txt
stringlengths 202
53.1k
|
---|
# SCB ขอข้อมูลการเดินทางลูกค้าและคนใกล้ชิดก่อนเข้าสาขา หากไม่สะดวกให้ข้อมูลให้ใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศมาตรการป้องกันโรค COVID-19 โดยจำกัดการให้บริการ ลูกค้าที่เดินทางผ่าน 11 ชาติ ได้แก่ จีน, ฮ่องกง, มาเก๊า, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, อิตาลี, อิหร่าน, เยอรมัน, และฝรั่งเศส รวมถึงลูกค้าที่มีบุคคลใกล้ชิดเดินทางไปยังประเทศเหล่านั้น
สำหรับลูกค้าที่มีไข้, ไอ, มีน้ำมูก, หรือเหนื่อยหอบ ธนาคารยังคงให้บริการแต่ขอให้สวมหน้ากากอนามัยก่อนรับบริการ หากไม่ให้ข้อมูลหรือไม่ใส่หน้ากากตามกำหนดธนาคารจะงดให้บริการทางสาขา และขอให้ใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทน
เมื่อวานนี้ธนาคารกสิกรไทยก็ออกมาประกาศปิดจุดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อป้องกันโรค COVID-19 เช่นกัน
ที่มา - @scb_thailand |
# เอนจินของ Doom Eternal รองรับเฟรมเรตสูงสุด 1000 fps ถ้าหาคอมที่แรงพอมารันได้
เกมดังที่จะวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้คือ Doom Eternal ภาคต่อของ Doom เวอร์ชันปี 2016 โดยเกมภาคนี้จะใช้เอนจินตัวใหม่ id Tech 7 ของ id Software มีกำหนดวางขาย 20 มีนาคม 2020
Billy Khan หัวหน้าทีมโปรแกรมเมอร์ของเอนจิน id Tech 7 ออกมาให้สัมภาษณ์กับ IGN เผยว่าสมรรถนะในทางทฤษฎีของมันสามารถดันไปได้ถึง 1,000 fps เลย หากเราสามารถหาคอมพิวเตอร์ที่แรงพอในระดับนั้นได้
เทียบกับเอนจิน id Tech 6 ที่ใช้กับ Doom ภาคก่อนหน้านี้ (รวมถึง Wolfenstein ภาคหลังๆ) สามารถทำเฟรมเรตได้สูงสุดที่ 250 fps
แน่นอนว่าการทำเฟรมเรต 1000 fps คงทำได้ยากในทางปฏิบัติ แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของเอนจินเกมที่ก้าวหน้าขึ้นนั่นเอง
เอนจิน id Tech 7 ถูกเขียนใหม่เพื่อรองรับการเรนเดอร์ผ่าน Vulkan เพียงอย่างเดียว ทิ้งโค้ดเดิมที่ใช้กับ OpenGL ไปทั้งหมด การใช้ API กราฟิกยุคใหม่อย่าง Vulkan ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น นอกจากนี้ id Tech 7 ยังปรับปรุงการใช้งานซีพียูหลายคอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปรับปรุงการเรนเดอร์ภาพ HDR ด้วย
ที่มา - VG247 |
# ไช่ อิงเหวิน โชว์ไต้หวันกระจายหน้ากากอนามัยผ่านระบบโควต้าเช็คการซื้อได้ที่ร้านขายยา
การระบาดของโรค COVID-19 ทำให้หน้ากากอนามัยในประเทศแถบเอเชียขาดแคลนโดยถ้วนหน้า เมื่อวานนี้ ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวันก็โชว์วิดีโอเยี่ยมชมร้านขายยาที่เป็นจุดจำหน่ายหน้ากากอนามัย
ไต้หวันกำหนดโควต้าปันส่วนหน้ากากอนามัยไว้ที่ 3 ชิ้นต่อสัปดาห์สำหรับผู้ใหญ่ และ 5 ชิ้นต่อสัปดาห์สำหรับเด็ก โดยกระจายวันเข้าไปซื้อด้วยการกำหนดให้ผู้ถือบัตรประกันสุขภาพลงท้ายเลขคี่ไปซื้อได้ในวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ ส่วนผู้ถือบัตรประกันสุขภาพลงท้ายเลขคู่ให้ไปซื้อได้ในวัน อังคาร, พฤหัส, เสาร์ ส่วนวันอาทิตย์นั้นสามารถซื้อได้ทุกคน และที่ร้านขายยาจะมีเว็บและเครื่องอ่านบัตรประกันสุขภาพของผู้ที่มาซื้อ ว่าสัปดาห์นั้นๆ ได้ซื้อตามโควต้าไปแล้วหรือยัง ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเชื่อมต่อ VPN เข้าไปยังฐานข้อมูล
นอกจากการกระจายหน้ากากแล้ว รัฐบาลไต้หวันยังอนุมัติงบประมาณบรรเทาสาธารณภัย 200 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 200 ล้านบาท) สร้างสายการผลิต 60 สายการผลิตภายใน 25 วันโดยเริ่มเดินเครื่องแล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าไต้หวันจะผลิตหน้ากากอนามัยได้วันละ 10 ล้านชิ้น โดยเครื่องจักรทั้ง 60 เครื่องกระจายไปตามโรงงาน 15 แห่ง และโรงงานเหล่านั้นจะต้องผลิตหน้ากากคืนรัฐบาลรวม 72 ล้านชิ้น โดยยังเตรียมงบอีก 90 ล้านดอลลาร์ไต้หวันเพิ่มสายการผลิตอีก 30 สายการผลิต ให้กำลังผลิตรวมกลายเป็นวันละ 12 ล้านชิ้น
แม้จะมีระบบกระจายตามโควต้าและกำลังเพิ่มการผลิต แต่การเข้าคิวซื้อหน้ากากอนามัยในไต้หวันก็ยังมีเหตุประชาชนปะทะกันอยู่บ้าง
ที่มา - @iingwen, Taiwan News 1, 2 |
# กสิกรไทยปิดจุดแลกเปลี่ยนเงินทุกจุดเหลือแต่บริการอิเล็กทรอนิกส์ รับมือ COVID-19
ธนาคารกสิกรไทยประกาศปิดบริการแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งที่สาขาและบูตแลกเปลี่ยนเงินทุกแห่งทั่วประเทศอย่างไม่มีกำหนดรับมือโรค COVID-19 เริ่มตั้งแต่เวลาห้าโมงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา เหลือเฉพาะช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ทางกสิกรไทยประกาศเข้าแข่งขันในตลาดแลกเปลี่ยนเงินสำหรับนักท่องเที่ยวช่วงปีที่ผ่านมาโดยลดอัตราแลกเปลี่ยนให้ถูกระดับเดียวกับร้านแลกเงิน เมื่อปลายปีที่แล้วก็เปิดตัวตู้แลกเงินอัตโนมัติมาก่อนแล้ว
การปิดบริการนี้จะปิดต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยหลังการปิดบริการ พนักงานในบูตแลกเปลี่ยนเงินจะกักตัวเองในที่พักอีก 14 วัน แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่พบพนักงานติดโรค COVID-19 แต่อย่างใด
ที่มา - จดหมายข่าวธนาคารกสิกรไทย |
# Docker Desktop รองรับ Windows 10 Home ผ่าน WSL 2
Docker ออก Docker Desktop Edge 2.2.2.0 ที่มีฟีเจอร์พิเศษคือรองรับ Windows 10 Home เป็นครั้งแรก โดยใช้ WSL 2 แทน Hyper-V ตามหลังรุ่น 2.2 ที่รองรับ WSL 2 มาก่อนแล้ว
วินโดวส์ที่จะรันได้ ต้องเป็น Windows 10 Insider Preview build 19040 ขึ้นไปเท่านั้น
ฟีเจอร์ที่ได้เท่ากับการใช้ Windows 10 Professional เช่น Kubernetes, หน้าจอ UI, ดึงทรัพยากรเครื่องตามที่ใช้งานจริง เป็นต้น
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
ที่มา - Docker |
# ขับไล่การบ้าน นักเรียนจีนพยายามรีวิว 1 ดาวให้ DingTalk เพื่อให้หลุด App Store หลังถูกสั่งการบ้านผ่านแอป
การระบาดของโรค COVID-19 ทำให้หลายเมืองในจีนสั่งปิดโรงเรียน แต่การเรียนการสอนยังคงเดินหน้าต่อไปผ่านช่องทางออนไลน์ หนึ่งในแอปที่ใช้งานกันมากคือ DingTalk แอปทำงานในเครือ Alibaba เนื่องจากมันมีทั้งบริการแชต, ประชุมวิดีโอ, และตารางนัดหมาย ทำให้เหมาะกับการใช้เรียนทางไกลไปด้วยในตัว โดยที่ผ่านมาแอปนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก คะแนนใน App Store สูงถึง 4.9 ดาว
แต่หลังจากนักเรียนเริ่มถูกสั่งให้เข้าเรียนและสั่งการบ้านผ่านแอปนี้ นักเรียนจำนวนมากก็รู้ว่าหากแอปนี้ถูกรีวิวแย่มากๆ ก็จะหลุดจาก App Store ไป ทำให้มีนักเรียนจำนวนมากรุมรีวิว 1 ดาวนับล้านคะแนน คะแนนรีวิวตกไปต่ำสุด 1.4 ดาว
ล่าสุดชาวเน็ตจีนพยายามเข้าไปเตือนนักเรียนว่าต้องขอบคุณแอปนี้ที่ทำให้นักเรียนมีโอกาสเรียนแม้โรงเรียนจะปิด และพยายามเข้าไปรีวิว 5 ดาวสู้จนคะแนนกลับมาที่ 2.6 ดาว รวม 1.2 ล้านรีวิว
ที่มา - London Review of Books, Apple App Store |
# dtac ยืนยันคลื่นพอพัฒนาเครือข่าย วาง 4G บนคลื่น 700MHz พร้อมลงเสา Massive MIMO รอประมูลคลื่น 3.5GHz
ในงานแถลงข่าว 5G ของ dtac นอกจากพูดถึงคลื่น 26GHz ที่ dtac ประมูลเพียงคลื่นเดียวในการประมูลรอบล่าสุด คุณสมัคร สิมพา หัวหน้าสายงานพัฒนาโครงข่าย ก็ยังยืนยันว่าคลื่นที่บริษัทมีอยู่นั้นเพียงพอต่อการพัฒนาโครงข่ายต่อไปเพื่อรองรับการใช้งานในอนาคตก่อนจะมีการประมูลคลื่นรอบต่อๆ ไป
dtac จะใช้คลื่น 700MHz มาติดตั้งทั้ง 4G และ 5G ให้ครอบคลุมทั้วประเทศในปีนี้ โดยรวมจะทำให้การใช้งาน 4G มีจุดบอดน้อยลง โดยคุณสมัครระบุว่าประเด็นความครอบคลุม 4G นับเป็นจุดที่ลูกค้า dtac ยังบ่นกันอยู่ แม้ว่าที่ผ่านมาจะแก้ปัญหาส่วนอื่นๆ ไปมากแล้ว การใช้คลื่น 700MHz มาอุดช่องโหว่น่าจะทำให้ความพึงพอใจโดยรวมดีขึ้น
แต่สำหรับการเพิ่มแบนด์วิดท์รวมให้ระบบ ทาง dtac จะอาศัยการเพิ่มเสาแบบ Massive MIMO บนคลื่น 4G เดิม เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์ให้ระบบเป็นสามเท่าตัว
คลื่นของ dtac ในตอนนี้ยังไม่มีคลื่นในระดับกลาง (1.7GHz - 5.0GHz) สำหรับบริการ 5G โดยเฉพาะ ทาง dtac หวังว่ากสทช. จะนำคลื่น 3.5GHz ออกมาประมูลต่อไป
ที่มา - งานดีแทคลุยต่อ…พัฒนาสัญญาณเพื่อทุกคน |
# ตามมาอีกราย 2K Games ถอนเกมทั้งหมดออกจาก GeForce Now
สถานการณ์ของบริการคลาวด์เกมมิ่ง GeForce Now ยิ่งดูไม่ดีเข้าไปอีก หลังค่ายใหญ่ทยอยถอนเกมออกจากระบบ เริ่มตั้งแต่ Activision Blizzard ตามด้วย Bethesda ล่าสุดคือ 2K Games
2K Games เป็นบริษัทลูกของ Take-Two เจ้าของเดียวกับ Rockstar แต่แยกการบริหารกัน เกมเด่นในสังกัดได้แก่ Civilization, XCOM, Bioshock, Mafia, Borderlands (เป็นผู้จัดจำหน่าย) และเกมกีฬาแบรนด์ 2K ทั้งหมด
โมเดลของ GeForce Now คือการเช่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของ NVIDIA มาเพื่อเล่นเกมที่เราครอบครองอยู่แล้ว (ไม่ต้องจ่ายค่าเกมซ้ำอีกรอบ) ทำให้ค่ายเกมอาจไม่พอใจเพราะไม่มีส่วนแบ่งรายได้เพิ่มเติม จนทำให้ทยอยกันถอนตัวจากบริการนี้
ที่มา - NVIDIA, Neowin
ภาพจาก @2K |
# Apple พบลูกค้าจำนวนหนึ่งเจอปัญหา iPad Air 3rd Gen หน้าจอดับ ประกาศซ่อมให้ฟรี
แอปเปิลประกาศโครงการซ่อมฟรี โดยคราวนี้เป็น iPad Air 3rd Gen (เริ่มจำหน่ายปีที่แล้ว) ซึ่งแอปเปิลระบุว่ามีเครื่องจำนวนหนึ่ง พบปัญหาหน้าจอดับไปเลย โดยก่อนหน้าอาจแสดงอาการจอกะพริบแล้วจึงดับไป
ทั้งนี้ iPad รุ่นที่ได้รับผลกระทบมีเฉพาะ iPad Air 3rd Gen เท่านั้น รุ่นอื่นไม่มีปัญหาดังกล่าว และต้องเป็นลอตที่ผลิตในช่วงมีนาคม 2019 - ตุลาคม 2019
ลูกค้าที่พบปัญหาดังกล่าว สามารถติดต่อศูนย์ AASP หรือ Apple Store เพื่อรับการซ่อมแซมฟรี (รายละเอียด)
ที่มา: Apple Insider |
# กรณีศึกษาย้ายคลาวด์ข้ามค่าย Discord ย้ายจาก Amazon Redshift ไป Google BigQuery
ประเด็นหนึ่งที่บริการคลาวด์ถูกโจมตีมาตลอดคือเรื่อง vendor lock-in หรือการถูกบังคับโดยอ้อมให้ต้องอยู่กับผู้ให้บริการคลาวด์เจ้านั้นตลอดไป เพราะการย้ายออกมีต้นทุนแฝงสูงมาก โดยเฉพาะบริการเฉพาะทางของผู้ให้บริการแต่ละราย (เช่น AI หรือ data) ที่ไม่ใช่บริการสามัญ (เช่น compute หรือ storage)
กรณีศึกษาล่าสุดมาจาก Discord แอพแชทยอดนิยมของวงการเกมเมอร์ ที่ระบุว่าย้ายระบบคลังข้อมูล (data warehouse) จากเดิมที่ใช้ Amazon Redshift มาเป็นบริการเทียบเคียงกันคือ BigQuery ของกูเกิล
หมายเหตุ: บทความนี้มาจากบล็อกของกูเกิล (เขียนโดยทีมงาน Discord ในฐานะลูกค้า GCP) ย่อมเชียร์บริการฝั่งกูเกิล แต่นำมาให้อ่านเพื่อเป็นกรณีศึกษาเรื่องการย้ายคลาวด์ข้ามค่าย
Discord อธิบายว่าย้ายระบบประมวลผลหลักมาอยู่บน Google Cloud Platform มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่คลังข้อมูลเดิมยังอยู่บน Redshift ทำให้ต้องย้ายข้อมูลจาก GCP กลับมายัง AWS ให้เสียเวลา-เปลืองค่านำข้อมูลเข้าออกอีก นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายของ Redshift เองที่แพง (ระดับหลายแสนดอลลาร์ต่อเดือน ไม่รวมค่าสตอเรจและค่าเครือข่าย) กับข้อจำกัดทางเทคนิคของ Redshift เองที่ต้องใช้เครื่องเยอะ ทำให้ Discord ใช้เครื่องเกือบถึงข้อจำกัด 128 โหนดต่อคลัสเตอร์แล้ว
ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้ Discord หาทางเลือกในการย้ายออกจาก Redshift และมาจบที่ BigQuery ด้วยหลายเหตุผล ทั้งเรื่องการอยู่บนระบบ GCP อยู่แล้ว, เป็น serverless ไม่ต้องดูแลเครื่องเอง, เรื่องการสเกลรองรับโหลดขนาดใหญ่ๆ (มีลูกค้ารายใหญ่กว่า Discord อยู่แล้ว) และฟีเจอร์ใหม่ BigQuery Reservations จองคิวใช้งานล่วงหน้าเพื่อให้ค่าบริการถูกลง
การย้ายจาก Redshift มายัง BigQuery ก็ไม่ง่ายนัก แม้บริการทั้งสองตัวเป็นบริการวิเคราะห์ข้อมูลเหมือนกัน แต่ก็มีแนวคิดต่างกันหลายเรื่อง (โดยเฉพาะการ partitioning และ clustering ข้อมูล) รวมถึงต้องแปลงโค้ด SQL เดิมหลายแสนบรรทัดมาเป็นซินแทกซ์ของ BigQuery ที่ทีมงาน Discord ต้องสร้างเครื่องมือแปลงตัวใหม่ขึ้นมาเองด้วย
หลังย้ายแล้ว Discord บอกว่าการทำงานวิเคราะห์ข้อมูลเร็วขึ้น ราบรื่นขึ้น ราคาถูกลง และสามารถใช้ฟีเจอร์ด้าน AI ของ GCP เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้ด้วย นอกจากนี้ทีมงานยังไม่ต้องดูแลเครื่องเอง ลดการรัน maintenance บน Redshift ทุกคืนซึ่งต้องใช้เวลา 12 ชม. และถ้ารันไม่สำเร็จก็จะตกมาตรฐาน SLA ภายในบริษัทด้วย
ที่มา - Google Cloud |
# Leica เปิดสเปค S3 กล้อง medium format รุ่นใหม่ พร้อมราคาเริ่มต้นที่ 6 แสนบาท
Leica S3 กล้อง medium format รุ่นใหม่จาก Leica เปิดสเปคและราคาอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่ Leica ได้ปล่อยทีเซอร์ตัวกล้องไปตั้งแต่ปี 2018
ตัวกล้อง Leica S3 ใช้เซนเซอร์ 64 ล้านพิกเซล Leica ProFormat CMOS ขนาด 45 x 30 มิลลิเมตร อัตราส่วน 2:3 ไดนามิกเรจน์ 15 สต็อป ISO 100-50,000 ถ่ายภาพรัวได้ 3 ภาพต่อวินาทีและอัดวิดีโอ DCI 4K (4096 x 2160) 4:2:2 8-bit internal video ที่ 24 เฟรมต่อวินาทีโดยเป็นการอ่านค่าแบบเต็มความกว้างของเซนเซอร์ และตัวกล้องใช้หน่วยประมวลผล Maestro II พร้อมบัฟเฟอร์เมมโมรี่ 2GB
ส่วนช่องมองภาพของตัวกล้องกำลังขยาย 0.87 เท่า ครอบคลุมพื้นที่ 98% ของเฟรม และ Live View มีอัตรารีเฟรชที่ 60 เฟรมต่อวินาที ส่วนด้านหลังกล้องเป็นจอแอลซีดี 3 นิ้ว พร้อมปุ่ม 4 ปุ่มข้างจอที่โปรแกรมเองได้ และสวิตซ์ปรับโหมดชัตเตอร์เป็น FPS (ชัตเตอร์แบบม่าน) หรือ CS (ชัตเตอร์แบบกลีบ) โดยต้องใช้ร่วมกับ S-Lenses ที่รองรับฟีเจอร์นี้
ราคาจำหน่ายของ Leica S3 อยู่ที่ 18,995 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 6 แสนบาท (สำหรับราคาในไทยอย่างเป็นทางการให้รอประกาศจากตัวแทนจำหน่าย)
ที่มา - dpreview |
# CFO อินเทลยอมรับ ตามหลังคู่แข่งเรื่องกระบวนการผลิต, 7 นาโนเมตรต้องรอปลายปี 2021
George Davis ซีเอฟโอของอินเทลไปพูดที่งานประชุมของ Morgan Stanley ยอมรับว่าอินเทลล้าหลังคู่แข่งในเรื่องกระบวนการผลิต เขาคาดว่าอินเทลจะกลับมา "ตีเสมอ" ในเรื่องกระบวนการผลิต (process parity) เมื่อเริ่มผลิตชิประดับ 7 นาโนเมตรในช่วงปลายปี 2021 และจะพลิกกลับมาแซงได้ตอน 5 นาโนเมตรช่วงหลังจากนั้น (ไม่ระบุช่วงเวลา)
Davis บอกว่าตอนนี้อินเทลเข้าสู่ยุค 10 นาโนเมตรแล้ว โดยนับจาก Ice Lake (Core 10th Gen) แม้ยังมีชิปส่วนที่ใช้ 14 นาโนเมตรอยู่เยอะก็ตาม ขั้นถัดไปอินเทลจะปรับปรุงกระบวนการผลิตเป็น 10nm+ (เพิ่มตัว +) ในชิป Tiger Lake ที่จะวางขายในปี 2020 นี้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ Davis ยอมรับว่ากระบวนการผลิต 10 นาโนเมตรของอินเทลในปัจจุบัน จะมีประสิทธิภาพในการผลิตไม่ดีนักเมื่อเทียบกับ 14 นาโนเมตรยุคก่อน หรือเทียบกับ 7 นาโนเมตรในยุคถัดไปด้วย
ปัจจุบัน คู่แข่งของอินเทลที่เป็นโรงงานรับจ้างผลิตทั้ง Samsung และ TSMC สามารถผลิตชิป 7 นาโนเมตรได้แล้ว และในช่วงปี 2021-2022 ก็เตรียมจะหนีไปยังกระบวนการผลิตที่เล็กลงอีกขั้น (TSMC จะทำ 5 นาโนเมตร, Samsung ทำ 3-4 นาโนมตร)
ที่มา - Tom's Hardware |
# ผลจาก Ryzen ช่วยให้ส่วนแบ่งตลาดซีพียูของ AMD เพิ่มจาก 9% เป็น 17% ในสองปี
สถิติน่าสนใจที่ AMD เปิดเผยในงานประชุมนักวิเคราะห์การเงินเมื่อวานนี้
ซีพียูที่ใช้แกน Zen ทั้งหมด (Ryzen, Threadripper, Epyc) ขายได้รวมกัน 260 ล้านตัวแล้ว
ส่วนแบ่งตลาดพีซี (นับรวมเดสก์ท็อป-โน้ตบุ๊ก) ของ AMD เดิมมีส่วนแบ่งเพียง 9% ในปี 2017 เพิ่มเป็น 17% ในปี 2019
ส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊กอย่างเดียวของ AMD เดิมมีส่วนแบ่งเพียง 9% ในปี 2017 เพิ่มเป็น 16% ในปี 2019, ส่วนในปี 2020 มีโน้ตบุ๊กที่ใช้ซีพียู AMD มากกว่า 135 รุ่นเตรียมวางขาย เพิ่มจากปี 2019 ที่มี 80 รุ่น
ส่วนแบ่งตลาดพีซีเชิงพาณิชย์ (สำหรับตลาดองค์กร) เพิ่มจาก 7% ในปี 2017 เป็น 11% ในปี 2019
ทั้งนี้ในเอกสารของ AMD ไม่ได้ระบุว่านำข้อมูลส่วนแบ่งตลาดมาจากที่ใด
ที่มา - AMD (PDF) |
# ซัมซุงออกอัพเดตตัวที่สองให้ Galaxy S20 ปรับปรุงคุณภาพกล้อง
ซัมซุงออกอัพเดตให้มือถือซีรีส์ Galaxy S20 โดยระบุว่าปรับปรุงคุณภาพกล้องและ gesture
อัพเดตตัวนี้ถือเป็นอัพเดตชุดที่สองของ Galaxy S20 ที่เพิ่งเริ่มวางขายอย่างเป็นทางการในหลายประเทศ (ของไทยเริ่มขายเมื่อวานนี้ 6 มีนาคม) โดยอัพเดตตัวแรกออกมาตั้งแต่ S20 ยังไม่วางขายด้วยซ้ำ (ใครที่ซื้อช่วงนี้ เปิดเครื่องมาก็เจออัพเดตตัวใหม่เลย)
ก่อนหน้านี้ ซัมซุงออกมายอมรับว่ากล้องของ Galaxy S20 คุณภาพยังไม่ดีเท่าที่ควร และสัญญาว่าจะออกอัพเดตแก้ให้ แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าอัพเดตตัวใหม่นี้แก้ปัญหากล้องทั้งหมดแล้วหรือไม่
รีวิว Galaxy S20 Ultra ตอนที่ 1, ตอนที่ 2 และ รีวิว Galaxy S20/S20+
ที่มา - SamMobile |
# Capcom ยืนยัน Nemesis ใน Resident Evil 3 Remake เข้าห้องเซฟได้แค่บางห้อง
เมื่อวานค่ำ ๆ มีกระทู้บน Reddit พูดถึงรายละเอียดของเกม Resident Evil 3 Remake อ้างอิงจาก Official Xbox Magazine เล่มล่าสุด หนึ่งในรายละเอียดที่ค่อนข้างฮือฮากันเมื่อคืนคือ Nemesis ในภาคนี้จะสามารถเข้าไปยังห้องเซฟของผู้เล่นได้ กลายเป็นว่าไม่มีที่ไหนใน Raccoon City ที่ปลอดภัยและพอให้หยุดพักหายใจเลย
อย่างไรก็ตามล่าสุด Capcom ยืนยันกับ GamesRadar ว่า Nemesis ไม่ได้สามารถพังเข้าห้องเซฟได้ทุกห้อง มีแค่บางห้อง (designated safe rooms) เท่านั้นที่ไม่สามารถเข้าได้
ขณะที่รายละเอียดจาก Official Xbox Magazine ที่ได้ลองเล่นเกมก่อนและระบุว่า Nemesis สามารถบุกเข้าห้องเซฟได้นั้น กองบรรณาธิการ OXM ออกมายืนยันอีกรอบว่าเข้าใจผิด อันที่จริงมันเป็นเพียง "จุดเซฟ" เท่านั้น ไม่ใช่ "ห้องเซฟ" และผู้เล่นต้องฟังเสียงเพลงแบ็คกราวด์ที่เป็นตัวบอกใบ้ว่าห้องไหนคือ "ห้องเซฟ"
ที่มา - GamesRadar
ภาพจาก Capcom |
# โปแลนด์สั่งปรับโรงเรียนตามกฎหมาย GDPR จากการใช้ไบโอเมตริกตรวจสอบสิทธิ์ในการรับอาหารของนักเรียน
โรงเรียนในประเทศโปแลนด์ถูกทางการสั่งปรับเป็นเงิน 20,000 zloty (หน่วยเงินของโปแลนด์ คิดเป็นเงินไทยราว 166,000 บาท) ตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยุโรปหรือ GDPR หลังจากทางโรงเรียนประมวลผลข้อมูลลายนิ้วมือของนักเรียนเพื่อตรวจสอบการจ่ายเงินค่าอาหารกลางวัน
Jan Nowak ประธานของ UODO หน่วยงานด้านการปกป้องข้อมูลส่วนตัวในโปแลนด์ระบุว่าทางโรงเรียนได้ประมวลผลลายนิ้วมือของเด็กนับร้อยคนโดยไม่มีมาตรฐานตามกฎหมาย ซึ่งโรงเรียนมีทางเลือกมากมายในการจัดการอาหารของโรงเรียนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ลายนิ้วมือ
UODO ระบุว่า โรงเรียนแห่งนี้ใช้เครื่องอ่านไบโอเมตริกตรวจสอบนักเรียนที่ทางเข้าโรงอาหารมาตั้งแต่ปี 2015 เพื่อตรวจสอบสิทธิ์การรับอาหารของนักเรียน โดยถ้านักเรียนปฏิเสธที่จะใช้ไบโอเมตริกจะต้องไปต่อท้ายแถว และต้องรอจนกว่าเด็กที่ใช้ไบโอเมตริกจะเข้าโรงอาหารจนหมดก่อนเด็กที่ไม่ใช้จึงจะเข้าได้ ซึ่งประธาน UODO ให้ความเห็นว่ากฎเหล่านี้สร้างการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมต่อเด็กและสร้างความแตกต่างอย่างไม่มีเหตุผล
