text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
การวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุน FundTalk: ผมได้มีโอกาสเข้าฟังสัมมนา “Quarterly Economic Assessment and Outlook” ที่จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จึงเป็นที่มาของเรื่องราวในวันนี้ที่อยากจะแลกเปลี่ยนวิธีคิดของผู้จัดการ กองทุนคนหนึ่ง ในการที่จะวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยที่ประกาศออกมา และนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การลงทุน โดยหวังว่าท่านผู้อ่านน่าจะได้นำแนวคิดไปใช้เป็นอาวุธเสริมสำหรับการจัดพอร์ ตการลงทุนของท่านเอง หมายเหตุ สามารถอ่านบทความเรื่อง ลงทุน หุ้น กองทุน พันธบัตร และเข้าใจเศรษฐกิจอย่างง่าย ๆ ได้ที่ http://fundmanagertalk.com หรือหากสนใจติดตามสถานการณ์แบบ 24 ชม. มาคุยเรื่องลงทุนผ่าน twitter กันได้ที่ http://twitter.com/fundtalk เมื่อ: 2009-09-10T16:36:24+00:00 FundTalk: ตัวเลขเศรษฐกิจหาจากไหน หลาย ท่านอาจคิดว่าต้องเป็นนักลงทุนสถาบัน จึงจะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่านักลงทุนรายย่อย ซึ่งไม่จริงทีเดียวสำหรับตัวเลขเศรษฐกิจครับ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่จะมีที่มาจากหน่วยงานราชการ ซึ่งสมัยนี้มักจะนำเสนอผ่านเวบไซต์ โดยผู้ลงทุนทุกประเภทสามารถเข้าถึงได้พร้อมกัน และได้รับข้อมูลที่เหมือนกัน สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยหลัก ๆ ที่น่าติดตาม ผมคิดว่ามีดังนี้ครับ 1. รายงานเศรษฐกิจและการเงินรายเดือน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (http://www.bot.or.th/ >>> เลือก “ภาวะเศรษฐกิจ”) โดยรายงานนี้จะเผยแพร่เป็นรายเดือน ทุก ๆ วันทำการสุดท้ายของเดือน โดยครอบคลุมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ เช่น ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, อัตราการใช้กำลังการผลิต, เครื่องชี้การอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน, เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน, อัตราเงินเฟ้อ, ภาคส่งออก-นำเข้า ฯลฯ เมื่อ: 2009-09-10T16:36:49+00:00 FundTalk: 2. รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (http://www.bot.or.th/ >>> เลือก “ภาวะเศรษฐกิจ” >>> เลือก “รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ”) รายงานนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะจะมีรายละเอียดเชิงลึกของทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ รวมถึงประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจในปีข้างหน้า ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวม และแต่ละภาคส่วน โดยรายงานนี้จะเผยแพร่เป็นรายไตรมาส ในเดือน มกราคม, เมษายน, กรกฎาคม, และตุลาคม ของทุกปีครับ เมื่อ: 2009-09-10T16:37:11+00:00 FundTalk: 3. ตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (http://www.nesdb.go.th/ >>> เลือก “ข้อมูลเศรษฐกิจและสังคม” >>> เลือก “บัญชีประชาชาติ” >>> เลือก “Quarterly Gross Domestic Product”) โดยตัวเลข GDP จะประกาศหลังจากสิ้นไตรมาสประมาณ 2 เดือน เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/52 ปีนี้จะประกาศประมาณช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2552 นี้ โดยรายงานฉบับนี้จะลงลึกในรายละเอียดทั้งหมดของอัตราการเจริญเติบโตเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีอีกหลายตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่ประกาศจากหน่วยงานรัฐครับ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ และตัวเลขการส่งออก / นำเข้า ที่ประกาศโดยกระทรวงพาณิชย์ (http://www.mof.go.th/), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ประกาศโดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (http://www.thaiechamber.com/) เป็นต้น เมื่อ: 2009-09-10T16:37:34+00:00 FundTalk: Your view against Market Consensus ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของ ผู้จัดการกองทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการติดตามการประกาศของตัวเลขเศรษฐกิจ หากแต่เป็นการมีมุมมอง (Market View) ที่แตกต่างจากสิ่งที่นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อ (Market Consensus) ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อก็มักจะเป็นตัวเลขจากแหล่งที่น่า เชื่อถือเช่นแบงค์ชาติ หรือสภาพัฒน์ดังที่แนะนำให้ท่านติดตามนั่นเอง ขอ ยกเป็นตัวอย่างครับ ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม แบงค์ชาติได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อในปี 2010 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปรับตัวเลข GDP growth ปีหน้าจากเฉลี่ย 2.5% เป็น 4.0% และปรับตัวเลขเงินเฟ้อจากเฉลี่ย 2.0% เป็น 4.5% ซึ่งการปรับเพิ่มประมาณการครั้งเดียว 1.5 – 2.5% ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมาก (ถ้าดูย้อนหลังในอดีตจะเห็นว่าการปรับประมาณการแต่ละครั้งโดยเฉลี่ยจะปรับน้อยกว่านี้) เมื่อ: 2009-09-10T16:38:26+00:00 FundTalk: Before Fact การ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน ก่อนที่ตัวเลขจะประกาศ หากเราทำการวิเคราะห์ก่อนหน้าที่แบงค์ชาติจะปรับประมาณการ และเชื่อว่าจะมีการปรับประมาณการแบบ Positive Surprise เราก็ควรจะปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ก่อนที่จะถึงวันที่แบงค์ชาติจะประกาศประมาณ การตัวเลขเศรษฐกิจ (เวลาเศรษฐกิจดี เงินเฟ้อสูงราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนราคาตราสารหนี้จะปรับลดลง) After Fact หลัง จากตัวเลขการคาดการเศรษฐกิจของแบงค์ชาติประกาศ ตลาดก็จะปรับตัวไปตามการคาดการณ์นั้น หาก ผู้จัดการกองทุน มีมุมมองที่ต่างจากแบงค์ชาติ ยกตัวอย่างเช่น หาก ผู้จัดการกองทุน มองว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโตเพียง 2% นั่นคือเชื่อว่าในอนาคตจะมีการลดประมาณการ GDP เราก็ควรจะปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ โดยสรุป การกำหนดกลยุทธ์ การลงทุน เพื่อชนะตลาด ต้องทำเมื่อนักลงทุน คิดแตกต่างจากสิ่งที่ตลาดคิด (Our view against consensus) ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนควรมีคือมีมุมมองของตัวเอง เพื่อนำไปเทียบกับสิ่งที่ตลาดคิด แล้วนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การลงทุน นั่นเอง เมื่อ: 2009-09-10T16:38:46+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอถามกรณี BECL ถือหุ้น TTW ครับ Fox: พอดีเข้าไปอ่าน รายงานการประชุมของบริษัท BECL มาครับ พบข้อความดังนี้ "ภายหลังจากการซื้อหุ้นเพิ่มเติมบริษัทจะถือหุ้นใน TTW รวมทั้งสิ้น 807,650,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 20.24 ของทุนจดทะเบียน ซึ่งถือว่า TTW เป็นบริษัทร่วม ทาให้บริษัทสามารถบันทึกรับรู้ส่วนแบ่งกาไรใน TTW เป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุนรวมของบริษัท นอกเหนือจากการได้รับเงินปันผลเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น" เกิดข้อสงสัยมาครับ ว่า 1. การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งในตลาดหุ้น เข้าไปถือหุ้น ในบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง แล้วจะสามารถบันทึกส่วนแบ่งกำไรเป็นของตัวเองได้นั้น ต้องมีหุ้น ขั้นต่ำในบริษัทนั้นเท่าไรครับ ตัวอย่างเช่นกรณีนี้ BECL ถือหุ้น TTW เป็นร้อยละ 20.24 จึงสามารถบันทึกกำไรของ TTW มาเป็นของตัวเองได้ 2.การรับรู้รายได้ในบริษัทที่เข้าไปถือหุ้นแบบนี้ เค้ามีอัตราไหมครับ ว่า ถ้าถือหุ้นร้อยละเท่านี้จะสามารถบันทึกรับรู้รายได้เท่าไร เอกสารตรงนี้ ผมจะหาได้จากไหนครับ ท่านผู้รู้ช่วยชี้ทางให้ด้วยครับ ตัวอย่างเช่น ถ้า BECL ถือหุ้นแค่ร้อยละ 15 จะสามารถบันทึกการรับรู้ส่วนแบ่งรายได้ ได้หรือไม่ ถ้าได้ จะรับรู้ร้อยละเท่าไร 3.อันนี้นอกประเด็นนิดนึงนะครับว่า เงินปันผลที่ นิติบุคคลได้รับนั้น ต้องเสียภาษีหรือไม่ครับ เช่น กรณีนี้ ที่BECL รับเเงินปันผลจาก TTW อย่างถ้าเป็นพวกเรา ก็ต้องเสียภาษีเงินปันผล ถ้าเป็นนิติบุคคล เค้าต้องเสียภาษีไหมครับ 4. ประโยชน์ของการเข้าไปถือหุ้นกัน ข้ามไปมาระหว่างกันมีอะไรครับ เช่น BECL ถือหุ้น TTW และ CKP ในขณะเดียวกัน TTW ก็ ถือหุ้น CKP ด้วย และถ้าพิจารณามากกว่านั้น CK ก็จะมีการถือหุ้นทั้งสามบริษัทนี้ด้วย ดูมันยุ่งเหยิงมากกครับ ขอบพระคุณมากครับ เมื่อ: 2013-04-26T06:14:26+00:00 jatturong: 1# 20-50% ครับต้องบันทึกด้วยวิธีส่วนได้เสีย ลองอ่านอันนีก็ได้ครับ http://home.kku.ac.th/anuton/966411/04%20Acc%20H&S.pdf http://www.jarataccountingandlaw.com/in ... 20&Ntype=3 2# ตามมาตราฐานบัญชี ครับ ลอง search ดูจะเป็นครับ 3# ไม่ค่อยแน่ใจความละเอียดของคำถาม (แต่ว่าถือว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ) ถ้าถามว่าเงินปันผลเสียภาษีใหม่ ผมเชื่อว่าเสีย แต่ว่าถ้าถามว่าแล้วเสียโดยหักนะที่จ่าย หรือเอามา console เป็นรายได้แล้วเสียนี่ผม ไม่ทราบว่าปกติ บริษัทเค้าทำกันอย่างไร ในทางปฦิบัติ แต่ผมเชื่อ นักบัญชี่ ที่รู้เรื่องภาษี นะแนะนำในทางที่เสียน้อยที่สุด ตามสิทธิครับ 4# คำถามนี่ น่าสนใจมาก และเป็นคำถามที่ยากเกิน ความสามารถที่ผมจะตอบ PS1: เห็นมีคนเข้ามาดู 193 คนไม่มีคนตอบ ผมเลยลอง search หาคำตอบมาให้อ่านดู ผิดพลาดประการได้ขอ อภัยครับ เมื่อ: 2013-04-28T15:14:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครรู้ เวบไซต์ของ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) บ้างครับ ครรชิต ไพศาล: ผมหาในข้อมูลของบริษัท ใน SET และ กลต.   ไม่เจอ เวบไซต์ของ  บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นไปได้ไงนี้ งง  :roll: บริษัท ค้าขายสินค้า IT คอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีบอกชื่อ เวบไซต์ เมื่อ: 2007-03-13T02:27:41+00:00 woody: ผมจำได้ว่าเค้ามีแต่ Corporate Webiste นะครับ Commercial นี่ยังไม่มี แต่ตอนนี้หาไม่เจอแล้วเหมือนกันครับ   เมื่อ: 2007-03-13T02:32:25+00:00 Little Donkey: ลองเข้าไปที่ www.itcity.co.th คับ ยังเข้าได้อยู่คับ เมื่อ: 2007-03-13T02:36:29+00:00 CK: เขาไม่ขายสินค้าออนไลน์ครับ เน้นแต่ outlet เมื่อ: 2007-03-13T02:40:35+00:00 ครรชิต ไพศาล: ขอบคุณ ครับ เมื่อ: 2007-03-13T02:42:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผมอยากจะเปลี่ยนชื่อสมาชิก ต้องทำยังไงครับ Kao: ผมอยากจะเปลี่ยนชื่อสมาชิก ต้องทำยังไงครับ เมื่อ: 2003-12-24T19:16:51+00:00 CK: ต้องแจ้ง Administrator ครับ โพสต์ชื่อใหม่ที่ต้องการเปลี่ยน ไว้ในกระทู้นี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวเขาคงเปลี่ยนให้ แล้วค่อยล็อกอิน ด้วยชื่อใหม่ เมื่อ: 2003-12-25T01:14:16+00:00 Kao: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2003-12-27T04:55:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เบื่อ กับการทำงานของพนักงานหลักทรัพย์กรุงศรี syoon: เราได้โอนหุ้นไปหลักทรัพย์อีกแห่งหนึ่ง โดยเขียนต้นทุนที่ซื้อมาไว้ แต่เวลาโอนเข้าจริงๆ ทำไมเป็นราคาตลาด ซึ่งดูแล้วปวดหัวมาก ต้องมานั่งแก้กับที่ใหม่ แล้วยังมีหน้าโทรศัพท์มาถามว่าไม่โอนหมดไม่ได้หรือ เหลือไว้สัก 2-3 ตัว ได้ไหม? มีสิทธิ์อะไรที่มายุ่งกับทรัพย์สินของเรา มันเป็นการตัดสินใจของเราใช่หรือไม่? ห้ามยุ่งกับทรัพย์สินของลูกค้าไม่ใช่หรือ? ฝากถามผู้รู้ช่วยตอบที เมื่อ: 2008-09-27T15:56:58+00:00 ลูกอิสาน: ผมเคยโอน ต้นทุนจะเป็นราคาตลาดเหมือนกัน น่าจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด การโอนหุ้นอย่างไร เท่าไหร่เป็นสิทธิ์ของลูกค้า แต่มาร์ก็อยากให้ลูกค้ามีหุ้นในพอร์ตเพื่อซื้อขายจะได้ค่าคอม ก็น่าเห็นใจทั้งสองฝ่ายน่ะครับ เมื่อ: 2008-09-27T17:23:37+00:00 Alastor: เหตุผลคงเหมือนที่คุณ ลูกอีสาน บอกอ่ะครับ ผมใช้ settrade & Excel ในการบันทึกต้นทุน เพราะจะดูได้ทั้ง portfolio ที่กระจายตัวตามบัญชีต่างๆ แบบนี้จะแยกหุ้นที่บริหารให้คนอื่นออกมาต่างหากได้ด้วยครับ เมื่อ: 2008-09-28T01:52:14+00:00 earthcu: K.Alastor และพี่ๆถามอื่นครับ อยากถามในกรณีใช้ excel เพื่อบันทึกต้นทุนหุ้นรวมไปถึงการบริหาร portfolio ให้คนอื่นครับ พอดีมีปัญหาอยู่ว่าตอนนี้บริหาร port ให้น้องชายและคุณพ่อด้วย เพียงแต่ใช้บัญชีหลักทรัพย์เดียวกัน เลยมีปัญหาว่ามีวิธีที่จะทำให้ง่ายมั้ยครับ ยิ่งกรณีทุกๆเดือนจะมีเงินโอนเข้ามาไม่สม่ำเสมอครับ บางเดือนมากบ้าง น้อยบ้าง ทำให้เวลาคิดผลตอบแทนบางครั้งไม่ค่อยแน่ใจครับ ถ้ามีตัวอย่างชี้แนะด้วยจะขอบคุณมากครับ หรือถ้ามีวิธีอื่นรบกวนช่วยชี้แนะด้วยครับ เมื่อ: 2008-09-28T02:19:25+00:00 noooon010: ผมไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเกี่ยวกับ AYS เป็นแค่ลูกค้าของเค้านะครับ เท่าที่ผมทราบ ทุกที่ ทุกแห่ง ก็มีทั้งสิ่งดีๆ และไม่ดี ผมว่าพนักงานที่คุณ contact ด้วยอาจไม่ดีเท่าที่คุณคิด น่าจะลอง comment กับหัวหน้าเค้าดูนะครับ เพื่อการพัฒนาที่ดีครับ เมื่อ: 2008-09-28T02:21:20+00:00 Alastor: earthcu เขียน:K.Alastor และพี่ๆถามอื่นครับ อยากถามในกรณีใช้ excel เพื่อบันทึกต้นทุนหุ้นรวมไปถึงการบริหาร portfolio ให้คนอื่นครับ พอดีมีปัญหาอยู่ว่าตอนนี้บริหาร port ให้น้องชายและคุณพ่อด้วย เพียงแต่ใช้บัญชีหลักทรัพย์เดียวกัน เลยมีปัญหาว่ามีวิธีที่จะทำให้ง่ายมั้ยครับ ยิ่งกรณีทุกๆเดือนจะมีเงินโอนเข้ามาไม่สม่ำเสมอครับ บางเดือนมากบ้าง น้อยบ้าง ทำให้เวลาคิดผลตอบแทนบางครั้งไม่ค่อยแน่ใจครับ ถ้ามีตัวอย่างชี้แนะด้วยจะขอบคุณมากครับ หรือถ้ามีวิธีอื่นรบกวนช่วยชี้แนะด้วยครับ ให้แยกบันทักต่างหากใน settrade ก่อนครับ คนละ account ไปเลย จะได้ดูมูลค่า port ง่ายๆด้วย ใน settrade program ค่อนข้างดีอยู่แล้ว มีช่องให้ใส่เงินเพิ่ม/ดึงเงินออก ตอนซื้อขายก็คำนวณต้นทุนเฉลี่ยให้ซึ่งรวมค่า commission ให้ด้วย ส่วนใน Excel ก็ทำแบบเดียวกัน คือแยก file ไปเลยครับ ซื้อขายหรือใส่เงินเข้าให้คนไหนก็บันทักลง Excel file นั้นๆ ที่ต้องแยกบันทึกใน Excel เพราะมีประโยชน์ในแง่การคำนวณ portfolio เวลาคำนวณผลตอบแทน ผมจะคิดต้นทุนจากขนาดเงินต้นทุนเฉลี่ย เช่น ระยะ 3 เดือนแรกของปีมีเงินต้นทุน = 1,000,000 ณ สิ้นเดือนที่ 3 ใส่เงินเพิ่ม 1 แสน ก็จะมีเงินต้นทุน = 1,100,000 ณ สิ้นเดือนที่ 7 ใส่เงินเพิ่ม  2 แสนก็จะมีเงินต้นทุน = 1,300,000 ณสินเดือนที่ 9 เอาเงินออก 4 แสนจะมีเงินต้นทุน = 900,000 หลังจากนั้นไม่มีการเอาเงินเข้าออก สรุปปลายปีตอนคำนวณเงินต้นทุน จะได้ต้นทุนเฉลี่ย = [(3-0)x1,000,000 + (7-3)x1,100,000 + (9-7)x1,300,000 + (12-9)x900,000]/12 = เอ่อ รบกวนคำนวณเองนะครับ ไม่มีเครื่องคิดเลขอ่ะ -_- การบันทึกลง excel ยังทำให้เรา review ได้ง่ายว่าที่อะไรไปบ้างในภาพรวม เช่น ดูได้ว่า turnover เป็นเท่าไหร่จะได้รู้ว่าตัวเองซื้อๆขายๆบ้าๆบอๆมากไปหรือเปล่า เอาไว้ดูว่าตัวเองต้องแก้ไขเรื่องไหนในปีต่อๆไปครับ เมื่อ: 2008-09-28T03:07:15+00:00 earthcu: ขอบคุณนะครับ K.Alastor ที่ช่วยแนะนำครับ มีคำถามเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ  จากการที่ K.Alastor อธิบายจะเป็นในแง่ซื้อหุ้นแล้วแยกกันไปเลยใช่ไหมครับ เช่นซื้อ ptt ให้พ่อ 1000 หุ้น ซื้อ ums ให้น้อง 5000 หุ้น แต่ถ้าผมซื้อแล้วถือว่าแบ่งตาม %ของเงินลงทุน สมมติเช่น Portfolio ทั้งหมด คิดเป็นส่วนของคุณพ่อ 30% ของน้อง 15% ที่เหลือเป็นส่วนของผม แล้วเดือนต่อมาคุณพ่อใส่เงินเข้ามาในบัญชี 10000 บาท น้องชายใส่เงินเข้ามา 2000 บาท ผมใส่เงินเข้าไป 5000 บาท รวมกับมีผลกำไร/ขาดทุนในเดือนแรก เข้ามาถ้าเป็น case อย่างนี้ทาง K.Alastor พอจะมีวิธีแนะนำไหมครับ ว่าจะคำนวณใน excel ยังไงดีถึงจะสามารถรู้ตัวเลขยอดสุทธิตอนปลายเดือนในแต่ละเดือนของแต่ละคน พอดีตอนนี้ค่อนข้างมีปัญหาว่าใช้เวลานานพอสมควรครับกว่าจะได้ข้อมูลออกมา สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณ K.Alastor อีกทีสำหรับคำแนะนำครับ เมื่อ: 2008-09-28T15:12:55+00:00 Alastor: ถ้าแยกการบันทึกของ port แต่ละคนอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วครับ ลองแยกจากกันดูก่อนนะครับ เมื่อ: 2008-09-29T03:23:03+00:00 f.escape: เคยโอนหุ้นหลังเกิดวิกฤติปี 40 โบรกปิดตัวไป เขาก็ใช้ราคาตลาด  ทำให้พอร์ตใหม่ดูดีขึ้นเยอะเลย อีกอย่างเวลาเราจะปิดบัญชีฝากธนาคาร ไม่ว่าที่ไหนเขาก็จะขอไม่ให้ปิดโดยให้เหลือไว้นิดหน่อย เมื่อ: 2008-09-29T07:06:25+00:00 syoon: เราไม่ได้ปิดพอร์ตนะ แค่ตามมาร์เก็ตติ้งที่ดูแลเรา, เค้ามี service mind น่ะ เมื่อ: 2008-09-29T14:01:29+00:00 vision: 1. ไม่ใช่ความผิดของ AYS การโอนข้ามบริษัทคงไม่มีที่ไหนโอนข้อมูลทั้งหมด แม้แต่ราคาทุน 2. ถ้าเราจะโอนไปไหนก็ไม่สนใจจะคุย ไม่สนใจที่จะให้เหลือไว้บ้าง อาจตีความว่าไม่สนใจ ไม่ง้อลุกค้า ไม่มี service mind ก็ได้เหมือนกัน เมื่อ: 2008-09-29T14:30:45+00:00 ขุนอิน: ใจเย็นสักนิด มีเมตตาธรรมต่อเพื่อนร่วมชาติสักหน่อย ก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยครับ ก็พูดไปแบบสุภาพชน มาร์ก็ทำหน้าที่ของเขาครับ ถ้าเขาพูดสุภาพกับเรา เราก็สุภาพตอบ ไม่มีอะไรที่จะต้องไม่พอใจเลย เมื่อ: 2008-09-29T15:16:25+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
การลงทุนในระยะยาวเพื่อความมั่นคงทางการเงิน/ดร.ศุภวุฒิ Thai VI Article: โค้ด: เลือกทั้งหมดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถือได้ว่าการลงทุนไม่ว่าจะในสินทรัพย์ประเภทใดนั้นมีความผันผวนอย่างมาก ในช่วงเพียง 2 เดือนแรกของปีนี้ก็จะเห็นราคาหุ้นที่ประเทศจีนปรับตัวลดลงไป 30% ในขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น-ลง 5-6% ต่อวัน กลายเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติ หากมองกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก็ได้เห็นวิกฤติเศรษฐกิจที่เม็กซิโก ประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาและลาตินอเมริกา ไม่รวมถึงการปรับขึ้นของราคาน้ำมันไปถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และการปรับลดลงมาเหลือไม่ถึง 30 ดอลลาร์ ความผันผวนของราคาทองคำนั้น คงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะคงจะทราบกันแล้ว ประเด็นคือในภาวการณ์เช่นนี้ การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการสะสมและออมทรัพย์สินเพื่อให้มีความมั่นคงในช่วง ปลายของชีวิตนั้น ควรปรับเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร ซึ่งมีหนังสือที่พิมพ์ออกมาแนะนำเรื่องของการลงทุนหลายพันเล่มจนไม่ทราบว่า เล่มไหนดี เล่มไหนไม่ดี เล่มไหนถูกเล่มไหนผิด ในส่วนนี้ผมขอแสดงความเห็นว่าหนังสือแนะนำการลงทุนที่ผมคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดคือหนังสือของ Prof Burton MalKiel แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เพราะ นอกจาก ศ. MalKiel จะเชี่ยวชาญทางวิชาการเรื่องการเงินในเชิงวิชาการแล้วก็ยังเป็นนักปฏิบัติ ด้วย เช่น เป็น Chief Investment Officer ของกองทุน Wealth front ที่สำคัญคือหนังสือ A Ramdom Walk Down Wall Street นั้น เป็นตำราเพื่อการลงทุนอย่างแท้จริง ทั้งในเชิงของการให้ความรู้ในทางวิชาการเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การลงทุนแล้ว ก็ยังมีข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนบุคคลที่จะนำไป ปฏิบัติเพื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว ทั้ง นี้ผมขอย้ำเรื่องของการลงทุนระยะยาว ผู้ที่หวังจะรวยเร็วและต้องการเคล็ดลับในการหา “หุ้นเด็ด” ขอให้ไปอ่านหนังสือเล่มอื่น เพราะเล่มนี้ไม่มีข้อแนะนำในการลงทุนเพื่อร่ำรวยทางลัดอย่างแน่นอน หนังสือ Random Walk นี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1973 และได้มีการปรับปรุงเรื่อยมา ผมเริ่มอ่านเมื่อปรับปรุงและตีพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ 5 (ปี 1990) ฉบับตีพิมพ์ล่าสุดเป็นการปรับปรุงครั้งที่ 12 (ปี 2015) ซึ่งก็ยังมีคนซื้ออ่านอยู่เรื่อยมาจนปัจจุบัน ศ. MalKiel อายุใกล้ 84 ปีแล้ว ก็ยังยืนยันในการตีพิมพ์ครั้งที่ 12 ของตำรา Random Walk ว่าการซื้อกองทุนหุ้นที่เรียกว่า index fund (ซื้อหุ้นหลักตามน้ำหนักของหุ้นคำนวณจากมูลค่ารวมของหุ้น) โดยไม่ต้องซื้อกองทุนที่ผู้บริหารกองทุนมาพยายามเลือกหุ้นเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว นอกจากนั้นก็ยังยืนยันว่าการจัดสรรการลงทุน (asset allocation) ได้แก่การกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างการลงทุนในหุ้น พันธบัตร เงินสดและอื่นๆ (เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์) นั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการกำหนดผลตอบแทนของการลงทุนการ “เลือกหุ้น” นั้น ในระยะยาวจะมีส่วนในการกำหนดผลตอบแทนเพียง 10% เท่านั้น ผลตอบแทนของการลงทุนนั้นจะมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของการลงทุน กล่าวคือหากหวังได้ผลตอบแทนมาก ก็ย่อมจะต้องรับความเสี่ยงสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันนี้ขอให้เข้าใจร่วมกันว่าเป็นหลักความจริงที่ 1 ของการลงทุน ความเสี่ยงที่ว่านี้คือความผันผวนของราคาสินทรัพย์และผลตอบแทนของสินทรัพย์ ดังกล่าว ซึ่งสรุปได้จากข้อมูลในอดีต ซึ่งปรากฏในหนังสือเล่มนี้ (หน้า 351) ดังนี้ (ดูตาราง) จะเห็นได้ว่าจากข้อมูลยาวนานเกือบ 90 ปีที่ผ่านมานั้น หากต้องการได้ผลตอบแทนเป็นตัวเลข 2 หลักต่อปี ก็จะต้องยอมรับความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงในแต่ละปีว่า ใน ปีที่ย่ำแย่นั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กอาจติดลบมากกว่า 30% ก็เป็นได้ แต่ในปีที่ดีเลิศก็จะเห็นผลตอบแทนสูงเกือบ 50% ทั้งนี้หลักความจริงที่สำคัญยิ่งรองลงมาจากหลักความจริงที่หนึ่ง (ผลตอบแทนสูงก็ต้องเสี่ยงสูง) คือ ยิ่งลงทุนระยะยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงต่ำลงและได้ผลตอบแทนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นเท่านั้น หนังสือ Random Walk นำเอาสถิติจริงจากตลาดหุ้นเอสแอนด์พีของสหรัฐในช่วง 1950 ถึง 2013 มาเปรียบเทียบให้ดูว่าระยะเวลาของการลงทุนนั้นมีความสำคัญดังนี้ 1) สมมุติว่าคุณจะลงทุนซื้อกองทุนหุ้นเอสแอนด์พี (มีหุ้นทั้งสิ้น 500) แต่สามารถลงทุนได้เพียง 1 ปี สถิติบ่งชี้ว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 63 ปีดังกล่าวนั้น เท่ากับ 10% ต่อปี แต่หากคุณเป็นคนที่โชคดีมากและลงทุนถูกจังหวะก็จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 52.62% ในเวลาเพียงปีเดียว แต่หากคุณอับโชคก็จะขาดทุนได้มากถึง 37% ในเวลาเพียง 1 ปี 2) แต่หากคุณมีเงินเย็นและสามารถทิ้งเงินลงทุนเอาไว้ ยาวถึง 10 ปี ผลตอบแทนก็จะยังเฉลี่ยเท่ากับ 10% ต่อปี แต่หากคุณเป็นคนโชคดีมาก ลงทุนได้ถูกจังหวะผลตอบแทนก็จะเฉลี่ยสูงถึง 19.61% ต่อปีในทางตรงกันข้าม หากคุณเป็นคนอับโชคมากที่สุด ก็จะขาดทุนเพียง 1.47% ในช่วง 10 ปี 3) ในกรณีที่คุณลงทุนนาน 25 ปี (เช่นเอาเงินที่คิดจะไปดาวน์รถยนต์ตอนอายุ 30 ปี มาซื้อกองทุนหุ้นแทน) และทิ้งเอาไว้จนอายุ 55 ปี ก็จะพบว่า เงินก้อนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี และหากเป็นคนโชคดีมาก ก็จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 17.57% ต่อปี ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็จะยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.96% ต่อปี กล่าวคือเงินดาวน์รถยนต์ 250,000 บาท ก็จะกลายเป็นเงินล้านได้ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า นักลงทุนที่เสี่ยงได้มากก็คือ คนที่อายุน้อย เพราะสามารถลงทุนระยาว 25-30 ปีได้ (ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบความเสี่ยงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) คนที่อายุมาก ไม่มีรายได้จากเงินเดือนและมีอายุอยู่อีกไม่นาน ย่อมจะไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แต่คนอายุน้อยมักจะไม่สนใจการลงทุนหรือคิดว่าเรื่องลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่ “รอ” ไปก่อนได้ ซึ่งจะเป็นการเสียดายโอกาสอย่างยิ่ง หนังสือ Random Walk แนะนำว่าโดยทั่วไปนั้นนักลงทุนที่อายุ 20-30 ปี สามารถจะจัดสรรการลงทุน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้สูงถึง 70% โดยอาจมีพันธบัตร 15% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 10% และเงินสด 5% โดยต้องลดสัดส่วนของหุ้นและเพิ่มสัดส่วนของพันธบัตรเมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นเมื่ออายุ 50-60 ปี ก็ควรจัดสรรการลงทุนให้มีสัดส่วนหุ้นเพียง 55% พันธบัตร 27.5% และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 12.5% และในกรณีที่เกษียณอายุไปแล้ว สัดส่วนของหุ้นก็ควรลดลงไปเหลือเพียง 40% โดยเพิ่มพันธบัตรเป็น 35% และกองทุนอสังหาริมทรัพย์และเงินสดเป็น 15% และ 10% ตามลำดับครับ[/size] เมื่อ: 2016-03-21T06:36:10+00:00 ลูกหิน: ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2016-03-21T06:48:06+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
incorporation กับ corporation แตกต่างกันยังไงอ่ะครับ mrdew: incorporation กับ corporation แตกต่างกันยังไงอ่ะครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2004-08-31T14:59:47+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คืออยากทราบว่าอายุเท่าไรเปิดportกับหุ้นตอนนี้ SaVatin: คืออยากทราบว่าอาย15มีบัตรประชาชนแล้วเปิดport ได้ไหมครับ แล้วท่าเล่น งบ5พันตอนนี้ มีตัวไหนน่าเล่นไหมครับกะจะเล่นให้เป็น ไม่หวังกำไร ครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2008-12-10T11:08:25+00:00 kornjackrit: อายุ 15 เปิดไม่ได้ครับ ต้อง 20 ครับ ( ผมก็รออยู่ -*- ) ถามว่าเงิน 5 พันบาท ลงทุนได้ไหม ต้องตอบว่าได้ครับ เพราะตลาดมีทั้งกระดานใหญ่ และ กระดานย่อย การดานใหญ่ซื้อขั้นต่ำทีละ 1 lot = 100 หุ้น ถ้าหุ้นละ 10 บาท ก็จะได้ 1000 บาท ยังอยู่ในครบ 5 พัน แต่ถ้าหุ้นที่มีราคาหลายร้อยบาท(จำไม่ได้นะครับว่าเกินกี่บาท) กฎจะลดให้เหลือกซื้อได้ 1 lot = 50 หุ้นครับ เช่น ราคา 400 บาท ซื้อ 50 หุ้น ต้องใช้เงิน 20000 บาท ซื้อเกินงบประมาณที่มี ไม่รวมค่าคอมมิชชั่นที่ต้องเสียขั้นต่ำ 100 บาท เพราะจำนวนเงินที่ซื้อไม่ถึง 40000 บาท และภาษี ดังนั้นอีกทางเลือกหนึ่งก็ คือ การซื้อผ่านกระดานย่อย จะซื้อ 1 หุ้นหรือ 2 หุ้น ก็ได้ครับ( ซื้อได้ในจำนวนที่น้อยกว่า กระดานปกติ )่ ส่วนตัวไหนน่าเล่น ผมว่าคุณ SaVatin ลองหาหนังสืออ่านดูก่อนดีกว่าครับ ส่วนจะเล่มไหนนั้นลองดุในร้อยคนร้อยเล่มครับ แต่ถ้าอยากลองของจริง ผมว่าลองลงทุนในกระดานก่อนก็ได้ครับ ได้ประสบการณ์เหมือนกัน( แต่ความรู้สึกอาจจะต่างกัน ) หรือ ถ้าอยากลองจริงๆ(ไม่แนะนำนะครับ) ก็ลองคุยกับคุณพ่อคุณแม่ดูครับ ให้ท่านเปิดบัญชี และ คุณ SaVatin ก็เป็นคนลงทุน ทางที่ดีศึกษา และลองลงทุนในกระดานก่อนดีที่สุดครับ เพราะจะได้ทั้งความปลอดภัย ประสบการณ์ ความรู้ และที่สำคัญเงินต้น 5 พันไม่หายครับ รอไว้เปิดบัญชีจริงๆได้เงิน 5 พันนี้จะได้เป็นทุนประเดิม ความเห็นส่วนตัวนะครับ ยังไงก็ขอให้โขคดีครับ เมื่อ: 2008-12-11T01:51:23+00:00 Renne: แนะนำว่าให้ลองเล่นportจำลองก่อนก็ได้ครับ ใน settrade ก็มีนะ ช่วยฝึกได้เยอะ เมื่อ: 2008-12-11T05:53:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีใครเป็นเหมือนผมบ้างรึเปล่า? genie: ผมไม่รู้เหมือนกันว่าportผมมันเล่นตลกอยู่คนเดียวรึเปล่า พอตลาดเขียวหรือยิ่งเขียวปี๋นะ portผมจะแน่นิ่งไม่ก็จะแดงๆนิดหน่อย แต่พอตลาดแดงละก็ได้เห็นเขียววันนั้นเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าผีสิงportรึเปล่า เมื่อ: 2003-06-20T16:12:17+00:00 ปรัชญา1: genie เขียน:ผมไม่รู้เหมือนกันว่าportผมมันเล่นตลกอยู่คนเดียวรึเปล่า พอตลาดเขียวหรือยิ่งเขียวปี๋นะ portผมจะแน่นิ่งไม่ก็จะแดงๆนิดหน่อย แต่พอตลาดแดงละก็ได้เห็นเขียววันนั้นเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าผีสิงportรึเปล่า :lol: เหมือนผมอยู่ครับ ตั้งแต่หุ้นขึ้นมา100กว่าจุด แต่หุ้นที่เราถือ มันไม่ไปไหนเลย ต้องหาคำตอบให้ตัวเองว่า...เราต้องการอะไร? ต้องการเงินปันผล หรือต้องการส่วนต่างของราคา ยามตลาดเป็นขาขึ้นพวก........จิ้งจก จะขายเพชรออกมา แล้วเอาเงินที่ขายเพชรไปซื้อพลอยแทน จึงไม่แปลกที่หุ้นเพชรจะแดง เป็นการเปลี่ยนค่าชั่วระยะเวลาหนึ่ง พอตลาดเริ่มผันผวน สู่แนวโน้มขาลง พวก...จิ้งจก ก็จะหันกลับมาซื้อเพชรอีกครั้ง เป็นแบบนี้ มาหลายครั้งหลายคราว และคงจะเป็นแบบนี้ไปไม่มีที่สิ้นสุด (คำว่าจิ้งจก หมายถึงการเปลี่ยนสี ไม่ได้ว่าใครนะครับว่า..ตัวเอง) เมื่อ: 2003-06-20T18:04:23+00:00 Meeja: อ่านดูแล้วแปลได้ว่า มูลค่ารวม Port ไม่เคยตกเลยนะพี่ Genie แต่พอดีช่วงนี้ผมก็เขียวเหมือนชาวบ้านเขาเหมือนกันแฮะ ไม่รู้ไอ้ที่ถืออยู่นี่เป็นหุ้น VS หรือเปล่าเนี่ย... เมื่อ: 2003-06-21T02:11:11+00:00 genie: ถ้าถามว่ามูลค่าportมีตกไหม ต้องตอบว่ามีบ้างนะ แต่เป็นลักษณะ เดือนนี้ตก1 เดือนหน้าขึ้น3อะไรประมาณนี้นะ(คือผมจะเก็บข้อมูลรายเดือนนะครับไม่ได้เก็บรายวัน) เมื่อ: 2003-06-21T09:26:00+00:00 genie: P' gene Mine is like yours loey la but mostly stable. (10% growth now) My concern is only the biggest stock in my port still underperforms. (you knew what I meant). 2nd wind เมื่อ: 2003-06-22T16:03:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
นายกฯ เตือนเอง Oatarm: นายกฯเตือนนักลงทุนไทย อย่าผลีผลามเป็น'แมลงเม่า' [14 ก.ค. 50 - 09:40] พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เปิดบ้านพิษณุโลก" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ วันนี้ (14 ก.ค.) ถึงการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัว ว่า ปัญหาดังกล่าวกระทบต่อภาคการส่งออกเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกต้องมีการปรับตัว เช่นที่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แนะนำว่า ไม่ควรซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าไว้มากเกินวงเงินที่ตัวเองมีอยู่ เพราะอาจเข้าข่ายการเก็งกำไร นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบันจึงขอเตือนนักลงทุนไทย ว่า ไม่ควรผลีผลาม เข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็น "แมลงเม่า" ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามแนะนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความเหตุผล ความไม่ประมาท ความมีแนวทางในการป้องกันตัวเองอย่างไร รวมทั้งแนะนำแนวทางให้พิจารณาหาจุดที่มีเหตุผล ความพอเพียงในการลงทุนหรือไม่ลงทุนอย่างไร http://www.thairath.co.th/online.php?se ... tent=53939 .......................... ขอบคุณครับที่เตือน   ไม่ซื้อ ไม่ขายมา 2 เดือนแล้วครับ   ที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ Liquidity ซะด้วย  Underperform นิดหน่อย เงินบาทแข็งมีผลลบกับตัวผมถือซะด้วย   บางทีต่างชาติ ขายทำกำไร เงินบาทอ่อนลงบ้าง อาจจะดีกับพอร์ตผมก็ได้ เมื่อ: 2007-07-14T05:06:07+00:00 noooon010: ขอบคุณนะครับ เมื่อ: 2007-07-14T06:11:37+00:00 javoel: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-07-14T07:19:25+00:00 สุมาอี้: ท่านนายกไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ผมคิดว่าตอนนี้นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ขายหุ้นทิ้งจนหมดพอร์ตไปแล้ว  :D เมื่อ: 2007-07-14T08:53:56+00:00 woody: [quote="สุมาอี้"]ท่านนายกไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ผมคิดว่าตอนนี้นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ขายหุ้นทิ้งจนหมดพอร์ตไปแล้ว เมื่อ: 2007-07-14T09:04:33+00:00 tanate: รัฐบาลพยายามแนะนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความเหตุผล ความไม่ประมาท ความมีแนวทางในการป้องกันตัวเองอย่างไร รวมทั้งแนะนำแนวทางให้พิจารณาหาจุดที่มีเหตุผล ความพอเพียงในการลงทุนหรือไม่ลงทุนอย่างไร เห็นพูดให้ใช้แนวทางนี้ แต่รัฐบาลไม่แสดงให้เป็นรูปธรรม เลยครับ ให้คนอื่นช่วยตัวเองตลอด หรือว่าใช้ไม่เป็น เศรษฐกิจถึงทรุดลงฮวบฮาบ ครั้งนี้รากหญ้า รากแก้ว  คงต้องเป็นรากตากแห้งแล้วครับ เมื่อ: 2007-07-14T09:14:38+00:00 lekmak333: เตือนไปก็ไร้ผล ยิ่งขายหมดก็ต้องซื้อกลับ แมงเม่ายังมีอยู่คู่ตลาด ตราบชั่วฟ้าดินสลาย  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-07-14T10:38:18+00:00 thipong: รายย่อยจะขายหมดตลาดแล้วครับทั่นนายโยกกก สงสัยคนป้อนโปนแกรมป้อนให้ทั่นช้าไป เมื่อ: 2007-07-14T11:59:22+00:00 sunrise: [quote="woody"][quote="สุมาอี้"]ท่านนายกไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ผมคิดว่าตอนนี้นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ขายหุ้นทิ้งจนหมดพอร์ตไปแล้ว เมื่อ: 2007-07-14T14:12:40+00:00 ssaran: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-07-14T14:26:05+00:00 KB: ผมแสดงความคิดเห็นว่าฟังจากที่นายกพูดผมคิดว่านายกไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นเท่าไหร่ แล้วทำไมต้องลบความคิดเห็นผมด้วยเนี่ย นายกเป็นเทพแตะต้องวิพากวิจารณ์ไม่ได้เลยหรอ เมื่อ: 2007-07-14T14:26:58+00:00 teetotal: ผมเชื่อว่า ถ้า โรงงานปิด NPL  จะพุ่ง ถ้า คนงานตกงาน   ความสามารถในการจับจ่ายจะลดลง เมื่อ: 2007-07-14T15:17:10+00:00 August: เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำที่ดี   ห่วงใย  และปรารถนาดีต่อทุกๆฝ่าย :lol: เมื่อ: 2007-07-14T15:36:49+00:00 qingwen: KB เขียน:ผมแสดงความคิดเห็นว่าฟังจากที่นายกพูดผมคิดว่านายกไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นเท่าไหร่ แล้วทำไมต้องลบความคิดเห็นผมด้วยเนี่ย นายกเป็นเทพแตะต้องวิพากวิจารณ์ไม่ได้เลยหรอ อ้าว มีคนโดนลบเหมือนผมหรือนี่ ของผมอาจเขียนสั้นไป งั้นเขียนใหม่ 1. คำเตือนแบบใช้คำพูดพื้นๆ ไม่มีข้อมูลหรือเหตุผลประกอบ ผมว่าไม่เตือนก็ได้ ประเภทระวังนะอย่าเป็นแมลงเม่า แม่ผมทำสวนจบ ป. 4 ก็พูดเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าเป็นการพูดตามๆกัน ขาดความรู้ความเข้าใจ เหมือนมองตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน น่าที่จะมีข้อมูลประกอบเช่น กองทุนที่เข้ามาตอนนี้ทางการตรวจสอบแล้ว เป็นกองทุนระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนควรระวัง ... 2. นายกฯควรศึกษาตลาดทุน และมีทัศนคติที่ดีต่อตลาดทุนให้มากกว่านี้ ผมว่าการลงทุนในหุ้นก็เป็นไปในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงได้ ถ้าเป็นการลงทุนแนว VI หุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐานในตอนนี้ก็ยังมี ไม่ควรใช้คำพูดเหมือนคนซื้อหุ้นจะเป็นพวกไม่พอเพียง ควรแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานมากกว่า เมื่อ: 2007-07-15T04:30:38+00:00 yoyo: คนเตือนเค้าว่าหมายถึงเค้าหวังดี ... เค้าจะเก่งหรือไม่เก่งอย่างไรผมว่าเราก็ไม่ควรหักหาญน้ำใจของคน ไม่ได้พูดถึงเฉพาะท่านนายกเท่านั้นนะครับ ... ผมว่ากรณีอื่นๆด้วย ถ้าใครเตือนผม ผมจะหยุดคิด.... ถ้าเรื่องที่เค้าเตือนมันมีเหตุผล ผมก็จะเชื่อ ถ้าพิจารณาแล้วมันไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็อย่าไปเชื่อเท่านั้นเอง ปล. เรื่องลบกระทู้นี่ผมว่าอาจจะเข้าข่ายกระทู้การเมืองก็ได้ครับ .. ซึ่งทางเวปก็แสดงไว้อย่างชัดเจนในกระทู้ปักหมุดอยู่แล้วว่าไม่ให้มีเรื่องการเมือง ... นายกไม่ใช่เทพหรอกครับ ..  8) เมื่อ: 2007-07-15T15:01:29+00:00 sunrise: แฮ่ะๆ เกือบโดนเหมือนกัน  :D ถ้าเป็นข้อความแรกๆ นีสงสัยจะไปเหมือนกัน เมื่อ: 2007-07-16T01:02:49+00:00 Linsu_th: ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน..การเตือนสติ..เป็นสิ่งที่ดีครับ...เชื่อ หรือไม่เชื่อ..ตัดสินใจเอง... หรือจะเชื่อ.... "กัมปนาท" ฟันธงหุ้นไทยอีก 2 ปีจะเห็นดัชนีที่1,600 จุด 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 07:20:00 @ยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น มองอะไรก็สดใสไปหมด สัปดาห์ก่อนมีคนมองว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไป 1,000 จุด ก็ทำเอาตื่นเต้นกันทั้งวงการแล้ว แต่ล่าสุด "กัมปนาท โลหเจริญวนิช" นายกสมาคมโบรกเกอร์ ออกมาฟันธงว่าพื้นฐานหุ้นไทยมีโอกาสที่จะได้เห็นดัชนีที่ 1,600 จุด (ในอีก 2 ปีข้างหน้า) แหม!.. เซียนในวงการหุ้นออกปากฟันธงถึงขนาดนี้จะไม่ให้นักลงทุนมั่นใจได้อย่างไร.  :D เมื่อ: 2007-07-16T01:27:11+00:00 chatchai: ประชาชนคนเล่นหุ้นในประเทศไทยก็มีมากมายหลายจำพวก คนที่คิดว่าตัวเองรู้ว่าทำอะไรอยู่  เอาตัวเองรอด  อาจจะไม่ใช่เป้าหมายในการเตือนของท่านนายก ท่านนายกอาจจะเตือนนักเก็งกำไรที่ไม่มีความรู้  ความเข้าใจในการลงทุน  หรือว่ารู้แต่อยากจะเสี่ยงก็ตาม เมื่อ: 2007-07-16T04:17:50+00:00 007-s: qingwen เขียน: 1. คำเตือนแบบใช้คำพูดพื้นๆ ไม่มีข้อมูลหรือเหตุผลประกอบ ผมว่าไม่เตือนก็ได้ ประเภทระวังนะอย่าเป็นแมลงเม่า แม่ผมทำสวนจบ ป. 4 ก็พูดเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าเป็นการพูดตามๆกัน ขาดความรู้ความเข้าใจ เหมือนมองตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน น่าที่จะมีข้อมูลประกอบเช่น กองทุนที่เข้ามาตอนนี้ทางการตรวจสอบแล้ว เป็นกองทุนระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนควรระวัง ... 2. นายกฯควรศึกษาตลาดทุน และมีทัศนคติที่ดีต่อตลาดทุนให้มากกว่านี้ ผมว่าการลงทุนในหุ้นก็เป็นไปในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงได้ ถ้าเป็นการลงทุนแนว VI หุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐานในตอนนี้ก็ยังมี ไม่ควรใช้คำพูดเหมือนคนซื้อหุ้นจะเป็นพวกไม่พอเพียง ควรแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานมากกว่า อืมจริงค่ะ คนป้อนข้อมูลคงส่งมาให้แบบหลวมๆ หน่วยงานบ้านเรายังมั่วๆไงบอกไม่ถูก คือ พวกนึงออกมาส่งเสริมๆ อีกพวกบอกทำนองห้ามๆ มันเหละหละไงไม่รู้ จะเอาไงก็ไม่คุยกันให้รู้เรื่อง ให้มันออกแนวไหนก็ว่ามา อย่างยกตย แฟลตดินแดงเนี่ย เดี๋ยวหน่วยนึงบอก ไม่จำเป็นต้องทุบ อีกสองวันอีกหน่วยออกมาว่า ต้องทุบสถานเดียว อะไรไม่เข้าใจ ข่าวก็ว่าไปตามข้อมูลที่แจกมาของแต่ละหน่วย ก็พาดหัวกันย่อๆรายวันไป ตลาดหุ้นเหมือนกัน พวกนึงจะส่งเสริม ให้โตๆๆ ต้องเรียกลูกค้ามาเพิ่มเม็ดเงินอีก รวยๆๆๆ อีกพวกพูดทุกวัน แมงเม่าตายๆๆ คนเล่นหุ้นเอาเปรียบไม่เสียภาษี เลวๆๆ อารายอ่า :lol: อืม แต่มองให้ฮา ก็ฮาดี บ้านเราเน้นฮาๆ อยู่แล้น ชอบๆ  :lol: เมื่อ: 2007-07-16T04:37:27+00:00 KB: [quote="Linsu_th"]ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน..การเตือนสติ..เป็นสิ่งที่ดีครับ...เชื่อ หรือไม่เชื่อ..ตัดสินใจเอง... หรือจะเชื่อ.... "กัมปนาท" ฟันธงหุ้นไทยอีก 2 ปีจะเห็นดัชนีที่1,600 จุด 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 07:20:00 @ยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น มองอะไรก็สดใสไปหมด สัปดาห์ก่อนมีคนมองว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไป 1,000 จุด ก็ทำเอาตื่นเต้นกันทั้งวงการแล้ว แต่ล่าสุด "กัมปนาท โลหเจริญวนิช" นายกสมาคมโบรกเกอร์ ออกมาฟันธงว่าพื้นฐานหุ้นไทยมีโอกาสที่จะได้เห็นดัชนีที่ 1,600 จุด (ในอีก 2 ปีข้างหน้า) แหม!.. เซียนในวงการหุ้นออกปากฟันธงถึงขนาดนี้จะไม่ให้นักลงทุนมั่นใจได้อย่างไร. เมื่อ: 2007-07-16T08:18:05+00:00 moo: อยู่บ้านนอก หาข่าวไม่ได้ ถึงวันนี้  โชเฟอร์แท็กซี่(บางคน)พูดถึงเรื่องหุ้นกันบ้างแล้วหรือยังครับ เมื่อ: 2007-07-16T18:24:18+00:00 aor_vi: ขอบคุณน่ะค่ะท่านนายกฯ เมื่อ: 2007-07-16T18:36:07+00:00 terati20: qingwen เขียน: อ้าว มีคนโดนลบเหมือนผมหรือนี่ ของผมอาจเขียนสั้นไป งั้นเขียนใหม่ 1. คำเตือนแบบใช้คำพูดพื้นๆ ไม่มีข้อมูลหรือเหตุผลประกอบ ผมว่าไม่เตือนก็ได้ ประเภทระวังนะอย่าเป็นแมลงเม่า แม่ผมทำสวนจบ ป. 4 ก็พูดเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าเป็นการพูดตามๆกัน ขาดความรู้ความเข้าใจ เหมือนมองตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน น่าที่จะมีข้อมูลประกอบเช่น กองทุนที่เข้ามาตอนนี้ทางการตรวจสอบแล้ว เป็นกองทุนระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนควรระวัง ... 2. นายกฯควรศึกษาตลาดทุน และมีทัศนคติที่ดีต่อตลาดทุนให้มากกว่านี้ ผมว่าการลงทุนในหุ้นก็เป็นไปในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงได้ ถ้าเป็นการลงทุนแนว VI หุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐานในตอนนี้ก็ยังมี ไม่ควรใช้คำพูดเหมือนคนซื้อหุ้นจะเป็นพวกไม่พอเพียง ควรแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานมากกว่า คงต้องให้ นายก มาเเนะนำหุ้นรายตัว ดีไหมคับ? 8) เมื่อ: 2007-07-16T23:50:06+00:00 lieu: ท่านนายกฯคงจะเตือนนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ (ที่เป็นนักเก็งกำไร แต่เรียกตัวเองว่านักลงทุน) ต้องยอมรับว่านักลงทุนตัวจริงเสียงจริง ค่อนข้างน้อยมาก และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกๆกัน ไม่ใช่เหรอคะ ฟังดูแล้วท่านน่าจะมีเจตนาดีมากกว่านะคะ แต่เหตุผลประกอบออกจะน้อยเกินไปนิดนึง เมื่อ: 2007-07-20T16:43:04+00:00 qingwen: terati20 เขียน: คงต้องให้ นายก มาเเนะนำหุ้นรายตัว ดีไหมคับ? 8) ขออภัย ลืมไป ผมคงขอมากไป ลืมไปว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ผมก็เป็นพวกทำงานกินเงินเดือนมาตลอด การที่ไม่มองทุนนิยมเลวร้าย และสนใจตลาดทุนนี่ก็เพราะการอ่านหนังสือธุรกิจตั้งแต่อายุยังไม่มาก ถ้าผมมัวแต่ทำงานในสายงานมุมมองก็อาจเป็นอีกอย่างก็ได้ เมื่อ: 2007-07-20T17:07:27+00:00 mamalover: นายกฯ ไม่รู้เรื่องหุ้น ก็ไม่แปลกนี่ คงไม่มีใครรู้ดีทุกเรื่อง ...เตือนก็ดีเหมือนกัน แต่ท่านบอกว่า กลัวจะเป็น "แมงเม่า" คงหมายถึง รายย่อย หรือคนที่คิดว่า โอ้วว หุ้นขึ้นดี เล่นบ้างดีกว่า(แต่ไม่ได้ศึกษามาก่อน) เมื่อ: 2007-07-21T09:16:16+00:00 สุมาอี้: วันนี้สถาบันกลับมาซื้อแล้ว เขาคิดยังไงของเขานะ หรือว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้นมีราคาต่ำเกินไป เมื่อ: 2007-07-24T10:21:19+00:00 woody: สุมาอี้ เขียน:วันนี้สถาบันกลับมาซื้อแล้ว เขาคิดยังไงของเขานะ หรือว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้นมีราคาต่ำเกินไป ช่วงไหนหรือครับ ....  8) เมื่อ: 2007-07-24T11:45:34+00:00 007-s: สุมาอี้ เขียน:วันนี้สถาบันกลับมาซื้อแล้ว เขาคิดยังไงของเขานะ หรือว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้นมีราคาต่ำเกินไป พี่สุมาอี้หมายถึง.... สถาบันไม่สนหุ้นราคาต่ำไป สนต่อเมื่อราคามันไม่ต่ำแล้ว  :lol: ดิฉันว่า สถาบันก็ต้องซื้อขายตามจังหวะของผู้ถือหน่วยนั่นเอง ผู้ที่จะสนใจการลงทุนในกองทุนต่างๆ ก็มักเป็นผู้ที่ไม่ชอบ ไม่มีเวลา ไม่ถนัดที่จะเล่นเอ้ย ลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองเป็นหลัก หรือไม่ก็เป็นนลท.ที่อาจบาดเจ็บมาก่อนจากการที่เคยเล่นด้วยตัวเอง ก็เลยหันมาหากองให้เล่นแทนให้ แต่การรู้สึกเป็นเจ้าของเงินก็ยังคงอยู่ ก้อดไม่ได้ที่ต้องมองดูตลาด พอเสียวก็ต้องขาย พอคึกก็อยากซื้อ ...อะไรทำนองนั้น (สรุปเหมือนเดิม :lol: ) จังหวะการซื้อขายของกองทุนจึงดูประหลาดๆอย่างที่เห็น :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-07-25T02:09:07+00:00 Oatarm: ท่านเตือนแล้ว  !! เมื่อ: 2007-08-16T10:46:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อนาคตของโรงงาน,นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมจะเป็นอย่างไรครับ luckyman: เพื่อนๆ พี่ๆ มีความเห็นว่าอนาคตของโรงงาน,นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมจะเป็นอย่างไรครับ ผมเห็นสภาพบริษัท honda, western แล้ว เกรงว่า อนาคตเขาอาจจะย้ายแหล่งผลิตไปที่อื่นคับ อาจเป็นภาคตะวันออกหรือไปประเทศข้างเคียงแทน ผมคิดว่า ในอนาคตนิคมอุตสาหกรรม หรือบริษัทที่ให้เช่าพื้นที่แถบอยุธยาคงจะลำบาก เพราะทำเลไม่ดี ต่อให้ในอนาคตทำกำแพงกั้นน้ำได้ ก็ยังมีปัญหาระบบโลจิสติกส์ ลูกค้าอาจย้ายไปทำเลอื่นที่ดีกว่า และค่าเช่าเท่าๆ กัน แต่ถ้าเป็นบริษัท ผมคิดว่าอาจไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะ มีประกันภัยชดเชยอยู่แล้ว และมีความคล่องตัวกว่า อาจย้ายสถานที่ไปจังหวัดข้างเคียงได้ไม่ยาก เมื่อ: 2011-10-10T14:56:43+00:00 ziannoom: luckyman เขียน:เพื่อนๆ พี่ๆ มีความเห็นว่าอนาคตของโรงงาน,นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมจะเป็นอย่างไรครับ ผมเห็นสภาพบริษัท honda, western แล้ว เกรงว่า อนาคตเขาอาจจะย้ายแหล่งผลิตไปที่อื่นคับ อาจเป็นภาคตะวันออกหรือไปประเทศข้างเคียงแทน ผมคิดว่า ในอนาคตนิคมอุตสาหกรรม หรือบริษัทที่ให้เช่าพื้นที่แถบอยุธยาคงจะลำบาก เพราะทำเลไม่ดี ต่อให้ในอนาคตทำกำแพงกั้นน้ำได้ ก็ยังมีปัญหาระบบโลจิสติกส์ ลูกค้าอาจย้ายไปทำเลอื่นที่ดีกว่า และค่าเช่าเท่าๆ กัน แต่ถ้าเป็นบริษัท ผมคิดว่าอาจไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะ มีประกันภัยชดเชยอยู่แล้ว และมีความคล่องตัวกว่า อาจย้ายสถานที่ไปจังหวัดข้างเคียงได้ไม่ยาก ขออย่ามีคนตกงานก็พอครับ สาธุ เมื่อ: 2011-10-10T15:42:31+00:00 ส.สลึง: เหตุการณ์ร้ายๆ เป็นโอกาสดีๆ ให้ตัวเราได้คิดทบทวนครับ สู้นะครับ ทุกคน เมื่อ: 2011-10-10T15:56:14+00:00 MO101: ที่แน่ๆ ประกันจ่ายก่อนครับ ได้เครื่องจักรใหม่แล้วอาจไม่ย้ายก็ได้นะ เพราะหาที่ดินผืนใหญ่ๆยาก ถ้าทุกโรงงานในอยุธยาย้ายพรุ้อมกันต้องมีที่ดินขนาดเท่าไหร่กัน บางทีรัฐอาจเยียวยาให้เงินช่วยเหลือลดภาษี อะไรก็ว่ากันไป เมื่อ: 2011-10-10T16:27:59+00:00 Tamจัง: นิคมออกใหญ่ กลับไม่มีมาตรการรองรับอะไรเลย เอาแต่กำไรค่าเช่าที่ แล้วยังงี้ใครเขาจะมาอีกล่ะครับ หากอยู่ต่อก็แบบกล้ำกลืนฝืนใจ นอกจากว่าจะปรับปรุงขนานใหญ่ อยุธยา น้ำท่วมมากี่ครั้งแล้ว แต่นิคมแทบไม่ได้เตรียมอะไรเลย ดูข่าวแล้วเห็นแค่ 1วันล่วงหน้า ยังขุดดินมาทำคันกั้นเสริมอยูเลย แล้วมันจะไปแข็งแรงอะไร เมื่อ: 2011-10-10T18:33:17+00:00 ส.สลึง: ผมว่าเขาก็ทำเท่าที่ทำได้แล้วครับ แต่น้ำปีนี้มันมาเยอะมาก ที่ทำงานของผมหลายแห่งเคยท่วม เตรียมการไว้ดีกว่าปีก่อนๆ ด้วยซ้ำ ยังไม่รอดเลย แล้วไหนจะมีเพื่อนร่วมงาน ที่ยังติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ชะตากรรม อดข้าวอดน้ำอีกนะครับ สำหรับส่วนที่ผมดูแล น้ำไม่เคยท่วมครับ แต่ดูข่าวทุกวัน มาตรการเปลี่ยนรายวัน จากเดิมที่คิดว่าน้ำจะไม่มา เพราะอยู่ที่ดอน ตอนนี้ก็ต้องทำการป้องกัน เท่าที่ทำได้ครับ เมื่อ: 2011-10-11T00:53:14+00:00 ดำ: ลองย้อนดูตัวเองกันก่อนมั้ย ว่าแล้วเรารับมือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกันยังไง ทำไมถึงคิดว่าคนอื่นไม่ทำน่ะผิด ทั้งที่เป็นเราก็ไม่ทำ ก็เค้าบอกกันอยู่แล้วว่าน้ำท่วมปีนี้แรงกว่าปี 38 อีก หรือจะต้องทำกำแพงสูงเผื่อไว้ล่วงหน้าซัก 20 เมตรไปเลย แล้วก็ตั้งราคาขายที่ในนิคมเพิ่มไปอีก 20-30% บอกลูกค้าว่าเป็นค่ากำแพงกันน้ำท่วม เป็นเราจะยอมจ่ายมั้ย? ส่วนเรื่องย้ายไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ต้องกังวลครับ เขมร เวียตนาม โดนเหมือนกัน (ปกติเวียตนามจะหนักกว่าอีกเพราะติดทะเลเต็มๆ) เมื่อ: 2011-10-11T01:48:47+00:00 untrataro25: เพื่อนบ้านเรานี่โดนกันถ้วนหน้าครับ เผลอๆจะหนักกว่าเราซะอีก เมื่อ: 2011-10-11T02:00:42+00:00 Java The Boy: ถ้าผมเป็นเจ้าของโรงงาน... ย้ายแน่นอนครับ แม้ว่าที่ดินผืนใหญ่หายากก็ต้องไป ในอนาคตภัยธรรมชาติจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยู่ที่เดิม ที่ที่น้ำเคยท่วม วันหลังก็ต้องโดนอีกแน่นอน เมื่อ: 2011-10-11T07:12:49+00:00 Ii'8N: ดำ เขียน:ลองย้อนดูตัวเองกันก่อนมั้ย ว่าแล้วเรารับมือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกันยังไง ทำไมถึงคิดว่าคนอื่นไม่ทำน่ะผิด ทั้งที่เป็นเราก็ไม่ทำ ก็เค้าบอกกันอยู่แล้วว่าน้ำท่วมปีนี้แรงกว่าปี 38 อีก หรือจะต้องทำกำแพงสูงเผื่อไว้ล่วงหน้าซัก 20 เมตรไปเลย แล้วก็ตั้งราคาขายที่ในนิคมเพิ่มไปอีก 20-30% บอกลูกค้าว่าเป็นค่ากำแพงกันน้ำท่วม เป็นเราจะยอมจ่ายมั้ย? ส่วนเรื่องย้ายไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ต้องกังวลครับ เขมร เวียตนาม โดนเหมือนกัน (ปกติเวียตนามจะหนักกว่าอีกเพราะติดทะเลเต็มๆ) เขมรยอดคนตายล่าสุดจากน้ำท่วม 200 กว่าคน ยอดเสียหาย $100MUSD (ราว 3หมื่นล้านบ.) http://www.phnompenhpost.com/index.php/ ... 100mn.html เมื่อ: 2011-10-11T07:26:06+00:00 patongpa: ใครจะบอกได้ว่าปีต่อๆไปน้ำจะมาอีกหรือเปล่า การขยายลงทุนคงถูกยกเลิกแน่นอน ส่วนที่ทำไปแล้วย้ายได้ก็คงย้าย ยกเว้นรัฐจะลงขันสร้างผนังกั้นน้ำคอนกรีตถาวร คงเป็นไปไม่ได้เพราะแพง. แต่ถึงทำปัญหาก็ยังมีคือเวลาหน้าน้ำท่วมคนงานก็ไม่มาทำงานเพราะที่บ้านจมน้ำออกมาไม่ได้ คิดแล้วถอยดีกว่า ไม่อาวดีกว่า พม่ามารบกับไทยยังต้องถอยเลยเพราะกลัวน้ำ แต่นี่ดันเปิดโรงงานกันบนพื้นที่เสี่ยง ไม่มีใครเอาชนะธรรมชาติได้หรอกคับ เมื่อ: 2011-10-11T21:15:12+00:00 phar314: ฟังจากประธานสภาอุตสาหกรรม เค้าบอกว่าตรงอยุธยาถือเป็นจุดที่โลจิสติคดีมากๆครับ การขนส่งได้ทั้งทางบกทางน้ำ ส่งเข้ากทม.สะดวก ไปเหนือ-อีสานก็ง่าย นี่เป็นจุดแข็งสำคัญ ถ้าจะย้่ายไปจะมีที่ดีกว่านี้หรือเปล่า อย่างฮอนด้าอย่าลืมว่าธุรกิจรถยนต์ในไทยวางรากฐานมาแข็งแกร่ง ถ้าย้ายไปประเทศอื่นจะได้ benefit อย่างไทยหรือเปล่า ผมว่าเอาที่สุดแล้วก็คงไม่ย้ายโรงงานหรอก เพียงแต่ตัวนิคมเองคงจะโดนกดดันเรื่องมาตรการป้องกันที่เข้มแข็งมากขึ้น เมื่อ: 2011-10-12T01:32:47+00:00 patongpa: ผมคิดว่าพวกเราถูกหลอกซะแล้วล่ะครับ อยุธยาเหมาะกับการเป็นศูนย์ขนส่งก็จริงก็มันอยู่กลางประเทศ แต่เอาที่ดินตรงนี้ไปสร้างโรงงานไว้ได้ไงถ้าน้ำท่วมทุกปี จะให้สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำลงทุนเป็นแสนล้านเงินใครสร้างครับ ถ้าสร้างๆไปเพื่อใคร เพื่อนิคมจะได้ตั้งอยู่ที่เดิมได้อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าเกิดปีหน้าปีต่อๆไปน้ำเหนือมันมากกว่าปีนี้ขึ้นมาอีกล่ะ เงินที่ลงทุนสร้างไปก็สูญเปล่า อย่าวางใจว่าน้ำจะท่วมแค่ปีนี้นะครับ เรื่องโลกร้อนที่เราพูดกันแล้วขำๆเนี่ยดูแล้วมันชักใกล้ความจริงขึ้นมาทุกที โรงงานในนิคมคงเสียวแล้วล่ะที่จะอยู่ที่เดิม ถ้าย้ายได้ย้ายแน่ๆ แต่จะเอาทุนที่ไหนไปสร้างที่ใหม่ล่ะ ปัญหาใหญ่เลยนะเนี่ย หลังน้ำลดคงวุ่นวายกับการเคลียพื้นที่โรงงาน กว่าจะมีกำลังใจมาผลิตสินค้าได้คงปีหน้า แป๊บๆก็กลางปีเจอฤดูน้ำหลากอีกแล้ว ต้องมาระแวงแบบนี้ทุกปีผมว่าคงไม่ไหวนะ ทำใจแล้วก็ปรับปรุงการใช้พื้นที่ให้เข้ากับธรรมชาติดีที่สุดครับ เมื่อ: 2011-10-12T02:51:24+00:00 beaeaebe: คนไปตั้งนิคมเค้าไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์หรือว่า พม่ายกมาอโยธยาทีไร ถ้ากันได้ถึงฤดูน้ำหลาก ทัพทั้งหมดต้องยกกลับไม่งั้นก็ตายกันหมด... พม่าเทพแค่ไหนเจอน้ำพัด ก็ไหลกลับบ้านทุกที มีโชคดีอยู่สองครั้ง แต่สุดท้ายมาใหม่ก็เรียบหมด เมื่อ: 2011-10-12T04:43:47+00:00 tigerroad197: beaeaebe เขียน:คนไปตั้งนิคมเค้าไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์หรือว่า พม่ายกมาอโยธยาทีไร ถ้ากันได้ถึงฤดูน้ำหลาก ทัพทั้งหมดต้องยกกลับไม่งั้นก็ตายกันหมด... พม่าเทพแค่ไหนเจอน้ำพัด ก็ไหลกลับบ้านทุกที มีโชคดีอยู่สองครั้ง แต่สุดท้ายมาใหม่ก็เรียบหมด คุณ beaeaebe กล่าวได้ตรงประเด็นมากครับ +1 ให้ครับ เมื่อ: 2011-10-12T04:45:55+00:00 chukieat30: beaeaebe เขียน:คนไปตั้งนิคมเค้าไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์หรือว่า พม่ายกมาอโยธยาทีไร ถ้ากันได้ถึงฤดูน้ำหลาก ทัพทั้งหมดต้องยกกลับไม่งั้นก็ตายกันหมด... พม่าเทพแค่ไหนเจอน้ำพัด ก็ไหลกลับบ้านทุกที มีโชคดีอยู่สองครั้ง แต่สุดท้ายมาใหม่ก็เรียบหมด +1ครับ เห็นภาพเลยครับพี่ เมื่อ: 2011-10-12T05:10:47+00:00 chukieat30: ส่วนตัวมองแบบนี้นะครับ นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาแล้วมาอยู่ในนิคมก้ต้องซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน เวลาจะย้ายกลับไหนจะต้องขายที่ดิน+โรงงานถูกๆๆ ผมเชื่อว่า โรงงานส่วนมากจะอยู่ที่เดิม เพราะ ย้ายก้เพิ่มต้นทุนการผลิต เพราะต่อให้ย้ายไป ก้ใช่ว่าน้ำจะไม่ตามไปท่วม ถ้าเป็นโรงงานเช่า อันนี้พอจะย้ายไ้ด้ เพราะ ยังไง เค้าก้ไม่ได้เป็นเจ้าของ ส่วนโรงงานที่ต้องซื้อทั้งที่ดิน และปลูกโรงงาน ยังไงก้ไม่หนีไปไหนหรอกครับ จะหนีไปภาคตะวันออก ก้ยังต้องไปหาคนงานเพิ่มอีก แรงงานไม่ได้หากันง่ายๆครับ ไม่งั้นเราคงไม่มีพม่า กาเหรี่ยง และ ลาว เขมร มาทำงานที่เมืองไทย เมื่อ: 2011-10-12T05:21:06+00:00 chukieat30: อนาคตผมว่า อยุธยา สิงบุรี ชัยนาท รัฐบาลต้องมีการซื้อที่ดิน เพื่อเอาไว้สำหรับรองรับ น้ำปีหน้า โดยทำเป็นแ้ก้มลิง คือ กำหนดเลยว่า จังหวัดนี้จะซื้อที่ดินเปล่าไว้ทำแก้มลิงเท่าไหร่ ส่วนอีกทาง ปัจจุบันน้ำเหนือ ไหลมาแล้วระบายออกได้แค่ ลงทะเลที่สมุทรปราการ ทำไมเราไม่ทำ ทางระบายน้ำ ให้สามารถ ไหลออก สมุทรสาคร กับสมุทรสงครามได้หล่ะ น้ำจะได้แยกออกจากกันเพื่อไหลลงทะเลได้ทั้ง สามทาง แค่ข้อเสนอนะครับ เมื่อ: 2011-10-12T05:28:13+00:00 Azazel: ผมเป็นเจ้าของโรงงานเล็กๆในกทม. ส่งออก 100% ถ้าโรงงานผมอยู่ในนิคมที่น้ำท่วม 2 เมตร 2 เดือน ค่าความเสียหายต่อเครื่องจักร แรงงาน ผลผลิต ยอดขายปัจจุบันและอนาคต ซ่อมแซม และจิปาถะ รวมๆน่าจะเกิน 200 ล้าน นี่ผมโรงงานเล็กๆนะครับ ผมมองว่ามันเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้เลย การย้ายโรงงานจะยากเย็นและลงทุนขนาดไหนก็ต้องพยายามย้ายครับ เมื่อ: 2011-10-14T04:30:46+00:00 Tamจัง: ผมว่าการทำกำแพง/คันกั้นน้ำแบบถาวรไม่น่าจะเป็นภาระหนักหนาอะไรมากนัก สำหรับนิคม ถ้าคิดจะทำจริง จะขายแพงขึ้นสัก 10-20% แล้วไงล่ะครับ ลองเทียบกับสุวรรณภูมิ ถามว่าทำไมเขาต้องทำระบบป้องกันขนาดนั้น สู้ไม่ทำแล้วคิดค่าชาร์จสนามบินถูกๆดีกว่ารึเปล่า ถ้ามันท่วมค่อยไปแก้เอา ยังงั้นหรือ คนที่จะคิดมาเปิดโรงงาน หากให้เลือกจ่ายแพงขึ้นหน่อย แต่ระบบพร้อมผมว่าน่าจะยอมนะครับ สำหรับนิคมต่างๆที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ ผมว่ายังไม่สาย ถ้าจะเอาวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำคันกั้นดีๆ ประกาศไปเลยว่านิคมนี้การันตีไม่ท่วม + ทำประกันให้ ดีไม่ดีแย่งลูกค้า ได้จากนิคมอื่นๆนะเอ้า เมื่อ: 2011-10-14T05:04:05+00:00 chiraponge: ดำ เขียน:ลองย้อนดูตัวเองกันก่อนมั้ย ว่าแล้วเรารับมือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกันยังไง ทำไมถึงคิดว่าคนอื่นไม่ทำน่ะผิด ทั้งที่เป็นเราก็ไม่ทำ ก็เค้าบอกกันอยู่แล้วว่าน้ำท่วมปีนี้แรงกว่าปี 38 อีก หรือจะต้องทำกำแพงสูงเผื่อไว้ล่วงหน้าซัก 20 เมตรไปเลย แล้วก็ตั้งราคาขายที่ในนิคมเพิ่มไปอีก 20-30% บอกลูกค้าว่าเป็นค่ากำแพงกันน้ำท่วม เป็นเราจะยอมจ่ายมั้ย? ส่วนเรื่องย้ายไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ต้องกังวลครับ เขมร เวียตนาม โดนเหมือนกัน (ปกติเวียตนามจะหนักกว่าอีกเพราะติดทะเลเต็มๆ) กำแพง 20 เมตร เอาไว้กันอะไรครับ ระเบิด หรือน้ำ กำแพงกันน้ำ 2-3 เมตร แบบถาวร แพงนะครับ สำหรับเส้นรอบรูปทั้งหมดของโครงการที่ไม่ได้เป็น สี่เหลี่ยม เมื่อ: 2011-10-14T05:17:04+00:00 chiraponge: อีกเรื่องที่สำคัญ คือ กำแพง มันกระทบกับแบบ สถาปัตย์โรงงาน คงไม่มีใครอยากได้กำแพง ทึบๆ หนา 2-3 เมตร หลายปัจจัยเลยครับ เมื่อ: 2011-10-14T05:19:31+00:00 supersmile: นิคมอุตสาหกรรมบางปะอินจะไหวไหม??? http://www.aveo-club.com/forum/index.php?topic=19802.0 เมื่อ: 2011-10-14T05:22:49+00:00 Dekfaifah: นักลงทุนญี่ปุ่นย้ำไม่ย้ายฐานการผลิตหนีไทย -------------------------------------------------------------------------------- วันศุกร์ ที่ 14 ต.ค. 2554 กรุงเทพฯ 14 ต.ค.-นักลงทุนญี่ปุ่นย้ำไม่ย้ายฐานการผลิตจากไทย แม้น้ำท่วมหนัก ด้าน ส.อ.ท.ยอมรับห่วงแรงงานเอาท์ซอส์ส ที่อาจว่างงาน 3-10 เดือน นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนักธุรกิจจากหอการค้าญี่ปุ่นและองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร สำนักงานกรุงเทพ ว่า ส.อ.ท. ได้ยืนยันต่อนักลงทุนญี่ปุ่น ว่ารัฐบาลไทยและกองทัพได้พยายามแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างเต็มที่ ซึ่งจากการหารือวันนี้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นก็เข้าใจ และยืนยันที่จะอยู่ร่วมกับประเทศไทย ทั้งในช่วงที่เกิดวิกฤต และรุ่งเรืองร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการญี่ปุ่นเองก็ได้เตรียมมาตรการที่จะฟื้นฟูนิคมโรจนะไว้แล้ว โดยหากระดับน้ำที่ท่วมลดต่ำกว่าคันดินกั้นน้ำ ก็จะว่าจ้างผู้รับเหมารายใหญ่ 4 ราย เข้าไปสูบน้ำออกจากนิคม และหากระดับน้ำลดลงเหลือ 1 เมตร ก็จะขอความร่วมมือกำลังทหาร เข้าช่วยเหลือขนย้ายระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ส่วนใหญ่จัดเก็บไว้ที่ชั้น 2 ของโรงงาน ส่วนในระยะยาวนิคมโรจนะ ได้เตรียมป้องกันน้ำท่วม ด้วยการสร้างคันกั้นน้ำเป็นซีเมนท์ที่แข็งแกร่ง และเพิ่มระดับความสูงได้ ส่วนปัญหาที่น่ากังวลนับจากนี้ คือ ปัญหาการว่างงานของแรงงานหลักแสนคน ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อาจต้องหยุดงาน 3 -10 เดือน เพราะการฟื้นฟูโรงงานแต่ละแห่งไม่เท่ากัน โดยกลุ่มที่น่ากังวลคือพนักงานเอาท์ซอส์ ที่มีสัดส่วนกว่า 30 % ของการจ้างงาน เพราะไม่มีสัญญาจ้างระยะยาว ทั้งนี้ส.อ.ท.ยังได้เตรียมหาสำนักงานชั่วคราวเพื่อรองรับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอีกด้วย ด้านนายเซ็ทซึโอะ อิอูจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร สำนักงานกรุงเทพ ยืนยันว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นักลงทุนญี่ปุ่นยังไม่ได้คิดย้ายฐานการลงทุนจากไทย เพราะยังเป็นประเทศฐานการผลิตที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และร่วมมือทางธุรกิจอย่างเข้มแข็งมาอย่างยาวนาน แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด เพราะต้องรอให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติจึงจะประเมินได้ ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นต้องการคือข้อมูลข่าวสารที่เป็นภาษาอังกฤษโดยอาจให้ BOI และ กนอ. เป็นศูนย์กลางกระจายข่าวสาร เพราะขณะนี้ข้อมูลสถานการณ์น้ำค่อนข้างสับสน ทั้งยังหวังให้ระดับน้ำลดโดยเร็ว เพื่อที่จะได้เข้าไปสำรวจความเสียหาย และเร่งฟื้นฟูเพื่อเดินหน้าสายการผลิตต่อไป. –สำนักข่าวไทย เมื่อ: 2011-10-15T04:52:09+00:00 chukieat30: Dekfaifah เขียน:นักลงทุนญี่ปุ่นย้ำไม่ย้ายฐานการผลิตหนีไทย -------------------------------------------------------------------------------- วันศุกร์ ที่ 14 ต.ค. 2554 กรุงเทพฯ 14 ต.ค.-นักลงทุนญี่ปุ่นย้ำไม่ย้ายฐานการผลิตจากไทย แม้น้ำท่วมหนัก ด้าน ส.อ.ท.ยอมรับห่วงแรงงานเอาท์ซอส์ส ที่อาจว่างงาน 3-10 เดือน นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนักธุรกิจจากหอการค้าญี่ปุ่นและองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร สำนักงานกรุงเทพ ว่า ส.อ.ท. ได้ยืนยันต่อนักลงทุนญี่ปุ่น ว่ารัฐบาลไทยและกองทัพได้พยายามแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างเต็มที่ ซึ่งจากการหารือวันนี้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นก็เข้าใจ และยืนยันที่จะอยู่ร่วมกับประเทศไทย ทั้งในช่วงที่เกิดวิกฤต และรุ่งเรืองร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการญี่ปุ่นเองก็ได้เตรียมมาตรการที่จะฟื้นฟูนิคมโรจนะไว้แล้ว โดยหากระดับน้ำที่ท่วมลดต่ำกว่าคันดินกั้นน้ำ ก็จะว่าจ้างผู้รับเหมารายใหญ่ 4 ราย เข้าไปสูบน้ำออกจากนิคม และหากระดับน้ำลดลงเหลือ 1 เมตร ก็จะขอความร่วมมือกำลังทหาร เข้าช่วยเหลือขนย้ายระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ส่วนใหญ่จัดเก็บไว้ที่ชั้น 2 ของโรงงาน ส่วนในระยะยาวนิคมโรจนะ ได้เตรียมป้องกันน้ำท่วม ด้วยการสร้างคันกั้นน้ำเป็นซีเมนท์ที่แข็งแกร่ง และเพิ่มระดับความสูงได้ ส่วนปัญหาที่น่ากังวลนับจากนี้ คือ ปัญหาการว่างงานของแรงงานหลักแสนคน ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อาจต้องหยุดงาน 3 -10 เดือน เพราะการฟื้นฟูโรงงานแต่ละแห่งไม่เท่ากัน โดยกลุ่มที่น่ากังวลคือพนักงานเอาท์ซอส์ ที่มีสัดส่วนกว่า 30 % ของการจ้างงาน เพราะไม่มีสัญญาจ้างระยะยาว ทั้งนี้ส.อ.ท.ยังได้เตรียมหาสำนักงานชั่วคราวเพื่อรองรับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอีกด้วย ด้านนายเซ็ทซึโอะ อิอูจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร สำนักงานกรุงเทพ ยืนยันว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นักลงทุนญี่ปุ่นยังไม่ได้คิดย้ายฐานการลงทุนจากไทย เพราะยังเป็นประเทศฐานการผลิตที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และร่วมมือทางธุรกิจอย่างเข้มแข็งมาอย่างยาวนาน แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด เพราะต้องรอให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติจึงจะประเมินได้ ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นต้องการคือข้อมูลข่าวสารที่เป็นภาษาอังกฤษโดยอาจให้ BOI และ กนอ. เป็นศูนย์กลางกระจายข่าวสาร เพราะขณะนี้ข้อมูลสถานการณ์น้ำค่อนข้างสับสน ทั้งยังหวังให้ระดับน้ำลดโดยเร็ว เพื่อที่จะได้เข้าไปสำรวจความเสียหาย และเร่งฟื้นฟูเพื่อเดินหน้าสายการผลิตต่อไป. –สำนักข่าวไทย คนโรงงานส่วนใหญ่ ก้หนี้สินร้นพ้นตัวอยู่แล้วครับพี่ ยิ่งถ้า จะต้องโดนปลดหรือ พักงานไว้ คงจะแย่ครับ เมื่อ: 2011-10-15T05:38:08+00:00 nACrophiles_117: สงสัยนิคมอยุธยาที่ท่วมๆไปทีละที่สองที่คงจะไม่ใช่เขตเศรษฐกิจ นายกฯยันป้องเขตเศรษฐกิจเต็มที่ 15 ต.ค. 2554, 08:58 น. หมวดหมู่ : ข่าวเด่น ยิ่งลักษณ์" ขอปชช.อดทน สามัคคี สู้ภัยพิบัติน้ำท่วม มั่นใจรับมือได้ ยันป้องเขตเศรษฐกิจเต็มที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ 'รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ' ถึงสถานการณ์น้ำท่วม ว่า มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยรวม 56 จังหวัด โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมี 11 จังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้มีการลดปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนต่างๆ ทำให้ระดับน้ำที่ จ.นครสวรรค์ คงที่ ส่วน จ.อยุธยา อาจะมีน้ำเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากมีน้ำไหลบ่าจากนครสวรรค์เข้ามาทำให้ปริมาณน้ำสูงขึ้น สำหรับแผนระบายน้ำนั้น เราต้องปกป้องพื้นที่ยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจใหญ่ บริเวณที่มีผลกระทบกับประเทศ เขตเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เมืองหลวงของทุกจังหวัด กทม. สนามบินสุวรรณภูมิ นิคมอุตสาหกรรม และศูนย์อพยพประชาชน โดยมอบให้ทุกฝ่ายเข้าไปปกป้องดูแลไม่ให้น้ำเข้าไป           ทั้งนี้ การระบายน้ำลงสู่ทะเลเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือ จากเจ้าพระยาลงทะเล ทั้งด้านตะวันตกและออก โดยใช้เรือผลักดันน้ำทางคลองลัดโพธิ์ 800 ลำ ซึ่งขอขอบคุณประชาชนที่ช่วยน้ำเรือมาผลักดัน ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาขณะนี้ได้ติดเครื่องสูบน้ำ 216 ตัว มีการกำจัดวัชพืช ขุดลอกคลองสำคัญ 7 คลอง โดยดำเนินการไปแล้ว 3 คลองที่เหลือจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ส่วนแม่น้ำท่าจีน เป็นการเชื่อมระหว่างเจ้าพระยาและท่าจีน โดยมีคลองมหาสวัสดิ์ คลองมหาชัย คลองสหกรณ์ และคลองซอยเล็กๆ ซึ่งแม่น้ำท่าจีนมีลักษณะคดเคี้ยว ดังนั้นจะต้องขุดคลองลัดเพื่อร่นระยะทางให้น้ำออกสู่ทะเลโดยเร็ว และในจุดต่างๆ ก็ได้มีการติดเครื่องผลักดันน้ำ 171 เครื่อง เรือดันน้ำอีก 100 ลำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกทะเลทั้ง 3 ส่วน           ส่วนกรุงเทพฯ ที่คลองทวีวัฒนา ได้มีการสั่งการให้ขยายฐานเพิ่มความสูงแนวคันกั้นน้ำ รวมถึงการเสริมคันกั้นน้ำที่คลองระพีพัฒน์ คาดจะแล้วเสร็จเร็วนี้ ส่วนกทม.ฝั่งตะวันออกมีคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริซึ่งส่วนนี้แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง และเพื่อให้เกิดความมั่นใจก็ได้สร้างคันกั้นน้ำฝั่งตะวันออกเพิ่มอีกทางหนึ่ง ส่วนคลองบ้านพร้าว จ.ปทุมธานี ที่แตกก็ได้ซ่อมแซมแล้วคาดเสร็จวันนี้ และขอพี่น้องประชาชนอย่าทำลายพนังกั้นน้ำเพราะจะเสียหายวงกว้าง นอกจากนี้ ได้มีการเสริมคันกั้นน้ำที่บริเวณคลองเปรมประชาอีกด้วย           นายกฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาล และศปภ. มีความห่วงใยประชาชนทุกจังหวัด การดูแลต่างๆ ต้องให้มั่นใจว่าประชาชนที่ประสบอุทกภัยต้องทั่วถึง และความปลอดภัยในชีวิตเป็นความสำคัญประการแรก เราได้มีการแบ่งกลุ่มทำงาน 2 กลุ่มคือ หน่วยกู้ภัยเพื่อให้ติดต่อกับประชาชนได้เคลื่อนย้ายมายังศูนย์อพยพ และหน่วยดูแลประชาชนในศูนย์อพยพ โดยการทำงานต้องลงไปถึงหมู่บ้าน เพราะทราบดีว่าประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยมา 3 เดือนแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มีความจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน นอกจากนั้น จะมีการฟื้นฟูเยียวยาประชาชนที่บ้านเรือนเสียหาย กิจการ โรงงาน ต้องได้รับการช่วยเหลือฟื้นฟู และเป็นห่วงภาคประชาชนที่โรงงานถูกปิด เกษตรกร ปศุสัตว์ก็เสียหาย ว่าจะทำอย่างไรที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเดิม ดังนั้นจะเร่งฟื้นฟูให้กลับมาสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด สำหรับภารกิจ นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (15 ต.ค.) จะเข้าร่วมประชุมที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม          ขณะที่ในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีจะปล่อยกระบวนคาราวานอาสาสมัครหมู่บ้านในโครงการของกระทรวงสาธารณสุขออกช่วยเหลือประชาชน จากนั้นจะเดินทางเปิดศูนย์กู้ชีพ กระทรวงสาธารณสุข หรือ ศูนย์กู้ชีพนเรนทร ซึ่งก็เป็นที่ตั้งของศูนย์อพยพผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ บริเวณลานบินของสนามบินดอนเมือง เมื่อ: 2011-10-15T07:09:49+00:00 chukieat30: nACrophiles_117 เขียน:สงสัยนิคมอยุธยาที่ท่วมๆไปทีละที่สองที่คงจะไม่ใช่เขตเศรษฐกิจ นายกฯยันป้องเขตเศรษฐกิจเต็มที่ 15 ต.ค. 2554, 08:58 น. หมวดหมู่ : ข่าวเด่น ยิ่งลักษณ์" ขอปชช.อดทน สามัคคี สู้ภัยพิบัติน้ำท่วม มั่นใจรับมือได้ ยันป้องเขตเศรษฐกิจเต็มที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ 'รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ' ถึงสถานการณ์น้ำท่วม ว่า มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยรวม 56 จังหวัด โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมี 11 จังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้มีการลดปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนต่างๆ ทำให้ระดับน้ำที่ จ.นครสวรรค์ คงที่ ส่วน จ.อยุธยา อาจะมีน้ำเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากมีน้ำไหลบ่าจากนครสวรรค์เข้ามาทำให้ปริมาณน้ำสูงขึ้น สำหรับแผนระบายน้ำนั้น เราต้องปกป้องพื้นที่ยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจใหญ่ บริเวณที่มีผลกระทบกับประเทศ เขตเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เมืองหลวงของทุกจังหวัด กทม. สนามบินสุวรรณภูมิ นิคมอุตสาหกรรม และศูนย์อพยพประชาชน โดยมอบให้ทุกฝ่ายเข้าไปปกป้องดูแลไม่ให้น้ำเข้าไป           ทั้งนี้ การระบายน้ำลงสู่ทะเลเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือ จากเจ้าพระยาลงทะเล ทั้งด้านตะวันตกและออก โดยใช้เรือผลักดันน้ำทางคลองลัดโพธิ์ 800 ลำ ซึ่งขอขอบคุณประชาชนที่ช่วยน้ำเรือมาผลักดัน ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาขณะนี้ได้ติดเครื่องสูบน้ำ 216 ตัว มีการกำจัดวัชพืช ขุดลอกคลองสำคัญ 7 คลอง โดยดำเนินการไปแล้ว 3 คลองที่เหลือจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ส่วนแม่น้ำท่าจีน เป็นการเชื่อมระหว่างเจ้าพระยาและท่าจีน โดยมีคลองมหาสวัสดิ์ คลองมหาชัย คลองสหกรณ์ และคลองซอยเล็กๆ ซึ่งแม่น้ำท่าจีนมีลักษณะคดเคี้ยว ดังนั้นจะต้องขุดคลองลัดเพื่อร่นระยะทางให้น้ำออกสู่ทะเลโดยเร็ว และในจุดต่างๆ ก็ได้มีการติดเครื่องผลักดันน้ำ 171 เครื่อง เรือดันน้ำอีก 100 ลำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกทะเลทั้ง 3 ส่วน           ส่วนกรุงเทพฯ ที่คลองทวีวัฒนา ได้มีการสั่งการให้ขยายฐานเพิ่มความสูงแนวคันกั้นน้ำ รวมถึงการเสริมคันกั้นน้ำที่คลองระพีพัฒน์ คาดจะแล้วเสร็จเร็วนี้ ส่วนกทม.ฝั่งตะวันออกมีคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริซึ่งส่วนนี้แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง และเพื่อให้เกิดความมั่นใจก็ได้สร้างคันกั้นน้ำฝั่งตะวันออกเพิ่มอีกทางหนึ่ง ส่วนคลองบ้านพร้าว จ.ปทุมธานี ที่แตกก็ได้ซ่อมแซมแล้วคาดเสร็จวันนี้ และขอพี่น้องประชาชนอย่าทำลายพนังกั้นน้ำเพราะจะเสียหายวงกว้าง นอกจากนี้ ได้มีการเสริมคันกั้นน้ำที่บริเวณคลองเปรมประชาอีกด้วย           นายกฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาล และศปภ. มีความห่วงใยประชาชนทุกจังหวัด การดูแลต่างๆ ต้องให้มั่นใจว่าประชาชนที่ประสบอุทกภัยต้องทั่วถึง และความปลอดภัยในชีวิตเป็นความสำคัญประการแรก เราได้มีการแบ่งกลุ่มทำงาน 2 กลุ่มคือ หน่วยกู้ภัยเพื่อให้ติดต่อกับประชาชนได้เคลื่อนย้ายมายังศูนย์อพยพ และหน่วยดูแลประชาชนในศูนย์อพยพ โดยการทำงานต้องลงไปถึงหมู่บ้าน เพราะทราบดีว่าประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยมา 3 เดือนแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มีความจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน นอกจากนั้น จะมีการฟื้นฟูเยียวยาประชาชนที่บ้านเรือนเสียหาย กิจการ โรงงาน ต้องได้รับการช่วยเหลือฟื้นฟู และเป็นห่วงภาคประชาชนที่โรงงานถูกปิด เกษตรกร ปศุสัตว์ก็เสียหาย ว่าจะทำอย่างไรที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเดิม ดังนั้นจะเร่งฟื้นฟูให้กลับมาสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด สำหรับภารกิจ นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (15 ต.ค.) จะเข้าร่วมประชุมที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม          ขณะที่ในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีจะปล่อยกระบวนคาราวานอาสาสมัครหมู่บ้านในโครงการของกระทรวงสาธารณสุขออกช่วยเหลือประชาชน จากนั้นจะเดินทางเปิดศูนย์กู้ชีพ กระทรวงสาธารณสุข หรือ ศูนย์กู้ชีพนเรนทร ซึ่งก็เป็นที่ตั้งของศูนย์อพยพผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ บริเวณลานบินของสนามบินดอนเมือง ลองท่วม แถบสุขุมวิืท สาทร สีลม สิครับ หนึ่งวันก้เงินหายมากกว่า ในนิคมเยอะครับ เมื่อ: 2011-10-15T09:54:09+00:00 nACrophiles_117: น้ำท่วม...บริหารจัดการไม่เป็น ไม่ใช่ภัยพิบัติลงโทษแต่...บริหารน้ำผิดพลาด http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B ... 7%E0%B8%99 เมื่อ: 2011-10-15T10:32:02+00:00 patongpa: ญี่ปุ่นไม่ย้ายแต่ก็คงไม่ลงทุนเพิ่ม แค่นี้ก็แย่แล่ว ที่ดินในมือจาทไปขายใครครับ เมื่อ: 2011-10-15T14:42:22+00:00 Hisoka: ผมคิดว่า ต้องสร้างเขื่อนหรือแหล่งกักเก็บน้ำที่ทางต้นน้ำครับ อาจจะเป็นแก้มลิงหรือคูคลองแยกย่อยกระจายเข้าไปในพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อให้บริหารจัดการน้ำได้ดีขึ้น ช่วยชะลอน้ำ ให้ปลายน้ำเตรียมตัวได้ทัน ในกรณีที่แหล่งกักเก็บน้ำรับไม่ไหว แล้วก็ใช้ข้อมูลจากนักวิจัยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับดินฟ้าอากาศให้มากขึ้น เพื่อบริหารน้ำในแหล่งกักเก็บได้ดีขึ้น เช่น ถ้าจากการศึกษาพบว่าปีนั้นมีแนวโน้มว่าฝนจะตกเยอะ แหล่งกักเก็บน้ำก็ปล่อยน้ำออกมากหน่อยในเวลาปกติเพื่อให้มีพื้นที่รองรับน้ำเพิ่มขึ้น ถ้านักลงทุนญี่ปุ่นเห็นว่ารัฐบาลเอาจริงก็น่าจะช่วยเรียกความมั่นใจได้ครับ เมื่อ: 2011-10-15T15:14:30+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
