txt
stringlengths 202
53.1k
|
---|
# พนักงานทวิตเตอร์ทวีตติดแท็ก #WeBackJack สนับสนุน Jack Dorsey เป็นซีอีโอต่อไป, Elon Musk ก็เอาด้วย
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Paul Singer เศรษฐีนักลงทุนรายหนึ่งเจ้าของบริษัทลงทุน Elloitt Management กำลังรวบรวมหุ้นในทวิตเตอร์เพื่อเตรียมจัดการไล่ Jack Dorsey ซีอีโอคนปัจจุบันของทวิตเตอร์ออกไป ซึ่งปัจจุบัน Elloitt มีหุ้นในทวิตเตอร์อยู่ราว 4% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท
ล่าสุด พนักงานทวิตเตอร์จำนวนหนึ่งได้เริ่มทวีตด้วยแฮชแท็ก #WeBackJack เพื่อเป็นการส่งเสียงสนับสนุนซีอีโอคนปัจจุบันของทวิตเตอร์ให้ทำงานต่อไป
นอกจากพนักงานทวิตเตอร์กลุ่มหนึ่งแล้ว ยังมี Elon Musk ที่สนับสนุน Dorsey เป็นซีอีโออีกราย โดยเขาทวีตว่า “เพียงแค่อยากจะบอกว่าผมสนับสนุน @Jack เป็นซีอีโอทวิตเตอร์ เขาเป็นคนมีจิตใจดี”
Dorsey เข้ามาเป็นซีอีโอทวิตเตอร์ตั้งแต่ปี 2015 โดยเขาควบตำแหน่งซีอีโอของสตาร์ทอัพด้านการเงินและระบบจ่ายเงิน Square อีกด้วย ซึ่ง Singer มองว่าผลประกอบการของทวิตเตอร์ควรจะดีกว่านี้และบริษัทก็ต้องการผู้นำที่ทำงานได้เต็มเวลา จึงต้องการปลด Dorsey และหาคนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน
ที่มา - The Verge, BuzzFeed News
Jack Dorsey ภาพจาก Wikipedia |
# [Gartner] ยอดขายสมาร์ทโฟน Q4/19 ลดลง 0.4%, ท็อป 3 ส่วนแบ่งต่างกันไม่เยอะ
Gartner ออกรายงานยอดขายสมาร์ทโฟนประจำไตรมาส 4 ปี 2019 เติบโตลดลง 0.4% โดยซัมซุงยังคงเป็นเบอร์ 1 ที่ส่วนแบ่งตลาด 17.3% ตามมาติด ๆ ด้วยแอปเปิลที่ 17.1%, Huawei 14.3%, Xiaomi 8% และ Oppo 7.5%
ที่น่าสนใจคือยอดขายแอปเปิลกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังลดลงมา 4 ไตรมาสติด โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 7.8% และหากนับเฉพาะในจีนที่เป็นตลาดใหญ่ของ iPhone ก็เติบโตมากถึง 39% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ปัจจัยสำคัญมาจากการปรับราคา iPhone ลงมา โดยเฉพาะ iPhone 11
ส่วนยอดขายสมาร์ทโฟนทั้งปีเติบโตลดลง 1% ซึ่ง Gartner ระบุว่าดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ประเทศที่ขายสมาร์ทโฟนได้มากที่สุดหนีไม่พ้นจีนที่ขายไปกว่า 390.8 ล้านเครื่อง ตามมาด้วยอินเดียที่แซงหน้าสหรัฐขึ้นมาเป็นที่ 2 ที่ 151.9 ล้านเครื่อง
ในแง่ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จากยอดขายทั้งปี เบอร์ 1 ยังคงเป็นซัมซุงที่ส่วนแบ่ง 19.2% ตามมาด้วย Huawei 15.6%, แอปเปิล 12.6%, Xiaomi 8.2% และ Oppo 7.7%
ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่าการระบาดของโรค COVID-19 กระทบตลาดสมาร์ทโฟนในจีนในช่วงไตรมาสแรก แต่ในตลาดโลกแล้วไม่น่าได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่นัก
ที่มา - Gartner |
# เปิดตัว Valorant เกม FPS มัลติเพลเยอร์แบบทีม แนวเดียวกับ Counter-Strike
Riot Games ค่ายเกมอเมริกันที่พัฒนา League of Legends เปิดตัวเกมใหม่ Valorant ที่ยังคงเป็นเกมออนไลน์มัลติเพลเยอร์ชู้ตติ้งแบบทีม เล่นแบบทีมละ 5 คน ผลัดกันรุกและรับ ทั้งหมด 24 รอบ ทีมที่ทำคะแนนได้เยอะกว่าจะเป็นผู้ชนะ คล้ายกับ Counter-Strike
ตัวละคร (agent) จะมีเบื้องหลังทั้งในชาติพันธ์ุ วัฒนธรรมจากโลกจริง แต่เซ็ตติ้งเกมเกิดขึ้นในโลกอนาคตอันใกล้ โดยตัวละครแต่ละตัวจะมีความสามารถไม่เหมือนกัน แต่จะเน้นความแม่นยำและความสามารถในการยิงของผู้เล่นเป็นหลัก (ไม่เหมือน Overwatch ที่มีเรื่องของการใช้สกิลมาร่วมด้วย) รวมถึงสามารถวางกลยุทธในการเล่นได้
Riot Games บอกด้วยว่าเซิร์ฟเวอร์ของตัวเกมมี tickrate ที่ 128Hz เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องการตอบสนองในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงมีโปรแกรมป้องกันการโกงอย่างเช่นการแฮกกำแพงเพื่อให้เห็นพื้นที่บริเวณที่เป็น fog of war เป็นต้น
สเปคขั้นต่ำคือ Core i3-370M การ์ดจอ Intel HD300 แรม 4GB (ได้ 30fps) สเปคที่แนะนำคือ Core i3-4150 การ์ดจอ GT730 แรม 4GB สำหรับ 60fps และสูงสุดคือ 144fps คือ Core i5-4460 3.2GHz การ์ดจอ GTX 1050Ti และแรม 4GB ตัวเกมจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูร้อนปีนี้
ที่มา - IGN, Eurogamer |
# Shazam บน Android เพิ่มฟีเจอร์เชื่อมต่อกับ Apple Music แล้ว
เว็บไซต์ Android Police รายงานว่า แอปสำหรับหาชื่อเพลง Shazam ที่ Apple ซื้อมาตั้งแต่ปี 2018 ได้เพิ่มฟีเจอร์เชื่อมต่อกับ Apple Music แล้ว จากเดิมที่เชื่อมต่อได้เฉพาะ Spotify
วิธีเชื่อมต่อ Shazam กับ Apple Music คือให้กดปุ่ม Library กดฟันเฟืองเพื่อเข้าสู่ Settings จะพบกับหน้าเชื่อมต่อบริการสตรีมมิ่ง Apple Music สามารถกด Connect เพื่อเชื่อมต่อได้ทันที โดยผู้ใช้จะต้องเป็นสมาชิก Apple Music ด้วย หากไม่มีจะแสดงข้อผิดพลาดขึ้นมา
การเชื่อมต่อ Shazam กับบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ จะช่วยให้ Shazam เข้าถึงเพลย์ลิสต์ที่ผู้ใช้บันทึกไว้ในบริการสตรีมมิ่งได้ง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้ระบบเชื่อมต่อกับ Apple Music สำหรับ Shazam บน Android ยังอยู่ในช่วงการทดสอบเบต้า
ที่มา - Android Police |
# Foxconn คาดว่าจะโรงงานจะกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
Foxconn ผู้ผลิตชิป สมาร์ทโฟนและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์รายใหญ่ออกมาแสดงการคาดการณ์ว่า โรงงานในจีนจะสามารถกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ โดยตอนนี้โรงงาน Foxconn มีความสามารถในการผลิตอยู่ที่ 50% เท่านั้น
ด้าน Young Liu ประธานของ Foxconn เปิดเผยว่าบริษัทยังคงไม่สามารถประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบในเชิงดีมานด์และซัพพลายใด ๆ เท่าไหร่นัก ขณะที่ในแง่ของรายได้ Foxconn เช่นเดียวกับบริษัทอื่นได้ปรับลดการคาดการณ์รายได้ในปี 2020 ว่าจะเติบโตอยู่ที่ราว 1%-3% จากที่ในช่วงต้นปีคาดการณ์ไว้ที่ 3%-5%
ที่มา - Bloomberg
ภาพจาก Foxconn |
# Google ปล่อย Pixel Feature Drop เดือนนี้ชุดใหญ่ เพิ่มเจสเจอร์ Pixel Sense, เพิ่มอีโมจิ
Google ปล่อย Pixel Feature Drop เดือนนี้ ฟีเจอร์ใหญ่ ๆ คือเพิ่มเจสเจอร์บน Motion Sense สำหรับสั่งหยุด (pause) และเล่นเพลงต่อด้วยการเอาฝ่ามือไปอังที่ใกล้ ๆ หน้าจอ, เพิ่มอีโมจิอีก 169 ตัวจากอัพเดตเวอร์ชัน 12.1
นอกจากนี้ยังมีเพิ่มฟีเจอร์ Car crash detection ในออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร, เพิ่มเอ็ฟเฟ็ค AR บน Duo, กดปุ่มพาวเวอร์ค้าง เพื่อเลือกบัตรเครดิตสำหรับใช้งาน Google Pay, ตั้งเวลาเปิดปิด Dark Theme ตามพระอาทิตย์ขึ้นและตก, ตั้งกฎการทำงานต่าง ๆ ตามเครือข่าย Wi-Fi ที่เปิดและสถานที่ รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ Live Caption ให้ Pixel 2
ที่มา - Google Blog |
# Waymo ระดมทุนจากนักลงทุนภายนอกครั้งแรก ได้มา 2.25 พันล้านดอลลาร์
Waymo ประกาศความสำเร็จในการระดมทุนเพิ่มได้อีกราว 2.25 พันล้านดอลลาร์จาก Silver Lake บริษัท Private Equity สหรัฐ, Canada Pension Plan Investment Board, บริษัทลงทุน Andreessen Horowitz, Mubadala Investment Company กองทุนความมั่งคั่งของ UAE และที่น่าสนใจคือมีบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์มาลงทุนด้วยอย่าง Magna International, AutoNation และบริษัทแม่ Alphbet
การลงทุนครั้งนี้ทำให้ตัวแทนจาก Silver Lake และ Canada Pension Plan Investment Board จะมานั่งเป็นบอร์ดของ Waymo ด้วย ขณะที่แผนของ Waymo เร็ว ๆ นี้จะขยายจำนวนรถ Chrysler Pacifica ที่ให้บริการ Waymo One อีกราว 2 หมื่นคัน และภายในสิ้นปีนี้จะอัพเดตระบบไร้คนขับเวอร์ชันล่าสุด (Waymo Driver) เป็นรุ่นที่ 5 ที่จะรองรับสภาพอากาศทุกสภาพอากาศแล้ว
ส่วนต้นปีที่ผ่านมา Waymo ก็เพิ่งประกาศขยายการทดสอบวิ่งรถบรรทุกไร้คนขับใน Texas และ New Mexicao เพิ่มเติม
ที่มา - Venturebeat, Waymo |
# Huawei กำลังทดสอบ Huawei Search แอปเสิร์ชสำหรับใช้แทน Google Search
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้า แม้จะมีข่าวลือว่า Google พยายามดีลให้สามารถทำธุรกิจกับ Huawei ได้อีกครั้ง แต่รายหลังก็ยังคงเดินหาสร้างทางเลือกและทางรอดของตัวเองเผื่อไว้แล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็มี HMS และ AppGallery ที่มาแทน GMS และ Play Store ตามลำดับ
ล่าสุด XDA รายงานอ้างอิงจากกระทู้ใน reddit ว่า Huawei กำลังทดสอบแอป Huawei Search สำหรับใช้ทดแทน Google Search อยู่ในประเทศ UAE พร้อมไฟล์ APK โดยความสามารถของ Huawei Search ยังมีแค่การค้นหา ไม่ว่าจะเป็นเว็บเพจ, วิดีโอ, รูปภาพหรือข่าวบทความ พ่วงมาด้วย widget บอกสภาพอากาศเท่านั้น
ส่วนเสิร์ชเอนจินเบื้องหลัง Huawei Search ทาง XDA ระบุว่ายังไม่รู้ว่าใช้เอนจินอะไร เพราะไม่เจอผลเสิร์ชที่ตรงกับเจ้าไหนเลยทั้ง Google, Yahoo, Bing, DuckDuckGo, Yandex, Ask และ AOL
ที่มา - XDA |
# Oppo เผยโฉม Oppo Watch เตรียมเปิดตัว 6 มีนาคมนี้
บัญชีทวิตเตอร์ของ Oppo ได้เปิดเผยหน้าตาของ Oppo Watch สมาร์ทวอทช์ตัวแรกอย่างเป็นทางการ โดยมีหน้าปัดเป็นทรงสี่เหลี่ยม ปุ่มด้านข้าง 2 ปุ่ม แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดสเป็กอื่นเพิ่มเติมในตอนนี้
อย่างไรก็ตามจากภาพที่ Oppo เปิดเผยนั้น ทำให้พอคาดเดาฟีเจอร์บางอย่างใน Oppo Watch ได้ อาทิ การโทรออก-รับสาย จนถึงส่งข้อความตอบกลับได้
ก่อนหน้านี้ Brian Shen ผู้บริหารของ Oppo ได้เผยภาพ Oppo Watch แต่ไม่ชัดเจนมาก ระบุสเป็กว่าเป็นจอโค้ง กระจกแบบ 3D
Oppo Watch กำหนดเปิดตัวในวันที่ 6 มีนาคมนี้ พร้อมกับ Oppo Find X2
ที่มา: The Verge |
# CS:GO ทำสถิติใหม่มีผู้เล่นเกมพร้อมกันสูงสุด 933,748 คน
CS:GO เป็นเกม FPS ยอดฮิตอายุกว่า 8 ปีจาก Valve นอกจากในงานแข่งขันเกมนี้ที่ล่าสุดได้ทำลายสถิติจำนวนผู้ชมแบบออนไลน์ หลังจากยกเลิกให้ผู้ชมเข้าชมการแข่งขันเพื่อป้องกันการกระจายของ COVID-19 และไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลเดียวกันหรือไม่ CS:GO ก็ได้ทำลายสถิติใหม่เพิ่มเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมียอดผู้เล่นพร้อมกันกว่า 933,748 คนซึ่งมากกว่ายอดผู้เล่นพร้อมกันสูงสุดของเดือน ม.ค. ซึ่งอยู่ที่ 822,490 คน หรือเพิ่มมากว่าแสนคนเลยทีเดียว
แม้ว่ายอดผู้เล่นพร้อมกันสูงสุดของเกมนี้ในช่วงหลังๆจะเพิ่มมาเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็เป็นที่น่าประทับใจกับเกมที่อายุถึง 8 ปีแบบนี้ (เกมออกปี 2012)
ที่มา - SteamDB |
# รีวิว Galaxy S20/S20+ มือถือสเปกเรือธงที่ยังน่าใช้ แม้กล้องยังไม่สุดถึงขั้น Ultra
นอกจาก Galaxy S20 Ultra ซัมซุงยังมีรุ่นย่อยอีก 2 รุ่นคือ Galaxy S20/S20+ ออกวางขายพร้อมกัน โดยใช้สเปกหลักๆ เหมือนกันเกือบหมด มีความต่างกันแค่ขนาดหน้าจอ, ขนาดแบตเตอรี่ และกล้องคนละชุดกันเท่านั้น
บทความนี้เป็นการรีวิว Galaxy S20/S20+ (ที่ต่างกันแค่ขนาดหน้าจอและแบต ส่วนกล้องใช้ชุดเดียวกันเกือบหมด) สำหรับผู้ที่สนใจมือถือซีรีส์ S20 แต่คิดว่า S20 ตัว Ultra แพงเกินไปหรือมีฟีเจอร์กล้องเยอะเกินความจำเป็น
ความแตกต่างของ Galaxy S20/S20+ กับ Galaxy S20 Ultra
ปี 2020 เป็นครั้งแรกที่ซัมซุงออกรุ่นย่อย Ultra เพิ่มเข้ามา ทำให้รุ่นที่ลงท้ายด้วย Plus ไม่ใช่รุ่นจอใหญ่ที่สุดอีกต่อไป แน่นอนว่าผู้บริโภคย่อมสับสนว่าแต่ละรุ่นย่อยมันต่างกันอย่างไร หัวข้อนี้จะอธิบายความแตกต่างของ S20/S20+ กับ S20 Ultra ให้เข้าใจกันก่อนครับ
โดยหลักแล้ว จุดต่างของมือถือ S20/S20+ กับ S20 Ultra คือ ขนาดหน้าจอ (ที่ตามมาด้วยขนาดแบตเตอรี่) และกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์คนละตัวกัน เพื่อความเข้าใจง่าย ขอยกตารางเปรียบเทียบจากเว็บไซต์ซัมซุงมาให้ดูครับ
Galaxy S20 จอเล็กสุด 6.2", แรม 8GB, แบตเตอรี่ 4,000 mAh, หนัก 163 กรัม
Galaxy S20+ จอใหญ่ 6.7", แรม 8GB, แบตเตอรี่ 4,500 mAh, หนัก 186 กรัม
Galaxy S20 Ultra จอใหญ่สุด 6.9", แรม 12/16GB, แบตเตอรี่ 5,000 mAh, หนัก 220 กรัม
สิ่งที่เหมือนกันของ S20 ทุกรุ่นคือ หน่วยประมวลผล (Snapdragon 865 หรือ Exynos 990 แล้วแต่ประเทศที่วางขาย), ความละเอียดหน้าจอ 3200X1440, หน้าจอรีเฟรช 120Hz, ระบบปฏิบัติการ Android 10
ส่วนความแตกต่างของกล้อง ต้องจับคู่แยกคือ S20/S20+ ใช้กล้องหลังชุด 3 ตัว ที่มีรายละเอียดแตกต่างกับ S20 Ultra พอสมควร นั่นคือกล้องหลักกับกล้องซูมต่างกัน
กล้องหลัก 12MP F1.8 มุมมอง 79 องศา (S20 Ultra ใช้ 108MP)
กล้องซูม 64MP F2.0 มุมมอง 76 องศา (S20 Ultra ใช้ 48MP F3.5)
กล้องมุมกว้าง 12MP F2.2 มุมมอง 120 องศา (ตัวเดียวกับ S20 Ultra)
หากเทียบฟีเจอร์กับกล้องของ S10+ รุ่นของปีที่แล้วที่ใช้กล้อง 3 ตัวเหมือนกัน จุดต่างที่เห็นได้ชัดคือกล้องซูมอัพเกรดความละเอียดขึ้น จาก 12MP เป็น 64MP ส่วนกล้องหลัก แม้ความละเอียด 12MP เท่าเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือขนาดของเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น จากของเดิม 1/2.55 นิ้ว พิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน มาเป็น 1/1.76 นิ้ว (1.7 เท่า) พิกเซลขนาด 1.8 ไมครอน ช่วยให้รับแสงได้ดีขึ้น (เซ็นเซอร์ของ S20 Ultra ขนาด 1.33 นิ้ว ถือเป็นขนาดที่ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น)
Galaxy S20/S20+ ใช้กล้องหลัก 3 ตัวเหมือนกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยอีก 1 จุดคือ S20 รุ่นปกติ ไม่มีเซ็นเซอร์ DepthVision วัดระยะลึก (หรือ ToF) แต่รุ่น S20+ มีมาด้วย ผลกระทบจึงอยู่ที่คุณภาพของการถ่ายโหมด Live Focus (หน้าชัดหลังเบลอ) บ้างนิดหน่อย
ประเด็นเรื่องกล้องหน้าก็มีความแตกต่าง โดย S20/S20+ ใช้กล้องหน้าตัวเดียว ความละเอียด 10MP ส่วนรุ่น S20 จะใช้เซ็นเซอร์ความละเอียด 40MP
หน้าตาและการใช้งาน
หายงงกับความแตกต่างระหว่างรุ่นย่อย ก็มีเข้าเรื่องของ S20/S20+ กันครับ ดีไซน์ของ S20/S20+ มาแนวทางเดียวกับ S20 Ultra และมือถือซัมซุงช่วงปลายปี 2019/2020 ทั้งหมด นั่นคือใช้หน้าจอ AMOLED แบบ Infinity-O เจาะรูด้านบนตรงกลาง และลดกล้องหน้าเหลือตัวเดียวทั้งหมด (ไม่มีอีกแล้ว กล้องหน้า 2 ตัวแบบ Galaxy S10+ และกล้องหน้าที่วางชิดมุมบนขวา)
ดีไซน์กล้องหลังของ S20/S20+ ใช้การวางกล้องและแฟลช 2 แถวแนวตั้งคู่กัน ชิดอยู่ตรงมุมซ้ายบนของฝาหลัง ดีไซน์นี้ต่างไปจาก Note 10+ (ที่มีจำนวนกล้องเท่ากัน) อยู่เล็กน้อย เพราะซัมซุงวางกล้องของ S20/S20+ ในโมดูลกล้องสีดำทั้งหมด ในขณะที่ของ Note 10+ จะวางกล้องหลัก 3 ตัวอยู่ในโมดูลกล้อง และวางแฟลช-เซ็นเซอร์ ToF อยู่ข้างนอก
ผมลองเทียบขนาดความปูดของโมดูลกล้องแล้ว พบว่าโมดูลกล้อง S20/S20+ ปูดขึ้นกว่าของ Note 10+ อย่างสังเกตได้ชัด (แต่ไม่ว่าปูดแค่ไหน พอไปเทียบความปูดของ S20 Ultra ก็ให้อภัยได้หมด)
ในแง่ของดีไซน์ Galaxy S20 รุ่นเล็กมีรุ่นสีสันสดใสคือฟ้า Cloud Blue และชมพู Cloud Pink ให้เลือกด้วย ในขณะที่รุ่น S20+ มีแต่รุ่น Cloud Blue (ไม่มี Pink) ตรงนี้ต่างไปจาก S20 Ultra ที่มีแต่สีเคร่งขรึม Cosmic Black/Gray เท่านั้น ไม่มีสีฟ้าหรือชมพูให้เลือกเลย
ดีไซน์อื่นๆ ของตัวเครื่องไม่มีอะไรพิเศษ ใช้พอร์ต USB Type-C ไม่มีช่องเสียบหูฟังมาให้, ทุกรุ่นรองรับ 2 ซิม / microSD, ระบบปฏิบัติการเป็น Android 10 (One UI 2.1) มาตรฐาน
น้ำหนักของ S20/S20+ เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน S10/S10+ เล็กน้อย (หลักๆ คงมาจากแบตที่เยอะขึ้น) แต่ในการใช้งานจริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่าหนักอะไร
การใช้งานทั่วไปก็ไม่มีอะไรให้กล่าวถึงเป็นพิเศษ ยกเว้นเรื่องจอ 120Hz ที่เขียนถึงไปแล้วในรีวิว S20 Ultra ว่าช่วยให้แอนิเมชันนุ่มลื่นขึ้น แต่ก็สามารถปิดได้หากต้องการประหยัดแบตเตอรี่
กล้องซูม 3x Hybrid Optical Zoom
หากเรายึดฟีเจอร์กล้องของ Galaxy S20 Ultra รุ่นท็อปสุดเป็นหลัก จุดเด่นมีดังนี้
ภาพถ่ายความละเอียดสูง 108MP
เลนส์ซูม 10x (Hybrid Optical) และ 100x (Space Zoom)
ถ่ายวิดีโอ 8K ตัดมาเป็นภาพนิ่ง 33MP
ฟีเจอร์ Single Take ถ่ายได้ทั้งภาพ+วิดีโอ
Galaxy S20/S20+ ที่มีกล้องสเปกรองลงมา จะได้ฟีเจอร์ดังนี้
ภาพถ่ายความละเอียดสูง 64MP (ใช้เลนส์ซูมถ่าย, ไม่ใช่กล้องหลัก)
เลนส์ซูม 3x (Hybrid Optical) และ 30x (Space Zoom)
ถ่ายวิดีโอ 8K ตัดมาเป็นภาพนิ่ง 33MP (เท่ากับ S20 Ultra)
ฟีเจอร์ Single Take ถ่ายได้ทั้งภาพ+วิดีโอ (เท่ากับ S20 Ultra)
เหตุผลที่ S20/S20+ ยังสามารถถ่าย 8K ได้เป็นเพราะยังมีเซ็นเซอร์ขนาด 64MP ให้ใช้งานอยู่ (เพราะ 8K คือความละเอียด 33MP ถือว่าเหลือๆ) ส่วน Single Take เป็นฟีเจอร์ฝั่งซอฟต์แวร์ที่ได้เท่าเทียมกันหมดอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องการถ่ายภาพความละเอียด 64MP จำเป็นต้องตั้งโหมด 64MP โดยเฉพาะ (รองรับที่สัดส่วน 4:3) เท่านั้น ภาพที่ได้มีขนาดไฟล์ประมาณ 15-19MB แล้วแต่รายละเอียดในภาพ
S20+ ภาพถ่าย 12MP
S20+ ภาพถ่าย 64MP (คลิกไปดูภาพขนาดเต็มได้จาก Flickr)
แต่จากรีวิว Galaxy S20 Ultra ผมคิดว่าผู้ใช้ระดับคอนซูเมอร์ทั่วไป คงไม่จำเป็นต้องถ่ายวิดีโอ 8K หรือถ่ายภาพนิ่งความละเอียดสูง (ไม่ว่าจะ 108MP หรือ 64MP ก็ตาม) กันบ่อยมากนัก ดังนั้นจุดที่เป็นจุดต่างจริงๆ ระหว่าง S20/S20+ กับ S20 Ultra คงเป็นเรื่องเลนส์ซูม 3x vs 10x (หากเราเทียบที่ระดับ Hybrid Optical Zoom ที่ภาพไม่แตก) และเรื่องคุณภาพของกล้องหลักที่มีขนาดเซ็นเซอร์ต่างกันเท่านั้น
เมื่อประเด็นเรื่องการซูมคือเรื่องหลักของ S20/S20+ เรามาดูภาพของจริงกันเลยดีกว่าครับ
รูปแรกผมถ่ายตึกช้าง ซีนเดียวกับที่ทดสอบเลนซ์ซูม 100 เท่าของ S20 Ultra แต่ S20/S20+ สามารถซูมได้สูงสุดที่ 30 เท่า
ซูม 1x
ซูม 3x สุดเขต Hybrid Optical Zoom
ซูม 10x เทียบกับ S20 Ultra ภาพเริ่มแตกแล้ว เพราะเป็นการซูมดิจิทัล
ซูม 30x สุดเขต Space Zoom ภาพเบลอจนใช้อะไรแทบไม่ได้แล้ว
ภาพที่สองเป็นการถ่ายจากสวนรถไฟ ไปยังตึก TMB ที่อยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อทดสอบคุณภาพของการซูมเช่นกัน
1x
3x
30x ยังพออ่านตัวหนังสือได้ แต่ภาพก็ไม่ชัดแล้ว
ภาพที่สามเป็นการถ่ายป้ายโฆษณาที่อยู่บนตึกห้องแถว
1x
3x ยังพออ่านป้ายโฆษณาบนตึกสีเขียวออก
ภาพรวมของกล้องซูม 3x Hybrid Optical Zoom ของ S20/S20+ ถือว่าค่อนข้างโอเคกับการซูมระดับนี้ (แม้จะไม่เวอร์วังเหมือน 10x ของรุ่น Ultra ก็ตาม)
อีกคำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าเทียบกับกล้องซูมรุ่นก่อนหน้า (2x ใน Note 10) มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผมลองถ่ายมาเทียบให้ดูกันครับ
S20+ 1x
S20+ 2x
S20+ 3x
Note 10+ 1x
Note 10+ 2x
ถ้าถามความเห็นก็คือ 2x กับ 3x ไม่ต่างกันมากนักในแง่การใช้งานจริง คือมีซูมเพิ่มได้อีก 1 ระดับก็ถือว่าดีขึ้นแน่นอน แต่ไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น หากมีกล้องซูม 2x อยู่แล้ว การซื้อมือถือใหม่เพื่อได้ซูมเป็น 3x คงไม่คุ้มแน่ๆ แต่ถ้ามือถือยังไม่มีกล้องซูมมาก่อน กระโดดมา 3x เลยย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
สิ่งที่กล้องของ S20/S20+ พัฒนาขึ้นจากกล้องเจนก่อนของซัมซุงชัดเจนคือ การถ่ายภาพกลางคืน ที่ขนาดของเซ็นเซอร์รับแสงมีผลค่อนข้างมาก ตรงนี้เขียนไว้อย่างละเอียดแล้วใน รีวิว S20 Ultra คงไม่ขอเขียนถึงซ้ำ คิดว่าความสามารถในการถ่ายภาพตอนกลางคืนของ S20/S20+ เป็นรอง S20 Ultra เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สรุป: S20/S20+ สเปกเรือธง ที่ขาดแค่กล้องซูม 10x
Galaxy S20/S20+ เป็นมือถือสเปกเรือธงที่เหมือนกับ Galaxy S20 Ultra แทบทุกอย่าง ตั้งแต่หน่วยประมวลผลรุ่นท็อป, จอ 120Hz, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่, รอม One UI รุ่นใหม่ล่าสุด
จุดต่างของ S20/S20+ กับรุ่น Ultra คือกล้อง ถึงแม้สเปกจะตามหลังอยู่หลายจุด แต่ในแง่การใช้งานจริงแล้ว สิ่งที่ขาดคือความสามารถในการซูม 3x vs 10x เท่านั้น เพราะพวกการถ่าย 108MP/8K ก็แทบไม่ได้ใช้กันบ่อยนัก
กล้องของ S20/S20+ แม้ไม่ใช่รุ่นดีที่สุด แต่ก็พัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อน ขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น ภาพถ่ายตอนกลางคืนดูดีขึ้น ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ครบถ้วนเท่ากันกับ S20 Ultra
สิ่งที่ S20/S20+ เหนือกว่ารุ่น Ultra คือน้ำหนักที่เบากว่ากันมาก และการวางโมดูลกล้องที่ไม่ได้ "ปูด" จนโอเวอร์เหมือนกับ S20 Ultra
ส่วนราคานั้นต่างกันเยอะพอสมควร ถ้าอ้างอิงราคาอย่างเป็นทางการของซัมซุงเอง ทุกรุ่นย่อยที่ความจุ 128GB เท่ากันหมด S20 ตัวเล็กราคา 28,900 บาท, พี่กลาง S20+ ราคา 31,900 บาท, พี่ใหญ่ S20 Ultra ราคา 39,900 บาท
ราคาที่แตกต่างกัน 11,000 บาท (S20 vs S20 Ultra ที่จอขนาดต่างกันพอสมควร) หรือ 8,000 บาท (S20+ vs S20 Ultra ที่จอใกล้เคียงกัน ต่างกันแค่กล้อง) แลกกับความแตกต่างเรื้องกล้องซูมเท่านั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้พิจารณาว่าควรเลือกรุ่นไหน |
# พนักงานไมโครซอฟท์เซี่ยงไฮ้ เล่าประสบการณ์ทำงานที่บ้านช่วงโรค COVID-19 ระบาด
ไมโครซอฟท์เผยแพร่บล็อกของพนักงานไมโครซอฟท์ที่จีนสาขาเซี่ยงไฮ้คือ Lily Zheng เขียนเล่าประสบการณ์การต้องทำงานที่บ้านช่วงโรค COVID-19 ระบาด รวมถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากลูกค้าไมโครซอฟท์ที่ต้องทำงานที่บ้านเหมือนกัน
Lily มองเห็นพฤติกรรมลูกค้าของไมโครซอฟท์ช่วงกักตัว อย่างบริษัทประกันภัยรายหนึ่งทำประชุมทางวิดีโอถึงพนักงานทุกคนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าถึงข้อมูลล่าสุดเท่ากัน คนที่ไม่ได้เข้าร่วมวิดีโอคอลก็สามารถมาดูวิดีโอย้อนหลังที่บันทึกไว้ได้ บางโรงเรียนก็เริ่มเปิดการสอนออนไลน์ มีการจัดการตารางเวลาที่แน่นอน และพยายามสื่อสารกับนักเรียนอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้นักเรียนรู้สึกสับสนกับปริมาณข้อมูลที่มากเกินไป
การประชุมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็สามารถทำผ่านออนไลน์ได้หมด Lily ยกตัวอย่าง โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในต้าเหลียนได้จัดการประชุมพนักงานจำนวนมากผ่าน Microsoft Teams กุญแจสำคัญคือต้องมีกำหนดวาระประชุมที่ชัดเจน และการแก้ปัญหาระบบเสียงในการประชุมก็มีส่วนสำคัญด้วย
ด้านประสบการณ์ส่วนตัวของ Lily ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เนื่องจากทำงานบริษัทเทคโนโลยี การพูดคุย,ประชุมออนไลน์จึงเป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ ประชุมออนไลน์ช่วยให้ติดตามงาน พรีเซนต์งานได้ ไม่จำเป็นต้องยกเลิกการประชุมและนัดพูดคุยกับคนสำคัญได้ การสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานบ่อยๆ เช่นส่งรูปให้ดู ว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง ส่งข้อความให้กำลังใจก็ช่วยให้ไม่โดดเดี่ยวแปลกแยกเกินไป
ที่มา - ไมโครซอฟท์ |
# JD.com ไตรมาสล่าสุด รายได้รวมยังโตถึง 26.6%
JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์สองของจีน รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2019 มีรายได้รวม 24,517 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจบริการเพิ่มขึ้น 43.6% เป็น 3,012 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 510 ล้านดอลลาร์
Richard Liu ซีอีโอ JD.com กล่าวว่าการเติบโตเกิดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของสินค้าภายใต้แบรนด์ JD ซึ่งได้รับความเชื่อถือมากขึ้น นอกจากนี้การเติบโตยังมาจากเมืองรองในจีน และลูกเล่นนวัตกรรมใหม่ในการทำการตลาด
นอกจากนี้ Liu ยังอัพเดตสถานการณ์ของ COVID-19 โดยบอกว่า JD ได้เข้ามาช่วยเหลือด้านการขนส่ง ที่เป็นจุดแข็งของบริษัท เพื่อให้สินค้าและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นกระจายไปทั่วประเทศได้รวดเร็วและปลอดภัย
ที่มา: JD.com |
# โรงงานผลิตชิ้นส่วนกล้องสำหรับ iPhone ถูกสั่งปิด หลังพบพนักงานติด COVID-19
มีรายงานจากสำนักข่าว Reuters ระบุว่า LG Innotek ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญในการจัดส่งชิ้นส่วนกล้องของ iPhone ถูกสั่งปิดโรงงานแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ หลังตรวจพบพนักงานติด COVID-19
รายงานบอกว่าโรงงานดังกล่าวตั้งแต่อยู่ในเมืองกูมิ ซึ่งใกล้กับเมืองแดกูที่พบการระบาดของ COVID-19 มากที่สุด
ก่อนหน้านี้มีบทวิเคราะห์ว่า iPhone จะเริ่มผลิตได้เป็นปกติหลังไตรมาส 2 ทั้งจาก กำลังการผลิตที่ลดลงในโรงงานหลักที่จีน ไปจนถึงปัญหาการผลิตของซัพพลายเออร์ ซึ่งกรณีของ LG Innotek ที่มีข่าวว่าเป็นผู้จัดส่งชิ้นส่วนกล้องสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ปีนี้ ก็น่าจะส่งผลกระทบอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ที่มา: 9to5Mac ภาพ Facebook: LG Innotek |