แม้ว่าโครงการไบโอเมตริกของโรงเรียนแห่งนี้จะมีคำยินยอมจากผู้ปกครองก็ตาม แต่ UODO พบว่าตามวัตถุประสงค์คือการระบุสิทธิ์ในการรับอาหารกลางวันของนักเรียน ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ไบโอเมตริก รวมถึง GDPR ระบุไว้ชัดเจนตาม Retical 38 ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กต้องได้รับการปกป้องเป็นพิเศษเนื่องจากเด็กไม่สามารถตระหนักถึงความเสี่ยงและสิทธิในข้อมูลของตนเอง และไบโอเมตริกก็คือข้อมูลเฉพาะตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หากหลุดออกไปจะถือเป็นความเสี่ยงขั้นรุนแรงต่อเสรีภาพของบุคคลนั้น ๆ
ที่มา - European Data Protection Board, VentureBeat
ภาพโดย MichaelGaida/Pixabay |
# Quibi สตรีมมิ่งแนววิดีโอสั้นเหมาะกับมือถือเปิดใช้งาน 6 เมษายน ราคาเริ่มเดือนละ 156 บาท
Quibi สตรีมมิ่งรายใหม่ที่เคลมว่าเป็นสตรีมมิ่งที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนมือถือ ชูจุดเด่นวิดีโอสั้นที่ดูได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
ล่าสุด มีรายละเอียดช่วงเวลาเปิดใช้บริการแล้วคือวันที่ 6 เมษายน พร้อมด้วยรายการโชว์ 50 รายการในช่วงแรกของการเปิดตัว ค่าบริการรายเดือน 4.99 ดอลลาร์ (ราว 156 บาท) โดยมีโฆษณาด้วย ส่วนราคาที่สามารถใช้งานได้แบบไม่มีโฆษณาคือ 7.99 ดอลลาร์ (ราว 250 บาท) ให้เริ่มใช้ฟรี 90 วัน
Quibi ก่อตั้งโดย Jeffrey Katzenberg โปรดิวเซอร์ในวงการฮอลลีวูด และ Meg Whitman มาเป็นซีอีโอ ซึ่งเธอเคยดำรงตำแหน่งซีอีโอ Hewlett Packard Enterprise ด้วย
รูปแบบเนื้อหาที่จะฉายบน Quibi คือถ้าเป็นหนัง หรือเนื้อหาที่มีสคริปต์ เนื้อหาแต่ละตอนจะสั้นราว 7-10 นาที รายการโชว์อื่นๆ ที่ไม่มีสคริปต์ก็จะเป็นรูปแบบนี้เช่นกัน
ด้านจุดขายที่สามารถดูสตรีมมิ่งได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนนั้น คือสามารถพลิกไปพลิกมาได้ โดยที่วิดีโอไม่สะดุด และยังคงความเต็มจอได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่า Turnstyle
ทางบริษัทจะประเดิมรายการโชว์บนแพลตฟอร์ม 50 รายการ เช่น Most Dangerous Game หนังแอ็คชั่นเขย่าขวัญนำแสดงโดย Liam Hemsworth และ Christoph Waltz, Survive ซีรีส์เข่าขวัญแสดงโดย Sophie Turner เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตก, Murder House Flip เกี่ยวกับการปรับปรุงบ้านหลังเกิดเหตุฆาตกรรม เป็นต้น
ที่มา - TechCrunch |
# COVID-19 เป็นเหตุ Y Combinator เตรียมจัดงานเดโมเดย์ให้สตาร์ทอัพมาโชว์ของออนไลน์แทน
โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ Y Combinator ประกาศจัดงานเดโมเดย์ หรืองานสาธิตผลิตภัณฑ์จากสตาร์ทอัพ โดยจะเป็นการจัดงานแบบออนไลน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกันเนื่องจากกังวลสถานการณ์ไวรัส COVID-19
เดโมเดย์ของ Y Combinator นี้ถือเป็นงานสำคัญมาก เพราะว่าจะมีสตาร์ทอัพนับร้อยแห่งมาจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของตัวเองเพื่อโชว์ของให้นักลงทุน ซึ่งจะเป็นงานที่สื่อ, นักลงทุน ไปจนถึงกลุ่มคนดังในซิลิคอนวัลเล่ย์มารวมตัวกันจำนวนมาก โดยเมื่อปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบออนไลน์แล้ว Y Combinator ก็จะอัดวิดีโอและปล่อยให้นักลงทุนที่สนใจเข้ารับชมได้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคมเป็นต้นไป พร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับสตาร์ทอัพแต่ละแห่ง รวมถึงปรับปรุงระบบใหม่ให้แลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่ออย่างเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลระหว่างนักลงทุนและผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพได้สะดวกยิ่งขึ้น เพื่อให้นักลงทุนสามารถนัดพบกับสตาร์ทอัพแต่ละแห่งได้ด้วยตนเอง
ตอนนี้เนื่องจากสถานการณ์ไวรัส COVID-19 กำลังแย่ลงเรื่อย ๆ จึงมีบริษัทหลายแห่งยกเลิกการจัดอีเว้นท์ต่าง ๆ ไปแล้วจำนวนมาก เช่น F8, Google I/O, SXSW เป็นต้น
ที่มา - TechCrunch, Y Combinator
ภาพจาก Wikipedia |
# งาน SXSW 2020 ประกาศยกเลิกการจัดงานแล้ว ตามคำสั่งของเมืองออสติน
งาน SXSW (South by Southwest) งานสัมมนาใหญ่ประจำปีด้านสื่ออินเทอร์แอคทีฟ, ภาพยนตร์ และดนตรี ประกาศยกเลิกการจัดงานในปี 2020 แล้ว ตามคำสั่งของเมืองออสติน รัฐเท็กซัส สถานที่จัดงาน ด้วยเหตุผลเรื่อง COVID-19
เดิมงานมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-22 มีนาคม คณะผู้จัดงานกล่าวว่าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หน่วยงานด้านสาธารณสุขของออสตินยังยืนยันว่าสามารถจัดงานได้ แต่ด้วยการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้น จึงได้สั่งให้งดจัดงานเป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี ทั้งนี้สถิติผู้เข้าร่วมงาน SXSW เมื่อปี 2019 มี 73,716 คน เดินทางมาจากนอกอเมริกา 19,166 คน
ก่อนหน้านี้บริษัทไอทีขนาดใหญ่หลายแห่ง ได้ประกาศยกเลิกการเข้าร่วมงาน SXSW ปีนี้ อาทิ Facebook, Intel, Twitter และ TikTok
ในตอนนี้ SXSW ยังไม่มีแผนชัดเจนว่าจะเลื่อนงานออกไปก่อน หรือยกเลิกงาน หรือเปลี่ยนมาเป็นสัมมนาออนไลน์แทน โดยจะแจ้งผู้ซื้อบัตรเข้าร่วมงานอีกครั้ง
ที่มา: SXSW และ CNBC |
# dtac เตรียมเปิดบริการบรอดแบนด์ผ่าน 5G 26GHz ภายในไตรมาส 2 เชื่อเป็นรายแรกของประเทศไทย
dtac แถลงข่าวถึงการประมูล 5G คุณสมัคร สิมพา หัวหน้าสายงานพัฒนาโครงข่ายระบุว่าทาง dtac เตรียมจะเปิดบริการ 5G 26GHz เป็นบริการบรอดแบนด์ (fixed wireless access - FWA) ภายในไตรมาสสองปีนี้ และเชื่อว่าจะเป็นบริการที่คลื่น 26GHz รายแรกของไทย โดยแบนด์วิดท์ลูกค้าได้รับ จะอยู่ที่ 200Mbps ไปจนถึง 1Gbps
ในบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของไทย dtac นับเป็นรายเดียวที่ไม่มีบริการบรอดแบนด์เป็นของตัวเอง โดยที่ผ่านมา dtac มีความร่วมมือกับ 3BB ที่ขายแพ็กเกจร่วมกัน (บทความโฆษณาใน Blognone)
อย่างไรก็ดี คุณสมัครระบุว่าการเปิดบริการคลื่น 26GHz ในไตรมาสที่สองนี้จะเป็นการเปิดอย่างจำกัด ในบางพื้นที่เพื่อให้ผู้ใช้ที่มีอุปกรณ์ได้ไปทดสอบใช้งานกันก่อน และเมื่อพร้อมก็จะเปิดบริการ FWA ที่ต้องกำหนดพื้นที่ใช้งานต่อไป
คลื่นย่าน 26GHz/28GHz หรือคลื่น mmWave นับเป็นคลื่นย่านใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้งานกับอุปกรณ์เคลื่อนที่มาก่อน และช่องสัญญาณกว้างจนกระทั่งสามารถใช้งานที่แบนด์วิดท์สูงได้ อย่างไรก็ดีคลื่น mmWave มีข้อจำกัดที่การใช้งานเต็มประสิทธิภาพจะต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง (line-of-sight) และระยะจากเสายังจำกัดเพียง 200-300 เมตรเท่านั้น
ที่มา - งานดีแทคลุยต่อ…พัฒนาสัญญาณเพื่อทุกคน
ภาพเสาสัญญาณ 5G mmWave จาก Ericsson |
# DuckDuckGo เปิดตัว Tracker Radar ให้ข้อมูลแทร็กเกอร์ที่ตามเก็บข้อมูลผู้ใช้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ
DuckDuckGo เสิร์ชเอนจินเน้นความเป็นส่วนตัวเปิดตัว Tracker Radar สำหรับให้ข้อมูลเกี่ยวกับแทร็กเกอร์ที่คอยตามเก็บข้อมูลผู้ใช้บนอินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ DuckDuckGo เก็บพร้อมประมวลผลเอง
สำหรับรายชื่อใน Tracker List นี้ มีโดเมนทั้งหมด 5,326 โดเมนที่บริษัทกว่า 1,727 แห่งใช้เพื่อตามเก็บข้อมูลผู้ใช้บนโลกออนไลน์ แทร็กเกอร์เหล่านี้พบได้ทั่วไป เน้นเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานผู้ใช้งานบนอินเทอร์เน็ต ซึ่ง Tracker Radar จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับแทร็กเกอร์แต่ละตัวด้วย เช่น พฤติกรรมการเก็บข้อมูล, เจ้าของ, นโยบายความเป็นส่วนตัว และอื่น ๆ
DuckDuckGo ระบุว่าตอนเริ่มต้นทำระบบเพื่อบล็อคแทร็กเกอร์บนเว็บไซต์นั้นเริ่มจากใช้วิธีเพิ่มด้วยมือเอาเอง ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากไม่ค่อยอัพเดต, ไม่ครอบคลุม และเลวร้ายที่สุดคือสร้างปัญหาในการใช้งานเว็บ ทาง DuckDuckGo จึงพยายามสร้างรายการตัวติดตามใหม่ที่ไม่มีปัญหาเหล่านี้ จึงเกิดเป็น Tracker Rader ที่รายการจะอัพเดตอยู่เรื่อย ๆ พร้อมกับโอเพ่นซอร์สตัวซอร์สโค้ดที่ใช้สร้าง Tracker Radar ออกมาด้วย
ประโยชน์ในการเปิด Tracker Radar ออกมานี้ คือฝั่งนักพัฒนาที่จะทำระบบบล็อคแทร็กเกอร์ก็สามารถนำรายการจาก Tracker Radar ไปใช้ได้เลย หรือนักวิจัยจะใช้เพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับแทร็กเกอร์บนอินเทอร์เน็ตก็ได้เช่นกัน ส่วนฝั่งผู้ใช้งาน DuckDuckGo ได้ใส่ Tracker Radar ไว้ในแอปมือถือ DuckDuckGo Privacy Browser และส่วนขยายบนเบราว์เซอร์ DuckDuckGo Privacy Essentials แล้ว (มีเวอร์ชัน Chrome, Firefox และ Safari)
รายละเอียดของ Tracker Radar ทั้งรายชื่อแทร็กเกอร์และซอร์สโค้ดที่ใช้ทั้งหมดดูได้จาก GitHub ของ DuckDuckGo
ที่มา - DuckDuckGo Blog
ภาพจาก DuckDuckGo |
# DxOMark ปล่อยคะแนน Oppo Find X2 Pro 124 คะแนน ขึ้นเบอร์ 1 เท่า Mi 10 Pro
DxOMark ปล่อยคะแนนกล้องของ Oppo Find X2 Pro ออกมา (ก่อนเปิดตัวเสียอีก) ที่ได้ไปสูงถึง 124 คะแนน ขึ้นอันดับ 1 เทียบกับ Mi 10 Pro และแซงแชมป์เก่าอย่าง Mate 30 Pro 5G ไป 1 คะแนน
DxOMark บอกว่า Oppo Find 2X Pro มีสมรรถภาพที่ดีในทุก ๆ ด้าน (balanced performance overall) จุดเด่นหลัก ๆ คือออโต้โฟกัสที่เร็วในทุกสภาพแสง ไดนามิกเร้นจ์กว้าง noise ต่ำ เก็บรายละเอียดได้ดีในภาพซูมทั้งระยะใกล้และไกล เอ็ฟเฟ็คบิดเบือนในภาพอัลตร้าไวด์น้อยและการถ่ายโบเก้ที่ค่อนข้างสมจริง
อย่างไรก็ตาม DxOMark บอกว่าเครื่องที่เทสต์เป็นเครื่อง pre-production รันเฟิร์มแวร์เวอร์ชันที่ Oppo จะปล่อยในช่วงกลางเดือนหน้า และจะทดสอบกับเครื่องที่วางจำหน่ายทั่วไปอีกครั้่งเพื่อยืนยันผลการทดสอบข้างต้น
ที่มา - DxOMark |
# Google ประกาศ เสียง John Legend สำหรับ Assistant จะใช้งานได้จนถึง 23 มีนาคมนี้เท่านั้น
Google Assistant เพิ่มเสียงจากนักร้องดัง John Legend มาเป็นผู้ตอบคำถามบางคำถามมาสักระยะหนึ่ง เช่น พยากรณ์อากาศ, ร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด เป็นต้น ส่วนคำถามอื่นจะยังคงเป็นเสียง Google Assistant ตามปกติ
ล่าสุด Google ประกาศว่า เสียง John Legend บน Google Assistant จะให้ใช้งานจนถึงวันที่ 23 มีนาคมนี้เท่านั้น ซึ่งจะรวมถึง easter egg ที่ใส่มาเฉพาะกับเสียงของ Legend เท่ากับว่าผู้ใช้ที่จะเล่นกับเสียงพิเศษนี้จะต้องรีบเล่นกันอำลากันก่อนที่ Google จะนำออก โดยบอก Google Assistant ว่า “Hey Google, talk like a Legend”
ทั้งนี้ Google ไม่ได้กล่าวถึงเสียงเซเลบคนอื่นที่อัดมาใช้ใน Google Assistant ว่าจะนำออกตามเสียงของ Legend หรือไม่
ที่มา - Engadget |
# Logitech G จับมือ Embody ทำแอปสร้างโปรไฟล์เสียงจากการสแกนรูหู สำหรับหูฟังเกมมิ่ง
Logitech G ร่วมมือกับ Embody บริษัทเทคโนโลยีสร้างเสียงรอบทิศทาง เปิดตัวแอป Immerse สำหรับสร้างโปรไฟล์เสียงแบบจำเพาะกับผู้ใช้แต่ละคน โดยผู้ใช้ต้องอัพโหลดรูปถ่ายรูหูและใบหูขวาเข้าไปในแอป และระบบจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ วิเคราะห์รูปลักษณ์ของหู ทำให้การใช้เสียงระบุตำแหน่งในเกมทำได้แม่นยำยิ่งขึ้น ว่ามาจากทิศไหน หรือใกล้ไกลแค่ไหน
Immerse รองรับหูฟัง Logitech มากกว่า 12 แบบ (ดูรุ่นหูฟังที่รองรับได้ ที่นี่) โดยจะมีโหมด Close Combat ที่สร้างมาเพื่อการระบุตำแหน่งในการต่อสู้ระยะใกล้ สำหรับเกมยิงเช่น PUBG หรือ CS:GO และนอกจากนี้ ยังรองรับหูฟังจาก Beyerdynamicด้วย ส่วนจะมีการรองรับหูฟังค่ายอื่นอีกหรือไม่ คงต้องรอติดตามในอนาคต
Immerse ใช้ระบบเก็บค่าบริการแบบรายเดือน เริ่มต้นที่เดือนละ 3 ดอลลาร์ หรือประมาณ 90 บาท โดยมีช่วงทดลองให้ใช้ฟรี 14 วัน
ที่มา - Logitech via The Verge |
# Oppo เปิดตัวเรือธง Find X2 และ Find X2 Pro รองรับ 5G มีรุ่นฝาหลังหนังสีส้ม
Oppo เปิดตัวเรือธงประจำปีนี้แล้วในชื่อรุ่น Oppo Find X2 ต่อจากรุ่น Oppo Find X เมื่อปี 2018 แต่ไม่ได้ใช้รูปแบบการสไลด์กล้องเหมือนเดิมแล้ว แต่แทนที่ด้วยกล้องหน้าแบบ punch-hole เล็ก ๆ บริเวณซ้ายบนของหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รีเฟรชเรท 120Hz
Find X2 Pro ชิปเซ็ตเป็น Snapdragon 865 แรม LPDDR5 12GB ความจุ 256GB UFS 3.0 กล้องหลัง 3 เลนส์ กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซลเลนส์ไวด์ f/1.7 เซ็นเซอร์ IMX689 ที่ Oppo ร่วมมือกับโซนี, เลนส์อัลตร้าไวด์ 120 องศา ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/2.2 เซ็นเซอร์ IMX586 ถ่ายมาโครได้ใกล้สุด 3 ซม. และเลนส์เทเล (periscope) 13 ล้านพิกเซล f/3 ไฮบริดซูมได้ 10x และดิจิทัลซูมได้ 60x กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล แบตเตอรี่ 4,260 mAh
ภาพจาก Oppo
ส่วน Find X2 สเปคไม่ต่างกัน ยกเว้นความจุ 512GB กล้องหลักเลนส์ไวด์ 48 ล้านพิกเซล f/1.7 เซ็นเซอร์ IMX586, เลนส์เทเล ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.4 ไฮบริดซูมได้ 5x และดิจิทัลซูมได้ 20x, เลนส์อัลตร้าไวด์ 120 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล แบตเตอรี่ 4,200 mAh
ทั้งสองรุ่นมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่หน้าจอ รองรับ 5G ด้วยโมเด็ม Snapdragon X55 รองรับนาโนซิม 2 ซิม รองรับ SuperVOOC 2.0 ชาร์จไวด้วยกำลังไฟ 65W โดยรุ่น Pro กันน้ำมาตรฐาน IP68 ส่วนรุ่นธรรมดาแค่ IP54
รุ่น Pro มีให้เลือก 2 สีคือ Vegan Leather Orange และ Black Ceramic ราคา 40,990 บาท ส่วนรุ่นธรรมดามีสี Ocean Blue และ Black Ceramic ราคา 33,990 บาท
ที่มา - GSM Arena (1, 2), The Verge, MXPhone |
# AMD เผย Epyc รุ่น 3 ออกปลายปี 2020, Radeon Instinct ตัวใหม่ สถาปัตยกรรม CDNA
นอกจากจีพียู Navi 2X และซีพียู Ryzen รุ่นที่ 4 AMD ยังมีสินค้าฝั่งเซิร์ฟเวอร์คือ ซีพียูตระกูล Eypc และจีพียู Radeon Instinct ที่ประกาศแผนการออกรุ่นใหม่ดังนี้
Epyc รุ่นที่สาม รหัส "Milan" ที่ใช้แกน Zen 3 จะเปิดตัวช่วงปลายปี 2020 ซึ่งก็น่าจะไล่เลี่ยกับ Ryzen รุ่นที่สี่ ที่ใช้แกน Zen 3 ตัวเดียวกัน
Epyc รุ่นที่สาม จะทำให้ AMD มีซีพียูที่ครอบคลุมงานฝั่งเซิร์ฟเวอร์ทุกรูปแบบ 100% (เซิร์ฟเวอร์องค์กร, คลาวด์, HPC) หลังจาก Epyc รุ่นที่สองรหัส "Rome" เก็บมาได้แล้วประมาณ 80%
ถัดจากนั้นจะเป็น Epyc รุ่นที่สี่ โค้ดเนม "Genoa" ที่ใช้แกน Zen 4 และใช้กระบวนการผลิตระดับ 5 นาโนเมตร ออกช่วงปี 2022
ฝั่งจีพียูแบรนด์ Radeon Instinct ที่เน้นตลาดเซิร์ฟเวอร์ (เปิดตัวครั้งแรกปี 2016 และอัพเกรดเป็น 7 นาโนเมตรในปี 2018) จะได้รับการยกเครื่องสถาปัตยกรรมเช่นกัน เพราะปัจจุบัน Radeon Instinct ยังใช้สถาปัตยกรรม GCN ตัวเก่า (ฐานคือ Vega) ในขณะที่จีพียูฝั่งคอนซูเมอร์ขยับมาเป็น RDNA ตัวใหม่แล้ว
Radeon Instinct ตัวใหม่จึงจะได้อัพเกรดมาเป็น RDNA ด้วยเหมือนกัน แต่ AMD ใช้แบรนด์ใหม่ CDNA มาทำตลาดแทน แถม AMD ยังเปิดเผยแผนการของทั้ง CDNA 1 และ CDNA 2 พร้อมกันเลย
จีพียู CDNA รุ่นแรกจะใช้บัส Infinity Architecture รุ่นที่สอง (2nd Gen) ต่อเชื่อมกันเองระหว่างจีพียู เพื่อให้ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น แต่การส่งข้อมูลไปยังซีพียูจะยังใช้บัสแบบเดิมอยู่
จีพียู CDNA รุ่นที่สอง จะใช้บัส Infinity Architecture รุ่นที่สาม (3rd Gen) ที่ตรงทางเชื่อมระหว่างจีพียูกับซีพียูจะเป็น Infinity Architecture ด้วย เท่ากับว่าบัสทั้งระบบซีพียู-จีพียูจะเป็น Infinity ทั้งหมด
สถาปัตยกรรมของ Epyc รุ่นใหม่และ Radeon Instinct รุ่นใหม่จะถูกใช้ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ตัวใหม่ของสหรัฐอเมริกา 2 ตัวที่ AMD ร่วมสร้างกับ Cray คือ Frontier (ปี 2021) และ El Capitan (ปี 2022) โดย El Capitan เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่สุดในโลก (เท่าที่ประกาศไว้ในปัจจุบัน) คือ 2 exaFLOPS
ที่มา - AMD (PDF) |
# ยืนยันแล้ว Ryzen รุ่นที่ 4 แกน Zen 3 เปิดตัวปลายปี 2020, รุ่นหน้า Zen 4 ไป 5 นาโนเมตร
นอกจากข้อมูลของจีพียู Navi 2X AMD ยังเผยแผนการฝั่งซีพียูด้วยเช่นกัน
ซีพียู Ryzen รุ่นที่ 4 ที่ใช้แกน Zen 3 (ยังเป็น 7 นาโนเมตร) จะออกสินค้าชุดแรกช่วงปลายปี 2020 นี้
ถัดไปจะเป็นคิวของแกน Zen 4 ที่จะวางตลาดช่วงประมาณปี 2022 โดยขยับมาใช้การผลิตแบบ 5 นาโนเมตรแล้ว
AMD มีเทคโนโลยีใหม่ฝั่งซีพียูมาโชว์อีก 2 ตัว
X3D วิธีการวางแพ็กเกจซีพียูในแนวตั้ง ที่นำมาใช้คู่กับวิธีการแบ่งซีพียูเป็นโมดูล (chiplet) ในปัจจุบัน เพื่อให้แบนด์วิดท์การส่งข้อมูลมากกว่าเดิม 10 เท่า ในชิปขนาดเท่าเดิม (ยังไม่ระบุช่วงเวลาที่นำมาใช้งาน)
3rd Gen Infinity Architecture ระบบบัสเชื่อมต่อระหว่างซีพียูด้วยกัน (ใช้ในฝั่งเซิร์ฟเวอร์คือ EPYC) จะสามารถเชื่อมต่อระหว่างซีพียู-จีพียูได้ด้วย โดยต่อจีพียูได้สูงสุด 8 ตัว (8-way GPU) มาในช่วงปี 2022
ที่มา - AMD |
# นักจิตวิทยายืนยัน การโทษเกมว่าเป็นสาเหตุความรุนแรง ‘ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์’
ประเด็นความรุนแรงกับเกมมักถูกหยิบโยงขึ้นมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะในสหรัฐอเมริกาเวลามีเหตุกราดยิงหรือในประเทศไทยเองก็ตาม และที่ผ่านมาหลายๆ ครั้งก็มีผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้แจงหรืออ้างอิงงานวิจัยว่าเนื้อหารุนแรงในเกม ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมก้าวร้าว
ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ได้ออกแถลงการยืนยันอีกครั้งว่ายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากพอที่จะเชื่อมโยงเกมว่าเป็นสาเหตุหลักของพฤติกรรมรุนแรงได้ และยืนยันข้อสรุปที่ทางสมาคมเคยประกาศในปี 2015 หลังจากเริ่มมีงานวิจัยชิ้นใหม่ๆ มาสนับสนุนมากขึ้น
APA กล่าวว่า พฤติกรรมความรุนแรงเกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน และการโทษเกมว่าเป็นสาเหตุหลัก ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ และอาจทำให้ความสนใจถูกดึงไปจากสาเหตุอื่น เช่นการเคยเป็นเหยื่อของความรุนแรงในอดีต ซึ่งมีผลวิจัยชี้ชัดว่าทำให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงในอนาคตได้
ภาพจาก Shutterstock
แต่ในแถลงการยังพูดถึงอีก ว่าอาจมีความเชื่อมโยงระหว่างเกม กับความรุนแรงเล็กน้อย เช่นการ ตะโกนด่าทอ หรือการใช้กำลังเช่น การผลัก แต่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงผลไปยังความรุนแรงที่ร้ายแรงกว่านี้ได้
เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมาหลังจากสมาคมกีฬาโรงเรียนมัธยมของรัฐเคนตัคกี ออกมาแบนเกม Fortnite จากการแข่งขัน esports ในสถานศึกษา หลังจากที่ PlayVS บริษัทที่เป็นพาร์ทเนอร์และตัวตั้งตัวตีสำคัญในการแข่งขัน esports ในโรงเรียนมัธยมอเมริกา เพิ่มเกมนี้ไว้บนแพลตฟอร์มของตัวเอง
ที่มา - APA via Polygon |
# AMD เผยข้อมูล Navi 2X สถาปัตยกรรมใหม่ RDNA 2 ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้น 50%
ปี 2020 เป็นปีสำคัญของวงการจีพียู ที่เราจะได้เห็นสินค้าใหม่ทั้ง NVIDIA Ampere, AMD Big Navi และ Intel Xe
เมื่อคืนนี้ AMD จัดงานพบปะนักวิเคราะห์สายการเงิน และเปิดเผยข้อมูลของจีพียูรุ่นใหม่ สถาปัตยกรรม RDNA 2 เพิ่มอีกนิดหน่อยดังนี้
ชื่อเรียกของมันคือ "Navi 2X" ที่เป็นการนับต่อจาก Navi รุ่นแรกที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 1 (หรือชื่อทางการคือ Radeon RX Series 5000)