VI mutant สุมาอี้: สมมติว่าเราใช้ปัจจัยพื้นฐานเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งมาสักตัวนึง ประมาณว่าคิดว่าดีที่สุดในตลาดหุ้นไทย โดยที่หุ้นนี้ต้องเป็นหุ้นที่ราคามีการแกว่งตัวพอสมควร... จากนั้นก็เลิกสนใจหุ้นตัวอื่น มาตามข่าวหุ้นตัวนี้ตัวเดียวอย่างหนัก แล้วเราก็หากินด้วยการเทรดหุ้นตัวนี้ไปเรื่อยๆ โดยการเล่นรอบ เนื่องจากเราตัวนี้ตลอดอย่างหนักเราย่อมรู้ดีกว่าคนทั่วไป เหมือนจะเป็นเจ้ามือกลายๆ เป็นการผสมผสานระหว่าง VI กับการเป็น เทรดเดอร์ คิดว่าวิธีนี้เป็นงั้ยครับ เมื่อ: 2007-03-11T11:43:45+00:00 Capo: ผมก็จดจดจ้องจ้องวิธีนี้อยู่ครับ แต่ว่าใจไม่กล้าพอ ถ้าเป็นลักษณะที่ผมคิด คือกรณีที่ไม่มีการเติมเงินลงไป (ผมไม่มีตัง) ก็คงเป็นการ Short Port ที่คิดเพราะต้องการเอาการขึ้นลงของราคา มาใช้ไห้เป็นประโยชน์ แต่กังวลอยู่สองกรณีครับในตอนนี้ 1. หากขาย (ในจุดที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ) แล้วราคามันดันขึ้นซะนิ เราจะยินดีซื้อคืนเมื่อไหร่ และที่มูลค่าระดับไหน คงต้องใช้วิธีตั้งเกณฑ์เอา สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยมีเกณฑ์ 2 ตัวครับ คือวัดจาก % of loss หรือวัดจาก % ของผลกำไรสะสมที่เคยทำได้จากการ Short ครับ แต่เกณฑ์หลัง หากขาดทุนบ่อย ๆ เข้า เกณฑ์จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบซื้อคืนครับ 2. หากขาย แล้วราคาลงจริง แต่รอเป็นนานสองนานแล้ว ก็ยังไม่ได้ราคาที่ Cover ค่าคอมฯซะที ตรงกรณีนี้ยังคิดเกณฑ์การซื้อคืนไม่ออกครับ เมื่อ: 2007-03-11T12:36:52+00:00 สุมาอี้: Capo เขียน: 1. หากขาย (ในจุดที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ) แล้วราคามันดันขึ้นซะนิ เราจะยินดีซื้อคืนเมื่อไหร่ และที่มูลค่าระดับไหน คงต้องใช้วิธีตั้งเกณฑ์เอา สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยมีเกณฑ์ 2 ตัวครับ คือวัดจาก % of loss หรือวัดจาก % ของผลกำไรสะสมที่เคยทำได้จากการ Short ครับ แต่เกณฑ์หลัง หากขาดทุนบ่อย ๆ เข้า เกณฑ์จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบซื้อคืนครับ ข้อนี้ใช้วิธีไม่มีการขายหมดได้มั้ยครับ ยังไงต้องเหลือติดพอร์ตไว้จำนวนหนึ่งเสมอ เพราะยังไงเสียก็คัดสรรมาแล้วว่าเป็นหุ้นดี เมื่อ: 2007-03-11T12:56:09+00:00 Capo: คิดว่าได้ครับพี่...... ผมไม่ได้คิดเผื่อกรณีนี้ไว้ครับ เพราะว่าพอร์ทผมมันมินิมดมากครับ  :lol: เดี๋ยวจะไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของโบรก หรือว่าจะไปใช้บัญชีแบบ pre-paid ดีแฮะครับ เมื่อ: 2007-03-11T13:08:50+00:00 CK: สามารถทำได้ครับ แต่ผลตอบแทนจะดีกว่า Buy & Hold รึปล่า ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางครับ การเล่นแบบพี่สุมาอี้ว่า เป็นเทคนิกที่ใช้ trading systems เข้ามาช่วยในการ maximize profits ซึ่งมีข้อดีและมีข้อเสีย วิธีการของคุณเด่นศรี (DSM) ก็นับเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ การใช้ turtle trading มาประยุกต์ ก็ดูแล้วค่อนข้างได้ผลดี อย่างผมเคยทำกับ BANPU พบว่าถ้าใช้สัญญาณที่ถูกต้อง สามารถทำกำไรเพิ่มจาก Buy @ Lowest and Hold เพิ่มขึ้นราวๆ 5-6% ต่อปีทีเดียวครับ แต่ที่น่าเป็นห่วงเล็กน้อย คือสัญญาณที่ว่า จะยังใช้ได้ต่อไปในอนาคตหรือไม่... เมื่อ: 2007-03-11T15:38:08+00:00 CK: ปล. ไม่ทันได้ลองทำจริงๆ นะครับ แต่ลอง backtest กับข้อมูลย้อนหลังน่ะครับ เมื่อ: 2007-03-11T15:39:58+00:00 Capo: ถ้าอย่างนี้ จำเป็นต้องมีวิชา Technical เป็นมีดสั้นประจำกายด้วยฤาเปล่าครับ หรือว่าอาศัยความคุ้ยเคยกับการเคลื่อนไหวของราคาก็เพียงพอ ถ้าอาศัยแต่อย่างหลังเพียงอย่างเดียว จะอันตรายไปไหมครับ เมื่อ: 2007-03-11T15:44:10+00:00 สุมาอี้: ผมว่าต้องอาศัยการติดตามข่าวของบริษัทนั้นอย่างใกล้ชิดด้วย บางทีช่วงไหนตามข่าวบริษัทหนึ่งอย่างใกล้ชิดมากๆ จะค่อนข้างเข้าใจได้เลยว่าราคาไหนซื้อได้ ราคาไหนซื้อไม่ได้ ราคาไหนวิ่งมาแรงเกินไปในระยะสั้น เมื่อ: 2007-03-12T00:58:52+00:00 CK: ผมว่าใช้อะไรก็ได้ครับ แต่ควรจะ consistent เช่น - ราคา - ข่าว - ผลประกอบการ - ช่วงเวลา (เช่น ขายหลังปันผล ซื้อคืนกันยา) เมื่อ: 2007-03-12T01:50:44+00:00 Belffet: ผมอยากแชร์แนวทางการ trade แบบนี้เล็กน้อยนะครับ 1. มีหุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อดัชนีตลาดมากๆ วันใดตลาดปักหัวลงหุ้นประเภทนี้จะลงก่อนเพื่อนอย่างชัดเจน ส่วนวันใดที่ตลาดมีข่าว ดัชนีวิ่งขึ้นติดๆกัน หุ้นพวกนี้ก็จะวิ่งขึ้นก่อนเพื่อนเช่นกัน 2. ลักษณะแบบนี้ทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของหุ้นโดยอิงกับการดูข่าวดี ข่าวร้าย (ซึ่งบางทีจะมีหรือไม่มีเหตุผลก็ได้) 3. ยามใดที่ดัชนีตกอย่างรุนแรงเป็น 10 จุดขึ้นไป เราเข้าซื้อเต็มตัว 4. หยุดแค่นั้นไม่ต้องติดตามอะไร 5. ยามใดที่เราได้ยินข่าวดี ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 จุดขึ้นไป หรือปรับขึ้นติดๆกันหลายวัน เราจึงเอาออกมาขาย โดยการขายเราจะมีกำไรที่เราอยากได้ ซึ่งส่วนตัวก็ประมาณ 14%-15% 6. แม้หุ้นประเภทนี้อาจไม่ใช่หุ้นที่เรียกว่าเป็น VI แต่บางตัวก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด และมีปันผลสม่ำเสมอด้วย 7. กลยุทธแบบนี้ต้องอาศัยใจเย็นๆ เข้าให้ถูกจังหวะ เข้าเฉพาะวันที่เราคิดว่า ตลาดวิกฤติจริงๆเท่านั้น เช่นช่วงต้นๆปีที่ลงทีเดียวหลายสิบจุด เพราะต้องจำไว้ว่า "มีถูกแล้วย่อมมีถูกกว่า" ดังนั้นบางปีอาจจะซื้อขายได้แค่ รอบ-สองรอบ เท่านั้น แต่ถ้าใจเย็นพอแล้วเข้ารอบถึงสองรอบต่อปีแบบไม่พลาด นั่นหมายถึงผลตอบแทน 15%-30% ต่อปี ไม่น้อยเลยนะครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ผมมองข้ามไป หรืออยากแนะนำเพิ่มเติม โปรดชี้แนะด้วยครับ ส่วนตัวผมเล่นแบบนี้มา 3 รอบแล้วครับ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว สิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือ ต้องนั่งเฝ้าคอยดูว่า เมื่อไหร่หุ้นจะตกแบบกราวรูดแบบวิกฤติสุดๆน้อออออ .... เมื่อ: 2007-03-20T07:11:53+00:00 angore: ถ้าเรามีหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง  1000 หุ้น พาร์ 10 บาท แล้ววันหนึ่งบริษัทก็ประกาศแตกพาร์ 1 บาท ถามว่าจำนวนหุ้นของเราจะเพิ่มหรือเปล่าครับ ช่วยอธิบายให้ด้วยคับ เมื่อ: 2007-03-20T08:47:20+00:00 Belffet: เพิ่มครับ คูณ 10 เข้าไป เพิ่มเป็น 10,000 หุ้น มูลค่ายังคงเท่าเดิม เพราะพาร์เหลือ 1 บาท เมื่อ: 2007-03-20T09:11:25+00:00 สุมาอี้: Belffet เขียน:ผมอยากแชร์แนวทางการ trade แบบนี้เล็กน้อยนะครับ 1. มีหุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อดัชนีตลาดมากๆ วันใดตลาดปักหัวลงหุ้นประเภทนี้จะลงก่อนเพื่อนอย่างชัดเจน ส่วนวันใดที่ตลาดมีข่าว ดัชนีวิ่งขึ้นติดๆกัน หุ้นพวกนี้ก็จะวิ่งขึ้นก่อนเพื่อนเช่นกัน 2. ลักษณะแบบนี้ทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของหุ้นโดยอิงกับการดูข่าวดี ข่าวร้าย (ซึ่งบางทีจะมีหรือไม่มีเหตุผลก็ได้) 3. ยามใดที่ดัชนีตกอย่างรุนแรงเป็น 10 จุดขึ้นไป เราเข้าซื้อเต็มตัว 4. หยุดแค่นั้นไม่ต้องติดตามอะไร 5. ยามใดที่เราได้ยินข่าวดี ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 จุดขึ้นไป หรือปรับขึ้นติดๆกันหลายวัน เราจึงเอาออกมาขาย โดยการขายเราจะมีกำไรที่เราอยากได้ ซึ่งส่วนตัวก็ประมาณ 14%-15% 6. แม้หุ้นประเภทนี้อาจไม่ใช่หุ้นที่เรียกว่าเป็น VI แต่บางตัวก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด และมีปันผลสม่ำเสมอด้วย 7. กลยุทธแบบนี้ต้องอาศัยใจเย็นๆ เข้าให้ถูกจังหวะ เข้าเฉพาะวันที่เราคิดว่า ตลาดวิกฤติจริงๆเท่านั้น เช่นช่วงต้นๆปีที่ลงทีเดียวหลายสิบจุด เพราะต้องจำไว้ว่า "มีถูกแล้วย่อมมีถูกกว่า" ดังนั้นบางปีอาจจะซื้อขายได้แค่ รอบ-สองรอบ เท่านั้น แต่ถ้าใจเย็นพอแล้วเข้ารอบถึงสองรอบต่อปีแบบไม่พลาด นั่นหมายถึงผลตอบแทน 15%-30% ต่อปี ไม่น้อยเลยนะครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ผมมองข้ามไป หรืออยากแนะนำเพิ่มเติม โปรดชี้แนะด้วยครับ ส่วนตัวผมเล่นแบบนี้มา 3 รอบแล้วครับ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว สิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือ ต้องนั่งเฝ้าคอยดูว่า เมื่อไหร่หุ้นจะตกแบบกราวรูดแบบวิกฤติสุดๆน้อออออ .... น่าสนใจครับ ควรเป็นบริษัทที่เราแน่ใจว่ากำไรเขาน่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว และโอกาสในการล้มละลายมีน้อย เมื่อ: 2007-03-20T09:23:46+00:00 tattoo_thai: - ช่วงเวลา (เช่น ขายหลังปันผล ซื้อคืนกันยา) ทำไมต้องซื้อขายช่วงนี้ด้วยละครับ หรือว่ามีสถิติว่าการซื้อขายช่วงนี้ดีที่สุด น่าสนใจครับ เมื่อ: 2007-03-20T13:45:48+00:00 takechi: ผมว่าพี่สุมาอี้ สามารถทำกำไรได้ แน่นอนถ้าพี่ รู้ข่าวบริษัท แต่ผมว่าอาจจะต้องเหนื่อยนิดหน่อย เพราะต้องตามตลอดเวลาครับ... เมื่อ: 2007-04-02T14:53:06+00:00 cwiboon: ถ้าเป็นกรณีที่ราคาขึ้นไปสูงมาก ตอนที่เราขายออกไปแล้วล่ะครับ  พอเก็บกลับไม่ได้ก็เล่นรอบไม่ได้ เมื่อ: 2007-04-03T05:55:07+00:00 energizer: เคยลองแล้วครับพี่ เครียดมากๆเลย เครียดกว่าเล่นหุ้น ITV อีกอะ เมื่อ: 2007-04-03T12:33:50+00:00 bmw2681: ผมว่า วิธีนี้ไม่เวิร์คน่ะครับ เคยลองทำแล้ว โอกาสเสียหุ้นเยอะมาก ค่อยๆสะสมเงิน แล้วซื้อเพิ่มในหุ้นที่มั่นใจ ดีกว่ามั้งครับ เมื่อ: 2007-04-06T08:17:29+00:00 Dech: เข้ามาอ่านครับ เมื่อ: 2007-04-07T04:28:01+00:00 Belffet: ตอบ คุณ cwiboon (ถ้าถามถึงผมนะครับ) อย่างที่เรียนว่าหุ้นพวกนี้ เวลามีข่าวดีก็วิ่งทันใจ เวลาข่าวร้ายก็กระอักเหมือนกัน กรณีที่คุณ cwiboon พูดจึงเป็นกรณีที่เรา "ขายหมู" นั่นเอง ซึ่งผมว่าโอเคนะครับ ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ นั่นเพราะตอนเราขายนั้นเราขายที่ระดับราคาที่เราคาดหมายไว้แล้วคือราว 15% ซึ่งผมเชื่อว่าสามารถขายตอนราคาสูงที่สุดได้ตลอด ขอเพียงราคาที่เราขายนั้นเป็นราคาที่เราโอเคกับผลตอบแทนก็พอครับ หลังจากนั้น เมื่อเราถือเงินสด ก็ไม่ต้องไปสนใจราคาหุ้นแล้วล่ะครับ ฟุ้งซ่านเปล่าๆ เอาเวลาไปจับตาดูดัชนี ดูข่าวร้ายของตลาดที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ยามใดที่ดัชนีตกแบบกราวรูด 10-20 จุด ก็ค่อยเข้าซื้อใหม่ครับ นอกนั้นก็เป็นเทคนิคส่วนตัวครับ เพราะว่า "มีถูกแล้ว ย่อมมีถูกกว่า" เวลาเข้าก็ขอให้แน่ใจจริงๆนะครับว่าช่วงนั้นตลาดย่ำแย่จริงๆ ตกจนไม่น่าจะตกกว่านี้แล้ว (ถึงแม้เรา็คงไปเข้าซื้อตอนมันตกต่ำที่สุดไม่ได้ทุกครั้งเช่นกันก็ตาม) หรือจะใช้ DSM ผสมเข้าไปด้วยก็คงได้นะครับ แต่ผมไม่ถนัด DSM เลยเข้าๆออกๆอยู่อย่างนี้ ปีนึงก็ 2-3 รอบน่ะครับ เมื่อ: 2007-04-07T08:09:22+00:00 Belffet: แก้ประโยคที่ผิดนะครับ "ซึ่งผม ไม่่ เชื่อว่าสามารถขายตอนราคาสูงที่สุดได้ตลอด" เมื่อ: 2007-04-07T08:11:36+00:00 itti_peak: วิธีนี้เป็น วิธีที่ดีเลยแหละครับ ถือสักประมาณ 3-5 ตัวครับ แล้วก็ดูแค่ที่เราสนใจ แล้วใช้ tecnical เข้าช่วยครับ เมื่อ: 2007-04-07T09:40:32+00:00 Quattro: แบบนี้ถ้าเรากะจะเล่นรอบ แล้วเข้าไปซื้อ แล้วราคามันเกิดดิ่งลง เราจะกล้า cutloss มั้ยครับ (หลักเก็งกำไร) หรือว่าจะซื้อเพิ่ม (หลัก vi) คือผมรู้สึกว่าวิธีนี้มันก็เหมือนการเก็งกำไรอย่างนึง เพียงแต่อาจเป็นการเก็งกำไรระยะกลาง + มีพื้นฐานหุ้นรองรับ พี่ๆว่าไงครับ? เมื่อ: 2007-04-08T03:19:19+00:00 Belffet: การจะ cutloss หรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องเทคนิคและความเชื่อของแต่ละคนแล้วล่ะครับ 1. ถ้าคุณเชื่อว่าตลาดวิกฤติแบบไม่มีเหตุผล มันจะเป็นอย่างนี้อยู่ไม่นาน ก็ไม่ต้อง cut แต่จะซื้อเพิ่มมั๊ยก็แล้วแต่เช่นกัน และก็ต้องรับได้ถ้าเราวิเคราะห์ผิด 2. หุ้นที่เราเลือกต้องเป็นหุ้นที่อย่างน้อยนำตลาด มั่นคงพอสมควร มีปันผลสม่ำเสมอ (เผื่อติดหุ้นด้วยน่ะครับ) ส่วนตัวผมให้ range สำหรับ cutloss ค่อนข้างยาว คือ 10% เพราะผมเชื่อว่าแต่ละครั้งที่จะเข้าซื้อ ต้องแน่ใจพอสมควรว่าตลาดวิกฤติถึงที่สุดในช่วงนี้ และมันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้อยู่นานนัก (ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ นานนนนๆๆๆ ทีจึงจะเกิด และทำให้เบื่อมากๆเวลา sideway นานๆ ปีที่แล้วผมซื้อขายแบบนี้แค่ 2 ครั้งเอง) ที่ผ่านมาผมยังไม่พลาด แต่ผมว่าอนาคตไม่แน่ เมื่อ: 2007-04-09T05:38:53+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วันนี้ STA มีประชุมผู้ถือหุ้นรึเปล่าครับ มันลงไม่รู้มีอะไร Joi: ใครมีข่าวช่วยบอกทีครับ ไม่ได้ดูเลยงานยุ่งครับ เห็นวันนี้พอมีโวลุ่มเกือบล้าน ติด 13.7 แน่ะ เมื่อ 2 วันก่อนหลอกให้ดีใจลากไปถึง 14.1 แล้วก็ทุบๆๆจนวันนี้เหลือ 13.3 แล้ว ดูเหมือนจะมีคนเก็บแต่มันก็ลงทุกวัน ไม่ทราบเพื่อๆพอมีข่าวอะไรไมครับ ถ้าไม่ดูดีจะได้ CUT ครับ เพราะกลัวเหมือนกันตัวนี้ เห็นเพื่อนบอกว่าเจ้าโหดครับ เมื่อ: 2005-09-06T10:04:55+00:00 ปรัชญา: ต้องรอคุณแมนมาเล่า  เห็นว่าลงทุนบินไปร่วมประชุมครับ เมื่อ: 2005-09-06T15:27:17+00:00 Joi: รอคุณแมนเหมือนกันครับ เมื่อ: 2005-09-07T04:12:26+00:00 man: ไปประชุมมาแล้ว  เล่าไว้แล้ว แต่หุ้นลงเพราะอะไรไม่รู้จิงๆ ดูวอลุ่มไม่เป็น เทคนิคก็ดุไม่เป็นครับ เมื่อ: 2005-09-07T16:55:54+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ประเภทการเสนอขาย หลักทรัพย์ vichit: ประเภทการเสนอขาย IPO การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน PO การเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน PP การเสนอขายหลักทรัพย์แก่บุคคลในวงจำกัด PO ESOP การเสนอขายหลักทรัพย์แก่กรรมการ/พนักงาน RO การเสนอขายหลักทรัพย์แก่ผู้ถือหุ้นเดิม II ผู้ลงทุนสถาบัน การเสนอขายหลักทรัพย์แก่ผู้ลงทุนสถาบัน IPO ESOP การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อพนักงาน เมื่อ: 2007-10-18T15:33:23+00:00 crazyrisk: เป็นไปได้เรียน พี่วิชิต ช่วยบอกข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละอันด้วยคับ เมื่อ: 2007-10-21T22:34:44+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ปรึกษาพี่ๆเรื่องการจัดการการเงินน่ะครับ pakakal: คือผมเพิ่งเข้ามาอ่านเว็บนี้ได้สักระยะหนึ่งน่ะครับ ตามคำแนะนำของพี่คนหนึ่ง ตอนนี้ผมอายุ 26 ปี รายได้แต่ละเดือนเดือนละ 18000 บาท มีเงินที่เก็บ 60000 บาท แต่ละเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ทั้งหมด ค่าเช่าหอ ให้แม่ แล้วก็ใช้เองแล้ว จะเหลือประมาณ 6-7 พัน ตอนนี้ฝากไว้ใน sff คือมีความสนใจในการลงทุนน่ะครั บ พี่ๆว่า ผมควรจะเก็บเงินต่อไปอีกหน่อย หรือว่าเอาเงินไปลงทุน ดีครับ เพราะว่ามีพี่คนหนึ่งเค้าชวนไปเปิดพอร์ต เพราะเค้าบอกว่าเก็บเงินอย่างเดียว มันไม่ทันเงินเฟ้อ น่ะครับ แล้วเก็บประมาณนี้พอจะลงทุนได้มั๊ยครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-11-08T08:07:22+00:00 นพพร: เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอถ้าความรู้ยังไม่พอครับ ส่วนความรู้ท่วมหัวแต่เงินไม่มีนี่ก็ปัญหาใหญ่ เอาเป็นว่าเงินที่มีอยู่แบ่งมาสักหน่อยมาซื้อหนังสืออ่านครับ ผมเปิดด้วยเงินสามพัน คิดเอาเองละกันว่าเงินคุณหกหมื่นมันพอหรือไม่พอ เมื่อ: 2010-11-08T09:09:35+00:00 tradtrae: pakakal เขียน:คือผมเพิ่งเข้ามาอ่านเว็บนี้ได้สักระยะหนึ่งน่ะครับ ตามคำแนะนำของพี่คนหนึ่ง ตอนนี้ผมอายุ 26 ปี รายได้แต่ละเดือนเดือนละ 18000 บาท มีเงินที่เก็บ 60000 บาท แต่ละเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ทั้งหมด ค่าเช่าหอ ให้แม่ แล้วก็ใช้เองแล้ว จะเหลือประมาณ 6-7 พัน ตอนนี้ฝากไว้ใน sff คือมีความสนใจในการลงทุนน่ะครั บ พี่ๆว่า ผมควรจะเก็บเงินต่อไปอีกหน่อย หรือว่าเอาเงินไปลงทุน ดีครับ เพราะว่ามีพี่คนหนึ่งเค้าชวนไปเปิดพอร์ต เพราะเค้าบอกว่าเก็บเงินอย่างเดียว มันไม่ทันเงินเฟ้อ น่ะครับ แล้วเก็บประมาณนี้พอจะลงทุนได้มั๊ยครับ ขอบคุณครับ คุณไม่มีเงินเลยสักบาท ก็สามารถไปเปิดพอร์ตได้ แต่จะไปเปิดกับโบรคเกอร์ไหน ควรศึกษาข้อมูลก่อน บางเจ้าเก็บขั้นต่ำ 50 บาทต่อวันที่มีการซื้อขายหุ้น บางเจ้าเก็บตามจริง บางเจ้ามีข้อมูลให้เยอะ บางเจ้ามีลูกเล่นในแสดงข้อมูล แต่ที่แน่ๆ หลังจากเปิดพอร์ตแล้ว อย่าเพิ่งลงทุนในหุ้น เพราะอะไรรู้ไหม .... เพราะผมเชื่อว่าคุณจะถูกพี่คนหนึ่งของคุณชักจูงให้คุณลงทุนในหุ้น ที่คุณไม่รู้เลยว่าจะลงทุนซื้อมัน ในราคาเท่านี้ ทำไม แล้วคุณจะมีโอกาส เจ๊ง มากกว่า ได้ แทนที่จะได้เงินมากกว่าเงินเฟ้อ มันจะกลายเป็นหมดตัวเพราะหุ้น ไม่ใช่เพราะเงินเฟ้อ เปิดพอร์ตแล้ว ไปหาหนังสือวิธีการลงทุนมาอ่านก่อน ดีไหม ลองเล่นในพอร์ตจำลองของ settrade ก่อน ดีไหม ลองศึกษาข้อมูลของหุ้นแต่ละตัว ดูวิธีคิดของคนอื่นว่าเขาคิดว่าคุณจะขึ้นหรือลงยังไง ก่อนดีกว่าไหม และที่สำคัญ ศึกษาก่อนว่าเราจะได้ผลประโยชน์จากการลงทุนจากอะไรบ้าง ก่อนดีไหม แค่คำแนะนำคร่าวๆ ของคนที่อาบน้ำก่อนคุณไม่นานนะ แต่คนที่จะกำหนดทิศทางการเดินทาง คือตัวคุณเอง เมื่อ: 2010-11-08T09:12:17+00:00 simplelife: pakakal เขียน:คือผมเพิ่งเข้ามาอ่านเว็บนี้ได้สักระยะหนึ่งน่ะครับ ตามคำแนะนำของพี่คนหนึ่ง ตอนนี้ผมอายุ 26 ปี รายได้แต่ละเดือนเดือนละ 18000 บาท มีเงินที่เก็บ 60000 บาท แต่ละเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ทั้งหมด ค่าเช่าหอ ให้แม่ แล้วก็ใช้เองแล้ว จะเหลือประมาณ 6-7 พัน ตอนนี้ฝากไว้ใน sff คือมีความสนใจในการลงทุนน่ะครั บ พี่ๆว่า ผมควรจะเก็บเงินต่อไปอีกหน่อย หรือว่าเอาเงินไปลงทุน ดีครับ เพราะว่ามีพี่คนหนึ่งเค้าชวนไปเปิดพอร์ต เพราะเค้าบอกว่าเก็บเงินอย่างเดียว มันไม่ทันเงินเฟ้อ น่ะครับ แล้วเก็บประมาณนี้พอจะลงทุนได้มั๊ยครับ ขอบคุณครับ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของการมีอิสรภาพทางการเงินจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่การมีวิสัยทัศน์ในการลงทุนหรอกครับ แต่อยู่ที่ตรงการเก็บ/ใช้เงิน และ attitude ของคุณเกี่ยวกับเงินมากกว่าครับ การลงทุน ต้องมองให้ได้ครับ ว่าเป็นการเอาเงินที่มีสะสมอยู่ (หรือกำลังสะสมให้มากที่สุด) มาพยายามลงทุนให้ได้ดอกผลมากที่สุด มากกว่าจะมองแค่ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น จะไปทางไหน ก่อนอื่น กลับความคิดของตัวเองก่อน หนังสือ The Richest Man in Babylon บอกให้ Pay yourself first คือ ก่อนที่จะเอาเงินไปจ่ายให้คนอื่น (ค่าหอ ค่าโทร) ให้จ่ายให้ตัวเองก่อน คือตั้งเป้าไปเลยว่าจะซื้อ SFF เดือนละ 7,000- แล้วจึงจะจ่ายคนอื่น ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จำเป็นรองลงมาก็ต้อง squeeze ลงมาเพื่อที่จะให้เงินเดือนพอที่จะ cover ทุกอย่าง ถ้าสามารถทำได้แล้ว ค่อยคิดดูอีกทีว่าจะเพิ่ม 7000 ไปเป็น 8000 ได้ไหม ถ้าจะซื้อหุ้น ไปหาหนังสือมาอ่านก่อน เช่น ตีแตก กับ One up on Wall Street เปิดบัญชีหุ้นตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่ในตลาดมี(ในความรู้สึกของผมเอง) หุ้นที่ราคาสูงกว่ามูลค่าเต็มไปหมด เผลอเยอะกว่าตัวที่ถูกกว่า ลงทุนตอนนี้ ในความคิดผมเสี่ยงกว่าลงทุนเมื่อสองสามปีก่อนเยอะมากๆ ดังนั้นเพื่อที่จะลดความเสี่ยงนี้ สิ่งเดียวที่ช่วยได้คือต้องมีความรู้ก่อนที่จะเริ่มลงทุนครับ เมื่อ: 2010-11-08T17:03:50+00:00 pakakal: ขอบคุณสำหรับ ทุกคำแนะนำครับ พอดีผมอยุ่เวรดึกน่ะครับ เลยได้เข้ามาอ่านน่ะครับ เมื่อ: 2010-11-08T18:03:09+00:00 thaloengsak: สำหรับหนังสือที่สมควรจะอ่าน มีดังนี้ 1.Learn to earn ไกด์ไลน์สำหรับผู้สนใจการลงทุนเข้าใจง่ายมาก 2.ตีแตก ศึกษาวิสัยทรรศน์ด้านการลงทุน ของปรมาจารย์ด้านการลงทุนที่เก่งเรื่องมุมมองที่กว้างไกล 3.Rich dad poor dad สำคัญมากกับการเรียนรู้อัจฉริยภาพทางด้านการเงิน Finalcial Quadant 4.จอห์น เนฟฟ์ แนวทางการลงทุนแบบง่ายๆ หุ้นPE ต่ำๆ เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง 5.วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง นรินทร์ โอฬาร *ขาดไม่ได้ 6.หุ้นห่านทองคำ 7.ฯลฯ เมื่อ: 2010-11-09T09:01:55+00:00 Phao: ขออ่านด้วยคนครับ เมื่อ: 2010-11-16T10:40:26+00:00 viหัดคลาน: เก็บเงินให้มากพอและเงินนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ค่อยมาเล่นก็ได้ครับ เดาว่าเพิ่งจบ คงมีภาระอีกมาก เช่นซื้อบ้านหรือรถ ถ้าจำเป็น ดังนั้นใจเย็นๆได้ครับ ผมเอาเงินก้อนแรกไปเรียนต่อครับ ก้อนที่สอง ไปเปิดธุรกิจตัวเอง ตอนนี้ผมเพิ่งมีเงินเก็บก้อนที่สาม ถึงได้มาเล่นหุ้นครับ เมื่อ: 2010-11-17T07:08:10+00:00 Jazzman: เหมือนที่ทุกๆท่านแนะนำ 1. ความรู้ 2. มั่นคง มีหลักยึด 3. อันนี้สำคัญ ต้องประเมินมูลค่า เป็นครับ ต้องรู้ หุ้นดี  นั้นเป็น หุ้นถูก หรือ หุ้นแพง  หุ้นแย่เป็น หุ้นแพง หรือ หุ้นถูก   อะไรเป็นตัวบอกว่ามันแพง หรือถูก อันนี้สำคัญมากๆๆคับ     เอะ ผมเริ่มงง ตัวเอง  :lol: เมื่อ: 2010-11-17T14:31:56+00:00 Suysak: ผมเข้าใจว่า น้องจะเหลือเงิน ต่อเดือนคือ 6000 - 7000 บาท ผมแนะนำว่า ให้ลงทุนแบบ dollar cost average คือให้เอาเงินเหลือนี่ลงทุนไปเรื่อยๆครับ ทุกเดือน มีมากก็ลงมาก มีน้อยก็ลงน้อย ทีนี้ก็มาเรื่องเลือกหุ้น  ผมอยากให้มองง่ายๆครับ สำหรับมือใหม่ ลองดูสิว่า กิจการที่เราพบทุกวันในชีวิตคืออะไร อย่าไปหวังกำไรเป็นเท่าตัว ให้มองเป็นการลงทุนที่ ได้มากกว่าเงินฝากประจำ ลองเลือกหุ้นที่เรารู้จัก และมีเงินปันผลย้อนหลัง จ่ายต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่า 5% เมื่อเทียบกับราคาที่เราซื้อในขณะนั้น เหตุผลก็คือ หากหุ้นเกิดตก อย่างน้อยเราก็จะได้ปันผลในอัตรา 5% ซึ่งมากกว่าฝากเงิน เพียงแต่มูลค่าเงินในตอนนั้นอาจลดลงไป แต่อย่าห่วงครับ หุ้นดีกิจการดี จะกลับมาเสมอ สำคัญคือต้องเลือกกิจการที่ไม่เจ้งแน่ๆ ดูไงก็ไม่เจ้ง อยู่ยืนยงจ่ายปันผลต่อเนื่องมายาวนาน ในการลงทุนอย่าไปฟังคนอื่น ใครจะกำไรร้อยเท่าพันเท่า ก็ช่างเขา เราเน้นลงทุนในแบบของตัวเองให้ได้ ขยันทำงาน ลงทุนแต่อย่าหมกมุ่นจนละเลยงาน เงิน 60,000 ก็เก็บไว้ เผื่อฉุกเฉิน แล้วก็ศึกษาเรื่องการอ่านงบ เรื่องเศรษฐกิจ ประวัติชีวิตนักธุรกิจ หัดสังเกตุสิ่งรอบตัว อ่านข่าวเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ลองดูครับ ไม่ยากที่จะเริ่มต้น ขอเพียงได้เริ่มเท่านั้น :lol: เมื่อ: 2010-11-18T02:44:06+00:00 pakakal: ขอบคุณสำหรับ คำแนะนำดีๆครับ เมื่อ: 2010-11-18T04:26:59+00:00 Phao: 5.วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง นรินทร์ โอฬาร *ขาดไม่ได้ เล่มนี้ครับ  ลองหาหลายที่แล้วครับ บอกว่าไม่มีหนังสือนานแล้วครับ ท่านใหนเคยเจออยู่ที่ร้านหนังสื่อที่ไหนรบกวนบอกหน่อยครับ ลอวดูทั้ง ที่เซ็นทรันลาดพร้าว ทีพราก้อน ก็ไม่เจอครับ เมื่อ: 2010-11-18T11:04:29+00:00 zephyr: [quote="Phao"]5.วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง นรินทร์ โอฬาร *ขาดไม่ได้ เล่มนี้ครับ เมื่อ: 2010-11-18T13:40:57+00:00 amanatwar: 5.วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง นรินทร์ โอฬาร *ขาดไม่ได้ เจอที่ศูนย์หนังสือจุฬาครับ เมื่อ: 2010-11-22T04:40:04+00:00 firstee: ต้องถามที่ร้านศูนย์หนังสือจุฬาอ่ะครับ แล้วก็ต้องสั่งเอาครับ เมื่อ: 2010-11-22T05:47:00+00:00 Belffet: Phao เขียน:5.วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง นรินทร์ โอฬาร *ขาดไม่ได้ เล่มนี้ครับ  ลองหาหลายที่แล้วครับ บอกว่าไม่มีหนังสือนานแล้วครับ ท่านใหนเคยเจออยู่ที่ร้านหนังสื่อที่ไหนรบกวนบอกหน่อยครับ ลอวดูทั้ง ที่เซ็นทรันลาดพร้าว ทีพราก้อน ก็ไม่เจอครับ สั่งกับพี่สุมาอี้โดยตรงไปเลยครับ เมื่อ: 2010-11-23T03:39:29+00:00 noooon010: อย่าพึ่งกังวลเรื่อง งบประมาณในการลงทุนครับ สิ่งที่ป้องกันความเสี่ยงได้มากที่สุด คือความรู้และความเข้าใจ ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรไม่ให้การลงทุนของเราขาดทุน ค่อยๆเรียนรู้ ค่้อยๆศึกษา ในที่สุดเราจะพบกับคำตอบในการลงทุนของเราครับ เป็นกำลังใจให้ครับ เมื่อ: 2010-11-23T03:47:54+00:00 getstring: ผม profile เหมือน จขกท เลยครับ อายุเท่ากัน รายได้ต่างไม่มาก มือใหม่ สนใจลงทุนเหมือนกันครับ เอาใจช่วยครับ เมื่อ: 2010-12-08T08:19:16+00:00 chowbe76: ผมก็อายุเท่ากันเลยครับ มือใหม่เหมือนกัน แต่มิบังอาจเทียบเคียงในด้านรายได้อะครับ ผมแค่เดือนละ8320บาทเองอะครับ แต่ผมเจ๋งกว่าตรงที่ผมมีหนังสือเล่มนั้นแล้วครับ... ใครอยากได้ผมเปิดประมูลเลยครับ เริ่มจากสองเท่าของราคาหน้าปกครับ เอ่อ ผมพูดเล่นนะครับ อย่าเพิ่งแบนผมนะ ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนวัยเดียวกันครับ มีความรู้ มีข้อมูลอะไรก็มาแชร์กันนะครับ เมื่อ: 2010-12-08T09:03:56+00:00 murder_doll: Phao เขียน:5.วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง นรินทร์ โอฬาร *ขาดไม่ได้ เล่มนี้ครับ  ลองหาหลายที่แล้วครับ บอกว่าไม่มีหนังสือนานแล้วครับ ท่านใหนเคยเจออยู่ที่ร้านหนังสื่อที่ไหนรบกวนบอกหน่อยครับ ลอวดูทั้ง ที่เซ็นทรันลาดพร้าว ทีพราก้อน ก็ไม่เจอครับ เอ๋ เล่มนี้ผมซื้อมาประมาณ 6 เดือนที่แล้วครับ ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ลองไปหาดูครับตอนนั้นเห็นมีหลายเล่มอยู่ เมื่อ: 2010-12-08T11:35:29+00:00 vittawas: หนังสือพี่สุมาอี้ผมว่าสั่งจากหน้า Blog แกจะง่ายกว่าหานะครับ ไม่กี่วันก็ได้แล้ว :lol: ลองเสริ์จหาดูแล้วกันนะเพราะผมหาหน้านั้นไม่เจอแล้ว เมื่อ: 2010-12-08T12:08:08+00:00 ohmmairoo: ผมช่วยแปะ link ของคุณสุมาอี้ให้ครับ http://dekisugi.net/books ผมอยู่กรุงเทพ ไม่เกิน 3 วันก็ได้หนังสือแล้วครับ เมื่อ: 2010-12-08T12:17:12+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ซื้อหุ้นบริษัทหลังขึ้น xd จะได้รับรายงานประจำปีหรือเปล่า burengnong: พอดีสนใจหุ้นตัวหนึ่งอยากได้รายงานประจำปีไว้ศึกษาแต่ว่าขึ้น xd ไปหลายวันแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะได้หรือเปล่า เมื่อ: 2007-03-17T05:53:00+00:00 โอ@: ดูที่ XM ครับ ว่าขึ้นหรือยัง เช็คที่นี่ครับ http://www.set.or.th/set/calendarofeven ... country=TH เมื่อ: 2007-03-17T06:35:26+00:00 ลูกอิสาน: ซื้อก่อน xm เหมือนน้องโอ๊ตว่า หรือดาวโหลดจากเวป set.or.th หรือโทรไปขอที่บริษัท เมื่อ: 2007-03-17T15:50:42+00:00 โอ@: จริงๆ อ่าน 56-1 ดีกว่าอ่านรายงานประจำปีนะครับ แต่รายงานประจำปีมันจะมีรูปต่างๆใส่เข้ามาเยอะกว่าหน่ะครับ แล้วก็อาจจะมีอะไรที่บริษัทอยากประชาสัมพันธ์ใส่เข้ามา สรุปต้องอ่านทั้งสองอย่างครับ เมื่อ: 2007-03-17T16:37:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Interesting presentation notes from ECRI !!! LOSO: http://www.businesscycle.com/reuters/fr ... 48gqc1.pdf ลองอ่านดู   เผื่อจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ครับ .............. เมื่อ: 2009-10-06T05:56:45+00:00 LOSO: ขอบคุณ ECRI และ Mr. Lakshman Achuthan ................... เมื่อ: 2009-10-06T10:17:03+00:00 krisy: ขอบคุณมากค่ะ เมื่อ: 2009-10-06T10:50:40+00:00 o-bo-ja-ma: ขอบคุณพี่ LOSO ครับผม :lol: เมื่อ: 2009-10-06T14:41:48+00:00 เหาฉลามสุดขอบฟ้า: สุโค่ย... อย่างนี้ต้องเหนี่ยวมาเป็นอินดิเคเต้อร์ชั้นดีอีกตัวนึง แถมใช้ง่าย(ไปหรือเปล่า) เมื่อ: 2009-10-07T02:27:45+00:00 wasan_yu: ขอบคุณพี่ LOSO ครับ   เมื่อ: 2009-10-09T01:05:26+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
SUC ม้าเฉียว: รายงาน : 11 ปีในจีนโอกาสทองสหยูเนี่ยน โรงไฟฟ้า-สิ่งทอสู่เป้า 2.2 หมื่นล้าน (กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547) การลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอด 11 ปี ของสหยูเนี่ยนในประเทศจีน เริ่มจากธุรกิจขนาดใหญ่ด้านโรงผลิตไฟฟ้า ภายใต้ชื่อ บริษัท ยูเนี่ยน เอ็นเนอร์ยี่ (ไชน่า) จำกัด ตามด้วย สิ่งทอ และการลงทุนในตลาดการศึกษา ด้วยการเปิดโรงเรียนนานาชาติ ดอลลิช เซี่ยงไฮ้ ล่าสุดคือ การประกาศแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ในจีนเมื่อเร็วๆ นี้ นับเป็นการลงทุนที่ท้าทายไม่น้อยในสายตาของคนทั่วไป ขณะที่มีการประมาณการรายได้ จากการดำเนินธุรกิจของสหยูเนี่ยนในจีน ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 5,600 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 7,800 ล้านบาท ในปี 2547 นั้น นับเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวที่ไม่เลวทีเดียว การขยายการลงทุน ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายในมุมมองของ วัชรพงษ์ ดารกานนท์ รองกรรมการผู้จ้ดการ กลุ่มเทคโนโลยี บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) ซึ่งทายาทสหยูเนี่ยน กล่าวว่า การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของสหยูเนี่ยน ในประเทศจีน เพิ่มขึ้นนั้น มีอยู่หลายปัจจัย ปัจจัยแรกก็คือ แม้รัฐบาลจีนจะอนุญาตให้บริษัทต่างชาติ ที่เข้าไปร่วมลงทุนสามารถนำกำไร กลับมายังประเทศได้ แต่ในส่วนที่เป็นเงินลงทุนนั้นไม่สามารถนำกลับมาได้ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีการลงทุนใหม่ ปัจจัยต่อมาก็คือ ความรุ่งเรืองของประเทศจีนในหลายด้าน รวมถึงด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนนับว่าจีนเป็นประเทศที่มีโอกาส และมีศักยภาพไม่แพ้ใคร นี่คือ ช่องทาง และโอกาสที่ทำให้บริษัท เบนเข็มมายังประเทศจีนมากขึ้น ซึ่งรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การเพิ่มการลงทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งยังคงมาจากความพยายาม ในการชดเชยรายได้ที่หดหายไปจากตลาดสิ่งทอ ซึ่งถือว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งอนาคตของสิ่งทอไทยจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องรอลุ้นในวันที่ 1 ม.ค.2548 ซึ่งจะเป็นวันที่ประเทศสหรัฐ จะมีนโยบายเกี่ยวกับสิ่งทอออกมา ถึงวันนั้นบริษัทคงหันมาดู และทบทวนทิศทางธุรกิจกันใหม่ สหยูเนี่ยนถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสิ่งทอของเมืองไทย เคยมีรายได้จากอุตสาหกรรมนี้ถึงปีละกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจต่อเนื่องมา อุตสาหกรรมสิ่งทอของบริษัทถือเป็นธุรกิจที่ไม่ขยายตัวนักอาจเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงขาลงซึ่งตลาดหดตัวไปกว่า 30% อันเป็นผลมาจากปัจจัยการผลิตที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เจ้าของแบรนด์สินค้า หันไปสั่งสินค้าจากจีนแทน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัท ได้มีปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพการผลิต นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้มากขึ้น และพยายามส่งสินค้าขายเข้าประเทศจีนให้ได้มากขึ้น จากการที่ได้เริ่มเข้าไปทำธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า ในชื่อบริษัท ยูเนี่ยน เอ็นเนอร์ยี่ (ไชน่า) จำกัด ในจีนในช่วง 11 ปีที่ผ่านมานั้น บริษัทเริ่มเห็นรายได้ที่เด่นชัดขึ้น และธุรกิจมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นด้วย เศรษฐกิจของจีนมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 8-9% เท่ากับอัตราการขยายของเศรษฐกิจไทย ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ และรายได้จากจีนจะเข้ามาชดเชยรายได้สิ่งทอในไทยที่ลดลงไปได้ สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย จากนี้ไปจะให้ความสำคัญในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น ตามการเติบโต และขยายตัวของอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะมีรายได้จากกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ประมาณ 1,700 ล้านบาท เทียบกับสิ้นปี 2546 ที่มีรายได้รวม 1,300 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มสหยูเนี่ยนจะมีรายได้รวม 22,800 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากบริษัทในไทย 15,000 ล้านบาท และรายได้จากบริษัทในจีน 7,800 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัทในสิ้นปี 2546 ซึ่งมีราว 20,500 ล้านบาท แยกเป็นบริษัทในไทย 14,900 ล้านบาท และรายได้จากบริษัทในจีน 5,600 ล้านบาท สหยูเนี่ยน เน้นย้ำถึงแผนการลงทุนในจีน โดยจะดูจากโอกาสทางธุรกิจและการเปิดกว้างทางการค้าของประเทศจีนต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้จับตาเฝ้าติดตาม และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อันเป็นรูปแบบการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง การลงทุนของบริษัทคนไทยที่มีมุมมอง ต่อการลงทุนนอกบ้านได้อย่างน่าสนใจ เมื่อ: 2004-11-22T01:26:04+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บัฟเฟตต์ ชี้ !!!! LOSO: 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' มหาเศรษฐีเบอร์ 2 ของโลกชี้การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยเสี่ยงทาง ศก.ที่น่ากลัวที่สุด สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นาย วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกชาวอเมริกันออกมาเตือนวานนี้ว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯกำลังเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่น่าหวั่นเกรงยิ่งกว่าการขาดดุลงบประมาณหรือภาระหนี้ของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังหวั่นเกรงว่า ประเด็นนี้อาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง 'ขณะนี้ทั้งโลกเป็นหนี้เรา 3 ล้านล้านดอลลาร์ ในความเห็นของผม การขาดดุลการค้ามูลค่ามหาศาลของเราจะทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งอาจได้เห็นในเร็วๆนี้ และผมคิดว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่' นาย บัฟเฟตต์กล่าววานนี้ ทั้งนี้ ในปี 2547 สหรัฐฯขาดดุลการค้าเป็นมูลค่าสูงถึง 665.9 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ในปี 2548 เขาคาดว่า สหรัฐฯจะขาดดุลการค้าเกิน 700 พันล้านดอลลาร์ เมื่อ: 2006-01-18T14:43:32+00:00 LOSO: ความวุ่นวายทางการเมือง และ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ............. ที่บัฟเฟตต์คิดว่าจะเกิดคืออะไรนะ ......... เมื่อ: 2006-01-18T14:47:06+00:00 คัดท้าย: LOSO เขียน:ความวุ่นวายทางการเมือง และ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ............. ที่บัฟเฟตต์คิดว่าจะเกิดคืออะไรนะ ......... ไหนว่าไม่สน ... เมื่อ: 2006-01-19T06:05:37+00:00 โป้ง: สงคราม เมื่อ: 2006-01-19T07:12:45+00:00 Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมด'ขณะนี้ทั้งโลกเป็นหนี้เรา 3 ล้านล้านดอลลาร์ เอ นึกว่า เมกาเป็นหนี้ทั้งโลก 3 ล้านล้านดอลล่าร์ เขียนผิดเป่านี่ เมื่อ: 2006-01-19T08:28:54+00:00 b37skp: ตกใจหมดเลยครับ นึกว่าคุณลุงหมดลมซะแล้ว ..."บัฟเฟตต์ ซี้'...  :D  :D เมื่อ: 2006-01-19T08:33:58+00:00 สุมาอี้: ตราบใดที่แสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐยังเป็นหนึ่งอยู่ และบริษัทในสหรัฐยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอยู่ สหรัฐก็ยังกู้เงินมาบริโภคต่อไปได้เรื่อยๆ ครับ ตราบใดที่เจ้าหนี้ยังไม่เรียกหนี้คืน ลูกหนี้ก็ยังเดินลอยชายได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับภาพพจน์เป็นหลัก เมื่อ: 2006-01-19T09:17:26+00:00 bigbuck: ประกาศ เชิดหนี้ ไงครับ ยกเลิกเงินสกุลดอลล่าร์ ประกาศสงครามกับทุกประเทศที่เป็นเจ้าหนี้ โดยเฉพาะอาหรับ แล้วสงครามโลกจะเกิดขึ้น ก็จะได้ข้ออ้างในการระบายสต็อกหัวรบนิวเครียร์ ด้วยการยิงใส่คู่สงคราม แล้วเมื่อนั้น ไอ้กันก็ชนะอยู่คนเดียว เพ้อเจ้อไปเรื่อย เมื่อ: 2006-01-19T09:30:18+00:00 MO101: ตามความเข้าใจของผม เมื่อลูกหนี้มีปืน แล้วเจ้าหนี้มี น้ำมัน + อาหาร คิดว่าเจ้าหนี้คงทวงเงินลูกหนี้คนนี้ยากครับ เมื่อ: 2006-01-19T10:05:59+00:00 PaZZaHut: เมื่อ: 2006-01-19T13:07:13+00:00 lieu: ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ เศรษฐกิจของไทยจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้เนอะ แต่ก็น่าจะเป็นโอกาสดีของชาว TVI อีกครั้ง ว่าแต่....เตรียมกระสุนไว้พร้อมรึยัง     เมื่อ: 2006-01-19T13:16:34+00:00 chatchai: ใครว่า Buffett ไม่สนใจ Macro ใครว่า VI ไม่คอยสนใจ Macro เมื่อ: 2006-01-19T14:24:56+00:00 hot: http://www.kitco.com ทองกลับมาขึ้นแล้วซิคับ เมื่อ: 2006-01-19T14:39:28+00:00 Boring Stock Lover: "สนใจ"? แล้ว Buffet ขายทรัพย์สินที่อยู่ใน USA ออกหรือเปล่า หรือมีการทำการกระจายการลงทุนในสัดส่วนที่สำคัญ หรือว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้น Coke สัดส่วนรายได้ Coke น่าจะอยู่ที่ 40 ในอเมริกา 60 ในส่วนที่เหลือของโลก ถ้าเกิดปัญหาเงินUSD อ่อนลง รายได้ Coke ก็มากขึ้นในรูป USD หรือ... เมื่อ: 2006-01-19T14:43:27+00:00 ลูกอิสาน: ปกติหากเป็นนักลงทุน ก็ต้องติดตามข่าวสารเศรษกิจอยู่แล้ว ไม่อยากรับรู้ ก็ต้องรับรู้ แต่คงไม่ต้องไปเสียเวลาวิเคราะห์ให้ปวดหัวครับ ถ้าเป็นแค่ลมกรรโชกแรงๆ คงไม่ต้องสนใจ รอพายุใหญ่มา ค่อยว่ากัน เมื่อ: 2006-01-19T14:49:45+00:00 PP: ตามที่ได้ลองพยายามอ่านหาความรู้ทำความเข้าใจแนวคิดของ Buffett ต่อ Macro-Economic(ความเห็นผม อาจไม่ถูกทั้งหมด  :D ) ท่านไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องของ Macro โดยเฉพาะในแง่ของการพยากรณ์ว่าทิศทางจะไปทางโน้นทางนี้หรอก เพราะไม่เคยมีใครทายได้ถูกว่าจะเกิดขึ้นทางใด ณ เวลาใด และปัจจัยที่จะทำให้ทิศทางของเศรษฐกิจหันเหไปทางใดนั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน จึงยากที่จะคาดเดาว่าบทสรุปจะออกมาได้แบบตรงเป๊ะ ณ เมื่อเวลาใดโดยเฉพาะได้  แม้จะมีนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ได้เสนอโมเดลออกมาเพื่อทำนายทิศทางเศรษฐกิจจนได้รางวัลโนเบล   แต่ไม่พบว่ามีผู้ใดใช้โมเดลนั้นพยายกรณ์ได้ถูกต้องแม้แต่หนเดียว เพราะโมเดลก็ต้องมีอาศัยข้อมูลซึ่งมีตัวผันแปรยั้วเยี้ยเยอะแยะไปหมดใส่เข้าไป  ขาดตัวแปรไปตัวหนึ่งหรือข้อมูลตัวแปรผิดไปนิดหนึ่งย่อมทำให้ผลแตกต่างกับแบบขาวกับดำได้ จึงคล้ายกับโปรแกรมวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ หากใส่ข้อมูลดิบที่เป็นทอง ผลลัพธ์ก็เป็นทองแน่ๆ  หากเป็นขยะผลลัพธ์ก็เป็นขยะที่ไร้ค่า ฉะนั้นเมื่อไม่มีใครสามารถพยากรณ์ทิศทางเศรฐกิจได้แม่นยำได้ ท่านบัฟเฟตต์จึงไม่เสียเวลากับเรื่องของ Macro สู้เอาเวลาดังกล่าวไปค้นคว้าศึกษา economic ของบริษัทแต่ละบริษัทนั้นๆในทุกๆด้านที่ตนสนใจแทน  และก็ปรากฏแนวคิดดังกล่าวมันได้ผลทางปฏิบัติทำให้พอร์ตโฟลิโอของ Berkshire Hathaway เติบโตมาในอัตราสูงผิดชาวบ้านจนโด่งดังมาถึงทุกวันนี้ เมื่อ: 2006-01-20T02:59:06+00:00 tanasombat: ฉะนั้นเมื่อไม่มีใครสามารถพยากรณ์ทิศทางเศรฐกิจได้แม่นยำได้ ท่านบัฟเฟตต์จึงไม่เสียเวลากับเรื่องของ Macro 8)  8)  8)  สู้เอาเวลาดังกล่าวไปค้นคว้าศึกษา economic ของบริษัทแต่ละบริษัทนั้นๆในทุกๆด้านที่ตนสนใจแทน  :idea:  :idea:  :idea:  และก็ปรากฏแนวคิดดังกล่าวมันได้ผลทางปฏิบัติทำให้พอร์ตโฟลิโอของ Berkshire Hathaway เติบโตมาในอัตราสูงผิดชาวบ้านจนโด่งดังมาถึงทุกวันนี้  :idea:  :idea:  :idea:  :idea:  :idea:  :idea:  :idea: เมื่อ: 2006-01-20T15:30:51+00:00 Simply: ผมว่าบัฟเฟตต์ไม่ได้มีความพยายามจะทำนายเศรษฐกิจในส่วนมหภาค แต่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาคย่อมกระทบธุรกิจโดยรวม ผมคิดว่าบัฟเฟตต์พยายามหาโอกาสในการซื้อของดีราคาถูกถ้าเกิดผลกระทบในแง่ลบแบบชั่วคราวต่อธุรกิจที่เขากำลังจ้องอยู่ และบัฟเฟตต์อาจคาดถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจที่เขาเองกำลังถืออยู่ว่าจะเกิดความเสียหายเท่าไหร่ หรือต้องเตรียมแผนสำรองไว้ทำอะไรบ้าง...การพยายามทำนายเศรษฐกิจมหภาคก็เหมือนกับการพยากรณ์อากาศซึ่งอาศัยทั้งเครื่องมือและสถิติที่เกิดขึ้นมาแล้ว เหมือนกับการออกเรือเดินทะเล ถ้าเห็นว่าจะเกิดพายุ ก็ต้องเตรียมเรือเตรียมอุปกรณ์ หรือแม้แต่อาจต้องงดเดินทางเพื่อเลี่ยงความเสียหาย...เหมือนสุภาษิตจีนที่ว่า"พึงระวังป้องกันไว้ส่วนหนึ่ง" เมื่อ: 2006-01-21T02:10:00+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Black Tuesday 19 Dec 2006 ply33: SET INDEX 622.14 -108.41 -14.84% High / Low: 721.85 / 587.92 SET 100 INDEX 941.29 -175.42 -15.71% High / Low: 1100.93 / 885.7 SET 50 INDEX 430.96 -81.04 -15.83% High / Low: 504.3 / 405.59 mai INDEX 177.79 -20.99 -10.56% High / Low: 198.38 / 168.6 Quick Glance Value(M) 72131.194 Gainers 8 Volume(*000) 7072785 Unchanged 13 Mkt Status Run-off Losers 460 จะเก็บไว้ให้ลูกหลานดูครับ แต่ถึงยังไงก็ยังมี เขียวนะครับ Top Gainers Stock Volume Last Done %Change TCOAT 100 17.500 25.000 SAFE 200 58.000 9.434 IRCP-W1 33,600 5.300 6.000 CPH 1,100 9.300 4.494 LNH 112,900 32.000 3.226 US 1,200 7.200 2.857 TCP 1,575,900 15.000 2.041 SALEE 5,550,200 2.300 1.770 ACAP 12,300 6.000 1.695 DCON 14,000 3.000 1.351 เมื่อ: 2006-12-19T09:58:14+00:00 ply33: คาดตลาดหุ้นเจ๊งกว่า 5 แสนล้าน ดัชนีรูดไปกว่า 100 จุด รัฐบาลเตรียมประเมินผลเสียหายหลังปิดตลาด เย็นวันนี้ "หม่อมอุ๋ย" ปลื้ม มาตรการธปท.ได้ผลเกินคาด เย้ยนักลงทุนตปท. ผลกระทบขาดทุนในตลาดหุ้น อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชี้เม็ดเงินนอกกว่าแสนล้าน กำลังไหลกลับตลาดหุ้น             ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ผลกระทบกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ที่เกิดจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว โดยทางการจะประเมินผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากต้องการให้ผลที่เกิดจากการใช้มาตรการดังกล่าวได้แสดงออกมาให้เต็มที่ก่อน อย่างไรก็ดี ในภาพรวมแล้วเห็นว่าทั้งค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าเชื่อถืออยู่             "ผลที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้เราคาดไว้อยู่แล้ว ส่วนจะมีมาตรการดูแลอะไรหรือไม่นั้น รอให้ตลาดฯ ปิดก่อนจึงจะประเมินอีกครั้ง" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว และเพิ่มเติมว่า             การออกมาตรการของ ธปท.ก็เพื่อต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งก่อนหน้านี้เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนมากจะไปอยู่ที่ตลาดหุ้น แต่ในเดือนธ.ค.เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนใหญ่ ไปอยู่ที่ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อหวังเก็งกำไรจากค่าเงินบาท หากธปท.ไม่นำมาตรการสกัดกั้นเงินทุนระยะสั้นออกมาใช้ ก็จะยิ่งทำให้ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรกับเงินบาทมากขึ้น             ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แม้นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นออกมา แต่ยังไม่มีการซื้อดอลลาร์เพื่อเอาเงินออกนอกประเทศ นอกจากนี้เชื่อว่ายังมีเงินลงทุนของผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (non-resident) อีกกว่าแสนล้านบาทที่พร้อมกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้             ทั้งนี้ มีการประเมินเบื้องตนว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับลดลงไปกว่า 100 จุด ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 5 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งความเสียหายของตลาดหุ้นทั้งหมด รัฐบาลจะมีการประเมินตัวเลขเย็นวันนี้ เมื่อ: 2006-12-19T09:58:37+00:00 ply33: Thai capital control would have no sudden impact : S & P Thailand's imposition of capital controls to curb its currency appreciation won't have an immediate impact on the country's credit ratings, but the new measures will have long-term economic costs, a senior credit analyst at Standard and Poor's Ratings Services told Down Jones Tuesday. The measures will slow foreign capital inflows, which could reverse the country's current account surplus and hurt the economy, said Kim Eng Tan, the primary analyst for Thailand at S&P. "It has been very effective in stopping speculative inflows," said Tan, based on the market's performance Tuesday. "Definitely, it will work, but it carries long-term costs which have to be balanced with short-term benefits." The Bank of Thailand said that from Tuesday, all banks would be required to hold in reserve for one year 30% of capital inflows that aren't trade- or services-related or repatriation of Thai residents' investments abroad. Down Jones reported there won't be any immediate impact on the country's credit ratings because the country is adopting the measures from a position of strength, Tan said. That could change if the country incurs a current account deficit, he said. S&P in October removed Thailand from credit watch and affirmed its BBB+/A-2 foreign currency and A/A-1 local currency sovereign credit ratings. The outlook is stable. The Nation เมื่อ: 2006-12-19T09:59:09+00:00 ply33: มือเศรษฐกิจ ปชป.จี้แบงก์ชาติทบทวนมาตรการควบคุมเก็งกำไรค่าเงินบาท หวั่นส่งผลกระทบตลาดหุ้นระยะยาว ขู่เตรียมประเมินความเสียหายตลาดหุ้นล่วงหน้าได้เลย แนะใช้มาตรการภาษีเก็บขาออกจะกระทบบรรยากาศลงทุนน้อยกว่า             วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรค และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการสกัดการลงทุนเพื่อควบคุมการเก็งกำไรค่าเงินบาทว่า พรรคประชาธิปัตย์กังวลว่าจะกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนในตลาดทุน เพราะนโยบายที่ ธปท.ประกาศออกมาครอบคลุมการนำเข้าของเงินบาทในทุกกรณี ซึ่งตนได้ชี้แจงไปยัง ธปท.ถึงผลกระทบที่จะต้องมีอย่างแน่นอนกับตลาดหุ้น ซึ่งปรากฏชัดเจนแล้ว คือ มีอาการตื่นตระหนกของนักลงทุนต่อมาตรการนี้ และหุ้นได้ลดลงไปกว่า 60 จุด ทำให้คาดว่าเงินจากนักลงทุนต่างประเทศจะชะงัก และจะไม่มีนักลงทุนมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย และ ธปท.ตระหนักหรือไม่ว่ามีกองทุนขนาดใหญ่ของต่างประเทศ มีข้อจำกัดเรื่องกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ ไม่ให้ลงทุนในประเทศที่มีการควบคุมการเข้าออกของเงิน             ตราบใดที่ยังมีมาตรการนี้อยู่ คงจะไม่มีนักลงทุนคนไหนพร้อมนำเงิน 100 บาท เข้ามาในประเทศ และมีสิทธิลงทุนเพียงแค่ 70 บาท ในขณะที่อีก 30 บาทต้องนำไปพักไว้ในตราสารที่ไม่ได้รับดอกเบี้ย ตรงนี้ยังไม่รวมถึงที่จะถูกหักอีก 10 เปอร์เซ็นต์ กรณีนำเงินออก ภายใน 1 ปี ต้องย้อนถาม ธปท.ว่าสาเหตุที่ ธปท.ออกมาตรการนี้เพื่อสกัดกลุ่มที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาทนั้น แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่ากลุ่มที่เข้ามาเก็งกำไรเอาเงินมาพักไว้ที่ใด และที่ผ่านมาได้นำเงินดังกล่าวมาพักไว้ที่ตลาดหุ้นหรือไม่ แต่จะเห็นว่าส่วนใหญ่เงินที่นักเก็งกำไรนำเข้ามาจะพักไว้ในตลาดตราสารหนี้มากกว่า เพราะตลาดตราสารหนี้ไทยเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก 4-5 เท่า ในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรณ์ กล่าว             นายกรณ์ กล่าวว่า มาตรการที่ครอบคลุมถึงตลาดหุ้นด้วยนั้นจึงไม่แน่ใจว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนเมื่อเปรียบเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งในระยะยาวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จึงขอถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ และดูเหมือนจะมีผลกระทบในแง่ลบมากกว่าบวก จึงเสนอว่า ถ้ามีความตั้งใจที่อยากจะสกัดนักเก็งกำไรค่าเงิน น่าจะพิจารณามาตรการการเก็บภาษีในกรณีที่มีการนำเงินออกอย่างรวดเร็วมากกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ยากที่จะมีการทบทวนมาตรการที่ได้ประกาศออกไปแล้ว แต่หากมีผลกระทบระยะยาวต่อการลงทุนอาจนำกลับมาทบทวนได้ว่าเหมาะสมหรือไม่             ผู้สื่อข่าวถามว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ระบุว่า มาตรการดังกล่าวกระทบแค่ระยะสั้น นายกรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีเงินตราต่างประเทศเข้ามาพักอยู่ในระบบของเมืองไทยค่อนข้างมาก แต่ละสัปดาห์มีเงินเข้ามาประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เข้ามาเก็งกำไร การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า เงินส่วนนี้อยู่ในเมืองไทยอยู่แล้ว และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา นักลงทุนจะนำเงินเข้ามาซื้อหุ้นนั้น ตนคิดว่าเป็นการคาดหวัง เพราะเงินของรัฐ หรือกำไรที่นำเข้ามาไม่ได้มีเจตนาที่จะมาซื้อหุ้นตั้งแต่แรก แต่จะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท จึงสรุปไม่ได้ว่าเงินเหล่านี้จะโอนเข้ามาสู่ตลาดหุ้น ซึ่งจะส่งผลต่อนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนจริง แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์คือนักเก็งกำไรที่นำเงินเข้ามาพักไว้ในประเทศ และสามารถช้อนซื้อของถูกจากนักลงทุนที่มีเจตนาเข้ามาลงทุนตั้งแต่แรก             รัฐต้องใช้มาตรการที่มีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนน้อยกว่านี้ เพราะมีตัวอย่างที่บางประเทศใช้มาตรการนี้มาก่อน แต่ก็มีน้อยประเทศที่ประสบความสำเร็จ ตรงนี้จึงน่ากังวลมากอยากให้ ธปท.ร่วมกับรัฐบาลพิจารณาว่ามีความเหมาะสม จำเป็นจริงหรือ และจากนี้ต้องประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนกับตลาดหุ้น นายกรณ์ กล่าว เมื่อ: 2006-12-19T09:59:31+00:00 ply33: วันนี้อาจจะเป็นอีกวันที่เข้าเวบกันมาเยอะที่สุดนะคร้าบบบบบบ ขอให้ทุกท่านนอนหลับสบายนะครับผม เมื่อ: 2006-12-19T10:00:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ราคาถ่านหินพุ่งขึ้นแรงมาก ตอนนี้ SASC เกือบ $60 แล้ว CK: นับเป็นปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาดมาก ยังไม่ได้ยินข่าวเรื่อง supply shortage ที่ไหน ปกติราคาถ่านหินจะไม่วิ่ง week ละ 10% แบบนี้ มีใครมีข่าวบ้างไหมครับ ดูเหมือนสินค้า commodity ทุกอย่างจะแข่งกันขึ้นนะ วันศุกร์ที่ผ่านมา ยกเว้นค่าระวางเรือ....... เมื่อ: 2006-03-19T01:19:19+00:00 โอ@: ถ่านหินขึ้นนี่เป็นผลดีหรือว่าเสียกับคนขายถ่านกัน ตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังหาลูกค้า ถ้าต้นทุนการผลิตมันเพิ่ม ข้อได้เปรียบของถ่านหิน กับน้ำมันเตา ก็น้อยลงซิ เมื่อ: 2006-03-19T05:14:32+00:00 riname: ...ตกลงเราจะเล่นตามข่าว....ใช่มั้ยครับ.... ......ก็ถ้าตามข่าวก็ฟาดโลด.......เดี๋ยวข่าวมาถึงก็พอดี... ......ขายแย้ว........ เมื่อ: 2006-03-19T05:25:42+00:00 pawiga: ราคาถ่านหิน กับ คาร์บอนแบล็ก หาที่เวปไหนหรอคับ เมื่อ: 2006-03-19T07:23:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
AMATA ทำนิวไฮไปแล้วครับ CK: มาแบบเงียบๆเชียบๆ ไม่เคยติด Top Gainer และแล้วเมื่อวานก็ทำนิวไฮไปอีกแล้วครับที่ 14.80 บาท ผมดูหุ้นตัวนี้ด้วยวิชา VI เป็นตัวแรกครับเมื่อเดือนมิย. ด้วยเหตุผลคือ อสังหาริมทรัพย์ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว การขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้มีการเปิดโรงงานใหม่ในนิคมอุตสาหกรรม AMATA มีการลงทุนในเรื่องสาธารณูปโภค ทำให้รายได้ใน 5 ปีข้างหน้าจะมาจากการขายไฟฟ้า น้ำ ฯลฯ เป็นรายได้ที่สม่ำเสมอ จำนวนที่ดินในมือ AMATA มีมูลค่ามหาศาล ส่วนข้อเสียมีดังนี้ คุณชวลิต ยอดมณี มีการขายหุ้นที่ตนเองถือออกมาบ้าง การค้ำประกันปล่อยกู้ให้บริษัทในเครือเต็มจำนวน มากกว่าสัดส่วนการถือหุ้น การปล่อยกู้ให้บริษัทในเครือ และการต่ออายุเงินกู้ มีบริษัทในเครือมาก ผู้บริหารมีนโยบายดูแลราคาหุ้น สรุปแล้วก็คือซื้อครับ โดยกะว่าจะถือไว้สัก 5 ปี แต่ดันขายตามนิสัยเดิม ตอนนี้เหลือแค่ติดปลายนวมนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถือเป็นบทเรียนสำหรับคนที่กำลังเริ่มจะเข้าสู้แนวทางถือยาวนะครับ ว่า ความยั่วยวนใจของราคาตลาดจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด I have found my greatest enemy, and it is myself. เมื่อ: 2003-12-12T02:43:37+00:00 ayethebing: คุณน้อง CK ผมก้อมีนิดเดียวเหมือนกัน แต่การที่ผู้บริหารขายหุ้นออกมา ผมว่าคงไม่เป็นไรมั้ง เค้ามีเหตุผลร้อยแปดที่จะขายเช่นอยากได้เบนซ์คันใหม่ อยากซื้อที่ดินแถวปาริสเก็บไว้เก็งกำไร จิปาถะ ส่วนที่ว่าเค้ามีบริษัทในเครือและการค้ำประกันเห็นด้วยครับ แล้วที่ว่าเค้ามีนโยบายดูแลราคาหุ้นนะเค้าทำยังไงจนเห็นอย่างเด่นชัดเหรอครับ อันนี้ผมไม่รู้เลย อาจเพราะไม่ได้ติดตามนานพอก้อได้ เมื่อ: 2003-12-12T07:44:22+00:00 CK: ayethebing เขียน:คุณน้อง CK แล้วที่ว่าเค้ามีนโยบายดูแลราคาหุ้นนะเค้าทำยังไงจนเห็นอย่างเด่นชัดเหรอครับ อันนี้ผมไม่รู้เลย อาจเพราะไม่ได้ติดตามนานพอก้อได้ คุณพี่ aye เช่นการออกข่าวเรื่องยอดขายก่อนที่จะมีรายการเกิดขึ้นจริง เช่นการประชาสัมพันธ์ตัวเองเรื่อง road show เช่นการแตกพาร์เพื่อเสริมสภาพคล่อง เช่นทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหมือนมีรายใหญ่คุม ข้อสุดท้ายผมเดาเองครับจากความเคลื่อนไหวของราคา ซึ่ง น่าจะมาจากรายใหญ่จริงๆเท่านั้น คือมีหุ้นในมีจำนวนมากๆ เมื่อ: 2003-12-12T08:52:04+00:00 CK: วันนี้มีนิวไฮใหม่แล้วครับที่ 15.1 บาท ต้นๆ ปียัง 5 บาทอยู่เลย เฮ้อ เมื่อ: 2003-12-15T10:22:56+00:00 ayethebing: วันนี้ก้อนิวไฮอีกวัน 15.6 บาทครับ ขยันขึ้นจิงๆ เราดันมีน้อยแถมต้นทุนแพงไม่เหมือนคนที่เก็บมาตั้งแต่ต้นปีหรอก เกือบ 4 bagger แล้วนะเนี่ย เมื่อ: 2003-12-16T08:42:44+00:00 CK: ayethebing เขียน:วันนี้ก้อนิวไฮอีกวัน 15.6 บาทครับ ขยันขึ้นจิงๆ เราดันมีน้อยแถมต้นทุนแพงไม่เหมือนคนที่เก็บมาตั้งแต่ต้นปีหรอก เกือบ 4 bagger แล้วนะเนี่ย แต่ก็มีน้อยเหมือนกันครับ แหะๆ มือบอนขายทิ้งระหว่างทางไปเยอะ แต่วันนี้เมื่อเช้า นิวไฮที่ 16.00 บาทครับ เป็นสองเท่าของเป้าหมายปี 2546 ของผมเลยแฮะ เอาเข้าไป ปากกาหักดังเป๊าะ อย่างที่เขาว่ากันแหละครับ แนวต้านที่แท้จริงมันไม่มี เมื่อ: 2003-12-16T08:59:28+00:00 CC: ยังเก็บไว้ตั้งแต่ 3 กว่าๆ บาทอยู่เลย จะขายก็ขึ้นมาทุกที เมื่อ: 2003-12-16T09:58:03+00:00 CK: ยินดีด้วยครับ อีก 5 ปีรับปันผลสัก 50% ของทุนไปเลยครับ เมื่อ: 2003-12-16T10:02:25+00:00 CC: ข่าวดีดี ยังรอ-ออกอีกเยอะค่ะ เมื่อ: 2003-12-16T10:48:03+00:00 benedict: ขอแจมด้วยคนครับ ไหนๆ ก้อดูแลหุ้นตัวนี้อยู่ในห้องร้อยคนร้อยหุ้น คาดว่าก่อน สิ้นปีนี้น่าที่จะมีข่าวขายที่ดินเข้ามาอีกครับ อาจไม่ใช่ล็อตใหญ่นัก แต่จะทำให้ยอดขายเกินเป้าหมายที่ปรับขึ้นมาจาก 800 ไร่ เป็น 900 ไร่ เมื่อกลางปี เบ็ดเสร็จแล้วอาจถึง 1000 ไร่ เห็นว่ากำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับนักลงทุนไต้หวันและจะสามารถสรุปการขายได้ หากราคายังสามารถยืนอยู่ที่ระดับนี้ได้โดยไม่มีการปรับฐานในช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนนี้ อาจจะเห็นไปแตะที่ 17-18 บาทน่ะครับ นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ เล่นเอาผมแปลกใจพอสมควร เสียดายอย่างเดียวครับมีในพอร์ตน้อยไปหน่อยน่ะครับ เมื่อ: 2003-12-16T14:42:39+00:00 benedict: อืมม์ เมื่อ: 2003-12-17T06:19:00+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วันจันทร์ที่12 ตลาดหุ้นเปิดหรือเปล่าครับ? benedict: รบกวนหน่อยครับ เมื่อ: 2004-04-03T15:15:45+00:00 Stock Broker: ตลาดหุ้นปิดทำการเช่นเดียวกับธนาคารครับ คือ 13-15 (วันอังคารถึงพฤหัส) ครับ เมื่อ: 2004-04-08T14:37:48+00:00 โอ@: สาหรุปก็คือจันทร์เปิดครับ หุหุ มีให้คิดด้วย เมื่อ: 2004-04-08T17:04:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีความเห็นอย่างไรบ้างครับกับการกระทำของกระทรวงการคลังเช่นนี้ eak: สะกดรอย...กองทุน "วายุภักษ์ หนึ่ง" ถ่าย "เงินปันผล" สู่กระเป๋า "กระทรวงการคลัง" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่กำลังเดินแผน "จำกัด" การเติบโตของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) สูงเกินไป...ด้วยลูกเล่นพิเศษ ที่สร้างให้ "กระทรวงการคลัง" รับผลประโยชน์แทนประชาชน (ผู้ถือหน่วยลงทุน) ความเคลื่อนไหวของพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นของ กองทุนรวม "วายุภักษ์ หนึ่ง" หลังจากกองทุนแห่งนี้เข้ามาร่วมวงซื้อขายในตลาดหุ้นได้ 2 ปีเศษ (เริ่มเทรดตั้งแต่ 27 ก.พ. 2547) โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นสถาบันการเงิน รัฐวิสาหกิจ และธุรกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ และรับประกันผลตอบแทน (เงินปันผล) ให้ผู้ถือหน่วยขั้นต่ำที่ 3% ต่อปี โดยจากข้อมูลวันที่ 17 มี.ค. 2549 กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ได้รายงานมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (หลังหักหนี้สิน 6.36 หมื่นล้านบาท) ของกองทุนไว้ทั้งสิ้น 1.39 แสนล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ที่ปรากฏชื่อกองทุนวายุภักษ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ 21 มี.ค. 2549 คิดรวมได้จำนวน 2.06 แสนล้านบาท หลังจากทีมข่าวได้ทำการสำรวจมูลค่า "เงินปันผล" ที่กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จะได้รับจากการถือหุ้นอยู่ในหลักทรัพย์ต่างๆ พบว่า กองทุนยักษ์แห่งนี้มีโอกาสที่จะกวาดเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2548 ไปได้กว่า 7,877 ล้านบาท ซึ่งเงินปันผลส่วนใหญ่ล้วนได้มาจากหุ้น "ปตท." (PTT) จำนวน 4,031 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ PTT ประกาศจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นมากถึง 9.25 บาทต่อหุ้น แต่ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าพฤติกรรมของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่งคล้ายไม่ต้องการจะรับรู้กับเงินปันผลจากหุ้นบางตัว โดยจะใช้วิธี "โยกหุ้น" หรือ "สับเปลี่ยน" ผู้รับเงินปันผลเป็นกระทรวงการคลังโดยตรง...เพื่อไม่ให้เงินปันผลที่จะได้มา ตกไปถึงผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง โดยพบว่า การลงทุนใน "หุ้นบุริมสิทธิ ธ.ไทยพาณิชย์" (SCB-P) ถือเป็นหลักทรัพย์ที่กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ให้น้ำหนักลงทุนมากเป็น "อันดับสอง" รองจากหุ้น PTT แต่ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา กองทุนแห่งนี้ตั้งใจที่จะไม่รับรู้ประโยชน์จากเงินปันผลของ ธ.ไทยพาณิชย์ แม้สักครั้งเดียว "วิธีการก็คือ" เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2548 ทางกระทรวงการคลังได้ทำการ "รับโอนหุ้น" SCB-P จำนวน 625.79 ล้านหุ้น มาจากกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ "ธ.ไทยพาณิชย์" จะประกาศจ่ายปันผลให้แก่ผู้ที่ปรากฏชื่อในสมุดทะเบียนก่อนวันที่ 12 เม.ย. 2548 ...แล้วจึงมีการจ่ายเงินปันผลจริง ในวันที่ 28 เม.ย.2548 หลังจากรับเงินปันผลแล้ว "กระทรวงการคลัง" จึงค่อยโอนหุ้น SCB-P กลับไปให้กองทุนรวม "วายุภักษ์ หนึ่ง" ในจำนวนเดียวกับที่เคยรับโอนหุ้นมาก่อนหน้าวันรับปันผล เท่ากับว่า "กระทรวงการคลัง" จะรับประโยชน์จากหุ้น SCB-P เพียงรายเดียว...โดยที่ผู้ถือหน่วยลงทุนวายุภักษ์ (ประเภท ก) หมดสิทธิในเงินก้อนนั้นทันที แล้วปีนี้ (2549) ก็เช่นกัน หลังจาก ธ.ไทยพาณิชย์ ประกาศจะจ่ายปันผลประจำปีหุ้นละ 3 บาท แต่ล่าสุดเมื่อ 15 มี.ค. 2549 ที่ผ่านมา ทางผู้บริหารกองทุน "วายุภักษ์ หนึ่ง" ได้ถอดหุ้น SCB-P และ SCB ออกจากพอร์ตโอนไปให้แก่ "กระทรวงการคลัง" อีกครั้งในจำนวน 628.84 ล้านหุ้น และ 15.21 ล้านหุ้นตามลำดับ เป็นการดักทางก่อนถึงกำหนดปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผลอีกเช่นกัน หมายความว่า "เงินปันผล" จาก "ธ.ไทยพาณิชย์" จำนวนกว่า 2,403 ล้านบาท (แบ่งเป็นเงินปันผล 2,357 ล้านบาทจากหุ้น SCB-P และอีก 45.6 ล้านบาทจากหุ้น SCB) จะไปตกแก่ "กระทรวงการคลัง" รับไว้เองอีกเช่นเคย และเชื่อได้ว่า หลังจาก "ธ.ไทยพาณิชย์" จ่ายปันผลเสร็จตามกำหนดในวันที่ 28 เม.ย. 2549 ก็คงจะได้เห็น "กระทรวงการคลัง" โอนหุ้น SCB และ SCB-P ทั้งหมดคืนไปให้แก่กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่งอีกครั้ง นอกจากนี้ทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ยังสำรวจต่อไปที่ความเคลื่อนไหวของพอร์ตลงทุนกองทุนรวม "วายุภักษ์ หนึ่ง" ตั้งแต่ช่วง 31 ต.ค.2548-31 ม.ค. 2549 ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย...โดยพบว่ากองทุนแห่งนี้เริ่มทยอย "ซอยหุ้น" ในพอร์ตออกมาขาย เพื่อปรับน้ำหนัก และยุทธศาสตร์การลงทุนในหุ้นแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะการลดน้ำหนักลงทุนในหุ้น "บิ๊กแคป" หลายๆ ตัว ตั้งแต่การซอยหุ้น "บ.ท่าอากาศยานไทย" (AOT) ออกมาขายแล้วกว่า 3 ล้านหุ้น ขายหุ้น "ธ.กรุงเทพ" (BBL) จำนวน 5.2 ล้านหุ้น รวมถึงการขายหุ้น "บ.ปูนซิเมนต์ไทย" (SCC) อีกจำนวน 1 ล้านหุ้น ตลอดจนยังได้ตัดขายหุ้นของ "บ.ผลิตไฟฟ้า" (EGCOMP) ออกไปบางส่วน เป็นจำนวน 1,235,700 หุ้น ผู้บริการกองทุนวายุภักษ์ยังได้ดำเนินการ "ทิ้งหุ้น" แบบ "เกลี้ยงพอร์ต" ในหุ้น "บ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี" (SSI) จำนวน 114.98 ล้านหุ้น รวมถึงยังเทขายหุ้น "บ.วนชัย กรุ๊ป" (VNG) ออกไปอีกทั้งหมด จำนวน 13.30 ล้านหุ้น (ณ 31 มี.ค.2548 พบชื่อกองทุนวายุภักษ์เข้ามาถือ VNG จำนวน 13.30 ล้านหุ้น) ขณะเดียวกัน ยังพบการเก็บหุ้น "ไทยออยล์" (TOP) ตุนเข้าพอร์ตวายุภักษ์อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2548 รวมทั้งสิ้น 7.93 ล้านหุ้น รวมทั้งยังมีการนำเงินก้อนใหญ่เข้าไปร่วมลงทุนอยู่ใน "ทีพีไอ" (TPI) อีกกว่า 1,950 ล้านหุ้น ที่ราคาต้นทุน 3.30 บาทต่อหุ้น และส่งผลให้ TPI กลายเป็นมูลค่าการลงทุน "อันดับสาม" ของพอร์ตวายุภักษ์ หนึ่งทันทีรองจาก PTT และ SCB-P ตามลำดับ มีข้อมูลที่น่าสังเกตว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ...มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของนักลงทุน (ประเภท ก.) ถูกกดให้ทรงตัวอยู่ในช่วงระหว่าง 10.60-10.70 บาท มาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ต้นทุนของหุ้นส่วนใหญ่ที่กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ซื้อเข้ามา...ก็ค่อนข้างต่ำ ไม่ว่าจะเป็น PTT ที่ไปซื้อมาจาก "กระทรวงการคลัง" จำนวนกว่า 435 ล้านหุ้น (15.58%) มีต้นทุนเพียงหุ้นละ 63.35 บาท และ SCB-P มีต้นทุนหุ้นละ 31.35 บาท ...ขณะที่ราคาตลาดของหุ้นวันนี้กลับวิ่งไปไกลกว่ามาก นอกจากนี้ ยังอาจมีหุ้นอีกมากที่กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เข้าไปซื้อขาย (ระยะสั้น) แต่ไม่ปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตามเกณฑ์รายงานต่อ ก.ล.ต. รวมถึงยังมีการถ่ายเทผลประโยชน์จากเงินปันผล "จำนวนมาก" ไปให้กับ "กระทรวงการคลัง" จากเหตุการณ์ทั้งหมด เป็นไปได้ที่ "กระทรวงการคลัง" ต้องการกด NAV ไม่ให้ขึ้นไปสูงมาก จนอาจสร้างภาระในภายหลังที่จะต้องซื้อคืนหน่วยลงทุนจากประชาชนทั้งหมดเมื่อกองทุนมีอายุครบกำหนด 10 ปี ----------------------------------------------------------------------- นำมาจาก www.bangkokbizweek.com เมื่อ: 2006-03-28T06:39:37+00:00 eak: 1.  ** เกี่ยวกับ กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง **  tummeng   2. กองทุนนกยักษ์จะซกมกขนาดนี้เยหรือ 2 chansaiw นี่โพสต์ซ้ำเป็นครั้งที่ 3 ......... แปลว่าแรงจริงๆ เรื่องนี้ เมื่อ: 2006-03-28T06:46:15+00:00 ลูกอิสาน: เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่าครับ อย่าเพิ่งไปเชื่อ หนังสือพิมพ์ก็ผิดได้ ลองดูข้อมูลดีๆครับ ผมคิดว่าที่ทำอย่างนี้คงมีข้อจำกัดทางกฏหมายอะไรซักอย่าง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แสดงว่ากรุงเทพธุกิจจับแพะขนแกะ เหมือนที่เค้านิยมกันในตอนนี้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ อย่างนี้ผู้ถือ vayu ต้องไปร้องเรียนที่ กลต.ได้เลยครับ ทำผิดกันเห็นๆอย่างนี้ เมื่อ: 2006-03-28T07:48:24+00:00 CK: คิดเหมือนคุณลูกอิสานครับ เรื่องการถือหุ้น SCB อาจจะเป็นได้ว่า มีข้อจำกัด ที่ทำให้ชื่อของกระทรวงการคลัง ต้องอยู่ในสมุดทะเบียนของ SCB ทุกครั้ง (เดาเอา) ส่วนจะผิดต่อผู้ถือหน่วยลงทุนหรือไม่ ต้องอ่านหนังสือชี้ชวนดูครับ เมื่อ: 2006-03-28T08:48:28+00:00 ต.หยวนเปียว: ผมไม่ได้อ่านละเอียด แต่เดาว่าเหมือนทุกปี หุ้นไทยพาณิชน์ กองทุนวายุถือเกิน5% ต้องโอนหุ้นให้คลังถือ เพื่อรับเงินปันผลแทน แล้วโอนกลับมาภายหลังพร้อมเงินปันผล เมื่อ: 2006-03-28T08:52:12+00:00 Dech: tricky? ไม่มีเลยไม่ได้ตามครับ แค่ตามมาอ่าน เมื่อ: 2006-03-29T02:04:53+00:00 ลูกอิสาน: ไขความลับ..วายุภักษ์ หนึ่ง หลังจากกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ได้ตั้งข้อสังเกตวิธีการโยกหุ้นบุริมสิทธิ ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB-P) ของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (มูลค่าเป็นอันดับ 2 ของพอร์ต) จำนวน 625 ล้านหุ้นไปให้กับกระทรวงการคลัง ...ก่อนถึงวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายปันผล ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ได้ประโยชน์จากเงินปันผลนั้นแทน ดร.พิชิต อัคราทิตย์ อธิบายกรณีที่เกิดขึ้นว่า เนื่องจากตาม พ.ร.บ. ธนาคารพาณิชย์ กำหนดไว้ว่าบุคคลหรือนิติบุคคลใดที่ถือหุ้นของธนาคารเกินกว่า 5% ผู้ถือหุ้นนั้นจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในส่วนที่ถือหุ้นเกิน 5% และไม่สามารถออกเสียงได้ วิธีหาทางเลี่ยง...เพื่อไม่ให้ผู้ถือหน่วยเสียผลประโยชน์ ก็คือ โอนหุ้น SCB-P ในส่วนที่เกิน 5% ไปให้แก่กระทรวงการคลังก่อนวันปิดสมุดทะเบียน โดยที่ทางกองทุนรวมวายุภักษ์จะเหลือหุ้นจำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.71% หลังจากธนาคารจ่ายปันผลเสร็จ ทางกระทรวงการคลังก็จะโอนหุ้นคืนกลับมาให้แก่กองทุนรวมวายุภักษ์เช่นเดิม...พร้อมๆกับ "เงินปันผล" "เราจำเป็นต้องทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ากระทรวงการคลังจะให้เราถอดหุ้น SCB-P ออกไป จนเหลือต่ำกว่า 5% หรือจนกว่ากระทรวงการคลังจะยอมซื้อหุ้นกลับไป" สำหรับกรณี ทรัพย์สินรวมของกองทุนเพิ่มขึ้นไปถึง 2 แสนล้านบาท (ต้นทุน 1 แสนล้านบาท) แต่มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของผู้ถือหน่วยลงทุน (ประเภท ก.) กลับขยับอยู่เพียง 10.60-10.70 เท่านั้น ขณะที่ NAV ของผู้ถือหน่วยประเภท ข. กลับวิ่งไปถึง 20 บาท ทั้งๆที่กองทุนรวมวายุภักษ์ก็มีส่วนต่างจากราคาหุ้นของปตท. (PTT) จำนวนมาก เพราะมีต้นทุนเพียงหุ้นละ 63.35 บาท และยังได้หุ้นทีพีไอมาเพียง 3.30 บาทต่อหุ้น รวมถึง SCB-P ซึ่งมีต้นทุนเพียงหุ้นละ 31.35 บาท ดร.พิชิต ชี้แจงว่า ตามกฎการบันทึกบัญชีเพื่อหาค่า NAV ของ SCB-P ไม่ว่าราคาตลาดของหุ้นจะขึ้นไปเท่าไร แต่เราจำเป็นต้องคำนวณจากราคา "ต้นทุน" เพื่อให้เป็นไปตามกฎการบันทึกบัญชี แต่หากมีการขายหุ้นออกมาก็สามารถบันทึกเป็นกำไรได้ทันที สำหรับมูลค่าส่วนต่างจากหลักทรัพย์อื่นๆ นั้น แม้ทรัพย์สินรวมทุกประเภทจะขึ้นไปถึง 2 แสนล้านบาท แต่กองทุนวายุภักษ์ก็ยังต้องมี "ภาระหนี้สิน" ตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน เพื่อเอาไปหักกับสินทรัพย์อีกครั้ง ในทางหนึ่ง เราอาจเรียกภาระส่วนนี้ว่าเป็น "ค่าประกันภัย" ตลอดการเดินทาง เนื่องจากผู้ถือหน่วยประเภท ก จะได้รับการคุ้มครองทั้ง "เงินต้น" และ "ผลตอบแทน" ขั้นต่ำปีละ 3% ตลอดอายุ 10 ปี ทีนี้...การที่จะได้สิทธิเช่นนี้ ก็จะต้องมีหนี้สินบางอย่าง "กำกับ" เอาไว้ ส่วนสูตรคำนวณค่าประกันภัยค่อนข้างจะซับซ้อน แต่หลักการ ก็คือ ในภาวะที่ตลาดหุ้นยังดี...ถ้าหากมูลค่าหุ้นขึ้นไปเกินกว่าระดับหนึ่ง ทรัพย์สินส่วนหนึ่ง (รวมค่าประกันภัย) จะต้องแบ่งปันไปให้แก่กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยประเภท ข ในสัดส่วนที่มากกว่าประชาชนทั่วไป (ประเภท ก) ..ยิ่งมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเท่าไร สัดส่วนที่จะต้องให้กระทรวงการคลังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากตลาดหุ้นลง ค่าประกันภัยก็จะลดลงตาม หรือเมื่อ "พอร์ตติดลบ" ค่าประกันในส่วนนี้แทนที่จะหักออกไปให้กระทรวงการคลัง ก็จะกลายเป็นส่วนที่กระทรวงการคลังต้องจ่ายกลับให้แก่ประชาชน "เราคาดเดาได้ยากว่าในช่วง 10 ปีนี้ตลาดหุ้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นี่เพิ่งจะผ่านมาเพียง 2-3 ปีเท่านั้น จะเรียกว่ามันเป็นค่า 'ประกันภัย' เพื่อให้ประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุน ได้รับความคุ้มครองตลอดการเดินทาง 10 ปี" ไม่มีคำขอโทษ จากกรุงเทพธุรกิจ ยังดีที่แก้ข่าวให้ หนังสือพิมพ์ก็มั่วหรือผิดพลาดได้ครับ อ่านแล้วต้องใช้วิจารญณานครับ โดยเฉพาะข่าวที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล ช่วงนี้รู้สึกว่าเป็นขาลงของค่ายนี้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เมื่อ: 2006-04-28T13:41:17+00:00 Willpower: อืมม ขอบคุณครับคุณลูกอิสาน เมื่อ: 2006-04-29T10:05:06+00:00 naris: คิดอยากเปลี่ยนหนังสือพิมพ์ตั้งหลายที ไอ้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้มันดันครบเครื่องเรื่องข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น ไม่อย่างนั้น อดได้เงินผมตั้งนานแล้ว ปล.เขียนด่าทักษินก็โคตรเก่งเลย เมื่อ: 2006-04-29T17:23:48+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จิบเบียร์คิวหนึ่ง 4 มิย.53 แกรนด์บอลรูม3 รร.Emerald รัชดา สามัญชน: เชิญลงชื่อได้เลยครับ เมื่อ: 2010-05-09T09:04:05+00:00 winkung: ทำไมดูเร็วจังเลยครับ ... พี่ศรราม  :roll: เมื่อ: 2010-05-09T09:07:38+00:00 densin: ขอ 1 ที่ครับ เมื่อ: 2010-05-09T09:15:23+00:00 Classsicman: ขอจอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2010-05-09T09:17:57+00:00 reiter: หนึ่งที่ครับ เมื่อ: 2010-05-09T09:18:44+00:00 neo_potato_Th: 1ที่ครับ:D เมื่อ: 2010-05-09T09:37:38+00:00 pornchai_w: ขอไปด้วย 1 คนครับ เมื่อ: 2010-05-09T09:43:56+00:00 ซากคน: 1 ที่ขอรับ   เมื่อ: 2010-05-09T09:58:46+00:00 tritara: สนใจครับ แต่ว่าจัดที่ไหนหรอครับ  :) เมื่อ: 2010-05-09T10:17:40+00:00 stolic:  จองหนึ่งที่ครับ พี่หมอ เมื่อ: 2010-05-09T10:21:00+00:00 jinxyboy: จอง 1 ที่ครับผม พลาดงานใหญ่ไปสองรอบและ งานนี้พลาดไม่ได้แล้ว เมื่อ: 2010-05-09T10:21:55+00:00 sathaporne: 1 ที่ครับ เมื่อ: 2010-05-09T10:36:52+00:00 sathaporne: [quote="winkung"]ทำไมดูเร็วจังเลยครับ ... พี่ศรราม เมื่อ: 2010-05-09T10:43:54+00:00 miracle: 1 ที่ครับ ที่ไหนบอกด้วยเด้อ เมื่อ: 2010-05-09T11:52:17+00:00 NoNameLFC: จองด้วย 1 ที่ครับ ... หวังว่าจะไม่มีปัญหา ..  :lol:  :lol:  :lol: มือใหม่ครับ  :D เมื่อ: 2010-05-09T12:43:44+00:00 Jnos: จองหนึ่งที่ครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-05-09T12:57:40+00:00 vi_tal signs: 1 ที่ด้วยนะครับพี่หมอศรราม เมื่อ: 2010-05-09T13:19:55+00:00 gozzip: 1 ที่ครับ แฮ่ๆ เมื่อ: 2010-05-09T13:27:09+00:00 tamrollin: ไปด้วยคนครับ :lol:  :drink: เมื่อ: 2010-05-09T13:31:40+00:00 Jazzman: จอง 1 ที่คับพี่ จริงๆอยากพาแฟนไปด้วย  :oops: เมื่อ: 2010-05-09T13:40:21+00:00 cuboty: ตี้ด้วยค่ะ 1 ที่ เมื่อ: 2010-05-09T13:47:16+00:00 comrade: อยากไปครับ ที่ไหนเอ่ย เมื่อ: 2010-05-09T13:49:18+00:00 Phoenix25: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2010-05-09T13:51:09+00:00 maiaowna: ไม่รู้จักใครเลย ไปได้เปล่า  :roll: เมื่อ: 2010-05-09T13:54:28+00:00 AuI_a VI: ไปด้วย2ที่คับผม ^^ เมื่อ: 2010-05-09T14:00:40+00:00 miracles_makers: ไปด้วย 1 ที่ ครับ ^_^ เมื่อ: 2010-05-09T14:15:21+00:00 Nobunaga: ไปด้วยครับ 1 ที่ เมื่อ: 2010-05-09T14:30:01+00:00 SunShine@Night: ขอสำรอง 2 ที่ครับ เมื่อ: 2010-05-09T14:36:17+00:00 kumchai: ขอไปด้วยคน 1 ที่ครับ เมื่อ: 2010-05-09T14:44:12+00:00 Lu Xun: ฮือ อยากไปมากๆ  :wall: เมื่อ: 2010-05-09T15:03:59+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ ลูกอิสาน: สืบเนื่องจากกระทู้นี้ มีเงินน้อย เป็นvi ไม่ได้จริงหรือไม่ แม้ผมจะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน ว่าเงินลงทุนมากน้อย ก็สามารถลงทุนตามแนวทาง vi ได้ แต่อีกด้านนึงผมคิดว่าแม้จะลงทุนแบบ vi เหมือนกันแต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้ ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยพูดว่า หากวันนี้มีเงินลงทุนแค่ 1 ล้านเหรียญ เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วงแรกๆที่วอร์เรนลงทุนผ่านห้างหุ้นส่วน เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้ประมาณ 30% ต่อปี  ในทำนองเดียวกัน หาก ดร.นิเวศน์ มีเงินลงทุนวันนี้แค่ 1 ล้านบาท ผมคิดว่าแนวทางการเลือกหุ้นของท่าน อาจจะแตกต่างออกไป เงินลงทุนน้อยๆตามนิยามง่ายๆของผม อาจจะเป็นเงินหมื่น เงินแสน และไม่เกิน 1 ล้านบาท ลำพังหากลงทุนโดยแนวทางอนุรักษ์นิยม อาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งอาจจะเพียงพอและน่าพอใจหากเป็นพอร์ตการลงทุนขนาดกลางหรือใหญ่ แต่ผลตอบแทนระดับนี้ไม่อาจสร้างความแตกต่างในพอร์ตขนาดเล็ก ดังนั้นหากเป็นพอร์ตการลงระดับเล็กๆ ผมคิดว่าควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น เพื่อนๆท่านใดมีเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่คิดว่าน่าสนใจอย่างไรจะแนะนำ สำหรับพอร์ตการลงทุนขนาดเล็ก ก็แสดงความคิดเห็นได้เลยครับ จะได้เป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆจะได้นำไปประยุกต์ใช้ เมื่อ: 2007-06-17T17:44:56+00:00 Penguins: พี่ลูกอิสาน มีกลยุทธ์แบบใหนครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-06-17T17:59:57+00:00 Boring Stock Lover: Leverage เป็นหนึ่งในกลยุทธที่นำมาใช้ได้ ซึ่งอาจจะเป็น Margin หรือ derivative อย่างวอแรนท์ พวกนี้จะช่วยทำให้เงินลงทุนเรามีอำนาจมากขึ้น พวกหุ้นที่ผ่านการคัดสรรของเรามาแล้วแทนที่จะถือหุ้นแม่ ก็ซื้อวอร์แล้วถือแทน เมื่อ: 2007-06-17T18:11:07+00:00 BHT: ผมยังจำได้ เปิดพอร์ตครั้งแรกด้วยเงิน 7000 บาท ท่านใดต่ำกว่านี้ มาบลัฟเลยครับ 55  :lol:  :lol: ผมไม่กังวลใดๆทั้งสิ้นครับ ผมศึกษาจากพี่ๆในนี้ ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม เวลาผ่านไป ผมรู้สึกได้เองว่าเก่งขึ้น แต่ก็ยังอ่อนหัดมากอยู่ดี เรื่องผลตอบแทนนั้น ผมเห็นกับตาในพอร์ทเลยว่า จากทีแรกที่ขาดทุนไปเยอะ แต่ตอนนี้ตัวที่มาซื้อระยะหลังๆ กำไรทุกตัว แต่ถือไว้ไม่ขาย ของเก่าๆที่ถือไว้มีขาดทุนบ้าง ก็ตามติดสถานการณ์แล้ว เห็นว่ายังโอเค ก็ถือต่อครับ ดังนั้นอย่าเอาจำนวนเงินมาเป็นที่ตั้งให้กังวลใจครับ ทำงานเก็บเงินเติมเข้าพอร์ตไปเรื่อย ทบกับกำไรที่ทำได้มากขึ้นตามความรู้ที่เก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มั่นใจได้เลยว่าไม่นานจะมีอิสรภาพทางการเงิน สำหรับผมตั้งไว้ตอน 30 ปลายๆครับ เมื่อ: 2007-06-17T19:53:22+00:00 vivitawin: Boring Stock Lover เขียน:Leverage เป็นหนึ่งในกลยุทธที่นำมาใช้ได้ ซึ่งอาจจะเป็น Margin หรือ derivative อย่างวอแรนท์ พวกนี้จะช่วยทำให้เงินลงทุนเรามีอำนาจมากขึ้น พวกหุ้นที่ผ่านการคัดสรรของเรามาแล้วแทนที่จะถือหุ้นแม่ ก็ซื้อวอร์แล้วถือแทน ซื้อ warrant นี่ต้องถูกสุดๆจริงๆ คือถ้าเทียบแล้ว ต้องมี margin of safety มากๆเลยทีเดียว เพราะราคามันจะผันผวนมากกว่าหุ้นแม่ มากๆ  แล้วก็ต้องดูราคาด้วยว่า in the money มากๆ หรือเปล่า วันที่มีสิทธิแลกซื้อหุ้นแม่วันไหน หมดอายุเมื่อไหร่ warrant ไม่ได้ปันผลนะครับ บางครั้งถือไว้ก็เสียโอกาสการได้รับปันผล บางครั้งราคาพอใกล้วันแลกซื้อหุ้นแม่ มันก็มีอยู่สองแนวทางคือ หุ้นลูก ดึงหุ้นแม่ลงมาราคาเท่ากัน หรือ หุ้นแม่ ดันราคาหุ้นลูกขึ้นไป สรุปว่า ถ้าซื้อ warrant แต่ไม่ได้ของถูกมากๆ จริงๆ มันจะเป็นการเก็งกำไรมากกว่าเป็นการซื้อหุ้นแนว vi ครับ เมื่อ: 2007-06-17T23:40:58+00:00 nearly_vi: vivitawin เขียน: ซื้อ warrant นี่ต้องถูกสุดๆจริงๆ คือถ้าเทียบแล้ว ต้องมี margin of safety มากๆเลยทีเดียว เพราะราคามันจะผันผวนมากกว่าหุ้นแม่ มากๆ เมื่อ: 2007-06-18T00:41:14+00:00 naris: ในเมื่อพูดถึงเล็กๆใหญ่ๆขอฝากมุมมองอีกด้านของเล็กๆและใหญ่ๆดูนะครับ ใหญ่ในเล็ก ดีกว่า เล็กในใหญ่ เมื่อ: 2007-06-18T02:01:04+00:00 humdrum: ขอก๊อปไปเก็บแฟ้มครับ ผมมีแฟ้ม "คุณนริศ" แยกไว้ต่างหากเลย     คุณนริศ เขียนได้ประทับใจมากครับ         เมื่อ: 2007-06-18T02:43:46+00:00 maeteeb: คุณนริศน่าจะเขียนหนังสือนะครับ จะมีประโยชน์กับชาวVIมากเลยครับ นับถือครับ เมื่อ: 2007-06-18T02:56:41+00:00 Blueblood: เห็นด้วยมากๆเลยครับ ผมเห็นหลายๆท่านชอบตั้งเป้าหมายไว้ 10-15% ผมว่ามันเหมาะกับคนที่มีพอร์ตใหญ่หลายสิบล้านขึ้นไป หรือไม่ก็คนสูงอายุมากกว่าครับ ถ้าเรายังอายุน้อยและเงินลงทุนไม่มาก ศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ ผมว่าตลาดบ้านเราทำได้กว่า 10-15% ไม่ยากเกินไปครับ อย่าไปตั้งเป้าตามพวกพอร์ตแสนล้าน ล้านๆ เลยครับ มันคนละเรื่อง ใช้ประโยชน์จากความเล็กให้เต็มที่ก่อน โตไปพอร์ตใหญ่ๆแบบ ดร. ค่อยคิดอีกที ด้วยความเคารพครับ เมื่อ: 2007-06-18T03:15:02+00:00 Blueblood: ลืมไปประเด็นนึง ถ้าพอร์ตไม่ใหญ่แล้วอยากได้ผลตอบแทนสูงๆหน่อย ผมมองเห็นแค่หุ้นประเภทเดียวคือ growth stock เท่านั้นครับ หุ้นใหญ่ๆไม่ต้องสนใจ มั่นใจน้อยก็กระจายหลายตัวหน่อย มั่นใจมากก็ตีแตกไปเลย (รับผิดชอบกันเองนะครับ ) แต่ก็ต้องลงทุนให้เหมาะสมกับความรู้ด้วยนะครับเหมือนที่เฮียคลายเครียดชอบพูด อย่าโลภเกินความรู้ ส่วนพวก cyclical,turn around ผมว่ายังมีความเสี่ยงอยู่ค่อนข้างมาก หุ้น growth ถ้าดูที่ราคาไม่เวอร์ไปผมว่าโอกาสแพ้หรือเจ็บหนักน้อยมากครับ เมื่อ: 2007-06-18T03:18:09+00:00 ลูกอิสาน: มีเพื่อนๆที่คิดคล้ายๆกันหลายท่านเลยนะครับ กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ 1.ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด 2.ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ 1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด 1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน 1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก :lol: ) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา 1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือการซื้อรถ  แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น -แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน -แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง :lol: รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย :lol: )เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอืนค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอืนๆ(อยากรวย  :lol: ) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน ประเด็นแรกการหากเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด เมื่อ: 2007-06-18T06:38:29+00:00 naris: เข้ามารออ่านครับ เมื่อ: 2007-06-18T06:54:08+00:00 naris: .^O-O^ เขียน:ขอก๊อปไปเก็บแฟ้มครับ ผมมีแฟ้ม "คุณนริศ" แยกไว้ต่างหากเลย     คุณนริศ เขียนได้ประทับใจมากครับ         ข้าน้อยฝีมือการเขียนยังอ่อนด้อยกว่าพี่ร้อกกี้แว่นมากนัก เมื่อไหร่หุ่นผม จะเป็นแบบคุณแว่นน๊อ.....สาวๆคงจะกรี๊ดน่าดู เมื่อ: 2007-06-18T06:54:51+00:00 nanchan: เห็นด้วยเลยคุณลูกอีสาน เงินน้อยก็หาให้มันมีเยอะๆขึ้น แล้วนำมาลงทุนเพิ่ม ถ้ามัวแต่จะหวังรวยทางลัด ก็คงมีสิทธิ์กินแห้ว เมื่อ: 2007-06-18T06:57:16+00:00 Kuruni: ขอบคุณในคำแนะนำดีๆครับพี่ เมื่อ: 2007-06-18T07:13:38+00:00 sattaya: ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำทั้งของพี่นริศ และพี่ลูกอิสาน   เมื่อ: 2007-06-18T07:46:25+00:00 nearly_vi: รออ่าน ตอนสำคัญอยู่ครับ เมื่อ: 2007-06-18T09:54:57+00:00 alexx: สุดยอดครับ  ทั้ง ท่านนริศ  ลุกอิสาน มารออ่านต่อครับ :lol: เมื่อ: 2007-06-18T10:13:25+00:00 ลูกอิสาน: ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5-6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย  และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า  อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธิ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออก หรือท่านใดจะเสริม มีดังนี้ครับ 1.การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง-เป็นแรงบันดาลใจที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น  หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด  ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ :lol: 2.ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำใด้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน   นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ เมื่อ: 2007-06-18T14:57:13+00:00 Linzhi: ขอเสริมแบบมองต่างมุมนิดนึงนะครับ อาจจะไม่เป็นไปตามแนวทางกระทู้นี้เท่าไหร่ ผมเชื่อว่า ห้ามขาดทุน เป็นปัจจัยหรือกฎหลักที่สำคัญที่สุดครับ โดยเฉพาะกับพอร์ตขนาดเล็กและเพิ่งเริ่มลงทุน หลังจากเริ่มมีกำไรตุนไว้แล้ว ค่อยเริ่มลงทุนในมุมที่เสี่ยงขึ้น เช่นเมื่อเราศึกษาอย่างละเอียดและทำการบ้านแล้ว จะมีตัวเลือกหลายแบบมาก ตัวเลือกประเภทที่มี Upside เยอะมากๆ แต่ Downside ก็ไม่น้อย อย่างนี้ผมว่า เลือก Upside กำลังดี แต่แทบไม่มี Downside เลยในระยะยาวดีกว่าในตอนต้น ผมเปรียบเทียบกับการเล่นไพ่ครับ ถ้าใครเคยอยู่ในเกมส์พนัน จะรู้ว่า การขาดทุนแต่แรกทำให้เกมส์มันเสียและแย่ในระยะยาว เผลอ ๆ กู่ไม่กลับทั้งคืน ในหุ้นก็น่าจะเช่นเดียวกัน เมื่อ: 2007-06-18T15:58:10+00:00 miracle: พี่ BHT ผมนี้ละครับต่ำกว่าพี่ 5 พันกว่าบาท กับตัวแรกในชีวิต เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว โดนที่เพื่อนบอกด้วย ไม่เข้าใจเท่าไรด้วยซ้ำว่ามันทำอะไร ถามเพื่อนคำเดียวตัวไหนดี มันก็บอกให้ จากนั้นได้ประสบการณ์ดีสำหรับตัวนี้คือ ถือต่อ เจ็ดเดือนได้กำไร 10% ตอนนั้นคิดว่าข้าแน่ สุดท้ายเสียค่าครูให้กับตลาดไปหลายเหมือนกัน ณ ตอนนี้แนวทาง VI เป็นแนวที่ถูกใจใช่เลย เพราะทำงานได้สะดวกสบายไม่ต้องพะวง เมื่อ: 2007-06-18T16:25:48+00:00 BHT: miracle เขียน:พี่ BHT ผมนี้ละครับต่ำกว่าพี่ 5 พันกว่าบาท กับตัวแรกในชีวิต เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว โดนที่เพื่อนบอกด้วย ไม่เข้าใจเท่าไรด้วยซ้ำว่ามันทำอะไร ถามเพื่อนคำเดียวตัวไหนดี มันก็บอกให้ จากนั้นได้ประสบการณ์ดีสำหรับตัวนี้คือ ถือต่อ เจ็ดเดือนได้กำไร 10% ตอนนั้นคิดว่าข้าแน่ สุดท้ายเสียค่าครูให้กับตลาดไปหลายเหมือนกัน ณ ตอนนี้แนวทาง VI เป็นแนวที่ถูกใจใช่เลย เพราะทำงานได้สะดวกสบายไม่ต้องพะวง เหมือนกันครับ ทีแรกตามชาวบ้านที่เราเชื่อเขา หลังๆเชื่อตัวเอง และถืออย่างสบายใจ เมื่อ: 2007-06-18T18:25:38+00:00 ลูกอิสาน: อือ ..กว่าจะมีเวลาโพสต์ต่อ คนอ่านก็ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว :lol: ขอบคุณคุณ Linshi ครับ ผมก็ไม่ได้บอกก่อน ที่จริงตั้งใจจะบอกเหมือนกันครับว่า กลยุทธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่คงไม่เหมาะกับ VI มือใหม่ที่เริ่มศึกษา แต่น่าจะมีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ในระดับหนึ่ง อาจจะลงทุนแนวนี้มา 2-3 ปีแล้ว และบางประเด็นนอกจากความรู้ ต้องเข้าใจจิตวิทยามวลชน เช่น การลงทุนในตราสารพวก warrant ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเพิ่มผลตอบแทน จะทำให้ผลตอบแทนฮวบฮาบแทนครับ :lol: ต่อกลยุทธ์ต่อไปเลยครับ.. 3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล  กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์ หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า 4.เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม  การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที เมื่อ: 2007-06-19T06:29:33+00:00 Linzhi: เข้ามาติดตามต่อครับ  :D เมื่อ: 2007-06-19T06:31:55+00:00 sunchaiu: พูดถึง warrant เลยอยากกวนถามคุณ ลูกอีสาน หน่อยครับว่าตอนซื้อ SVI-W2 มองว่ายังไง เพราะผมเองก็สนใจ SVI แต่ซื้อ่ตัวแม่ ไม่ซื้อลูกเพราะมองว่า premium เยอะเกินไป คือ ตอนนั้นแม่ราคาประมาณ 11.5 บาท ขณะที่ลูกราคาประมาณ 3 บาท มี premium 1.5 บาท (exercise price 10 บาท) ในแง่ margin of safety แล้ว premium มากเท่าไหร่ถึงไม่ควรยุ่งครับ เมื่อ: 2007-06-19T08:30:25+00:00 p_sarun: ใช้วิธี Dollar cost average ครับ ซื้อหุ้นตัวเดิม สม่ำเสมอ ทุกเดือนครับ ตราบใดที่ราคายังไม่สูง เกินจุดที่เราคิดว่าแพงเกินไป (แต่หุ้นตัวนั้นต้องเป็นหุ้นพื้นฐานดีน่ะครับ) เมื่อ: 2007-06-19T09:59:23+00:00 ลูกอิสาน: sunchaiu เขียน:พูดถึง warrant เลยอยากกวนถามคุณ ลูกอีสาน หน่อยครับว่าตอนซื้อ SVI-W2 มองว่ายังไง เพราะผมเองก็สนใจ SVI แต่ซื้อ่ตัวแม่ ไม่ซื้อลูกเพราะมองว่า premium เยอะเกินไป คือ ตอนนั้นแม่ราคาประมาณ 11.5 บาท ขณะที่ลูกราคาประมาณ 3 บาท มี premium 1.5 บาท (exercise price 10 บาท) ในแง่ margin of safety แล้ว premium มากเท่าไหร่ถึงไม่ควรยุ่งครับ เท่าที่ศึกษามาบ้างนะครับ วอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักจะให้พรีเมียม ด้วยเหตุผลดังนี้ 1.มีอายุเหลืออีกนาน เหตุผลคือยิ่งมีเวลาเหลือมากขึ้น วอร์แรนต์ก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับเพิ่มสูงขึ้น(หรือปรับลง) มากกว่าวอร์ที่ใกล้หมดอายุขัย 2.ตัวแม่ปันผลน้อย เพราะการปันผลทำให้ราคาตามบัญชีของหุ้นแม่ลดลง ราคาหุ้นแม่ก็จะลดลง วอร์แรนต์ก็จะลดลงด้วยในอัตราทีมากกว่า (สังเกตุได้ว่าวอร์ที่ตัวแม่ปันผลหนักๆ จะไม่ค่อยมีพรีเมียมเช่น tluxe ccnet hemraj 3.กิจการมีอัตราการเติบโตสูง เพราะถือว่าหากบริษัทมี growth ราคาหุ้นมักจะเพิ่ม และวอร์แรนต์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยในอัตราที่มากกว่า 4.Gearing สูง เพราะถือว่าถ้าหุ้นแม่ขยับนิดเดียว ตัวลูกจะขยับมากกว่า นักลงทุนที่ถือวอร์จะมีโอกาสได้กำไรสูง ถ้ามาดูที่ svi-w2 ตอน 3 บาท(หรือ0.3บ.หลังแตกพาร์) จะเข้าเกณฑ์ข้างต้นหมดเลย ดังนั้นตัวนี้จะมีพรีเมียมเป็นเรื่องปกติ และหากถามว่าที่ราคานั้นเป็นราคาที่วอร์มี margin of safety หรือเปล่าต้องกับไปดูที่พื้นฐานตัวแม่ ตอนที่ผมซื้อ PE ของหุ้นแม่ประมาณ 5 เท่า ถ้าสมมุติว่ามีการแปลงวอร์แรนต์ทั้งหมดในอีกหลายปีข้างหน้าพีอีก็ยังแค่ 7 เท่า นอกจากนั้นกิจการก็มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีและแนวโน้มก็ยังเป็นอย่างนั้น ประกอบกับผู้ถือหุ้นใหญ่พยายามที่จะขายหุ้นหลังจากได้ลงทุนมาแล้วเกือบ 10 ปี มีการพยายามที่จะโปรโมทหุ้นให้เป็นที่น่าสนใจ เพื่อให้ขายได้ราคาดี เช่นการเพิ่มสภาพคล่องโดยการแตกพาร์ ดังนั้นผมคาดว่าราคาน่าจะไปซื้อขายกันที่ราคาใกล้มูลค่าทางบัญชีที่ ประมาณ 15 บาท  ตอนที่ราคาหุ้นแม่อยู่ที่ 11 บ.ผมคิดว่ามี mof เพียงพอ แต่ผมมีทางเลือก 2 ทางคือลงทุนในหุ้นแม่ ซึ่งจากราคา 11 บาทไป 15 บ.จะได้ผลตอบแทนประมาณ 40% แต่ถ้าผมลงทุนในวอร์แรนต์โดยซื้อที่ 3 บ. ถ้าราคาแม่เป็นไปตามคาด วอร์ก็น่าจะราคาไม่ต่ำกว่า 5 บ. หรือเท่ากับว่าผมได้ผลตอบแทนเกือบๆ 70% ในขณะที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ผมก็เลยเลือกลงทุนในวอร์แรนต์ และด้วยโชคเล็กน้อยปรากฏว่ามีการเก็งกำไรทำให้ราคาวอร์แรนต์เพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวแม่อย่างที่เห็นกันครับ เมื่อ: 2007-06-19T15:07:54+00:00 ลูกอิสาน: 5. ผู้บริหารในฝัน เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล  มี passtion ในงานที่ทำ มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโตและที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมองเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย :lol: เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป (เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง) เมื่อ: 2007-06-19T15:27:42+00:00 โอ@: นึกถึงคุณศรัทธาเลยครับ เงินน้อยเล่นหุ้นไม่รวยจริงที่ไหน เมื่อ: 2007-06-19T15:32:48+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอคำชี้แนะหน่อยครับ Biz Model Livingman: เคยได้ยินคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับคำว่า Biz Model ครับ มันคืออะไรครับ แล้วมันเป็นทฤษฎีทางการเงินสากลป่าวครับ เมื่อ: 2012-09-11T02:31:22+00:00 pat4310: ผมมองว่าเป็นวิธีทำมาหากินครับ แต่ละบริษัทก็มีแนวทางการทำมาหากินไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เครื่องมาการวิเคราะห์ที่กำลังฮิตๆก็ต้อง business model canvas http://smeidea.blogspot.com/2012/06/bus ... anvas.html เมื่อ: 2012-09-11T02:40:36+00:00 KittipongS: ลองเปิดหากระทู้ จากห้องคลังกระทู้คุณค่าครับ ผมเพิ่งอ่านไปครับ เมื่อ: 2012-09-11T02:41:24+00:00 i-salmon: ปกติถ้าผมสงสัยแบบกว้างๆ ก็ google ก่อนเลย ถ้าอ่านแล้วสงสัยค่อยมาถามต่อยอดกับพี่ๆทีหลังน่าจะดีกว่าครับ เมื่อ: 2012-09-11T02:52:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จำนวนหุ้น และ ราคาหุ้น กำหนดจากไหนครับ goldheart: ขอถามพี่ๆหน่อยครับ แต่ละบริษัทมีการกำหนด จำนวนหุ้น และ ราคาหุ้น เขากำหนดจากไหนครับ เมื่อ: 2009-11-11T14:36:58+00:00 jinyong: ถามสั้นๆ อย่างนี้ ไม่แน่ใจว่าสงสัยตรงไหน  ผมลองตอบแบบ basic ก่อนแล้วกัน คือต้องรู้ก่อนว่า การจัดตั้งบริษัท ต้องมีการกำหนดว่าจะมีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่  โดยเงินลงทุนจะแบ่งออกเป็นหุ้น แล้วแต่กำหนดกันเอง   เช่น ทุน 1 ล้าน  อาจจะเป็น หุ้นละ 10 บาท 100,000 หุ้น  หรือ หุ้นละ 1 บาท 1,000,000 หุ้น  หรืออื่นๆ ก็ได้ ราคาหุ้นต่อหน่วยที่กำหนดนั้น ก็จะเรียกกันทั่วไปว่า ราคาพาร์ ++++อันนี้คือความหมาย ของราคาหุ้น ในชั้นแรก ทีนี้หลังจากการประกอบธุรกิจไประยะหนึ่ง บริษัท ก็จะมีผลการดำเนินงาน ถ้าประสบความสำเร็จมีกำไร  มูลค่าแฝงของหุ้นก็ควรจะต้องเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าการดำเนินงานขาดทุน  มูลค่าแฝงของหุ้นก็ควรจะลดลง ถ้าไม่มีการซื้อขายหุ้น ราคาหุ้นก็จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ถ้าอยากจะมีการซื้อขายหุ้น ซึ่งถ้าไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ผู้ซื้อผู้ขายก็ต้องมาตกลงราคากันเอง   แน่นอนว่าคงจะไม่ได้ขายกันราคาพาร์แล้ว มันควรจะแพงหรือถูกกว่าพาร์ ตามผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ส่วนจะขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหน สำหรับหุ้นของบริษัท จะหามาตรฐานได้ยากมาก แล้วแต่ตกลงกันเอง สมมติว่าเป็นหุ้นของ mk สุกี้ ซึ่งไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์  อาจจะมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้นตั้งแต่เริ่มกิจการมาซัก 10 ล้าน กำหนดเป็นหุ้นละ 10 บาท 1ล้านหุ้น    ในปัจจุบันนี้ ถ้าเกิดผู้ถือหุ้นคนใดยอมขาย  ราคาหุ้นก็จาก พาร์ 10 บาท ก็อาจจะซื้อขายกันได้ที่หุ้นละ หลายพันบาท ก็ได้ แต่ถ้าเป็นหุ้นของบริษัท ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว   ราคาก็ขึ้นลงตามความต้องการของผู้ขายและผู้ซื้อ เป็นไปตามกลไกตลาด เมื่อ: 2009-11-12T01:56:34+00:00 goldheart: ออ ดูที่ทุนจดทะเบียน ขอบคุณนะครับ ^^ ถามต่ออีกนิดครับ ถ้าบริษัทA จดทะเบียน 10 ล้าน ออกหุ้น 1 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท ต่อมาได้กำไรจึงเพิ่มทุนเข้าไปอีก 10 ล้าน ก็ออกหุ้นเพิ่มได้อีก 1 ล้านหุ้น เป็นสองล้านหุ้น หุ้นละ 10 บาท ใช่ป่าวครับ ผมเข้าใจถูกอะป่าว เมื่อ: 2009-11-12T16:41:56+00:00 jinyong: goldheart เขียน:ออ ดูที่ทุนจดทะเบียน ขอบคุณนะครับ ^^ ถามต่ออีกนิดครับ ถ้าบริษัทA จดทะเบียน 10 ล้าน ออกหุ้น 1 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท ต่อมาได้กำไรจึงเพิ่มทุนเข้าไปอีก 10 ล้าน ก็ออกหุ้นเพิ่มได้อีก 1 ล้านหุ้น เป็นสองล้านหุ้น หุ้นละ 10 บาท ใช่ป่าวครับ ผมเข้าใจถูกอะป่าว เรื่องจำนวนหุ้นก็ถูกแล้ว แต่เรื่องสาเหตุที่เพิ่มทุน  ปกติ จะเป็นการขยายกิจการมากๆ หรือไม่แน่อาจจะขาดทุนก็ได้ จึงต้องเพิ่มทุน ถ้าผลการดำเนินงานมีกำไร ถ้าไม่ได้ปันผลออกไปมาก...ปกติก็จะมีทรัพย์สินเพิ่ม ถ้าขยายกิจการไม่มากก็ไม่ค่อยจะมีการเพิ่มทุน เมื่อ: 2009-11-13T04:02:08+00:00 goldheart: ขอบคุณครับ  :P เมื่อ: 2009-11-13T09:49:47+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ว่าด้วยเรื่องท่องเที่ยว miracle: ตอนนี้สามเด้งแล้วครับ (แต่ไม่จ่ายรอบวง) ----------------------------------- เด้งแรก วิกฤติศก เด้งสอง การเมืองภายใน เด้งที่สาม ดูข่าวด้านล่าง ------------------------------------ ชาติเอเชียคุมเข้มป้องกันไข้หวัดหมูระบาด 21:57 น. ประเทศในแถบเอเชียต่างคุมเข้มสถานการณ์ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ระบาด สนามบินญี่ปุ่นได้เพิ่มการเข้มงวดตรวจสอบผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเม็กซิโก โดยเจ้าหน้าที่กักบริเวณได้แจกจ่ายหน้ากาก และใช้กล้องสแกนผู้โดยสารเหล่านี้เพื่อตรวจหาอาการไข้หวัด ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขแจกใบเตือนให้แก่บุคคลที่จะเดินทางไปสหรัฐและเม็กซิโกให้สวมหน้ากากและล้างมือเป็นประจำ ส่วนเกาหลีใต้ ก็สั่งให้ผู้โดยสารทุกรายที่จะเดินทางมาจากสหรัฐและเม็กซิโก ผ่านจุดตรวจและรับการตรวจร่างกายที่สนามบินด้วย ขณะที่ออสเตรเลียได้เรียกร้องให้ประชาชนที่เดินทางกลับจากสหรัฐและเม็กซิโก รับการแนะนำด้านการแพทย์ด้วย สำหรับจีนซึ่งเคยเผชิญสถานการณ์โรคซาร์สอย่างหนักมาแล้ว ประกาศจับตาสถานการณ์เชื้อระบาดไข้หวัดหมูพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด ศึกษาการตรวจสอบโรค และใช้มาตรการกักบริเวณ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว ส่วนอินโดนีเซียได้ดำเนินการเช็คท่าเรือและสนามบินทุกแห่งว่าปลอดจากเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=377159 ---------------------------------------------------------------- งานนนี้วาระแห่งชาติ และไทยเที่ยวไทยช่วยได้ไหมเนี่ย กลุ่มที่ประทบกระเทือนคือ กลุ่มโรงแรม สนามบินและสายการบิน เมื่อ: 2009-04-26T15:52:44+00:00 Hughes: ซื้อ AOT ไปแล้วทำไง  :lol: สงสัยต้องอัดเพิ่มภายหลัง เมื่อ: 2009-04-26T16:06:57+00:00 miracle: ทอท.ยังไม่มีคำสั่งกักนักท่องเที่ยวเม็กซิกันบินเข้าไทย 20:47 น. ว่าที่เรืออากาศโท จตุรงคพล สดมณี ผู้อำนวยการท่าอากาศยาน จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.จากส่วนกลาง แจ้งให้ท่าอากาศยานกักตัวนักท่องเที่ยวชาวเม็กซิโกที่มีอาการต้องสงสัยป่วยเป็นไข้หวัดไว้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดเข้ามาของโรคไข้หวัดหมูเข้าในประเทศไทย แต่เพื่อความไม่ประมาทที่ท่าอากาศยาน จ.เชียงใหม่ซึ่งตามปกติก็จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจโรคประจำการอยู่แล้ว หากพบนักท่องเที่ยวที่มีอาการป่วยเป็นไข้หวัดก็จะให้ความช่วยเหลือบริการทางการแพทย์ให้ตามความเหมาะสมเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ว่าที่เรืออากาศโทจตุรงคพล กล่าวว่า ปัจจุบันท่าอากาศยาน จ.เชียงใหม่ยังไม่มีเที่ยวบินตรงจากประเทศแม็กซิโกมาลงที่ จ.เชียงใหม่ แต่มีเที่ยวบินจากอเมริกาซึ่งอยู่ติดกันกับเม็กซิโกบินไปจอดเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป ก่อนจะบินมาลงจอดที่ท่าอากาศยาน จ.เชียงใหม่ ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าวแม้จะยังไม่มีคำสั่งจากส่วนกลางให้คุมเข้มนักท่องเที่ยวบางประเทศเป็นกรณีพิเศษ แต่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตรวจโรคซึ่งอยู่ประจำด่านก็จะทำหน้าที่กันอย่างเข้มงวดเป็นปกติ และเชื่อมั่นว่าประเทศต้นทางที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อน่าจะตื่นตัวมีมาตรการที่คุมเข้มหลายขั้นมาก่อนแล้ว คาดว่าผู้ป่วยโรคไข้หวัดหมูไม่น่าจะถูกปล่อยผ่านเข้ามาแพร่เชื้อติดคนไทยได้โดยง่าย http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=377157 เมื่อ: 2009-04-26T16:10:39+00:00 naijan: ผลทางจิตวิทยา ระยะสั้นคนกินหมูน้อยลง หันไปกินไก่ กุ้ง และปลาทูน่า gfpt and tuf แจ่มเลย :lol:  :lol: เมื่อ: 2009-04-27T03:24:35+00:00 bsuntaku: ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเลยครับ ... เชิญชวน เมื่อ: 2009-04-27T15:58:14+00:00 miracle: bsuntaku เขียน:ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเลยครับ ... เชิญชวน เก็บอะไรหรือ เมื่อ: 2009-04-28T01:05:56+00:00 Diablo: miracle เขียน: เก็บอะไรหรือ น่าจะหมายถึงเก็บหุ้นนะครับพี่ เมื่อ: 2009-04-28T11:52:57+00:00 bsuntaku: เก็บตัวเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ต้นทุนง่ะ เมื่อ: 2009-04-28T12:08:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สิ่งสำคัญที่พบในการประชุมผู้ถือหุ้น ลุงขวด: จากการไปประชุมผู้ถือหุ้นหลายบริษัทฯ ผมพบว่า มีวาระ ที่ตลาดหลักทรัพย์ขอให้ไป แก้ไข หรือ เพิ่มเติมข้อบังคับของบริษัทฯ..........โดยมีสาระที่สำคัญดังต่อไปนี้................. ในกรณีที่บริษัทหรือบริษัทย่อยตกลงเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันหรือรายการที่เกี่ยวกับการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทย่อย ตามความหมายที่กำหนดตามประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ใช้บังคับกับการทำรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทจดทะเบียนหรือการได้มาหรือจำหน่ายไป ซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียแล้วแต่กรณี ให้บริษัทปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่ประกาศดังกล่าวกำหนดไว้ในเรื่องนั้น ๆ ด้วย. ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ สาระที่สำคัญนั้นกำหนดเรื่องของการโอนทรัพย์สินที่มีค่า กว่า 20 ล้านบาท ต้อง ผ่านที่ประชุมผู้ถือหุ้น ส่วนต่ำกว่า 10-20 ล้านนั้นให้ผ่านคณะกรรมการของบริษัทฯ.......นี่เป็นการป้องกันการถ่ายเทโยกย้ายทรัพย์สิน...........ผมสนับสนุนให้บริษัทฯ ต่าง ๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แก้ไข กฎบริษัทฯ ในข้อนี้ ด้วย ตอนแรก ผมไปประชุมผู้ถือหุ้น ที่ SUC ก็มีการยกเรื่องนี้มาในที่ประชุม ผมไม่ได้สังหรณ์ใจ มีผู้ถือหุ้น(คงเป็นคนในเครือบริษัทฯ ของเขา).....อ้างว่า กฎ ข้อนี้ หลายหลักทรัพย์ยังไม่มีความแน่นอน ถ้าแก้ไข ข้อบังคับของบริษัทฯแล้ว วันหลัง ออกกฎใหม่ ก็ต้องไปแก้ไขอีก.......จากนั้น ก็มีผู้สนับสนุน ตามมา.......สรุป วาระนี้ ตกไป เวลาลงมติ เหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่เกิดกับบริษัทฯ เล็ก ๆ หรือ บริษัทฯ กลาง เช่น Singer LST WG P-fcb BGH TMD บริษัทเหล่านี้ให้ ผ่านวาระ ยินยอมทำตามกฏระเบียบของตลาดได้ ที่ยังไม่ บรรจุในวาระ การประชุม ก็ มี Fancy S&P TTTM ที่ปฏิเสธ ยังยอมรับหลักการณ์ของ ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ก็ SUC ที่ผมพูดถึง และ บริษัทฯ ในเครือของ สหพัฒน์ ทั้งหมด แล้วพวกเราจะคิดอย่างไร กับ เหตุผลนี้.......ส่วนผม สนับสนุนให้ไปตามระเบียบของกลตและตลาดหลักทรัพย์ ครับ......เพื่อน ๆ ลอง list รายชื่อที่ไม่เห็นด้วยซิครับ จะได้รู้ว่า เขาคิดกันอย่างไร วันนี้ 27 เมษายน กรุงเทพธุรกิจ หน้า 21 "ธีระชัย" เตือนบิ๊ก บจ ระวังรายการเกี่ยวโยงผู้บริหาร-หุ้นใหญ่......กลต สกัด 5 บจ ไซฟ่อนเงิน 3 พันล้าน...ผลึกสมาคมบัญชีวางกรอบเข้ม บันทึกบัญชีงบการเงินของบริษัทรวมทั้ง ลงโทษผู้สอบบัญชีครอบคลุมสำนักงานบัญชี.........ผมว่า เป็นสิ่งที่ป้องการทุจริตและนำสู่ หนทางแห่งการโปร่งใสในอนาคต ผมเชียร์เติมที่ เลยครับ ใครมีความคิดเห็นในเรื่องนี้ อย่างไร ก็ ลอง วิจารณ์กันดู .... ส่วนผม จะ เลิกซื้อหุ้น ที่ ไม่เข้าร่วมโครงการของตลาดหลักทรัพย์กำหนด เมื่อ: 2004-04-27T06:18:50+00:00 CK: สำหรับบริษัทเล็กๆ 20 ล้านบาทเป็นทรัพย์สินมูลค่าสูงพอควร แต่บริษัทระดับ SUC กับ ADVANC นี่ 20 ล้านเป็นเงินเล็กน้อยมากครับ ที่สำคัญ SUC มีบริษัทในเครือยุบยับไปหมด ทำให้ต้องมีการ "โยกย้าย ถ่ายโอน" ก็พอจะเข้าใจครับว่าการยอมรับในกฎข้อนี้ของตลาดจะทำให้ SUC ขยับตัวลำบาก และ "ผู้ถือหุ้นใหญ่" คงจะไม่เห็นด้วย ประเด็นที่ลุงขวดว่ามาก็น่าคิดมากครับ ผมคงไม่ถึงขนาดใช้เป็น criteria ว่า บริษัทไหนไม่ยอมผ่านข้อบังคับนี้ จะขายทิ้งให้หมด แต่คงจะต้องถาม ตัวเองว่า กล้าถือต่อหรือเปล่า ไว้ใจผู้บริหารแค่ไหน เมื่อ: 2004-04-27T06:33:46+00:00 Jeng: เห็นด้วยครับ ควรทำตามที่กลต.เสนอครับ ใครไม่ทำตาม แสดงว่า มีเจตนาไม่ดี เรื่องการโอนทรัพย์สินเกิน 20 ล้านบาท ต้องผ่านที่ประชุมผู้ถือหุ้นนี่ ผมว่าดีมาก เพราะ ทำให้ ผู้บริหาร มีกรอบอำนาจในการทำงานครับ ไม่งั้น เดี๋ยวท่าน คิดว่าท่านเป็นเจ้าของ อาจจะเกิดการลืมตัวไป จริงๆแล้วท่านเป็นแค่ลูกจ้าง ของเจ้าของครับ ซึ่งเจ้าของบริษัทก็คือพวกเราครับ เมื่อ: 2004-04-27T06:35:58+00:00 นักดูดาว: ใครมีความคิดเห็นในเรื่องนี้ อย่างไร ก็ ลอง วิจารณ์กันดู .... ส่วนผม จะ เลิกซื้อหุ้น ที่ ไม่เข้าร่วมโครงการของตลาดหลักทรัพย์กำหนด วิธีของผมคือไม่ลงทุนในหุ้นที่มีรายการระหว่างกันมากๆจนน่าปวดหัวครับ ยิ่งเป็นรายการกับบริษัทลูกในต่างประเทศด้วยแล้ว น่าปวดหัวจริงๆ อย่าง PRANDA .. ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับผมก็ว่าเป็นธุรกิจที่ดี แต่เห็นรายการกับบริษัทย่อยในอังกฤษแล้วมากจนน่าสงสัย ขายดีกว่า เมื่อ: 2004-04-27T06:46:16+00:00 มือใหม่: สนับสนุนเช่นกัน พี่ jeng พูดถูกครับ เราคือเจ้าของบริษัท เมื่อ: 2004-04-27T06:49:13+00:00 CK: คุณ chatchai เคยบอกผมว่า เราคือ "ผู้ร่วมลงทุน" ครับ ไม่ใช่เจ้าของ เมื่อ: 2004-04-27T06:57:02+00:00 มือใหม่: ถ้าบริษัทที่มีเครือเยอะๆ ก็ต้องปรับวิธีทำงานครับ อาจจะไม่สะดวกสบายเหมือนเมื่อก่อน แต่มันจะโปร่งใส โดยภาพรวมมีประโยชน์มากกว่าเสีย 'เจ้าของ' ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นแต่เพียงผู้เดียวครับ การดำเนินการตัดสินใจเป็นของผู้บริหาร บริษัทที่ผู้บริหารทำงานกินเงินเดือนอยู่ มันก็คือเงินลงทุนของผู้ถือหุ้น ทรัพย์สมบัติของบริษัท ก็เป็นของผู้ถือหุ้น ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ถ้าโอนถ่ายกันแล้วเป็นผลดีกับบริษัท ไม่มีนัยแอบแฝง ผู้ถือหุ้นทุกคนโอเคอยู่แล้ว เมื่อ: 2004-04-27T07:20:04+00:00 ayethebing: WACOAL และ ICC ก็มีวาระนี้ครับ เมื่อ: 2004-04-27T09:16:54+00:00 Solo: ขอบคุณครับ นักลงทุน ควรช่วยกันตรวจสอบ เจ้าของให้ดีดีครับ อย่าให้หมกเม็ดครับ เมื่อ: 2004-04-27T11:46:59+00:00 ลุงขวด: ผมไปประชุม ที่ modern และ nki มา......ผมสงสัยทำไม ไม่มีวาระที่ แก้ไข ระเบียบบริษัทฯ เรื่อง การโอนทรัพย์สินระหว่าง บริษัทย่อย ให้ เป็นไป ตามกฎขอ ที่ 4 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย....ตามรายละเอียดข้าง บน ผมมาพบว่า เรื่องนี้ ตลาดบอกให้ บริษัทฯ ต่าง ๆ ทราบแล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้ว และมี บางบริษัทฯ ในปี ที่แล้ว ได้ ระบุวาระนี้ และ ยอมรับให้เป็นไปตามกฎระเบียบของตลาด.........ผม พบว่า MODERN NKI รวมทั้ง FANCY ได้ระบุข้อนี้ ไปแล้ว เมื่อ ปี ที่แล้ว ลองมาดูซิว่า มีบริษัทฯ ไหน ไม่ยอมรับ กฏระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ฯ บ้าง.....สงสัยจริง ๆ ทำไม ไม่ยอมรับ กัน ??????????? ในบางบริษัท. เมื่อ: 2004-04-28T11:08:57+00:00 Solo: ขอบคุณ ลุงขวด ครับ ตามมาอ่านเพิ่มครับ เมื่อ: 2004-04-29T12:28:25+00:00 Solo: สงสัยจัง ทำไม เมีย ดร.นิเวศน์ ถือ หุ้น wacoal เยอะจัง ( wacoal ก็อยู่ในเครือสหพัฒน์ ที่ปฏิเสธ การ เปิดเผย รายการที่เกี่ยวข้องกัน ) ผมสงสัยจังว่าที่ wacoal กำไรดีๆ เนี่ย ราคาซื้อวัตถุดิบ (จากในเครือ กำหนดยังไง ) ราคาขายกำหนดยยังไง เมื่อ: 2004-05-05T09:14:19+00:00 macky: ขอบคุณลุงขวดครับ ที่ให้ข้อสังเกตเรื่องนี้ เมื่อปลายเดือนก่อนผมไปร่วมประชุมของบริษัท PG ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มสหพัฒน ก็มีการเสนอโหวตให้มีการชลอการขอแก้ไขข้อบังคับนี้ไปก่อน ทำให้น่าสังเกตได้ว่า กลุ่มบริษัทในเครือสหพัฒน์ทั้งหลายน่าจะมีแนวความคิดเดียวกันหมด สำหรับตัวผมคิดว่า อาจจะเนื่องมาจากบริษัทหลายบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะถือหุ้นในอีกบริษัทหนึ่งไขว้กันไปมา จะมีรายการระหว่างกันค่อนข้างเยอะมาก ทำให้อาจต้องมีการแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบเป็นจำนวนมาก จึงไม่อยากจะแก้ไขข้อบังคับ ้เช่นบริํษัท PG จะมี TNL SPC SPI ถือหุ้นอยู่ด้วย เมื่อ: 2004-05-08T16:56:34+00:00 Dech: PR ก็มีครับ แต่ไม่ผ่านผู้ถือหุ้นครับ มี 1 คนเสนอข้อคิดเห็น แล้วอีกคนพูดสนับสนุน ที่เหลือก็เลยตามกันเพียบ ส่วนที่เหลือที่ผมไปมีทุกที่ และผ่านตลอดครับ เมื่อ: 2004-05-09T03:40:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำโรงงานน้ำตาลรวยช้า.... ปรัชญา: 8) เลยคิดการรวยไม่เสร็จ วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2548 Nation Group GO ค้นหาข่าวย้อนหลัง น้ำตาลขอนแก่น เปิดเกมบุกอสังหาฯ กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น บุกธุรกิจอสังหาฯ ประเดิมเปิดโครงการโบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน มูลค่า 4 พันล้าน ให้กลุ่มดุสิตดูแลบริหารคอนโดในลักษณะปล่อยเช่า พร้อมงัดที่ดินนครปฐมกว่า 300 ไร่พัฒนาต่อเนื่อง นายสมชาติ ชินธรรมมิตร์ กรรมการ บริษัท กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มได้ขยายธุรกิจสู่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อบริษัท โบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 220 ล้านบาท การรุกธุรกิจครั้งนี้เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการลงทุน ซึ่งรูปแบบการลงทุนมีทั้งซื้อมา-ขายไป เช่น การทำโครงการจัดสรรขาย หรือการลงทุนแบบให้เช่า เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว สำหรับโครงการ "โบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน" อยู่ติดกับโรงแรมดุสิต รีสอร์ท แอนด์ โปโล คลับ เนื้อที่กว่า 72 ไร่ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส รวมมูลค่าทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท โดยเฟสแรกมีเนื้อที่ 36 ไร่ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมเล่นระดับ 14 ชั้น 4 อาคาร รวม 385 ยูนิต ขนาด 99 ตร.ม.ขึ้นไป ราคา 6 หมื่นบาทต่อ ตร.ม. นอกจากนี้ยังมีบ้านวิลล่า 2-3 ชั้น รวม 125 ยูนิต โดยสร้างเสร็จทั้งโครงการในปี 2551 "โครงการนี้จะมีทั้งการขายขาดและการปล่อยเช่าในลักษณะไทม์แชริ่ง ซึ่งได้เจรจากับกลุ่มดุสิตให้เข้ามาบริหารห้องชุดในคอนโดมิเนียม รวม 100 ยูนิต ส่วนอนาคตจะนำที่ดินส่วนตัวและที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทในเครือออกมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ที่ดินกว่า 300 ไร่ บริเวณ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม" นายสมชาติ กล่าว เมื่อ: 2005-04-03T12:34:26+00:00 Dech: จากอ้อย มาทำตึก ดูกันต่อไป เมื่อ: 2005-04-03T13:37:02+00:00 วัวแดง: เข้าทางครับ ทำในสิ่งที่ไม่ถนัดโอกาส เจ้ง......สูง แต่เค้าอาจจะถนัดก็ได้นะ ...........ไม่รู้ :lol: เมื่อ: 2005-04-03T15:08:53+00:00 ปรัชญา: สงสัยเพิ่มทุนเข้าตลาด เพราะหาเงินไปเล่นที่มั้ง เมื่อ: 2005-04-03T15:10:27+00:00 พ่อ@LLถุง: อ่านได้ว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ต้องหาธุรกิจอื่นเข้ามาประคับประคองไว้หรือเปล่าครับ เมื่อ: 2005-04-04T03:37:12+00:00 คลายเครียด: คุณปรัชญา ข่าวดิวิชั่นสองจากพี่ภรรยาผม เขาฟันธงว่า โรงงานน้ำตาลอิสานทุกแห่งจะขาดทุนในไตรมาสที่หนึ่ง เพราะว่าแต่ละโรงงานได้ขายน้ำตาลล่วงหน้าไปแล้ว แต่ไม่สามารถหาวัตถุดิบมาผลิต เนื่องจากภัยแล้งยาวนานถึงหกเดือน คอยดูว่า แหล่งข่าวจากพี่เมียจะสู้น้องเมียได้หรือเปล่า ฮาๆๆ เมื่อ: 2005-04-04T06:59:59+00:00 ครรชิต ไพศาล: TWC ไทยวา ขาย ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและอุปโภคบริโภค ทำวุ่นเส้น ในนาม TWFP ได้กำไร สม่ำเสมอ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อยู่หลายปี บอกว่ารวยช้า หันไปจับงาน กลุ่มโรงแรม และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เลยต้องเข้า ไปอยู่ แผนก ICU อยู่หลายปี ยังไม่มีแววจะพ้นจาก REHAB ตอนนี้ ยังต้องให้ลูกรัก TWFP ทำวุ้นเส้น ผัดวุ้นเส้น ส่งข้าวส่งน้ำ ส่งเสียเลี้ยงดูแม่ TWC ไปอีกนาน เมื่อ: 2005-04-04T08:11:33+00:00 วัวแดง: ประวัติศาสตร์มีไว้ ซ้ำรอย เมื่อ: 2005-04-04T08:45:56+00:00 ต.หยวนเปียว: ปีนี้แป้งมันราคาขึ้นตันละ12000up แต่ปริมาณคงน้อยลงจากภัยแล้ง ไม่รู้TWCพอจะลุกนั่งไหวไหม แต่LRH ก็เจอมรสุมเข้าไปอีก KSL อาจต้องโดนเลี้ยงด้วยน้ำตาล ถ้าพลาดอย่างTWC ต้องระวังเบาหวานกิน :lol: เมื่อ: 2005-04-04T08:53:48+00:00 ปรัชญา: คลายเครียด เขียน:คุณปรัชญา ข่าวดิวิชั่นสองจากพี่ภรรยาผม เขาฟันธงว่า โรงงานน้ำตาลอิสานทุกแห่งจะขาดทุนในไตรมาสที่หนึ่ง เพราะว่าแต่ละโรงงานได้ขายน้ำตาลล่วงหน้าไปแล้ว แต่ไม่สามารถหาวัตถุดิบมาผลิต เนื่องจากภัยแล้งยาวนานถึงหกเดือน คอยดูว่า แหล่งข่าวจากพี่เมียจะสู้น้องเมียได้หรือเปล่า ฮาๆๆ ปกติ มันก็ลำบากพอแรงกับราคาอ้อยแพง ก็มีข่าวขายน้ำตาลที่ต่างประเทศได้ราคาสูงขึ้น ภายในประเทศ รัฐบาลควบคุมครับเฮียคลายเครียด เมื่อ: 2005-04-04T11:47:54+00:00 bussgaa: เท่าที่ทราบมา โรงงานน้ำตาลจะทำการผลิตเป็นฤดูกาล ตามลักษณะการปลูกอ้อยซึ่งเป็นการปลูกข้ามปี ประมาณว่าปลูกปีนี้จะพอดีตัดเข้าโรงงานก็ปีหน้าครับ ฤดูการผลิต ก็จะประมาณ ปลาย พ.ย. ถึง ต้นเม.ย ของปีถัดไป หลังจากนี้ไปก็เป็นการซ่อมบำรุง หรือไม่ก็เอาน้ำตาลทรายดิบที่ทำเก็บไว้ มาละลายเพื่อทำน้ำตาลทรายขาว ส่วนเรื่องทางบัญชีผมไม่ทราบว่าเขาจะสามารถแสดงผลกำไรขาดทุนรายไตรมาศจริงๆได้หรือไม่ เพราะเป็นการขายล่วงหน้าตามที่ทุกท่านทราบ เคยทราบว่าบางโรงทำโรงแรมด้วยและเกือบเจ็ง โชคดีที่มีเงินจากโรงงานผองถ่ายไปช่วยไว้ เมื่อ: 2005-04-06T03:08:41+00:00 nanchan: สงสัยเบื่อปัญหาแล้งทุกปี ทำคอนโดดีกว่า ไม่แล้ง ไม่ซื้อหุ้นน้ำตาลเพราะกลัวเป็นโรคเบาหวาน ผมว่าธุรกิจน้ำตาลนี่ เงินนอกระบบน่าจะเยอะ (หมายถึงขายไม่มีvatและไม่ลงรายการรายได้) ถ้าซื้อลงทุนก็ไม่น่าสนหละนะ ผมว่าเอง เมื่อ: 2005-04-06T03:22:15+00:00 Stock Broker: เค้าอยากลองเป็น "เป็ด" ดูมั้งครับ เมื่อ: 2005-04-06T05:18:52+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มั่งคั่งด้วยหุ้น/วิบูลย์ พึงประเสริฐ Thai VI Article: นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติหรือล๊อคอิน Paul VI ในเวปไซค์ของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากในการก่อตั้งสมาคมนี้ขึ้นในเมืองไทย แต่ก่อนนั้นเวปไซค์ของไทยวีไอเป็นแค่แหล่งรวมของนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเมื่อสิบปีก่อนโดยใช้ชื่อเวปไซค์ว่า Thaivalueinvestor.com ในช่วงแรกยังมีสมาชิกไม่เยอะและการลงทุนแบบวีไอนั้นไม่ได้รับความนิยมแต่อย่างใด เพราะความเชื่อของนักลงทุนไทยสมัยก่อนนั้นชอบเล่นหุ้นปั่นและหุ้นตามขาใหญ่มากกว่าที่จะซื้อหุ้นแล้วถือลงทุนนานๆ คนที่ทำเงินได้มากๆในตลาดหุ้นไทยสมัยนั้นมักเป็นเจ้ามือหรือนักเก็งกำไรเป็นส่วนมาก นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจึงเป็นเพียงแค่กลุ่มเล็กๆในตลาดหุ้นไทยรวมถึงท่านดร.นิเวศน์ยังไม่เป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่นักด้วยว่าเพิ่งเริ่มต้นเผยแพร่หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ไม่กี่ปีและพอร์ตของท่านยังไม่ใหญ่มากทำให้ไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าวิธีการลงทุนแบบวีไอจะใช้ได้กับตลาดหุ้นไทย จากนั้นเวปไซค์ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Thaivi.com และเริ่มมีสมาชิกมากขึ้นตามความนิยม รวมถึงดัชนีหุ้นที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นกว่าในอดีตทำให้การเล่นหุ้นได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยมากขึ้น เวปไซค์ไทยวีไอแต่ก่อนถือว่าเป็นเวปไซค์เปิดซึ่งใครก็สามารถเข้ามาถามตอบในกระทู้ของเวปได้อย่างอิสระ และมีผู้ดำเนินการเวปหรือแอดมินคอยห้ามปรามหรือลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมออกไป แต่ในระยะหลังการใช้เวปไซค์ไปในทางที่ไม่ถูกต้องนักอยู่หลายเรื่องรวมถึงการพยายามเชียร์หุ้นที่ตนเองถืออยู่บ่อยครั้ง ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่เข้าไปซื้อหุ้นตามเสียหายหรือขาดทุนไปจำนวนมาก รวมถึงชื่อของนักลงทุนแบบวีไอที่เริ่มมีชื่อเสียงและร่ำรวยขึ้นดึงดูดให้นักลงทุนคนอื่นๆเข้ามาสนใจในเวปไซค์ไทยวีไอจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อไม่ให้เวปไซค์ต้องเสียชื่อเสียงรวมทั้งสามารถควบคุมคนแอบอ้างได้ ทางสมาชิกจึงตัดสินใจให้เปลี่ยนชมรมนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) และเปลี่ยนชื่อเวปไซค์เป็น Thaivi.org ใครที่จะเข้าไปโพสจะต้องเป็นสมาชิกของสมาคมเท่านั้นเพื่อไม่ให้บุคคลภายนอกแอบอ้างหาประโยชน์จากการเชียร์หุ้นได้ หลังจากการก่อตั้งสมาคมฯแล้ว นอกเหนือไปจากงานประจำที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์เฉพาะทางสูตินารีที่สำนักการแพทย์ของกรุงเทพมหานคร นายแพทย์ประมุขหรือหมอมุขยังได้รับตำแหน่งเป็นอุปนายกของสมาคมฯอีกด้วย ในด้านการลงทุนนั้นหมอมุขถือได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนท่านหนึ่ง ในช่วงแรกของการลงทุนหมอมุขยังเล่นหุ้นเหมือนรายย่อยทั่วๆไปที่ซื้อหุ้นตามข่าวสารหรือตามรายใหญ่แต่ผลลัพธ์ดูเหมือนจะไม่เป็นที่น่าพอใจเพราะว่าซื้อมาขายไปสุดท้ายก็เท่าทุนหรือขาดทุนซะมากกว่า หลังจากปี 2550 หมอมุขเริ่มลงทุนแบบวีไอโดยอาศัยเวปไซค์และหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับวีไอจนเวลาผ่านไปไม่กี่ปี หมอมุขก็ทำพอร์ตได้เติบโตหลายเท่าจนสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ ถึงแม้จะมีเงินมากถึงขั้นเศรษฐีแต่หมอมุขยังคงปฏิบัติหน้าที่แพทย์อยู่ต่อไปเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆและใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนก่อนที่จะประสบความสำเร็จ หนังสือ”มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณภาพ”ถือได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเล่มแรกในชีวิตของหมอมุข หนังสือเล่มนี้นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาเขียนคำนิยมให้ไม่ว่าจะเป็นท่านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราการ, ท่านดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา, คุณธันวา เลาหศิริวงศ์. หรือคุณอนุรักษ์ บุญแสวง ประธานสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า หนังสือเล่มนี้หมอมุขเขียนขึ้นเพื่อให้ใครก็ตามไม่ว่ามือเก่าหรือมือใหม่สามารถนำหลักคิดและวิธีการไปใช้ในการลงทุนได้อย่างง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้ออย่างก้าวแรกกับการลงทุนอย่างถูกต้องเพื่อปรับทัศนคติที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า นอกเหนือจากนั้นยังมีเรื่องของเคล็ดลับสำหรับมือใหม่ที่อยากลงทุนในหุ้น เช่น การเลือกหุ้นแบบเน้นคุณค่า การค้นหาหุ้นจากอัตราส่วนทางการเงิน รวมถึงจิตวิทยาการลงทุน หมอมุขยังอธิบายถึงงบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินต่างๆที่จำเป็นในการลงทุน การวิเคราะห์บริษัทและการประเมินมูลค่าหุ้น จบด้วยการบริหารพอร์ตให้มั่นคงและมั่งคั่ง เรียกได้ว่าอ่านเล่มเดียวแทบจะครบหมดทุกมุมมองของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ถือได้ว่าคุ้มค่ากับการลงทุนในหนังสือดีๆสักเล่มอย่างหนังสือเล่มนี้อย่างแท้จริง[/size] เมื่อ: 2014-07-01T07:26:09+00:00 ลูกหิน: ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2014-07-01T09:02:34+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นจีนในดัชนีเอ็มเอสซีไอ/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ Thai VI Article: ในวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา หุ้นที่มูลค่าตลาดขนาดใหญ่ซึ่งซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น ของจีน ได้ถูกนำมารวมเข้าในดัชนีเอ็มเอสซีไอ ทำไมการมีหุ้นจีนอยู่ในดัชนีเอ็มเอสซีไอ จึงทำให้คนจับตามอง ตลาดหุ้นจีนได้เพิ่มขนาดขึ้นมาอย่างมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากสมาพันธ์ตลาดหลักทรัพย์โลก หรือ World Federation of Exchanges แสดงว่า ตลาดหลักทรัพย์ของจีน ณ สิ้นเดือนมีนาคม มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมถึง 8.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 285 ล้านล้านบาท โดยตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้มีมูลค่าตลาด 5.2 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 166 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และตลาดหุ้นเสินเจิ้น มีมูลค่าตลาดรวม 3.7 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 118 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ความใหญ่นี้ทำให้ MSCI ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ในอดีต อาจจะมีข้ออ้างว่า มาตรฐานบัญชีและการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของจีนยังไม่ถึงเกณฑ์สากล และหุ้นของบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดทั้งสองเป็นเงินหยวน ที่เรียกกันว่า “หุ้นเอ” (A Shares) ก็มีปริมาณที่นำออกมาซื้อขาย (Free Float) ไม่มาก และยังมีการควบคุมเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินและการส่งเงินออกนอกประเทศ แต่ตรงนั้นไม่ใช่ข้ออ้างอีกต่อไปเมื่อตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงได้เปิดให้มีการซื้อขายหุ้นของกันและกันที่เรียกว่า เซี่ยงไฮ้-ฮ่องกง คอนเน็ค เมื่อประมาณ 4 ปีก่อนที่ดิฉันได้เคยเขียนถึงไปแล้ว ราคา หุ้นเอ ของบริษัทขนาดใหญ่ของจีนจำนวน 234 บริษัท จะถูกรวมคำนวณในดัชนี 19 ดัชนี โดยในช่วงแรกนี้จะคิดน้ำหนัก 2.5% ของ Foreign Inclusion Factor และในเดือนกันยายน จะเพิ่มเป็น 5% เอาที่เข้าใจง่ายๆดีกว่านะคะ ยกตัวอย่างเพียง 1 ใน 19 ดัชนีค่ะ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นต้นมา ดัชนีตลาดเกิดใหม่ที่เรียกว่า MSCI Emerging Markets Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นในตลาดเกิดใหม่ที่ผู้จัดการกองทุนใช้เป็นดัชนีอ้างอิงมากที่สุด มีน้ำหนักหุ้นเอ ของจีนอยู่ 0.39% และในเดือนกันยายน ปีนี้ จะมีนำ้หนักเพิ่มเป็น 0.78% ค่ะ และหากคิดรวมเต็มๆ โดยไม่มีปัจจัยอื่น เช่นเรื่องสภาพคล่อง เรื่องเพดานการถือครองหุ้นของต่างชาติ หรือเรื่องการควบคุมตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง น้ำหนักของหุ้นเอจีนในดัชนี MSCI Emerging Market จะไปได้ถึงเกือบๆ 18%ของดัชนีเลยทีเดียวค่ะ คาดกันว่ากองทุนที่ใช้ดัชนี MSCI Emerging Markets เป็นดัชนีอ้างอิง หรือเป็นตัวเทียบวัด มีมูลค่ารวมกันถึงประมาณ 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าผู้จัดการกองทุนยังไม่มีหุ้นเอของจีนอยู่ในพอร์ตเลย หมายความว่าในช่วงแรกนี้ จะมีเม็ดเงินถึง 74,100 ถึง 148,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 0.237 ถึง 0.47 ล้านล้านบาท ที่สามารถจัดสรรไปซื้อหุ้นเอ ของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น ตลาดหุ้นจีน ได้ตอบรับกับข่าวนี้ตั้งแต่ปีที่แล้วที่ MSCI ได้ออกมาประกาศว่าจะรวมหุ้นจีนในดัชนี แต่พอต้นปีนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ถูกขายลงมาอย่างแรงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และโซซัดโซเซ จากนโยบายกีดกันการค้า และนโยบายความมั่นคงที่จะเจารจากับเกาหลีเหนือ ของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นจีนยังไปไหนไม่มาก โดย ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2561 ดัชนีเซี่ยงไฮ้เอแชร์ ยังติดลบอยู่ 5.9% จากต้นปี 2561 และดัชนี CSI 300 ของเสินเจิ้น ยังติดลบอยู่ 4.96% จากต้นปี หลายคนมองว่าผู้จัดการกองทุนทั้งหลาย คงยังไม่ทุ่มเงินลงทุนเข้าไปในจีนในคราวเดียว คงจะดูลาดเลาก่อน และค่อยๆเพิ่มน้ำหนัก เพราะมองว่าตลาดจีนยังมีความเสี่ยงอยู่ในอีกหลายๆด้าน ทั้งการแกว่งขึ้นลงของราคาหุ้น ที่ค่อนข้างสูง เพราะมีผู้ลงทุนรายย่อยนำตลาด รวมถึงกังวลต่อการแทรกแซงของรัฐในการสั่งปิดตลาดหากหุ้นมีราคาตกลงมากเกินไปอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2558 ก็ต้องจับตาดูนะคะ แต่ที่แน่ๆคือ การถูกรวมในดัชนีต่างๆของเอ็มเอสซีไอ ทำให้จีนมีความสำคัญเพิ่มขึ้น ในตลาดทุนของโลกค่ะ สำหรับผู้ลงทุนที่ชอบหุ้นของบริษัทจีน ก็ยังสามารถลงทุนผ่าน หุ้นเอช (H Shares) ซึ่งคือหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้ค่ะ เพราะบริษัทเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลของตลาดฮ่องกง และหุ้นมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง สำหรับผู้ลงทุนที่ประสงค์จะลงทุนในบริษัทจีนผ่านกองทุนรวม มีกองทุนตลาดจีนขายกันอยู่หลายกองทุน มีทั้งที่ทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและที่ไม่ได้ป้องกัน แต่ส่วนใหญ่จะลงทุนใน หุ้นเอช ของฮ่องกง รวมถึงอาจซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเอเชียเหนือ ซึ่งจะรวมการลงทุนในตลาดหุ้น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เข้าไปด้วย หมายเหตุ : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน และผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นเครื่องชี้ผลการดำเนินงานในอนาคต[/size] เมื่อ: 2018-06-12T07:04:44+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
10 Tips For The Successful Long-Term Investor thaloengsak: 10 Tips For The Successful Long-Term Investor by Investopedia Staff, (Investopedia.com) (Contact Author | Biography) Email Article Print FeedbackReprintsShareFiled Under: Investing Basics, Warren Buffett While it may be true that in the stock market there is no rule without an exception, there are some principles that are tough to dispute. Let's review 10 general principles to help investors get a better grasp of how to approach the market from a long-term view. Every point embodies some fundamental concept every investor should know. 1. Sell the losers and let the winners ride! Time and time again, investors take profits by selling their appreciated investments, but they hold onto stocks that have declined in the hope of a rebound. If an investor doesn't know when it's time to let go of hopeless stocks, he or she can, in the worst-case scenario, see the stock sink to the point where it is almost worthless. Of course, the idea of holding onto high-quality investments while selling the poor ones is great in theory, but hard to put into practice. The following information might help: Riding a Winner - Peter Lynch was famous for talking about "tenbaggers", or investments that increased tenfold in value. The theory is that much of his overall success was due to a small number of stocks in his portfolio that returned big. If you have a personal policy to sell after a stock has increased by a certain multiple - say three, for instance - you may never fully ride out a winner. No one in the history of investing with a "sell-after-I-have-tripled-my-money" mentality has ever had a tenbagger. Don't underestimate a stock that is performing well by sticking to some rigid personal rule - if you don't have a good understanding of the potential of your investments, your personal rules may end up being arbitrary and too limiting. (For more insight, see Pick Stocks Like Peter Lynch.) Selling a Loser - There is no guarantee that a stock will bounce back after a protracted decline. While it's important not to underestimate good stocks, it's equally important to be realistic about investments that are performing badly. Recognizing your losers is hard because it's also an acknowledgment of your mistake. But it's important to be honest when you realize that a stock is not performing as well as you expected it to. Don't be afraid to swallow your pride and move on before your losses become even greater. In both cases, the point is to judge companies on their merits according to your research. In each situation, you still have to decide whether a price justifies future potential. Just remember not to let your fears limit your returns or inflate your losses. (For related reading, check out To Sell Or Not To Sell.) 2. Don't chase a "hot tip". Whether the tip comes from your brother, your cousin, your neighbor or even your broker, you shouldn't accept it as law. When you make an investment, it's important you know the reasons for doing so; do your own research and analysis of any company before you even consider investing your hard-earned money. Relying on a tidbit of information from someone else is not only an attempt at taking the easy way out, it's also a type of gambling. Sure, with some luck, tips sometimes pan out. But they will never make you an informed investor, which is what you need to be to be successful in the long run. (Find what you should pay attention to - and what you should ignore in Listen To The Markets, Not Its Pundits.) 3. Don't sweat the small stuff. As a long-term investor, you shouldn't panic when your investments experience short-term movements. When tracking the activities of your investments, you should look at the big picture. Remember to be confident in the quality of your investments rather than nervous about the inevitable volatility of the short term. Also, don't overemphasize the few cents difference you might save from using a limit versus market order. Granted, active traders will use these day-to-day and even minute-to-minute fluctuations as a way to make gains. But the gains of a long-term investor come from a completely different market movement - the one that occurs over many years - so keep your focus on developing your overall investment philosophy by educating yourself. (Learn the difference between passive investing and apathy in Ostrich Approach To Investing A Bird-Brained Idea.) 4. Don't overemphasize the P/E ratio. Investors often place too much importance on the price-earnings ratio (P/E ratio). Because it is one key tool among many, using only this ratio to make buy or sell decisions is dangerous and ill-advised. The P/E ratio must be interpreted within a context, and it should be used in conjunction with other analytical processes. So, a low P/E ratio doesn't necessarily mean a security is undervalued, nor does a high P/E ratio necessarily mean a company is overvalued. (For further reading, see our tutorial Understanding the P/E Ratio.) 5. Resist the lure of penny stocks. A common misconception is that there is less to lose in buying a low-priced stock. But whether you buy a $5 stock that plunges to $0 or a $75 stock that does the same, either way you've lost 100% of your initial investment. A lousy $5 company has just as much downside risk as a lousy $75 company. In fact, a penny stock is probably riskier than a company with a higher share price, which would have more regulations placed on it. (For further reading, see The Lowdown on Penny Stocks.) 6. Pick a strategy and stick with it. Different people use different methods to pick stocks and fulfill investing goals. There are many ways to be successful and no one strategy is inherently better than any other. However, once you find your style, stick with it. An investor who flounders between different stock-picking strategies will probably experience the worst, rather than the best, of each. Constantly switching strategies effectively makes you a market timer, and this is definitely territory most investors should avoid. Take Warren Buffett's actions during the dotcom boom of the late '90s as an example. Buffett's value-oriented strategy had worked for him for decades, and - despite criticism from the media - it prevented him from getting sucked into tech startups that had no earnings and eventually crashed. (Want to adopt the Oracle of Omaha's investing style? See Think Like Warren Buffett.) 7. Focus on the future. The tough part about investing is that we are trying to make informed decisions based on things that have yet to happen. It's important to keep in mind that even though we use past data as an indication of things to come, it's what happens in the future that matters most. A quote from Peter Lynch's book "One Up on Wall Street" (1990) about his experience with Subaru demonstrates this: "If I'd bothered to ask myself, 'How can this stock go any higher?' I would have never bought Subaru after it already went up twentyfold. But I checked the fundamentals, realized that Subaru was still cheap, bought the stock, and made sevenfold after that." The point is to base a decision on future potential rather than on what has already happened in the past. (For more insight, see The Value Investor's Handbook.) 8. Adopt a long-term perspective. Large short-term profits can often entice those who are new to the market. But adopting a long-term horizon and dismissing the "get in, get out and make a killing" mentality is a must for any investor. This doesn't mean that it's impossible to make money by actively trading in the short term. But, as we already mentioned, investing and trading are very different ways of making gains from the market. Trading involves very different risks that buy-and-hold investors don't experience. As such, active trading requires certain specialized skills. Neither investing style is necessarily better than the other - both have their pros and cons. But active trading can be wrong for someone without the appropriate time, financial resources, education and desire. (For further reading, see Defining Active Trading.) 9. Be open-minded. Many great companies are household names, but many good investments are not household names. Thousands of smaller companies have the potential to turn into the large blue chips of tomorrow. In fact, historically, small-caps have had greater returns than large-caps; over the decades from 1926-2001, small-cap stocks in the U.S. returned an average of 12.27% while the Standard & Poor's 500 Index (S&P 500) returned 10.53%. This is not to suggest that you should devote your entire portfolio to small-cap stocks. Rather, understand that there are many great companies beyond those in the Dow Jones Industrial Average (DJIA), and that by neglecting all these lesser-known companies, you could also be neglecting some of the biggest gains. (For more on investing in small caps, see Small Caps Boast Big Advantages.) 10. Be concerned about taxes, but don't worry. Putting taxes above all else is a dangerous strategy, as it can often cause investors to make poor, misguided decisions. Yes, tax implications are important, but they are a secondary concern. The primary goals in investing are to grow and secure your money. You should always attempt to minimize the amount of tax you pay and maximize your after-tax return, but the situations are rare where you'll want to put tax considerations above all else when making an investment decision (see Basic Investment Objectives). Conclusion There are exceptions to every rule, but we hope that these solid tips for long-term investors and the common-sense principles we've discussed benefit you overall and provide some insight into how you should think about investing. by Investopedia Staff (Contact Author | Biography) Investopedia.com believes that individuals can excel at managing their financial affairs. As such, we strive to provide free educational content and tools to empower individual investors, including thousands of original and objective articles and tutorials on a wide variety of financial topics. Filed Under: Investing Basics, Warren Buffett Buzz up! เมื่อ: 2011-02-06T10:35:15+00:00 thaloengsak: Free Penny Stock Picks Home > Articles Article Comments (0) Long-Term Investing: Hot Or Not? by Lisa Smith (Contact Author | Biography) Email Article Print FeedbackReprintsShareFiled Under: Personal Finance, Warren Buffett The headlines blaze from magazine titles, book covers, newspapers and websites: "Beat the market!", "Here's the strategy you need!", "Get rich trading!" and "A five-star fund!" The talking heads on television fuel the fire even further, with some of them dancing around like crazed animals, frothing at the mouth and screaming for investors to "Buy!" It's enough to sway the convictions of even the most rational investors. Unfortunately, these seductive siren songs usually turn out to be all wrong. If you've ever struggled to keep up with market fluctuations in your investment strategy, read on to learn more about a simple investment strategy that will keep your returns on the rise. The Truth If these masterful investment strategies were as good as their advertisements, wouldn't there be a lot more rich people in your neighborhood? If the strategies can't lose, why do the mutual fund firms, wire houses and discount brokerages book huge profits while the average investor fares worse than an unmanaged index? The answer is simple: The financial services firms get paid even if you lose money. The Numbers Don't Lie According to Quantitative Analysis of Investor Behavior (2006), a study by the financial research organization Dalbar, the average investor in an open-ended mutual fund earned a 3.9% total yearly return for the 20-year period ending December 31, 2005. The S&P 500 index earned an annual return of 11.9%. The index didn't just beat the investors, it crushed them! (To learn more, see You Can't Judge An Index Fund By Its Cover and Index Investing.) Dalbar reports that the average mutual fund investor purchased a fund and held it for just 4.3 years before selling. That was during good times - the holding period slipped to just 2.5 years during bear markets. Neither time period suggests that the average mutual fund investor understands the objective of long-term investing or the risks involved in short-term trading in pursuit of performance. (For related reading, check out Ten Tips For The Successful Long-Term Investor.) The concept of selling the fund you have in order to purchase something different is encouraged by the idea that better returns can be had if only you choose "the right fund". In seeking this most desirable of all investments, most investors turn to historical performance as their guide. They see a fund with a "five star" rating or a particular sector of the economy (such as technology) delivering "hot" performance, and they trade in their current investments to purchase what they are sure must be "the next big thing". It's a classic mistake. (For more on this, see Digging Deeper: The Mutual Fund Prospectus.) By the time the average investor is aware of a top-performing fund or industry sector, they are looking at last year's winner. The gains have happened already. The folks that made big money did it last year, last quarter or even last week. It doesn't take long before the investment is overpriced, overvalued and headed downhill. It's the perfect time to sell, but generally a foolish time to buy. Unfortunately, as the Dalbar numbers demonstrate, it's precisely the time far too many investors send their dollars in the wrong direction, buying an investment that is unlikely to repeat its past performance anytime soon. Even when a few lucky investors do manage to grab on to the tail end of a trend, the strategy of chasing performance usually ends badly. For the most part, these investors are too greedy to sell and lock in their profits. They hold the investment as long as the price is going up and continue to hold it on the way back down - and, when the house of cards folds, they can get hurt. Doesn't Anybody Win? There's absolutely no doubt that some investment managers beat their benchmarks. Some even manage the task for prolonged periods of time. That said, even Warren Buffet has down years. It is simply unrealistic to expect that any investment or any strategy will always deliver positive performance. (To learn more about Warren Buffett's investment strategies, see Warren Buffett: How He Does It and What Is Warren Buffett's Investing Style?) With that in mind, it is equally important to remember that a bad year does not reflect a bad strategy necessarily. Market conditions change all the time. Factors beyond an individual company's control, such as bad weather, political problems, war, terrorism or simply the need to remodel aging facilities, can cause temporary setbacks. In the long term, these setbacks are just blips on the radar - not a reason to abandon a successful investment. The Long-Term Trend Is Your Friend Short-term market performance is unpredictable. Daily price swings occur, sometimes for seemingly irrational reasons, which is why long-term investors ignore short-term distractions. To get a better sense of the long term, take a look at the performance of any major market index over a 20-year period. The trend is for the numbers to move upward. Sure, there are peaks and valleys, but overall, the direction of the movement is up. Plan to Win Take advantage of the long-term trend when planning your investment strategy. Accept the fact that your portfolio won't always be in the "right" place at the "right" time, and that you won't always own the "hot" investment. Instead of acting like an amateur and chasing short-term performance, plan your investments like a professional. Set a long-term goal and then choose a strategy that has a high likelihood of achieving that goal. Make logical decisions, not emotional reactions. Think about inflation and don't count on cash to appreciate at a greater rate. Rely on the time-tested theories of diversification and low-cost investing to help you over the long term. Conclusion Although many people manage to build sizable amounts of wealth by jumping from one "hot" strategy to another, the odds are against you if you try to follow in their footsteps. One wrong move and your portfolio's value could suffer irreversible damage. In the long-run, buying and holding will probably leave you at least as well-off, if not better, and it sure is a lot less stressful! by Lisa Smith (Contact เมื่อ: 2011-02-06T10:35:53+00:00 thaloengsak: 1. Stock Picking 2. Forex 3. Options Trading 4. Credit Crisis Topics Dictionary Articles Stock Analysis Investing Basics Stocks Mutual Funds FOREX ETFs Active Trading Bonds Economics Financial Careers Financial Theory Fundamental Analysis Insurance Options & Futures Personal Finance Professional Education Real Estate & Mortgages Retirement Taxes Young Investors FAQs Exam Prep Exam Quizzer Tutorials Ask Us FXtrader Simulator Financial Edge Stock Ideas Free Tools Calculators Free Newsletters Super Hot Stock Alerts Home > Articles Article Comments (0) Market Timing Fails As A Money Maker by Brian Bloch (Contact Author | Biography) Email Article Print FeedbackReprintsShareFiled Under: Active Trading, Banking, Bonds There are few subjects in the field of investment that are more controversial than that of market timing. Some people claim it is impossible and others claim they can do it for you perfectly - for a small fee. The truth, however, may lie somewhere between the two extremes. The Basic Dilemma Markets move in cycles and there are undoubtedly indicators of various kinds that at least potentially reflect the particular market phase at a given time. However, this does not necessarily mean that one can determine when to get in and out both accurately and consistently. (For related reading, see Understanding Cycles - The Key To Market Timing.) The Critics Critics of market timing contend that it is nearly impossible to time the market successfully compared to staying fully invested over the same period. This basic rejection of timing has also been confirmed by various studies reported in the Financial Analyst Journal, Journal of Financial Research and other respectable sources. In 1994, Nobel Memorial Prize winner Paul Samuelson commented in the Journal of Portfolio Management that there are confident investors who move from having almost everything in stocks to the reverse, according to their views of the market. He argued, however, that they do not do better over time than the "cautious chaps" who keep roughly 60% of their money in stocks and the remaining amount in bonds. These investors raise and lower their equity proportions only marginally - there are no big moves in and out. So what is the solution? A portfolio comprising a manageable number of individual equities purchased and sold for the right financial and economic reasons may be the best way to invest (a total return approach). Such a portfolio is relatively independent of the overall market and no attempt is made to beat a particular index. Even more importantly, this approach does not entail market timing. (For related reading, check out A Guide To Portfolio Construction.) The Supporters Conversely, the leading German stock picker and market timer, Uwe Lang, claims that when there is danger in the markets, investors should sell out of their equities within two to five days and buy them back when the market starts to rise. Furthermore, Lang calls the buy-and-hold strategy a profit killer. (For related reading, check out Ten Tips For The Successful Long-Term Investor.) Getting the Edge Investment magazines and internet websites also boast endless claims about market timing benefits. So can investors get this winning edge that will enable them to consistently beat the market? What about all those people out there who offer a remarkable range of methods for market timing? Each claims to have found the solution to the timing problem and provides some sort of evidence of success. They all boast of spectacular returns, often in multiples above the usual market indexes and report how they predicted various booms and crashes or the meteoric rise and fall of this or that stock. Despite their claims, the standard wisdom is that such models do not and cannot succeed consistently over time. Certainly, both the claims and the evidence should be interpreted with caution. Some of these models may offer some benefit, but investors need to shop around, get second and even third opinions, and draw their own conclusions. Most importantly, investors must avoid putting all of their money into one approach. After all, although it is difficult to get the timing right, particularly with each and every swing in the cycle, anybody who looked at the market in 1999 and decided to get out and stay out until 2003, would have done incredibly well. Striking a Balance For the skeptics, one safe solution to this totally polarized dilemma is simply to abandon timing altogether and put your money in a tracker, which literally goes up and down with the market. Similarly, most investment funds do more less the same thing. If you simply leave your money in such funds for long enough, you should do fairly well, given that equity markets generally rise over the long run. (To learn more, read Index Investing.) Even if you decide not to try your luck at market timing, you should avoid a totally passive approach to investment. Managing your money actively is not the same as market timing. It is essential to ensure at all times that a portfolio has an appropriate level of risk for your circumstances and preferences. The balance of investments must also be kept up to date, meaning that as asset classes evolve over time, adjustments must be made. (To learn more about how to do this, read Rebalance Your Portfolio To Stay On Track.) For example, over a boom period for equities, you would need to sell slowly over time to prevent the level of risk of a portfolio from rising. Otherwise, you get what is known as portfolio drift - and more risk than you bargained for. Likewise, if you discover that the investment you were sold in the first place was never right for you, or your circumstances change, you may need to sell out, even if it means taking a loss. Some professional fund managers also have systems for adjusting portfolios according to market conditions. For example, Julius Baer Private Banking in Zurich offers larger clients a "Flex Allocator" system. This is a mechanism that automatically switches the portfolio between equities and fixed-income investments. The allocator provides a degree of protection from bear markets, while optimizing profits in boom periods. The system is also adjusted according to personal risk profiles. (To learn more, read Surviving Bear Country.) A Case Study of A Firm that Times the Market Timing the market with precision is a major challenge, but there are ways to figure out whether one should be going heavier into equities or bonds at a particular point in time. Or even entirely out of one and into the other. A good example of how this can be done is provided by the Swiss company Indexplus, which uses the relationships between the economy and the market to move in and out "just-in-time". The firm's two partners, Thomas Kamps and Roland Ranz, believe in hanging on until the last moment before the crash, even if that means selling a bit below peak. The rationale for this is that large gains occur in the final frenzy of a bull market - as evidenced in 1999. In other words, the approach is to let profits run and to minimize losses. They stress that it pays off to risk some losses, but that investors need to get out when the losses are still small. For many investors, this is psychologically very difficult and, as a result, they hang on until there are massive losses. An unemotional, high-tech model can be the best way to make these tough decisions. Indexplus entails relatively straightforward switches between equities and bonds. The company uses a model that integrates four key variables: market psychology, interest rates, inflation and gross national product into the stock market