแอป Photos (เฉพาะอุปกรณ์รุ่นที่รองรับ) รายการอัพเดตอื่นมีดังนี้ แก้ไขปัญหาที่อาจทำให้สายโทรเข้าไม่แสดงข้อมูลภูมิภาค แก้ไขปัญหาหน้า Passcode มีปุ่ม Emergency Call ทับซ้อนกับตัวเลข หากตั้งการแสดงผลแบบซูมตัวใหญ่ แก้ไขปัญหาดาวน์โหลดหรือเพิ่มเพลงไม่ได้ ขณะกำลังดูอัลบั้มหรือเพลย์ลิสต์ แก้ปัญหาวิดีโอที่สตรีมถูกลดความละเอียดขณะเริ่มเล่น แก้ปัญหาแอป Files ที่ทำให้ผู้บริการคลาวด์ที่มี MDM บางราย แสดงข้อมูลว่าไม่พร้อมใช้งาน นอกจากนี้แอปเปิลยังออกอัพเดตซอฟต์แวร์ HomePod 14.1 โดยเพิ่มการรองรับ Intercom ด้วย ที่มา: MacRumos
# Netflix ไตรมาส 3/2020 มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 2.20 ล้านคน Netflix รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2020 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 22.7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 6,436 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 790 ล้านดอลลาร์ ไตรมาสที่ผ่านมา Netflix มีจำนวนสมาชิกทั่วโลก 195.15 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2020 2.20 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นที่ไม่สูง โดย Netflix มองว่าตัวเลขอยู่ในคาดการณ์ เพราะครึ่งปีแรก จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นมาสูงกว่าปกติมากจากสถานการณ์โควิด-19 โดยมีสมาชิกเพิ่มรวม 25.86 ล้านคน และหากรวม 3 ไตรมาส ก็มีสมาชิกใหม่เพิ่มมากกว่าเมื่อปี 2019 ตลอดทั้งปีแล้ว ภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงที่สุดคือเอเชีย-แปซิฟิก โดยเฉพาะเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่ง Netflix มองว่ายังมีอีกหลายประเทศที่มีการโอกาสขยายตลาด ด้านคอนเทนต์ Netflix มองว่าปีหน้าจะมีคอนเทนต์ใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยการผลิตเริ่มกลับมาดำเนินงานต่อแล้วในหลายประเทศ รวมทั้งซีรี่ส์อย่าง Stranger Things, The Witcher และภาพยนตร์ Red Notice ที่กลับมาถ่ายทำแล้ว ที่มา: Netflix
# Azure เปิดบริการศูนย์ข้อมูลพร้อมใช้แบบตู้คอนเทนเนอร์ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Starlink ได้ ไมโครซอฟท์เปิดบริการ Microsoft Azure Modular Datacenter (MDC) บริการศูนย์ข้อมูลพร้อมใช้แบบยกไปที่ไหนก็ได้ เหมาะกับภารกิจนอกสถานที่ เช่น ศูนย์บัญชาการเคลื่อนที่, การช่วยเหลือภัยพิบัติ, ปฎิบัติการทางทหาร, ไปจนถึงการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ โดยที่คนทำงานหน้างานต้องการเชื่อมต่อกับศูนย์ข้อมูลที่ความเร็วสูง ฟีเจอร์สำคัญของ MDC สามารถทำงานโดยไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างสมบูรณ์ หรืออาจจะเชื่อมต่อไฟเบอร์ปกติพร้อมกับลิงก์ดาวเทียมเป็นลิงก์สำรอง หรือแม้แต่ใช้ลิงก์ดาวเทียมอย่างเดียวก็ได้ โดยช่วงเปิดตัวไมโครซอฟท์ได้ประกาศพันธมิตรกับบริษัทดาวเทียมสองราย คือ SpaceX ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่าน Starlink และ O3b MEO ระบบดาวเทียม 20 ดวงที่ให้บริการแทบทั้งโลกยกเว้นทางเหนือเช่นแคนาคา, และยุโรปตอนบน ไมโครซอฟท์ระบุว่าเริ่มส่งมอบ MDC ให้ลูกค้าด้านการทหารและเอกชนบางรายแล้ว หากสนใจต้องติดต่อตัวแทนไมโครซอฟท์ ไม่มีราคาบอกบนหน้าเว็บ ที่มา - Microsoft 1, 2
# กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยื่นฟ้องกูเกิลข้อหาผูกขาด Search อย่างเป็นทางการ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (Department of Justice) ร่วมกับอัยการใหญ่อีก 11 รัฐ ยื่นฟ้องกูเกิลข้อหาผูกขาดบริการค้นหาและโฆษณาบนระบบค้นหา (search advertising) อย่างเป็นทางการ ประเด็นที่กระทรวงยุติธรรมชี้ว่ากูเกิลมีพฤติกรรมผูกขาด คือการที่กูเกิลไปเซ็นสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับบริษัทต่างๆ (เช่น เบราว์เซอร์ สมาร์ทโฟน และผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหรัฐ) เพื่อให้ตัวเองเป็นเครื่องมือค้นหาหลัก โดยจ่ายเงินจำนวนเป็นหลักพันล้านดอลลาร์ต่อปี และในสัญญาบางฉบับมีเงื่อนไขห้ามติดตั้งเครื่องมือค้นหาของคู่แข่ง ส่งผลให้ไม่มีบริษัทใดขึ้นมาแข่งขันกับกูเกิลได้เลย ในบางกรณี เช่น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ยังเจอสัญญาบีบให้ติดตั้งแอพของกูเกิล (gapps) ทั้งชุด และต้องนำเสนอแอพของกูเกิลในตำแหน่งที่เด่นที่สุดด้วย กระทรวงยุติธรรมชี้ว่าปัจจุบันกูเกิลครองส่วนแบ่งตลาด search ในสหรัฐประมาณ 80% ซึ่งสัดส่วน 60% มาจากสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟเหล่านี้ ส่วนที่เหลืออีก 20% มาจากพื้นที่ของกูเกิลเอง (เช่น Chrome) กูเกิลยังใช้ข้อได้เปรียบเรื่องส่วนแบ่งตลาดมหาศาล สร้างรายได้จากโฆษณาบนหน้าผลการค้นหา (search engine results page หรือ SERP) มูลค่าราว 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และนำรายได้ก่อนนี้ไปจ่ายเป็นค่าสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟข้างต้น ทำให้คู่แข่งที่เป็น search รายอื่น (เช่น Bing หรือ DuckDuckGo) ไม่มีทางจ่ายเงินสู้กับกูเกิลได้ ฝั่งกูเกิลเองก็ออกมาตอบโต้คำฟ้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ โดยระบุว่าคดีนี้มีจุดบกพร่อง (flawed lawsuit) เช่น สัญญาที่กูเกิลทำกับแอปเปิลไม่ได้เป็นสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟ อุปกรณ์ของแอปเปิลมีเครื่องมือค้นหาอื่นๆ อย่าง Yahoo และ Bing ที่จ่ายเงินให้แอปเปิลด้วยเช่นกัน แต่แอปเปิลเลือกกูเกิลมาแสดงเป็นอันดับแรก เพราะเครื่องมือของกูเกิลนั้น "ดีที่สุด" ต่างหาก หรือ กรณีของ Microsoft Edge ที่พ่วงมากับ Windows และใช้เครื่องมือค้นหาเป็น Bing ตั้งแต่แรก คดีนี้ยื่นฟ้องต่อศาลเขต District of Columbia ซึ่งถัดจากนี้ไปจะเข้ากระบวนการของศาลที่จะไต่สวนต่อไป โดยกูเกิลก็ระบุว่าพร้อมชี้แจงและอธิบายต่อศาล สิ่งที่น่าสนใจคือ กระทรวงยุติธรรมเปรียบเทียบคดีผูกขาดของกูเกิลรอบนี้ เหมือนกับคดีผูกขาดที่ไมโครซอฟท์โดนในปี 1998 (กรณี Netscape ซึ่งจบด้วยไมโครซอฟท์ยอมความ) และคดีผูกขาดของ AT&T ในปี 1974 (จบด้วย AT&T โดนแยกบริษัท) ที่มา - Department of Justice, คำฟ้องฉบับเต็ม, คำตอบโต้จากกูเกิล, ภาพจากกูเกิล
# เปิดตัว DJI Pocket 2 ภาคต่อของ Osmo Pocket เลนส์กว้างขึ้น, ถ่ายวิดีโอ HDR, ไมค์ 4 ตัว เมื่อสองปีที่แล้ว DJI เปิดตัว Osmo Pocket กล้องวิดีโอขนาดเล็กพร้อมกิมบอล 3 แกนสำหรับสาย vlog ล่าสุดได้เปิดตัวรุ่นใหม่แล้วในชื่อ Pocket 2 (ไม่มีคำว่า Osmo แล้ว) พร้อมอัพเกรดฮาร์ดแวร์จากรุ่นแรกหลายด้านด้วยกัน DJI Pocket 2 มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นแรกเล็กน้อย โดยเซ็นเซอร์รับภาพถูกอัพเกรดให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 1/1.7 นิ้ว ทำให้รับแสงได้ดีขึ้นในสภาพแสงน้อย ถ่ายภาพนิ่งได้ถึง 64 ล้านพิกเซล จากรุ่นเดิมที่ถ่ายได้ 12 ล้านพิกเซล ตัวเลนส์มีมุมมองกว้างขึ้นเป็น 93 องศาจากรุ่นเดิม 80 องศา มาพร้อม f/1.8 จากเดิม f/2.0 และระบบโฟกัสที่ทำงานเร็วขึ้น ด้านการถ่ายวิดีโอ ถ่ายได้สูงสุดที่ 4K 60 fps เหมือนเดิม แต่เพิ่มโหมด HDR เข้ามา และถ่ายสโลโมได้ช้าลงที่ 240 fps 1080p นอกจากนี้ยังเพิ่มไมโครโฟนเป็น 4 ตัว คือด้านหน้า, หลัง, ซ้าย และขวาของตัวเครื่อง และตัดไมโครโฟนที่อยู่ตรงข้างพอร์ต USB-C ออกไป พ่วงด้วยฟีเจอร์ DJI Matrix Stereo ทำให้เสียงที่อัดได้ตอนถ่ายวิดีโอมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งของผู้พูด อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Audio Zoom ให้เสียงมีความสมจริงยิ่งขึ้นหากเราซูมเข้าหาผู้พูดตอนกำลังถ่ายวิดีโอ ไมโครโฟนไร้สายในชุด Creator Combo DJI Pocket 2 วางขายในสองรูปแบบด้วยกันคือแบบชุดธรรมดา กับ Creator Combo ที่มีอุปกรณ์เสริมรวมมาในชุดมากมาย โดยในชุดธรรมดามีอุปกรณ์สองชิ้นที่บันเดิลมาเลยแต่ Osmo Pocket ไม่มี คือจอยสติ๊กสำหรับหมุนกล้อง และหัวต่อขาตั้ง tripod ส่วนชุด Creator Combo ก็มีทุกอย่างที่ชุดธรรมดามี เพิ่มด้วยอุปกรณ์เสริมที่น่าสนใจหลายอย่าง คือไมโครโฟนไร้สายพร้อมหัวกันลม, เลนส์เสริมให้ภาพกว้างขึ้น, ขา tripod ขนาดเล็ก และชุดต่อ Do-It-All ที่สามารถปล่อยสัญญาณ Wi-Fi และ Bluetooth ได้ มีลำโพงกับแจ็คต่อไมค์ 3.5 มม. ในตัว Do-It-All Handle ขา tripod ทั้งนี้ DJI Pocket 2 ไม่กันน้ำ ยังต้องซื้อเคสกันน้ำแยกแบบรุ่นแรกอยู่ และแบตเตอรี่มีขนาดเท่ากับ Osmo Pocket เป๊ะๆ ราคาขายในประเทศไทยเปิดมาแล้ว สำหรับชุดธรรมดาอยู่ที่ 11,990 บาท (ถูกกว่ารุ่นแรกตอนเปิดตัวราว 1,500 บาท) และชุด Creator Combo อยู่ที่ 16,990 บาท เริ่มจำหน่าย 1 พฤศจิกายนนี้ ที่มา - DJI (1), (2) ภาพทั้งหมดโดย DJI ชุดธรรมดา ชุด Creator Combo
# Premiere Rush แอปตัดต่อวิดีโอแบบง่าย เพิ่มซาวด์เอฟเฟกต์ให้ใช้ฟรี Adobe Premiere Rush แอปตัดต่อวิดีโอแบบง่าย ร่วมมือกับ Splice ผู้ผลิตเนื้อหาเสียงและซาวด์ต่างๆให้ครีเอทีฟทั่วโลก นำซาวด์แทร็ค, ซาวด์เอฟเฟกต์และลูปวิดีโอมาให้ใช้งานฟรีใน Premiere Rush ทาง Adobe ไม่ได้ระบุว่ามีจำนวนทั้งหมดกี่เพลง แต่มีเพลงที่ครอบคลุมหลากหลายแนว ทั้ง Electronica, Old school R&B เป็นต้น เพิ่มปุ่มบราวเซอร์สำหรับหาซาวด์, กราฟิก, Transition รูปแบบต่างๆ และ Overlay เพื่อจะได้หา material ต่างๆมาใส่ในคลิปได้ง่ายขึ้น โดยเพิ่ม Transitions เข้ามาใหม่สามแบบ คือ Push, Slide และ Wipe และเพิ่มความสามารถ Pan, Zoom และ Auto Reframe หรือการใช้ AI กำหนดวัตถุให้อยู่ตรงกลางเหมือนที่ Premiere Pro มี ที่มา - Adobe
# Adobe Illustrator ตัวเต็มสำหรับ iPad เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ว ในงาน Adobe Max ปี 2019 มีการเปิดตัว Adobe Illustrator ตัวเต็มสำหรับ iPad ล่าสุดเปิดให้ดาวน์โหลดบน App Store แล้ว ความสามารถใช้งานหลักๆ คือ ทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ได้ บันทึกผลงานไว้บน Creative Cloud, เปิดไฟล์ Illustrator ได้แบบไม่สูญเสียความละเอียด, ตัวแอพออกแบบมาให้รองรับการใช้งานปากกา และมีการออกแบบหน้าตาการใช้งานใหม่ แถบเครื่องมือเล็กลงเมื่อเทียบกับ Illustrator บนพีซี Illustrator เป็นแอปที่สามที่ Adobe ก้าวข้ามจากการใช้งานบนเดสก์ทอปมาลงในอุปกรณ์แท็บเล็ต แอปแรกคือ Lightroom มีเวอร์ชั่น iPad มาตั้งแต่ปี 2014 ส่วน Photoshop มีเมื่อปี 2019 ที่มา - The Verge, Adobe
# ไม่ต้องพิมพ์ซับไตเติลแล้ว Premiere Pro ทดสอบความสามารถถอดเสียงบรรยายเป็นข้อความอัตโนมัติ Adobe Premiere Pro โปรแกรมตัดต่อวิดีโอสำหรับมืออาชีพ เพิ่มความสามารถใหม่ speech-to-text สามารถถอดเสียงบรรยายมาเป็นข้อความหรือ transcribe ได้ ตัวข้อความสามารถนำมาปรับแต่งเป็นซับไตเติลต่อได้ด้วย ตัวฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในขั้นทดลองใช่้ ก่อนเปิดตัวให้ใช้งานจริง และยังจำกัดการใช้งานไม่กี่ภาษา นอกจากนี้ยังมี captions workflow แบบใหม่ มีแท็บใหม่สำหรับคำบรรยายที่ถอดออกมาอัตโนมัติโดยเฉพาะ คนตัดต่อสามารถหาช่วงของคลิปโดยอิงจากเนื้อหาที่บรรยายได้ และเพิ่มเครื่องมือ Essential Graphics ปรับแต่งข้อความซับไตเติลให้ในรูปแบบต่างๆ ดูคลิปด้านล่างเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ที่มา - Adobe
# Lightroom เพิ่มฟีเจอร์ลงลายน้ำกราฟิก, ให้ AI เลือกรูปถ่ายที่ดีที่สุดให้ ฯลฯ ในงาน Adobe Max มีอัพเดตฟีเจอร์ใหม่ใน Lightroom นอกเหนือจากที่เคยพรีวิวมาก่อนหน้านี้คือเกรดสีได้เหมือน Premiere Pro แล้ว ยังมีความสามารถใหม่ดังนี้ ลงลายน้ำกราฟิกได้ จากเดิมที่สามารถลงลายน้ำเป็นข้อความได้นั้น ของใหม่คือ ลงลายน้ำเป็นกราฟิกหรือโลโก้เฉพาะตัวได้ด้วย เชือกใส่ลายน้ำได้ที่ฟังก์ชั่น Custom และฟังก์ชั่น Export as สามารถใช้งานได้ทั้ง Lightroom บน Windows, Mac, iOS, iPadOS, Android, Chrome OS Auto Versions เป็นฟีเจอร์ที่ Lightroom บันทึกการแก้ไขปรับสีรูปภาพไว้ ให้ย้อนดูได้ว่าเราแก้หรือปรับสีรูปภาพนี้ไปเมื่อไร เป็นประโยชน์เวลาที่เปลี่ยนใจอยากกลับไปใช้รูปภาพในเวอร์ชั่นที่เราเคยปรับสีไปแล้ว โดยจะแสดงเป็นรูป Thunbnail พร้อมระบุวันเวลาที่แก้ไข สามารถตั้งชื่อเวอร์ชั่นที่แก้ไขไปแล้วได้ด้วย ใช้งานได้ทั้ง Windows, Mac, Web, iOS, iPadOS, Android, Chrome OS Best Photos เป็นฟีเจอร์ให้ AI เลือกรูปที่ดีที่สุดให้ ท่ามกลางรูปดิบเป็นพันๆ รูป โดย AI จะแนะนำโดยแยกรูปภาพที่คล้ายกันออกเป็นกลุ่มๆ และจะเลือกรูปภาพที่ดีที่สุดของแต่ละกลุ่มโดยบพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น โฟกัส, การเปิดรับแสง, ภาพบุคคลที่ไม่หลับตา, การจัดองค์ประกอบ เป็นต้น ฟีเจอร์นี้ใช้งานได้บน iOS, iPadOS และ Android, Chrome OS และเว็บไซต์ ทำช่องทางโซเชียล เพิ่มปุ่ม Follow ให้ติดตามช่างภาพคนอื่นๆ ได้ใน Lightroom สามารถมองเห็นเทคนิควิธีการปรับแต่งรูปของช่างภาพคนอื่นๆ ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดใช้งานมาก่อนแล้วใน Lightroom Windows, Macintosh และจะเปิดใช้งานใน iOS, iPadOS, Android, and Chrome OS Adobe ระบุด้วยว่า ในแท็บ Learn และ Discover บนหน้าแอปพลิเคชั่น จะมีการจัดลำดับความสำคัญของโพสต์ โดยอ้างอิงกับความสนใจของผู้ใช้งานมากขึ้น ที่มา - Adobe
# Illustrator อัพเดต เปลี่ยนธีมสีงานออกแบบโดยคลิกเดียว, ปรับแต่งเวกเตอร์เห็นผลเรียลไทม์ Adobe มีพรีวิวฟีเจอร์ใหม่ Illustrator บนเดสก์ทอปหลายตัว ดังนี้ Recolor Artwork นักออกแบบสามารถเปลี่ยนสีหรือธีมสีของงานเวกเตอร์ได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ชุดรูปแบบสีหรือรูปภาพที่มีอยู่ เมื่อใช้เครื่องมือ eyedropper กดคลิกที่รูปแบบสีหรือตัวอย่างภาพที่มีอยู่ในคลิกเดียว เวกเตอร์ที่นักออกแบบทำไว้ก็จะเปลี่ยนธีมสีไปตามรูปภาพที่กดโดยอัตโนมัติ สามารถดูตัวอย่างที่ชัดเจนได้ในคลิปด้านล่าง ฟีเจอร์ใหม่ถัดมาของ Adobe Illustrator คือ Snap objects to Glyph ช่วยกะระยะวางรูปเวกเตอร์คู่กับข้อความให้ โดยจะแนะนำเส้นความสูงของข้อความ เส้นล่าง เพื่อนักออกแบบจะได้วางวัตถุเวกเตอร์ได้เร็ว ไม่ต้องใช้สายตาดาดเดาไปเอง นอกจากจะช่วยนักออกแบบจับวางวัตถุเวกเตอร์แล้ว ยังช่วยเราจับวางแนวข้อความในกรอบข้อความให้ด้วย เช่น ชิดซ้าย อยู่ตรงกลาง หรือชิดขวา ช่วยกำหนดขนาดตัวอักษรให้สอดคล้องกับพื้นที่งานออกแบบได้อัตโนมัติ ไม่ต้องเปลี่ยนขนาดตัวอักษรเองไปเรื่อยๆ (ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะตัวอักษรภาษาอังกฤษ, ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี) กำหนดพื้นที่ออกแบบใน Document Setup ให้ใหญ่ขึ้นได้ร้อยเท่า รองรับการออกแบบในสถานที่ใหญ่ เช่น ผนังตึกรองรับพื้นที่ใหญ่สูงสุด 5 ล้านตารางนิ้ว พรีวิวการปรับแต่งเรียลไทม์ หรือ Real-time drawing & editing เมื่อนักออกแบบทำการปรับแต่ง หมุนวัตถุ ใส่ gradients เป็นต้น ระบบจะแสดงผลทั้งรูปภาพให้ดูเรียลไทม์ จากเดิมที่แสดงเป็นเส้นเวกเตอร์สีน้ำเงินเท่านั้น จะใช้งานได้ต่อเมื่อเปิดโหมด Real-time drawing & editing ก๊อปวางวัตถุในอาร์ตบอร์ด เป็นฟีเจอร์ร่นระยะเวลาการทำงาน สามารถคัดลอกงานออกแบบไปวางไว้ที่ไหนของกระดานได้ หรือไปวางไว้ที่ Document ใหม่ก็ได้ ล็อกและปลดล็อกวัตถุที่ออกแบบไว้บนอาร์ตบอร์ดได้เลย จากเดิมที่ต้องไปกดเลื่อนเปิด-ปิด ที่แผงเลเยอร์ ที่มา - Adobe
# Photoshop อัพเดตชุดใหญ่ AI ช่วยแต่งรูปใบหน้า เปลี่ยนเป็นคนละคนในไม่กี่คลิก ในงาน Adobe Max 2020 มีประกาศ Photoshop อัพเดตความสามารถใหม่โดยมี Sensei หรือ AI ของ Adobe เป็นเบื้องหลังสำคัญ ดังนี้ Neural Filters เป็นชุดเครื่องมือใหม่บน Photoshop ให้ AI ช่วยแต่งรูปตามโทนและฟิลเตอร์ต่างๆด้วยการคลิกไม่กี่ครั้ง ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน โดยจุดเด่นสำคัญของ Neural Filters คือ Smart Portraits Smart Portraits สามารถปรับแต่งใบหน้าคนได้ มีสไลด์สำหรับการปรับแต่งเฉพาะส่วนของใบหน้ามาให้ เช่น ตา จมูก รูปหน้า ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์หรือแก่ขึ้น หรือแม้แต่เปลี่ยนสีหน้าไปเลยได้ในไม่กี่คลิก นอกจากนี้ยังสามารถบิดศรีษะของคนในภาพให้หันไปอีกทางก็ทำได้ โดยใช้การเลื่อนเมาส์ซ้าย-ขวาตามบาร์ต่างๆ ดูพรีวิวภาพที่ทำสำเร็จแล้วได้เดี๋ยวนั้นเลย Style Transfer เปลี่ยนสไตล์ของรูปภาพได้ โดยอ้างอิงจากรูปภาพที่อัปโหลดไว้ AI จะดึงสีและโทนจากรูปภาพนั้นๆ มาใส่ในรูปภาพที่กำลังแต่งอยู่โดยอัตโนมัติ Adobe ระบุว่า Neural Filters จะเปิดให้ใช้งานใน Photoshop 22.0 ทุกอุปกรณ์ แต่จะทำงานได้ดีกว่าถ้าเป็นเวอร์ชั่นเดสก์ทอป นอกจากนี้ก็ยังมี Sky Replacement ที่ Adobe เปิดตัวให้ดูมาก่อนหน้านี้ คือใช้ AI เปลี่ยนสีท้องฟ้าได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนก้อนเมฆ แสงเช้า แสงตอนเย็น เป็นต้น มีพรีเซตท้องฟ้าให้เลือก 25 แบบ หรือสามารถอัปโหลดรูปท้องฟ้าของตัวเองเพื่อเป็นรูปใช้อ้างอิงได้ Adobe ประกาศปรับปรุงเครื่องมือ Select Subject และ Object Selection