ช่วงปี 2021-2022 เรายังจะได้เห็น RDNA 3 ที่ใช้โค้ดเนมว่า "Navi 3X" ต่อด้วย แต่ยังไม่มีข้อมูลอื่นนอกจากชื่อ
สถาปัตยกรรม RDNA 2 จะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ (performance-per-watt) เพิ่มขึ้นจาก RDNA รุ่นแรก 50% (ซึ่ง RDNA รุ่นแรกก็ดีขึ้นจาก GCN รุ่นก่อน 50%)
RDNA 2 จะมีฟีเจอร์ Ray-Tracing ที่ระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว
สิ่งที่ AMD ยังไม่ยอมบอกคือช่วงเวลาเปิดตัว Navi 2X ว่าเป็นช่วงไหนของปี 2020 ซึ่งคาดว่าน่าจะไล่เลี่ยกับการวางขาย Xbox Series X และ PS5 (ที่ใช้ RDNA 2 รุ่นคัสตอมทั้งคู่) ตอนปลายปี
ที่มา - AMD (PDF) |
# ไมโครซอฟท์ยอมรับมีพนักงานติด COVID-19 แล้ว 2 ราย หนึ่งในนั้นทำงานที่ Redmond
ไมโครซอฟท์ออกมายืนยันว่า มีพนักงานของตัวเองติดโรค COVID-19 แล้วตอนนี้ 2 คน คนแรกทำงานอยู่ที่ Redmond สำนักงานใหญ่ (ไมโครซอฟท์ให้ทำงานที่บ้านไปก่อนหน้านี้แล้ว) และมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานบางรายก่อนหน้านี้ ซึ่งทุกคนได้รับทราบเรื่องแล้ว ขณะที่อีกรายเป็นพนักงานของ LinkedIn ที่ทำงานทางไกลอยู่แล้ว และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย ทั้งคู่ถูกกักกันตัวเรียบร้อยแล้ว
ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่เจ้าที่ 3 ต่อจาก Amazon และ Facebook ที่ออกมายืนยันว่ามีพนักงานติดโรค COVID-19
ที่มา - Bloomberg |
# Google สั่งให้พนักงานส่วนในเขต Bay Area ทำงานจากที่บ้าน
Google เป็นอีกบริษัทที่ประกาศให้พนักงานในเขต Bay Area ตั้งแต่ Mountain View ถึงในเมืองซานฟรานซิสโกทำงานได้จากที่บ้านแล้ว เพื่อป้องกันการระบาดของโรค COVID-19 ยกเว้นพนักงานในตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อความต่อเนื่องของธุรกิจ (critical to business continuity)
พนักงานของ Google ในเขต Bay Area ล่าสุดอยู่ที่ราว 45,000 คน ขณะที่ในเขต Bay Area ล่าสุดมีรายงานว่าพบผู้ติดโรค COVID-19 แล้ว 44 ราย ขณะที่เมืองซานฟรานซิสโกก็ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อรับมือการระบาดตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วแล้ว
ก่อนหน้านี้ Google ก็สั่งปิดออฟฟิศที่จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน ชั่วคราว เนื่องจากไวรัสโคโรน่า
ที่มา - 9to5Google |
# กูเกิลเก็บค่าใช้ Kubernetes Engine เดือนละ 72 ดอลลาร์ จากเดิมฟรี
กูเกิลประกาศเก็บค่าใช้งาน Google Kubernetes Engine (GKE) ชั่วโมงละ 0.1 ดอลลาร์หรือ 72 ดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ไม่มีค่าบริการ โดยราคานี้เท่ากับ Amazon EKS ที่เพิ่งปรับลดราคาลงมาครึ่งหนึ่ง
การเก็บค่าใช้งานแลกกับการรับประกัน SLA ให้ลูกค้า โดยการเปิด regional cluster จะได้ SLA 99.95% (ดาวน์ไม่เกินปีละ 4.3 ชั่วโมง) และ zonal cluster จะได้ SLA 99.5% (ดาวน์ไม่เกินปีละ 1.83 วัน) โดยต้องรัน stable release เท่านั้น
ราคาใหม่จะเริ่มคิดเงินจริงวันที่ 6 มิถุนายนนี้ โดย zonal cluster จะฟรีหนึ่งคลัสเตอร์
บริการ Kubernetes นั้นแต่ละรายมักคิดค่าจัดการคลัสเตอร์ไม่เท่ากัน เช่น Azure หรือ Digital Ocean นั้นคิดเฉพาะโหลดงานจริงเท่านั้น ไม่คิดค่าระบบจัดการคลัสเตอร์แต่อย่างใด
ที่มา - Google Cloud |
# อยากได้บ้าง! สตรีมมิ่งเกาหลีร่วมกับสาธารณสุข ให้คนไข้ COVID-19 และคนที่กักตัวดูฟรี 1 เดือน
Watcha Play สตรีมมิ่งในเกาหลีร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขเกาหลี ให้บัตรดูสตรีมมิ่งฟรีแก่คนไข้ COVID-19 และคนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องทำการกักตัวเองอยู่ที่บ้าน ให้ดูฟรี 1 เดือน
คนไข้ที่ได้รับการยืนยันที่ศูนย์บำบัดของรัฐ จะได้รับ QR Code เข้าถึงบริการสตรีมมิ่ง Watcha Play ได้โดยตรง ส่วนคนที่กักตัว หรือยังไม่เข้าข่ายติดเชื้อ จะต้องได้รับรหัสจากกระทรวงก่อน ซึ่งทาง Watcha Play และกระทรวงกำลังดำเนินการอยู่ ทางโฆษก Watcha Play ระบุว่าน่าจะสามารถให้บริการได้ในวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม
เนื้อหาส่วนใหญ่ของ Watcha Play เป็นหนังฮอลลีวูด ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยทดลองดูฟรี 2 สัปดาห์ แต่ตอนสมัครต้องกรอกข้อมูลการจ่ายเงิน แต่สำหรับคนไข้และคนกักตัวดูฟรีได้เลย ไม่ต้องผ่านกระบวนการยื่นข้อมูลการชำระเงิน
ที่มา - Korea Herald |
# ไมโครซอฟท์จ่ายค่าแรงพนักงานรายชั่วโมงเท่าเดิม แม้งานลดลงหลังพนักงานทำงานที่บ้าน
ไมโครซอฟท์มีนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน หรือ work from home ช่วงโรคระบาด นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังประกาศจ่ายค่าแรงตามปกติให้พนักงานที่ทำงานรายชั่วโมง เช่นคนขับรถชัทเทิลบัสให้กับคนของไมโครซอฟท์, พนักงานร้านกาแฟในสำนักงาน เป็นต้น แม้ว่าจำนวนชั่วโมงงานจะลดลงก็ตาม
Brad Smith ประธานไมโครซอฟท์ ระบุในบล็อกว่า เข้าใจถึงความลำบากของพนักงานรายชั่วโมง ซึ่งบริษัทจะจ่ายค่าแรงตามปกติต่อไป ยกตัวอย่างเช่นพนักงานรายชั่วโมงที่สำนักงาน Puget Sound วอชิงตันที่มีอยู่ราว 4,500 ราย ก็จะได้รับค่าแรงคงเดิม
ที่มา - ไมโครซอฟท์ |
# TCL เปิดตัวต้นแบบสมาร์ทโฟนแบบจอม้วน และแท็บเล็ตแบบพับสามทบ
หลังจากที่ปล่อยให้ค่ายอื่นโชว์โทรศัพท์จอพับมาได้สักพัก ถึงคราว TCL ออกมาโชว์รุ่นต้นแบบบ้าง แต่จะให้ทำจอพับได้เหมือนเจ้าอื่นก็จะธรรมดาไป TCL เลยตัดสินใจทำแบบจอม้วนเข้าไปด้านในได้ โดยใช้มอเตอร์ และทำต้นแบบแท็บเล็ตแบบพับสามทบแทน
ในรุ่นแบบจอม้วนได้ จะมีมอเตอร์ทำหน้าที่ม้วนจอเข้าไปเก็บในตัวเครื่อง หรือยืดจอออกมา เพื่อทำให้จอขนาด 6.75 นิ้ว กลายเป็น 7.80 นิ้วได้ (นึกภาพม้วนสาส์นในหนังจีนสมัยก่อน แบบนั้นเลย) แต่ ณ ตอนนี้ ก็ยังเป็นเพียงตัวต้นแบบที่ใช้หน้าจอกระดาษอยู่
ส่วนอีกรุ่น เป็นแท็บเล็ตที่มีขนาดเต็มถึง 10 นิ้ว แต่สามารถพับสามทบ ให้เหลือขนาดเพียง 6.65 นิ้วได้ โดยใช้ข้อต่อแบบผสมผสานระหว่าง DragonHinge กับ ButterflyHinge ซึ่งเป็นข้อต่อแบบพิเศษที่ TCL คุยว่าสามารถลดช่องวางระหว่างจอให้เหลือน้อยที่สุด แต่ก็แลกมาด้วยความหนา และน้ำหนัก ที่ยังเท่ากับโทรศัพท์สามเครื่องวางซ้อนกันอยู่ ถึงปัจจุบันตัวต้นแบบจะรันแอนดรอยด์ได้แล้ว แต่คงต้องมีการปรับอีกขนานใหญ่ ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ กว่าจะถึงจุดที่วางขายได้
TCL กล่าวว่าเทคโนโลยีหน้าจอม้วนแบบใหม่นี้ จะมาขจัดปัญหารอยพับตรงกลางจอของโทรศัพท์พับได้ รุ่นที่มีวางขายในท้องตลาดปัจจุบัน แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่าในรุ่นพับสามทบก็ยังจะมีรอยอยู่ดี แถมมีสองรอยด้วยซ้ำ
TCL เป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกสัญชาติจีน ที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด ตั้งแต่ทีวี แอร์ ไปจนถึงมือถือ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยซื้อไลเซนส์ผลิตสมาร์ทโฟน Blackberry มา แต่เพิ่งหมดสัญญาไปเมื่อต้นเดือนที่แล้ว
ที่มา - Notebookcheck, The Verge |
# Facebook ลบโฆษณาหาเสียงของทรัมป์ร่วมพันชิ้น ละเมิดกฏการให้ข้อมูลผิด
Facebook ลบโฆษณาหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกร่วมพันชิ้น ฐานละเมิดกฎให้ข้อมูลผิดเกี่ยวกับการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯประจำปี 2020 หรือ 2020 U.S. census โดยโฆษณาดังกล่าวกระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ แต่เมื่อกดคลิกแล้วกลายเป็นหน้าเว็บไซต์สำรวจแคมเปญหาเสียงของทรัมป์
ตัวโฆษณาเริ่มปรากฏบนหน้าฟีดและแสดงให้คนอเมริกันเห็นในช่วงสัปดาห์นี้ เมื่อดูจาก Ad Library ของ Facebook พบว่ามีการลบออกไปแล้ว
ตัวโฆษณามีนักข่าว Judd Legum สังเกตเห็นเป็นคนแรก และแจ้งเตือนแก่ชาวเน็ต ด้านสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯประจำปี 2020 ถือเป็นครั้งแรกที่เปิดให้ประชาชนทำผลสำรวจผ่านออนไลน์บนโทรศัพท์ได้ด้วย
หน้าเว็บไซต์สำรวจแคมเปญหาเสียงของทรัมป์
ที่มา - Engadget |
# [ลือ] ไมโครซอฟท์จะรีแบรนด์ Cortana เป็น Microsoft 365 Assistant
ไมโครซอฟท์เพิ่งประกาศทิศทางใหม่ของ Cortana ว่าจะโฟกัสงานฝั่งธุรกิจ และตัดฟีเจอร์คอนซูเมอร์อย่างการสั่งเล่นเพลงหรือสมาร์ทโฮมออก
ล่าสุด Petri เว็บไซต์สายข่าวไมโครซอฟท์ ให้ข้อมูลวงในว่าตอนนี้เอกสารของไมโครซอฟท์เอง ใช้คำว่า "Microsoft 365 assistant" แทนคำว่า Cortana แล้ว แม้ไมโครซอฟท์ยังไม่ประกาศเรื่องการรีแบรนด์อย่างเป็นทางการในตอนนี้
Petri ยังบอกว่าไมโครซอฟท์กำลังพัฒนา Microsoft 365 assistant ให้เชื่อมโยงกับ Microsoft Teams มากขึ้น เช่น การสั่งให้ส่งไฟล์ แชท หรือนำเสนอในการประชุม เป็นต้น
ที่มา - Petri |
# รู้จัก iiG บริษัทคอนซัลท์ลูกผสมด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง
หลายครั้งที่ธุรกิจต้องทำสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญโดยตรงก็มักใช้บริการบริษัทคอนซัลท์ให้เข้ามาจัดการงานบางส่วน โดยบริษัทคอนซัลท์ส่วนใหญ่มักมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแตกต่างกันไป เช่น เทคโนโลยี, เดต้า, การสร้างแบรนด์และการตลาด, การทำดิจิตัลแคมเปญ
I&I Group หรือเรียกย่อๆ ว่า iiG เป็นบริษัทคอนซัลท์ที่แตกต่างจากบริษัทคอนซัลท์อื่น ด้วยการผสมผสานเอาประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีที่มีมายาวนานเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ออกมาเป็นการนำเสนอบริการและโซลูชันแบบ End-to-End สำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานทั้งภายนอกและภายในหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยี ไปจนถึงการทำตลาดกับผู้บริโภคในวงกว้างผ่านช่องทางการตลาดดิจิตัล
iiG ผู้ให้บริการคอนซัลท์ลูกผสมแบบ End-to-End
คุณวิภาวสุ เตียพานิช ผู้อํานวยการฝ่ายกลยุทธ์ เล่าว่าปัจจุบัน iiG เป็นทางเลือกใหม่ในกลุ่มบริษัทคอลซัลท์ที่ไม่ได้ชำนาญเพียงแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เป็นคอนซัลท์ลูกผสมที่ดึงเอาความเก่งของบริษัทคอนซัลท์ด้านเทคโนโลยี และเอเจนซี่ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมารวมเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยความเข้าใจในความต้องการขององค์กรแบบ End-to-End บริษัทจึงมีโซลูชันที่หลากหลายในการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการความสัมพันธ์และการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า (End User) ขององค์กร การช่วยให้องค์กรเข้าใจกลุ่มลูกค้า (End User) ผ่านการทำ Human-Centered Exploration อันนำไปสู่กลยุทธ์การทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่มีประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรสามารถเข้าถึงและแก้ Pain Points ให้กับกลุ่มลูกค้า (End User) ได้อย่างตรงจุด ตลอดไปจนถึงโซลูชันด้านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและเดต้า ที่ช่วย Transform องค์กร ให้สอดรับการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์และแพลตฟอร์มที่ใช้อีกด้วย
คุณวิภาวสุ เตียพานิช, ผู้อํานวยการฝ่ายกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer)
คุณวิภาวสุเล่าว่า ความเชี่ยวชาญของบริษัทแต่เดิมคือด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแกนหลักของบริษัทมาเกือบ 30 ปี แต่ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ความต้องการของลูกค้ามีขอบเขตกว้างมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้นั้น แค่ความเก่งของแพลตฟอร์มและความเชี่ยวชาญในแพลตฟอร์มเทคโนโลยีนั้นๆ อาจจะไม่เพียงพอ หากแต่ต้องผนวกรวมเอาความเข้าใจในองค์กร ความเข้าใจในความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนความเข้าใจในการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าเข้าไปด้วย
บริษัทจึงได้ขยายขอบเขตของโซลูชั่นและการให้บริการเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการขององค์กรมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน บริการของ iiG แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
iiG | Strategy
การช่วยองค์กรธุรกิจวางกลยุทธ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ การวางแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation & Roadmap) กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์และการทำตลาดดิจิตัล (Brand Activation & Digtal Marketing) กลยุทธ์ในการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าและการนำข้อมูลไปใช้ (Data Strategy & Activation) ไปจนถึงการช่วยองค์กรวิเคราะห์และค้นหาความต้องการของลูกค้า (Customer Insights) อันจะนำไปสู่ไอเดียหรือคุณค่าใหม่ ๆ เพื่อให้องค์กรเก่งขึ้นและพร้อมมากขึ้นในยุคดิจิทัล
iiG | Technology
การสนับสนุนธุุรกิจให้มีความพร้อมในด้านแพลตฟอร์มเทคโนโลยี โดยเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและติดตั้งโซลูชันที่ช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning) ของ Oracle® โซลูชั่นที่ช่วยในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) และทำการตลาดอย่าง Salesforce® ตลอดไปจนถึงโซลูชันที่ช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้า การทำ Data Warehouse การทำ Sales & Marketing Automation เป็นต้น
iiG | Experience
ปัจจัยสำคัญในการสร้างแบรนด์หรือการช่วยให้ธุรกิจเติบโตอยู่ที่การบริหารประสบการณ์และความสัมพันธ์กับลูกค้า (End Users / Customers) โซลูชันนี้จะเป็นการต่อยอดเอากลยุทธ์และเทคโนโลยี เข้ามาช่วยบริหารและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผ่านแนวคิดในการออกแบบและบริหารจัดการประสบการณ์ (Experience Management) ทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบประสบการณ์แบรนด์ (Brand Experience) ที่ถูกต้องในแต่ละช่องทาง (Brand Touchpoints) ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience) ที่ทำให้พนักงานกลายเป็น Brand Ambassador ที่สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer Experience)
iiG | Studio
เมื่อพูดถึงประสบการณ์ของลูกค้า สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการทำคอนเทนท์ที่สื่อสารกับลูกค้า ให้แตกต่างกันไปตามลูกค้าแต่ละคน (Personalized) โซลูชันนี้จะเข้ามาช่วยจัดการในการออกแบบคอนเทนท์ (Creative Content Design) รวมถึงการพัฒนาช่องทางการสื่อสารของแบรนด์ (Brand Touchpoint Development) ซึ่งเป็นจุดที่ลูกค้าเกิดปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์อันจะทำให้เกิดความรักและภักดีต่อแบรนด์
เมื่อเราเห็นข้อมูลลูกค้า เราก็เห็นโอกาส
คุณณัฐเชษฐ์ เทพูปถัมภ์ ผู้อํานวยการฝ่ายโซลูชันของ iiG เล่าว่าโจทย์ขององค์กรที่เข้ามาหาบริษัท iiG ส่วนใหญ่ คือการปรับปรุงระบบบริการลูกค้า (Customer Service) เพื่อทำให้ยอดขายดีขึ้น ลูกค้าอยู่กับธุรกิจนานขึ้น ต้องการเข้าใจลูกค้า (End Customer) เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เพิ่ม Lead เพิ่ม Conversion ให้มากขึ้น
คุณณัฐเชษฐ์ เทพูปถัมภ์, ผู้อํานวยการฝ่ายโซลูชัน (Solution Director)
อย่างไรก็ตามการดูแลลูกค้าด้วยระบบ CRM ในแบบเดิม ๆ ไม่เพียงพออีกต่อไป คุณณัฐเชษฐ์บอกว่าองค์กรที่อยากประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาโจทย์ข้างต้น จำเป็นต้องรู้วิธีในการเก็บและแยกแยะข้อมูลของลูกค้าให้ได้ ซึ่งข้อมูลลูกค้าเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้องค์กรมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ดังนั้นโซลูชันของ iiG จะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) ของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อนำมาใช้สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (End User) ตลอดเส้นทางของลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ (End-to-End Customer Journey) เพื่อช่วยให้เขารักในแบรนด์และเป็น Advocate ให้กับแบรนด์
ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เริ่มแรกองค์กรต้องแยกแยะได้ว่าลูกค้าที่เข้ามาในโครงการ คนไหนสนใจซื้อเพื่ออยู่อาศัย คนไหนเป็นนักลงทุนที่ซื้อเพื่อการลงทุน ที่มีโอกาสซื้อซ้ำมากขึ้น โดยดูจากข้อมูลของลูกค้าที่เก็บเข้ามา และคิดต่อว่าจะทำอย่างไรถึงจะเข้าใจลักษณะการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสื่อสารหรือสร้างประสบการณ์แบบ Personalized ให้ลูกค้านักลงทุนเหล่านี้ให้ดีที่สุด หรือหากลูกค้าตัดสินใจไม่ซื้อ จะทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์จนตัดสินใจซื้อ หรือหากซื้อไปแล้ว จากข้อมูลที่มีอยู่ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าตัดสินใจกลับมาซื้อซ้ำในครั้งต่อไป นี่คือสิ่งที่ข้อมูลช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้
ดังนั้นโซลูชันสำคัญของ iiG คือ การทำ Data-Driven Customer Experience & Data-Driven CRM ที่เป็นการผสมผสานบริการของ iiG ทั้งในด้านกลยุทธ์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการประสบการณ์เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถออกแบบเส้นทางของผู้บริโภค (Customer Journey) ที่ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์และการดูแลที่ดีที่สุดจากแบรนด์ ซึ่งช่วยสร้าง Business Value ที่แท้จริงให้กับธุรกิจ
ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คนและโครงสร้างองค์กรก็สำคัญ
แม้ iiG จะมีเครื่องมือและโซลูชันสำหรับตอบโจทย์องค์กรแต่ละรายแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ iiG ให้ความสำคัญ คือเรื่องของคนหรือพนักงานขององค์กร ไปจนถึงโครงสร้างภายในที่จำเป็นต้องเปลี่ยน เมื่อกระบวนการทำงานเปลี่ยน
ตามปกติองค์กรส่วนใหญ่มักแยกฝ่ายตามตำแหน่งหน้าที่ เช่น ฝ่ายขาย การตลาด ฝ่ายบริการลูกค้า โดยแยกขาดจากกัน ต่างฝ่ายต่างทำงาน ซึ่งมักมีปัญหาการประสานงานหรือส่งต่องาน เพราะต่างคนต่างแยกกันทำ ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้ ในท้ายที่สุดก็จะส่งผลกระทบกับประสบการณ์ของลูกค้า
อีกหน้าที่ที่ iiG จะเข้าไปช่วยให้คำแนะนำคือ การพัฒนาบุคลากรขององค์กรและการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในขององค์กร ให้สอดคล้องกับเครื่องมือที่เปลี่ยนไป เพื่อในท้ายที่สุด องค์กรสามารถตอบโจทย์เรื่องการสร้างความสัมพันธ์และประสบการณ์อันดีที่สุดให้กับลูกค้า (End User) ผ่านเส้นทางของผู้บริโภคที่ได้ออกแบบไว้เป็นอย่างดีได้
วิธีการคือ iiG จะเน้นการทำงานแบบ Agile เพื่อช่วยให้เกิดผลสำเร็จของโครงการที่รวดเร็ว พร้อมส่งพนักงานของตัวเองเข้าไปทำงานร่วมกันกับองค์กรของลูกค้า ในลักษณะ Knowledge Sharing โดยตัวอย่างที่คุณณัฐเชษฐ์ยกขึ้นมาว่า สิ่งที่เรามักจะแนะนำลูกค้าอยู่บ่อย ๆ คือการตั้งคนขึ้นมาดูแลกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์และเส้นทางของลูกค้าทั้งหมด (End-to-End Customer Journey) เพื่อให้มั่นใจว่าประสบการณ์ของลูกค้าจะได้รับความสำคัญสูงสุด