and macroeconomic environments. A decision is then made on this basis. The actual investments are partial replications of the Swiss index. This allows for a cost-effective, active process. Furthermore, Kamps and Ranz stress that, particularly in the efficient Swiss market, stock picking does not achieve much. The situation in the U.S. is similar. No one knows for sure how economically efficient the market is, but it is difficult to succeed consistently at stock picking. (For more insight, read our Guide To Stock-Picking Strategies.) A Delicate Balance of Pros and Cons Market timing tends to have a bad reputation and some evidence suggests that it does not beat a buy-and-hold strategy over time. However, the investment process should always be an active one and investors should not misinterpret the negative research and opinions on market timing as implying that you can just put your money into an acceptable mix of assets and never give it another thought. Furthermore, intuition, common sense and a bit of luck may make timing work for you - at least on some occasions. Just be aware of the dangers, the statistics and the experiences of all those who have tried and failed. by Brian Bloch (Contact Author | Biography) Brian Bloch started his career as a business academic and moved into management journalism in the late '90s. His experiences as an investor with the financial industry led him into the personal finance area a few years ago, and he finds this line of work particularly rewarding and fascinating. As part of his personal finance work, Brian assists investors who have claims against brokers or firms. See his homepage at www.brian-bloch.com Filed Under: Active Trading, Banking, Bonds เมื่อ: 2011-02-06T10:36:35+00:00 thaloengsak: Water Cooler Finance: The New iPod And The Roller Coaster Market Posted: September 6, 2010 5:01PM by Erin Joyce Email Article Share Buzz up! Filed Under: On This Day In Finance, Personal Finance, Warren Buffett It was a historic week, as August 31 marked the official end of U.S. combat operations in Iraq after seven years of war. President Obama made no mention of the word "victory" in his address to the nation, but instead spoke of a continued commitment to the people of Iraq. For support, 50,000 American troops will remain in the country. That minor news blip aside, what else was happening in the markets? IN PICTURES: Top 7 Social Security Myths: Exposed In The Markets On September 1, automakers reported the worst August for auto sales in 27 years, according to CNNMoney. With sales just short of 1 million vehicles, the 21% drop from a year ago fell short of analysts' modest expectations. Luckily, the stock market wasn't paying attention to the cars as U.S. stocks grew the most since July, with the S&P 500 gaining 3%, according to Bloomberg. An unprecedented upswing in Chinese and American manufacturing helped push the index up. However, volatility in the Treasury market hit a three-month high as the instruments declined for the first time in three days in response to the manufacturing increase. Are you feeling seasick yet? Hold on to your hats - September is historically the worst month for stocks. (For more, check out our FAQ on Why people say September is the worst month for investing.) Tech Toys In the technology sector, big dogs Apple (Nasdaq: AAPL) and Google (Nasdaq: GOOG) both had news to share. Apple announced the revamping of its iPod lineup, including a new look, a touchscreen for the Nano and a more iPhone-like iPod Touch. The Touch will now be compatible with Apple's FaceTime video chat feature. Apple TV is also getting a makeover - and a sale tag. The product will allow you to stream movies and TV shows for a small price, similar to how iTunes operates now. The box itself is now one-fourth the size of previous models, and it will cost $99 – a sharp drop from the previously announced $229. iTunes Sings With Ping Just in case none of that news was of interest to you, Apple also announced the launch of a new iTunes update that includes Ping, a social network feature that will allow users to follow the music preferences of friends and artists, according to USA Today. Not one to be caught sitting idly by, Google made a social media announcement of its own. On August 30, the internet search giant acquired SocialDeck, a social gaming company. With SocialDeck, you can play games, such as Color Connect and PetHero MD, on your smartphone or on social networking sites like Facebook accessed through your PC. BP & Buffett - WCF Essentials If you missed hearing about the big headliners in finance, we've got you covered. BP has reported tripling its advertising spending since the oil spill, with BusinessWeek reporting BP's bill coming in at $93.4 million for television, print and web-based advertising. That's an awful lot of polish to shine up the company's corporate image. IN PICTURES: 6 Millionaire Traits That You Can Adopt August 30 marked perhaps the most talked about birthday in the financial world: Warren Buffett's. The Oracle of Omaha became an octogenarian this year, and many used the occasion to speculate on when he will die and who will replace him. In fact, apparently money manager Whitney Tilson used a life expectancy calculator to estimate how much time Buffett has left – apparently 12 years. I know I like to spend my birthday reading about my own mortality on the internet! In retaliation, Buffett declared he intends to work well past age 100. The Bottom Line The roller coaster that is the financial market continues to threaten to jump tracks, but take heart; at least Apple continues to deliver exciting, shiny gadgets for us to play with. And at least when it's my birthday, I don't have to hear the speculations of thousands as to when I will die. Hopefully Buffett's $62 billion estimated net worth eases the pain. If you missed last week's financial news; read Water Cooler Finance: The Ups And Downs Of A Double-Dip Recession. เมื่อ: 2011-02-06T10:37:55+00:00 thaloengsak: 6 Spending Tips From Frugal Billionaires Posted: August 31, 2010 11:11AM by Jean Folger Email Article Share Buzz up! (1) Filed Under: Millionaires, Personal Finance, Warren Buffett Carlos Slim Helu (Carlos Slim), a telecom tycoon and billionaire with well-known frugal tendencies, has a net worth of $60.6 billion according to Forbes. Assuming no changes in his net worth, he could spend $1,150 a minute for the next 100 years before he ran out of money. To put this in perspective, he could spend in 13 minutes what a minimum-wage earner brings home after an entire year of the daily grind. IN PICTURES: How To Make Your First $1 Million Granted, the world's billionaires (all 1,011 of them) are in the debatably enviable position of having, quite literally, more money than they can possibly spend, yet some are still living well below their means, and save money in surprising places. Even non-billionaires (currently 6,864,605,142 of us) can partake in these seven spending tips from frugal billionaires. Keep Your Home Simple Billionaires can afford to live in the most exclusive mansions imaginable - and many do, including Bill Gates' sprawling 66,000 square foot, $147.5 million dollar mansion in Medina, Washington - yet frugal billionaires like Warren Buffet choose to keep it simple. Buffet still lives in the five-bedroom house in Omaha that he purchased in 1957 for $31,500. Likewise, Carlos Slim has lived in the same house for more than 40 years. (Want to learn more about the Oracle of Omaha? Read Rules That Warren Buffett Lives By.) Use Self-Powered or Public Transportation Thrifty billionaires including John Caudwell, David Cheriton and Chuck Feeney prefer to walk, bike or use public transportation when getting around town. Certainly these wealthy individuals could afford to take a helicopter to their lunch meetings, or ride in chauffeur-driven Bentleys, but they choose to get a little exercise and take advantage of public transportation instead. Good for the bank account and great for the environment. Buy Your Clothes off the Rack While some people, regardless of their net value, place a huge emphasis on wearing designer clothes and shoes, some frugal billionaires decide it's simply not worth the effort, or expense. You can find David Cheriton, the Stanford professor who matched Google founders Sergey Brin and Larry Page to the venture capitalists at Kleiner, Perkins, Caufield & Byers (resulting in a large reward of Google stock), wearing jeans and a t-shirt. Ingvar Kamprad, the founder of the furniture company Ikea, avoids wearing suits, and John Caudwell, mobile phone mogul, buys his clothes off the rack instead of spending his wealth on designer clothes. Keep your Scissors Sharp The average haircut costs about $45, but people can and do spend up to $800 per cut and style. Multiply that by 8.6 (to account for a cut every six weeks) and it adds up to $7,200 per year, not including tips. These billionaires can certainly afford the most stylish haircuts, but many cannot be bothered by the time it takes or the high price tag for the posh salons. Billionaires like John Caudwell and David Cheriton opt for cutting their own hair at home. Drive a Regular Car While billionaires like Larry Ellison (co-founder and CEO of Oracle Corporation) enjoy spending millions on cars, boats and planes, others remain low key with their vehicles of choice. Jim Walton (of the Wal-Mart clan) drives a 15-year-old pickup truck. Azim Premji, an Indian business tycoon, reportedly drives a Toyota Corolla. And Ingvar Kamprad of Ikea drives a 10-year-old Volvo. The idea is to buy a dependable car, and drive it into the ground. No need for a different car each day of the week for these frugal billionaires. Skip Luxury Items It may surprise some of us, but the world's wealthiest person, Carlos Slim (the one who could spend more than a thousand dollars a minute and not run out of money for one hundred years) does not own a yacht or a plane. (Reducing the amount you spend is the easiest way to make your money grow. For more information, read 5 Money-Saving Shopping Tips.) Many other billionaires have chosen to skip these luxury items. Warren Buffet also avoids these lavish material items, stating "Most toys are just a pain in the neck." What We Can Learn Some of the world's billionaires have frugal tendencies. Perhaps this thrifty nature even helped them make some of their money. Regardless, they have chosen to avoid some unnecessary spending (at least on their scale) and the 6,864,605,142 non-billionaires out there can follow suit, eliminating excessive, keep-up-with-the-Jones style spending. No matter what a person's income bracket is, most can usually find a way to cut back on frivolous spending, just like a few frugal billionaires. Catch up on your financial news; read Water Cooler Finance: The Ups And Downs Of A Double-Dip Recession. เมื่อ: 2011-02-06T10:38:37+00:00 thaloengsak: Wall Street History: Warren Buffett's Birthday! Posted: September 1, 2010 12:37PM by Andrew Beattie Email Article Share Buzz up! Filed Under: Insurance, Millionaires, On This Day In Finance, Warren Buffett There are a number of memorable events this week in finance, but the headline belongs to the Oracle of Omaha, now an octogenarian. We'll look at that and much more this week. (Missed last week's article? Check out Wall Street History: The Boesky And Siegel Deal.) IN PICTURES: 6 Ways To Save Money This Summer 80 Years Young On August 30, 1930, Warren Buffett was born in Omaha, Nebraska. The landmarks of Buffett's stories are well known today - tutelage under Benjamin Graham, a meeting with Charlie Munger, the purchase of a textile mill - and they all add up to the world's largest fortune built by stock picking. Buffett is worth nearly $50 billion dollars - a big number. He's also 80 years old - not a small number. Buffett likely has very few items on his birthday wish list, but a competent successor is no doubt among them. Reparations And Hyperinflations On August 31, 1921, Germany paid its first million marks in reparations, causing the value of the mark to plummet 30%. This was the start of the German hyperinflation. Germany's solution to make the payments was to print more and more marks, setting off massive inflation. This viscous cycle ruined many Germans, pushing them to call for radical political changes and helping Hitler's sweep to power. In one of the great "I told you so" moments in history, John Maynard Keynes predicted the reparations system leading to another all-out war of even larger proportions. But no one really listens to economists unless it's something they want to hear. Great Fire Brings Insurance Inland On September 2, 1666, the Great Fire of London broke out and burnt for three days, destroying 10,000 buildings including St. Paul's Cathedral. The event was so catastrophic that many businesses began seeking insurance. Insurance had been around for a long time, but it was largely aimed at covering risky ventures from storms, pirates and the occasional bad navigators. With a large demand for fire insurance, the marine insurers began selling dry land policies. (To learn more, see The History Behind Insurance.) The Treasury Department is Formed On September 2, 1789, the U.S. Treasury came into being. The first secretary of the Treasury was Alexander Hamilton. Broadly speaking, Hamilton laid the foundation for the nation's financial system from the minting of money to the setting of duties on imports to fund government. Hamilton was far from flawless, but his strong guidance stabilized America as a nation and gave foreign investors confidence in the value of American bonds. This inflow of foreign capital helped the U.S. rebuild after the Revolutionary War. Let There Be Light On September 4, 1882, the Edison Electric Illuminating Company started up its first electrical plant to distribute electricity in New York's shopping and financial district. The Pearl Street generator started as a novelty act, lighting up shop fronts with electric lights. Soon, however, appliances running off electric motors began to appear. The electrical revolution added to the breakneck pace of innovation that carried the U.S. to the forefront of the world. After being bought up at the turn of the 20th century, Edison Electric Illuminating Company is now known as Consolidated Edison. Bailout Buyout Remember when JPMorgan bought out Bear Stearns with the government's blessings? On September 5, 1988 a very similar situation unfolded in the savings and loan crisis as it did in the mortgage meltdown. On this day, the Robert M. Bass group bought up (read, bailed out) the American Savings and Loan Association with $2 billion worth of government aid. The company cost Bass less than half a billion of its own capital. American S&L Association was split in two - echoes of good GM and bad GM - with the good assets going to Bass and the rest into a resolution entity. The overall S&L bailout was considered a huge burden on the taxpayer at over $120 billion. If only we could pull out of the mortgage crises and the Great Recession with that small of a bill. Fannie and Freddie alone are expected to cost $160 billion plus possible ongoing expenses (the extreme estimate out now is $500 billion). (To learn more, see Top 6 U.S. Government Financial Bailouts.) That's all for this week. Next week we will look at Jack Welch, Chrysler's first bailout and much more. Catch up on your financial news; read Water Cooler Finance: The Ups And Downs Of A Double-Dip Recession. เมื่อ: 2011-02-06T10:39:03+00:00 thaloengsak: Top 5 All-Time Best Mutual Fund Managers by Daniel Myers,CFA (Contact Author | Biography) Email Article Print FeedbackReprintsShareFiled Under: Mutual Funds, Warren Buffett Great money managers are like the rock stars of the financial world. While Warren Buffett is a household name to many, to stock geeks, Graham, Templeton and Lynch lead to extended conversations on investment philosophies and performance. The greatest mutual fund managers produce long-term, market-beating returns and helped many individual investors build significant nest eggs. Criteria Before we get to the list, let's take a look at the criteria used to choose the top five: Long-term performers: We only consider those managers with a long history of market-beating performance. Retired managers only: We only consider those managers who have finished their careers. No "team managed" funds: These were not evaluated because the teams might change midway through the results. Besides, as John Templeton put it, "I am not aware of any mutual fund that was run by a committee that ever had a superior record, except accidentally." Contributions: The top managers also made contributions to the investment industry, as well as their own companies. Benjamin Graham The "father of security analysis" is in the top spot. Many may not think of Benjamin Graham as a fund manager, but he qualifies because he managed the modern equivalent of a closed-end mutual fund with his partner Jerome Newman from 1936-1956. Investment Style: Deep value investing. (For more on value investing, read Stock-Picking Strategies: Value Investing and Value Investing Using The Enterprise Multiple.) Best Investment: GEICO (NYSE:BRK.A) - It spun-off to Graham-Newman shareholders at $27 per share and rose to the equivalent of $54,000 per share. Oddly, the GEICO purchase became his most successful investment, although it didn't fit into his deep discount strategy very well. Most of Graham's positions were sold in less than two years, but he held GEICO stock for decades. His main investments were numerous low-risk arbitrage situations. Major Contributions: He wrote "Security Analysis" with fellow Columbia Professor David Dodd (1934), "The Interpretation of Financial Statements" (1937) and later, "The Intelligent Investor" (1949), which inspired Warren Buffett to seek out Graham and study under him at Columbia and later to work for him at the Graham-Newman Corporation. Graham also helped start what would later become the CFA Institute. Graham started on Wall Street in 1914 - long before securities markets were regulated by the Securities and Exchange Commission (SEC) and saw the need for certification of security analysts - thus the CFA exam. (For more on your CFA exam, see Prepare For Your CFA Exams.) Besides Buffett, Graham also mentored numerous pupils who went on to have fabulous investment careers of their own, but whose names aren't in the public eye. (For more on Graham, read The Intelligent Investor: Benjamin Graham and The 3 Most Timeless Investment Principles.) Estimated Return: Reports vary due to the time period in question as well as the calculation methods used, but John Train reported in "The Money Masters" (2000) that Graham's fund, the Graham-Newman Corporation, earned 21% annually over 20 years. "If one invested $10,000 in 1936, one received an average of $2,100 a year for the next 20 years, and recovered one's original $10,000 at the end." Sir John Templeton According to Forbes Magazine, Templeton is the "dean of global investing" and was knighted by the Queen of England for his contributions. Templeton was a philanthropist, Rhodes Scholar, CFA Charterholder and a benefactor to Oxford University who pioneered global investing and found the best opportunities in crisis situations. Investment Style: Global contrarian and value investor. His strategy was to buy investments when, in his words, they hit the "point of maximum pessimism." As an example of this strategy, Templeton bought shares of every public European company trading for less than $1 per share at the outset of World War II, including many that were in bankruptcy. He did this with $10,000 of borrowed money. After four years, he sold them for $40,000. This profit financed his foray into the investment business. Templeton also sought out underappreciated fundamental success stories around the world. He wanted to find out which country was poised for a turnaround before everyone else knew the story. Best Investments: Europe, at the start of World War II Japan, 1962 Ford Motors (NYSE:F), 1978 (it was near bankruptcy) Peru, 1980s. Shorted technology stocks in 2000 Major Contributions: Built a major part of today's Franklin Resources (Franklin Templeton Investments). Templeton College at Oxford University's Said Business School is also named after him. Estimated Return: He managed the Templeton Growth Fund from 1954 to 1987. Each $10,000 invested in the Class A shares in 1954 would have grown to more than $2 million by 1992 (when he sold the company) with dividends reinvested, or an annualized return of about 14.5%. T. Rowe Price, Jr. T. Rowe Price entered Wall Street in the 1920s and founded an investment firm in 1937, but he didn't start his first fund until much later. Price sold the firm to his employees in 1971, and it eventually went public in the mid 1980s. He is commonly quoted as saying, "What is good for the client is also good for the firm." Investment style: Value and long-term growth. Price invested in companies that he believed had good management, were in "fertile fields" (attractive long-term industries), and were industry leaders. He wanted companies that could grow for many years because he preferred to hold investments for decades. Best Investments: Merck (NYSE:MRK) in 1940; he reportedly made more than 200 times his original investment. Coca-Cola (Nasdaq:COKE), 3M (NYSE:MMM), Avon Products (NYSE:AVP) and IBM (NYSE:IBM) were other notable investments. Major Contributions: Price was one of the first to charge a fee based on the assets under management and rather than a commission for managing money. Today, this is common practice. Price also pioneered the growth style of investing by aiming to buy and hold for the long term and combining this with wide diversification. He founded publicly traded investment manager T. Rowe Price (Nasdaq:TROW) in 1937. (For more insight on growth investing, see Stock-Picking Strategies: Growth Investing.) Results: Individual fund results for Price are not very useful as he managed a number of funds, but two were mentioned in Nikki Ross' book "Lessons from the Legends of Wall Street"(2000). His first fund was started in 1950 and had the best 10-year performance of the decade - approximately 500%. Emerging Growth Fund was founded in 1960 and was also a standout performer with such names as Xerox (NYSE:XRX), H&R Block (NYSE:HRB) and Texas Instruments (NYSE:TXN) (also a long-time holding of Philip Fisher). John Neff The Ohio-born Neff joined Wellington Management Co. in 1964 and stayed with the company for more than 30 years managing three of its funds. One of John Neff's preferred investment tactics was to invest in popular industries through indirect paths, for example, in a hot homebuilder market he may have looked to buy companies that supplied materials to the homebuilders. Investment Style: Value, or low P/E, high-yield investing. Neff focused on companies with low price-earnings ratios (P/E ratios) and strong dividend yields. He sold when investment fundamentals deteriorated or the price met his target price. The psychology of investing was an important part of his strategy. He also liked to add the dividend yield to the growth in earnings and divide this by the P/E ratio for a "you get what you pay for" ratio. For example, if the dividend yield was 5% and the earnings growth was 10%, then he would add these two together and divide by the P/E ratio. If this was 10, then he took 15 (the "what you get" number) and divided it by 10 (the "what you pay for" number). In this example the ratio is 15/10 = 1.5. Anything over 1.0 was considered attractive. Best Investment: In 1984/1985, Neff started to acquire a large stake in Ford Motor Company; three years later, it had increased to nearly four times what he'd originally paid. Major Contributions: Wrote an investing how-to book covering his entire career year by year entitled "John Neff on Investing"(1999). Results: John Neff ran the Windsor Fund for 31 years ending in 1995 and earned a return of 13.7%, versus 10.6% for the S&P 500 over that time span. This amounts to a gain of more than 55 times an initial investment made in in 1964. Peter Lynch A graduate of Penn's Wharton School of Business, Lynch practiced what he called "relentless pursuit." He visited company after company to find out if there was a small change for the better that the market hadn't picked up on yet. If he liked it, he'd buy a little and if the story got better, he'd buy more, eventually owning thousands of stocks in what became the largest actively managed mutual fund in the world, the Fidelity Magellan Fund. Investment style: Growth and cyclical recovery Lynch is generally considered to be a long-term growth style investor, but is rumored to have made most of his gains through traditional cyclical recovery and value plays. Best Investments: Pep Boys (NYSE:PBY), Dunkin' Donuts, McDonald's (NYSE:MCD); they were all "tenbaggers" Major Contributions: Lynch made Fidelity Investments into a household name. He also wrote several books, namely "One Up on Wall Street"(1989) and "Beating the Street" (1993). He gave hope to do-it-yourself investors saying "use what you know and buy to beat Wall Street gurus at their own game." Results: Lynch is widely quote as saying that a $1,000 in Magellan on May 31, 1977, it would have been worth $28,000 on by 1990. Conclusion These top money managers amassed great fortunes not only for themselves, but for those who invested in their funds as well. One thing they all have in common is that they often took an unconventional approach to investing and went against the herd. As any experienced investor knows, forging your own path and producing long-term, market-beating returns is no easy task. As such, it's easy to see how these five investors carved a place for themselves in financial history. For more on mutual funds, see our Special Feature: Mutual Funds. by Daniel Myers,CFA (Contact Author | Biography) Daniel Myers has earned the CFA designation, and has managed money for investors since 1998. Filed Under: Mutual Funds, Warren Buffett เมื่อ: 2011-02-06T10:39:24+00:00 thaloengsak: Qualitative Analysis: What Makes A Company Great? by Will Ashworth (Contact Author | Biography) Email Article Print FeedbackReprintsShareFiled Under: Active Trading, Business, Forex, Fundamental Analysis, Warren Buffett Evaluating stocks involves two types of analysis: fundamental and technical. The former is all about number crunching while the latter uses up-and-down squiggly lines to chart a stock's course. In the end, it's all about being right more often than wrong. Investment professionals are constantly looking for that slight edge over the competition. One place they might easily overlook (but shouldn't) is within the realm of qualitative analysis, a subjective area that is sometimes referred to as soft metrics. This refers to aspects of a public company that aren't quantifiable or easily explained by numbers. In general, it's an underappreciated and underutilized side of fundamental analysis. (For a quick background look at this topic, see Stock Picking Strategies: Qualitative Analysis.) The Usual Suspects When conducting qualitative analysis of a company, most investment professionals look at the business model, competitive advantage in the industry, management and corporate governance. This helps to determine how a company makes money, its uniqueness versus the competition, which people are making the decisions and how they treat ordinary shareholders. Gathering all of this data can provide a better idea of how a company intends to grow its business while rewarding shareholders. However, it isn't the entire picture. Touchy-feely subjects like satisfying the customer, rewarding employees and maintaining excellent supplier relationships matter. The Unheralded Understanding the qualities that make a company great involve more than a simple SWOT analysis (strengths, weaknesses, opportunities and threats) - that's business school 101 stuff. To evaluate a company's intangibles, one must dig below the surface and beyond the 10-K. Satisfaction is the key here and successful businesses have it in abundance. If a company fails to satisfy employees, suppliers and customers, in this order, it's only a matter of time before its stock price implodes. Arguments exist for both sides of the discussion. Some academics believe that customer satisfaction and employee satisfaction aren't mutually exclusive. Just because employees are happy doesn't guarantee customer loyalty. That might be so, however, Tony Hsieh, CEO of Zappos.com, the world's biggest online shoe retailer and winner of countless customer service awards said in a May 2010 article in SUCCESS magazine that "... Customer service is about making customers happy, and the culture is about making employees happy. So, really, we're about trying to deliver happiness, whether it's to customers or employees, and we apply that same philosophy to vendors as well." This winning attitude may have contributed to Amazon.com's (Nasdaq:AMZN) acquisition of the business for $1.2 billion in 2009. (For more on the online sector, check out Choosing The Winners In The Click-And-Mortar Game.) Employee Satisfaction Any company that's truly interested in customer satisfaction must first meet the needs of its employees; otherwise, it's putting the cart before the horse. JetBlue (Nasdaq:JBLU) came to realize in 2007 that it wasn't doing a good job satisfying employees when it stranded thousands of its passengers because of a New York City ice storm. Employee morale dropped and with it, customer satisfaction. Up to that point, the company surveyed employees once a year looking for feedback. It needed to do more and so it implemented "Net Promoter", a scoring system that calculates how many employees are actively promoting the company, both as a place to work and as a place to do business. Once it began to look at employee satisfaction department by department, it was able to deliver programs that put everyone on the same page, and results followed. Employees are the face of any brand. The quickest way to destroy brand equity is to disrespect them. Once you've lost trust, it's only a matter of time before you lose the customer. Without customers, you have no business! It's a slippery slope that privately owned software firm SAS knows well. CEO and founder Jim Goodnight has been in charge for all 34 years in business and from the beginning he's emphasized employee benefits leading to 13 straight years on Fortune's "100 Best Companies To Work For" list. In its 2008 corporate social responsibility report the company states, "If you treat employees as if they make a difference to the company, they will make a difference to the company ... At the heart of this unique business model is a simple idea: Satisfied employees create satisfied customers." Public companies are no different. Supplier Satisfaction No matter how vertically integrated your company is, you will always have suppliers of one kind or another and those relationships can positively or negatively impact the quality of your final product or service. One of Whole Foods' (Nasdaq:WFMI) seven core values is its commitment to its suppliers. By creating a true partnership with the companies it buys from, it is able to provide its customers with a fabulous shopping experience. It's not enough, however, to have great customer service - the food has to match. Whole Foods tends to score high on this front as well, and by doing so is able to maintain price points that are higher than in most regular grocery stores, delivering greater profits. (Learn more in Measuring Company Efficiency.) Customer Satisfaction The marketing profession has tried for years to quantify customer satisfaction in a way that lends itself to clarifying a brand's equity or worth. Annual studies like the American Customer Satisfaction Index, Prophet's Reputation Management Index and Forrester Research's Customer Experience Index are just three examples. For instance, the American Customer Satisfaction Index has shown that the stock prices of companies ranking higher in the index tend to do better than those lower down. In fact, between 1994 and 2007, companies ranking in the top 25% of the index created $420 billion in wealth for shareholders versus $111 billion for those in the bottom 25% -in other words, companies that please their customers are shown to create four times the wealth. Most analysts would agree that market capitalization is greatly influenced by brand power. In a study by marketing gurus David Aaker and Robert Jacobson, 34 companies examined between 1989 and 1992 and found that those with the largest increase in brand equity averaged stock returns of 30% while the ones losing the most brand equity dropped 10% on average. If you're not quite sold on the idea of customer satisfaction affecting stock prices, Forrester Research's annual Customer Experience Index ranks the best and worst in customer service. Companies in the top 10 routinely outperform the S&P 500. If the findings are altered slightly to consider operating profits, the results are even more pronounced. (For more, see Competitive Advantage Counts.) Satisfaction Guaranteed Investors tend to spend most of their time worrying about quantitative analysis. Ratios like price-to-earnings and price-to-book get all the attention while numberless intangibles like customer satisfaction are left to annual surveys that are quickly swept under the carpet, never to be seen again. Let's face it: we live in a quantitative world. Everything we do revolves around top 10 lists of one kind or another. We want a shortcut and lists meet this need. Qualitative analysis, on the other hand, is tricky stuff, and most Warren Buffett wannabes find it too subjective. However, any business whose stock price has risen consistently over time has surely satisfied all its stakeholders. As the Warren Buffett has been quoted as saying many times in the past: "Beware of geeks bearing formulas." (For more lessons from the mavens, check out our Greatest Investors Tutorial.) by Will Ashworth (Contact Author | Biography) เมื่อ: 2011-02-06T10:39:44+00:00 thaloengsak: The Financial Markets: When Fear And Greed Take Over by Investopedia Staff, (Investopedia.com) (Contact Author | Biography) Email Article Print FeedbackReprintsShareFiled Under: Investing Basics, Warren Buffett There is an old saying on Wall Street that the market is driven by just two emotions: fear and greed. Although this is an oversimplification, it can often be true. Succumbing to these emotions can have a profound and detrimental effect on investors' portfolios and the stock market. In the investing world, one often hears about the juxtaposition between value investing and growth investing, and although understanding these two strategies is fundamental to building a personal investment strategy, it is as important to understand the influence of fear and greed on the financial markets. There are countless books and various courses devoted to this topic. Here our goal is to demonstrate what happens when an investor gets overwhelmed by one or both of these emotions. Greed's Influence So often, investors get caught up in greed (excessive desire). After all, most of us have a desire to acquire as much wealth as possible in the shortest amount of time. The internet boom of the late 1990s is a perfect example. At the time it seemed all an advisor had to do was simply pitch any investment with a ".com" at the end of it, and investors leaped at the opportunity. Buying activity in internet-related stocks, many just start-ups, reached a fever pitch. Investors got greedy, fueling further greed and leading to securities being grossly overpriced, which created a bubble. It burst in mid-2000 and kept leading indexes depressed through 2001. (For more on the dotcom bubble and other market crashes, see Greatest Market Crashes). This get-rich-quick mentality makes it hard to maintain gains and keep to a strict investment plan over the long term, especially amid such a frenzy, or as the former Federal Reserve chairman, Alan Greenspan, put it, the "irrational exuberance" of the overall market. It's times like these when it is crucial to maintain an even keel and stick to the basic fundamentals of investing, such as maintaining a long-term horizon, dollar-cost averaging and avoiding getting swept up in the latest craze. A Lesson from "The Oracle of Omaha" We would be remiss if we discussed the topic of not getting caught up in the latest craze without mentioning a very successful investor who stuck to his strategy and profited greatly. Warren Buffett showed us just how important and beneficial it is to stick to a plan in times like the dotcom boom. Buffett was once heavily criticized for refusing to invest in high-flying tech stocks. But once the tech bubble burst, his critics were silenced. Buffett stuck with his comfort zone: his long-term plan. By avoiding the dominant market emotion of the time - greed - he was able to avoid the losses felt by those hit by the bust. (Interested in what companies Warren Buffett is buying and selling? (Check out Coattail Investor, a subscription product tracking some of the best investors in the world.) Fear's Influence Just as the market can become overwhelmed with greed, the same can happen with fear ("an unpleasant, often strong emotion, of anticipation or awareness of danger"). When stocks suffer large losses for a sustained period, the overall market can become more fearful of sustaining further losses. But being too fearful can be just as costly as being too greedy. Just as greed dominated the market during the dotcom boom, the same can be said of the prevalence of fear following its bust. In a bid to stem their losses, investors quickly moved out of the equity (stock) markets in search of less risky buys. Money poured into money market securities, stable value funds and principal-protected funds - all low-risk and low-return securities. This mass exodus out of the stock market shows a complete disregard for a long-term investing plan based on fundamentals. Investors threw their plans out the window because they were scared, overrun by a fear of sustaining further losses. Granted, losing a large portion of your equity portfolio's worth is a tough pill to swallow, but even harder to digest is the thought that the new instruments that initially received the inflows have very little chance of ever rebuilding that wealth. Just as scrapping your investment plan to hop on the latest get-rich-quick investment can tear a large hole in your portfolio, so too can getting swept up in the prevailing fear of the overall market by switching to low-risk, low-return investments. The Importance of Comfort Level All of this talk of fear and greed relates to the volatility inherent in the stock market. When investors lose their comfort level due to losses or market instability, they become vulnerable to these emotions, often resulting in very costly mistakes. Avoid getting swept up in the dominant market sentiment of the day, which can be driven by a mentality of fear and/or greed, and stick to the basic fundamentals of investing. It is also important to choose a suitable asset allocation mix. For example, if you are an extremely risk averse person, you are likely to be more susceptible to being overrun by the fear dominating the market, and therefore your exposure to equity securities should not be as great as those who can tolerate more risk. Buffett was once quoted as saying, "Unless you can watch your stock holding decline by 50% without becoming panic-stricken, you should not be in the stock market."(For more on asset allocation, check out Asset Allocation Strategies and Five Things To Know About Asset Allocation.) Easier Said than Done Keep in mind this isn't as easy as it sounds. There's a fine line between controlling your emotions and being just plain stubborn. Remember also to re-evaluate your investment strategy and allow yourself to be flexible to a point, and remain rational when making decisions to change your plan of action. Conclusion You are the final decision-maker for your portfolio, and thus responsible for any gains or losses in your investments. Sticking to sound investment decisions while controlling your emotions, whether it be greed or fear, and not blindly following market sentiment is crucial to successful investing and maintaining your long-term strategy. But beware: never wavering from an investment strategy during times of high emotions in the market can also spell disaster. It's a balancing act that requires you to keep your wits about you. by Investopedia Staff (Contact Author | Biography) Investopedia.com believes that individuals can excel at managing their financial affairs. As such, we strive to provide free educational content and tools to empower individual investors, including thousands of original and objective articles and tutorials on a wide variety of financial topics. Filed Under: Investing Basics, Warren Buffett เมื่อ: 2011-02-06T10:40:14+00:00 thaloengsak: เยอะมากจนผมขี้เดียจเอามาลง ถ้ามีท่านใดเห็นtopicดีๆในนั้น ก็ช่วยๆกันมาลงหน่อยนะครับ เมื่อ: 2011-02-06T10:43:19+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: Good stuff kub. Thanks. เมื่อ: 2011-02-06T14:07:32+00:00 VIB007: หัวข้อแรกดีมาก ขอเอาไปลงคอลัมน์ Value Way นะครับ เมื่อ: 2011-02-07T09:57:30+00:00 ko_hisashi: [quote="VIB007"]หัวข้อแรกดีมาก ขอเอาไปลงคอลัมน์ Value Way นะครับ[/quote] เป็นภาษาไทยไหมครับ ภาษาไม่แข็งแรงครับ..... เมื่อ: 2011-02-07T10:19:06+00:00 Paul VI: ขอบคุณครับ ขออนุญาตนำไปใช้ด้วยคนนะครับ เมื่อ: 2011-02-07T10:20:47+00:00 thaloengsak: ถ้าอ.วิบูลย์จะเอาไปสรุปลงเป็นภาษาไทยก็จะดีมากเลยครับ คนทั่วๆไปก็จะได้อ่านได้ครับ เมื่อ: 2011-02-07T12:10:49+00:00 BIG87: I like Tip 6. It's definitely true. เมื่อ: 2011-02-07T16:12:02+00:00 VIB007: thaloengsak เขียน:ถ้าอ.วิบูลย์จะเอาไปสรุปลงเป็นภาษาไทยก็จะดีมากเลยครับ คนทั่วๆไปก็จะได้อ่านได้ครับ ภาษาไทยครับ ลงในกรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ อาจลงทั้งหมดเลย ขอดูก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2011-02-09T02:17:24+00:00 thaloengsak: ขอบคุณอ.มากครับ เมื่อ: 2011-02-09T04:30:54+00:00 pak: Stock Appraisal Guide (Investing Tools) วิธีในการประเมินมูลค่าสิ่งที่จะลงทุนมีหลายกฎเกณฑ์ บางคนใช้เพียงแนวทางใดแนวทางหนึ่งในการเลือกวิธีลงทุน หากคุณเป็นหนึ่งในประเภทที่ซื้อแล้วหุ้นตก ขายแล้วหุ้นขึ้น แม้ว่าจะผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือทางเทคนิคมาบ้าง เชื่อเพื่อนบ้าง เชื่อข่าวบ้าง แต่ผลตอบแทนที่ได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย …อาจถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องปรับปรุงทักษะในการประเมินมูลค่าเสียใหม่ ผมรู้สึกหวิวๆที่ช่วงนี้เริ่มมีคนมาถามว่าลงทุนหุ้นตัวไหนดี โบราณว่าไว้หากผู้คนต่างก็เริ่มถามว่าซื้อหุ้นตัวไหนดี เค้าบอกว่าตลาดนั้นเริ่มเป็นช่วงขายทำกำไรมากกว่าซื้อ!!! อย่างไรก็ตามการให้รายชื่อหุ้นไปซื้อ ผมคิดว่าไม่ต่างอะไรกับการให้เงินนัก เพราะก็คงต้องกลับมาขออีกเรื่อยๆ แต่ถ้าเราให้แนวทางในการคัดเลือกหุ้น ผู้ขอน่าจะได้รับประโยชน์มากกว่า เพราะสามารถนำวิธีคิดไปปรับใช้ในคราวต่อๆไปได้ด้วย เอ่อ… อีกอย่างผมไม่เรียกตนเองว่านักลงทุน แต่เป็นบล็อกเกอร์ครับ ต่อไปนี้คือ 26 Check List ที่คุณสามารถนำไปใช้ในการคัดเลือกหุ้น เพื่อส่งเข้าประกวดในตลาดทุนที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ถูกต้อง 100% และขอให้จำข้อความที่จะกล่าวต่อไปนี้ -- อย่างไรก็แล้วแต่ สังเกตข้อเท็จจริงอันมีความสำคัญยิ่งนี้ให้ดี ข้อเท็จจริงที่ว่าก็คือ นักลงทุนพันธุ์แท้แทบไม่เคยถูกบังคับให้ขายหุ้นเลยและสามารถจะละเลยราคาหุ้นในปัจจุบันได้ พวกเขาจำเป็นต้องใส่ใจต่อราคาหุ้นและลงมือทำอะไรบางอย่างก็ต่อเมื่อราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงพอจนทำให้พวกเขาอยากจะขายหุ้นออกไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนผู้ปล่อยให้ตัวเองกังวลต่อการลดลงของมูลค่าหุ้นในพอร์ต จะเปลี่ยนข้อได้เปรียบของพวกเขาให้กลายเป็นข้อเสียเปรียบ นักลงทุนทั่วๆไปจะได้ประโยชน์มากกว่า หากหุ้นของพวกเขาไม่มีราคาตลาด เนื่องจากพวกเขาจะไม่ต้องรู้สึกกังวลกับวิจารณญาณที่ผิดพลาดของคนอื่นๆ – (จาก The Intelligent Investor) 13 คำถาม ก่อนคิดตัวเลข!!! 1 หุ้นในดวงใจของคุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหนระหว่าง หุ้นโตไว หุ้นปันผล หุ้นสาธารณูปโภค หุ้นวัฏจักร หุ้นเก็งกำไร หุ้น Turnaround : หุ้นโตไวหากผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย จะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างดีเยี่ยม แต่หากหุ้นกลุ่มนี้สร้างผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ราคาซื้อขายก็จะลงแรงกว่าหุ้นแบบอื่นๆ : หุ้นที่ให้ปันผลสม่ำเสมอ ราคาซื้อขายจะมีความผันผวนน้อย ส่วนใหญ่ราคาก็มักอิงอยู่กับอัตราการจ่ายเงินปันผล คนที่ลงทุนในกลุ่มนี้จะต้องเข้าใจนิสัยของหุ้น การเก็งกำไรสั้นๆสามารถทำได้ก่อนการประกาศจ่ายเงินปันผล : หุ้นสาธารณูปโภคมักไม่เป็นที่ต้องการของนักลงทุนแบบมุ่งเน้น เนื่องจากผลการประกอบการคาดเดาได้ไม่ยาก แต่อาจเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนที่แบกรับความเสี่ยงได้น้อย และยังมีเงินปันผลที่น่าพอใจกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ : หุ้นวัฏจักรถือเป็นกลุ่มที่สร้างเนื้อสร้างตัวของนักลงทุนแบบมุ่งเน้นนอกจากหุ้นโตไว แต่อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนในระยะยาว (ที่ไม่ค่อยขายทำกำไร) คนที่มีความรู้พิเศษจึงเหมาะกับหุ้นประเภทนี้ : หุ้นเก็งกำไร คุณสามารถพบเห็นได้ทุกตลาดทุกสภาพ ความจริงหุ้นทุกตัวมีนักเก็งกำไรหมด แต่ก็อาจจะมีการปั่นหรือไล่ราคาจนเกินมูลค่าพื้นฐาน ความผิดพลาดส่วนใหญ่เกิดจากการเข้าไปเสี่ยงด้วยความคึกคะนอง : หุ้น Turnaround เป็นความน่าตื่นเต้นของบรรดาผู้รอบรู้ นักลงทุนแบบมุ่งเน้นมักมีความเข้าใจศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทเป็นอย่างดี แต่อาจมีเหตุการณ์พิเศษชั่วคราวที่ส่งผลกระทบต่อผลการประกอบการในรอบบัญชี หุ้นกลุ่มนี้อาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับหุ้นวัฏจักรได้ 2 คุณทราบหรือไม่ว่าไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้ายมักเป็นช่วงพีคของบริษัทจดทะเบียน เพราะฉะนั้นช่วงโลว์จะเริ่มต้นจากไตรมาสที่สองหลายบริษัทมีผลการประกอบการที่ลดลงเมื่อเทียบกันไตรมาสต่อไตรมาส ราคาซื้อขายก็อาจปรับตัวลดลงเป็นปกติ ประกอบกับมีหลายบริษัทจ่ายเงินปันผลปีละครั้ง โดยมากจะจ่ายในช่วงเดือน มี.ค. และเดือน เม.ย. ดังนั้นในช่วงไตรมาสที่สองจึงไม่มีปัจจัยพิเศษที่ผลักดันราคาหุ้น บางจังหวะก็อาจพบว่าหุ้นมีการปรับฐานอย่างมากในช่วงนี้ หลายคนก็อาจจะอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวในการเก็บหุ้นที่ราคาปรับลงแรงกว่าตลาด 3 ใครคือผู้บริหารของบริษัท ใครคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในแวดวงผู้บริหารย่อมเป็นที่ทราบดีกว่าใครมีความสามารถ ใครมีแนวโน้มบริหารบริษัทเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง/ผู้ถือหุ้น ใครสามารถทำได้อย่างที่พูด นอกจากนี้อาจต้องพิจาณาจากรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ว่าเป็นใคร แล้วลองพิจารณาว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไร คล้ายกันกับที่เราคิดหรือไม่ บางคนเป็นเซียนหุ้นที่คนทั่วไปรู้จัก ข้อเท็จจริงนี้ก็อาจทำให้บริษัทมีภาษีทางการลงทุนที่ดีกว่า 4 นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทเป็นอย่างไร มีหลายท่านประเมินมูลค่าหุ้น หรือตัดสินใจลงทุนด้วยการพิจารณาการจ่ายเงินปันผลในอดีต ว่ามีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอหรือไม่ บริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นโดยเฉลี่ยทุกๆปี ราคาหุ้นก็น่าจะปรับสูงขึ้นทุกๆปีเช่นเดียวกัน และมีความผันผวนของราคาน้อยกว่าบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผล นอกจากนี้ยังอาจมองได้ว่าบริษัทมีการเจริญเติบโต สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ จึงมีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง 5 รายได้หลักของบริษัทมาจากไหน รายได้ส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าหรือการส่งออก : หากตรวจสอบจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ก็จะทราบได้ว่าบริษัทสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจหลักได้เป็นจำนวนมากน้อยแค่ไหน บางบริษัทมีรายได้พิเศษที่มิได้มาจากธุรกิจหลัก จุดนี้อาจเป็นข้อผิดพลาดของนักลงทุนที่ชอบใช้ EPS คูณกับจำนวนไตรมาสไปตรงๆ เพื่อคำนวณราคาพื้นฐาน : ก่อนหน้านี้มีการลอยตัวค่าเงิน ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือธุรกิจที่ใช้สกุลเงินดอลล่าร์ โดยปกติก็คือธุรกิจนำเข้า ซึ่งจะต้องนำเงินบาทไปซื้อดอลล่าร์ กลับกันการที่เงินบาทอ่อนจะส่งผลดีกับธุรกิจส่งออก ทีนี้ลองเข้าไปศึกษาลักษณะการหารายได้ของบริษัท ว่ารายได้หลักมาจากการขายในประเทศหรือการส่งออก หากภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินผันผวน ก็อาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมต้นทุนของบริษัทได้ ผู้บริหารก็อาจนำเหตุผลนี้มาใช้อธิบายประกอบกรณีผลการประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 6 บริษัทมีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่ ตัวเลขกำไร (ขาดทุน) สะสมเป็นอย่างไร นักลงทุนทุกคนต้องการลงทุนในบริษัทที่สร้างผลกำไรได้ต่อเนื่องยาวนาน การมีกำไรสะสมมากๆ บริษัทก็อาจนำเงินส่วนนี้มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนนักแล 7 ใครคือคู่แข่งของบริษัท บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างไร : คู่แข่งของบริษัทคือใคร บางอุตสาหกรรมมีการแข่งขันกันทั้งส่วนแบ่งทางการตลาด ราคา และเทคโนโลยี ในบางครั้งเราก็จะพบว่าการแข่งขันนั้นดุเดือดจนอาจส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของบริษัท ซึ่งก็จะทำให้มีบริษัทเล็กๆไม่สามารถอยู่รอดในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ : ตำราบางเล่มมักแนะนำให้นักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม เลือกลงทุนแต่เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น โดยปกติบริษัทขนาดใหญ่ก็มักจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง มีความได้เปรียบเรื่อง Economy of Scale ซึ่งจะทำให้มีอำนาจต่อรองมากกว่าบริษัทขนาดเล็ก ราคาหุ้นก็มักจะมีความเสถียรสูงกว่า 8 แนวโน้มทางด้านอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร มีการทำ Research แนวโน้มของอุตสาหกรรมมากมายให้อ่าน บางคนที่ทำธุรกิจก็อาจทราบดีว่าอุตสาหกรรมใดเป็นช่วงขาขึ้น โดยหากเราเลือกอุตสาหกรรมที่กำลังได้รับความนิยม การทำกำไรก็มีโอกาสที่จะไม่ต้องรอนาน นักลงทุนที่เน้นหุ้นวัฏจักรและหุ้น Turnaround สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากข้อนี้ได้ 9 สินค้าและบริการสามารถแข่งขันราคาได้เอง หรือถูกควบคุมราคา เป็นสินค้าจำเป็นหรือสามารถทดแทนได้ ยอดขายเป็นอย่างไร ความจริงข้อนี้สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข้ออื่นๆเลย เพียงแต่บางอย่างเราไม่รู้ บางอย่างคาดเดาได้ยากเช่น ยอดขาย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อเป้าหมาย (รายได้) และสะท้อนออกมายังราคาหุ้น… โดยในระยะหลังๆมานี้ สินค้าและบริการบางอย่างหน่วยงานของรัฐเริ่มปล่อยให้มีการแข่งขันทางด้านราคาได้ มีการควบคุมน้อยลง และจะมีการแทรกแซงราคาบ้างในบางโอกาส แต่สำหรับสินค้าที่เป็นส่วนประกอบของต้นทุนในหลายๆอุตสาหกรรมที่ภาครัฐยังคงมีการควบคุม ช่องทางในการเพิ่มขนาดของรายได้ของบริษัท ก็ต้องพัฒนาไปเป็นรูปแบบอื่นๆ อย่างเช่นการแปรรูปสินค้า สร้างแบรนด์ของตนเอง ตลอดจนปรับปรุงบรรจุภัณฑ์หรือรูปแบบของหีบห่อให้ดูสวยงาม น่าใช้ เป็นต้น 10 หมายเหตุประกอบงบการเงินเป็นอย่างไร บริษัทมีความเสี่ยงทางกฎหมายหรือไม่ : ระเบิดเวลาทางบัญชีมักจะแฝงไว้ในงบการเงิน ผู้สอบบัญชีถือได้ว่ามีส่วนในการช่วยกรองและสรุปข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญทางการเงินของบริษัท ความผิดปกติในงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีไม่สามารถชี้แจงรายละเอียด หรือตั้งข้อสงสัยอาจเป็นความไม่ปกติและทำให้งบการเงินถูกมองในแง่ลบในสายตาของนักลงทุนได้ : นอกจากนี้แบบ 56-1 ยังมีส่วนของข้อพิพาททางกฎหมาย โดยผลกระทบอาจส่งผลให้บริษัทต้องตกเป็นจำเลยในศาลและจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย หนักหน่อยก็อาจทำให้บริษัทตกเป็นนิติบุคคลที่ศาลมีคำสั่งให้ล้มละลายได้ 11 อะไรคือความเสี่ยงของบริษัท ปกติบริษัทจะมีการสรุปหัวข้อความเสี่ยงไว้ในแบบ 56-1 หากเรามีความเข้าใจความเสี่ยงของบริษัทที่เราลงทุนเป็นอย่างดี ในบางครั้งเมื่อเกิดลักษณะของ Panic Sale อย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการหารายได้ของบริษัท เราอาจเรียกการขายเหล่านี้ทำให้ “มีส่วนลด” หรือ Margin of Safety ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนอย่างแท้จริง 12 บริษัทมีเป้าหมายอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้แต่บริษัทก็ยังต้องมีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้น กลาง หรือในระยะยาว ไม่ต่างไปจากคนเท่าไหร่นัก ลองเปรียบดูว่าหากคุณใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้โชคชะตาพาไป หาแก่นแท้ไม่ได้ เสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามก็จะลดลง การมีเป้าหมายจะเป็นตัวกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ เพราะธุรกิจที่หยุดอยู่กับที่โดยไม่มีการพัฒนาต่อยอด ในท้ายที่สุดก็จะไม่ได้รับความนิยม หรืออาจกลายเป็นธุรกิจธรรมดาๆทั่วไปที่ไม่ค่อยมีใครต้องการลงทุนด้วย 13 ทำไมคุณจึงชอบบริษัทนี้ เวลาคนจ่ายเงินซื้อ อย่างน้อยๆต้องมีเหตุผลที่จะซื้อ หากคุณไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าทำไมคุณจึงชอบบริษัทนี้ คุณก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งกับมันเสียจะดีกว่า 13 ข้อ ควรระวังก่อนตัดสินใจซื้อ!!! 1 คุณมีการเฉลี่ยตัวเลข EPS ย้อนหลังแล้วหรือไม่ มีหลายท่านนำเอา EPS ในปีที่บริษัทสามารถสร้างผลกำไรได้เหนือความคาดหมายไปคำนวณราคาหุ้น เขาก็จะได้ราคาหุ้นที่เหนือกว่ามาตรฐาน ซึ่งบางคนก็บอกว่าแพง และถ้ามันแพงจริงๆเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆแล้วหละก็ โอกาสในการทำกำไรย่อมมีน้อยลงเป็นเรื่องธรรมดา จนอาจถึงขั้นขาดทุนเลยก็มี 2 คุณติดนิสัยไล่ซื้อหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่ หากคุณเป็นพวกกลัวการตกรถ ข้อให้คุณท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่ายิ่งคุณไล่ราคาสูงขึ้นมากเท่าไร กำไรของคุณยิ่งน้อยลงมากขึ้นเท่านั้น มีความผิดหวังมากมายที่เกิดจากการไล่ซื้อเมื่อราคาพุ่งขึ้น อย่างไรก็ตามอาจเป็นข้อยกเว้นหากมูลค่าที่แท้จริงนั้นต่ำกว่าราคาตลาดมาก (เมื่อผ่านการพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว) 3 บริษัทกำลังเพิ่มทุนอยู่หรือไม่ ยังมีนักลงทุนบางคนคิดว่าการแตกพาร์กับการเพิ่มทุนจะทำให้เขาร่ำรวยมากยิ่งขึ้น เหตุผลในการเพิ่มทุนอาจมีได้หลายเหตุผล ส่วนใหญ่เกิดจากการที่บริษัทตัดสินใจขยายกิจการเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นข้อดี แต่แน่นอนว่าในอนาคตจำนวนหุ้นจะต้องเพิ่มขึ้น เมื่อจำนวนหุ้นเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ตัวหารมากขึ้นด้วย โดยปกติก็จะทำให้ราคาหุ้นลดลง อย่างไรก็ตามอาจมีกรณีที่บริษัทต้องการใช้เงินเร่งด่วน หรือขาดสภาพคล่อง และไม่ได้นำมาใช้เพื่อขยายกิจการ แต่นำมาใช้ในการชำระหนี้ ซึ่งเหตุผลอย่างหลังอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ 4 ผู้บริหารกำลังขายหุ้นอยู่หรือไม่ ในอุดมคติของนักลงทุน ผู้บริหารจะต้องบริหารบริษัทเพื่อให้มีผลการประกอบการที่ดี มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ยังมีผู้บริหารที่เป็นทั้งนักบริหารและนักเล่นหุ้น นักลงทุนสามารถตรวจสอบการซื้อขายหุ้น การให้สิทธิ Stock Option ของผู้บริหาร เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้บริหารกิจการเพื่อตัวของเขาเอง และถ้าหุ้นของบริษัทดีจริง เหตุผลใดที่ผู้บริหารเหล่านั้นยังคงขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่อง …นักลงทุนเองก็ควรจะต้องทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกันมิใช่หรือ 5 เหตุใดจึงจะต้องซื้อที่ P/E เกิน 10 เท่า เราจะพบว่าหุ้นโตไวและหุ้นวัฎจักรในหลายๆตัว นักลงทุนส่วนใหญ่ให้มูลค่ากันที่ P/E สูงๆ เพราะราคาในปัจจุบันถูกมองว่ายังถูกเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต หุ้นที่ให้ปันผลสูงก็เช่นเดียวกัน แต่หากหุ้นที่คุณกำลังจะลงทุนไม่มีเรื่องราวของการเติบโต หรือมีแต่จะแย่ลง การซื้อขายที่ P/E สูงๆดูจะไม่สมเหตุสมผลนัก 6 ทำไม P/BV จึงต่ำ หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมหุ้นบางตัวจึงมีการซื้อขายที่ต่ำกว่า Book Value มาก… เป็นที่เข้าใจว่าหากคุณซื้อหุ้นได้ที่ P/BV ต่ำกว่า 1 ก็เท่ากับว่าคุณลงทุนได้ถูกกว่าเจ้าของ แต่หุ้นบางตัวก็ถูกเรื้อรังมานาน ด้วยในหลายๆเหตุผลเช่น ธรรมาภิบาลของบริษัทไม่ดี ผู้บริหารทำไม่ได้อย่างที่พูด ผลการประกอบการของบริษัททรงตัวมาเป็นระยะเวลานาน ธุรกิจไม่มีเรื่องราวที่น่าสนใจหรือเป็นภาคธุรกิจเก่า เป็นหุ่นที่ไม่มีสภาพคล่อง ราคาที่ซื้อขายไม่มีการเคลื่อนไหว หรือเป็นบริษัทที่ไม่ค่อยจ่ายเงินปันผล หลายๆเหตุผลที่มารวมกันก็อาจทำให้หุ้นดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมของนักลงทุน 7 สภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างไร นักลงทุนผู้มากประสบการณ์แนะนำว่าถ้าหุ้นมันถูกก็ซื้อเลย อย่างไรก็ตามหากได้พิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจ ก็จะสามารถทำให้เราทราบได้กว่ามีของถูกกว่านี้อีก สมัยปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารเจริญก้าวหน้าไปมาก บางช่วงบางจังหวะทำให้เกิดการเรียนรู้ว่าการนำสภาพเศรษฐกิจมาพิจารณาประกอบด้วย สามารถช่วยให้นักลงทุนกำหนดจังหวะการเข้าซื้อได้ด้วยต้นทุนที่ “ถูกกว่านี้อีก” 8 มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เป็นประสบการณ์เฉพาะของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยยังมีหุ้นอิงกับการเมืองอยู่ ปัญหาการคอรัปปั่นจึงเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากสำหรับการเมืองไทย 9 หากหุ้นตก คุณยินดีที่จะลงทุนเพิ่มใช่ไหม หากหุ้นตก ที่ปรึกษาของคุณแนะนำให้ “ขาย” อยู่ตลอด คุณก็ไม่ควรใช้ที่ปรึกษาผู้นั้น 10 มีประสบการณ์แย่ๆของนักลงทุนพูดเกี่ยวกับบริษัทหรือไม่ การตลาดแบบปากต่อปากยังถือว่าเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่แพ้ Feedback ที่สามารถหาได้จากเว็ปไซต์ทั่วๆไป 11 เป็นวัฏจักรขาขึ้นหรือขาลงของธุรกิจ ขาขึ้น ลงทุนอย่างไรก็ได้ ขาลง ลงทุนมีแต่จะเจ๊งกับเจ๊ง 12 ROA, ROE ไม่ต่ำกว่า 10% ใช่ไหม เกิน 10% ไว้ก่อนดูดีมีราศี 13 คุณทำงานในบริษัทที่คุณจะลงทุนหรือไม่ ป้องกัน Home Bias นั่นเอง ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ควรสร้างเป็น Watch List ขึ้นมากับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป การหาคำตอบจากคำถามทั้ง 26 ข้อ (หลายท่านอาจมีมากกว่านั้น) มีอยู่ในเว็ปไซต์ ข้อมูลวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ จากการสอบถามผู้บริหาร จากการประชุมผู้ถือหุ้น จากฝ่าย IR Google Bloomberg และความรู้สึกของคุณเอง ฯลฯ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าบรรดากูรูหุ้นทั้งหลายมักไม่ได้บอกสิ่งที่พวกเขาคิดไว้ทั้งหมด การตัดสินใจควรอยู่บนพื้นฐานจากประสบการณ์ของตนเองมากกว่าคำบอกเล่าของบุคคลที่สาม และหากทั้ง 26 ข้อมีมุมมองเชิงบวกทั้งหมด หุ้นตัวนั้นก็น่าจะเป็นที่ต้องการของนักลงทุนครับ… Nobody plan to fail but they fail because they don’t plan. กุศล บัวใหญ่ 081-4310257, 080-6344447 MSN : [email protected] BB : 222AEB77 ที่มา : http://mblog.manager.co.th/kusoll/Stock ... ing-Tools/ เมื่อ: 2011-12-03T09:25:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มาช่วยกัน List สินค้าของคนไทยกันดีกว่า โอ@: ได้ความคิดมาจากกระทู้ BAT-3K ครับ เราน่าจะมารวมๆกันว่าสินค้าอะไรที่ของไทยสู้ของต่างชาติได้ ส่งเป็น fwd mail บางทีอาจจะปลูกจิตสำนึกอะไรให้คนในชาติได้บ้าง เมื่อ: 2005-05-25T16:58:53+00:00 โอ@: แรกๆเลยละกันครับ แบตเตอรี่รถยนต์ BAT-3K แชมพู แฟซ่า (มีคนบอกว่าดีกว่าแบรนด์นอกอีกนะ) ยาสีฟัน ดอกบัวคู่ (อย่าตัดสินอะไรจากภายนอก) ปั้มน้ำมัน บางจาก ปตท มีอะไรกันอีกครับ ช่วยๆกันหน่อย เมื่อ: 2005-05-25T17:00:40+00:00 White shadoW: แฟซ่า ของคนไทยเหรอครับ ไม่ใช่คาโอ ญี่ปุ่นเหรอ เมื่อ: 2005-05-26T02:24:20+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี ปีนี้พิมพ์ไม่ชัด เรามาช่วยกันหาดีกว่า MO101: ปีนีพิมพ์ไม่ชัดกว่าจะนั่งแกะได้ เหนือยเอาเรื่องเหมือนกัน SAMCO 3101088342 AH 3011706022 NC 3101026597 UTP 3101881004 AOT 3030681942 HTC 3901001824 เมื่อ: 2011-01-23T05:08:54+00:00 ส.สลึง: ใช้บริการของ investor portal ไม่ต้องแกะตัวเลขให้เสียเวลาครับพี่ http://www.tsd.co.th/th/investorportal/ สำเนาเป็น PDF ไฟล์ ชัดเจน แจ่มทุกตัว เมื่อ: 2011-01-23T05:46:57+00:00 MO101: ขอบคุณครับ http://www.tsd.co.th/th/investorportal/ ลงทะเบียนแล้วรอ mail มา confirm ท่านทางจะเป็นตัวช่วยที่ดีมาก เมื่อ: 2011-01-23T12:32:54+00:00 suwits: อีกวิธีที่สามารถตรวจสอบหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัท ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.rd.go.th/publish/313.0.html แล้วป้อนชื่อบริษัทเป็นภาษาไทย ลงบนช่อง ชื่อผู้ประกอบการ แล้วกด ปุ่ม Search ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมา กรณีที่ไม่ได้ป้อนชื่อเต็ม จะได้ผลลัพธ์หลายอัน เช่น ป้อน สัมมากร ผลลัพธ์จะได้นิติบุคคลอาคารชุดสัมมากรคอนโดมิเนียมติดมาด้วย เราเลือกเฉพาะบริษัทที่เราต้องการ ในที่นี้คือ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ก็จะได้ 3101088342 ครับ เมื่อ: 2011-01-23T13:31:15+00:00 todsapon: ของผมปี 53 ก็ชัดดีนี่ หรือไม่ใครได้ของปี 54 แล้วไม่ชัด เมื่อ: 2011-01-23T14:42:52+00:00 miracle: ปีนี้ตรวจสอบตอนกรอกเลยว่าป้อนตรงหรือเปล่า ถ้าป้อนผิดมี pop up windows ขึ้นมาเลยว่า คุณป้อนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีผิด เมื่อ: 2011-01-23T14:49:33+00:00 MO101: http://www.rd.go.th/publish/313.0.html work สุด ไม่ต้องลงทะเบียนให้วุ่นวาย search ทีเดียวได้เลย เมื่อ: 2011-01-23T14:56:27+00:00 dome@perth: ส.สลึง เขียน:ใช้บริการของ investor portal ไม่ต้องแกะตัวเลขให้เสียเวลาครับพี่ http://www.tsd.co.th/th/investorportal/ สำเนาเป็น PDF ไฟล์ ชัดเจน แจ่มทุกตัว เห็นด้วยครับ มีข้อมูลของเราเองย้อนหลังได้ 3 ปี และไม่ต้องกลัวว่าใบสีส้มที่ส่งมาให้เราจะหล่นหาย สามารถส่งไฟล์ให้ สรรพากรได้เลย สะดวกดีมากๆครับ เมื่อ: 2011-01-25T16:20:47+00:00 MO101: http://www.tsd.co.th/th/investorportal/ สถานะการณ์ล่าสุดลงทะเบียนไปแล้วหายเงียบไปเลย เมื่อ: 2011-01-26T05:51:31+00:00 DemonInvesting: โอ้ น่าจะเข้ามาเห็นในนี้ก่อน ... เราก็เล่นโทรไปถามรายบริษัทเลย เล่นเอาเหนื่อย เมื่อ: 2011-02-09T08:11:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