# Tetsuya Nomura เผย FF7 Remake พัฒนาเสร็จแล้ว วางขายตามกำหนด 10 เม.ย.
Tetsuya Nomura ผู้กำกับเกม Final Fantasy VII Remake ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ 4Gamer ของญี่ปุ่นว่ากระบวนการพัฒนาเกมเสร็จสิ้นแล้ว เกมออกเวอร์ชันมาสเตอร์สำหรับปั๊มใส่แผ่นขาย ดังนั้นเกมจะไม่เลื่อนอีกแล้ว หลังประกาศเลื่อนวางขาย 1 เดือน จากเดือนมีนาคมมาเป็น 10 เมษายน
Final Fantasy VII Remake เพิ่งออกเดโมให้เล่นฟรีเมื่อวานนี้ ใครที่ลองเล่นแล้วก็มาแชร์ความเห็นกันได้ครับ
ที่มา - 4Gamer, DualShockers |
# Nissan จัดโปรโมชันลดราคารถยนต์ไฟฟ้า Nissan LEAF ลง 5 แสน เหลือ 1.49 ล้าน
Nissan ประเทศไทยประกาศออกโปรโมชันลดราคารถยนต์ไฟฟ้า Nissan LEAF ลง 500,000 บาท จากเดิม 1,990,000 บาท เหลือ 1,490,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 5 เมษายนนี้ หลังเปิดตัวในไทยตั้งแต่ปลายปี 2018 แต่ยอดขายยังไม่น่าประทับใจนัก
Nissan LEAF มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทาง 311 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มาพร้อมกับการรับประกันตัวรถ 3 ปี, ระบบไฟฟ้า 5 ปี และแบตเตอรี่ 8 ปีหรือ 160,000 กิโลเมตร
Nissan LEAF มีฟีเจอร์สำคัญ 2 อย่างด้วยกัน คือ ระบบช่วยขับ ProPILOT ที่สามารถรักษารถไว้ในเลนและแล่นไปเองได้ อย่างไรก็ตามรถที่จำหน่ายในประเทศไทยไม่มีฟีเจอร์นี้ ส่วนอีกฟีเจอร์คือ e-Pedal ที่เป็นการขับด้วยคันเร่งอย่างเดียว หากปล่อยคันเร่งรถจะค่อยๆ เบรกจนหยุดนิ่ง แต่แป้นเบรกแบบปกติยังมีให้ใช้อยู่ ซึ่ง Blognone เคยได้รับเชิญไปทดลองขับ Nissan LEAF เป็นกลุ่มแรกของประเทศไทยด้วย
ที่มา - ข้อความประชาสัมพันธ์
ภาพโดย Nissan |
# Facebook Messenger ปล่อยรุ่นใหม่ใช้ไลบรารีของ iOS เต็มรูปแบบ ลดปริมาณโค้ดลง 84%
เฟซบุ๊กประกาศปล่อยแอป Messenger เวอร์ชั่นใหม่ที่เป็นผลของโครงการ LightSpeed ที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว โดยแอปเวอร์ชั่นใหม่นี้เฟซบุ๊กเลิกพยายามใช้เฟรมเวิร์คคั่นกลางใดๆ แต่ใช้ไลบรารีและ UI ของ iOS โดยตรงทั้งหมด เพื่อทำแอปให้เบาเท่าที่เป็นไปได้
นอกจากการใช้ไลบรารีระบบปฎิบัติการแล้ว การเก็บข้อมูลยังใช้ SQLite สำหรับเก็บข้อมูลบนเครื่อง ส่วนข้อมูลที่ไม่เหมาะกับ SQLite จะอาศัยการซิงก์จากเซิร์ฟเวอร์ลงมา ทำให้ต้องสร้างโปรโตคอลการซิงก์ใหม่ที่สามารถซิงก์ข้อมูลได้แทบทุกส่วน
แอปเวอร์ชั่นใหม่นี้เขียนใหม่ทั้งหมด และปริมาณโค้ดรวมลดลงจาก 1.7 ล้านบรรทัดเหลือ 360,000 บรรทัด แอปรวมเบาลงและทำงานเร็วขึ้น ในแง่การพัฒนาเองเฟซบุ๊กระบุว่าจะทำให้ทีมวิศวกรสร้างสรรค์ฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้เร็วขึ้นด้วย สำหรับผู้ใช้แอปจะมีขนาดเล็กลงเหลือ 1 ใน 4 ของเวอร์ชั่นก่อน และโหลดเร็วขึ้นเท่าตัว
ที่มา - Facebook Engineering Blog |
# NVIDIA ปรับรูปแบบงาน GTC 2020 เป็นออนไลน์ คาดเปิดตัวจีพียูใหม่ Ampere
NVIDIA ประกาศปรับรูปแบบงานสัมมนาใหญ่ประจำปี GPU Technology Conference (GTC) 2020 ที่เมือง San Jose ในแคลิฟอร์เนีย เป็นงานออนไลน์แทน จากปัญหาไวรัสโคโรนา COVID-19
งานยังจัดวันที่ 22-26 มีนาคมนี้เหมือนเดิม และซีอีโอ Jensen Huang ยังมีกำหนดกล่าวเปิดงานเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนมาถ่ายทอดผ่านไลฟ์สตรีมแทน ส่วนผู้ที่ซื้อบัตรเข้าร่วมงานไปแล้วจะได้เงินคืนเต็มจำนวน
คาดกันว่า Jensen Huang จะเปิดตัวจีพียูรุ่นใหม่โค้ดเนม "Ampere" (ตัวต่อของ Turing) ที่รอกันมานาน และน่าจะใช้ชื่อ GeForce RTX ซีรีส์ 3000 ทำตลาด
งานสัมมนาสายไอทีที่จัดในช่วงนี้หลายงาน ล้วนแต่ปรับรูปแบบเป็นการถ่ายทอดผ่านออนไลน์ (เช่น Google Cloud Next '20, Facebook F8) หรือไม่ก็ต้องเลื่อนจัดงานไปเลย (เช่น GDC 2020)
ที่มา - NVIDIA |
# หากินทุกทาง Dead or Alive 6 คิดเงินค่าเปลี่ยนสีผมของตัวละคร ครั้งละ 1 ดอลลาร์
Dead or Alive 6 เกมต่อสู้ที่ช่วงหลังหันไปเน้นหากินจากการขายชุดของตัวละคร ออกอัพเดตใหม่เวอร์ชัน 1.20 ที่หารายได้จาก microtransaction คิดเงินค่าเปลี่ยนสีผมของตัวละครครั้งละ 1 ดอลลาร์
ตอนแรกนั้น ฟีเจอร์เปลี่ยนสีผมทำให้แฟนๆ เกม DOA 6 ตื่นเต้นที่สามารถปรับแต่งตัวละครได้ละเอียดกว่าเดิม แต่กลายเป็นว่า Koei Tecmo ต้นสังกัดกลับมาหากินผ่านวิธีนี้แทน ทำให้แฟนๆ ไม่พอใจและรวมตัวกันประท้วงผ่านช่องทางโซเชียลต่างๆ แล้ว
ฟีเจอร์เปลี่ยนสีผมนี้ยังมีเฉพาะเวอร์ชัน PS4 เท่านั้น
ที่มา - Free Step Dodge, Kotaku |
# Nokia เปลี่ยนตัวซีอีโอ Rajeev Suri ลงจากตำแหน่งหลังอยู่มานาน 10 ปี
Rajeev Suri ซีอีโอของ Nokia ประกาศลงจากตำแหน่ง หลังจากนั่งเป็นซีอีโอมาตั้งแต่สมัย Nokia Siemens Networks (NSN) นานกว่าสิบปี
Rajeev Suri เป็นคนเชื้อสายอินเดียที่มาได้สัญชาติสิงคโปร์ เขาทำงานกับ Nokia มาตั้งแต่ปี 1995 และในปี 2009 ขึ้นเป็นซีอีโอของ Nokia Siemens Networks ตอนนั้นเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Nokia-Siemens ก่อนที่ Nokia จะซื้อหุ้นทั้งหมดของ Siemens ในปี 2013
เมื่อ Nokia บริษัทแม่มีปัญหาธุรกิจ และขายธุรกิจโทรศัพท์มือถือให้ไมโครซอฟท์ในปี 2013 ทำให้ Suri ที่ดูแลธุรกิจอุปกรณ์เครือข่าย (ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ Nokia ที่เหลืออยู่) ขึ้นมาเป็นซีอีโอของ Nokia ในปี 2014
วิดีโอแนะนำ Rajeev Suri ตอนรับตำแหน่งซีอีโอ
Suri แจ้งกับบอร์ดว่าจะลงจากตำแหน่งมาสักระยะ และบอร์ดก็ตั้งคณะกรรมการสรรหาซีอีโอคนใหม่ ที่พิจารณาทั้งคนในและคนนอกบริษัท โดยคนที่จะขึ้นมาเป็นซีอีโอคนใหม่ของ Nokia คือ Pekka Lundmark ปัจจุบันเป็นซีอีโอของ Fortum บริษัทพลังงานของฟินแลนด์ โดยเขาเคยทำงานกับ Nokia มาก่อนในช่วงปี 1990-2000 การเปลี่ยนแปลงจะมีผลในวันที่ 1 กันยายน 2020
ความท้าทายของ Nokia ในช่วงนี้คือเริ่มเจอปัญหาแข่งขันในตลาดอุปกรณ์ 5G โดยเฉพาะจากผู้เล่นฝั่งจีน ซึ่งนักวิเคราะห์ก็คาดกันว่า Nokia จะถูกบีบให้ควบกิจการกับ Ericsson ในไม่ช้า
ที่มา - Nokia |
# เหตุจากโรค COVID-19 บริษัท Google ในไอร์แลนด์เริ่มให้พนักงานทำงานที่บ้านแล้ว
สำนักงาน Google ในยุโรป (ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์) เริ่มให้พนักงานทำงานจากที่บ้านแล้ว หลังโรค COVID -19 ระบาด และมีพนักงานคนหนึ่งกำลังตรวจดูอาการว่าเข้าข่ายติดเชื้อหรือไม่ Twitter และ Coinbase ก็เริ่มให้พนักงานทำงานจากที่บ้านด้วยเช่นกัน
"เรายังคงใช้มาตรการป้องกันล่วงหน้าเพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และขอให้ทีมดับลินทำงานจากที่บ้านในวันพรุ่งนี้" โฆษกของ Google กล่าว
สัปดาห์ที่ผ่านมา พนักงาน Google ใน Zurich ก็ตรวจพบว่าติดเชื้อ หลังจากนั้นก็ออกนโยบายจำกัดการเดินทางให้พนักงาน ไม่ไปประเทศกลุ่มเสี่ยง นอกจาก Google แล้ว ด้านสำนักงาน Google ในประเทศกลุ่มเสี่ยงที่จีน และไต้หวัน ฮ่องกง ก็ปิดทำการชั่วคราว
บริษัทไอทีใหญ่รายอื่นก็เริ่มให้พนักงานทำงานที่บ้าน คือ Twitter ที่ถอนตัวไม่เข้าร่วมงานสัมมนาเทรนด์โลก SXSW ด้วย และยังมี Coinbase ที่ให้พนักงานทำงานที่บ้าน
ภาพจาก Google Press Corner
ที่มา - Business Insider |
# งาน Google Cloud Next 2020 จะจัดผ่านออนไลน์เท่านั้น เลี่ยงภัย COVID-19
Google Cloud Next งานประชุมนักพัฒนาที่ Google จัดทุกปี โดยปีที่แล้วมีคนเข้าร่วม 3,000 ราย และในปีนี้ ทางบริษัทระบุว่าจะจัดงานแบบออนไลน์เท่านั้น เลี่ยงภัย COVID-19
ตามกำหนดการเดิมคืองานจัดที่ซานฟรานซิสโก ระหว่างวันที่ 6-8 เมษายน ซึ่งกำหนดการใหม่จะเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด พูดคีย์โน้ตผ่านไลฟ์สตรีม มีเซสชั่นแยกย่อยและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญแบบ interactive
ก่อนหน้านี้ Google ก็ยกเลิกการจัดงาน Google News Initiative Summit ไปแล้วเนื่องจากไวรัส ซึ่งจะจัดในปลายเดือนเมษายนนี้เช่นกัน ส่วนงาน Google I/O จะยังคงจัดตามปกติในเดือนพฤษภาคม
ที่มา - CNET |
# อาลีบาบาชี้ว่า AI ของตัวเองตรวจจับโรค COVID-19 ได้แม่นยำ 96% จากการดู CT scan
จากรายงานของ Nikkei Asian Review ที่อ้างอิงจากรายงาน Sina Tech News ของจีนอีกทีระบุว่า อาลีบาบาพัฒนาระบบ AI ของตัวเองสามารถตรวจจับไวรัส COVID-19 ได้จากการดูแผ่น CT scan ช่วงอกได้แม่นยำ 96% และใช้เวลาเพียง 20 วินาทีในการให้ AI ตัดสินใจ ตัวระบบสามารถบอกความแตกต่างระหว่างปอดที่ติดเชื้อ COVID-19 และปอดบวมเฉยๆ ได้ด้วย
ระบบดังกล่าวพัฒนาโดยศูนย์วิจัย Damo Academy ของอาลีบาบา ฝึกโดยป้อนข้อมูลรูป CT scan จากผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ COVID-19 5,000 ราย โดยตอนนี้มีโรงพยาบาลราว 100 แห่งในจีนที่ใช้ระบบ AI ของอาลีบาบา ในรายงานยังบอกด้วยว่า ปกติแพทย์ใช้เวลาวินิจฉัยอาการของโรคจาก CT scan ราว 15 นาที และต้องใช้การถ่าย CT scan มากกว่า 300 แผ่นในบางครั้ง
ก่อนหน้านี้ นักวิจัย Damo Academy ก็ได้พัฒนา AI ที่เป็นบริการให้ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัส SARS-CoV-2 หรือ COVID-19 ถูกนำไปใช้ครั้งแรกโดยรัฐบาลของมณฑลเจ้อเจียงเมื่อวันที่ 27 มกราคม โดยระบบสามารถตอบคำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับ การแพร่ระบาดบนแอปพลิเคชั่นได้
ภาพจาก Shutterstock
ที่มา - Nikkei Asian Review |
# Apple ยอมจ่ายค่าเสียหายสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ ในอเมริกา จากคดีถูกฟ้องที่ iPhone รุ่นเก่าทำงานช้า ถ้าแบตเตอรี่เสื่อม
แอปเปิลตัดสินใจขอยุติคดี หลังมีผู้ยื่นฟ้องประเด็นที่แอปเปิลปรับแต่ง iOS ให้ทำงานช้าลงบน iPhone รุ่นเก่า เนื่องจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ซึ่งลูกค้าจำนวนหนึ่งยื่นฟ้องโดยอ้างว่าแอปเปิลไม่ชี้แจงให้ชัดเจน และอาจทำเพื่อให้คนไปซื้อ iPhone รุ่นใหม่แทน
โดยมีเอกสารเปิดเผยออกมาเมื่อวันศุกร์ว่าแอปเปิลได้ยื่นข้อเสนอจ่ายค่าเสียหาย รายละ 25 ดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นวงเงินรวมสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ แต่อย่างน้อยอยู่ที่ 310 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ข้อเสนอยุติคดีดังกล่าว ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้พิพากษาศาลเมือง San Jose ก่อน จึงจะเป็นผล
เงื่อนไขของผู้มีสิทธิรับเงินชดเชยค่าเสียหาย ต้องเป็นลูกค้าในอเมริกาที่ใช้ iPhone 6, 6 Plus, 6s, 6s Plus, 7, 7 Plus หรือ SE ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 10.2.1 หรือสูงกว่า รวมทั้ง iPhone 7, 7 Plus ที่ใช้ iOS 11.2 ขึ้นไป ก่อนวันที่ 21 ธันวาคม 2017
ประเด็น iOS ทำงานช้าลงใน iPhone รุ่นเก่า ทำให้แอปเปิลต้องออกมาขอโทษลูกค้า รวมทั้งปรับลดราคาค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นเวลา 1 ปี และเพิ่มตัวเลือกตั้งแต่ iOS 11.3 ให้ผู้ใช้งานเลือกได้เองว่าจะให้ iPhone ทำงานช้าลง หรือทำงานเต็มประสิทธิภาพตามปกติ |
# ไม่ต้องเสียเงิน! Unity เปิดตัว Student Plan นักศึกษาใช้งานได้เหมือนตัว Pro
ปกติแล้วเราสามารถใช้งานโปรแกรม Unity ที่มีฟีดเจอร์ครบครันได้ฟรี ยกเว้นเครื่องมือเสริมที่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม(บางเครื่องมือใช้ได้ฟรีแต่มีข้อจำกัด) ซึ่งส่วนมากจะต้องซื้อในแพลน Plus หรือ Pro ที่มีราคาสูงทำให้นักเรียนนักศึกษาไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือพวกนี้ได้
ล่าสุดทาง Unity ได้ประกาศเพิ่ม Student Plan ที่มีสิทธิเหมือนแพลน Pro เพื่อช่วยให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงเครื่องมือไปเรียนรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานในอุตสาหกรรมเกมมากขึ้น
โดยสิทธิ์พิเศษที่จะได้รับมีดังนี้
Cloud-based Collaboration ระบบแชร์และจัดการไฟล์โปรเจคระหว่างสมาชิกในทีม
Cloud build บิวเกมบน Unity cloud ได้เร็วขึ้น
Learn Premium เข้าถึงเนื้อหาคอร์สเรียนออนไลน์แบบเสียเงินบนแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของ Unity
Student Asset Pack ไฟล์โมเดลสามมิติคุณภาพสูง
Dark UI theme เปลี่ยนธีมโปรแกรมให้เป็นสีดำ (ใช่ครับอ่านไม่ผิด เวอร์ชันฟรีเปลี่ยนไม่ได้)
นักศึกษาสามารถไปลงทะเบียนเพื่อขอรับ Student Plan ได้แล้ววันนี้ผ่านเว็บ Unity Student หรือทาง GitHub Student Developer Pack ผู้ลงทะเบียนจะต้องมีบัญชีทั้ง Unity ID และ GitHub เพื่อใช้ในการลงทะเบียน หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้วจะมีอีเมลพร้อมคีย์ในการเปิดใช้งานสิทธิส่งมา ให้นำไปเปิดใช้งานสิทธิได้ที่หน้า My Account
หมายุเหต: ผู้ลงทะเบียนต้องยืนยันการเป็นนักศึกษาด้วยบัญชี GitHub ที่อยู่ในโครงการ GitHub Education
ที่มา - Unity |
# Kubeflow ออกรุ่น 1.0: พัฒนาโมเดล, ฝึกปัญญาประดิษฐ์ บน Kubernetes
Kubeflow ชุดบริการสำหรับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แบบ deep learning บน Kubernetes ออกรุ่น 1.0 โดยแอปพลิเคชั่นย่อยส่วนสำคัญๆ ได้ออกรุ่นเสถียรออกมาพร้อมกัน ทำให้พร้อมสำหรับการใช้งานจริงแล้ว
แอปพลิเคชั่นย่อยที่พร้อมใช้งานบนโปรดักชั่นแล้ว ได้แก่
Kubeflow UI หน้าจอ dashboard ดูภาพรวม
Jupyter notebook controller สร้างโน้ตบุ๊กสำหรับพัฒนา และตัวหน้าเว็บ
Tensorflow Operator และ PyTorch Operator กระจายงานฝึกโมเดลให้ทั่วคลัสเตอร์
kfctl คำสั่งดีพลอยงานและการอัพเกรดซอฟต์แวร์
Profile controller จัดการผู้ใช้
ถ้านับแอปพลิเคชั่นระดับเบต้า ก็จะมีส่วนสำคัญเช่น KFServing สำหรับการรันปัญญาประดิษฐ์เป็น API, หรือ Pipelines เอนจินรันงาน เช่นการจัดรูปข้อมูลก่อนรันโมเดล
ที่มา - Medium: Kubeflow |
# ศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์ญี่ปุ่นเตือน คนร้ายเริ่มปลอมเป็นห้างร้านแจ้งลูกค้าว่าจะแจกหน้ากาก หลอกเอาล็อกอิน
Japan Cybercrime Control Center (JCCC) หรือศูนย์ควบคุมอาชญากรรมไซเบอร์ญี่ปุ่นแจ้งเตือนอีเมล phishing เริ่มปรับเนื้อหาให้ตรงกับเหตุการณ์ ด้วยการปลอมเป็นห้างร้านต่างๆ หลอกเหยื่อว่าห้างกำลังส่งหน้ากากอนามัยให้ฟรี
อีเมลเหล่านั้นมักเป็นลิงก์ไปยังเว็บหลอก หรือบางครั้งก็หลอกให้ติดตั้งแอป โดยเป้าหมายอาจจะมีทั้งรหัสผ่าน Apple ID, หรือบางทีก็ขอหมายเลขบัตรเครดิต
นอกจากอีเมลหลอกเช่นนี้ ยังมีการเปิดหน้าเว็บอีคอมเมิร์ชปลอม หลอกลูกค้าว่ามีหน้ากากอนามัยขายแต่พอจ่ายเงินไปแล้วก็ไม่เคยได้สินค้า
ที่มา - Japan Times |
# กูเกิลเปิดตัวโครงการ Tidal ใช้เทคโนโลยีปกป้องทะเลเพื่อให้ทุกคนอิ่มท้อง เริ่มจากการสร้าง AI สังเกตพฤติกรรมปลา
บริษัท X ในเครือ Alphabet บริษัทแม่ของกูเกิลเปิดตัวโครงการ Tidal ทีมงานสร้างเทคโนโลยีปกป้องทะเลและรักษาทะเลให้เป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ต่อไป
ทางโครงการระบุว่าก่อนหน้านี้มนุษย์เข้าใจทะเลน้อยมาก การศึกษาทำได้ลำบากโดยเฉพาะก้นทะเลลึก แต่ขณะเดียวกันเราก็ใช้ทะเลอย่างหนัก ทั้งการสร้างมลภาวะ, การประมงเกินขนาด, ขยะพลาสติก, ไปจนถึงภาวะทะเลเป็นกรด ทำให้มีความเสี่ยงที่มนุษย์จะใช้ทะเลเป็นแหล่งอาหารไม่ได้อีกแล้ว
โครงการเริ่มต้นของ Tidal คือการสร้างกล้องตรวจจับปลาในฟาร์ม สามารถจับพฤติกรรมปลาแยกทีละตัวได้นับพันตัวพร้อมๆ กัน พร้อมกับเก็บข้อมูลการกินอาหาร, อุณหภูมิ, และระดับออกซิเจนในน้ำ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ชาวประมงจัดการกระชังปลาได้ดีขึ้น ใส่อาหารลงไปในกระชังได้พอเหมาะทำให้เหลือเป็นขยะไปในทะเลน้อยลง
ที่มา - X Blog |
# Raspberry Pi ประกาศลดราคา Pi 4 รุ่นแรม 2GB เหลือ 35 ดอลลาร์เท่า 1GB
Raspberry Pi ประกาศลดราคา Raspberry Pi 4 รุ่นแรม 2GB จาก 45 ดอลลาร์เหลือ 35 ดอลลาร์ ทำให้ราคาเท่ากับรุ่นล่างสุดแรม 1GB
นโยบายราคาของ Rasberry Pi คือการคงราคาเริ่มต้น 35 ดอลลาร์เอาไว้ สำหรับ Model B ที่เป็นรุ่นยอดนิยม และเริ่มต้น 25 ดอลลาร์สำหรับ Model A โดยราคานี้ไม่เปลี่ยนแปลงนับแต่โครงการเปิดตัวในปี 2012 ซึ่งหากคิดเงินเฟ้อ 35 ดอลลาร์ในตอนเริ่มโครงการจะเท่ากับ 40 ดอลลาร์ในวันนี้แล้ว
สำหรับรุ่น 1GB จะยังมีขายต่อไปสำหรับงานด้านอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ แต่สำหรับคนใช้ทั่วไปไม่มีประโยชน์ที่จะสั่งรุ่นนี้มาใช้งานแล้ว ส่วนรุ่นแรม 4GB ยังคงราคา 55 ดอลลาร์เท่าเดิมไม่ลดราคาเช่นกัน
ที่มา - Raspberry Pi Blog |
# [CS:GO] พิษ COVID-19 ดันรอบชิงงาน IEM Katowice 2020 ทำลายสถิติจำนวนผู้ชมแบบออนไลน์
ไม่ใช่แค่เพียง League of Legends ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 งานแข่งขัน CS:GO ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดงานหนึ่งอย่าง Intel Extreme Masters Katowice 2020 ก็โดนหางเลขไปเช่นเดียวกัน เมื่อผู้จัดงานต้องยกเลิกการให้ผู้ชมเข้าชมการแข่งขันก่อนการแข่งขันเพียงไม่นาน
แต่ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้รอบชิงชนะเลิศของรายการนี้สามารถทำลายสถิติตัวเลขจำนวนผู้ชมการแข่งขัน CS:GO สำหรับรายการที่ไม่ใช่ระดับ Major สูงสุดลงไปได้ โดยมีจำนวนผู้ชมสูงสุดถึง 1,002,132 วิว
สำหรับการแข่งขันในรอบชิงที่สามารถทำลายสถิติจำนวนผู้ชมลงไปได้นั้นคือการพบกันระหว่าง Natus Vincere และ G2 Esports ซึ่งฝ่ายแรกเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-0 และการแข่งขันนี้จัดขึ้นในสนาม Spodek Arena ที่มีจำนวน 11,500 ที่นั่งแต่ไม่มีผู้เข้าชม หลังจากหน่วยงานสาธารณสุขของโปแลนด์ไม่อนุญาตให้มีการเข้าชมการแข่งขันเพื่อป้องกันการกระจายของโรค COVID-19
นอกจากสองเกมดังกล่าวข้างต้น ยังมีอีกหลายทัวร์นาเมนต์และงานแข่งขันเกมที่ได้รับผลกระทบอีกเช่นเดียวกัน เช่น Overwatch League ที่ได้ย้ายการแข่งขันจากประเทศจีนมายังเกาหลีใต้ และในท้ายที่สุดก็ต้องยกเลิกการแข่งขันทั้งหมดยาวไปจนถึงวันที่ 22 มีนาคม 2020 นี้ เป็นต้น
ที่มา: Polygon |
# Cloudflare เลือก AMD EPYC เป็นซีพียูสำหรับเซิร์ฟเวอร์รุ่นที่สิบ ระบุทำงานเร็วกว่าแต่ถูกกว่าอินเทล เข้ารหัสแรมได้
Cloudflare ประกาศเริ่มติดตั้งเซิร์ฟเวอร์รุ่นที่สิบ หรือ Gen X โดยจุดสำคัญคือมันจะเป็นเซิร์ฟเวอร์รุ่นแรกที่ไม่ใช้ชิ้นส่วนอินเทลเลย ไม่ว่าจะเป็นซีพียู, แรม, สตอเรจ, หรือเน็ตเวิร์ค โดยเฉพาะตัวซีพียูนั้นเลือก AMD EPYC 7642
ก่อนการตัดสินใจครั้งนี้ ทาง Cloudflare ทดสอบซีพียูหลายรุ่นโดยเน้นประสิทธิภาพของจำนวน request ที่รับได้เทียบกับอัตราการกินพลังงาน จึงเลือก AMD EPYC 7642 ที่มี 48 คอร์ 96 เธรดเท่าๆ กับ Intel Xeon Platinum 6162 ที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์รุ่นที่ 9 แบบสองซ็อกเก็ตและมีคอร์รวมเท่ากัน แต่ AMD มีความได้เปรียบที่แคช L3 ขนาดใหญ่มาก (256MB) ทำให้อัตรา cache miss ต่ำลง และอัตราสัญญาณนาฬิกาพื้นฐานก็สูงกว่า ทำให้การรับโหลดสูงๆ ต่อเนื่องยาวนานได้ประสิทธิภาพมากกว่า
โดยรวมเซิร์ฟเวอร์ Gen X จะรองรับโหลดได้เพิ่มขึ้น 36% อัตรา cache miss ลดลง 50% ทำให้ระยะเวลาหน่วง p99 (99% แรกของ request ทั้งหมด) ลดลง 50% ตัวซีพียูก็มีอัตราการปล่อยความร้อนต่ำลง 25%
ซีพียูรุ่นที่ Cloudflare ใช้งานอาจจะต่างจากรุ่นทั่วไปอยู่บ้าง โดย Cloudflare ระบุว่ารีดประสิทธิภาพได้เพิ่มขึ้นจากการคอนฟิกเสปกความร้อนร่วมกับ AMD ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 6%
นอกจากความคุ้มในแง่ประสิทธิภาพแล้ว Cloudflare ยังชม ซีพียูรุ่นใหม่นี้ว่าสามารถเปิดใช้ฟีเจอร์ Secure Memory Encryption (SME) สำหรับเข้ารหัสแรมได้โดยประสิทธิภาพแทบไม่ลดลงเลย
ที่มา - Cloudflare |