ตัวอย่างองค์กรที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ iiG
Sansiri เป็นหนึ่งในองค์กรที่ iiG เข้าไปช่วยวางระบบ CRM ทั้งหมดแบบ End-to-End ช่วยแก้ไขความยุ่งยากเดิมที่เกิดขึ้นจากการการเก็บข้อมูลของลูกค้าที่ยังไม่เป็นดิจิตัล และแตกต่างกัน ให้อยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ช่วยออกแบบแอพพลิเคชั่นที่ทำให้การเก็บข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการมีความง่ายขึ้น สามารถนำข้อมูลสำคัญๆ ของลูกค้าเข้าสู่ระบบ CRM ได้แบบ Real Time ทำให้พนักงานขององค์กรปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น ลูกค้า (End User) ก็ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ในการเข้าเยี่ยมชมโครงการ หรือเมื่อมีการใช้บริการหรือซื้อโครงการในครั้งถัดๆ ไป
Manulife เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ iiG เข้าไปช่วยวางระบบ E-Policy และการทำ Marketing Automation โดยการสร้างระบบขายประกันโดยตรงผ่านหน้าเว็บไซต์โดยที่ลูกค้าไม่ต้องติดต่อผ่านตัวแทนเลย ทำให้ลูกค้า (End User)ได้รับความสะดวกสบาย ได้รับกรมธรรม์ทันที โดยไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายให้ยุ่งยาก ช่วยให้องค์กรสามารถจัดสรรทรัพยากรได้ดีขึ้น ซึ่งงานที่ iiG ช่วยทำคือออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่ออก E-Policy ตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้าน รวมถึงระบบ Marketing Automation |
# Ghost of Tsushima เผยสตอรี่เทรลเลอร์ล่าสุด กำหนดวันขาย 26 มิถุนายน ราคา 1,890 บาท
Ghost of Tsushima เกมแอ็คชันซามูไรแบบเอ็กคลูซีฟบน PS4 จากสตูดิโอ Sucker Punch Production ที่เคยทำเกมซีรีส์ Infamous เผยเทรลเลอร์ล่าสุดที่บอกเล่าเรื่องย่อคร่าว ๆ ของตัวเกมแล้ว หลังก่อนหน้าปล่อยข้อมูลออกมาแค่เรื่องราวจะเกิดในศตวรรษที่ 13 ในช่วงที่มองโกลรุกรานเกาะสึชิมะ (Tsushima)
ตัวเกมจะวางจำหน่ายวันที่ 26 มิถุนายนนี้ พร้อมเปิดให้พรีออเดอร์แล้วบน PSN ผู้ที่พรีจะได้ซาวด์แทร็กเกม, อวาตาร์และไดนามิกธีมเป็นของแถม ส่วนราคาตัวเลือกมีดังนี้
Standard Edition ราคา 1,890 บาท
Digital Deluxe Edition ราคา 2,190 บาท นอกจากตัวเกมจะได้ Digital Art Book, Digital Commentary, สกินและไอเท็มในเกม
Special Edition ราคา 69.99 ดอลลาร์ ได้ Steelbook เพิ่มเข้ามา
Collector's Edition ราคา 169.99 ดอลลาร์ ได้ Cloth Map, ธงรบ, Sakai Mask หน้ากากพร้อมขาตั้งโชว์ เพิ่มเข้ามา
ที่มา - PlayStation Blog |
# เฟซบุ๊กฟ้อง Namecheap ฐานรับจดโดเมนให้เข้าใจผิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊ก
เฟซบุ๊กประกาศยื่นฟ้อง Namecheap บริษัทรับจดโดเมนเนม รวมถึงบริการลูกอย่าง Whoisguard ฐานรับจดโดเมนเนมที่มีความใกล้เคียงหรือทำให้ผู้ใช้งานหลงคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊ก ซึ่งมักจะถูกนำไปใช้งานในเชิงหลอกลวงหรือ phishing
เฟซบุ๊กบอกว่าพบโดเมนเนมกว่า 45 โดเมนบน Whoisguard ที่มีความคล้ายคลึงกับแบรนด์เฟซบุ๊กหรือผลิตภัณฑ์ในเครือ เช่น instagrambusinesshelp.com, facebo0k-login.com และ whatsappdownload.site โดยที่ผ่านมาเฟซบุ๊กได้แจ้งเตือนไปยัง Whoisguard ระหว่างเดือนตุลาคม 2018 ถึง กุมภาพันธ์ 2020 หลายครั้ง ทว่านอกจากทาง Whoisguard จะไม่แจ้งบริษัท (เรื่องการจดโดเมนที่ใกล้เคียง) แล้วยังไม่ให้ความร่วมมือด้วย
ที่มา - Facebook Newsroom
ภาพจากเฟซบุ๊ก |
# Adobe เพิ่มปลั๊กอิน Creative Cloud ใน Gmail แชร์ไฟล์ได้จากหน้าอีเมล จำกัดขนาดที่ 100MB
Adobe เพิ่มปุ่ม Add-on บน Gmail โดยตรง เมื่อผู้ใช้งาน Gmail ต้องการส่งไฟล์จาก Adobe Creative Cloud ก็สามารถกดปุ่ม Creative Cloud ได้เลย ช่วยให้แชร์ไฟล์ได้เร็วขึ้น แต่แชร์ได้เฉพาะลิงค์ Creative Cloud ที่เป็น public และจำกัดขนาดไฟล์แค่ 100MB
ผู้ใช้งานจำเป็นต้องติดตั้งปลั๊กอิน ผ่าน G Suite ก่อน ถึงจะใช้งานฟีเจอร์นี้ได้
ที่มา - Engadget, Adobe |
# Twitter ขยายขอบเขตเนื้อหาสร้างความเกลียดชังให้ครอบคลุม "โรค" และความพิการ
Twitter อัพเดตนโยบายแบนเนื้อหาสร้างความเกลียดชังบนแพลตฟอร์ม ให้ครอบคลุมผู้พิการ โรคภัยไข้เจ็บ อายุ กล่าวคือถ้าเนื้อหาพยายามสร้างความเกลียดชัง หรือลดค่าความเป็นมนุษย์โดยอ้างเรื่องความพิการ และโรคเข้ามาจะถูกลบออกจากแพลตฟอร์ม
ปัจจุบัน Twitter มีนโยบายแบนเนื้อหาแสดงความเกลียดชังโดยอ้างเรื่อง ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศ รสนิยมทางเพศ ชาติกำเนิดอยู่แล้ว
ถือเป็นการอัพเดตนโยบายในช่วงเวลาที่โรค COVID-19 ระบาด และสร้างความหวาดระแวงด้วยกันเอง
ที่มา - Twitter |
# The Last of Us กำลังจะมีเวอร์ชั่นซีรีส์ สร้างโดยคนเขียนเนื้อเรื่องเกมและผู้กำกับ Chernobyl
The Last of Us เกมดังแนวผจญภัยเอาชีวิตรอด กำลังจะมีเวอร์ชั่นซีรีส์ลง HBO ได้มือดีคือ Craig Mazin ผู้กำกับ Chernobyl และ Neil Druckmann คนเขียนเนื้อเรื่องเกม The Last of Us
เนื้อเรื่องของซีรีส์จะครอบคลุมเนื้อหาต้นฉบับตั้งแต่ภาคแรกของเกม และมีความเป็นไปได้ว่าจะมีเพิ่มเติมจากภาคต่อของเกม Last of Us Part II ซึ่งจะวางจำหน่ายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2020
ตัวซีรีส์เป็นการร่วมสร้างระหว่าง Sony Pictures Television และ PlayStation Productions ถือเป็นซีรีส์ลงทีวีเรื่องแรกของ PlayStation Productions เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังได้ Carolyn Strauss เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมกับ Evan Wells ประธานของ Naughty Dog ผู้พัฒนาเกมนี้ด้วย
The Last of Us ชนะรางวัล"เกมยอดเยี่ยมแห่งปี"มากมายในหลายเวที และขายได้มากกว่า 17 ล้านก๊อปปี้
ที่มา - Hollywood Reporter |
# Google ประกาศปรับดัชนีค้นหาเป็น Mobile-First ทั้งหมด มีผลกันยายน 2020
กูเกิลประกาศว่าดัชนีค้นหาของเว็บไซต์ทั้งหมด จะใช้การแสดงผลบนอุปกรณ์พกพาเป็นค่าเริ่มต้น (Mobile-First Index) มีผลตั้งแต่กันยายน 2020 เป็นต้นไป
แนวทางนี้กูเกิลประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2016 โดยตอนนั้นระบุว่าจะเน้นเว็บเวอร์ชันมือถือเป็นหลัก ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดกูเกิลบอกว่าเว็บไซต์มากกว่า 70% มีความพร้อมสำหรับดัชนีเว็บบนมือถือแล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนให้มีผลทั้งหมด
กูเกิลบอกว่าแม้ดัชนีเว็บจะยังรองรับการเก็บข้อมูลแยกระหว่างเว็บเวอร์ชันเดสก์ท็อป กับเว็บบนมือถือ แต่กูเกิลแนะนำว่าควรทำเว็บให้เป็นแบบ responsive เพราะช่วยลดปัญหาจากการแยก URL เป็นสองแบบ ที่สร้างความสับสนทั้งบนเสิร์ชและสำหรับผู้ใช้งานเอง
ที่มา: กูเกิล ผ่าน TechCrunch |
# ซอยย่อยเกินไป Istio รวบไบนารีหลักเหลือ istiod ตัวเดียว แม้เป็นแพลตฟอร์มทำ microservice
โครงการ Istio ที่เป็นแพลตฟอร์มทำ service mesh ควบคุมการสื่อสารระหว่าง microservice ประกาศเปลี่ยนสถาปัตยกรรมใหม่ จากเดิมเซิร์ฟเวอร์หลักแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ ถึง 5 ชิ้น ได้แก่ Mixer, Pilot, Gallery, Citadel, และ Injector มาเหลือ istiod ไบนารีเดียวเท่านั้น โดย Mixer เป็นส่วนขยายที่ลงแยกได้ และเวอร์ชั่นใหม่จะไม่ลงเป็นค่าเริ่มต้น
สำหรับซอฟต์แวรร์ที่รันบนโหนดก็จะรวบจาก Node Agent และ Istio Agent เหลือ Istio Agent ตัวเดียวเช่นกัน
Christian Posta ผู้เขียนหนังสือ Microservices for Java Developers เขียนบล็อกกถึงเรื่องนี้ ว่า Istio เป็นตัวอย่างของกรณีที่ไม่ควรแบ่งแอปพลิเคชั่นเป็น microservice ด้วยเหตุผลหลักคือระบบจะซับซ้อนขึ้นมาก และคำถามสำคัญคือ "แต่ละชิ้นสามารถ deploy แยกกันได้จริงหรือไม่"ปรากฎว่าในโลกความเป็นจริงไม่มีใครติดตั้งชิ้นส่วนของ Istio แยกกันนัก มักจะอัพเกรดไปพร้อมๆ กัน แถมในแง่ความปลอดภัย ชิ้นส่วนย่อยๆ ของ Istio ก็มีสิทธิ์เท่ากันอยู่ดี
Istio จะเปลี่ยนสถาปัตยกรรมในเวอร์ชั่น 1.5 โดยตอนนี้อยู่ที่สถานะ beta 5 คาดว่าจะออกตัวจริงได้ภายในเดือนนี้
ที่มา - Istio Blog |
# ยังไม่เจอไอโอไทย เฟซบุ๊กรายงานทลายกลุ่มรวมตัวปั่นกระแสใน อินเดีย, อียิปต์, รัสเซีย, อิหร่าน, พม่า, เวียดนาม
เฟซบุ๊กรายงานการแบนกลุ่มบัญชีผู้ใช้ที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็นถกเถียงในสังคม (manipulate public debate) หลังจากปีที่แล้วแบนไปกว่า 50 เครือข่ายรวมในไทย ปีนี้เฟซบุ๊กก็รายการทลายเครือข่ายเหล่านี้อีกครั้ง โดยชี้แจงแนวทางการทลายเครือข่ายเหล่านี้เพิ่มเติม ว่าเฟซบุ๊กแบ่งการเบี่ยงเบนประเด็นไว้สองระดับ ได้แก่
Coordinated Inauthentic Behavior (CIB) กลุ่มที่ไม่ใช่รัฐ แต่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นใครแล้วอาศัยการสร้างบัญชีทั้งปลอมและจริงมาปล่อยข้อมูลชี้นำผิด (mislead) กระบวนการแบนบัญชีเหล่านี้จะแบนทั้งบัญชีจริงและบัญชีปลอม แต่จะจำกัดเฉพาะบัญชีที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น
2.Foreign or Government Interference (FGI) เป็น CIB ที่ทำงานให้รัฐ (บ้านเราน่าจะเรียกกลุ่มไอโอ) โดยรวมทั้งรัฐบาลของประเทศนั้นๆ เองหรือรัฐบาลต่างชาติก็ตาม FGI นี้จะถูกแบนเป็นวงกว้างกว่า CIB โดยแบนทุกส่วนที่มีความเชื่อมโยงถึงกลุ่ม
สองเดือนที่ผ่านมาเฟซบุ๊กทลายกลุ่มเหล่านี้ไป 5 กลุ่มใน อินเดีย, อียิปต์, รัสเซีย, อิหร่าน, พม่า, และเวียดนาม (สองประเทศหลังเป็นกลุ่มเดียวกัน) รวมมีบัญชีเฟซบุ๊กถูกแบน 467 บัญชี, บัญชี Instagram 1,245 บัญชี, หน้าเพจ 248 หน้า, Facebook Group 49 กลุ่ม รวมเงินโฆษณา 1.2 ล้านดอลลาร์
ที่มา - Facebook
ตัวอย่างเพจที่ถูกแบนทำแคมเปญในตะวันออกกลาง โดยมีความเชื่อมโยงกับบริษัทประชาสัมพันธ์ในอินเดีย |
# แอพ MS Remote Desktop บน Windows 10 ได้รับอัพเดต, ก็อปปี้ไฟล์ข้ามอุปกรณ์ได้แล้ว
เมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ออกอัพเดตใหม่ให้กับแอพ Remote Desktop บน Windows 10 โดยได้เพิ่มความสามารถที่ผู้ใช้หลายท่านน่าจะรอมานาน อย่างการก็อปปี้ไฟล์ข้ามอุปกรณ์
สำหรับวิธีเปิดใช้งานความสามารถดังกล่าว ผู้ใช้จำเป็นต้องอนุญาตให้แอพ Remote Desktop สามารถเข้าถึงไฟล์ภายในเครื่องที่กำลังใช้งานอยู่ก่อน ด้วยการเข้าไปตั้งค่าในหน้า Settings ของ Windows 10 > Privacy > File system จากนั้นคลิกที่ปุ่มข้างรายการแอพ Remote Desktop เพื่อเลือกเปิดการเข้าถึง File system ของ Windows 10
ภาพตัวอย่างการอนุญาตให้แอพ Remote Desktop เข้าถึง File system ของ Windows 10
เมื่อตั้งค่าข้างต้นเรียบร้อย จะสามารถใช้คำสั่ง ก็อปปี้/วาง ของ Windows (เช่นคีย์ลัด Ctrl+C / Ctrl+V หรือบนเมนูคลิกขวา) เพื่อก็อปปี้ไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์ที่กำลังนั่งใช้งานอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่รีโมทเข้าใช้งานด้วยแอพ Remote Desktop ได้ทันที
อัพเดตนี้ทำให้ฟีเจอร์ของแอพ Remote Desktop สมบูรณ์ขึ้นมากและกลายเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ยังใช้โปรแกรม Remote Desktop connection เดิมๆ ที่ติดมากับ Windows เพราะมีความจำเป็นต้องก็อปปี้ไฟล์ข้ามอุปกรณ์
ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ที่แอพ Remote Desktop มีให้ใช้งานก็อย่างเช่นฟังก์ชั่นจัดกลุ่มเดสก์ทอปและตัวเลือกปรับ scaling สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้หน้าจอความละเอียดสูง สนใจเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ Microsoft Store ครับ
ที่มา - MSPoweruser |
# ไมโครซอฟท์ประกาศให้ทดลอง Office 365 E1 นานหกเดือน ทำงานที่บ้านสู้ COVID-19 แต่ต้องสมัครผ่านตัวแทน
ไมโครซอฟท์ประกาศเปิดให้ทดลองใช้ Office 365 ระดับ E1 นาน 6 เดือนเพื่อสนับสนุนให้องค์กรที่ต้องการให้พนักงานทำงานที่บ้าน จากการระบาดของโรค COVID-19
อย่างไรก็ดี โปรโมชั่นนี้จำกัดการสมัคร โดยต้องเป็นลูกค้า Office 365 ที่ติดต่อกับไมโครซอฟท์ผ่านตัวแทนไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายใหม่หรือเก่า โดยต้องเป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยทดสอบ Office 365 E1 มาก่อนแล้ว กระบวนการขอทดสอบต้องติดต่อตัวแทนเพื่อขอโค้ดทดสอบ สำหรับลูกค้าในประเทศไทย ทางฝ่ายการตลาดของไมโครซอฟท์ประเทศไทยแจ้งมาว่าสามารถแจ้งความสนใจได้ในแบบฟอร์ม
Office 365 E1 เป็นรุ่นสำหรับองค์กรที่มีบริการ Microsoft Teams สำหรับการประชุมออนไลน์มาด้วย แต่ไม่มี Office รุ่นเดสก์ทอป โดยต้องใช้งานผ่านเว็บเท่านั้น โดยราคาสมัครรายปีอยู่ที่ 8 ดอลลาร์ต่อเดือน
ที่มา - Microsoft |
# Goodyear เผยคอนเซ็ปต์ล้อที่งอกดอกยางได้เองแค่ใส่แคปซูลของเหลวพิเศษเข้าไป
แม้งาน Geneva Motor Show จะถูกยกเลิกไปในนาทีสุดท้าย ทำให้บริษัทต่างๆ เปลี่ยนมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทางออนไลน์แทน หนึ่งในนั้นคือผู้ผลิตยาง Goodyear ที่เผยคอนเซ็ปต์ยางแบบใหม่ในชื่อ reCharge ที่ "งอก" ดอกยางออกมาได้เองเพียงแค่ใส่แคปซูลของเหลวพิเศษเข้าไป
เมื่อยางหมด เจ้าของรถมีหน้าที่ใส่แคปซูลที่ด้านในบรรจุของเหลวที่ทำจากวัสดุชีวภาพและเสริมความแข็งแรงด้วยเส้นใยที่เรียกว่า "เส้นไหมแมงมุม" หรือ "spider silk" ซึ่ง Goodyear ระบุว่าเป็นหนึ่งในวัสดุจากธรรมชาติที่แข็งแรงที่สุดในโลก เมื่อใส่แคปซูลเข้าไปแล้ว ล้อจะฉีดของเหลวออกมาตามรูพรุนบนล้อ และของเหลวจะแข็งกลายเป็นยางพร้อมใช้งาน ไม่ต้องไปเปลี่ยนยางที่ร้านอีกต่อไป
ภาพโดย Goodyear
นอกจากนี้หากต้องการเปลี่ยนเป็นยางชนิดอื่น เช่นยางสำหรับขับขี่บนหิมะก็เพียงแค่สลับนำแคปซูลชนิดสำหรับหิมะใส่เข้าไปแทน
หากนึกภาพไม่ออก สามารถดูวิดีโอได้ท้ายข่าว
ที่มา - Goodyear, Engadget |
# เปิดตัว realme Band สมาร์ทวอทช์สายออกกำลัง ราคา 650 บาท
realme เปิดตัวสมาร์ทวอทช์สำหรับสายออกกำลังกายรุ่นใหม่ ในชื่อ realme Band มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบสีความละเอียด 80x160 พิกเซล ขนาด 0.96 นิ้ว เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ real-time กันน้ำที่ IP68 และยังมีปุ่มแบบสัมผัส ไว้ใช้ในการเลื่อนหน้าจอเพื่อไม่ให้นิ้วบังจอขณะออกกำลังกาย มาพร้อมระบบตรวจจับการออกกำลังกายแบบอัตโนมัติ 9 ชนิด และหน้าปัด 5 แบบ
ที่แปลกกว่าเจ้าอื่น คือการที่ตัวเรือนมีพอร์ต USB-A ในตัว สามารถเสียบชาร์จได้เลย โดยไม่ต้องใช้อแดปเตอร์หรือแท่นชาร์จเหมือนรุ่นอื่น
realme Band วางจำหน่ายในอินเดีย แบบจำเพาะเวลาในวันนี้ ที่ราคา 1,499 รูปี (ประมาณ 650 บาท) และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในอินเดีย วันที่ 9 มีนาคม 2020
ที่มา - The Verge
รูปทั้งหมด จาก Twitter: realme |
# เปิดตัว realme 6 และ realme 6 Pro มือถือระดับล่างในอินเดีย ราคาเริ่มราว 5,500 บาท
realme เปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับล่างอีกสองรุ่นในประเทศอินเดีย หลังเปิดตัวรุ่นเรือธง Realme X50 Pro 5G ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน โดยจัดเสปกมาแบบเต็มๆ ในราคาประหยัด แต่แพงขึ้นมาจาก Realme 5 และ 5 Pro เมื่อปีก่อน
รุ่น Realme 6 มาพร้อมชิป MediaTek Helio G90T หน้าจอ LCD FHD+ ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล ความถี่ 90Hz แรม 4GB/6GB/8GB หน่วยความจำภายใน 64GB/128GB กล้องหน้า 16MP แบบเจาะรูบนหน้าจอ กล้องหลัง 4 กล้อง ประกอบด้วยกล้องหลัก 64MP เลนส์ Ultrawide 8MP เซนเซอร์วัด Depth 2MP และเลนส์มาโคร 2MP มีสองสี น้ำเงินกับขาว ในชื่อ Comet Blue และ Comet White
รูปจาก Twitter:realme
รุ่น 6 Pro จะมาพร้อมชิป Snapdragon 720G หน้าจอ LCD 6.6 นิ้ว FHD+ ความถี่ 90hz แรม 6GB/8GB หน่วยความจำภายใน 64GB/128GB กล้องหน้า 16MP และ Ultrawide 8MP กล้องหลัง 4 กล้อง ประกอบด้วยกล้องหลัก 64MP เลนส์เทเล 12MP กล้อง Ultrawide 8MP และกล้องมาโคร 2MP และมาในสองสีแบบเกรเดี้ยนท์ น้ำเงิน และส้ม ในชื่อ Lightning Blue และ Lightning Orange
รูปจาก Twitter:realme
ทั้งสองรุ่นใช้เซ็นเซอร์รอยนิ้วมือที่ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง มีรูหูฟัง 3.5 มม. ใช้แบตเตอรี่ขนาด 4,300mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W VOOC 4.0 จาก 0-100% ภายใน 60 นาทีในรุ่นธรรมดา และ 57 นาทีในรุ่น Pro ใส่ microSD card เพิ่มได้ถึง 256GB รองรับ 2 ซิม และรันบน Android 10 ที่ครอบทับด้วย realme UI
ราคาวางจำหน่าย
realme 6
รุ่น 4GB/64GB ราคา 12,999 รูปี (ประมาณ 5,585 บาท)
รุ่น 6GB/128GB ราคา 14,999 รูปี (ประมาณ 6,444 บาท)
รุ่น 8GB/128GB ราคา 15,999 รูปี (ประมาณ 6,874 บาท)
realme 6 Pro
รุ่น 6GB/64GB ราคา 16,999 รูปี (ประมาณ 7,300 บาท)
รุ่น 6GB/128GB ราคา 17,999 รูปี (ประมาณ 7,733 บาท)
รุ่น 8GB /128GB ราคา 18,999 ปี (ประมาณ 8,163 บาท)
ทั้งสองรุ่นจะเริ่มวางจำหน่ายบน Flipkart (ร้านขายมือถือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย) และเว็บไซต์ของ realme ในวันที่ 13 มีนาคมนี้
ที่มา - The Verge, GSMArena |
# ไมโครซอฟท์เปิดตัว Universal Print ระบบจัดการเครื่องพิมพ์ผ่านคลาวด์ ไม่ง้อ Print Server
เราเพิ่งเห็นกูเกิลประกาศปิดบริการ Cloud Print ไปเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ล่าสุดไมโครซอฟท์หันมาเปิดบริการลักษณะเดียวกันในชื่อว่า Universal Print
Universal Print เป็นบริการจัดการเครื่องพิมพ์ในองค์กรผ่านคลาวด์ Azure หรืออาจอธิบายได้ง่ายๆ ว่ามันคือการยก print server จาก Windows Server ขึ้นมาอยู่บนคลาวด์ ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องมี print server อีกต่อไป ไม่ต้องจัดการไดรเวอร์เครื่องพิมพ์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร
จุดเด่นของ Universal Print คือการเชื่อมต่อกับบริการไดเรคทอรี Azure Active Directory (Azure AD) ที่องค์กรนิยมใช้อยู่แล้ว จึงสะดวกเรื่องจัดการสิทธิการเข้าถึงของพนักงาน
ไมโครซอฟท์บอกว่ากำลังร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องพิมพ์เพื่อให้รองรับ Universal Print โดยตรง ตอนนี้มี Canon เข้าร่วมแล้วหนึ่งราย
ตอนนี้ Universal Print ยังมีสถานะเป็น private preview
ที่มา - Microsoft |
# iFixit แกะ Galaxy S20 Ultra ทำให้เห็นเซ็นเซอร์กล้องขนาดใหญ่, การทำงานของเลนส์ซูม
เว็บไซต์ iFixit แกะเครื่อง Galaxy S20 Ultra โดยให้คะแนนความซ่อมง่ายที่ 3/10 (ยิ่งเยอะยิ่งดี) จากปัจจัยว่าหน้าจอ แบตเตอรี่ ถูกติดกาวเอาไว้
แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่าคือการแกะ Galaxy S20 Ultra ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นโมดูลกล้องแบบชัดๆ ทั้งกล้องเซ็นเซอร์ 108MP ที่ขนาดใหญ่กว่าของเดิมมาก (iFixit เทียบขนาดกับเซ็นเซอร์ของ iPhone 11 Pro พบว่าใหญ่กว่ากันประมาณเท่าตัว) และกล้องซูม 10x ที่วางกระจกเลนส์แนวนอน (periscope) แถมเลนส์สามารถสไลด์ไปมาตามระดับการซูมได้ด้วย (ดูคลิปประกอบ นาทีประมาณ 2:00)
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ iFixit พบว่าชนิดของแรมที่ Galaxy S20 Ultra ใช้คือ LPDDR5 ขนาด 12GB ที่ซัมซุงเพิ่งเริ่มผลิตเมื่อกลางปีที่แล้ว และ S20 Ultra ถือเป็นมือถือรุ่นแรกๆ ที่ใช้แรมชนิดนี้ด้วย