usually signal the start of a very strong upturn in growth ! แงซาย: Output gappers like to use the unemployment rate as a proxy for the degree of slack in the economy. In the last two months, the civilian unemployment rate plummeted from 9.8 percent to 9 percent. While payroll growth, derived from a separate survey of businesses, was tepid, history suggests such steep falls aren’t a drop in the bucket. Large month-to-month declines in the unemployment rate are rare and “usually signal the start of a very strong upturn in growth,” says Joe Carson, director of economic research at AllianceBernstein in New York. Case Studies That was the case in 1954, 1958, 1961 and 1983, when big declines in the unemployment rate -- the result of either workers dropping out of the labor force or new hiring -- turned out to be the start of a trend, he says. http://www.bloomberg.com/news/2011-02-1 ... -baum.html ดูไปเรื่อยๆครับ ว่าจะเป็นจริงมั้ย ............................... เมื่อ: 2011-03-17T05:58:35+00:00 crazyrisk: ขอบคุณสำหรับข่าวครับ เมื่อ: 2011-03-17T07:29:08+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อะไรต่อมิอะไรมันก็ขึ้นราคา ปรัชญา: เมื่อ: 2013-10-25T01:58:27+00:00 ปรัชญา: กทพ. และ NECL ประกาศขึ้นค่าทางด่วน ทางพิเศษอุดรรัถยา บางปะอิน-ปากเกร็ด ในอัตราใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 วันนี้ (16 ตุลาคม 2556) กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) จะจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) ในอัตราใหม่ ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้ ด่านฯ เมืองทองธานี รถยนต์ 4 ล้อ เก็บค่าผ่านทาง 35 บาท รถยนต์ 6-10 ล้อ เก็บค่าผ่านทาง 90 บาท รถยนต์ 10 ล้อขึ้นไป เก็บค่าผ่านทาง 140 บาท โดยให้ส่วนลดพิเศษสำหรับรถทุกประเภทแล้ว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 ด่านฯ ศรีสมาน บางพูน เชียงราก รถยนต์ 4 ล้อ เก็บค่าผ่านทาง 45 บาท รถยนต์ 6-10 ล้อ เก็บค่าผ่านทาง 100 บาท รถยนต์ 10 ล้อขึ้นไป เก็บค่าผ่านทาง 150 บาท ด่านฯ บางปะอิน รถยนต์ 4 ล้อ เก็บค่าผ่านทาง 55 บาท รถยนต์ 6-10 ล้อ เก็บค่าผ่านทาง 120 บาท รถยนต์ 10 ล้อขึ้นไป เก็บค่าผ่านทาง 180 บาท ทั้งนี้ ผู้ใช้รถสามารถสอบถามอัตราค่าผ่านทางใหม่ได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้บริการทางพิเศษ (EXAT Call Center) โทร. 1543 หรือ 0-2567-5700 ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อ: 2013-10-25T02:01:11+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: แต่บางอย่างไม่แน่อาจต้องปรับลงเพราะ supply-demand ครับ ห่วงภาระหนี้ฉุดกำลังซื้อบ้านไตรมาส4 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ห่วงภาระหนี้ ฉุดกำลังซื้อบ้านช่วงไตรมาส 4 คาดตลาดปีนี้เติบโตไม่เกิน 5% นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ยอมรับว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงโค้งสุดท้ายปี 2556 ยังน่าเป็นห่วงในเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภค เพราะปัญหาเรื่องหนี้สิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการซื้อและโอนบ้าน รวมทั้งมีสัญญาณว่า ธนาคารจะไม่เร่งรีบปล่อยสินเชื่อบ้านมากนัก เพราะส่วนใหญ่ปล่อยสินเชื่อบ้านได้ตามเป้าหมายแล้ว จึงอาจทำให้ตลาดไตรมาส 4 ปีนี้ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะต้องเหนื่อยมากขึ้น โดยคาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้จะเติบโตได้ไม่เกิน 5% ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวยังชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ทาวน์เฮาส์มีการเติบโตที่ดีมาก ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย บอกว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้คงต้องลุ้นโครงการคอนโดมิเนียมใหญ่ๆ ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทในย่านรังสิตของผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งหากมียอดขายที่ดี ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย เมื่อ: 2013-10-25T06:23:31+00:00 kissme: บางอย่างก็ลดราคาจนเว่อร์นะครับ พี่ปรัชญา เมื่อกี้ผมไปห้างแห่งนึงมา มีรถ honda ของดีลเล่อร์เจ้านึงมาขาย เห็นโปรโมชั่นแล้ว ตกใจมากทีเดียว ผ่อน 84 เดือน ประกันชั้น1 ดอกเบี้ย 0% ของแถมอีกเพียบ รับรถได้เลย เซ็งมากมาย ผมเพิ่งผ่อนรถหมด 5 ปีที่แล้วว่าโคตรถูกแล้ว ผ่อน 60 เดือน ดอกเบี้ย 3.3% ของแถมไม่มี รอรถ 2 เดือนกว่าจะได้ เมื่อ: 2013-10-25T06:30:53+00:00 ปรัชญา: kissme เขียน:บางอย่างก็ลดราคาจนเว่อร์นะครับ พี่ปรัชญา เมื่อกี้ผมไปห้างแห่งนึงมา มีรถ honda ของดีลเล่อร์เจ้านึงมาขาย เห็นโปรโมชั่นแล้ว ตกใจมากทีเดียว ผ่อน 84 เดือน ประกันชั้น1 ดอกเบี้ย 0% ของแถมอีกเพียบ รับรถได้เลย เซ็งมากมาย ผมเพิ่งผ่อนรถหมด 5 ปีที่แล้วว่าโคตรถูกแล้ว ผ่อน 60 เดือน ดอกเบี้ย 3.3% ของแถมไม่มี รอรถ 2 เดือนกว่าจะได้ โอ้ผ่อนยาวมากเลยครับ ตลาดน่าเป็นห่วงลดราคาเป็นตลาดคอมพิวเตอร์พีซี เมื่อ: 2013-10-25T07:43:36+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: ปรัชญา เขียน:kissme เขียน:บางอย่างก็ลดราคาจนเว่อร์นะครับ พี่ปรัชญา เมื่อกี้ผมไปห้างแห่งนึงมา มีรถ honda ของดีลเล่อร์เจ้านึงมาขาย เห็นโปรโมชั่นแล้ว ตกใจมากทีเดียว ผ่อน 84 เดือน ประกันชั้น1 ดอกเบี้ย 0% ของแถมอีกเพียบ รับรถได้เลย เซ็งมากมาย ผมเพิ่งผ่อนรถหมด 5 ปีที่แล้วว่าโคตรถูกแล้ว ผ่อน 60 เดือน ดอกเบี้ย 3.3% ของแถมไม่มี รอรถ 2 เดือนกว่าจะได้ โอ้ผ่อนยาวมากเลยครับ ตลาดน่าเป็นห่วงลดราคาเป็นตลาดคอมพิวเตอร์พีซี ตลาดคอมอันนั้นเพราะมันมีเรื่องการเปลี่ยนของเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวด้วยหละคับ ส่วนรถ บ้าน ก็เพราะเพิ่งผ่านช่วงกระตุ้นไป แต่บริโภคทั่วไปนี่สิน่าเป็นห่วง ผมอ่านข่าวมันไม่ใช่แค่การพูดภาพรวม ผู้ประกอบการค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภครายบริษัทบ่นกันหมด เมื่อ: 2013-10-25T08:24:55+00:00 ปรัชญา: วรันศ์ บัฟเฟต เขียน: ตลาดคอมอันนั้นเพราะมันมีเรื่องการเปลี่ยนของเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวด้วยหละคับ ส่วนรถ บ้าน ก็เพราะเพิ่งผ่านช่วงกระตุ้นไป แต่บริโภคทั่วไปนี่สิน่าเป็นห่วง ผมอ่านข่าวมันไม่ใช่แค่การพูดภาพรวม ผู้ประกอบการค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภครายบริษัทบ่นกันหมด หดหู่ เอ๊ย หดตัว เศรษฐกิจหดตัว ดูได้จาก7- รีบแจกแสตมป์กระตุ้นการบริโภค ตั้งแต่ก่อนกินเจ เกือบถ้วนหน้าเลยนะครับ เมื่อ: 2013-10-25T08:58:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ดวงเท่านั้นหรือเปล่าคับถึงทำนาย ตลาดอนุพันธ์แล้วกำไร hot: เห็นเพื่อนเล่นให้ฟังว่า ถ้าเล่นตลาดอนุพันธ์ให้กำไรแบบสุดสุด ต้องทำนายว่าตลาดลง ในภาวะตลาดปกติทุกคนมองขึ้นกัน จริงหรือคับ คนเราเพียงคนเดียว ซื้อว่าลง แต่อีก9 คนใน10คน ซื้อว่าขึ้น คนเดียวจะชนะดวงคน9คนได้หรือคับ เมื่อ: 2006-04-25T04:12:36+00:00 MarginofSafety: ในความเป็นจริง จำนวนสัญญาซื้อล่วงหน้า กับ ขายล่วงหน้าต้องเท่ากันครับ เนื่องจากสัญญา futures จะเกิดขึ้นได้ต้องมีทั้ง 2 ฝั่งของสัญญาเสมอ หากตลาดมี sentiment ในการปรับตัวขึ้น ผู้เข้าไปซื้อล่วงหน้าก็สู้ราคา ผู้ขายล่วงหน้าก็ขายได้แพง และทำให้ราคาของ Futures ปรับตัวขึ้น หากไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ตลาดเกิดปรับตัวลง ผู้ขายล่วงหน้า (short) ก็จะทำกำไรได้มากกว่าปกติ ที่เพื่อนคุณ hot พูด คงมาจากสาเหตุนี้ครับ ซึ่งหากมองในมุมกลับ ก็สามารถมองได้ว่า หากคนส่วนใหญ่คิดว่าตลาดจะลง การที่เราเข้าไปซื้อล่วงหน้า (Long) แล้วปรากฎว่าตลาดไม่เป็นไปตามคาดของคนส่วนใหญ่ ตลาดเกิดปรับตัวขึ้น เราก็จะได้กำไรมากกว่าปกติ แต่ถ้าเราผิดก็ตัวใครตัวมันครับ :lol: เมื่อ: 2006-04-25T04:41:00+00:00 artvr4: zero sum game ครับ มีคนได้มีคนเสีย ขึ้นกับการมองมากกว่า ถ้าหากทุกคน มองซื้อหมด ไม่มีคนขาย ตลาดก็ไม่มีสินค้าเกิดขึ้น ผมว่ามัน บ่อนดีๆนี่เอง เหมาะกับพวก ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า คนเล่นพนันก็ใช้ดวงเดาอนาคตเอา เมื่อ: 2006-04-25T05:05:28+00:00 ปรัชญา: 8) คนเล่นอนุพัน ผมว่าไม่ต้องศึกษาบริษัท  หรือแกะงบการเงินบริษัทจดทะเบียน แทงขึ้น  กับ  แทงลง เมื่อ: 2006-04-25T15:46:11+00:00 Dr.T: พยายามทำความเข้าใจ แต่รู้สึกเหมือนกันครับว่า มันเหมือนไฮโล  :lol: เมื่อ: 2006-04-25T17:28:16+00:00 CK: เครื่องคิดเลข ก็เอามาเล่นพนันได้ครับ เพียงกดปุ่ม Random แล้วแทงหลักสุดท้าย เราวีไอจึงไม่ควรใช้เครื่องคิดเลขครับ เมื่อ: 2006-04-25T18:40:05+00:00 ปุย: ถ้า ขาใหญ่ ที่เค้าชี้นำตลาดได้ มาเล่นจะเป็นไงครับ ซื้อ short แล้วก็ออกข่าวร้ายมา ทุบตลาด ซื้อ long ก็ออกข่าวดีสุดๆ พร้อมซื้อนำ เป็นไปได้มั้ย เหมือนมีแม่เหล็ก ผังอยู่ในลูกเต๋าเลย สั่งเลขได้ เมื่อ: 2006-04-25T21:25:42+00:00 worapong: ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดอนุพันธ์นั้นถึงเราทายถูกเราก็อาจไม่กำไรก็ได้ เช่น ถ้าเราเห็นว่าตอนนี้ถูกเกินไปน่าจะขึ้นได้ ซึ่งมันก็ขึ้นจริงๆ แต่ระหว่างทางก่อนขึ้นกระฉูดนั้นเกิดอินเด็กซ์ฟิวเจอร์ตก เราจะถูกเรียกเงินเพิ่ม ถ้าเราไม่มีเงินพอก็จะถูกบังคับให้ขาย นี่แหละคือความยาก เทียบกับหุ้นถ้าเราคิดว่ามันดี สุดท้ายมันจะขึ้นถึงระหว่างทางมันลง เราก็มีสิทธ์ที่จะไม่ขาย แล้วรอขายตอนขึ้นทีเดียว  :roll:  :roll: เมื่อ: 2006-04-26T02:49:52+00:00 Viewtiful Investor: เครื่องคิดเลข ก็เอามาเล่นพนันได้ครับ เพียงกดปุ่ม Random แล้วแทงหลักสุดท้าย เราวีไอจึงไม่ควรใช้เครื่องคิดเลขครับ คมมากครับ แต่จะมีซักกี่คนที่เห็นว่าใช้บริหารความเสี่ยงได้ เมื่อ: 2006-04-26T06:13:31+00:00 MarginofSafety: ปุย เขียน:ถ้า ขาใหญ่ ที่เค้าชี้นำตลาดได้ มาเล่นจะเป็นไงครับ ซื้อ short แล้วก็ออกข่าวร้ายมา ทุบตลาด ซื้อ long ก็ออกข่าวดีสุดๆ พร้อมซื้อนำ เป็นไปได้มั้ย เหมือนมีแม่เหล็ก ผังอยู่ในลูกเต๋าเลย สั่งเลขได้ เป็นไปได้ครับ แต่เหมือนมีแม่เหล็กมาดูดทั้ง 2 ด้านนะครับ มีแรงมาชี้นำขึ้น ก็มีแรงมาชี้นำให้ลงเช่นเดียวกัน ดังนั้น ข้อมูลข่าวสารคงต้องมีการตรวจสอบกันมากขึ้น และ กลต. คงต้องเหนื่อยมากขึ้น สมมติว่าแม่เหล็กทั้งสองฝั่ง ดูดด้วยความแรงเท่าๆกัน แรงเหล่านั้นก็จะหักล้างกันทำให้วัตถุไม่เคลื่อนที่ ผมยังเชื่อว่า Demand Supply ที่แท้จริงจะเป็นตัว Drive SET50 Index (ในระยะยาว) แต่คิดว่ามันคงจะผันผวนมากขึ้น หรือมี Volatility สูงขึ้นครับ สำหรับ VI, SET50 Index Futures ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนักเนื่องด้วยเหตุผล 2-3 ประการ 1. VI ถือหุ้นใน SET50 ไม่มากนัก 2. VI ถือหุ้นระยะยาว ดังนั้นหากตลาดลงแบบไม่มีเหตุผลมากๆ มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพิ่มมากกว่า 3. ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นต้องแปรตามกำไรของบริษัท ดังนั้นหากเราถือหุ้นถูกตัว ก็ไม่ต้องห่วง เมื่อ: 2006-04-26T07:02:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น oy: สมาชิกใหม่ฝากตัวด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าจะเข้าหัวข้อไหนดี คือ  มีคำถามเรื่องราคาหน้าโรงกลั่นว่าคำนวณอย่างไร เขาเรียกว่าอย่างไร มีราคาเผยแพร่ที่ไหน ในเวบมีไหมค่ะ รบกวนผู้รู้ตอบให้ด้วยค่ะ  :?: เมื่อ: 2006-05-09T02:21:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แนะนำเวบสำหรับใช้ Screen หุ้นครับ send: https://www.google.com/finance#stockscreener มีทั้งหุ้นไทย และต่างประเทศครับ เมื่อ: 2016-08-26T16:09:25+00:00 อัศวินพุงกลม: ขอบคุณครับ ใช้ดีทีเดียว เมื่อ: 2016-08-27T08:39:26+00:00 vim: ของเมืองไทย ผมแนะนำอีกตัวครับ อันนี้กรองได้หลายตัวแปร และยังมี magic formula ให้ด้วย http://siamchart.com/stock เมื่อ: 2016-08-27T10:10:20+00:00 SAM11: พอดีผ่านมา ก็เลยมาช่วยอีกแรงครับ อันนี้ดูได้หลากหลายดีนะครับ http://stockscreener.us.reuters.com/Sto ... reen=gaarp เมื่อ: 2016-09-01T16:12:55+00:00 neuhiran: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2016-09-02T12:54:37+00:00 BIG87: ลองใช้ฟังค์ชั่นใน e-fin ดูครับ ผมว่าละเอียด+ใช้ได้ดีทีเดียว total scan > condition http://helponline.efinancethai.com/inde ... temid=1135 เมื่อ: 2016-09-03T06:39:43+00:00 XO: send เขียน:https://www.google.com/finance#stockscreener มีทั้งหุ้นไทย และต่างประเทศครับ ผมลองเลื่อน bar ไปมา มันไม่เห็นกรองตัวที่หลุด criteria ออกอะครับ มันใช้อย่างไรเหรอคับ เมื่อ: 2016-09-11T15:03:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ธ.กลางรัสเซียขึ้นดอกเบี้ยเป็น17% คนอุดร: ธนาคารกลางรัสเซีย ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 17% จาก 10.5% มีผลทันทีวันนี้ พร้อมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน (repo rate)เป็น 18% จาก 11.5% เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามรับมือกับค่าเงินรูเบิลที่อ่อนค่าลงอย่างมากและความเสี่ยงเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยหลังจากธนาคารกลางรัสเซีย ประกาศขึ้นดอกเบี้ยไม่นาน เงินรูเบิล ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 62.50ต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ หลังจากรัสเซีย ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐ และนาโต้ ประกอบกับการตกต่ำของราคาน้ำมันโลก ส่งผลให้ค่าเงินรูเบิลร่วงลงอย่างต่อเนื่อง และกระแสเงินทุนไหลออกมากกว่า140,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... %9917.html เมื่อ: 2014-12-16T06:15:15+00:00 คนอุดร: หากเกิดวิกฤตที่รัสเซียจริง จะกระทบกับไทยมากน้อยแค่ไหนครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2014-12-16T06:24:08+00:00 donnyvi: นั่นซิครับ ค่าเงิน Ruble ก็อ่อนค่ามากเลย เห็นมีคนบอกว่าคล้ายๆ กับประทเศไทยตอนปี 2540 ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อไป นะคับเนี่ยะ เมื่อ: 2014-12-16T06:46:22+00:00 Nevercry.boy: ผมมองว่าเป็นสงครามจิตวิทยาและเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด แต่ผมแปลกใจจริง ๆ ครับว่าทำไม รัสเซีย ถึงก้าวเดินตานี้ มีผู้รู้มาช่วยอธิบายเรื่องนี้ได้หรือไม่ครับ เมื่อ: 2014-12-16T11:42:27+00:00 PLUSLOVE: BRIC domino ครับ มันกำลังจะเป็นเช่นนั้น มันเหมือนเกมหมากรุกครับ ต้องตีขุน ไม่ใช่กินเรือกินม้า เมื่อ: 2014-12-16T11:47:27+00:00 Nevercry.boy: micky1115 เขียน:BRIC domino ครับ มันกำลังจะเป็นเช่นนั้น มันเหมือนเกมหมากรุกครับ ต้องตีขุน ไม่ใช่กินเรือกินม้า แล้วทำไม รัสเซีย ถึงเลือกเดินหมากเกมส์เสี่ยง ด้วยตัวเองครับ คุณมิกกี้ พี่สงสัยตรงนี้ หรือจากปัญหาที่ปูตินบินกลับด่วนเมื่อเดือนที่แล้ว บวกกับถูกแซงค์ชัน แกเลยชิงลงมือก่อน แบบนี้ก็เหมือนกับทำ คิวอี เงินรูเปิ้ลเลยนะครับ เมกาน่าจะค้างเติ่งบนดอยหลังเจอไม้นี้เข้าไป เมื่อ: 2014-12-16T11:50:56+00:00 PLUSLOVE: Nevercry.boy เขียน:micky1115 เขียน:BRIC domino ครับ มันกำลังจะเป็นเช่นนั้น มันเหมือนเกมหมากรุกครับ ต้องตีขุน ไม่ใช่กินเรือกินม้า แล้วทำไม รัสเซีย ถึงเลือกเดินหมากเกมส์เสี่ยง ด้วยตัวเองครับ คุณมิกกี้ พี่สงสัยตรงนี้ หรือจากปัญหาที่ปูตินบินกลับด่วนเมื่อเดือนที่แล้ว บวกกับถูกแซงค์ชัน แกเลยชิงลงมือก่อน แบบนี้ก็เหมือนกับทำ คิวอี เงินรูเปิ้ลเลยนะครับ เมกาน่าจะค้างเติ่งบนดอยหลังเจอไม้นี้เข้าไป แผนยุทธการ ตายตกตามกันครับ ท่านพี่ 4คนแลก1คน มันก้คุ้มไม่ใช่เหรอครับ ระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ กับประเทศกำลังจะเติบโตเป็นยักษ์ ถ้าไม่ล้มยักษ์เก่า ยักษ์ใหม่ก้เกิดไม่ได้ เมื่อ: 2014-12-16T12:03:59+00:00 Nevercry.boy: ผมว่ามันบวกกับข่าวนี้ด้วย ฮือฮา จีนผงาดแซงสหรัฐเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกแล้ว คาด"ยังแซงได้อีกไกล" วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13:02:11 น. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวา กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟแถลงว่า จีนได้กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าสหรัฐแล้ว หลังจากจีนมีตัวเลขผลผลิตมวลรวมประชาชาติ หรือจีดีพี แซงหน้าสหรัฐเป็นครั้งแรก แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าเติบโตมากกว่า 10 ประเทศระดับชั้นนำของโลก โดยขณะนี้ จีนมีจีดีพีคิดเป็นมูลค่าราว 14.4 ล้านล้านยูโร ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีจีดีพีที่ระดับ 14 ล้านล้านยูโร โดยแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มว่าจีดีพีของจีนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตข้างหน้า .............................................. ลำดับเหตุการณ์ อีซีบี ลดดอกต่ำติดดิน บวกกับ ยุโรป ทำคิวอี กันถ้วนหน้า ตามหลังญี่ปุ่นนิดหน่อย คนไทยไปเที่ยวบานเลย รัสเซีย กับเงินรูเปิ้ล ที่ตกรูด ๆ ๆ ๆ ถ้า เมกา ปล่อย ดอลลาห์ แข็งแบบนี้ น่าคิด น่าคิด เมื่อ: 2014-12-16T12:18:54+00:00 Nevercry.boy: micky1115 เขียน: แผนยุทธการ ตายตกตามกันครับ ท่านพี่ 4คนแลก1คน มันก้คุ้มไม่ใช่เหรอครับ ระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ กับประเทศกำลังจะเติบโตเป็นยักษ์ ถ้าไม่ล้มยักษ์เก่า ยักษ์ใหม่ก้เกิดไม่ได้ ขอบคุณมากครับ น่าคิด น่าคิด รุกฆาต ต้องรุกขุน เมื่อ: 2014-12-16T12:19:24+00:00 Nevercry.boy: ปูติน ต้องแก้เกมส์ด่วนครับ ตลาดหุ้นรัสเซียจะเละ และค่าเงินจะโดนถล่ม ใครจะยื่นมือมาช่วยหนอ ถ้าไม่ใช่โอบามา แต่ก็ต้องถอยเรื่องอื่นให้เมกา โอว เมื่อ: 2014-12-16T12:50:04+00:00 PLUSLOVE: Nevercry.boy เขียน:ปูติน ต้องแก้เกมส์ด่วนครับ ตลาดหุ้นรัสเซียจะเละ และค่าเงินจะโดนถล่ม ใครจะยื่นมือมาช่วยหนอ ถ้าไม่ใช่โอบามา แต่ก็ต้องถอยเรื่องอื่นให้เมกา โอว น้ำมันถูกผูกด้วยดอลล่าร์ครับ ถ้าประเทศทุกประเทศไม่เอาน้ำมันหันมาเน้นพลังงานทางเลือก ระบบเปโตรดอลล่าร์จะหมดไป แล้วหายนะจะตามมา ดังนั้นเกมนี้ ยอมให้น้ำมันลง ทำให้เศรษฐกิจตัวเองฟื้น ทำให้คนคิดพลังงานทางเลือกเจ๊ง จะได้ใช้น้ำมันต่อไป เพื่อพยุงไม่ให้ระบบเปโตรดอลล่าร์ล้ม แถมได้ล้ม 1ใน4 ของ BRIC อย่างรัสเซียที่เน้นขายพลังงาน แถมยังได้ของแถมเป็น การทุบหุ้นพลังงานทั่วโลก และพวกตัวเองก้ขายออกมากำไร ทั้งค่าเงินและกำไรทั้ง อนุพันธ์ เปิด S น้ำมัน จึงเป็นที่มาของคำว่า USA ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวครับ ได้ทั้งเตะตัดขา BRIC ได้ทั้งโจมตี รัสเซีย ได้ทั้งโจมตีเอเซีย แต่เชื่อผมเถอะครับ ปูตินพร้อมจะแลกแล้ว เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ ถูกลากตายตกตามกัน มันคือ หายนะ แน่นอนซึ่งจะทำให้ประเทศในกลุ่ม BRIC กระทบก่อน แล้วตามมายังประเทศเล็กๆน้อยๆ มันคือ Crisis ที่รอเราอยู่ไม่ว่า สุดท้ายใครจะชนะ ระบบโดยรวมจะล้มลง เมื่อ: 2014-12-16T13:13:08+00:00 คนอุดร: ขอบคุณครับ ในฐานะนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดครับ เมื่อ: 2014-12-16T13:30:34+00:00 คนอุดร: ราคาน้ำมัน กับยุโรปและรัสเซีย โดย วีรพงษ์ รามางกูร สภาพเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยูโรกับรัสเซียนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ในขณะที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก ได้ทำความเสียหายให้กับประเทศในกลุ่มยูโรและประเทศรัสเซียได้อย่างมหาศาลไม่แตกต่างกัน เพียงแต่เป็นปัญหาคนละอย่าง การที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ลดลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศยูโรลดลงเข้าใกล้ศูนย์หรืออาจจะติดลบก็ได้ สถานการณ์เช่นนี้ได้สร้างความกดดันให้กับธนาคารกลางของสหภาพยุโรปเป็นอย่างยิ่ง เพราะธนาคารกลางยุโรป ตั้งเป้าว่าระบบเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้นให้ฟื้นตัวจากมาตรการคิวอีหรือมาตรการเพิ่มปริมาณเงิน เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดลง เนื่องจากราคาของตราสารทางการเงินลดลง การที่อัตราเงินเฟ้อต่ำลงเข้าใกล้ศูนย์ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเศรษฐกิจของยุโรปกำลังเคลื่อนเข้าไปสู่ภาวะเงินฝืดเข้าไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า การที่อัตราเงินเฟ้อในยุโรปลดลง ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ธนาคารกลางยุโรป ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ได้ก่อให้เกิดการ "คาดหมาย" หรือ "Expectation" ว่าเศรษฐกิจของยุโรปน่าจะแย่กว่าที่คิดหรือคาดเอาไว้ ความคาดหมายดังกล่าวก็ยิ่งจะทำให้การลงทุนและการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของครัวเรือนชะลอตัวลงไปอีก พร้อม ๆ กันนั้นอัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มจะลดลงไปอีก ถ้าหากราคาน้ำมันและสินค้าอื่นยังอ่อนตัวลงไปอีกจนอยู่ระหว่าง 60 ถึง 70 เหรียญต่อบาร์เรล อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มยุโรปอาจจะต่ำกว่า 0.5 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ในปีหน้านี้ ซึ่งไม่ใช่สัญญาณของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป สิ่งที่วิตกกันก็คือ เศรษฐกิจของยุโรปอาจจะดื้อยา และอาจจะไม่ฟื้นตัวภายในระยะเวลาอันใกล้แบบเดียวกับญี่ปุ่น แต่ในระยะยาวการที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว น่าจะมีส่วนช่วยหยุดยั้งการทรุดตัวของเศรษฐกิจไม่ให้ไหลลงต่อไปได้ ขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรยังไม่มีทีท่าให้เห็นว่าจะฟื้นตัวในเวลาอันใกล้นี้ เศรษฐกิจของรัสเซียกลับมีทีท่าว่าจะทรุดตัวลง จากการที่ราคาน้ำมันลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และเนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ข่าวการลดลงของราคาน้ำมันและราคาพลังงาน รวมทั้งการประกาศคว่ำบาตรของกลุ่มประเทศยุโรปในเขตยูโร อันสืบเนื่องมาจากการผนวกแคว้นไครเมียเข้ากับรัสเซีย และการสู้รบกันในยูเครน อันเป็นเหตุให้รัสเซียต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล รวมทั้งเกิดความแตกตื่นเงินไหลออกเป็นจำนวนมาก ทำให้ค่าเงินรูเบิลลดค่าลงกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินรูเบิลตกลงอย่างรวดเร็วอย่างนี้ เงินก็ยิ่งไหลออก ค่าเงินรูเบิลก็อาจจะร่วงต่อ เมื่อค่าเงินรูเบิลทรุดลงอย่างแรงเช่นนี้ ก็ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ประเทศในเขตยูโรกำลังวิตกและกลัวภาวะเงินฝืดหรือ "Deflation" รัสเซียกลับมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 9 ต่อปี ประธานาธิบดีปูติน ประกาศเลื่อนแผนการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น โครงการวางท่อส่งก๊าซไปยังยุโรปตอนใต้ โครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก จากกลางมอสโกไปยังเมืองกาซาน เศรษฐกิจของรัสเซียนั้นต้องพึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นอย่างมาก เพราะน้ำมันมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด การที่ราคาน้ำมันลดต่ำกว่า 70 เหรียญต่อบาร์เรลจึงมีผลกระทบต่อค่าเงินรูเบิลอย่างรุนแรง ที่เคยคาดการณ์โดยกระทรวงพัฒนาการเศรษฐกิจว่าเศรษฐกิจของรัสเซียจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2 ในปีหน้า ต้องทบทวนเพราะกลายเป็นว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะหดตัวร้อยละ 0.8 ในขณะที่สถาบันเอกชนคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจรัสเซียปีหน้าจะหดตัวถึงร้อยละ 2 หลายคนกำลังติดตามดูว่ารัสเซียจะดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจและการเงินของตนอย่างไร ไม่ว่าราคาน้ำมันจะหยุดไหลลงหรือยังจะไหลลงต่อไป นอกจากการประกาศเลื่อนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่แล้วรัสเซียคงจะไม่สามารถใช้นโยบายเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบอีก หากทำเช่นนั้นค่าเงินรูเบิลก็คงจะตกต่อไปอีก จึงเหลือเพียงนโยบายการคลังเท่านั้นที่จะพยุงค่าเงินรูเบิลไว้ได้ มิฉะนั้นรัสเซียก็จะมีปัญหาแบบเดียวกับกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน นโยบายการคลังที่ว่าก็คือการตัดงบประมาณรายจ่ายลง ลดการขาดทุนโดยปิดหน่วยงานบางแห่งที่ขาดทุน ยอมให้รัฐวิสาหกิจบางแห่งที่ประสบการขาดทุนล้มหายตายจากไป ลดการจ้างงาน โครงการสวัสดิการหลายอย่าง เช่น โครงการเพิ่มอัตราการเกิด โครงการเพิ่มอายุเฉลี่ยของประชากร โครงการเพิ่มงานต่าง ๆ อาจจะประสบปัญหาจากความจำเป็นที่ต้องตัดงบประมาณลง สถานการณ์ดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดภาวการณ์ว่างงานเกิดขึ้นอันตรายจากการรวมกลุ่มกันประท้วง เกิดการเดินขบวนและส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลประธานาธิบดีปูตินเป็นอย่างมาก สถานการณ์ที่ปล่อยให้ราคาน้ำมันลงของสหรัฐอเมริกากับซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ทำให้นึกถึงการที่สหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีเรแกน ทำการประชาสัมพันธ์ว่าจะพัฒนาอาวุธทางอวกาศ ทำให้ประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ แห่งรัสเซียต้องทำตาม การแข่งขันกันสร้างแสนยานุภาพทางอวกาศที่เรียกกันว่า "Star War" ทำให้สหรัฐอเมริกาและรัสเซียต้องทุ่มงบประมาณมหาศาล เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาอาวุธทางอวกาศ ทั้งประธานาธิบดีเรแกนและกอร์บาชอฟ ต่างทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อการแข่งขันในสงครามอวกาศ เศรษฐกิจของสหรัฐและสหภาพโซเวียตย่ำแย่ ขาดดุลมหาศาล ค่าเงินดอลลาร์ลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับเงินมาร์กเยอรมันและเงินตราสกุลอื่น ๆ แต่ในที่สุดเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตล้มละลายก่อน และในที่สุดก็เป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และค่ายคอมมิวนิสต์ในที่สุด มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ซาอุดีอาระเบียกับสหรัฐอาจจะร่วมมือกันถล่มราคาน้ำมันลง ขณะที่สหรัฐนั้นสามารถผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพียงพอในการใช้ในประเทศ และกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมเคมีขนาดใหญ่จากการได้เปรียบ ที่มีพลังงานราคาถูก สหรัฐอเมริกาคงอยู่ในฐานะที่ไม่เดือดร้อนอะไรมาก แต่ขณะเดียวกันการที่ที่ประชุมประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือกลุ่มโอเปกนำโดยซาอุดีอาระเบียลงมติปฏิเสธข้อเสนอของเวเนซุเอลา ที่ให้ประเทศในกลุ่มโอเปกลดการส่งออกน้ำมันดิบลง อันเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันร่วงลงต่ำกว่าบาร์เรลละ 70 เหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มจะลดลงไปอีก ซาอุดีอาระเบียประกาศว่า แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลงไปถึงบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์ ซาอุดีอาระเบียก็ยังอยู่ได้ แต่ประเทศที่อาจจะเดือดร้อนมากคงจะเป็นประเทศอิหร่าน ซึ่งเป็นคู่แข่งของซาอุดีอาระเบียในตะวันออกกลาง หากราคาน้ำมันดิบยังคงลดลงต่อไป และอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าบาร์เรลละ 70 ดอลลาร์เป็นเวลานาน คงจะเกิดความกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อำนาจต่อรองของประเทศที่ส่งออกน้ำมันคงจะน้อยลง จีนซึ่งเป็นประเทศนำเข้าพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อเป็นวัตถุดิบจีนจึงน่าจะได้ประโยชน์จากการลดลงของราคาพลังงาน เศรษฐกิจของจีนที่เริ่มชะลอตัวน่าจะได้อานิสงส์จากการลดราคาของน้ำมันเป็นอย่างมาก อาจจะไม่น้อยกว่าผลประโยชน์จากการค้นพบเทคโนโลยีในการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดานของสหรัฐอเมริกาฐานะของจีนจึงน่าจะดีขึ้น การเมืองที่อ่าวเปอร์เซียก็น่าจะเปลี่ยนไป สหรัฐอเมริกาคงจะลดความสำคัญของตะวันออกกลางลง และคงเกี่ยงให้จีนเข้ามามีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพในบริเวณนี้ ภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ถดถอย ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตร ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก แต่จะเปลี่ยนไปอย่างไร มีผลต่อบ้านเราขนาดไหน ต้องดูกันต่อไป โลกเราก็เป็นอย่างนี้ไม่มีอะไรแน่ http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1418722051 เมื่อ: 2014-12-16T13:54:06+00:00 Lastpun: รู้สึกเหมือนเขากำลังต่อสู้กันสักอย่าง สมัย sanction ตอนแรกพอโดนก็จับมือจีน ดูเหมือนจะบีบไม่ได้ผล แต่พอน้ำมันราคาถล่มนี้อาการออกเลย เดาไม่ถูกเกมจะเป็นอย่างไร เมื่อ: 2014-12-16T14:22:23+00:00 Nevercry.boy: Samson Defense ไม่คิดว่าจะได้ยินศัพท์คำนี้ในโลกเศรษฐกิจ ........... รายงานลับของกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซียเปิดเผยว่าประธานาธิบดีปูตินได้สั่งให้ธนาคารกลางของรัสเซียใช้ยุทธวิธีที่เรียกว่า Samson Defense ในการต่อสู้กับพวกเก็งกำไรค่าเงินรูเบิ้ลด้วยการจงใจให้ค่ารูเบิ้ลตกลงไปอย่างรุนแรงในวันอังคารที่ผ่านมา และในขณะเดียวกันมุ่งทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐฯและสหภาพยุโรปไปด้วย ยุทธวิธีSamson Defenseหรือการป้องกันตัวแบบแซมซั่นนี้แปลได้ง่ายๆคือถ้ากูตาย ต้องตายกับกูด้วย แซมชั่นเป็นตัวละครในพระคำภีร์ไบเบิ้ลเก่า ซึ่งใช้กำลังมหาศาลของตัวเองในการดันเสาของวิหารของพวกฟิลิสตีนพังลงมา ทำให้หลังคาถล่มล้มลงมาทับตัวเองตาย แต่พวกฟิลิสตีนที่จับตัวเขาก็ตายไปด้วยนับพันคน ก่อนตายแซมซั่นประกาศว่า ขอให้ฉันได้ตายไปด้วยกับพวกฟิลิสตีน พวกอิสราเอลมีศัพท์เฉพาะที่เรียกกันในนโยบายกลาโหม คือSamson Optionคือทางเลือกแซมซั่น ในกรณีที่อิสราเอลถูกโจมตีอย่างมิอาจจะต้านได้ อิสราเอลจะตอบโต้ด้วยการยิ่งขีปนาวุธนิวเคลียร์เพื่อให้ศัตรูตายไปพร้อมๆกันกับตัวเอง เนื่องจากรัสเซียโดนรุมกินโต๊ะจากการถูกแซงชั่นทางเศรษฐกิจการเงิน ราคาน้ำมันโดนสหรัฐฯและซาอุดิฯทุบลงมาทำให้ประเทศขาดรายได้ ประเทศถูกโดเดี่ยว และค่าเงินโดนเก็งกำไรหนัก จึงไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องสู้ตาย ธนาคารกลางรัสเซียได้ขึ้นดอกเบี้ยไปถึง17%จาก10.50%ในวันอังคารเพื่อดัดหลังพวกเก็งกำไรค่าเงิน ความผันผวนของทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยทำให้ผู้เทรดดอลล่าร์/รูเบิ้ลเลิกให้บริการเทรดค่าเงินคู่นี้ พวกที่เล่นอนุพันธ์รูเบิ้ลจะเจ็บตัวจากมาตรการเข้มนี้ของรัสเซีย ค่าเงินที่ตกหนักไปวันเดียว20% และที่ผ่านมาตกไป57%เมื่อเทียบดอลล่าร์ไม่ได้สร้างความเสียหายให้รัสเซียมากนัก เพราะว่าบัญชีงบดุลการคลังของรัสเซียใช้เงินรูเบิ้ลที่กำลังมีค่าอ่อนตัวลง แต่รายได้จากน้ำมันได้เป็นเงินดอลล่าร์ที่มีค่าสูงขึ้น หมายความว่าราคาน้ำมันที่ตกต่ำที่มีการคาดว่าจะมีผลกระทบต่อภาระการคลังของรัสเซียจะไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะว่ารัสเซียจะได้รายได้ที่เป็นรูเบิ้ลมากขึ้น ก่อนหน้านี้ ปูตินประกาศว่ารัสเซียเตรียมพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับหายนะของราคาน้ำมันที่ตกต่ำ ธนาคารกลางรัสเซียต้องเข้ามาอุ้มRosneft บริษัทน้ำมันยักษ์ของรัสเซียที่มีภาระต้องจ่ายหนี้ต่างประเทศ Rosneftได้ออกบอนด์มูลค่า625,000ล้านรูเบิ้ลให้ธนาคารกลางรับซื้อในราคา$10,000ล้านเพื่อจ่ายหนี้ในเดือนนี้ และอีก$4,000ล้านในเดือนกุมภาพันธ์ ไม่ได้ถือว่าธนาคารกลางของรัสเซียทำQEผ่านการซื้อบอนด์ของบริษัทรัฐบาลเหมือนเฟดหรือธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพราะว่าธนาคารกลางของรัสเซียต้องใช้ดอลล่าร์ซื้อ ไม่ได้พิมพ์รูเบิ้ลมาใช้ สหรัฐฯและโอเปคร่วมมือกันจะดันราคาน้ำมันให้ลงต่อไปอีกถึง$40ต่อบาเรลล์เพื่อทำลายเศรษฐกิจของรัสเซียที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก แต่ผลกระทบคือผุ้ผลิตน้ำมันเชลของสหรัฐฯจะถูกซาอุดิฯที่มีต้นทุนการผลิตน้ำมันต่ำที่สุดในโลก (ประมาณ$30ต่อบาเรลล์)ทำลายไปด้วย เศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีปัญหาหนักขึ้นเพราะว่าถ้าหากน้ำมันมีราคาต่ำกว่า$55ต่อบาเรลล์ ภาคพลังงานที่มีการลงทุนสูงและเป็นภาคที่มีการจ้างงานสูงนับล้านคนจะอยู่ไม่ได้ ในการป้องกันตัวเองแบบแซมซั่น รัสเซียต้องยืนหยัดให้ได้ท่ามกลางการล้อมกรอบของสหรัฐฯและสหภาพยุโรป รายงานของกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซียระบุว่าฐานะการเงินของรัสเซียมั่นคงกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐฯและสหภาพยุโรป สหรัฐฯมีหนี้$18ล้านล้าน ซึ่งในทางคณิตศาสตร์แล้วไม่มีทางลำระคืนได้ ส่วนสหภาพยุโรปมีหนี้พอๆกันคือ$15ล้านล้าน ทั้งสองค่ายรวมกันแล้วมีหนี้$30ล้านล้าน ในขณะที่รัสเซียมีหนี้ต่างประเทศเพียง$678,000ล้าน สัดส่วนหนี้ของรัสเซียต่อจีดีพีอยู่ที่14% เทียบกับ90.9%สำหรับยุโรป 80.2%สำหรับสหรัฐฯ และ227%สำหรับญี่ปุ่น ด้วยฐานะการเงินอย่างนี้ รัสเซียมั่นใจว่ามีเงินพอที่จะสามารถยืนหยัดกับการถูกพันธมิตรตะวันตกแซงชั่นได้ และในSamson Defenseนี้ รัสเซียจะไม่ลดกำลังการผลิตน้ำมัน แต่อาจจะเพิ่มกำลังการผลิตด้วยซ้ำ ค่าเงินรูเบิ้ลอาจจะอ่อนค่าต่อดอลล่าร์ แต่น้ำมันรัสเซียจะถูกที่สุดในโลก รัสเซียประกาศแล้วตายเป็นตาย แต่พวกคุณต้องตายก่อน เครดิต Thanong Fanclub http://www.whatdoesitmean.com/index1825.htm เมื่อ: 2014-12-17T04:07:28+00:00 Chaoyang: ตามความเข้าใจของผม เริ่มจาก NATO's eastward expansion กลืนหลายประเทศที่เป็น buffer ระหว่าง รัสเซีย และ NATO --> ยูเครนประเทศหน้าด่านที่สำคัญกำลังจะถูกกลืน --> เริ่มขบวนการใต้ดินในยูเครน หลังประธานาธิปดีที่สนับสนุนรัสเซียล้ม --> NATO sanction ก๊าซและน้ำมันจากรัสเซียเข้ายุโรป (บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปเช่น E.ON / ENEL ถูกบีบบังคับขายทรัพย์สินในรัสเซียส่วนใหญ่ โรงไฟฟ้า และบ่อน้ำมัน ให้กับจีน) --> US เริ่มแผน supply energy เข้ายุโรปทดแทน เพื่อลดอิทธิพลจากรัสเซีย --> ราคาน้ำมันลดเพราะ supply ใหม่ ---> ลดค่าเงินรูเบิ้ลเพื่อชดเชย --> OPEC ไม่ยอมลดกำลังการผลิต --> ราคาน้ำมันร่วงลงเร็วเป็นประวัติการณ์ ต่อจากนี้ NATO ชนะ / ขณะที่น้ำมันกำลังลด Exxon ก็ไม่หยุด M&A / รัฐวิสาหกิจจีน ไม่ได้หยุดซื้อแหล่งพลังงาน (โดนปัญหาคอรัชชั่น ผู้บริหารที่เป็นคนของ ปู่ Zhou โดนย้ายหมด กำลังเปลี่ยนคนใหม่ๆ เข้ามา เลยตัดสินใจนานหน่อย) --> ราคาพลังงานกลับสูงขึ้นเหมือนเดิม แค่นั้นเอง เมื่อ: 2014-12-17T08:38:56+00:00 jokerz: Russia Finance Ministry Starts Selling Foreign-Exchange Reserves on Market http://www.bloomberg.com/ http://www.bloomberg.com/news/2014-12-1 ... ntrol.html เมื่อ: 2014-12-17T09:29:58+00:00 yoko: ถ้าเขาเล่นกันจริง ผมเชียร์ปูตินนะ555 เมื่อ: 2014-12-17T12:16:52+00:00 ดำ: yoko เขียน:ถ้าเขาเล่นกันจริง ผมเชียร์ปูตินนะ555 ถ้าไม่นับผลประโยชน์ทับซ้อน คงไม่มีใครเชียร์มะกันหรอกครับ นอกจากอิสราเอล เมื่อ: 2014-12-17T12:40:08+00:00 kongkiti: ติดตาม เกม นี้อย่างใกล้ชิดครับ เมื่อ: 2014-12-17T13:45:20+00:00 Lastpun: yoko เขียน:ถ้าเขาเล่นกันจริง ผมเชียร์ปูตินนะ555 นานๆจะได้เห็นยักษ์ชนยักษ์ ฝั่งพี่กัน นี้หัวดีจริงๆแต่เกมยังยังไม่จบอาจมีไม้ตายโผล่กัน เมื่อ: 2014-12-17T14:15:04+00:00 นายมานะ: ขอสอบถามด้วยครับ ความรู้เรื่องนี้น้อยมาก ลักจำมาจากความคิดเห็นของพี่ๆ และบทความต่างๆ ครับ คือผมเข้าใจว่าที่ OPEC สร้างสงคราม/วิกฤติราคาน้ำมันครั้งนี้ เป็นเพราะ USA กำลังจะเปลี่ยนจากผู้ที่ Consume น้ำมันมากที่สุดในโลกมาเป็น net export แต่ที่ผมไม่ค่อยเข้าใจคือการจงใจสร้างสงครามครั้งนี้ OPEC มีวัตถุประสงค์อะไรระหว่าง 1. ต้องการโจมตีผู้ผลิต Shale gas ของ USA (แต่จะถึงขนาดทำให้เจ๊งได้จริงๆ เหรอ?) 2. ร่วมมือกับ USA โดยต้องการโจมตีรัสเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งการค้าคนสำคัญ 3. ต้องการจะโจมตีทั้ง USA และรัสเซียไปพร้อมกัน โดยคาดว่า USA พี่ใหญ่จะยอมเจ็บ เพื่อให้คู่แข่งอย่างรัสเซียเจ็บหนักกว่า แต่ไม่ว่าจะข้อไหน ตอนนี้รัสเซียก็อ่วมมากๆ จนนำมาซึ่งการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งตรงนี้ก็แบ่งได้เป็น 2 กระแสอีก 1. รัสเซียทำเพราะไม่มีทางเลือก ต้องการป้องกันไม่ให้ค่าเงิน RUB อ่อนค่าลงไปกว่าที่เป็นอยู่ (ถ้าเป็นข้อนี้ดูจะพลาด ผลจากการกระทำกลับทำให้อ่อนค่าลงไปอีก) 2. รัสเซียตั้งใจทำแบบนี้แม้จะคาดไว้ว่าจะทำให้ค่าเงิน RUB อ่อนค่าลง เพราะต้องการจะดัดหลังพวกเก็งกำไรค่าเงิน?? (แต่ดัดหลังอย่างไร ในเมื่อผู้เก็งกำไรค่าเงินก็มีแต่เก็งในทางที่ว่ามันจะอ่อนลงไปอีกอยู่แล้ว?? <<< อันนี้ผมหยิบยกมาจากความคิดเห็นของพี่ที่เคารพท่านหนึ่งครับ ขอขอบคุณไว้ ณ ทีนี้ดวยครับ) สุดท้ายที่อยากถามหลังจาก 2 คำถามแรก คือคาดว่าผลจากสงครามครั้งนี้จะจบอย่างไรครับ ทั้งสามก๊กที่รบพุ่งกัน จะได้ เสียประโยชน์กันอย่างไร และก๊กเบื้องหลัง (ลูกพี่ใหญ่ CHINA) จะทำอะไร หรือได้เสียประโยชน์อะไรกับ party อื่นๆ ครับ ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2014-12-17T14:58:07+00:00 vim: กลุ่มประเทศที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง (แต่อเมริกาลงทุนในเชลก๊าซ/ออยไปเยอะ อาจไม่นับว่าได้ประโยชน์) ผมคิดว่าคนที่ได้ประโยชน์ตอนนี้ ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ปล่อยให้คนส่งออกน้ำมันเค้าสู้กัน http://www.eia.gov/countries/index.cfm?topL=imp Top World Oil Net Importers, 2012 (Thousand Barrels per Day) Sort By Production Consumption Imports Exports Country Imports 1 United States 7,372 2 China 5,608 3 Japan 4,559 4 India 2,460 5 Korea, South 2,261 6 Germany 2,225 7 France 1,699 8 Spain 1,272 9 Singapore 1,220 10 Italy 1,216 11 Netherlands 951 12 Taiwan 903 13 Thailand 784 14 Turkey 632 15 Indonesia 611 เมื่อ: 2014-12-17T15:41:45+00:00 นายมานะ: พี่เบิ้มจีนประกาศจะช่วยรัสเซียรึเปล่าครับพี่ vim ผมลองคิดว่าถ้าผมเป็นผู้ปกครองจีน หันมองดูแล้วสถานะในประเทศเข้มแข็งแล้ว เป้าหมายต่อไปคงเป็นสถานะระดับโลก ซึ่งถ้าสงครามน้ำมันครั้งนี้รัสเซียแพ้ จีนคงเสมือนสูญเสียพันธมิตรทัพหน้า ทำให้สงครามครั้งต่อไป USA คงพุ่งเป้ามาที่จีนแทน ยิ่งถ้ารัสเซียเกิดวิกฤติหนักขึ้นมาจริงๆ USA ก็อาจจับมือกับ OPEC มาหาเรื่องเล่นงานจีนในด้านพลังงานในอีกรูปแบบหนึ่งแทน เป็นไปได้มั้ยครับ เมื่อ: 2014-12-17T15:57:19+00:00 vim: อันนี้ผมไม่มีความรู้เลยครับ แต่ผมมองว่าความแปรปรวนครั้งนี้นั้นผมว่ามาจากการต่อสู้กันทางเศรษฐกิจและทางน้ำมันเป็นหลัก ยังไม่ได้ก้าวไปมากถึงขั้นสงคราม ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่ SCO ต้องแทรกแซง ถือว่าเป็นเรื่องภายใน ดังนั้นถ้าผมเป็นจีนผมก็คงไม่ทำอะไร เพราะตัวเองได้ประโยชน์กับราคาน้ำมันแบบนี้ ถึงเศรษฐกิจรัสเซียแย่ไปจริงๆก็ยังมีประเทศสมาชิกใหม่ๆซิงๆมาแทนอีกเยอะ โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ และไทยเองด้วยก็ได้ประโยชน์กันหมด และมีทีท่าว่าประเทศเหล่านี้อาจจะเข้า SCO ในอนาคตด้วย (มองกลับมาที่ไทย ไทยเองถ้ามีสงครามรอบหน้าเราคงต้องเป็นฝ่ายเดียวกับจีนและรัสเซีย ต่างกับครั้งก่อน) นอกจากรัสเซียแล้ว นโยบายน้ำมันของ OPEC เองก็เอื้อจีนอยู่มากครับ จะว่าโอเปคจับมือกับสหรัฐถล่มรัสเซียก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสหรัฐกับประเทศใน OPEC เองก็เจ็บกันเยอะ ตอนนี้ผมไม่คิดว่าใครร่วมมืออะไรกับใคร แต่ผมมองว่าทุกประเทศกำลังหนีตายมากกว่า เมื่อ: 2014-12-17T16:38:08+00:00 Dr. Manhattan: http://news.voicetv.co.th/world/145332.html เมื่อ: 2014-12-17T18:16:59+00:00 Dech: ทฤษฏีตายตกตามกันของรัสเซียได้ผล เมื่อคืนทุกอย่างพร้อมใจกันเด้งทั่วหน้า เมื่อ: 2014-12-18T00:29:22+00:00 นายมานะ: ขอบคุณพี่ vim มากครับ ^^ เมื่อ: 2014-12-18T02:06:05+00:00 ทศพร29: ตอนนี้ผมเห็นหุ้นขึ้นแล้วกัลัวแทนคนที่ซื้อไล่ราคาจริงๆครับ สถานการณ์ในตอนนี้กำลังมีทิศทางดำเนินไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจโลกอย่างชัดเจน เมื่อ: 2014-12-18T04:16:11+00:00 นายมานะ: หลังจากมีโอกาสได้ศึกษาเพิ่ม แชร์แนวคิดกับหลายๆ ท่าน รวมทั้งพี่ vim แล้ว ผมเห็นด้วยกับพี่ vim ครับ ที่ผมเข้าใจคือ USA เพียงแค่ต้องการลดการพึ่งพาพลังงานจากภายนอก OPEC ก็ขายน้ำมันไปตามปกติ และเข้าใจว่ายากที่จะ manipulate ตลาดได้เหมือนเดิม แต่เผอิญผลของปริมาณ supply ที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้รัสเซียเกิดวิกฤติ เพราะรัสเซียเพิ่งพาการส่งออกพลังงานมากเกินไป จึงต้องใช้แรงๆ เพื่อแทรกแซงไม่ให้เกิดวิกฤติค่าเงินด้วยการขึ้นดอกเบี้ย (แต่ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็ยากจะคาดเดา จะเกิดการอ่อนค่าของค่าเงิน RUB ในช่วงสั้นๆ ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร) พอทั้งหมดนี้มารวมกันเข้า ก็อาจเกิดมุมวิเคราะห์ที่เหมือนแต่ละฝ่ายกำลังทำสงครามโจมตีกัน เพื่อหวังผลทำร้ายฝ่ายตรงข้าม บางข่าวหรือบางบทความมีใส่ชื่อกลยุทธ์ ใส่ความดราม่า ลงไปหน่อยให้ดูเหมือนสงครามจริงๆ ขึ้นมา ทั้งที่แต่ละฝ่ายก็เพียงแต่ต้องการจะเอาตัวรอด และหวังประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศตัวเองเท่านั้นเอง เมื่อ: 2014-12-18T05:28:01+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากถามเพื่อนๆๆว่าจะสมัคร kt-zamiko จะตัองทำอย่างไรบ้างครับ stonefree: คือผมเป็นมือใหม่จิงๆๆน่ะครับ พอดีไม่ทราบเรื่องนี้เลยย อยากหัยเพื่อนๆๆแนะนำหัยหน่อยอะคับ ว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง แล้วตอนแรกต้องใช้เงินเท่าไร ถึงจะพอดี เมื่อ: 2010-06-13T05:45:51+00:00 Aegiszero: ขอแนะนำการเปิดบัญชี cash balance นะครับ คือ บัญชีที่ต้องโอนเงินเข้าไปตามปริมาณที่ต้องการซื้อขาย หลักฐานที่ต้องใช้มี 1 สำเนาบัตรประชาชน 2 สำเนาทะเบียนบ้าน 3 สำเนาสมุดบัญชีหน้าแรกที่มีชื่อบัญชี และหน้าสุดท้ายครับ   (สำหรับบัญชีที่ไม่ใช้margin) สำหรับบัญชี margin ไม่แน่ใจนะครับไม่เคยสมัครเอง รู้สึกว่าต้องใช้สมุดบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน ครับ วิธีสมัครก้อมี การสมัครทางไปรษณีย์ และ สมัครด้วยตัวเองที่ บริษัท อันนี้ก้อแล้วแต่สะดวกนะครับ การสมัครทางไปรษณีย์สามารถขอใบขอเปิดบัญชีได้ทาง internet เลยครับ เมื่อ: 2010-06-13T15:19:20+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Farmer is coming!!!! Samadha: เร็วเข้าครับ รอบของสินค้าเกษตรกลับมาแล้ว ไม่มีอะไรเจ็บใจเท่าพลาดโอกาสที่ใกล้ตัวที่สุด เมื่อ: 2010-08-28T11:26:47+00:00 Croyoty: APURE KASET CFRESH ASIAN TVO LST TC TUF CPF ตัวไหนหละครับ ท่าน วานบอกด้วย  :?: เมื่อ: 2010-08-28T11:31:26+00:00 Latte: Samadha เขียน:เร็วเข้าครับ รอบของสินค้าเกษตรกลับมาแล้ว ไม่มีอะไรเจ็บใจเท่าพลาดโอกาสที่ใกล้ตัวที่สุด สงสัยครับ เอาอะไรเป็นตัีวชี้วัด หรือสนับสนุน หรือครับ ว่ารอบของสินค้าเกษตรกลับมาแล้ว ? เมื่อ: 2010-08-28T11:33:27+00:00 Samadha: สินค้าเกษตรวิเคราะห์แบบ commodities ครับ Demand Supply รายละเอียดแนะนำให้อ่าน Hot Commodities ของ Jim Rogers ส่วนตัวไหนนั้น ผมเองก็ไม่ทราบจริงๆ ครับ รอบๆ ที่ทำงานผม เต็มไปด้วยสวนยาง แต่กลับพลาดหุ้นยางพารา เพราะ มัวแต่หมกมุ้นกับหุ้นธนาคาร แต่ละท่านควรลงทุนบนความได้เปรียบของท่านครับ หรือไม่ก็ ซื้อมันทุกตัวเลยครับ จะได้เลียนแบบผลตอบแทนของ index ซึ่งก็มักไม่เลวครับ เมื่อ: 2010-08-28T11:43:02+00:00 ^^: Rogers: Food Shortage Coming as Farmers Struggle Monday, 18 Jan 2010 09:59 AM Article Font Size     By: Dan Weil Legendary investor Jim Rogers remains bullish on commodities and says the world will soon face food shortages. "The fundamentals (for agriculture) have gotten better," he says. "The inventories are now at the lowest they've been in decades, not in years. And that trend is just intensifying, Rogers tells CNBC. Things are getting worse. Many farmers cant get loans to buy fertilizer now, even though we have big shortages developing." And what will be the end result of this dynamic? "Sometime in the next few years we're going to have very serious shortages of food everywhere in the world, and prices are going to go through the roof," Rogers said. Agriculture is his favorite sector in the commodity space, but Rogers likes other commodities as well. Take oil, for example. Over the next decade or so, oil is going to go much higher, because known reserves of oil are declining at a very rapid rate, Rogers said. He also favors gold for the long term, saying that if it drops $200 an ounce, hell buy more. But if youre looking for precious metals to acquire now, Rogers recommends silver or palladium, because they havent soared as high as gold. Many experts share Rogers bullishness on commodities. Goldman Sachs, for example, sees the S&P GSCI Enhanced Total Return Index appreciating 17.5 percent this year. Demand is growing on a global basis, Peter Sorrentino, a money manager at Huntington Asset Advisors, told Bloomberg. &copy; Moneynews. All rights reserved. อันนี้ข่าวเก่า แต่ทำนายปีหน้า เมื่อ: 2010-08-28T15:18:09+00:00 ^^: Brazil's booming agriculture sector eyes global markets By Paulo Cabral BBC News, Ponta Grossa, Parana The plantation isn't looking so good this time of the year, the weather has been quite rough. Most of the corn has already been harvested and the remaining plants are quite small. A big modern-looking harvester moves slowly past the workers' houses to start the day's work. But it has to stop after a few minutes because the stems, broken by strong rain and wind, jam the blades. But appearances can be deceptive. This is a highly productive plantation in the southern state of Parana - the heart of Brazil's traditional grain-growing region. "In this region it's all about agriculture, and modern agriculture," says farmer Luciano Agottani proudly. "In terms of quality of grain and level of productivity we are nothing short of the best there is in the world." Brazil is the world's biggest producer of coffee, oranges and sugar cane. It is the second largest grower of soy, and the third for corn. And it is growing faster than its competitors. "We have the fourth largest agricultural system in the world, after China, the United States and Europe," says Dr Guilherme Dias, professor of rural economy in the University of Sao Paulo. "But their production is stalled while Brazil's is growing fast, so I think we will be ahead of United States and Europe in about 20 years." Research facilities Brazilian farmers have always had the advantages of a vast territory and a favourable climate. Cheap labour also plays its part - but it was investment in technology that brought the country to its position among the top agricultural producers in the world. Milk farmer Manfred Rosenfeld finds it hard to compete against EU subsidies Agricultural research is not new in Brazil. It began to take shape in the mid-1970s, when government launched Embrapa, a research institute that now exports its expertise in tropical agriculture to countries in Africa and Asia. Over the last 10 years the arrival of the genetically modified grains and growing investment in farm mechanisation laid the groundwork for the current boom. Brazil's agriculture fulfils the country's needs in almost all sectors - with wheat being the only significant import. Brazil also exports 25% of its produce. But with domestic markets growing at a slower pace than the output, the only way for producers is to look abroad. "The research in tropical agriculture in Brazil is really impressive. Productivity has been increasing a lot and the country is diversifying its output," says Dr Dias. "That's what gives people the impression that Brazil is getting ready to feed the world." Milk may be next in line for export. Producers are nearly reaching the ceiling of the internal market and are starting to look for opportunities abroad. But dairy farmers complain that subsidies in Europe and the US create barriers for their business. "It is sometimes cheaper to import milk than to buy it here in Brazil," says Manfred Rosenfeld, who was an engineer in the car industry before he decided some 10 years ago to switch to dairy farming. To bypass subsidies and increase profits, Mr Rosenfeld has a strategy: tap into the market of processed food. Continue reading the main story Start Quote The machinery we sell has quite a lot of technology on board. Sometimes it's hard to find people with qualification to operate them. End Quote Walter van Halst Machine salesman "We make yogurt, milk caramel, cheese spread and we are now in a project to build a much bigger plant. "Exporting milk pays very low margins but I think there is a big market and more profits to be made in dairy products," says Mr Rosenfeld. His drive to add value to products is shared by a growing number of farms in Brazil and has created many investment opportunities in agribusiness. Skill shortage "We've grown 400% over the last 10 years because we have diversified our production and added value to it," says Marco Bomm, projects manager of Castrolanda, a rural co-operative created by families of Dutch immigrants in Parana. The cooperative has a plant to produce crisps from the potatoes. "Four kilos of crisps fetch the same price as a bag of 50kg of potatoes. I think adding value to our production is the way to go," says Mr Bomm. However, Brazil has many overcome several obstacles if it is to realise its full potential. One key issue is education. Cheap labour has played a great part in the development of Brazilian agriculture, but on the other side, a lack of qualified workers is hindering further growth. Many are concerened with the amount of land used for food production "The machinery we sell has quite a lot of technology on board. Sometimes it's hard to find people with qualification to operate them," says Walter van Halst, a reseller of farm machines in the town Ponta Grossa. Despite these limitations, a growing number of farms in Brazil are becoming mechanised. According to industry data, sales of farm machines in Brazil increased 52% in the first four months this year compared with the same period of 2009. "The government has some programmes to boost the sales of tractors to small farmers and it seems to be going well", says Mr van Halst, who moved to Brazil in 1985 after taking a degree in tropical agriculture in his homeland, the Netherlands. "When you study tropical agriculture in the Netherlands you already know you will have to live elsewhere. "When I came in 1980s this was already a well-established grain-producing region," he explains. Today, the main market for machines is in central and northern Brazil. "Many of the settlers went there from Parana and other states from the South. They took the same culture of deforestation that guided the growth of agriculture here," says environmentalist Jose Alvaro Carneiro. The state of Parana used to be covered by a dense jungle combining tropical and temperate vegetation. The araucaria pine - with its long straight stem and branches coming out only from the very top - is its best-known feature. But 90% to 95% of the forest have been razed to make way for cities and farms. "We need to increase productivity and to recover degraded land instead of cutting down more trees to make space for agriculture," says Mr Carneiro. "We have to learn what has happened here to protect what we have left in Parana and to preserve other areas of the country, specially the Amazon," he adds. เมื่อ: 2010-08-28T15:19:12+00:00 comrade: Samadha เขียน:สินค้าเกษตรวิเคราะห์แบบ commodities ครับ Demand Supply รายละเอียดแนะนำให้อ่าน Hot Commodities ของ Jim Rogers ส่วนตัวไหนนั้น ผมเองก็ไม่ทราบจริงๆ ครับ รอบๆ ที่ทำงานผม เต็มไปด้วยสวนยาง แต่กลับพลาดหุ้นยางพารา เพราะ มัวแต่หมกมุ้นกับหุ้นธนาคาร แต่ละท่านควรลงทุนบนความได้เปรียบของท่านครับ หรือไม่ก็ ซื้อมันทุกตัวเลยครับ จะได้เลียนแบบผลตอบแทนของ index ซึ่งก็มักไม่เลวครับ เอางั้นเลยเหรอ  :shock: เมื่อ: 2010-08-30T00:13:51+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถ้า MAKRO ออก กองทุนอสังหา 4 หมื่นล้าน lipton: ถ้า MAKRO ออก กองทุนอสังหา 4 หมื่นล้าน ผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วย 5% ต่อปี ทำให้ต้องจ่ายเงินออกมา 2000 ล้าน --------------------------------------------------- แต่ถ้าใช้เงินกู้เหมือนเดิม (4 หมื่นล้าน ที่ดอกเบี้ย 3% ต่อปี) ทำให้ต้องจ่ายเงินออกมา 1200 ล้าน ถ้าแบบนี้ใช้เงินกู้เหมือนเดิมน่าจะดีกว่าไหมครับ การออก กองทุนอสังหา จะมีประโยชน์ อย่างไรบ้างครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2013-05-01T01:11:05+00:00 ROGER: จะถึงหรือครับ 4 หมื่นล้าน มากไปมั้ง เป็นฟรีโฮลหรือ แบบเซ้งครับ ขึ้นค่าเช่าได้ป่าวครับ ขึ้นกี่% ขายแพงแบบนี้จะมีใครซื้อกองทุนนี้ละครับ ใหญ่กว่า CPNRF อีก เมื่อ: 2013-05-01T08:59:06+00:00 NEWYORKER: ผมว่า 5%. ถ้าไม่สามารถปรับค่าเช่าได้แบบ ตลาดหรือห้าง ผมว่างั้นๆนะ. ไม่น่าสนใจเท่าไร. เมื่อ: 2013-05-01T13:44:26+00:00 guhungry: NEWYORKER เขียน:ผมว่า 5%. ถ้าไม่สามารถปรับค่าเช่าได้แบบ ตลาดหรือห้าง ผมว่างั้นๆนะ. ไม่น่าสนใจเท่าไร. ถ้าจะเปรียบเทียบกันคงต่องดู TLGF ถึงจะใกล้เคียงกันหน่อย เมื่อ: 2013-05-01T14:10:27+00:00 NEWYORKER: guhungry เขียน:NEWYORKER เขียน:ผมว่า 5%. ถ้าไม่สามารถปรับค่าเช่าได้แบบ ตลาดหรือห้าง ผมว่างั้นๆนะ. ไม่น่าสนใจเท่าไร. ถ้าจะเปรียบเทียบกันคงต่องดู TLGF ถึงจะใกล้เคียงกันหน่อย หยั่งงั้นก็ได้ครับ. แต่ยังไงๆ ดอกที่จะจ่าย ก็ไม่ถูกแน่ๆ. เมื่อ: 2013-05-01T15:09:49+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
WMED : Winnergy Medical Public Company Limited DonaldduckVI: Type of Business Distributor of machines and equipment for storage, analysis, diagnosis, and medical treatment that import from leading international manufacturers and services provider for genetic and fetus abnormalities testing. Furthermore, WMED has a subsidiary that distributes scientific and technological equipment to deliver health and hygienic services. Secondary Market Market for Alternative Investment (mai) Industry Group / Sector Consumer Products Status Filing No. of IPO 120,000,000 Shares IPO Period n/a IPO Price: n/a Par Value 0.50 Baht First Day of Trading n/a Financial Advisor Asset Pro Management Company Limited Filing (Thai only) www.winnergymedical.co.th เมื่อ: 2020-11-27T17:16:07+00:00 DonaldduckVI: https://market.sec.or.th/public/ipos/IP ... sID=315561 เมื่อ: 2020-11-27T17:16:49+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมบริษัทต้องลดทุนก่อน แล้วค่อยเพิ่มทุน DonaldduckVI: ทำไมบริษัทต้องลดทุนก่อน แล้วค่อยเพิ่มทุน ทำไมไม่เพิ่มทุนอย่างเดียว เมื่อ: 2003-10-16T18:40:27+00:00 ayethebing: บริษัทไหนเหรอครับ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะมีขาดทุนสะสมอยู่ก้อเลยลดทุนเพื่อไปชดเชยขาดทุนสะสมแล้วก้อระดมทุนเพิ่มเพื่อหาเงินมาทำธุรกิจครับ เมื่อ: 2003-10-17T06:34:45+00:00 ayethebing: น่าจะเป็น N-PARK นะครับ บริษัทนี้เล่น เทคนิดหลายตลบ ซับซ้อนมาก ผมลองอ่านจาก โพสต์ Today (อย่างคร่าวๆ) คุณ เสริมสิน บอกว่า "ตอนนี้บริษัทเรา เริ่มกลับตัวช้ากว่า คนอี่นมากแล้ว ระยะยาวเราจะก้าวไม่ทันคนอื่น จึงต้องใช้วิธีการบริหารทรัพย์สิน และเงินทองของบริษัทให้มันทำงานแทน โดยมีทั้งเพิ่มทุน ลดทุน แตกพาร์ ซื้อกิจการ เพื่อให้สินทรัพย์ และเงินทุกเม็ดสามารถ ทำงานทำกำไรให้บริษัทได้ทันที โดยที่ทางบริษัทไม่ต้องลงแรง เสียเวลาเริ่มทำโครงการหรือพัฒนาที่ดินตั้งแต่ 0 ด้วยตัวเอง " ....ฉลาดมากครับ....ส่วนตัวแล้ว....ผมคนนึงครับที่ไม่อยากเป็นกรรมกร สร้างบริษัทให้ใคร...... เมื่อ: 2003-10-17T07:18:31+00:00 chatchai: ผมเข้าใจว่าที่ถามนะ ลดทุนนี่คือทุนจดทะเบียนที่ยังไม่เรียกชำระครับ อย่างเช่น WG มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แต่เรียกชำระแล้วแค่ 178.50 ล้านบาท ดังนั้นถ้า WG จะเพิ่มทุนใหม่ เช่น 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ คือจะเพิ่มทุนเป็น 357.00 ล้านบาท ก็ต้องลดทุนส่วนที่ยังไม่เรียกชำระลงก่อน จาก 300 ล้านบาท เหลือ 178.50 ล้านบาท แล้วค่อยเพิ่มทุนใหม่อีก 178.50 ล้านบาท เป็น 357.00 ล้านบาท ใช่ประเด็นนี้หรือเปล่าครับ เมื่อ: 2003-10-17T07:41:02+00:00 ลูกอิสาน: ผมก็คิดว่าเป็นไปได้ทั้งสองกรณีอย่างที่คุณ ayethebing และคุณ ฉัตรชัยว่ามาน่ะครับ... ครั้งแรกก็คิดแบบคุณฉัตรชัย แต่ส่วนใหญ่หลังๆ มักลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมเพื่อให้สามารถจ่่ายเงินปันผลได้ เป็นการเล่นกับตัวเลขน่ะครับ.. เมื่อ: 2003-10-17T07:58:11+00:00 MO101: Copy มาครับ ชายชราสอนการจัดการสากล เรื่อง การลดทุนบริษัท ท่ามกลางหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยป่าเขา มีก้อนเมฆหนาแน่นเหลือเกินในบ่ายวันนั้น ผมกำลังนั่งกินข้าวตอนเที่ยงเห็นจะได้ที่เขื่อนบางลาง จ.ยะลา ในวงเหล้า เอ้ยวงข้าว เราสนทนากันถึงเรื่องการจดทะเบียนที่ทุนจดทะเบียนที่มากเกินความเป็นจริง หมายถึงว่า ทุนจดทะเบียนบริษัท 10 ล้านบาท แต่ใช้เงินจริงแค่ 4 ล้านบาท จะมีวิธีการอย่างไรในการที่จะทำให้ทุนจดทะเบียนกลับมาอยู่ที่ 4 ล้านบาท ไม่ใช่ 10 ล้านบาท การที่เพื่อนของผมที่เป็นเจ้าของบริษัทต้องการให้ทุนจดทะเบียนกลับมาเป็นที่ 4 ล้านบาท เป็นเพราะว่า 1) บริษัทนี้กำลังจะก่อหนี้ประมาณ 15 ล้านบาท 2) หากก่อหนี้แล้วเกิดข้อผิดพลาดก็จะใช้หนี้แค่ 15 ล้านบาท จะไม่ใช้เลยไปในส่วนของค่าหุ้นที่ยังไม่เรียกชำระอีก 6 ล้านบาท หลายท่านอาจจะสงสัยว่า 1) เป็นหนี้แค่ 15 ล้านบาท 2) แต่เวลาจะต้องใช้หนี้ทำไมต้องใช้หนี้ ในวงเงิน 15 ล้านบาท + 6 ล้านบาท 3) แอ๊ะไอ้ 6 ล้านบาท มันเป็นค่าหุ้นที่ยังเรียกชำระไม่ครบ เจ้าหนี้จะมายุ่งกับค่าหุ้น 6 ล้านบาท นี้ได้อย่างไร ในส่วนตรงนี้ ผมขอตอบว่า 1) หนี้สิน 15 ล้านบาท ก็ต้องชดใช้ไป 2) หากชดใช้ไม่ได้ เจ้าหนี้จะฟ้องบริษัทให้ล้มละลายใช้หนี้ 3) ก่อนการฟ้องให้บริษัทล้มละลายใช้หนี้ เจ้าหนี้จะฟ้องผู้ถือหุ้นให้จ่ายค่าหุ้นให้ครบจำนวนก่อน คืองานนี้ผู้ถือหุ้นต้องจ่ายเงินค่าหุ้นอีก 6 ล้านบาท ก่อนจะทำการล้มละลายบริษัท 4) 6 ล้านบาท ใครจะรับไปคนละเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์การถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคน นี่คือที่มาที่เพื่อนหยิบเรื่องนี้มาถามกับผมว่าแกอยากจะได้ทุนจดทะเบียนกลับไปอยู่ที่ 4.0 ล้านบาทไม่ใช่ที่ 10 ล้านบาท แบบตอนแรกที่ไปจดทะเบียน เมื่อ: 2003-10-18T06:18:33+00:00 นาย อนุสรณ์ สวัสดี: คุณ MO101 เป็นแฟน fpm consultant ด้วย เอามาจากเล่มไหนครับ ผมจะได้ตามไปอ่านด้วย อนุสรณ์ เมื่อ: 2003-10-18T19:48:33+00:00 MO101: http://www.fpmconsultant.com/htm/course_bangkok.php ไปอ่านดูเลยครับ มีบทความดีๆเยอะครับ ส่วนหนังสือ ผมอ่านไป 3 เล่ม แล้วดีมาครับ เมื่อ: 2003-10-20T04:19:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามเรื่องเงินปันผลครับ.... (XD) msn_jom: ถ้าขายหุ้นในวันที่ ขึ้นเครื่องหมาย XD เรายังมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลรึเปล่า  แล้วเราควรจะขายหุ้นตอนไหนถึงจะยังได้รับเงินปันผล ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้าครับ เมื่อ: 2008-03-18T05:36:53+00:00 007-s: เอาเป็นว่า ถ้าจะเอาปันผล ก็ถือให้ถึงวันที่ขึ้น xd ค่ะ (เห็น xd แปะที่ชื่อย่อหุ้น ที่หน้าจอเทรดเมื่อไร ก็คือแน่นอน ได้ปันผลแน่ๆ ถ้ายังถือหุ้นนั้นๆไว้ ,เห็นปุ้ป ขายปั๊ปเลย ก็ได้ปันผลค่ะ,ปกติ เครื่องหมาย xd จะคาไว้ ไม่แน่ใจว่าอาจจะ 3-5 วัน หรือไงเนี่ยค่ะ,ไม่จำเป็นต้อง รอจน xd หายไปแล้วจึงขายได้) หลังจากนั้น จะขายวันไหน จะขายในวันนั้นเลย หรือไม่ขายไปอีกนานเลย ก็แล้วแต่ค่ะ ถ้าไม่เอาปันผล ก็ให้ขายวันไหนก็ได้ ขายก่อนวันขึ้น xd แปลว่าไม่เอาปันผล แล้วถ้าขายก่อน xd แล้วจะลงมารับหลัง xd เพื่อเอาส่วนต่างไดรู้ท จากการจ่ายปันผล...อันนี้ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคนว่าจะมองมุมไหน... ที่สำคัญอย่าขายผิดจังหวะ แล้วทำให้ได้ส่วนต่างน้อยกว่าการรับปันผล ก็เป็นอันใช้ได้ (ถ้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถ ช๊อตกินส่วนต่าง ได้มากกว่าการรับปันผล ควรถือรับปันผลไปจะดีกว่าค่ะ แต่อาจจะต้องรอระยะเวลา ในการที่บริษัทจะโอนเงินปันผลเข้าบัญชี ในวันที่กำหนดถัดไปหลังจาก xd แล้วค่ะ) เมื่อ: 2008-03-18T08:27:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รู้ให้เชี่ยวชาญ/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ Thai VI Article: ซินแสฮวงจุ้ยของฮ่องกงกล่าวว่า ไก่เกี่ยวข้องกับการปลุกให้ตื่น ในปีระกานี้ น่าจะปลุกให้ชาวโลกได้ตื่นรู้ว่า การเมืองของโลกอาจมีความเสี่ยง จึงเตือนผู้นำของโลกให้ระมัดระวังและไม่พลีผลามในการตัดสินใจต่างๆเกี่ยวกับความมั่นคง แต่คงต้องตะโกนดังหน่อยให้ข้ามน้ำข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคด้วยค่ะ สำหรับเศรษฐกิจ ซินแสหลายคนมองว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกยังเปรียบเสมือนคนป่วยอยู่ คนทั้งโลกต้องทำงานหนักเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต สามารถก้าวต่อไปได้ดีขึ้น เรียกว่าเป็นปีที่เหนื่อยยากของเศรษฐกิจโลกอีกปีหนึ่งเลยทีเดียว ยกเว้น จะมีกลุ่มประเทศกลุ่มหนึ่งที่จะเจริญเติบโตด้วยแรงส่งของสถานที่ตั้ง นั่นคือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานี่เอง อ่านแล้วอย่าเพิ่งดีใจมากนะคะ เพราะเราหวังพุ่งโชคชะตาอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีความพยายาม โชคชะตาดีอาจทำให้เราสบายขึ้น แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ต่อให้โชคชะตาดีแค่ไหน ก็คงไม่สามารถเติบโตได้ดีค่ะ ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนจังหวัดใน ภูมิภาคหลายจังหวัด และได้ข้อสังเกตในการดำเนินชีวิตและธุรกิจบางอย่างซึ่งอยากจะนำมาแบ่งปันกับท่านในวันนี้ ข้อแรก ถ้ารู้อะไรจนเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเชี่ยวชาญด้านไหน ก็สามารถเจริญเติบโต และมีความมั่งคั่งได้ ดิฉันไปเที่ยวจังหวัดน่าน อยากไปรับประทานบัวลอยเจ้าดังของจังหวัด คืนแรกไปไม่ทัน บัวลอยหมด ต้องรับประทานอย่างอื่นแทน คณะที่ไปเกือบทั้งหมด จึงหมายมั่นปั้นมือว่า ต้องกลับมาอีกในวันรุ่งขึ้น และไปรอรับประทานตั้งแต่ร้านเริ่มเปิด ซึ่งก็พบว่ามีลูกค้ามารอรับประทานตั้งแต่ร้านเปิดกันมากพอสมควร ได้คุยกับเจ้าของพบว่าเป็นคนสระบุรี มาตั้งรกรากอยู่กว่าสี่สิบปี แต่เดิมไม่ได้ขายบัวลอย นี้แต่มาเริ่มทำในช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมา ร้านนี้ขายขนมอย่างเดียวแต่ก็มีลูกค้าแน่นร้าน คิวยาวมาก รายการขนมมีไม่กี่ชนิด แต่ปรุงด้วยความพิถีพิถัน ทำทีละถ้วย และกะทิเข้มข้น และมีความหอมของน้ำตาลมะพร้าว ดิฉันและเพื่อนๆ จึงได้ข้อสรุปว่า สุภาษิตโบราณที่ว่า “รู้อะไรแม้รู้สิ่งเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล” นั้น เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ไม่ว่าจะทำงาน หรือทำธุรกิจในยุคเก่า หรือในยุคไซเบอร์ ปัจจุบัน ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานทำดอกไม้จากกระดาษสา ที่สวยหวานและเหมือนดอกไม้จริงมาก โดยคำเชื้อเชิญจากเจ้าของโรงงานซึ่งเป็นแฟนคอลัมน์ Money Pro ในจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ข้อคิดประการที่สองคือ การทำงานตามความชอบและถนัด และมีการพัฒนาทั้งรูปแบบและคุณภาพอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงการพยายามเข้าใจความต้องการของลูกค้า และกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามปัญหา ฝ่าฟันอุปสรรค และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เติบโตได้อย่างแข็งแรง แม้ตลาดและลูกค้าจะเปลี่ยนไป ทั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า ธุรกิจต้องมีการปรับตัว และพัฒนา ทั้งให้เข้ากับตลาด กับสภาพแวดล้อม และกับความต้องการและรสนิยมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และเราสามารถแข่งขันในตลาดบนได้ หากสินค้าของเรามีคุณภาพดีและรูปแบบสวยงาม ดิฉันได้เห็นด้วยว่า มีทายาทที่ตั้งใจช่วยทำ และจะสืบทอดธุรกิจอย่างมั่นคงแล้วด้วย ข้อคิดที่สามที่อยากจะฝากในสัปดาห์นี้คือ “อย่าคิดว่าเส้นทางอาชีพถูกขีดขึ้นแล้วเมื่อเราจบศึกษาในระดับสูงสุดของเรา” พี่ๆเพื่อนๆน้องๆ และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมายหลายท่านที่ดิฉันได้พบ ไม่ได้ทำงานในสายงานที่เรียนมา แต่อาจเข้าไปทำงานในสายงานใหม่ที่เจ้าตัวไม่ได้มีความสนใจตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญ (เช่นกรณีของดิฉัน) หรือด้วยความจำเป็น (ในหลายๆกรณีของผู้สืบทอดกิจการ) แต่ไม่ว่าจะเข้าสู่อาชีพด้วยกรณีใด สิ่งสำคัญที่ต้องยึดถือเป็นคติในการทำงานคือ ต้องรักในสิ่งที่ทำ สนุกกับงาน ตั้งใจเรียนรู้ และมีความมุ่งมั่นเพียรพยายาม ความสำเร็จก็จะตามมาอย่างแน่นอนค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความสุข สนุกกับงานที่ทำอยู่ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ[/size] เมื่อ: 2017-02-06T08:57:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