# กสทช. ออสเตรเลียบังคับค่ายมือถือยืนยันตัวตนลูกค้าสองขั้นตอนก่อนออกซิมใหม่ วางค่าปรับ 5 ล้านบาทหากทำไม่ครบ
Australian Communications and Media Authority (ACMA) หรือกสทช.ออสเตรเลียประกาศมาตรฐานการตรวจสอบผู้ใช้ก่อนออกซิมใหม่ หลังพบว่าประชาชนเป็นเหยื่อมากขึ้นและการถูกขโมยหมายเลขโทรศัพท์แต่ละครั้งทำให้เหยื่อเสียหายเฉลี่ยสูงกว่า 10,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือมากกว่าสองแสนบาท
ทาง ACMA ไม่ได้แยกย่อยว่าความเสียหายส่วนใหญ่เกิดจากอะไร แต่ก็ระบุความสำคัญของการใช้บริการธนาคารบนโทรศัพท์มือถือ ที่หากคนร้ายควบคุมหมายเลขโทรศัพท์ได้ก็จะขโมยเงินได้
กฎใหม่นี้บังคับให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือต้องยืนยันตัวตนลูกค้าที่มาขอเปลี่ยนซิมด้วยมาตรการ 2 ขั้นตอนเป็นอย่างน้อย (multi factor authentication) ผู้ให้บริการที่ไม่ทำตามข้อกำหนดนี้มีโทษปรับสูงสุด 250,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียหรือ 5 ล้านบาท
นอกจากการบังคับยืนยันตัวตนหลายขั้นตอนแล้ว ทาง ACMA ยังพยายามปรับปรุงความปลอดภัยและลดการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์โดยรวม เช่น มาตรการ Do Not Originate List เปิดให้แบรนด์สามารถลงทะเบียนป้องกันคนร้ายมาสวมรอยเป็นเบอร์ต้นแทาง หรือมาตรการตัดการเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่มีปริมาณการโทรหลอกลวงสูงๆ
ที่มา - ACMA |
# Huawei เปิดตัวชิป Wi-Fi 6 สำหรับสมาร์ทโฟนและเราเตอร์
Huawei เปิดตัวชิปเซ็ตโซลูชัน Wi-Fi 6+ 2 ตัวได้แก่ Kirin W650 สำหรับสมาร์ทโฟนและ Gigahome 650 สำหรับเราเตอร์
ตัวชิป Kirin W650 รองรับแบนด์วิธสูงสุด 160 MHz และ throughput สูงสุด 2.4 Gbit/s พร้อมเทคโนโลยี Dynamic Narrow Bandwidth ปรับแบนด์วิธตามสภาพแวดล้อมที่สัญญาณ Wi-Fi แย่ ให้คุณภาพการรับส่งข้อมูลดีขึ้น รวมถึงสามารถรับส่งสัญญาณทะลุทะลวงกำแพงได้มากกว่ารุ่นอื่น ๆ และรับส่งสัญญาณบลูทูธได้กว่าปกติ 3 เท่า
ส่วนชิป Gigahome 650 ที่มี PLC และ CPU ในตัว มีเสาสัญญาณ 2 เสา รองรับแบนด์วิธสูงสุด 160 MHz และ throughput สูงสุด 3 Gbit/s มีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่รับรองโดย TrustZone
ที่มา - HuaweiCentral |
# MV เพลง Stupid Love ของนักร้องดัง Lady Gaga ใช้ iPhone 11 Pro ถ่าย
MV เพลงใหม่ล่าสุด Stupid Love ของนักร้องดัง Lady Gaga ใช้ iPhone 11 Pro ถ่ายทั้งหมด โดยมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อย่างอุปกรณ์กันสั่น, ไฟ นอกจากนี้ยังใช้แอปพลิเคชั่น Filmic Pro ที่ช่วยให้วิดีโอที่ถ่ายมามีความเป็น cinematic มากขึ้น
ในปี 2018 ผู้กำกับ Steven Soderbergh ก็ถ่ายหนังสยองขวัญ Unsane โดยใช้ iPhone 7 Plus และ MV เพลงของนักร้องดัง Selena Gomez เพลง “Lose You To Love Me” ก็ใช้ iPhone 11 Pro ถ่ายด้วยเช่นกัน
ถือเป็นอีกช่องทางการโฆษณาฮาร์ดแวร์ คือ Apple ได้ร่วมมือกับเซเลบริตี้ คนดัง โปรโมทผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
ที่มา - PCmag |
# Advice ร้านอุปกรณ์ IT ประกาศไม่เข้าร่วมงาน Commart X Pro 2020 เนื่องจากโรค COVID-19
งาน Commart X-Pro 2020 หรืองาน Commart รวมอุปกรณ์ไอทีมาขายในราคาถูก โดยปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 8 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ล่าสุด Advice ร้านอุปกรณ์ IT ออกมาประกาศไม่เข้าร่วมงาน เพราะสถานการณ์โรค COVID-19 ระบาด
Advice คือร้านขายอุปกรณ์ IT จากหลากหลายแบรนด์ ปัจจุบันมี 350 สาขาทั่วประเทศ และมีหน้าร้านค้าออนไลน์คือ www.advice.co.th
ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์ |
# เดโม FF7 Remake เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ว ทุกคนที่มี PS4 เล่นได้ฟรี
Square Enix เปิดให้ดาวน์โหลดเดโมของเกม Final Fantasy VII Remake บน PlayStation Store แล้ว ผู้ที่มี PS4 ทุกคนสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี โดยไม่จำเป็นต้องพรีออเดอร์ซื้อเกมก่อน
เดโมนี้เปิดให้เราเล่นภารกิจแรกของเกมคือ Bombing Mission ที่กลุ่ม Avalanche ต้องไประเบิดเตาปฏิกรณ์ Mako ในเมือง Midgar
ที่มา - @FinalFantasyVII, IGN |
# หายไปอีกที่ Plague Inc. เกมไวรัสถล่มโลกถูกถอดจากหน้าร้าน Steam ในจีน
หลังจากไม่กีวันก่อนที่ Plague Inc. เกมจำลองการแพร่เชื้อไวรัสถล่มโลก ได้ถูกถอดออกจาก App Store ในประเทศจีน ก็ถึงคราวของ Steam แพลตฟอร์มขายเกมยอดนิยมของชาว PC เมื่อมีผู้ใช้ในจีนพบว่าหน้าร้านเกมนี้บน Steam ไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการถอดออกจากการซื้อโดยตรงผ่านทาง Steam เท่านั้น ผู้ใช้งานในจีนยังสามารถซื้อเกมในรูปแบบ Key แล้วนำมาเปิดใช้ได้อยู่
ที่มา - @ZhugeEX |
# Huawei แพลนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเน็ตเวิร์คในยุโรป หวังแก้ข้อกล่าวหาฮั้วรัฐบาลจีน
Huawei เตรียมจะสร้างโรงงานชิ้นส่วนอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค 4G และ 5G ในฝรั่งเศส เป็นแห่งแรกในยุโรป เพื่อแก้ข้อกล่าวหาว่ามีนอกมีในกับรัฐบาลจีนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศตะวันตกมากขึ้น
Huawei ให้เหตุผลที่เลือกฝรั่งเศสเพราะเหตุผลด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมที่พร้อมและแรงงานคุณภาพเยอะ ขณะที่นักวิเคราะห์ระบุว่าการสร้างโรงงานนี้ของ Huawei จะช่วยให้บริษัทเป็นส่วนหนึ่งกับระบบซัพพลายเชนในยุโรปมากขึ้น
ยุโรปเป็นหนึ่งในตลาดโทรคมนาคมของ Huawei โดยบริษัทเผยว่าเซ็นสัญญาโครงข่าย 5G กับโอเปอเรเตอร์ไปแล้ว 91 รายทั่วโลกและมาจากยุโรปถึง 47 ราย
ที่มา - SCMP |
# .NET Core 3.0 หมดระยะซัพพอร์ต ให้ย้ายไปใช้ .NET Core 3.1 ที่เป็น LTS แทน
ไมโครซอฟท์ประกาศหยุดซัพพอร์ต .NET Core 3.0 ในวันพรุ่งนี้ (3 มีนาคม 2020) ด้วยเหตุผลว่าให้ย้ายไปใช้ .NET Core 3.1 ที่เป็นรุ่นซัพพอร์ตระยะยาว (LTS) แทน
ประกาศนี้ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพร์ส เพราะไมโครซอฟท์เคยประกาศไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า .NET Core 3.0 จะมีอายุสั้นมากๆ ส่วน .NET Core 3.1 จะซัพพอร์ตนานถึง 3 ปี
หลังจากนี้ไป ไมโครซอฟท์จะออก .NET รุ่นใหญ่ปีละ 1 ครั้งในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี (รุ่นหน้าคือ .NET 5 ที่จะออกตัวจริงปลายปีนี้) และจะเป็นเวอร์ชันซัพพอร์ตระยะยาว (LTS) รุ่นเว้นรุ่น ในรุ่นที่ใช้เลขเวอร์ชันเป็นเลขคู่ (ถัดจาก .NET Core 3.1 จะเป็น .NET Core 6 ที่ออกพฤศจิกายน 2021)
ที่มา - Microsoft |
# คนจีนเก็บตัวช่วงไวรัสระบาด ดันยอดสั่งซื้อวัตถุดิบอาหาร เครื่องออกกำลังกาย พุ่งสูง
ช่วงเวลาที่โรค COVID-19 ระบาด ประเทศจีนก็แทบจะปิดตาย จำกัดการเดินทาง คนจีนต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
เทรนด์หนึ่งที่มาพร้อมกันนี้คือ ประชาชนใช้ไลฟ์สตรีมมิ่งเป็นช่องทางแก้เบื่อ และทำงานอดิเรก ไม่ว่าจะเป็นดูวิดีโอสอนทำกับข้าว ออกกำลังกาย แต่งหน้า ดูมกบังหรือไลฟ์กินข้าวโชว์ ยอดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่เกี่ยวข้องก็พุ่งขึ้นด้วย
ข้อมูลจาก Ele.me บริการส่งอาหารในเครืออาลีบาบาระบุว่ายอดสั่งซื้อแป้งทำกับข้าวเพิ่มขึ้น 700% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงพวกซอส เครื่องปรุง ความงามและการออกกำลังกายก็เป็นเทรนด์ที่ชัดมากบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเทรนด์สอนแต่งหน้าสวยแม้ใส่หน้ากากอนามัยมียอดคนดู 8.2 ล้านรายบน Taobao Live (ตัวเลขวันที่ 18 กุมภาพันธ์) ข้อมูลจากอาลีบาบายังบอกด้วยว่ายอดสั่งซื้อเครื่องสำอางโดยเฉพาะอายชาโดว์เพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว
ภาพจาก Shutterstock
คีย์เวิร์ด “Looking slim” เป็นคำค้นหามากขึ้นใน Taobao ยอดขายเครื่องออกกำลังกายเพิ่มขึ้น 2,257% เทียบกับปีที่แล้ว เสื่อโยคะเพิ่มขึ้น 250% นอกจากนี้ Ring Fit Adventure ของ Nintendo ก็เพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน
ในสถานการณ์ปกติ คนจีนก็นิยมดูไลฟ์สตรีมกันอยู่แล้ว และในช่วงเก็บตัวก็ทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้น ยอดดูไลฟ์ก็เพิ่มด้วย ในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา คนดังในจีน 21 คนจัดไลฟ์คอนเสิร์ตผ่านช่องทางไลฟ์สตรีม ยอดคนดูถึง 4 ล้าน นอกจากนี้ Taobao Live ยังทำไลฟ์เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ 8 แห่งในจีนเรียกยอดคนดูถึง 10 ล้านราย ร้านหนังสือในจีนเองก็ใช้ไลฟ์สตรีมเป็นช่องทางเผยแพร่เนื้อหา เช่นทำไลฟ์เล่านิทานให้เด็กฟัง เป็นต้น
โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มอื่นในจีนก็มียอดผู้ใช้งานสูงในช่วงกักตัว Weibo มีการเติบโตของผู้ใช้งาน 31%, Douyin หรือ TikTok ในชื่อจีน เติบโตถึง 102%, Tencent Video โต 32%
ที่มา - Alizila |
# นักพัฒนาเกมเผย Google ไม่กล้าจ่ายเงินมากพอจะดึงเกมไปลง Stadia
Stadia เปิดตัวไปแบบไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ทั้งในแง่ประสบการณ์เล่นเกม (ที่มีอาการแล็กอยู่บ้าง), ฟีเจอร์ไม่ครบ และจำนวนที่ค่อนข้างน้อย โดยในมุมนักพัฒนาเกมก่อนหน้านี้ก็เคยให้ความเห็นว่า Stadia มีศักยภาพพอในระยะยาว แต่กลัวแค่ว่า Google จะฆ่าทิ้งเสียก่อน
ล่าสุดนักพัฒนาเกมอิสระหลายคนให้สัมภาษณ์กับ Business Insider ว่าทีมงาน Stadia เข้ามาพูดคุยถึงดีลในการนำเกมหรือพัฒนาเกมลง Stadia ทว่าในดีล Stadia แทบไม่พูดถึงตัวเงินที่เป็นแรงจูงใจในการพัฒนาเลย (ต้นทางใช้คำว่า ..kind of non-existent) ทำให้หลายคนกังวลและไม่มั่นใจ Google ว่าจะจริงจังกับ Stadia แค่ไหนในระยะยาว
ตอนนี้เกมบน Stadia มีเพียง 28 เกมและ Google ระบุว่าจะมีเกมเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 100 เกมภายในปีนี้
ที่มา - Business Insider |
# 5 ฟีเจอร์สำคัญของแอป AOT AIRPORTS แอปที่คนเดินทางควรโหลดติดไว้
นับวันคนเดินทางยิ่งเยอะขึ้น สนามบินมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการอำนวยความสะดวกแก่คนเดินทาง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บริษัทท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เปิดตัวแอปพลิเคชั่น AOT AIRPORTS อำนวยความสะดวกให้คนเดินทางในสนามบินทั้ง 6 แห่งของไทย คือ ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานหาดใหญ่
จากภาพรวมคร่าวๆ มี 5 ฟีเจอร์สำคัญของแอปพลิเคชั่น AOT AIRPORTS ที่มีประโยชน์ ใช้งานได้จริง
Flights Information
คนเดินทางสามารถตรวจสอบข้อมูลเที่ยวบินของตัวเองได้จากเว็บไซต์ทางการของท่าอากาศยานหรือจาก Google ได้อยู่แล้ว แต่แอป AOT AIRPORTS ช่วยรวบรวมข้อมูลเที่ยวบินของแต่ละสนามบินมาไว้ให้ในคราวเดียว ผู้ใช้งานพิมพ์ค้นหาเที่ยวบินของตัวเองได้ และยังสามารถมองเห็นสถานะเที่ยวบินของตัวเองได้ครบถ้วนว่า เปิดให้เช็กอินหรือยัง เช็กอินที่เคาเตอร์ใด และต้องไปรอขึ้นเครื่องที่ Gate หมายเลขอะไร
ข้อมูลพวกนี้กว่าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราได้ใบ Boarding Pass มาแล้ว ข้อมูลพวกนี้จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวได้ดีขึ้น ไม่ต้องสอบถามเจ้าหน้าที่ที่สนามบินบ่อยๆ และไม่จำเป็นต้องไปมองตัวเลขที่กระดานสนามบินเลย
ในแอปพลิเคชั่นรวมข้อมูลเที่ยวบินมาให้ทั้งเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ในกรณีที่ผู้ใช้งานเดินทางไปรับผู้โดยสาร หรือคนในครอบครัว ก็สามารถตรวจสอบเที่ยวบินของคนที่เราจะไปรับได้ด้วย
Map & Navigation
ในอาคารสนามบินมีความซับซ้อน บ่อยครั้งที่คนเดินทางต้องคอยสอบถามข้อมูลพื้นฐานอ่างเช่น ถามหาเคาเตอรืแลกเงิน ร้านอาหาร ห้องน้ำ ซึ่งข้อมูเหล่านี้ ผู้ใช้งานสามารถกดในแอป AOT AIRPORTS ให้ระบบนำทางไปถึงสถานที่ที่ต้องการไปได้เลย
Transportation & Car park
การเดินทางออกจากสนามบินก็เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นหน้าที่ของสนามบินต้องให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน ปัจจุบันคนเดินทางมีตัวเลือกหลากหลายในการเดินทางออกจากสนามบิน ซึ่งในแอปพลิเคชั่น AOT AIRPORTS ก็รวมวิธีการเดินทางมาไว้ให้ในหมวด Transportation & Car park ตั้งแต่ งลีมูซีน แท็กซี่ เช่ารถ รถตู้ รถบัส และรถไฟฟ้า Airport Link ผู้ใช้งานสามารถกดเลือกแต่ละประเภทและให้แอปนำทางไปถึงจุดที่มีรถได้
Privileges
ฟีเจอร์นี้คือการผูกบัตรเครดิตเข้ากับแอป AOT AIRPORTS สามารถนำแต้มบัตรเครดิตของตัวเองมาเป็นแต้มแลกส่วนลดใน AOT Point ได้ด้วย ตอนนี้มีบัตรเครดิตที่รองรับแล้วคือ KTC, Thanachart Credit Card, Krungsri Credit Card, Krungsri First Choice, SCB Credit Card, Kbank Credit Card, PT Max Card
Find My Car
อีกฟีเจอร์แถมที่มีประโยชน์มากสำหรับคนทีขับรถมาจอดที่สนามบิน แต่จำไม่ได้ว่ารถตัวเองจอดไว้ที่ไหน ก็สามารถใช้ฟีเจอร์ Find My Car บันทึกตำแหน่งจอดรถไว้ในแอปพลิเคชั่น เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินและต้องการขับรถกลับ ก็ใช้ฟีเจอร์นี้นำทางไปยังที่จอดรถของเราได้
สรุป
สนามบินทั้ง 6 แห่งของท่าอากาศยานไทย ต้องรองรับคนเดินทางจำนวนมากขึ้นทุกปี สิ่งที่คนเดินทางต้องการมากที่สุดคือข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งการทำแอปพิเคชั่นออกมานี้ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เพียงแค่เป็นการรวบรวมข้อมูลสำคัญมาไว้ในแอปเดียว
ตอนนี้แอปพลิเคชั่น AOT AIRPORTS รองรับทั้งภาษาอังกฤษและจีน ซึ่งในอนาคตจะรองรับภาษาอื่นรวมถึงไทยด้วย
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.airportthai.co.th/th/aot-digital-airports-4/ |
# นักวิเคราะห์คาด การผลิต iPhone จะกลับมาเป็นปกติหลังไตรมาส 2
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ที่ปล่อยข่าวแอปเปิลที่ค่อนข้างแม่นยำ ระบุว่าแอปเปิลจะกลับมาผลิต iPhone ได้ปกติหลังไตรมาส 2 ปีนี้ จากปัญหาโรงงานในจีนหยุดเพราะโรคระบาด
หนึ่งในชิ้นส่วน iPhone ที่ Kuo พูดถึงคือชิ้นเลนส์กล้อง ที่การผลิตลดลงมาตั้งแต่ต้นปีและซัพพลายก็ใกล้หมดแล้ว โดย Kuo คาดว่าซัพพลายที่เหลือจะผลิตได้อีกราว 1 เดือนเท่านั้นและสายการผลิตจะกลับมาได้อย่างเร็วที่สุดเดือนพฤษภาคม
ก่อนหน้านี้ Kuo คาดว่า iPhone รุ่น 5G จะถูกเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ส่วน iPhone 9 หรือ iPhone SE2 จะถูกเปิดตัวในครึ่งแรกของปีนี้
ที่มา - MacRumour |
# ยุทธศาสตร์ใหม่สมิติเวช จาก “โรงพยาบาล” สู่แบรนด์ “สุขภาพ” ผ่านความร่วมมือ Grab
ถือเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจของโรงพยาบาลสมิติเวช ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ของไทย ที่ขยายตัวเองจากบริการด้านการแพทย์โดยตรง (medical services) มายังบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพด้วย (health-related services)
รอบนี้ สมิติเวชลงมาจับมิติด้าน “อาหาร” แต่ไม่ใช่อาหารเพื่อคนป่วยแต่อย่างใด สิ่งที่สมิติเวชสนใจคืออาหารที่เรากินเป็นปกติในแต่ละวัน ซึ่งพฤติกรรมด้าน “ไลฟ์สไตล์การกิน” ของคนไทยที่เปลี่ยนไปมากที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือ การสั่งอาหารแบบเดลิเวอรีมาส่งถึงบ้าน แทนการออกไปกินข้าวนอกบ้าน
ข้อดีของการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรีคือความสะดวก อยากกินร้านดังก็ได้กิน โดยไม่ต้องไปต่อคิวเอง ไม่ต้องฝ่ารถติด หรือหาที่จอดรถให้ยากลำบาก แต่ความสะดวกนี้ก็อาจมีด้านกลับ ที่ทำให้เรากินอาหารบางประเภทที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากนักได้สะดวกเกินไป เช่น สั่งชาไข่มุกที่อุดมด้วยน้ำตาลมากินทุกวัน หรือกินอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดที่รู้ทั้งรู้ว่าอุดมด้วยไขมัน แต่อดไม่ได้เพราะโปรโมชันโดนใจ เป็นต้น
การกินอาหารที่ไม่ดีสุขภาพสะสม ย่อมเป็นสาเหตุของการป่วยไข้ สมิติเวชในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ที่มีแนวคิดเรื่องการป้องกันก่อนเกิดโรค (preventive healthcare) ตามแนวคิด “เราไม่อยากให้ใครป่วย” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2561 จึงเข้ามาอุดช่องว่างตรงนี้ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านสายสุขภาพที่มีอยู่แล้ว ผนวกกับพาร์ทเนอร์คือ Grab ในฐานะแพลตฟอร์มด้านส่งอาหารรายใหญ่ของไทย ออกมาเป็นบริการชื่อว่า “หมอ(สมิติเวชช่วย)ดู” ที่เปรียบได้กับการมีหมอจากโรงพยาบาลสมิติเวช มาช่วยคัดกรองอาหารการกินให้เราเสมอ เมื่อสั่งอาหารมากินที่บ้าน
สิ่งที่ผู้ใช้งาน Grab ต้องทำ เพียงแต่ตอบคำถามด้านสุขภาพเพื่อให้สมิติเวชสามารถแนะนำอาหารให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน โดยเบื้องต้น สมิติเวชสามารถแนะนำเมนู 7 แบบ สำหรับลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันไป เช่น คุณแม่ตั้งครรภ์ คนกินมังสวิรัต เป็นต้น
เมนูเสริมดวงสุขภาพ สำหรับคนให้ความสำคัญสุขภาพ
เมนูเสริมโหงวเฮ้งคุณแม่ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
เมนูปราศจากเนื้อสัตว์เสริมดวงเมตตามหานิยม สำหรับคนชอบมังสวิรัต
เมนูแก้กรรมท้องผูก สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูก
เมนูเสริมดวงหัวใจ สำหรับคนที่อยากบำรุงสุขภาพหัวใจ
เมนูแก้ชง สำหรับคนชอบชงและชน(แก้ว) สำหรับสายปาร์ตี้
อร่อยได้สุขภาพจาก Street Food ร้านดัง สำหรับคนชอบแนว Street Food ที่เน้นอาหารดีต่อสุขภาพ
ในด้านกลับ ความร่วมมือของ Grab และสมิติเวช ยังเปิดให้
ลูกค้า Grab สามารถนำคะแนนสะสม Grab Rewards มาใช้เป็นส่วนลดค่าเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลในเครือสมิติเวชได้ 10% (เฉพาะค่ายา ค่าตรวจทางห้องปฎิบัติการบางรายการ และค่าฉายรังสี โดยยกเว้นค่ายา ค่าตรวจทางห้องปฎิบัติการ และค่าฉายรังสีบางรายการ)
ลูกค้าที่ใช้บริการโรงพยาบาลสมิติเวชในเขตกรุงเทพ (สุขุมวิท ศรีนครินทร์ ไชน่าทาวน์ และธนบุรี) ยังได้ส่วนลดหากเดินทางด้วย Grab ไปหรือกลับโรงพยาบาลเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงการสั่ง Grab Food ส่งอาหารไปที่โรงพยาบาลด้วย (เช่น คนที่ต้องเฝ้าญาติที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล และต้องการความสะดวกเรื่องอาหารของญาติ)
ความร่วมมือของ Grab และสมิติเวช แสดงให้เห็นถึงการจับมือแบบข้ามอุตสาหกรรม (cross-industry) โดยอาศัยจังหวะที่ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เกิดโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจที่สามารถนำความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่าย มาเชื่อมโยงกันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้
ฝั่งของ Grab ได้ต่อยอดบริการส่งอาหาร จากเดิมที่เป็นผู้ใช้บริการด้านขนส่งอย่างเดียว ก็มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากเมนูสุขภาพที่คัดสรรโดยสมิติเวช ส่วนฝั่งสมิติเวชก็ขยายตัวเองจากแบรนด์โรงพยาบาลที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่อาจจำกัดขอบเขตลูกค้า ไปสู่แบรนด์ด้านสุขภาพที่จับลูกค้ากว้างกว่าเดิมมาก |
# ธนาคารกสิกรไทยปรับเงื่อนไขขอข้อมูลในประกัน COVID-19 ตัดข้อมูลเชื้อชาติ การเมืองออก
จากประเด็นธนาคารกสิกรไทยทำประกันชีวิต COVID-19 ให้ฟรี สังคมก็ท้วงติงถึงเงื่อนไขการขอข้อมูล ที่รวมถึงข้อมูลทัศนคติทางการเมือง เชื้อชาติ ลัทธิ ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ และยังเป็นข้อมูลที่ธนาคารสามารถนำไปใช้ในการพิจารณาเสนอผลิตภัณฑ์ บริการและข้อเสนอพิเศษต่างๆ ซึ่งสังคมมองว่าเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