ที่มา - iFixit via XDA |
# งาน E3 ยังไม่เลื่อน แม้ LA ประกาศสภาวะฉุกเฉิน เพราะ COVID-19
งาน Electronic Entertainment Expo หรืองาน E3 งานนิทรรศการเกมที่จะถูกจัดขึ้นในนคร Los Angeles ช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี แต่ในปีนี้นคร Los Angeles ได้มีการประกาศสภาวะฉุกเฉิน เนื่องมาจากวิกฤต โรคระบาด COVID-19 แต่ทาง Electronic Software Association หรือ ESA ที่เป็นผู้จัด E3 ออกมาประกาศยืนยันว่ายังคงจัดงานในช่วงวันที่ 9-11 มิถุนายน 2020 เช่นเดิม
ESA กล่าวว่า ทางหน่วยงานให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงาน และกำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์ COVID-19 อย่างใกล้ชิดผ่านทางศูนย์ควบคุมโรคระบาดของสหรัฐ (CDC) และจะออกมาตรการที่จำเป็นเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงในงาน
ภาพจาก Twitter: E3
ESA ยังขยายความเพิ่มเติมว่าการประกาศสภาวะฉุกเฉิน ไม่ได้สะท้อนว่านคร Los Angeles กำลังประสบภัยพิบัติจากไวรัสโดยตรง แต่เป็นการประกาศเพื่อให้ทางเมืองสามารถของบเร่งด่วนฉุกเฉินจากส่วนกลางได้หากจำเป็น
งาน E3 กำลังตกที่นั่งลำบาก หลังจากที่ Sony ประกาศไม่เข้าร่วมงานเป็นปีที่ 2 วิกฤติข้อมูลผู้เข้าร่วมงานหลุดในปีที่แล้ว และความนิยมของงานที่ลดลงทุกปี จนน่าสงสัยว่าหาก ESA ยกเลิกงานในปีนี้ งานจะสามารถกลับมาดึงดูดผู้เข้าชมในปีหน้าได้หรือไม่
ส่วนงาน Game Developer Conference (GDC) 2020 อีกหนึ่งงานเกมสำคัญ ที่ในตอนแรกอาจเลื่อนจากเดือนมีนาคมไปจัดช่วงกลางปี ก็ได้ประกาศยกเลิกไปก่อนหน้านี้แล้ว
ที่มา - VentureBeat
ภาพจาก Twitter: E3 |
# อีกหนึ่งความล้มเหลว SoftBank? OYO สตาร์ทอัพจองโรงแรมปลดพนักงานไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
OYO สตาร์ทอัพจองโรงแรมและที่พักของอินเดีย อาจกลายเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวในการลงทุนของ SoftBank หลังบริษัทลงเงินกับ OYO ไปกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ แต่ระยะหลังถูกตั้งคำถามเรื่องโมเดลธุรกิจที่อาจไม่ทำกำไร ก่อนที่ล่าสุดบริษัทเตรียมจะปลดพนักงานทั่วโลกราว 5,000 - 25,000 คน
Bloomberg อ้างอิงคนใน OYO ระบุว่าพนักงานที่ปลดส่วนใหญ่จะอยู่ในจีน, สหรัฐและอินเดีย โฆษก OYO ระบุว่าการปลดพนักงานเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างองค์กรที่ประกาศเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยมีบางส่วนจะปลดเพียงชั่วคราว และเมื่อการปรับโครงสร้างเสร็จสิ้นก็จะกลับมาจ้างงานใหม่อีกครั้ง
OYO เป็นสตาร์ทอัพจากอินเดีย ให้บริการจองห้องพัก-โรงแรม มีจุดเด่นคือเน้นไปที่โรงแรมราคาประหยัด และเป็นเจ้าของห้องพักเองเพื่อควบคุมประสบการณ์ในการใช้บริการ ช่วงที่ผ่านมาอาศัยการเผาเงินเพื่อขยายการบริการไปในหลายประเทศ (เห็นในไทยก็มาแล้วแบบเงียบ ๆ) ก่อนที่จะมีรายงานว่าพาร์ทเนอร์โรงแรมเริ่มแสดงความไม่พอใจ เพราะ OYO ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเรื่องเงินบ้างหรือบีบพนักงานให้ทำงานให้ได้ตามเป้าที่ไม่สามารถทำได้จริง ไม่รวมการเริ่มถูกตั้งคำถามถึงการทำกำไร หลังเกิดกรณี WeWork เมื่อปีที่แล้ว
ที่มา - Bloomberg, TechCrunch |
# เฟซบุ๊กปล่อยแอป Messenger บน macOS แล้วในบางประเทศ
เฟซบุ๊กเริ่มปล่อยแอป Facebook Messenger บน macOS ผ่าน Mac App Store แล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยทีเดียวพร้อมกันทั่วโลก โดยประเทศแรก ๆ ที่ได้ก่อนคือฝรั่งเศส, โปแลนด์และเม็กซิโก
MacGeneration เว็บไซต์ของฝรั่งเศสที่รายงานข่าวนี้ระบุด้วยว่าตัวแอปถูกพัฒนาโดยเฟรมเวิร์ค Electron ไม่ได้พัฒนาบน Project Catalyst ทำให้ตัวแอปรองรับตั้งแต่ macOS 10.10 ขึ้นไป
ที่มา - 9to5Mac |
# Google ดึงตัว Shannon Studstill หัวหน้าทีมสตูดิโอสร้าง God of War มาบริหารสตูดิโอใหม่ของ Stadia
Google ประกาศดึงตัว Shannon Studstill หัวหน้าทีมพัฒนาเกมจากสตูดิโอ Santa Monica ของ Sony และเป็นอดีตโปรดิวเซอร์จากซีรีส์เกม God of War มาร่วมบริหารสตูดิโอเปิดใหม่ใน Playa Vista ย่านลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งอยู่ภายใต้ Stadia Games and Entertainment
Jade Raymond รองประธาน Stadia Games and Entertainment กล่าวว่าสตูดิโอใหม่ที่นำโดย Studstill จะมุ่งเป้าไปที่การสร้างเกมเอ็กคลูซีฟเพื่อมาลงแพลตฟอร์ม Stadia โดยเฉพาะ โดยจะแทรกไปด้วยลูกเล่น วิธีการใหม่ๆ ในการให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกม และมีปฏิสัมพันธ์กันในระหว่างเล่นเกมบนคลาวด์เกมมิ่ง ซึ่งตอนนี้ทางสตูดิโอยังไม่พร้อมจะเปิดเผยแผนในการสร้างเกมอย่างเป็นทางการ แต่กำลังรับฟังสิ่งที่เหล่าเกมเมอร์ต้องการ ก่อนจะเสริมลูกเล่นแบบ Stadia เข้าไป เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
Shannon Studstill (คนกลาง) ภาพจาก: @StudstillS
Raymond ยังกล่าวอีกว่าเธอชื่นชมผลงานของ Shannon เช่นเกมซีรีส์ God of War ที่สร้างจากสตูดิโอ Santa Monica ของ Sony มาอย่างยาวนานและกวาดรางวัลไปนับไม่ถ้วน พร้อมทั้งเชื่อมั่นในวิศัยทัศน์การเป็นผู้บริหารสตูดิโอของเธอ และยินดีที่ได้ต้อนรับเธอเข้าสู่ครอบครัว Stadia
ตอนนี้สตูดิโอใหม่ของ Stadia ยังเปิดรับคนไม่มากนัก โดยมีตำแหน่งจ้างงานเปิดใหม่เพียง 10 ตำแหน่งเท่านั้น ทาง Google กล่าวว่าจะมีการขยายสตูดิโอ และรับคนเพิ่มมากขึ้นต่อไป
สตูดิโอใหม่ที่ Playa Vista ของ Stadia ภาพจาก: Google
สตูดิโอที่ Playa Vista นับเป็นสตูดิโอที่ 3 ภายใต้ Stadia Games and Entertainment หลังจากตั้งสตูดิโอแห่งแรกที่ Montreal และ Typhoon Studio ที่ซื้อมา
ที่มา - Google Blog, VentureBeat |
# ไมโครซอฟท์ปล่อย PowerShell 7 รองรับ loop แบบขนาน, if-else บรรทัดเดียว, ร้อยคำสั่งต่อเนื่อง
ไมโครซอฟท์ปล่อย PowerShell 7.0 ที่พอร์ตมาใช้ .NET Core 3.1 โดยเพิ่มฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง โดยเฉพาะตัวภาษาเอง เช่น
ForEach-Object สามารถรันแบบขนานกันต่อเนื่องได้แล้ว
if-else คืนค่าในบรรทัดเดียว (ternary statement) เช่น $message = (Test-Path $path) ? "Path exists" : "Path not found"
pipeline chain สำหรับร้อยคำสั่งที่ต้องทำต่อเนื่องกัน โดยขึ้นกับผลของคำสั่งก่อนหน้า ใช้เครื่องหมาย && และ || เหมือน bash
เวอร์ชั่นนี้ซัพพอร์ตตั้งแต่ Windows 7, Windows Server 2008, macOS 10.13, RHEL/CentOS 7, Fedora 29, Debian 9, Ubuntu 16.04, openSUSE 15, Alpine Linux 3.8 และเวอร์ชั่นหลังจากนั้น บน Debian, Ubuntu, และ Alpine Linux ยังรองรับซีพียู ARM ด้วย
ที่มา - Microsoft Developer Blog |
# ผู้ซื้อ Model 3 จากโรงงาน Gigafactory 3 โวย Tesla เปลี่ยนชิป FSD เป็นรุ่นเก่าโดยไม่แจ้ง
Tesla ได้เริ่มส่งมอบรถ Model 3 ที่ผลิตจากโรงงาน Gigafactory ในจีนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ล่าสุดผู้ที่รับรถชุดแรกหลายคนออกมาโวยวาย หลังค้นพบว่า Tesla แอบเปลี่ยนชิป Full-Self Driving หรือ Autopilot HW เป็นรุ่น 2.5 จากที่ประกาศไว้ว่าจะมาพร้อม HW 3.0
ด้าน Tesla แถลงว่าที่ต้องปรับฮาร์ดแวร์เป็นรุ่นเก่าเพราะสายการผลิตกระทบจากปัญหาไวรัสโคโรนาระบาด และต้องการจะส่งมอบรถให้ได้ไวที่สุด ด้าน Elon Musk ออกมาทวีตหลังรู้เรื่องผ่านทวิตเตอร์ว่า คนที่บ่นคงไม่ได้สั่งออพชัน Full-Self Driving แน่ๆ เพราะคงไม่รู้ว่า Tesla จะอัพเกรดฮาร์ดแวร์ให้ฟรีสำหรับผู้ที่สั่งออพชันดังกล่าว
Nikkei อ้างเจ้าของ Model 3 รายหนึ่งระบุว่า Musk คงไม่รู้ว่ามันผิดกฎหมายจีน ที่บริษัทระบุในเอกสารด้านสิ่งแวดล้อมว่าจะใช้ HW 3.0 แต่ของจริงกลับเป็น HW 2.5 ขณะที่อีกหลายคนก็โวยวายว่าผิดหวังกับ Tesla ที่เปลี่ยนชิปโดยไม่บอกกล่าว หลาย ๆ คนเริ่มตั้งทนายเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยแล้ว ขณะที่บางรายพยายามหาทางเรียกร้องกับ Tesla โดยตรงและชดเชยด้วยการให้ออพชัน Autopilot ฟรี ๆ (แหม่ ทำไปได้)
ที่มา - Nikkei Asian Review |
# Facebook ยืนยันมีพนักงานที่ซีแอตเทิลเป็นโรค COVID-19 ปิดออฟฟิศชั่วคราว
Facebook ยืนยันมีพนักงานที่สำนักงาน Stadium East ที่ซีแอตเทิลได้รับการวินิจฉัยว่าติดไวรัส SARS-CoV-2 หรือโรค COVID-19
พนักงานคนดังกล่าวเข้าทำงานที่สำนักงานล่าสุดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และทางบริษัทได้แจ้งเตือนพนักงานที่สำนักงานเดียวกันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (4 มีนาคม) และบอกด้วยว่าจะปิดสำนักงาน Stadium East ที่ซีแอตเทิลชั่วคราวจนถึงวันที่ 9 มีนาคม พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม
ที่มา - Financial Times |
# ผู้ใช้งานสั่งให้ Google Assistant อ่านข่าวจากเว็บให้ฟังได้แล้ว แปลสดได้ รองรับภาษาไทยด้วย
Google Assistant เพิ่มความสามารถใหม่ ให้ผู้ใช้งานสั่งให้ Google Assistant อ่านข้อมูลข่าวสารจากหน้าเว็บไซต์บนบราวเซอร์ Chrome, Google News ให้ฟังได้แล้วด้วยการสั่ง “Hey Google, read this page” หรือ “Hey Google, read it” ใช้พลังจากเทคโนโลยี Text-to-Speech
ในระหว่างที่ Google Assistant อ่านข้อความให้ฟัง ระบบจะ scroll หน้าเว็บและไฮไลต์ข้อความที่อ่านอยู่ให้อัตโนมัติ ผู้ใช้ยังสามารถเลือกความเร็ว และโทนเสียงการอ่านได้ให้ฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ยังเลือกให้อ่านในภาษาของตัวเองได้ด้วย โดยตอนนี้รองรับ 42 ภาษา จากการลองใช้งานอ่านข่าวจากเว็บไซต์ภาษาอังกฤษให้ฟัง พบว่ารองรับการอ่านเป็นภาษาไทยด้วย
ที่มา - Google Blog |
# บทเรียนจากโรคระบาด Google เตรียมโยกการสัมภาษณ์งานทั้งหมดมาทำบน Hangouts
โรค COVID-19 ระบาดทำให้หลายองค์กรต้องคิดใหม่ ทำใหม่เรื่องการให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน โดยที่ยังสามารถจัดการการประชุมสำคัญได้โดยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ การสัมภาษณ์งานก็เช่นกัน
Google ส่งอีเมลถึงพนักงานว่าจะโยกการสัมภาษณ์งานทั้งหมดทุกสำนักงานทั่วโลก มาทำบน Google Hangouts เพื่อสุขภาวะที่ดีของพนักงานและคนที่มาสัมภาษณ์งาน
ปัจจุบัน Hangouts ถูกผนวกเป็นบริการของ Google Apps for Business สามารถเชื่อมต่อกับระบบวิดีโอแชตตัวอื่นๆ เช่น Blue Jeans และ InterCall ได้
Google ไม่ใช่เจ้าแรกที่เริ่มพิจารณ์สัมภาษณ์งานผ่านออนไลน์ Facebook, Amazon ก็กำลังพิจารณ์เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ที่มา - The Verge |
# ไมโครซอฟท์ให้พนักงานสำนักงานใหญ่ Redmond ทำงานที่บ้านเกือบทั้งเดือนนี้
ไมโครซอฟท์ประกาศให้พนักงานในพื้นที่สำนักงานใหญ่ Redmond ทำงานจากที่บ้านไปจนถึงวันที่ 25 มีนาคม (เกือบทั้งเดือนนี้) หลังจากพื้นที่เขต King County ที่ไมโครซอฟท์ตั้งอยู่ พบผู้เป็นโรค COVID-19 จำนวน 31 คน และมีผู้เสียชีวิต 1 คนแล้ว
ไมโครซอฟท์อ้างอิงคำแนะนำของสำนักงานเขต King County ขอให้บริษัทต่างๆ อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน และขอให้คนที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ คนที่ร่างกายอ่อนแอ) หยุดอยู่บ้าน
ไมโครซอฟท์ยังแนะนำให้พนักงานในพื้นที่ Bay Area ใกล้เมืองซานฟรานซิสโก ทำงานจากที่บ้าน (หากรูปแบบงานสามารถทำจากที่บ้านได้) จนถึงวันที่ 25 มีนาคมเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ Amazon ซึ่งสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Seattle (ใกล้ๆ กับ Redmond) ก็ยืนยันข่าวพนักงานติดโรค COVID-19 แล้วหนึ่งราย
ที่มา - Microsoft, ภาพจาก Microsoft
วิดีโอแนะนำสำนักงานใหญ่ของไมโครซอฟท์ที่ Redmond ที่กำลังก่อสร้างใหม่บางส่วน |
# คุยกับ Ascend Group ธุรกิจเทคสัญชาติไทย ผู้อยู่เบื้องหลัง TrueMoney Wallet WeLoveShopping และ WeMall
คนไทยคุ้นเคยกับการใช้งานแอพพลิเคชั่นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ TrueMoney Wallet กันอยู่แล้ว เพราะใช้ซื้อของใน 7-Eleven และร้านค้าชั้นนำมากมาย โดยจะได้รับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงใช้จ่ายซื้อเกม จ่ายบิล เติมเงินมือถือ ฯลฯ
ในบทความนี้ Blognone Workplace จะพาไปพูดคุยกับ Ascend Group บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังแอพ TrueMoney Wallet และ Weloveshopping WeMall ที่คนไทยคุ้นเคย รวมถึงยุทธศาสตร์ของบริษัท วัฒนธรรมองค์กร และตำแหน่งงานใหม่อันเป็นโอกาสของคนทำงานไอทีในไทยให้เข้ามาสมัครกัน
รู้จัก Ascend Group
Ascend Group เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจาก True Corporation ปัจจุบันอยู่ภายใต้ C.P. Group มีธุรกิจหลัก 3 ส่วน คือ
Ascend Money ทำ E-payment สร้างผลิตภัณฑ์และให้บริการการชำระเงินออนไลน์ ซึ่งก็คือ TrueMoney Wallet
Ascend Commerce เป็นส่วนงานที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมในการทำธุรกิจหลายประเภท เช่น โซลูชันสำหรับร้านค้าออนไลน์ได้แก่ WeMall และ เว็บไซต์ WeLoveShopping , โซลูชันการตลาดบนโลกออนไลน์ คือ Egg Digitial, Aden Fulfillment พัฒนานวัตกรรมสำหรับระบบงานคลังและระบบ Logistic และ Pantavanij, แพลตฟอร์มการจัดซื้ออิเล็กทรอนิกส์ Goodchoiz ผู้ค้าอีคอมเมิร์ซในรูปแบบองค์กรต่อองค์กร เน้นสินค้าสำหรับออฟฟิศในทุกกลุ่มธุรกิจ, บริการ Ascend Travel เป็น แพลตฟอร์มสำหรับการท่องเที่ยวและสันทนาการ
Hosting Solution ให้บริการรับฝากโฮสต์และโซลูชันบนระบบคลาวด์ คือ True Internet Data Center
Ascend Money
สถาพร คิ้วสุวรรณสุข Head of Engineering ประเทศไทยของ Ascend Money ให้รายละเอียดว่า ผลิตภัณฑ์หลักของ Ascend Money คือ TrueMoney Wallet
แต่ที่นี่ยังมีส่วนงานอื่นนอกเหนือจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) แยกย่อยออกมาคือ Ascend Nano ธุรกิจสินเชื่อ เพิ่งเริ่มให้บริการไม่นาน เป็นบริการให้คนมาผ่อนซื้อโทรศัพท์ได้ที่ศูนย์ True โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคาร หรือไม่มีบัตรเครดิตก็ได้ นอกจากนี้ยังมี Ascend Wealth เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งสองอย่างหลังเพิ่งเริ่มต้นไม่นาน แต่ผลิตภัณฑ์หลักของเราคือ TrueMoney Wallet นั่นเอง
ทีมทำงานเฉพาะด้านเทคโนโลยี มีวิศวกรอยู่ราวๆ 200 คนซึ่งโปรแกรมเมอร์ 150 คน QA 50 คน และมีทีมดูแลระบบอื่นๆ อีกราว 50 คน
ความท้าทายที่ทีม Ascend Money เจอคือ ต้องรองรับจำนวนผู้ใช้งานจำนวนมาก TrueMoney Wallet มีผู้ใช้งานกว่า 12 ล้านคนต่อปี ซึ่ง Traffic ที่เกิดขึ้นจึงถือว่าเยอะมาก การทำ scale ระบบจึงเป็นเรื่องท้าทายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเกิดปัญหาขึ้นจะทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้ใช้งาน
ความท้าทายต่อมาคือ ความเร็วในการออกโปรดักต์และฟีเจอร์ใหม่ๆ เพราะวงการฟินเทคมีการแข่งขันสูง ใครไปข้างหน้าได้เร็วกว่าได้เปรียบ ดังนั้น ต้องทำฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมาให้เร็วที่สุด และคงรักษาประสิทธิภาพ TrueMoney Wallet มีอยู่แล้ว เบื้องหลังหน้าตาแอพ มี Back-End อีกกว่า 200-300 ฟังก์ชั่น อยู่ในนั้น ดังนั้น เราจึงต้องมีทีมงานทีใหญ่ เพื่อดูแลฟีเจอร์ที่มีอยู่ และสร้างฟีเจอร์ใหม่
ขณะนี้เรามีความต้องการบุคลากรไอทีเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Native Mobile App ทั้ง iOS และ Android และ Back-end Java
คุณสถาพรกล่าวเพิ่มว่า เทคโนโลยีที่ใช้กันตอนนี้คือใช้ระบบ Openshift เพื่อให้การทำงานมี automation เกิดขึ้น เช่น เขียนโค้ดไว้ใน Pipeline คือสามารถทำเทสต์ได้ก่อนที่จะขึ้นไปอยู่ในขั้นตอน production นอกจากนี้ยังใช้ AWS Cloud ให้บริการส่วนหนึ่งขึ้นไปรันอยู่บนนั้น กล่าวคือ เรามีเทคโนโลยีที่หลากหลาย มีการทำ CICD คือสร้าง และทำ automate test ในวงจรการทำงานเดียวกัน
Ascend Money ต้องการทีมงานจำนวนมาก เปิดรับคนจบใหม่ด้วย มีคนที่พร้อมจะสอนงานอยู่แล้ว เป้าหมายหลักคือ รับคนทำงานเข้ามาเพื่อให้เราทำงานได้เร็วขึ้น
Ascend Commerce
เอกภพ จิตพนอรักษ์ Head of Development ของ Ascend Commerce ส่วนงานสำคัญของ Ascend Group ระบุว่า ผลิตภัณฑ์หลักที่ Ascend Commerce ทำแล้วคนรู้จักคือ WeMall และ WeLoveShopping แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะ Ascend Commerce ยังทำ API ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้งหมด เช่น ระบบจอง iPhone ล่วงหน้าของ Truemove H เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่อยู่ร่วมบ้านกันกับ Ascend Commerce อีก เช่น EGG Digital ผู้พัฒนานวัตกรรมสำหรับการตลาดให้กับทั้งภายในและภายนอกเครือฯ Ascend Travel ระบบจองที่พักแต่เน้นลูกค้าบริษัทที่จองที่พักเพื่อการสัมมนาภายในองค์กร นอกจากนี้ยังมี Goodchoiz เป็นแพลตฟอร์มจัดซื้ออุปกรณ์สำนักงานให้บริษัทต่างๆ Pantavanij แพลตฟอร์มการจัดซื้ออิเล็กทรอนิกส์ และ ADEN Fulfillment ส่วนงานพัฒนานวัตกรรมสำหรับระบบงานคลังและระบบ Logistic
ปัจจุบัน Ascend Commerce มีทีมงานทั้งหมดกว่า 700 คน แต่ถึงแม้จะมีขนาดคนที่มากกว่า Startup ทั่วไป เราก็ยังมีบรรยากาศการทำงานแบบ Startup มีความยืดหยุ่นสูง เปิดกว้างทางความคิด เพื่อสิ่งที่บริษัทต้องการก็คืองานที่เสร็จสมบูรณ์ มีคุณภาพ และพนักงานทุกคนภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตนทำ
กระบวนการทำงานหลักๆ ที่ทีมงานใช้คือ Agile และ Scrum ข้อดีคือมันเปิดโอกาสให้ทีมได้ประเมินงานเอง โดยมีเดดไลน์ที่แน่นอนส่งไปให้ แล้วทีมงานเอาไปจัดการเรื่องเวลาการทำงานเอง
ความท้าทายคือหาคนที่ใช่
คุณเอกภพพูดถึงความท้าทายว่า การหาคนที่ใช่เป็นสิ่งสำคัญ ต้องการนักพัฒนาที่มี mindset กล้าพูดกล้าทำ ไม่อยากเห็นนักพัฒนาตีกรอบให้ตัวเองว่าเป็นแค่นักพัฒนา อยากให้คิดมากไปกว่านั้นว่าเขาสามารถส่งต่องานแบบไหนให้ลูกค้าได้บ้าง
“เราต้องการคนที่กล้าพูดกล้าทำ เราไม่อยากเห็นนักพัฒนาตีกรอบให้ตัวเองว่าเขาเป็นแค่นักพัฒนา แต่ต้องคิดว่าเขาจะสามารถส่งงานอะไรให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้บ้าง และต้องแสดงความเห็นเรื่องงานได้”
ทักษะคนทำงานที่ Ascend Commerce ต้องการคือ Developers ที่สามารถใช้ Full Stack ได้ ทำได้ทั้ง Front-End และ Back-End
นอกจากนี้ยังต้องการคนทำหน้าที่ QA Engineer ที่สามารถทำ Test Automation ได้ รวมถึงนักพัฒนาทางด้าน IT อื่นๆไม่ว่าจะเป็น Data Engineer Technology Operations และ Security Opetations
คุณเอกภพกล่าวเพิ่มเติมว่า ความท้าทายของ Ascend Commerce คือทำอย่างไรที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่แก้ปัญหาให้กับผู้คน และเป็นนวัตกรรมที่สร้างคุณค่าให้กับทั้งบริษัท คนพัฒนา และผู้ใช้งานไปพร้อมๆ กัน จึงอยากเชิญชวนทุกคนที่สนใจในสิ่งเหล่านี้ ให้ลองมาสมัครงานกับเรา ไม่แน่ว่าที่นี่อาจเป็นที่ๆ ใช่สำหรับคุณ
ความรู้สึกทีมงาน Ascend
ปุณย์เอก ชยุติ Development Manager TrueMoney ทำงานในบริษัทนี้มานานกว่า 4 ปีแล้ว โดยเริ่มทำงานที่ Ascend Commerce ก่อนจะย้ายมา TrueMoney
ตลอดเวลาที่ทำงานมีโจทย์ยากมาให้ท้าทายความสามารถตลอดเวลา สนุกกับงาน
