txt
stringlengths 202
53.1k
|
---|
# Twitter ให้ผู้ใช้ทุกคนสร้างห้องคุยใน Spaces ได้แล้ว ไม่จำกัดว่าต้องมีอย่างน้อย 600 Followers
Twitter ประกาศว่าผู้ใช้งานทั้งบน Android และ iOS สามารถสร้างห้องคุยสด Spaces ได้แล้ว โดยไม่จำกัดว่าต้องมีผู้ติดตามจำนวนเท่าใด จากเดิมเงื่อนไขคือต้องมีผู้ติดตาม 600 คน ขึ้นไป การสร้างห้องคุยทำได้โดยไปที่ปุ่ม Compose แล้วเลือก Spaces
ช่วงที่ผ่านมา Spaces ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่หลายอย่าง อาทิ ระบบ co-Host, การเปิด API สำหรับนักพัฒนา, ระบบขายตั๋วเข้า Spaces ก่อนที่จะเปิดให้ผู้ใช้งานทุกคนสร้างห้องสนทนาได้
ที่มา: Engadget |
# Intel ไตรมาส 3/2021 รายได้รวมโต 5% จากดีมานด์ของลูกค้าองค์กร
อินเทลรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 รายได้รวมตามบัญชีแบบ GAAP 19,192 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 6,823 ล้านดอลลาร์
ในไตรมาสที่ผ่านมารายได้จากส่วนธุรกิจ Internet of Things ทำสถิติใหม่สูงสุด 1,042 ล้านดอลลาร์ ส่วนกลุ่ม Data Center และ Mobileye ก็ทำสถิติสูงสุดสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี
กลุ่ม Client Computing ยังเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของอินเทล 9,664 ล้านดอลลาร์ ลดลง 2% สาเหตุหลักจากยอดขายลดลงส่วนโน้ตบุ๊ค แต่ได้เดสก์ทอปที่รายได้เพิ่มขึ้นเยอะมาชดเชย กลุ่ม Data Center รายได้เพิ่มขึ้น 10% เป็น 6,496 ล้านดอลลาร์ จากความต้องการของลูกค้าองค์กรที่แข็งแกร่ง แม้จะเจอปัญหาซัพพลายเชน
ซีอีโออินเทล Pat Gelsinger กล่าวว่าไตรมาส 3 ยังคงมีแนวโน้มที่ดีสำหรับความต้องการสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ ตอนนี้โฟกัสของอินเทลคือยุทธศาสตร์ IDM 2.0 ที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก ซึ่งยังคงดำเนินไปตามแผนและเห็นโอกาสอีกมาก
อินเทลยังแจ้งว่าซีเอฟโอ George Davis เตรียมเกษียณในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
ที่มา: อินเทล |
# ไม่ใช่เรื่องเฉพาะประเทศไทย ย้อนดูรายงานการโจมตีสุ่มเลขบัตรเครดิตตั้งแต่ปี 2020 ของ Privacy.com
เหตุการณ์บัตรเครดิตและบัตรเดบิตถูกดูดเงินในประเทศไทยทำให้คนตั้งคำถามกันจำนวนมากว่า "แล้วทำไมมาโดน (เฉพาะ) ที่ประเทศไทย" แต่ในความเป็นจริงแล้วการโจมตีแบบ Enumeration Attack นั้นมีมาแล้วระยะหนึ่ง แม้ Visa จะออกรายงานแจ้งเตือนแต่ธนาคารที่ถูกโจมตีไม่ค่อยออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะกันบ่อยนัก ยกเว้น Privacy.com ผู้ให้บริการเลขบัตรเครดิตชั่วคราว
Privacy.com รายงานถึงเหตุการณ์ช่วงต้นปี 2020 ที่บริษัทถูกยิงคำสั่งจ่ายเงินจำนวนมาก จากร้านค้า 5 รายในเยอรมนี, นิวซีแลนด์, และสหราชอาณาจักร โดยทาง Privacy.com ระบุว่าร้านค้าเหล่านี้น่าจะเป็นเหยื่อของคนร้ายอีกที โดยคนร้ายอาจจะถูกแฮกระบบหรืออย่างน้อยก็ข้ามระบบจำกัดปริมาณการจ่ายเงิน (rate limit) โดยเชื่อว่าคนร้ายอาศัย botnet เข้าไปโจมตีตัวร้านค้า
ภาพโดย flyerwerk
เนื่องจาก Privacy.com เป็นผู้ออกเลขบัตร ทำให้เห็นกระบวนการของคนร้าย เป็นขั้นดังนี้
คนร้ายสั่งจ่ายแบบไม่มีเลข CVV และวันหมดอายุ ซึ่งเป็นคำสั่งขอจ่ายเงินที่ทำได้ โดยไม่สนใจว่าการจ่ายสำเร็จหรือไม่ แต่รอดูคำข้อความการจ่ายเงินไม่สำเร็จ
หากข้อความจ่ายเงินไม่สำเร็จ ไม่ใช่ "invalid card number" ที่แปลว่าเลขบัตรผิดแต่เป็นข้อความอื่น เช่น ข้อมูลบัตรไม่บัตรไม่ถูกต้อง, หรือการจ่ายเกินวงเงิน แปลว่าเลขบัตรนี้ใช้งานได้
หลังจากได้เลขบัตรที่ถูกต้องแล้ว คนร้ายจะพยายามหาวันหมดอายุ โดยทั่วไปแล้วบัตรมีอายุ 4-6 ปี การหาวันหมดอายุจึงไม่ยากเกินไป
หลังจากได้วันหมดอายุแล้ว (Privacy.com ไม่ระบุว่าดูข้อความอะไร) คนร้ายจะไปหาบริการอื่นๆ ที่คนร้ายสามารถดึงเงินออกจากระบบได้ เช่น บริการโอนเงิน หรือบัญชีผู้ค้าของคนร้ายเองโดยตรง แล้วสั่งจ่ายเงินก้อนใหญ่ขึ้น โดยใช้เลขบัตรพร้อมวันหมดอายุ (ไม่มี CVV อยู่ดี) ไปที่บริการนั้น
เลขบัตรมีจำกัด ทำให้เดาง่าย
แม้เลขบัตรจะมีความยาวถึง 16 หลักซึ่งน่าจะทำให้คนร้ายต้องคาดเดาเลขบัตรจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เลขบัตร 6 ตัวแรกนั้นเป็นหมายเลขประจำตัวธนาคารผู้ออกบัตร (Issuer Identifier Number - IIN) และหลักสุดท้ายเป็น Luhn checksum (คิดโดย Hans Peter Luhn นักวิทยาศาสตร์ของ IBM เมื่อปี 1960)
โค้ด Luhn checkum สำหรับหาเลขบัตรหลักที่ 16 ในภาษาไพธอน
การที่หมายเลขบัตรเหลือให้ธนาคารใช้ได้เพียง 9 หลักเช่นนี้ ทำให้อัตราการสุ่มเลขมั่วๆ ก็พบได้ไม่ยากนัก ธนาคารที่ใช้ IIN เดียวออกบัตร 10 ล้านใบ หากคนร้ายสุ่มเลขมั่ว 100 ครั้งก็มีโอกาสพบบัตรสักใบถึง 63% และหากสุ่ม 500 ครั้งก็มีโอกาสสูงถึง 99%
ในเอกสารแจ้งเตือนของ Visa ยังแจ้งเตือนธนาคารผู้ออกบัตร ไม่ให้ออกเลขบัตรเรียงกันเป็นตับ (sequential PAN) ที่เลขบัตรออกติดๆ กันและมีวันหมดอายุตรงกัน ซึ่งหากธนาคารไม่ทำตามคำแนะนำและออกเลขบัตรเป็นชุดๆ ก็จะคาดเดาง่ายอย่างยิ่ง
ในกรณีของ Privacy.com ทางบริษัทไม่เปิดเผยว่ามีเลขบัตรถูกสุ่มจนพบเลขบัตรเท่าใด แต่เนื่องจากลักษณะบริการของ Privacy.com นั้นเป็นการสร้างหมายเลขบัตรหนึ่งเลขเพื่อผู้ค้าหนึ่งราย ผู้ใช้แต่ละคนสามารถสร้างหมายเลขบัตรได้ไม่จำกัด แต่หากผู้ใช้สร้างหมายเลขบัตรแล้วไม่เคยใช้กับผู้ค้ารายใดแล้วคนร้ายสุ่มมาเจอหมายเลขบัตรนั้นก็ยังสั่งจ่ายได้ โดยมีเลขบัตรที่คนร้ายสั่งจ่ายได้จริงในเหตุการณ์นี้ 0.04% ของบัตรที่คนร้ายสุ่มจนเจอเลขบัตรทั้งหมด
ที่มา - Privacy.com |
# Pine64 เปิดตัวมือถือพลังลินุกซ์ PinePhone Pro
Pine64 เป็นบริษัทผลิตบอร์ดและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในสายลินุกซ์ ล่าสุดเปิดตัวมือถือใหม่ ชื่อ PinePhone Pro โดยเป็นโทรศัพท์มือถือที่ทำงานด้วยลินุกซ์
จากเดิมที่ทาง Pine64 มีมือถือของตัวเองในชื่อ PinePhone ซึ่งเป็นมือถือที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการสายลินุกซ์เต็มตัว ไม่ใช่การพอร์ตบนฐาน Android เหมือนมือถือรุ่นอื่น ๆ และสามารถ flash รอมเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ทำให้ PinePhone สามารถทำงานด้วยระบบปฏิบัติการอย่าง Ubports (พัฒนาต่อจาก Ubuntu touch), postmarketOS และอื่น ๆ รวมไปถึง Debian ตัวเต็มได้อีกด้วย
PinePhone Pro มีสเปคดังนี้
CPU: Rockchip RK3399S 64bit SoC – 2x A72 and 4x A53 CPU cores @ 1.5GHz
GPU: ARM Mali T860 4x core GPU @ 500MHz
RAM: 4GB LPDDR4 @ 800MHz
กล้องหลัง 13 MP Sony IMX258 และกล้องหน้า 5MP OmniVision OV5640
พื้นที่ 128GB eMMC ใส่ micro SD card ได้
ตั้งราคาขายที่ 399 ดอลลาร์ เปิดพรีออเดอร์แล้วโดยยังจำกัดเฉพาะนักพัฒนาเท่านั้น
ที่มา: Omgubuntu และ Pine64 |
# Sony เปิดตัว A7 IV กล้อง Mirrorless เซนเซอร์ฟูลเฟรมใหม่ ยกอัลกอริทึมโฟกัสมาจาก A1
Sony เปิดตัวกล้อง Alpha 7 IV เป็นกล้อง mirrorless เซนเซอร์ฟูลเฟรมตัวใหม่ โดยจุดเด่นคือระบบโฟกัสที่ทำงานได้เร็วขึ้นด้วยอัลกอริทึมที่ยกมาจาก Sony A1
ตัวกล้อง Sony A7 IV ใช้เซนเซอร์ฟูลเฟรม BSI-CMOS 33 ล้านพิกเซล พร้อมหน่วยประมวลผล BIONZ XR มีช่วง ISO ที่ 50-204,800 และไดนามิกเรนจ์กว้างสุดถึง 15 สต็อป
ส่วนออโต้โฟกัสปรับปรุงใหม่ มีจุดโฟกัสแบบ phase detection 759 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 94% และ Sony ยกอัลกอริทึมจากกล้อง A1 มาใส่ในบอดี้ของ A7 IV สามารถตรวจจับวัตถุได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่มนุษย์, สัตว์ หรือแม้กระทั่งตาของนก ซึ่งระบบ subject-aware tracking นี้สามารถใช้งานในโหมดวิดีโอได้ด้วย โดย Sony ระบุว่าระบบถ่ายภาพต่อเนื่องเมื่อเปิดโหมด AF/AE tracking สามารถถ่ายภาพรัวได้สูงสุดถึง 10 ภาพต่อวินาที
ในด้านวิดีโอ A7 IV ถ่ายวิดีโอได้สูงสุดถึง UHD 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาทีโดยใช้เซนเซอร์เต็มความกว้าง หรือ 60 เฟรมต่อวินาทีโดยอ่านข้อมูลจากเซนเซอร์ในขนาดกว้างเทียบเท่า APS-C
ด้านหลังตัวกล้องมีช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ 3.69 ล้านจุด พร้อมจอสัมผัสแบบปรับหมุนได้ และเมนูในตัวกล้องปรับปรุงเลย์เอาท์จากตัว A7S III
Sony เตรียมวางจำหน่าย Alpha 7 IV ในเดือนธันวาคมนี้ สำหรับราคาบอดี้โดยประมาณอยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์หรือราว 83,000 บาท
ที่มา - dpreview |
# ซื้อการ์ดจอไม่ได้ก็เช่าเอา NVIDIA นำ RTX 3080 มาใส่คลาวด์ GeForce Now แล้ว
NVIDIA ประกาศอัพเกรดเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการคลาวด์เกมมิ่ง GeForce Now เพิ่มตัวเลือกเป็นจีพียู RTX 3080 ให้เล่นเกมภาพสวยๆ ได้ลื่นๆ กว่าใคร
NVIDIA ระบุว่ารองรับการเล่นเกมความละเอียด 1440p ที่ 120FPS บนพีซีและแมค ถ้าหากต้องการ 4K ที่ 60 FPS จำเป็นต้องใช้บนเครื่อง NVIDIA Shield เท่านั้น ส่วนซีพียูก็อัพเกรดเป็น AMD Ryzen Threadripper Pro เพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุดเช่นกัน
การอัพเกรดเครื่องของ GeForce Now รอบนี้ทำให้บริการคลาวด์เกมมิ่งของ NVIDIA มีสมรรถนะสูงที่สุด เหนือกว่าคู่แข่งทั้ง xCloud ของไมโครซอฟท์และ Google Stadia โดย NVIDIA โฆษณาว่าเป็นวิธีอัพเกรดกราฟิกเครื่องที่สะดวกที่สุด และสเปกเหนือกว่าค่าเฉลี่ยโน้ตบุ๊กจากสถิติของ Steam ถึง 70 เท่า
อย่างไรก็ตาม บริการพรีเมียมแบบนี้ต้องจ่ายเพิ่ม โดยผู้ที่จะเล่นเกมด้วย RTX 3080 จะต้องจ่ายเพิ่มอีกในราคา 99.99 ดอลลาร์ต่อระยะเวลา 6 เดือน (เพิ่มจากสมาชิก GeForce Now ตามปกติ) และในช่วงแรกจำกัดการสมัครเฉพาะสมาชิกกลุ่ม Founders และ Priority เท่านั้น
บริการเครื่อง RTX 3080 จะยังมีเฉพาะในอเมริกาเหนือ (พฤศจิกายน) กับยุโรปตะวันตก (ธันวาคม) และไม่ต้องพูดถึงว่า GeForce Now ทั้งหมดไม่ให้บริการในไทยมาตั้งแต่แรก
ที่มา - NVIDIA |
# CD Projekt Red เลื่อนอัพเดต next-gen ของ The Witcher 3 และ Cyberpunk 2077 ไปเป็นปีหน้า
CD Projekt Red [เลื่อนกำหนดการออกอัพเดต next-gen ฟรีให้กับทั้ง Cyberpunk 2077 และThe Witcher 3 จากเดิมที่มีกำหนดภายในปีนี้ ไปเป็นปี 2022
ตามกำหนดใหม่เกม Cyberpunk 2077 เวอร์ชั่น PS5 และ Xbox Series X|S จะได้อัพเดตช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 ส่วนอัพเดตของ The Witcher 3 ที่ชาว PC ได้อัพเดตด้วย จะตามมาช่วงไตรมาสที่สองของปี โดย CD Projekt Red ระบุว่าการเลื่อนกำหนดการนี้มาจากคำแนะนำจากทีมดูแลการพัฒนาทั้งสองอัพเดต และต้องการให้เกมออกมาดีที่สุด
ที่มา - PC Gamer |
# ปวงกาชาหลั่งน้ำตา ค่าเติมเกม Genshin Impact พุ่งกระฉูด หลังโดนทั้งภาษี e-Service และค่าเงินบาทอ่อน
Genshin Impact ขึ้นราคาไอเท็มในเกมครั้งใหญ่บน หลังเริ่มเก็บภาษี e-Service 7% การปรับราคาครั้งนี้ทำราคานี้ทำให้ราคาเพชร Genesis Crystals แพ็ค 0.99 ดอลลาร์ ขึ้นราคาจาก 30 บาท เป็น 35 บาท และแพ็ค 99.99 ดอลลาร์ ขึ้นราคาจาก 3,000 บาท เป็น 3,700 บาทเลยทีเดียว แปลว่าน่าจะมีการปรับราคาจากส่วนอื่นเพิ่มด้วย
เพจเฟซบุ๊กเพจทางการของ Genshin Impact ประเทศไทย โพสต์เพียงแค่ว่ามีการปรับราคาสินค้าภายในเกม และให้ตรวจสอบราคาจริงที่ต้องจ่ายเป็นหลักเท่านั้น
ราคานี้มีผู้พบว่าถูกปรับใน iOS ก่อน แต่ปัจจุบันผู้เล่นบน PC และ Android ก็พบว่าราคาถูกปรับจนเท่ากับใน iOS แล้วเช่นกัน และเพราะราคาที่เพิ่มขึ้นมา แพงกว่า 7% คือเพิ่มขึ้น 16% ในแพ็คราคา 35 บาท และ 23% ในแพ็ค 3,700 บาท ทำให้ผู้เล่นสันนิษฐานว่านอกจากการเก็บภาษีแล้ว อาจมีการปรับฐานค่าเงินดอลลาร์ต่อบาทร่วมด้วย อิงจากราคาแพ็คราคา 0.99 ดอลลาร์ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 35 บาท
ที่มา - ราคาในร้านค้า Genshin Impact, Facebook Group: Genshin Impact Thailand |
# vivo TWS 2 หูฟังพรีเมียมไร้สาย พร้อมเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ
สาวก vivo คงจะได้สัมผัสกับสมาร์ทโฟน vivo X70 Series 5G ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่จากบทความที่ Blognone รีวิวไปแล้ว
ซึ่งอีกโปรดักต์ที่เปิดตัวมาพร้อมกันคือ vivo TWS 2 หูฟังไร้สายตัวท็อป ที่คราวนี้มาในดีไซน์ต่างจากรุ่นก่อนหน้า ตัวเคสมีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นจึงการันตีได้เลยว่า vivo TWS 2 จะมาพร้อมแบตเตอรีที่อึดขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
ความน่าสนใจคือ เจ้าหูฟังตัวนี้อัดฟีเจอร์พรีเมียมมาให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวนหรือ ANC (Active Noise Cancellation) คุณภาพเสียงชัดระดับ DEEP-HD Audio โดยทั้งหมดนี้มาในราคาเพียง 2,999 บาท
โดย vivo เปิดตัวหูฟังมาสองรุ่นคือ vivo TWS 2 และรุ่นเล็ก vivo TWS 2e ในบทความนี้เราจะมารีวิวความเทพของหูฟังตัวนี้มาให้อ่านกัน
ก่อนเริ่มเข้าใช้งานจริง มาดูที่ตัวสเปก vivo TWS 2 กันก่อน
ขนาดของหูฟัง 23.8×22.2×30.2mm
ขนาดของเคสชาร์จ 60.0×24.3×45.4mm
น้ำหนักรวมเคสชาร์จ 41.9 กรัม
น้ำหนักหูฟัง 4.7 กรัมต่อข้าง
ตัวหูฟังมีมาตรฐานกันน้ำและกันฝุ่น IP54
รองรับBluetooth เวอร์ชั่น 5.2
เซ็นเซอร์รองรับตรวจจับการสวมใส่ทั้ง 2 ข้าง
รองรับ Google Fast Pair
การเชื่อมต่ออัจฉริยะ Google Assistant, Find My TWS
รูปแบบการชาร์จ Type-C
ความจุแบตเตอรี่หูฟัง 43mAh (Min) × 2; 、45mAh (TYP) × 2
ความจุเคสชาร์จ 485mAh (Min); 505mAh (TYP)
ความรู้สึกจากการสวมใส่
เริ่มจากตัวหูฟัง ใช้ดีไซน์มีก้านยอดนิยม แต่จะมีขนาดที่สั้นกว่า ความรู้สึกแรกเมื่อใส่หูฟังคือแทบไม่รู้สึกถึงหูฟัง In-ear ในหูเลย เนื่องจากมีน้ำหนักเบามาก ตัวหูฟังมีน้ำหนักเพียงข้างละ 4.7 กรัมเท่านั้น นอกจากนี้ vivo ยังเพิ่มจุกหูฟังมาให้สามขนาดในกล่อง เพื่อให้เราสามารถเลือกขนาดจุกหูฟังที่เข้ากับรูหูของเราได้มากที่สุด
ตัวหูฟังมีส่วนประกอบด้วยยางซิลิโคนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้ขนาดพอดีกับใบหูของคคนเรา และด้วยน้ำหนักที่เบา ทำให้สวมใส่สบายตลอดทั้งวัน
และด้วยความสามารถกันน้ำและฝุ่น IP54 ทำให้สามารถใส่ออกกำลังกายในประเภทต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเหงื่อจะส่งผลประทบต่อประสิทธิภาพของหูฟัง
แตะเพียงครั้งเดียว เพื่อปิดเสียงที่ไม่ต้องการ ตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ
มาที่ฟังก์ชั่นเด็ดของ vivo TWS 2 คือระบบตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบชิปที่สามารถตัดเสียงรบกวน ช่วยขจัดเสียงรบกวนรอบข้างระหว่างการโทรและเพิ่มเสียงของเราและคู่สนทนาได้ไปพร้อมๆ กัน
vivo TWS 2 ใช้เทคโนโลยีระบบตัดเสียงรบกวนขั้นสูง สามารถปรับระดับการลดเสียงรบกวนได้อัตโนมัติ และฟีเจอร์ที่น่าประทับใจมากๆ คือ สามารถปรับแต่งเสียงได้เองถึงสามระดับ สูง กลาง ต่ำ สามารถเลือกระดับการตัดเสียงรบกวนให้เข้ากับความต้องการของตัวเองได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดเสียงรบกวนจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างออกไปได้ถึง 40 เดซิเบล เปิดโหมดการใช้งานได้ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว
vivo ยังออกแบบไมโครโฟนมาให้ทั้งด้านในและด้านนอก ทำให้สามารถจับเสียงรบกวนได้แบบเรียลไทม์
โดยไมโครโฟนด้านนอกเป็นบีมฟอร์มมิ่งคู่ สามารถตัดเสียงรบกวนจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ ส่วนไมโครโฟนภายในอีกตัวที่มี SNR สูง ที่จะช่วยรับเสียงของเราได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีท่อลมชนิดใหม่ซึ่งช่วยเพิ่มความต้านทานเสียงลมได้ แม้ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง หรือกำลังพูดคุยขณะวิ่งหรือปั่นจักรยาน
สรุปแบบง่ายๆ คือ vivo TWS 2 ตัวนี้ นอกจากตัดเสียงรบกวนภายนอกแล้ว ยังช่วยวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของผู้ใช้งานว่าอยู่ในสถานที่แบบไหน ก็จะปรับเพิ่มเสียงให้เราได้เรียลไทม์
vivo TWS 2 ยังมาพร้อมโหมดเปิดรับเสียงภายนอก หรือ Transparency Mode ด้วย ในกรณีที่เราอยากรับฟังเสียงภายนอกบ้างเพื่อความปลอดภัย ช่วยอำนวยความสะดวกไม่ต้องถอดหูฟังเข้าๆ ออกๆ ตลอดเวลา
คุณภาพเสียงระดับ DEEP-HD Audio
หูฟัง vivo TWS 2 ได้ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงอย่าง vivo Golden Ears Acoustics Lab ผู้ซึ่งพัฒนาจากสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิปเสียง Hi-Fi จนได้รับรางวัล vivo Golden Ears Acoustics มาพัฒนาระบบเสียงในตัวหูฟัง ผลลัพธ์ที่ได้คือ คุณภาพเสียงคมชัด ระดับคุณภาพ DEEP-HD
ตัว vivo TWS 2 ใช้เทคโนโลยีการส่งคลื่นเสียง เก็บรายละเอียดได้ดีและได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเสียงที่คมที่สุด ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนก็ตาม
ประกอบกับตัว ไดร์เวอร์ไดนามิกขนาด 12.2 mm ที่ให้ประสบการณ์การฟังเพลงใกล้เคียงกับการนั่งอยู่ในสตูดิโอ ทำให้การฟังเพลงบน vivo TWS 2 สามารถเก็บรายละเอียดเสียงเพลงได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสียงเบส และรายละเอียดเสียงร้องจะถูกขับออกมาให้กังวานยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์การฟังเลพงระดับพรีเมียมเลยทีเดียว
อีกฟีเจอร์ที่ชอบมากๆ คือโหมดเล่นเกมด้วยค่าความหน่วงต่ำ ซึ่งมันสำคัญมากๆ สำหรับการเล่นเกมพร้อมกับใส่หูฟัง ระยะระหว่างซาวด์เอฟเฟกต์ในเกม กับเสียงที่ออกมาจากหูฟัง มีความหน่วงเพียง 88 มิลลิวินาที หรือแทบไม่รู้สึกถึงความหน่วงของเสียงเลย
แบตเตอรีใช้งานยาวนาน สูงสุด 29 ชั่วโมง
ด้วยตัวเคส vivo TWS 2 ที่ใหญ่ขึ้น ย่อมมาพร้อมกับขนาดแบตเตอรีที่ใช้งานได้ยาวนานกว่า เมื่อเปิดระบบตัดเสียงรบกวน จะสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่องถึง 4.1 ชั่วโมง เมื่อปิดระบบตัดเสียงรบกวน จะสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่องถึง 7.3 ชั่วโมง และหากปิดโหมดตัดเสียงรบกวน หรือ ANC จะช่วยยืดเวลาแบตเตอรีออกไปได้ถึง 29 ชั่วโมง
ภาพรวม
เรียกได้ว่า vivo TWS 2 เป็นหูฟังราคาถูกที่มาพร้อมคุณสมบัติแบบ All-rouder หรือครอบคลุมครบทุกด้านทั้งพลังเสียงที่เทียบได้กับการนั่งฟังในสตูดิโอ พลังแบตเตอรีที่อยู่ได้นานกว่า 24 ชั่วโมง และที่สำคัญคือ คุณสมบัติตัดเสียงรบกวนรอบข้างอัจฉริยะ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในราคาเพียง 2,999 บาท
vivo ยังเปิดตัว vivo TWS 2e มาพร้อมกัน เป็นหูฟังรุ่นเล็ก ราคาย่อมเยากว่า เริ่มต้นที่ 2,499 บาทมาเป็นทางเลือกเพิ่มเติมด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=eBLVKm_oVNw
ทั้ง vivo TWS 2 และ vivo TWS 2e วางแล้วตามร้านค้าชั้นนำและช่องทางออนไลน์ |
# [ลือ] Mark Zuckerberg ยังไม่เคาะชื่อใหม่ Facebook, ชื่อที่เป็นไปได้คือ Horizon และ Meta
เว็บไซต์ Platformer ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นข่าวลือว่า Facebook จะเปลี่ยนชื่อบริษัท ว่าตอนนี้ Mark Zuckerberg ยังไม่ตกลงใจว่าจะเลือกชื่ออะไรดี ส่วนช่วงเวลาประกาศชื่อใหม่เป็นไปได้ตั้งแต่วันจันทร์หน้า (25 ต.ค.) ซึ่งเป็นการแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส ไปจนถึงงาน Oculus Connect ในวันพฤหัสหน้า (28 ต.ค.)
ไอเดียเรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook มีมานานตั้งแต่ปี 2016 โดย Antonio Lucio อดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาด (CMO) ในเวลานั้น ที่อยากเปลี่ยนชื่อบริษัทให้ต่างจากชื่อบริการ แต่ไอเดียนี้ไม่ได้รับการตอบรับ
ส่วนการกลับมาของไอเดียเปลี่ยนชื่อบริษัทรอบนี้ เกิดจากสองปัจจัย ปัจจัยแรกคือชื่อเสียงของบริษัทที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ โดนนักการเมืองเพ่งเล็งอยู่เสมอ และปัจจัยที่สองคือแอพ Facebook เริ่มไม่ใช่อนาคตของบริษัท (แม้ยังทำเงินมหาศาล) เพราะวัยรุ่นยุคใหม่นิยมไปใช้ Instagram มากกว่าแทน
ชื่อที่เป็นไปได้ที่ถูกพูดถึงคือ Horizon ซึ่งปัจจุบันใช้กับบริการโซเชียลแบบ VR (Horizon Worlds และ Horizon Workrooms) เพราะมีความหมายไปถึงวิสัยทัศน์ใหม่ Metaverse ที่บริษัทต้องการมุ่งไป ส่วนอีกชื่อหนึ่งคือ Meta โดยมีคนค้นพบว่าบริษัทในเครือข่ายของ Chan Zuckerberg Initiative (CZI) เป็นเจ้าของโดเมน meta.com อยู่ในตอนนี้ด้วย
ที่มา - Platformer |
# หุ่นยนต์ศิลปิน Ai-Da ถูกทางการอียิปต์จับตัว 10 วัน เพราะกลัวเป็นสายลับ
Ai-Da หุ่นยนต์ศิลปินที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์ตัวแรกของโลกจากประเทศอังกฤษ และ Aidan Meller ผู้สร้าง ถูกทางการอียิปต์กักตัวไว้ 10 วัน หลังมาถึงอียิปต์เพื่อเตรียมจัดแสดงงานศิลปะในบริเวณใกล้เคียงกับมหาพีระมิดในงาน Forever is Now สัปดาห์นี้
ทางการอียิปต์กังวลว่ากล้องในตาของ Ai-Da และโมเด็มในตัว จะสามารถทำให้ Ai-Da ล้วงความลับของทางการอียิปต์ได้ จึงกักตัวทั้ง Ai-Da และผู้สร้างเธอไว้จนกว่าจะยืนยันรายละเอียดได้ว่าพวกเขาไม่ใช่สายลับก่อนจะได้รับการประสานงานจากสถานทูตอังกฤษ และได้รับการปล่อยตัว
Meller ผู้สร้างระบุในช่วงถูกจับกุมว่าจะให้ถอดโมเด็มก็คงทำได้ แต่เรื่องให้ควักลูกตาเธอออกมานี่คงทำไม่ได้จริงๆ เขายืนยันว่า Ai-Da เป็นหุ่นยนต์ศิลปินจริงๆ และน่าตลกดีที่เธอถูกสร้างมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการขัดขวางการพัฒนาทางเทคโนโลยี จากความกลัวหุ่นยนต์ของมนุษย์ แล้วก็มาถูกจับด้วยสาเหตุใกล้เคียงกัน
ภาพจาก ai-darobot.com
ที่มา - Engadget |
# [Bloomberg] พนักงานแอปเปิลที่ยังไม่ได้รับวัคซีน จะต้องตรวจโควิดทุกครั้งที่เข้าออฟฟิศ
Bloomberg รายงานว่ามาตรการใหม่ของแอปเปิลในการเริ่มเปิดบริษัทให้พนักงานกลับเช้ามาทำงาน คือพนักงานที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือไม่แชร์ข้อมูลเรื่องการฉีดวัคซีน จะต้องเข้ารับการตรวจโควิด-19 แบบ ATK ทุกครั้งที่เข้ามาทำงานในสำนักงาน ส่วนพนักงานที่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็ยังต้องตรวจโควิด-19 เช่นกัน แต่ตรวจสัปดาห์ละครั้ง กฎนี้บังคับใช้กับพนักงานที่ร้านค้า Apple Stores ด้วย
อย่างไรก็ตาม Bloomberg ตั้งข้อสังเกตว่า กฎของแอปเปิลอาจต้องเปลี่ยนให้เข้มงวดขึ้นตามแนวทางรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าบริษัทที่มีบทบาทเป็นผู้รับเหมา หรือ contractor ของรัฐบาล ต้องกำหนดให้พนักงานในบริษัทนั้นๆ ฉีดวัคซีนให้ครบภายใน 8 ธันวาคม ซึ่งแอปเปิลก็เข้าช่าย เพราะขายสินค้าและบริการให้รัฐบาลด้วย
ภาพจากงาน Apple Event
ที่มา - MacRumors |
# AT&T ให้ลูกค้าเล่นเกม Batman: Arkham Knight ฟรีผ่านสตรีมมิ่ง ใช้เอนจิน Stadia
AT&T โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้ามือถือของตัวเองเล่นเกม Batman: Arkham Knight ได้ฟรีในแบบสตรีมมิ่ง (จำเป็นต้องมีเบอร์ AT&T Wireless เพื่อยืนยันตัวตน)
เบื้องหลังระบบสตรีมของ AT&T ใช้เอนจินของ Google Stadia (ที่มีเกม Batman: Arkham Knight ให้เล่นอยู่แล้ว) ถือเป็นครั้งแรกที่กูเกิลเปิดระบบ Stadia ให้พาร์ทเนอร์รายอื่นนำไปใช้งานภายใต้แบรนด์ตัวเอง (whitelabel) และอาจเป็นตัวอย่างโมเดลการหารายได้วิธีใหม่ๆ ของ Stadia ในอนาคต
เกม Batman: Arkham Knight ออกเมื่อปี 2015 เป็นผลงานของ Warner Bros. Games ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือ Warner Bros. ของ AT&T อยู่แล้ว (Warner Bros. กำลังจะแยกตัวจาก AT&T และไปควบรวมกับ Discovery ซึ่งกระบวนการยังไม่เสร็จสิ้น)
ที่มา - 9to5google |
# Red Hat ออกส่วนขยาย Java for VS Code เวอร์ชัน 1.0 รองรับ Java 17
Red Hat เป็นผู้พัฒนาส่วนขยายภาษา Java ให้กับ Visual Studio Code มาตั้งแต่ปี 2016 (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Language Support for Java by Red Hat ที่ไม่มีใครเรียก ทุกคนเรียก vscode-java) ผ่านมาหลายปี ส่วนขยายนี้เดินทางมาถึงเวอร์ชัน 1.0 แล้ว
VS Code มีเอนจินภาษาที่เรียกว่า Language Server Protocol (LSP) เปิดให้หน่วยงานอื่นๆ พัฒนาระบบรองรับภาษาโปรแกรมแต่ละตัวเข้ามาเชื่อมกับ VS Code ได้ง่าย ในปี 2016 วิศวกรของ Red Hat เลยลองนำโค้ดบางส่วนจาก Eclipse IDE มาแปลงให้ใช้งานกับ LSP และถูกใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน (โดยไมโครซอฟท์เข้ามาร่วมพัฒนาด้วย จนกลายเป็นส่วนขยาย Java ที่ไมโครซอฟท์แนะนำ)
สำหรับ vscode-java เวอร์ชัน 1.0.0 มีของใหม่ที่สำคัญคือ รองรับ Java 17 ที่เป็นเวอร์ชัน LTS, รองรับการแสดงข้อมูล Type Hierarchy ลำดับชั้นของตัวแปร, Source Lookup ค้นหาซอร์สโค้ดต้นฉบับในไลบรารีที่ใช้งาน เป็นต้น
ที่มา - Red Hat |
# โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดตัว TRUTH Social แพลตฟอร์มโซเชียลเพื่อยืนหยัดต่อการกดขี่ของ Big Tech
โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัวโซเชียลมีเดียใหม่ หลังจากถูกแบนในช่องทางหลักถาวร โดยโซเชียลใหม่ใช้ชื่อว่า Truth Social มีเป้าหมายเพื่อ "ยืนหยัดต่อต้านการกดขี่ของ Big Tech"
Truth Social ดำเนินการภายใต้บริษัท Trump Media and Technology Group โดยจะเปิดตัวเวอร์ชันเบต้าในวงจำกัดในเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าจะมีการเปิดตัวในวงกว้างขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022
ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า เราอยู่ในโลกที่กลุ่มตอลิบานปรากฏตัวใน Twitter แต่ประธานาธิบดีอเมริกันคนโปรดของคุณก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไร ซึ่งเขามีความรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ออกมาแสดงและพูดผ่าน Truth Social เพื่อต่อสู้กับ Big Tech ทั้งหลาย
แม้ทรัมป์จะมีท่าทีเกรียวกราดต่อ Big Tech ผ่านคำแถลง แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งยื่นฟ้องศาล เพื่อขอกู้บัญชีทวิตเตอร์คืนมา
สำหรับบริษัท Trump Media and Technology Group หรือ TMTG นั้นได้ทำข้อตกลงควบรวมกิจการกับ Digital World Acquisition Group บริษัทในไมอามีที่จดทะเบียนใน Nasdaq เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ที่มีทรัมป์เป็นประธาน ตามที่เนื้อหาประชาสัมพันธ์กล่าว
ที่มา - CNET |
# ใครๆ ก็ทำชิปเอง ข่าวลือ Oppo พัฒนาชิป SoC ใช้สำหรับมือถือ คาดออกปี 2023-2024
Nikkei Asia รายงานข่าวว่า Oppo เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายล่าสุดที่พยายามออกแบบชิป SoC ของตัวเอง และคาดว่าจะใช้งานได้จริงในราวปี 2023-2024
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลชิปของ Oppo มากนัก บอกเพียงว่าตั้งใจใช้โรงงานผลิตของ TSMC ระดับ 3nm, เน้นใช้ในมือถือไฮเอนด์ เพื่อลดการพึ่งพาชิปจาก Qualcomm และ MediaTek
แหล่งข่าวของ Nikkei บอกว่า Oppo เริ่มจ้างทีมออกแบบชิปมาตั้งแต่ปี 2019 หลังเห็นสหรัฐแบน Huawei ทำให้พยายามกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาชิปจากบริษัทภายนอกลง แนวทางของ Oppo ก็ใช้วิธีดึงตัวบุคลากรจากทั้ง Qualcomm, MediaTek และ Huawei มาทำงานด้วย โดยจ้างพนักงานทำงานในไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
Nikkei ชี้ว่าการออกแบบชิปเองไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ Xiaomi เคยพยายามพัฒนา SoC ของตัวเองมาก่อน แต่สุดท้ายก็เลือกทำเฉพาะชิปประมวลผลภาพเท่านั้น
ที่มา - Nikkei |
# Microsoft Flight Simulator ออกเวอร์ชัน GOTY เพิ่มเนื้อหา ผู้เล่นเดิมอัพเกรดฟรี
Microsoft Flight Simulator วางขายบนพีซีช่วงกลางปี 2020 นับมาถึงตอนนี้เป็นเวลาปีกว่า มีเนื้อหาอัพเดตแผนที่ เครื่องบิน สนามบินออกมาเรื่อยๆ ก็ได้เวลาจับมาแพ็คขายใหม่ในชื่อ Game of the Year (GOTY) Edition ตามธรรมเนียม
GOTY Edition จะเพิ่มเครื่องบินใหม่ 5 รุ่น สนามบินใหม่ 8 แห่ง ภารกิจใหม่ 6 ภารกิจ และฟีเจอร์ใหม่อย่างระบบสภาพอากาศที่อัพเดต และเตรียมอัพเกรดกราฟิกเป็น DirectX 12
ข่าวดีคือคนที่ซื้อเกมเวอร์ชันแรกไปแล้ว (ทั้งบน Xbox และพีซี) จะได้อัพเกรดฟรี ส่วนเกมเวอร์ชัน GOTY จะเริ่มวางขาย 18 พฤศจิกายนนี้ในราคาเดิม
ที่มา - Xbox |
# ซัมซุงออก Galaxy Z Flip3 Bespoke Edition เลือกสีฝาและกรอบได้เอง จับคู่สีได้
เมื่อคืนนี้ ซัมซุงมีงาน Galaxy Unpacked Part 2 ที่คาดกันว่าจะเปิดตัว Galaxy S21 FE แต่ก็เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เปิดตัวคือ Galaxy Z Flip3 Bespoke Edition เวอร์ชันเลือกสีของฝาพับด้านนอกได้เองแทน
ซัมซุงมีสีของฝาหน้า-หลังให้เลือก 5 สีคือ น้ำเงิน เหลือง ชมพู ขาว ดำ และกรอบเครื่อง 2 สีคือดำกับเงิน รวมทั้งหมด 49 ชุดสี ถ้าใช้ไปนานๆ แล้วเบื่อยังสามารถเปลี่ยนสีในภายหลังได้ ราคาขายในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นมาอีก 50 ดอลลาร์จากรุ่นฝาสีมาตรฐาน (จาก 1,049 ดอลลาร์เป็น 1,099 ดอลลาร์ มีเฉพาะรุ่นความจุ 256GB)
กระบวนการปรับแต่งและสั่งซื้อทั้งหมดต้องทำผ่านหน้าเว็บ Samsung.com ตอนนี้ยังให้บริการแค่ในบางประเทศ (ไม่มีไทย)
ที่มา - Samsung |
# Tesla ไตรมาสล่าสุด รายได้-กำไร ทำสถิติใหม่สูงสุดอีกครั้ง บริษัทคาดเติบโตได้มากกว่า 50% ต่อปี
Tesla รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 โดยทั้งรายได้และกำไรทำสถิติสูงสุดอีกไตรมาส รายได้รวม 13,757 เพิ่มขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มีกำไรสุทธิตามระบบบัญชี GAAP 1,618 ล้านดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญมาจากอัตรากำไรของธุรกิจรถยนต์ (Margin) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 30.5% เทียบกับปีก่อนตัวเลขนี้อยู่ที่ 27.7%
บริษัทบอกว่าในไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนของการผลิตมีความท้าทายหลายอย่าง ตั้งแต่ปัญหาชิปขาดแคลน ไปจนถึงปัญหาการขนส่งรถยนต์ทางเรือ และโรคระบาด ที่ส่งผลให้โรงงานไม่สามารถดำเนินงานได้เต็มประสิทธิภาพ แต่บริษัทก็เชื่อว่าทีมงานทุกฝ่ายสามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้
ตัวเลขที่น่าสนใจคือ Tesla บอกว่าจะขยายโรงงานการผลิตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมองไปในหลายปีข้างหน้า คาดว่าจะสามารถส่งมอบรถยนต์ด้วยอัตราที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 50% ต่อปี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณเครื่องจักร และประสิทธิภาพในการบริหารซัพพลายเชนด้วย
ที่มา: Tesla (pdf) |
# IBM รายงานผลประกอบการไตรมาส รายได้โตเล็กน้อย เตรียมแยก Kyndryl ออกมา ต้นเดือนหน้า
ไอบีเอ็มรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 มีรายได้รวม 17,618 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.3% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,130 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากไอบีเอ็มเตรียมแยกธุรกิจให้บริการ Infrastructure ออกไปในชื่อ Kyndryl ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ จึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถ้าปรับตัวเลขโดยแยกส่วน Kyndryl ออกไป รายได้รวมไอบีเอ็มจะเพิ่มขึ้น 2.5%
Arvind Krishna ซีอีโอไอบีเอ็ม กล่าวว่าหลังการแยกธุรกิจ Kyndryl ออกไปในต้นเดือนหน้า ไอบีเอ็มจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีแพลตฟอร์มด้านไฮบริดคลาวด์ และ AI เป็นศูนย์กลาง และยังดำเนินงานต่อเนื่องในธุรกิจซอฟต์แวร์และให้คำปรึกษา ซึ่งยังมีการเติบโตสูง
กลุ่มธุรกิจ Cloud & Cognitive Software ซึ่งรวม Red Hat ด้วย มีรายได้เพิ่มขึ้น 2.5% เป็น 5,692 ล้านดอลลาร์ ส่วนธุรกิจให้คำปรึกษา Global Business Services รายได้เพิ่มขึ้น 12% เป็น 4,427 ล้านดอลลาร์
ที่มา: ไอบีเอ็ม และ CNBC |
# เผย PayPal กำลังเจรจาซื้อกิจการ Pinterest มูลค่าดีล 39,000 ล้านดอลลาร์
CNBC รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Pinterest อยู่ในระหว่างขั้นตอนการเจรจา เพื่อขายกิจการให้ PayPal โดยตัวเลขนั้นมีสำนักข่าว Bloomberg ที่ระบุว่าอยู่ราว 70 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้มูลค่ากิจการ Pinterest ในดีลนี้อยู่ที่ 39,000 ล้านดอลลาร์
ตัวแทนของทั้ง Pinterest และ PayPal ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อข่าวดังกล่าว
แหล่งข่าวของ CNBC บอกว่า การเติบโตของ Shopify ที่ขยายจากอีคอมเมิร์ซมาสู่ระบบฟินเทคของตนเอง ทำให้ PayPal ต้องมองหากิจการที่จะซื้อเข้ามาเติมส่วนอีคอมเมิร์ซ จึงมาจบที่ Pinterest นั่นเอง
ที่มา: CNBC |
# ไมโครซอฟท์เปิดสโตร์แอปแอนดรอยด์ให้ใช้ใน Windows 11 Insider
ฟีเจอร์ของ Windows 11 ตั้งแต่เปิดตัวอันหนึ่งคือการรันแอปแอนดรอยด์ โดยติดตั้งผ่าน Amazon Appstore แต่หลังจาก Windows 11 ปล่อยออกมาก็ยังไม่มีฟีเจอร์นี้ในตัว วันนี้ไมโครซอฟท์ปล่อยฟีเจอร์นี้ใน Windows Insider แล้ว
แม้แอปใน Amazon Appstore จะจำกัดอยู่แล้ว แต่ไมโครซอฟท์ก็ระมัดระวังด้วยการปล่อยให้ใช้งานแอปเริ่มต้นเพียง 50 แอปเท่านั้น แล้วค่อยๆ เพิ่มแอปเข้ามาภายหลัง
แอปรันด้วยเทคโนโลยี Intel Bridge สำหรับแปลงโค้ด Arm ให้มารันบน x86 ตัวแอนดรอยด์ที่ใช้เป็น Android 11 AOSP
สำหรับนักพัฒนาที่ส่งแอปขึ้น Amazon Appstore อยู่แล้วสามารถสมัครขอส่งแอปขึ้น Windows 11 ได้ ไมโครซอฟท์ระบุว่าจะมีเครื่องมือดีบั๊กให้นักพัฒนาเหล่านี้ด้วย
ที่มา - Windows Blog |
# Visual Studio Code เปิดตัวเวอร์ชั่นเว็บ vscode.dev ใช้งานได้ทันที ไม่ต้องติดตั้ง
ไมโครซอฟท์เปิดตัวบริการ vscode.dev ที่เป็น Visual Studio Code เวอร์ชั่นย่อส่วนสำหรับใช้งานบนเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรลงเครื่อง หากใช้กับเบราว์เซอร์ที่รองรับ File System Access API (กลุ่ม Chromium รุ่นใหม่ๆ รับทั้งหมด) ก็จะจะเปิดไฟล์ในเครื่องได้ทันที
ความพิเศษของเวอร์ชั่นเว็บคือสามารถใช้ URL เพื่อระบุโครงการได้โดยตรงจาก GitHub และ Azure Repos เช่น https://vscode.dev/github.com/Microsoft/vscode ก็จะเปิดโค้ดของ VS Code มาแสดง นอกจากนี้ยังมี URL สำหรับธีมต่างๆ ให้เลือกใช้งาน ส่วนฟีเจอร์ Live Share บน VS Code ก็สามารถนำโค้ดมาแชร์บนเว็บชั่นเว็บได้เลย ทำให้ปลายทางไม่ต้องติดตั้ง VS Code แล้ว
เวอร์ชั่นในเบราว์เซอร์นี้รองรับฟีเจอร์ไม่เท่ากับในเวอร์ชั่นเดส์ทอป ส่วนเสริมบางส่วนใช้งานได้ด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มธีม, คีย์ลัด, และโค้ดย่อย (snippets) ส่วนที่ใช้งานไม่ได้มักเป็นตัวที่ใช้ API เจาะจงระบบปฎิบัติการบน Node.js
การรองรับภาษาในกลุ่มเว็บ HTML, JSON, Markdown, CSS, และ LESS นั้นเทียบเท่ากับบนเดสก์ทอป ส่วนภาษา TypeScript, JavaScript, Python นั้นค่อนข้างใกล้เคียงเดสก์ทอป ส่วนที่เหลือรองรับเบื้องต้น เช่นแสดงสี จับคู่วงเล็บ
ที่มา - VSCode |
# Raspberry Pi เจอปัญหาชิปขาดแคลน ขึ้นราคาอุปกรณ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ระบุขึ้นชั่วคราว
Raspberry Pi ประสบปัญหาชิปขาดตลาด ผลกระทบปี 2021 ทำให้บริษัทน่าจะผลิต Raspberry Pi ได้แค่ 7 ล้านชุดในปีนี้ (เท่าปี 2020) แม้ความต้องการจะมากขึ้น ทำให้อุปกรณ์เช่น Raspberry Pi Zero และ Raspberry Pi 4 รุ่น 2GB อาจขาดตลาด
Raspberry Pi คาดว่าปัญหาชิปขาดตลาดจะส่งผลกระทบในปี 2022 เช่นกัน แต่คราวนี้รุ่นที่ส่งผลกระทบหนักๆ จะเป็นรุ่นที่ใช้ชิปกระบวนการผลิต 40nm ซึ่งก็คือทุกรุ่นยกเว้น Raspberry Pi 4, Raspberry Pi 400, และ Compute Module 4 แต่จากเหตุอุปกรณ์ขาดแคลนก็จะทำให้กระทบถึงกันอยู่ดี
บริษัทจึงตัดสินใจขึ้นราคา Raspberry Pi 4 รุ่น 2GB กลับมาเป็น 45 ดอลลาร์ และนำ Raspberry Pi 4 รุ่น 1GB กลับมาขายใหม่ในราคา 35 ดอลลาร์ หลังเลิกผลิตและลดราคารุ่น 2GB เหลือ 35 ดอลลาร์ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 นับเป็นการขึ้นราคาครั้งแรกของ Raspberry Pi
ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ชิป 40nm ในปีหน้า บริษัทเน้นผลิต Compute Module 3, Compute Module 3+, Raspberry Pi 3B และลดการผลิต Raspberry Pi 3B+ ลง เหตุผลคือ 3 รุ่นแรกใช้วิทยุ single-band แบบไม่มี shield can ที่ลูกค้าองค์กรอาจลงทุนทำการทดสอบจดทะเบียนต่างๆ เพิ่มเติมไปก่อนแล้ว ส่วนรุ่น Raspberry Pi 3B+ นั้นจะใช้ชิปไวร์เลสที่ กสทช. สหรัฐฯ (FCC) รองรับ แบบเดียวกับ Raspberry Pi 4 ลูกค้าองค์จึงน่าจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นน้อยกว่า หากต้องขยับไปใช้ Raspberry 4 โดยบริษัทแนะนำให้ลูกค้าองค์กรเตรียมเปลี่ยนมาใช้ Raspberry Pi 4 รุ่น 1GB แทน
Raspberry Pi เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องชั่วคราว มองว่าเป็นเรื่องดีที่ยังตรึงราคารุ่นอื่นๆ ไว้ได้ รวมถึงระบุว่าบริษัทมีซัพพลายชิป 28nm เพียงพอสำหรับลูกค้า Raspberry Pi 4 และ Compute Module 4 รวมถึงลูกค้าที่อัพเกรดมาจาก Raspberry Pi 3B+ ไปอีกหนึ่งปีแน่นอน นอกจากนี้บริษัทยังเริ่มเห็นสัญญาณว่าปัญหาซัพพลายน่าจะเบาลงในไม่ช้า และจะปรับราคากลับลงมาให้เร็วที่สุด
ที่มา - Raspberry Pi |
# Stripe เข้าซื้อ Recko สตาร์ทอัพพัฒนาระบบกระทบยอดชำระเงินจากอินเดีย
บริษัทฟินเทคชื่อดัง Stripe ประกาศเข้าซื้อบริษัท Recko แพลตฟอร์มที่เน้นพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการเงินจากประเทศอินเดีย เพื่อขายธุรกิจระบบชำระเงินออกไปยังธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
Recko เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2017 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย โดย Recko เน้นทำแพลตฟอร์มเพื่อให้ภาคธุรกิจติดตามและกระทบยอดการชำระเงินแบบอัตโนมัติ (automate payment reconciliation) เพื่อช่วยลดงานทางบัญชี ปัจจุบัน Recko มีลูกค้าธุรกิจชื่อดังหลายราย เช่น Deliveroo, Meesho, PharmEasy
การเข้าซื้อครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ Stripe บุกตลาดอินเดีย โดย Stripe จะนำ Recko อินทิเกรตกับ payment stack และเป็นอีกครั้งหนึ่งของการขยายกิจการ Stripe ออกจากระบบชำระเงินซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท
ที่มา - Stripe, TechCrunch |
# Spotify ร่วมมือกับ Shopify ให้ศิลปินโปรโมตสินค้าของตัวเองผ่านโปรไฟล์ได้ง่าย ๆ
Spotify ระบบสตรีมมิ่งเพลงออนดีมานด์ประกาศร่วมมือกับ Shopify แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดัง โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเปิดให้ศิลปินเชื่อมบัญชีของตัวเองบน Spotify เข้ากับร้านใน Shopify ได้โดยตรง
วิธีใช้งานคือฝั่งศิลปินสามารถผูกร้านเข้ากับโปรไฟล์ของตัวเองแล้วเลือกรูปสินค้า 3 ชิ้นขึ้นมาโชว์บนโปรไฟล์ เป็นการเพิ่มช่องทางให้ศิลปินสามารถโปรโมตและขายสินค้าของตัวเองได้ง่ายขึ้น เป็นการสร้างรายได้ให้ศิลปินเอง รวมถึงให้แฟนเพลงอุดหนุนสินค้าของศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบได้สะดวกรวดเร็ว
ฟีเจอร์เชื่อมต่อร้านค้าใน Shopify เข้ากับโปรไฟล์ศิลปินใน Spotify ยังคงอยู่ในระหว่างทดสอบใช้งาน โดยตอนนี้ยังคงเปิดให้ใช้เฉพาะในออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และถ้าศิลปินคนไหนยังไม่มีร้านของตัวเอง Shopify ก็เปิดให้ใช้งานฟรี 90 วันด้วย
ที่มา - Spotify, TechCrunch |
# ไหนว่าไม่มา God of War เปิดจองบน PC แล้ว เตรียมวางขาย 15 มกราคม 2022
หลังกลางเดือนก่อน มีข่าวหลุด รายชื่อเกม PlayStation บน GeForce Now ก่อน NVIDIA จะออกมาปฏิเสธว่าเป็นแค่การทดสอบภายใน แต่วันนี้ หนึ่งในเกมที่เคยปรากฎในลิสต์อย่าง God of War ก็โผล่ขึ้นมาให้สั่งจองบน Steam และ Epic Games Store เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองเว็บลงวันวางจำหน่าย 15 มกราคมปีหน้า (แต่ใน Blog ของ PlayStation ระบุว่า 14 มกราคม 2022 อาจเป็นเรื่องข้อแตกต่างของไทม์โซน)
แบบนี้อาจแปลว่าเกมอื่นในลิสต์เช่น Ghost of Tsushima, Gran Turismo 7, Demon Souls Remake, Ratchet & Clank หรือแม้แต่ Horizon Forbidden West ก็มีสิทธิ์มาลง PC ในอนาคตเช่นกัน
การที่เกมเอ็กซ์คลูซีฟของเครื่อง PS มีแววมาลง PC แทบทุกเกม ในขณะที่ PS5 ยังขาดตลาดจนต้องแย่งชิงกันกดอยู่ คงเป็นเรื่องดีของเกมเมอร์ แต่เรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรกับยอดขายของเครื่อง PS5 เมื่อวิกฤตชิปขาดแคลนครั้งนี้จบลง คงต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา - PS BLog |
# Bitcoin ทำ All-Time High อีกครั้ง ราคาล่าสุดทะลุ 66,000 ดอลลาร์ แล้ว
ราคาบิตคอยน์ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยล่าสุดราคาใน Coinmarketcap อยู่ที่ราว 66,000 ดอลลาร์ สูงกว่าสถิติราคาเดิมที่ 64,899 ดอลลาร์ เมื่อเดือนเมษายนปีนี้
ปัจจัยสำคัญที่เป็นบวกต่อบิตคอยน์ในช่วงที่ผ่านมา คือกองทุน ProShares Bitcoin Strategy ETF ได้เริ่มซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กวันแรกเมื่อวานนี้ โดยเป็นกองทุน ETF กองทุนแรก ที่ซื้อขายสัญญาล่วงหน้า (Future) ที่อ้างอิงราคาของบิตคอยน์
ที่มา: CNBC |
# รีวิว vivo X70 Pro 5G มือถือกล้องเทพ ปฏิวัติวงการถ่ายภาพด้วยมือถือ กับเลนส์ ZEISS T*
หลังจากที่เรารีวิว vivo X60 Pro 5G ที่เป็นมือถือกล้อง ZEISS รุ่นแรกของ vivo ไปเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา คราวนี้ vivo กลับมาพร้อมรุ่นต่อยอด vivo X70 Pro 5G
คราวนี้ vivo X70 Pro 5G มาร้อมเลนส์ ZEISS ขั้นเทพที่อัพเกรดไปอีกระดับ ด้วยการเคลือบกล้องแบบ ZEISS T* ให้ภาพสีสด เต็มรายละเอียด ถ่ายภาพกลางคืนได้แบบไม่มีแสงสะท้อน พร้อมสโลแกน “Photography Redefined” ที่จะมาปฏิวัติวงการการถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือเลยทีเดียว
ยังไม่จบแค่นั้น แม้ vivo X70 Pro 5G จะเน้นกล้องขั้นเทพ แต่ประสิทธิภาพด้านอื่นก็มาครบครัน เช่นจอ AMOLED 120Hz ขนาด 6.56 นิ้ว และชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 1200 รองรับ 5G แบบเต็มที่ มีทั้งรุ่นแรม 8GB และ 12GB หน่วยความจำภายในเป็นแบบ UFS 3.1 ความจุ 128GB, 256GB และ 512GB โดยรุ่นที่รีวิวนี้เป็นรุ่นแรม 12GB ความจุ 256GB สีดำ Cosmic Black ราคาจะอยู่ที่ 27,999 บาท
สเปกเบื้องต้น
หน้าจอ AMOLED 6.56 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz รองรับ HDR10+
ชิป MediaTek Dimensity 1200
แรม 12 GB
หน่วยความจำภายใน UFS 3.1 ความจุ 256GB
กล้องหลัง 4 ตัว กล้องหลัก 50MP f/1.75, กล้องอัลตร้าไวด์ 12MP f/2.2, กล้องเทเลโฟโต้ 12MP f/2.0 ซูม 2x และกล้อง Periscope 8MP f/3.4 ซูมออปติคัล 5x
กล้องหน้า 32MP f/2.45
รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2
เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือใต้จอ
แบตเตอรี่ 4450 mAh รองรับชาร์จไว 44W
รัน Android 11 ครอบด้วย Funtouch OS
แกะกล่อง
ในกล่องจะแถมเคสพลาสติก TPU มาให้ พร้อมอุปกรณ์เสริมที่มักจะไม่ค่อยได้เห็นกันแล้วในยุคนี้ ได้แก่ ที่ชาร์จ สายชาร์จ USB Type A to Type C และหูฟังมีสายแบบ Type-C ถือว่าให้อุปกรณ์มาครบครัน
อีกสิ่งที่ชอบมากของดีไซน์รุ่นนี้ คือฝาหลังที่เป็นสีดำด้าน Cosmic Black วัสดุ fluorite AG จับแล้วให้ความรู้สึกเท็กซ์เจอร์แตกต่างจากฝาหลังทั่วไป สิ่งที่ดีสุดๆ คือไม่มีรอยนิ้วมือติดฝาหลังเลย สามารถใช้งานแบบไม่ใส่เคสได้สบายๆ ไม่ต้องมาคอยเช็ดรอยกันอีกแล้ว แถมน่าจะทนต่อรอยขีดข่วนมากกว่า และเท่มากๆ
การใช้งาน
ประสิทธิภาพชิป Mediatek Dimensity 1200 ใช้งานได้ลื่นไหลแบบไม่รู้สึกถึงอาการช้า ค้าง หรือติดขัดเลย แรมให้มาแบบจัดเต็ม 8GB และ 12GB แถมยังมีระบบ Extended Ram ที่นำพื้นที่หน่วยความจำมาเสริมเป็นแรมเพิ่ม สามารถปิด-เปิดได้ในการตั้งค่าเช่นเคย
UI ของ Funtouch OS ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก แฟนๆ vivo คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จะดู YouTube เล่นเน็ตผ่าน Chrome หรือสตรีมมิ่ง Netflix ก็ทำได้แบบสบายๆ หน้าจอ AMOLED แบบ 120Hz ทำให้การใช้งานลื่นไหลไม่รู้สึกติดขัด สีสด และมีความสว่างมากพอที่จะใช้งานกลางแจ้งได้แบบไม่ต้องเพ่งมาก