โลกาภิวัตน์ : คำสั้นๆ ที่ควรรู้จัก chaithai: โลกาภิวัตน์ : คำสั้นๆ ที่ควรรู้จัก โดย : ทวีศักดิ์ ตั้งปฐมวงศ์   มติชนสุดสัปดาห์ ศุกร์ 22 - พฤหัสบดี 28 พฤษภาคม 2552 โลกาภิวัตน์ (Globalization ) คำที่พวกเราทุกคนคุ้นเคย แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจความหมายจริงๆของคำสั้นๆคำนี้ โลกาภิวัตน์เป็นคำที่เกิดมาก่อนหน้าทศวรรษ 1990 แล้ว โดยเริ่มต้นจากนักวิจารณ์ด้านวัฒนธรรมชาวแคนาดา Marshall McLuhan (1964) ที่เขากล่าวถึงหมู่บ้านโลก (global village) ซึ่งหมายถึง โลกยุคใหม่ที่ตั้งอยู่บนฐานของเทคโนโลยี อันนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่เร่งเร็วขึ้นในทุกระดับของสังคมมนุษย์ แต่เริ่มเป็นที่นิยมใช้ในแวดวงวิชาการและสื่อสารมวลชน เมื่อต้นทศวรรษ 1990 โลกาภิวัตน์นอกจากจะมีอิทธิพลต่อสังคมศาสตร์หลายแขนงแล้ว ยังครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐศาสตร์ วัฒนธรรมและเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมทั้งยังมีอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อของคนจำนวนมากในยุคสมัยใหม่ ความหมายของโลกาภิวัตน์ ต่อคำถามที่ว่า โลกาภิวัตน์มีความหมายอย่างไรนั้น ถึงแม้ปัจจุบันโลกาภิวัตน์ จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่พูดถึงกันมากในทุกวงการของสังคม โลกาภิวัตน์คืออะไร? นั้น ก็ยังคงไม่สู้จะง่ายนักต่อการให้คำตอบได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ มีผู้นิยามและให้ความหมายของโลกาภิวัตน์ ในหลากหลายแง่มุมแตกต่างกันไป โลกาภิวัตน์ ในมุมมองของผู้เขียน มีความหมายว่า "คือปรากฏการณ์ที่หลอมรวมความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นในทุกมุมส่วนของโลก ให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและใกล้ชิดกันมากขึ้นตามแบบอย่างโลกตะวันตก อย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลและข้ามพรมแดนรัฐ สามารถถูกรับรู้ได้ทันที่ ทำให้โลกมีลักษณะเป็นหมู่บ้านโลก โดยมีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นตัวช่วยสนับสนุน" ดังนั้น เราสามารถเห็นได้ว่าในยุคโลกาภิวัตน์นั้น เหตุการณ์และรูปแบบทางสังคมที่อยู่ห่างออกไปจะมีกระบวนการแผ่ขยายเข้าหากันและล้อรับกัน กระบวนการนี้จะเชื่อมโยงทำให้สังคมที่แตกต่างกันกลายมาเป็นเครือข่ายที่คล้ายคลึงกันโดยการนำเข้าแนวคิดและรูปแบบจากประเทศโลกตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ทั้งในแง่ของความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ ดังนั้น โลกาภิวัตน์ก็คือการทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับโลกเข้มข้นขึ้น และความสัมพันธ์ที่เข้มข้นนี้จะเชื่อมโยงระยะห่างในลักษณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นจะเกิดขึ้นจากอิทธิพลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ซึ่งไกลออกไป ในทางตรงข้ามเหตุการณ์ในท้องถิ่นอาจจะมีผลกระทบต่อที่ที่อยู่ไกลออกไปด้วย กระบวนการโลกาภิวัตน์ กระบวนการโลกาภิวัตน์มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว นับเนื่องจากลัทธิอาณานิคม (Colonialism) แผ่ขยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและยุโรปตะวันตกใช้แสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าเข้ายึดครองประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา เพื่อแสวงหาแหล่งผลิตอาหาร วัตถุดิบ หรือทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งแรงงานทาสจากอาณานิคม และเพื่อเป็นตลาดระบายสินค้าอุตสาหกรรมจากประเทศแม่ ซึ่งมีลักษณะเป็นจักรวรรดินิยม (imperialism) ที่มาพร้อมกับการถ่ายทอดแนวความคิด ความเชื่อ และ วัฒนธรรมตะวันตกไปสู่ดินแดนอื่น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การเชื่อมโยงโลกโดยอาศัยการล่าอาณานิคมได้คลายความสำคัญลงไปเรี่อยๆ พร้อมกันกับที่เริ่มมีการเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าด้วยกัน ในช่วงนี้ วาทกรรมการพัฒนา (Development) ตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นมามีอิทธิพลอย่างสูงในห้วงนี้ ทั้งที่เป็นแนวคิด ความเชื่อ และทฤษฎี ได้ถูกตีแผ่ขยายไปทั่วโลก เช่น ทฤษฎีความทันสมัย (modernization) จนถึงอุดมการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism) หรือที่รู้จักกันในนาม 'ฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus) ซึ่งนำเสนอถึงรูปแบบ นโยบายสำหรับการปฏิรูประบบเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศด้อยพัฒนาทั่วๆ ไป นโยบายที่สำคัญๆ ก็เช่น การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (Liberalization) การลดการควบคุมและการกำกับโดยภาครัฐ (Deregulation) การถ่ายโอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชน (Privatization) การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Stabilization) เป็นต้น ส่งผลให้บทบาทของบรรษัทข้ามชาติ (Multinational Corporations - MNC) ของมหาอำนาจต่างๆ เช่น Microsoft, McDonald's,GM ฯลฯเริ่มมีบทบาทและอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจโลกในเวลาต่อมา โลกาภิวัตน์กับการหลอมรวม จากความหมายของโลกาภิวัตน์ในมุมมองของผู้เขียน ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงประสานใน 3 ด้านด้วยกันคือ 1. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงประสานกันทางเศรษฐกิจระหว่างนานาประเทศ คือส่งผลให้มีการไหลเวียนของสินค้า บริการ เงินทุน ผู้คน และทรัพยากรที่ข้ามพ้นกำแพงรัฐชาติ การปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกันจนเป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวาง โดยโลกเศรษฐกิจจะไม่มีพรมแดนในลักษณะที่สอดคล้องกับการแบ่งเขตเกี่ยวข้องกับดินแดนหรืออาณาเขต ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐ (State) แต่เป็นเขตแดนทางเศรษฐกิจ และรูปแบบการผลิตแบบห่วงโซ่ข้ามชาติก็เป็นที่แพร่หลาย เมื่อสินค้าชิ้นเดียว แต่มีส่วนประกอบต่างๆ ที่ถูกผลิตขึ้นในหลายๆ ประเทศ บางครั้งก็รู้จักกันในนาม 'Mcdonaldization' จุดประสงค์หลักสำคัญเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของ บริษท์โตโยต้า ใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาจากประเทศญี่ปุ่น อาศัยการชิ้นส่วนเช่น ล้อ ตัวถัง จากประเทศจีน แต่กลับนำไปประกอบเป็นตัวรถยนต์ในประเทศไทยแทน เป็นต้น 2. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงประสานทางแนวความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ อาทิ ความเป็นประชาธิปไตย (Democratization หรือ กระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย) สิทธิมนุษยชน (Human right) การจัดการปกครองที่ดี (Good Governance) การค้าเสรี (Free Trade) ตลอดจน วัฒนธรรมความทันสมัยแบบตะวันตก เป็นต้น ในฐานะอุดมการณ์หลักแห่งยุคสมัยที่ถูกแผ่ขยายไปทั่วโลก ซึ่งผู้คนโดยทั่วไปเรียกกันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ยุคโลกาภิวัตน์"โดยคิดและอุดมการณ์เหล่านี้ มีผลอย่างมากต่อการจัดการปกครองทางการเมืองและสังคมของประเทศต่างๆทั่วโลกในปัจจุบัน 3. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงประสานโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990. ในปี 1989-1991 จากการล่มสลายของระบบสังคมนิยมในสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาจัดระเบียบโลก (The New World Order) หลังยุคสงครามเย็นสิ้นสุด โดยสหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและริเริ่มเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ พร้อมกันกับเผยแพร่เทคโนโลยีออกไปโดยรวดเร็วไปพร้อมกับวัฒนธรรมแบบอเมริกัน เช่น โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่สามารถรายงานข่าวสาร สาระจากพื้นที่หนึ่งของโลก ให้กระจายไปทั่วโลกได้ทันที่ ผ่าน CNN, BBC อินเตอร์เน็ตที่ถ่ายทองความคิด ความเชื่อผ่านทางเว็บไซด์ต่างๆร่วมถึงการเผยแพร่วัฒนธรรมอเมริกันผ่านสื่อ เช่น ในรูปแบบภาพยนตร์ผ่าน Hollywood ในรูปแบบแฟชั่น ดนตรีเพลงผ่าน โทรทัศน์ช่อง MTV เป็นต้น โดยสรุปแล้ว โลกาภิวัตน์ได้เชื่อมโยงหลอมรวมความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ของโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเนื่องจากความจำเริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ได้มีส่วนทำลายพรมแดนระหว่างรัฐ ที่เป็นอุปสรรคขว้างกั้น ในความหมายเดิมลงไปอย่างสิ้นเชิง โลกในปัจจุบันจึงเปรียบเหมือนถูกย่อทางด้านกาล (Time) เทศะ (Space) และถูกผนวกรวมความคิด ความเชื่อ ให้เป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกันมากขึ้น จนทำให้สังคมโลกเล็กลงจนมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าหมู่บ้าน ซึ่งใครหลายคนเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าเป็น "หมู่บ้านโลก" (Global Village) เหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือ "โลกาภิวัตน์" ในมุมมองของผู้เขียน ทวีศักดิ์ ตั้งปฐมวงศ์ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อ: 2009-05-29T03:57:51+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วิธีหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการเพื่อการลงทุนใน หุ้น vichit: กุนซือโลกการเงิน   รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง : ตอนที่ 3 วิธีหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการเพื่อการลงทุนใน หุ้น (ภาคปฏิบัติ)                       ความเดิมตอนที่แล้ว ผู้น้อย มังกรในสระ ได้เสนอวิธีหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการ ตาม ตำราพิชัยสงครามซุนวู ภาคทฤษฎีไปแล้ว ต่อไปก็จะขอนำเสนอภาคปฏิบัติเพื่อให้นายท่าน ได้ศึกษาดูว่า แนวทางในการนำหลักการหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรของจอมปราชญ์แห่งบุรพสมัยผู้นี้ จะมีความวิจิตรพิสดารประการใดเมื่อนำมาใช้กับการลงทุนในหุ้น ทว่าก่อนที่ผู้น้อยจะ แสดงกระบวนยุทธ์ให้ดูนั้น ก็ต้องขอทวนสักหน่อยว่า ตัวแปรแห่งการหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการนั้น ประกอบด้วย                       1.จังหวะเวลา (ฝ่ายใดรู้ว่าควรรบหรือไม่ควรรบ ฝ่ายนั้นชนะ)                      2.การจัดสรรงบประมาณ (ฝ่ายใดรู้ว่าควรใช้กำลังทหารมากน้อยเพียงใด ฝ่ายนั้น ชนะ)                      3.ความมุ่งมั่นในจุดมุ่งหมายเดียวกัน (ฝ่ายใดเบื้องบนกับเบื้องล่างมีเจตจำนงตรง กัน ฝ่ายนั้นชนะ)                     4.ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง (ฝ่ายใดเตรียมพร้อมรับมือข้าศึกที่ไม่ เตรียมพร้อม ฝ่ายนั้นชนะ)                       5.ความมีอิสระในการดำเนินงาน (ฝ่ายใดแม่ทัพมีสติปัญญาความสามารถ อีกทั้ง นายเหนือหัวไม่แทรกแซงกิจการของกองทัพ ฝ่ายนั้นชนะ)                    ทั้งหมดนี้คือ ตัวแปรที่จะใช้ตัดสินชัยชนะในสมรภูมิตลาดหุ้น นายท่านคนใดอยาก จะทดสอบว่า ตัวแปรเหล่านี้จะประยุกต์ใช้กับการลงทุนในตลาดหุ้นได้จริงหรือไม่ หรือ ถ้าจะให้ได้ อรรถรสมากขึ้น จะลองสมมุติดูก็ได้ว่า ถ้านายท่านเป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับประเทศ เอ! ดูจะ เล็กไปสำหรับนายท่าน ถ้าอย่างนั้นสมมุติว่า เป็นนักลงทุนระดับโลกก็แล้วกัน จะได้สมกับการใช้ หลักวิชาของมหากุนซือที่โลกไม่ลืม จากนั้นลองหาคำตอบดูว่า นายท่านจะทำอย่างไรให้การลงทุน ประสบความสำเร็จท่ามกลางทางเลือกมากมายที่มีทั้งโอกาสและอุปสรรค ท่ามกลางเส้นทางคด เคี้ยวที่มีทั้งราบรื่นและเต็มไปด้วยขวากหนาม และท่ามกลางความเสี่ยง หลุมพราง กับดัก กลศึก ไปจนถึงหุบเหวมรณะ แล้วค่อยชมการแสดงวรยุทธ์ของผู้น้อยแบบเต็มๆ ซึ่งถ้าจะออกมาเก้ๆ กังๆ หรือ ทุลักทุเลบ้าง วอนนายท่านอภัยผู้น้อยด้วยนะขอรับ                  เริ่มแสดงวรยุทธ์ เพลงกระบี่หยั่งรู้ชัยชนะห้าประการ                 การใช้หลักการหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการเพื่อการลงทุนในหุ้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องนำตัวแปรทั้งห้าไปใช้ในสองมิติด้วยกันได้แก่ การประเมินปัจจัยแห่งชัยชนะ ของตนเอง และ การประเมินปัจจัยแห่งชัยชนะในหุ้นที่จะเข้าไปลงทุน และเพื่อให้การแสดง วรยุทธ์ในภาคปฏิบัตินี้เป็นไปอย่างครอบคลุมทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง จะขอยกตัวอย่างการใช้หลัก การดังกล่าวในระดับนักลงทุน หรือ ผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลก เพราะเชื่อว่านายท่านทุกคน ย่อมคิดการใหญ่ไม่แพ้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จอร์จ โซรอส หรือ จอร์จ ตัน (เอ! คนหลังนี้เขามี สัญชาติอะไรหนอ?) เป็นแน่ทีเดียว อีกทั้งยังเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ล่วงรู้ความคิดของกอง ทุนยักษ์ใหญ่ทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะซื้อหุ้นสักตัว ต้องผ่านกระบวนการพินิจพิจารณากี่ ขั้นและมากน้อยเพียงใด                 เริ่มที่การใช้หลักการหยั่งรู้ชัยชนะในมิติแรกก่อน นั่นคือ การประเมินปัจจัยแห่งชัย ชนะของตนเอง เมื่อผู้กุมบังเหียนกองทุนยักษ์ใหญ่ระดับโลกจะออกทำศึกในสมรภูมิตลาดหุ้นนั้น เขาย่อมประเมินปัจจัยแห่งชัยชนะของตนเองก่อนเป็นลำดับแรกเริ่มจาก                 1.จังหวะเวลา ซึ่งนับว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะหากเลือกจังหวะเวลาที่ผิดย่อมหมาย ถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับกองทุน ผู้บัญชาการกองทุนนั้นจำเป็นต้องเชี่ยวชาญในจังหวะการ รุก รับ และถอย ไม่เช่นนั้นอาจเสียทัพได้ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับกองทุนชั้นนำของ โลกหลายแห่งที่ต้องสูญเสียไพร่พลเสบียงม้าศึกจำนวนมหาศาล เมื่อจู่ๆวิกฤตตลาดสินเชื่อ อสังหาริมทรัพย์กลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตสกอร์ระดับ C หรือ ซับไพร์มในสหรัฐฯเกิดประทุขึ้นในไตร มาส 3 ของปี 2007 ผู้ที่ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับตลาดซับไพร์มสหรัฐฯย่อมหน้าชื่นอกตรมไป ตามๆกัน อันเป็นผลจากการเลือกจังหวะเวลาการรุก รับ และถอยที่ผิดมหันต์นั่นเอง                  ดังนั้น ก่อนเคลื่อนทัพ กองทุนชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องประเมินตน เองอย่างเคร่งครัดว่ามีความสามารถ และความเชี่ยวชาญในการเลือกจังหวะการลงทุนหรือไม่ หากผลีผลามทำศึกโดยที่ยังขาดความชำนาญในส่วนนี้ ย่อมหมายถึงการนำพาชีวิตทางการเงิน ของผู้ถือหน่วยลงทุนนับล้านไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นเอง (ซึ่งสิ่งนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นกับเบิร์กไชร์แฮ ทธาเวย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้ไม่เคยว่างเว้นจากการประเมินตนเองโดยรอบด้านกระทั่งห่าง ไกลจากความประมาทตลอดชีวิตการลงทุนของเขา )                   2. การจัดสรรงบประมาณ สำหรับกองทุนนั้นย่อมหมายถึงการจัดพอร์ตการลงทุนนั่น เอง เมื่อผู้เป็นแม่ทัพประเมินตนเองจนแน่ใจแล้วว่า มีความเชี่ยวชาญในด้านจังหวะเวลาการลง ทุนสูงพอ จากนั้นจึงประเมินต่อไปว่า ตนเองรู้ซึ้งเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนมากเพียงใด เนื่องจากความเชี่ยวชาญด้านนี้ย่อมมีความสำคัญไม่แพ้ความสามารถในการเลือกจังหวะเวลา กล่าวคือ หากแม่ทัพใหญ่ของกองทุนรู้ว่า ควรจะลงทุนเมื่อไร แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญพอจะ พิจารณาว่า ควรจัดสรรเงินลงทุนเท่าไรสำหรับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ย่อมคาดหวังชัยชนะในการทำศึก ได้ยาก เปรียบเสมือนผู้ที่มีตาแต่ไร้แวว ฉลาดแต่ไม่เฉลียว ไม่ทราบว่า ควรใช้กำลังเท่าไรจึงจะ สามารถยึดเมืองที่เป็นเป้าหมายได้ ในการลงทุนนั้น หากผู้จัดการกองทุนใช้เงินน้อยลงทุนในหุ้น ที่มีอนาคตไกลย่อมได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควร ในทางกลับกัน หากผู้จัดการกองทุนใช้เงินมาก ลงทุนในหุ้นที่ผ่านความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดมาแล้ว ย่อมหวังจะได้รับผลตอบแทนที่สูงไม่ได้ ดีไม่ดี อาจถึงขั้นขาดทุน                    ดังนั้น ก่อนเคลื่อนทัพ กองทุนชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องประเมินตน เองอย่างเคร่งครัดว่ามีความสามารถและความเชี่ยวชาญในการจัดพอร์ตการลงทุนหรือไม่ หาก ผลีผลามทำศึกโดยที่ยังขาดความชำนาญในส่วนนี้ ย่อมหมายถึงการนำพาชีวิตทางการเงินของผู้ ถือหน่วยลงทุนนับล้านไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นเอง                   3.ความมุ่งมั่นในจุดมุ่งหมายเดียวกัน ข้อนี้อาจคาดได้ว่า กองทุนระดับโลกทั้งหลาย ย่อมสามารถสร้างและรักษาให้คงอยู่ได้ไม่ยาก เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการที่เคร่งครัดรัดกุม พอที่จะทำให้นโยบายหลักของกองทุนเข้าไปอยู่ในหัวใจของบุคลากรทุกระดับ ทว่าข้อนี้จะเป็น ปัญหาที่มักเกิดกับกองทุนส่วนบุคคลมากกว่า เนื่องจากมีลักษณะการบริหารจัดการแบบไม่เป็น ทางการสูง นโยบายการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาทำให้ขาดเป้าหมายหลักที่จะร่วมกัน ไปให้ถึง เช่นในกรณีที่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียคนหนึ่งต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตรา 30% ต่อปี และยินดีให้ผู้จัดการกองทุนดำเนินกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไม่ เป็นไร ขณะที่อีกคนหนึ่งต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตรา 10% ต่อปี และต้องการให้ผู้ จัดการกองทุนดำเนินกลยุทธ์การลงทุนอย่างระมัดระวัง หรือ เสี่ยงเป็นไม่ว่า อย่าเสี่ยงตายก็แล้ว กัน เป็นต้น                    4.ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง ปัจจัยแห่งชัยชนะในข้อนี้จะแปรผกผันกับ จุดมุ่งหมายการลงทุน กล่าวคือ หากเป็นกองทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนสูงๆ ก็จำเป็นต้อง ยอมให้ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงมีจำกัด หากเป็นกองทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบ แทนปานกลาง ก็จำเป็นต้องคงความสามารถในการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม   และหากเป็นกองทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำไม่มากนัก ก็ แทบจะไม่ต้องทำอะไรที่เสี่ยงเลย ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงย่อมมีอยู่สูงเป็น ธรรมดา ซึ่งความสามารถในการบริหารความเสี่ยงในที่นี้ หมายถึง ความสามารถในการรักษาเงิน ต้นไม่ให้ถูกลิ้นไต่ ไรตอมนั่นเอง                  ดังนั้น ก่อนเคลื่อนทัพ กองทุนชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องประเมินตน เองอย่างเคร่งครัดว่ามีความสามารถและความเชี่ยวชาญในการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับ เป้าหมาย หรือ นโยบายการลงทุนหรือไม่ หากผลีผลามทำศึกโดยที่ยังขาดความชำนาญในส่วนนี้ ย่อมหมายถึงการนำพาชีวิตทางการเงินของผู้ถือหน่วยลงทุนนับล้านไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นเอง                  5.ความมีอิสระในการดำเนินงาน ข้อนี้อาจคาดได้ว่า กองทุนระดับโลกทั้งหลายย่อม สามารถสร้างและรักษาให้คงอยู่ได้ไม่ยาก เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการที่เคร่งครัดรัดกุมพอที่ จะทำให้คณะกรรมการกองทุนไม่เข้าไปก้าวก่ายงานของแม่ทัพผู้บัญชาการรบ ทว่าข้อนี้จะเป็น ปัญหาที่มักเกิดกับกองทุนของรัฐบาล และ กองทุนส่วนบุคคลมากกว่า เนื่องจากมีลักษณะการ บริหารจัดการแบบ น้อมรับคำสั่ง ผู้น้อยของดเว้นที่จะพูดถึงรายละเอียดของการบริหารจัดการใน ลักษณะนี้ ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียพอๆกัน                  การใช้หลักการหยั่งรู้ชัยชนะในมิติแรกก็จบลงเพียงเท่านี้ ต่อมาก็เป็นการใช้หลักการ เดียวกันนี้ในมิติที่สอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้นที่จะลงทุน ทว่าเนื้อที่ให้เขียนหมดพอดี พบกัน ใหม่สัปดาห์ละกันนะขอรับ........สวัสดี By : มังกรในสระ         [email protected]         eFinanceThai.com ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   25/04/08   เวลา   15:07:56 เมื่อ: 2008-04-25T08:18:59+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
warren buffet portfolio amsittichai: หาดูได้ที่ web ไหนครับ เมื่อ: 2006-09-20T04:35:21+00:00 ใบลม: ตามนี้ครับ Berkshire Hathaway Portfolio Holdings http://www.gurufocus.com/holdings.php?G ... en+Buffett Berkshire Hathaway Subsidiary Companies http://www.berkshirehathaway.com/subs/sublinks.html เมื่อ: 2006-09-20T05:07:01+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ตลาดหุ้นไทยขนาดใหญ่เกินจริงหรือไม่? 8000: PTT     ขนาด 633,839 ล้านบาทที่ราคา 226 บาท PTTEP ขนาด 364,689 ล้านบาทที่ราคา 111 บาท รวมได้ประมาณ 1,000,000 ล้านบาท PTT ถือ PTTEP อยู่ 66.1% แสดงว่าซ้ำอยู่ประมาณ 240,000 ล้านบาท ไหนจะกลุ่ม Shin กลุ่มโน้นนี้อีก ยั่งงี้ไม่ถือว่าเป็นการนับซ้ำไปซ้ำมาหรือครับ? เมื่อ: 2006-10-24T02:50:32+00:00 สุมาอี้: ถูกต้องนะครับ เมื่อ: 2006-10-24T03:06:14+00:00 beammy: ตามพี่สุมาอี้ ครับ ... เมื่อ: 2006-10-28T11:29:55+00:00 สามัญชน: PTT ถือ PTTEP อยู่ 66.1% แสดงว่าซ้ำอยู่ประมาณ 240,000 ล้านบาท ไหนจะกลุ่ม Shin กลุ่มโน้นนี้อีก ยั่งงี้ไม่ถือว่าเป็นการนับซ้ำไปซ้ำมาหรือครับ? ครับ  เป็นการนับซ้ำ  แต่ซ้ำที่ตัวเลข 240,000 ล้านบาท หรือไม่  ไม่แน่ใจ เห็นว่ากฏเกณฑ์ทางบัญชีไม่ได้รับรู้จาก market cap นะครับ เมื่อ: 2006-10-28T18:02:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สงสัยเรื่องการคิดกำไรสุทธิในหุ้น กรณีจ่ายหุ้นปันผล miracle: ถามพี่ๆหน่อยว่าในระหว่างปีหุ้นตัวหนึ่งมีการจ่ายปันผลระหว่างปี ทำให้กำไรเกิดการลดลง แต่เมื่อตรวจสอบว่ายอดกำไรมันเพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง แต่สาเหตุจากจำนวนหุ้นที่ถ่วงน้ำหนักมากขึ้น พี่จะคิดอย่างไง 1. คิดตามงบที่แจ้งมาก็ดีอยู่แล้ว 2. คิดแบบโหด มีจำนวนหุ้นเท่าไร จับหารเท่านั้น แล้วคิดย้อนกลับไปในปีที่หุ้นยังเพิ่มทุนด้วย (โหดเพื่อดูสภาพเป็นจริง) คิดทั้งสองอย่างมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไงล่ะครับ ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วย ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-05-12T02:02:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ซิกซ์ ซิกม่า ได้มาจริงๆหรือว่า .. เฉียวฟง: ฮอนด้าเป็นบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้า การผลิตและบริการจากซิกซ์ ซิกม่าซึ่งเป็นคณะกรรมการควบคุมคุณภาพ โดยบริษัทที่ได้ซิกซ์ ซิกม่า นั้นจะต้องมีสินค้าหรือบริการที่บกพร่องน้อยกว่า 3.4 สินค้า/บริการต่อ 1 ล้านสินค้า/บริการ เมื่อ: 2005-02-01T15:05:01+00:00 เฉียวฟง: เผยตัวเลขปัญหาฮอนด้าทั่วโลก ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการแก้ปัญหาเรื่องรถยนต์ใหม่มีปัญหาของบริษัท ฮอนด้าฯ โดย หนังสือพิมพ์เฮรัลด์ทรีบูนของสหรัฐ รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ปีที่แล้ว บริษัท ฮอนด้าฯ เรียกให้เจ้าของรถฮอนด้ารวม 1.1 ล้านคัน นำรถยนต์ไปตรวจเพราะอาจมีส่วนบกพร่องของทรานสมิชชั่น หรือสายพาน ซึ่งรถยนต์ที่ต้องนำมาตรวจเป็นรุ่นแอคคอร์ดปี 2003 และ 2004 และยังมีรุ่นอะคูร่าปี 2000 ถึง 2004 เมื่อ: 2005-02-01T15:06:04+00:00 เฉียวฟง: ด้านรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 30 พ.ย.46 ว่า ฮอนด้าเรียกเจ้าของรถยนต์รุ่นสตรีม ซีอาร์วี และซีวิค ในญี่ปุ่น ซึ่งผลิตระหว่างเดือนตุลาคม 2543-เดือนมิถุนายน 2545 จำนวน 213,209 คัน มาตรวจสอบเนื่องจากพบข้อบกพร่องที่เพาเวอร์สเตียริ่งบ็อกซ์ ทำให้บังคับพวงมาลัยไม่ได้ หลังจากมีผู้ใช้ร้องเรียนเข้ามา 6 ราย -ทั้งซีอาร์วีปี02-แอคคอร์ดปี99 ที่สหรัฐ ฮอนด้าเรียกรถยนต์ 652,000 คัน คือรุ่นอะคูร่าปี 97-99 แอคคอร์ดปี 99 โอเดสซี ปี 99 และซีอาร์วีปี 02 มาตรวจสอบ ระบบการจุดติดเครื่องยนต์ หลังจากมีผู้ร้องเรียนเข้ามา 169 ราย รถยนต์เกิดอุบัติเหตุจากปัญหาดังกล่าว 28 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากปัญหาของรถยนต์ 3 ราย ซึ่งอาการของรถยนต์นั้นคือจะไม่หยุดหลังจากผู้ขับจอดรถและดึงกุญแจรถออกแล้ว เมื่อ: 2005-02-01T15:06:46+00:00 ch_army: ผมว่าเป็นปัญหาการออกแบบ หรือเปล่าครับ คือผลิตได้ตามที่ออกแบบไว้ ได้มาตรฐานตามที่ คนออกแบบคิดไว้ ไม่เสียหายเกิน 3.4 ppm แต่ออกแบบไม่ดี สมรรถนะ การทำงานเลยไม่ดี คงไม่ใช่ปัญหาคุณภาพในแง่มีของเสียหรอกมั้งครับ เป็นปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของชิ้นสวนทีมาจากการออกแบบมากกว่า (ซึ่งแย่กว่าอีก) เมื่อ: 2005-02-01T15:09:43+00:00 เฉียวฟง: ตกลง 3.4 ต่อ 1 ล้าน หรือว่า 1 ใน 100 ครับ เมื่อ: 2005-02-01T15:10:05+00:00 เฉียวฟง: ผมเคยได้ยินเรื่องมือถือของโมโตโรล่าอันเป็นต้นตำรับซิกซ์ ซิกม่า เรื่องมีอยู่ว่า แฟนพันธุ์แท้โมโต 2 คนมาบ่นปรับทุกข์กัน แฟนคนที่ 1: มือถือโมโตรุ่นนี้ ซื้อมาไม่ทันไรก็เสียแล้ว แฟนคนที่ 2: เป็นไปได้ไง ของชั้นก็เสีย ไหนว่าได้ซิกซ์ ซิกม่าไง แฟนคนที่ 1: เค้าได้ซิกซ์ ซิกม่าจริงๆนะ ... สงสัยเราสองคนจะโชคดีอะ ได้เครื่อง 2 ใน 3.4 เครื่องที่เสียมาน่ะ เมื่อ: 2005-02-01T15:11:59+00:00 ch_army: ผมว่าไอ้ 3.4 ppm ที่ว่าเนี่ยเค้าวัดด้วยวิธีทางสถิตินะครับ เรื่องรถยนต์ผมไม่รู้ว่่าทดสอบอะไรบ้าง แต่สมมุติไม้บรรทัดละกันครับ ว่าต้องยาว 30.5 เซ็นต์ บวกลบ 0.2 เซ็นต์ และกว้าง 3 เซ็นต์ บวกลบ 0.1เซ็นต์ การที่จะได้ 3.4 ppm คือดูจากข้อมูลทางสถิติว่าผลิตออกมาได้ ยาว กว้างเท่าไรเอามา พล็อตกราฟ ได้การกระจายสมมุติเป็นแบบปกติ(นอร์มอล) ก็คำนวนหา ความแปรปรวน เพื่อทดสอบว่า ส่วนที่เกิน ค่ากำหนดไว้เป็นกี่ % ของทั้งหมดที่ผลิตอย่างนั้นมากกว่ามั้งครับ 3.4 ppm ก็คือ0.000034 % ครับ(ไม่รู้ว่าใส่ 0 ถูกไหมนะครับ) แต่ในความเป็นจริงผมว่าเค้าคงเอาค่าสถิติจากสินค้าที่ส่งมอบให้ลูกค้ามากกว่าที่ผลิตได้จากสายงานผลิตจริงๆ(คือคัดของเสียที่เจอออกแล้ว) จำนวนของเสียที่ส่งถึงลูกค้าจึงน้อย แต่จริงๆแล้วผลิตของ ออกมาแล้วเสีย ครึ่งนึง เลยหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ ต้องไปดูที่โรงงานเอง อย่างโรงงานที่เรา เคยไปดูกันมาก็มีลักษณะแบบเดียวกันครับ ผลิตของออกมาเสียมากพอสมควรแต่ คัดออกก่อน ส่งแต่ของดี เลยทำให้ของเสียที่ส่งไปให้ลูกค้าน้อยครับ( ต้องให้ความดีความชอบแผนก QC ครับงานนี้) เมื่อ: 2005-02-01T15:23:39+00:00 ch_army: ไม่ใช่ครับ คุณอาร์ม 3.4 DPPM ของ Six Sigma หมายถึงของเสียที่เกิดในกระบวนการผลิต/บริการครับ เมื่อ: 2005-02-02T00:38:19+00:00 CK: หมายถึง defective PARTS per million หรือเปล่าครับ ในรถยนต์หนึ่งคัน มี PARTS ประมาณ 3,000 PARTS (เช่นท่อไอเสีย เกียร์ ฯลฯ โอกาสไม่เสียทางสถิติของรถหนึ่งคัน (ที่ต้องเข้าศูนย์) คือ (1 - 3.4/1000000) ^ 3000 = 98.99% โปรดสังเกตว่า DPPM ไม่ใช่ Defective Product per million นะครับ แสดงว่า Honda ได้ Six Sigma ก็โอเคครับ เมื่อ: 2005-02-02T03:00:46+00:00 CK: ใช่ครับท่านประธาน defective parts per million แต่จริงๆ เค้าไม่ได้เอาจำนวนชิ้นส่วนมาคำนวณนะครับ เค้าใช้ part เป็น product เลยครับ .. มิฉะนั้นแล้ว ผมไม่กล้านั่งเครื่องบิน เพราะ part เยอะมาก เรื่องการบินเป็นตัวอย่างที่ดีครับ defective "service" ในสายการบิน ท่านประธานน่าจะทราบละเอียดกว่าผม ว่าตอนนี้ อัตราตกต่อเที่ยวบินเป็นเท่าไหร่ ผมเดาว่าประมาณ 1 ในล้านแล้วมั้งครับ เมื่อ: 2005-02-02T03:19:15+00:00 CK: ถ้างั้นต้อง define คำว่า defective ครับ ประเภท ไฟทางเดินฉุกเฉินดับไปหนึ่งดวง ถือว่าเป็น defective product หรือเปล่า เมื่อ: 2005-02-02T03:27:49+00:00 CK: ถ้าในระดับ product เป็น defect ครับ แต่ถ้าในระดับ service ไม่เป็นครับ 6 Sigma จริงๆ เป้าหมายสุดท้ายคือ ลด Cost นะครับ แต่แนวทางจะไปด้วยการลด Cost of Poor Quality ... พวกการคืนสินค้า การขอคืนเงิน การยกเลิกการใช้บริการ การเสียชื่อเสียง(ทำให้คนมาใช้บริการน้อยลง) ดังนั้น วิธีแยกง่ายๆ ให้ดูว่าลูกค้าของ product / service นั้นๆยอมรับหรือเปล่า ถ้ายังจำได้ Intel เคยมีปัญหาเรื่อง floating point แม้ลูกค้าจะมีโอกาสใช้ตรงนั้นน้อยมาก แต่ก็ถือว่าเป็น defect เพราะเค้าไม่ยอมรับสินค้า เมื่อ: 2005-02-02T04:03:58+00:00 ch_army: พี่ เจย์โชว์ งั้น six sigma ที่ใช้กันก็เป็นการนับของเสีย ซึ่งตัวสถิติที่ใช้ คนละตัวกันกับ ข้อมูลการวัดแบบที่ผมว่าไว้ ซึ่งคงต้องไปดูว่ามีโอกาสเกิด 3.4 ppm เนี่ยเป็นเท่าไรด้วยนะครับเพราะ กราฟนอร์มอลน่าจะไว้ดูความแน่นอน แต่ ปัวซองหรือเรขาคณิตที่ใช้ดูอัตราส่วนของเสียนั้น คงดูได้แต่ว่าของที่ผลิตมา ดี/เสียเท่าไร ไม่บอกสมรรถนะของการผลิตเท่าไร ซึ่ง ผมเองก็ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษา six sigma เท่าไร แต่ถอดความจากชื่อของมันทางสถิติมากกว่าครับ เมื่อ: 2005-02-02T06:23:43+00:00 ch_army: อธิบายคงจะยาว เอาเป็นว่าน้องอาร์มเข้าใจผิดครับ อยากเข้าใจลองอ่านหนังสือที่เป็น six sigma ดีกว่า เมื่อ: 2005-02-02T09:36:02+00:00 CEO: ผมไปงมโข่งอยู่ที่ไหนเนี่ย ไม่รู้ว่าฮอนด้า ทำ 6 sigma ด้วย คุณเฉียวฟงเอาข้อมูลมาจากไหนครับ ผมหาไม่เจออ่ะ evident เมื่อ: 2005-02-02T14:23:08+00:00 ch_army: http://industrial.se-ed.com/itr104/itr104_128.asp ลองตามไปดูครับ มีสาระย่อๆของ ซิก ซิกม่าไว้ ผมอ่านเพื่อให้หายข้องใจครับ เมื่อ: 2005-02-02T16:57:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
OH MY GOD ...Zinc 1675 +16.5us [28/11] Sexy Doom Doom: go to nnnnnew high เมื่อ: 2005-11-29T03:09:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ตอนนี้ผมไม่กลัวฟองสบู่ แต่ผมกลัวเงินล้นโลก blueplanet: สหปาลีรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เพิ่มปริมาณเงินมหาศาล แล้วเงินมันก็ไหลออกจากประเทศเหล่านั้น เอาไปซื้อ ทรัพย์สินทุกชนิด จากทุกประเทศในโลก ระหว่างเงิน ที่พิมพ์ได้ อย่างไม่จำกัด กับ ทรัพย์สินต่างๆ อย่างไหน เราควรจะเก็บมันมากกว่ากัน ถ้าในสภาวะการณ์ปกติ ไม่มีใครเพิ่มปริมาณเงิน แบบบ้าๆแบบนี้ set ก็คงไม่ขึ้นมาสูงขนาดนี้ การถือหุ้น เป็นการลงทุนที่ดีที่สุดแล้ว (ตามงานวิจัยของ ดร.ไพบูลย์) http://www.youtube.com/watch?v=eV-zfS_poxc เมื่อ: 2013-03-23T07:11:13+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Articles from Warren Buffett in FORTUNE, March 17, 2003 vov: There are three articles written by Warren Buffett published in FORTUNE, March 17, 2003. Follow the below address for the articles. Enjoy reading and prosper from it http://www.fortune.com/fortune/informat ... 03,00.html เมื่อ: 2003-03-04T09:51:19+00:00 Mon money: ผมเข้าไปแล้วเอามาอ่านได้ความรู้เพิ่มอีกมาก ลองหาเรื่องของBill Millerก็ได้ข้อมูลมาอ่านอีกดีมากเลยครับ เพื่อนเข้ามาดูกันน้อยไปหน่อยน่าจะอ่านกันมากๆนะครับ กันปีกงอกนะจะบอกให้ เมื่อ: 2003-03-14T15:11:15+00:00 offshore-engineer: ผมกำลังเริ่มกลับไปอ่านกระทู้เก่าๆตั้งแต่เว็ปนี้เริ่มตั้่ง พอดีได้เห็นชื่อของ Bill Miller. คุณ Mon Money มีบทความแนะนำเกี่ยวกับ Bill Miller บ้างรึเปล่าครับ หรือมีเว็ปไหนที่รวบรวมไว้บ้่าง ขอบคุณครับ เมื่อ: 2004-11-28T13:26:27+00:00 Mon money: มีแต่หนังสือ The Man who beat S&P ครับ Asia book น่าจะยังมีขาย เมื่อ: 2004-11-30T06:24:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
การหามูลค่าของหุ้นด้วยวิธี DCF Walona: สอบถามพี่ๆครับว่าการหามูลค่าโดยใช้ DCF นั้น คำนวณยังไงที่มาที่ไปคืออะไร พอผมอ่านเจอในหนังสือหลายเล่มบางกระทู้ก็เคยเห็นแต่ยังไม่เข้าใจครับ เลยอยากให้ช่วยอธิบายให้หน่อยครับ ยกตัวอย่างด้วยก็ดีครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2012-06-02T00:42:53+00:00 todsapon: วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง ผู้แต่ง นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ http://dekisugi.net/ อันนี้คือเว็ปไซด์ของพี่เขา มีหนังสือแนะนำด้วยครับ เผื่อสนใจเล่มอืนอีก เมื่อ: 2012-06-02T05:10:34+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เส้นทางเจ้าสัวเริ่มต้น เมื่อเริ่มออม โดย Settrade.com สุมาอี้: เส้นทางเจ้าสัวเริ่มต้น เมื่อเริ่มออม โดย Settrade.com เมื่อพูดถึงเจ้าสัว คิดว่าใคร ๆ ก็คงต้องการที่จะเป็นกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนสมัยเด็ก ๆ ความฝันของคนที่อายุยังน้อยส่วนใหญ่ก็คือเมื่อโตขึ้นอยากจะมีเงินซักก้อนที่จะพอใช้ไปตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำงานและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายๆ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ อย่างไม่เดือดร้อน แต่เมื่อมองดูในความเป็นจริงแล้วจะเห็นว่ามีน้อยคนมากที่จะเข้าข่ายรวยแล้วอยู่เฉยๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วยิ่งรวยก็ยิ่งต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีอะไรให้ดูแลเยอะ ส่วนบางคนรวยแล้วอยู่สบายขึ้นแต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร เพราะพอถึงจุดหนึ่ง คนเรามักจะไม่ค่อยพอใจในจำนวนเงินที่เรามีอยู่ หรือกลัวว่าจะใช้ไม่พอถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา ดังนั้นเพื่อให้ดีก็ต้องหาเพิ่มไว้ก่อนดีกว่า จะเห็นได้ว่าคนที่เรียกว่าระดับเจ้าสัวแล้วส่วนใหญ่ก็จะต้องทำงาน ซึ่งก็แตกต่างกันไปตามรูปแบบชีวิตของแต่ละคน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ก่อนที่จะรวยและเป็นเจ้าสัวนั้น เกือบทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนการทำงานหนัก และต้องรู้จักเก็บออมสำหรับนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนต่อเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้น ในวันนี้จะขอพูดถึงเรื่องการออมเพื่อนำเงินไปลงทุนซึ่งแม้ว่าทำแล้วอาจจะไม่รวยถึงขั้นเจ้าสัวในทันที แต่รับรองว่าจะทำให้ชีวิตของเราสบายขึ้นด้วยการมีวินัยในการออมและการลงทุนอย่างง่ายๆ และจะเป็นเส้นทางนำไปสู่การเป็นเจ้าสัวในอนาคต  โดยข้อมูลที่นำมาเขียนในวันนี้ บางส่วนได้นำมาจากหนังสือ ออมก่อนรวยกว่า ที่เขียนโดยคุณ นวพร เรืองสกุล ซึ่งต้องขอขอบคุณสำหรับข้อมูลไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ หลายคนคงเคยสงสัยว่ามีเงินเท่าไรจึงจะเพียงพอ สำหรับใช้จ่ายเมื่อเกษียณอายุ ซึ่งจริงๆ แล้วมีหลักที่เป็นสากล และสามารถคำนวณได้ง่าย ๆ คือ                1/10 * อายุ * เงินได้ทั้งปี เช่น ถ้าขณะนี้เราอายุ 25 ปี และได้เงินเดือนๆ ละ 10,000 บาท ดังนั้นเราควรมีเงินออม 300,000 บาท ซึ่งมาจาก                1/10 * 25 * 120,000 จำนวนนี้อาจจะดูมากไปนิดสำหรับบางท่าน แต่ก็น่าจะเป็นหลักในการคิดให้เราได้อย่างดี เพราะอย่างน้อย ถ้าตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงและทำได้ใกล้เคียงก็ถือว่าดีกว่าทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ต่ำเกินไป เห็นอย่างนี้แล้วเริ่มออมเงินได้เลยครับ ===================================== ลองใช้สูตรนี้กับตัวเองดู หนาวเลย ตอนแรกเรานึกว่าเราเป็นคนมีเงินออมมากแล้วเสียอีก เมื่อ: 2006-03-24T08:12:27+00:00 beammy: กระทู้ดีมีประโยชน์ แหะๆ ผมก้อยังมีเงินออมไม่ถึงเท่านั้นเลยครับ -*- ... เมื่อ: 2006-04-08T02:58:40+00:00 beammy: สูตรนี้ไม่ได้เอารายจ่ายมาคิด ก็เหมือนวิเคราะห์หุ้นโดยดูยอดขาย อายุบริษัท เทียบกับสินทรัพย์ ไม่ได้สนใจว่ากำไรหรือขาดทุน อย่าไปคิดมากเล้ย เมื่อ: 2006-04-08T03:37:35+00:00 noonong078: เท่ากับออมเพิ่มปีละ 10%ไง ไม่เห็นเยอะเลยธรรมดามากนะครับ ช่วงแรกอาจลำบากหน่อยแต่พอเราเก็บได้อย่างที่ตั้งเป้าแล้วปีต่อๆมาเก็บเพิ่มแค่ปีละ10%เองครับ เมื่อ: 2006-04-16T14:29:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ช็อคโกแลต/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ Thai VI Article: ช่วงเทศกาลวันหยุดคริสต์มาสและปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ช็อคโกแลตขายดี โดยเฉพาะในเมืองหนาว ในสัปดาห์นี้จึงอยากเขียนถึงช็อคโกแลตและผู้ผลิตช็อคโกแลตรายใหญ่ของโลก ท่านอาจจะพอเดาประเทศที่ตั้งได้ว่าน่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ ใช่ค่ะ สัปดาห์นี้จะเขียนถึงบริษัทช็อคโกแลตเก่าแก่อายุถึง 171 ปี ชื่อ Chocoladefabriken Lindt & Sprüngli หรือ ช็อคโกลาเด้ฟาบริเก่น ลินด์ท อุนท์ ชปรุงลี ซึ่งดิฉันจะขอเรียกชื่อย่อว่า “ลินด์ท” ลินด์ท ก่อตั้งในปี 1845 หรือ พ.ศ. 2388 ในเมืองซูริค โดยพ่อลูก สกุล “ชปรุงลี” คือ เดวิดและรูดอล์ฟ ได้เปิดร้านขายช็อคโกแลต ในเขตเมืองเก่าของซูริค และเริ่มทำช็อคโกแลตแท่งเป็นแห่งแรกในเขตสวิสเยอรมัน (เข้าใจว่าในเขตสวิสฝรั่งเศสมีร้านทำช็อคโกแลตแท่งอยู่ก่อนแล้ว) และก็ขายดี จึงขยายไปเปิดเป็นโรงงานทางตอนเหนือของทะเลสาบซูริค ก่อนเกษียณ คุณรูดอล์ฟ ได้แบ่งธุรกิจให้ลูกชายสองคน โดย เดวิด โรเบิร์ต คนน้องได้รับร้านขนมไปสองร้าน ส่วนโจฮันน์ รูดอล์ฟ คนพี่ ได้รับโรงงาน และคนพี่ก็ย้ายโรงงานไปที่ใหญ่ขึ้น คือเมืองคิลช์แบร์ก (Kilchberg)แต่ก็ยังคงอยู่ในบริเวณทะเลสาบซูริค และเนื่องจากต้องใช้เงินในการขยายโรงงานจำนวนมาก จึงระดมทุนจากประชาชน และนำหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ชื่อ “Chocolat Sprüngli AG” ในช่วงเดียวกันนั้น รูดอล์ฟ ลินด์ท ก็เสนอขายโรงงานช็อคโกแลตชื่อดังของเมืองเบิร์น บริษัทชปรุงลี จึงได้ทั้งโรงงาน และเคล็ดลับการปรุงช็อคโกแลต และเปลี่ยนชื่อแปลออกมาได้ประมาณว่า “บริษัทร่วมผลิตช็อคโกแลต ของเบิร์น และซูริค ลินด์ท และ ชปรุงลี จำกัด (มหาชน)” เคล็ดลับของ รูดอล์ฟ ลินด์ท ทำให้สามารถทำช็อคโกแลตเหลวที่มีรสชาดอร่อยและคุณภาพที่ดี และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศสวตเซอร์แลนด์ในเรื่องช็อคโกแลต เมื่อเลิกทำและขายกิจการให้กับ ครอบครัว ชปรุงลี แล้ว ญาติของรูดอล์ฟสองคนก็ไปเปิดโรงงานผลิตช็อคโกแลต ทำให้ผิดข้อตกลงที่ทำตอนขายบริษัท เกิดการฟ้องร้องเสียทั้งเงินและเสียความรู้สึกกันยาวนาน จนในที่สุด บริษัทที่เปิดใหม่ต้องปิดตัวไป ธุรกิจมีการขยายออกไปกว้างขวาง และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศถึง สามในสี่ของผลผลิตทั้งหมด แต่เมื่อเกิดสงครามโลกก็เกิดการกีดกันทางการค้า และมีการจำกัดการนำเข้าน้ำตาลและโกโก้ หลังสงครามจึงเกิดการขายดิบขายดีและมีการเปิดสาขา และเปิดบริษัทลูกในต่างประเทศ เช่นในเยอรมนี เริ่มจากการร่วมทุน และในภายหลังก็ซื้อหุ้นทั้งหมด การขยายไปยังต่างประเทศหลักๆ เกิดขึ้นในช่วงปี 2529 ถึง 2537 นี่เองค่ะ ปัจจุบันคนในครอบครัว ชปรุงลี ที่ยังเป็นกรรมการอยู่คือ ดร.รูดอล์ฟ เค. ชปรุงลี ซึ่งจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมช็อคโกแลต ปัจจุบันไม่ได้ทำงานประจำอยู่ในบริษัทแล้ว แต่เปิดบริษัทที่ปรึกษาของตนเองค่ะ ท่านอาจจะพอจำได้เลาๆว่า ในช่วงปี 2546-7 มีการกล่าวถึงโกโก้ว่าเป็นโกโก้เลือด เพราะโกโก้กลายเป็นสินค้าที่เป็นแหล่งเงินในการทำสงครามกลางเมืองในประเทศ ไอเวอรีโคสต์ ซึ่งอยู่อัฟริกาตะวันตก และยังใช้แรงงานเด็กมาเก็บโกโก้อีกด้วย ทำให้คนกลุ่มหนึ่งบอยคอต ไม่กินช็อคโกแลตและโกโก้ จึงมีการกล่าวขวัญถึงเหตุการณ์นั้นว่าเป็น โกโก้เลือด (Blood Cocao) เหมือนที่ก่อนหน้านั้น เกิด เพชรเลือด(Blood Diamond) ในเซียร่า ลีโอน และ ไม้ซุงเลือด (Blood Timber) ในไลบีเรีย ลินด์ท ได้ตั้งเป้าหมายและถือเป็นคำมั่นว่า ภายในปี 2559 นี้ จะใช้โกโก้ที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าตลอดโซ่อุปทานการผลิต ไม่ได้ใช้แรงงานเด็ก ไม่ได้นำเงินไปใช้ในการก่อสงคราม และผลิตโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยโกโก้ของลินด์ททั้งหมดในปัจจุบัน ผลิตจากประเทศกาน่า ซึ่งอยู่ติดกับไอเวอรีโคสต์ นอกจากนี้ยังมีมูลนิธิโกโก้ของลินด์ท ซึ่งคอยดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิต ของชาวไร่ผู้ผลิตโกโก้ส่งให้บริษัทอีกด้วย ปัจจุบัน บริษัท ลินด์ท แอนด์ ชปรุงลี มีพนักงาน 13,000 คน มีบริษัทลูกและสาขา 24 แห่ง ดูแลโรงงานในยุโรปและสหรัฐอเมริกา 12 แห่ง มีร้านของตัวเองมากกว่า 300 แห่ง และมีผู้จัดจำหน่ายสินค้าอิสระมากกว่า 100 บริษัท ผลิตและจำหน่ายช็อคโกแลตยี่ห้อ Lindt, Ghirardelli, Küfferle, Hofbauer, Caffarel, Whitman’s และ Russell Stover บริษัทมีรายได้ในปี 2558 เท่ากับ 3,650 ล้านฟรังก์ กำไร 381 ล้านฟรังก์ หุ้นของลินด์ท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สวิส (SIX) ใช้ชื่อย่อว่า LISN ราคาซื้อขายที่ปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม คือ 61,215 สวิสฟรังก์ (อย่าตกใจนะคะ ขั้นต่ำในการซื้อขายคือ 1 หุ้นค่ะ) จำนวนหุ้นทั้งหมดมีไม่มากคือมีเพียง 136,088 หุ้น และมี participation certificates อีกส่วนหนึ่ง จดทะเบียนซื้อขายในชื่อย่อ LISP ในหกเดือนแรกของปี 2559 บริษัทมียอดขาย 1,501.5 ล้านฟรังก์ เติบโตเพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับหกเดือนแรกของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 72.2 ล้านฟรังก์ เพิ่มขึ้น 11.1% จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์สวิส หุ้นของบริษัทมีค่า P/E 37.62 เท่า และมีราคาเป็น 4.05 เท่าของมูลค่าทางบัญชี บริษัทเพิ่งมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารเมื่อเดือนตุลาคม โดยได้แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่การเงินหรือ CFO เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ และ CEO เดิม ขึ้นไปเป็นประธานกรรมการบริหาร (Executive Chairman) ขอให้ท่านมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง สมปรารถนาในทุกสิ่งตลอดปี 2560 และตลอดไปค่ะ หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง บทความนี้เป็นกรณีศึกษา มิได้ประสงค์จะชี้ชวนให้ลงทุนหรือไม่ลงทุนในบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด[/size] เมื่อ: 2016-12-26T14:08:19+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
MAMA INDEX คงเลิกใช้ในไม่ช้า wisut: รอพบกับ  FARMHOUSE  INDEX  เร็วๆนี้ เมื่อ: 2008-05-28T10:07:02+00:00 Reminiscence of 3 Dogs: Farm House ไม่อร่อย  ขอใช้ MAMA index ต่อนะครับ เมื่อ: 2008-05-28T10:50:09+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รับสั่งซื้อหนังสือ Beating the Street ฉบับแปลเพื่อบำรุงเวบ WEB: เพื่อนๆที่สนใจสั่งซื้อหนังสือ เมื่อ: 2005-09-19T05:09:52+00:00 Mon money: ประเดิมครับ เดี๋ยวจะจัดการทุกอย่างภายในวันนี้ แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ต้องส่งให้ผม จะไปเอาเอง ผมต้องได้ก่อนคนอื่นแน่ๆ :lovl: เมื่อ: 2005-09-19T05:12:16+00:00 tummeng: มาลงชื่อ เดี๋ยวเที่ยงนี้ไปโอนเลย  :D  :D เมื่อ: 2005-09-19T05:16:25+00:00 naris: ผม 1 เล่ม ครับ เดี๋ยวไปโอนให้พรุ่งนี้ครับ ชัวร์ เมื่อ: 2005-09-19T05:21:15+00:00 naris: พี่เวป ยังไงขอพร้อมลายเซนต์ และคำอวยพรด้วยนะครับ เมื่อ: 2005-09-19T05:22:41+00:00 สามัญชน: เยี่ยมมากครับคุณ web   ขอบคุณที่บริจาคให้ web และเปิดโอกาสให้ซื้อได้ใน web จะได้อ่านก่อนใครๆที่ไม่ใช่สมาชิก web ขอความสุขความเจริญจงบังเกิดกับคุณ web และ TVI web :lol: เมื่อ: 2005-09-19T05:22:47+00:00 v_sukit: ผมขอจอง 1 เล่มครับ คุณ web   จะได้ตามอาจารย์ได้ทัน เมื่อ: 2005-09-19T05:35:17+00:00 Blueblood: โอนแล้วครับ ผ่านทางเน็ต พร้อมทั้งแฟกซ์ รายละเอียดไปให้แล้ววันนี้ตอน 12.30 น. ครับ ขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณ WEB มากๆเลยครับ เมื่อ: 2005-09-19T05:41:36+00:00 WEB: ผมได้รับ fax ของคุณ Blueblood ( 355.55 บาท) แล้วครับ รวดเร็วจริงๆครับ ผมต่างหากครับต้องขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่ช่วยกันบำรุงเวบ เกรงใจจริงๆไม่ค่อยมีใครเอาส่วนลดกันเลย ให้เวบหมดเลย   ทุกเล่มผมจะแนบที่คั่นหนังสือแบบ วีไอ๊ วีไอ ไปด้วยเพื่อแสดงความขอบคุณครับ ( เพิ่งออกแบบสดๆตะกี้นี้เอง) คุณ naris ไม่กลัวหนังสือเลอะหรือครับ :lovl: เมื่อ: 2005-09-19T05:58:40+00:00 อกาลิโก: จองหนึ่งเล่มค่ะโอนให้350บาท พรุ่งนี้ค่ะ เมื่อ: 2005-09-19T06:04:30+00:00 Blueblood: [quote="WEB"]ผมได้รับ fax ของคุณ Blueblood ( 355.55 บาท) แล้วครับ รวดเร็วจริงๆครับ ผมต่างหากครับต้องขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่ช่วยกันบำรุงเวบ เกรงใจจริงๆไม่ค่อยมีใครเอาส่วนลดกันเลย ให้เวบหมดเลย เมื่อ: 2005-09-19T06:07:34+00:00 คัดท้าย: ผมจอง 2 เล่มครับพรุ่งนี้จะโอนเงิน + Fax ไปให้ครับ เมื่อ: 2005-09-19T08:46:03+00:00 oatty: ผมเลียนแบบคุณมนด้วยครับ จะไปรับที่บ้านเลยนะครับ ไว้จะโทรไปนะครับถามทางนะครับ เมื่อ: 2005-09-19T09:28:47+00:00 chain3996: 8) สวัสดีดีครับกระผมขอด้วยคนครับ เมื่อ: 2005-09-19T09:32:17+00:00 por_jai: 8) ป๋าweb ผมด้วย1เล่ม     เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปโอนให้     ผมไม่มีfax ผมใช้สแกนเนอร์แล้วเมล์ไปให้ได้ไหมครับ     รบกวนบอกชื่อเมล์ให้ผมด้วย     ขอลายเซ็นด้วยไม่กลัวเลอะ     อยากได้เป็นที่ระลึก... เมื่อ: 2005-09-19T10:11:20+00:00 TanTai: ผมหนึ่งเล่มครับ พรุ่งนี้จะโอนให้ครับ เมื่อ: 2005-09-19T10:22:30+00:00 Saran: ผมโอนไปให้แล้วครับตอน บ่าย 2 จำนวน 1 เล่ม 333 บาท (พอดีผมชอบเลขนี้อะ)  :B ผมก็ขอลายเซ็นด้วยนะครับ จะให้พร้อมรูปถ่ายด้วยก็ไม่ว่า  :mrgreen: เมื่อ: 2005-09-19T10:36:43+00:00 harry: พรุ่งนี้โอนให้ทันทีเลยครับ เมื่อ: 2005-09-19T10:43:57+00:00 monty555: เมื่อ: 2005-09-19T11:04:18+00:00 naris: คุณ naris ไม่กลัวหนังสือเลอะหรือครับ ผมโอนไปให้แล้วครับตอน บ่าย 2 จำนวน 1 เล่ม 333 บาท (พอดีผมชอบเลขนี้อะ)   ผมก็ขอลายเซ็นด้วยนะครับ จะให้พร้อมรูปถ่ายด้วยก็ไม่ว่า ของผมขอประมูลลายเซนต์ พร้อมล็อตเตอรี่2คู่ เอ้ย ไม่ใช่ ใบ้หุ้น2ตัว พร้อมเบอร์มือถือคุณ เวป 599บาทครับ 555มีใครจะประมูลแข่งหรือเปล่าครับ :lovl: เมื่อ: 2005-09-19T11:54:13+00:00 iscssn: จองด้วย 1 เล่มครับ พรุ่งนี้จะจัดการโอนครับ เมื่อ: 2005-09-19T13:05:56+00:00 charun: ผมจอง 1 เล่มครับ ขอลายเช็นต์ด้วย(รู้สึกว่าเป็นกันเองดี)ดีใจที่ได้อ่านหนังสือดีๆ(เชื่อมือเพราะเคยอ่านทุกเล่ม)และดีใจที่มีส่วนได้ช่วยบำรุงเวป พรุ่งนี้จะไปโอนเงินให้ครับ เมื่อ: 2005-09-19T13:40:15+00:00 Young-VI: ขอด้วย 1 เล่มคับ พี่มน พี่เว็บ โอนเงินยอด 349.90 บาทแล้วคับ แล้วจะแฟ็กซ์ สลิปตามไปอีกที ปล. ถ้าเป็นไปได้ขอลายเซ็นต์พี่เว็บด้วย ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2005-09-19T13:49:52+00:00 Value-X: ผมขอ 1 เล่มครับ พรุ่งนี้โอนเงินครับ ( ขอลายเช็นต์คุณ WEB เป็นของแถมด้วยน่ะครับ )  :B เมื่อ: 2005-09-19T14:58:47+00:00 doji: ขอจองด้วย1เล่มครับ พี่web และขอลายเซ็นต์แถมด้วยนะครับพี่ พรุ่งนี้ผมโอนให้นะครับ ขอบคุณครับพี่ (ได้หนังสือดีๆของพี่webอีกเล่มที่จะหอบไปอ่านที่ซิดนียอีกเล่มหนึ่งแล้ว  :B  :B ) ปล. แล้วหนังสือจะออกเมื่อไหร่ครับ... เมื่อ: 2005-09-19T15:30:05+00:00 เอก: ผมด้วย หนึ่งเล่มครับจะโอนให้พรุ่งนี้จะโอนไปผ่าน ATM = 350 บาท ดีใจที่ได้หนังสือดีๆ และได้บำรุงเวปของเราด้วย ต้องรีบอ่านจะได้มาคุยกัน เผื่อจะได้ไอเดียดีๆจากอาจารย์มนตรีเค้าหนะ เมื่อ: 2005-09-19T15:39:06+00:00 por_jai: 8) ผานี้ชื่อหมากดูก รึเปล่าคุณ naris 8) ผมเคยสงสัยนะว่าทำไมหนุ่มสาวชอบไปพบรักกันบนภูกระดึง     เพิ่งมาค้นพบคำตอบจากกู้เกิ้ลเอิร์ธนี่แหละ เมื่อ: 2005-09-19T15:56:29+00:00 naris: ผาหล่มสักครับคุณ พอใจ เมื่อ: 2005-09-19T16:02:18+00:00 Rocker: ผมเอาเล่มนึงครับ พี่พรชัย เดี๋ยวจะโอนตังไปให้นะพี่  ขอลายเซ็นต์พี่ด้วยนะ ตอนนี้มีหนังสือที่พี่แปลเป็นกองแย้วววว  :D เมื่อ: 2005-09-19T17:01:54+00:00 Jeng: เอาด้วยนะครับ 2 เล่ม ส่ง ผู้จัดการบริษัท เพอร์เฟค คลีน แอนด์ แคร์ จำกัด เลขที่ 30/43 รามคำแหง หัวหมาก บางกะปิ กทม. 10240 เมื่อ: 2005-09-19T17:07:17+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
100 ล้านบาทแรกในชีวิต คนคอน: เมื่อมี 1แล้ว ต่อมาก็มี10 ต่อไปก็จะต้องมี100ล้าน ยังไงผมขอตั้งไว้ก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงแต่ ผมอยากให้คนที่มีประสบการณ์มาแชร์กันหน่อยว่ารู้สึกยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ใครเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรบ้าง ส่วนตัวผมตั้งเป้า 100 ล้าน ไปไว้ก่อนอายุ 28ครับ นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีกว่าๆครับ เมื่อ: 2013-02-25T06:58:08+00:00 dragonrider: สำหรับ vi จาก 6 หลัก สู่ 7 หลัก มีคนทำสำเร็จอยู่จำนวนมาก จาก 7 หลัก สู่ 8 หลัก มีพอสมควร จาก 8 หลัก สู่ 9 หลัก มีจำนวนหนึ่ง อยากทราบว่า ท่านที่เดินทางจาก 8 หลัก เข้าสู่ 9 หลัก ได้สำเร็จนั้น ใช้ระยะเวลามากน้อยอย่างไร วิธีการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ตัวผมเองนั้น ผ่าน 8 หลัก มาแล้ว กำลังเดินทางเพื่อมุงสู่หลักไมล์ต่อไป ขอความกรุณา ทุกท่านที่ถึงเป้าหมายได้แชร์ ประสบการณ์ ที่อาจเป็นกรณีศึกษา อันเป็นประโยชน์แก่ นักลงทุนที่กำลังเดินทางตามฝันต่อไปครับ เมื่อ: 2013-02-25T07:01:12+00:00 คนคอน: อ้าว 555+ พี่คนขี่มังกร ถึงเป้า100ล แล้วเหรอครับ เมื่อ: 2013-02-25T07:02:09+00:00 dragonrider: ยังครับ ยังอยู่ช่วงต้นซอย 555 เมื่อ: 2013-02-25T07:28:45+00:00 zephyr: เข้ามาปักหมุด อีกสิบปีจะทำได้มั้ยเนี่ย เมื่อ: 2013-02-25T07:31:14+00:00 skyearth: เข้ามารออ่านประสบการณ์ด้วยครับ อยากถามว่า ถ้าจะให้ได้มี 9 หลักสมความตั้งใจพี่ๆคิดว่า เก็บเงินซักก้อน แล้วลาออกมาศึกษาเรื่องลงทุนอย่างเดียว หรือ ทำงานไปลงทุนไปดีกว่าครับ (ใครๆก็บอกว่าจับปลาสองมือนั้นไม่ดี) เลยอยากทราบว่ามีใคร ลงทุนไปทำงานไป และมีเงินถึง 9 หลักบ้างครับ...นับเฉพาะเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานไปลงทุนไป โดยที่งานไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับสายการเงิน แบบผมเป็นต้นนะครับ เมื่อ: 2013-02-25T08:08:10+00:00 wwwman: เข้ามารออ่านคับ เห็นชื่อ น้อง คนคอน แล้วต้องตามมาดู ตัวอย่างนักลงทุนรุ่นใหม่คับ ขอคารวะ เมื่อ: 2013-02-25T08:23:52+00:00 คนคอน: wwwman เขียน:เข้ามารออ่านคับ เห็นชื่อ น้อง คนคอน แล้วต้องตามมาดู ตัวอย่างนักลงทุนรุ่นใหม่คับ ขอคารวะ เอาให้ผมได้ก่อนครับ พี่ยศ ค่อยมาชม 55+ เมื่อ: 2013-02-25T08:25:51+00:00 nuttagan: คนคอน เขียน:เมื่อมี 1แล้ว ต่อมาก็มี10 ต่อไปก็จะต้องมี100ล้าน ยังไงผมขอตั้งไว้ก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงแต่ ผมอยากให้คนที่มีประสบการณ์มาแชร์กันหน่อยว่ารู้สึกยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ใครเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรบ้าง ส่วนตัวผมตั้งเป้า 100 ล้าน ไปไว้ก่อนอายุ 28ครับ นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีกว่าๆครับ ชีวิต ไม่เปลี่ยนครับ ต้อง กิน ขี้ นอน เหมือนเดิม ป่วยเหมือนเดิม ต้องตายเหมือนเดิม เวลาชีวิต ก็ลดลงเหมือนเดิม เมื่อ: 2013-02-25T09:09:11+00:00 yakjabon: อันนี้เพิ่มเป้าตามเงินเฟ้อหรือเปล่า ... ไงก็ขอปักหมุดด้วยคนแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ เพราะส่วนตัวแค่มีอิสรภาพทางการเงินก็พอใจแล้วครับ มากกว่านั้นก็เอาใส่โลงไปไม่ได้อยู่ดี เมื่อ: 2013-02-25T09:43:00+00:00 yakjabon: ออ ... แล้วอยากเสริมนิดนึงเป็นเงื่อนไขส่วนตัวเพื่อให้เกิด MOS สูงสุด คือ ทุกหลักเป้าหมายไม่ว่าจะ 1, 10, 100 ต้องเป็นมูลค่าที่ realize ได้ตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนะครับ ถ้าเป็นช่วงกระทิงดุนี่ถือว่าสงครามยังไม่จบ ยังไม่นับศพทหารครับ "เมื่อยามลมพัดแรง แม้แต่ไก่งวงยังบินได้ เมื่อยามลมสงบ จะมีแต่พญาอินทรีย์เท่านั้นที่ยังบินอยู่ได้" ... จะไม่ได้ครับว่าคำพูดนี้ใครเป็นต้นตำรับ = =! เมื่อ: 2013-02-25T09:50:53+00:00 mrwang: สวัสดีครับ น้องวิน นักปรัชญาแห่งพีแอนจี ^^ เมื่อ: 2013-02-25T10:57:22+00:00 patongpa: รู้จักคนรวยหุ้นรอบนี้2คนๆนึงรวยมา40ล้านใช้เงินไปซื้อรถบ้าน กระเป๋า หมดไป20ล้าน. อีกคนรวยรอบนี้มาหลายร้อยล้าน บ้านยังเดิมๆ รถก็เดิมๆ ไม่ใช้เงินที่ได้มาเพราะต้องเอาไปต่อทุน 555 เมื่อ: 2013-02-25T11:13:39+00:00 ดำ: ทำไมต้องมีเงินขนาดนั้น มีแล้วจะเอาไปทำอะไร มีประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมแค่ไหน เมื่อ: 2013-02-25T11:38:49+00:00 PLUSLOVE: คนคอน เขียน:เมื่อมี 1แล้ว ต่อมาก็มี10 ต่อไปก็จะต้องมี100ล้าน ยังไงผมขอตั้งไว้ก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงแต่ ผมอยากให้คนที่มีประสบการณ์มาแชร์กันหน่อยว่ารู้สึกยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ใครเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรบ้าง ส่วนตัวผมตั้งเป้า 100 ล้าน ไปไว้ก่อนอายุ 28ครับ นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีกว่าๆครับ คนหนุ่มไฟแรง แบบนี้อนาคต 100 ล้านไม่ไกลครับ ขอให้ถึงฝันครับ ผมอยากถามสักข้อ คุณ คนคอน ถึงฝันแล้ว จะทำยังไงต่อกับชีวิต จะสุรุ่ยสุร่ายไหมครับ หรือ จะออกมาประกาศต่อหน้าสื่อไหมครับ ว่า มี100ล้านบาทในพอรท์แล้ว เมื่อ: 2013-02-25T11:55:59+00:00 dragonrider: ดำ เขียน:ทำไมต้องมีเงินขนาดนั้น มีแล้วจะเอาไปทำอะไร มีประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมแค่ไหน ผมคิดว่าการลงทุน เป้าหมายมันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มันคือบางสิ่งบางอย่าง มันคือ ถ้วยรางวัล ที่บอกว่าเราทำสำเร็จแล้ว เหมือนตอนเราเรียนหนังสือ ที่พอเรามีความรู้ระดับหนึ่งต้องมีการสอบวัดความรู้ แล้วเราก็ได้เลื่อนชั้น จากระดับประถม ไป มัธยม ไปมหาวิทยาลัย สิ่งที่จะวัดความสำเร็จของนักลงทุน ก็คือ ผลตอบแทน หลายๆ ท่านอาจจะบอกว่าแค่นี้ก็พอแล้ว รวยแล้ว แต่ตัวผมเองยังรู้สึกว่าความรู้ในการลงทุน ยังมีเพียงแค่พอเอาตัวรอดได้ สิ่งที่ได้มาอาจเป็นความโชคดี ผมเองมารู้จักการลงทุนเมื่อวัย เลยเลข 3 ไปแล้ว ถ้าเทียบกับหลายๆ ท่านในที่นี้ที่อายุน้อยกว่า ผมเป็นเพียงรุ่นน้องในมหาลัย การลงทุนด้วยซ้ำ สำหรับการลงทุนจาก พอร์ท 7 หลัก เป็น หลังพอร์ทเป็น 8 หลัก ผมพยายามลดจำนวนครั้งในการ ซื้อ ขาย ลง พยายาม focus มากขึ้น เน้นมากขึ้น มูลค่าการลงทุนแต่ละครั้งก็มากขึ้นกว่าตอน พอร์ท 7 หลัก เพราะ ไม่อย่างนั้น พอร์ทจะไม่โต การเรียนรู้จากผู้ที่ผ่านมาก่อน จึงเป็นครูที่ดี ผมไม่ได้ใส่ใจกับผลมากเท่ากับวิธีการ มันเหมือนเราศึกษาวิถีแห่งการลงทุน และต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา โดยมีเป้าเป็นสิ่งที่วัดการพัฒนาตัวเรา เมื่อ: 2013-02-25T12:05:54+00:00 คนคอน: micky1115 เขียน:คนคอน เขียน:เมื่อมี 1แล้ว ต่อมาก็มี10 ต่อไปก็จะต้องมี100ล้าน ยังไงผมขอตั้งไว้ก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงแต่ ผมอยากให้คนที่มีประสบการณ์มาแชร์กันหน่อยว่ารู้สึกยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ใครเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรบ้าง ส่วนตัวผมตั้งเป้า 100 ล้าน ไปไว้ก่อนอายุ 28ครับ นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีกว่าๆครับ คนหนุ่มไฟแรง แบบนี้อนาคต 100 ล้านไม่ไกลครับ ขอให้ถึงฝันครับ ผมอยากถามสักข้อ คุณ คนคอน ถึงฝันแล้ว จะทำยังไงต่อกับชีวิต จะสุรุ่ยสุร่ายไหมครับ หรือ จะออกมาประกาศต่อหน้าสื่อไหมครับ ว่า มี100ล้านบาทในพอรท์แล้ว ถ้าผมถึงฝันแล้วอย่างแรกคือโทรไปหาพ่อก่อน เหมือน ตอน10ล้านแรก จะใช้สุรุ่ยสุร่ายไหม? ผมว่าชีวิตผมคงคล้ายๆ แบบเดิม เพราะทุกวันนี้ผมคิดว่าผมมีทุกอย่างแล้วที่มนุษย์คนนึงจำเป็นจะต้องมี (เกินไปด้วยซ้ำ - -)แต่ที่ผมคิดว่าจะเปลี่ยนคือ รถของผมแน่นอน ผมตั้งไว้ว่าสักวันผมจะมี supercar ในโรงรถของผมสักคัน ซึ่งเป็นคันที่ผมสามารถหามาได้ด้วยความสามารถตัวเอง ประกาศต่อสื่อไหม? คิดว่าคงทำครับ เพราะอย่างน้อยผมเป็นคนตั้งกระทู้ขึ้นมา ตั้งเป้าไว้แล้วเมื่อถึงเวลานั้นผมจะมาโพสบอกในบอร์ดนี้ว่าผมทำได้แล้วครับ เมื่อ: 2013-02-25T12:10:54+00:00 PLUSLOVE: ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งไว้คับ เมื่อ: 2013-02-25T12:18:46+00:00 chatchai: skyearth เขียน:เข้ามารออ่านประสบการณ์ด้วยครับ อยากถามว่า ถ้าจะให้ได้มี 9 หลักสมความตั้งใจพี่ๆคิดว่า เก็บเงินซักก้อน แล้วลาออกมาศึกษาเรื่องลงทุนอย่างเดียว หรือ ทำงานไปลงทุนไปดีกว่าครับ (ใครๆก็บอกว่าจับปลาสองมือนั้นไม่ดี) เลยอยากทราบว่ามีใคร ลงทุนไปทำงานไป และมีเงินถึง 9 หลักบ้างครับ...นับเฉพาะเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานไปลงทุนไป โดยที่งานไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับสายการเงิน แบบผมเป็นต้นนะครับ ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ทำงานประจำ เริ่มลงทุนด้วยเงินทุน 60,000 บาท เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ทำงานไป ลงทุนไป เงินเดือนก็เพิ่มทุนในพอร์ตไปเรื่อยๆ ปัจจุบันพอร์ตมูลค่าประมาณ 170 ล้านบาท ยังทำงานเหมือนเดิม (ตำแหน่งสูงขึ้น) อยู่บ้านหลังเดิม (บ้านพ่อแม่) เมื่อ: 2013-02-25T12:42:56+00:00 nighthawks: ผลตอบแทนคาดหวังระยะยาว ถ้าตั้งเป้าสูงไปมากๆ มันจะไม่ดีนะครับ ถ้าจะได้ 100 ล้านใน 5 ปี ด้วยเงินทุน 20 ล้านบาทในวันนี้ ต้องได้ผลตอบแทนประมาณ 38% ทบต้นต่อปี ถ้าเงินทุน 10 ล้านบาท ต้องทำได้ 58.5% ทบต้นต่อปี ตลอดทั้ง 5 ปีนะครับ ในความเห็นผม เป้าหมายซัก 4-5 ปี พอร์ตโตได้เด้งหนึ่ง นี่ก็ถือว่า โอเคแล้วนะครับ (ประมาณ 15-20% ทบต้นต่อปี) ซึ่งถ้าเป็นกรณีนั้น ถ้าตอนนี้มีเงินซัก 50ล้าน นี่ก็ถือว่ามีความเป็นไปได้สูงครับ ที่จะได้หลักร้อยล้าน บางครั้งการตั้งเป้าผลตอบแทนสูงๆ ในเวลาสั้นๆ มันจะดึงเราให้เข้าสู่วังวน ของการเก็งกำไรนะครับ ยังไงก็ระวังด้วยนะครับ ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ เมื่อ: 2013-02-25T12:50:22+00:00 harikung: ผมเคยตั้งเป้าสูงๆนะ แต่รู้สึกลงทุนอย่างไม่มีความสุขเท่าไหร่ ทุกวันนี้เลยคิดว่าขอให้พอร์ตเราโตสัก12%ต่อปีก็พอ อาศัยที่อายุยังไม่มาก ให้เวลาเป็นตัวช่วยแทน เมื่อ: 2013-02-25T13:35:43+00:00 PLUSLOVE: ดำ เขียน:ทำไมต้องมีเงินขนาดนั้น มีแล้วจะเอาไปทำอะไร มีประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมแค่ไหน ผมมองว่า หลายคน เงินไม่ใช่ปัจจัย แต่ความท้าทายคือ สิ่งที่ทำให้เรามีแรงขับเคลื่อนครับ คล้ายๆ hall of frame ครับ ถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้สูงๆ โอกาศสำเร็จก้คงยาก แต่มันท้าทายกว่า การตั้งเป้าหมายต่ำๆ แล้วเราทำสำเร็จ ยิ่งยากผมเชื่อว่า หลายคนก้ยิ่งพยายามครับ คนเหล่านี้ ล้วนไม่ชอบชื่อเสียงหรือ เกียรติยศ แต่ สน อย่างเดียวครับ คือ เดินไปสู่สิ่งที่ตั้งเป้าหมายที่ตั้งไว้ เป้าหมายมีไว้เพื่อพุ่งชนครับ ขาดเป้าหมาย ชีวิตก้คงเหมือน ขาดเข็มทิศ เมื่อ: 2013-02-25T13:55:36+00:00 PLUSLOVE: chatchai เขียน:skyearth เขียน:เข้ามารออ่านประสบการณ์ด้วยครับ อยากถามว่า ถ้าจะให้ได้มี 9 หลักสมความตั้งใจพี่ๆคิดว่า เก็บเงินซักก้อน แล้วลาออกมาศึกษาเรื่องลงทุนอย่างเดียว หรือ ทำงานไปลงทุนไปดีกว่าครับ (ใครๆก็บอกว่าจับปลาสองมือนั้นไม่ดี) เลยอยากทราบว่ามีใคร ลงทุนไปทำงานไป และมีเงินถึง 9 หลักบ้างครับ...นับเฉพาะเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานไปลงทุนไป โดยที่งานไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับสายการเงิน แบบผมเป็นต้นนะครับ ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ทำงานประจำ เริ่มลงทุนด้วยเงินทุน 60,000 บาท เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ทำงานไป ลงทุนไป เงินเดือนก็เพิ่มทุนในพอร์ตไปเรื่อยๆ ปัจจุบันพอร์ตมูลค่าประมาณ 170 ล้านบาท ยังทำงานเหมือนเดิม (ตำแหน่งสูงขึ้น) อยู่บ้านหลังเดิม (บ้านพ่อแม่) +1ครับ คนที่รวยและยังใช้ชีวิตแบบปกติ เหมือนสมัยยังไม่รวย ผมว่า มีความสุขที่สุดแล้วครับ ถ้ามี 170 ล้าน พอรวยแล้วเที่ยวอ่างทุกคืน หรือหลงลืมตนใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ก้คงหมด เพื่อนพี่เสมอต้นเสมอปลายดีครับ นับถือๆ เมื่อ: 2013-02-25T14:00:54+00:00 charun: เพื่อนผม 2 คน ยังใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เป็นปกติ สิ่งที่เห็นเขาทำประจำคือ การบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสังคม,การให้ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทาน ครับ เมื่อ: 2013-02-25T14:22:23+00:00 picatos: คนคอน เขียน:เมื่อมี 1แล้ว ต่อมาก็มี10 ต่อไปก็จะต้องมี100ล้าน ยังไงผมขอตั้งไว้ก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงแต่ ผมอยากให้คนที่มีประสบการณ์มาแชร์กันหน่อยว่ารู้สึกยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ใครเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรบ้าง ส่วนตัวผมตั้งเป้า 100 ล้าน ไปไว้ก่อนอายุ 28ครับ นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีกว่าๆครับ นับจากนี้ไปเหลือ 4 ปีกว่าๆ นี่ตั้งเป้าปีละกี่เปอร์เซ็นต์เหรอครับ? ตลาดช่วงนี้ ผมไม่กล้าตั้งเป้าสูงเลย ราคาหุ้นแพงๆ แบบนี้ อัตราผลตอบแทนในระยะยาวต่ำมาก เพราะ ไปดึงมูลค่ากิจการในอนาคตมารับรู้ไปหมดแล้ว ถ้าตั้งเป้าไว้สูงๆ รบกวนช่วยแชร์เป็นวิทยาทานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ว่ามีกลยุทธ์อย่างไรในการทำผลตอบแทนแบบนั้นให้ได้ ขอบคุณล่วงหน้าครับ เมื่อ: 2013-02-25T14:24:28+00:00 คนคอน: picatos เขียน:คนคอน เขียน:เมื่อมี 1แล้ว ต่อมาก็มี10 ต่อไปก็จะต้องมี100ล้าน ยังไงผมขอตั้งไว้ก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงแต่ ผมอยากให้คนที่มีประสบการณ์มาแชร์กันหน่อยว่ารู้สึกยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ใครเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรบ้าง ส่วนตัวผมตั้งเป้า 100 ล้าน ไปไว้ก่อนอายุ 28ครับ นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีกว่าๆครับ นับจากนี้ไปเหลือ 4 ปีกว่าๆ นี่ตั้งเป้าปีละกี่เปอร์เซ็นต์เหรอครับ? ตลาดช่วงนี้ ผมไม่กล้าตั้งเป้าสูงเลย ราคาหุ้นแพงๆ แบบนี้ อัตราผลตอบแทนในระยะยาวต่ำมาก เพราะ ไปดึงมูลค่ากิจการในอนาคตมารับรู้ไปหมดแล้ว ถ้าตั้งเป้าไว้สูงๆ รบกวนช่วยแชร์เป็นวิทยาทานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ว่ามีกลยุทธ์อย่างไรในการทำผลตอบแทนแบบนั้นให้ได้ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ตั้งเป้าเท่าไรผมไม่กล้าบอกอะครับ แฮะๆ อาย แต่กลยุทธของผมที่ใช้ในการหาหุ้นบ่อยคือมองที่มาร์เกตแคปเป็นหลักครับ เอามาเทียบกับธุรกิจที่กำลังทำหรือส่วนใหญ่กำลังจะทำ ว่ามีความสามารถในการเป็นผู้นำในตลาดขนาดไหน อย่างเช่น ที่ผ่านมา ผมลงทุนใน หุ้น nine ตอนมาร์เกตแคปน่าจะประมาณ 400ต้นๆ ตอนนั้นผมมองว่า kidzone กับลิขสิทธิ์การตูนต่างๆ น่าจะสามารถนำมาสร้างรายได้ได้เยอะ โดยตอนนั้นผมประเมินเล่นๆ ว่าถ้าติดตลาด กำไรตีเล่นๆก็ 100ล บาท จากทั้งธุรกิจเก่าที่มีกำไรอยู่แล้วและจากธุรกิจใหม่ที่กำลังจะเกิด (แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเป้าหมายที่ผมกำหนด และผมก็ขายไปแล้ว) หรืออย่าง grammy ที่ก่อนหน้านี้ มาร์เกตแคปอยู่ที่ประมาณ 9000ล หากแต่เทียบกับ work point ผมลองไปถามคนรอบข้างเล่นๆว่า ใครใหญ่กว่ากัน เกือบ100%บอก แกรมมี่ หลังจากนั้นผมก็มาศึกษาจนพบว่า ราคาที่ตลาดให้ตอนนี้คงเป็นเพราะอาจจะขาดทุนจากการดำเนินในธุรกิจใหม่ แต่ถ้ามองไปไกลกว่านี้อีกผมว่ายังไงแกรมมี่ต้องกลับมาได้อยู่แล้ว คอนเทนก็มีเยอะ ดังนั้นราคาแกรมมี่ผมคิดว่า เป็นราคาที่ตลาดมองในแง่ร้ายไปหน่อย ( ณ ตอน 17บาทนะครับ) วิธีของผมอาจจะดูมั่วไปหน่อย แต่มันก็ทำเงินให้ผมเยอะเลยครับ เมื่อ: 2013-02-25T14:53:46+00:00 harikung: ระวัง right for the wrong reason นะครับ เมื่อ: 2013-02-25T15:07:25+00:00 อินทรีย์ทองแดง: เป็นกระทู้ที่อ่านแล้วอึดอัดนะครับ พอร์ตไม่ใหญ่ แต่ขอแชร์ด้วย ตอนพอร์ตเล็กกว่าตอนนี้มากๆ ใช้รถยนต์ติดแก๊สLPG ตอนนี้ใช้แกสโซฮอล์95 แต่ก่อนตอนเช้ากินกาแฟเนสกาแฟเรดคัพกับหนมปังก้อนฟาร์มเฮ้าส์ไม่เกินชิ้นละ10บาท ตอนนี้กล้ากินเนสกาแฟ โกลด์+หนมปังก้อนละ14-15บาท แต่ก่อนถ้าเลือกได้ก็จะไม่ขึ้นทางด่วนหรือทางพิเศษที่เสียตัง ยอมเสียเวลาประหยัดค่าทางด่วน แต่เดี๋ยวนี้กล้าใช้เงินซื้อเวลาขึ้น. แต่ก่อนเวลาไปห้างมักจะฝากท้องกับชุดข้าวยำไก่แซ่บkfc รู้สึกว่าจะ69บาทนะ นั่นถือว่าไฮโซสำหรับผมแระ ถ้ากินธรรมดาก็ฟู้ดคอร์ท30ยืนพื้น น้ำเปล่าฟรีที่ตู้กดน้ำ ชาบูชินี่แต่ก่อนไม่ได้แอ้มตังผม ไม่กล้าเข้ารู้สึกว่าไฮโซเกิ๊น เดี๋ยวนี้กล้ากินพวกชาบูชิแล้ว เลยไปถึงโออิชิบุฟเฟ่ แต่ก่อนห้องนอนเดียวนอนทั้งครอบครัว5คนผู้ใหญ่ล้วน ประหยัดแอร์ เดี๋ยวนี้แยกนอนบ้าง ข้างบนคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมที่พอจะนึกออก เอาที่ไม่เปลี่ยนบ้างนะ รองเท้าคู่ชีพก็ยังเป็นแตะนันยางรุ่นเดิมๆแบบเมื่อสิบปีที่แล้ว ใส่อยู่บ้าน ทำงาน เข้าห้าง เข้าโรงหนัง สบายเท้า รถก็ยังใช้คันเดิมตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มเล่นหุ้น อาหารการกินก็เหมือนๆเดิม อาจจะกล้ากินขึ้นมาหน่อย แต่จะกินหลักสิบหรือหลักร้อยมันก็อิ่มคือกัน แต่เดี๋ยวนี้หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ถ้าเลือกได้ก็จะหุงข้าวกล้องกินแทนข้าวขาว วิถีชีวิตโดยรวมๆก็ไม่ค่อยเปลี่ยนอะไรมากนะครับ สมมติว่าวันนึงเกิดฟลุ๊คมีพอร์ตร้อยล้านกับเค้าบ้าง ผมคิดว่าผมก็ยังใส่แตะนันยางเป็นหลัก ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นทำงานเหมือนเดิม กินข้าวก็คงจานละ30-40บาท และก็คงกินได้จานหรือสองจานก็อิ่ม คงกินได้ไม่ถึงสิบจาน รถที่ใช้ก็คงเน้นรถที่กินน้ำมันน้อยๆหน่อย รถแพงๆส่วนใหญ่มันกินน้ำมันเยอะ เสียดายตังค่าน้ำมันน่ะ แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปก็คือจะใช้เงินมากขึ้นกับการดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายมากขึ้น เพราะมันไม่มีประโยชน์เลยถ้าเรามีเงินเยอะ แต่สุขภาพไม่แข็งแรง จขกท. ครับ อยากจะบอกว่าตอนแรกอ่านหัวข้อกระทู้แล้ว อยากจะใช้ภาษาแรงๆ แต่ก็พยายามโพสต์ให้ซอฟต์ที่สุดแล้วครับ อย่าไปสนใจอะไรให้มันมากนักเลยครับจะพอร์ตสิบล้าน ร้อยล้าน สองสามร้อยล้าน คุณค่าของการเป็นนักลงทุนเราไม่ได้อยู่ที่ขนาดของพอร์ต หรือ%การโกร๊ทของพอร์ตหรอกครับ ไม่อยากให้คนทั่วไปรู้สึกว่าตลาดหุ้นเป็นสถานที่สร้างความมั่งคั่งได้ง่ายๆ ในความคิดผมคิดว่าตลาดหุ้นนั้นเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายทุกฝีก้าว หากเราประมาท ลองมองย้อนกลับไป3-4ปีมานี้ ที่พอร์ตเติบโตมาได้หลายเท่าตัวนี่ผมว่ามันก็ปาฏิหารย์มากแล้วครับ ปล. จากใจจริงผมไม่ชอบกระทู้นี้เลยจริงๆ ผมเกลียดการได้เงินมาง่ายๆ ถึงแม้จะบอกว่าใช้สมองทำงานก็เถอะ ถ้าเราได้เงินมาง่ายๆแล้วเราจะสอนลูกหลานให้รู้จักค่าของเงินยังไง ปัจจุบันนี้ลูกๆเพื่อนผมหลายๆคนมันก็แทบจะตะแคงตีนเดินกันอยู่แล้ว จขกท.ครับ ผมขอโทษครับ อินทรีย์ทองแดง เมื่อ: 2013-02-25T15:07:43+00:00 waz: คนคอน เขียน:picatos เขียน:คนคอน เขียน:เมื่อมี 1แล้ว ต่อมาก็มี10 ต่อไปก็จะต้องมี100ล้าน ยังไงผมขอตั้งไว้ก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงแต่ ผมอยากให้คนที่มีประสบการณ์มาแชร์กันหน่อยว่ารู้สึกยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ใครเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรบ้าง ส่วนตัวผมตั้งเป้า 100 ล้าน ไปไว้ก่อนอายุ 28ครับ นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีกว่าๆครับ นับจากนี้ไปเหลือ 4 ปีกว่าๆ นี่ตั้งเป้าปีละกี่เปอร์เซ็นต์เหรอครับ? ตลาดช่วงนี้ ผมไม่กล้าตั้งเป้าสูงเลย ราคาหุ้นแพงๆ แบบนี้ อัตราผลตอบแทนในระยะยาวต่ำมาก เพราะ ไปดึงมูลค่ากิจการในอนาคตมารับรู้ไปหมดแล้ว ถ้าตั้งเป้าไว้สูงๆ รบกวนช่วยแชร์เป็นวิทยาทานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ว่ามีกลยุทธ์อย่างไรในการทำผลตอบแทนแบบนั้นให้ได้ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ตั้งเป้าเท่าไรผมไม่กล้าบอกอะครับ แฮะๆ อาย แต่กลยุทธของผมที่ใช้ในการหาหุ้นบ่อยคือมองที่มาร์เกตแคปเป็นหลักครับ เอามาเทียบกับธุรกิจที่กำลังทำหรือส่วนใหญ่กำลังจะทำ ว่ามีความสามารถในการเป็นผู้นำในตลาดขนาดไหน อย่างเช่น ที่ผ่านมา ผมลงทุนใน หุ้น nine ตอนมาร์เกตแคปน่าจะประมาณ 400ต้นๆ ตอนนั้นผมมองว่า kidzone กับลิขสิทธิ์การตูนต่างๆ น่าจะสามารถนำมาสร้างรายได้ได้เยอะ โดยตอนนั้นผมประเมินเล่นๆ ว่าถ้าติดตลาด กำไรตีเล่นๆก็ 100ล บาท จากทั้งธุรกิจเก่าที่มีกำไรอยู่แล้วและจากธุรกิจใหม่ที่กำลังจะเกิด (แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเป้าหมายที่ผมกำหนด และผมก็ขายไปแล้ว) หรืออย่าง grammy ที่ก่อนหน้านี้ มาร์เกตแคปอยู่ที่ประมาณ 9000ล หากแต่เทียบกับ work point ผมลองไปถามคนรอบข้างเล่นๆว่า ใครใหญ่กว่ากัน เกือบ100%บอก แกรมมี่ หลังจากนั้นผมก็มาศึกษาจนพบว่า ราคาที่ตลาดให้ตอนนี้คงเป็นเพราะอาจจะขาดทุนจากการดำเนินในธุรกิจใหม่ แต่ถ้ามองไปไกลกว่านี้อีกผมว่ายังไงแกรมมี่ต้องกลับมาได้อยู่แล้ว คอนเทนก็มีเยอะ ดังนั้นราคาแกรมมี่ผมคิดว่า เป็นราคาที่ตลาดมองในแง่ร้ายไปหน่อย ( ณ ตอน 17บาทนะครับ) วิธีของผมอาจจะดูมั่วไปหน่อย แต่มันก็ทำเงินให้ผมเยอะเลยครับ ถ้าบิงโกได้สองครั้งแบบพี่หมอสามัญชน มันก็เป็นไปได้ครับ แต่อย่าลืมความจริงที่ว่า คนตายไม่ได้พูดนะครับ จำนวนคนที่ทำได้เทียบกับคนที่ทำไม่ได้ มันต่างกันมากครับ อยากให้ศึกษาจากคนที่พลาดให้มากๆ แล้วลองคิดในทางร้ายดูบ้างว่า ถ้าเกิดขึ้นพอร์ตเราจะเป็นไง อย่าโกรธกันนะครับ ที่เตือนแรงๆ เมื่อ: 2013-02-25T15:08:43+00:00 คนคอน: จริงๆผมชอบคนมองต่างกับผมนะ ขอบคุณมากเลยครับ เมื่อ: 2013-02-25T15:29:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ROIC คืออะไร? terati20: เห็น EGAT  มาใช้ในการคืดกำไรจากค่าไฟ ขอรบกวนทราบหน่อยจ้า เมื่อ: 2006-04-11T00:08:49+00:00 สุมาอี้: ROIC = 8% ก็คือกฟผ.ใช้เงินสร้างโรงไฟฟ้าไป 100 บาท ต้องได้กำไรปีละ 8 บาท เป็นการประกันผลตอบแทนว่าโรงไฟฟ้าจะได้ผลตอบแทนที่คงที่เสมอเมื่อเทียบกับเงินลงทุน เมื่อ: 2006-04-11T01:00:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 1,516 ล้านบาท บ้าป่าว ขงเบ้ง: ไม่ได้ซื้อหรอกตัวนี้ ดูไว้เป็นกรณีศึกษาครับ http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... anguage=th เมื่อ: 2006-03-01T02:54:40+00:00 Dr.T: ถูกแขวนคอไปแล้ว  :lol: เมื่อ: 2006-03-01T05:09:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีใครเป็นลูกค้า ซีมิโก้ มั่งครับ Saran: พอดีอ่านใน นสพ. กรุงเทพธุรกิจ (19 เม.ย. 49) ในเกาะกระดานหุ้น ลงไว้ว่า ไม่สามารถจัดการประชุมผู้ถือหุ้นได้เนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม จึงต้องไปจัดใหม่เป็นครั้งที่ 3 ผู้บริหารก็มาแค่คนเดียว แถมรายชื่อผู้ถือหุ้นอันดับ 1-5 ก็เปลี่ยนเป็นรายใหญ่หมดแล้ว ไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบกับการทำงานของบริษัทหรือป่าวครับ แล้วคนอื่นๆ มีความคิดเห็นยังไงกับข่าวนี้ครับ เมื่อ: 2006-04-19T08:11:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามเรื่องสิทธืประโยชน์หุ้นPF ครับ tomyumkungs: มีอยู่ 120000 หุ้น ที่ราคา 5 บาทคับ จะทำยังไงต่ิอดีตอนนี้มึนไปหมดแล้วครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ เมื่อ: 2011-05-06T10:43:21+00:00 simplelife: โทรไปถามมาร์สิครับ รับรองเรื่องแบบนี้ต้องตอบได้ หรือต้องไปหาคำตอบมาให้ได้ เมื่อ: 2011-05-07T17:51:58+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
aiaทำไมตั้งเป็นแบงค์เลยละคับ hot: ผมว่ากระแสเงินสดที่ได้จากการขายประกันไม่ไช่ย่อยเอาเสียเลย เมื่อ: 2005-02-14T15:44:37+00:00 Jeng: คิดว่าคนละอาชีพนะ ในเมื่อ เขาทำมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว ก็ไม่น่าจะมายุ่งเรื่องแบงค์ อีกอย่าง AIG ถือหุ้ใหญ่ไม่ใช่หรือ นโยบาย AIG คืออะไร และเห็นบอกว่ารัฐบาลเมกา ถือหุ้นใหญ่ AIG อีก ใช่หรือเปล่า ขอถามผู้รู้ และในเมกา แบงค์ไม่ได้กึ่งผูกขาดเหมือนบ้านเรา โอย ไม่วิจารณ์ต่อดีกว่า เพราะไม่รู้จริง เมื่อ: 2005-02-14T15:54:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผมขอเวบไซต์ของSTAครับ Jeng: ใครมีช่วยโพสต์ให้ด้วยนะครับขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2004-08-27T05:45:03+00:00 XXyyZZ: www.sritranggroup.com ครับ เมื่อ: 2004-08-27T06:46:15+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รอบๆเรา ประเทศไหนยังไม่มี MAKRO บ้างครับ KOB500: ถ้าประเทศที่มีแล้ว MAKRO ของไทย จะไปเปิดอีกได้ไหมครับ เมื่อ: 2013-04-26T02:34:16+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ยินดีกับ ท่านผู้ว่ากรุงเทพฯ (คนใหม่) นายสต็อก: ผมในฐานะคนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง ก็ขอแสดงความยินดีกับท่าน ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร อย่างคุณ อภิลักษณ์ โกษะโยธิน ด้วยครับ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการทำงาน หวังว่าท่านคงจะ ช่วยแก้ปัญหาต่างๆของพี่น้องชาวกรุงเทพฯได้สำเร็จ... ถ้าทำให้ราคาหุ้นวิ่ง...ไหลลื่นได้ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ อันที่จริง... ผมไปลงคะแนนให้กับผู้สมัครท่านอื่นแทน (ขอสงวนเบอร์) แต่ก็ได้คะแนนแค่อันดับรองๆ สู้ไม่ได้กับคะแนนเสียงของ ท่าน ผู้ว่าหมายเลข 1 (แถมได้ที่ 1) คะแนนเสียงของท่าน (ไม่เป็นทางการ) ก็เกือบล้านเป็นแน่แท้ (ฮะ!...ฮะ!...ฮะ!... :lol: ) เอาไว้อีกสี่ปีข้างหน้า... ค่อยมาลุ้นเลือกผู้แทน กทม. กันใหม่แล้วกันครับ เมื่อ: 2004-08-29T18:14:30+00:00 TOMOKI: คะแนนของคุณอภิรักษ์ รวมกับของคุณชูวิทย์ ได้มากกว่าครึ่งนึงของคะแนนทั้งหมด มันสะท้อนอะไรถึงรัฐบาล ไทยรักไทยหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2004-08-29T23:33:28+00:00 TOMOKI: 1 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 911,441 7 นางปวีณา หงสกุล 619,039 15 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ 334,168 3 ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง 165,761 21 ร้อยตำรวจเอกนิติภูมิ นวรัตน์ 135,369 19 นายพิจิตต รัตตกุล 101,220 5 นายมานะ มหาสุวีระชัย 84,147 เมื่อ: 2004-08-29T23:35:14+00:00 MacroArt: ล่าสุดมีผู้สมัครขี้แพ้ชวนตีคนหนึ่ง ปากบอกว่าตัวเองจะไม่ร้องเรียนอะไร แต่ กลับส่งเพื่อนร่วมรุ่นให้มาร้องเรียน กกต. ว่ามีผู้สมัครหลายคนทำผิดกฎ ถ้า กกต. แจกใบแดงทุกคนที่ถูกร้องเรียน ผู้สมัครคนนี้ก็จะมีคะแนนเป็นอันดับ 1 พ่อลูกนิสัยพอกันเลย เมื่อ: 2004-08-30T05:18:23+00:00 MacroArt: คุณ นายสต็อก ทำไม่ใส่กรอบรูปแดบบนี้ล่ะ ดูลางไม่ดียังไงไม่รู้ เลือกกรอบรูปใหม่ดีกว่า เมื่อ: 2004-08-30T06:11:30+00:00 Shaihalud: พ่อเลว ลูกลูกลูก ก็เลว หวังว่าหลานคงไม่เลวเหมือนพ่อ และ ปู่ เมื่อ: 2004-08-30T06:18:24+00:00 นายสต็อก: เปลี่ยนกรอบใหม่...ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เปลี่ยนนิสัยคน...และจิตใจคนให้สูงขึ้นนี่ซิยากกว่าเยอะ... เมื่อ: 2004-08-30T08:18:26+00:00 mey: ขอแสดงความยินดีกับผู้ว่าคนใหม่...แต่วันนี้ไงหุ้นลงไปแดงเถือกทั้งแผงต้อนรับผู้ว่าคนใหม่....สงสัยลางไม่ดีเรื่องกรอบรูปหรือปล่าวก็ไม่ทราบ แหะแหะ เมื่อ: 2004-08-30T10:38:50+00:00 mey: ท่าทางแกอยากจะวัดใจคนกรุงเทพอีกทีละมั้ง ถ้าอย่างนั้น พวกเราอาจจะถึงคราวแสคงพลังเสียง 9 แสนกว่าอีกที ว่าเป็นเช่นไร คิดอีกทีจะเป็นไปได้ไหมว่า เป็นทฤษฎี Conspiracy ที่มีใครบางคน xxx ชักใยอยู่เบื้องหลัง ฟังดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ แต่ยุคนี้ อะไรที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นก็เป็นไปได้มาหลายครั้งแล้ว หิริโอตัปปะ ยุคนี้ชักจะหาไม่ค่อยเจอ เมื่อ: 2004-08-30T16:35:34+00:00 zynetic: เอ้ะ...............ลงเกือบทั้งกระดาน แต่ KMC ขึ้น................อืม.......KMC ลงคะแนนให้คุณอภิรักษ์รึเปล่าเนี่ย? เมื่อ: 2004-09-01T07:22:48+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