เปิดโอกาสให้ลองเทคโนโลยีใหม่ stack ใหม่ๆ ตลอดเวลา และเราสามารถแนะนำเทคโนโลยีใหม่ได้
วัฒนธรรมการทำงานที่นี่คือเน้นเรื่อง KAIZEN (Continuous Improvement) คือการทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสอดคล้องกับการได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะเราต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
บรรยากาศการทำงานคล้ายๆ กับการทำงานกับพี่น้อง มีความเฮฮา ครึกครื้น สถานที่การทำงานมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย มีพื้นที่เยอะ
วัฒนธรรมองค์กร Ascend Group
ในบทความ Workplace นี้ Blognone ได้พูดคุยกับ HR ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรับสมัครงานเข้ามาในองค์กรด้วย คือ คุณชนาภรณ์ ฉันทประทีป Chief Human Resources Officer ช่วยให้เห็นภาพรวมวัฒนธรรมองค์กรของ Ascend Group ชัดขึ้น
คุณชนาภรณ์ ระบุว่า Ascend Group ถือเป็นองค์กรคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ในมุมเทคโนโลยีนั้น Ascend Group ถือเป็นรถไฟที่วิ่งเร็วมาก ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับใครก็ตามที่ชอบทำงานในลักษณะนี้
Ascend Group มีวัฒนธรรมการทำงานผสมกันระหว่างสองขั้ว คือขั้ว บริษัทใหญ่ กับ สตาร์ทอัพ การทำงานมีความยืดหยุ่นสูง ไม่มีรูปแบบการทำงานตายตัว เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ปัญหาลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ดูคนที่ผลงานเป็นหลัก ไม่เคร่งครัดเรื่องชั่วโมงการทำงาน ดังนั้นบริษัทจะมองความยืดหยุ่นเป็นเรื่องสำคัญ
Ascend Group ยังเพิ่มโอกาสการเติบโตให้คนในองค์กรด้วยการริเริ่มทำโครงการหนึ่ง คือเมื่อเปิดตำแหน่งใหม่ คนในองค์กรต้องได้โอกาสก่อน โดยทีม HR เป็นตัวกลางในการประสาน ให้สามารถถ่ายโอนงานได้ภายใน 1-2 เดือนโดยไม่กระทบทั้งสองฝ่าย ถือเป็นนโยบายที่ส่งผลดีทั้งสองฝ่ายคือคนก็ได้เติบโตไปในทางที่ต้องการ และบริษัทก็ไม่ได้เสียคนไปไหน แต่ก่อนย้าย ก็ต้องแน่ใจว่าคนๆ นั้นอยู่ในทีมเก่ามานานพอและมี performance ที่ดีพอด้วย เพื่อให้ยุติธรรมกับทุกฝ่าย
คุณชนาภรณ์กล่าวเสริมว่า ถ้าในองค์กรไม่เปิดโอกาสให้เขาโต เขาก็จะออกไปโตข้างนอก ถ้าบริษัทให้โอกาสไม่เร็วพอ เราก็อาจสูญเสียเขาไป
อย่างไรก็ตาม การรับคนใหม่จากภายนอกยังสำคัญมากเช่นกัน เพราะบริษัทมีกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่อยากขยายอีก เราจึงต้องการคนพัฒนาแพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเปิดโอกาสให้คนที่สนใจเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Ascend Group
คุณชนาภรณ์ ระบุด้วยว่า Ascend Group ยังมีโปรแกรมพิเศษคือ เทรนหัวหน้างาน เพราะหัวหน้างานเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อ turnover rate ดังนั้น บริษัทจึงจัดให้มีเทรนนิ่งแยกออกมาจากการเทรน hard skill คือ เทรนการเป็นหัวหน้าคนที่ดี หรือเทรนคนที่มีลูกทีมในมือ ทำให้หัวหน้างานเป็นคนมีคุณภาพ ในการบริหารคนและบริหารงาน ถ้าเราพัฒนาตรงนี้ได้ จะลด turnover rate ลง อีกทั้งยังสร้างหัวหน้างานที่ใครๆก็อยากทำงานด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจอยากร่วมงานกับ Ascend Group สามารถสมัครงานเข้ามาได้ที่ Blognone Jobs |
# Ant Financial เข้าถือหุ้นส่วนหนึ่งใน Klarna สตาร์ทอัพ Fintech รายใหญ่ของยุโรป
Klarna สตาร์ทอัพสาย Fintech ที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในยุโรปจากสวีเดน ประกาศว่า Ant Financial กลุ่มธุรกิจการเงินในเครือ Alibaba เจ้าของบริการ Alipay จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัท ซึ่งทำให้ความร่วมมือระหว่างสองบริษัทนี้มีมากขึ้น
มูลค่าของดีลไม่มีการเปิดเผย แต่ TechCrunch ระบุว่าเป็นหุ้นใหม่เพิ่มทุน จำนวนน้อยกว่า 1% ขณะที่มูลค่ากิจการของ Klarna ล่าสุดอยู่ที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์
Sebastian Siemiątkowski ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Klarna กล่าวว่าความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่สำหรับการช้อปปิ้ง ให้การประสบการณ์ที่ดีขึ้นทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
Klarna เป็นบริการทางการเงินออนไลน์ เน้นตลาดยุโรป มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 85 ล้านคน มีเครือข่ายร้านค้าที่รองรับกว่า 2 แสนแห่ง รวมทั้ง AliExpress และ H&M ซึ่งต่างเป็นผู้ลงทุนใน Klarna เช่นกัน มีจุดเด่นตามสโลแกนว่า 'Buy now, pay later' ให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้ใช้งาน เพราะร้านค้าจะได้ข้อมูลเพียงผู้ซื้อคือ Klarna แต่ไม่ได้ข้อมูลอื่นไปด้วย
ที่มา: TechCrunch, Tech.eu และ Klarna |
# App Store ปรับเงื่อนไขของแอปที่ส่ง Push Notification โฆษณา ให้ส่งได้ แต่ผู้ใช้ต้องยินยอมก่อน
แอปเปิลปรับแนวทางการตรวจสอบแอปที่ส่งเข้ามายัง App Store ในหลายประเด็น ซึ่งบางหัวข้อได้ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีผลสำหรับ iOS 13
โดยหัวข้อที่น่าสนใจมีหลายประเด็น อาทิ การแจ้งเตือนแบบพุช (Push notification) จากเดิมห้ามใช้ทำการตลาดหรือโฆษณา เปลี่ยนเป็นทำได้ แต่ผู้ใช้งานต้องยินยอมก่อน และตัวแอปต้องอธิบายการปิดส่วนนี้ (opt-out) ให้ชัดเจนในแอป
นอกจากนี้แอปเปิลยังระบุว่าแอปประเภทดูดวงและแอปหาคู่ จะถูกมองว่าเป็นแอปสแปมทันที เว้นแต่ผู้พัฒนาอธิบายรายละเอียด คุณภาพ และประสบการณ์ใช้งานของแอปให้ชัดเจน
สำหรับประเด็นอื่น แอปเปิลเคยประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยแอปที่ส่งเข้ามาหลัง 30 เมษายน 2020 เป็นต้นไป ต้องพัฒนาบน iOS 13 SDK, รองรับ Sign In with Apple และรองรับอุปกรณ์ iOS รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 11 Pro Max หรือ iPad 7th Gen
ที่มา: 9to5Mac |
# Apple แจ้งว่า iPhone สำหรับเปลี่ยนให้ลูกค้ากรณีนำมาซ่อม ของหมดชั่วคราว คาดจากปัญหา COVID-19
สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างเอกสารภายในที่แจ้งกับพนักงาน Apple Store ว่า iPhone เครื่องสำหรับเปลี่ยนใหม่ให้ลูกค้า กรณีนำเครื่องมารับการซ่อม ตอนนี้สินค้าหมดชั่วคราว โดยให้แจ้งลูกค้าว่าจะจัดส่งเครื่องใหม่ตามไปภายหลัง และอาจเสนอยืมเครื่องระหว่างรอ
แอปเปิลระบุว่าปัญหาดังกล่าวจะมีผลประมาณ 2-4 สัปดาห์จากนี้
ในอีเมลไม่ได้ระบุสาเหตุที่ iPhone เครื่องสำหรับเปลี่ยนหมดชั่วคราว แต่ก็คาดเดาได้จากข่าวก่อนหน้านี้ว่าเป็นผลกระทบจาก COVID-19 ที่ทำให้กำลังการผลิต iPhone ลดลง ตลอดจนโรงงานชิ้นส่วนซัพพลายเออร์หลายรายก็ได้รับผลกระทบ
ที่มา: MacRumors |
# Twitter ทดสอบฟีเจอร์ใหม่ "Fleet" โพสต์จะถูกลบใน 24 ชั่วโมง แบบเดียวกับ Stories
Twitter ประกาศทดสอบฟีเจอร์ใหม่เฉพาะผู้ใช้ในบราซิลก่อน โดยเรียกฟีเจอร์นี้ว่า Fleet เป็นการโพสต์เนื้อหาที่แยกออกจากทวีตทั่วไป แสดงผลในแถบด้านบนสุดของหน้าแรก และเนื้อหาจะหายไปเมื่อครบ 24 ชั่วโมง
พูดง่าย ๆ ก็คือ Stories เวอร์ชัน Twitter นั่นเอง
Mo Aladham ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Twitter อธิบายที่มาของ Fleet ว่า เป็นการสร้างบทสนทนากับผู้คนในวิธีการใหม่ ที่ไม่อยู่ในรูปแบบของการทวีต ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกควบคุมได้มากขึ้น
ส่วนการใช้งานนั้นก็คล้ายกับ Stories สามารถใส่ได้ทั้งข้อความ (จำกัด 280 ตัวอักษร) รูปภาพ วิดีโอ และ GIF แถบแสดงเนื้อหาจะแสดงคนที่เราติดตามอยู่ขึ้นมาก่อนเสมอ
ส่วนอนาคต Twitter จะขยายฟีเจอร์ Fleet มายังผู้ใช้ทั่วโลกหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป
ที่มา: Twitter และ The Verge |
# สหราชอาณาจักรปรับ Cathay Pacific เป็นเงิน 5 แสนปอนด์ จากเหตุข้อมูลรั่วเมื่อปี 2018
คณะกรรมการด้านข้อมูลของสหราชอาณาจักรหรือ ICO สั่งปรับสายการบินฮ่องกง Cathay Pacific เป็นเงิน 5 แสนปอนด์ จากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วตั้งแต่ปี 2018
สำหรับการรั่วไหลของข้อมูลครั้งนั้น กระทบผู้โดยสาร 9.4 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งเป็นชาวสหราชอาณาจักรทั้งหมด 111,578 คน โดยหลังจากที่ ICO ได้ทำการสอบสวนเป็นเวลาหลายเดือน ก็ได้ยืนยันออกค่าปรับอย่างเป็นทางการที่ 5 แสนปอนด์ ซึ่งถือเป็นค่าปรับที่สูงที่สุดตามกฎหมายของสหราชอาณาจักร
ในเหตุการณ์รั่วไหลข้อมูลครั้งนั้น Cathay Pacific ระบุว่าทางบริษัทค้นพบตั้งแต่เดือนมีนาคม แต่รายงานในเดือนตุลาคม ซึ่งข้อมูลที่หลุดไปเป็นข้อมูลส่วนตัวสำคัญ ตั้งแต่ชื่อ เลขพาสปอร์ตและบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด อีเมลแอดเดรส รหัสไปรษณีย์ ซึ่งหลังจากสอบสวนแล้ว ICO ได้ออกรายงานว่าทางสายการบินหละหลวมในการรักษาข้อมูลส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นไฟล์แบคอัพที่ไม่ล็อกรหัสผ่าน, เซิร์ฟเวอร์ในกลุ่ม internet-facing ที่ไม่ได้แพทซ์, ใช้ระบบปฏิบัติการเก่าที่ไม่ซัพพอร์ตโดยนักพัฒนา รวมถึงไม่มีระบบแอนตี้ไวรัสที่ดีพอ
ICO ระบุว่า เนื่องจากช่วงเวลาในการบุกรุกของเซิร์ฟเวอร์นี้ ตามกฎหมายแล้วจะต้องพิจารณาโทษโดยยึดกฎหมายด้านข้อมูลของสหราชอาณาจักรแทนที่จะเป็น GDPR ซึ่งตามกฎหมาย GDPR โทษปรับจะสูงกว่านี้มาก โดยโทษปรับสูงสุดของ GDPR อยู่ที่ 4% ของรายได้ของบริษัททั่วโลก
ตัวแทนของ Cathay Pacific ได้ยืนยันว่าทางบริษัทได้ร่วมมือกับ ICO และหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการสอบสวนอย่างใกล้ชิด ซึ่งจากการสอบสวนแล้วพบว่าตอนนี้ยังไม่พบหลักฐานการใช้ข้อมูลผิดวัตถุประสงค์ แต่เนื่องจากทุกวันนี้ภัยไซเบอร์เพิ่มสูงขึ้นมาก ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องลงทุนปรับปรุงระบบความปลอดภัยไอทีภายในให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ที่มา - TechCrunch
ภาพจาก Cathay Pacific |
# Facebook ร่วมกับ WHO ให้ข้อมูลและจัดการข่าวปลอมเกี่ยวกับ COVID-19 บนแพลตฟอร์ม
Mark Zuckerberg ประกาศว่า ตอนนี้ Facebook ได้ร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกหรือ WHO รวมถึงหน่วยงานด้านสุขอนามัยอีกหลายแห่งเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ของโคโรนาไวรัสบนแพลตฟอร์ม
Zuckerberg ระบุว่า Facebook ได้ให้ WHO ใช้ระบบโฆษณาบน Facebook ฟรี พร้อมกับซัพพอร์ตต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มอย่างเต็มที่ เพื่อให้องค์กรเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสชนิดใหม่ รวมถึงเมื่อเสิร์ชคำว่า coronavirus บน Facebook ก็จะแสดงป๊อปอัพการ์ดขึ้นมา โดยจะเป็นข้อมูลอัพเดตล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของไวรัส
นอกจากช่วยในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว Facebook ก็เตรียมจะจัดการกับข้อมูลปลอมเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสด้วยเช่นกัน โดย Facebook ระบุว่าจะจัดการลบข้อมูลที่เป็นเท็จรวมถึงทฤษฎีสมคบคิดที่องค์กรด้านสุขอนามัยชั้นน้ำของโลกระบุว่าเป็นข้อมูลปลอม รวมถึงจัดการบล็อคไม่ให้โฆษณาหาประโยชน์จากสถานการณ์ไวรัสบนแพลตฟอร์ม อย่างเช่นโฆษณาสินค้าที่เคลมว่าป้องกันโคโรนาไวรัสได้
Facebook ยังให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลกับองค์กรด้านสุขภาพด้วย โดยปัจจุบันนักวิจัยได้ใช้ข้อมูลที่ทำให้ระบุตัวตนไม่ได้จาก Facebook หลายอย่าง เช่น แผนผังความหนาแน่นประชากร เพื่อให้นักวิจัยเข้าใจลักษณะการแพร่กระจายของไวรัส เป็นต้น
ที่มา - Mark Zuckerberg (Facebook), Engadget |
# ผู้เขียนหนังสือ Building Microservices ชี้องค์กรกว่าครึ่งใช้ monolith แบบเดิมๆ เหมาะกับคนส่วนใหญ่ อย่าเร่งไป Microservice
Sam Newman ผู้เขียนหนังสือ Building Microservices และ Monolith to Microservices ขึ้นพูดในงาน QCon ที่ลอนดอนระบุถึงกระแสของนักพัฒนาที่พยายามพัฒนาทุกอย่างให้เป็น microservice ไปเสียหมดว่าไม่เหมาะ
เขาระบุว่ากระแส microservice ตอนนี้เหมือนยุค 1980 ที่คนทำงานไอทีมักพูดกันว่า "ไม่มีใครถูกไล่ออกเพราะซื้อไอบีเอ็ม" และคนทำงานมักเกาะกระแสพยายามอิมพลีเมนต์แอปพลิเคชั่นให้เป็น microservice ไปเสียหมด แต่หลังจากทำไปก็จะพบว่าสถาปัตยกรรมซับซ้อนเกินไป
Sam เล่าถึงกรณีที่แย่กว่านั้นคือการซอยแอปพลิเคชั่นออกเป็นส่วนย่อยๆ อย่างผิดๆ ทำให้ไม่ได้แอปที่เป็น microservice แต่กลับเป็นแอปแบบ monolith แบบกระจายตัวที่เอาเข้าจริงแล้วแอปแต่ละส่วนไม่สามารถอัพเดตแยกจากกันได้ แต่ต้องอัพเดตไปพร้อมๆ กันทั้งยวง
เขาเล่าถึงซอฟต์แวร์ในบริษัท Segment ที่ทำงานด้านวิเคราะห์ข้อมูลที่สุดท้ายต้องปรับแอปเป็น monolith เพราะพบว่านักพัฒนาทำงานช้าลงเรื่อยๆ ขณะที่ซอฟต์แวร์แบบ monolith เองหากออกแบบได้ดีก็สามารถแบ่งย่อยเป็นโมดูลได้เหมือนกัน
เขาให้สัมภาษณ์กับ The Register ระบุว่าคนทำงานควรหาคอขวดของระบบให้ดี และการแปลงแอปเป็น microservice ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย
ที่มา - The Register
ภาพชุดเฟืองโดย MustangJoe |
# เทรนด์อินเทอร์เน็ตของทั่วโลกและในไทย จากรายงานประจำปี Digital 2020
รายงานประจำปี Digital 2020 โดย We Are Social ดิจิทัลเอเจนซี่ และ Hootsuite แพลตฟอร์มจัดการโซเชียลมีเดีย ได้เผยแพร่มาประมาณหนึ่งเดือนแล้ว โดยมีประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับแนวโน้มของอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย การใช้มือถือ ตลอดจนทิศทางอีคอมเมิร์ซ
ในภาพรวมของโลกนั้น มีคนใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว 4.54 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2019 และมีการใช้งานโซเชียลมีเดีย 3.80 พันล้านคน
ฟิลิปปินส์ยังครองแชมป์ใช้งานอินเทอร์เน็ตต่อวันนานที่สุดในโลก ปีนี้อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 45 นาที ส่วนไทยอยู่ที่ 9 ชั่วโมง 1 นาที (ค่าเฉลี่ยโลก 6 ชั่วโมง 43 นาที)
ประเด็นอื่นที่น่าสนใจ
การใช้อินเทอร์เน็ต 50.1% เป็นการใช้งานผ่านมือถือ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขเกินครึ่ง
ค่าเฉลี่ยการใช้งานบนมือถือคือ 3 ชั่วโมง 40 นาที ต่อวัน และ 50% เป็นการใช้โซเชียลมีเดียและแอปแชท
เว็บที่มีทราฟิกสูงสุดในโลก (ข้อมูล Alexa) คือ Google, YouTube และ TMall ตามลำดับ
81% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในโลก เล่นเกม (บนอุปกรณ์ใดก็ได้)
74% ของคนทั่วโลก ตอบว่าเคยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (ไทย 82%)
คอนเทนต์ออนไลน์ที่คนนิยม 90% คือดูวิดีโอออนไลน์ 70% ฟังเพลงสตรีมมิ่ง และ 41% ฟัง Podcast
Tinder เป็นแอปที่มีผู้ใช้งานเสียเงินมากที่สุดในโลก
นอกจากนี้ยังมีสไลด์สำหรับแนวโน้มต่าง ๆ แยกเฉพาะของประเทศไทยด้วย 92 หน้า คัดเลือกที่น่าสนใจมา 10 สไลด์ครับ
แอปส่งข้อความสนทนายอดนิยมแต่ละประเทศในโลก จะเห็นว่า WhatsApp มีจำนวนประเทศมากที่สุด ขณะที่ไทย LINE เป็น 1 ใน 3 ประเทศที่มีผู้ใช้มากที่สุด
ประชากรอินเทอร์เน็ตไทยมี 52.0 ล้านคน คิดเป็น 75% ขณะที่จำนวนโทรศัพท์มือถือมี 93.39 ล้านเลขหมาย คิดเป็น 134%
คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 9 ชั่วโมง 1 นาที ในการรับชมสื่อนั้นเป็นโทรทัศน์ 3 ชั่วโมง 22 นาทีต่อวัน (รวมโทรทัศน์ปกติด้วย)
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟน 88% เล่นเกม แต่ถ้าดูภาพรวมอุปกรณ์ทุกชนิดอยู่ที่ 95%
สไลด์นี้ว่าด้วยการทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ 47% ใช้การสั่งงานด้วยเสียง ขณะที่เพียง 3.7% มีอุปกรณ์สมาร์ทโฮม
โซเชียลยอดนิยมของคนไทย Facebook - YouTube - LINE ตามลำดับ
สไลด์นี้วัดเฉพาะแอปบนมือถือ โดยจัดอันดับที่จำนวนผู้ใช้งานปัจจุบัน จะเห็นว่า LINE เป็นอันดับ 1 ขณะที่เกมอันดับ 1 เป็น RoV
ส่วนแบ่งระบบปฏิบัติการมือถือ วัดจากเว็บทราฟิก Android ยังครองเกิน 3 ใน 4 แต่เปอร์เซ็นต์ลดลง
ว่าด้วยอีคอมเมิร์ซ วิธีการจ่ายเงินยอดนิยมคือบัตรเครดิต 32% รองลงมาคือวอลเลตทั้งหลาย 25%
การใช้จ่ายซื้อของออนไลน์แยกตามประเภทสินค้า หมวดการท่องเที่ยวสูงสุด ตามด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และแฟชั่น-ความงาม
สไลด์ฉบับเต็มมีรายละเอียดอีกมาก สนใจอ่านต่อตามลิงก์นี้ สำหรับข้อมูลภาพรวมทั่วโลก และข้อมูลของประเทศไทย
ที่มา: We Are Social |
# เผยมูลค่ากิจการส่งอาหาร Uber Eats ที่ขายให้คู่แข่งในอินเดีย อยู่ที่ 206 ล้านดอลลาร์
เมื่อเดือนมกราคม Uber ได้ประกาศขายธุรกิจส่งอาหาร Uber Eats ในประเทศอินเดีย ให้ Zomato คู่แข่งรายสำคัญที่นั่น แต่ไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของดีล ระบุเพียงได้หุ้น Zomato 9.99% แต่ล่าสุด Uber ได้ออกรายงานจากการขายธุรกิจ ระบุว่ามูลค่ายุติธรรมของ Uber Eats ที่ขายให้ Zomato นั้นอยู่ที่ 206 ล้านดอลลาร์
เมื่อพิจารณาจากหุ้นราว 10% ที่ Uber ได้รับ เท่ากับว่ามูลค่ากิจการของ Zomato หลังจบดีลนี้คือประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงจากการเพิ่มทุนรอบล่าสุดของ Zomato ที่ตอนนั้นประเมินมูลค่ากิจการไว้ 3 พันล้านดอลลาร์
การถอนตัวของ Uber Eats ทำให้อินเดียมีบริการส่งอาหารสองรายหลักคือ Zomato และ Swiggy ซึ่งทั้งสองบริษัทยังคงมีผลประกอบการขาดทุน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ตรงข้ามกับในอเมริกา ที่ Uber สามารถทำกำไรได้จากธุรกิจส่งอาหารเพื่อมาชดเชยธุรกิจรถโดยสาร
นักวิเคราะห์มองว่าในอเมริกานั้น บริการส่งอาหารสามารถทำเงินต่อออเดอร์ได้สูง จึงมีส่วนต่างให้ทำกำไรได้ ขณะที่อินเดียมูลค่าต่อออเดอร์ไม่ได้สูงมากนัก อีกทั้งผู้เล่นต่างก็ต้องใช้งบการตลาดมาอุดหนุนค่าส่ง ไปจนถึงค่าอาหารเพื่อดึงลูกค้าให้อยู่บนแพลตฟอร์มของตน
ที่มา: TechCrunch |
# HPE ไตรมาสล่าสุด รายได้รวมยังลดลง แต่ธุรกิจใหม่เติบโต
HPE (Hewlett Packard Enterprise) รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ตามปีการเงินบริษัท 2020 (พฤศจิกายน 2019 - มกราคม 2020) มีรายได้รวม 6,949 ล้านดอลลาร์ ลดลง 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 333 ล้านดอลลาร์ โดย HPE ระบุว่าที่รายได้ลดลงมาจากสภาพตลาดผันผวน และปัญหาชิ้นส่วนขาดแคลน
กลุ่มธุรกิจ Compute ที่เป็นรายได้หลักของ HPE มีรายได้ลดลงมากถึง 15% เป็น 3,011 ล้านดอลลาร์
ซีอีโอ Antonio Neri กล่าวว่าแม้ภาพรวมรายได้จะลดลง แต่บริษัทก็เห็นการเติบโตในกลุ่มธุรกิจใหม่ที่บริษัทให้การลงทุนเพิ่มเติม อาทิ Intelligent Edge, High Performance Compute และ Hyperconverged Infrastructure ซึ่งล้วนมีรายได้เพิ่มขึ้น
ที่มา: HPE และ Yahoo! Finance |
# ผู้พัฒนาเกม My Time At Portia บริจาคยอดขายเดือน ก.พ.ช่วยผู้ได้รับผลกระทบในจีนจาก COVID-19
หลังจากที่ Pathea Games สตูดิโอเกมสัญชาติจีนที่ตั้งอยู่ในเมืองฉงชิ่งซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหวู่ฮั่นมาก (900 กิโลเมตร) และยังมีออฟฟิศอยู่ในสหรัฐด้วย ได้ประกาศเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ว่ารายได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายเกม My Time At Portia ในเดือน ก.พ. (จากทั้งในแพลตฟอร์ม Steam และ WeGame) จะนำไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบในจีนจาก COVID-19
Pathea ได้ประกาศความคืบหน้าของส่วนแรก คือชุดป้องกัน 13 กล่อง(ราคาประมาณ 1 แสนหยวนหรือราวๆ 4.5 แสนบาทไทย) ได้ไปถึงโรงพยาบาลเล่ยเสินซานในวันนี้แล้ว
My Time At Portia เป็นเกมแนว RPG, Simulation (คล้ายๆ Harvest Moon, Stardew Valley) ในรูปแบบ Open World 3D ตัวเกมได้รับบทวิจารณ์โดยรวมบน Steam ในระดับแง่บวกเป็นอย่างมาก (มีคนกดแนะนำถึง 92% จาก 15,098 บทวิจารณ์) และขายได้มากกว่า 5 แสนชุด
ที่มา - Pathea Games |
# NHK จัดอันดับความนิยม Final Fantasy ตัวละคร บอส เวทย์อัญเชิญและเพลงประกอบทุกภาค
สมาคมแพร่ภาพกระจายเสียงแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ NHK ได้จัดทำเว็บไซต์สำรวจความนิยมของแฟนๆ Final Fantasy ตั้งแต่ช่วงวันที่ 20 ธันวาคม 2019 จนถึง 11 กุมภาพันธ์ 2020 เพื่อจัดอันดับความเป็นที่นิยมของเกมแต่ละภาครวมถึง ตัวละคร บอส เวทย์อัญเชิญ และเพลงประกอบ โดยเปิดให้แฟนเกมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศร่วมโหวตได้
หลังจากมีผู้ร่วมโหวต ถึง 468,654 คน และมีการประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการไปในเดือนมกราคม เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ ทาง NHK ก็ได้ประกาศผลอย่างเป็นทางการบนรายการทีวีพิเศษ ที่มีนักแสดงชื่อดังของญี่ปุ่น นักเขียน และนักพากย์จาก Final Fantasy มาร่วมรับเชิญอย่างคับคั่ง นอกจากนี้โนบูโอะ อูเอมัตสึ ผู้แต่งเพลงประกอบของเกมซีรีส์นี้มาอย่างยาวนาน ยังได้มาทำการบรรเลงดนตรีสดในรายการด้วย
โดยผลการจัดอันดับ 10 อันดับแรกของหมวดต่างๆ เป็นดังนี้
10 อันดับ เกม Final Fantasy ยอดนิยม
อันดับ 1: Final Fantasy X
อันดับ 2: Final Fantasy VII
อันดับ 3: Final Fantasy VI
อันดับ 4: Final Fantasy IX
อันดับ 5: Final Fantasy XIV
อันดับ 6: Final Fantasy V
อันดับ 7: Final Fantasy VIII
อันดับ 8: Final Fantasy IV
อันดับ 9: Final Fantasy XI
อันดับ 10: Final Fantasy XV
10 อันดับ ตัวละครยอดนิยม
อันดับ 1: Cloud (Final Fantasy VII)
อันดับ 2: Yuna (Final Fantasy X)
อันดับ 3: Aerith (Final Fantasy VII)
อันดับ 4: Vivi (Final Fantasy IX)
อันดับ 5: Djidane (Final Fantasy IX)
อันดับ 6: Emet-Selch (Final Fantasy XIV)
อันดับ 7: Tidus (Final Fantasy X)
อันดับ 8: Lightning (Final Fantasy XIII)
อันดับ 9: Tifa (Final Fantasy VII)
อันดับ 10: Sephiroth (Final Fantasy VII)
10 อันดับ บอส/เวทย์อัญเชิญยอดนิยม
อันดับ 1: Knight of the Round (Final Fantasy VII)
อันดับ 2: Kefka (Final Fantasy VI)
อันดับ 3: Hades (Final Fantasy XIV)
อันดับ 4: Anima (Final Fantasy X)
อันดับ 5: Omega (Final Fantasy V)
อันดับ 6: Valefor (Final Fantasy X)
อันดับ 7: Brasca’s Final Aeon (Final Fantasy X)
อันดับ 8: Bahamut Zero (Final Fantasy VII)
อันดับ 9: Syldra (Final Fantasy V)
อันดับ 10: Safer Sephiroth (Final Fantasy VII)
10 อันดับ เพลงประกอบยอดนิยม
อันดับ 1: To Zanarkand (Final Fantasy X)
อันดับ 2: Clash on the Big Bridge (Final Fantasy V)
อันดับ 3: Eyes On Me (Final Fantasy VIII)
อันดับ 4: Searching For Friends (Final Fantasy VI)
อันดับ 5: Blinded by Light (Final Fantasy XIII)
อันดับ 6: One-Winged Angel (Final Fantasy VII)
อันดับ 7: Aerith’s Theme (Final Fantasy VII)
อันดับ 8: Melodies Of Life~Final Fantasy (Final Fantasy IX)
อันดับ 9: Final Fantasy Main Theme
อันดับ 10: Those Who Fight Further (Final Fantasy VII)
สามารถดูผลแบบเต็มได้บนเว็บไซต์ของ NHK
ที่มา - DualShockers |
# Moment เปิดตัวเมาท์เลนส์แบบหนีบ ใช้ได้กับมือถือและแท็บเล็ตแทบทุกรุ่น
Moment เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมสำหรับกล้อง รวมไปถึงเลนส์เสริมอย่างเลนส์ตาปลาหรืออัลตร้าไวด์ สำหรับสมาร์ทโฟนบางรุ่น โดยจะต้องใส่เคสเฉพาะของ Moment ที่มีเมาท์เพื่อติดตั้งเลนส์ โดยที่ผ่านมา Moment ผลิตเคสออกมาสำหรับมือถือเพียง 3 ยี่ห้อคือ Pixel, iPhone และ Galaxy S / Galaxy Note
ล่าสุด Moment ได้เปิดตัว Moment Lens Mount Clip เมาท์เลนส์อะลูมิเนียมแบบหนีบที่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแทบทุกรุ่นแล้ว ด้านหนึ่งจะมีตัวล็อกแบบสกรูว์ ไว้ใช้ยึดเมาท์ให้อยู่กับที่ ส่วนอีกด้านจะเป็นรางเลื่อนที่สามารถเลื่อนปรับตำแหน่งเลนส์ได้ และมีวัสดุแบบนิ่ม หุ้มในส่วนที่ต้องสัมผัสกับมือถือโดยตรง เพื่อไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน
เมาท์เลนส์แบบหนีบนี้จะใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตส่วนใหญ่ที่บางกว่า 10.75 มม. และตัวรางเลื่อนจะสามารถปรับให้เลนส์อยู่บนกล้องมือถือ ที่อยู่ห่างจากขอบเครื่องได้ไกลถึง 39 มม. และอาจสามารถใช้กับเคสมือถือบางรุ่นได้ ถ้าขอบของเคสด้านหลังเสมอกับกล้องที่ยื่นออกมาจากตัวเครื่อง และด้านหน้าไม่หนาเกินหน้าจอออกมา
แต่ Moment ยังแนะนำว่าเคสเมาท์ที่ถูกผลิตมาเพื่อโทรศัพท์แบบจำเพาะรุ่น เป็นวิธีที่ดีกว่าในการใช้งานคู่กับเลนส์ของบริษัท เพราะจะทำให้การใส่เลนส์ เข้ากันได้พอดีกับตัวกล้องโดยไม่ต้องปรับเพิ่มเติม และทำให้ไม่เกิดปัญหาภาพเบลอที่ขอบเลนส์
เมาท์เลนส์แบบหนีบนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเลนส์ได้หลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งการหนีบเมาท์ไว้บนกล้องหน้าคู่กับเลนส์ฟิชอาย นำเมาท์ไปใช้กับ iPad หรืออาจนำมาใช้กับกล้องบนแล็ปท็อปก็ได้
สามารถพรีออเดอร์เมาท์รุ่น Moment Lens Mount Clip ได้บนเว็บไซต์ของ Moment ในราคา 29.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 950 บาท) แล้ววันนี้ โดยจะมีการจัดส่งในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ ยังมีรุ่นสำหรับใช้กับเลนส์ O-series หรือเลนส์รุ่นเก่าที่ใช้เมาท์คนละแบบกับเลนส์รุ่นปัจจุบันที่เป็น M-Series ด้วย
ที่มา - Android Police |
# Huawei วางขาย Mate 30 Pro 5G ในไทย ใช้ได้กับเครือข่าย 5G ของทั้ง 3 โอเปอเรเตอร์
Huawei ประกาศวางขายสมาร์ทโฟน 5G รุ่นแรกของไทยคือ Huawei Mate 30 Pro 5G ในราคาเต็ม 31,900 บาท โดยการันตีว่าใช้งานเครือข่าย 5G ของโอเปอเรเตอร์ในไทยทั้ง 3 รายได้แน่นอน (ตอนนี้ยังมีแค่ AIS ที่เปิดบริการ 5G เชิงพาณิชย์)
โอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายคือ AIS, dtac, TrueMove H เริ่มออกโปรโมชั่นส่วนลดซื้อเครื่อง ในราคาเริ่มต้น 17,990 บาท ส่วนรายละเอียดแพ็กเกจรายเดือนจะประกาศกันในวันพรุ่งนี้ (5 มีนาคม 2020)
มือถืออีกรุ่นที่จะรองรับ 5G ในไทยคือ Galaxy S20 Ultra 5G (รีวิวฉบับ Blognone) ที่เปิดให้พรีออเดอร์แล้ว แต่ของจะเริ่มขายจริงๆ วันที่ 13 มีนาคม (เท่ากับว่า Huawei Mate 30 Pro 5G จะเป็นมือถือ 5G รุ่นแรกในไทย ตัดหน้าซัมซุงเล็กน้อย) |
# เทียบสตูดิโอและเกมเอ็กคลูซีฟระหว่าง SIE Worldwide Studio และ Xbox Game Studios
ต่อยอดอีกสักเล็กน้อยจากบทความ Cloud Gaming แพลตฟอร์มเกมยุคหน้าที่อาจทำให้ไมโครซอฟท์กลับมาครองตลาดเกม โดยใจความสำคัญของบทความดังกล่าวคือการชี้ว่าในยุค Cloud Gaming ที่น่าจะเป็นยุคหลังคอนโซลรุ่นถัดไป ไมโครซอฟท์มีภาษีในอุตสาหกรรมเกมดีกว่าโซนีที่ครองตลาดอยู่ตอนนี้และ Stadia ที่เป็นผู้เปิดศักราช Cloud Gaming
ปัจจัยที่ไมโครซอฟท์มีภาษีดีกว่ามีอยู่หลายส่วน (อ่านได้จากลิงก์ข้างต้น) อย่างไรก็ตามหนึ่งในปัจจัยไมโครซอฟท์ดูยังตามหลังโซนีอยู่คือเรื่องของเกมหัวใหญ่ ๆ ที่ดึงดูดคนเล่นที่โซนีสร้างชื่อด้านนี้เอาไว้นานแล้วจากการทำเกมระดับ AAA แบบเอ็กคลูซีฟ ขณะที่ไมโครซอฟท์เองก็เริ่มเดินเกมด้านนี้แล้ว จากทั้งการตั้งสตูดิโอเกมขึ้นมาเอง รวมถึงซื้อสตูดิโออื่นให้มาอยู่ภายใต้ Xbox Game Studios
บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า ณ ตอนนี้ทั้งสองค่ายคือ ไมโครซอฟท์ (Xbox Game Studios) และโซนี (SIE Worldwide Studios) มีสตูดิโออะไรบ้างและมีเกมอะไรเด่น ๆ ในมือบ้าง
Sony Interactive Entertainment Worldwide Studios
SIE Worldwide Studios เป็นหน่วยธุรกิจภายใต้ Sony Interactive Entertainment ที่ดูแลเรื่องการพัฒนาเกมทั้งอินเฮ้าส์หรือไปร่วมมือกับสตูดิโอภายนอก โดย SIE Worldwide Studio มีสตูดิโออยู่ในเครือ 14 สตูดิโอ ตามภูมิภาค
ญี่ปุ่น
SIE Japan Studio
The Last Guardian
Polyphony Digital
Gran Turismo
อเมริกาเหนือ
SIE San Mateo Studio
เป็นสตูดิโอที่ไม่ได้พัฒนาเกมขึ้นมาเอง แต่เป็นเหมือนทีมสนับสนุนที่ช่วยสตูดิโออื่นพัฒนาเกมอีกที
เกมที่ San Mateo Studio เคยมีส่วนร่วมก็มี Marvel’s Spider-Man และแฟรนไชส์ Infamous
Sucker Punch (ซื้อมาปี 2011)
แฟรนไชส์ Infamous
Ghost of Tsushima
SIE Bend Studio (ซื้อมาปี 2000)
Days Gone
SIE San Diego Studio
MLB The Show
Pixelopus
Entwined
Concrete Genie
SIE Santa Monica Studio
แฟรนไชส์ God of War
Naughty Dog (ซื้อมาปี 2001)
แฟรนไชส์ Uncharted
แฟรนไชส์ The Last of Us
Insomniac Games (ซื้อมาปี 2019)
Marvel’s Spider-Man
Ratchet & Clank
ยุโรป
SIE London Studio
Blood & Truth
Singstar Celebration
Guerrilla Games (ซื้อมาปี 2005)
Horizon Zero Dawn
Killzone
Media Molecule (ซื้อมาปี 2010)
LittleBigPlanet
Tearaway Unfolded
Dreams
SIE XDev Europe (External Development Studio Europe) เป็นสตูดิโอซัพพอร์ทที่คอยลงทุนและ/หรือช่วยสตูดิโอภายนอกพัฒนาเกม
Detroit: Become Human
Until Dawn: Rush of Blood
BEYOND: Two Souls
โซนีเริ่มสร้างสตูดิโอภายในและสร้างเกมขึ้นมาป้อนแพลตฟอร์มตัวเองตั้งแต่ปี 1993 มีประสบการณ์มานานกว่า 26 ปี และสามารถผลิตเกมฮิตดัง ๆ ได้แทบทุกปี กลายเป็นหนึ่งในแต้มต่อสำคัญในยุค PS4 ที่มีเหนือ Xbox One
สิ่งที่เน้นย้ำความสำเร็จในกลยุทธดังกล่าวของโซนี คือเกมที่ขายดีที่สุดบน PS4 6 อันดับแรกเป็นเกมเอ็กคลูซีฟหมดเลย และใน 10 อันดับแรกมีเพียง The Witcher 3 และ Monster Hunter เพียง 2 เกมเท่านั้นที่แทรกเข้ามาได้ ดังนี้
Uncharted 4: A Thief’s End (2016) 16 ล้านก๊อปปี้
Marvel’s Spider-Man (2018) 13.2 ล้านก๊อปปี้
The Last of Us: Remastered (2014) 10 ล้านก๊อปปี้
God of War (2018) 10 ล้านก๊อปปี้
Horizon Zero Dawn (2017) 10 ล้านก๊อปปี้
Gran Turismo Sport (2017) 8 ล้านก๊อปปี้
The Witcher 3: Wild Hunt (2015) 4.8 ล้านก๊อปปี้
Monster Hunter: World (2018) 4.67 ล้านก๊อปปี้
Detroit: Become Human (2018) 3.2 ล้านก๊อปปี้
Crash Bandicoot N. Sane Trilogy (2017) 2.5 ล้านก๊อปปี้
Xbox Game Studios
ไมโครซอฟท์เพิ่งรีแบรนด์มาจาก Microsoft Studio เมื่อปี 2016 และค่อย ๆ ขยายทีมพัฒนาเกมมาเรื่อย ๆ ตอนนี้มีทั้งหมด 15 สตูดิโอในเครือ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับโซนี 10 เกมขายดีที่สุดมีเกมเอ็กคลูซีฟของ Xbox One มีเพียง Halo, Gears of War และ Forza 3 แฟรนไชส์เท่านั้น
343 Industries
แฟรนไชส์ Halo
Compulsion Games
Contrast
We Happy Few
Double Fine เน้นเกมผจญภัยจากทีม LucasArts เดิม
Broken Age
แฟรนไชส์ Psychonauts
inXile Entertainment เน้นเกม RPG
Wasteland
Mojang
Minecraft
Ninja Theory เน้นเกมใหญ่ระดับ AAA
Bleeding Edge
A Star Wars VR Series: Vader Immortal – Episode I
DmC: Devil May Cry Definitive Edition
Hellblade ที่ประกาศแล้วว่าจะลง Series X
Obsidian Entertainment ทีมงาน Fallout เดิม, ทำผลงานได้ดีกับ Outer Worlds ซึ่งก็น่าจะผลิตเกมระดับนี้ได้อีก
The Outer Worlds
South Park: The Stick of Truth
Fallout: New Vegas
Star Wars Knights of the Old Republic II: The Sith Lords
Playground Games
ร่วมกับ Turn 10 ทำ Forza Horizon
Rare ไปออกทะเลทำเกม Kinect อยู่ช่วงหนึ่ง และเริ่มกลับมาแล้ว
Sea of Thieves
The Coalition
แฟรนไชส์ Gears (Gear of Wars)
The Initiative
เพิ่งตั้งปี 2018 สตูดิโออินเฮ้าส์ใหม่
ประกาศว่าจะทำเกมระดับ “AAAA” ลง Xbox สะท้อนว่าไมโครซอฟท์จริงจังเรื่องคอนเทนท์เกมเพื่อสู้กับโซนีมาก ตั้งอยู่ที่ Santa Monica ถิ่นโซนี่ด้วย
Turn 10 Studios
Forza Motorsport (คนละซีรีส์กับ Forza Horizon)
Undead Labs
State of Decay
World's Edge
ตั้งขึ้นใหม่ปี 2019 เป็นหัวเรือพัฒนาแฟรนไชส์ Age of Empires
Xbox Game Studios Publishing
ซื้อสิทธิและจัดจำหน่ายเกมที่ซื้อมาจากสตูดิโอภายนอก
Ori and the Will of the Wisps
Microsoft Flight Simulator
บ้านเราอาจจะคุ้นเคยกับชื่อสตูดิโออินเฮ้าส์ของ PlayStation อย่าง Naughty Dog หรือ Santa Monica กันมากกว่าฝั่งของ Xbox ที่ไม่ได้ทำตลาดในไทย แต่หลาย ๆ สตูดิโอของ Xbox ก็ถือว่าน่าจับตาและมีคิวออกเกมหัวใหญ่ ๆ ภายในปีนี้อยู่ด้วย อย่าง 343 Industries ที่มีคิวจะออก Halo Infinite, InXile กับเกม Wasteland 3, Ninja Theory กับเกม Senua’s Saga: Hellblade II, The Coalition กับ Gear Tactics, Turn 10 ที่ทำ Forza Motorsport 7, Playground Games ที่ทำ Forza Horizon 4 และ The Initiative ที่ต้องรอดูกันยาว ๆ ว่าเกม "AAAA" ของไมโครซอฟท์กลายเป็นเกมระดับ talk of the town อย่างที่โซนีทำได้มากน้อยแค่ไหน |
# นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันใช้เกมพัซเซิล สร้างความเข้าใจเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
โรค COVID-19 ที่เกิดจาก ไวรัส SARS-CoV-2 เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่นักวิจัยทั่วโลกกำลังเร่งรับมืออย่างเร่งด่วน โดยหนึ่งในนั้นคือกลุ่มผู้วิจัยจาก University of Washington (UW)ในรัฐซีแอตเทิิล สหรัฐอเมริกา ที่ใช้วิดีโอเกม เป็นหนึ่งในสื่อที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในไวรัสชนิดใหม่นี้
เกมดังกล่าวชื่อว่า Foldit เป็นเกมพัซเซิลที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 ที่ผู้เล่นต้องไขปัญหาโดยทำการม้วนพับ (folding) สายโปรตีนบนผิวเซลล์ไวรัส เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างของโปรตีนและไวรัสชนิดนั้น โดยทีมนักวิจัยจาก UW กล่าวว่า “วิธีนี้เป็นหัวใจสำคัญในการทำความเข้าใจการทำงานของโปรตีน เพื่อให้การใช้ยาเป็นไปได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น”
รูปจาก: University of Washington
ล่าสุดทีมนักวิจัยได้เพิ่มด่านพัซเซิลที่มีต้นแบบจากไวรัส SARS-CoV-2 ลงในเกม ซึ่งเป็นไวรัสที่ยังไม่มีวัคซีน ทำให้พัซเซิลนี้มีความท้าทายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยคำอธิบายบนเว็บไซต์ Eurogamer พูดถึงพัซเซิลนี้ไว้ว่า “โคโรน่าไวรัส จะมี ‘หนาม’ โปรตีนบนพื้นผิว ที่จะยึดจับกับหน่วยรับ (receptor) ของโปรตีนบนผิวเซลล์ในมนุษย์ ซึ่งหากผู้เล่นสามารถออกแบบโปรตีนที่ไปจับกับหนามโปรตีนบนไวรัสโคโรน่าแทนได้ ก็อาจหยุดไวรัสโคโรน่าไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์กับเซลล์ในคน และหยุดการติดเชื้อได้ในที่สุด”
นักวิจัยของ UW ระบุว่าเกมนี้เปรียบเสมือนการให้ผู้เล่นช่วยกันพัฒนา (crowdsource) งานวิจัย โดยวิธีนี้ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ในการพับห่วงโซ่กรดอะมิโนแบบยาวให้กลายเป็นภาพกราฟิค 3 มิติได้เท่ากับหรือดีกว่าการใช้คอมพิวเตอร์
ปัจจุบันยังไม่มีข้อยืนยันว่าเกมนี้จะช่วยหาวิธีหยุดไวรัส SARS CoV-2 ได้หรือไม่ แต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ชาวเน็ตที่ถนัดเกมพัซเซิล พอจะช่วยหาวิธีหยุดยั้งไวรัสที่มีผู้ติดเชื้อกว่า 92,000 คน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,110 คนทั่วโลกได้
ที่มา - Kotaku, College of Engineering, UW |
# ผ่านมา 20 ปี โครงการ SETI@home หยุดให้คนทั่วโลกช่วยประมวลผล บอกได้ข้อมูลพอแล้ว
โครงการ SETI@home ที่เป็นต้นแบบของ distributed computing กระจายให้คนทั่วโลกช่วยกันแชร์พลังจากคอมพิวเตอร์ของตัวเองช่วยประมวลผลข้อมูล โครงการเริ่มมาตั้งแต่ปี 1999 นับเวลาถึงปัจจุบันนานกว่า 20 ปี ล่าสุดประกาศยุติการส่งข้อมูลให้ผู้ใช้ช่วยประมวลผลในวันที่ 31 มีนาคม 2020
หน้าเว็บของโครงการระบุว่า ตอนนี้มีข้อมูลเยอะพอกับความต้องการแล้ว และการจัดการกับข้อมูลที่กระจายให้คนทั่วโลกช่วยกัน กลายเป็นภาระของทีมงาน ที่ควรจะไปโฟกัสที่การวิเคราะห์ข้อมูลมากกว่า
Andrew Siemion ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย SETI ของมหาวิทยาลัย UC Berkley อธิบายเหตุผลที่ SETI@home หยุดส่งข้อมูลว่า โครงการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไปแบ่งช่วงเป็น "เก็บข้อมูล" (data acquisition), "ประมวลผลข้อมูล" (data processing) และ "วิเคราะห์" (analysis) ซึ่งกรณีของ SETI@home อยู่ในช่วง "ประมวลผลข้อมูล" มานานกว่า 20 ปี ตอนนี้จะเข้าสู่ช่วงการวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว
อีกปัจจัยที่ทำให้ SETI@home ต้องยุติตัวเองลงไปคือมีโครงการใหม่ Breakthrough Listen Initiative (BLI) ที่ลักษณะคล้ายๆ กัน คือค้นหาคำตอบว่ามีอารยธรรมอื่นอยู่ในจักรวาลหรือไม่ โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยกว่า SETI@home และกินพื้นที่ตรวจสอบกว้างกว่ากันมาก
สำหรับคนที่ยังอยากช่วยแชร์พลังประมวลผลอยู่ ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ใช้เอนจินกระจายข้อมูล BOINC แบบเดียวกับ SETI@home ให้ช่วยเหลืออีกมาก ดูรายชื่อได้จากเว็บไซต์ BOINC
ที่มา - The Register |
# ไมโครซอฟท์ขยายความร่วมมือกับ NFL นำ Microsoft Teams มาให้ทั้ง 32 ทีมใช้งาน
ไมโครซอฟท์เป็นพาร์ทเนอร์กับ NFL มาตั้งแต่ราวปี 2013 ในช่วงแรกๆ จะเป็นการเอา Surface, HoloLens และโซลูชันการเก็บข้อมูลและแสดงรีเพลย์มาใช้งาน
ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศขยายความร่วมมือกับ NFL ออกไปอีกหลายปี พร้อมนำ Microsoft Teams เข้ามาเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารภายในให้ทีมงานของทั้ง 32 สโมสรใช้งานเพิ่มเติมจากโซลูชันเดิม ๆ ทั้งหมดที่ไมโครซอฟท์นำมาให้ใช้ก่อนหน้านี้
ที่มา - Microsoft |
# เปิดตัว Black Shark 3 สมาร์ทโฟนเกมมิ่งรุ่นใหม่ มีปุ่มข้างเครื่องให้เล่นเกมถนัดมือยิ่งขึ้น
Black Shark แบรนด์มือถือเกมมิ่งที่เปิดตัวรุ่นแรกไปในปี 2018 และรุ่น Black Shark 2 ในปี 2019 กลับมาอีกครั้งในปี 2020 กับมือถือเกมมิ่งสองรุ่น Black Shark 3 และ Black Shark 3 Pro
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับชิป Snapdragon 865 ระบบระบายความร้อนแบบ liquid-cooling แรม LPDDR5 ขนาด 8GB/12GB หน่วยความจำ UFS 3.0 กล้องหลังสามกล้อง (กล้องหลัก 64MP กล้อง ultra-wide 13MP, กล้องวัดระยะชัดลึก 5MP) กล้องหน้าความละเอียด 20MP ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และรองรับ 5G ทั้งสองรุ่น
โดยรุ่น Pro จะมาพร้อมแบตเตอรี่ 5,000mAh หน้าจอ AMOLED ขนาด 7.1 นิ้ว ความละเอียด 3,120 x 1,440 พิกเซล พร้อม refresh rate ที่ 90hz และอัตราการตอบสนองของหน้าจอต่อการสัมผัสที่ 270hz
ส่วนในรุ่นธรรมดา จะมาพร้อมแบตเตอรี่ 4,720mAh หน้าจอ AMOLED 6.67 นิ้ว Full HD+ ความละเอียด 2,400 x 1800 และมี refresh rate กับอัตราตอบสนองเท่ากับรุ่น Pro
