text
stringlengths 1
1.21M
⌀ | meta
dict |
---|---|
เกิดอะไรขึ้นกับ เฮียปอกับพี่เทพ ครับ
นักดูดาว: ตามหัวข้อครับ
เมื่อ: 2004-11-10T08:19:54+00:00
CK: สืบเนื่องมาจากกระทู้คุณกาลามะชนครับ
"อุตสาหกรรมพลังงาน กำลังเป็นฟองสบู่"
หาอ่านได้ที่นี่
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 94080.html
เมื่อ: 2004-11-10T08:42:36+00:00
นักดูดาว: ขอบคุณครับท่านประธาน
อ่านแล้วคลายเครียดดีครับ
เมื่อ: 2004-11-10T09:14:04+00:00
sunrise: หมดรอบนักเก็งกำไรมั้งครับ
เดี๋ยวเค้าก็ไปตามตัวอื่นๆต่อ
เมื่อ: 2004-11-10T09:35:25+00:00
Dr.T: สุดยอดครับ แต่มันโพสมาตั้งนานแล้วนี่ครับ พี่เทพเพิ่งทำฮาราคีรีตัวเองวันนี้เอง :lol: -10 บาท
พรุ่งนี้จะรีบาวนด์ไหมเนี่ย :lol: :lol: ชักจะเป็น VS มากขึ้นทุกวันแล้วเรา :lol: :lol:
เมื่อ: 2004-11-10T09:41:02+00:00
VIB007: หุ้นมีขึ้นก็ต้องมีลงเป็นธรรมดาครับ อย่าคิดมาก
ผมรอพี่เทพที่ 180 อยู่ครับ
ใครบ้าขายก็บ้าซื้อครับ ฮ่า ฮ่า
เมื่อ: 2004-11-10T10:28:02+00:00
นักดูดาว: ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ฮ่ากว่า 1 ที) ในที่สุดเป้าหมายก็ปรากฎตัว
งั้นผมขอตั้งรับ 181 บาทก็แล้วกันครับ
เมื่อ: 2004-11-10T10:38:15+00:00
Dr.T: งบออกแล้วนะครับ
เมื่อ: 2004-11-10T10:41:45+00:00
โป้ง: หุ้น...........................................2004..............................2003
PTT(Q3)...................................5.65...............................3.72
PTT(9 month)..........................15.07.............................10.09
ถือว่าเยี่ยมนะ
เมื่อ: 2004-11-10T10:58:27+00:00
VIB007: นักดูดาว เขียน:ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ฮ่ากว่า 1 ที) ในที่สุดเป้าหมายก็ปรากฎตัว
งั้นผมขอตั้งรับ 181 บาทก็แล้วกันครับ
ผมว่าต้องรอนานหน่อยนะครับ
จาก 294 มา 181 นี่ คงต้องผ่านอีกหลายด่าน
รักแท้ต้องรอหน่อย อิ อิ
ส่วนเรื่องในพันธ์ทิพย์ของคุณกาละแมชนเล่าไว้ตามลิงค์ที่ว่ามา
ก็ฟังหูไว้หูครับ
ส่วนใหญ่เป็นความเห็นมากกว่าความจริง
เพราะเป็นเรื่องของอนาคต
ใครๆก็เดาทั้งนั้นหละครับ
ส่วนตัวผมว่า ถ้าพลังงานล้นโลกก็ดีซิครับ
ผมจะได้ใช้พลังงานถูกๆหน่อย
ค่าไฟจะได้ถูก
ค่าน้ำมันรถจะได้ไม่แพง
จะได้สบายกระเป๋าสักหน่อย
ถ้าล้นจริงตามคำทำนาย ผมจะดีใจมาก
แต่กลัวจะไม่ล้นจริงนะซิครับ
ล้นไม่กลัว กลัวไม่ล้น.......... ฮา ฮา ฮิ้ว
เมื่อ: 2004-11-10T11:27:50+00:00
วัวแดง: ได้เวลาชาว VI เก็บของถูก
ไม่ต้องไปไล่ราคากะ VS อิอิ..
Pttep 200 ก็พอแล้วครับ ผมว่า
เมื่อ: 2004-11-10T15:58:32+00:00
ch_army: แล้วหากลองคิดเล่นๆว่า เจอก๊าซเยอะๆ ทั่วโลกเนี่ยพี่คิดว่าพี่เทพจะเป็นไงครับ
ส่วนตัวคิดว่าคงรวยเพราะถึงก๊าซ เยอะแต่หากเจ้าอื่นขุดไม่เป็นก็เท่านั้นแหละ ผมดีจะตกแก่ พี่เทพเพราะคนคงหันมาใช้ก๊าซมากขึ้นหรือเปล่าเพราะมันถูกๆๆๆมากๆๆๆ ออย่างนย้อยคงกำไรไปจนกว่าจะเปิดเสรีการค้าก๊าซ
เมื่อ: 2004-11-10T17:34:02+00:00
โป้ง: แล้วหากลองคิดเล่นๆว่า เจอก๊าซเยอะๆ ทั่วโลกเนี่ยพี่คิดว่าพี่เทพจะเป็นไงครับ
ไม่ต้องคิดมาก ราคา pttep ตกสิครับ ของล้นตลาดราคาก็ลงเป็นธรรมดา
เรื่องขุดไม่ต้องห่วง ถ้พบจริงมีจริง มีคนเตรียมเข้าทำสัมประทาน
หากยังหาพลังงานทดแทนไม่ได้ ของพวกนี้มีแต่จะดีดตัวขึ้นเรื่อยๆครับ
เมื่อ: 2004-11-11T03:58:31+00:00
โป้ง: ถ้าพลังงานท่วมโลกจริง ผู้บริโภคคงยิ้ม ส่วนผู้ผลิตคงแย่
แต่ผู้บริโภคมีมากกว่า ... งั้นเชียร์ให้พลังงานท่วมโลกจริงๆ...เย้
เมื่อ: 2004-11-11T07:00:37+00:00
hot: พลังงานท่วมโลกผมว่าคงเป็นได้ยากเพราะ
การที่แสวงพลังงานหลายที่เป็นแค่การสำรอง
เท่านั้น สิ่งที่บอกเหตุได้ที่สุดน่าจะคือ
สภาวะแวดล้อม อากาศที่เปลี่ยนไปจาก100 ปีก่อน
ถ้าไปตรวจสถิติต่างต่างทั่วโลกจะเห็นได้ชัดมากขึ้น
ยังไม่รวม กระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศทางอีก
น้ำมันถูกแพง อีกหน่อยอย่างไปสนว่า
ราคาเหนือ40 หรือ50
แต่สนใจว่าค่าเงินในภูมิภาคให้ดีคับ
ปีหน้าผมว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญโดยกลุ่มทุน
ใหม่ มากกว่า
เมื่อ: 2004-11-11T07:17:14+00:00
ch_army: เอ อย่างนี้เป็นการใบ้หรือเปล่าครับ นะวังนะครับ เพราะหากผาดพิงการเมืองเนี่ย ผมเสียวแทนแฮะ ไม่อยากจะคิด
แต่ใบ้ผ่าน PM มาให้ผมก้ดีนะครับ 555
เมื่อ: 2004-11-11T16:50:21+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
การเพิ่มทุน<CA> ต่างกับการแปลงสภาพ<XE> อย่างไร
jud: ตามหัวข้อเลยครับ ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2011-10-16T15:25:29+00:00
jud: ตามความเข้าใจที่พยายามหาอ่านมา การเพิ่มทุนคือการจดทะเบียนเพ่มทุนแล้วออกขายเพิ่ม ส่วนการแปลงสภาพนั้นเปลียนจากใบสำคัญแสดงสิทธฺมาเป็นหุ้นโดยไม่มีการจดทะเบียนเพิ่มทุน(ยังไม่เกินทุนที่จดทะเบียน) อันนี้ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
เมื่อ: 2011-10-17T16:36:42+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
การบริจาคเงินของสมาคมในงานสังสรรค์ VI #Q3
Thai VI Meeting: เนื่องจากสมาคมฯมีรายได้จากการรับสมัครสมาชิก, การจัดงานสัมมนา, งานสังสรรค์ และการขายเสื้อ
สมาคมฯจึงนำรายได้ส่วนหนึ่งบริจาคให้กับ ศิริราชมูลนิธิ 250,000บาท และ มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา อีก 250,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 500,000 บาท ตามจุดประสงค์ที่สมาคมได้ก่อตั้งขึ้นมา จึงขอประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนนักลงทุนและสมาชิกทราบโดยทั่วกัน
อนึ่ง หากมีสมาชิกและเพื่อนนักลงทุนท่านใดสนใจที่จะบริจาคเพิ่ม
สมาคมฯได้ติดต่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิให้มารับบริจาคหน้างาน ตั้งแต่เวลา 17:30 – 19:30 น.
และสามารถออกใบเสร็จเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
สำหรับรายละเอียดของแต่ละมูลนิธิ สามารถเข้าไปอ่านได้ในเว็บไซท์ ดังนี้
ศิริราชมูลนิธิ
http://www.si.mahidol.ac.th/office_m/fo ... /index.htm
มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา
http://www.edfthai.org/
เมื่อ: 2012-11-20T02:06:36+00:00
WEB: การบริจาคครั้งนี้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมกันครับ
ถือเป็นการช่วยเหลือสังคมทางด้านการแพทย์
และการศึกษา
เมื่อ: 2012-11-20T03:32:37+00:00
kongkang: การรับบริจาคหน้างานสังสรรค์ จะขอรับบริจาคเฉพาะเงินสด ไม่รับสิ่งของนะคะ เพราะมีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิมาเพียงแค่ 1-2 ท่านเท่านั้น ไม่สะดวกสำหรับรับสิ่งของค่ะ
เมื่อ: 2012-11-20T03:49:01+00:00
The Kop 71: ล่าสุดเท่าที่ทราบมา เจ้าหน้าที่มารับบริจาคขยายเวลาถึง 3 ทุ่มเลยครับ
ใครต้องการทำบุญได้หลายต่อเลยครับ หักภาษีได้ด้วย
เมื่อ: 2012-11-20T04:11:19+00:00
f.escape: อนุโมทนาค่ะ
เมื่อ: 2012-11-20T05:05:25+00:00
SALA: อนุโมทนาครับ
เมื่อ: 2012-11-20T16:28:32+00:00
yakjabon: อนุโมทนา สาธุครับ
เมื่อ: 2012-11-20T22:46:41+00:00
ยินดี: อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ. ขอให้ผลบุญครั้งนี้ดลบันดาลให้ทีมสมาคมร่ำรวยยิ่งๆๆขึ้นไปอีก. ขอให้สมาชิกสมาคมทุกท่านมีอิสรภาพทางการเงินในเร็ววันเทอญ
เมื่อ: 2012-11-21T04:52:17+00:00
sara31: อนุโมทนาบุญด้วยคนค่ะ
แต่ไม่ได้ไปอ่ะค่ะ สมัครไม่ทัน ยังไงเอาข้อมูลมาบอกเล่ากันบ้างนะค้าาา
เมื่อ: 2012-11-21T05:30:06+00:00
thanonchaiv: อนุโมทนาด้วยครับ ดีใจที่ได้ทำสิ่งๆ ดีร่วมกันครับ
เมื่อ: 2012-11-21T05:32:20+00:00
nuitoi: อนุโมทนาด้วยคะกับกิจกรรมดีๆอย่างนี้
เมื่อ: 2012-11-21T09:46:18+00:00
TITIWAT: อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
เมื่อ: 2012-11-21T10:34:31+00:00
seksan999: ขออนุโมทนากับการช่วยเหลือสังคมในครั้งนี้ด้วยครับ
เมื่อ: 2012-11-21T16:20:18+00:00
GINTOKI: อนุโมทนาบุญด้วยครับ
เมื่อ: 2012-11-22T02:42:49+00:00
kk.diamond: อนุโมทนาค่ะ
เมื่อ: 2012-11-22T04:41:32+00:00
teevalue: อนุโมทนาครับ
เมื่อ: 2012-11-22T06:34:19+00:00
picatos: อนุโมทนาด้วยครับ
เมื่อ: 2012-11-23T01:42:40+00:00
tigereye: อนุโมทนา ด้วยครับ
เมื่อ: 2012-11-23T02:07:17+00:00
คนคอน: เยี่ยมไปเลยครับ ขอชื่นชม
เมื่อ: 2012-11-23T02:24:33+00:00
wwwman: อนุโมทนาสาธุด้วยคนคับ
เมื่อ: 2012-11-23T15:21:56+00:00
dome@perth: อนุโมทนา ด้วยครับ
เมื่อ: 2012-11-24T00:38:31+00:00
wasan_yu: อนุโมทนาบุญด้วยครับ
เมื่อ: 2012-11-24T01:21:31+00:00
Benja: อนุโมทนาด้วยครับ
ไม่ทราบว่านอกจากการบริจาคหน้างาน มีช่องทางบัญชีของสมาคมฯด้วยไหมครับ สนใจร่วมบริจาคกับทางสมาคมด้วยครับ
เมื่อ: 2012-11-24T04:40:38+00:00
draco: บุญนี้จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าปราศจากทีมงาน Thai VI ทุกท่าน ที่กรุณาทุ่มแรงกายแรงใจโดยไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆเพื่อสมาชิกทุกท่าน ผมขออนุโมทนาบุญ และขอให้บุญนี้ส่งผลให้ทีมงานทุกท่านมีความสุขกายสุขใจ สุขภาพแข็งแรง ครอบครัวสุขสันต์ พอร์ตเติบโตขึ้นทุกวันๆอย่างแข็งแรงและรวดเร็วครับ
เมื่อ: 2012-11-24T08:14:53+00:00
YINGSAKT: ขออนุโมทนาบุญด้วย สาธุ...
เมื่อ: 2012-11-24T14:22:38+00:00
nut_pws: อนุโมทนา สาธุ
เมื่อ: 2012-11-25T02:27:32+00:00
ลุงขวด: อนุโมทนาด้วยครับ .....วันก่อนเพื่อนโทรฯ มา จะเข้า เวปอ่าน ผมก็บอกไปว่า ต้องสมัครเป็นสมาชิก เขาก็ยอมและสมัครไป 2000 บาท เอา 5 ปีเลยครับ
เมื่อ: 2012-11-25T09:45:34+00:00
JAB9427: อนุโมทนาบุญด้วยคนค่ะ
เมื่อ: 2012-11-25T13:33:09+00:00
wanna: อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
ว่าจะบริจาคทำบุญวันเกิด เช่นกันค่ะ
เมื่อ: 2012-11-26T02:18:47+00:00
Leesak: อนุโมทนาสาธุด้วยครับ..
เมื่อ: 2012-11-26T03:22:18+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
รบกวนด้วยคนครับ
phakinm: [email protected]
เมื่อ: 2005-10-18T05:23:31+00:00
Jeng: CK ว่ามั๊ย ระบบอาจจะผิดพลาดนะ เพราะมีแบบนี้โผล่มาเรื่อยๆ
เมื่อ: 2005-10-18T05:37:20+00:00
Jeng: งานนี้ผมจัดการเองครับ พี่เจ๋ง
ถ้าโพสต์ข้อความใหม่จริงๆ มีขึ้นเตือนแล้วนะ
เอางี้ ผมทำ Link เพิ่มในการเตือนว่าขอข้อมูลไปกระทู้นั้นดีมั้ย
เมื่อ: 2005-10-18T08:57:06+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ขอ แผนผังโครงสร้างงบการเงินครับ
Pun08: ผมเคย save ไว้ เป็นผังการเงิน ได้จากกระทู้ใน Thiavi นี้แหละครับ
เป็น รูปที่ scan จากหนังสือ ตอนเครื่องคอมพังที่ save ไว้หายหมด
ท่านใดมีเก็บไว้ ขอด้วยครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2012-01-27T04:44:36+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
มือใหม่ค่ะ อยากถามเรื่องหนังสือมอบฉันทะ
mayidah: พอดีได้รับหนังสือเชิญประชุมของHMPRO แต่ไปไม่ได้ อยากรู้ว่าต้องส่งหนังสือมอบฉันทะไปที่ไหนคะ
แล้วคนรับมอบฉันทะนี่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทางบริษัทจัดส่งข้อมูลมาให้เราเสมอไปรึเปล่า(อันนี้ถามเพิ่มความรู้ จริง ๆ หุ้นที่มีก็ไม่มากพอที่จะคิดมากเรื่องนี้หรอกค่ะ^^)
คำถามสุดท้ายสำหรับตอนนี้ ไม่รู้ตัวเองเข้าใจถูกหรือเปล่าว่าหุ้นที่ซื้อ ๆ กันอยู่ในตลาดหุ้นคือหุ้นสามัญ ถ้าถูก แล้วหุ้นปุริมสุทธิละคะ (เข้าใจในความหมายแต่มองภาพไม่ออกว่าหุ้นปุริมสุทธิมันคือหุ้นแบบไหนกันแน่ช่วยอธิบายหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างสูง)
ขอบคุณล่วงหน้ามาก ๆ นะคะสำหรับคำตอบ
เมื่อ: 2009-09-22T12:41:29+00:00
Grow: mayidah เขียน:พอดีได้รับหนังสือเชิญประชุมของHMPRO แต่ไปไม่ได้ อยากรู้ว่าต้องส่งหนังสือมอบฉันทะไปที่ไหนคะ
แล้วคนรับมอบฉันทะนี่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทางบริษัทจัดส่งข้อมูลมาให้เราเสมอไปรึเปล่า(อันนี้ถามเพิ่มความรู้ จริง ๆ หุ้นที่มีก็ไม่มากพอที่จะคิดมากเรื่องนี้หรอกค่ะ^^)
คำถามสุดท้ายสำหรับตอนนี้ ไม่รู้ตัวเองเข้าใจถูกหรือเปล่าว่าหุ้นที่ซื้อ ๆ กันอยู่ในตลาดหุ้นคือหุ้นสามัญ ถ้าถูก แล้วหุ้นปุริมสุทธิละคะ (เข้าใจในความหมายแต่มองภาพไม่ออกว่าหุ้นปุริมสุทธิมันคือหุ้นแบบไหนกันแน่ช่วยอธิบายหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างสูง)
ขอบคุณล่วงหน้ามาก ๆ นะคะสำหรับคำตอบ
การมอบฉันทะ อาจให้เพื่อนหรือคนที่รู้จัก ไปประชุมแทนก็ได้ แต่ต้องติดแสตมป์อากรด้วย หรือจะส่งไปที่บริษัทก็ได้ หรือไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เก็บไว้ดูเล่น ถ้าไม่รู้จะฝากใครดี
หุ้นที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นหุ้นสามัญ HMPRO => หุ้นสามัญ
การคำนวณมูลค่า หลัง XD เกิด Dilution ให้เอาราคาหุ้น คูณด้วย factor ข้างล่างได้เลย
HMPRO = ราคาหุ้นก่อน XD x 0.52 เช่น 7.1x0.52 = 3.7 บ.
ขอให้โชคดีในการลงทุน
เมื่อ: 2009-09-22T14:26:57+00:00
KriangL: หุ้นบุริมสิทธิ์ ชื่อจะลงท้ายด้วย -P แต่ในตลาดมีหุ้นบุริมสิทธิ์เฉพาะบางตัว เช่น SCB-P, TISCO-P, BH-P
ของ HMPRO ไม่มีหุ้นบุริมสิทธิ์ จึงไม่มีหุ้น HMPRO-P ในตลาด
เมื่อ: 2009-09-23T10:12:52+00:00
mayidah: ขอบคุณมาก ๆ ค่ะมองเห็นภาพหุ้นปุริมสุทธิ์ชัดขึ้นมากทีเดียว
เมื่อ: 2009-09-24T00:09:20+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
บทเรียนจากวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
oatty: โลกในมุมมองของ Value Investor
เมื่อ: 2008-12-07T13:58:44+00:00
PKVI: ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2008-12-07T16:34:49+00:00
out look: ชอบประโยคนี้ครับ
Margin Of Safety ที่เกิดจากความมั่นคงแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานของบริษัท มีค่ามากกว่า Margin Of Safety เนื่องจากราคาหรือความถูกของหุ้น
เมื่อ: 2008-12-08T05:08:05+00:00
songwit: คุณ out look อธิบายความหมายของ Margin of Safty ทีเกิดจากความมั่นคงและแข็งเกร็งของบริษัท กับ เนื่องจากราคา ให้ฟังหน่อยครับ
ผมไม่เข้าใจ ถ้ายกตัวอย่าง กรณีศึกษาได้จะดีมากครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ เหมียว เหมียว
เมื่อ: 2008-12-08T13:54:59+00:00
nanosec: Margin Of Safety ในด้านของการดำเนินงาน มันหามาจากไหนคับ รบกวนช่วยชี้แนะทีคับ
เมื่อ: 2008-12-08T17:30:02+00:00
Ryuga: ชอบคุณมากครับ :8)
เมื่อ: 2008-12-08T22:43:58+00:00
surachaichia: บางครั้ง ก็เห็นบางคนชอบเผื่อ MOS 50% or more. นี่น่าจะเป็น การสอน บางอย่างในความหมาย ว่ามันใช่ MOS จริงหรือไม่ นับว่าลุ่มลึกมาก และ มาจาก ประสบการณ์จริงๆ นับถือๆ................................................
MOS , not margin of safety of MOS................
เมื่อ: 2008-12-09T01:48:34+00:00
ศิษย์เซียน007: ขอบคุณท่านดร.ครับ ผมต้องรอดูวิกฤตครั้งหน้าว่าผมจะรอดไหมเพราะครั้งแรกนี้โดนเต็มๆเลยครับ
เรียนอ.ว่า น่าจะเขียนหนังสือตีแตกเล่มสองออกมาให้ได้ศึกษาในช่วงนี้ก็ดีนะครับโดยเปลี่ยนบริษัทที่นำมาวิเคาระห์ใหม่เป็นหุ้นจูเลียสซีซ่าร์ดีไหมครับ
ถ้าพอร์ตหุ้นของท่านอ.มีมูลค่าถึงระดับสิบหลักตามที่ท่านอ.ได้ตั้งเป้าหมายไว้ผมว่าอ.น่าจะลองหาความท้าทายใหม่ๆในตลาดหุ้นต่างประเทศเหมือนบัฟเฟตต์ดูก็ดีครับ
เมื่อ: 2008-12-09T03:41:33+00:00
out look: จากบทความของ ดร. ข้างบน
หุ้นที่มี Margin Of Safety ในด้านของการดำเนินงาน นั่นก็คือ เป็นกิจการที่ผลการดำเนินงานมั่นคงและทนทานต่อภาวะเลวร้ายทางเศรษฐกิจ
ตามความเข้าใจของผม (ซึ่งมีอันน้อยนิด) เข้าใจว่า Margin Of Safety ในด้านของการดำเนินงาน จะต้องมีคุณลักษณะอย่างน้อย 2 ประการคือ
1.บริษัทที่มีรายได้สม่ำเสมอ ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ หรือตาม วัฎจักรอุตสาหรรม
2.บริษัทมี gross margin ที่สูงพอสมควรที่จะทนทานต่อมรสุมทางเศรษฐกิจได้ ยกตัวอย่างเช่น
บริษัท a มี gross margin 20% ขายของได้ 100 บาท
ได้กำไร 20 บาท หักค่าใช้จ่ายทั้งหมด 10 บาท กำไรสุทธิ 10 บาท
บริษัท b มี gross margin 40% ขายของได้ 100 บาท
ได้กำไร 40 บาท หักค่าใช้จ่ายทั้งหมด 10 บาท กำไรสุทธิ 30 บาท
สมมุติถ้าทั้ง 2 บริษัทเจอมรสุมทางเศรษฐกิจรายได้ลดลง 10% เท่ากัน
บริษัท a จะมีกำไร 8 บาท (90*20%)-10
กำไรลดลง 20%
แต่บริษัท b ยังคงมีกำไร 26 บาท (90*40%)-10
กำไรลดลง 13%
(ในทางกลับกันหากบริษัท turnaround หรือเศรษฐกิจกลับตัว บริษัท a ก็จะกำไรก้าวกระโดดมากกว่า บริษัท b ครับ)
ทั้งหมดนี้การหา Margin of Safety โดยเฉพาะในด้านการดำเนินงาน
เป็นเรื่องของ Subjective คงไม่สามารถเอาตัวเลขบางตัวมาวัดได้ ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน
รอท่านอื่นๆ มาเสริมต่อครับ :)
เมื่อ: 2008-12-09T06:26:47+00:00
nw108:
โวตให้ครับ มุมมองยอดเยี่ยม สมเป็นอาจารย์จริงๆ
เมื่อ: 2008-12-09T06:40:48+00:00
กล้วยไม้ขาว: out look เขียน:
(ในทางกลับกันหากบริษัท turnaround หรือเศรษฐกิจกลับตัว บริษัท a ก็จะกำไรก้าวกระโดดมากกว่า บริษัท b ครับ)
เนื่องจากผมลงทุนไม่นานยังไม่ค่อยมีความรู้มากนัก
ได้ยินแบบนี่บ่อยแต่รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นจริงได้
ประเด็นนี้เป็นความจริงเหรอครับ อะำไรเป็นสาเหตุให้คิดแบบนี้ครับ
หรือจำกัดเฉพาะหุ้นบางกลุ่มรึเปล่าครับที่มีสถิติแบบนี้
อาจจะสัก 20 -30% ของหุ้นทั้งตลาดแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกตัวใช่ไหมครับ
เมื่อ: 2008-12-09T18:31:50+00:00
Belffet: ก็เป็นจำพวกหุ้น turnaround ไงครับ
ไม่รู้จะเป็นการสอนจรเข้ว่ายน้ำรึเปล่า แต่แนะนำว่าลองอ่านประเภทหุ้นของ ปีเตอร์ลินช์ดูครับ
หุ้น turnaround เมืองไทยที่ผมเจอกับตัวก็ TTA น่ะครับ
เมื่อ: 2008-12-09T20:26:43+00:00
TIARA: Margin Of Safety ที่เกิดจากความมั่นคงแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานของบริษัท มีค่ามากกว่า Margin Of Safety เนื่องจากราคาหรือความถูกของหุ้น
ชอบอันนี้เหมือนกันค่ะ
แต่ว่ามีเวลาสองสามปีตามที่พอล คลุกเเม่นๆบอก
ก็คิดว่าจะรอดูว่าใครยังเหลือรอด เป็นThe survivor
ก็จะทยอยเก็บล่ะค่ะ คงมีหุ้นจูเลียส ซีซ่าของพระอาจารย์อยู่ด้วย
เมื่อ: 2008-12-10T01:08:25+00:00
surachaichia: การ turnaround กับ GPM กับ P ไม่เกี่ยวข้องกันแบบ linear or โดยตรง การวิเคราะห์เชิงคุณภาพน่าจะเข้ามามีบทบาทมากในประเด็นนี้ การยึดเพียงตัวเลขอย่างเดียว ก็อาจเจอ trapping ได้ครับ .............
เมื่อ: 2008-12-10T09:27:23+00:00
Belffet: การ turnaround กับ GPM กับ P ไม่เกี่ยวข้องกันแบบ linear or โดยตรง การวิเคราะห์เชิงคุณภาพน่าจะเข้ามามีบทบาทมากในประเด็นนี้ การยึดเพียงตัวเลขอย่างเดียว ก็อาจเจอ trapping ได้ครับ ............. Very Happy
เห็นด้วยครับ
ลองนึกภาพน้ำขึ้นน้ำลง แต่บริษัทไม่มีขันจะตักน้ำ ก็ไม่มีประโยชน์
เพราะฉะนั้นต้องดูเชิงคุณภาพว่าบริษัทที่หากินกับน้ำึ้ขึ้นน้ำลงนั้นมีัขันรึเปล่า
เมื่อ: 2008-12-10T09:33:31+00:00
Nutthapoom: จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
ตลาดหุ้นเป็นที่ๆคนไม่รู้อะไรเลยกับคนรู้มากที่สุดอาจอยู่ใกล้กันเพียงนิดเดียว
เมื่อ: 2008-12-10T13:48:11+00:00
RONNAPUM: [quote="Ryuga"]ชอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2008-12-10T14:09:08+00:00
holidaytours: นักลงทุนที่ดีนั้นจะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ - เห็นด้วยคับ
เหมือนการเรียนต้องมีการปฏิบัติด้วยคับ :D
เมื่อ: 2009-10-05T02:57:25+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
โอลิมปิก โตเกียว 2020/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
Thai VI Article: ท่านอาจจะสงสัยว่า โอลิมปิกที่โตเกียวจะแข่งขันกันในปีหน้า ทำไมดิฉันรีบเขียนถึงตั้งแต่ตอนนี้
คำตอบก็คือ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าภาพ เพิ่งจะเปิดขายบัตรนอกประเทศได้ประมาณสองสัปดาห์ และสำหรับคนญี่ปุ่นเอง ต้องเข้าชื่อเพื่อจับสลากโดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ซื้อตั๋วในวันที่ 11 กันยายนนี้ค่ะ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่แฟนกีฬาตื่นตัวกันมาก
ชาวต่างชาติสามารถซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายที่แต่งตั้งในแต่ละประเทศเท่านั้น ตั๋วที่ซื้อห้ามเปลี่ยนมือโดยเด็ดขาด ผู้เข้าชมต้องมีชื่อตรงกับตั๋วเท่านั้น มิฉะนั้น ตั๋วจะเป็นโมฆะค่ะ
ดิฉันสำรวจมาแล้วว่าตั๋วมีราคาถูกแพงเพียงใด ยกตัวอย่าง ฟุตบอลรอบแรก ชมสองคู่ ราคาบัตรเข้าชม มีตั้งแต่ 3,000 ถึง 9,800 เยน (ประมาณ 870 ถึง 2,820 บาท) วอลเล่ย์บอล 8,000 ถึง 30,500 เยน หรือประมาณ 2,300 ถึง 8,780 บาท
เทควันโด 3,000-5,500 เยน (870-1,580 บาท) โปโลน้ำ รอบคัดเลือก ราคา 3,000-10,000 เยน (870-2,880 บาท) ว่ายน้ำจะแพงหน่อยค่ะ 5,800-67,500 เยน (2,300-19,440 บาท)
ส่วนตั๋วพิธีเปิดและปิดราคาเท่ากันคือ 12,000-300,000 เยน (3,450-86,400 บาท)
โอลิมปิกครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 32 และเป็นโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพ โดยครั้งแรก คือ ปี 1964 หรือ ปี พ.ศ. 2507 แต่หากนับโอลิมปิกฤดูหนาวด้วย ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 4 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพค่ะ เพราะเคยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาวสองครั้ง ในปี 1972 ที่ เมืองซัปโปโร และ ปี 1998 ที่ เมืองนากะโนะ
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจะมีในช่วง 24 กรกฎาคม ถึง 9 สิงหาคม ปี 2563 โดยจัดที่กรุงโตเกียว และเมืองรอบๆ อาจจะมีจัดในเมืองอื่นบ้าง เช่นฟุตบอลบางแมทช์ ก็จัดที่ซัปโปโร เป็นต้น
มาสคอต ประจำโอลิมปิกครั้งนี้ ชื่อ มิระอิโทวะ (Miraitowa) บางคนอาจจะอ่านว่า “มิไรโทวะ” โดย “มิระอิ" มีความหมายว่า “อนาคต” และ “โทวะ” มีความหมายว่า “อมตะ” รวมกันก็หมายถึง “อนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง ที่เป็นอมตะในหัวใจของมวลมนุษยชาติ”
สำหรับเหรียญรางวัลของนักกีฬา ออกแบบโดย จุนนิชิ คะวานิชิ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสมาคมออกแบบตราสัญญลักษณ์ของญี่ปุ่น และของสมาคมนักออกแบบแห่งโอซาก้า จะมีการแจกรวม 5,000 เหรียญ ลวยลายที่ออกแบบแสดงถึงพลังของเหล่านักกีฬา และผู้สนับสนุนเบื้องหลัง
เหรียญทั้งหมด ทำจากวัสดุรีไซเคิลอิเล็กทรอนิกส์ ที่รับบริจาคจากทั่วประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากสถาบันการศึกษา 1,300 แห่ง และร้านค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กว่า 2,100 ร้านทั่วประเทศ โดยมีกล่องรับบริจาคสีเหลือง วางเอาไว้ทั่วประเทศ เพื่อขอรับบริจาคอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้ว โดยได้รับบริจาคโทรศัพท์มือถือเก่ามา 6.21 ล้านเครื่อง กล้องดิจิตัล เกมส์ คอมพิวเตอร์แลปทอป เพื่อนำมาคัดแยก และหลอมใหม่
เมื่อปิดการรับบริจาคเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา สามารถระดม วัสดุได้เป็น ทองคำ 30.3 กิโลกรัม เงิน 4,100 กิโลกรัม และทองแดง 2,700 กิโลกรัม โดยเหรียญทองคำ มีน้ำหนัก 556 กรัม จะผลิตโดยใช้ทองคำ 6 กรัมมาเคลือบบนเหรียญเงินแท้ เหรียญเงินจะผลิตจากเงินแท้ หนัก 550 กรัม และเหรียญทองแดง จะหนัก 450 กรัม ผลิตจาก ทองแดง 95% และสังกะสี 5% (ดิฉันค้นดูพบว่า บ้านเราเรียกว่า “ทองเหลือง” แต่ของเขามีทองแดงเยอะ เลยจะออกสีแดงมากกว่าทองเหลืองที่เราเห็นนำมาผลิตกระทะทำขนมนะคะ) ทุกเหรียญมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.5 เซ็นติเมตรค่ะ
ดิฉันก็เพิ่งจะทราบว่า นักกีฬาผู้ชนะ ต้องแบกเหรียญหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม!
สายคล้องเหรียญ ทำจากวัสดุที่ทอจากเยื่อไม้ ออกแบบและใช้เทคนิคแบบญี่ปุ่น ดูสวยงามค่ะ
ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 32 นี้ จะมีกีฬาสำหรับชาย 165 รายการ กีฬาของผู้หญิง 156 รายการ และกีฬาผสม/กีฬาที่เปิดให้ทั้งหญิงและชายแข่งขันอีก 18 รายการ สนามแข่งขันสนามใหญ่คือสนามกีฬาแห่งชาติ ถูกสร้างขึ้นมาใหม่บนพื้นที่เดิมค่ะ กำลังสร้างอยู่ จะเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ จุได้ 60,102 คน
คบเพลิงที่ใช้จุดไฟตลอดการแข่งขัน มีรูปทรงเหมือนก้านของต้นซากุระ และเมื่อมองจากด้านบน จะเห็นเป็นรูปของกลีบดอกซากุระ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของญี่ปุ่น โดยคบเพลิงนี้มีความหมายเหมือนคติของเกมส์ว่า “ความหวังจะส่องทางให้เรา”
ไฟโอลิมปิก จะถูกจุดในวันที่ 12 มีนาคม 2563 ที่ประเทศกรีซ และจะไปถึงจังหวัดมิยาหงิ และจะไปยังเซนได อิวาเตะ และฟุกุชิมะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สึนามิปี 2011
หลังจากนั้นจะมีการวิ่งคบเพลิงไปทั่วประเทศญี่ปุ่น จนครบ 47 จังหวัด โดยเริ่มจาก ฟุกุชิมะ ในวันที่ 26 มีนาคม ลงไปภาคกลาง และไปตะวันตกเฉียงใต้สู่โอกินาวา กลับมาทางเหนือผ่านเกียวโต เพื่อไปฮอกไกโด และลงมาถึงกรุงโตเกียว ใช้เวลาทั้งหมด 121 วัน ถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจของคนทั้งชาติ เพื่อมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ยังเป็นที่ถกเถียงกันค่ะ บ้างก็ว่าจะทำให้ญี่ปุ่นรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง บ้างก็ว่าคงทำไม่ได้ แต่ที่แน่ๆคือ ตั้งแต่ประกาศเสนอตัวจัดงาน จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคน เป็น 31 ล้านคน ในปีที่แล้ว (ส่วนหนึ่งจากการยกเลิกวีซ่า)และตั้งเป้าหมาย 40 ล้านคนในปี 2020 ดิฉันจะไปสังเกตการณ์และรายงานผลให้ทราบในปีหน้านะคะ
งบประมาณในการจัดงานทั้งหมด 1.35 ล้านล้านเยน โดยทางโอลิมปิกสากลสนับสนุน 6 แสนเยน เท่ากับรัฐบาลท้องถิ่นกรุงโตเกียว และรัฐบาลกลางสนับสนุน 150,000 เยน ทั้งนี้หาสปอนเซอร์ได้แล้ว 3,000 ล้านเยน
ท่านที่ต้องการจองที่พักในกรุงโตเกียวในช่วงนั้น ไม่ต้องตกใจนะคะ ขณะนี้ทางการญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้โรงแรมใดๆในโตเกียวรับจองที่พักในช่วงการแข่งขัน จนกว่าจะสามารถจัดที่พักให้นักกีฬา โค้ช และสต๊าฟ ได้ครบหมด หลังจากนั้นจึงจะเปิดให้จองได้ค่ะ
หมายเหตุ : ข้อมูลส่วนใหญ่จากเว็ปของโอลิมปิค และเว็ปของ โตเกียว โอลิมปิก 2020
เมื่อ: 2019-09-10T07:16:29+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
[ประชาสัมพันธ์] สัมมนา IVL ที่ตลท. ไม่มีค่าใช้จ่าย 13ตค
Thai VI ComVisit: เรื่อง ขอเชิญร่วมสัมมนากับบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL)
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) มีความยินดีขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมสัมมนาในหัวข้อ “ทำความเข้าใจกับธุรกิจ IVL” ในวันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2557 เวลา 09.00 – 12.30 น. ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชั้น 11 ห้อง 1101 โดยการสัมมนาในครั้งนี้จะจัดเป็นภาษาไทยและไม่มีค่าใช้จ่าย เนื้อหาการสัมมนาประกอบด้วย
1. ประวัติความเป็นมาของบริษัทฯ, ภาพรวมธุรกิจ ตลาดและอุตสาหกรรม กลยุทธ์การดำเนินงานของ IVL
2. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ IVL และกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์PET เส้นใยเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ของบริษัทฯ
3. กลุ่มลูกค้าของ IVL และการใช้งานของผลิตภัณฑ์
4. วัตถุประสงค์ของการรวมกลุ่มกับวัตถุดิบ
5. กลยุทธ์ของ IVL ความแตกต่างระหว่างสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) และสินค้าชนิดพิเศษ เหตุผลในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ การควบรวมกิจการ รวมถึงการบริหารภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม
6. อธิบายตัวเลขสำคัญทางด้านบัญชี
เนื่องจากที่นั่งมีจำนวนจำกัด หากสนใจเข้าร่วมการสัมมนา กรุณาแจ้งรายชื่อกลับมายังบริษัทฯ ติดต่อ ผู้ประสานงาน คุณ วรรณิดา และ คุณสยุมพร เบอร์โทรศัพท์ +66 2 661 6661 ต่อ 554 และ 240 หรือที่อีเมล์ [email protected], [email protected]
เมื่อ: 2014-10-06T05:28:48+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
กรณีแจก แท็ปเล็ต ตามนโยบายที่หาเสียงไ้ว้ หุ้นตัวไหนได้ประโยช
SET.Mania: กรณีแจก แท็ปเล็ต ตามนโยบายที่หาเสียงไ้ว้ หุ้นตัวไหนได้ประโยชน์?
รัฐบาลต้องสั่งซื้อมาจำนวนมาก จากบริษัทไหนหรือครับ?
เมื่อ: 2011-08-05T15:47:45+00:00
ส.สลึง: บอกอะไรไม่ได้มั้งครับ
เพราะเรื่องนี้มันต้องประมูล
และคนชนะงวดนี้
ก็อาจจะไม่ชนะงวดหน้าก็ได้
ประเด็นที่ผมมองคือสินค้าไอที
เป็นสินค้าจำเป็น
อนาคตจะมีการแจก tablet หรือไม่
ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะอุตสาหกรรมนี้ก็ยังน่าจะโตได้อยู่
เพียงแต่การแจก Tablet
(ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ)
เป็นการเพิ่มอัตราเร่งให้อุตสาหกรรมนี้
วิ๋งไปไวขึ้นครับ
ส่วนใครได้ประโยชน์จากนโยบาย
(ซึ่งมันอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้)
ผมว่าลองมองไปกว้างๆ ดูครับ
อย่าไปตีกรอบตัวเอง
เพราะอุตสาหกรรมนี้
มันไม่ได้มีแต่คนขายของครับ
เมื่อ: 2011-08-05T17:20:03+00:00
SET.Mania: ผมเองไม่ได้ตามอุตสาหกรรมนี้มาก่อนเลยครับ
และผมเองไม่ได้สนใจทั้งอุตสาหกรรมอ่ะครับ ผมสนใจแต่ตัว แท็ปเล็ตเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้น ผมถามใหม่ละกันครับว่า บริษัทไหนที่อยู่ในตลท. มีนโยบายที่จะเข้าประมูลบ้างครับ
ผมจะไ้ด้เข้าไปตามอ่านได้ถูกตัวในร้อยคนร้อยหุ้นนะครับ
ปล. ผมอาจไม่ซื้อหุ้นใดเลยก็ได้ เพียงแต่อยากศึกษาตามความสนใจเท่านั้นเองครับ
เมื่อ: 2011-08-06T19:33:32+00:00
ส.สลึง: tablet 1 เครื่อง
มันต้องมีอย่างอื่นด้วยครับ
เช่น อุปกรณ์สำรองข้อมูล,
network, assessories ต่างๆ
กระเป๋า ซองกันกระแทก,
แล้วไหนจะงานบริการหลังการขาย
Operator ก็ต้องเกี่ยวข้องอีก
ถ้าต้องเอา tablet ต่อ internet
ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกตั้งเท่าไหร่
จากนั้นเมื่อถือ tablet มาโรงเรียน
มันก็ต้องมีแบบเรียน electronic
ใครเป็นคนทำหว่า ?
ผมบอกได้เลย นโยบายนี้
งานช้างครับ เงินสะพัดอีกเพียบ
(ถ้ามีเงินนะครับ แฮ่...)
เมื่อ: 2011-08-07T01:46:26+00:00
ส.สลึง: และเท่าที่ผมพอรู้มา
มี บ. นอกตลาดจ่อเตรียมเข้าประมูล
อยู่หลายบริษัทครับ
เมื่อ: 2011-08-07T01:50:33+00:00
ส.สลึง: สินค้าไอทีพิเศษหน่อยครับ
เพราะคนเมื่อใช้แล้ว
ไม่มีใช้น้อยลงครับ
มีแต่ใช้เพิ่มขึ้น
คนเมื่อใช้งานตั้งแต่เด็ก
ก็ต้องใช้ไอทีไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่เพราะแฟชั่นครับ
แต่จำเป็น...
เมื่อ: 2011-08-07T01:54:46+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Money@SET23/12/62ลงทุนอะไรดี&กลยุทธ์VIปี62
i-salmon: สัมมนา Money Talk@SET
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
ช่วงที่ 1 “ลงทุนอะไรดีปี 62?”
1) ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
2) ดร.สมจินต์ ศรไพศาล
3) คุณ จักรพงษ์ เมษพันธุ์
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
_____________________
ลงทุนอะไรดีปี 62?
ดร.สุวรรณ
สมัยก่อนถ้าลงทุนหุ้น ถือไว้จะ side way up โตขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้คงลงทุนแบบขี้เกียจไม่ได้
ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ลงไปกว่า 7-8%
ระยะหลังติดตามดูตลาดนิวยอร์ค ก็ปรับตัวลดลงอย่างน่ากลัว
โดยที่จริงไม่ได้มีอะไรมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1.ผลประกอบการออกมาก็ค่อนข้างดี ไม่ได้มีวิกฤติแบบ hambergur crisis, subprime
2.บริษัทหลายแห่งก็ยังมีเงินสดเหลือจำนวนมาก
เช่น apple, google, microsoft, คุณปูบัฟเฟตต์ ก็มีเงินกันเป็นแสนล้านเหรียญ
3.ทรัมป์ลดภาษ๊นิติบุคคลทำให้บริษัทจดทะเบียนอัตรากำไรดีขึ้น
4.อัตราคนว่างงานลดลงเหลือ 3% กว่า
จากข้อมูลในอดีต ถ้าลงทุนระยะยาวในหุ้น
ผลตอบแทนเฉลี่ยจะโตเร็วกว่าฝากแบงค์ 8.06%
แต่ต้องพยายามจัดการความผันผวน ต้องตั้งสติให้ดี
หลายคนเข้าออกผิดเวลา ถ้าหากซื้อหุ้นอยู่นิ่งๆ 20 ปี ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.2%
แต่หลายคนเข้าๆออกๆ ผลตอบแทนเฉลี่ยเหลือเพียง 4.7%
ธรรมชาติคนทั่วไปเมื่อซื้อหุ้นวันแรกก็เก็งว่าหุ้นจะขึ้น (optimism)
แต่เมื่อหุ้นขึ้นมาดีใจ (elation)
พอหุ้นตกลงก็กระวนกระวายใจ (nervous)
พอตกลงไปอีกก็กลัว (fear) ทำให้หนีออกจากตลาด
ซึ่งหากอยู่ต่อไปหุ้นดีๆก็จะกลับขึ้นมาใหม่สูงกว่าเดิม
อย่างเช่น บัฟเฟตต์ที่ไม่เคยขายโคคาโคล่า
ดังนั้นต้องถามตัวเองว่า อยากเป็นนักลงทุน ก็ต้องถือยาว
หรือ เป็นนักค้า ก็ต้องถือสั้น
ในช่วงที่เกิดวิกฤติ หุ้นจะตกลงอย่างมาก ต้องเข้าใจธรรมชาติที่เคยเกิดในอดีต
ในการลงทุนมีบางสิ่งบางอย่างที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คือ ความผันผวนตลาด, อัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ
แต่สิ่งที่ควบคุมได้ คือ จะเลือกลงทุนแบบไหน ลงทุนหุ้น หรือลงทุนตราสารหนี้
บัฟเฟตต์บอกว่าเขาเป็นคนลงทุนระยะยาว
เมื่อจะลงทุนต้องถามตัวเองว่า ลงทุนยาว หรือ ลงทุนสั้น ?
การลงทุนระยะยาวดีกว่าลงทุนระยะสั้นเสมอ
ส่วนตัวซื้อ tmb set 50 ตอนนั้นขายออกเมื่อ 18 ปีก่อน ซื้อไป 140 ล้านบาท
และขึ้นรวดเร็วมาก ดัชนีต่ำมาก หลังต้มยำกุ้งใหม่ๆ ขึ้นจาก 10 เป็น 17 บาท
ถ้าหากเก็บไว้วันนี้จะเป็นเงิน 1400 กว่าล้านบาท
ไม่ว่าจะลงทุนแบบไหน เพื่อนที่ดีที่สุดคือเวลา
ต้องถามตัวเองว่าคุณะรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
การลงทุนต้องเลือกตัวที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
เช่น tmb set 50 0.5%, voo ลงทุน s&p ที่อเมริกา 0.04%
จะมีเงินมากน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่จะมีความสุขหรือเปล่า
เคยคุยกับคนหนึ่งบอกว่าจีนปีหน้าจะน่ากลัวมาก
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากเกินไป เช่น รถไฟความเร็วสูงไปธิเบต จะมีคนใช้มากแค่ไหน?
อย่างในไทย ถ้ารถไฟฟ้าวิ่งจากบางใหญ่เข้าเมืองจ่าย 200 บาท
คนไม่มีเงินก็หนีไปขึ้นรถตู้แทน
ดร.สมจินต์
ถ้ามองย้อนหนึ่งปีที่ผ่านมา ในภาพการลงทุนในโลก
• อัตราดอกเบี้ยอเมริกาที่ปรับขึ้นมาเป็นปัจจัยสำคัญสุด
ควบคู่กับเศรษฐกิจอเมริกาที่ดีขึ้น ดอลลาร์ที่แข็งขึ้น
ทำให้เงินทุนไหลออกจาก emerging market ไปที่อเมริกามากขึ้น
ทำให้ผลตอบแทน emerging market สู้ไม่ได้
• desychronization growth คือ เศรษฐกิจในโลกเติบโตได้แตกต่างกันมาก
คือ อเมริกาโตเยอะ แต่ญี่ปุ่น ยุโรป โตน้อย
แต่ปีหน้าจะเปลี่ยนไป
กราฟข้อมูลจาก CIO East spring
เส้น US Dollar ขยับขึ้นไปพร้อมกับ เส้น MSCI emerging market ลดลงอย่างมาก
สิ่งที่คาดคือ จะเห็นดอกเบี้ย US สูงสุดแล้ว จะทำให้เกิด resychronization
คือ ดอลลาร์เริ่มเสถียรขึ้น และอาจจะมีเงินที่ไหลกลับมาที่ emerging market มากขึ้น
สิ่งที่รู้ว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆคือความผันผวน
ซึ่งแม้จะมีการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดตลอดเวลา แต่ไม่สามารถรู้จริงๆได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
FED Chairman เริ่มเปลี่ยนมาบอกว่าดอกเบี้ยขึ้นมาพอสมควร
เริ่มเข้าสู่จุดสมดุล ซึ่งปีหน้าอาจเป็นจุดสูงสุดของดอกเบี้ยอเมริกา
ส่วนของไทย ที่เพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยไป ส่วนตัวมองว่าธปท.บริหารอย่างมีเหตุมีผล
ท่านผู้ว่าฯได้บอกว่าไม่ได้ตั้งธงว่าดอกเบี้ยต้องขึ้นไปที่ไหน แต่พิจารณาไปตามข้อมูล
สิ่งที่เราทำได้คือ
จัดทัพลงทุนให้มีน้ำหนักที่มีสัดส่วนหุ้น
ซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากหน่อย ในช่วงที่เศรษฐกิจดี มีติดลบบ้างในบางช่วงเวลา
แต่เฉลี่ยแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากธนาคาร
จากข้อมูลผลตอบแทน 2017>>2018>>2019(F)
จีนอัตราผลอตอบแทน 6.9% >> 6.6% >> 6.2%
emerging 4.7%>>4.7%>>4.7%
อเมริกา 2.2%>> 2.9%>>2.5%
ภาพข้างหน้าอัตราเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตใกล้เคียงมากขึ้น ในระดับที่ต่ำลง
ผลกระทบจาก Trade war ที่อเมริกากับจีนเป็นตัวหลัก
เวลาที่มองถึงเศรษฐกิจไทยที่ดีในปีก่อนหน้าส่วนหนึ่งมาจากการท่องที่ยว
ซึ่งนักท่องเที่ยวจากจีนน้อยลง เราก็คิดว่ามาจากการดูแลความปลอดภัยไม่ดี
หรือมีพูดกระทบหมางใจกัน แต่ที่จริงแล้วปัจจัยอาจมาจากภายในประเทศจีนเอง
ที่มีอารมณ์อยากกินอยากเที่ยวลดน้อยลง
หากปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ทำให้เกิดความผันผวนและไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน
ผลกระทบจะดีหรือแย่ก็อาจประเมินไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือ เตรียมใจและเตรียมตัว
มี portfolio ที่รับสภาพความผันผวนนี้ได้
หากขายออกไปแล้วรอ ถ้าหากตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องจะทำอย่างไร
ดังนั้น แนวคิดอย่าง อ.สุวรรณ ได้เล่าไว้นั้นสำคัญ
คือ “ลงทุนอย่างไร” สำคัญกว่า “ลงทุนอะไร”
ปัญหาความไม่แน่นอนคือเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอด้วย
ดังนั้น การมองตลาด ต้องมองแบบยอมรับว่าเราเห็นควาไม่แน่นอนทั้งหมดไม่ได้
ถัดมาคือ มองตัวเอง โดยให้มองแบบจัดทัพฟุตบอล
กองหน้า ทำประตูเพื่อชัยชนะ
กองหลัง รักษาประตูไม่ให้พ่ายแพ้
กองกลาง เสริมหน้าเมื่อได้เปรียบ ลงหลังเมื่อเพลี่ยงพล้ำ
ในการลงทุนก็สามารถแบ่งเงินตามหน้าที่ได้
เรามีวัตถุประสงค์การลงทุน 3 หน้าที่ใหญ่ๆ
1. กองหน้า สร้างความมั่งคั่ง มีบ้าน มีรถ มีเงินเกษียณ ส่งลูกไปลงทุนที่ดีๆ
เงินก้อนนี้ควรเป็นกองหน้า สร้างผลตอบแทนสูงๆในระยะยาว
ความเป็นจริงเครื่องมือที่ให้ผลตอบแทนสูงระหว่างทางจะผันผวนมาก
เป็นทรัพย์สินที่ high risk high return คือ หุ้น
ที่สำคัญต้องเป็นเงินทุน ลงทุนได้ยาว อย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป
เป็นหนึ่งวงจรเศรษฐกิจตามตำรา
หากเข้ามาในช่วงตลาดดีมาก จะแพง หากออกไปในช่วงตลาดไม่ดี จะขาดทุนได้สูง
2. กองหลัง รักษาเงินต้น เอาไว้ใช้มีสภาพคล่อง
อาจเป็นเงินฝากที่มีระยะเวลา หรือ กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน,
กองทุนรวมตราสารระยะสั้นหรือระยะกลางที่ไม่ผันผวนมาก
3. กองกลาง พันธบัตร,ตราสารหนี้
แต่ระยะหลังเมื่อมี hamburger crisis
การลงทุนในพันธบัตรได้ผลตอบแทนน้อยและยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนด้วย
จึงมีทางเลือกของทรัพย์สินอีกประเภทคือ income asset
ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, REIT,
กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ
เครื่องมือกลุ่มนี้อาจมีความผันผวนบ้าง แต่ก็อยู่ระหว่าง หุ้น และเงินฝาก
ในสถานการณ์ที่หากเงินกองหลังใช้หมดลง เราก็อาจเอากองกลางขายมาใช้ได้
ในทางกลับกัน ถ้าสภาพตลาดมีโอกาสเกิดขึ้น
ก็สามารถเปลี่ยนกองกลางมาเป็นกองหน้าในการลงทุนได้
เรียกว่า การจัดทัพลงทุนโดยมุ่งวัตถุประสงค์
คำสัญ คือ "สอดล้องวัตถุประสงค์"
ต้องรู้เรารู้เขา รู้ว่าเงินของเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร
รับความเสี่ยงได้แค่ไหน เครื่องมือที่จะหยิบมาใช้
มี risk return profile อย่างไร มีผลตอบแทน ความผันผวนอย่างไร
การที่จัดเงินไปกองหน้า อย่าให้มีความเสี่ยงกระจุกตัว concentration risk
เช่น เลือกหุ้นตัวเดียวที่ดีสุด และหวังจะรวยจากตัวนี้ ซึ่งเราอาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ประสบการณ์พบว่าความผิดพลาดสำคัญเกิดจากความเชื่อมั่นมากเกิดไป
ทำให้เกิดความเสียหายมากๆ ต้องกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ซึ่งหากกระจายความเสี่ยงเองไม่ได้
การลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนส่วนใหญ่
โค้ชหนุ่ม
ถ้าถามปีหน้าจะลงทุนอะไร จะถามกลับว่า
1.ลงทุนทำไม ?
2.รู้จักเครื่องมืออะไรบ้าง?
3.รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ?
ถ้าเอาตราสารหนี้ไปวางแผนเกษียณก็เสี่ยงนะ
ถ้าอายุน้อยๆลงทุนเกษียณด้วยตราสารหนี้ก็อาจไปไม่ถึง
ถ้าจะจัดการเงิน เงินที่เรามีควรจัดไว้สามส่วน
1.ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน อย่างน้อยก็ 6-12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
ลงทุนในทรัพย์สินมีสภาพคล่องคล้ายๆที่อ.สมจินต์บอก
2.เก็บเงินไว้สำหรับลงทุนระยะยาว เช่น กองทุนดัชนี เริ่มต้นเท่าที่ไหวก่อน
3.สร้างอัตราเร่ง คือ เกษียณได้เร็วขึ้น
ส่วนตัวสร้างความมั่งคั่งจากอสังหาริมทรัพย์จึงอยากแชร์ในส่วนนี้
ช่วงที่ผ่านมามีการหลอกลวงในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
เด็กสมัยนี้ต้องการความเร็ว อยากมั่งคั่งตอนอายุน้อยๆ
มีเคสน้องคนหนึ่งลงทุนคอนโด 4 ห้องพร้อมกัน และมีการรับประกันว่าจะมีคนเช่า
ปรากฏซื้อจริงไม่มีคนเช่า ไม่มีเงินคืนให้
เมื่อหุ้นซึมๆก็จะมีคนหันไปหาช่องทางอื่น
ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ก็ซึมๆเหมือนกัน
ข้อดี/ข้อเสีย อสังหาฯ
1. จับต้องได้ ถ้าลงทุนในหุ้นจะเห็นตัวอักษรไม่กี่ตัว
2. ใช้ leverage ได้ ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงด้วย
3. มีอำนาจในการควบคุมมากกว่า
อสังหาบางพื้นที่ก็ยังลงทุนได้ อย่างไปเชียงใหม่ตอนนี้ก็เจอคนจีนเต็มเลย
หรือ แถวสุขุมวิท แต่ละซอยก็แทบไม่เหมือนกัน
บางซอยเป็นญี่ปุ่น บางซอยเป็นคนต่างชาติมาทำงาน
อสังหาริมทรัพย์เราสามารถเลือก สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้า
4. สภาพคล่องต่ำ ถ้าอย่างหุ้นยังซื้อเช้าขายบ่ายได้
แต่ซื้ออสังหาฯเหมือนแต่งงาน ไม่ได้ซื้อขายแล้วจบง่ายๆ
อสังหาฯลงทุนอะไรดี
คนส่วนใหญ่ก็คงคิดจะเล่นเก็งกำไรเหมือนหุ้น แต่น้อยคนจะมองเพื่อเก็บค่าเช่า
ช่วงนี้จะเก็งกำไรคงยากมาก เทียบกับสองปีก่อนจองไม่นานประกาศขายก็ทำกำไรได้
จะมีอสังหาฯกลุ่มที่ลงทุนเก็งกำไรได้ คือ กลุ่มตลาดบน
ราคาสิบล้านขึ้นไป หรือ รองลงมาราคาห้าล้านขึ้นไปก็พอได้
แต่ถ้าคอนโดราคาสองสามล้านบาทจะเหงาหน่อย
การลงทุนเน้นค่าเช่า ทำได้บางที่
ถ้าเจอทรัพย์ร้อยชิ้นคงมีสักยี่สิบชิ้นที่ทำกำไรได้
ซึ่ง yield ที่จะลงทุนได้คืออัตราดอกเบี้ย +2%
ปัญหาคือ เวลาจะลงทุนจริงได้ yield กี่ %
วิธีคิด คอนโด 5 ล้าน ปล่อยเช่า 4 หมื่น x 12 เดือน ได้ yield 9.6%
แต่นั่นคือ ผลตอบแทนค่าเช่า แต่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย
และถ้าหากซื้อด้วยเงินกู้ ผลตอบแทนก็จะเปลี่ยนไปอีก
นี่เป็นสิ่งที่อันตรายของการลงทุน ต้องศึกษารายละเอียด
ผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์
1.ถือครองไว้และจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
เช่น ซื้อบ้าน อยู่อาศัยไปเรื่อยๆ อยู่ไป อีก 20-30 ปี ราคาก็เพิ่ม
สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มคือ เงินเฟ้อ, ระยะเวลาถือครอง,
ความเจริญเติบโตของพื้นที่ ต้องดูว่าที่บริเวณนั้นทำให้ดำรงชีวิตได้ไหม
มีที่กินข้าว มีโรงพยาบาล ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ประกอบก็จะอยู่ได้
, Supply หากที่ตรงนั้นจะสร้างใหม่ไม่ค่อยได้แล้ว ก็จะยากที่ราคาจะตกลงไป
2. ให้กระแสเงินสด กลุ่มที่คิดว่าน่าจะทำผลตอบแทนได้
คือ ตลาดบนเช่น ชาวต่างชาติมาเช่า ซึ่งจะทำราคาได้สูง
3. ค่าเช่า ส่วนหนึ่งไปตัดหนี้หรือเงินต้น (equity build up)
อีกส่วนหนึ่งไปตัดดอกเบี้ย ใช้เป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้
ในการลงทุนมักได้ยินข้อมูลที่ผิดเพี้ยน
เช่น คอนโดแนวรถไฟฟ้าลงทุนได้ >> ไม่จริง ไม่ได้ลงทุนได้ทั้งหมด
สำคัญคือ ต้องอยู่ใกล้จุดขึ้นลง
และต้องมีความคึกคักทางเศรษฐกิจด้วย อย่างเช่น สายสีม่วง
เทียบกับแถวตลาดหลักทรัพย์ต่างกัน
ความรู้ต้องแยกให้ได้ ว่าอะไรคือข้อคิดเห็น อะไรคือข้อเท็จจริง
บางแห่งตึกยังไม่มีเลย มีห้องตัวอย่าง แต่บอกได้หมดว่าจะได้ค่าเช่า ผลตอบแทนเท่าไร
ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องพิสูจน์ ไปดูพื้นที่จริง ไปดูตึกใกล้เคียง
ว่าขายได้เท่าไร ให้เช่าได้เท่าไร
ในช่วงปี 2008 เคยได้ประโยชน์จากวิกฤติ
ขายอสังหาฯได้ 10 ห้อง นำเงินไปลงทุนช่วงที่หุ้นตกพอดี
ได้เข้าซื้อหุ้นโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
ราคา 19.5 ซื้อไปสองปี ขึ้นไป 58 บาท ก็ขายหมด
ปรากฏขึ้นไปต่อก็ต้องกลับมาซื้อใหม่
พอรอบหลังกลับไปซื้อร้อยกว่าบาทหุ้นขึ้นก็ไม่ขายปรากฏราคาลง
การลงทุนยากทั้งซื้อและขาย อสังหาฯก็ยากเช่นกัน
เร่มตั้งแต่ดูว่าอสังหาฯดีไม่ดีดูอย่างไร การหาเงินกู้ ค่าธรรมเนียม
การถือครองทำอย่างไรให้เพิ่มมูลค่า ลดค่าใช้จ่าย
เมื่อมีคนมาขอซื้อจะขายอย่างไร หรือคนอื่นประกาศขายกันเราจะขายไหม
ประเด็นคือ รู้ไหมลงทุนทำไม และรู้จริงไหม
high understanding high return
ขอคำแนะนำในการลงทุน ปี 62 ?
ดร.สุวรรณ
สิ่งสำคัญคือ ต้องอ่าน ต้องดูข่าวให้มาก
บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ สามร้อยหน้าทุกวัน
ส่วนตัวทุกวันนี้อ่านสามสิบหน้าทุกวัน ได้สิบเปอร์เซ็นต์
ปี 62 อยากลงทุนในสิ่งที่ผลตอบแทนสูงแต่มีสภาพคล่อง
หุ้นที่ชอบปันผลสูง ,ยอดขาย/กระแสเงินสดดี,กรรมการบริษัทดี
ทรัพย์สินส่วนตัวที่ลงทุนคือ อสังหาฯที่อยู่อาศัยปัจจุบัน ซื้อ 150 ล้านเป็น 800 ล้านบาท
,กองทุนอสังหา,ทองคำในช่วงสิบปีที่ผ่านมาหยุดซื้อไป ปันผลดอกเบี้ยก็ไม่มี
ทุกวันนี้อาจจะขาดทุน คนที่น่าซื้อมีอยู่คนเดียวคือคนที่จะไปหมั้นสาว,
ตราสารหนี้ก็หยุดซื้อไปสิบกว่าปี,
หุ้นกู้ซื้อครั้งสุดท้าย 12 ปีก่อน ของ ปตท. เป็น step up 5% และปรับขึ้นทุก 5 ปี
ตอนนี้ดอกเบี้ย 6.2% เหลืออีก 5 ปีสุดท้าย
คิดว่าวิชาที่ดีตอนนี้คือ วิชาจิตวิทยา และ behavior science
เหมือนสตีฟ จ็อบที่ออกไอโฟน
อย่างที่ไปเรียน havard เรียน 9 เดือนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
แต่ตัวที่ทำให้เก่งคือประสบการณ์ทำงาน
หลายท่านมีเงินทุกวันนี้ใช้จนตายชาติหน้าก็ไม่หมด
แต่ได้ความสุขท้าทายลงทุนแล้วชนะ หลายสิ่งเงินซื้อไม่ได้
ดร.สมจินต์
ในเรื่องการลงทุนควรขึ้นถึง Core Investment เงินลงทุนที่เป็นแกน
และมี Satelite investment ส่วนเสริมเพื่อเพิ่มกำไร
เงินลงทุนที่เป็นแกน เช่น tmb set 50 การลงทุนแค่ในไทยทุกวันนี้อาจแคบเกินไป
ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และความผันผวนในโลก
จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ลงทุนวันนี้จะดีได้อีกในหลายสิบปีข้างหน้า
ดังนั้นการเลือกหาผู้จัดการกองทุนที่ดี เลือกหุ้นที่สมสมัย
มีกองทุนที่ดีแห่งหนึ่งคือ global quality growth
จะเลือกบริษัทที่ดี ขายของดี ได้ราคา คุมต้นทุนได้ดี เก็บเงินได้
วัด cash flow margin เป็น ตัววัดคุณภาพบริษัท ซึ่งต้องมาควบคู่การเติบโต
ถ้าหากราคาแพงไปก็ไม่เหมาะกับการลงทุน
และต้อง fair กับนักลงทุน มีกำไรก็แบ่งปันในรูปแบบเงินผันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน
การลงทุนในอสังหาฯ ความเสี่ยงคือสภาพคล่อง
ทางเลือกอีกแบบคือลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนอสังหาฯหลากหลาย
ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ คือ Property income plus
จ่ายปันผลไปแล้ว 15 ครั้ง กองทุนประเภทนี้การันตีเงินปันผลไม่ได้
แต่สินทรัพย์มักให้กระแสเงินสดค่อนข้างสเถียร
สิ่งสำคัญ ต้องมีการเตรียมใจและเตรียมตัว
มองเห็นการลงทุนภาพระยะยาวจะทำให้ผ่านปี 62 ไปได้
โค้ชหนุ่ม
การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เมื่อใช้ชีวิตเจอเรื่องดีก็มีกำลังใจ
เจอเรื่องร้ายก็ปลอบใจเดินหน้าต่อ
เครื่องมือที่เลือกลงทุนแต่ละพอร์ต กลยุทธ์สนับสนุนคืออะไร
เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีวิธีจัดการอย่างไร
อย่างน้อยจะได้ไม่ตัดสินใจทำอะไรแปลกๆ
เมื่อตั้งกติกาได้ดีก็อยู่ได้ จนกระทั่งจุดตัดสินใจที่จะลงมือทำ
การที่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ในแต่ละพอร์ตจะทำให้เราอยู่ได้
เชื่อว่าข้างหน้าจะมีความผันผวน
ทุกครั้งที่ผิดพลาดน่าสนใจที่หันกลับมาหาสาเหตุ และพัฒนาความรู้ในการลงทุน
ถ้าเดินไปถามกูรูว่าหุ้นตัวนี้น่าลงทุนไหม กลับมาเจออีกทีเขาขายไปแล้ว
หากเราไม่สามารถตัดสินใจได้เองก็ไม่เกิดประโยชน์
การลงทุนช่วงแรกเราไม่รู้จักมันดี พออยู่นานขึ้นเริ่มเห็นธรรมชาติ
เมื่อรู้ตัว ตัดสินใจได้เอง ทำให้เราอยู่กับการลงทุนได้มีความสุข
ยุคนี้อย่างไรก็ต้องอยู่กับการลงทุน และต้องอยู่แบบรู้
ไม่ใช่หุ้นขึ้นก็งง ลงงงกว่า ลงทุนแล้วกินไม่อิ่มนอนไม่หลับเป็นความทุกข์
ต้องเข้าใจธรรมชาติ
การลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนไปตลอดชีวิต
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน
อ.สมจินต์
อย่างที่ดร.สุวรรณบอก ว่า เงินมีเท่าไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเรามีความสุขกับมันไหม
ปีนี้หนังสือเล่มใหม่ที่จะออกชื่อ happy money ฉลาดใช้มีความสุข
เวลาที่มีความสุขนอกจากเห็นเงินคือ เวลาแห่งการใช้เงิน
กลยุทธ์ระหว่างของกับประสบการณ์ ประสบการณ์ให้ความสุขที่ยาวนานกว่า
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ใช้เงินแล้วมีความสุข
ระหว่าง การซื้อรถป้ายแดง หรือ การนั่งทานข้าวกับครอบครัวหรือไปเที่ยวด้วยกัน ?
การที่ไปซื้อกาแฟลาเต้ วันแรกหอมหวลชื่นใจ หลังจากนั้นที่ดื่มทุกวันความหอมมันหายไป
สิ่งที่จะเรียกความสุขนั้นกลับมาได้คือ สร้างลาเต้เดย์ขึ้นมา แล้ววันอื่นไม่ต้องซื้อ
ทำให้เกิดการรอคอยและความตื่นเต้นจะเพิ่มขึ้น
การทำให้พิเศษขึ้นมามันมีรางวัลกับชีวิต
บางครั้งสิ่งที่ทำให้เป็นของตายจะหมดคุณค่าไป
เหมือนคู่ชีวิตที่แต่งงานกันไปห้าปีเจอทุกวันความตื่นเต้นมันหายไป
กลยุทธ์คือ หาเวลาแห่งสองเราสัปดาห์ละครั้ง เพื่อมาเจอหรือใช้ชีวิตร่วมกัน
สิ่งที่จะชี้ให้เห็นคือ การมีเงินพอสมควรเป็นสิ่งสำคัญ
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความชาญฉลาดในการใช้เงิน
ถ้ารู้จักใช้เงินให้กับคนที่รักและห่วงใย เสริมความผูกพัน
ไม่ได้ใช้ในแบบที่เห็นแก่ตัว มันจะมีคุณค่า และไม่ได้ใช้เงินเยอะเกินไป
พอใช้อย่างชาญฉลาด จะเหลือเงินออมมากขึ้นด้วย
Merry christmas
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้สรุปให้นะครับ
ขอบคุณไว้ที่นี้ด้วยครับ
Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 12 ม.ค. 62
ช่วง หนึ่ง เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวโน้มหุ้น ดร.ศุภวุฒิ
อ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ
ช่วง สอง กลยุทธ์ลงทุนและหุ้นเด่น ดร.ก้องเกียรติ,คุณนลินทร์,คุณมนตรี,ดร.นิเวศน์
อ.เสน่ห์, อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ
ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ ทีมงาน Moneytalk และแขกรับเชิญ
ทุกๆท่านที่ร่วมในการจัดงานสัมมนาให้ความรู้และแนวทางการลงทุนที่ดี
หากมีความผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ที่นี้ด้วยครับ
สามารถติดตามสัมมนาฉบับเต็มได้ทาง Facebook live/Youtube Moneytalk ครับ
เมื่อ: 2018-12-23T10:04:08+00:00
amornkowa: MoneyTalk ช่วงที่2 กลยุทธ์วีไอในปี62
วิทยากร
1.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
2.คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง (โจ ลูกอีสาน)
3.คุณพีรนาถ โชควัฒนา
4.คุณประชา ดำรงสุทธิพงศ์
5.นพ. พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี
ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อ.เสน่ห์ เริ่มด้วยกลอนก่อนเข้ารายการ
ปีหกสอง ต้องยังไง ใคร่รู้นัก
หุ้นที่รัก จะยังไง ใคร่ทราบก่อน
เซียนวีไอ ไขกลยุทธ์ สุดทุกตอน
ไม่เดือดร้อน สบายใจ ทำไงดี
อนุรักษ์ นักลงทุน หุ้นเต็มพอร์ต
คือสุดยอด เข้าใจหุ้น ทุนวิถี
ฉายาโจ ลูกอีสาน ชำนาญมี
นายกวี ไอเก่า เขาแน่จริง
พีรนาท มาดสุขุม เขาลุ่มลึก
ข้อมูลปึ้ก เรื่องคอนโด โตหรือดิ่ง
ประสบการณ์ ผ่านมามาก จักอ้างอิง
ซื้อหรือทิ้ง หรือเก็บไว้ ยังไงกัน
ไล้ท์ประชา มาแรง แกร่งพอร์ตโต
พอร์ตติดโผ โตไว ขึ้นหลายขั้น
มีมุมมอง ที่ต้องฟัง อย่างครบครัน
กลยุทธ์ พร้อมประจัน ไม่หวั่นเกรง
หมอพงษ์ศักดิ์ รักความหล่อ หมอเล่นหุ้น
นักลงทุน หุ้นน้อยตัว ไม่กลัวเจ๊ง
หุ้นโตไว เก็บให้ทัน มันโตเอง
ช่วงไหนเร่ง ช่วงไหนช้า น่าสนใจ
ดร.นิเวศน์ เซียนเต่า เจ้าตำรับ
เขาพร้อมรับ สถานการณ์ ผ่านไปได้
คือของจริง มิแปรเปลี่ยน เซียนวีไอ
เขามาไกล ถึงวันนี้ เพราะฝีมือ
ปีหกสอง ปีกุนหมู หมู่หรือจ่า
โลกการค้า สงบไหม ไฉนหรือ
ไทยเลือกตั้ง หวังได้ไหม ให้ระบือ
คำตอบคือ เป็นอย่างไร ได้ฟังกัน
เริ่มจากคำถามแรก
มองหุ้นไทยปี62 อย่างไรและมองกลุ่มไหน
คำถามต่อไป
มองว่าตลาดหุ้นใน5ปีข้างหน้าเป็นอย่างไรและให้วิทยากรแต่ละท่าน
ให้คะแนนปีหน้าเท่าไหร่
เริ่มจากคุณพีรนาถเป็นท่านแรก
คุณพี มองในปีนี้ก่อน รับสารภาพ2ครั้งที่แล้วให้ 8 คะแนน
ในปี17 ทายถูก แต่ปี18 มองภาพผิด
ดัชนีSETลงมาต่ำกว่าปี17 ประมาณ8-9% หรือจากจุดHigh13% ซึ่งดูแล้วลงน้อย
มีข่าวร้ายที่ใหญ่กว่า เป็นข่าวที่สอง เคยได้ยินไหมว่า คนไทยจะตายห่_หมดแล้ว
นักลงทุนIPO นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนแนววีไอ ก็ตายห่_หมดแล้ว
ดังนั้นคุณพีก็บอกว่าตัวเองก็ตายเหมือนกันไม่รอด
สมมติมีคนใกล้ตัว เช่น คุณหนูลงทุน5ล้านบาท ตอนนี้ถ้าขายไปจะเหลือเงิน7แสนบาท
ปีนี้หนักสุดจะขายเอาเงินไปใช้ ดีกว่าไม่เหลืออะไรเลย มีคนในห้องสัมมนานี้คิดแบบนี้หรือไม่
ถ้ามี ผมก็จะดีใจ หรือ เราหมดหวัง การลงทุนไม่เหมาะกับเรา สู้ขายตอนนี้เอาเงินไปใช้ดีกว่า
สภาพของผมก็เลวร้ายกว่า ติดลบมากกว่าตลาดหุ้น
เมื่อเราอยู่สถานการณ์แบบนี้เราต้องตั้งสติ อย่าหมดหวัง
ตอนนี้เหมือนอยู่ในภาวะวิกฤต
ตั้งตัวและคิดใหม่ ถ้าเราเกิดใหม่ และย้อนกลับมาคิด เรายังดีกว่าทีมหมูป่าที่ติดถ้ำ
ถ้าเราตกใจ ลนลาน ก็จะออกมาจากถ้ำไม่ได้
เราไม่ต้องเสียดาย หรือ อาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่ผ่านมา
สภาวะแบบนี้เราจะต้องสู้กับข่าวลบมากมาย ไม่มีข่าวดีเลย
เราจะเชื่อข่าวลบทั้งหมดไหม บางอย่างก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจริงหรือไม่
ปีที่แล้ว มีแต่ปัจจัยดีหมดเลย สิ่งนั้นอยู่ในใจผมที่ทุกอย่างดูดี น่าจะมีอะไรที่ไม่ดี
แต่ตอนนี้ ไม่ว่ามองมุมไหนก็มีแต่เรื่องไม่ดี มีปัจจัยลบรอบด้าน
หลังตื่นจากฝันมา ยังโชคดีที่ผมยังอยู่ในประเทศไทย ก็ลงทุนในไทยต่อไป
ปกติตลาดหุ้นไม่มีอะไรที่พอดี ไม่ดีเกินไปก็ร้ายเกินไป
มีคำถามในใจว่า มันใช่หรือไม่ที่จะขายล้างพอร์ต ถ้าใช่ ตอนนี้ก็คือเวลาซื้อ
ตรงนี้ต้องพิจารณาดูว่าเวลาเกิดความกลัวสุดๆ ไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้ นั่นคือจุดสิ้นสุด
ดูจากบทความดร นิเวศน์ หัวข้อต่างๆช่วงนี้ได้แก่ อวสานนักลงทุนวีไอ อวสานนักลงทุนรายย่อย
ดร นิเวศน์บอกว่า เริ่มมีคนติงไว้ว่าจะมีอะไรที่อวสานอีก
คุณพีพูดต่อว่า วันนี้เราอยู่ในจุดได้เปรียบสำหรับคนที่มีเงินสด แต่ยังไม่ซื้อ
มีโอกาสดีกับการลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
เวลากลับมา ก็จะกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะมีเงินสดรอซื้ออยู่
เวลาเราประเมิน KYC ติ๊กว่ารับความเสี่ยงจากหุ้นลงได้50%แต่ตอนนี้ลงไปแค่10%เอง
ตอนนี้มาพิจารณาว่าถ้าเราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า เวลาหุ้นลดลงไปก็มีโอกาสลงทุน
แต่บางครั้งถ้าตอนเวลาอยู่ใกล้ตลาดไม่เจอมุมมองที่กว้างกว่า อาจเกิดbiasเชื่อตัวเองมากเกินไปด้วย
ดังนั้นในจุดนี้พยายามทบทวนตัวเองว่าอยู่สถานะไหนในช่วงนี้
จิตวิทยาของคนจีนที่เห็นGDPของจีนลดจาก 6.5% ไปที่ 6.2% ลดลงไปนิดเดียว
ก็ตกใจและไม่กล้าลงทุน
พูดในแง่ดีบ้าง การศึกษาของคนไทยยังสู้เวียดนามไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ลงทุนในต่างประเทศ
สนใจลงทุนแต่ในประเทศไทย
จริงๆคอนโดที่ดีอยู่ที่ Locationที่ดี เช่น สยามคอนโดข้างSupertower มีแค่8ชั้น
แต่ไม่มีผู้ปกครองคนไหนสามารถทำให้เพื่อนบ้านให้อยู่กันอย่างกลมเกลียว
ถ้าตกลงกันได้ และให้ขายไป และให้ทุบตึกทิ้งและสร้างขึ้นมาใหม่
แบบ Mix used ทำจำนวนห้องมากขึ้น เจ้าของเดิมก็มาอยู่ได้
สมมติจำลองเหตุการณ์เหมือนหลังเลือกตั้ง
ให้คนที่ได้รับเลือกมีความกลมเกลียวมากขึ้น
เหมือนกับเราติดอยู่ในถ้ำ ไม่ได้รับรู้ข่าวสารเช่น บทความของอวสานของกลุ่มต่างๆ
รับรู้ข้อมูลแต่Factที่เป็นจริง ว่าหลายบริษัทอาจถูกdisruptไป เราต้องเลือกบริษัทให้ถูก
หมอพงษ์ศักดิ์ มองหุ้นไทยว่า เราคงอยู่ในช่วงผลตอบแทนต่ำสักระยะนึง
เพราะตั้งแต่ปี 2008 เกิดวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ทั่วโลกมีการลดดอกเบี้ยลงทำให้
asset priceราคาสูงขึ้น
ตอนนี้กลับข้าง ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ดังนั้นvaluationของสินทรัพย์เสี่ยงก็ถูกปรับลดลง
เราอยู่ในช่วงLow return ของตลาดโดยรวม
ผมพูดต่อจากพี่พีรนาถ ตลาดเหมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมาตามโอกาสและความเสี่ยง
ไม่สามารถทำนายได้ว่า จะแกว่งไปทางไหน พอเราไม่รู้ เราก็หาต่อว่าสิ่งไหนที่เรารู้ละ
ซึ่งก็คือตำแหน่งที่เราอยู่ ได้แก่ เรื่องValuation 20ปีที่ผ่านมา
PE อยู่ที่ 13.5 เท่า ,P/B 1.3เท่า
Div yield 4%
Earing yield gap 4.4เท่า
ปัจจุบัน 21 ธค 2561
PE 15.5 เท่า , P/B = 1.8 เท่า
Div yield 3.0%
Earing yield gap 4 เท่า
ถ้าเราวัดด้วยวิธี valuation เรายังมี optimiseอยู่นิดหน่อย ค่าประมาณ มากกว่า5
มองภาพใหญ่เราไม่ได้อยู่ตรงกลาง แต่อยู่ไปทางบวกนิดหน่อย
ทำให้เรารู้ว่าโอกาสที่จะลงทุนที่ดีที่สุดอยู่ที่ตำแหน่งที่ 0
ความเสี่ยงน้อยสุดคือช่วงเวลาที่คนมองโลกในแง่ ร้ายสุด
แต่เราอยู่ไปทางคะแนนกลางค่อนข้างดี ความเสี่ยงไม่มาก แต่ก็ไม่ดีมาก
จุดนี้ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่แย่มาก
การลงทุนในหุ้นตอนนี้น่าจะดีกว่าถือเงินสด ตอนอยู่ที่จุดคะแนนเท่ากับ10
คือช่วงที่พีค แต่ความเสี่ยงก็สูงสุดด้วย
เราลงทุนในแนววีไอหมายถึงลงทุนในแต่ละบริษัท เราไม่ใช่นักลงทุนในเศรษฐกิจ
หน้าที่เราคือวิเคราะห์ในแต่ละบริษัทให้ดี เราต้องรู้มากกว่าคนอื่น แต่เราต้องแน่ใจว่าเรารู้จริงหรือไม่
ถ้าเรารู้ในบริษัทนั้นอย่างแท้จริง เราก็จะมีโอกาสกำไร
ในความคิดของผม ปีหน้าเราต้องวิเคราะห์หุ้นในportและโอกาสของแต่ละบริษัทว่าเป็นอย่างไร
มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง ห้ามใช้อารมณ์ในการถือหุ้นซึ่งยากเพราะปกติเรามีbiasในบริษัทที่ถือ
ปีที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้พอสมควร
ถ้าเรากลับไปreview ในเวลาที่หุ้นอยู่ในสภาวะที่ดีเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรสักเท่าไหร่
ปีหน้าลงทุนได้แต่ต้องระมัดระวัง เพราะมีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นหรือลง
เหมือนอย่างที่หมอพงษ์ศักดิ์บอกว่า ลูกตุ้มก็มีoptimise
อ โจ พูดในปี61 ปกติเดือน ธค ค่อนข้างนิ่ง แต่ปีนี้ เหมือนสิ้นใจ
Portตัวเอง นับแล้วว่าเป็นปีทีสองที่ติดลบและแพ้ตลาด
ผมถือหุ้น 45 ตัว มีหุ้นแค่5ตัวกำไร
ที่เหลือขาดทุน ผมขาดทุนบางตัวมากกว่า50%
แต่ตัวที่ชนะถือเยอะหน่อยถือว่าโชคดี
ผมถือในบริษัทขนาดกลางและเล็ก ที่เคยได้ผลตอบแทนสูง
แต่มีจุดอ่อนคือ ปีที่ผ่านมาเป็นวิกฤตของศรัทธาหุ้นขนาดเล็ก บางตัวลงถึง 80%
ถ้าลงทุนหุ้นกลุ่มSET50 ลงไม่เยอะ ติดลบแค่6%
ลงในหุ้นกลุ่มsmall cap กลุ่มนี้ลงเยอะมาก
ที่ดัชนีติดลบไม่มากเพราะมีหุ้นขนาดใหญ่เช่น ptt pttep hmpro bdms
ค้ำไว้ แต่หุ้นที่เหลือ ขาดทุนยับเยิน
วอร์เรนเคยขาดทุน 50%มา5ครั้ง ดังนั้นเราไม่ควรท้อ
เราไม่เจ๊งหรือไม่ตาย อีกสัปดาห์ก็ถึงปีใหม่ก็ลืมเรื่องเก่าไป
จากมุมมองของคุณพี และ หมอ มองตลาดค่อนข้างไม่ดี
ถามว่าทำไมเราถึงคิดเหมือนๆกัน เพราะเราดูทีวี FB,LINEเหมือนๆกัน เป็นไปได้ว่าเราคิดเหมือนกัน
เวลาหุ้นลงๆไปเรื่อยก็คิดว่าลงต่อ แต่มันไม่แน่ ทรัมป์กับคิมทะเลาะกันสุดท้ายก็จับมือกัน
ตลาดหุ้นมันย้อนแย้ง เล่นเรา สุดท้ายคาดเดาไม่ได้ ไม่ว่าเรื่อง Trade war , ขึ้นดอกเบี้ย หรือหยุดQE
ถ้าหุ้นที่เราถือ PE 6เท่า หรือ มีเงินสด80% ของ mkt เราจะกลัวทำไม
ตลาดหุ้นในระยะยาว เหมือนล่องเรือ ทุกๆปีพายุพัดมาก็มีคนตกเรือ
หมายถึงคนที่ล้มเลิกการลงทุน สุดท้ายเหลือไม่กี่คน ซึ่งต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
ถึงปีนี้พอร์ตติดลบ10%แต่ปีนี้ผมจะได้เงินปันผลสูงสุดในประวัติศาสตร์ Yieldจะได้สัก4%
ไม่รวมกับเงินกำไรที่บริษัทเก็บไว้
เวลาที่สับสน สิ่งที่เราปฎิบัติ ทำจริง จะแยกเราได้ว่าเราเป็นนักลงทุนจริงหรือเป็นแค่นักเก็งกำไร
คุณประชาบอกว่า ดีใจที่ผมอายุน้อยสุดในเวที ปีหน้าจะเป็นอย่างไร
ความคิดของวิทยากรคล้ายกัน คุณโจบอกว่า เราเสพสื่อ ทีวี นสพเหมือนกัน
เรามักคิดว่า ปีหน้าดูเหมือนจะไม่ดี
แต่การคาดการณ์เป็นรายปี จะสั้นไปหน่อย
เราส่วนใหญ่ลงทุนแบบวีไอ ซึ่งเราจะโฟกัสเป็นรายบริษัทและมองเป็นระยะยาว
การคาดการณ์ในปีหน้าจะยาก แต่ถ้าดูจากกูรูทางด้านเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี
ผมมองปีหน้าโดยมองภาพปีที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรบ้าง
คุณแอนโทนี โบลตันเคยเขียนในหนังสือ Investing Against The Tide
ซึ่งคุณพรชัยแปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า มันไม่สำคัญว่า
อะไรจะเกิดขึ้น แต่มันจะลงถึงจุดไหนต่างหาก
ตอนนี้ราคาหุ้นลงมาผสมกับมีข่าวร้าย ความกลัวและข่าวร้ายเข้ามาเรื่อยๆ
เพื่อนๆล้างพอร์ตหลายคน คิดว่าจะเกิดวิกฤตในปีหน้า
เราไม่เคยคาดการณ์ตลาดได้ถูกเลยในช่วงที่ผ่านมา แต่ราคาปัจจุบันสะท้อนข่าวร้ายไปแค่ไหน
ถ้าเรื่องที่คาดการณ์เกิดขึ้นจริง หุ้นน่าจะลงระดับนึง จะลงมากกว่าถ้าเจอเหตุการณ์มากกว่าที่คาด
ปีเตอร์ ลินซ์ เคยพูดในสัมมนาบนเวทีของบารอน มีการทำนายภาพรวมเศรษฐกิจคล้ายกัน
แต่คนที่ทำผลตอบแทนได้ดี โดยมีวินัยในการสะสมหุ้นที่โฟกัสเป็นรายบริษัท
ทุกครั้งที่เวลาตลาดหุ้นอยู่ในช่วงดี หุ้นที่ดีจะขึ้นมากกว่าปกติ หุ้นที่ไม่ดีก็จะทรงหรือขึ้นมากกว่าปกติ
แต่ช่วงที่ตลาดไม่ดี หุ้นที่ไม่ดี จะลงมากกว่าปกติ แต่หุ้นที่ดี ผลประกอบการดี แต่ราคาหุ้นขึ้นได้ไม่มากเท่าที่ควร
เหมาะกับกลยุทธ์การลงทุนแบบวีไอ ที่บางบริษัทที่ขึ้นน้อยกว่าผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น
หลายๆครั้งก็จะเจอแบบนี้ ปีถัดไปจะมีแนวโน้มจะเกิดตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์
Value investor ควรโฟกัสเป็นรายบริษัทและมองระยะยาว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เริ่มเหมาะสมมากขึ้นในปีหน้า
ดร นิเวศน์ บอกว่าหมอพงษ์ศักดิ์เปรียบเทียบเป็นลูกตุ้ม ผมก็มีเปรียบเปรย แข็งบนอ่อนล่าง
ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยบางคนพูดว่าดีมาก แต่อีกที่ หลายคนที่บอกว่าไม่ดี
ผมว่าสถานการณ์คล้ายกัน ตลาดลบ -9% ตัดปันผลก็ -6%
ลงทุนในSET50 ลบแค่-6% หักปันผลก็ลบแค่-3%
แต่ว่าเราลงทุนหุ้นขนาดเล็กและกลาง
กองทุนsmall cap ได้คะแนน -32%และปันผลนิดเดียว
ทำไมผลตอบแทนต่างกันมาก
ตลาดหุ้นMAI ก็ลบ30กว่า%
หุ้นตัวใหญ่ 10 ตัวแรกลบแค่3%
กลุ่มนึงที่ผมทำขึ้นมาเอง ดัชนีหุ้นนางฟ้า นี่คือหุ้นที่ฮอตมาก ราคาขึ้นเป็น 10เท่าและตกแรง
ปีนี้ 10 ตัวที่คัดเองดูจากราคาที่ขึ้นและลงแรง ปรากฏว่าลบโดยเฉลี่ยไป -52%ทำให้บางคนเจ็บมาก
ทำไมต่างกันอย่างนี้ เหมือนตลาดหุ้นบ้านเราแบ่งเป็นสองตลาด แต่อยู่ในตลาดเดียวกัน
ไม่มีใครแยกว่าเป็นคนละกลุ่ม หุ้นเล็กซึ่งถือโดยนักลงทุนรายย่อยเจ็บหนัก
มองย้อนหลัง อะไรหลายอย่างแยกเป็นสองอย่างเช่น
คนรวย รู้สึกดี แต่คนจนรู้สึกแย่มาก
ที่US คนกลุ่มนึง คิดว่าทำไมมีนโยบายแบบนี้ แต่อีกกลุ่มเชื่อในนโยบายแบบนี้
มีการแยกมาจากsocialแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม
นาทีนี้ถือว่าเป็นอวสาน หรือ รอบที่ขึ้นมาแรงที่ทำให้รายย่อยรวยขึ้นมาเร็ว
ตอนนี้เริ่มลงมา หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นมาสองปีซ้อน ปีนี้พึ่งมาลบ แนวโน้มที่รายย่อย
เจอยังไม่สุด ลูกตุ้มยังไม่สุด ต่อจากอวสาน ก็เอาไปฝัง
รายย่อยที่US โดนฝังไปแล้ว บ้านเราตอนนี้ นักลงทุนรายย่อยซื้อขายต่อวันน้อยกว่านักลงทุนต่างประเทศแล้ว
สุดท้ายนักลงทุนรายย่อยค่อยๆหายไป
ผู้หญิงจะค่อยๆเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยวิธีDCA (Dollar cost average)
ผู้ชายจะลงทุนลดลง เหมือนเมืองนอก ยอมรับความจริงที่โอกาสทองคล้ายน่าจะใกล้หมดแล้ว
โอกาสหวือหวามากๆจะยาก หุ้นขนาดใหญ่ๆจะเป็นตัวนำ ไม่มีใครลงทุนในหุ้นตัวเล็ก
หมดยุคทอง อวสานเรียบร้อย เป็นช่วงท้ายที่คนมาฟังสัมมนา มาเฮฮา มาสังคมกัน หวังเป็นเซียนน้อยลงมาก
ตอนเขียนหนังสือ ตีแตก ในช่วงที่ดี เคยพูดที่สิงคโปร์ คนตื่นตากันว่านักลงทุนรายย่อยทำไมได้ผลตอบแทนดีมาก
แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเราจะเป็นแบบนี้ แต่ต้องลดความทะเยอทะยาน เลือกหุ้นที่ปลอดภัยไว้ก่อน
วิธีการลงทุนก็เปลี่ยนไป อย่าไปเลือกหุ้นที่เชียร์กัน มองหุ้นที่มีอนาคตแน่นอน ราคาสมเหตุสมผล
คำถามที่สอง กลยุทธ์ในการลงทุน 1-5 ปีข้างหน้า และให้คะแนน
คุณพีรนาถ ไม่เปลี่ยนคำพูด ให้คะแนน 8 คะแนน เฉลี่ย8คะแนน อะไรที่แย่ที่สุด ไม่มีทางรู้ว่าเกิดเมื่อไหร่
ไม่มีทางที่จะรู้ความคิดของทรัมป์หรือ สีเจี้ยนผิง เราไม่คาดเดาเพราะเราตัวเล็กนิดเดียว
ทุกคนมองผลประโยชน์ของตัวเราเอง เรารู้ เขา (US)ก็รู้ แต่อาจได้ประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า
กลยุทธ์ในการลงทุน เสริมคุณโจ เมื่อก่อน เลือกหุ้นพีอีต่ำ ปันผลดี
แต่คำถามว่า บริษัทที่มีเงินสดเยอะไม่มีไอเดียในการลงทุนหรือเปล่า
อาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการลงทุนหรือเปล่า
หลายบริษัทที่มีการจัดtesting Hackatorn
ผู้บริหารใจเปิด มองการณ์ไกล มีเงิน นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่เรามองมากกว่า Pe ต่ำ
เรื่องวัฒนธรรมองค์กร บาร์บีคิวturn มาจากcorporate culture
บริษัทที่เมืองจีน ที่มีการปรับปรุงจนทำให้การบริการที่ดี ทั้งที่ภาพพจน์การบริการไม่ดี
ดังนั้นทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนให้ทันกันหมด
จุดที่เลือกลงทุนจะละเอียดมากกว่า financial ratio
ดร ไพบูลย์บอกว่า เห็นเงินสดมาก ต้องคิดมากหน่อย
หมอพงษ์ศักดิ์
ถ้าเรามองตลาด2-3ปี ก็ยากแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
สมมติเราอยู่ปี 2008 ลูกตุ้มอยู่ต่ำสุด riskต่ำสุดแล้ว
แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 5.5-6 ตลาดเราไม่รู้อนาคตแต่รู้ว่าปัจจุบันอยู่ตรงไหน มีความเสี่ยงเท่าไหร่
เราหาวิธีลดความเสี่ยง เช่น เอาเงินออกจากตลาดหุ้นบ้าง
สมมติPEขึ้นไปเยอะ ถ้าvaluationให้สูงแสดงว่าคนมองโลกแง่ดีเกินไป market cycle repeatตลอด
เกิดซ้ำๆกัน 10ปีขึ้นไปจะกลับมา ดังนั้นต้นปี 2018 ตลาดขึ้นไป 1,850 ลูกตุ้มไปที่8อาจขึ้น10แต่ความเสี่ยงก็สูงขึ้น
คนมองโลกแง่ดีแง่ร้ายสลับกันไป เราต้องมีเหตุผลแทนอารมณ์ เราพยายามต่อต้านธรรมชาติซึ่งยากที่จะชนะตลาด
ผมมองว่า valuationของหุ้นไทยมันก็ไม่ถูก ค่อนข้างแพงเล็กน้อย ปีหน้าผมให้คะแนน4.5
แต่ไม่แนะนำให้ขายหุ้นและถือเงินสด เพราะมันไม่คุ้มที่ถือเงินสดซึ่งให้ผลตอบแทนน้อย
ขึ้นกับเราอยู่ณ จุดไหนของตลาด ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้
สำหรับคำถามที่ทำนายในอีก 5ปี ข้างหน้า
ไม่สามารถทำนายได้ ต้องดูแต่ละปี เช่นปีหน้าถ้าลงมาเยอะ อาจให้คะแนนปลายปีถึง 7-8 คะแนน
ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่อันตราย ถ้าเราไม่มีความรู้ อย่ามองอะไรที่positive
เราต้องระมัดระวัง ทุกอย่างมีความเสี่ยง ถ้าความเสี่ยงกล้าลงทุน ถ้าความเสี่ยงมากก็ไม่ลดทุน
คุณโจ บอกเกี่ยวกับกลยุทธ์ในอีก5ปีข้างหน้า เลิกอ่าน นสพ และข่าวจากLine เพราะจะสร้างอารมณ์ร่วม
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งออมเงินที่ดีที่สุดสำหรับชนชั้นกลาง
ตลาดหุ้น มี market cap 15ล้านล้านบาทและมีเงินเติมเข้ามา 1 ล้านล้านบาท
ไม่อยากให้ต่างชาติถือ33% เราควรได้มากกว่านี้ แต่ตลาดหุ้นไม่ง่าย แถวนี้มันเถื่อน
ผมลงทุนมา19ปี ยอมรับว่าถ้าไม่มีความรู้จากอาจารย์ ผมไปตั้งนานแล้ว
ตลาดหุ้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น สนับสนุนให้ลงทุน หรือลงผ่านกองทุนรวมดัชนีSET50
ซึ่งจะล้อไปกับดัชนี รวมถึงเงินที่เพิ่มขึ้นมา 1 ล้านล้านบาท ทุกปี
อีกประเด็น 3-4ปีที่ผ่าน มีเทคโนโลยีใหม่ๆมาdisruptและพึ่งส่งผลมากๆในปีนี้
TVช่องนึงmarket cap แสนล้านบาท ตอนนี้เหลือแค่หมื่นล้านบาทเอง
สื่อสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ก็เจ็ง
เราสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม และไปทำงานที่เราถนัดก็ได้
แต่ถ้าอยากรวยมากๆ ต้องศึกษาหุ้น ดูOpp day ให้มากขึ้น
ผมให้ 8 คะแนน ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย ผมมีความสุขในการมองโลกในแง่ดี
บางตัวก็ลงไป 50% ก็น่าสนใจ
คุณประชา กำลังคำนวณหาค่าเฉลี่ยของวิทยากรอยู่ อนาคตคาดการณ์ยากเสมอ
มีสิ่งนึงที่คนวีไอเชื่อคือ ให้ผลตอบแทนในระยะยาว
แต่ต้องโฟกัสในรายบริษัท เราต้องทำเพิ่มขึ้น เพราะตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ที่น่าสนใจทั้งโลกและมนุษย์มีวิวัฒนาการ ผมชอบในเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์
ผมชอบติดตามความคิดของวอร์เรน ประมาณ20-30ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลง
ต้องตีความว่าคุณวอร์เรนทำแบบนั้นเพราะอะไร
หนังสือที่เขียนเมื่อ20กว่าปีบอกว่า เขาไม่สนใจ commodity ,technology
แต่ตอนนี้คุณวอร์เรนเคยซื้อ Petro china , IBM , Apple
เราควรตีความอะไร มัวแต่เพ่งว่าแกทำอะไร ผลก็คือจะได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ให้ตีความว่าคุณวอร์เรน ปรับตัวได้ยอดเยี่ยมมาก
สิ่งที่ชอบแกมีวิวัฒนาการ มีการยืดหยุ่น
เวลาลงทุนควรมองแนวโน้มอนาคตเสมอ
เราควรทำเหมือนเดิม โฟกัสรายบริษัท แต่ควรเพิ่มในส่วน ว่าเราควรรู้ว่ามีแนวโน้มอะไรใหม่ๆเข้ามา
คุณวอร์เรนจะซื้อต่อเมื่อเข้าใจธุรกิจใหม่
อนาคตไม่รู้เกิดอะไรขึ้น แต่โฟกัสในรายบริษัทควรทำต่อไป
ปีหน้าและปีถัดไป มองโลกในแง่ดี อย่างระมัดระวัง ให้คะแนน 6 คะแนน
ดร นิเวศน์ บอกว่าคุยกันห้อง หุ้น FB ,Googleลง 40-50% ดังนั้นเราก็ไม่น่ารอด
ฝรั่งขายไปแล้วคนจีนสามแสนล้านบาท ปีหน้าอยากให้ลง ต่างชาติก็อาจขายไปห้าแสนล้านบาท
บริษัทอนาคตของโลกPE 14เท่า ดูถูกกว่าหุ้นไทยอีก
หุ้นขนาดใหญ่ของไทยยังไม่เคยลงหนัก ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพสูง
ตัวที่เจ็บหนักก็เป็นหุ้นที่รายย่อยถือ แต่เหตุการณ์ที่เลือดนองพื้นยังไม่เกิด
ตลาดหุ้นไทยก็ดูไม่น่ากลัว ยังมีคนมีเงินจะเข้ามาลงทุน ผู้หญิงก็จะเข้ามาลงทุน
ผมไม่positiveแต่ก็ยังถือหุ้นลงทุนอยู่ ปีที่แล้วทายไว้3คะแนน ถูกอยู่คนเดียว
ปีนี้จะขอทายให้สัก 4 คะแนน น้อยกว่าหมอพงษ์ศักดิ์หน่อยนึง
กลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงจากต่างประเทศ
แต่อีก4-5 ปี สังคมไทยจะแก่ตัวมากขึ้น สร้างเศรษฐกิจเฟื่องฟูได้ยาก
ซื้อของจากอาลีบาบาเยอะ จะหวังศก โตไวน่าจะจบแล้ว โต4%ก็พอใจแล้ว
ฟังแล้วอย่าไปขายหุ้น จริงๆเลือกให้ถูกตัว กระจายความเสี่ยง
เลือกบริษัทที่ไม่ถูกdisrupt ปันผลแค่3%ก็พอแล้ว
ขึ้นปีหมู อะไรดี มีความหวัง
หมูมีตังค์ หมูออมสิน กินอร่อย
เป็นหมูป่า ต้องตามหา ตั้งตาคอย
หมูจ๋อยจ๋อย คือหมูหยอง ร้องไม่เป็น
หมูง่ายง่าย ใครก็รู้ หมูในอวย
ถึงคราวซวย หมูเขี้ยวตัน พาลทุกข์เข็ญ
หมูสามชั้น มันผสม กลมกล่อมเช่น
เพราะตื่นเต้น ทำหมูหก ตลกร้าย
ใบโลกนี้ ไม่มีหมู กูรูบอก
อย่าจนตรอก จนวิกฤต คิดขวนขวาย
มีความรู้ จนหมูมา พาพริศพราย
หมูทั้งหลาย หมูโชคดี ปีใหม่เอย
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ อ เสน่ห์
ทีมงานMoneyTalkทุกท่าน
เมื่อ: 2018-12-23T19:54:57+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
อยากสอบถามเกี่ยวกับวอร์แรน
natthawut3010: ถ้าเราซื้อหุ้นวอร์แรนมาแล้วเราไม่ยอมขายมันจนเลยวันกำหนดในการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้างคับ รบกวนขอความรู้จากพี่ๆหน่อยนะคับ
เมื่อ: 2008-04-19T22:27:04+00:00
ส.สลึง: โดยส่วนตัวผมไม่มีประสบการณ์อะไรเกี่ยวกับน้องวอร์ฯ เลยครับ
แต่เข้าใจว่าถ้าถือไปจนครบอายุไถ่ถอน แล้วไม่ใช้สิทธิ์
น้องวอร์ฯ ก็น่าจะกลายเป็นเศษกระดาษน่ะครับ
เมื่อ: 2008-04-20T02:26:42+00:00
Likhit: ก็หมดซิครับ
ยิ่งบางคนเห็นลูกถูกกว่าแม่ลีมดูอายุลูกไปทำabritage
หมดแน่นอน
ถึงไม่ทำabritageตัวแม่ก็ถูกDILUTE ลงมาแล้ว
สรุปมีแต่เจ๊ง กับเจ๊ง
งานนี้ไม่มีเจ๊า
เมื่อ: 2008-04-20T04:04:25+00:00
akekarat: มันก็เหมือนกับคูปองส่วนลดที่คุณไม่ได้ใช้เลยจนวันหมดอายุน่ะแหละ กลายเป็นกระดาษไร้ค่าครับ ไม่เหมือนกับหุ้นสามัญปกติ
เมื่อ: 2008-04-20T04:24:55+00:00
ส.สลึง: สาเหตุที่ผมไม่เข้าไปแตะ เพราะตามความเห็นของผม warrant ไม่ใช่หุ้น แต่เป็นสัญญา
ผมไม่อยากเป็นเจ้าของสัญญา แต่ต้องการเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งฟังดูอาจไม่ค่อยฉลาด
เพราะบ้างครั้ง warrant ก็สามารถสร้างโอกาสการลงทุนที่คุ้มค่าได้
(ในมุมมองของผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการออกเครื่องมือนี้สักเท่าไหร่
และไม่ใคร่สนใจโอกาส ที่ฟังดูจะฉลาดเสียทุกครั้ง แต่จะเลือก...
บางโอกาสจากทุกโอกาสครับ)
ส่วนการซื้อขาย warrant กัน คือการซื้อขายสัญญา ไม่ใช่ซื้อขายหุ้น
แต่คนส่วนใหญ่ก็มักเข้าใจผิด บอกว่าซื้อขายหุ้น ...
เมื่อ: 2008-04-20T14:18:01+00:00
anakinnet: ผมเคยเชค วอร์ฯ ทั้งตลาด ไม่เห็นจะมีตัวไหนที่ซื้อแล้วคุ้มกว่าซื้อหุ้นแม่เลย หลังจากนั้นก็เลยเลิกดู ยกเว้นจะเป็นตัวที่เราสนใจจริงๆ
เมื่อ: 2008-04-20T15:27:25+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
วันนี้ทำไม TRT ลงเยอะจังครับ
กาย: วันนี้ทำไม TRT ลงเยอะจังครับ พื้นฐานเปลี่ยนหรือ งบออก หรือ Silent Period ครับ
เมื่อ: 2007-05-03T07:16:41+00:00
007-s: ไม่เห็นเยอะเลยนี่คะ จริงๆอยู่ที่เดิมมากกว่า
ราคาปิดเมื่อวานนี้ เกิดจากวางซื้อที่ราคา atc 5000 หุ้นเท่านั้นเอง เพราะว่า ไม่มีหุ้นวางออฟเฟอร์ไว้เลย ราคาเลยปิดโดดไป 4.48 จริงๆ เทรดเฉลี่ยเมื่อวานที่ 4.20
ก็เท่าๆราคาตอนนี้แหละค่ะ
เป็นหุ้นที่ วางออฟเฟอร์ขายกันน้อยมากตัวนึง ประมาณว่า ต่างคนต่างอม
ใครทนไม่ไหว รำคาญ หรืออาจสับสนหงุดหงิด ก็ต้องยอมแพ้ คายมาที่บิดเอง
หุ้นที่ ออฟเฟอร์บาง บิดหนา นี่เข้าใจว่าปกติแล้ว ต้องรอจนกว่าแรงขายของคนทนไม่ไหว หรือแรงขายของคนที่ซ่อนหุ้นไว้เพื่อรินขาย จะหมดไป คนบิดจึงจะมีอารมณ์อยากเคาะขวา
เหตุเพราะ ด้านขวาไม่มีของวางให้เคาะ คนเลยไม่ทราบจะเคาะขวายังไงถูก
อีกอย่าง คนขายซ่อนจำนวนของที่อยากจะขาย มีแต่เทซ้ายยันเต ชกขวาไปก็เท่ากะชกลม เหนื่อยเปล่า เดี๋ยวเจอหมัดสวนซ้ายมา ทำนองนั้น
:lol: ก็มั่วๆนะคะ อย่าฟังมาก เป็นแค่จินตนาการ ไร้หลักวิชาอ้างอิงใดใด เอิ๊กส์ ๆ
เมื่อ: 2007-05-03T08:02:27+00:00
NinjaTurtle: กระทู้ก่อนมีคนสงสัยว่าเป็นนักมวย :lol:
แต่ผมว่าซือเจ้ต้องเป็นเทรนเนอร์แน่ๆ ค่ายไหนครับ :ohno:
เมื่อ: 2007-05-03T08:36:24+00:00
007-s: :lol:
เมื่อ: 2007-05-03T08:37:49+00:00
alexx: บรรยายจนเห็นภาพเลยครับ :lol:
เมื่อ: 2007-05-03T08:43:01+00:00
Series7: วัดใจคนเคาะซ้าย :?:
เมื่อ: 2007-05-03T13:51:38+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
คนที่เคยซื้อชาเขียวมาดื่ม ยังซื้ออยู่ไหมครับ
Accidental Hero: ถ้ายังซื้ออยู่ ซื้อเท่าๆเดิม หรือมากขึ้น หรือน้อยลง
อยากรู้กระแสครับ
เมื่อ: 2005-09-16T10:21:06+00:00
booklover: ตอนนี้ที่เห็นคือนักศึกษา ABACเลิกกินเกือบ100% ครับ
คนรอบๆตัวกินน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อ: 2005-09-16T10:37:47+00:00
naris: กินOISHIน้อยลง50%ครับ
ยอดขายที่ร้านผมก็ตกประมาณนั้นเหมือนกัน
เมื่อ: 2005-09-16T11:51:11+00:00
chatchai: ดื่มน้อยลงครับ เพราะรู้สึกว่าดื่มแล้วฟันเป็นคราบนะครับ
เมื่อ: 2005-09-16T14:49:50+00:00
miracle: น้อยลงแบบเห็น
หลังจากหมดPromotion
งานนี้ดีไม่ดี ถามแม่ค้าตามตลาดนัดได้
ใกล้ตัวอีกต่างหาก
เมื่อ: 2005-09-16T16:28:16+00:00
Biere: เมื่อก่อนทุกวันครับ ตอนนี้รู้สึกดื่มแล้วเงินเหลือน้อย เลยต้องลดครับ
เมื่อ: 2005-09-17T06:42:37+00:00
MO101: ไม่ได้กินเลยครับ
ตอนนี้กินชามะนาวแล้วครับ
เมื่อ: 2005-09-17T07:17:05+00:00
TanTai: ผมเลิกดื่มแล้วครับ
เมื่อ: 2005-09-17T07:19:15+00:00
Skid: ที่บ้าน ชงชากินเอง ทุกวัน กานึงไม่ถึง 5 บาท
แพงเกิน ความสามารถ ที่จะซื้อมากินได้
แต่คนทำความสะอาดบ้านหวังรวย ตะก่อนซื้อกินทุกวัน เดี๋ยวนี้ไม่ซื้อแล้ว
ซื้อเพราะรางวัล แต่ไม่ใช่คุณค่า หรืออยากกิน
ฟังจากวิทยุว่า คุณตัน จะไม่ทำโปรโมชั่น บ่อยเกินไป
เมื่อ: 2005-09-17T07:42:21+00:00
nanchan: วันก่อนดื่มชาเขียวยี่ห้อหนึ่ง(หลังจากไม่ได้ดื่มมานาน) ไม่ใช่oishiนะ
รู้สึกจะอ้วกยังไงไม่รู้
เมื่อ: 2005-09-17T09:38:47+00:00
กล้วยทอด: เอาตามที่เห็นในบริษัท เหมือนคนตื่นจากพะวังแล้วค่ะ
ไม่ถึงกับจะขย้อนนะคะ แต่ไม่ hot เหมือนแล้วค่ะ
เมื่อ: 2005-09-17T09:57:37+00:00
mustang: ไม่ได้กินแล้วเหมอืนกันนะครับ ดื่มนำผลไม้ดีกว่านะครับ
เมื่อ: 2005-09-17T10:15:06+00:00
harry: แต่ร้านอาหารญี่ปุ่นเค้า ผมยังเห็นคนเข้าเยอะนะ
oishi ไม่ได้มีแต่ชาเขียวนะครับ
เมื่อ: 2005-09-17T10:39:56+00:00
hot: ไม่รู้ราเมนที่ใส่ลำใยรสเป็นไง
เมื่อ: 2005-09-17T10:44:45+00:00
Dech: หลายคนใน office ยังกินอยู่ครับ บอกว่าติด
แต่หลายคนก็ลองไปกินยี่ห้ออื่นๆ แบบว่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมื่อกี้ก็ไปชิมของ tesco มา รสข้าวญี่ปุ่น อร่อยดีเหมือนกัน
แต่ก็ไม่ซื้อเหมือนยี้ห้อ อื่นๆ ส่วนใหญ่ผมดื่มน้ำผลไม้ หรือไม่ก็น้ำผัก ของ tisco
เด๊ยวต้องไปซื้อมาเก็บไว้ดูเล่นสักร้อยหุ้น ให้รู้สึกว่าเป็นเจ้าของหน่อย
เมื่อ: 2005-09-17T15:34:07+00:00
harry: hot เขียน:ไม่รู้ราเมนที่ใส่ลำใยรสเป็นไง
ที่ได้ลองกิน มันเป็นข้าวคัรบ แต่ราเมน ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า
รสชาติก็ใช้ได้ครับ แปลกๆดี
เมื่อ: 2005-09-17T15:41:03+00:00
Viewtiful Investor: ขืนยังกินกันทุกๆวันทุกๆคน ต้องมีคนตายเพราะชาเขียวแน่ครับ สุดท้าย Profit Margin ก็ต้องลดตามคาด แต่ก็ต้องถามว่าราคาหุ้นตอนนี้คุ้มการลงทุนไหม
ทางผมกำลังซื้อคืนที่ short ไปอยู่ แย่จริงๆที่ไม่เคยซื้อได้ถูกกว่า 33.5 เลย -_-'
เมื่อ: 2005-09-19T00:50:37+00:00
tt: ผมว่าอีก 5 ปี ก็จะมีคนถามคำถามนี้เหมือนเดิม
และคำตอบก็เหมือนเดิม
เมื่อ: 2005-09-19T04:04:15+00:00
hoho: เปลี่ยนไปกินขวดแดงๆครับ รสทับทิม
เมื่อ: 2005-09-19T04:49:23+00:00
v_sukit: ไม่ดื่มชาเขียว ไม่ว่า อดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต
เมื่อ: 2005-09-19T05:54:17+00:00
Oh+: เมื่อก่อนกิน oishi รสข้าวญี่ปุ่น แต่หลัง ๆ มา ทำไมรู้สึกไม่ค่อยหอมเหมือกก่อนไม่รู้เลยไม่ค่อยได้กินแล้วครับ เริ่มมากินน้ำองุ่นแทน เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ดี :D
เมื่อ: 2005-09-19T06:57:56+00:00
tummeng: เจอข่าวล่าสุดครับ
โออิชิเปิดตัว พันธมิตรญี่ปุ่น ลุยตลาดตปท.
โพสต์ทูเดย์ โออิชิ ได้เฮ พันธมิตรญี่ปุ่นเตรียมโอ.เค. ในไตรมาส 4 นี้ ช่วยขยายตลาดโออิชิไปยังต่างประเทศและช่วยด้านเทคโนโลยี
น.ส.สุนิสา สุขพันธุ์ถาวร กรรมการ บริษัทโออิชิ กรุ๊ป (OSIHI) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นใกล้เสร็จสิ้นแล้วหลังจากที่บริษัทได้เดินทางไปเจรจาที่ญี่ปุ่นหลายครั้ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปและสามารถประกาศรายชื่อได้ในไตรมาส 4 นี้
ทั้งนี้ การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรรายนี้จะ เสริมธุรกิจของบริษัท โดยจะเข้ามาช่วยเหลือ ในด้านการขยายช่องทางการตลาดของโออิชิไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศในแถบอาเซียน ทำให้ช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น และจะนำความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี (โนว์ฮาว) มา สนับสนุนงานของโออิชิ ซึ่งจะช่วยให้ระบบการจัดการของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นเครื่องดื่มแทนน้ำโดยมีรสชาติคล้ายกับเครื่องดื่มเกลือแร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้ามาสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเช่นเดียวกับที่ประสบผลสำเร็จในต่างประเทศมาแล้วก่อนหน้า
ขณะนี้นายตัน ภาสกรนที ประธาน กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ ได้เดินทางไปร่วมงานเครื่องดื่มระดับโลก ที่ประเทศเยอรมนี คาดว่าจะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เกี่ยวกับธุรกิจเครื่องดื่ม พร้อมทั้งอาจจะนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาภายในประเทศอีกด้วย
ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากยอดขายในทั้งปีประมาณ 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากชาเขียว 3.5 พันล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1.5 พันล้านบาท ส่วนแผนการตลาดในปี 2549 บริษัทจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านขวดต่อเดือน ส่งผลให้ปีหน้ามีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 45 ล้านขวดต่อเดือน จาก 30 ล้านขวดต่อเดือนในปัจจุบัน และชนิดกล่องมีกำลังผลิต 20 ล้านกล่องต่อเดือน รวมทั้งมีแผนจะจำหน่ายสินค้าชาเขียวไปยังต่างประเทศในอีก 1-2 ปีข้างหน้า หลังขยายกำลังผลิตเพียงพอสำหรับตลาดในประเทศ ทั้งนี้คาดว่าจะส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเซีย เกาหลี และลาว เป็นต้น
เมื่อ: 2005-09-19T07:31:09+00:00
Tongue: ไม่ค่อยแล้วครับ รสชาข้าวญี่ปุ่น ไม่อร่อยเหมือนก่อน
เมื่อ: 2005-09-19T08:34:22+00:00
adi: ยังกินอยู่ครับ แต่น้อยลง
เมื่อ: 2005-09-19T09:47:25+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Accidental Hero: ถ้ายังซื้ออยู่ ซื้อเท่าๆเดิม หรือมากขึ้น หรือน้อยลง
อยากรู้กระแสครับ
เมื่อ: 2005-09-16T10:21:06+00:00
booklover: ตอนนี้ที่เห็นคือนักศึกษา ABACเลิกกินเกือบ100% ครับ
คนรอบๆตัวกินน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อ: 2005-09-16T10:37:47+00:00
naris: กินOISHIน้อยลง50%ครับ
ยอดขายที่ร้านผมก็ตกประมาณนั้นเหมือนกัน
เมื่อ: 2005-09-16T11:51:11+00:00
chatchai: ดื่มน้อยลงครับ เพราะรู้สึกว่าดื่มแล้วฟันเป็นคราบนะครับ
เมื่อ: 2005-09-16T14:49:50+00:00
miracle: น้อยลงแบบเห็น
หลังจากหมดPromotion
งานนี้ดีไม่ดี ถามแม่ค้าตามตลาดนัดได้
ใกล้ตัวอีกต่างหาก
เมื่อ: 2005-09-16T16:28:16+00:00
Biere: เมื่อก่อนทุกวันครับ ตอนนี้รู้สึกดื่มแล้วเงินเหลือน้อย เลยต้องลดครับ
เมื่อ: 2005-09-17T06:42:37+00:00
MO101: ไม่ได้กินเลยครับ
ตอนนี้กินชามะนาวแล้วครับ
เมื่อ: 2005-09-17T07:17:05+00:00
TanTai: ผมเลิกดื่มแล้วครับ
เมื่อ: 2005-09-17T07:19:15+00:00
Skid: ที่บ้าน ชงชากินเอง ทุกวัน กานึงไม่ถึง 5 บาท
แพงเกิน ความสามารถ ที่จะซื้อมากินได้
แต่คนทำความสะอาดบ้านหวังรวย ตะก่อนซื้อกินทุกวัน เดี๋ยวนี้ไม่ซื้อแล้ว
ซื้อเพราะรางวัล แต่ไม่ใช่คุณค่า หรืออยากกิน
ฟังจากวิทยุว่า คุณตัน จะไม่ทำโปรโมชั่น บ่อยเกินไป
เมื่อ: 2005-09-17T07:42:21+00:00
nanchan: วันก่อนดื่มชาเขียวยี่ห้อหนึ่ง(หลังจากไม่ได้ดื่มมานาน) ไม่ใช่oishiนะ
รู้สึกจะอ้วกยังไงไม่รู้
เมื่อ: 2005-09-17T09:38:47+00:00
กล้วยทอด: เอาตามที่เห็นในบริษัท เหมือนคนตื่นจากพะวังแล้วค่ะ
ไม่ถึงกับจะขย้อนนะคะ แต่ไม่ hot เหมือนแล้วค่ะ
เมื่อ: 2005-09-17T09:57:37+00:00
mustang: ไม่ได้กินแล้วเหมอืนกันนะครับ ดื่มนำผลไม้ดีกว่านะครับ
เมื่อ: 2005-09-17T10:15:06+00:00
harry: แต่ร้านอาหารญี่ปุ่นเค้า ผมยังเห็นคนเข้าเยอะนะ
oishi ไม่ได้มีแต่ชาเขียวนะครับ
เมื่อ: 2005-09-17T10:39:56+00:00
hot: ไม่รู้ราเมนที่ใส่ลำใยรสเป็นไง
เมื่อ: 2005-09-17T10:44:45+00:00
Dech: หลายคนใน office ยังกินอยู่ครับ บอกว่าติด
แต่หลายคนก็ลองไปกินยี่ห้ออื่นๆ แบบว่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมื่อกี้ก็ไปชิมของ tesco มา รสข้าวญี่ปุ่น อร่อยดีเหมือนกัน
แต่ก็ไม่ซื้อเหมือนยี้ห้อ อื่นๆ ส่วนใหญ่ผมดื่มน้ำผลไม้ หรือไม่ก็น้ำผัก ของ tisco
เด๊ยวต้องไปซื้อมาเก็บไว้ดูเล่นสักร้อยหุ้น ให้รู้สึกว่าเป็นเจ้าของหน่อย
เมื่อ: 2005-09-17T15:34:07+00:00
harry: hot เขียน:ไม่รู้ราเมนที่ใส่ลำใยรสเป็นไง
ที่ได้ลองกิน มันเป็นข้าวคัรบ แต่ราเมน ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า
รสชาติก็ใช้ได้ครับ แปลกๆดี
เมื่อ: 2005-09-17T15:41:03+00:00
Viewtiful Investor: ขืนยังกินกันทุกๆวันทุกๆคน ต้องมีคนตายเพราะชาเขียวแน่ครับ สุดท้าย Profit Margin ก็ต้องลดตามคาด แต่ก็ต้องถามว่าราคาหุ้นตอนนี้คุ้มการลงทุนไหม
ทางผมกำลังซื้อคืนที่ short ไปอยู่ แย่จริงๆที่ไม่เคยซื้อได้ถูกกว่า 33.5 เลย -_-'
เมื่อ: 2005-09-19T00:50:37+00:00
tt: ผมว่าอีก 5 ปี ก็จะมีคนถามคำถามนี้เหมือนเดิม
และคำตอบก็เหมือนเดิม
เมื่อ: 2005-09-19T04:04:15+00:00
hoho: เปลี่ยนไปกินขวดแดงๆครับ รสทับทิม
เมื่อ: 2005-09-19T04:49:23+00:00
v_sukit: ไม่ดื่มชาเขียว ไม่ว่า อดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต
เมื่อ: 2005-09-19T05:54:17+00:00
Oh+: เมื่อก่อนกิน oishi รสข้าวญี่ปุ่น แต่หลัง ๆ มา ทำไมรู้สึกไม่ค่อยหอมเหมือกก่อนไม่รู้เลยไม่ค่อยได้กินแล้วครับ เริ่มมากินน้ำองุ่นแทน เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ดี :D
เมื่อ: 2005-09-19T06:57:56+00:00
tummeng: เจอข่าวล่าสุดครับ
โออิชิเปิดตัว พันธมิตรญี่ปุ่น ลุยตลาดตปท.
โพสต์ทูเดย์ โออิชิ ได้เฮ พันธมิตรญี่ปุ่นเตรียมโอ.เค. ในไตรมาส 4 นี้ ช่วยขยายตลาดโออิชิไปยังต่างประเทศและช่วยด้านเทคโนโลยี
น.ส.สุนิสา สุขพันธุ์ถาวร กรรมการ บริษัทโออิชิ กรุ๊ป (OSIHI) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นใกล้เสร็จสิ้นแล้วหลังจากที่บริษัทได้เดินทางไปเจรจาที่ญี่ปุ่นหลายครั้ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปและสามารถประกาศรายชื่อได้ในไตรมาส 4 นี้
ทั้งนี้ การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรรายนี้จะ เสริมธุรกิจของบริษัท โดยจะเข้ามาช่วยเหลือ ในด้านการขยายช่องทางการตลาดของโออิชิไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศในแถบอาเซียน ทำให้ช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น และจะนำความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี (โนว์ฮาว) มา สนับสนุนงานของโออิชิ ซึ่งจะช่วยให้ระบบการจัดการของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นเครื่องดื่มแทนน้ำโดยมีรสชาติคล้ายกับเครื่องดื่มเกลือแร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้ามาสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเช่นเดียวกับที่ประสบผลสำเร็จในต่างประเทศมาแล้วก่อนหน้า
ขณะนี้นายตัน ภาสกรนที ประธาน กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ ได้เดินทางไปร่วมงานเครื่องดื่มระดับโลก ที่ประเทศเยอรมนี คาดว่าจะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เกี่ยวกับธุรกิจเครื่องดื่ม พร้อมทั้งอาจจะนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาภายในประเทศอีกด้วย
ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากยอดขายในทั้งปีประมาณ 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากชาเขียว 3.5 พันล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1.5 พันล้านบาท ส่วนแผนการตลาดในปี 2549 บริษัทจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านขวดต่อเดือน ส่งผลให้ปีหน้ามีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 45 ล้านขวดต่อเดือน จาก 30 ล้านขวดต่อเดือนในปัจจุบัน และชนิดกล่องมีกำลังผลิต 20 ล้านกล่องต่อเดือน รวมทั้งมีแผนจะจำหน่ายสินค้าชาเขียวไปยังต่างประเทศในอีก 1-2 ปีข้างหน้า หลังขยายกำลังผลิตเพียงพอสำหรับตลาดในประเทศ ทั้งนี้คาดว่าจะส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเซีย เกาหลี และลาว เป็นต้น
เมื่อ: 2005-09-19T07:31:09+00:00
Tongue: ไม่ค่อยแล้วครับ รสชาข้าวญี่ปุ่น ไม่อร่อยเหมือนก่อน
เมื่อ: 2005-09-19T08:34:22+00:00
adi: ยังกินอยู่ครับ แต่น้อยลง
เมื่อ: 2005-09-19T09:47:25+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน (2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
Thai VI Article: โค้ด: เลือกทั้งหมดครั้งที่แล้วผมเกริ่นถึงอดีตเมื่อกว่า 10 ปีมาแล้ว ที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนนั้น มีความใกล้ชิดกลมเกลียวกันอย่างมากจนมีการบัญญัติคำศัพท์ใหม่เพื่อสะท้อนความใกล้ชิดดังกล่าวคือคำว่า Chimerica ซึ่งแปลในเชิงปฏิบัติว่า จีนขายสินค้าให้สหรัฐจนสหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนปีละหลายแสนล้านเหรียญ แต่จีนก็นำเอาเงินที่ได้มาจากการขายสินค้าให้กับสหรัฐมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้ดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐลดลง และผันเงินดอลลาร์กลับไปให้สหรัฐสามารถใช้จ่ายเกินตัวต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เป็นที่ทราบทั่วกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้มองว่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐมีสาเหตุมาจากการใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐ แต่ทรัมป์เชื่อว่าการขาดดุลการค้าแปลว่าสหรัฐกำลังถูกประเทศคู่ค้าเอาเปรียบ จึงต้องข่มขู่และแก้ปัญหาโดยการขึ้นภาษีศุลกากร ซึ่งรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะไม่ขอพูดถึงเพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้แพร่หลายอยู่มากมายแล้ว ประเด็นของผมคือข้อเรียกร้องของทรัมป์ให้ลดการขาดดุลการค้านั้นมีเหตุผลหรือไม่ และจีนจะยอมรับได้หรือไม่ คำตอบคือไม่มีเหตุผลที่จะไปโทษจีนเป็นหลัก แต่หากผมเป็นประเทศจีน ผมก็จะพร้อมที่จะลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐให้เหลือศูนย์โดยเร็ว กล่าวคือหากการลดการขาดดุลการค้ากับจีนเป็นจุดมุ่งหมายหลักของสหรัฐเพื่อการปรับความสัมพันธ์กับจีนให้ไปสู่สภาวะปกติ ผมเชื่อว่าจีนจะร่วมมืออย่างแข็งขันและเร่งลดการเกินดุลกาค้าอย่างต่อเนื่องด้วยความจริงใจ
เหตุผลหลักๆ คือเศรษฐกิจจีนพัฒนามามากแล้วจนไม่ต้องพึ่งพาการส่งออกมากเช่นอดีต กล่าวคือ ปัจจุบันการส่งออกโดยรวมนั้นมีสัดส่วนประมาณ 12% ของจีดีพี และส่วนที่ส่งออกไปสหรัฐนั้นมีสัดส่วนประมาณ 4% ของจีดีพี ซึ่งหากการค้าเกินดุลกับสหรัฐเป็นปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ก็น่าจะเชื่อได้ว่าจีนจะพยายามลดทอนการค้ากับสหรัฐเพื่อปลดเปลื้องประเทศจากปัญหาดังกล่าวนี้กับสหรัฐอย่างถาวร แต่คงจะต้องใช้เวลาในระดับหนึ่ง ประเทศจีนเองก็ต้องการขยายการบริโภคภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น เพราะจะเป็นการช่วยให้ประชาชนจีนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น การผลิตสินค้าราคาถูกให้ประชาชนสหรัฐโดยแลกกับกระดาษ (เงินดอลลาร์) นั้นดูน่าจะไม่จำเป็นมากนักสำหรับจีนที่มีทุนสำรองถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้นปัจจุบันการบริโภคของจีนมีสัดส่วนต่ำมากเมื่อเทียบกับจีดีพีคือเพียง 38% ทั้งนี้การบริโภคนั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-55% ของจีดีพี ในกรณีของประเทศไทยและ 70% ในกรณีของประเทศสหรัฐฯ
แต่ข้อเรียกร้องของสหรัฐมิได้มีแต่เรื่องของการขาดดุลการค้า ตรงกันข้ามผมเชื่อว่านักวิเคราะห์สหรัฐทุกคนก็รู้ดีว่าแม้ทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีนทั้งหมดในอัตรา 25% 30% หรือ 40% สหรัฐก็จะยังขาดดุลการค้า อาจจะไม่ขาดดุลการค้ากับจีน แต่จะขาดดุลการค้าโดยรวม และอาจจะขาดดุลการค้ารวมมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะจะต้องนำเข้าสินค้าที่ราคาแพงกว่าสินค้าของจีนจากแหล่งผลิตอื่นๆ กล่าวคือการข่มขู่จะขึ้นภาษีศุลกากรนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ทีมของทรัมป์เชื่อว่าจะมีประสิทธิผลในการบังคับให้จีนทำตามสิ่งที่สหรัฐเรียกร้องจากจีนในเรื่องของการเปิดตลาดการค้าและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามากกว่า
กล่าวคือผมไม่เชื่อว่า การลดการขาดดุลการค้าเป็นเรื่องหลักที่สหรัฐต้องการคาดคั้นจากจีน อันที่จริงแล้วมีรายงานข่าวจาก Wall Street Journal ว่าจีนได้รวบรวมข้อเรียกร้องทั้งหมดของสหรัฐและพบว่ามีรวมทั้งสิ้น 142 ข้อ ซึ่งจีนบอกฝ่ายสหรัฐว่าจีนพร้อมเจรจาด้วยเพื่อลดความขัดแย้งใน 122 ข้อ แต่อีก 20 ข้อนั้นจีนจะไม่ยอมเจรจาด้วย ไม่มีใครทราบว่า 142 ข้อคืออะไรบ้างและ 20 ข้อที่จีนไม่ยอมเจรจานั้นคืออะไรบ้างเช่นกัน แต่ผมประเมินว่าจะสามารถแบ่งแยกทั้ง 142 ข้อเป็น 4 หมวดหมู่ได้ดังนี้
- การกีดกันการเข้าสู่ตลาดของสินค้าทั่วไป (market access)
- การบังคับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (forced technology transfer)
- การจารกรรมเทคโนโลยีทางไซเบอร์ (cyber espionage)
- ยับยั้งยุทธศาตร์ Made in China 2025 ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงที่ให้รัฐบาลจีนสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจจีนพัฒนาเป็นบริษัทชั้นนำในเทคโนโลยีล้ำหน้าใน 10 สาขา เช่น รถขับเอง (autonomous vehicles) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และ 5G เป็นต้น
ผมมีความเห็นว่า 3 ข้อแรกนั้นเป็นเรื่องที่จีนพร้อมเจรจากับสหรัฐ แต่จะต้องใช้เวลายาวนาน ส่วนหนึ่งเพราะจีนต้องการปกป้องผลประโยชน์ระยะสั้นในการปิดกันตลาดสินค้าของตนเองเอาไว้เป็นข้อต่อรองในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถไล่ทันและนำหน้าสหรัฐ แต่ก็คงจะรับรู้ว่าการบังคับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการปล่อยปละละเลยให้มีการจารกรรมเทคโนโลยีนั้น เป็นเรื่องที่สหรัฐสามารถหาพันธมิตรเช่นสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นมาร่วมกดดันจีนได้ นอกจากนั้นพฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้จีนไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการสนับสนุนระบบการค้า/การลงทุนเสรี และจะไม่สามารถอ้างตัวว่าเป็นผู้นำในระบบเศรษฐกิจพหุภาคีเปิดที่เน้นการมีกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานที่เที่ยงธรรมได้
แต่หมวดที่ 4 เรื่อง Made in China 2025 นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงน่าจะไม่สามารถตอบสนองท่าทีของสหรัฐได้เลยครับ[/size]
เมื่อ: 2018-12-11T12:43:44+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
นอกจาก PL แล้ว..
harry: ท่านอื่นดูหุ้นลีสซิ่งไว้บ้างหรือไม่ครับ
เมื่อ: 2005-01-21T07:12:02+00:00
Dech: ไม่ได้ดูหุ้นกลุ่มนี้ไว้เลยครับ
เมื่อ: 2005-01-22T15:53:19+00:00
Dech: ดูอยู่ครับ
เมื่อ: 2005-01-22T15:59:41+00:00
วัวแดง: เคยดู ecl ตอน 2 กว่าๆ แต่ไม่ได้ซื้อ
ตอนนั้นนักวิเคาะบอกให้ขาย
ตอนนี้ 6.1 บอกให้ซื้อ :lol:
ทำไม ไม่ให้ซื้อ ตอน 2บาทกว่า แล้วให้ขายตอนนี้ละ งง :lol: :lol: :lol:
ผิดประจำ แต่มีข้อแก้ตัวอยู่เรื่อยๆๆ
เมื่อ: 2005-01-22T16:01:37+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
SHORT!
pock: สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆทุกท่านครับ
ตอนนี้ผมกำลังศึกษาอยู่ระดับอุดมศึกษา กำลังศึกษาการลงทุนอยู่
ผมได้อ่านหนังสือของท่าน ดร.นิเวศน์ เล่ม ตีแตก ครับ มีบทนึงกล่าวถึง
นายจอร์จ โซรอส เข้ามา short sell ค่าเงินบาทไทย เมื่อคราววิกฤตื ต้มยำกุ้งครับ
แต่ยังไม่สู้เข้าใจดีเท่าไรครับ
อยากทราบว่า short ความหมายของคืออะไร และมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ขอบคุณครับผม
เมื่อ: 2011-06-29T08:50:45+00:00
navapon: มันคือ option หรือเปล่าครับ น่าจะเป็นอนุพันธ์อย่างหนึ่ง
เลือกแทงขาลง ถ้าแทงถูกก็ได้สตางค์ สุดท้ายเขาทำได้
โซรอสเขาเป็นนักเก็งกำไรนะครับ แต่เขาเก่งมากๆ ผมว่าเราเลือกสาย VI ดีกว่า
เมื่อ: 2011-07-01T05:21:30+00:00
Belffet: สมัยนั้นประเทศไทยใช้นโยบายว่าทุกๆ 1 บาทไทยจะต้องมีเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐหนุนหลัง เพื่อให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ
ในสมัยนั้น ธุรกิจไทยนิยมที่จะกู้เงินจากต่างประเทศเป็นในรูป เงินเยน หรือ ดอลล่าร์ แต่เมื่อกู้มาแล้วก็ต้องมาแลกเป็นเงินบาท เพราะเวลาลงทุนในไทยย่อมต้องใช้เงินบาทเป็นสำคัญ เงินบาทจึงเป็นที่ต้องการมาก
เมื่อเงินบาทเป็นที่ต้องการมากขึ้น ราคาค่างวดของมันย่อมต้องสูงขึ้น ค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มที่จะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเพื่อเสถียรภาพของเงินบาท (ไม่แข็ง ไม่อ่อน) ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องพิมพ์เงินบาทออกมาขายมากขึ้น แล้วก็ซื้อเงินตราต่างประเทศมาหนุนหลังเป็นหลักประกันไว้
เศรษฐกิจที่รุ่งเรืองในยุคนั้นดำเนินไปด้วยดีในช่วงหนึ่ง ธุรกิจเติบโต ค่าจ้างสูงขึ้น ผู้คนมีอำนาจการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกันก็เริ่มมีการนำเข้ามากขึ้นเพื่อตอบสนองอำนาจการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าจ้างที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น การส่งออกของไทยจึงค่อยๆชะลอตัวลง ต่างประเทศจึงเริ่มปล่อยกู้ยากขึ้น เงินทุนจากต่างประเทศจึงเริ่มขาดมือ
ถึงตรงนี้กาลเริ่มกลับตาลปัตร ต่างประเทศเริ่มไม่ค่อยต้องการเงินบาทไทยแล้วในตอนนี้ แต่ประเทศไทยยังคงต้องการเงินตราต่างประเทศเพื่อเอาไปชำระค่าสินค้าที่นำเข้าเข้ามา เงินบาทความจริงจึงควรอ่อนตัวลง แต่เพื่อเสถียรภาพของเงินบาท ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องเอาเงินตราต่างประเทศที่สำรองไว้อยู่ไปแลกเป็นเงินบาทเพื่อพยุงค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนไปกว่านี้
ประเทศไทยพิมพ์เงินบาทได้ แต่พิมพ์เงินตราต่างประเทศไม่ได้ นั่นหมายความว่า ไม่ช้าก็เร็ว เงินทุนสำรองของไทยก็จะหมดไปเพราะต้องพยายามเอามาแลกเป็นเงินบาทหมดเพื่อพยุงค่าเงินบาทไว้
นักเก็งกำไรที่เริ่มคาดการณ์สถานการณ์ตรงนี้ออกจึงใช้วิธี "กู้เงินบาทมาแลกเป็นเงินดอลล่าร์" ซึ่งก็คือการขาย (Short) เงินบาทไปซื้อเงินสกุลอื่นๆ ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อยากให้เงินบาทขาดเสถียรภาพก็ต้องซื้อเงินบาทที่พวกนักเก็งกำไรเอาออกมาเร่ขายให้ได้ตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเงินตราต่างประเทศที่มีอยู่ก็ยิ่งหมดลงเร็วกว่าเดิม
ในที่สุดเมื่อประเทศไทยสายป่านขาด สุดท้ายจึงยอมแพ้ ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท นักเก็งกำไรก็เอาเงินตราต่างประเทศทั้งหลายแหล่ที่ตัวเองกู้เงินบาทไปแลกไว้มาแลกคืนในราคาที่สูงกว่าเดิมเกือบเท่าตัว
โซรอสกู้เงินไทยประมาณ 25 บาท ไปขาย (Short) แลกเป็น 1 ดอลล่าร์เพราะไม่เชื่อน้ำยารัฐบาลไทยว่าจะมีสายป่านยาวพอที่จะพยุงค่าเงินบาทได้ตลอดรอดฝั่ง สุดท้ายเมื่อไทยยกธงขาวยอมแพ้จริงๆ โซรอสก็เอาเงิน 1 ดอลล่าร์กลับมาแลกเป็นเงินบาทได้ 40-50 บาท จากนั้นกันเงิน 25 บาทบวกดอกเบี้ยไปจ่ายหนี้ที่กู้มา ส่วนที่เหลือก็คือผลประโยชน์ที่เขาได้กลับไป
เรื่องก็เป็นประการฉะนี้เอง
เมื่อ: 2011-07-05T08:26:28+00:00
pock: ขอบคุณพี่พี่ทั้งสองคนมากครับ
แล้วถ้าการชอร์ตเซลส์ในกรณีของการซื้อขายหลักทรัพย์
ผมเข้าใจว่ามักจะทำในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง
โดยการยืมหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์
มาขายเพื่อทำให้ราคาลงไปอีก
ผู้ที่กระทำจะได้ประโยชน์อย่างไรครับ?
ผมเข้าใจว่า
ผลสุดท้ายคือราคาที่ต่ำใช่หรือเปล่าครับ
แล้วไปช้อนซื้อ เพื่อรอราคากลับขึ้นมาอีกครั้งแล้วนำไปขาย
หรือว่าเป็นการหวังผลในตลาดฟิวเจอร์ส
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2011-07-13T08:31:19+00:00
Muffin: เพื่อให้น้องขยันๆจะได้เก่ง พี่ส่งเสริมให้อ่านครับ
http://www.investopedia.com/university/ ... z1RysNK8W1
การเข้าถือ long position ก็ซื้อเพือหวังการทำกำไรจากการขายในราคาที่สูงกว่าครับ
การเข้าถือ short position ก็คือ การขายก่อน เพื่อหวังทำกำไรจากราคาที่ตำลงครับ
ทั้งนี้ทุก position ถ้า match ก็แปลว่า มีคนเห็นต่างกันสองคน คนนึงมองขึ้น คนนึงมองลงครับ คนนึงรวย คนนึงเจ๊งครับ
หวังว่าช่วยได้บ้าง อ่านเยอะๆนะครบั จะได้เก่งๆ
เมื่อ: 2011-07-13T10:47:01+00:00
pock: Muffin เขียน:เพื่อให้น้องขยันๆจะได้เก่ง พี่ส่งเสริมให้อ่านครับ
http://www.investopedia.com/university/ ... z1RysNK8W1
การเข้าถือ long position ก็ซื้อเพือหวังการทำกำไรจากการขายในราคาที่สูงกว่าครับ
การเข้าถือ short position ก็คือ การขายก่อน เพื่อหวังทำกำไรจากราคาที่ตำลงครับ
ทั้งนี้ทุก position ถ้า match ก็แปลว่า มีคนเห็นต่างกันสองคน คนนึงมองขึ้น คนนึงมองลงครับ คนนึงรวย คนนึงเจ๊งครับ
หวังว่าช่วยได้บ้าง อ่านเยอะๆนะครบั จะได้เก่งๆ
กระจ่างขึ้นเยอะเลยครับผม
แต่สะดุดตรงคำว่า uptick rules ครับ ในหัวข้อ Short Selling: Why Short?
อันนี้ยังไม่เข้าใจครับ
แล้วถามอีกนิดนึงครับ
คือกำไรมาจากส่วนต่างของราคาขายกับซื้อใช่มั้ยครับ
ผมสงสัยว่า ในเมื่อหลักทรัพย์ในมือผู้ที่ให้ยืม ราคาสูงอยู่แล้ว
แต่ราคาที่คืนให้เนี่ยเป็นราคาที่ต่ำในจำนวนหุ้นเท่าเดิม ถูกมั้ยครับ?
แปลว่ามูลค่าของหลักทรัพย์ ณ ขณะนั้นที่คืนจะน้อยกว่าเมื่อตอนที่ยืม
ทำไมผู้ให้ยืมถึงยอมให้ยืมครับ?
ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2011-07-13T12:42:59+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ถึงคุณ ครรชิต ครับ
yellow: ผมติดตามพี่ครรชิตมานาน และทราบว่าคุณครรชิตมี Database ของหุ้นอยู่ทุกตัว
ผมอยากรบกวนขอข้อมูลย้อนหลังของ EPS (เอาแค่ EPS อย่างเดียวพอครับ)ของหุ้นทุกตัว ตั้งแต่ Q1 - Q4 ของปี 2003 หน่อยสิครับ
ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2004-03-28T08:11:32+00:00
ครรชิต ไพศาล: EPS รายไตรมาส ไม่ได้เก็บครับ
เก็บแต่รายปี ครับ
เฉพาะหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตของผม ที่ผมสนใจจะดู เท่านั้น
ที่ผมไปค้น eps รายไตรมาส มาเก็บไว้ดู
เมื่อ: 2004-03-28T08:32:48+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
การดูมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นดูยังไงคับ
attakorn9: 1.การดูมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นแต่ละตัวควรดูอย่างไรมีวิธีการคำนวณอย่างไร
2.การเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ขั้นต่ำสุดเป็นเงินเท่าไร
ขอบคุณคับ
เมื่อ: 2008-07-16T06:18:00+00:00
cryptonian_man: ข้อหนึ่ง ถามสิบคนก้อได้คำตอบสิบแบบครับ มันแล้วแต่เราอ่ะครับว่าจะเอาอะไรวัด
ข้อสอง ถ้าเป็นโบรคที่ไม่มีขั้นต่ำก้อมี ซีมิโก้กะกิมเอ็งอ่ะครับ ที่ผมพอรู้
เมื่อ: 2008-07-17T14:50:25+00:00
attakorn9: ขอบคุงคับ
เมื่อ: 2008-07-18T01:54:06+00:00
TPH: มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ไม่แน่ใจว่าจะใช้วิธีไหนวัด intrinsic value หรือ relative value และมูลค่าของหุ้นแต่ละคนจะไม่เท่ากันครับ เพราะว่า parameter ที่ใช้จะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจในตัวของบริษัท
กรณีของ intrinsic value ก็จะมีวิธีหาอยู่ 3 แบบ reproduction of assets, earning power value และ DCF
กรณีของ relative value ก็จะมี p/e, p/bv, psr, ev/ebitda เป็นต้นครับ
ทั้งหมดนี้ไล่อ่านในกระทู้ ตะแกรงร่อนของคุณ VIB007 และคลังกระทู้คุณค่า ส่วนหนังสือก็ของคุณสุมาอี้ ดูรายละเอียดในร้อยคนร้อยเล่มครับ
เมื่อ: 2008-07-18T12:12:29+00:00
Stock Broker: เคยเห็นพ่อค้าขายของมั้ยครับ
สมมติตัวเองเป็นพ่อค้า คุณจะนำสินค้ามาขายก็ต่อเมื่อคุณคิดว่าจะมีคนมาซื้อต่อจากคุณในราคาสูงกว่าต้นทุนที่คุณซื้อมาใช่มั้ยครับ
มันก็เรื่องเดียวกันนั่นเอง
เมื่อ: 2008-07-18T16:02:37+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ถามเกี่ยวกับหุ้นธนชาติหน่อยครับ
zoozaarus: คือตอนนี้หาข้อมูลย้อนหลังของ nfs (ปัจจุบันคือ tcap)
ละก็พบว่าช่วงประมาณเดือน กันยายน 2546 มีการ trade หุ้นตัวนี้มากผิดปกติ
volumn สูงมากๆ (จนผิดปกติ)
ไม่ทราบว่าช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ??
:?: :?: :?:
พยายามหาข้อมูลเต็มที่แล้ว แต่ไม่เจอเลย เจอแต่บทวิเคราะห์แค่นั้นเอง ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ ยังไงใครพอจะจำได้ช่วยบอกหน่อยละกันนะครับ
เมื่อ: 2006-07-16T18:33:39+00:00
Ent': ถ้าจะไม่ผิด เป็นช่วง ครึ่งปีหลังของปี 46 ตอนนั้น มีข่าวว่า เสี่ยหมอฟันมาปั่นครับ เล่นข่าวเรื่องขึ้นเป็น bank
เมื่อ: 2006-07-17T04:57:41+00:00
คนเรือ VI: จำได้เลาๆว่า กลุม comlink เข้าเก็บหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยครับ
ตัวนี้ผมว่าปันผลดีนะ
เมื่อ: 2006-07-17T05:35:34+00:00
zoozaarus: อยากทราบรายละเอียดของตอนนั้นมากขึ้นหน่อยครับ
เสี่อหมอฟันนี่ใครครับ (เข้าใจว่าเป็นเซียนหุ้นท่านนึงที่เคยเป็นหมอฟันป่ะคับ)
ละก็ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น เค้าถึงสนใจมาปั่นหุ้นนี้กันครับ
รอฟังอยู่นะครับ ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2006-07-17T06:56:58+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ไม่เข้าใจ ดัชนีขึ้นมากขนาดนี้ หุ้นพื้นฐานดีๆ อนาคตดีๆไม่ขึ้น
Croyoty: โลกไม่ยุติธรรมเลย สรุปการลงทุนให้ได้มากเกาะกระแสฟันโฟวดีกว่า
การดื้อด้านจะเป็น VIๆๆ ถือตัวพื้นฐานดีอนาคตใช้ได้ ตัวเล็ก ฝรั่งไม่รู้จักไม่ซื้อ
รายย่อยนักเก็งกำไร เดย์เทรด ก็ไปเล่นตัวใหญ่หมด
แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเล่า ที่มัวแต่บ้าบอถือแต่ตัวเล็กพื้นฐานดีหรืออนาคตดี แล้วสุดท้าย ไม่ได้อะไรเลยทั้งๆที่ทั้งตลาดเค้าโห่ร้องดีใจ กำไรกันมากมหาศาลแบบนี้
เลยได้แนวคิดว่า ถือยาว VI เน้นคุณค่า เป็นหลุมพรางรึเปล่า?
สับสนไปหมดแล้ว เมื่อก่อนเล่นสั้นมากๆๆๆ ก็ขาดทุน พอเปลี่ยนถือยาวคัสรรแต่ละตัว ก็ดันไม่มีฟันโฟวล์แต่ก็ไม่ขึ้นเลย ไม่สนใจตามตลาดเลย
เครียดจริงๆครับ
เมื่อ: 2010-10-13T17:38:01+00:00
zesar: ทุ่มเทและศึกษาเพิ่มเท่านั้นที่จะช่วยคุณได้ :8)
เมื่อ: 2010-10-13T17:41:07+00:00
winzer: ผมคิดว่าสักวันราคาจะตอบรับพื้นฐานของกิจการครับ
ไม่ทราบว่าพี่คาดหวังผลตอบแทนที่กี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีหรอครับ??
เมื่อ: 2010-10-13T17:44:13+00:00
MO101: คุณกำัลังโดนวิชา จุดไฟล่อแมงเม่าอยู่
ลองดูพวก DW เวลาจุดไฟล่อแมงเม่านี่ขึ้นได้ขึ้นดี อดทนอีกนิดไปแล้วไปดูตอนจบเอาอีก 3-4 เดือนข้างหน้าได้เลยครับ
เมื่อ: 2010-10-13T17:45:46+00:00
ถุงเงินเก่า: คุณคาดหวังกำไรจากราคาตลาดหรือมูลค่าของกิจการน่ะครับ
หรืออาจวิเคราะห์ผิด เนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ
หรืออีกอย่างคือยังไม่ถึงรอบน่ะครับ
เมื่อ: 2010-10-13T18:11:16+00:00
KriangL: ในพอร์ตผมมีทั้งหุ้นตัวเล็กกับหุ้นตัวใหญ่ที่เป็นหุ้นเติบโตครับ เลยพอเกาะ fund flow ได้บ้าง ตัวใหญ่กำไรอาจโตแค่ 10% ต่อปีแต่ชดเชยด้วย P/E ที่ตลาดให้สูงกว่า
เมื่อ: 2010-10-13T18:15:27+00:00
reiter: คุณหมอลองแบ่งพอร์ตลงทุนทั้งสองแบบสิครับ
สมัยแรกๆผมก้เคยเป็นเทคนิคอลมาก่อน ต่อมาศึกษาแนวแวลู ก็ยังไม่แน่ใจว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่า
ผมก็เลยทดลองแบ่งพอร์ตเป็นสองส่วน เท่าๆกัน
ส่วนแรกผมก็ลงทุนด้วยการดูเทคนิคอล และฟันด์โฟลว์ตามที่ผมเคยทำ
ส่วนที่สอง ผมลงทุนด้วยแนวคิดแบบแวลูล้วนๆ
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปี ผมก็มาประเมินผลงานว่า ผมทำกำไรจากพอร์ตส่วนไหนได้ดีกว่ากัน... ซึ่งในที่สุดผมก็หาแนวทางของตัวเองเจอครับ ( ทั้งในแง่ผลตอบแทน และความสุขจากการลงทุนครับ )
เมื่อ: 2010-10-13T18:19:18+00:00
woody: [quote="croyoty"]โลกไม่ยุติธรรมเลย สรุปการลงทุนให้ได้มากเกาะกระแสฟันโฟวดีกว่า
การดื้อด้านจะเป็น VIๆๆ ถือตัวพื้นฐานดีอนาคตใช้ได้ ตัวเล็ก ฝรั่งไม่รู้จักไม่ซื้อ
รายย่อยนักเก็งกำไร เดย์เทรด ก็ไปเล่นตัวใหญ่หมด
แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเล่า ที่มัวแต่บ้าบอถือแต่ตัวเล็กพื้นฐานดีหรืออนาคตดี
เมื่อ: 2010-10-14T02:12:07+00:00
newbie_12: กิจการที่หมอคิดว่าดี จริงๆแล้วมันไม่ได้ดีจริงอย่างที่คิดหรือเปล่าครับ หุ้นตัวเล็กๆ บางทีก็อาจจะดีประเดี๋ยวประด๋าว ลองอ่านบทความของ ดร นิเวศน์เรื่องของ "หุ้นนางฟ้า" ดู ซึ่งตลาดมีประสบการณ์ไม่ดีกับหุ้นตัวเล็กๆ ดีในช่วงสั้นๆ ไม่มีศักยภาพในการแข่งขันอย่างยั่งยืน หุ้นพวกนี้ตลาดไม่ได้ให้พรีเมียมมากเท่าไหร่นะครับ ยกเว้นว่ามันจะถูกแบบบ้ามาก fwd pe = 2-3 เท่าในปีถัดไป
ลองขยับแนวซักนิด จากหุ้นงั้นๆ ราคาถูก มาเป็นหุ้นคุณภาพดี ราคาคุ้มค่าแก่การลงทุน น่าจะได้ return ดีขึ้นครับ
เมื่อ: 2010-10-14T02:19:13+00:00
ต.หยวนเปียว: ทัศนคติแบบนักเก็งกำไร มาเป็นวีไอมันทรมานนะครับ :lol:
เมื่อ: 2010-10-14T02:23:33+00:00
tae30866: หมายถึงหุ้นหนังป่าวคับ
ขึ้นๆลงๆ
เมื่อ: 2010-10-14T02:48:19+00:00
reiter: อีกอย่างนะครับคุณหมอ.... สวนบ้านคนอื่นมักจะเขียวกว่าบ้านของเราเสมอ
ปํญหานี้แก้ได้ไม่ยากครับ ขอแค่คุณหมอมีมุทิตาจิต
เมื่อ: 2010-10-14T02:52:35+00:00
wanidaja: โห คำตอบคุณ reiter กินใจมั่ก เห็นด้วย อย่าเปรียบเทียบกะคนอื่น เราก็เป็นสุขใจกับสิ่งที่มีที่เห็น ของจริง ต้องรอดูขาลง
เมื่อ: 2010-10-14T02:55:56+00:00
คนอุดร: ผมรู้นะครับว่าคุณหมอหมายถึงหุ้นตัวไหน ผมก็ไม่ต่างกันใจเย็นๆครับเก็บไว้เฮทีหลัง :lol:
เมื่อ: 2010-10-14T03:05:50+00:00
rakoilnaka: หุ้นพื้นฐานดีที่ว่าคืออะไรอ่าคับ..ผมสนใจหุ้นที่ยังไม่ขึ้นมากเรยนะ :lol:
เมื่อ: 2010-10-14T03:07:19+00:00
Green: ใจเย็นๆ ครับ เข้าใจว่าคุณ Croyoty จะเน้นหุ้นตัวเล็กๆ บางทีมันต้องรอผลประกอบการณ์มันเป็นตัวกระตุ้นพาราคาไปก่อน เพราะคนไม่รู้จัก ดูแล้วไม่ไว้ใจ อะไรต่างๆ นานา
ถ้า ผลงานมันออกมา ดี โตเยอะๆ ทุกๆ ไตรมาส แล้วราคาไม่จะไม่ขึ้นได้ไงครับ
ยกตัวอย่าง SNC UMS UEC KIAT PTL KYE พวกนี้จะมีช่วงเวลา หนึ่งที่แรกๆ คนก็ไม่เคยสนใจ ราคาถูกๆ มานาน บางตัวหลายปีเลยครับ ผลงานมันดีขึ้น ดีขึ้น โตเรื่อย แต่พออยู่ๆ มาวันนึงคนก็เฮโลกันคึกคัก ไล่ซื้อกันจะเป็นจะตาย ดูว่าอนาคตช่างดีไปหมดเลย ( งง เลย ) ราคาก็วิ่งสูงเป็นเท่าๆ (บางตัวหลายเท่า) ในเวลาอันสั้น ผู้ถือหุ้นช่วงก่อนหน้า ตอนที่ราคาถูกๆ ก็กำไรหน้าบานทั่วหน้า แต่พวกนี้ ถ้ากำไรไม่ยั่งยืน จากความคาดหวังสูงๆ คนก็ผิดหวังเทขาย ราคาร่วงอย่างรวดเร็ว อย่างน่าตกใจ ........
มันขึ้นอยู่กับว่า มองได้ถูกต้องหรือป่าว ถ้าเรามองถูกแล้วทำให้เราซื้อราคาต่ำ และมันดีขึ้นเรื่อยๆ จริง ขาดทุนยากครับ...มันจะขาดทุนเพราะเรามองมันผิดต่างหาก
เมื่อ: 2010-10-14T03:09:54+00:00
เกล้า: ผมว่าบางทีเราถามตัวเราเองก่อนนะครับเราลงทุนแบบไหนเราถึงมีความสุขในแบบของเรา..เราตอบได้แบบว่าถ้าเราไม่หลอกตัวเอง..และยึดหลักบนแนวการลงทุนที่ถูกต้องแล้วผมว่าคำตอบอื่นๆมันก็เริ่มน่าจะตามมานะครับ(อันนี้ขอออกความคิดแบบเด็กๆนะครับ) :D :D
เมื่อ: 2010-10-14T03:15:21+00:00
คลายเครียด: [quote="ต.หยวนเปียว"]ทัศนคติแบบนักเก็งกำไร มาเป็นวีไอมันทรมานนะครับ
เมื่อ: 2010-10-14T03:19:43+00:00
wj: มีคนข้างๆบอกผมว่า หุ้นดีๆขึ้นหมดแล้วเหลือแต่หุ้นไม่ดี
เมื่อ: 2010-10-14T03:26:52+00:00
aviruth: ใจเย็นเย็นครับ ถ้าคิดจะปรับพอร์ตตอนนี้ ก็จะกลายเป็นว่าไปเข้าหุ้นแพงๆทั้งนั้น ผมว่าพอมันถึงพันจุดแล้วใครจะซื้ออีกคงมีแต่คนขายใครที่เข้าที่หลังก็จะขาดทุน พอหุ้นตก ส่วนใหญ่หุ้น vi ที่เรามีอยู่มันไม่ค่อยตกมากหรอก เพราะมันถูกอยู่แล้ว กลายเป็นว่าขายตัวถูกไปซื้อตัวแพง แล้วก็ขาดทุน หุ้น vi ไม่ขึ้นตามตลาดแต่ขึ้นตามผลประกอบการแต่ละไตรมาสต่างหาก เสียดายดีกว่าเสียใจครับ
เมื่อ: 2010-10-14T03:49:18+00:00
JUMP: ตามอ่านมานาน เพราะอยู่ ตปท. เลยไม่ได้ post
ใจเย็นครับ หากวิเคราะห์เรื่อง
ความโดดเด่นของธุรกิจ
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง
และซื้อมาในราคาที่เหมาะสม ตามหลักที่ ดร. แนะนำแล้ว ไม่ต้องกังวลครับ เมื่อเวลามา ราคามาเองครับ ที่สำคัญเราและเงินของเราต้องคอยให้เป็น อย่าลืมครับ "เราลงทุนระยะยาวกับธุรกิจ" ไม่ใช่ลงทุนกับราคาหุ้นนะครับ
เมื่อ: 2010-10-14T03:57:06+00:00
kurapica: [quote="คนอุดร"]ผมรู้นะครับว่าคุณหมอหมายถึงหุ้นตัวไหน ผมก็ไม่ต่างกันใจเย็นๆครับเก็บไว้เฮทีหลัง
เมื่อ: 2010-10-14T04:02:47+00:00
WEB: ถ้าหุ้นมันพื้นฐานดีจริงและราคาต่ำกว่ามูลค่าจริงๆ
ไม่ช้าก็เร็ว หุ้นก็ต้องขึ้นครับ ยังไงก็ตาม ถ้าเราไป
เปรียบเทียบกับตัวอื่น ก็อาจขึ้นน้อยหรือขึ้นช้ากว่าได้
ซึ่งเราควบคุมอะไรไม่ได้ ที่ร้ายจริงๆก็คือ ถ้าเราเผลอคิดผิด
คิดไปเองว่าหุ้นตัวนี้มันถูก การถือหุ้นตัวนี้เอาไว้ก็คงไม่ได้ดีอะไรครับ
เมื่อ: 2010-10-14T04:22:13+00:00
nw108: ผมว่าเจ้าของกระทู้ต้องเลือกหุ้นที่ดีเเละเป็นที่นิยมในกระเเสของตลาด
ด้วยครับ
ผมเคยลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานดีราคาราคาถูกมากๆหลายๆตัวเเต่พบว่า
พอรท์ผมกล้าเป็นฟารม์เลี้ยงเต่า
เลยค่อยๆปรับพอรท์มองดูตัวที่ตลาดนิยม หรือเริ่มจะนิยม เเล้วเอามา
วิเคราะห์ ต่อ เลือกตัวที่ยังมีราคาไม่เเพงมากนัก
ผลตอบเเทนระยะที่ผ่านมา ดีกว่าที่ ฟารม์เต่า เก่าผมมากพอควร
ผมก็ยังไม่เเน่ใจว่าวิธีนี้จริงๆจะถูกต้องหรือไม่ เเต่ก็มาเเชร์ๆความคิดกันครับ
นับถือ
เมื่อ: 2010-10-14T04:22:40+00:00
Warantact: -__-a มันตัวไหนครับพื้นฐานดีแต่ไม่วิ่ง วิเคราะห์ผิดรึเปล่า?
เมื่อ: 2010-10-14T04:27:00+00:00
slalom: ผมว่าถ้าคุณได้ขาดทุนใหญ่สักครั้ง หรือผ่านรอบหุ้นขาขึ้นและขาลงมาสักรอบ คงจะเข้าใจการลงทุนแนวVI ได้ดีขึ้นครับ
สำหรับผมผ่านรอบหุ้นใหญ่มาหนึ่งรอบ กับ วิกฤตแฮมเบอเกอร์ บวกวิกฤตความโลภในใจ ที่ทำให้ขาดทุนมากสุดสุด
ทำให้ผมละทิ้งทุกแนวทางเข้าสู่ เส้นทาง VI ตั้งใจว่าขอโตแบบอยู่เฉยๆปีละ 10-15 %
ทุกวันนี้ ผมยังต้องคอยตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ ว่า ตัวเองไม่เข้าใจในหุ้นที่ถือ หรือว่ามีความโลภเกินกว่าความสามารถของตัวเองหรือเปล่า
เฮียคลายเครียดกล่าวไว้ว่า "เจ้ามือไม่ได้ปั่นราคาหุ้น แต่เขาปั่นความโลภและความกลัวในใจเรา" ครับ
ปีหนึ่งลุ้นหุ้นแค่ 4 วันก็พอนะครับ (วันประกาศงบ)
เมื่อ: 2010-10-14T04:28:58+00:00
Croyoty: ขอบพระคุณในน้ำใจและการเป็นห่วงกันทุกๆท่านครับ สำหรับคำแนะนำต่างๆครับ
เรื่องเครียดผมเครียดน้อยกว่าขาดทุนเดย์เทรดคับ
แต่เสียดายมากๆนี่สิ ยังไม่สามารถสลัดออกไปได้
หรือว่าชะตาชีวิตผมมันถูกกำหนดมาให้เป็นนักเก็งกำไร หรือพวกเดย์เทรด
เวลา คงช่วยหล่อหลอมและให้ประสบการณ์รวมทั้งเพาะบ่ม นักลงทุนจริงๆให้เกิดขึ้นในตลาดเพิ่มสักคนครับ
ขอบพระคุณทุกๆท่านมากครับ :)
เมื่อ: 2010-10-14T04:29:43+00:00
prichar s.: ช่วงนี้ได้อ่านความเห็นและคำแนะนำดี ๆ บ่อยขึ้น
ค่อยรู้สึกว่าเป็นเว็บนักลงทุนขึ้นหน่อย
เป็นนักลงทุนต้องอดทนครับ
................................................
เป็นกำลังใจให้นักลงทุนทุกคน (รวมตัวเองด้วย)
เมื่อ: 2010-10-14T04:40:18+00:00
Nuthor: ตอนนี้ผมก็รู้สึกคล้ายคุณ croyoty เลยครับ เพิ่งเริ่มลงทุนมาไม่นาน เห็นหุ้นตัวอื่นวิ่งเอาวิ่งเอา ตัวที่เราถือยังไม่ไปไหนเท่าไหร่ เสียดายครับ
แต่ผมไม่กล้าขายตัวที่ถืออยู่เพราะไม่รู้จะไปซื้อตัวไหน รู้จักหุ้นอยู่ไม่กี่ตัวครับ ตัวไหนไม่รู้จักก็พาลไม่กล้าเข้าไปซื้อ :oops:
ไม่มีอะไรจะแนะนำครับ เป็นกำลังใจให้แล้วกันนะครับ
เมื่อ: 2010-10-14T04:51:56+00:00
Jazzman: เป็นเหมือนกันคับ
เห็นบางคนกำไรง่ายจริงๆ แต่ตอนนี้เฉยๆ จนเฉื่อยชา
เทคนิคส่วนตัวของผมเอง มักจะคิดว่า หุ้นทุกตัวที่ซื้อ ผมจะต้องสามารถทำใจถือมันให้ได้ 1-2 ปีโดยไม่ขายเลย ฉะนั้นระยะสั้นถ้ามันไม่ขึ้น เลย 3-4 เดือน จิตใจของผมก็ยังสบายๆนะคับ เพราะเราทำใจมา ก่อน ที่จะซื้อหุ้น นั้นแล้ว
การเตรียมใจก่อนซื้อหุ้น น่าจะทำให้เราถือหุ้นได้นานขึ้นนะคับ
ปล. คุณหมอ หุ้นอะไรอะคับคุณหมอ นิ่งเชียว ( แอบถาม ) อิอิ
เมื่อ: 2010-10-14T04:52:41+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
อยากสอบถามความเสี่ยงของห้างสรรพสินค้าครับ
noooon010: สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆทุกท่านครับ
พอดีผมอ่าน Forbes Thailand ฉบับเดือนก่อน พออ่านไปเรื่อยๆก็นึกถึงห้างสมัยผมยังเด็กๆ ตั้งแต่ Siam Jusco, เยาวฮัน , (ไปไหนไป)เมโทร ฯลฯ เมอรี่คิงสะพานควายนี่ แต่ก่อนก็ไปบ่อยพอสมควร (แต่ตอนนั้นยังเรียนมัธยม วิเคราะห์ไม่ค่อยเป็นครับ)
อยากทราบว่า ทำไมห้างเหล่านี้ ถึงไม่ประสบความสำเร็จหรือครับ
แล้วแบบนี้ ห้างที่เค้ามีแผนว่าจะเปิดกันหลายๆที่ หลายๆเจ้า เค้าจะมีความเสี่ยงเหมือนดั่งห้างสมัยก่อนไหมครับ
ห้างแถวบ้านอย่าง ยูเนี่ยนมอล เดิมก็เงียบมากๆ
ผมไม่แน่ใจว่าอะไรคือจุดพลิกผันทำให้ห้างนี้เกิดฮิตขึ้นมาน่ะครับ
เพราะเค้าไปเน้นเสื้อผ้าวัยรุ่น หรืออะไรน่ะครับ
ผมเองไม่แน่ใจเลย
ขออนุญาติสอบถามที่นี่ล่ะกันนะครับ
ขอบคุณมากๆที่ชี้แนะครับ
เมื่อ: 2015-04-20T14:12:22+00:00
CARPENTER: ความสดวก คือ คำตอบ ยิ่งสดวกมากยิ่งดี
ห้างสรรพสินค้าที่มีครบทุกอย่าง เข้าไปที่เดียวมีบริการทุกอย่าง
ร้านอาหาร โรงเรียนกวดวิชา ธนาคาร ประกันภัย ไฟฟ้า โทรศัพท์ ซุปเปอมาเกต
แต่ถ้าใหญ่เกินไป บางทีก็ไม่สดวก เพราะต้องเดินไกล ระหว่าง ที่จอดรถ กับ ธุระกรรมที่ต้องทำ
ตลาดสด และ ร้านขายของและบริการที่เป็นสแตนด์อโลน เช่น คลีนิค หมอฟัน ร้านขายยา
ร้านหนังสือ ร้านเครื่องเขียน จะทยอยเลิกกิจการ
ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า community mall จะขยายไปเรื่อยๆ จนมากกว่าคนใช้บริการ
ตอนนี้ หลายๆที่ก็เริ่มมีอาการแล้ว ที่อยู่ได้ในตอนนี้ ทั้งที่ GDP โตน้อยมาก เพราะกำลัง
แย่งผู้บริโภคมาจาก traditional trade
เมื่อ: 2015-04-20T15:01:13+00:00
คนขายของ: ขอตอบหมอนุ่นดังนี้ครับ ห้างเก่าๆที่หายไปส่วนใหญ่เป็นเพราะ
1) ผ่านวิกฤตปี 2540 มาไม่ไหว เช่น เยาฮัน เมโทร และ สยามจัสโก้ ขนาดโรบินสันยังเกือบไม่รอด เข้าแผนฟื้นฟูไปแล้ว ที่ผ่านมาได้เพราะเซ็นทรัลอัดฉีดเงินเข้าไปอีกครับ
2) เดินหมากผิด ขยายสาขาพลาด การทำสาขาแรกแล้วคนรู้จักดี พอไปเปิดสาขาสอง สาม แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เป็นตัวฉุด ไดมารู ย้ายไปเสรีก็แย่ โตคิวเคยเปิดที่รัชดาก็ต้องเลิกไป
3) ไม่ตอบโจทย์คนไทย และ ไม่มี EOS พอ เช่น Printemps ของฝรั่งเศส Galarie Lafayette ที่มาเปิดที่ เพนนิน ราชดำริ
ห้าง และ Malls ต่างๆที่มาเป็นที่นิยมมากขึ้นในยุคหลังเป็นยุคหลังต้มยำกุ้ง เพราะหลังวิกฤต การเข้ามาของค้าปลีกข้ามชาติอย่าง TESCO, CASINO, CARREFOUR และ TOPS ซึ่งถูก Take Over ไปโดย Royal Ahold ทำให้ คนไทยเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการค้าปลีกเพิ่มมากขึ้น และ ลูกค้าชาวไทยก็เริ่มเปลี่ยนจากการซื้อของจาก Traditional trade มาเป็น modern trade ในอัตราที่สูงขึ้น ทำให้การขยายตัวของห้างและมอลล์เป็นไปด้วยอัตราเร่ง เท่าที่ผมทราบ demand สำหรับพื้นที่ค้าปลีกในไทยยังสูงอยู่ครับ ส่วนหนึ่งเพราะร้านค้าย้ายมาจากตึกแถวขึ้นห้างกันหมด และ demand จากร้านค้าปลีกข้ามชาติที่เข้าคิวกันมาเปิดร้านในไทย ดังนั้นผมคิดว่าธุรกิจห้างยังคงไปได้ แต่ถ้าวันใด developers หันมาสร้างกันเยอะมากจนเกินไป เราก็คงได้เห็นสภาพห้างร้างอย่างที่เมืองจีนกันบ้าง
ส่วนคำถามเรื่อง union mall นั้นผมไม่เคยไปเดินเลยครับ เลยขอไม่ comment ละกัน
เข้ามาตอบคำถามนี้ของหมอนุ่น น้องๆรู้กันหมดเลยว่าเป็นคนยุคไหน...ผมยังทันนะครับ spot โฆษณาที่ว่า.....ไปไหนไปไหน...ไปเมโทร
เมื่อ: 2015-04-23T16:06:45+00:00
miracle: ความเสี่ยงของห้างสรรสินค้า ในความคิดของผมมีดังนี้
1. เรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภค เคยคิดบ้างไหมทำไมเมืองไทย หน้าร้อนคนเดินห้างอย่างหนาแน่น นั้นคือหนีร้อนไปพึ่งเย็น หาแอร์เย็นๆๆ ไม่ต้องเปิดแอร์บ้านนั้นเอง
2. Event ของห้าง จัดถี่ เปลี่ยน theme ไปเรื่อยๆเพื่อดึงดูดประชาชน ถ้าไม่มี Event มันทำให้ห้างไม่มีคนเดินได้
3. ซัพพลายเอออร์ อันนี้ คือ ร้านค้า มีความหลากหลายไหม มีแม่เหล็กดึงดูดคนไหม
เหมือนกันสิ่งที่ห้างต้องมีคือ ธนาคารพาณิชย์ ร้านอาหาร (บางที่มีที่เรียนหนังสือ เมื่อก่อนมีสวนสนุก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว) มีโรงหนัง แต่ระยะหลังบางแห่งก็ไม่มีแล้ว ร้านเสื้อผ้า อาจจะมีร้านทำผมด้วยในบางแห่ง มีค่ายมือถือมาเปิดร้านเพื่อรับจ่ายเงิน หรือ Customer care เลยทีเดียว อาจจะมีร้านขายเครื่องประดับ จนกระทั่งเฟอร์นิเจอร์ด้วย พวกนี้คือสิ่งดึงดูดให้ประชาชนมาเดิน
4. ที่จอดรถต้องมีเพียงพอ ยิ่งจอดฟรีไม่เสียเงิน ประชาชนชอบเลยทีเดียว
ประมาณนี้ครับ
เมื่อ: 2015-04-23T17:08:46+00:00
noooon010: ขอบคุณพี่ชาย และทุกๆท่านมากๆนะครับ
มีคนบอกว่า เราได้ Know How จากต่างชาติเยอะมากในหลายๆอุตสาหกรรมครับ
ขนาดการรถไฟ ที่สมัย ร.5 เรายังได้ Know how จากต่างชาติมาเยอะมาก จนไทยเป็นประเทศที่น่าจับตามองเลยครับ
Union mall นี่วัยรุ่นมาตรึมเลยครับ ผมลองถามเพื่อนๆของน้องๆที่บ้านผม หรือคนวัย 12-55ปี
เค้าบอกว่า แฟชั่นมันโดนใจ ร้านเยอะดี ซื้อเยอะก็มีส่วนลด
ไม่ต้องไป platinum
ขนาดพี่ที่ผมรู้จัก วันนี้อายุ 59แล้ว พี่เค้านังขอไปเดินดูเสื้อที่นี่เลยครับ
บอกว่าเดินเสร็จ ข้ามสะพานลอยไปเซ็นทรัลลาดพร้าวต่อได้ด้วยครับ
จ๊าบจริงๆ
....อยากหาความรู้ที่ไหน มาไทยวีไอ ดอทโออาร์จี ครับ
ขอบคุงอีกครั้งครับ
เมื่อ: 2015-04-24T00:42:13+00:00
KHOBJAI: มีข้อสงสัยและมองไม่ทะลุว่า ในอนาคตพฤติกรรมรูปแบบการซื้อของผ่านห้างจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เท่าที่เดินห้าง ส่วนใหญ่แล้วแผนกที่ลูกค้าใช้บริการมากมักจะเป็นร้านอาหารและดูแล้วน่าจะดีไปอีกนาน ส่วนสินค้าบริการอื่นๆเมื่อมีความก้าวหน้าเทคโนโลยีมากขึ้น น่าจะมีผลต่อรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป(ซึ่งคงค่อยๆเปลี่ยน) อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจแบบเดิมๆ และส่งผลต่อการดำเนินงานของห้างได้
เมื่อ: 2015-04-24T09:01:50+00:00
vim: จุดจบของห้างในไทยรอบปี 40 นี่ผมตอนนั้นยังไม่รู้ประสีประสาเลย คุ้นๆว่าห้างขนาดเล็กจำพวก community mall ในสมัยนั้นเริ่มร้าง ไม่มีคนเดิน พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ก็พากันเลิกเช่ากัน หลักจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้จู่ๆก็ได้ข่าวไฟไหม้กันหลายห้าง เห็นว่ากันว่าสาเหตุส่วนมากคือไฟฟ้าลัดวงจร แต่จนถีงวันนี้ผมยังแอบสงสัยอยู่เลยว่าจริงหรือเปล่า เพราะพอได้เงินเคลมประกันไปแล้วก็ปิดห้างไปเลย
ถ้ามาดูห้างต่างประเทศ จุดจบของห้างในยุโรปเท่าที่ผมเห็น คือพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปมาก ผมแบ่งเป็นสามยุคให้เข้าใจง่ายๆดังนี้
1. ยุค Department Stores
จากสมัยก่อน คนไม่รู้จะซื้อของที่ไหนก็จะไปห้างสรรพสินค้า ห้างพวกนี้เป็นห้างที่มีเจ้าของเดียว แต่มีหลายๆแผนกแล้วแบ่งเป็นเคาน์เตอร์ ในยุโรปก็เช่น Galeria Kaufhof (เจ้าของเดียวกับ Metro/Makro), Karstadt, Galeries Lafayette, P&C เป็นต้น หรืออย่างในไทยก็ เซ็นทรัล เดอะมอลล์
2. ยุค Shopping Centers
แต่ในระยะต่อมา ยี่ห้อของร้านค้าเริ่มมีบทบาทมากขึ้น คนเริ่มหันไปซื้อของที่ช็อปของร้านโดยตรงไม่ผ่านเคาน์เตอร์ห้าง เช่นร้าน H&M, ZARA, Primark เป็นต้น สิ่งที่เห็นคือห้างเก่าๆนั้นเริ่มปิดไป ขณะที่ระบบ "ศูนย์การค้า" ที่มีลักษณะแบ่งพื้นที่ให้ร้าค้าเช่า กลับเป็นที่นิยม โดยมีร้านค้าดังๆเป็นตัวดึงลูกค้า ร้านไหนยิ่งดังยิ่งมีอำนาจต่อรองค่าเช่าเยอะ ระบบห้างสรรพสินค้าแบบเดิมเริ่มไม่สร้างกำไรเพราะคนไม่ไปเดิน
3. ยุค Online Shopping
ปัจจุบัน คนซื้อของออนไลน์กันเป็นหลัก ซึ่งช่องทางการขายออนไลน์นั้นเป็นช่องทางที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด ทำให้โมเดลร้านค้าแบบเดิมๆไม่สามารถขายของได้ เพราะคนจะไปทดลองสินค้าตามหน้าร้านแต่ไม่ซื้อ จะไปซื้อผ่านทางออนไลน์แทนเพราะถูกกว่าและมีรุ่น/สี/ไซส์ตามที่ต้องการ พวกนี้ร้านค้าไหนที่ไม่มีช่องทางออนไลน์ที่ดีพอก็จะสู้คนอื่นลำบาก พวกศูนย์การค้าที่อยู่รอดมักจะเป็นศูนย์การค้าแบบเฉพาะทางที่ซื้อของผ่านเน็ตไม่ได้
เทรนด์จาก 1 -> 2 เริ่มเกิดขึนไทยเมืองไทยมาสักพัก ลักษณะห้างสรรพสินค้าเชิงเดี่ยวก็น่าจะเปลี่ยนไป มีศูนย์การค้าแบบแบ่งพื้นที่เช่ามากขึ้น แต่เหมือนว่าเทรนด์นี้ยังไม่จบดี ขณะที่เทรนด์ออนไลน์ 2 -> 3 ก็กำลังมาเหมือนกันแต่ติดที่โครงสร้างพื้นฐานอินเตอร์เน็ตยังไม่ดีพอ จะเห็นแต่ซื้อขายผ่านเฟสบุคกับไลน์ที่สเกลค่อนข้างเล็ก
เมื่อ: 2015-04-24T11:06:42+00:00
chatchai: ตอนแรกที่อ่านหัวข้อกระทู้ ผมเข้าใจว่าคุยกันเรื่องห้างสรรพสินค้า เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ห้างสรรพสินค้าพารากอน ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน
แต่เข้ามาอ่าน ผมเข้าใจว่าหมอนุ่น หมายถึงธุรกิจ ศูนย์การค้า แบบ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ศูนย์การค้ามาบุญครอง ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์
เมื่อ: 2015-04-24T11:25:36+00:00
Ii'8N: union mall แจ้งเกิดได้ เพราะตอน central ลาดพร้าวปิดปรับปรุงยาวเป็นปี
เมื่อ: 2015-04-25T01:40:04+00:00
picatos: ผมว่าจุดพลิกผันที่ทำให้ Union Mall เกิดน่าจะมาจากที่ทำเลแถวนั้นมีกำลังซื้อมากและกว้างอยู่แล้ว ทีนี้พอ Central ลาดพร้าว renovate บวกกับ up ตัวเองให้ high ขึ้นไปอีกระดับ อีกทั้งกลุ่มคนเดินจตุจักรอากาศร้อนมากมาย เลยเกิดช่องว่างในตลาดกลางล่าง อีกทั้งช่วงนั้น โมเดลห้างอย่าง Platinum แสดงให้เห็นแล้วว่าตลาดมี เลยอาศัยทำเล จังหวะ และ demand ที่พอดีๆ กัน ส่วนผสมลงตัว เลยเกิดขึ้นมาได้
อันนี้เดามั่วๆ ล้วนๆ เลยนะครับ... แหะๆ
เมื่อ: 2015-04-25T10:14:23+00:00
picatos: ผมว่า Key Success Factor ของห้างนี่ ละเอียดยิบเลยนะครับ เคยได้ยินคำพูดมาว่า Retail is Detail
- ห้างบ้างห้างมีจุดขายเดียว เอาอยู่ เดินเกมส์พลาดบ้าง ยังมีโอกาสปรับตัวได้อีกเยอะ... (อย่างเช่น IKEA ทำให้ Mega Bangna ประสบความสำเร็จ ทั้งๆ ที่ตอนแรกออกแบบห้างมาได้ผิดพลาดมากๆ แต่ก็ยังสามารถถูไถแก้ไปเรื่อยๆ จนลงตัวได้)
- ห้างบ้างห้างไม่มีจุดขายที่เด่นชัด แต่มีของครบครัน บริการเป็นยอด เลือกสินค้า และแสดงสินค้าได้อย่างลงตัว (อย่างเซ็นทรัลชิดลม)
- ห้างบ้างห้างเน้นเฉพาะทาง บ้างห้างเน้นหลากหลาย บ้างห้างเน้น Lifestyle
- ห้างเน้นนักท่องเที่ยวก็ทำอย่างหนึ่ง ทำเลอย่างหนึ่ง ห้างชานเมืองก็ทำอีกอย่าง
ฯลฯ
ผมว่าห้างที่ดีต้องตอบโจทย์ การตอบโจทย์ในวันนี้ ไม่ได้หมายถึงตอบโจทย์ในอนาคต เราจึงเห็นห้างต้อง renovate ปรับพื้นที่ขายเป็นระยะๆ เพราะ มันช่าง dynamic เหลือเกิน... ใครที่คิดว่าธุรกิจห้าง maintenance capex น้อยนี่ เดี๋ยวนี้คงจะไม่ใช่แล้ว เพราะ การแข่งขันรุนแรงเหลือเกิน และการทำ renovation เดี๋ยวนี้ทำให้ระดับ minor renovation ก็เอาไม่อยู่แล้ว สงครามรุนแรงมาก เดี๋ยวห้างนอกเมืองแย่ง Traffic ห้างในเมือง ห้างนอกเมืองซัดกับห้างนอกเมือง ห้างในเมืองเปิดขึ้นมาซดกับห้างในเมือง เดินห้างบางห้างที่เมื่อก่อนคนเดินชนกันจะเหยียบกัน เดี๋ยวนี้ว่างเดินชิวมากมาย
ถ้าให้ฟันธงว่าอะไรคือคุณสมบัติที่ทำให้ห้างประสบความสำเร็จและอยู่รอดในระยะยาว ผมว่า Economy of Scale ครับ
เมื่อ: 2015-04-25T10:36:04+00:00
picatos: ส่งท้ายด้วยภาพห้างร้างที่สหรัฐฯ
http://www.slate.com/blogs/behold/2014/ ... riday.html
เมื่อ: 2015-04-25T10:39:18+00:00
nephilim: ผมว่าจุดที่พลิกผันของ Union mall คือ การทำ sky walk เชื่อมไป central ได้
เมื่อ: 2015-04-25T13:27:51+00:00
miracle: union mall นั้น ตอนแรก ร้างครับ ตอนเปิดใหม่ๆ
ต้องจำเป็นต้องซื้อบ้าน 2-3 หลัง เพื่อเปิดทางให้รถจากถนนพหลโยธินเข้าห้างได้
สร้างจุดต่อเชื่อมสะพานลอยจากเซ็นทรัส ลาดพร้าวเข้าไปยังตัวห้าง และออกจากตัวห้างลงรถไฟฟ้าใต้ดิน
เชื่อมรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อยู่ สถานีพหลโยธิน และ ลาดพร้าว (มีป้ายบอกทางว่าไป Union mall)
การตลาดดีมากๆ คือ ลดราคาค่าเช่าลดในช่วงแรก ที่ห้างร้าง และทำโปรโมทชั่นเรียกลูกค้าส่งเสริมการขาย
ซึ่งแตกต่างกับ Community mall เช่น Sena Fest ที่ตอนแรกร้านเปิดเต็ม แต่ตอนนี้เริ่มร้าง ที่จอดรถก็จอดได้เพียง 2 ชั่วโมงฟรีเท่านั้น แม่เหล็กดึงดูด ร้านอาหารก็ไม่ค่อยแนวเท่าไร แถมตรงข้ามเจอเจอะโครงการของ RML ตั้งอยู่อีกต่างหาก ประชันกันเลย ถ้าหากไม่ปรับตัวอีก 2-3 ข้างหน้า ที่ โครงการของ Icon siam เสร็จ อาจจะถึงขั้นลบชื่อโครงการนี้ทิ้งก็เป็นไปได้
ไม่ไกลจาก Sean Fest ก็มีเดอะมออล์ ท่าพระ
ส่วนจุดวงเวียนใหญ่นั้น เมอรี่คิงส์ก็ปิดตัวไปนานแล้ว ตอนนี้โรบินสันกำลังลดราคา เพื่อหมดสัญญาเช่าพื้นที่แล้ว
อนาคตจุดนี้อาจจะมีห้างมาลงเพิ่มเติมก็ได้
ส่วนในเมือง แถววัดเล่งไน้ยี่ (วัดมังกรฯ ตลาดเก่า) ตรงไปหน่อยแถวสามแยก มี Community mall ขึ้นอีกแห่ง
ใจกลางเมือง แหล่งคนจีนเลย ตอนนี้กำลังปรับพื้นที่รองรับ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ตรงจุดนั้นเสียด้วย
ห้าง นั้น Place เป็นตัวสำคัญด้วย ถ้าสถานที่ตั้งเดินทางไม่สะดวก ก็ไม่ชนะ
ในประวัติศาสตร์ห้างไทยก็มี พาราไดซ์(เสรี) กับ ซีคอน สองห้างนี้ติต่อกันเลยทีเดียว
ตอนนี้ พาราไดซ์ คนเดินน้อยกว่า ซีคอน ถ้าใครขับจากพระราม 9 เข้าถนนศรีนครินทร์ ห้างที่ถีึงก่อนคือ ซีคอน
และในทางตรงข้าม ห้างซีคอน มีสะพานเข้าห้างโดยตรง ไม่ต้องมานั้นกลับรถหลายรอบ
แต่ในอีกบริเวณหนึ่ง คือ มาบุญครอง ,สยามดิฟ ,สยามเซ็นเตอร์ ,สยามพารากอน ,เซ็นทรัสเวิร์ด (แยกราชประสงค์) ทำไมคนเดินกระจายตัวได้ เป็นอย่างดี
จุดนี้เป็นจุดที่ต่อรถไฟฟ้าจุดสำคัญของกรุงเทพ ทำให้ประชาชนเดินมากนั้นเอง และเป็นจุดที่ประชาชนไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาพราหมณ์และฮินดูนั้นเอง
อาจจะมีมือที่มองไม่เห็นคือ เรื่องการจัดการจราจรหน้าห้างประกอบด้วย
อย่างเช่น community แถวสุขุมวิท 24 เลยไปหน่อย ประมาณ 3-4 ป้ายรถเมล์ เมื่อก่อน เติบโตอย่างดีเนื่องจากมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ภายใน community mall นี้แต่พอ เปิดเอ็มคอเทียร์ เท่านั้น ประชาชนหายหมดเลย
พวกนี้อาจจะต้องไปนั่งสังเกตด้วยว่า สำเร็จเพราะอะไร /วงรอบในการปรับปรุง
เมื่อ: 2015-04-26T09:00:24+00:00
nut776: ไม่รู้ threat ของห้าง คือ ecomerce ป่าวนะคับ
เพราะ ถ้า ไม่กิน ไม่ใช้บริการ. ซื้อผ่านเวป ง่ายกว่า
คนเช้าพื้นที่ คงหายไปบางกลุ่ม ยิ่งถ้าเปิดกันเยอะๆ
ค่าเช่าเด๋วนี้กะแพงมาก เทียบกับ ของขายไม่ดีเท่าเดิม (สินค้าบริการบางชนิด )
ปล. ผมเอามาจาก คุณ ตัน opday ichi
เมื่อ: 2015-04-26T09:30:31+00:00
nut776: vim เขียน:จุดจบของห้างในไทยรอบปี 40 นี่ผมตอนนั้นยังไม่รู้ประสีประสาเลย คุ้นๆว่าห้างขนาดเล็กจำพวก community mall ในสมัยนั้นเริ่มร้าง ไม่มีคนเดิน พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ก็พากันเลิกเช่ากัน หลักจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้จู่ๆก็ได้ข่าวไฟไหม้กันหลายห้าง เห็นว่ากันว่าสาเหตุส่วนมากคือไฟฟ้าลัดวงจร แต่จนถีงวันนี้ผมยังแอบสงสัยอยู่เลยว่าจริงหรือเปล่า เพราะพอได้เงินเคลมประกันไปแล้วก็ปิดห้างไปเลย
ถ้ามาดูห้างต่างประเทศ จุดจบของห้างในยุโรปเท่าที่ผมเห็น คือพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปมาก ผมแบ่งเป็นสามยุคให้เข้าใจง่ายๆดังนี้
1. ยุค Department Stores
จากสมัยก่อน คนไม่รู้จะซื้อของที่ไหนก็จะไปห้างสรรพสินค้า ห้างพวกนี้เป็นห้างที่มีเจ้าของเดียว แต่มีหลายๆแผนกแล้วแบ่งเป็นเคาน์เตอร์ ในยุโรปก็เช่น Galeria Kaufhof (เจ้าของเดียวกับ Metro/Makro), Karstadt, Galeries Lafayette, P&C เป็นต้น หรืออย่างในไทยก็ เซ็นทรัล เดอะมอลล์
2. ยุค Shopping Centers
แต่ในระยะต่อมา ยี่ห้อของร้านค้าเริ่มมีบทบาทมากขึ้น คนเริ่มหันไปซื้อของที่ช็อปของร้านโดยตรงไม่ผ่านเคาน์เตอร์ห้าง เช่นร้าน H&M, ZARA, Primark เป็นต้น สิ่งที่เห็นคือห้างเก่าๆนั้นเริ่มปิดไป ขณะที่ระบบ "ศูนย์การค้า" ที่มีลักษณะแบ่งพื้นที่ให้ร้าค้าเช่า กลับเป็นที่นิยม โดยมีร้านค้าดังๆเป็นตัวดึงลูกค้า ร้านไหนยิ่งดังยิ่งมีอำนาจต่อรองค่าเช่าเยอะ ระบบห้างสรรพสินค้าแบบเดิมเริ่มไม่สร้างกำไรเพราะคนไม่ไปเดิน
3. ยุค Online Shopping
ปัจจุบัน คนซื้อของออนไลน์กันเป็นหลัก ซึ่งช่องทางการขายออนไลน์นั้นเป็นช่องทางที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด ทำให้โมเดลร้านค้าแบบเดิมๆไม่สามารถขายของได้ เพราะคนจะไปทดลองสินค้าตามหน้าร้านแต่ไม่ซื้อ จะไปซื้อผ่านทางออนไลน์แทนเพราะถูกกว่าและมีรุ่น/สี/ไซส์ตามที่ต้องการ พวกนี้ร้านค้าไหนที่ไม่มีช่องทางออนไลน์ที่ดีพอก็จะสู้คนอื่นลำบาก พวกศูนย์การค้าที่อยู่รอดมักจะเป็นศูนย์การค้าแบบเฉพาะทางที่ซื้อของผ่านเน็ตไม่ได้
เทรนด์จาก 1 -> 2 เริ่มเกิดขึนไทยเมืองไทยมาสักพัก ลักษณะห้างสรรพสินค้าเชิงเดี่ยวก็น่าจะเปลี่ยนไป มีศูนย์การค้าแบบแบ่งพื้นที่เช่ามากขึ้น แต่เหมือนว่าเทรนด์นี้ยังไม่จบดี ขณะที่เทรนด์ออนไลน์ 2 -> 3 ก็กำลังมาเหมือนกันแต่ติดที่โครงสร้างพื้นฐานอินเตอร์เน็ตยังไม่ดีพอ จะเห็นแต่ซื้อขายผ่านเฟสบุคกับไลน์ที่สเกลค่อนข้างเล็ก
ผมว่า นอกจาก infra แล้ว ยังเรื่อง. epayment อะคับ
ทำให้c2c. ลำบากเกิน. ยังไม่รวมว่า ยังไม่เห็น bank nonbank. รายไหนกล้ามาเป็นเจ้าภาพ
+ รับประกัน ให้ buyer หรือ ดีล ปัญหาระหว่าง merchant vs buyer เลย
เมื่อ: 2015-04-26T09:38:22+00:00
noooon010: ขอบคุณทุกๆท่านมากๆเลยครับ
ขออภัยพี่ฉัตรด้วยนะครับ ผมยังงงตัวเองเลยครับ >.<
เมื่อ: 2015-04-28T07:16:52+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
TR ตกติดๆกันหลายวัน ท่านใดทราบข่าวอะไรบ้างไหมครับ
tk: กำลังหาสาเหตุอยู่ครับ
เมื่อ: 2003-10-07T08:33:09+00:00
Jeng: อย่าไปหาเลยดีมั๊ย เพราะเมื่อได้สาเหตุแล้วก็ต้องมาเช็คกันอีกว่า สาเหตุนั้นมีผลทำให้ราคาหุ้นมันลงมาจริงหรือเปล่า หรือถ้ามีผลทำให้ลงแล้ว จากสาเหตุนั้นๆ ควรจะลงเท่าไร
หาความสัมพันธ์แล้ว ไม่ค่อยจะเจอเรื่องจริงซักที
มีนักเก็งกำไรท่านหนึ่งบอกว่า ในตลาดขาขึ้น ถ้ามีข่าวดี ไม่ต้องเช็ค เพราะข่าวดี จริง หรือ ดี ปลอม หุ้นก็ขึ้นหมด
ส่วนถ้าเป็นตลาดขาลง ต้องเช็ค เพราะข่าวร้ายจริง ๆ ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่เป็นข่าวร้ายปลอมๆ
ก็ไม่รู้จริงอย่างที่ท่านว่าไว้หรือเปล่า อย่างไรก็ตามท่านเทรดเดือนละ 4000 ล้านบาทเหมือนกัน คุณอ่านถูกแล้วครับ 4 พันล้านบาท
ส่วนตัวพี่แล้วไม่หาข่าวดีกว่า ถ้าข่าวต้องหา แสดงว่าข่าวไม่ใหญ่ หรือไม่ก็เป็นข่าวไม่จริง
ถ้าเป็นข่าวใหญ่ข่าวจริง ในทึ่สุด เราก็ต้องรู้ อย่างน้อยก็ทางหน้าหนังสือพิมพ์
เราน่าจะมานั่งคิดดูว่า TR ลงมาถึงที่เท่าไรแล้วน่าเข้าไปซื้อดีหรือไม่ครับ
เมื่อ: 2003-10-07T08:40:13+00:00
tk: ขอบคุณครับพี่
ตอนนี้ยังอยู่นิ่งๆได้ ทั้งที่มันก็ลงมาหลายอยู่ แสดงว่าค่อยมีกลิ่น VI ในตัวบ้างแล้ว จะพยายามต่อไปครับ
เมื่อ: 2003-10-07T09:25:34+00:00
ayethebing: ผมก้อสงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันลงเยอะยังงี้
ผมว่าเราน่าจะรู้นะครับว่าทำไม มันมีข่าวอะไรหรือเปล่า เพราะถ้ามีข่าวจริงอาจทำให้พื้นฐานของหุ้นมันเปลี่ยนก้อได้
กำลังดูตามติดอยู่ ยังไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน ถ้าลงเพราะมันขึ้นมาเยอะมากละก้อ อืมน่าสนใจทีเดียว
เมื่อ: 2003-10-07T12:27:23+00:00
ayethebing: tr นี่เข้าข่ายหุ้นดีที่ไม่น่าซื้อหรือเปล่า เห็นกำไรมหาศาลตลอดแต่ปันผลน้อย 8)
เมื่อ: 2003-10-07T15:14:19+00:00
ปรัชญา1: วันXDปันผลของTR
วันนั้นผมจำได้ว่า ราคา185บาท/หุ้น
แล้วราคาตอนนี้ น่าขายหรือยัง
เมื่อ: 2003-10-07T15:32:15+00:00
thanwa: หุ้น TR หุ้นเปื้อนน้ำลายของคุณปีเตอร์ ชาง
ตอนนี้ คงไม่เปื้อนน้ำลายแล้วครับ เพราะคนอมน้อยลง แถมมีคนขาย(คาย) อีกต่างหาก
ส่วนตัวผมแล้ว คิดว่าเป็นตัวที่น่าสนใจตัวหนึ่งครับ
ถ้าจำไม่ผิด ใน form 56-1 บอกไว้ว่า market share อยู่ที่ประมาณ 20% ของโลก พิมพ์ไม่ผิดหรอกครับลองเช็คดูอีกที
TR มีเงินสดเหลือเยอะ จ่ายเงินปันผลในอัตราที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับความสามารถในการทำกำไรต่อหุ้น ผลประกอบการ 3 ไตรมาสอยู่ที่ประมาณ 42 บาท(เท่ากับปีที่แล้วทั้งปี) ถึงแม้ราคาหุ้นขึ้นมามากอย่างที่พี่ปรัชญากล่าวไว้ แต่หากกำไรทั้งปีประมาณ 50 บาท p/e อยู่ในเกณท์ที่ตำกว่า 10 อยู่พอสมควร นอกจากนี้น่าจะได้ประโยชน์จากราคาหุ้น TCB ที่ถืออยู่ประมาณ 27% ดังนั้นราคาปัจจุบัน ผมถือว่าไม่แพงเลย
ผมมีหุ้นตัวนี้อยู่ด้วย อาจจะให้ความเห็นในทาง bias อยู่บ้าง
แต่ก็ยินดีที่รับฟังความเห็นที่แตกต่าง จากเพื่อนๆ เพื่อจะทำให้ผม
เข้าใจหุ้น TR ได้ดีขึ้นมากกว่านี้ครับ
เมื่อ: 2003-10-07T17:37:34+00:00
ปรัชญา1: การลงทุนในหุ้นต้องมีความหวังครับ
หวังว่าหุ้นราคา400บาท แต่ปันผลให้ท่านปีละ8บาท
ในยามเศรษฐกิจดีดี แล้วถ้าเศรษฐกิจไม่ดี
ท่านผู้บริหารอ้างขึ้นมาจ่ายน้อยลง จะช้ำใจนะครับ
ผมพูดถึงเรื่องปันผล
ไม่ได้พาดพิงถึงเงินสะสมหรือกำไรต่อหุ้นมากมาย
เพราะเงินอยู่ในบริษัท เขาจะไปปล่อยกู้บริษัทย่อย
หรือให้พนักงานกู้ยืม และนำไปใช้อะไรอื่นๆก็ได้
ใช้ไปเรียบร้อยแล้ว ก็มาขอตอนประชุมสามัญผู้ถือหุ้น
ซึ่งประสพการณ์ที่ผมเจอมา ทุกบริษัท
พวกรายย่อยอย่างพวกเรา
ไม่ยกมือสนับสนุนหรือขอค้าน
เชื่อเถอะ มติเป็นเอกฉันท์เป็นของพวกผู้บริหารเหมือนเดิม
ดูแนวทางผมก็ได้นะครับว่า...
ถ้าหุ้นราคา400บาท ปันผลเสมอต้นเสมอปลายปีละ8บาท
คุณต้องถือหุ้นเขา50ปีถึงจะได้ทุนคืน
ดีอย่างไร ดีแค่ไหน ผมก็คงไม่คัดค้านล่ะครับแล้วแต่รสนิยม
เพราะผมคงมีอายุยืนยาวไม่ถึงเวลาได้เงินทุนคืนหรอกครับ
หลายบริษัทที่กำไรเยอะแต่จ่ายน้อย
สุดท้ายก็ออกจากตลาด แบบล้มบนฟูกมีหลายบริษัท
ดูโฟร์ดโมส ดูยูจีพี ดูยูนิฟูดส์ ดูทีไอจี ดูบริษัทผลิตกระป๋อง
ดูคาร์เปทอินเตอร์ ฯ
เอาแค่นี้ล่ะครับ เดี๋ยวจะไปขัดใจใครเข้า
หรือไปขวางผลประโยชน์ใคร
ส่วนผมหาหุ้นที่ปันผลสัก15ปีคืนทุนได้ก็เอาแล้ว
มีเต็มตลาด โชคดีครับ หลังประชุมเอเปคหุ้นคงขึ้นอีกรอบ
เมื่อ: 2003-10-08T02:31:44+00:00
tk: อย่างนี้ก็ต้องดูที่ผู้บริหารและบรรษัทภิบาลใช่ไหมครับ
ใครมีข้อมูลด้านนี้ของ TR ช่วยแชร์ให้บ้างสิครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2003-10-08T03:51:01+00:00
stockms: ผมเดิมทีก็กะซื้อลงทุนกับตัวนี้ขาย TPCORP ออกไปบางส่วนที่ 25.50 มาซื้อตัวนี้ที่ 360 เพราะเห็นว่า PE ต่ำกว่า มันขึ้นไปกว่า 440 ก็ยังไม่ขายมาตัดใจขายตอนที่เหลือ 408 นี่ก็ตั้งซื้ออีกที่ราคาเดิม 360 คาดว่าคงไม่ได้ ดูท่าผมจะเป็น VI ไม่ได้เลย
เมื่อ: 2003-10-08T04:09:06+00:00
Jeng: 366 แย้ว
เมื่อ: 2003-10-08T08:15:36+00:00
ayethebing: เค้าจะใจร้ายให้ปันผลแค่ 8 บาทเหรอครับ กำไรต่อหุ้นตั้ง 50 กว่าบาทนะ
น่าจะให้สักอย่างน้อย 20 บาทนะ ลุ้นครับลุ้น จวนจะประกาศแล้วใช่มั้ยครับ
เมื่อ: 2003-10-08T11:12:18+00:00
stockms: วันนี้กลับมาดูยังไม่ได้ทั้ง TR และ TPCORP คืน
เมื่อ: 2003-10-08T14:10:20+00:00
sirivajj: ปีปี ที่ผ่านมา TR จ่ายปันผลต่อหุ้นไม่มากนักนะครับ
ไม่ทราบว่า ปีที่จะถึงนี้จะเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า ต้องลุ้นกันหน่อย
แต่ยังไงก็คงต้องรอถึงสิ้นเดือน 11 ก่อนล่ะจึงจะประกาศกำไรของปี
ส่วนประกาศปันผล คงจะเป็นปลายปี-ต้นปีจึงประกาศครับ
(ผิด ตก ยก เว้น ด้วยนะครับ จำได้ว่าปีที่ผ่านมามักเป็นแบบนี้)
เมื่อ: 2003-10-08T15:31:57+00:00
sirivajj: นโยบายปันผลของ TR คือ จ่ายปันผลร้อยละ 35 ของกำไรสุทธิ แต่ในปีที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารจ่ายเพียง 8 บาทจากกำไร 40 กว่าบาท ซึ่งมีการทักท้วงกันนิดหน่อยในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ฝ่ายบริหารแจ้งว่า สถานการณ์ของธุรกิจยังไม่น่าไว้วางใจ จึงจำเป็นต้องสำรองเงินไว้
โดยความเห็นส่วนตัว ผมเชื่อว่า ปีนี้ ฝ่ายบริหารน่าจะจ่ายเงินปันผลมากขึ้น เพราะปีนี้มีกำไรเพิ่มขึ้น รวมทั้งน่าจะทำตามนโยบายปันผลที่ได้แจ้งไว้ ซึ่งจะต้องติดตามตรวจสอบต่อไป
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนระยะยาว ผมยังคงให้ความสำคัญที่สุดกับอนาคตของบริษัท โดยพิจารณาเรื่องเงินปันผลเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่ง
สิ้นเดือนมิถุนายน 2546 TR มี cash per share ประมาณ 70 บาท
เมื่อ: 2003-10-08T16:38:20+00:00
sirivajj: ถ้ามีกำไรสะสมมากขนาดนี้ทำไมไม่ออกจากตลาดไปเลยล่ะครับ
เมื่อ: 2003-10-08T21:09:36+00:00
thanwa: ผมมีความรู้สึกว่า นอกจาก TR จะจ่ายเงินปันผลปีนี้มากขึ้น TR คงจะพิจารณาการลดพาร์เหมือน TCB ด้วย
ความรู้สึกล้วนๆ ใช้วิจารณาญานด้วยครับ
เมื่อ: 2003-10-09T03:14:14+00:00
Meeja: เคยคุยกับผู้บริหาร TR ตอนเขามา Present ที่ปูนใหญ่
ยังไม่มีแผนแตกพาร์ครับ
ถามเขาว่าไม่ซื้อหุ้นบริษัทตัวเองเหรอ
ออกจะดี ดีกว่าฝากเงินแน่ๆ
เขาบอกว่าเล่นหุ้นไม่เป็นครับ...
เมื่อ: 2003-10-09T10:04:37+00:00
thanwa: ตอนนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ผมนำข้อมูลจาก Form 56-1 (อันล่าสุดแต่ก็นานพอสมควรแล้ว) ของทั้ง TR และ TCB มาฝากให้เป็นข้อมูล
TR : ปัจจัยเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
บริษัทฯ มียอดส่งออกคิดเป็นร้อยละ 55 ของปริมาณการผลิต ราคาขายในประเทศก็ได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่วัตถุดิบสำคัญต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ และบริษัทฯ ไม่มีเงินกู้ยืมสกุลเงินต่างประเทศ ดังนั้น ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีการป้องกันอย่างสมดุลในตัวเอง การแข็งค่าของเงินบาทก่อให้เกิดผลเสียแก่บริษัทในด้านรายได้และกำไร ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก ซึ่งจะมีผลกระทบต่อยอดขายในที่สุด ค่าของเงินบาทในช่วงระหว่างปีมีการผันผวน แต่เริ่มมีความโน้มเอียงที่จะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีต่อไป
TCB :
อัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากบริษัทส่งออกประมาณร้อยละ 60-65ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ราคาจำหน่ายภายในประเทศจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากวัตถุดิบหลักนำเข้าจากต่างประเทศ บริษัทมีเงินกู้สกุลดอลลาร์เพียงเล็กน้อย จากการที่บริษัทได้มีกระแสเงินไหลเข้าจากการส่งออกซึ่งใกล้เคียงกับกระแสเงินไหลออกเพื่อชำระค่าวัตถุดิบ ดังนั้นความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจึงเสมือนได้มีการประกันความเสี่ยงตามธรรมชาติการทำธุรกิจอยู่แล้ว และการผันผวนใดๆของค่าเงินบาทจะไม่ส่งผลกระทบในทางลบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทฯ แต่ในการกลับกัน ถ้าค่าเงินบาทอ่อนกลับส่งผลดีต่อกำไรของบริษัท แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอาจจะส่งผลต่อรายรับและผลกำไรของบริษัท เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์และยางรถยนต์ต่อตลาดส่งออก ซึ่งอาจจะกระทบต่อปริมาณขาย และราคาขายสินค้าภายในประเทศของบริษัทฯ
ค่าเงินบาทมีการเปลี่ยนแปลงตลอดในช่วงปีที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มที่ค่าเงินบาทจะแข็งขึ้นและยังคงต่อเนื่องในปีต่อไปด้วย
ลองพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันครับ
เมื่อ: 2003-10-13T16:29:33+00:00
ayethebing: สงสัยครับ
รอบบัญชีของ TR ไตรมาสสี่จะต้องสิ้นสุดเดือนกันยายน ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมเค้าไปปันผลตอนต้นปีซึ่งเป็นไตรมาสที่สองของเค้าละครับ
เมื่อ: 2003-10-16T17:01:14+00:00
ลูกอิสาน: คิดว่าคงเหมือนบริษัททั่วไป ที่ปิดงวดปีเดือนธันวาครับ..
กว่าจะได้ปันผลส่วนใหญ่ก็เดือนพฤษภา เป็นไตรมาสสองเหมือนกันครับ...
เมื่อ: 2003-10-17T04:01:41+00:00
ayethebing: จากรายงานผลการดำเนินงาน เค้าบอกว่าเป็นไตรมาส 3 เมื่อสิ้นสุดเดือนมิถุนา ครับ ผมเลยเข้าใจว่า ไตรมาส 4 ก้อต้องสิ้นสุดเดือนกันยาสิ
ผิดถูกยังไงบอกได้นะครับ
TR สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
บริษัท ไทยเรยอน จำกัด (มหาชน)
สอบทาน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน
ปี 2546 2545 2546 2545
กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 300,944 245,139 840,117 529,526
กำไร(ขาดทุน)สุทธิต่อหุ้น(บาท) 14.93 12.16 41.67 6.27
ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน : ไม่มีเงื่อนไขและมีข้อสังเกต
หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุประกอบงบการเงิน
จากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์
"ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบการเงินฉบับเต็ม
ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว"
ลงลายมือชื่อ............................
( )
ตำแหน่ง..............................
ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
เมื่อ: 2003-10-17T06:29:52+00:00
ลูกอิสาน: โทษทีครับ ผมอาจเขียนทำให้เข้าใจผิด...
ปิดบัญชีงวดปี ของ TR คือเดือนกันยายน
และบริษัททั่วไป ปิดงวดปี คือธันวาคม
ตามที่คุณ ayethebing เข้าใจ ถูกต้องแล้วครับ...
แต่ที่เหมือนกันคือเราจะได้รับปันผล ประมาณ 2 ไตรมาส หลังจากปิดงวดปีครับ
สำหรับ TR มักประกาศปันผลหลังปีใหม่ และรับเงินปลายเดือนมกราคม ซึ่งก็คือไตรมาส 2 ของ TR ....
แต่บริษัทส่วนใหญ่ เราจะได้รับปันผลประมาณเดือน เมษา -พฤษภาคม ซึ่งก็เป็นไตรมาส 2 เหมือนกันครับ....
เมื่อ: 2003-10-17T06:46:24+00:00
ayethebing: อันนี้เป็นประกาศ dividend ของปี 2002 ครับ ประกาศวันที่ 12 ธันวาคม การจ่ายเงินปันผลเป็นของงวดไตรมาส 4 สิ้นสุดเดือนกันยา 2002 แต่จ่ายเงินตอน กุมภาพันธ์ 2003
ขอบคุณคุณลูกอีสานครับ
December 12, 2002
........
3. Recommended the payment of dividend for the year ended September 30, 2002, at the rate of Baht 8.-/share, subject to the shareholder's approval. The dividend amounting to Baht 161,280,000.- (Baht : One Hundred Sixty One Million Two Hundred Eighty Thousand Only), be paid from Unappropriated Retained Earnings of the Company as on February 20, 2003.
เมื่อ: 2003-10-17T11:15:28+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เซ็ง ITV ทีวีเสรี
นะ: เซ็ง ITV ทีวีเสรี
วันทำงานปกติ ผมจะกลับถึงบ้านก่อน 19.30 น. ไปถึงจะเปิดดู สรุปการซื้อขายหุ้นประจำวัน ในเวลาประมาณ 19.30 ของทาง ITV ตั้งแต่เปลี่ยนผังรายการใหม่ไม่ทราบว่าเปลี่ยนไปอยู่ช่วงเวลาใด
มาบอกว่าให้ประชาชนคนไทยได้ดูข่าวก่อนใคร โดยจะออกอากาศเวลา 18.00 - 19.30 ผมกลับถึงบ้านก็ได้ดูรายการ หุ่นเชียร์รัฐบาล แทนที่สรุปการซื้อขายหุ้น
ผมสงสัยนิดนึงว่าคนทำงานกินเงินเดือนในกรุงเทพ มีกี่ เปอร์เซ็น ที่กลับถึงบ้านก่อนเวลา 18.00 น. เพื่อจะได้ดูข่าวก่อนใคร ผมเคยอยู่บ้านนอกมาก่อนช่วงเวลา 18.00-19.30 เป็นช่วงเวลาหุงหาอาหาร ไม่มีเวลามาดูข่าวก่อนใคร
ITV ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นสถานีข่าวและสาระโดยไม่มีการแซกแซงจากรัฐ แล้วช่วงเวลาข่าว ให้ใครดู รายการสาระดีดี อย่าง ถอดรหัส ย้อนรอย ทำผิดอย่าเผลอ บันทึกโลก หายไปใหน
ITV ทีวี....ชิน
เมื่อ: 2004-04-06T14:03:41+00:00
นะ: หุหุ รายการหนังซีรีย์ญี่ปุ่นเกาหลีหายเกลี้ยงเลย T-T
เอาอะไรมาลงแทนก็ไม่รู้ ไม่น่าสนใจเลย ไวราตี่ทั้งน๊าน
เมื่อ: 2004-04-06T17:02:59+00:00
นะ:
ยังงี้ควรจะทราบแล้วนะครับ ว่าควรจะทำยังไงกับหุ้น ITV ดี
อิอิ....
เมื่อ: 2004-04-06T17:12:04+00:00
Mon money: ผมชินแล้วครับ
เมื่อ: 2004-04-07T04:23:47+00:00
Mon money: He/she, who bougt ITV to be majorsharesholder,wants to make money(profit) from mass communication. He/she does not care on the initiative proposal ( why ITV has been established ), that is the reason why he/she tries to play game in court.
All that shits is Money game.
เมื่อ: 2004-04-07T06:30:42+00:00
asimar: อยากให้ทุกพรรคการเมืองเปิดสถานีโทรทัศน์คนละช่อง
แล้วแข่งกันเสนอผลงานให้สาธารณชนจัง
เมื่อ: 2004-04-07T12:50:36+00:00
nena: จริงๆด้วย เราหน่ะ เป็นแฟนละครเกาหลีนะ ไม่น่าตัดออกเลย จริงๆแล้วมีรายการวาไรตี้เยอะมาก จนรู้สึกว่าแต่ละรายการเหมือนกันไปหมด มีช่วงเอานักร้องมาร้อง ช่วงสัมภาษณ์ แบบนี้หมดเลย น่าจะมีรายการให้หลากหลายกว่านี้นะ แต่ก็ยังชอบที่มีข่าวละเอียดดี แต่ว่ารายงานสรุปหุ้นตอนประมาณ 6 โมงครึ่งไม่มีสัดส่วนการลงทุนในแต่ละวัน และพูดถึงหุ้นนิดเดียวเอง เลยต้องย้ายไปดูช่อง 9 แทน ตอน 5 โมงเย็น)
เมื่อ: 2004-04-12T10:37:22+00:00
ปุย: บ้านผม มีช่อง TV ที่ดูได้ 2-300 ช่อง จากดาวเทียม 2 ดวง
ภาษาอังกฤษ ไม่น่าเกิน 30 ช่อง รวมทั้ง Bloomberg, CNNfn
ภาษาไทย มี TGN ช่องเดียว เลือกไม่ได้
ซีรีย์ เกาหลี ดูทางช่อง Arirang ของเกาหลี รวมทั้งข่าวสาร บันเทิง สารคดีต่างๆ มี 24 ชม.
ดูผ่าน TV ยอมรับเลยว่า เกาหลีพัฒนากว่าเรา หลายด้านจริงๆ
เมื่อ: 2004-04-12T13:13:21+00:00
ปุย: อ้อ....อยากบอกว่าซีรีย์เกาหลีนั้นทำออกมาได้ค่อนข้างดีกว่าเราเยอะครับ
ด้านการแสดง(ฝีมือจริงๆ) ด้านเนื้อเรื่อง(มีบ้างที่น้ำเน่า) ด้านมุมกล้อง(เยี่ยม) ด้านเพลง(แต่งใหม่และไพเพราะ)
เคยมีคนบอกว่า
จำนวนละครไทยของช่อง 7สีทั้งปี
มีมากกว่าจำนวนซีรีย์เกาหลีทุกช่องทั้งปีซะอีก
ซีรีย์เกาหลีหลายเรื่องถูกซื้อไปฉ่ายในหลายๆประเทศในเอเชีย
แต่ละครไทยของเราได้ไปฉ่ายในประเทศเพื่อนบ้านบ้างประเทศเท่านั้น
เราเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพหรือเปล่าครับ
เมื่อ: 2004-04-12T14:12:14+00:00
SomJook: เห็นด้วยค่ะว่ารายการสาระดีดี อย่าง ถอดรหัส ย้อนรอย ทำผิดอย่าเผลอ บันทึกโลก และละครเกาหลีของโปรดหายไปใหน .......
ตอนนี้เลยย้ายไปดูช่อง 9 กับช่อง 5 แทนละ.....
เมื่อ: 2004-04-14T08:37:26+00:00
SomJook: รู้สึกว่าย้อนรอย และถอดรหัส ยังมีอยู่นะ ช่วงประมาณ 21.40 น. วันไหนจำไม่ได้ แต่ว่า สน.ไอทีวีตัดออก
เมื่อ: 2004-04-15T11:51:49+00:00
SomJook: SomJook เขียน:เห็นด้วยค่ะว่ารายการสาระดีดี อย่าง ถอดรหัส ย้อนรอย ทำผิดอย่าเผลอ บันทึกโลก และละครเกาหลีของโปรดหายไปใหน .......
ตอนนี้เลยย้ายไปดูช่อง 9 กับช่อง 5 แทนละ.....
ผมว่าก่อนที่จะตัดสินอะไร หรือใคร ควรหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนนะ เพราะว่าบางรายการดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ บางรายการก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ แค่เปลี่ยนชื่อไป รายการดี ๆ ที่ เช่น ร่วมแรง ร่วมใจ ชอบ มาก
แล้วก็อย่าลืม อย่าอ่านหนังสือแต่ปก อย่าดูคนแต่เปลือก
เมื่อ: 2004-04-15T13:55:13+00:00
SomJook: Anonymous เขียน:รู้สึกว่าย้อนรอย และถอดรหัส ยังมีอยู่นะ ช่วงประมาณ 21.40 น. วันไหนจำไม่ได้ แต่ว่า สน.ไอทีวีตัดออก
สน.ไอทีวี ยังอยู่ครับ รวมอยู่ใน ร่วมแรงร่วมใจ คล้าย ๆ กับว่าเป็นคอลัมหนึ่งของ ร่วมแรงร่วมใจ
เมื่อ: 2004-04-15T13:59:17+00:00
ayethebing: ไม่รู้แฮะ แต่ตอนนี้ผมก่อม๊อบโดยมีผมประท้วงอยู่คนเดียว ประท้วงโดยไม่เปิดช่อง ITV เลยครับ
เมื่อ: 2004-04-16T16:46:17+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
RCI จ่ายปันผล 1 บาทต่อหุ้น
Dech: TiTle Of News: สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ประจำปี 2546 (F45-1)
Date: 27/02/2004 08:48
Description:
RCI สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)
ตรวจสอบ
สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม (หน่วย : พันบาท)
งวด 1 ปี
ปี 2546 2545
กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 219,226 723,623
กำไร(ขาดทุน)สุทธิต่อหุ้น(บาท) 6.98 23.03
หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุประกอบงบการเงิน
จากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์
"ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบการเงินฉบับเต็ม
ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว"
ลงลายมือชื่อ............................
( )
ตำแหน่ง..............................
ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
เมื่อ: 2004-02-28T14:39:21+00:00
Dech: TiTle Of News: แจ้งมติกรรมการอนุมัติจ่ายเงินปันผล และประชุมผู้ถือหุ้น
Date: 27/02/2004 09:34
Description:
ที่ ส.น.ญ.21/2547
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547
เรื่อง แจ้งมติคณะกรรมการที่สำคัญ รวมถึงการเสนอจ่ายเงินปันผล และกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2547
เรียน กรรมการผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547
ได้มีมติที่สำคัญดังนี้ :
1. พิจารณารับรองงบการเงินและรายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และให้นำเสนอ
ที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2547 พิจารณาอนุมัติต่อไป
2. ให้ความเห็นชอบและนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2547 เพื่อแก้ไขข้อบังคับของบริษัท เกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืน
ของบริษัท และเพิ่มเติมข้อบังคับของบริษัทเกี่ยวกับการขอความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน
3. ให้ความเห็นชอบและนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2547 ในการเช่าเครื่องจักรและอาคาร ซึ่งเป็นการทำรายการ
ที่เกี่ยวโยงกัน
4. ให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546
ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท หากได้รับอนุมัติจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2547
5. กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการเข้าประชุมผู้ถือหุ้นออกเสียงลงมติ และการรับเงินปันผล ในวัน
ที่ 5 เมษายน 2547 เวลา 12.00 น.
6. กำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ ประจำปี 2547 ในวันที่ 23 เมษายน 2547 เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานใหญ่ เลขที่ 50
สุขุมวิท 62 แยก 8 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260
7. กำหนดวาระการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ ปี 2547 ดังนี้ :
7.1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการประจำปี 2546 โดยผู้บริหารแผนฯ เข้าร่วมประชุมแทน
ผู้ถือหุ้นตามสิทธิ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 90/25
7.2 รับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปี 2546
7.3 พิจารณาอนุมัติงบการเงินและรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตของบริษัท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546
7.4 พิจารณาเรื่องการจัดสรรเงินกำไร และการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในรอบปี 2546
7.5 พิจารณาแก้ไขข้อบังคับบริษัทเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืนของบริษัท และเพิ่มเติมข้อบังคับของบริษัทเกี่ยวกับการขอความ
เห็นชอบจากผู้ถือหุ้นในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน
7.6 พิจารณาอนุมัติเช่าเครื่องจักรและอาคารซึ่งเป็นการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน
7.7 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการแทนกรรมการที่ออกตามวาระ กำหนดค่าตอบแทนกรรมการ และกำหนดเบี้ยประชุม
กรรมการ
7.8 พิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชีประจำปี 2547 และกำหนดค่าสอบบัญชี
7.9 พิจารณาเรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
( นายเอนก วาสนาสมปอง )
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
เมื่อ: 2004-02-28T14:40:00+00:00
Dech: TiTle Of News: คำชี้แจงประกอบงบการเงิน ประจำปี 2546
Date: 27/02/2004 18:37
Description:
ที่ ส.น.ญ. 18 /2547
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547
เรื่อง คำชี้แจงประกอบงบการเงินประจำปี 2546
บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผลประกอบการตามรายงานงบการเงินประจำปี 2546 สิ้นสุด ณ. วันที่ 31 ธันวาคม 2546 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ปรากฎว่ามีผลกำไรสุทธิ 219.23 ล้านบาท ลดลง 504.40 ล้านบาท
(69.70%) เนื่องมาจาก
1. กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 718.71 ล้านบาท
2. กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 104.78 ล้านบาท จาก 25.08% เป็น 29.03% เนื่องจากการควบคุมการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 21.39%
3. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 91.26 ล้านบาท เนื่องจากงวดเดียวกันของปีก่อนได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 88.15 ล้านบาท และค่าเผื่อผลขาดทุนจากสินค้าล้าสมัยและเคลื่อนไหวช้า 16.71 ล้านบาท
4. ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 19.03 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยลดลงและจากการชำระคืนเงินต้นบางส่วน
จึงเรียนชี้แจงมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
( นายชาคร วารินทราพร )
กรรมการผู้จัดการ
เมื่อ: 2004-02-28T14:40:30+00:00
นักดูดาว: ผมลืมหุ้นนี้ไปเลย
ไม่ทราบคุณ CopyWriter ไปประชุมกับ RCI มาหรือเปล่าครับ
เมื่อ: 2004-05-05T09:20:00+00:00
Dech: ผมไม่ได้ไปครับ ได้รับหนังสือเชิญช้ากว่ากำหนด เลยไม่ได้ไปครับ
ผมอ่านรายงานประจำปีดูคร่าวๆ ผมยังถือต่อครับ ต้นทุนผมอยู่ที่ 40
ยังไม่ได้เฉลี่ยลง แต่ราคานี้รับได้แล้วครับ 32.5 หาเงินมาลดอยู่ครับ
ซื้อทั้งบริษัทตลอดนี้ 1013 ล้าน ปีที่แล้วกำไรสุทธิ 219 ล้าน ซึ่ง
มาจากการดำเนินงานล้านๆ ไม่มีมาจากการปรับโครงสร้างนี้เหมือนปี 45
ปีนี้คงได้สุทธิอย่างน้อย 300 ล้าน 30% ของราคาทั้งบริษัท
เพราะนอกจากขายเซรามิกแล้ว จะมีบริษัทร่วมที่อยู่ในวงการพัฒนาสังหาริมทรัพย์อีก เช่น บริษัทบ้านสมถวิล จำกัด ถืออยู่ 45%
ส่วนสินค้าที่ผลิตเองก็ขายได้ราคาขึ้น เพราะจะเน้นพวกลายพิเศษมากขึ้น ขายได้ราคา และกำไรดีกว่าแบบธรรมดา
กำลังผลิตเต็มตลอดและได้นำเข้ามาจากจีนมาชดเชย และยังทำให้ต้นทุนถูกกว่าที่อื่นๆด้วย
ไม่ต้องกลัวเซรามิกจากจีนมา แย่งตลาด เพราะยิ่งแย่งได้มาก ยิ่งกำไร เพราะเรานำเข้ามาจากจีนเองครับ
เมื่อ: 2004-05-09T03:26:51+00:00
นักดูดาว: ประเด็นสุดท้ายเป็นประเด็นที่ผมชอบ RCI มากๆ
1. หากกำลังซื้อสูงก็สั่งสินค้าเค้ามาขาย มีของสต๊อก แต่ไม่ต้องเพิ่มเครื่องจักร
2. หากมีปัญหาเรื่องตลาดฟุบ ก็เลิกนำเข้า ของในสต๊อกอย่างมากก็ขายลดราคา จบ ไม่มีซากเครื่องเหลือเป็นเงินจม
ตอนแรกเห็นรายการระหว่างกัน เริ่มฉุนๆ ..เป็นการเช่าโรงงานทำลวดลาย ของเจ้าของเดียวกัน 15 ล้านบาทต่อปี แต่มาดูยอดขาย...เอาเหอะ ผมว่าคุ้ม หากไปประชุมก็คงโหวต Yes
ขอบคุณที่มาบอกกันครับ
เมื่อ: 2004-05-09T03:46:04+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
หาหุ้น new low
picatos: เวลาเพื่อนๆ พี่ๆ หาหุ้นที่มันทำ new-low ปกติหาจากไหนครับ?
คือ ผมอยากได้ที่มันสรุปๆ ออกมาเลยว่าราคาของวันนี้ ตัวนี้ทำ 2 year low ตัวนี้ทำ 5 year low อะไรทำนองนี้...
ไม่ทราบว่ามี web ไหนแนะนำไหมครับ?
เมื่อ: 2008-01-22T03:11:01+00:00
Jeng: โปรแกรม ของอะไรหว่า น่าจะมี metastock ประมาณนี้
แต่ไม่เคยใช้
เมื่อ: 2008-01-22T03:19:58+00:00
picatos: Jeng เขียน:โปรแกรม ของอะไรหว่า น่าจะมี metastock ประมาณนี้
แต่ไม่เคยใช้
เสียตังค์ไหมครับ? ถ้ามีแบบไม่เสียตังค์จะดีมากเลยครับ
เมื่อ: 2008-01-22T03:37:28+00:00
econometrica: อยากได้ระยะกี่วันล่ะครับ จะหามาให้ครับ
เมื่อ: 2008-01-22T03:58:54+00:00
picatos: econometrica เขียน:อยากได้ระยะกี่วันล่ะครับ จะหามาให้ครับ
เอา 2 ปี ครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2008-01-22T05:20:37+00:00
pipatc: http://www.thaiinvestor.netfirms.com/te ... _low.shtml
อันนี้ ไม่ทราบว่าใช้ได้ไหมครับ
เมื่อ: 2008-01-22T15:17:09+00:00
picatos: pipatc เขียน:http://www.thaiinvestor.netfirms.com/te ... _low.shtml
อันนี้ ไม่ทราบว่าใช้ได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ
ไม่ทราบว่าจะมีการ update เป็นระยะๆ รึเปล่าครับ? :?:
เมื่อ: 2008-01-24T15:08:25+00:00
picatos: อ้อ... โทดทีครับ
อ่านไม่ดีเองว่า ตารางจะ update ทุกวันจันทร์ :oops: :oops: :oops:
เมื่อ: 2008-01-24T15:11:54+00:00
boy2t: เห็นหุ้นปูนตัวหนึ่งทำนิวโล ไปเมื่อวานนิ
เมื่อ: 2008-01-25T07:48:18+00:00
007-s: ปูนเนี้ยหรอคะ
http://www.thaiset.com/stock/index.php? ... =Showgraph
เมื่อ: 2008-01-25T08:18:08+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่ยังต้องระวัง / ดร.บัณฑิต นิจถาวร
always24: เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่ยังต้องระวัง
ตัวเลขเศรษฐกิจโลกล่าสุดที่ออกมาจากหน่วยงานต่างๆ ล้วนประเมินภาพเศรษฐกิจโลกดีขึ้นทั่วหน้า มองว่า ปีนี้เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน
และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวดีต่อเนื่องปีหน้า ซึ่งน่ายินดี เพราะเศรษฐกิจโลกได้ซบเซามานาน ล่าสุด
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัว 3.6% เพิ่มจาก 3.2% ปีที่แล้ว และขยายตัว 3.7% ปีหน้า เป็นตัวเลขที่ดีขึ้นมากเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้า ซึ่งถ้าวิเคราะห์เจาะลึกลงไป การขยายตัวที่ดีขึ้นนี้มีข้อหรือลักษณะที่น่าสนใจอยู่หลายอย่าง
- การฟื้นตัวเกิดขึ้นค่อนข้างแพร่กระจายคือ ขยายตัวได้ดีพร้อมกันทั้งในประเทศอุตสาหกรรม และประเทศตลาดเกิดใหม่
ในทั้ง 2 กลุ่มขยายตัวดีขึ้นชัดเจน ประเทศอุตสาหกรรมขยายตัว 2.2% ปีนี้ และประเทศตลาดเกิดใหม่ 4.6% การขยายตัวที่เกิดขึ้นกว้างขวางในหลายพื้นที่ของโลกพร้อมๆ กัน เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเข้มแข็ง
- ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวปีนี้ คือ การค้าโลกที่ปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.2% เทียบกับ2.4-2.8% สองปีก่อนหน้า มีผลให้การส่งออกและการนำเข้าสินค้าของทั้งประเทศอุตสาหกรรม และประเทศตลาดเกิดใหม่ขยายตัวสูงขึ้นมากในปีนี้
แต่การขยายตัวส่วนใหญ่ยังสะท้อนความต้องการซื้อสินค้าเพื่อสะสมสต็อกที่ได้เพิ่มสูงขึ้น จากที่ไม่ได้มีการสต็อกสินค้าเพิ่มมานาน เพราะเศรษฐกิจโลกขาดกำลังซื้อ แต่ปีนี้ การสะสมสต็อกเริ่มกลับมาตามวัฏจักร โดยเฉพาะในสินค้าที่มีพัฒนาการด้านนวัตกรรมที่เร็ว เช่น กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิคส์
ถ้าการสะสมสต็อกเป็นปัจจัยใหญ่ที่ขับเคลื่อนการค้าโลกปีนี้ ปัจจัยนี้อาจทำให้การค้าโลกอาจปรับลดลงปีหน้า เมื่อการสะสมสต็อกจบสิ้นลง ซึ่งก็จะกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า
- การฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนมีมากขึ้นและมีความพร้อมที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าแต่ก่อน นำไปสู่การลงทุนทางการเงินที่ขยายตัว ราคาหุ้น และตลาดการเงินปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ ฐานะของระบบธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกก็ดูเข้มแข็งขึ้น จากปริมาณเงินกองทุนที่ได้เพิ่มขึ้น และภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำที่เอื้อต่อธุรกิจ เหล่านี้สร้างเงื่อนไขที่จะช่วยเศรษฐกิจโลกให้ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และลดความจำเป็นของการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในประเด็นหลังนี้ เป็นที่เข้าใจกันว่า เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากอย่างในปัจจุบันอาจต้องเริ่มเปลี่ยนทิศทางปรับไปสู่การดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นปกติมากขึ้น นำโดยนโยบายการเงินของสหรัฐ ที่คงมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อลดแรงกดดันของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจมีต่อภาวะเงินเฟ้อ
ธนาคารกลางสหรัฐก็เตรียมการเรื่องนี้โดยคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น
ในเรื่องการฟื้นตัวนี้ ที่อยากจะตั้งเป็นประเด็น ก็คือ ถึงภาพเศรษฐกิจโลกจะดูดีขึ้น แต่ลึกๆ แล้ว ในโครงสร้าง และลักษณะของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้น ก็มีหลายอย่างที่สร้างความกังวลว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่กำลังดีขึ้นอาจไม่ต่อเนื่องหรือ sustain เพราะมีหลายประเด็นที่ควรต้องระวัง
ข้อกังวลแรก คือ แม้เศรษฐกิจโลกจะเริ่มขยายตัวเข้มแข็ง แต่ ตัวแปรเศรษฐกิจสำคัญบางตัวยังอยู่ในเกณฑ์อ่อนแอ ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
สถานการณ์นี้อยากจะเรียกว่าสถานการณ์ “ 3 ต่ำ”
ต่ำแรก คือ ค่าจ้างแรงงานที่ยังไม่ขยายตัวหรือ low wages ที่การปรับขึ้นของค่าจ้างแรงงานยังมีน้อยมาก ในภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังมีผลน้อยต่อการจ้างงาน ซึ่งสำคัญต่อการสร้างอำนาจซื้อในระบบเศรษฐกิจและต่อยอดการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ต่ำที่ 2 คือ อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก สะท้อนถึงความต้องการใช้จ่ายในเศรษฐกิจโลก ที่โดยพื้นฐานแล้วยังอ่อนแอ เมื่อเทียบกับศักยภาพการผลิตที่เศรษฐกิจโลกมีอยู่ เมื่อความต้องการใช้จ่ายยังอ่อนแอ ก็จะเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ต่ำที่ 3 คือ อัตราดอกเบี้ย ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำแสดงว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจยังไม่นำไปสู่การฟื้นตัวของการลงทุนของภาคธุรกิจ ทำให้สภาพคล่องยังมีมาก เพราะนักธุรกิจยังไม่ลงทุน จึงไม่กดดันให้ต้นทุนการเงินปรับสูงขึ้น สภาพคล่องที่มีอยู่ได้ถูกนำไปลงทุนในตราสารทางการเงินแทน ตลาดการเงินจึงคึกคักมาก นี่คือ ภาวะสามต่ำที่ชี้ว่าปัจจัยพื้นฐานของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกขณะนี้ยังไม่เข้มแข็ง
ข้อกังวลที่ 2 คือ ความเปราะบางด้านการเงินที่มากับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้น อาจสร้างความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินให้กับเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป ความเปราะบางนี้ปรากฏเห็นชัดเจนจากปริมาณหนี้ที่ได้ขยายตัวสูงขึ้นมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งหนี้ของภาครัฐ บริษัทธุรกิจ และครัวเรือน ประมาณว่าเฉพาะหนี้ในกลุ่มประเทศ G20 ปริมาณหนี้ได้เพิ่มสูงมากกว่า 135 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 235% ของรายได้ประชาชาติของกลุ่ม
ปริมาณหนี้ที่สูงมากนี้อาจสร้างปัญหาผิดนัดชำระหนี้ได้ง่าย ถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้สภาพคล่องที่มากและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ก็ทำให้นักลงทุนยิ่งกล้าเสี่ยงมากขึ้น ผลักดันให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกปรับสูงขึ้น แม้จะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ขาดสภาพคล่อง ซึ่งปกติจะไม่น่าลงทุน ก็มีการลงทุนเพราะต้องการผลตอบแทนที่สูง
ทั้งหมดจึงชี้ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะความเสี่ยงทางเสถียรภาพการเงินในระดับสูงขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟองสบู่แตก เมื่อตลาดพลิกกลับ หรืออัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นชนวนนำไปสู่การปรับตัวรุนแรงของตลาดการเงิน และกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจ นี่คือข้อกังวลที่ 2
ข้อกังวลที่ 3 คือ ความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์การเมือง ที่นับวันจะสร้างความไม่แน่นอนต่อนโยบายเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้า ที่อาจทำให้การฟื้นตัวของการค้าโลกที่กำลังเกิดขึ้นอาจมีข้อจำกัด และกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
ความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้นจากการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ ก็จะทำให้การทำธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น ผลักดันให้การลงทุนต่างๆ อาจชะลอหรือไม่ก็ถูกเลื่อน จึงไม่สร้างโมเมนตัมที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็น
ความน่าห่วงของข้อกังวลทั้ง 3 ข้อนี้คงจะชัดเจนมากขึ้นในปีหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้ทั้ง 3 ข้อเป็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจโลกที่เห็น และควรต้องระวัง เพราะอาจทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอยู่นี้มีข้อจำกัดและอาจไม่ต่อเนื่อง เป็นประเด็นที่นักลงทุนควรตระหนักและรับรู้ไว้ท่ามกลางข่าวดีต่างๆ ที่กำลังออกมา
เมื่อ: 2017-12-04T15:10:21+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ขอถามเกี่ยวกับ warrant หน่อยครับ
namelessky: โดยปกติ ราคา warrant + ราคาใช้สิทธิ = ราคาหุ้นแม่ ใช่มั๊ยครับ
ผมก็ไปดูในตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ราคา warrant กับ ราคาหุ้นแม่ มันก็เป็นไปตามนั้น อาจจะมีบ้างที่มีความแตกต่างของราคา
แต่ก็แตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คราวนี้ผมเจอหุ้นอยู่ 2 ตัว ซึ่งขัดกับทฤษฎีนี้อย่างชัดเจน
ตัวแรก gjs ตัวนี้ ราคา warrant ราคาแพงกว่า ตัวแม่ซะอีก
ตัวที่2 rojna ตัวนี้ ราคาลูกบวกราคาแปลงสิทธิ ถูกกว่าราคาแม่เกือบ 10 เปอเซนต์
คราวนี้ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหุ้น 2 ตัวนี้ครับ หรือว่าเป็นเพราะ ตลาดกำลังอยู่ในสภาวะที่ไม่มีเหตุผล
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2013-01-27T10:10:57+00:00
leky: ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายครับ เพราะขึ้นกับความพอใจ เวลา W จะเข้าตลาดเค้าจะคิดราคาที่เหมาะสมเอาไว้ แต่เอาเข้าจริงมันก็ขึ้นกับความอยากซื้ออยากขายของนลท.ในตลาด
ส่วนใหญ่ราคาใช้สิทธิ์บวกราคา W มักจะแพงกว่าหุ้นแม่มากบ้างน้อยบ้าง เรียกว่าค่าพรีเมี่ยมเป็นบวก แต่ที่ติดลบจะมีน้อยกว่า ยิ่งติดลบมาก ๆ ยิ่งหายาก เอาเข้าจริง ๆ ยิ่งใกล้ถึงเวลาแปลง ถ้ายังติดลบมาก ๆ คนก็อาจจะอยากซื้อ W มาแปลงเป็นแม่เพื่อกินส่วนต่าง สุดท้ายค่าพรีเมี่ยมที่เป็นลบมาก ๆ ก็จะลบน้อยลงครับ
เมื่อ: 2013-01-27T15:05:12+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ไม่เข้าใจการคำนวณระยะเวลาจ่ายหนี้ของ Tpac
sathaporne: รบกวนขอถามหน่อยครับ คือผมไม่เข้าใจว่าเขาคำนวณยังไงครับ
เพราะมันไม่เห็นตรงกับที่ผมคำนวณเลยครับ
คือจาก annual report ปี2550 ของTpac
- ระยะเวลาชำระหนี้เฉลี่ย 77 วัน
แต่จากงบการเงินปี50
- เจ้าหนี้การค้า -- 113.019 ล้านบาท
- ต้นทุนขาย -- 691.902 ล้าบาท
มันใช่คำนวณแบบนี้ไหมครับ:
(เจ้าหนี้การค้าx360วัน)/ต้นทุนขาย
(113.019x360)/691.902 = 58.80 วัน
ผมเข้าใจอะไรผิดไหมครับ
เมื่อ: 2008-05-18T05:46:41+00:00
mario: ผมคิดได้ประมาณนี้ครับ
ขายเชื่อสุทธิ= 847.63 ลบ. (ไม่รวมรายได้อื่น)
ลูกหนี้เฉลี่ย = (160.44+199.37)/2 = 179.90 ลบ. (เฉลี่ยปลายงวดปี 49-50)
ระยะเวลาเฉลี่ยการเก็บหนี้ = 360/(ขายเชื่อสุทธิ/ลูกหนี้เฉลี่ย)
= 360/(847.63/179.90)
= 76.41 วัน (ใกล้เคียง 77 วัน)
เมื่อ: 2008-05-18T11:12:18+00:00
noooon010: [quote="mario"]ผมคิดได้ประมาณนี้ครับ
ขายเชื่อสุทธิ= 847.63 ลบ. (ไม่รวมรายได้อื่น)
ลูกหนี้เฉลี่ย = (160.44+199.37)/2
เมื่อ: 2008-05-18T15:49:13+00:00
sathaporne: ขอบคุณมากครับคุณ mario
เมื่อ: 2008-05-18T23:28:08+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
**
LOSO: **
เมื่อ: 2003-08-02T14:02:53+00:00
Jeng: LOSO พี่ว่า LOSO มาคุยกันที่นี่ดีกว่านะครับ ไม่มีคำพูดเสียดสี มีแต่คำพูดไพเราะเพราะพริ้ง
แล้วถ้ามีหุ้นเด็ดอะไรก็ค่อยไปส่งที่โน่น นานๆไปทีหนึ่ง คนเขาจะได้คิดถึง แต่ปกติอยู่ที่นี่ดีกว่าครับ
เมื่อ: 2003-08-02T14:29:10+00:00
Jeng: อีกอย่าง LOSO ก็ไม่ใช่เหล็กๆ โตแล้ว รวยและสำเร็จด้วย ทำไมต้องไปอยู่ในสถานที่ที่เขาตำหนิติเตียน ความดีงามของเราได้ นานๆ ค่อยไป อยู่ที่นี่เป็นรุ่นพี่ให้กับนักลงทุนรุ้นน้องรีกว่า นะ
เมื่อ: 2003-08-02T14:39:59+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ผลการดำเนินงานบริษัทไหนทำคุณผิดคาดมากที่สุด
zolomon: สำหรับผม ยกให้ตัวนึ่ง ... bat-3k .... ไม่คิดว่ามันจะออกมาน้อยขนาดนี้
เมื่อ: 2006-08-16T09:45:26+00:00
nanchan: ผิดหวังด้วยคน bat-3k นึกว่าจะมีหุ้นให้ซื้อเพิ่ม เสียดาย เสียดาย
รอดูไตรมาสถัดไปแล้วกัน
เมื่อ: 2006-08-16T09:48:45+00:00
tong78: BAT-3K เหมือนกันครับ
เมื่อ: 2006-08-16T10:34:11+00:00
Mr. Big: ไม่มีนะครับ แต่ surprise งบ CAWOW เพราะว่าผิดคาด asia plus เยอะมากครับ
เมื่อ: 2006-08-16T10:37:38+00:00
sirivajj: Cawow ครับ แอบลุ้นว่า รายได้จะวิ่งไล่ค่าเสื่อมได้
ที่ไหนได้ แป่ว ..........
เมื่อ: 2006-08-16T11:08:21+00:00
KwanG: Big c กับ TSC ค่ะ
เมื่อ: 2006-08-16T12:28:16+00:00
lekmak333: LANNA , GMMM
เมื่อ: 2006-08-16T12:39:07+00:00
nowkung: HT
เมื่อ: 2006-08-16T13:00:27+00:00
artvr4: STEC ครับ
เมื่อ: 2006-08-16T13:11:28+00:00
น้ำครึ่งแก้ว: Metro System Crop. ครับ ผิดหวังมั่กๆ
Amata ผิดหวัง นิดๆ ครับ
เมื่อ: 2006-08-16T13:14:36+00:00
miracle: ของผมTRUBB
เนื่องจากผิดคาดจากราคายางพารามากๆๆ
เล่นเอาการขายสินทรัพย์เลิกกิจการมาคิด
ทำให้คาดการณ์ยาก
แต่แนวโน้มเพิ่ม
เมื่อ: 2006-08-16T15:41:35+00:00
007-s: เจอแบตตีหัวโนด้วยคน :'O โทษตัวเอง ไม่คาดให้ดีๆเอง
เมื่อ: 2006-08-16T15:45:05+00:00
san: ผมเองก็ bat3K แบนแต๊ดแต๋เป็นกล้วยปิ้ง
อีกตัว ก็ spsu มันขายรถยังไงหว่า ขาดทุน
เมื่อ: 2006-08-16T16:58:20+00:00
กระทิงแดง: หึ หึ หึ BAT-3K ซิครับ
เมื่อ: 2006-08-16T17:02:25+00:00
BHT: ถ้าเป็นตัวที่ตามอยู่ ก็ไม่แปลกใจครับ ตามคาดหมาย
เมื่อ: 2006-08-16T18:33:24+00:00
2 dogs: TLUXE ครับนึกว่าจะจมธรณีไปแล้วจากเรื่องต้นทุนเพิ่ม
พลิกทำกำไรได้เท่านี้ก็ดีมากๆแล้วครับตามความเห็นผม
อีกตัวที่ดูไว้แต่ผิดหวังเล็กๆก็ CAWOW
Grammy ก็อีกตัวที่นึกว่าจะถึงฆาตแล้วแต่ออกมาก็ไม่เน่าเกินไปนัก
เมื่อ: 2006-08-16T19:49:29+00:00
Viewtiful Investor: ขอร่วมสมาคมคนโดนไฟ BAT ดูดๆๆด้วยครับ อบอุ่นใจไม่โดนคนเดียว T-T
ตกข่าวเรื่องภาษี 5.5 >> 11 เลยโดนดีซะเลย
ผมคงต้อง Proactive กว่านี้ ไม่งั้นใช้ Focus Port แล้วไม่แม่นพอ
เมื่อ: 2006-08-17T00:27:52+00:00
ปรัชญา: [quote="น้ำครึ่งแก้ว"]Metro
เมื่อ: 2006-08-17T01:11:13+00:00
Saran: FANCY ครับ อึ้งมาก ไม่คิดว่าจะขาดทุนขนาดนี้ ถึงจะขายตัวนี้ไปนานแล้วก็เถอะ
เมื่อ: 2006-08-17T03:20:32+00:00
วัวแดง: bat ขวัญใจคนเดิม
ต้นทุนเพิ่มขึ้นมากจริงๆ ถึงแม้รายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ทัน ต้นทุน
ผมคงจะได้ซื้อซะที
เมื่อ: 2006-08-17T03:24:00+00:00
sunrise: Cawow, SSC ครับ
นึกว่า รายได้จะโตกว่าทุน แต่ไม่เห็นมันโตอย่างหวังเลย :oops:
เมื่อ: 2006-08-17T03:36:51+00:00
mr.bean: ของผมขอเป็น
PG นะครับ
ยอดขายชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
จะมีหุ้นจากการเพิ่มทุนเข้ามาอีก
คงต้องเป็นนักลงทุนระยะยาวๆ
2-3 ปี แงมๆ
เมื่อ: 2006-08-17T03:39:20+00:00
วัวแดง: หุ้นที่กำไรตก เป็นหุ้นที่เกี่ยวกับการผลิตทั้งสิ้น
หรือว่าผู้ผลิต ตายก่อน ผู้ขาย
เมื่อ: 2006-08-17T03:41:45+00:00
goldendream26: tmd ครับ เห็นภาวะเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ก็ยังกำไรเพิ่มขึ้นได้ ไม่ได้ซื้อเพิ่มตอนมันลงหนักๆ ซะด้วย ก็กำลังหาจังหวะซื้ออีกหน่อย เงินน้อยนิด ใจก็ไม่ถึงอดซื้อของถูกเลย
เมื่อ: 2006-08-17T03:41:51+00:00
rungtiwa: โดน bat-3k ช๊อตเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ตัวดำปี๋เลย แต่ราคาก็ลงมาลึกมากแล้วนี่ ว่าจะซื้อแบตสำรองอีกสักก้อน หวังว่าคงไม่โดนช๊อตอีกนะ
เมื่อ: 2006-08-17T04:02:07+00:00
bigshow: hmpro ครับ นึกว่า ศ.ก ไม่ดี คนจะซื้อน้อยลง กำไรดันโตได้
เมื่อไหร่จะได้ซื้อถูกๆละเนี่ย
เมื่อ: 2006-08-17T15:31:19+00:00
tanate: FANCY ครับ ลงอย่างเดียว
เมื่อ: 2006-08-17T15:44:25+00:00
Linzhi: ทำไม BAT เยอะจังครับ ? สงสัยว่าทำไมใจตรงกันจังครับ
(กลัวตกข่าว) :lol:
เมื่อ: 2006-08-18T10:33:51+00:00
Demigod: CM ครับ เสียดายที่ซื้อน้อยไป
เมื่อ: 2006-08-18T18:11:06+00:00
มดง่าม: ิbat3k
นอกจากผลประกอบการไม่ดีแล้ว
ฝ่ายบริหารยังมั่ว ยังอ้างตะกั่วแพงอยู่ได้ ไง
เมื่อ: 2006-08-19T23:09:16+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ฝนตกแล้วๆ
yoyo:
จาก post today
ฝนหลวงวันแรกตกคุลม 10 จังหวัดเว้นใต้เครื่องบินเจ็งรอซ่อมอีก 7 วัน
ขอให้มีน้ำกินน้ำใช้กันถ้วนหน้านะครับชาวไทย
ปล. นายตัน ประธารกรรมการบริษัทโออิชิบริจาค 10 ล้านเพื่อช่วยเหลืองานด้านภัยแล้ง ... (คืนกำไรให้สังคม .. น่านับถือๆ) 8)
เมื่อ: 2005-03-23T02:09:44+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
สอบถามการคำนวณ FCF ครับ
kornjackrit: ผมมีคำถามรบกวนถามผู้รู้ทุกท่านหน่อยนะครับ
- CAPEX ของบริษัทหาได้จากกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุนได้หรือไม่ ?
- ในกรณีที่ FCF ของบริษัทไม่คงที่หรือผันผวนเกิน 15% ในแต่ละปี สามารถบอกได้หรือไม่ว่าบริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ผันผวน ?
ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2010-04-24T08:46:04+00:00
picklife: http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=41427
ลองอ่านลิ้งนี้นะครับผมก็ไม่เชี่ยว อิอิ
เมื่อ: 2010-04-29T02:38:35+00:00
sphere: ข้อ1capexผมใช้ในกิจกรรมการลงทุนครับ พวกรายการซื้อสินทรัพย์ถาวรทั้งหลาย ถ้าหาจากกระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุนผมเกรงว่าน่าจะเกิดการคลาดเคลื่อนได้นะครับ
ข้อ2ผมเข้าใจว่าต้องดูว่าบริษัทเองเงินไปทำอะไรครับ แต่ถ้ามองคร่าวๆก็อาจจะนับว่าผันผวนก็ได้
เมื่อ: 2010-05-04T09:28:01+00:00
j21: [quote="kornjackrit"]ผมมีคำถามรบกวนถามผู้รู้ทุกท่านหน่อยนะครับ
เมื่อ: 2010-05-09T10:47:40+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ตัว hmpro ราคา 5.70 พอไหวมั๊ย
เจบีเดล: เป็นมือไหม่มาก แต่อยากลงทุนในหุ้นแล้วถือยาวราคานี้พี่คิคว่ายังพอรับได้มั้ย
เมื่อ: 2010-03-31T09:42:40+00:00
vipantae: HMPRO บวก 12.73% หลังพบลือ SCC เล็งเทคฯ
หุ้น HMPRO ปิดตลาดวิ่งขึ้น 12.73% มาอยู่ที่ 6.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 135.53 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 5.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 6.20 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 5.50 บาท
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า เช้านี้หุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO)ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาว่าบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)กำลังพิจารณาที่จะ เข้าเทคโอเวอร์เพื่อนำไปรวมกิจการกับ"ซีเมนต์ไทย โฮมมาร์ท"
อย่างไรก็ตาม นายณัฏฐ์ จริตชนะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มการตลาด HMPRO กล่าวว่า ยังไม่ทราบข่าวลือที่ว่ากลุ่ม SCC สนใจจะเข้าเทคโอเวอร์บริษัท ส่วนราคาหุ้น HMPRO ปรับขึ้นวันนี้จะมาจากข่าวดังกล่าวหรือไม่นั้น เท่าที่ทราบก็ยังไม่มีเรื่องนี้
"ยังไม่ทราบ ไม่มีข่าวแบบนี้"นายณัฏฐ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH)กล่าวว่า LH ถือหุ้นใน HMPRO สัดส่วนประมาณ 30% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครเข้ามาเจรจาเพื่อขอซื้อกิจการ HMPRO โดยหากจะขายจริง ๆ ก็สามารถขายในตลาดฯได้ แต่ตอนนี้คงไม่เห็นเพราะการถือหุ้น HMPRO ยังได้ผลตอบแทนที่ดี และธุรกิจยังไปได้ ซึ่งบริษัทยังต้องการถือลงทุนในระยะยาว
สำหรับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นการคาดเดาจากกรณีที่กลุ่ม LH ขายหุ้นบมจ.ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์(Q-CON)ให้กับเครือบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) แต่สำหรับหุ้น HMPRO มีความแตกต่างกัน เพราะ HMPRO เป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี
เมื่อ: 2010-03-31T12:25:57+00:00
soraroz: vipantae เขียน:HMPRO บวก 12.73% หลังพบลือ SCC เล็งเทคฯ
หุ้น HMPRO ปิดตลาดวิ่งขึ้น 12.73% มาอยู่ที่ 6.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 135.53 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 5.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 6.20 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 5.50 บาท
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า เช้านี้หุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO)ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาว่าบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)กำลังพิจารณาที่จะ เข้าเทคโอเวอร์เพื่อนำไปรวมกิจการกับ"ซีเมนต์ไทย โฮมมาร์ท"
อย่างไรก็ตาม นายณัฏฐ์ จริตชนะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มการตลาด HMPRO กล่าวว่า ยังไม่ทราบข่าวลือที่ว่ากลุ่ม SCC สนใจจะเข้าเทคโอเวอร์บริษัท ส่วนราคาหุ้น HMPRO ปรับขึ้นวันนี้จะมาจากข่าวดังกล่าวหรือไม่นั้น เท่าที่ทราบก็ยังไม่มีเรื่องนี้
"ยังไม่ทราบ ไม่มีข่าวแบบนี้"นายณัฏฐ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH)กล่าวว่า LH ถือหุ้นใน HMPRO สัดส่วนประมาณ 30% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครเข้ามาเจรจาเพื่อขอซื้อกิจการ HMPRO โดยหากจะขายจริง ๆ ก็สามารถขายในตลาดฯได้ แต่ตอนนี้คงไม่เห็นเพราะการถือหุ้น HMPRO ยังได้ผลตอบแทนที่ดี และธุรกิจยังไปได้ ซึ่งบริษัทยังต้องการถือลงทุนในระยะยาว
สำหรับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นการคาดเดาจากกรณีที่กลุ่ม LH ขายหุ้นบมจ.ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์(Q-CON)ให้กับเครือบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) แต่สำหรับหุ้น HMPRO มีความแตกต่างกัน เพราะ HMPRO เป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี
เอ อันนี้ข่าวไม่ใช่วันนี้รึเปล่าครับ เหมือนว่าวันนี้จะปิดที่ 5.75 นะครับ
เมื่อ: 2010-03-31T12:40:08+00:00
vivitawin: เจบีเดล เขียน:เป็นมือไหม่มาก แต่อยากลงทุนในหุ้นแล้วถือยาวราคานี้พี่คิคว่ายังพอรับได้มั้ย
Don't forget MOS (Margin of safety) please.. :D
เมื่อ: 2010-03-31T12:47:44+00:00
merman: แปลกครับ คนชอบสนใจหุ้นตอนตลาดมันขึ้น ทั้งๆที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ตอนมันถูกๆไม่มีใครถามเลยว่า ถูกไหม :?
เมื่อ: 2010-03-31T13:50:29+00:00
Nikkei kung: ดีนะที่เก็บทันก่อนมันจะขึ้น
เมื่อ: 2010-04-01T16:07:45+00:00
soraroz: คิดว่าคงได้คำตอบแล้วล่ะครับ
จริงๆ ไม่มีใครบอกว่าเหมาะสมหรือไม่ได้นะครับ
เพราะถ้่าเค้่าบอกว่า ซื้อเลย แล้วถ้าพรุ่งนี้มันราคาเหลือ 1 บาท เราจะโทษเค้าได้เหรอครับ
เมื่อ: 2010-04-01T16:14:07+00:00
หยำฉ่า: hmpro ราคา 5.70 บาท ถ้าถามผมว่าซื้อได้ไหม คำตอบคือซื้อได้ แต่กำไรไหม คำตอบคือไม่รู้ครับ การซื้อหุ้น 1 ตัว นอกหุ้นจะเป็นหุ้นที่ดีแล้ว ราคาที่ซื้อต้องเหมาะสมด้วยครับ คำว่าเหมาะสมนั้นอาจจำเป็นต้องถูกมากๆสำหรับหุ้นแบบหนึ่ง และอาจยอมซื้อที่ราคาสูงหน่อยกับหุ้นอีกแบบหนึ่ง ราคานี้ถ้าคิดแบบ p/e ratio ก็เกือบ 20 เท่าแล้ว ถามว่ามีสิทธิ์ขึ้นไปเป็น 30 เท่าได้ไหม คำตอบคือได้ แล้วลดเหลือ 10เท่าได้ไหม คำตอบคือได้เช่นกัน ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะซื้อในราคานี้ ถามตัวเองดังนี้ก่อนครับ
1. รับได้ไหมถ้าราคาลงมา
2.ตั้งใจถือนานแค่ไหน 1 ปี 5ปี 10ปี
3.ถ้าไม่ซื้อแล้วหุ้นขึ้นไปจะทำยังไง
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนชอบของถูก หรืออย่างน้อยต้องคุ้มค่า หุ้นที่ผมซื้อส่วนใหญ่ถือนานพอสมควร ดังนั้นถ้าราคาลงมา ผมรับได้ และไม่ค่อยไปมองมัน เช่นเดียวกัน ถ้าหุ้นนั้นผมไม่ซื้อแต่ขึ้นไปมากขึ้น ผมก็ไม่มองมันเช่นกันเพราะถือว่าแพงเกินไป
ถ้าเป็นมือใหม่มากๆ อยากให้เล่นแบบเซฟมากๆมากกว่าลุยทุกอย่าง สำหรับผมตกรถแค่ฟกช้ำ แต่ตกดอยอาจถึงตายได้ครับ
เมื่อ: 2010-04-03T09:54:29+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
กองทุนสนามบินสมุย
angore: ช่วยวิเคราะกองทุนนี้ที่เข้ามาเหรดในตลาดหน่อยคับว่าน่าสนใจไหม
เมื่อ: 2007-02-27T04:33:51+00:00
qingwen: แค่ข่าวรัฐจะสร้างสนามบินบนเกาะสมุย ผมก็กลัวแล้ว
เมื่อ: 2007-02-27T06:11:54+00:00
boonprak: บินไปลงสมุยมี Margin สูงสุดในประเทศแล้ว จ้า สนามบินผูกขาดโดยเอกชนรายเดียว คือ บางกอกแอร์เวย์... ไม่ยักกะอยู่ในตลาดหุ้น ฮิ :x
เมื่อ: 2007-02-27T12:43:10+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ช่วยด้วยครับ เรื่อง หุ้น epco ครับ
shogun_law: เรื่อง หุ้น epco ครับ ทำไม เมือเดือนที่แล้ว epco ประกาศลดทุน 3หุ้นเดิม เหลือ 1หุ้น ในราคาพาร์1 บาท ..............
เดือนที่แล้วก่อนห้ามซื้อขาย ราคา 0.79
วันนี้ พุ่ง หลังอนุญาติให้ซือขาย 2.20..........+178%
สงสัยว่าทำไมมันเพิ่มไวแบบนี้ครับ...........หุ้นตัวอื่นที่ประกาศลดทุนก็ไม่เห็นขึ้นเยอะเลย (ไม่แน่ใจ)..........
มีเหตุผลอะไรที่เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ครับ......หรือว่า ลดทุนแล้วหุ้นถูกกว่าพื้นฐานที่แท้จริง หรือป่าวครับ
ผู้รู้รายละเอียดโปรดช่วยไขความกระจ่างให้ด้วยนะครับ
เมื่อ: 2007-11-26T18:05:58+00:00
Can do: 3 หุุ้นเดิมเหลือ 1 หุ้น
คนที่ถือ 3,000 หุ้นที่ราคาหุ้นละ 0.79 บาท จะ = 2,370 บาท ตอนก็จะเหลือ 1,000หุ้น ที่ราคา 2.20 บาท จะ= 2,200 บาท
จริงๆแล้วมูลค่าน้อยลงครับ
เมื่อ: 2007-11-26T23:29:42+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ึ7 เทคโนโลยีเทรนด์ ในปี 2014
คนขายของ: ผมได้อ่านบทความใน website MOTLEY FOOL เกี่ยวกับเรื่อง Technology Trend ในปี 2014 เห็นว่าน่าสนใจ เลยขอแปลมาให้ดูกันคร่าวๆ 7 หัวข้อดังนี้ครับ
1) ยอดขาย Mobile Phone และ Tablet ยังคงเติบโตต่อไป และยอดการใช้ Data จะยังคงเติบโตในอัตราที่สูงโดยประเมินว่า ในช่วงปี 2013-2018 ยอดการใช้ data จะสูงขึ้น 6.3 เท่า
2) เหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจ Social Network จะออก IPO มากขึ้น
3) อุปกรณ์ประเภท Wearable เช่น Google Glass, Samsung Watch จะมีการพัฒนายิ่งขึ้นตามลำดับ
4) จะมีอุปกรณือีกหลากหลายที่สามารถเชื่อมต่อกับ Internet ได้
5) เทคโนโลยี Bluetooth ที่ถูกคิดค้นมาเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วโดย Ericsson จะถูกพัฒนาให้ดีขึ้น
6) รถยนต์ของคุณจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก Digital ไม่ว่าจะเป็น รถไร้คนขับ รถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องรับสัญญาณ 4G (LTE) มาจากผู้ผลิต ตอนนี้ทั้ง Apple และ Google
กำลังแข่งพัฒนา “operating system” สำหรับรถยนต์
7) ในปี 2013 เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นยอดผู้สมัคร TV แบบบอกรับสมาชิก ลดลง ในขณะที่คู่แข่งที่สำคัญพวก Streaming Service อย่าง Netflix ได้รับความนิยมมากขึ้น
หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
เมื่อ: 2014-01-21T03:08:04+00:00
MaiFuen: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2014-01-21T04:33:47+00:00
kissme: ขอบคุณพี่คนขายของครับ เห็นด้วยกับบทความนี้อย่างยิ่งครับ
เทคโนโลยีตอนนี้แรงจริงๆ เป็น trend อย่างแท้จริง สำคัญมาก ๆ
โดยเฉพาะบ้านเรา facebook เป็นแหล่งข่าวสารที่สำคัญมากๆ
การเมืองบ้านเรานี่ชัดเจน facebook และ line กลายเป็นหัวใจสำคัญ ของทุกฝ่าย
ผมนึกไม่ถึงเหมือนกัน คนอายุ 50 ซึ่งไม่น่าจะสนใจเทคโนโลยี และคงไม่ศึกษา
หลายคนใช้ smart phone เป็น
และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ปากต่อปาก ของสังคม สว
เล่น facebook line กันสนุกสนาน
น่าสนใจมากครับเทรนนี้
เมื่อ: 2014-01-21T05:20:54+00:00
teevalue: ขอบคุณมากครับพี่ชาย
เมื่อ: 2014-01-21T07:01:55+00:00
arica: ขอบคุณครับ ขออนุญาต เครดิตพี่ ส่งข้อความอ่านต่อไป นะครับ
เมื่อ: 2014-01-21T07:34:27+00:00
ReRedrum: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2014-01-21T10:28:58+00:00
theenuch: ขอบคุณมากค่ะ
เมื่อ: 2014-01-22T15:47:45+00:00
ลูกหิน: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2014-01-22T23:59:13+00:00
sirkarros: ขอบคุณมากครับ ส่วนตัวมองว่าเป็นเทรนด์ที่มาแน่ในปีนี้
เมื่อ: 2014-01-23T17:30:04+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Metco น่าซื้อ
Jeng: metco
36 37 38 39 40 41 42 43 44 45
กำไรต่อหุ้น
3.54 15.09 10.26 5.61 -10.58 26.93 13.47 15.75 23.55 30.97
ยอดขาย
2,932 4,253 4,838 4,499 4,807 6,682 6,161 7,587 10,718 11,380
หนี้สิน
1,271 1,769 2,761 2,465 3,142 2,553 2,416 3,064 3,203 3,343
ทุนเท่าเดิมตลอด 220 ล้านบาท พาร์ 10 บาท 22 ล้านหุ้น มาตั้งแต่ ปี 36
ยอดเยี่ยมครับ ดูคร่าวๆ เขาทำอะไรของเขานะ
โตต่อปีจาก 36 ถึง 45 เท่ากับมี EPS โต 27.25 เปอร์เซ็นต์ ตลอด 9 ปี
อืม ไม่ธรรมดาจริง
แต่ถ้าเป็นผม ผมจะดูจากยอดขายที่โตขึ้น จาก 2,932 เป็น 11,380 ซึ่งมีอัตราการเติบโต 16.26 เปอร์เซ็นต์ ตลอด 9 ปี ซึ่งถือว่าสูงมากครับ เพื่อให้เข้าหลักคอนเซอเวทีฟไว้ก่อน
ถ้า EPS ปัจจุบันเท่ากับ 30.97 แล้วโตเท่ากับ 16.26 อีก 10 ปีข้างหน้า EPS เท่ากับ 139.72
สมมุติ P/E เท่ากับ 10 แล้วกัน ราคาในอนาคตเท่ากับ 1397.20
เราต้องซื้อในปัจจุบันที่ราคาเท่าไรเพื่อที่เราจะได้กำไร 20 เปอร์เซ็นต์ทบต้น
คำตอบคือต้องซื้อต่ำกว่า 225.66 ครับ
ปัจจุบันราคา 224 ก็แปลว่าซื้อเพิ่มได้ครับ
กำไร 9 เดือน 46 เท่ากับ 29.44
ถ้าไตรมาส 4 ที่จะประกาศทำกำไรได้เท่าเดิมคือ 10.76
ผลคือกำไรทั้งปีเท่ากับ 29.44 + 10.76 เท่ากับ 40.20
ปีที่แล้วกำไร 30.97 ปันผล 10 บาท คิดแล้วประมาณ 32.28 เปอร์เซ็นต์
ปีนี้กำไร 40.20 ปันผลเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าเดิมแล้วกัน ซักประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 12.06 บาท
ถ้าซ์อราคา 224 แล้วได้ปันผล 12 บาท
ก็จะได้ปันผลเท่ากับ 5.35 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องรอ 1 ปี
เพราะเขาทำผลประกอบการมาเรียบร้อยแล้ว 1 ปี สิ้นสุดเดือน 9 แต่ยังไม่ได้ประกาศเท่านั้นเอง
ปีที่แล้วประกาศจ่ายปันผลประมาณเดือน 11 แล้ว ไปรับปันผลเดอาเดือน 2 ครับ
ราคาตอนนี้ ถ้าลงมาอีก ก็ซื้อเพิ่ม เช่น 220 ซื้อ 1X 200 ซื้ออีก 2X 180 ซื้อ 4X
พูดถึงราคาปัจจุบัน ประมาณ 220 ถ้าได้กำไรต่อหุ้น 40 แต่ไม่โตเลย เอาแค่นี้ทุกปีเลย ก็เท่ากับได้กำไร 18.18 เปอร์เซ็นต์ โห
ผมวิเคราะห์แบบนี้ ดูเพียงตัวเลข ไม่ได้คาดการณ์อนาคต ไม่รู้ข้อมูลวงใน ไม่ได้อ่าน 56-1
มีอะไรผิดพลาด ได้โปรดตำหนิตัวเองนะครับ
เพราะผมไม่มีเงินซื้อแล้ว
เพียงแค่มือคัน ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยวิเคราะห์เอามันส์ครับ
เมื่อ: 2003-10-07T09:39:55+00:00
Jeng: ผมขอออกความเห็นนะครับพี่ Jeng ผมว่า Metco น่าสนใจตามที่พี่ว่า แต่ผมว่าต้องระวังตรงที่ Metco ผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีนะครับ นั่นคือ ต้องมีการคิดค้นพัฒนาสินค้าตลอดเวลา ปัญหาคือหาก คิดค้นได้ช้ากว่าคู่แข่งก็เสียเปรียบคู่แข่ง แต่หากสามารถคิดค้นได้ก่อนคู่แข่งก็จะสามารถกอบโกยกำไรได้มาก เช่น ไตรมาสที่1 ปีนี้ แต่หลังจากนั้นกำไรก็จะลดลง ตามแนวโน้มเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เป็น เทคโนโลยี นะครับ
ผมว่าตรงนี้เป็นปัญหาสำคัญของกิจการที่ผลิตสินค้า เทคโนโลยี
เมื่อ: 2003-10-07T09:53:58+00:00
Jeng: เห็นด้วยเต็มร้อยเลยครับ น้อง Nash
ท่านอื่นมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง ว่ามาได้เต็มที่เลยครับ บ่อต้องเกรงใจ
เมื่อ: 2003-10-07T09:55:47+00:00
นักดูดาว: สงสัยว่า
1.คู่แข่งของ metco คือใครครับ? ที่มาทำให้กำไรของ metco ลดลง
2. สินค้า metco มีอะไรบ้างครับ ที่โดนผลกระทบของเทคโนโลยี
ที่ถามนี่เพราะแปลกใจนะครับ METCO มี net profit margin น้อย และหวังว่าคงจะไม่โดนผลกระทบจากค่าเงินนะ
เมื่อ: 2003-10-07T10:27:04+00:00
Jeng: มูลค่าการจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ 43 44 45
ชิ้นส่วน VTR และอื่น ๆ 6,164.03 7,025.34 3,903.81
ชิ้นส่วน CRT 1,249.97 1,019.99 1,141.96
ชิ้นส่วนยานยนต์ 0.00 2,518.67 6,117.59
รวมในประเทศ
และต่างประเทศ 7,414.00 10,564.00 11,163.36
เมื่อ ปี 43 ยังไม่มีรายได้ชิ้นส่วนยานยนต์ พอปี 45 มีรายได้ ชิ้นส่วนยานยนต์ มากว่าก 50 % ของรายได้รวม
เอแบบนี้เรียกพื้นฐานน่าจะเปลี่ยนแล้วนะครับ
แต่ดูๆแล้วเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ
คงไม่ใช่สินค้าแนวเดิม เพราะ VTR ยอดขายลดลงไปเรื่อยๆ จาก 6 พันล้านบาท เหลือ 4 พันล้านบาท
เมื่อ: 2003-10-07T10:44:04+00:00
นักดูดาว: ขอบคุณมากครับพี่เจ๋ง ตอบเร็วจริงๆ
ตอนแรกนึกว่าผลิตแต่พวกงานอิเลกทรอนิกส์ ซึ่งไม่น่าจะดีนัก เรื่องเทคโนโลยีคงไม่มากระทบชิ้นส่วนยานยนต์เท่าไหร่ พื้นฐานเปลี่ยนในทางที่ดีครับ
เมื่อ: 2003-10-07T10:54:22+00:00
chatchai: ผม Post ข้อสังเกตในการคำนวณของพี่ในโครงการร้อยคนร้อยหุ้นครับพี่ บังเอิญ copy ไม่เป็นซะด้วย
เมื่อ: 2003-10-07T12:50:33+00:00
Jeng: เป็นข้อสังเกตุที่เหนือชั้นจริงๆ จากคุณฉัตรชัย
โค้ด: เลือกทั้งหมดโพสต์เมื่อ: Tue Oct 07, 2003 7:44 pm หัวข้อ:
--------------------------------------------------------------------------------
พี่เจ๋งครับ พี่วิเคราะห์ ณ.เวลานี้ วิเคราะห์อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ จากปี 2536 ที่ 3.54 บาทต่อหุ้น เป็น 30.97 บาทในปี 2545 คิดเป็นเติบโตปีละ 27.25%
แต่พอปีหน้า งบปี 2546 ออกมาเท่ากับที่พี่ประมาณไว้ที่ 40.20 บาทต่อหุ้น แล้วเรามาคำนวณใหม่ โดยใช้ตัวเลขของปี 2537 แทนคือ 15.09 บาทต่อหุ้น เป็น 40.20 บาทในปี 2546 เราจะได้อัตราการเติบโตเพียง 11.50% เท่านั้นเองครับ และถ้าเราคำนวณกำไรสุทธิในปี 2555 ซึ่งพี่คำนวณได้ที่ 139.72 บาทต่อหุ้น เราจะคำนวณได้เพียง 107.08 บาทต่อหุ้นครับ
ถ้าคิดที่ P/E ที่ 10 เท่า ราคาก็จะเท่ากับ 1070.80 บาท ถ้าต้องการผลตอบแทนที่ 20% เราก็จะควรที่จะซื้อที่ราคาไม่เกิน 172.94 บาทซิครับ ต่างกันเยอะนะ ถ้าซื้อที่ 225.66 บาทละก็จะได้ผลตอบแทนที่ 16.85% ไม่รวมเงินปันผล
เมื่อ: 2003-10-07T13:08:39+00:00
Jeng: >>> คุณฉัตรชัย
มาคิดดูอีกที metco นี่ต้องเรียกว่าพื้นฐานเปลี่ยน เพราะรายได้ในปัจจุบัน มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์มาจากชิ้นส่วนรถยนต์
การนำรายได้ในอดีตมาคำนวณอาจจะใช้ไม่ได้นักใช่หรือไม่ครับ คุณฉัตรชัย
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าได้กำไร 40 ในราคา 220 เท่ากับได้กำไร 40/220 เท่ากับ 18 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดูแล้วก็จูงใจมากเลย
ประกอบกับยอดขายรถยนต์ สูงขึ้น ดอกเบี้ยยังต่ำอยู่
จริงๆแล้วถ้ายอดขายยังติดอยู่กับ VTR นี่ซิน่าเสียวไส้ เพราะของจีนก็มีมากขึ้น และดีขึ้น ในราคาที่ถูกกว่า เข้ามาแย่งตลาดอยู่เรื่อยๆ
แต่เรื่องเทคโนเลยี่ ยังไงก็ไม่เข้าแนววอเรนอยู่แล้ว เพียงแต่ตัวนี้ดูแล้ว เมื่อเทียบกับ Stanlay คุณฉัตรชัยคิดว่าอย่างไรครับ
ในเมื่อStanly ราคาทั้งบริษัท 14328 ล้านบาท ปีนี้น่าจะได้กำไร
458.33 กำไร 6 เดือนแรก คูณสอง เท่ากับ 916.66
แต่ metco ทั้งบริษัท 4972 ล้านบาท ปีนี้น่าจะได้กำไร 880 ล้านบาท
ไหนๆวิเคราะห์กันแล้วก็วิเคราะห์กันต่อไป ใครรู้จริงก็ช่วยด้วยแล้วกัน วิเคราะห์ ห้ามด่า นะครับ ถ้าด่า ผมลบเลย
อิอิ
เมื่อ: 2003-10-07T13:35:41+00:00
ลูกอิสาน2: เรียนพี่เจ๋ง...
ชิ้นส่วนยานยนย์ของ metco คือ cd changer ครับ หรือเครื่องซีดีในรถยนต์นั่นเองครับ ไม่ใช่ชิ้นส่วนยานยนย์นะครับ...
และส่งออกทั้งหมดครับ ไม่ขายในประเทศครับ เนื่องจากสินค้าตัวนี้จะติดตั้งกับรถยนหรูๆ มากกว่า ดังนั้นยอดขายไม่น่าจะสัมพันธ์กับยอดขายรถในประเทศครับและโปรดักซ์ตัวนี้ก็ขาย ให้ลูกค้ารายเดียวครับทำให้อำนาจต่อรองของ metco ต่ำ...
เมื่อ: 2003-10-07T13:46:19+00:00
Jeng: อ้าว เหรอ อืม เพิ่งรู้ เหมือนกัน ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2003-10-07T13:53:44+00:00
champ: cd exchanger ที่ว่านี่
ผมเคยอ่านเจอว่า เป็นของ พานาโซนิคนะครับ
รู้แค่นี้เองครับ น่าจะใส่ในรถตระกูลโตโยต้านะครับ
เมื่อ: 2003-10-07T14:03:20+00:00
champ: metcoต้องก้าวล้ำหน้าจีนกับเกาหลี1ก้าวครับไม่งั้นจะแย่แน่ๆ
เป็นปัญหาของหุ้นเทคโน.ทั้งหลายที่สามารถตามกันทันในระยะเวลาไม่นาน
ทำให้สินค้ามีอายุในตลาดสั้น
และจีนกับเกาหลีมีต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่าทำให้ได้เปรียบ
ดูได้จากประวัติของเค้าที่ใหม่ๆทำหัวอ่านวิดีโอ,หัวอ่านvcd
ซึ่งตอนนี้ตกรุ่นไปแล้ว สู้จีนเกาหลีไม่ได้
ตอนนี้ทำcd changer ขณะนี้ทำกล้องdigital
metcoยังทำได้ค่อนข้างดีในระยะนี้ครับเพราะญี่ปุ่นเค้าแพ็คกันดี
แต่ถ้ามองยาวๆๆๆแล้วนึกไม่ออกว่าเค้าจะทำอะไรต่อ
ที่จะนำหน้าจีนเกาหลี
ถ้าจะถือต้องตามผลงานเค้าตลอด
เมื่อ: 2003-10-07T14:20:16+00:00
champ: ชิ้นส่วนอีเล็คทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ คือ In Dashboard Compact Disc Changers : IDC ครับ
cd exchanger ที่เขียนกันน่าจะเป็น cd changers ที่เป็น
ตู้ใส่ cd หลายๆแผ่นมากกว่านะครับ
เมื่อ: 2003-10-07T14:26:31+00:00
champ: ผมว่าดูลักษณะธุรกิจแล้ว ถือสบายใจสู้หุ้นโคมไฟ stanley ไม่ได้
แต่หุ้นโคมไฟผมก็ซื้อไม่ไหว จะซื้อตั้งแต่ร้อยกว่าบาทแล้ว
ไม่ได้ซื้อสักทีจนกลายเป็นของแพงเกินที่จะรอให้คุ้มที่ลงทุน
เมื่อ: 2003-10-07T14:31:36+00:00
Banchap: ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ งานของ Metco จัดเป็นพวกงานประกอบ เหนื่อยครับ ลูกค้าจะขอลดราคาทุก 3-6 เดือน ขอทีก็ประมาณ 5-10% นานวันเข้าก็ไม่ไหวเหมือนกัน กำไรเฉลี่ยจะไม่มากเท่าไหร่ ลูกค้าพร้อมที่จะเปลี่ยนไปซื้อจากที่อื่นได้เสมอ ยกเว้นว่าเป็นงานที่เขาต้องมาลงทุนเครื่องมือบางส่วนร่วมกัน (อันนี้เปรียบเทียบกับที่ทำงานของผม อยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน)
ถ้าเขายอมให้ทำ Company visit ผมคงบอกรายละเอียดได้มากกว่านี้
เมื่อ: 2003-10-07T22:49:30+00:00
Meeja: ผมว่าลักษณะ METCO คงคล้ายๆ CEI เมื่อก่อนน่ะครับ
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ METCO ญี่ปุ่น
Know-How ก็เอามาจากเขา (ไม่ต้องห่วงเรื่องความไวของ Technology)
วัตถุดิบสำคัญก็ของเขา
ขายก็ขายให้เขา - ตราบใดที่เจ้าของยังเป็น METCO ญี่ปุ่น ไม่มีทางที่จะขายไม่ออกครับ
อย่างไรก็ตาม Margin ก็ต้องต่ำตามเหตุข้างต้นล่ะครับ
ข้อดีที่เห็นของบริษัทคือ ระบบการจัดการภายในครับ
เมื่อก่อนผลิตหัวอ่าน VDO ดีๆ (Analog)
ก็ปรับเป็นหัวอ่าน CD และชุด CD Changer ได้พริบตา (Digital)
ยอดขายอาจเพิ่มยากแล้ว แต่ผมว่าไม่ตก เพราะปรับตัวไว
CD Changer ยี่ห้อมัตชิชิตะ อะไรประมาณเนี้ยครับ
ส่วนที่ต่างจาก STANLY มากๆ ก็คือ พลังการต่อรองกับลูกค้า
STANLY ไม่ต้องง้อใคร และเขาต้องมาง้อด้วย
(ชิ้นส่วนรถยนต์ต้องมีชิ้นส่วนไทย ...% จำไม่ได้ และมีแค่ไทยโคะอิโตะเป็นคู่แข่ง)
(เคยได้ยินมาว่าคุณภาพโคมไฟดีกว่า Toyota ทำเองซะอีก)
METCO ไม่ต้องง้อใครเหมือนกัน แต่ต้องขายให้ญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่
ก็อยู่ที่การให้ราคาล่ะครับ ว่าใครจะให้ P/E เท่าไหร่ในความต่างส่วนนี้
แต่ผมว่า METCO ก็ไม่แพงหรอกครับถ้าเทียบกับฝากเงินธนาคาร
ส่วนตัวผมฝากเงิน CHARAN S&P สบายใจกว่า
เมื่อ: 2003-10-08T06:30:23+00:00
Jeng: อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกดี ได้ความเห็นหลายด้าน หลายมุมมองครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2003-10-08T08:08:47+00:00
Jeng: ดิฉันดีใจมากที่มี web ดีๆ แบบ TVI แต่ก็ต้องขอบคุณพี่ๆ ทางพันธ์ทิพย์ที่ได้แนะนำเวปนี้ ก็เลยตามมาอ่าน เมื่อสองเดือนก่อนดิฉันสนใจจะลงทุนในหุ้น ได้เริ่มอ่านหนังสือของ อ.นิเวศน์ก่อน อ่านกระทู้ในเวปหุ้นย้อนหลังสามเดือน และเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง จดๆ ไว้ในสมุด พอดีเข้าไปดูในโครงการร้อยคนร้อยหุ้น ก็สนใจศึกษาหุ้นที่แนะนำให้ศึกษาหลายตัว ตอนแรกๆ ก็ไม่สนใจ METCO เลย ด้วย Concept ว่าเป็นหุ้นที่ต้องสำรองเงินทุนเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ลองพิมพ์งบการเงิน 30/6/2003 มาศึกษาดู เห็นว่ามีจุดน่าสนใจหลายๆ เรื่อง จึงได้ซื้่อไว้บ้าง ตอนนี้มีแค่ 400 หุ้น ราคาเฉลี่ยที่ 238 วันนี้ปิดที่ 224 port ดิฉันเป็นตัวแดงมาหลายวันแล้ว ตกใจเหมือนกันสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ เพราะเป็นหุ้นที่ติดลบสูงสุดใน port แต่ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนใจเลย เพราะเชื่อในพื้นฐานของหุ้น ก่อนซื้อดิฉันได้วิเคราะห์หุ้นไว้บ้าง แต่ก็มีข้อมูลจาก Thailand Company Handbook แค่ 5 ปี ย้อนหลัง ต้องขอบคุณคุณ Jeng ที่นำข้อมูลมาให้ดูเพิ่ม และวิเคราะห์ให้เสร็จเรียบร้อย ดิฉันขอ share idea เพิ่มเติมในส่วนที่ได้วิเคราห์ไว้เองด้วย ดังนี้ และรบกวนทุกท่านช่วยแนะนำด้วย หากดิฉัีนวิเคราะห์พลาดในบางเรื่อง เพราะเป็นมือใหม่จริงๆ และไม่มีความรู้พื้นฐานด้านบัญชีมาก่อน (ตัวเลขที่ใช้คำนวณเป็นตัวเลขของงบ 30/6/2003 หากใช้ประมาณการ Q4/2003 น่าจะได้ผลการคำนวณที่ดีกว่า) :
1.Revenue > Market Cap
2.กำไรสุทธิ ต่อราคา (13%) สูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตร (6.5%)
3.Div Yield (4.20%) มีค่าประมาณ 2 ใน 3 ของพันธบัตร (6.5%)
4.หนี้สินทั้งหมดต่อหุ้น (134) ต่ำกว่า Book Value (161)
5.อัตราเงินทุนหมุนเวียน (ทรัพย์สินหมุนเวียน>หนี้สินหมุนเวียน) = 1.5 เท่า
6.หนี้สินหมุนเวียน ต่ำกว่า เงินสด+ลูกหนี้การค้า (ไม่รวม inventory)
7. ROA สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
8. ROE มีอัตราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
9. กำไรสะสมสูงถึง 50% ของ Market Cap.
ด้านการผลิตและการตลาด จากที่อ่านจาก 56-1 (จำได้คร่าวๆ ต้องกลับไปอ่านใหม่ค่ะ เพราะตอนนั้นไล่อ่านของหลายๆ บริษัท)
1.เป็น Market Leader ที่ผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในสายธุรกิจประเภทนี้มาถึง 50 ปี
2.มีฐานการตลาดที่แข็งแกร่งมาก โดยมี channal ผ่านบริษัทจัดจำหน่ายในญี่ปุ่น โดยปรกติญี่ปุ่นมักค้าขายผ่านบริษัทญี่ปุ่นด้วยกัน ส่วนตัวแทนในประเทศไทย ผ่าน Itochu เป็น Trading Company รายใหญ่
3.ลักษณะการถือหุ้น ไม่เป็นเบี้ยหัวแตก บริษัทแม่ถือหุ้นใหญ่ถึง 62%
4.ปันผล 30% ของกำไรสุทธิ เข้าใจว่าต้องจัดสรรกำไรสุทธิสำหรับการลงทุนในอนาคต แต่ถึงแม้ปันผลที่ 30% ํYield ก็ยังสูงเมื่อเทียบกับหุ้นบางตัว ณ ราคาปัจจุบัน
5. จำนวนหุ้นไม่มากเกินไป 22 ล้านหุ้น Par 10 บาท
6. ในส่วนค่าจ้างและรายจ่ายให้ผู้บริหาร ก็อยู่ในอัตราที่ยอมรับได้ (อันนี้ต้องขอกลับไปอ่าน 56-1 อีกครั้งค่ะ
แต่เนื่องจากหุ้่นชนิดนี้เป็นหุ้น Technology ซึ่งดิฉันไม่สามารถเข้าใจผลิตภัณฑ์ได้เต็ม 100% (อันนี้เป็นพื้่นฐานที่คุณวิบูลย์แนะนำ) จึงตั้งใจไว้ว่าจะลงทุนระยะกลาง - ยาว และต้องคอยติดตามผลประกอบการอย่างต่อเนื่องค่ะ ส่วนราคาแกว่งตัวแรงจัง เวลาหุ้นตก คนถือก็ตกใจเหมือนกัน แต่ต้องท่องไว้ ว่าวิเคราะห์มาดีแล้ว มั่นใจๆๆ
เมื่อ: 2003-10-08T11:12:27+00:00
chatchai: คุณ Guest วิเคราะห์ได้ขนาดนี้ก็ถือว่าทำการบ้านมาพอสมควรแล้วครับ
เวลาหุ้นตกเราก็ไม่ต้องตกใจมาก เพราะเรารู้ว่าเราลงทุนอะไรอยู่
เพียงแต่ว่าข้อมูลที่คุณวิเคราะห์มาสรุปได้ว่าบริษัทนี้น่าลงทุน
แต่คุณได้วิเคราะห์หาราคาที่ควรลงทุนไว้ด้วยหรือเปล่าครับ ใช้วิธีคำนวณแบบไหน ลองแชร์ความเห็นกันบ้างครับ
เมื่อ: 2003-10-08T12:15:27+00:00
chatchai: เรียนคุณ Jeng
แปลกจังดิฉันคิดว่า login แล้ว แต่ทำไมยังเป็น Guest ไว้ค่อยลอง login ใหม่นะคะ คือว่าตอนซื้อก็ดูราคาเหมือนกันค่ะ โดยใช้หลักการดังนี้
1. ดู P/E และ P/BV ตอนซื้อครั้งแรกวันที่ 15/9/2003 ราคา 240 ถ้าจำไม่ผิด อยู่ที่ P/E=6.1ึ7 และ P/BV=1.54 ตามลำดับ ที่ยอมซื้อที่ P/BV แพงหน่อยก็มีเหตุผลเช่นกัน คือตอนที่ซื้อตลาดกำลังเป็นขาขึ้น เห็นราคาที่ 1.5 เท่าคิดว่ารับได้ เพราะว่าหุ้นตัวอื่นๆ เทียบพื้นฐานแล้วก็ไม่ได้ดีกว่า และยังมีราคาแพงกว่าด้วย ในขณะที่ตลาดเป็นขาขึ้นคิดว่าราคาคงไม่ตกไปกว่า B/V มากมายนัก อีกอย่างหนึ่งก็คิดว่า ยอมซื้อของดีแต่ราคาสูงนิดหน่อยดีกว่าซื้อก้นซิการ์มาสูบ (อันนี้ก็ลอกความเห็นคุณวิบูลย์ และอาจารย์ Buffet มา)
2. ขอขอบคุณคลายเคลียด หรือท่านที่ post ไว้ในพันธ์ทิพด้วยค่ะ ที่ช่วยคิด Ratio และเอามา สรุปให้มือใหม่ได้ศึกษา ดิฉันใช้ Ratio ต่อไปนี้ค่ะ
-แพะ Ratio โดยใช้ผลคูณของ (P/E * P/BV =9.5) อันนี้เป็นการดู short term และ long term ต่ำกว่า 10 ถือว่าดี แต่สำหรับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ดิฉันรับได้ที 20 (อันนี้จำ อ.นิเวศน์ มาค่ะ)
- เฟยหง Ratio โดยเอา Ratain Earning/Market Cap ต้องเกิน 40%
3. หาอัตราเงินสดต่อหุ้น ได้ที่ 52 บาท ดังนั้นราคาที่ดิฉันซื้อจริงๆ ก็คือ 240-52=188 (สูตรนี้ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ เพราะเราไม่ได้ถือหุ้นไปตลอด) แต่ก็คิดไว้ปลอบใจตัวเองว่าซื้อแพงกว่า B/V นิดเดียวเอง
4.ดิฉันดู movement ของราคาย้อนหลังใน history trading ของ Set เห็น ช่วงราคาที่หุ้นวิ่งขึ้นลง รู้สึกว่าแกว่งพอสมควร แต่รับได้ เพราะเป็นเงินเย็นถือรอให้หุ้นขึ้นค่อยขายก็ได้ค่ะ
5. ดิฉันดูกราฟหุ้นตัวนี้ใน Thailand Company Handbook (ต้องขอขอบคุณคุณอาจองที่ช่วยเป็นธุรจัดหาจัดส่งให้ค่ะ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก อยากได้คู่มือเล่มนี้มากๆ โทรไปตามหนังสือเองเลยค่ะ) เห็นว่าหุ้นตัวนี้ราคาจะลงในช่วงเดือนกันยา-ตุลาคม เป็นอย่างนี้มาสามปีแล้ว อีกทั้งดูกราฟรวมไปเลย เป็นกราฟค่อยๆ ไต่สูงขึ้นทุกๆ ปี แต่ไม่หวือหวาขึ้นลงแบบหุ้น KK, เลยยิ่งมั่นใจว่าหุ้นน่าจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอีกเพระดูผลประกอบการ Q3 แล้ว ก็พอจะ forecast ไตรมาศสุดท้ายได้
6. ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ซื้อ ก็เพราะหุ้นตัวนี้ผลประกอบการสิ้นสุดเดือน Sep จะได้ปันผลเร็วกว่าตัวอื่นๆ ปีก่อนปันผล 10 บาท ปีนี้น่าจะเท่ากันหรือมากกว่านิดหน่อย คาดว่าถ้าประกาศผลประกอบการแล้ว ราคาหุ้นน่าจะขยับขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ capital gain ก็ยังได้ปันผลมาให้ชื่นใจบ้างค่ะ
ดิฉันก็ทำการบ้านตามนี้ล่ะค่ะ ตอนนี้ยังไงก็จะกอดหุ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ปันผล อยากดูด้วยว่าวิเคราห์ขนาดนี้แล้ว ถ้าตกม้าตายก็ให้รู้ไปเลย ถือว่าเป็นบทเรียนค่ะ ตอนนี้ก็รอให้ราคาตกลงมาอีก มี target ค่อยๆ เก็บจนครบ 1000 หุ้นค่ะ
เมื่อ: 2003-10-08T14:52:17+00:00
chatchai: เรียนคุณ Jeng
แปลกจังดิฉันคิดว่า login แล้ว แต่ทำไมยังเป็น Guest ไว้ค่อยลอง login ใหม่นะคะ คือว่าตอนซื้อก็ดูราคาเหมือนกันค่ะ โดยใช้หลักการดังนี้
1. ดู P/E และ P/BV ตอนซื้อครั้งแรกวันที่ 15/9/2003 ราคา 240 ถ้าจำไม่ผิด อยู่ที่ P/E=6.1ึ7 และ P/BV=1.54 ตามลำดับ ที่ยอมซื้อที่ P/BV แพงหน่อยก็มีเหตุผลเช่นกัน คือตอนที่ซื้อตลาดกำลังเป็นขาขึ้น เห็นราคาที่ 1.5 เท่าคิดว่ารับได้ เพราะว่าหุ้นตัวอื่นๆ เทียบพื้นฐานแล้วก็ไม่ได้ดีกว่า และยังมีราคาแพงกว่าด้วย ในขณะที่ตลาดเป็นขาขึ้นคิดว่าราคาคงไม่ตกไปกว่า B/V มากมายนัก อีกอย่างหนึ่งก็คิดว่า ยอมซื้อของดีแต่ราคาสูงนิดหน่อยดีกว่าซื้อก้นซิการ์มาสูบ (อันนี้ก็ลอกความเห็นคุณวิบูลย์ และอาจารย์ Buffet มา)
2. ขอขอบคุณคลายเคลียด หรือท่านที่ post ไว้ในพันธ์ทิพด้วยค่ะ ที่ช่วยคิด Ratio และเอามา สรุปให้มือใหม่ได้ศึกษา ดิฉันใช้ Ratio ต่อไปนี้ค่ะ
-แพะ Ratio โดยใช้ผลคูณของ (P/E * P/BV =9.5) อันนี้เป็นการดู short term และ long term ต่ำกว่า 10 ถือว่าดี แต่สำหรับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ดิฉันรับได้ที 20 (อันนี้จำ อ.นิเวศน์ มาค่ะ)
- เฟยหง Ratio โดยเอา Ratain Earning/Market Cap ต้องเกิน 40%
3. หาอัตราเงินสดต่อหุ้น ได้ที่ 52 บาท ดังนั้นราคาที่ดิฉันซื้อจริงๆ ก็คือ 240-52=188 (สูตรนี้ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ เพราะเราไม่ได้ถือหุ้นไปตลอด) แต่ก็คิดไว้ปลอบใจตัวเองว่าซื้อแพงกว่า B/V นิดเดียวเอง
4.ดิฉันดู movement ของราคาย้อนหลังใน history trading ของ Set เห็น ช่วงราคาที่หุ้นวิ่งขึ้นลง รู้สึกว่าแกว่งพอสมควร แต่รับได้ เพราะเป็นเงินเย็นถือรอให้หุ้นขึ้นค่อยขายก็ได้ค่ะ
5. ดิฉันดูกราฟหุ้นตัวนี้ใน Thailand Company Handbook (ต้องขอขอบคุณคุณอาจองที่ช่วยเป็นธุรจัดหาจัดส่งให้ค่ะ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก อยากได้คู่มือเล่มนี้มากๆ โทรไปตามหนังสือเองเลยค่ะ) เห็นว่าหุ้นตัวนี้ราคาจะลงในช่วงเดือนกันยา-ตุลาคม เป็นอย่างนี้มาสามปีแล้ว อีกทั้งดูกราฟรวมไปเลย เป็นกราฟค่อยๆ ไต่สูงขึ้นทุกๆ ปี แต่ไม่หวือหวาขึ้นลงแบบหุ้น KK, เลยยิ่งมั่นใจว่าหุ้นน่าจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอีกเพระดูผลประกอบการ Q3 แล้ว ก็พอจะ forecast ไตรมาศสุดท้ายได้
6. ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ซื้อ ก็เพราะหุ้นตัวนี้ผลประกอบการสิ้นสุดเดือน Sep จะได้ปันผลเร็วกว่าตัวอื่นๆ ปีก่อนปันผล 10 บาท ปีนี้น่าจะเท่ากันหรือมากกว่านิดหน่อย คาดว่าถ้าประกาศผลประกอบการแล้ว ราคาหุ้นน่าจะขยับขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ capital gain ก็ยังได้ปันผลมาให้ชื่นใจบ้างค่ะ
ดิฉันก็ทำการบ้านตามนี้ล่ะค่ะ ตอนนี้ยังไงก็จะกอดหุ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ปันผล อยากดูด้วยว่าวิเคราห์ขนาดนี้แล้ว ถ้าตกม้าตายก็ให้รู้ไปเลย ถือว่าเป็นบทเรียนค่ะ ตอนนี้ก็รอให้ราคาตกลงมาอีก มี target ค่อยๆ เก็บจนครบ 1000 หุ้นค่ะ
เมื่อ: 2003-10-08T14:53:46+00:00
sirivajj: ประทับใจในการทำการบ้านของคุณภัค ครับ
หากเพื่อนๆ ที่มาลงทุนทำการบ้านมากมากแบบนี้ทุกคน
คงได้เพื่อนไว้คุยแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างสนุกแน่เลยครับ
(กำไรหรือขาดทุน คนละเรื่องนะครับ เพราะยังไงก็ถือยาวยาวกันอยู่แล้ว)
เมื่อ: 2003-10-08T15:25:24+00:00
Jeng: ตั้งแต่อ่านเกี่ยวกับเรื่องหุ้นในเว็บมาก็เห็นมีแต่คุณ ภัค นี่แหละที่วิเคราะหะ ละเอียดยิบเลย นับถือ ๆ
เมื่อ: 2003-10-08T16:06:15+00:00
chatchai: ผมอยากสอบถามคุณภัคหน่อยนะครับ
แพะ Ratio ที่คำนวณจาก P/E*P/B นั้นสามารถอธิบายอะไรเราได้ครับ แล้วตัวเลขที่บอกว่าต่ำกว่า 10 หรือ 20 นั้นถือว่าดี ทำไมถึงเป็น 10 หรือ 20 ครับ ใช้เกณฑ์อะไรมาวัด
เฟยหง Ratio ที่ใช้ Retain Earing/Market Cap. นั้นบอกอะไรเราครับ แล้วใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินว่าเกิน 40% แล้วดีครับ
ผมเห็นมีการพูดถึงพอสมควร เลยอยากแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ
ยิ่งคิดมาก ความรู้ยิ่งแตกสาน ยิ่งวิจารณ์มาก ยิ่งเห็นในหลายแง่มุม
เมื่อ: 2003-10-09T01:53:24+00:00
chatchai: เมื่อเช้ามี post ตอบไปแล้ว แต่ข้อความหายไป
ไปหา link เกี่ยวกับ Ratio มาให้ค่ะ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 23323.html
เมื่อ: 2003-10-09T04:50:11+00:00
chatchai: เคยได้ยินหรือเปล่าที่ชอบกินสุกี้ mk เลยซื้อหุ้น mk รวยแบบไม่รู้เรื่องเลย :lol:
เมื่อ: 2003-10-09T08:38:20+00:00
VIB007: ขอใช้สิทธิพาดพิงครับ
ผมว่าคุณภัคมาถูกทางแล้วครับ
ตอนผมซื้อหุ้นใหม่ๆ ตัวแดงเต็มพอร์ตเหมือนกัน
มีคาถาของอาจารย์ Buffet มาฝากครับ
"เวลาเป็นเพื่อนที่ดีของธุรกิจที่ยอดเยี่ยม
แต่เป็นศัตรูตัวร้ายของธุรกิจที่แย่"
เรื่อง Metco ผมเห็นมาตั้งแต่ต่ำกว่า 100 บาท
จนถึง 200 กว่าบาท
ก็ยังไม่ได้ซื้อ
ดร.นิเวศน์ก็แนะนำหุ้นตัวนี้
เท่าที่ทราบตอนนี้ที่รายได้เพิ่มเพราะอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังโต
Metco ผลิต CD Changer ในรถยนต์
ก็เลยได้รับอานิสงค์ไปด้วย
ตัวนี้ปันผลดี อยู่มา 60 ปีแล้วในญี่ปุ่น
ส่วนผม ชอบหุ้นบริษัทที่ผมเข้าใจครับ
ผมพยายามเข้าใจ Metco
แต่ก็ไม่เคยเห็น Product
ไม่รู้ว่าผลิตอะไรบ้าง
คุณภาพเป็นอย่างไร
เลยเอาเงินไปซื้อตัวอื่น
ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ครับ
ไม่จำเป็นครับที่ VI จะต้องถือหุ้นเหมือนกันครับ
ไม่จำเป็นจริงๆ.......ขอย้ำ
ขอให้คุณภัคประสบความสำเร็จในการลงทุน
ทำการบ้านมากๆ ใจเย็นๆ
รอจังหวะตลาดหวาดกลัว
เก็บบริษัทดีๆ ราคาไม่แพง
แล้วคอยติดตามผลประกอบการ
ได้หุ้นบริษัทข้างต้น ปีละครั้งสองครั้งก็เพียงพอแล้วครับ
โชคดีอีกครั้งครับ
เมื่อ: 2003-10-09T09:16:12+00:00
sirivajj: ผมไม่ได้คิดว่า มีการตั้งโจทก์เพื่อหักล้างกันนะครับ
ผมคิดว่า คำถามของคุณ Chatchai นั้นน่าขบคิดมาก
เวลาที่เราตัดสินอะไรมีเกณฑ์ ( Criteria ) อะไรซักอย่างนั้น
เราพึงระลึกว่า เกณฑ์นั้นมันบอกอะไรเรา และมีข้อจำกัดอะไร
และมันใช้วัดสิ่งที่เราจะต้องการ หรือช่วยตัดสินอะไรให้เราได้หรือไม่
นอกจากนี้ ไอ้ Criteria ที่ว่านั้นมันเป็นเฉพาะกรณี หรือ มันมีความเป็นสากล ( Generalization - ใช้ได้ทุกกรณีไม่มีข้อยกเว้น )
ซึ่งก็คือ สิ่งที่คุณ Chatchai mention เอาไว้
ผมไม่ได้คิดว่า คุณ Chatchai แกไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่คุณภัค
ลงมือลงแรงทำหรอก
เพียงแต่ อาจเป็นห่วงว่า อย่าได้ไปยึดติดเป็นสูตรสำเร็จ
เพราะอาจประสพความเสียหายได้ ถ้ายึดติดโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่น
เมื่อ: 2003-10-09T13:13:38+00:00
Jeng: ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ใช้ เฟยหง เรโช เพราะยังไม่เข้าใจ และยังใช้ไม่เป็น
แต่ส่วนตัวแล้ว ชอบมาก อะไรที่คนไทย คิดขึ้นมา และคุณเฟยหง นี่ไม่แน่ใจว่า น่าจะรุ่นเดียวกับผมเลย ผมเรียนเตรียม มศ5 รุ่นสุดท้าย เรียน ปี 2525-2526
ส่วนตัวผมนะครับ คุณ sirivajj ผมใช้แบบวอเรน ซึ่งง่ายจริงๆ คือ ทั้งบริษัทน่าซื้อหรือไม่ ถ้าน่าซื้อ 1 หุ้นก็น่าซื้อ โดยให้คิดโดยรวมไปเลย ว่า ทั้งบริษัทนี้ราคาเท่าไร
ซึ่งต้องดูโดยรวมตั้งแต่
กิจการเขาทำอะไร
เปิดมานานแค่ไหน
ยอดขายเท่าไร ยอดขายโตต่อเนื่องหรือเปล่า
กำไรเท่าไร กำไรโตต่อเนื่องหรือเปล่า
หนี้สิน มีมากหรือไม่
ปันผล สม่ำเสมอหรือไม่ ถ้าไม่เอาเงินไปทำอะไร
และอื่นๆ
คิดแบบนี้ ผมว่าสบายใจ เหมือนเราเลือกซื้อกิจการ ถ้าซื้อผิด เราก็ได้เรียนรู้
แต่คนส่วนใหญ่เลือกซื้อหุ้น ซื้อหุ้น ขายหุ้น แต่พวกเราซื้อกิจการ
เมื่อ: 2003-10-09T13:35:14+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เจพีมอร์แกนเพิ่มน้ำหนักในหุ้นไทย
yojira: 'เจพีมอร์แกน'ประกาศเพิ่มน้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทย
22 มีนาคม พ.ศ. 2550 12:06:00
เจพีมอร์แกนประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มนำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น "overweight" ชี้เศรษฐกิจไทยแกร่ง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัทเจพี มอร์แกนประกาศในวันนี้ว่าทางบริษัทได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขึ้นเป็น "overweight" จากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลงของไทย
นอกจากนี้ เจพี มอร์แกนยังได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร, วัสดุก่อสร้าง, ผู้รับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสาร และพลังงาน
เมื่อ: 2007-03-22T06:17:39+00:00
atsu: บะกล้วยจะเริ่มออกของแล้วหรือครับ ถึงออกมาเชียร์หาคนซื้อต่อ
:lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2007-03-22T10:06:13+00:00
lekmak333: stpi
เมื่อ: 2007-03-22T10:46:35+00:00
ลุงทีม: เจ้านี้รอบที่แร้วออกบทวิเคราะห์เชียร์ขาย แล้วหุ้นก็ลง...ขณะที่เจ้าอื่นซื้อกันโครมๆ
ครั้งนี้เค้าเชียร์ซื้อนะครับ...ลองอ่านดูครับว่าเหตุผลน่าเชื่อถือพอรึป่าว...
Emerging Markets Equity Research
22 March 2007
Don't fight the BoT
Upgrading Thailand to Overweight
Source: MSCI, DataStream.
We are upgrading Thailand to overweight.
The analogy between Korea in 2004 and Thailand today is strong.
Towards the end of 2004 the combination of lower interest rates
and a strong Won helped set the conditions for Koreas
outperformance against emerging markets and Asia Pacific ex
Japan in 2005 by 20% and 30% respectively.
The Thai baht has appreciated by 10% in 2007. JPMorgan has
forecasted that the Bank of Thailand will reduce rates by 100bp in
2007 to 3.75%. We believe that investors are underestimating the
combined impact of a strong currency and pro-growth monetary
policy on Thai GDP and profit growth going into 2008.
The problems of low macro economic policy credibility, political
risk plus low economic and profit growth are reflected in record
low valuations of the market relative other emerging markets, in
our view.
We recommend an overweight in domestic demand driven stocks:
Banks, building materials/contractors, property.
Table 1: Most liquid JPMorgan Thai Overweight Recommendations ex Energy
------------------------------------------------------------------------------------
Upgrading Thailand
Currency strength and lower interest rates
We believe Thailand has the strongest macro conditions
for re-rating in emerging markets. Thailand has the
combination of the strongest currency and declining
interest rates. We are upgrading Thailand to overweight.
The analogy between Korea in 2004 and Thailand today
is strong. Towards the end of 2004 confidence in Korean
macro policy was low and domestic demand below
expectations. In October 2004 the Korean Won started a
sharp appreciation. In August and October the Bank of
Korea reduced interest rates. These events helped set the
conditions for Koreas outperformance against emerging
markets (20%) and Asia Pacific ex Japan (30%) in 2005.
Our asset allocation framework favors strong currencies
and pro-growth monetary policy.
The Thai baht has appreciated by 10% in 2007. A strong
currency boosts consumers purchasing power, while
discouraging the exporting of savings and attracts
international capital. JPMorgan is forecasting that the
Bank of Thailand will reduce rates by 100bp in 2007 to
3.75%. This process has already started. We expect the
policy rate discount to the US Fed Funds rate to be 125
bps by year end. We believe that investors are
underestimating the combined impact of a strong
currency and pro-growth monetary policy on Thai GDP
and profit growth into 2008. Now is the time to position
for this inflection point.
-------------------------------------------------------------------------------------
Many well known negative
The negatives in Thailand are well known, in our view.
Economic policy credibility is low. Political stability has
been challenged both by the coup and an increase in
terrorist activity both in the South and now in Bangkok.
Thai median EPS growth at 4.3% is the lowest of all
emerging markets we cover. Earnings and GDP revision
have been negative. Consensus positioning is still
overweight.
--------------------------------------------------------------------------------------
Valuations are attractive
Equity valuations remain attractive with the market
trading at 9.6x FY07E earnings. Thailand now trades at a
0.8 times forward PE relative to the emerging markets.
Our composite valuations indicators (CVI) suggest that,
Thailand is notably inexpensive within the emerging
markets.
Sector-wise; we remain overweight on banks, property
and building materials, and underweight on telecoms and energy
--------------------------------------------------------------------------------------
Risks
Unconventional policies
The Bank of Thailand has demonstrated how attempts to
prevent currency appreciation can be very negative for
equity markets. The BoT actions contrast sharply with
the more conventional methods of controlling
appreciation, such as cutting interest rates, which would
be positive for markets. The sharp fall in the Thai equity
market forced the BoT to quickly reverse the tax on
equity inflows. We view this strange event as positive, as
central banks in the region will be very cautious when
using non-conventional means to control currency
strength. The result is likely to be lower interest rates in
the region inline with our P/E and Policy Flexibility
theme.
Political instability
The current military government in Thailand is still
struggling to gain investors confidence. New foreign
ownership regulations appear less liberal. Chalongphob
Sussangkarn has been appointed Thailand's new Finance
minister. We see Mr. Chalongphob as a pair of safe
hands', with generally pro-market policies given his
background. However, we do not expect a major
acceleration in policy initiatives and implementation,
given the limited remaining tenure of the current
government.
Consensus Fund Position
Based on the end of January 2007 survey seven out of 47
EM managers were overweight Thailand.
--------------------------------------------------------------------------------------
ยาวมาก...อยากได้ฉบับเต็มหลังไมค์แระกันครับ... :shock: :shock:
เมื่อ: 2007-03-22T11:40:08+00:00
lekmak333: เข้ามาแน่ แต่ไม่รู้ช่วงไหน :roll:
เมื่อ: 2007-03-23T04:06:26+00:00
lekmak333: ถ้ารายงานว่า JPM ขายนำวันนี้ละก็ เหอๆๆๆๆๆๆ :lol:
เมื่อ: 2007-03-23T04:09:18+00:00
atsu: ศุกร์ที่ 23 มี.ค. 2550
JPM__buy 383,123,943__sell 763,840,335
net -380,716,392
:shock: :shock:
คุณเจแม่นจริงๆ :lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2007-03-24T03:25:39+00:00
chartchai madman: คลังรับแนวคิดตั้งวายุภักษ์ 2 หวังช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นฟื้น
24 มีนาคม พ.ศ. 2550 10:09:00
คลังรับแนวคิดจัดตั้งวายุภักษ์ 2 ไปพิจารณา "ภัทรียา" ระบุ กองทุนนี้จะช่วยพัฒนาตลาดทุนทั้งระยะสั้นและยาว ยุดโมเดลวายุภักษ์ 1 คาดวงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี ในฐานะผู้จัดการกองทุนวายุภักษ์ 1 เปิดเผยภายหลังคณะทำงานของกองทุนวายุภักษ์ 1 ได้นำเสนอแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 ต่อกระทรวงการคลัง วานนี้ (23 มี.ค.)โดยกล่าวว่า ที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุปในแนวทางการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว เพียงแต่ได้มีการนำเสนอแนวคิดของการจัดตั้ง ทั้งด้านวัตถุประสงค์ และประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดตั้งจากคณะทำงานเท่านั้น โดยกระทรวงการคลัง ก็รับที่จะนำไปพิจารณาในรายละเอียด และจะได้มีการหารือกันในครั้งต่อไป
อ่านต่อกันที่นี่
http://www.bangkokbiznews.com/2007/03/2 ... wsid=60872
เมื่อ: 2007-03-24T07:42:05+00:00
BHT: เค้าแนะนำให้หุ้นไทยกินอะไรบ้างครับ ถึงจะเพิ่มน้ำหนักได้ตามที่ต้องการ
ผมก็ต้องการเพิ่มน้ำหนักเหมือนกัน เผื่อใครจะสนใจลงทุนกับตัวผมบ้าง
:lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2007-03-24T08:15:57+00:00
MO101: ช่วยติดตามวันจันทร์ - อังคารอีกที่ได้ไหมครับ
เราควรให้โอกาสเขา บางทีเขาอาจเคาะผิดฝังก็ได้ (เกือบ 400 ล้าน)
เมื่อ: 2007-03-25T14:07:03+00:00
ลุงทีม: หุ้นบลูชิพหลักๆ มากันทั้งตลาดแบบนี้ ตกลง โบร์คไหนซื้อนำครับ... :shock: :shock:
เมื่อ: 2007-04-04T08:42:42+00:00
tummeng: พี่หรั่งซื้อไปสามพันกว่าล้าน
JPM มาตามนัดซะที
เมื่อ: 2007-04-04T14:06:20+00:00
Reminiscence of 3 Dogs: Hu Hu , My skin looks pale, My nose gets bigger,
My eyes'color turns blue. :P
เมื่อ: 2007-04-04T15:49:45+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
แค่ข่าวร้าย/ประภาคาร ภราดรภิบาล
Thai VI Article: ข่าวร้ายทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่รุมล้อมตลาดหุ้นในช่วงนี้ มีทั้งข่าวร้ายจากทวีปยุโรป กรณีวิกฤติด้านการเงินของประเทศกรีซ ข่าวร้ายในทวีปเอเชีย กรณีตลาดหุ้นจีนตกแบบถล่มทลาย รวมทั้งข่าวร้ายเกี่ยวกับเศรษฐกิจภายในประเทศของเราที่ไม่กระเตื้องขึ้นอย่างที่หลายๆ ฝ่ายคาดหวัง ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไม่คึกคัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความวิตกกังวล
แต่สภาวะเศรษฐกิจและสภาวะตลาดหุ้นที่นักลงทุนวิตกกังวลอยู่นั้น ถือว่าเป็น “ภาพใหญ่” เกินไปที่จะประเมินได้ว่ามันส่งผลกระทบต่อการลงทุนของตัวเราเองมากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้นควรโฟกัสไปยัง “ภาพที่เล็กลง” ซึ่งก็คือ “กิจการ” ที่เราเข้าไปลงทุน ว่ายังสามารถดำเนินงานไปได้ด้วยดีอยู่หรือไม่? ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด? และมีแนวโน้มอย่างไรในอนาคต? บางทีเราอาจจะพบว่าเรื่องร้ายๆ ที่มากับข่าวนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับกิจการที่เราลงทุนอยู่แต่อย่างใด
“เซอร์ จอห์น เทมเพิลตัน” ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “นักลงทุนหลายต่อหลายคนพุ่งเป้าไปที่แนวโน้มตลาดหรือมุมมองทางเศรษฐกิจมากจนเกินไปจนลืมไปว่า หุ้นบางตัวสามารถเพิ่มสูงขึ้นได้แม้ตลาดจะอยู่ในสภาวะตลาดหมี ขณะเดียวกันราคาหุ้นบางตัวก็อาจจะตกต่ำลง แม้ว่ามันจะเป็นตลาดกระทิงก็ตาม ตลาดหุ้นและภาวะเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป…ดังนั้นจงเลือกซื้อหุ้นรายตัว แทนที่จะซื้อแนวโน้มตลาดหรือมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ”
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” มีความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า “หากเราพบกิจการที่เราพึงพอใจ สภาวะของตลาดจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อการตัดสินใจของเรา เราจะตัดสินซื้อหุ้นเป็นกิจการๆไป เราไม่เสียเวลาคิดเกี่ยวกับปัจจัยของเศรษฐศาสตร์มหภาค”
“ปีเตอร์ ลินซ์” กล่าวว่า “ผมไม่เชื่อในการทำนายตลาด ผมเชื่อในการซื้อหุ้นที่ดีเยี่ยมโดยเฉพาะบริษัทที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และ/หรือ หุ้นที่ไม่ได้รับความสนใจตามที่มันควรจะเป็น” พร้อมทั้งแนะนำว่า “นักลงทุนไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด แต่ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น จำไว้เสมอว่า กำไรขาดทุนที่จะได้รับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาดหุ้น”
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ก็เคยให้คำแนะนำไว้เช่นกันว่า “ให้ความสำคัญกับตัวกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่าสภาพตลาดหรือเศรษฐกิจโดยทั่วไป เพราะถึงแม้ว่าสภาพทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดี แต่ตัวบริษัทก็อาจจะดีได้ นอกจากนั้น ถึงกิจการอาจจะไม่ดีนักแต่ราคาหุ้นก็อาจจะต่ำกว่าพื้นฐานมาก ดังนั้นอย่าให้ภาพของตลาดหรือเศรษฐกิจมาหันเหการตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา”
จะเห็นได้ว่า ในมุมมองของบรรดาสุดยอดนักลงทุนนั้น “พื้นฐานของกิจการ” คือสิ่งที่พวกเขาสนใจและให้ความสำคัญ ตราบใดที่กิจการยังสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี ต่อให้มี “ข่าวร้าย” เกี่ยวกับสภาวะของตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจอย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวล[/size]
เมื่อ: 2015-07-21T06:40:44+00:00
ลูกหิน: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2015-07-21T06:44:20+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ผมรู้แล้วว่า ดร.นิเวศน์ พูดถึงตัวอะไรเกี่ยวอาหารจานด่วน
NYU: วันนี้เพิ่งอ่าน ชิมก่อนซื้อ ของ ดร. ซึ่ง
ท่านได้เอ่ยถึงหุ้น 4 ตัวที่เกี่ยวกับอาหาร
ผมได้ฟังท่านพูดถึงอาหารจานด่วน
ในงาน Money Expo ก็ยังนึกไม่ออก
ว่าเป็นตัวอะไร ถ้าเทียบกับ McDonale
เลยอยากให้ใครที่ยังไม่ได้อ่าน
ลองอ่านดูนะครับ
เมื่อ: 2005-06-07T04:45:43+00:00
harry: ผมอ่านแล้วครับ มีตัวที่ผมสนใจ และพอได้ดูข้อมูลย้อนหลังของพี่ครรชิตแล้ว ยิ่งอยากซื้อ แต่ขอต่อราคาหน่อย
ว่าแต่ถามหน่อยครับ ว่าโรงแรมไหนในตลาด หรือธุรกิจไหนที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยบ้างมั้ยครับ (เอาทางดีนะครับ)
เมื่อ: 2005-06-07T04:58:20+00:00
buglife: ขนมปังแหงๆ เลย
เมื่อ: 2005-06-07T06:00:57+00:00
CK: โรงแรมไหนในตลาด หรือธุรกิจไหนที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยบ้างมั้ยครับ
rgr มีโรงแรม four seasons (มั้ง หรือ ยังเป็น Regent หว่า) ที่เชียงใหม่
มีปลูกข้าวแบบไทยให้นักท่องเที่ยวดูด้วย
ดาราเทวี ของ ohtl ก็แจ่มจรัส เหมือนวัดเลย ลอกรายละเอียดมาเนี๊ยบมาก
FE ทำโฆษณาให้คาราบาวแดง
GRAMMY กับ RS ทำเพลงไทย GRAMMY มีเพลง "รักเธอประเทศไทย"
และเพลงชาติเวอร์ชั่นใหม่
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด TPI บริษัทไทย เพื่อคนไทย :lovl:
เมื่อ: 2005-06-07T06:02:18+00:00
por_jai: CK,
GRAMMY กับ RS ทำเพลงไทย GRAMMY มีเพลง "รักเธอประเทศไทย"
และเพลงชาติเวอร์ชั่นใหม่
:lol:
CK,
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด TPI บริษัทไทย เพื่อคนไทย
ไม่ใช่TPI บริษัทไทย เพื่อ ปิโตรเลียมไทย(ปตท.) หรือครับ
เมื่อ: 2005-06-07T13:50:09+00:00
naris: KFC
เมื่อ: 2005-06-07T15:51:46+00:00
yoyo: จากวันที่ดร.พูดที่ money expo
ขึ้นมาตลอดเลยครับ ... สงสัยดร. เก็บไม่ได้ตามจำนวนแหง๋ๆ
เมื่อ: 2005-06-07T17:22:18+00:00
CK: por_jai เขียน:
ไม่ใช่TPI บริษัทไทย เพื่อ ปิโตรเลียมไทย(ปตท.) หรือครับ
:lovl: จริงด้วย
เมื่อ: 2005-06-08T04:24:45+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ชื่อ...ไม่ดีเลยไม่ได้ซื้อหุ้นตัวนี้
ปรัชญา: มาร์โทรมาเสนอหุ้น บางจาก ผมเลยปฏิเสธสละสิทธิ์ให้คนอื่นไป
ชื่อ....บางจาก น่าจะเปลี่ยนเป็นชื่อ..เป็นบางรวย
สภาพตลาดผันผวนด้วยมรสุมและคลื่นลม
คิดถูกหรือเปล่าถามตัวเอง
และขอถามท่านผู้อ่านด้วยว่า.......
ไม่ซื้อหุ้นบางจากPOที่มาร์เสนอให้ผมเพี้ยนไปแล้วหรือยัง
ถ้าหากรู้ตัวว่าเพี้ยนจะได้ทำตัวใหม่ อิอิ
อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิเสธลาภอันประเสริฐไหมหนอ
เมื่อ: 2004-01-24T15:03:33+00:00
man: รู้สึกมีประกันรับซื้อคืนที่ 13 บาท ภายใน 10 ปี
แต่ไม่ทราบว่าราคาที่ มาร์ โทรหาพี่เท่าไรเอ่ย
น่าสนนะครับ :lol: :lol:
เมื่อ: 2004-01-24T20:54:42+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
กูรูหุ้น VI นิเวศน์! | สุทธิชัย Live
Ii'8N:
เมื่อ: 2018-01-17T02:54:01+00:00
Mr.Gas ลูกข้าวเหนียว: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2018-01-20T14:42:05+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ภาษีทรัพย์สิน มีแต่ดี ดีต่อทุกฝ่าย
pornchokchai: ภาษีทรัพย์สิน มีแต่ดี ดีต่อทุกฝ่าย
.
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
.
.
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2552 ผมได้รับเชิญจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังไปพูดเรื่องภาษีเรื่องภาษีทรัพย์สินหรือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พอพูดเสร็จมีคำถามมาว่า เห็นพูดแต่ข้อดี ไม่พูดถึงข้อเสียบ้างเลย และยังถามอีกว่าไม่เห็นใจคนจนบ้างหรือไร รัฐจึงมาซ้ำเติมด้วยการเก็บภาษีนี้
.
ผมคิดว่ายังมีประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจภาษีทรัพย์สิน และไม่ว่าภาษีอะไร หลายคนก็อาจส่ายหัวไว้ก่อน เพราะไม่มีใครอยากจะเสีย เพราะคิดว่าจะเป็นการสูญเปล่า และยังอาจถูกนำไปใช้อย่างทุจริตอีกต่างหาก แต่ผมขอยืนยันว่าภาษีทรัพย์สินนี้ ดีจริง ๆ มีแต่ได้กับได้ และที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่เป็นโทษแก่ใครเลย ผมจึงอยากขอให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าที่ดินรายใหญ่ หรือคน (อยาก) จนที่ มีทองเท่าหนวดกุ้ง แต่นอนสะดุ้งจนเรือนไหว มาทำความใจเกี่ยวกับภาษีทรัพย์สินเสียใหม่ แล้วท่านจะรักภาษีทรัพย์สิน!
.
.
ภาษีทรัพย์สินคืออะไร
.
ภาษีทรัพย์สินในต่างประเทศเก็บจากทรัพย์สินทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ แต่ของไทยในที่นี้จะหมายถึงเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ จึงเรียกว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เช่นถ้าเป็นโรงงาน ก็นำเฉพาะที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาคำนวณภาษีโดยไม่รวมเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพดานอัตราภาษีมี 3 อัตราคือ ไม่เกิน 0.5% สำหรับอัตราทั่วไป ไม่เกิน 0.1% สำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่ประกอบการเชิงพาณิชย์ และไม่เกิน 0.05% สำหรับที่เกษตรกรรม ส่วนในกรณีที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าให้เก็บภาษีตามอัตราทั่วไป แต่หากยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อีกให้เสียภาษีเพิ่มอีก 1 เท่าในทุก 3 ปี แต่ไม่เกิน 2% ต่อปีของฐานภาษี
.
ทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นภาษี ได้แก่ พระราชวัง ทรัพย์สินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะ ทรัพย์สินที่เป็นศาสนสมบัติ นอกจากนี้ยังจะมีการออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีให้กับผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรรายย่อยที่ทรัพย์สินมีมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนด
.
หากร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้รับการประกาศใช้ ยังจะมีบทเฉพาะกาลให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้เตรียมตัวอีก 2 ปี และเมื่อถึงปีแรกของการเก็บภาษี ยังให้เก็บเพียง 50% ของภาษีที่คำนวณได้ ในปีที่สองให้เก็บ 75% และให้เริ่มเก็บ 100% ในปีที่สาม การผ่อนผันตามบทเฉพาะกาลนี้ก็เพื่อให้ประชาชนได้ค่อย ๆ ปรับตัวกับภาษีนี้
.
และเมื่อมีภาษีนี้แล้ว ภาษีอีก 2 รายการซึ่งมีลักษณะซ้ำซ้อนและไม่เป็นปัจจุบัน จะได้รับการยกเลิก คือ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ซึ่งจัดเก็บ ณ อัตรา 12.5% ของค่าเช่า และภาษีบำรุงท้องที่ซึ่งจัดเก็บจากฐานราคาปานกลางของที่ดินปี 2521-2524 (ไม่เคยปรับปรุงให้ท้นสมัยอีกเลยนับแต่นั้นมา) และเป็นภาษีที่มีฐานการเก็บแคบและไม่เป็นธรรมเท่าที่ควร
.
.
ภาษีนี้มีภาระต่ำมาก
.
ที่ว่าเช่นนี้ก็เพราะอัตราภาษีต่ำมาก ยกตัวอย่างเช่น คน ๆ หนึ่งมีบ้านราคา 1 ล้านบาท เสียภาษี 0.1% หรือปีละเพียง 1,000 บาท หรือเดือนละ 83 บาท ซึ่งยังถูกกว่าค่าเก็บขยะและดูแลชุมชนเสียอีก ในประเทศยุโรปและอเมริกา เขาจัดเก็บภาษีกันในอัตรา 1-2% ของมูลค่าทรัพย์สิน ทำให้มีเงินไปพัฒนาท้องถิ่นได้มากมาย เขาจึงมีสาธารณูปโภคที่ดีกว่าไทย
.
อันที่จริง ไม่มีความจำเป็นต้องยกเว้นภาษีให้กับใครเลย เพราะการยกเว้น จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำได้ ยกตัวอย่างเช่น บางคนอาจมีห้องชุดราคาเพียง 300,000 บาท ต้องเสียภาษี 0.1% หรือปีละ 300 บาท เงินเพียงเท่านี้จะเสียเพื่อตัวเองและประเทศชาติไม่ได้เลยหรือ บางท่านอาจบอกว่า 300 บาทของผู้มีรายได้น้อยก็ถือว่ามากแล้ว กรณีนั้นอาจจะใช่ หากเป็นคนจนจริง ก็คงไม่มีสมบัติอะไร
.
ผู้ที่มีทรัพย์สิน 300,000 บาท แม้จะน้อยเมื่อเทียบกับคนมีบ้านหลังใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ถือเป็นผู้มีรายได้น้อย และที่สำคัญชาวบ้านอาจทำบุญ ทำสังฆทาน (อาจเพราะเมื่อคืนฝันไม่ดี) เป็นเงินครั้งละมากกว่า 300 เสียอีก บางคนยังอาจเสียไปกับอบายมุขต่าง ๆ มากกว่านี้นัก ดังนั้นการเสียภาษีเพื่อประโยชน์สุขของตนเองโดยตรง จึงไม่พึงเป็นปัญหา และควรรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันมีสำนึกเสียภาษี
.
ยิ่งถ้าเป็นชาวนาที่มีที่ดินขนาดเล็กเพียง 15 ไร่ อยู่ในที่ทุรกันดารที่มีราคาไร่ละ 10,000 บาท ชาวนาดังกล่าวก็มีทรัพย์สินเป็นเงิน 150,000 บาท หากเขาต้องเสียภาษี ณ อัตรา 0.05% เขาจะเสียเป็นเงินเพียง 75 บาทต่อปีเท่านั้น ภาระภาษีเช่นนี้จึงไม่น่าจะมีปัญหากับชาวนาเลย และอย่างน้อยชาวนาท่านนี้ก็ยังมีทรัพย์สิน ไม่ใช่ชาวนาเช่านาแต่อย่างใด เงิน 75 บาทที่เสียไปเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ควรสร้างความภูมิใจแก่ชาวนาท่านนั้นต่างหาก
.
.
มีแต่ได้ ไม่มีใครเสียหาย
.
ภาษีนี้เก็บมาเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นโดยตรง โดยอาจนำมาใช้พัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการ การศึกษาให้ทันความต้องการของท้องถิ่น และเมื่อท้องถิ่นได้รับการพัฒนา มูลค่าทรัพย์สินของเราก็จะยิ่งเพิ่มพูน เช่น คน ๆ หนึ่งมีบ้านราคา 1 ล้านบาท เสียภาษี 0.1% หรือปีละเพียง 1,000 บาท แต่เมื่อท้องถิ่นได้รับการพัฒนา ราคาบ้านก็สามารถเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 3% ต่อปี หรือปีละ 30,000 บาท ดังนั้นการเสียภาษีเพียง 1,000 บาท แต่ทำให้ทรัพย์สินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากมายนั้น จึงนับเป็นความคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
.
ยิ่งถ้าเป็นเจ้าที่ดินรายใหญ่ที่มีทรัพย์สินมูลค่า 100 ล้านบาท หากต้องเสียภาษี 0.5% ก็เป็นเงิน 500,000 บาท แต่หากท้องถิ่นนั้นเจริญขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสูงขึ้น 1.5 ล้านบาท (สมมติให้เพิ่มในอัตราต่ำที่ 1.5%) เท่ากับว่าเจ้าที่ดินรายใหญ่นั้น ได้กำไรถึง 1 ล้านบาทต่อปี
.
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ยิ่งเก็บภาษีได้มากเท่าไหร่ ท้องถิ่นนั้น ๆ ยิ่งเจริญ ท้องถิ่นนำไปปรับปรุงถนน ทำให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น พอท้องถิ่นนั้นเจริญ มูลค่าทรัพย์สินก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เจ้าของที่ดินก็ได้ประโยชน์ เข้าทำนอง ยิ่งให้ ยิ่งได้ และโดยนัยนี้ เราจึงไม่ควรมีข้อยกเว้นการเก็บภาษีนี้แก่ใครทั้งสิ้น
.
.
ตัดวงจรอุบาทว์การโกงกิน
.
ภาษีทรัพย์สินนั้นเป็นเงินภาษีที่จัดเก็บและใช้ภายในท้องถิ่น ไม่ผ่านรัฐบาลส่วนกลาง โอกาสที่จะรั่วไหลเพราะนักการเมืองใหญ่หรือเพราะข้าราชการประจำกังฉินระดับชาติ จึงไม่มี และโดยที่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เก็บได้ จะถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นเท่านั้น ประชาชนจึงมีความรู้สึกเป็นเจ้าของภาษี ต่างจากในปัจจุบันที่รัฐบาลส่วนกลางส่งงบประมาณมาให้ส่วนท้องถิ่นใช้ คนในท้องถิ่นจึงไม่รู้สึกเป็นเจ้าของเงินดังกล่าว ทำให้เกิดปรากฏการณ์ วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง กลายเป็นการทุจริตประพฤติมิชอบไป
.
เมื่อประชาชนในท้องถิ่นเห็นศักยภาพของตนเองในการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อตนเองจากภาษีของตน คนดี ๆ ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาในท้องถิ่นก็จะอาสามาทำงานเพื่อส่วนรวมในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองเขี้ยวโง้ง โอกาสการผูกขาดตัดตอนของนักการเมืองท้องถิ่นเสือนอนกินหรือข้าราชการประจำที่ขี้ฉ้อ จึงมีน้อยลง
.
ในประเทศตะวันตก ไม่เฉพาะนายกเทศมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้บริหารฝ่ายการศึกษา การสาธารณูปโภค และอื่น ๆ ในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จะมาจากการเลือกตั้งเช่นกัน มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเท่านั้น ที่เป็นข้าราชการประจำ การเลือกตั้งผู้บริหารฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้การบริหารท้องถิ่นเป็นไปตามความต้องการของคนในท้องถิ่น โดยมีประชาชนในท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง นี่จึงเป็นผลดีของภาษีทรัพย์สินที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์จริงในท้องถิ่น
.
.
ช่วยจรรโลงระบอบประชาธิปไตยที่แท้
.
นี่เองภาษีทรัพย์สินจึงช่วยสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ กินได้ หรือเรียกว่าเป็นรูปธรรม ประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่ใคร ๆ ก็เห็นดีด้วย แต่การรดน้ำพรวนดินระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่การยกมือหรือการเลือกตั้งเท่านั้น ที่ผ่านมา ประชาชนถูกบิดเบือนให้แปลกแยกกับระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม มีส่วนได้ มีส่วนเสียกับระบอบนี้ และใช่ว่าทุกวันนี้ประชาชนไม่ได้เสียภาษี เพียงแต่ไม่ได้เสียภาษีทางตรงจากทรัพย์สินที่ครอบครอง จึงทำให้ขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของเท่าที่ควร และกลายเป็นว่าท้องถิ่นเป็นหนี้บุญคุณรัฐบาลส่วนกลางที่ส่งเงินมาให้เสียอีก
.
และด้วยเหตุนี้ผมจึงเสนอว่าไม่ควรมีข้อยกเว้นการเก็บภาษีทรัพย์สินนี้ ทุกคนควรภูมิใจที่ได้เสียภาษีนี้เพื่อประโยชน์สุขของตนและส่วนรวม ผู้ครอบครองทรัพย์สินไม่ว่าใหญ่น้อย ก็ล้วนแต่ไม่ใช่คนยากจนข้นแค้นที่ต้องรอการสงเคราะห์ การมีข้อยกเว้นก็เท่ากับเรายอมศิโรราบกับผู้มีฐานะระดับสูง ระบบอุปถัมภ์ก็จะหยั่งรากลึก ระบอบประชาธิปไตยก็จะอ่อนแอ และถ้าเจ้าของทรัพย์รายเล็กยังต้องเสียภาษี เจ้าที่ดินรายใหญ่ก็ย่อมต้องเสียภาษีเพื่อตนเองเช่นกัน
.
ภาษีทรัพย์สินที่ใช้เพื่อท้องถิ่นนี้ ไม่มีใครมาปล้นชิงไปได้ ทุกคนได้ประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่อ่านบทความนี้ ช่วยกันทำให้ภาษีทรัพย์สินเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ประชาชนทั่วไป โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าภาษีนี้จะเป็นภาระแก่ตน เจ้าที่ดินรายใหญ่ ก็โปรดอย่าได้ขัดขวาง เพราะทุกฝ่ายล้วนได้รับประโยชน์สุขจากภาษีทรัพย์สินนี้
.
.
* ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ขณะนี้เป็นประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย (www.thaiappraisal.org) และยังเป็นกรรมการหอการค้าสาขาจรรยาบรรณ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ และกรรมการสภาที่ปรึกษาของ Appraisal Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรส Email: [email protected]
เมื่อ: 2009-07-28T09:50:01+00:00
อะไรดีละ: คงไม่จริงหรอก... อะไรที่คิดว่าดีๆ กับทุกฝ่าย โกหกทั้งนั้น
มันต้องมีคนได้คนเสีย เกือบๆ ทุกนโยบายนั่นแหละครับ
อย่างน้อยๆ กรณีแบบนี้ เจ้าที่ดิน ซึ่งรับมรดกมาก็คงไม่ชอบใจเท่าไหร่
เมื่อ: 2009-08-29T06:42:15+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ตลท.สั่งแขวนป้าย H หุ้น CEI วันนี้ตั้งแต่เวลา 11.34 น.
CK: ตลาดหลักทรัพย์ สั่งหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท คอมพาสส์อีสต์ อินดัสตรี้ (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) "CEI" เป็นการชั่วคราวตั้งแต่เวลา 11.34 น.ของวันนี้
จนกว่าบริษัทจะแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับลูกค้ารายหนึ่งของบริษัทฟ้องร้องบริษัท กรณีการไม่ปฏิบัติตามสัญญาการซื้อขายพัดลมติดเพดานรายละเอียดตามข่าวของบริษัทในวันที่ 18 มีนาคม 2548 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท และตลาดหลักทรัพย์อยู่ะหว่างรอการชี้แจงจากบริษัท
--อินโฟเควสท์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 313
เมื่อ: 2005-07-05T04:46:41+00:00
Jeng: อยู่ดีๆก็แขวนเลย แล้วรายย่อยทำไงหละ
แล้วพวกนักเก็งที่ออกไม่ทันทำไงหละ
อืม
เมื่อ: 2005-07-05T04:54:21+00:00
CK: ความเสี่ยงที่หลายๆ คนมองข้ามครับ
หุ้นที่ผมกล้าถือเกิน 25% ของพอร์ต จะต้องดีใจครับ เวลาโดนแขวน
เมื่อ: 2005-07-05T04:57:22+00:00
MisterK: หุ้น บมจ.คอมพาสส์ อีสต์ อินดัสตรี้(ประเทศไทย) หรือ CEI ปรับขึ้นแรงกว่า 14% และซื้อขายคึกคัก ขณะที่ผู้บริหารระบุ มีข้อสรุปเกี่ยวกับคดีของอดีตลูกค้ารายใหญ่แล้ว และกำลังจะแจ้งข้อมูลให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)
หุ้น CEI บวก 0.52 บาท หรือ 13.9% มาที่ 4.26 บาท หลังจากปรับขึ้นกว่า 14% แตะสูงสุดที่ 4.38 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงสุดอันดับ 5 ในตลาด
"ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้ว เรากำลังติดต่อ SET เพื่อแจ้งข้อมูล" นางหลี่ กุ้ย ฟ่ง กรรมการ CEI กล่าวกับ"รอยเตอร์" โดยตอบคำถามที่ว่า การเจรจาของบริษัทกับฮันเตอร์ อดีตลูกค้ารายใหญ่ได้ข้อสรุปแล้วใช่หรือไม่
แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าข้อสรุปดังกล่าวออกมาอย่างไร
เจ้าหน้าที่ตลท. กล่าวกับ"รอยเตอร์"เช้านี้ว่า ขณะนี้ CEI ยังไม่ได้แจ้งข้อมูลใดๆ ให้ตลาด แต่ผู้บริหาร CEI ติดต่อมาที่ตลท. โดยแจ้งว่าจะมีการส่งข้อมูลมายังตลท. แต่ไม่ได้ระบุว่าเรื่องอะไร ขณะที่วันนี้ตลท.ได้เร่งติดต่อให้บริษัทแจ้งข้อมูลมาโดยเร็วแล้ว
CEI เคยเป็นผู้ผลิตและส่งออกพัดลงติดเพดาน พร้อมโคมไฟประดับรายใหญ่สุดของโลก แต่เมื่อต้นปีบริษัทถูกฮันเตอร์ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งมีคำสั่งซื้อถึง 90% ฟ้องร้องเรื่องไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายพัดลมติดเพดาน โดยเรียกร้องค่าเสียหายราว 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ--จบ--
เพราะมีข่าวจากผู้บริหารไปยังสื่อ แต่ตลท.ยังไม่ได้รับข่าวนี้
เมื่อ: 2005-07-05T04:57:37+00:00
คัดท้าย: CK เขียน:ความเสี่ยงที่หลายๆ คนมองข้ามครับ
หุ้นที่ผมกล้าถือเกิน 25% ของพอร์ต จะต้องดีใจครับ เวลาโดนแขวน
เห็นด้วยครับ เวลาเล่นหุ้นไข่เน่า สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ โดนแขวนนะ ... ทำให้บางทีเห็นโอกาส แต่ไม่กล้าเล่นจริงๆ กลัวโดนคาถา นะจังงังง ...
เมื่อ: 2005-07-05T05:04:04+00:00
สามัญชน: :lol: :lol: :lol: :lol:
เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนะ กลต.มีการแขวนเป็นระยะๆมาตลอด
ทุกคนต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องแบบนี้
เกิดเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ก็จะช่วยลดแรงจูงใจของคนที่จะลากไปเชือด
เกิดเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ก็จะลดแรงจูงใจของรายย่อยที่จะผสมโรงให้เขาลากไปเชือด
:lol: :lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2005-07-05T05:05:25+00:00
sittc: เล่นกันแบบนี้
ใช้ข่าววงในกันแน่แท้ครับ
พวกที่เก็ง ก็เก็งกันว่าจะออกหมู่หรือจ่า
ผมว่ารูปแบบราคาแบบนี้ น่าจะได้ข้อสรุปที่ ไม่เลวนัก
เมื่อ: 2005-07-05T05:19:03+00:00
MO101: แปลกทำไมใช้คำว่า เคยเป็น...
เมื่อ: 2005-07-05T06:08:46+00:00
Tongue: sp แล้ว
คนเล่น เน็ทเซ็ท เครียดแน่ๆ
เมื่อ: 2005-07-05T07:36:06+00:00
Jeng: sp คืออย่างไร หมายถึงมีข้อกำหนดอะไรหรือไม่ครับ น้อง Tongue
เมื่อ: 2005-07-05T07:52:55+00:00
Tongue: H คือ Halt พักแค่ 1 session trade
sp คือ ถูกพัก นานกว่านั้น จนกว่าจะได้ข้อมูลนั้นๆ
เมื่อ: 2005-07-05T08:02:50+00:00
naris: พวกเราในเวปนี้ต้องช่วยกันเตือนสติ และให้ความรู้นักลงทุนรายใหม่ๆที่เข้ามาลงทุน อย่าเข้าไปยุ่งกับไฟ ไม่งั้นเขาจะเข็ดกับการลงทุน ตลาดทุนบ้านเราก็จะไม่เจริญซักที
เฮ้อ เหนื่อยจังเลย
เมื่อ: 2005-07-05T08:10:08+00:00
Tongue: ถ้าเรื่องเล็กๆ ตลาดอาจตัดสินใจ H ไปก่อน
แต่ถ้าเรื่องสำคัญๆ หรือ H แล้วยังเคลียร์ไม่ได้ ก็อาจ ให้ sp
เมื่อ: 2005-07-05T08:17:58+00:00
สามัญชน: :lol: :lol: :lol: :lol:
พวกเราในเวปนี้ต้องช่วยกันเตือนสติ และให้ความรู้นักลงทุนรายใหม่ๆที่เข้ามาลงทุน อย่าเข้าไปยุ่งกับไฟ ไม่งั้นเขาจะเข็ดกับการลงทุน ตลาดทุนบ้านเราก็จะไม่เจริญซักที
เฮ้อ เหนื่อยจังเลย
เห็นผลงานของน้อง naris กับพี่ CK จากหลายๆกระทู้ครับ ผมเอาใจช่วยอยู่นะ
:lol: :lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2005-07-05T08:46:40+00:00
CK: น้องวิสามัญชน
อันกระผมนั้นก็ไม่มีอะไรขัดข้องกับการเก็งกำไรอยู่แล้วครับ
ไม่อิจฉาคนเล่นได้
ไม่เสียใจแทนคนเล่นเสีย
การเก็งกำไรเป็นสิ่งดี ช่วยให้โลหิตสูบฉีด เส้นสมองแตกตัว
(ทำเป็นประจำ 555)
แต่ไม่อยากเห็นคนที่กำลังหลับตาเดินข้ามตึกบนเชือกเส้นบางๆ
แต่นึกว่าตัวเองเดินอยู่บนพื้น super safe
เมื่อ: 2005-07-05T09:08:28+00:00
miracle: งานนี้เป็นแบบPICNIอีกตัวหรือเปล่า
SPไปเกิน 15 วัน
เปิดมาSETให้ลงแบบ100% ในวันซื้อขายครั้งสุดท้าย
แต่ขึ้นได้แค่30%(อันนี้ถูกต้องหรือเปล่า 30%)
ซึ่งเปิดมาปุ๊ป ก็เหมือนก้อนหินที่ทิ้งมาจากตึก world trade
ลงด้วยความเร่งg(9.8เมตรต่อวินาที)
งานนี้ต้องดูกันต่อไปว่า มันจะจบแบบไหน
เมื่อ: 2005-07-05T12:27:54+00:00
Dr.T: แต่ไม่อยากเห็นคนที่กำลังหลับตาเดินข้ามตึกบนเชือกเส้นบางๆ
แต่นึกว่าตัวเองเดินอยู่บนพื้น super safe
คมครับ คม
แต่ถ้าใครบางคนอยากจะเสี่ยงตาย
ทั้ง ๆ ที่เขาเดินผ่านกลุ่มคนที่คุยกันในเรื่องที่ไม่เสี่ยง เฝ้าบอกคนผ่านไปผ่านมาไม่ให้เสี่ยง ก็ยังไปเสี่ยง แล้วก็มาบอกว่านี่ฉันเดินข้ามตึกไปแล้วนะไม่เห็นมีอะไรเลย เดี๋ยวเดินใหม่
ก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตน 8)
เมื่อ: 2005-07-05T12:40:25+00:00
por_jai: Dr.T,
แต่ถ้าใครบางคนอยากจะเสี่ยงตาย
ทั้ง ๆ ที่เขาเดินผ่านกลุ่มคนที่คุยกันในเรื่องที่ไม่เสี่ยง เฝ้าบอกคนผ่านไปผ่านมาไม่ให้เสี่ยง ก็ยังไปเสี่ยง แล้วก็มาบอกว่านี่ฉันเดินข้ามตึกไปแล้วนะไม่เห็นมีอะไรเลย เดี๋ยวเดินใหม่
ก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตน
_________________
8) คม เหมือนกันนะคร้าบ คุณหมอหนุ่ม...
เมื่อ: 2005-07-07T03:27:48+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ผลตอบแทนจากการลงทุน(ROI) หายังไงเหรอครับ
Saran: ถ้าเราอยากจะรู้ว่าในปีที่ผ่านๆ มาบริษัทนำเงินไปลงทุน ซื้อเครื่องจักร สร้างโรงงานต่างๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไรครับว่าที่ทำไปให้ผลตอบแทนคุมค่า เราสามารถดูจากงบการเงินได้หรือไม่ครับ
เมื่อ: 2006-10-17T07:14:35+00:00
อองตวน: roi จัดเป็น return ratio แสดงในรูปเปอร์เซนต์
returon on investment -roi ใช้วัดมูลค่าเปรียบเทียบ ระหว่าง ผลประโยชน์สุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในช่วงเวลาที่ศึกษา ต่อ มูลค่าลงทุน
สมมติ กู้เงินซื้อเครื่องจักรใหม่ 1 ตัว ลองหาผลตอบแทนการลงทุนแต่ละปี
(รายได้-ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเครื่องจักรใหม่+ผลประโยชน์ทางภาษีจากดอกเบี้ยจ่าย) / บุ๊คแวลูของเครื่องจักร
เมื่อ: 2006-10-18T04:28:51+00:00
Saran: ขอบคุณครับ คุณอองตวน
เท่าที่ผมดูจากสูตร
รายได้-ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเครื่องจักรใหม่+ผลประโยชน์ทางภาษีจากดอกเบี้ยจ่าย) / บุ๊คแวลูของเครื่องจักร
ผมมีปัญหาว่าเราสามารถหาค่าพวกนี้ได้ยังไงอะครับ เพราะเท่าที่ดูส่วนมากในงบการเงินมันจะรวมเครื่องจักรใหม่กะเก่าด้วยกัน รายได้ก็ไม่ได้แยกให้ดูด้วย พอดีผมกำลังดู SPPT อยู่อะครับ บริษัทบอกมีการลงทุนซื้อเครื่องจักร 100 ลบ. ยังงี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าเค้าซื้อเครื่องจักรมาแล้วใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า หรือแบบ Hmpro ที่เค้าทำการเพิ่มทุนหุ้นละ 1 บาท ยังงี้เราจะดูยังไงเหรอครับว่าที่เค้าขอเงินเราไปลงทุนแล้วมันจะก่อดอกก่อผลยังไงบ้าง
ที่พูดมาก็คือ สำหรับนักลงทุนรายย่อยอยากเราๆ จะสามารถตรวจสอบได้อย่างไรนะครับว่าเงินที่เราให้เค้าไปลงทุนนั้น คุ้มค่าหรือเอาไปละลาย margin เล่นอะครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2006-10-18T06:10:38+00:00
อองตวน: คิดว่ามันเป็นรายละเอียดเกินไปที่จะแสดงในงบ
คาดว่า บริษัทที่ดี ย่อมได้ศึกษาโครงการก่อนแล้ว และแน่ใจว่า โครงการใหม่ช่วยเพิ่ม economic value ให้องค์กรได้
เมื่อดำเนินการจริง ส่วน accounting management คงตามศึกษาตัวเลขต่อ เพื่อการบริหารหน่วยธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ
ทางอ้อมในการติดตามผลงาน อาจใช้การดูที่ยอดขาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มต้น กระแสเงินสดรับ กับ เงินจ่ายลงทุนโครงการน่าจะมี 'lag time' และช่วงปีแรกการใช้กำลังการผลิตคงไม่ 100% เพราะการลงทุนแต่ละครั้งคงเผื่อดีมานด์ในอนาคตไว้ด้วย
ผมคิดว่า ช่วงเวลาที่เป็นรอบการลงทุนของบริษัท กำลังจะเป็นช่วงที่บริษัทแสดงผลงานทางบัญชีที่ชะลอตัวลง เพื่อกลับมาค่อยๆเติบโตอีกครั้งในระยะถัดไป
เมื่อ: 2006-10-18T06:49:06+00:00
Saran: ขอบคุณ คุณอองตวนนะครับ
เมื่อ: 2006-10-18T14:50:04+00:00
Coca-Cola: อองตวน เขียน:คิดว่ามันเป็นรายละเอียดเกินไปที่จะแสดงในงบ
คาดว่า บริษัทที่ดี ย่อมได้ศึกษาโครงการก่อนแล้ว และแน่ใจว่า โครงการใหม่ช่วยเพิ่ม economic value ให้องค์กรได้
เมื่อดำเนินการจริง ส่วน accounting management คงตามศึกษาตัวเลขต่อ เพื่อการบริหารหน่วยธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ
ทางอ้อมในการติดตามผลงาน อาจใช้การดูที่ยอดขาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มต้น กระแสเงินสดรับ กับ เงินจ่ายลงทุนโครงการน่าจะมี 'lag time' และช่วงปีแรกการใช้กำลังการผลิตคงไม่ 100% เพราะการลงทุนแต่ละครั้งคงเผื่อดีมานด์ในอนาคตไว้ด้วย
ผมคิดว่า ช่วงเวลาที่เป็นรอบการลงทุนของบริษัท กำลังจะเป็นช่วงที่บริษัทแสดงผลงานทางบัญชีที่ชะลอตัวลง เพื่อกลับมาค่อยๆเติบโตอีกครั้งในระยะถัดไป
เป็นคำตอบที่ดีมากเลยครับ ผมชอบมากๆ ยิ่งภายหลังการเพิ่มทุนแล้ว อัตราส่วนการทำกำไรลดลงก็ยิ่งชอบ เพราะบางคนก็ลืมตรวจสอบอดีตว่า เมื่อไม่นานพิ่งได้เพิ่มทุนไป และมีกำลังที่รอรับการผลิตในอนาคตอยู่...ยังไม่ถูกใช้เต็มกำลังการผลิต ดังนั้นบางคนที่ไม่รู้คงร่วมกันทำให้หุ้นมีราคาซื้อขายที่ต่ำลง และทำให้ผมได้จังหวะการซื้อเข้าเก็บในพอร์ต ก่อนที่มูลค่าแท้จริงจะแสดงออกมา
เมื่อ: 2006-10-21T16:50:43+00:00
Coca-Cola: แต่คราวนี้ ผมสงสัยหุ้น Hmpro ว่าการระดมทุน ในครั้งนี้ จะมีการพักเงินบางส่วนเพื่อรอลงทุนในอนาคตหรือไม่ เพราะว่า Hmpro คือธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายผ่านร้านค้า ไม่ใช่การผลิตผลิตภัณฑ์ ดังนั้นการขยายธุรกิจ จึงไม่ใช่การสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร แต่คือการเพิ่มสาขา และไม่ใช่ว่าการเพิ่มสาขา จะมีการก่อสร้างขึ้นพร้อมกัน ต้องทยอยสร้างที่ละสาขา อาจใช้เวลาใกล้กัน หรือห่างกันก็แล้วแต่
ผมมองว่าการสร้างสาขาขึ้นใหม่ ย่อมทำให้ต้องเกิดการทุ่มเทบริหาร หรือสร้างช่องทางการสื่อสารให้สาขาใหม่ในแต่ละพื้นที่นั้น และสาขาในแต่ละพื้นที่จะเกิดได้ ก็ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบาก ดังนั้นหากสร้างสาขาพร้อมกัน การระดมมันสมองให้แต่ละสาขาเพื่อแจ้งเกิด คงรวนแน่ๆ เหมือนจับปลาสองมือในเวลาเดียวกัน
ผมจึงคิดว่า การระดมทุนครั้งนี้
++คงมีเงินส่วนหนึ่งทึ่ถูกนำไปใช้ลงทุนทันทีในสาขาที่กำลังจะสร้าง หรือลงทุนในองค์กรที่บริหารสาขาเหล่านั้น
++อีกส่วนหนึ่งอาจนำไปใช้หนี้(แต่ของ Hmpro คงไม่มี)
++และอีกส่วนหนึ่งถูกพักไว้เพื่อรอการลงทุนในสาขาที่กำลังรอสำรวจในอนาคต... ซึ่งเงินที่พักไว้ จะถูกพักไว้ที่ไหน..... พักไว้ใน ธนาคาร ธุรกรรมทางบการเงิน หรือหุ้น
อีกคำถามครับ สัดส่วนการลงทุนของที่ดินกับตัวอาคาร เป็นเท่าไรครับ สำหรับพื้นที่นอกกรุงเทพในแต่ละสาขา และ Hmpro ไปตั้งที่ไหน จะมีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินนั้นมั๊ยครับ หมายถึงว่า จะคล้ายกับ มาบุญครอง เดอะมอลล์ หรือเซ็นทรัล ที่เมื่อไปก่อสร้างที่ใดแล้ว จะเป็นตัวขับเคลื่อนมูลค่าเพิ่มของที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ให้กับพื้นที่ในรอบรัศมีนั้นๆ และเป็นตัวก่อเกิดชุมชนที่อยู่อาศัย หรือเขตเศรษฐกิจ อย่างมีนัยสำคัญ
อีกคำถามครับ Hours Brand ของ Hmpro เป็นสินค้าที่จ้างผลิตใช่ไหมครับ ไม่ได้ว่ามีบริษัทลูกใดๆ เป็นผู้ผลิตให้ใช่ไหมครับ
หากจ้างผลิต แล้วทาง Hmpro น่าจะมีนโยบายการผลิตเอง โดยการสร้างไลน์มาเป็นบริษัทลูกให้ผลิตให้แทนไหมครับ เพราะจากข่าว ก็เห็นว่ามีนโยบายการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ในอนาคต ซึ่งหากมีบริษัทลูก และในอนาตคตยอดขายเติบโตขึ้น ก็น่าจะควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า
เมื่อ: 2006-10-21T17:21:36+00:00
อองตวน: จาก ROI ไหงกลายเป็น hmpro
ผมไม่ได้ติดตามอย่างละเอียด คงตอบได้แค่ภาพใหญ่นะครับ
สืบเนื่องจากบริษัทได้ขยายสาขาครอบคลุม กทม. และ ปริมณฑล ทั่วพื้นที่แล้ว จึงบังคับกลายๆให้เน้าเป้าหมายตลาดต่างจังหวัด รูปแบบเป็นการขอแบ่งเช่าพื้นที่จาก discount store เดิม หรือจังหวัดไหนไม่มีก็ลงทุนสร้างเอง
ซึ่งแบบหลังมีผลให้ขยายได้ช้า ขยายได้น้อย และขาดเงินทุน
การที discount store ถูกยับยั้งการขยายสาขาใหม่จึงเป็นอุปสรรคโดยอ้อมต่อ growth stock ที่อาศํยการเพิ่มจำนวนสาขาอย่าง hmpro เช่นกัน
ด้านการตลาด คนตจว.มีแนวโน้มการใช้ชีวิตทันสมัยเช่นคนกรุง ตลาดซื้อผ่อนใหญ่กว่าซื้อสด พวกสินเชื่อบุคคลก็บุกกระจายในหัวเมืองใหญ่อยู่แล้ว ระดับความมั่นใจผู้บริโภคเป็นตัวแปรการตัดสินใจซื้อ
คุณ cola ลองชั่งน้ำหนักข้อดี ข้อเสีย ดูเองนะครับ และพยายามเช็คผลดำเนินงาน ว่าบริษัทจะยังรักษาระดับเติบโตได้เท่ากับที่ตลาดได้คาดหวังหรือเปล่า
เมื่อ: 2006-10-24T04:55:17+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
CSP Steel Center
Frankie: เปิดบ้านให้หุ้นเหล็กตัวนี้หน่อยครับ
Website : www.cspsteel.com
งบการเงิน
ประจำงวดวันที่ 30/09/09
ASSETS (หน่วย: ล้านบาท)
CASH AND CASH EQUIVALENTS 20.20
TRADE ACCOUNTS AND NOTES RECEIVABLE - NET 665.92
OTHERS PARTIES 661.89
RELATED PARTIES 4.03
INVENTORIES 592.26
OTHER CURRENT ASSETS 0.31
OTHER CURRENT ASSETS - OTHERS 0.31
TOTAL CURRENT ASSETS 1,278.69
INVESTMENT ACCOUNTED FOR USING COST METHOD 22.72
AVAILABLE-FOR-SALE INVESTMENTS 22.72
PROPERTY, PLANT AND EQUIPMENT - NET 416.84
OTHER NON-CURRENT ASSETS 47.30
REFUNDABLE DEPOSITS 2.80
OTHER NON-CURRENT ASSETS - OTHER 44.50
TOTAL NON-CURRENT ASSETS 486.86
TOTAL ASSETS 1,765.55
LIABILITIES & EQUITY (หน่วย: ล้านบาท)
BANK OVERDRAFTS AND SHORT-TERM LOANS FROM FINANCIAL INSTITUTIONS 989.27
TRADE ACCOUNTS AND NOTES PAYABLE - NET 81.41
OTHERS PARTIES 81.41
CURRENT PORTION OF LONG-TERM LIABILITIES 8.16
LONG-TERM BORROWINGS FROM FINANCIAL INSTITUTIONS 8.16
OTHER CURRENT LIABILITIES 4.62
OTHER CURRENT LIABILITIES - OTHERS 4.62
TOTAL CURRENT LIABILITIES 1,083.46
TOTAL LIABILITIES 1,083.46
AUTHORIZED SHARE CAPITAL 625.00
ORDINARY SHARES 625.00
ISSUED AND FULLY PAID-UP SHARE CAPITAL 500.00
ORDINARY SHARES 500.00
PREMIUM OR DISCOUNT ON SHARE CAPITAL 100.08
ORDINARY SHARES 100.08
OTHER SURPLUS (DEFICIT) 74.98
REVALUATION SURPLUS OF PROPERTY, PLANT AND EQUIPMENT 86.84
REVALUATION SURPLUS ON INVESTMENTS -11.86
RETAINED EARNINGS (DEFICIT) 15.84
RETAINED EARNINGS - APPROPRIATED 8.80
RESERVE FOR TREASURY SHARES 8.80
RETAINED EARNINGS (DEFICIT) - UNAPPROPRIATED 7.04
TREASURY STOCK/ SHARES OF THE COMPANY AS HELD BY A SUBSIDIARY 8.80
NUMBER OF TREASURY STOCK 3,833.70
TREASURY SHARES 8.80
EQUITY ATTRIBUTABLE TO EQUITY HOLDERS OF PARENT 682.09
TOTAL EQUITY 682.09
ประวัติปันผล
ปี ปันผล
09 งด :(
08 0.10+0.20+0.10 = 0.40 :shock:
07 0.12
06 0.15
เมื่อ: 2009-12-03T06:38:38+00:00
Frankie: สรุปผลประกอบการไตรมาสล่าสุด Q3/52
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)
เมื่อ: 2009-12-03T06:57:41+00:00
Frankie: มีบทวิเคราะห์จากสำนัก CIMB ตามลิ้งค์นี้ครับ
http://portal.settrade.com/brokerpage/I ... 301109.pdf
เผื่อใครจะอ่านไฟล์ .pdf ไม่ได้ ผมขอตัดเอาบางส่วนมาให้อ่านครับ
ไตรมาส 4/52 คาดจะดีกว่านี้ จากอุปสงค์ในกลุ่มลูกค้าที่เริ่มฟื้นตัวทั้งยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
CSP เป็นผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ให้บริการเหล็กครบวงจร ดำ เนินธุรกิจแปรรูปและ
จำ หน่าย จัดหาเหล็กแผ่นชนิดม้วน และให้บริการแปรรูปเหล็ก ทั้งชนิดรีดเย็น (Cold-Rolled) และรีดร้อน (Hot-Rolled) ทั้งรับตัดและจำหน่ายเหล็กแผ่น(Plate) และเหล็กม้วน(Slitting Coil) มีกลุ่มผู้ถือหุ้นหลักและเป็นฝ่ายบริหารคือ กลุ่มชัยสุพัฒน์ มีสัดส่วนหุ้นรวมทั้งหมด 74.79 %
FINANCIAL HIGHLIGHT
2551 2552F 2553F
Sales(Bt mn) 3,492 2,200 2,640
Net Profit(Bt mn) 67 39 115
EPS(Baht/Share) 0.13 0.08 0.23
P/E X 16.15 27.00 9.50
P/BV X 1.59 1.73 1.62
Book Value per share(Baht) 1.32 1.27 1.30
DPS 0.30 0.00 0.20
Dvd. Yield(%) 14.28 0.00 9.09
Source : Research estimates
กำไรสุทธิ 15.8 ล้านบาท ลดลง 42.9 % yoy แต่เพิ่มขึ้น 409.7 % qoq : csp ประกาศผลประกอบไตรมาส 3/52 มีกำไรสุทธิ 15.8 ล้านบาท ลดลง 42.9 % yoy แต่เพิ่มขึ้นถึง 409.7% qoq โดยมียอดขาย 633 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.9 % qoq โดย CSP มีกำไรจากการดำเนินงาน 23.8 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 7.98 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 660 % qoq โดยงวด ไตรมาส 3/52 CSP มียอดขาย 633.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.9 %qoq สาเหตุ ยอดคำสั่งซื้อของลูกค้าในกลุ่มลูกค้าประเภท ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอื่นๆ รวมทั้ง ราคาขายที่สูงขึ้นทำให้ งวดผลประกอบการไตรมาส 3/52 CSP มีอัตรากำไรขั้นต้น สูงขึ้นเป็น 8.5 % โดยรวม งวด 9 เดือน ปี 52 ยังเป็นขาดทุนสุทธิ อยู่ที่ 11 ล้านบาทเรามองจากการชดเชย ด้วยกำไรสุทธิในไตรมาส 3 นี้ รวมทั้งมีการโอนรายการกลับจากรายการ
ด้อยค่าสินค้าคงเหลือได้ ทำให้สามารถแสดงยอดขาดสุทธิที่ลดลงจาก ในช่วงไตรมาส 1/52 ที่มีขาดทุนสุทธิถึง 29.97 ล้านบาท ได้
จากผลประกอบ Q3/52 ยอดขายเริ่มส่อเพิ่มอย่างมีนัย : จากยอดขายงวด 9 เดือนปี 52ที่ 1,470.89 ล้านบาท คิดเป็น 67 % จากที่เราประมาณการณ์ไว้ ซึ่งเรายังคงประมาณการณ์ผลประกอบการปี 52 ไว้คงเดิม รวมทั้งยังมองในไตรมาส 4/52 CSP จะสามารถรายงานผลประกอบการณ์ตามที่เราประมาณการณ์ไว้ ที่คาดยอดขายปี 52 คือ 2,200 ล้านบาท เนื่องจากยังมีอุปสงค์ภายในประเทศ กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สะท้อนด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่ง CSP ได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของ อุตสาหกรรมกลุ่มยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ประเมินราคาเหมาะสม 2.18 บาท ถือได้ว่าราคา เต็มมูลค่าแล้ว : เราประมาณการณ์เรายังให้ CSP มี กำไรสุทธิ ปี 52 39 ล้านบาท คิดเป็น กำไรต่อหุ้นคือ 0.08 บาทต่อหุ้น โดยเราคาดยอดขาย ปี 53 ยังได้รับผลดีจากการฟื้นต้วในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น เรายังประเมินราคาเหมาะสม คือ 2.18 บาท อิง P/E ปี 53 ที่ 9.5 เท่า แม้ว่าธุรกิจจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นแต่ upside ที่ต่ำ รวมทั้งฐานะการเงินที่ยังไม่โดดเด่นนัก กับ Net Gearing ที่1.4 เท่า คงคำแนะนำ Fully Value
เมื่อ: 2009-12-03T07:10:18+00:00
Frankie: กรรมการบริษัท
กรรมการ ตำแหน่ง
นาย สุภชัย ชัยสุพัฒน์ ประธานกรรมการ
นาย สุภชัย ชัยสุพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
นาย วีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ
นาย กฤษดา ชัยสุพัฒน์ กรรมการ
นาง พันธิภา ชิวธนาสุนทร กรรมการ
นาย บรรเจิด สมเสม กรรมการ
พล.ต.ต. วิเชียร สมานพงษ์ กรรมการ
นาย จรัส กาญจนขจิต ประธานกรรมการอิสระ
นาย จันทร์แรม อรรถกฤษณ์ กรรมการอิสระ
นาย สุรชาติ พงษ์ภัทรินทร์ กรรมการอิสระ
นาย จรัส กาญจนขจิต ประธานกรรมการตรวจสอบ
นาย จันทร์แรม อรรถกฤษณ์ กรรมการตรวจสอบ
นาย สุรชาติ พงษ์ภัทรินทร์ กรรมการตรวจสอบ
เดาว่าCSP เป็นตัวย่อจากนามสกุลของกลุ่มผู้บริหารเหล่านี้ครับ
เมื่อ: 2009-12-03T07:16:36+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
หลักการของบัฟเฟต ไม่ได้ล้าสมัยเลยนะครับ
Frankie: ฟังคุณสรยุทธ์เล่าข่าวเช้านี้ก็พูดว่าเอา 2000 ล้านไปตั้งหนังสือพิมพ์ใหม่
ให้ทำได้เท่ามติชน ใครๆก็ทำไม่ได้ .... คิดถึงบัฟเฟตกับ Washington Post ขึ้นมาในทันที (ถูกหนังสือพิมพ์หรือเปล่า ไม่ได้อ่านนาน..ลืม)
มาดู MATI ก่อนเล่นข่าว .. P/E ประมาณ 10-12 P/B ประมาณ 1 เท่านั้น เคยลงไปต่ำกว่า Book Value ด้วยซ้ำไป ...ราคานี้ถูกกว่า Replacement Cost มากๆ แล้วสิ
เออ นะ... ทำไมไม่พูดตั้งแต่ก่อนหน้านี้
รู้งี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ....ซื้อซะก็ดี ...(รำพันกับตัวเอง) ฮ่าๆๆๆๆ
เมื่อ: 2005-09-14T07:42:44+00:00
ShexShy: ต้องดูว่าหลังการ Take Over แล้ว เนื้อหาของหนังสือพิมพ์มั้ง 2 ฉบับ จะ เหมือนเดิม หรือเปลี่ยนไป ถ้าเหมือนเดิม ก็จะเข้าข่าย สิ่งที่ Buffet ทำ เพราะ ตลาดจะไม่หดลงเนื่องจาก จุดเด่นของหนังสือพิมพ์ คือเนื้อหา แต่ถ้าเปลี่ยน ไปในทางที่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่หนังสือพิมพ์นี้ เช่น เน้าข่าวสงสารดารา วงการบันเทิงมากไป ตลาดเดิมก็คงต้องลด แล้ว ก้ต้องไปสู้กับตลาดใหม่ ที่มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว
ดูกลุ่ม shin Take Over ITV นี้ อาจจะพอเป็น reference ได้ครับ เพราะ บันเทิงที่ ITV นำมาเสนอ ผมว่ายังสู้บันเทิงช่องอื่นไม่ได้ และ ข่าวที่เคยเป็นจุดเด่น ก็ลดความน่าสนใจลง
:mrgreen: :mrgreen:
เมื่อ: 2005-09-14T08:12:42+00:00
woody:
shin Take Over ITV นี้ อาจจะพอเป็น reference ได้ครับ เพราะ บันเทิงที่ ITV นำมาเสนอ ผมว่ายังสู้บันเทิงช่องอื่นไม่ได้ และ ข่าวที่เคยเป็นจุดเด่น ก็ลดความน่าสนใจลง
แต่ที่ผ่านมา Rating เค้าดีขึ้นนะครับ ช่องสามสิกลับลดลงอย่างแท้จริง จนต้องหันมาเริ่มทำงานเกี่ยวกับข่าวมากขึ้น
เมื่อ: 2005-09-14T08:18:51+00:00
สามัญชน: ตอนที่บัฟเฟตต์ซื้อcoca cola ก็ใช้หลักการนี้ เขาตั้งคำถามว่า ถ้ามีเงินล้านล้านดอลลาร์ และต้องการจะทำนำดำตัวใหม่ให้ดีกว่า จะทำได้ไหม คำตอบคือ ทำไม่ได้ เขาก็เลยซื้อเลย
กรณีมติชนถ้ามีสองพันล้านจะทำแบบมติชนได้ไหม คำตอบก็คงไม่ได้เหมือนกัน
แต่มีข้อแตกต่างบางจุดถ้านำมาเทียบกัน ตัว
เมื่อ: 2005-09-14T09:00:35+00:00
adi: เห็นด้วยกับคุณสามัญชน
เมื่อ: 2005-09-14T09:11:44+00:00
ShexShy: [quote="woody"][quote]
shin Take Over ITV นี้ อาจจะพอเป็น reference ได้ครับ เพราะ บันเทิงที่ ITV นำมาเสนอ ผมว่ายังสู้บันเทิงช่องอื่นไม่ได้ และ ข่าวที่เคยเป็นจุดเด่น ก็ลดความน่าสนใจลง
[/quote]
แต่ที่ผ่านมา Rating เค้าดีขึ้นนะครับ ช่องสามสิกลับลดลงอย่างแท้จริง จนต้องหันมาเริ่มทำงานเกี่ยวกับข่าวมากขึ้น[/quote]
ในช่วงแรกของการ Take Over rating ตก นะครับ จนมาฟื้นได้ในช่วงหลัง (ผมไม่ได้มีข้อมูลแน่ชัดเรื่องตัวเลข rating นะครับ)
เมื่อ: 2005-09-14T09:14:15+00:00
สามัญชน: กรณีมติชน ผมสงสัยจังเลยว่ามีแรง(มือ)ที่สามคือรายย่อยมาร่วมผสมโรงเฮละโลทำให้ราคากระฉูดแบบนี้
เมื่อ: 2005-09-14T10:52:33+00:00
chatchai: มูลค่าบริษัท MATI จะสูงเท่าไรก็คงขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆครับ เช่น
1. ผู้ซื้อมีเงินและสินทรัพย์ทั้งหมดเท่าไร
ถ้ามีเงินซัก 20000 ล้านบาท จะเจียดเงินมาซัก 2000 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการที่มีผลตอบแทนซัก 5% ก็คงจะได้
แต่ถ้าคุณมีเงินแค่ 1000 ล้านบาท ต้องกู้มาอีก 1000 ล้านบาท ก็คงต้องคิดให้หนัก
2. เรื่องความผูกพันและศักดิ์ศรี ผู้ก่อตั้งบริษัทมักจะมีความผูกพันมาก ถ้ามีใครมาแย่งซื้อ บางครั้งก็ยอมสู้ตาย โดยที่ไม่ได้คิดถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ
บางครั้งถ้าคุณมีเงิน 2000 ล้านบาท คุณอาจจะยอมได้รับผลตอบแทนเพียง 2% ต่อปีก็เพียงพอ (ตั้ง 40 ล้านบาทต่อปี) เพียงเพื่อซื้อศักดิ์ศรีคืนมา
เมื่อ: 2005-09-14T12:34:50+00:00
ต.หยวนเปียว: [quote="chatchai"]มูลค่าบริษัท MATI จะสูงเท่าไรก็คงขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆครับ
เมื่อ: 2005-09-14T13:36:57+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ความเชื่อเรื่องเทพเจ้ากับคนไทย
luckyman: ผมเปล่าพูดเกี่ยวกับการเมืองนะครับ แอดอย่าเพิ่งลบ
ผมสังเกตว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย มีแนวคิด ความเชื่อแปลกๆ เช่น นาย ก คือ เทพเจ้ากลับชาติมาเกิด ตั้งแต่เกิดมายันแก่ ท่าน หรือยันตาย ไม่เคยทำเรื่องชั่ว เรื่องเลวเลย แม้แต่ครั้งเดียว แบบ เป็นคนดี 1,000%
ถ้าใครพูดด้านไม่ดี แม้เพียงน้อยนิด ก็จะโดนด่ากลับมา
คนไทยทุกคน ต้องสำนึกในบุญคุณ นาย ก
ผมเจอแบบนี้ หลายคน ซึ่งความเห็นส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วย เพราะ
1. ผมเรียนสาย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มา การที่จะบอกพูดเรื่อง เทพเจ้า หรือชาติปางก่อน ผมไม่ค่อยอยากเชื่อ
2. ผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์มนุษย์มา ซึ่งมนุษย์ก็คือสัตว์ สปีชี่ส์นึงในโลกครับ การจะบอกว่า สัตว์ตัวนี้ ไม่เคยทำเรื่องไม่ดี ไม่เคยเบียดเบียนใคร ตั้งแต่เกิดจนตาย น่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ แค่เราเดินไปเหยียบมด ตบยุง กินเนื้อสัตว์ แกล้งเพื่อน โกหก ลอกการบ้าน แค่นี้ก็ถือเป็นเรื่องเลวๆแล้วครับ
3. นาย ก ในฐานะ สัตว์สปีชี่ส์นึงในโลก ก็น่าจะมีดี มีชั่ว ผสมๆ ปนกันไป ไม่มีใครดี 100% หรือ ชั่ว 100%
4. นาย ก ที่เขาทำดีบางอย่าง ต้องมาวิเคราะห์อีกที ว่า เขาได้รับผลประโยชน์อะไรไหม เช่น รายได้ หรือผลประโยชน์แอบแฝง หรือ ทำดีด้วยใจ ไม่หวังผลตอบแทน ต้องวิเคราะห์เยอะๆ
คนไทย มีแนวคิดแบบนี้เยอะมาก ยิ่งคนแก่ๆ อายุ 35 ปี ขึ้นไป
เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรครับ หรือว่าคนกลุ่มนี้คิดถูกต้องแล้ว ผมคิดผิดเองครับ
เมื่อ: 2021-04-10T02:31:46+00:00
ส.สลึง: ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเทพนะครับ
แค่มาแชร์แนวคิดเฉยๆ
ผมรู้จักครอบครัวครอบครัวนึง
ประกอบด้วยพ่อแม่ลูก
พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว
มีหน้าที่หาเงิน
แม่มีหน้าที่ดูแลลูกๆ ที่บ้าน
แต่มีจุดแตกหักที่ทำให้คนเป็นแม่
เกลียดคนเป็นพ่อมากๆ
ด่าคนเป็นพ่อให้ลูกๆ ฟัง
พ่อมึงเลวแบบนั้น
พ่อมึงเลวแบบนี้
เป็นแบบนี้แทบทุกวัน
จนคนเป็นลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่
จนผมเองล่ะก็นึกสงสาร
แต่ลูกคนนี้เล่าให้ผมฟังว่า
พี่...
ผมก็รู้ว่านะ ว่าพ่อผมเป็นคนไม่ดี
แต่ผมเลือกพ่อไม่ได้
ผิดกับแม่
ที่แม่เลือกแฟนได้
สิ่งที่ผมทำได้
คือดูแลทั้งพ่อและแม่ให้ดีที่สุด
จนวาระสุดท้ายที่เราต้องจากกัน
ปล.
มนุษยชาติอาจจะอยู่ได้แสนปี
แต่เราอาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ครั้งเดียวไม่ถึงร้อยปี
จะทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ
เมื่อ: 2021-04-10T03:46:45+00:00
luckyman: ขอบคุณครับ
ส.สลึง เขียน: ↑เสาร์ เม.ย. 10, 2021 10:46 am
ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเทพนะครับ
แค่มาแชร์แนวคิดเฉยๆ
ผมรู้จักครอบครัวครอบครัวนึง
ประกอบด้วยพ่อแม่ลูก
พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว
มีหน้าที่หาเงิน
แม่มีหน้าที่ดูแลลูกๆ ที่บ้าน
แต่มีจุดแตกหักที่ทำให้คนเป็นแม่
เกลียดคนเป็นพ่อมากๆ
ด่าคนเป็นพ่อให้ลูกๆ ฟัง
พ่อมึงเลวแบบนั้น
พ่อมึงเลวแบบนี้
เป็นแบบนี้แทบทุกวัน
จนคนเป็นลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่
จนผมเองล่ะก็นึกสงสาร
แต่ลูกคนนี้เล่าให้ผมฟังว่า
พี่...
ผมก็รู้ว่านะ ว่าพ่อผมเป็นคนไม่ดี
แต่ผมเลือกพ่อไม่ได้
ผิดกับแม่
ที่แม่เลือกแฟนได้
สิ่งที่ผมทำได้
คือดูแลทั้งพ่อและแม่ให้ดีที่สุด
จนวาระสุดท้ายที่เราต้องจากกัน
ปล.
มนุษยชาติอาจจะอยู่ได้แสนปี
แต่เราอาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ครั้งเดียวไม่ถึงร้อยปี
จะทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ
เมื่อ: 2021-04-10T04:44:30+00:00
Tibular: "ผมสังเกตว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย มีแนวคิด ความเชื่อแปลกๆ..."
แค่การสังเกตคงนำมาอนุมานว่าเรื่องที่สังเกตตรงกับสิ่งที่เราคิดทั้งหมดคงยังไม่ได้หรอกครับ...
ผมรู้แค่ว่า ถ้าใครคนไหนกระทำสิ่งอันเป็นกุศล เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น มีผลเป็นความสุข
หรือใครคนไหนสอนให้กระทำสิ่งอันเป็นกุศล เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น มีผลเป็นความสุข
และทำมาเป็นระยะเวลายาวนาน อย่างน้อยๆก็น่าจะสิบปีขึ้นไป ผมก็นับถือแล้วละครับ
เมื่อ: 2021-04-12T04:38:58+00:00
luckyman: ขอบคุณความเห็นครับ ผมขอ edit ความเห็นดีกว่า
ผมก็ชนชั้นกลางคนนึง มีภาระหน้าที่ รักตัวกลัวตาย
ขอแค่ observe ละกันครับ
เมื่อ: 2021-04-12T05:20:59+00:00
ส.สลึง: ผมมีร้านข้าวขาประจำใกล้บ้าน
ราคาไม่แพง
รสชาติถูกปาก
แต่ละเดือนก็จะมีปิดร้านหายหน้าหายตาไปบ้าง
เท่าที่ทราบ
เจ้าของร้านเป็นนักคณิตศาสตร์
ต้องไปตระเวนหาเลขสุ่มเป็นประจำ
...
บางที ตัวเราเอง ก็เผลอ
และหลงลืมไปว่า...
มนุษย์...
ไม่ควรจะอยู่บนโลกใบนี้คนเดียว
...
วันพรุ่งนี้หวยออก
แต่วันนี้ร้านข้าวขาประจำเปิด
สบายอีกวัน
ไม่ต้องหุงข้าว ทำกับข้าวกินเอง
...
ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนครับ
เมื่อ: 2021-04-15T08:16:07+00:00
luckyman: ส.สลึง เขียน: ↑พฤหัสฯ. เม.ย. 15, 2021 3:16 pm
ผมมีร้านข้าวขาประจำใกล้บ้าน
ราคาไม่แพง
รสชาติถูกปาก
แต่ละเดือนก็จะมีปิดร้านหายหน้าหายตาไปบ้าง
เท่าที่ทราบ
เจ้าของร้านเป็นนักคณิตศาสตร์
ต้องไปตระเวนหาเลขสุ่มเป็นประจำ
...
บางที ตัวเราเอง ก็เผลอ
และหลงลืมไปว่า...
มนุษย์...
ไม่ควรจะอยู่บนโลกใบนี้คนเดียว
...
วันพรุ่งนี้หวยออก
แต่วันนี้ร้านข้าวขาประจำเปิด
สบายอีกวัน
ไม่ต้องหุงข้าว ทำกับข้าวกินเอง
...
ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนครับ
เช่นกันครับพี่
เมื่อ: 2021-04-15T08:24:41+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
รอดตายแล้ว....กองทุน matching fund VS G7 academy
crazyrisk: G 7
สำหรับแผนปฏิบัติการ 5 ประการซึ่งผ่านออกจากที่ประชุมรัฐมนตรีคลัง จี 7 เมื่อวันศุกร์ และได้รับความสนับสนุนเห็นชอบจากที่ประชุม จี20 ตลอดจนที่ประชุมไอเอ็มเอฟซี ในวันเสาร์ มีดังนี้
1.ใช้ปฏิบัติการที่เด็ดขาดและใช้เครื่องมือทั้งหมดที่สามารถหามาได้ เพื่อสนับสนุนพวกสถาบันการเงินที่มีความสำคัญในเชิงระบบ และป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินเหล่านี้ล้มครืน
2.ใช้มาตรการที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อแก้ไขให้ตลาดสินเชื่อและตลาดเงิน หลุดออกมาจากภาวะชะงักงัน ตลอดจนเพื่อรับประกันให้ธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ สามารถเข้าถึงสภาพคล่องและเงินกู้ได้อย่างกว้างขวาง
3.รับประกันให้ธนาคารและตัวกลางทางการเงินที่สำคัญๆ อื่นๆ ของเรา สามารถระดมเงินทุนตามที่จำเป็น จากแหล่งในภาคสาธารณะตลอดจนแหล่งภาคเอกชน ในจำนวนที่เพียงพอแก่การกลับฟื้นความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งเปิดทางให้พวกเขาสามารถสืบต่อปล่อยกู้แก่ครัวเรือนและธุรกิจต่างๆ ได้
4.รับประกันว่า โครงการรับประกันและค้ำประกันเงินฝากแห่งชาติในแต่ละประเทศของเรานั้นมีความ แข็งแกร่งและคงเส้นคงวา เพื่อที่ผู้ฝากรายย่อยของเราจะสามารถมีความเชื่อมั่นได้ต่อไปในเรื่องความ ปลอดภัยในเงินฝากของพวกเขา
5.ใช้ปฏิบัติการเมื่อมีความเหมาะสม เพื่อเริ่มทำให้ตลาดสำหรับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ที่ค้ำประกัน โดยหลักทรัพย์ สามารถเดินเครื่องขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องการตีราคาอย่างถูกต้องแม่นยำ และการเปิดเผยอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับข้อมูลของสินทรัพย์ รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรฐานทางบัญชีอันมีคุณภาพสูงอย่างคงเส้นคงวา
ส่วน matching fund ผมตามหาเนื้อข่าวไม่ได้
แต่ได้ข้อมูลคร่าวๆประมาณว่า
ระดมเงินจากหลายๆแหล่ง ได้เงินประมาณ 5000 ล้า้นบาท
แต่ตอนฟังทางทีวี ได้ยินแว่วๆ เป็นกองทุน ไม้จิ้มฟัน
มันจะไปยัน เรือรบ ไหวไหมน๊าาาา
เมื่อ: 2008-10-12T14:10:37+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Growth stock ดีจริงหรือ?
blueplanet: ผมรู้สึกว่า VI ในเวบนี้ จะให้ค่าของ growth stock สูงมาก
มันเริ่มจะเป็นความเชื่อ แบบหัวปักหัวปำ
ใครก็อยากมีหุ้น pe 40-50 เท่ากันทั้งนั้น
หุ้นที่มีร้าน เช่น ร้านอาหาร ร้านมือถือ ร้านโชห่วย ร้านวัสดุอุปกรณ์
เราก็ให้ pe กัน ระดับ 30-50เท่าแล้ว
แล้ว เราก็มีสูตรชุดนึง ที่บอกว่าหุ้น โต30% PE 30 เท่าเป็นหุ้นที่น่าซื้อ
เพราะปีหน้า เราจะกำไร 30% จาก capital grain
และอีก 3ปี เราก็จะได้ 1 เด้ง และจะขึ้นไปเป็นจรวด
สูตรและหลักคิดแบบนี้สำหรับผมแล้ว ถือว่าอันตรายมาก
ผมงงตั้งนานทำไม เค้าคิดแบบนี้ มั่นใจอะไรหนักหนาว่า
ปีหน้าและปีต่อๆไป หุ้นตัวนี้ ยังโต 30% อีก
ดังนั้นนักลงทุนบางส่วน จึงไม่สนใจหุ้นโต 10% PE 10 ปันผล 7%
แต่ไปสนใจ หุ้น PE 40 ปันผล 1% แทน
แสดงว่านักลงทุนไทยเราเก่งมองอะไรไกลๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา
ผมชอบมองอะไรสั้นๆ ผลประโยชน์ใกล้ๆที่แน่นอน
แน่ใจหรือว่า หุ้น pe 40-50 เท่า ที่เราเชื่อว่าเป็น super stock จะกำไรดีตลอดไป
ถ้า ศก ไม่ดี แล้วจะกล้าถือ หุ้นพวกนี้หรือไม่ถ้าปันผล ได้ไม่ถึง 1%
ก่อนฟองสบู่แตก หุ้นอสังหา กับหุ้น ไฟแนนซ์ pe ก็ประมาณนี้เหมือนกัน
เมื่อ: 2012-09-01T10:20:57+00:00
ส.สลึง: ผมว่านะ หุ้น PE สูงๆ
ที่คุยกันในเวป
คนอ่านจะไม่รู้ว่า
คนที่คุยกันว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้
เขาซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่
หรือบางที
เขาอาจจะขายไปก่อน
หรืออาจจะไม่มีหุ้นตัวนั้นเลยก็ได้
สำหรับคนที่ศึกษา VI
การนำ MOS มาใช้
ผมคิดว่าจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ให้กับพอร์ตลงทุนได้ในระยะยาวครับ
เมื่อ: 2012-09-01T10:49:14+00:00
dragonrider: หมายถึง Kamart เหรอครับ ที่คุณ Blueplanet พูดถึง
ส่วนอีกตัวที่บอก PE10 โต 10% คือ ตัวไหน เหรอครับ?
คือ พอยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบ ถ้าไม่บอกชื่อหุ้น มันจะเปรียบเทียบยังไงล่ะครับ
จะได้รู้ว่า ทำไม ความเสี่ยง? ลักษณะอุตสาหกรรม? เลยไม่รู้จะแสดงความเห็นยังไงดี
ปล ผมชอบ คุณ Blueplanet ตั้งหัวข้อจังครับ ทำให้ห้องคึกคักทุกที
เมื่อ: 2012-09-01T11:00:52+00:00
ส.สลึง: ถ้าเป็น kamart
ส่วนตัวผมเชื่อว่าผมลงทุนด้วยความปลอดภัยระดับนึง
และตลาดกำลังมองข้าม บ. ไปในบางประเด็นครับ
คือ การเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย และ
การลดทุนจดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผล
ตอนที่ผมเข้าตอนนั้นราคาหุ้นก็ทำ high นะ
แต่เป็น new high ด้วยหรือเปล่า จำไม่ได้ครับ
จำได้แต่ว่าซื้อแล้วราคาลง ติดลบอยู่ 20%
เมื่อ: 2012-09-01T11:14:14+00:00
13055: ผมชอบคำถามของคุณ blueplanet จังครับ เปิดโอกาสให้ถกกันได้สำหรับคนที่มองต่างกัน
ผมขอลงออกความเห็นของผมนะครับ
1. ถามว่าทำไมถึงไม่ซื้อหุ้นที่ PE10 growth 10% ปันผล 7% ???
ผมว่ามันไม่น่าสนใจจริงๆแหละครับ กำไรก็เท่านี้ไม่ได้เพิ่ม ปันผลก็เท่านี้ เหตุผลที่ไม่น่าสนใจเพราะ capital gain มันต่ำมาก บนสมมติฐานว่า PE เท่าเดิม
ยิ่งถ้าเทียบกับหุ้นที่ PEG 1 เหมือนกันอย่างหุ้นที่ PE 20 growth 20% capital gain ต่างกันชัดเจน แทบไม่ต้องพูดถึงหุ้นที่ PE 30 หรือ 40 ที่จะโตได้ตาม growth เลย
2. หุ้นที่ PE 30 growth 30% จะได้ 1 เด้งใน 3 ปี คิดเป็นเส้นตรงแล้วอันตรายมาก
เห็นด้วยว่าอันตรายมาก เพราะหายากที่บริษัทไหนจะโตได้ 30% ต่อปีติดต่อกันนานๆ แต่มันก็คือ money game ที่ high risk high return เพราะถ้าทำได้จริง ต่อให้ถูกลด premium ไปบ้างก็ยังได้ capital gain เยอะกว่าหุ้น pe10 growth 10 หรือถ้าทำไม่ได้ แต่ไม่ถูกลด premium หรือถูกลด premium ไม่เยอะ ก็อาจจะยังได้ capital เยอะกว่าอยู่ดี
แต่ถ้าทำไม่ได้แล้วถูกลด premuim อย่างหนัก ก็เป็นดาบสองคมที่ทำให้ต้นทุนหายได้
3. แน่ใจหรือว่าหุ้น PE สูงจะกำไรดีตลอดไป
ผมว่าอันนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองและความเข้าใจธุรกิจครับ ผมว่าส่วนมากหุ้นที่ PE สูงน่าจะทนต่อ economic crisis ในระดับนึงนะครับ(แต่ก็คงมีบางตัวที่มี major correctionจากตลาดอยู่) เช่น CPALL หรือ HMPRO ถ้าเกิดตลาด crash ขึ้นมาถามว่าคนจะซื้อน้อยลงไหม ก็อาจจะน้อยลงแต่ผมว่าไม่มาก
มันก็คงจะเป็นเหตุผลสะท้อนกลับไปที่กลุ่ม real estate หรือ leasing ว่าทำไม PE ไม่สูง แม้ว่าจะกำไรสูงต่อเนื่องก็ตาม
เพราะเค้าคงกลัว economic crisis กันส่วนนึง
ผมว่าบางทีเรา underestimtaed Mr. Market ไปนะครับ เราอาจจะคิดว่าตลาดให้ PE ขนาดนั้นไปได้อย่างไร แต่บางทีนายตลาดก็ฉลาดกว่าที่เราคิด เค้าอาจจะเห็นอะไรมากกว่าเราก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ได้เชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ไม่งั้นผมคงไม่มาลงทุนแบบ VI
ถ้าถามผมมองว่าตลาดเกิดจากการตัดสินของมวลชน ถ้ามวลชนมองว่ามันไม่ดี ผ่านไปกี่ปีก็ไม่ได้ cap gain หรอกครับ แต่ถ้ามวลชนมองว่ามันดี เดี๋ยว PE และสิ่งดีๆตามมาเองครับ
p.s. ผมคิดเองเออเองหมดเลยนะ อาจจะมั่วก็ได้
เมื่อ: 2012-09-01T12:04:36+00:00
ice3500: ผมคิดว่าสูตรสําเร็จที่คิดแบบ โต30% PE30เท่า
น่าจะต้องเพิ่มเวลาเข้าไปโดยดูความยาวนานของเทรนในแต่ละอุสาหกรรมและความมั่นคงของรายได้ด้วยนะครับ อาจจะดูได้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น กลุ่มค้าปลีกพอถึงจุดอิ่มตัวก็จะออกด้านข้างคือคนยังเข้าอยู่แต่ก็ไม่ได้เติบโตมากแล้ว
แต่ผมก็เข้าใจมุมมองของ จขกท. เพราะสูตรแบบนี้ผมก็เคยได้ยินคนอื่นพูดจนกลายเป็นสูตรสําเร็จไปแล้ว
เมื่อ: 2012-09-01T12:51:28+00:00
MrRobot: หุ้น growth ถ้ามองเเต่ p/e ก็จะติดกับตัก p/e เหมือนกัน มองเเบบนี้เหมือนมองเเต่ค่า peg นะครับ หรือตลาดเขาจะมองเเต่ค่า peg กันอย่างเดียวนะนี่ อยากกด like ให้กระทู้นี้นะครับ
เมื่อ: 2012-09-01T13:21:53+00:00
Energy_eak: ผมได้ความรู้ใหมเลยนะครับ คนเขา ซื้อหุ้นPE30 เพราะว่า หุ้นโต30% แล้วมองกันว่าจะได้1เด้งใน3ปี
สารภาพตรงๆเลยนะครับ ..ตอนแรกเข้าใจว่า คนเขาซื้อแพงๆกัน เพราะ พิจารณาจาก ลักษณะของการประกอบธุรกิจ, ที่มาของรายได้, ความเข้มแข็งของธุรกิจและผลิตภัณฑ์, ความสามารถในการทำกำไร, โอกาสในการเติบโต หรืออะไรทำนองนี้ อะครับ
..เพิ่งรู้ว่าเขามองกันแบบนี้ด้วย^^"
เมื่อ: 2012-09-01T14:28:53+00:00
miracle: คุณ blueplanet ตั้งโจทย์ไว้ดีมากเลยละครับ
การที่ Growth Stock นั้นมี P/E สูงมากๆคือ 30-40 เท่านั้น
เนื่องจาก
1. นักลงทุน มีมุมมองที่ด้านดีในหลักทรัพย์เหล่านั้น ว่า มีอนาคตที่เติบโตขึ้นอย่างมากๆ ในปีถัดๆไป
โดยที่ อนาคตนั้นยังมาไม่ถึงแต่สะท้อนผ่านที่ราคาหลักทรัพย์แทน
หาก การเติบโตเหล่านั้นไม่เป็นตามที่คาดหมายหรือได้เท่ากับที่คาดหมายไว้เท่านั้น ก็ทำให้นักลงทุนมองกลับหลังหันได้เลยทีเดียว
2. การที่หลักทรัพย์นั้นๆสามารถมี PE ที่สูงได้เกิดจากตัวบริษัทเองที่มีแนวป้องกันจากคู่แข่งต่างๆได้เป็นอย่างดีหรือเปล่า
จุดนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารตอบโจทย์ดังกล่าวในอนาคต ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท
3. การคาดหมายของนักวิเคราะห์ ที่วิเคราะห์ตัวบริษัทฯออกมาดี แต่ไม่ได้วิเคราะห์ในมุมมองที่เป็นด้านข้อเสียออกมาด้วย
หมายเหตุ
การ Growth ของกิจการนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่า เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ไหน
แต่จะรู้ตัวเมื่อวันเริ่มโตไปแล้วล่ะ
ตัวอย่างที่เป็น Growth Stock เช่น
MS เมื่อปี 1999
Apple ปี 2008-ปัจจุบัน
เป็นต้น
เมื่อ: 2012-09-01T14:53:00+00:00
Paul Octopus: blueplanet เขียน:ผมรู้สึกว่า VI ในเวบนี้ จะให้ค่าของ growth stock สูงมาก
มันเริ่มจะเป็นความเชื่อ แบบหัวปักหัวปำ
ใครก็อยากมีหุ้น pe 40-50 เท่ากันทั้งนั้น
หุ้นที่มีร้าน เช่น ร้านอาหาร ร้านมือถือ ร้านโชห่วย ร้านวัสดุอุปกรณ์
เราก็ให้ pe กัน ระดับ 30-50เท่าแล้ว
แล้ว เราก็มีสูตรชุดนึง ที่บอกว่าหุ้น โต30% PE 30 เท่าเป็นหุ้นที่น่าซื้อ
เพราะปีหน้า เราจะกำไร 30% จาก capital grain
และอีก 3ปี เราก็จะได้ 1 เด้ง และจะขึ้นไปเป็นจรวด
สูตรและหลักคิดแบบนี้สำหรับผมแล้ว ถือว่าอันตรายมาก
ผมงงตั้งนานทำไม เค้าคิดแบบนี้ มั่นใจอะไรหนักหนาว่า
ปีหน้าและปีต่อๆไป หุ้นตัวนี้ ยังโต 30% อีก
ดังนั้นนักลงทุนบางส่วน จึงไม่สนใจหุ้นโต 10% PE 10 ปันผล 7%
แต่ไปสนใจ หุ้น PE 40 ปันผล 1% แทน
แสดงว่านักลงทุนไทยเราเก่งมองอะไรไกลๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา
ผมชอบมองอะไรสั้นๆ ผลประโยชน์ใกล้ๆที่แน่นอน
แน่ใจหรือว่า หุ้น pe 40-50 เท่า ที่เราเชื่อว่าเป็น super stock จะกำไรดีตลอดไป
ถ้า ศก ไม่ดี แล้วจะกล้าถือ หุ้นพวกนี้หรือไม่ถ้าปันผล ได้ไม่ถึง 1%
ก่อนฟองสบู่แตก หุ้นอสังหา กับหุ้น ไฟแนนซ์ pe ก็ประมาณนี้เหมือนกัน
บริษัทฯ มีช่วงเวลาที่อาจเติบโตได้ระดับ 30% ต่อปี ติดต่อกันหลายๆปี
ที่ทางทฤฎีการตลาดเราเรียกว่าช่วง Growth ของ Products Life Cycle (ก่อนที่จะเข้าสู่ Mature Stage)
แต่ในทางปฎิบัติผมว่ามันไม่ได้สวยหรูแบบนั้น ถ้าบริษัทฯหรือIndustryกำลังผ่านช่วง Growthแบบนั้น ปัญหาและอุปสรรคมันจะตามมาอย่างรวดเร็ว
จะตามมาด้วยคู่แข่งที่แข่งแกร่ง และบ่อยครั้งแข็งแกร่งมากกว่า
จะตามมาด้วยปัญหาด้านโครงสร้างองค์กร Teamwork และ การพัฒนาพนักงาน
จะตามมาด้วยปัญหาความด้อยประสิทธิภาพ ...Costsโตเร็วเท่าๆกับยอดขาย ไม่มีการSynergy ที่ทำให้สัดส่วนของ Costs ต่ำลงกว่าเดิม
จะตามมาด้วยปัญหาความจำเป็นที่ต้องลงทุนใน สินค้า/Segment/Area ที่ได้กำไรน้อยลง
จะตามมาด้วยสินค้าใหม่ที่จะมาทดแทนด้วยต้นทุนที่ดีกว่า (ดูพวกถ่านหินตอนนี้ซิ)
ผมคิดว่าการบริหารงานที่ให้ธุรกิจเติบโตขนาด 5-10%แต่มั่นคง ก็สุดยอดแล้ว ผู้บริหารต้องยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นผมมักไม่ค่อยสนใจกับกิจการที่มีการคาดหวังว่ามันจะโต 30% โดยแทบไม่มีความเชื่อนั้นเลยว่าจะทำได้ใน SET หรือ mai
แต่แน่นอนครับ มีผู้บริหารฯบางคนที่สุดยอดจริงๆที่อาจทำให้บริษัทฯเติบโตได้ขนาดนั้นอย่างยาวนาน แต่จะมีซักกี่บริษัทฯ? ดูตัวอย่างบริษัทระดับโลกที่เราเคยบอกว่ายอดเยี่ยมที่วันนี้ย่ำแย่ไปแล้ว (-->Motorola -->Nokia -->Blackberry-->iPhone -->Samsung??)
อุตสาหกรรมบ้านเรามีใครบ้างครับที่สุดยอดจริงๆที่ทำได้ 30% จนเรากล้าให้ PE ratio 30 หรือมากกว่า? คำถามที่ผมถามตัวเองทุกวันคือ
การไล่ซื้อกิจการเพื่อให้ยอดขายเพิ่มขึ้น มันใช่รึเปล่า?
การได้สิทธิประโยชน์ สัมปทานจากการเมืองที่หนุน มันใช่รึเปล่า?
การเพิ่มจำนวนช่องทางจัดจำหน่ายไปเรื่อยๆ มันใช่รึเปล่า?
ถ้าใครมั่นใจบอกผมบ้างทางทาง pm จะขอบใจจริงๆ
เมื่อ: 2012-09-01T14:59:51+00:00
miracle: ถ้าทาง IT มีปรากฏการณ์ที่เป็น Growth State จนแตกเป็นฟองสบู่เลย
ในช่วงเวลาของ 1990's -2000
เมื่อ: 2012-09-01T15:35:28+00:00
nut776: รบกวนพี่ blue ยกตัวอย่าง
pe 10 growth 10 dv 10%
หน่อยคับ
บางทีมันก็พอๆกับ growth stock แหละคับ
ว่า จะรู้ได้ไง ว่าจะโต 10%
ไปเรื่อยๆ จะรู้ได้ไง ว่าจะสามารถ ปันผล 7%
ไปได้เรื่อยๆ
สุดท้าย ก็ต้องไปวัด กันที่ โครงสร้างธุรกิจ กับ การเงินอยู่ดี
ผมว่าคนที่ลงทุน หุ้น pe 30 -50
เขาก็มีส่วนต่างในใจ มีกลยุทธการซื้อขายของเขาแหละคับ
ผมมีหุ้น pe 1000 กว่า สงสัยคงต้องเลิกลงทุน
ยังไงก็ขอบคุณที่เตือนนะคับ
ผมว่าหลายๆท่าน ก็ assumption ถึง max capacity สูงสุดที่มันจะโตแหละคับ
เมื่อ: 2012-09-01T16:57:42+00:00
nut776: ผมคิดว่า pe แม้จะง่ายสุด
แต่มัน หยาบสุด และ art มากๆในตัวมันเอง
ผมเชื่อว่า growth investor หลายๆท่าน ไม่ได้ใช้ pe
อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น
p/fcf p/ebitda dcf ev/ebida ev/fcf
แม้กระทั่ง modified ev/fcf
ซึ่งแน่นอนค่าที่ออกมาอาจจะ related กับ pe หรือไม่ก็ได้
เพียงแต่
เหตุการณ์ที่ผ่านมา มันสะท้อนว่า หุ้นที่แข็งแกร่ง
อย่าง super stock พอเข้าสู่ตลาดกระทิง
มันฟูมากกว่า หุ้นโตช้า
แต่เมื่อกระทิงผ่านไป ทุกคนอาจจะมานึกถึง
คำเตือนของพี่ blue อีกทีก็ได้ เพราะ
ฟูมากก็แฟบมาก
แต่ผมเชื่อว่า เพื่อนในเวบ ค่อนข้างเก่งพอที่จะรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่คับ
เมื่อ: 2012-09-01T17:16:15+00:00
nut776: miracle เขียน:คุณ blueplanet ตั้งโจทย์ไว้ดีมากเลยละครับ
การที่ Growth Stock นั้นมี P/E สูงมากๆคือ 30-40 เท่านั้น
เนื่องจาก
1. นักลงทุน มีมุมมองที่ด้านดีในหลักทรัพย์เหล่านั้น ว่า มีอนาคตที่เติบโตขึ้นอย่างมากๆ ในปีถัดๆไป
โดยที่ อนาคตนั้นยังมาไม่ถึงแต่สะท้อนผ่านที่ราคาหลักทรัพย์แทน
หาก การเติบโตเหล่านั้นไม่เป็นตามที่คาดหมายหรือได้เท่ากับที่คาดหมายไว้เท่านั้น ก็ทำให้นักลงทุนมองกลับหลังหันได้เลยทีเดียว
2. การที่หลักทรัพย์นั้นๆสามารถมี PE ที่สูงได้เกิดจากตัวบริษัทเองที่มีแนวป้องกันจากคู่แข่งต่างๆได้เป็นอย่างดีหรือเปล่า
จุดนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารตอบโจทย์ดังกล่าวในอนาคต ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท
3. การคาดหมายของนักวิเคราะห์ ที่วิเคราะห์ตัวบริษัทฯออกมาดี แต่ไม่ได้วิเคราะห์ในมุมมองที่เป็นด้านข้อเสียออกมาด้วย
หมายเหตุ
การ Growth ของกิจการนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่า เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ไหน
แต่จะรู้ตัวเมื่อวันเริ่มโตไปแล้วล่ะ
ตัวอย่างที่เป็น Growth Stock เช่น
MS เมื่อปี 1999
Apple ปี 2008-ปัจจุบัน
เป็นต้น
เอ่อ พี่มิคับ apple pe ไมถึง10 นะคับ
ดูจากใน nasdaq
เมื่อ: 2012-09-01T17:26:47+00:00
pat4310: ราคาที่คำนวณจะเป็นจริงก็ต่อเมือสมมติฐานเป็นจริง
ทั้งสมมติฐานของแบบจำลอง และสมมติฐานของบริษัทที่เราคาดการณ์
สุดท้ายแล้วราคาหุ้นก็อยู่กับเจ้ามือตัวจริงซึ่งก็คือผลประกอบการอยู่ดี
เมื่อ: 2012-09-01T17:27:00+00:00
nut776: ขอโทษพี่มิด้วยคับ
apple pe 15
http://www.nasdaq.com/symbol/aapl
เมื่อ: 2012-09-01T17:35:57+00:00
simplelife: dragonrider เขียน:หมายถึง Kamart เหรอครับ
Karmart ถ้าจะเอาแบบ peter lynch จริงๆ ตอนต่ำกว่า 1.00 บาท ต้องนับว่าเป็น turnaround ครับ คือ turn จากทำอะไรก็ไม่ขึ้น กลับมาจับธุรกิจใหม่ ที่เพิ่งเริ่มต้น ยังไม่รู้ว่ายอดขายจะเป็นเท่าไร ขายแล้วดีปีนี้ ปีหน้าจะขายได้เท่าไร sustain growth ได้เท่าไร ยังไม่มีใครรู้
จนไม่กี่เดือนมานี้ ตัวร้าน retail/franchise ของ karmart มันเริ่ม"ผุด"ขึ้นมาให้เห็น ยอดขายดีขึ้นตลอด แต่มันก็ยังไม่เยอะพอที่จะ define เป็น growth ได้แน่ๆ ใน one up ผู้เขียนก็เขียนถึงตรงนี้เหมือนกัน จาก turn around->growth ว่าบางอันทำได้ บางอันทำไม่ได้ เป็นต้น
ส่วนเรื่องราคาตัวหุ้นประเภทนี้ ต้องขึ้นกับนักลงทุนครับ แต่ไอเดียพื้นๆมันอยู่ที่แค่ว่า ถ้าปีนี้หุ้นราคา 30 บาท มี eps = 1.00 บาท PE=30 แต่ราคาหุ้นเราหวังว่าจะเป็นของ future earning ของปีถัดไป ถ้า eps โต 30% ปีหน้าจะมี eps=1.30 บาท ที่ราคา 30 บาท PE=23 ถ้าเรายังถือต่อไป eps ปีต่อไปเท่ากับ 1.69 บาท เท่ากับว่า PE ของหุ้นที่เราซื้อวันนี้ แต่จะถือไปอีกสองปี = 17 เอง ไม่แพงหรอก อะไรประมาณนี้
แต่ในความเป็นจริง ผมว่า หลายๆท่านเล่นจะเอาแต่ส่วนต่างของราคา และหวังจะเก็งกำไรจากข่าว และงบที่โตขึ้นมากกว่า
เมื่อ: 2012-09-01T18:28:53+00:00
sptong2406: ้เหตุผลเดียวที่ผมจะซื้อหุ้น PE ต่ำ คือ ความคาดหวังถึงแนวโน้มที่ตลาดจะปรับ PE ของหุ้นตัวนั้นให้สูงขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุ ปัจจัย หรือข้อมูลบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนไปของหุ้นตัวนั้นซึ่งผมได้วิเคราห์จากข้อมูลเท่าที่มี ณ ปัจจุบัน หากไม่มีเหตุปัจจัยอะไรที่จะทำให้ตลาดหันกลับมามองและปรับพีอีให้ ผมคงไม่ซื้อครับ แต่ถ้าหุ้นเติบโต 10% + ส่วนเพิ่มจากการปรับพีอี + เงินปันผล(ที่มักจะสูงสำหรับหุ้นพีอีต่ำ) รวมแล้วถึงจะน่าสนใจครับ
เมื่อ: 2012-09-01T18:37:57+00:00
dragonrider: Paul Octopus เขียน:
บริษัทฯ มีช่วงเวลาที่อาจเติบโตได้ระดับ 30% ต่อปี ติดต่อกันหลายๆปี
ที่ทางทฤฎีการตลาดเราเรียกว่าช่วง Growth ของ Products Life Cycle (ก่อนที่จะเข้าสู่ Mature Stage)
แต่ในทางปฎิบัติผมว่ามันไม่ได้สวยหรูแบบนั้น ถ้าบริษัทฯหรือIndustryกำลังผ่านช่วง Growthแบบนั้น ปัญหาและอุปสรรคมันจะตามมาอย่างรวดเร็ว
จะตามมาด้วยคู่แข่งที่แข่งแกร่ง และบ่อยครั้งแข็งแกร่งมากกว่า
จะตามมาด้วยปัญหาด้านโครงสร้างองค์กร Teamwork และ การพัฒนาพนักงาน
จะตามมาด้วยปัญหาความด้อยประสิทธิภาพ ...Costsโตเร็วเท่าๆกับยอดขาย ไม่มีการSynergy ที่ทำให้สัดส่วนของ Costs ต่ำลงกว่าเดิม
จะตามมาด้วยปัญหาความจำเป็นที่ต้องลงทุนใน สินค้า/Segment/Area ที่ได้กำไรน้อยลง
จะตามมาด้วยสินค้าใหม่ที่จะมาทดแทนด้วยต้นทุนที่ดีกว่า (ดูพวกถ่านหินตอนนี้ซิ)
หุ้น Growth แต่ละตัว ผมคิดว่าคุณค่าของ Growth โดยธรรมชาติแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม
เราอาจสังเกตุได้คร่าวๆว่า Growth Cycle ของบริษัท นั้นอยู่ในช่วงไหน ธรรมชาติของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร
หากเราลงทุนในช่วงเริ่มของ Growth ผลตอบแทนจะดีเลิศ หากเป็นช่วงปลาย ผลตอบแทนจะน่าผิดหวัง และ
สะท้อนออกมาด้วยราคา
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น บริษัท สามารถ แก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร
ขออนุญาต ยกตัวอย่าง เช่น
็Hmpro PE 31.35 PBV 8.57 DIV 1.32%
Kamart PE 23.77 PBV 8.74 DIV ~3%
Ofm PE 46.30 PBV 9.89 DIV 0.78%
Cpn PE 33.67 PBV 5.22 DIV 0.72%
Grammy PE 28.44 PBV 3.41 DIV 2.51%
ทั้ง 5 ตัวนี้ อยู่คนละอุตสาหกรรมกันเลย มีจุดแข็ง จุดด้อย ปัญหา แตกต่างกัน นักลงทุนคาดหวังอะไร
ท่านอาจารย์ นิเวศน์ เคยกล่าวถึงในบทความ ความคาดหวังเฟ้อ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=45706 บางท่านมองผลตอบแทนระยะสั้น บางท่านมองผลตอบแทนระยะยาว
ต่างคนต่างมุมมอง ต่างมีเหตุผลที่ทำให้ตนเองเชื่อ
หากเราวิเคราะห์ เชิงปริมาณ ทุกตัวที่กล่าวมา แทบจะไม่น่าลงทุนทั้งสิ้น ราคาสูงลิบลิ่ว
หากเราวิเคราะห์ เชิงคุณภาพ บางตัวมีโอกาสเป็นผู้ชนะ บางตัวมีกำลังเผชิญกับปัญหา บางตัวกำลังแพ้
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายคำตอบ คือ ผลประกอบการ อยู่ดี
ส่วนหุ้นที่ Growth 10% PE 10 Div 7% ผมก็ต้องดูลักษณะอุตสาหกรรมอยู่ดี ว่าเป็น กลุ่มไหน? ยอดขายขึ้นกับวัฎจักร?
คุณภาพของกำไร? Trend ในอนาคต? DCA ของบริษัท?
หากเปรียบเทียบเพียงเฉพาะค่าที่เป็นตัวเลข เราก็บอกไม่ได้ว่า อันไหน เป็นการลงทุนที่ดีกว่า
เมื่อ: 2012-09-02T03:13:48+00:00
panwasit: ผมเคย ซื้อหุ้นที่ PE 120 มาแล้ว อย่าไปมอง PEย้อนหลังมาก มองอนาคต ดีกว่า
เมื่อ: 2012-09-02T03:34:37+00:00
chitadisai: PRANDA ?
เมื่อ: 2012-09-02T03:55:37+00:00
บูรพาไม่แพ้: ชอบมากเลยครับ กลับมาแล้วบรรยกาศแบบนี้ อ่านแล้วได้ความรู้ดีครับ ชอบการถกเถียง การหาเหตุผลมาคุยกัน ได้ประโยนช์ทั้งสองฝ่าย ขอขอบคุณมากๆครับ
เมื่อ: 2012-09-02T04:38:31+00:00
ilekis: Growth stock ที่ตลาดยังมองไม่เห็น (PE ต่ำ) น่าจะดีนะครับ
แต่จะหาเจอหรือเปล่า
เมื่อ: 2012-09-02T04:56:26+00:00
ส.สลึง: ผมคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะมีนักลงทุน
ไปอ่านหรือฟังคำแนะนำมาแบบหยาบๆ
แล้วก็นำ Concept ไปใช้แบบลวกๆ ครับ
แต่ไม่เข้าใจที่มาที่ไป และไม่ได้ไตร่ตรอง
ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
เรื่องกับดัก PE นี่ ผมเจอมาแล้ว
แต่ไม่ใช่กับตอนที่ซื้อ แต่เกิดขึ้นตอนขาย
คืออยากขายหุ้นที่ดีออกไป
เมื่อตอนที่ PE มันสูง
บทเรียนนี้ ผมคิดว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญ
ในรอบหลายปีของผมครับ
และเริ่มคิดว่าเข้าใจวิถีของวอร์เรนบัฟเฟตแล้ว
ผมว่าของแบบนี้
ต้องเจอกับตัวครับ
พูดไปก็เท่านั้น
กะตังค์เรา เราดูแล
แฟนเรา เราก็ต้องดูแล แฮ่ม...
เมื่อ: 2012-09-02T05:01:46+00:00
pullmeunder: ส่วนตัวผมไม่นิยมบริษัทที่กำไรเรื่อยๆแค่คาดหวังเยอะคือ pe สูงๆนั่นเอง
แม้ pe 30 อัตราการเติบโตก็ต้องมากกว่า 30
มันออกจะแนว aggressive เกินไปหน่อย ที่จะคาดหวังให้บริษัทโตแบบนี้เรื่อยๆ
อยากให้มองถึงช่วงที่บริษัท สะดุดขึ้นมา "ยิ่งอัตราคาดหวังเยอะ ผิดหวังก็จะเยอะตามไปด้วย"
ถ้าให้ผมเลือก ผมเลือกชอบบริษัท pe10 เติบโต10 จ่ายปันผลดีขึ้นเรื่อยๆตามกำไร
อย่างนี้ "ระยะยาว" น่าจะดีกว่า
เมื่อ: 2012-09-02T07:50:18+00:00
blueplanet: วิธีการเลือกหุ้นง่ายๆ
1.เลือกหุ้นที่มี PE ยิ่งต่ำยิ่งดี(คิดเฉพาะกำไรที่เกิดจากการค้าปกติ)
2.ให้ดูผลประกอบการย้อนหลัง 5ปี ถ้ารายได้และกำไรโตขึ้นทุกปียิ่งมากยิ่งดี
3.จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและถ้าแต่ละปีจ่ายเพิ่มเพราะกำไรเพิ่มด้วยยิ่งดี
4.ดู 56-1 ถ้าโมเดลธุรกิจ เข้าท่า มีอนาคต มีรายได้สม่ำเสมอ การเพิ่มรายได้ไม่ต้อง
ลงทุนมากนัก
5.มีเงินสดมากๆ สินค้าคงเหลือน้อย ลูกหนี้ไม่มาก (ปล้องกันพวกแต่งบัญชี)
6.ธรรมมาภิบาลของ ผบห ถ้าไม่มีประวัติเสียก็ถือว่าดี พวกเอาเปรียบ ผถห
โดยการเพิ่มทุนในราคาต่ำให้พวกตัวเอง การออกกกฏกติกาแปลกก็ตัดออก
ข้อ 1 เป็นหลักข้ออื่นๆ ก็ดีพอสมควรก็เลือกๆไปเหอะ เลือกมากเดี๋ยวไม่มีหุ้นให้ซื้อ
ไม่ใช่ดูหุ้น pe<10 แล้วไปหวังโมเดลกิจระดับ cpall hmpro ofm jmart
เมื่อ: 2012-09-02T14:08:03+00:00
WCDMA: ขอบคุณกระทู้แลกเปลี่ยนความเห็นความรู้และมุมมองแบบนี้ครับ
มีประโยชน์มากมาย
เมื่อ: 2012-09-02T16:09:35+00:00
kongkiti: blueplanet เขียน:วิธีการเลือกหุ้นง่ายๆ
1.เลือกหุ้นที่มี PE ยิ่งต่ำยิ่งดี(คิดเฉพาะกำไรที่เกิดจากการค้าปกติ)
2.ให้ดูผลประกอบการย้อนหลัง 5ปี ถ้ารายได้และกำไรโตขึ้นทุกปียิ่งมากยิ่งดี
3.จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและถ้าแต่ละปีจ่ายเพิ่มเพราะกำไรเพิ่มด้วยยิ่งดี
4.ดู 56-1 ถ้าโมเดลธุรกิจ เข้าท่า มีอนาคต มีรายได้สม่ำเสมอ การเพิ่มรายได้ไม่ต้อง
ลงทุนมากนัก
5.มีเงินสดมากๆ สินค้าคงเหลือน้อย ลูกหนี้ไม่มาก (ปล้องกันพวกแต่งบัญชี)
6.ธรรมมาภิบาลของ ผบห ถ้าไม่มีประวัติเสียก็ถือว่าดี พวกเอาเปรียบ ผถห
โดยการเพิ่มทุนในราคาต่ำให้พวกตัวเอง การออกกกฏกติกาแปลกก็ตัดออก
ข้อ 1 เป็นหลักข้ออื่นๆ ก็ดีพอสมควรก็เลือกๆไปเหอะ เลือกมากเดี๋ยวไม่มีหุ้นให้ซื้อ
ไม่ใช่ดูหุ้น pe<10 แล้วไปหวังโมเดลกิจระดับ cpall hmpro ofm jmart
ชอบความเห็นนี้จัง...ขอบคุณแนวคิดดีๆ จาก พี่บลู และทุกท่านครับ
ส่วนตัว คิดว่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบัน หุ้น Growth ผมให้ PE เต็มที่ ก็ไม่เกิน 15 เท่า -> เทียบเท่า 7% yield หากจ่ายปันผลซัก 50% ก็ได้ 3.5% เทียบเท่าฝากประจำ Growth ที่ได้มาก็ถือเป็นของแถม มากกว่านี้คงซื้อไม่ไหวครับ (เคยอ่าน Buffett ตอนซื้อ Wal-Mart ปี 2004 PE ประมาณ 20)
เมื่อ: 2012-09-02T16:30:30+00:00
blueplanet: 1.pe=MarketCap/กำไร ไม่ใช่ ราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น (แก้ปัญหา เรื่องการ
แตกพาร์,หุ้นปันผล,เพิ่มทุน)
2.เอาวอแรนท์มาคิดด้วย คิดให้ระเอียด
เมื่อ: 2012-09-03T00:56:28+00:00
Belffet: "I don't look to jump over seven-foot bars; I look around for one-foot bars that I can step over."
Warren Buffett
เมื่อ: 2012-09-03T02:29:12+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
FED ทนไม่ไหว ลดดอกเบี้ย 0.75%
mprandy: สงสัยคืนนี้ DJIA อาจจะไม่รูดเหมือนที่เขาคาด (-520 จุด)
พรุ่งนี้ SET อาจจะ rebound นะ
ใครเก็บวันนี้อาจจะโชคดี
เมื่อ: 2008-01-22T13:23:53+00:00
ทองม้วน: [quote="mprandy"]สงสัยคืนนี้ DJIA อาจจะไม่รูดเหมือนที่เขาคาด (-520 จุด)
พรุ่งนี้ SET อาจจะ rebound นะ
เมื่อ: 2008-01-22T13:35:57+00:00
mprandy: ตอนพิมพ์หน่ะ นั่งดู CNBC เลยนะ BREAKING NEWS
คิดว่าคงมีขึ้นเวบแล้วมั๊ง www.cnbc.com
ไม่ได้มั่วนิ่ม
เมื่อ: 2008-01-22T13:37:57+00:00
tummeng: Fed Cuts Interest Rate
Tuesday January 22, 8:31 am ET
By Martin Crutsinger, AP Economics Writer
Fed Cuts Interest Rate Amid Global Stock Sell-Off and Fears of Recession
WASHINGTON (AP) -- The Federal Reserve, confronted with a global stock sell-off fanned by increased fears of a recession, cut a key interest rate by three-quarters of a percentage point on Tuesday, the biggest one-day move by the central bank in recent memory.
ADVERTISEMENT
The Fed said it was cutting the federal funds rate, the interest that banks charge each other on overnight loans, to 3.5 percent, down by three-fourths of a percentage point from 4.25 percent.
The Fed action was the most dramatic signal it can send that it is concerned about a potential recession in the United States. It marked the biggest one-day move by the central bank in recent memory.
The Fed decision was taken during an emergency telephone conference with Fed officials on Monday night. Those discussions occurred after global financial markets had plunged Monday as investors grew more concerned about the possibility that the United States, the world's largest economy, could be headed into a recession.
In a brief statement, the Fed said it had decided to cut the federal funds rate "in view of a weakening of the economic outlook and increasing downside risks to growth."
เมื่อ: 2008-01-22T13:39:34+00:00
beammy: WOW
พรุ่งนี้จะเป็นยังไงน้อ 8) ...
เมื่อ: 2008-01-22T13:45:29+00:00
chatchai: นึกถึงตอนที่ไทยเกิดวิกฤตปี 40
สถานการณ์ของสหรัฐ คล้ายกับไทยมากพอสมควร ทั้งปัญหาเรื่องค่าเงิน ความมั่นคงของสถาบันการเงิน
แต่สมัยนั้นแทนที่จะให้ลดดอกเบี้ยลง IMF ดันแนะนำเชิงบังคับให้ขึ้นดอกเบี้ยซะสูงลิ่ว สุดท้ายล้มตายเป็นเบือเลย
ส่วนสหรัฐนั้นคงต้องจับตาดูต่อไปว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงนั้นจะสามารถช่วยพยุงสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐได้มากน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรปัญหานี้ก็คงไม่จบสิ้นภายในเร็ววัน และถึงแม้จะจบสิ้นลงสู่จุดต่ำสุดแล้วก็ตาม การฟื้นกลับก็คงไม่สดใสมากมายดังเช่นช่วงปีก่อนหน้านี้
จุดที่น่าจับตาดูต่อไปก็คือ ผลกระทบที่จีนจะได้รับ ห้ามกระพริบตาทีเดียวนะครับ
เมื่อ: 2008-01-22T13:50:35+00:00
beammy: นั่งเกาะติดขอบสนามดูความเป็นไปของสหรัฐฯ และจีน ด้วยคนครับพี่ฉัตรชัย
Hamburger Crisis ที่พูดกัน จะมีจริงหรือป่าวว 8) ...
เมื่อ: 2008-01-22T13:52:04+00:00
hot: อยากให้ไทยเราลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงจัง
ถ้าไม่ลดก็ให้ช่องว่างดอกเบี้ยกู้กับเงินฝาก
ให้น้อยลงหน่อยก็ดีนะผมว่า
เมื่อ: 2008-01-22T13:54:20+00:00
chatchai: พรุ่งนี้
เมื่อ: 2008-01-22T13:55:19+00:00
mprandy: ผมว่าแค่ลดดอกคราวนี้ ต้องการหยุด panic เท่านั้นแหละ
อาจจะ slow free fall ให้มันมี slope ชันน้อยหน่อย แบบกลิ้งหลุน ๆ ลงมา แทนที่จะตกเหวถึงก้นดังแอ้ก.. ไม่ได้ทำให้ recession ที่กำลังจะเกิดมันพ้นไปได้หรอก
เมื่อ: 2008-01-22T13:57:27+00:00
miracle: มองในอีกแง่มุมหนึ่ง
FED ลดดอกเบี้ย เป็นการลดภาระดอกเบี้ยลง
คนที่เป็นหนี้จ่ายดอกเบี้ยน้อยลง
แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ดี ต้องได้รับการกระตุ้น
และรอบนี้กระตุ้นด้วยการลด 0.75% ก่อนหน้านั้นลดแต่ละครั้งค่อยเป็นค่อยไป หรือใช้มาตราอีกแทน
By the way
หากวันนี้ใครที่ดู SET และค่าเงิน
แนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนลงแบบรวดเร็วมาก
ต่างชาติขายสุทธิทุกวันแต่วันนี้อ่อนเร็ว ผิดปกติแสดงว่ามีการโยกเงินออกนอกประเทศ ออกไปที่ไหนล่ะนั้น เป็นสิ่งที่น่าคิด
by the way
ตอนต้มยำกุ้งเกิดปี 2539 เกิดที่แรกคือ อินโดนีเซีย -> ไทย->เกาหลีใต้ -> รัสเซีย -> ยุโรปตะวันออก -> US (ตอนปี 2000) ฟองสบู่ dot com แตก
ตอนนั้นหากใครเปิดหนังสือบ้างเล่มที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ได้รู้ว่า dot com แตกนั้นมีการโยกย้ายเงินกลับเข้าสู่ US อย่างรวดเร็วและมูลค่ามากด้วย
กองทุน huge fund บ้างกองนี้ ล้มทั้งยืนเลยล่ะรอบนั้น
นี้ก็เกิน 10 ปี จากรอบนั้นแล้ว ตอนนี้เป็น รอบแฮมเบอร์เกอร์ของแท้แล้วหรือเนี่ย
เมื่อ: 2008-01-22T14:05:34+00:00
msn_jom: USA ใช้เงินพัฒนาอาวุธ ทำสงคราม.....มากไปหน่อย เลย ชอต
เมื่อ: 2008-01-22T14:06:26+00:00
pk8: FUTURES
DOW -429
NASDAQ -68.25
S&P500 -51.8
ดอกเบี้ยก็ลดแล้ว ดูต่อครับ
เมื่อ: 2008-01-22T14:08:13+00:00
Jeng: FUTURES
DOW -429
NASDAQ -68.25
S&P500 -51.8
ดู ดาว ดูที่ไหนครับ ที่เป็น future ขอ link หน่อย pk 8
เมื่อ: 2008-01-22T14:12:19+00:00
pk8: http://www.bloomberg.com/index.html?Intro=intro3
เมื่อ: 2008-01-22T14:13:50+00:00
น้ำครึ่งแก้ว: ตกลงนี่สรุปว่าไงกันเนี้ยครับ
ยาไม่แรงพอ หรือ ให้ยาไม่ถูกโรค กันแน่
หรือให้ยาช้าเกินไปกันครับ ดูแล้วมึนเลย
ยุโรปตอนแรกก็ตอบสนองกับยาดี พอ ดาวแดงเถือก
ไม่รับรู้กับตัวยา ก็เลยแดงกับเค้าด้วยนี่หนะ
เห็นแล้วสงสัย พรุ่งนี้ คงต้องดูกันต่อไปละครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2008-01-22T14:34:48+00:00
MrRobot: DJI DJ INDUSTR AVERAGE 11,690.42 9:32am ET 408.88 (3.38%)
ตอนนี้ลบ ประมาณ 400 ครับพี่ดาว :shock:
เมื่อ: 2008-01-22T14:35:18+00:00
hot: ลดดอกเบี้ยผมว่าไม่ได้แก้ปัญหา
น่าจะ
1.แฮร์คัท หนี้ เหลือ1 ใน4 แต่คงดอกเบี้ยเดิม
2.จัดโครงการหางานในต่างประเทศมากขึ้น
รับรอง แก้ปัญหาเศรษฐกิจเมกาได้แน่
เมื่อ: 2008-01-22T14:37:47+00:00
beammy: ผมว่า ตลาดทั่วโลกเป็นแบบนี้ ทำให้นักลงทุนที่ยังใจไม่แข็งพอ มึนเอาได้ง่ายๆ นะครับ
พอมึนเสร็จ ก้อทำอะไรไปโดยไม่คิด ผลตอบแทนก้อเลยแย่ หรืออาจขาดทุนยับไปเลยก้อเป็นได้
เข้ามาเตือนเพื่อนๆ ครับ จะทำอะไรก้อขอให้มีสติ และสมาธิ
และจะสามารถผ่านเหตุการณ์มึนๆ ไปได้ด้วยดี 8) ..
เมื่อ: 2008-01-22T14:38:37+00:00
mprandy: [quote="MrRobot"]DJI DJ INDUSTR AVERAGE 11,690.42 9:32am ET
เมื่อ: 2008-01-22T14:41:40+00:00
mprandy: ขณะนี้ NASDAQ เข้า Bear territory ไปแล้ว ตอนนี้รอ DJIA กับ S&P ลดลงเกิน 20%
จะได้เป็นหมีทางการ (Officially Bear) ซะที 8)
แฮ่.. หมีมาต้อนรับเฮียป้อมออกทีวีหนแรกเลยเนี่ย
เมื่อ: 2008-01-22T14:43:44+00:00
icque: ขอบคุณครับ รายงานกันแบบนาทีต่อนาทีกันเลย ตอนนี้ผมก็ดูCNBC อยู่เหมือนกัน
เมื่อ: 2008-01-22T14:58:55+00:00
mprandy: เขาลดดอกแล้ว กนง.เราไม่เห็นลดมั่งเลย
ค่าเงินมันจะได้อ่อนตัวลงมั่ง ใครผ่อนบ้าน, มีหนี้บัตรเครดิต, เงินกู้ ฯลฯ จะได้มีทางให้หายใจหายคอเพิ่มขึ้น
เมื่อ: 2008-01-22T15:09:24+00:00
rean: ดาว link นี้มี graph เมื่อวานด้วย และดูเหมือนว่า ของวันนี้เป็น real time update.
http://finance.google.com/finance?cid=983582
เมื่อ: 2008-01-22T15:13:16+00:00
rean: SET ปิดของวันที่ 3 มกราคม 2006 (ย้อนหลังไป 2 ปี) = 725.64
SET ปิดวันนี้ = 741.54
ซึ่งสูงกว่าเมื่อสองปีที่แล้ว 16.92 จุด หรือ 2.2% เอง :twisted:
แต่เมื่อเทียบตัวเงินในพอร์ต ของวันนี้กับเมื่อสองปีที่แล้ว ตัวเงินในพอร์ตของวันนี้มากกว่าค่อนข้างจะมาก ทำให้รู้สึกดีขึ้น ถึงแม้ตอนนี้หุ้นจะลง ถ้าเราลงทุนมาตามแนวทางที่ถูกต้องก็ไม่ได้มีอะไรต้องห่วงมาก
เมื่อ: 2008-01-22T15:24:25+00:00
MrRobot: Dow JonesNew York Stock ExchangeNASDAQS&POther USTreasuryCommoditiesFutures
Symbol Name Last Trade Change Related Info
^DJI DJ INDUSTR AVERAGE 4,009.47 10:24am ET 33.85 (0.84%) Components, Chart, More
^DJA DOW JONES COMPOSITE INDEX 4,047.58 10:24am ET 132.12 (3.16%) Components, Chart, More
^DJT DOW JONES TRANSPORTATION AVERAG 11,953.71 10:24am ET 145.59 (1.20%) Components, Chart, More
^DJU Dow Jones Utility Average 495.65 10:24am ET 8.27 (1.64%) Components, Chart, More
มันดูต้องๆไปเเล้วครับ WEB YAHOO นี่
เมื่อ: 2008-01-22T15:27:51+00:00
Luty97: อเมริกาจะเหลืองแล้ว....
แต่บ้านเรา ไม่ได้เป็นจุดเริ่มวิกฤตกลับแดงอนาถ.... หรือจิตใจเราสู้เค้าไม่ได้ :twisted:
เมื่อ: 2008-01-22T15:29:01+00:00
Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมดแต่บ้านเรา ไม่ได้เป็นจุดเริ่มวิกฤตกลับแดงอนาถ.... หรือจิตใจเราสู้เค้าไม่ได้
จิตใจเรา อืม ไม่มั๊ง ผมยังเต็มพอร์ทอยู่เลย
เมื่อ: 2008-01-22T15:31:39+00:00
คนขายของ: โค้ด: เลือกทั้งหมดแต่บ้านเรา ไม่ได้เป็นจุดเริ่มวิกฤตกลับแดงอนาถ.... หรือจิตใจเราสู้เค้าไม่ได้
เออ เห็นที่ขายนี่ฝรั่งทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ
รายย่อยนี่รับกันตลอด
เมื่อ: 2008-01-22T15:38:33+00:00
Pythoon: วันนี้ฟังวิทยุคลื่นนึงตอนขับรถ (จำไม่ได้คลื่นอะไร)
เห็นบอกว่าการลดดอกเบี้ยในประเทศคงเป็นไปได้ยาก
เพราะรัฐจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องกระตุ้นการใช้จ่าย
แล้วคำถามคือเอาเงินมาจากไหน ก็คงต้องเอาเงินมาจาก bank ซึ่ง bank ก็ต้องระดมเงินฝาก ทำยังไงถึงจะระดมเงินฝากได้ ก็คงต้องขึ้นดอกเบี้ย หรือ อย่างน้อยก็ต้องไม่ลด ยกเว้นกู้จากต่างประเทศที่มีดอกเบี้ยถูกกว่า
ผมเลยสับสนว่า การอัดฉีดเงินเข้าในระบบเศรษฐกิจ
ตกลงต้องลดดอกเบี้ยหรือขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปกติก็จะขึ้นทั้งกู้และฝาก
แต่ผมคิดว่า ต้องลดดอกเงินกู้ ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก
แต่เอ spread ลดแล้ว ธุรกิจ Bank จะอยุ่ได้เหรอ หรือ ผมผิดพลาดต้องไหน
เมื่อ: 2008-01-22T16:07:01+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เอามาให้อ่านกันครับ จาก ..... สตาร์บัคส์ ....
คัดท้าย: ช่วงนี้นั่งอ่านเล่มแปลของ
Pour Your Heart Into It - How STARBUCKS Built a Company One Cup at a Time.
อ่านมาค่อนเล่ม แล้วบังเอิญสะดุด ช่วงที่เจ้าของเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกเค้ากับบริษัทของเค้า หลังเข้าตลาดหุ้นครับ
.... พิมพ์จากหนังสือ หน้า 239 นะครับ
สิ่งที่มาพร้อมกับความอิ่มเอมใจ อันเนื่องจากการเป็นบริษัทมหาชนก็คือ การตระหนักถึงความจริงที่แสนเศร้าว่า คุณต้องตกเป็นทาสของตลาดหุ้นตลอดเวลา เพราะมันเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณ ทำให้คุณไม่สามารถกลับไปเป็นธุรกิจธรรมดาอีกต่อไป เราเริ่มรายงานผลประกอบการรายเดือนของเรา ซึ่งรวมไปถึงการ Comps หรือ "การเปรียบเทียบ" (comparable) อัตราเติบโตของร้านที่เปิดกิจการมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี หรือที่เรียกว่า การเติบโตของยอดขายของร้านเดียวกันเมื่อใดที่มีสิ่งที่ไม่คาดหมายเกิดขึ้น ตลาดหุ้นจะมีปฏิกริยาทันที
ผมไม่เคยคิดว่า ช่องข้อมูล การเปรียบเทียบเปอร์เซนต์ หรือ Comps จะเป็นมาตรวัดที่ดีที่สุดในการวิเคราะห์และตัดสินใจความสำเร็จของสตาร์บัคส์
เมื่อ: 2006-05-20T03:46:47+00:00
คัดท้าย: ต้นเดือนธันวาคม ปี 1995 ราคาหุ้นสตาร์บัคส์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ข่าวดังกล่าวน่าจะช่วยขจัดความรู้สึกหดหู่ในสำนักงานของเราแต่ในความเป็นจริง เราเพิ่งเรียนรู้ว่า ยอดขายสินค้า ในช่วงคริสต์มาสของเรากลับไม่ดีอย่างที่คาดกันไว้ ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆขณะที่เราเฝ้ารอตัวเลขยอดขายสุดท้ายในช่วงเทศกาลวันหยุดดังกล่าวด้วยใจจดจ่อ
ช่วงต้นเดือนมกราคมปีถัดมา ซึ่งเป็นช่วงที่เราประกาศผลยอดขายโดยเปรียบเทียบกับเป้าของเดือนธันวาคม ซึ่งโตขึ้นเพียง 1 เปอร์เซนต์ เท่านั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของเราตกลงทันที จากเดิม 21 ดอลล่าร์ เป็น 16 ดอลล่าร์/ หุ้น ในช่วงเวลาไม่กี่วัน มูลค่าตลาดของเราหดหายไปถึง 300 ล้านดอลล่าร์ แม้ว่ายอดขายจริงๆของเราจะลดไปเพียง 5 ล้านดอลล่าร์ นักลงทุนที่วิตกต่างก็โทรฯเข้ามาหาเรา และถามว่า "ทำไม่บริษัทถึงมีผลประกอบการแย่ขนาดนี้ละ" หนังสือพิมพ์ วอลล์สตรีท เจอร์นัล ประกาศว่า เราคือ "ดวงประทีปอันโชติช่วง ที่เริ่มจะริบหรี่" นักวิเคราะห์ดูเหมือนจะมั่นใจว่า ยุคแห่งการเติบโตของเราจบสิ้นลงแล้ว เช่นเดียวกับวันเวลาแห่งการเบ่งบาน
จริงๆแล้ว ในเดือนเดียวกันนั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับสตาร์บัคส์แต่อย่างใด แม้ว่ายอดขายของเราจะต่ำกว่าที่คาดไว้ แต่การเติบโตของยอดขายต่อปีโดยรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 50 เปอร์เซนต์ เรายังคงซื้อและคั่วกาแฟขาย และเปิดร้านใหม่หนึ่งแห่งทุกๆวัน เรายังคงเดินหน้าตามแผนการรุงสู่ตลาดในเมืองใหม่ๆ และ แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราอย่างไม่หยุดยั้ง
... <<< เดี๋ยวมีต่อครับ >>> ...
เมื่อ: 2006-05-20T03:59:34+00:00
คัดท้าย: สามเดือนต่อมา ราคาหุ้นของเรากลับพุ่งสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่อีกครั้งหนึ่ง และการเติบโตของยอดขายโดยเปรียบเทียบ เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสามเดือนแรกของปี โกล์ดแมน ซาคส์ หนึ่งในสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆในสตาร์บัคส์ทำนายว่าส่วนต่างกำไรและราคาหุ้นของเราจะขยับตัวสูงขึ้นไปอีก
คราวนี้นักลงทุนโทรฯเข้ามาเพื่อแสดงความยินดีกับเรา บ้างก็เป็นคนๆเดียวกับที่เคยโทรฯมาแสดงความรู้สึกกังวลใจ คราวที่ผลประกอบการของเราไม่เป็นไปดังหวัง ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่แล้ว
มีอะไรเปลี่ยนไปรึ? ก็ไม่มีอะไรมาก บริษัทสตาร์บัคส์ ในเดือนเมษายน ก็ยังคงเป็นบริษัทสตาร์บัคส์ใรเดือนมกราคา จะต่างกันก็ตรงที่จู่ๆ นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท กลับฟันธงโดยพร้อมเพรียงกันว่า สตาร์บัคส์ เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามหาศาลขึ้นกว่าเดิม
... <<< เดี๋ยวมีต่อครับ >>> ...
เมื่อ: 2006-05-20T04:06:44+00:00
คัดท้าย: การบริหารบริษัทมหาชน เปรียบได้กับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาในแง่ของอารมณ์ความรู้สึก กล่าวคือ ตอนแรก คุณได้รับการชื่มชมราวกับว่าคุณสมควรได้รับมันจริงๆ แต่พอราคาหุ้นเริ่มดิ่งลง คุณกลับรู้สึกเหมือนตัวเองตกลงมาด้วย และเมื่อมันทะยานขึ้นไปใหม่อีกครั้ง ก็เล่นเอาคุณเวียนหัวตาลายไปเลย
บางครั้ง คุณต้องแยกตัวเองออกจากความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นบ้าง และให้ความสนใจต่อการบริหารธุรกิจเป็นหลัก คุณต้องควบคุมจิตใจให้สงบให้ได้ ตลอดช่วงที่ราคาหุ้นของคุณเคลื่อนไหวขึ้นๆลงๆ ซึ่งสำหรับผมแล้วเป็นเรื่องยากมาก เพราะผมเป็นคนค่อนข้างอ่อนไหวมาก แต่ผมก็พบว่าการแสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีความนิ่งทั้งในยามรุ่งเรื่องและตกต่ำ และความสามารถในการควบคุมขวัญกำลังใจที่กำลังสั่นคลอนเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง แต่สำคัญที่สุดก็คือ ผมได้พยายามที่จะทำการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ถูกต้องเหมาะสมแก่บริษัท ไม่ใช่คำถึงถึงราคาหุ้นเป็นหลัก และนั่นคือ หนึ่งในความสำเร็จที่ผมภาคภูมิใจมากที่สุด จากการทำงานกับสตาร์บัคส์
ผู้ประกอบการทุกคนต่างก็ฝันที่จะสร้างบริษัทมหาชนขึ้นมา แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ตัวว่ากำลังเดินหน้าเข้าหาอะไร? ใช่ว่าบริษัททุกแห่งจะสามารถดำรงตนในฐานะบริษัทมหาชน ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างเช่นสตาร์บัคส์ ซึ่งแม้จะประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ แต่เรายังไม่วายมองว่าช่างเป็นกิจการที่แสนพยศ กุมบังเหียนได้ยากยิ่ง แล้วบริษัทที่อยู่ในภาวะย่ำแย่ทั้งหลายหละ ไม่แย่กว่านี้หรือ
..... <<<< จบ >>>> ....
เมื่อ: 2006-05-20T04:22:43+00:00
คัดท้าย: อ่านแล้ว คิดยังไงกันมั่งครับ เชิงคุณภาพ หรือ เชิงปริมาณ .. แค่ไหนถึงจะรสชาติกลมกล่อมครับ .... อิอิ
เมื่อ: 2006-05-20T04:25:22+00:00
ม้าเฉียว: ตอนนี้ผมใกล้จะผละออกจากคอมพิวเตอร์แล้ว พอดีมาเจอกระทู้นี้ทำให้ต้องอยู่ต่อ แล้วก็ต้องปรบมือดังๆ
ให้กับกระทที่ยกให้เป็น *****อันดับหนึ่งในดวงใจ***** ทั้งด้านเนื้อหา องค์ประกอบ และการตั้งคำถาม
ของคุณครับ เฮียคัดท้าย
เมื่อ: 2006-05-20T05:09:26+00:00
MO101: บทความดีจริงๆ ครับ
สงสัยอย่างหนึ่ง รูปที่ 3 มันตัดต่อรูป ป. เป็นรูปถ้วยกาแฟหรือเปล่า
เมื่อ: 2006-05-20T05:52:01+00:00
Rocker: สุดยอดเลยพี่
ระยะยาวเอาคุณภาพเป็นหลักที่แน่ๆ อีก 10 ปี starbuck ก็ยังอยู่
ส่วนปริมาณเอาอดีตกับอนาคตใน1-2ปี มายืนยันข้อมูลเชิงคุณภาพ
เมื่อ: 2006-05-20T07:23:39+00:00
worapong: อ่านแล้วนึกถึงซีเอ็ดเลยครับ มันมีอะไรที่คล้ายกันมาก ซีเอ็ดเมื่อปีที่แล้วก็คือซีเอ็ดของปีนี้ มันยังเป็นธุรกิจที่ยอดเยี่ยมเสมอ แต่ในสายตาของนักลงทุนแล้ว พวกเราตีราคามันอย่างมีอคติมาก เพราะเราได้เห็นราคาหุ้นของซีเอ็ตตั้งแต่ 4.8 - 9.8 บาท (คงราวๆนี้นะครับ ถ้าจำราคาไม่ผิด) อืม ไม่รู้ว่าคุณทนงจะมีความรู้สึกเหมือนผู้บริหารสตาร์บัคส์มั๊ยนะครับ :roll: :roll: :roll:
เมื่อ: 2006-05-20T08:24:57+00:00
Boring Stock Lover: เป็นเรื่องที่ดีมาก
Starbuck (SBUX) ในรอบ 10 ปี ราคาประมาณ USD4 ถึง USD40 PE ระหว่าง มากกว่า 25 ถึงประมาณ 100
ตอนนี้ ราคาประมาณ USD37 PE ประมาณ 50
อืม อยากเห็นบริษัทไทยทำได้อย่างนี้บ้าง ธุรกิจแบบนี้ใครๆก็มีโอกาสในการแข่งขัน แต่ไม่เห็นแววเลย อาจจะมี The Pizza ที่มีโอกาส
เมื่อ: 2006-05-20T09:03:03+00:00
Muffin: เป็นประโยชน์มากครับพี่คัดท้าย ขอบคุณครับ
ผมจำได้ว่า หลายปีก่อน ตอนขับรถผ่านจาก Michigan ไป Washington DC ได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ระหว่างขับผ่านโดยเฉพาะจากช่วงผ่าน Ohio และ Pensylvania นั่นคือ Starbucks ได้บุก ถึง rest area ใน hwy สายหลักหมดเสียแล้ว
ทริปนั้นทำให้ต้อง add หุ้น 2 ตัวเข้า wish list คือ SBUX และ WFMI
เมื่อ: 2006-05-20T09:41:46+00:00
007-s: เป็นกระทู้ที่ดีมากค่ะคุณคัดท้าย
โดยส่วนตัว ดิฉัน ให้ความสำคัญ กับ คุณภาพ มากกว่าปริมาณ
ไม่ได้บอกว่าปริมาณ ไม่สำคัญเลยนะ
แต่เชื่อว่า คุณภาพ สำคัญกว่า เท่านั้นค่ะ
เมื่อ: 2006-05-20T10:38:56+00:00
Raphin Phraiwal: ขอบคุณครับพี่ คัดท้าย
เมื่อ: 2006-05-20T11:22:12+00:00
Capo: คัดท้าย เขียน: มูลค่าตลาดของเราหดหายไปถึง 300 ล้านดอลล่าร์ แม้ว่ายอดขายจริงๆของเราจะลดไปเพียง 5 ล้านดอลล่าร์
ผมติดใจประโยคนี้ครับ
คิดว่าน่าจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงอำนาจของ Mr.Market
ที่มีต่อหุ้นตัวนั้นได้หรือเปล่าครับ ?????????
(Mr.Market Ratio :lol: )
เพิ่งจะรู้ว่านอกจากนัลงทุนอย่างเรา ๆ ที่จะต้องต่อสู้กับ Mr.Market แล้ว
ตัวผู้บริหารขององค์กรเองก็ต้องอาศัยความอดทนไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
ขอบคุณพี่คัดท้ายครับ
เมื่อ: 2006-05-20T15:17:40+00:00
Mon money: ยอดเยี่ยมครับ :cheers:
อยากเห็นผู้บริหารไทยออกมาพูดอย่างนี้บ้างจัง
เมื่อ: 2006-05-20T15:19:25+00:00
Boring Stock Lover: Capo เขียน:
ผมติดใจประโยคนี้ครับ
คิดว่าน่าจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงอำนาจของ Mr.Market
ที่มีต่อหุ้นตัวนั้นได้หรือเปล่าครับ ?????????
(Mr.Market Ratio
เมื่อ: 2006-05-20T16:08:16+00:00
Stock Broker: อ่านแล้วนึกถึงบุคลิกของนายตลาดได้เลยครับ
นายตลาดนี่ไม่ว่าสัญชาติอะไรก็มีบุคลิกเหมือนกันหมด
เมื่อ: 2006-05-21T07:11:18+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
บทวิเคราะห์รายไตรมาส ASP Invest+ 1Q58
pipatc: บทวิเคราะห์รายไตรมาส ASP Invest+ 1Q58
http://inv5.asiaplus.co.th/web_research ... 2014xx.pdf
เมื่อ: 2014-12-22T12:18:54+00:00
Nono: ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2014-12-23T05:31:10+00:00
whiteknight_p: ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2014-12-24T04:57:12+00:00
narakon: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2014-12-24T06:08:45+00:00
ลุงขวด: เป็นบทวิเคราะห์ที่ดีมาก น่าสนใจติดตามดู
เมื่อ: 2015-01-05T03:47:24+00:00
finnin: ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2015-01-07T02:55:16+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
คิดอย่างไรกับการลดทุนแล้วแจก special benefit ของ CSL ครับ
anakinnet: อยากทราบความเห็นพี่ๆ VI ครับ
เมื่อ: 2008-04-10T02:55:52+00:00
anakinnet: มีแต่คนเข้ามาดู ไม่เห็นมีคนตอบเลยอ่ะ ช่วยตอบหน่อยสิคับ
วาระที่ 9 พิจารณาอนุมัติลดทุนจดทะเบียนของบริษัท โดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ เพื่อเป็นการบริหารผลตอบแทน ให้แก่ ผู้ถือหุ้น
ความเป็นมา ในระหว่างปี 2548-2550 บริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิสูงกว่ากำไรสุทธิที่รายงานอยู่ ในงบกำไร ขาดทุนเป็นจำนวนมาก อันเนื่องมาจากบริษัทต้องรับรู้ต้นทุนที่มิใช่เงินสดหรือต้นทุนค่า เสื่อมราคา (Depreciation) สูง มีผลทำให้กำไรสุทธิต่ำกว่ากระแสเงินสดหมุนเวียน เพื่อเป็นการบริหารผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติเสนอคืนเงินพิเศษ (special benefit) นอกเหนือจากกำไรสุทธิ ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในรูปแบบของการลดราคาหุ้นที่ตราไว้ (par value) กล่าวคือหุ้นแต่ละหุ้นจะได้รับเงินคืนก่อนหักภาษีที่จำนวน 0.75 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงความแข็งแกร่งอยู่เช่นเดิม
ความเห็นคณะกรรมการบริษัท เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาลดทุนชำระแล้วของบริษัท จากเดิม 626,899,344.00 บาท เป็น 156,724,836.00 บาท และลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 660,849,474.00 บาท เป็น 165,212,368.50 บาท โดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) เดิม 1 บาทต่อหุ้น เป็น 0.25 บาทต่อหุ้น เพื่อเป็นการบริหารผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น
เมื่อ: 2008-04-10T14:31:53+00:00
KB: ชื่นชมครับ เงินเหลือเยอะไม่เอาไปทำไรก็เอามาคืนผู้ถือหุ้น เป็นวิธีการที่ดีมากและน้อยบริษัทที่จะทำแบบนี้ เพราะหลายบริษัทบริหารแบบกงสีไม่เอาเงินออกเลย คิดว่าเป็นบริษัทกลุ่มหรือครอบครัวตัวเอง ไม่ค่อยเห็นหัวรายย่อย
เมื่อ: 2008-04-10T14:39:31+00:00
vision: แปลว่าธุรกิจไม่รู้จะทำอะไรต่อไปแล้ว รอตลาดวายอย่างเดียว
เมื่อ: 2008-04-10T14:42:01+00:00
กระทิงแดง: น่าจะเป็น dividend play ที่น่าสนใจครับ
1. ตัวธุรกิจ หน้าเหลืองวก็เป็น cash cow ได้อีกซักระยะ
2. ตัวธุรกิจ internet พอถูพอไถ เพราะ ไม่มี lease line เอง ค่าใช้จ่ายสูงกว่า true เลยเน้นจับธุรกิจองค์กร เน้นการให้บริการหลังการขาย
3. บ.แม่อย่าง SATTEL ก็ต้องบีบให้จ่ายเงินสดออกมาเท่าที่จะทำได้
ส่วนงบการเงิน
1. บ.ไม่มีหนี้
2. stock สินค้าต่ำมาก หนังสือก็มีแค่ค่าพิมพ์ ส่วน internet ก็เป็น service มากกว่า
3. งบการลงทุนต่ำมากๆ
แต่ธุรกิจก็โตยากครับ... :lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2008-04-11T03:33:13+00:00
KB: vision เขียน:แปลว่าธุรกิจไม่รู้จะทำอะไรต่อไปแล้ว รอตลาดวายอย่างเดียว
เงินกระจากกระแสเงินสดมีมากครับ พอที่จะไปลงทุนละจ่ายปันผล ไม่ได้แปลว่าไม่รู้จะทำอะไร
เมื่อ: 2008-04-11T05:22:19+00:00
vision: KB เขียน:
เงินกระจากกระแสเงินสดมีมากครับ พอที่จะไปลงทุนละจ่ายปันผล ไม่ได้แปลว่าไม่รู้จะทำอะไร
ขอโทษครับ คิดยังไงก็ว่าอย่างงั้น
เจอ ADSL ของ operator มีสายก็คางเหลืองแล้ว
นี่ยังมี 3G แล้วก็ตามมาด้วย WIMAX อีก
ลูกค้าองค์กรเองจะรักษาไว้ได้หรือเปล่า น่าติดตาม
เมื่อ: 2008-04-11T07:28:22+00:00
zolomon: ก็มีทั้งดีทั้งเสียครับ ข้อดีคือ ก็มีกว่าเอาไปลงทุนอะไรไร้สาระ หรือไม่เหมาะสม
ข้อเสียคือ บ.ก็อาจจะไม่โต เพราะตัว internet มีแนวโน้มจะลดลง ที่เหลือน่าจะคงตัว โดยรวมไม่แย่มาก
ที่เหลือคือเงินที่เหลือและอีกหน่อยจะได้มา จะเอาไปทำอะไร นี่น่าสนใจทีเดียว
เมื่อ: 2008-04-23T06:50:50+00:00
shyklang: มองต่างมุมนะครับ
ถ้า ลูกค้าองค์กร เค้านึกถึง ซีเอสล็อก ก่อน ส่วนลูกค้า ที่ดูราคา เค้า ไม่สนใจครับ แถม คิว หนึ่ง โตอีก เค้า ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรเพิ่ม มาก ส่วน wifi and wimax เป็น มุมที่เสริม ลูกค้า รายย่อย ผมว่ายังดี นะครับ แถม น่าเก็บ แล้วยังมี ปันผล ที่ค่อนข้างแน่นอนที่ สี่สิบสตางค์ อีก
เมื่อ: 2008-05-18T11:30:22+00:00
mario: shyklang เขียน:มองต่างมุมนะครับ
ถ้า ลูกค้าองค์กร เค้านึกถึง ซีเอสล็อก ก่อน ส่วนลูกค้า ที่ดูราคา เค้า ไม่สนใจครับ แถม คิว หนึ่ง โตอีก เค้า ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรเพิ่ม มาก ส่วน wifi and wimax เป็น มุมที่เสริม ลูกค้า รายย่อย ผมว่ายังดี นะครับ แถม น่าเก็บ แล้วยังมี ปันผล ที่ค่อนข้างแน่นอนที่ สี่สิบสตางค์ อีก
ระวัง นะครับ
q1 โตเพราะทางบัญชี ไม่ตัดค่า goodwill
แต่ธุรกิจจริงๆ กำไรลดลง เพราะธุรกิจ ริงโทน ขาดทุน
เมื่อ: 2008-05-18T11:33:46+00:00
miracle: ผมขอมองในทางบัญชีก่อนน่าครับ
มันคือการลดทุนจดทะเบียน นี่น่าครับ วาระที่ท่านเจ้าของกระทู้ว่ามา
มองกันดีๆๆน่าครับ
เพราะ บริษัท ให้ราคา PAR ไว้ที่ 1 บาท ต่อหุ้น
จากนั้น บันทึกส่วนเกินไว้แล้ว
มาตอนนี้บอกว่า บริษัทกำไร แต่มีเงินสดเหลือมาเป็นส่วนของที่มาค่าเสื่อม
ทำให้กระแสเงินสดดีมาก เลยทำจัดการเอาเงินส่วนนี้ไปลด PAR ของหุ้น
แล้ว แบบนี้เงินสดมันไปอยู่ไหนล่ะครับ
เพราะ ลด PAR มันเกี่ยวกับราคาหุ้นหน้าใบหุ้น และ ราคาขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก แล้วบันทึกผลต่างเอาไว้
เมื่อลด PAR เสร็จ บริษัททำการลดทุนจดทะเบียนลง( ทุนจดทะเบียนอันนี้คือ ทุนที่จดไว้ ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คือ จำนวนหุ้น คูณ กับราคาพาร์)
คำถามเดียว เงินสดมันหายไปเข้ากระเป๋าใครหรือเปล่า
กระเป๋าผู้ถือหุ้นไม่ได้เข้าแน่นอน แต่พี่แกเอาเงินสดไปลดราคาพาร์ของหุ้นทางบัญชี
อันนี้บอกคำเดียวว่า มีคนทำแบบนี้ด้วยหรือครับ
เมื่อ: 2008-05-18T11:59:21+00:00
miracle: [quote="anakinnet"]วาระที่ 9
เมื่อ: 2008-05-18T15:55:13+00:00
chaiyos: miracle เขียน:ผมขอมองในทางบัญชีก่อนน่าครับ
มันคือการลดทุนจดทะเบียน นี่น่าครับ วาระที่ท่านเจ้าของกระทู้ว่ามา
มองกันดีๆๆน่าครับ
เพราะ บริษัท ให้ราคา PAR ไว้ที่ 1 บาท ต่อหุ้น
จากนั้น บันทึกส่วนเกินไว้แล้ว
มาตอนนี้บอกว่า บริษัทกำไร แต่มีเงินสดเหลือมาเป็นส่วนของที่มาค่าเสื่อม
ทำให้กระแสเงินสดดีมาก เลยทำจัดการเอาเงินส่วนนี้ไปลด PAR ของหุ้น
แล้ว แบบนี้เงินสดมันไปอยู่ไหนล่ะครับ
เพราะ ลด PAR มันเกี่ยวกับราคาหุ้นหน้าใบหุ้น และ ราคาขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก แล้วบันทึกผลต่างเอาไว้
เมื่อลด PAR เสร็จ บริษัททำการลดทุนจดทะเบียนลง( ทุนจดทะเบียนอันนี้คือ ทุนที่จดไว้ ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คือ จำนวนหุ้น คูณ กับราคาพาร์)
คำถามเดียว เงินสดมันหายไปเข้ากระเป๋าใครหรือเปล่า
กระเป๋าผู้ถือหุ้นไม่ได้เข้าแน่นอน แต่พี่แกเอาเงินสดไปลดราคาพาร์ของหุ้นทางบัญชี
อันนี้บอกคำเดียวว่า มีคนทำแบบนี้ด้วยหรือครับ
คุ้นๆว่าเขาทำเช็คคืนมาให้นะครับ เป็นการคืนทุนกลับมาให้ ผถห
เมื่อ: 2008-05-18T16:24:17+00:00
miracle: ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ว่า ถ้าคืนทุนเลย
เพราะว่า คนที่ซื้อคนแรกก็ไม่คืนทุนซิ
กลายเป็นคนที่ถือหุ้นปัจจุบันได้คืนทุนไป
อืมมมีแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย
เมื่อ: 2008-05-18T18:17:07+00:00
Ent': ซื้อหุ้นคืน กับ จ่ายปันผลพิเศษ
ถ้าซื้อหุ้นคืน คนที่ถือหุ้นบริษัท โดยไม่ได้ขาย ก็จะได้รับ Capital Gain ทางบัญชีเท่านั้นเอง
แต่ถ้า จ่ายปันผลพิเศษ คนที่ได้รับปันผลพิเศษนั้น จะมีทางเลือกมากกว่า ในการเอา เงินปันผลพิเศษไปทำอะไร เช่น ถ้าอย่างลงทุนเพิ่มก็ ซื้อหุ้นบริษัทเดิมๆ เพิ่ม อย่าง Diversify ก็ ไปซื้อหุ้น อื่นๆ ต้องการใช้จ่ายส่วนตัวก็เอาไปใช้
ผมว่า จ่ายปันผลพิเศษดีกว่า การซื้่อหุ้นคืนนะครับ เพราะให้ทางเลือกกับผู้ถือหุ้นมากกว่า แต่เสียตรงที่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย
เหตุผลที่ CSL จ่ายปันผลพิเศษ เป็นเพราะว่าตอนแรก บริษัทสำรองเงินไว้สำหรับซื้อ อาคาร หรือ ก่อสร้างอาคาร ใหม่ แต่ได้ตัดสินใจยกเลิก เพราะว่า ค่าสร้างอาคาร หรือซื้ออาคาร มีราคาที่สูงขึ้นในปัจจุบัน เลยเปลี่ยนใจจะไปเช่าแทน ทำให้เหลือเงินสดเยอะ
เมื่อ: 2008-05-19T06:11:41+00:00
miracle: เข้าใจผิดแล้วคุณ Ent'
การซื้อหุ้นคืนนั้น มีผลประโยชน์มากกว่า Capital Gainอีก
เนื่องจาก บริษัทเอาเงินไปซื้อหุ้นของตัวเอง ทำให้เงินที่ต้องจ่ายปันผลนั้น ไม่สามารถจ่ายในหุ้นที่บริษัทซื้อมาได้ เป็นการบริหารเงินสดทางหนึ่ง
ซื้อแล้วไม่ขายกลับในเวลาสองปี ต้องไปจดทะเบียนลดทุนอยู่ดี
ถ้าขายกลับก็ทำให้ราคาขายสูงกว่าราคาซื้อ ก็คือบริษัทได้กำไรจากการขายหุ้นกลับ จุดนี้ทำให้เงินสดเพิ่มขึ้นอีก
แถมไม่พอ การซื้อหุ้นนี้เป็นพยุงราคาหุ้นในตลาดทางอ้อมด้วย
แต่ถ้าหาก จ่ายปันผล เป็นการจ่ายกรณีพิเศษ เนื่องจากลดพาร์ของหุ้น ไม่ใช่มาจากผลประกอบการของกิจการ อันนี้ต้องไปตรวจสอบกับผู้ที่ได้ปันผลของตัวนี้แล้วกันว่าได้เครดิตภาษีหรือไม่ เพราะ น่าจะไปใส่ในช่องอื่น ซึ่งไม่สามารถขอเครดิตภาษีเครดิตได้ (อาจจะโดนภาษีเต็มๆ ไม่ได้คืนเครดิตภาษี)
และมันจ่ายแค่ครั้งเดียว กินครั้งเดียวเท่านั้นด้วย
เมื่อ: 2008-05-19T06:17:42+00:00
Ent': เข้าใจว่า คุณ miracle หมายความว่า ซื้อหุ้นคืน สุดท้าย เงินปันผลโดยรวม ของหุ้นทุกๆ หุ้นก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ดี เพราะว่าหุ้นที่เป็น Treasury Stock ไม่ต้องจ่ายปันผลให้ อันนั้นก็จริงของคุณ และราคาหุ้นในตลาดมันก็จะมากขึ้น ก็คือมันจะมี Capital Gain
แต่่ที่ผมบอกคือว่า จ่ายปันผลพิเศษมันให้ทางเลือกกับผู้ถือหุ้นมากกว่า มันก็จริงของผมไม่ใช่เหรอครับ ?
miracle เขียน:เข้าใจผิดแล้วคุณ Ent'
การซื้อหุ้นคืนนั้น มีผลประโยชน์มากกว่า Capital Gainอีก
เนื่องจาก บริษัทเอาเงินไปซื้อหุ้นของตัวเอง ทำให้เงินที่ต้องจ่ายปันผลนั้น ไม่สามารถจ่ายในหุ้นที่บริษัทซื้อมาได้ เป็นการบริหารเงินสดทางหนึ่ง
ซื้อแล้วไม่ขายกลับในเวลาสองปี ต้องไปจดทะเบียนลดทุนอยู่ดี
ถ้าขายกลับก็ทำให้ราคาขายสูงกว่าราคาซื้อ ก็คือบริษัทได้กำไรจากการขายหุ้นกลับ จุดนี้ทำให้เงินสดเพิ่มขึ้นอีก
แถมไม่พอ การซื้อหุ้นนี้เป็นพยุงราคาหุ้นในตลาดทางอ้อมด้วย
แต่ถ้าหาก จ่ายปันผล เป็นการจ่ายกรณีพิเศษ เนื่องจากลดพาร์ของหุ้น ไม่ใช่มาจากผลประกอบการของกิจการ อันนี้ต้องไปตรวจสอบกับผู้ที่ได้ปันผลของตัวนี้แล้วกันว่าได้เครดิตภาษีหรือไม่ เพราะ น่าจะไปใส่ในช่องอื่น ซึ่งไม่สามารถขอเครดิตภาษีเครดิตได้ (อาจจะโดนภาษีเต็มๆ ไม่ได้คืนเครดิตภาษี)
และมันจ่ายแค่ครั้งเดียว กินครั้งเดียวเท่านั้นด้วย
เมื่อ: 2008-05-19T20:21:50+00:00
Ent': คือ ระหว่าง ลดพาร์และคืนเงินเป็นปันผลพิเศษ กับ ซื้อหุ้นคืน เนี่ย อะไรมันดีกว่าอะไร ผมคิดว่า มันเป็นเรื่อง นานาจิตตังนะ แต่เห็น comment ของ คุณ miracle เขียนซะว่า การลดพาร์ เป็นเรื่องแปลก ทำไมผู้บริหารถึงทำอย่างนั้น ทำไมไม่่ซื้อหุ้นคืน ( ซื้อหุ้นคืน CSL ก็เคยทำไปแล้วครั้งนึงครับ) ผมก็เลยขอแสดงความเห็นบ้างว่า การลดพาร์จ่ายปันผลพิเศษมีข้อดีอย่างไร และผมคิดว่าดีกว่า การซื้อหุ้นคืนอย่างไร ผมเห็นหุ้นลดพาร์ในอดีตมันมีน้อยอาจจะไม่คุ้นเคยกัน แต่กรณีที่ผมจำได้ก็ KGI ตอนประมาณปี 2546 ลดพาร์แล้วจ่ายปันผลพิเศษ แป๊บเดียวราคาก็กลับมาเท่าที่ก่อนลดพาร์แล้ว
ถ้าเป็นความคิดเห็นที่เกิดจากการเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยครับ
เมื่อ: 2008-05-19T20:40:39+00:00
chaiyos: ยังไงก็ตาม เห็นได้ชัดเจนว่า เทมาเส็ก อยากได้เงินกลับไปใช้
ผมว่าที่เขาสนใจที่สุดคือ เงินสด
ลดทุน หรือ ซื้อคืน ก็เป็นแค่ทางเลือกในการเดินของเขา
เมื่อ: 2008-05-19T21:50:44+00:00
anakinnet: chaiyos เขียน:ยังไงก็ตาม เห็นได้ชัดเจนว่า เทมาเส็ก อยากได้เงินกลับไปใช้
ผมว่าที่เขาสนใจที่สุดคือ เงินสด
ลดทุน หรือ ซื้อคืน ก็เป็นแค่ทางเลือกในการเดินของเขา
กว่าจะถึงเทมาเส็กนี่ยาวเลยนะครับ ต้องผ่าน THCOM ก่อน จะเหลือขึ้นไปหา SHIN เท่าไหร่ก็ไม่รู้
เมื่อ: 2008-05-20T03:12:59+00:00
shyklang: chaiyos เขียน:ยังไงก็ตาม เห็นได้ชัดเจนว่า เทมาเส็ก อยากได้เงินกลับไปใช้
ผมว่าที่เขาสนใจที่สุดคือ เงินสด
ลดทุน หรือ ซื้อคืน ก็เป็นแค่ทางเลือกในการเดินของเขา
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ซีเอสล็อค คือ ชินบรอดแบรด์ ซึ่ง ตัวนี้ ขาดทุนอยู่ เก้าร้อยล้าน ได้ เงินงวดนี้ มา ไม่ถึง ร้อยเก้า สิบล้าน ซึง หักขาดทุนไม่ได้เลย
ถ้า ให้เดา เกมนี้ น่าจะเป็น ข้อแนะนำของภัทร นะครับ ลองดู ซิ ว่า เค้า ซื้อ เพิ่ม เท่าไร แถม ซื้อ เอา ซื้อ เอา แต่ ตัวเอง ไม่ เชียร์ เลย (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)
เมื่อ: 2008-05-20T07:08:42+00:00
chaiyos: anakinnet เขียน:
กว่าจะถึงเทมาเส็กนี่ยาวเลยนะครับ ต้องผ่าน THCOM ก่อน จะเหลือขึ้นไปหา SHIN เท่าไหร่ก็ไม่รู้
อู้ จริงๆครับ
39.89%=>Shin Sat
41.28%=>Shin Corp
เหลือแค่ 16.46% กว่าๆ
หรือว่าไม่อยากได้เงินสด แต่แจกเงินขำๆ คิดว่าเป็นงบประชาสัมพันธ์
เห็นในเครือนี้ปันผลกันเป็นว่าเล่น น่าเย้ายวนยิ่งนัก
เมื่อ: 2008-05-20T07:26:56+00:00
chaiyos: shyklang เขียน:
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ซีเอสล็อค คือ ชินบรอดแบรด์ ซึ่ง ตัวนี้ ขาดทุนอยู่ เก้าร้อยล้าน ได้ เงินงวดนี้ มา ไม่ถึง ร้อยเก้า สิบล้าน ซึง หักขาดทุนไม่ได้เลย
ถ้า ให้เดา เกมนี้ น่าจะเป็น ข้อแนะนำของภัทร นะครับ ลองดู ซิ ว่า เค้า ซื้อ เพิ่ม เท่าไร แถม ซื้อ เอา ซื้อ เอา แต่ ตัวเอง ไม่ เชียร์ เลย (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)
2. อนุมัติให้เสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ อนุมัติลดทุนจดทะเบียนเดิมจาก 660,849,474.00 บาท เป็น
165,212,368.50 บาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 626,899,344.00 บาท เป็น 156,724,836.00 บาท โดย
การลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นหุ้นละ 0.25 บาท วัตถุประสงค์ในการลดทุน เพื่อเป็นการเพิ่มผลตอบแทนให้
แก่ผู้ถือหุ้นนอกเหนือจากเงินปันผลปกติ ซึ่งผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินคืนมูลค่าหุ้นละ 0.75 บาท ก่อนหักภาษี
อย่างงี้มันประมาณว่าได้ผลตอบแทน 0.75/ราคาหุ้นประมาณ 4.18 = 17.9% เลยหรือเปล่าครับ?
(ภาษีคิดไม่เป็น)
แล้วไหงราคาหุ้นไม่ยักกระโดด
เมื่อ: 2008-05-20T07:41:03+00:00
chaiyos: พอดีไปหาเจอ เลยเอามาแปะให้ดูครับ
วาระที่ 9 พิจารณาอนุมัติลดทุนจดทะเบียนของบริษัทโดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้เพื่อการบริหารผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น
ประเด็นที่มีการหารือ
ปี 2548 Defened tax แต่บริษัทมีผลขาดทุนสะสมยกมาแต่มาชดเชย
ปี 2550 วิธี Equty > Cost Method
48 -50 ปันผล 984 ปันผล 1.57 บาท/หุ้น
งบเดี่ยวปี 50
ก่อนทำ หลังทำ
กำไร 490 490
Equty 1191 721
กำไร Equty 41% 68%
กรณีที่มีการออกเสียง
เห็นด้วย 414,898,422/100 เสียง/เปอร์เซ็นต์
ไม่เห็นด้วย 10,000 เสียง/เปอร์เซ็นต์
งดออกเสียง เสียง/เปอร์เซ็นต์
ความเห็นเพิ่มเติม
จ้างที่ปรึกษากฎหมายหารือ กลต. / ลดลงไม่ตำกว่า1/4 ของทุนจดทะเบียน
กฎหมายพานิชย์, ภาษี
หุ้น @ หุ้นจะได้รับเงินคืนก่อนหักภาษี = 0.75 บาท/หุ้น
tax 0.12 บาท/หุ้น
ยกเลิกหุ้นในอนาคต 0.63 บาท/หุ้น
18 มิถุนายน - ปิดสมุด/จดทะเบียนลดทุน/เงินคืน 0.75 บาท/หุ้น
4 กรกฎาคม 2551 คืนเงิน
จาก
http://www.thaiinvestors.com/AGM/index. ... st_id=1636
เมื่อ: 2008-05-20T10:24:57+00:00
ลูกอิสาน: csl มีกระแสเงินสดเหลือมาก จ่ายปันผลจนกำไรสะสมเกือบหมด
แต่เงินสดยังเหลืออีก ก็เลยหาวิธีลดทุนเพื่อคืนเงินให้ผู้ถือหุ้น
วิธีนี้ทำให้ bv ลดลง แต่ธุรกิจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญทำให้ pe ลดลงพอสมควร
เพราะพีอีคิดจากกำไร/มูลค่าตลาด
เมื่อลดทุนมูลค่าตลาดลด แต่กำไรเท่าเดิม
ผมลองคิดคร่าวๆพีอีจาก 12-13 จะเหลือ 8-9 เท่า
ผมสงสัยประเด็นเดียว เงินที่คืนไห้ผู้ถือหุ้นต้องมีภาระภาษีอะไรหรือเปล่า
เมื่อ: 2008-05-20T12:50:48+00:00
miracle: ผมไม่ได้ชวนทะเลาะน่าครับ
แต่ผมมองในมุมที่เป็นการลงทุนมากกว่า
เห็นว่ามันผิดปกติว่า ทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้
ซึ่งผมก็เก็บข้อมูลในตลาดน่าครับ
CASE นี้น่าจะเป็น CASE แรกที่จ่ายเงิน PAR คืนให้แก่ผู้ถือหุ้น
ซึ่งกรณีแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้น ถ้าดูกันลึกๆแล้ว
มันคือการหิวเงินจากผู้ถือหุ้นบ้างกลุ่ม
เมื่อ: 2008-05-20T13:07:35+00:00
miracle: สิ่งที่กระทำนั้นไม่มีผิดหรือถูก
ความคิดของแต่ละคนก็ไม่มีผิดหรือถูกต้อง
แต่ความคิดมันต้องมีเหตุผลมาสอดรับความคิดนั้น
ไม่ใช่ว่ายกมาลอยๆ
เหตุการณ์ที่เปิดเป็นหน้าแรกนั้น มักจะถูกต่อว่าเสมอ
แต่ผู้ที่ทำตามต้องเรียนรู้ว่า ผู้นำนั้นโดนอะไรบ้าง ไม่ใช่ก้าวเข้ามาโดยที่ไม่ศึกษาอะไรในอดีตเสียเลย
ส่วนเรื่องนี้คงจะผ่านๆไปตามสายลมเมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อ: 2008-05-20T13:10:26+00:00
Ent': CSL ไม่ใช่ case แรกละมั้งครับ
ที่ สก./ร. 057 / 2546
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546
เรื่อง แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2546
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ครั้งที่
1/2546 ประชุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 ได้มีมติอนุมัติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. อนุมัติให้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนหุ้น เพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินคืนทุน ในวันที่ 17
มีนาคม 2546 เวลา 12.00 น. (ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติให้บริษัททำการลดทุน โดยการลดมูลค่าหุ้นที่จด
ทะเบียนไว้ จากหุ้นละ 10 บาท เป็น หุ้นละ 7.50 บาท และคืนทุนจำนวน หุ้นละ 2.50 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นทุก
รายตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ ทั้งนี้ นักลงทุนต้องซื้อหุ้นของบริษัท ภายในวันที่ 11 มีนาคม 2546 นี้ จึง
จะได้รับสิทธิเงินคืนทุนดังกล่าว)
เมื่อ: 2008-05-20T19:30:00+00:00
miracle: ขอบคุณครับ
เก็บ case เข้าคลังสมอง
เมื่อ: 2008-05-21T05:25:29+00:00
anakinnet: chaiyos เขียน:
อย่างงี้มันประมาณว่าได้ผลตอบแทน 0.75/ราคาหุ้นประมาณ 4.18 = 17.9% เลยหรือเปล่าครับ?
(ภาษีคิดไม่เป็น)
แล้วไหงราคาหุ้นไม่ยักกระโดด
คนกลัวว่าพอถึงวัน XD ราคามันจะลงมาเหลือ 3.25 น่ะคับ แล้วยังต้องเสียภาษีอีกน่ะสิครับ
เมื่อ: 2008-05-21T08:49:54+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ขอโปรแกรมจัดการPortfolioและหาหุ้นตามCriteria ที่กำหนด
harry: ข้อแรกก็หมดหวังแล้วครับ จะหาที่ไหนฟรี ถ้าไม่ใช่ลุงครรชิตครับ เอาข้อมูลลุงครรชิตไปกรองต่อยังง่ายกว่าเยอะ
เอาโปรแกรมแบบนี้เนี่ย ถ้ามีคงเป็นฝรั่งทำแหละครับ คนไทยคงไม่มีทำหรอก
ไม่งั้นก็ลองหาโปรแกรมเมอร์ จ้างเข้าทำดู คงไม่กี่หมื่นบาท ถ้าดัง แล้วทำขาย อาจรวยเละได้
เมื่อ: 2004-10-25T13:13:42+00:00
ch_army: ถึงกับจัดพอร์ตให้คงไม่มีครับ ส่วนการกรองทาง ตัวเลขนั้นพวกโบรกเกอร์น่าจะมีข้อมูลให้ครับ แต่ยังไงซะข้อมูลด้านคุณภาพก็ต้องวิเคราะห์อยู่ดีครับ แต่ถ้าหาเจอก็ขอด้วยคนนะ
เมื่อ: 2004-10-25T14:55:03+00:00
ch_army: ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คุณHary คือ เท่าที่ผมดูคนที่เก่งๆ Exel น่าจะทำได้นะครับ แค่เชื่อมโยงข้อมูลแต่ละ Sheet เข้าหากัน
1.เอาแค่ทำบัญชีซื้อขายหุ้น จะได้รู้ว่าหุ้นตัวไหน ซื้อเมื่อไหร่ขายเมื่อไหร่ จำนวนเท่าไหร่
2. เป็นเงินเท่าไหร่ จ่ายตังค์ รับตังค์ เมื่อไหร่เป็นวันที่เท่าไหร่ เข้าบัญชีธนาคารไหน เท่านั้นเองครับ
ผมอาจจะโพสต์อธิบายไม่ดี ต้องขอโทษด้วย ที่อยากได้ คือ ก็เหมือนกิจการซื้อมาขายไป เป็นการทำสต็อก และ การรับจ่ายเงินอย่างง่ายน่ะครับ เพียงแต่นำมาใช้กับหุ้นที่มีค่าคอมเพิ่มเข้าไปเท่านั้นเองครับ
จะใ้ห้ดีขอแบบ นำผลประกอบการแต่ละปี หรือ แต่ละตัวมาทำกราฟด้วยก็จะดีมากครับ อิอิ
ขอความกรุณาด้วยครับ
เมื่อ: 2004-10-25T15:16:28+00:00
ch_army: อ้อ อันนี้ผมก็ทำอยู่ครับเป็นในลักษณะ งบดุล งบกำไรขาดทุนแล้วก็งบกระแสเงินสด และก็หุ้นในพอร์ตปัจจุบัน แต่ไม่ได้ update อัตโนมัติกับข้อมูลทาง internet นะครับเพราะผมใช้ macro ของ excel ไม่เป็นถ้ายังสนใจ อันนี้ใช่ที่ต้องการป่าวครับ ยังไงถ้าอยากได้ก็ post เดี๋ยวขอไป clear ข้อมูลส่วนตัวก่อนแล้วส่งไปให้นะครับ
เมื่อ: 2004-10-25T15:25:44+00:00
นักดูดาว: ถ้ามีโปรแกรมแบบนี้ขาย คุณจะซื้อที่ราคาเท่าไหร่ครับ
เมื่อ: 2004-10-25T15:32:22+00:00
นักดูดาว: คุณ นักดูดาวครับ
ผมซื้อในราคพันธ์ทิพย์เลยครับ 150 บาท เพราะผมคิดว่าไม่น่ายากส์แต่ผมไม่มีเวลาศึกษา
และผมก็รู้นะครับว่า คุณ นักดูดาว เป็นเซียนคอมคนนึง อิอิ
ดังนั้น คุณนักดูดาวจะให้ผมฟรีใช่มั้ยครับ 555
ขอขอบคุณล่วงหน้าเลยครับ
เพื่อนๆ ช่วยกัน สดุดี คุณนักดูดาวผู้ใจดีด้วยครับ
เมื่อ: 2004-10-25T16:24:24+00:00
นักดูดาว: ลองดู Microsoft Money กับ Quicken ดูก่อนมั้ยครับอาจตอบสนองความต้องการของคุณได้ระดับนึง
ผมว่า Project ที่คุณว่ามา ไม่ใช่แค่หลักหมื่นแน่ครับถ้าไปจ้างโปรแกรมเมอร์ทำ
เมื่อ: 2004-10-25T21:04:07+00:00
ครรชิต ไพศาล: The Beginner เขียน:ขอความกรุณาบอกเวปที่ดาวน์โหลดหรือส่งfile จัดการportfolioหุ้น ที่ฟรี ด้วยครับ ิ[email protected] ขอที่แบบ
1.เป็นภาษาไทย
2.ใช้งานง่าย กรอกชื่อหุ้น วันที่ซื้อ ราคาที่ซื้อ จำนวนหุ้น กำหนดrate ค่าคอมเองได้ และวันที่ขาย ราคา จำนวนที่ขาย
3. คำนวนกำไรขาดทุน(รวมหักค่าคอมแล้ว)
4.โพสต์ไปยังบัญชีธนาคาร หักเงิน เข้าเงินในวันตามที่ำเรากำหนด (ปกติคือ3วันหลังทำการซื้อขาย) โดยอัตโนมัติ
5.สามารถกำหนดหลายพอร์ตในหน้าเดียว เปลี่ยนแค่แทป
โปรแกรมกำหนดcriteria แบบที่เรากำหนดเองได้ โดยมีfield ให้กรอกข้อมูล แล้วsearch หาตาม criteriaที่เรากำหนดเอง
พอจะมีโปรแกรมแบบนี้มัั้้ยครับ
ขอบพระคุณครับ
ผมใช้ โปรแกรม QUICKEN2002 อยู่ สามารถตอบสนองความต้องการที่คุณต้องการได้ครบถ้วน ลองไปหามาใช้ดู ครับ
ถ้ามีปัญหาในการใช้งาน QUICKEN2002 เขียนโพส มาปรึกษาได้เลย ครับ
เมื่อ: 2004-10-26T00:46:33+00:00
ครรชิต ไพศาล: ขอบคุณครับ พี่ครรชิต The King of Data and Information (TKDI)
แต่ผมไม่แน่ใจว่า มันจะแบบที่ผมต้องการรึเปล่า คือ ง่ายๆ เหมือนทำสต๊อกซื้อมาขายไป มีหุ้นเหลือเท่าไหร่ ต้นทุนเท่าไหร่ แล้วหักบัญชีธนาคารไหน พอซื้อหุ้นเพิ่ม หรือ ขายหุ้นก็คำนวนต้นทุนให้ใหม่ ออกรายงานได้ แค่นั้นแหละครับ พี่ครรชิต
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2004-10-26T03:32:56+00:00
ch_army: ไอ้โปรแกรม quicken เนียซื้อได้ที่ไหนหรือครับ แล้วต้องกรอกข้อมูลหุ้นเองตลอดเลยหรือป่าวครับ
เมื่อ: 2004-10-26T03:38:48+00:00
ch_army: คุณ Guest
ก็ได้นี่ครับ
คุณ ch_army
อยากได้ถูกๆ ก็ พันธ์ทิพย์ไง
ถ้าอยากได้ถูกลิขสิทธิ์ก็ไปซื้อที่เว็ปของผู้ผลิตครับ
เมื่อ: 2004-10-26T04:22:43+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
วันนี้ ได้รับ รายงานประจำปี UPOIC เป็นแผ่น CD
ครรชิต ไพศาล: วันนี้ ได้รับ รายงานประจำปี UPOIC เป็นแผ่น CD
ดีเหมือนกัน อ่านง่าย เก็บง่ายดี
เสียดายมีแต่รายงานการเงิน
อยากให้มี ภาพแนะนำพาเยี่ยมชมโรงงาน การผลิต ด้วย น่าจะดี
โค้ด: เลือกทั้งหมดNAME ราคา30/12/03 LAST2/4/04 +/-(%) (%)วันนี้ EPS P/E P/BV D/P%
UPOIC 47.75 42.00 -12.04 -1.18 5.69 7.38 1.68 11.90
สินทรัพย์ หนี้สิน ผู้ถือหุ้น หนี้/EQ ทุน รายได้ กำไร ROA(%) ROE(%) PM(%) PAR MarCap
848.59 39.63 808.96 0.05 324.05 601.69 184.37 27.94 24.24 30.64 10.00 1,361.01
ปี สินทรัพย์ หนี้สิน ผู้ถือหุ้น ทุน รายได้ กำไร EPS ปันผล epsQ4 epsQ3 epsQ2 epsQ1
2003 848.59 39.63 808.96 324.05 601.69 184.37 5.69 5.00 0.22 0.99 3.05 1.43
2002 735.37 22.92 712.45 324.05 509.61 46.99 1.45 1.45 0.24 0.45 0.33 0.43
2001 825.54 32.19 793.35 324.05 760.67 104.17 3.21 8.00 -0.09 0.31 0.33 2.66
2000 933.07 50.86 882.21 324.05 709.96 147.84 4.56 4.50 0.75 0.07 1.60 2.14
1999 1,074.01 92.00 982.01 324.05 997.95 414.58 12.79 12.00 2.79 4.17 4.50 1.33
1998 983.47 44.55 938.92 324.05 762.20 212.36 6.55 6.50 1.02 1.55 1.71 2.27
1997 991.74 34.12 957.62 324.05 744.06 195.89 6.05 6.00 2.33 1.26 1.28 1.18
1996 1,003.07 41.05 962.02 324.05 721.95 232.35 7.17 4.00 1.44 2.49 1.92 1.32
1995 884.65 57.76 826.89 324.05 540.62 152.89 4.72 3.00 1.90 1.49 0.69 0.64
1994 822.64 70.87 751.77 324.05 409.36 83.09 3.05 2.40 1.28 0.63 0.69 0.45
เมื่อ: 2004-04-03T07:53:05+00:00
มือใหม่: ดีจังครับ UPOIC ไม่ติดกับระบบเดิมๆ
ถือว่าเป็นก้าวใหม่ อยากให้หุ้นทุกตัวทำอย่างนี้บ้างจัง ต้นทุนก็ถูกกว่าทำเป็นหนังสือ แถมสามารถใส่ข้อมูลได้เยอะแยะเลย
เมื่อ: 2004-04-03T14:26:01+00:00
Solo: ระยะหลังนี่ หลายหลายเจ้า ก็ทำเป็น cd ให้ครับ ก็สะดวกดี และทันสมัยครับ
เมื่อ: 2004-04-04T08:54:44+00:00
ลุงขวด: ผมไม่มีของ upoic เพราะ ไม่ได้ถือหุ้นเขา มีแต่ LST พวกเดียวกับ upoic ได้รับของ LST เป็น CD เหมือนกัน มีรูปเด็ก น่ารัก การจัด หน้า และ หัวข้อ ดีมากเลย ตัวหนังสืออ่านได้พอเหมาะกับ หน้าจอของผมเลย.....บางแห่งตัวเล็กเกินไป ดูแล้วปวดตา และการจัดหน้าก็ดูลำบาก
เห็นด้วย ถ้ามี CD ฉายเป็นภาพสั้น ๆ เกี่ยวกับบริษัทฯ และ ผลิตภัณฑ์ ก็จะมีประโยชน์มากขึ้น สนับสนุนเต็มที่เลยครับ
เมื่อ: 2004-04-04T11:01:32+00:00
ครรชิต ไพศาล: ลุงขวด ไปประชุมบริษัท ต่างๆ ที่ลุงถืออยู่ ช่วยเสนอ ให้มีใส่ วิดีโอแนะนำ โรงงาน การผลิต ลักษณะธุรกิจ ใส่ไว้ใน CD รายงานประจำปี ด้วยก็ดี ทำให้ผู้ถือหุ้น ได้รู้จักบริษัทดีขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการถือหุ้นของบริษัท ให้มากขึ้น
เมื่อ: 2004-04-04T14:06:51+00:00
Dr.T: ตอนถือไทยธนาคารเขาก็ให้รายงานประจำปีมาเป็น CD ครับ flash ทั้งแผ่น
(หุ้นตัวแรกในชีวิตที่ซื้อ ก่อนจะเปิดบัญชีกับโบรกฯอีก เลยจ่ายค่าเล่าเรียน(ขาดทุน)วิชาหุ้นไปหมื่นกว่าบาท )
เมื่อ: 2004-04-04T15:06:55+00:00
นายสต็อก: ตอนวันหยุดสุดสัปดาห์...
ผมรับซองจดหมายสีน้ำตาล ส่งมาบ้านจาก บ. บริการเชื้อเพลิงการ
บินกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ
ตอนแรกเห็นหนักๆ นึกว่าส่งของขวัญมาให้ผู้ถือหุ้น แกะดู เป็นกล่อง CD
ผมก็นึกว่าเค้าส่งแผ่นเพลงมาให้ฟัง ที่ไหนได้ เป็น Annual Report 2003
จะลองมาเปิดดูกับคอมฯ ที่บ้านสักหน่อย เจ้าเครื่องเล่น DVD-ROM ดันเสียซะอีกเลย ได้แต่ดูหน้าปกเพลินๆ!!!!
ปล. เวลาเข้าไปเยี่ยมเว็บบริษัทนี้ทีไรฟังเพลงปลุกใจองค์กรซะเพลินหูเชียว! 8)
เมื่อ: 2004-04-04T15:40:08+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ขอบคุณคนในครอบครัวที่ช่วยฉุดเอาไว้
kk-rich: ขอสารภาพครับว่าช่วงตอนตลาดอยู่ในช่วง 600 จุด ผมได้โต้เถียงกับคนในครอบครัวเพื่อต้องการของบก้อนใหญ่มาถัวเฉลี่ยของเก่า โชคดีที่ผมยอมแพ้จึงไม่ได้งบมา ตอนนี้รู้สึกขอบคุณท่านมากๆที่ไม่อนุมัติ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนจริงๆ รักษาความรู้สึกของคนภายในครอบครัวไว้เป็นดีที่สุดนะครับ :oops:
เมื่อ: 2008-10-07T12:42:23+00:00
sorawut: เห็นด้วย 100% ครับ :lol:
เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าทำคนในครอบครัวเสียใจครับ
เมื่อ: 2008-10-07T13:16:11+00:00
anakinnet: คนในครอบครัวผมมีแต่ยุให้ลุยอ่ะ ทำไงดี ยุมาตั้งแต่ 700 แล้ว :lol: :lol:
วันนี้ทนไม่ไหว ตบะแตก เข้าไปรับมีดซะแล้ว
เมื่อ: 2008-10-07T13:26:14+00:00
poppo: ผมกะจะอาศัยคนในครอบครัวเป็นตาข่ายกันตก
ไม่ให้กระแทกพื้นดังแอ๊ก
ช่วงนี้มึนครับ
และเข้าใจคำว่า margin of safety อย่างลึกซึ้ง และจะจำจนวันตายเลย
เมื่อ: 2008-10-07T13:30:13+00:00
Reminiscence of 3 Dogs: แต่ก่อนผมก็เคยจะขอเพิ่มทุนแบบทันด่วนหลายครั้งครับ
แต่ถ้ามานึกให้ดีแล้ว ถ้าเราสามารถจริงทำกำไรได้จริง
แทบไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนเลย
เงินในพอร์ตมันจะโตของมันเองอัตโนมัติ
ถ้าเราต้องขอเพิ่มทุนแปลว่าเงินในพอร์ตมันโตไม่ทันใจเรา
แล้วมันจะโตไม่ทันใจเราเพราะอะไร?
นอกจากว่าเราทำperformanceไม่ดีพอ
แล้วถ้ามันไม่ดีพอ เรายังจะขอเงินมาเพิ่มบนหน้าตักอีกหรือ?
พอผมคิดแบบนี้ เลยตัดสินใจต้องอยู่ให้รอดบนเงินก้อนเดียว
ไม่มีการขอเพิ่มอีกครับ
เงินเพิ่มอีก10เท่า ชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้นมากมายครับ
เราก็ยังเป็นเราใช้ Lifestyle ไม่แตกต่างจากเดิมมาก
ปริมาณความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายตามปริมาณเงิน
แต่ถ้าเงินหายเหลือ10% ชีวิตอับเฉา
ปริมาณความทุกข์อาจจะมากเกินกว่าเราจะรับได้
เมื่อ: 2008-10-07T13:50:45+00:00
GeneraX: ตอนนี้กำลัง convince คุณแม่ให้เพิ่มทุนอยุ่ครับ แต่ที่แน่ๆคือไม่เอามาถัวแน่นอน แต่จะมา Load ใส่กระบอกไว้ ฝุ่นหายตลบเมื่อไหร่ค่อยซัดทีเดียวครับ
เมื่อ: 2008-10-07T13:54:14+00:00
ส.สลึง: ระบบสภาครอบครัว เยี่ยมครับ ...
เมื่อ: 2008-10-07T14:06:35+00:00
สวนหย่อม: เพิ่มทุนได้ แต่ไม่ต้องรีบครับ
เมื่อ: 2008-10-07T16:14:37+00:00
vivitawin: เพิ่มได้แต่ต้องมี limit ครับ
เอาแบบว่าเพิ่มแล้วไม่ทำให้คนรอบข้างและตัวเราเองเดือดร้อนนะครับ
และก็ควรเป็นเงินเย็นที่แช่แข็งไว้
จริงๆแล้ว
ลำพังชีวิตเราถ้าเป็น vi จริงๆ ใช้เงินวันนึงไม่กี่บาทหรอกครับ
มีความสุขกับสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินดีกว่าครับ เช่น
เล่นกับลูก กอดภรรยา ทำกับข้าว ดูหนังที่บ้าน ไปเดินออกกำลังกัน
หาหนังสือดีๆอ่าน
ให้เลือกระหว่างรวยพันล้านหมื่นล้าน กับ สิ่งพื้นๆแบบนี้ ผมเลือกพื้นๆแบบนี้ครับ
เมื่อ: 2008-10-07T16:59:25+00:00
Quantum of Solace: ต้องขอบคุณ ศรีภรรยา ครับ
อนุมัติ ให้เงินมาลงทุน ก้อนนิดเดียว
ไม่งั้น จะหายไปมากกว่านี้เยอะครับ
เมื่อ: 2008-10-07T17:27:39+00:00
007-s: เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คำโบราณใช้ได้เสมอ
ผู้ใหญ่ชอบพูดบ่อยๆ "ช้นอาบนำร้อนมาก่อน แกอย่ามาเถียง" :lol:
แหม ตอนเราเป็นเด็ก เราก็ไม่เชื่อคำนี้เลย จนเวลาผ่าน เราแก่ลงเรื่อยๆทุกวัน :lol:
เราก็จะเข้าใจคำนี้มากขึ้น :!:
...ส่วนของพี่ Quantum of Solace ..... อย่างนี้ไม่รู้เรียกคำโบราณเป่า แต่เอาเป็นว่า สูตรนี้ยังใช้ได้ในหลายกรณี
เรื่องการควบคุมเงิน ให้เชื่อเมีย :!: :!: :!:
:lol: :oops: :lol:
เมื่อ: 2008-10-08T03:21:21+00:00
atsu: [quote="007-s"]เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คำโบราณใช้ได้เสมอ
ผู้ใหญ่ชอบพูดบ่อยๆ "ช้นอาบนำร้อนมาก่อน แกอย่ามาเถียง" :lol:
แหม ตอนเราเป็นเด็ก เราก็ไม่เชื่อคำนี้เลย จนเวลาผ่าน เราแก่ลงเรื่อยๆทุกวัน :lol:
เราก็จะเข้าใจคำนี้มากขึ้น :!:
...ส่วนของพี่ Quantum of Solace ..... อย่างนี้ไม่รู้เรียกคำโบราณเป่า แต่เอาเป็นว่า สูตรนี้ยังใช้ได้ในหลายกรณี
เรื่องการควบคุมเงิน ให้เชื่อเมีย
เมื่อ: 2008-10-08T03:30:51+00:00
johnlennon: ไม่น่าเชื่อว่าจะคุณจะมีภรรยา ที่ดีและน่ารักเหมือนผม ....สั้นๆนะครับไม่อยากพูดไรมาก ตรง760จุด ถ้าเมียไม่ตบกบาลผมให้หันมาทำมาค้าขายป่านนี้ ผมคงไปนั่งประท้วงที่ทำเนียบแล้วครับ ไม่ได้มีอุดมการณ์ไรหรอกนะครับ แต่ไปหาข้าวกินนะ....^_^
เมื่อ: 2008-10-08T03:35:07+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ptt pe 4
Jeng: โอกาสที่ ptt จะกำไรลดลงครึ่งหนึ่ง เป็นได้หรือไม่
ถ้าเป็นไปได้ เมื่อกำไรลดลงครึ่งหนึ่ง pe ก็ยัง 8 เท่ากับ ผลตอบแทน 12.5 % ต่อปีนะครับ
เพื่อนๆ คิดอย่างไรบ้าง
เมื่อ: 2008-12-04T08:33:16+00:00
Jeng: โดยส่วนตัวแปลกใจมากที่ ptt ประกาศลดราคาน้ำมันต่อเนื่อง และรวดเร็วมาก
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ptt ไม่สะเทือนมากเท่าไร ในกรณีที่ราคาน้ำมันลดลง
เมื่อ: 2008-12-04T08:35:31+00:00
Jeng: ถึงเวลาหรือยัง ที่จะซื้อบริษัที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย
ณ เวลานี้ ข่าวเดิมที่จะถูกเอาออกจากตลาด คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วใช่หรือไม่
เมื่อ: 2008-12-04T08:40:22+00:00
beammy: P/E 4
Growth เท่าไหร่เอ่ย :8)
เมื่อ: 2008-12-04T08:42:00+00:00
Jeng: จริงๆแล้ว ราคาน้ำมันที่ลดลงนานๆ น่าจะทำให้ถ่านหินแย่นะ แต่การใช้น้ำมันน่าจะเพิ่มขึ้น
ในช่วงที่ราคาน้ำมันขึ้นนั้น ผมจำได้เลย แม้แต่คนขับรถเบนซ์
ยังต้องมานั่งรถรวมกัน ในการไปเที่ยวต่างจังหวัด ทุกคนเติมน้ำมันที กระเป่าแถบฉีก
เมื่อ: 2008-12-04T08:42:42+00:00
Jeng: คิดถึงตอนราคา 400 มีคนมาถามว่าน่าซื้อหรือไม่ แต่ตอน 140 ไม่มีคนถามแฮะ
เมื่อ: 2008-12-04T08:46:18+00:00
ake3004: I wonder when oil price up a lot, PTT price keeps down as mkt thought too high price.Now also price down as oil price down.
Mr. Market is difficult to guess.Disturb guru to explain kab as i don't know why
เมื่อ: 2008-12-04T10:40:20+00:00
Pekko: พี่ JENG ครับเค้าอาจจะกลัวกระแสการเมืองมั้ง ยังไงต้องระวังความเสี่ยงตรงนี้ไว้บ้าง
เออ...แต่ว่า ตอนนี้ราคามันถูกจนน่าเสี่ยงจริงๆ :twisted: :twisted: :twisted:
เมื่อ: 2008-12-04T12:13:15+00:00
กาวตราช้าง: Jeng เขียน:โดยส่วนตัวแปลกใจมากที่ ptt ประกาศลดราคาน้ำมันต่อเนื่อง และรวดเร็วมาก
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ptt ไม่สะเทือนมากเท่าไร ในกรณีที่ราคาน้ำมันลดลง
ผมเข้าใจว่าสัดส่วนกำไรของน้ำมันจะไม่มาก
แต่สัดส่วนกำไรด้านปิโตรและแกสน่าเปนห่วงนา
ถ้าพี่Jeng มั่นใจว่าน้ำมันไม่ต่ำกว่า40-45$ ราคานี้ก็น่าลุ้นนะผมว่า
เมื่อ: 2008-12-04T14:53:29+00:00
คนดอย: มีคนกลุ่มหนึ่งประกาศปาวๆ ว่าจะเอา ปตท.กำไรแสนล้านออกจากตลาดหลักทรัพย์
ไม่ทราบว่าเค้าเอาตาปลาใต้ฝ่าเท้าข้างไหนคิดครับ หรือเค้าจะทำได้จริงๆ
เมื่อ: 2008-12-04T15:36:35+00:00
BABY TERMITE: คนดอย เขียน:มีคนกลุ่มหนึ่งประกาศปาวๆ ว่าจะเอา ปตท.กำไรแสนล้านออกจากตลาดหลักทรัพย์
ไม่ทราบว่าเค้าเอาตาปลาใต้ฝ่าเท้าข้างไหนคิดครับ หรือเค้าจะทำได้จริงๆ
เอามาปันผลให้ผู้ถือหุ้น...!!!!! :shock:
เมื่อ: 2008-12-04T15:46:01+00:00
A man from the Islay: ผมเห็นด้วยกะพี่กาวตราช้างน่ะ ผมว่า PTT ให้ระวังปิโตรไว้ให้ดีเลย เพื่อนผมอยู่ปูนปิโตรเคยบอกสต๊อกที่ PTT ไปเก็บไว้แถวระยอง โดยการไปเช่าโกดังเก่าๆไว้ ไม่ยอมขายเพราะเห็นว่าราคาลงมามาก คิดว่าจะ rebound ปรากฏว่าราคาหล่นลงกว่าเดิมอีกตั้งกว่าครึ่ง จนตอนนี้เก็บไม่ไหว ต้องเอาออกมาขายแล้ว
ปูนเองก็ไม่ใช่ว่าดีน่ะครับ sales contribution มาจากปิโตรเยอะมาก เพื่อนผมอยู่ export ของปิโตร ฟังแล้วผมตกใจเลย..................ผมว่าหนักอ่ะ แต่ราคานี้ก็ถูกแล้วจริงๆ พูดยากจังครับ
เมื่อ: 2008-12-05T08:26:21+00:00
tum_H: ทางพื้นฐานก็ว่ากันไป แต่ทางเทคนิคผมว่าใช้ได้นะ
ยืนแถวราคา 140 มาพอควร ตอนนี้หากจะ rebound ได้ก่อนปิดสิ้นปี น่าจะ
ยังพอมีลุ้น หากการเมืองมีแนวโน้มออกมาเป็นบวก ผสมโรงกับกองทุนต้อง
ปิดรอบบัญชีสิ้นปี
เพราะ PTT เป็นหุ้นที่ beta สูง ยิ่งตอนนี้หากนักลงทุนมีความเชื่อมั่น ผมว่า
รอบเล็กๆน่าจะเกิดขึ้นได้ แถวๆ 197 ยังพอมีลุ้น
ผมเองกะว่าจะเกร็งกำไรสักหน่อย ขอดูสถานการณ์การเมืองอาทิตย์หน้า
น่าจะประเมินออก
เมื่อ: 2008-12-06T04:24:10+00:00
oonngg51: PTT PE 4 ว่าแต่ PE ปีหน้าเท่าไรครับ ?
[u]ปัจจัยลบ[/u]
1. ราคาน้ำมัน LPG หกเดือนหลังของปี 2551 จะถูกใช้ในสูตรกำหนดราคาขายก๊าซจากหลุมอ่าวไทยในปี 2552 ส่วนแบ่งกำไรจาก PTTEP ลดลง
2. ราคาน้ำมันดิบลดฮวบ หลุดน้ำมัน/ก๊าซ นอกอ่าวไทยของ ปตท.สผ. ก็เชื่อได้ว่ากำไรลดลง
3. กลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี กำไรทรุดตัวต่อเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัว (แต่เดาว่าขาดทุนสต๊อคปีหน้าคงไม่มีแล้วมั้ง) / รอดู pttch q4 กันกำไรน่าจะเริ่มตกแล้ว
4. ข่าวออกว่าจะขอปรับค่าผ่านท่อ มาเป็นปีแล้ว ยังไม่เห็นได้คุยไปถึงไหน
[u]ปัจจัยบวก[/u]
1. ขึ้นราคา LPG ได้แล้ว ทำให้เตรียมตัวขึ้นราคา ngv ต่อได้ด้วย
2. ธุรกิจขายปลีกน้ำมัน น่าจะกำไรดีขึ้น ค่าการตลาดสมน้ำสมเนื้อ
---------------------------------------
ถ้าผมมี ปัญญา ความสามารถ วิเคราะห์กำไรปีหน้าได้ว่า PE ไม่เกินหก ผมซื้อทันทีเลยนะเนี่ยที่ราคา 140
แต่วิเคราะห์ไม่ออก เลยหันไปดูกราฟแทน - -"
เมื่อ: 2008-12-06T17:37:30+00:00
terati20: PTTEP ไม่น่าสนกว่าเหรอ
เมื่อ: 2008-12-08T03:49:46+00:00
Jeng: ไรกัน เด้งซะแล้ว 151 แล้ว
เมื่อ: 2008-12-08T09:09:45+00:00
tum_H: Jeng เขียน:ไรกัน เด้งซะแล้ว 151 แล้ว
วันนี้อัดไป 1 ไม้ที่ 147 กะว่าจะซื้อเพิ่มอีก ดันวิ่งไปซะงั้น
เลยไม่กล้าซื้อเพิ่มเลย
กะว่าจะหาเงินไปเที่ยวปีใหม่สักหน่อย ไม่ขอเยอะขอสัก 30% ก่อนสิ้นเดือน
ก็พอ อิอิ สงสัยฝันหวานมากไป
เมื่อ: 2008-12-08T11:06:15+00:00
Jeng: อยู่ที่ nymex หรือเปล่า
5/12/2551 ปิด 40.81
7/12/2551 ปิด 42.83
8/12/2551 ปิด 43.00
หากโชคช่วยประเทศไทย nymex รีบาว อิอิ
ทำไมบอกโชคช่วย เพราะสังเกตุ หุ้นแต่ละตัว ชอบขึ้นชอบลง ตาม ptt และกลุ่ม ก็เยอะนะ
เมื่อ: 2008-12-08T11:28:52+00:00
Jeng: โห tvi effect อิอิ
เมื่อ: 2008-12-09T08:13:38+00:00
noooon010: ผมคิดว่า เค้าเล่นกับ ความกลัว - ความโลภ ครับ
Mr.Market เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจพอสมควร
ไม่มีใครเดาใจใครได้ถูกต้องตลอดครับ
มีสติในการลงทุนครับ
เมื่อ: 2008-12-09T09:25:45+00:00
Jeng: noooon010 เขียน:ผมคิดว่า เค้าเล่นกับ ความกลัว - ความโลภ ครับ
Mr.Market เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจพอสมควร
ไม่มีใครเดาใจใครได้ถูกต้องตลอดครับ
มีสติในการลงทุนครับ
เห็นด้วยครับ ใครจะซื้อใครจะขายโปรดระวังให้ดีเด้อ อันตาลาย
เมื่อ: 2008-12-09T09:34:20+00:00
Jeng: วันนี้เป็นวันที่แปลกนะ ดัชนีบวก 13.21 จุด ptt +14 แต่ pttep + 2
ปกติ ptt pttep จะบวกเป็นสัดส่วนใกล้เคียงกัน
ptt ตัวเดียวทำให้ดัชนีบวกขึ้นมา 5.45 และ pttep .91
เจอสองตัวนี้เข้าไป ดัชนีบวก 6.36
จริงๆน่าจะเอา กลุ่ม ptt ไปเทรดต่างหากนะ หุ้นนี่ก็ชอบขึ้นๆลงๆ ตาม ptt และกลุ่ม
แบบนี้ใครปั่น ptt ได้ ก็สบายเลย
เมื่อ: 2008-12-09T10:17:01+00:00
tum_H: Jeng เขียน:วันนี้เป็นวันที่แปลกนะ ดัชนีบวก 13.21 จุด ptt +14 แต่ pttep + 2
ปกติ ptt pttep จะบวกเป็นสัดส่วนใกล้เคียงกัน
ptt ตัวเดียวทำให้ดัชนีบวกขึ้นมา 5.45 และ pttep .91
เจอสองตัวนี้เข้าไป ดัชนีบวก 6.36
จริงๆน่าจะเอา กลุ่ม ptt ไปเทรดต่างหากนะ หุ้นนี่ก็ชอบขึ้นๆลงๆ ตาม ptt และกลุ่ม
แบบนี้ใครปั่น ptt ได้ ก็สบายเลย
แหมพี่ Jeng ลองเปรียบเทียบดูจุดต่ำสุดของ เสี่ย ป. กับ พี่เทพดูดิครับ
พี่เทพแกวิ่งขึ้นมารอตั้งนานแล้ว แต่ตัวแม่ยังไม่ไปไหน
ต้องดันแม่บ้างดิ อิอิ
:lol:
เมื่อ: 2008-12-09T11:21:26+00:00
Jeng: tum_H เขียน:
แหมพี่ Jeng ลองเปรียบเทียบดูจุดต่ำสุดของ เสี่ย ป. กับ พี่เทพดูดิครับ
พี่เทพแกวิ่งขึ้นมารอตั้งนานแล้ว แต่ตัวแม่ยังไม่ไปไหน
ต้องดันแม่บ้างดิ อิอิ
:lol:
ใช่ครับ จำได้ว่า low เดิม pttep 75 และ low เดิม ptt นี่ 140
แต่ที่ว่าแปลกคือ เรื่องพื้นฐานนี่ pttep น่าจะกระทบน้อยกว่า ptt นะ
หรือว่า เกียวกับเรื่องอื่นที่ ptt ขึ้นในวันนี้ อิอิ
เมื่อ: 2008-12-09T16:13:57+00:00
noooon010: ขออนุญาติแก้ low เดิม ptt = 134 บาทครับพี่ครับ
เมื่อ: 2008-12-09T17:36:23+00:00
Jeng: noooon010 เขียน:ขออนุญาติแก้ low เดิม ptt = 134 บาทครับพี่ครับ
ขอบคุณครับ พี่ใช้วิธีจำๆเอา อิอิ
เมื่อ: 2008-12-10T00:27:10+00:00
tum_H: Jeng เขียน:ใช่ครับ จำได้ว่า low เดิม pttep 75 และ low เดิม ptt นี่ 140
แต่ที่ว่าแปลกคือ เรื่องพื้นฐานนี่ pttep น่าจะกระทบน้อยกว่า ptt นะ
หรือว่า เกียวกับเรื่องอื่นที่ ptt ขึ้นในวันนี้ อิอิ
แหมพี่ ถ้าจะดัน set หรือ ขาขึ้น ก็ต้องดันตัวนี้ เพราะมีผลต่อดัชนีทั้ง
กลุ่มประมาณ 30%
เรื่องพื้นฐานคงไม่เกี่ยว อาศัยเจ้ดันอย่างเดียว
ต้องดูว่าหาก set ไปถึง 460 ได้ เสี่ย ป จะไปหาไฮเดิมที่ 196 ได้หรือเปล่า
แต่เดือนนี้ผมว่า ดัชนีน่าจะพอมีลุ้น โดย
1.เงินที่แห่เข้ามาซื้อกองทุน LTF RMF ก่อนสิ้นปี
2.ปิดรอบบัญชีสิ้นปี น่าจะมีเจ้ดัน
3.การเมืองที่มีการเปลียนขั้ว
แต่ตอนนี้ก็ขึ้นมาพอสมควร ลงทุนอย่างระมัดระวังกันด้วยนะครับ
เมื่อ: 2008-12-10T11:00:41+00:00
tum_H: ไม่รู้ว่ารอบนี้ จะได้เห็นฝรั่งกลัวตกรถเปล่า
วันนี้ซื้อวันแรก
หรือว่าแค่ซื้อคืนหุ้น
เมื่อ: 2008-12-11T11:59:36+00:00
Jeng: ดูการเมืองดีกว่า สำหรับหุ้นตัวนี้ แต่ไม่คุยเรื่องการเมืองนะ
เมื่อ: 2008-12-13T02:36:45+00:00
Eragon: Jeng เขียน:ดูการเมืองดีกว่า สำหรับหุ้นตัวนี้ แต่ไม่คุยเรื่องการเมืองนะ
:roll: :roll:
ทำยังไงดีล่ะเนี่ย :lol: :lol:
เมื่อ: 2008-12-15T11:28:35+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
toc มีอะ/ไรดีคับ นอกจากรายได้ดีขึ้น สงสัย
hot: มานพ เกิดลาภผล ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 24/12/2546 23/12/2546 50,000 61.00 ซื้อ
มานพ เกิดลาภผล ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 11/12/2546 09/12/2546 50,000 56.00 ซื้อ
อดิเทพ พิศาลบุตร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 19/11/2546 18/11/2546 50,000 46.00 ซื้อ
อดิเทพ พิศาลบุตร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 20/11/2546 19/11/2546 315,000 44.56 ซื้อ
อดิเทพ พิศาลบุตร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 09/12/2546 08/12/2546 50,000 57.00 ซื้อ
อดิเทพ พิศาลบุตร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 12/12/2546 09/12/2546 276,900 56.08 ซื้อ
อดิเทพ พิศาลบุตร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 12/12/2546 11/12/2546 73,100 55.00 ซื้อ
อดิเทพ พิศาลบุตร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 26/12/2546 24/12/2546 100,000 60.00 ซื้อ
อดิเทพ พิศาลบุตร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 02/02/2547 30/01/2547 200,000 61.00 ซื้อ
เมื่อ: 2004-03-18T01:15:26+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ถ้าปรับค่า ft แล้วจะเป็นงัยบ้าง
harry: ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น....
กฟน. กฟภ. ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย จะมียอดขายและกำไรเพิ่มป่าว
กฟผ.ในฐานะผู้ผลิตและขายให้ กฟน. และ กฟภ. ยอดขายและกำไรเพิ่มหรือไม่
egcomp, ratch, banpu และอื่น ที่ขายไฟฟ้าให้ จะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
แล้ว ปตท. หรืออื่นๆ ที่ขายเชื้อเพลิงให้ ได้อะไรบ้าง
ตอบหน่อยครับ เห็นมีแต่จะขึ้นๆท่าเดียว คิดว่าน่าจะมีใครได้ประโยชน์บ้าง นอกจากนักการเมืองจะคอรัปชั่นเข้ากระเป๋าตัวเอง
เมื่อ: 2004-06-16T10:56:32+00:00
ayethebing: ตาม concept แล้ว ค่า ft เป็นสูตรการคิดต้นทุนแปรผันในการผลิตไฟฟ้า และผลักต้นทุนนั้นไปให้ผู้บริโภค ซึ่งเป็นเรื่องปกติของธุรกิจผูกขาดที่มีการควบคุม ซึ่งถ้าเป็นตามหลักการนี้ก็จะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด
ปัญหาคือไอ้เจ้า ft นี่สูตรมันยุ่งแบบสุดยอดครับ ชาวบ้านอย่างผมมิอาจก้าวล่วงไปเข้าใจมันได้ ทีนี้ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ ผมไม่รู้จริงๆครับ
แต่ที่แน่ๆ ไม่น่าจะใช่ ปตท. นะ เพราะราคาก๊าซอิงตามราคาตลาดโลกอยู่
egcomp กับ ratch อาจได้ประโยชน์บ้างมั้ง อันนี้ไม่รู้
ที่ได้กับได้คือ EGAT แน่นอนครับ อันนี้ เสือนอนกินแบบมีหลอดดูดแถมไม่ต้องเคี้ยวตัวจริง
เมื่อ: 2004-06-16T11:52:15+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Insider Trading
CHiNU_Vi: Hello everyone,
Need your ideas and input about Insider Trading. Lets share krub. I think this would be a very important topic for everyone to learn krub.
เมื่อ: 2012-11-02T03:17:06+00:00
PrasertsakK: ผมว่าเกี่ยวกับ Insider Trading เป็นเรื่องเฉพาะตัวครับ เช่น ความสัมพันธ์ของนักลงทุนกับตัวผู้บริหาร หรือ อะไรประมาณนี้ ซึ่งผมเห็นว่านักลงทุนควรจะตระหนักว่ามันมี Insider จริง และควรระมัดระวังกับผู้บริหารที่ให้ข่าวลักษณะนี้ และควรหลีกเลี่ยงกับการลงทุนกับหุ้นแบบนี้ เพราะว่า เราไม่มีทางรู้ว่าจริง ๆ แล้วผู้บริหารคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงให้ข่าวกับเรา (หวังดีจริง ๆ หรือว่าแค่หาผลประโยชน์) ผมว่ายิ่งมีใหม่ ๆ แล้ว การเข้าไปศึกษาธุรกิจ งบการเงิน โอกาสการเติบโตของอุตสหกรรม และเรื่องที่เราไม่รู้อีกตั้งเยอะ น่าจะมีความสำคัญกว่ามาก แล้วถ้าเก่งพอสมควรแล้ว จะนำข้อมูลผู้บริหาร(Insider)มาเป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่หลักใหญ่ เราก็อาจจะหากำไรได้เพิ่มขึ้น แต่ความเห็นส่วนตัว ผมว่าไม่ยุ่งด้วยก็น่าจะดีกว่านะ > <
เมื่อ: 2012-11-02T04:57:49+00:00
กาละมัง: คำว่า insider trading คือ การที่ผู้บริหารซื้อขายหุ้น โดยรู้ข้อมูลสำระสำคัญจากก่อนที่ข้อมูลจะเปิดเผยต่อสาธารณชน หรือนักลงทุนซื้อขายหุ้นโดยล่วงรู้ข้อมูลภายในจากผู้บริหาร ก่อนที่ข้อมูลจะเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งถือว่าเป็นความผิด
ข้อพิพาทที่ง่ายต่อการพิจารณา คือที่เป็นสีขาว คือถูกชัด ๆ กับส่วนที่เป็นสีดำ คือ ผิดชัด ๆ ส่วนที่ยากที่จะบอกว่าผิด คือ สีเทา ๆ ที่เราต้องระวัง คือ สีเทา และไม่ทำสีดำ
เมื่อ: 2012-11-02T06:53:02+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ถ้า TVI ปิดไป ผมคงเครียดยิ่งกว่าหุ้นตกอีก
kit556: มือใหม่ครับ เริ่มศึกษาแนวทาง VI ตั้งแต่ เกือบๆ 2 ปีที่แล้ว ความรู้ทุกอย่างเริ่มจากที่นี่หมดเลยครับ
ทั้งตำราการลงทุน ความรู้เบื้องต้น แนวทางประสบการณ์จากผู้รู้
ถ้าที่นี่ปิดไป ผมคงแทบจะเลิกลงทุนไปเลยครับ เพราะขณะนี้ผมยังอยู่ในช่วงหัดคลานอยู่ ถ้าแหล่งความรู้หลักหายไป ก็ไม่รู้จะไปเริ่มต้นศึกษาต่อที่ไหนได้
ในบรรดา webboard เท่าที่ผมผ่านมาในชีวิต ที่นี่นับเป็นที่ๆดีที่สุดเลยครับ ผมเสียดายทั้งแหล่งความรู้ที่อาจจะหายไป และสังคมของ webboard นี้ซึ่งหาได้ยากมากในโลก Internet
เป็นกำลังใจให้พี่ๆทุกท่านในช่วงวิกฤติของสังคมเล็กๆ(แต่มากด้วยน้ำใจ) แห่งนี้ให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากไปได้ครับ
หวังว่า สังคม TVI ที่อบอุ่นจะยังอยู่ต่อไปครับ
เมื่อ: 2007-03-19T12:40:20+00:00
ลูกอิสาน: ไม่หายหรอกครับ ยืนยัน นอนยัน
tvi เป็นสังคมของกลุ่มคนที่มีแนวทางการลงทุนคล้ายๆกัน ได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผมคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้คงไม่หายไปไหนพร้อมๆกัน ที่จริงมีแต่จะเพิ่ม :lol: ส่วนหัวโขนหรือชื่อเวปหรือแหล่งชุมนุม อาจจะเปลี่ยนได้ แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้แน่ครับ
เมื่อ: 2007-03-19T17:44:11+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
หุ้นผีสิง
นายสต็อก: ช่วงก่อนวันศุกร์สุดสัปดาห์
หาเรื่องเจ็บๆคันๆกับหุ้น IPO ตัวหนึ่ง ชื่อสองพยางค์เท่ห์ๆ ผมตั้งใจจะ
ร่วมฉลองต้อนรับหุ้นน้องใหม่เข้าตลาด เก็บของประดับพอร์ตจุ๋มจิ๋ม
๕๐๐๐ หุ้น (ซื้อโดยไม่สนใจราคานอกตลาด)
ซื้อปุ๊บ...พอตรวจดูราคาอยู่ ณ ดอยอินทนนท์ พอดีเป๊ะ!
ครั้นพอถือไว้สองวันเงินร่วงจากกระเป๋า ๑๐,๐๐๐ บาท (ใจหายวูบๆ!)
เพิ่งเคยเห็นหุ้นผีสิง ราคาแกว่งคล้ายชิงช้าสวรรค์ โชคดีรีบตัดใจปล่อย
ผีไปได้ก่อนดัชนีตลาดเกิดอาการล่อนถลาลม ถือซะว่าทำบุญกรวดน้ำไป
ราวหมื่นเดียวคงไม่ตาย ไม่อย่างนั้น เงินร่วงเพิ่มอีกสองเท่า
(ไอ้หย๋า! ต้องรอผีสิงในหุ้นออกไปก่อนค่อยดูอาการอีกที)
อาทิตย์ที่ผ่านมา...
สำหรับเพื่อนนักลงทุนคงได้ประสบการณ์ขาลงกันบ้างเล็กน้อย
พอหอมปากหอมคอ ถ้าผมมีฆ้อนวิเศษในมือคงอยากทุบลงอีกสัก
๕๐ จุด!(ฮาๆๆๆ...):roll:
เมื่อ: 2003-10-07T14:36:36+00:00
Jeng: ตัวไหนล่ะ แอบบอกหน่อยซิ
อยากรู้ครับ
เมื่อ: 2003-10-08T08:17:28+00:00
Jaturont: หุ้น โบว์ จอยซ์เหรอครับ
เมื่อ: 2003-10-08T08:47:14+00:00
genie: หรือว่าเป็นหุ้น มาเก๋ ครับ
เมื่อ: 2003-10-08T13:18:00+00:00
นายสต็อก: หุ้นเข้าตลาดช่วงนี้มีไม่กี่ตัว คงเดาไม่ยากหรอกครับ ถ้าลงทุนช่วงนี้ก็
ขอให้แฮปปี้ต้อนรับงาน APEC ครับ.... 8)
เมื่อ: 2003-10-08T13:38:23+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ชาว TVI มีความเห็นอย่างไรบ้างกับรายการหุ้นช่อง 9
Golden Stock: ปกติผมก็ไม่ค่อยได้ดูสักเท่าไหร่ จะวิจารณ์ก็คงไม่เต็มที่นัก
แต่ที่ผมเห็น มีการแนะนำหุ้นทั้งช่วงเช้า และบ่าย เป็นการแนะนำที่เปลี่ยนตัวไปได้ทุกวัน ดูแล้วไม่น่าจะเป็นการให้ความรู้แก่นักลงทุนสักเท่าไหร่ แต่คล้ายการเชียร์ซื้อขายหุ้นซะมากกว่า และออกลักษณะคล้ายกับใบหุ้น ตามความเห็นผม มีรายการอย่างนี้สู้ไม่มีเลยซะยังจะดีกว่าครับ
เมื่อ: 2004-09-02T12:14:56+00:00
นักดูดาว: ผมไม่คาดหวังให้สื่อมวลชนอย่าง เป็นแหล่งความรู้ที่เข้มข้นเท่าไหร่นัก
รายการแค่นี้ ให้ความรู้แค่นี้ก็ดีแล้ว
หากไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่รู้อะไรเลยนะครับ
เมื่อ: 2004-09-02T12:31:42+00:00
jes4253: ค่อนข้างจะเน้นการวิเคราะห์ ทางเทคนิคเสียมากกว่า
และจะแนะนำตัวที่อยู่ในกลุ่มของนักเก็งกำไร มากกว่าแนว VI
สังเกตได้จากเหตุผลในการแนะนำซื้อและมักจะแนะนำซื้อเป็นกลุ่มๆ
มากกว่าดูปัจจัยพื้นฐานรายตัว
ก็อย่างว่านะ โบรกเกอร์มาแนะนำเอง เค้าคงอยากให้เราซื้อขายเยอะๆ
แต่บางรายการก็ให้ความรู้ได้ดี
ชาว vi ควรจะรับทราบบ้างเผื่อมีบางส่วนที่เกี่ยวข้องและอาจหาโอกาส
ทำกำไรได้ (ซึ่งก็แล้วแต่ระดับ ความเป็นนักอนุรักษ์นิยมในการลงทุนในแนว VI ของแต่ละคนด้วย)
เมื่อ: 2004-09-02T12:48:10+00:00
harry: ตั้งแต่ดูมา ไม่มีช่องไหนเป็นแนว VI เลย
ที่ผมชอบก็ ช่อง 7 ในยูบีซีครับ set in the city จะมีช่วง set visit คุยกับผู้บริหารบริษัทต่างๆ ครับ
นอกนั้น มีแต่ถามว่า ติดตัวนั้นตัวนี้อยู่ครับ ทำยังงัย และก็แนะนำตามเทคนิคครับ
เมื่อ: 2004-09-02T13:27:37+00:00
chatchai: มีรายการหนึ่ง ก่อนตลาดเปิด แต่ไม่แน่ใจเรื่องเวลาครับ คุณบัญชาเป็นผู้ดำเนินรายการ เป็นรายการที่ดีครับ เป็นการวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจโดยรวมครับ
ส่วนรายการอื่นๆ โดยเฉพาะนักเขียนในกรุงเทพธุรกิจ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่เชิญนักวิเคราะห์มาพูดแนวรับแนวต้าน ให้รายย่อยโทรมาสอบถามเรื่องติดหุ้น
ผมเข้าใจว่าการดำเนินรายการการลงทุนแนว VI คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อ และคงไม่ตื่นเต้น และคงไม่ต้องจัดทุกวันที่ตลาดเปิด
สุดท้ายผมว่า ถ้ามีรายการที่เน้นปริมาณ แต่ไม่เน้นคุณภาพ ผมว่าเปลี่ยนเป็นรายการอื่นๆดีกว่าครับ
เมื่อ: 2004-09-03T03:31:54+00:00
WEB: ผมดูรายการที่เชิญผู้บริหารของบริษัทพร้อมนักวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นๆมาพูดในรายการด้วยกัน ผมรู้สึกว่า นักวิเคราะห์เกือบทุกคนจะแนะนำให้ซื้อหุ้นของบริษัทนั้นๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผู้บริหารของบริษัทนั้นๆนั่งอยู่ด้วยหรือเปล่า ผมว่าคนที่ไม่มีข้อมูลและหลักการลงทุนแถมยังเชื่อคนง่ายไม่ควรดูครับ อันตรายมากจนน่าติดเรท แต่คนที่สามารถคิดวิเคราะห์อย่างเป็นอิสระได้ ก็จะได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัทและได้เห็นการพูดการจาและแนวคิดของผู้บริหารครับ บางบริษัทผมฟังผู้บริหารพูดแล้ว เลิกมองหุ้นตัวนั้นไปเลยครับ
เมื่อ: 2004-09-03T05:27:26+00:00
WEB: รายการที่จัดโดยดร. ก็เชิญนักวิเคราะห์มาตอบคำถาม ส่วนใหญ่ก็เป็นแนวรับแนวต้านครับ stock tips ก็ให้แนวรับแนวต้าน ปรับกลยุทธ์การลงทุนแทบทุกวัน แต่จะว่าไปแล้วมันมี demand มันถึงมี supply สังคมเรานิยมคำตอบสำเร็จรูป ดูอย่างงานมหกรรมนักวิเคราะห์ที่ตลาดจัดเมื่อต้นปีคนงี้แน่นไปหมด นักลงทุนใหม่ๆที่ไปงานและลงทุนตามคำแนะนำในงานป่านนี้ติดหุ้นหมดแล้วครับ นักลงทุนต้องตระหนักครับว่า หากรักจะลงทุนเอง หลักการลงทุนที่สมเหตุสมผลเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อ: 2004-09-03T05:47:45+00:00
Tongue: " อยากถามอาจารย์ค่ะ เกี่ยวกับ ตัว abcd ตอนนี้ติดอยู่ที่ 123 บาท ควรทำไงดีคะ "
" เอ่อ efgh ต้นทุนที่ 456 ถือได้ไหมคะ "
รู้สึก สะท้อนครับ แต่อย่างว่า ตลาดหุ้นบ้านเรา ก็ต้องอย่างนี้แหละครับ
คิดดู
ตลาดเล็ก อายุยังน้อย ความรู้ ความเข้าใจของคนต่อตลาดทุนยังไม่ค่อยดี
70 % ของนักลงทุนเป็นรายย่อย ถึง ราย "ละเอียด"
ใจมีเยอะ ตังค์พอมี วิชามีน้อยหน่อย
เล่น มาร์จิ้น ได้ ให้วาง 10 % บ่นกันอุบ เมื่อก่อนมี net settlement อีก
70-90% ของรายได้ Broker มาจาก ค่าคอม
ค่าคอม 0.25 % แถมเคยอยากจะให้เปิดเสรีอีก
ผมเป็น Broker ก้อต้อง เชียร์ แหลกละครับ
แต่ผมชอบนะที่เห็น ตลท มีโครงการให้ความรู้เกี่ยวกับการเงินให้กับคนรุ่นใหม่ๆ
เมื่อ: 2004-09-06T08:00:21+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เป็นสมาชิก แต่เข้าห้องร้อยคนร้อยหุ้นไม่ได้ครับ มันเด้งไปห้อง
SuLupin: รบกวนช่วยตรวจสอบให้ด้วยครับ
เมื่อ: 2012-10-03T12:12:47+00:00
SuLupin: เอ ทำไมสถานะไม่ขึ้นอ่ะครับ
เมื่อ: 2012-10-03T12:13:32+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Home depot (HD) อยู่รอดได้อย่างไรในสงครามค้าปลีก
ktoa: Home depot (HD) อยู่รอดได้อย่างไรในสงครามค้าปลีก
กระแสการแข่งขันทางด้านอีคอมเมิร์ซที่มี Amazon เป็นผู้นำมีความรุนแรงมาก มีผลทำให้ธุรกิจค้าปลีกตัองปิดกิจการไปแล้วหลายรายเช่น Best Buy และ Kmart หรือแม้กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ก็ยังโดนผลกระทบเพราะ Amazon มีกลยุทธ์ในการเข้าถึงลูกค้าที่สะดวกกว่าและราคาถูกกว่า การสั่งสินค้าทุกวันนี้ผู้บริโภคไม่ต้องเดินทางไปที่ร้านค้าเพียงแค่สั่งของออนไลน์ทาง Amazon สามารถส่งของได้ภายในวันเดียวกันโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตามในสมรภูมิรบย่อมมีทหารที่รอดกลับออกมาได้ หนึ่งในธุรกิจที่ยังคงอยู่ได้ก็คือ HD ซึ่งทำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน สิ่งที่น่าสนใจคือทำไม HD ยังสามารถยืนหยัดสู้กับ Amazon ได้อย่างแข็งแกร่งและกำไรยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มาทำความรู้จัก HD และกลยุทธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้กัน
ประวัติ:
HD ก่อตั้งเมื่อปี 1978 ในมลรัฐจอร์เจียประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มทำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ซ่อมและตกแต่งบ้าน เช่นเครื่องตัดหญ้า สี หลอดไฟ และอื่นๆอีกมากมาย ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงเหมือนกับโฮมโปรแต่รายได้มากกว่าถึง 40 เท่า
จำนวนสาขาทั้งหมด 2,274 สาขา(ข้อมูลจากปี 2016) รายได้ 88 พันล้านดอลล่าร์ (ข้อมูลจากปี 2016)
กลยุทธ์การต่อสู้:
สาเหตุหลักๆที่ HD อยู่รอดได้ก็คือพฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงต้องไปซื้อสินค้าที่สาขาของ HD เป็นหลัก ต้องไปดูสินค้าด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจซื้อเพราะสินค้ามีรายละเอียดและส่วนประกอบหลายชิ้นและบางชิ้นเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ไม่เหมาะกับการซื้อทาง Amazon เช่น เราคงไม่อยากซื้อชุดต่อท่อน้ำกับทาง Amazon ยังคงต้องไปที่ร้านเพื่อถามข้อมูลสินค้าจากผู้ขายดีกว่าเพราะไม่แน่ใจในขนาดของสินค้า
ไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านมาที่ Best Buy (ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) เคยเจอปัญหามาก่อนหน้านี้ที่ผู้บริโภคเดินทางไปที่ร้านเพื่อชมสินค้าและสอบถามข้อมูลแต่กลับไปซื้อที่ Amazon เพราะมีราคาที่ถูกกว่า
อย่างไรก็ตามคงต้องให้เครดิตกับผู้บริหาร HD ที่มีกลยุทธ์พัฒนาสินค้าและการบริการที่แตกต่างจากคู่แข่งและยังคงรักษาศักยภาพในการแข่งขันได้อย่างดีดังนี้
- ใช้กลยุทธ์ Omni-Channel ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าออนไลน์แล้วมารับของที่สาขาของ HD ที่มีจำนวนมากสะดวกกว่า
- จับมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจในการพัฒนาสินค้าและบริการที่แตกต่าง เช่นรถตัดหญ้าที่ใช้แบตเตอรี่ Lithium-Ion ใช้งานง่ายแค่ชาร์จแบตเตอรี่ 30 นาทีก็สามารถตัดหญ้าได้อย่างสะดวกโดยไม่มีสายไฟและไม่มีกลิ่นเหมือนใช้น้ำมัน
- ให้บริการโฮมโซลูชั่นแบบครบวงจรทั้งการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าและซ่อมอุปกรณ์ต่างๆในบ้านหรือติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ การให้บริการนี้มาเป็นทางเลือกกับ Do it yourself (DIY)
งบการเงิน:
แม้ว่ายอดขายจะเติบโตเพียงแค่ 2.59% (CAGR) จากปี 2008 มาปี 2017 แต่กำไรสุทธิสามารถโตได้มากถึง 7.46%
กำไรก่อนภาษีและดอกเบี้ย (EBIT) เติบโตจาก 9.4% ในปี 2008 มาที่ 14.2% ในปี 2017 ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มจาก 5.68% ในปี 2008 มาที่ 8.63% ในปี 2017
ในแง่ของกระแสเงินสดที่กิจการสามารถทำได้เติบโตจาก 2,100 ล้านดอลล่าร์ในปี 2008 มาที่ 8,900 ล้านดอลล่าร์ในปี 2017
โดยสรุปถ้าวิเคราะห์จากงบการเงินแล้วจะเห็นว่าบริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิได้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง แต่ด้วยกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างย่อมทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องและอยู่รอดได้ #Homedepot #Amazon #การแข่งขันในตลาดค้าปลีก
CR: เพจ Billionaire VI
เมื่อ: 2017-10-24T13:01:51+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
รบกวน VI รุ่นใหญ่ให้ความเห็นเรื่อง Growth
thana99: ผมรบกวน VI รุ่นใหญ่ให้ความเห็นเรื่อง Growth แก่ VI รุ่นหลังหน่อย
นักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจหุ้นพื้นฐานหลายๆคน เริ่มพิจารณาการลงทุนจากค่า PE ,PB
ซึ่งหุ้นหลายๆตัวกลายเป็นกับดับนักลงทุน (ตามที่ ท่านดร.นิเวศน์เคยเขียนบทความไว้) เช่น ATC หรือหุ้นกลุ่มเดินเรือ
เพราะอะไร..
ในขณะที่ Vi รุ่นใหญ่ในนี้ นอกจากพิจารณาจาก PE ,PB แล้ว หุ้นที่จะลงทุนจะต้องมี Growth ด้วย
แล้วนักลงทุนหน้าใหม่จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทไหนจะมี Growth ที่สูงขึ้นบ้าง
ทำไมคุณวิบูลย์ยังลงทุนกับ Pttep คุณมนตรี ยังลงทุนกับ Mcs คุณฉัตรชัย ยังลงทุนกับ WG คุณนริศยังลงทุนกับ Ilink และหลายท่านที่กล่าวถึงไม่หมด
เพราะบริษัทเหล่านั้นยังมี Growth อยู่ใช่่หรือไม่
นักลงทุนหน้าใหม่ จะหาบริษัที่มี Growth จากไหน?
เมื่อ: 2006-05-14T15:53:42+00:00
JL: ตอบแบบง่าย ... ใช้หลักเหตุและผล
ตอบแบบง่ายน้อยกว่า ... ต้องศึกษาธุรกิจนั้นๆ ว่าหาเงินได้อย่างไร แนวโน้มจะหาเงินได้เพิ่มหรือไม่
เมื่อ: 2006-05-15T15:34:00+00:00
MacroArt: ต้องรู้จักธุรกิจนั้นๆ อย่างดีครับ รู้ว่าใครเป็นลูกค้า รู้ว่าปัจจัยที่จะทำให้ลูกค้าใหม่เพิ่มมีอะไรบ้าง รู้ว่าปัจจัยที่จะทำให้ลูกค้าเก่าซื้อของเพิ่มมีอะไรบ้าง รู้ว่าต้นทุนของธุรกิจมีอะไรบ้าง รู้ว่าแนวโน้มราคาของวัตถุดิบที่ใช้ในธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร
กำไรของธุรกิจมาจากสองปัจจัยคือยอดขายและต้นทุน ต้องลงรายละเอียดในสองปัจจัยนี้แล้วจะช่วยให้ประเมินได้ว่าบริษัทจะมี growth มากน้อยขนาดไหนครับ
เมื่อ: 2006-05-15T17:20:46+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
บริษัทโตแบบไหนดี
hot: 1.บริษัทที่กำไรโต แต่สินทรัพย์ไม่โต
เหมาะสำหรับผู้ถือปัจจุบัน กินก่อนแก่ตาย
2บริษัที่โตที่สินทรัพย์ทุกปี แต่กำไรไม่ดี แถมบางที
กำไรไม่มี เหมาะสำหรับผู้ถือหุ้นซื้อให้ลูกหรือเปล่า
เมื่อ: 2006-12-19T01:38:31+00:00
hot: เลือกข้อ 1 ครับ
เมื่อ: 2006-12-19T01:58:58+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ตอนนนี้ pl น่าสนใจหรือเปล่าครับ
yongyoot: เห็นว่าปันผลดี ราคาต่ำ แต่ความสามารถในการทำกำไรเริ่มไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าในอนาคตพี่ ๆ เห็นว่าเป็นไงบ้างครับ วอลุ่มซื้อขายก็ต่ำมากเหมือนกัน
เมื่อ: 2005-08-23T01:09:00+00:00
Dr.T: ผมลาขาดมันไปแล้ว เหมือนหลาย ๆ ท่านในนี้แหละครับ
เมื่อ: 2005-08-23T01:12:40+00:00
yongyoot: มิน่าล่ะ ผมก็งง ๆ ว่าทำไมปันผลมากกว่ากำไรซะอีก
ข้อมูลสถิติ (ณ วันที่ 22/08/2005)
ราคาปิดต่อกำไรสุทธิ 8.22
กำไรต่อหุ้น (บาท) * 0.46
ราคาปิดต่อมูลค่าตามบัญชี * 1.32
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ล้านบาท) 906.00
ผลตอบแทนเงินปันผล 7.73%
เงินปันผลต่อหุ้น (บาท) 3.50
ราคาพาร์ (บาท) 1.00
จำนวนหุ้นจดทะเบียน 300,000,000
* ประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30/06/2005 (Period of 9 months ,Ending Date 30/06/2005)
เมื่อ: 2005-08-23T01:37:47+00:00
สามัญชน: กำไรมาจากสองส่วนหลักๆ พอๆกัน
1. จากการดำเนินงานปกติ คงโตได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวา
2. จากการขายซากรถ น่าจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากราคารถในอนาคตอาจจะไม่เพิ่มมาก จากสาเหตุเรื่องภาษี
FTA ที่ทำกับญี่ปุ่นเรื่องภาษีรถยนต์ได้มีการปรับลดภาษีลงเรื่อยๆไปอีก 5-6 ปี จึงจะอยู่ตัว ดังนั้นซากรถน่าจะขายได้ราคาลดลงเรื่อยๆ กำไรจากส่วนนี้ไม่ใช่เงินน้อยๆเลย
แต่อีกสิบปีตัวนี้จะน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวนะ ผมว่า
เมื่อ: 2005-08-23T03:39:54+00:00
yoyosun: แต่ผมว่าราคานี้ี่น่าสนนะครับ ปันผลที่เอามาเป็นก่อนแตกพาร์ครับ ปีนี้น่าจะได้ 0.2 บาทครับคิดหุ้นเพิ่มทุนแล้ว ราคาพาร์ใหม่ ประมาณ 6.6 %
เป็นตัวที่มีรายได้ในการให้เช่ารถค่อนข้างแน่นอนครับ
เมื่อ: 2005-08-23T07:09:08+00:00
yongyoot: สามัญชน เขียน:
แต่อีกสิบปีตัวนี้จะน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวนะ ผมว่า
เหตุใดตัวนี้ต้องรอถึงสิบปีถึงน่าสนใจครับ
เมื่อ: 2005-08-23T09:31:05+00:00
yongyoot: ข้อมูลสถิติ (ณ วันที่ 22/08/2005)
ราคาปิดต่อกำไรสุทธิ 8.22
กำไรต่อหุ้น (บาท) * 0.46
ราคาปิดต่อมูลค่าตามบัญชี * 1.32
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ล้านบาท) 906.00
ผลตอบแทนเงินปันผล 7.73%
เงินปันผลต่อหุ้น (บาท) 3.50
ราคาพาร์ (บาท) 1.00
จำนวนหุ้นจดทะเบียน 300,000,000
* ประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30/06/2005 (Period of 9 months ,Ending Date 30/06/2005)
จากข้อมูลข้างต้นถ้าคิดว่าราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 บาท เราประมาณกำไรต่อหุ้นของปีนี้อยู่ที่ 0.6 บาท
ปันผลครึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิ ปีนี้น่าจะได้ปันผลซักสิบเปอร์เซ็นต์ เพื่อน ๆ เห็นด้วยไม๊ครับ
เมื่อ: 2005-08-23T11:04:57+00:00
สามัญชน: ปันผลครึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิ ปีนี้น่าจะได้ปันผลซักสิบเปอร์เซ็นต์ เพื่อน ๆ เห็นด้วยไม๊ครับ
ไม่เห็นด้วยครับ
เห็นด้วยกับอันนี้
ปีนี้น่าจะได้ 0.2 บาทครับคิดหุ้นเพิ่มทุนแล้ว ราคาพาร์ใหม่ ประมาณ 6.6 %
อีกสัก 2-3 อาทิตย์จะมีหุ้นเพิ่มอีก 150 ล้านหุ้น
เมื่อ: 2005-08-23T14:05:15+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ราคาเป้าหมาย ...
MarginofSafety: นาย A : ช่วยแนะนำหุ้นที่น่าสนใจให้ซักตัวสิ
นาย B : เราว่าหุ้น ... ก็ดีนะ มีการเติบโตอย่างมั่นคง
หนี้ก็ไม่มาก ปันผลเพิ่มทุกปี และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ต่อเนื่อง
เนื่องจาก ... ราคาปัจจุบันก็ยังไม่แพง PE ก็ต่ำ เราว่าถือลงทุนได้
นาย A : อืม... น่าสนใจ แล้วนายให้ราคาเป้าหมายที่เท่าไหร่ล่ะ
นาย B : คิดในใจ (สงสัยแนวคิดในการลงทุนไม่เหมือนกัน คงยากที่จะสื่อสารกันให้เข้าใจ)
และแล้วนาย A ก็กลับไปซื้อขายเก็งกำไรรายวันเช่นเดิม ...
ถ้าราคาเป้าหมาย หมายถึง ปลายปีหุ้นตัวนี้จะซื้อขายที่ราคาเท่าไหร่
หรือควรขายที่ราคาเท่าไหร่
นาย B คงตอบไม่ได้... แต่ถ้าถามว่ามูลค่ากิจการที่ควรจะเป็น
โดยคำนวณออกมาเป็นราคาหุ้น ควรจะเป็นเท่าไหร่ แบบนี้พอตอบได้
แต่ราคาปลายปีจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตลาดเป็นตัวกำหนดราคา
นาย B รู้แต่ว่าในระยะยาวแล้วราคาของหุ้นที่ตัวเองแนะนำ
จะต้องปรับสูงขึ้นตามผลประกอบการที่ดี
ผมคิดว่า ...
ถ้า Peter Lynch มีราคาเป้าหมาย คงไม่มีโอกาสได้กำไร 10 เด้ง
ถ้า Buffett มีราคาเป้าหมาย คงไม่ได้เป็นนักลงทุนชื่อก้องโลก
ถ้า ดร.นิเวศน์มีราคาเป้าหมาย คงไม่ได้ 26 เท่าใน 10 ปี
เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรกับคำว่า "ราคาเป้าหมาย"
และถ้าให้เพื่อนๆเป็น นาย B จะตอบนาย A ว่าอย่างไร
ลองมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ
เมื่อ: 2007-02-10T09:05:55+00:00
เฟยหง: มีครับ... เช่น ถ้าคุณตัวนั้นไปยืนที่ p/e 15 เท่า....
ถ้ากำไรหุ้นวิ่งไปเรื่อยๆ p/e ไม่แตะ 15 เท่า ก็หมายถึง ถือไปเรื่อยๆ ได้ครับ
เมื่อ: 2007-02-10T09:11:14+00:00
misterjai: เข็ดกะราคาเป้าหมายแล้วครับ :oops: มีอยู่ครั้งนึงเพื่อน VI ที่มหาลัยด้วยกันบอกว่า มีคนบอกมาว่าหุ้นตัวนึงตอนนั้นราคา 13.5 บาท พรุ่งนี้จะราคาเป้าหมาย 15 บาท วันรุ่งขึ้นรอแล้วรอเล่าไม่เกินสองช่อง เลยตัดใจปล่อยกำไรนิดหน่อย ( ถ้าไม่ปล่อยวันนั้นวันนี้ยังไม่เห็นราคาทุนเลย Y_Y )
ปล. พี่ชิงชัยสบายดีป่าวครับ...ว่างๆๆก็แวะมาเยี่ยมน้องๆที่มหาลัยบ้างนะครับพี่ :D
เมื่อ: 2007-02-10T16:20:34+00:00
MarginofSafety: สบายดีครับผม
เรียกซะเต็มยศเลย รุ่นน้อง NIDA เหรอครับ ... :D
เมื่อ: 2007-02-10T16:55:31+00:00
misterjai: [quote="HVI"]สบายดีครับผม
เรียกซะเต็มยศเลย รุ่นน้อง NIDA เหรอครับ ...
เมื่อ: 2007-02-10T17:02:02+00:00
Accidental Hero: HVI เขียน:ผมคิดว่า ...
ถ้า Peter Lynch มีราคาเป้าหมาย คงไม่มีโอกาสได้กำไร 10 เด้ง
ถ้า Buffett มีราคาเป้าหมาย คงไม่ได้เป็นนักลงทุนชื่อก้องโลก
ถ้า ดร.นิเวศน์มีราคาเป้าหมาย คงไม่ได้ 26 เท่าใน 10 ปี
ผมว่า ทั้ง Peter Lynch Buffett และ ดร.นิเวศน์ ล้วนมีราคาเป้าหมายครับ
แต่เป็นเป้าหมายที่สัมพัทธ์กับผลประกอบการ ไม่ใช้ตัวเลขคงที่
สำหรับผม คิดไว้ว่า จะเกาะผลประกอบการ ถ้าดีและคุ้ม ก็คงถือต่อไปเรื่อยๆครับ
ส่วนจะทำได้ตามที่คิดหรือไม่ ...
เมื่อ: 2007-02-10T17:02:47+00:00
kthee4: สำหรับ VI ราคาเป้าหมาย ก็คือราคาหุ้น คำนวณตามมูลค่ากิจการ ราคานี้ปรับเปลี่ยนได้ ตามผลการดำเนินงาน หรือปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
เมื่อ: 2007-02-11T01:43:52+00:00
chatchai: จริงหรือครับที่ราคาหุ้นในระยะยาวจะสะท้อนผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัท
ผมชักไม่เชื่อแล้วซิ
เมื่อ: 2007-02-11T03:37:13+00:00
MarginofSafety: chatchai เขียน:จริงหรือครับที่ราคาหุ้นในระยะยาวจะสะท้อนผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัท
ผมชักไม่เชื่อแล้วซิ
แล้วมันควรจะเป็นอย่างไรครับ
เมื่อ: 2007-02-11T06:35:34+00:00
Frodo: chatchai เขียน:จริงหรือครับที่ราคาหุ้นในระยะยาวจะสะท้อนผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัท
ผมชักไม่เชื่อแล้วซิ
พี่ Chatchai ช่วยแถลงไขหน่อยนะครับ มือใหม่ใจเสีย
เพราะถ้าเราไม่เชื่อเช่นนี้แล้ว เราจะพยายามหามูลค่าหุ้นไปทำไมครับ
ก็เล่นแบบเดาๆ แบบเก่าดีกว่า
เมื่อ: 2007-02-11T13:23:54+00:00
chatchai: อะไรจะมารับประกันได้ว่า ราคาหุ้นจะสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในระยะยาวครับ
และที่ว่าระยะยาว จะยาวแค่ไหน 1 ปี 5 ปี 10 ปี 20 ปี
จะเป็นไปได้ไหมว่า ราคาหุ้นก็จะถูกไปตลอด ไม่เคยขึ้นไปสอดคล้องกับพื้นฐานเลย
การที่ Buffett ถือหุ้น Coke มายาวนานและไม่ขาย แสดงว่าราคาหุ้น Coke ยังไม่เคยถึงราคาพื้นฐานใช่หรือไม่
แล้วถ้าราคาหุ้นที่เราลงทุนไม่เคยขึ้นสอดคล้องกับพื้นฐานบริษัทเลย เราจะยอมรับได้ไหม ทำใจได้ไหม
เมื่อ: 2007-02-11T14:18:50+00:00
Jeng: ราคาหุ้นไม่ขึ้นตามพื้นฐาน
1. เจ้าของนิสัยขี้โกง คนก็เลยไม่กล้าถือหุ้นยาวๆ มีแต่เก็งกำไรผลประกอบการ เป็นพักๆ แล้วก็ทิ้งหุ้นอยู่ดี
2. เหลือเงินมาก ไม่ได้ใช้เงินให้เป็นประโยชน์ เช่น ขยายงาน หรือ ปันผลออกมา เท่ากับไม่ได้มีนโยบายตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างจริงจัง การเก็บเงินไว้มากๆ เป็นการประกัน ผลงานของผู้บริหาร เพราะ บริหารผิดพลาดอย่างไร ก็ไม่เจ๊งหรอก เงินเหลือบาน
เรื่องอื่นนึกไม่ออก
ส่วนถ้าบริษัท มีการบริหารงานอย่างโปร่งใส กำไรเพิ่ม ก็มีปันผลเพิ่ม หรือไม่ปันผลเพิ่ม ก็เอาเงินไปขยายงานเพิ่ม
เมื่อยอดขายโตต่อเนื่อง กำไรโตต่อเนื่อง ผมมองไม่เห็นเหตุผลว่า หุ้นจะไม่ขึ้น ตามพื้นฐานครับ
เมื่อ: 2007-02-11T14:32:06+00:00
misterjai: Jeng เขียน:ราคาหุ้นไม่ขึ้นตามพื้นฐาน
1. เจ้าของนิสัยขี้โกง คนก็เลยไม่กล้าถือหุ้นยาวๆ มีแต่เก็งกำไรผลประกอบการ เป็นพักๆ แล้วก็ทิ้งหุ้นอยู่ดี
2. เหลือเงินมาก ไม่ได้ใช้เงินให้เป็นประโยชน์ เช่น ขยายงาน หรือ ปันผลออกมา เท่ากับไม่ได้มีนโยบายตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างจริงจัง การเก็บเงินไว้มากๆ เป็นการประกัน ผลงานของผู้บริหาร เพราะ บริหารผิดพลาดอย่างไร ก็ไม่เจ๊งหรอก เงินเหลือบาน
เห็นด้วยกับพี่เจ๋งอย่างยิ่งเลยครับ ทำให้ผมนึกถึงอยู่สองสามตัวเลยครับ ราคาไม่ค่อยไปไหนร้อยวันพันปีก็ไม่ค่อยไปไหน เพราะผู้บริหารเล่นจะขายใส่อยู่เรื่อย อีกรายผลประกอบการก็ดี เงินสดก็บานไม่เคยจ่ายปันผลสักที trade กันที่ peสองกว่าๆๆ เหอะๆๆ :D
เมื่อ: 2007-02-11T14:36:30+00:00
Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมดอีกรายผลประกอบการก็ดี เงินสดก็บานไม่เคยจ่ายปันผลสักที trade กันที่ peสองกว่าๆๆ เหอะๆๆ
จริงเป่า ห้ามบอกใครนะ สัญญา
สัญญา ว่าจะบอกพี่คนเดียว :D :D
เมื่อ: 2007-02-11T14:37:37+00:00
Little Boy: ขอแอบฟังด้วยสิครับ
เมื่อ: 2007-02-11T14:41:26+00:00
Jeng: ไม่ได้ ๆ สงวน ลิขสิทธิ์ :roll: :roll: :roll:
เมื่อ: 2007-02-11T14:43:24+00:00
Little Boy: สงสัยต้องนั่งกรรมฐานไปอ่านจิตพี่เจ๋ง (รู้สึกโดนด้านมืดครอบงำไงไม่รู้แฮะ)
เมื่อ: 2007-02-11T14:47:32+00:00
Jeng: 555 ล้อเล่น เจ้าตัวเค๊ายังไม่ได้ตอบอะไรนี่ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน อิอิ
เมื่อ: 2007-02-11T15:00:23+00:00
nanchan: ฟังดูเหมือนคุณฉัตรชัย ชักเบื่อ wg แล้วซินะ
เออ แล้วทำไมราคามันไม่วิ่งไปตามที่มันควรจะเป็นซักที หรือราคาตอนนี้มันเหมาะสมดีอยู่แล้ว แต่เราประเมินค่ามันผิด
ถ้ามันมีราคาเป้าหมายให้นักลงทุน นั่นหมายถึงพวกโบรกเข้ามาเชียร์กันเยอะๆ
ก็อาจจะทำให้ราคาหุ้นไปถึงที่พอใจเร็วขึ้นรึเปล่า ก็ไม่แน่อาจจะมีคนมาทุบเอาของก็ได้
พูดถึงมูลค่าที่ควรเป็นหรือราคาเป้าหมาย เราก็นึกว่า ราคาหุ้นมันควรเป็นเท่านั้นเท่านี้ แต่เราก็คำนวณกันในเป้าหมายต่อปี ซึ่งอีก3ปี5ปี จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ได้
พอ3ปีผ่านไป ผลประกอบการของหุ้นตัวนั้นทำได้ดีดังเป้าหมาย ก็เอะใจอีกว่า
3ปีหลังจากนี้ไป มันจะได้เหมือนเดิมหรือไม่ เออ ... แล้ว ราคาที่ควรจะถึงเป้าหมาย ที่แท้จริงซํกที มันก็ไม่ถึงซักที พอมันมีแววจะถึงเข้ามา พวกที่ลงทุนมานาน ก็ชักจะเริ่มเบื่อกับมันซะเหลือเกิน จึงตัดสินใจทิ้งออกมา เปลี่ยนตัว เพราะมีความหวังใหม่ จึงทำให้หุ้นหล่นลงมา ต่ำกว่ามูลค่าอีก
เฮ้อ แล้วเมื่อไรจะถึงเป้าหมายหรือมูลค่าที่แท้จริงซักทีหละนี่
หรือเพราะเป้าหมายหรือมูลค่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เมื่อ: 2007-02-11T16:06:07+00:00
misterjai: Eto Demerzel เขียน:หุ้น p/e 2 กว่าๆ เงินสดบานนี่ กำลังโด่งดังอยู่ในห้องร้อยคนร้อยหุ้นนี่ครับ
กะอีกอันทำฝาอ่ะครับ เห็นมะม้าบอกว่ารู้จักบริษัทนี้มาตั้งแต่สมัยมะม้าทำงาน บอกเขี้ยวโคตรเลยอ่ะ :x
เมื่อ: 2007-02-11T16:45:10+00:00
misterjai: ปล. ผมไม่ได้มีหุ้นนะ ตรวจสอบได้นะครับ หุหุ :shock: :shock:
เมื่อ: 2007-02-11T16:47:51+00:00
chatchai: ไม่ใช่ว่าราคาไม่ขึ้นนะพี่เจ๋ง
ง่ายๆ อย่างเช่นบริษัท A ซื้อขายกันที่ P/E 5 เท่า ในปีที่ 1
ปีต่อมา กำไรโต 15% ราคาหุ้นก็ขึ้นไป 15% ก็ยังคงซื้อขายกันที่ P/E 5 เท่า ซึ่งก็ยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานของบริษัทอยู่ดี
และจะเป็นไปได้ไหมว่า หุ้นของบริษัทนี้จะซื้อขายกันที่ P/E 5 เท่าไปตลอด
-------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ได้เบื่อ WG หรอกครับ
จริงๆแล้ว ถ้าราคาหุ้น WG วิ่งเกินพื้นฐานจริงๆ ผมก็คงคิดหนักเพราะไม่รู้ว่าถ้าขายไปแล้วผมจะนำเงินไปทำอะไร
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อ: 2007-02-12T03:59:19+00:00
สวนหย่อม: [quote="chatchai"]ไม่ใช่ว่าราคาไม่ขึ้นนะพี่เจ๋ง
ง่ายๆ
เมื่อ: 2008-06-06T18:46:08+00:00
<< New >>: Little Boy เขียน:ขอแอบฟังด้วยสิครับ
Jeng เขียน:ไม่ได้ ๆ สงวน ลิขสิทธิ์ :roll: :roll: :roll:
Little Boy เขียน:สงสัยต้องนั่งกรรมฐานไปอ่านจิตพี่เจ๋ง (รู้สึกโดนด้านมืดครอบงำไงไม่รู้แฮะ)
พี่ Boy ลองอ่านดีๆ P'Jeng เค้าบอกว่าไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ ...
อิอิ :lol:
เมื่อ: 2008-06-07T12:33:45+00:00
dikdik: ผมเดาว่าสาเหตุที่ BUFFET ไม่ขายหุ้น coke ก็คงเหมือนที่พี่ฉัตรชัย ไม่ขาย WG คือยังไม่เจอบริษัทไหนที่จะมีความคุ้มค่าในการลงทุนเท่า การจะขายหุ้นเพื่อถือเงินสดไว้คงไม่ไช่นโยบายของทั้ง BUFFET และ พี่ฉัตรชัย ใช่ไหมครับ
ผมเดาเอานะ
ผมเองก็พยายามจะลงทุนในสไตล์นี้ให้ได้เหมือนกัน แต่มักตบะแตกบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว ผลงานก็ดีขึ้นด้วย
ลงทุนได้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีแล้ว อย่าลืมคำนึงถึงสุขภาพกาย และ สุขภาพใจ ทั้งของตัวเองและครอบครัวด้วยนะครับ
เมื่อ: 2008-06-08T08:03:51+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
v2 vs v9 ผมว่าน่าติดตาม
hot: เปรียบเหมือนหุ้นที่ฟื้นตัว
เมื่อ: 2005-09-04T08:11:18+00:00
Mr. Big: ชอบ อะเซราเฮ เมื่อวานมาก แต่ v2 เมื่อวาน ดอกไม้ยังไม่บานนะครับ
เมื่อ: 2005-09-04T10:33:19+00:00
CK: เมื่อวาน V12 ผลประกอบการโดดเด่นสุด
เมื่อ: 2005-09-04T10:41:54+00:00
adi: [quote="CK"]เมื่อวาน V12
เมื่อ: 2005-09-05T05:04:30+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
พายุทองคำโลกแรงกว่าที่ผมคิดเยอะแฮะ
hot:
เมื่อ: 2005-08-04T15:30:31+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
คิดเอง เออเองอ่ะ เชื่อป่าว
harry: จากที่วันนี้ได้ลองคำนวนมูลค่าหุ้นอยู่สักสองสามตัว ก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้ก็ยังมีของแพงอยู่เหมือนกัน แต่ของถูกก็มีนะ ลองหาดู
ผมเห็นราคาแล้ว และดูแนวโน้มหลังจากสังเกตมาหลายวัน เชื่อว่าแม้จะมีแรงดีดกลับ แต่ก็มาจากหุ้นที่เป็นที่นิยม หรือหุ้นที่ฝรั่งเข้าออก แต่หุ้นตัวเล็กๆก็ยังเงียบเหงา ไอ้ตัวเล็กๆนี่แหละ มีของดีอยู่ตรึม บางตัวถูก บางตัวพอได้ บางตัวแพง
และจากแนวโน้มผมเชื่อว่า จะลงต่อไปอีก แต่ไม่รู้ว่าดัชนีจะไปอยู่ที่เท่าไหร่นะ ผมเชื่อว่ามันจะลงอีกแน่ แต่อาจแค่ 500 ปลายๆ
กลยุทธ์ตอนนี้คือเตรียมเงินสดให้พร้อม มองหาหุ้นดีๆรอไว้ ประเมินราคาไว้ว่าจะเข้าที่เท่าไหร่ แล้วก็รอๆๆๆ อาจเห็นในปีนี้ ซึ่งผมกำลังทำอยู่ เพราะแม้หุ้นที่ถืออยู่ มันลงล่อใจ(ก็มันประกาศกำไรดีกว่าเดิมนี่) แต่ก็จะอดใจถือเงินไว้ เพราะว่าถ้ามันลงอีก ก็จะเข้าตูมใหญ่เลย(ตูมใหญ่ของผมอาจเป็นเงินเล็กน้อยของคนอื่น เพราะพอร์ตผมเล็กนิดเดียวเอง)
ถ้าไม่มีเรื่องเลือกตั้งมาดันราคาซะก่อน
ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีผลกับเมืองไทยมากมั้ย ผมก็ตอบตามประสาชาวบ้าน คนทั่วไปที่พอมีการศึกษาว่า ไทยเรายังค้าขายกับสหรัฐฯเป็นจำนวนเงินมากอยู่ ขอรับเงินอุดหนุนเค้าก็เยอะอยู่ ดังนั้นก็มีอิทธิพลแน่ แต่จะมากน้อย ต้องรอดูว่าปู่กรีนสแปน กับ i ha บุช จะมีนโยบายอย่างไรในการควบคุมไม่ให้รุนแรง
แล้วก็เรื่องความไม่สงบภาคใต้ กับฆ่าตัวประกันในอิรัก อาจเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจได้ แต่ก็ไม่มาก ถ้าไม่ลุกลามใหญ่โต (ถ้าประเด็นนี้เกิดขึ้น แล้วไม่เกี่ยวกับการทำมาหากินของหุ้นกลุ่มไหน แล้วราคามันลง จะดีมากๆๆเลย :lol: :lol: )
เมื่อ: 2004-07-29T22:00:53+00:00
CK: เป็นกลยุทธที่ดีครับ การบริหารเงินสดคือหัวใจของการลงทุน ผมว่า
เมื่อ: 2004-07-30T01:27:37+00:00
CK: เชื่อ
เมื่อ: 2004-07-30T06:42:46+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
*** แล้วมันก็จะผ่านไป ****
แงซาย: ปฎิวัติ ...................
พฤษภาทมิฬ ...................
เครื่องบินชนตึก ..............
อุ๋ยร้อยจุด .............
ซับไพร์ม .............
แล้วมันก็จะผ่านไป ....................
เมื่อ: 2010-04-16T16:13:40+00:00
soraroz: ผมมือใหม่ครับ ต้องทำตัวให้ใจแข็งมากๆ ที่จะมั่นใจในบริษัทที่เราลงทุน >.<
วันนี้แอบมีหวั่นไหววูบนึงด้วย แต่ก็ดึงตัวเองกลับมาทัน ยังอยู่ครบคร้าบ :D :D
เมื่อ: 2010-04-16T16:15:38+00:00
san: การปรับ พอร์ต มีความสำคัญครับ
แต่ว่าการปรับ ต้องถูกต้องในเรื่องขอเวลาครับ
ความเสี่ยงจากการ คาดเดา อยู่ที่ตรงนี้ครับ
ใครชอบความเสี่ยง.....
ก็จะมีรางวัลของคนช่างฝันครับ
ฝันดี หรือว่า ฝันร้ายว่ากันไปครับ
ถ้าคิดว่าเลือกมาดีแล้ว
จริงนะครับที่ว่า....เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
เมื่อ: 2010-04-16T16:45:22+00:00
หมีขาว: ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2010-04-16T17:05:18+00:00
crazyrisk: แงซาย เขียน:ปฎิวัติ ...................
พฤษภาทมิฬ ...................
เครื่องบินชนตึก ..............
อุ๋ยร้อยจุด .............
ซับไพร์ม .............
แล้วมันก็จะผ่านไป ....................
งั้นให้เครดิตเวปนี้หน่อยนะครับ
http://www.stock2morrow.com/forums/show ... php?t=5202
แล้วสุขภาพพอร์ตพี่แงซาย
ยังสบายดีอยู่ไหมคับ :8)
ช่วงนี้เป็นอย่างไรไม่รู้
ใจสั่นตลอด ยิ่งเห็นตอนใกล้ปิดตลาดเมื่อวาน
แล้วหันมาย้อนดูการเมือง.... สงสัยต้องไปเช็คหัวใจ
ซะแล้วววว คับ
เมื่อ: 2010-04-17T01:50:43+00:00
แงซาย: [quote="crazyrisk"]
แล้วสุขภาพพอร์ตพี่แงซาย
เมื่อ: 2010-04-17T03:04:51+00:00
keeti: crazyrisk เขียน:
งั้นให้เครดิตเวปนี้หน่อยนะครับ
http://www.stock2morrow.com/forums/show ... php?t=5202
แล้วสุขภาพพอร์ตพี่แงซาย
เมื่อ: 2010-04-17T03:13:01+00:00
naijan: ใช่ๆ
แล้วมันก็ต้องผ่านไป
แต่กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละเหตุการณ์ทำร้ายทำลายนักลงทุนไปไม่ใช่น้อยนะครับ
คราวนี้สถานการณ์คล้ายๆกับพฤษภาทมิฬนะครับ แต่พฤษภา บาดเจ็บล้มตายแล้วจบเร็ว เลยเด้งแรง แต่หลังจากเด้งได้พักหนึ่งก็ซึมยาวเหมือนกัน
แต่ครั้งนี้คาดว่าอาจจะไม่จบง่ายๆแบบพฤษภาทมิฬ หากลากยาวมีโอกาสกระทบพื้นฐานเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและในที่สุดก็จะกระทบพื้นฐานเศรษฐกิจตามมาเหมือนกัน แต่ที่พอใจชื้นหน่อยก็ตรงที่ต่างประเทศเริ่มฟื้น ดังนั้นส่งออกอาจเข้ามาเป็นพระเอกช่วยไม่ให้โดยรวมตกต่ำไปมาก ยิ่งหากเงินบาทอ่อนละก็ พอไปได้ครับ
กำลังรอฟัง อจ.ดร.นิเวศน์ ออกมาให้ความเห็นอยู่ เป็นที่พึ่งทางใจและทางปัญญาของพวกเราได้เสมอ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2010-04-17T09:49:54+00:00
apisit_da: แงซาย เขียน:ปฎิวัติ ...................
พฤษภาทมิฬ ...................
เครื่องบินชนตึก ..............
อุ๋ยร้อยจุด .............
ซับไพร์ม .............
แล้วมันก็จะผ่านไป ....................
ขอบคุณครับ คุณแงซาย .... จาก พรานใหญ่ รพินทร์ ไพรวัลย์ :lol:
เมื่อ: 2010-04-17T14:22:32+00:00
แงซาย: เอ้อ เดือดร้อนคนล้างปอดเจงเจง .............................
เมื่อ: 2010-04-20T15:18:13+00:00
soraroz: รู้สึกว่าจะัผ่านไปแล้ว กำลังจะกลับมาใหม่ อิอิ
ขอให้ทุกคนโชคดีค้าบ
เมื่อ: 2010-04-20T15:30:16+00:00
ซากคน: มันเพิ่งผ่านพ้นไป
ตอนนี้หลายคนอยากเอานำผึ่งไปวางตามจุดต่างๆ เรียกพี่หมีมา
อีกไม่นานพี่หมีจะพากันมาไล่กระทิงหนีป่าราบไปเลย...
ทดสอบพอร์ตกันยาวๆกว่านี้หน่อย เหล่า VI ไม่เป็นไรอยู่แล้ว
เมื่อ: 2010-04-20T15:40:25+00:00
คนคอน: ค่ดชอบ รูปของพี่ soraroz เลย อะ ฮ่าๆ
เมื่อ: 2010-04-20T22:13:18+00:00
O_CHAY: มันจะไม่กลับมา อีก ชิมิ.... :lol:
เมื่อ: 2010-04-21T01:31:18+00:00
densin: แต่เงินบางคนอาจจะผ่านไป แล้วไม่กลับมา :roll:
เมื่อ: 2010-04-21T01:47:05+00:00
raiden: O_CHAY เขียน:มันจะไม่กลับมา อีก ชิมิ.... :lol:
ทำไมถึงมั่นใจกันขนานน้านนน
เมื่อ: 2010-04-21T03:06:07+00:00
โอบาน่า: ขอเปลี่ยนครับ
"แล้วมันก็จะมาอีก" ^_^
เมื่อ: 2010-04-21T07:28:32+00:00
naijan: อื่มมมม
มันกำลังจะผ่านไปอีกหนึ่งเหตุการณ์แล้ว
ขอให้ประเทศสงบสุข ประเทศไทยจงเจริญ
:D :D :D :D :D :D :D :D :D
เมื่อ: 2010-05-04T01:10:27+00:00
MYBIZ: วิ่งกันซะกรุแตกเลย จะซื้อก็ไม่ทัน
ยังไม่ได้เอาเงินเข้าบัญชี อดเลย
เมื่อ: 2010-05-04T03:46:43+00:00
ส.สลึง: MYBIZ เขียน:วิ่งกันซะกรุแตกเลย จะซื้อก็ไม่ทัน
ยังไม่ได้เอาเงินเข้าบัญชี อดเลย
ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่ละทิ้งอัตตา
และกิเลสตัณหาของตัวเองลง
วิกฤติจะกลับมาได้เสมอครับ
ปล.
แล้วมันจะผ่านไป = แล้วมันก็จะกลับมา ...
เมื่อ: 2010-05-04T03:51:36+00:00
hagrid: จบไปซะได้ก็ดีครับ
หุ้นขึ้นลง ผมเฉยๆ
กลัวมีคนตายเพิ่มมากกว่า
ยิ่งถ้าประชาชน 2 กลุ่มปะทะกัน
ยิ่งไม่อยากคิดเลย
ขอให้เป็นบทเรียนอย่าให้เกิดขึ้นอีกเลยครับ
เมื่อ: 2010-05-04T04:10:35+00:00
Rocker: แล้วมันก็ผ่านไป เป็น ประโยค classic มาก
ของ ท่าน ดร. นิเวศน์
แล้วคนก็จะลืม
เมื่อ: 2010-05-04T04:23:09+00:00
คนคอน: [quote="naijan"]อื่มมมม
มันกำลังจะผ่านไปอีกหนึ่งเหตุการณ์แล้ว
ขอให้ประเทศสงบสุข ประเทศไทยจงเจริญ
เมื่อ: 2010-05-04T04:34:48+00:00
marble: ส.สลึง เขียน:
ผ่านแล้วผ่านเลยได้ปะ แบบไม่ต้องกลับมาแว้ว คนเขาจะได้ทำมาหากินอะ :lol:
เมื่อ: 2010-05-04T04:47:00+00:00
DeepTVI: marble เขียน:
เห็นด้วยครับ
คนเขาจะได้ทำมาหากิน
เมื่อ: 2010-05-04T05:01:29+00:00
ส.สลึง: marble เขียน:
ผ่านแล้วผ่านเลยได้ปะ แบบไม่ต้องกลับมาแว้ว คนเขาจะได้ทำมาหากินอะ :lol:
ก็อยากให้เป็นอย่างนั้นแหละครับพี่ marble
แต่จากประสบการณ์ของผม
ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่อัตตาเยอะครับ
โดยเฉพาะคนเป็นนายคน ...
เมื่อ: 2010-05-04T05:05:00+00:00
marble: มีทางลงก็ลง ๆ เถอะครับ
เวลาไปทำงานจะได้ไม่ต้องเสียวววว
ยิ่งตอนเย็นเลิกงานมันต้องระวังระเบิดเนี่ย มันเสียว บอกไม่ถูก :lol:
เมื่อ: 2010-05-04T05:21:20+00:00
กุหลาบงามหลังฝน: ลองคิดดูเล่นๆนะครับ ตั้งแต่เสื้อเหลือง แล้วมาปฏิวัติ แล้วต่อด้วยเสื้อแดง ประเทศของเราเสียเวลาไปแล้วกี่ปี
เมื่อ: 2010-05-04T13:00:53+00:00
chowbe76: กุหลาบงามหลังฝน เขียน:ลองคิดดูเล่นๆนะครับ ตั้งแต่เสื้อเหลือง แล้วมาปฏิวัติ แล้วต่อด้วยเสื้อแดง ประเทศของเราเสียเวลาไปแล้วกี่ปี
นับจากสิงหา48ตอนนี้ก็เกือบๆ5ปีละ
เมื่อ: 2010-05-04T13:18:48+00:00
moonchild: chowbe76 เขียน:
นับจากสิงหา48ตอนนี้ก็เกือบๆ5ปีละ
5 ปีแล้วหรือเนี่ย เฮ้อๆๆ
เมื่อ: 2010-05-04T15:16:59+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เห็นหลายคนเครียดกันว่าปันผลยังไม่ได้รับเลยเอามาให้ดูครับ
harry: 19 พ.ค. TMB เปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษ จาก "Thai Military Bank Public Co.,Ltd."
เป็น "TMB Bank Public Company Limited"
CP7-11 เปลี่ยนแปลงราคาพาร์ จาก 5.00 เป็น 1.00 บาท
SIAM เปลี่ยนแปลงราคาพาร์ จาก 10.00 เป็น 1.00 บาท (ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้น)
LH ลูกหุ้นเข้า 23,523,000 หุ้น
SMIT XD หุ้นละ 0.10 บาท
AH จ่ายปันผล หุ้นละ 0.76 บาท
CHARAN จ่ายปันผล หุ้นละ 3.00 บาท
DE จ่ายปันผล 10 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ (เศษของหุ้นจ่ายเงินสด 0.10 บาท)
DE จ่ายปันผล หุ้นละ 0.061111 บาท
MARIN จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
POST จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
PPM จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
RCI จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
SAWANG จ่ายปันผล หุ้นละ 1.30 บาท
SIM จ่ายปันผล หุ้นละ 0.55 บาท
SPSU จ่ายปันผล หุ้นละ 0.45 บาท
TCI จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
TKS จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
US จ่ายปันผล หุ้นละ 0.40 บาท
20 พ.ค. VARO ลูกหุ้นเข้า 11,880,000 หุ้น
AIT จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
AP จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
APSP จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
ASIAN จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
BAFS จ่ายปันผล หุ้นละ 0.10 บาท
BAFS จ่ายปันผล 4 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ (เศษของหุ้นจ่ายเงินสด 0.25 บาท)
BLS จ่ายปันผล หุ้นละ 0.11 บาท
CWT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.80 บาท
DCC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.45 บาท
HFT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.30 บาท
ITD จ่ายปันผล หุ้นละ 0.07 บาท
JCT จ่ายปันผล หุ้นละ 2.00 บาท
KGI จ่ายปันผล หุ้นละ 0.10 บาท
KTB จ่ายปันผล หุ้นละ 0.47 บาท
KTB-P จ่ายปันผล หุ้นละ 0.6245 บาท
LOXLEY จ่ายปันผล หุ้นละ 0.05 บาท
LST จ่ายปันผล หุ้นละ 0.025 บาท
MATI จ่ายปันผล หุ้นละ 3.00 บาท
MFEC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
MINT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.12 บาท
MINOR จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
NNCL จ่ายปันผล หุ้นละ 0.60 บาท
NOBLE จ่ายปันผล หุ้นละ 0.19 บาท
NVL จ่ายปันผล หุ้นละ 0.05 บาท
OISHI จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
PG จ่ายปันผล หุ้นละ 0.10 บาท
S&J จ่ายปันผล หุ้นละ 0.60 บาท
TF จ่ายปันผล หุ้นละ 5.05 บาท
TK จ่ายปันผล หุ้นละ 0.38 บาท
TNL จ่ายปันผล หุ้นละ 0.90 บาท
TOP จ่ายปันผล หุ้นละ 1.80 บาท
TOPP จ่ายปันผล หุ้นละ 2.65 บาท
TPA จ่ายปันผล หุ้นละ 2.50 บาท
TPCORP จ่ายปันผล หุ้นละ 0.80 บาท
TRU จ่ายปันผล หุ้นละ 0.60 บาท
UPOIC จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
YNP จ่ายปันผล หุ้นละ 0.11 บาท
24 พ.ค. BKI XD หุ้นละ 2.75 บาท
CPF XD หุ้นละ 0.12 บาท
NCH XR 10:1 @ 1.00
BNC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.25 บาท
BTNC จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
EIC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
GMMM จ่ายปันผล หุ้นละ 0.40 บาท
ICC จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
LNH จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
NMG จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
OCC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.45 บาท
OGC จ่ายปันผล หุ้นละ 4.23 บาท
P-FCB จ่ายปันผล หุ้นละ 0.70 บาท
Q-CON จ่ายปันผล หุ้นละ 0.25 บาท
SAFE จ่ายปันผล หุ้นละ 2.00 บาท
SORKON จ่ายปันผล หุ้นละ 1.25 บาท
SPC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.35 บาท
THIP จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
TISCO จ่ายปันผล หุ้นละ 1.30 บาท
TISCO-P จ่ายปันผล หุ้นละ 2.30 บาท
WACOAL จ่ายปันผล หุ้นละ 1.10 บาท
25 พ.ค. SE-ED XD หุ้นละ 0.10 บาท
TTA XD หุ้นละ 2.00 บาท
AREEYA จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
BAT-3K จ่ายปันผล หุ้นละ 3.00 บาท
BEC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
CPN จ่ายปันผล หุ้นละ 0.25 บาท
CHOTI จ่ายปันผล หุ้นละ 7.80 บาท
CHUO จ่ายปันผล หุ้นละ 0.40 บาท
F&D จ่ายปันผล หุ้นละ 0.35 บาท
FE จ่ายปันผล หุ้นละ 5.00 บาท
FNS จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
GRAMMY จ่ายปันผล หุ้นละ 0.65 บาท
GYT จ่ายปันผล หุ้นละ 15.00 บาท
KDH จ่ายปันผล หุ้นละ 1.50 บาท
KKC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.80 บาท
MLINK จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
MODERN จ่ายปันผล หุ้นละ 1.50 บาท
NTV จ่ายปันผล หุ้นละ 4.40 บาท
PB จ่ายปันผล หุ้นละ 2.25 บาท
PDI จ่ายปันผล หุ้นละ 0.40 บาท
PR จ่ายปันผล หุ้นละ 3.16 บาท
ROJANA จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
SE-ED จ่ายปันผล หุ้นละ 0.028 บาท
SMM จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
SSEC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.12 บาท
SSF จ่ายปันผล หุ้นละ 0.19 บาท
UMI จ่ายปันผล หุ้นละ 0.12 บาท
26 พ.ค. ALUCON จ่ายปันผล หุ้นละ 1.55 บาท (หักภาษี ณ ที่จ่ายคงเหลือ=0.90 บาท)
ALUCON จ่ายปันผล 2 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม (เศษของหุ้นจ่ายเงินสด 5.00 บาท)
BH จ่ายปันผล หุ้นละ 0.40 บาท
CENTEL จ่ายปันผล หุ้นละ 1.25 บาท
CFRESH จ่ายปันผล หุ้นละ 0.26 บาท
CIG จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
CPR จ่ายปันผล หุ้นละ 0.12 บาท
DISTAR จ่ายปันผล หุ้นละ 0.19 บาท
HANA จ่ายปันผล หุ้นละ 1.10 บาท
KCE จ่ายปันผล หุ้นละ 0.10 บาท
NBANK จ่ายปันผล หุ้นละ 0.25 บาท
NKI จ่ายปันผล หุ้นละ 2.00 บาท
NKI จ่ายปันผล 10 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ (เศษของหุ้นจ่ายเงินสด 1.00 บาท)
SOLAR จ่ายปันผล หุ้นละ 0.11 บาท
TAF จ่ายปันผล หุ้นละ 4.00 บาท
TC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
TCOAT จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
TTTM จ่ายปันผล หุ้นละ 1.50 บาท
WG จ่ายปันผล หุ้นละ 2.00 บาท
27 พ.ค. AJ จ่ายปันผล หุ้นละ 0.25 บาท
AMATA จ่ายปันผล หุ้นละ 0.30 บาท
APRINT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
ASIMAR จ่ายปันผล หุ้นละ 0.057 บาท
BIGC จ่ายปันผล หุ้นละ 1.14 บาท
CM จ่ายปันผล 2 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่
CM จ่ายปันผล หุ้นละ 2.50 บาท
CPL จ่ายปันผล 10 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ (เศษของหุ้นจ่ายเงินสด 1.00 บาท)
CPL จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท (หักภาษี ณ ที่จ่ายคงเหลือ=0.80 บาท)
DRACO จ่ายปันผล หุ้นละ 1.00 บาท
GLOW จ่ายปันผล หุ้นละ 0.70 บาท
INET จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
LVT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
MK จ่ายปันผล หุ้นละ 0.18 บาท
NCH จ่ายปันผล หุ้นละ 0.09 บาท
NFS จ่ายปันผล หุ้นละ 0.40 บาท
NFS-P จ่ายปันผล หุ้นละ 0.40 บาท
OHTL จ่ายปันผล หุ้นละ 14.00 บาท
RAIMON จ่ายปันผล หุ้นละ 0.047 บาท
RAM จ่ายปันผล หุ้นละ 5.50 บาท
RCL จ่ายปันผล หุ้นละ 1.55 บาท
RHC จ่ายปันผล หุ้นละ 1.50 บาท
RK จ่ายปันผล 25 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่
RK จ่ายปันผล 0.12 บาท : 25 หุ้น (เศษของหุ้นจ่ายเงินสด 0.04 บาท)
S2Y จ่ายปันผล หุ้นละ 0.30 บาท
SIRI จ่ายปันผล หุ้นละ 0.16 บาท
SITHAI จ่ายปันผล หุ้นละ 0.50 บาท
SPG จ่ายปันผล หุ้นละ 2.30 บาท
STA จ่ายปันผล หุ้นละ 1.50 บาท
STEC จ่ายปันผล หุ้นละ 0.06 บาท
SUSCO จ่ายปันผล หุ้นละ 0.025 บาท
TONHUA จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
TTI จ่ายปันผล หุ้นละ 2.25 บาท
VIBHA จ่ายปันผล หุ้นละ 0.05 บาท
VNT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.35 บาท
28 พ.ค. APRINT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.15 บาท
KTECH จ่ายปันผล หุ้นละ 0.10 บาท
SCCC จ่ายปันผล หุ้นละ 7.00 บาท
UVAN จ่ายปันผล หุ้นละ 1.70 บาท
30 พ.ค. BKKCP จ่ายปันผล หน่วยลงทุนละ 0.135 บาท
SMIT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.10 บาท
TMBCAP จ่ายปันผล หน่วยลงทุนละ 0.092 บาท
31 พ.ค. LVT จ่ายปันผล หุ้นละ 0.20 บาท
มิถุนายน 2548
9 มิ.ย. BKI จ่ายปันผล หุ้นละ 2.75 บาท
10 มิ.ย. CPF จ่ายปันผล หุ้นละ 0.12 บาท
SE-ED จ่ายปันผล หุ้นละ 0.10 บาท
TTA จ่ายปันผล หุ้นละ 2.00 บาท
20 มิ.ย. AEONTS จ่ายปันผล หุ้นละ 0.54 บาท
เมื่อ: 2005-05-19T07:23:03+00:00
CK:
เอามาจากไหนอ่ะ ดีจัง
เมื่อ: 2005-05-19T07:56:53+00:00
harry: เอามาจากที่ทำงานครับ
เมื่อ: 2005-05-19T09:00:35+00:00
miracle: สงสัยจะทำงานในตึกSETหรือเปล่าเนี่ย
เมื่อ: 2005-05-19T12:27:13+00:00
RR: ขอบคุณครับ คุณharry
เมื่อ: 2005-05-19T14:15:56+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ผมว่าเกมนี้เหมาะกับชาวVI ต้องมองให้รอบด้านและรอบคอบ
ForrestGump: www.godtower.com
ฝีมือคนไทย ใช้เชาวปัญญาหาทางผ่านด่าน
เหมือนการลงทุน ที่ต้อง อ่านระหว่างบรรทัด จากข้อมูลที่มีอยู่ให้ออก ว่าเค้าแฝงอะไรไว้ให้ มีเครื่องมือไหนที่จะช่วยเพิ่มปัญญา แก้ปัญหาหรือเปล่า
ลองดูนะครับเพื่อนๆ
ใครผ่านหมดแล้ว ก็อย่าบอกกันนะครับ
เมื่อ: 2005-07-30T09:59:33+00:00
JoJotaro: ผมยังติดที่ Level 11 อยู่เลย
เมื่อ: 2005-07-30T10:29:56+00:00
MO101: เหมือนเกม deadball นั่นแหละครับ
ถ้าจะเล่นต้องตั้งใจเล่นให้จบ แล้วคุณจะได้ของรางวัลครับ
พอได้แล้วไม่อยากเล่นเกมพวกนี้อีกเลย
เมื่อ: 2005-07-30T10:34:52+00:00
Tao Investor: คุณ mo101 ครับ เกม deadball เป็นยังไง ครับ
มีลิงค์ ให้ลองเล่น หรือเปล่าครับ
ปล. เกม godtower โหด ครับ
ไม่หมู ครับ
คุณโจทาโร่ เก่ง จังครับ ผมแค่ ด่านแรกยังไม่ผ่านเลยครับ
เมื่อ: 2005-07-30T14:02:23+00:00
Accidental Hero: ผมเล่นแล้วทำให้รู้จัก cutloss
อะไรไม่ควรสู้ก็อย่าสู้
ปล.คุณ JoJoTaro
ขอถามหลังไมค์หน่อยครับ
เมื่อ: 2005-07-31T07:46:41+00:00
Jeng: น้อง ฟอเรส พี่เข้าไปแล้ว เขาให้ใส่ password ถึงจะเล่นได้ ทำไงดี
เมื่อ: 2005-07-31T08:05:52+00:00
ForrestGump: ด่านหนึ่งใช่มั้ยครับ?
หุหุ
คำใบ้อยู่ในจอภาพแล้วครับ
ลองคิดดูดีๆ อันนี้เล่นฟรีตลอดรายการ แต่ต้องหาพาสเวิร์ดเพื่อผ่านไป จากการสังเกตุการคิด การใช้เครือ่งมือเช่น google (จริงๆ ใช้ได้หมดทั้ง online offline) หาคำตอบจากคำใบ้อันน้อยนิดนั้น
ผมยังไม่ผ่านด่านสองเลยครับ
พี่เจ๋งสู้ๆ
เมื่อ: 2005-07-31T08:37:57+00:00
CEO: เสี่ยเจ๋งมีเวลาไม่มากพอ คงเล่นเกมส์พวกนี้ไม่ค่อยได้กระมัง
ผมเห็นแล้วยังไม่อยากเล่นเลย
เมื่อ: 2005-07-31T12:46:14+00:00
S&K Fund: เกมส์ที่สี่ยังตีความไม่ออกครับ แต่ก็สนุกดี
เมื่อ: 2005-08-01T03:01:25+00:00
JoJotaro: จริงๆ ลองดูวิธีเล่นครับ จะมีเฉลยให้ตั้งแต่ level 1-3
แล้วคุณ jeng ต้องเริ่มตั้งแต่ด่าน 1 ครับ จึงไม่ต้อง password
เมื่อ: 2005-08-01T08:04:20+00:00
adi: สนุกดีครับ
เมื่อ: 2005-08-01T08:29:39+00:00
Accidental Hero: ผมว่าจะ cut loss ที่ level 5 แล้ว
ได้คุณ JoJotaro มาช่วยไว้
เดี๋ยวจะลองกลับไปสู้อีกสักตั้ง
ถ้าไม่ไหวคงต้อง cut loss อีกที
เมื่อ: 2005-08-01T09:11:33+00:00
CK: ลองแล้วครับ ไม่ค่อยชอบ เสียเวลาทำมาหากินพอควรเลย :lovl:
เล่นจบแล้วไม่ได้ตังค์อีกต่างหาก
ติด level 5 เหมือนกันครับ
เมื่อ: 2005-08-01T09:18:55+00:00
ch_army: ไม่เข้าใจครับ ติดด่าน 7 อะมันคืออะไร งง
เมื่อ: 2005-08-01T13:32:15+00:00
JoJotaro: :lol: ด่าน 7 เหรอครับ ค่อนข้าง tricky นิดหน่อยครับ
คือสัญลักษณ์ที่เห็นน่ะครับ ลองบน keyboard ดูจะเห็นอยู่ 1 ปุ่ม
แล้วกดปุ่มนั้น ตามที่เขาบอกจะเห็นอะไรบางอย่าง
(จริงๆ ถ้ามีความรู้เรื่อง winxp จะรู้ล่ะครับ ใบ้ว่าเกี่ยวกับ Accessibility)
แต่บางเครื่องปิด function นี้ไปก็จะไม่เห็นครับ
ใครผ่านด่าน 11 ช่วยผมด้วยนะครับ ยากเหมือนกัน
เมื่อ: 2005-08-01T14:59:49+00:00
mikan171: ช่วงนี้ท่าทางฮิตนะครับ
น้องที่บริษัทผมก็ติดกันงอมแงมเลยครับ
(ตั้งใจเล่นมากกว่าตอนทำงานอีก ฮ่วย )
ตอนนี้ที่นี่ถึงด่าน27-28แล้วมั้งครับ
เมื่อ: 2005-08-01T15:24:07+00:00
ch_army: ไปๆมาๆ ก็ดูในเวปบอร์ดของเค้าครบัมีคนช่วยใบ้มากมายครับ ตอนนี้ แหงกที่ 30 ครับ
เมื่อ: 2005-08-02T08:52:00+00:00
buglife: ค่อยลองเล่นทีหลังละกันนะครับ ท่าทางจะเสียเวลา
เมื่อ: 2005-08-02T14:07:56+00:00
Ent': ผ่านด่าน 11 แล้วครับ แต่ยังติด 12 อยู่
่้ด่าน 11 นี่ต้องมีความรู้เรื่องหนังโรง นิดหน่อยนะครับ
เมื่อ: 2005-08-02T17:18:07+00:00
JoJotaro: ผมไม่มีความรู้เรื่องหนังโรงเลยล่ะ ช่วยแนะมากกว่านี้หน่อยครับ
เมื่อ: 2005-08-03T03:07:42+00:00
Phaisarn: มันคืออะไรหว่า
เมื่อ: 2005-08-04T09:14:01+00:00
CK: ลองโปรแกรม charmap ครับ คุณ phaisarn
คุณ Ent' บอกว่าข้อ 11 เป็นเรื่องหนังโรง เนื่องจากชอบดูหนัง เมื่อคืน
อุตส่าห์ไปนั่งเล่นจนผ่านด่าน 11 เสียเวลาไป 2 ชม.
เมื่อ: 2005-08-04T09:32:15+00:00
Phaisarn: ขอบคุณครับ คุณ CK เพิ่งเห็นมันมีอธิบายเพิ่มอีกหน้า
เมื่อ: 2005-08-04T09:46:05+00:00
ForrestGump: มีเกมน่าสนใจมาอีกเกมแล้วครับ
http://flash.qbol.net/pl;p/youxi/images/04042203.swf
สนุกดีนะครับ
เมื่อ: 2005-08-08T05:02:44+00:00
ch_army: อืมเอามาถามกันในนี้เลยหือครับ ยังไงก็ดีครับเกมนี้สนุก มาก ผมติดที่ 43 ใครผ่านแล้ว pm มาบอกวิธีแบบใบ้หน่อยนะครับ ที่อ่านในบอร์ดของเค้า ผมไม่ค่อยเข้าใจเลยอะครับ
เมื่อ: 2005-08-08T06:47:23+00:00
White shadoW: ยัง งง ด่านสามอยู่เลย
เมื่อ: 2005-08-08T08:54:21+00:00
MO101: http://deathball.net/notpron/ มี 80 ฉากครับ
เมื่อ: 2005-08-08T09:27:41+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Visit Company SYNEX
sattaya: Visit Company บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน) SYNEX
วันอังคารที่ 13 ต.ค. 2552 เวลา 14.00 - 16.00 น.
สถานที่สำนักงานใหญ่ SYNEX รับได้ 50 ท่าน
ท่านใดสนใจแจ้งลงชื่อจองไว้ครับ
ช่วย PM ชื่อ-สกุล และสถานที่ทำงานให้ผมด้วยเพื่อแจ้งทาง SYNEX ด้วยครับ
ทางเจ้าหน้าที่ SYNEX บอกผมว่าที่จอดรถมีเพียงพอ แต่ท่านใดเอารถไปกรุณาแจ้งเพื่อสำรองที่จอดรถด้วยครับ
1. por_jai
2. miracle
3. sattaya
เมื่อ: 2009-09-22T07:42:44+00:00
por_jai: ช่วยตี๋โพสแผนที่บริษัทครับ
ตี๋เขาอุตส่าห์เป็นธุระติดต่อทางผู้บริหารจนจัดงานได้
ชื่อบริษัทเขา SYNNEX เอ็นสองตัว
แต่ชื่อเทรด SYNEX เอ็นตัวเดียว
เมื่อ: 2009-09-22T08:00:49+00:00
sai: โทษทีครับ เอาใหม่จอง 2 ที่ครับพี่ sattaya pm ไปให้แล้วครับ
เมื่อ: 2009-09-22T08:06:24+00:00
picatos: ไปด้วย 1 ที่ครับ...
เมื่อ: 2009-09-22T08:26:34+00:00
leksmile: จอง 1 ที่
เดี๋ยว pm ไปครับ
จองที่จอดรถด้วยครับ
เมื่อ: 2009-09-22T08:28:00+00:00
dekwat: ขอไปด้วยคนครับ 2ที่ครับ ขับรถไปเอง
pmไปแล้วนะครับ
เมื่อ: 2009-09-22T08:47:50+00:00
sattaya: สำหรับคนที่จองเพื่อไป visit ช่วยลงชื่อในกระทู้ เพื่อจัดลำดับ ก่อน pm หาผมนะครับ
ผมลงชื่อเพิ่มให้พี่ฉัตร jinxyboy ที่ pm หาผมแล้วยังไม่ได้ลงหน้ากระทู้นะครับ
เมื่อ: 2009-09-22T09:46:46+00:00
miracle: ขอบคุณพี่ SATTAYA
ที่เป็นหัวหอกในการจัด Visit Company Synex ครับ
ถ้ามีคำถามอะไร
เดี๋ยวผมขอโพสในกระทู้ก่อนล่ะกัน
เพราะเห็นว่า เวลาในการเยี่ยมชมน้อย
หากฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์มีเวลาน้อยในการตอบคำถามและค้นหาข้อมูล
ต้องโพสถามกันก่อนครับ
เช่น นโยบายในการเลือกสินค้ามาจัดจำหน่าย ซึ่ง
สินค้า IT แต่ละประเภทมีอายุของมันแตกต่างกันเช่น
VGA CARD ผู้ผลิตออกรุ่นใหม่ทุกสามเดือนหรือหกเดือน เป็นการ update รุ่นเดิมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม แบบนี้จัดการอย่างไง
สินค้า IT เป็นการนำเข้ามาเป็นส่วนใหญ่ คือ MAINBOARD ,NOTEBOOK ,PC ,Server ,VGA Card และ อืนๆ การสั่งซื้อเป็นเงินดอลล่าร์ บริษัทมีแผนในการดูแลเรื่องการผันผวนของค่าเงินอย่างไง
ในส่วนตลาด Server นี้ซื้อมาขายไปอย่างเดียว หรือมีหน่วยงานดูแลหลังการขายหรือเปล่า (Post Sale) เช่น ติดต่อซ่อมหากมีปัญหา
อันนี้เป็นต้นครับ
เมื่อ: 2009-09-22T09:56:41+00:00
baby-investor: ขอจอง 2 ที่ครับ pm ไปเรียบร้อยแล้วครับ
เมื่อ: 2009-09-22T10:01:13+00:00
พระราม2: จอง 1 ที่ครับ จองที่จอดรถด้วยครับ
เมื่อ: 2009-09-22T11:37:47+00:00
densin: จอง1ที่ครับ..เผื่อได้ harddiskกลับมาสักตัว
เมื่อ: 2009-09-22T11:50:33+00:00
Mr. Boo: พี่ตี๋ ไปด้วย ๒ ที่ครับ
เมื่อ: 2009-09-22T12:00:30+00:00
Hughes: ไปด้วยครับ
เมื่อ: 2009-09-22T12:06:18+00:00
nam: ขอไปด้วยคนครับ
เมื่อ: 2009-09-22T12:21:16+00:00
SunShine@Night: ขอไปด้วยคนครับ
ขอจอง 3 ที่ครับ
เมื่อ: 2009-09-22T14:09:30+00:00
landrover54: ไปด้วยครับ 2 ที่ครับ
เมื่อ: 2009-09-22T14:13:21+00:00
por_jai: มาช่วยตี๋ทำรายชื่อด้วย
เมื่อ: 2009-09-22T14:15:30+00:00
kok2029: ไปด้วยครับ
เมื่อ: 2009-09-22T14:20:10+00:00
little wing: จอง 2 ที่ ครับ
เมื่อ: 2009-09-22T15:38:28+00:00
โสภณ: สำรอง 1 ที่ครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2009-09-22T16:02:02+00:00
booklover: รบกวนจอง 1 ที่ครับ ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2009-09-22T18:50:48+00:00
terati20: ขอ 1 ที่ด้วยเด้อ
เมื่อ: 2009-09-23T00:00:55+00:00
Dech: ขอจอง 1 ที่ครับ เดี่ยว pm ไปให้ครับ
เมื่อ: 2009-09-23T00:47:10+00:00
icque: จอง 2 ที่ ครับ ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2009-09-23T01:28:05+00:00
sattaya: ขอบคุณพี่ป้อมที่ช่วย update รายชื่อครับ
ถ้ามีคำถามอะไร
เดี๋ยวผมขอโพสในกระทู้ก่อนล่ะกัน
เพราะเห็นว่า เวลาในการเยี่ยมชมน้อย
หากฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์มีเวลาน้อยในการตอบคำถามและค้นหาข้อมูล
ต้องโพสถามกันก่อนครับ
ผมเห็นด้วยกับพี่มิครับ
ถ้าท่านใดมีคำถามโพสไว้ในกระทู้ได้เลยครับ ผมจะรวบรวมส่งให้กับเจ้าหน้าที่ทาง SYNEX ก่อนเราไป visit
มีหลายท่านถามว่าต้องแจ้งที่ทำงานด้วยหรือ ผมขออธิบายเพิ่มเติมเรื่องที่ทำงานครับ
ทางบริษัทเค้าขอสงวนสิทธิ์ที่จะขอรับทราบที่ทำงาน และอาจไม่ให้ท่านที่ทำงานในบางองค์กรที่เห็นว่าเป็นคู่แข่งเข้าร่วม visit ซึ่งตรงนี้ผมเข้าใจว่าคงจะคล้ายๆกันทุกที่ครับ
ท่านใดนำรถไปโพสไว้ในกระทู้เลยครับเพื่อได้นับจำนวนได้ง่าย ส่วนเรื่องที่จอดรถทางบริษัทยืนยันว่ามีมากพอแต่อยากทราบจำนวนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ได้เต็มที่ครับ
เมื่อ: 2009-09-23T02:24:09+00:00
booklover: ลืมแจ้งครับ จะขับรถไปเองครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2009-09-23T02:49:45+00:00
Hughes: ขับรถไปเองด้วยครับ
เมื่อ: 2009-09-23T03:07:34+00:00
miracle: เพิ่มอีกคำถามหนึ่ง
พอดีไปถามคนรู้จัก ในเรื่องการติดต่อซื้อสินค้าแล้วเอ๋ใจนิดหน่อยเลยถามว่า
ด้านการตลาด
บริษัทขายผ่านร้านทั่วไปเท่านั้น ไม่ขายตรงสู่ลูกค้าทั่วไป เช่น Direct Sale หรือ ลูกค้าโครงการ
บริษัทมีช่องจัดจำหน่ายที่เป็นพันธมิตร หรือมีร้านเป็นของตัวเอง หรือไม่ และมีโครงการที่ทำร้านขายในอนาคตหรือไม่
ด้านสังคม
บริษัทมีแผนการดำเนินการในส่วนช่วยเหลือสังคมอย่างไงบ้าง
เช่น มีกิจกรรมที่ทำเป็นประจำทุกปี กิจกรรมที่ทำเป็นครั้งเป็นคราว เช่นอะไรบ้าง
บริษัทได้ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เช่นหน่วยงานของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วนงานเอกชน ในการดำเนินการกิจกรรมเพื่อสังคมหรือไม่ ถ้ามีเช่นอะไรบ้าง
ด้านสินค้าคงคลัง
อันนี้อยากผ่านไปชมได้หรือเปล่า ว่าระบบที่ลงทุนไปในเรื่อง คลังสินค้าอัจฉริยะ (ได้ฟังจากพี่ Sattaya มาอีกที่) ว่าไม่ต้องมีคนไปยิม มีแขนกลไปหยิบของแทนคนได้เลย เป็นจริงหรือเปล่า อันนี้ขอ comment ในเรื่องนี้ว่า เมื่อเปรียบกับคู่แข่งแล้ว คลังสินค้าของเขาเล็กกว่าในเรื่องขนาดและเทคโนโลยีที่ใช้ ทำไมถึงได้ทำแบบอัจฉริยะ
ในเรื่องการพัฒนาระดับมาตราฐาน ISO ต่างๆ
ไม่ทราบว่า บริษัทมีแผนในการดำเนินการให้ได้รับมาตราฐาน ISO ตัวอื่นๆเพิ่มเติมหรือไม่
เอาแค่นี้พอก่อนล่ะกัน
บ้างคำถามอาจจะไม่ Make Sense ในการถาม แต่ก็ขอข้อมูลเพราะ
Visit ทั้งที ไม่ต้องไปนั่งเมื่อยตุ้มซื้อ 100 หุ้นไปเพื่อถาม ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นทำให้เดือดร้อนคนอื่นๆ
เมื่อ: 2009-09-23T03:26:47+00:00
riddick: ขอจอง 1 ที่
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2009-09-23T03:51:14+00:00
กระทิงแดง: ถ้าเป็นไปได้ ขอ 1 ที่ด้วยครับ
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2009-09-23T06:47:45+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
รายชื่อแบ่งกลุ่มอบรม รุ่น 3
Thai VI Seminar: 1. yun_9889 , Zephyr , GFMB, จิ๊บ , Likestock , Thantapat , tenghai111 หุ้น KCAR
2. intuition , pornlert , miracle , sasuke , peaks , Dough , T_0007 หุ้น ERW
3. Mayteekul S. , NAÏVE , Ozboi , marine , mint , Bake2ing , Maqwid หุ้น BEC
4. Karakasung , vi_north , VIIE , RZENON, taabio , Somsakr , Monz หุ้น QCON
5. Taishan , kosins , doikham , CCM , Mr. Boo , VISENG , Pharmlaw VI หุ้น MODERN
6. kritec , RUNGCHA , odyssee , walyun , ขาจร , minkie , BlacKBooD หุ้น MAJOR
7. tatteerapong , NEWYORKER, pui_gp , PK-TYW, preedee17 , pakhakorn , Manuswan
หุ้น PRANDA
8. JAME’S , big_Kung , Perfect_Shot , adisak179thaivi , Kit556 , Sarochb, Ratchawan
หุ้น AEONTS
9. mserenade , Kanjana66 , hong_thanawat , Suanpalm , Right View , Bassarch , Enlightened VI หุ้น APRINT
10.หมูแดง , VI_mania , bonloonkub , kenny G , sangseng , time , happymom หุ้น BCH
11. Flyyma , APC , Por VI , Yuiopp59% , TJM , valuehunter , Ohayoo หุ้น CSL
12. amesg87 , Auporz , chewyVI , KAMI , Polo , Sukit20, Cheevitmai หุ้น CPALL
เมื่อ: 2013-04-11T15:19:02+00:00
Thai VI Seminar: ขอให้แต่ละกลุ่มอ่าน 56-1,รายงานประจำปี,และดู opportunity day (ถ้ามี) ก่อนมาอบรมด้วย
ให้ผู้เรียนอ่าน e-book เรื่อง เทคนิคการวิเคราะห์งบการเงินบริษัทจดทะเบียน :
http://www.bualuang.co.th/le/help/kw/ebook004.pdf
และให้อ่านบทสรุปย่อของหนังสือ ยุทธวิธีการแข่งขัน (Competitive Strategy)
ของ อาจารย์ Michael E. Porter ด้วยครับ :
https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j ... 7431,d.bmk
รวมถึงอ่านหนังสือตีแตก, อ่านงบการเงินให้เป็น และวัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเองก่อนวันเข้าอบรม
เมื่อ: 2013-04-11T15:30:34+00:00
Thai VI Seminar: หุ้นแต่ละตัวที่คัดเลือกมา ไม่ได้คัดเลือกตามความน่าสนใจในการลงทุนแต่อย่างใด
แต่คัดมาโดยเห็นว่า เป็นหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจไม่ซับซ้อน หาข้อมูลไม่ยาก
และเป็นธุรกิจที่นักลงทุนพอสัมผัสได้ ซึ่งเหมาะกับการนำมาศึกษาของนักลงทุนที่
มีประสบการณ์ไม่มากนัก
เมื่อ: 2013-04-11T15:31:26+00:00
zephyr: รับทราบ ขอบคุณครับ
ต้องไล่อ่านใหม่หมดเลย เพราะแต่ละเล่มอ่านไว้นานแล้ว
เมื่อ: 2013-04-12T01:39:29+00:00
miracle: Ops!?
กลุ่มโรงแรม + อาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อ: 2013-04-12T02:19:46+00:00
kit556: สวัสดีครับ พอดีที่ผมได้จัดกลุ่ม assign หุ้น AEONTS ... ตอนที่เห็นรายชื่อหุ้นครั้งแรก มีหุ้นที่ผมถืออยู่แล้วถึง 3 ตัวเลยครับ มีทั้งกลุ่มค้าปลีก ผลิต สิ่งพิมพ์ ก็คิดว่าสบายแน่ๆ แต่ปรากฎว่าผมได้รับจัดอยู่ในกลุ่ม AEONTS ซึ่งผมคิดหนักทันทีครับ เพราะไม่ใช่แค่ว่าผมไม่รู้จักหุ้นตัวนี้มาก่อน แต่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเงินจริงๆผมแทบไม่มีความรู้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไร รู้แค่คร่าวๆว่าปล่อยกู้ ซึ่งถึงผมจะลงทุนมา 6-7 ปี แต่ผมไม่ได้ aggressive เท่าไหร่ และไม่เคยดูกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับการเงินเลยครับ
จะรบกวนปรึกษาว่า เป็นไปได้ไหมครับที่จะสลับผม ไปกลุ่ม ผลิต ค้าขาย บริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาคการเงิน หรือยิ่งมีท่านอื่นๆที่สนใจ AEONTS จะมาแลกกับผมก็ยิ่งดีเลยครับ
เมื่อ: 2013-04-12T03:13:43+00:00
kongkang: การจัดกลุ่มเพื่อมานำเสนอวิเคราะห์หุ้น ไม่มีผลกับการให้คะแนนหรือความถนัดของแต่ละท่าน เป็นเพียงการให้วิเคราะห์หุ้นตามที่ได้เรียนมาเพื่อแสดงว่าแต่ละท่านสามารถนำไปใช้ได้จริงเพียงใด อย่าไปกังวลกับความถนัดหรือไม่ถนัดเลยค่ะ ยิ่งไม่ถนัดก็ยิ่งทำให้เรียนรู้ได้กว้างมากขึ้นจากสิ่งที่เราถนัดอยู่แล้วค่ะ
เมื่อ: 2013-04-12T05:24:50+00:00
zephyr: สงสัยผมจะโชคดี เพราะไม่ถนัดด้านไหนเลย
อะไรก็ได้ จะได้ลองวิเคราะห์กันแบบจริงๆสักที ปรกติใช้วิธีคร่าวๆไปซะหมด 555
เมื่อ: 2013-04-12T11:13:54+00:00
wirachai: ขอศึกษาด้วยคนนะครับ ...
เมื่อ: 2013-04-12T14:20:18+00:00
wirachai: ขอบคุณที่โพสข้อมูลและความเคลื่อนไหวการเรียนรู้ของผู้ที่โชคดีได้เข้าอลรม...ส่วนผู้ที่พลาดขออนุญาตศึกษาตามไปด้วยนะครับ
เมื่อ: 2013-04-12T14:26:54+00:00
kraikria: kit556 เขียน:สวัสดีครับ พอดีที่ผมได้จัดกลุ่ม assign หุ้น AEONTS ... ตอนที่เห็นรายชื่อหุ้นครั้งแรก มีหุ้นที่ผมถืออยู่แล้วถึง 3 ตัวเลยครับ มีทั้งกลุ่มค้าปลีก ผลิต สิ่งพิมพ์ ก็คิดว่าสบายแน่ๆ แต่ปรากฎว่าผมได้รับจัดอยู่ในกลุ่ม AEONTS ซึ่งผมคิดหนักทันทีครับ เพราะไม่ใช่แค่ว่าผมไม่รู้จักหุ้นตัวนี้มาก่อน แต่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเงินจริงๆผมแทบไม่มีความรู้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไร รู้แค่คร่าวๆว่าปล่อยกู้ ซึ่งถึงผมจะลงทุนมา 6-7 ปี แต่ผมไม่ได้ aggressive เท่าไหร่ และไม่เคยดูกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับการเงินเลยครับ
จะรบกวนปรึกษาว่า เป็นไปได้ไหมครับที่จะสลับผม ไปกลุ่ม ผลิต ค้าขาย บริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาคการเงิน หรือยิ่งมีท่านอื่นๆที่สนใจ AEONTS จะมาแลกกับผมก็ยิ่งดีเลยครับ
โชคดีแล้วครับที่ไม่ได้กลุ่มหุ้นที่ลงทุนอยู่แล้ว คิดว่าเป็นการขุดหาหุ้นใหม่สิครับ ยิ่งรู้เยอะก็ยิ่งดี ส่วนหุ้นตัวอื่นๆเดี๋ยวกลุ่มอื่นก็ต้อง present ให้คุณดูอยู่ดีครับ ไม่ต้องกลัว
ไปไล่อ่านร้อยคนร้อยหุ้นของ AEONTS ก็คงไม่ได้เยอะเท่ากับอ่านของหุ้นตัวยอดนิยมตัวอื่นนะครับ
อยากไปเรียนมั่ง แต่กดไม่ทัน คงต้องรอรอบที่ 20
เมื่อ: 2013-04-12T14:29:18+00:00
kit556: รับทราบครับ
จะลองศึกษาก่อนไปอบรม แต่คงงงมากๆ เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจพวก micro finance เลย
เมื่อ: 2013-04-12T14:35:29+00:00
wwwman: ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่เนื้อหาการอบรม ส่วนการแบ่งกลุ่มผมว่ามีประโยชน์ที่เราได้ทำการวิเคราะห์บริษัทแบบจริงจัง และได้ฟังมุมมองความคิดของสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม ที่สำคัญสำหรับผม คือการได้รู้จักเพื่อนนักลงทุนในกลุ่ม คับ แถมได้ฟังการวิเคราะห์ของกลุ่มอื่นอีก เป็นการอบรมที่คุ้มค่าจริงๆคับ ตอนอบรมผมได้กลุ่มยานยนต์ ไม่เคยสนใจอุตนี้ แต่นั้นกลับเป็นการเรียนลัดให้เราเพิ่มขอบเขตความรู้ในอุสาหกรรมที่เราไม่เคยสนใจคับ บอกได้เลยว่ามีคุณค่ามากคับ ลองอ่านรายงานประจำปี ฟัง opp day ย้อนหลังถ้ามี ค้นหาข่าวของบริษัทที่เราได้มอบหมายวันนี้เราอาจยังไม่เข้าใจมากนัก แต่วันนึงเราต้องเก่งขึ้นคับถ้าเราขยันหาความรู้เพิ่มเติม ผมเชื่ออย่างนั้นนะ
เมื่อ: 2013-04-12T15:52:03+00:00
hong_thanawat: ผมอยู่กลุ่มที่ 9 ครับ ได้ APRINT มาศึกษา แล้วลองเช็คชื่อเพื่อนร่วมกลุ่มดู รู้สึกว่าจะพิมพ์ผิดไปคนหนึ่งนะครับ
basarch น่าจะถูก แต่แสดงชื่อไว้ว่า Bassarch ครับ
เมื่อ: 2013-04-12T15:52:27+00:00
moosamchun2: ยินดีต่อผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน ผมกดไม่ทันอีกตามเคย ขอให้ทุกท่านมีความสุข สมดั่งที่สมาคมตั้งใจให้เกิดขึ้น ผมหวังว่าครั้งหน้าคงเป็นทีของผมบ้าง สวัสดีปีใหม่ไทย เล่นสงกรานต์ให้สนุก สมาชิกสมาคมฯทุกท่านครับ
เมื่อ: 2013-04-12T15:54:45+00:00
pui_gp: ดีใจมากครับ การบ้านเยอะตั้งแต่ก่อนเริ่มเรียน
เมื่อ: 2013-04-15T10:20:21+00:00
minkie: พอดียังไม่ได้จดวันเรียนไว้ กระทู้เปิดจองก็หายไปแล้ว รบกวนถามอีกทีค่ะว่าเรียนวันไหนบ้างและสถานที่เรียน และเวลาด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
เมื่อ: 2013-04-17T11:59:36+00:00
zephyr: minkie เขียน:พอดียังไม่ได้จดวันเรียนไว้ กระทู้เปิดจองก็หายไปแล้ว รบกวนถามอีกทีค่ะว่าเรียนวันไหนบ้างและสถานที่เรียน และเวลาด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อการอบรม :
แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า - อ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การวิเคราะห์อุตสาหกรรม ธุรกิจ และผู้บริหาร – อ. คเชนทร์ เบญจกุล (IH)
การวิเคราะห์งบการเงิน – อ. ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ (chatchai)
การประเมินมูลค่าหุ้น – อ. พีรยุทธ เหลืองวารินกุล (picatos)
การบริหารพอร์ตโฟลิโอและจิตวิทยาการลงทุน – อ. อนุรักษ์ บุญแสวง (ลูกอิสาน)
จริยธรรมกับการลงทุน - อ. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
การนำเสนอการวิเคราะห์หุ้นพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากคณะอาจารย์
อบรมวันที่ 11, 12, 18, 19 และ 26 พฤษภาคม 2556 เวลา 9.00-16.00 น.
ที่โรงแรม แกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน
เมื่อ: 2013-04-17T13:07:03+00:00
VIWAT954: test
เมื่อ: 2013-04-17T17:37:32+00:00
minkie: ขอบคุณค่า
เมื่อ: 2013-04-21T12:07:31+00:00
VIIE: ท่านใดอยู่ กลุ่ม Makro นี้อินเทรนสุดๆเลยนะครับ อิอิ
ส่วนผม Q-con จ้าไว้เจอกันครับ
เมื่อ: 2013-04-23T09:03:18+00:00
ขาจร: ขอยืนยันสถานที่หน่อยนะครับ
ตรงแยก รัชดา ตรงข้าม เซ็นทรัล พระราม9 ใช่ไหมครับ
เมื่อ: 2013-04-23T09:45:34+00:00
zephyr: ขาจร เขียน:ขอยืนยันสถานที่หน่อยนะครับ
ตรงแยก รัชดา ตรงข้าม เซ็นทรัล พระราม9 ใช่ไหมครับ
ใช่ครับ
เมื่อ: 2013-04-23T10:26:16+00:00
ขาจร: ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2013-04-24T03:31:17+00:00
Thai VI Seminar: ขอปรึกษากับผู้เข้าอบรมครับ :
ในตอนที่เบนจามิน เกรแฮมสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
ท่านมักจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมาสอนอยู่บ่อยๆ
ช่วงนี้มีกรณีการซื้อ Makro ของ Cpall เลยกำลังคิดว่า
ผู้เข้าอบรมอยากมีตัว Cpall เป็นหุ้นสำหรับทำงานกลุ่มหรือเปล่า
ซึ่งถ้าผู้เข้าอบรมต้องการ ก็จะมีการเอาหุ้นตัวเก่าออกหนึ่งตัว
โดยการจับสลากครับ แล้วก็ใส่ Cpall เข้าไปแทนครับ
รบกวนขอความเห็นด้วยการกด + - ครับ
เมื่อ: 2013-04-25T03:31:02+00:00
chewyVI: Thai VI Seminar เขียน:ขอปรึกษากับผู้เข้าอบรมครับ :
ในตอนที่เบนจามิน เกรแฮมสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
ท่านมักจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมาสอนอยู่บ่อยๆ
ช่วงนี้มีกรณีการซื้อ Makro ของ Cpall เลยกำลังคิดว่า
ผู้เข้าอบรมอยากมีตัว Cpall เป็นหุ้นสำหรับทำงานกลุ่มหรือเปล่า
ซึ่งถ้าผู้เข้าอบรมต้องการ ก็จะมีการเอาหุ้นตัวเก่าออกหนึ่งตัว
โดยการจับสลากครับ แล้วก็ใส่ Cpall เข้าไปแทนครับ
รบกวนขอความเห็นด้วยการกด + - ครับ
อยากให้มี CPALL มาเป็นตัวให้วิเคราะห์ด้วยครับ
เมื่อ: 2013-04-25T12:59:32+00:00
Thai VI Seminar: พอดีกลุ่มที่ 12 ทำ Makro อยู่แล้ว เปลี่ยนเป็น Cpall นะครับ
จริงๆก็จะเหมือนทำสองตัวครับ
เมื่อ: 2013-04-25T14:54:35+00:00
chewyVI: Thai VI Seminar เขียน:พอดีกลุ่มที่ 12 ทำ Makro อยู่แล้ว เปลี่ยนเป็น Cpall นะครับ
จริงๆก็จะเหมือนทำสองตัวครับ
กลุ่ม 12 makro จะเปลี่ยนเป็น cpall หรอครับ
เมื่อ: 2013-04-25T17:28:05+00:00
VIIE: Thai VI Seminar เขียน:ขอปรึกษากับผู้เข้าอบรมครับ :
ในตอนที่เบนจามิน เกรแฮมสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
ท่านมักจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมาสอนอยู่บ่อยๆ
ช่วงนี้มีกรณีการซื้อ Makro ของ Cpall เลยกำลังคิดว่า
ผู้เข้าอบรมอยากมีตัว Cpall เป็นหุ้นสำหรับทำงานกลุ่มหรือเปล่า
ซึ่งถ้าผู้เข้าอบรมต้องการ ก็จะมีการเอาหุ้นตัวเก่าออกหนึ่งตัว
โดยการจับสลากครับ แล้วก็ใส่ Cpall เข้าไปแทนครับ
รบกวนขอความเห็นด้วยการกด + - ครับ
ผมกลัวว่าจะมีบางคนที่ทำ makro ไม่ได้เข้ามาอ่าน แล้วไม่ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงนะครับ
เมื่อ: 2013-04-26T06:54:48+00:00
Thai VI Seminar: ได้ pm ไปหาทุกคนในกลุ่ม makro ว่าเปลี่ยนเป็น cpall แล้วครับ
สรุปคือเหมือนทำทั้ง makro และ cpall ครับ
เมื่อ: 2013-04-26T16:04:36+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เว็บใหม่ของคุณ Rockriverarms ครับ
metro: เข้าไปที่ www.rockontheset.com นะครับ
เมื่อ: 2007-06-06T15:54:37+00:00
thipong: ขอบคุณคร๊าบบ :lol:
เมื่อ: 2007-06-06T16:19:14+00:00
tummeng: ขอบคุณครับ
กลับมาซะที :cheers:
เมื่อ: 2007-06-06T16:25:09+00:00
mambo: ต่อไปจะมี restonthesock.com ด้วยป่าว
เมื่อ: 2007-06-06T16:35:09+00:00
por_jai: mambo เขียน:ต่อไปจะมี restonthesock.com ด้วยป่าว
8) ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์
แหมแต่คิดให้ไง
rest on the sock ไม่ไหวครับ เหม็นแย่
ต่อให้ซักใหม่ๆ ก็ไม่ไหวแน่..
เมื่อ: 2007-06-07T00:37:00+00:00
007-s: ขอบคุณค่ะ :D
เมื่อ: 2007-06-07T01:58:00+00:00
SupachaiZ594: Thanks mak mak kub
เมื่อ: 2007-06-07T02:40:20+00:00
Kuruni: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2007-06-07T02:40:38+00:00
dino: por_jai เขียน:
8) ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์
เมื่อ: 2007-06-07T03:33:12+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
มีใครถือหุ้น DM อยู่บ้างครับ
qingwen: ลอง search แล้วไม่มีพูดถึงเลย (ฟังชั่น search มีปัญหาหรือเปล่า) ต้องยอมรับว่าเป็นหุ้นที่ผมเก็บอย่างมีความสุขจริงๆ
หุ้นอะไรก็ไม่รู้ตัดหนี้สูญไป 51 ล้าน จากกำไรกลายเป็นขาดทุนบานเบอะ
มีใครทราบบ้างครับว่า หนี้สูญรายนี้เป็นหนี้ของใคร ปกติเขาซื้อเจ้าหนี้ของกลุ่มเซ็นทรัลเป็นหลัก แล้วมันเกิดหนี้สูญอะไรได้ขนาดนั้น อยากรู้จริงๆเลย
ปล.ผมมาซื้อตอนมันตกละเอียดแล้ว เลยมีความสุข ใครมาซื้อตอนสิบกว่าบาทคงพุดไม่ออกเหมือนกัน
เมื่อ: 2006-02-28T13:56:52+00:00
ลูกอิสาน: เข้าใจว่าหากเป็นชื่อหุ้นอักษรน้อยกว่า 2 ตัว จะค้นหาไม่ได้ครับ
ส่วน dm เป็นหุ้นที่คล้ายๆกับหุ้นการเงินอื่นๆครับ
คือกู้มาปล่อยต่อ กินส่วนต่าง
แต่หากบริหารความเสี่ยงไม่ดี ผลลัพธ์ก็จะเป็นอย่างนี้ครับ
เมื่อ: 2006-02-28T15:26:53+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
BREXIT รอยร้าวของ EU/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Thai VI Article: ผลการลงประชามติของอังกฤษที่ให้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาพของประชาคมยุโรปหรือ EU นั้นเป็นข่าวใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกที่น่าจะรุนแรงที่สุดหลังจากกรณีวิกฤตซับไพร์มของอเมริกาในปี 2008 ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐตกลงไปถึง 610 จุดหรือ 3.39% ในวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 59 หลังจากทราบผลการลงประชามติ ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นตกลงไปถึง 1,286 จุดหรือ 7.92% เช่นเดียวกับดัชนี FTSE 100 ของตลาดลอนดอนที่ตกลงไป 3.15% ในด้านของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินปอนด์ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 31 ปี และในช่วงหนึ่งของตลาดตกลงมาถึง 10% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ผลกระทบของการถอนตัวจาก EU หรือ BREXIT นั้นดูเหมือนว่าจะกระทบกับตลาดหรือเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ตลาดหุ้นของไทยนั้นตกลงมาเพียง 1.62% มาเลเซียตกลงมาเพียง 0.36% อินโดนีเซียลดลง 0.82% ฟิลิปปินส์ 1.29% เซี่ยงไฮ้ลดลง 1.33% เป็นต้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าความเกี่ยวพันกันของเศรษฐกิจการเงินจากการออกจาก EU ของอังกฤษนั้นจะกระทบกับ EU เป็นหลัก และ EU เองนั้นเกี่ยวพันกับประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา ว่าที่จริงถ้าจะถามว่าประเทศไทยจะถูกกระทบอย่างไรเมื่ออังกฤษจะออกจาก EU คำตอบก็ยังไม่ค่อยชัด ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบทางอ้อมที่ห่างไกล หุ้นที่ตกลงมาเพียง 1.62% นั้นอาจจะเป็นเรื่องของความ “ตกใจ” ของนักลงทุนไทยก็เป็นไปได้ เหนือสิ่งอื่นใด นักลงทุนต่างชาติซื้อขายหุ้นน้อยและขายหุ้นสุทธิในวันนั้นเพียง 783 ล้านบาทในขณะที่นักลงทุนสถาบันและโบรกเกอร์ขายหุ้นสุทธิ 7,482 และ 4,652 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนส่วนบุคคลดูเหมือนว่าจะ “ไม่ตกใจ” และเข้าไป “ช้อนซื้อ” ถึง 12,917 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายทั้งวันสูงลิ่วถึง 88,223 ล้านบาท หรือกว่าสองเท่าของปริมาณการซื้อขายปกติ
ผลกระทบโดยตรงจริง ๆ ในระยะสั้นต่อพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นคงมีน้อยเพราะถึงอย่างไรอังกฤษก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2-3 ปีกว่าจะออกจาก EU ได้ อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินโดยเฉพาะเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศนั้นปรับตัวเร็วมาก และนั่นทำให้หลายประเทศอย่างเช่นญี่ปุ่นและอังกฤษนั้น “ช็อก” เพราะค่าเงินอาจจะแข็งเกินไปหรืออ่อนเกินไปมากส่งผลกระทบต่อการค้าและการส่งออกทันที เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วก็อาจจะยิ่งหนักขึ้น ในระยะยาวเองนั้น การที่อังกฤษและ EU จะต้อง “ปรับตัว” เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขต่าง ๆ เช่นในเรื่องของการ “ย้าย” ธุรกิจและแรงงานที่ผสมปนเปกันไปมากแล้วกลับประเทศ ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจชะงักหรือเติบโตช้าไปบ้าง ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ดีต่อเศรษฐกิจของโลกโดยรวม และนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินและตลาดทุนตกลงมาอย่างแรงอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะมันเป็นเรื่องที่ “ไม่คาดคิด” ก่อนหน้านี้
มองภาพที่ใหญ่ขึ้น ผมเองลึก ๆ แล้วก็มองว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเป็น “จุดเริ่ม” ของสิ่งที่ใหญ่กว่า BREXIT มันอาจจะเป็นเรื่องของการ “แตกสลาย” ของการ “รวมกัน” ของสังคมโลกที่ดำเนินมานาน ผมยังจำได้ถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่รวมรัฐต่าง ๆ มากมายเข้าด้วยกันแล้ววันหนึ่งจู่ ๆ ทุกอย่างก็ “ล่มสลาย” ลงกลายเป็นประเทศอิสระเป็นสิบ ๆ ประเทศที่ต่างก็มีวิถีของตนเองและไม่ขึ้นอยู่กับประเทศใหญ่อย่างรัสเซียอีกต่อไป EU เองนั้นก็เป็นกระแสที่พยายาม “รวมประเทศ” เข้าด้วยกันเพื่อที่ต่างก็จะได้ประโยชน์จากการรวมกันนั้นในทุก ๆ ด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการป้องกันประเทศ หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นอาเซียนหรือ AEC ที่พยายามรวมประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกันเพื่อให้ทุกประเทศได้ประโยชน์จากสังคมและเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะเป็นเครื่องดึงดูดให้เกิดการลงทุนต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจเฉพาะอย่างยิ่งก็คือตลาดจะใหญ่ขึ้นมากสำหรับทุก ๆ ประเทศที่เข้ามารวมกัน
แต่การรวมกันเองนั้น ทุก ๆ ประเทศก็จะต้อง “สละ” สิทธิและความชอบส่วนตัวลงและต้องยอมรับ “เสียงส่วนใหญ่” ที่จะเข้ามาบังคับแทน ถ้าผลประโยชน์ของประเทศส่วนใหญ่สอดคล้องกัน สิ่งที่แต่ละประเทศจะต้องเสียสละก็จะน้อยลงในขณะที่ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็จะมากกว่า แบบนี้ประชาคมก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุขและ “เหนียวแน่น” แต่ถ้าไม่ ก็จะมีบางประเทศที่เริ่มจะเห็นว่าตนเอง “เสียเปรียบมาก” และเริ่มไม่มีความสุขและในที่สุดก็จะไม่อยากอยู่และถอนตัวออกไปในที่สุด นอกจากนั้น บางครั้งการที่บางประเทศอาจจะรู้สึก “เสียศักดิศรี” ที่ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นทำตามแนวคิดของตนเอง ตรงกันข้าม กลับถูกบังคับให้ต้องยอมรับในสิ่งที่ตนเองต่อต้านหรือมีความคิดไม่เห็นด้วยรุนแรงก็จะเกิดความคับแค้นใจและอาจจะก่อให้เกิดกระแสสังคมในประเทศที่จะเรียกร้องให้ถอนตัวออกจากประชาคมทั้ง ๆ ที่ผลประโยชน์โดยรวมก็ยังเป็นบวกต่อประเทศตนเองอยู่
การที่สงครามทั้งร้อนและเย็นของโลกสงบลงและประเทศต่าง ๆ ต่างก็ “เปิดกว้าง” ต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติรวมทั้งลดภาษีและข้อจำกัดต่าง ๆ ทางการค้าและในการทำธุรกิจลงเพื่อเป็นการกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง ความจำเป็นที่จะต้องรวมกันเพื่อความปลอดภัยหรือป้องกันประเทศ หรือรวมกันเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจก็อาจจะเริ่มน้อยลง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เทคโนโลยีด้านข้อมูลข่าวสารที่ก้าวหน้าในระดับที่ “ปฏิวัติ” วิธีการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนได้ทำให้เรื่องของ “พรมแดน” หรือข้อบังคับของแต่ละประเทศมีความหมายน้อยลง พูดง่าย ๆ จะรวมหรือไม่รวมกันเป็นประชาคมก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก วิธีที่ดีกว่าอาจจะเป็นเรื่องของการทำสัญญาการค้าเสรีระหว่างประเทศที่ได้ประโยชน์เต็มที่โดยเสียสิทธิในการตัดสินใจเรื่องอื่น ๆ น้อยกว่า ตัวอย่างที่น่าจับตามองก็คือการทำสัญญาการค้าเสรี TPP ที่มีอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นหัวเรือใหญ่ที่ดูเหมือนว่าอาจจะทำให้ AEC นั้นมีความหมายน้อยลงไปมากถ้าสมาชิกบางประเทศที่อยู่ใน AEC ด้วยได้ประโยชน์สูงและทำให้สมาชิกอื่นขอเข้าร่วมในภายหลัง
ถึงขณะนี้ผมเองคิดว่าความคิดเรื่องของประชาคมร่วมนั้นน่าจะเริ่ม “ตกยุค” แม้แต่เรื่องของ AEC เองที่พวกเราคาดหวังไว้มากว่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศในย่านนี้ผมก็คิดว่าคงไม่เกิดมากไปกว่านี้นัก ที่แน่นอนก็คือไม่มีทางที่เราจะมีเงินตราร่วมกัน ผมคิดว่าประเทศอย่างเวียตนามนั้นเขาคงมุ่งสู่การเป็นสมาชิก TPP มากกว่าที่จะสนใจการรวมกันมากขึ้นของเพื่อนบ้าน เหนือสิ่งอื่นใด ความคิด วัฒนธรรม เรื่องของเชื้อชาติ และเรื่องอื่น ๆ อีกร้อยแปดที่แตกต่างกันมากนั้นจะทำให้ AEC ไม่ก้าวไปไกลกว่านี้มากนัก แม้แต่ EU ที่ประชากรและวัฒนธรรมต่าง ๆ ใกล้เคียงกันและดำเนินมานานนั้น ผมก็คิดว่ามีโอกาสที่ในที่สุดก็อาจจะ “แตก” จากกันได้ อาจจะคล้าย ๆ กับกรณีที่สหภาพโซเวียตแตกมาแล้ว
ก่อนที่จะจบ ผมเองรู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก สิ่งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาก ประเด็นก็คือ ปัจเจกบุคคลในโลกปัจจุบันนั้นได้รับข่าวสารแบบเสรีและรวดเร็ว นั่นทำให้ความคิดสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมาก สิ่งที่ในอดีตต้องการเวลาเปลี่ยนเป็น Generation หรือเป็นชั่วอายุคน เดี๋ยวนี้สามารถเปลี่ยนได้ในเวลาไม่กี่ปี และไม่มีใครขวางมันได้ ทั้งหมดที่พูดมานั้นแทบไม่ได้เกี่ยวกับหุ้นเลย แต่นี่คือโลกยุคปัจจุบันที่เราต้องเข้าใจและนำมันมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนเอง
เมื่อ: 2016-06-27T05:05:14+00:00
Anuwat1234: ขอบคุณ ดร.ที่ช่วยสรุปข้อมูลไห้พวกเรา
เมื่อ: 2016-06-27T10:56:19+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
จากละครโรงใหญ่ถึงโรงเล็ก "How We Spend"
Tibular: การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐมาจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคถึง 70% ทีเดียวนะคับ
ลองมาดูเพื่อการเปรียบเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจในบ้านเราบ้าง
จากปี 1994 เป็นต้นมา เรามาดูกันว่าอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคไหนที่รุ่งเรือง ตกต่ำ หรือประคองตัวได้
สังเกตุสีแดง เขียว ชมพู ซึ่งก็คือ กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก เติบโตสม่ำเสมอมาตลอด 20 ปีเลย
สีม่วง ฟ้า เป็นกลุ่มพลังงานกับรถยนต์ ซึ่งมีมูลค่าสูง ก็มีความเป็นวัฏจักรชัดเจน
โดยฟองสบู่ในธุรกิจดอตคอมแตกปี 2000 และจากนั้นตามมาด้วยฟองสบู่ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2008 ซึ่งทำความเสียหายอย่างหนัก
ให้แก่กลุ่มพลังงานกับรถยนต์ แต่ก็กลับมาเร็วมากเช่นกัน แต่จากนั้นก็ทรงๆ
เช่นเดียวกับ สีเหลือง สีส้มอ่อน กลุ่มเครื่องใช้ในบ้าน สำนักงาน อุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องแต่งกายฯ
ก็มีความเสี่ยงสูงในช่วงเศรษฐกิจขาลงหรือวิกฤติเศรษฐกิจเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ สีน้ำเงิน พวกค้าขายออนไลน์ก็มีการเติบโตได้เรื่อยๆ ถึงแม้มูลค่าในการใช้จ่ายจะยังไ่ม่มากเท่ากลุ่มค้าปลีก
ส่วนสีส้ม ร้านค้าด้านสุขภาพ อาจจะรวมถึงพวกเครื่องสำอางค์บำรุงผิวด้วย ก็ไปได้สม่ำเสมอ
ทีนี้มาดูในบ้านเรา ซึ่งผมก็ว่าน่าจะใกล้เคียงกัน เพราะพฤติกรรมของคนเราในการใช้จ่ายไม่น่าจะแตกต่างกัน
ในขณะที่มีรายได้มากขึ้น และสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้นๆ
ถ้ามองภาพจากละครโรงใหญ่ ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น
เพราะเราจะได้ภาพชัดเจนในอุตสาหกรรมต่างๆที่เราลงทุน จากอดีตถึงปัจจุบัน
และอาจไปได้ถึงอนาคต ถ้าตัวเหตุปัจจัยต่างๆใกล้เคียงกัน
ที่มา
http://www.bloomberg.com/dataview/2013- ... spend.html
เมื่อ: 2014-04-21T08:46:03+00:00
ลูกหิน: ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2014-04-21T10:06:03+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ถามเรื่องปันผลครับ
marcus147: มือใหม่ครับ
สงสัยเรื่องปันผล
คือปรกติแล้วเค้ามีกำหนดจ่ายกันยังไงหรอครับ
มีวันที่แน่นอนไหมครับ
แล้วต้องถือก่อนกี่เดือนถึงจะได้รับปันผล
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
เมื่อ: 2011-07-22T03:21:15+00:00
wanidaja: มีหุ้นก่อนวันที่ขึ้น XD วันเดียวก็ได้สิทธิ์รับปันผล วันที่เงินจ่ายมักเป็นถัดๆไป ตามแต่ที่บริษัทกำหนด ถ้าขายวันที่ขึ้น XD ก็ได้รับปันผลอยู่ดี อยากทราบวันที่ขึ้น XD กับวันจ่ายเงินปันผลดูที่ settrade.com แล้วดูหุ้นแต่ละตัวที่เราถือ หน้าสิทธิประโยชน์ผู้ถือหุ้นได้
เมื่อ: 2011-07-22T04:38:55+00:00
googgai: ปกติผมเข้าไปดูที่ ปฎิทินหลักทรัพย์ครับ
http://www.set.or.th/set/xcalendar.do?l ... country=TH
เมื่อ: 2011-07-22T04:48:51+00:00
thalucoz: หรืออีกทางหนึ่ง ซึ่งผมใช้ประจำก็คือ เข้าไปที่ www.settrade.com แล้วพิมพ์ชื่อหุ้นลงไปก็จะเห็นรายการต่าง ๆ ตั้งแต่ราคา ปริมาณการซื้อขาย และข่าวอื่น ๆ แต่ที่ผมสนใจและเข้ากับประเด็นของกระทู้คือ หัวข้อ สิทธิประโยชน์ผู้ถือหุ้นครับ ในนั้นจะมีการบอกย้อนหลังประมาณ 10 งวดจ่ายปันผล และจะมีวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD และวันที่จ่ายเงิน (วันที่เงินจะโอนเข้าบัญชีของเราครับ) และบอกด้วยว่างวดนี้จ่ายเท่าไหร่ครับ
เมื่อ: 2011-07-22T14:26:50+00:00
ส.สลึง: ปกติในแต่ละวันที่หุ้นมีการซื้อขาย
หุ้นของบริษัทหนึ่งๆ
ก็จะถูกเปลี่ยนมือไปเปลี่ยนมือมา
ไม่นิ่ง
การจะให้สิทธิผู้ถือหุ้นให้ได้รับเงินปันผล
จึงกำหนดโดยการกำหนดปิดสมุดรายชื่อ
ณ วันที่ขึ้น XD ผู้ถือหุ้นคนไหนที่ถือหุ้นอยู่
จนกระทั่งปิดสมุด หรือเห็นเครื่องหมาย xd
จึงจะมีสิทธิได้รับเงินปันผลครับ
(ส่วนจะจ่ายวันต้องไปดูในรายละเอียดมติบอร์ดบริษัท)
ในส่วนกำหนดการที่ว่า บริษัทจะขึ้น xd เมื่อไหร่
โดยหลักการ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย xd
จะมาจากมติบอร์ดของบริษัทครับ
(โดยกรรมการที่ผู้ถือหุ้นเลือกเข้าไป)
คงไม่มีเกณฑ์เป๊ะๆ
ว่าบริษัทไหนจะ xd เมื่อไหร่เป็นประจำทุกปี
อันนี้ในนักลงทุนต้องติดตามข่าว
ที่บริษัทแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์กันเองครับ
เมื่อ: 2011-07-22T14:55:48+00:00
marcus147: ปกติแล้ว การจ่ายปันผลนี่เค้าจ่ายให้ครบเต็มจำนวนไหมครับ
หรือว่าขึ้นอยู่กับผลประกอบการ
เมื่อ: 2011-08-14T14:24:11+00:00
chowbe76: ขึ้นอยู่กับมติของกรรมการครับ
แต่จะต้องมีผลการดำเนินงานกำไรสะสมเป็นบวกด้วยจึงจะจ่ายได้
เมื่อ: 2011-08-17T08:19:22+00:00
peteinw: อีก อย่างนึงน่ะครับผมอยากรู้ว่า ท้าเรายังถือหุ้นตัวนั้นไว้ จะเงินปันผลผลรึ ป่าว หรือว่าเราต้องขายเท่านั้นถึงได้รับเงินปันผลกับส่วนต่าง ที่เราลงทุ้น
ปล.จากมือใหม่หัดเล่น. ผิดตรงไหนขออภัย
เมื่อ: 2011-08-17T11:46:29+00:00
peteinw: peteinw เขียน:อีก อย่างนึงน่ะครับผมอยากรู้ว่า ท้าเรายังถือหุ้นตัวนั้นไว้ จะได้เงินปันผลผลรึ ป่าว หรือว่าเราต้องขายเท่านั้นถึงได้รับเงินปันผลกับส่วนต่าง ที่เราลงทุ้น
ปล.จากมือใหม่หัดเล่น. ผิดตรงไหนขออภัย
เมื่อ: 2011-08-17T11:47:14+00:00
บุณยา: แล้วบริษัทที่มีวอร์แลนต์ วอร์แลนต์จะไม่ได้รับปันผลใช่ไหมครับ
อย่างนี้มูลค่าของหุ้นลูกก็จะต่ำลงไหมครับ
เช่น หุ้นลูก + 10 บาท = หุ้นแม่ >>> 10 + 10 = 20 *
สมมติว่าหุ้นแม่จ่ายปันผล 2 บาทต่อหุ้น แสดงว่ามูลค่าของหุ้นลูกควรจะเป็น 12 บาท รึเปล่าคัรบ
เมื่อ: 2011-08-17T15:08:44+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
คนไทยเราออมกันน้อยเกินไปเหรอเปล่า
terati20: คนไทยเราออมกันน้อยเกินไปเหรอเปล่า ตลาดทุนของเราจึงต้อพึ่งพา เงินต่างประเทศเหลือเกิน ถ้านักลงทุนต่างประเทศเทขาย Set ก็ลงฮวบๆ
ผมว่ารัฐบาลน่าจะส่งเสริมให้ประชาชนลงทุนมากๆ จะได้ลดการพึงพาเงินต่างประเทศมากกว่านี้ (แต่สภาพคล่องประชาชนก็แย่อยู่ :? )
เมื่อ: 2005-10-11T08:03:02+00:00
NDD: ไม่ได้ออมเงินน้อย แต่ ซื้อหุ้นน้อย
เมื่อ: 2005-10-11T09:23:40+00:00
Saran: ผมว่าส่วนมากรายย่อยที่ลงทุนในหุ้นจะเป็นพวกเก็งกำไรนะครับ ทำให้ตลาดค่อนข้างผันผวนง่าย โดยมีกระแสเงินของต่างชาติเป็นตัวหลัก
อีกอย่างคนไทยจะคิดแค่ว่าการออมคือการฝากแบงค์ กับ ซื้อพันธบัตร ทั้งๆมันไม่มีประโยชน์ในสภาวะเงินเฟ้อขึ้นสูงอย่างนี้
เมื่อ: 2005-10-11T13:33:01+00:00
Oatarm: ออมไม่น้อยหรอกครับ ดูพันธบัตรน้ำมันนั่นปะไร ไม่ถึงสิบนาทีหมด สภาพคล่องยังล้น แต่ภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สำหรับคนทั่วไป มองว่าเป็นแหล่งการพนันที่เต็มไปด้วย เสือ สิงห์ กระทิง แรด กลัวว่าเมื่อตัวเองเข้ามาใหม่ จะเป็นแมงเม่า คนจำนวนมากจึงเลือกออมโดยวิธีอื่น
นอกจากนั้น มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่เล่นหุ้นเป็นหลัก ซื้อ ขาย เก็งกำไรแม้ในเพียงแค่ สอง สาม ช่องราคา และนักเล่นเหล่านี้ มักไวต่อข่าวเสมอ
เมนหลัก ถ้าตลาดหุ้นไทยจะแข็งแกร่ง ต้อง
๑ บริษัท มีธรรมาภิบาลที่ดี
๒ สร้างภาพลักษณ์ และ ความเชื่อมั่นว่า การลงทุนใน ตลท.เป็นการออมชนิดหนึ่ง ถูกต้องตามหลักครรลองคลองธรรม มีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนสูง
๓ กลต.รักษากติกาอย่างเคร่งครัด และ ลงโทษผู้ทำผิดให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อ: 2005-10-11T13:35:39+00:00
MisterK: ผมว่าออมเก่งนะไม่งั้นดอกเบี้ยคงไม่ต่ำเตี้ยติดดินแบบนี้ แต่
คนออมเก่งนี่ส่วนใหญ่เป็นคนมีตัง (แบบซื้อพันธบัตรทีละหลายล้าน - คนส่วนน้อย) แต่คนสร้างหนี้เก่งนี่ส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีตัง (แบบผ่อนแหลกอะไรก็อยากได้ บัตรเครดิตเป็นสิบ - คนส่วนใหญ่)
ทีนี้เราก็เลยมีทั้งเงินล้น ทั้งหนี้เน่าเพียบน่าสิ
เมื่อ: 2005-10-12T02:03:43+00:00
โอ@: ความแตกต่างระหว่างรายได้ของคนจนกับคนรวยมีมากครับ
พี่คนไหนมีข้อมูลพวกนี้้บ้างครับ
1. จำนวนทรัพย์สินทั้งหมดของคนไทย
2. จำนวนคนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาทในเมืองไทย
3. จำนวนทรัพย์สินทั้งหมดที่ถือครองโดยคนในข้อ 2
ถ้าเห็นในสามข้อนี้น่าจะทำให้เห็นอะไรๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ที่พันธบัตรขายหมดเร็ว มันก็คิดได้หลายอย่างนะครับ
คนในข้อ 2 ผมเชื่อว่ามีกว่า 50% ที่ได้รับมรดกจากพ่อแม่ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะไม่ได้หาเงินนี้มาด้วยตัวเองทำให้พยายามรักษามันไว้ ไม่พยายามเสี่ยงลงทุน ตรงนี้ที่ทำให้อะไรที่มัน Low Risk Low Return ขายหมดเร็ว
เมื่อ: 2005-10-12T06:23:22+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ค้นหาข่าวบริษัทย้อนหลังได้จากที่ไหนครับ
White shadoW: ผมลองดูใน www.set.or.th ย้อนหลังได้แค่ 6 เดือนเอง
เมือก่อนดูได้จาก settrade แต่ตอนนี้ระบบเค้ารวนมาก ดูได้แค่ประมาณ 50 ข่าวย้อนหลังเองครับ
ใครพอทราบบ้างว่าจะค้นหาได้จากเว็บไหน
เมื่อ: 2005-01-28T03:13:55+00:00
ForrestGump: www.efinancethai.com แต่รู้สึกว่าจะไม่ค่อยนานเหมือนกัน
ลองหาใน google อีกทีนะครับ เผื่อมีทีเด็ด
เมื่อ: 2005-01-28T03:34:16+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
จิตวิทยาการลงทุน: Experimenter's bias
pinguwing: เพื่อนนำโชค (Experimenter's bias)
เคยมีประสบการณ์ไหมครับว่า เวลาเรา trade หุ้นอยู่คนเดียวกับเวลามีเพื่อนมานั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วย
พฤติกรรมเรามักจะไม่เหมือนเดิม รวมไปถึงการตัดสินใจด้วย
คนส่วนใหญ่มักจะได้รับผลกระทบเมื่อทราบว่าตัวเองกำลังถูกสังเกตอยู่
หรือเรียกว่ามันเกิด Experimenter’s bias ครับ
Bias ประเภทนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอด เวลาทำการทดลอง เมื่อผู้ถูกทดลองทราบว่าเขากำลังโดนจับจ้องอยู่ พฤติกรรมก็เลยเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับ เวลาที่เขาอะไรได้โดยไม่มีคนจับจ้อง
บางทีเราไปโทษเพื่อนบางคนว่าเป็นตัวนำความโชคร้าย เพราะมา trade หุ้นด้วยกันทีไร เราขาดทุนทุกที หรือไปชื่นชมเพื่อนบางคนว่าเป็นตัวนำโชคเพราะ trade หุ้นด้วยกันทีไร เรากำไรทุกที
จริง ๆ แล้ว อาจไม่ใช่เพื่อนหรอกครับที่นำโชคร้ายหรือโชคดีมาให้เรา เพราะคนที่ตัดสินใจซื้อหรือขาย มันก็ตัวเราเองล้วน ๆ
แต่ที่ผลลัพธ์ที่ได้มันต่างออกไปจากเวลาเราอยู่คนเดียวก็เพราะเราเจอ Bias ประเภทนี้ไงครับ
เมื่อ: 2016-04-19T23:27:47+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
14 ธ.ค. ปลดล็อค PTT โบรกฯเชื่อหลุดคดีแปรรูป
vichit: 14 ธ.ค. ปลดล็อค PTT โบรกฯเชื่อหลุดคดีแปรรูป
14 ธ.ค. ปลดล็อคหุ้น PTT วงการฟังธงหลุดคดีแปรรูปแน่นอน ประเมินแนวทางเป็นไปได้มากที่สุด โอนสินทรัพย์-ท่อก๊าซ ออกไปยังบริษัทใหม่ แต่มูลค่าหุ้นจะลดลง 3.6-4.3 บาทต่อหุ้น ขณะที่ พ.ร.บ.พลังงานฉบับใหม่ แก้ข้อครหาผูกขาดธุรกิจ โบรกฯยังตบเท้าเชียร์ซื้อ ฟินันซ่าให้เป้าหมายสูงลิ่ว 500 บาท พร้อมระบุสตอรี่ใหม่ขยายการลงทุนในอียิปต์ เพิ่มมูลค่าในอนาคต
ในวันศุกร์ที่ 14 ธ.ค. นี้คดีประวัติศาสตร์ กรณีมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้ศาลฯ มีคำสั่งยกเลิก พรก. กำหนดอำนาจสิทธิประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และ พ.ร.ฎ กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 เพื่อแปรรูป การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่มีการยื่นฟ้องกันตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 2549 จะถึงจุดสิ้สุด เมื่อศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำตัดสินในเวลา 10.00 น. ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่กดดันราคาหุ้นของ ปตท. หรือ PTT มาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นหุ้นที่มาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นเป้าหมายของกองทุนทั้งในและต่างประเทศก็ตาม แต่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง ก็จะถูกหยิบยกประเด็นการฟ้องร้องขึ้นมา กดให้ราคาหุ้นต้องอ่อนตัวลงไปทุกครั้ง
ในวันที่ 14 ธ.ค. นี้จึงถือเป็นวันที่ PTT จะพ้นจากมลทินและปัจจัยลบดังกล่าว เพราะเป็นที่คาดหมายกันว่าคำตัดสินของศาลฯ น่าจะออกมาในลักษณะที่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดทุน ที่ถือเป็นอีกภาคหนึ่งที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปถึงความน่าเชื่อถือในสายตาของต่างชาติ
**ศาลฯ นัดชี้ชะตา 14 ธ.ค. นี้ 10.00 น.
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) เปิดเผยว่า ศาลปกครองสูงสุดได้นัดพิจารณาคดีทางวาจาระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีกับ บมจ.ปตท.ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้อง โดยในวันนี้ทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้าแถลงด้วยวาจาและเอกสารพร้อมทั้งเสนอปิดคดีทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธ.ค.2550 ในเวลา 10.00 น.
'ส่วนตัวเชื่อมั่นคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดและเคารพในการตัดสินใจของศาลฯ โดยที่ผ่านมาทำงานด้วยเจตนาสุจริตและทำเพื่อสังคมมาโดยตลอด'นาย
ประเสริฐกล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยในส่วนของปตท.ได้ชี้แจงการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.กำกับธุรกิจพลังงานที่ผ่านร่าง สนช. โดยระบุว่า หลังจาก พ.ร.บ.ดังกล่าวออกมาจะทำให้ทุกอย่างมีความชัดเจนขึ้น มีเรคกูเลเตอร์กำกับดูแลท่อก๊าซ ไฟฟ้า และธุรกิจอื่นๆ ของปตท.
นางสาวรสนา โตสิตระกูล ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า เชื่อว่าคำฟ้องและเอกสารที่ยื่นต่อศาลปกครอง มีหลักฐานที่หนักแน่นพอ ที่จะทำให้ผลการตัดสินเป็นไปตามที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟ้องร้อง บมจ.ปตท. นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวม 3 คน โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอน พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจสิทธิประโยชน์ของ บมจ.ปตท. พ.ศ.2544 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544
นางสาวรสนา กล่าวต่อว่า ล่าสุดที่ราคาก๊าซ LPG มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นนั้น หาก ปตท.คืนแหล่งผลิตก๊าซที่อ่าวไทยให้เป็นสมบัติของชาติก็อาจจะไม่ส่งผลให้ราคาก๊าซและราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นแพงเหมือนเช่นปัจจุบันนี้
**ดีบีเอส เปิด 3 แนวทาง ตัดสินคดี ปตท.
แม้ว่าขณะนี้ตลาดมองว่าผลการตัดสินจะส่งผลกระทบต่อ PTT ไม่มาก แต่เราก็ไม่สามารถละเลยความเสี่ยงทั้งหมด และได้วิเคราะห์ในทางที่เป็น Downside risk 3 กรณี คือ 1) การ De-listed เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะต้องใช้เม็ดเงินมากถึง 4.87 แสนล้านบาทมาซื้อหุ้น PTT คืน (คิดจากราคาตลาดปัจจุบัน), 2) การโอนท่อส่งก๊าซออกจาก PTT ไปยังหน่วยงานรัฐ กรณีนี้มองว่ามีโอกาสน้อย แต่หากเกิดขึ้นจะทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และหนี้สิน PTT ลดลง ยังผลให้มูลค่าหุ้นจะลดลง 44 บาท หรือ 10% จาก 458 บาทเป็น 414 บาท ซึ่งยังมี Upside จากราคาปิด 14%, และ 3) การโอนท่อส่งก๊าซไปยังบริษัทอื่น แต่ PTT ยังถือหุ้นในบริษัทนี้ 100% ซึ่งตามหนังสือชี้ชวนตอนทำ IPO ทาง PTT ได้ระบุถึงแผนที่จะทำอยู่แล้ว และปัจจุบันได้มีการแยกบัญชีของธุรกิจท่อส่งก๊าซออกมา แต่ยังไม่ได้โอนไปยังบริษัทใหม่ หากต้องทำในกรณีนี้ จะมีภาษีจากการโอนสินทรัพย์เกิดขึ้น เราประมาณการไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ถ้า PTT รับเองทั้งหมด จะทำให้มูลค่าหุ้นลดลง 3.6 บาทต่อหุ้น คือ จาก 458 บาทเป็น 454.4 บาท ซึ่งยังมี Upside จากราคาปัจจุบัน 25%
ทั้งนี้ เมื่อประมวลภาพทั้งหมดแล้ว เรามองว่า PTT ยังมี Upside สำหรับการลงทุน เพียงแต่ราคาหุ้นมีโอกาสปรับลดลงในระยะสั้นหากความเห็นของศาลออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่ถ้าผลออกมาไม่รุนแรง ก็เป็นโอกาสในการซื้อ
**เคจีไอ ประเมินมูลค่าหุ้นวูบ 4.30 บ. หากต้องโอนสินทรัพย์ให้บริษัทใหม่
ด้านบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่าแม้ว่าจะไม่สามารถคาดเดาคำตัดสินได้ แต่เราเชื่อว่าโอกาสในการเพิกถอน PTT ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีน้อย เนื่องจากสิทธิในการเวนคืนที่ดินได้ถูกถ่ายโอนไปยังผู้ควบคุมภาครัฐ อย่างไรก็ดี หาก PTT ต้องจัดตั้งบริษัทใหม่ซึ่ง PTT ถือหุ้น 100% PTT จะต้องจ่ายภาษีหากบริษัทฯ มีการถ่ายโอนทรัพย์สินสู่บริษัทฯ ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 12 พันล้านบาท (4.3 บาทต่อหุ้น) หรือ 12.6% ของประมาณการกำไรสุทธิในปี 2551 ของเรา แม้ว่าเราและตลาดฯจะคาดการณ์ผลที่ออกมาในด้านบวก อย่างไรก็ตามเราคาดว่าประเด็นการตัดสินของศาลฯ จะส่งผลกดดันการปรับเพิ่มขึ้นของ PTT จนกว่าคำตัดสินจะมีความชัดเจน
**สตอรี่ใหม่ลงทุนท่อก๊าซในอียิปต์ เพิ่มมูลค่าหุ้น 3.5-7.0 บ./หุ้น
ทั้งนี้หากไม่นับแรงกดดันในเรื่องของคดีแปรรูปที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ปตท.ถือว่าเป็นบริษัทที่มีแนวทางการขยายการลงทุนที่ดีและเป็นที่จับตา โดยล่าสุดประกาศว่าบริษัทย่อย คือ PTT International (PTT Inter) จะเข้าซื้อหุ้น 25% (36.75 ล้านหุ้น) ใน East Mediteranean Gas Company S.A.E. (EMG) ที่ได้รับสิทธิวางท่อก๊าซในประเทศอียีปต์เป็นมูลค่า 486.9 ล้าน US$ หรือ 13.25 US$/หุ้น คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จในกลางธ.ค.50 ทั้งนี้เงินลงทุน 380 ล้านUS$ จะเป็นเงินกู้จาก The National Bank of Egypt
โดย EMG เป็นบริษัทซึ่งจดทะเบียนใน Free Zone ประเทศอียิปต์ และเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสิทธิในการวางท่อเพื่อส่งก๊าซจากประเทศอียิปต์ไปขายให้ประเทศอิสราเอลภายใต้ MOU ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ การก่อสร้างท่อคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธ.ค.50 และปริมาณการซื้อก๊าซอยู่ที่ 7 พันล้านลบ.ม.ต่อปี หรือ 677 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน อายุสัญญา 15 ปี หลังจากนั้นต่ออายุได้ครั้งละ 5 ปี
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ ระบุว่า นับเป็นการลงทุนในต่างประเทศใหญ่สุดของ PTT และเป็นไปตามแผนงานของบริษัทที่จะขยายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งประเมินอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ในเบื้องต้นที่ 15% และคาดว่าโครงการนี้จะมีส่วนแบ่งกำไรเข้ามาปีละ 30-60 ล้านUS$ หรือ 1-2 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดเป็น 0.35-0.70 บาทต่อหุ้น PTT และทำให้มูลค่าหุ้น PTT เพิ่มขึ้นประมาณ 3.5-7.0 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิและราคาตามพื้นฐาน เนื่องจากรอรายละเอียดเพิ่มเติม เราคงคำแนะนำซื้อ PTT ราคาตามพื้นฐาน 468 บาท
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ต้นทุนการซื้อที่ประมาณ 486.9 ล้านเหรียญถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับงบลงทุนของ PTT ในปี 2550-2554 ที่ 5.5 พันล้านเหรียญ ดังนั้นผลประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะไม่ส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญ ต้นทุนการซื้อที่ 13.25 ต่อหุ้น (12.6x ของมูลค่าทางบัญชี) สูงกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 1.05 ต่อหุ้นอยู่มาก เราเห็นว่าราคาดังกล่าวสูงเกินไปแม้ว่าเราจะเข้าใจว่า PTT จะต้องซื้อในราคาสูงเนื่องจากโครงการ
1) ได้ผ่านช่วงที่การลงทุนมีความเสี่ยงและพร้อมจะเดินหน้าในเดือน ธ.ค. 2550, 2) มีลูกค้าพร้อมจากการเซ็นสัญญากับ Egyptian General Petroleum Corporation (EGPC) และ Egyptian Natural Gas Holding Company (EGAS) เพื่อซื้อ 677 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน (20% ของการบริโภคในประเทศไทย) เป็นระยะเวลา 15 ปีเพื่อขายให้ลูกค้าหลักคือบริษัทพลังงานแห่งชาติอิสราเอล (Israel Electric Corporation หรือ IEC) เป็นจำนวน 206 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน ในระยะเวลา 15 ปี อย่างไรก็ดีที่ราคาดังกล่าว PTT อ้างว่า
โครงการยังคงจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล ซึ่งคิดเป็นค่า IRR ที่สูงกว่า 15%
ทั้งนี้ในปัจจุบัน EMG กำลังก่อสร้างระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 26 นิ้ว ยาว 87.6 กม. ใต้ทะเลและ 2.8 กม. บนบก) จากอียิปต์ไปอิสราเอลโดยมีมูลค่าการลงทุนรวม US$469 ล้านเหรียญ เราเห็นว่าต้นทุนต่อ กม. ที่ 5.2 ล้านเหรียญค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ 1 ล้านเหรียญต่อ กม. ของท่อส่งก๊าซฯ ที่สามของ PTT ในประเทศไทย อย่างไรก็ดี PTT ชี้แจงว่ามีความแตกต่างทางด้านเทคนิคระหว่างการวางท่อส่งก๊าซใต้ทะเลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอ่าวไทย และการลงทุนนี้ยังรวมศูนย์ส่งออกที่ Al-Arish ในตอนเหนือของอียิปต์และศูนย์นำเข้าที่ Ashqelon ในอิสราเอล
บทวิเคราะห์ระบุว่า คาดว่าประเทศไทยจะต้องพึ่งก๊าซธรรมชาตินำเข้ามากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในประเทศ ดังนั้นอียิปต์ ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อันดับต้นๆของโลกจึงเป็นประเทศสำคัญในแผนการลงทุนของ PTT เพื่อรักษาการขยายตัวในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในอนาคต ยิ่งกว่านั้นการลงทุนดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่ดีของ PTT ในการขยายธุรกิจในตะวันออกกลางและอาฟริกาเหนือเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราคงแนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 450 บาท
**ฟินันซ่าให้เป้าหมายสูงลิ่ว 500 บ.
ด้าน บล.ฟินันซ่า ระบุว่าข่าวนี้ตอกย้ำแผนการรุกธุรกิจไปต่างประเทศของเครือ PTT อย่างชัดเจน แม้ราคาที่จ่ายซื้อจะมีพรีเมี่ยมกว่า 10 เท่าจาก BV @ 1.05 USD/หุ้น ก็ตาม แต่คุ้มในระยะยาว เพราะโครงการดังกล่าวความเสี่ยงต่ำ (EMG มีสัญญาซื้อวัตถุดิบระยะยาว 15 ปี และมีสัญญาขายก๊าซระยะยาวกับลูกค้าแล้วเช่นกัน) และเงินลงทุนก็ถือว่าน้อยมาก (แค่ ~2% ของสินทรัพย์รวมของ PTT เท่านั้น) จริงๆสิ่งที่ PTT หวังคือจะได้ซื้อก๊าซ LNG และปูทางสู่การลงทุนเพิ่มในอิยิปต์ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมากด้านปิโตรเลียมโดยเป็นผู้ส่งออก LNG อันดับต้นๆของโลก ซึ่งสอดคล้องกับแผนการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศเรา (ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีจำกัดและอาจไม่พอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี) ปัจจุบัน PTT อยู่ระหว่างศึกษาโครงการ LNG Receiving Terminal เพื่อรับซื้อ LNG จากต่างประเทศ คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2011
ส่วนคดีประวัติศาสตร์กรณีแปรรูป เชื่อว่าผลการพิจารณาอาจจะยืดเยื้อ เพื่อรอให้พ.ร.บ. ประกอบกิจการพลังงานมีผลบังคับใช้เสียก่อน ซึ่งขณะนี้นายกฯได้ลงนามร่าง พ.ร.บ. ประกอบกิจการพลังงาน และทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ อำนาจในการดูแลเรื่องการเวนคืน การรอนสิทธิเพื่อสร้างสายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และการรอนสิทธิการสร้างท่อก๊าซฯของ PTT รวมทั้งการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ยังแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 500 บาท Upside 34%
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTT เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน โดยหุ้นเปิดการซื้อขายในแดนบวก มีจุดต่ำสุดที่ 372 บาท และสูงสุดที่ 384 บาท ก่อนที่จะปิดการซื้อขายที่ 380 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเป็นอันดับ 1 ที่ 2,449.23 ล้านบาท
เมื่อ: 2007-12-01T01:31:07+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ปกติเวลาคิด พอร์ต เติบโต...
nearly_vi: ที่ว่าปีละกี่% พวกท่านๆ มักจะใช้ช่วงไหนเปรียบเทียบครับ
1. รอบปี พศ. (คศ. เหมือนกันแหละครับ แหะๆ)
2. รอบปี นับตั้งแต่เริ่มลงทุน
3. รอบปี นับตั้งแต่หลังได้ปันผลปีที่แล้วครบหมด ค่อยเริ่มนับ
4. ความพอใจ เลือกช่วงไหนแล้ว ตัวเลขโตเยอะสุด :P ดูแล้วดีใจกว่า อิอิ
เมื่อ: 2006-10-23T10:07:30+00:00
ต.หยวนเปียว: คศ :D
เมื่อ: 2006-10-23T12:06:46+00:00
naris: ข้อ1ครับ คิดง่ายดี มีเวลาตัดสินใจและชื่นชมผลงาน(เพราะตลาดหยุด) และให้รางวัลตัวเองตอนปีใหม่ครับ
เมื่อ: 2006-10-23T12:26:48+00:00
yoyo: แบบแรกเหมือนกันครับ ... เริ่มต้นปี แล้วดูว่าปัจจุบันเป็นเท่าไหร่โตขึ้นกี่ %
เมื่อ: 2006-10-23T15:27:18+00:00
โอ@: คิดตามข้อหนึ่งครับ เพราะว่าเริ่มเล่นตอนข้อหนึ่งพอดีด้วยแหละ
เมื่อ: 2006-10-23T17:13:38+00:00
tanate: คิดทุกสิ้นเดือน และเปรียบเทียบกับต้นปีครับ
เมื่อ: 2006-10-24T01:47:01+00:00
picatos: อืม... ผมใช้ Function XIRR ใน Excel คำนวนครับ
ใส่ List ของ Cash Flow ลงไป แล้วก็มูลค่า MTM ณ วันล่าสุด ให้มันคำนวนหา Return ออกมา
เมื่อ: 2006-10-24T13:51:57+00:00
sunrise: ต้นปีครับ สบายๆ :lol: ตอนสิ้นปีก็ได้ชื่นชมผลงานตัวเองครับ :D
อืมมม หรือไม่ก็ร้องไห้ :oops:
เมื่อ: 2006-10-25T01:26:19+00:00
teetotal: ปีละกี่ %
the stock market's performance depends on 3 factors
1 real growth
2 inflationary growth
3 speculative growth-or decline (any increase or decrease in the investing pulic's appetilt for stock)
คัดมาจาก the inteligent investor
ข้อ 3 คาดการณ์ยาก
ขนาด เก่งๆ อย่าง เซอร์ ไอแซค นิวตัน
ยังคาดการณืไม่ได้
"I can calculate the motions of heavenly bodies, but not the madness of people," Sir Isaac Newton wrote in 1721. His words were as much a lament as an acknowledgment of his own limitations: Newton was one of many investors who had lost their shirts in the "South Sea Bubble."
เมื่อ: 2006-10-25T06:05:52+00:00
nam: กรณีที่เพิ่มทุนทุกเดือน คิดอย่างไรครับ คิดปลายปีเทียบกับต้นปีก้ไม่ได้ เพราะทุนปลายปีเพิ่มจากต้นปีหลายเท่า ( บังเอิญไม่ได้ mark to market ไว้เลยคิดแบบ nav ไม่ได้)
เมื่อ: 2006-10-25T09:36:25+00:00
คนเรือ VI: แบบแรกครับ 1/1 - 31/12
ยกเว้นปิดพอร์ตหนีไปเที่ยวก่อนสิ้นปี
แต่มีคำถามครับ
ผมมีดึงกำไรออกไปเที่ยว ควรจะต้องแยกระยะเวลาต้นทุนมั้ยครับเพราะผมทบต้นตลอดเลย แล้วค่อยคิดเฉลี่ยทั้งปีตอนวันสุดท้าย
กองทุนมี เงินเข้า ออกตลอดเวลา เค้าคิด nav ยังไงครับ?
เมื่อ: 2006-10-25T11:39:14+00:00
nanakorn: [quote="picatos"]อืม... ผมใช้ Function
เมื่อ: 2006-10-25T11:51:41+00:00
nanakorn: คนเรือ VI เขียน:
แต่มีคำถามครับ
ผมมีดึงกำไรออกไปเที่ยว ควรจะต้องแยกระยะเวลาต้นทุนมั้ยครับเพราะผมทบต้นตลอดเลย แล้วค่อยคิดเฉลี่ยทั้งปีตอนวันสุดท้าย
กองทุนมี เงินเข้า ออกตลอดเวลา เค้าคิด nav ยังไงครับ?
แนะนำ XIRR ใน Excel ครับ บันทึก Cash Flow และวันที่ที่มี Cash Flow ไปเรื่อยๆ (เหมาะสำหรับคนที่ไม่เอาเงินเข้าออกมากนัก) ปันผลก็ถือว่าเป็น Cash Flow ถ้าอยากทราบ Return วันไหน ก็ใส่วันที่วันนั้นเข้าไป แล้วใส่มูลค่าพอร์ตของวันนั้นเสมือนเป็น Cash Flow ที่ออกมาจากพอร์ตทั้งหมด ก็จะได้ Return ที่ถูกต้องครับ
XIRR สะดวกดีครับ แถมได้ความละเอียดเป็นของแถมด้วยครับ (XIRR คำนวณ Return เป็นระดับวัน) ถ้าละเอียดแต่ไม่สะดวกผมก็ไม่เอาครับ
เมื่อ: 2006-10-25T12:00:49+00:00
คนเรือ VI: รบกวนคุณ nanakorn
ใน excel ผมไม่มี xirr function แหะ ต้องโหลด add-on จากที่ไหนครับ
และก็วิธีใช้ด้วยครับ
=xirr(....,....,....)
ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2006-10-25T12:12:44+00:00
picatos: ถ้าจำไม่ผิด XIRR ต้องไป Activate Analysis Toolpack ใน Add-ins ก่อน ถึงจะใช้ได้นะครับ
ลองอ่าน Help ดูก็ได้ครับ
เมื่อ: 2006-10-25T12:39:29+00:00
nanakorn: คนเรือ VI เขียน:รบกวนคุณ nanakorn
ใน excel ผมไม่มี xirr function แหะ ต้องโหลด add-on จากที่ไหนครับ
และก็วิธีใช้ด้วยครับ
=xirr(....,....,....)
ขอบคุณครับ
ผมจำไม่ได้แล้วครับว่าเป็น Add-Ins ตัวไหน ลองเข้าไปที่ Tools->Add-Ins แล้วเลือกมันให้หมดเลยครับ (Excel อาจจะถามหาแผ่น Office ครับ ต้องลองดูครับ)
วิธีใช้ (ดัดแปลงจากตัวอย่างจาก Microsoft ครับ) สมมุติว่าคอลัมน์ A เป็น Cash Flow คอลัมน์ B เป็นวันที่
สมมุติว่า Jan 1, 2008 มูลค่าพอร์ตเท่ากับ 10,000
Mar 1, 2008, Oct 30, 2008, Feb 15, 2009 ได้ปันผล 2,750, 4,250, 3,250 ตามลำดับ
สมมุติต่อว่า Apr 1, 2009 มูลค่าพอร์ตเท่ากับ 2,750 IRR ณ Apr 1, 2009 จะคำนวณได้ตามข้างล่างครับ
A B
2 -10,000 January 1, 2008
3 2,750 March 1, 2008
4 4,250 October 30, 2008
5 3,250 February 15, 2009
6 2,750 April 1, 2009
Internal Rate of Return = XIRR(A2:A6,B2:B6,0.1) = 0.373362535 or 37.34%
ตัวเลขตัวสุดท้ายเป็นค่าเดาค่าแรก เนื่องจากการคำนวณต้องใช้ Iteration (Excel มันทำของมันเองครับ) ค่าเดานี้ไม่ต้องใส่ก็ได้ครับ ผมไม่เคยใส่เลย ถ้าไม่ใส่ Excel จะใช้ 0.1 (10%) ถ้าไม่ใส่ก็จะเป็น
Internal Rate of Return = XIRR(A2:A6,B2:B6) = 0.373362535 or 37.34%
ถ้าเอาเงินเติมเข้าไปวันไหน ก็ใส่วันที่วันนั้น พร้อม Cash Flow ที่มีค่าลบครับ เช่นถ้า Apr 15, 2009 เติมเงินเข้าไป 5,000 บาท List ก็จะกลายเป็น
A B
2 -10,000 January 1, 2008
3 2,750 March 1, 2008
4 4,250 October 30, 2008
5 3,250 February 15, 2009
6 -5,000 April 15, 2009
ลองดูครับ :D
เมื่อ: 2006-10-25T12:44:18+00:00
nanakorn: [quote="nanakorn"]ถ้าเอาเงินเติมเข้าไปวันไหน ก็ใส่วันที่วันนั้น พร้อม Cash Flow ที่มีค่าลบครับ เช่นถ้า Apr 15, 2009 เติมเงินเข้าไป 5,000 บาท List ก็จะกลายเป็น
เมื่อ: 2006-10-25T12:49:43+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
แนวคิดของคนขับรถ ที่ชนคน
hot: ผมเคยได้ยินคำสนทนา หรือคำบอกเล่าในหมู่คนขับรถ
ประเภท หนึ่ง ที่ถูกสอน และบอกเล่ากันว่า
ถ้า ขับรถชนคน แล้วต้องกลับทับให้ตาย เพราะกลัว
คนที่โดนชน จะมาฟ้องเรียกค่าเสียหาย แต่คนตายอย่างมากเสียแค่
ค่าทำศฟ ผมฟังสิ่งเหล่านี้เมื่อหลายปีก่อนและผ่านหูไป เพราะคิดว่า
ไม่น่ามีคนที่สามารถทำ หรือกระทำตามสิ่งที่ผ่านหูผมมาได้
เพราะเหมือนชีวิตคนเรามันมีค่าแต่ธุดีดินหรืออย่างไร
ถึงถูกชี้ชะตามว่าต้องตาย ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทำอย่างนี้ได้
คิดแล้ว เศร้าจัง
หวังว่า คงไม่มีคนทำแบบนี้ในสังคมเรามากนัก
เมื่อ: 2005-03-29T17:11:42+00:00
bigshow: ดูตีสิบหรือเปล่าครับ ผมดูแล้วน้ำตาไหลเลย หน้าตาน่ารักด้วยคล้ายๆน้ำผึ้ง สงสาร
น้องเค้าจริงๆ
ใครจะบริจาค เชิญได้เลย
156-200-703-1 SCB สาขาย่อย เซ็นทรัลพระราม2
ชื่อสุนันทา แซ่เฮ้า
เมื่อ: 2005-03-29T17:55:11+00:00
ปรัชญา: ถ้ารถมีประกันชั้น 1
ขับรถชนคู่กรณี ควรช่วยเหลือเขาครับ
อยากได้ค่าชดใช้ ค่าเสียหายเท่าไหร่
ก็เรียกร้องเอากับบริษัทประกันภัย
ชีวิตคนทุกคนมีค่า หากใครมาทำแบบนี้กับคนใกล้ชิด
หรือญาติสนิทมิตรสหาย ก็ต้องเดือดร้อนทุกคน
ขับรถชนคนบาดเจ็บไม่ติดคุก (ถ้าไม่ตาย)
ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ข้อคิดแบบคุณhot ว่ามาชนแล้วทับให้ตาย
คือพวกรับจ้างขับซะมากกว่า
ไม่รู้หลักกฏหมาย ใครเล่ามาก็เชื่อไว้ก่อน
อย่าทำกันแบบนั้นมันไม่ดี
ชีวิตผมเกิดมาชนคนขาหัก และ บาดเจ็บ5ครั้ง
ผมช่วยเขานำส่งโรงพยาบาลทุกครั้ง
ไม่เห็นต้องไปกลัวอะไร มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ตั้งใจ
หากขับรถชนคนตาย
ตำรวจเรียก ขับรถโดยประมาททำให้คนอื่นถึงแก่ชีวิต
เมื่อ: 2005-03-30T00:47:43+00:00
โอ@: พวกทีโดนสั่งให้ทับให้ตายส่วนมากก็พวกลูกจ้างที่ขับรถสิบล้อพวกนั้นแหละครับ
ส่วนมากเลยจะเห็นว่าทิ้งรถหนีไปเลย เพราะว่า ค่าดูแล กับค่าทำศพ ค่าทำศพจ่ายน้อยกว่าด้วยแหละครับ ผมว่านายจ้างบางคนกำชับมาให้ทำด้วยซ้ำ
เมื่อ: 2005-03-30T04:55:42+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ปัจจุบันมีการใช้พลังงานจากภูเขาไฟบ้างคับ
hot: เห็นแต่ในหนัง แต่ความจริงน่าจะเป็นไปได้นะ
ถ้าทำได้
น้ำมันจะเหลือแค่18%
เองนะ
เมื่อ: 2006-06-10T07:08:35+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ถามเพื่อนๆ ครับ
Stock Broker: สมมติว่าเพื่อนๆ เป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตสินค้าชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากจนทำให้ราคาซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ย 1 ปีก่อนหน้านั้นถึงอีก 2 เท่าตัว!! (สมมติให้จากเดิม 100 บาทต่อชิ้นเป็น 300 บาทต่อชิ้น)
ในขณะนั้น สินค้าของบริษัทเป็นที่ต้องการมากถึงขนาดที่มีลูกค้าแย่งกันสั่งออร์เดอร์ล่วงหน้า 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง หรือ 1 ปีก็ยังมีโดยให้ราคาสูงถึง 350 บาทต่อชิ้น (บริษัทมียอดจองล่วงหน้านี้มากถึง 60% ของกำลังการผลิตสำหรับช่วง 3 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า)
แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน ใน 3 เดือนต่อมา (ปัจจุบัน) เกิดเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ความต้องการสินค้าดังกล่าวลดต่ำลง ราคาขายในตลาดลดลงอย่างฮวบฮาบจาก 300 บาทเหลือแค่ 180 บาทต่อชิ้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีการยกเลิกออร์เดอร์ล่วงหน้าแต่อย่างใด
อยากทราบว่าเพื่อนๆ จะมีความเห็นกับบริษัทนี้อย่างไร โดยสมมติให้ออร์เดอร์ล่วงหน้านี้ไม่ถูกยกเลิกเนื่องจากในสัญญาระบุค่าปรับในกรณีผิดสัญญาไว้สูงมาก
เมื่อ: 2004-06-02T15:42:41+00:00
chatchai: สำหรับผมนะครับ
ถ้าผมซื้อห้นบริษัทนี้ ก่อนเหตการณ์ที่สินค้าจะมีราคาปรับตัวสงขึ้น ผมก็คงจะทะยอยขายในช่วงที่ราคาสินค้าพ่งสงเกินราคาปรกติครับ
ถ้าผมไม่ได้ซื้อห้นในช่วงนั้น พอราคาสินค้าของบริษัทปรับตัวสงขึ้น ผมก็คงได้แต่ดครับ
สรปผมคงไม่ถือห้นบริษัทนี้จนถึงช่วงที่ราคาตกลงจาก 350 หรอกครับ แต่อาจจะทะยอยขายไปตั้งแต่ช่วง 150 บาทไปแล้วก็ได้ครับ
เพราะผมคิดว่าอะไรก็ตามที่มีราคาสงหรือต่ำผิดปรกติ ราคานั้นก็คงเกิดขึ้นไม่ได้นานครับ ยิ่งถ้าสินค้านั้นเป็นการแข่งขันแบบเสรี และเป็นราคาตลาดโลกนะครับ
ก็เหมือนราคาห้นนะครับ บางครั้งเราคำนวณราคาตามพื้นฐานแล้วอย่ที่ 120 บาท ราคาตลาดอย่ที่ 60 บาท เราก็ซื้อ
หลังจากนั้นถ้าราคาวิ่งไปที่ 130 140 150 ผมก็คงจะทะยอยขายครับ
ซึ่งบางครั้งจากแรงเก็งกำไร ราคาอาจจะวิ่งต่อไปที่ 160 170 180 ก็ได้ หรืออาจจะตกลงไปที่ 120 110 100 90 ก็ได้อีกเหมือนกัน
ผมเพียงแต่หาส่วนต่างจากราคาตลาดและราคาตามพื้นฐานเท่านั้น ส่วนเกินก็นั้น ไม่ได้ก็ไม่คิดเสียดายครับ
เมื่อ: 2004-06-02T16:40:21+00:00
stockms: คุณฉัตรชัยตอบได้ถูกต้องเลยครับ เราควรจะขายหุ้นออกไปแล้วตอนที่คนคิดว่าผลกำไรมันจะสวยหรู แต่ถ้ายังไม่ได้ขายก็คงต้องมาดูกันว่าราคาหุ้นได้ลดลงมาขนาดไหนแล้ว ถือต่อไปจะคุ้มหรือไม่ หรือคนที่ขายไปแล้วควรจะเข้าไปรับคืนได้หรือยัง มีบางคนรู้คำตอบนี้ครับและได้รับคืนไปบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ควรรอดูเหตุการณ์ครับว่าราคาสินค้าจะหยุดลงรึยังถ้าจะยังลงต่อคงต้องยอมขายหุ้นทำกำไรเล็กน้อยไปก่อน แต่ถ้าหยุดลงแล้วก็คงถือต่อไปได้ครับ ราคาตรงนี้วัดใจแล้วครับ
เมื่อ: 2004-06-03T02:04:50+00:00
Stock Broker: ขอบคุณสำหรับความเห็นครับผม
เมื่อ: 2004-06-03T16:41:54+00:00
Blueblood: ขอเพิ่มข้อมูลสมมติอีกนิดนะครับคือถ้าเราทราบมาเพิ่มเติมว่าสินค้าชนิดนี้จะมีการผลิตออกสู่ตลาดลดลงเรื่อยๆ ที่แน่ๆคือภายใน 2-3 ปีนี้จะไม่มีใครมาผลิตแข่งล่ะครับ และ demand ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและสูงกว่า supply อยู่มาก อย่างนี้ควรทำอย่างไรดีครับ(จริงๆแล้ว demand มากกว่า supply มากแต่เกิด shock เล็กๆ) แล้วถ้าผมสมมติเพิ่มเติมอีกว่ากระแสเงินสดของบริษัทนี้แค่ สองปีกว่าๆก็เท่ากับราคาทั้งบริษัท จะทำให้บริษัทนี้ยังน่าสนใจอยู่มั๊ยครับ ?
หรือเป็นไปได้มั๊ยครับว่าราคาสินค้าชนิดนี้จริงๆแล้วไม่ได้ลดลงมากเหมือนที่คุณว่า แต่เป็นเพราะคุณใช้ข้อมูลภาพใหญ่มาอธิบายภาพเล็ก ซึ่งอาจเกิดการผิดพลาดได้เหมือนคุณใช้รายได้เฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศมาพยากรณ์รายได้ของนาย ก นั่นล่ะครับ
เมื่อ: 2004-06-03T19:21:09+00:00
stockms: บางครั้งเราอาจเชื่อว่าภาพใหญ่อธิบายภาพเล็กได้ไม่หมด แต่ตอนราคาสินค้าเพิ่เราก็มองจากภาพใหญ่นั่นแหละจึงทำให้ราคาหุ้นมันขึ้นมา แล้วภาพเล็กที่ว่าจะมีใครรู้บ้างนอกจากเจ้าของ ราคาตรงนี้วัดใจจริงๆนะครับ ถ้าจะไปต่อต้องมีคนมาลากสวนดัชนีภาพใหญ่แล้วครับ เชื่อครับว่ามีคนสะสมไว้พอสมควรที่ราคาต่ำกว่า 30
เมื่อ: 2004-06-04T01:53:57+00:00
chatchai: ที่ว่ากระแสเงินสดเพียงแค่ 2 ปีก็เท่ากับมลค่าบริษัทนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามลค่าบริษัทนั้นคณรวมหนี้สินของบริษัทไปด้วยหรือเปล่า รวมทั้งหักเงินลงทนที่ต้องใช้ด้วยหรือไม่ครับ
การลงทนนั้นผมมักจะมองในระยะยาวครับ เพราะไม่มั่นใจว่าไม่มีสินค้าและบริการใดๆที่สามารถมีราคาแพงกว่าปรกติได้ในระยะยาวครับ ราคาที่ขึ้นสงสดในรอบเป็นสิบปีนี้ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ราคาปรกติครับ และสดท้ายก็จะลดลงส่ราคาปรกติ ราคาห้นก็คงจะลดลงเรื่อยๆจนถึงราคาตามพื้นฐานตามปรกติครับ แต่ใครจะร้ว่าเมื่อไรจะเกิด
เมื่อ: 2004-06-04T02:44:33+00:00
Blueblood: chatchai เขียน:ที่ว่ากระแสเงินสดเพียงแค่ 2 ปีก็เท่ากับมลค่าบริษัทนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามลค่าบริษัทนั้นคณรวมหนี้สินของบริษัทไปด้วยหรือเปล่า รวมทั้งหักเงินลงทนที่ต้องใช้ด้วยหรือไม่ครับ
การลงทนนั้นผมมักจะมองในระยะยาวครับ เพราะไม่มั่นใจว่าไม่มีสินค้าและบริการใดๆที่สามารถมีราคาแพงกว่าปรกติได้ในระยะยาวครับ ราคาที่ขึ้นสงสดในรอบเป็นสิบปีนี้ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ราคาปรกติครับ และสดท้ายก็จะลดลงส่ราคาปรกติ ราคาห้นก็คงจะลดลงเรื่อยๆจนถึงราคาตามพื้นฐานตามปรกติครับ แต่ใครจะร้ว่าเมื่อไรจะเกิด
เป็นการคาดการณ์คร่าวๆน่ะครับ ไม่ได้คิดเรื่องหนี้สิน เพราะกระแสเงินสดผมคิดแค่ 2 ปี และผมมองว่าถึงจะเป็นใน cycle ขาลงในอนาคตนั้นก็ไม่น่าจะทำให้บริษัทถึงกับมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ ส่วนหนี้สินนั้นใช้ในระยะยาวได้ซึ่งบริษัทก็จะมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วและถ้าจำเป็นจริงๆในช่วง 2 ปีนี้สามารถใช้หนี้ได้จนหมดได้สบายๆครับ เพราะอัตราปันผลก็ไม่ได้มากอยู่แล้ว แค่ 25% และเรื่องการลงทุนเพิ่มคงไม่มีหรือมีก็ไม่มากแล้วภายใน 2 ปีนี้ครับ แต่จริงๆแล้วจะมีเงินสดจากการขายเรือเก่าเข้ามาอีกด้วยซำไป ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ ตรงนี้ผมก็วัดใจผู้บริหารเหมือนกันว่าข้อมูลที่เค้าบอกนั้นจะมีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน
ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนกันนะครับ
ป.ล. ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินผู้ใด ถ้ามีใครคิดอย่างนั้นก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
เมื่อ: 2004-06-04T03:05:37+00:00
chatchai: คือผมอยากจะบอกว่าการพิจารณากระแสเงินสดนั้น ควรจะพิจารณาจากตัวเลขที่เหลือส่มือผ้ถือห้นและบริษัทจริงๆครับ
บางบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรับปีละ 100 ล้านบาท แต่มีหนี้สินถึง 500 ล้านบาท
กับอีกบริษัทมีกระแสเงินสดรับน้อยกว่าแค่ 50 ล้านบาท แต่มีหนี้เพียง 20 ล้านบาท
หรืออีกกรณี
บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนนิงานรับปีละ 100 ล้านบาท ไม่มีหนี้ แต่ต้องลงทนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มรักษาการผลิตเดิมถึงปีละ 80 ล้านบาท
กับอีกบริษัทมีกระแสเงินสดรับน้อยกว่าเพียง 50 ล้านบาท แต่มีการลงทนเพียงแค่ปีละ 10 ล้านบาทเท่านั้น
คณว่าทั้งสองกรณี บริษัทไหนน่าจะมีมลค่าตลาดมากกว่ากันครับ
เมื่อ: 2004-06-04T03:31:06+00:00
Blueblood: ผมเข้าใจที่พี่พยายามจะบอกครับ ผมแค่จะบอกว่าบริษัทนี้จะไม่มีการลงทุนเพิ่มอีกในปีสองปีนี้ ผู้บริหารเค้าบอกว่า cycle รอบนี้ไม่เพิ่มเกินกว่า 50-52 ลำครับ ตอนนี้ 50 ลำ อาจจะจบเรื่องลงทุนเพิ่มแล้ว ตัวลดกระแสเงินสดที่จะเหลือถึงผู้ถือหุ้นดียวคือหนี้ครับ ซึ่งถ้าเทียบตัวหนี้กับ ebitda ยังไงก็แค่ปีกว่าๆก็ใช้หมดอยู่ดี แต่จริงๆแล้วอาจไม่จำเป็นต้องรีบใช้หนี้ทั้งหมดเร็วขนาดนั้น ถูกครับที่บริษัที่มีหนี้มากถึงจะมีกระแสเงินสดมากก็เหลือถึงผู้ถือหุ้นไม่มาก แต่ถ้าลองเทียบกับบริษัทอื่นในตลาดที่ถึงแม้กิจการจะดูดีแต่กระแสเงินสด กว่าจะมาใช้หนี้ก็ใช้เวลานานมากๆ ผมถึงลองคิดว่าราคาตรงนี้แพงหรือยัง เพราะผมเชื่อว่ามีกิจการน้อยมากที่รายได้จะไม่ขึ้นกับวัฏจักรของเศรษฐกิจครับ
เมื่อ: 2004-06-04T03:51:54+00:00
Stock Broker: ที่ผมมาชวนเพือนๆ ให้ช่วยกันออกความเห็น เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ ยึดมั่นกับอะไรที่มันไม่แน่นอนมากจนเกินไป จนละเลยความจริงบางอย่างที่ปรากฏให้เห็น
ต้องลองคิดกันดีดีครับ ว่าที่สินค้าราคาดีขึ้นแท้จริงแล้วเกิดจากฝั่งไหนแน่
Demand หรือ Supply?
สินค้าบางอย่าง Supply มันก็มีอยู่ประมาณนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพราะไม่มีการตั้งโรงงานใหม่ (อันนี้ติดตามไม่ยาก เพราะการลงทุนเพิ่มต้องใช้เวลาแรมปี)
แต่หากราคาดีขึ้นเพราะ Demand มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทีนี้ หากการก้าวกระโดดเปลี่ยนเป็นการเดินไปช้าๆ อย่างมั่นคงแทน ราคาสินค้าจะยังก้าวกระโดดอีกหรือไม่
ล่าสุด ราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงมาแล้วกี่ % ในช่วงเวลาแค่ 1-2 เดือน ทราบกันมั้ยครับ?
บางอย่างในเมื่อตอนที่ราคาสินค้าขึ้นนั้นเป็นไปอย่างเหนือการคาดเดา ทำไมเวลาราคาลงจะลงอย่างเหนือการคาดเดาบ้างไม่ได้
ก็แค่อยากให้เพื่อนๆ มองหลายๆ มุม เพื่อประโยชน์แก่เงินในกระเป๋าของเพื่อนๆ เองแหละครับ
เมื่อ: 2004-06-04T15:38:52+00:00
Stock Broker: ตัวอย่างสินค้าและบริการที่ในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา ราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ อาทิ น้ำมัน เหล็ก ปิโตรเคมี ค่าระวางเรือ ยางพารา ทั้งหมดนี้ล้วนมีวัฏจักรขึ้นลงที่สูงสุดฟ้าและเตี้ยติดดิน (มีความผันผวนสูง)
ใครที่จะลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการเหล่านี้ อย่างน้อยผมว่าต้องเคยทราบข้อมูล 1 วัฏจักรธุรกิจ (รุ่งสุดขีด 1 ครั้ง ผ่านต่ำติดดิน 1 ครั้ง แล้ววนกลับมาจนรุ่งสุดขีดอีกครั้ง) เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง
ลองนึกถึงคำสัมภาษณ์ของผู้บริหารส่วนใหญ่ ตอนที่จะเอาหุ้นใหม่เข้าตลาดหรือเพิ่มทุนดูนะครับ ไม่มีใครพูดเน้นถึงอดีตตอนที่ย่ำแย่ ส่วนใหญ่ก็บอกแต่ว่าปัจจุบันได้ราคาดีราคาสูงเกินคาดทั้งนั้น
คอยจับตาคำสัมภาษณ์ต่อไปแล้วกันครับ เอาพวกกลุ่มบ้านจัดสรรก็ได้ เพราะเห็นปลายปีก่อนโม้กันไว้เยอะ ดูสิว่าจะทำได้ตามลมปากมั้ย
เมื่อ: 2004-06-04T15:51:05+00:00
Minesweeper: เห็นคุณ Fin. Eng. พูดเรื่อง Demand/Supply ของสินค้าหลายๆ อย่าง เลยขอร่วมวงหน่อยแล้วกัน
ผมเห็นว่าราคา commodity หลายๆ อย่างตอนนี้ มันมีการเก็งกำไร (ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง) กันค่อนข้างมากนะ ราคาหลายๆ อย่างนี่ ผมสงสัยว่ามันไม่น่าจะเป็นไปตาม demand/supply เท่าไหร่ อันนี้ผมพูดแบบคนไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์นะ
ราคา commodity ทั่วโลก ที่สูงเวอร์ ขึ้น 30-40% ขณะที่เศรษฐกิจโลกโต 5% ผมว่ามันน่าสงสัยว่า มันเกิดจาก demand/supply จริง หรือน่าจะเป็นการเก็งกำไรกันมากเกินไปในราคาพวกนี้ หรือเปล่า?
8)
เมื่อ: 2004-06-05T04:21:26+00:00
Stock Broker: อย่างที่ท่าน Minesweeper ว่าแหละครับ
เท่าที่ทราบ ก็เพราะ IT และ Globalization นี่แหละครับ ทำให้ข้อมูลและการติดต่อสื่อสารปัจจุบันมันถึงกันหมดได้อย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวนี้กองทุนป้องกันความเสี่ยงสามารถหมุนเวียนเข้าออกถึงกันหมดแหละครับ ทั้ง ตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดทองคำ ตลาดสินค้าเกษตร ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ตลาดน้ำมัน ฯลฯ
อะไรที่ทำกำไรได้ และคาดการณ์แนวโน้มได้ แกฟาดเรียบแหละครับ
เมื่อ: 2004-06-06T06:50:55+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
คุณมีหุ้นไฟฟ้า หรือใช้ไฟฟ้ายอมให้ตั้งโรงไฟฟ้าติดบ้านคุณหรือ
121: จะไปสร้างที่ไหนก็ถูกต่อต้านจากชาวบ้าน
เสนอแบบเดิมๆอีกครั้ง ว่าสร้างมันตรงที่บริเวณคนใช้ไฟมากๆนี่แหละ
เอากลางกรุงเทพเลย จะดีมาก
กฟผ.' ถอยโรงไฟฟ้าทับสะแกใช้ก๊าชฯ ไอพีพีสะ ดุดผวาม็อบต้าน [9 ก.พ. 50 - 04:37]
นายวิศิษฎ์ อัครวิเนค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (เอ็กโก) เปิดเผยถึงการจัดทำประชาพิจารณ์แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือพีดีพี 2007 ที่ต้องถูกยกเลิกไปเพราะการคัดค้านของกลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนมีความกังวลและเป็นห่วงว่าจะเกิดเป็นกระแสต่อต้านไปยังจังหวัดอื่นๆ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบายชัดเจน เพราะหากจะส่งเสริมการกระจายเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า โดยการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน รัฐบาลก็ต้องมีการรับประกันความเสี่ยงที่เกิดจากการต่อต้าน เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนกล้าที่จะลงทุน
การต่อต้านการทำประชาพิจารณ์ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าเป็นห่วง เพราะหากไม่มีการทำประชาพิจารณ์ ว่าจะใช้เชื้อเพลิงใดผลิตไฟในระยะยาวเกิดขึ้นไม่ได้ การผลิตไฟฟ้าในโครงการผู้ผลิตอิสระรายใหญ่ หรือไอพีพี ที่แม้จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลให้ ก่อสร้างได้หลังการเปิดประมูลในเดือน เม.ย.นี้ ก็อาจทำให้การก่อสร้างถูกต่อต้านได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่ต้องการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และหากรัฐบาลยกเลิกให้มีถ่านหินในไอพีพีรอบใหม่นี้ และให้ใช้เฉพาะก๊าซธรรมชาติ ก็จะกลายเป็นว่าเกิดการผูกขาดเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติที่ขณะนี้มีสัดส่วนผลิตไฟสูงถึง 75% ซึ่งค่อนข้างจะผูกขาดในเรื่องของเชื้อเพลิง หรือหากจะใช้นิวเคลียร์ก็ยิ่งจะยากมากในการก่อสร้าง
นายวิศิษฎ์กล่าวกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอตัวที่จะลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าทับสะแก ที่ประจวบคีรีขันธ์ ผมมองว่า กฟผ. ไม่ควรจะวางแผนชัดเจนในขณะนี้ เพราะยังไม่ได้ สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ว่าจะยอมให้มีการก่อสร้างหรือไม่ ดังนั้น แผนพีดีพีที่กระทรวงพลังงานจะประกาศออกมาหลังการทำประชาพิจารณ์ ก็ควรระบุให้ชัดเจนเลยว่า ในช่วงเวลาใดที่ควรจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินและมีในปริมาณผลิตไฟเท่าใด สถานที่ตั้งอยู่แห่งใด เพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนไปเริ่มต้นทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่นั้นๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพลังงานว่า การจัดทำประชาพิจารณ์ พีดีพี 2007 ที่ถูกยกเลิกไปนั้น และล่าสุด กระทรวงพลังงานกำลังหาสถานที่ในการจัดสัมมนาอีกครั้งหนึ่งในเดือน ก.พ.นี้ เพื่อที่จะได้มีเวลาสรุปแผนพีดีพีที่ชัดเจนก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป โดยหากการประชาพิจารณ์ เป็นไปตามแผนดังกล่าว ก็จะทำให้การเปิดประมูลโครงการรับซื้อไฟไอพีพีได้ในเดือน เม.ย.นี้ ซึ่งผู้บริหารรายหนึ่งระบุว่าหากกรณีที่จะมีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงถูกต่อต้านอย่างรุนแรง ก็อาจต้องยกเลิกการเปิดประมูลไอพีพีสำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าที่จะใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ส่วนกรณีของ กฟผ.ที่เตรียมพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ อ.ทับสะแก กำลังการผลิต 2,100 เมกะวัตต์ หากไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ก่อสร้าง กฟผ.ก็จะหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตไฟฟ้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนยอมรับว่าการต่อต้านการทำประชาพิจารณ์เมื่อ 7 ก.พ. จะทำให้เอกชนทั้งในและต่างประเทศที่จะเข้ามาประมูลไอพีพีไม่มั่นใจต่อการเข้ามาลงทุนในไทย.
เมื่อ: 2007-02-09T04:11:37+00:00
BHT: ผมคิดเองว่า พวกต่อต้านนั้นรู้จริงมากน้อยแค่ไหน ว่าสร้างหรือไม่สร้างอะไรดีกว่ากัน
กลัวจะมีแต่พวกหูเบา โดนปั่นสมองให้มาร่วมประท้วงโดยไม่รู้จริง
เมื่อ: 2007-02-09T15:44:34+00:00
lekmak333: แล้วจะให้สร้างที่ไหน ให้คุ้มค่ากับค่าพลังงานที่ได้
สร้างในเมือง ในชุมชนหนาแน่น จะคุ้มต้นทุนการผลิตได้หรือเปล่า??
เมื่อ: 2007-02-09T17:18:25+00:00
ปรัชญา: 121 เขียน:จะไปสร้างที่ไหนก็ถูกต่อต้านจากชาวบ้าน
เสนอแบบเดิมๆอีกครั้ง ว่าสร้างมันตรงที่บริเวณคนใช้ไฟมากๆนี่แหละ
เอากลางกรุงเทพเลย จะดีมาก
คงไม่ตรงประเด็นเท่าไหร่กระมังครับ
คงต้องดูว่าการผลิตต้องใช้น้ำระะบายความร้อน เขาถึงเลือกใกล้ทะเล
ตัวอย่างที่ทำให้ดูไม่ดี เพราะที่แม่เมาะก็ยังปิดข่าว
ความมั่นใจคนในพื้นที่เลยไม่มีความไว้ใจ
น่าจะลองเปลี่ยนเป้าหมายพื้นที่ตั้ง
ไปตามเกาะที่ไม่มีคนอยู่ซะเลย
เมื่อ: 2007-02-10T05:58:15+00:00
Accidental Hero: ตอบได้ทันทีเลยว่า ผมไม่อยากอยู่ใกล้ๆโรงไฟฟ้าแน่นอน
เพียงแต่ว่า แทนที่จะคัดค้านไม่ให้มาตั้งแบบ "มึงสร้าง กูเผา"
ผมเลือกที่จะย้ายออกจากพื้นที่ ภายใต้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล
เมื่อ: 2007-02-10T06:47:05+00:00
magician: สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียสิครับ ไม่ได้พูดเล่นนะ บ้านเราน่าจะมีได้ตั้งนานแล้ว เอาไปสร้างแถวๆอิสาน ตรงที่ที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้และอยู่ไกลๆๆๆๆๆแหล่งชุมชน (เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะได้ไม่เสียหายมากนัก)
เอาตรงแถวๆหนองบัวลำภู ทำคลองดึงน้ำจากแม่น้ำโขงมาเก็บไว้เพื่อระบายความร้อน ไม่ก็ตั้งมันใกล้ๆแม่น้ำโขงนั่นแหละ
เมื่อ: 2007-02-10T14:46:41+00:00
krittapon_r: สำหรับโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ถ้าเกิดอุบัติเหตุจริงบริเวณที่ได้รับผลกระทบจะกินบริเวณกว่ามาก .... ดังนั้นการเอาไปตั้งที่หากไกลชุมชนแค่ไหนผมคิดว่า จริงๆแล้วก็มีผลต่างกันน้อยมาก
...แต่หลังเวียยดนามสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เสร็จ คงจะได้เห็นอะไรเปลี่ยนไป
เมื่อ: 2007-02-12T04:17:29+00:00
lekmak333: ที่ระเบิดกัน คือเมื่อก่อน
แต่ปัจจุบัน ไม่มีปรากฏให้เห็นแล้ว เรื่องระเบิดเนี่ย
ปัญหาไม่ใช่เรื่องโรงไฟฟ้าระเบิด แต่เป็นเรื่องการกำจัดกากซะมากกว่า ถ้าไม่ไปทิ้งกลางมหาสมุทร ต้นทุนไม่ใช่น้อยน่ะ :lol:
เมื่อ: 2007-02-12T04:31:58+00:00
Saran: ผมก็เป็นคนประจวบฯ คนหนึ่ง ถึงแม้จะอยู่คนละอำเภอกับที่เค้าจะสร้างโรงไฟฟ้ากัน แต่ก็บอกได้เลยว่าไม่อยากให้มันมาสร้างอยู่ใกล้ๆ บ้าน
ผมว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการควบคุมมลพิษของโรงงาน + โรงไฟฟ้าเองด้วย กฏหมายสิ่งแวดล้อมก็มีมานานแล้ว แต่ก็อาศัยช่องโห่วซิกแซกไปทั่ว ทำให้เกิดปัญหามีอยู่ทั่วไป แล้วจะให้ชาวบ้านในพื้นที่เชื่อใจได้ยังไงว่าอยู่ไปแล้วจะปลอดภัย
กฏหมายมันไม่ศักดิ์สิทธิ์พอครับ
เมื่อ: 2007-02-12T04:34:34+00:00
terati20: มี อีกทางครับ คือ สร้างโรงไฟฟ้าไว้ประเทศเพื่อนบ้าน เเล้วต่อเข้าสายส่ง ของ Egat เเต่ก็มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงถ้าวันไหนทะเลาะกันขึ้นมา ตัดไฟเราคงเเย่
เห็นด้วยครับต้องมีโรงไฟฟ้านิวเคลีย
เพราะต้นทุนค่าไฟเราเเพงและไม่ค่อยมีทางเลือก
น้ำมันก็เเพง ก๊าซก็ไม่รู้จะมีให้เราใช้ไปอีกเท่าไหร่
ถ่านหิน ก็โดนต้อนเรื่องมลภาวะอีก
ใช้พลังน้ำมากก็ไม่ได้เพราะต้องเอาน้ำไว้ทำการเกษตร
เรื่องพลังลม เลิกพูดได้เลย ไม่คุ้มค่ามากๆ
เมื่อ: 2007-02-12T05:38:54+00:00
equinox: ผมว่าเราเอาเปรียบกันมากไปหรือเปล่า? อยากใช้ไฟถูกแต่ต้องไปสร้างในบ้านคนอื่น
การคิดค่าไฟตามระยะทางการส่ง แบบน้ำมันน่าจะดี
เมื่อ: 2007-02-12T06:07:56+00:00
farmer: magician เขียน:สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียสิครับ ไม่ได้พูดเล่นนะ บ้านเราน่าจะมีได้ตั้งนานแล้ว เอาไปสร้างแถวๆอิสาน ตรงที่ที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้และอยู่ไกลๆๆๆๆๆแหล่งชุมชน (เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะได้ไม่เสียหายมากนัก)
เอาตรงแถวๆหนองบัวลำภู ทำคลองดึงน้ำจากแม่น้ำโขงมาเก็บไว้เพื่อระบายความร้อน ไม่ก็ตั้งมันใกล้ๆแม่น้ำโขงนั่นแหละ
อย่าเลยครับ เพราะตอนนี้น้ำโขงก้อไม่ค่อยจะพอใช้แล้วครับ ตั้งแต่จีนสร้างเขื่อนนี้ แถวลุ่มแม่น้ำโขง แห้งเกือบหมดแล้วครับ
เมื่อ: 2007-02-12T06:53:30+00:00
path2544: ผมไม่คัดค้าน หากจะสร้างแถวบ้านผมนะ
เพราะมันต้องสร้าง คนมีมากขึ้นไฟฟ้าก็ต้องใช้มากขึ้นเป็นธรรมดา
ผมว่าคนที่คัดค้าน ลืมสำรวจตัวเอง ว่าคุณก็คนหนึ่งที่ใช้ไฟฟ้า และหากคุณไม่ใช้ไฟฟ้า คุณจะเห็นแก่ตัวไปไหม ที่จำกัดการใช้ไฟฟ้าของคนอื่นๆ
ซึ่งการสร้างไม่สร้างนั้น เป็นคนละเรื่องกับคนที่ใช้ไฟฟ้ามากเกินคนอื่นๆๆ เป็น 100 เท่า นะครับ (คนรวย) อันนั้นต้องใช้วิธีการจัดการอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช้บอกให้เค้าใช้น้อยลงและปันส่วนไฟฟ้ากัน มันไม่ทันกับประชากรที่เกิดขึ้นหลอก สุดท้ายมันก็ขาดแคลน
แต่ ผู้ผลิตไฟฟ้าก็ ต้องแสดงให้ประชาชน เห็นว่า
โรงงานผลิตไฟฟ้า มีการควบคุมที่ดี และยินยอมให้ ประชาชนแถวนั้นเข้าไปตรวจสอบ และมีการตรวยสอบผลกระทบอย่างสม่ำเสนอ โดยหน่วยงานที่เป็นกลาง อย่างเคร่งครัด
สรุปก็คือการ บริหารงาน และบริหารขบวนการผลิตที่โปร่งใส (ซึ่งทำยาก แต่ต้องทำ และคืองาน ของผู้บริหารประเทศ ที่จะต้องทำให้ได้)
สุดท้ายหากใครไม่สามารถยอมรับได้ก็ต้องให้ สามารถตัดสินใจให้เค้าย้ายออกได้อย่างเป็นธรรม
เมื่อ: 2007-02-12T06:54:16+00:00
opal: พอดีผมไปเห็นที่อินเดีย โรงไฟฟ้าเขาสร้างติดเมืองใหญ่เลยครับ เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินนี่แหละ ผมว่าถ้าจะสร้างก็สร้างได้แต่ปัญหาคือเขาใช้ถ่านอะไร และควบคุมมลภาวะอย่างไรเพื่อให้มีมลพิษน้อยที่สุด เพราะว่าโรงไฟฟ้าเขาต้องใช้เชื้อเพลิงหลายๆชนิด(ป้องกันความเสี้ยงครับ) แล้วตอนนี้เราก็ซ้อไฟจาก สปป.ลาวเยอะมากนะครับ
เมื่อ: 2007-02-12T17:08:23+00:00
mrarkkk: พอดีผมไปเห็นที่อินเดีย โรงไฟฟ้าเขาสร้างติดเมืองใหญ่เลยครับ เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินนี่แหละ ผมว่าถ้าจะสร้างก็สร้างได้แต่ปัญหาคือเขาใช้ถ่านอะไร
ถ้าสร้างใกล้เมืองขนาดนั้นคงเป็นบิทูมินัสหรือแอนทราไซต์ละมั้งครับ ผมไม่รู้ว่าโรงไฟฟ้าใหม่ที่เราคิดจะสร้างกันเขาจะใช้ถ่านหินประเภทไหน ถ้าเป็น2ชนิดที่ว่ามานี่เรื่องมลภาวะค่อนข้างน้อยครับ แต่ผมว่านิวเคลียร์ดีกว่ามองกันแบบระยะยาวเลยผมว่าคุ้มเพราะไม่แน่ในอนาคตเราอาจถูกกีดกันทางการค้าเนื่องจากการที่เราใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลซึ่งทำให้เกิดภาวะเรื่อนกระจก (คิดไปโน้น)
เมื่อ: 2007-02-13T06:16:53+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
ใครมี CPF บ้าง มีข่าวลือหนาหูครับ .... อ่านดูแล้วกัน
คัดท้าย: มีข่าวมานะครับ เรื่องไข้หวัดนก เอามาให้อ่านกัน เผื่อว่าจะมีประโยชน์กับผู้สนใจหุ้นตัวนี้
รายละเอียดต้องไปอ่านในสินธร ตาม URL ข้างล่างนี้ครับ
ข่าวร้ายของ CPF ดูท่าจะเป็นจริง .....
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 64338.html
ส่วนอันนี้เป็นบทวิเคราะห์ที่คนในสินธรเค้า Scan มา
เค้าว่าไม่ใช่ แต่ก็ประมาทไม่ได้ แต่คนมีอยู่แล้วถือ อาจเป็นโอกาสซื้อเพิ่มได้มั้งครับ
เมื่อ: 2003-12-02T04:08:09+00:00
คัดท้าย: มีนิดหน่อยครับ และขอบคุณ ครับผม
เมื่อ: 2003-12-12T02:19:55+00:00
MO101: บอกไว้ก่อนครับ ผมไม่ได้มีหุ้น หรือคิดจะซื้อ "หุ้นไก่"
ข่าวจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ
แต่ บทวิเคราะห์ เป็นของวันที่ 01/12/03 จริง
เมื่อ: 2003-12-12T09:11:53+00:00
MO101: วันนี้ นสพ.ประชาชาติลงข่าวแล้วครับ
รีบซื้อนะครับก่อนหมดแผง
เมื่อ: 2003-12-18T04:25:11+00:00
คัดท้าย: อ่าน Online ก็ได้ครับ
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... 2003/12/18
ปิดข่าวโรคระบาดไก่ตายเป็นเบือ หวั่นกระทบส่งออก4หมื่นล.
กรมปศุสัตว์คุมไม่อยู่ โรคระบาดไก่ลามไปครึ่งประเทศ จากนครสวรรค์ไล่ลงมาลพบุรี-อ่างทอง-ฉะเชิงเทรา-นครราชสีมา ตายกันยกฟาร์ม ปิดข่าวกันเงียบ เกรงกระทบส่งออกเนื้อไก่ 40,000 ล้านบาท ด้านสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยถูกสมาชิกบีบต้องออกมาเคลื่อนไหว ทำหนังสือถึงกรรมาธิการการเกษตรขอให้ออกมาประสานงานช่วยเหลือ ส่วนบริษัทผู้ส่งออกเนื้อไก่หนีตาย ทำหนังสือเตือนลูกฟาร์ม ตรวจระวังเข้มแบบตัวใครตัวมันกันแล้ว
หลังจากที่ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้เสนอข่าวการเกิดโรคระบาดที่มีอาการคล้าย "โรคไข้หวัดนก (Avin Influenza)" ในฟาร์มเลี้ยงไก่บริเวณบึงบอระเพ็ด อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ในต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ ปรากฏโรคระบาดดังกล่าวได้ระบาดลงมาในพื้นที่ติดต่ออย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางตอนล่างต่อเนื่องไปจนถึงภาคตะวันออกบางส่วน ส่งผลให้ไก่ตายลงเป็นจำนวนมาก และทำท่าว่าจะกลายเป็นการระบาดครั้งใหญ่ โดยที่ทางกรมปศุสัตว์เองก็ยังไม่มีมาตร การควบคุมโรคที่แน่ชัด นอกจากการฝังกลบไก่ที่ตายแล้วเท่านั้น
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานจากพื้นที่ระบาดเข้ามาว่า ขณะนี้โรคระบาดไก่ซึ่งมีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดนก ได้ขยายพื้นที่การระบาดจากจังหวัดนครสวรรค์ลงมายังจังหวัดลพบุรี-นครปฐม (อ.บางเลน) -อ่างทอง-ฉะเชิงเทรา (อ.บาง น้ำเปรี้ยว)-สิงห์บุรี และรอยต่อระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะแถบบริเวณ อ.ปากช่องกับสระบุรีน่าเป็นห่วงมาก เพราะเป็นที่เลี้ยงไก่เนื้อเพื่อการส่งออกที่สำคัญของประเทศ ไม่ใช่ที่เลี้ยงไก่ไข่เหมือนแถบจังหวัดนครสวรรค์ ที่ซึ่งพบการระบาดเป็นครั้งแรก
ในขณะนี้ได้มีฟาร์มทั้งไก่เนื้อและไก่ไข่หลายรายได้ร้องเรียนเข้ามายัง "ประชาชาติธุรกิจ" หลังจากที่ไก่ในฟาร์มของตัวเองได้ตายลงเป็นจำนวนหลายพันตัว และได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ แต่ได้รับคำแนะนำเพียงว่า ไก่เป็นโรคอหิวาต์ชนิดเฉียบพลัน ให้เผาหรือฝังกลบทำลายทันที โดยเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ไม่ยอมรับซากไปตรวจว่าใช่โรคอหิวาต์ชนิดเฉียบพลันจริงหรือไม่
"ข้อเท็จจริงของโรคที่บรรดาฟาร์มต่างๆ พบตอนนี้ก็คือ เป็นโรคใหม่แน่นอนและไม่ใช่โรคอหิวาต์อย่างที่เกษตรกรรู้จักกันด้วย เพราะตามปกติเมื่อเกิดอหิวาต์พอไก่เริ่มตายไป 4-5 ตัว เราจะนำไก่มาผ่าซากดูลำไส้ก็จะรู้ว่าเป็นอหิวาต์ เราจะมียารักษา แต่ตอนนี้ให้กินยาก็ไม่หาย มีแต่ตายเพิ่มขึ้นและตายกันแบบยกเล้า อย่างล่าสุดในพื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ฟาร์มเดียวตายไป 40,000-50,000 ตัว ถ้าเป็นอหิวาต์มียารักษาไม่ลุกลามขนาดนี้แน่นอน โรคที่เป็นหลายคนไม่รู้จักและไม่เคยเกิดในเมืองไทยมาก่อน ที่สำคัญก็คือ เกิดทั้งไก่ไข่และไก่เนื้อ และสามารถลุกลามติดไปยังสัตว์ปีกด้วยกันได้" เจ้าของฟาร์มรายหนึ่งกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"
ที่สำคัญก็คือ ฟาร์มเลี้ยงไก่ภายในพื้นที่ระบาดของโรคต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กรมปศุสัตว์ยังไม่มีมาตรการควบคุมโรคที่ชัดเจนและเข้มงวดพอ วัคซีนและยาในการรักษาโรคที่อ้างกันว่าเป็นอหิวาต์ชนิดเฉียบพลันก็ไม่มี พอถามเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ ตลอดจนโทร.มาสอบถามยังกรมปศุสัตว์ที่ส่วนกลางเอง ก็ตอบกันแบบตะกุกตะกักไม่ตอบชัดเจน และผลของความไม่ชัดเจนของกรมปศุสัตว์ก็คือ ฟาร์มบางแห่งเมื่อทราบว่าไก่ของตัวเองโดนโรคระบาดก็รีบขนไปขายในท้องตลาด เพราะกลัวกรมปศุสัตว์รู้จะเข้ามาทำลาย ที่สำคัญก็คือ ทางกรมปศุสัตว์เคยสัญญาไว้ว่าจะจ่ายเงินชดเชยแก่ฟาร์มที่โดนโรคระบาด (ค่าชดเชยตัวละ 10 บาท) แต่จนกระทั่งถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีฟาร์มรายไหนได้รับการชดเชย ยกเว้นฟาร์มไก่ประกันของบริษัทที่ประสบความเสียหาย ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ พอไก่เริ่มตายลง เจ้าของฟาร์มก็จะรีบขนไก่ที่เหลือไปขายในตลาดท้องถิ่น โรคระบาดก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปกันใหญ่
"โรคระบาดไก่ครั้งนี้ที่คุมไม่อยู่เป็นเพราะว่ากรมปศุสัตว์ไม่ยอมประกาศเขตโรคระบาด ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ แต่กลับออกข่าวว่าคุมโรคอยู่แล้วที่นครสวรรค์ แถมยังบอกว่าเป็นเฉพาะไก่ไข่ แต่ในความเป็นจริงบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านปศุสัตว์ที่ดำเนินธุรกิจไก่เนื้อ กลับขนไก่จากภาคกลางตอนบนลงมายังภาคกลางตอนล่าง ส่งผลให้โรคระบาดแพร่กระจายลงมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ปิดปากกันเงียบ เพราะเกรงจะกระทบกับการส่งออกเนื้อไก่ ตั้งป้อมป้องกันฟาร์มของตัวเอง ปล่อยให้ฟาร์มไก่อิสระรายกลางรายย่อยตายกันไปทีละฟาร์มสองฟาร์ม และร่วมมือกับภาคราชการปิดข่าวกันใหญ่" เจ้าของฟาร์มรายย่อยกล่าว
ในขณะที่บริษัทผู้ส่งออกไก่เนื้อรายใหญ่ ได้ออกหนังสือเตือนเรื่องมาตรการป้องกันโรคในฟาร์มไก่ไปยังลูกเล้าของตนให้ควบคุมสื่อที่จะเป็นพาหะของโรคระบาดทุกประเภท อาทิ คนทำงานในฟาร์ม, ผู้เกี่ยวข้อง และผู้เยี่ยมเยียน นั่นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์การระบาดกำลังตกอยู่ในภาวะไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น ทุกคนจึงกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฟาร์มของตนปลอดจากโรค
ล่าสุดมีรายงานเข้ามาว่า นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมาธิการการเกษตร ซึ่งมีนายนิวัติ พ้นชั่ว สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดระยองเป็นประธาน เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ในหลายพื้นที่ ทั้งฉะเชิงเทรา-อ่างทองและภาคตะออกเฉียงเหนือ ได้ร้องเรียนเข้ามาว่าได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาการเกิดโรคระบาด โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการเท่าที่ควร ดังนั้น ทางสมาคมจึงขอให้ทางคณะกรรมาธิการเข้ามาประสานงาน เพื่อช่วยเหลือเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วนในการควบคุมโรค เนื่องจากล่าสุดโรคระบาดดังกล่าวได้ลุกลามครอบคลุมไปหลายพื้นที่มีไก่ที่ตายจากโรคระบาดแล้วหลายแสนตัว
"ที่ผ่านมามีการขอร้องให้บรรดาฟาร์ม/ผู้ส่งออกปิดข่าวโรคระบาด เพราะเกรงจะกระทบกับการส่งออกเนื้อไก่มูลค่า 40,000 ล้านบาท กลัวคนจะไม่มาท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ปิดกันไม่ไหวแล้ว ทุกคนเดือดร้อนกันหนัก ไก่ที่กรมปศุสัตว์เข้าไปฝัง เผาเพื่อทำลายของเกษตรหลายรายยังไม่ได้รับเงินค่าชดเชยทั้งที่ได้แจ้งว่าจะให้เงินชดเชยร้อยละ 20 เข้าใจว่าที่ไม่ยอมทำอะไรกันเลยนั้น เพราะกลัวองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) กับองค์การอนามัยโลก (WHO) จะเข้ามาตรวจสอบ จะสั่งซื้อวัคซีนก็ไม่กล้าซื้อ กลัวฝรั่งจับได้ แต่ผมว่าถ้าปล่อยไปอีกระยะหนึ่งเรื่องแดงแน่ เพราะไก่ตายยกเล้าทุกวัน ทนกันไม่ไหวหรอก ตรงนี้ต้องยอมรับความจริงและหาทางควบคุมการระบาดเสีย ไม่ใช่ปิดข่าวแล้วเรื่องจะเงียบไปเอง" เจ้าของฟาร์มกล่าว
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สอบถามไปยังบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของและผู้บริหาร KFC ในประเทศไทย ถึงกรณีโรคระบาดไก่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ว่า ทางบริษัทได้สอบถามไปยังบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ซึ่งเป็นบริษัทที่ซัพพลายไก่ให้กับ KFC 100% ได้รับการยืนยันว่า การตายของไก่ในประเทศไม่ได้เกิดจากโรคไข้หวัดนกที่ระบาดในจีน-ฮ่องกง-เกาหลี แต่เป็นโรคอหิวาต์ซึ่งสามารถควบคุมได้ และยืนยันว่าไก่ของ CPF มีความปลอดภัย ซึ่งทาง CPF ก็ได้มีการแถลงข่าวในประเด็นดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากกรณีนี้เกิดขึ้นจริง ผู้ที่จะได้รับผลกระทบอย่างมากนอกจากทาง CPF แล้วก็คือ ไก่สดที่ขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตและตลาดสดทั่วไป
เมื่อ: 2003-12-19T04:00:41+00:00
คัดท้าย: http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... 2003/12/18
"ไข้หวัดนก" ลามเกาหลีใต้
เจ้าหน้าที่ของสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ ของเกาหลีใต้ยืนยันผลการตรวจสอบโรคระบาด ที่เกิดขึ้นในฟาร์มไก่ ใกล้กรุงโซลว่า เป็นโรคไข้หวัดนก ที่เกิดจากเชื้อไวรัส สายพันธุ์ H5N1 ซึ่งสามารถแพร่ระบาดสู่มนุษย์และเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยโรคระบาดดังกล่าวเกิดขึ้นในฟาร์มไก่แห่งหนึ่งในเมืองอุมซอง ใกล้กรุงโซล และมีความเป็นไปได้ที่จะโรคชนิดเดียวกับที่เคยคร่าชีวิตชาวฮ่องกงไป 6 รายเมื่อปี 2540 และอีก 1 รายในปี 2546 นี้
ขณะนี้สถาบันกำลังตรวจสอบว่า เป็นสายพันธุ์ของไวรัสชนิดเดียวกับที่ค้นพบในฮ่องกงหรือไม่ ซึ่งการทดสอบครั้งหลังสุดนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
นอกจากนี้ สถาบันสาธารณสุขฯกำลังจับตามองพื้นที่ใกล้เคียงกับฟาร์มไก่ดังกล่าวในรัศมี 10 กิโลเมตร แต่ในเบื้องต้น สถาบันได้แจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวแล้ว 16,000 ราย อีกทั้ง ความเป็นไปได้ที่ไวรัสชนิดนี้จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์มีไม่มากนัก
ทั้งนี้ ฟาร์มไก่ดังกล่าวมีไก่ทั้งสิ้น 24,000 ตัว และได้ป่วยตายด้วยโรคไข้หวัดนก ระหว่างวันที่ 5-11 ธันวาคม 2546 ทั้งสิ้น 21,000 ตัว ส่วนไก่ที่เหลืออีก 3,000 ตัว ทางการเกาหลีใต้ได้ทำการฆ่าทิ้งและเผา ก่อนจะฝังดิน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ปัจจุบัน เกาหลีใต้มีฟาร์มไก่ทั้งสิ้น 100 ล้านตัว แต่ส่วนใหญ่มีไว้เพื่อการบริโภคภายในประเทศ และส่งออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไข้หวัดนกได้กลับมาระบาดอีกครั้งในช่วงปลายปี 2545 เรื่อยมา จนกระทั่งองค์การอนามัยโลกต้องออกมาประกาศเตือนภัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า โรคไข้หวัดนกได้กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
โดยได้เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกขึ้นในฮ่องกงอีกครั้ง และส่อเค้าว่า จะเป็นการแพร่ระบาดที่รุนแรงกว่าทุกครั้งด้วย โรคไข้หวัดนกที่ระบาดในฮ่องกง พัฒนามาจากเชื้อไวรัส สายพันธุ์ H5N1 เป็นเชื้อไวรัสที่จะมักจะพบในสัตว์ปีกมากที่สุด และโรคดังกล่าวก็เคยแพร่ระบาดอย่างหนักในไก่เมื่อปี 2540 และทำให้ไก่ล้มตายเกือบหมด จนกระทั่งในปี 2544 เชื้อไวรัสชนิดเดียวกันได้ระบาดในไก่หลายพันตัว รัฐบาลฮ่องกงต้องตัดสินใจฆ่า เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1.37 ล้านตัว
นอกเหนือจากฮ่องกงแล้ว สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า มีคนติดเชื้อไข้หวัดนกในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก มากกว่า 80 คน และคร่าชีวิตผู้ป่วยไปแล้ว 1 ราย แต่ไข้หวัดนกในเนเธอร์แลนด์มาจากเชื้อไวรัส สายพันธุ์ H7N5 เป็นคนละสายพันธุ์กับไข้หวัดนกในฮ่องกง การแพร่ระบาดของโรคร้ายทำให้ทางการเนเธอร์แลนด์ต้องตัดสินใจเผาทำลายสัตว์ปีกทิ้ง 26 ล้านตัว จากฟาร์มต่างๆ 250 แห่งทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
เมื่อ: 2003-12-19T04:02:12+00:00
Solo: ขอบคุณ คุณคัดท้าย มากครับผม
เมื่อ: 2003-12-19T04:14:02+00:00
stockms: ครับข่าวนี้สะเทือนขวัญครับ ทำเอาเจ้าลูกเจี๊ยบที่ผมถืออยู่ร่วงไม่เป็นท่าทีเดียว
เมื่อ: 2003-12-19T08:30:03+00:00
condorfund: ในแง่ short term CPF โดนกดดันหนักแน่ครับ
แต่ถ้ามองในอีกมุมคือ งานนี้ supply จะลดไปเยอะ ราคาไก่ในตลาดน่าจะขึ้น
(แต่ก็ต้องดูด้วยว่า คนลดการบริโภคไก่ลงไปด้วยหรือเปล่า)
แล้วถ้า cp สามารถควบคุมได้จริงๆ กรณีนี้น่าจะเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำไป
ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่า CP น่าจะ control ได้ระดับหนึ่ง
เพราะอุตสาหกรรมเกษตร จะต้องเผชิญกับความผันผวนทางธรรมชาติ
โรคระบาด ราคาตลาดที่ผันผวนมาก (ทั้งใน+ต่างประเทศ) อยู่แล้ว
เพื่อนผมที่เคยทำฟาร์มกุ้งเล่าให้ฟังว่า ถ้ากุ้งเป็นโรคเมื่อไหร่ก็ขาดทุน
แต่ถ้ารอดไปได้ ก็กำไรกันเนื้อๆ
cp น่าจะคุ้นเคยกับประสบการณ์แบบนี้
(ข่าวว่าสมัยก่อน พอราคาไก่ตก หอบไก่ไปทิ้งทะเลยังเคยทำ
ไม่ทราบจริงหรือเปล่า)
ที่สำคัญถ้ามองในแง่เศรษฐศาสตร์การเมือง cp ไม่น่าจะธรรมดา
กลุ่มทุนที่ผ่านมาทั้งรัฐบาล ชาติชาย-สุจินดา-อานันท์-ชวน-บรรหาร-ชวลิต
และยังอยู่ได้ในชุดทักษิณ
ผมก็วิเคราะห์ไปเรื่อยเปื่อยตามประสามือสมัครเล่น
อย่าเชื่อมากนะครับ
เมื่อ: 2003-12-19T11:04:45+00:00
condorfund: เมื่อเกิดโรคระบาดในไก่อย่างนี้ มองในด้านจิตวิทยาแล้ว ผมเชื่อว่าคงจะมีผู้บริโภคลดการบริโภคไก่ลงอย่างแน่นอน ก็หมายความว่า Demand ไก่ลดลงด้วยเช่นกัน ผมว่าบางที่อาจจะมากกว่าอุปทานเสียอีก เพราะว่าคนในประเทศกลัวก็ลดการบริโภค และถ้าต่างประเทศได้ข่าว ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ย่อมส่งผลต่อยอดสั่งซื้อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมคิดว่า cpf และ gfpt น่าจะได้ผลกระทบในด้านลบมากกว่าครับ
ก็เป็นความเห็นส่วนตัวครับ
เมื่อ: 2003-12-20T10:19:19+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Equity Linked Note (ELN)
เบื๊อก: ได้รับ email จากโบรกเกอร์ เสนอผลิตภัณฑ์ใหม่คือเจ้า Equity Linked Note (ELN) เขาว่ามันมีลักษณะคล้าย zero coupon bond โดย
>> หากราคาหุ้นลงมาถึง Strike ที่เลือกไว้ ลูกค้าก็ได้หุ้น+ผลตอบแทนที่ออกมาเป็นจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น หุ้นแต่ละตัวจะเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 และหุ้นแต่ละตัวจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 Strike
>> กรณีราคาหุ้นไม่ลงถึง Strike ที่เลือก ลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนตามตาราง Annualised Yield after tax ระยะเวลาการลงทุนประมาณ 30-48 วัน
ไม่ทราบท่านใดมีความรู้เกี่ยวกับไอ้เจ้านี่บ้าง และมันจะเอามาใช้ประโยชน์ยังไง
ผมอ่านดูทีแรกก็รู้สึกว่าดี แต่พอคิดๆไปอีกมันดูคล้ายกับการ sell put option คือจะมี limited gain เวลาหุ้นขึ้น แต่จะมี unlimited loss เวลาหุ้นตก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกรึเปล่า
เมื่อ: 2012-07-04T17:25:26+00:00
chinn: เบื๊อก เขียน:ได้รับ email จากโบรกเกอร์ เสนอผลิตภัณฑ์ใหม่คือเจ้า Equity Linked Note (ELN) เขาว่ามันมีลักษณะคล้าย zero coupon bond โดย
>> หากราคาหุ้นลงมาถึง Strike ที่เลือกไว้ ลูกค้าก็ได้หุ้น+ผลตอบแทนที่ออกมาเป็นจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น หุ้นแต่ละตัวจะเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 และหุ้นแต่ละตัวจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 Strike
>> กรณีราคาหุ้นไม่ลงถึง Strike ที่เลือก ลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนตามตาราง Annualised Yield after tax ระยะเวลาการลงทุนประมาณ 30-48 วัน
ไม่ทราบท่านใดมีความรู้เกี่ยวกับไอ้เจ้านี่บ้าง และมันจะเอามาใช้ประโยชน์ยังไง
ผมอ่านดูทีแรกก็รู้สึกว่าดี แต่พอคิดๆไปอีกมันดูคล้ายกับการ sell put option คือจะมี limited gain เวลาหุ้นขึ้น แต่จะมี unlimited loss เวลาหุ้นตก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกรึเปล่า
ผลลัพท์น่าจะเหมือน sell put option +ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น ครับ
ถ้า หมดอายุราคาหุ้นต่ำกว่า strike ก็เอาเงินที่อยู่ในตราสารหนี้ไปจ่าย loss+ ซื้อหุ้นให้เราราคาตลาด
ส่วนถ้าลงไม่ถึง ก็ได้ดอกเบี้ย + ค่า premium option ก็ทำให้ดูผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไป
ผมคิดว่าน่ากลัวว่าจะทำให้นักลงทุนเสียหายหนักในอนาคตได้ครับ
แต่ก็คงเป็นเครื่องมือสำหรับก้าวเดินต่อไปเพื่อความครบเครื่องของตลาดทุนครับ
เมื่อ: 2012-07-04T18:06:35+00:00
BHT: ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็รอไปสักพักนึงก่อนครับ ผมว่า tsi น่าจะมีจัดอบรมให้ความรู้ในไม่ช้า ถ้ามันเริ่มเป็นที่นิยม
ไม่งั้นลองขอเอกสารเพิ่มเติมจากโบรกเกอร์ดู
เมื่อ: 2012-07-05T02:04:23+00:00
richierich: ผมว่าELNทำมาเพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำๆ แต่ราคาลงมาไม่ถึงซักที แทนที่จะไปฝากประจำ หรือลงกองตราสารหนี้ระยะสั้น ให้มาถือตัวนี้แทน จะได้ผลตอบแทนดีกว่าฝากประจำและลงกองตราสารระยะสั้นครับ
จุดอ่อนของมันคือในระยะเวลาที่เราถือELN เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ถ้าราคาลงมาถึงสไตรค์เราได้หุ้นแน่ และไม่สามารถปรับเปลี่ยนราคาสไตรค์ได้ครับ ความเสี่ยงมันอยู่ที่ราคาหุ้นอาจลงต่ำกว่าราคาสไตรค์เนี่ยแหละครับ
การกำหนดราคาสไตรค์ เราสามารถกำหนดราคาสไตรค์ได้เองว่าจะเอาต่ำกว่าจากราคาหุ้นปัจจุบันกี่เปอร์เซนต์
ELN ยังถูกจำกัดการซื้ออยู่ในผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้นนะครับ
เมื่อ: 2012-07-05T03:33:30+00:00
pongo: อ่านรอบแรกแล้วก็งง ความรู้เข้าหม้อหมด แต่ผมคิดว่า ตราสารที่ิยิ่งซับซ้อน มันยิ่งต้องมีความเสี่ยง
มันอาจจะเป็นการโอนความเสี่ยงไปให้บุคคลอื่น (พวก derivative ทั้งหลาย)
ซึ่งในท้ายที่สุด หากเกิดความเสียหายขึ้น มันน่าจะกระทบเป็นวงกว้าง ซึ่งมันก็จะย้อนกลับมาหาเราหรือนักลงทุนในตลาดอยู่ดี
อาจจะคิดมากไป แต่ผมคิดว่า ลงทุนให้ง่ายเข้าไว้ เลือกบริษัทดีๆ ถือไว้จนกว่าพื้นฐานบริษัทจะแย่ลง เต็มมูลค่าหรือพบบริษัทอื่นที่ดีกว่า ก็ได้ผลตอบแทนในอัตราที่น่าพอใจแล้วนะ
ตำนานหลายๆ ท่าน บอกไว้ว่า การลงทุนเป็นเรื่องของเวลา และการรักษาเงินต้นไว้เป็นสำคัญ ไม่มีทางลัดโดยเด็ดขาด
แต่หากมองสินค้าตัวนี้เป้นการป้องกันความเสี่ยง มันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
เมื่อ: 2012-07-05T13:35:12+00:00
เบื๊อก: ขอบคุณทุกท่านสำหรับคำตอบครับ
chinn เขียน:ผมคิดว่าน่ากลัวว่าจะทำให้นักลงทุนเสียหายหนักในอนาคตได้ครับ
แต่ก็คงเป็นเครื่องมือสำหรับก้าวเดินต่อไปเพื่อความครบเครื่องของตลาดทุนครับ
ใช่ครับ ผมก็ว่าค่อนข้างน่ากลัวมาก ตอนได้จะได้นิดเดียว แต่ตอนเสียนี่มีโอกาสจะเสียหนักได้ ทางโบรกให้เหตุผลว่ามันคล้ายกับการเอาเงินไปรอซื้อหุ้น แต่สิ่งที่ต่างก็คือถ้าเราเก็บเงินไว้ในธนาคารเรายังเปลื่ยนใจได้ถ้าเกิดมีข่าวร้ายๆที่คาดไม่ถึงเข้ามา แต่ถ้าซื้อไอ้เจ้า ELN นี่แล้ว ก็โดนล็อกไปเลย เจ๊งแล้วเจ๊งเลย
richierich เขียน:การกำหนดราคาสไตรค์ เราสามารถกำหนดราคาสไตรค์ได้เองว่าจะเอาต่ำกว่าจากราคาหุ้นปัจจุบันกี่เปอร์เซนต์
ตรงส่วนราคาสไตรค์นี่ ที่เห็นในลิสต์ สำหรับหุ้นแต่ละตัวจะมีแค่ 3 ราคาให้เลือก (96%, 94% และ 92% ของราคาตลาด) และดอกเบี้ยที่จะได้ก็จะแตกต่างกัน ถ้าเลือกราคาสไตรค์สูงก็จะได้ดอกสูงไปด้วย ( เพราะมีโอกาสขาดทุนมากกว่า )
เมื่อ: 2012-07-05T14:58:18+00:00
richierich: เบื๊อก เขียน:ขอบคุณทุกท่านสำหรับคำตอบครับ
chinn เขียน:ผมคิดว่าน่ากลัวว่าจะทำให้นักลงทุนเสียหายหนักในอนาคตได้ครับ
แต่ก็คงเป็นเครื่องมือสำหรับก้าวเดินต่อไปเพื่อความครบเครื่องของตลาดทุนครับ
ใช่ครับ ผมก็ว่าค่อนข้างน่ากลัวมาก ตอนได้จะได้นิดเดียว แต่ตอนเสียนี่มีโอกาสจะเสียหนักได้ ทางโบรกให้เหตุผลว่ามันคล้ายกับการเอาเงินไปรอซื้อหุ้น แต่สิ่งที่ต่างก็คือถ้าเราเก็บเงินไว้ในธนาคารเรายังเปลื่ยนใจได้ถ้าเกิดมีข่าวร้ายๆที่คาดไม่ถึงเข้ามา แต่ถ้าซื้อไอ้เจ้า ELN นี่แล้ว ก็โดนล็อกไปเลย เจ๊งแล้วเจ๊งเลย
วิธีป้องกันเสี่ยงเราอาจเปิดชอทสตอกฟิวเจอร์ได้ครับ
richierich เขียน:การกำหนดราคาสไตรค์ เราสามารถกำหนดราคาสไตรค์ได้เองว่าจะเอาต่ำกว่าจากราคาหุ้นปัจจุบันกี่เปอร์เซนต์
ตรงส่วนราคาสไตรค์นี่ ที่เห็นในลิสต์ สำหรับหุ้นแต่ละตัวจะมีแค่ 3 ราคาให้เลือก (96%, 94% และ 92% ของราคาตลาด) และดอกเบี้ยที่จะได้ก็จะแตกต่างกัน ถ้าเลือกราคาสไตรค์สูงก็จะได้ดอกสูงไปด้วย ( เพราะมีโอกาสขาดทุนมากกว่า )
ตามตารางที่โบรกเกอร์ให้มาเป็นเหมือนตัวอ้างอิงไว้เทียบครับ ถ้าอยากได้ราคาอื่นเราสามารถให้ทางโบรกโค้ดราคามาให้ได้ หุ้นที่มีการเหวี่ยงตัวมากยิ่งได้ยีลด์ดีกว่าครับ
ผู้ที่สามารถซื้อได้ต้องโชว์สินทรัพย์ไม่แน่ใจว่า20หรือ30ล้าน แล้วก็จำนวนซื้อขั้นต่ำน่าจะ3ล้านครับ
เมื่อ: 2012-07-05T16:15:10+00:00
เบื๊อก: richierich เขียน:ตามตารางที่โบรกเกอร์ให้มาเป็นเหมือนตัวอ้างอิงไว้เทียบครับ ถ้าอยากได้ราคาอื่นเราสามารถให้ทางโบรกโค้ดราคามาให้ได้ หุ้นที่มีการเหวี่ยงตัวมากยิ่งได้ยีลด์ดีกว่าครับ
ขอบคุณครับ เอ..แล้วอย่างนี้ถ้าเรากำหนดราคาต่ำมากๆ ดอกเบี้ยที่ได้ก็จะเป็นศูนย์หรือเข้าใกล้ศูนย์ไปเลยใช้มั้ยครับ
เมื่อ: 2012-07-05T16:21:36+00:00
richierich: เบื๊อก เขียน:richierich เขียน:ตามตารางที่โบรกเกอร์ให้มาเป็นเหมือนตัวอ้างอิงไว้เทียบครับ ถ้าอยากได้ราคาอื่นเราสามารถให้ทางโบรกโค้ดราคามาให้ได้ หุ้นที่มีการเหวี่ยงตัวมากยิ่งได้ยีลด์ดีกว่าครับ
ขอบคุณครับ เอ..แล้วอย่างนี้ถ้าเรากำหนดราคาต่ำมากๆ ดอกเบี้ยที่ได้ก็จะเป็นศูนย์หรือเข้าใกล้ศูนย์ไปเลยใช้มั้ยครับ
ตามหลักการแล้วควรเป็นอย่างที่คุณ(ไม่กล้าพิมพ์กลัวหาว่า ว่าครับ)ว่าครับ แต่ถ้าดอกเบี้ยลงมาต่ำมากๆคนคงไปถือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่คล่องตัวกว่าหรือฝากประจำดีกว่า คล่องตัวกว่า ทางโบรกเกอร์ผู้ออกก็คงไม่ทำให้ครับ
เมื่อ: 2012-07-06T01:19:59+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
สงสัยอย่างมากเกี่ยวกับ TOP ครับ
ทศพร29: ขอสอบถามหน่อยครับ
1. รายได้ส่วนใหญ่ของ TOP มาจากน้ำมันไช่มั้ยครับ
2. ความเสี่ยงหลักๆที่ทำให้กำไรของ TOP ลดลง คือ ราคาน้ำมันดิบลดลงไช่มั้ยครับ
3. เชลแก๊ส หากผลิตได้ทั่วโลก จะมีผลกระทบอะไรกับ TOP บ้างครับ
เมื่อ: 2014-11-05T05:20:54+00:00
Nevercry.boy: ทศพร29 เขียน:ขอสอบถามหน่อยครับ
1. รายได้ส่วนใหญ่ของ TOP มาจากน้ำมันไช่มั้ยครับ
ไม่ใช่ครับ
2. ความเสี่ยงหลักๆที่ทำให้กำไรของ TOP ลดลง คือ ราคาน้ำมันดิบลดลงไช่มั้ยครับ
ระยะสั้นใช่ครับจากการปรับค่าสินค้าคงคลัง ระยะยาวไม่ใช่ครับ
3. เชลแก๊ส หากผลิตได้ทั่วโลก จะมีผลกระทบอะไรกับ TOP บ้างครับ
เชลแก๊สหากผลิตได้ทั่วโลกและมีผลทำให้การกลั่นน้ำมันลดลงก็จะมีผลกระทบกับ TOP ครับ
เมื่อ: 2014-11-05T05:49:59+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
อยากรู้ข้อมูลบริษัทจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
VI พันธุ์ทาง: อยากรู้ข้อมูลบริษัทจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
พวกงบการเงินนะครับต้องเข้าไปดูในส่วนไหนของเวปนะครับ
เมื่อ: 2010-01-29T13:47:20+00:00
sai: http://www.dbd.go.th/corpsearch/index.phtml?type=b
ตรงนี้มั้งครับแต่ต้องมี login ด้วยนะครับ
เมื่อ: 2010-01-29T14:29:35+00:00
VI พันธุ์ทาง: ขอบคุณครับ :D :D
เมื่อ: 2010-01-30T04:13:55+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
อยู่ๆเคยอยากเลิกลงทุนมั๊ยครับ ?
Blueblood: ผมกำลังเป็นเลยอ่ะ ทำไงดี อยู่ๆก็อารมแบบอยากเลิกแล้วไปเที่ยวแล้ว จะเอาอะไรกันมากมาย ... เคยเป็นกันบ้างมั๊ยครับ ?
เบื่อๆแฮะ ... :roll:
เมื่อ: 2007-09-03T04:45:47+00:00
ตาหมูอ้วน.: เคยเป็นครับ
เป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะตอนหุ้นตก หนักเลย อิอิ
เมื่อ: 2007-09-03T05:07:11+00:00
sunrise: จายเย็นๆนะโยม
ก็ลองไปเที่ยว back pack สักสัปดาห์ 2 สัปดาห์ซิ
หุ้นมันก็ไม่ต้องดูทุกวันนี่นา เนอะ
ปล. ไม่เคยคิดเลิกลงทุน เพราะยังไม่พอใช้จากมัน
เมื่อ: 2007-09-03T05:14:46+00:00
ake3004: not yet kab.still fun fun fun
เมื่อ: 2007-09-03T05:23:11+00:00
akekarat: เป็นความรู้สึกของคนที่ประสพความสำเร็จแล้วหรือเปล่าครับ? เหมือนกับหมดความท้าทาย หรือ พอได้อะไรมาในมือแล้วก็เริ่มรู้สึกว่า ไม่ได้เป็นไม่ได้รู้สึกดีมากอย่างที่คิดไว้ตอนแรก?
เมื่อ: 2007-09-03T05:38:53+00:00
ก้อนหิน: จริงๆ อยากเลิกก็เลิกได้หนิครับ ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าถือหุ้นแล้วไม่สบายใจ จะด้วยจากสาเหตุไรก็ตาม ก็เลิกก่อนก็ได้ครับผมว่า
อย่างของพี่บลู อาจจะมีสาเหตุจากการไม่มีอาีรมณ์ กับ ต้องตามข่าวเยอะเกินไปหรือป่าวครับ เห็นพี่ขยันเหลือเกิน
คำแนะนำครับ ไปตีแบดจิบเบียร์ จะได้อารมณ์มากครับ :P
เมื่อ: 2007-09-03T05:51:46+00:00
yoyo: [quote="Blueblood"]ผมกำลังเป็นเลยอ่ะ ทำไงดี อยู่ๆก็อารมแบบอยากเลิกแล้วไปเที่ยวแล้ว จะเอาอะไรกันมากมาย ... เคยเป็นกันบ้างมั๊ยครับ ?
เบื่อๆแฮะ ...
เมื่อ: 2007-09-03T06:02:16+00:00
Blueblood: อืม .. ผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายนะครับ ถ้าวัดเป็นตัวเงิน ยิ่งถ้าเทียบกับหลายๆท่านในเว็ปนี้ แต่อยากทำอะไรอย่างอื่นที่ดูชีวิตมีค่ากว่านี้อ่ะครับ :roll:
และผมก็ไม่ได้ตามข่าวเกี่ยวกับหุ้นอะไรมากเลยนะครับ เวลาวันนึงจะเป็นเกี่ยวกับหุ้นสักชั่วโมงเดียวเองมั๊งครับ บางวันไม่ถึง
เรื่องหุ้นขึ้นลงจริงๆแล้วลงทุนมาก็หลายปีเหมือนกันผมก็เฉยๆนะ .. คงไม่เกี่ยว
พื้นฐานผมเป็นคนขี้เกียจและรักสบายมากๆ เลยมาจบลงที่หุ้นแต่แรกน่ะครับ แต่แล้ววันนึงก็นึกขึ้นมาว่าชีวิตเรามันควรที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้มั๊ยเนี่ย ... แค่นั้นเองครับ ....
เมื่อ: 2007-09-03T06:02:47+00:00
oatty: ที่พี่บลูเบื่อนี่ เพราะเล่นเป็นกองหน้ามากไปป่าว ?
ลองเล่นเป็นกองกลางมั่งดิ จะได้ไม่คิดถึงเป้ามาก..
เมื่อ: 2007-09-03T06:05:00+00:00
phobenius: มาเรียน ดร สิ รับรองหายเบื่อแน่ เอริกๆ
เมื่อ: 2007-09-03T06:09:52+00:00
ก้อนหิน: Blueblood เขียน:อืม .. ผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายนะครับ ถ้าวัดเป็นตัวเงิน ยิ่งถ้าเทียบกับหลายๆท่านในเว็ปนี้ แต่อยากทำอะไรอย่างอื่นที่ดูชีวิตมีค่ากว่านี้อ่ะครับ :roll:
และผมก็ไม่ได้ตามข่าวเกี่ยวกับหุ้นอะไรมากเลยนะครับ เวลาวันนึงจะเป็นเกี่ยวกับหุ้นสักชั่วโมงเดียวเองมั๊งครับ บางวันไม่ถึง
เรื่องหุ้นขึ้นลงจริงๆแล้วลงทุนมาก็หลายปีเหมือนกันผมก็เฉยๆนะ .. คงไม่เกี่ยว
พื้นฐานผมเป็นคนขี้เกียจและรักสบายมากๆ เลยมาจบลงที่หุ้นแต่แรกน่ะครับ แต่แล้ววันนึงก็นึกขึ้นมาว่าชีวิตเรามันควรที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้มั๊ยเนี่ย ... แค่นั้นเองครับ ....
ผมว่า อย่างพี่ลงทุนเต็มตัวนี่ มันน่าจะมีเวลาว่างสุดๆแล้วนะครับ
อยากทำไรก็น่าจะทำได้เต็มที่อยู่แล้ว อย่างงี้เริ่มทำเลยดีมั้ยครับพี่
เมื่อ: 2007-09-03T06:11:14+00:00
Blueblood: oatty เขียน:ที่พี่บลูเบื่อนี่ เพราะเล่นเป็นกองหน้ามากไปป่าว ?
ลองเล่นเป็นกองกลางมั่งดิ จะได้ไม่คิดถึงเป้ามาก..
ไม่เลยครับ ถ้าเรื่องเป้า ปีนี้ผมได้ไปนานแล้วครับ ถึงผมจะถือหุ้นน้อยตัวแต่ผมก็ไม่คิดว่าผม aggressive มากอะไรเลยนะครับ ...
ทุกวันนี้ที่เห็นผมโพสท์บ่อยๆ นั่นเพราะผมนั่งเล่นเน็ตกับเล่นเกมนะ เรื่องหุ้นน้อยมากๆถึงไม่มีเลย 5555
เมื่อ: 2007-09-03T06:18:26+00:00
Blueblood: ก้อนหิน เขียน:
ผมว่า อย่างพี่ลงทุนเต็มตัวนี่ มันน่าจะมีเวลาว่างสุดๆแล้วนะครับ
อยากทำไรก็น่าจะทำได้เต็มที่อยู่แล้ว อย่างงี้เริ่มทำเลยดีมั้ยครับพี่
ใช่แล้วครับ เวลาว่างมากๆ และเป็นมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ที่คิดอยู่คือไปบวชหรือไม่ก็ไปทำงานการกุศลอะไรงี้ไปเลย .. หุ้นก็สัก 3 เดือนดูที
เมื่อ: 2007-09-03T06:20:35+00:00
Rataohm: ...แต่งงาน แล้วมีลูก สิครับ รับรองได้ชีวิตมีจุดหมายขึ้นมาทันที...
เมื่อ: 2007-09-03T06:50:34+00:00
fantasia: Blueblood เขียน:
พื้นฐานผมเป็นคนขี้เกียจและรักสบายมากๆ เลยมาจบลงที่หุ้นแต่แรกน่ะครับ
สงสัยเราจะเป็นพวกเดียวกัน
แต่ผมไม่ค่อยกล้าพูดให้ใครฟังเท่าไรครับ โดยเฉพาะพ่อตานี่เกลียดคนขี้เกียจมาก
เวลามีคนถามว่าผมอยากเป็นอะไร มักจะตอบแบบติดตลกว่าอยากเป็น ดร. เซมเบ้ครับ
เมื่อ: 2007-09-03T06:57:54+00:00
Raphin Phraiwal: รวยแล้วแลกหรือเปล่าครับ ท่าน Blueblood :lol: :lol:
แซวเล่นนะครับ
เมื่อ: 2007-09-03T07:51:47+00:00
Raphin Phraiwal: [quote="Raphin Phraiwal"]รวยแล้วเลิกหรือเปล่าครับ ท่าน Blueblood
เมื่อ: 2007-09-03T07:52:28+00:00
...: ไปบวชก็ไม่เลวนะครับ
เมื่อ: 2007-09-03T07:53:44+00:00
Raphin Phraiwal: [quote="yoyo"][quote="Blueblood"]ผมกำลังเป็นเลยอ่ะ ทำไงดี อยู่ๆก็อารมแบบอยากเลิกแล้วไปเที่ยวแล้ว จะเอาอะไรกันมากมาย ... เคยเป็นกันบ้างมั๊ยครับ ?
เบื่อๆแฮะ ...
เมื่อ: 2007-09-03T07:55:15+00:00
odacroniandevil: ลอง day trade ดูมั้ยครับ
เมื่อ: 2007-09-03T08:03:49+00:00
hongvalue: ก่อนหน้านี้ผมก็อยากเป็นนักลงทุน full time แต่นี้ขนาดเรียนไปเล่นหุ้นไปยังว่างเลย
มันเบื่อๆอะ ซื้อหุ้นแล้วก็ต้องรอเวลาออกดอกออกผล ระหว่างนี้วันๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก
หนังสือก็อ่านซะจนไม่รู้จะอ่านอะไรแล้ว
ว่าจะไปลองอบรมเกี่ยวกับของของทาง ebay ดู แก้เซ็ง หรือ ไม่ก็ไปฝึกงานไรก็ได้
ไม่งั้นชีวิตมัน ยังไงไม่รู้ เหมือนไร้รสชาติไปอะ อยากเจอคนเยอะๆ ใช้ชีวิตแบบยุ่งๆ วุ่นๆ ไม่ว่าง น่าจะดีกว่าว่างเกินไป
ว่าแล้วก็ไปเที่ยวดีกว่า :lol: :lol: :lol:
เมื่อ: 2007-09-03T08:11:19+00:00
por_jai: 8) เบื่อต้องย้ายค่ายครับ
ไปเข้าค่าย วีเอสครับ ดูเทคนิคดูกราฟ
ซื้อวันนี้เช้า ขายบ่าย
ก๊วนเพียบไม่มีเบื่อเลย
กิมเอ็งเขาเลี้ยงข้าวกลางวันด้วย
ถ้าซื้อขายมากๆมีห้องส่วนตัวให้ทำสมาธิด้วย....
เมื่อ: 2007-09-03T08:19:43+00:00
noooon010: ยังไม่เคยเบื่อครับ
ถ้าเบื่อมากเชิญกระทู้ผมก็ได้นา อิๆ :D
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=27863
เมื่อ: 2007-09-03T09:09:14+00:00
midlet: เคยเป็นเหมือนกัน แบบไม่สนใจมันละเรื่องหุ้นเรื่องลงทุน (ไม่ใช่ว่าติดดอยนะครับแต่อยู่ดีๆก็เบื่อ)
ปล่อยมันไว้งั้นแหละ ขี้เกียจดู แต่สองสามเดือนผ่านไปก็กลับมาดูเหมือนเดิม
หุ้นที่ทิ้งไว้กำไรอีกต่างหาก :lol: และแล้วก็กลับมาดูเหมือนเดิม
เมื่อ: 2007-09-03T09:17:45+00:00
oatty: ถ้าว่าง ๆ แล้ว ไปแถว ๆ ปากเกร็ดเพื่ออ่านหนังสือบันทึกให้คนตาบอดฟังก็ได้ หรือไม่ก็ไปบวชปฏิบัติธรรมกับอาจารย์ดี ๆ ซักแห่ง
เมื่อ: 2007-09-03T09:28:25+00:00
Ryuga: ยังกับบรรลุการลงทุนชั้นสูงประดุจได้นิพพิทาญาณเลยอะครับ :lol:
เมื่อ: 2007-09-03T12:03:13+00:00
MarginofSafety: [quote="Blueblood"]อืม .. ผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายนะครับ ถ้าวัดเป็นตัวเงิน ยิ่งถ้าเทียบกับหลายๆท่านในเว็ปนี้ แต่อยากทำอะไรอย่างอื่นที่ดูชีวิตมีค่ากว่านี้อ่ะครับ
เมื่อ: 2007-09-03T13:44:19+00:00
touchup: ลองเล่นกอล์ฟสิครับ
ยิ่งได้ก๊วนที่รู้ใจ ยิ่งดีครับ
ผมยังคิดว่าสักวันจะดูหุ้นสักครึ่งวันเช้า บ่ายตีกอล์ฟ
วันเว้นวันก็น่าจะดีได้ออกกำลังบ้าง
เมื่อ: 2007-09-03T15:13:30+00:00
chatchai: Blueblood เขียน:ใช่แล้วครับ เวลาว่างมากๆ และเป็นมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ที่คิดอยู่คือไปบวชหรือไม่ก็ไปทำงานการกุศลอะไรงี้ไปเลย .. หุ้นก็สัก 3 เดือนดูที
พออ่านกระทู้นี้แล้ว ก็มานั่งนึกถึงตัวเอง ปีนี้เป็นปีที่ 6 แล้วที่ไม่ได้ทำงาน
แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่าว่างซักเท่าไรเลย ยังรู้สึกว่ามีเวลาว่างไม่เพียงพอซะอีก มีอะไรอยากทำแล้วไม่ได้ทำอีกเยอะมากทีเดียว
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ ผมมีลูกนั่นเอง ไปรับไปส่งลูก เล่นกับลูก สอนหนังสือลูก แค่นี้ก็แทบหมดเวลาแล้ว
ส่วนที่คุณ blueblood อยากจะไปบวช หรือทำงานการกุศล เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจและอยากจะทำมากที่สุด
และผมคิดว่าการบวช หรือทำงานการกุศล ก็ไม่จำเป็นต้องเลิกลงทุนครับ
เมื่อ: 2007-09-03T15:33:47+00:00
Ent': น่าจะเป็นอารมณ์เบื่อนะครับ เพราะจริงๆ แล้ว การลงทุน มันก็เป็นกิจกรรมที่ passive ไม่ถึงกับต้อง active มาก แบบ daily job จำได้ว่า ผมเคยถามพี่ blueblood ตอน meeting ว่าไม่หาอย่างอื่นทำเพิ่มหรือ ลงทุนหุ้นอย่างเดียวเลย ตอนนั้นจำได้ว่า เห็นพี่บอกจะหางานทำอยู่เลยนี่ครับ แต่ถ้าทำงานประจำที่ไม่ได้ชอบมาก อาจจะทำใจลำบาก เพราะพอร์ตใหญ่แล้ว เห็นเงินเดือนอาจจะไม่อยากทำงาน
ผมว่า หางาน อย่างอื่นทำเองเพิ่ม เพื่อให้ชีวิตมีอะไรทำ มากขึ้นก็น่าจะดีนะครับ ทำการกุศลก็ได้ ผมก็ไปอ่านหนังสือให้เด็กตาบอด ที่ โรงเรียนคนตาบอด ฟังได้ 2ครั้งแล้ว ไปช่วยเหลือคนด้อยโอกาสก็ดีครับ จะได้รู้ว่าในสังคมนี่มีคนลำบากกว่าเราอีกเยอะมาก
เมื่อ: 2007-09-03T16:53:40+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
เปิดจองสัมมนา Money Talk@SET มิ.ย. 58
Thai VI Officer: 1.สิทธิพิเศษ สำหรับสมาชิกสมาคม ฯ ในการจองสัมมนา Money Talk@SET ล่วงหน้า
2.เปิดจอง วันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ค.58 เวลา 9.00 น.ลงชื่อได้ไนกระทู้นี้
3.จำนวน 100 ที่ สำหรับสมาชิกสมาคมฯ เท่านั้น 1 login ต่อ 1 สิทธิ์
4.รายละเอียดของงาน มีดังนี้
กำหนดการรายการ “Money Talk @ SET” เดือน มิ.ย. 2558
ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 3
อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก
วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2558 เวลา 13:00 - 17:30 น.
_____________________________________________________
12:00 น. ลงทะเบียน และเริ่มเข้าห้องประชุมสำหรับผู้ที่ได้สำรองที่นั่ง
12:30 น. เปิดให้ Walk in เข้าห้องประชุม
13.00 น. กล่าวเปิดงาน โดยผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
13.10 - 15.00 น. สัมมนา หัวข้อ "เจาะลึกหุ้นเด่นครึ่งปีหลัง"
1. คุณอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ_กรรมการผู้จัดการ
บมจ. น้ำตาลบุรีรัมย์
2. คุณเทพทัย ศิลา_กรรมการผู้จัดการ
บมจ.สหการประมูล
3. คุณชูชาติ เพชรอำไพ_ประธานกรรมการบริหาร
บมจ.เมืองไทย ลีสซิ่ง
4. คุณธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์_กรรมการผู้จัดการ
บมจ.บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ. ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช ดำเนินรายการ
15.00 - 15.30 น. พัก กาแฟ อเมซอน ซาลาเปา Jade Dragon ขนมปัง เลอแปง
15.30 - 17.30 น. สัมมนาหัวข้อ “ข้อคิดจากเซียน บนเส้นทางสู่ความร่ำรวยด้วยหุ้น”
1. คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข
นักเขียนนักแปลนักลงทุน
2. ทพ.สม สุจีรา
ผู้เขียน “จิตของนักเล่นหุ้น”
3. คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ
เจ้าของ ศิริวัฒน์แซนวิช
4. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ
17.45 - 18.45 น. รุมหลังงาน
**สรุปเนื้อหา&ภาพบรรยากาศ Money Talk@SET ตั้งแต่ต้นปี 58 ที่ผ่านมาค่ะ**
(บรรยากาศงานเฮฮา สนุกสนาน พร้อมรับความรู้กันครบครัน)- โดย คุณ Theenuch
เดือน ม.ค. 58
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/vi ... =3&theater
เดือน ก.พ. 58
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/vi ... =3&theater
เดือน มี.ค. 58
https://www.facebook.com/video.php?v=81 ... =3&theater
เดือน เม.ย. 58
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/vi ... =3&theater
เดือน พ.ค. 58
อยู่ระหว่างการจัดทำค่ะ
(ครบเครื่องทุกเนื้อหา ประเด็นไหนเด็ด มาอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ!!) - โดย คุณ i-salmon และคุณ amornkowa
เดือน ม.ค. 58
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58514
เดือน ก.พ. 58
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58602
เดือน มี.ค. 58
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58669
เดือน เม.ย. 58
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58781
เดือน พ.ค. 58
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58888
( ต้องขอขอบพระคุณ พี่นุช น้องบิ๊ก และคุณ amornkowa ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนนะค่ะ )
**** ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมสัมมนา Money Talk@SET****
1 sermrut
2 purplelady
3 ALOKAYA
4 somprasong
5 winzlovely
6 tankhun
7 hsrb89nui
8 otakung - สละสิทธิ์
9 natchalein
10 tphongsak
11 tis
12 Kuromi
13 ออนซอน
14 balakat
15 zeabtle
16 แตงอ่อน
17 PTA
18 HAI2U
19 SENG2555
20 PUNSRI
21 mmpitak
22 tg40668
23 cppitak
24 AMENGLOL
25 comrade - สละสิทธิ์
26 sangseng
27 ichbinpao
28 khunjack3
29 yogi_pop
30 always24
31 K-TAW
32 chash - สละสิทธิ์
33 VI Kid
34 AnieLee
35 vitchayut
36 Mr.Kcip
37 kanokok
38 seksan999
39 odyssee
40 REALYOU - สละสิทธิ์
41 mongkoll_vi
42 LA-Z-BOY
43 dhunter
44 saints 529
45 ormmm
46 Behappy
47 neong - สละสิทธิ์
48 mommy2010
49 Kaiser
50 Lopth
51 VI_Novice
52 eno_khem
53 chewey69
54 pairaj
55 golfinvest
56 nasanuks
57 Tu-Sais-Qui
58 INT-INV
59 ampare
60 kondee
61 PingPingNARAK
62 Wchanagarn - สละสิทธิ์
63 somjate1981
64 PAT.PI
65 Pfund123
66 PATTY_LAO
67 marderlar
68 PongJayChou
69 kaskasin
70 PREECHAK1972
71 nonstepintro
72 anpanman
73 inceptor
74 pairaj
75 liverBO
76 sc26
77 9tum
78 daniel_lam
79 miracle
80 Right View - สละสิทธิ์
81 jironui
82 Nutth147
83 pommobo
84 Marimo
85 nprtr
86 Notelio
87 Nek - สละสิทธิ์
88 Jurong117
89 Amm
90 Praewpcrm
91 kriangkrai.th
92 Set50
93 business333
94 srungras
95 bloodhound
96 MSEEKZ
97 ราศีสิงห์
98 iamtherang
99 tuy_krub
100 monchain
หมายเหตุ
- ผู้ที่จะยกเลิกการจองกรุณาแจ้งในกระทู้นี้ล่วงหน้า 3 วันเพื่อจะได้เลื่อนผู้มีสิทธิสำรองขึ้นมาแทน
- ผู้ที่จองแล้วไม่ได้มาร่วมงาน และไม่แจ้งยกเลิกการจองล่วงหน้า ทางสมาคมจะขอสงวนสิทธิ์ในการจองเข้าร่วมกิจกรรมครั้งถัดไป
- ในวันงานรายชื่อจะเรียงลำดับตามตัวอักษร "Log in Name"
- กรุณาเตรียมบัตรประชาชนไปเพื่อลงทะเบียนหน้างาน
เมื่อ: 2015-05-25T04:40:37+00:00
sermrut: จอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:00:18+00:00
purplelady: จอง 1 ที่คะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:00:33+00:00
ALOKAYA: 1ที่ค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:00:42+00:00
somprasong: 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:00:57+00:00
winzlovely: จอง1ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:01:16+00:00
tankhun: 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:01:20+00:00
hsrb89nui: จอง 1 ที่ค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:01:26+00:00
otakung: จองครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:01:31+00:00
natchalein: จอง 1 ที่ค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:01:52+00:00
tphongsak: 1 seat
เมื่อ: 2015-05-28T02:02:18+00:00
tis: จอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:02:24+00:00
Kuromi: จอง 1 ที่ค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:02:33+00:00
ออนซอน: จอง 1 ที่ขอบคุณคะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:02:53+00:00
balakat: 1ที่ค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:03:35+00:00
zeabtle: จอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:04:01+00:00
แตงอ่อน: จอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:04:22+00:00
PTA: จอง 1 ที่ขอบคุณค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:04:43+00:00
HAI2U: จอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:05:00+00:00
SENG2555: จอง 1ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:05:01+00:00
PUNSRI: จองสัมมนาค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:10:03+00:00
mmpitak: จอง 1ที่ค่ะ ขอบคุณค่ะ
เมื่อ: 2015-05-28T02:12:21+00:00
tg40668: จอง 1 ที่ ขอบคุณครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:12:34+00:00
cppitak: จอง 1 ที่ครับ ขอบคุณมากครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:13:36+00:00
AMENGLOL: จอง1ที่ค่า
เมื่อ: 2015-05-28T02:15:10+00:00
comrade: จอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:15:56+00:00
sangseng: จอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:16:22+00:00
ichbinpao: จอง 1 ที่ ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:17:06+00:00
khunjack3: ขอจอง 1 ที่ครับ
เมื่อ: 2015-05-28T02:21:35+00:00
yogi_pop: จอง 1 ที่
เมื่อ: 2015-05-28T02:21:47+00:00 | {
"license": "CC BY 4.0 License",
"src": "airesearch/CMDF_VISTEC",
"subset": "dataset.kaohoon"
} |
Subsets and Splits