ตัวเครื่องบางและเบามา ขอบจอเป็นกระจกโค้งเล็กน้อยแต่จับถนัดมือ โมดูลกล้องยื่นออกมาเล็กน้อย แต่ไม่เป็นอุปสรรคใช้งาน น้ำหนักที่เบาราว 185 กรัม ทำให้ถือเล่นได้นานโดยไม่เมื่อยมือ รวมถึงเก็บใส่กระเป๋าและหยิบออกมาได้สะดวก แม้จะเป็นกระเป๋ากางเกงยีนส์ที่มีพื้นที่ค่อนข้างน้อยก็ตาม
กล้องถ่ายรูปที่ว้าวกว่าที่คิด
มาถึงจุดที่เด่นที่สุดของ X70 Pro 5G คือกล้องถ่ายภาพกันบ้าง คราวนี้ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX766V คู่กับเลนส์ ZEISS ที่พัฒนาไปอีกระดับ คือเคลือบเลนส์ด้วยเทคโนโลยี ZEISS T* ครบทุกเลนส์
ซึ่ง ZEISS T* เป็นเทคโนโลยีเคลือบเลนส์แบบพิเศษของ ZEISS ทำให้ทำให้ภาพที่ถ่ายออกให้ค่าสีแม่นยำ และสีสันสดใสยิ่งขึ้น รวมถึงลด Ghosting หรือแสงสะท้อนในเลนส์ เมื่อถ่ายภาพหรือวิดีโอตอนกลางคืน
ฟีเจอร์ Gimbal Stabilization ก็กลับมาในเวอร์ชั่น 3.0 ช่วยให้ภาพและวิดีโอที่ถ่ายมีความนิ่งขึ้น ช่วยลดการสั่นเวลาถ่ายภาพกลางคืนที่ต้องเปิดหน้าชัตเตอร์ค้างไว้เป็นเวลา 1-2 วินาทีได้ ส่วนสีสันจะสดใสจริงแค่ไหน ลองไปดูตัวอย่างภาพถ่ายด้านล่างได้เลย
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก สังเกตสีแดงบนรถแท็กซี่ที่สดใสมาก
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องอัลตร้าไวด์
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องอัลตร้าไวด์
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องอัลตร้าไวด์
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องอัลตร้าไวด์
เลนส์ซูมขั้นเทพ ให้มาทั้งเทเลโฟโต้และ Periscope
นอกจากกล้องหลักและกล้องอัลตร้าไวด์แล้ว vivo X70 Pro 5G ยังใส่เลนส์ซูมให้มาอีก 2 เลนส์ คือเลนส์เทเลโฟโต้ ที่ใช้สำหรับการซูมแบบออปติคัลในระดับ 2x และเลนส์ Periscope หรือเลนส์ซูมแบบใช้การสะท้อนของกระจกเลนส์ ที่ทำให้ซูมแบบออปติคัลได้ถึง 5x แบบไม่ภาพไม่แตก รายละเอียดคมชัด เหมือนเดินเข้าไปถ่ายใกล้ๆ ด้วยกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพ ซูม 2x
ตัวอย่างภาพ ซูม 5x
ตัวอย่างภาพกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพ ซูม 2x
ตัวอย่างภาพ ซูม 5x
ถ่ายภาพบุคคล
โหมดถ่ายภาพบุคคลของกล้องยังทำได้ดีเช่นเคย เบลอฉากหลัง แยกตัวแบบได้อย่างชัดเจน แถมยังให้สีสันที่ครบครัน สดใสขึ้น ด้วยการเคลือบกล้อง ZEISS T*
ตัวอย่างภาพในโหมดถ่ายภาพบุคคล กล้องหลังหลัก
ถ่ายภาพกลางคืน
การถ่ายภาพกลางคืนทำได้ ถึงจะใช้โหมดอัตโนมัติ ก็ยังเก็บแสงในภาพได้มากกว่ากล้องมือถือทั่วไป และยิ่งดีขึ้นไปอีกขั้นเมื่อเปิดโหมดถ่ายภาพกลางคืน สังเกตโทนสีจะเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่มีแสง Ghosting หรือแสงสะท้อนมารบกวนเมื่อถ่ายภาพที่มีดวงไฟเยอะ แถมให้ภาพที่ชัดเจน สีสันสดใส
โหมด Real-Time Extreme Night Vision ที่เพิ่มเข้ามาใน vivo X70 Pro ก็เป็นอีกฟีเจอร์ที่ล้ำมาก เพราะตัวแอปกล้องจะแสดงตัวอย่างภาพให้เราเห็นตั้งแต่ก่อนถ่าย ทำให้เรารู้สภาพแสงจริงในรูปตั้งแต่ก่อนกดถ่าย
กล้องหลังหลัก โหมดอัตโนมัติ
กล้องหลังหลัก แบบเปิดโหมดถ่ายภาพกลางคืน
กล้องหลังหลัก โหมดอัตโนมัติ
กล้องหลังหลัก แบบเปิดโหมดถ่ายภาพกลางคืน
กล้องหลังหลัก โหมดอัตโนมัติ
กล้องหลังหลัก แบบเปิดโหมดถ่ายภาพกลางคืน
กล้องหลังหลัก แบบเปิดโหมดถ่ายภาพกลางคืน
กล้องหลังหลัก แบบเปิดโหมดถ่ายภาพกลางคืน
กล้องหน้า
กล้องหน้าเป็นเลนส์ 32MP โหมดบิวตี้สามาถเลือกเปิดปิดได้ (ตั้งค่าเปิดอัตโนมัติมาจากโรงงาน) ภาพที่ได้ชัดเจนสมมาตรฐาน vivo ถ่ายเซลฟี่เล่นได้ทั้งวันแบบเพลินๆ
สรุป
vivo X70 Pro 5G เป็นมือถือกล้องเทพที่ว้าวกว่าที่คิด เลนส์ ZEISS ที่ดีมากๆ ในรุ่นก่อนนี้ ยิ่งทำได้ดีขึ้นไปอีกในรุ่นนี้ โดยเฉพาะการเก็บสีสันที่สดใสสมจริงจากการเคลือบเลนส์แบบ ZEISS T* รวมถึงการถ่ายภาพกลางคืนก็ทำได้ง่าย สะดวก ด้วย Gimbal Stabilizer 3.0
ชิป Mediatek Dimensity 1200 ประสิทธิภาพใช้งานได้หายห่วง พร้อมรองรับ 5G เต็มที่ แรมจัดเต็มมาให้ถึง 12GB และพื้นที่ความจำภายในอีก 256GB ก็ถือว่าใช้งานได้อย่างครบครัน ใครที่กำลังมองหามือถือฝั่ง Android กล้องเทพๆ บอกเลยว่า vivo X70 Pro 5G เป็นอีกรุ่นที่ห้ามพลาด |
# ก.ล.ต. ชี้ Coral แพลตฟอร์ม NFT ของ KBTG เปิดได้ เพราะไม่เข้าข่ายเป็นโทเค็น หรือ Crypto Currency
จากประเด็น KASIKORN X บริษัทลงทุนในเครือ KBTG เปิดตัว Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ทำให้มีการตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใด KBTG ถึงเปิดแพลตฟอร์ม NFT ได้ ท้งที่มีบางบริษัทจะเปิด NFT มาก่อนหน้านี้กันแต่ ก.ล.ต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ยังไม่อนุญาต
ล่าสุด ทางสำนักข่าว อีไฟแนนซ์ไทย สอบถามไปยัง ก.ล.ต. ได้คำตอบกลับมาทางอีเมลว่าที่สามารถเปิดได้เพราะไม่เข้าข่ายเป็นโทเค็น หรือ Crypto Currency
โดยเนื้อหาคำตอบเต็มๆ ระบุว่า ลักษณะของ NFT ที่ KBTG ให้บริการ เป็น digital file ที่แสดงถึงชิ้นงานศิลปะ ในรูปหน่วยอิเล็กทรอนิกส์ ที่แต่ละหน่วยมีลักษณะเฉพาะไม่สามารถใช้หน่วยอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทและชนิดเดียวกัน และจำนวนเท่ากันแทนกันได้ โดยชิ้นงานศิลปะที่เป็น digital file ดังกล่าว ถูกจัดเก็บในลักษณะที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้
นอกจากนี้ ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า NFT ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใดๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง หรือมีความประสงค์ที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าบริการ หรือสิทธิอื่นใด หรือแลกเปลี่ยนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล
"ดังนั้น NFT ที่มีลักษณะดังกล่าวนี้ จึงไม่เข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล และไม่เข้าข่ายเป็นคริปโทเคอร์เรนซีตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลฯ การให้บริการ NFT marketplace ของ KBTG จึงไม่เข้าข่ายเป็นการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตามพระราชกำหนดดังกล่าว" ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว
ที่มา - สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย |
# ก้าวต่อไปของ KBTG ส่ง KASIKORN X สู่โลกแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล DeFi ไปจนถึง NFT
KBTG จัดงาน The Next Chapter of KBTG แถลงกลยุทธ์สำคัญของบริษัท พร้อมทั้งเปิดตัวอภิมหาโปรเจกต์มากมายที่จะสร้าง Impact ต่อโลกธุรกิจ การเงิน และเทคโนโลยีในประเทศไทย
ภายในงานมีการเปิดตัวกลยุทธ์อย่างเป็นทางการของ KASIKORN X หรือ KX บริษัทลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่ ที่มีภารกิจสร้าง Fintech Unicorn รายแรกของประเทศไทยให้ได้ และเปิดตัว Coral แพลตฟอร์มซื้อขายงานศิลปะในรูปแบบ NFT ซึ่งถือเป็นอีกครั้งที่ KBTG ก้าวเข้าสู่โลกใหม่ทางการเงินอย่างสินทรัพย์ดิจิทัลและ Decentralized Finance (DeFi) หลังจากก่อนหน้านี้เปิดตัวบริษัทลูก Kubix ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลผ่านบล็อกเชนไปแล้ว
ในบทความนี้ Blognone จะพาไปเจาะลึกถึงก้าวต่อไปของ KBTG จากบริษัทเทคโนโลยีในเครือธนาคารกสิกรไทย สู่การแยกตัวออกมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของไทยได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในต่างประเทศ ทั้งจีน และเวียดนาม สามารถเปิดตัวบริการใหม่ๆ ที่นั่นได้ แม้จะยังไม่สามารถเดินทางไปได้ก็ตาม
KBTG ลมใต้ปีกของธนาคารกสิกรไทย
คุณกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เล่าที่มาของบริษัทก่อนจะพูดถึงก้าวต่อไป ซึ่งจากภาพด้านล่าง ช่วยให้เราเห็นภาพการทำงานภายในของ KBTG ชัดเจนมากขึ้น
ใน KBTG มีหลากหลายยูนิตย่อยที่ดูแลส่วนงานต่างกัน
KBTGSec ทำหน้าที่ดูแลคน สร้างแบรนด์ และดูแลในส่วนของความปลอดภัยไซเบอร์
KInfra ดูแลเรื่อง Scalable Technology สร้าง Infrastructure as a Service ให้กับทุกโปรดักต์ของ KBTG ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย ให้สามารถรองรับ Transaction การเงินหลักสี่พันล้านครั้งต่อปีของแอปพลิเคชัน K+ ให้ได้
KSoft รวมนักพัฒนาไว้กว่า 1,100 ชีวิต ดูแลแอปพลิเคชันกว่า 400 ตัวของธนาคารกสิกรไทย เน้นกลักการทำงานแบบ Agile เพื่อสร้างบริการใหม่ๆ ได้เร็ว
Beacon Interface ดูแลเรื่องการออกแบบ UX/UI
KLabs ทำวิจัยเทคโนโลยีชั้นสูงอย่าง ปัญญาประดิษฐ์, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และ บล็อกเชน
ทุกยูนิต ทำงานร่วมกันโดยใช้หลัก Synergy หรือการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาสิ่งใหม่ ประกอบการทำงานแบบ Agile ช่วยให้ที่ผ่านมา KBTG สามารถออกโปรดักต์ใหม่ๆ และ Scale ได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน K+ ให้กลายเป็นแอปการเงินอันดับหนึ่งในไทย, การเปิดตัว LINE BK บริการการเงินบน LINE ที่คนไทยใช้งานถึง 50 ล้านราย และมีคนเปิดบัญชีแล้ว 3.2 ล้านราย รวมถึงการเปิดตัว ขุนทอง แชทบอทใน LINE ช่วยคำนวณเงินให้ มีคนใช้งานแล้วกว่า 1 ล้านราย
อีกหมุดหมายสำคัญคือการเปิดตัวบริการนอกประเทศไทย ก่อตั้ง KTech ที่เมืองเสินเจิ้น ดูแลบริการและโปรดักต์ของธนาคารกสิกรไทยในจีน และดูแลลูกค้าในจีนที่ตอนนี้มี 1 ล้านรายแล้ว นอกจากนี้ KBTG ยังตั้งศูนย์พัฒนาในเวียดนาม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถเดินทางนอกประเทศได้ แต่ KBTG ทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยหลักการทำงาน Agile from Anywhere
KASIKORN X กับเป้าหมายในการผลิตธุรกิจด้าน Decentralized Finance and Beyond
มาที่พระเอกของงานกันบ้าง ในปี 2018 KBTG เริ่มนำกลยุทธ์ธุรกิจรูปแบบ New S-Curve จับตาดูอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ด้วยการเปิดตัวบริษัท KASIKORN X เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธนาคารกสิกรไทย
คุณกระทิงระบุว่า บริษัท KASIKORN X จำกัด หรือ KX ทำหน้าที่เป็น Venture Builder หรือเป็นเสมือนโรงงานที่ผลิตสตาร์ทอัพและธุรกิจใหม่ๆ ทำงานเป็นอิสระ (Autonomous Venture Builder) และมีเป้าหมายในการผลิตธุรกิจด้าน Decentralized Finance and Beyond
การก่อตั้ง KX จึงสอดรับกับเทรนด์ใหม่โลกการเงิน Decentralized Finance (DeFi) หรือระบบการเงินแบบกระจายอำนาจผ่านบล็อกเชนที่ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ ทำธุรกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้น KX จึงมองเห็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ในด้านบริการทางการเงิน (Financial Service) และบริการอื่น ๆ (Non-Financial Service) ที่มีโอกาสได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในอนาคต
ดังนั้น ภารกิจแรกของ KX คือ บ่มเพาะ ทำการสเกล และ Spin-Off ออกมาด้วยการเปิดตัวบริษัทลูก Kubix ให้บริการระบบเสนอขายโทเคน รุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งเป้าเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาการลงทุนและให้ความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย Kubix ยังเป็นบริษัทแห่งแรกที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้การรับรองประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ ICO หรือ Initial Coin Offering คือการระดมทุนแบบดิจิทัลด้วยการเสนอขายดิจิทัลโทเคนผ่านระบบบล็อกเชน
Coral แพลตฟอร์มซื้อขาย NFT โอกาสใหม่ศิลปินไทย
อีกหนึ่งพระเอกของงาน The Next Chapter of KBTG และอีกหนึ่งการ Spin-Off ของ KX คือ Coral แพลตฟอร์มซื้อขายผลงานศิลปะในรูปแบบ NFT ที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการศิลปะตอนนี้
NFT หรือ Non-Fungible Token คือ Crypto Currency ประเภทหนึ่งที่แต่ละ Token มีความแตกต่างกัน ไม่สามารถทดแทนกันได้ และมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าอะไรก็สามารถเป็น NFT ได้ผ่านการแปลงสินทรัพย์มาอยู่บนดิจิทัล ดังนั้น NFT จึงกลายเป็นโอกาสใหม่ของศิลปินที่จะขายงาน สร้างมูลค่าและให้กับผลงานศิลปะของตนเอง และยังจูงใจนักสะสมด้วย เพราะแต่ละผลงานมีเพียงหนึ่งเดียว
ดังนั้น การเปิดตัว Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace จะช่วยสร้างโอกาสไร้ให้แก่ศิลปินและนักสะสม และที่สำคัญ ยังเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของ NFT ที่ซื้อได้ด้วยเงินธรรมดา หรือ Fiat Money และซื้อได้ผ่านบัตรเครดิต เดบิต หรือแม้แต่แอปพลิเคชันธนาคาร ทำลายกำแพงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลก Crypto Currency ช่วยให้ผลงานศิลปินเข้าถึงกลุ่มคนได้กว้างกว่า
Coral นอกจากช่วยสนับสนุนศิลปินไทยแล้ว ยังช่วยขจัด Pain Point ของนักสะสมผลงาน NFT ด้วยการตรวจสอบศิลปิน ลิขสิทธิ์ผลงานบนแพลตฟอร์ม ให้นักสะสมมั่นใจในการซื้อผลงาน NFT ไปสะสม นอกจากนี้ KX ยังออกแบบประสบการณ์การซื้อขายบน Coral ให้ง่าย ไม่ต่างจากการซื้อของออนไลน์
จนถึงตอนนี้ Coral มีศิลปินเข้ามาร่วมโพสต์งานศิลปะขายบนแพลตฟอร์มแล้ว 9 รายคือ ไป Lactobacillus, Tikkywow, ทรงศีล ทิวสมบุญ, เอกชัย มิลินทะภาส, ปัณฑิตา มีบุญสบาย, Benzilla, Pomme Chan, IllustraTU, และ Jiggy Bug อย่างไรก็ตามยังคงเปิดรับศิลปินและพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าร่วมแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://coralworld.co และคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่นักสะสมภายในช่วงปลายปีนี้
Coral ไม่ได้เปิดตัวมาเพียงเพื่อตามให้ทันต่อเทคโนโลยี NFT เท่านั้น แต่ตั้งเป้าหมายไกลกว่า โดย นายธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder, KASIKORN X ระบุว่า ตัว Coral ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง หรือทำงานเพียงลำพังได้ เพราะการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างศิลปิน และนักสะสม ไปจนถึงคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ ไม่ควรถูกจำกัดอยู่พื้นที่ออนไลน์เพียงอย่างเดียว
ธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder, KASIKORN X
Coral จึงประกาศพันธมิตรรายแรก คือ สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ร่วมกันสร้างศูนย์รวมและต่อยอดนวัตกรรมด้านศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์ไตล์ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้แก่ลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ
ซึ่งที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ ได้ทำงานร่วมกับศิลปินไทย และศิลปินระดับโลก ในการสร้างสรรค์ผลงานและแรงบันดาลใจ รวมถึงเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา ได้มาใช้พื้นที่ในทุกโครงการของบริษัทมาสร้างผลงานและบริษัทก็ได้เปิดพื้นที่ของสยามพารากอน และไอคอนสยาม จัด NFT Innovation Digital Wall เพื่อให้ผู้ที่มาเยือนศูนย์การค้าได้เข้าชม NFT Art อย่างใกล้ชิด
สรุป
ตอนนี้เราก็ได้เห็นภาพชัดขึ้นแล้วว่า ก้าวต่อไปของ KBTG หรือ The Next Chapter of KBTG คือก้าวสู่โลกใหม่อย่าง Decentralized Finance (DeFi) และ NFT ซึ่งแม้ตอนนี้จะยังไม่เป็นเมกะเทรนด์ แต่อนาคต มันจะกลายเป็นโลกการเงินใบใหม่ที่ KBTG ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีเพื่อการเงินต้องเข้านร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เพราะอย่างที่คุณกระทิงเคยบอกไว้หลายต่อหลายครั้ง ว่าโลกอนาคตในอีก 10 ปี คือโลกที่อยู่เหนือจินตนาการ และเป็นโลกที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบ Continuous Disruption มานับไม่ถ้วน KBTG จึงต้องปรับตัวพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง เพื่อโอกาสการเติบโตต่อไป |
# แอปเปิลเปลี่ยนใจ ปรับดีไซน์แท็บ Safari ของ macOS 12 กลับมาใช้ดีไซน์เดิม
Safari เวอร์ชันใหม่ของ macOS 12 Monterey มีการปรับดีไซน์ใหม่ ยกแท็บขึ้นไปรวมกับช่อง URL Bar เพื่อประหยัดเนื้อที่ ซึ่งสร้างเสียงวิจารณ์พอสมควรในช่วงการทดสอบ Beta
แต่ล่าสุดดูเหมือนแอปเปิลเปลี่ยนใจใน macOS 12 Monterey ตัวจริงที่จะปล่อยอัพเดตเดือนหน้า เพราะภาพโปรโมทบนหน้าเว็บแอปเปิลเองก็กลับมาใช้หน้าตาแบบเดิม (Separated) เป็นดีฟอลต์ แต่ผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนเป็นดีไซน์ใหม่ (Compact) ได้ถ้าต้องการ
ดีไซน์แบบเดิมที่แสดงบนหน้าเว็บแอปเปิล
ดีไซน์แบบ Compact
ที่มา - 9to5mac |
# เมนูกี่ชั้นก่อนเจอคนก็ไม่หวั่น Pixel 6 ฟังเสียงเบอร์อัตโนมัติ แปลงเป็นข้อความ-ปุ่มบนจอ
นอกจากฟีเจอร์ด้านกล้องและการแปลภาษาพูดแบบเรียลไทม์แล้ว กูเกิลยังโชว์ฟีเจอร์ใหม่ของ Pixel 6 อีกอย่างคือ Direct My Call ที่ช่วยให้การติดต่อคอลล์เซ็นเตอร์เสียงอัตโนมัติง่ายขึ้น
คนที่เคยโทรไปคอลล์เซ็นเตอร์คงคุ้นเคยกับการฟัง "กด 1 เพื่อฟังข้อมูล กด 2 เพื่อแจ้งปัญหา" ที่ต้องใช้เวลาฟังนาน ถือสายนาน กว่าจะเจอเมนูที่ต้องการ
ฟีเจอร์ Direct My Call ใช้เทคโนโลยี Google Duplex ตัวเดียวกับที่เคยโชว์คุยโทรศัพท์แทนคน มาฟังเสียงพูดจากปลายทาง แล้วถอดเป็นข้อความแสดงขึ้นบนจอ พร้อมขึ้นปุ่มกดจริงๆ เป็นเลข 1-2-3 ให้ด้วยเลย
กูเกิลบอกว่า Direct My Call เป็นการต่อยอดจากฟีเจอร์ Hold For Me เมื่อปีที่แล้ว ที่ใช้ AI ช่วยรอสายให้แทนเรา ซึ่งช่วยประหยัดเวลาของมนุษย์ลงได้ 1.5 ล้านนาทีต่อเดือน (ยังเปิดเฉพาะในสหรัฐ แต่จะเปิดในออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น ในเร็วๆ นี้)
นอกจากนี้ กูเกิลยังโชว์ฟีเจอร์ชื่อ Wait Times แสดงระยะเวลาการรอสายในแต่ละช่วงของวัน ให้ดูก่อนกดโทรออกไปยังเบอร์อัตโนมัติเหล่านี้ด้วย
ที่มา - Google |
# แบงค์ชาติระบุเหตุเงินรั่วเกิดจากคนร้ายสุ่มทั้งเลขบัตรและวันหมดอายุบัตร บางเว็บไม่ถามแม้แต่ CVV ระบุโดนโจมตีแค่บางธนาคาร
ธนาคารแห่งประเทศไทยโพสชี้แจงเพิ่มเติมถึงเหตุผู้ใช้ถูกเรียกเก็บเงินโดยไม่ได้ใช้งาน ว่าคนร้ายนั้นสุ่มข้อมูล ทั้งหมายเลขบัตร และวันที่หมดอายุ โดยคนร้ายทำสำเร็จเพราะร้านค้าออนไลน์บางประเทศไม่มีการยืนยันข้อมูลด้วย OTP รวมถึงไม่ยืนยันแม้แต่รหัสหลังบัตร CVV นับเป็นการยืนยันว่าการโจมตีช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือการโจมตีแบบ Enumeration Attack ตามที่ Visa เคยแจ้งเตือน
โพสนี้ยังระบุว่าเหตุการสุ่มหมายเลขบัตรนี้ไม่ได้เกิดกับทุกธนาคาร โดยไม่ได้แจกแจงเพิ่มเติมว่าธนาคารใดถูกโจมตีหรือไม่ถูกโจมตีบ้าง แต่ระบุว่า "ธนาคารที่ตั้งเกณฑ์การตรวจจับไว้ไม่เข้มอาจจะมีธุรกรรมเหล่านี้หลุดมาได้"
Visa แนะนำให้ร้านค้าอีคอมเมิร์ชเพิ่มมาตรการความปลอดภัยเพื่อป้องกัน Enumeration Attack มาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยแนะนำให้เปิด CAPTCHA ป้องกันการสั่งจ่ายอัตโนมัติ, ตรวจสอบอัตราการจ่ายเงินล้มเหลว, ตรวจจับไอพีที่สั่งจ่ายล้มเหลวบ่อยๆ, เปิดบริการ 3D Secure เพื่อใช้ OTP ยืนยันการจ่าย
หลังจากนั้น Visa ออกรายงานแนะนำธนาคารอีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แนะนำไม่ให้ออกบัตรโดยหมายเลขบัตรเรียงกันและมีวันหมดอายุตรงกันเป็นชุดๆ, ตรวจสอบการจ่ายเงินล่มเหลวว่ามาจากผู้ค้ารายใดมากเป็นพิเศษ
ที่มา - Bank of Thailand |
# QNAP เปิดตัว "TBS-464 NASbook" NAS ขนาดเล็กน้ำหนักเบา ใส่ได้เฉพาะ NVMe
QNAP เปิดตัว NAS ในทรงเซ็ตท็อปโทรทัศน์ TBS-464 ไม่มีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ และใส่ได้เฉพาะสตอเรจแบบ NVMe จำนวน 4 ช่องเท่านั้น ทำให้เครื่องเล็กลงน้ำหนักเหลือเพียง 800 กรัม
ซีพียูภายในเป็น Intel Celeron N5105 หรือ N5094 แบบ 4 คอร์/4 เธรด แรม 8GB อัพเกรดไม่ได้ สตอเรจแฟลชในตัว 4GB สำหรับเฟิร์มแวร์ มีพอร์ตแลน 2.5GbE 2 พอร์ต, USB 2.0 3 พอร์ต, USB 3.2 2 พอร์ต, และ HDMI 2.0 อีก 2 พอร์ต รองรับการควบคุมผ่านรีโมต
ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย
ที่มา - QNAP |
# Foxconn เปิดตัวรถไฟฟ้า 3 รุ่น เปิดศูนย์วิจัยซอฟต์แวร์รถไร้คนขับ
Foxconn ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลกเปิดตัวรถไฟฟ้าที่พัฒนาเองพร้อมกัน 3 รุ่น พร้อมระบุว่าธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นธุรกิจมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ไต้หวันตัวต่อไปของ Foxconn
รถ 3 รุ่นที่เปิดตัว ได้แก่
Model C: รถ SUV ขนาด 7 ที่นั่ง (5+2) ตัวถังยาว 4.64 เมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.8 วินาที ระยะวิ่งสูงสุด 700 กิโลเมตร
Model E: รถซีดานระดับสูงเน้นลูกค้าธุรกิจ ที่นั่งด้านหลังปรับเป็นสำนักงานเคลื่อนที่ได้ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 2.8 วินาที ระยะวิ่งสูงสุด 750 กิโลเมตร
Model T: รสบัสสำหรับใช้งานในเมือง ไม่ระบุระยะวิ่งแต่ระบุว่าแม้บรรทุกผู้โดยสารเต็มก็ยังไต่ความชัน 25% ได้ และทำความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมกับระบุว่าทดสอบความทนทานแล้ว 200,000 กิโลเมตร
สำหรับด้านซอฟต์แวร์ Foxconn ประกาศตั้งศูนย์วิจัยซอฟต์แวร์ที่จะจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์เพิ่มอีก 1,000 คนภายใน 3 ปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้
ก่อนหน้านี้ Foxconn เคยประกาศความร่วมมือกับปตท. ของไทยเพื่อเปิดโรงงานรถไฟฟ้ากำลังผลิต 150,000 - 200,000 คันภายในปี 2023
ที่มา - Foxconn 1, 2 |
# [ไม่ยืนยัน] Facebook จะรีแบรนด์ใหม่ ไม่ใช่แค่โซเชียลมีเดีย แต่เป็น Metaverse
The Verge รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวภายในว่า Facebook มีแผนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ รีแบรนด์ใหม่เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทกำลังมุ่งสู่แนวทางการเป็น Metaverse ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ใหม่ที่ Facebok ประกาศมาก่อนหน้านี้
สำหรับการประกาศชื่อใหม่นั้น Mark Zuckerberg มีแผนจะเปิดเผยในงานประชุม Connect ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ แต่อาจจะเปิดเผยเร็วกว่านั้น การรีแบรนด์ทำไปเพื่ออยากส่งสัญญาณให้เห็นว่าบริษัทเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี มากกว่าเป็นโซเชียลมีเดีย (และปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า) และ Facebook ก็จะกลายเป็นหนึ่งในแอปโซเชียลมีเดียในเครือบริษัท เช่นเดียวกันกับ Instagram, WhatsApp, Oculus
นอกจากนี้ ตัว Mark Zuckerberg ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่าต้องการยกระดับ Facebook จากบริษัทโซเชียลมีเดีย ไปเป็นบริษัท Metaverse ซึ่งการตั้งทีม Metaverse ถือเป็นก้าวแรกของแผนการนี้ และเมื่อเร็วๆ นี้เองที่ Facebook ประกาศลงทุนจ้างแรงงานทักษะสูงหมื่นตำแหน่งในยุโรป ลุยงาน Metaverse
ในแง่การรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยี เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว กรณีสำคัญๆ คือ Google จัดระเบียบใหม่ทั้งหมดภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง Alphabet เพื่อแสดงให้เห็นว่า Google ไม่ใช่แค่เครื่องมือค้นหา แต่เป็นบริษัทเทคใหญ่ พัฒนานวัตกรรมต่างๆ ครอบคลุมทั้ง รถยนต์ไร้คนขับและเทคโนโลยีด้านสุขภาพ ด้าน Snapchat ได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Snap Inc. เป็นต้น
ที่มา - The Verge |
# รายละเอียดชิป Google Tensor ใช้คอร์ใหญ่ Cortex-X1 ถึง 2 คอร์, ทำ HDR วิดีโอได้ทุกเฟรม
Google Tensor ออกแบบโดยทีม Google Silicon ที่พัฒนาชิปในมือถือรุ่นก่อนหน้านี้ ได้แก่ Pixel Visual Core ของ Pixel 2/3 และชิปความปลอดภัย Titan M แต่เป็นคนละทีมกับที่พัฒนาชิป TPU สำหรับคลาวด์และเซิร์ฟเวอร์
แกนหลักของชิป Google Tensor อิงตามพิมพ์เขียวของ Arm เป็นหลักทั้งตัวซีพียู (Cortex) และจีพียู (Mali) ฝั่งซีพียูมีทั้งหมด 8 คอร์สูตร 2+2+4 ได้แก่
คอร์ใหญ่ Cortex-X1 @ 2.8GHz จำนวน 2 คอร์
คอร์กลาง Cortex-A76 @ 2.25GHz จำนวน 2 คอร์
คอร์เล็ก Cortex-A55 @ 1.8GHz จำนวน 4 คอร์
ส่วนจีพียูเป็น Mali-G78 ของ Arm เวอร์ชัน MP20 (20 คอร์) แรงกว่าใน Exynos 2100 ที่เป็นเวอร์ชัน MP14 (14 คอร์)
จุดต่างที่สำคัญจากชิปตัวอื่นๆ ในท้องตลาด (เช่น Exynos 2100 ของซัมซุง หรือ Snapdragon 888 ที่ใช้สูตร 1+3+4 คอร์) คือกูเกิลเลือกใช้คอร์ใหญ่ Cortex-X1 ถึง 2 คอร์ (ซัมซุงใช้คอร์เดียว) ในขณะที่คอร์กลาง กูเกิลกลับเลือกใช้ Cortex-A76 ของปี 2018 ที่ตกรุ่นไปแล้วแทน (ซัมซุงใช้ Cortex-A78 ของปี 2020 จำนวน 3 คอร์) อย่างไรก็ตาม A76 ที่กูเกิลใช้เป็นเวอร์ชัน 5nm ที่ลดขนาดการผลิตลงจาก 7nm ที่ผลิตในยุคแรกๆ
คำอธิบายของกูเกิลคือเลือกใช้คอร์ใหญ่ X1 สองตัวด้วยเหตุผลเรื่องการตอบสนอง (responsiveness) เมื่อมีโหลดงานระดับกลาง (medium workload) หลายอย่างพร้อมกัน