ทั้งสองรุ่นยังมีพื้นที่บนหน้าจอสี่จุดที่รองรับการสัมผัสที่น้ำหนักต่างกัน ปุ่มแบบ physical ด้านข้างเครื่องอีกสองปุ่ม เพื่อเพิ่มออปชั่นในการเล่นเกมให้สมเป็นมือถือเกมมิ่ง รองรับการชาร์จเร็วแบบ 65W ผ่าน USB-C ที่สามารถชาร์จจาก 0 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ได้ภายใน 12 นาที ชาร์จจนเต็มได้ภายใน 38 นาที และยังมีช่องชาร์จแบบพินแม่เหล็ก ที่รองรับการชาร์จ 18W ด้านหลัง (เพื่อไม่ให้เกะกะในการเล่นเกม) อีกด้วย
ราคาวางจำหน่าย Black Shark 3 รุ่นธรรมดา
แรม 8GB ความจุ 128GB ที่ 3,499 หยวน (ประมาณ 16,000 บาท)
แรม 12GB ความจุ 128GB ที่ 3,799 หยวน (ประมาณ 17,200 บาท)
แรม 12GB ความจุ 256GB ที่ 3,999 หยวน (ประมาณ 18,000 บาท)
ส่วน Black Shark 3 Pro
แรม 8GB ความจุ 256GB ราคา 4,699 หยวน (ประมาณ 22,000 บาท)
แรม 12GB ความจุ 256GB ราคา 4,999 หยวน (ประมาณ 23,000 บาท)
Black Shark 3 รุ่นธรรมดาจะวางจำหน่ายในประเทศจีน ในวันที่ 3 มีนาคมนี้ และรุ่น Pro ในวันที่ 10 มีนาคม เป็นต้นไป ส่วนการวางจำหน่ายทั่วโลก ทาง Black Shark กล่าวว่าจะตามมา “ในอนาคตอันใกล้” นี้
ที่มา - Engadget |
# Death Stranding กำหนดวันวางขายบนพีซี 2 มิถุนายนนี้ พร้อมไอเท็มพิเศษจาก Half-Life
Kojima Productions และ 505 Games ที่เป็นผู้วางจำหน่ายเกม Death Stranding บนพีซีประกาศวันวางจำหน่ายแล้วเป็นวันที่ 2 มิถุนายนนี้พร้อมกันทั้งบน Steam และ Epic Store
เวอร์ชันพีซีจะมีฟีเจอร์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาจากบน PS4 เช่นโหมดถ่ายรูป, รองรับหน้าจอแบบอัลตร้าไวด์และรองรับเฟรมเรตสูง (บน PS4 โดนแคปเอาไว้) รวมถึงไอเท็มพิเศษจากความร่วมมือกับ Valve เช่นหมวกที่เป็นวาล์วสีแดงบริเวณท้ายทอย เหมือนกับโลโกของ Valve ในช่วงแรกๆ, ถุงมือจาก Half-Life: Alyx และหมวกที่เป็นตัว headcrap เอเลี่ยนจาก Half-Life
ที่มา - Death Stranding |
# จุดเริ่มต้นตำนาน Halo: Combat Evolved Anniversary (ภาค 1 รีเมค) ลงพีซีแล้ว
Halo ภาคแรกสุด (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Halo: Combat Evolved) ออกครั้งแรกเมื่อปี 2001 บน Xbox รุ่นแรก และถูกนำมารีเมคใหม่ลง Xbox 360 เมื่อปี 2011 ในชื่อว่า Halo: Combat Evolved Anniversary
ไมโครซอฟท์นำ Halo 1-4 มาจัดเป็นชุด Halo: The Master Chief Collection ลง Xbox One ในปี 2014 และตามมาออกชุดบนพีซีในปี 2019 โดยแถมภาค Halo: Reach มาให้อีกหนึ่งภาค
ไมโครซอฟท์ใช้วิธีทยอยออกเกมในชุด Halo: The Master Chief Collection เวอร์ชันพีซี โดยเริ่มจากภาค Halo: Reach ก่อน ล่าสุดเป็นคิวของ Halo: Combat Evolved Anniversary (ภาค 1 รีเมค) ที่จะเปิดให้เล่นบนพีซีเป็นครั้งแรก รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 4K UHD 60 fps ถ้าสเปกเครื่องแรงพอ (เกมที่เหลือจะทยอยออกตลอดปี 2020 โดยจบที่ Halo 4)
ผู้เล่นสามารถซื้อได้จาก Microsoft Store และ Steam ทั้งชุดขายราคา 39.99 ดอลลาร์ หรือซื้อแยกภาคได้ในราคาภาคละ 9.99 ดอลลาร์ (ราคาใน Steam ไทยคือ 469 บาท และ 189 บาทตามลำดับ)
ที่มา - Xbox |
# ไมโครซอฟท์โชว์ Start Menu ดีไซน์ใหม่เข้าชุดไอคอนใหม่ ไม่มีสีพื้นหลังใน Tiles อีกแล้ว
ทีมออกแบบของไมโครซอฟท์โชว์ภาพดีไซน์ Start Menu เวอร์ชันใหม่ ที่ไม่มีสีพื้นหลังแบบสมัย Windows 8 อีกแล้ว
ไมโครซอฟท์แชร์เรื่องนี้ในสตรีม Windows Insiders บน Mixer โดยบอกว่าหลังจากเริ่มอัพเดตไอคอนใหม่ของ Windows 10 ก็ได้เวลาหาแนวทางใหม่ๆ สำหรับ Start Menu ให้เข้าชุดกัน
หน้า Start Menu แบบใหม่เปลี่ยนมาใช้สีพื้นหลังโทนดำ/ขาว (ขึ้นกับธีมของ Windows) แทนสีไฮไลท์แบบของเดิม และใช้ดีไซน์โปร่งแสง (translucent) ตามหลัก Fluent Design แบบใหม่ของไมโครซอฟท์ แต่ทีมงานของไมโครซอฟท์ก็ระบุว่านี่ยังเป็นแค่การทดลอง ยังไม่ได้เป็นดีไซน์สุดท้ายที่ใช้งานจริงๆ
ภาพตัวอย่างเป็น Start Menu ดีไซน์ใหม่หากเราปิดฟีเจอร์ Live Tiles ทำให้เห็นไอคอนครบทั้งหมด แต่ไมโครซอฟท์ก็ยืนยันว่า Live Tiles ยังอยู่ไม่หายไปไหน
ที่มา - Mixer, The Verge |
# Amazon ยืนยันพนักงานที่ซีแอตเทิลเป็นโรค COVID-19
Amazon อีเมลแจ้งพนักงานระบุว่า พบว่ามีพนักงานที่ซีแอตเทิลติดเชื้อ เป็นโรค COVID-19 โดยพนักงานคนดังกล่าวลาป่วยเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และได้รับแจ้งการยืนยันว่าเป็น COVID-19 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ส่วนพนักงานคนอื่นๆ ที่มีการติดต่อสัมพันธ์กับพนักงานคนดังกล่าวในสำนักงาน South Lake Union ได้รับแจ้งข้อมูลแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้พนักงานของ Amazon สองคนในอิตาลีได้รับการยืนยันว่าติดไวรัสด้วย
ภาพจาก Amazon
ที่มา - Financial Times |
# ครั้งแรกของ Pornhub ฉายหนังที่ไม่ใช่หนังโป๊ แต่เป็นสารคดีชีวิต LGBT ในคลับ
Pornhub เว็บไซต์หนังผู้ใหญ่ที่มีคนเข้าดู 42,000 ล้านครั้งเมื่อปีที่ผ่านมา กำลังขยายเนื้อหาให้หลากหลายขึ้น ล่าสุดเตรียมฉายหนังที่ไม่เกี่ยวกับหนังโป๊ แต่เป็นสารคดีเกี่ยวกับสังคม LGBT ฉายฟรีบนแพลตฟอร์มในเดือนมีนาคมนี้
หนังสารคดีที่ว่าคือ Shakedown จากผู้สร้างภาพยนตร์และศิลปิน Leilah Weinraub นำเสนอสังคมวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาของกลุ่มคน LGBT ในคลับที่ลอสแองเจลิส ใช้เวลาถ่ายฟุตเทจย้อนหลังไปถึง 15 ปี ตัวผู้สร้าง Weinraub คาดหวังว่าการฉายที่ Pornhub จะช่วยดึงดูดคนดูโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง
Alex Klein ผู้อำนวยการของ Pornhub ระบุว่า อีกหนึ่งหมุดหมายของแพลตฟอร์มคือ สนับสนุนการแสดงออกทางศิลปะของศิลปิน นอกจากนี้ยังมองเห็นการอัปโหลดเนื้อหาที่ดูแล้วไม่สามารถลงบนแพลตฟอร์มทั่วไปอย่าง YouTube หรือ Vimeo ที่ไม่อนุญาตให้มีการเปลือยกายได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก
ตัวหนังจะเริ่มฉายฟรีที่ Pornhub ก่อนในเดือนมีนาคม จากนั้นจะฉายผ่านช่อง Criterion Channel และเปิดให้ซื้อใน iTunes ช่วงฤดูร้อนกลางปี
ที่มา - Variety |
# Cisco ปลดล็อค Webex เวอร์ชันฟรี ไม่จำกัดเวลาใช้งาน ประชุมพร้อมกันสูงสุด 100 คน
Cisco ในฐานะเจ้าของ Webex โซลูชันการประชุมทางไกลยอดนิยมในตลาดองค์กร แชร์สถิติการใช้งาน Webex ในประเทศจีนว่าปริมาณทราฟฟิกโตขึ้น 22 เท่านับจากการระบาดของโรค COVID-19 ส่วนในประเทศอื่นๆ ที่มีการระบาดอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ทราฟฟิกก็โตขึ้น 4-5 เท่า
เพื่อตอบสนองสถานการณ์ Cisco จึงปลดล็อคข้อจำกัดของ Webex เวอร์ชันฟรี ดังนี้
ไม่จำกัดเวลาการใช้งานอีกต่อไป (unlimited usage)
ประชุมได้พร้อมกันสูงสุด 100 คน
รองรับการโทรศัพท์แบบดั้งเดิมเข้ามาประชุม (ที่ต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์) นอกเหนือจากการโทรผ่าน VoIP
การปลดล็อคครั้งนี้มีผลกับ 44 ประเทศที่ Cisco ให้บริการ Webex อยู่แล้ว (ซึ่งรวมประเทศไทยด้วย) ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศที่มีการระบาดของโรค COVID-19 เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ คู่แข่งของ Cisco ทั้ง Zoom และ Google Hangouts Meet ก็ประกาศนโยบายคล้ายๆ กัน เพื่ออำนวยความสะดวกกับคนที่ต้องทำงานแบบ remote working ในช่วงนี้
ที่มา - Webex |
# YouTube Music ออกแบบหน้า Now Playing ใหม่ ปุ่มใช้งานชัดขึ้น กำลังทดสอบแสดงเนื้อเพลง
YouTube Music รีดีไซน์หน้าตาการใช้งานโดยเฉพาะหน้า Now Playing ใหม่ ปุ่มใช้งานต่างๆ ชัดและโดดเด่นขึ้น คือปุ่มสลับจากโหมดวิดีโอกับโหมดเพลง และปุ่มเล่นเพลงถัดไป และเล่นเพลงก่อนหน้า นอกจากนี้ปุ่ม Shuffle และ Repeat ก็ปรากฏในหน้าจอเดียวกันเลย ไม่ต้องเข้าไปที่ปุ่ม Options อีกต่อไป
นอกจากนี้ YouTube กำลังทดสอบปุ่ม Up Next ให้ขึ้นมาคู่กับปุ่ม Lyrics หรือแสดงเนื้อเพลง ซึ่งเป็นอีกฟีเจอร์ที่คนใช้เรียกร้องมานาน และเริ่มแสดงผลให้ผู้ใช้งานแอนดรอยด์แล้ว
สามารถดูหน้าตาการใช้งานได้ที่แหล่งข่าวต้นทาง
ที่มา - 9to5Google |
# WhatsApp เปิดใช้งาน Dark Mode กับผู้ใช้งานทั่วโลกแล้ว
Dark Mode กลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่แอปใหญ่ควรมีไปแล้ว และล่าสุด WhatsApp ก็เริ่มเปิดใช้งานโหมดนี้แก่ผู้ใช้งานทั่วโลก อย่างเป็นทางการ ก่อนหน้านี้มีผู้ใช้งานแอนดรอยด์ที่ได้ใช้ WhatsApp Dark Mode ซึ่งตอนนี้ขยายการใช้งานไปยังอุปกรณ์ iOS ด้วย
หน้าตา WhatsApp Dark Mode บน iOS จะดำมืดมากกว่า ในขณะที่แอนดรอยด์จะออกสีเทาเข้ม วิธีเปิดใช้งานใน Android 10 และ iOS 13 ไปที่การตั้งค่าระบบ และเปิดใช้งาน Dark Mode ได้เลย
ที่มา - The Next Web |
# Twitter ให้พนักงานเกือบ 5,000 คนทำงานจากที่บ้าน เลี่ยงโรค COVID-19 ระบาด
บริษัทไอที โดยเฉพาะในจีน ยุโรป ให้พนักงานทำงานที่บ้านหลังเกิดโรค COVID-19 ระบาด ล่าสุด Twitter ก็ออกนโยบายแบบเดียวกันและมีผลถึงพนักงานทั่วโลกที่มีราว 4,800 คน และยังถือเป็นบริษัทแรกในสหรัฐฯ ที่ออกนโยบาย work from home ให้พนักงานในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้
Twitter ระบุว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอแนะนำให้พนักงานทุกคนทั่วโลกทำงานจากที่บ้านหากพวกเขาสามารถทำได้ เป้าหมายคือลดการแพร่กระจายของโรค COVID-19 โดยปัจจุบัน Twitter มีสำนักงานทั่วโลก 35 แห่ง
Twitter ระบุด้วยว่า กำลังจัดการงาน และการประชุมสำคัญต่างๆ ให้สามารถเช้าร่วมประชุมจากระยะไกลได้ และเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่ทุกงานที่จะสามารถทำจากที่บ้านได้
ก่อนหน้านี้สำนักงาน Google ในไอร์แลนด์, GitHub ให้พนักงานเริ่มทำงานจากที่บ้าน ซึ่งสำนักงานจะยังเปิดให้บุคลากรเหล่านั้นเข้ามาจัดการงาน พร้อมทั้งมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ส่วนพนักงาน Twitter ที่เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เป็นข้อบังคับของรัฐบาลที่ต้องทำงานจากที่บ้านอยู่แล้ว
ภาพจาก Shutterstock
ที่มา - Twitter |
# กูเกิลเลิกจัดงาน Google I/O 2020 ปรับรูปแบบเป็นงานออนไลน์แทน
เมื่อวานกูเกิลเพิ่งประกาศ เปลี่ยนรูปแบบงานสัมมนา Google Cloud Next '20 ฝั่งองค์กรไปเป็นงานออนไลน์ จากปัญหาโรค COVID-19
วันนี้งานใหญ่ของกูเกิลเองคือ Google I/O 2020 ก็ได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน ต้องเปลี่ยนรูปแบบงานเป็นออนไลน์เหมือนกัน
คนที่ซื้อบัตร Google I/O 2020 ไปแล้วจะได้เงินคืนเต็มจำนวน และได้สิทธิซื้อบัตรงาน Google I/O 2021 อัตโนมัติ ส่วนรูปแบบงาน Google I/O โฉมใหม่จะประกาศให้ทราบกันต่อไป
ที่มา - @GoogleDevs |
# BMC ซื้อกิจการซอฟต์แวร์เมนเฟรมคู่แข่ง Compuware
BMC บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับลูกค้าองค์กร ประกาศเข้าซื้อกิจการ Compuware ผู้พัฒนาโซลูชันซอฟต์แวร์บนเมนเฟรม โดยไม่เปิดเผยมูลค่าของดีล
การควบรวมกิจการของสองบริษัทนี้ BMC ระบุว่าจะทำให้บริษัทมีชุดเทคโนโลยีสำหรับลูกค้าองค์กรในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ DevOps ที่ครบถ้วนมากขึ้น ทั้งการจัดการเมนเฟรม, ความปลอดภัยไซเบอร์, การพัฒนาแอพพลิเคชั่น, การจัดการข้อมูล และการจัดการสตอเรจ
ที่น่าสนใจคือทั้ง BMC และ Compuware เป็นสองบริษัทซอฟต์แวร์บนเมนเฟรมที่เป็นคู่แข่งมานาน ซึ่งก็มาควบรวมกิจการกันในที่สุด
ที่มา: BMC และ ZDNet |
# Sea รายงานผลประกอบการไตรมาส ทั้ง Garena และ Shopee ยังเติบโตมากกว่า 100%
Sea กลุ่มบริษัทแม่ของ Garena และ Shopee รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2019 มีรายได้รวมทั้งกลุ่ม 909.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 133.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 EBITDA (กำไรก่อนดอกเบี้ย-ภาษี-ค่าเสื่อมราคา-ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย) ขาดทุน 104.9 ล้านดอลและขาดทุนสุทธิ 281.9 ล้านดอลลาร์
กลุ่มธุรกิจสื่อบันเทิงดิจิทัล (Garena) มีรายได้ 479.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 107.4% จำนวนผู้ใช้งานในไตรมาส (QAUs) เพิ่มขึ้นเป็น 354.7 ล้านบัญชี มีจำนวนผู้ใช้งานแบบเสียเงิน 9.4% ของผู้ใช้งานรวม
Garena ยังประกาศความสำเร็จของ Free Fire เกมที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาเอง ว่าเป็นเกมมือถือที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในปี 2019 ตัวเกมยังทำเงินสูงสุดในภูมิภาคละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (Shopee) รายได้รวม 358.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 182.3% EBITDA ขาดทุน 306.2 ล้านดอลลาร์ มีจำนวนออเดอร์เพิ่มขึ้นเป็น 440.5 ล้านคำสั่ง และมียอดขายสุทธิ (GMV) 5,645.9 ล้านดอลลาร์
ที่มา: Sea |
# GitHub ประกาศมาตรการรับมือ COVID-19: สนับสนุนให้ทำงานที่บ้าน, หยุดการเดินทางทั้งหมด, จัดอีเวนท์เป็นออนไลน์
GitHub ประกาศมาตรการรับมือโรค COVID-19 โดยส่วนที่กระทบคนภายนอกที่สุดคืองาน GitHub Satellite ที่เดิมมีกำหนดจัดเดือนพฤษภาคมที่กรุงปารีส จะกลายเป็นงานดิจิทัลแทน
นอกจากตัวงานแล้ว ทาง GitHub ยังประกาศมาตรการสำหรับพนักงานออกมาอีกชุด ได้แก่
หยุดการของพนักงานเดินทางที่ไม่จำเป็นไว้ชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือข้ามประเทศ โดยจะพิจารณานโยบายนี้ใหม่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
สนับสนุนให้พนักงานทำงานที่บ้าน แม้ก่อนหน้านี้ GitHub จะทำงานแบบกระจายตัวกันทั่วโลกอยู่แล้วก็ตาม
ขอให้พนักงานที่มีอาการป่วยให้ลาพักทั้งหมด พนักงานที่ไม่ป่วยให้ล้างมือบ่อยๆ, ไม่จับใบหน้า, และฝึกการวางระยะห่างระหว่างกัน
เพิ่มการทำความสะอาดสำนักงานในซานฟรานซิสโกและยุโรป และประเมินสำนักงานทั้งหมด รวมถึง co-working space ที่พนักงานใช้งานใหม่ว่ามีความเสี่ยงหรือไม่
ก่อนหน้านี้กูเกิลในไอร์แลนด์ก็ให้พนักงานทำงานที่บ้านไปก่อนแล้ว
ที่มา - GitHub |
# ทำงานที่บ้านสู้โรค COVID-19 กูเกิลปลดล็อก Hangouts Meet ให้ผู้ใช้ G Suite ทุกราย
กูเกิลประกาศปลดล็อกบริการ Hangouts Meet ระดับ Enterprise ให้กับผู้ใช้ G Suite ทุกราย รวมถึง G Suite for Education
Hangouts Meet เป็นฟีเจอร์มาตรฐานของ G Suite อยู่แล้ว แต่การปลดล็อกจะทำการประชุมสามารถมีผู้ร่วมได้ถึง 250 คน, สามารถเซฟวิดีโอการประชุมลง Google Drive ได้, และสามารถถ่ายทอดสดการประชุมออกไปผู้ชมอื่นๆ ได้ถึงแสนคน โดยปกติรุ่นต่ำกว่า Enterprise ไม่มีฟีเจอร์ถ่ายทอดสด
การเพิ่มฟีเจอร์นี้จะฟรีจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ทางกูเกิลสัญญาว่าจะขยายเซิร์ฟเวอร์ให้รองรับผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นได้โดยเสถียรเท่าเดิม
ที่มา - Google Cloud Blog |
# ศูนย์มั่นคงไซเบอร์อังกฤษแนะนำการใช้กล้องวงจรปิดต่อเน็ต: เปลี่ยนรหัสผ่าน, อัพเดตเฟิร์มแวร์, ปิดฟีเจอร์ที่ไม่ใช้
ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์สหราชอาณาจักร (National Cyber Security Centre - NCSC) ออกคำแนะนำการใช้กล้องวงจรปิดและกล้องดูแลเด็ก (baby monitor) ให้ปลอดภัย โดยแนะนำ 3 ข้อใหญ่ได้แก่
เปลี่ยนรหัสผ่านเสมอ เมื่อซื้ออุปกรณ์มาใหม่และมีรหัสผ่านเริ่มต้นมาให้ คำแนะนำคืออย่าใช้รหัสผ่านพบบ่อย หรือหากคิดไม่ออกว่าจะตั้งรหัสอย่างไรทาง NCSC แนะนำให้สุ่มสามคำ มาเป็นรหัสผ่าน
อัพเดตซอฟต์แวร์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเฟิร์มแวร์ในกล้องและแอป การอัพเดตลดช่องโหว่และยังอาจได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเติม
ปิดฟีเจอร์ที่ไม่ได้ใช้เสีย โดยเฉพาะฟีเจอร์การดูภาพวงจรปิดผ่านอินเทอร์เน็ต ที่หลายคนอาจจะติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้บันทึกภาพเฉยๆ ก็สามารถตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปเลย
นอกจากการปิดฟีเจอร์ของกล้องแล้ว ทาง NCSC ระบุว่าอาจจะพิจารณาปิดฟีเจอร์ของเราท์เตอร์ เช่น UPnP และ port forwarding ไปด้วยหากไม่ได้ใช้งาน แต่ก็เตือนว่าอาจะทำให้บางบริการใช้งานไม่ได้
คำแนะนำข้อแรกนั้นสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลอังกฤษที่กำลังผลักดันกฎหมายห้ามไม่ให้อุปกรณ์ IoT ใช้งานรหัสผ่านเริ่มต้นเหมือนกันทุกเครื่อง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกยิงรหัสผ่านขึ้นมาก
ที่มา - NCSC
ภาพโดย cctvsmartsystems |
# Let's Encrypt พบบั๊กระบบออกใบรับรอง เตรียมยกเลิกใบรับรอง 3 ล้านใบวันที่ 4 มีนาคมนี้
Let's Encrypt ประกาศพบบั๊กในระบบออกใบรับรอง ทำให้มีการออกใบรับรองโดยตรงสอบไม่ครบถ้วน และจำเป็นต้องยกเลิก (revoke) ใบรับรองที่ตรวจสอบไม่ครบนี้ออกจากระบบ รวมใบรับรองที่กระทบ 3,048,289 ใบ จากใบรับรองที่ยังใช้งานได้ตอนนี้ 116 ล้านใบ หรือคิดเป็น 2.6%
บั๊กนี้เกิดจากข้อกำหนดที่หน่วยงานออกใบรับรองต้องเช็ค DNS ในส่วน CAA ที่อาจจะจำกัดหน่วยงานที่ออกใบรับรองก่อนออกใบรับรองเสมอ แต่ซอฟต์แวร์ของ Let's Encrypt กลับจำค่าเดิมไว้นานถึง 30 วัน ทำให้กรณีที่เจ้าของโดเมนแก้ไขค่า CAA จน Let's Encrypt ไม่ควรจะออกใบรับรองได้แล้ว และมีเจ้าของโดเมนขอให้ Let's Encrypt ออกใบรับรองอีกครั้งก็จะกลายเป็นออกใบรับรองได้
การใช้งาน CAA เช่นบริการคลาวด์ที่มักให้ชื่อโดเมนสำหรับเซิร์ฟเวอร์ทุกตัวมา ภายใต้โดเมนของผู้ให้บริการคลาวด์ โดเมนเหล่านั้นมักล็อกไม่ให้ใครออกใบรับรองเข้ารหัส
ใบรับรองทั้งหมดจะถูกยกเลิกในวันที่ 4 มีนาคมนี้ โดยยึดเส้นแบ่งเวลา UTC เป็นสำคัญ และการยกเลิกจะเป็นช่วงเวลาใดของวันที่ 4 มีนาคมก็ได้
ที่มา - Let's Encrypt 1, 2
ภาพโดย skylarvision |
# Docker Compose เวอร์ชัน 1.26 จะรองรับฟีเจอร์ context สามารถดีพลอยข้ามเครื่องได้ง่ายขึ้น
Docker Compose เครื่องมือสำหรับดีพลอย Docker หลาย ๆ คอนเทนเนอร์ด้วยการเขียนไฟล์ YAML เพียงไฟล์เดียวเตรียมออกเวอร์ชัน 1.26 โดยรอบนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใช้ Docker Context เพื่อการดีพลอยข้ามเครื่อง
แต่เดิม Docker Compose ถูกออกแบบมาให้ดีพลอยบนเครื่อง localhost เพียงเครื่องเดียว แต่ช่วงหลัง Docker ถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายและเกินกว่าที่ทีมงานคาดไว้แต่แรก Docker Compose จึงเพิ่ม environment variable ที่ชื่อว่า DOCKER_HOST และ argument ใส่ command line คือ -H หรือ --host ให้ดีพลอยข้ามเครื่องได้ แต่คอมมานด์เหล่านี้ก็ยังถือว่ายากต่อการใช้งานอยู่ดี
Docker จึงประกาศว่า ตั้งแต่เวอร์ชัน 1.26.0-rc2 เป็นต้นไป Docker Compose จะสามารถใช้ Docker Contexts เพื่อดีพลอยข้ามเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยวิธีเปลี่ยน environment ก็เพียงแค่สลับ context เท่านั้น
แต่เดิม การรันด้วยคอมมานด์ Docker Compose จะใช้วิธี เช่น DOCKER_HOST=“ssh://user@remotehost” docker-compose up -d ซึ่งเมื่อมี Docker Contexts แล้วก็สามารถตั้งค่า context ในตัว Docker จากนั้นก็สั่ง docker-compose --context remote up -d ก็สามารถดีพลอยบนเครื่องอื่น ๆ ได้แล้ว
วิธีตั้งค่า Docker Contexts สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก Docker Docs
ที่มา - Docker Blog
ภาพจาก Docker |
Subsets and Splits