ล่าสุดทางธนาคารกสิกรได้ออกมาเปลี่ยนเงื่อนไข โดยปรับปรุง เงื่อนไขความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูล ข้อ 1.10 โดยตัดเอาข้อมูลการเมือง เชื้อชาติ ศาสนาออกไป ตามรูปภาพหน้าจอด้านล่าง
ที่มา - ธนาคารกสิกรไทย |
# รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ดำเนินคดี Crypto AG ฐานขายอุปกรณ์เข้ารหัสมีช่องโหว่เพื่อให้ CIA ดักฟัง
เดือนที่แล้วสื่อหลายสำนักรายงานข้อมูลบริษัท Cypto AG ที่ขายอุปกรณ์เข้ารหัสให้กับรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก แต่แอบวางช่องโหว่ไว้สำหรับให้รัฐบาลสหรัฐฯ และเยอรมันสามารถดักฟังได้โดยง่าย ตอนนี้ทางรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ก็เตรียมดำเนินคดีกับ "ผู้อยู่เบื้องหลัง" การขออนุญาตส่งออกอุปกรณ์ดังกล่าว
State Secretariat for Economic Affairs (SECO) หน่วยงานอนุญาตส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์ยื่นเรื่องไปยังอัยการ ให้สอบสวนคดีนี้เป็นอาญาโดยระบุว่า SECO ถูกหลอกให้อนุญาตให้ Crypto AG ส่งออกเครื่องเข้ารหัสและซอฟต์แวร์เข้ารหัส การหลอกลวง SECO เช่นนี้เป็นการละเมิดกฎหมายควบคุมการส่งออก
นอกจาก SECO แล้วคณะรัฐมนตรีของสวิตเซอร์แลนด์เองก็ตั้งชุดทำงานขึ้นมาสอบสวนบริษัท Crypto AG อีกทาง โดยมีกำหนดส่งรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเดือนมิถุนายนนี้
สวิตเซอร์แลนด์ประกาศว่าเป็นประเทศเป็นกลางมานานและความเป็นกลางนี้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทในประเทศ ตอนนี้คำถามสำคัญคือรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์มีส่วนรู้เห็นกับการตั้งบริษัท Crypto AG หรือไม่
ที่มา - iTnews |
# Zoom ปลดล็อคการประชุมผ่านวิดีโอให้คนจีนใช้ฟรี ช่วงที่มีปัญหาไวรัส COVID-19
Zoom บริษัทซอฟต์แวร์ประชุมผ่านวิดีโอชื่อดัง ที่เพิ่ง IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2019 ประกาศปลดลิมิตระยะเวลาโทรประชุมฟรี 40 นาที ให้กับผู้ใช้ในประเทศจีน หลังคนจีนต้องหยุดอยู่บ้านและหันมาใช้ Zoom ประชุมคุยงานกันแทน
Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom ก็เป็นคนจีนด้วย (เกิดที่มณฑลชานตง และเรียนจบที่ชานตงก่อนย้ายมาอยู่สหรัฐอเมริกา ทำงานกับ WebEx แล้วออกมาเปิด Zoom) จึงเข้าใจความรู้สึกของคนจีนในช่วงนี้เป็นอย่างดี นอกจากการปลดล็อคโทรฟรีแล้ว เขายังสัญญาว่าจะมอนิเตอร์โหลดการใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งาน Zoom จะไม่มีติดขัดด้วย
Zoom ยังเข้าไปช่วยมหาวิทยาลัยหลายแห่งในจีนทำระบบสอนหนังสือออนไลน์ และโรงพยาบาลกว่า 1,000 แห่งในจีนให้แพทย์ประชุมแบบออนไลน์
ที่มา - Zoom, Business Insider
ภาพจาก Zoom |
# Xiaomi Mi A3 ได้อัพเดต Android 10 แล้ว แต่บั๊กเพียบ
Xiaomi อัพเดต Android 10 ให้กับ Mi A3 หลังล่าช้ากว่าแผน โดยไฟล์อัพเดตมีขนาด 1.3 GB
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ Mi A3 ก็รายงานปัญหาจากอัพเดตเวอร์ชันนี้กันหลายเรื่อง เช่น ตัวสแกนลายนิ้วมือทำงานไม่ถูกต้อง, ปัญหา Micro SD, แอพกล้องแครชเมื่อเปิดโหมดโปร, โทรศัพท์รีบูตตัวเองหลังวางสาย เป็นต้น
Xiaomi ถูกวิจารณ์มาโดยตลอดว่าไม่ค่อยจริงจังกับรอม Android One เท่าไรนัก และเกิดบั๊กจำนวนมากทุกครั้งเมื่ออัพเกรดระบบปฏิบัติการรุ่นใหญ่ เมื่อเทียบกับรอม MIUI ของตัวเองที่มีกำลังนักพัฒนาเยอะกว่ามาก
ที่มา - Mi Community, Notebookcheck |
# Subversion ครบรอบ 20 ปีแล้ว
Apache Foundation ประกาศฉลองครบรอบ 20 ปีของโครงการ Subversion (svn) ระบบควบคุมเวอร์ชั่นซอฟต์แวร์ที่สร้างโดยบริษัท CollabNet ในปี 2000 ที่มาแทนที่ cvs และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และบริษัทก็ยกโครงการให้ Apache Foundation ดูแลต่อในปี 2009
แม้ว่าช่วงหลัง git จะเข้ามามีบทบาทในโลกโอเพนซอร์สมากขึ้น แต่เมื่อ 20 ปีก่อน svn ถือว่ามีนวัตกรรมอย่างมาก เช่น atomic versioning ที่ซอฟต์แวร์จะไม่ยอม commit หากโครงการเกิด conflict ระหว่างนักพัฒนา นอกจากฟีเจอร์นี้แล้ว svn ยังมีเป้าหมายที่จะแทนที่ cvs อย่างครบถ้วน
Karl Fogel นักพัฒนาคนแรกของ svn แสดงความยินดีกับการครบรอบนี้โดยระบุว่า svn ยังมีการใช้งานในองค์กรจำนวนมากเนื่องจากความเรียบง่ายและความเสถียรของมัน
Subversion ยังมีการพัฒนาต่อเนื่อง เวอร์ชั่นล่าสุดคือ 1.13 ออกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วก็ยังมีฟีเจอร์ใหม่อยู่ ตัวหน้าจอ GUI ยอดนิยมอย่าง TortoiseSVN ก็ยังพัฒนาตามกันไป
ที่มา - Apache Foundation
ภาพหน้าจอ TortoiseSVN |
# Vivaldi ออกเวอร์ชัน 2.11, ปรับปรุง Pop-out video เรียกใช้งานง่ายกว่าเดิม
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านมา Vivaldi เบราว์เซอร์ทางเลือกเพื่อผู้ใช้ power user ได้ออกอัพเดตเวอร์ชัน 2.11 มาพร้อมกับการปรับปรุงหลายอย่าง ทั้งในส่วนของ Pop-out video ที่เรียกใช้งานได้สะดวกขึ้น จนไปถึงระบบธีมสว่าง/มืดซึ่งคราวนี้สามารถตั้งค่าให้สอดคล้องกับธีมของระบบปฏิบัติการได้แล้ว
รายละเอียดของใหม่พอสรุปได้ดังนี้
ปรับปรุงฟีเจอร์ Pop-out video ให้สามารถเรียกเปิดหน้าต่างสำหรับเล่นวิดีโอแยกต่างหากจากไอคอนซึ่งจะแสดงผลเมื่อนำเมาส์ไปชี้บนวิดีโอ แทนการใช้เมนูคลิกขวาแบบเวอร์ชันเดิม และหากวิดีโอที่เปิดอยู่ภายใต้เพลย์ลิสต์ หน้าต่าง Pop-out video จะแสดงปุ่มเดินหน้า/ถอยหลังให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือย้อนกลับไปวิดีโอก่อนหน้าได้ตามต้องการ
ปรับปรุงระบบธีม โดยจะสามารถเลือกให้ Vivaldi ปรับใช้ธีมสว่าง/มืดตามการตั้งค่าธีมของระบบปฏิบัติการได้แล้ว (เพิ่มจากเดิมที่เคยปรับเปลี่ยนธีมได้อัตโนมัติตามการตั้งเวลา)
เพิ่มคีย์ลัดสำหรับการเข้าถึง UI ที่ใช้งานบ่อย สำหรับผู้ใช้ที่สั่งงาน Vivaldi ด้วยคีย์บอร์ดเป็นหลัก อัพเดตนี้อำนวยความสะดวกให้ด้วยการเพิ่มคีย์ลัด F6 (หรือ Shift + F6) ซึ่งสามารถใช้สลับการเลือกควบคุม UI ระหว่างหน้าเว็บเพจ, bookmarks bar, tab bar, และ address bar ได้อย่างรวดเร็ว
สนใจสามารถดาวน์โหลด Vivaldi เวอร์ชัน 2.11 ได้ที่นี่ ส่วนท่านที่ติดตั้งไว้แล้วก็สามารถกดเช็กอัพเดตจากตัวโปรแกรมได้ครับ
ที่มา - Vivaldi blog |
# นักวิจัยพบมัลแวร์ Android แอบขโมยรหัส 2FA จากแอพ Google Authenticator ได้
นักวิจัยจากบริษัท ThreatFabric ประเทศเนเธอร์แลนด์พบมัลแวร์บน Android ชื่อ Cerberus ที่เป็นเวอร์ชันใหม่ มีความสามารถขโมยรหัส two-factor authentication (2FA) จากแอพ Google Authenticator ได้ แต่มัลแวร์ดังกล่าวยังมีข้อจำกัดอยู่ เพราะต้องหลอกเจ้าของเครื่องให้อนุญาตให้มัลแวร์เข้าถึงสิทธิ์ Accessibility (ฟีเจอร์ผู้พิการ) เสียก่อน แต่หากหลงเชื่อแล้ว มัลแวร์จะสามารถอ่านเนื้อหาบนหน้าจอได้
หลังจากนั้น เมื่อแอพ Google Authenticator ถูกเปิดขึ้นมา มัลแวร์จะอ่านตัวเลขรหัส OTP บนหน้าจอและส่งกลับไปยังเซิฟเวอร์ของตัวเอง
มัลแวร์ Cerberus มีขายอยู่ตามเว็บใต้ดิน แต่นักวิจัยระบุว่าความสามารถแอบอ่านรหัส OTP นี้ยังไม่ถูกนำมาโฆษณา โดยพวกเขาเชื่อว่าเวอร์ชันใหม่นี้ยังอยู่ระหว่างการทดสอบและอาจปล่อยออกมาเร็วๆ นี้
Two-factor authentication (2FA) หรือการยืนยันตัวตนสองปัจจัย เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บัญชีออนไลน์ต่างๆ ของผู้ใช้ โดยนอกเหนือจากชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ผู้ใช้จะต้องนำเลขรหัสจาก SMS หรือแอพยืนยันตนเช่น Google Authenticator หรือ Microsoft Authenticator มาใส่ประกอบการล็อกอินด้วย เพราะแม้จะมีผู้ไม่ประสงค์ดีทราบรหัสผ่านเราแต่ก็ไม่สามารถล็อกอินได้เพราะไม่ทราบรหัส OTP นั่นเอง
ที่มา - ZDNet, PC Magazine |
# HTC Wildfire R70 การกลับมาของ HTC กับมือถือราคาถูกที่บอกว่าจะทำตลาดไทยด้วย
HTC กลับมาออกมือถือใหม่แบบเงียบๆ แถมประกาศว่าจะมาทำตลาดในประเทศไทยด้วย มือถือรุ่นใหม่คือ HTC Wildfire R70 (ใช่ครับ Wildfire ยังไม่ตาย) จากสเปกจะเห็นว่าเน้นไปทางตลาดมือถือราคาถูก แต่ก็ยังไม่เปิดเผยราคาในตอนนี้
สเปกของ HTC Wildfire R70 มีดังนี้
หน้าจอ 6.54" IPS LCD HD+ 1560x720
หน่วยประมวลผล MediaTek Helio P23
แรม 2GB, สตอเรจ 32GB, microSD
กล้องหลัง 3 ตัว: กล้องหลัก 16MP, มาโคร 2MP, วัดระยะลึก 2MP
แบตเตอรี่ 4,000 mAh, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., ชาร์จผ่าน Micro USB, ตัวสแกนนิ้วด้านหลัง
Android 9 Pie
HTC Wildfire R70 ระบุว่าจะทำตลาด 2 ประเทศคือ ไทยและอินเดีย ตอนนี้ข้อมูลของ Wildfire R70 ขึ้นบนหน้าเว็บ HTC India แล้ว แต่เว็บของ HTC Thailand ยังไม่มีข้อมูลสินค้าใดๆ (เหลือเฉพาะข้อมูลด้านบริการหลังขายของสินค้าเดิม) แนวทางที่เป็นไปได้น่าจะขายผ่านโอเปอเรเตอร์แทน
ที่มา - XDA |
# องค์การอนามัยโลก เปิดบัญชี TikTok เพื่อสื่อสารข้อมูล COVID-19 ที่ถูกต้อง
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดบัญชี TikTok เพื่อใช้เป็นพื้นที่สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับ COVID-19 ที่ถูกต้อง โดยตอนนี้มีคลิปวิดีโอออกมาแล้ว 2 คลิป โดยคลิปแรกเป็นการอธิบายวิธีป้องกันตนเองและคนรอบข้างจากไวรัส ส่วนอีกคลิปเป็นการสอนเรื่องการใส่มาสก์ที่ถูกต้อง
การเปิดบัญชีของ WHO สะท้อนว่า TikTok เป็นพื้นที่ออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้องค์กรหลายแห่งต้องมีบัญชีเพื่อใช้สื่อสารข้อมูลสำคัญกับผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มนั่นเอง ทั้งนี้สภากาชาด (The Red Cross) และ Unicef ก็มีบัญชี TikTok อยู่เช่นเดียวกัน
ที่มา: Engadget |
# Social Media จีน มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มสูงขึ้นในเดือนที่ผ่านมา จากการควบคุมการเดินทางในประเทศ
นักวิเคราะห์จาก Nomura ได้นำข้อมูลการใช้สมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในจีนจาก QuestMobile มาวิเคราะห์ พบว่านับตั้งแต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลได้เพิ่มมาตรการควบคุมการเดินทางของประชาชน จากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ปริมาณการใช้โซเชียลมีเดียในจีนเพิ่มสูงมาก
โดย Weibo แอปที่ถูกเรียกว่า Twitter จีน มีการเติบโตของผู้ใช้งาน 31%, Douyin หรือ TikTok ในชื่อจีน เติบโตถึง 102%, Tencent Video โต 32% ส่วนสาเหตุนั้นก็เดาได้ไม่ยาก เนื่องจากแต่ละคนต้องพักอยู่ในบ้านและไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ บริการออนไลน์เหล่านี้จึงจำเป็นสำหรับการพูดคุยติดต่อกับเพื่อน
บริการอีกกลุ่มที่เติบโตสูงเช่นกันคือการซื้อสินค้าจำเป็นชีวิตประจำวัน โดยแอป Freshippo ของ Alibaba สำหรับซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว เช่นเดียวกับ MissFresh ของ Tencent ก็เติบโต 61% อย่างไรก็ตามแพลตฟอร์มสำหรับซื้อของออนไลน์ในเครือ Alibaba เช่นกันอย่าง Taobao และ VipShop กลับมีอัตราการใช้งานในแอปลดลง
ผู้บริหาร Weibo บอกว่า แม้อัตราการใช้งานแอปจะเพิ่มสูงขึ้น แต่รายได้หลักของแอปซึ่งมาจากโฆษณาก็ได้รับผลกระทบ เนื่องจากลูกค้าเริ่มชะลอการลงโฆษณา
ที่มา: Quartz ภาพ Stocksnap.io |
# Microsoft จะถอด Cortana ออกจาก Launcher บน Android ในเดือนเมษายนนี้
Microsoft ได้ประกาศแผนของ Cortana ว่าจะเริ่มเน้นกลุ่มลูกค้า Office 365 แทนกลุ่มคอนซูเมอร์ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเข็นไม่ขึ้น ซึ่งตามทิศทางนี้ทำให้ Microsoft เตรียมถอด Cortana ออกจากแอป Launcher บน Android แล้ว
Microsoft ระบุว่าทางบริษัทจะยกเลิกบริการ Cortana สำหรับ Launcher บน Android ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ ส่วนทางฝั่ง Windows ระบบ Cortana จะยังให้บริการต่อไป และจะเน้นฟีเจอร์ฝั่ง Office 365 จึงต้องถอด skill และฟีเจอร์ฝั่งคอนซูเมอร์ออก รวมถึงเลิกซัพพอร์ต Cortana สำหรับ Windows 10 ที่หมดช่วง end-of-services ซึ่งถ้าผู้ใช้ต้องการใช้งาน Cortana จะต้องอัพเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด
จากทิศทางใหม่ของ Cortana เรื่องนี้จึงไม่เกินคาดหมายนักหาก Microsoft จะถอดฟีเจอร์นี้ออกจาก Launcher เนื่องจาก Microsoft ก็เลิกทำแอป Cortana บนมือถือมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ที่มา - Windows Blogs |
# หลุดภาพเครื่องต้นแบบ Huawei P40 ยังใช้ดีไซน์เดิม วางกล้องหลังเหมือน P30
Huawei เตรียมเปิดตัวมือถือเรือธง P40 Series ช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ล่าสุดมีภาพหลุดจากเว็บไซต์ Digital Trends ที่แสดงให้เห็นมือถือต้นแบบของ P40
มือถือต้นแบบนี้ยังใช้งานจริงไม่ได้ แต่แสดงให้เห็นดีไซน์ของเครื่อง โดยโลโก้แบรนด์ Huawei ถูกแทนด้วยคำว่า "Polarie" ซึ่งน่าจะเป็นโค้ดเนมภายในของ P40 และโลโก้แบรนด์ Leica ตรงข้างกล้อง กลายเป็นคำว่า "Blink"
จากภาพเราเห็นดีไซน์ของ P40 ที่ใช้ฝาหลังมุมโค้งมน และจัดวางตำแหน่งกล้องเหมือนกับ P30 โดยยังเป็นกล้องหลัง 3 ตัว มีเลนส์ซูม periscope เหมือนกับ P30 ด้วย
ชมภาพแบบเต็มๆ ได้จากที่มา
ที่มา - Digital Trends |
# กูเกิลเปิดซอร์ส Mesh-TensorFlow เฟรมเวิร์ควิเคราะห์ภาพขนาดใหญ่ระดับร้อยล้านพิกเซล
ปัญญาประดิษฐ์ในกลุ่มการวิเคราะห์ภาพทุกวันนี้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในแง่ฟีเจอร์ ทั้งการจัดหมวดหมู่ภาพ, การตรวจจับวัตถุ, หรือการบรรยายภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ส่วนมากมักรับอินพุตเป็นภาพขนาดเล็กเพื่อวิเคราะห์ ไม่เช่นนั้นโมเดลจะมีขนาดใหญ่เกินไป ล่าสุดกูเกิลโอเพซอร์สโครงการ Mesh-TensorFlow เฟรมเวิร์คสำหรับวิเคราะห์ภาพขนาดใหญ่ระดับร้อยล้านพิกเซล
Mesh-TensorFlow อาศัยการแบ่งภาพเป็นช่องๆ ให้ภาพขนาดเล็กลง แล้วส่งภาพเข้าไปยังชิปฝึกโมเดลปัญญาประดิษฐ์ทีละช่อง ความยากของการทำเช่นนี้คือการวิเคราะห์ "ขอบ" ของแต่ละส่วน ที่มักต้องอาศัยข้อมูลจากช่องข้างเคียง ในเฟรมเวิร์ค Mesh-TensorFlow จะแลกเปลี่ยนข้อมูลบริเวณขอบนี้ระหว่างการรันโมเดลโดยอัตโนมัติ ด้วยเทคนิค Halo Exchange ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องรับรู้ว่าภายในเป็นอย่างไร
งานวิจัยของกูเกิลที่ใช้กับ Mesh-TensorFlow เป็นการวิเคราะห์ภาพ CT แบบสามมิติ จากเดิมที่สามารถฝึกปัญญาประดิษฐ์ด้วยภาพสองมิติขนาด 512x512 พิกเซล หรือภาพสามมิติย่อขนาดลง กูเกิลสามารถฝึกปัญญาประดิษฐ์ที่รับภาพ 512x512x512 หรือกว่า 130 ล้านพิกเซลในครั้งเดียวได้ และได้ปัญญาประดิษฐ์ที่ความแม่นยำสูงขึ้น แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นไม่มากนักแล้วก็ตาม แต่การวิเคราะห์ภาพที่ความละเอียดเต็มเช่นนี้ก็อาจจะเปิดแนวทางการใช้งานอื่นๆ ได้ต่อไปในอนาคต
ที่มา - Google AI Blog |
# Xiaomi ชี้แจงอัพเดต Android 10 ของ Mi A3 ล่าช้ากว่าแผน เหตุจาก COVID-19
Xiaomi เคยให้ข้อมูลว่า Xiaomi Mi A3 สมาร์ทโฟน Android One จะได้อัพเดตเป็น Android 10 ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่ถึงตอนนี้อัพเดตก็ยังไม่ออกมา ซึ่งสาเหตุก็คือ COVID-19
โดย Sumit Sonal หัวหน้าแบรนด์ของ Xiaomi ที่อินเดีย ได้ทวีตชี้แจงว่าปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ทำให้กระบวนการตรวจสอบก่อนออกอัพเดต Android 10 ล่าช้าไปจากแผน
สุดท้าย Sonal บอกว่าแม้ธุรกิจจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ชีวิตของพนักงานทุกคนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยหากมีกำหนดออกอัพเดต Android 10 เมื่อใดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ที่มา: 9to5Google |
# EU ร่างข้อเสนอ ให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ต้องทำให้ผู้ใช้เปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้ง่ายขึ้น
ข้อมูลนี้เปิดเผยโดยเว็บข่าว Het Financieele Dagblad ของเนเธอร์แลนด์ ระบุว่าสหภาพยุโรป (EU) กำลังร่างข้อเสนอเพื่อบังคับให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ต้องทำให้อุปกรณ์ของตนสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งคาดว่าร่างข้อเสนอนี้จะเผยแพร่ต่อสาธารณะในเดือนหน้า (มีนาคม)
หลักการและเหตุผลของข้อเสนอนี้เป็นเรื่องของการลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยุคนี้นิยมออกแบบอุปกรณ์แบบปิด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเปิดฝาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ รวมทั้งเพิ่มเงื่อนไขสิ้นสุดการรับประกันเข้ามา โดยต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่กับศูนย์บริการเท่านั้น EU มองว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการผลักให้ผู้ใช้เลือกซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่มากขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ
ประเด็นนี้น่าสนใจว่า EU จะออกแบบข้อกำหนดอย่างไร เนื่องจากแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ถูกผลิตมาให้เข้ากับสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นโดยเฉพาะ จึงยากมากที่จะกำหนดรูปแบบมาตรฐาน ไปจนถึงตำแหน่งการเชื่อมต่อภายในเครื่อง
ที่มา: ZDNet |
# เผยทิศทางใหม่ Cortana เน้นงานเชิงธุรกิจ, ตัดฟีเจอร์ฟังเพลง-เชื่อมสมาร์ทโฮมออก
ไมโครซอฟท์ประกาศทิศทางใหม่ของ Cortana ที่หันไปเน้นลูกค้าองค์กร (ผูกกับ Microsoft 365) แทนตลาดคอนซูเมอร์เดิมที่เข็นไม่ขึ้น
Cortana เวอร์ชันใหม่ใช้ฐานจากแอพเวอร์ชันใหม่ที่เน้นพิมพ์คุยมากกว่าใช้เสียงพูด ฟีเจอร์เน้นไปที่การใช้งานเชิงธุรกิจ เช่น นัดหมาย อีเมล ตารางงานที่ต้องทำ
ฟีเจอร์เดิมของ Cortana ที่ถูกตัดออกไปเป็นด้านคอนซูเมอร์ เช่น เปิดเพลง, เชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ทโฮม หรือ skill ของนักพัฒนาภายนอก ส่วนฟีเจอร์เดิมที่ยังคงใช้ได้อยู่คือฟีเจอร์สายข้อมูล เช่น หาข้อมูลจาก Bing, เปิดแอพ ตั้งค่าแอพ เป็นต้น
ไมโครซอฟท์ยังระบุว่าการใช้งาน Cortana จะบังคับต้องล็อกอินบัญชี Microsoft ก่อนเสมอ (ไม่ว่าจะเป็นบัญชีส่วนตัวหรือบัญชีองค์กร)
Cortana เวอร์ชันเก่าจะตายไปพร้อมกับ Windows 10 แต่ละรุ่นที่หมดระยะซัพพอร์ต ส่วน Cortana เวอร์ชันใหม่จะเริ่มเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันภาษาอังกฤษก่อน
ที่มา - Microsoft |
# FF7 Remake จับมือ Ferrero ซื้อช็อคโกแลต แลกไอเทมในเกม, ธีม PS4 ลายทีฟา
เรารู้จัก Ferrero ในฐานะช็อคโกแลตทรงกลม แต่จริงๆ แล้วบริษัท Ferrero ยังมีสินค้าเป็นช็อคโกแลตแบบแท่งอีกหลายยี่ห้อ
ล่าสุด Ferrero ทำแคมเปญการตลาดร่วมกับ Square Enix โดยซื้อช็อคโกแลตแท่งยี่ห้อ Butterfinger, BabyRuth, Crunch แล้วถ่ายรูปโค้ดบนซอง สามารถรับไอเทมพิเศษในเกม Final Fantasy VII Remake ได้
เกม FF7 Remake อาจเลื่อนวันวางขายเป็นเดือนเมษายน แต่ลูกค้าช็อคโกแลตเหล่านี้สามารถแลกรับธีมหน้าจอ PS4 รูปทีฟานั่งมองท้องฟ้าที่เมือง Nibelheim ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยอดนิยมของ FFVII ได้ด้วย
ถ้ายังจำกันได้ FFXV เคยจับมือกับบะหมี่สำเร็จรูป Nissin ทำแคมเปญการตลาดร่วมกันมาแล้ว
ที่มา - Butterfinger, Polygon |
# Facebook เพิ่มความสามารถสร้าง 3D Photo จากรูปถ่ายทั่วไปด้วย AI ไม่ต้องใช้ภาพ Portrait
Facebook ออกฟีเจอร์ภาพ 3 มิติ (3D Photo) ที่แสดงภาพแบบมีด้านลึกตั้งแต่ปี 2018 โดยมีข้อจำกัดว่าภาพที่อัพโหลดต้องเป็นภาพแบบ Portrait ที่เก็บข้อมูลด้านลึกไว้ด้วย จึงต้องเป็นภาพจากสมาร์ทโฟนที่มีกล้องคู่