Phil Carmack หัวหน้าทีม Google Silicon อธิบายว่าการใช้คอร์ใหญ่ 1 คอร์จะช่วยให้ตัวเลขเบนช์มาร์คแบบเธร็ดเดี่ยวออกมาดีที่สุด (ทำงานโหลดหนักๆ งานเดียว) แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของกูเกิล
Carmack ยกตัวอย่างงานระดับกลางที่เจอในชีวิตจริงคือ การเปิดแอพกล้อง ที่ต้องมี live view โชว์ภาพสดๆ, ต้องประมวลผลสัญญาณภาพที่เข้ามาจากเซ็นเซอร์, ต้องเรนเดอร์ภาพขึ้นจอ, ต้องประมวลผล ML ของภาพสำหรับ Google Lens ฯลฯ สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีโหลดงานหลายประเภท (heterogeneous) ในชิปหลายตัว ทั้ง CPU, GPU, ISP, ML
งานลักษณะนี้เดิมทีเราใช้คอร์กลาง (A76) ทำงานเต็มสมรรถนะ แต่พอกูเกิลเลือกใช้สถาปัตยกรรมคอร์ใหญ่คู่ ก็สามารถใช้ X1 รันแบบสบายๆ ได้แทน ส่วนเหตุผลที่ใช้ A76 เป็นคอร์กลาง แทน A77/A78 ที่ใหม่กว่า เป็นเรื่องว่า A76 มีขนาดเล็กและกินไฟน้อยกว่าที่คล็อคระดับเดียวกัน ข้อเสียของการใช้ A76 คือประสิทธิภาพมัลติเธร็ดอาจด้อยกว่า A77/A78 แต่ก็ขึ้นกับประเภทงานด้วย
Carmack บอกว่าตัวเลขประสิทธิภาพไม่ใช่สิ่งที่กูเกิลสนใจมากนัก (แต่ก็มีตัวเลขคือซีพียูแรงขึ้น 80%, จีพียูแรงขึ้น 370% จาก Pixel รุ่นก่อน) สิ่งที่กูเกิลสนใจคือประสิทธิภาพต่อวัตต์ และการรันงาน AI บนเครื่องได้ดีกว่าเดิมมาก
ทีมงานกูเกิลบอกว่าวิธีคิดหลักของกูเกิลคือใช้ AI กับทุกสิ่ง แม้เมนูอาหารของพนักงานก็ใช้ AI วิเคราะห์จากสิ่งที่พนักงานกิน กูเกิลมีงาน AI ที่อยากทำได้บนมือถือมานาน แต่ติดข้อจำกัดเรื่องชิปมือถือในตลาดรันไม่ไหว พอมีชิป Tensor แล้วจึงเป็นการปลดล็อคขีดจำกัดเหล่านี้หลายเรื่อง
กรณีที่กูเกิลยกมาคือ ภาพถ่ายของ Pixel มีอัลกอริทึม HDR+ ช่วยปรับภาพให้สวยงาม แต่อัลกอริทึมนี้ทำงานกับวิดีโอไม่ไหว ทำให้คุณภาพของวิดีโอจาก Pixel เข้าขั้นแย่
แต่ใน Pixel 6 ชิป Tensor เปิดทางให้กูเกิลสามารถรันอัลกอริทึม HDR (ชื่อสำหรับวิดีโอคือ HDR Net) กับวิดีโอทุกเฟรมที่ถ่ายในระดับ 4K 60FPS ได้สบาย ทำให้คุณภาพของวิดีโอดีขึ้นมาก
เว็บไซต์ Ars Technica ที่มีโอกาสได้ลองใช้ Pixel 6 ระหว่างการสัมภาษณ์ บอกว่าสามารถถ่าย 4K 60FPS นานต่อเนื่อง 20 นาทีโดยเครื่องไม่ร้อน แต่คุณภาพของวิดีโอต้องรอดูในการรีวิวเครื่องจริงอีกที
นอกจากนี้ Tensor ยังเปิดให้มีฟีเจอร์ต่างๆ ตามที่ Pixel 6 โฆษณาไว้ เช่น Magic Eraser ลบคนออกจากภาพ, Face Unblur ปรับหน้าคนไม่ให้เบลอ โดยดึงภาพจากกล้องอื่นมารวมกัน, ฟีเจอร์แปลภาษาแบบสดๆ โดยทำงานแบบออฟไลน์
ที่มา - Ars Technica, |
# Raspberry Pi เปิดตัว Build HAT เชื่อมต่ออุปกรณ์ LEGO
Raspberry Pi เปิดตัวบอร์ดเสริม Build HAT สำหรับเชื่อมต่อกับมอเตอร์และเซ็นเซอร์ในชุด LEGO Technic, LEGO Education SPIKE, และ LEGO MINDSTORMS Robot Inventor ผ่านพอร์ต LPF2
ตัวบอร์ด Build HAT มีชิป RP2040 อยู่ภายในสำหรับแปลงคำสั่งให้อุปกรณ์ LPF2 แต่ตัวบอร์ดไม่สามารถทำงานเดี่ยวๆ ได้ ต้องอาศัยบอร์ด Raspberry Pi หลักตั้งแต่รุ่น RPI Zero, RPI 3, และ RPI 4 โครงการนี้ก็มาพร้อมไลบรารีไพธอนให้เขียนโปรแกรมจากตัว Raspberry Pi นอกจากการแปลงโปรโตคอลควบคุมแล้ว ตัวบอร์ดยังรองรับตัวแปลงไฟแบบ 8 โวลต์ จ่ายไฟได้สูงสุด 6 แอมป์ เพื่อขับมอเตอร์
ตัวบอร์ดเตรียมขายผ่านตัวแทนแล้วในราคา 25 ดอลลาร์ (ราคาในไทย Cytron อยู่ที่ 1,031 บาท) ส่วนตัวแปลงไฟราคา 15 ดอลลาร์ ผมเช็คล่าสุดของยังไม่เริ่มวางจำหน่าย
ที่มา - Raspberry Pi |
# Activision Blizzard ไล่พนักงานกว่า 20 คนออก เพื่อรื้อถอนวัฒนธรรม Toxic ในที่ทำงาน
ตอนนี้ Activision Blizzard กำลังอยู่ในช่วงต่อสู้ทางกฎหมายกับรัฐบาลและถูกสอบสวนกรณีวัฒนธรรมองค์กรเป็นพิษและปัญหาล่วงละเมิดทางเพศในองค์กร ล่าสุดทางบริษัทออกมาเผยว่าจนถึงตอนนี้ได้ไล่พนักงานที่มีปัญหาออกไปแล้วกว่า 20 คน และอีกกว่า 20 คนจะถูกลงโทษทางวินัย โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับภาพลักษณ์องค์กร และเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการทำงาน
ไม่มีรายชื่อผู้ที่โดนไล่ออกและผู้ที่ถูกลงโทษทางวินัยเผยออกมา แต่มีรายงานว่าจำนวนหนึ่งในนั้นเป็นนักพัฒนาเกม
ด้าน Fran Townsend รองประธานบริหารฝ่ายกิจการองค์กรของ Activision Blizzard กล่าวว่า บริษัทกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อให้แน่ใจว่า เสียงพนักงานจะต้องมีคนได้ยิน และให้อำนาจแก่พนักงานด้วย
ในขณะเดียวกัน Activision Blizzard ยังได้ยื่นเอกสารเพิ่ม เพื่อขอย้ายศาล สืบเนื่องจาก กรมการจ้างงานและการเคหะแห่งแคลิฟอร์เนียหรือ DFEH พยายามคัดค้านข้อตกลงยุติคดีมูลค่า 18 ล้านดอลลาร์ ระหว่างตัวบริษัทและหน่วยงาน US Equal Employment Opportunity Commission (EEOC) หรือ คณะกรรมการโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกันของสหรัฐอเมริกา การยื่นเอกสารใหม่ของ Activision Blizzard คือต้องการให้คดีของ DFEH ได้ย้ายไปยังศาลที่เชี่ยวชาญในการกำกับดูแลการดำเนินคดีที่ซับซ้อน
ที่มา - CNET |
# ในที่สุด Instagram ก็ให้โพสต์รูปจากบราวเซอร์บนเดสก์ทอปได้
Instagram เปิดใช้งานความสามารถในการโพสต์รูปและคลิปวิดีโอ (ไม่เกิน 1 นาที) จากเว็บบราวเซอร์บนเดสก์ทอปได้ มีประโยชน์สำหรับคนที่สร้างบัญชีเพื่อขายของ ทำธุรกิจ หรือโพสต์รูปผลงานตัวเองเป็นพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งมักจะใช้ภาพจากกล้องคุณภาพสูงมากกว่าเป็นรูปถ่ายจากมือถือ โดยจะเริ่มใช้งานได้วันที่ 21 ตุลาคมนี้
นอกจากนี้ยังมีอัพเดตอื่นๆ จาก Instagram บนมือถือด้วยคือ Collabs ให้ผู้ใช้งานเชิญเพื่อนคนอื่นมาสร้างโพสต์ใน Reels ได้ โดยทั้งคอมเม้นท์ ยอดไลค์ คอมเม้นท์จะเป็นของทั้งสองบัญชี มีประโยชน์สำหรับการคอลแลบกันระหว่างอินฟลุเอนเซอร์ด้วยกัน ไปจนถึงดารา
ที่มา - Engadget |
# Pixel 6 การันตีอัพเดตแพตช์นาน 5 ปี แต่ยังการันตีอัพเกรด OS ให้ 3 ปีเท่าเดิม
รายละเอียดเพิ่มเติมของ Pixel 6 และ Pixel 6 Pro เรื่องการอัพเดต ข้อมูลจากหน้าซัพพอร์ตของกูเกิลคือ
การันตีอัพเกรดเวอร์ชันระบบปฏิบัติการ 3 ปี (จนถึงตุลาคม 2024)
การันตีอัพเดตความปลอดภัย 5 ปี (จนถึงตุลาคม 2026)
ข้อมูลเรื่องการันตีอัพเดตแพตช์ 5 ปีตรงกับข่าวหลุดก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก (ของเดิม 3 ปี) แต่การที่ OS ยังอัพเกรดให้แค่ 3 ปีเท่ากับ Pixel รุ่นก่อนๆ ก็น่าจะทำให้แฟนๆ ที่คาดหวังว่าจะได้อัพเกรด OS นานกว่านี้คงต้องผิดหวังกันพอสมควร
ที่มา - Google Support via Android Police |
# ขายดี? ผ้าเช็ดจอของ Apple ตอนนี้สินค้าหมด สั่งวันนี้ รออีก 1 เดือน
ผ้าเช็ดรอยทำความสะอาดจอภาพ โดยเฉพาะกับจอราคาหลักแสน Pro Display XDR ที่เคลือบผิวนาโน ซึ่งแอปเปิลประกาศขายแยกในราคา 690 บาท พร้อมกับการเปิดตัว MacBook Pro นั้น แม้ราคาอาจทำให้หลายคนตะลึง แต่ก็ดูมีคนอยากลองใช้ไม่น้อยทีเดียว
โดยล่าสุดในหน้าสินค้าบน Apple Store ออนไลน์ ระบุว่าสินค้าจัดส่งใน 4-5 สัปดาห์ จากตอนแรกที่บอกว่าสามารถส่งได้ในไม่กี่วัน ซึ่งอาจพูดได้ว่า 4-5 สัปดาห์ อาจจะนานไปหน่อยสำหรับการสั่งซื้อผ้าเช็ดจอ 1 ผืน
จอ Pro Display XDR แบบเคลือบพื้นผิวนาโนนั้น แอปเปิลระบุว่าให้ใช้ผ้าเช็ดรอยนี้เท่านั้นในการทำความสะอาด แต่ผ้าเองสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์อื่นได้เช่นกัน โดยกรณีอุปกรณ์อื่นทั่วไปนั้น แอปเปิลบอกว่าสามารถใช้ผ้าที่นุ่มและไม่เป็นขุยในการทำความสะอาด ส่วนยาฆ่าเชื้อโรคสามารถใช้แผ่นไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ 70% หรือแผ่นเอทิลแอลกอฮอล์ 75% หรือแผ่นฆ่าเชื้อโรคคลอร็อกซ์เช็ดเบา ๆ ได้
อัพเดต 21 ตุลาคม: ตอนนี้สินค้าต้องรอ 10-12 สัปดาห์ หรือเกือบ 3 เดือน
ที่มา: MacRumors |
# Pixel Pass แผนจ่าย Pixel 6 เดือนละ 45 ดอลลาร์ ได้ YouTube Premium, Google One ด้วย
กูเกิลเปิดตัวแผนเหมาจ่ายรายเดือน Pixel Pass ตรงตามข่าวหลุด โดยเป็นการจ่ายรายเดือนเป็นเวลา 2 ปี ได้มือถือ Pixel 6 และบริการพรีเมียมอื่นๆ ของกูเกิลตลอดระยะเวลาโปรแกรม
YouTube Premium
YouTube Music Premium
Google One แบบพื้นที่ 200GB
Google Play Pass เล่นเกมและใช้แอพจาก Google Play บางตัวแบบไม่มีโฆษณา
Preferred Care ประกันอุบัติเหตุและการซ่อมมือถือ
ราคาของ Pixel Pass อยู่ที่ 45 ดอลลาร์ต่อเดือน (Pixel 6) และ 55 ดอลลาร์ต่อเดือน (Pixel 6 Pro) หากต้องการใช้เครือข่าย Google Fi เพิ่มด้วย จะได้ส่วนลดเพิ่มอีก 5 ดอลลาร์
กูเกิลคำนวณมาให้ว่า Pixel Pass จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย 294 ดอลลาร์ตลอดระยะเวลา 2 ปี และถ้าใช้ Google Fi เพิ่มด้วยจะประหยัด 414 ดอลลาร์ หากต้องการยกเลิกกลางทางก็สามารถทำได้ แค่จ่ายค่ามือถือส่วนที่เหลือเท่านั้น
แน่นอนว่าบริการดีๆ แบบนี้มีเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ที่มา - Google |
# Apple ระบุ ฟีเจอร์ Universal Control จะยังไม่มีใน Monterey สัปดาห์หน้า
ตามที่แอปเปิลประกาศว่าจะออกอัพเดต macOS เวอร์ชันล่าสุด Monterey ในสัปดาห์นั้น ฟีเจอร์หนึ่งที่แอปเปิลชูเป็นจุดขายอย่าง Universal Control จะยังไม่เปิดให้ใช้งานในอัพเดตแรกที่ออกมา โดยแอปเปิลบอกเพียงจะมีให้ใช้งานช่วงปลายปี
Universal Control เป็นฟีเจอร์ที่ใช้ Mac เป็นอุปกรณ์หลักในการควบคุมคีย์บอร์ดและเมาส์ ซึ่งสามารถข้ามไปยัง iPad รวมถึงข้ามไปยัง Mac อีกเครื่องก็ได้
ที่มา: 9to5Mac |
# Netflix ไตรมาส 3/2021 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 16% - Squid Game ทำสถิติผู้ชม 142 ล้านคน
Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2021 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันในปี 2020 เป็น 7,483 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1,449 ล้านดอลลาร์ จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 4.38 ล้านบัญชี รวมมีสมาชิกทั่วโลก 213.56 ล้านบัญชี
Reed Hastings ซีอีโอร่วม Netflix กล่าวว่าตอนนี้เราอยู่ในจุดที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน ในไตรมาสที่ 4 จะมีคอนเทนต์ใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเท่าเคยมีมา ซึ่งจะส่งผลดีไปจนถึงปีหน้า 2022 ทั้งนี้ Netflix บอกว่าสถานการณ์โควิดที่เริ่มดีขึ้นในหลายพื้นที่ ทำให้แผนออกคอนเทนต์ใหม่ปี 2022 เป็นไปตามกำหนดมากขึ้น
Netflix ยังพูดถึงแผนเข้าสู่ตลาดเกม โดยบอกว่าตอนนี้อยู่ในช่วงทดสอบบางประเทศ สถานะตอนนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
คอนเทนต์เด่นในไตรมาสที่ผ่านก็คือซีรีส์เกาหลี Squid Game มีผู้ชมถึง 142 ล้านคน ใน 4 สัปดาห์แรก สูงสุดเท่าที่เคยมีมาบนแพลตฟอร์ม เป็นคอนเทนต์อันดับ 1 ใน 94 ประเทศ รวมทั้งในอเมริกา
Netflix กล่าวว่าจะเปลี่ยนการรายงานความนิยมของคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม จากเดิมนับจำนวนผู้ชมอย่างน้อย 2 นาที ภายใน 28 วันแรก ที่คอนเทนต์นั้นออกมา เปลี่ยนเป็นรายงานจำนวนชั่วโมงรวม ที่คอนเทนต์ถูกรับชม ซึ่งพบว่าสะท้อนภาพได้ดีกว่า
ที่มา: CNBC และ Netflix
ซีอีโอร่วม Reed Hastings ใส่ชุดสีเขียวจากซีรี่ส์ Squid Game ในช่วงแถลงผลประกอบการ |
# Google ปล่อยอัพเดต Android 12 แล้วบน Pixel 3 ขึ้นไป อีก 7 ยี่ห้อตามมาในปีนี้
พร้อมๆ กับการเปิดตัว Pixel 6 วันนี้ Google ประกาศปล่อยอัพเดต Android 12 แล้ว
ของใหม่บน Android 12 ก็หนีไม่พ้น UXUI ใหม่ที่เรียกว่า Material You มีการปรับปรุงฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น อย่างการแจ้งเตือนว่าแอปใช้ไมค์, กล้องหรือโลเคชัน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์พื้นๆ ที่เจ้าอื่นทำได้นานแล้วอย่างการแคปหน้าจอแบบลากยาวลงมา เป็นต้น
สมาร์ทโฟนที่ได้ Android 12 วันนี้คือ Pixel ตั้งแต่รุ่น Pixel 3 ขึ้นไป ส่วนมือถือจาก Samsung, OnePlus, Oppo, Realme, Tecno, Vivo และ Xiaomi จะได้อัพเดตกันภายในปีนี้
ดูฟีเจอร์ Android 12 ได้ที่นี่
ที่มา - Google Blog |
# เปิดตัว Google Tensor ชูจุดขายประมวลผล Machine Learning ในเครื่อง
Google เปิดตัวชิปเซ็ตของตัวเอง Google Tensor บน Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ซึ่ง Google ชูจุดขายใช้ประมวลผล Machine Learning ภายในเครื่องให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ภายใน Google Tensor มีชิป TPU สำหรับประมวลผล Machine Learning โดยเฉพาะ, ISP ชิปประมวลผลภาพ, CPU ที่ไม่ได้ระบุรุ่น 8 คอร์ (2+2+4) แบ่งเป็น 2 คอร์ high performance, 2 คอร์ mid performance และ 4 คอร์ high efficiency
นอกจากนี้ยังมีชิปที่ Google เรียกว่า Context Hub สำหรับประมวลผล Machine Learning แบบใช้พลังงานน้อย รวมถึงโหมด Ambient ต่างๆ เช่น หน้าจอ Always-on หรือ Now Playing
นอกจากนี้ยังมีชิปความปลอดภัยภายใน Google Tensor ที่ทำงานร่วมกับชิป Titan M2 ที่เป็นชิปความปลอดภัยแยกต่างหากอีกตัวด้วย
ที่มา - Google Blog |
# เปิดตัว Pixel 6 / Pixel 6 Pro พร้อมฟีเจอร์ที่ฉลาดกว่าเดิม ราคาเริ่ม 599 เหรียญและ 899 เหรียญ
หลังจากหลุดมาจนแทบไม่เหลืออะไรตามสไตล์ Google ล่าสุดก็เปิดตัวแล้วกับ Pixel 6 และ Pixel 6 ซึ่ง Google เปิดมาด้วยราคาก่อนเลยที่ราคาเริ่ม 599 เหรียญและ 899 เหรียญ ซึ่งรุ่นธรรมดาถูกกว่ารุ่น Pixel 5 ลงมา 100 เหรียญ
หน้าจอของ Pixel 6 เป็น OLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1080x2400) สัดส่วน 20:9 รีเฟรชเรท 90Hz ส่วน Pixel 6 Pro เป็น LTPO OLED ขนาด QHD+ (1440x3120) สัดส่วน 19.5:9 รีเฟรชเรท 120Hz ทั้งคู่ครอบด้วย Corning Gorilla Glass Victus
แรมของ Pixel 6 เป็น LPDDR5 ขนาด 8GB ชิปความจำ UFS 3.1 ขนาด 128GB/256GB ส่วนรุ่น Pro เป็น 12GB ชิปความจำเหมือนกันแต่มีขนาด 512GB เพิ่มเข้ามา
กล้องหลัง Google เรียกว่า Camera Bar เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.3 นิ้ว ซึ่ง Google บอกว่าเก็บแสงได้มากกว่าเซ็นเซอร์บน Pixel 5 ถึง 150% ซูมแบบดิจิทัลได้ 7x
กล้องหลัก 2 ตัวของ 2 รุ่นเหมือนกันคือกล้องไวด์กว้าง 85 องศาขนาด 50 ล้านพิกเซล f/1.85 และเลนส์อัลตร้าไวด์กว้าง 114 องศา f/2.2
ส่วนกล้องรุ่น Pro มีเพิ่มเลนส์เทเล ขนาด 48 ล้านพิกเซล f/3.5 ใช้เซ็นเซอร์แยกขนาด 1/2 นิ้ว ซูมออพติคับได้ 4x และซูมดิจิทัลได้ 20x
ส่วนกล้องหน้ารุ่น Pixel 6 เป็นกล้องไวด์กว้าง 84 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2 Fixed Focus ขณะที่รุ่น Pro ความละเอียด 11.1 ล้านพิกเซล f/2.2 ความกว้างเลนส์ 94 องศา
ฟีเจอร์กล้องใหม่ก็ตามที่หลุดมาแล้วคือ Magic Eraser ที่ใช้ Machine Learning แนะนำองค์ประกอบในภาพที่ต้องการลบ หรือสามารถเลือกให้ลบเองก็ได้
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Face Unblur เวลาเราถ่ายภาพเคลื่อนไหวแล้วหน้าเบลอ Pixel 6 จะใช้ Machine Learning พร้อมภาพที่ถ่ายจากทั้ง 2 กล้อง มาช่วยสร้างภาพใหม่ที่หน้าของแบบไม่เบลอ
อีกหนึ่งฟีเจอร์ Google เรียกว่า Motion Mode สำหรับถ่ายภาพเหมือนกับการเปิด Long Exposure บนกล้อง โดยใช้ภาพที่ถ่ายมาหลายเฟรมรวมกัน แล้วใช้ Machine Learning เจ้าเก่ามาประมวลผลว่าวัตถุอะไรในภาพที่ควรจะเคลื่อนไหว ก่อนจะใส่เอ็ฟเฟคแบบ Long Exposure เข้าไปให้
ลูกเล่นสุดท้ายคือ Real Tone ที่ Google บอกว่าที่ผ่านมากล้องถูกออกแบบมาให้ถ่ายคนผิวขาวเป็นหลัก ซึ่ง bias นี้ลามมาถึงอัลกอริทึมปรับสีในแอปกล้อง ซึ่ง Real Tone จะช่วยให้ภาพของคนกลุ่มผิวที่ไม่ใช่ผิวขาว ออกมามีผิวสีเหมือนจริงมากที่สุด
ชิปเซ็ตแน่นอนว่าเป็น Google Tensor ที่มาพร้อมฟีเจอร์เกี่ยวกับ Machine Learning ใหม่ๆ ที่ประมวลผลภายในเครื่องและประหยัดพลังงานกว่าเดิม เช่น การใช้เสียงสั่งเวลาพิมพ์แชท ที่ Google บอกว่าฉลาดและรวดเร็วกว่าเดิม
นอกจากนี้ฟีเจอร์ Live Translate ที่เคยมีอยู่บนแอป Google Translate ก็ถูกนำมาไว้บน Pixel 6 โดยดีฟอลต์ ทั้งการแปลคำพูดแบบสด และแปลข้อความเมื่อพิมพ์ลงบน GBoard แบบเรียลไทม์
คุณสมบัติอื่นๆ ของ Pixel 6 และ Pixel 6 Pro คือรองรับ 2 ซิม (นาโนและ eSim), Wi-Fi6E, รองรับ 5G, เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอ กันน้ำกันฝุ่น IP68
Pixel 6 มี 3 สีคือ Stormy Black, Kinda Coral และ Sorta Seafoam ส่วน Pixel 6 Pro มีสี Stormy Black, Cloud White และ Sorta Sunny เปิดให้่พรีออเดอร์แล้วในสหรัฐ, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ไอร์แลนด์, ญี่ปุ่นและไต้หวัน
ที่มา - Google Blog
ต้องเลียนแบบแอปเปิลกันหมดจริงๆ เหรอ |
# Facebook เริ่มทดสอบ Novi กระเป๋าเงินดิจิทัลแล้ว ใช้ Stablecoin USDP ในการโอนเงินระหว่างกัน
Facebook ประกาศว่าจะเริ่มทดสอบการใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัล Novi กับผู้ใช้จำนวนเล็ก ๆ เป็นกลุ่มแรก ในอเมริกาและกัวเตมาลา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูความพร้อมของระบบดำเนินการ ตลอดจนระบบสนับสนุนลูกค้าทุกส่วนว่าสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี
โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 โดยตอนแรกใช้ชื่อว่า Calibra เพื่อรองรับเงินสกุล Libra (ตอนนี้ชื่อ Diem) แต่ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น Novi เพื่อไม่ให้สับสนกับชื่อ Libra ในตอนนั้น
จุดขายของ Novi คือช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถโอนและรับเงินได้ทันที ปลอดภัย และไม่มีค่าธรรมเนียม โดยในการทดสอบนี้ Novi จะเน้นไปที่การโอนเงินจากคนที่อยู่อเมริกา ที่ต้องการโอนเงินกลับไปที่กัวเตมาลา แบบสะดวกง่ายเหมือนการส่งข้อความแชตใน Facebook
ในช่วงทดสอบนี้เงินที่โอนหากันจะเป็น Stablecoin สกุล Pax Dollar หรือ USDP โดย Novi ได้ Paxos และ Coinbase มาเป็นพาร์ตเนอร์ ถึงตรงนี้ก็อาจสงสัยว่าทำไม Novi ถึงไม่ใช้เงิน Diem ในการทดสอบ ซึ่งคำอธิบายคือ Diem ยังอยู่ในขั้นตอนจากหน่วยงานกำกับดูแล แต่ตัวโครงการ Novi ยังคงสนับสนุน Diem อยู่ ส่วนเหตุผลที่ใช้ USDP ในการทดสอบ เพราะเป็น Stablecoin ที่มีการใช้งานมามากกว่า 3 ปี แล้ว จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
Novi เปิดให้ดาวน์โหลดแอปแล้วทั้งใน App Store และ Google Play เฉพาะอเมริกาและกัวเตมาลา โดยช่วงแรกเมื่อสมัครใช้งานแล้ว ต้องรอการจัดสรร ทั้งนี้บัญชีผู้ใช้งาน Novi จะแยกขาดจากบัญชี Facebook
ที่มา: Novi |
# ลาก่อน UWP ไมโครซอฟท์ออกคำแนะนำให้ย้ายไปใช้ Windows App SDK ตัวใหม่แทน
ไมโครซอฟท์ออกเอกสารแนะนำให้นักพัฒนาแอพสาย Universal Windows Platform (UWP) ที่เริ่มมาตั้งแต่ยุค Windows 8 ย้ายมาใช้ Windows App SDK ตัวใหม่ (Project Reunion เดิม) แทนแล้ว
Windows App SDK หรือ Project Reunion เป็นความพยายามของไมโครซอฟท์ในการหลอมรวม API และเครื่องมือจากสองฝั่ง คือ Win32/.NET ยุคดั้งเดิม และ UWP ของยุค Windows 8/10 เข้าด้วยกันเป็นตัวเดียว โดยใช้เครื่องมือจัดการ UI ตัวใหม่คือ WinUI 3 และ WebView 2
แอพกลุ่ม UWP ที่เรียกใช้ WinRT API ยังสามารถรันบนวินโดวส์ได้ต่อไปตามปกติ แต่ไมโครซอฟท์ก็ชวนให้ย้ายมาเป็น Windows App SDK ที่ทันสมัยกว่า อัพเดตบ่อยกว่า และเป็นอนาคตที่ชัดเจนของการพัฒนาแอพบน Windows 11 (แต่ก็ยังใช้กับ Windows 10 ได้เช่นกัน)
โดยโครงสร้างแล้ว Windows App SDK เปรียบเสมือนเป็นซูเปอร์เซ็ตของ UWP และมีเทคโนโลยีหลายตัวที่เป็นเวอร์ชันใหม่กว่า UWP (ตารางเปรียบเทียบ) แต่ก็มี API เก่าบางตัวที่ไม่ซัพพอร์ตต่อแล้ว ส่วนวิธีการแปลงแอพ UWP มาอยู่บน Windows App SDK ไมโครซอฟท์ก็เตรียมคำอธิบายไว้ให้ละเอียดในเอกสาร
ที่มา - Microsoft via MSPoweruser |
# [ลือ] กูเกิลสั่งผลิต Pixel 6 จำนวน 7 ล้านเครื่อง เพิ่มจากยอดขายปีที่แล้วเกินเท่าตัว
ข่าวลือรอบสุดท้ายก่อนเปิดตัว Pixel 6 คืนนี้ Nikkei Asia อ้างแหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมการผลิตว่ากูเกิลสั่งผลิต Pixel 6 และ Pixel 6 Pro รวมกันถึง 7 ล้านเครื่อง ถือว่ามากกว่ายอดขายมือถือตระกูล Pixel ทุกรุ่นในปี 2020 กว่าเท่าตัว
นอกจากนี้ Nikkei ยังได้ตัวเลขว่ากูเกิลสั่งผลิต Pixel 5a ถึง 5 ล้านเครื่องด้วย เท่ากับว่าปีนี้กูเกิลสั่งผลิต Pixel รวมกันประมาณ 12 ล้านเครื่อง เทียบกับตัวเลขของปี 2020 ที่ราว 3-4 ล้านเครื่องเท่านั้น ถือเป็นท่าทีที่ดุดันของกูเกิล ที่ก่อนหน้านี้ดูไม่จริงจังกับตลาดมือถือสักเท่าไรนัก
ตัวเลขนี้ยังห่างไกลกับยอดผลิต iPhone 13 ที่ประมาณ 80 ล้านเครื่องต่อปี แต่ระดับกูเกิลมาตั้งยอดผลิตที่ท้าทายแบบนี้ ก็คงมั่นใจว่า Pixel 6 น่าจะกอบโกยยอดขายได้มากกว่าเดิมมาก
ตามข่าวบอกว่ากูเกิลตั้งใจวางตัวเองเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android สัญชาติอเมริกันเพียงรายเดียวในตอนนี้ และจะเน้นที่ตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ที่กำลังกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวจากมือถือจีน โดยตั้งเป้าแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากแอปเปิล ซัมซุง และเสียวหมี่
ที่มา - Nikkei |
# ทำหมันฟรอมโฮม COSO ไอเดียเครื่องอุ่นไข่ ทำหมันชายชั่วคราว ชนะรางวัล Dyson Awards
นักวิทยาศาสตร์หญิงชาวเยอรมัน Rebecca Weiss ชนะรางวัลออกแบบ Dyson Awards ด้วยไอเดียเครื่อง COSO เครื่องอุ่นไข่เพื่อคุมกำเนิดชายชั่วคราว หลังเธอตรวจพบสารตั้งต้นของมะเร็งปากมดลูกที่อาจเกิดจากการใช้ยาคุมกำเนิดฝ่ายหญิงและปรึกษาว่าจะให้ฝ่ายชายคุมกำเนิดแทน
เธอพบว่านอกจากถุงยางแล้ว ผู้ชายยังมีตัวเลือกการคุมกำเนิดที่จำกัดกว่าผู้หญิง ที่มียาคุมกำเนิดทั้งแบบทานปกติ แบบฉุกเฉิน และแบบฝัง เธอจึงอยากเพิ่มทางเลือกคุมกำเนิดให้ผู้ชาย และแบ่งเบาภาระการคุมกำเนิดที่ตกอยู่กับฝ่ายหญิง โดยออกแบบเครื่อง COSO ขึ้นมา
COSO จะใช้น้ำอุ่นและคลื่นอัลตร้าซาวด์ ส่งความร้อนเข้าไปภายในถุงอัณฑะ เพื่อทำให้อสุจิไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว การใช้งานครั้งแรกต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เพื่อตั้งค่าความร้อนให้เหมาะสมกับขนาดอัณฑะ หลังจากนั้นผู้ใช้ต้องรอเวลาสองสัปดาห์เพื่อให้กระบวนการได้ผลสูงสุด
ครั้งที่สองและครั้งต่อๆ ไป ผู้ใช้สามารถใช้งานได้จากบ้านด้วยตัวเอง โดยแต่ละครั้งผู้ใช้ต้องแช่อัณฑะไว้ในเครื่องสามถึงสี่นาที ทำซ้ำทุก 2 เดือน หากไม่ต้องการคุมกำเนิดแล้ว อาจต้องรอให้ผลการคุมกำเนิดหายไปภายในระยะเวลาราว 6 เดือน หลังจากการใช้เครื่องครั้งสุดท้าย
เครื่องนี้ยังไม่ได้จำหน่ายในวงกว้าง เพราะยังเป็นแค่ทฤษฎี ขาดเงินทุน และยังมีผลวิจัยเบื้องต้นซึ่งทำในสัตว์เท่านั้น ใครที่สนใจอาจจะต้องรอผลวิจัยเพิ่มเติม หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องต่อไปอีกสักระยะ
ที่มา - COSO, The James Dyson Awards |
# KBank แจงโฆษณาประกัน “โดนแฮกเงินหาย” ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์เงินรั่ว, สั่งระงับโฆษณาแล้ว
ธนาคารกสิกรไทย ชี้แจงกรณีมีภาพโฆษณาประกันภัย “โดนแฮกเงินหาย” เผยแพร่ในโซเชียล ว่าประกันเป็นของธนาคารเป็นผู้เสนอขายจริง แต่ย้ำว่าโฆษณานี้ถูกปล่อยก่อนจะเกิดกระแสข่าวการตัดเงินที่ผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของประชาชน
ธนาคารกสิกรไทยระบุว่ามีการจัดทำโฆษณาเพื่อสื่อสารทางการตลาดที่สอดคล้องกับประสบการณ์ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (ประมาณ 12,000 คน) ผ่านแอป K PLUS เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 และทันทีที่ทราบประเด็นเหตุดังกล่าว ได้ระงับโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้วยรูปแบบข้างต้นในทุกช่องทางแล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2564
ธนาคารกสิกรไทยระบุยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาในการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการรูปแบบนี้ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมมีกระแสวิตก และขออภัยลูกค้าและประชาชนที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด
ส่วนประกัน “โดนแฮกเงินหาย” ในที่นี้ให้การคุ้มครอง 3 กรณี คือ
คุ้มครองผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ กรณีผู้ขายไม่ส่งสินค้าภายใน 7 วันนับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง, ผู้ซื้อได้รับสินค้าไม่ครบตามรายการสั่งซื้อ, สินค้าได้รับความเสียหายทางกายภาพ, สินค้าไม่เป็นไปตามที่โฆษณาประชาสัมพันธ์
คุ้มครองผู้ขายจากการถูกหลอกลวงให้ส่งสินค้า และไม่ได้รับเงินภายใน 7 วัน นับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง
คุ้มครองเงินส่วนตัวที่หายจากบัตร บัญชี หรือกระเป๋าเงินออนไลน์ จากการถูกโจรกรรมผ่านช่องทาง
ออนไลน์ โดยวิธีการใช้บัตรชำระเงิน , การเข้าสู่บัญชีธนาคาร , การเข้าสู่ e – Wallet ของผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีที่ไม่สามารถเรียกคืนได้จากผู้ออกบัตร หรือผู้ให้บริการบัญชี / กระเป๋าเงินออนไลน์
ที่มา - ประกาศธนาคารกสิกรไทย |
# รู้จักการโจมตีบัตรเครดิตแบบ Enumeration Attacks เมื่อคนร้ายเดาเลขบัตรเครดิตโดยไม่ต้องรอข้อมูลรั่ว
วันนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาชี้แจงเหตุการณ์ผู้ใช้จำนวนมากถูกตัดเงินออกจากบัญชีหรือถูกสั่งจ่ายบัตรเครดิตเป็นการ "สุ่มข้อมูลบัตร" โดยไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นการสุ่มข้อมูลใดบ้าง (เฉพาะ CVV, ข้อมูลอื่นๆ, หรือเลขบัตร 16 หลักด้วย) อย่างไรก็ดีการโจมตีแบบสุ่มเลขบัตรนี้มีนานแล้ว และทาง Visa ก็ได้ออกรายงานแจ้งเตือนผู้เกี่ยวข้องเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
รายงานของ Visa ระบุถึงการโจมตีที่มาเป็นคู่กัน คือ enumeration attacks หรือการสุ่มเลข และ account testing ที่คนร้ายจะทดสอบตัดเงินยอดเล็กๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยก่อน หากเลขบัตรใดตัดเงินผ่านก็จะเก็บเอาไว้เพื่อนำข้อมูลไปขายหรือโจมตีรุนแรงภายหลัง
ภาพโดย flyerwerk
กระบวนการสุ่มเลขนี้คนร้ายจะอาศัยการกรอกเลขเข้าไปยังร้านค้าอีคอมเมิร์ชยอดนิยม เนื่องจากร้านค้าเหล่านี้มีการส่งข้อความขอจ่ายเงินจำนวนสูงมาก จากนั้นคนร้ายจะยิงหมายเลขประจำธนาคาร (BIN), หมายเลขบัตร (PAN), วันหมดอายุ, หมายเลขยืนยัน (CVV), รวมถึงรหัสไปรษณีย์ของผู้ใช้ แล้วปล่อยให้ธนาคารผู้ออกบัตรปฎิเสธการจ่ายเงินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีข้อมูลสักชุดที่จ่ายเงินสำเร็จ
การโจมตีที่ต้องอาศัยการยิงข้อความขอจ่ายเงินจำนวนมากเช่นนี้ต้องอาศัยระบบระบบฝั่งผู้ค้าที่หละหลวม Visa พบว่า payment gateway หรือ shopping cart provider บางรายเข้าข่ายถูกโจมตีมากเป็นพิเศษ และผู้ให้บริการเหล่านี้มักได้รับความนิยมกับผู้ค้าบางกลุ่ม เช่นช่วงต้นปีที่ผ่านมา Visa พบอัตราการยิงทดสอบเลขบัตรเช่นนี้จากกลุ่มร้านขายยา, มหาวิทยาลัย, ร้านค้าปลีก, และสนามกอล์ฟ โดยทาง Visa จะแจ้งเตือนผู้เกี่ยวข้องเป็นระยะถึงแนวโน้มที่ถูกโจมตี
เอกสารของ Visa แนะนำผู้เกี่ยวข้องกับการรับจ่ายเงินผ่านบัตรทั้งหมดให้เสริมความปลอดภัย เพื่อลดการโจมตีแบบเดาเลขบัตรเช่นนี้ ร้านอีคอมเมิร์ชทั้งหลายควรป้องกันตัวเองด้วยการเปิด CAPTCHA ป้องกันบอตยิงเลข, ตรวจสอบการยิงเลขบัตรซ้ำๆ จากธนาคารเดียว, การยิงเลขวิ่ง (sequential PAN), การจ่ายเงินข้ามประเทศ, และการจ่ายเงินจำนวนเท่าๆ กันซ้ำๆ สำหรับธนาคารผู้ออกบัตรนั้น Visa แนะนำให้ธนาคารผู้ออกบัตรไม่ให้ออกบัตรที่หมายเลขบัตรเรียงกัน (sequential PAN) หรือออกบัตรที่วันหมดอายุตรงกันเป็นชุดๆ รวมถึงตรวจสอบเหตุการณ์ที่การตรวจสอบหมายเลข CVV ผิดพลาดสูงผิดปกติ
ที่มา - Visa Guidance to Guard Against Enumeration Attacks and Account Testing Schemes |
# TTA เข้าซื้อหุ้น 60% ใน Skootar มูลค่าดีล 100 ล้านบาท
บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัทได้เข้าลงทุนซื้อหุ้น 60% ใน Skootar สตาร์ทอัพให้บริการแพลตฟอร์ม สำหรับรับ-ส่งเอกสาร พัสดุ รวมไปถึงบริหารส่งอาหาร โดยดีลนี้ทำผ่านบริษัทลูก วี เวนเจอร์ส เทคโนโลจีส์ คิดเป็นมูลค่าในการซื้อหุ้น 100 ล้านบาท
TTA บอกว่าการลงทุนใน Skootar นี้ จะช่วยเสริมศักยภาพบริษัทในส่วนช่องทางการขนส่งสินค้าผ่านออนไลน์ รวมทั้งเสริมธุรกิจในเครือให้ครบวงจรมากขึ้น
โทรีเซนไทย เป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลักคือให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ และธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง ในช่วงหลังบริษัทขยายมาลงทุนในธุรกิจอื่นมากขึ้น รวมทั้งบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่ง แต่ที่โดดเด่นคือธุรกิจอาหาร โดยเป็นผู้บริหารจัดการ พิซซ่า ฮัท และ ทาโก้ เบลล์ ในประเทศไทย
ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย |
# Steam เตรียมแสดงเครื่องหมายระดับการรองรับ Steam Deck บนหน้าปกเกม
Valve เตรียมตรวจสอบเกมทั้งหมดบนร้านค้า Steam เพื่อแบ่งหมวดหมู่และแปะเครื่องหมายว่าเกมนั้นรองรับ Steam Deck ในระดับไหน และแปะเครื่องหมายไว้บนปกเกม เมื่อผู้ใช้ใช้งาน Steam บน Steam Deck โดยจะแบ่งเป็น 4 หมวด คือ
Verified ตรวจสอบแล้วว่ารองรับ
Playable เล่นได้แต่อาจต้องปรับเซ็ตติ้งเล็กน้อย
Unsupported เล่นไม่ได้
Unknown ยังไม่ได้ตรวจสอบ
เกมที่จะได้รับเครื่องหมาย Verified ต้องผ่านเกณฑ์ครบทั้ง 4 ข้อ ดังนี้
Input - รองรับจอยแบบเต็มรูปแบบ พิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดบนจอได้
Display - รองรับความละเอียด 1280x800 และ 1280x720 ของ Steam Deck โดยผู้เล่นต้องอ่านตัวหนังสือในเกมได้
Seamlessness - ตัวเกมต้องไม่มีคำเตือนว่าไม่รองรับอุปกรณ์บางอย่างของ Steam Deck ถ้าตัวเกมมี Launcher ผู้เล่นต้องใช้งานเมนูด้วยจอยได้
System Support - ตัวเกมและระบบ Anti-Cheat ของเกมต้องรองรับการใช้งานผ่าน Proton (ระบบเล่นเกมของ Windows บน Linux)
เกมอื่นๆ ที่ผ่านเป็นบางข้อ หรือมีปัญหาบ้างแต่ยังพอเล่นได้ ก็จะได้รับเครื่องหมาย Playable แต่ถ้าแย่ในระดับรับไม่ได้ก็จะถูกจัดเป็น Unsupported ไป รวมถึงจะมีรายละเอียดอื่นๆ เช่น ต้องใช้แว่น VR หรือมีปัญหาตรงจุดไหน บอกเพิ่มเติมในหน้า Store บน Steam Deck อย่างชัดเจนอีกด้วย
ที่มา - Steam |
# Dead by Daylight โดนด่ายับ หลังเตรียมขายโมเดลจาก DLC Hellraiser เป็น NFT
Behaviour Interactive ทีมสร้าง Dead by Daylight และ Park Avenue Entertainment ผู้ถือลิขสิทธิ์ Hellraiser ปัจจุบัน ร่วมมือกับ Boss Protocol ทีมสร้าง NFT นำโมเดลตัวละครและลูกบาศก์ Lament Configuration จาก DLC Hellraiser มาขายเป็น NFT โดยเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนด้วยอีเมลในเว็บไซต์ และเตรียมเปิดขายในเร็วๆ นี้
แฟนเกมหลายส่วนไม่พอใจเรื่องนี้ และพิมพ์ตอบโต้ในโพสต์โปรโมตของทีมงานในทวิตเตอร์ เนื่องจากปัจจุบัน การสร้างและแลกเปลี่ยน NFT ยังเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานสูง เพราะต้องใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากในการประมวลผลการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน (ระบบ Proof of Work) และเป็นกระบวนการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ Clive Barker ผู้เขียน Hellraiser ต้นฉบับ ก็เพิ่งจะชนะคดีลิขสิทธิ์จาก Park Avenue Entertainment แต่ลิขสิทธิ์จะกลับไปอยู่กับเขาในเดือนธันวาคม ทำให้หลายคนมองว่านี่เหมือนเป็นการหากินเฮือกสุดท้ายของ Park Avenue Entertainment
ตราบใดที่การสร้างและแลกเปลี่ยนโทเค่น NFT บนบล็อกเชนในปัจจุบัน ยังเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานสูง และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้สร้างและแลกเปลี่ยน NFT คงไม่สามารถหนีคำวิจารณ์นี้ได้ จนกว่า NFT กระแสหลักจะปรับไปใช้ระบบอื่นที่ใช้พลังงานต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้
ที่มา - Kotaku |
# เปิดตัว IBM Power10 ขุมพลังที่ให้ธุรกิจของคุณ ทะยานสู่ Hybrid Cloud อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ทาง IBM มีการเปิดตัวเครื่องเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 9 เดือน 9 ที่ผ่านมา ซึ่งทาง IBM ยังคงนำเสนอเครื่องในตระกูล Power Systems อันทรงพลังเช่นเดิม แต่ออกแบบและพัฒนาต่อยอดไปอีกขั้นโดยเปิดตัวซีพียูประมวลผลรุ่นล่าสุด Power10 ที่ผลิตบนมาตรฐานการผลิตชิปเซ็ตสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบ 7 nm ทำให้ประสิทธิภาพและความสามารถในการประมวลผลเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ช่วยให้เครื่องเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่นี้ทำงานได้ดีขึ้นแต่ใช้พลังงานต่ำลง แน่นอนว่าผู้ใช้ระดับองค์กรได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนระบบไปใช้เครื่อง Power10 เต็ม ๆ นั่นคือ การทำงานของแอปพลิเคชันหรือระบบงานเดิมทำงานได้เร็วขึ้น หรือรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น หรือระบบโดยรวมมีเสถียรภาพสูงขึ้น ลดปัญหา Downtime ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าของระบบได้เป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจของคุณไม่สะดุด
เราน่าจะได้เห็นหรือได้ยินข่าวที่มีหลายองค์กรหลายได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ Malware และ Ransomware มากมายอย่างต่อเนื่อง ทำให้เสถียรภาพและความปลอดภัยของระบบกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากและจำเป็นลำดับแรก ๆ ของทุกบริษัทหรือทุกองค์กร เพราะไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของข้อมูลที่รั่วไหลเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงความผิดทางพรบ. คอมพิวเตอร์ และข้อบังคับในการจัดการข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ไปจนถึงภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจองค์กรในวงกว้างอีกด้วย ซึ่ง IBM Power Systems เป็นแพลตฟอร์มที่คำนึงถึงเรื่องของเสถียรภาพและความปลอดภัยของระบบมาเป็นอันดับแรกมานมนาน จะเห็นได้จากข่าวคราวการโจมตีทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นแทบจะไม่มีข่าวมาจาก IBM Power เลย และใน Power10 รุ่นล่าสุดที่ออกมา ก็ยังเพิ่มเติมความสามารถทางด้านความปลอดภัยของระบบหรือ Cyber Resilience ให้เหนือล้ำไปอีกขั้น และไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ สามารถเข้ารหัสข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Memory และป้องกันการโจมตีหรือขโมยข้อมูลที่รับส่งในระดับหน่วยความจำได้อีกด้วย เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันโดยเฉพาะระบบฐานข้อมูลหลักขององค์กรมีแนวโน้มที่จะเก็บหรือพักข้อมูลสำคัญไว้ใน Memory มากขึ้นเพื่อความเร็วในการให้บริการเป็นสำคัญ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด อาทิ ระบบ SAP HANA ดังนั้น Power10 จึงเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ใส่ความสามารถที่ชื่อว่า Transparent Memory Encryption หรือการเข้ารหัสข้อมูลในระดับ Memory ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมเสริมภายนอกและไม่กระทบประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชันหลักที่ใช้งานอยู่ เพราะ Power10 มี Crypto Engine ฝังอยู่ในชิปเซ็ตเพื่อจัดการการเข้ารหัสและถอดรหัสในเครื่อง Power10 และใน Memory โดยเฉพาะ ด้วยความสามารถนี้ การเลือกใช้ Power10 สำหรับระบบงานสำคัญขององค์กรจึงทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าระบบงานของคุณจะได้รับการป้องกันการโจมตีและการขโมยข้อมูลทั้งหมดที่ส่งเข้าออกจากหน่วยความจำได้ทันทีและไม่หน่วงการทำงานของแอปพลิเคชันหลักที่ให้บริการอยู่
นอกจากเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของ Power10 ที่โดดเด่นแล้ว การที่ Power10 ยังช่วยลดผลกระทบกับธุรกิจจาก Downtime ที่ไม่ได้คาดหวังหรือการหยุดชะงักของระบบที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าได้อีกด้วย การันตีจากได้อันดับหนึ่งจากผลการสำรวจขององค์การทางด้านความเสถียรของฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการเป็นเวลามากกว่า 12 ปีติดต่อกัน ล่าสุด Power10 มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการเพิ่มเสถียรภาพให้กับ Memory ที่เรียกว่า Open Memory Interface (OMI) เพื่อป้องกันปัญหาในกรณีที่เกิดความผิดปกติกับหน่วยความจำ จนอาจจะทำให้ระบบหยุดทำงานหรือใช้งานไม่ได้เลยทีเดียว โดยเทคโนโลยีนี้จะรวมถึงการมีหน่วยความจำสำรองหรือ Spare Memory ที่สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีในกรณีที่หน่วยความจำหลักบางส่วนมีปัญหาหรือใช้งานไม่ได้ และยังมีกลไกที่จะข้ามหรือปิดการใช้งานแผงวงจร Memory ส่วนที่เสียหายออกไป ทำให้ภาพรวมของ Power10 สามารถช่วยให้ระบบมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับมาตรฐาน
ในด้านของความยืดหยุ่นเมื่อลูกค้าเลือกใช้ IBM Power10 นั่นคือ รองรับการทำงานแบบ Hybrid Cloud โดยเฉพาะ ซึ่ง Power10 เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานในรูปแบบของ Pay-per-use หรือการจ่ายเงินเพิ่มเพื่ออัพเกรดเครื่องตามปริมาณการใช้งานทรัพยากรของระบบที่ถูกใช้ไปตามความต้องการของธุรกิจที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลา ลูกค้าสามารถรับข้อเสนอนี้ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการซื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์มาใช้งานทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์หรือ On-premise และการใช้งานบน Public Cloud หรีอ Off-premise ผ่านบริการที่ชื่อว่า Power Virtual Server บน IBM Cloud ในส่วนของการตรวจสอบดูแลและการบริหารจัดการเครื่อง IBM Power Systems ลูกค้าสามารถใช้โปรแกรมพื้นฐานที่ทาง IBM มีให้และโปรแกรมเสริมอื่น ๆ เช่น PowerVC, Cloud Management Console (CMC), Ansible, Terraform และ VMware vRealize Suite เป็นต้น ทำให้คุณสามารถบริหารจัดการระบบได้อย่างง่ายดายแบบรวมศูนย์ และสามารถบริหารจัดการทั้งระบบงานแบบ Virtualization เดิม ๆ รวมไปถึงระบบงานแบบ Cloud Native Apps บนพื้นฐานของ Kubernetes และ Red Hat OpenShift ไปได้พร้อมกันเป็นอย่างดี ทำให้องค์กรประหยัดเพราะลูกค้าสามารถนำเอาระบบงานหลักเช่น ระบบฐานข้อมูล Oracle Database หรือระบบ SAP ที่รองรับการติดตั้งแบบ Virtual Machine บน AIX หรือ IBM i เท่านั้น ย้ายขึ้นมาทำงานบน Power10 ได้ทันที พร้อมกันนั้น ทรัพยากรที่เหลืออยู่ก็สามารถติดตั้ง Red Hat OpenShift เพื่อติดตั้งบริการใหม่ ๆ ในรูปแบบ Microservices หรือ Cloud Native Apps บนเครื่องเดียวกันได้อีก เพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กข้ามเครื่องอีกด้วย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเราสามารถรวมเอาระบบงานต่าง ๆ ที่ใช้งานอยู่ในองค์กร ทั้งสำคัญมากและสำคัญน้อยมา Consolidate รวมกัน ทำให้ใช้ฮาร์ดแวร์น้อยลงแต่คุ้มค่ามากขึ้น ทั้งยัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น ตอบสนองธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และง่ายต่อการบริหารจัดการหรือปรับเปลี่ยนได้ทันต่อความต้องการของธุรกิจหรือการแข่งขันทำให้เราไม่เสียโอกาสทางธุรกิจไป
อีกความสามารถหนึ่งที่ลืมไปไม่ได้เลยก็คือ ความสามารถที่ช่วยเพิ่มความเร็วในขั้นตอนของการเป็นทรัพยากรของระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จาก Power10 เพราะทาง IBM ก็มีการเพิ่มความสามารถของชิปเซ็ตหน่วยประมวลผลด้วยการพัฒนาชุดคำสั่ง Matrix Math Accelerator (MMA) มาพร้อมกับ Power10 ที่จะช่วยให้การทำงานหรือประมวลผลของ AI Model ที่เรียกว่า AI Inferencing เพราะมีการเพิ่มชุดคำสั่งในการส่งข้อมูลจากส่วนของการปฏิบัติงาน (Operational) เพื่อไปประมวลผลใน GPU ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย มีการออกแบบที่เพิ่มขนาดของแบนด์วิดธ์เพื่อช่วยลดการหน่วงเวลาหรือ Latency ของการประมวลผลทางด้าน Machine Learning ได้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อย 10 เท่าเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้ สำหรับบริษัทหรือองค์กรที่มองหาแพลตฟอร์มหรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์สำหรับรันระบบงานหลักขององค์กร ทุกที่ต่างก็ต้องการระบบงานที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงขึ้นอย่างแน่นอน รองรับการทำงานที่หลากหลาย และช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อักโข พร้อมทั้งสามารถบริหารจัดการได้ง่ายดาย สามารถมองหา IBM Power10 ไว้เป็นทางเลือกต้น ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานได้แล้ววันนี้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
บริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด
โทร 02 311 6881 #7151, 7156 หรือ email : [email protected]
เขียนโดย ธนกฤต โลเกศกระวี
Pre-sales Specialist
บริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด
Credit ภาพ >> https://www.ibm.com/it-infrastructure/power/power10 |
# ชีวิตติดลูป ไมโครซอฟท์มีปัญหากับพรินเตอร์อีกแล้ว กระทบวินโดวส์ทุกเวอร์ชัน
เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ ไมโครซอฟท์อัพเดตแพตช์ประจำเดือนที่มีบั๊กกับพรินเตอร์ จนต้องออกแพตช์แก้บั๊กตามมาอีกรอบ ตามมาด้วยช่องโหว่ความปลอดภัย PrintNightmare ในเดือนกรกฎาคม โดยแพตช์แก้ตามมาในเดือนสิงหาคม
ล่าสุดไมโครซอฟท์รายงานปัญหาว่าแพตช์ KB5005565 ของเดือนกันยายน สร้างบั๊กพรินเตอร์ใหม่อีกรอบ อาการคือจะถามหาล็อกอินบัญชีแอดมินทุกครั้งที่พยายามสั่งพิมพ์ผ่านพรินต์เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่คนละเขตเวลากับไคลเอนต์ ไมโครซอฟท์ระบุว่าบั๊กนี้มักเกิดกับพรินเตอร์สำหรับองค์กร และไม่พบในพรินเตอร์ตามบ้านมากนัก
บั๊กนี้อาจไม่ใช่บั๊กใหญ่นัก แต่กระทบกับ Windows ทุกรุ่นตั้งแต่ 7 ไล่มาจนถึง 11 รวมถึงฝั่งเซิร์ฟเวอร์คือ 2008 SP2 มาจนถึง 2022 ด้วย ตอนนี้ยังไม่มีแพตช์แก้ และต้องรอกันถึงปลายเดือนตุลาคม
ที่มา - Microsoft, The Register
ภาพจาก HP |
# แบงค์ชาติระบุเหตุเงินรั่วจากบัตรเดบิตเกิดจากคนร้ายสุ่มข้อมูลบัตร เพิ่มมาตรการคืนเงินใน 5 วัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุมีผู้ใช้บริการธนาคารถูกเรียกเก็บเงินในรายการที่ไม่ได้ใช้งานจำนวนมาก ล่าสุดทางธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากคนร้ายสุ่มข้อมูลบัตร แล้วนำข้อมูลไปใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่ไม่ได้ยืนยันผู้ใช้ผ่าน OTP ซ้ำ โดยรวมมีบัตรใช้งานผิดปกติจากเหตุนี้ 10,700 ใบ
ทางธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มมาตรการ เช่น ยกระดับการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติ โดยเฉพาะธุรกรรมจากต่างประเทศ, เพิ่มการแจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการ, ในกรณีบัตรเดบิตที่เป็นเหยื่อให้คืนเงินภายใน 5 วัน
นอกจากมาตรการต่างๆ แล้วทางธนาคารแห่งประเทศไทยยังแนะนำถึงฟีเจอร์ความปลอดภัยของบางธนาคาร ทั้งการเปิด/ปิดบัตรด้วยตนเอง, เปลี่ยนแปลงวงเงินการใช้บัตร, หรือแม้แต่แจ้งอายัดบัตรผ่านแอพพลิเคชั่น
ที่มา - Bank of Thailand |
# Alibaba เปิดตัว Yitian 710 ซีพียู ARM ออกแบบเองสำหรับใช้ในเซิร์ฟเวอร์
Alibaba เปิดตัว Yitian 710 ซีพียู ARM ออกแบบเองสำหรับใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ โดยจะนำไปใช้เซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ Panjiu ของ Alibaba Cloud
ชิป Yitian 710 พัฒนาโดย T-Head หน่วยพัฒนาชิปของ Alibaba เอง สเปกเท่าที่เปิดเผยคือสถาปัตยกรรม Armv9 มี 128 คอร์ คล็อคสูงสุด 3.2GHz, ผลิตที่ 5nm มีจำนวนทรานซิสเตอร์ 6 หมื่นล้านตัว, รองรับแรม DDR5 8 channel และ PCIe 5.0 จำนวน 96 เลย
สมรรถนะคือได้คะแนน SPECint2017 ที่ 440 คะแนน โดย Alibaba บอกว่าได้คะแนนสูงกว่าเซิร์ฟเวอร์ ARM ในปัจจุบัน (ไม่ระบุว่ารุ่นไหน) 20% ในแง่ประสิทธิภาพ และ 50% ในแง่การประหยัดพลังงาน
นอกจากชิป ARM แล้ว Alibaba ยังประกาศเปิดซอร์สโค้ดบางส่วนของชิป XuanTie ที่ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V ด้วย
ที่มา - Alibaba |
# Apple ยังมีขาย Mac ที่ใช้ Intel อยู่ เหลือเพียง iMac, Mac Pro และ Mac mini เท่านั้น
หลังงานอีเวนต์ Unleashed ของแอปเปิลเมื่อคืน ซึ่งเป็นการเปิดตัว MacBook Pro ที่เปลี่ยนมาใช้ซีพียูใหม่ในตระกูล M1 และเลิกขายรุ่นเก่าที่เป็นซีพียู Intel แต่คงไว้เฉพาะรุ่นจอ 13 นิ้ว ที่เป็นซีพียู M1 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ไลน์สินค้าตระกูล Mac ของแอปเปิล เหลือไม่กี่สินค้าเท่านั้นที่ยังใช้ซีพียู Intel ดังนี้
iMac 27 นิ้ว ซีพียู Intel 10th Gen (อัพเดต 2020)
iMac 21.5 นิ้ว ซีพียู Intel 9th Gen
Mac Pro ซีพียู Intel Xeon W เปิดตัว 2019
Mac mini ซีพียู Intel 8th Gen เปิดตัว 2018
ตามแผนการเปลี่ยนผ่าน Mac จาก x86 ไปเป็น Apple Silicon นั้น ซีอีโอ Tim Cook บอกว่าจะใช้เวลาทั้งหมด 2 ปี ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งทางแล้ว (Mac M1 ตัวแรกออกมาพฤศจิกายน 2020) โดย iMac กับ Mac mini มีรุ่นที่เป็นซีพียู M1 ขายคู่กันอยู่แล้ว จึงน่าจะรอเวลาเลิกขายเท่านั้น ส่วน Mac Pro ก็คาดว่าจะมีรุ่นใหม่ออกมาภายในระยะเวลา 1 ปี จากนี้
ที่มา: 9to5Mac |
# MacBook Pro รุ่นใหม่ ใช้พอร์ต HDMI 2.0 ไม่ใช่ HDMI 2.1
ไฮไลท์หนึ่งของ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่เปิดตัวเมื่อคืนนี้ คือการนำพอร์ตสำหรับการเชื่อมต่ออื่นกลับมาคือ HDMI กับ SDXC จากที่รุ่นปี 2016 ตัดออกให้เหลือแค่ Thunderbolt กับช่องหูฟัง
อย่างไรก็ตามรายละเอียดสเปกของพอร์ต HDMI ที่ให้มานั้นไม่ใช่รุ่นล่าสุด HDMI 2.1 แต่เป็น HDMI 2.0 โดยแอปเปิลไม่ได้พูดถึงเวอร์ชันตรง ๆ แต่บอกว่ารองรับภาพ ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60Hz ซึ่งเป็นมาตรฐานของ HDMI 2.0 ส่วน 2.1 นั้นรองรับ 4K ที่ 120Hz และ 8K และ 60Hz ฉะนั้นหากผู้ใช้งานต้องการเชื่อมต่อแสดงผลที่มากกว่า ก็ต้องใช้ Thunderbolt แทน
ทั้งนี้ Apple TV 4K รุ่นล่าสุด ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี เป็น HDMI 2.1
ที่มา: MacRumors |
# MacBook Pro รุ่นใหม่ จัดสเปกแพงสุด ราคาไทยอยู่ที่ 215,900 บาท
MacBook Pro รุ่นใหม่ เปิดตัวพร้อมกับราคาที่ Pro สมศักดิ์ศรี โดยรุ่นเริ่มต้นนั้น จะเป็นซีพียู M1 Pro แรม 16GB และตัวจัดเก็บข้อมูล SSD 512GB ราคาเริ่มต้น 73,900 บาท สำหรับจอ 14 นิ้ว และ 89,900 บาท สำหรับจอ 16 นิ้ว
อย่างไรก็ตามผู้ซื้อสามารถเลือกอัพเกรดสเปกฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมได้ ทั้งเปลี่ยนเป็นซีพียู M1 Max เพิ่มแรมได้สูงสุด 64GB และเพิ่ม SSD เป็น 8TB โดยในรุ่น 16 นิ้วนั้น เพิ่มสเปกเป็นซีพียู M1 Max แบบซีพียู 10 คอร์ จีพียู 32 คอร์ และ Neural Engine 16 คอร์ แรม 64GB SSD 8TB ราคาจะอยู่ที่ 215,900 บาท
สำหรับรุ่นจอ 14 นิ้ว ตัวเลือกสเปกฮาร์ดแวร์สูงสุดแบบเดียวกันกับของ 16 นิ้ว ราคาจะอยู่ที่ 208,900 บาท
ทั้งนี้ MacBook Pro รุ่นใหม่ ยังไม่กำหนดวันเริ่มวางจำหน่ายในไทย
ที่มา: MacRumors |
# AirPods Pro อัพเกรดเคสชาร์จ รองรับ MagSafe เหมือน AirPods 3 คงราคาเท่าเดิม
หลังจากแอปเปิลเปิดตัวหูฟัง AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งใช้เคสชาร์จดีไซน์เดียวกับ AirPods Pro แต่เพิ่มเติมคือรองรับการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe ฝั่งของ AirPods Pro ก็เลยอัพเกรดด้วยเช่นกัน
โดยในหน้าสินค้าของ AirPods Pro นั้น ได้ระบุเพิ่มเติมว่าสินค้าใหม่จากนี้ ตัวเคสชาร์จจะรองรับ MagSafe เช่นกัน หรือจะนำไปชาร์จบนแผ่นรองชาร์จแบบไร้สาย หรือผ่านพอร์ต Lightning ก็ได้
ราคาขายนั้นเท่าเดิมคือ 8,992 บาท ผ่านช่อง Apple Store ออนไลน์ (ราคาอาจแตกต่างกันไปตามร้านค้า)
ที่มา: MacRumors |
# Apple ขายผ้าเช็ดจอ เหมาะกับกระจกพื้นผิวนาโน ราคา 690 บาท
หลายคนอาจเคยได้ยินหรือเล่นมุกเกี่ยวกับสินค้าแอปเปิลตัวนี้ และตอนนี้ก็มีจริง ๆ แล้ว โดยแอปเปิลได้ขายผ้าเช็ดรอย สำหรับทำความสะอาดจอภาพแอปเปิลทุกชนิด รวมถึงกระจกพื้นผิวนาโนที่ใช้กับจอ Pro Display XDR โดยมีราคาอยู่ที่ 690 บาท
รายละเอียดสินค้านั้นแอปเปิลบอกเพียง ใช้วัสดุที่อ่อนนุ่มและไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วน
ผ้าเช็ดทำความสะอาดนี้แอปเปิลจะให้มาพร้อมกับการซื้อจอ Pro Display XDR พื้นผิวนาโน โดยระบุในเอกสารสนับสนุนว่าไม่ให้ใช้ผ้าอื่นทำความสะอาด และก่อนหน้านี้กรณีทำหาย ก็ต้องติดต่อกับแอปเปิลเพื่อสั่งซื้อผ้าทดแทน แต่ตอนนี้แอปเปิลเปลี่ยนมาวางขายให้กับลูกค้าทุกคนผ่าน Apple Store เลย ฉะนั้นหากจะไปใช้กับหน้าจออื่นก็ย่อมทำได้เช่นกัน
ที่มา: Apple Insider |
# Apple ปรับเว็บไซต์ แยกสินค้า AirPods ออกมา - โปรโมตบริการออนไลน์มากขึ้น
แอปเปิลได้ปรับเปลี่ยนแถบเมนูด้านบนสุดของเว็บไซต์ Apple.com เพื่อแยกสินค้ากลุ่มดนตรี (Music) ออกมาให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งเพิ่มหมวดสำหรับโปรโมตกลุ่มธุรกิจ Services ต่าง ๆ
โดยการเปลี่ยนแปลงนั้น ได้แก่ แยกหมวดสินค้า AirPods ออกมาต่างหาก (เดิมอยู่ใน Music), เปลี่ยนคำอธิบายเป็นหมวด TV และบ้าน (เดิมมีแค่ TV), เพิ่มหัวข้อ เฉพาะที่ Apple (Only on Apple) และเพิ่มหมวดอุปกรณ์เสริม (Accessories)
สำหรับในหน้า Only on Apple เป็นการรวมบริการออนไลน์ของแอปเปิลไว้ในที่เดียว ทั้ง Apple TV+, Apple Music, Apple Arcade, iCloud, Apple Podcasts, Apple Books และ Apple Wallet (ในต่างประเทศจะมี Apple Fitness+ กับ Apple Card ด้วย) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกสมัครแพ็คเกจรวม Apple One ที่จะมีทั้ง Apple TV+, Apple Music, Apple Arcade, iCloud รวมอยู่ด้วยกันในราคาถูกลงได้อีกด้วย