หรือการแยกวัตถุออกจากพื้นหลัง ความสามารถใหม่ คือ Refine Hair ใช้ความสามารถของ AI Sensei แยกรายละเอียดระหว่างรูปบุคคลกับพื้นหลังได้ละเอียดถึงระหว่างเส้นผม และกดเปิดโหมด Object Aware Refine Mode ให้อัลกอริทึมทำงานได้ดีขึ้นในทุกครั้งที่ต้องใช้เครื่องมือแยกวัตถุออกจากพื้นหลังทำงานยาก เช่นรูปสิงโตที่มีแผงคอใหญ่, ทุ่งหญ้าที่มีท้องฟ้าเป็นทื้นหลัง เป็นต้น ด้านฟีเจอร์ใหม่อื่นๆ ที่มีการอัพเดตในงาน Adobe Max คือปุ่ม Discover สามารถกดเพื่อแสดงผล tutorials และไลบรารีเนื้อหาการเรียนรู้ทักษะการทำงานบน Photoshop ได้จากในแอปเลย อัพเดตการค้นหาในแอปให้สามารถเข้าถึงวัตถุต่างๆ บน Adobe Stock, Adobe Fonts โดยไม่ต้องออกจากหน้าจอเพื่อไปค้นหา ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น เพิ่มปุ่ม Reset ใน Properties Panel สามารถ Reset การปรับแต่งต่างๆ ที่ทำบนเครื่องมือ Properties ได้จากหน้าต่างนี้เลย เพิ่มการค้นหาในแถบเครื่องมือ Brushes, Swatches, Gradients, Styles, Patterns และ Shapes ค้นหาสิ่งที่ต้องการใช้งานได้เร็วขึ้น ประหยัดเวลาการทำงาน ที่มา - Adobe
# OnePlus 8T เปิดราคาในไทยอย่างเป็นทางการ เริ่มต้น 24,990 บาท OnePlus เปิดราคา OnePlus 8T ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ มาพร้อม Snapdragon 865 หน้าจอ 120Hz และ WarpCharge 65W ชาร์จจาก 0 ถึง 100% ได้ ภายในเวลา 39 นาที รัน Android 11 ครอบด้วย OxygenOS 11 เปิดจอง 21-29 ตุลาคม สั่งจองจะได้รับ E-VIP card สำหรับประกันจอแตก 1 ครั้งใน 1 ปี กระเป๋าเดินทาง และขวดน้ำ OnePlus วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 30 ตุลาคม มีสองความจุ สองราคา รุ่นแรม 8GB ความจุ 128GB ราคา 24,990 บาท (มีเฉพาะสี Lunar Silver) รุ่นแรม 12GB ความจุ 256GB ราคา 29,990 บาท (มีเฉพาะสี Aquamarine Green) ราคาความจุเริ่มต้นจะถูกกว่า OnePlus 8 ที่ปัจจุบันราคาเริ่ม 25,990 บาท แต่ยังราคาถูกกว่า 8 Pro ในปัจจุบัน ที่ราคาเริ่มต้น 31,990 บาท ที่มา - งานเปิดตัว OnePlus 8T
# ยอดค้นหา‘Among Us’ บน Pornhub สูงสุดเกือบเจ็ดแสนครั้งในหนึ่งวัน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Pornhub เผยยอดการค้นหาคำว่า ‘Among Us’ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่าเริ่มมีการค้นหาด้วยคำนี้เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน และพุ่งสูงสุด ถึง 693,820 ครั้งในวันที่ 16 กันยายน ปัจจุบัน ‘Among Us’ มียอดค้นหาบน Pornhub รวมตั้งแต่เดือนกันยายน ถึง 6 ตุลาคม กว่า 4.7 ล้านครั้ง คิดเป็นตัวเลขเฉลี่ย 115,000 ครั้งต่อวัน ชนะ ‘Overwatch’ ที่มียอดค้นค้นหา 100,000 ครั้งต่อวัน และใกล้เคียง ‘Fortnite’ ที่มียอดค้นหา 130,000 ครั้งต่อวัน ปีที่แล้ว Overwatch เป็นแชมป์เก่าในหมวดการค้นหาเกี่ยวกับเกม บน Pornhub ตามมาด้วย Fortnite, Pokemon และ Minecraft ส่วนตัวละครจากเกมที่มีการค้นหามากที่สุดสามอันดับแรก คือ Zelda, Lara Croft และ D.Va จาก Overwatch ที่มา - Pornhub Insights via Inverse
# ญี่ปุ่นกำลังวางแผนการควบคุมบริษัทไอทียักษ์ใหญ่แบบยุโรป, สหรัฐ Kazuyuki Furuya ประธานของคณะกรรมการการค้าญี่ปุ่นหรือ FTC เปิดเผยว่ากำลังวางรากฐานในแง่กฎหมายสำหรับการกำกับดูแลบริษัทเทคขนาดใหญ่อย่าง Google, Amazon, Apple และ Facebook ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจะผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง และทำงานร่วมกับหน่วยงานทีเกี่ยวข้องในสหรัฐและอียูด้วย นอกจากนี้ FTC ก็จะเข้ามาดูแลและสอบสวนเรื่องการผูกขาดกรณีการซื้อกิจการขนาดเล็กของบริษัทใหญ่ เช่น กรณีที่ Google ซื้อ Fitbit ซึ่งก็กำลังถูกบีบอย่างหนักจากอียู ที่มา - Reuters ภาพจาก Shutterstock
# Facebook Watch เพิ่มปุ่ม Topics หาวิดีโอดูตามเรื่องที่สนใจ, แสดงวิดีโอยอดนิยมในสัปดาห์ Facebook Watch เผยฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มปุ่ม Topics ไว้หาวิดีโอตามหัวข้อที่ตัวเองสนใจ สามารถเลื่อนหา Topics ต่างๆ ที่มาในรูปแบบแฮชแท็กได้ เช่น สัตว์, อาหาร, ไลฟ์สไตล์, ศิลปะ เป็นต้น ฟีเจอร์ Topics เริ่มเปิดตัวในสหรัฐฯ ก่อน นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์การติดตามรายการหรือการถ่ายทอดสดสำคัญในสหรัฐฯ และบางประเทศ เช่น รายการ Emmy Awards, MLB World Series highlights, Vote-A-Thon 2020 และมิวสิควิดีโอล่าสุด เป็นต้น รวมทั้งแสดงวิดีโอที่ได้รับความนิยมประจำสัปดาห์ และแสดงให้เห็นด้วยว่าเพื่อนๆ มี reaction ต่อวิดีโอใดบนหน้า Watch Feed ที่มา - Facebook
# LG วางขาย Signature OLED R ทีวีแบบม้วนเก็บได้ในเกาหลี ราคาประมาณ 2.7 ล้านบาท LG ประกาศเริ่มวางขาย Signature OLED R ทีวี OLED แบบม้วนเก็บได้ขนาด 65 นิ้ว ที่ราคา 100 ล้านวอน (ราว 2.7 ล้านบาท) โดย LG ระบุว่า Signature OLED R เป็น “เป็นนวัตกรรมล้ำสมัยที่สุดของเทคโนโลยีทีวีในรอบหลายทศวรรษ” ตัวทีวีจะสามารถม้วนเก็บบางส่วนเข้าไปในฐาน เพื่อปรับเปลี่ยน aspect ratio ได้สามแบบ LG ใช้ชื่อว่า Full View, Line View และ Zero View คาดว่าเป็นแบบ 16:9 ปกติ แบบชมภาพยนตร์ 1.85:1 และ แบบเก็บหน้าจอเข้าไปในฐาน ตามลำดับ ตัวฐาน เป็นลำโพงหุ้มด้วยขนแกะ เลือกได้ 4 สี คือ ดำ Signature Black, เทา Moon Gray, น้ำเงิน Topaz Blue และ น้ำตาล Toffee Brown ตัวอะลูมิเนียมด้านบนสามารถแกะสลักชื่อหรือข้อความของลูกค้าได้ LG ยังไม่พูดถึงรายละเอียดอื่นๆ เช่นความละเอียดของหน้าจอ รีเฟรชเรต พอร์ตเชื่อมต่อ หรือวันวางจำหน่ายในประเทศอื่นมากนัก ต้องติดตามข่าวกันต่อไป ที่มา - LG
# Disney+ แสดงคำเตือนเนื้อหาหนัง, การ์ตูนเก่าที่มีการเหยียด เป็นคลิป 12 วินาที กดข้ามไม่ได้ Disney+ แสดงคำเตือนเป็นคลิปสั้น 12 วินาที เตือนก่อนจะเข้าหนังและการ์ตูนคลาสสิคเก่าๆ ที่มีเนื้อหาเหยียด เลือกปฏิบัติ ตัวอย่างเช่นเรื่อง Dumbo, Peter Pan, The Aristocats, Swiss Family Robinson และ Donald Duck เป็นต้น ตัวคลิปนั้นไม่สามารถกดข้ามได้ โดยประกอบด้วยเนื้อความว่า เนื้อหาต่อไปนี้มีการแสดงภาพเชิงลบและ / หรือ การปฏิบัติต่อผู้คนหรือวัฒนธรรมอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องผิด ซึ่งทางบริษัทไม่ได้ลบเนื้อหาออก แต่แสดงคำเตือนเพื่อให้ทราบถึงผลกระทบที่เป็นอันตราย และเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมมากขึ้น ตัวคลิปมีลิงค์ให้กดเข้าไปดูและเชื่อมไปยังเว็บไซต์ Stories Matter ที่อธิบายว่าทำไมการพูดถึงตัวละครบางตัวถึงมีความไม่เหมาะสม และระบุตัวอย่างหนังที่ดิสนีย์จะใส่คลิปคำเตือนลงไป ภาพจาก Stories Matter ที่มา - Engadget
# กระทรวงดิจิทัลได้รับคำสั่งศาลปิด Voice TV ทุกช่องทางออนไลน์ สื่ออื่นอยู่ระหว่างการยื่นเรื่อง นายภุชพงศ์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเปิดเผยว่าศาลอาญามีคำสั่งปิดช่องทางออนไลน์ของ Voice TV ทั้งหมดหลังจากทางกระทรวงนำหลักฐานเสนอศาล โดยระบุว่าพบการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กระทรวงดิจิทัลได้รับคำสั่งจากกอร.ฉ. ให้ติดตามสื่อออนไลน์ 5 ราย ได้แก่ Voice TV, ประชาไท, The Reporters, The Standard, และเพจเยาวชนปลดแอก นายภุชพงศ์ระบุว่าอีก 4 รายนั้นก็มีการเสนอศาลไปเช่นกันแต่ยังไม่ได้รับคำสั่งศาลกลับมา ที่มา - ThaiPBS
# Google เปิดตัว Lending DocAI โซลูชัน AI สำหรับการพิจารณาเอกสารการกู้ยืม Google เปิดตัว Lending DocAI บน Google Cloud Platform เป็นโซลูชันที่นำ AI มาช่วยพิจารณาและประเมินข้อมูลของผู้กู้อย่างเช่น เงินเดือนและสินทรัพย์จากเอกสาร ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้าและกินเวลามาก Lending DocAI ใช้ API ของ Document AI ที่เป็นบริการอ่านและวิเคราะห์เอกสารหรือรูป โดย Lending DocAI เปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันพรีวิวแล้ว ที่มา - Google Cloud Blog
# The Verge: "ถ้าแอปเปิลอยากช่วยโลกจริง ก็ควรเปลี่ยนไปใช้ USB-C" งานเปิดตัว iPhone 12 เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา เรื่องที่ถูกพูดถึงและเป็นประเด็นมากที่สุดคงเป็นเรื่องการไม่แถมที่ชาร์จ (จริง ๆ ก็ตั้งแต่ Apple Watch Series 6 เดือนที่แล้วแล้ว) แม้การอ้างสิ่งแวดล้อมจะฟังดูสมเหตุสมผล (ตั้งแต่ซัพพลายเชนการผลิตยันขยะ) แต่ท่าทีของแอปเปิลที่ออกมามันออกไปในแง่ลดต้นทุนของตัวเองมากกว่าความจริงใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Jon Porter แห่ง The Verge แสดงความเห็นไว้ว่า หากแอปเปิลต้องการจะช่วยโลกจริง ๆ ก็ควรเปลี่ยน iPhone ไปใช้พอร์ท USB-C เหตุผลของแอปเปิลที่ไม่แถมหัวชาร์จคือตอนนี้มีหัวชาร์จของแอปเปิลที่ออกสู่ตลาดไปแล้วกว่า 2 พันล้านชิ้น ไม่รวมของพาร์ทเนอร์อีกหลายพันล้าน ดังนั้นผู้ใช้งานน่าจะหาหัวชาร์จได้ไม่ยากแต่ Jon Porter ก็แย้งว่าหากดูส่วนแบ่งตลาดของสมาร์ทโฟนทั้งหมดเมื่อปี 2019 ส่วนแบ่งแอปเปิลแค่ 13.9% เท่านั้น ขณะที่ที่เหลือของตลาดส่วนใหญ่ก็ USB-C ทั้งหมด ไม่รวมตลาดอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างแล็บท็อป, หูฟัง, แท็บเล็ตที่ใช้ USB-C กันอย่างแพร่หลายแล้ว ดังนั้นในทางทฤษฎี ผู้ใช้งานมีความพร้อมที่จะชาร์จ iPhone ที่เป็น USB-C อยู่แล้ว ซึ่งแอปเปิลสามารถขาย iPhone โดยไม่ต้องแถมอะไรมาเลยก็ได้ด้วยซ้ำ และนั่นเป็นสิ่งที่บริษัทที่อ้างสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมควรทำ (เช่น Fairphone ที่ทำไปแล้ว) นอกจากนี้เมื่อต้นปี EU เคยเสนอใช้พอร์ต USB-C เป็นสายชาร์จมาตรฐาน เพื่อลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแอปเปิลก็แย้งว่าจะก่อให้เกิดขยะมากกว่า เพราะจะทำให้สาย lightning ของแอปเปิลเป็นของใช้ไม่ได้และถูกทิ้งทันที ซึ่ง Jon Porter ยกตัวอย่างตอนที่แอปเปิลเปลี่ยนจากพอร์ท 30-pin มาเป็น lightning ขึ้นมาแย้งว่า ตอนนั้นแอปเปิลและพาร์ทเนอร์ก็ยังคงขายอแดปเตอร์ 30-pin to Lightning ต่อไปอีกหลายปี ดังนั้น USB-C จะแตกต่างกันแค่ไหนเชียว แม้มันจะสร้างขยะในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมันดีกับสิ่งแวดล้อมกว่าแน่ ๆ ที่มา - The Verge
# NASA ให้ทุน Nokia 14.1 ล้านเหรียญ พัฒนาเทคโนโลยี 4G LTE บนดวงจันทร์ NASA มอบเงินกว่า 14.1 ล้านเหรียญสหรัฐให้ Nokia ในโครงการ Tipping Point โครงการแข่งขันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศสำหรับดวงจันทร์ ที่มอบเงินทุนให้บริษัทต่างๆ รวม 370 ล้านเหรียญ เพื่อพัฒนาโครงการ Artemis ที่จะส่งผู้หญิงคนแรกไปดวงจันทร์ในปี 2024 และเตรียมพัฒนาฐานบนดวงจันทร์ภายในปี 2028 นอกจากเทคโนโลยี 4G ของ Nokia แล้ว NASA ยังมอบเงินทุนให้บริษัทอื่นๆ เช่น Space X ของ Elon Musk, Lockheed Martin และ United Launch Alliance เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการส่งเชื้อเพลิงแบบแช่แข็ง (cryogenic fuel transfer technology) และบริษัท Sierra Nevada Corporation เพื่อเทคโนโลยีการสกัดออกซิเจนจากดวงจันทร์ (lunar oxygen extraction) เป็นต้น โดยสามารถดูรายชื่อเต็มๆ ได้ ที่นี่ เทคโนโลยี 4G บนดวงจันทร์ อาจไม่ต้องเจอปัญหาเดียวกับบนโลก เช่นปัญหาสัญญาณรบกวน หรือปัญหาสัญญาณเข้าไม่ถึงในอาคาร แต่ต้องเจออุณหภูมิถึง 120-140 องศาเซลเซียส และรังสีในอวกาศ ทำให้ Nokia ต้องพัฒนาอุปกรณ์เครือข่ายที่ทนต่อสภาพแวดล้อมเหล่านี้ และมีขนาดเล็กลง เพื่อให้ขนส่งไปยังดวงจันทร์ได้ง่ายขึ้น และในอนาคตก็อาจพัฒนาเป็น 5G แบบ mmWave ได้ เพราะบนดวงจันทร์ไม่มีอาคารมากีดกันสัญญาณ แต่คงต้องใช้เวลาพอสมควร ที่มา - Extremetech, Android Police, NASA:Tipping Point, NASA: Moon to Mars
# SK Hynix ผู้ผลิตชิปเกาหลีประกาศซื้อธุรกิจชิป NAND ของ Intel ราคา 9 พันล้านเหรียญ SK Hynix ผู้ผลิตชิปเมมโมรีจากเกาหลีใต้ประกาศการซื้อธุรกิจชิปเมมโมรี NAND ของ Intel คิดเป็นมูลค่าราว 9 พันล้านเหรียญ ซึ่งดีลนี้รวมถึงธุรกิจสตอเรจและโรงงานผลิตในจีนด้วย ยกเว้นแค่ส่วนชิป Optane (via Bloomberg) นักวิเคราะห์มองว่าดีลนี้ดีกับทั้ง SK Hynix และคู่แข่งรายอื่น ๆ ในแง่ว่าสร้างความเสถียรในอุตสาหกรรม NAND จากการลดการลงทุนที่ไม่จำเป็นลง ดีลนี้จะทำให้ SK Hynix เป็นผู้ผลิตชิป NAND เบอร์ 2 ของโลกทันทีโดยมีส่วนแบ่งที่รวมจาก Intel เข้ามาราว 23.2% ตามหลังซัมซุงที่ส่วนแบ่งตลาดราว 31.4% ที่มา - Nikkei
# AOC นักการเมืองหญิงสหรัฐฯ เตรียมสตรีมเล่น Among Us ใน Twitch กระตุ้นคนไปเลือกตั้ง Alexandria Ocasio-Cortez หรือ AOC สส.หญิงสหรัฐฯ โพสต์ในทวิตเตอร์ว่า อยากจะสตรีมเล่นเกม Among Us ใน Twitch เพื่อกระตุ้นคนไปโหวตเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จัดอย่างเป็นทางการวันที่ 3 พ.ย. นี้ โดยเธอถามว่าควรจะสตรีมเล่นกับใครดี หลังจากนั้นไม่นานก็มีสตรีมเมอร์ดังหลายรายมาตอบเสนอตัวจะร่วมเล่นสตรีมด้วย เช่น Pokimane, HasanAbi, Greg Miller, DrLupo, Neekolul, Felicia Day และ James Charles หนึ่งในแนวทางการหาเสียงและกระตุ้นประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้งคือเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านเกม ก่อนหน้านี้ Joe Biden ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ก็เปิดเกาะหาเสียงในเกม Animal Crossing: New Horizons และพยายามเข้าถึงคนรุ่นใหม่ผ่านช่อง Twitch หรือตัว AOC เองก็เคยเล่น Animal Crossing และไปเยี่ยมเกาะของผู้เล่นคนอื่นๆ และเธอยังเป็นคอเกม League of Legends ด้วย ด้าน Among Us ถือเป็นเกมอินดี้เปิดตัวในปี 2018 แต่เพิ่งจะได้รับความนิยมในช่วงนี้ เนื้อหาเกมคือผู้เล่นต้องปฏิบัติภารกิจบนยานอวกาศในขณะที่มี Imposter คอยไล่ฆ่าขัดขวางไม่ให้ทำภารกิจสำเร็จโดยไม่มีใครจับได้ ต้องใช้ทักษะการหลอกล่อโกหกมากมาย ที่มา - The Verge
# แอปเปิลเปิดตัว Apple Music TV ดูมิวสิควิดีโอ 24 ชั่วโมงฟรี สไตล์รายการเพลง MTV แอปเปิลเปิดตัว Apple Music TV ให้สตรีมมิวสิควิดีโอ ไลฟ์รายการพิเศษกับศิลปิน ดูรายการเพลง โชว์คอนเสิร์ตต่างๆ ได้ 24 ชั่วโมง ใช้งานฟรี เริ่มใช้งานเฉพาะในสหรัฐฯ ก่อน โดยตัว Apple Music TV ไม่ใช่แอปพลิเคชั่นแยก แต่เป็นอีกหนึ่งเซกชั่นใน Apple Music และแอปพลิเคชั่น Apple TV โดยกด Browse ที่ apple.co/AppleMusicTV ในขณะที่ Apple Music และ Apple TV นั้น ผู้ใช้งานต้องเสียค่าบริการรายเดือน แต่ Apple Music TV เปิดให้เข้าดูฟรี เริ่มต้นเปิดตัวด้วยรายการเคาท์ดาวน์ชาร์ตเพลงยอดนิยม 100 อันดับโดยอิงข้อมูลในสหรัฐฯ นักข่าว TechCrunch ลองใช้งานพบว่า ยังให้ประสบการณ์รับชมแบบสตรีมมิ่งฟรี คือเล่นเพลงเป็นแบคกราวด์เมื่อปิดหน้าจอไม่ได้ เมื่อมีการไลฟ์ จะขึ้นไอคอนสีแดงให้เห็น แต่ก็ไม่สามารถกด reaction หรือคอมเม้นท์สดๆ แบบที่แพลตฟอร์มไลฟ์มี และไม่สามารถคัดเลือกเพลงลงเพลย์ลิสต์ได้ โดยรวมแล้วให้ประสบการณ์เหมือนดูรายการเพลงทีวีแบบเก่า อย่างเช่นรายการเพลง MTV ด้าน Apple Music 1 หรือรายการวิทยุใหม่บน Apple Music ที่จัดรายการโดยคนดังนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับ Apple Music TV ที่มา - TechCrunch
# Apple ออกอัพเดต watchOS 7.0.3 เฉพาะ Apple Watch Series 3 แก้ไขบั๊กรีสตาร์ท แอปเปิลออกอัพเดต watchOS 7.0.3 ระบบปฏิบัติการสำหรับ Apple Watch ซึ่งเป็นอัพเดตที่ออกมาเพียงสัปดาห์เดียว หลังจากแอปเปิลออก watchOS 7.0.2 ที่ระบุว่าแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็ว watchOS 7.0.3 เป็นอัพเดตเฉพาะผู้ใช้ Apple Watch Series 3 เท่านั้น เนื่องจากมีการรายงานปัญหา พบว่าเครื่องรีสตาร์ทตัวเองบ่อยครั้ง ผู้ใช้ Apple Watch Series 3 สามารถอัพเดตได้ผ่านแอปบน iPhone แล้วไปที่ General > Software Update โดย Apple Watch ต้องมีแบตเตอรี่อย่างต่ำ 50% และกำลังชาร์จไฟอยู่ ที่มา: MacRumors
# Edge WebView 2 เข้าสถานะ GA แล้ว แอพบนวินโดวส์เปลี่ยนมาใช้ Chromium แสดงหน้าเว็บ ไมโครซอฟท์เคยประกาศไว้เมื่อเดือน พ.ค. ว่าจะเปลี่ยนเอนจิน WebView ของ Windows มาใช้ Chromium แทน EdgeHTML ตัวเดิม เช่นเดียวกับที่เปลี่ยน Microsoft Edge ไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เอนจิน WebView2 ที่พัฒนาบน Chromium เข้าสถานะ GA (generally available) แล้ว ไมโครซอฟท์ยังออก WebView2 SDK ให้แอพพลิเคชันที่เป็น Win32 C/C++ สามารถเรียกใช้ได้ (การมี SDK ให้ดาวน์โหลดแยกต่างหาก ทำให้ซัพพอร์ตย้อนกลับไปถึง Windows 7) ส่วนแอพพลิเคชันกลุ่ม .NET และ WinUI 3.0 จะเข้าสถานะ GA ในอีกไม่ช้า WebView 2 เป็นส่วนหนึ่งของ Project Reunion ที่ไมโครซอฟท์พยายามหลอมรวมแอพแบบ Win32 และ UWP เข้าด้วยกันบน API ชุดเดียว โดยส่วนของการแสดงผลจะแบ่งเป็นเว็บ (WebView 2) และไลบรารีสร้าง UI (WinUI 3) การย้ายเอนจินมาเป็น Chromium ทำให้การพัฒนาเว็บแอพมารันบน Windows 10 ง่ายขึ้นมาก เพราะเว็บแอพส่วนใหญ่ทดสอบกับ Chrome อยู่แล้ว หากต้องการสร้างแอพแบบไฮบริด (บางส่วนเป็นแอพเนทีฟ บางส่วนแสดงข้อมูลจากหน้าเว็บ) จึงนำส่วนที่เป็นเว็บมารันได้แทบจะทันที ที่มา - Microsoft