++ 18@หุ้นเงา เดือนนี้ออกแล้ว ร้อนๆ เลย ++ อะไรดีละ: ++ คือว่าพรุ่งนี้ผมคงไม่ว่างนักตอนเช้า  เลยมาลงวันนี้เสียเลยครับ ทบทวนอดีต... SET ได้ติดลบไปเล็กน้อยคือ ติดลบไป 0.3%  ขณะที่หุ้นเงาทั้ง 18 ตัว ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่  4.5% เกือบหนึ่งเดือน (22 ตค.ถึง 17 พย.)  นับว่าชนะตลาดได้ 4.8% ในเกือบ 1 เดือน  โดยหุ้นที่แพ้ตลาดมี 6 ตัว ขณะที่หุ้นชนะตลาดมี 12 ตัว   เป็นความผิดพลาดสำหรับหุ้นที่แพ้ตลาดทั้ง 6 ตัว  ขออภัยด้วยโดยเฉพาะ TRC นี่หนักเลย   โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 10 เปอร์เซนต์ ก็เช่น AIT, SYNTEC, GFPT และ STA  ถ้าหากได้นำเอาหุ้นตกสำรวจอย่าง SYNEX หรือ TAPAC เข้าไปใส่ไว้ก็น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้อีกไม่น้อย Stock Selection ของบัฟเฟต์ นักลงทุนชื่อก้องโลกนั้น  ชนะตลาดหรือดัชนี S&P500 ราว 12% ต่อปี  หรือ 1% ต่อเดือน  ดังนั้นถือได้ว่า การเลือกหุ้นด้วย ตะแกรงหุ้น แค่ 1 แผ่น คือ P/E ต่ำกว่า 5 ปีหน้า   ทำได้ดีกว่าบัฟเฟต์เสียอีก   ซึ่งถือว่าใช้ได้ผลดีเกินคาด   ลบคำสบประมาทตามบทความ เดือนวาด ที่เย้ยหยันการเลือกหุ้นพีอีต่ำไปได้อย่างสวยงาม  และ เป็นบทพิสูจน์สะท้อนความไม่มีประสิทธิภาพของตลาดหุ้นไทย  ที่ปล่อยให้หุ้นใหญ่เติบโตต่ำ ยืน P/E สูง   ขณะที่หุ้นเล็กเติบโตสูง  ยืน P/E ต่ำ   ปรับเปลี่ยนปัจจุบัน.... ขอเปลี่ยนจาก 1 ตะแกรงร่อนหุ้นเงา  เป็น 8 ตะแกรง  เพื่อสร้างความแม่นยำ และน่าเชื่อถือในการลงทุนยิ่งขึ้น 1. หุ้นเล็ก : ต้องมีขนาดเล็กกว่า 1 หมื่นล้านบาท  เพื่อในเข้าข่าย หุ้นเงา ที่แท้จริง   ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะตัดเอาหุ้นอย่าง ESSO, BCP, SPALI  ออกไป  เพราะหุ้นพวกนี้ใหญ่เกินไป   2. หุ้นโต : ต้องมีการเติบโตของผลกำไรในปีหน้า 3. หุ้นคล่อง : ต้องมีสภาพคล่องพอตัว  มีซื้อขายได้ทุกวัน  กรณีนี้จึงตัดเอา SMK ออกไปเลย 4. หุ้นสลัว : ราคาหุ้นต้องไม่ขึ้นมากกว่า 25% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา  ถ้ามากกว่านั้นถือว่าไม่สลัวแล้ว  แต่เป็นหุ้นสว่างที่หลายๆ คนได้รับรู้ไปมากแล้ว   เราจึงไม่ใส่ TAPAC เข้าไปในลิสต์ครั้งนี้ด้วย เพราะ บวกถึงกว่า 40% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา   รวมถึง AIT ด้วยที่ต้องหลุดไปอย่างน่าเสียดาย 5. หุ้น P/E ต่ำกว่า 6 เท่าในปีหน้า  เราขยับขึ้นมาอีกนิด เพื่อชดเชยกับราคาหุ้นที่หลายตัวบวกสูงขึ้นมา 6. หุ้น P/B ต่ำกว่า 2 เท่า  ราวๆ นี้ก็น่าจะแพงแล้ว   7. หุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงกว่า 3% ต่อปี  (เพื่อให้มากกว่า ดอกเบี้ยพันธบัตร)   8. หุ้นที่มีเฟยหง เรโชสูงกว่า 10%  (ไหนๆ ก็คิดขึ้นมาแล้ว  เอามาใช้ซะหน่อย : ตัวเลขนี้คิดจากกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร ต่อ มาร์เก็ตแคป)  คือ ถ้า บ.จ่ายเท่าที่จ่ายได้ทั้งหมด จะจ่ายเงินปันผลได้กี่เปอร์เซ็นต์ของราคาหุ้น    เพื่อกรองหุ้นที่มีขาดทุนสะสมออกไปด้วย ก็หวังว่าด้วยตะแกรงทั้ง 8 นี้จะทำให้คัดสรรหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   อนาคตอันใกล้น่าจะปรับให้ เติบโต นั้นสูงกว่า 15%  และปรับ P/E ไปที่ 7.5 เท่า   หรือ PEG ต่ำกว่า 0.5 เท่า  น่าจะได้ผลลัพธ์ดีกว่านี้  โดยหุ้นอสังหาฯ น่าไม่เข้ามามากแบบนี้   เพิ่งคิดออกไม่นานแต่ยังทำไม่ทัน...เอาไว้รอบหน้าครับ สอดส่องอนาคต..... ผมเชื่อว่า เรื่องราว ของปีหน้า มี 3 เรื่อง คือ ไทยเข้มแข็ง  หยวนเข้มแข็ง และ 3G คือ บริษัทซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง  และ บริษัทซึ่งได้รับประโยชน์จากเงินหยวนที่จะแข็งค่าขึ้นมาก  รวมทั้งบริษัทซึ่งจะได้ประโยชน์จากการลงทุน 3G จะเป็นกลุ่มบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุนครับ ซึ่งหลังจากกรองหุ้นผ่าน 8 ตะแกรงได้ 18 หุ้นเงา แล้ว   หากจะตัดสินใจลงทุนจริงๆ  กรุณาหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนครับ  ไม่น่าเชื่อว่าหุ้นกระจายอยู่ใน 4 กลุ่มเท่านั้น .... วิจารณ์กันได้เต็มที่ เช่น ตะแกรงนี้ไม่ดี  ตัวนี้ไม่ควรอยู่นะ..หรือเสนอตัวอื่นๆ ก็ดี...เพื่อสร้างภูมิปัญญาเพิ่มขึ้นครับ แปลกมากที่พบหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ มีจำนวนมากที่สุดถึง 8  ตัว ดังรายชื่อ PF ได้ประโยชน์จากสายสีแดง และ ม่วง  ปีหน้าคาดยอดขายโตถึง 50%  รวมการขายที่ดินเปล่าด้วยอีกพันล้าน  กำไรต่อหุ้นอาจจะทำได้ถึง 0.9 บาท  ซึ่งทำให้ P/E ต่ำ  P/BV ต่ำ NOBLE มี แบ็กล็อคสูงถึง 2.5 เท่าของมาร์เก็ตแคป  มากที่สุดบริษัทหนึ่งในตลาด   อัตรากำไรสุทธิดี  ค่า P/B ยังต่ำมากๆ  และ เหลือเชื่อที่ว่า เฟยหง เรโข  สูงถึงกว่า 100%   PRIN  ยังคงมียอดขายและแบ็กลอคที่น่าสนใจ   มีโครงการทั้งคอนโดฯ ที่จะรับรู้ได้อีกไม่น้อย  ราคาขนาดนี้ไม่แพงนัก  อาจทำกำไรต่อหุ้นได้ถึง 0.45 บาท  P/E จึงต่ำ 5 ได้เลย SC  ยอดขายและแบ็กลอกอยู่ในเกณฑ์ที่ดี   P/BV ก็ไม่สูงมากนัก   ขายแนวราบ และคอนโดฯ ต่อเนื่อง  ถ้าไม่โดนปัจจัยการเมืองเล่นงานหนักๆ เสียก่อน   ก็นับว่าเป็นหุ้นที่ถูกทีเดียวจากกำไรต่อหุ้นที่ 2.5 บาท  ราคานี้ถูกครับ MK  ยอดขายและกำไรเติบโตต่อเนื่อง  จากบ้านเดี่ยว และ ทาวน์โฮม   กำไรต่อหุ้นอาจได้ถึง 0.6 บาท...ยังน่าสน MJD  รับรู้รายได้คอนโดฯ ในปีหน้าเพิ่ม  กำไรต่อหุ้นที่ 0.7 บาท...ดังนั้นราคาหุ้นแบบนี้จัดได้ว่าถูก   SENA  เป็นหุ้นใหม่ที่รุกตลาดหนัก  ด้านคอนโดฯ .... มีมูลค่าที่น่าสนใจ  อาจทำกำไรต่อหุ้นได้สูงถึง 0.46 บาท (โบรกเกอร์)   CI  แม้จะประกาศงบชาดทุน...ราคาหุ้นได้ตอบสนองไปบ้างแล้ว   มีแบ็กลอคที่สูงมาก 2.5 เท่าของมาร์เก็นแคปได้  ค่า P/BV ต่ำดี   หุ้นกลุ่มรับเหมาอีก 2 ตัว  ซึ่งรับประโยชน์จาก ไทยเข้มแข็ง และ ยังมีราคาหุ้นถูกอยู่ PYLON รับทำเสาเข็มเจาะ  ซึ่งมีอยู่ไม่กี่บริษัท   รับประโยชน์จาก ไทยเข้มแข็ง  รถไฟฟ้า หลายสี  ยอดขายน่าจะโตได้อีกมาก  ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพงนัก   SYNTEC เป็นบริษัทรับเหมาที่มียอดรายได้ต่อ มาร์เก็ตแคปสูงมากแห่งหนึ่งถึง 6 เท่า  P/BV ต่ำมาก   คาดจะมีกำไรต่อหุ้นราว 0.15 บาท ซึ่งทำให้ราคาขนาดนี้ต่ำเหลือเชื่อ หุ้นกลุ่มเกษตรอีก 2 ตัว   ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากเงินหยวนเข้มแข็ง STA  เป็นรายใหญ่ของธุรกิจค้ายาง...กำไรเยอะมากๆ  P/BV ก็ต่ำมาก   GFPT  เป็นขาใหญ่ขายไก่ส่งออกและในปท.   รองจาก CPF  กำไรต่อหุ้น และค่า P/BV อยู่ในเกณฑ์ที่น่าจับตา หุ้นกลุ่มสื่อสารอีก 6 ตัว  ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากไทยเข้มแข็ง และ 3G  น่าจะเติบโตได้สูง   ILINK  ปีหน้ารับงานจากไทยเข้มแข็ง และ 3G เต็มๆ   การเติบโตอาจสูงกว่า 30% เช่นกัน SYNEX  ผู้ขายชิ้นส่วนและอุปกรณ์สื่อสาร อิเลกฯ  เจ้ายักษ์ของไทย   อัตรากำไรสุทธิเริ่มดีขึ้น   ราคาไม่แพงนัก SIS  ก็เป็นแนวคิดเดียวกัน...ยังจัดว่าเป็นหุ้นที่ถูกสำหรับในกลุ่มนี้ JAS  น่าจะได้ประโยชน์จาก 3G  มาบ้าง  ราคาหุ้นยังถูกทั้ง P/E และ P/BV JMART    P/E และ P/BV ยังอยู่ในระดับต่ำ  ขายเจโฟน เป็นเฮ้าส์แบรนด์ และ รับทวงหนี้   น่าจะกำไรดี MLINK     P/E และ P/BV ยังอยู่ในระดับต่ำ  ยักษ์ใหญ่เกาหลียอมจ่ายถึงหุ้นละ 2 บาท...ยังไงเขาก็แพงกว่าเรา จบครับ.....พบกันใหม่กับ 18@หุ้นเงา  เดือนหน้า    หวังว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างนะครับ   เมื่อ: 2009-11-17T13:21:12+00:00 SunShine@Night: ผมไม่มีเลยซักตัว เมื่อ: 2009-11-17T13:48:56+00:00 newbie_12: เยี่ยมมากครับ ข้อมูลเยอะดีแฮะ มุมมองหลากหลาย ได้คิดๆครับ แบบนี้ เมื่อ: 2009-11-17T14:02:57+00:00 winkung: เยี่ยมมากเช่นกันครับ  เอาเฉพาะหลักการ/ทฤษฎี ที่คุณอะไรดีละ กล่าวไว้ในย่อหน้าแรกๆ เท่านี้ก็ได้มุมมองดีๆ ในการตะแกรงหุ้นแล้วครับ  ขอบคุณมากครับ   เมื่อ: 2009-11-17T14:19:43+00:00 โอบาน่า: สุดยอดครับ อ่านแล้วต้องกลับมาคิดต่ออีกเพียบเลย ขอบคุณคร้าบบ กำลังคิดอัตราเติบโตในอนาคตของ pm จาก 56-1 และงบการเงินฉบับทำเอง ได้ความว่าไงจะมาแชร์ให้ฟังนะคร้าบบ เมื่อ: 2009-11-17T14:32:48+00:00 SEHJU: ขอบคุณสำหรับข้อมูล ได้ไอเดียไปอีกแบบ.. เมื่อ: 2009-11-17T14:58:10+00:00 pongo: [quote="อะไรดีละ"] Stock Selection ของบัฟเฟต์ นักลงทุนชื่อก้องโลกนั้น เมื่อ: 2009-11-17T14:59:36+00:00 newbie_12: 8. หุ้นที่มีเฟยหง เรโชสูงกว่า 10%  (ไหนๆ ก็คิดขึ้นมาแล้ว  เอามาใช้ซะหน่อย : ตัวเลขนี้คิดจากกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร ต่อ มาร์เก็ตแคป)  คือ ถ้า บ.จ่ายเท่าที่จ่ายได้ทั้งหมด จะจ่ายเงินปันผลได้กี่เปอร์เซ็นต์ของราคาหุ้น อันนี้มันแปลกๆหรือเปล่าครับ กำไรสะสม X บาท บางทีเงินสดเหลือที่จะจ่าย มันก็ไม่ได้เหลือ X บาทเท่ากำไรสะสมนะครับ น่าจะดูจากเงินสด และสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสดในงบดุลดีกว่าหรือเปล่า เมื่อ: 2009-11-17T15:06:45+00:00 MO101: เป็นบทความที่ดี มีตัวอย่างประกอบพร้อม มีผลงานอ้างอิงในครั้งก่อนด้วย ลงสมัครส.ส. นี่ได้ชัวร์  :D เมื่อ: 2009-11-17T15:23:51+00:00 oldnew: . อ้าว..............ร่อนหุ้นผมออกไปซะเเล้ว  :8) . เมื่อ: 2009-11-17T16:50:01+00:00 ส.สลึง: [quote="อะไรดีละ"]Stock Selection ของบัฟเฟต์ นักลงทุนชื่อก้องโลกนั้น เมื่อ: 2009-11-17T17:28:33+00:00 yoyo: สงสัยข้อ 1 ครับ... หุ้นใหญ่มันไม่น่าสนใจยังไงหรือครับ ในเมื่อมันถูก มันดี มันโต p/e ปีหน้าต่ำ p/bv ต่ำ ปันผลสูง ... ไม่เข้าใจครับ เพราะข้อนี้มันตัดหุ้นโปรดผมออกไปด้วย ทั้งๆที่ในข้ออื่นๆ ผมว่ามันก็ไม่แพ้ 18 ตัวที่คุณเฟยหงเขียนมา อีกอย่าง ข้อ 3 มันค่อนข้างขัดกับข้อ 1 พอสมควรเลยครับ ใน 18 ตัวที่พี่เขียนมา ผมว่าไม่ผ่านข้อนี้นะ เมื่อ: 2009-11-17T18:08:31+00:00 yoyo: ในข้อ 3 ถ้ามองเรื่องสภาพคล่อง ที่ผมบอกว่าหุ้น 18 ตัวนี่ไม่น่าจะผ่านกันเท่าไหร่ ผมก็ไม่รู้นะว่าแบบไหนถึงเรียกว่าคล่องพอ... แต่ในกลุ่มนี้ถ้าใช้เกณฑ์ vol ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อวันโดยเฉลี่ยในช่วง 15 วันย้อน จะมีหุ้นที่ไม่ผ่านเกณฑ์นี้ เพียบเลยครับ   (จริงๆเรื่องสภาพคล่องนี่เป็นเรื่องที่ subjective พอสมควรครับ คงต้องเอาไปเทียบกับขนาดการลงทุนของแต่ละคนด้วย .. เลข 10 ล้านเป็นเลขที่ผมประมาณเอาคร่าวๆว่าน่าจะอยู่ในข่ายที่ comfortable ของนักลงทุนหลายๆท่านในการลงทุน บางท่านอาจจะสูงกว่านี้ บางท่านอาจจะต่ำกว่านี้) noble prin sc mk sena syntec gfpt jmart mlink pylon ci ilink synex sis ตกไปทั้งหมด 14 ตัว เหลือผ่านจริงๆอยู่ 4 ตัว คือ pf mjd sta jas โดยเฉพาะ 5 ตัวสุดท้ายนี่ Trade กันเฉลี่ยวันนึงไม่ถึง 2 ล้านบาทด้วยซ้ำ ด้วย vol ของหุ้น 14 ตัวนี้ เทียบกับกำลังซื้อของคนในเวป thaivi ... ผมว่าถ้าพากันซื้อกันเอง นี่คงวิ่งกันไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน จะซื้ออะไรก็วิเคราะห์กันดีๆก่อนซื้อตามนะครับ... แหะๆ ผมมาช่วยพี่เฟยหงวิจารณ์ตะแกรงร่อนครับ ผมว่าจะให้ดีต้องตัดข้อ 1 ออกด้วยครับ... เมื่อ: 2009-11-17T18:26:39+00:00 KB: ข้อมูลดีครับ เป็นกำลังใจให้ จะตามติดและติดตามครับ เมื่อ: 2009-11-17T18:36:31+00:00 กุหลาบงามหลังฝน: ลงทุนอย่างมีสตินะครับ เมื่อ: 2009-11-17T23:05:38+00:00 killyz: [quote="อะไรดีละ"] Stock Selection ของบัฟเฟต์ นักลงทุนชื่อก้องโลกนั้น เมื่อ: 2009-11-18T01:50:13+00:00 pongo: หุ้นที่พี่อะไรดีล่ะ โพสๆ ไว้ ผมไม่ได้ตามหลายๆ ตัว แต่จำ STA ได้ขึ้นใจ เพราะเป็นตัวแรกๆ ที่ซื้อตอนเริ่มลงทุน ยังละอ่อนมาก ดู yield ดี , PE ต่ำ พองบออกมาเน่ากระจาย ดีที่ตอนนั้นพอร์ตจิ๋วเดียว มีแค่ 1500 หุ้น เจอประกาศเพิ่มทุนเข้าไปอีก ฮา..ตกเก้าอี้เลย ผมจะบอกว่า กำไรเยอะมากๆ ในอดึต ไม่ได้หมายถึงในอนาคตจะกำไรเยอะเพราะตัวนี้เป็น commodity เต็มตัว PB ต่ำๆ ไม่ได้หมายถึงว่าหุ้นราคาถูกเสมอไป ควรดูคุณภาพสินทรัพย์ด้วย ถ้ามีแต่สินค้าคงคลังเป็นล้าสมัยเต็มโกดังก็ไม่ดี (สมมุติครับ ไม่ได้หมายถึง STA มีสินค้าล้าสมัยเต็มโกดังนะครับ) มือใหม่ๆ อ่านแล้ว อย่าดูแต่อดีต ต้องคาดการณ์อนาคตด้วยนะครับ เมื่อ: 2009-11-18T03:50:36+00:00 อะไรดีละ: [quote="pongo"][quote="อะไรดีละ"] Stock Selection ของบัฟเฟต์ นักลงทุนชื่อก้องโลกนั้น เมื่อ: 2009-11-18T13:12:53+00:00 อะไรดีละ: yoyo เขียน:สงสัยข้อ 1 ครับ... หุ้นใหญ่มันไม่น่าสนใจยังไงหรือครับ ในเมื่อมันถูก มันดี มันโต p/e ปีหน้าต่ำ p/bv ต่ำ ปันผลสูง ... ไม่เข้าใจครับ เพราะข้อนี้มันตัดหุ้นโปรดผมออกไปด้วย ทั้งๆที่ในข้ออื่นๆ ผมว่ามันก็ไม่แพ้ 18 ตัวที่คุณเฟยหงเขียนมา อีกอย่าง ข้อ 3 มันค่อนข้างขัดกับข้อ 1 พอสมควรเลยครับ ใน 18 ตัวที่พี่เขียนมา ผมว่าไม่ผ่านข้อนี้นะ เป็นความคิดที่ดีครับ... สำหรับ ข้อ 1 นั้น  "หุ้นเล็ก" เพราะ ผมเชื่อว่า หากเป็นหุ้นใหญ่กว่า  1 หมื่นล้าน  หุ้นตัวนั้นจะอยู่ในจอเรดาห์ของนักลงทุนสถาบันอยู่แล้ว  ทำให้โอกาสที่เราจะเข้าถึงข้อมูลช้ากว่านักลงทุนสถาบันมีอยู่สูงเลย   ซุนวูบอกว่า  "จงสู้รบในสมรภูมิที่ได้เปรียบเท่านั้น"  แบบนั้นละครับ ข้อ 3 คือ "สภาพคล่อง"... ตะแกรงที่ดีมันก็ต้องขัดกันเองอยู่แล้ว  อยากได้ หุ้น "เติบโตสูง"  แต่  ต้องการหุ้น "พีอีต่ำ"  .... สภาพคล่องในที่นี้  ก็คือ ขอแค่ให้มีการซื้อขายหุ้นกันทุกวัน... ซึ่ง SMK ไม่มีในจุดนี้  แม้ว่าพื้นฐานและราคาจะต่ำมากๆ   เดือนก่อนราคาก็บวกถึง 10%  แต่ก็ต้องตัดออกไป  เพราะไม่เข้าเกณฑ์สภาพคล่องครับ   เมื่อ: 2009-11-18T13:17:24+00:00 อะไรดีละ: หากคุณ yoyo กำลังพูดถึง SPALI  แล้วละก็ ตัวนี้มีจุดอันตรายครับ...เพราะปีนี้คือ สุดยอดของเขาแล้ว  ในด้านของอัตรากำไรสุทธิ  ที่สูงเกินปกติกว่า ธุรกิจอสังหาฯ ที่น่าจะทำกันราว 15% เท่านั้น แต่ปีนี้ได้หลายเด้งเลย.... ลดหย่อนภาษีให้  ลดภาษีธุรกิจเฉพาะ  ลดค่าโอน แบบนั้นก็เลยทำให้หลายบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิสูงเกินปกติไป   ปีหน้าจะทำ NPM  ได้ขนาดนี้แสนยากเย็นมากๆ   นักวิเคราะห์จึงคาดการณ์ให้ปีหน้า บ.นี้จะมีกำไรสุทธิที่ลดลง  นั่นคือปัญหาใหญ่เลยเพราะ No Growth No Gain ครับ   "เติบโต" ของกำไรคือสิ่งที่นักลงทุนต้องการ....ถ้าไม่โตในอนาคตอีก 1 ปีข้างหน้า  นั่นคือสัญญาณอันตรายแล้ว สำหรับ SPALI  จะไม่มี growth  ซึ่งจะไม่ผ่านตะแกรง "หุ้นเติบโต" อยู่ดี ผมวิจารณ์ตรงไปตรงมาสักหน่อย  แต่ผมเชื่อว่าหุ้นตัวนี้จะไม่เกิน 7 บาทครับ เพราะ upside gain ค่อนข้างจะตันแล้ว   เพราะ  ขาดการเติบโตของกำไรปีหน้า (โบรกเกอร์คาดการณ์เฉลี่ยจะเติบโตติดลบราว 10%)   เมื่อ: 2009-11-18T13:24:57+00:00 9korn: หุ้น Noble ผมก็เห็นด้วยว่าทั้ง แบ็กล็อคสูง กำไรดี P/BV ต่ำ.. แต่ทำไมราคาถึงได้สาละวันเตี้ยลงๆ ดูว่าจะขึ้นช้ากว่าเค้า แต่ลงเร็ว เคยถืออยู่พักนึงแล้วอึดอัด หรือว่านักลงทุนไม่ชอบกันครับ และเพราะอะไร อยากถามผู้รู้เหมือนกันว่าทำไม Noble เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2009-11-18T13:57:11+00:00 kaiyai99: [quote=] 1. หุ้นเล็ก : ต้องมีขนาดเล็กกว่า 1 หมื่นล้านบาท เมื่อ: 2009-11-18T15:29:11+00:00 vi_tal signs: ขอบคุณท่านเฟยหงครับ ผมมือใหม่จะเก็บเอาไปคิดต่อ สังเคราะห์ต่อครับ   เมื่อ: 2009-11-18T15:51:38+00:00 yoyo: อะไรดีละ เขียน: เป็นความคิดที่ดีครับ... สำหรับ ข้อ 1 นั้น เมื่อ: 2009-11-18T16:41:27+00:00 yoyo: [quote="อะไรดีละ"]หากคุณ yoyo กำลังพูดถึง SPALI เมื่อ: 2009-11-18T16:51:20+00:00 KB: yoyo เขียน: เป็นความคิดที่ดีครับ... สำหรับ ข้อ 1 นั้น เมื่อ: 2009-11-18T16:51:53+00:00 killyz: การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการลอกตาม เมื่อ: 2009-11-19T02:03:33+00:00 นักดูดาว: หุ้นเงาขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มี คนอ่านเว็บบอร์ดซื้อตาม นักลงทุนโปรดพิจารณา  :lol: เมื่อ: 2009-11-19T02:05:29+00:00 HI.ผมเอง: [quote="นักดูดาว"]หุ้นเงาขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มี คนอ่านเว็บบอร์ดซื้อตาม นักลงทุนโปรดพิจารณา เมื่อ: 2009-11-19T02:35:34+00:00 picatos: ผมว่าที่พี่อะไรดีละตัด SPALI ออกไปจากการเป็นหุ้นเงาก็คงถูกแล้วล่ะครับ... หุ้นเงามันต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในซอกๆ หลีบๆ มีคนเห็นค่าแค่ไม่กี่คน... ซื้อเข้าไปถ้าเจ๊งก็ไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ถ้าเกิดถูกหวยขึ้นมาก็ดัง กำไรกันเป็นเด้งๆ... ในความเห็นผม กลยุทธในการลงทุนหุ้นเงาคงต้องกระจายการลงทุนลงตัวละไม่เกิน 5% ของพอร์ต เพราะ มันเป็นหุ้นเงา ซื้อเข้าไปอาจจะเป็นการกำตดได้ ถ้าอ่านไม่ขาด... แต่ SPALI นี่โดน Spot Light ฉายแสง ดูดีมีชาติตระกูลมากๆ คงจะนับเป็นหุ้นเงาไม่ได้...  :lol:  :lol:  :lol: ถ้าจะเล่นคงต้องวัดกันที่... ใครมองอนาคต และอ่านตลาดได้ขาดกว่ากันแล้วล่ะครับ... เมื่อก่อนผมก็ชอบหาหุ้นเงา แต่ถือไปกว่าจะวิ่งนี่อืดอาดเหลือเกิน หลังๆ เลยวัดดวงเล่นหุ้นที่ Spot Light กำลังส่อง แต่ราคายังถูกอยู่... วิ่งเร็วดี กินอิ่ม... Stop ง่าย...  :lol: เมื่อ: 2009-11-19T02:55:36+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
FDI Jan - Nov 2012 multipleceilings: http://www.boi.go.th/upload/content/SUM ... _57969.pdf เผื่อสนกันครับ เมื่อ: 2013-01-18T20:33:11+00:00 Paul Octopus: ผมกด + แต่มันออกมาเป็นลบ เมื่อ: 2013-01-19T01:33:12+00:00 Paul Octopus: ดูเหมือนญี่ปุนจะย้ายมาไทยจริงจังแล้วครับ สังเกตุจากความหลากหลายและปริมาณเงินลงทุน เมื่อ: 2013-01-19T01:44:03+00:00 kongkiti: ญี่ปุ่นย้ายจากจีนมาไทยรึเปล่าครับ... เมื่อ: 2013-01-19T06:03:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากขอข้อมูล งบดุล บ.รอแยล ฟูดส์ จำกัด kainoiass: สวัสดีคับพี่ๆคือผมกำลังทำโครงงานปริญญานิพนธ์ เรื่อง การลดต้นทุนการผลิตอาหารกระป๋อง กรณีศึก ปลากระป๋อง ตราสามแม่ครัว แล้วผมไม่มีข้อมูลเบื้องต้นหรือข้อมูลที่จำเป็นในการที่จะนำมาทำรายงาน ถ้าหากพวกพี่ๆที่มีข้อมูล ขอความอนุเคราะห์เพื่อเป็นวิทยาทานให้น้องได้เรียนจบด้วยเถิด หากพี่มีข้อมูลโปรดโทรติดต่อผมด้วยนะคับชาตินี้ผมขอให้ได้ปริญญาใบนี้ให้แม่ได้ชม เบอร์โทรผม 087-8752680 ภรัญยู วงค์ช้างหรือไก่น้อย ขอบคุณคับ เมื่อ: 2008-02-23T13:24:55+00:00 Dech: บริษัทชื่อนี้ไม่มีนะครับ สะกดถูกหรือเปล่า ไปที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า http://www.dbd.go.th สมัครขอดูงบได้ หรือจะไปคัดงบเองที่กรมเขาเลยก็ได้ครับ เมื่อ: 2008-02-23T13:38:17+00:00 กูรูขอบสนาม: ยำปลากระป๋อง มื้อจำเป็น (ถ้าไม่มีอาหารสด) คุ้นๆชื่อ ไปเปิดดูตู้กับข้าวในครัว เจอพอดี บริษัท โรยัลฟู้ดส์ ผู้ผลิต ปลากระป่องตราสามแม่ครัว 94/20 ถนนเศรษฐกิจ อ.เมือง สมุทรสาคร โทร. 02251 7454   022519893 ขอให้โชคดี มีอะไรก็ถามกันได้ ตอบได้จะพยายามมาตอบครับ เมื่อ: 2008-02-24T02:16:21+00:00 ลูกอิสาน: รบกวนคุณ kainoiass เวลาโพสต์ตอบกระทู้ให้กดปุ่ม post reply นะครับ อย่ากด new topic เพราะมันจะขึ้นเป็นกระทู้ไหม่เลย ส่วนเรื่องงบก็อย่างที่เพื่อนๆบอกครับ เข้าไปดูที่เวปกรมทะเบียนการค้า ถ้าหาไม่เจอแสดงว่าชื่อไม่ถูกต้องครับ ต้องหาชื่อที่ถูกจริงๆเท่านั้น  ว่าแต่ทำไมทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ละครับ น่าจะมีข้อมูลอยู่บ้างแล้วหรือเปล่า ถ้าหาข้อมูลอย่างนี้อาจจะหายากนะครับ เมื่อ: 2008-02-24T05:05:46+00:00 kainoiass: ขอบคุณพี่ๆที่ให้คำแนะนำนะคับขอให้พี่ๆรวยๆกันทุกคนนะคับ เมื่อ: 2008-02-24T07:39:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมเราต้องมีบัญชี 3 ใน ก.ม.นอมินี chatchai: ในบัญชี 3  มีหลากหลายอุตสาหกรรม   เหตุผลอะไรที่จะเลือกว่าอุตสาหกรรมไหนอยู่ในบัญชีนี้ครับ เมื่อ: 2007-01-12T02:36:50+00:00 buglife: บริษัทไหนเป็นพวก ก็อยู่ในบ/ช ที่ไม่ได้รับผลกระทบ? แตกต่างอะไรกัน  :lol: ผมสนับสนุนกฎหมายนี้ แต่ต้องไม่มี double triple standard และต้องใช้ให้จริงจัง ไม่ลูบหน้าปะจมูก แต่คงยาก จะไปโวยวายกับใครได้ แล้วแต่รัฐละกัน  :D เมื่อ: 2007-01-12T02:45:40+00:00 chatchai: อุตสาหกรรมในบัญชี 3  นั้น  ผมอ่านมาว่า  เป็นอุตสาหกรรมที่คิดว่าคนไทยยังไม่สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ ดังนั้นจึงห้ามต่างชาติมาทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเหล่านี้ แต่หลังจาก พรบ. Nominee ใหม่  กำหนดให้ผ่อนผัน  บริษัทต่างด้าวที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเหล่านี้มาก่อน  ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร  และยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปรกติ เจตนารมณ์ของอุตสาหกรรมในบัญชี 3  เพื่อปกป้องบริษัทคนไทย  บัดนี้ได้กลายเป็นการปกป้องบริษัทต่างด้าวไปซะแล้ว  :lol:    :lol:    :lol: เมื่อ: 2007-01-12T14:35:39+00:00 nana: นับแต่ ปว. 281 พ.ศ. 2515 เราก็มีธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน แต่เราปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาโดยผ่านการถือหุ้นแทนมานาน โดยความรู้เห็นของรัฐบาลทุกสมัย จนมาในขณะนี้.....30 ปี เราก็ยังไม่พร้อม เมื่อ: 2007-01-12T14:59:21+00:00 adi: อยากยกเลิกบัญชีสามไปเลย เมื่อ: 2007-01-16T02:35:14+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากให้มีการเปิดอบรม วิเคราะห์ราคาพื้นฐาน Chotepong_en: สนใจการลงทุนแนวนี้มาก พอดีซื้อหนังสือ "การวัดมูลค่าหุ้น"ของคุณสุมาอี้ มาอ่านดู แต่ก็ยังยากอยู่ดีเลยอยากให้มีเปิดอบรมที่เกี่ยวกับการ วิเคราะห์แนวนี้อีกครับ จะได้ไม่ซื้อขายตามกระแสมากเกินไปครับ เมื่อ: 2007-07-15T10:32:07+00:00 Can do: ท่านแม่ทัพไม่ลองเปิดสอนสักคอร์สเหรอครับ เมื่อ: 2007-07-15T15:55:04+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอฝากหุ้นดี ราคาถูก ไว้ศึกษา เพิ่มเติม egcomp stanly ap วัวแดง: ไม่มีราคาเป้าหมาย ไม่มีราคาคาดการณ์ ไม่มีราคาน่าขาย มีแต่ราคาน่าซื้อเท่านั้น(คนส่วนใหญ่ชอบแบบนี้ครับ) เช่น "แนะนำหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานเช่น กำไร อัตราเติบโต กระแสเงินสด การตลาด สัญญาธุรกิจผูกขาด....ถือเป็นเรื่องปกติและทุกคนจะตอบรับดี" "แต่การมาด้วยราคาเป้าหมาย โดยใช้สูตรสารพัดมาคำนวณนี่ แปลกเกินไปสำหรับชาวเวบนี้ ผมว่าจะทำให้ชาว TVI เชื่อยากครับ" "อีกอย่าง ชาว TVI คุยกันด้วยหลักฐานที่มีอยู่เช่นงบการเงิน หรือแผนธุรกิจครับ พวกการคาดการณ์อนาคตด้วยตัวเลขอดีตที่ผ่านมา น้ำหนักจะเบาไปนิดนึง" ผมกลายเป็นของแปลกเกินไปแล้วครับ แต่ผมว่าของแปลกหายาก และ ราคาแพงนะครับ "โดยปกติแล้ว เราจะคุยถึงเรื่องราคาที่ "น่าซื้อ" มากกว่าครับ ส่วนราคา "น่าขาย" แต่ละคนคงจะกำหนดเองได้อยู่แล้ว" "ที่ให้ราคาเป้าหมายนั้น ผมว่าเหมือนใบ้หวยไปหน่อยนะครับ เหมือนพวกนักวิเคราะห์ที่ชอบบอกตามจอโทรทัศน์ครับ" ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ คิดให้แตกต่างจากคนอื่น มองในมุมที่ต่างกัน ไม่ก้าวเดินตามใคร มั่นใจในตัวเรา มีความกล้าที่จะทำ อนาคตเท่านั้นที่จะรู้ ว่าเราจะเป็นยังไง "ยืนบนน้ำแข็ง หรือก้อนหิน" เมื่อ: 2004-06-22T18:37:37+00:00 มือใหม่: ผมแสดงความคิดเห็นใน webboard ก็ถูกค้านเหมือนกัน ในบางความคิดเห็น ในเวลาต่อมาจึงรู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่าใช่ ว่าถูก มันก็ไม่ใช่และไม่ถูก ตอนนี้ผมเลยกล้ารับทุกความคิดเห็น แล้วคุณเชื่อใหม ผมเก็บเกี่ยวความรู้ดีๆได้เพียบเลย มองแนวคิดอะไรหลายๆอย่างได้ดีกว่าก่อนเยอะ โพสน์ไปเถอะ ผมคนหนึ่งฟังคุณอยู่ 8) เมื่อ: 2004-06-22T18:50:11+00:00 ayethebing: เชื่อมั่นตัวเองก็ดีครับ แต่อย่าเชื่อมากจนกลายเป็นยึดมั่นถือมั่นก็แล้วกัน เอามาฝากครับ บทกลอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ตัวกู-ของกู ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข...........อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน มันจะสุม เผากระบาล ท่านทั้งวัน.....ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู.........มันจะดู วุ่นวาย คล้ายคนบ้า อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา.....มันคึกว่า "กู-ของ-กู" อยู่ร่ำไป จะหามา มีไว้ ใช้หรือกิน..................ตามระบิล อย่างอิ่มหนำ ก็ทำได้ โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ........ผูกยึดไว้ ว่า "ตัวกู" หรือ "ของกู"ฯ เมื่อ: 2004-06-22T19:22:12+00:00 ครรชิต ไพศาล: เอาข้อมุลมาให้ดูประกอบจะได้คุยกันตามเนื้อผ้า ข้อมูลทางคุณภาพที่ดี ต้องมี ข้อมูลปริมาณที่ดี เป็นสิ่งยืนยัน โค้ด: เลือกทั้งหมด ราคาเมื่อ 22/6/04 และ ข้อมูลย้อนหลังไป 5 วัน NAME +/-(%) ปิด1 ปิด2 ปิด3 ปิด4 ปิด5 (1-5)% VOL1 VOL2 VOL3 VOL4 VOL5 EGCOMP -2.17 67.5 69 68.5 68.5 68 -0.74 4075 2049 3783 1985 5364 STANLY 1.69 120 118 119 119 119 0.84 132 550 382 128 97 AP -0.52 3.84 3.86 3.8 3.8 3.8 1.05 19963 38596 17646 95533 21908 NAME ปีงบ สินทรัพย์ หนี้สิน ผู้ถือหุ้น ทุน รายได้ กำไรก่อน กำไรสุทธิ ROA(%) ROE(%) PM(%) หนี้/ผู้ถือหุ้น EGCOMP 2004 57,757.60 30,108.17 26,783.51 5,264.65 4,361.87 2,178.28 1,407.69 16.04 22.49 32.27 1.12 EGCOMP 2003 56,436.62 29,735.58 25,842.44 5,264.65 16,983.37 9,144.47 5,993.94 16.28 26.02 35.29 1.15 EGCOMP 2002 55,872.82 34,925.09 20,223.43 5,264.65 12,233.68 6,049.38 2,958.48 11.12 15.26 24.18 1.73 EGCOMP 2001 52,965.19 33,779.81 18,544.16 5,259.46 11,647.12 6,472.86 2,939.08 11.98 16.55 25.23 1.82 EGCOMP 2000 55,111.66 37,663.79 16,978.52 5,243.97 10,473.77 4,513.22 1,216.74 8.60 7.21 11.62 2.22 EGCOMP 1999 49,898.09 33,079.26 16,762.36 5,242.71 9,451.73 5,538.24 2,647.95 11.66 16.83 28.02 1.97 EGCOMP 1998 45,112.89 30,351.30 14,712.18 5,227.09 10,233.64 9,504.28 6,069.04 20.96 50.51 59.30 2.06 EGCOMP 1997 45,591.51 36,238.35 9,316.78 5,200.00 8,867.36 4,948.72 -5,463.91 11.07 -43.50 -61.62 3.89 EGCOMP 1996 43,854.93 28,052.04 15,802.89 5,200.00 6,933.07 4,085.00 1,550.98 12.28 12.67 22.37 1.78 EGCOMP 1995 22,699.14 14,023.90 8,675.23 4,000.00 4,262.07 2,550.87 940.27 11.70 12.36 22.06 1.62 EGCOMP 1994 20,906.03 14,371.06 6,534.97 4,000.00 357.16 237.09 92.37 2.27 2.83 25.86 2.20 NAME ปีงบ EPS ปันผล epsQ4 epsQ3 epsQ2 epsQ1 PAR ราคา P/E P/BV D/P% EGCOMP 2004 11.24 ???? ???? ???? ???? 2.68 10 67.50 6.01 1.33 4.01 EGCOMP 2003 11.41 2.75 2.21 3.35 3.00 2.85 10 90 7.89 1.83 3.06 EGCOMP 2002 5.62 2.50 0.28 1.01 1.95 2.38 10 37.25 6.63 0.97 6.71 EGCOMP 2001 5.60 1.25 1.21 2.05 1.50 0.84 10 35.5 6.34 1.01 3.52 EGCOMP 2000 2.32 2.00 -0.63 -0.33 1.36 1.92 10 30 12.93 0.93 6.67 EGCOMP 1999 5.05 2.00 2.16 -0.44 1.97 1.36 10 32 6.34 1.00 6.25 EGCOMP 1998 11.62 1.27 2.26 2.7 -0.59 7.25 10 65 5.59 2.31 1.95 EGCOMP 1997 -10.49 0.00 -13.35 0.56 1.41 0.89 10 62 -5.91 3.46 0.00 EGCOMP 1996 3.12 2.00 0.61 1.18 0.68 0.65 10 67 21.47 2.20 2.99 EGCOMP 1995 2.30 1.00 0.49 0.3 0.90 0.61 10 88 38.26 4.06 1.14 NAME ปีงบ สินทรัพย์ หนี้สิน ผู้ถือหุ้น ทุน รายได้ กำไรก่อน กำไรสุทธิ ROA(%) ROE(%) PM(%) หนี้/ผู้ถือหุ้น STANLY 2004 4,210.65 1,235.17 2,975.47 383.12 1,119.12 159.79 123.76 21.39 23.43 11.06 0.42 STANLY 2003 4,029.50 1,176.02 2,853.47 383.12 6,205.68 993.08 764.06 26.59 30.64 12.31 0.41 STANLY 2002 3,438.87 1,376.24 2,133.58 383.12 3,299.31 661.64 371.61 21.27 18.55 11.26 0.65 STANLY 2001 2,783.39 911.18 1,872.21 383.12 3,868.41 462.31 338.28 17.59 19.43 8.74 0.49 STANLY 2000 2,473.85 863.72 1,610.14 383.12 3,469.47 268.85 236.04 11.06 15.60 6.80 0.54 STANLY 1999 2,388.89 972.65 1,416.24 383.12 2,553.04 137.19 112.61 6.07 8.28 4.41 0.69 STANLY 1998 2,129.78 826.15 1,303.63 383.12 1,926.12 -21.65 -61.13 -0.95 -4.58 -3.17 0.63 STANLY 1997 2,439.31 1,074.55 1,364.77 383.12 2,146.79 308.33 -198.95 11.64 -13.15 -9.27 0.79 STANLY 1996 2,859.63 1,198.16 1,661.47 383.12 2,395.78 405.72 241.71 15.56 21.28 10.09 0.72 STANLY 1995 2,356.86 822.80 610.77 383.12 2,073.39 469.16 309.07 24.89 42.37 14.91 1.35 STANLY 1994 1,413.06 565.08 847.98 274.50 1,602.89 324.21 209.75 45.89 49.47 13.09 0.67 NAME ปีงบ EPS ปันผล epsQ4 epsQ3 epsQ2 epsQ1 PAR ราคา P/E P/BV D/P% STANLY 2004 8.91 ???? ???? ???? ???? 1.62 5 120.00 13.47 3.09 2.42 STANLY 2003 9.97 3.25 1.58 2.46 3.23 2.70 5 200 20.06 5.37 1.63 STANLY 2002 6.47 2.10 1.61 2.06 1.87 0.93 5 68.5 10.59 2.46 3.07 STANLY 2001 4.42 1.45 0.97 0.66 1.60 1.19 5 23.88 5.40 0.98 6.07 STANLY 2000 3.08 1.00 0.72 0.87 0.54 0.95 5 11.63 3.78 0.55 8.60 STANLY 1999 1.47 0.55 0.61 0.39 0.54 -0.07 5 20 13.61 1.08 2.75 STANLY 1998 -0.80 0.00 -0.90 -0.93 -0.89 1.92 5 6 -7.50 0.35 0.00 STANLY 1997 -2.60 0.00 -2.80 -0.56 -0.07 0.83 5 13.5 -5.19 0.76 0.00 STANLY 1996 3.16 1.30 0.73 0.96 0.73 0.74 5 40 12.66 1.84 3.25 STANLY 1995 4.91 1.50 0.60 1.48 1.69 1.14 5 30 6.11 3.76 5.00 STANLY 1994 3.82 1.40 0.86 1.26 0.99 0.71 5 26 6.81 1.68 5.38 NAME ปีงบ สินทรัพย์ หนี้สิน ผู้ถือหุ้น ทุน รายได้ กำไรก่อน กำไรสุทธิ ROA(%) ROE(%) PM(%) หนี้/ผู้ถือหุ้น AP 2004 8,010.11 3,733.44 4,205.72 2,263.74 755.03 186.32 143.80 21.25 31.86 19.05 0.89 AP 2003 6,620.44 3,295.08 3,325.36 2,242.18 4,830.70 1,512.59 1,191.55 29.64 46.14 24.67 0.99 AP 2002 3,585.81 1,839.59 1,839.59 2,000.39 2,743.83 786.19 687.87 27.19 49.72 25.07 1.00 AP 2001 2,197.72 1,269.91 927.15 1,925.00 1,297.33 244.80 264.52 12.62 34.81 20.39 1.37 AP 2000 1,682.40 1,076.88 592.62 1,750.00 702.85 60.93 60.91 6.09 19.35 8.67 1.82 NAME ปีงบ EPS ปันผล epsQ4 epsQ3 epsQ2 epsQ1 PAR ราคา P/E P/BV D/P% AP 2004 0.53 ???? ???? ???? ???? 0.06 1 3.84 7.25 2.07 0.00 AP 2003 0.54 0.00 0.25 0.12 0.10 0.07 1 5.75 10.65 3.88 0.00 AP 2002 0.35 0.00 0.13 0.08 0.10 0.04 1 4.2 12.00 4.57 0.00 AP 2001 1.47 0.00 0.55 0.43 0.31 0.18 1 1.59 1.08 3.30 0.00 AP 2000 0.63 0.00 1.97 -0.03 -0.72 -0.59 1 0.29 0.46 0.86 0.00 AP 1999 -1.82 0.00 1.33 -0.86 -0.71 -1.58 1 0.25 -0.14 1.21 0.00 เมื่อ: 2004-06-23T00:12:13+00:00 ครรชิต ไพศาล: กำหนดราคาเป้าหมาย บวกกับสูตรคำนวณของคุณ ผมว่าไม่แปลกหรอกครับ เพียงแต่ค่อนข้างจะหยาบเกินไป ง่ายเกินไป ในการคาดการณ์อนาคตระยะ ยาว (ถ้าระยะสั้นนี้ผมว่าก็ยอมรับได้นะครับ) ซึ่งการคำนวณ โดยตัวเลขที่ใชคล้ายกับคิดเอาเอง ไม่มีเหตุผลมาสนับสนุน ผมไม่เห็นคุณจะเขียนถึงว่า บริษัทมีกิจกรรมอะไรที่มาสนับสนุนสมมติฐาน ของคุณ อุตหสกรรมมีความน่าสนใจอย่างไร? มีปัจจัยภายนอกอะไรที่จะ ทำให้สมมติฐานของคุณมีความน่าเชื่อถือ? จากที่ผมเห็นอีกอย่างนะครับ มีแต่ข่าวในปัจจุบัน คล้ายๆ กับเล่นข่าวดี ประมาณนี้ดูเหมือนกับว่าคุณต้องการเล่นสั้น (เล่นข่าว) แต่เอาระยะยาวมา รวมอยู่ในการวิเคราะห์ด้วย (คือผมไม่เชื่อว่าคุณจะถือหุ้นที่คุณนำมาเสนอ ถึง 5 ปีตามที่บอก) ก็เขียนตามความรู้สึกส่วนตัวครับ บางที่ผมอาจจะตีความผิดก็ได้นะครับ เมื่อ: 2004-06-23T00:24:32+00:00 ครรชิต ไพศาล: ลืมใส่ชื่อครับ ความเห็นข้างบนเป็นของผมเองครับ เมื่อ: 2004-06-23T00:25:53+00:00 CK: STANLY เริ่มจะถูกแล้ว แต่ไม่ถึงกับถูกมาก แต่ EGCOMP ราคายังอยู่ในระดับแพงอยู่ครับ ผมจะไม่ซื้อถ้าราคาไม่ได้ต่ำกว่า 50 บาท EGCOMP มีข้อดีคือความเสี่ยงต่ำ แต่ upside ไม่มากในมุมมองของ VI แต่ถ้าคิดจะเล่นเก็ง กำไร ก็ไม่ต้องดูพื้นฐานครับ ถ้าราคาวิ่งก็ลุย ซื้อได้เลย เมื่อ: 2004-06-23T01:01:06+00:00 champ: พี่ ck ผมเห็นพี่กำลังลุยเทคนิคอยู่ใช่มั้ยครับพักนี้ มีอะไรดีๆแนะนำผมบ้างนะครับ อยากเรียนรู้เทคนิคกับเขาบ้างครับ เมื่อ: 2004-06-23T01:18:49+00:00 CK: champ เขียน:พี่ ck ผมเห็นพี่กำลังลุยเทคนิคอยู่ใช่มั้ยครับพักนี้ มีอะไรดีๆแนะนำผมบ้างนะครับ อยากเรียนรู้เทคนิคกับเขาบ้างครับ ยังต่ำชั้นอยู่ครับ ลบบ้างบวกบ้าง ถ้าเทียบกับ SET ก็แทบไม่ได้แตกต่าง มากนัก ส่วนใหญ่พลาดเพราะ mixed up ครับ อ่านข่าวและข้อมูลพื้นฐานแล้ว ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจ เลยขายหมูไปซะเยอะ เมื่อ: 2004-06-23T01:34:56+00:00 นักดูดาว: คุณ Golden Stock ขอเชิญมาเป็นสมาชิกครับ ผมเห็นแนวคิดและการวิเคราะห์ของคุณเฉียบดีมากครับ EGCOMP . . . เข้าข่ายหุ้นยอดนิยม พอๆกับ BBL SCC PTT . . . ไม่มีราคารอซื้อ รอฝรั่งกับกองทุนขายออกให้หมดก่อนแล้วมาซื้อลงทุนกันครับ เมื่อ: 2004-06-23T01:52:48+00:00 chatchai: ผมไม่ได้มีความเห็นที่คัดค้านการบอกราคาเป้าหมายนะครับ เพียงแต่ว่าในตอนที่คุณวัวแดงเขียนในกระทู้แรกนั้น คุณวัวแดงไม่ได้บอกที่มาที่ไปของราคาที่คุณให้ไว้ ในความเห็นของผมนั้น ถ้าเราให้ที่มาที่ไปของราคาใดก็จะเป็นสิ่งที่ดี ที่คนอ่านจะสามารถตัดสินใจได้เองว่าเห็นด้วยหรือไม่ประการใด การที่มีผู้ที่ออกความเห็นทั้งคัดค้านและเห็นด้วยมากๆก็เป็นสิ่งที่ดีครับ ดีกว่าเงียบๆกันไป เมื่อ: 2004-06-23T09:04:51+00:00 chatchai: ตอบคุณนักดูดาว ผมสมัครสมาชิก TVI แล้วครับ เมื่อปีที่แล้ว พอดีเห็นว่าเข้ามาในเว็บไม่นานนักและไม่ได้เข้าทุกวัน และส่วนใหญ่ในเว็บนี้ ก็ไม่มีการปลอมชื่อกันอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ login เมื่อ: 2004-06-23T23:58:56+00:00 chatchai: นี่ไง ผมปลอมชื่อแล้ว แนบเนียนไหมครับ register ไว้ดีกว่าครับ เมื่อ: 2004-06-24T01:23:36+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เทคนิคอล tossaporn: ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่คาดได้ยากมากๆครับจะไปหรือไม่สำหรับดัชนีหลักทรัพย์ อยากให้ทุกคนลองวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของ Set index ในช่วงนี้ครับ ........... เมื่อ: 2005-01-31T18:08:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กรุณาวิจารณ์ Portfolio ของผมให้ด้วยครับ panwa: Banpu        60% SVI            10% STPI            5% STPI-W1      5% MINT-W4   20% เมื่อ: 2010-06-29T14:11:37+00:00 romee: กะ upside แต่ละตัว กี่%เหรอครับ เมื่อ: 2010-06-29T15:09:12+00:00 Warantact: แต่ละตัวเก็บมาเท่าไรเหรอครับ เมื่อ: 2010-06-29T15:13:47+00:00 sunrise: ขอเหตุผลที่ซื้อแต่ละตัวครับ แล้วจะวิจารณ์ได้ถูก มุมมองส่วนตัวนะครับ อย่ามองว่าผมแรงเลยนะ ผมแรงแค่เรื่องการเมือง  :lovl: เล่นหุ้นลืมทุนได้ลืมก็ดีครับ ไม่เกี่ยวกับทุน เกี่ยวกับว่า เป้าหมายเทียบราคาปัจจุบัน เมื่อ: 2010-06-29T15:17:21+00:00 โว้กว้าก: ถ้าให้วิจารณ์ก็ไม่รู้ว่าจะวิจารณ์อะไรอ่ะแต่ล่ะคนมีเหตุผลในการซื้อไม่เหมือนกันครับ เปลี่ยนเป็นคุณ panwa วิเคราะห์ข้อดีข้อด้อยของหุ้นแต่ล่ะตัวในพอร์ต เหตุผลในการซื้อ แล้วเอาประเด็นเหล่านี้มาแลกเปลี่ยนกันผมว่าคนเข้ามาเพียบครับ เมื่อ: 2010-06-29T16:17:07+00:00 โอบาน่า: ผมว่าแต่ละตัว mos น้อยไปหน่อยนะคับ ยกเว้น บ้านปู เมื่อ: 2010-06-29T17:40:57+00:00 โอบาน่า: โอบาน่า เขียน:ผมว่าแต่ละตัว mos น้อยไปหน่อยนะคับ ยกเว้น บ้านปู คงต้องติดตามมากหน่อยว่า มี growth มาน้อยเพียงใดถ้ามากก็อุ่นใจได้ถ้าตลาดเกิดหมีขึ้นมา มีแผนสองไว้ก็ดีครับ %ที่ได้ใกล้ๆกับผมแต่ผมไม่มีหุ้นที่คุณถือซักตัว ^_^ เมื่อ: 2010-06-29T17:45:01+00:00 << New >>: ถ้าจะให้วิจารณ์ โดยดูจากหุ้นกับ % ทีถือ แนะนำกระทู้นี้ครับ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0 ของพี่เค้าต้นตำหรับ  :lol: ป.ล. แซวเล่นนะครับ เมื่อ: 2010-06-29T18:17:34+00:00 picatos: [quote="sunrise"]ขอเหตุผลที่ซื้อแต่ละตัวครับ แล้วจะวิจารณ์ได้ถูก มุมมองส่วนตัวนะครับ อย่ามองว่าผมแรงเลยนะ ผมแรงแค่เรื่องการเมือง เมื่อ: 2010-06-29T23:35:03+00:00 picatos: อ้อ... เพิ่มอีกนิดครับ... VI เวลาลงทุนหุ้นที่ไม่มี MOS (ที่ความเชื่อมั่นระดับหนึ่ง) แสดงว่าหุ้นมี Downside อยู่ VI ที่ Strict มากๆ จะลงทุนในหุ้นที่ไม่มี Downside เสมอ ดังนั้นโอกาสขาดทุนจะเหลือน้อยมาก กรณีที่จะขาดทุนต้องเกิด Worst Case ในระดับ 1 ใน พัน อะไรประมาณนั้น เช่น โรงงานระเบิด แผ่นดินไหว เกิดจลาจล อะไรประมาณนั้น เมื่อ: 2010-06-29T23:39:53+00:00 kanoon: picatos เขียน:อ้อ... เพิ่มอีกนิดครับ... VI เวลาลงทุนหุ้นที่ไม่มี MOS (ที่ความเชื่อมั่นระดับหนึ่ง) แสดงว่าหุ้นมี Downside อยู่ VI ที่ Strict มากๆ จะลงทุนในหุ้นที่ไม่มี Downside เสมอ ดังนั้นโอกาสขาดทุนจะเหลือน้อยมาก กรณีที่จะขาดทุนต้องเกิด Worst Case ในระดับ 1 ใน พัน อะไรประมาณนั้น เช่น โรงงานระเบิด แผ่นดินไหว เกิดจลาจล อะไรประมาณนั้น เห็นด้วยครับ ดูที่ Downside ก่อนเพื่อที่จะจำกัดการขาดทุน ดังกฏการลงทุนที่ว่า "ห้ามขาดทุน" นักลงทุนมักจะลืมไปว่าหากขาดทุนเพียงแค่ 50% จะต้องใช้กำไรถึง 100% เพื่อที่จะให้เงินทุนเท่าเดิม เมื่อจำกัดการขาดทุนไว้แล้ว โดยการมอง downside จากนั้น เมื่อบริษัท ทำกำไรได้ กำไรจากการถือหุ้นทั้งส่วนของ 1. capital gain 2. เงินปันผล กลับมาที่หัวข้อของกะทู้ ถือหุ้นบ้านปูเยอะ ขึ้นก็ได้เยอะ แต่ลงก็เสียหายมาก ใจต้องหนักแน่น มองยาวๆ ระยะสั้นหุ้นผันผวน แต่ระยะยาวแล้ว ต้องมองให้ออกว่า อีก 5 ปี บ้านปูจะยังคงอยู่หรือกำไร โตหรือไม่ เมื่อ: 2010-06-29T23:57:59+00:00 panwa: - บ้านปูซื้อมาที่เฉลี่ย 609 บาทมีเป้าหมายที่ 700 บาทครับ อย่างไรพลังงานน่าจะมาไม่เร็วก็ช้า มีพายุและน้ำมันรั่วที่อ่าวเม็กซิโก การใช้ถ่านหินน่าจะเป็นทางออกมากขึ้น  แต่ความเสี่ยงคือเศรษฐกิจจีนอาจชลอการขยายตัว -  STPI และ STPI-W ซื้อมาเฉลี่ย 28.75 บาทเป็น growth stock ถ้าธุรกิจมีแนวโน้มขยายตัวแค่ในอัตราปัจจุบัน  ถือเก็บไว้เอาแค่ปันผลก็โอแล้ว  มีความเสี่ยงที่ธุรกิจอาจไม่ขยายตัวตามที่กำหนด แต่ยังมี backlog อยู่เยอะอย่างน้อยก็ปีนี้ -  MINT-W4 ซื้อมาที่ 2.47 บาทคิดว่าเป็น turnaround stock น่าจะฟื้นตัวใน 2-3 เดือนนี้ มีบุคคลสำคัญถือหุ้นอยู่หลายท่าน  มีความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่สงบของกลุ่มเสื้อแดงขึ้นอีก แต่นักท่องเที่ยวอาจจะชินแล้วก็ได้ถ้ามีทุกปี เมื่อ: 2010-06-30T05:07:27+00:00 OutOfMyMind: ผมไม่รู้จักซักตัวเลยครับ ขอนั่งอ่านท่านอื่นด้วยคน เป็นความรู้ เมื่อ: 2010-06-30T06:18:18+00:00 jung_oh: ดูจากวันที่ Join ผมว่าพี่ก็น่าจะมือเก๋าอยู่นะครับ มาลองภูมิน้องๆ ใหม่ๆ หรือป่าวเอ่ย ? เมื่อ: 2010-06-30T06:21:19+00:00 pasaaris: STPI น่าจะเป็น turn around มากกว่า ส่วน MINT น่าจะเป็น growth มากกว่านะครับ ส่วน BANPU น่าจะต้องดูการ take เหมืองใหม่ และ ราคาถ่านหินมากกว่านะครับ ถ้าไม่รู้เกี่ยวกับสองอย่างนี้เลย คาดเดาอนาคตลำบากนะครับ เมื่อ: 2010-06-30T07:07:06+00:00 sonnesaint: jung_oh เขียน:ดูจากวันที่ Join ผมว่าพี่ก็น่าจะมือเก๋าอยู่นะครับ มาลองภูมิน้องๆ ใหม่ๆ หรือป่าวเอ่ย ? โอ้ join 2003 นับว่าเป็นรุ่นใหญ่ของ ThaiVI เลยนะครับ เมื่อ: 2010-06-30T07:33:19+00:00 picklife: OutOfMyMind เขียน:ผมไม่รู้จักซักตัวเลยครับ ขอนั่งอ่านท่านอื่นด้วยคน เป็นความรู้ เหือนกันครับพอร์ทไม่มีซักตัว 555+ รู้จักแต่STPIแต่ตัวนี้เล่นแบบฟันแล้วทิ้ง เข้าๆออกๆเอามันส์ 555+ ว่าแต่จขกท.เล่าให้ฟังบ้างซิครับ ว่าแต่ละตัวดียังไง Upsideเท่าไหร่เพราะอะไร? อย่างบ้านปูเนี๊ยะไม่เคยดูเลยจริงๆอยากฟังมากๆ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-06-30T10:53:22+00:00 frontosa: เรื่องลืมต้นทุน คงไม่ต้องลืมจริงๆ เพียงแต่อย่าเอามาเป็นปัจจัยในการคิดวิเคราะห์มากกว่า ปล. ถ้าลืมจริง กลายเป็นว่าเราไม่รู้เลยตัวไหนเราถูก ตัวไหนผิด สถิติเป็นไงการลงทุนของเราดีขึ้นจริงมั้ย เมื่อ: 2010-06-30T12:27:02+00:00 o-bo-ja-ma: คงตัดสินใจดีแล้วครับ ถือต่อครับ ไม่ต้องสนคำวิจารณ์ เมื่อ: 2010-06-30T13:35:43+00:00 picatos: frontosa เขียน:เรื่องลืมต้นทุน คงไม่ต้องลืมจริงๆ เพียงแต่อย่าเอามาเป็นปัจจัยในการคิดวิเคราะห์มากกว่า ปล. ถ้าลืมจริง กลายเป็นว่าเราไม่รู้เลยตัวไหนเราถูก ตัวไหนผิด สถิติเป็นไงการลงทุนของเราดีขึ้นจริงมั้ย กำไร คือ ถูก?? ขาดทุน คือ ผิด?? สำหรับผม ถ้าวิเคราะห์พื้นฐานกิจการผิด แต่กำไร ผมก็ถือว่าผิดนะ แต่ถ้าวิเคราะห์พื้นฐานได้ถูก แต่ขายขาดทุนเพราะจะ switch ไปตัวอื่น ผมก็ถือว่าผมถูกนะ เมื่อ: 2010-06-30T15:24:20+00:00 PaZZaHut: picatos เขียน: สรุป... เลิกดูต้นทุน เลิกดูว่ากำไรหรือขาดทุนอยู่ แต่กลับมาดูที่ Valuation ของ Upside กับ MOS นั้นจะทำให้ลงทุนได้ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ ขอบคุณมากครับพี่ picatos เมื่อ: 2010-06-30T16:35:48+00:00 dome@perth: ไม่อยากสอนจระเข้ว่ายน้ำหรอกครับ ผมยังไม่ใช่เทพ ไม่่ใช่เซียน แต่อยากเสริม หากเลือกหุ้นดเข้าพอร์ตีแล้วเสริมด้วยการใช้ศิลปะ การปรับพอร์ต ตามการเคลื่นไหวของราคา โดยอิง MOS หรือ Downside และ Upside ครับ ปรับไปปรับมา เดี๋ยวก็ลืมต้นทุนเองแหละ (เพราะคำนวณไม่ได้อิอิ) เมื่อ: 2010-06-30T17:15:29+00:00 SunShine@Night: dome@perth เขียน:ไม่อยากสอนจระเข้ว่ายน้ำหรอกครับ ผมยังไม่ใช่เทพ ไม่่ใช่เซียน แต่อยากเสริม หากเลือกหุ้นดเข้าพอร์ตีแล้วเสริมด้วยการใช้ศิลปะ การปรับพอร์ต ตามการเคลื่นไหวของราคา โดยอิง MOS หรือ Downside และ Upside ครับ ปรับไปปรับมา เดี๋ยวก็ลืมต้นทุนเองแหละ (เพราะคำนวณไม่ได้อิอิ) ผมคำนวณได้ เพราะผมคำนวณต้นทุนทุ transaction แอบมาแซวคุณ dome อิอิ ^^ เมื่อ: 2010-06-30T17:31:12+00:00 potato: มี mint-w4 เหมือนกันคับ เมื่อ: 2010-07-01T03:43:28+00:00 sunrise: [quote="panwa"]- บ้านปูซื้อมาที่เฉลี่ย 609 บาทมีเป้าหมายที่ 700 บาทครับ อย่างไรพลังงานน่าจะมาไม่เร็วก็ช้า มีพายุและน้ำมันรั่วที่อ่าวเม็กซิโก การใช้ถ่านหินน่าจะเป็นทางออกมากขึ้น เมื่อ: 2010-07-01T04:09:04+00:00 panwa: เป้าหมายจะนำมาจากที่โบรกต่างๆ วิเคราะห์หุ้นครับ  ส่วนตัว STPI ถ้ากำไรขยายตัวเช่นไตรมาส 1 น่าจะถึง 60 บาทไม่ยากนะครับ ถ้าบริษัทเคยได้งานใหญ่น่าจะทำให้ได้เปรียบในการประมูลมากขึ้นเพราะมีผลงานมาแล้ว ยังมีโครงการแอร์พอร์ทและพลูโต 2 อีกในปีนี้คงมีงานเต็มมังครับ  สำหรับ MINT-W4 นั้นหวังจะให้ตัวแม่ขึ้นถึง 13 บาทตัวลูกน่าจะผ่าน 3 บาทได้นะครับ เมื่อ: 2010-07-01T06:10:36+00:00 อนัตตา: [quote="panwa"]เป้าหมายจะนำมาจากที่โบรกต่างๆ วิเคราะห์หุ้นครับ เมื่อ: 2010-07-01T09:21:28+00:00 frontosa: picatos เขียน: กำไร คือ ถูก?? ขาดทุน คือ ผิด?? สำหรับผม ถ้าวิเคราะห์พื้นฐานกิจการผิด แต่กำไร ผมก็ถือว่าผิดนะ แต่ถ้าวิเคราะห์พื้นฐานได้ถูก แต่ขายขาดทุนเพราะจะ switch ไปตัวอื่น ผมก็ถือว่าผมถูกนะ ก็จริงอ่ะนะครับ กำไรไม่ได้แปลว่าถูก ขาดทุนไม่ได้แปลว่าผิด แต่มันก็เกือบอย่างนั้น ร้อยละร้อยแหละครับ ถ้าเชื่อว่าราคาในระยะยาวจะเป็นไปตามกำไร ขอยืนยันว่าทำเป็นลืมได้ แต่ยังไงคุณก็ต้องจด หรือ ลงคอมไว้อยู่ดี ไม่งั้นไม่ต้องมีํับัญชงบัญชีกันแล้ว แล้วคุณจะรู้ได้ไงล่ะว่าได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ เห็นแต่ละคนคิดผลตอบแทนกันเป๊ะๆ ยิ่งกว่าผมอีก อีกอย่างถ้าเราคิดถูกแล้ว ทำไมราคาหุ้นมันไม่ไปไหน? มีจุดไหนบกพร่องหรือไม่ หรือ นอกจากกำไรมีอะไรอย่างอื่นอีกมั้ย ที่เป็นตัวกระตุ้นราคา... เมื่อ: 2010-07-01T15:20:44+00:00 blueplanet: ตัวที่ต้องคัดลอส อย่างด่วนเลย คือ banpu ถ่านหินไม่มีอนาคต เพราะ น้ำมันไม่มีอนาคต มั่นใจมาก แต่ ไม่รับผิดชอบอยู่แล้ว เมื่อ: 2010-07-02T01:04:27+00:00 picatos: frontosa เขียน: ก็จริงอ่ะนะครับ กำไรไม่ได้แปลว่าถูก ขาดทุนไม่ได้แปลว่าผิด แต่มันก็เกือบอย่างนั้น ร้อยละร้อยแหละครับ ถ้าเชื่อว่าราคาในระยะยาวจะเป็นไปตามกำไร ขอยืนยันว่าทำเป็นลืมได้ แต่ยังไงคุณก็ต้องจด หรือ ลงคอมไว้อยู่ดี ไม่งั้นไม่ต้องมีํับัญชงบัญชีกันแล้ว แล้วคุณจะรู้ได้ไงล่ะว่าได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ เห็นแต่ละคนคิดผลตอบแทนกันเป๊ะๆ ยิ่งกว่าผมอีก อีกอย่างถ้าเราคิดถูกแล้ว ทำไมราคาหุ้นมันไม่ไปไหน? มีจุดไหนบกพร่องหรือไม่ หรือ นอกจากกำไรมีอะไรอย่างอื่นอีกมั้ย ที่เป็นตัวกระตุ้นราคา... ขอสารภาพว่า... ผมไม่เคยจดต้นทุนการซื้อขายหุ้นแต่ละตัวลงคอม ไม่เคยรู้ว่าปีๆ นึงเสียค่าคอมให้มาร์เท่าไหร่ และไม่เคยรู้เลยว่ากำไร/ขาดทุนจากหุ้นตัวหนึ่งๆ ของผมเท่ากับเท่าไหร่ อันนี้ขอสารภาพจริงๆ นะครับ... แต่เวลาผมเห็น ผมจะเห็นเป็น พอร์ต ทั้งพอร์ต ผมจะทำการ Mark-To-Market NAV ของพอร์ตผมทุกวัน โดยใส่แค่ว่า มูลค่าเงินลงทุนอยู่ที่ โบรกนี้เท่าไหร่ โบรกนี้เท่าไหร่ มีเงินสดอยู่เท่าไหร่ และมีเงินที่รอเค้าบัญชีเท่าไหร่ สุดท้ายก็คือมูลค่าเงินลงทุนของวันนี้ทั้งหมดที่ผมมีเท่ากับเท่าไหร่ - ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ผมใช้ MTM เพื่อติดตาม Performance เมื่อ: 2010-07-02T04:21:51+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
พูดถึงร้านอาหารหรือธุรกิจอื่นในเครือหน่อยสิครับ harry: พอพูดถึงโออิชิ ส่วนใหญ่จะนึกถึงชาเขียว แต่ผมชอบ โออิชิ ราเมน มากกว่านะ อยากให้พูดถึงตัวร้านอาหาร และธุรกิจอื่นในเครือบ้างครับ เค้ามีร้านกาแฟ คุกกี้ ด้วยนี่ เมื่อ: 2005-12-04T04:00:15+00:00 harry: ba_2l เขียน: โออิชิ ราเมนผมว่าสู้ฮัจจิบังไม่ได้ อันนี้ผมว่าจริงนะ ผมกินที่ฮัจจิบังบ่อยมาก สองร้านนี้เปิดใกล้กันที่มาบุญครอง ผมเลือกเข้าฮัจจิบัง แต่ก็สลับไปโออิชิบ้าง เพราะ ฮัจจิบังคนเยอะกว่าอ่ะ เมื่อ: 2005-12-04T05:55:52+00:00 oaaa19: ไปทานเทปันยากิ ที่มาบุญครองมา ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะไม่ทานเนื้อวัว แต่ว่ายังไงเค้าก็ใช้เตาเดียวกัน อืม ทำใจลำบาก จะให้แยกเตามันก็เป็นไปไม่ได้ เลยบอกเค้าว่าให้ทำห่างๆ กะ สเต๊กเนื้อวัวนิดนึงละกัน โออิชิ express เปิดใหม่ที่ IT Square ยังไม่ทันถึงเดือนเลย ปากชามก็เริ่มแตกซะแล้ว น่าจะเปลี่ยนได้แล้ว  ส่วนอาหารก็ดูแย่กว่าเดิมด้วย สำหรับอะมิโน OK เด็กๆวัยรุ่นแถวบ้านเค้าก็ชอบกันนะ บอกว่าอร่อยดี แต่ว่าสำหรับตัวเองแล้ว ไม่รู้สึกถึงคุณค่าของอะมิโนซักเท่าไหร่ มันไม่เหมือนกันเป๊ปซี่ที่กินแล้วรู้สึกว่ามันซ่าๆ สดชื่นกว่า IN and Out สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวปรับปรุงร้านใหม่แล้วก็ดูสวยดี  ส่วนราคาปรับขึ้นมาซักพักใหญ่ๆ แต่คนยังเยอะเหมือนเดิม โออิชิราเมน ที่สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวปรับปรุงร้านใหม่แล้วเหมือนกัน ทำให้นั่งได้มากขึ้น แต่ดูไม่สวยเลย เหมือนเป็นนิคมอะไรซักอย่าง คนรอคิวทานเยอะเหมือนกัน เมื่อ: 2005-12-07T06:44:42+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บัญชีมาร์จิ้น เปิดยากจริงวุ้ย frontosa: อยากเปิดบัญชีมาร์จิ้น แต่หุ้นแต่ละตัวที่มีอยู่เนี่ย สภาพคล่องต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จะเอาไปเป็นหลักประกัน ก็อยู่ grade C ไม่รู้จะถอดออกรึเปล่า และอีกหลายๆตัวก็ไม่อยู่ในรายชื่อหลักทรัพย์ที่จะเอาไปเป็นหลักประกันได้ด้วยซ้ำ เซ็งเลย เห็นดอกเบี้ยถูกๆ กะเล่นมาร์จิ้นซะหน่อย พี่ๆเพื่อนๆ มีใครเล่นมาร์จิ้นอยู่บ้างครับ มีปัญหารึเปล่า รึมีเทคนิคยังไงบ้าง ถามหน่อย เมื่อ: 2007-09-26T02:45:42+00:00 sunrise: ผมยอมขายหุ้นเอาเงินไปค้ำครับ เมื่อ: 2007-09-26T03:57:56+00:00 trillionaire: ...ถ้าชอบเล่นหุ้นขาดสภาพคล่อง ไม่น่าจะเปิดบัญชีมาร์จิ้นนะครับ... ...เพราะอาจไม่คุ้มค่าดอกเบี้ย แถม ถ้าโดนทิ้งแบบไม่มีbid... ...จะต้องเติมเงินหรือไม่ก็ต้องทำปิดเอง... ...ความจริง ไม่ว่าจะเก็งกำไรหรือVIก็ไม่แนะนำมาร์จิ้นเลยครับ... ...เคยเล่นมาแล้วทุกแบบ ทั้งมาร์จิ้น ทั้งกู้เพื่อน ล้วนนอนไม่หลับ... ...ดอกมั่ง Force Sellมั่งมันบีบให้ขายตลอด ... ...พอเปลี่ยนมาเล่นCash แถมเล่นหุ้นพื้นฐานดี มีปันผล... ...ชีวิตมีความสุข นอนหลับสบาย มีเวลาให้งานประจำ ไม่ต้องพะวักพะวง... เมื่อ: 2007-09-26T05:30:06+00:00 fantasia: ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้นะครับ ดีซะอีกจะได้ไม่เสี่ยงมากด้วย การเริ่มเล่นมาร์จิ้นช่วงแรกควรเริ่มแต่น้อย ๆ ก่อน ข้อดีของหุ้น GRADE C คือแม้อัตรา IM จะสูงแต่อัตรา MM กับ Force Sell เท่ากับหุ้น GRADE A, B ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะโดน Call Margin หรือ Force Sell ต่ำมาก เพราะกู้ได้น้อย แนะนำให้กำหนดระดับ Debt/Asset สูงสุดที่สามารถรับได้ก่อน และพยายามรักษาระดับหนี้สินที่มีกับมูลค่าหุ้นให้ไม่เกินค่าที่ตั้งไว้ครับ ถ้ารับความเสี่ยงได้มากคงต้องปรับพอร์ตไปเล่นหุ้น Grade A, B, C เยอะขึ้นและขายหุ้นที่ไม่ให้ margin ทิ้งออกไปบ้างครับ ขอให้โชคดีกับการเป็นหนี้ครับ  :D เมื่อ: 2007-09-26T06:20:55+00:00 frontosa: sunrise wrote ผมยอมขายหุ้นเอาเงินไปค้ำครับ อ๋อ แล้วพอซื้อใหม่เค้าจะคิดยังไงครับ ค่อนข้างงง สมมติ ขายหุ้นไปได้เงินสดมา 1 ล้าน เอาไปเข้าบัญชีมาร์จิ้น แล้วซื้อหุ้น2ล้าน ทีนี้คิดดอกเบี้ยในส่วนที่เกินมา1ล้านใช่มั้ยครับ เมื่อ: 2007-09-26T06:47:41+00:00 frontosa: trillionaire wrote ...ถ้าชอบเล่นหุ้นขาดสภาพคล่อง ไม่น่าจะเปิดบัญชีมาร์จิ้นนะครับ... ...เพราะอาจไม่คุ้มค่าดอกเบี้ย แถม ถ้าโดนทิ้งแบบไม่มีbid... ...จะต้องเติมเงินหรือไม่ก็ต้องทำปิดเอง... ...ความจริง ไม่ว่าจะเก็งกำไรหรือVIก็ไม่แนะนำมาร์จิ้นเลยครับ... ...เคยเล่นมาแล้วทุกแบบ ทั้งมาร์จิ้น ทั้งกู้เพื่อน ล้วนนอนไม่หลับ... ...ดอกมั่ง Force Sellมั่งมันบีบให้ขายตลอด ... ...พอเปลี่ยนมาเล่นCash แถมเล่นหุ้นพื้นฐานดี มีปันผล... ...ชีวิตมีความสุข นอนหลับสบาย มีเวลาให้งานประจำ ไม่ต้องพะวักพะวง... ขอบคุณในความหวังดีครับ  :D คือ จริงๆกะว่าจะใช้มาร์จิ้นไม่มาก ไม่น่าจะโดน force sell แน่ๆ แล้วดอกเบี้ยตอนนี้อยู่ที่ 5.75% เอง เลยคิดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าพอสมควร เลยอยากเปิดมาร์จิ้นน่ะครับ ใช้เงินตัวเองมันก็สบายใจดี แต่อยากเพิ่มเร็วๆน่ะสิครับ ยอมเสี่ยงนิดหน่อยน่าจะดี อีกอย่าง อยากหาเงินเอง ไม่อยากพึ่งพ่อแม่ พี่น้อง จริงๆก็พอมีเงินเก็บบ้าง ตอนนี้ทำงานมา 6 ปีแล้ว แต่กว่าจะมีอิสสระภาพทางการเงิน ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆคงจะใช้เวลาพอสมควรเลย เมื่อ: 2007-09-26T06:55:03+00:00 frontosa: fantasia wrote ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้นะครับ ดีซะอีกจะได้ไม่เสี่ยงมากด้วย การเริ่มเล่นมาร์จิ้นช่วงแรกควรเริ่มแต่น้อย ๆ ก่อน ข้อดีของหุ้น GRADE C คือแม้อัตรา IM จะสูงแต่อัตรา MM กับ Force Sell เท่ากับหุ้น GRADE A, B ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะโดน Call Margin หรือ Force Sell ต่ำมาก เพราะกู้ได้น้อย แนะนำให้กำหนดระดับ Debt/Asset สูงสุดที่สามารถรับได้ก่อน และพยายามรักษาระดับหนี้สินที่มีกับมูลค่าหุ้นให้ไม่เกินค่าที่ตั้งไว้ครับ ถ้ารับความเสี่ยงได้มากคงต้องปรับพอร์ตไปเล่นหุ้น Grade A, B, C เยอะขึ้นและขายหุ้นที่ไม่ให้ margin ทิ้งออกไปบ้างครับ ขอให้โชคดีกับการเป็นหนี้ครับ   คือ กลัวแต่ว่าวันนี้เป็นเกรด C แล้วเดือนหน้ามันหลุดไปกลายเป็นไม่มีเกรดเลยดิครับ :lol: เมื่อ: 2007-09-26T06:57:38+00:00 sunrise: frontosa เขียน:sunrise wrote อ๋อ แล้วพอซื้อใหม่เค้าจะคิดยังไงครับ ค่อนข้างงง สมมติ ขายหุ้นไปได้เงินสดมา 1 ล้าน เอาไปเข้าบัญชีมาร์จิ้น แล้วซื้อหุ้น2ล้าน ทีนี้คิดดอกเบี้ยในส่วนที่เกินมา1ล้านใช่มั้ยครับ ครับผม แต่หุ้นสภาพคล่องต่ำก็ไม่อยากแนะนำเหมือนกันครับ ผมเห้นว่า ดอกเบี้ยตำเลยลุย เมื่อ: 2007-09-26T08:33:20+00:00 fantasia: เอาเงินสดไปวางเพื่อเล่นมาร์จิ้นหรือจะเอาหุ้นไปค้ำประกันก็ไม่มีความแตกต่างครับ ตัวอย่างเช่น มีหุ้น grade C อยู่ 750,000 บาท จะซื้อหุ้นตัวเดิมได้อีก 250,000 บาท โดยจะเป็นหนี้ 250,000 บาท มีหุ้น 1,000,000 บาท แต่ถ้าขายหุ้นไปก่อนได้เงินมา 750,000 บาท เอาไปวาง ก็ซื้อหุ้นตัวนั้นได้ 1,000,000 บาทอยู่ดี เงินสดจะถูกนำไปจ่ายค่าหุ้นก่อน ส่วนที่ไม่พอถึงจะกู้ได้ครับ มีหนี้ต้องไม่มีเงินสด (ตรงนี้มีหลายคนเข้าใจผิดว่าเอาเงินสดไปค้ำเงินกู้คือมีทั้งหนี้และเงินสด) ส่วนเรื่องหุ้น grade C จะตกไปเป็นไม่มีเกรดนี่ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าไม่ได้ไปเล่นพวก GEN, N-PARK, APURE โบรกเกอร์เขาไม่ทำร้ายลูกค้าตัวเองหรอกครับ มีแต่ว่าจะเปลี่ยนเกรดหุ้นที่คุณถืออยู่ให้เล่นมาร์จิ้นได้ แนะนำให้เปิดบัญชีกู้ตรงกับโบรกเกอร์เอง อย่ากู้ผ่าน TSFC น่าจะคุยเรื่องหุ้นที่ให้มาร์จิ้นง่ายหน่อย เมื่อ: 2007-09-26T10:54:08+00:00 frontosa: เรื่องเปลื่ยนเกรดหุ้นนี่ วันนี้ลองโทรคุยดูทั้งกับมาร์เกตติ้ง กับ TFSC เห็นว่ามันเปลื่ยนเกรดได้ หรือเค้ากลัวเราโวยตอนหลังถ้าเกิดเรื่องขึ้นหว่า ไม่รู้เอาไงดี คือหุ้นที่อยู่เกรด A มีสามตัวแต่คิดเป็นประมาณ 18 % ของพอร์ต ไอ้เจ้าหุ้นเกรดAนี่สบายอยู่แล้วไม่มีทางหลุดแหงๆ ส่วนหุ้นเกรด C นี่ราวๆ 45% อืมๆๆ ท่าทางยุ่งแฮะ ยืมตังค์ญาิติๆดีกว่า แล้วให้ดอกเบี้ย น่าจะwork ขอบคุณทุกท่านนะครับ  :D เมื่อ: 2007-09-27T07:06:40+00:00 MindTrick: พอดีเลยทู้นี้ ผมสนใจเปิดเหมือนกัน ไปมาๆ ผมคงเปิดไม่ได้ หุ้นผมสอบตกแน่เลย... แฮ่... กัดฟันเข็ญเท่าที่มี ดีกว่า อยากเน้น leverage ลองมอง TFEX  :lol: เมื่อ: 2007-09-27T17:38:25+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Too good to be true/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Thai VI Article: คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานและติดตามศึกษาหุ้นตลอดเวลารวมทั้งพยายามจดจำกรณีศึกษาหุ้นที่น่าสนใจและมีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ ก็มักจะพบหุ้นกลุ่มหนึ่งที่ “เคย” เป็นหุ้นที่โดดเด่นสุดยอดในแง่ของการที่หุ้นมีราคาปรับตัวขึ้นไปสูงสุดยอดในเวลาอันสั้น บางทีกว่า 10 เท่าในเวลาเพียง 2-3 ปี และนี่ไม่ใช่หุ้น “Turnaround” ที่หุ้นฟื้นตัวจากวิกฤติที่บริษัทเกือบเอาตัวไม่รอดและมูลค่าหุ้นเหลือเพียงน้อยนิดราคาหุ้นเป็นเศษสตางค์ แต่เป็นหุ้นธรรมดา ๆ ขนาดย่อม ๆ ที่อยู่ ๆ ก็มีราคาวิ่งขึ้นมหาศาลจนบางทีมีมูลค่าเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทกลายเป็นหุ้นขนาดกลางหรือใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลายเป็น “หุ้นนางฟ้า” ปรากฏการณ์แบบนี้บ่อยครั้งเกิดขึ้นเนื่องจากผลประกอบการที่โตขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” เช่นโตขึ้นกว่า 30-50% เมื่อเทียบกับปีก่อนไตรมาศต่อไตรมาศและดำเนินต่อกันมาหลายไตรมาศ บางบริษัทเป็นเพราะมีการเปิดดำเนินการของธุรกิจใหม่ที่ “มีอนาคตที่สดใส” และเป็น “เมกาเทรนด์” ที่อาจจะดำเนินต่อไปอีกนาน แต่บางบริษัทก็เป็นเพราะมีการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ ๆ ที่ “มีขนาดใหญ่แบบไม่จำกัด” ซึ่งทั้งสองกรณีทำให้บริษัทถูกมองว่าจะกลายเป็นบริษัทที่โตได้ “ในระดับโลก” ลำพังแค่กำไรของบริษัทโตมากจากฐานที่ต่ำในเวลาสั้น ๆ เพียง 4-5 ไตรมาศคงไม่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปได้มากเป็นเท่า ๆ และมีค่า PE เป็น 50-100 เท่าได้ Story หรือเรื่องราวว่าบริษัททำธุรกิจที่มีอนาคตสดใสเป็นเมกาเทรนด์หรือบริษัทขยายกิจการไปสู่ตลาดใหญ่ระดับโลกก็ไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจอะไรนักเนื่องจากมีบริษัทจำนวนไม่น้อยก็ทำแบบนั้น ว่าที่จริงหลาย ๆ บริษัทก็ทำแบบเดียวกันมาแล้วแต่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือหลาย ๆ บริษัทอาจจะประสบความสำเร็จแต่ความสำเร็จนั้นก็อาจจะไม่โดดเด่นพอที่จะทำให้บริษัทโดยรวมที่มีขนาดใหญ่มีกำไรโตมากพอที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับนักลงทุน แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นเหล่านั้นกลายเป็น “หุ้นนางฟ้า” ได้นั้นผมคิดว่าเป็นเพราะขนาดของ Free Float หรือจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดมีน้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่เข้าไปซื้อหุ้นลงทุน ซึ่งนั่นทำให้หุ้นมักจะถูก “Corner” หรือถูกซื้อเกือบหมดโดยนักลงทุนรายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่เข้าไปซื้อหุ้นโดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ผลก็คือ ราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นไปสูงลิ่วโดยอาจจะไม่ได้อิงกับพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการ และนั่นนำมาซึ่ง ….สิ่งดี ๆ ทั้งหลายเกี่ยวกับหุ้น เพราะราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นเรื่อย ๆ นั้น มันมักจะเป็นสิ่งที่ “ยืนยัน” ว่าบริษัทดี ยิ่งราคาหุ้นขึ้นไปมากเท่าไร บริษัทก็ยิ่งดูดีขึ้นเท่านั้น จนถึงวันหนึ่งมันก็ถึงจุดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างที่พูดในภาษาอังกฤษว่า “Too good to be true” หุ้นที่ “Too good to be true” นั้นโดยทั่วไปมักจะมีตัวเลขทั้งในเรื่องของการประกอบการและผลประกอบการที่โดดเด่นกว่าตัวเลขเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่าง “เทียบกันไม่ได้” เรื่องราวที่ฟังจากผู้บริหารก็มักจะออกมาในแนวที่ว่า บริษัทมีระบบการทำงานและพนักงานที่มีข้อมูลความรู้และทักษะที่เหนือกว่าบริษัทอื่นที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันหรือใกล้เคียงกันทั้ง ๆ ที่บริษัทไม่ได้มีการวิเคราะห์วิจัยระบบการทำงานหรือมีการอบรมพนักงานเป็นพิเศษ สิ่งที่บริษัททำก็ไม่ใช่สิ่งที่บริษัทอื่นจะทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เวลาผู้บริหารพูด นักวิเคราะห์และนักลงทุนก็มักจะไม่ตั้งคำถาม นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาที่ว่าถ้าคุณประสบความสำเร็จดูจากราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูงและเร็วขนาดนั้น คุณจะพูดอะไรคนก็จะเชื่อและดูดีไปหมด แต่ถ้าหุ้นตก นักลงทุนขาดทุน นักวิเคราะห์ผิดหวัง ต่อให้คุณอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครคิดหรือเชื่อว่าระบบหรือคนของคุณดี ตัวอย่างที่เห็นก็เช่นในเรื่องของธุรกิจปล่อยเงินกู้รายย่อยที่มีหลายบริษัทมีการดำเนินงานและตัวเลขสำคัญ เช่น อัตราหนี้เสียที่ดี “เหลือเชื่อ” แต่นักลงทุนและนักวิคราะห์ก็เชื่อ เป็นต้น ตัวเลขเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นก็เป็นตัวเลขที่ดูเหมือนว่ามันจะดีจน “เหลือเชื่อ” ได้เช่นกัน “หุ้นนางฟ้า” นั้นมักจะมีมูลค่าหุ้นที่สูงมากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน หุ้นนางฟ้าบางบริษัทนั้น “รายได้” ทั้งบริษัทเป็นแค่ครึ่งเดียวของ “กำไร” ของบริษัทอื่น แต่มูลค่าหุ้นเป็นสองเท่าของบริษัทนั้นก็มี โดยเหตุผลที่ใช้ในการ “สร้างความชอบธรรมของราคาหุ้น” ก็คือ “มันโตเร็วกว่ามาก” และการมีค่า PE 50-100 เท่าในขณะที่คู่แข่งที่ใหญ่กว่ามากในแง่ธุรกิจนั้นหุ้นมีค่า PE เพียง 10-15 เท่า ก็เป็นเรื่องปกติ เหนือสิ่งอื่นใด เขาใช้ค่า PEG ในการประเมินมูลค่าหุ้น นั่นก็คือ ถ้ากำไรบริษัทโตได้ 50-100% ใน 1 ปี ค่า PE ก็เป็น 50-100 เท่าได้ นี่เป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์ใช้เพื่อบอกว่าราคาหุ้นนางฟ้าเหล่านั้น “ไม่แพง” และควร “ซื้อ” มีนักวิเคราะห์น้อยมากที่กล้าหาญแนะนำให้ขายหุ้นที่กำลังวิ่งขึ้นแรงแบบหุ้นนางฟ้าไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไร ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็คือเรื่องราวของหุ้นที่เปลี่ยนจาก “หุ้นธรรมดา” มาเป็น “นางฟ้า” ในช่วง “ข้ามคืน” หรือไม่กี่ไตรมาศหรือแค่ 2-3 ปี หุ้นหลายตัวสามารถรักษาสถานะนั้นไว้ได้ บางตัวก็เป็นปี ๆ ตราบที่ตัวเลขดี ๆ เช่น กำไรที่โตขึ้นยังออกมาเรื่อย ๆ และ Story ดี ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังดำรงอยู่ ซึ่งทั้งหมดนั้นยังต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่า “ราคาหุ้นจะต้องคงอยู่ในระดับสูง” เพราะถ้าความมั่นใจหมดไป อาจจะเพราะว่าคนเริ่มสงสัยในความดีหรือสิ่งดี ๆ ของบริษัทและ/หรือราคาหุ้นเริ่มตกลงอย่างรวดเร็ว สถานะ “นางฟ้า” ของหุ้นก็จะถล่มทะลาย หลังจากนั้น ราคาหุ้นก็จะตกลงมาอย่างหนัก บางทีเกินครึ่ง บางตัวเหลือไม่ถึง 10% ของราคาเดิม เรื่องดี ๆ ต่าง ๆ ที่นักวิเคราะห์และนักลงทุน ชื่นชมสรรเสริญก็จะหายไป นั่นก็คือนาทีที่ “นางฟ้าตกสวรรค์” คนที่เสียหายหนักก็คือ นักลงทุนรายย่อยที่เข้าไปเล่น ส่วนรายใหญ่หรือเจ้าของหุ้นเองนั้น บางคนก็ “กลับไปที่เดิม” แต่ส่วนมากก็จะรวยจากการขายหุ้นไปบางส่วนในราคาที่สูงเหลือเชื่อ ซึ่งแม้ว่าราคาจะตกลงมาครึ่งหนึ่งจากราคาสูงสุด เขาก็ยังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ จากประสบการณ์ของผม หุ้นนางฟ้าส่วนใหญ่นั้นมักไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว เหตุผลก็เพราะว่า “สิ่งดี ๆ” ของหุ้นเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้น “ชั่วคราว” ในบางสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย บางบริษัทเองนั้น ผู้บริหารก็เป็น “คนสร้าง” สิ่งดี ๆ เหล่านั้นขึ้นเองด้วยวิธีการที่แยบยลและไม่โปร่งใส โดยส่วนใหญ่แล้ว ในช่วงแรก ๆ ไม่มีใครสนใจขุดคุ้ยหรือหาเหตุผลที่แท้จริง ทุกคนที่เกี่ยวข้องแม้แต่นักนักวิเคราะห์นั้นต่างก็มีผลประโยชน์เวลาหุ้นขึ้นไปเร็วและแรง ทุกคนอยากเห็นหุ้นขึ้น แต่ถ้ามันไม่ดีจริงในระยะยาว วันหนึ่งหุ้นก็จะต้องตกลงมาที่พื้นฐานของมัน หน้าที่ของ VI ที่ดีก็คือ อย่าเข้าไปร่วมเล่นกับมัน ผมเองเชื่อในสุภาษิตฝรั่งที่ว่า “If it is too good to be true, it probably is.” แปลว่า “ถ้าอะไรมันดูดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง มันก็คงจะไม่จริง” และถ้ามันไม่จริง วันหนึ่งหุ้นก็จะต้องตกลงมาในจุดที่มันเป็นจริง เราไม่รู้ว่าวันนั้นคือวันไหน มันอาจจะเกิดขึ้นเร็วจนเรา “ขายหุ้นไม่ทัน” เมื่อ: 2017-03-11T11:47:37+00:00 donnyvi: ขอบคุณมากเลยครับอาจารย์ ^^ เมื่อ: 2017-03-13T05:48:51+00:00 newbie_12: หุ้นนางฟ้านี่ถ้าเล่นดีๆทำหลายๆเซียนรวยกันหลายสิบเด้งกันมาแล้วนะครับ จำได้ว่าหุ้นนางฟ้ายุคบุกเบิกที่อ. นิเวศน์ให้คำจำกัดความชุดแรกน่าจะเป็น 3 ทหารเสือ snc uec และ ums เหล่าสมาชิก thaivi เล่นกันทั้งเว็บ(สมัยก่อนสมาชิกยังน้อย แทบทุกคนรู้จักกันหมด ไม่เยอะเหมือนทุกวันนี้) ราคาหุ้นวิ่งกันหลายเด้งภายในปีเดียว คนที่เล่นเป็นก็รวยไม่รู้เรื่องกันไป หลังจากนั้นก็มีหุ้นนางฟ้าพวกนี้มาอีกเยอะครับ หุ้นจำพวกที่มีช่วงที่ดีเป็นพิเศษอยู่ช่วงนึง กำไรโตติดๆกันหลายไตรมาส เริ่มมีคนเชื่อว่ามันจะดีแบบนี้ต่อไปตลอดกาล ราคาหุ้น PE และปริมาณซื้อขายติด top active อยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะเป็นหุ้นตัวเล็กๆ แต่อย่างที่บอกแหละครับ หุ้นพวกนี้ถ้าเล่นช่วงที่ฝุ่นกำลังตลบอบอวลไปด้วยความคาดหวัง แล้วออกทันก่อนที่ความจริงจะปรากฏ เข้าหุ้นนางฟ้าพวกนี้ถูกซัก 4-5 รอบก็รวยเละไม่รู้เรื่องละครับ สิ่งสำคัญก็คือเราเล่นหุ้นนางฟ้าต้องรู้ว่ามันจะเป็นนางฟ้าเฉพาะช่วงที่ความจริงยังไม่ปรากฏ ถ้าฝุ่นเริ่มหาย เริ่มเห็นความจริงลางๆ แล้วยังหลอกตัวเองอยู่ว่าเป็น VI ถือยาว พื้นฐานบริษัทยังดี แบบนี้หายนะจะมาเยือนแน่นอน เฉกเช่นเดียวกัน ถ้าเข้าหุ้นนางฟ้าโดยไม่รู้ว่ามันเป็นหุ้นนางฟ้า ถือยาวเป็น VI โดนหุ้นพวกนี้แล้วออกไม่ทัน 4-5 รอบ ก็จะเจ๊งโดยไม่รู้ตัว เมื่อ: 2017-03-14T02:06:59+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Money talk Special กลยุทธ์วีไอ ปี 2565 3ในเส้นทางธรรม - 13 มกราคม 2565 - DonaldduckVI: Credit Reference: MoneyTalkChannel Youtube phpBB [video] เมื่อ: 2022-01-13T09:49:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอชื่นชม คุณพี่ chartchai madman Pn3um0n1a: ช่วยเติมข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ในห้อง ร้อยคนร้อยหุ้นตลอดเวลา ใช้เวลาไม่กี่เดือนล่อไป 2 พันกว่าโพสต์ แล้ว (มีจำนวนโพสต์ ไร้สาระแบบผมน้อยมาก) ขอชื่อชม และเป็นกำลังใจให้นะครับ เพื่อให้ ชาว TVI update อยู่ตลอดเวลา ทั้งหุ้นที่อยู่ในความนิยมและไม่อยู่ในความนิยม สู้ๆ ครับ  :D เมื่อ: 2007-08-03T13:38:05+00:00 สุมาอี้: รู้สึกชื่นชมมานานแล้วเหมือนกัน  :cheers: เมื่อ: 2007-08-03T13:40:58+00:00 chartchai madman: [quote="Pn3um0n1a"]ช่วยเติมข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ในห้อง ร้อยคนร้อยหุ้นตลอดเวลา ใช้เวลาไม่กี่เดือนล่อไป 2 พันกว่าโพสต์ แล้ว (มีจำนวนโพสต์ ไร้สาระแบบผมน้อยมาก) ขอชื่อชม และเป็นกำลังใจให้นะครับ เพื่อให้ ชาว TVI update อยู่ตลอดเวลา ทั้งหุ้นที่อยู่ในความนิยมและไม่อยู่ในความนิยม สู้ๆ ครับ เมื่อ: 2007-08-03T13:43:00+00:00 กระทิงแดง:     ชื่นชมด้วยคนครับ เมื่อ: 2007-08-03T13:50:35+00:00 dunkphunkorn: คนดีศรี TVI เมื่อ: 2007-08-03T13:53:30+00:00 acdc: ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ เมื่อ: 2007-08-03T13:54:45+00:00 กุหลาบงามหลังฝน:       เมื่อ: 2007-08-03T14:02:15+00:00 Luty97: ชื่นชมด้วยครับ   เมื่อ: 2007-08-03T14:29:09+00:00 sirivajj: เยี่ยมมากครับ นับถือ นับถือ เมื่อ: 2007-08-03T14:38:23+00:00 เทียน: ขอบคุณด้วยคนครับ สำหรับข้อมูลดีๆ เมื่อ: 2007-08-03T14:42:19+00:00 กูรูขอบสนาม: ไม่ทราบวันหนึ่งๆ ต้องอ่านหนังสือพิมพ์กี่ฉบับถึงได้ข้อมูลมาเผยแพร่มากขนาดนี้ เมื่อ: 2007-08-03T14:48:18+00:00 ...: เมื่อ: 2007-08-03T14:51:27+00:00 bankniti: ชาติชาย มาดแมน     เมื่อ: 2007-08-03T14:52:38+00:00 Oatarm: ขอบคุณครับ  ข่าวสารจากหลากหลายแหล่ง  แถมรวดเร็วทันใจตะหาก เมื่อ: 2007-08-03T15:17:23+00:00 por_jai: 8) พี่เขาแน่จริงๆครับ เมื่อ: 2007-08-03T15:20:10+00:00 ลูกไม่ท้อ: ชื่นชมด้วยคนครับ เมื่อ: 2007-08-03T16:24:33+00:00 woody: อยากจะให้ทีวีบูรพาไปทำรายการ คนค้นคน กับพี่ Chartchai บ้างจัง เมื่อ: 2007-08-03T16:43:45+00:00 ก้อนหิน: คนดีโลกยกย่องครับ   เมื่อ: 2007-08-03T16:46:24+00:00 Raphin Phraiwal:     ข้าน้อยขอคารวะ เมื่อ: 2007-08-03T17:31:33+00:00 conseto: ขอให้หุ้นที่พี่ซื้อขึ้นครับ มาชื่นชมด้วยครับ เมื่อ: 2007-08-03T17:36:55+00:00 โอ@: หนังสือพิมพ์แทบไม่ต้องอ่านเลยครับ ของพี่ชาติชายอย่างเดียวก็รู้ทั่วแล้ว ขอบคุณมากเลยครับ เมื่อ: 2007-08-03T18:17:55+00:00 Linsu_th: เมื่อ: 2007-08-03T19:27:42+00:00 surat2536:     เมื่อ: 2007-08-04T00:42:50+00:00 New_VI:   ข้อมูลแน่นปึก ต้องพี่ชาติชาย ขอบคุณมากๆเลยครับ   เมื่อ: 2007-08-04T02:00:08+00:00 Tiger: เมื่อ: 2007-08-04T03:51:31+00:00 August: ข้อมูลดีมีคุณภาพ แน่นด้วยสาระเนื้อหา  ประหยัดเวลา มองหาชื่อchartchai madman  ชื่อนี้เป็นประกัน ผมเข้าไปอ่านประจำครับ           ขอบคุณครับ               เมื่อ: 2007-08-04T04:01:40+00:00 chartchai madman: ขอขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาให้กำลังใจครับ ความจริงผมเองต้องขอขอบคุณเว็บและเพื่อนๆพี่ๆชาววีไอครับ เพราะผมได้ความรู้จากเพื่อนๆในเว็บนี้มากจริงๆครับ ผมแอบเข้ามาศึกษาหาความรู้ในเว็บนี้อยู่นานหลายปี นำเอาความรู้ไปใช้ในการลงทุนก็ได้ผลมากทีเดียว ช่วงนี้ว่างๆครับเลยถึงเวลาที่ต้องส่งคืนบ้าง เผื่อว่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆที่เข้ามาศึกษา สิ่งที่อยากเห็นมากขึ้นไปอีกคือการนำเอาข้อมูลที่ได้แล้ว เพื่อนๆพี่ๆชาววีไอนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาdiscussion กันจนถึงแก่น เพื่อประโยชน์ในการลงทุน   ความแตกต่างเรื่องการลงทุนกับการพนันที่ชัดเจนประการหนึ่งคือในเรื่องการลงทุนนั้นทุกคนสามารถแชร์ข้อมูลและความคิดเห็นกันได้ แต่การพนันทำเช่นนั้นไม่ได้ หากในวงไพ่หากปล่อยให้คนอื่นรู้ว่าใครมีไพ่ตัวใดในมือก็ถือว่าแพ้แล้ว แต่การลงทุนนั้นหากทุกคนยิ่งได้รับข้อมูลสมบูรณ์มากเท่าใดยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ส่วนใครจะได้ผลตอบแทนเท่าใดมากน้อยแค่ไหนนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลโดยแท้                                                                                                                                                                   ขอแสดงความนับถือ                                                                                                                                                                   Chartchai madman เมื่อ: 2007-08-04T04:01:44+00:00 HALO: อ่านประจำเหมือนกัน ขอบคุณครับ  ขอให้ ร่ำรวย มากๆ ครับ :lol:  :lol:  :D  :D เมื่อ: 2007-08-04T04:18:25+00:00 cuboty: ขอขอบคุณด้วยคนค่ะ ได้รับข้อมูลดีๆ จากคุณ chartchai madman เยอะมากเลยค่ะ ขอคารวะ   เมื่อ: 2007-08-04T04:45:14+00:00 tanutt: thank a lot ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลดีๆ เมื่อ: 2007-08-04T05:03:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เพิ่งได้เห็นภาพแบบวีดีโอสัมภาษณ์พี่ครรชิตวันนี้นี่เอง Ii'8N: เคยรบกวนขอไปหลายครั้ง ตอนเลือกตั้งก็ดูไฟล์ ตอนน้ำท่วมพี่ครรชิตก็ทำไฟล์ออกมา ยังไม่เคยพบตัวเป็นๆ ของพี่ครรชิต ไพศาล "ผู้ให้" แห่ง Thai VI เจ้าของกระทู้ EPS16Y ที่ใกล้ 2.5 ล้าน views เข้าไปแล้ว บังเอิญไปเห็นวีดีโอไปเยี่ยมบ้านสัมภาษณ์พี่ครรชิต คุณ โจ ลูกอิสานแล้วบอกว่ามีแขกรับเชิญร่วมกันกับคุณธนะสิน พิพัฒน์กิตติกุล กับอีกท่านคุณเกียรติยศ วังประเสริฐ คุณโหน่ง อธิษฐ์ อาชารยา พิธีกร (นอกจากคุณโจ ผมเพิ่งเห็นชื่อทั้งสามท่านอยากรู้ว่าใครเป็นใคร ใช้อากู๋ค้นหาได้ความว่าคุณธนะสินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ SNC คุณเกียรติยศไม่ทราบว่าถือหุ้นอะไรบ้าง แต่เห็นชื่อผู้รับใบอนุญาตจากกลต. คุณโหน่งไม่เจอข้อมูล เห็นแต่ facebook) สรุปก็น่าจะพี่ๆ น้องๆ จาก Thai VI นี่เอง เริ่มต้นด้วยบอก sponsor เสี่ยงแบ๋บสู่พ๊รรณกวนๆ นิดๆ สัมภาษณ์แบบฟรีสไตล์ เห็นบอก upload มา 4 ปีที่แล้ว แต่มีชื่อ channel อะไรสักอย่างที่มุมขวามือของจอ ไม่รู้ว่าออกทีวีรายการอะไรหรืออัดวิดีโอกันเอง เป็น google video ไม่ใช่ youtube เลยตาม link ไปละกันนะครับ (ผมก็ยังดูไม่จบบังเอิญตอนนี้ ที่ apartment net ช้า ดูได้แค่ 5 นาที ตายไปเฉยๆ เดี๋ยวกลับมาดูใหม่) http://video.google.com/videoplay?docid ... 1747662406 เมื่อ: 2011-11-19T07:51:40+00:00 Ii'8N: ตอนแรกๆ พูดคุยเรื่องทั่วไป แล้วมีพูดถึง "behind the scene" ของ EPS16Y แล้วปิดท้ายด้วยการนินทา ว่าฉายาของดร.ไพบูลย์ และดร.นิเวศน์ สองนักโต้วาที ว่าสมัยเรียนจุฬาด้วยกันเพื่อนๆ เรียกว่าอะไร เมื่อ: 2011-11-19T08:18:13+00:00 birdflu: ว้าว ขอบคุณครับ เพิ่งจะเห็นตั่วเฮียครรชิตก็คราวนี้แหละครับ คุณโหน่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นพี่ humdrum นะครับ เมื่อ: 2011-11-19T08:44:38+00:00 theerasak24: บรรยากาศแถวหาดสมิหลารึเปล่าแถมยังมีฝนโปรยปลาย. พี่เค้าสมถะดีนะครับ เมื่อ: 2011-11-19T12:17:49+00:00 บูรพาไม่แพ้: ขอขอบคุณมากครับ ผมเพิ่งพี่ครรชิตครั้งแรกก็ตอนนี้หล่ะครับ เมื่อ: 2011-11-19T14:02:23+00:00 Ii'8N: chom13 เขียน:ขอขอบคุณมากครับ ผมเพิ่งพี่ครรชิตครั้งแรกก็ตอนนี้หล่ะครับ ลืมบอกที่จริงผมเห็นในรูปภาพนิ่งมานานแล้ว เห็นตั้งแต่ที่พูดในวิดีโอที่เปิดการสนทนาบอกว่าถ่ายมาหลายปีแล้วที่ว่าตอนนั้นผมยังเต็ม ผมก็ทันได้เห็น เพราะอ่านมาตั้งแต่ราวๆ ที่เปรียบเทียบ port อ.นิเวศน์กับดร.มานะ มหาสุวีระชัย ในรูป avatar เก่า ตอนนั้นเป็นรูปยิ้ม http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=21989 จำได้ว่าเปลี่ยนเป็นรูปดอกบัวน่าจะราวหลัง hamburger crisis นี่เอง ในกระทู้นั้นก็บอกว่า ครรชิต ไพศาล เขียน:รูปนี้ ถ่ายเมื่อ 2 ปีมาแล้ว ตอน Thaivi จัด มิตติ่ง ครั้งที่ 2 น้องๆเขาเรียกร้อง ให้ผมขึ้นไปประชุมที่กรุงเทพ อยากพบหน้าตัวจริง ผมบอกว่าผมไม่ชอบเดินทาง เลยถ่ายรูปมาแปะไว้ให้ดู ตอนนั้นไว้ผมยาวทำให้ไม่เห็น หน้าผากมันถอยล่นเข้าไป ความจริง หน้าผากของผม มันถอยล่นเข้าไปเยอะแล้ว ปัจจุบันนี้ ผมตัดผมสกินเฮด ใช้กรรไกรตัดผมไฟฟ้า ไถด้วยตัวเอง หัวฉอกเข้าไปพอๆ กับของ ดร. นิเวศน์ นั้นแหละ วันนี้ น้องในเวบชื่อ Charun อยู่เขื่อนบางราง แวะมาสวัสดีอวยพรปีใหม่ที่บ้าน พอน้องเขาเห็นหน้าตัวจริงเข้า เขาบอกว่าพี่ดูแก่กว่าในรูปที่เห็นในเวบ นะ ทรงผมนี้ก็ทำให้คนเรา ดูหนุ่มขึ้น เหมือนกันนะ นั่งคุยกันอยู่สักพัก ก็มี ส.ค.ส จากน้องในเวบ เขียนมาอวรพร ขอให้ลุงครรชิตและครอบครัว มีความสุขตลอดไปครับ จาก Tenkafubu (เบีย) เห็นไหม แก่ไม่แก่ ดูเอา น้องๆในเวบเรียก ลุงแล้วนะครับ ขอให้น้อง Tenkafubu และ เพื่อนๆ ในเวบทุกคน มีความสุขในปีใหม่ที่จะมาถึง เช่นกัน และล่าสุดก็ไปดูใน signature จะมี link ไปใน facebook จะได้เห็นรูปปัจจุบัน http://www.facebook.com/photo.php?fbid= ... =1&theater _________________ ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ http://www.facebook.com/kanchit.paisan#!/kanchit.paisan Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ http://www.facebook.com/pages/Eps16year ... 8077683456 Google เพจ kanchitpaisan https://sites.google.com/site/kanchitpaisan/ Google+ KANCHIT PAISAN https://plus.google.com/?tab=mX#118337176495147249193/ แต่ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวแบบวิดิโอ เพิ่งเห็นครั้งแรก (ขณะที่เห็นอ.ไพบูลย์ กับอ.นิเวศน์บ่อยแล้ว) ....ฟังในวิดีโอ ตอนนั้น 4 ปีที่แล้ว พูดถึงพอร์ตอ.นิเวศน์ 300-400 ล้าน ตอนนี้ 1,600 กว่าล้าน (ยังไม่รวมที่เป็นชื่ออ.นิเวศน์เอง) เมื่อ: 2011-11-19T14:44:09+00:00 yoko: thank u very much. เมื่อ: 2011-11-20T04:49:32+00:00 dome@perth: ขอบคุณครับที่เอามาแชร์ เมื่อ: 2011-11-20T06:20:46+00:00 pak: ถ้าพูดได้เพียง 1 ประโยคกับพี่ครรชิต ผมอยากพูดสั้นๆเพียงว่า... "You're The Inspiration" ครับผม เมื่อ: 2011-11-21T06:44:55+00:00 คลายเครียด: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-11-22T03:03:31+00:00 nueng: ขอบคุณมากนะครับ เมื่อ: 2011-11-22T13:32:16+00:00 jinyong: ขอบคุณครับ พี่ครรชิต แก่กว่าที่คิด อิ อิ แต่ ชีวิตดูมีความสุขมาก .......... ดูสถานที่สงขลาแล้วคิดถึง มอ.หาดใหญ่ ไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยือนนานเหลือเกิน ลองนึกๆ ดู เข้ารหัส 33 ก็จบปี 36 โอย...เกือบ 20 ปีแล้ว เมื่อ: 2011-11-22T17:25:56+00:00 Ii'8N: jinyong เขียน:ขอบคุณครับ พี่ครรชิต แก่กว่าที่คิด อิ อิ แต่ ชีวิตดูมีความสุขมาก .......... ดูสถานที่สงขลาแล้วคิดถึง มอ.หาดใหญ่ ไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยือนนานเหลือเกิน ลองนึกๆ ดู เข้ารหัส 33 ก็จบปี 36 โอย...เกือบ 20 ปีแล้ว เผยมา...เดาได้เลย คุณ jinyong กับน้องน้ำรุ่นใกล้ๆ กัน.....แถวๆ หลักสี่แล้วสิครับ (แหะๆ ผมก็แถวๆ นั้น) แต่ดูรูปรอยยิ้มกับแววตาพี่ครรชิตเทียบกับรูปก่อนหน้านี้ไม่เปลี่ยนเลย เป็นแบบยิ้มออกมาจากใจเต็มๆ ความเป็นคนใจดี สุขภาพจิตแข็งแรง ท่ามกลางความเรียบง่าย อ้ะ...ลองมาดูอีกครั้ง http://www.facebook.com/photo.php?fbid= ... =1&theater เมื่อ: 2011-11-23T02:28:50+00:00 kotaro: ขอบคุณครับ พี่งเห็นพี่ครรชิต วันนี้เองครับ เมื่อ: 2011-11-23T05:20:19+00:00 chamnan028: ขอบคุณครับ เพิ่งเห็นเหมือนกัน ... เมื่อ: 2011-11-23T09:28:15+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บริหารหนี้ปล่อยกู้อย่างไรถึงกำไร hot: ผมลองสังเกต แถวตึก เสริม มิตร ที่อโคก ที่บริเวณชั้นหนึ่งที่เป็นที่ตั้งของบริษัทแห่งหนึ่ง มีคนคอยเรียกคิวชำระเงินกันเป็นแถว เห็นทุกวัน  ทุกครั้งที่มา  จำนวนคนไม่ได้ลดน้อย เอาเสียเลย ทั้งที่ ต้นทุนการเงินสูงขึ้น ดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้น่าสูงขึ้น ตามหลักกิจการแบบนี้น่าจะมีผลกระทบในแง่ ลดลง หรือต้นทุนการเงินไม่มี กับการบริหารหนี้คับ เมื่อ: 2006-06-29T07:46:13+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมต้องเอา การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงเหลือ ลบ ในต้นทุนขายครับ Stock lover: ทำไมต้องเอา การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงเหลือ ลบ ในต้นทุนขายเหรอครับ ลบเพื่ออะไร การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงเหลือ (2,137,608) ค่าใช้จ่ายตามลักษณะ งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จได้รวมการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายตามหน้าที่ ค่าใช้จ่ายตามลักษณะได้เปิดเผยตามข้อกำหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับต่าง ๆ ดังนี้ งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะกิจการ 2554 2553 2554 2553 (พันบาท) รวมอยู่ในต้นทุนขาย การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงเหลือ (2,137,608) (224,833) (427,409) 15,264 ซื้อสินค้าคงเหลือ 23,397,209 15,683,623 15,809,947 14,641,459 สำรอง (กลับรายการ) ค่าเผื่อสินค้าล้าสมัยและเสื่อมสภาพ 118,554 (7,584) 27,460 (11,759) รวม 21,378,155 15,451,206 15,409,998 14,644,964 เมื่อ: 2012-02-28T03:48:45+00:00 kotaro: น่าจะเป็นเพราะ สินค้าคงเหลือ ปลายงวด มากกว่า ต้นงวดหรือเปล่าครับ ตัวเลขเลยเป็นลบ ปกติต้นทุนสินค้า = สินค้าคงเหลือ ต้นงวด - ปลายงวด + ซื้อเข้า เมื่อ: 2012-02-28T05:38:35+00:00 Stock lover: นั้นอ่ะสิครับ ผมก็มีนมากเลย เมื่อ: 2012-03-01T11:45:08+00:00 sakkaphan: อุตสาหกรรมอะไรครับ ปกติแล้ว cost of good sold = (Begin Finished Goods - End Finished Goods) + Cost of goods manufactured ถ้าไม่ได้ผลิตเอง เป็นธุรกิจซื้อมาขายไป cost of goods manufactured ก็จะเป็น costที่ซื้อมา แทน คืองี้ครับ สมมติว่า ตอนต้นปี มีอยู่ 100 ชิ้น แล้วสั่งซื้อมาระหว่างปี 1000 ชิ้น แล้วตอนปลายปีเหลือ400 ชิ้น แสดงว่า ขายได้ = 100 -400 +1000 = 700 ชิ้น ดังนั้นCOGSก็ต้องคิดต้นทุนขายของ 700 ชิ้นนี้เท่านั้น จึงใช้สูตรดังกล่าวเพื่อหาต้นทุนขายไงครับ เมื่อ: 2012-03-01T15:48:39+00:00 ilekis: การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงเหลือมาจาก 2 ส่วนครับคือ 1 สินค้าคงเหลือที่ถูกใช้ไป เช่น สินค้าคงเหลือเริ่มต้น 100 ชิ้น (สมมติราคา 100 บาท) ใช้ไป 80 ชิ้น ซื้อมาเพิ่ม 50 ชิ้น สินค้าคงเหลือปลายงวดจะเป็น 70 ชิ้น มูลค่าสินค้าที่ถูกใช้ไป 80 x 100 = 8000 บาท 2 การด้อยค่าของสินค้าคงเหลือ สมมติสินค้าถูกซื้อมาที่ 100 ทั้งหมด แต่วันปิดงบราคาตลาดลดเหลือ 80 บาท มูลค่าสินค้าที่ด้อยค่าไป 70 x (100-80) = 1400 บาท การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงเหลือ = 8000 + 1400 บาท ผมเข้าใจตามนี้ครับ ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงสินค้าที่ซื้อมาจะมีราคาแตกต่างกันไปในแต่ละงวด เมื่อ: 2012-03-02T09:27:29+00:00 Stock lover: sakkaphan เขียน:อุตสาหกรรมอะไรครับ ปกติแล้ว cost of good sold = (Begin Finished Goods - End Finished Goods) + Cost of goods manufactured ถ้าไม่ได้ผลิตเอง เป็นธุรกิจซื้อมาขายไป cost of goods manufactured ก็จะเป็น costที่ซื้อมา แทน คืองี้ครับ สมมติว่า ตอนต้นปี มีอยู่ 100 ชิ้น แล้วสั่งซื้อมาระหว่างปี 1000 ชิ้น แล้วตอนปลายปีเหลือ400 ชิ้น แสดงว่า ขายได้ = 100 -400 +1000 = 700 ชิ้น ดังนั้นCOGSก็ต้องคิดต้นทุนขายของ 700 ชิ้นนี้เท่านั้น จึงใช้สูตรดังกล่าวเพื่อหาต้นทุนขายไงครับ ที่ผมดูมันเป็นธุรกิจ IT ครับ สรุปมันคือสูตรหาต้นทุนสินค้าใช่มั้ยครับ จะได้พยายามนึกภาพให้ได้ เมื่อ: 2012-03-03T01:40:21+00:00 sakkaphan: cyber-shot เขียน:sakkaphan เขียน:อุตสาหกรรมอะไรครับ ปกติแล้ว cost of good sold = (Begin Finished Goods - End Finished Goods) + Cost of goods manufactured ถ้าไม่ได้ผลิตเอง เป็นธุรกิจซื้อมาขายไป cost of goods manufactured ก็จะเป็น costที่ซื้อมา แทน คืองี้ครับ สมมติว่า ตอนต้นปี มีอยู่ 100 ชิ้น แล้วสั่งซื้อมาระหว่างปี 1000 ชิ้น แล้วตอนปลายปีเหลือ400 ชิ้น แสดงว่า ขายได้ = 100 -400 +1000 = 700 ชิ้น ดังนั้นCOGSก็ต้องคิดต้นทุนขายของ 700 ชิ้นนี้เท่านั้น จึงใช้สูตรดังกล่าวเพื่อหาต้นทุนขายไงครับ ที่ผมดูมันเป็นธุรกิจ IT ครับ สรุปมันคือสูตรหาต้นทุนสินค้าใช่มั้ยครับ จะได้พยายามนึกภาพให้ได้ ใช่ครับ ผมจะพยายามเขียนให้นึกภาพออกว่ามันมีที่มายังไง ต้นทุนขาย = ต้นทุนของสินค้าที่ขายได้ทั้งหมดในปี(งวด)นั้น (ต้นทุน)สินค้าที่ขายได้ทั้งหมดในปีนั้น = (ต้นทุน)สินค้าที่อยู่ในคลังเริ่มแรก + (ต้นทุน)สินค้าที่ผลิตเข้าคลังในปีนั้น - (ต้นทุน)สินค้าที่เหลือปลายปี เขียนง่ายๆ COGS = (สินค้าคงเหลือต้นงวด-ปลายงวด) + สินค้าที่ผลิต(หรือซื้อ)เข้าคลัง COGS = การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงเหลือ + สินค้าาที่ผลิตหรือซื้อเข้าคลัง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงเหลือเป็นลบได้ ถ้าเป็นอุตสาหกรรมบริการ ต้องไปดูรายละเอียดว่าเค้าบันทึกอะไรเป็นCOGS แต่โดยทั่วไปแล้วเป็นไปตามสูตรข้างบน เมื่อ: 2012-03-03T03:43:44+00:00 Stock lover: ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2012-03-04T02:01:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หาหุ้นเด็ดๆ 1 ตัวแล้วซื้อให้มากที่สุด CK: เห็นมีหลายคนพูดว่าจะทำแบบนี้ ผมเลยมานั่งคิดดูว่า การซื้อหุ้นตัวเดียวไปเลยนี่ แสดงถึงความสามารถอัน เยี่ยมยอดของนักลงทุน ใครที่สามารถหาหุ้นตัวเดียวและซื้อให้มากที่สุด ผมว่าจบระดับมหาลัยการลงทุนแล้ว นอกจากนั้น คนที่จะทำได้ ต้อง 1. มีวินัยสูงมาก 2. ควบคุมอารมณ์ (โลภและกลัว) ได้ดีมาก 3. มีความมั่นใจในตัวเองสุดๆ ถ้าเป็น VI ก็จะต้อง 1. อ่านงบเก่งมาก ดู FCF ขาด 2. สามารถอ่านสภาพเศรษฐกิจขาด ทั้งจุลภาคและมหภาค 3. มีความเข้าใจในบริษัทที่ลงทุนอย่างลึกซึ้ง 4. มีความมั่นใจในจริยธรรมของผู้บริหารแบบสุดๆ หรือไม่ถ้าเป็น VS ก็จะต้อง 1. อ่านกราฟเก่งมาก 2. เข้าใจจิตวิทยามวลชนอย่างลึกซึ้ง แต่ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นเลยถ้า 1. ฟลุ๊ค พนันถูกตัว 2. เดินตามผู้ใหญ่ไปเลย เห็นคุณนักดูดาวบอกว่า ถ้าจะถือหุ้นในบริษัทเดียว จะขอ เข้าไปเป็นกรรมการในบริษัทนั้นด้วย ไม่ทราบท่านอื่นคิด อย่างไรครับ เมื่อ: 2005-01-06T02:06:30+00:00 ต.