ที่มา: Apple Insider |
# Apple จะออกอัพเดต macOS Monterey และ iOS 15.1 ในสัปดาห์หน้า
แอปเปิลประกาศว่าระบบปฏิบัติการ macOS Monterey จะเปิดให้ผู้ใช้งานได้อัพเดตกันในสัปดาห์หน้า วันที่ 26 ตุลาคม 2021 เป็นต้นไป ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งเป็นประกาศที่มาพร้อมกับการเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ ที่ใช้ซีพียู M1 Pro และ M1 Max
นอกจากนี้แอปเปิลยังระบุว่าระบบปฏิบัติการอื่นได้แก่ iOS 15.1, iPadOS 15.1, watchOS 8.1 และ tvOS 15.1 ก็จะออกอัพเดตในสัปดาห์หน้าเช่นกัน ซึ่งเป็นประกาศที่มาพร้อมกับหูฟังไร้สาย AirPods 3 ซึ่งต้องทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่
ที่มา: MacRumors |
# MacBook Pro รุ่นใหม่ซีพียู M1 Pro/Max เร็วแรงขึ้น - ตัด Touch Bar - เพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อ - จอมีรอยบาก
แอปเปิลเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ซีพียู M1 Pro และ M1 Max มีสองขนาดหน้าจอคือ 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ซึ่งผู้ซื้อสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ซีพียูตัวไหนกับหน้าจอแบบไหน ตัวเครื่องเป็นดีไซน์ใหม่
MacBook Pro รุ่นใหม่ใช้หน้าจอแบบ Liquid Retina XDR ด้วยเทคโนโลยี mini-LED แบบเดียวกับใน iPad Pro รุ่นใหม่ รองรับอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz กล้องหน้า FaceTime HD 1080p พร้อมฟีเจอร์ปรับปรุงคุณภาพของวิดีโออัตโนมัติ ระบบเสียงลำโพง 6 จุด รองรับ Spatial Audio อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่าหน้าจอมีพื้นที่รอยบากด้านบน สำหรับกล้อง FaceTime ด้วย
คีย์บอร์ดกลับมาใช้รูปแบบเดียวกับ Magic Keyboard ที่รองรับ Touch ID โดยตัดแถบ Touch Bar ออกไป เปลี่ยนกลับมาเป็นแผงปุ่มฟังก์ชันแบบเดิม พร้อมปุ่ม Esc ที่ยาวขึ้น ซึ่งแอปเปิลบอกว่าเป็นความต้องการกลุ่มผู้ใช้ Pro ร่วมกับแทร็กแพดแบบ Force Touch
MacBook Pro รอบนี้แอปเปิลกลับมาใส่พอร์ตเชื่อมต่อทั้งสองด้านมากขึ้น โดยมีทั้ง พอร์ต Thunderbolt 4 (USB‑C) จำนวน 3 พอร์ต ช่องเสียบการ์ด SDXC และพอร์ต HDMI โดยรองรับจอภายนอก 2 จอ สำหรับรุ่น 14 นิ้ว และ 4 จอ สำหรับรุ่น 16 นิ้ว รวมทั้งช่องต่อหูฟัง 3.5 มม. ส่วนการชาร์จใช้หัวต่อ MagSafe 3 แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 17 ชั่วโมง
ประสิทธิภาพการทำงานที่มาพร้อมกับการใช้ซีพียู M1 Pro และ M1 Max เป็นจุดขายสำคัญของ MacBook Pro โดยแอปเปิลเปรียบเทียบไว้อย่างละเอียดดังนี้
รุ่นจอ 16 นิ้ว ซีพียูทำงานเร็วขึ้น 2 เท่า เทียบกับรุ่น Core i9
รุ่นจอ 16 นิ้ว จีพียูทำงานเร็วขึ้น 4 เท่า (M1 Max) และ 2.5 เท่า (M1 Pro) เทียบกับ Radeon Pro 5600M ใน MacBook Pro รุ่นก่อนหน้า
รุ่นจอ 16 นิ้ว งาน Machine Learning เร็วขึ้น 5 เท่า
รุ่นจอ 14 นิ้ว ซีพียูทำงานเร็วขึ้น 3.7 เท่า เทียบกับรุ่น Core i7 ใน MacBook Pro 13 นิ้ว
รุ่นจอ 14 นิ้ว จีพียูทำงานเร็วขึ้น 13 เท่า (M1 Max) และ 9 เท่า (M1 Pro) เทียบกับ Core i7
รุ่นจอ 14 นิ้ว งาน Machine Learning เร็วขึ้น 11 เท่า
MacBook Pro รุ่นใหม่ ให้แรมเริ่มต้นที่ 16GB เพิ่มได้สูงสุดถึง 64GB มีตัวเลือก 2 สี คือ เทาสเปซเกรย์ กับ เงิน ราคาเริ่มต้นดังนี้
14 นิ้ว เริ่มต้น 73,900 บาท เป็นซีพียู M1 Pro
16 นิ้ว เริ่มต้น 89,900 บาท เป็นซีพียู M1 Pro
กรณีเลือกซีพียู M1 Max ก็จะบวกราคาเพิ่มไปอีก ขึ้นอยู่กับรายละเอียดสเป็ก นอกจากนี้ยังมีราคาส่งเสริมการศึกษา ที่ลดราคาลงมาอีกด้วย
สินค้าเปิดให้สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้ในอเมริกา เริ่มจัดส่ง 26 ตุลาคม 2021 เป็นต้นไป ส่วนในไทยยังไม่กำหนดวัน
ที่มา: แอปเปิล |
# แอปเปิลเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ M1 Pro/M1 Max เพิ่มซีพียูเป็น 10 คอร์ ใส่แรมสูงสุด 64GB
แอปเปิลเปิดตัวซีพียูพีซีของตัวเองต่อจาก M1 ที่เปิดตัวปีที่แล้วพร้อมกัน 2 รุ่น คือ M1 Pro และ M1 Max สำหรับการใช้งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง โดยยังใช้สถาปัตยกรรม Unified Memory รวมแรมสำหรับกราฟิกและซีพียูไว้เป็นชุดเดียวกัน
M1 Pro รองรับแรมสูงสุด 32GB ส่งข้อมูลที่แบนวิดท์ 200GB/s มีซีพียู 10 คอร์ แบ่งเป็นคอร์ประสิทธิภาพสูง 8 คอร์และคอร์ประหยัดพลังงาน 2 คอร์ จีพียู 16 คอร์ ต่อจอภายนอกได้ 2 จอพร้อมกัน
M1 Max รองรับแรมสูงสุด 64GB ส่งข้อมูลที่แบนวิดท์ 400GB/s ซีพียูเป็นแบบ 8+2 คอร์เช่นเดียวกัน แต่เพิ่มจีพียูเป็น 32 คอร์ แอปเปิลระบุว่าประหยัดพลังงานกว่าจีพียูที่ประสิทธิภาพระดับเดียวกันถึง 70%
การเพิ่มแรมและกราฟิกเป็นจุดที่ผู้ใช้ระดับโปรรอคอยกัน เพราะชิป M1 ล็อกโมดูลมาพร้อมกันทั้งแรมและกราฟิก ปีที่แล้ว M1 รองรับแรมสูงสุดเพียง 16GB
ที่มา - Apple Event |
# แอปเปิลเปิดตัว AirPods 3 การันตีแบตอึด 6 ชั่วโมง รองรับชาร์จ MagSafe ราคาไทย 6,790 บาท
แอปเปิลเปิดตัว AirPods 3 มาพร้อมดีไซน์ใหม่มีความโค้งมน รองรับระบบเสียง Spatial Audio คุณสมบัติกันน้ำกันเหงื่อ เพิ่มฟังก์ชัน Adaptive EQ หรือการปรับจูนเสียงเพลง
AirPods 3 ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง เคสรองรับการชาร์จไร้สายและชาร์จแบบ MagSafe เริ่มขายสัปดาห์หน้าในราคา 179 ดอลลาร์ หรือราว 6,000 บาท ซึ่งล่าสุดเว็บไซต์แอปเปิลประเทศไทยเผยราคาไทยแล้วคือ 6,790 บาท ส่วน AirPods (รุ่นที่ 2) ปรับลดราคา โดยวางราคาใหม่ที่ 4,990 บาท
ที่มา - Apple Event, แอปเปิล |
# Apple เพิ่ม 3 สีใหม่ ให้กับ HomePod mini ยังคงไม่วางขายแบบทางการในไทย
แอปเปิลประกาศเพิ่มตัวเลือก 3 สีใหม่ ให้กับ HomePod mini ได้แก่ สีเหลือง สีส้ม และสีน้ำเงิน เพิ่มเติมจาก2 สีเดิมคือ ขาว กับสเปซเกรย์ ส่วนฟีเจอร์ต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม
ราคาขายเท่าเดิมคือ 99 ดอลลาร์ โดย 3 สี ใหม่ เริ่มวางขายในเดือนพฤศจิกายน แอปเปิลยังไม่ได้ระบุวันที่จะวางจำหน่าย ส่วนรายชื่อประเทศที่จะวางจำหน่ายยังคงไม่มีประเทศไทย
ที่มา: แอปเปิล |
# Apple Music เปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Voice Plan ฟังอย่างเดียว ไม่มีเนื้อ เดือนละ 4.99 เหรียญ ยังไม่เปิดในไทย
ในงาน Apple Event เปิดตัว Apple Music แพ็กเกจใหม่ Voice Plan เป็นแพ็กเกจที่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเพลงบน Apple Music ได้แค่การฟังเท่านั้น ไม่มี MV และเนื้อเพลงให้ดู ราคาเดือนละ 4.99 ดอลลาร์ หรือราวเดือนละ 167 บาท ถือเป็นแพ็กเกจที่ราคาถูกที่สุด
Voice Plan ใช้งานได้เฉพาะบนอุปกรณณ์ของแอปเปิลเท่านั้น และเปิดตัวในบางประเทศ คือ ออสเตรเลีย ออสเตรีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง อินเดีย ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก นิวซีแลนด์ สเปน ไต้หวัน อังกฤษ และสหรัฐฯ
ที่มา - Apple Event |
# DeepMind ซื้อซอฟต์แวร์จำลองฟิสิกส์ MujoCo แจกให้ใช้ฟรีทันที เตรียมโอเพนซอร์สปีหน้า
DeepMind บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิลประกาศเข้าซื้อ MuJoCo (Multi-Joint dynamics with Contact) ผู้ผลิตซอฟต์แวร์จำลองระบบฟิสิกส์ในโลกความเป็นจริง จากเดิมเป็นซอฟต์แวร์ของบริษัท Roboti LLC ตอนนี้ทาง DeepMind ประกาศให้ใช้งานได้ฟรีทันที
ตัวโครงการ MuJoCo ที่จริงแล้วเป็นไลบรารีในภาษา C และสามารถอ่านข้อมูลโลกจำลองในฟอร์แมต MJCF ที่เป็นภาษา XML สำหรับการสร้างโลกจำลอง เช่น ลูกข่างที่กำลังหมุน, หรือลูกตุ้มที่แกว่งไปมาจากการแขวนบนเส้นด้าย ความแตกต่างของ MuJoCo กับระบบฟิสิกส์ในเกมเอนจินคือมันถูกออกแบบเพื่อความแม่นยำเป็นหลัก ไม่ใช่ประสิทธิภาพหรือเสถียรภาพ ทำให้มันสามารถจำลองระบบที่ซับซ้อนเช่น ลูกตุ้มแกว่งของนิวตัน (Newton's Cradle) หรือการรักษาโมเมนตัมเชิงมุมของวัตถุ
เป้าหมายหนึ่งของการวิจัยปัญญาประดิษฐ์ทุกวันนี้คือการจำลองระบบควบคุมทางกายภาพ ที่ปัญญาประดิษฐ์ต้องควบคุมหุ่นยนต์และรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโลกความเป็นจริง โดยทั่วไปแล้วการฝึกปัญญาประดิษฐ์สามารถทำได้ด้วยการสร้างโลกจำลองในคอมพิวเตอร์เพื่อฝึกปัญญาประดิษฐ์อย่างหนักเหมือนได้ฝึกทำตามเป้าหมายในโลกความเป็นจริงนับหมื่นนับแสนครั้ง ระบบจำลองทางฟิสิกส์ที่มีความแม่นยำสูงจึงจำเป็นสำหรับการฝึกเช่นนี้
ตอนนี้ทาง DeepMind ยังเปิดให้ใช้งานเฉพาะไบนารีที่คอมไพล์มาแล้วได้ฟรี และจะจัดระเบียบซอร์สโค้ดอีกครั้งก่อนจะเปิดซอร์สออกมาในปี 2022
ที่มา - DeepMind
ภาพ Newton's Cradle ที่จำลองใน MuJoco |
# [ลือ] Apple เคยศึกษาความเป็นไปได้ ที่จะให้บริการ Cloud Gaming แต่ก็พับแผนไป
ในจดหมายข่าว Power On ของ Mark Gurman แห่ง Bloomberg ตอนล่าสุด นอกจากรายละเอียด MacBook Pro ที่แอปเปิลน่าจะเปิดตัวคืนนี้ เขายังพูดถึงโครงการหนึ่งของแอปเปิล แต่พับแผนไปแล้วนั่นคือการทำคลาวด์เกมมิ่ง แบบที่หลายบริษัททำกันตอนนี้อย่าง Stadia ของกูเกิล หรือ Luna ของ Amazon
รายงานบอกว่าแอปเปิลเคยหารือกันภายในเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่มีข้อมูลว่าการพูดคุยหรือศึกษาโอกาสเพิ่มเติมไปถึงไหน ซึ่งอย่างที่ทราบว่าสุดท้ายแอปเปิลก็เปิดตัว Apple Arcade บริการเกมแบบเหมาจ่าย แต่ตัวเกมจะรันอยู่ที่อุปกรณ์ของผู้เล่น ไม่ใช่บนคลาวด์แบบที่ผู้ให้บริการรายอื่นทำ
คาดว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แอปเปิลหยุดแผนนี้ เพราะหากแอปเปิลทำบริการคลาวด์เกมมิ่งเอง ก็จะเปิดโอกาสให้ผู้บริการรายอื่นร้องเรียนให้แอปเปิลต้องรองรับบริการของตนด้วย รูปแบบที่ทำอยู่ปัจจุบันจึงอาจจะดีกับแอปเปิลมากกว่า
ที่มา: iDownload Blog |
# เกม Elden Ring เลื่อนเล็กน้อย 1 เดือน จาก 21 ม.ค. เป็น 25 ก.พ. 2022
เกม Elden Ring ของค่าย FromSoftware ที่ได้ George R. R. Martin คนเขียน Games of Throne มาช่วยสร้างโลกภายในเกมให้ ประกาศเลื่อนวันวางขายเล็กน้อย จากเดิม 21 มกราคม 2022 มาเป็น 25 กุมภาพันธ์ 2022 ด้วยเหตุผลว่าต้องการเวลาเพิ่มเติม
เกมจะเริ่มเปิดทดสอบในกลุ่มปิดช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ |
# Realme เปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นแรก Realme Pad ในไทย ราคาเริ่มต้น 8,990 บาท
Realme ประเทศไทย เปิดตัวแท็บเล็ต Realme Pad ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของบริษัทด้วย
สเปกคือหน้าจอ 10.4" WUXGA+ (2000x1200), หน่วยประมวลผล MediaTek Helio G80, จีพียู Mali G52, ลำโพง 4 ตัวพร้อม Dolby Atmos, แบตเตอรี่ 7,100 mAh พร้อมชาร์จเร็ว 18 วัตต์
Realme Pad แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อยคือ
แรม 4GB+64GB ราคา 8,990 บาท ช่วง Flash Sale เหลือ 6,990 บาท ถึง 23 ต.ค.
แรม 6GB+128GB Wi-Fi ราคา 10,990 บาท
แรม 6GB+128GB LTE ราคา 11,990 บาท
นอกจาก Realme Pad แล้ว ยังมีสินค้าอื่นเปิดตัวเพิ่มเติมคือ
Realme C25Y มือถือจอ 6.5", กล้อง 50MP, ชิป Unisoc T618, แบตเตอรี่ 5,000 mAh, แรม 4GB+128GB ราคาเปิดตัว 5,999 บาท ช่วง Flash Sale ราคา 5,499 บาท
Realme Band 2 สายรัดข้อมือฟิตเนส หน้าจอ 1.4" กันน้ำ IP68 แบตเตอรี่ 204 mAh ใช้ได้นาน 12 วัน ราคาเปิดตัว 1,499 บาท ช่วง Flash Sale ราคา 999 บาท
ที่มา - อีเมลประชาสัมพันธ์ Realme Thailand |
# บลูบิค เปิดบ้านรับคนรุ่นใหม่สายเทคโนโลยี หนุนร่วมงานคอนซัลต์ไทย ได้อะไรมากกว่าที่คิด
หากพูดถึงบริษัทน้องใหม่มาแรงในตลาดหลักทรัพย์ชั่วโมงนี้ ชื่อของ บลูบิค กรุ๊ป ต้องเบียดขึ้นมาติดโผอันดับต้นๆ ด้วยแรงส่งจากภาคธุรกิจทุกอุตสาหกรรม ที่หันมาปรับตัวสู่ดิจิทัลแบบ 360 องศา การเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ชูธงความเชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation จึงเป็นหมุดหมายที่ตั้งไว้แบบถูกทิศถูกทาง ทำให้คาดเดาถึงการเติบโตสู่ระดับภูมิภาคหลังจากนี้ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อได้การระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์มาช่วยจัดทัพเสริมบุคลากร และพัฒนาทีมงานให้วิ่งไปได้เร็วและแรงกว่าเดิม
“ปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์” ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ร่วมก่อตั้งที่เคยร่วมงานกับองค์กรคอนซัลต์ระดับโลก และเคยมีประสบการณ์ตรงในสายงานด้าน Cyber Security ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่คนในสายงานดิจิทัลอาจกำลังเนื้อหอม มีตัวเลือกในอาชีพและในองค์กรธุรกิจชั้นนำมากมาย
ทว่าเส้นทางที่แตกต่างอย่างชัดเจนของ บลูบิค คือไม่ได้รวมเฉพาะคนเก่ง แต่มีองค์ประกอบครบเครื่องบ่มเพาะให้คนเก่งพัฒนาทักษะอื่นที่จำเป็นในโลกธุรกิจ ปูทางให้สายอาชีพเติบโตไปแบบครบเครื่อง ซึ่งการผลักดันเต็มกำลังเพราะมีความเชื่อเป็นพื้นฐานว่า คนไทยก็มีศักยภาพไปถึงระดับโลกได้ บลูบิค จึงรวบรวมคนที่มี Technical Skills ระดับหัวแถวมารวมกัน จนเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของวงการในปัจจุบัน
Q : แนวการทำงานของ บลูบิค เน้นการบ่มเพาะบุคลากรอย่างไร
ปกรณ์ : คนรุ่นใหม่มีทางเลือกในสายอาชีพด้านดิจิทัลกว่ารุ่นผมมาก จุดเปลี่ยนที่เป็น Key Driver คือความต้องการของภาคธุรกิจในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้นกว่าเดิม จนบุคลากรที่ผลิตออกมาจากภาคการศึกษาไม่พอรองรับ โดยเฉพาะในยุค Digital Transformation ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเป็นอาชีพมาแรง แต่ทีนี้เด็กที่จบใหม่อาจเก่งทั้งทฤษฎีและปฏิบัติจากมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการปรับหลักสูตรของแต่ละสถาบันด้วย บ้างอาจเคยแก้โจทย์ที่อาจารย์วางไว้ให้ แต่ยังไม่เคยลงมือแก้โจทย์ธุรกิจของจริง ไม่มีประสบการณ์ทำงานร่วมกันในทีมขนาดใหญ่ อธิบายง่ายๆ คือยังขาดชุดความสามารถที่พร้อมใช้ตอบโจทย์ธุรกิจ หรือสร้างระบบ IT ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานได้จริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดทั่วโลกกำลังต้องการทรัพยากรแบบนี้มาก
ด้วยความที่ทีม Digital Excellence and Delivery (DX) ของบลูบิคตั้งใจทำงานด้วยตัวเองทั้งหมดโดยไม่ใช้เอาท์ซอร์ส ประกอบกับเป็นธุรกิจที่ให้บริการครบถ้วนแบบ End-to-end ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พนักงานเลยจะมีโอกาสพัฒนาความสามารถรวดเร็วกว่าที่อื่น เพราะเห็นภาพใหญ่ของการทำงานที่ไม่ใช่แค่ด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว เราพยายามตั้งเป้าเอาไว้ว่าหากใครผ่านการทำงานที่บลูบิค 1-2 ปี แล้วกลับไปเทียบกับเพื่อนในรุ่นเดียวกันจากองค์กรใหญ่อื่นๆ ต้องมีทักษะแพรวพราวมากกว่า หรือบางคนก็ต้องยิ่งเก่งด้านเทคนิคมากกว่าเพื่อนๆ คนอื่น สิ่งนี้ได้มาเพราะงานที่เราได้รับจากลูกค้าไม่เคยเป็นเรื่องง่ายๆ และทีม DX เองก็พยายามสร้าง Mindset ให้เน้นค้นหาทางผลักดันให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพมากที่สุด แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต้องเรียกว่าเป็นผลงานที่ออกมาแล้วทุกคนจะต้องภาคภูมิใจกับมันด้วย
ที่นี่เรายังย้ำเรื่องการจัดสรรองค์ความรู้ใหม่ๆ และส่งเสริมให้เข้าถึงนวัตกรรมทันสมัยตลอดเวลา เช่น เสริมศักยภาพด้าน Intelligence Programming อย่างการใช้ AI และมีกิจกรรมส่งเสริมให้พนักงานต่อยอดความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากเพื่อนๆ หรือรุ่นพี่จากโปรเจกต์อื่นๆ ที่อาจจะมาแบ่งปันกัน สนับสนุนให้พนักงานเสนอไอเดียหรือทดลองทำ Digital Lab บนหัวข้อหรือปัญหาที่น่าสนใจ หรือบางเรื่องก็เป็นการค้นหาทางนำเอากระบวนการใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่มาทดลองทำ เพื่อค้นหาคำตอบให้กับโจทย์ของลูกค้า เรามีเงินสนับสนุนให้น้องๆ ที่อยากทำ Proof-of-concept ปัญหาทางเทคนิคต่างๆ ได้ลองค้นคว้าและทดลอง เพื่อให้ตอบโจทย์ของทีม DX ที่ท้าทายตัวเองเสมอว่าจะนำเทคโนโลยีมาเป็นโซลูชันที่แก้ปัญหาธุรกิจให้กับลูกค้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้อย่างไร
Q : บทบาทที่ท้าทายของ DX ด้าน Digital Transformation เป็นอย่างไรบ้าง
ปกรณ์ : ภารกิจด้าน Digital Transformation ปกติแล้วจะเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มาก กระบวนการนี้จะเข้าไปแตะทุกภาคส่วนภายในองค์กร ในฐานะที่บลูบิคเป็นผู้ให้บริการ เราต้องเตรียมความพร้อมไปช่วยธุรกิจให้สู้รบปรบมือกับการแข่งขันที่ใช้เทคโนโลยีมาสู้กัน ในส่วนของทีม DX จะเข้าไปมีบทบาทเข้มข้นในส่วนสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาขีดความสามารถของฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรง เช่น การยกระดับแผนกงานด้านไอทีของธุรกิจต่างๆ ที่เคยเป็นหน่วยงานเชิงรับ ให้เริ่มเป็นส่วนงานที่สร้างรายได้หรือสามารถสร้างและดูแลระบบ Digital ให้กับฝ่ายธุรกิจขององค์กรได้ หรือเข้าไปช่วยลดเวลาในการออกแบบและพัฒนาระบบขนาดใหญ่ แบบนี้เป็นต้น
ที่ผ่านมาเราอาจคุ้นเคยว่าบริษัทส่วนใหญ่จะมีแผนกไอทีไว้เพียงดูแลและอัปเกรดระบบอำนวยความสะดวกรายวันให้แผนกต่างๆ หรือเข้ามาแก้ไขเมื่อระบบปฏิบัติการขัดข้อง แต่เมื่อธุรกิจเข้าสู่มิติของการแข่งขันที่หนักหน่วง แผนกไอทีต้องยกระดับบทบาทของตัวเองมาเป็นส่วนสร้างรายได้ หรือช่วยฝ่ายธุรกิจในการสร้างและดูแลช่องทางการสร้างรายได้โดยตรง กลายเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในยุคที่ช่องทางการขายโยกย้ายสู่โลกดิจิทัลหมด
ด้วยความจำเป็นที่ว่ามา ถ้าเปรียบเทียบได้กับช่วงที่เศรษฐกิจกำลังดี จะเห็นว่ามีการสร้างตึก สร้างอาคารใหม่อยู่ทุกๆ วัน ทีม DX จะเข้าไปช่วยออกแบบอาคารหลังใหม่ให้กับองค์กรต่างๆ ช่วยสำรวจและให้คำแนะนำในการเตรียมโครงสร้างและสถาปัตยกรรมต่างๆ เข้าไปช่วยชี้ให้เห็นช่องว่างที่ยังขาดไปว่ามีอะไรบ้าง จัดทำโปรแกรม Reskill ไปช่วยเป็น Extended Team หากพบว่าปริมาณงานล้นมือมากเกินไป หรือแม้กระทั่งอาจช่วยเปิดแผนกใหม่ให้เป็น Dual Track ช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนการทำ Transformation ในฝั่งเทคโนโลยีให้เร็วมากขึ้น
เราเชื่อในพลังของคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งเดิมๆ ให้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าบลูบิคจะขับเคลื่อนด้วยคลื่นลูกใหม่เป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างความไว้วางใจจากองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง จากการส่งมอบบริการที่สร้างมูลค่าให้กับธุรกิจหลายประเภทที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ การเติบโตที่รวดเร็วทำให้เรายังต้องขยายทีมเปิดรับคนทำงานที่มี Growth Mindset เข้ามาเสริมความพร้อมให้เป้าหมายเป็นธุรกิจระดับนานาชาติด้วย เราต้องการยกระดับตัวเองและงานด้านเซอร์วิสนี้ให้สามารถเข้าไปแข่งขันกระทบไหล่กับผู้เล่นต่างชาติระดับภูมิภาคได้ ในวันนี้เราก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เพราะเราคิดว่า DX ต้องสามารถรองรับความต้องการของตลาดด้านบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะบางอย่างในอนาคตได้ด้วย โดยเฉพาะในด้านของ AI และด้าน Cyber Security
Q : มุมมองต่อบลูบิคจากสายตาคนภายนอก
ปกรณ์ : สิ่งที่เป็นเสียงสะท้อนผ่านลูกค้ากลับมาหาเราเสมอ คือ ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็น Tech Partner นะ ไม่ใช่แค่ซัพพลายเออร์ที่ทำตามใบสั่ง แต่เป็นทีมที่พร้อมทำงานร่วมกัน มุมมองนี้ตรงกับเป้าหมายที่เราอยากเป็นคือ เป็นการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ทำงานร่วมกับลูกค้าเสมือนเป็นทีมเดียวกันเพื่อสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ ตั้งใจส่งมอบระบบที่มีคุณภาพ วางโซลูชันเพื่อช่วยเก็บเกี่ยวมูลค่าเพิ่ม หรือใช้เทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาที่เดิมลูกค้าอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นตออยู่ที่ไหน ที่ผ่านมาเคยมีกรณีแบบนี้บ่อยๆ ที่ลูกค้าไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าปัญหาเกิดจากอะไร เช่น ลูกค้าพบว่าระบบขัดข้อง หรือ ล่มบ่อยๆ ทีมบลูบิคจะเข้าไปค้นหาสาเหตุและดำเนินการแก้ไข และส่วนใหญ่ลูกค้าจะบอกให้เราเข้าไปช่วยสร้างระบบใหม่ที่ลูกค้าพอใจให้ต่อ
เรามองว่าเทคโนโลยี สุดท้ายก็เป็นเครื่องมือเพื่อใช้ประโยชน์และสร้างความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ บลูบิคทำงานหนักแทนลูกค้าในเรื่องการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม เหมาะกับรูปแบบ และกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้ในอีก 3-5 ปี เปรียบเทียบเป็นภาพคือ เราเหมือนสถาปนิกและผู้เชี่ยวชาญในการเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการสร้างบ้านให้รวดเร็วและรองรับการต่อเติมของบ้านในอนาคต แม้วันนี้ลูกค้าอาจอยากได้บ้านชั้นเดียวหรือสองชั้น แต่ด้วยระบบที่เราวางไว้ให้ หากวันหนึ่งเขาอยากต่อเติมเป็นตึกสูงขึ้นไป ก็ยังอยู่ในวิสัยที่ทำต่อไปได้อย่างมั่นคง เพราะเราจะไม่ยอมให้การลงทุนของลูกค้าต้องสูญเปล่า แต่ต้องเอาไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
ขณะเดียวกัน ทีมยังรับฟังความคิดจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงบริการ รวมถึงกล้าแนะนำสิ่งที่เห็นว่าไม่เหมาะสมได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะด้วยการทำงานที่ไม่เน้นทำตามใบสั่งเหมือนรับผลิตของจากโรงงาน ในกรณีที่พบว่ากระบวนการบางอย่างไม่เกิดประโยชน์ต่อลูกค้า เราจึงกล้านำเสนอหรือโต้แย้งด้วยเหตุผลและข้อมูล หรือหากจำเป็นก็พร้อมชี้แจงผ่านการเตรียมข้อมูลด้วยวิธีต่างๆ แม้ว่าในความเป็นจริง การทำงานตามใบสั่งนั้นง่ายกว่า แค่รับเงินแล้วจบโครงการไป แต่เป็นธรรมชาติของทุกคนในบลูบิคที่จะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องที่ไม่ถูกต้องหรือลูกค้าไม่ได้ประโยชน์เหล่านี้
จากอดีตในวันที่ก่อตั้งเรามีพนักงานชุดเริ่มแรกเพียง 5 คน แต่เราเชื่อว่าเป็นโชคดีที่ลูกค้าให้โอกาสได้แสดงฝีมือ และคิดว่าพวกเขาคงรับรู้คุณค่าและความตั้งใจผ่านผลงานของเรา ที่ทั้งทุ่มเทความคิดและทำให้แบบเกินมูลค่าโครงการตลอด ทำให้เราได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าเพิ่มขึ้น ดูได้จาก
การขยายพนักงานแบบก้าวกระโดดทุกปี เฉพาะทีม DX มีจำนวนกว่า 70-80 คนในปัจจุบัน และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 200 คนให้ได้ หลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
Q : มองว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำงาน
ปกรณ์ : ผมให้ความสำคัญกับทัศนคติที่พร้อมเติบโต (Growth Mindset) มากที่สุด เพราะจะผลักดันการเติบโตของตัวพนักงานเองและทีมทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะงานที่บลูบิคได้รับมาไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ส่วนใหญ่จะเป็นโจทย์ที่ในองค์กรลูกค้ายังแก้ไม่ได้ หรือเป็นโจทย์ยากที่ทีมลูกค้าไม่มีทรัพยากรพอที่จะแก้ให้ทันภายในกรอบเวลา จึงต้องการให้บลูบิคเข้าไปช่วย บางคนมองว่าอยากเข้าไปทำให้องค์กรแนว Tech Startup เพราะท้าทาย อยากจะขอให้ลองกลับมาให้โอกาสงานแบบนี้ที่บลูบิคดูบ้าง เพราะเป็นงานที่ท้าทายกว่าเยอะ
เพราะปัญหาที่เรากำลังแก้ให้กับลูกค้าไม่เคยมีแค่มิติด้านเทคโนโลยีอย่างเดียว เราได้เรียนรู้ในการทำงานร่วมกับทีมที่เก่งๆ ลูกค้าเก่งๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะฝึกกันในห้องเรียนหรือจากการอ่านหนังสือได้ ส่วนทักษะด้านดิจิทัลนั้นเป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้ และที่บลูบิคเองก็มีโปรแกรมฝึกอบรม ส่งเสริมการศึกษา และเปิดโอกาสให้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำสม่ำเสมออยู่แล้ว นอกเหนือจากความรู้เชิงเทคนิค สิ่งสำคัญไม่แพ้กันที่จะได้เรียนรู้คือทักษะการทำงานร่วมกับ Multicultural Team ซึ่งเราสามารถเรียนรู้แนวคิดจากเพื่อนร่วมงานที่อยู่แผนกอื่นๆ ได้ เพราะความเป็น End-to-end Service ของบลูบิค
นอกจากนี้ เราให้ความสำคัญกับการต่อยอดโอกาสในการทำงานต่างๆ ให้สามารถพัฒนาเป็น Career ของแต่ละคนได้ในอนาคต ด้วยโครงสร้างของเราที่มีตำแหน่งงานครอบจักรวาลเลย ถ้าต้องการปรับเปลี่ยนหรือโยกย้ายสายงาน ก็จะได้รับโอกาสผ่าน Job Rotation Program แบบไม่ต้องไปเสี่ยงหางานใหม่ หรือพนักงานใหม่อาจมีช่วงให้ทดลองแต่ละตำแหน่งเพื่อค้นหาความชอบ เช่น จากที่ทำเรื่อง AI อาจจะข้ามไปจับงานด้านบล็อกเชนซึ่งเป็นแผนกใหม่ที่เราเพิ่งตั้งขึ้นมาก็ได้ หรือ อาจข้ามจากสายเทคโนโลยีจัดๆ ไปทำงาน IT Consulting เลยก็ได้เช่นกัน
อีกข้อได้เปรียบคือการขยายธุรกิจผ่านโครงการร่วมทุนใหม่ตลอดเวลา ทำให้พนักงานมีตัวเลือกมากขึ้นในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสร้างการเติบโตใน Career ของตัวเอง เช่น การร่วมทุนกับ บริษัท ปตท.
น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัท Orbit Digital ในปีนี้ คนที่มีความสนใจเฉพาะเรื่อง Retail Technology หรือ Retail Innovation ก็มีทางเลือกให้เข้าไปปฏิบัติงาน เจอโจทย์จริง และยังเริ่มขยับขยายบริการไปต่างประเทศโดยมีโครงการร่วมกับที่ปรึกษาระดับโลก เช่น มีโครงการพัฒนาระบบเกี่ยวกับ Blockchain ที่อินโดนีเซียที่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่พร้อมรับความท้าทายและได้ฝึกตัวเองในการทำงานระดับนานาชาติ
แม้ว่าจะเป็นธุรกิจของไทย แต่มาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ ก็อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ที่สำคัญคือระบบการเลื่อนขั้นที่ไม่ยึดติดกับความอาวุโส แต่ให้ค่าตอบแทนที่ขับเคลื่อนด้วยความสามารถของแต่ละคนเป็นหลักจริงๆ
Q : วัฒนธรรมการทำงานที่บลูบิคเป็นอย่างไร
ปกรณ์ : เราให้ความสำคัญกับ 5 เรื่องใหญ่ เริ่มจาก ทำงานเน้นผลลัพธ์และความสำเร็จของงาน ไม่ใช่แค่งานเสร็จ การปลูกฝังการเป็นนักแก้ปัญหาและนักพัฒนาเพื่อสร้างอิมแพ็ค ไม่พอใจและหยุดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ทำงานร่วมกันเป็นทีมทั้งภายในองค์กรและกับลูกค้า กล้าที่จะพูดและทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่นิ่งเฉยเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สร้างคุณค่าและมีความภูมิใจที่สามารถสร้างคุณค่าให้กับงานที่ทำ
ด้วย Mindset ของการเป็นบริษัทคอนซัลต์ เราจึงมีระบบโค้ชชิ่งที่มีรุ่นพี่คอยสอนคอยช่วยดูแล ให้คำปรึกษาด้านการทำงานและเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากการทำงาน บรรยากาศการทำงานที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพื่อให้ Performance ของทีมออกมาดีที่สุด ภายใต้พื้นฐานการแข่งขันที่เป็น Fair Game ที่ไม่ได้แข่งกับเพื่อนร่วมงาน แต่แข่งกับตัวเองในการสร้างผลลัพธ์ ส่วนการพัฒนาทักษะของบุคลากร เราเน้นการฝึกให้บุคลากรมีทั้ง Hard Skill คือความรู้เชิงเทคนิคที่แข็งแรง และมี Soft Skill ที่จำเป็นต่อการทำงานอย่างครบถ้วน นอกจากนี้กระบวนการพัฒนาบุคลากรให้มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจ มีอิสระในการคิดและทำงานที่หลากหลาย เช่น มีทักษะด้านการสื่อสาร การวางโครงสร้างของงาน การนำเสนอผลงาน เพราะเราตั้งใจสร้างองค์กรที่มี Autonomy และ Agile ไม่ได้เป็น Hierarchy แบบสมัยก่อน ให้เป็นรูปแบบองค์กรที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่จริงๆ
ประสบการณ์ทำงานธุรกิจคอนซัลต์ที่มากกว่าเรื่องเทคนิค
หลังจากเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในสายอาชีพของตัวเองมาไม่ต่ำกว่าสิบปี “เอ้ - ราชรินทร์ ทวนทอง” และ “เว้ง - นวพล งามวรโรจน์สกุล” เข้ามาร่วมทีมกับบลูบิคในตำแหน่ง Digital Excellence and Delivery Manager ในปีที่ผ่านมา ซึ่งด้วยการทำงานกับบริษัทอื่นๆ และยังเคยริเริ่มธุรกิจของตัวเอง ทำให้ทั้งสองเห็นมุมมองเปรียบเทียบที่เป็นข้อได้เปรียบของการทำงานปัจจุบันอย่างชัดเจน
Q : สิ่งที่ได้จากทำงานด้านเทคโนโลยีให้กับองค์กรประเภทคอนซัลต์
เว้ง : Developer ในบริษัทซอฟต์แวร์อาจเขียนโปรแกรมตามสั่งโดยไม่ต้องรู้จุดหมายปลายทาง แต่ที่บลูบิคทุกคนต้องรู้เลยว่าทำโปรเจกต์ A เพื่ออะไร จะสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้เท่าไร เคยมีคำพูดตลกร้ายว่าอาชีพเขียนโปรแกรมตามสั่งนี้เหมือนกรรมกร แต่ที่บลูบิคจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะเราเปิดโอกาสรับฟัง ถ้าใครมีไอเดียก็นำเสนอมาได้ตลอด
การได้ทำงานร่วมกับแผนกต่างๆ ที่หลากหลาย จากการที่บริษัทให้บริการแบบ End-to-end อย่างเช่นในทีม DX เราก็ไม่ได้มีแต่ Developer แต่มี Consultant ที่ต้องวิเคราะห์ในมุมธุรกิจด้วย สิ่งเหล่านี้เปิดโลกของคนทำงานให้กว้างกว่าความรู้เชิงเทคนิค เช่นเดียวกับการทำงานร่วมกับลูกค้า ช่วยสร้างประสบการณ์ ความรู้จากกรณีศึกษาจริง และนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงที เพราะทุกการให้คำปรึกษา นอกจากข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน เราต้องรู้ว่าเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะแนะนำให้กับแต่ละธุรกิจนั้นคืออะไร
การทำงานที่นี่สอนให้เราเรียนรู้แบบก้าวกระโดด เพราะได้นำประสบการณ์มาเสนอข้อมูลที่ทั้งเป็นจริงและถูกต้องเหมาะสมด้วย ทุกโปรเจกต์ที่เรารับผิดชอบจึงเหมือนลูกรัก เพราะมันมีคุณค่า เรารู้จุดหมายปลายทางว่าจะเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจได้แน่นอน ไม่เหมือนการทำงานตามคำสั่งของลูกค้าอย่างเดียว
เอ้ : การทำงานของเราไม่ได้ช่วยเหลือแต่ธุรกิจเท่านั้น แต่ช่วยแก้ไขปัญหาภาพกว้างให้กับผู้ใช้งานทั่วไปด้วย อย่างประสบการณ์ทำงานในช่วงโควิด-19 ที่เห็นได้ชัดคือ มันเข้ามาเร่งความต้องการใช้เทคโนโลยีให้เพิ่มขึ้น ลูกค้าธุรกิจต้องปรับตัวด้านการให้บริการแบบ Contactless ต้องพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันทำธุรกรรมผ่านมือถือมากขึ้นและทำให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเบื้องหลังเหล่านั้นคือการทำงานของเราที่ส่งมอบไปเป็นประสบการณ์ใช้
งานของลูกค้า มีปลายทางคือความสะดวกสบายของผู้ใช้ เปิดโอกาสให้คนเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้จริง ช่วยลดความเสี่ยงในการออกไปทำธุรกรรมด้วยตัวเอง เป็นทั้งการตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างคุณภาพชีวิตคนให้ดีขึ้น
งานในบริษัททั่วไปเราอาจต้องโฟกัสแต่เรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียว เมื่อมาอยู่ที่นี่ต้องให้ความสำคัญกับด้านธุรกิจด้วย ทันทีที่มีเทคโนโลยีใหม่อะไรเข้ามา เมื่อเราฟังความต้องการและเข้าใจความต้องการลูกค้าภาคธุรกิจแล้ว ก็ต้องเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เหมาะสม ชี้แจงให้ลูกค้าเห็นประโยชน์และพร้อมรับการปรับเปลี่ยน เป็นการทำงานในระดับความซับซ้อนที่มากขึ้น ทำให้ต้องแอคทีฟเรียนรู้ตลอดเวลา
โจทย์ใหม่ท้าทายการเปลี่ยนผ่าน
“ประสบการณ์ดีที่สุด คือเมื่อเห็นผลงานของเราเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้คนได้จริง เช่น ระบบดิจิทัลด้าน Self-service ที่เปลี่ยนจากกระดาษมาสู่แอปพลิเคชัน สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้ นี่เป็นความแตกต่างที่เรารู้สึกได้เมื่อมาร่วมงานกับ บลูบิค”
“แมค - ภูมัย ชายเขียว” Digital Excellence and Delivery Manager ในฐานะ Frontend Lead สะท้อนถึงความประทับใจส่วนตัว นับตั้งแต่เข้ามาเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกเมื่อปี 2013 จนในวันนี้ทั้งเขา และ “อาท - พุฒิพงศ์ สถิตย์พัฒนพงศา” Digital Excellence and Delivery Manager ผู้ทำหน้าที่ Backend Lead ถือเป็นเบื้องหลังของการช่วยลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ปรับปรุงการให้บริการแก่ผู้บริโภค และย้อนกลับมาเป็นมูลค่าทางธุรกิจที่ดีขึ้น
Q : ความท้าทายที่ได้รับจากการทำงานกับธุรกิจคอนซัลต์
แมค : นับตั้งแต่ได้รับการชักชวนจากคุณโป้ง (ปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี) ให้มาเริ่มงานในช่วงตั้งบริษัทด้วยกัน บริษัทมีเป้าหมายแต่แรกว่าจะต้องเป็นธุรกิจชั้นแนวหน้า ต้องชักชวนคนเก่งมาทำงานด้วยกัน สิ่งแรกที่เราค้นพบคือ ความท้าทายตัวเอง เพราะงานที่เราต้องเข้าไปทำคือการเปลี่ยนแปลงระบบ ต้องอัปเดตเทคโนโลยีต่อเนื่อง มีของใหม่มาให้ใช้ตลอดเวลา โดยจะมีเวลาให้ศึกษาในกรอบสั้นแค่สองเดือนสำหรับเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนปัจจุบันนี้ทีมเราก็ขยายตัว และเข้าใกล้เป้าหมายในวันแรกแล้ว
เสน่ห์ของงานด้านนี้คือ เป็นงานที่สนุกเพราะมีความยากเข้ามาท้าทายความสามารถ เนื้องานที่หลากหลาย ทำให้ไม่จำเจ มีของใหม่ให้เรียนรู้ได้เรื่อยๆ ด้วยโลกของเทคโนโลยีที่ไปเร็วกว่าเดิม ยิ่งท้าทายก็ยิ่งมีความน่าสนใจ บรรยากาศในการทำงานของเราจึงกระตือรือร้น มีความเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง เป็นการทำงานที่จริงจัง แต่ทุกคนไม่ได้ต่างคนต่างทำแบบตัวคนเดียว แต่ให้คำปรึกษาใกล้ชิดเหมือนพี่น้อง แม้จะมีความกดดันจากงานบ้าง แต่ใช่การเค้นเพื่อเอาผลลัพธ์อย่างเดียว แต่มีการซัพพอร์ตกันด้วย บรรยากาศจึงเหมาะกับคนที่มีใจรักการขวนขวายหาความรู้ และมีเวทีให้ทดลองสิ่งใหม่ตลอดเวลา ขณะที่รุ่นน้องเองเมื่อมีความคิดเห็น สามารถแบ่งปันหรือสะท้อนความคิดได้ทันที
สมัยที่เพิ่งก่อตั้งธุรกิจใหม่ และทีมเรายังมีแค่สองคน ก็มีความสนุกตื่นเต้นเหมือนได้ไปแข่ง Hackathon อยู่ตลอดเวลา แต่พอทีมงานเริ่มขยายใหญ่ ก็ปรับเปลี่ยนเป็นความรู้สึกดีของการมีทีมเวิร์คที่ช่วยกันสร้างผลงาน ได้ช่วยกันจัดตั้งระบบการทำงานและเฟรมเวิร์คต่างๆ และตัวเราเองได้ถ่ายทอดและฝึกฝนคนรุ่นใหม่ให้มีบทบาทมากขึ้นด้วย หากเปรียบเทียบกับงานฟรีแลนซ์ สิ่งที่คนทำงานในองค์กรได้มากกว่าคือบรรยากาศการทำงานเป็นทีมแบบนี้ รวมถึงโอกาสที่จะพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา และโครงการขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนที่ปกติงานลักษณะนี้จะไม่มีโอกาสได้ทำถ้าเราเป็นฟรีแลนซ์
อาท : พอเปลี่ยนจากการเป็นฟรีแลนซ์มาทำงานร่วมกับบลูบิค เราพบทันทีว่า สเกลงานคนละระดับกับที่เคยทำมา เช่น เราเจอโปรเจกต์ท้าทายคือ ลูกค้าที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ การมาอยู่ที่นี่ทำให้ต้องอัปเดตตัวเองอยู่ตลอด เรียนรู้การเขียนภาษาใหม่ๆ ให้เราต้องเข้าไปทำความรู้จัก ไม่ใช่ในมิติแค่เข้าใจ แต่ต้องรู้ลึกซึ้งเพื่อเอาไปช่วยวางรากฐานสร้างแพลตฟอร์มให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ วันนี้ในฐานะผู้นำทีม Backend เรายังต้องกระตุ้นให้น้องในทีมขยันเรียนรู้ตลอด ส่งเสริมให้เขามีความตั้งใจพัฒนาตัวเองไม่หยุด เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก ความรู้ที่เราเรียนมา ปีหน้าอาจไม่ใช่เวลาของมันอีกแล้ว อีกเรื่องคือเราสอนน้องให้สนใจในเรื่องของการเขียนโค้ดให้มีคุณภาพ เป็นคุณภาพที่ออกมาจากภายในจริงๆ เราสอนน้องตลอดว่าอย่าเขียนโค้ดให้คนอื่นลำบากเพราะงานฝั่ง Backend เป็นงานที่คนอื่นรับรู้ได้ยากอยู่แล้ว และจะรับรู้ว่ามีคุณภาพหรือ
ไม่เมื่อระบบช้าหรือล่ม บางครั้งเราจะเห็นว่าระบบดีหรือไม่ก็เมื่อเรามารู้ว่าระบบรองรับการใช้งานไม่ได้
วัฒนธรรมองค์กรที่นี่เปิดกว้างมาก ทั้งการทำงานภายในทีมที่ใกล้ชิดแบบพี่น้อง หากพร้อมเปิดใจนำปัญหาขึ้นมาพูดคุย ก็จะไม่มีเส้นแบ่งกั้นอาวุโส ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรากับลูกน้องในทีม แต่เรากับผู้บริหารระดับสูง หรือพนักงานทั่วไปกับผู้บริหารระดับสูงก็เข้าถึงกันได้ง่าย ที่สำคัญคือการเปิดโอกาสให้เรียนรู้แบบข้ามสายสำหรับคนที่ต้องการค้นหาความชอบหรือความถนัด
จากที่เคยทำงานฟรีแลนซ์อยู่กับทีมสตาร์ทอัพมาแล้ว เราถึงเห็นมาก่อนว่า ถ้าคนรุ่นใหม่สนใจไปทางสตาร์ทอัพ แต่หากไม่มีเครือข่ายมากพอก็คงเป็นไปได้ยากมาก แต่ถ้าเลือกทำงานกับองค์กรที่น่าสนใจ นอกจากจะสนุก ท้าทาย และมีค่าตอบแทนที่ไม่แพ้ที่ไหนแล้ว ยังจะได้เรียนรู้ภาษาใหม่ มีของใหม่ให้เรียนรู้ตลอดเวลา แต่เป็นการศึกษาในแบบที่มีเวลาให้ มีเครื่องไม้เครื่องมือและคำแนะนำพร้อมสนับสนุน |
# [Valorant] ทีมไทย FULL SENSE คว้าตั๋วใบสุดท้าย VCT 2021 APAC เข้าแข่งขันรอบชิงระดับโลก
ถือเป็นข่าวน่ายินดีของวงการ Esports ของประเทศไทยอีกครั้ง เมื่อทีม FULL SENSE จากประเทศไทยคว้าแชมป์จากการแข่งขัน VCT 2021: APAC Last Chance Qualifier ซึ่งเป็นการแข่งขันชิงตั๋วใบสุดท้ายของโซนประเทศ APAC ที่ประกอบไปด้วยทีมจากไทย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เกาหลี, ญี่ปุ่นรวมถึงอินเดีย เพื่อใช้เข้ารอบการแข่งขันระดับโลก VALORANT Champions 2021 เพียงทีมเดียว
การแข่งขันในรอบสุดท้ายเป็นการแข่งขันในรูปแบบ Best Of 5 ซึ่งทีม FULL SENSE เอาชนะทีม NORTHEPTION จากญี่ปุ่นได้สำเร็จ โดยแข่งกันครบ 5 แผนที่ จบที่สกอร์แผนที่ 3-2 (9:13, 13:11, 16:18, 13:7, 13:8) ซึ่งก่อนหน้านี้ NORTHEPTION เคยชนะ FULL SENSE ด้วยสกอร์แผนที่ 2-1 มาก่อน ทำให้ FULL SENSE ต้องตกไปอยู่สายล่าง และได้กลับมาแก้มือกันในรอบสุดท้าย ถือเป็นชนะอย่างสมศักดิ์ศรีและแก้มือได้สำเร็จ
สำหรับทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของ VALORANT Champions 2021 จะเป็นการแข่งขันจากทีมระดับโลก 7 โซน 16 ทีม ซึ่งโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี 3 ทีมได้แก่ X10 Esports จากประเทศไทย, Team Secret จากประเทศฟิลิปปินส์ (Bren Esports เดิม) และ FULL SENSE จากประเทศไทยที่ชนะการแข่ง LCQ มาได้ โดยจะเริ่มแข่งขันในตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคมที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
ที่มา : vlr.gg |
# KASIKORN X ในเครือ KBTG เปิดตัว Coral แหล่งซื้อขาย NFT สกุลเงินทั่วไปซื้อได้
KX หรือ KASIKORN X บริษัทลงทุนที่มุ่งผลิตสตาร์ทอัพด้าน Decentralized Finance and Beyond ออกสู่ตลาด อยู่ในเครือ KBTG เปิดตัว Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace หนุนศิลปินไทยและเอเชียขายผลงานศิลปะ NFT สามารถใช้เงินธรรมดาอย่างเงินบาท หรือเงินดอลลาร์สหรัฐฯหรือ Fiat money ซื้อได้ และสามารถซื้อได้ผ่านบัตรเดบิต เครดิตและแอปธนาคาร แต่ยังซื้อผ่าน Cryptocurrency ไม่ได้
นายธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder, KASIKORN X ระบุว่าที่ผ่านมา ได้จัดตั้งบริษัทใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมาแล้วคือ Kubix ที่ดำเนินธุรกิจ ICO Portal จนล่าสุดมาเป็น Coral ที่ใช้เงินธรรมดาซื้อได้ ใช้งานง่ายเหมือนกับประสบการณ์การโพสต์งานขายตามมาร์เกตเพลสต่างๆ ตัวแพลตฟอร์มเป็นรูปแบบเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานบนมือถือควบคู่กับบนเดสก์ทอปด้วย
เบื้องต้นมีศิลปินที่ร่วมมือกับ Coral ในการโพสต์งานศิลปะแล้ว 9 ราย ได้แก่ ไป Lactobacillus, Tikkywow, ทรงศีล ทิวสมบุญ, เอกชัย มิลินทะภาส, ปัณฑิตา มีบุญสบาย, Benzilla, Pomme Chan, IllustraTU, และ Jiggy Bug อย่างไรก็ตามยังคงเปิดรับศิลปินและพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าร่วมแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://coralworld.co และคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่นักสะสมภายในช่วงปลายปีนี้
พร้อมกันนี้ KX ได้เปิดตัวพันธมิตร Coral รายแรกคือ สยามพิวรรธน์ ร่วมกันสร้างศูนย์รวมและต่อยอดนวัตกรรมด้านศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์ไตล์ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ให้แก่ลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ
ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์ |
# ชายชาวอเมริกันยื่นฟ้อง Canon 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุปรินเตอร์สแกนไม่ได้หากหมึกหมด
ปรินเตอร์เป็นอุปกรณ์ไอทีเจ้าปัญหาติดอันดับตลอดกาล เพราะเมื่อเรารีบก็มักจะมีปัญหาเสมอ หรือไม่ยอมพิมพ์เอกสารขาวดำให้ถ้าหมึกสีหมด ล่าสุดมีชายชาวอเมริกันยื่นฟ้อง Canon เพราะปรินเตอร์ของเขาไม่ยอมสแกนเอกสารให้หากหมึกใกล้หมด
David Leacraft ยื่นฟ้อง Canon USA ที่ศาลแขวง New York โดยระบุว่าเขาซื้อปรินเตอร์ออลอินวันรุ่น PIXMA MG2522 มาจากร้าน Walmart เมื่อเดือนมีนาคม 2021 แล้วพบว่ามันไม่ยอมสแกนหรือส่งแฟ็กซ์หากหมึกหมดหรือใกล้หมด พร้อมบอกว่าเขาจะไม่ซื้อปรินเตอร์เครื่องนี้เด็ดขาดหากทราบเรื่องนี้ก่อน
การฟ้องนี้เป็นการฟ้องแบบกลุ่ม โดยคาดว่าจะมีผู้เสียหายกว่า 100 ราย และหวังจะได้ค่าเสียหายกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 167 ล้านบาท
Leacraft ระบุว่ามีผู้ใช้เข้าไปโพสต์เรื่องนี้ในเว็บบอร์ดของ Canon ตั้งแต่ปี 2015 และ Canon เคยมาตอบว่าไม่มีวิธีแก้ไขใดๆ
ที่มา - Market Insider
Canon PIXMA MG2522 | ภาพโดย Canon |
# โฆษณา Pixel 6 ที่ออสเตรเลียออนแอร์ก่อนกำหนด ตั้งราคา 999 AUD เท่ากับ Pixel 5
ใกล้งานเปิดตัว Pixel 6 คืนวันพรุ่งนี้ก็มีรายละเอียดหลุดออกมาเรื่อยๆ ตามสไตล์กูเกิลที่เก็บอะไรไม่ค่อยมิด รอบนี้เป็นโฆษณาของ Pixel 6 ที่ประเทศออสเตรเลียที่ฉายทางทีวีก่อนกำหนด 2 วัน ข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจคือราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) เท่ากับราคาเปิดตัวของ Pixel 5 ในออสเตรเลียด้วย (ซึ่ง Pixel 5 ไม่ได้ใช้ชิปรุ่นเรือธง)
ข้อมูลอื่นในโฆษณาเป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้ว เช่น ชิป Tensor ที่กูเกิลออกแบบเอง, ฟีเจอร์ Magic Eraser ลบคนออกจากรูปถ่าย, การชาร์จเร็วจาก 0-50% ภายในครึ่งชั่วโมง และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ระดับฮาร์ดแวร์
เว็บไซต์ 9to5google ชี้ว่าปีที่แล้ว กูเกิลขาย Pixel 5 รุ่นเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ออสเตรเลียเท่ากัน ส่วนราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐคือ 699 ดอลลาร์ ต้องรอดูกันว่าราคาของ Pixel 6 เป็นดอลลาร์สหรัฐจะเปิดมา 699 เท่ากันด้วยหรือไม่
ที่มา - 9to5google |
# OpenBSD ออกเวอร์ชั่น 7.0 รองรับซีพียู RISC-V
OpenBSD โครงการเคอร์เนลแบบ Unix อีกตัวออกเวอร์ชั่น 7.0 เป็นเวอร์ชั่นหลัก 5 ปีหลังจากออกเวอร์ชั่น 6.0 เมื่อปี 2016 ตัวเคอร์เนลมีความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือรองรับซีพียูสถาปัตยกรรม RISC-V แบบ 64 บิต หลังจากเริ่มมีบอร์ดพัฒนาวางขายหลายตัว
โครงการ OpenBSD ยังดูแลโครงการย่อยๆ อีกหลายตัว ในรอบนี้ก็อัพเดตแอปพลิเคชั่นและไลบรารีไปพร้อมกัน เช่น OpenSMTPD 7.0, LibreSSL 3.4.1, OpenSSH 8.8
แม้คนใช้ OpenBSD จะไม่มากนักแต่ก็ดูแลโครงการสำคัญๆ จำนวนมาก 15 ปีก่อนมูลนิธิ OpenBSD เคยมีสถานะทางการเงินย่ำแย่จนกระทั่งองค์กรต่างๆ ต้องช่วยกันบริจาคเงินเข้าไป ทุกวันนี้มีบริษัทต่างๆ เป็นสปอนเซอร์กันต่อเนื่องแล้ว
ที่มา - OpenBSD |
# Ransomware Prevention is Better Than Cure
ในปัจจุบัน การป้องกัน Ransomware ด้วยการเสริมการใช้งานของ EDR นั้น เป็นการทำงานในรูปแบบ Detection and Response ซึ่งจำเป็นต้องให้มัลแวร์ที่เข้ามาโจมตี ได้เริ่มออกคำสั่งไปก่อน แล้วค่อยตามไปดูความผิดปกติ หรือพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ประสงค์ การทำงานแบบนี้ เรียกว่า Post-Execution Prevention และสร้างความเสี่ยงให้กับระบบได้ จากที่เห็นมาใน Ransomware campaign หลาย ๆ ครั้ง
User จะต้องทำการคลิก หรือรอให้มัลแวร์ execution (วางชุดคำสั่ง) มัลแวร์ สามารถสร้างความเสียหายได้ ภายในเวลาเพีบง 0.016 วินาที
ซึ่งความสามารถของ EDR ในการจัดการกับ Ransomware ส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนดังนี้
แยกแยะเหตุการณ์ภัยคุกคาม (identify the threats)
ติดตาม และบันทึกข้อมูลจากภัยคุกคาม (Track and record the threats)
กักกันชุดคำสั่งการทำงาน หรือไฟล์ที่เป็นภัยคุกคามได้บางส่วน (quarantine and contain some threats)
กำจัดภัยคุกคามบางส่วน (remove some of the identified threats)
Isolate เครื่องที่มีปัญหาออกจาก network
ติดตาม และบันทึกข้อมูลของเครื่องที่มีปัญหา
ตรวจสอบ และทบทวนเหตุการณ์ timeline ช่วงที่เกิดเหตุการณ์
รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับภัยคุกคาม
การทำงานในขั้นตอนเหล่านี้ มีตัวแปรที่สำคัญมาก นั้นคือ Dwell Time ในขณะที่การทำงานแต่ละขั้นตอนของ EDR นั้น เป็นประโยชน์สูง แต่การใช้เวลา หรือการมี Dwell Time สูง ย่อมทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกคุกคามได้โดยมัลแวร์ หรือ Ransomware เหล่านี้
การทำงานของระบบ Deep Instinct จะเน้นไปที่การใช้งานระบบที่สามารถแยกแยะภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว และไม่จำเป็นต้องให้ภัยคุกคามถูก Execute ได้สำเร็จ สามารถหยุดได้แบบ Pre-Execution Prevention ได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Deep Learning
โดยเทคโนโลยี Deep Learning ของ Deep Instinct ใช้อัลกอรึทึมในการเรียนรู้ข้อมูลจากประเภทของมัลแวร์ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยใช้ Raw Data 100% ไม่ต้องทำ feature extraction และเทคโนโลยีนี้สามารถต่อจัดการกับ Unknow Malware ได้แม่นยำถึง 99% และมีอัตราการเกิด False Positive ที่ต่ำมาก ๆ
หากเทียบในมุม Offline Security ในกรณีที่มีขโมยขึ้นบ้าน การป้องกันทรัพย์สินภายในบ้านเป็นเรื่องสำคัญ การป้องกันแบบ Pre-Execution Prevention คือการที่เราป้องกันได้ตั้งแต่ขั้นตอนที่ขโมยเริ่มจะปีนบ้าน เขาไม่สามารถเห็น หรือก่อความเสียหายได้
การป้องกันแบบ Post-Execution Prevention คือการป้องกันหลังจากที่ขโมยได้ปีนกำแพงบ้านเราแล้ว เขาได้เห็นทรัพย์สินในบ้าน เดินไปมา สร้างความเสียหายบางส่วนแล้ว และระหว่างที่ได้ทำความเสียหาย บังเอิญไป trigger sensor บางอย่างทำให้เราสามารถจับเขาได้
ในทั้ง 2 กรณี เราจับได้ในที่สุด แต่แบบ Pre-Execution Prevention ปลอดภัย และป้องกันความเสียหายได้ตั้งแต่ต้นเหตุ
นอกจากความสามารถในการป้องกันมัลแวร์ที่เป็น Unknown ที่มาจากภัยที่ฝังมากับ file หรือเป็นในรูปแบบ file-less attack หลากรูปแบบเช่น
Memory based attacks
PowerShell Scripting language Remote logins
Macro-based Attacks และ ฯลฯ
Deep Instinct ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เหนือกว่า ด้วยมาตรการป้องกันที่ไว้ใจได้ ไม่ว่า ransomware campaign จะมีความแยบยลและซับซ้อนมาก Deep Instinct ก็ยังสามารถตรวจจับ ป้องกัน และตอบสนองกับทุกขั้นตอนได้
Deep Instinct ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี และไม่สร้างอุปสรรคการทำงานให้กับระบบ หรือผู้ใช้งาน
การใช้งานร่วม ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กรที่ใช้งาน องค์กรที่เน้นในเรื่องของความเสถียรภาพ และต้องการลดทรัพยากรในการบริหารจัดการเครื่อง endpoint (Laptop, PC, Servers) ต่าง ๆ สามารถใช้งาน Deep Instinct ตอบโจทย์ได้ในทันที สำหรับบางองค์กรที่ต้องการใช้ทำ investigation เชิงลึก และมีความเชี่ยวชาญ และ resource เพียงพอ ก็สามารถเสริมความปลอดภัยด้วย Deep Instinct ที่เน้นป้องกัน และใช้ EDR หรือ Forensics Tool อื่น ๆ ไปด้วยกันได้และ Deep Instinct ก็ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบ Endpoint ที่ท่านใช้งานอยู่ได้ Deep Instinct มีการใช้งานที่ใช้ resource น้อยเป็นอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม Endpoint กับ Agent ที่ Footprint เล็กมาก ๆ ด้วยการใช้งานน้อยกว่า 2% CPU โดยเฉลี่ย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : บริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด
โทร : 02-311-6881 #7156, 7158
Email : [email protected]
Website : www.cu.co.th/distributor
Youtube : Computer Union CU |
# Edge บน Windows 11 แสดงข้อมูลโพรเซสใน Task Manager ละเอียดขึ้น แยกหมวดหมู่
ไมโครซอฟท์อธิบายการปรับปรุง Task Manager ของ Windows 11 ให้แสดงผลโพรเซสของ Microsoft Edge ละเอียดขึ้นกว่าเดิม ตามที่เคยโชว์ไว้ก่อนหน้านี้
ในอดีต Task Manager แสดงโพรเซสของ Microsoft Edge โดยจัดกลุ่มรวมกัน ปัญหาคือแต่ละโพรเซสย่อยๆ ใช้ชื่อ Microsoft Edge เหมือนกันหมด ดูไม่รู้ว่าเป็นโพรเซสเกี่ยวกับอะไรบ้าง
ส่วน Task Manager เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ แยกรายละเอียดของโพรเซสให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นโพรเซสของเบราว์เซอร์ ส่วนขยายตัวไหน จีพียู และแท็บย่อยๆ ตัวไหนบ้าง
ในกรณีที่เป็นโพรเซสที่แชร์ทรัพยากรร่วมกัน จะถูกจัดกลุ่มอยู่ในโพรเซสเดียวกันที่มีลูกศรด้านหน้า (ตัวอย่างในภาพคือ Tab: Office 365)
ไมโครซอฟท์ยังอธิบายว่าการสั่ง End Task โพรเซสแต่ละประเภทจะได้ผลลัพธ์ต่างกัน
โพรเซสเบราว์เซอร์ เป็นการปิดโปรแกรมไปเลย
โพรเซสจีพียู จะรีสตาร์ตโพรเซสใหม่
โพรเซสเรนเดอร์ แท็บที่เกี่ยวข้องกับโพรเซสนั้นจะแสดงข้อความว่ามีปัญหา หรือซับเฟรมแครช
โพรเซสส่วนขยายและปลั๊กอิน จะมีข้อความลอยขึ้นมาที่มุมขวาล่าง ว่าส่วนขยายหรือปลั๊กอินแครช
ฟีเจอร์นี้ใช้งานได้แล้วกับ Windows 11 ที่ใช้ Edge 94 Stable
ที่มา - Microsoft |
# [FT] โรงเรียนในอังกฤษ 9 แห่ง เตรียมใช้สแกนใบหน้าจ่ายเงินค่าอาหารในโรงอาหาร
The Financial Times รายงานว่าโรงเรียนในอังกฤษ เขต North Ayrshire 9 แห่ง เตรียมใช้ระบบสแกนใบหน้าเพื่อจ่ายเงินค่าอาหารในโรงอาหาร เพื่อความรวดเร็ว และลดการสัมผัส ในขณะเดียวกันก็มีคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัวตามมา
หลักๆ คือเพื่อความรวดเร็วในการจ่ายเงิน และให้นักเรียนได้รับประทานอาหารได้ไว ไม่ต้องต่อคิวยาว แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว Big Brother Watch และ Biometrics Commissioner ของอังกฤษระบุว่า ถ้าโรงเรียนติดตั้งระบบนี้ จะทำให้นักเรียนเกิดความชินชาต่อการถูกสแกนใบหน้าตามสถานที่ต่างๆ เช่น คอนเสิร์ต เทษกาลดนตรี
ด้านโรงเรียนและผู้ติดตั้งระบบ CRB Cunningham แย้งว่า ตัวฮาร์ดแวร์ไม่ได้ใช้การสแกนใบหน้าแบบ live facial recognition หรือการสแกนหน้าในกลุ่มคน และโรงเรียนต่างๆ ก็ใช้เครื่องอ่านลายนิ้วมืออยู่แล้วซึ่งเป็นไบโอเมตริกซ์ประเภทหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นการขบัยขึ้นมาอีกขั้นของการใช้งาน มากกว่าจะเป็นการติดตั้งระบบใหม่เข้าไป
ภาพจาก CRB Cunningham
ที่มา - Engadget |
# WSJ แฉ Facebook จัดการ Hate Speech ได้แค่ 5% ด้าน Facebook แย้ง จัดการได้เกือบครึ่ง
Wall Street Journal ออกรายงานแฉ Facebook อีกครั้ง บอกว่าจริงๆ แล้ว Facebook ประสบความสำเร็จน้อยมากในการจัดการเนื้อหาที่มีความเกลียดชัง รูปภาพที่มีความรุนแรง ตลอดจนเนื้อหาอันตรายอื่นๆ ล่าสุด Facebook นำโดย Guy Rosen รองประธานฝ่าย Integrity ของ Facebook เขียนบล็อกคัดค้านว่า เนื้อหาแสดงความเกลียดชังหรือ Hate Speech ลดลงเกือบ 50% ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา
WSJ รายงานโดยอ้างอิงเอกสารภายในว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมา Facebook ลดเวลาคนทำงานตรวจตา Hate Speech และพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ว่า AI มีประสิทธิภาพลด Hate Speech บนแพลตฟอร์มได้จริง นอกจากนี้ ทีมงาน Facebook ยังพบด้วยว่า ช่วงเดือนมีนาคมระบบอัตโนมัติของ Facebook สามารถลบโพสต์ Hate Speech ได้เพียง 3-5% เท่านั้น และน้อยกว่า 1% ของเนื้อหาทั้งหมดที่ละเมิดกฎแพลตฟอร์มโดยรวม
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า เนื้อหารุนแรงบางส่วนสามารถรอดพ้นจากการตรวจจับของ Facebook ได้ เช่นภาพความรุนแรงของอุบัติเหตุรถชน การข่มขู่คุกคามเด็ก เป็นต้น
ด้าน Guy Rosen รองประธานฝ่าย Integrity ของ Facebook แย้งว่า การเน้นไปที่การลบเนื้อหาเพียงอย่างเดียวคือวิธีที่ผิด แต่ Facebook เน้นที่ความแพร่หลายหรือการกระจายตัวของเนื้อหา Hate Speech มากกว่า ซึ่งตามรายงานการบังคับใช้มาตรฐานชุมชนฉบับล่าสุดของ Facebook พบว่าความชุกหรือความแพร่หลายของเนื้อหานั้นอยู่ที่ 0.05% ของการดูเนื้อหา หรือเทียบเท่าได้กับ 5 การมองเห็น ใน 10,000 การมองเห็น ซึ่งลดลงเกือบ 50% ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา
Rosen เล่าย้อนด้วยว่าในปี 2016 การดูแลเนื้อหาอาศัยการรายงานจากผู้ใช้เป็นหลัก Facebook จึงสร้างเทคโนโลยีเพื่อระบุเนื้อหาที่ละเมิดในเชิงรุกก่อนที่ผู้คนจะรายงานเข้ามา และค้านรายงานจาก WSJ ด้วยว่า ข้อมูลที่ดึงมาจากเอกสารที่รั่วไหลถูกใช้เพื่อสร้างเรื่องเล่าว่าเทคโนโลยีของ Facebook นั้นไม่สามาาถจัดการ Hate Speech ได้ ถือเป็นการจงใจบิดเบือน
ที่มา - The Verge, WSJ, Facebook |
# Facebook ลงทุนจ้างแรงงานทักษะสูงหมื่นตำแหน่งในยุโรป ลุยงาน Metaverse
ก่อนหน้านี้ Facebook ประกาศตั้งทีม Metaverse Product Group ทำคอนเทนต์โลกเสมือนจริง เป็นวิสัยัศน์ใหม่ ก้าวจากบริษัทโซเชียลเป็นบริษัท Metaverse ล่าสุด Facebook มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม ประกาศจ้างงานหมื่นตำแหน่งในยุโรปเพื่อลุยงานด้านนี้โดยเฉพาะ
Facebook ระบุว่ากุญแจสำคัญอย่างหนึ่งของโลก Metaverse คือเปิดกว้างและใช้หลักการการทำงานร่วมกัน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม การทำให้สิ่งนี้เป็นจริงต้องใช้ความร่วมมือและความร่วมมือระหว่างบริษัท นักพัฒนา ผู้สร้าง และผู้กำหนดนโยบาย และ Facebook จำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ Facebook จึงประกาศจ้างงานทักษะสูงหมื่นตำแหน่งในยุโรปให้ได้ภายใน 5 ปี
Facebook บอกด้วยว่า การลงทุนนี้ เป็นไปเพราะทางบริษัทมีความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีชีวภาพของเยอรมันที่ช่วยพัฒนาวัคซีน MRNA เป็นครั้งแรกหรือกลุ่มธนาคารยุคใหม่ในยุโรปที่เป็นผู้นำด้านการเงินในอนาคต สเปนเองก็กำลังลงทุนในสตาร์ทอัพมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่สวีเดนกำลังจะกลายเป็นสังคมไร้เงินสดแห่งแรกของโลกภายในปี 2023
และนอกเหนือจากความสามารถด้านเทคโนโลยีแล้ว สหภาพยุโรปยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ของอินเทอร์เน็ต ทั้งการแสดงออกโดยเสรี ความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใส และสิทธิของบุคคลบนอินเทอร์เน็ต
ที่มา - Facebook |
# [Dota 2] Team Spirit จากรัสเซียคว้าแชมป์ The International 2021 ได้เงินรางวัล 600 ล้านบาท
ปิดฉากไปแล้วกับทัวร์นาเมนต์ The International 2021 ที่โรมาเนีย ซึ่งเจอวิบากกรรม COVID-19 หลายรอบ ตั้งแต่ต้องยกเลิกงานปี 2020 ไปเลย มาจนถึงต้องยกเลิกขายตั๋วเข้าสนามเพราะ COVID-19 กลับมาระบาด ทำให้ต้องแข่งกันแบบไม่มีคนดูในสนามเลย
ทีมที่คว้าแชมป์โลก Dota 2 ปีนี้คือ Team Spirit จากรัสเซีย เอาชนะทีมจีน PSG.LGD ด้วยสกอร์ 3-2 ถือเป็นทีมจากยุโรปตะวันออกที่กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง หลังทีม Na’Vi จากยูเครน คว้าแชมป์ The International ที่จัดครั้งแรกในปี 2011
เส้นทางสู่แชมป์ของ Team Spirit ก็ไม่ง่าย เพราะแข่งนัดแรกก็แพ้ Team Secret เลยตกมาอยู่ในสายล่าง (lower bracket) แต่ก็ค่อยๆ ฝ่าฟันมาอย่างช้าๆ โค่นแชมป์เก่า OG และทีมรัสเซียด้วยกัน Virtus.pro ตามด้วยโค่นตัวเต็ง Invictus Gaming ก่อนมาเอาชนะ PSG.LSD ในรอบชิงชนะเลิศ
Team Spirit จะได้เงินรางวัลก้อนประวัติศาสตร์ 18 ล้านดอลลาร์ (600 ล้านบาท) จาก prize pool เงินรางวัลรวม 40 ล้านดอลลาร์ ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของวงการอีสปอร์ต
ที่มา - PC Gamer, VentureBeat |
# ซีอีโอ AWS ยืนยันเอง มีชิปออกแบบเองอีกหลายตัว รอเปิดตัวในเร็วๆ นี้
ในยุคที่บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ต่างหันมาออกแบบชิปเอง ฝั่ง AWS มีชิป Graviton สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2018 และมีราคาต่อประสิทธิภาพดีกว่า x86 ถึง 40%
Adam Selipsky ซีอีโอคนใหม่ของ AWS (ขึ้นมาแทน Andy Jassy ที่ไปนั่งเป็นซีอีโอใหญ่ของ Amazon) ไปออกรายการทีวีช่อง CNBC และเปิดเผยว่า AWS มีชิปอีกหลายตัวที่ออกแบบเอง ที่จะรอเปิดตัวในเร็ววัน
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือว่า AWS พัฒนาชิปเน็ตเวิร์คสำหรับสวิตช์ที่ใช้กับศูนย์้ขอมูลของตัวเอง
ที่มา - CNBC |
# รวมข้อมูลล่าสุด MacBook Pro ใหม่ ก่อนงาน Unleashed คืนนี้
Mark Gurman แห่ง Bloomberg รายงานข้อมูลที่เขารวบรวมมาล่าสุดผ่านจดหมายข่าว Power On ก่อนงานเปิดตัวสินค้าใหม่แอปเปิล Unleashed จะเริ่มคืนนี้ตามเวลาในไทย ซึ่งสินค้าหลักที่คาดว่าจะเปิดตัวคือ MacBook Pro รุ่นใหม่
ข้อมูลโดยสรุป ซึ่งหลายอย่างเป็นข้อมูลที่มีข่าวลือก่อนหน้าอยู่แล้ว บางข้อมูลก็เพิ่มมาใหม่ มีรายละเอียดดังนี้
มี 2 หน้าจอ คือ 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ส่วนรุ่น 13 นิ้วเดิม ยังมีขายต่อไปเป็นรุ่นราคาถูกที่สุด
หน้าจอเทคโนโลยี miniLED ความละเอียด 3024x1964 และ 3456x2234
กลับมาใช้ MagSafe ในการชาร์จ
ไม่มี Touch Bar
ชื่อซีพียู M1X อาจเปลี่ยนเป็น M1Z หรือ M1 Pro หรือ M1 Max
ซีพียูมี 10 คอร์ (ประสิทธิภาพสูง 8, ประหยัดพลังงาน 2) ส่วนชิปกราฟิกมีสองรุ่น รุ่นหนึ่งมี 16 คอร์ อีกรุ่น 32 คอร์
อาจเพิ่มแรมได้สูงสุด 64GB
แอปเปิลจะจัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ Unleashed เที่ยงคืนวันนี้ตามเวลาในไทย
ที่มา: Bloomberg |
# ธปท. ชี้แจงการตัดเงินผิดปกติผ่านบัตรเดบิต/เครดิต ไม่ได้เกิดจากข้อมูลธนาคารรั่วหรือแอปดูดเงิน
จากที่ในช่วงหัวค่ำมีประเด็นผู้เสียหายหลายราย ถูกตัดเงินจากบัตรเครดิตและเดบิตจำนวนมาก ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงแล้วว่า ไม่ได้เกิดจากการรั่วไหลข้อมูลของธนาคาร และไม่ใช่แอปดูดเงิน แต่เป็นรายการที่เกิดจากการทำธุรกรรมกับร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ
นอกจากธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันว่า ธนาคารเจ้าของบัตรได้ดำเนินการระงับการใช้บัตรของลูกค้าที่ผิดปกติ รวมทั้งอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบร้านค้าที่มีธุรกรรมที่ผิดปกติเหล่านี้ และจะเร่งคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายตามขั้นตอนของธนาคารโดยเร็วต่อไป
ที่มา - Bank of Thailand
ภาพโดย flyerwerk |
# กลุ่มผู้เสียหายถูกดูดเงินจากธนาคารไทยรวมตัวนับหมื่นราย หลังพบคนร้ายตัดเงินทีละน้อยๆ ต่อเนื่อง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้รายงานถึงเหตุการณ์เงินรั่วไหลออกจากธนาคารจำนวนมาก โดยพฤติกรรมคนร้ายคือการโอนเงินออกทีละน้อยๆ ประมาณ 1-3 ดอลลาร์ (33-105 บาท) แต่มีรายการถี่ๆ ประมาณทุกหนึ่งนาทีจนกระทั่งเงินหมดบัญชี ในช่วงสองวันที่ผ่านมาสมาชิกกลุ่ม "แชร์ประสบการณ์โดนหักเงินจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว" เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึง 27,000 คน ณ เวลาเขียนข่าวนี้
ตอนนี้ยังไม่พบสาเหตุของการตัดเงินครั้งนี้ อ่านรายงานของผู้เสียหายพบว่าเกือบทั้งหมดเป็นบัญชีที่ผูกบัตรเดบิตเอาไว้ หรือเป็นรายการบัตรเครดิตดิต และธนาคารที่ใช้งานก็กระจายกันไปหลายธนาคาร
ปัญหาใหญ่ตอนนี้คงเป็นประเด็นว่าเรายังหาจุดร่วมไม่ได้ว่ามีผู้ให้บริการรายใดมีช่องโหว่ความปลอดภัยจนกระทบเป็นวงกว้างเช่นนี้หรือไม่ คุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดาก็ออกมาระบุว่า ธนาคารแต่ละแห่งและธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังประชุมกันหาสาเหตุ
ภาพโดย flyerwerk |
# แอพจดบันทึก Journal ออกอัพเดต, รองรับ haptic บน Surface Slim Pen 2 จำลองความต่างระหว่างการเขียนด้วยปากกา/ดินสอได้
Journal แอพจดบันทึกภายใต้โครงการ Microsoft Garage ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ที่ชื่นชอบจดโน้ต/สเก็ตช์ไอเดียด้วยการขีดเขียน ออกอัพเดตใหม่เพื่อรองรับความสามารถจำลองความรู้สึกเสมือนการเขียนลงบนกระดาษจริงผ่านระบบสั่น (haptic feedback ที่ไมโครซอฟท์เรียกว่า tactile signals) ของ Surface Slim Pen 2 ปากการุ่นใหม่ของอุปกรณ์ตระกูล Surface
ที่น่าสนใจคือการรองรับ haptic นั้นสามารถจำลองความต่างของเครื่องเขียนบนแอพได้ด้วย การเลือกใช้ ปากกา, ปากกาไฮไลท์, ดินสอและยางลบบนแอพ Journal จะให้แรงสั่นที่ต่างกัน ทำให้การสลับเครื่องเขียนบน Journal ให้ความรู้สึกเหมือนเปลี่ยนเครื่องเขียนที่ใช้เป็นปากกาหรือดินสอจริงๆ
Journal ยังได้นำ haptic มาใช้กับฟีเจอร์เด่นของแอพอย่างสั่งงานผ่าน gesture (เช่นการวาดวงกลมล้อมรอบข้อความเพื่อสั่งเลือก) โดยปากกาจะตอบสนองด้วยการสั่นเป็นสัญญาณให้ผู้ใช้รู้ตัวเมื่อสั่งงานแบบวาด gesture สำเร็จอีกด้วย
ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อเดือนที่แล้วไมโครซอฟท์ยังได้ปรับปรุงแอพ Journal อีกหลายรายการพอสรุปได้ดังนี้
แยกแยะระหว่างการวาดวงกลมเพื่อเน้นหัวข้อและการวาดเพื่อเลือกข้อความได้ดีขึ้น
เพิ่มกระดาษเขียนโน้ตดนตรี
กดคีย์ CTRL + แตะหน้าจอ เพื่อเลือกข้อความทีละหลายข้อความได้แล้ว
รองรับการนำเข้าไฟล์ PDF ที่ใส่รหัสผ่าน
เพิ่มภาษาที่ AI รองรับเพื่อช่วยให้ตรวจจับการเขียนในภาษานั้นได้แม่นยำขึ้น (ยังไม่มีภาษาไทย)
เพิ่มตัวเลือกให้ Journal จำการปรับแต่งปากกาที่ใช้ครั้งล่าสุด Settings > Pen Options > Remember Pen State
ท่านใดสนใจดาวน์โหลดแอพ Journal ได้ที่ Microsoft Store ครับ
หมายเหตุ: haptic สามารถใช้งานได้กับเฉพาะอุปกรณ์ที่รองรับซึ่งในตอนนี้คือ Surface Pro 8 และ Surface Laptop Studio เท่านั้น
ที่มา - Microsoft Garage blog (Haptic update, September update) |
# ทีมวิจัยเยอรมันโอเพนซอร์สระบบเรนเดอร์ภาพสามมิติเหมือนจริงจากภาพถ่าย 300-350 ภาพ และการสแกนสามมิติ
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Erlangen-Nuremberg ในเยอรมนีรายงานถึงงานวิจัย ADOP ระบบเรนเดอร์ภาพหลากหลายมุมมองทำให้กล้องสามารถเคลื่อนไปมารอบวัตถุได้อย่างสมจริง
ADOP อาศัยภาพเริ่มต้น, จุดสามมิติของภาพ (point cloud), รุ่นกล้องถ่ายภาพ, และตำแหน่งของกล้องเพื่อสร้างภาพ โดยโมเดลปัญญาประดิษฐ์รับอินพุตเป็นภาพจากกล้องวิดีโอของวัตถุแต่ละชิ้นที่กำลังสร้างภาพสามมิติ จำนวนประมาณ 300-350 ภาพ โดยเก็บภาพไว้ 5% สำหรับการทดสอบระบบ จากนั้นนำภาพไปสร้าง point cloud จำนวนประมาณ 8-12 ล้านจุด
โมเดลปัญญาประดิษฐ์จะให้ภาพแบบ HDR ออกมาก่อน จากนั้นระบบจะนำไปปรับสีด้วย tone mapper เพื่อให้ภาพสมจริงยิ่งขึ้น เนื่องจากภาพที่สร้างขึ้นเป็น HDR จึงสามารถนำไปสร้างภาพมุมมองเดียวกับภาพต้นฉบับแต่ปรับแต่งสีให้สวยกว่าภาพที่ใช้ฝึกเสียอีก
ทีมวิจัยระบุว่าจะเปิดซอร์สโค้ดของ ADOP ทั้งหมดเข้า GitHub หลังจากรายงานวิจัยนี้ได้รับตีพิมพ์แล้ว
ที่มา - ADOP: Approximate Differentiable One-Pixel Point Rendering |
# Nintendo ยอมรับ Metroid Dread มีบั๊ก เกมอาจปิดลงเอง ออกแพตช์แก้ในเดือนนี้
นินเทนโดประกาศว่า Metroid Dread เกมในซีรี่ส์ Metroid ซึ่งเพิ่งวางขายไปสัปดาห์ก่อน มีบั๊กสำคัญ ซึ่งทำให้การเล่นเกมถูกตัดกลางคัน โดยจะขึ้นข้อความว่า The software was closed because an error occurred และผู้เล่นต้องเริ่มเล่นใหม่จากจุดเซฟล่าสุด
ทั้งนี้นินเทนโดบอกว่าจะออกแพตช์แก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายในเดือนตุลาคม 2021 นี้
อาการของปัญหามีรูปแบบที่เฉพาะตัวและสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ นินเทนโดให้ข้อมูลคร่าว ๆ ว่าในช่วงท้ายของเกม หากผู้เล่นพังประตูที่มีการปักหมุดในแผนที่ไว้ก่อนหน้าเพื่อนำทาง เกมจะแสดงข้อความ error และปิดลงตามอาการที่ระบุข้างต้น หากพบปัญหานี้ วิธีป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำคือก่อนไปถึงฉากดังกล่าว ให้ถอนหมุดในแผนที่ออกไปก่อนพังประตู ก็จะไม่เกิดปัญหา
ที่มา: The Verge |
# DC โชว์เกมเพลย์ Suicide Squad: Kill The Justice League, เทรลเลอร์ใหม่ Gotham Knights
ในงาน DC Fandome 2021 ของค่าย DC เมื่อคืนนี้ นอกจากการโชว์เทรลเลอร์หนังและซีรีส์ในจักรวาล DC แล้ว ยังมีอัพเดตความคืบหน้าของเกม DC ที่เปิดตัวในปี 2020 สองเกมคือ Suicide Squad: Kill The Justice League และ Gotham Knights
เกมแรกคือ Suicide Squad: Kill The Justice League ผลงานใหม่ของสตูดิโอ Rocksteady ในเครือ WB Games ที่มีผลงานพัฒนาเกมตระกูล Batman: Arkham ภาคหลักทั้ง 3 ภาค
เนื้อเรื่องของเกม Suicide Squad ภาคนี้ยังอยู่ในจักรวาลเดียวกับ Arkham แต่เหตุการณ์อยู่ที่เมือง Metropolis ของ Superman โดยแก๊งวายร้าย 4 คนคือ Harley Quinn, Captain Boomerang, Deadshot, King Shark ถูกปล่อยออกจากเรือนจำ และพบว่าโลกภายนอกถูกเอลี่ยนรุกราน ซึ่งเอเลี่ยนเหล่านี้ได้เข้ามาควบคุมจิตใจของเหล่าฮีโร่ เช่น Superman, The Flash, Green Lantern, Wonder Woman ให้กลายเป็นฝ่ายวายร้ายไปแทน
เกมลง PS5, Xbox Series X|S และพีซี กำหนดขายคร่าวๆ ปี 2022
เกมที่สอง Gotham Knights เป็นเกม Batman ในจักรวาลใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับ Arkham (ในซีรีส์ Arkham มีเกม Arkham Knight ที่ออกปี 2015 ชื่อคล้ายๆ แต่ไม่เกี่ยวกัน) พัฒนาโดย WB Games Montréal อีกสตูดิโอในสังกัด WB Games ที่เคยมีผลงานพัฒนาเกม Batman: Arkham Origins มาก่อน
เนื้อเรื่องของเกม Gotham Knights คือเมือง Gotham ที่ Batman ตายไปแล้ว ผู้เล่นจึงต้องรับบทเป็นผู้ช่วยของ Batman 4 คนคือ Nightwing, Batgirl, Robin, Red Hood มาช่วยกันกอบกู้สันติภาพของเมืองกลับคืนมา
เดิมทีเกมมีกำหนดออกปี 2021 แต่เลื่อนเป็นปี 2022 เรียบร้อยแล้ว
ที่มา - IGN, IGN |
# เราคือเพื่อนกัน ซีอีโอ Volkswagen เชิญ Elon Musk ไปพูดให้พนักงานตัวเองฟัง
ในแง่บริษัท Volkswagen ถือเป็นคู่แข่งกับ Tesla ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในยุโรปที่ยอดขายของ VW ID.3 และ Tesla Model 3 ตีคู่กันมาตลอด
แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ผู้บริหารจากทั้งสองบริษัทจะคุยกันฉันมิตรไม่ได้ ล่าสุด Herbert Diess ซีอีโอของ Volkswagen จัดงานประชุมผู้บริหารระดับสูง 200 คน โดยเชิญแขกสำคัญคือ Elon Musk วิดีโอคอลล์เข้ามาพูดคุย เล่าเรื่องวัฒนธรรมองค์กรของ Tesla ว่าสามารถสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร
เว็บไซต์ Electrek รายงานว่า Diess พูดบนเวทีว่าวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Tesla เก่งมาก เมื่อเจอปัญหาชิปบางรุ่นขาดตลาด ก็เปลี่ยนรุ่นชิปที่ใช้ และปรับซอฟต์แวร์ตามภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
Diess ยังระบุว่าเขาเตรียมตัวไปเยี่ยม Musk ที่โรงงาน Gigfactory ของ Tesla ที่เมือง Grünheide ใกล้กับเบอร์ลินในเร็วๆ นี้ด้วย
ที่มา - Electrek |
# ธนาคารกรุงเทพแจง แอปบัวหลวงไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว กำลังแก้ไข
มีผู้รายงานแอปบัวหลวงของธนาคารกรุงเทพล่มหลายรายในทวิตเตอร์ ล่าสุด ทางธนาคารกรุงเทพออกมาชี้แจงรับรู้ปัญหาแล้ว ระบุว่ากำลังเร่งแก้ไข และคาดว่าจะสามารถกลับใช้งานได้โดยเร็ว
ที่มา - ธนาคารกรุงเทพ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.