ล่าสุด Facebook ประกาศว่าฟีเจอร์ 3D Photo นี้จะรองรับรูปภาพทั่วไป 2 มิติด้วย โดย Facebook ใช้ AI ที่ได้จากการเทรน neural network ให้สามารถประมาณค่าความลึกของแต่ละภาพเป็นรายพิกเซลได้ จึงสามารถใช้ภาพต้นฉบับที่เก่าแค่ไหนก็ได้ในการสร้างภาพ 3 มิติ
ทีมวิจัยของ Facebook ยังเตรียมทำเทคนิคนี้ไปใช้กับวิดีโอด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถต่อยอดไปในงาน AR, VR ได้
อย่างไรก็ตามฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนทุกรุ่น Facebook ไม่ได้ระบุรายชื่อสมาร์ทโฟนโดยละเอียด แต่บอกว่า สำหรับ iPhone ต้องเป็น iPhone 7 หรือสูงกว่า, ส่วน Android ใช้ได้ในรุ่นกลางที่เพิ่งออกมาใหม่ หรือรุ่นที่สเป็กสูงกว่า โดยกำลังทยอยเปิดให้ใช้งานได้แล้ว
ที่มา: Facebook ผ่าน Engadget |
# [ไม่ยืนยัน] ยอดขาย Galaxy S20 วันแรกในเกาหลีไม่ดี จากปัจจัยไวรัส-ราคาแพง
หนังสือพิมพ์ The Korea Herald รายงานว่ายอดขาย Galaxy S20 วันแรกที่เปิดขายในประเทศเกาหลีใต้ อยู่ที่ประมาณ 70,800 เครื่อง ตกลงจากปีก่อนถึง 50% (เทียบกับ Galaxy S10 ที่ขายวันแรกได้ราว 140,000 เครื่อง) ตัวเลขนี้ยิ่งน้อยเมื่อเทียบกับ Note 10 ที่ขายได้ถึง 220,000 เครื่องในวันแรก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขาย Galaxy S20 ตกลง มาจากวิกฤตไวรัสโคโรนาที่ทำให้คนเกาหลีออกนอกบ้านไปร้านค้าน้อยลง บวกกับการที่โอเปอเรเตอร์ในเกาหลีใต้ ให้ส่วนลดมือถือใหม่น้อยลงด้วย
ตัวเลขเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ The Korea Herald สอบถามจากแหล่งข่าวในวงการ ปกติแล้วซัมซุงไม่เคยเปิดเผยตัวเลขยอดขายอย่างเป็นทางการของมือถือแยกเป็นรุ่น
ที่มา - The Korea Herald |
# Facebook ลบปุ่ม Discover ออกจาก Facebook Messenger เหลือแต่แชทกับปุ่ม People
อาจมีหลายคนเริ่มสังเกต Facebook Messenger รีดีไซน์ใหม่ ปุ่ม Discover หายไปแล้ว หน้าตาเรียบง่ายกว่าเดิม เหลือแค่แท็บแชท กับ People หรือช่องทางดู Stories จากเพื่อนๆ เท่านั้น
ปุ่ม Discover คือฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้ค้นหาบ็อทที่อยากคุยด้วย ส่วนใหญ่เป็นบ็อทข่าวสาร ซึ่งน่าจะไม่ค่อยมีคนใช้ฟีเจอร์นี้เท่าไรนัก นอกจากนี้ Instant Games ก็หายจาก Facebook Messenger ไปสักพักแล้วด้วย โดยเกมจะไปอยู่ในเมนู Facebook Gaming แทน
Facebook ไม่ได้ระบุเหตุผลที่รีดีไซน์ใหม่ แต่ในงาน FB ปีที่ผ่านมา Facebook ระบุว่าพันธกิจหนึ่งของ Facebook คือทำให้ Facebook Messenger นั้นเรียบง่าย และใช้งานได้รวดเร็วขึ้น
ที่มา - Engadget |
# สายการบิน British Airways ทดลองใช้วีลแชร์อัจฉริยะที่สนามบิน JFK นิวยอร์ก
ในงาน CES ปี 2018 มีสินค้าหนึ่งที่นำมาแสดงคือ วีลแชร์อัจฉริยะนำทางด้วยตัวเอง และมีน้ำหนักเบาจาก Whill ขายราคาคันละ 4,000 ดอลลาร์ ล่าสุด สายการบิน British Airways เริ่มนำวีลแชร์ดังกล่าวไปทดลองใช้ที่สนามบิน JFK นิวยอร์กแล้ว
ผู้ใช้งานสามารถขับเคลื่อนวีลแชร์ Whill ด้วยการแตะที่คันขับเคลื่อน ให้ตัววีลแชร์นำทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในสนามบินผ่านการป้อนข้อมูลผ่านหน้าจอที่ติดตั้งมาด้วย และเมื่อวีลแชร์ส่งผู้โดยสารถึง gate แล้ว มันก็สามารถขับเคลื่อนตัวเองไปยังที่จอดเพื่อรอรับผู้โดยสารคนถัดไป
British Airways บอกด้วยว่าจะทดลองใช้ในสนามบิน Heathrow ด้วย โดยการลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนระยะยาว 5 ปี มูลค่า 8.3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาคุณภาพสายการบิน
ที่มา - Engadget |
# Baidu ไตรมาส 4/2019 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 6% มอง COVID-19 กระทบรายได้ไตรมาสปัจจุบัน
Baidu รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2019 รายได้รวม 4,149 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 911 ล้านดอลลาร์
Robin Li ซีอีโอ Baidu กล่าวว่าปี 2019 ที่ผ่านมา Baidu ได้เสริมความแข็งแกร่งในระบบนิเวศของมือถือมากขึ้น มีจำนวนผู้ใช้งานแบบ DAUs เพิ่มเป็น 195 ล้านคน จำนวนการเสิร์ชแบบ In-App ก็เพิ่มขึ้นถึง 30% ขณะที่ธุรกิจใหม่ AI ยังมีทิศทางที่ดี ทั้งการเป็นผู้นำในตลาดอุปกรณ์อัจฉริยะ, การขนส่ง และลูกค้าองค์กร
ตัวเลขอื่นที่น่าสนใจ แพลตฟอร์มวิดีโอ iQIYI มีจำนวนผู้สมัครใช้งานเพิ่มขึ้นเป็น 106.9 ล้านบัญชี, DuerOS แพลตฟอร์มผู้ช่วยอัจฉริยะ มีจำนวนคำสั่งเพิ่มเป็นกว่า 5 พันล้านครั้งต่อเดือน
Baidu เป็นอีกบริษัทที่ประเมินผลประกอบการในไตรมาสปัจจุบัน ว่าจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ด้วยรายได้ที่ลดลง แม้สถานการณ์ในจีนจะดีขึ้น
ที่มา: Baidu และ Yahoo! Finance |
# พบ iOS 13.4 มีโหมด OS Recovery แบบ OTA ไม่ต้องต่อกับคอมพิวเตอร์
แอปเปิลได้ออก iOS 13.4 เบต้า สำหรับให้นักพัฒนาใช้ทดสอบ โดยในเวอร์ชันล่าสุดมีผู้พบคุณสมบัติการทำงาน OS Recovery แบบผ่านอินเทอร์เน็ต
ที่ผ่านมาหาก iPhone หรือ iPad ไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากระบบปฏิบัติการมีปัญหา การ restore ต้องทำผ่าน Mac หรือพีซี โดยการเชื่อมต่อสายเท่านั้น ซึ่งด้วยแนวโน้มที่หลายคนไม่มีคอมพิวเตอร์ แต่ใช้สมาร์ทโฟนกับแท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์หลัก การทำ recovery ก็เป็นเรื่องยุ่งยากขึ้น
โหมด OS Recovery ที่พบใน iOS 13.4 นั้น ระบุว่าสามารถซ่อมแซมระบบ iOS ด้วยการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ผ่านอินเทอร์เน็ต OTA ได้เลย การทำงานน่าจะคล้ายกับโหมด Internet Recovery บน macOS
แนวทางนี้น่าจะถูกนำมาใช้กับ Apple Watch และ HomePod ต่อไป เนื่องจากทั้งสองอุปกรณ์ไม่มีสายเชื่อมต่อ หากระบบปฏิบัติการติดปัญหา จะต้องเข้าศูนย์บริการแอปเปิลอย่างเดียว
ที่มา: 9to5Mac |
# ไปอีกงาน Game Developer Conference 2020 เลื่อนจัดงานเพราะปัญหา COVID-19
Game Developer Conference (GDC) 2020 เป็นงานสัมมนาไอทีงานใหญ่ล่าสุดที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไวรัสโคโรนา COVID-19
ก่อนหน้านี้มีบริษัทไอทียักษ์ใหญ่หลายราย เช่น Sony, Facebook, Microsoft, EA, Unity, Epic, AWS, Blizzard ประกาศถอนตัวไม่ร่วมงาน จนทำให้ผู้จัดงาน GDC ต้องตัดสินใจเลื่อนการจัดงานจากเดือนมีนาคมเป็นช่วงกลางปี (ยังไม่ระบุวันที่แน่ชัด)
ผู้ที่ซื้อบัตรร่วมงานจะได้เงินคืนเต็มจำนวน และงานอีเวนต์ย่อยของ GDC บางงาน เช่น งานเกมอินดี้ และงานมอบรางวัลนักพัฒนาเกม จะสตรีมผ่าน Twitch แทน
งานสัมมนาสายเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ประกาศยกเลิกไปก่อนหน้านี้ มีทั้ง MWC 2020, Facebook F8, CP+ 2020
ที่มา - GDC |
# รีวิว That Will Never Work กำเนิด Netflix และประสบการณ์การทำสตาร์ตอัพเมื่อ 20 ปีก่อน
คนไทยมักจะรู้จัก Netflix ในฐานะผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งรายใหญ่ของโลก คนไม่มากนักอาจจะรู้ว่า Netflix ที่จริงแล้วกำเนิดมาในฐานะบริษัทให้เช่าแผ่นดีวีดี โดยเรื่องราวที่เราได้ยินเสมอ คือ Reed Hastings ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทและซีอีโอปัจจุบันถูกปรับจากร้าน Blockbuster จากการคืนเทปวิดีโอช้ากว่ากำหนด 40 ดอลลาร์ เป็นที่มาของความพยายามสร้างบริการเช่าภาพยนตร์ออนไลน์ที่ไม่มีค่าปรับ
หนังสือ That Will Never Work เขียนโดย Marc Randolph ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอคนแรกของ Netflix เล่าถึงประสบการณ์ช่วงของการก่อตั้งบริษัท จนถึงช่วงที่บริษัทเข้าตลาดหุ้นไปแล้ว และเขาเองก็ออกจากบริษัทหลังจากนั้นไม่นาน
note: บทความเปิดเผยเนื้อหาหนังสืออย่างมีนัยสำคัญ
เนื้อหาในหนังสือเล่าตั้งแต่การค้นหา "ไอเดีย" ว่าจะเปิดบริษัทอะไรดี โดยมีไอเดียจำนวนมากโยนไปมาระหว่าง Marc และ Reed และทั้งสองคนก็วิจารณ์ไอเดียกันไปว่าทำไมมันจึงไม่เวิร์ค ในยุคนั้นการเช่าวิดีโอยังเป็นธุรกิจขนาดยักษ์ แต่การเปิดกิจการเช่าวิดีโอนั้นทำได้ยากเพราะม้วนวิดีโอ VHS นั้นมีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก ทำให้ค่าส่งแพงจนเกินไป จนกระทั่งทั้งสองมาเจอกับแผ่นดีวีดีที่ยังไม่แพร่หลายนัก มีภาพยนตร์จำหน่ายในรูปแบบดีวีดีเพียงไม่กี่ร้อยเรื่องเท่านั้น จึงเป็นโอกาส ทั้งสองทดสอบด้วยการส่งแผ่นซีดีทางจดหมายไปยังบ้านของ Reed ว่ายังใช้งานได้หรือไม่
นอกจากเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแล้ว Reed ยังเป็นผู้ลงทุนหลักคนแรก หนังสือเล่าถึงแนวทางการแบ่งผลประโยชน์ว่าทั้ง Reed และ Marc ตีมูลค่าไอเดียไว้ที่ 3 ล้านดอลลาร์โดยได้รับคนละครึ่ง กระจายตามช่วงเวลาที่ไม่ระบุ แล้ว Reed ลงทุนอีก 2 ล้านดอลลาร์จึงได้หุ้นส่วนใหญ่ไป อย่างไรก็ตามก่อนเริ่มบริษัทนั้น Reed ให้ Marc หาคนลงทุนเพิ่มเติม กระบวนการนี้ทำให้ทั้งสองคนต้องฟังเสียงคนอื่นเพิ่มเติม และต้องพิสูจน์ว่าไอเดียมีความเป็นไปได้ก่อนจะเริ่มกันจริงๆ
Marc Rudolph ในงาน Cloud Summit เมื่อปี 2017
กระบวนการเริ่มต้นบริษัทจากศูนย์นับเป็นความท้าทายอย่างมากในสมัยนั้น Marc ต้องคุมทีมซอฟต์แวร์, จัดการสต็อกแผ่นดีวีดี, ออกแบซองแผ่นดีวีดีที่ทนทานพอรับแรงกระแทกจากการส่งไปรษณีย์ แม้แต่หลังจากวันแรกที่เริ่มเปิดบริการ ปัญหาเซิร์ฟเวอร์ไม่พอสำหรับรองรับลูกค้า และในยุคที่ไม่มีบริการคลาวด์ ทีมงานก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับรถออกไปซื้อชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์มาประกอบเซิร์ฟเวอร์ใหม่
เส้นทางหลังจาก Netflix เริ่มต้น มีบทเรียนมากมาย ช่วงแรกที่เปิดเว็บนั้นในเว็บที่ทั้งแผ่นดีวีดีให้เช่าและแผ่นสำหรับขาย และพบว่าการขายแผ่นนั้นทำเงินได้เยอะกว่ามาก แต่เพื่อจะโฟกัสกับธุรกิจให้เช่าก็ต้องตัดธุรกิจขายแผ่นดีวีดีออกไป อีกบทเรียนหนึ่งคือการเริ่มต้นบริษัทนั้นใช้คนคนละประเภทกับการดำเนินกิจการที่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ช่วงแรกบริษัทอาจจะต้องการคนรู้รอบ (jacks-of-all-trades) แต่เมื่อตั้งหลักได้แล้วก็ต้องการคนมีประสบการณ์เฉพาะทางมากขึ้น
บทเรียนเล็กๆ แต่สำคัญที่หนังสือให้คือจังหวะเวลาเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง แนวคิดว่าหลังจากโลกมีอินเทอร์เน็ตแล้วจะไม่ต้องการแผ่นหรือเทปใดๆ อีกต่อไปนั้นมีมาตั้งแต่ 20 ปีก่อนที่ Netflix กำลังขอทุนขยายบริษัท แต่ในความเป็นจริงคือบริการวิดีโอสตรีมมิ่งต้องรอให้อินเทอร์เน็ตทั่วถึงและความเร็วสูง ซึ่งใช้เวลานานกว่าที่หลายคนคาดมาก การที่ Netflix มีประสบการณ์และธุรกิจให้เช่าแผ่นดีวีดีอยู่ก่อนหลายเป็นความได้เปรียบ และบริษัทก็สามารถปรับธุรกิจเมื่อจังหวะเวลาพร้อมได้
จุดหักเหจุดใหญ่ในหนังสือ คือเมื่อได้ทุนเพิ่มเติม Reed เข้ามาพูดกับ Marc ว่าเขาพาบริษัทเดินหน้าไปเพียงช่วงแรกเท่านั้น และ Reed จำเป็นต้องเข้ามาเป็นซีอีโอร่วม พร้อมกับได้ส่วนแบ่งหุ้นเพิ่มเติมจากเดิมที่แบ่งค่าไอเดียคนละครึ่ง แม้ Marc จะแสดงความไม่พอใจในหนังสือแต่เขาก็อธิบายไว้ว่า Reed เป็นคนพูดตรงไปตรงมาและจริงใจ
ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสองยังมีโอกาสร่วมกันไปเจรจากับบริษัทที่มีโอกาสจะซื้อกิจการ คือ Amazon ที่เสนอราคาเบื้องต้น "สิบกว่าล้านดอลลาร์" ซึ่งไม่น่าพอใจพอ เพราะตอนนั้น Netflix ได้รับทุนรอบใหม่แล้ว หลังจากนั้นก็ไปเจรจากับ Blockbuster ที่เพิ่งนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นและได้เงินจาก IPO ถึง 450 ล้านดอลลาร์ โดย Netflix เสนอขายกิจการในราคา 50 ล้านดอลลาร์แต่ก็ล้มเหลว
That Will Never Work เป็นมุมมองที่หลายคนอาจจะไม่ได้รับรู้นักว่ากว่า Netflix จะมายิ่งใหญ่ในทุกวันนี้มันเริ่มต้นมาอย่างไร บริษัทที่สามารถเปลี่ยนธุรกิจหลักของตัวเอง จากขายดีวีดีมาเป็นการให้เช่า จนเป็นการสตรีมมิ่งอย่างทุกวันนี้ต้องผ่านการตัดสินใจที่ยากลำบาก หนังสือเดินเรื่องสนุกและเหมาะกับผู้ที่สนใจโลกสตาร์ตอัพทุกคน แม้ว่าเนื้อหาโดยรวมจะเป็นมุมมองของ Marc เป็นหลักก็ตาม
หนังสือยังไม่มีแปลภาษาไทย แต่มีขายเวอร์ชั่นปกอ่อนตามร้านหนังสือภาษาอังกฤษแล้ว |
# [ลือ] Apple พัฒนา Smart Keyboard สำหรับ iPad รุ่นใหม่ มี Trackpad ในตัว
The Information อ้างแหล่งข่าวที่ทราบแผนงานของแอปเปิล เผยว่าแอปเปิลกำลังพัฒนา Smart Keyboard ที่มาพร้อม Trackpad ในตัว สำหรับ iPad ซึ่งตัววัสดุและการออกแบบนั้นเหมือนกับ Smart Keyboard รุ่นปัจจุบันที่ขายอยู่
ข้อมูลระบุว่า Smart Keyboard ที่มี Trackpad จะเปิดตัวพร้อมกับ iPad Pro รุ่นใหม่ ซึ่งกรณีดีที่สุด คาดว่าแอปเปิลจะเปิดตัว iPad Pro ใหม่ในเดือนมีนาคม
อย่างไรก็ตามน่าสนใจว่า Smart Keyboard ที่มี Trackpad นั้นจะมีหน้าตาอย่างไร เพราะปัจจุบันตัวคีย์บอร์ดก็ใช้พื้นที่เต็มอยู่แล้ว
ที่มา: MacRumors |
# กลุ่มทรู ไตรมาส 4/2562 ทรูมูฟ เอช ยังคงเติบโตสูง
ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2562 มีรายได้รวม 37,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2561 EBITDA (กำไรก่อนดอกเบี้ย-ภาษี-ค่าเสื่อมราคา-ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย) 8,058 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานแยกตามกลุ่มธุรกิจเป็นดังนี้
ทรูมูฟ เอช รายได้รวมเพิ่มขึ้น 12.9% จำนวนลูกค้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 30.6 ล้านเลขหมาย
ทรูออนไลน์ รายได้เพิ่มขึ้น 0.2% มีลูกค้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.8 ล้านราย
ทรูวิชั่นส์ รายได้ลดลง 3.2% แต่เห็นแนวโน้มการเติบโตของรายได้สมัครชมคอนเทนต์ผ่านทรูไอดี และทรูไอดีทีวี
ที่มา: ทรู |
# Panasonic เตรียมถอนตัวจากการผลิตแผงโซลาร์ที่โรงงาน Tesla แล้ว ปลดพนักงาน 400 คน
Panasonic กับ Tesla เป็นพาร์ทเนอร์กันมายาวนานในหลายด้าน อันที่หลายคนน่าจะทราบคือการที่ Panasonic ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ Tesla โดยร่วมลงทุนในโรงงาน Gigafactory 1 ที่รัฐ Nevada ด้วย
นอกจากนี้เมื่อปี 2016 ทั้งสองบริษัทยังได้มีข้อตกลงร่วมกันผลิตแผงโซลาร์ ในลักษณะที่ Panasonic เข้าไปดำเนินงานในโรงงาน Gigafactory 2 ของ Tesla ที่เมือง Buffalo รัฐ New York โดย Panasonic จ้างงานเองจำนวนหนึ่งรวมถึงช่วยออกค่าเครื่องจักรด้วย
ล่าสุด Panasonic ประกาศถอนตัวจากการดำเนินงานในโรงงานของ Tesla แล้ว โดยจะหยุดการผลิตแผงโซลาร์ในสิ้นเดือนพฤษภาคมและย้ายออกจากโรงงานในเดือนกันยายน ทั้งนี้ Panasonic ระบุเพียงแค่ว่าบริษัทฯ ตัดสินใจที่จะออกจากธุรกิจแผงโซลาร์ในระดับโลก
ผลที่ตามมาคือพนักงานที่ Panasonic จ้างไว้ราว 400 ตำแหน่ง (บางแหล่งข่าวระบุว่า 380 แต่บางแหล่งระบุว่า 403 ตำแหน่ง) จะต้องถูกเลิกจ้าง แต่ Tesla ก็ได้รับปากว่าจะจ้างพนักงานกลุ่มดังกล่าวต่อบางส่วน และพนักงานที่ถูกปลดก็จะได้รับเงินชดเชยจาก Panasonic
ทั้งนี้ Tesla มีข้อตกลงกับรัฐ New York ไว้ว่าจะจ้างพนักงานที่โรงงานนี้อย่างน้อย 1,450 ตำแหน่ง ซึ่งปัจจุบันก็เกินจำนวนนี้ไปแล้ว และพนักงาน 400 ตำแหน่งของ Panasonic ก็ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงนี้แต่อย่างใด
ที่มา - TechCrunch, CleanTechnica
Gigafactory 2 | ภาพโดย Tesla |
# Nokia อาจควบรวมกิจการอุปกรณ์ Network จากแรงกดดันของคู่แข่งจีน
สำนักข่าว Bloomberg อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง เผยว่าโนเกียได้ว่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาทิศทางของธุรกิจต่อไปในอนาคต ซึ่งแนวทางหนึ่งคือการขายหรือควบรวมกิจการ เหตุผลสำคัญก็คือการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงมาก
ธุรกิจปัจจุบันของโนเกียคืออุปกรณ์เครือข่าย ซึ่งมีคู่แข่งสำคัญคือ Ericsson และ Huawei แนวโน้มในตลาดคือการเปลี่ยนไปเป็นอุปกรณ์ 5G แต่โนเกียยังพบปัญหาในการแข่งขันด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
นักวิเคราะห์มองว่าตัวเลือกที่มีโอกาสสูงสำหรับโนเกีย คือการควบรวมกิจการกับ Ericsson
ปัจจุบันแม้จะมีโทรศัพท์มือถือโนเกียวางจำหน่าย แต่มาจากการขายสิทธิแบรนด์ให้ HMD Global ธุรกิจของโนเกียตอนนี้คือการขายอุปกรณ์วางเครือข่าย ที่ก่อนหน้านี้โนเกียก็ได้ซื้อกิจการ Alcatel-Lucent เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอ
ที่มา: Bloomberg และ Axios ภาพ Instagram Nokia |
# จีนลบ Plague Inc. เกมให้ผู้เล่นรับบทเป็นไวรัสล้างโลก ออกจาก App Store
หลังโลกเผชิญเหตุโรค COVID-19 ระบาด เกม Plague Inc. เกมแนววางแผนกลยุทธ์ที่ให้เรารับบทเป็นเชื้อโรคที่ทำลายล้างมนุษยชาติก็ได้รับความนิยมในจีน ถึงขนาดตัวเกมขึ้นมาเป็นแอปยอดนิยมอันดับหนึ่งในหมวดแอปประเภทเสียเงินบน App Store ของประเทศจีน
แต่ล่าสุด Ndemic Creations ผู้พัฒนาเกมออกมาประกาศว่า จีนได้ลบเกม Plague Inc. ออกจาก App Store จีนแล้ว ด้วยเหตุผลว่าเป็นคอนเทนต์ผิดกฎหมายตามมุมมองของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของจีนหรือ The Cyberspace Administration of China
Ndemic กล่าวในแถลงการณ์ระบุว่ารู้สึกเสียใจที่เกมโดนลบ ปัจจุบันตัวเกมมีคนเล่น 130 ล้านราย และที่ผ่านมาก็ได้รับความนิยมในจีนมาโดยตลอด ทางบริษัทกำลังพยายามเจรจากับหน่วยงานของจีนให้คนจีนสามารถกลับมาเล่นเกมได้เหมือนเดิม
ที่มาภาพ: App Store
ที่มา - Ndemic Creations |
# Netflix ได้ดีลสำคัญกับนักวาดมังงะ 6 ราย หนึ่งในนั้นมี CLAMP คนวาดซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์ด้วย
Netflix ได้ดีลสำคัญกับผู้สร้างอะนิเมะ 6 ราย โดยหนึ่งใน 6 รายนั้นมีกลุ่มนักวาด CLAMP ซึ่งรู้จักกันดีในฐานะผู้วาด Cardcaptor Sakura หรือซากุระ มือปราบไพ่ทาโรต์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการจับมือกับนักวาดที่ฝากฝีมือไว้ในมังงะหลายเรื่อง คือ Kibayashi Shin คนเขียนเรื่องมังงะนักสืบคินดะอิจิ, Ohtagaki Yasuo คนวาด Gundam Thunderbolt, Otsuichi คนวาด Calling You และ Goth, Ubutaka คนวาด Le Chevalier d’Eon และ Yamazaki Mari คนวาด Thermae Romae
Netflix ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของความร่วมมือว่าจะผลิตอะนิเมะเรื่องอะไรบ้าง โดย Taiki Sakurai ผู้อำนวยการสร้างอะนิเมะของ Netflix ระบุว่า ความร่วมมือนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสนับสนุนอะนิเมะญี่ปุ่น ให้ผู้สร้างเนื้อหาสามารถบอกเล่าเรื่องราวเข้าถึงแฟนๆ ทั่วโลกเพราะการเล่าเรื่องไม่มีขอบเขตในโลกของอะนิเมะ
ปีที่แล้ว Netflix ร่วมมือกับสตูดิโอผลิตอะนิเมะหลายแห่ง เช่น Production I.G, bones, anima, David Production และ Sublimation นอกจากนี้ยังเพิ่งประกาศสร้างวันพีซฉบับคนแสดงด้วย
ที่มา - Variety |
# รู้จัก Mini Program ของ WeChat ช่องทางสำคัญกับการเป็น SuperApps และผลักดัน O2O
ที่ผ่านมาเราอาจเคยอ่านเจอวิสัยทัศน์ของสตาร์ทอัพที่พัฒนาแอปอย่าง Grab, Uber ว่าต้องการเป็น Super Apps หรือการเป็นแอปรวมทุกบริการ ทุกการใช้งานของผู้ใช้งาน ครอบคลุมในทุกมิติ คือเข้าแอปเดียวทำได้ทุกอย่าง
แม้แอปที่เราใช้งานกันส่วนใหญ่จะยังคงไม่สามารถสถาปนาตัวเองเป็น SuperApps ได้อย่างจริงจัง แต่ในประเทศจีน WeChat แอปแชทที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศ ประสบความสำเร็จไปเรียบร้อยแล้วจากการเป็น SuperApps โดยอาศัยการสร้างอีโคซิสเต็มจากจำนวนคนใช้งานแอปที่เยอะอยู่แล้วผ่าน Mini Program
Mini Program แพลตฟอร์มแอปซ้อนแอป
Mini Program เป็นแพลตฟอร์มให้ร้านค้า ผู้ประกอบการหรือใครก็ได้มาพัฒนาแอปบนแพลตฟอร์ม WeChat และเชื่อมต่อกับแอคเคาท์หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ บน WeChat ช่วยให้ผู้ใช้งานหรือลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการต่าง ๆ ของแบรนด์ได้ทันที
ด้วยความที่ Mini Program เป็นแอป ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์อย่างที่เราคุ้นบน Messenger หรือ LINE Official Account การใช้งาน Mini Program ของแบรนด์ต่าง ๆ เลยค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่แอปอีคอมเมิร์ซของ JD, แอปค้นหาและเช่าจักรยานของ Mobike พร้อมรองรับการจ่ายเงินในตัว, แอปหาสถานีชาร์จของ Tesla, แอปสั่งเบอร์เกอร์ของ McDonald เป็นต้น
Mini Program ของ JD
กล่าวอีกอย่างคือ Mini Program เป็นแพลตฟอร์มแอปที่ซ้อนอยู่บน WeChat อีกที มีความสามารถมีฟีเจอร์ไม่แตกต่างจากแอปแยก แต่ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนในแต่ละแอป รวมถึงสามารถทำธุรกรรมผ่านแอปบน Mini Program ได้ทันทีผ่าน WeChat Pay ซึ่งในแง่ประสบการณ์ใช้งานถือว่าค่อนข้างสะดวกมาก ๆ
Mini Program ของ Mobike
ในแง่ของแบรนด์หรือผู้ประกอบการ การพัฒนาหรือเข้าสู่แพลตฟอร์ม Mini Program ก็ค่อนข้างง่าย หากบริษัทมีนักพัฒนา จะเขียนแอปหรือพอร์ทแอปขึ้นมาบน Mini Program ก็ได้ หรือหากเป็นผู้ประกอบการเล็ก ๆ ไม่มีทีม ไม่มีทรัพยากร ทาง WeChat ก็มีเครื่องมือที่เรียกว่า Program Maker สำหรับเขียนแอปแบบง่าย ๆ บน Mini Program ให้ด้วย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องโค้ด WeChat มี template ให้เสร็จสรรพ อินเทอร์เฟสก็อาศัยการ drag & drop เป็นหลักเท่านั้น รวมถึงสามารถเปิดเดโมบนสมาร์ทโฟนได้ภายในไม่กี่คลิ๊ก และพร้อมใช้งานเลย
Program Maker
หมากตัวสุดท้ายของอีโคซิสเต็มเชื่อม O2O
WeChat เดิมมีแพลตฟอร์มคล้าย ๆ LINE ในบ้านเราคือมี Official Account สำหรับการกระจายข้อมูล โปรโมชันต่าง ๆ จากออนไลน์ และ WeChat Pay สำหรับทำธุรกรรมไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จอยู่แล้ว โดยมี QR Code เป็นตัวเชื่อม (connector) จนเป็นโมเดลที่ Tencent เรียกแพลตฟอร์มทีขับเคลื่อนด้วย QR นี้ว่า QR Economy
ทว่าสิ่งที่แพลตฟอร์ม WeChat ขาดคือ touchpoint ระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ (O2O) ที่ก่อนหน้านี้ ยังเกิดขึ้นนอกแพลตฟอร์มอยู่ อาทิ แอปอีคอมเมิร์ซหรือแอปของแบรนด์ ดังนั้น Mini Program จึงเป็นเสมือนหมากตัวสุดท้ายของ WeChat ในการเชื่อมต่อและรักษาจำนวนผู้ใช้ให้อยู่บนแพลตฟอร์มและทำธุรกรรมผ่าน WeChat มากยิ่งขึ้น
WeChat ได้จัดงาน WeChat Open Class Pro 2020 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยเป็นการฉลองครบรอบ Mini Program ที่เข้าสู่ปีที่ 3 ด้วย โดยปีนี้มีจำนวนแอปบน Mini Program แตะ 2 ล้านแอปแล้ว เพิ่มขึ้นจากปี 2018 ที่มีแค่ราว 1 ล้านแอปเท่านั้น การทำธุรกรรมปีที่ผ่านมาก็มีเม็ดเงินหมุนเวียนถึง 800 ล้านหยวนหรือราว 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 160%
ในแง่จำนวนผู้ใช้งานรายวัน (DAUs) ก็เติบโตขึ้นอยู่ที่ราว 300 ล้านคน เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อนหน้า เมื่อเทียบกับผู้ใช้งาน WeChat ที่ล่าสุดอยู่ที่ราว 1.15 พันล้านคนและ WeChat Pay ที่ราว 900 ล้านคน แม้จะดูยังห่างไกล แต่คาดว่าก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ จากการปรับปรุงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับ Mini Program
อย่างปีนี้ WeChat ระบุด้วยว่าจะผลักดันผลักดันการขายของผ่านไลฟ์วิดีโอ (ประมาณแม่ค้าไลฟ์ขายเสื้อผ้าในบ้านเรา) ผ่าน Mini Program เพื่อชนกับ Taobao ของ Alibaba แล้วด้วย ซึ่งก็น่าจะช่วยเพิ่มผู้ใช้งานและการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอีกไม่น้อย |
# หรือการจัดไลฟ์อีเว้นท์จะเป็นทางออกช่วงโรคระบาด, รู้จัก Run The World สตาร์ทอัพทำ live online event
จากเหตุการณ์ไวรัส COVID-19 ระบาด ส่งผลให้อีเว้นท์สำคัญต้องยกเลิกไป ไม่ว่าจะเป็นงาน Mobile World Congress, งาน F8 ของ Facebook ที่ลดขนาดงานลง จัดเป็นไลฟ์สตรีมแทน ทำให้เกิดคำถามว่า ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ จะยังสามารถจัดอีเว้นท์สำคัญได้อย่างไร
เว็บไซต์ TechCrunch พาไปรู้จัก Run The World เป็นสตาร์ทอัพทำระบบไลฟ์อีเว้นท์ ตั้งอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย และมีทีมทำงานแยกทั้งในจีนและไต้หวัน Run The World ทำแพลตฟอร์มสำหรับไลฟ์อีเว้นท์ตั้งแต่ประชาสัมพันธ์งาน ขายตั๋ว ไลฟ์สตรีม มีช่องทางให้พูดคุยกับสปีกเกอร์ด้วย
Run The World เพิ่งเปิดตัวต่อสาธารณชนเมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา แต่ผู้ก่อตั้ง Xiaoyin Qu บอกว่ามีการจัดอีเว้นท์ไปแล้วแล้ว 12 อีเว้นท์ และมีอีเว้นท์ที่อยู่ในไปป์ไลน์อีกมาก โดยหนึ่งในอีเว้นท์ที่จะจัดผ่าน Run The World คือ Wuhan2020 งานแฮกกาธอนที่รวมเอานักพัฒนา 3,000 รายเข้ามาทำการแฮกกาธอนบนแพลตฟอร์ม เป้าหมายคือหาเทคโนโลยีจัดการกับไวรัส โดยอีเว้นท์จะจัดในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้
Run The World ทำรายได้จากการเก็บเปอร์เซนต์จากค่าตั๋วทั้งหมด 25% ผ่านช่องทางธุรกรรมจากสตาร์ทอัพ Stripe นอกจากนี้ยังมีการระดมทุนจากกองทุน Andreessen Horowitz, GSR Ventures, Pear Ventures, 122 West Ventures, Unanimous Capital เป็นต้น
Run The World ยังมีโมเดลรับบริจาคบนแพลตฟอร์มด้วย ผู้ก่อตั้ง Xiaoyin Qu บอกว่ามีการจัดอีเว้นท์อนุรักษ์ช้างในประเทศลาวซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สามารถระดมเงินบริจาคจำนวน 30,000 เหรียญจาก 15 ประเทศในสองสัปดาห์
ที่มา - TechCrunch, Run The World |
# True เปิดขาย Google Nest Mini (Home Mini เดิม) อย่างเป็นทางการ ราคาโปร 1,990 บาท
Google Home Mini เป็นลำโพงอัจฉริยะที่มี Google Assistant ทำงานอยู่เบื้องหลัง โดยกูเกิลได้เปิดขายรุ่นแรกมาตั้งแต่ปี 2017 และเมื่อเดือนตุลาคมก็ได้ออกรุ่นใหม่ที่ปรับปรุงลำโพงให้เสียงดีขึ้นรวมถึงมีชิปประมวลผล Machine Learning อยู่ภายใน พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Google Nest Mini
ล่าสุด TrueMove H ได้เปิดจำหน่าย Google Nest Mini อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นครั้งแรกแล้วทางออนไลน์ โดยตั้งราคาที่ 2,290 บาท แต่มีโปรโมชันลดเหลือ 1,990 บาทระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ถึง 5 มีนาคมนี้ มีให้เลือกด้วยกันสองสีคือเทาอ่อนและเทาเข้ม รวมถึงมีการรับประกัน 1 ปีด้วย
การวางจำหน่าย Google Nest Mini อย่างเป็นทางการในประเทศไทย สอดคล้องกับข่าวเมื่อกลางเดือนนี้ที่หน้าเว็บกูเกิลได้อัพเดตระบุว่าลำโพงดังกล่าวสามารถรองรับการโต้ตอบเป็นภาษาไทยได้
ผู้สนใจสามารถเข้าไปซื้อได้ที่หน้าร้านออนไลน์ TrueMove H
บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม: รีวิว Google Home Mini (รุ่นแรก)
ที่มา - Facebook: TrueMove H |
# รีวิว Galaxy S20 Ultra กล้องเทพ 108MP, ซูม 100 เท่า, ถ่ายวิดีโอ 8K ที่เหมาะสำหรับมืออาชีพ
ซัมซุงเปิดตัวปี 2020 ด้วยการขยับเลขของซีรีส์ S ทีเดียวจาก 10 เป็น 20 พร้อมกับรุ่นย่อยตัวใหม่ "Ultra" ที่อัดมาทุกฟีเจอร์เท่าที่สามารถใส่มาให้ได้
แน่นอนว่ามือถือที่ได้รับการจับตามากที่สุดย่อมเป็น Galaxy S20 Ultra ซึ่งเราจะมารีวิวกันเป็นลำดับแรก ส่วน Galaxy S20/S20+ รุ่นรองลงมา (ที่สเปกแทบเหมือนกัน 100%) จะตามมาในลำดับถัดไป
บทความที่เกี่ยวข้อง รีวิวกล้อง Galaxy S20 Ultra เลนส์ซูม 100 เท่า ทำได้ดีแค่ไหนในการใช้งานจริง
ว่าด้วยเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดของ S20 Ultra ที่ไม่ใช่เรื่องกล้อง
ถ้าให้สรุปฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญของซีรีส์ Galaxy S20 สามารถแบ่งได้เป็น 3 เรื่องคือ
รองรับ 5G (รุ่น Ultra ที่นำมาขายในไทยมีเฉพาะรุ่น 5G, ส่วน S20/S20+ เป็น 4G)
จอภาพรีเฟรช 120Hz
กล้อง
ไม่ว่าจะเป็นงานแถลงข่าวของซัมซุง หรือบนเว็บไซต์ของซัมซุงเอง ก็หนีไม่พ้นเพียงแค่ 3 เรื่องนี้ เพราะส่วนอื่นๆ ของสมาร์ทโฟนแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดอีกแล้ว
ประเด็นเรื่อง 5G คงไม่ยังสามารถพูดถึงได้ในตอนนี้ เพราะเมืองไทยเพิ่งเริ่มต้นกับเครือข่าย 5G (AIS เพิ่งเริ่มเปิดบริการเชิงพาณิชย์ แต่ต้องรอซัมซุงอัพเดตเฟิร์มแวร์รับคลื่นของ AIS ก่อนด้วย) ดังนั้นเหลือประเด็นให้พูดถึงแค่เรื่องจอ 120Hz กับเรื่องกล้องเท่านั้น เรื่องกล้องเป็นเรื่องใหญ่ของ Galaxy S20 ที่เราจะแยกเป็นอีกหัวข้อ ดังนั้นในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดที่ไม่ใช่เรื่องกล้องครับ
ภาพรวมของ Galaxy S20 Ultra 5G ใช้ดีไซน์ที่เรียกว่าเป็นมาตรฐานของซัมซุงช่วงครึ่งหลังของปี 2019 เป็นต้นมา (เริ่มใช้ใน Note 10 และลามมาถึงซีรีส์ A ด้วย) นั่นคือใช้หน้าจอ Infinity-O ขนาดใหญ่ 6.9 นิ้ว เกือบเต็มพื้นที่ด้านหน้าเครื่อง และใช้กล้องหน้าแบบเจาะรู (punch-hole) วางตรงกลางจอ เลิกใช้ดีไซน์กล้องหน้าชิดมุมขวาบนแบบที่ใช้ใน Galaxy S10 ไปซะแล้ว
ดีไซน์อื่นของตัวเครื่องไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มปิดจอถูกย้ายกลับมาอยู่ด้านขวามือ (เท่ากับว่ามี Note 10 รุ่นเดียวที่ย้ายไปซ้ายมือ โดยไม่ระบุเหตุผล!)
กรณีของ Galaxy S20 Ultra มีเรื่องเลนส์กล้องที่ปูดโปนมาก จนไม่สามารถวางราบกับพื้นโต๊ะได้เลย บวกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากเป็น 222 กรัม เรียกว่าหนักจนรู้สึกได้ทีเดียว (เทียบกับ S20 รุ่นธรรมดาที่หนัก 163 กรัม หรือ S20+ ที่หนัก 186 กรัม)
Galaxy S20 Ultra มีให้เลือกเพียง 2 สีคือ ดำ Cosmic Black และเทา Cosmic Gray เข้าใจว่าซัมซุงคงเน้นสีเข้มๆ ให้เห็นถึงสมรรถนะ (S20/S20+ มีรุ่นสีฟ้าและชมพูด้วย) โดยเครื่องที่ได้มาทดสอบเป็นสีดำ Cosmic Black ก็ดูเป็นสีดำมาตรฐาน ไม่มีอะไรพิเศษในแง่ดีไซน์
รอมที่มากับเครื่องเป็น Samsung One UI 2.0 Android 10 มาตั้งแต่ต้น (แพตช์ล่าสุดขณะที่เขียนรีวิวคือรอบ 1 กุมภาพันธ์ 2020) ฟีเจอร์เกือบทั้งหมดแทบไม่มีอะไรต่างกับรอม One UI 2.0 ของรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด ขอข้ามรายละเอียดในจุดนี้ไปนะครับ
หนึ่งในฟีเจอร์เด่นของ Galaxy S20 รอบนี้คือจอภาพรีเฟรช 120Hz ที่ดู "นิ่ม" ขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเวลาเลื่อนหน้าจอหรือมีแอนิเมชัน (ผมคิดว่าคำว่า "นิ่ม" เห็นภาพมากกว่า "ลื่น") แต่ก็ถือเป็นฟีเจอร์ระดับ nice-to-have คือมีมาให้ก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร และสามารถเลือกเปลี่ยนกลับเป็น 60Hz ได้หากต้องการประหยัดแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ของ Galaxy S20 Ultra ขนาดใหญ่ถึง 5,000 mAh ถือว่าใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นจากเรือธงตัวก่อน (Note 10+ ให้แบต 4300 mAh) ซึ่งแบตใหม่ๆ มาแบบนี้ก็อึดตามความคาดหมาย แต่ช่วงหลังเราก็เห็นสมาร์ทโฟนหลายยี่ห้อเริ่มมีแบตในระดับใกล้เคียงกันออกมาขายแล้วเช่นกัน คงไม่ใช่ฟีเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ S20 Ultra เพียงรุ่นเดียว
ฟีเจอร์อื่นๆ อย่างเรื่องการกันน้ำ, ชาร์จเร็ว, ชาร์จไร้สาย, PowerShare ชาร์จไร้สายให้อุปกรณ์อื่นได้ ฯลฯ ยังมีมาครบถ้วน แต่ก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิม ดังนั้นขอข้ามไปเช่นกันครับ
ว่าด้วยกล้องหลัก ความละเอียด 108MP
หมดจากประเด็นปลีกย่อยต่างๆ แล้วขอเข้าเรื่องหลักของ S20 Ultra ที่ทุกคนสนใจคือเรื่อง "กล้อง"
ขอย้อนข้อมูลสเปกกล้องของ Galaxy S20 Ultra อีกรอบ ว่ามีกล้องทั้งหมด 4 ตัว มีจำนวนเท่ากับกล้องของเรือธงรุ่นก่อนหน้า (Note 10+) ซึ่งในแง่จำนวนกล้องไม่น่าจะต่างจากนี้อีกแล้วในอนาคต
กล้องหลัก (wide) 108MP, f/1.2, 26mm, OIS
กล้องมุมกว้าง (ultrawide) 12MP, f/2.2, 13mm, Super Steady
กล้องเทเล (telephoto) 48MP, f/2.5, 103mm, OIS
เซ็นเซอร์วัดระยะลึก TOF 0.3MP
หากเทียบกับซีรีส์ S10/Note 10 เรือธงของปี 2019 จุดที่เปลี่ยนแปลงสำคัญคือ กล้องหลักที่อัพเกรดมาใช้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ ความละเอียด 108MP (ของเดิม 12MP) และกล้องเทเลที่ใช้เซ็นเซอร์ 48MP พร้อมการซูมแบบ Optical Hybrid Zoom 10x-100x (ของเดิม 12MP ซูม 2x)
ประเด็นเรื่องการซูม ผมเขียนถึงไปแล้วในบทความ รีวิวกล้อง Galaxy S20 Ultra กับเลนส์ซูม 100 เท่า ทำได้ดีแค่ไหนในการใช้งานจริง จึงไม่ขอกล่าวถึงซ้ำในบทความนี้
พ้นจากเรื่องซูม คงหนีไม่พ้นเรื่องเซ็นเซอร์ความละเอียดสูง 108MP ของกล้องหลัก ที่เป็นผลจากเซ็นเซอร์ตัวใหม่ ISOCELL Bright HMX 108MP ที่ทลายข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์กล้องของซัมซุงได้สักที หลังใช้เซ็นเซอร์ 12MP ตัวเดิมมาตั้งแต่ Galaxy S8 ในขณะที่คู่แข่งไปไกลกว่ามากแล้วในแง่ฮาร์ดแวร์
ต้องบอกว่าการถ่ายภาพที่โหมดปกติของ S20 Ultra จะใช้เทคนิค Tetracell Technology รวมแสงจาก 4 พิกเซลเป็นพิกเซลเดียว และจะได้ภาพผลลัพธ์สุดท้ายที่ 4000x3000 พิกเซล หรือ 12MP (ถ้าถ่ายที่สัดส่วน 4:3 แบบไม่คร็อป) ขนาดไฟล์ประมาณ 2-4MB
แต่เราสามารถตั้งค่ากล้องให้ถ่ายแบบเต็มความละเอียด 108MP ได้ (ได้เฉพาะสัดส่วน 4:3 เท่านั้น) ภาพที่ได้มีความละเอียด 12000x9000 พิกเซล ใหญ่ขึ้นจากเดิม 9 เท่า ขนาดไฟล์ประมาณ 26-28MB (JPEG) หรือ 15-17MB (HEIC) สามารถตั้งให้ถ่ายแบบ RAW ได้ด้วยถ้าต้องการ
ลองถ่ายภาพมาให้ดูไฟล์จริงๆ กันดีกว่า ภาพความละเอียดเต็มกดเข้าไปดูกันเองใน Flickr
เริ่มจากภาพ 12MP มาตรฐาน
กับภาพ 108MP สุดละเอียด
มาถึงตรงนี้คงมีคำถามว่า คนธรรมดาทั่วไปจะเอาภาพ 108MP ไปทำอะไรให้เปลืองพื้นที่ใช่ไหมครับ คำตอบของซัมซุงคือ "เอาไว้คร็อป" เพราะคร็อปออกมาแล้วยังได้ภาพถ่ายธรรมดาๆ ที่คุณภาพดีอยู่
จากรูปข้างต้น ผมลองคร็อปที่ 3 ความละเอียด เริ่มจาก 2400x1800 เห็นอาคารสีแดงที่กำลังก่อสร้างอยู่
คร็อประดับสองให้เล็กลงมาเท่าตัว 1200x900 ยังเห็นป้าย CentralWorld ค่อนข้างชัดอยู่ประมาณนึง
คร็อปให้เล็กลงอีกที่ 900x675 เห็นคนงานก่อสร้างบนยอดตึก รายละเอียดเริ่มลดลงแล้ว (ตอนถ่ายมองไม่เห็นคนงานคนนี้ คือเล็กในระดับตาเปล่ามองไม่เห็นถ้าไม่ตั้งใจมอง)
ในภาพรวมถือว่าน่าประทับใจมากนะครับ ที่สมาร์ทโฟนเครื่องเล็กๆ ขนาดใส่กระเป๋ากางเกงได้ สามารถถ่ายภาพในระดับนี้ได้แล้ว
แน่นอนว่าการคร็อปภาพระดับนี้คงไม่ได้ใช้กันบ่อยๆ ในชีวิตประจำวันมากนัก ซึ่งก็น่าจะตรงกับที่ซัมซุงนำเสนอในงานแถลงข่าวว่า Galaxy S20 Ultra เริ่มข้ามพรมแดนมือถือคอนซูเมอร์ ไปสู่มือถือระดับโปรที่ใช้ถ่ายภาพ-วิดีโอแบบมืออาชีพแล้ว (คู่แข่งระดับเดียวกันอย่าง Sony Xperia 1 II หรือ Xperia Pro ก็นำเสนอตัวเองแบบเดียวกัน โดยเฉพาะรุ่น Pro นี่ชัดเจน)
ถ่ายวิดีโอ 8K
อีกฟีเจอร์ไฮไลท์ที่มาคู่กันกับภาพนิ่ง 108MP คือการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K (7680 × 4320) ซึ่งชาวบ้านทั่วไปที่ยังไม่มีจอ 8K ก็ต้องยอมรับว่าไม่รู้จะเอามาทำไมเหมือนกันครับ (ฮา)
การถ่ายวิดีโอระดับ 8K จำเป็นต้องตั้งค่าเป็นโหมด 8K แบบจำเพาะเจาะจงอีกเหมือนกัน (ถ่ายได้เฉพาะสัดส่วน 16:9 เท่านั้นด้วย) แถมการถ่ายวิดีโอ 8K ไม่รองรับเฟรมเรต 60fps และฟีเจอร์กันสั่น Super Steady อีกด้วย
ความละเอียดของวิดีโอที่ S20 Ultra สามารถบันทึกได้ ถ้าเปิด Super Steady จะบันทึกได้ที่ FHD 1080p เท่านั้น
ตัวอย่างไฟล์วิดีโอ 8K (อย่าลืมเลือกความละเอียดตอนเล่นคลิปด้วย)
หมายเหตุ: เนื่องจากการอัพโหลดวิดีโอ 8K ขึ้น YouTube จะถูก encode ใหม่ ผมแนบไฟล์ 8K ต้นฉบับ มาด้วยเผื่อใครสนใจรับชม (codec ต้นฉบับมาเป็น H.265 ขนาดประมาณ 204MB)
ลูกเล่นอีกอย่างของวิดีโอ 8K ที่ซัมซุงโฆษณาไว้คือ สามารถนำภาพจากวิดีโอ 8K แล้วได้ภาพนิ่งขนาด 33MP (ซึ่งก็คือ 7680x4320 นั่นเอง) มาใช้ได้ด้วย ซึ่งในชีวิตจริงคงไม่ค่อยมีใครทำอะไรแบบนี้เท่าไรเช่นกัน (แต่ถ้าจำเป็นต้องทำก็สามารถทำได้) โดยซัมซุงให้ปุ่ม video capture มาในแอพ Gallery ตอนเปิดคลิปดูเลย
ตัวอย่างภาพ 33MP ที่แคปเจอร์จากวิดีโอข้างต้น
ประเด็นเรื่องการถ่ายวิดีโอระดับ 8K ก็เหมือนกับภาพนิ่ง 108MP นั่นคือเริ่มก้าวเข้าสู่พรมแดนของกล้องวิดีโอมืออาชีพ ที่ปัจจุบันกล้อง 8K ก็ยังมีไม่เยอะนัก แต่สมาร์ทโฟนระดับนี้สามารถทำได้แล้ว
Single Take กดทีเดียวได้ทั้งภาพและวิดีโอ
อีกฟีเจอร์ใหม่ของซีรีส์ Galaxy S20 (ทุกตัวไม่เฉพาะ Ultra) คือฟีเจอร์ฝั่งซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Single Take หรือการถ่ายค้างไว้ทีเดียว ได้ทั้งภาพหลายแอคชั่น วิดีโอสั้น พานอรามา ฯลฯ อะไรที่ซัมซุงคิดว่าดี จะถ่ายมาให้เราทั้งหมดโดยไม่ต้องคิดเอง (แนวคิดคล้ายกับฟีเจอร์ Live Image ของกล้องมือถือหลายตัวในช่วงก่อนหน้านี้ ที่ถ่ายภาพและวิดีโอให้พร้อมกัน แต่ของซัมซุงไปไกลกว่านั้นอีกหน่อย)
เพื่อให้เห็นภาพ ดูคลิปโปรโมทของซัมซุงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ฟีเจอร์นี้หาง่ายมาก เพราะเป็นโหมดที่อยู่ด้านซ้ายมือของแอพกล้อง (มาแทนโหมด Live Focus เดิมที่ย้ายไปหลบอยู่ใน More) เรียกได้ว่าตั้งใจขายกันสุดๆ
เมื่อกดครั้งแรก มีหน้าจอแนะนำว่าฟีเจอร์นี้คืออะไร จากนั้นเราสามารถถ่ายได้เหมือนถ่ายวิดีโอ แพนกล้องไปมาตามต้องการ ภาพที่ได้จะโผล่ใน Gallery โดยมีจุดสีขาวบอกว่าเป็นภาพจากโหมด Single Take
กดเข้าไปแล้วจะเห็นหน้าจอแสดง "ผลลัพธ์ทั้งหมดที่ได้" จากซีนที่ถ่าย Single Take จำนวนประมาณ 5-12 ภาพ (ขึ้นกับความยาวของการถ่ายโหมด Single Take และวัตถุในซีนด้วย)
เท่าที่ลอง พบว่าผลลัพธ์ที่ได้มีทั้งภาพถ่ายช็อตต่างๆ (หากเราเคลื่อนกล้องหรือมีวัตถุในกล้องเคลื่อนไหว) คลิปวิดีโอสั้นๆ, ภาพพานอรามา และภาพที่แต่งเอฟเฟคต์ให้แล้ว (เท่าที่พบคือมีภาพขาวดำ และใส่ฟิลเตอร์สีฟ้าๆ แบบ Instagram) โดยแอพ Gallery จะเลือก "ภาพที่ดีที่สุด" (Best Shot) มาให้เป็นภาพแรก พร้อมสัญลักษณ์เป็นรูปมงกุฎ
จากการทดลองใช้งานมาสักพัก พบว่าผลลัพธ์ค่อนข้างแกว่งตามซีนที่ถ่าย ถ้าเป็นซีนที่มีแอคชั่นเยอะๆ มีคนเคลื่อนไหวในกล้อง จะได้ผลลัพธ์ดีกว่าซีนที่นิ่งๆ ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก
แต่ปัญหาจริงๆ ของ Single Take กลับเป็นว่าเรามักนึกไม่ถึงฟีเจอร์นี้ตอนกดถ่ายมากกว่า เพราะตอนที่จะถ่ายภาพในชีวิตประจำวัน เรานึกถึงแค่โหมดภาพนิ่งกับโหมดวิดีโอเท่านั้น (โหมดอื่นๆ พวก Food, Night, Panorama เป็นโหมดที่นึกถึงในสถานการณ์พิเศษ) เมื่อมีโหมด Single Take เข้ามาเสริม แถมคาดเดาผลลัพธ์ได้ยากว่าจะออกมาดีแค่ไหน มันจึงกลายเป็นโหมดที่ถูกลืมไปแทน
ภาพถ่ายทั่วไป
หมดจากฟีเจอร์โชว์ทั้ง 108MP, 8K, Single Take แล้ว ลองมาดูรูปตัวอย่างที่ถ่ายด้วยโหมดปกติของกล้องดูครับ
ภาพถ่ายกลางวัน (ภาพความละเอียดเต็ม ดูจาก Flickr)
ภาพถ่ายกลางคืน นอกห้อง มีแสงบ้าง
ใช้โจทย์เดียวกับ รีวิว Galaxy Note 10 Lite คือเป็นภาพถ่ายซอยตอนกลางคืน ที่มีแสงจากไฟถนนบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นซีนที่พบได้บ่อยในชีวิตจริง (ที่มืด มีแสงบ้าง) และถ่ายเทียบคุณภาพกัน 3 กล้องคือ Note 10+ (ดีสุดของเจนก่อน), S20+ และ S20 Ultra
ซีนแรก มีแสงไฟพอสมควร
เริ่มจากซีนแรกที่มีแสงจากไฟถนนเยอะพอสมควร
Note 10+
S20+
S20 Ultra
ผลลัพธ์ไม่ต่างกันมากนัก แต่ภาพจาก S20+/S20 Ultra จะออกติดเหลืองมากกว่า Note 10+
ซีนที่สอง มีแสงไฟน้อย
ซีนที่สอง ลองใช้ฉากที่มีแสงไฟน้อยลง เป็นกำแพงที่ค่อนข้างมืด (มองด้วยตาเปล่าแทบมองไม่เห็นรายละเอียดกำแพง) ถ่ายด้วยโหมด Auto
Note 10+
S20+
S20 Ultra
ผลลัพธ์ไม่ต่างกันมากเช่นกัน ภาพจาก S20+/S20 Ultra ค่อนข้างคอนทราสต์มากกว่า
ซีนที่สอง (Night Mode)
ลองถ่ายซีนเดิมด้วย Night Mode เพื่อวัดพลังประมวลผลของกล้องด้วย
Note 10+
S20+
S20 Ultra
พอเป็นซีนนี้แล้วเปิด Night Mode เราเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนตั้งแต่ S20+ ที่เก็บรายละเอียดของกำแพงได้ดีขึ้นมาก พอเป็น S20 Ultra ยิ่งชัดขึ้นไปอีกขั้น ถือว่าน่าประทับใจมาก เมื่อเทียบกับภาพที่ตาเห็น ซึ่งแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
ภาพถ่ายกลางคืนในห้องปิด แทบไม่มีแสงเลย
การทดสอบชุดสุดท้าย ผมสร้างสถานการณ์ที่ท้าทายกล้องที่สุด คือในห้องที่ปิดสนิท และแทบไม่มีแสงเลย (มีแสงจากจอมอนิเตอร์ที่พัก sleep mode พื้นหลังสีดำเท่านั้น)
การทดสอบนี้เปรียบเทียบกล้อง 4 รุ่นคือ Pixel 3, Note 10+, S20+, S20 Ultra และถ่ายแบบ Auto เทียบกับ Night Mode โดยไม่มีขาตั้งกล้องช่วย ถ้าภาพสั่นหรือเบลอเป็นความผิดพลาดของผู้ถือกล้องเอง (ตอนถ่ายก็แทบมองไม่เห็นอะไรเลยเช่นกันครับ แน่นอนว่าย่อมมี error จากการถ่ายลักษณะนี้)
โหมด Auto
Pixel 3 แทบไม่เห็นอะไรเลย
Note 10+ เห็นเป็นภาพเกือบขาวดำ
S20+ ไม่ต่างกันมาก
S20 Ultra ดีขึ้นมานิดนึง
Night Mode
Pixel 3 เห็นวัตถุชัดเจน แต่ก็เสียรายละเอียด
Note 10+ ได้ภาพสว่างน่าประทับใจ
S20+ ไม่สว่างเท่ากับ Note 10+ แต่เก็บรายละเอียดได้ดีกว่า
S20 Ultra เก็บรายละเอียดได้ดี แต่ไม่ดีเท่ากับ S20+
จากภาพซีนยากๆ ที่ถ่ายแบบ Night Mode ผมยกให้ S20+ ออกมาดีที่สุด ตรงนี้ต้องยอมรับว่าอาจมี error จากการถือกล้องถ่ายด้วย แต่ในอีกด้าน ซัมซุงเองก็ยอมรับว่ากล้องของ S20 Ultra ยังไม่ดีเท่าที่ควร และต้องรออัพเดตในอนาคตเพื่อแก้ปัญหานี้
สรุป: กล้องน่าประทับใจ แต่เหมาะสำหรับใคร?
ภาพรวมการใช้งานของ Galaxy S20 Ultra บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรบกพร่อง (ยกเว้นเรื่องหนักและกล้องปูด) สเปกและฟีเจอร์จัดหนักสมราคาเรือธง (39,900 บาท สี่หมื่นทอนร้อยนึง)
สิ่งที่เป็นประเด็นน่าตั้งคำถามต่อ Galaxy S20 Ultra คือ คนทั่วไปต้องการกล้องที่ซูม 100 เท่า, ถ่ายรูป 108MP, ถ่ายวิดีโอ 8K หรือเปล่า คำตอบอาจเป็นคำว่า "ไม่ใช่"
ถึงแม้ในชีวิตจริง เราสะดวกมากขึ้นในการถ่ายภาพซูม 10 เท่า, เซ็นเซอร์ 108MP ช่วยให้ถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอได้สวยขึ้นอย่างชัดเจนก็ตาม ซึ่งตรงนี้ก็ดีจริงๆ ต้องยอมรับว่าซัมซุงทำการบ้านมาดีมากในรอบนี้
ซัมซุงเองก็ดูเหมือนจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว จึงตั้งชื่อรุ่นมาว่า S20 "Ultra" ที่สะท้อนว่ามันเป็นมือถือที่ทำทุกอย่างได้ดีที่สุด ถ้ามีกำลังเงินซื้อก็สามารถครอบครองเป็นเจ้าของกันได้
กลุ่มเป้าหมายของ S20 Ultra จึงอาจไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นคนที่มีเงินถุงเงินถัง หรือคนที่ต้องการกล้อง professional grade สำหรับงานระดับมืออาชีพ ในราคาและขนาดที่ถูกกว่ากล้องมืออาชีพมาก ดังที่ซัมซุงก็แสดงให้เห็นแล้วจากการใช้ S20 Ultra ถ่ายไลฟ์สตรีมงานแถลงข่าว S20
ถ้าราคาเป็นข้อจำกัดแล้ว มือถือที่อาจเหมาะกับคนทั่วไปมากกว่าคือ Galaxy S20/S20+ ที่ยังได้สเปกเรือธง กับกล้องที่ลดระดับลงอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังให้คุณภาพที่ดีอยู่เมื่อใช้งานในชีวิตจริง ซึ่งจะถามมาในรีวิวถัดไปครับ |
# ธนาคารกสิกรไทยทำประกันชีวิต COVID-19 ฟรี ลูกค้า K PLUS ลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ทันที
อัพเดตจากธนาคาร ขยายเวลาประกัน 30 วัน เป็น 90 วัน สำหรับลูกค้า K PLUS
ธนาคารกสิกรไทยมอบกรมธรรม์ประกันชีวิต COVID-19 ให้กับลูกค้า K PLUS ฟรี คุ้มครอง 30 วัน วงเงินสูงสุด 100,000 บาท และคุ้มครองชดเชยรายได้ 1,000 บาทต่อวันสูงสุด 15 วัน โดยลูกค้า K PLUS สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ผ่าน LINE KBank Live ตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ. ถึง 15 มี.ค. 2563
วิธีการลงทะเบียนรับสิทธิ์
1) ลงทะเบียนผ่าน LINE KBank Live
2) ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนตัว
3) ลูกค้ารับ OTP เพื่อยืนยันตัวตน
4) ลูกค้ารับข้อความเพื่อยืนยันได้รับสิทธิ์ผ่าน LINE KBank Live
5) ลูกค้าที่ลงทะเบียนและได้รับสิทธิ์แล้ว กรมธรรม์จะเริ่มคุ้มครองในวันถัดไปจนถึงวันที่สิ้นสุดความคุ้มครอง 30 วัน
ล่าสุดธนาคารกสิกรไทย ขยายระยะเวลาประกันให้ลูกค้า K PLUS จาก 30 วัน เป็น 90 วัน มีผลทั้งลูกค้า K PLUS อยู่แล้ว และคนที่เพิ่งสมัครใช้งาน K PLUS เพื่อใช้สิทธิ์ประกัน COVID-19
ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์, เว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทย |
# Let's Encrypt ประกาศออกใบรับรองครบพันล้านใบ
Let's Encrypt โครงการแจกใบรับรองเข้ารหัสฟรีประกาศออกใบรับรองครบ 1 พันล้านใบ รวมประมาณ 192 ล้านเว็บไซต์
Let's Encrypt เปิดแจกใบรับรองจริงครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคมปี 2015 ผ่านมาสี่ปี ตอนนี้โครงการมีพนักงานประจำ 11 คน และใช้งบประมาณปีละ 2.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 82 ล้านบาท โดยเพิ่มพนักงานเพียงสองคนในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา
ผลของการมี Let's Encrypt ทำให้การเข้าชมเว็บไซต์ 81% เป็นการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัส เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากสองปีก่อนที่อยู่ที่ 58% เท่านั้น
ที่มา - Let's Encrypt |
# recode รายงานว่า Walmart กำลังซุ่มทำระบบสมาชิก Walmart+ สู้ Amazon Prime
Amazon กินพื้นที่ช้อปปิ้งออนไลน์ของสหรัฐฯไป 40% (ตามรายงานของ eMarketer) และการมีอยู่ของ Amazon Prime หรือการจัดส่งด้วยดีลพิเศษสำหรับสมาชิก Amazon ก็ช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายออนไลน์
ล่าสุด recode รายงานว่า Walmart ร้านค้าปลีกเชนใหญ่ในสหรัฐฯก็กำลังซุ่มทำระบบสมาชิกของตัวเองหรือ Walmart+ เพื่อสู้ Amazon และจะเริ่มทดลองใช้งานภายในเดือนมีนาคมนี้ และคาดว่าตัว Walmart+ จะเป็นการรีแบรนด์ใหม่ของบริการ Delivery Unlimited ของ Walmart ทั้ง 1,600 สาขา ที่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มจากลูกค้า 98 ดอลลาร์ต่อปี เพื่อการจัดส่งสินค้าแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง ผู้สมัครใช้บริการ Walmart+ ยังจะสามารถพิมพ์ข้อความเพื่อสั่งซื้อสินค้าด้วย ส่วนราคาค่าบริการมีหลายราคา
นอกจากการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้ว Walmart+ อาจมีสิทธิพิเศษส่วนลดการซื้อยา เติมแก๊สตามสถานีเติมแก๊สในเครือ Walmart
ด้านคู่แข่งใหญ่อย่าง Amazon มีระบบสมาชิก Amazon Prime ที่มีสมาชิกทั่วโลกราว 150 ล้านราย มีค่าสมาชิก 119 ดอลลาร์ต่อปี ได้สิทธิจัดส่งสินค้าการันตีภายใน 1 วัน จัดส่งสินค้าของสดจาก Whole Foods หรือ Amazon Fresh ภายในวันเดียวเช่นกัน
ภาพจาก Walmart
ที่มา - recode |
# เจ้าใหญ่มาแล้ว! Facebook, Instagram, Twitter เตรียมลง AppGallery ของ Huawei
ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Richard Yu ซีอีโอฝั่งธุรกิจคอนซูมเมอร์ของ Huawei เปิดเผยว่าแอปโซเชียลเน็ตเวิร์ครายใหญ่ของโลก 3 แอปคือ Facebook, Instagram และ Twitter เตรียมลง AppGallery สโตร์ของ Huawei ในเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม Yu ไม่ได้ระบุวันที่แน่ชัดว่าจะมาเมื่อไหร่ ส่วนตัวผู้เขียนคาดว่าน่าจะเพิ่งตกลงกันได้ไม่นานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัญหาสำคัญของ HMS คือการสร้างอีโคซิสเต็ม และการไม่มีแอปดัง ๆ ที่คนส่วนใหญ่ใช้งานมาเท่าไหร่นัก ซึ่งดูเหมือนว่า Huawei กำลังพยายามแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ก็คงต้องติดตามต่อไปว่าเมื่อ AppGallery มีแอปใหญ่ ๆ เริ่มมาลงแล้ว จะดึงให้คนมาใช้งานมากน้อยแค่ไหน
ที่มา - Huawei Central |
# [ไม่ยืนยัน] IMDb TV สตรีมมิ่งใหม่ดูฟรีมีโฆษณา ดีลสร้างรายการโชว์หลักแสนดอลลาร์ต่อตอน
IMDb เว็บไซต์ดูข้อมูลหนัง ดำเนินการภายใต้บริษัท IMDb.com, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Amazon เข้าสู่ศึกสตรีมมิ่งด้วยการเปิดตัว Freedive สตรีมมิ่งดูฟรีมีโฆษณาเมื่อต้นปี 2019 โดยยังให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ ภายหลังรีแบรนด์ใหม่เป็น IMDb TV
ล่าสุดมีรายงานจากเว็บไซต์ DIGIDAY เพิ่มเติมว่า IMDb จะลุยหนักขึ้นเรื่องการสร้าง original content ของตัวเอง โดยตอนนี้กำลังพูดคุยกับโปรดักชั่นและบริษัทด้านคามบันเทิงเกี่ยวกับการสร้างเนื้อหารายการโชว์ ลงทุนเงินสูงราว 6 หลักต่อตอนเลยทีเดียว
แม้ไม่ได้เป็นเม็ดเงินมากเท่ากับที่สตรีมมิ่งรายใหญ่ในตลาดอย่าง Netflix, Apple จ่าย แต่ก็เป็นเงินสูสีกันกับสตรีมมิ่งเจ้าอื่นอย่าง Vudu (ของ Walmart), Facebook Watch ลงทุนจ่าย คือมีตั้งแต่ 2 แสน ไปจนถึง 1 ล้านดอลลาร์
ที่มา - DIGIDAY |
# iPhone XR แชมป์มือถือที่ขายดีที่สุดปี 2019, Galaxy A50 เป็นแอนดรอยด์ยอดนิยม
บริษัทวิจัยตลาด Counterpoint Research เผยสถิติยอดขายสมาร์ทโฟนประจำปี 2019 แยกตามรุ่น ภาพรวมของยอดขายทั้งโลกค่อนข้างกระจัดกระจาย แต่ถ้านับรวมทั้งโลก รุ่นที่ขายดีที่สุดคือ iPhone XR (3% ของยอดขายทั้งโลก) ตามด้วย iPhone 11 (2.1% ของยอดขายทั้งโลก)
สมาร์ทโฟนสาย Android ที่ขายดีที่สุดคือ Samsung Galaxy A50 (1.8%) ตามมาด้วย Galaxy A10 ที่ยอดขายไล่เลี่ยกัน (1.7%)
ประเด็นที่น่าสนใจคือ Huawei ในฐานะผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเบอร์สองของโลก ไม่ติดอันดับ Top 10 รุ่นขายดีเลย แต่สมาร์ทโฟนเรือธง P30 ก็ทำยอดขายได้ดีในตลาดจีน
หากดูยอดขายตามภูมิภาคจะเห็นความแตกต่างกันอย่างมาก
อเมริกาเหนือ iPhone กวาดเรียบทุกอันดับใน Top 5
ซัมซุง กวาด Top 5 ในตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกา รวมถึงยุโรปและละตินอเมริกา
แชมป์ประเทศจีนคือ Oppo A5 และ Top 5 เป็นแบรนด์จีนล้วน
เอเชียแปซิฟิกเป็นตลาดที่หลากหลายที่สุด แต่แชมป์คือ Oppo A5s
Motorola ยังไม่ตาย! และไปได้ดีในตลาดละตินอเมริกา
ที่มา - Counterpoint Research |
# MediaTek เปิดตัวชิป Helio P95 สำหรับสมาร์ทโฟน 4G ประจำปี 2020
MediaTek เปิดตัวชิป Helio P95 รุ่นต่อของ Helio P90 ที่ออกช่วงต้นปี 2019 โดยเน้นจับตลาดมือถือเกรดพรีเมียมของปี 2020 ที่ยังเป็น 4G อย่างเดียวอยู่ (สำหรับมือถือ 5G มี MediaTek Dimensity ซีรีส์ใหม่ ออกมารอแล้ว)
สเปกของ Helio P95
ซีพียู 8 คอร์: Cortex-A75 2.2GHz x2 คอร์ + Cortex-A55 2.0GHz x6 คอร์
จีพียู PowerVR GM 9446 ประสิทธิภาพกราฟิกดีขึ้น 10%
รองรับหน่วยความจำสูงสุด 8GB LPDDR4x 1866MHz, สตอเรจรองรับ UFS 2.1
รองรับเซ็นเซอร์กล้องสูงสุด 64MP หรือ 24MP+16MP
มีชิปประมวลผล AI APU 2.0 ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นจากรุ่นแรก 10%
เทคโนโลยี MediaTek HyperEngine เร่งความเร็วในการเล่นเกม ประหยัดแบตเตอรี่
รองรับเครือข่าย LTE Cat.12 (Download) / Cat.13 (Upload), Bluetooth 5.0, Wi-Fi ac
ที่มา - MediaTek |
# Microsoft, EA, Unity, Epic ถอนตัวไม่ร่วมงาน GDC 2020 เพราะปัญหา COVID-19
เราเห็นข่าว Sony, Oculus ถอนตัวไม่ร่วมงานสัมมนาใหญ่ของนักพัฒนาเกม Game Developers Conference (GDC) 2020 เพราะปัญหาไวรัสโคโรนา กันไปแล้ว
ล่าสุด Microsoft, EA, Unity และ Epic Games เป็นบริษัทใหญ่ที่ประกาศถอนตัวด้วยเหตุผลเดียวกัน
Microsoft ประกาศว่าจะจัดงานสัมมนาออนไลน์แทน โดยนำเนื้อหาที่ตั้งใจจะพูดในงาน GDC 2020 มาถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ Microsoft Game Stack ในวันที่ 16-18 มีนาคม 2020
EA ประกาศไม่เข้าร่วมงาน GDC และลดการเข้าร่วมงานสัมมนาอื่นๆ
Unity ประกาศว่าจะนำเนื้อหาที่ตั้งใจพูดที่ GDC ขึ้นออนไลน์เช่นกัน แต่ยังไม่ให้รายละเอียด และสัญญาว่าจะอยากกลับมาออกงาน GDC อีกในปีหน้า
Epic Games ประกาศผ่านทวิตเตอร์ @UnrealEngine ว่าจะไม่เข้าร่วมเช่นกัน โดยไม่ได้ให้ข้อมูลอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่เล็กลงมา (แต่ชื่อดัง) อย่าง Kojima Productions ที่ไม่เข้าร่วมงาน และ Hideo Kojima ก็งดขึ้นเวทีตามแผนการเดิมด้วย
การถอนตัวของ Sony/Microsoft ทำให้ GDC 2020 ไม่มีแพลตฟอร์มคอนโซล 2 ค่ายใหญ่ ส่วนการถอนตัวของ Unity/Epic ก็ทำให้ไม่มีเกมเอนจิน 2 ค่ายใหญ่เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
บริษัทใหญ่รายอื่นๆ ที่เป็นสปอนเซอร์ของ GDC และยังไม่ประกาศถอนตัวคือ AWS, Google, Intel, NVIDIA ซึ่งกรณีของ AWS, Intel, NVIDIA ก็เคยมีประวัติถอนตัวไม่ร่วมงาน MWC 2020 มาก่อนแล้ว และมีโอกาสสูงที่จะประกาศไม่เข้าร่วมภายใน 1-2 วันนี้
ที่มา - Microsoft, Unity, @UnrealEngine, GamesIndustry.biz |
# Facebook ยกเลิกจัดงาน F8 ที่ San Jose เนื่องจาก COVID-19 เตรียมจัดเป็นอีเว้นท์ขนาดเล็กและไลฟ์สตรีมแทน
Facebook ประกาศงดจัดงานสัมมนาประจำปีหรือ F8 ประจำปีนี้ เนื่องจากกังวลสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19
จากสาเหตุดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพต่อพาร์ทเนอร์นักพัฒนา พนักงาน และทุกคนที่เข้าร่วมงาน F8 ทาง Facebook จึงตัดสินใจยกเลิกส่วน in-person ของงาน F8 ซึ่งเป็นงานหลักที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 5-6 พฤษภาคมนี้ที่ San Jose และ Facebook จะทดแทนด้วยการจัดอีเว้นท์ขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ ไปจนถึงวิดีโอและไลฟ์สตรีม
F8 ไม่ใช่งานใหญ่งานแรกที่ยกเลิกจากสาเหตุไวรัส COVID-19 เพราะ MWC, CP+ และงานอื่น ๆ ต่างก็ทยอยยกเลิกการจัดงานไปแล้ว ต้องคอยจับตางานที่ยังไม่ยกเลิกอย่าง Google I/O และ Microsoft Build ที่จะจัดในช่วงเดียวกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ที่มา - Facebook for Developers, Engadget |
# Google Earth ใช้งานบน Firefox, Microsoft Edge และ Opera ได้แล้ว
Google Earth เลิกซัพพอร์ตเวอร์ชันเดสก์ท็อปไปแล้วประมาณ 3 ปี แต่ช่วงที่ผ่านมา Google Earth ก็ยังคงใช้งานได้เฉพาะ Chrome เท่านั้น
วันนี้ Google ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า Google Earth จะสามารถใช้งานได้บน Firefox, Microsoft Edge และ Opera แล้ว หลังจากที่ Google เปลี่ยนจาก Native Client ซึ่งมีเฉพาะ Chrome มาเป็นการคอมไพล์โค้ด C++ ด้วย WebAssembly ที่สามารถใช้กับเว็บเบราว์เซอร์อื่น ๆ ได้
แม้ว่าปัจจุบัน Google Earth จะใช้งานได้แล้ว แต่ Google ยังต้องขัดเกลาอีกสักระยะหนึ่งเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีเหมือนกับใช้งานบน Chrome รวมถึงมีแผนซัพพอร์ต Safari รวมถึงเบราว์เซอร์อื่น ๆ ในอนาคต
ที่มา - Google Earth and Earth Engine (Medium), Engadget
ภาพจาก Google Earth |
# ซัมซุงยืนยันแล้ว Galaxy S8/Note 8 จะไม่ได้อัพเกรดเป็น Android 10
ความหวังของผู้ใช้ Galaxy S8 และ Galaxy Note 8 มีวันต้องจบลงอย่างเป็นทางการ เมื่อซัมซุงยืนยันกับเว็บไซต์ SamMobile ว่าจะไม่ได้อัพเกรดเป็น One UI 2.0 (Android 10 อย่างแน่นอน)
Galaxy S8/Note 8 ไม่อยู่ในรายชื่ออัพเดต One UI 2.0 มาตั้งแต่แรก แต่ฝ่ายซัพพอร์ตของซัมซุงอาจผิดพลาด เคยไปตอบคำถามผู้ใช้ว่าจะมีอัพเดตให้ ทำให้เกิดความหวังขึ้นมา (บ้าง) ก่อนที่ซัมซุงจะยืนยันอย่างเป็นทางการว่าไม่มี
Galaxy S8/Note 8 จะหยุดอยู่ที่ Android 9 Pie และได้รับอัพเดตแพตช์ความปลอดภัยต่อไป (S8 อายุครบ 3 ปีแล้ว ถือว่าหมดระยะซัพพอร์ต แต่ยังได้แพตช์รอบเดือนกุมภาพันธ์อยู่)
ที่มา - SamMobile |
# พบ Mac Pro รุ่นติดล้อที่ต้องเพิ่มเงิน 16,000 บาท ไม่มีตัวห้ามล้อ อาจลื่นไถลได้ง่าย
Marques Brownlee ยูทูบเบอร์ช่อง MKBHD ได้รีวิว Mac Pro รุ่นใหม่ เวอร์ชันที่ติดตั้งล้อเข้าไปด้วย เพื่อให้เคลื่อนย้ายได้สะดวก โดยเขาพบปัญหาว่า ตัวล้อนั้นไม่มีที่ห้ามล้อหรือตัวล็อก ทำให้ Mac Pro อาจลื่นเคลื่อนที่ได้อิสระหากอยู่บนพื้นผิวบางชนิด ซึ่งไม่เป็นการดีนัก
Mac Pro รุ่นปกติจะมาพร้อมขาตั้งสแตนเลส แต่ลูกค้าสามารถเลือกสั่งซื้อล้อเพิ่มเติมได้ ซึ่งราคาของล้อก็เป็นประเด็นก่อนหน้านี้เพราะสูงถึง 16,000 บาท (ข้างละ 4,000 บาท)
เรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่โตมากนัก เพราะคนที่สั่งซื้อล้อติด Mac Pro ก็น่าจะต้องการใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างอยู่แล้ว หรือไม่อย่างนั้นนี่อาจเป็นโอกาสในการผลิตตัวห้ามล้อมาขายเพิ่มเติมก็เป็นได้
ที่มา: MacRumors |
# Microsoft Edge เพิ่มเกมเล่นเซิร์ฟ แก้เบื่อยามไม่มีเน็ต เหมือนเกมไดโนเสาร์ของ Chrome
ผู้ใช้ Chrome อาจคุ้นเคยกับเกมไดโนเสาร์กระโดดที่เอาไว้เล่นตอนออฟไลน์ ล่าสุด Microsoft Edge มีเกมคล้ายๆ กันแต่เป็นการเล่นกระดานโต้คลื่นแทน
เกมนี้เปิดให้เล่นแล้วบน Microsoft Edge Dev Channel โดยต้องเข้าไปที่ edge://surf แล้วใช้คีย์บอร์ดปุ่มซ้าย-ขวาควบคุมทิศทาง เพื่อให้ตัวละครของเราหลบอุปสรรคหรือเก็บไอเทม ในเกมยังมีมอนสเตอร์เป็นปลาหมึกยักษ์วิ่งไล่จับผู้เล่นด้วย
ที่มา - Microsoft |
# ซัมซุงเผย Galaxy S20 มีชิปความปลอดภัย Secure Element ฝังมาให้ด้วย
เราเริ่มเห็นการใช้ชิปเฉพาะทางเก็บข้อมูลสำคัญๆ บนสมาร์ทโฟน เพื่อการันตีความปลอดภัยที่เหนือกว่าการเก็บในหน่วยความจำแบบเดิม ตัวอย่างเช่น Titan M ของ Google Pixel หรือ Apple T2 ของ iPhone
ล่าสุดซัมซุงเปิดเผยว่ามือถือซีรีส์ Galaxy S20 ที่เพิ่งเปิดตัว มีชิปความปลอดภัยแบบเดียวกันชื่อ S3K250AF สำหรับเก็บกุญแจดิจิทัลและรหัสผ่านของผู้ใช้ เมื่อบวกกับซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยของซัมซุง ที่ผ่านมาตรฐาน Common Criteria Evaluation Assurance Level (CC EAL) 5+ จะรวมเป็นโซลูชันด้านความปลอดภัย Secure Element (SE) ที่สมบูรณ์
ที่มา - Samsung |
# Rian Johnson ผู้กำกับหนังเผยว่า Apple ไม่ต้องการตัวร้ายในหนังใช้ iPhone
Rian Johnson ผู้กำกับหนังเรื่อง Knives Out ให้สัมภาษณ์ผ่าน Vanity Fair ระบุว่า Apple ไม่ต้องการตัวร้ายในเรื่องใช้ iPhone
“Apple ให้คุณใช้ไอโฟนในภาพยนตร์ แต่หากคุณเคยดูหนังลึกลับ คนเลวไม่สามารถมี iPhone ในฉากได้ ผู้กำกับคนอื่นที่ต้องเก็บมันเป็นความลับคงอยากจะฆ่าฉันในตอนนี้" Johnson กล่าวในคลิปวิดีโอที่ให้สัมภาษณ์กับ Vanity Fair
Apple ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์ที่ดี บทความของ Wired เคยเขียนไว้เมื่อปี 2002 บอกว่า หนังระทึกขวัญเรื่อง 24 ตัวละครดีใช้ Mac ส่วนตัวละครร้ายใช้คอมพิวเตอร์ Windows โดยเว็บไซต์ Ars Tecnica สอบถามไปยัง Apple แล้วถึงประเด็นนี้แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ
การที่แบรนด์พยายามรักษาภาพลักษณ์สินค้าตัวเองโดยเฉพาะตอนที่ผลิตภัณฑ์ของตัวเองไปปรากฏในหนังเป็นเรื่องที่ทำกันหลายแบรนด์ Darryl Collis ผู้เชี่ยวชาญจาก Seesaw Media บอกว่า มันเป็นเรื่องปกติที่แบรนด์ไม่อยากถูกเชื่อมโยงกับคนไม่ดีในหนัง เช่นแบรนด์แอลกอฮอล์ แบรนด์รถยนต์ไม่อยากมีฉากผลิตภัณฑ์ตัวเองในฉากเมาแล้วขับ เป็นต้น
ที่มา - The Guardian, Ars Technica |
# ซัมซุงยอมรับ กล้อง Galaxy S20 Ultra ยังไม่ดีเท่าที่ควร จะออกอัพเดตแก้ปัญหา
สื่อหลายรายเริ่มเผยแพร่รีวิวของ Galaxy S20 โดยเฉพาะ S20 Ultra (รีวิวกล้องฉบับ Blognone ในประเด็นกล้องซูม) และวิจารณ์คุณภาพของภาพถ่ายว่ายังไม่ค่อยดีนัก ทั้งในเรื่องออโต้โฟกัส, การปรับผิวหนังมนุษย์ให้เรียบกว่าความเป็นจริง
เรื่องนี้ทำให้ซัมซุงต้องออกแถลงการณ์ว่า จะออกอัพเดตแก้ปัญหากล้องให้คุณภาพดีขึ้น แต่ยังไม่ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าเราจะได้เห็นอัพเดตชุดนี้เมื่อไร
ที่มา - SamMobile |
# ทำไมวงการสตาร์ตอัพไทยจึงซบเซาลงไป?
ช่วงหลังมานี้เจอใครก็มักพูดว่า กระแสสตาร์ตอัพที่เคยบูมในบ้านเราช่วง 4-5 ปีก่อนอาจเริ่มดูซาๆ ลงไปบ้างแล้ว
Blognone มีโอกาสสัมภาษณ์คุณธนพงษ์ ณ ระนอง นายกสมาคม Thai Venture Capital Association (TVCA) ในฐานะผู้มีประสบการณ์ลงทุนกับสตาร์ตอัพในบ้านเรามาอย่างโชกโชน (เคยดูแลโครงการ InVent ของ Intouch และปัจจุบันดูแลบริษัท Beacon VC ในสังกัดธนาคารกสิกรไทย) เพื่อขอมุมมองวิเคราะห์ว่าเพราะเหตุใด สตาร์ตอัพบ้านเราถึงดูซบเซาลงไป
ธุรกิจแบบเดิมปรับตัวแล้ว แต่สตาร์ตอัพต่างหากที่ไม่ยอมปรับตัว
คุณธนพงษ์เล่าว่า สมัยที่เริ่มทำโครงการ Venture Capital (VC) ให้กับบริษัทอินทัช ตอนนั้นถือเป็นศักราชใหม่ของสตาร์ตอัพ ตลาดยังเป็น blue ocean คือมีผู้เล่นในตลาดไม่มากนัก ในขณะที่คู่แข่งของสตาร์ตอัพไทยคือบรรดาธุรกิจแบบดั้งเดิม (corporate) ยังมีวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ที่กระบวนการเยอะ เคลื่อนตัวช้า ส่วนคู่แข่งกลุ่มซอฟต์แวร์เฮาส์ ก็เน้นการขายโซลูชันใหญ่ๆ ในราคาแพงเพียงอย่างเดียว จึงทำให้สตาร์ตอัพมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งเยอะ
แต่มาถึงยุคปัจจุบัน เราเห็นการปรับตัวของธุรกิจยักษ์ใหญ่ในไทย ที่หันมาทำโครงการนวัตกรรมต่างๆ กันถ้วนหน้า ในแง่กระบวนการภายในก็ทำงานกันเร็วขึ้น มีการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดูแลโครงการใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยง ในอีกด้าน ซอฟต์แวร์เฮาส์แบบเดิมก็ปรับตัวเช่นกัน ปรับแพ็กเกจราคาให้ถูกลง ปรับโมเดลธุรกิจมาเป็นแบบ subscription แทนการขายขาด
แต่สตาร์ตอัพกลับเป็นกลุ่มที่ยังทำตัวแบบเดิม กล่าวคือยังยึดติดกับวิธีการตั้งแต่สมัยเมื่อ 4-5 ปี ในขณะที่คู่แข่งปรับตัวมาเท่าทันหมดแล้ว
ถ้าใครยังทำสตาร์ตอัพแนว B2C ตอนนี้คงอยู่ยากพอสมควร เพราะคู่แข่งเยอะมาก ไม่ว่าจากสตาร์ตอัพด้วยกันเอง Corporate ที่ลงมาทำเองหรือเอาของสตาร์ตอัพมาเป็น Partner ด้วย และรวมถึงมีผู้เล่นยักษ์ใหญ่จากต่างชาติอีก ตามรายงานในตลาดโลกก็สะท้อนภาพชัดเจนว่า สตาร์ตอัพB2B เติบโตได้ดีกว่า B2C มาก แต่เมืองไทยยังคิดแบบ B2C กันอยู่เยอะ เพราะมันเริ่มง่ายกว่า แต่เอาเข้าจริงๆก็หาสตาร์ตอัพไทยหน้าใหม่ๆที่ทำ B2Cแล้วประสบความสำเร็จนั้นมีน้อยมาก
มายาคติอีกอย่างของสตาร์ตอัพไทยสาย data ที่หวังว่าถ้ามีผู้ใช้งานฟรีจำนวนมากๆ แล้วจะหารายได้จากการขายข้อมูลแทน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ รายได้ต่อหัวลูกค้าที่ได้จากการส่ง Lead-Gen นั้นไม่ได้สูงมาก จะหวังรายได้จากการขาย Lead-Gen อย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน การหารายได้จากหลายช่องทางจีงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
จุดบอดของผู้ก่อตั้งสายเทคนิค ไม่สนใจงานขาย เน้นแต่สร้างฟีเจอร์
เมื่อถามต่อว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้สตาร์ตอัพไทยไม่ยอมปรับตัว คุณธนพงษ์บอกว่าสิ่งที่สอนๆ กันมาในหมู่สตาร์ตอัพไทย คือคำว่า fail fast, learn fast แต่หลายคนอาจเข้าใจคำว่า fail ไม่ถูกต้อง เพราะหลายๆครั้ง สตาร์ตอัพเองอาจจะไม่รู้ถึงสาเหตุของการล้มเหลวนั้นๆก็เป็นได้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาผิดจุดนั่นเอง
ปัจจัยสำคัญที่พบในสตาร์ตอัพไทยคือ บรรดาผู้ก่อตั้งส่วนมากมาจากสายพัฒนาซอฟต์แวร์ เป็นคนสายเทคนิค แต่ปัจจัยชี้เป็นชี้ตายของสตาร์ตอัพในสายตานักลงทุนหรือ VC คือ "เก็บเงินได้หรือเปล่า" เรามีจำนวนผู้ใช้งานเยอะจริง แต่จะเปลี่ยนพวกเขามาเป็น paid users ได้หรือไม่
พอเห็นตัวเลข (Traction) ว่ายอดคนจ่ายเงินไม่ดีหรือไม่เติบโต สิ่งแรกที่บรรดาผู้ก่อตั้งสายเทคนิคคิดคือ ตัวผลิตภัณฑ์ (product) ของเรายังไม่ดีพอ จึงแก้โดยการพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ แทนการพูดคุยกับลูกค้าเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมจึงขายไม่ได้ ลูกค้าอาจจะไม่ได้ต้องการฟีเจอร์อะไรเพิ่ม แต่อาจจะติดปัญหาอะไรบางอย่าง การมีเซลล์ไปดูแลอาจจะทำให้ยอดตัวเลขดีขึ้นได้ เท่าที่พบมาสตาร์ตอัพส่วนใหญ่ละเลยในส่วนของการขาย (sales) นี้ไป
สิ่งที่พบบ่อยคือเมื่อได้เงินจากนักลงทุน แล้วนำไปขยายทีมนักพัฒนาเพิ่ม ในขณะที่ทั้งบริษัทอาจมีเซลส์แค่คนเดียว บางบริษัทเอาคนทำงานซัพพอร์ตมาขายด้วยซ้ำ เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยไม่ค่อยยอมที่จะจ่ายเงินง่ายๆสักเท่าไหร่ ทำให้ในตลาดองค์กรจึงต้องมีเซลส์ไปปิดการขาย แต่กลายเป็นว่าทุกคนหันไปโฟกัสงานในส่วนของผลิตภัณฑ์
สตาร์ตอัพแบบ B2C อาจจะไม่ต้องใช้เซลส์ เพราะเน้นการยิงโฆษณาออนไลน์ และเน้นเครื่องมืออัตโนมัติที่ช่วยสร้าง conversion มากกว่า แต่พอเป็นตลาด B2B ยังไงก็ต้องมีเซลส์ไปวิ่งปิดการขาย
องค์กรไทยปรับตัวเร็ว โอกาสของสตาร์ตอัพยิ่งยากขึ้น
เนื่องจากองค์กรขนาดใหญ่ของไทยมีการปรับตัวที่ค่อนข้างเร็ว ในขณะที่ฝั่งสตาร์ตอัพปรับตัวได้ช้ากว่า รวมไปถึงการเข้ามาของสตาร์ตอัพต่างชาติมีส่วนทำให้โอกาสของสตาร์ตอัพไทยยากขึ้นไปอีก
ถ้าจัดกลุ่มงานของธุรกิจใหญ่ๆ ในไทย งานที่เป็นงานหลักขององค์กร (core service) ถ้าสามารถทำเองได้ องค์กรก็จะทำเองดีกว่า (เช่น ธนาคารทำแอพบนมือถือของตัวเอง) และถ้าสตาร์ตอัพจะมาแข่งในตลาดหลักขององค์กรนี้ คงเป็นไปได้ยากในปัจจุบัน
สิ่งที่สตาร์ตอัพยังพอมีช่องว่างคืองานที่เป็น non-core service หรือในตลาดที่เป็น Niche ที่ตัวองค์กรไม่อยากทำเอง หรือไม่เห็นความสำคัญมากพอ ในส่วนนี้จะสามารถนำโซลูชั่นจากสตาร์ตอัพเข้ามาช่วยได้ สตาร์ตอัพควรปรับวิธีทำงานร่วมกับองค์กรด้วย
สตาร์ตอัพควรพร้อมยอมทำ customize หรือปรับแต่งตัวเองบ้างให้เข้ากับระบบขององค์กรที่มีอยู่ หลายครั้งเจอสตาร์ตอัพที่ไม่ยอม customize เพื่อลูกค้าองค์กรเพียงแค่รายเดียว เพราะมองว่าเป็นวิธีการที่ไม่สเกล ซึ่งผิดจากตำราที่สอนกันมา
ทางองค์กรเองก็มีต้นทุนทั้งเรื่องเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำงานกับสตาร์ตอัพเช่นเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้องค์กรก็จะเลือกคุยกับสตาร์ตอัพที่โตดีแล้วเป็นหลัก สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่ยังมีขนาดไม่ใหญ่พอ พอมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้องค์กรหันไปดีลกับสตาร์ตอัพต่างชาติเจ้าใหญ่ๆ มากกว่า
ตอนนี้การหาช่องว่างตลาดที่เป็น blue ocean ไม่มีเจ้าของ ที่จะเข้าไปกินตลาดแบบง่ายๆอาจทำไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากทุกตลาดล้วนแต่มีคู่แข่ง
ทางรอดคือการต้องปรับตัว ต้องทำงานหนักขึ้น ต้องไปสร้างตลาดใหม่ๆขึ้นเอง เช่น การทำพวก Deep Tech หรือปรับตัวเข้าไปช่วยตอบโจทย์ non-core ขององค์กรเพื่อให้อยู่รอดได้
วิเคราะห์สถานการณ์สตาร์ตอัพไทยปี 2020
คุณธนพงษ์ ประเมินสถานการณ์ของสตาร์ตอัพไทยในปี 2020 ว่าต้องมองทั้งระบบ มองเป็น ecosystem จะเห็นภาพเป็นพีระมิด เป็น funnel
เริ่มจากฐานคือ สตาร์ตอัพหน้าใหม่ ที่เป็นขาเข้าของ funnel ต้องเน้นจำนวนเพื่อให้ ecosystem เติบโต สตาร์ตอัพกลุ่มนี้จำเป็นต้องมี incubator หรือ accelerator เข้ามาช่วยลงทุน ช่วยประคบประหงมให้บริษัทเหล่านี้เติบโตและอยู่รอดได้
ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือโครงการ corporate accelerator ของภาคเอกชนไทย เริ่มทยอยเลิกทำกันเกือบหมดแล้ว ทั้งจากฝั่งโทรคมนาคมหรือฝั่งธนาคาร เพราะมองเห็นว่าลงทุนในระดับชั้นนี้แล้วหวังผลยาก ข้อเสียของการเลิกทำคือ สตาร์ตอัพหน้าใหม่ๆ ไม่มีเวทีให้เล่น ไม่มีเวทีให้แสดงความสามารถ เพราะส่วนมากบริษัท VC จะมารับช่วงลงทุนต่อจาก accelerator ที่ขั้นนี้
ส่วนโครงการ accelerator ของภาครัฐ จะเน้นในรูปแบบของการลงทุนเป็นเงินให้เปล่า (grant) โดยไม่ได้มีการลงไปควบคุมหรือดูแลมากนัก ทำให้สตาร์ตอัพขาดคำแนะนำในด้านอื่นๆที่นอกเหนือจากการได้รับเงินทุน อย่างในต่างประเทศมีแนวคิดที่เรียกว่า matching fund คือการที่รัฐบาลลงสมทบกับ VC เอกชน เพื่อให้ VC เอกชนเข้าไปช่วยดูแล
ถัดมาคือ กลุ่มสตาร์ตอัพที่เริ่มโตแล้ว อยู่ตรงกลางของ funnel กลุ่มนี้ยังมีเงินทุนรอลงทุนในรอบ Series A/B อยู่เยอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินทุนมาก แต่การระดมทุนคงไม่ง่ายเหมือนเดิม หลังจากที่ลองผิดลองถูกในการเลือกลงทุนมาซักพัก ตอนนี้ VC ก็จะมีประสบการณ์มากขึ้น ตั้ง target ได้ชัดเจนขึ้น
ในกลุ่มนี้ VC ส่วนใหญ่จะพิจารณาเรื่องการสามารถสร้างรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นมา ซึ่งจากต่างจากสมัยก่อนที่จะเน้นมากที่จำนวนยอดผู้ใช้งาน อย่างของ Beacon VC เราจะเน้นเพิ่มในเรื่องว่าจะต้องสร้าง synergy เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็น B2C Platform ก็ต้องมีฐานลูกค้าระดับไหน ถึงจะลง ถ้าเป็น B2B ก็ต้องไป complement กับแบงค์ หรือช่วยลูกค้าแบงค์ได้
กลุ่มสุดท้ายคือสตาร์ตอัพที่โตมากๆ แล้ว ใกล้ได้เวลา exit ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะต้องแสดงให้กลุ่มนักลงทุนชั้นต้น (angel investor) เห็นชัดๆ ว่าลงเงินแล้วสามารถมีบริษัท exit ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นผลเสียกับทั้งอุตสาหกรรม เพราะถ้า angel เห็นว่าลงไปไม่ได้อะไรกลับคืนมา ก็จะเลิกลงทุนในสตาร์ตอัพรุ่นหลัง
ทางแก้ก็ต้องมีภาครัฐ ที่ต้องช่วยให้ exit ได้ เช่น แนวคิดการเปิดกระดานใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ (กระดานที่สามนอกเหนือจาก SET และ mai) ซึ่งน่าจะมีการลดเกณฑ์ลงจาก ก.ล.ต. ที่เพิ่งมีข่าวออกมา
งานยากที่สุดอันหนึ่งของซีอีโอคือ หากธุรกิจเริ่มโตไปต่อไม่ได้ คุณจะมีท่าอย่างไร ทางออกหนึ่งที่ทำกันในต่างประเทศคือการควบธุรกิจรวมกับคู่แข่ง (merge) ซึ่งยังไม่ค่อยเห็นในประเทศไทยสักเท่าไรนัก ส่วนใหญ่ยังหวงธุรกิจเดิมกันอยู่ บางรายมองว่าสามารถไปต่อเองเพียงลำพังได้ หรือถ้าอดทนสู้ต่อไปอีกนิด คู่แข่งอาจจะล้มตายกันไปเอง ซึ่งกลับกลายเป็นว่าคู่แข่งเราไปควบรวมกับบริษัทใหญ่ๆ แทน แล้วอาจใหญ่กว่าเราอีกก็ได้
ตรงนี้ต้องเปิดใจให้กว้างมากขึ้น เพราะเมืองนอกการควบรวมเป็นเรื่องปกติ เมื่อโตเองลำพังแล้วโอกาสเข้าตลาดมีน้อยลง |
# Salesforce ซื้อ Vlocity บริษัทพัฒนาแอพพลิเคชันเฉพาะอุตสาหกรรม
Salesforce ประกาศซื้อกิจการ Vlocity บริษัทที่พัฒนาแอพพลิเคชันเฉพาะอุตสาหกรรม (vertical industries) บนแพลตฟอร์ม Salesforce อีกทีหนึ่ง ด้วยมูลค่า 1.33 พันล้านดอลลาร์
การที่องค์กรจำนวนมากใช้ Salesforce สำหรับงานขาย, CRM, บริการหลังขาย ฯลฯ ทำให้เกิดความต้องการแอพพลิเคชันเฉพาะอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน โทรคมนาคม ประกัน สาธารณสุข ฯลฯ ตรงนี้คือตลาดที่ Vlocity เข้ามาสร้างแอพพลิเคชันบน Salesforce อีกที และทำให้ Salesforce เข้ามาซื้อกิจการในที่สุด
ในโอกาสเดียวกัน Salesforce ยังประกาศว่า Keith Block ซีอีโอร่วม (Co-CEO) ของบริษัทที่ได้รับการโปรโมทในปี 2018 (ย้ายมาจาก Oracle ตั้งแต่ปี 2013) จะลงจากตำแหน่ง ทำให้ซีอีโอของบริษัทกลับมาเหลือ Marc Benioff ผู้ก่อตั้งบริษัทคนเดียวเหมือนเดิม
ที่มา - Salesforce, Vlocity, CNBC |
# Commit เสร็จในนาทีเดียว เฟซบุ๊กเปิดตัว Rome ชุดเครื่องมือพัฒนาจาวาสคริปต์สมบูรณ์ในตัว
เฟซบุ๊กเปิดซอร์สโครงการ Rome ชุดเครื่องมือพัฒนาจาวาสคริปต์ โดยรวมเอาทั้ง compiler, linter, formatter, bundler, และเฟรมเวิร์คทดสอบโค้ดในชุดเดียวกัน
จุดพิเศษของโครงการ Rome คือการตั้งเป้าว่าชุดเครื่องมือทั้งหมดจะสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ต้องใช้ dependency ภายนอกอีก ตัวโครงการเองใช้ compiler ในโครงการมา compile ตัวเอง ขณะที่การพัฒนาทั้งหมดใช้ภาษา TypeScript
โครงการพัฒนาโดยทีม React Native และตอนนี้ยังอยู่ในระดับทดลองเท่านั้นยังไม่มีไบนารีออกมาให้ดาวน์โหลด แต่ทางเฟซบุ๊กระบุว่าโครงการนี้จะพัฒนาร่วมกับภายนอกอย่างชัดเจน การสื่อสารในโครงการจะใช้ GitHub, Discord, และ Twitter ไม่มีช่องทางสื่อสารหลังบ้าน
ที่มา - GitHub: facebookexperimental/rome |
# นักวิจัยให้หุ่นยนต์เข้าไปอยู่บ้านเดียวกับเด็กออทิสติก เก็บข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนาทักษะทางสังคมแก่เด็กๆ ต่อไป
มีผลงานวิจัยจากทีมวิจัยจาก University of Southern California ระบุว่าทางทีมวิจัยได้ทำ machine learning โดยใช้ข้อมูลเสียงการโต้ตอบและวิดีโอจากหุ่นยนต์ในบ้านเดียวกันกับเด็กภาวะออทิสติก และนำข้อมูลนั้นมาพัฒนาการเรียนรู้ที่หุ่นยนต์จะตอบสนองเด็ก เพื่อช่วยเพิ่มทักษะทางสังคมแก่เด็กๆ เหล่านั้น
ในกรณีที่พบว่าเด็กๆ ไม่ได้โต้ตอบกับหุ่นยนต์เท่าที่ควร machine learning ก็จะสามารถทำนายพฤติกรรมได้ว่าเด็กยังไม่โต้ตอบเรามากพอ หุ่นยนต์ก็จะสามารถถอยไปตั้งหลักและทำกิจกรรมกับเด็กซ้ำๆ เพื่อดึงให้เด็กกลับมาโต้ตอบกับหุ่นยนต์ได้ ซึ่งในบทความวิจัยระบุว่า machine learning สามารถทำนายพฤติกรรมได้แม่นยำ 90% แม้จะมีเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมภายนอก
ภาพจาก arxiv.org
ผู้เข้าร่วมการศึกษา หรือเด็กๆ ที่มีภาวะออทิสติกต้องสนทนาโต้ตอบกับหุ่นยนต์ ผ่านเกมที่เล่นได้ในแท็บเล็ต ซึ่งมักเน้นไปที่เกมคณิตศาสตร์ จุดประสงค์หลักคือเพื่อสอนทักษะพื้นฐานทางสังคมสำหรับเด็กผ่านการโต้ตอบกับหุ่นยนต์ เช่นการยอมรับกติกา ตาฉันตาเธอ การสบตากับผู้พูด (หุ่นยนต์) ซึ่งหุ่นยนต์จะช่วยให้นักบำบัดประเมินทักษะทางสังคมของเด็กต่อไป
อย่างไรก็ตาม การส่งหุ่นยนต์เข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับเด็กก็มีอุปสรรคหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เด็กทำลายหุ่นยนต์โดยไม่ตั้งใจ เด็กๆ ไม่ได้อยู่ตรงหน้ากล้องตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมร่วมกับหุ่นยนต์ แต่สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงก็ทำให้นักวิจัยเข้าใจมากขึ้น และสามารถออกแบบหุ่นยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้ได้
ที่มา - MIT |
# ผู้คิดสูตร บน-บน-ล่าง-ล่าง-ซ้าย-ขวา-ซ้าย-ขวา-B-A เสียชีวิตแล้ว
Konami ประกาศว่า Kazuhisa Hashimoto โปรแกรมเมอร์และโปรดิวเซอร์ ผู้คิดสูตรเกมในตำนาน ↑ ↑ ↓ ↓ ← → ← → B A Start ได้เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 61 ปี
Hashimoto ไม่ได้ทำงานให้ Konami แล้ว อย่างไรก็ตาม Konami ได้แสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของ Hashimoto และยกย่องเขาในฐานะโปรดิวเซอร์เกมที่มีความสามารถอย่างยิ่ง
สูตรเกมดังกล่าวที่เรียกว่า Konami Code ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเกม Gradius เครื่องแฟมิคอม ซึ่งที่มาของสูตรก็เกิดจาก Hashimoto มองว่าเกมนี้ยากมากที่จะเล่นให้จบตามปกติ สูตรนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจากเกมยอดนิยม Contra ที่ทำให้ผู้เล่นมีชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 30 ชีวิต นับจากนั้นมา Konami ก็นำสูตรดังกล่าวไปใส่ไว้ในอีกหลายเกมของบริษัท หรือแม้แต่เกมค่ายอื่นก็นำสูตรนี้ไปใส่ไว้เช่นกัน
ที่มา: The Verge |
Subsets and Splits