หยวนเปียว: ผมเพิ่มอีกข้อครับพี่ชิกกี้ ต้องเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง เพิ่งจะอ่านความเห็นคุณดาวี่ สำหรับผม การเข้าเป็นกรรมการหรือไม่ ไม่เป็นประเด็นที่ทำให้ ผมกล้าถือหุ้นตัวเดียว ผมเห็นด้วยกับการถือหุ้นตัวเดียวที่เรามั่นใจที่สุดจากการ ศึกษาอย่างละเอียด ซึ่งผมเชื่อว่ามีบางคนทำได้ดี ขนาดรู้ดีกว่ากรรมการบริษัทนั้นๆเสียอีก บางครั้งขายหุ้นทิ้งให้กรรมการซึ่งไม่รู้จริงมารับช่วงไป ก่อนเกิดวิกฤติกับบริษัทนั้นก็มี ตัวผมไม่กล้าถือหุ้นตัวเดียว เหตุผล ผมไม่รู้จริง และเป็นคนขี้เกียจศึกษา อาจเสียหายได้ ถ้าผมถือตัวเดียวอาจกลายเป็น Overconfidenseได้ ผมพยายามมา1ปี จากการปรึกษาคุณฉัตรชัย ตอนนั้นผมมีหุ้น24ตัว ตอนนี้เกือบ30ตัว ฮาฮา ผมได้บทสรุปว่า ผมก็ต้องเป็นแบบผม แบบที่ทำอย่าง ที่เป้นอยู่นี่ไง เมื่อ: 2005-01-06T02:29:38+00:00 roadtrip: เห็นด้วยกับพี่ซีเคครับ ผมเคยถือมากสุด 5 ตัวครับ แค่ 5 ตัวเนี่ยดูแทบไม่ทั่วถึงเลย พี่เต่าถือตั้ง 30 ตัว สุดยอดจริงๆ เมื่อ: 2005-01-06T02:59:49+00:00 นักดูดาว: หากจะใส่เงินลงทุนทั้งหมด ไว้ในบริษัทเดียว คนส่วนมากเลือกที่จะลงทุนกับกิจการที่ก่อตั้งขึ้นมาเอง หรือหุ้นกับหมู่เพื่อนที่เชื่อถือได้ ผมเชื่อว่ากรรมการเป็นคนกลุ่มแรกๆที่ได้ข้อมูลวงในระดับพรีเมียร์ลีค ในเรื่องแนวโน้มการดำเนินการของบริษัท ที่สำคัญคือเรื่องการเงิน และพัฒนาการต่างๆ งบการเงินที่ออกมาไตรมาสละครั้ง อาจจะไม่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงต่อกิจการได้ เช่นเรื่องปันผล เพิ่มทุน เรื่องขายทรัพย์สินหรือซื้อกิจการ ฯลฯ เมื่อ: 2005-01-06T03:33:44+00:00 kotaro: ต้องมั่นใจว่าตระกร้าแข็งแรงจริงๆครับ ปีที่แล้ว ลองใส่แค่ 2 ใบครับ แตกไป 1 ตระกร้าครับ ยังสยองอยู่ เมื่อ: 2005-01-06T03:38:34+00:00 chatchai: แล้วทำไมเพื่อนๆที่อยากลงทุนแค่บริษัทเดียวทั้งพอร์ตละครับ ช่วยบอกเหตุผลหน่อยครับ เมื่อ: 2005-01-06T03:52:46+00:00 CK: ไม่ใช่ผมนะครับลูกพี่ฉัตรชัย ผมแค่เห็นมีหลายคนสนใจแนวทางนี้ ถ้าให้เดาคือ เวลากำไร มันเป็นกอบเป็นกำดี สำหรับผม จำนวนหุ้นเป็นแค่ mean ไม่ใช่ objective ถ้าเจอหุ้นตัวเดียวที่น่าสนใจทุ่มสุดตัว เพราะถูก ดีเลิศ และ ตัวอื่นๆ ทั้งตลาดไม่น่าสนใจ ค่อยซื้อตัวเดียว เมื่อ: 2005-01-06T03:59:23+00:00 chatchai: อย่าเรียกผมว่าลูกพี่ซิครับ แหมผมยังไม่อาวุโสจนขนาดคุณ CK จะเรียกอย่างนั้น เมื่อ: 2005-01-06T04:02:30+00:00 CK: ในเรื่องการลงทุน คุณ chatchai อาวุโสกว่าผมครับ ผมแค่ 2 ขวบเอง 8) เมื่อ: 2005-01-06T04:10:17+00:00 chatchai: ขอบคุณครับ พี่ CK ที่ยกย่อง เมื่อ: 2005-01-06T04:17:04+00:00 Jeng: อืม คิดว่าเอาสายกลางดีกว่า คือแต่ละคนก็ดูกันเอาเองว่า มีเงินลงทุนเท่าไร มีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร และเลือกใช้กลยุธการลงทุนแบบไหน เช่น คนมีเงิน 1 แสน กับ 100 ล้าน ผู้บริหารกองทุน กับ นักลงทุนส่วนบุคคล ก็อาจจะต้องคิดต่างกัน การจะลงทุน 1 ตัว หรือ 5 ตัว หรือ 100 ตัว ก็อาจจะหมายถึงการลงทุนในหุ้นน้อยตัว เหมือนกัน เพียงแต่คำว่าน้อยตัว ของแต่ละคน มันต่างกัน เมื่อ: 2005-01-06T04:18:05+00:00 ต.หยวนเปียว: ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับที่อ้างถึง ผมขออ่านหน้า142-143 หนังสือปกขาวเล่มแรกของคุณWEB(เล่มนี้ผมชอบที่สุด) บริษัทชั้นเยี่ยมเพียงบริษัทเดียว บัฟเฟตต์ บอกไม่รู้สึกอะไรที่จะมีหุ้นแค่บริษัทเดียว ถ้าบริษัทนั้นชั้นเยี่ยมจริงๆ แต่เนื่องจากหุ้นตัวเดียวที่สมบูรณ์แบบนั้นหาได้ยากมาก บัฟเฟตต์จึงสนับสนุน ให้มีหุ้นที่คุณเข้าใจและชอบด้วยเหตุผลที่เหมาะสมในจำนวนที่คุณสามารถบริหารได้ การลงทุนใหม่ๆทุกครั้งควรนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นที่คุณมีอยู่แล้ว คุณจะซื้อก็ต่อเมื่อ คุณชอบหุ้นตัวใหม่มากว่าหุ้นทุกตัวที่คุณถืออยู่ ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่คือ คุณจะต้องรู้ ต้องเข้าใจหุ้นที่คุณมีอยู่ หากคุณมีหุ้นหลายตัวเกินไป คุณจะไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้ทุกตัว สิ่งนี้เป็นบทเรียนการลงทุนที่สำคัญมากที่สุดบทหนึ่ง และมันยังเป็นบทเรียนที่ง่ายที่สุดบทหนึ่งที่นักลงทุนจะปฏิบัตตาม แต่มันก็ถูกมองข้ามไปอยู่บ่อยๆ เมื่อ: 2005-01-06T04:30:06+00:00 sirivajj: ผมว่า ถ้าทั้งพอร์ตมีหุ้นตัวเดียวนี่ ต้องบอกว่า ถ้าไม่มั่นใจเกินร้อย ก็ต้องใจแข็งเป็นหินแน่เลย คิดดูสิครับ แหม ถ้ามันวูบไปล่ะก็ ที่บ้านไม่ต้องติดแอร์ แน่เลย เพราะมันหนาววว อีกอย่างก็คือ ในช่วงที่หุ้นพักตัวสะสมแรงซื้อ เราก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี แบบว่า ไม่มีอะไรให้ลุ้น ผมคงยังห่างไกลจากจุดที่จะใส่เงินทั้งหมดลงไปในหุ้นเพียงตัวเดียว ใครเคยทำได้หรือใส่เงิน เกิน 90% ลงไปในหุ้นตัวเดียว เกินระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป (และมูลค่าพอร์ตไม่ต่ำกว่า 500,000 บาทนะครับ) น่าจะมายกมือให้ดูด้วยนะครับ เพราะผมว่า คุณแน่มาก ....... ยอดจริงจริง เมื่อ: 2005-01-06T04:59:11+00:00 CK: เท่าที่ผมนับ ก็มี คุณฉัตรชัย (WG) คุณวิบูลย์ (PTTEP) คุณ blueblood (PSL) ทั้งสามท่านเฉพากำไรก็เกิน 200% ในสองปีแล้วครับ โดยเฉพาะท่าน blueblood โอย นับเลขไม่ถูก เมื่อ: 2005-01-06T05:11:09+00:00 sirivajj: สุดยอดจริงจริงครับ สมแล้วที่ทำกำไรได้มากมาย ผมว่า อันนี้ เป็นความสามารถส่วนบุคคลด้วย ห้ามเลียนแบบ โดยไม่ได้ทำการศึกษาและเตรียมตัว ไม่เหมาะกับคนที่อวัยวะภายในไม่แข็งแรง (ปอดแหก) อิ อิ :lol: คุณ Chatchai, คุณวิบูลย์ และคุณเลือดสีน้ำเงิน ยอดเยี่ยมครับ เมื่อ: 2005-01-06T05:20:28+00:00 loong_p: sirivajj เขียน:ใครเคยทำได้หรือใส่เงิน เกิน 90% ลงไปในหุ้นตัวเดียว เกินระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป (และมูลค่าพอร์ตไม่ต่ำกว่า 500,000 บาทนะครับ) น่าจะมายกมือให้ดูด้วยนะครับ เพราะผมว่า คุณแน่มาก ....... ยอดจริงจริง แค่ห้าเดือนได้ไหม? เมื่อ: 2005-01-06T06:26:09+00:00 yoyo: สำหรับผม 3 ตัวก็ว่าน้อยแล้วนะ ... ขออย่างน้อยซัก 4-5 ล่ะกัน ตัวเดียวนี่ผมว่าผมยังปึ๊กไม่พอ ... ขอเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ซัก 5 ปีก่อน ตอนนี้เพิ่งได้ 2 ปีเอง เมื่อ: 2005-01-06T06:27:54+00:00 Blueblood: CK เขียน:เท่าที่ผมนับ ก็มี คุณฉัตรชัย (WG) คุณวิบูลย์ (PTTEP) คุณ blueblood (PSL) ทั้งสามท่านเฉพากำไรก็เกิน 200% ในสองปีแล้วครับ โดยเฉพาะท่าน blueblood โอย นับเลขไม่ถูก ผมฟลุ๊คครับ อย่าเอาชื่อผมไปรวมกับปรมาจารย์ทั้งสองท่านเลยครับ ... ตอนเริ่มซื้อครั้งแรกผมไม่ได้วิเคราะห์อย่างละเอียดเท่าปัจจุบันนี้ครับ ตามดูเอาทีหลังแล้วมั่นใจก็เลยไม่ขาย ซึ่งอาจจะตายตอนจบก็ได้ เมื่อ: 2005-01-06T07:05:57+00:00 โป้ง: หุ้นเด็ดน่าลงทุนระยะสั้น BAY-w1 จะผิดกฎเวปหรือเปล่า ใน 3 ตัว มี WG ผมถืออยู่ด้วย อิอิ เมื่อ: 2005-01-06T07:26:49+00:00 นักดูดาว: loong_p เขียน: แค่ห้าเดือนได้ไหม? ผมไม่เกินห้าชั่วโมงได้มั้ยคับ :lol: เมื่อ: 2005-01-06T08:33:56+00:00 CK: ผมไม่เกินห้าชั่วโมงได้มั้ยคับ กำไรไปเท่าไหร่ครับ :lol: เมื่อ: 2005-01-06T08:37:26+00:00 นักดูดาว: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: กำไรนิดหน่อย (แต่ไม่บอกว่าเจ๊งเท่าไหร่คับ) ฮ่าๆๆๆๆๆ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-01-06T08:45:03+00:00 ลุงขวด: เรื่องหาหุ้นเด็ด แล้วซื้อให้มาก นี่ เหมือนกัน การตีแตกหุ้น ในหนังสือ ของ ดร นิเวศน์.....ในแต่ละ ปี ขอให้มีหุ้นตีแตกสักตัวหนึ่ง คือ ซื้อให้มาก และ ให้ได้กำไร นี่แสดงว่า ประสบผลสำเร็จแล้วครับ......... อดีต ผมเคยตีแตกหุ้น บรรจุภัณท์ 2 ตัว คือ nippon กับ tmd และไปประชุมผู้ถือหุ้นทั้ง 2 แห่งมาด้วย ก็ ประสบผลสำเร็จได้ตัวหนึ่ง คือ tmd แต่ nippon ตอนหลังผล ประกอบการตกลง และ เห็นเขาเอาเงินไปลงทุนในหุ้น ถึงแม้นจะได้กำไรบ้าง แต่ไม่ใช่ งานหลักของเขา ผมเลยทยอยขายไป เหลือแค่ 100 หุ้นเพื่อเก็บไว้ดูการเปลี่ยนแปลง และ ขอเป็นเจ้าของกับเขาเพียงแค่ 100 หุ้นเท่านั้นเองครับ ปีใหม่นี้ว่า จะ ตีแตก เจ้าหุ้นในกลุ่มสื่อสารตัวเล็ก ไม่ค่อยมีหนี้ ซื้อลงทุนยาว มี ราชการถืออยู่บางส่วน.......ส่วนอีกตัวเป็นโรงแรม เพื่อฟลุ๊ค เขาปันผลสัก 2-3 บาท ตัวนี้เล่นเก็งกำไร ไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่ซื้อมา มันก็ลงเรื่อย ๆ ขาดทุนไปแล้ว เกือบ 20% ไม่ได้ cut loss........ต้องรอดูผลประกอบการว่าเป็นอย่างไรต่อไป แต่เป็นหุ้นที่ถูกมาก ตัวหนึ่ง (ไม่รู้เรื่องโปร่งใสจะเป็นอย่างไร เท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่เขาตั้งขึ้นมา ยังไม่เห็นมีปันผลเลย) เมื่อ: 2005-01-06T10:36:06+00:00 pawiga: ลุงขวด อ่ะ สื่อสารตัว เล็ก หนี้น้อย นี่ ลุงขวดสนใจเพราะอะไรหรอครับ ไม่ทราบว่า มีจุดอ่อน จุดแข็ง อะไรบ้าง ผมก็ดูๆอยู่ไม่ทราบว่าตัวเดียวกันเปล่า ใช่ตัวที่มีธุรกิจกับ รัฐ ม่ะคับ อิอิ เคยเล่น ไปรอบนึงตอน ถูกๆ เมื่อ: 2005-01-06T12:10:21+00:00 miracle: มีเรื่องเล่ามาจากฝั้งอเมริกาในเกี่ยวกับทฤษฏีและปฏิบัติในการลงทุนเพียงหุ้นตัวเดียว โดยในตัวนั้นจัดเป็นกองทุน โดยในคนที่ได้รับรางวัลโนเบิลสาขาเศรษฐศาสตร์เป็นผู้บริหารก่อนทุก โดยให้หลักว่าลงทุนเพียงหุ้นตัวเดียว ดังทฤษฏีที่เขาได้รับรางวัลมา ผลลัพย์คือกองทุน เจ๊ง ชิปหายย่อยยับ เพราะเนื่องจากไม่กระจายความเสี่ยง อันนี้หาอ่านได้ และต้องเล่าสู้กันฟังเนื่องจากเจ้าของกระทู้เล่นตัวเดียวถ้าขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าลงละก็งานนี้ตัวใครตัวมันเหมือนคนที่ได้รางวัลโนเบิลคนนี้ ปล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในราวปีคศ 1990sแต่จำปีที่แน่นอนไม่ได้ เมื่อ: 2005-01-06T12:47:57+00:00 ลุงขวด: คุณpawiga น่าจะตัวเดียว เพียงบอกว่า หนี้น้อย ใคร ๆ ก็รู้แล้ว สื่อสารส่วนใหญ่มีแต่หนี้ ..... ที่สนใจเพราะ เขาจะเน้นเรื่องระบบ ที่จะพัฒนาใหม่ ๆ ด้าน internet คงลดน้อยลง ผมชอบพวกมีเงินสดเหลือ แถมคิดว่า เขาจะปันผลทุก 6 เดือนเสียด้วยซิครับ.....แถมอีกจุด esop ที่ออกไปมันสูงกว่า ราคาปัจจุบัน กรรมการและลูกจ้างต้องทำงานหนัก เพื่อจะให้ได้ผลประกอบการดี ราคาหุ้นจะได้ขึ้น esop ของเขาจะมีประโยชน์แปลงเป็นหุ้นสามัญได้ ไม่อย่างงั้น esop ก็ ไร้ ค่า ครับ เมื่อ: 2005-01-06T13:02:11+00:00 ลูกอิสาน: เคยถือ 2 ตัวสมัย 3-4ปีที่แล้ว ตอนนั้นพีอี 1-2 เท่า แต่ตอนนี้หาหุ้นอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เลยไม่กล้าตีแตกครับ ถือกระจายกันๆไป ถ้าเจอตัวที่เจ๋งมากๆ ก็อาจใจกล้าอีกครั้ง คนที่ถือตัวเดียว ต้องยอมรับว่าว่าไม่เก่งจริง ก็สุ่มเสี่ยงมากๆครับ ใครที่ความรู้ยังแน่น ใจไม่แกร่งไม่แนะนำครับ อย่าหวังผลเพียงแค่ จะทำให้ผลตอบแทนพอร์ตดูดีนะครับ พลาดพลั้งไป...อาจจะสาหัส คิดเหมือนเฒ่าดูดาวครับ ถ้าเราเป็นผู้บริหาร ควบคุมบริษัทได้ ก็ถือตัวเดียวได้ครับ หุ้นสื่อสารของลุงขวดน่าสนใจครับ ฟังผู้บริหารคุณ ตฤณ พูดทางทีวีแล้วดูมีวิสัยทัศน์ดีครับ ส่วนหุ้นโรงแรมตัวนั้น ปีนี้ควรจะมีปันผลมากๆครับ แต่อย่างที่รู้กันคือต้องลุ้นกันหน่อยครับ เมื่อ: 2005-01-06T15:02:07+00:00 โป้ง: samtel พึ่งปันผลเป็นปีแรกครับ น่าสนเหมือนกัน อ่านคร่าวๆได้สัมปทานจากรัฐ คู่แข่งในวงการมีใครบ้างครับช่วยบอกหน่อย (ตัวนี้รู้สึก samart ถือหุ้นอยู่มากที่สุด) ใครจะถือตัวนี้มันก็ขึ้นมาเยอะเหมือนกันนะครับ จาก 20 กว่ากลางๆ ระวังจะเหมือนพวก GMMM อิอิ (ผมหมายถึงคนที่ไม่กะจะถือมันยาวๆ ) เมื่อ: 2005-01-06T15:27:14+00:00 Minesweeper: ผมก็ไม่กล้าถือตัวเดียวเหมือนกันครับ สำหรับผมคงต้องถึงขนาดที่ว่าสนิทกับผู้บริหารขนาดที่ไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ และธุรกิจขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกค่อนข้างน้อย นั่นแหละครับ ถึงกล้าซื้อตัวเดียว 8) เมื่อ: 2005-01-06T15:33:10+00:00 CEO: ผมว่าเสี่ยเจ๋งพูดถูกครับ ทางสายกลางดังที่พุ?ธองคืได้สอนไว้ สำหรับผม พวกสีเทาๆ ไม่ดำไม่ขาวชอบหลายตัวครับ ซื้อตัวโน้น ขายตัวนี้ โดดไปขี่ตัวนั้น โอ๊ย มันจะตาย ถ้าใครไม่เคย คงไม่รู้ครับ เมื่อ: 2005-01-06T16:39:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ระหว่าง ภาคการผลิต กับ ภาคการบริการ teetotal: คิดว่า ภาคการบริการ จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ใน อนาคตมากกว่าภาคการผลิต ไหมครับ กำลังสงสัยว่า ลักษณะของแรงงานไทย เหมาะกับงานด้านการผลิตจริงๆ หรือเปล่า และ ระบบ การศึกษาสร้างแรงงานให้มีคุณภาพ เหมาะกับการผลิตหรือเปล่า มีเรื่องเล่าจาก คนที่มีเพื่อนไปทำงานเป็นวิศวกรที่เวียดนามว่า คนงานเวียดนาม ขยัน สนใจพัฒนาตัวเอง ด้วยการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศเพิ่มเติมในเวลาเย็น สนใจเรียนรู้การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการผลิต ขยัน รับผิดชอบงานที่มองหมายได้ดี และมีวินัย ตรงต่อเวลา จาก ประสบการณ์ของผม ที่ทำงานในโรงงานมา พบว่า คนงานไทยอาจจะไม่ค่อยตรงเวลาบ้าง อาจจะไม่ขยัน แต่ ส่วนใหญ่ก็อัธยาศัย ดีมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ประนีประนอม (อาจจะเป็นเพราะ คนไทย เกิดมาบนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ค่อยมีภัยธรรมชาติ ภัยสงคราม มารังแก เลยไม่ต้องฝ่าฟัน อุปสรรคที่ยากลำบากนัก ก็มีกินมีใช้อย่างเป็นสุข) ลักษณะนิสัย แบบนี้ น่าจะทำงานด้านการบริการได้ดีกว่านะครับ เพื่อนๆ มีความคิดเห็นว่าอย่างไร เมื่อ: 2007-09-09T09:51:55+00:00 teetotal: ตอนนี้ ผมก็สนใจหุ้นเกี่ยวกับ การบริการ มากกว่า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการผลิตนะครับ  :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-09-09T09:52:58+00:00 newbie_12: เห็นด้วยครับ แต่ไม่ทั้งหมด เมื่อ: 2007-09-09T12:49:39+00:00 javoel: คนไทยก็มีดีหลายอย่างนะครับ ผมว่าคนไทยสามารถทำได้ทุกอย่างครับ ทุกระบบของเศรฐกิจ . อย่าลืมนะครับว่าถ้าไม่มีพี่ไทย น้องกันก็ไม้ได้ไปดาวอัคาร " " ผมว่านิสัยที่เเย่ที่สุดของคนไทย คือ ชอบดูถูกตัวเอง มองศักยภาพของตัวเองต่ำไป  เเละชื่นชม (ฝรั่งหรือคนอื่น) เกินกว่าการชื่นชมตัวเอง ผมว่าเราต้องภูมิใจในความเป็นตัวเรา (คนไทย) ก่อนครับ ถึงจะเอาจุดดีที่เรามีทำให้ดียิ่งๆขึ้นไป ในความเห็นส่วนตัวนะครับ "No place like home"  บ้านเรายังมีดีอีกเยอะที่เราไม่ค่อยชอบพูดถึง ปล. ขอชาตินิยมนิดๆนะครับ เมื่อ: 2007-09-09T13:13:41+00:00 contrarian: ผมว่าเราทำได้หมดแหละครับ ไม่ว่าจะภาคผลิต หรือบริการ ส่วนที่ทำได้ดี ก็ดีใจหาย ชนิดที่ทำได้ไงอ่ะ ทำได้ไง แต่ส่วนที่ทำได้ห่วย ก็ทำชนิดที่ "มันทำไปด้ายยย"  :x สรุปก็คือ ทำได้แบบไทยๆ สไมล์ไทยแลนด์ เมื่อ: 2007-09-09T13:39:14+00:00 BHT: คนไทยเก่งระดับโลกมีมากมายครับ สิ่งเดียวที่จะทำให้ไทยเป็นมหาอำนาจของโลกได้คือ "วินัย" ถ้ามีสิ่งนี้ พวกโกงกินก็จะหายไปเยอะ ประเทศเจริญแน่นอน เมื่อ: 2007-09-09T14:10:09+00:00 metro: การบริการก็น่าจะดีกว่านะครับ แรงงานของเราไม่สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้จริงๆ สมัยก่อนเราก้าวล้ำนำหน้าญี่ปุ่น นำหน้าเกาหลี แต่เดี๋ยวนี้เราต้องมองให้เวียดนามวิ่งไล่หลังและไล่กวดเรา นั่นน่าจะเป็นเพราะระบบการศึกษาและการพัฒนาระบบความคิดครับ การศึกษาของเราเน้นการท่องจำ ไม่ได้เน้นการสร้างความคิดใหม่ๆ ระบบการทำงานก็เช่นกัน กลุ่มที่คิดก็คือกลุ่มที่คิด กลุ่มที่ทำก็ทำตามคนที่คิด กลุ่มที่ทำก็ทำแบบตามหลักสูตรที่ได้รับการสั่งสอนมา ไม่ได้มีการดัดแปลงอะไรเท่าไร นั่นก็พราะมันมาจากการศึกษาของเราที่เน้นแต่การท่องจำ พอมาทำงานเราก็มานั่งท่องจำ เจ้านายว่าอย่างไร ฉันก็จะทำอย่างนั้น สื่อของเราก็ขายแต่บันเทิง และ กีฬา รายการที่ขายสาระต่างๆคนจะไม่ดู ถ้าถามเรื่องนักวิทยาศาสตร์ หรือ นักพัฒนา คนเราๆจะไม่สามารถตอบได้ แต่ถ้าถามว่า ดาราคนไหนคบกับคนไหน หรือ นักกีฬาคนไหนทำอะไรอย่างไรไว้กลับตอบได้ ดังนั้นน่าจะพอสรุปได้ว่านิสัยคนไทยโดยทั่วไปนิยมแต่เสพความบันเทิง แต่ไม่ได้เสพความมีสาระเข้าไปครับ ถ้าหากเสพสาระมากกว่านี้น่าจะพัฒนาระบบความคิดและไปใช้พัฒนาประเทศได้นะครับ และ นี่น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเมืองไทยน่าจะเหมาะกับงานบริการมากกว่า ภาคการผลิตครับ เมื่อ: 2007-09-11T08:04:06+00:00 yoyo: ผมว่าปัญหาของการบริการอย่างนึงคือเคลื่อนย้ายลำบาก .... ถ้าเราหวังจะพึ่งการบริการเป็นหลักผมว่าจะต้องเป็นการงานบริการด้าน IT หรือ เทเลคอม ที่ไม่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนย้าย .. แต่มาดูอีกที 2 งานนี้ก็ดูไม่ถึงกับเป็นการที่คนไทยจะได้เปรียบมาก เพราะจุดแข็งของการบริการของไทยคือความเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส และมีความละเอียดละออในเรื่องเล็กๆมากกว่าชาติอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่จัดหลักของธุรกิจ IT และ Telecom งานบริการของไทยคงจะต้องเป็นการบริการที่ปักหลักอยู่กับที่ เกี่ยวกับโรงพยาบาล เกี่ยวกับการท่องเที่ยว นวด... นอกจากนี้จริงๆ ก็ยังไม่เห็นบริการประเภทอื่นๆนี่จะเป็นตัวชูโรงได้ในระยะยาวพอที่จะมาแทนภาคการผลิตได้เลยครับ เมื่อ: 2007-09-11T08:10:26+00:00 metro: มีหนังสือที่วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจของโลก มี 2 อย่างที่น่าจะจับตามองนะครับ 1. กลุ่มธุรกิจการแพทย์ 2. กลุ่มธุรกิจหลังงานนิวเคลียร์ ถ้ามองแล้วสิ่งที่เราสามารถแข่งขันได้ก็น่าจะเป็นการแพทย์นะครับ เพราะการบริการเรานั้นดี มีอะยาศัยดี แต่เรื่องนิวเคลียร์เราคงเป็นผู้ตามมากกว่า เมื่อ: 2007-09-11T08:18:01+00:00 ksnk: yoyo ถ้าเราหวังจะพึ่งการบริการเป็นหลักผมว่าจะต้องเป็นการงานบริการด้าน IT หรือ เทเลคอม ที่ไม่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนย้าย .. แต่มาดูอีกที 2 งานนี้ก็ดูไม่ถึงกับเป็นการที่คนไทยจะได้เปรียบมาก เพราะจุดแข็งของการบริการของไทยคือความเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส และมีความละเอียดละออในเรื่องเล็กๆมากกว่าชาติอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่จัดหลักของธุรกิจ IT และ Telecom ไม่ลองพิจารณา msc ของผมหน่อยล่ะครับ :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-09-11T08:59:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อย่ารีบร้อนซื้อ ใครเข้ามาดูแล้วจะเข้าใจ maxerminner: อย่ารีบร้อนซื้อ Hamberger crisis ครั้งนี้แรงกว่า ต้มยำกุ้ง crisis เยอะ ลองเข้ามาดู ประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยเสมอ ตาม dow theory ดูดีๆ  คงไม่ต้องบรรยาย ภาพบอกได้ทุกอย่าง เมื่อ: 2008-10-08T23:07:01+00:00 maxerminner: เมื่อ: 2008-10-08T23:09:56+00:00 maxerminner: หุ้นไทยใช่ว่าจะถูก หุ้นมืองนอกบางกลุ่มเทรดกัน PE 1.03 แล้ว เมื่อ: 2008-10-08T23:17:06+00:00 wj: ผมเข้าไปดู google finance ก็เห็นหุ้นหลายตัวของ อเมริกา ซื้อขายกันที่ pe 3-4 เท่า แล้ว เมื่อ: 2008-10-09T01:01:26+00:00 wj: และนัยร้อยตัวที่มี pe  2.x เมื่อ: 2008-10-09T01:16:33+00:00 greenstock: นึกว่าจะมีแต่บ้านเราซะอีก pe เท่านึงเนี่ย  :lol: เมื่อ: 2008-10-09T03:43:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
CHOTI ติด Top Gainer อันดับ 4 watshira: เพื่อนนักลงทุน มีความคิดเห็นกับบริษัทนี้อย่างไรบ้าง เมื่อ: 2004-08-04T22:47:52+00:00 watshira: วันนี้ ติด Top Gainer อันดับ 8 เมื่อ: 2004-08-06T13:42:10+00:00 watshira: วันนี้ก็ติด Top Gainer อีกแล้วอันดับ 5 55555555... เมื่อ: 2004-08-09T10:27:08+00:00 watshira: หุ้น เกษตร กลุ่ม Sea Food มายกแผง ราคา กุ้ง หอย ปู ปลา ดี CFRESH CHOTI CPF SSF TUF อเมริกา ค่าภาษี AD (Anti Damping) ชัดเจน มีลุ้นผลประกอบการเร็วๆนี้ เมื่อ: 2004-08-09T23:04:00+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผู้บริหาร LH chatchai: ปีก่อน  ให้สัมภาษณ์ว่า  ราคาน้ำมันขึ้น  ต้นทุนค่าก่อสร้างจะขึ้น  ราคาบ้านจะแพง  ให้ประชาชนรีบซื้อ  สิ้นปีราคาขึ้นจริงไหม  หรือว่าเป็นการออกข่าวเพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อ ปีนี้  ให้ข่าวว่า  ราคาบ้านยังคงเท่าเดิมไม่ปรับขึ้น  เนื่องจากแข่งขันสูง จะเป็นการสกัดกั้นคู่แข่งหรือเปล่าเนี่ย เมื่อ: 2005-12-07T03:43:22+00:00 tt: ทำเลที่ขายดี เช่น พระราม 5 ราคาขึ้นจริงครับ แถมลด spec ลงเยอะแยะ เช่น เมื่อก่อนชั้นบนเป็นปาร์เก้ เดี๋ยวนี้เป็น ลามิเนตที่ดูด้วยตาคุณภาพไม่เท่าไหร่ รั้วบ้านทำเตี้ยลง Furniture ก็ลดลง จัดสวนต้นไม้ลดลง ราคาแพงขึ้น แถมดอกเบี้ยขึ้นต่างหาก แต่พวกที่ขายไม่ดีหรือเป็นโครงการเก่าๆก็เหมือนจะราคาเดิมนะครับ จริงๆแล้ว แลนด์ ขึ้นราคาตลอดนะครับ เพียงแต่ว่า แลนด์จะมีกลยุทธ์ต่างๆ เยอะแยะทำให้บางทีไม่รู้สึกว่าบ้านขึ้นราคา เมื่อ: 2005-12-07T06:11:31+00:00 bajjo: เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2005-12-07T16:05:19+00:00 Hero_man: เขาเรียกว่ากลยุทธทางการตลาดครับ เมื่อ: 2005-12-07T17:37:40+00:00 โป้ง: ปีนี้  ให้ข่าวว่า  ราคาบ้านยังคงเท่าเดิมไม่ปรับขึ้น  เนื่องจากแข่งขันสูง จะเป็นการสกัดกั้นคู่แข่งหรือเปล่าเนี่ย ต้นทุนแพงขึ้นแน่ๆครับ วัสดุก่อสร้างถีบตัวขึ้น และการแข่งขันก็สูงแน่นอน ผมไม่เข้าใจธุรกิจนี้อย่าง ยูนิตที่อยู่อาศัยที่ยังเหลือในท้องตลาดมีเพียบเลย แต่ก็ยังแข่งกัน สร้างบ้านใหม่ๆออกมากัน หรือจริงๆแล้ว การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นการสร้างงาน เพิ่มผลผลิตในประเทศชาติ ยิ่งสร้างเยอะ (ไม่คอร์รับชั่น) ประเทศยิ่งเจริญหรือเปล่า เห็นเศษรฐกิจซบทีไร จะมากระตุ้นตัวนี้ก่อนเป็นประจำ เมื่อ: 2005-12-08T02:11:25+00:00 adi: มันก็ต้องเลี้ยวไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละครับ เมื่อ: 2005-12-08T05:10:20+00:00 tt: คุณโป้งต้องลองเข้าไปดูหมู่บ้านของแลนด์ที่ขาย จะรู้ว่าของเขาขายดีจริงๆ เหมือนที่คุณอนันต์บอก ช่วงนี้ยังซาไปเยอะแล้ว ผมยังเชื่อว่าถ้าคุณสร้างบ้านคุณภาพดีๆมีความรับผิดชอบน่าจะขายดี เพราะดูเหมือนคนไทยจะมีประสพการณ์เรื่องพวกนี้มาก ทำให้แลนด์ขายดี เพราะถึงจะไม่ดีเลิศแต่ก็พอเชื่อใจได้ระดับนึง เมื่อ: 2005-12-08T05:48:04+00:00 เพื่อน: เรื่องลดต้นทุนนี่ ที่ผมเห็นมากับตา ของQ-house บ้านราคา18ล้าน บริเวณถนนราชพฤติ์ ฝ้าระแนงภายนอก ใช้โครงC-line(ซึ่งเป็นโครงเหล็กอาบสังกะสีแบบบางๆใช้สำหรับยิงแผ่นฝ้ายิบซั่มบอร์ด) นำมาติดเรียงกันแทนระแนงไม้แล้วทาสีทับ ถ้าใครดูดีๆจะเห็นตราช้างติดอยู่บนโครงเลยครับ ขนาดความกว้างของลูกนอนบันไดก็ไม่พอขนาดเท้าย่ำ ไม่เชื่อไปลองขอชมโครงการได้เลยครับ detailงานอื่นๆไม่ต้องพูดถึง ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะขายได้ในราคาขนาดนั้น แต่ก็ยังมีคนไปซื้อ ไม่รู้บ้านแพงๆที่อื่นจะเป็นแบบนี้ด้วยหรือปล่าว น่าสงสารผู้บริโภคจริงๆครับ เมื่อ: 2005-12-08T17:58:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
AMATA เกิดอะไรขึ้นค่ะ วันนี้ราคาขยับเยอะเลยค่ะ myclie: ตามหัวข้อค่ะ เมื่อ: 2006-01-03T08:15:03+00:00 myclie:   ไม่มีพี่ๆ มาช่วยตอบเลยเหรอค่ะ เมื่อ: 2006-01-03T11:06:46+00:00 yoyo: ไม่ใช่ไม่มีใครตอบหรอกมั๊ง อาจจะไม่มีใครรู้อารมณ์นายตลาดมากกว่า บางทีหุ้นขึ้นแรงๆมันก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน อย่าง snc นี่ขึ้นเพราะอะไร เหตุผลลึกๆคืออะไรคงตอบยาก ตอบได้แค่ว่าขึ้นมาเพราะคนอยากได้หุ้นเลยเคาะซื้อเยอะก็เท่านั้นเอง เมื่อ: 2006-01-03T13:21:03+00:00 PaZZaHut: เอาจากเฮีย คลายเครียดครับ หุ้นขึ้นเพราะมีเงินไหลเข้าครับ เมื่อ: 2006-01-03T14:27:24+00:00 TNK: จากข่าวจำนวนบริษัทใหม่ที่ได้ BOI เยอะมากๆ เข้าใจว่า น่าจะต้องใช้พื้นที่ทำโรงงานกันมากขึ้น เมื่อ: 2006-01-04T02:09:05+00:00 myclie: ขอบคุณค่ะ  :o เมื่อ: 2006-01-04T02:22:39+00:00 woody: อมตะ คอร์ปอเรชัน บมจ.(AMATA) กำจร  วรวงศากุล คู่สมรส หุ้นสามัญ 03/01/2549 03/01/2549 30,000 14.80 ขาย   อมตะ คอร์ปอเรชัน บมจ.(AMATA) กำจร  วรวงศากุล คู่สมรส หุ้นสามัญ 03/01/2549 30/12/2548 30,000 14.50 ขาย   อมตะ คอร์ปอเรชัน บมจ.(AMATA) โทมัส เฮมลิน รีส   ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 03/01/2549 28/12/2548 50,000 14.20 ขาย   อมตะ คอร์ปอเรชัน บมจ.(AMATA) โทมัส เฮมลิน รีส   ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 03/01/2549 30/12/2548 20,000 14.50 ขาย เมื่อ: 2006-01-04T02:37:58+00:00 CK: คุณหวูดแย่งตอบไปซะแล้น ดีใจหรือเสียใจครับ ที่หุ้นขึ้น อยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายครับ เมื่อ: 2006-01-04T02:42:02+00:00 bigshow: แล้ว ticon เป็นอะไรไม่ขึ้นเลย เมื่อ: 2006-01-04T03:27:12+00:00 myclie: อยากฟังทั้งข่าวดีและข่าวร้ายค่ะ พี่ CK เมื่อ: 2006-01-04T03:40:26+00:00 sing_sing: ต้องตามข่าวจากปีที่แล้วอ่ะครับ ถ้าจำไม่ผิดก็เห็นจะเป็นมีการขยายตัวของพื้นที่การทำโรงงานอาไรทำน้องนี้อ่ะครับ เมื่อ: 2006-01-04T05:13:05+00:00 myclie: เปิดโมเดล..ธุรกิจร่วมทุน 'อมตะคอร์ป' ดัน 'วิกรม กรมดิษฐ์' ติดเศรษฐีหุ้นอันดับ 11 เปิดกล่องความคิด-ธุรกิจร่วมทุน 'อมตะ คอร์ปอเรชั่น' หมากสำคัญ ที่จะสร้างความมั่งคั่งของ 'วิกรม กรมดิษฐ์' ให้เป็นมากกว่า เศรษฐีหุ้นอันดับ 11 ของประเทศ 'BIG GOAL' บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น (AMATA) ภายใต้การนำของ 'วิกรม กรมดิษฐ์' เศรษฐีหุ้นอันดับ 11 ของประเทศ กำลังถูกวางไปที่ 'ธุรกิจบริการ' ในนิคมอุตสาหกรรม ที่จะมาต่อยอด นอกเหนือจากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในชื่อ อมตะนคร, อมตะซิตี้ และ อมตะ ซิตี้ เบียนหัว ประเทศเวียดนาม (อมตะคอร์ปฯ ถือหุ้น 60.78%) โดยมีประชากรในเขตนิคม กว่า 100,000 ราย เป็นกำลังซื้อหลัก แนวคิดการรุกธุรกิจบริการที่ วิกรม วางไว้ จะต้องจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมทุน โดย อมตะจะเข้าถือหุ้นตามสัดส่วนการประเมินมูลค่าที่ดิน เท่านั้น ซึ่งจะลบข้อจำกัดทางด้านเงินลงทุนออกไป 'วิกรม' วางแผนกับทีมงานทุกคน ว่า ภายในปี 2553 ธุรกิจบริการนี้ จะต้อง มีสัดส่วนรายได้ 50% จากปี 2548 ที่คาดว่ามีสัดส่วนรายได้ 28% โดยมอบหมายให้ สมหะทัย พานิชชีวะ น้องสาว ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เป็นหัวเรือในการเฟ้นธุรกิจร่วมทุน สมหะทัย บอกว่า ปัจจุบันอมตะมีบริษัทร่วมทุน 14 แห่ง ในปี 2549 อมตะตั้งเป้าที่จะเปิดบริษัทร่วมทุนจำนวน 19 บริษัท และปี 2550 จะเปิดอีก 17 บริษัท ซึ่งจะทำให้อมตะมีบริษัทร่วมทุนครบ 50 แห่ง โดยปี 2547 อมตะ ได้ร่วมทุน เปิด 2 บริษัท ประกอบด้วย 'บริษัท ซัมมิท ออโต อินดัสตรีส์ กรุ๊ป' ดำเนินธุรกิจให้บริการรับสร้างโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในนาม 'บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้ บิลท์' และร่วมทุนก่อตั้ง 'บริษัท เวีย โลจิสติกส์' ร่วมกับ 'แวนแทค คอร์ปอเรชั่น' และ 'กลุ่มอิโตซู' ดำเนินธุรกิจให้ 'บริการคลังสินค้า และ 'การขนส่ง' (โลจิสติกส์) เมื่อกลางปี 2548 อมตะ ได้ร่วมกับโรงพยาบาลชลบุรี ก่อตั้ง 'บริษัท อมตะ เฮ็ลธ์ เซอร์วิส' ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาล สมหะทัย บอกว่า ยกแรกของการบุกเบิกงานบริการทั้งหมด ถือว่าสำเร็จอย่างดี โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริการถึง 28% จากปี 2546 ที่มีสัดส่วนเพียงกว่า 18% เท่านั้น โดยในธุรกิจคลังสินค้า ขณะนี้ถือว่าเต็มพื้นที่หมดแล้ว เช่นเดียวกับโรงงานให้เช่าที่ดำเนินการในเฟสแรก 8 โรงงาน ถูกเช่าหมดแล้ว ซึ่งปี 2549 จะสร้างโรงงานเพิ่มเป็น 20 โรงงาน ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 8 โรงงาน เนื้อที่ประมาณ 320 ตารางเมตร/โรงงาน ค่าเช่า 350 บาท/ตารางเมตร/เดือน เธอบอกว่า สำหรับ 19 บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นมาในปี 2549 ได้มีการเซ็น MOU เพื่อร่วมลงทุนไปแล้ว 4 บริษัท ประกอบด้วย 1.ธุรกิจโลจิสติกส์ และคลังสินค้า ในเขต ฟรีโซน โดยคลังสินค้าแห่งใหม่นี้จะร่วมทุนกับ 'กลุ่มบริษัทลีโอ' 2. ธุรกิจสื่อสารภายในนิคม จะให้บริการรวมไปถึง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บรอดแบนด์ และ ADSL กับโรงงานในนิคม 3. ธุรกิจด้านออโต้เซอร์วิส เป็นการร่วมมือกับกลุ่มสมบูรณ์ กรุ๊ป เพื่อให้บริการตรวจ เช็ค ซ่อม ให้กับรถยนต์ โดยขณะนี้ในนิคมทั้ง 9 จุด มีรถยนต์ประมาณ 80,000 คัน โดยเฉพาะรถบัสนั้นมีถึง 1,000 คัน 'ความจริงในนิคมเรามี COCK PIT ให้บริการแล้ว ซึ่งธุรกิจนับว่าดีอย่างมาก แต่ถ้าเรามาทำ ข้างใน ลักษณะจะคล้ายกับ ออโต้ มอลล์ มีแบรนด์หลายแบรนด์มาให้บริการ ก็น่าจะไปได้ดี' 4. ธุรกิจผลิตไฟฟ้า โดยภายในไตรมาส 4 ปี 2549 จะเซ็นสัญญาสร้างโรงไฟฟ้าอีก 1 แห่ง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีขนาด 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป ใช้พื้นที่ก่อสร้างประมาณ 30-50 ไร่ ส่วนโรงไฟฟ้าปัจจุบันที่มีอยู่ มีกำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ ในปีหน้าก็จะเพิ่มอีก 55 เมกะวัตต์ และในอนาคต มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เป็น 700 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเซ็นสัญญาร่วมลงทุนจัดตั้ง ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในนิคม (Comercial complex) สำหรับบริษัทที่จะเข้าร่วมลงทุนนั้นปัจจุบันจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะเซ็นสัญญาในกลางเดือนมกราคมปี 2549 ส่วนการจัดตั้งศูนย์การเงินในนิคม (Business Complex) ในรูปแบบ ไฟแนนท์เชียลสตรีท จะมีธนาคาร 8 แห่งเปิดให้บริการ นอกจากนี้จะจัดสร้างออฟฟิศให้เช่า รวมไปถึงการจัดสร้างศูนย์แสดงสินค้าในพื้นที่ด้วย ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ การจัดทำโครงการที่จะสร้างที่พักอาศัยในอมตะนคร และอมตะซิตี้ขาย โดยจะสร้างคอนโดมิเนียม และบ้านพัก บนพื้นที่ 60 ไร่ สำหรับกลุ่มแรงงานที่มีเงินเดือน 12,000 บาท ได้มีการเตรียมเซ็นสัญญากับ กลุ่มผู้บริหารการเคหะร่มเกล้า และจะจัดสร้างคอนโดมิเนียม 9 ชั้น บนพื้นที่ 30-40 ไร่ ราคา 1 ล้านเศษ สำหรับกลุ่มคนระดับกลาง เชื่อว่าจะมีการเซ็นสัญญาในเดือน มีนาคม 2549 นอกจากนี้จะจัดตั้งบริษัทให้บริการด้านแพ็คเกจจิ้ง ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ในชื่อ อมตะ อินดัสเทรียล ซัพพลายเออร์ โซน ด้วยแนวคิดการร่วมกันสั่งสินค้าเป็นกลุ่ม จะจัดตั้งสถานศึกษาเทคนิคอาชีวะ ซึ่งตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม ตลอดจนการตั้งโรงเรียนประถม มัธยม เพื่อรองรับบุตรหลานของพนักงานในนิคม 'ปัจจุบันในนิคมเรามีโรงเรียนสาธิตเกษตร มีจำนวนนักเรียนประมาณ 980 คน เรามองว่าจะต้องหาระดับมัธยมศึกษา มาเสริมสำหรับคนรายได้น้อยอีก 1 แห่ง' และเตรียมที่จะทำ ศูนย์กลาง โลจิสติกส์ อีกแห่ง บริเวณทางรถไฟ ขณะเดียวกันก็จะเข้าไปดำเนินการศูนย์การค้า และ ที่พักอาศัยใน นิคมอุตสาหกรรมที่เวียดนามด้วย ทั้งหมดนี้คือแผนปี 2549 ที่จะจัดทำขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง ก่อนที่จะรุกต่ออีก 17 บริษัทในปีหน้า เบ็ดเสร็จใช้พื้นที่ร่วมลงทุนจำนวน 500 ไร่ 'ในเรื่องของเม็ดเงินที่เราจะลงทุนนั้นความจริงไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะเราลงทุนแต่ที่ดิน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจไหนที่มีผลตอบแทบกลับมาดีมาก บริษัทก็อาจจะลงเงินไปด้วย เพื่อเพิ่มสัดส่วนหุ้นให้มากขึ้น ขณะนี้เรากำลังศึกษา ที่จะตั้งศูนย์ให้บริการขนส่งมวลชนรอบๆ อมตะนคร รวมไปถึงการให้บริการรถเช่า บริการด้านการดีไซน์ การซ่อมบำรุง ซักรีด รวมไปถึงให้บริการทางด้านเทคนิคกับโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ ปั๊มน้ำ ปัญหาด้านไฟฟ้า ระบบไฟฟ้า ระบบเครื่องปรับอากาศ หรือระบบสื่อสาร' การหันมารุกธุรกิจบริการมากขึ้นนั้น 'วิบูลย์ กรมดิษฐ์' ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น บอกว่า เป็นยุทธศาสตร์ ที่ทำให้อมตะไม่จำเป็นต้องแขวนรายได้ไว้กับการขายพื้นที่ (ที่ดิน) เพียงอย่างเดียว ซึ่งนับวันทำเลดีๆ จะเหลือพื้นที่ขายลดลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ธุรกิจบริการจะสามารถรับรู้รายได้ต่อเนื่อง เหมือนกับน้ำซึมบ่อทราย แต่ที่มากไปกว่านั้น ความสะดวกต่างๆ ในนิคม จะกลายเป็นจุดเด่น ที่ช่วยเกื้อหนุนให้ ต่างชาติ เข้ามาลงทุนได้ง่าย อย่างไรก็ตามรายได้ในปี 2548 นี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 47 ที่มีรายได้ 3,000 ล้านบาท และในปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 6,500 ล้านบาท โดยยอดขายพื้นที่ในนิคมปีนี้ จะอยู่ที่ 1,500 ไร่ และเพิ่มเป็น 2,000 ไร่ในปีหน้า วิบูลย์ บอกว่า อมตะถือว่ามีทำเลที่ได้เปรียบอย่างมาก มีศูนย์กลางขนส่งอยู่รอบด้าน ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบังที่นับวันจะมีบทบาทมากขึ้นกว่าท่าเรือคลองเตย รวมไปถึงเส้นถนนมอเตอร์เวย์ที่พาดผ่านนิคม โดยเขา เชื่อว่าในปีหน้าธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์จะหันมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น จากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 6% เพราะนิคมอมตะอยู่ห่างสนามบินสุวรรณภูมิไม่มากนัก ซึ่งในปีหน้าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในอมตะซิตี้ และอมตะนคร รวมถึงการสร้างบ่อน้ำเพิ่ม เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตของโรงงานในนิคมต่อไป วิสัยทัศน์ และความเชื่อมั่นต่อยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ทำให้ 'วิกรม กรมดิษฐ์' ทยอยเข้าเก็บหุ้น AMATA มาโดยตลอด...ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2546- ล่าสุด 9 ธันวาคม 2548 เขาเก็บหุ้นไปแล้ว จำนวน 12.98 ล้านหุ้น ควักเงินไปทั้งสิ้น 175.63 ล้านบาท หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ วิกรม วางไว้ ... ถึงวันนั้น ตำแหน่งเศรษฐีหุ้นอันดับ 11 อาจจะน้อยเกินไปสำหรับเขา เมื่อ: 2006-01-04T05:50:16+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
การตัดสินใจโดยใช้ Game Theory กับ ตีแตก Probability BeSmile: เคยนึกไหมครับ ในการตัดสินใจนั้น แต่ละครั้งเราอ้างอิงอะไร ในการตัดสินใจ ซึ่งบางครั้ง อารมณ์ มักจะมาก่อน เหตุผลเสมอ ในการสนองตอบ ต่อปัญหา ผมจะลองเขียนในแนวทางคณิตศาสตร์ เพื่อเป็นแนวคิดหนึ่งนะครับ ในการวิเคราะห์ปัญหาและตัดสินใจ เนื่องจากเราเป็นนักลงทุนแบบ VI ดังนั้นหลังจากประเมินมูลค่า บริษัท เป้าหมายที่จะซื้อแล้ว เราก็เริ่มคิดถึงโอกาศที่บริษัท จะเป็นไปตามที่คาด และความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามนั้น โอกาศที่จะได้ และความเสี่ยงที่จะเสีย ก็ คือ ความน่าจะเป็น (probability) ผมจะลองยกตัวอย่าง ง่าย ๆ โดยใช้บริษัท รับเหมา ก่อสร้าง XYZ ที่กำลังจะประมูลงานจาก บริษัท ABC โดยมีเหตุการณ์ดังนี้ เหตุการณ์ที่ 1 โอกาศที่ ABC จะเปิดประมูลงาน 80% ไม่เปิดประมูลงาน 20% เหตุการณ์ที่ 2 โอกาศที่ XYZ จะประมูลงานได้ 80% ไม่ได้งาน 20% เมื่อมองแต่ละเหตุการณ์ เหมือนโอกาสจะมาก ทำให้เราสามารถตัดสินใจผิดพลาดได้ แต่ถ้าเรานำมาเขียนเป็น Game Theory แล้วนำมาหา Prob จะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น ดังนี้ ABC จะเปิดประมูลงาน 80% โอกาศที่ XYZ จะประมูลได้ 80%, Prob = 64% ABC จะเปิดประมูลงาน 80% โอกาศที่ XYZ จะประมูลไม่ได้ 20%, Prob = 16% ABC ไม่เปิดประมูลงาน 20%, Prob = 20% ดังนั้นโอกาศที่ XYZ ได้งาน = 64% ไม่ได้งาน = 36% ตัวเลขความน่าจะเป็นดังกล่าว จะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น (เมื่อนำไปคำนวณรวมกับ Upside / Downside ก็ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น) แต่สำหรับบางคนอาจมองความน่าจะเป็นเป็นตัวเลข ไม่ชัดเจน ผมจะลองไปเขียนแบบ ไพ่ตีแตกให้ดู หวังว่าพอจะมีประโยชน์บ้าง เมื่อ: 2010-12-09T08:45:12+00:00 densin: แล้วความน่าจะเป็น พี่เอามาตัดสินสัดส่วน%การลงทุนหรือไม่ครับ เช่นเสี่ยงมากก็ลง%น้อย เมื่อ: 2010-12-09T09:49:24+00:00 กาละมัง: ความแน่นอนมีแต่ในตำรา ชีวิตจริงธุรกิจมีความไม่แน่นอนสูง บ่อยครั้งผู้บริหารคาดการณ์แล้วยังไม่เป็นตามนั้น แล้วเราเป็นเพียงผู้รับข้อมูลมาอีกทีหนึ่งจะมีความแม่นยำได้เพียงใด ดังนั้นการอ้างอิงคำนวนมาก ๆย่อมพลาดได้เช่นกัน ศัพย์ที่คุ้นหูก็คือ garbage in, garbage out ละครับ เมื่อ: 2010-12-09T09:58:36+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: กาละมัง เขียน:ความแน่นอนมีแต่ในตำรา ชีวิตจริงธุรกิจมีความไม่แน่นอนสูง บ่อยครั้งผู้บริหารคาดการณ์แล้วยังไม่เป็นตามนั้น แล้วเราเป็นเพียงผู้รับข้อมูลมาอีกทีหนึ่งจะมีความแม่นยำได้เพียงใด ดังนั้นการอ้างอิงคำนวนมาก ๆย่อมพลาดได้เช่นกัน ศัพย์ที่คุ้นหูก็คือ garbage in, garbage out ละครับ +1.22388330 เมื่อ: 2010-12-09T10:14:53+00:00 BeSmile: densin เขียน:แล้วความน่าจะเป็น พี่เอามาตัดสินสัดส่วน%การลงทุนหรือไม่ครับ เช่นเสี่ยงมากก็ลง%น้อย ใช่ครับ คุณ Densin กรณีที่เรายังไม่ทราบถึงข้อมูลที่เพียงพอ ต่อการตัดสินใจ การแปลงเป็นตัวเลข น่าจะทำให้เราเข้าใจในสถานการณ์ นั้นดีขึ้น แต่หัวใจก็ยังอยู่ที่การประเมินมูลค่าอยู่ดี ยกอีกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือเรื่อง การประมูล 3G กับหุ้นที่มีผล 3 ตัว คือ หุ้น A หุ้น D และ หุ้น T ตอนนั้นทุกคนมั่นใจมากว่า 3G มาแน่ โอกาศเกิด คือ 90% ราคาหุ้นขึ้นมารอเลย ตอนนั้น A กับ T น่าจะได้, D มาที่ 3 หุ้น T ที่มี Upside และ Downside สูงสุด จึงมีการซื้อ ขายมากสุด ทุกคนที่ซื้อ มองแต่ Upside เพราะคิดว่ามีประมูลแน่ ๆ โดยไม่คำนวณ Downside สุดท้าย ไม่มีการประมูล คนที่ซื้อ T จึงต้องเสียมากสุด A กับ D ยังดีที่มีพื้นฐานลองรับ (ลองเอาไปเขียน Game Theory แล้วใส่ Prob ดูก็ได้ครับ) อะไรที่ว่าแน่ ๆ ก็ยังไม่แน่ เสมอไป เหมือนที่พี่กาละมังบอก ดังนั้นต้องมี MOS เผื่อไว้ด้วยครับ ************************ มาต่อด้วยตอนจบ ครับ บางครั้ง ตัวเลข อาจสื่อให้เห็นภาพไม่ชัดเจน ผมจะใช้ความน่าจะเป็นแบบ ไพ่ตีแตกนะครับ ถามเล่น ๆครับ คนเล่นไพ่ตีแตก 2 คน คนเล่นคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ Q 4 ตัว ใครจะมีโอกาศชนะมากกว่ากัน ??? เมื่อ: 2010-12-09T14:29:22+00:00 tatandchin: BeSmile เขียน: ถามเล่น ๆครับ คนเล่นไพ่ตีแตก 2 คน คนเล่นคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ Q 4 ตัว ใครจะมีโอกาศชนะมากกว่ากัน ??? เท่ากันครับ เมื่อ: 2010-12-09T14:54:27+00:00 nam: เห็นด้วยกับคุณ BeSmile ครับ ผมก็ใช้แนวทางนี้ในการตัดสินใจในการลงทุนครับ (รายละเอียดผมอ่านจาก the essential buffett) prob. ที่ใช้ในแต่ละสถานการณ์นั้น ผมปรับเปลี่ยนน้ำหนักไปเรื่อยๆตามข้อมูลพื้นฐานที่หาได้เพิ่มมากขึ้น มันเป็นศิลป์แล้วค่อยศาสตร์ครับ....จึงต้องหมั่นฝึกควบคุมอารมณ์เวลาเห็นผลตัวเลขที่วิเคราะห์ได้ในครั้งแรก ลองทำ sensitivity analysis ในหลายๆสถานการณ์ด้วย ลองคุยแลกเปลี่ยนกับเซียนที่กรุณาวิจารณ์งานของเราอย่างตรงไปตรงมา (เผลอๆก็ลอกเซียนซะเลย....ไหงลงท้ายแบบนี้ไม่รู้งิ ) เมื่อ: 2010-12-09T15:45:02+00:00 สามัญชน: BeSmile เขียน: ถามเล่น ๆครับ คนเล่นไพ่ตีแตก 2 คน คนเล่นคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ Q 4 ตัว ใครจะมีโอกาศชนะมากกว่ากัน ??? ถ้าคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ K 4 ตัว (เปลี่ยนจาก Q เป็น K ) จะมีโอกาสชนะเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้ได้เล่น เพราะไม่ว่าจะเปิดตัวไหนออกมา ทั้งสองคนนี้ก็ชนะอยู่ดี แต่ถ้าคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ Q 4 ตัว ตามที่โจทย์ว่า ก็ต้องตอบว่าคนแรกมีโอกาสชนะมากกว่า เพราะคนที่สองแม้จะเป็นผู้ได้เล่น แต่ถ้าเปิด K ออกมา คนที่สองก็โดนรับประทานครับ เมื่อ: 2010-12-09T15:50:00+00:00 กาละมัง: ถ้าพูดถึงการมอง probability แบบ ไพ่ตีแตก ผมใช้เป็นประจำครับเวลาชักชวนให้เพื่อนซื้อหุ้น เช่น หากลงทุนในหุ้น a โอกาสที่จะเสียน้อย (prob to lose is low) และหากเสียก็จำนวนน้อยด้วย (lose little money) ในทางตรงข้าม โอกาสที่จะได้สูง (prob to win is high) และหากได้ก็ได้มากด้วย (gain a lot) .....อย่างนี้คุ้มค่าความเสี่ยง สมควรลงทุนอย่างยิ่ง เหมือนถือไพ่สูง 4 ตัว แต่ผลตอบแทนไม่ใช่ 1 ต่อ 1 อย่างไพ่ตีแตก คือ สูงกว่าครับ ผมว่าเพื่อน ๆ นักลงทุนหลายคนก็คงใช้เป็นประจำเหมือนกันนะครับ เมื่อ: 2010-12-09T16:17:07+00:00 picatos: สามัญชน เขียน:BeSmile เขียน: ถามเล่น ๆครับ คนเล่นไพ่ตีแตก 2 คน คนเล่นคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ Q 4 ตัว ใครจะมีโอกาศชนะมากกว่ากัน ??? ถ้าคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ K 4 ตัว (เปลี่ยนจาก Q เป็น K ) จะมีโอกาสชนะเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้ได้เล่น เพราะไม่ว่าจะเปิดตัวไหนออกมา ทั้งสองคนนี้ก็ชนะอยู่ดี แต่ถ้าคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ Q 4 ตัว ตามที่โจทย์ว่า ก็ต้องตอบว่าคนแรกมีโอกาสชนะมากกว่า เพราะคนที่สองแม้จะเป็นผู้ได้เล่น แต่ถ้าเปิด K ออกมา คนที่สองก็โดนรับประทานครับ ผมว่าคิดตามโจทย์ A กับ Q ได้เท่ากันเหมือนกันครับ เพราะ ในกองจะเหลือตัวที่แพ้แค่ 1ตัวเหมือนกัน คือ 2 กะ K เมื่อ: 2010-12-09T18:19:14+00:00 เด็กใหม่ไฟแรง: BeSmile wrote: ถามเล่น ๆครับ คนเล่นไพ่ตีแตก 2 คน คนเล่นคนที่ 1 ถือ A 4 ตัว, คนที่ 2 ถือ Q 4 ตัว ใครจะมีโอกาศชนะมากกว่ากัน ??? โจทย์นี้ ถ้าตอบแบบคนนอกวง คือพวกเรา ซึ่งรู้ไพ่ว่าใครถืออะไร ก็ต้องบอกว่าโอกาสเท่ากัน แต่หากเป็นคนเล่น ที่ไม่รู้ไพ่อีกคน คนที่1 จะคิดว่าตัวเองมีโอกาสมากกว่า เพราะจะแพ้เฉพาะ 2 ส่วนคนที่2 คิดว่าตัวเองจะแพ้ K และ A คนที่1 จะกล้าตีแตกมากกว่า เหมือนการลงทุนครับ หากรู้ข้อมูลลึกๆมากกว่า เช่นมีข้อมูลระดับผู้บริหารเลย ก็กล้าตีแตกกว่า รู้แบบลึกๆ แต่ทั่วไปๆ แบบนักวิเคราะห์ แบบ VI เมื่อ: 2010-12-09T23:51:43+00:00 BeSmile: ขอบคุณ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ทุกท่านที่ช่วยตอบนะครับ ตอนจุดเริ่มต้น ทั้ง 2 คนจะมีโอกาศเท่ากัน คือ โอกาศ แพ้ 4 ใบ จาก 44 เท่ากัน คิดเป็นตัวเลข โอกาศแพ้ = 9.09% โอกาศชนะ = 90.91% แต่พอเกมส์เริ่มเดิน คนเล่นคนที่ 1 จะได้เปรียบนิดหน่อย เพราะได้เปิดไพ่ก่อนครับ และ Value ไพ่ของคนที่ 2 ก็ขึ้นกับหน้าไพ่ที่เปิดของคนที่ 1 จะเห็นว่า ขนาดไพ่ตีแตก ได้ A 4 ตัว โอกาศชนะยังแค่ 90% เลยครับ ต้องอาศัยท่านปรมาจารย์ นิเวศน์ ล่ะครับ ที่เอามาประยุกต์ใช้กับหุ้น แล้วทำให้โอกาศ มีมากกว่านั้น แถมยังไม่จำกัดวงเงินที่แทงได้อีก บางครั้งถ้าเสียยังมีคืนเงินได้ด้วย ดูจากไพ่ในมือท่านสิครับ เล่นตีแตกยังมี 5 ใบ เลย เมื่อ: 2010-12-10T09:55:33+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: ผมว่าไพ่ มี ไว้เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่อง probability แต่กับการลงทุน ผมว่าไงก็ต่างกันครับ .............. มีหลายครั้งที confidence level ของผมอยู่ระดับ 100% ในการลงทุน คือลงหมดหน้าตักเลยครับ ผมว่าที่สำคัญกว่า และ ตัวแปรมีมากกว่าไพ่แน่นอนคือ ทำยังไงให้ confidence level คุณขึ้นถึง 100% ได้.......................................... นั้นคือ คุณยังไม่รู้อะไร ต้องรู้อะไร ต้องไปอยู่ที่ไหน ต้องรู้จักใคร ต้องอะไร.... ต้อง.............?????????? ทำให้คุณตัดสินใจได้บน ขั้น ความเชื่อมั่น 100% รับรอง ...................... ลองมองให้กว้างขึ้นครับ ปัจจัยมากมายเหลือเกินมากกว่าวงไพ่........................... ว่าง่ายๆ เป็น casinoสิ ครับ ยังไงก็รวยกว่าผู้เล่น เมื่อ: 2010-12-10T22:48:07+00:00 HENDRIX: วิธีที่ยกตัวอย่างตอนเริ่ม น่าจะเป็นวิธีที่เรียกว่า ' decision tree ' นะครับ เมื่อ: 2010-12-11T01:40:08+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บริษัทไทยไม่ได้เจ๊ง วิกฤติยังไม่ได้เกิด... aonzzung: กำลัง งง นะครับว่า บริษัทไทยก็ไม่ได้เจ๊ง วิกฤติก็ยังไม่เกิด ทำไมขายอย่างกับว่า จะมีใครล้ม... อยากถามพี่ๆตอน subprime นิดนึงครับว่าในตอนนั้น วิกฤติเกิดก่อนแล้วหุ้นค่อยตก? หรือว่า หุ้นตกนำก่อนการเกิดวิกฤติ? เมื่อ: 2011-08-25T10:23:35+00:00 CheNz: ลงวันนี้เพราะเจอข่าวว่าพี่เก้ เหน็บๆสัญญาณว่าจะไม่ใช้ QE3 หละมั้งครับ แต่ถึงใช้ไป ก็แก้ไขปัญหาไม่ได้อยู่ดี นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว ช่วงนี้มองสถานะการณ์ไม่ออกเลยครับ ขาดประสบการณ์ เมื่อ: 2011-08-25T10:32:18+00:00 aonzzung: สำหรับผม การไม่ใช้ QE3 เป็นข่าวดีนะ ถ้าใช้อีกผมจะล้างพอร์ตเลย ใช้มาตั้ง 2 รอบไม่ได้ผล ถ้าจะใช้อีกแสดงว่า Fed หมดมุข หมดทางเยียวยาแล้วแล้ว เมื่อ: 2011-08-25T10:40:59+00:00 harikung: Steve Job ลาออกมั้งครับ เมื่อ: 2011-08-25T10:42:05+00:00 multipleceilings: morgan stanley --> CS --> CLSA downgrade ครับ เมื่อ: 2011-08-25T10:44:11+00:00 Mp808: ลองดูสรุปซื้อขายวันนี้สิครับ ผมว่าต่างชาติเริ่ม แต่สุดท้าย รายย่อยฆ่ากันเอง คิดอย่างนี้เพราะ Net buy ของรายย่อยน้อยไปครับ มันผิดนิสัย เมื่อ: 2011-08-25T10:56:07+00:00 aonzzung: ดูสรุปท้ายตลาดแล้วแปลกๆครับ กองทุนซื้อหนัก รายย่อยซื้อน้อยมาก แต่หุ้นลง แสดงว่ากองทุน Bid ตั้งรับอย่างเด๊ว ไม่ได้ไล้ซื้อ ทำให้ดัชนีลงแรงเพราะไม่มีใครดันสู้แรงขาย ทั้งๆที่ต่างชาติก็ำไม่ได้ขายมากมายอะไรเลย... คิดเองเออเองล้วนๆ อย่าเชื่อครับ เมื่อ: 2011-08-25T11:22:22+00:00 chukieat30: harikung เขียน:Steve Job ลาออกมั้งครับ +1 ครับเฮีย สงสัยแฟน(ขับ) ไอแพดเทขายครับตกใจ เมื่อ: 2011-08-25T11:42:09+00:00 torpongpak: multipleceilings เขียน:morgan stanley --> CS --> CLSA downgrade ครับ กลับจากทำงานมารีบเข้าดูPort และ เปิดช่อง 178 ดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยอ๋อว่า Broke ใหญ่ ตปท. ปรับลด ดัชนีเป้าหมายของตลาดหุ้นไทย พอออกบทวิเคราะห์เเบบนี้มาตอนบ่ายฝรั่งก็ถอยซิครับ ส่วนตลาด ตปท. ขึ้นเพราะรอคำประกาศของเเนวทางการแก้ไขปัญหาเศรฐกิจของ นายBernanke... เลยรู้สึกว่าเหตุผล "เเค่เนี๊ยะ..." หุ้นตก อารมณ์ของนายตลาด ช่างยั่วยุง่ายจริงๆ เเล้ว จขกท. เริ่มใช้กระสุนบ้างรึยังคับ เมื่อ: 2011-08-25T12:13:15+00:00 roronoa: ปากบอก downgrade แต่ยอดวันนี้ซื้อนะเออ credit รูปจากกระทู้ Sinthorn Summary วันที่ 25 ส.ค. เมื่อ: 2011-08-25T13:48:09+00:00 greenman: โดยส่วนตัวยังดูไม่ออกว่าการเพิ่มปริมาณเงินจะช่วยเมกาอย่างไรเมื่อดอกเบี้ยก็ตำ อาจต้องใช้นโยบายการคลังแรงๆต้องพิจารณาต่อ เมื่อ: 2011-08-25T14:10:48+00:00 Jeng: roronoa เขียน:ปากบอก downgrade แต่ยอดวันนี้ซื้อนะเออ credit รูปจากกระทู้ Sinthorn Summary วันที่ 25 ส.ค. down grade เพื่อจะได้ซื้อของถูกไง เล่นง่ายดี เมื่อ: 2011-08-25T14:25:24+00:00 multipleceilings: ^^ เหมือน jobless claim แหละครับ. ว่างงานเพิ่ม 5000 คน เขียนข่าว ว่าทำให้หุ้นร่วงทั้งภูมิภาค ตลก เมื่อ: 2011-08-25T14:29:36+00:00 aonzzung: torpongpak เขียน:multipleceilings เขียน:morgan stanley --> CS --> CLSA downgrade ครับ กลับจากทำงานมารีบเข้าดูPort และ เปิดช่อง 178 ดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยอ๋อว่า Broke ใหญ่ ตปท. ปรับลด ดัชนีเป้าหมายของตลาดหุ้นไทย พอออกบทวิเคราะห์เเบบนี้มาตอนบ่ายฝรั่งก็ถอยซิครับ ส่วนตลาด ตปท. ขึ้นเพราะรอคำประกาศของเเนวทางการแก้ไขปัญหาเศรฐกิจของ นายBernanke... เลยรู้สึกว่าเหตุผล "เเค่เนี๊ยะ..." หุ้นตก อารมณ์ของนายตลาด ช่างยั่วยุง่ายจริงๆ เเล้ว จขกท. เริ่มใช้กระสุนบ้างรึยังคับ ผมนะโชคร้าย เข้าไปวัน พฤหัสที่แล้ว ก่อนหุ้นตกซะอีก ตอนนี้พอร์ตรวมลบเกือบ 5% ฮือๆ เสียใจ เมื่อ: 2011-08-25T15:41:06+00:00 Suysak: ไม่เห็นยาก ไม่ต้องเดาด้วย กำไรแล้วเขาก็ทำกำไรกันก็เท่านั้น เป็นเราๆ กำไรกันก็ต้องมีขายทำกำไรบางละครับ จริงไหม? เมื่อ: 2011-08-26T04:40:17+00:00 torpongpak: aonzzung เขียน:torpongpak เขียน:multipleceilings เขียน:morgan stanley --> CS --> CLSA downgrade ครับ กลับจากทำงานมารีบเข้าดูPort และ เปิดช่อง 178 ดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยอ๋อว่า Broke ใหญ่ ตปท. ปรับลด ดัชนีเป้าหมายของตลาดหุ้นไทย พอออกบทวิเคราะห์เเบบนี้มาตอนบ่ายฝรั่งก็ถอยซิครับ ส่วนตลาด ตปท. ขึ้นเพราะรอคำประกาศของเเนวทางการแก้ไขปัญหาเศรฐกิจของ นายBernanke... เลยรู้สึกว่าเหตุผล "เเค่เนี๊ยะ..." หุ้นตก อารมณ์ของนายตลาด ช่างยั่วยุง่ายจริงๆ เเล้ว จขกท. เริ่มใช้กระสุนบ้างรึยังคับ ผมนะโชคร้าย เข้าไปวัน พฤหัสที่แล้ว ก่อนหุ้นตกซะอีก ตอนนี้พอร์ตรวมลบเกือบ 5% ฮือๆ เสียใจ สู้ๆครับ ถ้าผ่านได้จะเก่งขึ้นครับ อย่าลืม"ถอดบทเรียน" การลงทุนของตัวเองหลังวิกฤติรอบนี้นะครับ เมื่อ: 2011-08-26T04:46:31+00:00 prichar s.: ก่อนซื้อหุ้นแต่ละครั้ง ผมคิดแล้วคิดแล้ว หาข้อมูล อ่านจนเมื่อยนัยน์ตา เปรียบเทียบทุกด้านเท่าที่ความรู้พอจะทำได้ กว่าจะตกลงใจ ยิ่งตอนขายยิ่งยากกว่า โดยเฉพาะขายเพื่อไปซื้อตัวอื่น แต่เห็นคนเล่นหุ้นเดี๋ยวนี้ เวลาหุ้นขึ้นไล่ซื้อทุกราคา...กลัวตกรถ เวลาหุ้นตกก็ขายทุกราคา ไม่รอคนตั้งซื้อเลย ...คงกลัวติดดอย หรือไม่ก็ถือคติ เอาตัวรอดไว้ก่อน ภาพที่ปรากฏก็เลยเป็นแบบ เวลาหุ้นขึ้น ก็จะขึ้นมากเกิน เวลาหุ้นตกก็จะตกมากเกิน อย่างวันนี้เห็นหลายตัวจากลบตอนเปิดตลาด ปิดครึ่งเช้ากลับเป็นบวกก็มี นักเล่นหุ้นยุคใหม่ ซื้อง่าย ขายคล่อง เพียงปลายนิ้วสัมผัส เมื่อ: 2011-08-26T05:53:13+00:00 Hisoka: ผมก็ถือเงินสดมาตั้งหลายเดือนรอยิงช้าง รอไปรอมาชักไม่แน่ใจว่าช้างจะมาหรือเปล่า เลยแบ่งกระสุนออกไปยิงเก้ง-กวางเล่นซะแล้ว ที่ไหนได้จริงๆแล้ว เก้ง-กวางที่เห็น มันเป็นกระต่าย เมื่อ: 2011-08-26T06:26:13+00:00 jaku: torpongpak เขียน:aonzzung เขียน:torpongpak เขียน:multipleceilings เขียน:morgan stanley --> CS --> CLSA downgrade ครับ กลับจากทำงานมารีบเข้าดูPort และ เปิดช่อง 178 ดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยอ๋อว่า Broke ใหญ่ ตปท. ปรับลด ดัชนีเป้าหมายของตลาดหุ้นไทย พอออกบทวิเคราะห์เเบบนี้มาตอนบ่ายฝรั่งก็ถอยซิครับ ส่วนตลาด ตปท. ขึ้นเพราะรอคำประกาศของเเนวทางการแก้ไขปัญหาเศรฐกิจของ นายBernanke... เลยรู้สึกว่าเหตุผล "เเค่เนี๊ยะ..." หุ้นตก อารมณ์ของนายตลาด ช่างยั่วยุง่ายจริงๆ เเล้ว จขกท. เริ่มใช้กระสุนบ้างรึยังคับ ผมนะโชคร้าย เข้าไปวัน พฤหัสที่แล้ว ก่อนหุ้นตกซะอีก ตอนนี้พอร์ตรวมลบเกือบ 5% ฮือๆ เสียใจ สู้ๆครับ ถ้าผ่านได้จะเก่งขึ้นครับ อย่าลืม"ถอดบทเรียน" การลงทุนของตัวเองหลังวิกฤติรอบนี้นะครับ ของผมก็โดน -10 % แล้วครับ เมื่อ: 2011-08-26T12:09:13+00:00 murder_doll: ไม่ได้เซียนนะครับ แต่อยากบอกนักลงทุน หรือเกร็งกำไรทุกท่านว่า ใจเย็นๆและมีสติก่อนสตาร์ท นะครับ ด้วยความเคารพ เมื่อ: 2011-08-26T13:53:34+00:00 wk0966: ผมว่า วิกฤติเกิดไปแล้วตั้งแต่ปลาย ปี 2008 นะครับแล้วก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไข ยาวมา 3 ปี แล้วมันลามมายุโรป(จิงๆมันเกิดพร้อมสหรัฐเพียงแต่มองไม่เห็น) ผมว่าวิกฤติ กำลังกว้างขึ้น เพียงแต่มันยังไกลจากเอเซีย (ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ)ไทยเลยไม่ค่อยกระเทือน แล้วผมยังไม่เห็นแววมีประเทศไหน ฝั่งยุโรปสหรัฐ จะฟื้นตัวกลับหัวแบบยังยืน เลย ยุโรปสหรัฐ ยังอยู่ในวิกฤติ ที่ต่ำลงเรื่อยๆ ยาวนานอีกหลายปีครับ เมื่อ: 2011-08-26T17:25:56+00:00 changshara: หุ้นตก> รีบขาย กลัวเมียว่าโง่ไม่รู้จัก cut loss หุ้นขึ้น> รีบซื้อ กลัวนายว่าเฉื่อยเดี๋ยวตกรถ หุ้นนิ่ง> ดู VI. + ร้อยคนร้อยหุ้น เขาว่ายังไงกัน ตื่นบ้าง หลับบ้าง เครียดบ้าง ก็ไม่เป็นไรชีวิตจะได้ไม่หยุดนิ่ง มีหุ้นหลายเด้งถือไว้เลียนแบบ ดร.นิเวศ ฯ ก็อุ่นใจ เมื่อ: 2011-08-29T04:45:09+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: บริษัทไม่ได้เจ๊ง แต่มนุษย์เรานี่สิครับเจ๊งไปนานแล้วครับ แล้วคนก็จะไม่มีวันเปลี่ยน (อย่างน้อยคงไม่ใช่ระหว่างชั่วอายุผม) ..ซึ่งถือว่าสุดยอดสำหรับคนที่เข้าใจตรงนี้ เพราะจะทำกำไรจากการไม่เปลี่ยนแปลงได้ตลอด เอาอะไรมากหละครับคนเยอะมากในเวลาแบบนี้แค่ SET ขยับหนึ่งจุดก็เป็นตัวตัดสินใจการซื้อขายแล้ว เมื่อ: 2011-08-29T04:55:11+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมการลดparถึงเป็นการลดหนี้สะสม teegogo: ผมไม่เข้าใจว่า การลด Par ของหุ้น TMB จาก 10บาท เป็น 0.95 ถึงเป็นการลดหนี้สะสม จนทำให้ มีการจ่ายปันผลเกิดขึ้น ในความเข้าใจของผม การลด Par ก็เหมือนการเพิ่มสภาพคล่อง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม หนี้ที่ TMB มีเป็นแสนล้านถึงหายไปด้วย รบกวนท่านผู้รู้ ช่วยขยายความให้ทีครับ ขอบพระคุณมากครับ เมื่อ: 2010-06-01T07:10:58+00:00 et al.: ช้าก่อน ลดพาร์ ไม่ใช่การแตกพาร์นะครับ ซึ่งไม่ได้เป็นการเพิ่มสภาพคล่อง เหมือนการแตกพาร์ เมื่อ: 2010-06-01T07:34:49+00:00 et al.: พาร์ทำให้เรารู้มูลค่าต่อหน่วยของหุ้นตอนจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ เช่น 10 บาท, 1 บาท ก็คล้ายกับว่าบริษัทมีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่นั่นเอง ทีนี้กรณีของ TMB ในส่วน Equity มีขาดทุนสะสมอยู่ รวมถึงส่วนต่ำมูลค่าหุ้น (ที่เกิดจากการออกหุ้นใหม่แล้วขายได้ต่ำกว่าราคาพาร์ ซึ่งคือ 10 บาท) ดังนั้นการลดพาร์ ก็เป็นการล้างทั้งสองส่วนนี้ ด้วยทุนจดทะเบียน Shareholder เก่าๆที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งขายที่ราคาพาร์ ก็จะโดน Dilute นั่นเอง เมื่อ: 2010-06-01T07:40:52+00:00 vision: หมายถึงขาดทุนสะสมใช่มั้ยครับ ถ้าคิดว่าเป็นหนี้คงไม่มีทางเข้าใจได้ เมื่อ: 2010-06-01T10:19:20+00:00 โอ@: ตามกฎแล้ว ปันผลจ่ายได้จากกำไรสะสม เขาก็เลยลดทุนจดทะเบียนลง ... ทำให้ขาดทุนสะสมลดลง (บางทีก็ทำให้ กำไรสะสมกลายเป็นบวก) ทำอย่างนี้ก็จะได้จ่ายปันผลได้ไงครับ เมื่อ: 2010-06-01T14:40:30+00:00 miracle: การลดพาร์ในกรณีนี้ จำนวนเงินที่ลดลงนั้นเอาไปหักกับขาดทุนสะสมเป็นหลักคร้าบ เพื่อที่ให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้เร็วขึ้น กรณีเคยเกิดขึ้นแล้วคร้าบ สมัยก่อน ธนาคารที่เริ่มเป็นคนแรกคือ KTB คนต่อไปที่น่าทำคือ BMCL กับ BTS เพราะทั้งคู่ขาดทุนสะสมจำนวนมหาศาล แต่ BMCL กิจการยังไม่สามารถทำเงินสดจากการดำเนินงานได้ แต่ BTS สามารถทำเงินสดจากการดำเนินงานได้ และมีการเรียกเพิ่มทุนเพิ่ม ดังนั้นน่ามีแรงกดดันจากนักลงทุน ที่ต้องการเห็นบริษัทเริ่มจ่ายปันผลได้ เมื่อ: 2010-06-02T00:08:02+00:00 teegogo: ขอบคุณครับ พอเข้าใจขึ้นบ้างแล้วครับ เมื่อ: 2010-06-02T03:56:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผมเต่าครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ TURTLE: ผมเต่าครับ เพิ่งสมัครเป็นน้องใหม่ประจำห้อง TVI นี่น่ะครับ ยังไงขอฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนๆพี่ๆด้วยนะครับ ปล. วันนี้เป็นวันที่ลำบากจริงๆนะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคน(รวมถึงตัวเองด้วยครับ แห่ะ) เมื่อ: 2005-07-07T13:20:33+00:00 CK: ยินดีครับ เป็น Turtle Trader ด้วยหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2005-07-07T13:22:22+00:00 ต.หยวนเปียว: มาต้อนรับ เมื่อ: 2005-07-07T13:40:15+00:00 ปรัชญา: ต.หยวนเปียว เขียน:มาต้อนรับ คุณเต่า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ(กระเป๋าฝาก ผบ.ทบ แร้ววว) เมื่อ: 2005-07-07T13:45:06+00:00 ต.หยวนเปียว: ปรัชญา เขียน: คุณเต่า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ(กระเป๋าฝาก ผบ.ทบ แร้ววว) อะไรครับพี่ปรัชญา ผมยังไม่get :lol: เมื่อ: 2005-07-07T13:48:16+00:00 TURTLE: สวัสดีครับพี่ ba_2l และพี่ CK ผมถือเป็นเต่าของแท้เลยครับเพราะไม่ไวต่อสถานการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงน่ะครับ เวลาจะเล่นตามตลาด เป็นต้องเต่าทุกทีไป ทำให้ซื้อน้องกระบือ(ควาย) และขายหมูอยู่ตลอดน่ะครับ ขาดทุนย่อยยับ พักหลังๆเลยต้องนั่งทำใจแล้วหันมาเล่นตามนิสัยที่เป็นจริงของตัวเอง (คือผมเป็นคนเต่าๆ ก็ต้องลงทุนในตราสารเต่า ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเต่า หรือตราสารหนี้เต่าน่ะครับ) หุ้นเต่าที่มีอยู่เป็น Utilities น่ะครับ คือโรงไฟฟ้า โรงถ่านหิน โรงกลั่นนิดหน่อย กับ Modern Trade น่ะครับ ส่วนตราสารหนี้เต่าก็เช่นของหุ้นกู้ SCC น่ะครับ ฝากซื้อผ่านคุณแม่ แต่ว่ายังมีตราสารหนี้อีกหลายตัวที่สอดคล้องรับกับสถานการณ์ดอกเบี้ยขึ้น ซึ่งถ้าพี่ๆจะกรุณาแนะนำจักขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ เมื่อ: 2005-07-07T13:48:54+00:00 ปรัชญา: ต.หยวนเปียว เขียน: อะไรครับพี่ปรัชญา ผมยังไม่get :lol: ต้องต่อ หลังเบอร์1กับเบอร์2 เมื่อ: 2005-07-07T13:50:09+00:00 TURTLE: สวัสดีพี่ ต.หยวนเปียว และพี่ปรัชญาด้วยนะครับ กระเป๋าของผมสงสัยจะเบาหวิวน่ะครับ แบบว่าปอดเล็กจิ๋วเดียว เดี๋ยวพี่หาเศษแบงค์จ่ายค่าทางด่วนมิเจอง่ะครับ แห่ะ เมื่อ: 2005-07-07T13:53:45+00:00 ปรัชญา: ไม่ใช่ขาขึ้น ต้องจ่ายค่าทางด่วน ตอนนี้ขาลงซะแล้ว เมื่อ: 2005-07-07T13:55:23+00:00 man: ยินดีต้อนรับด้วย หวังว่าไม่ใข่ผู้บาดเจ็บมาจากเว็บอื่นนะ (MON MONEY:พักนี้คนบาดเจ็บจากเวปหุ้นอื่น มาเข้าเป็นสมาชิกเวปเราเพียบเลยพี่) แต่ถึงใช่ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆเป็นไปเดี่ยวก็ได้คืนเนอะ ขยันอ่านขยันฝึกขยันหาจุดแข็ง :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-07-07T14:07:47+00:00 TURTLE: ไม่ใช่ขาขึ้น ต้องจ่ายค่าทางด่วน ตอนนี้ขาลงซะแล้ว จริงด้วยครับพี่ ปล. กลัวจะเหมือนช่วงปี 22 จัง ตอนนั้นน้ำมันแพงหูดับตับไหม้ ดอกเบี้ยขึ้น ขาดดุลบัญชี เงินเฟ้อสูง เงินตึงตัวเกิดคล้ายๆตอนนี้เลย ลำบากจังครับ (คุณแม่ผมบอกว่างั้นน่ะครับ แห่ะ) พี่ๆว่าเราจะกลับไปเหมือนเดิมอีกหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2005-07-07T14:11:54+00:00 TURTLE: ยินดีต้อนรับด้วย หวังว่าไม่ใข่ผู้บาดเจ็บมาจากเว็บอื่นนะ (MON MONEY:พักนี้คนบาดเจ็บจากเวปหุ้นอื่น มาเข้าเป็นสมาชิกเวปเราเพียบเลยพี่) แต่ถึงใช่ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆเป็นไปเดี่ยวก็ได้คืนเนอะ ขยันอ่านขยันฝึกขยันหาจุดแข็ง เพิ่งเคยเป็นสมาชิกครั้งแรกก็ที่เวปนี้เลยน่ะครับ แบบว่าใหม่สดซิง แห่ะ เวปอื่นผมก็ชอบครับเพราะว่าให้ข้อมูลกับเราในหลายๆด้านดี แต่บ้าน TVI นี้คงจะเหมาะกับผมมากกว่า เหตุผลที่ชอบก็คือ TVI มีผู้รู้จริงเยอะดีครับ อีกทั้งเสนอข้อมูลเป็นกลางดี ใครจะมาโพสต์เรื่องต่างๆ ก็มักจะกลั่นกรองมีเหตุผลประกอบน่าเชื่อถือ อีกเวปหนึ่งที่ชอบก็คือ Pantip ห้องสินธรครับ ชอบคนเก่าๆหลายๆคนน่ะครับ เมื่อ: 2005-07-07T14:21:14+00:00 naris: ยินดีต้อนรับครับ เคยอ่านหุ้นเต่าของ ดร.นิเวศน์ ไหมครับ ช้าแต่ถึงเส้นชัยก่อนกระต่ายนะครับ เมื่อ: 2005-07-07T14:36:24+00:00 buglife: พี่เตวี่ เปลี่ยนรูป logo ด่วน พี่เต่าอีกคน รูปดูเต่า hi-tech มาก เมื่อ: 2005-07-07T15:28:23+00:00 ต.หยวนเปียว: buglife เขียน:พี่เตวี่ เปลี่ยนรูป logo ด่วน พี่เต่าอีกคน รูปดูเต่า hi-tech มาก ได้เลยพี่บักกี้ เป็นเต่าโรแมนติกแล้วกัน 555 เมื่อ: 2005-07-07T16:17:53+00:00 visanuu: welcome to value investor world เมื่อ: 2005-07-07T17:23:03+00:00 TURTLE: สวัสดีครับพี่ man พี่ naris พี่ buglife และพี่ visanuu ผมเคยอ่านครับพี่ naris และโดยส่วนตัวก็ชอบหุ้นเต่ามากๆเลยครับ (แม้จะไม่ค่อยมีตังค์เก็บเท่าไหร่) แห่ะ เพิ่งสังเกตเห็นน่ะครับ ว่าผมดันไปใช้เต่าเหมือนพี่ ต หยวนเปียวเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ อย่างไรก็ตามเต่าของพี่หยวนเปียวดูแล้ว จิงๆครับ เมื่อ: 2005-07-08T01:21:53+00:00 alexx: ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ครับ :lol: :lol: เมื่อ: 2005-07-08T01:57:10+00:00 ปรัชญา: :lovl: ถ่ายเอกสารไว้เพื่อความถูกต้อง ขออนุญาติทั่นบั๊กหรือยังสมยอมให้เปลี่ยนหรือเปล่า ล้อเล่นเหมือนกัน เมื่อ: 2005-07-08T02:34:37+00:00 ต.หยวนเปียว: ปรัชญา เขียน::lovl: เข้าท่าแฮะ รูปคุณเต่าสวยดี ขอบคุณครับเฮียที่ชม ล้อเล่นพี่บักกี้นะครับ เดี๋ยวสายๆ หรือดึกๆ ก็จะเปลี่ยนแล้ว มันอุจาดรึเปล่า โป๊ด้วย :lovl: พี่turtle ตามสบายครับพี่ ผมดีใจนะมีพวก น่าจะมีตามมาอีกเยอะๆ เมื่อ: 2005-07-08T02:40:11+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จุดประกายความคิด พลิกชีวิตการลงทุน amornkowa: จุดประกายความคิด พลิกชีวิตการลงทุน ช่วง เซียนมี๋ เซียนมี๋ ทิวา เริ่มจากครอบครัวขายโจ๊กตอนเด็ก มีอาม่ามักให้ทัศนคติที่ดีกับเขามาตลอด ไม่ว่าเขาจะเรียนไม่ดีในชั้น ประถม มัธยม แต่อาม่าให้กำลังใจมาตลอด บอกว่าถึงเรียนไม่เก่งแต่ทำงานก็จะเก่งเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของเราเท่านั้นเอง ช่วงที่ญาติมาเยี่ยมเป็นกลุ่มใหญ่ สังเกตว่าทุกคนรวยหมด ปัจจัยความรวยไม่ใช่มาจากโชคชะตา เสียดาย ตอนผมเริ่มรวย อาม่าก็เสียแล้ว ตอนจบม3 เรียนไม่เก่ง มีเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน มาชวนไปทำงานขี่มอเตอร์ไซด์ ส่งเอกสารตลอด เลยลองทำดู ชีวิตก็ดีขึ้น มีรายได้เข้ามาวันละเกือบพันบาท แต่พ่อไม่สบายใจเพราะพ่อทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของร้านอาหาร คุณพ่อเลยส่งไปเรียนที่จีน 2ปีครึ่ง กลับมาทำงาน เห็นพี่สมศักดิ์ซึ่งทำงานมา10ปีมีรายได้ 50,000 บาท ซึ่งใช้เวลานานไปไม่ตอบโจทย์ เลยไปทำธุรกิจดีกว่า ซึ่งไม่เหมือนกับการลงทุน ที่บางทีตกใจตื่นมากลางดึกเพราะกลัวหุ้นตก วันที่มาทำธุรกิจร้าน internet ตอนนั้นมีเครื่องคอมพิวเตอร์ 8 เครื่อง พ่อตาแม่ยายก็คัดค้าน บอกว่าธุรกิจไม่ดี แต่ตัวเองคิดว่าร้านเกมกำลังจะมา สุดท้ายได้เงินมาจากร้านเกม 10 กว่าล้านบาท ก็เอาเงินไปซื้อคอนโดมาปล่อยเช่าต่อ ตอนนั้นคิดว่าตัวเองรวยมาก ไปเดินที่เอสพลานาด บังเอิญไปฟัง ดร นิเวศน์พูดเปิดตัวหนังสือพอดี มีคนฟังแค่ 2 คน พึ่งรู้ว่า ยังมีคนรวยกว่า ดร มีเงิน 300-400 ล้านบาท เลยเสียความมั่นใจ แต่พอฟังไปเรื่อยๆ จับใจความได้ว่า ควรกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน สมมติเราต้องการ 50 ล้านบาท เรามีเงินต้น 1 ล้านบาท ถ้าเราลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 26% ทุกๆ10ปี รวยขึ้น 10 เท่า วิธีการชนะตลาดหุ้น 1. พยายามหาหุ้นที่มีโอกาสชนะตลาด และ ทำกำไรให้เหมาะสมในตัวที่ถูกต้อง 2. จำกัดการขาดทุนในการตัดสินใจที่ผิด สมมติถ้าเราปล่อยให้ขาดทุน 90% เราต้องทำกำไร 900% ซึ่งไม่สามารถทำได้ 3. ทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอ 4. ถามตัวเองทุกวัน ยังมั่นใจในหุ้นตัวที่เราถือไหมว่ายังเป็นหุ้นที่อยู่ในข่ายข้อ1 ถ้าไม่ใช่แล้ว ทำไมเรายังถือมันอยู่ เหตุผลในการซื้อยังอยู่ครบถ้วนไหม สุดท้ายเป้าหมายความสำเร็จ วัดจากความสุขจากคนรอบข้างที่ได้รับต่างหาก จุดประกายความคิด พลิกชีวิตการลงทุน ช่วง คุณ เคน โสรัตน์ คุณ เคน โสรัตน์ มาเล่าแรงบันดาลใจ และ ประสบการลงทุน เริ่มจากปี 1995 ขยายธุรกิจจาก 50 ล้าน มาเป็น 1,000 ล้านบาท ห้องทำงานขนาดไม่ใหญ่ แต่ แอร์เสียทุกเดือน เพราะว่ามีไฟในการทำงานแรงมาก ปี1997 วิกฤตต้มยำกุ้ง หนี้เพิ่มมาอีกเท่าตัว ใช้เวลาจ่ายหนี้กว่า 38 ปีกว่าจะจ่ายหมด ย้อนมาตอนเริ่มธุรกิจใหม่ การเป็นผู้นำในหน่วยย่อยของธุรกิจ หาทีมงานมาเป็นหน้าที่ของ CEO คือหาลูกน้องเก่งๆ แต่เมื่อมาเป็นเจ้าของเต็มตัว เราต้องหา CEO เก่งๆมาบริหารงาน พออายุ 30 ปี อยากเป็นนักลงทุน หน้าที่ก็เปลี่ยนไป คือการหา Business Owner ที่เก่ง ( Joint Winner ) นักลงทุนหากิจการที่กำไรในราคาที่ถูก ดีกว่าเปิดบริษัทเอง มีโอกาส 7 ใน 10 ที่เจ้ง หาหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งกำไรจะก้าวกระโดด เราเรียนรู้หุ้นอย่างพิถีพิถันในการลดความเสี่ยง เราสามารถค้นหาหุ้นที่เปลี่ยนชีวิตได้ซึ่งมีกำไรก้าวกระโดด เราต้องตั้งเป้าหมาย เช่น ตั้งเป้าโตอย่างน้อย 200%-300% ซึ่งอย่างน้อยถ้าได้ 100% ก็ยังดี แต่มีข้อเสียคือหาหุ้นได้น้อยลง หุ้นเปลี่ยนชีวิตที่เจอไม่เกิน 7 ตัว ในชีวิตที่ผ่านมาก็เพียงพอแล้ว เลือกหุ้น 15 ตัว และ คัดเหลือ 5 ตัวที่จะลงทุน แชร์ประสบการณ์ครั้งแรกที่ลงทุน ตอนแรกที่ลงทุน ใช้เงินต้นเยอะ โดยไม่ค่อยมีความรู้ด้านลงทุนมากนัก ผลตอบแทนตั้งไว้เยอะ เวลาเราเหลือเยอะ แต่ไปเล่น margin พยายามเบิ้ลportให้โตเร็ว เลยเจอวิกฤต Hamberger ขาดทุนเยอะ มีหนี้เยอะ เป็นประสบการณ์ รู้งี้ไม่ลงทุน รอวิกฤตดีกว่า ดังนั้นแนะนำให้ลงทุนครั้งแรก ใช้ทุนน้อยๆ จะดีกว่า คิดเสมอว่า ความสำเร็จนั้น วัดจาก เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากกำไร หรือ ขาดทุนที่ผ่านมา สิ่งสำคัญคือ เราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์เพิ่ม บางคน เจอปัญหา เลยออกจากวิกฤต กลับไปทำงานเหมือนเดิม ความเสียหายของportมหาศาล เป็นการเรียนรู้ เหมือนจ่ายค่าเทอมแพงมาก เราต้องกลับมา การขาดทุนในวันนี้แม้เสียหาย ก็เป็นเรื่องเล็กของวันพรุ่งนี้เสมอ ผมยังก้าวไปได้อีก เพราะเป้าหมายอนาคตมันใหญ่กว่า การเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก รวยได้แต่อย่ารวยเร็ว เหมือนกับ ผมยาวตัดสั้นได้ แต่ผมสั้น จะให้ยาวต้องใช้เวลา เปรียบกับ Port 2แสนบาท เป็นล้านบาท ต้องใช้เวลา นี้คือความสุขที่ได้รอเวลา ทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ Portระดับพันล้าน แต่เป็นความผิดพลาดในการลงทุนกว่า 15 ปีที่จดบันทึกไว้ในสมุดและจะไม่กลับไปทำแบบนั้นอีก ซึ่งทำให้ผมประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา ผมจะสะสมข้อผิดพลาดไว้ในสมุดทุกปี เรียนรู้กับกำไรและขาดทุนที่เกิดขึ้น ผิดพลาดครั้งแรก เพราะเราไม่เรียนรู้ ครั้งที่2เพราะเราเรียนรู้ แต่ถ้าครั้งต่อไปยังผิดพลาด น่าจะออกจากตลาดไปดีกว่าเพราะไม่มีการปรับปรุง หรือ เรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่ผ่านมา องค์ความรู้ที่ได้ จากportที่ใหญ่ขึ้น เป็นผล จริงๆคุณจะได้วิชาติดตัวจากการเรียนรู้กับข้อผิดพลาด การได้มาของเงิน ต้องสร้างด้วยตนเอง คนรวยหมายถึง คนที่ให้เยอะกว่าคนอื่น เมื่อ: 2016-07-21T17:25:07+00:00 neuhiran: ขอบคุณมากๆเลยครับ เมื่อ: 2016-07-22T00:32:54+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอโยนหินถามหาหุ้นเพื่อเอาไปวิเคราะห์ไส้ในหน่อยครับ invisible: ผมเล็งๆ หุ้นเพื่อเอาไปหัดวิเคราะห์ดูหน่อยหน่ะครับ ที่เล็งไว้ อันดับแลกเลยคือ CM พี่ๆเซียนทั้งหลายมีความเห็นและข้อมูล โปรดชี้แนะด้วย ช่วงนี้ ขึ้นไปเยอะแล้วด้วยสิ เมื่อ: 2006-12-18T06:06:05+00:00 sunrise: ผมแนะนำ นิดครับ ว่าควรจะต้องบอกเหตุผลนิดว่าทำไมสนใจตัวนี้ มันต้องมีตัวเร่งนิดนึงครับ ว่าเหตุผลคืออะไร แล้วเดี๋ยวจะมีเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆมาช่วยกันครับ เมื่อ: 2006-12-18T06:54:30+00:00 invisible: ขอบคุณครับ คุณsunrise คือว่า มันก็กิจการไม่ใหญ่ แต่เท่าที่ผมดูคร่าวๆ หนี้น้อย และมีเงินสดซ่อนอยู่พอสมควร ไม่รู้ดูผิดป่าวครับ ยังงัย ลองช่วยดูหน่อยนะครับ พี่น้อง เมื่อ: 2006-12-18T07:06:47+00:00 NURINGRX: เงินบาทแข็ง มีผลต่อบริษัทมากน้อยแค่ไหนครับ เมื่อ: 2006-12-18T08:56:15+00:00 sunrise: invisible เขียน:ขอบคุณครับ คุณsunrise คือว่า มันก็กิจการไม่ใหญ่ แต่เท่าที่ผมดูคร่าวๆ หนี้น้อย และมีเงินสดซ่อนอยู่พอสมควร ไม่รู้ดูผิดป่าวครับ ยังงัย ลองช่วยดูหน่อยนะครับ พี่น้อง ถูกครับ แต่อาจจะไม่พอ ที่เราลงทุนเพราะมีทรัพสินซ่อนอยู่ เพราะต้องรอคนมาพบ แล้วเห็นดีด้วย ปกติหุ้นที่ดีต้องมีทิศทางธุรกิจที่ดีครับ ตัวนี้เป็นห่วงเรื่องรายได้เป็น us แล้วก็ margin สูงมากมาตลอด แล้วก็ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการขายผักแช่แข็งมากนักครับ ปัจจัยความเสี่ยงเป็นเรื่องพืชผล ผลิตได้ไม่มากนัก ผมต้องหาข้อมูลต่อไป  :lol: เมื่อ: 2006-12-18T09:31:15+00:00 hot: อืมแปลกจังทำไมวันนี้ดูเหมือนเงินบาทเราอ่อนค่านิด หน่อย  แบบเร็วอย่างไงอยู่ เมื่อ: 2006-12-18T11:44:21+00:00 hot: 18 ธันวาคม 2549 16:55 น. (Update) ธปท.ออกมาตรการเก็งกำไรค่าเงินบาท สั่งธนาคารพาณิชย์หักสำรอง 30% ของเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี และมูลค่าเกิน 20,000 ดอลลาร์ต่อรายการ มีผลพรุ่งนี้ ค่าบาททรุดทันทีหลังประกาศมาตรการ ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แถลงมาตรการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาท เมื่อ 16.30 น.วันนี้ว่า สั่งให้ธนาคารพาณิชย์กันเงินไว้ 30%ของเงินทุนนำเข้าที่มีอายุต่ำกว่า 1ปี โดยหากต่างประเทศมีการนำเงินทุนเข้ามา ให้ธนาคารพาณิชย์ดึงเงินทุนดังกล่าว 30%สำรองไว้ทันที แต่หาก เม็ดเงินดังกล่าว มีอายุเกิน 1ปี ธนาคารพาณิชย์ จะคืนเงิน 30%ให้กับนักลงทุนต่างประเทศดังกล่าว โดยจะบังคับใช้สำรองเงินนำเข้าที่เกินกว่า 20,000 ดอลลาร์ต่อรายการ ไม่รวมกลุ่มผู้ส่งออก "ทั้งนี้มาตรการดังกล่าว เพื่อลดการเก็งกำไรระยะสั้น และลดความผันผวนของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคม มีเงินระยะสั้นสัปดาห์ละ 950 ล้านดอลลาร์ จากพฤศจิกายน ที่เฉลี่ยสัปดาห์ละ 300 ล้านดอลลาร์ "ดร.ธาริษา กล่าว เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ซึ่งเป็นการปรับตัวแข็งค่าขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา และเป็นการปรับแข็งค่ามากสุดในรอบ 9 ปี จากเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท เพราะมีการขายเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเพื่อแลกเป็นเงินบาทจำนวนมาก ทำให้ ธปท.จำเป็นต้องประกาศมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อลดการเก็งกำไรในช่วงเย็นวันนี้ (18 ธ.ค.) โดยค่าเงินบาทเช้าวันนี้ เปิดตลาดที่ 35.11-35.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากอัตราปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 35.24-35.26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางการซื้อขายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเคลื่อนไหวแข็งสุดที่ระดับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเวลา 10.00 น. อย่างไรก็ตามหลังมีข่าวว่า ธปท.จะแถลงมาตรการ ส่งผลให้ค่าเงินบาท อ่อนค่าลงก่อนที่จะปิดตลาดที่ 35.34 บาทต่อดอลลาร์ สำหรับมาตรการของธปท. มีรายละเอียดดังนี้ : ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ายังคงมีเงินทุนนำเข้าระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรในค่าเงินบาทในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและแข็งค่าขึ้นเกินกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ จึงเห็นควรมีมาตรการ เพิ่มเติมโดยกำหนดให้สถาบันการเงินที่รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ของเงินตราต่างประเทศดังกล่าว ส่วนที่เหลือร้อยละ 70 ให้รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทให้แก่ลูกค้า ยกเว้นเงินตราต่างประเทศที่รับซื้อ หรือแลกเปลี่ยนเป็น เงินบาทที่ได้รับจากค่าสินค้า บริการ หรือเงินที่บุคคลหรือนิติบุคคลไทยได้รับคืนจากการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ต้องกันเงินไว้ตามมาตรการนี้ โดยมีรายละเอียดและวิธีปฏิบัติดังนี้ 1. ลูกค้าที่สถาบันการเงินกันเงินไว้จะขอคืนเงินได้ เมื่อครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ถูกกันเงิน โดยลูกค้าต้องแสดงเอกสารหลักฐานให้ชัดเจนว่าเงินที่ตนนำเข้ามาลงทุนนั้นอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 1 ปี 2. เมื่อสถาบันการเงินพิสูจน์และรับรองแล้วว่าลูกค้ารายนั้นมีการนำเข้าเงินทุนและอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 1 ปีแล้ว ให้แจ้ง ธปท. เพื่อดำเนินการส่งเงินให้สถาบันการเงินคืนแก่ลูกค้าต่อไป 3. ลูกค้ารายใดนำเงินลงทุนกลับคืนก่อนครบระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนเพียง 2 ใน 3 ของเงินที่กันไว้ 4. ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามสัญญาการรับซื้อหรือ แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทที่ได้ตกลงก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกันเงินตราต่างประเทศดังกล่าว 5. สำหรับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เป็นการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) ที่เป็นส่วนของทุน หรือเงินโอน ให้ลูกค้าผู้ถูกกันเงินยื่นคำร้องผ่านสถาบันการเงินพร้อมเอกสารหลักฐาน เมื่อสถาบันการเงินพิสูจน์และรับรองความถูกต้อง และ ธปท. เห็นสมควร จะคืนเงินดังกล่าวแก่ลูกค้าโดยเร็ว 6. เมื่อสถาบันการเงินกันเงินดังกล่าวแล้ว ให้นำส่งแก่ ธปท. ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป 7. ผลประโยชน์ที่ ธปท. ได้จากมาตรการนี้จะดูแลเพื่อใช้เป็นประโยชน์ของรัฐและสาธารณชนต่อไป มาตรการที่กำหนดให้ต้องดำรงเงินสำรองเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศ ที่ออกเพิ่มเติมในวันนี้ เคยใช้มาแล้วในหลายประเทศในภาวะที่จำเป็น เพื่อควบคุมการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น และ ธปท. เห็นว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ธปท. จะได้ติดตาม และประเมินผลของมาตรการอย่างใกล้ชิดต่อไป จากกรุงเทพธุรกิจ http://www.bangkokbiznews.com/viewNews. ... sid=140709 เมื่อ: 2006-12-18T12:12:19+00:00 matrix: โค้ด: เลือกทั้งหมดต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ของเงินตราต่างประเทศ 1. ลูกค้าที่สถาบันการเงินกันเงินไว้จะขอคืนเงินได้ เมื่อครบกำหนด 1 ปี 3. ลูกค้ารายใดนำเงินลงทุนกลับคืนก่อนครบระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนเพียง 2 ใน 3 ของเงินที่กันไว้ ผมมันคนแก่...  สายตาสั้นอีกด้วย  อ่านแล้วเข้าใจว่า..... You เอาเงินมาแลกกับเงินบาทของไทย ไอขอยึดเงิน You เป็นตัวประกันไว้ก่อน  30 % You จะแลกไปทำอะไรก็แล้วแต่  You     แต่จะใช้ได้เพียง 70 % ของที่ You เอามาเท่านั้น     ถ้า You เอาเงินมาทำมาหากินในเมืองไทยครบ 1 ปี     30 % ที่ไอยึดไว้    You ต้องแสดงหลักฐานก่อนว่าไอยึดไว้ครบแล้ว ถ้าไม่มีหลักฐาน หรือขอคืน  ไอไม่คืนให้นะ   จะบอกให้   ถ้า You ทำใจได้   ยอมแลกกับไอเพื่ออะไรก็แล้วแต่   แล้วเกิดเปลี่ยนใจทีหลัง  จะขอคืนก่อนครบกำหนด 1 ปี   เงินที่ไอจับเป็นตัวประกันไว้  ไอขอค่าเก็บกักดูแลรักษา   แล้วจะคืนให้เพียง 2/3 ของเงินประกัน 30 % = 20 % ส่วนอีก 10 %  ไอขอเก๋าเจี่ยะ เอ๊ย แปะเจี่ยะนะจ๊ะ  ผมรู้สึกจะหนาว ๆ ผิดปรกติ ขึ้นมากระทันหันทันที...    :doi: เมื่อ: 2006-12-18T14:15:29+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }