text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
ก.ล.ต. จับขบวนการปั่นหุ้นครั้งใหญ่ ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง (A syj: ก.ล.ต. จับขบวนการปั่นหุ้นครั้งใหญ่ ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง 40 คน ปรับ 1,727.38 ล้านบาท กรณีสร้างราคาหุ้น AJD ตั้งแต่นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2557 หัวโจก “อมร มีมะโน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ ร่วมกับ “พิภัทร์ ปฏิเวทภิญโญ” กรรมการ และมีบุคคลในครอบครัวเดียวกันร่วมกระทำความผิดหลายกลุ่ม ไล่ราคาจาก 2.60 บาท ขึ้นไปถึง 15 บาท ตรวจพบซื้อขายๆ ผ่าน 37 บัญชี ร่วม 100 วัน ผู้บริหารให้ข่าวบวก ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นรายย่อยร่วม 1 หมื่นคน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2557 หุ้นบริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ (AJD) ชื่อเดิม (ปัจจุบัน คือ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี (AJA) มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติของตลาด โดยราคาปิดเพิ่มสูงขึ้นจากหุ้นละ 2.60 บาท เป็นราคา 15.00 บาท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดจากบุคคล 40 ราย ร่วมกันสร้างราคาหุ้น AJD ได้แก่ (1) นายอมร มีมะโน (2) นายพิภัทร์ ปฏิเวทภิญโญ (3) นางสาวจินดา มีมะโน (4) นางสาวจินตนา มีมะโน (5) นางณษิกา มีมโนนันท์ (6) นางสาวจินตนา แสงพงษ์พิทยา (7) นายโชติอนันต์ แสงพงษ์พิทยา (8) นายยงยุทธ แสงพงษ์พิทยา (9) นางโสภา กุลศิโรรัตน์ (10) นางเจตสุภา ณัฐพฤกษ์ (11) นางสาวณัฐณิชา สันติวราคม (12) นายวิศาล หล่อทองไพศาล (13) นางภณิดา เตชคุณวุฒิ (14) นายวราพงษ์ ซึงรุ่งโชติ (15) นางเจนจิรา สกุลปิ่นจง (16) นางธนิดา ธัญสุนทราเดช (17) นางนันท์นภัส อัจจมาลย์วรา (18) นายชาย จันทร์วิกูล (19) นายมานะ สมบูรณ์วิวัฒน์ (20) นางสาวศิริพร สมบูรณ์วิวัฒน์ (21) นางพิมพ์ใจ เพชรภักดีชัย (22) นางสาววิจิตรา เพชรภักดีชัย (23) นายสุชาติ วัฒนศิริชัยกุล (24) Mr. Fu Nan (25) Mr. Dong Zhang (26) นางสาววนิดา วสีพันธ์พงศ์ (27) นางสาวศุรวีร์ วสีพันธ์พงศ์ (28) นางสมใจ วสีพันธ์พงศ์ (29) นายจตุวัฒน์ วสีพันธ์พงศ์ (30) นายเกรียงไกร วสีพันธ์พงศ์ (31) นายสุรเชษฐ วสีพันธ์พงศ์ (32) นางสาวปิโยธร กลกิจชัยวรรณ (33) นางสาวธัญลักษณ์ ดีวงกิจ (34) นางสาวปิยะดา กลกิจชัยวรรณ (35) นายสุนทร ดีวงกิจ (36) นายไกรสร ฉัตรเลขวนิช (37) นายวรวุฒิ เผ่าประพันธ์ (38) นายวีระ วนาฤทธิกุล (39) นางสาวธวัลรัตน์ ฐิติวัฒน์กมล และ(40) นายธนชาต ศิริภานุเขม นายอมรและกลุ่มของนายอมรอีก 24 ราย (บุคคลลำดับที่ (3) – (25) และ (40)) และนายพิภัทร์และกลุ่มของนายพิภัทร์อีก 14 ราย (บุคคลลำดับที่ (26) – (39)) ได้รู้เห็นตกลงร่วมกันในการสร้างราคาหุ้น AJD และแบ่งหน้าที่กัน โดยมีพฤติกรรมปิดบังอำพรางเพื่อมิให้ตรวจพบการกระทำความผิด ด้วยการจัดหาและใช้บัญชีหลักทรัพย์ของตนเองและของผู้กระทำความผิดอื่นรวม 37 บัญชี สลับกันเข้าซื้อขายหุ้น AJD ในลักษณะอำพรางให้บุคคลอื่นหลงผิดเกี่ยวกับสภาพการซื้อขายหุ้น AJD และในลักษณะต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน (100 วันทำการ) ทำให้สภาพการซื้อขายหุ้น AJD ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เพื่อจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าซื้อหรือขายตาม โดยนายอมรซึ่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของ AJD มีการให้ข่าวเชิงบวกเพื่อเพิ่มความน่าสนใจของหุ้น AJD ต่อผู้ลงทุนทั่วไปในช่วงของการสร้างราคา อีกทั้งมีพฤติกรรมปกปิดแหล่งที่มาที่ไปของเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น AJD โดยแบ่งหน้าที่ให้ผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นภรรยา ญาติพี่น้อง และพนักงาน ช่วยเหลือในการจัดการฝากถอนเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น AJD ของบัญชีหลักทรัพย์ภายในแต่ละกลุ่ม นอกจากนี้ นายอมรและนายพิภัทร์ได้ร่วมกันอนุมัติเงินจากบริษัท AJD เพื่อนำไปใช้ในการสร้างราคาหุ้น AJD อีกด้วย การกระทำดังกล่าวข้างต้นของนายอมรและนายพิภัทร์ และบุคคลลำดับที่ (3) – (39) เป็นความผิดตามมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 244 และมาตรา 243(2) ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 317/4(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และการกระทำของบุคคลลำดับที่ (40) นายธนชาตเป็นความผิดตามมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 244 และมาตรา 243(2) ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 317/4(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 40 ราย โดยกำหนดให้นายอมรและบุคคลลำดับที่ (3) (4) (5) (9) (10) (11) และ (18) ชำระค่าปรับทางแพ่งรายละ 79,425,732.19 บาท นายพิภัทร์และบุคคลลำดับที่ (26) – (33) ชำระค่าปรับทางแพ่งรายละ 30,602,755.00 บาท ส่วนผู้กระทำความผิดที่เหลือชำระค่าปรับทางแพ่งดังนี้ (6) นางสาวจินตนา 23,548,812 บาท (7) นายโชติอนันต์ 104,329,380 บาท (8) นายยงยุทธ 25,751,463 บาท (12) นายวิศาล 32,379,799.50 บาท (13) นางภณิดา 25,632,267 บาท (14) นายวราพงษ์ 8,542,500 บาท (15) นางเจนจิรา 10,126,905 บาท (16) นางธนิดา 10,349,305.50 บาท (17) นางนันท์นภัส 58,343,809.50 บาท (19) นายมานะ 5,619,300 บาท (20) นางสาวศิริพร 17,224,125 บาท (21) นางพิมพ์ใจ 5,541,486 บาท (22) นางสาววิจิตรา 8,360,640 บาท (23) นายสุชาติ 14,035,065 บาท (24) Mr. Fu Nan 29,574,052.50 บาท (25) Mr. Dong Zhang 7,367,641.50 บาท (34) นางสาวปิยะดา 21,481,218 บาท (35) นายสุนทร 159,713,980.50 บาท (36) นายไกรสร 15,704,200.50 บาท (37) นายวรวุฒิ 19,999,774.50 บาท (38) นายวีระ 36,286,905 บาท (39) นางสาวธวัลรัตน์ 176,305,956 บาท และ (40) นายธนชาต 333,333.33 บาท อย่างไรก็ตามหากผู้กระทำความผิดทั้ง 40 ราย ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องเป็นคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่งตามอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ การที่ ค.ม.พ. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดทั้ง 40 ราย เป็นเหตุให้ผู้กระทำความผิดทั้ง 40 ราย เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 3/2560 เรื่อง การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท ลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560 ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยกรณีนายอมร นายพิภัทร์ และนางณษิกา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหาร จะต้องพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่กำหนดในหนังสือที่ ก.ล.ต. จะแจ้งการมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจดังกล่าวในขั้นตอนหลังจากนี้ต่อไป เมื่อ: 2018-12-28T03:00:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้น ถูกทำราคา ปรัชญา: เหตุการณ์ที่ผ่านมาระยะ2-3ปีมานี้ หุ้นได้ถูกทำราคา ขึ้นมาหลายตัว ขอยกตัวอย่างมาคุยกันเป็นกรณีพิเศษสำหรับเหตุการณ์ เอสทีเอ หุ้นตัวนี้ขึ้นมาอย่างมากมาย พร้อมราคาขี้นบันได ไตร่ชั้นฟ้า ด้วยมีกลุ่มฟันด์โฟล์ เข้ามาเป็นตัวผลักดันราคา และมีอุปสงค์อุปทาน ราคายางพารา จากกิโลกรัมละราคา60กว่าบาท มาถึง200ร้อยกว่าบาท (ก่อนจะปรับตัวลง พร้อมราคาหุ้น) ราคาหุ้นก็วิ่งจากแถวๆ11บาท มาขึ้นมาถึง...แล้วก็แตกพาร์ ณ.ปัจจุบันราคาก็อย่างที่เห็น เมื่อขึ้นสูงสุดยอดแล้วก็มายืน ตามเหตุการณ์ พีทีแอล ตัวนี้ก็ขึ้นมาแบบสามล้อถูกหวย เพราะราคาวัตถุดิบ ปรับราคาเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด ราคาก็อย่างที่เห็น เริ่มจากเลขหลักเดียว มาทำจุดสุดยอด และย่อลงมาหาความจริง ที่ราคาพื้นฐาน ของอุปสงค์อุปทาน ในปัจจุบัน เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ผ่านไปตามลำดับ บางคนก็ว่าเรื่องเกิดแล้วมาเล่าไปจะมีประโยชน์อะไร อื่นๆตามแต่จะคิดแต่จะเห็น เพียงแค่จะชี้ให้เห็นว่า... ราคาสมเหตุผลของหุ้น แต่ละตัวมีเวลาของมัน ราคาหุ้นมันขึ้นเพราะมันดี มันปั่น มันถูกลาก มันถูกทุบ มันถือโดยกองทุน มันถูกกองทุนอีแร้ง ฟันด์โฟล์ มาฉุดกระชากลากราคา มาแยกพฤกติกรรมการลงทุน ให้เห็นภาพกลุ่มต่างๆกันก่อน ตลาดหลักทรัพย์ประกอบด้วยนักลงทุนหลากหลายประเภท นักลงทุนรายย่อย มีวงเงินลงทุนจำกัด ไม่มากนัก นักลงทุนสถาบัน มีวงเงินสูง ลงทุนมีพอท์ตของบริษัทฯ นักลงทุนต่างประเทศ มีวงเงินสูง เข้ามาลงทุนในแต่ละประเทศ แต่เราจะมาดูกันที่การลงทุนแบบฟันด์โฟล์ น่าจะเรียกว่า กองทุนฉวยโอกาสกองทุนอีแร้ง ที่โฉบเฉี่ยว เคลื่อนย้ายการลงทุนแบบรวดเร็วกว่า หุ้นที่เข้าแต่ตัวจะถูกเก็บ ลาก และทำราคา เมื่อเรามองกลุ่มนักลงทุนแล้วยังมี กลุ่มนักลงทุนรายย่อย มีการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่เรียกตัวเองว่าVI พฤกติกรรมการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้จะแตกต่างจากที่กล่าวมาแล้ว โดยที่นักลงทุนกลุ่มนี้ จะเลือกหุ้น เพื่อการลงทุนซื้อ และถือหุ้นไปตามเป้าหมาย ไม่ได้นำมาเล่นรอบเหมือนกลุ่มอื่นๆ กลุ่มฟันโชว์ จะเลือกหุ้นที่อยู่ในกระแส แบบ แจ๊ส พฤกติกรรมการลงทุน ลักษณะจะลงทุนแบบเจ้ามือ เมื่อเลือกหุ้นได้ก็เก็บหุ้นไป ก็จะลากหุ้นบ้าง ทุบหุ้นบ้าง ลากขึ้น ลากลง เพื่อเรียกแขก ทำราคาให้หวือหา เพื่อเรียกนักเก็งกำไร ให้เข้ามาร่วมวงกินโต๊ะหุ้น และเมื่อถึงเวลาสังหารหมู่ งานเลี้ยงเลิกรากันไปจากหุ้นตัวเดิม และเข้าสู่หุ้นตัวใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้แบบไม่มีที่สิ้นสุด ผมได้เห็นและได้อ่านหลายที่ ตั้งแต่ตามเวปบอร์ดหุ้น ตามFB ทวิสเตอร์ บอกหุ้นปั่นๆ ปั่นหุ้น โดยประสบการณ์คำว่าหุ้นปั่น พูดง่ายพูดไม่ยาก แต่น่าจะมีการอธิบายว่า การปั่นหุ้นนั้นมีพฤกติกรรมแบบไหน ไม่ใช่เวลาเห็นหุ้นตัวไหน วิ่งขึ้นมา100-200% หรือ1000% ก็ว่าหุ้นปั่น เพราะการปั่นหุ้นกันมาตั้งแต่ยุคก่อนๆ ยุคเสี่ยสอง เขาจะซื้อและขาย โยนกันไปมาระหว่างกลุ่มผู้ปั่นหุ้น ตัวอย่างมีเยอะ แต่หุ้นที่เทรินโอเว่อร์ลิสนั้น ก็สามารถขึ้นได้ มากมาย จนถึงที่นักลงทุนเห็นว่ามันเต็มมูลค่าของหุ้นนั้น แจ๊ส หลายคนคิดและพูดว่าเป็นหุ้นปั่น หุ้นเทรินโอเว่อร์ลิส หุ้นเทรินอะราวค์ หลายๆสรรพนามที่อ้างว่ากันไป แต่คนพูดเคยถามและมองตัวเองไหมว่า ....ท่านเป็นนักลงทุนประเภทไหน รู้ความหมายว่า...หุ้นที่ว่านี้จัดเป็นหุ้นอะไร หุ้น ถูกทำราคา จากลุ่มนักลงทุนกลุ่มไหน? .................... ที่ว่ามาทั้งหมด เพื่อให้หันมาสำรวจตัวเองบ้างว่าเป็นอย่างไร (เสียดายที่ลงรูปกราฟไม่ได้ เพราะจะได้เห็นรูปแบบที่ไตร่ระดับสูงชันของราคา แบบหุ้นถูกทำราคา) เมื่อ: 2011-03-23T01:13:59+00:00 vichit: ขอบคุณครับ...พี่ปรัชญา จงอย่าขายหุ้น...(ที่ดีที่ชนะตลาด)บริษัทที่มีผลประกอบการดีเลิศ ออกจากพอร์ตการลงทุนเร็วจนเกินไป เพียงเพราะว่า บริษัทที่ดีเลิศเหล่านั้น บางจังหวะราคาหุ้นอาจจะวิ่งได้ไม่รวดเร็วนัก แต่นั้นจะเป็นแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อผลประกอบการประกาศออกมา จำไว้อย่างหนึ่งว่า...ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปรับกำไรที่ทำได้เพิ่มมากขึ้นเสมอ การลงทุนในบริษัทที่ดีเลิศ เราต้องมั่นให้ความสำคัญและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอว่า บริษัทที่เราลงทุนอยู่นั้น มีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอหรือไม่ อย่าให้อารมณ์ (ของเราและของนายตลาด) มาอยู่เหนือเหตุผลในการลงทุนของเรา เราจงเชื่อมั่นในบริษัทที่เราลงทุน เพราะเราได้เลือกสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว อย่าให้นายตลาดมาทำให้เราไขว่เขว่ เห็นหุ้นตัวอื่นวิ่งเร็วกว่าหุ้นที่เราลงทุนอยู่ เลยพาลขายหุ้นที่ดีเลิศเหล่านั้นออกไป เพียงเพราะว่ามันวิ่งได้ช้า ไม่(รวย)รวดเร็วดั่งใจ จงอย่าเด็ดดอกไม้ทิ้ง และทิ้งไว้เพียงวัชพืช เพราะมันจะทำให้พอร์ตการลงทุนของเราไม่ประสบความสำเร็จ อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร ที่ทำ(ลงทุน)ลงไปนะถูกแล้ว อย่าเปลี่ยนแนว(ทาง) คนแน่แน่ว เท่านั้น คือ...ผู้ชนะ(ในระยะยาว) เมื่อ: 2011-03-23T01:30:56+00:00 cntclub: ขอบคุณครับ ที่ให้ความรู้ เมื่อ: 2011-03-23T01:31:54+00:00 Ii'8N: ปรัชญา เขียน: พีเอสแอล ตัวนี้ก็ขึ้นมาแบบสามล้อถูกหวย เพราะราคาวัตถุดิบ ปรับราคาเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด ราคาก็อย่างที่เห็น เริ่มจากเลขหลักเดียว มาทำจุดสุดยอด และย่อลงมาหาความจริง ที่ราคาพื้นฐาน ของอุปสงค์อุปทาน ในปัจจุบัน คุณปรัชญาจะหมายถึงพลาสติคพีทีแอลรึเปล่าครับ? เมื่อ: 2011-03-23T01:40:48+00:00 ปรัชญา: Ii'8N เขียน:ปรัชญา เขียน: พีเอสแอล ตัวนี้ก็ขึ้นมาแบบสามล้อถูกหวย เพราะราคาวัตถุดิบ ปรับราคาเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด ราคาก็อย่างที่เห็น เริ่มจากเลขหลักเดียว มาทำจุดสุดยอด และย่อลงมาหาความจริง ที่ราคาพื้นฐาน ของอุปสงค์อุปทาน ในปัจจุบัน คุณปรัชญาจะหมายถึงพลาสติคพีทีแอลรึเปล่าครับ? ใช่ครับ ขอบคุณที่เตือน จะขอแก้ไขครับ เมื่อ: 2011-03-23T01:45:37+00:00 MrRobot: ขอบคุณครับ ทัรกระเเส สังคมจริงๆ ช่วยเตือนหลายๆท่าน รวมผมด้วย เมื่อ: 2011-03-23T07:58:51+00:00 nathapon_m: ชอบครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-03-23T08:02:59+00:00 thaloengsak: ขอบคุณพี่ปรัชญามากครับ ผมยังประสบการณ์น้อย ถ้ามีอะไรสงสัยเมื่อไร ผมขอรบกวนถามจากพี่หน่อยได้ไหมครับ เมื่อ: 2011-03-23T10:50:49+00:00 drsp: อ่านกระทู้นี้แล้วสะดุ้ง sta ptl jas ผมมีทั้ง3ตัวเลย เพิ่งขายptlไปไม่นาน อีก2ตัวยังถืออยู่ ทั้ง3ตัวเป็นหุ้นที่ทํากําไรสูงสุดในพอร์ทผมเลย กองทุน ต่างชาติ รายใหญ่เล่นอย่างไร ผมไม่สนใจเพราะผมก็ไม่รู้ว่าเขาเล่นอย่างไร ผมรู้แต่ว่าผมเล่นอย่างไร ผมกลัวอยู่กลุ่มเดียวคือผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะเขามีข้อมูลภายในล่วงหน้าและมีหุ้นมาก จะทําราคาแบบไหนก็ได้ รายย่อยไม่มีทางสู้เลย ผมจึงหลีกเลี่ยงหุ้นที่เจ้าของบริษัท มายุ่งกับราคาหุ้นหรือวื้อขายบ่อย ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเล่นหุ้นแบบไหน บางวันก็คิดแบบลงทุน บางวันก็คิดแบบเก็งกําไร อยากเป็นvi แต่ก็ติดนิสัยชอบดูกราฟ หวังว่าสักวันระบบความคิดจะลงตัวสักที เมื่อ: 2011-03-23T11:42:39+00:00 multipleceilings: หุ้นขึ้นโหดๆที่ผมเห็นจากปี 2010 nine และ ipo ทั้งหลาย, aj, kiat, tfi, global, tccc, kkc, snc, smt, pae, crane.... มีอีกเยอะแหละ ..... 'หลายๆตัว' กำไรโตอื้ออออออออออออออออออออออออออออออออออซ่าครับ น่าโดนอยู่แหละ เมื่อ: 2011-03-23T11:45:18+00:00 KGYF: ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2011-03-23T12:09:52+00:00 Paul Octopus: พูดได้ตรงดี และ ตรงใจ ผมก็อยาก post แบบนี้เหมือนกัน แต่บารมีไม่พอ ขอบคุณในตวามหวังดี และ ขอให้ยึดมั่นต่อสิ่งนี้ต่อไป ถือว่าเป็นการช่วยเตือนสติของหลายๆคน เมื่อ: 2011-03-23T13:58:42+00:00 comrade: ขอบคุณมากครับ พี่ปรัชญา เมื่อ: 2011-03-23T15:48:52+00:00 คลายเครียด: หุ้นแบบนี้ ขายทำคลายเดรียดเรโชแบบจุลภาค น่าจะเป็นทางออกที่ดี หรือไม่ก็คอยจับตา หุ้นที่อำนาจขายนำของกลุ่มที่ทำราคาหุ้นขึ้นมา การเทขายของรายใหญ่ น่าจะออกอาการผ่านเส้นสายลายกราฟ ?? ถ้าเราไม่มีข่าววงในระดับพรีเมียร์ลีก ซื้อขายตามผลประกอบการ จะไม่ค่อยทันกิน เพราะพวกเงินที่มีอำนาจซื้อนำของหุ้นตัวนั้นๆ เขาลงมือซื้อตั้งแต่ตอนราคาหุ้นถูกๆ ยังไม่มีใครพูดถึงผลประกอบการในอนาคต แล้วก็เอามาขาย ตอนที่หุ้นมันขึ้นไปเล่นกันที่ราคาอนาคต เพื่อดักรอผลประกอบการในอนาคต ทำไมเซเว่นไม่ไปต่อ ทั้งๆที่ยังโตต่อเนื่อง ???? คำตอบคือ ราคาหุ้นถูกเงินที่มีอำนาจซ์้อนำของเซเว่น ทำราคาหุ้นไปดักรอผลประกอบการในอนาคตล่วงหน้าแล้ว พอผลประกอบออกมาจริง e earning วิ่งไม่ทัน p price ที่ไปดักรอล่วงหน้า p ก็วิ่งกลับลงมาหา e ทำให้พีอีลดลง โดยที่ราคาหุ้นไม่ได้เพิ่มขึ้น สรุปแล้ว mos ของใครยิ่งมีมาก หุ้นในมือคนนั้นก็ยิ่งเป็นต่อ เมื่อ: 2011-03-24T01:05:32+00:00 unnop.t: ช่วยพี่ปรัชญาแปะรูปประกอบ Thanks: ฝากรูป Thanks: ฝากรูป Thanks: ฝากรูป เมื่อ: 2011-03-24T05:44:59+00:00 woodooshy: ขอบคุณครับพี่ เมื่อ: 2011-03-25T05:25:06+00:00 chukieat30: คลายเครียด เขียน:หุ้นแบบนี้ ขายทำคลายเดรียดเรโชแบบจุลภาค น่าจะเป็นทางออกที่ดี หรือไม่ก็คอยจับตา หุ้นที่อำนาจขายนำของกลุ่มที่ทำราคาหุ้นขึ้นมา การเทขายของรายใหญ่ น่าจะออกอาการผ่านเส้นสายลายกราฟ ?? ถ้าเราไม่มีข่าววงในระดับพรีเมียร์ลีก ซื้อขายตามผลประกอบการ จะไม่ค่อยทันกิน เพราะพวกเงินที่มีอำนาจซื้อนำของหุ้นตัวนั้นๆ เขาลงมือซื้อตั้งแต่ตอนราคาหุ้นถูกๆ ยังไม่มีใครพูดถึงผลประกอบการในอนาคต แล้วก็เอามาขาย ตอนที่หุ้นมันขึ้นไปเล่นกันที่ราคาอนาคต เพื่อดักรอผลประกอบการในอนาคต ทำไมเซเว่นไม่ไปต่อ ทั้งๆที่ยังโตต่อเนื่อง ???? คำตอบคือ ราคาหุ้นถูกเงินที่มีอำนาจซ์้อนำของเซเว่น ทำราคาหุ้นไปดักรอผลประกอบการในอนาคตล่วงหน้าแล้ว พอผลประกอบออกมาจริง e earning วิ่งไม่ทัน p price ที่ไปดักรอล่วงหน้า p ก็วิ่งกลับลงมาหา e ทำให้พีอีลดลง โดยที่ราคาหุ้นไม่ได้เพิ่มขึ้น สรุปแล้ว mos ของใครยิ่งมีมาก หุ้นในมือคนนั้นก็ยิ่งเป็นต่อ เฮียเอนโดเข้าใจเปรียบครับ เมื่อ: 2011-03-31T17:55:09+00:00 Pn3um0n1a: คลายเครียด เขียน:หุ้นแบบนี้ ขายทำคลายเดรียดเรโชแบบจุลภาค น่าจะเป็นทางออกที่ดี หรือไม่ก็คอยจับตา หุ้นที่อำนาจขายนำของกลุ่มที่ทำราคาหุ้นขึ้นมา การเทขายของรายใหญ่ น่าจะออกอาการผ่านเส้นสายลายกราฟ ?? ถ้าเราไม่มีข่าววงในระดับพรีเมียร์ลีก ซื้อขายตามผลประกอบการ จะไม่ค่อยทันกิน เพราะพวกเงินที่มีอำนาจซื้อนำของหุ้นตัวนั้นๆ เขาลงมือซื้อตั้งแต่ตอนราคาหุ้นถูกๆ ยังไม่มีใครพูดถึงผลประกอบการในอนาคต แล้วก็เอามาขาย ตอนที่หุ้นมันขึ้นไปเล่นกันที่ราคาอนาคต เพื่อดักรอผลประกอบการในอนาคต ทำไมเซเว่นไม่ไปต่อ ทั้งๆที่ยังโตต่อเนื่อง ???? คำตอบคือ ราคาหุ้นถูกเงินที่มีอำนาจซ์้อนำของเซเว่น ทำราคาหุ้นไปดักรอผลประกอบการในอนาคตล่วงหน้าแล้ว พอผลประกอบออกมาจริง e earning วิ่งไม่ทัน p price ที่ไปดักรอล่วงหน้า p ก็วิ่งกลับลงมาหา e ทำให้พีอีลดลง โดยที่ราคาหุ้นไม่ได้เพิ่มขึ้น สรุปแล้ว mos ของใครยิ่งมีมาก หุ้นในมือคนนั้นก็ยิ่งเป็นต่อ เมื่อ: 2011-03-31T18:13:58+00:00 SEHJU: พี่ปรัชญา มาตรงๆ เมื่อ: 2011-03-31T19:20:18+00:00 Financeseed: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-03-31T21:17:40+00:00 won71: ขอบคุณมากๆ ครับพี่ๆ ทุกคนที่มาช่วยเตือน ผมเกือบเคาะขายไปแล้วเมื่อกี้ สังคมเวบไทยวีไออบอุ่นเพราะมีคนปราถนาดีแบบนี้อยู่มากมาย เมื่อ: 2011-04-01T05:01:50+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอคำแนะนำการลงทุนกรณีมีรายได้เป็นเงินเยน yoyo9999: ตอนนี้ทำงานอยู่ในญี่ปุ่นครับ ดอกเบี้ยเงินฝากน้อยเหลือเกิน ซ้ำเงินเยนก็ under-value ซะขนาดนั้น เงินบาทเองก็เป็นกระทิงเปลี่ยววิ่งไม่หยุด จากที่เคยเอาเงินกลับบ้านทุกปี ตอนนี้ทำใจไม่ได้กับ loss จากอัตราแลกเปลี่ยน อยากเปลี่ยนแนวการลงทุนมาเป็นลงทุนในญี่ปุ่นแทน เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจก็ค่อนข้างดีทีเดียว และคาดว่าเงินเยนคงแข็งขึ้นภายในสองปีข้างหน้า จากอัตราดอกเบี้ยที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น มีใครลงทุนในนิเคอิบ้างหรือเปล่าครับ ตอนนี้ที่ผมติดปัญหาคือ 1. ไม่รู้จะหาโบรกเกอร์ไหนที่คุยภาษาอังกฤษได้ มีบทวิเคราะห์ภาษาอังกฤษให้ และซื้อขายทางเน็ตได้บ้าง 2. เนื่องจากภาษี capital gain ตอนขาย ผมคงลงทุนแนวซื้อแล้วเก็บยาวแน่ๆ รอจนกลับเมืองไทยค่อยขาย แต่ถ้ามีหนทางที่ไม่ต้องจ่ายภาษี ก็รบกวนชี้แนะด้วยครับ 3. ถ้าท่านใด ติดตามนิเคอิอยู่ ก็อยากจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นด้วยครับ เพราะผมยังใหม่มากกับตลาดนี้ ผมคงยังไม่ลงเงินจนกว่าจะได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนก่อน ถ้าท่านใดมีความรู้พอชี้แนะก็รบกวนด้วยครับ เมื่อ: 2007-05-28T07:49:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
CENTELปรับโครงสร้างธุรกิจอาหาร genie: 18 กันยายน 2546 เรื่อง การรายงานการตกลงเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทและบริษัทย่อย เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 9/2546 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2546 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทและบริษัทย่อยเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน โดยมีรายละเอียดตามเอกสาร ที่แนบนี้ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ ( นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์) กรรมการผู้อำนวยการ สารสนเทศรายงานการตกลงเข้าทำรายการในรายการที่เกี่ยวโยงกัน 1. วัน เดือน ปี ที่ทำรายการ : ภายใน เดือน กันยายน ตุลาคม 2546 2. คู่สัญญาที่เกี่ยวข้อง และ ความสัมพันธ์กับบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อย 1. บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ( " CENTEL") 2. บริษัท เซ็นทรัลโฮเต็ลแมนเนชเม้นท์ จำกัด ("CHM") ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% โดย บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ( " CENTEL") 3. บริษัท ห้างเซ็นทรัลดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด("HCDS") ซึ่งเป็นบริษัทที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ร่วมกัน กับบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (" CENTEL") 4. บริษัท ไทยอินเตอร์เนชั่นแนลฟาสต์ฟู้ด จำกัด ("TIFF") ซึ่งเป็นบริษัทที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ร่วมกัน กับบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (" CENTEL") 5. บริษัท เซนมาร์เก็ตเพลซ จำกัด ("ZEN") เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ห้างเซ็นทรัลดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด("HCDS") 3. ลักษณะโดยทั่วไปของรายการ 3.1 ประเภทของรายการ : จัดเป็นรายการตาม ข้อ 9 ตามประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิด เผยข้อมูล และ การปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียน ในรายการที่เกี่ยวโยงกัน 3.2 ลักษณะรายการ และรายละเอียดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นการปรับโครงสร้าง การลงทุนในกลุ่มธุรกิจ ร้านอาหาร และ เครื่องดื่ม ประเภทฟาสต์ฟู้ด ของบริษัทฯให้ เหมาะสม เพื่อลดโอกาสการเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ภายในกลุ่มธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการลดต้น ทุนการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ตลอดจน เพิ่มโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต ทางบริษัทฯ และบริษัทย่อยจึงได้ดำเนินการเข้าทำรายการดังต่อไปนี้ 1. CHM ขายหุ้น สามัญของบริษัท เซ็นทรัล พิซซ่า จำกัด (" CPC") ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับร้าน อาหารและ เครื่องดื่ม ประเภทพิซซ่า ภายใต้เครื่องหมายการค้า " พิซซ่า ฮัท " ในประเทศไทย , จำนวน 320,000 หุ้น หรือ คิดเป็นสัดส่วน 16% ของหุ้นสามัญ CPC ที่ออกและชำระแล้ว เป็นมูล ค่ารวมเท่ากับ 7,964,800 บาท หรือราคาหุ้นละ 24.89 บาท, ให้กับ HCDS ซึ่งจะทำให้ CHM ถือ หุ้นใน CPC รวมเป็น 84% 2. CENTEL ขายหุ้นสามัญบริษัท ไทยแฟรนไชซิ่ง จำกัด ("TF") ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับร้าน อาหารและ เครื่องดื่ม ประเภทโดนัท ภายใต้เครื่องหมายการค้า " มิสเตอร์โดนัท " ในประเทศ ไทย , จำนวน 80,100 หุ้น หรือ คิดเป็นสัดส่วน 2.67% ของหุ้นสามัญ TF ที่ออกและชำระแล้ว , เป็นมูลค่ารวมเท่ากับ 4,137,966 บาท หรือราคาหุ้นละ 51.66 บาท, ให้กับ HCDS ซึ่งจะทำให้ CENTEL ถือหุ้นใน TF รวมเป็น 84% 3. CENTEL ขายหุ้นสามัญบริษัท ฟู้ด โนเวลตี้ส์ จำกัด ("FN") ซึ่งดำเนินธุรกิจหลักในการผลิต จำหน่าย ขนมอบ และ เครื่องดื่ม, จำนวน 400,000 หุ้น หรือ คิดเป็นสัดส่วน 16 % ของหุ้น สามัญ FN ที่ออกและชำระแล้ว , ที่มูลค่ารวมเท่ากับ 4,004,000 บาท หรือราคาหุ้นละ 10.01 บาท, ให้กับ HCDS ซึ่งจะทำให้ CENTEL ถือหุ้นใน FN รวมเป็น 84% 4. CENTEL ซื้อหุ้นสามัญบริษัท เซ็นทรัลฟาสต์ฟู้ดกรุ๊ปจำกัด ("CFFG") ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ ร้านอาหารและ เครื่องดื่ม ประเภทไก่ทอด ภายใต้เครื่องหมายการค้า " เค.เอฟ.ซี. " ในประเทศ ไทย จาก ZEN โดยมีรายละเอียดดังนี้ 4.1 CENTEL ซื้อหุ้นสามัญ CFFG จำนวน 40,000 หุ้น เป็นหุ้นที่ชำระเต็มมูลค่าแล้ว หรือคิดเป็นสัดส่วน 2 % ของหุ้นสามัญของ CFFG คิดเป็นมูลค่ารวมเท่ากับ 9,036,800 บาท หรือราคาหุ้นละ 225.92 บาทสำหรับหุ้นที่ชำระเต็มมูลค่า 4.2 CENTEL ซื้อหุ้นสามัญของ CFFG จำนวน 40,000 หุ้น เป็นหุ้นที่ชำระ 50% ของมูล ค่าที่ตราไว้ หรือคิดเป็นสัดส่วน 2 % ของหุ้นสามํญของ CFFG คิดเป็นมูลค่ารวมเท่ากับ 7,036,800 บาท หรือราคาหุ้นละ 175.92 บาทสำหรับหุ้นที่ชำระ 50% ของมูลค่า รวมมูลค่าหุ้น CFFG ที่ซื้อเท่ากับ 16,073,600 บาท ซึ่งจะทำให้ CENTEL ถือหุ้นใน CFFG เพิ่ม จากเดิม 80% กลายเป็น 84 % 5. การซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เซ็นทรัล ไอศครีม จำกัด ( "CIC") ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับร้าน อาหารและ เครื่องดื่ม ประเภทไอศครีม ภายใต้เครื่องหมายการค้า " บาสกิ้น-ร้อบบิ้นส์ " ใน ประเทศไทย , โดย CHM ทำการซื้อหุ้นจำนวน 4,000 หุ้น หรือ คิดเป็นสัดส่วน 0.36 % ของหุ้น สามัญ CIC ที่ออกและชำระแล้ว เป็นมูลค่ารวมเท่ากับ 32,040 บาท หรือ ราคาหุ้นละ 8.01 บาท จาก HCDS ซึ่งจะทำให้ CHM ถือหุ้นใน CIC เพิ่มขึ้นจาก 83.64% เป็น 84% 4. มูลค่ารวมของรายการ ? มูลค่ารวมของรายการ = 32,212,406 บาท ( รวม 5 รายการ) ได้รับชำระ และ จ่าย ราคาค่าหุ้น สามัญเป็น เงินสดทั้งจำนวน ในครั้งเดียวในวันโอนหุ้นสามัญที่ซื้อขาย ? มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์มีตัวตนสุทธิของบริษัทและบริษัทย่อยรวมกัน = 2,098,039,109 บาท (สอบทานแล้ว ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546) ? มูลค่ารวมของรายการ คิดเป็น ร้อยละ 1.54 ของ มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์มีตัวตนสุทธิ ของบริษัทและบริษัทย่อยรวมกัน 5. เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดมูลค่าของสิ่งตอบแทน ? ใช้เกณฑ์มูลค่าทางบัญชีและผลประกอบการของบริษัท หลังจากอ่านอยู่หลายตลบกว่าจะเข้าใจ คือเดิมที CENTEL ถือหุ้นในร้านอาหารในเครือในสัดส่วนไม่เท่ากัน ดังนั้นหลังจากการปรับโครงสร้างทำให้CENTEL ถือหุ้นในกลุ่มธุรกิจอาหารในอัตราส่วนเท่ากันหมดคือ 84% ไม่รู้ว่าทำไมต้อง 84% ก็ไม่รู้หรือเล่นคำตามภาษาจีนรึเปล่า (8 อ่านออกเสียงใกล้กับคำว่ารวย และ 4 อ่านออกเสียงคล้ายคำว่าตาย รวมกันจะกลายเป็นคำว่า รวย(จนกระทั่ง)ตาย :lol: :lol: :lol: ) เมื่อ: 2003-09-20T02:26:20+00:00 honighonig: คือวิเคราะห์ข้อมูลไม่ค่อยเป็นน่ะค่ะ ไม่ได้จบด้านบัญชีหรือเศรษฐศาสตร์มา เลยสงสัยว่าการทำเช่นนี้มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไรบ้างคะ รบกวนพี่ๆช่วยชี้แนะหน่อยนะคะ เมื่อ: 2003-10-02T08:46:27+00:00 genie: ถ้าในกรณีของCentelก็ไม่มีอะไรมาก เพราะจำนวนหุ้นเก่าที่ถืออยู่สัดส่วนก็ใกล้ๆนี้ เพียงแต่น่าจะเป็นการแลกหุ้นเพื่อให้สัดส่วนลงตัวก็เท่านั้นแหละครับ แต่ในกรณีอื่นๆต้องพิจารณาดวยนะครับว่าส่งผลดีผลเสียแค่ไหน คงต้องยกcaseมาก่อนนะครับถึงอธิบายง่ายหน่อย เมื่อ: 2003-10-02T10:36:50+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
January Effect ayethebing: January Effect คือการที่ผู้จัดการกองทุนต่างชาติจะเริ่มขายหุ้นตอนช่วงปลายปีเพื่อนำผลขาดทุนไปลดภาษีและนำกำไรไปรายงานงบประจำปี ทีนี้ในปีหน้าตอนเดือนมกราคมจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาจากผู้จัดการกองทุนกลุ่มนี้แหละ เพื่อสร้างพอร์ทให้กลับมาตามระดับที่จะลงทุน ดังนั้นตอนปลายปีก้อจะมีแรงขายและราคาหุ้นก้อจะร่วงลง ในขณะที่ตอนต้นปีก้อจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาและราคาหุ้นก้อจะพุ่งขึ้น เค้าว่ากันว่า ถ้า december effect แรง january effect ก้อจะแรงไปด้วย ถ้าดูจากดัชนี SET อาจจะหลอกว่าหุ้นช่วงนี้ขึ้น แต่จริงๆ หุ้นที่ขึ้นจริงๆ มีแค่บางกลุ่มเท่านั้น ต่างชาติก้อมีการขายสุทธิในช่วงนี้ ผมว่าปีหน้าน่ารักน่าลุ้นว่าจะมี January effect นะครับ เมื่อ: 2003-12-23T12:19:22+00:00 Jeng: หมายถึง January นี้จะขึ้นแรงใช่หรือไม่ครับ เมื่อ: 2003-12-23T12:30:51+00:00 ayethebing: ใช่พี่ แต่นั่นมันเป็นทฤษฎีนะครับพี่ เหมือนบอกว่าผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้น หุ้นจะขึ้น อะไรยังงั้นแหละครับ แค่มันมีเหตุผลสนับสนุนมากกว่าเท่านั้นแหละ เมื่อ: 2003-12-23T12:39:28+00:00 CK: เห็นด้วยครับ ยิ่งสั้นยิ่งขึ้น เอ้ย หมายถึงยิ่งลงมากตอน Dec ยิ่งขึ้นมากตอน Jan ครับ เมื่อ: 2003-12-23T12:47:41+00:00 แม่นยำ: แล้วปีนี้มันขึ้นไปจาก 602 ตอนนี้ไป 720-730 แล้ว มันจะเหลือให้วิ่งอีกหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2003-12-23T13:20:01+00:00 stockms: ดัชนีไม่ขึ้นครับแต่หุ้นที่พวกเราถืออยู่จะขึ้นกันหูดับตับใหม่เลย เมื่อ: 2003-12-23T15:48:36+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สงสัยเรื่องการดูการเติบโตของบริษัทครับ birdduckwater: รบกวนขอความเห็นรุ่นพี่ที่นี่หน่อยครับว่า การดูว่าบริษัทเติบโตกี่เปอร์เซ็นต์ในแต่ละปี เราควรจะใช้อะไรเป็นตัววัดครับ ดูที่สินทรัพย์, หนี้ที่ลดลง, Equity, กำไร, ROA, ROE ผมก็พอจะเข้าใจว่าในอนาคตมันอาจมีปัจจัยเรื่องของคุณภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ แต่ถ้าอยากอยากจะมองย้อนกลับไปดูว่า แต่ละปีบริษัทโตขึ้นมากี่เปอร์เซ็นต์ แล้วบริษัทควรจะมีแนวโน้มในการเติบโตมากน้อยแค่ไหน ที่เราจะยอมซื้อตอน P/E มากกว่า 10 เท่าขึ้นไปได้ครับ รบกวนด้วยครับ เมื่อ: 2011-08-06T21:03:47+00:00 birdduckwater: เอ่อ...โทดครับ เน็ตช้า มันเบิ้ล รบกวน admin ช่วยลบด้วยครับ = ='' เมื่อ: 2011-08-06T21:16:16+00:00 ส.สลึง: จะเทียบ G กับ PE Growth ของตัว E นี่แหละครับ ชัดเจนที่สุด บางธุรกิจ margin ไม่แน่นอน ทำให้ E กระโดดไปกระโดดมา ผมจะเลี่ยงไปดู Growth ของยอดขาย หรือ อื่นๆ แทนครับ ซึ่งมันก็ไม่ใช่วิธีที่ตามตำรา และไม่ควรจะทำเลย แต่สุดท้าย ยังไงๆ ก็ตัว E นี่แหละครับ ที่มีกำลังผลัก PE ที่ชัดเจนที่สุดครับ เมื่อ: 2011-08-07T01:17:07+00:00 ronnachai: โดยส่วนตัวผมจะดูยอดขายรายไตรมาสครับว่าขึ้นทุกปีมั้ยเมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันแต่ปีต่างกันและเปรียบเทียบดูในแต่ละปีว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยค่าที่ผมจะดูอีกตัวคือ Book Value ควรมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี และเมื่อเรามีข้อมูลเยอะพอเราก็จะสามารถหาเปอร์เซนต์การเติบโตแบบทบต้นได้ เมื่อ: 2011-08-07T14:36:43+00:00 superchaos: เฉพาะ Growth ผมดู Normalized EPS ครับแต่ต้องพิจารณา Cycle ของธุรกิจประกอบอีกเล็กน้อยครับ เมื่อ: 2011-08-09T09:24:39+00:00 a4430410700: ปกติ ดูกำไรปกติครับ,อาจจะดูการเติบโตของยอดขายประกอบด้วยครับ เมื่อ: 2011-12-01T15:49:14+00:00 romee: ถ้ามองในมุนบ.ที่เขาจะบลัฟกันแล้ว จะมองที่ยอดขายครับ เพราะถ้ายอดขาย ขายได้เท่าเดิม แต่กำไรเพิ่มเพราะการจัดการบ.ดีข้ึน ท้ายที่สุด มันก็จะตันที่จุดๆนึง สู้ยอดขายที่โตไปเรื่อยๆแล้วการจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย เท่าเดิม ผมว่าแบบหลังดีกว่าครับ เพราะบอกถึงความเก่งกาจในการทำธุรกิจครับ เมื่อ: 2011-12-02T01:38:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทรัพย์ศรีไทย..... harry: คืออะไร ตัวไหนนะครับพี่ เคยเห็นผ่านๆ ลืมไปแล้ว ขอข้อมูลเบื้องต้นด้วยก็ดีครับ เมื่อ: 2004-04-05T16:12:23+00:00 moo: sst ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า ตัวนี้ต้องรบกวนเฮียคลายเครียดแล้วละครับ เมื่อ: 2004-04-05T19:32:49+00:00 ครรชิต ไพศาล: ฃ้อมูล SST โค้ด: เลือกทั้งหมดหมวด ชื่อ บริษัท เว็บไซต์ WAREHO SST บริษัททรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า จำกัด (มหาชน) http://www.subsrithai.co.th NAME ราคา30/12/03 LAST5/4/04 +/-(%) (%)วันนี้ EPS P/E P/BV D/P% SST 35.50 40.00 12.68 3.90 2.80 14.29 0.91 7.50 สินทรัพย์ หนี้สิน ผู้ถือหุ้น หนี้/EQ ทุน รายได้ กำไร ROA(%) ROE(%) PM(%) PAR MarCap 550.18 20.57 529.61 0.04 121.00 110.13 33.86 7.46 6.46 30.75 10.00 484.00 เติบโต% EPS03 EPS02 EPS01 EPS00 EPS99 EPS98 EPS97 EPS96 EPS95 EPS94 11.55 2.80 2.51 3.88 5.45 5.44 0.67 4.15 6.58 5.30 5.93 วันXD วันจ่าย ปันผล ทั้งปี 7/4/2004 3.00 รายชื่อผู้ถือหุ้น NAME งวดบัญชี ผู้ถือหุ้น จำนวนหุ้น % SST 4/4/2546 ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 6669752 55.12 SST 4/4/2546 นาย มีชัย คงแสงไชย 550006 4.55 SST 4/4/2546 นาย จิรวุฒิ บุญศิริ 483833 4.00 SST 4/4/2546 ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 383243 3.17 SST 4/4/2546 นาย นิมิตร เศวตไกรพ 366671 3.03 SST 4/4/2546 นาย ปรีชา แพร่ชินวงศ์ 366561 3.03 SST 4/4/2546 นาย ศิรัตน์ ธำรงรัตน์ 260600 2.15 SST 4/4/2546 นาย นิพนธ์ นำธวัช 240750 1.99 SST 4/4/2546 นาย มีชัย อังศุรัตน์ 240749 1.99 SST 4/4/2546 นาง อารยา วัฒนศิริสุข 219700 1.82 SST 4/4/2546 นาย ศรัณย์ ธำรงรัตน์ 200000 1.65 SST 4/4/2546 นาย วัฒนา ยงสมิทธ์ 174214 1.44 SST 4/4/2546 บริษัท วัฒนโชติ จำกัด 130460 1.08 SST 4/4/2546 น.ส. ชิดชนก ชลานุชพงศ์ 123800 1.02 SST 4/4/2546 นาย สมเกียรติ ลิมทรง 123700 1.02 SST 4/4/2546 นาย เอนก ฉัตรเสถียร 107000 0.88 SST 4/4/2546 นาย พันธ์ศักดิ์ ศรีเฟื่องฟุ้ง 84900 0.70 SST 4/4/2546 น.ส. จินตนา กาญจนกำเนิด 78000 0.64 SST 4/4/2546 น.ส. กมลอร สุวรรณกูล 75400 0.62 SST 4/4/2546 บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) 66730 0.55 เมื่อ: 2004-04-05T23:17:35+00:00 harry: ถามหน่อยครับว่า อย่างที่เห็นคือมีชื่อธนาคารไทยพานิชย์ 2 ชื่อ แบบนี้หมายความว่าอย่างไรครับ ทำไมไม่รวมเป็นชื่อเดียว แล้วรวมจำนวนหุ้นครับ เมื่อ: 2004-04-06T08:42:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
งบออกแล้วจะใช้เวลาอีกอีกวันถึงจะอัพลง set.or.th [v]: งบออกแล้วจะใช้เวลาอีกอีกวันถึงจะอัพลง www.set.or.th ครับ อย่างช้าที่สุดวันไหน ที่จะอัพลงเว็บ ไม่นับเอาพวกที่ส่งงบการเงินล่าช้านะครับ เมื่อ: 2010-08-18T11:09:07+00:00 Ii'8N: วันนั้นที่ส่งรายงานไปตลาดเลยนี่ http://www.set.or.th/set/todaynews.do;j ... TH&market= ช่วงงบออก ผมใช้วิธีเอา shortcut ไปแปะตรง start up เพราะเปิดเครื่องมาตอนเช้าคอยดู ไม่ต้องจำ แล้วตอนสาย หรือบ่ายก็ refresh (F5) อีกครั้งสองครั้ง ตามแต่จะมีเวลา เมื่อ: 2010-08-18T11:49:03+00:00 [v]: อ่อ ผมหมายถึงช่องแสดง P/E ,P/BV ของ set ครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-08-18T12:10:06+00:00 j21: อยากรุ้เหมือนกันครับ   จากที่ดู บางตัวก็มาแล้ว  แต่ส่วนใหญ่ยังอ่ะครับ แปลว่า น่าจะเริ่มทยอยมาหลังงบออกซักวีคมั้งครับ เมื่อ: 2010-08-18T13:13:17+00:00 simpleBE: เท่าที่ผมสังเกตน่าจะประมาณ 3-4 ทำการนะครับ เมื่อ: 2010-08-18T14:06:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
The Future Visions of Japan (Part 2)/ดร.ชาคริต สุวรรณโชติ Thai VI Article: โค้ด: เลือกทั้งหมดกลางปี 2014 ผมได้เขียนหนึ่งบทความเกี่ยวกับ ความเป็นไปและมุมมองในอนาคตของประเทศญี่ปุ่น (http://wp.me/p20itO-ei) ช่วงนั้นดัชนีหุ้นนิคเคอิอยู่ที่ 15000 จุด ในขณะที่ค่าเงินเยนต่อดอลล่าห์สหรัฐอยู่ที่ราว 102 เยนต่อหนึ่งดอลล่าห์ อาทิตย์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นนิเคอิเพิ่งจะทะลุ 20000 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 15 ปีของประเทศ และมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 120 เยนต่อหนึ่งดอลล่าห์ เทียบได้ว่า ค่าเงินเยนนั้นอ่อนลงราว 20% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นราว 30% ซึ่งถ้าย้อนดูประวัติเมื่อ 15 ปีก่อนที่ดัชนีตลาดหุ้นเท่าๆกับตอนนี้จะเห็นค่าอัตราแลกเปลี่ยนของเงินเยนต่อดอลล่าห์แทบจะเท่าๆ กับตอนนี้เช่นกัน นายกอาเบะ พยายามอัดฉีดเงินเข้าระบบ รวมไปถึงการใช้นโยบายต่างๆ เพื่อผลักดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง การที่เงินเยนอ่อน ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ที่เน้นการส่งออกหรือมีตลาดอยู่ในต่างประเทศได้รับประโยชน์อย่างมาก เช่น ค่ายรถยนต์โตโยต้า หรือเทรดดิ้งเฟิร์มยักษ์ใหญ่ เช่น กลุ่มซูมิโตโม้ มิตซูบิชิ อิโตชู และอื่นๆ อีกมากมาย ส่งผลให้กำไรของบริษัทโตขึ้นไปตามลำดับ แต่สำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็กกลับไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ในทางกลับกัน บริษัทขนาดกลางและเล็กที่ปกติรับงานจากบริษัทขนาดใหญ่อีกต่อหนึ่ง กลับมีรายได้ที่น้อยลง เพราะบริษัทขนาดใหญ่เหล่านั้นเน้นการผลิตและการค้าในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้เองส่งผลให้บริษัทขนาดกลางและเล็ก หรือที่เราเรียกว่า SMEs ต้องมองหาทางออกโดย ออกไปทำธุรกิจในต่างแดนมากยิ่งขึ้น รัฐบาลญี่ปุ่นมองเห็นแนวโน้มตรงนี้อย่างชัดเจน จึงออกนโยบายที่สนับสนุนบริษัท SMEs ของญี่ปุ่นให้ออกมาทำธุรกิจในต่างแดนได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินสนับสนุนผ่านหน่วยงานของรัฐที่ดูแลบริษัทในกลุ่ม SMEs โดยเฉพาะ เช่น SMRJ หรือผ่านส่วนราชการในแต่ละจังหวัดโดยตรง แน่นอนว่า เราจะเห็นว่ามีองค์กรของญี่ปุ่นหลายๆ องค์กรเข้ามาเปิดสำนักงานในประเทศไทยหรือประเทศในแถบอาเซียนมากขึ้น เพื่อช่วยดูแลบริษัทญี่ปุ่นขนาดกลางและเล็กที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในต่างประเทศ นอกจากนั้น เรายังเห็นข่าวมากมายเกี่ยวกับการที่องค์กรเหล่านี้เซ็นต์สัญญาเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานรัฐบาลของประเทศนั้นๆ หรือแม้แต่กับสถาบันการเงินก็ตาม นอกจากนี้ ล่าสุด นายกอาเบะยังมีแนวคิดที่จะปรับกฏระเบียบต่างๆ รวมไปถึงสถานที่ เพื่อให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเขตอุตสาหกรรมพิเศษที่ช่วยลดภาษีนิติบุคคลสำหรับบริษัทต่างชาติ หรือแม้แต่ออฟฟิสสำเร็จรูปสำหรับบริษัทต่างชาติ ซึ่งช่วยเอื้อต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ รัฐต้องสนับสนุน SMEs ญี่ปุ่นต้องออกไปหาโอกาสในต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเองไม่สามารถขยายตัวได้ดีนัก ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาหลักๆ คือ คนแก่เยอะ และ ประชากรลดลง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญมากของประเทศญี่ปุ่นที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ผมคิดว่าผู้นำญี่ปุ่นคงต้องคิดเยอะมาก และต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชนภายในประเทศเช่นกัน 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทเอกชนต่างๆในประเทศญี่ปุ่น เปิดรับคนต่างชาติเข้าทำงานง่ายขึ้นและมากขึ้น แถมยังเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเหล่านั้นสามารถก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งสูงๆได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อดึงดูดให้คนต่างชาติมาอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนานขึ้น หรืออาจจะปักหลักที่ประเทศญี่ปุ่นเลย ผมมองว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ ล่าสุดแผนที่จะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 8% เป็น 10% ก็ถูกเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากตัวเลขการบริโภคภายในประเทศนั้นออกมาไม่ดี แม้ว่าญี่ปุ่นยังมีมรสุมต่างๆอีกมากมายที่ต้องผ่านพ้น แต่อย่างน้อยตอนนี้นายกอาเบะถือว่าสอบผ่านในมุมมองของคนทั่วไป ถ้าเทียบกับผู้นำหลายๆคนที่ผ่านมา และญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่มีบริษัทที่มี เทคโยโลยีและ Knowhow ที่ล้ำยุคไม่แพ้ประเทศอื่นๆในโลก คนญี่ปุ่นเป็นคนที่รักชาติสูงมาก ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาวิกฤติ ทุกผ่านจะหันหน้าเข้าหากันเพื่อช่วยเหลือให้ผ่านพ้นปัญหาต่างๆไปได้[/size] เมื่อ: 2015-05-13T07:48:33+00:00 ลูกหิน: ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2015-05-13T07:51:27+00:00 นายมานะ: ขออนุญาตนำ part 1 มาลงไว้นะครับ The Future Visions of Japan (Part1)/ดร.ชาคริต สุวรรณโชติ นายกอาเบะของญี่ปุ่นเข้ารับตำแหน่งเมื่อปลายปี 2012 นับจนถึงตอนนี้ผ่านไปเกือบจะสองปีแล้ว ถือว่าเป็นนายกสมัยหลังๆที่อยู่ในตำแหนีงค่อนข้างนานทีเดียว หลังจากนายกอาเบะเข้ารับตำแหน่ง ท่านใช้นโยบายผ่อนปรนการเงินอย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าเงินเฟ้อที่ 2% หลังจากที่ญี่ปุ่นประสบปัญหาภาวะเงินฝืดมาร่วมสิบปี นอกจากนั้นยังใหั BOJ ใช้นโยบายค่าเงินเยนอ่อน เพื่อกระตุ้นการส่งออก ผลที่ได้รับคือเศรษฐกิจของญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บริษัทยักษ์ใหญ่ที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก บริษัทค่ายรถยนต์ต่างๆ กลับมาประกาศกำไรอย่างล้นหลาม การใช้จ่ายในประเทศก็ปรับตัวดีขึ้น คนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ร้านค้าปลีกต่างๆ โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อประกาศผลกำไรสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา บริษัทก่อสร้าง พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึง บริษัทให้เช่าอุปกรเกี่ยวกับการก่อสร้าง ต่างก็มีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น ดัชนีของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ก็ปรับตัวขึ้นตามมาอย่างรวดเร็ว จากราว 9000 จุดช่วงสิ้นปี 2012 เป็น 15000 จุด หรือปรับขึ้นราว 70% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี ค่าเงินเยนญี่ปุ่นก็ปรับตัวอ่อนลงอย่างรวดเร็วจากราว 80 เยนต่อดอลล่าห์เป็น ราว 102 เยนต่อดอลล่าห์ในปัจจุบัน ถือว่า อ่อนลงถึง 30% เลยทีเดียว ผลงานของนายกอาเบะยังไม่ได้มีแค่นั้น ล่าสุดญี่ปุ่น ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิคในปี 2020 ซึ่งถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศและการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆทั่วโลกให้มากขึ้น การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของญี่ปุ่นในระยะยาวอึกด้วย หลังจากที่นายกอาเบะได้รับความนิยมอย่างมาก นายกอาเบะก็ไม่รอช้าที่จะประกาศนโยบายเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 5% เป็น 8% โดยเริ่มตั้งแต่ เดือนเมษายนปี 2014 นี้เอง และยังมีแผนปรับเป็น 10% ภายในปี 2015 นี้อีกด้วย แม้ว่าประชาชนหลายๆกลุ่มจะคัดค้านนโยบายนี้ แต่ด้วยผลงานของนายกอาเบะ ทำให้ท้ายที่สุดนโยบายนี้ก็ถูกยอมรับ เพื่อเป็นต้นทุนในการพัฒนาประเทศในระยะยาว สิ่งที่ตามมาคือ อสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นนบูมขึ้นไปอีก คอนโดมิเนียมในเมืองใหญ่เริ่มขาดแคลน สร้างไม่ทันขาย รวมไปถึงออฟฟิสให้เช่ามีการปรับขึ้นราคาในรอบหลายๆปี ทำให้อุตสาหกรรมเกี่ยวกับโลจิสติกส์ การขนย้ายส่งของดีตามไปด้วย เมื่อ: 2015-05-16T05:09:12+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ราคา APRINT ตอนนี้น่าสนใจไหมครับ พี่ Mom Money ช่วยตอบด้วย mr.bean: เห็นไหลลงมาเรื่อย ๆ เมื่อ: 2003-12-12T05:33:26+00:00 Jeng: น่าสนใจมากครับ (มนน้อย) เมื่อ: 2003-12-12T06:41:18+00:00 Jaturont: น่าสนยังไงครับ ของขายดีเหรอครับ รึว่าเป็น DCA รึว่าเงินสดเยอะ รึว่าอัตราการเจริญเติบโตสูง รึว่ามีโครงการน่าสนใจในอนาคต รึว่าลงจากราคาที่เคยมีมาก่อน เอ แต่ตรงนี้เป็นประเด็นหลักในการเลือกซื้อด้วยเหรอ ครับ ช่วยแสดงความคิดหน่อยผมก็อยากรู้ เมื่อ: 2003-12-12T07:07:48+00:00 Jeng: ลองดูงบกระแสเงินสด งบการเงินดูซิ เมื่อ: 2003-12-12T07:18:36+00:00 ayethebing: ลองไปดูในร้อยคนร้อยหุ้นสิครับ โดยสรุปแล้ว APRINT เป็นหุ้นที่สินค้าของกิจการมี brand ที่ดี แต่ปีนี้น่าจะได้ EPS ต่ำกว่าปีที่แล้วแต่ไม่น่ามากนัก เพราะโดยปกติจะมียอดขายดีในไตรมาสที่ 4 revenue ปีนี้โตอย่างต่อเนื่องแต่เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงขึ้นมากกว่าปีที่แล้วเนื่องจากการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นตามไปด้วย ผมเก็บอยู่นะครับ เก็บมาเรื่อยๆ บางทีเป็นคนเดียวที่ซื้อในตลาดเลยด้วยซ้ำ เพราะสภาพคล่องหุ้นมันน้อยครับ ตอนนี้เงินกำลังจะหมดเพราะเตรียมไปซื้อ RMF ครับ ดูที่ภาพใหญ่ตอนนี้คือ P/E เท่ากับ 10.49 มี dividend yield เป็น 4.76 % ลองพิจารณาเอาเองนะครับ เมื่อ: 2003-12-12T07:23:41+00:00 sirivajj: เป็นคุณ ayethebing นี่เอง ที่มาเก็บหุ้น APRINT ไป แต่ที่ผมสงสัยคือ ใครหนอ เอาหุ้น APRINT มาโยนให้เสียของ กับพลอยทำให้กำไรในพอร์ต ของผมจาก APRINT มันหดหายไปด้วย ฮือ ฮือ เมื่อ: 2003-12-12T10:33:54+00:00 Stock Broker: มาสารภาพครับ ผมเองก็ช่วยเก็บไปหน่อยนึงเหมือนกันครับ เมื่อ: 2003-12-12T15:22:10+00:00 Jeng: ซื้อกันจังเลย เมื่อ: 2003-12-12T16:32:02+00:00 Mon money: เห็นมีการขายออกมาทุกวัน และสาระวันเตี้ยลงๆ ใจจริงอยากเงียบๆรอให้ลงสุดๆแล้วจะเก็บ แต่ด้วยจรรยาบรรณมีเพื่อนถามก้ต้องตอบครับ เห็นได้จากราคาเริ่มลงมาก่อนประกาศไตรมาสสาม เห็นจะมีพวกวงในขนออกมาขาย กำไรสามไตรมาสลดลงมาเล็กน้อย กระแสเงินสดที่ไหลเวียนเห็นว่าคล่องตัวเพียงพอสำหรับการจ่ายการลงทุนที่เหลือ และจ่ายหนี้ระยะสั้น ปลายปีจะมีเงินสดเข้ามาจากค่าสมาชิก ทำให้มั่นใจได้ว่าบริษัทมีเงินสดมากพอสำหรับปีต่อๆไปโดยไม่ต้องกู้ หากการลงทุนใหญ่ลดลงแล้ว เงินสดที่มีเข้ามาในปีต่อๆไปจะเป็นของผู้ถือหุ้นแน่ๆครับ สินค้ามีตราที่แข็ง ทำเงินตลอด ถ้าใครขายออกมาถูกๆ เราซื้อและถือเอาไว้นานๆจะเป็นอย่างไร? เห็นว่าเก็บก็บกันเอาไว้ หวังว่าคงได้พบกันวันประชุมผู้ถือหุ้นนะครับ เมื่อ: 2003-12-13T05:17:36+00:00 Jaturont: บริษัทย่อย ที่ขาดทุนในไตรมาศนี้ บริษัท อะไร แล้วเค้าทำอะไรเหรอครับ เมื่อ: 2003-12-14T08:22:57+00:00 ayethebing: เป็นคำถามที่น่าสนใจครับ ในงบเค้าก้อไม่ได้บอก อย่างน้อยผมก้อแกะไม่เจอ ก้อเลยไม่รู้ว่าเค้าขาดทุนที่บ ย่อยไหน แหมรู้สึกดีจังมีเพื่อนๆ ช่วยกันเก็บยังงี้ แต่คนเค้าก้อยังขายออกมาน้อยมากในแง่จำนวนหุ้นนะครับ ก้อหวังว่าปีหน้าจะได้ capital gain จากตัวนี้ ปีนี้ก้อขอปันผลเอาไว้ก่อนละ ยังไงก้อชนะดอกเบี้ยเงินฝากแน่นอนครับ เมื่อ: 2003-12-15T07:25:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ก.ล.ต.กล่าวโทษ “ฉาย บุนนาค” พร้อมพวกยักยอก GEN yy: ที่มา http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000050462 สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหาร บมจ.เจนเนอรัลฯ กับพวกรวม 3 ราย โดยมี “ฉาย บุนนาค” นักลงทุนรายใหญติดร่างแหด้วย กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษนายอำนาจ ตันกุริมาน ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEN นายฉาย บุนนาค และนายกิตติชัย เขียวขำ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นพนักงาน GEN ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย รวมถึงมีการทุจริตถ่ายเทผลประโยชน์จากบริษัทโดยมิชอบ ผ่านการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555 ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อให้ดำเนินคดีต่อนายอำนาจ กรณีมีหลักฐานน่าเชื่อว่าร่วมรู้เห็นกับนายฉายดำเนินการให้ GEN ซื้อขายหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทพี พลัส พี จำกัด (มหาชน) ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2554 โดยทุจริตในลักษณะจับคู่ซื้อขายเพื่อเอื้อประโยชน์โดยมิชอบให้แก่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายฉาย และของบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าเชื่อว่ามีนายฉายเป็นผู้ควบคุมสั่งการ และหรือรับประโยชน์ โดยมีนายกิตติชัยให้การช่วยเหลือสนับสนุนในด้านการส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของ GEN จนเป็นเหตุให้ GEN ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ จากการตรวจสอบจนเป็นผลให้มีการดำเนินคดีกับบุคคลในกรณีนี้ สืบเนื่องจากข้อมูลที่ ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการรายงานพฤติกรรมอันควรสงสัยจากผู้สอบบัญชีของ GEN รวมทั้งจากการรวบรวมข้อมูลในด้านต่างๆ ที่ได้จากการตรวจสอบ ทำให้มีพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อได้ว่า พฤติกรรมของนายอำนาจ นายฉาย และนายกิตติชัย เข้าข่ายกระทำโดยทุจริตอันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 มาตรา 307 และมาตรา 311 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555 ก.ล.ต. ได้แจ้งให้ GEN แก้ไขงบการเงินประจำปี 2554 เนื่องจากผู้สอบบัญชีถูกจำกัดขอบเขตการตรวจสอบโดยผู้บริหารในประเด็นที่ GEN ได้นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยได้นำไปซื้อหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัท พี พลัส พี จำกัด (มหาชน) และได้ซื้อเกินจำนวนที่ได้รับอนุมัติจากมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร จนทำให้ GEN มีผลขาดทุน และผู้สอบบัญชียังพบว่า มีข้อบกพร่องอย่างมากในระบบการควบคุมภายในที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นดังกล่าวจนเกินวงเงินที่ได้รับอนุมัติ รายละเอียดปรากฏตามข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 26/2555 เมื่อ: 2012-04-24T02:47:15+00:00 pak: Case นี้ทาง ThaiVI เราโฟกัสกันมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มิ.ย.54 ปีที่แล้วแล้วนะครับ เช่น... ruch เขียน:gen ขาดทุนเท่าไหร่แล้วครับจากการลงทุนใน plus ราคา plus-w2 ล่าสุดอยู่ที่ 0.23 ----> 0.5-0.23=0.17 ราคา plus ล่าสุดอยู่ที่ 0.6 ----> 0.72-0.6=0.12 ขาดทุน plus-w2=535,000,000*0.17=90,950,000 ขาดทุน plus=315,500,000*0.12=37,860,000 รวมแล้วขาดทุนไป 90.95+37.86=128.81 ล้านบาท โอ้เอาเงินเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้นมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นเนี่ยนะ ไม่รู้ว่าเขาใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนหรือเปล่าแทนที่จะเอาไปขยายกิจการหรือลงทุนเพิ่มแต่นี่กลับ.... แบบนี้มันเข้าข่ายการผ่องถ่ายเงินออกจากบริษัทชัดๆส่วนจะไปเข้ากระเป๋าใครนั้นน่าจะรู้ๆกันอยู่ ลองเข้าไปดูได้ครับ ที่ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 1&start=60 มีพี่ๆเพื่อนๆในไทยวีไอ ให้ความเห็นไว้น่าอ่านหลายท่านทีเดียวครับ เมื่อ: 2012-04-24T04:11:44+00:00 Sorgios: คุณ pak นี่ขยันจริงๆ ไม่ทราบว่าพอจะมีข้อมูลพอร์ทของ คุณฉาย บุนนาคไหมครับ เมื่อ: 2012-04-24T04:23:51+00:00 pak: 'ฉาย บุนนาค'ตั้งทนายสู้คดีก.ล.ต. ทำหนังสือแจงข้อเท็จจริงสัปดาห์นี้ โอดไม่เคยถูกเรียกให้ชี้แจงข้อมูล [ กรุงเทพธุรกิจ, 25 เม.ย. 55 ] "ฉาย บุนนาค" อดีตกรรมการ เจนเนอรัลฯ เตรียมตั้งทนายความเพื่อสู้คดี หลังถูก ก.ล.ต.กล่าว โทษต่อดีเอสไอ กรณีใช้พอร์ตเจนซื้อขายหุ้นพีพลัสพี หรืออควาฯ และวอร์แรนท์ จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับ ความเสียหาย พร้อมทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกับ ก.ล.ต.ด้วยตัวเองภายในสัปดาห์นี้ วอนขอความเป็น ธรรม เผยไม่เคยได้รับโอกาสก่อนถูกกล่าวโทษ "ฉาย บุนนาค" ยืนยันไม่ผิด [ ข่าวหุ้น, 25 เม.ย. 55 ] กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวโทษตนเองและผู้บริหาร GEN รวม 3 ราย ต่อ DSI กรณีซื้อขายหุ้น PLUS ไม่ซื้อสัตย์สุจริตจนเป็นหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายนั้น นายฉาย บุนนาค ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดดังกล่าวให้กับสื่อมวลชนเพื่อรับทราบ โดยเรียกร้องขอความ เป็นธรรม เนื่องจากแต่ละข้อกล่าวหาของก.ล.ต.นั้น เกินความจริง ตนไม่ยอมรับการกล่าวโทษของก.ล.ต. เพราะตนไม่ผิด และไม่ได้ประโยชน์จากการขายหุ้นอย่างที่ก.ล.ต.กล่าวหาด้วย เมื่อ: 2012-04-25T02:32:39+00:00 blueplanet: ชื่อผู้ถือหุ้น ชื่อหุ้น จำนวน เปอเซ็น นายฉาย บุนนาค AQUA 90,750,000 หุ้น 5.05 % นายฉาย บุนนาค MLINK 14,277,000 หุ้น 2.64 % นายฉาย บุนนาค NUSA 65,000,000 หุ้น 1.51 % เมื่อ: 2012-04-25T10:57:25+00:00 Petey: blueplanet เขียน:ชื่อผู้ถือหุ้น ชื่อหุ้น จำนวน เปอเซ็น นายฉาย บุนนาค AQUA 90,750,000 หุ้น 5.05 % นายฉาย บุนนาค MLINK 14,277,000 หุ้น 2.64 % นายฉาย บุนนาค NUSA 65,000,000 หุ้น 1.51 % ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2012-04-25T12:28:45+00:00 pak: ก.ล.ต.โต้ "ฉาย" ยันส่ง จม.แล้ว ย้ำเจอผิดจริง [ ข่าวหุ้น, 26 เม.ย. 55] ก.ล.ต. ลั่นเคส "ฉาย บุนนาค" ให้โอกาสชี้แจงแล้ว แถมขยายเวลาให้ด้วย รอจนได้รับหนังสือ ตอบกลับแล้ว "วสันต์" ชี้กรณีนี้ทำผิดฐานทุจริต ไม่ต้องปรับเงิน แต่จะส่งให้ DSI จัดการแทน ^ ^ เรื่องนี้ไม่ถึงครูอังคณา แต่น่าจะถึง DSI แทนครับผม เมื่อ: 2012-04-26T02:09:47+00:00 pak: คอลัมน์: ลือกันให้แซด: เสียงสะท้อนจากนักลงทุน Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Thursday, April 26, 2012 นายกระทิง & หญิงฟลอร์ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ลึก กว้าง ไกล ได้ประเด็นแซ่ด ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 26 เม.ย. 2555 ...ตลาดหุ้นไทยยืนปิดเหนือ 1,200 จุด ได้แบบเฉียดฉิว1,201.36 จุด เพิ่มขึ้น 1.50 จุด มูลค่าซื้อขาย 31,395.47 ล้านบาทrr ...ต่างชาติ ขาย 911 ล้านบาทrr ...ถึงดัชนีขึ้นมายืนเหนือ 1,200 จุดได้ ยังน่าห่วงยืนขาแข็งได้หรือไม่ แรงซื้อต่างชาติแผ่ว หุ้นใหญ่หลายตัวไปไม่ไหว ไม่คอนเฟิร์มตลาดพักฐานจบ ... ...เสียงสะท้อนเข้ามามากมาย การทำงานของ ก.ล.ต. เหมือนมาเฟียกล่าวโทษ "ฉาย บุนนาค" ตัดสินคนผิดโดยไม่เรียกมาสอบถามชี้แจง แค่ทำหนังสืออย่างเดียวคงไม่พอ ความเสียหายขนาดนี้ ต้องคุยกันหลายรอบก่อนปรับหรือกล่าวโทษ หลายคนกลับเห็นใจยุยงให้ฟ้องส่ง ก.ล.ต. ...ไม่เฉพาะนักลงทุน ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน โอดครวญมาเหมือนกัน ถูกตรวจสอบจนไม่เป็นอันทำธุรกิจ เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต.บางคนทำตัวอวดรู้ ถามจริงๆ เถอะใครจะรู้ดีเท่าคนทำธุรกิจ ...ตลาดหุ้นเวลานี้ไม่มี "ขาใหญ่" ตอนนี้หนีไปลงทุนต่างประเทศกันหมด สบายใจไร้คนกวน เบื่อการไล่ล่าของ ก.ล.ต. มองนักลงทุนเป็นโจร เหวี่ยงแหเล่นงานหาคนผิดตั้งแต่นักลงทุนยันครอบครัวไล่ส่งอย่างนี้ไม่นาน บจ.-นักลงทุนคงหนีกันหมด ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ =========================================================== ^ ^ ไหง...ข่าวออกมาแบบนี้หว่า??? เมื่อ: 2012-04-26T03:01:00+00:00 HARINLUX: หากมีหลักฐาน ก.ล.ต.ต้องกล่าวโทษ ฉาย บุนนาค ตามหน้าที่ เรื่องนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ ก.ล.ต. ----------------------------------- ความรู้ คู่คุณธรรม เมื่อ: 2012-04-26T03:25:13+00:00 David TON: รู้สึกว่ารายนี้เค้าเคยโดน ก.ล.ต. ปรับไปทีนึงแล้วนะ มาโดนคราวนี้อีก........ เป็นกำลังใจให้ ก.ล.ต. เมื่อ: 2012-04-30T12:44:43+00:00 blueplanet: เอาเงินเพิ่มทุนเกือบทั้งหมด ไปซื้อหุ้น บริษัทที่ตัวเองถือหุ้นใหญ่ ทั้งที่ตอนเพิ่มทุนบอกว่าจะเอาไปซื้อที่ดินคืนจากเจ้าหนี้ พอได้เงินเพิ่มทุนมา บอกว่าเจ้าของที่ขายแพง เลยอยากจะหาที่ใหม่ ช่วงกำลังหาที่ก็เลยเอาเงินไปซื้อหุ้นพวกตัวเอง บริษัทที่ซื้อหุ้นมา ผมไม่เห็นมันน่าลงทุนตรงไหน ซื้อหุ้นไม่พอยังซื้อวอแรนท์อีก และแล้ว บริษัทก็เสียหายไปตามระเบียบ หวังว่า กลต ต้องเอาผิดกับคนๆนี้ กับพวก ให้ได้ และหวังว่า จะไม่โยนบาปต่างๆไปให้บริษัท เมื่อ: 2012-04-30T13:46:18+00:00 anuchit: เฝ้าดูผลกรรมตามทัน อย่างจดจ่อ เป็นกำลังใจให้คนทำงานครับ เมื่อ: 2012-04-30T14:52:58+00:00 pak: *** พ่อมดน้อย_ฉาย >> ถูกตราหน้า.... ฅ น ขี้ โ ก ง กรุงเทพธุรกิจ (30 เม.ย 55) : บทเรียน 'ฉาย บุนนาค' ถูกตราหน้า_ขี้โกง >> มันเจ็บ_เหลือทน ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ฉาย บุนนาค เซียนหุ้นหนุ่ม ผู้โด่งดังเคยมีปัญหากับฝ่ายตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์ & สนง. ก.ล.ต. เพราะ เขาเคยถูกตรวจสอบ โดนเรียกไปคุย & ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด มากกว่า เซียนหุ้น_คนอื่นๆ จนเจ้าตัว เคย "สบถ" ให้ฟังต่อหน้านักข่าว & เคยกล่าวท้าทาย_อำนาจรัฐ อย่างไม่เกรงกลัวผ่านหน้า นสพ. แม้ที่ผ่านมา พ่อมดน้อยแห่งวงการหุ้นรายนี้ จะเคยมี "คดี" แต่เขาก็แค่ "ถูกปรับ" ไม่เคยถึงขั้น ถูกก.ล.ต. "กล่าวโทษ" ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในข้อหา "หนัก" เข้าข่าย กระทำโดย "ทุจริต" (ยักยอกทรัพย์) อันเป็นความผิดตาม "มาตรา 281/2 วรรค2 " ซึ่งเป็นมาตราเดียวกับ "วิชัย ชัยสถาพร" อดีตเจ้าของ บมจ.NIPPON แพ็ค (ประเทศไทย) ที่ต้อง "หมดอนาคต" ในทุกมิติทางธุรกิจ เพราะ โดนข้อหาฉกรรจ์ นี้ เมื่อวันที่ 10 กพ. 52 ฉาย ถูก ก.ล.ต.เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 4,839,863 บ. สืบเนื่องจากระหว่างวันที่ 1 มี.ค 49 ถึง 4 เม.ย 49 , ฉาย ซึ่งขณะนั้นปฏิบัติงาน เป็นหน.Team_Marketing บล.ฟาร์อีสท์ ร่วมกับ Team_Marketing อีก 2คน ทำการซื้อขายหุ้น DTCI ผ่านบัญชีบุคคลอื่น 5บัญชี เข้าข่ายสร้างราคา (ปั่นหุ้น) อย่าง... ผิดปกติ สำหรับครั้งนี้ นับว่า สถานการณ์ ของฉาย เข้าข่ายหน้าสิ่ว_หน้าขวาน เมื่อวันที่ 23 เม.ย 55 ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษตัวเขา , อำนาจ ตันกุริมาน ปธ.กก.บริหาร บมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEN) & กิตติชัย เขียวขำ ต่อ... DSI กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์_สุจริต จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย รวมถึง มีการทุจริตถ่ายเทผลประโยชน์จากบริษัท_โดยมิชอบ ก.ล.ต. มีข้อมูลที่เชื่อได้ว่า ฉาย มีส่วนรู้เห็นให้ GEN เพิ่มทุนจดทะเบียน , แล้วนำเงิน ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยนำไปซื้อขายหุ้น & Warrant ของ บมจ.พี พลัส พี หรือ PLUS (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.อควา คอร์เปอเรชั่น หรือ AQUA) ในช่วงเดือน พค. 54 โดยทุจริต ในลักษณะจับคู่ซื้อขาย เอื้อประโยชน์โดยมิชอบ ให้กับบัญชีซื้อขายหุ้นของตัวเอง & พรรคพวก จนทำให้ GEN มีผลขาดทุน เป็นจำนวนเงินรวม 265ล้านบ. ครั้งนี้ ฉาย ไม่ต่างจาก "หนูติดจั่น" ที่ต้องดิ้นรนหา นักกฏหมายฝีมือดี ไปหักล้างหลักฐานข้อกล่าวหา แม้คดีความ อาจต้องใช้ระยะเวลา & ในที่สุดเขาอาจ "หลุด" ในชั้นสอบสวน (อย่างปริศนา) เหมือนหลายๆ คดีในอดีต แต่การถูก "ดิส_Credit" รอบนี้ "เซียน_ฉาย" นับว่า ขาดทุนย่อยยับ ! , ในทางสังคมย่อม ถูก_ตราหน้า ว่าเป็น... คนขี้โกง ในทางธุรกิจ ฉาย ได้สูญเสีย "ต้นทุน_ความน่าเชื่อถือ" อย่างไม่มีวัน... เพิ่มทุนใหม่ ได้ Credit : K.ศิษย์ซุนวู เมื่อ: 2012-05-02T15:50:21+00:00 yy: ที่มา http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000056872 ก.ล.ต.กล่าวโทษ “ฉาย บุนนาค” พร้อมพวก 15 ราย กรณีปั่นหุ้นช่วงปี 51-53 ASTVผู้จัดการรายวัน - ก.ล.ต. กล่าวโทษนายฉาย บุนนาค กับพวก รวม 15 คน ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ 12 หลักทรัพย์ ในช่วงปี 2551-2553 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ นายฉาย บุนนาค กับพวกรวม 15 ราย ได้แก่ นายปฐมัน บูรณะสิน นายสุพิชยะ ฉายเหมือนวงศ์ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี น.ส.มัณฑิกา ขุนโหร นายอภินันทกานต์ พงศ์สถาบดี นายมีศักดิ์ มากบำรุง น.ส.ศิริญา ดำรงวิถีธรรม น.ส.ชนาธิป ตันติพูนธรรม นายทรี บุญปราศภัย นายเล็ก ทันใจ นายปัณณฑัต กล่อมสมร นายพาวิตต์ นาถะพินธุ นายเทพฤทธิ์ สีหิสราภิสิทธิ์ และนายไท บุญปราศภัย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 กรณีเป็นผู้สั่งการและผู้สนับสนุนในการสร้างราคาหลักทรัพย์จำนวน 12 หลักทรัพย์ ระหว่างปี 2551-2553 ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า พบสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดปกติจำนวน 12 หลักทรัพย์ จึงได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมและพบพยานหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่า นายฉาย และพวก ได้สั่งซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลต่างๆ จำนวนมาก โดยมีพฤติกรรมอำพรางในลักษณะการเข้าไปส่งคำสั่งซื้อขายในปริมาณมากหลายระดับราคา มีการครอง bid และ offer ผลักดันราคา จับคู่ซื้อขายกันเองภายในกลุ่ม กระตุ้นการซื้อขายด้วยการทยอยส่งคำสั่งซื้อ หรือเคาะซื้อด้วยจำนวนย่อยๆ ที่ระดับราคาเดียวกันหลายรายการ ตลอดจนพยุงราคาหลักทรัพย์ เพื่อให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าหลักทรัพย์นั้นมีการซื้อขายกันมาก หรือราคาเปลี่ยนแปลงไป โดยมีพฤติกรรมการซื้อขายในลักษณะต่อเนื่อง ส่งผลให้การซื้อหรือขายหลักทรัพย์นั้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เพื่อชักจูงให้บุคคลทั่วไปทำการซื้อขายหลักทรัพย์นั้น โดยการกระทำของนายฉายเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 243(1) (2) และมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ส่วนบุคคลอื่นที่เป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนการสร้างราคา เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 243(1) (2) และมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 83 หรือ 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ จากพยานหลักฐานพบว่า ในช่วงระหว่างปี 2551-2553 นายฉายได้ซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านบัญชีของตนเอง และบัญชีของบุคคลต่างๆ อันเข้าข่ายการสร้างราคาหลักทรัพย์รวม 12 หลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้ (1) หุ้นบริษัททรัพย์ศรีไทย คลังสินค้า จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบัน ชื่อบริษัททรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน)) (“SST”) ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม 2551 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2552 2) หุ้นบริษัทซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“SSE”) (ปัจจุบัน ชื่อบริษัทอควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2552 ถึงเดือนมิถุนายน 2552 และระหว่างเดือนตุลาคม 2552 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2552 (3) ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“SSE-W1”) ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2552 ถึงเดือนมิถุนายน 2552 (4) หุ้นบริษัทไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) (“TIES”) ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 2552 ถึงเดือนกรกฎาคม 2552 (5) หุ้นบริษัทสตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) (“STAR”) ในช่วงเดือนมิถุนายน 2552 (6) ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“IRCP-W1”) ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2552 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2552 (7) หุ้นบริษัทไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (“SIMAT”) ในช่วงเดือนมีนาคม 2553 (8) ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบริษัทสตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) (“STAR-W”) ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 2553 ถึงเดือนเมษายน 2553 (9) หุ้นบริษัทอะโกร อินดัสเตรียล แมชชีนเนอรี่ จำกัด (มหาชน) (“AMAC”) (ปัจจุบัน ชื่อบริษัทแมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน 2553 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 (10) หุ้นบริษัทไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (“MME”) ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 (11) ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบริษัทไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (“MME-W1”) ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 และ (12)หุ้นบริษัทไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (“L&E”) ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2553 ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. มีหลักฐานน่าเชื่อว่า มีบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามรายละเอียด ดังนี้ (1) นายปฐมัน บูรณะสิน ในฐานะมีส่วนรู้เห็นหรือตกลงร่วมกับนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ IRCP-W1, SIMAT, STAR-W, AMAC, MME, MME-W1 และ L&E (2) นายสุพิชยะ ฉายเหมือนวงศ์ ในฐานะมีส่วนรู้เห็น หรือตกลงร่วมกับนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SIMAT, STAR-W, AMAC, MME และ MME-W1 (3) นายกมล เอี้ยวศิวิกูล ในฐานะมีส่วนรู้เห็น หรือตกลงร่วมกับนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SST (4) น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี (ขณะเกิดเหตุเป็นผู้แนะนำการลงทุน (เจ้าหน้าที่การตลาด) ของบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SST (5) น.ส.มัณฑิกา ขุนโหร (ขณะเกิดเหตุเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SST (6) นายอภินันทกานต์ พงศ์สถาบดี ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SIMAT, STAR-W, AMAC, MME, MME-W1 และ L&E (7) นายมีศักดิ์ มากบำรุง ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SIMAT, STAR-W, AMAC, MME และ MME-W1 (8) น.ส.ศิริญา ดำรงวิถีธรรม ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SIMAT และ STAR-W (9) น.ส.ชนาธิป ตันติพูนธรรม ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SIMAT และ STAR-W (10) นายทรี บุญปราศภัย ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ MME, MME-W1 และ L&E (11) นายเล็ก ทันใจ ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ MME (12) นายปัณณฑัต กล่อมสมร ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ L&E (13) นายพาวิตต์ นาถะพินธุ ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ L&E (14) นายเทพฤทธิ์ สีหิสราภิสิทธิ์ ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ L&E และ (15) นายไท บุญปราศภัย (เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือนายฉายในการสร้างราคาหลักทรัพย์ SIMAT, STAR-W, AMAC และ L&E ทั้งนี้ นายกมลได้ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบความผิด โดยคณะกรรมการเปรียบเทียบเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555 และได้ชำระค่าปรับจำนวน 500,000 บาท ตามคำสั่งของคณะกรรมการเปรียบเทียบครบถ้วนแล้ว จึงทำให้คดีอาญายุติตามนัยมาตรา 317 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้ เนื่องจากปัจจุบัน น.ส.มัณฑิกา และนายไทได้รับความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุน การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. ดังกล่าวมีผลให้น.ส.มัณฑิกา และนายไทมีลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ/น/ข. 37/2553 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 15 กันยายน 2553 ก.ล.ต. จึงได้เพิกถอนการได้รับความเห็นชอบดังกล่าวด้วย เมื่อ: 2012-05-08T11:49:44+00:00 HARINLUX: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ให้ฉายา นาย ฉาย บุนนาค ว่า เป็น.. พ่อมดน้อย น่าจะเปลี่ยนฉายาให้ใหม่นะ เพราะ เวทมนต์น่าจะสิ้นมนต์ขลังแล้ว จึงพาพรรคพวกโดนดำเนินคดีเป็นโขยง -------------------------- ความรู้ คู่คุณธรรม เมื่อ: 2012-05-08T12:44:25+00:00 Ii'8N: ทั้งนี้ นายกมลได้ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบความผิด โดยคณะกรรมการเปรียบเทียบเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555 และได้ชำระค่าปรับจำนวน 500,000 บาท ตามคำสั่งของคณะกรรมการเปรียบเทียบครบถ้วนแล้ว จึงทำให้คดีอาญายุติตามนัยมาตรา 317 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ 500,000 บาท ปรับโหดร้ายแบบนี้ยุติธรรมแล้ว คราวนี้เสี่ยกมลหมดตัวเข็ดจนตายแน่ๆ เมื่อ: 2012-05-08T13:34:08+00:00 syj: Ii'8N เขียน: ทั้งนี้ นายกมลได้ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบความผิด โดยคณะกรรมการเปรียบเทียบเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555 และได้ชำระค่าปรับจำนวน 500,000 บาท ตามคำสั่งของคณะกรรมการเปรียบเทียบครบถ้วนแล้ว จึงทำให้คดีอาญายุติตามนัยมาตรา 317 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ 500,000 บาท ปรับโหดร้ายแบบนี้ยุติธรรมแล้ว คราวนี้เสี่ยกมลหมดตัวเข็ดจนตายแน่ๆ เสียดสีหรือเปล่าครับ ... แต่ผมว่าที่จริงควรปรับเป็นสัดส่วนของเงินที่ใช้ในการปันหุ้นมากกว่า อาทิ ถ้าทำโวลุ่ม 10 ล้านบาท ให้ปรับ 3 เท่า เป็น 30 ล้านบาท ไม่มีใช้หนี้ในคุก ต่างประเทศ เขาเรียกว่า "Punitive" .... ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นอย่างนี้ แต่อย่างว่า "ก.ม.ไทย เขียนโดยโจรเพื่อโจร" เมื่อ: 2012-05-09T02:22:11+00:00 harikung: HARINLUX เขียน:นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ให้ฉายา นาย ฉาย บุนนาค ว่า เป็น.. พ่อมดน้อย น่าจะเปลี่ยนฉายาให้ใหม่นะ เพราะ เวทมนต์น่าจะสิ้นมนต์ขลังแล้ว จึงพาพรรคพวกโดนดำเนินคดีเป็นโขยง -------------------------- ความรู้ คู่คุณธรรม อ่านแล้วก็ขำเหมือนกันครับว่ามันพ่อมดตรงไหน ทำแบบนี้ไม่ต้องเก่งขั้นพ่อมดหรอก ขอแค่มีเงินกับคิดไม่ดีก็ทำได้แล้ว เมื่อ: 2012-05-09T02:33:04+00:00 pak: ส่งดีเอสไอจัดการ ข้อหา 'ฉาย' ปั่นหุ้น [ โพสต์ทูเดย์, 9 พ.ค. 55 ] ก.ล.ต.จัดการขบวนการปั่นหุ้นใหญ่สุด ส่งดีเอสไอตั้งข้อหาฉายยกก๊วน 15 คน ปั่น 12 ตัว "กมล" ยอมถูกปรับหนีโทษอาญา สำนักงาคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ นายฉาย บุนนาค กับพวกรวม 15 คน ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2555 กรณีเป็นผู้สั่งการและ ผู้สนับสนุนในการสร้างราคาหลักทรัพย์ 12 หลักทรัพย์ ระหว่างปี 2551-2553 ทั้งนี้นายฉายเพิ่งถูกส่งฟ้อง เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา กรณีร่วมกับผู้บริหารของบริษัทเจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง ทำให้บริษัทได้รับ ความเสียหาย เมื่อ: 2012-05-09T08:34:09+00:00 pak: วันที่/เวลา 09 พ.ค. 2555 13:16:59 หัวข้อข่าว ชี้แจงข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หลักทรัพย์ GEN แหล่งข่าว GEN รายละเอียดแบบเต็ม ชี้แจงข่าวหรือข้อมูล ที่ ตล.016/2555 วันที่ 9 พฤษภาคม 2555 เรื่อง ชี้แจงข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อ้างถึง ข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 43/2555 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ตามที่บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (บริษัท) ได้ทราบข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตามข่าวที่อ้างถึง ซึ่งได้กล่าวโทษนายฉาย บุนนาค กับพวก รวม 15 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 กรณีเป็นผู้สั่งการและผู้สนับสนุนในการสร้างราคาหลักทรัพย์จำนวน 12 หลักทรัพย์ ระหว่างปี 2551-2553 โดยหนึ่งในผู้ที่ถูกกล่าวโทษจาก ก.ล.ต. คือนายอภินันทกานต์ พงศสถาบดี ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการและกรรมการบริหารของบริษัท บริษัทฯขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทได้รับทราบข่าวจาก ก.ล.ต. และกำลังพิจารณารายละเอียดข่าวและสอบถามไปยังบุคคลดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด และหากมีความคืบหน้าประการใด บริษัทฯจะรายงานให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบโดยทันที จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (นายเปรมชัย กุศลฤกษ์ดี) ผู้จัดการทั่วไป เมื่อ: 2012-05-09T08:35:19+00:00 pak: ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า... ข่าวนี้ หรือกระแสนี้ จะส่งผลโดยตรงให้ "ทีมหรือกลุ่มคนที่นิยมสร้างราคาหุ้น" ผงะไปได้บ้างเหมือนกัน!!! อาจจะมีการเพลาๆลงไปบ้างในช่วงนี้ แต่สุดท้าย เค้าก็น่าจะกลับมา ในรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ...ผมเชื่อแบบนั้นครับ เมื่อ: 2012-05-09T08:39:19+00:00 blueplanet: การสร้างราคาปั่นราคาผมไม่กลัว ผมกลัวประเภทโกงหน้าด้านๆ เช่น ขายหุ้นทุกระดับราคาสักพัก ก็เพิ่มทุนโดยเฉพาะเจาะจง ให้พวกตัวเองในราคาต่ำกว่าตลาดมากๆ ไซฟ่อนเงินออกไปก้อนใหญ่ๆเช่น เอาเงินไปซื้อทรัพย์สินในราคาที่ขาดทุน สร้าง สำนักงานในราคาโฆตรแพง ให้พรรคพวกตัวเองกู้เงินแล้วหนี้ก็สูญ สิ่งที่ พวก นายฉาย ทำนั้น ก็หนักหนาสาหัส เอาเงินเพิ่มทุนไปซื้อหุ้นตัวเอง(หุ้นที่เน่าสนิท) เมื่อ: 2012-05-09T10:07:06+00:00 pak: ก.ล.ต.ยื่นดีเอสไอกล่าวโทษเพิ่ม 6 ราย บอร์ด-ผู้บริหารเจน [ กรุงเทพธุรกิจ, 18 พ.ค. 55 ] ก.ล.ต.กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหารของบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GEN) เพิ่มอีก 6 ราย ได้แก่ (1) ม.ล.ทศสุวรรณ ทองแถม (2)นายเปรมชัย กุศลฤกษ์ดี (3)นาย อภินันทกานต์ พงษ์สถาบดี (4)นางสาวศรัณยา สว่างวงค์ชินศรี (5)นายกิจจา เจริญเกียรติก้อง และ (6)นางวิสัจจา คชเสนา ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษกรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย เมื่อ: 2012-05-18T01:39:02+00:00 uthai.l: 500,000 บาท ปรับโหดร้ายแบบนี้ยุติธรรมแล้ว คราวนี้เสี่ยกมลหมดตัวเข็ดจนตายแน่ๆ [/quote] เมื่อ: 2012-05-18T02:30:24+00:00 pak: วันที่/เวลา 18 พ.ค. 2555 08:46:29 หัวข้อข่าว ชี้แจงข่าวกรณีกรรมการและผู้บริหารถูกกล่าวโทษจาก ก.ล.ต. หลักทรัพย์ GEN แหล่งข่าว GEN รายละเอียดแบบเต็ม ชี้แจงข่าวหรือข้อมูล ที่ ตล.019/2555 วันที่ 17 พฤษภาคม 2555 เรื่อง ชี้แจงข่าวกรณีกรรมการและผู้บริหารถูกกล่าวโทษจาก ก.ล.ต. เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อ้างถึง ข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 51/2555 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2555 เรื่อง ก.ล.ต. กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหาร GEN เพิ่มอีก 6 ราย กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหารของบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ("GEN") ประกอบด้วยกรรมการ จำนวน 3 ท่าน จากทั้งหมด 7 ท่าน ได้แก่ ม.ล. ทศสุวรรณ ทองแถม ประธานกรรมการ, นางสาวศรัณยา สว่างวงศ์ชินศรี กรรมการ, นายกิจจา เจริญเกียรติก้อง กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ และผู้บริหารจำนวน 2 ท่าน ได้แก่ นายเปรมชัย กุศลฤกษ์ดี ผู้จัดการทั่วไป และนางวิสัจจา คชเสนา ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน เกี่ยวกับกรณีการลงทุนในหลักทรัพย์ PLUS และ PLUS-W2 ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลดังกล่าวขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็น ผู้ถือหุ้น และเหตุดังกล่าวย่อมทำให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งกรรมการและผู้บริหาร บริษัทฯขอเรียนว่า บริษัทได้รับทราบข่าวจาก ก.ล.ต. และกำลังพิจารณาหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด หากมีความคืบหน้าประการใด บริษัทฯจะรายงานให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบโดยทันที จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (นายนันท์มนัส โพธิ์แดง) ประธานกรรมการบริหาร เมื่อ: 2012-05-18T04:51:00+00:00 pak: กลต.ขู่เลิกทำธุรกรรม GEN [ โพสต์ทูเดย์, 30 พ.ค. 55 ] GEN ยื้อเวลาปลดบอร์ด ถูกกล่าวโทษ อ้างขัดกฎหมาย ด้าน ก.ล.ต. ชี้หากไม่ปลดบริษัทจะทำ ธุรกรรมไม่ได้ นายนันท์มนัส โพธิ์แดง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEN) เปิดเผยกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ดำเนินการกล่าว โทษกรรมการและผู้บริหารของบริษัทจำนวน 6 ราย ว่าบริษัทได้รับหนังสือแจ้งจากกรรมการและผู้บริหาร เหล่านี้ ว่าหนังสือของ ก.ล.ต. เป็นคำสั่งที่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยเพราะไม่เคยมีเหตุการณ์ ที่มีลักษณะเดียวกันนี้เป็นกรณีศึกษา เมื่อ: 2012-05-30T02:35:17+00:00 Tsurumi: อยากทราบ link. ของกลต. ทึีดูสถิติกล่าวโทษของ กลตย้อนหลังได้ พอมีใครแบ่งปันได้ใหมครับ ขอบคุณครับ (คาวมผิดตามพรบ. หลักทรัพย์ฯ) เมื่อ: 2012-06-10T14:20:33+00:00 pakhakorn: Tsurumi เขียน:อยากทราบ link. ของกลต. ทึีดูสถิติกล่าวโทษของ กลตย้อนหลังได้ พอมีใครแบ่งปันได้ใหมครับ ขอบคุณครับ (คาวมผิดตามพรบ. หลักทรัพย์ฯ) พอจะหาข่าวกล่าวโทษได้จาก link ข่าว ของ กลต. แล้วพิมพ์ " กล่าวโทษ " ในช่องค้นหา แล้วคัดข่าวการกล่าวโทษออกมา http://capital.sec.or.th/webapp/webnews ... hp?lang=th แต่ผมก็ยังไม่เห็นที่สรุปเป็นสถิติให้ดู เมื่อ: 2012-06-10T15:20:13+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นมากกว่า 40 องศาเซลเซียส pak: อุณหภูมิร้อนฉ่า-กฟผ.ปรับยอดไฟพีกพุ่ง [ ข่าวสด, 28 ก.พ. 55 ] นายพิบูลย์ บัวแช่ม ผู้ช่วยผู้ว่าการฝ่ายควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.)เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ปรับตัวเลขประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) ปี 2555 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25,230 เมกะวัตต์ต่อวัน จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ที่ระดับ 24,000 เมกะวัตต์ เนื่องจากปัจจัยจากสภาพอากาศที่เข้าสู่ฤดูร้อนเร็วกว่าปกติ และคาดการณ์ว่า อุณหภูมิจะสูงขึ้นมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ตลอดจนปัจจัยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ ประเทศ ทั้งนี้ ตัวเลขไฟพีกปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.5% ซึ่งคาดว่าจะเกิดระหว่างเดือนมี.ค.-พ. ค. โดยกฟผ.ได้เตรียมปริมาณไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่ายในสัดส่วน 23% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้ง หมด ยืนยันไม่มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าขาดแคลนแม้ว่าในช่วงวันที่ 8-17 เม.ย. การจัดส่งก๊าซ ธรรมชาติจากแหล่งเยตากุน สหภาพพม่าจะหยุดชั่วคราวก็ตาม แต่เป็นช่วงของวันหยุดเทศกาล สงกรานต์ ซึ่งตามปกติความต้องการใช้ไฟฟ้าจะลดลงอยู่แล้ว เมื่อ: 2012-02-28T03:19:37+00:00 pak: ลพบุรีร้อนจัด! เกือบทะลุ 40 องศาฯ (ไอเอ็นเอ็น) ขอขอบบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3 อากาศร้อนจัด ที่จ.ลพบุรี เกือบทะลุ 40 องศาฯ ลิงศาลพระกาฬ ทนไม่ไหว ต้องหาน้ำลงเล่นเพื่อคลายร้อน จังหวัดลพบุรี ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา สภาพอากาศได้แปรปรวนอย่างหนัก ในช่วงเช้าอากาศเย็น พอเข้าสู่ช่วงบ่ายอากาศร้อนจัดติดต่อกันมาเป็นวันที่ 3 แล้ว โดยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 37 - 38 องศาเซลเซียส แม้แต่เจ้าจ๋อ หรือลิงนับพันตัว ที่อาศัยอยู่ที่บริเวณพระปรางค์สามยอด และศาลพระกาฬของ จังหวัดลพบุรี ก็ต้องทนทุกข์จากสภาพที่ร้อนจัดเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้พวกมันต้องหาน้ำเล่น โดยทางศาลพระกาฬ มีการหาอ่างน้ำขนาดใหญ่ตั้งโดยรอบของศาลพระกาฬ พร้อมกับเติมน้ำให้เต็มอ่าง เพื่อให้เจ้าจ๋อเหล่านี้ลงเล่นน้ำคลายความร้อน ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานให้เจ้าจ๋อ เนื่องจากได้กระโดดลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่อีกกลุ่ม ก็จะไปจับกลุ่มกันเล่นน้ำจากสปริงเกลอร์ ที่ทางศาลพนะกาฬ ติดตั้งไว้รดน้ำหญ้ารอบศาล ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่มาไหว้ศาลพระกาฬเป็นอย่างมาก เพราะได้เห็นลิงเล่นน้ำ เมื่อ: 2012-02-28T03:28:20+00:00 pak: ผู้เชี่ยวชาญทำนาย พ.ศ.2555 อากาศร้อนติดท็อปเท็น (ไทยโพสต์) ปี 2555 ส่อแววติดอันดับท็อปเท็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่พ.ศ.2393 โดยผู้เชี่ยวชาญทำนายโลกจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นครึ่งองศา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาของอังกฤษ และมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย ที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้วว่า เมื่อปี พ.ศ.2554 มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยระยะยาวจากปี พ.ศ.2504-2533 ถึง 0.36 องศา ส่งผลให้ปีที่แล้วเป็นปีที่ร้อนที่สุดอันดับที่ 11 ขณะที่กรมอุตุฯ อังกฤษทำนายปี พ.ศ.2555 จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยร้อนขึ้นกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยระยะยาวที่ 0.48 โดยจะมีอุณหภูมิร้อนขึ้นต่ำสุดที่ 0.34 องศา และจะร้อนขึ้นสูงสุดที่ 0.62 องศา โดยอดัม สเคฟ จากอุตุฯ อังกฤษ กล่าวว่า ในปี พ.ศ.2554 เกิดปรากฏการณ์ลานีญาที่ค่อนข้างทรงพลัง ส่งผลให้ช่วยลดอุณหภูมิโลกลงได้ชั่วคราว แต่ปรากฏการณ์ลานีญาในปี พ.ศ.2555 จะมีกำลังเบาบางกว่าในปีที่แล้ว ทำให้ปีนี้โลกจะมีอุณหภูมิร้อนกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย แต่จะไม่ร้อนเท่ากับในปี พ.ศ.2553 กรมอุตุฯ อังกฤษกล่าวว่า ข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ยปี พ.ศ.2554 ของตน ใกล้เคียงกับของกรมอุตุฯ โลกที่คำนวณอุณภูมิเฉลี่ยปีที่แล้วสูงกว่าอุณหภูมิมาตรฐาน 0.41 องศา แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสององค์การยังยกให้ปี พ.ศ.2553 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อ: 2012-02-28T03:30:47+00:00 pak: ขอเข้าประเด็นเลยดีกว่าครับ ว่า... "อากาศร้อนๆแบบนี้ บริษัทฯไหนได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์บ้างครับ???" (^_^) ปล. โถ พูดจาอ้อมค้อมอยู่ตั้งนาน 555+ เมื่อ: 2012-02-28T03:35:30+00:00 luangrit: snc ครับ 555 Bias เล็กๆ เมื่อ: 2012-02-28T04:00:16+00:00 Laziale: ร้อนอย่างนี้พี่ pak คงต้องไปซื้อแอร์ singer มาใช้ดูนะครับ เมื่อ: 2012-02-28T04:14:46+00:00 MO101: ร้อนอย่างนี้ต้องเล่นเครื่องทำน้ำแข็งของ พัฒกล เลยครับ แอร์ธรรมดาเอาไม่อยู่หรอก เมื่อ: 2012-02-28T04:45:14+00:00 saichon: ร้อนๆแบบนี้ผมคงอยากพักผ่อนอยู่กับบ้านครับ อยู่บ้านเฉยๆก็น่าเบื่อ คิดไปคิดมาติดเน๊ต เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง หาความรู้ดีกว่า เอาเป็นว่า 3BB ได้ประโยชน์ครับ ฮ่า... (หาเรื่องเข้ามาเชียร์หุ้นครับ 555+) เมื่อ: 2012-02-28T05:03:08+00:00 เกล้า: แนะนำว่าควรจะติดแอร์ของซิงเกอร์..พอเย็น ฉ่ำใจและตามด้วยการเล่นเน็ต 3บีบี..เพื่อคลายร้อน เมื่อ: 2012-02-28T07:55:41+00:00 pntrang: ตรังตอนนี้เหมือนพายุฤดูร้อนจะเข้า เมื่อ: 2012-02-28T08:52:08+00:00 Sumeth6: เดินห้างเซ็นทรัลครับ แอร์เย็นฉ่ำ... เมื่อ: 2012-02-28T09:44:35+00:00 Hisoka: แป้งตรางูครับ เมื่อ: 2012-02-28T09:58:47+00:00 saichon: Hisoka เขียน:แป้งตรางูครับ 555+ จริงด้วยครับ งั้นก่อนประแป้งต้องอาบน้ำก่อน TTW กับ EASTW ได้ประโยชน์ครับ เมื่อ: 2012-02-28T10:10:18+00:00 pak: ขอเป็นหุ้นที่ยังไม่ซ้ำกับคนอื่นนะขอรับ ^ ^ OISHI กับ ชาเขียวแช่เย็นๆ CPALL กับ สเลอปี้ และตู้แช่ (มีคนเคยบอกไว้ว่า ถ้าอากาศยิ่งร้อน ยอดขายในร้าน 7-11 จะเพิ่มสูงขึ้น และของในตู้แช่ก็ขายดีขึ้นมากๆครับ) QH LPN SIRI กับ คอนโดและบ้านพักตากอากาศริมทะเล เมื่อ: 2012-02-28T11:08:38+00:00 << New >>: KYE มีพัดลม เมื่อ: 2012-02-28T11:14:51+00:00 newbie_12: ผมไปนั่งตากแอร์ที่ CPN เมื่อ: 2012-02-28T13:22:52+00:00 Benzkrub: ยืนอ่านหนังสือฟรีใน SE-ED ครับ ^^ เมื่อ: 2012-02-28T13:39:24+00:00 Hisoka: ในใจผมคิดว่า kye ค่อนข้างครบเครื่องในการรับมือกับอากาศร้อน มีทั้งแอร์(10%) พัดลม ตู้เย็น แต่ก็นะ มีของก็ใช่ว่าจะขายให้massได้ดี massเขาต้องผ่อนครับ ยิ่ง mass ในระดับผู้มีรายได้น้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ เมื่อก่อนแค่พัดลมก็พอทนไหว แต่ความร้อนระดับนี้ต้องห้องแอร์หรือไม่ก็เปิดตู้เย็นจ่อแล้วครับ สรุป อากาศร้อนเป็นแรงจูงใจให้คนอยากซื้อแอร์กับตู้เย็นมากขึ้น และคนขายอุปกรณ์ทำความเย็นแบบผ่อนส่งน่าจะขายได้ดีกว่า เพราะ mass ไม่ค่อยเรื่องมาก ขอแค่ให้มีใช้ในเงื่อนไขที่ครอบครองได้(ผ่อนเพราะจ่ายสดทั้งก้อนไม่ไหว) ยี่ห้อไม่ค่อยเกี่ยง อะ รู้นะ คิดอะไรอยู่ คิดว่าผมเชียร์นักร้องอยู่ล่ะเซ่ เมื่อ: 2012-02-28T15:27:54+00:00 sathaporne: Benzkrub เขียน:ยืนอ่านหนังสือฟรีใน SE-ED ครับ ^^ รู้สึกว่าอันนี้ บริษัทจะไม่ได้ประโยชน์มั๊งครับ เมื่อ: 2012-02-28T15:51:41+00:00 wyn: จะซื้อของอะไรไม่ต้องออกครับ สั่งกับtrendyday พรุ่งนี้ก็มาส่ง ไม่ต้องออกไปรถติด ช่วยลดโลกร้อนครับ เมื่อ: 2012-02-28T15:57:56+00:00 T50: อยู่บ้านเปิดแอร์ของ singer ให้เย็นใจ แล้วก็เล่นเกมส์ของ AS ครับผม เมื่อ: 2012-02-28T15:59:17+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: เสียดายประเทศไทยไม่มีซื้อขายอุณหภูมิล่วงหน้า เมื่อ: 2012-02-28T16:24:12+00:00 Handyman: Hydro ครับ ร้อนๆ อย่างนี้ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ถ้าแล้งจนไม่มีน้ำล่ะก้อ... บริษัทเค้าทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำครบวงจร ตั้งแต่ผลิตน้ำประปา เปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด ระบบบำบัดน้ำเสีย การนำน้ำเสียมารีไซเคิลเพื่อใช้ใหม่ ฯลฯ ยกเว้นอย่างเดียวคือ น้ำแข็ง เมื่อ: 2012-02-28T16:41:13+00:00 pak: ร้อนๆแบบนี้ สนใจไอติม Swensen ของ MINT ซักถ้วยไหมขอรับ? ปล. วันนี้อุณหภูมิเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่า ผถห. MLINK นั่งเหงื่อตกซิกเลยอ่ะนะ - -" ...แซวกันนิดๆกันเชยอ่ะนะครับ เพราะวันนี้เป็นประเด็น Hot น่าดู เมื่อ: 2012-02-28T17:07:11+00:00 pak: โลกร้อนเป็นเหตุ “น้ำท่วมใหญ่” ในรอบศตวรรษเกิดถี่ทุก 3-20 ปี โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2555 12:49 น. เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมาเฮอร์ริเคน “ไอรีน” ได้พัดถล่มในแถบแคริบเบียนจนถึงฝั่งตะวันออกของอเมริกา ความรุนแรงจัดอยู่ในอันดับ 3 ที่พัดตีระดับน้ำจนสูงขึ้นและก่อให้เกิดพายุซัดเข้าสู่ฝั่งและท่วมข้ามกำแพงกั้นฝั่งลึกเข้าสู่พื้นที่ด้านในห่างจากชายฝั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านพายุหลายคนระบุว่า ผลกระทบที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นวงกว้างนี้ทำให้เฮอร์ริเคนดังกล่าวเป็นภัยพิบัติในรอบ 100 ปี ที่ภายในหนึ่งศตวรษจะเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้ง หากแต่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) สหรัฐฯ และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์หรือเอ็มไอที (MIT)พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) จะทำให้เกิดพายุที่รุนแรงดังกล่าวจนเป็นเหตุดินถล่มถี่ขึ้น และยังเป็นสาเหตุให้เกิดพายุซัดเข้าสู่ฝั่งหรือสตอร์มเซิร์จ (storm surge) ที่รุนแรงทุกๆ 3-20 ปี ทาง PhysOrg.com ระบุว่า ทางกลุ่มวิจัยได้จำลองพายุนับหมื่อลูกภายใต้สภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน และพบว่าน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นทุก 500 ปี นั้นจะเกิดถี่ขึ้นทุก 25-240 ปี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพวกเขาได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยนี้ลงวารสารเนเจอร์ไคลเมตแชงจ์ (Nature Climate Change) ทางด้าน ดร.นิง ลิน (Ning Lin) นักวิจัยหลังปริญญาเอกของเอ็มไอทีซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการศึกษาครั้งนี้กล่าวว่า การทราบถึงความถี่ของสตอร์มเซิร์จอาจช่วยนักวางแผนเมืองและชายฝั่งในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันภัยธรรมชาตดังกล่าวที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในการออกแบบเขื่อนหรือกำแพงป้องกันนั้นจำเป็นต้องทราบว่าเราควรจะสร้างให้มีความสูงเท่าไรเพื่อป้องกันน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 20 ปี ทั้งนี้ ดร.ลินและทีมวิจัยได้ใช้เหตุน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กเป็นกรณีศึกษา โดยพวกเขาได้ศึกษาแบบจำลองภูมิอากาศ 2 แบบ คือ การศึกษาภายใต้เงื่อนไขของภูมิอากาศปัจจุบันระหว่างปี 1981-2000 และเงื่อนไขของภูมิอากศในอนาคตระหว่างปี 2081-2100 ซึ่งเป็นการทำนายภายใต้การคาดการณ์ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change) หรือไอพีซีซี (IPCC) ซึ่งพวกได้พบว่ามีความถี่ที่จะเกิดพายุรุนแรงเพิ่มขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สำหรับน้ำท่วมรุนแรงในรอบ 100 ปี คือ น้ำท่วมจากพายุที่สูงเฉลี่ย 2 เมตร ส่วนพายุรุนแรงในรอบ 500 ปีคือน้ำท่วมจากพายุซัดสูง 3 เมตร แต่เมื่อทีมวิจัยเพิ่มปัจจัยเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแบบจำลองแล้วพบว่า น้ำท่วมจากการซัดของพายุสูง 2 เมตรจะเกิดถี่ขึ้นทุกๆ 3-20 ปี ส่วนน้ำท่วมสูง 3 เมตรจะเกิดถี่ขึ้นทุก 25-240 ปี ซึ่ง ดร.ลินกล่าวว่า ในปี 1821 เกิดน้ำท่วมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยท่วมสูงถึง 3.2 เมตร และปัจจุบันยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 500 ปี *** ภาพพายุเฮอร์ริเคนกำลังเข้าถล่มฝั่งตะวันออกของอเมริกาเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา (NOAA/PhyOrg) เมื่อ: 2012-03-01T08:17:51+00:00 punyavee: sabina บางๆ ครับ เมื่อ: 2012-03-01T09:59:55+00:00 pak: เอกชนลดราคาแอร์ [ เดลินิวส์, 2 มี.ค. 55 ] นายอนันต์ บรรเจิดธรรม กรรมการและผู้จัดการทั่วไป ส่วนการตลาดและการขายบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องปรับอากาศ มิตซูบิชิ เปิดเผยถึง กรณีที่สรรพสามิต เตรียมจะกลับมาเก็บภาษี สรรพสามิตเครื่องปรับอากาศประมาณ 10-15% ใหม่อีกครั้ง เพราะราคาสินค้า ไม่ลดลงตามภาษีว่า กลุ่มผู้ประกอบการเครื่องปรับอากาศได้ปรับลดราคาสินค้าลงไปแล้ว 10% ตั้งแต่ปี 52 เมื่อ: 2012-03-02T03:03:18+00:00 equinox: อากาศร้อน......เปิดแอร์มาก ใช้ไฟฟ้า ........ไฟไหม้บ้าน ประกันจ่าย .........ไฟไหม้ป่า หมอกควันปกคลุมเต็มเมือง นักท่องเทียวหนี เมื่อ: 2012-03-02T04:18:07+00:00 siradakj: เขาค้อ ซิครับ อากาศเย็นสบายทั้งปี เมื่อ: 2012-03-03T15:59:59+00:00 yoko: ร้อนอย่างนี้กินทาโร่ดีกว่า555 555 เมื่อ: 2012-03-05T16:42:00+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มือใหม่ครับ ถ้าผมจะลงทุนหุ้นพวก PTT, PTTCH ,PTTEP surachet2000: มือใหม่ครับ ถ้าผมจะลงทุนหุ้นพวก PTT, PTTCH ,PTTEP ตั้งแต่วันนี้เก็บไว้ โดยถือระยะยาวซัก 3 - 5 ปี คิดว่าสมควรและมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ คือตั้งเป้ากำไรไว้ที่ 30-50% เมื่อขายคืนปีที่ 3 - 5 ครับ  โดยส่วนตัวคิดว่าธุรกิจ ปตท อย่างไรก็น่าจะโตปีล่ะ 10% ++ได้อยู่แล้ว (ไม่รู้คิดถูกหรือป่าว) ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆครับ เมื่อ: 2007-09-20T12:28:53+00:00 templeton: ดูทิศทางราคาน้ำมันประกอบ เป้าหมายที่คุณคาดไว้อาจจะได้ภายในปีนี้ด้วยซ้ำครับ เมื่อ: 2007-09-20T15:11:48+00:00 boy2t: หัดลงทุนมาเดือนเดียว แต่ถือกลุ่มน้ำมันไว้ตัวหนึ่ง ตอนนี้มันขึ้นเกือบ 10% ที่ซื้อไว้แล้วทำไงต่อดีครับ ควรถือข้ามปี หรือ ขายไปก่อนครับ เมื่อ: 2007-09-21T09:09:19+00:00 beammy: boy2t เขียน:หัดลงทุนมาเดือนเดียว แต่ถือกลุ่มน้ำมันไว้ตัวหนึ่ง ตอนนี้มันขึ้นเกือบ 10% ที่ซื้อไว้แล้วทำไงต่อดีครับ ควรถือข้ามปี หรือ ขายไปก่อนครับ รู้ก้อรวยสิครับ  8) ... เมื่อ: 2007-09-21T11:00:35+00:00 marble: [quote="beammy"] รู้ก้อรวยสิครับ เมื่อ: 2007-09-21T16:06:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
THIP chatchai: ดูผู้บริหารบริษัทนี้ทำซิครับ THIP มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัททานตะวัน ซึ่งมีฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ แต่ THIP ก็ให้บริษัททานตะวันกู้ยืมเงินแบบไม่มีหลักประกันมาโดยตลอด แต่เมื่อวันสองวันก่อน คณะกรรมการ THIP (ซึ่งก็น่าจะเป็นกรรมการชุดเดียวกับ บริษัททานตะวัน) มีมติที่จะไม่ต่อสัญญาเงินให้กู้ยืมกับ บริษัททานตะวัน โดยให้ฟ้องร้องทางกฏหมายครับ แปลกไหมครับ เมื่อ: 2004-08-14T09:12:13+00:00 chatchai: งง ๆ อยู่เหมือนกันครับ เดาว่าคงมีกรรมการที่ไม่ได้มาจากทานตะวันคัดค้านมั้งครับ เพราะเค้าไม่ให้คนมีส่วนได้ส่วนเสียอนุมัติครับ แต่ผมว่านี่เป็นข่าวดีนะครับ เพราะถ้า THIP ฟ้องสำเร็จ ทานตะวันก็ต้องจ่ายหนี้คืนให้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่ผมอยากให้เกิดขึ้นก็คือ THIP จ่ายปันผลให้ ทานตะวัน เพื่อที่ทานตะวันจะได้มีเงินชำระหนี้ ซึ่งผมก็จะได้ปันผลไปด้วย แต่ถ้าตัดเป็นหนี้สูญกันหน้าด้าน ๆ เนี่ย ก็ได้แต่หวังว่า กลต. คงจะช่วยอะไรผมได้บ้าง ยังคงรออย่างมีความหวังต่อไปครับ เกมนี้ยังอีกยาวสำหรับผู้บริหารบริษัทนี้ เมื่อ: 2004-08-14T14:52:54+00:00 harry: เท่าที่ทราบมา เค้าทำอะไรที่ไม่น่าไว้ใจหลายอย่างเหมือนกันครับ เมื่อ: 2004-08-14T15:01:58+00:00 mudleygroup: เกมเพิ่งเริ่มครับ เมื่อ: 2004-08-15T17:45:02+00:00 stockms: วิธีดีที่สุดควรเป็นการขายหุ้น THIP คืนให้บริษัทเป็นการใช้หนี้แล้วเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ไปเลยครับ เกมส์อาจจะเพิ่งเริ่มจริงๆ ก็ได้นะครับ เมื่อ: 2004-08-16T01:03:30+00:00 stockms: mudleygroup เกมส์เพิ่งเริ่ม แล้วเล่นไปแล้วหรือยังครับ เห็นเล็งๆ อยู่ตั้งกะเดือนเมษา .... เมื่อ: 2004-08-16T01:25:01+00:00 mudleygroup: แหมคุณ mo 101 ครับ ผมเพิ่งเริ่มก้าวสู่ทำเนียบผู้ถือหุ้นใหญ่ thip ปีนี้ปีแรก เลยต่อสู้สุดๆ ความเห็นคงลงไม่เยอะดีกว่าครับเพราะมีส่วนได้เสียอยู่ เมื่อ: 2004-08-16T02:28:56+00:00 mudleygroup: เอาใจช่วยครับ ได้ผลเป็นอย่างไรเล่าสูกันฟังบ้างนะครับ เมื่อ: 2004-08-17T06:59:53+00:00 buglife: สงสัยต้องจ้องตามดูบ้าง คุณ mudley ซื้อจนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เลยหรือ หุหุ มิน่า ถึงทักผมว่า วายุ ซื้อเมื่อไร ผมจำตัวย่อผิดนะ หมายถึง ทิพยประกันภัย แหะๆ เมื่อ: 2004-08-17T08:35:48+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
SAP และ กลยุทธ์ขาลงของตลาด ขอถามความเห็นหน่อยนะครับ sipoonya: "...การขายชอร์ตหุ้นเป็นเรื่องเดียวกับการยืมบางสิ่งบางอย่างจากเพื่อนบ้าน(ในกรณีนี้คุณไม่รู้ชื่อเขา) แล้วก็ขายมันและเก็บเงินเข้ากระเป๋า ไม่ช้าก็เร็วคุณก็กลับไปซื้อสิ่งที่เหมือนกันและคืนให้กับเพื่อนบ้าน ไม่มีใครฉลาดกว่ากัน มันไม่ใช่การขโมยแต่ก็ไม่ใช่เรื่องราวของความเป็นเพื่อนบ้านเหมือนกัน มันเหมือนกับการยืมโดยมีจุดประสงค์ที่จะก่ออาชญากรรมมากกว่า..." ปีเตอร์ ลินซ์ จาก One up on wall street หน้า 303 โดยหลักการแล้วถ้าเราจะ SAP แล้วได้กำไรนั้น ราคาต้องตกลงไป (ยิ่งมากยิ่งดี) ใช่ใหมครับ มันไม่เท่ากับเป็นการเดา ราคา หรือ แนวโน้มตลาด เหรอครับ .... ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับแนวเน้นคุณค่าไม่ใช่เหรอครับ เพราะไม่มีใครสอนเราให้เดาราคาในอนาคตใช่มั๊ยครับ แล้วเราจะต้อง ซื้อหุ้นนั้นกลับมาด้วย ใช่ใหมครับ (จะในกรณีมีหุ้นเองหรือยืมมาก็แล้วแต่) ซึ่งถ้าบริษัทนั้น ไม่ใช่บริษัทที่ดี (หรือคาดว่าจะดี) เราจะซื้อกลับมาทำไม (แม้จะอันเดอร์แวลูก็ตาม) ใช่ไหมครับ ดังนั้น ผมเลยคิดว่า SAP ไม่น่าใช่กลยุทธ์ของ VI เท่าไหร่ กลยุทธ์ที่ ผมเข้าใจว่าพอจะใช้ได้สำหรับขาลง ของ VI คือ 1)วิเคราะห์บริษัทที่เราเป็นเจ้าของกิจการว่า ยังดีเหมือนที่เรา ซื้อมาไหม 2) ถ้าไม่ดีในระยะยาวแล้ว MOSแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ก็ขาย 3) ถ้าไม่ดีชั่วคราว ก็ถือ หรืออาจจะ ซื้อเพิ่ม ถ้ามีเงินและมี MOS มากขึ้น 4) ถ้าไม่มีเงิน แต่เห็นโอกาสในตัวอื่น ทั้งที่เราไม่ได้ถือ ก็อาจจะ ขายเพื่อเปลี่ยนตัวเล่น (อาจขายแค่บางส่วน กรณีไม่มั่นใจมาก) ซึ่งจากทั้ง 4 ข้อนั้น เมื่อพิจารณาแล้ว ไม่ได้เป็นวิธีที่ ใช้ในขาลงได้เท่านั้น ยังขาขึ้นก็ยังใช้ได้ด้วย ขอถามความเห็นพี่ๆเพื่อนๆว่า มันมีส่วนไหนที่ผมยังเข้าใจไม่ถูกต้องตามหลักการอยู่บ้างครับ เมื่อ: 2011-10-10T01:09:44+00:00 tharm: ขอแชร์นะครับ การขายชอร์ทมี2กรณีใหญ่ๆนะครับ SAP นี่คือ short against port = ขายหุ้นตัวเอง แล้วซื้อคืนไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงก็ตาม แต่ถ้าการยืมหุ้นคนอื่นมาขาย แล้วซื้อคืนนี่ คือการ short sell นะครับ ผมมองว่า SAP เป็นการเดาตลาดอะครับ อันนี้ผมมองว่าการจะใช้เทคนิคนี้ เหมาะกับนักลงทุนสายเทคนิคมากกว่าครับ ส่วน short sell นั้น ผมมองว่ามันก้ำกึ่งระหว่างสาย VI กับ เทคนิคนะครับ ขอพูดถึงกรณี VI อย่างเดียวละกัน ถ้าคุณเจอบริษัทนึงคุณอ่านงบแล้วรู้สึกแปลกๆ คุณสืบแล้วรู้ได้ว่า บริษัทนี้แต่งงบ และผู้บริหารกำลังจะกอบโกยแล้วชิ่ง คุณมองว่า ราคาขณะนี้ over value แน่นอน VI คงไม่ซื้อหุ้นนี้ การมี short sell เป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนครับ ว่าจะอยู่เฉยๆ หรือshort sell หุ้นแย่ๆที่ราคาเกินพื้นฐานไปมากเพื่อให้ราคาไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นครับ เมื่อ: 2011-10-10T05:25:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บริษัทสื่อสารมวลชนของไทย นายมานะ: สอบถามความเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ชาว TVI หน่อยครับ ว่ามีความคิดเห็นยังไงกับพวกบริษัทสื่อสารมวลชนของไทยบ้าง คือผมสังเกตว่าในบอร์ดนี้ กระทู้พวกสื่อประเภทหนังสือจะคึกคักมาก ในขณะที่หุ้นสื่อประเภททีวีจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ คือผมยังมือใหม่น่ะครับ ตอนนี้สนใจหุ้นสื่ออยู่ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ พี่ๆ มีความเห็นยังไงกับบริษัทสื่อทีวีไทยกันบ้างครับ เมื่อ: 2013-04-18T15:01:40+00:00 Tibular: สื่อทีวีก็เติบโตดีนี่คับ ช่องเจ็ดก็ขึ้นค่าโฆษณาอีกแล้ว ช่องสามก็ดี ช่องเก้านี่ก็ถือว่าประคองตัว ที่น่าเป็นห่วงผมว่าคือสื่อพวกดาวเทียม เคเบิ้ล ถึงตอนนี้จะเติบโตจริง แต่ถ้าทีวีดิจิตอลเกิด 48 ช่อง ทีวีดิจิตอลนั้นเป็นระบบออกอากาศฟรี ภาพเสียงชัดเจน และถ้ามีคอนเท้นดีๆอีก ซึ่งก็แน่นอน พวกช่องหลักๆก็ต้องสู้ให้ได้กันอยู่แล้ว 48 ช่องก็ดูกันแทบไม่ไหวแล้ว ก็คงเกิดการแย่งเรทติ้งจากพวก ดาวเทียม เคเบิล ได้เหมือนกัน แต่ก็คงต้องดูที่คุณภาพของรายการต่างๆ และก็การทำตลาดให้ตรงกลุ่มคนดู ปกติสื่อก็เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจเหมือนกัน ถ้าจำกันได้ ช่วงซัพไพรม หรือไม่ว่าช่วงภาวะไม่ดีต่างๆ ส่วนใหญ่การโฆษณาก็ไม่เยอะ ช่วงเวลาก็ไม่แพงมาก แต่พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้น ค่าโฆษณาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในโรงหนัง ก็เพิ่มมากขึ้น เช่น เมเจอร์ ก็ได้ตรงนี้เยอะ ถึงแม้จะมีการมาของทีวีดาวเทียม เคเบิล แต่ช่องหลักๆ ก็ยังสามารถเพิ่มค่าโฆษณาได้เรื่อยๆ ทำไมละ ก็คงเพราะ ความเคยชินของคนดู และรอยัลตี้ของคนดู และก็รายการต่างๆเข้าถึงคนดูส่วนใหญ่ ก็อยู่ที่นโยบาย ถ้าลองเทียบช่องสาม กับช่องเจ็ดก็เห็นได้ชัดกันอยู่ ดูอย่างช่องเนชั่น พอโดนถอดรายการข่าว ก็จบเลย รายได้หายไปเยอะ ช่องที่หมายมั่นปั้นมือ อย่างช่องระวังภัย แมงโก้ ก็ไปได้ไม่ดี รายได้เคเบิลดาวเทียม ก็มาจากพวกสินค้าที่มาขาย ทั้งที่มีคุณภาพ และไม่มีคุณภาพ ซึ่งทาง กสทช. ก็ตรวจสอบตลอด และก็มีเคสหลอกลวงเยอะมากจริงๆ อุตสาหกรรมสื่อ ก็คงเป็นตามแนวโน้มละคับ อย่างเมกา ก็มีช่องเยอะ แล้วก็โดนพวกเน็ต โทสับ โซเชียลมีเดีย สื่อใหม่ๆแย่งเวลาคนดูไปเหมือนกัน ถ้าแย่งกันไปเยอะๆ สุดท้ายก็คงเหลือแต่ช่องที่มีคอนเท้นดีๆที่จะอยู่รอดได้ เมื่อ: 2013-04-18T17:16:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
การที่บริษัทออก warrant จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างไรครับ ticker: คือโดยปรกติแล้วเวลาบริษัทมีการแจก warrant เช่น อัตรา หุ้นเดิม:warrant คือ 2:1 และ แปลงเป็นหุ้นสามัญ 1:1 โดยเพิ่มเงิน 5 บาท แต่ราคาปัจจุบันของหุ้นแม่อยู่ที่ 10 บาท อย่างนี้แนวโน้มราคาหุ้นจะเป็นแบบไหนครับ 1. ดิ่งลงมาระดับ 5 บาท + - นิดหน่อยตามราคาใช้สิทธิ์ของ warrant 2. ดิ่งลงมาแต่ไม่ถึงระดับใช้สิทธิ์ของ warrant 3. ไม่ได้มีผลมากนัก 4. การแปลงสิทธิ์เป็นหุ้นสามัญกำหนด 3 ปี แต่สงสัยว่าภายใน 3 มีสามารถแปลงตอนไหนก็ได้ หรือจะเป็นช่วงแล้วแต่จะกำหนดเวลาอีกทีครับ 5. สมมุติขึ้น XA วันที่ 10 มีนาคม จ่ายปันผล 10 เมษายน แล้วจะเริ่มใช้สิทธิ์แปลง warrant เป็นหุ้นสามัญได้เมื่อไหร่ครับ ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ เมื่อ: 2012-03-10T03:12:16+00:00 guhungry: ticker เขียน:คือโดยปรกติแล้วเวลาบริษัทมีการแจก warrant เช่น อัตรา หุ้นเดิม:warrant คือ 2:1 และ แปลงเป็นหุ้นสามัญ 1:1 โดยเพิ่มเงิน 5 บาท แต่ราคาปัจจุบันของหุ้นแม่อยู่ที่ 10 บาท อย่างนี้แนวโน้มราคาหุ้นจะเป็นแบบไหนครับ ถ้าเพิ่มทุนเยอะขนาดนั้นก็มีผลอยู่แล้ว 1. ดิ่งลงมาระดับ 5 บาท + - นิดหน่อยตามราคาใช้สิทธิ์ของ warrant 2. ดิ่งลงมาแต่ไม่ถึงระดับใช้สิทธิ์ของ warrant 3. ไม่ได้มีผลมากนัก 4. การแปลงสิทธิ์เป็นหุ้นสามัญกำหนด 3 ปี แต่สงสัยว่าภายใน 3 มีสามารถแปลงตอนไหนก็ได้ หรือจะเป็นช่วงแล้วแต่จะกำหนดเวลาอีกทีครับ -ตามรอบที่บริษัทแจ้งกับตลาดครับ 5. สมมุติขึ้น XA วันที่ 10 มีนาคม จ่ายปันผล 10 เมษายน แล้วจะเริ่มใช้สิทธิ์แปลง warrant เป็นหุ้นสามัญได้เมื่อไหร่ครับ -ตามรอบที่บริษัทแจ้งกับตลาดครับ ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ เมื่อ: 2012-03-10T09:02:52+00:00 ticker: guhungry เขียน:ticker เขียน:คือโดยปรกติแล้วเวลาบริษัทมีการแจก warrant เช่น อัตรา หุ้นเดิม:warrant คือ 2:1 และ แปลงเป็นหุ้นสามัญ 1:1 โดยเพิ่มเงิน 5 บาท แต่ราคาปัจจุบันของหุ้นแม่อยู่ที่ 10 บาท อย่างนี้แนวโน้มราคาหุ้นจะเป็นแบบไหนครับ ถ้าเพิ่มทุนเยอะขนาดนั้นก็มีผลอยู่แล้ว 1. ดิ่งลงมาระดับ 5 บาท + - นิดหน่อยตามราคาใช้สิทธิ์ของ warrant 2. ดิ่งลงมาแต่ไม่ถึงระดับใช้สิทธิ์ของ warrant 3. ไม่ได้มีผลมากนัก 4. การแปลงสิทธิ์เป็นหุ้นสามัญกำหนด 3 ปี แต่สงสัยว่าภายใน 3 มีสามารถแปลงตอนไหนก็ได้ หรือจะเป็นช่วงแล้วแต่จะกำหนดเวลาอีกทีครับ -ตามรอบที่บริษัทแจ้งกับตลาดครับ 5. สมมุติขึ้น XA วันที่ 10 มีนาคม จ่ายปันผล 10 เมษายน แล้วจะเริ่มใช้สิทธิ์แปลง warrant เป็นหุ้นสามัญได้เมื่อไหร่ครับ -ตามรอบที่บริษัทแจ้งกับตลาดครับ ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ เมื่อ: 2012-03-10T09:21:57+00:00 Hughes: จริงๆตามหลักการแล้วหุ้นควรจะลงเพราะออก warrant เป็นการเพิ่มทุนทำให้กำไรต่อหุ้นลดลงเพราะต้องหารหุ้นมากตัวขึ้น แต่ในความเป็นจริงในตลาดไทยพอประกาศแจก warrant แล้วหุ้นมักจะวิ่งกระจายเพราะคนเอามาเล่นเก็งกำไรกันได้สนุกดี เมื่อ: 2012-03-12T22:10:45+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รบกวนท่านผู้รู้ครับ สงสัยเกี่ยวกับการกรอกแบบภาษีภงด.90 ครับผ WorriedInvestor: จากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเงินปันผลน่ะครับ ใน ข้อ1 วงเล็บ(2) วงเล็บย่อย(2.2)"เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล" อยากทราบว่าเงินปันผลตามข้อนี้(มีหักภาษี ณ ที่จ่าย10%ด้วย) ต้องกรอกลงไปในแบบภาษี ช่องไหนครับ ช่อง"ยกเว้นภาษี" หรือว่า ช่อง"ไม่ได้รับเครดิตภาษี" ครับ ปล.ขอแถมอีกข้อครับ ในข้อ(2.1)"กำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล(BOI) อันนี้กรอกใน ช่อง"ยกเว้นภาษี" ถูกต้องแล้วใช่ไหมครับ ขอบคุณท่านผู้รู้ทุกท่านมากครับผม ช่วยชี้แนะด้วยครับ เมื่อ: 2013-01-03T11:16:45+00:00 armaty: ของ BOI ลงช่องยกเว้นภาษี ส่วน ที่โดนหักภาษี ณที่จ่ายลงช่อง ไม่ได้รับเครดิตภาษีครับ เมื่อ: 2013-01-03T16:53:54+00:00 WorriedInvestor: armaty เขียน:ของ BOI ลงช่องยกเว้นภาษี ส่วน ที่โดนหักภาษี ณที่จ่ายลงช่อง ไม่ได้รับเครดิตภาษีครับ ขอบคุณท่านarmaty มากครับผม เมื่อ: 2013-01-04T03:25:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สงสัยการลงทุนในหุ้นวัฏจักรครับ ลูกจ้างชั้นดีต้องมีหนี้: หนังสือไหนๆ ก็บอกว่า หุ้นวัฏจักรลงทุนให้ลงทุนในช่วงที่ตกต่ำ แล้วขายในตอนที่วัฏจักรสูงสุดหรือพีค งั้นแสดงว่า เวลาเรามองว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นวัฏจักรแล้ว พอเห็นว่า PE 20-30 ปั๊บ ก็เอาเลยน้ำลายไหล โอ้ว ว๊าว หุ้นตัวนี้ PE สูงสม๊าทททท น่าเก็บซะจริงๆ แล้วเริ่มซื้ออย่างบ้าคลั่ง และหมายความว่า ทันทีที่ PE กลายเป็น 3-4 เราก็จะรู้สึกว่า ยี๊ แหวะ หุ้นอะไร PE ต่ำเตี้ยติดดิน ถือแล้วเสียมือ แล้วขายอย่างบ้าคลั่ง มันไม่แปลกๆ เหรอครับ เพราะ PE ต่ำๆ เป็นที่ต้องการของ VI ทุกๆ คน อืม หรือเราจะทำตามทฤษฎีเป๊ะๆ ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นม้าเจ๊กที่เอาจริงทฤษฎีก็ใช้กะปฏิบัติไม่ได้ เมื่อ: 2005-07-06T09:48:02+00:00 naris: ถ้าจะเล่นหุ้นวัฏจักร ผมขอแนะนำจากที่เคยเล่น (ทั้งกำไรและขาดทุน)ไว้อยู่2ข้อ 1.ต้องรู้อนาคต หมายความว่าถ้าเรามั่นใจในอีก2-3ปีข้างหน้าธุรกิจนี้จะฟื้น เราก็ซื้อดักไว้ และถ้าเรามั่นใจว่าอีก2-3ปีข้างหน้าธุรกิจนี้มีโอกาสถดถอยเราก็ขาย อย่าลืมว่าธุรกิจวัฏจักรส่วนมากเป็นแนวโภคภัณฑ์ (ราคาขึ้นกับdemand-supplyเป็นหลัก) 2.คนส่วนมากในตลาดหุ้นจะเป็นพวกชอบมองอะไรยาวๆ แต่คิดอะไรสั้นๆ เหมือนที่ท่านดร.เคยกล่าวไว้ว่า ในเมื่อทุกคนมองเป็นขาลงของหุ้นวัฎจักรตัวนี้แ้ล้ว ถึงราคามันจะถูกแค่ไหนทำยังไงหุ้นมันก็ไม่ขึ้น จนประจวบเหมาะกับอีก1-2ปีมาถึงเจอวัฎจักรขาลงจริงๆ ก็อาจติดของได้ แต่ท่านก็บอกว่าถ้ามั่นใจว่ามันถูก คิดว่ายังไม่เป็นขาลงและราคานี้จะคืนทุนภายใน3ปี(PE=3)ก็ถือกันต่อไป แต่ท่านไม่เคยซื้อเลย เมื่อ: 2005-07-06T10:41:34+00:00 คนเรือ VI: ต้องจับตาดู pattern ของ indicators ของ อุตสาหกรรมนั้นๆ อย่างใกล้ชิดครับ เอาตัวเลข indicator มากางดูสัก 20 ปี วิเคราะห์ดูว่า แบบไหน กำลังจะเข้าสู่ upturn แบบไหนกำลังจะเข้าสู่ downturn แบบไหน indicator บอกว่ามัน bottom out แล้ว ก็จะเดาได้ครับ ผมเคยลองกับ electronic industry แล้ว ปีนี้น่าจะมีการ build supply ขึ้นมามากกว่า demand ปีหน้า น่าจะลง เมื่อ: 2005-07-06T10:56:11+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
TPC&NPC ตัวธุรกิจยังเหมือนเดิมมั้ยครับ PaZZaHut: พี่ๆๆท่านไหนพอจะทราบบ้างรบกวนด้วยนะครับ เมื่อ: 2005-04-20T08:57:19+00:00 PaZZaHut: ราคาลงช่วงนี้ถือเป้ฯจังหวะซื้อมั้ยครับ เมื่อ: 2005-04-20T10:09:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากทำธุรกิจ ขายน้ำมันหลอด ต้องติดต่อที่ไหนได้มั้งครับ PaZZaHut: พี่ๆท่านไหนพอทราบหรือไม่ จะให้ญาติ ขายที่ต่างจังหวัด นะครับ บ้านอยู่บ้านนอกมากๆ ผมไม่มีความรู้ด้านนี้เลยครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2004-10-29T06:14:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีใครรู้จัก Agency โฆษณาบ้างครับมีธุระจะปรึกษา Rocker: มีใครรู้จัก Agency โฆษณาบ้างครับมีธุระจะคุยด้วยครับ ช่วยแนะนําให้ผมที หรือ ทิ้งเบอร์ หรือ email เอาไว้ครับ เมื่อ: 2006-10-15T14:52:25+00:00 Rocker: CHUO FE P-FCB เมื่อ: 2006-10-16T02:28:13+00:00 buglife: จะทำอะไรหรือครับ ปชส ออแกนไนซ์ ทีวี สิ่งพิมพ์ POP ฯลฯ มีทั้งรู้จัก และหาตามเยลโล่ เว็บ ฯลฯ เมื่อ: 2006-10-16T04:38:42+00:00 Little Boy: จะทำอะไรเหรอครับ? ผมเปิดบริษัทออแกไนซ์อยู่ครับ แต่ถ้าเป็นทางด้านโฆษณาสิ่งพิมพ์ วิทยุ ทีวี ก็พอรู้จัก Ousource ครับ PM หลังไมค์คุยกันได้ครับ เมื่อ: 2006-10-16T04:48:40+00:00 Rocker: ผม เมื่อ: 2006-10-16T14:38:26+00:00 Rocker: ผมกําลังหาโฆษณาลง นิตยสาร อะครับเป็นนิตยสารเกี่ยวกับ การเงินส่วนบุคล กลุ่มเป้าหมายคือ 1 ผู้สนใจเรื่องการออม และ ลงทุน 2 คนมีรายได้ ปานกลาง ขึ้นไป คนวัยทำงาน / ผู้สนใจด้านการเงินและการลงทุนทั่วไป ชื่อนิตยสารนะครับ Financial Freedom ครับ เมื่อ: 2006-10-16T14:40:57+00:00 woody: Rocker เขียน:ผมกําลังหาโฆษณาลง นิตยสาร อะครับเป็นนิตยสารเกี่ยวกับ การเงินส่วนบุคล กลุ่มเป้าหมายคือ 1 ผู้สนใจเรื่องการออม และ ลงทุน 2 คนมีรายได้ ปานกลาง ขึ้นไป คนวัยทำงาน / ผู้สนใจด้านการเงินและการลงทุนทั่วไป ชื่อนิตยสารนะครับ Financial Freedom ครับ อืม จะชนกับ M&W ของตลาดฯ เลยหรือครับ เมื่อ: 2006-10-16T15:45:58+00:00 Rocker: woody เขียน: อืม จะชนกับ M&W ของตลาดฯ เลยหรือครับ ไม่ชนครับ กลุ่มเป้าหมายของทางบริษัทคือ ผู้ที่จะหาอิสรภาพทางการเงิน ด้วยวิธีต่างๆไม่ใช่เฉพาะกองทุน อีกทั้ง นิตยสารเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความรู้ทางการเงินไม่มากครับ คําศัพท์อะไรอ่านสนุกกว่ามาก อ่านเข้าใจง่ายครับ อีกทั้งยังมี interview คนดังๆอีก เมื่อ: 2006-10-16T16:03:43+00:00 woody: Rocker เขียน: ไม่ชนครับ กลุ่มเป้าหมายของทางบริษัทคือ ผู้ที่จะหาอิสรภาพทางการเงิน ด้วยวิธีต่างๆไม่ใช่เฉพาะกองทุน อีกทั้ง นิตยสารเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความรู้ทางการเงินไม่มากครับ คําศัพท์อะไรอ่านสนุกกว่ามาก อ่านเข้าใจง่ายครับ อีกทั้งยังมี interview คนดังๆอีก ไว้จะรอชมนะครับ ไม่ทราบว่าจะเริ่มวางแผงเมื่อไหร่หรือครับ เมื่อ: 2006-10-16T16:12:03+00:00 BHT: ปกติ sale ขายโฆษณาจะวิ่งหาฝ่ายการตลาดของบริษัทโดยตรงนะ แต่ก็มีบ้างที่ส่งให้ agency ดูแลให้หมด เลยต้องติดต่อกับบริษัทโฆษณาแทน ลองเข้าเว็บพวกที่เป็นชุมนุมชาวโฆษณาสิครับ จำชื่อไม่ได้ อาจจะช่วยได้นะ เมื่อ: 2006-10-17T13:51:29+00:00 Rocker: วางแผนมา สักพักแล้วครับ เล่มหน้ามี Dr Niwes ลงครับ เมื่อ: 2006-10-17T15:34:17+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ไม่เคยมีESOPเลย ไม่เคยมีWarant aiko: มีใครรู้บ้าง  หุ้นตัวไหน? ที่เข้าจดทะเบียนไม่เคยมีESOPเลย  ไม่เคยมีWarantมีกี่บริษัทครับ ใครรู้ตัวไหนช่วยบอกกันหน่อย พี่ครรชิตมีในฐานข้อมูลไหมครับ เมื่อ: 2007-03-20T03:11:51+00:00 aiko: uec cpn bigc เมื่อ: 2007-03-20T03:19:11+00:00 ประจวบ: aprint ntv ahc tbsp นอกจากไม่เคยมีwarrant  esopแล้ว ยังไม่เคยเพิ่มทุนหรืองดจ่ายปันผลด้วย เมื่อ: 2007-03-20T15:05:09+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
โอตลาดหลักทรัพย์ chatchai: ท่านสุทธิชัย  รองผู้จัดการตลาด  ออกมาให้ข่าวว่า   กรณี MATI  ไม่พบความผิดปรกติกรณีการใช้ข้อมูลภายใน ผมอยากบอกว่าคนที่เพิ่งเล่นหุ้นยังรู้เลยครับ  ราคาวิ่งขึ้นก่อนประกาศ  มูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก  แถมราคาก็หยุดแถวที่ 11.10 บาทก่อนวันประกาศ  ทั้งหมดคงเป็นเรื่องบังเอิญมั๊งครับ ถ้าอยากมาบอกว่ามีการใช้ข้อมูลภายใน  แต่ยังหาหลักฐานไม่พบก็ยังดีกว่าเลยครับ  ถึงแม้จะแย่พอๆกัน หรือว่าเห็นนักลงทุนเป็นเด็กโง่ เมื่อ: 2005-09-20T05:42:29+00:00 BKP: อย่างนี้ ต้องเรียกว่า ตลาดหลักทรัพย์ เบนโล เมื่อ: 2005-09-20T05:44:28+00:00 ForrestGump: ครับ เห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัย ดังนั้น ถึงอยากให้มีคนกล้า นำเสนอข้อมูลที่ "เป็นจริง" อีกด้าน ให้คนทั่วไปได้รู้ไงครับ ถ้าไม่มีคนกล้า ก็จะมีคนได้รับความเสียหายแบบนี้เรื่อยๆ ครับ เมื่อ: 2005-09-20T05:44:58+00:00 ForrestGump: เสือกระดาษ กัดไม่เป็นคับ กลต. น่าจะมีตัวแทนของรายย่อยนะ จะได้กัดเป็นบ้าง chatchai เขียน: หรือว่าเห็นนักลงทุนเป็นเด็กโง่ "รักนะ.....เด็กโง่" :lovl: เมื่อ: 2005-09-20T05:50:50+00:00 Tongue: jaychou "รักนะ.....เด็กโง่" ในหนังจำได้ว่า เทพเจ้าถูกตบนะครับ :lovl:  :lovl: เมื่อ: 2005-09-20T07:53:46+00:00 มดง่าม: ดูถูกภูมิปัญญาประชาขนไทย  :?   กู้เงินมาสองพันกว่าล้าน  ก็บอกได้จะไม่มายุ่ง    :(    พูดมาได้มาหุ้นmati วิ่งขึ้นกระฉูด เป็นผลดีกับนักลงทุน  :(       ท้องห้าเดือน บอกมาได้ไม่รู้  อ้าว เมื่อ: 2005-09-20T08:18:28+00:00 MO101:  ไม่พบความผิดปรกติกรณีการใช้ข้อมูลภายใน ตีความได้ 2 แบบครับ คือ 1. ไม่มีการใช้ข้อมูลภายใน 2. ใช้ข้อมูลภายในอย่างปกติ    (บอกว่าหุ้นจะขึ้นถึง 11.10 บาท เลยซื้อไม่เกินนี้ ) เมื่อ: 2005-09-20T08:21:05+00:00 thaistock2005: [quote="chatchai"]ท่านสุทธิชัย เมื่อ: 2005-09-20T08:24:55+00:00 hed: [quote="thaistock2005"][quote="chatchai"]ท่านสุทธิชัย เมื่อ: 2005-09-20T10:28:19+00:00 por_jai: 8) อาจจะมีใครส่งลูกปืนห่อกระดาษไปให้     แบบที่ท่านเลขาเคยประสบมาแล้ว     ช่วงนี้ก็play safe หน่อย .... เมื่อ: 2005-09-20T10:44:40+00:00 ก้อนหิน: เค้าต้องการหลักฐานอะไรที่ไม่สามารถโต้แย้งได้หรือป่าวครับ เพราะว่า ถ้ากล่าวหาอะไรที่มันไม่ชัดแล้ว โดนแย้งกลับ มันไม่ค่อยจะดี มันไม่ชัดมั้งครับ สีเทาๆ เดาเจตนาได้ แต่หาหลักฐานไม่เจอ เมื่อ: 2005-09-20T12:36:12+00:00 chatchai: ก้อนหิน เขียน:เค้าต้องการหลักฐานอะไรที่ไม่สามารถโต้แย้งได้หรือป่าวครับ เพราะว่า ถ้ากล่าวหาอะไรที่มันไม่ชัดแล้ว โดนแย้งกลับ มันไม่ค่อยจะดี มันไม่ชัดมั้งครับ สีเทาๆ เดาเจตนาได้ แต่หาหลักฐานไม่เจอ ผมถึงบอกไงครับว่า  พูดออกมาว่าหาหลักฐานไม่เจอ  ยังดูจริงใจและน่าเห็นใจกว่าที่พูดว่า  ไม่พบสิ่งผิดปรกติ  ทั้งๆที่เห็นๆกันอยู่  อย่างนี้จะให้เห็นใจกันได้ยังไง เมื่อ: 2005-09-20T12:45:45+00:00 ต.หยวนเปียว: ต่างชาติคงมองตลาดหุ้นบ้านเรา ด้อยพัฒนา กลต บ้านเรามันทำอะไรอะไรก็หน่อมแน้ม   รักนะ เด็กโง่  :mrgreen: เมื่อ: 2005-09-20T12:54:56+00:00 ปรัชญา: ที่นี่ประเทศไทย  มีศีลธรรม  จิตใต้สำนึก แต่ถ้าเป็นเมกา  ระบบทุนนิยม ก็คงไม่แปลกสำหรับที่นั่น ใครจะยึดอะไรก็เอาเงินมาลงทุน เมื่อ: 2005-09-20T13:17:58+00:00 CK: เผอิญเพื่อนทำงานในตลาดหลักทรัพย์ และก็เผอิญอยู่ฝ่ายตรวจสอบข้อมูลพอดี ถ้าเขาตรวจรายชื่อคนที่เข้าซื้อ MATI ในช่วงเวลาดังกล่าว แล้วพบว่ามีประมาณ 200 บัญชีที่เข้าซื้อมติชนในช่วงนั้น ทั้ง 200 บัญชี ชื่อไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บริหารบริษัทที่เกี่ยวข้องแต่ประการใด ถ้าคุณเป็นเพื่อนผม คุณจะแถลงว่าอย่างไรครับ ถ้าแถลงว่า "มีการใช้ข้อมูลภายใน แต่ตรวจสอบไม่พบ" โดนฟ้องอานแน่นอน เพราะไม่มีหลักฐาน ก็สรุปแล้วว่าใช้ข้อมูลภายใน ถ้าแค่เข้าไปไล่ซื้อหุ้นในช่วงนั้น แล้วโดนข้อหา insider ผมก็โดนด้วยครับ (ถ้าผมยังเล่น turtle trading อยู่) pattern ราคาของ MATI เข้า criteria การซื้อหุ้นตาม Trading System ผมทุกประการ 1. มูลค่าการซื้อขายเพิ่มจากไม่ถึง 5 แสนเป็นล้านกว่าบาทในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2. ราคาทำ new high 21 วันในวันที่ 23 ส.ค. พร้อมวอลุ่มแตะ 2 ลบ. วันแรก 3. ราคาขึ้นมาปิดเหนือ EMA 75 ได้เป็นครั้งแรกในรอบปีกว่า ตามสูตร คือเข้าซื้อที่ราคาปิด (7.50) 14,000 หุ้น 4. วันที่ 25 ส.ค. ราคาพุ่งทะลุ high 55 วันได้ ตามสูตร follow buy ที่ 8.1 อีก 12,500 หุ้น วันที่ 14 ก.ย. ปิดที่ ceiling วันที่ 15 ให้ตั้งขายที่ 16 บาท ปรากฎว่าเปิดที่ 18.6 บาท ขายได้หมด กำไร 10.1 บาทต่อหุ้น 260,000 บาทจากเงินลงทุน 200,000 บาท หรือ 130% ใน 2 สัปดาห์ ไม่ต้องใช้ inside information แม้แต่น้อยครับ เมื่อ: 2005-09-20T13:23:14+00:00 chatchai: CK เขียน:ทั้ง 200 บัญชี ชื่อไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บริหารบริษัทที่เกี่ยวข้องแต่ประการใด แค่ผู้บริหารของบริษัทที่เกี่ยวข้องคงไม่พอมั๊งครับ  น่าจะรวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกระดับของทั้งธนาคารที่ GMMM ติดต่อ  และของกิมเอ็งด้วยนะครับ เมื่อ: 2005-09-20T14:10:04+00:00 CK: เห็นด้วยครับ พีฉัตรชัย ราคา+วอลุ่มมันคงไม่ขึ้นมาจนเกิด buy signal ครับ ถ้าข่าวไม่รั่ว และไม่มี insider ผมแค่ชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าไปร่วมวง (คุณ) ไพบูลย์ จะต้องใช้ inside info ครับ :lol: เมื่อ: 2005-09-20T14:13:23+00:00 ปรัชญา: CK เขียน:ทั้ง 200 บัญชี ชื่อไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บริหารบริษัทที่เกี่ยวข้องแต่ประการใด มีชื่อผมด้วยแค่ไม่กี่หุ้น  จะโดนสอบด้วยล่ะแย่เลย เมื่อ: 2005-09-20T14:13:47+00:00 CK: อ่า ตัวเลข 200 เป็นตัวเลขสมมุตินะครับ บายเดอะเวย์ ... เมื่อ: 2005-09-20T14:16:57+00:00 thaistock2005: ส่วนตัวผมนะ คิดว่าเพิ่มงานให้เขา เราก็ต้องเพิ่มงบประมาณด้วยครับ ผมเคยฟังกลต เขาก็บอกว่า เขาเป็นด่านสุดท้าย พวกเราต้องช่วยตัวเองกันก่อนครับ บริษัทจดทะเบียนแตกแถวเมืองไทย ต้องยอมรับว่าก็ไม่น้อย(ความคิดส่วนตัวนะครับ) ต้องช่วยกันเอาข้อมูลเท่าที่มีส่งไปให้ก่อน นะครับ เพราะถ้าหวังพึ่งกลต อย่างเดียวคิดว่าเหนื่อยเหมือนกัน ก็ต้องมองใจเขาใจเราครับ ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะ ให้ความช่วยเหลือกลตด้วยครับ ถ้าอยากให้เขาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เรื่องบอกความจริง ผมยังคิดว่าถ้าพูดไปแล้วมันโดนฟ้องได้ ส่วนตัวผมคงทำเหมือนกลต ตัดปัญหาไปเลย ไม่งั้นเดี๋ยวโดนซักไปซักมาหลุดปากมาซวยเลย ใครจะมาร่วมทุกข์ด้วย เมื่อ: 2005-09-21T07:53:49+00:00 adi: jaychou เขียน:เสือกระดาษ กัดไม่เป็นคับ กลต. น่าจะมีตัวแทนของรายย่อยนะ จะได้กัดเป็นบ้าง "รักนะ.....เด็กโง่" :lovl: กร๊ากกก เมื่อ: 2005-09-22T04:32:26+00:00 thaistock2005: adi เขียน: กร๊ากกก ไอเดียดีครับ น่าจะมีตัวแทนรายย่อยเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ช่วยกันทำงาน เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม หลาย ๆ คนช่วยกัน ดีครับ เมื่อ: 2005-09-22T06:20:50+00:00 Invisible hand: "  กรณี MATI  ไม่พบความผิดปรกติกรณีการใช้ข้อมูลภายใน   " แปลว่า   มีการใช้ข้อมูลภายในกันตามปรกติวิสัยทั่วไป   จึงไม่เห็นว่ามีความผิดปรกติอะไรครับ เมื่อ: 2005-09-22T19:48:05+00:00 Amorna: BKP เขียน:อย่างนี้ ต้องเรียกว่า ตลาดหลักทรัพย์ เบนโล :lol:  :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2005-09-23T00:52:48+00:00 Onokung: "  กรณี MATI  ไม่พบความผิดปรกติกรณีการใช้ข้อมูลภายใน   " แปลว่า   มีการใช้ข้อมูลภายในกันตามปรกติวิสัยทั่วไป   จึงไม่เห็นว่ามีความผิดปรกติอะไรครับ :lovl:  :lovl:  :lovl:  พระเจ้าจอร์จ มันมีความเป็นมาแบบนี้เอง .... พี่ IH พูดทีเดียวเคลียร์เลย พี่ๆท่าน หาข้อยุติตั้งนาน เมื่อ: 2005-09-23T02:32:02+00:00 Temujin: http://www.thairath.co.th/thairath1/254 ... 5/soc1.php เมื่อ: 2005-09-25T09:37:08+00:00 chatchai: วันเวลาผ่านไป  กรณีนี้ก็ไม่สามารถจับคนผิดมาลงโทษได้เหมือนเดิม Insider Trading จงเจริญ ประชดนะครับ เมื่อ: 2005-11-20T14:45:48+00:00 Hero_man: เดี๋ยวมาดูกันว่า IEC มีการใช้ข่าววงในอะปล่าว แล้วจบตรงที่เงียบ ๆ ไปเองอะปล่าว เมื่อ: 2005-11-20T14:53:03+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วันนี้ตลาดปิดบวกจนได้ JoJotaro: วันนี้ตลาดสามารถบวกขึ้นมาได้ แต่สงสัยอาจจะเป็นแค่ระยะสั้น เพราะผมคิดว่าต่างชาติยังมีหุ้นอยู่ในมืออีก เพียงแต่ว่าถ้ามีรายย่อยเข้ามาไล่หุ้นต่อ ต่างชาติอาจจะลากขึ้นเพื่อขายอีกก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ ผมว่า VI คงหาหุ้นดีราคาถูกอยู่หลายๆ ตัวใช่มั้ยครับเช่น TUF, METCO, CPF, SCC เพราะผมก็รออยู่เหมือนกัน เมื่อ: 2004-03-17T10:02:34+00:00 นักดูดาว: หุ้นที่ทุกคนรู้จักดีทั้งคนไทยคนฝรั่ง ราคามักจะไม่ค่อยถูกนักหรอกครับ ต้องหุ้นแบกะดิน หรือหุ้นขุด ที่ผลประกอบการณ์ดี แต่คนมองข้าม เมื่อ: 2004-03-17T18:22:16+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ช่วยวิเคราะห์หุ้น SSC AMATA AS MAJOR WORK TRUE ให้หน่อยครับ juzzz: ช่วยวิเคราะห์หุ้น SSC(แปปซี่)    AMATA    AS(เอเชีบร์ซอฟ)    MAJOR    WORK(เวิร์คพอย)    TRUE ให้หน่อยครับ ว่าช่วงนี้มันดีไหม แล้วก็ผลกระทบที่อาจจะเกิดจาก ศก ตอนนี้ เมื่อ: 2008-10-30T14:18:36+00:00 classy: ไม่มีสักตัวเลยครับ แต่เคยมองๆ AS ไว้นะครับ ตอนที่มีข่าวว่าเด็กเล่นเกมส์ GTA4 แล้วไปเลียนแบบพฤติกรรมตามเกมส์นะครับ ผมว่าน่าสนใจน่ะครับ ธุรกิจ software เกมส์ พวกเกมส์ออนไลน์น่ะครับ บางทีเกมส์หมดความนิยมไป แต่ห้อง CHAT ยังอยู่นะครับ เอาไว้จีบกัน ขอศึกษาดูก่อนนะครับ :lol: TRUE นี่ เห็นว่างบขาดทุนต่อเนื่องมานะครับ  จริงๆ ถ้าเอาธุรกิจ มือถือนี่ ผมว่า AIS กับ DTAC อาจจะยังไม่มองเป็นคู่แข่งนะครับ เนือ่งจาก subscriber ยังน้อยเมือ่เทียบกับเบอร์หนึ่งเบอร์สอง แถมไม่มีเงินลงทุนมากเพือขยาย network ด้วยครับ  แต่ถ้าเล่นแบบเก็งกำไร นี่ผมว่ามีหลายคนซื้อตัวนี้เพือเล่นแบบเอาเด้งตอนมันลงหนักๆเยอะนะครับ ตัวอื่นไม่รู้เลยครับ เมื่อ: 2008-10-30T14:57:06+00:00 i_sarut: ผมแนะนำว่าให้เข้าไปอ่านในร้อยคนร้อยหุ้นครับ อ่านตั้งแต่หน้า 1 เลยยิ่งดีครับ  :lol: เมื่อ: 2008-10-30T15:43:44+00:00 sonnesaint: ผมคิดว่า... AS(เอเชีบร์ซอฟ) - รายได้ของลูกค้า (ค่าขนมของเด็กๆ) คงที่ หรือลดลงเล็กน้อย - ต้นทุนการทำตลาดต่ำลง เนื่องจากลดราคาของสื่อต่างๆ - ธุรกิจต่างประเทศ คงคล้ายๆ กับในประเทศ ผลกระทบ ศก มีบ้าง MAJOR - รายรับลดลง WORK(เวิร์คพอย) - คนดูเยอะขึ้น : คนอยู่บ้านมากขึ้น ดูทีวีมากขึ้น TRUE - ถ้าบริษัทมีกำไร ก็จะต้องเสียภาษี จึงบริหารแบบไม่มีกำไร ช่วยวิจารณ์ความเห็นผมด้วยนะคับ เมื่อ: 2008-10-31T10:42:42+00:00 ศิษย์เซียน007: ไม่ทราบว่าความรู้ที่ข้าน้อยมีจะพบช่วยท่านได้หรือไม่ ข้าน้อยคิดว่าหุ้นที่ท่านเลือกมานั้นส่วนใหญ่อิงกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศเป็นหลัก ยกเว้นแต่อมตะที่อิงกลับการลงทุนภภาคเอกชนของชาวต่างชาติเป็นหลักซึ่งการเมืองมีผลอย่างมากในการตัดสินใจลงทุน และเป็นที่ทราบกันดีว่าศกไทยนั้นมิอาจพึ่งพาการบริโภคและการลงทุนมาได้ซักพักใหญ่แล้วท่าน แต่ข้าน้อยก็สนใจในAS  (ตอนนี้กำลังอินละครเปาบุ้นจิ้นอยู่ครับ) เมื่อ: 2008-10-31T13:40:40+00:00 ปรัชญา: as เมื่อ: 2008-10-31T14:05:11+00:00 ปรัชญา: ทรู เมื่อก่อนผมชอบมาก  มองเรื่องมือถือ  มองจานดาวเทียม มองทรูคอฟฟี่   แต่เคยไปขอใช้บริการ  บอกว่าเมื่อได้ใช้แรกสุดทึ่ง เลิกใช้ไปในที่สุด  หันมาซื้อ3ที  กับการสื่อสารก็พอแก้ขัด  ปัจจุบันใช้2อย่าง ผมไม่มีหุ้นทรู  ไม่คิดว่าจะมีด้วย ขณะที่คนกำลังเห่อ3G4G มองแต่แง่ดี  แล้วสินค้าพวกนี้การลงทุน เครื่องมือที่ล้าสมัยต้องอัพใหม่ซื้อใหม่ (ของเก่ายังไม่ทันได้ทุนคืนเลย  ซื้อใหม่อีกแร๊ะ) เห็นแต่สร้างภาพองค์กรสวยงาม  เลิศเลอไร้สไตล์ เข้าไปแกะงบดูเถอะ  จะซาบซึ้งใจ มีไว้เปลี่ยมือจริงๆในมุมมองของผม  ถ้าถือตอน11บาทมาถึงตอนนี้  เงินปันผลก็ไม่ได้  ช๊อตก็คงทุนหาย  กำไรไม่ได้เห็น เมื่อ: 2008-10-31T14:15:02+00:00 ปรัชญา: เป๊บซี่  ดีที่สุด ยอดตกมากเลย  เนื่องจากไม่มีพัฒนาการที่ทันเวลาทันโลก บรรจุภัณฑ์  ไม่ทันสมัย  การตลาดไม่ทันโค๊ก  ตามหลัง ตั้งแต่ระบบ  หรือรถยนต์ที่ส่งน้ำเป๊บซี่ ถ้ากระแสสุขภาพมาแรง  น้ำผลไม้ก็แบ่งไปได้เยอะ ที่น่าจะทำคือ  กาแฟกระป๋อง  เครื่องดื่มชูกำลัง แต่ผู้บริหารคงไม่สนใจ  ผมก็มองเช้าชามเย็นสองชาม ที่เห็นเป็นเรื่องดี  คือ  ลดพนักงาน ดูไม่ออกเหมือนกันว่าบริษัทน้ำอัดลมต่างประเทศนั้นดี ก็น่าจะดี  เพราะเขาไม่มีน้ำอื่นให้เลือกมากมายเหมือนเมืองไทย โตแบบบอนไซ ใครชอบแบรนด์แข็งแกร่ง  ก็น่าภูมใจที่ถือหุ้นดีที่สุด เมื่อ: 2008-10-31T14:23:02+00:00 ปรัชญา: หุ้นโรงหนัง(โรงภาพยนต์) ต้องฝากโชคชะตาไว้กับเศรษฐกิจ  หนังที่นำมาฉายก็ต้องฝากไว้กับผู้อำนวยการสร้าง  ว่าจะฮิตติดตลาดไหน ไม่เคยซื้อหุ้นตัวนี้ตั้งแต่เข้าตลาดมา ผลประกอบการ  ก็คงผันผวนได้ เมื่อ: 2008-10-31T14:25:18+00:00 ปรัชญา: หุ้นปัญญา เมื่อ: 2008-10-31T14:26:40+00:00 GeneraX: ถ้ามองยาวๆกับราคา ณ ปัจจุบัน ผมสนใจ AMATA ที่สุดครับ ราคาตกลงมามากจริงๆถ้าเทียบกับพื้นฐานระยะยาวที่เปลี่ยนไป เมื่อ: 2008-11-01T02:28:21+00:00 nw108:      ชอบ major กับ amata ครับ รอจ้องซื้ออยู่ ราคาเริ่มเข้าใกล้ มาเป็นหุ้น net-net เเล้ว พื้นฐานดูโอเคครับเเต่ขอต่อราคาอีกหน่อย ( ตลาดมีเเต่คนกลัว  :shock: ,    :arrow: เลยเป็นโอกาสของคนซื้อ     ) NET-NET can save your ass. เมื่อ: 2008-11-02T13:10:14+00:00 nw108:     มันรีเบาว์ไปเเว้ว 30% รอบนี้ซื้อไม่ทันละ  รอต่อไป เมื่อ: 2008-11-04T06:41:32+00:00 charnengi: มอง SSC แล้วไม่น่าสนใจเท่าไหร่ เคยถือด้วย พบว่ามีการตัดราคากับโค้กตลอด แม้ว่าน้ำมันลงจะเป็นผลดี น้ำตาลก็ลง แต่ราคานี้ยังไม่น่าสนนะผมว่า Major ขึ้นมาแล้วสิเนอะ ผมมองว่าธุรกิจนี้ยังพอไปได้อยู่นะ ผู้บริหารก็ขยันขยายธุรกิจดี แต่ว่ามองยากและดูไม่ค่อยโปร่งใส (ส่วนตัวนะ) ในราคาที่ 5-6 บาท ถ้ามองว่าไม่เจ๊งเมื่อ รอบกลับมาน่าจะยืนสองหลักได้ไม่ยาก Amata นี่โดนเต็มๆครับ ราคาน่าสนจริง แต่รออีกหน่อยดูงบซัก 3 q คงไม่นานเกินรอ ที่เหลือไม่ได้ดูอ่า แต่เคยเล่น rag เหมือนกัน พอเลิกเล่นเลยไม่สนใจ เพราะเซิร์ฟเถื่อนตรึม เมื่อ: 2008-11-04T07:30:56+00:00 Ryuga: [quote="nw108"] เมื่อ: 2008-11-04T19:18:43+00:00 nw108:   ครับ  NET-NET   (พวกชอบหุ้นก้นบุหรี่ครับ )เป็นพวกที่ลงทุนในกลุ่มที่ p/b น้อยๆ ยิ่งน้อยยิ่งชอบ เเต่ก็ดูส่วนอื่นๆประกอบด้วย เช่นว่า บ/ช มีการตกเเต่ง หรือข้อน่าสงสัยไหม ธุรกิจที่กำลังเเย่ หรือวิกฤตที่เกิดขึ้น จะสามารถผ่านไปได้ไหม  เเล้วค่อยมาต่อราคากันอีกที่   บ้างที่วิกฤตก็ทำให้บูลชิพบ้างตัวมีราคาเหมาะสม ที่พวก NET-NET เข้าลงทุนครับ เมื่อ: 2008-11-05T04:39:52+00:00 nw108:     คำจำกัดความที่ คัดลอกมาจาก investopedia ครับ คุณเรียวกะ  (ผมเป็นเเฟนที่ตามอ่านโพสต์คุณ เรียวกะด้วย - ชอบสำนวนที่เขียนครับ อ่านเเล้วมีความสุขเเอบยิ้มได้บ่อยๆ )     net-net style   :  value investing technique in which a company is valued solely on its net current assets. The net-net investing method focuses on current assets, taking cash and cash equivalents at full value, reducing accounts receivable for doubtful accounts, and reducing inventories to liquidation values. Total liabilities are then deducted from the adjusted current assets to get the company's net-net value. This method was introduced by Benjamin Graham Graham used this method back when financial information was not as readily available, valuations as a whole were very low and net-nets were much more prevalent in the market. When a viable company is identified as a net-net, it is about as close to a sure thing as you can get in the markets. These special occurrences are now basically non-existent in the market, but Graham's theories on valuing a company based on tangible assets remain useful. เมื่อ: 2008-11-05T04:55:50+00:00 kornjackrit: ทราบแค่ตัวเดียวครับเพราะมีในพอร์ต ( MAJOR ) sonnesaint เขียน: MAJOR - รายรับลดลง ปรัชญา เขียน:หุ้นโรงหนัง(โรงภาพยนต์) ต้องฝากโชคชะตาไว้กับเศรษฐกิจ  หนังที่นำมาฉายก็ต้องฝากไว้กับผู้อำนวยการสร้าง  ว่าจะฮิตติดตลาดไหน ไม่เคยซื้อหุ้นตัวนี้ตั้งแต่เข้าตลาดมา ผลประกอบการ  ก็คงผันผวนได้ ขอพูดถึงข้อเสียก่อนนะครับ - รายได้หลักของ Major ณ ปัจจุบันมีความผันผวนพอสมควร   ตามภาวะเศรษฐกิจ และความนิยมของภาพยนตร์   อย่างที่คุณ ปรัชญา โพสต์ไว้ครับ - ในช่วง 2 - 3 ปีนี้บริษัทมีแผนลงทุนไปต่างจังหวัดจำนวนมาก   ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนสูง - ธุรกิจโรงภาพยนตร์ไม่ใช่ธุรกิจที่ผู้บริโภคจะยึดติดกับ "แบรนด์"   ดังนั้น จึงเป็นการยากที่ Major จะมีลูกค้าที่จงรักภักดี   เหมือนบริษัทที่มีแบรนด์อื่นๆ - **เรื่องผู้บริหารที่ไม่ค่อยโปร่งใส ( ได้ยินมานะครับ   สงสัยคงจะเป็นเพราะการออก ESOP ก็ได้ครับ   แต่ผมว่าถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นว่า ราคาใช้สิทธิซื้อ ESOP     ส่วนใหญ่จะแพงกว่าราคาในกระดานนะครับ   จึงไม่ค่อยมีผู้บริหารท่านใดใช้สิทธิ ) มาดูข้อดีบ้างครับ ่จุดเด่นที่สำคัญคือการเป็น Entertainment Complex ที่ไม่ได้มีแค่ธุรกิจโรงภาพยนตร์เพียงอย่างเดียว และ การเป็นเจ้าตลาดโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ทำให้รายได้ในอนาคตจะมีความผันผวนน้อยลง จากการที่สัดส่วนรายได้จากบัตรเข้าชมชมภาพยนตร์ ในอนาคตมีแนวโน้มลดลงและสัดส่วนรายได้ จากการให้เช่าพื้นที่โฆษณา อาหาร โบว์ลิ่ง และัคาราโอเกะ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นการเป็นเจ้าตลาดก็มีข้อดี คือ Major ได้ยึดครองทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้คู่แข่งยากที่จะแข่งขันด้วย ถึงแม้้จะมีข้อเสียด้านแบรนด์ ที่ลูกค้าอาจจะไม่จงรักภักดีมากนัก แต่ Major ก็จะสามารถดึงดูดลูกค้าได้ มากกว่าคู่แข่งเพราะความสะดวกสบาย และพื้นที่ทีเข้าถึงแหล่งชุมชน ช่วงหลังๆ และในอนาคต Major มักจะเน้นการเปิดสาขาในรูปแบบ Life Style Mall โดยร่วมกับ Siam future development อย่างเช่น J Avenue บริเวณซอยทองหล่อ หรือไม่ก็เป็นแบบ Stand alone ลักษณะคล้ายๆ Major ปิ่นเกล้า , Major รัชโยธิน ซึ่งจะได้รับค่าเช่าพื้นที่เพิ่มเติมอีกด้วย ( ลดความผันผวนของรายได้ ) ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าจะตอบสนอง Life Style ของคนรุ่นใหม่ ได้เป็นอย่างดีครับ ปล. ข้อมูลอื่นๆลองอ่านจาก ร้อยคนร้อยหุ้นนะครับ เมื่อ: 2008-11-05T06:33:35+00:00 kornjackrit: ขอเพิ่มเติมครับนะครับ ข้อด้อยที่สำคัญอีกอย่างของ Major คือการที่ผู้บริโภคหันไปชมภาพยนตร์ทาง DVD และ VCD แทน หรือชมภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตามข้อเสียนี้ผมว่าส่งผลไม่มากครับ เพราะผมเชื่อว่าการดูหนังแผ่นที่บ้านนั้นไม่สามารถทดแทน การดูภาพยนตร์ในโรงได้แน่นอน เนื่องจากบรรยากาศที่แตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด และบริษัทย่อยของ Major ก็มีธุรกิจขาย VCD และ DVD อยู่เช่นกัน ดังนั้น ถ้าผู้บริโภคเลือกซื้อ VCD DVD ( ที่ถูกลิขสิทธิ์ ) แทนการดูภาพยนตร์ในโรง Major ก็ยังคงได้ีัรับ ผลประโยชน์ตรงส่วนนี้เช่นกัน นอกจากนั้นฐานลูกค้าสำคัญของ Major คือ กลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเท่าที่ผมพอมีประสบการณ์ คือ ช่วงเวลาที่ผมสอบเสร็จ เพื่อนๆมักจะชวนไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ และแน่นอนพอไปเที่ยวกันก็มักจะหนีไม่พ้นการไปดูภาพยนตร์ในโรง ร้องคาราโอเกะ หรือ เล่นโบว์ลิ่ง ซึ่ง Major ไำด้ครองทำเลที่พวกผมไปเที่ยว ไว้หมดแล้ว และเทรนดแบบนี้์นี้ผมคืดว่าก็คงมีต่อไปเรื่อยๆ เมื่อ: 2008-11-05T06:43:14+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จิบเบียร์ Q3 ศุกร์ 30 พย.ครับ สามัญชน: รีบกำหนดวันไว้เพื่อให้สมาชิกมีเวลาล็อควันว่างครับ เวลาเดิม 18.00 - 24.00 น. ส่วนสถานที่มีหลายช้อยให้สมาชิกช่วยกันเลือกครับ เมื่อ: 2007-10-25T11:12:26+00:00 สามัญชน: MO101 เขียน:post อีกรอบ ------------------------------------------ ร้านอาหารแอร์ธรรมชาติ ที่ผมอยากกิน อิอิ http://www.seafoodrestaurantthailand.co ... 14&Ntype=1 ริมน้ำเจ้าพระยา  ถ้าไม่กลัวฝนน่าสนมาก http://raanaroy.posttoday.com/restaurant.php?id=78 โอเรียลเตล  งานนี้คงห้ามสั่งเบียร์ เพราะงบอาจบานปลาย http://www.linethaitravel.com/index.php ... 71&Ntype=3 ล่องเรือ เป็นบุฟเฟต์ ตามสูตร ฝึก ล่องเรือก่อนจับปลา อิอิ http://www.bkkmenu.com/directory/f_type/seafood.asp กุ้งหลวง ปิ่นเกล้า (ร้านนี้เป็น sea food) เว็บ www.bkkmenu.com มีการให้คะแนน ร้านอาหารด้วย มีประโยชน์ มาก เมื่อ: 2007-10-25T11:12:47+00:00 BHT: ไปแบบไม่กินเบียร์ ลดราคามั้ยครับ โดนสั่งห้าม เมื่อ: 2007-10-25T11:17:17+00:00 Basketman: จิบเบียร์ Q3 เสาร์ 22 พย.ครับ 22 พย. เป็นวันพฤหัสบดี นี่ครับพี่หมอ รึเป็นเสาร์ที่ 22 ธันวาคม ครับ เมื่อ: 2007-10-25T11:27:51+00:00 ก้อนหิน: BHT เขียน:ไปแบบไม่กินเบียร์ ลดราคามั้ยครับ โดนสั่งห้าม เงินที่เหลือก็ใช่ว่าจะไปตกที่ใครนะครับพี่ BHT ก็ถือว่าออกเงินบำรุงเว็บแล้วกันนะครับ  :roll: เมื่อ: 2007-10-25T11:28:05+00:00 kongkang: คุณหมอ จิบเบียร์คราวที่แล้วมีผู้หญิงไปมั้ยคะ เมื่อ: 2007-10-25T12:00:17+00:00 สามัญชน: Basketman เขียน:จิบเบียร์ Q3 เสาร์ 22 พย.ครับ 22 พย. เป็นวันพฤหัสบดี นี่ครับพี่หมอ รึเป็นเสาร์ที่ 22 ธันวาคม ครับ กำ เสาร์ 24 ครับ ขออภัยคร้าบบบบ       เมื่อ: 2007-10-25T12:00:18+00:00 pinklady: ตรงกับ วันลอยกระทง พอดี เมื่อ: 2007-10-25T12:17:34+00:00 สามัญชน: kongkang เขียน:คุณหมอ จิบเบียร์คราวที่แล้วมีผู้หญิงไปมั้ยคะ มีครับ ทั้งพี่ pinklady น้อง kiri น้องกล้วยทอด และอีกหลายๆท่านครับ เมื่อ: 2007-10-25T12:20:19+00:00 สามัญชน: pinklady เขียน:ตรงกับ วันลอยกระทง พอดี อา.......ดูพระจันทร์เต็มดวงไปด้วย  ชื่นชมงบการเงินไปด้วย อา......... เมื่อ: 2007-10-25T12:22:04+00:00 Paul VI: อยากไปจังเลย เสียดายกลับมาไม่ทัน พอดี มีคนพาไปเที่ยวยุโรป แค่ได้กินเบียร์ก็มีความสุขแล้ว  และก็  :vm: แถมยังได้ความรู้อีก เลื่อนอีก 1อาทิตย์หรือเพิ่มรอบได้ไหมครับ...  เสียดายจัง... เมื่อ: 2007-10-25T12:35:46+00:00 กุหลาบงามหลังฝน: คงไปไม่ได้แล้วหมดวีซ่า เมื่อ: 2007-10-25T13:15:15+00:00 MO101: จิบเบียร์วันลอยกระทงพอดี อิอิ  :D ความคิดผมนะ ร้านอาหารที่ว่า มันจะว่างหรือ โดยเฉพาะ ที่ริมน้ำ งานนี้ลำบากคนจัดซะแล้ว  :lol: พี่หมอจะเหมาทั้งร้านเลยไหม เมื่อ: 2007-10-25T14:59:08+00:00 Muffin: ใครไม่กินเบียร์ ผมไปกินส่วนของคนนั้นได้มั้ยครับพี่สามัญชน เมื่อ: 2007-10-25T16:00:45+00:00 Muffin: เสนอ R&B karaoke ถนน นราธิวาส ครับ ถ้าจะไป บอกก่อนนิดนึงครับ จะบอกที่ร้าน เมื่อ: 2007-10-25T16:02:03+00:00 จิบชาหน้าคอมฯ: Muffin เขียน:ใครไม่กินเบียร์ ผมไปกินส่วนของคนนั้นได้มั้ยครับพี่สามัญชน ถ้ายังเหลือผมรับกินก็แล้วกันครับ  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-10-25T16:20:21+00:00 MindTrick: ศุกร์ 23  น่าจะเหมาะกว่าไหมครับ เพราะ วันที่ 24ส่วนมากน่าจะอยากใช้เวลากับครอบครัวมากกว่า เมื่อ: 2007-10-25T17:15:58+00:00 << New >>: ใครไปได้มั่งครับ แล้วถ้าจะไปต้องทำยังไงบ้างครับ เมื่อ: 2007-10-25T18:06:50+00:00 misterjai: ไปด้วยคนครับพี่หมอสุดหล่อ เมื่อ: 2007-10-25T22:09:22+00:00 oatty: Muffin เขียน:เสนอ R&B karaoke ถนน นราธิวาส ครับ ถ้าจะไป บอกก่อนนิดนึงครับ จะบอกที่ร้าน ยกมือเห็นด้วยอีกคน Map เมื่อ: 2007-10-26T01:10:29+00:00 Alastor: pinklady เขียน:ตรงกับ วันลอยกระทง พอดี แบบนี้คนไม่โสดอาจจะขอ VISA ยากอ่ะครับ เมื่อ: 2007-10-26T01:21:25+00:00 sunrise: เป็นวันอื่นได้ไหมคร้าบบ ลอยกระทง น่าจะไปไม่ได้  :roll: เมื่อ: 2007-10-26T01:52:21+00:00 leksmile: [quote="สามัญชน"][quote="MO101"] http://raanaroy.posttoday.com/restaurant.php?id=78 โอเรียลเตล เมื่อ: 2007-10-26T02:17:57+00:00 dino: [quote="leksmile"][quote="สามัญชน"][quote="MO101"] http://raanaroy.posttoday.com/restaurant.php?id=78 โอเรียลเตล เมื่อ: 2007-10-26T02:24:24+00:00 sattaya: 24 พ.ย. ไปไม่ได้ครับต้องพาลูกไปลอยกระทง เสียดายจัง    ถ้าเปลี่ยนวันจะเป็นไปได้ไหมครับ เมื่อ: 2007-10-26T02:31:55+00:00 สามัญชน: เห็นเพื่อนสมาชิกติดขัดมาไมได้หลายท่าน ใจจริงผมก็อยากจะกำหนดวันให้ถูกใจทุกๆท่าน แต่ถึงจะปรับเปลี่ยนอย่างไรก็คงไม่ถูกใจหมดทุกคนเป็นแน่ ผมกำหนดเอาวันที่เสียงส่วนใหญ่น่าจะพอไปกันได้นะครับ เอาวันที่ 30 พย.ครับ และวันนี้ดร.นิเวศน์ก็รับปากแล้วว่าจะมาแน่นอน (ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยจริงๆ) เมื่อ: 2007-10-26T03:54:40+00:00 yoyo: [quote="leksmile"][quote="สามัญชน"][quote="MO101"] http://raanaroy.posttoday.com/restaurant.php?id=78 โอเรียลเตล เมื่อ: 2007-10-26T03:55:24+00:00 newbie_12: แขก VIP เลยครับคนนี้ http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewN ... 0000127087 เมื่อ: 2007-10-26T05:27:03+00:00 por_jai: 8) พี่ไดโน กับพี่เล็กสไมล์ครับ เมื่อ: 2007-10-26T05:34:51+00:00 Pn3um0n1a: แพ้แอลกอฮอล์... ผมว่า ผมคงไม่พูดมากจน แอลกอฮอล์ ลอยจากปากผมไป ทำให้ พี่ๆ แพ้มั้งครับ ส่วนบุหรี่ พี่ก็อยู่ในห้องแอร์กัน ผมไม่เสียมารยาทขนาดสูบในห้องแอร์ หรอกครับ แต่ถ้าคิดว่าไปแล้วไม่คุ้ม ก็แล้วแต่เถิดครับพี่ๆ ... เพราะก็คงเป็นแนวคิดหนึ่งของ VI แล้วคนที่กินเบียร์ ก็คงไม่มีใครคิดดอก ว่า ไปกินดีกว่า เพราะคุ้มดี (มีคนไม่กิน) ... เมื่อ: 2007-10-26T05:48:00+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ยอดจำหน่ายเสื้อสีเหลืองกระฉูดบริษัทไหนได้รับผลประโยชน์ 2024: sucมีทำเสื้อขายรึเปล่าครับ เมื่อ: 2006-06-06T04:37:57+00:00 น้ำครึ่งแก้ว: ไม่แน่ใจว่าใช่ คงคา การ์เมนท์รึเปล่าครับ เพราะคราวที่แล้วทำเสื้อคุณทองแดงก็เจ้านี้แหละทำ เมื่อ: 2006-06-06T12:51:53+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สอบถามเพื่อนๆที่ติดตาม mbk หน่อยครับ striker: ผมได้ข่าวมาว่า deal ที่บริเวณ tokyu เช่าอยู่ สรุปแล้วครับ โดยจะมีการต่อสัญญาเดิมครับ ไม่ทราบว่าตกลงค่าเช่าพื้นที่ เพิ่มเป็นตารางเมตร เท่าไหร่ครับ แล้ว ระยะเวลาเช่าเป็นอย่างไรครับ เมื่อ: 2004-09-20T15:21:00+00:00 striker: อลงไปถามใน 100 คน 100 หุ้น ดูครับ เมื่อ: 2004-09-21T09:14:45+00:00 Shaihalud: เพิ่มค่าเช่าครับแต่ไม่รู้ว่าเท่าไหรสําหรับโตคิว ใน นสพ บอกว่าค่าเช่าจากโตคิวที่เพิ่มขึ้นจะไปปรากฎในงบปี 49 นะครับถ้าผมจําไม่ผิด ลองเช็ค นสพ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันนี้ได้นะครับ เมื่อ: 2004-09-21T09:52:23+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Com Visit SVI วันที่ 13 สค. 57 เวลา 13.00 น. BTS จตุจักร Thai VI ComVisit: เปิดรับจอง Company Visit SVI ในวันเสาร์ที่ 26 กค. 57 เวลา 10.00 น. จำนวน 40 ที่นั่ง ปิดรับการสมัครและยกเลิกจองภายในวันเสาร์ที่ 2 สค. 57 สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) จัดกิจกรรมสำหรับสมาชิก เพื่อเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียน บมจ. เอสวีไอ (SVI) ขึ้นรถที่ BTS หมอชิต ในวันพุธที่ 13 สค. 2557 เวลา 13.00 น. เดินทางถึงโรงงาน เวลา 14.00 น. รับฟังการบรรยายจากผู้บริหาร, ถามตอบข้อสงสัย และเยี่ยมชมไลน์การผลิตในโรงงาน รถบัสปรับอากาศ 50 ที่นั่ง เลขทะเบียน 30-0991 หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถาม ผู้ประสานงานของสมาคมที่หมายเลข โทร 085-481-3142 ครับ หมายเหตุ : เฉพาะสมาชิกที่จองสิทธิ์ร่วมกิจกรรม โดยจองได้คนละ 1 ที่นั่งและไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้ผู้อื่นได้ สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิ์ครบ 2 ครั้งแล้ว สามารถจองได้ครับ แต่จะต้องให้สิทธิ์กับผู้ที่ยังใช้สิทธิ์ไม่ครบ 2 ครั้งก่อนครับ สรุปรายชื่อสมาชิกที่ได้รับสิทธิ์ไปเยี่ยมชมโรงงาน SVI ครับ การเตรียมตัวสำหรับ Company visit กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสมาชิกสมาคมฯ ด้านโครงสร้างอุตสาหกรรม ความสามารถและกลยุทธ์ทางธุรกิจ ความคาดหวังในอนาคตของบริษัท ตลอดจนการเยี่ยมชมสายการผลิตของโรงงาน ดังนั้นสมาชิกที่ได้รับโอกาสในการร่วมกิจกรรม ควรมีการเตรียมพร้อมเบื้องต้น โดยการอ่านข้อมูลของบริษัท เช่น งบการเงิน รายงาน56-1 หรืออ่านข้อมูลจากห้อง 100 คน 100 หุ้น ไปก่อนล่วงหน้า เพราะกิจกรรมนี้เราจะเปิดโอกาสให้ท่านซักถามโดยตรงกับผู้บริหาร เมื่อ: 2014-07-23T08:01:54+00:00 otakung: จองครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:22+00:00 sth123: จอง1ที่คะ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:26+00:00 ty: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:30+00:00 somsakr: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:32+00:00 ACME49: จอง 1 ที่ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:36+00:00 ลูกอิสาน: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:37+00:00 Mr.Children: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:44+00:00 Domywin: จอง1ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:46+00:00 romee: จองครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:52+00:00 khunjack3: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:01:52+00:00 punvi: จองครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:02:07+00:00 shooter: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:05:46+00:00 putin: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:07:03+00:00 jatturong: จอง 1 ท่ีครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:25:13+00:00 Rataohm: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:34:34+00:00 PRAPHATTIK: จองครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:41:46+00:00 topza: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:41:55+00:00 worldwonder: จอง 1 ที่ค่ะ เมื่อ: 2014-07-26T03:46:59+00:00 worldwonder: จอง 1 ที่ค่ะ เมื่อ: 2014-07-26T03:48:44+00:00 tankhun: 1 ท่ีครับ เมื่อ: 2014-07-26T03:53:31+00:00 natchalein: จอง 1 ที่ค่ะ เมื่อ: 2014-07-26T03:53:37+00:00 PTA: จอง1 ที่คะ เมื่อ: 2014-07-26T03:54:42+00:00 always24: จอง 1 ที่ค่ะ เมื่อ: 2014-07-26T03:58:12+00:00 aeke: จอง 1 ที่ เมื่อ: 2014-07-26T04:19:37+00:00 infinet: จอง 1 ที่ ครับ เมื่อ: 2014-07-26T04:28:00+00:00 SE7EN: จองครับ เมื่อ: 2014-07-26T04:30:58+00:00 happyteeth: จอง1ที่ค่ะ เมื่อ: 2014-07-26T04:38:32+00:00 Rakkiat: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2014-07-26T05:06:54+00:00 LA-Z-BOY: ขอจอง 1 ที่ ขอบคุณทีมผู้จัดครับ เมื่อ: 2014-07-26T06:22:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
.... LA-Z-BOY: นานพอสมควรที่ไม่ได้เข้ามาทักทายใครเลยครับได้แต่เฝ้าติดตามอ่านมาตลอดวันเวลาที่เปลี่ยนไปทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปมีเพียงพี่ครรชิตกับลุงขวดพี่ฉัตรชัยยังคงมุ่งมั่นสร้างศรัทธามหาชน แต่วันนี้พี่janq--------พี่ปรัชญา เปลี๋ยนไป๋,เปลี่ยนไป พี่เจ๋งก็มาเป็นนักเก็งกำไรกึ่งกึ่งลงทุนเพิ่มสไตล์พัฒนาระบบมันสมองมากมาก แต่วันนี้พี่ปรัชญา เปลี๋ยนไป๋,เปลี๋ยนไป๋, และเปลี๋ยนไป๋ ดูแล้วแก้เซ็งได้ ไหงพี่ชายเราธรรมมะธัมโม มาชวนชาวเวปนี้ไปร่วมด้วยช่วยกันแจกทุนการศึกษาเด็กล่ะครับคุณแชมป์ไม่เข้ามาแจมผมขอแจมแทนว่างว่างเมื่อไหร่ก็เอามาฝากน้องน้องอีกนะขอรับคอบคุณขอบคุณ เมื่อ: 2004-08-18T03:08:37+00:00 ปรัชญา: สวัสดีครับ คุณบุญถึง ดีใจครับที่มีผู้คอยสังเกตการณ์ ผมกำลัง เสีย0แต่ได้1ครับ ที่เปลี่ยนเพราะอายุมากขึ้น(เลยบ้ามากขึ้นอิอิ) ว่างๆเข้ามาคุยกันใหม่นะครับ เมื่อ: 2004-08-18T06:54:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รายชื่อหลักทรัพย์ที่นำมาใช้ในการคำนวณดัชนี SET50 vichit: รายชื่อหลักทรัพย์ที่นำมาใช้ในการคำนวณดัชนี SET50 Index สำหรับการคำนวณค่าดัชนีระหว่าง 1 ก.ค.2553 ถึง 30 ธ.ค. 2553 http://www.cgsec.co.th/resources/resear ... f?broker=1 เมื่อ: 2010-06-18T02:03:45+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แปลกจังหุ้นp/e สูงกว่า20 ไม่ลงกลับขึ้นแฮะ hot: แปลกจัง เมื่อ: 2005-04-04T09:24:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
"เคล็ดลับ"เศรษฐีนีอเมริกัน คิดกับปฏิบัติอย่างไรจึง MO101: "เคล็ดลับ"เศรษฐีนีอเมริกัน คิดกับปฏิบัติอย่างไรจึงรวย http://www.bangkokbiznews.com/fundament ... 66219.html อ่านเจอเลยเอามาฝาก ผู้หญิงก็เล่นหุ้นเหมือนกัน (แต่หายากหน่อย) เมื่อ: 2004-09-24T11:24:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
+++ช่วยรักษาเวปไซต์คุณภาพให้ยั่งยืนหน่อยครับ+++ dome@perth: ผมกลับมานั่งพัก ทบทวนถึงประโยชน์ที่ผมได้ จากการเข้ามาเป็นสมาชิก และโพสต์แลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็น ตลอดระยะเวลาที่เข้ามาตั้งแต่ ตุลาคม ปี 2007 เกือบๆ 3 ปีแล้ว ประโยชน์ที่ผมได้รับจากเวปนี้มันมากเหลือเกิน เป็นแหล่งความรู้ที่ผมไม่เคยได้รู้จากที่อื่นมาก่อน แหล่งแห่งการค้นหาคำตอบ จากคำถามในหัวตัวเอง แหล่งรวบรวมคำถามที่มีคนอื่นมาถามในสิ่งที่เราควรรู้ แหล่งรวบรวมข้อมูลมาจัดเป็นห้องเป็นชั้นหมวดหมู่ง่ายต่อการค้นหา แหล่งรวบรวมข่าว ทั้งดี ทั้งร้าย ที่อาจมีผลกระทบต่อการลงทุนของเรา แหล่งแรกเปลียนความคิดเห็น เหตุผล และการวิเคราะห์ทั้งเชิงคุณภาพ และ ปริมาณ เป็นที่เข้ามาแชร์และร่วมแสดงความรู้สึกทั้ง ดีใจ เสียใจ เป็นแหล่งที่มีหลักการ หรือแนวคิดที่ถูกต้องถูกทาง เป็นแหล่งรวบรวมบุคคลที่ประสบผลสำเร็จ น่าเอาเป็นตัวอย่างในการลงทุน เป็นรวบรวมเพื่อนต่างอาชีพ ต่างวัยต่างเพศ สร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และอีกมากมายที่ผมยังนึกไม่ออก..... จากประโยชน์ตั้งกล่าว มันทำให้ผมได้ พัฒนาทั้งความรู้ และอารมณ์ ส่งผลดีต่อทักษะการตัดสินใจ ในการเลือกซื้อ และขายหุ้นอย่างมีเหตุ ผล และบนหลักการที่ถูกต้อง พัฒนาความคิดและวิสัยทรรศน์ นำไปสู่การประเมินทิศทางธุรกิจ หรือ กิจการในอนาคตได้ดีขึ้นหรือใกล้เคียงมากขึ้น เวปนี้สอนผมลงทุน และสอนผมใช้ชีวิตอย่างนักลงทุน ส่วนทางรูปธรรม จากการได้เข้ามาเป็นสามชิกและเรียนรู้จากงเวปแห่งนี้ ผมสามารถมันทำให้มูลค่าพอร์ตของผมโตได้อย่างมากเหนือความคาด ในช่วงเวลา แค่ไม่ถึง 3 ปี ผมคุยกับเพื่อนสนิทผมหลายคนในเวปนี้ เขารู้ผมดี ผมดีใจ และ ภูมใจ ถึงแม้ มันจะยังวัดอะไรไม่ได้เพราะเวลามันยังสั้นไป แต่ก็นึกย้อนไป 3 ปีที่แล้วไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ผมจึงชื่นชม เทิดทูน และหวงแหน เวปแห่งนี้ แต่............... ในช่วงเวลาผ่านไประยะหนึง ผมได้เห็นความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง หลากหลาย เลือกมองแต่มุมที่ตัวเองอยากมอง และมักจะแอนดี้ต่างมุมมอง แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็น และโดยการใช้คำพูดที่รุนแรง ใช้คำพูดที่ไม่เคารพซึ่ง กันและกัน ไม่สร้างสรรค์ บางคนก็โพสต์เอามัน โพสต์โดยไม่ไตร่ตรอง ไม่นึกถึงใจเขาใจเรา ประชดประชัน กระแทรกแดกดัน เสียดสีกัน อย่างยุ่งเหยิง ในหลายๆห้อง ทั้งมีข้อมูลบ้างไม่มีข้อมูลบ้าง ทั้งที่น่าเชื่อถือบ้าง ไม่น่าเชื่อถือบ้าง ผมเห็นความวุ่นวายดังกล่าวจึงคิดอย่างออกห่างๆ  ปล่อยให้มันเป็นไปตามเรื่อง ทำไมเราต้องเอาตัวเราเอาใจเรา ไปมั่วสุมกับสิ่งเหล่านั้นให้เราไม่สบายใจทำไม มานั่งนึก............. เอ....เราได้ประโยชน์จากเวปนี้มหาศาล ไม่ใช่หรือ เราได้ความรู้ได้โอกาส ได้หลายสิ่งหลายๆอย่างจากที่ฟรีไม่ใช่หรือ แล้วเรายังไม่ได้ให้อะไรกลับคืนเวปไม่ใช่หรือ เราจะกลายเป็นคนเห็นแก่ได้ มาตักตวงเอาประโยชน์และความรู้อย่างเดียวหรือ เราจะไม่ใส่ใจ หรือ ไม่ขอมีส่วนร่วมในการรักษาเวปไซต์คุณภาพแห่งนี้ ให้คงอยู่ต่อไป เพื่อให้ประโยชน์ต่อนักลงทุนรุ่นหลังหรือ คิดแล้ว............... ช่วยกันนะครับช่วยกัน ไม่ทำสิ่งที่ผมได้กล่าวมา ก็เป็นการช่วยให้เวปนี้น่าอยู่ และเป็นแหล่งรวมคุณประโยชน์มากมาย ผมยินดีที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนอย่างเต็มที่ ที่จะรักษา เวปไซต์คุณภาพแห่งนี้ ให้อยู่คู่นักลงทุนหุ้นคุณค่า อย่างยั่งยืนครับ ปล. ขอบคุณสำหรับ กำลังใจจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ จากห้อง JAS ทุกท่าน ครับ เมื่อ: 2010-08-27T17:20:54+00:00 gozzip: ขอร่วมด้วยช่วยกันอีกคนครับ ^^  :D เมื่อ: 2010-08-27T17:23:47+00:00 SupachaiZ594: ขอเป็นอีกแนวร่วมเล็ก ๆ อีกแรงครับ เมื่อ: 2010-08-27T18:00:12+00:00 Blueblood: ใช่ครับ ถ้าคนดีๆออกไปหมด แล้วเว็ปนี้จะเป็นยังไงอ่ะครับ เราต้องช่วยกันครับอย่าให้ความรู้สึกไม่ดีเล็กน้อยทำให้เราเสียโอกาสในการคืนให้สังคมที่เราช่วยกันสร้างขึ้นมาครับ เมื่อ: 2010-08-27T18:09:14+00:00 coffee.tum: ถึงจะพึงเป็นสมาชิก.... แต่รักเวปนี้มาก จริงๆ... สู้ๆ เมื่อ: 2010-08-27T18:33:11+00:00 manhaha: ผมสมัครสมาชิก ThaiVI ตั้งแต่ปี 2006 เริ่มต้นผมนั่งไล่อ่านกระทู้เก่าๆ เห็นพี่ๆ post โต้ตอบกันแบบมีคุณภาพมากๆ แต่ตอนนี้ หลายๆท่านก็เริ่มห่างหายไปจาก ThaiVI หรืออาจจะเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ไม่ค่อย ออกความคิดเห็นกันเหมือนอย่างเมื่อก่อน ยังไงก็ยังอยากให้พี่ๆน้องๆ ช่วยกันประคับประคองสังคมดีๆแห่งนี้ ให้มีคุณภาพเหมือนแต่ก่อนนะครับ ปล.หลังจากแอบอ่านมาหลายปี ผมก็จะพยายามแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ เพื่อตอบแทนที่ผมได้ความรู้ และแนวคิด หลายๆอย่างจากสังคมแห่งนี้ครับ เมื่อ: 2010-08-27T18:43:37+00:00 akekarat: คนมากขึ้นก็เรื่องมากขึ้นเป็นเรื่องปกติครับ ใน TVI ถึงแม้จะเป็น Value Investment แต่ก็เป็นสังคมเปิด ใครเป็นสมาชิกก็ได้ ยิ่งเวลาตลาดภาวะขาขึ้น การที่จะเป็นแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายหรอกครับ ไว้รอตลาดหมีนาน ๆ หรือนิ่ง ๆ อะไร ๆ ก็คงกลับสภาพเดิมเอง ไอ้สิ่งที่เห็นว่ามันผิดปกติ ก็คงจะค่อย ๆ หายไปแล้วเป็นปกติเหมือนเดิม เหมือนหุ้นที่ปรับฐานเข้าหาราคาพื้นฐานก็คงต้องใช้เวลา หรือ jas ที่โดนเจ้าทุบเพื่อสลัดแมงเม่านั่นแหละครับ   เมื่อ: 2010-08-27T21:18:44+00:00 ซุนเซ็ก: ผมเป็นกำลังใจให้พี่ๆทุกคนครับ และจะพยายามเป็นสมาชิกที่ดีด้วย ผมแอบเข้ามาอ่าน TVI ก็นานแล้ว แรกๆไม่กล้าโพสเพราะรู้ตัวว่าความรู้น้อย แต่หลังๆมาก็เห็นมีคนใหม่ๆมาป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนไม่เชื่อในพื้นฐานของหุ้นเลย เชื่อว่าหุ้นทุกตัวล้วนขึ้นลงโดยเจ้า ก็ไม่รู้จะเข้ามาป่วนในเว็บหุ้นพื้นฐานทำไม   เมื่อ: 2010-08-28T00:18:27+00:00 Possible: ขอสนับสนุนด้วย 1 เสียงครับ ผมไม่อยากให้มีการโพสเกี่ยวกับ ราคา และ เจ้า กันครับ เรื่องแบบนี้มีที่ให้โพส เยอะแยะครับ แต่ เวบ ลักษณะเรามีน้อยครับ ผมก็ได้อะไรจากเวบนี้มากมาย แถมได้ฟรีอีกต่างหาก ลองนึกย้อนไปกันสิครับว่า ... ณ วันที่ เวบเราปิดห้องร้อยหุ้น  เรารู้สึกกันอย่างไร นี่ขนาดไม่ถึงวัน แล้วถ้าตลอดไปหละครับ !!! ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-08-28T01:10:22+00:00 picklife: สนับสนุนเช่นกันครับ ผมว่ามีช่องคะแนนโหวดเหมือนในเวปกูรูก็ดีนะครับ คนที่มาอ่านจะได้กรองได้ว่าการโพสไหนดีและการโพสไหนเกรี๋ยนๆ แอดมินก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก เมื่อ: 2010-08-28T01:32:48+00:00 kotaro: คนมากขึ้นก็เรื่องมากขึ้นเป็นเรื่องปกติครับ ใน TVI ถึงแม้จะเป็น Value Investment แต่ก็เป็นสังคมเปิด ใครเป็นสมาชิกก็ได้ ยิ่งเวลาตลาดภาวะขาขึ้น การที่จะเป็นแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายหรอกครับ ไว้รอตลาดหมีนาน ๆ หรือนิ่ง ๆ อะไร ๆ ก็คงกลับสภาพเดิมเอง ไอ้สิ่งที่เห็นว่ามันผิดปกติ ก็คงจะค่อย ๆ หายไปแล้วเป็นปกติเหมือนเดิม เห็นด้วยอย่างยิ่ง ตลาดหมีมา TVI ก็เงียบครับ ตลาดกระทิง TVI ก็คึกคัก เห็นมาหลายรอบ  เป็นวัฏจักร ไม่สิ้นสุด แล....   เมื่อ: 2010-08-28T01:37:52+00:00 jek ae: สนับสนุน และขอชื่นชมคุณโดมครับ สำหรับข้อคิด เมื่อ: 2010-08-28T01:47:20+00:00 Paul VI: ขออัญเชิญพระราชดำรัส ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของพวกเราชาวไทยครับ ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่ อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อ ความเดือดร้อนวุ่นวาย ขอให้พี่น้องชาวเวป thai vi ของเรา ช่วยๆกัน จรรโลง สังคมเวปของเราครับ เมื่อ: 2010-08-28T01:55:56+00:00 Tungkung: เป็นกำลังใจและขอบคุณกับ ทุกท่านที่ช่วยกัน share ความรู้นะครับ  ผมชอบบรรยากาศแบบนี้มากครับ  อยากให้ web แห่งนี้รักษาคุณภาพแบบนี้ตลอดไป  ซึ่งก็คงต้องอาศัยความร่วมมือของสมาชิกทุกท่านนะครับ.... เมื่อ: 2010-08-28T01:58:34+00:00 simpleBE: น้องใหม่ ความรู้น้อย  แต่จะขอช่วยอีกแรงครับ เมื่อ: 2010-08-28T01:59:41+00:00 harn: อย่ากังวลครับ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในตลาดหุ้น วีไอพันธ์แท้ต้องเข้าใจ ช่วงนี้เป็นต้นยุคที่สี่ของปีเตอร์ ลินช์ ที่มีการเก็งกำไรกันอย่างสนุกสนาน มองไปมีแต่คนได้กำไร หมอฟันยังเข้ามาแนะนำหุ้นให้ผจก.กองทุน เวปนี้ก้อหนีไม่พ้นธรรมชาติของตลาดช่วงนี้ ข้อมูลมาก ขยะก้อมากตาม ใช้เวลาเลือกข้อมุล และกรองด้วยตนเองตามปกคิ อย่าเบื่อครับ เมื่อ: 2010-08-28T02:10:54+00:00 Dekfaifah: เข้ามาขอบคุณพี่โดม ที่ช่วยตั้งกระทู้ดีๆเตือนสตินะครับ สังคมใน TVI ก็โตขึ้นตามอายุเว็บ จำนวนสมาชิกก็มีมากขึ้น เป็นธรรมดาครับ ที่จะต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่อยากให้แตกแยก ในเว็บนี้มีข้อมูลดีๆด้านการลงทุนเยอะมาก ผมใช้เวลาเรียนรู้นาน ก็ยังไม่เข้าใจหมด ได้พี่ๆหลายๆท่านช่วยชี้แนะมาก็ขอขอบคุณมากๆครับ ขอให้ TVI อยู่กันไปตลอดครับ มีความสุข ไม่แตกแยกทางความคิด เมื่อ: 2010-08-28T02:29:18+00:00 vi_tal signs: ผมได้ความรู้ ได้มิตรภาพก็จากที่นี่หละครับ ^^ เมื่อ: 2010-08-28T02:43:26+00:00 คนควน: ขอสนับสนุนอีก 1 เสียงครับ เพราะรู้สึกเหมือนกันจริงๆ ไม่อยากให้สังคมดีๆที่ให้ทั้งความรู้และความเข้าใจสูญหายไปอีกครับ เมื่อ: 2010-08-28T02:55:02+00:00 ajk: +10 เมื่อ: 2010-08-28T03:04:33+00:00 vithai: ขอสนับสนุนครับ ...... มีสติ......ได้สตังค์ หากพลาดพลั้ง......สตังค์จะไม่มี  :idea: เมื่อ: 2010-08-28T03:09:33+00:00 foobar: +1 ครับ เมื่อ: 2010-08-28T03:17:42+00:00 champ_st: ได้เพื่อนดีดี จากเว็ปนี้หลายคนเลยครับ ช่วงนี้รู้สึกมันป่วนๆ T_T เมื่อ: 2010-08-28T03:39:26+00:00 Todo: [quote="ซุนเซ็ก"]ผมเป็นกำลังใจให้พี่ๆทุกคนครับ และจะพยายามเป็นสมาชิกที่ดีด้วย ผมแอบเข้ามาอ่าน TVI ก็นานแล้ว แรกๆไม่กล้าโพสเพราะรู้ตัวว่าความรู้น้อย แต่หลังๆมาก็เห็นมีคนใหม่ๆมาป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนไม่เชื่อในพื้นฐานของหุ้นเลย เชื่อว่าหุ้นทุกตัวล้วนขึ้นลงโดยเจ้า ก็ไม่รู้จะเข้ามาป่วนในเว็บหุ้นพื้นฐานทำไม เมื่อ: 2010-08-28T04:11:14+00:00 HALF FULL: เห็นด้วยกับคุณ Paul VI ครับ และขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกๆคน อย่าท้อ อย่าหมดหวังนะครับ เมื่อ: 2010-08-28T04:22:31+00:00 booklover: ลงชื่อสนับสนุนคุณโดมครับ ได้อะไรจาก TVI มากจริงๆ  อยากให้อยู่อีกเป็นร้อยๆปี เป็นแหล่งความรู้ ที่ดีให้คนไทยไปนานๆ เมื่อ: 2010-08-28T04:39:28+00:00 MYBIZ: I AM SUPPORT THAIVI AND THAILAND. เมื่อ: 2010-08-28T04:43:40+00:00 booklover: " นั่นคือสิ่งมีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้ คือ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังคงมีราคา 1,000 บาท " " ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราอาจถูกทอดทิ้ง ถูกใครต่อใครซ้ำเติม เหยียบย่ำ ถูกขยำขยี้ยับเยิน เพราะความผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่า ตนเองไร้ค่า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังมีคุณค่าของความเป็นคน ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม หรือยับยู่ยี่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตมสกปรก เธอก็ยังเป็นคนคนเดิมที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง " โดยเฉพาะสำหรับคนที่รักเธอ สำหรับหลายๆคนที่อาจรู้สึกแย่ที่โดนตัวป่วนนะครับ เมื่อ: 2010-08-28T04:45:47+00:00 McDonald: Posted: Mon Jul 12, 2010 10:21 am    Post subject: ปิดห้อง "ร้อยคนร้อยหุ้น" เป็นการชั่วคราว     -------------------------------------------------------------------------------- เนื่องจากทางเว็บได้รับการร้องเรียนเรื่องกระทู้ต่างๆ ในห้อง "ร้อยคนร้อยหุ้น" และ "คลังกระทู้คุณค่า" เป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นจะต้องปิดห้อง "ร้อยคนร้อยหุ้น" และ "คลังกระทู้คุณค่า" เป็นการชั่วคราว กรุณาติดตามความคืบหน้าได้ที่กระทู้นี้ครับ thaivi.com เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกถ้าทุกคน มีจิตสำนึกที่ดี ผมชอบเวปนี้ เพราะเป็นเวปที่ให้ความรู้กับนักลงทุน โดยไม่มีการเก็บค่าสมาชิก เป็นกำลังใจให้ผู้ก่อตั้ง ผู้ดูแล และทุกคนที่ชอบเวปนี้ ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมแห่งนี้ให้ยั่งยืนตามเจตนารมณ์ต่อไป เมื่อ: 2010-08-28T05:00:14+00:00 MJ_family: อยากให้เป็น web นี้เป็นสังคมแห่งความรู้ และความคิดไปนานๆ ทุกๆคนที่ได้อ่าน คิดวิเคราะห์ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการลงทุนที่ถูกต้องและยั่งยืนตลอดไป เห็นด้วยอย่างยิ่งที่เราจะร่วมกันพิจารณา และใช้สติตรึกตรองก่อน post ทุกครั้งครับ เมื่อ: 2010-08-28T05:12:33+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เค้าว่ากันว่า จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด มากหรือน้อย ขึ้นกับ ... คัดท้าย: เค้าว่ากันว่า จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด มากหรือน้อย ขึ้นกับ การท่องเที่ยวปีนี้ จะฟื้นทันหรือไม่ .... มีท่านไหน อยู่ในวงการท่องเที่ยวบ้างมั้ยครับ คิดว่าปีนี้ เมืองไทยจะฟื้นท่องเที่ยวได้แค่ไหนครับ ..??? และ สภาพการท่องเที่ยวช่วงนี้เป็นยังไงมั่งครับ รบกวนช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับผม .... เมื่อ: 2005-06-09T13:04:30+00:00 ปรัชญา: 8) รบกวนคุณคัดท้ายหาแนวรับ ดัชนีควรจะอยู่เลขประมาณไหนอ่ะ เมื่อ: 2005-06-09T13:21:43+00:00 คัดท้าย: ปรัชญา เขียน:8) รบกวนคุณคัดท้ายหาแนวรับ ดัชนีควรจะอยู่เลขประมาณไหนอ่ะ ดัชนีอะไรครับพี่ ถ้าดัชนีไทยก็ต้องถามท่านพี่ IndexThai ซิครับ ... ผมไม่ค่อยจะรู้ครับ มั่วไปวันๆ ... แต่แนวรับแข็งหน่อยที่ใกล้ที่สุดก็ 666 ครับพี่ แต่จะอยู่หรือเปล่า บ่ฮู้ครับ (ปล เลขไม่สวยเลยนะครับ 666) เมื่อ: 2005-06-09T13:42:44+00:00 ปรัชญา: คัดท้าย เขียน: ดัชนีอะไรครับพี่ ถ้าดัชนีไทยก็ต้องถามท่านพี่ IndexThai ซิครับ ... ผมไม่ค่อยจะรู้ครับ มั่วไปวันๆ ... แต่แนวรับแข็งหน่อยที่ใกล้ที่สุดก็ 666 ครับพี่ แต่จะอยู่หรือเปล่า บ่ฮู้ครับ (ปล เลขไม่สวยเลยนะครับ 666) โห ให้ผมคุยกับท่านดัชนีไทย ม่ายหวายยย ผมเดินในเขาวงกรตแล้วเวียนหัวครับ คุณกับคุณคัดท้ายเข้าจายง่ายกว่าเยอะเลย ขอบคุณครับได้เลขซื้อหวยแล้ว ตอง-หด เมื่อ: 2005-06-09T14:04:23+00:00 Stock Broker: ล่าสุดเห็นบอกว่าที่ภูเก็ตมียอดนักท่องเที่ยวแค่ 10% ของจำนวนห้องพัก (ตอนนี้จะบอกว่า low season เฉยๆ คงไม่พอ ต้องเรียก very low season) แถมยังมีแผนจะยกเลิกค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินภูเก็ตอีก สถานการณ์อย่างนี้จะหวังพึ่งท่องเที่ยวคงยากกกกกส์ครับ เมื่อ: 2005-06-09T14:13:38+00:00 คนเรือ VI: อาทิตย์นี้จะลงภูเก็ต เพื่อนมีรีสอร์ตที่นั่นครับ กลับมาแล้วจะมารายงาน เมื่อ: 2005-06-09T17:22:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เจ้าแม่เงินปันผล -- เจอรัลดีน ไวซ์ (จาก http://thaidividend. syj: จากที่นี่นะครับ : http://thaidividend.com/tag/%E0%B9%80%E ... C%E0%B8%A5 น่าจะเหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่อายุมากหน่อย ประสบการณ์น้อย ไม่ค่อยเก่ง และอยู่ในสถานะที่จำเป็นต้องลงทุนเพื่อเงินปันผล มาเป็นปัจจัยในการดำรงชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานะการณ์แบบที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างแพง หรือ/และ ไม่มี MOS แล้ว เจ้าแม่เงินปันผล -- เจอรัลดีน ไวซ์ (THE GRANDE DAME OF DIVIDENDS -- GERALDINE WEISS) หากให้เอ่ยชื่อนักลงทุนชื่อดังในโลกใบนี้ เชื่อว่านักลงทุนทุกคนคงเอ่ยนามได้หลายคนอยู่ แต่เคยสังเกตมั๊ยครับ ว่าทำไมมีแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลย? นักลงทุนที่เป็นผู้หญิงแล้วมีชื่อเสียงด้วยนั้นมีบ้างไหมหนอ? ผมค้นหาใน Google ซ้ำไปซ้ำมา เหลือเชื่อครับ ..... เจอแค่คนเดียวเอง.... เธอชื่อ Geraldine Weiss ("ใคร_ะ?" ผมนึกในใจ) แต่พอได้ลองอ่านประวัติและแนวคิดทางด้านการลงทุนของเธอก็รู้สึกได้ว่ามีความประจวบเหมาะกับเนื้อหาใน Thaidividend พอดิบพอดี เพราะเธอเป็นนักลงทุนที่เน้นหนักไปที่การจ่ายเงินปันผลของบริษัทเป็นอย่างมาก จนผมอดไม่ได้ที่อยากจะเอาแนวคิดดังกล่าวมาบอกต่อให้สมาชิก Thaidividend ทุกคนได้อ่านกันครับ บทสัมภาษณ์ของ Geraldine Weiss ในนิตยสาร Forbes ถ้าเช่นนั้น อะไรคือสิ่งที่กำหนดมูลค่า? คนส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเลขผลกำไรคือสิ่งที่กำหนดมูลค่า แต่บริษัทก็สามารถตบแต่งผลกำไรให้ผิดจากความเป็นจริงได้เสมอ ดังตัวอย่างแบบบริษัทเอนรอนเป็นต้น เงินปันผลต่างหากที่เป็นตัวเงินจริงๆ และเป็นจุดเด่นสำคัญของหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง (blue chip stock) หากบริษัทใดไม่จ่ายเงินปันผล ก็เท่ากับเรากำลังเก็งกำไรจากราคาหุ้นเพียงอย่างเดียว ดิฉันเชื่อมั่นในแนวคิดดังกล่าว และศึกษาประวัติของหุ้นหลายตัว จนได้ตระหนักว่าหุ้นแต่ละตัวมีรูปแบบการจ่ายเงินปันผลเฉพาะตัวแตกต่างกันไป บ้างก็จ่ายมาก บ้างก็จ่ายน้อย เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาที่หุ้นจ่ายเงินปันผลมากๆ นั่นเป็นเวลาที่เหมาะกับการซื้อหุ้น และเมื่อหุ้นจ่ายเงินปันผลน้อยลง นั่นก็ถือเป็นเวลาในการพิจารณาขายหุ้นออกไป หลังจากที่ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลในหุ้นอย่างหนัก ดิฉันสังเกตเห็นว่าการจ่ายเงินปันผลมากหรือน้อยของหุ้นแต่ละตัวมักจะเกิดขึ้นติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง หุ้นบางตัวอาจมีราคาต่ำกว่ามูลค่าเมื่ออัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 4% หรือ 5% หรือ 6% ในขณะที่หุ้นบางตัวอาจมีราคาต่ำกว่ามูลค่าของมันเมื่ออัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 2% หรือ 3% แต่การจ่ายเงินปันผลสูงๆอย่างต่อเนื่องคือสิ่งที่จะบ่งบอกถึงช่วงราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของหุ้นนั้นๆ (ซึ่งเป็นเวลาที่เราจะซื้อหุ้น) และการจ่ายเงินปันผลน้อยๆติดต่อกันหลายๆปีก็คือสิ่งบ่งบอกถึงช่วงราคาที่หุ้นมีราคาสูงกว่ามูลค่าของมัน (ซึ่งเป็นเวลาที่เราจะขายหุ้น) ดูจากหลักการของเธอแล้ว Weiss เป็นนักลงทุนประเภทที่ยึดติดกับเงินปันผลแบบสุดโต่งเลยทีเดียว เธอมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นแบบที่เน้นการจ่ายเงินปันผลและความสามารถที่จะจ่ายเงินปันผลเหล่านั้นได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนเป็นหลัก แบ่งเป็นข้อๆได้ดังนี้ครับ มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 ครั้งในรอบ 12 ปี บริษัทถูกจัดให้อยู่ในระดับเกรด A โดยสถาบันจัดอันดับ Standard & Poor มีหุ้นอย่างน้อย 5 ล้านหุ้นขึ้นไป เพื่อสภาพคล่องของการซื้อขาย และป้องกันการปั่นหุ้น มีผู้ถือหุ้นที่เป็นนักลงทุนสถาบันอย่างน้อย 80 สถาบัน มีประวัติจ่ายเงินปันผลติดต่อกันโดยไม่เคยขาดช่วงเลยเป็นเวลาอย่างน้อย 25 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นๆสามารถจ่ายปันผลได้ทุกปีจริงๆ บริษัทต้องมีตัวเลขผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 7 ปี จาก 12 ปีล่าสุด เพื่อพิสูจน์ว่าหุ้นนั้นๆสามารถเอาตัวรอดมาได้ในช่วงภาวะวิกฤติ หลักเกณฑ์ทั้ง 6 ข้อข้างต้น บางข้ออาจไม่สามารถใช้ได้กับบริบทของประเทศไทย แต่ก็ถือเป็นแนวคิดคร่าวๆที่ให้เราได้ศึกษาและนำไปปรับใช้ได้เช่นกัน อย่างเช่นหุ้นที่มีนักลงทุนสถาบันถืออยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร แม้ไม่ถึง 80 สถาบัน แต่ถ้ามากพอ แปลว่าหุ้นนั้นๆต้องมีขนาดใหญ่ และในขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันการปั่นหุ้นได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย กรณีตัวอย่างที่ทำให้เราเข้าใจการลงทุนของ Geraldine Weiss ได้ดีขึ้นอีก อยู่ที่บทสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งที่ผมแปลมาให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ "ตัวอย่างเช่น ถ้าหากพิจารณาตามประวัติหุ้นแล้วเห็นว่า ทุกๆครั้งในช่วงที่ราคาหุ้นนั้นๆพุ่งขึ้นสูงสุด จนทำให้อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อราคาหุ้นลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 2% แล้วหยุดอยู่แค่ตรงนี้เสมอ ก็ให้ถือช่วงที่เงินปันผลต่อราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 2% เป็นเวลาในการขายหุ้น และในทุกๆครั้งที่เกิดวิกฤติแล้วทำให้ราคาหุ้นตกต่ำลง จนอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 5% แล้วหยุดอยู่แค่ตรงนั้นเสมอ ก็ให้ถือช่วงที่เงินปันผลต่อราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 5% เป็นช่วงเวลาสำหรับการซื้อหุ้น" ปี 2008 ราคาหุ้นของ SCC ตกลงไปมาก จนเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้นคิดเป็นประมาณ 14.5% ซึ่งถือว่าสูงมาก ในตอนนั้นถ้าใครเชื่อ Geraldine Weiss แล้วเข้าซื้อหุ้นในราคานั้น พอมาถึงปี 2010 ราคาหุ้นของ SCC ก็พุ่งจาก ปี 2008 ถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียว และเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้นก็ลดลงเหลือเพียงประมาณ 2.4% เท่านั้น และที่ราคานี้อาจเป็นเวลาสำหรับการขายหุ้นแบบที่ Weiss เสนอเอาไว้ นั่นหมายความว่าคนที่เชื่อแนวคิดนี้ก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมทีเดียว ในทางกลับกัน ปี 2008 ราคาหุ้นของ CPF ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง แม้จะตกลงไปมาก แต่เงินปันผลเทียบกับราคาหุ้นก็คิดเป็นประมาณ 2.8% เท่านั้น ซึ่งไม่ได้สูงอะไร แต่พอปี 2010 ราคาหุ้นของ CPF กลับก้าวกระโดดไปได้ถึง 8 เท่าตัว และจ่ายเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้นที่ประมาณ 2.9% ซึ่งนั่นหมายความว่าหากเรายึดหลักแบบ Weiss มากเกินไป เราก็อาจจะพลาดการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆก็เป็นได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่าแนวคิดของ Weiss ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่อย่างไรก็ตามแนวคิดของเธอก็ถือเป็นหลักการที่สำคัญเบื้องต้นของการลงทุนในหุ้นที่เน้นเงินปันผลเป็นหลัก ซึ่งผมอยากจะให้ได้ลองศึกษากันดู สุดท้ายเธอพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า... "การจะประสบความสำเร็จในการลงทุนไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขนาดต้องผ่าตัดสมอง แท้ที่จริงแล้วใครๆก็สามารถประสบความสำเร็จในเรื่องการลงทุนได้ทั้งนั้น เคล็ดลับก็คือการไม่มีเคล็ดลับใดๆทั้งสิ้น หลักการง่ายๆเพียงข้อเดียวก็คือการซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าของมัน และขายหุ้นเมื่อราคาหุ้นนั้นสูงกว่ามูลค่าของมัน นั่นแหละคือหนทางไปสู่ความสำเร็จในการลงทุน" จริงมั๊ยครับ? เมื่อ: 2011-03-19T02:30:59+00:00 เหลนขุนไกร: แต่ละคนก็มีรูปแบบและแนวทางของตัวเองในการลงทุน เจอรัลดี ไวซ์, เธอทำแบบนี้แล้วประสบผลสำเร็จมันก็เป็นแนวทางของเธอ. มันไม่มีอะไรตายตัวหรือสมบูรณ์แบบหรอกครับ ต้องปรับใช้ตามสถานะการณ์ของตลาด และความถนัดของเราเอง เมื่อ: 2011-03-19T04:09:42+00:00 noooon010: ขอบคุณสำหรับข้อมุลนะครับผม เมื่อ: 2011-03-19T05:02:46+00:00 imerlot: ขอบคุณ.สำหรับ.ข้อมูลดีๆ * มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 ครั้งในรอบ 12 ปี * บริษัทถูกจัดให้อยู่ในระดับเกรด A โดยสถาบันจัดอันดับ Standard & Poor * มีหุ้นอย่างน้อย 5 ล้านหุ้นขึ้นไป เพื่อสภาพคล่องของการซื้อขาย และป้องกันการปั่นหุ้น * มีผู้ถือหุ้นที่เป็นนักลงทุนสถาบันอย่างน้อย 80 สถาบัน * มี ประวัติจ่ายเงินปันผลติดต่อกันโดยไม่เคยขาดช่วงเลยเป็นเวลาอย่างน้อย 25 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นๆสามารถจ่ายปันผลได้ทุกปีจริงๆ * บริษัทต้องมีตัวเลขผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 7 ปี จาก 12 ปีล่าสุด เพื่อพิสูจน์ว่าหุ้นนั้นๆสามารถเอาตัวรอดมาได้ในช่วงภาวะวิกฤติ เมื่อ: 2011-03-20T12:19:34+00:00 ถุงเงินเก่า: ดีนะ ที่มีบอกกรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักการด้วย เมื่อ: 2011-03-20T15:48:07+00:00 thaloengsak: น่าสนใจนะ เมื่อ: 2011-03-20T15:54:59+00:00 Paul Octopus: ผมคิดว่า Concept ในภาพกว้าง ถูกต้อง เป็นการลดความเสี่ยงจากเรื่อง ธรรมาภิบาล การพลาดโอกาส ในกรณีของ CPF ย่อมมีแน่นอน คำถามคือว่าเรากล้าพอหรือไม่ ผมคนหนึ่งละครับที่ไม่ค่อยกล้า จีงพลาดโอกาส CPF หรือ IVL (ทั้งๆที่เชียร์ให้รุ่นน้องๆที่ชอบ เก็งกำไรให้ซื้อ และ ซี่งกำไรกันเห็นๆ วันต่อวัน อาทิตย์ต่ออาทิตย์ ) ผมจะลงทุนในกรอบที่ผมบริหารจัดการได้เท่านั้น ขอ Optimum Profits แทน การ Maximize Profits แต่อาจต้องเสี่ยงกับ Invisible Risks ขอนอนหลับให้สบาย ไปช้าๆหน่อยก็ OK ครับ ขอบคุณ สำหรับแนวคิดนี้ที่เอามาแบ่งปันกัน เมื่อ: 2011-03-20T16:16:20+00:00 nut776: หัวข้อธรรม ของพระพุทธองค์ ข้อไหนก็ทำให้คนถึงนิพพานได้ ถ้าเข้าใจ อย่างถ่องแท้ หรือลึกซึ้ัง การลงทุนก็เช่นกันสินะ เมื่อ: 2011-03-21T12:08:53+00:00 Belffet: ขอบพระคุณที่นำมาเผยแพร่และอ้างอิงแหล่งที่มานะครับ ผู้เขียน,แปล มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยครับ เมื่อ: 2011-03-24T16:20:09+00:00 yoyoeffect: ขอบคุณครับ ที่มาแบ่งข้อมูล บทความดีดี ลงทุนแบบต้นทุนไม่หาย ชนะเงินเฟ้อ ปันผลมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือเกินมาถือว่าเป็นกำไรชีวิต ครับ เมื่อ: 2011-04-03T05:22:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
** งบออกหลายบริษัทเลยครับ ใครลุ้นตัวไหน เชิญครับ ** tummeng: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเองนะครับ **************** SMK : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3/2548(F45-1)                        สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)                             บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)                                                              สอบทาน                                สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน        (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3              งวด 9 เดือน              ปี                   2548        2547       2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ             25,187      20,049     73,628      62,827   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)     1.26        1.00       3.68        3.14 เมื่อ: 2005-11-11T10:53:37+00:00 tummeng: WG : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                           บริษัท ไว้ท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)                                                              สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน       (หน่วย : พันบาท)                                      ไตรมาสที่ 3             งวด 9 เดือน              ปี                    2548       2547        2548      2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              24,235     20,525      66,862    56,985   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)      1.36       1.15        3.75      3.19 เมื่อ: 2005-11-11T10:53:57+00:00 tummeng: TFD : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                      บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)                                                                  สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน        (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3               งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ               1,408       2,108      51,542      18,570   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.0022      0.0032      0.0808      0.0298 เมื่อ: 2005-11-11T10:54:17+00:00 tummeng: SPL : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)                        สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)                             บริษัท สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              229,332      224,425     676,415     690,348   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)      1.07        1.13        3.15        3.47 เมื่อ: 2005-11-11T10:54:54+00:00 tummeng: CHOTI : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                           บริษัท ห้องเย็นโชติวัฒน์หาดใหญ่ จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2005      2004      2005      2004   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ               3,166    (2,268)   14,499    71,354   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)      0.42     (0.30)     1.93      9.51 เมื่อ: 2005-11-11T10:55:18+00:00 tummeng: POST : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                           บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              27,059    42,562    96,469    125,431   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.05    0.09    0.19    0.25 เมื่อ: 2005-11-11T10:55:56+00:00 tummeng: ROH : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                           บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              54,176    50,976    169,319    135,722   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.58    0.54    1.81    1.45 เมื่อ: 2005-11-11T10:56:29+00:00 tummeng: TIP : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)                        สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)                             บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              161,413    42,597     385,224     582,337   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.53    0.14     1.28     1.94 เมื่อ: 2005-11-11T10:56:56+00:00 tummeng: BRC : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3 (F45-3)                      บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย                                                               สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน         (หน่วย : พันบาท)                                      ไตรมาสที่ 3               งวด 9 เดือน              ปี                    2548       2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ               9,813    (148,866)     15,828    (143,131)   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.07000   (1.07000)    0.11000    (1.04000) เมื่อ: 2005-11-11T10:57:16+00:00 tummeng: UCOM : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                           บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              338,652    330,216   1,438,559    1,360,923   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.78    0.76    3.31   3.13 เมื่อ: 2005-11-11T10:57:50+00:00 tummeng: OCC : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)                        สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่3(F45-1)                             บริษัท โอ ซี ซี จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              24,314    12,963    58,357    38,993   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.40    0.22    0.97    0.65 เมื่อ: 2005-11-11T11:00:17+00:00 tummeng: PAP : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)           บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                                         ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน                               ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ                     543    108,437    76,135    287,612   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.01    2.17    1.17    6.02 เมื่อ: 2005-11-11T11:17:19+00:00 tummeng: ZMICO  เผย Q3/48 มีกำไรสุทธิ 30.76 ลบ.ส่วนงวด 9 เดือนกำไร 193.43 พันลบ. สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                             บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)                                                              สอบทาน                                   สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                       ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน                ปี                    2548      2547      2548       2547       กำไร (ขาดทุน) สุทธิ               30,761    72,798    193,438    423,459     กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)       0.04      0.09       0.23       0.52 เมื่อ: 2005-11-11T11:26:06+00:00 Capo: น้องแพนด้ายังไม่ออกงบซะที เมื่อ: 2005-11-11T12:35:25+00:00 คัดท้าย: สยองทูยู ... ยังคงความสยองได้ไม่แพ้ใคร ... เมื่อ: 2005-11-11T12:56:05+00:00 Jeng: OCC ทำไมเก่งจัง อืม เมื่อ: 2005-11-11T13:27:38+00:00 Viewtiful Investor: T-T Oishi หักอก เศร้า...... T-T เมื่อ: 2005-11-11T14:11:24+00:00 Eak71: ผมขอเพิ่มอีกตัวนะครับ สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                           บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 3          งวด 9 เดือน              ปี                    2548        2547        2548        2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              619,162    477,686    1,470,100    1,516,399   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)      0.78         0.61         1.85       1.92  ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน       ไม่มีเงื่อนไขและมีข้อสังเกต  หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุ                ประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์  "ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบ   การเงินฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน   ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว"                               ลงลายมือชื่อ _______________________                                ( นายริชาร์ด เดวิด ฮัน นายเทอร์เรนซ ฟิลิป เวียร์) )                               ตำแหน่ง กรรมการ                                     ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ 11 พฤศจิกายน 2548 เรื่อง   ขอชี้แจงผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ของบริษัทฯ เรียน   กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย      ในไตรมาสที่ 3/2548  บริษัทฮานาไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน)   มีผลกำไร จำนวน 619.162 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรเท่ากับ 477.686 ล้านบาท จะเห็นว่า ผลกำไรเพิ่มขึ้นเท่ากับ 141.476 ล้านบาท ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น เป็นผลเนื่องมา จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายของทั้งกลุ่มบริษัทฯเป็นจำนวนร้อยละ 15 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ IC และ PCBA และประกอบกับการลดลงของค่าเสื่อมราคาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงประมาณการอายุการใช้ งานของเครื่องจักรจาก 5 ปี เป็น 7 ปี      สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเรียกดูได้จากเวบไซด์ของบริษัท ที่ http://www.hanagroup.com      จึงเรียนมาเพื่อทราบ Q3 ปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่เเล้วเพราะมี Order เพิ่มขึ้นจากสิ้นค้าจำพวก RFID เเละ Hybride สำหรับอุปกรณ์จำพวก Automotive ไม่รู้ว่าบริษัทที่ทำเหมือน HANA จะเป็นไงบ้าง 8) 8)  8) เมื่อ: 2005-11-11T14:40:54+00:00 sirivajj: สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)11/11/2548 19:46      PTT : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่3(F45-3)                           บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)                                                                 สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 กันยายน           (หน่วย : พันบาท)                                   ไตรมาสที่ 3                 งวด 9 เดือน              ปี               2548         2547          2548          2547   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ       24,021,931    15,809,734    68,372,511    42,167,037   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 8.59         5.65          24.44         15.07 เมื่อ: 2005-11-11T15:06:56+00:00 nanchan: ปตท น่าจะทำให้ตลาดดูดีบ้างนะครับ วันจันทร์ สงสัยต้องมีติดพอร์ต บ้างแล้วมั้งนี่ เมื่อ: 2005-11-11T16:25:16+00:00 Jeng: โอมเพียงคุณ นัน ซื้อปั๊บ ราคาลงปุ๊บเลย เพราะมาเล่นข่าวว่า ปิโตรอาจจะไม่ดีอย่างที่คิด หลังจากลงไป 10 % คุณ นัน cut loss แล้วมานก็วิ่งขึ้น อิอิ แซวเล่นครับ เรื่องจริงคือทุกอย่างตรงกันข้ามกับด้านบน เมื่อ: 2005-11-11T16:28:06+00:00 nanchan: ปกติ ถ้าผมจะคัทลอส ไม่ค่อยรอถึง10%หรอกครับ ส่วนมากไม่เกิน3% คือถ้าซื้อแล้วหุ้นไม่ขึ้น ผมคัทเลย ไม่รอให้ลงก่อน ผมถึงยังพออยู่รอดได้ในตลาดจนวันนี้ไงครับ อันนี้คือแต่ก่อนนะครับ แต่ถ้าให้ผมดูรูปการณ์ ปตท.คงยังไม่ขึ้นซักเท่าไรหรอก คงมีเวลาให้คิดอีกเยอะ เหตุผลก็คือ ผลประกอบการนี้เป็นของไตรมาส3 ส่วนไตรมาส4ราคาน้ำมันตลาดโลกลงมา ไม่รู้ปตท มีกำไรจากสต๊อคน้ำมันด้วยรึเปล่า สรุป ผมอาจจะยังไม่มีในพอร์ต เพราะฉนั้น ข้างบน ถือว่าฟาว แล้วกัน เมื่อ: 2005-11-11T16:36:24+00:00 keen: คุณนันครับ.. ผมว่า PTT ยังมีพื้นฐานที่ดีน่าลงทุนนะครับ ปัจจัยเดียวตอนนี้ผมว่าคงเป็นเรื่องของน้ำมันที่เขาสต๊อกไว้ แต่ก็ดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่เพราะถึงราคาน้ำมันตลาดโลกจะลดลงก็ตามในQ4จะมีปริมาณการใช้น้ำมันโลกสูงขึ้นก็น่าจะพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ต่ำนัก..หรืออาจจะคงตัวเป็นอย่างน้อยครับ ส่วนตัวนะครับ...ผมขอสะสมPTT ในพอร์ทละกัน.. เมื่อ: 2005-11-11T17:01:57+00:00 Jeng: คุณนันครับ คุณนันลืมไปสองเรื่องหรือเปล่า 1. การเอาโรงกลั่นอีกโรง เข้าตลาด 2. การเข้าซื้อ TPI ต้นทุน 3.30 บาท เมื่อ: 2005-11-11T17:04:17+00:00 Stock Broker: [quote="คัดท้าย"]สยองทูยู ... ยังคงความสยองได้ไม่แพ้ใคร ... เมื่อ: 2005-11-12T06:30:53+00:00 คัดท้าย: [quote="Financial Engineer"][quote="คัดท้าย"]สยองทูยู ... ยังคงความสยองได้ไม่แพ้ใคร ... เมื่อ: 2005-11-12T08:23:44+00:00 thaistock2005: ผิดหวังกับ ฮั้วฟงครับ เคยได้ยินผู้บริหารบอกว่า หากขายแล้วไม่มีกำไรก็จะไม่ขาย แต่งบที่ออกมันฟ้องว่ารายได้จากการขายมันก็ยังน้อยกว่าค่าใช้จ่ายอยู่ดี เซ็งมาก ๆ ทำไรไม่คิดถึงผู้ถือหุ้นเลย เมื่อ: 2005-11-13T13:35:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เวลาที่เด็กเล็กๆ เค้าวิ่งเล่นกัน หลายครั้งมักจบลงด้วยน้ำตา Stock Broker: ผมสังเกตหลายครั้งหลายหน เวลาที่มีเด็กเล็กๆ วิ่งเล่น ไม่ว่าที่ไหนๆ เช่น ตามงานเลี้ยง ตามห้างสรรพสินค้า ตามร้านอาหาร หน้าบ้าน หรือแม้แต่ในบ้าน ในห้องครัว แรกๆ จะเป็น วิ่งเล่นไป หัวเราะไป (ยิ่งถ้าเล่นกันหลายคนเป็นก๊วน ก็จะยิ่งเสียงดังมาก จนบางครั้งน่ารำคาญในความเห็นของผู้ใหญ่) บางครั้งการเล่นของเด็กๆ ก็จะเลยเถิดไปบ้าง เช่น ปีนโต๊ะ ปีนเก้าอี้ หรือทำในสิ่งที่น่าจะเป็นอันตราย เช่น เล่นของมีคม จนผู้ใหญ่ต้องคอยห้ามปราม (แน่นอนว่า เด็กๆ ย่อมไม่เชื่อ เพราะกำลังสนุกกันสุดเหวี่ยง และไม่รู้ถึงผลร้ายที่จะตามมา) ตอนจบ หลายครั้งที่จบลงด้วยการที่ได้ยินเสียงร้องไห้จ้า ไม่ว่าจะตามมาหลังจากการหกล้มบ้าง ตกเก้าอี้บ้าง มีดบาดบ้าง จนผู้ใหญ่ต้องช่วยเข้ามาดูแล ปลอบโยน หรือบางครั้งก็ดุเอาว่า เห็นมั้ย บอกแล้วว่าอย่าเล่นแบบนี้ เตือนแล้วไม่ฟัง ต้องเจ็บตัวแล้วถึงรู้สึก เด็กบางคนก็สะอื้นไห้ พร้อมกับรับฟัง แต่บางครั้งก็กลับไปซุกซนแบบเสี่ยงๆ อีก ขึ้นอยู่กับว่า ผลร้ายที่เกิดขึ้นมันร้ายแค่ไหน และคิดว่าคุ้มกับความสนุกที่ได้หรือไม่ เช่น ถ้าแค่หกล้มก็อาจกลับไปวิ่งเล่นใหม่ แต่ถ้าตกจากที่สูง หรือโดนมีดบาด ก็อาจแหยงจนเลิกเล่นไปเลย เมื่อ: 2005-02-05T07:46:46+00:00 Stock Broker: ถ้าไม่เจ็บบ้าง โตขึ้นเด็กจะใจกล้าเกินไปคับ แต่ถ้าเจ็บมากไป โตขึ้นจะปอดแหก เมื่อ: 2005-02-05T07:53:32+00:00 ลูกอิสาน: เป็นธรรมชาติของเด็กครับ เรียกว่ากระบวนการเรียนรู้ เดี๋ยวพอประสบการณ์ คุณวุติ-วัยวุฒิมากขึ้น ก็หายไปเองไปเองครับ สำคัญที่ว่าเป็นผู้ใหญ่ อย่าไปทำอะไรแบบเด็กๆล่ะ :lol: เมื่อ: 2005-02-05T09:31:01+00:00 Jeng: ผมชอบเด็กๆครับ เมื่อ: 2005-02-05T11:56:29+00:00 CK: ตอนนี้เด็กหลายคนกำลังฝันจะปีนให้ถึง 850 ครับ เดี๋ยวคงจะมีหลายคนตกลงมา แล้วก็จะมีผู้ใหญ่หลายคนบอกว่าเห็นไหม เตือนแล้วอย่าเล่น ROYNET เอ้ย อย่าเล่นแบบนี้ เมื่อ: 2005-02-05T11:56:37+00:00 วัวแดง: ตอนนี้เด็กหลายคนกำลังฝันจะปีนให้ถึง 850 ครับ เดี๋ยวคงจะมีหลายคนตกลงมา แล้วก็จะมีผู้ใหญ่หลายคนบอกว่าเห็นไหม เตือนแล้วอย่าเล่น ROYNET เอ้ย อย่าเล่นแบบนี้ เด็กอย่างผมก็ฝันครับ แต่ไปไกลถึง 1200 จุด หลายคนก็เตือน แต่ผมไม่เชื่อ เพราะผมไม่เล่น น้องroyคีน มันโหด :lol: เมื่อ: 2005-02-05T14:26:02+00:00 คัดท้าย: Jeng เขียน:ผมชอบเด็กๆครับ ผมก็ชอบครับ ซัก 18-20 กำลังน่ารักครับ ไม่โดนพรากผู้เยาว์ด้วย .. เมื่อ: 2005-02-05T15:03:18+00:00 Stock Broker: โอ... เพิ่งรู้รสนิยมท่านคัดท้ายแฮะ ยังไงก็พาเด็กๆ ไปเลือกตั้งพรุ่งนี้ด้วยนะครับ เมื่อ: 2005-02-05T15:11:43+00:00 Tongue: สำคัญที่ว่าเป็นผู้ใหญ่ อย่าไปทำอะไรแบบเด็กๆล่ะ เอ่อ แล้วที่เด็กๆ อย่างผม เห็นในทีวี ช่วงนี้มัน อะไรกันครับ เห็นมี คุณลุง คุณอา มาพูด ในทีวี จะให้นู่นให้นี่ ให้เรียนฟรี รักษาฟรี และอื่นๆอีกมากมาย ผมสงสัยว่ามันจะทำได้เหรอ อย่างนี้จะเรียกว่า ผู้ใหญ่ทำตัวเด็ก หรือ หลอกเด็ก ได้เปล่าครับ :lol: :lol: เมื่อ: 2005-02-06T03:12:38+00:00 Tongue: ตอนนี้เด็กหลายคนกำลังฝันจะปีนให้ถึง 850 ครับ เดี๋ยวคงจะมีหลายคนตกลงมา ตกลงมายังดีครับ ตกใจ จะได้รีบปลอบรีบสอน เจ็บตัว ก็พาไปรักษา แต่ถ้าแกค้างอยู่ข้างบนนี่ หาทางลงไม่เจอ จะโดดก็ไม่กล้านี่สิครับ โอย.. พวกพี่ๆ จะปีนไปช่วยไหมหนอ??? เมื่อ: 2005-02-06T03:19:48+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมคนยิวฉลาด/วิบูลย์ พึงประเสริฐ Thai VI Article: พูดถึงคนยิวหลายคนมองว่าเป็นคนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น ขี้โกง เอาแต่ได้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องเล่าสมัยก่อนที่กล่าวถึงชาวยิวมักพูดถึงพ่อค้าชาวยิวหน้าเลือด ในความเป็นจริงคนยิวมีอาชีพต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า อาจารย์ นักวิทยาศาตร์ ศิลปิน ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนทั่วโลกต่างคิดเหมือนกันก็คือชาวยิวแทบจะเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกและมีคนเก่งจำนวนมากที่เป็นคนยิว เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นักวิทยาศาตร์ระดับตำนานผู้คิดค้นสมการสร้างระเบิดปรมาณู สตีเฟน สปิลเบอร์กยอดผู้กำกับหนังฮอลลีวู้ดเจ้าของผลงานอย่างจอร์ส อีทีหรือจูราสิคพาร์ค ผู้ก่อตั้งกูเกิ้ลอย่างเซอร์เก้ บิงก็เป็นคนยิวที่อพยพมาจากรัสเซีย มาร์ค แซคเคอบอร์คเจ้าของเฟสบุ๊คเป็นคนยิว จอร์จ โซรอสพ่อมดทางการเงินก็เป็นยิว หรือพอล จอห์นสันผู้จัดการกองทุนเฮดฟันด์ที่ทำกำไรจากวิกฤติซัพไพร์มอย่างมหาศาลเป็นชาวยิว มีชาวยิวจำนวนมากที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านต่างๆ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือชาวยิวจะเก่งทางด้านการใช้ความคิดและไม่ถนัดในเรื่องของการใช้แรงงานมากนัก เราไม่ค่อยได้เห็นนักกีฬาเก่งๆระดับโลกที่เป็นชาวยิว นอกเหนือจากนั้นยังมีเศรษฐีที่ดินที่เป็นคนยิวจำนวนไม่มาก สาเหตุเนื่องมากจากชาวยิวในสมัยก่อนโดยเฉพาะในตะวันออกกลางและยุโรปนั้นถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศที่ตนอาศัยอยู่ นับจากโมเสส ศาดาพยากรณ์ที่นำชาวยิวหนีจากความเป็นทาสจากอียิปต์เมื่อกว่าสามพันปีที่แล้วมาตั้งถิ่นฐานบริเวณปาเลสไตน์ในปัจจุบัน หลังจากนั้นชาวยิวถูกรุกรานโดยประเทศมหาอำนาจสมัยก่อนมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรโรมันและอิสลาม หลังจากสงครามครูเสดที่อิสลามชนะคริสเตียนและเข้ายึดดินแดนตะวันออกกลางได้ทั้งหมด ชาวยิวจึงอพยพเข้ามาอาศัยในยุโรปเป็นจำนวนมาก การเป็นชนกลุ่มน้อยทำให้ชาวยิวไม่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่ดินเพราะถูกห้ามตามกฏหมาย ทำให้ชาวยิวไม่สามารถทำอาชีพเกษตรกรรมได้ในสมัยโบราณจึงถูกบังคับทางอ้อมให้ทำอาชีพที่ไม่ได้ใช้แรงงานอย่างเช่น พ่อค้า แพทย์ ทนาย นักฏหมาย นักเขียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดมากกว่าใช้แรงกาย หลังจากนั้นงานทางด้านวิทยาศาตร์เริ่มมีความก้าวหน้ามากขึ้นจะเห็นว่ามีชาวยิวได้รับรางวัลโนเบิลสาขาวิทยาศาตร์จำนวนมากเช่นเดียวกัน การถูกกีดกันจากเจ้าของประเทศทำให้ชาวยิวต้องรวมตัวกันเป็นชุมชนเพื่อความอยู่รอด หลักศาสนายิวหรือยูดายน์ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมากจนถึงกับมีบทบัญญัติไว้ว่าให้ชาวยิวทุกคนต้องได้รับการศึกษา คนที่มีการศึกษาสูงจะได้รับความนับหน้าถือตาและมีคนชื่นชมจากสังคมชาวยิวมากเสียกว่าคนที่มีเงินทองมากมายเสียอีก พ่อแม่ชาวยิวมักให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับคนที่มีการศึกษาดี ดังนั้นคนยิวถึงจะยากดีมีจนแค่ไหนจะให้การศึกษากับบุตรหลานของตนและจะมีการให้ทุนเรียนดีจากชุมชนต่างๆของชาวยิวให้กับนักเรียนที่เรียนดีแต่ไม่มีเงินมากพอที่จะเรียนต่อในขั้นสูง นอกเหนือจากนั้นในคัมภีร์ของชาวยิวจะกล่าวไว้ว่า”อย่าเชื่อถ้าไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างถ่องแท้” ความคิดเช่นนี้ทำให้ศานายิวต่างๆจากศานาอื่นๆที่เน้นให้เชื่อและศรัทธาอย่างการเชื่อในพระเจ้าหรือการเชื่อในการกลับชาติมาเกิดเป็นต้น แต่สำหรับคนยิวจะถูกสอนให้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถึงแม้จะเป็นพระหรือพ่อแม่ก็จะสอนว่าห้ามเชื่อในสิ่งที่บอกจนกว่าจะได้คิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ในการเรียนการสอนของชาวยิวจะเน้นไปที่การถามตอบจนกว่าจะเข้าใจโดยเฉพาะในโรงเรียนสอนศานายิว ซึ่งหลักการดังกล่าวใกล้เคียงกับการเรียนการสอนในหลักสูตรสมัยใหม่มากและเป็นหลักของวิทยาศาตร์ในปัจจุบัน อย่างเรื่องอดัมกับอีฟที่แอบกินแอ๊ปเปิ้ลในสวนอีเดนจนถูกพระเจ้าขับไล่ออกมา นักศึกษายิวจะตั้งคำถามว่าอดัมกับอีฟกินแอปเปิ้ลจริงๆหรือไม่ ซึ่งถ้าดูเผินๆอาจจะจริงแต่ชาวยิวจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีต้นแอปเปิ้ลในดินแดนปาเลสไตน์ และน่าจะเป็นผลมะเดื่อมากกว่าเพราะหลังจากกินผลไม้แล้วอดัมกับอีฟนำใบมะเดื่อมาปกปิดร่างกายเป็นต้น ดังนั้นนักลงทุนในตลาดหุ้นที่อยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนอาจเรียนรู้ได้จากหลักการของชาวยิวนั่นคือศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่และอย่าเชื่ออะไรง่ายๆถ้าไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ แล้วเราจะไม่ซื้อหุ้นตามคนอื่นได้ง่ายๆเพียงเพราะคนอื่นๆบอกมา นอกเหนือจากนั้นการศึกษาหุ้นที่จะลงทุนอย่างถ่องแท้จะช่วยให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน[/size] เมื่อ: 2014-07-29T06:57:05+00:00 ลูกหิน: ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2014-07-29T07:18:21+00:00 worrapong.n: ”อย่าเชื่อถ้าไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างถ่องแท้” ท่อนนี้โดนใจมากครับ ขอบคุณครับผม เมื่อ: 2014-07-29T07:27:40+00:00 IndyVI: ”อย่าเชื่อถ้าไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างถ่องแท้” ของยิว ตรงกับ หลักกาลามสูตร ของพุทธ เมื่อ: 2014-07-29T09:53:20+00:00 sombat_21: Thai VI Article เขียน:พูดถึงคนยิวหลายคนมองว่าเป็นคนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น ขี้โกง เอาแต่ได้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องเล่าสมัยก่อนที่กล่าวถึงชาวยิวมักพูดถึงพ่อค้าชาวยิวหน้าเลือด ในความเป็นจริงคนยิวมีอาชีพต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า อาจารย์ นักวิทยาศาตร์ ศิลปิน ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนทั่วโลกต่างคิดเหมือนกันก็คือชาวยิวแทบจะเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกและมีคนเก่งจำนวนมากที่เป็นคนยิว เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นักวิทยาศาตร์ระดับตำนานผู้คิดค้นสมการสร้างระเบิดปรมาณู สตีเฟน สปิลเบอร์กยอดผู้กำกับหนังฮอลลีวู้ดเจ้าของผลงานอย่างจอร์ส อีทีหรือจูราสิคพาร์ค ผู้ก่อตั้งกูเกิ้ลอย่างเซอร์เก้ บิงก็เป็นคนยิวที่อพยพมาจากรัสเซีย มาร์ค แซคเคอบอร์คเจ้าของเฟสบุ๊คเป็นคนยิว จอร์จ โซรอสพ่อมดทางการเงินก็เป็นยิว หรือพอล จอห์นสันผู้จัดการกองทุนเฮดฟันด์ที่ทำกำไรจากวิกฤติซัพไพร์มอย่างมหาศาลเป็นชาวยิว มีชาวยิวจำนวนมากที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านต่างๆ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือชาวยิวจะเก่งทางด้านการใช้ความคิดและไม่ถนัดในเรื่องของการใช้แรงงานมากนัก เราไม่ค่อยได้เห็นนักกีฬาเก่งๆระดับโลกที่เป็นชาวยิว นอกเหนือจากนั้นยังมีเศรษฐีที่ดินที่เป็นคนยิวจำนวนไม่มาก สาเหตุเนื่องมากจากชาวยิวในสมัยก่อนโดยเฉพาะในตะวันออกกลางและยุโรปนั้นถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศที่ตนอาศัยอยู่ นับจากโมเสส ศาดาพยากรณ์ที่นำชาวยิวหนีจากความเป็นทาสจากอียิปต์เมื่อกว่าสามพันปีที่แล้วมาตั้งถิ่นฐานบริเวณปาเลสไตน์ในปัจจุบัน หลังจากนั้นชาวยิวถูกรุกรานโดยประเทศมหาอำนาจสมัยก่อนมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรโรมันและอิสลาม หลังจากสงครามครูเสดที่อิสลามชนะคริสเตียนและเข้ายึดดินแดนตะวันออกกลางได้ทั้งหมด ชาวยิวจึงอพยพเข้ามาอาศัยในยุโรปเป็นจำนวนมาก การเป็นชนกลุ่มน้อยทำให้ชาวยิวไม่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่ดินเพราะถูกห้ามตามกฏหมาย ทำให้ชาวยิวไม่สามารถทำอาชีพเกษตรกรรมได้ในสมัยโบราณจึงถูกบังคับทางอ้อมให้ทำอาชีพที่ไม่ได้ใช้แรงงานอย่างเช่น พ่อค้า แพทย์ ทนาย นักฏหมาย นักเขียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดมากกว่าใช้แรงกาย หลังจากนั้นงานทางด้านวิทยาศาตร์เริ่มมีความก้าวหน้ามากขึ้นจะเห็นว่ามีชาวยิวได้รับรางวัลโนเบิลสาขาวิทยาศาตร์จำนวนมากเช่นเดียวกัน การถูกกีดกันจากเจ้าของประเทศทำให้ชาวยิวต้องรวมตัวกันเป็นชุมชนเพื่อความอยู่รอด หลักศาสนายิวหรือยูดายน์ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมากจนถึงกับมีบทบัญญัติไว้ว่าให้ชาวยิวทุกคนต้องได้รับการศึกษา คนที่มีการศึกษาสูงจะได้รับความนับหน้าถือตาและมีคนชื่นชมจากสังคมชาวยิวมากเสียกว่าคนที่มีเงินทองมากมายเสียอีก พ่อแม่ชาวยิวมักให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับคนที่มีการศึกษาดี ดังนั้นคนยิวถึงจะยากดีมีจนแค่ไหนจะให้การศึกษากับบุตรหลานของตนและจะมีการให้ทุนเรียนดีจากชุมชนต่างๆของชาวยิวให้กับนักเรียนที่เรียนดีแต่ไม่มีเงินมากพอที่จะเรียนต่อในขั้นสูง นอกเหนือจากนั้นในคัมภีร์ของชาวยิวจะกล่าวไว้ว่า”อย่าเชื่อถ้าไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างถ่องแท้” ความคิดเช่นนี้ทำให้ศานายิวต่างๆจากศานาอื่นๆที่เน้นให้เชื่อและศรัทธาอย่างการเชื่อในพระเจ้าหรือการเชื่อในการกลับชาติมาเกิดเป็นต้น แต่สำหรับคนยิวจะถูกสอนให้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถึงแม้จะเป็นพระหรือพ่อแม่ก็จะสอนว่าห้ามเชื่อในสิ่งที่บอกจนกว่าจะได้คิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ในการเรียนการสอนของชาวยิวจะเน้นไปที่การถามตอบจนกว่าจะเข้าใจโดยเฉพาะในโรงเรียนสอนศานายิว ซึ่งหลักการดังกล่าวใกล้เคียงกับการเรียนการสอนในหลักสูตรสมัยใหม่มากและเป็นหลักของวิทยาศาตร์ในปัจจุบัน อย่างเรื่องอดัมกับอีฟที่แอบกินแอ๊ปเปิ้ลในสวนอีเดนจนถูกพระเจ้าขับไล่ออกมา นักศึกษายิวจะตั้งคำถามว่าอดัมกับอีฟกินแอปเปิ้ลจริงๆหรือไม่ ซึ่งถ้าดูเผินๆอาจจะจริงแต่ชาวยิวจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีต้นแอปเปิ้ลในดินแดนปาเลสไตน์ และน่าจะเป็นผลมะเดื่อมากกว่าเพราะหลังจากกินผลไม้แล้วอดัมกับอีฟนำใบมะเดื่อมาปกปิดร่างกายเป็นต้น ดังนั้นนักลงทุนในตลาดหุ้นที่อยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนอาจเรียนรู้ได้จากหลักการของชาวยิวนั่นคือศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่และอย่าเชื่ออะไรง่ายๆถ้าไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ แล้วเราจะไม่ซื้อหุ้นตามคนอื่นได้ง่ายๆเพียงเพราะคนอื่นๆบอกมา นอกเหนือจากนั้นการศึกษาหุ้นที่จะลงทุนอย่างถ่องแท้จะช่วยให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน[/size] เมื่อ: 2014-07-29T10:21:52+00:00 newbie_12: หลักศรัทธาความเชื่อของศาสนายิว-ยูดาย (Judaism) 1. พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์ 2. กฎหมายของเจ้า คือ กฎหมายสูงสุดที่แท้จริงแสดงให้ปรากฎในพระคัมภีร์และทัสมุดทุกประการ ว่าด้วยการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และชีวิตประจำวัน ไม่มีใครจะปฏิเสธกฎหมายสูงสุดนี้ได้ 3. พระเจ้าทรงเลือกสรรชนชาติอิสราเอลให้เป็นผู้แทนพระองค์ เพื่อจะนำมนุษยชาติไปหาพระองค์ ชาวอิสราเอลทุกคนจึงมีหน้าที่เป็นพระ ต้องดำรงชีวิตให้อยู่ในความชอบธรรมและบริสุทธิ์ทุกประการ 4. เอกภาพทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นพระประสงค์ และนโยบายของพระเจ้าในการลงโทษและให้รางวัลแก่มนุษย์ว่าแต่ละครั้งพัฒนาไปสู่สภาวะที่ดีขึ้น เพื่อไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า 5. ศาสดาพยากรณ์ เป็นผู้แทนที่แท้จริงของเทพเจ้า คำทำนายของศาสดาพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นการแสดงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ตักเตือนสั่งสอนมนุษย์ให้รู้สึกผิดและให้โอกาสกลับตัวใหม่ 6.เมื่อมนุษย์ตาย พระเจ้าจะตัดสินพิพากษาด้วยความยุติธรรม จะลงโทษคนบาป ประทานพรแก่คนดี ชำระบาปให้บริสุทธิ์ในโลกใหม่ 7. พระเจ้าจะเสด็จมาพิพากษาโลกในวันสิ้นโลก จะทำลายล้างคนชั่วให้หมดไป แล้วตั้งอาณาจักรอันบริสุทธิ์ในโลกใหม่ 8. พระเมสสิอาห์ (Massiah) คือพระบุตรของพระเจ้า บางที่เรียกบุตรของมนุษย์จะเสด็จมาปราบศัตรูของพระเจ้า และช่วยผู่ที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ให้พ้นจากทุกข์ทรมาน จะทรงปกครองโลกด้วยสันติภาพและความรัก ฉะนั้นให้มนุษย์เตรียมตัวไว้รับพระองค์ ด้วยการดำรงชีวิตให้บริสุทธิ์ 9. การถือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ซึ่งระบุไว้บนพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยควบคุมชีวิตมนุษย์ให้อยู่ในความบริสุทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า 10. ชาวยิวต้องดำรงชีวิตในความบริสุทธิ์ ตามหลักปฏิบัติว่าด้วยสิทธิ 6 ประการ คือ 1. สิทธิในการครอบครองชีวิต 2. สิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สิน 3. สิทธิเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ 4. สิทธิเกี่ยวกับการแต่งกาย 5. สิทธิเกี่ยวกับการตั้งบ้านที่อยู่อาศัย 6. สิทธิแห่งบุคคลซึ่งรวมถึงสิทธิในการพักผ่อนและเสรีภาพส่วนบุคคล เนื่องจากคติความเชื่อถือ "ความหวังผู้มาโปรด" ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนศาสนาไซโรอัสเตอร์ ทำให้ชาวยิวมั่นใจในคติปรโลกเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่มาพัวพันอยู่กับเรื่องของมนุษย์และเรื่องของชีวิตที่ตายแล้วจะร้องกลับฟื้นคืนชีพมาเกิดใหม่ในภพใหม่อีก และบาปอันบุคคลหนึ่งทำแล้วย่อมต้องมีผลต่อสังคม ต้องรับผลร่วมกัน เรียกว่าบาปกำเนิด ดังนั้นศาสดาพยากรณ์จึงมีความสำคัญมาก ที่จะเป็นผู้คอยกำหนดชะตากรรมของสังคม ต้องมีผู้ไถ่บาป "Massiah" การทำบาปเป็นสิ่งที่ชำระได้ด้วยการออกนามพระเจ้าด้วยวิธีอ้อนวอนขอให้ทรงช่วย ความสุขจะเกิดขึ้นได้แก่การสารภาพบาป เพราะยิวเชื่อว่าผู้ปฎิเสธความผิด ผู้นั้นจะได้รับโทษหรือความผิดถึง 2 เท่า ดังนั้น ยิวจึงถือหลักปฎิบัติที่ว่า กลัวพระเจ้า รักษาบัญญัติของพระองค์เป็นหน้าที่ของมนุษย์ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงนำคำพิพากษามาให้แก่มนุษย์ในส่วนดี และส่วนที่ชั่วคือทั้งสุขทั้งทุกข์ ชีวิตนี้มีเพียงครั้งเดียว ความจงรักภักดีและบูชาในพระยะโฮวา และการปฎิบัติตามเทวโองการผ่านโมเสส จุดหมายคือการได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์ เมื่อ: 2014-07-29T10:24:43+00:00 newbie_12: ผมว่าหลักๆเค้าก็สอนให้เชื่อพระเจ้านะครับ เมื่อ: 2014-07-29T10:25:04+00:00 Tibular: INT-INV เขียน:”อย่าเชื่อถ้าไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างถ่องแท้” ของยิว ตรงกับ หลักกาลามสูตร ของพุทธ เอ่อ อันนี้ขอให้ข้อมูลนะครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า ไม่ให้ไม่เชื่อท่าน นะครับ เพราะถ้าไม่เชื่อท่าน กาลามสูตร ก็คงเชื่อไม่ได้เช่นกัน ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อเพราะ ความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา แต่ในพระสูตรต่างๆทั้งหมด ท่านบอกว่าให้ฟังท่าน เพราะท่านเป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ที่เลิศที่สุดน่ะครับ "...คำของตถาคต เป็นข้อความที่ควรเชื่อ ควรฟัง เพื่อประโยชน์สุขแก่เขาตลอดกาลนาน..." ถ้าไปอ่านในพระสูตรให้จบจะทราบครับ http://www.navy.mi.th/newwww/code/speci ... 200366.htm เมื่อ: 2014-08-02T05:32:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นกลุ่มพลังงานนี่สามารถลงทุนระยะยาวแบบVIได้ไหมครับ BoatAttasit: หุ้นกลุ่มพลังงานนี่สามารถลงทุนระยะยาวแบบVIได้ไหมครับ คือผมที่ผมเข้าใจแบบงูๆปลาๆว่ามันเป็นหุ้นวัฏจักร แต่เห็นบางธุรกิจ กำไรในระยะยาวก็เพิ่มขึ้นตลอดเลย เมื่อ: 2013-04-04T18:00:47+00:00 blueplanet: ได้ครับ ไม่รู้ จขกท เคยอ่าน เหนือกว่าวอลสตรีท (one up on wall street)หรือยัง แต่สิ่งที่ถามดูเหมือนยังไม่ได้อ่าน ถ้ามมนุษย์ สามารถควบคุมและใช้ประโยชน์ จาก Nuclear Fusion ได้ หุ้นพลังงานทุกตัวต้องขายทิ้งทันที ซึ่งผมมั่นใจ ว่า ภายใน 50ปีนี้ มนุษย์จะทำได้ เมื่อ: 2013-04-04T21:59:15+00:00 blueplanet: ผมว่าอนาคตหุ้นน้ำมันไม่ค่อยดี (เจ้าของบ่อน้ำมัน และโรงกลั่น) เพราะ ถ้ารถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากกว่านี้ (แบตเตอรี่เก็บไฟได้มากขึ้นราคาถูกลง) 1.รถยนต์ไฟฟ้า 2.Nuclear Fusion สองสิ่งนี้ จะทำให้โลกน่าอยู่มาก เมื่อ: 2013-04-04T22:16:26+00:00 Power Investor: หุ้นโรงไฟฟ้าลงทุนถือยาวได้แน่นอนครับ ตอนนี้ก็มี Ratch, Egco, Glow อีก1-2สองปี ก็จะมีของบริษัทของกลุ่มปตท. กับGulfเพิ่มเข้ามาอีก แต่ไม่เชียร์พวกหุ้นพลังงานทางเลือกนะ พวกนั้นหุ้นปั่นล้วนๆ ปั่นมากปั่นน้อยแต่ปั่นเหมือนกันหมด เมื่อ: 2013-04-05T02:12:03+00:00 BoatAttasit: ขอบคุณพี่ๆมากครับ one up on wall street ผมกำลังอ่านอยู่เลยครับ แต่ยังอ่านไม่จบ ผมว่าผมอ่านแล้วงงๆ อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวใช้ภาษาที่ยากในการเขียนรึเปล่าครับ เมื่อ: 2013-04-05T06:22:25+00:00 KittipongS: ความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่ายังน่าลงทุนอยู่ครับ แต่สิ่งที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมและทำความเข้าใจให้มากขึ้น คือ 1. วัฏจักรของพลังงานตัวนั้น เช่น พลังงานถ่านหินมีวัฏจักรกี่ปี น้ำมันและก๊าชธรรมชาติมีวัฏจักรกี่ปี เป็นต้น 2. พลังงานอื่นที่สามารถทดแทนพลังงานตัวนั้นมีไหม และถ้ามีในอนาคตอันใกล้และระยะใกล้นี้กี่ปี 3. ยังมีความต้องการพลังงานนั้นอยู่หรือไม่ในโลกนี้ 4. มีการพัฒนาเทคนิคหรือขั้นตอนการผลิตเพื่อลดตุ้นทุนของพลังงานนั้นหรือไม่ เมื่อ: 2013-04-05T09:17:10+00:00 naphas12: หุ้นวัฏจักรเล่นยาก คาดเดากำไรไม่ได้ ห่าง ๆ ไว้จะดีกว่า เมื่อ: 2013-04-05T13:20:14+00:00 Paul VI: ตอบเจ้าของกระทู้เพื่อทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าการลงทุนหุ้นแบบ VI คือการลงทุนเมื่อหุ้นนั้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่า โดยมี MOS ที่แล้วแต่คนที่ต้องการจะซื้อว่าต้องการซื้อต่ำกว่ามูลค่าครับ ส่วนระยะเวลาที่จะถือสั้นหรือยาวถือว่าไม่เกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI นะครับ เมื่อ: 2013-04-05T15:08:13+00:00 meadow: คงต้องลอง ตอบตัวเองว่า ราคาวันนี้ ระหว่างหุ้นพลังงานแบบเก่า PE เท่าที่เห็น กับพลังงานแบบไหม่ PE30 จะเลือกซื้อแบบไหนที่มี MOS เมื่อ: 2013-04-05T20:17:43+00:00 KittipongS: [quote="naphas12"]หุ้นวัฏจักรเล่นยาก คาดเดากำไรไม่ได้ ห่าง ๆ ไว้จะดีกว่า[/quot เห็นด้วยครับ ถ้ายังไม่มีความรู้มากพอและความเข้าใจมากพอเกี่ยวธุรกิจพลังงาน หรือไม่ได้ทำงานที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้แล้ว ขอให้ใช้เวลาศึกษาไปก่อนดีกว่าครับ เมื่อ: 2013-04-06T07:28:46+00:00 kimkrub1: Paul VI เขียน:ตอบเจ้าของกระทู้เพื่อทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าการลงทุนหุ้นแบบ VI คือการลงทุนเมื่อหุ้นนั้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่า โดยมี MOS ที่แล้วแต่คนที่ต้องการจะซื้อว่าต้องการซื้อต่ำกว่ามูลค่าครับ ส่วนระยะเวลาที่จะถือสั้นหรือยาวถือว่าไม่เกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI นะครับ โทษทีคับจะกดบวกเผลอกดลบ เมื่อ: 2013-04-10T16:30:57+00:00 maymekung: หุ้นพลังงานบางตัวกำไรจากการขายน้ำมันน้อยมากครับ มัวแต่ทำเพื่อประเทศชาติ ถ้าวันไหนประเทศชาติยอมให้เค้าทำตามใจตัวเองบ้าง ก็น่าจะดีไม่น้อยครับ เมื่อ: 2013-04-11T12:59:47+00:00 Paul VI: kim_krub เขียน:Paul VI เขียน:ตอบเจ้าของกระทู้เพื่อทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าการลงทุนหุ้นแบบ VI คือการลงทุนเมื่อหุ้นนั้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่า โดยมี MOS ที่แล้วแต่คนที่ต้องการจะซื้อว่าต้องการซื้อต่ำกว่ามูลค่าครับ ส่วนระยะเวลาที่จะถือสั้นหรือยาวถือว่าไม่เกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI นะครับ โทษทีคับจะกดบวกเผลอกดลบ ไม่เป็นไรครับ ผมก็เผลอบ่อย เมื่อ: 2013-04-11T14:33:02+00:00 naphas12: หุ้นกลุ่ม PTT ควรห่าง ๆ ไว้ เขาไม่มีนโยบายสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้น เมื่อ: 2013-04-11T23:09:22+00:00 Tibular: เอ กลุ่มพลังงานก็มีหลายแบบนะคับ ถ้าบ้านเราถ้ามีบริษัทท่อก๊าซก็น่าลงทุน เหมือนอย่าง BAFS รายได้คาดการณ์ได้ ถ้าซื้อได้ราคาเหมาะสม ก็สบายเลย กินปันผลไป ดูแนวโน้มอุตสาหกรรมไป พลังงานก็มีต้นน้ำ ปลายน้ำ เทรดดิ้ง ต้นน้ำถ้ามีสัญญารับซื้อแน่นอน ก็ประกันเรื่องรายได้ มาจิ้นกำไรได้ ความเสี่ยงก็มีแค่ขุดหาเจอป่าว การบริหารงานมีประสิทธิภาพแค่ไหน ควบคุมต้นทุนได้ดี ประเมินความเสี่ยง กระจายความเสี่ยง พวกเทรดดิ้ง ก็ต้องไปจัดหาวัตถุดิบจากที่ต่างๆ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน หรือก๊าซ การเก็บสต๊อก การทำประกันความเสี่ยง หาลูกค้า พวกปลายน้ำก็เอามาขายปลีกในปั้ม ต่อยอดไปเป็นปิโตรเคมีต่างๆ พวกนี้ก็ต้องมีขนาดใหญ่หน่อยถึงจะคุ้มเกิดอีโคโนมี่ออฟสเกล VI ก็คงลงทุนได้หมด แต่ต้องเข้าไปดูก่อนว่าตอนนี้อุตสหกรรมเป็นยังไง บัฟเฟตเองก็มีลงทุนกับค่าเงิน แร่ธาตุเงิน น้ำมันก็เคย บริษัทสำรวจก็มี ส่วนจะลงทุนยาวแค่ไหนก็ขึ้นกับหลายๆอย่าง ถ้าแค่ซื้อแล้วถือยาว โดยที่ไม่ดูอะไรประกอบ ก็ประมาทเกินไป การซื้อแล้วถือยาว (ต้องมีความรู้ความเข้าใจควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่ซื้อแล้วถือยาวจะดีไปหมด) ส่วน PTT เค้าก็สร้างความมั่งคั่งให้นะคับ ถ้าดูกราฟ ก็จะเห็นความเติบโต (ส่วนของราคาหุ้น) หรือในแง่ของเงินปันผลเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราไปร่วมทุนกับเค้าช่วงไหน ถ้าผู้ถือหุ้นวงนอก คือซื้อหุ้นเอา ก็ต้องมีหลักการซื้อคับถึงจะประสบความสำเร็จ ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นยังไงเสียก็มาจากความแข็งแกร่ง+ประสิทธิภาพ+การเติบโตของกิจการคับ เมื่อ: 2013-04-12T03:22:42+00:00 panwasit: หุ้นทุกกลุ่ม ผมเชื่อว่าจะลงทุนระยะยาวได้ถ้า คุณสามารถหาได้ว่า รายได้มาจากไหน แล้วจะเพิ่มรายได้ต่อไปได้ยังไง แล้วสุดท้าย กำไรทุกปีจะเพิ่มขึ้นได้อีกกี่ปีครับ เมื่อ: 2013-04-12T05:22:21+00:00 paoz: หุ้นกลุ่มวัฏจักรน่าจะเล่นเป็นรอบของมันมากกว่าน่ะครับ ลงทุนระยะยาวบางทีผลตอบแทนอาจจะไม่ได้ดีมากเท่ากับหุ้นเติบโตน่ะครับ เมื่อ: 2013-04-15T06:40:45+00:00 luckyman: div of ptt grows every year na krub(except subprime crisis, div decreases a little bit). Try to see historical div. เมื่อ: 2013-04-18T04:01:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
งานสังสรรค์VIประจำปี 2561 Emotional Intelligence กับการลงทุน amornkowa: งานสังสรรค์VIประจำปี 2561 ครั้งที่1 หัวข้อ “Emotional Intelligence กับการลงทุน กลยุทธ์บริหารจิตใจในภาวะตลาดผันผวน ทำพอร์ตยังไงให้สุขแบบยั่งยืน” วิทยากร 1.คุณ ชาย มโนภาส นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า 2.คุณ ชิณณ์ กิตติภานุวัฒน์ นักลงทุนวีไอ คูณชิณณ์เล่าประวัติการลงทุนที่ผ่านมา ดูSteve Job บอกว่าตัวเองถูกสร้างมาไม่ดี ซึ่งคุณชินเห็นด้วย เพราะตอนป.4-ป.6 โรงเรียนลงโทษด้วยการตี เราไปสายเพราะรถติด เข้าห้องเรียนก็ไม่มีการบ้านส่งก็โดนตีต่อ ไม้บรรทัดก็ถูกเพื่อนหักหมด ก็เลยเอานิ้วมาตีเส้น ก็โดนลงโทษอีก พอมาที่บ้านก็มีปัญหา ครอบครัวล้มละลายสามครั้ง คุณพ่อก็ออกมาขายเครื่องสำอางในระบบMLM ดังนั้นมารับเราตีหนึ่งตีสอง เราไม่อยากอยู่ แต่เกิดปิ้งไอเดียว่าปัญหามาจากเราจน ดังนั้นป. 6 มีความฝันว่าเราต้องรวย ตอนม.1 ไปเข้าโรงเรียนใหม่ไม่มีการลงโทษ ทำให้เรามีโอกาสเข้าไปยืนอ่านหนังสือฟรีที่ร้านหนังสือ ส่วนใหญ่จะที่The mall รามคำแหง และได้อ่านหนังสือที่แถมมากับประชาชาติ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนรู้ต่างๆ รวมถึงดอกเบี้ยทบต้น และความรู้เหล่านี้จะมาช่วยเราในภายหลัง ผมเคยทำงานแจกใบปลิวเพื่อชวนคนมาทำหน้าในช่วงม.ต้น พอม.ปลาย ก็เปิดร้านเสริมสวยเอง แจกใบปลิว เดือนเดียวก็คืนทุน ชอบเล่นเกม ซึ่งเกมต้องมีการวางแผน ติด Dragon Quest ไปตีmonster เพื่อได้เงิน ทำให้เราเริ่มวางแผนเป็น ม.5-ม.6 ต้องสอบentrance ก็เลยมุ่งอ่านหนังสือ พอเข้า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ ก็หาทางทำให้รวยได้ เจอพี่เปิ้ลมาชวนไปแข่ง ตลาดหุ้นจำลอง วันแรก ไม่เข้าใจเกม ก็ไม่ได้รางวัล แต่พอวันที่สอง เริ่มเข้าใจเรื่องเกม ปกติคนเล่นเป็นกลุ่ม สรุป วางแผนซื้อหุ้น5ตัว ตั้งขายที่ 26% และไปเล่นบอล มารู้อีกวันว่าชนะ ขายได้หมดทุกตัว เราเหมือนพบทางว่าเป็นอาชีพเราได้ เราไม่ชอบยุ่งกับใคร เวลามีเงินไปโรงเรียน ไม่ชอบวุ่นวายเรื่องการบริหารเงินเอาไปบริจาคหมด อยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน พอเจอตลาดหุ้น ไม่ต้องเข้าไปบริหารเงิน อยู่กับตัวเอง หนังสือเล่มแรกที่ศึกษา คือ ตีแตก ของ ดร.นิเวศน์เป็นผู้เขียน เวลามั่นใจก็ซื้อเต็มที่ อ. ชาย พูดถึงเรื่องลงทุนกับจิตใจ คุณชายถามกลับว่า ลงทุนต้องใช้อะไร นักลงทุนต้องมีความคิด ความคิดออกมาจากไหน เวลาสั่งซื้อ ขาย ออกมาจากสมองไหม ถามลึกซึ้งอีกว่า สิ่งมีชีวิตต่างกับสิ่งไม่มีชีวิตอย่างไร อนุภาคที่เล็กที่สุดของโต๊ะ คือ อะตอม เซลล์ มีนิวเคลียส มีโปรตีน ข้างในมีอะไรต่อ โต๊ะไม่มีความคิด คนมีความคิด ธรรมแบ่งสองอย่าง สังขารที่มีใจครอง และ สังขารที่ไม่มีใจครอง ความคิดออกมาจากจิตใจของเรา นักลงทุนใช้ความคิดที่ออกมาจากจิตใจ ดังนั้นจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญในการลงทุน คุณชิณญ์บอกว่า ท่านต้องเชื่อ ก็คือออกมาจากใจ เรื่องการลงทุน เกี่ยวข้องกับจิตใจ Rays Radio บอกว่า นั่งสมาธิทุกวัน กลับมาที่คุณชิณญ์ หลังจากเรียนรู้ตลาดหุ้นจำลอง ตลาดจริงเป็นอย่างไร ผมเก็บเงินวันละสองร้อยบาท เอาเป็นเล่นแชร์เพื่อให้ได้สี่หมื่นบาทเพื่อเปิดพอร์ต ปรากฏว่า โดนคนที่รับเงินแชร์โกงไป คุณแม่ก็ออกเงินให้ 40,000 บาท พอได้เงินจากแม่ก็ไปซื้อหุ้น Cxx หมด ในวันศุกร์ ปรากฏว่าช่วง ส-อา เจอวิกฤตการณ์ 911 Cxx มีofficeอยู่ในตึกที่ถล่มด้วย โชคดีตอนนั้นเงินน้อยแก้portให้กลับมาได้ มีรุ่นพี่เห็นเราชอบเล่นหุ้น มาบอกข่าวinsider เห็นงบแล้วดีเชียร์ซื้อWarrant : Kxx-W เลยไปชวนคุณพ่อมาลงทุนด้วย พ่อก็ไม่เชื่อเรามาก แต่คิดว่าถ้าหมดตัวตอนที่คุณพ่ออยู่ คุณพ่อช่วยได้ เลยเอาเงินทั้งบ้าน 500,000 บาทไปลงทุน ตอนนั้นน่ายังไม่มีสมาคมไทยวีไอ ซื้อราคา 0.5 บาท ได้หุ้นมาหนึ่งล้านหุ้น แต่มีความรู้ทางเทคนิค พอราคา 0.4 บาทก็เคาะขาย พี่เขาเชียร์ซื้อต่อเลยซื้อกลับในราคา 0.42บาท ปรากฏว่าต้องcut lossที่ราคา 0.2 บาท พอร์ตลดลงเหลือสองแสนบาท การทำเงินสองแสนบาทกลับไปที่ห้าแสนยังเป็นไปได้ หลังจากนั้น ตื่นหกโมงเช้า นอนเที่ยงคืน ศึกษาเรื่องหุ้นเป็นหลัก แต่ไม่ได้เรียนเลย พอศึกษามาก พอได้เงินคืนหมด เลยรีบนำเงินไปคืนคุณพ่อ หลังเรียนจบไปยื่นสมัคร marketing ที่ บลแห่งหนึ่ง แต่ไม่มีประสบการณ์ เลยไม่ได้งาน ช่วงที่ไปแนะนำคนที่เล่นหุ้นจากความรู้ที่ไปศึกษา ลูกค้าบอกว่า คุณบริการดีมากกว่าmarketingที่ทำงานมา20ปีซะอีก ตอนหลังไปยื่นที่บล ที่แบรนด์สีส้ม บอกว่ามีลูกค้ามูลค่าพอร์ตสองล้าน ซึ่งตัวเองมองว่าเยอะมาก บอกบริษัทว่า ไม่เอาเงินเดือนก็ได้เพราะอยากใช้Facilityของบริษัท ปรากฏว่าผมได้เงินเดือน 10,000 บาท ผมแนะนำหุ้น โดยดูที่พื้นฐาน เช่นหุ้นโดนไข้หวัดนก ก็แนะนำพื้นฐานดีให้ถือต่อ มีแฟนเป็นนักวิเคราะห์ เจอบทความของ คุณ Invisible hand ใส่ไปแปดหมื่นต่อเดือน สุดท้ายยืมคุณแม่ พอร์ตจากสามแสนไปหนึ่งล้าน สุดท้ายได้กำไร เลยคืนคุณแม่ไปสามแสนบาทจากที่ยืมมาสองแสนบาท เงินเดือน 15,000 บาท แต่ใช้แค่9,000 บาท ( อันนี้เป็นเคล็ดลับที่จับได้อย่างนึงของผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน ช่วงแรกที่ไม่มีเงิน ต้องพยายามใช้จ่ายให้น้อย และเก็บเงินให้มากเพื่อนำไปลงทุน ให้ผลตอบแทนกลับคืนมามาก โดยมีMOSที่สูง ) ตั้งเป้าหมายที่ไม่ยาก แต่ตั้งเป้าไว้สูง ระหว่างทางที่ไป เราเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนถามผมว่า ดักดานกับJxxมาห้าปี เลยบอกเขาว่า รวยแล้วแต่เพื่อนมองไม่ออก จริงๆอยากซื้อเพิ่มด้วย ส่วนตัวนอนห้องพระตลอด ทำให้คุ้นเคยกับการสวดมนต์ นั่งสมาธิ การถือศีล เป็นจุดเปลี่ยน ถือศีลปรมัตถ์ ข้อที่ง่ายสุดในความคิด คือ สุรา เพราะเรากินเหล้าไม่อร่อย ทำให้เกิดจุดต่าง เพื่อนที่พอร์ตหนึ่งล้านเท่ากัน แต่เขาชอบกินเหล้า ค่าใช้จ่ายตก ห้าหมื่นบาทต่อเดือน เจอผู้หญิงที่ไม่ดี ทำให้โอกาสในการสำเร็จยาก เพราะต้องหาเงินห้าหมื่นทุกเดือน แต่ผมมีเงินเก็บทุกเดือน การถือศีลช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จเลยรับศีลมาครบห้าข้อ ทำให้ไม่ทุกข์ใจ ทำงานอย่างมีสติ ไม่มีศัตรูที่ทำร้ายเรา ไม่มีการโกหก ศีลรักษาเรา ให้เราอยู่ในสังคมโดยไม่มีใครตำหนิเรา คำถามจากพิธีกร : กลับมาที่คุณ ชาย อยากให้เล่าช่วงวัยเด็ก คุณชายตอบว่า เหตุผลที่สนใจการลงทุนเพราะคุณพ่อเล่นหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ ได้หุ้นก่อนเข้าตลาด พอเข้าแล้วราคาเพิ่มมีเงินปันผลสนใจเป็นพิเศษ คุณย่าให้หุ้น รพ แห่งหนึ่ง(ที่ตอนนี้โดนรพ ขนาดใหญ่takeไปแล้ว) ได้รับเงินปันผลทุกปี พอเข้าตลาดพาร์ 10 บาท ราคาขึ้นไป 130 บาท ส่วนการปฏิบัติธรรม คุณแม่ปลูกฝังเรื่องพุทธศาสนาตลอด เวลาถูกเพื่อนแกล้ง คุณแม่ปลอบว่าเราต้องทำตัวเป็นหิน แต่ผมแย้งว่าไม่ใช่พระ คุณชายเคยกินเหล้า เที่ยวผับตั้งแต่ ม 4-ม 5 สิ่งสำคัญ แม้ว่าเพลิดเพลินกับพวกนี้ แต่ก็มีสติ คิดว่าสิ่งที่ทำดีหรือไม่ กินเหล้าถึงเช้า ตื่นขึ้นมาไม่สดใส เลยเลิกไป อยู่มาวันนึง ไปกราบหลวงพ่อที่วัดปทุม ว่าอยากปฏิบัติธรรม หลวงพ่อ บอกว่าตื่นมานั่งสมาธิ ก่อนนอนก็นั่งสมาธิ เมื่อลองปฏิบัติดู ทั้งหมดคือการปฏิบัติ ทำแต่ละช่วงแค่5นาที เห็นศัตรูในจิตใจ จะมาบอกว่าอย่าทำปฏิบัติธรรม มีข้ออ้างสารพัด การปฏิธรรม คือ การเอาชนะความรู้สึก พอเราทำทุกวัน นี่คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม เห็นการพัฒนาของจิต เห็นการชนะของจิต มีความศรัธธา ท่านลองทำดู อย่าพึ่งเชื่อง่าย ไม่จำกัดเฉพาะศาสนาพุทธอย่างเดียว เราต้องพัฒนาจิต ทำอย่างไร ซึ่งก็คือเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา คุณชิณญ์ พูดถึงการปฏิบัติธรรม อยากรู้ก็เลยลองปฏิบัติดู แต่ช่วงแรกยังไม่เข้าใจคำสอน อยากได้ตาทิตย์ หูทิตย์ ช่วยในการลงทุน แต่เรื่องการปล่อยวาง จากครอบครัว คุณปู่หิ้วเงินจากประเทศจีนนั่งเรือมาเผาในประเทศไทย เพราะใช้เงินที่เมืองไทยไม่ได้ แต่ด้วยความเป็นหมอ มีคนเอาLotteryมาขาย ปรากฏว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง เลยเปิดตึกรักษาฟรี แต่โดนหลอกเงิน แต่ก็ไม่เสียใจ เพราะเราไม่ได้ทำความผิด เราไม่เสียใจ คนที่โกงนะสิ ควรเสียใจ เปรียบเทียบกับตลาดหุ้น มีหุ้นแปลก ก็ไม่สนใจ มีคนเล่นหุ้น เอาพระสมเด็จมูลค่า 30ลบมาแลกรถกระบะ น้องชายลุกหนี บอกว่า เรารู้เรื่องพระเหรอ แต่มีคนเอา สุดท้ายก็โดนโกง การถือศีล อทินนาทาน (การลักทรัพย์) ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล ก็ไม่ควรเชื่อ เรื่อง Ixxx มีโรงไฟฟ้า หมื่น MW เลยสงสัยถาม เขาตอบว่า ปั่นหุ้นขึ้นไปเพื่อเอาเงินมาสร้าง ดูแล้วไม่น่าจริง เลยไม่เข้าไปลงทุน ตอนสัมมนา บอกให้เรียนรู้ อิทธิบาท4 หุ้นที่ได้มา มันจะลงแรงๆ Jxx ลงหนัก เหลือ 17 สตางค์ เวลาคนกระโดดสูงๆจะย่อตัวก่อน ดังนั้นเห็นว่า ในวิกฤตคือโอกาส สไตด์ผมคือลงทุนหุ้นทีละตัว เพราะไม่สามารถเข้าใจลึกซึ้งหุ้นมากกว่าหนึ่งตัว (การลงทุนหุ้นเพียงตัวเดียวเป็นความสามารถเฉพาะตัว เราไม่ควรลงทุนหุ้นตัวเดียว แต่ควรลงทุนอย่างน้อย5ตัวตามที่คุณปิเตอร์ ลินซ์แนะนำสำหรับนักลงทุนทั่วไป) สุดท้ายไม่ตาย เพราะเรามองระยะยาวขาด มองเกมยาวๆออก มองผู้บริหารออก ผู้บริหารเป็นเรื่องสำคัญ คือ หุ้น Rxxxxx land แค่ผู้บริหารไม่ทำอะไรเลย หุ้นจากสองบาทเหลือบาทเดียว หุ้นที่ได้มา เพราะเป็นความพยายามของผู้บริหารต้องการทำให้ดีขึ้น ดังนั้นมีกติกาว่าผู้บริหารต้องมีส่วนได้ส่วนเสียที่ทำให้ผลประกอบการดี ราคาหุ้นอาจนิ่งๆ แต่เวลาBreakthoughจะขึ้นอย่างมากเลย พอมีหนึ่งล้านรวมกับแม่ เป็นเงินลงทุนทั้งหมด 2.8 ลบ Axx ราคาตลาดแค่4บาทแต่Book value 8 บาท ตอนนั้นมีกฏเกณฑ์ไม่สามารถมีเกิน1ธนาคาร และ ทางจีนมีแผนขยาย ธนาคารมาไทย เลยคิดว่าน่าจะซื้อ Axx เราซื้อโดยใช้marginหนึ่งเท่า ปรากฏว่าเจอวิกฤต มีแผนแต่ขายไม่ค่อยได้ จากราคาตลาด 4 บาท จนเหลือ 2 บาท คำนวณว่าที่ราคา1บาทกว่าๆจะถูกForce sales ซึ่งปกติควรขายเองก่อน สุดท้ายเอาทองไปขายได้เงินห้าแสน ยืมส้อยโกยมาอีกสี่แสน และเอาบ้านไปค้ำ ปรากฏว่าราคาหุ้นลงไปหนึ่งบาทจริงๆ มุมผม เรากำลังจะรวยครั้งใหญ่เลยเขียนแผนว่าจะซื้อmarginทยอยเพิ่มไปเรื่อยๆ แต่ใช้เวลาหนึ่งปี ช่วงนั้นพยายามประหยัดมากๆ ที่สุดท้ายได้สามสิบล้านบาท ซึ่งราคาตอนนั้น7บาท แต่กะว่าน่าจะขึ้น 12 บาท แต่ก็พอใจที่ราคานี้ ปรากฏว่าสุดท้ายราคาขึ้นไป 12 บาทจริงๆ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาเลย แต่เล่นตามแผน และ เล่นหุ้นเพื่อฆ่าเวลา พอราคาเริ่มขยับก็ทยอยซื้อไปถึงสองบาท และราคาก็side way หัวข้อสำคัญ เราต้องวางแผน และ ต้องอยู่กับแผนตลอดเวลา อ ชาย ลงทุนมานานมีทั้งกำไรห้าเด้งและขาดทุนด้วย สไตด์การลงทุนของผมก็อาจไม่เหมาะกับหลายคน เวลาลงทุน ตอนออกก็ไม่รอถึงFully value การเปรียบเปรยมูลค่าของ อ ชาย ว่าควรขายตอนไหนเพื่อไปเข้าหุ้นอีกตัว “มะม่วงสองใบแลก ทุเรียน หนึ่งใบ แต่ปรากฏว่ามะม่วงหนึ่งใบแลกทุเรียนได้แล้ว ก็จะขายมะม่วงมาซื้อทุเรียน” ผมเชื่อว่าหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรมเทียบกันได้หมด บริษัทไหนที่เหมาะสมในการใช้ทรัพยากรดีสุด เหมาะกับการถือลงทุน Watch list หุ้น สามารถเปลี่ยนหุ้นไปมาได้ เพราะคุณชายรู้จักหุ้นในwatch listดีมาก เปรียบเทียบลงทุนWarmart และถือตลอด กับการเปลี่ยนตัวได้ถูกต้องอย่างถูกจังหวะ คือ เปลี่ยนหุ้นเป็น Amazonจะได้ผลกำไรเยอะกว่า ตัวอย่างวิกฤตต้มยำกุ้ง ถือหุ้นอยู่ มูลค่าพอร์ตลดลงมากๆ ต้องทำใจอย่างเดียว อีกช่วงคือ Hamburger crisis พอดัชนีอยู่ที่ 800 จุด ก็ขายหมด และซื้อกลับตอน 600 จุด ปรากฏว่าลงไป3xxจุด แต่ไม่เสียใจ เพียงแต่ว่าต้องแก้ไขอย่างไรตอนport ลดลง50% โดยการเปลี่ยนหุ้นที่ถือ เป็นการตั้งสติในการลงทุน ผมดูจอตอน Hamburger crisis หุ้นใหญ่โดนทิ้งเร็วมาก ส่วนหุ้นเกรดบี และ ซียังไม่ค่อยลง แต่สุดท้ายหุ้นทั้งสองกลุ่มก็ลงด้วย เวลากลับตัว จะกลับจากหุ้นใหญ่ก่อน แล้วจึงทยอยขึ้นหุ้นเล็กต่อมา หุ้นให้ผลตอบแทนมากกว่าสินทรัพย์อื่น มากกว่าเงินฝาก และ ตราสารหนี้ ในระยะยาว หุ้นจะมีปัญหาถ้าเราซื้อในราคาที่แพงเกินไป การลงทุนหุ้นที่ปลอดภัยคือ ลงทุนหุ้นในราคาที่เหมาะสม คนที่แพ้และถอดใจออกไป คือ คนที่บาดเจ็บที่แท้จริง เราต้องมีความศรัทธาว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด และลงทุนไป ต้องมีศรัทธา และเฝ้าสังเกตตลอดเวลา มันมาจากจิต ความคิดของท่าน ข้าศึกของใจ คือ อารมณ์โกรธ โลภ กลัว ปัญหาคือการเอาชนะมันอย่างไร กลับมาที่คุณชิณญ์ คำถาม อะไรที่ดึงพี่เข้ามาศึกษาธรรมะ ตอบ พอได้สามสิบล้าน ผมและน้องได้หกล้านบาท แม่ได้สิบแปดล้าน เงินที่มีนำไปฝากธนาคาร ทำให้พอร์ตโตขึ้นไปอีก เกิดอีโก้ขึ้นว่าเราเก่ง แต่อยากใช้ชีวิตให้ความสุข นอนโรงแรมเป็นรายเดือน ย้ายไปเรื่อยๆ ไปต่างจังหวัด ตอนอยู่บนรถก็ฟังธรรมะไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็หาโรงแรมที่จะพักต่อไป วนเวียน ความสุข ความทุกข์ไปตลอด ไม่มีความสุขที่แท้จริง เวลามีพอร์ตโต ก็ต้องกระจายความเสี่ยงไปลงอสังหาริมทรัพย์ พยายามปกป้องport ซึ่งยากมาก เราไม่มีความสุขที่แท้จริง มีคนมาทักว่าเคยสัญญาว่าจะไปบวช ก็เลยถือโอกาสไปบวช ได้ปฏิบัติธรรมโดยได้รับการชี้แนะจากหลวงพี่เป็นอย่างดี ถามคุณชาย ถึงวิธีการปฏิบัตธรรม นั่งสมาธิได้อย่างไร อ ชาย ตอบว่าอยากให้ทุกท่านเข้าใจการนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติธรรม อำนาจใฝ่ต่ำ จะแย้ง และ ถ่วงความเจริญ ไม่ให้เราประสบความสำเร็จ มันไม่ได้เข้ามาตอนเราปิดตาอย่างเดียว เราต้องสู้ตลอดทั้งยืนและหลับตา การนั่ง คือ พยายามทำให้เงียบและสงบ การนั่งสมาธิ ทำให้ผ่อนคลาย ที่เราปวดเข่า ก็คือเราไม่ได้ผ่อนคลาย แค่หลับตาและสังเกตที่ปลายจมูก ให้จำความรู้สึกนี้ไว้ ตอนเป็นหวัดก็ให้จำความรู้สึก เรื่องการหายใจโดยไม่มีที่กั้น จนวันนึงเราได้เสียมันไป บางทีเราไปหาความสุขแนวราบ เช่น กินอาหารอร่อย ดูหนังสนุก พักโรงแรมหรูหรา และ หาที่ต่อไปเรื่อยๆ การกินข้าวโดยดูทีวี กินข้าวคิดถึงแฟน เราไม่เคยหาแนวดิ่ง คือ จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอด นั่นคือเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็เลยเจอเรื่องแบบนี้ หลวงพ่อวัดปทุม เคยกล่าว ทำอะไรก็ต้องตั้งใจ มีสติจดจ่ออย่างแท้จริง ทำให้เกิดปัญญา เวลาพอร์ตไม่ดี แต่เดินไปข้างนอกแม่ค้ายังยิ้ม หัวเราะได้ เราจะทำตัวเศร้าไปทำไม ส่วนคุณชิณณ์ ก่อนปฏิบัติธรรม มีmargin 1,200 ลบ เกิดอีโก้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ขาดทุนมหาศาล ก็เลยบริหารใหม่ หลังช่วงไปปฏิบัติธรรม พบแก่นของธรรมะ เรามีพอร์ตการลงทุนเพื่ออะไร จะได้บริหารอย่างเหมาะสม ก่อนหน้านี้ เป็นการทำอย่างไม่มีเหตุผล เราห่วงอะไร เช่น ถ้าเป็นเรื่องปัจจัยสี่ พอร์ตควรเป็น Passive income plus ต่อมา เรื่องหลังการตาย คือ ลงทุนในกองประกันชีวิต กองสุดท้ายคือ กองหุ้น เอาไปลงทุน สุดท้ายเราไม่จำเป็นต้องมีพอร์ตใหญ่ ถึงแม้wealthลดลง แต่ความสำคัญคือราคาที่ซื้อ ระหว่างทาง เจอหุ้นลง แต่ต้องหนักแน่น บางตัวถ้าถือต่อ จะได้หลายเด้ง พี่ชายสอนเรื่องการปฏิบัติ คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าได้ฝึกไปเรื่อยๆ ทุกข์ไม่ใช่ของเรา สุขก็ไม่ใช่ของเรา เราควรวางจิตให้ถูก สมาธิจะมาเข้าได้ง่ายๆ ปกติ2-3ทุ่ม จะรู้สึกอยากออกไปเที่ยว หรือ คิดว่าชีวิตเราน่าจะดีกว่านี้ หลังจากปฏิบัติธรรม ความคิดไม่ใช่ความคิด เวลาปวด เราสามารถแยกความปวดออกจากตัวเรา แม้อย่างที่เรารู้ เป็นกระบวนการทางเคมี กายภาพ ทั้งหมดไม่ใช่เรา เรารื้อระบบนี้ออกได้ เราบริหารพอร์ตอย่างมีเหตุผล จริงๆไม่ต้องโฟกัสและใช้margin แต่เราต้องบริหารจิตใจ จนเราไม่ตกอยู่ในการควบคุมของจิตใจ ถาม แรงบันดาลใจที่ทำให้พอร์ตโตขึ้นอีก ตอบ คุณชาย บอกว่าถ้าพอร์ตโตกว่านี้ก็ช่วยคนได้มากกว่านี้ คุณชิณณ์ แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังต้องทำบุญอยู่เลย ผมเป็นคนธรรมดา ยังมีกิเลส อยากให้พอร์ตโตเพื่อไปช่วยเหลือคนอื่น ถาม เราควรปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้าง คุณชิณณ์ แนะนำบทสวด ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ลองศึกษา หนังสือ ตัวกูของกู ของ พุทธทาส วัดเล่งเน่ยยี่ บทกาลตา ไม่มีคนที่มีความทุกข์และสุข ส่วนการปฏิบัติ ลองนั่งสมาธิวันละ 10-20 นาที เวลาขับรถจะสังเกตได้ดี สัญชาติญาณทำงานอยู่ จะทำไปด้วยความเคยชิน คุณชาย ให้เบสิคสุดๆ หากิจกรรมอะไรที่จิตทำให้จดจ่อนาน ปกตินักลงทุนมีสมาธิอยู่แล้ว จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่คุ้นเคย อ่านหนังสือสอบ ดูสารคดี บางทีมีอยู่แล้ว แต่อยากนั่งสมาธิ แต่ไม่สบาย จริงๆเราทำได้อยู่แล้ว สมาธิคือ การทำให้จิตใจมีความสงบ จดจ่อในการทำงาน จริงๆแล้ว ชอบอะไร ก็ทำแบบนี้ เช่นการวิ่งมาราธอน 42 กม ทำจิตจดจ่อ วางจิตถูก ก็สบาย นั่งได้ทั้งคืน คนทีมีทัศนคติที่ดี จะประสบความสำเร็จ เราเลือกไม่ได้ เราต้องรู้จักการเตรียมตัว ทุกท่านต้องเจอกับสิ่งที่ไม่สบายใจ เช่น ความเจ็บป่วย การตาย คุณชิณณ์ต่อยอด ถ้าคนเราเชื่อว่าเราจะตายจริงๆ เราจะทำไม่เหมือนเดิม ดังนั้นก่อนนอน ซ้อมตายไว้ก่อน จะตายต้องเตรียมตัวอย่างไร เราเชื่อว่าสะสมความดีเพียงพอ ก็ไม่กลัวความตาย สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทั้งสองท่าน และ พิธีกร รวมถึงทีมงานของสมาคมไทยวีไอด้วยครับ เมื่อ: 2018-04-22T01:03:40+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Black Swan EP4 คุณ สถาพร งามเรืองพงศ์ หรือ เซียนฮง เส้นทางการลงทุน สู่พอร์ตหลายพันล้านบาท amornkowa: Black Swan EP4 คุณ สถาพร งามเรืองพงศ์ หรือ เซียนฮง เส้นทางการลงทุน สู่พอร์ตหลายพันล้านบาท สรุปตามความเข้าใจของadmin Page Seminar Knowledge Page เริ่มเข้ามาลงทุนตั้งแต่ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยปี1 ตอนปี2004 แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อนชักชวนไปทำธุรกิจขายตรง , 1ปีผ่านไป กลับมาลงทุนจริงจังอีกครั้ง ตอนนั้นเห็นเพื่อนที่พอร์ตโตมากในช่วงปี2003-2004 เลยเข้าไปสอบถามเหตุผลของหุ้นที่ถืออยู่ ปรากฏว่าไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ดังนั้นจึงไปศึกษาเองเกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ แนวทางการลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์ ซึ่งแนะนำสำหรับ นักลงทุนที่เข้ามาใหม่ให้ศึกษาจาก ทั้งสองท่านก่อน ช่วงแรกไปสอบถามความรู้จาก Web board Thaivi ซึ่งได้รับความรู้มากมาย เหตุการณ์ที่พอร์ตลดลงร้ายแรงสุดตามความคิดของ คุณฮง ปรากฏว่า ไม่ใช่เหตุการณ์ Hamburger Crisis เพราะตอนปี2008 พอร์ตลดลงเพียง15% ช่วงที่แย่สุดเป็นเหตุการณ์ตอนปี2011 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในไทย หลังจากที่พอร์ตเติบโตอย่างมากในปี 2009-2010 แล้ว เริ่มมั่นใจมากขึ้น แต่กลยุทธ์การลงทุนที่เคยใช้ก่อนหน้า ใช้ไม่ได้ในปี2011 ตอนนั้นลงทุนในwarrant ของหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เพราะมั่นใจว่าราคาจะขึ้นอีกหลายเท่า ปรากฏว่าเจอเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ทำให้ราคาหุ้นและWarrant ลดลงอย่างรวดเร็ว เลยรีบขายออกไป Portเคยขึ้นไปถึง200ลบ เพียงไม่นานก็กลับมาที่เดิมคือ 100 ลบ ถ้าตอนนั้น แค่คิดได้ว่า เปลี่ยนจากwarrant เปลี่ยนหุ้นแม่ ก็ได้ปันผลมากกว่า10%เพราะราคาลงมาเยอะ แต่กลับขายถือเงินสด ทำให้ราคาwarrantหลังจากนั้น1ปี ขึ้นไปเลยราคาที่คำนวณได้ ทำให้เสียโอกาสไป ปี2012 เป็นปีที่มีการประมูลคลื่น3G คุณฮงมองว่าบริษัทสื่อสารจะได้ประโยชน์จากประหยัดค่าใช้จ่าย ที่เดิมต้องจ่ายสัมปทาน 25% เป็นจ่ายค่าประมูลใบอนุญาต ซึ่งทำให้รายจ่ายลดลงอย่างมาก ก็เลยเข้าไปถือหุ้นสื่อสารบริษัทนึง รวมถึงการใช้marginด้วย แรกๆ ราคาหุ้นก็ขึ้นจาก70ไปเกือบ100บาทแต่หลังจากนั้นราคาก็ร่วงลงมาจนอยู่ต่ำกว่า60บาท เพราะ ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่คำนวณไว้เพราะลูกค้าจะต้องย้ายสัญญาจากเดิมมาทำสัญญาใหม่ ก็เลยต้องจัดโปร แถมมือถือ ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก และ รายได้ใหม่เข้ามาช้ากว่าที่คาด สุดท้ายคุณฮงก็เลยออกจากหุ้นตัวนี้ไปหาหุ้นใหม่ คือ KTC ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนพอร์ตเป็นหลักหลายพันล้านบาท บทเรียนที่ได้จากการลงทุน 1.จิตใจต้องหนักแน่น ช่วงที่ถือwarrantในปี2011 ที่เจอน้ำท่วมใหญ่ มีวิธีแก้ คือเปลี่ยนเป็นถือหุ้นแม่แทน ปันผลดีมาก และมีโอกาสทำกำไรหลังจากนั้นได้ 2.ต้องรับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้างด้วย ช่วงที่ถือหุ้นสื่อสาร นั้นทำประมาณการงบการเงิน โดยเน้นไปที่ Voiceเยอะ ซึ่งมีเพื่อนนักลงทุนทักว่า Non voiceจะเพิ่มขึ้น แต่ยังยึดว่าVoiceยังดีอยู่ เป็นจุดที่พลาดในการคำนวณมูลค่าที่แท้จริง 3.ศึกษาแนวทางการลงทุนของนักลงทุนท่านอื่นที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน 4.เวลามีกำไรยิ่งมาก ต้องยิ่งอ่อนน้อม และพิจารณาว่า กำไรที่ได้มาจากอะไร จะได้มีทางหนีทางไล่ได้ 5.ต้องเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ และ ทำการBack Test พร้อมกับคู่แข่ง 6.ทำการจดบันทึกเป็นพันหน้าเกี่ยวกับการลงทุน ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริหารในแต่ละธุรกิจ พูดคุยกับนักลงทุนท่านอื่น สุดท้ายขอขอบคุณ คุณฮง และ น้องทีน่า น้องฟืนจาก พิธีกรThaivi และ ลงทุนแมนครับ เมื่อ: 2022-03-28T02:38:46+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีท่านใดยังลงทุนในหุ้นไทยเกิน 80% มั้ยครับ jokerz: จากที่ฟังจากหลายๆ ที่ พบว่าอนาคตตลาดหุ้นเราไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ ถ้าจะขึ้นก็อาจจะไม่เท่าตลาดหุ้นอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ จีน เวียดนาม อินเดีย หรือกองทุนโดยเฉพาะพวกเทคกับการแพทย์ ซึ่งบ้านเราไม่มีหุ้นเด่นในอุตสาหกรรมนั้น เลยอยากฟังมุมมองของผู้ที่ยังลงทุนในไทยเกือบ 90% ของพอร์ตครับ ผมเองตอนนี้ยังอยุ่ในกลุ่มนั้น เหลือเงินสดไว้บ้างเผื่อไปลงต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่ได้ลงจริง สาเหตุที่ยังลงหุ้นไทยเพราะ 1. ความเข้าใจในบริษัทไทยน่าจะดีกว่าต่างประเทศ 2. หุ้นไทย p/e แพง แต่ถ้าโควิดหาย การเมืองมีทางออก และถ้าราคาลงอีก p/e หลังยุคโควิดน่าจะยังลงทุนได้ 3. หุ้นเมืองนอกหลายๆ ที่เกือบๆ new high ซึ่งผมยังกลัวกับการซื้อหุ้นที่ขึ้นมาสูงมาก แม้จะมี story ที่น่าสนใจ ลองแชร์กันครับ เมื่อ: 2020-10-20T11:00:08+00:00 romee: ยังมีในไทยเกือบทั้งหมดอยู่ครับ แต่ก็ไปตปท.ผ่านการซื้อกองทุนหุ้นต่างประเทศบ้าง ในช่วงนี้ก็พยายามขยายฐานความรู้หุ้นตปท. โดยตามอ่านในห้องหุ้นตปท.นะครับ discussกันดี๊ดี เมื่อ: 2020-10-20T20:17:00+00:00 Tanukicho: ในไทยเป็นส่วนใหญ่ครับ ส่วนน้อยมีกองทุนต่างประเทศ ลงในคริปโตเคอเรนซี่เพื่อป้องกันความเสี่ยง ภายใต้ closed system เมื่อ: 2020-10-21T01:12:32+00:00 romee: Tanukicho เขียน: ↑พุธ ต.ค. 21, 2020 8:12 am ลงในคริปโตเคอเรนซี่เพื่อป้องกันความเสี่ยง ภายใต้ closed system เป็นxrpด้วยป่ะครับ เมื่อ: 2020-10-21T03:21:47+00:00 Krasapkan: ลงทุนในประเทศ 100% ครับ บริษัทที่ลงทุนต้องมีการขยายงานในประเทศและต่างประเทศอย่างชัดเจน ต้องเข้าใจในตัวกิจการนั้น และได้สัมผัสกับผู้บริหาร(ได้เห็นหรือได้ฟัง) อย่างแท้จริง (หุ้นต่างประเทศทำไม่ได้) เมื่อ: 2020-10-21T11:45:05+00:00 GENTECH: ผมเคยถือกองทุนหุ้นจีน ยังถอนมาลงทุนหุ้นไทยเลยครับ ตอนนี้ 100% ครับ เมื่อ: 2020-10-23T10:19:24+00:00 gamesun: ส่วนตัวก็ยังลงทุนในหุ้นไทยครับ ถ้าพอร์ตโตขึ้นอยากไปออสเตรเลีย เมื่อ: 2020-10-23T10:26:05+00:00 TATAKUNAKORN: 90 ครับ เมื่อ: 2020-10-24T04:52:08+00:00 ส.สลึง: อยู่เมืองไทย 100% เหตุผล... 1) อ่านออกแค่ ภาษาไทย 2) การเมือง เผื่อใจไว้แล้ว ยังไงก็ไม่มีทางออก เพราะการเมืองไม่เคยมีทางเข้า และส่วนตัวมองว่ามันเป็นวิวัฒนาการการมากกว่า 3) อัตราแลกเปลี่ยน คิดกลับไปกลับมา ปอดเล็กเท่าหูดมด อยู่เมืองไทยดีกว่าฮะ เมื่อ: 2020-10-27T16:12:50+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
"จีน"คว้าประเทศ ศก.ใหญ่ของโลกอันดับ 3 แทนเยอรมัน i_sarut: วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552 เวลา 09:28:58 น.  มติชนออนไลน์ "จีน"คว้าประเทศ ศก.ใหญ่ของโลกอันดับ 3 แทนเยอรมัน เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า รัฐบาลได้แก้ไขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2550 จากเดิมที่ระดับ 11.9% ซึ่งถือว่าสูงอยู่แล้ว ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 13%  ถือเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้เร็วที่สุดของประเทศ นับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ทำให้จีนแซงเยอรมนีขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็น อันดับ 3 ของโลก ทำให้จีนตกเป็นรองเพียงสหรัฐฯ และญี่ปุ่นเท่านั้น ทั้งนี้ได้มีนักวิเคราะห์จากเมอร์ริล ลินช์ ออกมาแสดงความเห็นว่า ภายในอีก 3-4 ปี จีนจะสามารถแซงหน้าญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน เนื่องจากจีนมีความพร้อมในทุกด้าน แต่อาจจะต้องใช้เวลานานนับสิบปีกว่าจีนจะสามารถคว้าอันดับ 1 แทนสหรัฐฯ ได้ ############### จีนเค้าแรงจริง  :lol: เมื่อ: 2009-01-15T02:44:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
seamico ไม่มี link ให้ใช้ webhoon แล้วหรือครับ Dech: ไม่ได้เข้าหลายวัน เขาไม่ให้ใช้ ฟรีแล้วหรือครับ เมื่อ: 2007-05-02T12:43:06+00:00 Series7: นั้นสิ .... มันหายไปไหน แย่จัง เมื่อ: 2007-05-02T12:54:26+00:00 greenstock: ไม่มีเหมือนกันครับ แต่โบรคอื่นยังอยู่ เมื่อ: 2007-05-03T03:37:20+00:00 007-s: เคยใช้ของโบรคนึงของดิฉันเหมือนกัน แล้วมันหายไป เลยโทรไปถามเขา ได้ความว่า โบรคนั้นยกเลิกการเป็นสมาชิก เลยลิงค์ไปไม่ได้ เหตุผลคือ โบรคต้องมีค่าใช้จ่ายให้กับ webhoon ค่ะ คือถ้าโบรคไหน เขาเห็นว่าสิ้นเปลือง เขาจะตัดค่าใช้จ่ายลง เขาเลยต้องงดการเป็นสมาชิกไป ส่วนโบรคที่ยังลิงค์ไปได้ ก็คือ เขาคงยังยอมจ่ายอยู่ เมื่อ: 2007-05-03T03:56:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถ้าเมืองเรามีกับเขาบ้าง ว่ามีคนอยากมาทำไหมครับ hot: http://www.usafis.org/faq/index.asp?af= ... guage=thai เมื่อ: 2004-10-07T12:29:02+00:00 harry: หมายถึงชาวต่างชาติ อยากเป็นคนไทยเหรอครับ ไม่เห็นต้องมีเลย เห็นฝรั่งแต่งงานกับคนไทย ตั้งมากมาย เห็นว่าตอนนี้มีหลายหมื่นคนที่ภาคอีสานอ่ะครับ เมื่อ: 2004-10-07T13:39:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครรู้บ้างครับว่า MODERN แจก Warrant ไปหรื่อยัง harry: เพราะเห็นว่าจะแจกแต่ไม่เห็นมีว่า XW เมื่อไร เมื่อ: 2004-08-26T10:25:46+00:00 harry: ผ่านที่ประชุมใหญ่ไปแล้ว คงกำลังดำเนินเรื่องอยู่ ต้องส่งเรื่องให้ กลต อนุมัติอีกทีหนึ่ง..........จำได้ว่า จะ แจกให้ ผู้ถือหุ้นเดิม ราคา ใช้สิทธิ 40 บาท และ มีบางส่วนให้เป็น esop ราคาใช้สิทธิถูกว่าหน่อย เป็นราคา 38 บาท........ทางบริษัทฯ ต้องแจ้งเวลาถือครองหุ้นว่า ถึงวันไหน จึงจะได้สิทธิ warrant นี้ ตอนนี้ ยังไม่ได้แจ้ง ถือยาว ก็ คงได้อุ่นใจ ว่าจะมีของแถม warrant นี้ให้ เมื่อ: 2004-08-26T12:21:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
'สิงห์'เล็งเข้าตลาดฯดันยอด2แสนล้านใน5ปี ปรัชญา: วันที่ 30 สิงหาคม 2556 10:05 'สิงห์'เล็งเข้าตลาดฯดันยอด2แสนล้านใน5ปี โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "สิงห์"เดินหน้าปรับโครงสร้าง 54 บริษัทในเครือ จัดทัพใหม่รับแผนบุกตลาดโลก เล็งเข้าตลาดฯ ระดมทุนหมื่นล้านขยายธุรกิจขวดแก้ว-โลจิสติกส์ ทุนไทยพรั่งพร้อมด้วยโนว์ฮาวและสายป่านทางธุรกิจต่างประกาศก้าวรุกขยายฐานตลาด "นอกบ้าน" ต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจในประเทศ นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการบริหาร บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงนโยบายธุรกิจว่า จะผลักดันธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งเบียร์สิงห์ ลีโอ รุกขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดขายใน 3-5 ปีข้างหน้าอีก "เท่าตัว" หรือมียอดขาย 2 แสนล้านบาท จากปัจจุบันกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มทั้งแอลกอฮอล์ และนอนแอลกอฮอล์ มียอดขายรวม 1.03 แสนล้านบาท การขยายธุรกิจต่างประเทศ จะให้ความสำคัญในการทำตลาดเบียร์ และมุ่งสร้างแบรนด์ในตลาดอาเซียนมากขึ้น รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มีประชากรกว่า 600 ล้านคน มีโอกาสทางการตลาดสูง เนื่องจากอัตราการดื่มเบียร์ของผู้บริโภคในอาเซียน ยังต่ำอยู่ที่ระดับ 15 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบกับไทยอยู่ที่ 32-33 ลิตรต่อคนต่อปี และเมื่อเทียบกับสหรัฐ อยู่ที่ 50 ลิตรต่อคนต่อปี กับยุโรปอยู่ที่ 60 ลิตรต่อคนต่อปี ทั้งนี้ บริษัทได้ทยอยเข้าไปลงทุนจดทะเบียนตั้งบริษัท และเตรียมเปิดสำนักงานในต่างประเทศหลายแห่ง เพื่อสร้างสัญลักษณ์ขององค์กรบุญรอด และ สิงห์ (Corporate Representative) เป็นที่รับรู้ในวงกว้างยิ่งขึ้น ใน 1-2 เดือนข้างหน้าจะเปิดสำนักงานที่กัมพูชา และไตรมาสสี่นี้ จะเปิดสำนักงานที่ออสเตรเลีย รองรับการขยายธุรกิจของสิงห์ในทุกแขนงธุรกิจ ขณะที่พม่าจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด หลังจากมีข้อจำกัดทั้งด้านราคาที่ดินมีมูลค่าสูงมาก และพม่ายังไม่มีอาคารเชิงพาณิชย์ให้ตั้งสำนักงานได้ โดยสำนักงานดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจของสิงห์ ที่จะให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างชาติที่สนใจมาเป็นพันธมิตรกับบริษัทในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม เช่น ว่าจ้างให้บริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว เป็นต้น "รายได้ 2 แสนล้านบาท ภายใน 3-5 ปี มีความเป็นไปได้และไม่ใช่เรื่องไกล เพราะหากเออีซีเปิด ไม่มีกำแพงภาษี และสิงห์ขยายตลาดและเครือข่ายเข้าถึงผู้บริโภคได้ 200 ล้านคน หรือ 600 ล้านคน การเติบโตจะไม่ใช่แค่อัตราบวก แต่จะเป็นทวีคูณ รวมทั้งธุรกิจอื่นทั้งค้าปลีก การจำหน่ายเสื้อผ้า อาหารล้วนมีช่องทางการเติบโต ซึ่งบริษัทจะนำเข้าไปขยายในภูมิภาคอาเซียนด้วย" จัดทัพธุรกิจ-ระดมทุนหมื่นล้าน บริษัทยังมีแผนเพิ่มศักยภาพธุรกิจในเครือ ที่มีความหลากหลายของกิจการรวม 54 บริษัท อาทิ โรงงานผลิตสินค้า โรงงานบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น โดยจะมีการรวมธุรกิจเข้าด้วยกันเพื่อความคล่องตัว โดยทั้ง 54 บริษัทในเครือ มีความแข็งแกร่ง และมีโครงสร้างธุรกิจที่ดีอยู่แล้ว แต่การผนึกกำลังกันครั้งนี้จะช่วยเสริมแกร่งในการดำเนินงานให้กับบริษัทได้มากขึ้น นอกจากนี้จะมีการสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจมากขึ้น นายปิติ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนจะนำบริษัทในเครือ เช่น บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนนับหมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว ธุรกิจโลจิสติกส์ รองรับการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มในอนาคต รวมทั้งแผนการรับจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์ จากปัจจุบันรับได้เพียง 20-30% เท่านั้น ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ ต้องการขยายเครือข่ายกระจายสินค้าให้ลูกค้าภายนอกมากขึ้นเป็น 20 แบรนด์ จากปัจจุบันมีเพียง 5-6 แบรนด์ เช่น ชาเขียวอิชิตัน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนดำเนินงานลดต่ำลงด้วย ที่ผ่านมา บางกอกกล๊าส เผชิญปัญหาภาระหนี้สะสมสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะจากการที่ยอดขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของบริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเบียร์ แต่โรงงานไม่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ตามทันยอดขาย ทำให้ต้องขอสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อนำมาก่อสร้างโรงงานทุกปี ทั้งที่การดำเนินงาน และผลประกอบการของบางกอกกล๊าสอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ต้องนำบางกอกกล๊าสเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนก้อนใหญ่เพื่อขยายโรงงานบรรจุภัณฑ์แก้วรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว "การนำบางกอกกล๊าสเข้าตลาดฯ เพื่อระดมทุน จะผลักดันการเติบโตธุรกิจแบบก้าวกระโดด เพราะที่ผ่านมาบางกอกกล๊าสมีปัญหาเรื่องหนี้สะสม ขณะที่สิงห์เติบโตเร็วมาก แต่บริษัทผลิตแก้วโตไม่ทัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราต้องสร้างโรงงานใหม่ทุกปี ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment : ROI) จะอยู่ที่ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงาน หนี้สะสมเลยสูง เพราะต้องกู้เงินมาสร้าง แต่ผลประกอบการต่อปีไม่มีปัญหา สิ่งที่เกิดขึ้นธุรกิจนี้ต้องเข้าไประดมทุนในตลาดฯ ธุรกิจโลจิสติกส์ก็เช่นกันขยายไม่ทัน และหากเรารับลูกค้าภายนอกบริษัทได้มากขึ้น ก็จะทำให้ผลประกอบการเราดีขึ้น" อัดโกลบอลแคมเปญ พร้อมกันนี้สิงห์จะใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านโกลบอลแคมเปญ ตอกย้ำความเป็น "โกลบอลแบรนด์" ของสิงห์ภายใต้ชื่อ “Singha day” กระตุ้นยอดขายทุกวันศุกร์ โดยร่วมกับพันธมิตรธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร สปอร์ตบาร์ต่างๆ เพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น บริษัทยังมุ่งขยายฐานการผลิตเบียร์ในตลาดโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย เบื้องต้นได้เจรจากับพันธมิตรคาร์ลสเบอร์ก ลงนามสัญญาจ้างผลิต (OEM) เบียร์สิงห์ในประเทศอังกฤษ คาดดำเนินการได้ปี 2557 โดยบริษัทจะยกเลิกการจ้างผลิตในประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นฐานผลิตเบียร์ก่อนนำไปบรรจุในอังกฤษเพื่อจำหน่ายในสโมสรพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ส่วนรัสเซียได้ลงนามเซ็นสัญญากับโรงงานเบียร์ Baltika ของคาร์ลสเบอร์กเพื่อดำเนินการผลิตเบียร์สิงห์และจำหน่ายในรัสเซียและยุโรปปี 2557 จำนวน 5 แสนลิตร ขณะเดียวกันเจรจากับคาร์ลสเบอร์กในการจ้างผลิตเบียร์ในจีนด้วย ซึ่งประเทศจีนถือเป็นฐานผลิตที่คาร์ลสเบอร์กเข้าไปลงทุนมากสุด ส่วนการทำตลาดสหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาจ้างบริษัทเบียร์ในแคนาดา แทนบริษัท มูสส์เฮด หลังจากกฎหมายห้ามไม่ให้ทำการรับจ้างผลิต ส่วนฐานการผลิตในพม่า ยังคงหาทำเลในย่างกุ้ง Tags : สิงห์ • เข้าตลาดหุ้น • เครดิตข่าวที่มาจาก....http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B5.html เมื่อ: 2013-09-02T01:24:37+00:00 ปรัชญา: ขอยกเว้น ไม่คุยเรื่องการเมืองนะครับ ขอท้าวความถึง........จำได้ว่าตอนเบียร์ช้างจะเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ท่านจำลองก็ไม่ยอม มีอีกคนออกมาอดข้าวประท้วง ฯ ว่าผิดศีล ข้อ5 สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานาเวระมณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ จนช้างต้องหาทางเข้าตลาดหุ้นไปจดทะเบียนที่ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ครั้งนี้ธุรกิจแบบเดียวกันคือ สิ่งมึนเมา น้ำเมา สิงห์จะเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้หรือไม่มาคอยคิด ติดตามกันดูครับ เมื่อ: 2013-09-02T01:29:35+00:00 tigerroad197: บริษัทยังมีแผนจะนำบริษัทในเครือ เช่น บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนนับหมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว ธุรกิจโลจิสติกส์ รองรับการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มในอนาคต รวมทั้งแผนการรับจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์ จากปัจจุบันรับได้เพียง 20-30% เท่านั้น ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ ต้องการขยายเครือข่ายกระจายสินค้าให้ลูกค้าภายนอกมากขึ้นเป็น 20 แบรนด์ จากปัจจุบันมีเพียง 5-6 แบรนด์ เช่น ชาเขียวอิชิตัน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนดำเนินงานลดต่ำลงด้วย อ่านหัวข้อข่าวเหมือนจะเอา เบียร์สิงห์ เข้าตลาดหุ้นในบ้านเรา แต่อ่านเนื้อข่าว น่าจะเป็น บางกอกกล๊าส ที่เป็นโรงงานบรรจุภัณฑ์นะครับ เมื่อ: 2013-09-02T02:22:12+00:00 tigerroad197: การนำบางกอกกล๊าสเข้าตลาดฯ เพื่อระดมทุน จะผลักดันการเติบโตธุรกิจแบบก้าวกระโดด เพราะที่ผ่านมาบางกอกกล๊าสมีปัญหาเรื่องหนี้สะสม ขณะที่สิงห์เติบโตเร็วมาก แต่บริษัทผลิตแก้วโตไม่ทัน ที่ผมเป็นห่วง นักลงทุน มากกว่าคือ สมัยนี้กิจการที่มียอดขาดทุน ก็สามารถแต่งตัวเข้า ตลาดหลักทรัพย์ ได้ครับ เมื่อ: 2013-09-02T02:24:21+00:00 คนคอน: ซื้อ tisco แทนละกัน ถือหุ้น บุณรอดอยู่2% T T เมื่อ: 2013-09-02T04:02:17+00:00 Onemai Ch.: ผมเห็นคุณสันติเขาให้สัมภาษณ์ในFORBES Thailand ว่าจะเข้าตลาดเฉพาะส่วน non-alcohol ส่วนธุรกิจ alcohol จะเก็บไว้ในครอบครัวตัวเองว่างั้น เมื่อ: 2013-09-03T13:57:34+00:00 vim: รอบนี้คงนำแค่บางกอกกล๊าซเข้ามั้งครับ ส่วนแอลกอฮอล์ที่เป็นแกนหลังของสิงห์นั้นถ้าจะเอาเข้าตลาด ต้องปรับวัฒนธรรมองค์กรกันขนาดใหญ่เลย เมื่อ: 2013-09-03T14:15:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ฝาก การบ้าน ไปถึงวิทยากร ปรัชญา: มีใครจะฝากข้อคิดความเห็น   ถึงวิทยากร ในงานมีตติ้งบ้างไหมครับ ผมฝากก่อนคนแรกเลย ทำยังไง  หาหุ้นแบบไหน จะเล่นหุ้นได้ถูกตัวเหมือนน้องนริศ   หาหุ้นแบบ  ไอลิ้งค์  น่ะครับ  หุหุ มีเคล็ดขัดยอก(เคล็ดลับ)อย่างไร  ขอตัวอย่างสักหน่อย   นำไปตอบในงานด้วยครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-05-03T04:39:56+00:00 alexx: ขอเสริมด้วยครับ คือช่วยอธิบายเคล็ดลับ แนวหลักการ สั้นๆในการวิเคราะห์ ธุรกิจว่าเป็นอย่างไร  และเราจะมั่นใจไม่วอกแวกในสิ่งที่เราวิเคราห์ ไว้ได้แค่ไหนในอนาคต :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-05-03T14:22:20+00:00 สามัญชน: ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับพี่ปรัชญา ผมยังทราบมาว่า  ท่านนริศมีเทคนิคในการพูดคุยกับ IR แบบสูตรลับเฉพาะตัวด้วยครับ   ผมเคยลองเปรียบเทียบกันว่าใครจะหาข้อมูลได้มากกว่ากันโดยโทรไปหา IR บริษัทเดียวกันกับท่านนริศ  แล้วเปรียบเทียบข้อมูลกันว่าใครจะได้มากกว่าน้อยกว่า ผลการทดลองปรากฎว่า ท่านนริศชนะขาดครับ  ผมจะได้ข้อมูลทั่วๆไป  แต่ท่านนริศจะเจาะข้อมูลได้ลึกกว่าแบบหนังคนละม้วนเลยครับ  จนทุกวันนี้ผมก็ยังสงสัยไม่หายว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นและทำได้อย่างไร อ้อ.......มีเรื่องเด็ดอีกเรื่องครับ  ท่านนริศผูกสัมพันธไมตรีได้ในระดับสุดยอดถึงขั้นที่ CFO ของบริษัทหนึ่ง  เป็นฝ่ายโทรมาหาเพื่อเล่าความเป็นไปต่างๆนาๆไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงโอกาสภัยคุกคามของบริษัทนั้นๆ  แม้กระทั่งในวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดอ่ะ  ครับ    :ohno:  :ohno: สุดยอดจริงๆครับ       เท่าที่ผมสังเกตุได้น่าจะเป็นเรื่องน้ำเสียง ความจริงใจ และเป็นคนที่พูดแบบตรงไปตรงมา เป็นต้น  แต่อาจจะมีอย่างอื่นอีกที่ผมไม่รู้   ในวันงาน  ผมจะต้องถามให้ได้ว่ามีเคล็ดลับอะไรถึงทำได้สุดยอดขนาดนั้น     เมื่อ: 2007-05-03T15:35:39+00:00 โอ@: พี่หมอ ไอเรื่องข้างบนนี่พี่โยก็ใช่เล่นน๊า แต่พี่โยเน้นเจอต่อหน้า พี่นริศเน้นโทรศัพท์ เมื่อ: 2007-05-03T16:25:23+00:00 Kao: [quote="alexx"]ขอเสริมด้วยครับ คือช่วยอธิบายเคล็ดลับ แนวหลักการ สั้นๆในการวิเคราะห์ ธุรกิจว่าเป็นอย่างไร เมื่อ: 2007-05-03T16:35:26+00:00 Alastor: เท่าที่ดูรายชื่อ รู้สึกว่าทุกท่านจะเป็นนักลงทุนแบบเต็มตัว คือไม่มีงานประจำ (ไม่นับธุรกิจส่วนตัว) เลยสามารถปลีกเวลาไปตามหาหุ้นได้ อยากทราบว่าถ้าเป็นนักลงทุนแบบ part-time ที่ 1 week ต้องทำงาน 40 hr จะมีวิธีใดในการวิเคราะห์หุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพบ้างครับ เมื่อ: 2007-05-04T02:08:09+00:00 ForrestGump: ฝากถามว่า สะดุดหุ้นที่น่าสนใจจากไหน อยากฟังประสบการณ์ตรงๆ จะๆ เรื่องหลักการนี่ใครๆ ก็รู้กันหมด แต่เวลาจริงๆ นี่จะทำยังไงกัน ให้ได้กำไรร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์แบบวิทยากรทั้งสี่ท่าน ผมว่า ถ้าฟังงานนี้แล้วรุ้จักต่อยอด เราอาจได้ ilink2 ,tnh 2 ,ait2 ฯลฯ  และวิธีหาปลาเอง เล่นแล้วคงไม่แค่กำไรแค่ พันห้า พันแปด เท่าราคาเข้างานแน่ๆ เพื่อนๆ ว่าไงครับ อยากฟังแบบไหน เมื่อ: 2007-05-04T15:42:18+00:00 miracle: เพิ่มเติม ว่า ท่านวิทยากร หาข้อมูลในรายงานประจำปี รายงาน 56-1 ต่อบริษัทใช้เวลากี่ชั่วโมง ถึงได้ตัดสินใจ เคาะขวา (เคาะซื้อ) หรือ หาข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นที่สงสัยต่อไป จนถึงเคาะขวาทั้งหมดกี่ชั่วโมง ถ้าหากหาไม่ได้ จำเป็นต้องซื้อ ท่านจะใช้สิทธิในการเป็นตัวแทนสมาคมนักลงทุนไทยหรือ เป็นอาสาสมัครฯในการเข้าประชุมผู้ถือหุ้นในบริษัทที่สนใจหรือไม่ ถ้ามี ช่วยเล่าประสบการณ์ประกอบด้วย อีกคำถามคือ เมื่อรู้วิธีตกปลาแล้ว และทำการตกปลาขึ้นมาเลี้ยงไว้ จะรู้ได้ไงปลาที่ตกมายังสุขภาพดีหรือเปล่า มีการตรวจสอบได้กี่วิธี แต่ละวิธีมีอะไรบ้าง ถ้าหากมีประสบการณ์ที่ปลาที่ตกแล้วมีสุขภาพแย่ลง ก็ทำการปล่อยไป มีเคร็ดลับในการปล่อยปลาโดยที่คนอื่นไม่กระทบไม่ครับ เมื่อ: 2007-05-04T15:54:27+00:00 miracle: ถามต่อ ตอนที่หาวิธีการตกปลา ต้องมีค่าลองผิดลองถูกไม่ว่า อุปกรณ์หรือวิธีการลองตก ท่านวิทยากรทั้งหลาย เสียค่าดังกล่าวไปเท่าไร ถึงตกปลาเป็นครับ อีกคำถามหนึ่ง เมื่อตกปลาเลี้ยงไว้ในบ่อแล้ว ปลาตัวนี้เป็นปลาเกเรไล่กินปลาตัวอื่นๆในบ่อที่เลี้ยงไว้ แต่ปลาตัวนี้ดูแล้วอย่างไงก็เป็นปลาที่มีราคาแพง แต่ไล่กินปลาตัวอื่นที่ราคาแพงน้อยกว่าไปมากมาย เรียกได้ว่าราคาปลาที่ถูกกินไป มากกว่าตัวปลานี้แล้วอ่ะ ตัดสินใจปล่อยไปยังแหล่งน้ำเดิม หรือ ทำบาปฆ่าทิ้งดี ช่วยให้เหตุผลหน่อยครับในข้อนี้ เพราะหลายคนทำใจไม่ได้ว่า ต้องทำบาป เลยปล่อยไว้ในบ่อเหมือนเดิม แถมไม่ได้ปล่อยกลับลงในแหล่งน้ำอีก เมื่อ: 2007-05-05T11:17:29+00:00 Mon money: น่าสนใจจริงๆ ใครอยากรู้ถามต่อได้เลย ไปรอคำตอบในงานนะครับ เมื่อ: 2007-05-06T12:59:31+00:00 ปรัชญา: Mon money เขียน:น่าสนใจจริงๆ ใครอยากรู้ถามต่อได้เลย ไปรอคำตอบในงานนะครับ ท่านประทานออกมายืนยันอย่างแน่นหนัก  มั่นใจได้ครับ งานนี้คุ้มสุดคุ้ม   ฟังจานมนแล้วนำไปต่อยอดความคิดเพื่อพัฒนาวิธีการตามสไตล์ของแต่ละคน เมื่อ: 2007-05-06T13:52:48+00:00 terati20: อยากฟัง ข้อผิดพลาด การลงทุน ที่เคย มี ครับ :lol: เมื่อ: 2007-05-08T08:03:39+00:00 oatty: อยากถามอาจารย์มน ครับว่า ยังอยากจะเปิดร้ายขายของอีกหรือเปล่า (ใกล้วันงานแล้ว ดันกระทู้ซะหน่อย)  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-06-03T14:31:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แนะนำหนังสือ : วิเคราะห์ เจาะลึก อัตราส่วนทางการเงิน o-bo-ja-ma: พอดีไปเจอหนังสือ วิเคราะห์ เจาะลึก อัตราส่วนทางการเงิน ผมลองเปิดอ่านดูพบว่าหนังสือไม่แพง และพยายามเขียนการเชื่อมโยงในการวิเคราะห์ให้เห็นเป็นภาพ ผมคิดว่าเหมาะสำหรับมือใหม่ ๆ อย่างผม ที่อ่านงบแล้วเชื่อมโยงไม่ค่อยได้ครับ เพื่อน ๆ ที่เป็นมือใหม่สนใจลองแวะไปดูได้ครับ http://www.se-ed.com/eShop/products/Det ... 9742124496 เมื่อ: 2010-05-29T11:35:17+00:00 คนบ้านนอก: เล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมยังอ่านไม่จบครับ ต้องค่อย ๆ อ่านแล้วก็จดเอาไว้ครับ ถือว่าดีเล่มหนึ่งทีเดียว ส่วนที่จะมีผิดจุดไหนบ้างหรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ครับเพราะประสบการณ์ยังไม่ถึง พี่ ๆท่านไหนอ่านแล้วพบจุดผิดพลาดเพิ่มเติมช่วยแนะนำน้อง ๆด้วยนะครับ ขอบคุณ คุณ o-bo-ja-ma ที่เอามาให้ดูกันนะครับ เมื่อ: 2010-05-29T13:31:17+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากเล่าให้อ่าน ไม่ซีเรียสคะ m_mummie: วันนี้ไปห้าง แล้วป๊ะป๋าก็เดินไปดูหนังสือที่ร้านนายอินทร์(ขออนุญาตพาดพิงหน่อย ไม่มีเจตนาอันใด) เราก็นึกว่าดูเฉยๆ เพราะปกติป๊ะป๋าไม่ค่อยได้ซื้อหนังสือ ซักพักเดินออกมาพร้อมกับหนังสือหนึ่งเล่ม ก็เลยบอกว่า อ้าว! ซื้อหนังสือเหรอ ทำไมไม่บอกก่อน ป๊ะป๋างง ทำไม มีอะไร เราก็เลยบอกว่า จะได้พาไปซื้อร้าน ซีเอ็ด เพราะเราเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับซีเอ็ดนะ เป็นผู้ถือหุ้น(อันน้อยนิด) แต่ก็ให้ความรู้สึกดี เวลาได้เดินเข้าไปร้านที่เราเป็นหุ้นส่วน ป๊ะป๋า หัวเราะ!! เลยคิดว่า สงสัยต้องซื้อหุ้น aprint ด้วยไหมนี่ เผื่อป๊ะป๋าหลงไปซื้อที่ร้านนายอินทร์อีก จะได้กันพลาด อยากรู้จังว่า มีใครเป็นแบบนี้มั่งไหมคะ --- อยากเป็น vi มั่งจัง --- เมื่อ: 2010-01-13T17:57:55+00:00 MYBIZ: ก็ดีทั้งคู่นะ แต่ก็แล้วแต่ปะป๋าถ้าซื้อหนังสือเยอะๆนี่โอเคเลยนะครับ ยังไงก็สู้สู้ๆๆแล้วกันนะครับ เมื่อ: 2010-01-14T05:07:59+00:00 Joga Bonito: มีบ้างบางอารมณ์ครับ แต่ไม่ถึงขนาดว่าต้องใช้บริการธุรกิจตัวเองเท่านั้น คือ หยวนๆ ได้เหมือนกัน ตย ตอนถือหุ้น ptt ก็เติม ปตท ตอนถือหุ้น bcp ก็เติมบางจาก แต่ถ้าน้ำมันจะหมด ปั๊มไหนก็ได้หมด ยกเว้น สยามแก๊ส เมื่อ: 2010-01-15T03:55:31+00:00 SunShine@Night: สนับสนุนให้ซื้อที่ SE-ED ครับ เพราะผมถือหุ้นอยู่บ้าง เมื่อ: 2010-01-16T10:47:31+00:00 choosak: ถ้าราคาเท่ากันก็ซื้อร้านที่เราถือหุ้น แต่ถ้าร้านอื่นถูกกว่าก็ซื้อร้านอื่นครับ จะได้เอาส่วนลดมาซื้อหุ้นเพิ่ม เมื่อ: 2010-01-16T13:36:07+00:00 m_mummie: ไอเดีย แต่ละคนนี่ใช้ได้นะคะ ช่วงนี้รู้สึกจะเป็นเอามากด้วย กำลังเล็ง cpall เพราะเข้าบ่อยมากๆ ใกล้บ้าน สะดวกสุดๆ  :lol: เมื่อ: 2010-01-16T15:17:11+00:00 Hughes: ซื้อ B2S ดีกว่าครับ อิๆๆๆ มี starbucks ด้วยนะ  :lol: เมื่อ: 2010-01-16T15:57:43+00:00 ส.สลึง: [quote="Hughes"]ซื้อ B2S ดีกว่าครับ อิๆๆๆ มี starbucks ด้วยนะ เมื่อ: 2010-01-17T07:51:24+00:00 witweew: [quote="Hughes"]ซื้อ B2S ดีกว่าครับ อิๆๆๆ มี starbucks ด้วยนะ เมื่อ: 2010-01-17T16:14:58+00:00 LittleChicky: ไปซื้อหนังสือบ้านและสวน ที่ร้าน SE-ED ครับ   กระจายรายได้กันไป  :lol: เมื่อ: 2010-01-28T09:18:15+00:00 Undertaker: [quote="ส.สลึง"][quote="Hughes"]ซื้อ B2S ดีกว่าครับ อิๆๆๆ มี starbucks ด้วยนะ เมื่อ: 2010-02-01T01:47:34+00:00 ส.สลึง: [quote="Undertaker"][quote="ส.สลึง"][quote="Hughes"]ซื้อ B2S ดีกว่าครับ อิๆๆๆ มี starbucks ด้วยนะ เมื่อ: 2010-02-01T12:16:27+00:00 Diablo: [quote="Undertaker"][quote="ส.สลึง"][quote="Hughes"]ซื้อ B2S ดีกว่าครับ อิๆๆๆ มี starbucks ด้วยนะ เมื่อ: 2010-02-01T13:38:20+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมน้ำมันลง Diablo: ทำไมน้ำมันลง หลังเลือกตั้งusa.ทั้งๆมีการคาดการณ์ว่าน่าจะขึ้นหากบุชได้ รับตำแหน่งในสมัยที่2 หรือเป็นเพียงการขายทำรอบของกองทุนที่เข้าเก็ง กำไรราคาน้ำมัน รบกวนพี่ๆด้วยครับ ขอบคุณครับ :lol: เมื่อ: 2004-11-16T10:49:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครตาม major บ้างครับ?? Stock Broker: อยากทราบว่าปัจจุบัน major เข้าไปทำธุรกิจ VCD,DVD แล้วรึยังครับ?? ถ้าใช่ เรื่องลิขสิทธิ์มันแยกจากการฉายหนังหรือรวมกันหรือยังไงครับ?? เมื่อ: 2005-04-12T15:05:32+00:00 ฐิติ: ผมไม่ได้ตามนะครับ แต่ทราบว่า โรงภาพยนตร์ไม่มีส่วนในลิขสิทธิ์ของหนัง โรงภาพยนตร์จะมีส่วนแบ่งจากรายได้ของการฉายเท่านั้น เช่น หลวงพี่เท่งทำรายได้ ร้อยกว่าล้าน จะเป็นเงินเข้ากระเป๋าผู้ผลิตxx% เป็นของMAJOR xx% ผู้ผลิตจะมีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ให้ต่างประเทศอีกส่วนด้วย ฉะนั้นMAJORไม่น่าจะทำ VCD DVDได้ เพราะไม่มีลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น ลิขสิทธิ์เป็นของผู้ผลิต เช่น ไฟว์สตาร์ มงคลฟิล์ม GTH Grammy เมื่อ: 2005-04-13T17:05:29+00:00 woody: อืม ผมว่าน่าจะเป็น CVD นะครับที่ได้ลิขสิทธิ์มาปั๊มแผ่น แถมยังได้ยินว่า Warner จะมาตั้งศูนย์ของตัวเองในปีนี้อีกต่างหาก เมื่อ: 2005-04-13T18:43:22+00:00 woody: เจอข้อมูลแล้วครับ.........จาก Kimeng การลงทุนในบริษัท Major Pictures และ PMEG จะทําให MAJOR มีรายไดเพิ่มเติมจากธุรกิจจัดจําหนายภาพยนตรและวีซีดี/ ดีวีดี ซึ่งคาดวาจะมีสัดสวนเปน 15-16% ของรายไดรวมของบริษัท อันนี้ก็คงต้องดูกันต่อไปว่าค่าย Major และ PMEG จะมีหนังอะไรดีๆ จนคนไม่แห่กันไปซื้อแต่ซีดี และ ดีวีดีเถื่อน กัน เมื่อ: 2005-04-13T20:54:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คิดอย่างไรกับ MINT ที่ PE กว่า20 เท่า sprite_zaa: สวัสดีครับทุกท่าน ผม เพิ่งเป็นสมาชิก VI ผมเพิ่งเริ่มมาสนใจเลยลองเข้ามาศึกษาดูครับ กำลังหาความรู้อยู่ พอดีเห็นธรุกิจของ mint ผมว่าน่าสนใจมาก แต่ pe มันสูงอ่ะครับเลยอยากถามความคิดเห็นพี่ๆ หน่อยครับ เมื่อ: 2006-09-07T08:54:40+00:00 007-s: ลองเข้าไปอ่านใน ร้อยคนร้อยหุ้น ก่อนก้ได้ค่ะ เมื่อ: 2006-09-07T10:08:09+00:00 atsu: ได้ลองอ่าน common stocks หรือยังครับ  :?: อ่านเสร็จ ทำให้ผมมั่นใจในการถือ mint ต่อมากๆ สารภาพเลยว่าปีนี้ผมลังเลมากๆเรื่องขาย mint ทิ้ง เนื่องมาจาก p มันวิ่งหนี e ไปไกลมากๆ แต่พออ่าน common stocks จบ ผมเลยเกิดมุมมองใหม่ขึ้นมา ที่คิดว่าเกินมูลค่าหุ้น เพราะผมไปยึดติดกับ p/e ที่เคยเป็นมามากไป พอราคาวิ่งจน p/e สูงมากๆเลยเริ่มคิดว่าแพง แต่ถ้าตัวธุรกิจยังดีต่อไปเรื่อยๆหล่ะ  :?: p/e ที่เคยคิดว่าแพงอาจจะกลายเป็น p/e ปกติของหุ้นตัวนี้ก็ได้ ตราบที่ธุรกิจยังไปได้ดีนะครับ ดังนั้นผมเลยได้ข้อสรุป(สำหรับตัวผมเองนะ)แล้ว เราไม่ควรขายหุ้นทิ้งเพราะคิดว่าแพงไป แต่ควรขายทิ้งเมื่อเราคิดว่ามันจะหยุดเติบโตดีกว่าครับ เมื่อ: 2006-09-08T01:53:52+00:00 beammy: atsu เขียน:ดังนั้นผมเลยได้ข้อสรุป(สำหรับตัวผมเองนะ)แล้ว เราไม่ควรขายหุ้นทิ้งเพราะคิดว่าแพงไป แต่ควรขายทิ้งเมื่อเราคิดว่ามันจะหยุดเติบโตดีกว่าครับ เห็นด้วย ครับ ... เมื่อ: 2006-09-08T02:19:48+00:00 ลุงทีม: อยากทราบความเห็น...คิดว่า growth  มันจะไปได้ปีละ 15%-20% ต่อเนื่องไปได้ซักกี่ปีครับ  :shock:  :shock: เมื่อ: 2006-09-08T11:50:05+00:00 hot: ผมเคยขาหุ้นเขาไปตอนสมัยชื่อrgr  เพราะคิดว่า คงมาสุดแล้ว  แต่วันนี้  เลยแต่เป็นหมามองเครื่องบิน เมื่อ: 2006-09-08T12:42:21+00:00 โอ@: P/E ที่สูงๆตอนนี้ ต่อไปเขาก็อาจไม่ให้เท่านี้นะ ถ้าอัตราการเติบโตมันลดลงเนี่ย เมื่อ: 2006-09-08T13:32:09+00:00 Onokung: คิดสนุกๆนะครับ อย่าคิดมาก ถ้าราคา 10 บาท กำไร 50 สต. พีอี 20 เท่า ในปีนี้ ถ้าปีหน้า กำไร โต 20 % เป็นกำไร 60 สต. พีอีของปีหน้า (ถ้าราคาไม่ขยับ หืรอว่าซื้อปีนี้) จะได้พีอี 16-17 เท่าในปีหน้า 1 ปี ถ้ากำไรปีหน้า 2 ปีโตอีก 20 % จะเป็น  0.72 สต. พีอีที่ซื้อในปีแรกจะเป็น ประมาณ 13เท่ากว่า 14 เท่า ถ้ากำไร ..... สรุปก็คือว่า คำถามของลุงทีม เป็นคำถามที่ตรงประเด็นดีครับ เรากำลังซื้อการเติบโตของกี่ปีข้างหน้าครับ เมื่อ: 2006-09-09T04:30:52+00:00 teetotal: โรงแรมเขาน่าเข้าพัก อยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดึงดูด ธุรกิจอาหาร เขาก็ติดตลาด คนแน่นร้าน และกำลังจะขยายสาขาไป ตปท. PE สูง เพราะคนซื้อ ดูความน่าจะเป็นของ earning มนอนาคตด้วย (แต่ถ้า ต่ำกว่านี้ หน่อยก็ดี  :o ) เมื่อ: 2006-09-10T05:16:14+00:00 pongto: น่าแปลกนะ โรงแรมก็เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่RGR ร้านอาหารก็เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว  ตั้งแต่MFG อยู่ๆ นายตลาดก็ให้ราคาแพงขึ้น หลังจากควบรวมกัน แล้วถ้าอยู่ๆ นายตลาดเกิดเปลี่ยนใจให้ราคาถูกลง หลายๆคน จะยังรู้สึกว่า โรงแรมและร้านอาหารนี้ยังดีอยู่รึเปล่า เมื่อ: 2006-09-10T07:26:42+00:00 metro: อ่านความคิดเห็นของคุณ OnoKung กับ ลุงทีม แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ผมว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจดีทีเดียวครับ .. เปิดประเด็นความน่าสนใจนิดนึง ตรงที่กิจการร้านอาหารของ Swensens, The Pizza และ Sizzler ดีมากๆนะครับ Central World เพิ่งเปิดจริงๆก็ไม่ถึงเดือน แต่ร้านทั้ง 3 ร้านคนแน่นมากๆ ที่ผมอยากจะสื่อคือ ร้านทั้ง 3 ร้านนั้นสินค้ามันขายชื่อของมันดีทีเดียว ตั้งที่ไหนคนก้รู้จัก คนก็ทาน จัดการเกี่ยวกับการส่งเสริมการขายก้ดีเยี่ยม ถ้าไม่ติดตรง PE คงอัดเต็มที่ไปแล้ว อย่างนี้มีแค่เสี้ยวๆประดับพอร์ตไว้เท่าที่มีดีกว่านะครับ เมื่อ: 2006-09-11T17:17:26+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
888 LOSO: 555 เมื่อ: 2005-04-27T14:03:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีใครบ้างเป็นต้นแบบการลงทุนของคุณจริง บอกหน่อยดิ Jeng: เห็นฝรั่ง มันดูถูกคนไทยว่า เราไม่มีระบบ เชิดชูคนเก่ง ทำให้คนเก่ง ต้องหลบๆ ซ่อนๆ พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ( แปลว่า พูดไป ไม่ได้อะไร แต่ไม่พูดเสียเงิน เหอๆ แปลเอง ) ไม่เหมือนสังคมฝรั่ง ทีเขาเชิดชูคนเก่ง เพื่อเรียนรู้ อืม แปลความต่อว่า สังคมไทยเรา อิจฉา ริษยา เป็นที่ตั้ง น้อยคน จะมุทิตาเป็น เอ้า แต่ผมไม่เชื่อนะว่าสังคมไทยเป็นอย่างนั้นนะ ก็เลยมาถามว่า ใครคือต้นแบบการลงทุนของคุณ เหอๆ บอกเหตุผลด้วยก็ดี สำหรับผมแล้ว คือพี่ชายผมครับ นักลงทุน แบบเน้นคุณค่า และเก็งกำไร ระยะกลาง เหอๆ ไม่ใช่แนววอเรน ไม่ใช่แนวปีเตอร์ ลิน แต่เป็นแนว หมอสานัส เมื่อ: 2006-05-05T14:00:15+00:00 Kao: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ครับ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทย ปฎิบัติได้จริง เริ่มต้นจาก10กว่า ผ่านไปประมาณ 9ปี มีไม่ต่ำกว่า400 ใช้เงินอย่างรู้คุณค่าเหมือนกับการลงทุน ที่สำคัญ รักครอบครัว (ดูซิ ใครถือหุ้น) :lol: เมื่อ: 2006-05-05T14:40:55+00:00 riname: ........ชนเผ่าเหล่าไทยมิใคร่เผยอ... ........ปราชญ์เกลอเก่งกาจมิอาจผยอง..... ........กล้าก็หลบแกร่งก็หลีกเลี่ยงลำพอง...... ........ดังที่ฆ้องแม้มิต้องก็ร้องดัง.......... เมื่อ: 2006-05-05T16:49:08+00:00 Rocker: ที่แน่นอนคือ ดร. นิเวศน์ ครับ เมื่อ: 2006-05-05T17:16:28+00:00 Unexpected: คุณ invisible hand ครับ ชอบวิธีคิด ประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจเมืองไทยได้ดี เป็นฮีโร่คนเดียวของผมครับ เมื่อ: 2006-05-05T17:28:53+00:00 MarginofSafety: ดร.นิเวศน์ ครับ เมื่อ: 2006-05-05T17:40:54+00:00 eak222: เป็นคุณ invisible hand ครับ ส่วนที่บี้มาติดๆก็ พี่ Jeng ครับ เมื่อ: 2006-05-05T17:44:19+00:00 Rocker: eak222 เขียน:เป็นคุณ invisible hand ครับ ส่วนที่บี้มาติดๆก็ พี่ Jeng ครับ พี่ jengคงปลื้ม เมื่อ: 2006-05-05T17:50:07+00:00 สามัญชน: พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ( แปลว่า พูดไป ไม่ได้อะไร แต่ไม่พูดเสียเงิน เหอๆ แปลเอง ) พูดไป(มีค่าเพียง)สองไพเบี้ย นิ่งเสีย(มีค่าถึง)ตำลึงทอง  แปลเองเหมือนกัน เหอ ๆ   ขออภัย..ผมตามมุขไม่ทัน..... :lol: เมื่อ: 2006-05-05T18:00:08+00:00 Penguins: ผมอ่านหนังสือของ Robert T. Kiyosaki เมื่อ: 2006-05-05T18:07:14+00:00 [L]: ดร. นิเวศน์  ครับ ผมคิดว่า การที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนที่ง่ายที่สุดก็คือ เรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ "ตัวจริง" เมื่อ: 2006-05-05T18:33:46+00:00 booklover: 1.อาจารย์ Invisible hand เพราะเป็นที่แรกที่อ่านการลง ทุนแบบเน้นคุณค่าครับ เก่งในการวิเคราะห์แถมมีน้ำใจ งามมากๆ หายากในสังคมปัจจุบันครับเก่งและมีน้ำใจ 2.ดร.นิเวศน์ เพราะอ่านหนังสืออาจารย์ทุกเล่มแล้วรู้สึกมี เหตุมีผลใช้ได้จริงครับ เมื่อ: 2006-05-05T23:12:56+00:00 สุมาอี้: invisible hand ครับ ถือเป็น the whiz kid แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ครับ เมื่อ: 2006-05-06T01:06:08+00:00 nuttamon: คุณ Invisible Hand ครับ เป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักการลงทุน และ รูปแบบธุรกิจต่างๆ ครับ เมื่อ: 2006-05-06T02:43:26+00:00 Windy: 1 ท่านครรชิต ไพศาลครับ จากเรื่อง "จดหมายถึงลุงขวด" 2 ท่าน Invisible Hand ครับ จากการวิเคราะห์หุ้น TICON & KH เมื่อ: 2006-05-06T02:51:26+00:00 คัดท้าย: สำหรับผมคือ คุณ Invisible Hand ครับ ... จูกัดเหลียงแห่งตลาดทุนไทยโดยแท้ ... เมื่อ: 2006-05-06T02:52:27+00:00 คัดท้าย: โฮ่ๆ ท่านประธานฯหลุดจากชาร์ท แล้วหรือ... ช่วยกันอธิบายหน่อยครับว่าท่าน Invisible Hand เป็นใคร http://www.thaivi.com/wiki/index.php?ti ... sible_Hand เท่าที่แต่ละท่านพอจะรู้จัก เมื่อ: 2006-05-06T03:01:54+00:00 oo: ดร.นิเวศน์ คุณ invisible hand พี่ฉัตรชัย พี่วิบูลย์ พี่มนตรี พี่เจ๋ง ครับ เมื่อ: 2006-05-06T04:42:34+00:00 Rocker: คัดท้าย เขียน:สำหรับผมคือ คุณ Invisible Hand ครับ ... จูกัดเหลียงแห่งตลาดทุนไทยโดยแท้ ... ระดับพี่คัดท้ายยังมีต้นแบบเลย ส่วนผมต้นแบบนอกเหนือ ดร ในไทยก็มี คัดท้าย invisiblehand คลายเครียด jeng มนตรี  CK viboon แล้วเอามาblendกัน เมื่อ: 2006-05-06T06:29:50+00:00 sunrise: พี่ Invisible Hand  เช่นกันครับ นักวิเคราะห์ ผู้รวยน้ำใจ และ วิเคราะห์ได้แบบเห็นภาพรวมภาพใหญ่ของธุรกิจครับ เมื่อ: 2006-05-06T07:24:53+00:00 kiepid: คุณคนขายของครับ เมื่อ: 2006-05-06T08:09:30+00:00 BHT: ทุกคนที่ท่านสมาชิกต่างๆเอ่ยถึงนั้น ผมก็ยอมรับและยกย่องให้ว่าเก่งกันมากๆทุกคน แต่ว่าแต่ละคนก็มีแนวทางของตัวเอง ผมก็ซึมซับของแต่ละคนแล้วเอามาทำให้เป็นแนวของตัวเองครับ วันหนึ่งถ้าผมประสบความสำเร็จทางการลงทุน ก็คงมีคนเลือกผมเป็นแบบอย่างบ้าง เมื่อ: 2006-05-06T08:20:29+00:00 คนเรือ VI: ดร.นิเวศน์ คุณ invisible hand พี่ฉัตรชัย พี่วิบูลย์ พี่มนตรี พี่เจ๋ง ครับ และพี่ CKครับ เมื่อ: 2006-05-06T08:20:52+00:00 กระทิงแดง: ของผมขอยกมือให้ พี่มนตรี และพี่ลูกอีสานครับ พี่มนตรี สำหรับเปิดหลักสูตรอบรมบัญชี พี่ลูกอีสาน สำหรับหุ้น พื้นฐานดี มี margin of safety ครับ เมื่อ: 2006-05-06T09:28:01+00:00 sunnyvi: เดิมเคยคิดว่าหุ้นก็คือการพนันดีดีนั่นเอง อ่านหนังสือของท่านดร.  ทำให้ผม เริ่มได้ยินเรื่อง นายตลาด เป็นครั้งแรก ทำให้ผมเกิด attitude ใหม่ ว่า   เรามีส่วนเป็นเจ้าของบริษัท มันคือการลงทุน  และเราคือนักลงทุน!!! อีกท่านที่ลืมไม่ได้คือ ท่านครรชิต  ครับ ทั้งแนวคิดVI ที่ชัดเจน  ในช่วงแรกที่เข้ามาอ่านในเวปนี้   และทำให้เราได้ใช้ข้อมูลในการลงทุนที่ดีที่สุดได้อย่างสะดวก ขอบคุณ ขอบคุณ   และ  ขอบคุณมากๆครับ เมื่อ: 2006-05-06T10:21:13+00:00 สุมาอี้: kiepid เขียน:คุณคนขายของครับ นี่ก็อีกคนที่เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่หาตัวจับยาก เมื่อ: 2006-05-06T10:30:23+00:00 Jeng: โห พี่ครรชิตครับ ดร.นิเวศน์บอกว่า คนที่เก่งกว่าผมมีครับ วิดวะรุ่นเดียวกัน แต่เรียนคนละห้อง คนนั้นคือ คร ละ ชิต ไพศาล เหอๆ มีการเล่นสำนวล เมื่อ: 2006-05-07T07:31:14+00:00 mey: ต้นแบบตอนนี้ มี 3 คน 3 วัย 3สไตล์ ที่เด่นแบบเป็นตัวของตัวเอง    ...พี่ปรัชญา *  คุณมนตรี * คุณสุมาอี้*.... เมื่อ: 2006-05-07T07:58:20+00:00 Raphin Phraiwal: ผมได้สัมผัสกับแนวทาง VI จากการอ่านหนังสือของท่านดร.นิเวศน์ครับแต่ยังไม่เข้าใจดีบวกกับไม่ได้ปฏิบัติ หลังจากไปเข้าคอร์สอาจารย์มนทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นครับและเริ่มเดินทางบ้นเส้นทางของ VI อย่างเอาจริงเอาจังขึ้น (แต่ยังไม่เก่งครับ) ส่วนพี่ๆที่ให้ข้อคิดดีๆ ก็มีมากมายในเว็บนี้ครับ รวมทั้งพี่ๆที่สละเวลามาตอบข้อสงสัยด้วยครับ ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2006-05-07T10:44:57+00:00 PaZZaHut: ของผม   ยกให้ ดร. นิเวศน์  กับ  พี่คัดท้าย (ได้ฟังตอนไปมีตติ้งสินธร  ปีก่อนอ่ะครับ) เมื่อ: 2006-05-07T11:30:15+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทดสอบตัวเองก่อนเริ่มลงทุน LingLing: ฟังข่าวจาก T.V.9 ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโปรแกรมให้ทดสอบสไตล์การลงทุน ก็ได้มีโอกาสเข้าไปเล่นแบบทดสอบ และอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ ทำให้ตัวเองรู้ว่า เป็นคนกล้าเสี่ยงในระดับปานกลาง เป็นผู้ลงทุนแบบ Individualist ควรมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30% ส่วนอีก 30% ไปลงทุนในพันธบัตร ที่เหลือให้ไปลงทุนในทางเลือกอื่น ซึ่งก็ได้คำแนะนำที่ดีทำให้เรารู้ตัวเองว่าควรจัดสรรเงินลงทุนอย่างไรนะคะ เมื่อ: 2008-02-22T02:05:18+00:00 beammy: LingLing เขียน:ฟังข่าวจาก T.V.9 ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโปรแกรมให้ทดสอบสไตล์การลงทุน ก็ได้มีโอกาสเข้าไปเล่นแบบทดสอบ และอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ ทำให้ตัวเองรู้ว่า เป็นคนกล้าเสี่ยงในระดับปานกลาง เป็นผู้ลงทุนแบบ Individualist ควรมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30% ส่วนอีก 30% ไปลงทุนในพันธบัตร ที่เหลือให้ไปลงทุนในทางเลือกอื่น ซึ่งก็ได้คำแนะนำที่ดีทำให้เรารู้ตัวเองว่าควรจัดสรรเงินลงทุนอย่างไรนะคะ กล้าเสี่ยงในระดับปานกลาง แต่แนะนำว่าควรมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไม่เกิน 30% แล้วหลายท่านที่ถือกัน 100% นี่ กล้าเสี่ยงแบบไหนเอ่ย  8)  ... เมื่อ: 2008-02-22T02:07:24+00:00 br9000: โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า ความเสี่ยงคือการที่เราขาดข้อมูล หากลงทุนโดยมีข้อมูลไม่เพียงพอ ผมคิดว่านั่นคือความเสี่ยงน่ะครับ แต่หากเราลงทุนโดยมีข้อมูลที่มากพอ โดยผ่านการวิเคราะห์ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยใช้เวลาศึกษาให้มากหน่อย ก่อนตัดสินใจลงทุน ผมว่าเราก็กำจัดความเสี่ยงไปได้แล้ว ไม่มากก็น้อย หากมั่นใจแล้วว่าเลือกไม่ผิด  ผมว่าก็น่าเสี่ยงน่ะครับ เมื่อ: 2008-02-27T02:50:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอสอบถาม ความรู้เรื่องจำนวนหุ้นครับ ฐิติ: ผมขอยกตัวอย่างหุ้นWGแล้วกันครับ -จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ 30,000,000 หุ้น -จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ 17,850,000 หุ้น -จำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้ว 17,850,000 หุ้น มันหมายความว่ายังไงครับ ทำไมจดทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์มากกว่าที่ตลาดหลักทรัพย์ ผมลองดูตัวอื่นๆ บางตัวจำนวนเท่ากัน ขอบคุณครับ เมื่อ: 2005-07-13T10:47:52+00:00 ปรัชญา: มีโอกาสเพิ่มทุนจนครบ30นั่นล่ะ อาจมีการจ่ายปันผลเป็นหุ้น เมื่อ: 2005-07-13T10:50:22+00:00 CK: เหมือนขอเงินพ่อมาทำธุรกิจ 30 ล้าน ซึ่งพ่อก็อนุญาตแล้ว แต่เบิกมาใช้จริงแค่ 17.85 ล้าน ธุรกิจก็เติบโตได้ มีกำไรเข้ามา ไม่ต้องขอเพิ่มแล้ว เมื่อ: 2005-07-13T12:18:40+00:00 สุมาอี้: สามารถจดเพิ่มทุนไว้ก่อนล่วงหน้าได้ เวลาจะเพิ่มจริงๆ จะได้ไม่ต้องไปจดอีกที เหมาะสำหรับบริษัทที่มีหุ้นกู้แปลงสภาพ วอแรนด์ อีสป ฯลฯ เมื่อ: 2005-07-13T12:53:07+00:00 naris: เวลานำมาคำนวนผลกำไรต่อหุ้นก็เอา17.85ล้านหุ้นมาคำนวนครับ เมื่อ: 2005-07-13T15:10:02+00:00 miracle: 17.85ล้านหุ้นคือหุ้นที่อยู่ในตลาดจริงๆๆๆ ส่วน30ล้านหุ้นที่จำนวนหุ้นของบริษัทที่มีได้มากที่สุดได้แค่นั้น ถ้ามีเพิ่มมากว่านั้นต้องได้รับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการเพิ่มหุ้น (ค่าแก้ไขอันนี้คิดตามขนาดของบริษัทว่า บริษัทใหญ่เล็กราคาไม่เท่ากัน ดูกันที่ทุนจดทะเบียน) ส่วนที่เหลือ 11.18ล้านหุ้นนั้น คือหุ้นที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่าย บริษัทสามารถนำไปเป็นปันผล โดยที่ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินสดก็ได้ หรือมอบหุ้นให้ใครก็ได้ (เป็นหุ้นลมก็ได้) ปล เคยเจออยู่บริษัทหนึ่ง มาจดเปลี่ยนแปลง เกี่ยวกับทุนจดทะเบีบน ค่าเปลี่ยนแปลงเป็นหลักแสนบาท เพราะว่าทุนจดมันเป็นร้อยล้าน ฟังแล้ว เมื่อ: 2005-07-14T13:20:30+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แนวโน้มเพศชายน้อยกว่าเพศหญิงผมว่ามีความเป็นไปได้นะ hot: http://www.unlimitpc.com/modules.php?na ... =32&page=2 ผมรู้สึกว่าเพศหญิงปัจจุบันหน้าตาและองเอว จะดีกว่า ช่วง20 ปีก่อน เมื่อ: 2005-04-03T01:38:26+00:00 ครรชิต ไพศาล: ที่อาเจะ สุมาตรา ที่โดน สึนามิถล่ม ปรากฎว่า เหลือผู้ชาย มาก กว่า ผู้หญิง ชาย ต่อ หญิง = 3:1 ผู้หญิงที่ไหนเหลือๆ ก็ส่งไปให้หนุ่มๆ ที่ อาเจะ ก็แล้วกัน :lol: :lol: ไม่งั้น คงต้องยอมให้มีผัวน้อย กันบ้างละ :lol: :lol: สมัยโบราณ สงคราม มักทำให้ ชาย น้อยกว่า หญิง ต่อไปการผสมเทียมที่สามารถเลือกเพศของลูกได้ ก็อาจทำให้เสียสมดุลได้ หากทุกครอบครัวนิยม มีลูก คนเดียว แล้วนิยมเอนเอียงไปข้างเพศใดเพศหนึ่ง รัฐคงต้องออกกฏให้ประชาชน 1 ครอบครัว ต้องมีบุตร 2 คน โดยมี ชาย 1 คน หญิง 1 คน เพื่อสร้างให้ประชากร สมดุล เมื่อ: 2005-04-03T01:59:01+00:00 Tao Investor: สมัยโบราณ สงคราม มักทำให้ ชาย น้อยกว่า หญิง ผมว่านี่แหล่ะ เหตุผล หลัก เมื่อ: 2005-04-03T08:08:19+00:00 โป้ง: ประเทศไทย หญิงเยอะกว่าชาย ประมาณ 500,000 คน ส่วน จีน , อินเดีย ชายจะเยอะกว่าหญิง เนื่องด้วยประเพณีที่เน้นความได้เปรียบการมีลูกชาย ที่อาเจะ สุมาตรา ที่โดน สึนามิถล่ม ปรากฎว่า เหลือผู้ชาย มาก กว่า ผู้หญิง ชาย ต่อ หญิง = 3:1 แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เพราะเดี่ยวนี้ เป็น เกย์ กระเทย เกือบครึ่งหนึ่งแล้วมั่ง :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-04-03T11:12:18+00:00 thaizero: วัน อาทิตย์ ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2548 ประชากรทั่วประเทศ ชาย 30,629,817 คน หญิง 31,389,143 คน คนที่เกิดตรงกับวันนี้ ชาย 85,084 คน หญิง 86,061 คน เมื่อ: 2005-04-03T12:13:12+00:00 โป้ง: โอ้ ไม่ใช่ 500,000 แล้วจำผิด 700,000 กว่า แล้ว เกย์ กระเทย ยังไม่ตัดออกอีกล่ะ เมื่อ: 2005-04-03T12:42:59+00:00 mrdew: โป้ง เขียน:ประเทศไทย หญิงเยอะกว่าชาย ประมาณ 500,000 คน ส่วน จีน , อินเดีย ชายจะเยอะกว่าหญิง เนื่องด้วยประเพณีที่เน้นความได้เปรียบการมีลูกชาย แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เพราะเดี่ยวนี้ เป็น เกย์ กระเทย เกือบครึ่งหนึ่งแล้วมั่ง :lol: :lol: :lol: :lol: ชาย 3 หญิง 1 เป็นรักสี่เส้า เมื่อ: 2005-04-03T12:53:34+00:00 Dech: ไปดูสถิติเก่าๆ ในสำนักงานสถิติแห่งชาติมา เดิมผู้ชายมากกว่าผู้หญิงตลอดเลยครับ มีปีหลังๆ นี้เองที่หญิงเริ่มมากกว่าครับ เมื่อ: 2005-04-03T13:53:12+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
csc หุ้นฟื้นตัวที่ไม่มีใครมอง มีความเห็นยังไงครับ nowkung: CSC (ฝาจีบ) เมื่อก่อนมีขาดทุนสะสมเยอะมากแต่ตอนนี้บริษัทได้ขายทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจจนกำไรสะสมเป็น + มีการตามเก็บเงินของลูกหนี้การค้าได้ดี หนี้ระยะยาวของ CSC ได้ใช้หมดไปแล้วทำให้หมดปัญหาเรื่องดอกเบี้ย เมื่อดูลึกลงไปพบว่า กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็น + มา 6 ปี ติดกัน แถมมีทรัพย์สินรอขายเป็นที่ดิน ที่ดิน+สิ่งก่อสร้าง ประมาณ 315 ล้าน ที่ดินเปล่าๆมูลค่า 224 ล้าน = ประมาณ 4 บาท/หุ้น ปัญหาก็คือ CSC เมื่อมีกำไรสะสมจะจ่ายเงินปันผลหรือไม่ และจะขายที่ดินที่เหลืออยู่หรือไม่ อยากทราบความคิดท่านอื่นๆบ้างครับ เมื่อ: 2007-08-30T11:22:39+00:00 miracle: หลังตัวนี้กำไรจากรายการพิเศษต้องระวังว่า กำไรกิจกิจการดำเนินตอนนี้เริ่มแล้วหรือยัง ถ้าหากยังไม่ได้ทำกำไร หรือ ทำกำไรได้ต่ำ ต้องหลีกเลี่ยงไว้ครับ ตรวจสอบด้วยว่าขายของเก่ากินอยู่หรือเปล่าครับ เมื่อ: 2007-08-30T11:52:15+00:00 yoyosun: กำไรจากการดำเนินงานมาหลายquarter แล้วครับ แต่กลัวการให้ตังบริษัทย่อยยืม ถ้าให้ยืมอีกเมื่อใด ขายเมื่อนั้นครับ ตัวนี้ผมก็ชอบครับ คิดว่าน่าจะturnaroundจริง เมื่อ: 2007-08-30T13:34:27+00:00 miracle: yoyosun เขียน:กำไรจากการดำเนินงานมาหลายquarter แล้วครับ แต่กลัวการให้ตังบริษัทย่อยยืม ถ้าให้ยืมอีกเมื่อใด ขายเมื่อนั้นครับ ตัวนี้ผมก็ชอบครับ คิดว่าน่าจะturnaroundจริง Turn จริงหรือ ไตรมาสล่าสุดมีกำไรรายการพิเศษอยู่มากกว่าการดำเนินการปกติเสียอีก กำไรมันหลอกตาอย่างแรงน่า ต้องระวังอย่างมากๆๆ สำหรับนี้ เคยเล่นอยู่เหมือนกันแต่สุดท้ายขอทางใครทางมันดีกว่า เมื่อ: 2007-08-30T14:58:03+00:00 BHT: กิจการมีปัญหาแล้วเริ่มดีขึ้น ถ้ามองออกก่อนคนอื่น ก็เข้าลงทุนเลยครับ แล้วรอคอยเก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้เลย แต่ถ้ามองไม่ออก ไม่แน่ใจ ก็ปล่อยมันไปครับ เมื่อ: 2007-08-30T14:59:03+00:00 jiras: ปีนี้ล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว ปันผลก็น่าจะมี TURN แน่ๆ FANCY,KCE ก็น่าติดตาม เมื่อ: 2007-08-30T15:23:28+00:00 miracle: ลักษณะหุ้นที่ Turn มาจากหลุม 1. ช่วงก่อนหน้าที่เกิดเหตุการณ์กำไรคงที่หรือเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเจอเหตุการณ์ร้ายแรง ยอดขายตกลง กำไรลดหวบ อาจจะถึงขั้นขาดทุน อาจจะมีคนซื้อไปชุบชีวิตหรือมีการปฏิรูปใหม่ ยกเครื่อง เปลี่ยนเครื่องใหม่หมด แล้วกำไรค่อยๆโตขึ้น <--- พวกนี้ Turn จริง 2. หุ้นที่เกิดจากผลกระทบจากภายนอก ผู้ลงทุนตกใจกลัวไปเอง <--- อันนี้ก็ผู้ลงทุนตกใจเอง 3. หุ้นที่ Turn ต้องมีความแข็งแกร่งในตัวเอง เช่น มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีการเข้มงวดในทางด้านการเงินอย่างมากๆ เป็นต้น by the way ผมลงทุนให้หุ้น Turn around หลายตัวน่าครับ จากก้นหลุมก็หลายตัว แต่ตัวนี้ขอผ่านอยู่เพราะ คำถามของผมคือ กำไรมันจากกำไรพิเศษอยู่ ถ้า Turn จริงๆ ต้องมีกำไรพิเศษน้อยหรือไม่ก็ไม่มีดีที่สุดครับ ยืนด้วยลำแข้งตัวเองมันดีกว่าพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ เมื่อ: 2007-08-30T15:32:17+00:00 nowkung: ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ส่วนความคิดของผม กำไรของ CSC ตอนนี้กำไรส่วนใหญ่มาจากการดำเนินงาน+ขายเศษวัสดุ ไม่ได้มาจากการขายของเก่ากินเป็นหลักเหมือนปีก่อนๆอีกแล้ว และธุรกิจหลักก็ได้เงินสดมาตลอด ปัญหาเรื่องจ่ายดอกเบี้ยก็น่าจะหมดไปในอนาคตอันใกล้ (ไม่เกินปี 51) บวกล้างขาดทุนสะสมหมดไปแล้ว น่าจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้ ปล. แต่ผมไม่รู้ว่ามันขาดทุนสะสม 1000 กว่าล้านได้ยังไง ผมเดาว่าน่าจะเกิดจากการลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อ 10 ปีก่อน ทำให้หนี้ + ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมหาศาล สุดท้ายผมว่า KCE มีความเสี่ยงสูงกว่า CSC มาก จะกล่าวถึงต่อไปถ้ามีโอกาส เมื่อ: 2007-08-31T03:50:23+00:00 yoyosun: เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน  164,416 พันบาท ไม่เหมือน ปีก่อนนะครับ ที่มีการกำไรรายการพิเศษ เมื่อ: 2007-08-31T04:01:15+00:00 Golden Stock: วันนี้ผมเห็นมีคนตั้ง offer ที่ 14 บาท หกหมื่นกว่าหุ้น กำลังตัดสินใจว่าจะรวบหมดเลยดีเปล่าน้า... ที่ต้องคิดเนื่องจากปกติหุ้นตัวนี้มี bid offer ช่องละไมกี่่พันหุ้น และยังไม่ค่อยมั่นใจการฟื้นตัวสักเท่าไหร่  หากพลาดขึ้นมา กลัวถูกขังไม่ให้ออกน่ะครับ  พอกลับมาดูอีกที  ตรง 14 บาท กลายเป็น bid ไปเสียแล้ว  :lol: เมื่อ: 2007-08-31T07:07:52+00:00 Vangogh: ไม่เคยตามตัวนี้เลย แต่พอดีมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าหลัก ว่าเป็นผู้ผลิตฝาป้อนให้ บ.โอสถสถา ผลิตเครื่องดื่ม M-100, M-150, LIPO, etc. ปริมาณที่ใช้ต่อเดือนก็ค่อนข้างสูงครับขึ้นอยู่กับยอดขายและปริมาณการผลิตแต่ละเดือน เมื่อ 10 ปี ที่แล้วยอดผลิตประมาณ 120-150 ขวดต่อเดือน แต่ปัจจุบันเดี๋ยวขอเช็คข้อมูลอีกทีแชร์ข้อมูลกันครับ เมื่อ: 2007-08-31T10:56:17+00:00 V_accy: ที่ สนญ.076/2550 วันที่ 14 สิงหาคม 2550 เรื่อง  ชี้แจงผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2550 เรียน  กรรมการและผู้จัดการ      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ จากผลประกอบการตามงบการเงินสำหรับงวดไตรมาส 2 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทฯ มี ผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับปี 2549 แตกต่างมากกว่าร้อยละ 20 บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงรายละเอียด ดังต่อไปนี้ - ในส่วนของกำไร/ขาดทุน บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเปรียบเทียบสำหรับงวด 3 เดือนและงวด 6 เดือน เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เป็น จำนวนเงิน 50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 11 เท่า และลดลง เป็นจำนวนเงิน 170 ล้านบาท หรือลดลง ร้อยละ 68 ตามลำดับ เนื่องมาจากสาเหตุหลักดังนี้         1. บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าสำหรับงวด 3 เดือนและงวด 6 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น จำนวนเงิน 28 ล้านบาทและ 31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 และร้อยละ 31 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายสินค้าและการให้บริการเพิ่มเป็นจำนวนเงิน 64 ล้านบาทและ 88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 และร้อยละ 8 ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องมาจากด้านปริมาณ เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ มีต้นทุนขายสินค้าลดลงร้อยละ 4 และร้อยละ 2 ของยอดขาย ตามลำดับ เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการควบคุมค่าโสหุ้ยในการผลิตให้ลดต่ำลง 2.บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเศษวัสดุ สำหรับงวด 3 เดือนและงวด 6 เดือน มียอดเพิ่มขึ้น จากปี 2549 เป็นจำนวนเงิน 6 ล้านบาทและ 9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ร้อยละ 22 ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณขายเศษวัสดุเพิ่มขึ้นตามผลผลิตที่เพิ่ม นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ ปรับราคาขายเศษวัสดุเพิ่มขึ้นจากปี 2549         3.บริษัทฯ มีรายได้อื่น สำหรับงวด 3 เดือน มียอดเพิ่มขึ้นจากปี 2549 เป็นจำนวนเงิน 18 ล้าน บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 273 เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์อาคาร คลังสินค้าอัตโนมัติและอุปกรณ์ และสำหรับงวด 6 เดือน มียอดลดลงจากปี 2549 เป็น จำนวนเงิน 218 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 86 เนื่องจากปี 2549 บริษัทฯ มีกำไรจากการ จำหน่ายสินทรัพย์ให้เช่า 4.บริษัทฯ มีบัญชีค่าเผื่อลดราคาค่าสินค้าและสินค้าตัดบัญชี สำหรับงวด 3 เดือนและงวด 6 เดือน ลดลงจากปี 2549 เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาทและ 6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 31 และร้อยละ 73 ตามลำดับ เนื่องมาจากมีการระบายสินค้าในปี 2550 5.บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่ายสำหรับงวด 3 เดือน และงวด 6 เดือน ลดลงจากปี 2549 เป็นจำนวน เงิน 2 ล้านบาทและ 6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 29 และร้อยละ 30 ตามลำดับ ทั้งนี้เป็น ผลเนื่องจากบริษัทฯ จ่ายชำระเงินกู้ยืมระยะยาวที่ครบกำหนด และสามารถจ่ายชำระเงิน กู้ยืมระยะยาวก่อนครบกำหนดชำระแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน - ในส่วนของสินทรัพย์และหนี้สิน สินทรัพย์รวม       ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิน 1,979 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวนเงิน 109 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องมาจากการจำหน่ายสินทรัพย์อาคารคลังสินค้า อัตโนมัติและอุปกรณ์ หนี้สินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทฯ มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 794 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวนเงิน 244 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องมาจากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวนเงิน 250   ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 1,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวนเงิน 135 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องมาจากการเพิ่มทุนหุ้นปุริมสิทธิและมีส่วน   เกินมูลค่ารวมเป็นจำนวนเงิน 61 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ มีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 78 ล้าน บาท สาเหตุหลักเนื่องมาจากการปรับปรุงโอนทุนสำรองและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญ เพื่อชดเชยผลขาดทุน สะสมงวดปีก่อน จำนวนเงิน 466 ล้านบาท และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากงวดนี้ เป็นจำนวนเงิน 78 ล้าน บาท จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ (นายสมลักษณ์ เจียมธีระนาถ) กรรมการและผู้จัดการใหญ่ แปะ เมื่อ: 2007-09-01T12:35:09+00:00 jiras: ช่วงรอประกาสงบ q3 เมื่อ: 2007-09-05T17:35:23+00:00 naris: เห็นโพสท์ๆเลยไปดู ถ้าหักกำไรพิเศษออกแล้วครึ่งปีคูณ2จะได้กำไรกำไรปีนี้ราวๆ130ล้านบาท epsปีนี้ก็ราวๆ2.5บาทต่อหุ้น peกำไรปกติปีนี้ก็ประมาณ5.76(ในราคา14.4)ลองไปพิจารณาดูนะครับ เมื่อ: 2007-09-05T18:42:11+00:00 June14: ผมลองดูผู้ถือหุ้นรายใหญ่ล้วนะครับ อยากจะทราบว่าจะมีผลอย่างไรบ้างอ่ะครับ ในการที่บริษัทลูกค้าอย่างบุญรอด, ไทยน้ำทิพย์, เสริมสุข หรือว่าอย่าง กรีนสปอต เป็นต้น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ผมมองข้อดีนะครับ 1. น่าจะได้งานตลอด แต่ข้อเสียคือว่าอาจจะขึ้นราคาไม่ได้อย่างที่ต้องการครับ อยากทราบความเห็นท่านอื่นๆครับ เมื่อ: 2007-09-06T02:32:48+00:00 jiras: กำไรปีนี้น่าจะประมาณ   2.50 บาท น่าจะมีปันผล คิดพีอีที่ 7 เท่า ราคาที่ควรจะเป็นคือ 17.50 บาท แต่การทำกำไรจะไม่เติบโตแบบก้าวกระโดดในปีต่อๆไป แต่กระแสเงินสดจะดีมากๆ เมื่อ: 2007-09-06T03:56:24+00:00 titicaca: ขนาดกลับมาจ่ายภาษีแล้ว แต่กำไรยังโตได้ น่าสนใจนะครับ เมื่อ: 2007-09-06T14:26:31+00:00 miracle: June14 เขียน:ผมลองดูผู้ถือหุ้นรายใหญ่ล้วนะครับ อยากจะทราบว่าจะมีผลอย่างไรบ้างอ่ะครับ ในการที่บริษัทลูกค้าอย่างบุญรอด, ไทยน้ำทิพย์, เสริมสุข หรือว่าอย่าง กรีนสปอต เป็นต้น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ผมมองข้อดีนะครับ 1. น่าจะได้งานตลอด แต่ข้อเสียคือว่าอาจจะขึ้นราคาไม่ได้อย่างที่ต้องการครับ อยากทราบความเห็นท่านอื่นๆครับ เมื่อ: 2007-09-06T17:09:29+00:00 miracle: ในอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ได้ป้อนงานให้บริษัทนี้หรือ ถึงได้ขาดทุน แล้วตอนนี้เริ่มป้อนงานหรือ มันน่าคิดไหมเนี่ย เมื่อ: 2007-09-06T17:10:13+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามเรื่องมาตรฐานบัญชีใหม่ครับ rakoilnaka: ได้ยินว่า เดี๋ยวบริษัทในตลาดต้องใช้มาตรฐานบัญชีใหม่กัน แล้วแบบนี้มันจะมีผลกระทบกับข้อมูลสำคัญอย่าง EPS ROE ROA PER PBV ป่าวคับ ถ้าใช้เนี่ย อย่างนี้ข้อมูลในอดีตย้อนหลังก็เทียบกับอนาคตไม่ได้ดิ เพราะใช้บัญชีคนละมาตรฐาน ปล.รบกวนหน่อยค๊าบ เมื่อ: 2010-08-09T15:01:28+00:00 miracle: อ่านเองครับ หาข้อมูลเองครับ ไม่มีใครเก็บไว้เป็นระบบระเบียบครับตอนนี้ว่าอะไรกระทบกับอะไร เพราะทุกบริษัทก็เลือกที่ตีความหมายครับ เมื่อ: 2010-08-09T15:20:50+00:00 pol256: หลักๆกระทบ Asset จากแบบ Cost base เป็น Fair Value กระทบการลงบัญชีรับรู้รายได้ การตั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้ ที่เวลาต่างไปจากเดิมโดยจะสะท้อนการรับ-จ่ายที่เวลาจริง และตั้งหนี้รอส่วนที่ต้องจ่ายในอนาคตอย่างชัดเจนขึ้น   อื่นๆอีกมากมาย เช่น การปลูกต้นกล้า หรือ เลี้ยงสัตว์ จะคิด Fair value เป็นทีละต้น/ตัว ไปเลย โดยคำนวณจากอายุว่ามีค่าเท่าใด เป็นต้นครับ รายละเอียดอยากดูล่วงหน้าหาอ่าน IFRS โดยตรง  แต่ถ้าของจริงต้องรอประกาศทั้งหมดต่อไป ตอนนี้ สภาบัญชี ยังแปลได้ครึ่งเดียว (เฉพาะหลักๆ) ครับ เมื่อ: 2010-08-09T16:16:22+00:00 rakoilnaka: ขอบคุณมากคับ เมื่อ: 2010-08-09T16:40:30+00:00 dome@perth: ขอบคุณ สำหรับคำถามของ"คุณ รักออยนะคะ"  :D เป็นประโยชน์ครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ ว่ามาตรฐานบัญชีใหม่นี่ มันแตกต่างจากมาตรฐานเดิมยังไงบ้าง เมื่อ: 2010-08-10T01:05:36+00:00 Ii'8N: ผมไม่ได้มาทางสายบัญชี อาศัยเปิดตำราเอง เลยเอามาฝาก ไป download มาอ่านนะครับ อ.วรศักดิ์ เขียนไว้ มีบางตาราง ไม่เอื้ออำนวยที่จะโชว์ในนี้ http://accounting.east.spu.ac.th/accoun ... 06IFRS.doc IFRS และมาตรฐานการบัญชีไทย ฉบับปรับปรุงที่จะมี (คาดว่าจะมี) การประกาศใช้ใน 2551 ดร. วรศักดิ์ ทุมมานนท์ รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการบัญชี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกลั่นกรองมาตรฐานการบัญชี สภาวิชาชีพบัญชี IFRS (International Financial Reporting Stds) Narrowly, IFRSs refers to the new numbered series of pronouncements that the IASB is issuing, as distinct from the International Accounting Standards (IASs) series issued by its predecessor. IFRS More broadly, IFRSs refers to the entire body of IASB pronouncements, including standards and interpretations approved by the IASB and IASs and SIC interpretations approved by the predecessor International Accounting Standards Committee. TAS ปัจจุบันTAS ที่มีผลบังคับใช้มี 30 ฉบับ การตีความ 3 ฉบับ และแม่บทการบัญชี 1 ฉบับ ส่วนใหญ่อ้างอิงจาก IFRS ฉบับที่มีการแก้ไขในเดือนธันวาคม 2546 และมีนาคม 2547 บางฉบับอ้างอิงจาก US GAAP TAS 26 การรับรู้รายได้สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ TAS 34 การบัญชีสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา TAS 40 การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน TAS 42 การบัญชีสำหรับกิจการที่ดำเนินธุรกิจเฉพาะด้าน       การลงทุน บางฉบับไม่ได้อ้างอิงจากมาตรฐานสากล TAS 11 หนี้สงสัยจะสูญ จะยกเลิกเร็วๆ นี้ แล้วเอาแนวคิดของ IAS 39 เข้ามาใส่ ปัจจุบันมีประกาศยกเว้น TAS สำหรับกิจการที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน จำนวน 8 ฉบับ TAS 24 การเสนอข้อมูลทางการเงินจำแนกตามส่วนงาน TAS 25 งบกระแสเงินสด TAS 36 การด้อยค่าของทรัพย์สิน TAS 44 งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ TAS 45 เงินลงทุนในบริษัทร่วม TAS 46 ส่วนได้เสียในการร่วมค้า TAS 47 การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้อง TAS 48 การแสดงรายการสำหรับตราสารการเงิน TAS ฉบับปรับปรุงที่ได้มีการประกาศใช้ใน 2550 TAS 44 งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ TAS 45 เงินลงทุนในบริษัทร่วม TAS 46 ส่วนได้เสียในการร่วมค้า TAS ฉบับปรับปรุงที่ได้มีการประกาศใช้ใน 2551 TAS 25 งบกระแสเงินสด TAS 29 สัญญาเช่า TAS 31 สินค้าคงเหลือ TAS 33 ต้นทุนการกู้ยืม TAS  35 การนำเสนองบการเงิน TAS 39 นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีและข้อผิดพลาด TAS 41 งบการเงินระหว่างกาล TAS 43 การรวมธุรกิจ TAS 51 สินทรัพย์ไม่มีตัวตน TAS 30 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ TAS 32 ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ TAS 36 การด้อยค่าของสินทรัพย์ TAS 37 รายได้ TAS xx ผลประโยชน์ของพนักงาน TAS ฉบับปรับปรุงที่ประกาศใช้ในปี 2551 TAS 29 สัญญาเช่า TAS 29 ฉบับเดิมได้ให้ตัวอย่างของสถานการณ์ซึ่งตามปกติจะทำให้สัญญาเช่าต้องจัดประเภทเป็นสัญญาเช่าการเงินไว้สี่ข้อ สัญญาเช่าโอนความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ให้แก่ผู้เช่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของสัญญาเช่า ผู้เช่ามีสิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์ด้วยราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม ณ วันที่สิทธิเลือกมีผลบังคับใช้ โดยราคาตามสิทธิเลือกนั้นมีจำนวนต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์มากเพียงพอที่จะทำให้เกิดความแน่ใจอย่างสมเหตุสมผล ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่าว่าผู้เช่าจะใช้สิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์นั้น ระยะเวลาของสัญญาเช่าครอบคลุมอายุการให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสินทรัพย์ แม้ว่าจะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้น TAS 29 ฉบับเดิมได้ให้ตัวอย่างของสถานการณ์ซึ่งตามปกติจะทำให้สัญญาเช่าต้องจัดประเภทเป็นสัญญาเช่าการเงินไว้สี่ข้อ (ต่อ) ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่า มูลค่าปัจจุบันของจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายมีจำนวนเท่ากับหรือเกือบเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่เช่า ได้เพิ่มสถานการณ์เพื่อช่วยในการจำแนกสัญญาเช่าการเงิน (financial lease) อีกหนึ่งข้อ และข้อบ่งชี้อีกสามข้อ สินทรัพย์ที่เช่ามีลักษณะเฉพาะจนกระทั่งมีผู้เช่าเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้สินทรัพย์นั้นโดยไม่จำเป็นต้องนำสินทรัพย์ดังกล่าวมาทำการดัดแปลงที่สำคัญ หากผู้เช่าสามารถยกเลิกสัญญาเช่าได้ และผู้เช่าเป็นผู้รับผิดชอบผลเสียหายที่เกิดกับผู้ให้เช่าเนื่องจากการยกเลิกนั้น ผู้เช่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกำไรหรือผลขาดทุนจากการผันผวนของมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าคงเหลือ ผู้เช่าสามารถต่อสัญญาเช่าครั้งที่สองด้วยการจ่ายค่าเช่าที่มีจำนวนต่ำกว่าค่าเช่าในตลาดอย่างเป็นนัยสำคัญ ตัวอย่างและข้อบ่งชี้ 8 ข้อไม่ถือเป็นข้อยุติ ถ้าเป็นที่แน่ชัดว่ายังมีลักษณะอื่นที่แสดงให้เห็นว่ามิได้มีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ผู้เป็นเจ้าของพึงได้รับจากสินทรัพย์ที่เช่า สัญญาเช่านั้นต้องจัดเป็นสัญญาเช่าดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น มีการจ่ายค่าเช่าที่ไม่กำหนดแน่นอน (ค่าเช่าที่อาจเกิดขึ้น) อันเป็นผลให้ผู้เช่ามิได้รับโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ผู้เป็นเจ้าของพึงได้รับจากสินทรัพย์ที่เช่า TAS ฉบับเดิมกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลสำหรับค่าเช่าที่อาจเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ให้ข้อกำหนดที่ชัดเจนว่ากิจการต้องรวมค่าเช่าที่อาจเกิดขึ้นในการคำนวณจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายหรือไม่ TAS ฉบับนี้กำหนดให้กิจการไม่ต้องนำค่าเช่าที่อาจเกิดขึ้นมารวมในการคำนวณจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่าย TAS ฉบับเดิมไม่ได้ให้ข้อกำหนดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติทางบัญชีสำหรับต้นทุนทางตรงเมื่อเริ่มแรกที่เกิดกับผู้เช่า TAS ฉบับนี้กำหนดให้รวมต้นทุนทางตรงเมื่อเริ่มแรกที่เกิดกับผู้เช่าเป็นส่วนหนึ่งของจำนวนที่รับรู้เป็นสินทรัพย์ภายใต้สัญญาเช่าการเงินนั้น TAS ฉบับเดิมได้ให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติทางบัญชีสำหรับต้นทุนทางตรงเมื่อเริ่มแรกที่เกิดกับผู้ให้เช่าโดยจะบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทันที หรือปันส่วนไปหักจากรายได้ทางการเงินนั้นตลอดอายุสัญญาเช่าการเงินก็ได้ แต่ TAS ฉบับนี้กำหนดให้รวมต้นทุนทางตรงเมื่อเริ่มแรกเป็นส่วนหนึ่งของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าการเงินโดยไม่ต้องบันทึกเป็นรายการแยกต่างหาก การเช่าที่ดินและอาคารตามสัญญาเช่าต้องจัดประเภทเป็นสัญญาเช่าการเงินหรือสัญญาเช่าดำเนินงานในลักษณะเดียวกับการจัดประเภทสัญญาเช่าสำหรับสินทรัพย์อื่น หากคาดว่าจะไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปให้ผู้เช่า ณ วันสิ้นสุดสัญญาเช่า ผู้เช่าจะไม่ได้รับความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด จำนวนที่จ่ายเพิ่มให้กับการเช่าดังกล่าว (สิทธิการเช่า) จึงถือเป็นการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าซึ่งต้องตัดจำหน่ายตลอดอายุของสัญญาเช่าตามรูปแบบของประโยชน์ที่ได้รับ สัญญาเช่า (Lease) จะรวมถึง Leasing Hire Purchase Rent Installment sales เนื้อหา > รูปแบบตามกฎหมาย Operating    Financial Leasing   x                 x Hire Purchase       x Rent               x                 x Installment sales           x TAS 31 สินค้าคงเหลือ ไม่อนุญาตให้นำผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจากการซื้อสินค้าคงเหลือนั้นด้วยสกุลเงินตราต่างประเทศไปรวมเป็นต้นทุนในการซื้อสินค้า ในกรณีที่มีการซื้อสินค้าคงเหลือโดยมีเงื่อนไขการจ่ายชำระเงินนานเกินกว่าระยะเวลาการได้สินเชื่อตามปกติ ผลต่างระหว่างจำนวนเงินที่จ่ายจริงและราคาซื้อที่ผู้ซื้อต้องจ่ายตามระยะเวลาการให้สินเชื่อตามปกติ ให้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการจัดหาเงิน กำหนดให้ใช้วิธีการคำนวณต้นทุนวิธีเดียวกันสำหรับสินค้าคงเหลือทุกประเภทซึ่งมีลักษณะเหมือนกัน ไม่อนุญาตให้ใช้วิธีเข้าหลังออกก่อนในการวัดมูลค่าต้นทุนสินค้าคงเหลือ ยกเลิกอ้างอิงถึงหลักการจับคู่รายได้กับค่าใช้จ่าย อธิบายถึงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการกลับรายการสินค้าที่มีการปรับมูลค่าลงในงวดบัญชีก่อน TAS 35 การนำเสนองบการเงิน กำหนดการเปิดเผยแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการประมาณการ ยกเลิกการแสดงรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นรายการพิเศษ ยกเลิกการแสดงกำไรหรือขาดทุนจากกิจกรรมตามปกติ ยกเลิกการแสดงจำนวนพนักงาน ยกเลิกหัวข้อนโยบายการบัญชี และข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลือกใช้นโยบายการบัญชี เพิ่มคำนิยามความมีสาระสำคัญ ความมีสาระสำคัญ (materiality) หมายถึง ผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงินจากการไม่แสดงรายการหรือการแสดงรายการผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นรายการเดียวหรือหลายรายการรวมกันความมีสาระสำคัญขึ้นอยู่กับจำนวนเงินและลักษณะของรายการที่ไม่แสดงหรือแสดงผิดพลาดภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนั้นปัจจัยที่ใช้พิจารณาความมีสาระสำคัญคือจำนวนเงินหรือลักษณะของรายการหรือทั้งสองปัจจัยร่วมกัน เพิ่มคำนิยามมาตรฐานการบัญชี มาตรฐานการบัญชี หมายถึง หลักการบัญชีและวิธีปฏิบัติทางบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นทั้งนี้รวมถึงการตีความมาตรฐานการบัญชี กำหนดให้กิจการต้องจัดประเภทหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนนับจากวันที่ในงบดุลเป็นหนี้สินหมุนเวียนแม้ว่ามีหลักฐานเป็นสัญญาที่แสดงถึงการชำระหนี้โดยการก่อหนี้สินระยะยาวใหม่ หรือมีการต่ออายุหนี้ให้เป็นหนี้ระยะยาว ซึ่งสัญญาดังกล่าวจัดทำเสร็จสมบูรณ์ภายหลังวันที่ในงบการเงินและก่อนวันที่งบการเงินได้รับอนุมัติให้ออกงบการเงิน TAS 39 นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีและข้อผิดพลาด ข้อกำหนดในการเลือกและใช้นโยบายการบัญชีใน TAS 35 ได้นำมาเป็นข้อกำหนดในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ โดยปรับขั้นตอนของแนวทางที่ฝ่ายบริหารใช้ในการเลือกนโยบายการบัญชีกรณีที่ยังไม่มีมาตรฐานการหรือการตีความมาตรฐานการบัญชีเฉพาะเรื่องนั้นๆ ให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับการความไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องที่เป็นสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้ กิจการไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการบัญชีตามที่กำหนดไว้ใน TAS หากผลกระทบของการใช้นโยบายดังกล่าวไม่มีสาระสำคัญ ซึ่งจะสอดคล้องกับ TAS 35 เกี่ยวกับข้อกำหนดของการเปิดเผยข้อมูลในมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดว่ากิจการไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลเมื่อข้อมูลดังกล่าวไม่มีสาระสำคัญ ให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับการความไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องที่เป็นสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้ (ต่อ) งบการเงินจะไม่เป็นไปตาม TAS หากปรากฏว่ามีข้อผิดพลาดที่มีสาระสำคัญ ข้อผิดพลาดที่มีสาระสำคัญในงวดก่อน จะต้องแก้ไขด้วยวิธีปรับย้อนหลังงบการเงินในงวดแรกหลังจากค้นพบข้อผิดพลาดดังกล่าว กำหนดให้ใช้วิธีปรับย้อนหลังสำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีที่เป็นไปโดยความสมัครใจ และการปรับงบการเงิน ย้อนหลังสำหรับการแก้ไขข้อผิดพลาดในงวดก่อน โดยยกเลิกวิธีปฏิบัติที่อาจเลือกได้ที่มีอยู่ใน TAS ฉบับเดิม ให้รวมรายการปรับปรุงซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี หรือผลของการแก้ไขข้อผิดพลาดในงวดก่อนในกำไรขาดทุนสำหรับงวดปัจจุบัน และ ให้แสดงข้อมูลเปรียบเทียบจากงบการเงินปีก่อนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุง ยังคงให้มีเงื่อนไขเกี่ยวกับ การไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ สำหรับการยกเว้นการแก้ไขข้อมูลเปรียบเทียบเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีหรือการแก้ไขข้อผิดพลาดในงวดก่อน โดยได้รวมคำนิยามของ การไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ และแนวปฏิบัติในการตีความไว้ด้วย ได้กล่าวรวมถึงกรณีที่ไม่สามารถคำนวณผลกระทบสะสม ณ วันต้นงวดของปีปัจจุบัน ของเหตุการณ์ต่อไปนี้ การใช้นโยบายการบัญชีใหม่กับทุกงวดที่ผ่านมา หรือ ข้อผิดพลาดในงวดก่อน ๆ กิจการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเปรียบเทียบเสมือนหนึ่งได้ใช้นโยบายการบัญชีใหม่มา  โดยตลอดหรือไม่เคยมีข้อผิดพลาดในงวดก่อนเกิดขึ้น โดยย้อนหลังให้ไกลที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ ได้ตัดหลักการของข้อผิดพลาดที่สำคัญและข้อแตกต่างระหว่างข้อผิดพลาดที่สำคัญกับข้อผิดพลาดที่มีสาระสำคัญอื่น และได้กำหนดคำนิยามของข้อผิดพลาดในงวดก่อนไว้ด้วย กำหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีที่กิจการกำลังจะนำมาถือปฏิบัติเมื่อกิจการเริ่มนำ TAS หรือการตีความมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่มาปฏิบัติก่อนการบังคับใช้ นอกจากนี้ ยังกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบหรือประมาณการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่องบการเงินของงวดบัญชีที่มีการนำ TAS หรือการตีความมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ไปปฏิบัติ กำหนดให้เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินของรายการปรับปรุงบัญชีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีหรือการแก้ไขข้อผิดพลาดในงวดก่อนโดยให้เปิดเผยสำหรับรายการแต่ละบรรทัดในงบการเงินที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งกำไรต่อหุ้นพื้นฐานและกำไรต่อหุ้นปรับลดหากกิจการต้องปฏิบัติตาม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 38 (ปรับปรุง 2550) เรื่อง กำไรต่อหุ้น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการนำเสนอกำไรขาดทุนสำหรับงวดได้กำหนดไว้ใน TAS 35 สอดคล้องกับ SIC-18 Consistency-Alternative Method ดังนี้ กิจการต้องเลือกใช้และนำนโยบายการบัญชีมาถือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอกับรายการ เหตุการณ์และเงื่อนไขทางบัญชีที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เว้นแต่ TAS หรือการตีความมาตรฐานการบัญชีได้กำหนดหรืออนุญาตให้จัดประเภทรายการตามนโยบายการบัญชีที่แตกต่างกันได้ และ หาก TAS หรือการตีความมาตรฐานการบัญชีกำหนดหรืออนุญาตให้ทำดังกล่าว กิจการต้องเลือกและนำนโยบายการบัญชีที่เหมาะสมมาถือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอสำหรับรายการแต่ละประเภท กล่าวรวมถึงคำนิยามของการเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชี กล่าวรวมถึงข้อยกเว้นในการรวมผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีที่มีต่องบกำไรหรือขาดทุน โดยกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงประมาณการที่ทำให้สินทรัพย์หรือหนี้สินเพื่อขึ้นหรือมีผลต่อรายการในส่วนของเจ้าของ ให้กิจการรับรู้ผลกระทบดังกล่าวในยอดคงเหลือของสินทรัพย์ หนี้สิน หรือส่วนของเจ้าของที่เกี่ยวข้องในงวดบัญชีที่มีการเปลี่ยนแปลง TAS 41 งบการเงินระหว่างกาล ได้ปรับปรุงถ้อยคำใหม่ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นโดยมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 34 (พ.ศ. 2549) เรื่อง งบการเงินระหว่างกาล (IAS No. 34, Interim Financial Reporting (2006)) โดยไม่มีข้อแตกต่าง กิจการต้องใช้นโยบายการบัญชีเดียวกันสำหรับงบการเงินระหว่างกาล และงบการเงินประจำปี เว้นแต่นโยบายการบัญชีที่เปลี่ยนแปลงภายหลังวันที่ในงบการเงินประจำปีล่าสุดนั้นจะใช้ในงบการเงินประจำปีถัดไป กิจการต้องไม่รับรู้รายได้ที่ได้รับตามฤดูกาล รายได้ที่ได้รับเป็นวัฏจักร หรือรายได้ที่ได้รับเป็นครั้งคราวในระหว่างปีบัญชีเป็นรายได้หากรายได้นั้นยังไม่เกิดแต่คาดการณ์ว่าจะเกิด กิจการต้องไม่บันทึกรายได้ที่ยังไม่เกิดเป็นรายได้ค้างรับและต้องไม่บันทึกรายได้ที่เกิดแล้วเป็นรายได้รอการรับรู้ หากมาตรฐานการบัญชียังไม่อนุญาตให้ทำได้ ณ วันสิ้นงวดปีบัญชี ต้นทุนที่เกิดขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอในระหว่างปีบัญชี ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นหรือบันทึกเป็นต้นทุนรอตัดบัญชีเพื่อวัตถุประสงค์ของการจัดทำรายงานระหว่างกาลได้ก็ต่อเมื่อต้นทุนนั้น ณ วันสิ้นงวดปีบัญชีจะมีการคาดการณ์หรือบันทึกเป็นต้นทุนรอตัดบัญชีได้ด้วย IAS 19 Employee Benefits (TAS xx) (คาดว่าจะประกาศใช้) แบ่งผลประโยชน์ของพนักงานออกเป็น 4 ประเภท ผลประโยชน์ระยะสั้น เช่น ค่าจ้าง เงินเดือน กองทุนเงินสมทบประกันสังคม เงินที่จ่ายระหว่างลาพักผ่อนประจำปีและลาป่วย ส่วนแบ่งกำไรและโบนัส และผลประโยชน์ที่ไม่เป็นตัวเงิน (เช่น การรักษาพยาบาล ที่พักอาศัย ยานพาหนะ และสินค้าหรือบริการที่ช่วยเหลือหรือให้เปล่าแก่พนักงาน) สำหรับพนักงานปัจจุบัน ผลประโยชน์หลังออกจากงาน เช่น บำนาญ ผลประโยชน์อื่นเมื่อเกษียณอายุ เบี้ยประกันชีวิตและค่ารักษาพยาบาลหลังออกจากงาน IAS 19 Employee Benefits (TAS xx) แบ่งผลประโยชน์ของพนักงานออกเป็น 4 ประเภท (ต่อ) ผลประโยชน์ระยะยาวอื่นๆ ของพนักงานรวมถึง ผลตอบแทนในรูปการลางานสำหรับพนักงานที่ทำงานให้กับกิจการเป็นเวลานาน เช่น ลาบวช ลาศึกษาต่อ ลาเพื่อรับราชการทหาร ผลประโยชน์ครบรอบ 50 ปีหรือผลประโยชน์การให้บริการที่ยาวนานอื่นๆผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับความทุพพลภาพระยะยาวซึ่งเป็นการจ่ายตั้งแต่ 12 เดือนหลังวันสิ้นงวด นอกจากนี้ยังรวมส่วนแบ่งกำไร โบนัส และค่าตอบแทนที่จะจ่ายด้วย ผลประโยชน์เมื่อเลิกจ้าง ให้รับรู้ผลประโยชน์ระยะสั้นของพนักงานเมื่อพนักงานได้ให้บริการแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์นั้น สำหรับโครงการสมทบเงิน (Defined Contribution Plan) ให้รับรู้การจ่ายเงินสมทบเมื่อพนักงานได้ให้บริการเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินสมทบนั้น สำหรับโครงการผลประโยชน์หลังออกจากงานอื่นๆ (Defined Benefit Plan) (โครงการบำเหน็จบำนาญ หรือกิจการมีการกำหนดให้พนักงานออกจากงานเมื่อเกษียณอายุ) ให้ บันทึกบัญชีทั้งภาระผูกพันทางกฎหมายและภาระผูกพันจากการอนุมานอื่นๆ ที่เกิดจากการปฏิบัติของกิจการ สำหรับโครงการผลประโยชน์หลังออกจากงานอื่นๆ ให้ (ต่อ) กำหนด PV ของภาระผูกพันของผลประโยชน์อย่างสม่ำเสมอเพียงพอเพื่อมิให้จำนวนที่รับรู้ในงบการเงินแตกต่างอย่างเป็นสาระสำคัญจากจำนวน ณ วันที่ในงบดุล ใช้วิธีคิดลดแต่ละหน่วยที่ประมาณการไว้ (Projected Unit Credit Method) เพื่อวัดมูลค่าภาระผูกพันและต้นทุน จัดสรรผลประโยชน์ให้ปีที่ให้บริการตามสูตรคำนวณผลประโยชน์ของโครงการ เว้นแต่การให้บริการในปีหลังๆ จะนำไปสู่ผลประโยชน์ที่มากขึ้นกว่าปีก่อนๆ อย่างเป็นสาระสำคัญ สำหรับโครงการผลประโยชน์หลังออกจากงานอื่นๆ ให้ (ต่อ) ใช้ข้อสมมติจากการประมาณตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เป็นกลางและเป็นอิสระในการเปรียบเทียบกันได้เกี่ยวกับตัวแปรทางประชากรศาสตร์ (เช่น อัตราการออกจากงานและการมรณะ) และตัวแปรทางการเงิน (เช่น เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต การเปลี่ยนแปลงต้นทุนค่ารักษาพยาบาลและผลประโยชน์บางอย่างของรัฐ) กำหนดอัตราคิดลดโดยอ้างอิงกับอัตราผลตอบแทนในตลาดของหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับดี ณ วันที่ในงบดุล และใช้สกุลเงินและเงื่อนไขที่สอดคล้องกับสกุลเงินและเงื่อนไขของภาระผูกพันผลประโยชน์หลังออกจากงาน รับรู้ต้นทุนบริการในอดีตด้วยวิธีเส้นตรงตลอดระยะเวลาเฉลี่ยจนกว่าพนักงานจะได้รับผลประโยชน์ที่ปรับเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด คำพิพากษาฎีกาที่ 6966-6971/2542 ระบุว่าการกำหนดให้ลูกจ้างเกษียณอายุเมื่ออายุ 60 ปี ถือเป็นการเลิกจ้างอย่างหนึ่ง ดังนั้น นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้ลูกจ้างตามอัตราที่กำหนดในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 118 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังต่อไปนี้ ระยะเวลาการจ้าง ค่าตอบแทนเมื่อเลิกจ้างก่อนกำหนด มากกว่า 120 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี ค่าจ้าง 30 วัน หรือเงินเดือน 1 เดือน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี ค่าจ้าง 90 วัน หรือเงินเดือน 3 เดือน 3 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี ค่าจ้าง 180 วัน หรือเงินเดือน 6 เดือน 6 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี ค่าจ้าง 240 วัน หรือเงินเดือน 8 เดือน ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ค่าจ้าง 300 วัน หรือเงินเดือน 10 เดือน Model การคำนวณ Employee Benefit Obligation สภาวิชาชีพบัญชีได้จัดทำ Model การคำนวณ Employee Benefit Obligation อย่างง่ายให้กิจการต่าง ๆ นำไปใช้ได้โดยไม่ต้องจ้าง actuarial  อย่างไรก็ดี Model ดังกล่าวอาจไม่เหมาะกับกิจการที่มีลักษณะการให้ผลประโยชน์พนักงานแบบซับซ้อน หากกิจการเหล่านั้นนำ Model อย่างง่ายไปใช้ อาจทำให้มูลค่า Employee Benefit Obligation ที่คำนวณได้ไม่ถูกต้อง เมื่อ: 2010-08-10T01:19:49+00:00 Ii'8N: แต่เห็นหลายข่าวบอกว่า ประเดิมกับ SET50 ก่อน แต่ทั้งตลาดไม่รู้จะเมื่อไหร่ เมื่อ: 2010-08-10T01:28:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จะ "ตกรถ" กัน ( หรือเปล่า ) !!!! LOSO: "กรีนสแปน"ชี้จุดเลวร้ายที่สุดของศก.สหรัฐผ่านไปแล้ว อลัน กรีนสแปน เผย จุดเลวร้ายที่สุดของเศรษฐกิจสหรัฐผ่านพ้นไปแล้ว กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : (14มิ.ย.) นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด บอกต่อที่ประชุมเศรษฐกิจละตินอเมริกาเมื่อวันศุกร์ผ่านทางวีดีโอประชุมทางไกลจากสหรัฐว่า จุดเลวร้ายที่สุดของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐได้ผ่านพ้นไปแล้ว และมีความเป็นไปได้น้อยลงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง เมื่อเดือนที่แล้ว นายกรีนสแปนได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ว่า เขาเชื่อว่า มีความเป็นไปได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ความคิดเห็นล่าสุดของกรีนสแปน เป็นไปในทิศทางเดียวกับความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนที่เชื่อว่า เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐ จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แม้จะมีวิกฤตสินเชื่อบ้านและราคาน้ำมันพุ่งสูง โดยสหรัฐเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งหลังสุดเมื่อปี 2544 ซึ่งหมายถึงการที่เศรษฐกิจไม่ขยายตัวเป็นเวลา 2 ไตรมาสติดต่อกัน รัฐบาลสหรัฐระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในไตรมาสแรกของปีนี้ในอัตรา 0.9 เปอร์เซ็นต์สูงกว่าการคาดการณ์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีไตรมาสแรกขยายตัวที่ 0.6% เท่ากับไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/1 ... 267097.php เมื่อ: 2008-06-14T15:13:36+00:00 LOSO: ภาษาปะกิด .............. Greenspan Says Markets Show `Pronounced Turnaround' (Update3) By Andres R. Martinez and Steve Matthews June 13 (Bloomberg) -- Former Federal Reserve Chairman Alan Greenspan said that financial markets, roiled by the collapse of the subprime-mortgage market, have shown a ``pronounced turnaround'' since March. ``The worst is over in the financial crisis or will be very soon,'' the former Fed chairman said in remarks via satellite today to a conference in Mexico City. ``There is a reduced possibility of a large, intense recession.'' He added that he has a ``sense'' that tax rebates have helped retailers. Greenspan's remarks echo the assessment of Fed Chairman Ben S. Bernanke this week, who said that the danger of a ``substantial downturn'' in the economy had receded. Economists surveyed by Bloomberg News this month indicated a smaller likelihood of a recession compared with May. Greenspan also offered a measure for telling when the markets have returned to normal. ``We will learn that this crisis has come to an end'' once the gap between the London Interbank Offered Rate and the overnight index swap rate narrows past 25 basis points, near where it was on Aug. 8, he said. A basis point is 0.01 percentage point. Crisis Measure Libor is a benchmark rate for loans between banks, while the so-called OIS rate is a measure of what traders expect for the Fed's benchmark rate. The spread between three-month Libor and the equivalent maturity OIS rate was about 69 basis points today, down from a high for the year of 90 basis points in April. It averaged about 19 basis points over the past five years. The spread is ``unlikely'' to reach the lows of Aug. 8 and earlier because ``risk was very heavily underpriced'' at the time, Greenspan said in a subsequent telephone interview. The financial crisis deepened in August when European banks acknowledged their vulnerability to rising delinquencies on American subprime mortgages and some funding markets seized up, forcing Countrywide Financial Corp., the biggest U.S. mortgage lender, to tap credit lines with banks. Greenspan added that rebate checks that are intended to stimulate consumption are bringing about increased sales. ``There is a sense it is buoying the retail market,'' adding the U.S. economy has shown a ``remarkable resilience.'' A government report yesterday showed that retail sales in May rose 1 percent, twice as much as economists had forecast, as consumers spent the federal tax rebates from a fiscal stimulus plan. U.S. gross domestic product grew at a 0.9 percent annualized pace in the first quarter, capping off the weakest six months in five years. Food Prices At the same time, Greenspan said rising food prices have had a ``devastating'' effect on Mexico and globally. He said he believes speculation has contributed to the rise in oil and food prices, while declining to forecast oil prices. Greenspan's comments compare to his view in February that the odds of a recession were ``50 percent or better'' and that the slump could be deeper than the previous two contractions. Defaults on subprime mortgages in the U.S. have triggered a worldwide credit crunch, with banks and financial institutions reporting $391 billion in writedowns and losses stemming from bad debt. The persistent slump in the housing market is putting ``major downward pressure'' on the economy, said Greenspan, who served as Fed chairman from August 1987 to January 2006. He said housing remains a ``critical problem'' and financial markets may not recover fully until home prices stabilize, ``perhaps by the end of the year.'' The former chairman reiterated his view that there will be a test of the Fed's independence in the next few years as inflation accelerates. Fed policy makers will have to put ``increasing pressure'' on money supply to combat inflation, and ``as a result you will see interest rates rising,'' he said. http://www.bloomberg.com/apps/news?pid= ... voNdOw5mrg เมื่อ: 2008-06-14T15:15:09+00:00 poppo: ไม่กลัวตกรถหรอกครับพี่ loso เพราะเต็มพอร์ทตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่กลัวจะกำลังนั่งอยู่ในรถที่มันกำลังตกเขาน่ะสิครับ น้ำมันวิ่งอย่างนี้ อีกเดี๊ยวก็ 200usd/barrel แล้ว พอร์ทผมไม่มีพลังงาน และพลังงานทดแทนเลยครับ   เมื่อ: 2008-06-14T16:24:18+00:00 miracle: มันไม่ใช่ที่ US แต่ตอนนี้กลัวเป็นแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ: 2008-06-14T16:56:36+00:00 สวนหย่อม: อ่านข่าวนี้แล้วนึกถึงกระทู้นี้ ขอขุดขึ้นมาหน่อยนะครับ ปธ.เฟดยอมรับ ศก.สหรัฐใกล้พัง นลท.เชื่อ อัศวินม้าขาวมีจริง โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 สิงหาคม 2551 15:44 น. คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น ปธ.เฟด ยอมรับ ศก.สหรัฐเข้าสู่จุดอันตราย แนะจับตาตลาดการเงินที่กำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญที่สุด และอาจต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวด ในประวัติศาสตร์ ผจก.กองทุนเอไอจีฯ เชื่ออัศวินม้าขาวมีจริง คาดสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งพ้นวิกฤตได้             วันนี้ (23 ส.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของเฟดที่แจ็คสัน โฮล โดยกล่าวยอมรับว่าพายุทางการเงินในประเทศสหรัฐ ยังไม่บรรเทาลง ความปั่นป่วนในตลาดทำให้เกิดการท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งทางเศรษฐกิจ เท่าที่เขาเคยจำความได้ ทั้งนี้ เฟดกำลังทำงานหลายด้านเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด พร้อมระบุว่าความพยายามของธนาคารกลางในอันที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการลดดอกเบี้ย ต้องยากลำบากขึ้นเพราะเงินเฟ้อพุ่ง แต่เฟดก็ยังคาดว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจะบรรเทาลงเมื่อการขยายตัวลดลง             นายเบอร์นันกี เชื่อว่าวิกฤตเงินเฟ้อของสหรัฐ น่าจะคลี่คลายลงได้ ในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า และเตือนผู้บริหารระดับนโยบายให้รีบดำเนินการหากพบว่า ราคาที่ปรับตัวขึ้นนี้ไม่ได้ชะลอตัวลงในระยะกลาง โดยค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนตัวลง น่าจะทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่ระดับปานกลาง             ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดมุ่งมั่นในการสร้างเสถียรภาพด้านราคาในระยะกลาง และจะดำเนินการหากเห็นว่าจำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อพิจารณาจากแรงกดดันด้านราคาที่สูงขึ้น โดยวิกฤตการเงินยังไม่สิ้นสุดลง และอาจจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจอ่อนตัวลง รวมทั้งอัตราว่างงานสูงขึ้น             เบอร์นันกี กล่าวอีกว่า การรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน ธนาคารต่างๆควรจะพิจารณาถึงวิธีการปรับปรุงกฎระเบียบในการกำกับดูแลเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต             นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังชาวสหรัฐ กล่าวว่า ในคำจำกัดความของเขาแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ในภาวะถดถอย และจะอยู่ในสภาพนี้ไปอีกหลายเดือน โดยเขาเชื่อว่า แฟนนี เม และเฟรดดี แมค สองยักษ์ใหญ่ปล่อยกู้ด้านการจดจำนอง มีขนาดใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้มละลายได้             ขณะที่นายจอห์น ลิปสกี้ รองกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงหลัง ดีกว่าที่คาด แต่เศรษฐกิจสหรัฐอาจหดตัวในครึ่งปีหลัง             ด้านนายจอห์น เมสซี ผู้จัดการการลงทุนของเอไอจี ซันอเมริกา แอสเส็ท เมเนจเมนท์ กล่าวว่า นักลงทุนขานรับการแสดงความเห็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย และโอกาสที่จะมีอัศวินม้าขาวที่เข้ามาซื้อหุ้นของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งของสหรัฐ ซึ่งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ร่อแร่             อย่างไรก็ดี การที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีได้ออกมากล่าวแสดงความคิดเห็นว่า เศรษฐกิจจะยังคงถดถอยต่อไปอีกสักระยะหนึ่งภายใต้คำจำกัดความของวอร์เรน และวิกฤตสินเชื่อจะยังคงเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาในภาคธุรกิจการเงินและเศรษฐกิจนั้น สกัดความหวังของนักลงทุนในตลาดที่ว่า แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลสหรัฐให้การสนับสนุน (GSE) และมีหน้าที่จัดหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ซื้อบ้าน             ทั้งนี้ หากแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครั้งใหม่ ก็อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐเพิ่มทุนด้วยตัวเอง ด้วยนำเงินของผู้เสียภาษีมาซื้อหุ้นทั้งหมดของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค และรวบกิจการทั้งหมดมาเป็นของรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้หนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อ: 2008-08-24T17:39:09+00:00 oatty: ตกรถไม่กลัว กลัวรถตกเหว  :lol:  :lol: เมื่อ: 2008-08-25T00:49:50+00:00 i_sarut: กะจะโพสข่าวเดียวกับ พี่สวนหย่อม พอดีเลย  :lol: เมื่อ: 2008-08-25T04:19:27+00:00 charnengi: กลัวว่าวันนี้ รถจะถอยมาทับ สิครับ เมื่อ: 2008-08-26T02:47:41+00:00 kornjackrit: อยู่กันคนละขั้วเลยครับ 55+ แล้วจะเชื่อใครดีหว่า >>> เชื่อตัวเอง ?? เอิ๊กๆๆๆ หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเร็วๆนี้ครับ  :D  :D เมื่อ: 2008-08-27T06:45:12+00:00 Peter1011: May I dig up this thread, just to let you know that "HE WAS WRONG", 2008 Q4 was the worst. เมื่อ: 2021-02-23T17:45:25+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มั่งคั่ง หา มั่นคง areliang: วันหนึ่ง คุณ มั่งคั่ง ได้ไปนั่งทานข้าวกับ คุณ มั่นคง ในร้านอาหารชั้นดีพองาม แล้วก็ตกลงว่าสั่งอาหารกินกันแบบส่วนใครส่วนมัน คุณมั่งคั่ง ก็เริ่มสั่งอาหารก่อน สั่งของกินเล่นมาหนึ่งอย่าง แล้วก็กับข้าว 3 อย่าง แต่คุณมั่งคั่งไม่สั่งข้าวเปล่านะครับมักจะกินแต่กับข้าว คุณมั่นคง เห็นคุณมั่งคั่งสั่งอาหาร แล้วก็ถามว่า สั่งเยอะจังแล้วคุณมั่งคั่งจะกินหมดเหรอครับ ในใจก็คิดไปด้วยว่า สงสัยคุณมั่งคั่งคงจะรวยจริงนะเนี่ย กินที อิจฉานะเนี่ย คุณมั่นคง ก็สั่งอาหารบ้าง ก็เลือกกับข้าวที่เค้าชอบมาก 1 อย่าง พร้อมกับข้าวเปล่า พอสั่งเสร็จ พนักงานก็ยังคงยืนรออยู่คุณมั่นคงเลยบอกบอกพนักงานว่าเท่านี้ละครับ ด้วยความอายเล็กน้อย ว่าคนนึงสั่งตั้งเยอะ ตัวเค้าสั่งเพียงกับข้าวอย่างเดียว หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกัน เรื่องหุ้น ด้วยทั้งสองคนนี้อยู่กับหุ้นมานาน คุณมั่งคั่ง เริ่มก่อนเลย เพิ่งได้มาเลย ซื้อตัวนี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อาทิตย์นี้ตลาดดี คนมาเล่นตัวนี้ เลยขึ้นมาตั้ง 10 กว่า% ได้มาเหนอะๆ ตั้งหลายหมื่น คุณมั่นคงมีความอิจฉาเล็กๆในใจเกิดขึ้นอีกแล้ว ดีว่ะ อาทิตย์เดียวได้ สิบกว่า% และคุยว่า ตัวผมนะ หุ้นขึ้นก็ไม่ได้ตัง หุ้นลงก็เสียมูลค่าในพอร์ต จะได้ก็ได้แต่ปันผลปีละ 5-6 %(ตัวที่ให้ปันผลน้อยสุด) คุณ มั่น(มั่นคง) ถามตอบว่า แล้วคุณมั่ง(มั่งคั่ง)สั่งอาหารตั้งเยอะจะกินหมดเหรอ ไม่เสียดายตังเหรอ คุณ มั่ง ตอบว่า กินหมดอยู่แล้ว หาเงินมาได้ตั้งเยอะ ก็ต้องรู้จักใช้สิ ไม่รู้จักใช้จะหามาทำไม เงินหมดก็หาใหม่  แล้วคุณมั่นล่ะ ทำไม่สั่งแค่อย่างเดียว จะอิ่มเหรอ 55 หรือว่างก คุณมั่น จึงตอบว่า อืม จริงๆถ้าผมจะสั่งกับข้าวหลายๆอย่างแบบคุณมั่ง ผมก็น่าจะทำได้ ก็ไม่รู้สิ จะว่าว่างก ก็อาจจะได้ แต่รู้สึกกินอย่างเดียว กินข้าวด้วย มันก็อิ่มแล้วอ่ะ แล้วรู้สึกว่า กินแบบนี้จะทำให้สามารถมากินในร้านแบบนี้บ่อยครั้งขึ้น แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนกับข้าวไปเรื่อยๆ แต่ก็อาจจะทำให้อดได้โอกาสได้รับรสชาตกับข้าวสามอย่างในคราวเดียว จริงป่ะ คุณมั่ง สั่งกับข้าว 3 อย่างเอาเป็นสมมุติราคาจานละ 150 บาท เท่ากับมื้อนี้ 450 บาท แต่ถ้ากินแบบ คุณมั่น กับข้าว 1 อย่าง ก็เท่ากับมื้อนี้ 150 บาท คุณมั่งกิน1มื้อ คุณมั่นสามารถกินได้3มื้อ คุณมั่นพูดต่อว่า150 บาท ได้นั่งกินร้านบรรยากาศดีๆ กับข้าวอร่อยๆสักอย่าง ก็ ok แล้วล่ะ   และหลังจากทานอาหารเสร็จ ก็พูดกันว่าไว้อาทิตย์หน้ามากินกันอีกนะ เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ก็มากินที่ร้านใหม่ เป็นร้านอาหารชั้นดีพองามแบบเดิม ลักษณะการสั่งอาหารก็แบบเดิมๆ แล้วก็เริ่มคุย คุณมั่งคั่ง เริ่มก่อนเลย อาทิตย์นี้อย่างแย่ ตลาดหุ้นร่วง โดนไป 10 % เลย โดนไปหลายหมื่น เซ็งจัด คุณมั่นคงจึงตอบว่า เอาน่าอาทิตย์ก่อนได้มา หักลบกันก็ยังได้กำไรน่า คุณมั่งคั่งตอบ ก็จริงก็ยังกำไรอยู่ แต่อาทิตย์ก่อนมีเงินในกระเป๋ามากกว่าตอนนี้ตั้งหลายหมื่นนะ แล้วหุ้นคุณมั่นคงเป็นไงบ้าง คุณมั่นคงตอบ ก็เหมือนเดิม หุ้นขึ้นก็ไม่ได้ตัง หุ้นลงก็เสียมูลค่าในพอร์ต จะได้ก็ได้แต่ปันผลปีละ 5-6 %(ตัวที่ให้ปันผลน้อยสุด) คุณมั่งคั่งตอบ ก็ดีเนอะไม่เดือดร้อนอะไรดี คุณมั่นคงตอบ เวลามั่งคั่งขึ้นมาได้ การรักษาความมั่งคั่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่ได้ความมั่งคั่งมาจากการซื้อขายหุ้น ซึ่งได้กำไรจากการที่ตลาดหุ้นให้มูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้น เป็นพลังของนายตลาด ซึ่งคาดการณ์ให้ถูกต้องได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นถ้าเราคาดการณ์ผิดนายตลาดก็จะทำให้เราขาดทุนได้ไม่ยาก ความมั่งคั่งแบบนี้เลยไม่สามารถตอบได้ว่าจะมั่นคงหรือไม่ แต่ถ้าลงทุนหุ้นในรูปแบบธุรกิจ ธุรกิจที่ดี ที่เป็นที่นิยม สร้างกำไรได้ เราก็จะได้ผลตอบแทนในรูปปันผล อาจจะเป็น % ที่น้อยแต่ก็ยังได้เรื่อยๆ และความมั่นคงนั้น เกิดจากการก่อร่างสร้างตัวของธุรกิจเอง ความมั่งคั่งนั้นควรพร้อมด้วยความมั่นคงถึงจะอยู่ได้ยาวนาน ความมั่งคั่งไม่สามารถรับประกันว่าจะมั่นคง แต่ความมั่นคงมักจะค่อยๆสร้างความมั่งคั่ง การถึงพร้อมทั้งสองอย่างจะสร้างความมั่งคั่งที่มั่นคง เมื่อ: 2008-12-20T10:09:16+00:00 SunShine@Night: เยี่ยมครับ อ่านเพลินมากๆ เมื่อ: 2008-12-20T17:33:50+00:00 Khunchat: คุณareliang  ผมว่าต้องตั้งคุณ อาเหลียง เป็นนักเขียนบทความชั้นยอดด้านเล่าเรื่องประจำ TVI แล้วหละครับ เพื่อนๆคิดเห็นว่ายังไงบ้างครับ เมื่อ: 2008-12-21T01:01:44+00:00 kornjackrit: areliang เขียน:ความมั่งคั่งนั้นควรพร้อมด้วยความมั่นคงถึงจะอยู่ได้ยาวนาน ความมั่งคั่งไม่สามารถรับประกันว่าจะมั่นคง แต่ความมั่นคงมักจะค่อยๆสร้างความมั่งคั่ง การถึงพร้อมทั้งสองอย่างจะสร้างความมั่งคั่งที่มั่นคง     ขอบคุณสำหรับข้อคิดและบทความดีๆที่คุณ areliang มาแบ่งปันให้เสมอมา เมื่อ: 2008-12-21T03:19:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นปันผลสูงเหล่านี้ตัวไหนพอจะเป็น super stock ได้บ้างครับ proxima: PTL : บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) STANLY : บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) KYE : บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) DSGT : บริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) IFEC : บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) ADVANC : บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) BH : บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) BJC : บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) BOL : บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) CPF : บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) DCC : บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) HTECH : บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) MAKRO : บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) JUBILE : บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) TIW : บริษัท ไทยแลนด์ไอออนเวิคส์ จำกัด (มหาชน) JCT : บริษัท แจ๊กเจียอุตสาหกรรม (ไทย) จำกัด (มหาชน) KYE : บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) MCS : บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) PTTEP : บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) RATCH : บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) INTUCH : บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SPORT : บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) TNDT : บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) TPAC : บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) TUF : บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อ: 2011-08-23T03:49:24+00:00 lengmanutd: ส่วนตัวมอง BH ADVANC CPF ครับ เมื่อ: 2011-08-23T06:54:25+00:00 Croyoty: ADVANCE BH CPF TUF เมื่อ: 2011-08-23T09:07:42+00:00 baggyman: cpf โลด เมื่อ: 2011-08-23T09:49:21+00:00 siamkrub: ส่วนตัวนะครับ BH. ^^ เมื่อ: 2011-08-23T11:47:01+00:00 Paul VI: คุณ proxima ตัดสินปันผลที่ว่าสูง ต้องอย่างน้อยอยู่ที่กี่ % ขึ้นไปครับ เมื่อ: 2011-08-23T12:01:39+00:00 บูรพาไม่แพ้: ผมก็ว่านะ บางตัวไม่เห็นจะปันผลสูงเลย ถ้าเป็นร้านหนังสือก็ว่าไปอย่าง เมื่อ: 2011-08-23T12:17:36+00:00 proxima: Paul VI เขียน:คุณ proxima ตัดสินปันผลที่ว่าสูง ต้องอย่างน้อยอยู่ที่กี่ % ขึ้นไปครับ พอดีผบก๊อปมาจากบล๊อกนี้ เห็นรายชื่อหุ้นคร่าวๆก็พื้นฐานค่อนข้างดี เลยนำมาโพสต์ครับ http://sharesuperstock.blogspot.com/2011/06/7-8.html ไม่ได้กำหนดว่าต้องปันผลกี่ % เมื่อ: 2011-08-23T12:36:17+00:00 proxima: chom13 เขียน:ผมก็ว่านะ บางตัวไม่เห็นจะปันผลสูงเลย ถ้าเป็นร้านหนังสือก็ว่าไปอย่าง หุ้นดังกล่าวข้างต้น ถ้าเข้ามาตลาดหลายๆปี ดูจะมีสถิติปันผลค่อนข้างสม่ำเสมอ หุ้นบางตัวอาจมีปันผลสูงมากในปีนี้ แต่พอไปดูย้อนหลังบางปีก็น้อย บางปีก็ไม่มีเลยครับ เมื่อ: 2011-08-23T13:00:44+00:00 pot_c: ส่ง HTECH เข้าประกวดครับ (เพราะมีหุ้น ) ส่วนตัวคิดว่าเป็นหุ้นgrowthเนื่องจากผลิตสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ไม่ยักรู้ว่าweb อื่นให้เป็น super stock ด้วย ส่วนข้อเสียคือหุ้นไม่ค่อยมีสภาพคล่องครับ ผู้บริหารขายมาทีราคาก็ตก ราคาเลยยังไม่ไปไหน ต้องรอผู้บริหารขายหมดก่อน เมื่อ: 2011-08-23T13:15:10+00:00 syj: PTL : หุ้นวัฏจักร ... DCC : อดีตหุ้น ซุป'ตาร์ ตอนนี้ So-So ครับ ราคาถือว่าแพงเมื่อเทียบกับ P/E ปันผลก็ไม่เท่าไรแล้ว เติบโตคงไม่ได้มาก เพราะดูจากนโยบายของ ผบห.รุ่น ใหม่ ตอน Opp.Day ยังคงไม่มีอะไรใหม่ครับ ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่น่าจะมองว่า DCC ตอนนี้กลายเป็น Retail แล้วอย่างที่ ท่าน ดร. ไ้ด้เขียนไว้ แต่ยังมองว่าเป็น Manufacturing เอวัง หมดหวังครับ CPF น่าจะมีความหวังมากที่สุด เพราะแนวโน้ม อาหารขาดแคลน และราคาสูง มีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากประชากรโลกเิริ่มเกิดจุดที่ทรัพยากรโลกจะรับไหวแล้ว ฺBH : Single Location, OK ซื้่อหุ้น KH มาบางส่วน แต่ยังไม่ถึง 40% - 50% ยังไม่เป็น บริษัทลูกจริงๆ เสี่ยงครับ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแถวๆ นั้น เช่นแผ่นดินไหว อาจจบข่าวได้ง่ายๆ BGH เหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง โรงพยาบาลเอกชนในประเทศนี้ มากกว่า 50% น่าจะเป็นของ BGH เจาะตลาดทุกกลุ่ม A, B, C มีหมด มีสาขาตามหัวเมืองใหญ่ๆ อีก ถ้าต้อง Dividend Yield, Conservative และรับความเสี่ยงเรื่องโลเคชั่นได้ BH ก็น่าจะเหมาะสมกับนักลงทุนคนนั้นๆ ได้ดีกว่า แต่ถ้าเน้นเติบโต Aggressive BGH ดีกว่า ADVANC : น่าจะดีที่สุดในบรรดา ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เหนือกว่าคู่แข่งทุกด้าน ตัวนี้น่าสนใจ แนวโน้มเติบโตดีเพราะ 3G และ 4G ในอนาคต ตัวอื่นๆ ไม่ค่อยรู้จักครับ เมื่อ: 2011-08-24T06:43:03+00:00 kasei: HTECH ครับ เมื่อ: 2011-08-25T15:09:58+00:00 Dangdao: DSGT เพราะมีการลงทุนต่างประเทศด้วย เมื่อ: 2011-08-25T16:12:15+00:00 wk0966: salee ticon เมื่อ: 2011-08-25T16:18:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากทราบว่ามีหุ้นตัวไหนบ้างที่ ย้าย จาก Mai ไป set ในอดีตที kyoza: อยากทราบว่ามีหุ้นตัวไหนบ้างที่ ย้าย จาก Mai ไป set ในอดีตที่ผ่านมาบ้างครับ แล้ว มีผลดีอย่างไรบ้างครับ เมื่อ: 2013-03-07T04:32:28+00:00 teevalue: OFM ส่วนตัวคิดว่ามีผลด้านจิตวิทยาครับ เมื่อ: 2013-03-07T05:45:55+00:00 Financeseed: spcg เข้าแล้ว trc ใกล้เข้า เมื่อ: 2013-03-07T05:59:27+00:00 saichon: คุ้นๆว่าจะมี brock อีกตัวครับ เหตุผลจำไม่ค่อยได้แต่คุ้นๆอีกเหมือนกันว่าเมื่อย้ายเข้าset จะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุนที่จะมาร่วมทุนหรือเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าอะไรนี่แหละครับ แฮ่..ถ้าจำผิดก็ขออภัยน๊ะครับ เพราะตัวนี้ในอดีตผมเคยถือลงทุน แต่ปัจจุบันพยายามทำเป็นลืมๆ ว่าเคยขาดทุน ฮา... เมื่อ: 2013-03-07T06:49:52+00:00 leky: TEAM DEMCO อาจจะทำให้ได้รับความสนใจจากนลท.สถาบันมากขึ้นครับ เมื่อ: 2013-03-07T08:59:42+00:00 leky: ส่วน NPK นี่สวนทางครับ เคยอยู่ SET แล้วไปอยู่ในกลุ่ม Rehab กลับมาใหม่ทุนจดทะเบียนลดลงเลยไปอยู่ MAI เมื่อ: 2013-03-07T09:02:56+00:00 Ryotaro: SPCG DEMCO TPOLY OFM ผลดี ได้รับความสนใจจากนักลงทุน สถาบันการเงิน และกองทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นมากขึ้น ทำให้มีสภาพคล่องในการซื้อขายมากขึ้น ราคามีเสถียรภาพมากขึ้น ปริมาณการซื้อขายเป็นไปตามสภาพตลาด หากต้องการใช้เงินทุนเพื่อขยายกิจการ ก็จะเข้าถึงทุนได้ดีขึ้นและง่ายขึ้น เมื่อ: 2013-03-07T09:24:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
zinc is going to sink? sirihankh: ซื้อหุ้นสังกะสีไว้ เพราะเห็นราคาลงมาเยอะ แต่ดูเหมือนราคาของ metal ทั้งหลายกำลังตกลงอย่างมาก สงสัยว่าราคามันเลยช่วง peak ไปแล้วและกำลังจะเป็น down cycle หรือแค่ถูก take profit ชั่วคราว ขอรบกวน TVI ที่ติดตาม ศึกษาเกี่ยวกับตลาดสังกะสี ช่วยวิเคราะห์ ให้คำแนะนำด้วยค่ะ เมื่อ: 2006-05-20T02:11:07+00:00 Rocker: ซื้อ commodity ไว้ก็น่าจะทําใจนะครับ เมื่อ: 2006-05-20T07:24:46+00:00 worapong: อันที่จริงเราจะมั่นใจว่ามันผ่านจุดสูงสุดได้เมื่อมันตกลงมาเยอะๆแล้วนะครับ ด้วยความคิดอันมีอคติของผม ผมยังมั่นใจว่ามันน่าจะไปต่อได้ เพราะราคาสังกะสีเพิ่งจะขึ้นเป็นบ้าเป็นหลังได้ไม่ถึงหนึ่งปี นั่นหมายความว่า กำลังการผลิตใหม่ๆยังเข้ามาไม่ทันแน่นอน เพราะเค้าใช้เวลาเร็วสุดก็หนึ่งถึงสองปี กว่าจะเริ่มเปิดเหมืองที่เจ๊งไปขึ้นมาใหม่ได้นะครับ แต่การที่ราคาของหุ้นผาแดงมันขึ้นลงได้เร้าใจ เพราะมันเป็นหุ้นวัฏจักรนั่นเองครับ อย่างไรก็ตามใครที่อยากลงทุนในหุ้นวัฏจักรคงต้องทำใจรับสภาพการเคลื่อนไหวที่เร้าใจสุดๆของราคาหุ้นให้ได้นะครับ  :roll:  :roll: เมื่อ: 2006-05-20T08:02:19+00:00 sunrise: Jim roger still bullish in Zinc. I do believe it's not the end of the circle for Zinc but it might be some correction in zinc price. In contrary, Padang price move up/down so fast is very much depend on Mr. Market  8) เมื่อ: 2006-05-20T08:21:33+00:00 สามัญชน: เห็นด้วยกับ worapong และ sunrise ครับ เมื่อ: 2006-05-20T11:43:01+00:00 Stock Broker: sirihankh เขียน:ซื้อหุ้นสังกะสีไว้ เพราะเห็นราคาลงมาเยอะ ( ต้นปี 49 ราคาอยู่แค่ 20 ต้นๆ มองยังไงครับว่าราคาลงมาเยอะ ยังอยู่เกินครึ่งบนมากพอสมควรด้วยซ้ำ เมื่อ: 2006-05-21T07:36:13+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แต้มต่อของเจ้ามือหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Thai VI Article: คนที่เคยเล่นไพ่ “ป๊อกเด้ง” หรือแม้แต่เกมการพนันอื่น ๆ และเป็นคนที่เข้าใจหลักการทางสถิติและผลตอบแทนจากผลลัพธ์ที่ออกมาจากเกมการพนันก็จะเข้าใจว่า ในเกม “การพนัน” นั้น “เจ้ามือ” จะมี “แต้มต่อ” หรือมีความได้เปรียบ “คนเล่น” บางอย่างทาง “สถิติ” นั่นก็คือ ถ้าเกมการพนันนั้นดำเนินไปเรื่อย ๆ บ่อย ๆ ครั้ง เจ้ามือก็จะ “กิน” หรือ “ได้เงิน” จากคนเล่น ส่วนคนเล่นโดยเฉลี่ยแล้วก็จะ “ถูกกิน” หรือเสียเงินให้กับเจ้ามือ นี่ยังไม่นับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียให้กับ “เจ้าของบ่อน” ที่เป็นคนจัดสถานที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเล่นแต่ละครั้ง แน่นอนว่าในการเล่นพนันแต่ละรอบนั้น บางทีคนเล่นก็ได้กำไรกินเงินเจ้ามือ บางครั้งบางช่วงก็กินติดต่อกันหลาย ๆ รอบจนเจ้ามือแทบจะหมดตัวหรือหมดตัวได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้ามือมีเงินมากพอที่จะเล่นไปได้เรื่อย ๆ และคนเล่นก็พร้อมที่จะเล่นต่อไปเรื่อย ๆ โอกาสก็เป็นไปได้ว่าเจ้ามือจะทำกำไรได้เสมอ แต้มต่อหรือข้อได้เปรียบของเจ้ามือในแต่ละเกมการพนันนั้นไม่เหมือนกัน การพนันอย่าง “หวยใต้ดิน” นั้น ในทางสถิติแล้วโอกาสที่จะถูกเลขท้ายสองตัวคือ 1 ใน 100 แต่ผลตอบแทนที่จะได้ของคนเล่นก็คือ ถ้าถูกก็จะได้แค่ 60 บาท ดังนั้น เจ้ามือหวยก็จะได้กำไรโดยเฉลี่ยคือ 40 บาท หรือ 40% ของการออกหวยแต่ละงวด นี่เป็นเกมที่เจ้ามือหวย “กิน” หรือทำกำไรได้ง่ายและตรงไปตรงมา ในเกมป๊อกเด้งนั้น ความได้เปรียบของเจ้ามือมีความซับซ้อน การแพ้ชนะของแต่ละเกมนั้นคนเล่นหรือเจ้ามือต่างก็จะได้เงินหรือเสียเงินเท่า ๆ กันขึ้นอยู่กับแต้มของแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ตาม เจ้ามือนั้นมี “ข้อได้เปรียบ” ก็คือ เขามีสิทธิที่จะเรียกดูไพ่ของคนเล่นก่อน โดยเฉพาะถ้าคน ๆ นั้น “จั่ว” หรือเรียกไพ่หลายใบและมีโอกาสสูงที่จะ “ตาย” ซึ่งจะทำให้เขาสามารถ “กิน” คนเล่นคนนั้นก่อนที่ตัวเขาเองจะจั่วไพ่ใบต่อไป ข้อได้เปรียบแบบนี้ถ้าเรียกในภาษาวิชาการหน่อยก็คือ เจ้ามือมี “Option” หรือมี “สิทธิ”เหนือคนเล่นซึ่งจะทำให้เขามีโอกาส “ชนะ” สูงกว่า ตลาดหุ้นนั้น โดยรวมแล้วเราอาจจะบอกว่าไม่ใช่ “บ่อนการพนัน” เพราะมันไม่ใช่สถานที่ที่คนเข้ามาเล่น “กินเงิน” กันโดยอาศัยผลลัพธ์ที่เป็นการละเล่นบางอย่างที่ไม่ก่อให้เกิด “มูลค่าเพิ่ม” ที่เป็นเม็ดเงิน ตลาดหุ้นนั้นมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจสร้างผลกำไรและจ่ายปันผลให้กับคนที่เข้ามา “ลงทุน” ซื้อหุ้นไว้ แต่ละปีตลาดหุ้นไทยจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนหลายแสนล้านบาท คนที่เข้ามาเล่นหุ้นโดยเฉลี่ยแล้ว “ได้เงิน” หรือได้ผลตอบแทนเกือบทุกปีแม้จะต้องจ่ายค่าบริการให้แก่เจ้าของสถานที่ซึ่งก็คือตลาดและคนให้บริการซึ่งก็คือโบรกเกอร์แล้ว อย่างไรก็ตาม ยกเว้นเรื่องของผลตอบแทนโดยรวมของนักลงทุนแล้ว การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยก็มี “อาการ” แทบทุกอย่างคล้าย ๆ กับ “การพนัน” และคนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ลงทุนส่วนบุคคลก็เข้ามาซื้อขายหุ้นในแบบที่อาจจะเรียกว่าเข้ามาเล่น “การพนัน” พวกเขาไม่ใคร่สนใจลงทุนเพื่อที่จะรอรับปันผลประจำปี เขาลงทุนเพื่อที่จะทำกำไร “เป็นรอบ ๆ” คล้าย ๆ กับการพนันที่มักจะเล่นเป็นรอบ ๆ เหมือนกัน นอกจากนั้น การซื้อขายหุ้นก็มักจะเล่นเป็นตัว ๆ และบ่อยครั้งหุ้นตัวนั้นก็จะมี “เจ้ามือ” ที่จะเข้ามาคอยชี้นำชักชวนให้คนเข้ามาเล่น พูดไปก็คล้าย ๆ กับว่าตลาดหุ้นนั้นเป็นแหล่งกลางที่ผมไม่อยากเรียกว่า “บ่อน” ที่มี “วงพนัน” หลาย ๆ วงที่เกิดรอบ ๆ หุ้นบางตัวโดยเฉพาะที่มีขนาดเล็กในแง่ของขนาดของธุรกิจ และก็มีคนที่ทำตัวเหมือน “เจ้ามือ” หุ้นตัวนั้น แต้มต่อของ “เจ้ามือหุ้น” ส่วนใหญ่ในความเห็นของผมก็คือ “Option” หรือ “สิทธิ” ที่เขาจะมีเหนือ “คนเล่น” ที่เข้ามาเล่นหุ้นตัวที่เขาเป็น “เจ้ามือ” Option แรกที่เจ้ามือหุ้นจะได้ก็คือการที่เขาซึ่งมักจะมีเม็ดเงินมากเมื่อเทียบกับขนาดของหุ้นหรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือขนาดของ Free Float หรือจำนวนและมูลค่าหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด เขาจะเข้ามาซื้อหุ้นในราคาที่ “ถูก” ก่อนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการทยอยเก็บหรือขอซื้อหุ้นบล็อกใหญ่จากเจ้าของหรือบริษัท แน่นอน นี่ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมายแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่สอดคล้องระหว่างคนให้กับคนรับ ดังนั้น มันจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เจ้ามือหุ้นนั้นมักจะมีโอกาสที่จะ “ประชาสัมพันธ์” หรือ “เชียร์หุ้น” ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่การปล่อยข่าวและบทวิเคราะห์ที่ดี ๆ ทุกด้านของบริษัท และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการ “ยืนยัน” ความ “ถูกต้อง” ด้วย “ราคาหุ้น” ที่วิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับการเผยตัว “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ทั้งสถาบันและบุคคลที่น่าเชื่อถือ และสุดท้ายก็คือ “ผลประกอบการ” ของบริษัทที่เติบโตน่าประทับใจ ทั้งหมดนั้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นจนนักเล่นหุ้นจำนวนมาก “ทนไม่ไหม” และเข้าร่วม “เล่น” ซึ่งก็มักจะส่งผลให้หุ้นถูก “Corner” หรือจำนวนหุ้นหมุนเวียนเหลือน้อยกว่าความต้องการมาก ผลก็คือ ราคาหุ้นขึ้นสู่ “อวกาศ” ค่า PE สูงเป็น 50 เท่า 100 เท่า โดยที่กำไรของบริษัทไม่อาจจะรองรับได้แม้ว่าบริษัทอาจจะโตปีหน้าได้ 50% แต่อนาคตระยะยาวจะไม่สามารถทำได้ Option ของเจ้ามือหุ้นอาจจะรวมถึงการได้รับข้อมูลลึก ๆ ที่คนเล่นไม่มี แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าเจ้ามือหุ้นนั้นมักจะรู้ “สถานะ” ของการหมุนเวียนของการซื้อขายหุ้นเนื่องจาก…เขาทำเอง เขาอาจจะสามารถ “ออกของ” หรือขายหุ้นในยามที่หุ้นกำลังขึ้นสูงมาก เขาอาจจะต้องหยุดขายและกลับมาซื้อถ้าหุ้นตกลงเพื่อประคองราคา เขาทำได้ถูกต้องเพราะเขา “นับหุ้น” อยู่ตลอดเวลา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบของเจ้ามือหุ้นที่มักจะทำให้พวกเขาได้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับ “คนเล่น” ที่หวังกำไรเร็วโดยไม่รู้ว่าการซื้อขายหุ้นตัวนั้นมันคือ “การพนัน” ที่ถูกออกแบบไว้ให้เจ้ามือกำไรมากในขณะที่คนเล่นนั้นมีโอกาส “เจ๊ง” สูงมาก วิธีการที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสียก็คือ อย่าเล่นถ้ารู้ว่าหุ้นมี “เจ้ามือ” เมื่อ: 2017-01-08T12:56:29+00:00 ดำ: อ่านแล้วนึกภาพออกชัดแจ๋วเลยครับว่าตัวไหน ขอบคุณ ดร.ที่เตือนสติครับ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อให้ใคร เมื่อ: 2017-01-08T14:17:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขึ้น VAT เป็น 10% ตุลาคม 2558 วรันศ์ บัฟเฟต: คสช.ยืดเวลาเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อีก 1 ปี ถึง 30 ก.ย. 2558 ก่อนปรับขึ้นเป็น 10% หลัง 1 ต.ค. 2558 .... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1nAnBPH เมื่อ: 2014-07-17T15:16:05+00:00 miracle: ถ้าหากย้อนอดีตกลับไปนั้น การเกิดขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น มาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีในช่วงครึ่งแรกของ 2530's (ช่วง 2530-2535) ช่วงนั้นมีปัญหาเรื่องภาษีการค้าที่เก็บซับซ้อนมากๆๆ กรมสรรพากรจึงปฏิรูปใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มแทนภาษีการค้า (ตอนนั้นยังเด็กมากๆๆ แต่ไปค้นหนังสือเลยเจอ) จากนั้น พอมีปัญหาต้มยำกุ้งเกิดขึ้น IMF ก็แนะนำให้เราขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมที่เก็บที่อัตรา 7% เป็น 10% แต่กลับกลายเป็นการซ้ำเติมปัญหาต้มยำกุ้ง เจอะเจอภาวะถดถอยเพิ่ม จึงมีการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 10% เหลือ 7% ตอนนั้นจำได้เลย ก่อนขึ้นภาษี 7% เป็น 10% เจองาน Fair งานหนึ่ง คนขายเชียร์ให้ซื้อของชูประเด็นของงานเลยว่า งานสุดท้ายก่อนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม พลาดมิได้ (โปรโมทกันอย่างกระหน่ำบ้านกระหน่ำเมือง) พอขึ้น ภาษีตัวนี้เสร็จ ทุกอย่างถอยหลังเข้าคลอง จนกระทั่งดำเนินการลดภาษีตามที่บอกไป แต่การลดภาษีนั้น ดำเนินการต่อครั้งละ 1 ปีเท่านั้น (ช่วงระยะเวลาคือ รอบปีงบประมาณของไทย คือ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม ถึง 30 กันยายนของทุกปีนั้นเอง) สิ่งหนึ่งที่สังเกตนิดหน่อย ตอนแรกประเทศไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอัีตราเดียวกันทั้งหมด ไม่แบ่งแยกว่าเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม + ภาษีท้องถิ่น (1/9ของภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่ตอนหลังมาเป็นรวมเพื่อ ส่งเสริมให้ประเทศไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นต่างๆ นั้นเอง ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นเป็นภาษีตัวใหญ่ของประเทศไทย เมื่อรัฐบาลขึ้นรายได้ต่อวันเป็น 300 บาท ลดภาษีบุคคลธรรมดาลงมา ลดภาษีนิติบุคคลลงมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้ ประชาชนและภาคเอกชนปรับตัวไปแล้ว ตอนนี้รอบของการจ่ายภาษีเพื่อให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในภาคการคลังซักที G=C+I+G+(X-M) T มันซ่อนอยู่ ลองหาดูล่ะกัน ว่าซ่อนอยุ่ที่ไหนในการสมการนี้ ปล ตอนนี้เอาภาพใหญ่ของปี 2557 อย่าเพิ่งไปวิตกกังวลเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยปกติมนุษย์นั้น วิตกกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ทางแก้ไขคือ ไปศึกษาประวัติศาสตร์ ทำให้เรารู้ว่า ในอดีตนั้นเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้ว ก็เท่านั้นเอง เมื่อ: 2014-07-17T16:59:35+00:00 luz666: สรุป 1. Vat จริงๆ 10% แต่ที่ผ่านมาลดเหลือ 7% (จนชิน) และจะหมดอายุการลดปีนี้ 2. คสช. ลดต่ออีกปี ปีหน้าว่ากันใหม่ 3. ส่วนตัวคิดว่าใครมาเป็น รบ. ก็ลดต่อ เพราะถ้าไม่ลด ของแพงขึ้นทันทีจากปกติที่เงินก็เฟ้ออยู่แล้ว เมื่อ: 2014-07-18T01:26:29+00:00 newbie_12: ผมว่าเดี๋ยวพอใกล้เวลา ก็ยืด 7% ไปอีกปี ต่อไปเรื่อยๆ เพราะฝั่งไหนขึ้น VAT คงเป็นรัฐบาลต่อได้ยาก เมื่อ: 2014-07-18T01:58:20+00:00 วัวทะโมน: เรื่องVAT มีประสบการณ์เรย...ถ้าขึ้นVATจริง....bottom line ของธุรกิจส่วนใหญ่น่าจะลดลงเพราะตอนแรกๆไม่สามารถขึ้นราคาผลักภาระให้ผู้บริโภคได้(เคยทัำธุรกิจทางการแพทย์จากเดิมเคยไม่เสียVATมาเปนเสียVAT..bottolineลดทันที)..ต้นทุนที่เปนlobor costก็ไม่สามารถclaimVATได้เพราะฉะนั้นบริษัทไหนที่ต้นทุนเปนแรงงานเยอะๆจะได้รับผลกระทบมาก......แต่ในระยะยาวเรื่องยอดขายจากกำลังซื้อก็คงต้องดูต่อไป... เมื่อ: 2014-07-18T02:13:48+00:00 yoko: ถึงปี58รบก็เลื่อนการขึ้นไปอีก555 เมื่อ: 2014-07-18T03:23:26+00:00 miracle: ตอนนี้วางระเบิดไว้รอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ให้ถอดชนวนระเบิดที่ตั้งเวลาไว้ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป แต่ถ้าหากมอง ณ เวลาไปถึงเวลานั้น บริษัทไหนที่มี Backlog มากๆๆต้องถามว่า งานที่คุณได้รับนั้น มูลค่าโครงการ รวมภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ถ้ารวมในราคาโครงการแล้ว งานนี้ก็ขำไม่ออก ถ้าไม่รวมก็รอดตัวไป เมื่อ: 2014-07-18T03:28:10+00:00 ลุงขวด: ประกาศมาแล้วครับ เริ่ม 1 ตุลาคม 2557 VAT จะเป็น 6.3% และ เมื่อถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2558 VAT จะเป็น 9% ครับ....ผมไม่ชอบเลยครับ ที่ จะลดเป็น 6.3% น่าจะคงระดับ 7% ไว้ จนถึง 1 ตุลาคม 2558 ค่อยแก้ไข นี่มาลดให้ 1 ปี แล้วก็ขยับขึ้นในปีถัดไป มันยุ่งยากครับ ต้องแก้ไขแบบฟอร์มต่าง ๆ แย่ไปเลย ไม่คุ้มกับที่ลดให้ 0.70% เลย เมื่อ: 2014-07-21T02:09:24+00:00 ลูกหิน: 7% เท่าเดิมครับลุงขวด อีก 0.7% เข้าองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นครับถ้าจำชื่อองค์กรไม่ผิดนะครับ ส่วนปีหน้าก็อาจจะขยายเวลาเก็บ 7% ต่อไปครับ รอรัฐบาลใหม่มาตัดสินครับ ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเศรษฐกิจไม่ได้ดีมากๆ โอกาสจะขึ้นคงยากครับ คงจะอยู่ที่ 7% อีกหลายปีครับ เมื่อ: 2014-07-21T02:14:09+00:00 ลุงขวด: ผมไม่ได้อ่าน ข้างล่างเลยเข้าใจผิดไปครับ อนึ่งอัตราภาษีดังกล่าวยังไม่รวมภาษีที่ต้องจัดสรรให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นอีกในอัตรา 1 ใน 9 ของอัตราภาษีที่จัดเก็บ โดยหากรวมภาษีที่ต้องจัดสรรให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นแล้ว การจัดเก็บอัตรา 6.3% ประชาชนจะต้องจ่ายจริง 7% และการจัดเก็บอัตราภาษี 9% ประชาชนจะต้องจ่ายจริง 10% ภาษีเพิ่มเท่ากับต้นทุนเพิ่ม การทำกำไรก็ลดลงเป็นธรรมดา ดังนั้นในปี 2558 ขึ้นไป หุ้นต่าง ๆ ก็ขยับขึ้นยากขึ้น เมื่อ: 2014-07-23T02:00:42+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถึงเวลาเปลี่ยนตัว tt: ตลาดแบบนี้ผมผ่านมาครั้งนี้ครั้งที่ 3 แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะมีเซียนหุ้นหน้าใหม่ที่มีเรื่องเล่าว่าช่วงเวลานี้เขาทำอย่างไร ขณะเดียวกันก็จะมีผู้ลาจาก สาปส่งตลาดหุ้น อยากบอกว่าถ้าทนที่จะเห็นหุ้นมันลงเยอะทุกวันไม่ได้ ถ้าคิดว่าหุ้นดีจริง เลิกสนใจตลาดครับไปทำงาน ไปเที่ยวให้สบายแล้วอีก ปี สองปี ค่อยมาดูใหม่ ถ้าเรายังดูทุกวันตลาดจะค่อยๆบีบเราให้เป็นผู้แพ้อย่างถาวร ส่ิงที่ผมพัฒนาขึ้นสำหรับรอบนี้ขึ้น ความอดทนที่จะถือหุ้นน้อยๆตอนตลาดขึ้นสูงๆ และทยอยรับเมื่อมันลงมาเรื่อยๆ จนวันนี้ก็ยังทยอยรับอยู่ ไม่รู้เหมือนกันรอบนี้จะจบอย่างไร และนานแค่ไหน ผมหวังว่ารอบนี้ผมจะถือหุ้นมากที่สุดเมื่อถึงเวลาตลาดกลับมา เมื่อ: 2011-09-23T05:13:19+00:00 เหล็งฮู้ชง: เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว เฉือนเนื้อตัวเอง เลือดซิปไปพอควร ทุ่มครั้งนี้เพื่อวันหน้า เมื่อ: 2011-09-23T12:54:55+00:00 chukieat30: ที่ผมพัฒนาขึ้นสำหรับรอบนี้ขึ้น ความอดทนที่จะถือหุ้นน้อยๆตอนตลาดขึ้นสูงๆ และทยอยรับเมื่อมันลงมาเรื่อยๆ จนวันนี้ก็ยังทยอยรับอยู่ ไม่รู้เหมือนกันรอบนี้จะจบอย่างไร และนานแค่ไหน ผมหวังว่ารอบนี้ผมจะถือหุ้นมากที่สุดเมื่อถึงเวลาตลาดกลับมา +1ให้ครับ โดยเฉพาะ ประโยคที่เพ้นทฺสี มันเป็นเรื่องจริงอยู่1 ข้อในวงการลงทุน คนใหม่ก้รวยได้ คนเก่าก้จนได้ มันเป็นเรื่องที่ แปลกจากระบบ เพราะถ้าเทียบกับการทำงาน คนเก่าฐานเงินเดือนและรายได้ยังไงก้มากกว่าคนใหม่ ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากครับ ทุกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติ คนเก่าบางคนก้ล้มหายไป เศรษฐีใหม่ก้มา สิ่งนี้แหล่ะ ที่ทำให้ผมชอบ เมื่อ: 2011-09-23T13:22:24+00:00 ziannoom: ชอบไม่พอขอเป็นเต้ยกับเค้าสักทีเถอะนะ ทำงานเก็บกระสุนเพิ่ม แล้วรอจังหวะงามๆ หวดใหเต็มเหนี่ยว เมื่อ: 2011-09-23T15:48:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ก็แค่กลับไปยืนที่เดิม ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นคุณจะซื้อมันไหม econometrica: ดูราคาก็รู้ว่ากลับไปยืนที่ C เมื่อวานซืน ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิด คุณจะซื้อหรือเปล่าล่ะ เมื่อ: 2006-12-20T02:52:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผมเห็นราคาหุ้นตอนนี้แล้ว น่าสวนมาก tk: ไม่ทราบท่านๆคิดอย่างไรครับ เมื่อ: 2004-04-29T08:25:35+00:00 Jeng: ตัวไหนครับ เมื่อ: 2004-04-29T08:26:06+00:00 tk: scc npc ครับ เมื่อ: 2004-04-29T08:31:13+00:00 Jeng: น่าสนใจทั้งคู่เลย เมื่อ: 2004-04-29T08:38:05+00:00 ลูกอิสาน: ผมสะกดใจ สวนไปบ้างแล้ว เพราะหลายตัวน่าสนใจจริงๆ เมื่อ: 2004-04-29T09:13:53+00:00 tk: ตัวหนายเอ่ย เมื่อ: 2004-04-29T09:23:10+00:00 ลูกอิสาน: ตัวที่คุณ tk ว่ามาน่ะครับ เมื่อ: 2004-04-29T09:38:53+00:00 Minesweeper: ช่วงนี้ตลาดเป็นของผู้ซื้อ ต่อราคากันหน่อยก้อดีครับ เผื่อได้ส้มหล่น เมื่อ: 2004-04-29T10:07:04+00:00 tk: วันนี้ต่อไม่ได้ แค่เกือบได้ พรุ่งนี้ต่อใหม่ ไม่รู้จะเซลล์ต่อหรือเปล่า 8) เมื่อ: 2004-04-29T10:20:48+00:00 tk: ผมก็ตามทยอยซื้อทั้งสองตัวนี้เหมือนกันครับ SCC ตั้งแต่ 236 และ NPC ตั้งแต่ 99.5 แต่สวนซื้อทีไรทำไมทุกที พื้นฐานหุ้นทั้งสองตัวผมคิดว่าดีครับ ถึงแม้ PE อาจจะสูง แต่สงสัยพรุ่งนี้หากลงต้องซื้ออีก เมื่อ: 2004-04-29T12:11:47+00:00 harry: ผมก็สอยไปแล้วเหมือนกัน หมดกระสุนเลย ถ้าเดือนหน้ายังลงแบบนี้ คงได้เก็บกันสนุกเลยสำหรับชาว vi :lol: เมื่อ: 2004-04-29T15:18:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครเล่นหุ้นมาตั้งแต่เขาเคาะที่กระดาน White Board บ้างครับ stp: คือตอนเด็กๆเห็นเขาซื้อขายโดย bid offer บนกระดาน white board มี broker ถือปากกา white board อันนึงตะโกน โวกเวก ส่งสัญญาณมือ ดูในข่าวหนะครับ เมื่อก่อนใครเป็นโบรกเกอร์ต้องรู้จักภาษามือมังครับ แต่สนใจหุ้นตั้งแต่ตอนนั้นดูมันสนุกดี ไม่รู้เขาทำอะไรกัน ถ้าใครยังอยู่ในสนามตอนนี้ก็คงมีประสบการณ์เยอะเลย เมื่อ: 2004-03-26T10:27:24+00:00 Jeng: ผมเคยเข้าไปสมัคร เป็นเด็กเคาะกระดานครับ อิอิ ตอนนั้นปี 2531 เรียนโท อยู่ธรรมศาสตร์ โฮ โฮ เขาไม่รับ เขาบอก เรียนสูงไป ไม่ยอมรับเรา สมัครงานครั้งแรก ก็ตกสัมภาษณ์ เลย อิอิ เมื่อ: 2004-03-26T10:29:02+00:00 Jeng: ต่อมาไม่นาน เราก็ได้เป็นเจ้าของบริษัท ที่ทำบอร์ดอิเลคโทรนิค ขาย ที่เห็นกันตาม โบรกเกอร์ต่างๆ อิอิ เป็นเจ้าของกับเขาหน่อยหนึ่ง เมื่อ: 2004-03-26T10:31:30+00:00 stp: ตอนที่ผมดูตอนนั้นประมาณ ป 5 น่าจะปี 2525 ตอน Gundum รุ่นแรกเลยครับ ตอนเป็นเด็กติดการ์ตูน เมื่อ: 2004-03-26T10:33:16+00:00 มือใหม่: เรียนโทจบตอน 2531 แสดงว่าคุณเจ๋งอายุเยอะแล้วนะครับ ฮิฮิฮิ :D เมื่อ: 2004-03-26T11:49:49+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
SCIB เพิ่ม 8800 เปอร์เซ็นต์ Jeng: น่าซื้อหรือไม่ เมื่อ: 2003-12-01T08:24:25+00:00 pinklady: SCIB เพิ่ม 8800 เปอร์เซ็นต์ ไม่เข้าใจค่ะ ช่วยอธิบายหน่อยค่ะ เมื่อ: 2003-12-01T08:47:12+00:00 Jeng: อ๋อ ก็ไปเปิดดูที่ Top gain วันนี้ดูซิครับ เมื่อ: 2003-12-01T08:56:40+00:00 Shaihalud: ก่อนหยุดการซื้อขายราคาอยู่ที่ 0.25 บาท จําได้ว่าประมาณ 4 ปีก่อนครับ 88 เท่า * .25 --------22 บาท เมื่อ: 2003-12-01T09:47:18+00:00 แม่นยำ: มีคน post รายละเอียดอยู่ใน โต๊ะสินธรนะครับ ผมสรุปนะครับ 1. กองทุนฟื้นฟูเป็นคนถือหุ้นใหญ่ ออกขายครั้งนี้รายย่อยได้ไป 10% ที่เหลือเข้าใจว่าขายให้สถาบัน 2. เป็น good bank คือ NPL 6% สังเกตว่าไตรมาสสุดท้ายเพิ่มมากจาก TPI 3. ต่อไปเป็น universal bank คล้าย NFS นะครับคือมีหมดรวมทั้งประกัน 4. net interest margin จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่กองทุนฟื้นฟูไถ่ถอน PAM ปีละ 40000mb (ได้ดอกเบี้ยส่วนนี้จากกองทุน ปีละ 1% แต่หลังไถ่ถอนไปก็เอาไปปล่อยกู้แทน) 5. รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น 44%qoq 6. กำไรก่อนหักสำรอง PPP บวกติดต่อกันมา 9 q ล่าสุดเพิ่ม 167% qoq แต่ข้อเสียคือเคยเป็น bad bank จนต้องไปหาคุณแม่ที่กองทุนฟื้นฟูไปดูแลเองรักษาเองตั้งหลายปี มาคราวนี้ไม่รู้ว่าเงินที่ได้จากกองทุนฟื้นฟูจะไปปล่อยกู้ได้ดีเท่าไรนะครับ เมื่อ: 2003-12-01T17:35:54+00:00 แม่นยำ: มีคน post รายละเอียดอยู่ใน โต๊ะสินธรนะครับ ผมสรุปนะครับ 1. กองทุนฟื้นฟูเป็นคนถือหุ้นใหญ่ ออกขายครั้งนี้รายย่อยได้ไป 10% ที่เหลือเข้าใจว่าขายให้สถาบัน 2. เป็น good bank คือ NPL 6% สังเกตว่าไตรมาสสุดท้ายเพิ่มมากจาก TPI 3. ต่อไปเป็น universal bank คล้าย NFS นะครับคือมีหมดรวมทั้งประกัน 4. net interest margin จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่กองทุนฟื้นฟูไถ่ถอน PAM ปีละ 40000mb (ได้ดอกเบี้ยส่วนนี้จากกองทุน ปีละ 1% แต่หลังไถ่ถอนไปก็เอาไปปล่อยกู้แทน) 5. รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น 44%qoq 6. กำไรก่อนหักสำรอง PPP บวกติดต่อกันมา 9 q ล่าสุดเพิ่ม 167% qoq แต่ข้อเสียคือเคยเป็น bad bank จนต้องไปหาคุณแม่ที่กองทุนฟื้นฟูไปดูแลเองรักษาเองตั้งหลายปี มาคราวนี้ไม่รู้ว่าเงินที่ได้จากกองทุนฟื้นฟูจะไปปล่อยกู้ได้ดีเท่าไรนะครับ เมื่อ: 2003-12-01T17:36:05+00:00 แม่นยำ: หากดูกลุ่มธนาคาร จะมี TPI เป็น NPL รายใหญ่ ซึ่งก็คือจุดหนึ่งที่รัฐบาลน่าจะแก้ปัญหาหากจะลด NPL ในกลุ่มแบงค์ และเพิ่มเครดิตให้แบงค์ไทย ผมก็เลยเก็บ SCIB ไว้ในเชิงการลงทุน ในเวลาเดียวกันผมก็มองว่า หากรัฐบาลจะแก้ปัญหาให้ถูกจุดเรื่อง NPL ก็ต้องปลดหนี้รายใหญ่ให้สามารถใช้คืนหนี้ NPL ให้ได้ งานนี้จึงมอง TPI รัฐบาลต้องแก้ไข TPI ให้จบ หุ้นแบงค์หลายๆตัวก็จะวิ่ง (วันนี้เหงา TALADHOON.COM ต่อไม่ติด) เก็บทั้ง TPI และ SCIB เพราะซื้ออนาคต มองดูเหมือนคนซื้อฝัน ที่กล้าเสี่ยงกับ TPI เมื่อ: 2003-12-08T15:17:17+00:00 Jeng: อ้าว ตกลง TPI ไม่ใช่หุ้นปั่นหรือ แล้ว TPI ดีอย่างไร MR. Wow ช่วยอธิบายหน่อยซิ เมื่อ: 2003-12-08T15:22:59+00:00 Jeng: Jeng เขียน:อ้าว ตกลง TPI ไม่ใช่หุ้นปั่นหรือ แล้ว TPI ดีอย่างไร MR. Wow ช่วยอธิบายหน่อยซิ มองดูเค้าก็ว่าหุ้นปั่น ไร้พื้นฐาน ราคาไม่เหมาะสมที่ระดับนี้ ผมเคยบอกเพื่อนเรื่อง มองทางด้าน Positive 1 TPI = 1 Map Ta Phut (โรงงานทุกโรงมารวมกัน) จำนวนพนักงาน ขนาดโรงงาน มองทางด้าน Negative หนี้ของ 1 TPI = หนี้ของโรงงานทุกโรงงานใน Map Ta Phut น่าสังเกตุ นะว่าทำไม Mr. Wow ถึงไม่ Log on 1. ลืม password 2. Reset password ไม่ได้สักที เมื่อ: 2003-12-15T12:56:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
TCOAT TAKUYA: ผมสงสัยมากครับ ราคาถูกมากแต่ไม่มีใครสน แถมสภาพคล่องต่ำมาก เมื่อ: 2007-11-08T13:57:31+00:00 Mon money: TAKUYA เขียน:ผมสงสัยมากครับ ราคาถูกมากแต่ไม่มีใครสน แถมสภาพคล่องต่ำมาก เหรอ? มันจ๊าบตรงไหนล่ะพี่ท่าน เมื่อ: 2007-11-08T15:09:34+00:00 akekarat: ราคาถูกมากแต่ไม่มีใครสน ราคาไม่ขึ้น มันมีหลายประเด็นครับ - เล็กจนขาใหญ่เค้าไม่สน - ไม่มี growth รายย่อย VI ก็ไม่สน (ก็หุ้นมันไม่โต) - เจ้าของถืออยู่เยอะ เก็บหุ้นยาก ไม่มีใครกล้ายุ่ง กลัวถูกแช่แข็ง - ตัวอื่นน่าสนกว่า แล้วจะมาสนตัวนี้ทำไม ตลาดมีเป็นร้อยหุ้น ฯลฯ เมื่อ: 2007-11-08T16:05:05+00:00 crazyrisk: ยินดีที่รู้จักคับ คุณ takuya ไม่เคยเห็นคุณ post มาก่อนเลยคับ แต่ท่าทางจะเป็นกลุ่มนักขุดเหมือนกัน (เหมือนคนอื่นนะคับ  ไอ้ผมมันแค่ beginner) สงสัยต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วยคับ... tcoat นี่ไม่รู้จักจริงๆ ไว้ว่างๆจะไปดูนะคับ เมื่อ: 2007-11-08T20:00:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถาม ศัพท์หน่อยนะครับ kowjong: คือผมอยากจะรู้ว่า trading bahavior  แบบนี้เรียกว่าอะไรครับ สมมติกรณี: stock return เป็น + แต่การ trade เป็น net sell # of trade , net buy volume. stock return เป็น - แต่การ trade เป็น net buy # of trade , net sell volume. net sell # of trade - จำนวนการ trade ด้านขาย > จำนวนการ trade ด้านซื้อ net buy volume- จำนวน volume ด้านซื้อ > จำนวน volume ด้านขาย ขอบคุณล่วงหน้าครับ เมื่อ: 2008-07-29T05:52:35+00:00 kowjong: เออ หรือว่าผมในอีกทำนองนึงนะครับ เวลาหุ้นขึ้น จะซื้อจำนวนมากต่อการ trade  แต่จะทยอยค่อยๆขายทีละหน่อย เวลาหุ้นขึ้น จะขายทีเดียวเลย แต่จะทยอยค่อยๆซื้อทีละหน่อย เมื่อ: 2008-07-29T06:08:38+00:00 kowjong: โทดทีนะครับข้างบนผิดนิดหน่อยต้องเป็นแบบนี้ครับ เวลาหุ้นขึ้น จะซื้อจำนวนมากต่อการ trade  แต่จะทยอยค่อยๆขายทีละหน่อย เวลาหุ้นลง จะขายทีเดียวเลย แต่จะทยอยค่อยๆซื้อทีละหน่อย เมื่อ: 2008-07-29T06:32:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ตลท.เผยชื่อ 20บริษัทจดทะเบียนที่มีการกระจายการถือหุ้นไม่ครบ vichit: ตลท.เผยรายชื่อ 20บริษัทจดทะเบียนที่มีการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่ครบ ถ้วนตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแจ้งว่า ปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียน จำนวน 20 บริษัท ที่มีคุณสมบัติด้านการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่ครบถ้วนตาม ข้อกำหนดติดต่อกันเป็นปีที่ 2ขึ้นไป ดังนี้ 1. บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) (AF) 2. ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT) 3. บริษัท เซ็นทรัลอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด (มหาชน) (CPICO) 4. บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) (GLAND) 5. บริษัท โพสโค-ไทยน๊อคซ์ จำกัด (มหาชน) (INOX) 6. บริษัท เกียรติธนา ขนส่ง จำกัด (มหาชน) (KIAT) 7. บริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (MATCH) 8. บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (OISHI) 9. บริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC) 10. บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) (PRG) 11. บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) (Q-CON) 12. บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ROH) 13. บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (SCBLIF) 14. บริษัท แชงกรี-ลา โฮเต็ล จำกัด (มหาชน) (SHANG) 15. บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) (SIM) 16. บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) (SVH) 17. บริษัท ไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) (TCP) 18. บริษัท ทีเอฟไอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TFI) 19. บริษัท ตรังผลิตภัณฑ์อาหารทะเล จำกัด (มหาชน) (TRS) 20. บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) (UMS) ทั้งนี้ การประกาศรายชื่อดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าด้วย การดำรงสถานะเป็นบริษัท จดทะเบียน ซึ่งกำหนดว่าบริษัทจดทะเบียนต้องมีจำนวนผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อยไม่น้อยกว่า 150 ราย และผู้ถือหุ้นรายย่อยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของทุนชำระแล้วของบริษัท โดยพิจารณาจากรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุมสามัญประจำปีของบริษัท โดยบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวมีหน้าที่รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาทุก 6 เดือนจนกว่าบริษัทจะมีคุณสมบัติเรื่องการกระจายรายย่อยครบถ้วน (ศึกษารายละเอียดของข้อ กำหนดฯ ได้จาก www.set.or.th) เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์ อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected] ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 02/07/12 เวลา 17:20:24 เมื่อ: 2012-07-02T10:48:19+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เคาะขาย 300 หุ้นใน 2 นาที ทำให้เงินหายกว่า 500 ล้าน!!! pak: วันนี้กระผมสังเกตเห็นอะไรเล็กๆน้อยๆบางอย่าง เลยอยากมาเล่าสู่กันฟังแบบขำๆอ่ะนะขอรับ ก็คือว่า.... "วันนี้ มีหุ้นในเครือสหพัฒน์อย่างน้อยที่สุด 3 ตัว ถูกมือดีเคาะขายในราคาต่ำๆ อย่างละ 100 หุ้น!!! ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันมากๆ นั่นก็คือ 1. เวลา 16:02:31 น. เริ่มต้นด้วยการเคาะขายหุ้น TNL บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน)   ซึ่งเป็นบริษัทฯที่ขายเสื้อเชิ๊ต Arrow เคาะขายที่ราคา 16.00 บาท จำนวน 100 หุ้น!!! ลดลง -2.10 บาท ทำให้หุ้นติดลบทันที -11.60% 2. เวลา 16:02:51 น. (ห่างกันเพียง 20 วินาที) เคาะขายหุ้น WACOAL บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน)   ซึ่งเป็นบริษัทฯที่ทุกๆคนคงรู้จักกันอยู่แล้ว สับหรับชุดชั้นในวาโก้ เคาะขายที่ราคา 37.50 บาท จำนวน 100 หุ้น!!! ลดลง -1.75 บาท ทำให้หุ้นติดลบทันที -4.46%   3. เวลา 16:04:02 น. (ถัดออกมาเพียงนาทีเศษ) ก็เคาะขายหุ้น BTNC บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน)   ซึ่งเป็นบริษัทฯที่ทำเกี่ยวกับเสื้อผ้าแบรนด์ดัง เช่น Guy Laroche เคาะขายที่ราคา 9.45 บาท จำนวน 100 หุ้น!!! ลดลง -3.55 บาท ทำให้หุ้นติดลบทันที -27.31%   เอ่อ...พี่ครับ พี่เคาะขายหุ้นออกไป 300 หุ้น (ไม้ละ 100 หุ้น 3 ครั้ง ภายในเวลา 2 นาที) พี่ได้เงินจากการขายหุ้นของพี่มา 6,295 บาท (ยังไม่หักค่าโบรคกับ  VAT) แต่พี่ทำมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเค้าหายไป 504.6 ล้านบาทนะครับ (คิดมาจากจนวนหุ้นคูณราคาที่ลดลง คือ 120M x 2.10 + 120M x 1.75 + 12M x 3.55) "แหม...............ทำไปได้!!!" ปล. จริงๆแล้ว พี่ไม่ผิดหรอกครับที่พี่ทำแบบนี้ เพราะมันเป็นตลาดเสรี ผมก็แค่ช่างสังเกต แล้วแวะมาแซวๆเท่านั้นเองขอรับ (^_^) เมื่อ: 2010-01-29T17:41:31+00:00 pak: แซวคนอื่นเสร็จแล้ว ขอหันกลับมาแซวตัวเองบ้างดีกว่า ว่า... แหม ตาคนที่ตั้งกระทู้นี้ มันจับตามองหุ้นในกลุ่มแฟชั่น แบบตาไม่กระพริบเลยนะ สมแล้วที่ใช้สโลแกนว่า "Fashion is My life..." 555+  :lol: เมื่อ: 2010-01-29T17:48:36+00:00 toro: ฮ่าๆ เข้ามาฮาครับ ทั้งคนขายและคนสังเกตุครับ  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2010-01-30T04:38:00+00:00 MrRobot: ช่างสังเกตๆ จริงๆครับ เมื่อ: 2010-01-30T05:07:39+00:00 Belffet: ซื้อ N-PARK จำนวน 100 หุ้น ก็ฮานะครับ ค่าหุ้น ค่าคอมฯ + ภาษี ค่าส่งเอกสารไปที่บ้าน ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-01-30T07:47:01+00:00 หมีขาว: เมื่อ: 2010-02-01T00:24:52+00:00 Paul VI: ช่างสังเกตจริงๆ  :shock: เมื่อ: 2010-02-01T01:23:23+00:00 Undertaker:   ถ้าคนที่ขายเมื่อวันศุกร์ เห็นกะทู้นี้ วันนี้คุณ Pak อาจจะต้องทำอีกครั้งนะครับ(เพราะจะซื้อคืน 100 หุ้น) เมื่อ: 2010-02-01T01:36:15+00:00 vivitawin: Belffet เขียน:ซื้อ N-PARK จำนวน 100 หุ้น ก็ฮานะครับ ค่าหุ้น ค่าคอมฯ + ภาษี ค่าส่งเอกสารไปที่บ้าน ขอบคุณครับ ผมซื้อ ในกระดาน odd lot ไว้ แค่ 1 หุ้น ฮากว่านะครับ อิอิ  :lol: เมื่อ: 2010-02-02T23:40:45+00:00 apisit_da: ถ้าผมเคาะซื้อ ราคาสูงกว่านี้ อีก อย่างละ 100 หุ้น ก็จะทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มอีก 500 ล้านเลยนะเนี่ย เมื่อ: 2010-02-04T14:24:19+00:00 chowbe76: apisit_da เขียน:ถ้าผมเคาะซื้อ ราคาสูงกว่านี้ อีก อย่างละ 100 หุ้น ก็จะทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มอีก 500 ล้านเลยนะเนี่ย หวาย รีบทำด่วน พรุ่งนี้เลยยยยย เมื่อ: 2010-02-04T16:25:35+00:00 Warantact: ตลาดช่างแสนมีประสิทธิภาพ งี้ถ้าหุ้นไหนหุ้นละร้อย ผมบ้าจี้ขายหุ้นละบาทร้อยหุ้นตอนตลาดปิด บริษัทมันไม่เจ๊งเลยรึ5555 เมื่อ: 2010-02-06T15:00:02+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากได้ฉบับเต็ม ของศูนย์วิจัย กสิกรไทย สมัครโบรกไหนได้ครับ fovea: พอดี เห็นงานวิจัยของ ศูนย์วิจัย กสิกรไทย เยอะ ดีครับ แต่ จะอ่านบางเรื่อง จะสมัคร ปีละ 3000 บาท ก็รู้สึก ไม่ค่อย คุ้ม ไม่รู้ ว่า เป็นสมาชิค โบรคไหน หรือ ต้อง เป็นสมาชิค อะไร แล้ว จะ เข้าไปอ่านข้อมูลได้บ้างครับ ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ เมื่อ: 2010-09-03T08:41:03+00:00 tanlak: ไม่สมัครของ บ.หลักทรัพย์กสิกรไปเลยอ่ะค่ะ เทรดได้เหมือนกัน ได้อ่านฟรีด้วยค่ะ^ ^ เมื่อ: 2010-09-04T10:50:15+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
พี่พี่ครับ ช่วยวิเคราะห์ข่าวนี้หน่อยครับ ปตท. จะหลุดไหม Jeng: หลุดไม่หลุดแล้วยังไงเหรอครับ ราคาตอนนี้ก็แพงอยู่ดี ต่อให้หลุด ไม่ต้องออกจากตลาด ก็ไม่น่าสนใจ ณ ราคานี้ครับ เมื่อ: 2007-12-12T06:45:53+00:00 krisy: ถ้าออกกฎมาใหม่ เท่ากับต้องยกเลิกอันเก่า เราว่าจะถึงคำฟ้องจะตก แต่ต้องมาสนใจว่า กฎใหม่ มีอะไรกระทบหรือเปล่านะคะ ไหนจะท่อแก๊สอีก ศึกนี้อีกนาน เมื่อ: 2007-12-12T08:02:11+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คิดว่าบริษัทไหน กำไรไตรมาส 4 จะดีกว่าทั้ง QoQ และ YoY Oatarm: ขอล้อกระทู้เฮียคลายเครียด  เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 4 จะเริ่มโดนพิษเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง  บริษัทไหนที่คิดว่าจะทำได้ดีกว่าทั้ง QoQ และ YoY ครับ เมื่อ: 2008-10-30T16:18:29+00:00 Little Boy: มารอลอกการบ้านด้วยครับ ผมถนัดนักในการลอกเลียนแบบ อิอิ เมื่อ: 2008-10-31T03:54:49+00:00 simplelife: CPALL ครับ เมื่อ: 2008-10-31T09:49:12+00:00 zax20: กระทู้นี้น่าสนใจ ขอฟังด้วยคน นะครับ แต่ผมว่าคงไม่มีบริษัทฯ ไหนทำได้อ่ะ เมื่อ: 2008-10-31T12:52:21+00:00 sai: ptl คร้าบ เมื่อ: 2008-10-31T15:02:59+00:00 Oatarm: ไตรมาส 4 ( ต.ค.- ธ.ค.)  จะเป็นไตรมาส 3ของ PTL   PTL  Q2/51   EPS  0.43 PTL  Q3/50   EPS  0.27 ถ้าเป็นจริง ไตรมาสหน้า PTL   EPS มากกว่า 0.43   แหะ  แหะ  ทำได้หรือออ  :?: เมื่อ: 2008-10-31T16:08:08+00:00 Oatarm: ลองดู SSI ไหม Q3/51   EPS   -0.10 Q4/50   EPS   0.02 Q4/51   EPS จะมากกว่า 0.02 ไหม   ปล.เหล็กมันหนักนะครับ  แต่ผมอยากจะลองยกมันสักตั้ง  :8) เมื่อ: 2008-10-31T16:15:17+00:00 maeteeb: SICCO ครับ ดอกจะลด น้ำมันลง ยังไงคนก็ต้องใช้รถ เมื่อ: 2008-11-01T00:20:39+00:00 proxima: BOL 100% เมื่อ: 2008-11-01T01:26:45+00:00 GeneraX: proxima เขียน:BOL 100% QOQ ชัวแต่ YOY นี่ไม่แน่นะครับ เมื่อ: 2008-11-01T02:24:14+00:00 wisut: proxima เขียน:BOL 100% 200% เมื่อ: 2008-11-01T03:15:30+00:00 proxima: BOL QOQ 100% BOL YOY 200% เมื่อ: 2008-11-01T05:29:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
PO ของ prin มีผลอย่างไรบ้างคับ nanosec: ได้ยินว่า pinsiri จะขาย PO เดือนหน้า PO ของ prin มีผลอย่างไรบ้างคับ ผมมีคำถามดังนี้คับ 1 หลังจากขาย PO แล้วจะทำให้ราคาหุ้นตกลงหรือป่าวคับ แล้วถ้าตกมันก็กลายเป็นผลกระทบกับผู้ถือหุ้นเก่าใช่หรือป่าวคับ 2 ถ้าผมจะซื่อเพิ่มอีกจะรอให้ ขาย PO ก่อนดีก่าหรือป่าวคับ 3 ถ้าผมเป็นผู้ถือหุ้นเก่าจะได้สิทธิซื้อ PO ก่อนคนอื่นหรือป่าวคับ รบกวนช่วนแนะนำทีคับ เมื่อ: 2007-06-25T12:36:54+00:00 โอ@: nanosec เขียน:ได้ยินว่า pinsiri จะขาย PO เดือนหน้า PO ของ prin มีผลอย่างไรบ้างคับ ผมมีคำถามดังนี้คับ 1 หลังจากขาย PO แล้วจะทำให้ราคาหุ้นตกลงหรือป่าวคับ แล้วถ้าตกมันก็กลายเป็นผลกระทบกับผู้ถือหุ้นเก่าใช่หรือป่าวคับ เรื่องราคาลงเพราะ Dilute คงไม่น่าจะครับ ตอนนี้ก็รับข่าวกันไปพอสมควรแล้ว 2 ถ้าผมจะซื่อเพิ่มอีกจะรอให้ ขาย PO ก่อนดีก่าหรือป่าวคับ แล้วแต่ครับ ตัวอย่างตัวอื่นๆที่น่าสงเกตุก็คง HomePro มั้งครับ 3 ถ้าผมเป็นผู้ถือหุ้นเก่าจะได้สิทธิซื้อ PO ก่อนคนอื่นหรือป่าวคับ PO คือขายประชาชนทั่วไปครับ ไม่ได้มีสิทธิอะไรครับ รบกวนช่วนแนะนำทีคับ เมื่อ: 2007-06-25T18:38:03+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ตลาดเริ่มไม่มีเหตุผล ครั้งแรก ในรอบหลายปี ปรัชญา: ท็อป   แต่ละตัว  เมื่อก่อนแน่นิ่งเน่าสนิท ดู  ราคา  หรือมันจะเทรินอะราวหมดตลาด หรือเก็งกำไร  กระจัดกระจายไปทั้งกระดาน ขอความคิดเห็นหน่อยครับ เมื่อ: 2010-07-30T04:43:41+00:00 PRO_BABY: [quote="ปรัชญา"]ท็อป เมื่อ: 2010-07-30T05:02:42+00:00 Jazzman: -สังเกตุจากคนใกล้ชิด และเพื่อนๆ ที่ไม่เคยสนใจหุ้น เริ่มหันกลับมา ถามว่าเปิดผอร์ด ยังไง ลงทุนตัวไหนดี  ผลตอบแทนดีไหม ตัวนี้น่าจะดีนะ  ทำไมซื้อแล้ว มันนิ่งเลย   -สังเกตุจากตัวเอง รู้สึกเริ่มหุ้นดีที่มี MOS สูงๆ ยากมากแล้วละคับ ตอนนี้คงเปรียบดั่งโลกแห่งความฝัน ที่รอให้มันกลายเป็นความจริงของใครหลายๆคน กระมังคับ เมื่อ: 2010-07-30T05:07:14+00:00 qQp: คล้ายๆ กับช่วงทักษิน ที่ก่อนหุ้นจะไปแตะ 900 จุดเมื่อ 6-7 ปีที่แล้วรึเปล่า ที่ VOL ตลาดเพิ่มสูงถึง 30-40 หมื่นล้านต่อวัน พอแตะ 900 ปุ๊ป ก็ร่วงป๊บๆๆๆๆๆ ไปเลย เหอๆๆ เมื่อ: 2010-07-30T05:18:32+00:00 thaloengsak: พี่ปรัชญาเปลี่ยนรูปแล้่วสินะ เมื่อ: 2010-07-30T05:43:34+00:00 murder_doll: เหมือนกับเขาเริ่มดึงหุ้นตัวเล็กๆ ขึ้นก่อนนะครับ คิดว่าพอตัวใหญ่ๆเริ่มถูกดึงขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว ตลาดน่าจะเปลี่ยนทิศเป็น Down Side นะครับ สุ่มๆเสี่ยงๆ เมื่อ: 2010-07-30T05:45:08+00:00 DemonInvesting: [quote="ปรัชญา"] ดู เมื่อ: 2010-07-30T06:05:58+00:00 emososo: มีหุ้นเอเชียไฟเบอร์ซื้อไว้เล่นๆนิดหน่อยครับ (p/bvมันต่ำมากเลยซื้อดู) แน่นิ่งเน่าสนิทมานานวันนี้ยังลิ่งได้ นั่งดูอยู่ตลกดี ตัวนี้จากที่เคยดูคลิปประชุม ผบห.ตอบผถห.ว่าก็อยากที่จะหาทางขายที่ดินมาล้างขาดทุนสะสมอยู่เหมือนกัน แต่ก็คงน่าจะทำได้ยาก ส่วนพื้นฐานบ.ก็เรียกว่าพอดูได้นิดหน่อย หนี้น้อย ผลการดำเนินงานเริ่มเห็นแววว่ามีทำท่าจะฟื้นบ้าง ถึงแม้จะถือหุ้นอยู่แต่ก็ยังคิดว่าที่หุ้นขึ้นมาครั้งนี้ก็น่าจะไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรนะครับ ขึ้นมาแบบมั่วๆมากกว่าพื้นฐานเปลี่ยนจริงๆ เมื่อ: 2010-07-30T06:20:03+00:00 ปรัชญา: thaloengsak เขียน:พี่ปรัชญาเปลี่ยนรูปแล้่วสินะ เปลี่ยนรูปสัก1อาทิตย์แล้ว มีคนทักว่าใบ้หุ้น เมื่อ: 2010-07-30T06:42:49+00:00 thaloengsak: รูปคราวนี้น่าจะเป็นสินค้ากลุ่มน้ำมันมะพร้าว เมื่อ: 2010-07-30T06:46:26+00:00 TTW lover: ประหลาดมากรอบนี้ หุ้นขึ้นเกือบทุกตัว ไม่ว่าดีไม่ดี ขนาดหุ้นไม่มีอนาคตยังไปต่อได้ หาหุ้นถูกและดีแทบไม่ได้ ใครๆก็รวยหุ้น เพื่อนที่ขาดทุนตอนนี้เริ่มกำไร ที่สำคัญเริ่มเอาเงินมาลงเพิ่ม คุ้นๆสถานะการณ์ยังไงก็ไม่รู้ แต่ว่าครั้งนี้แตกต่างกับปกตินิดหน่อย ทีเป็นการฟื้นกลับจากเศรษฐกิจที่ดูแย่มาเริ่มดีอีกครั้ง ต้องดูกันต่อไป เมื่อ: 2010-07-30T06:49:28+00:00 thaloengsak: ดูกันเป็นรายหุ้นไป เมื่อ: 2010-07-30T07:05:54+00:00 pol256: นั่งดูตาปริบๆมาทั้งปี หุ้นเล็กใหญ่สลับกันไล่ราคาทีละอุตสาหกรรม จนตอนนี้หุ้นที่ MOS ดีๆเหลือแบบนับด้วยมือยังไม่ครบ 10 ตัว หายากมากครับ กลัวการล่มสลายของราคาหุ้นจากการเติบโตที่พื้นฐานกลวงๆมาก ไม่ใช่แค่ไทยหรอกครับ  ทั่วโลกก็ไม่ต่างกันนะ เมื่อ: 2010-07-30T07:17:40+00:00 MO101: หุ้นขึ้นยกแผงเป็นสัญญาณของ ศก ฟื้นตัว ดังนั้นการให้ราคาก็อิงกับอนาคต เช่น ขยายโรงงาน ขยายสาขาเพิ่ม ทำให้คนที่ยังถือหุ้นอยู่ก็ได้อานิสง ปรับราคาหุ้นขึ้นไปด้วย ส่วนคนมีเงินก็หาหุ้นได้ลำบากหน่อย เป็นเรื่องปกติของตลาดคือมีคนได้ประโยชน์ ก็ต้องมีคนเสียประโยชน์ เมื่อ: 2010-07-30T08:33:10+00:00 nathapon_m: คนมีเงิน ไม่รู้จะทำอะไร ก็เอามาลงตลาดหุ้นครับ ดบ.เงินฝากก็ยังไม่จูงใจ  จะไปลงทุนอย่างอื่นก็ไม่รู้จะลงทุนอะไร  เห็นตลาดมันเขียวง่ายดี  ได้เงินง่ายดี ก็เฮตามกันมา  เป็นภาวะกระทิงไปโดยปริยาย จะว่าไปหลายตัวก็ดูแพงเกินไป  บางตัวก็เต็มมูลค่า  ก็เลยทำให้หาหุ้นลงทุนยากมากขึ้น  ทำให้ผมก็ลังเลเหมือนกัน  ตอนนี้เลยถือเงินสดเยอะหน่อย แต่หุ้นก็ยังมีอยู่ราวๆ 30% ของเงินเก็บเพราะยังไม่ถึงเป้าหมาย ถ้าถึงเป้าหมายก็คงขายหมด เมื่อ: 2010-07-30T08:39:09+00:00 ccc111: แต่ผมว่าตลาดมีเหตุผลเสมอครับ   เพียงแต่ว่าเป็นเหตุผลของมันไม่ใช่ของเรา เมื่อ: 2010-07-30T09:02:32+00:00 Joga Bonito: หุ้นหลาายตัว ที่ดูเหมือน เทิร์นอราวด์ ได้เพราะ เป็นหุ้นเล็ก ที่มี ส่วนแบ่งการตลาดน้อย แต่ดูเหมือนจะมาได้ดี เพราะ มีออเดอร์เข้า เพราะเจ้าใหญ่ ที่ผูกขาดรับ ออเดอร์ไม่ทัน พอออเดอร์มันล้น บริษัท กิ๊กก๊อก ก็เลยได้ด้วย แต่ถ้า ถ้าพ้นช่วงนี้ไปแล้วคงกลับไปสู่ ความเป็นจริง ตัวที่ไม่ดีจริง คงจะออกลาย ในงบ 3-4 ไตรมาสข้างหน้า เมื่อ: 2010-07-30T10:27:59+00:00 SEHJU: คิดคล้ายพี่ปรัชญาเลยครับ... ตัวไม่น่าขึ้น ก็ขึ้น... ขึ้นมาได้ไง เพราะอะไรก็ไม่แน่ใจ มันขึ้นกระจายไปทั้งตลาด... สงสัยสภาพคล่องในประเทสมันล้นรึป่าวเลยเอามาเทใส่หุ้นหมด รู้สึกว่าปีนี้  ไม่เด้ง ไม่ลิ่ง ถือว่าตกเทรนด์กันเลยทีเดียว.. เมื่อ: 2010-07-30T10:29:06+00:00 ayethebing: ตัวไหนไม่น่าขึ้น ไม่เป็นไรครับ ให้เค้าขึ้นไป แต่ตัวไหนไม่น่าลง แล้วลง ช่วยกระซิบบอกด้วยนะครับ  :twisted: แฮ่ ขอกันดื้อๆ เรยเรา เมื่อ: 2010-07-30T10:46:05+00:00 siebelize: [quote="ccc111"]แต่ผมว่าตลาดมีเหตุผลเสมอครับ เมื่อ: 2010-07-30T11:36:32+00:00 SupachaiZ594: เผลอไปเจอกระทู้นี้ของพี่ฉัตรชัยเข้าครับ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... C5&start=0 ตั้งแต่ปี 2003 แต่บรรยากาศเหมือนตอนนี้เลย เมื่อ: 2010-07-30T12:24:54+00:00 จอม: //เดินมาลงชื่อเงียบๆ เนื่องจากอาการเดียวกันกับหลายๆท่าน เมื่อ: 2010-07-30T12:37:50+00:00 ArtTheOracle: Log in T_T เมื่อ: 2010-07-30T12:58:27+00:00 st33tnw: SupachaiZ594 เขียน:เผลอไปเจอกระทู้นี้ของพี่ฉัตรชัยเข้าครับ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... C5&start=0 ตั้งแต่ปี 2003 แต่บรรยากาศเหมือนตอนนี้เลย ขอบคุณที่เอามาแชร์ครับ.. ช่วงนี้คงต้องหนักแน่นขึ้นเยอะจริงๆ เมื่อ: 2010-07-30T13:18:43+00:00 ccc111: ตลาดขึ้นมามากแล้ว ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ขึ้นต่อ ตลาดลงมามากแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ลงต่อ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนก็ไม่น่าจะขึ้นอยู่กับการคาดเดาตลาด แต่น่าจะขึ้นอยู่กับ หลักการ กลยุทธ์ และแผนการลงทุน มากกว่า คนที่กังวลมากไปก็อาจตกรถ คนที่กังวลน้อยไปก็อาจติดดอย ผมเชื่อว่าเซียนๆทั้งหลาย คงไม่มีใครมานั่งกังวลว่าตลาดจะขึ้นหรือลง เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไรเมื่อตลาดมันขึ้นหรือลง เมื่อ: 2010-07-30T14:03:23+00:00 VI Wannabe: Stay calm, Stay invest ครับ อย่ากังวลมากไปกับสิ่งที่ยังไม่เกิดครับ  :D มองอย่างเป็นกลางยังไม่เห็น sign ใดที่จะบอกว่า  macro fundamental จะเปลี่ยนเป็นแย่เลยครับ แต่ก็เข้าใจครับว่าคนถือเงินสดตอนนี้จะหาหุ้น MOS สูงๆ ยากสักหน่อย แต่ก็พอมีนะครับ ที่ราคายังไม่สะท้อน outlook ทาง เศรษรฐกิจที่ดีขึ้น เมื่อ: 2010-07-30T15:49:31+00:00 oldnew: .  ต้งเเต่เข้ามาลงทุนในหุ้นมา3ปี พอร์ตผมไม่เคยถือต่ำ90%มาตลอด เเต่ช่วงนี้รู้สึกเเปลกๆเพราะหุ้นทุกตัวที่ถือราคาเกินเป้าหมายปีนี้ไปหมดเเล้ว   2-3วันนี้ถอดใจลดพอร์ตลงเหลือแค่50%เเล้วครับ ขอรอดูงบไตรมาส2ก่อนค่อยวางแผนลงทุนเพิ่ม   . เมื่อ: 2010-07-30T16:44:33+00:00 cashcycle: [quote="oldnew"]. เมื่อ: 2010-07-31T03:25:23+00:00 RONNAPUM: ธรรมชาติของของคน ชอบมองสิ่งสุดท้าย ทำให้ตลาดเป็นอย่างที่เห็น   เมื่อ: 2010-07-31T03:35:41+00:00 OutOfMyMind: เห็นด้วยครับว่าตลาดช่วงนี้เป็นตัวของตัวเองมากๆ หลายบริษัทตะกายขึ้นมาจากก้นหลุมเมื่อ 2 ปีก่อนได้ ความมั่นใจคนก็เทเข้ามา เมื่อเห็นผลประกอบการดีขึ้น อาจมีแรงผลักจากกลุ่มบุคคลที่ไม่ประสงค์ออกนามเข้ามาช่วย เพื่อนหลายคนที่เคยเจ๊ง หรือไม่เคยเล่น ก็โดดกลับเข้ามาใหม่ ช่วงนี้มีเพื่อนชวนคุยเรือ่งหุ้นทุกวัน ต่างจากเมื่อ 2 ปีก่อน ที่เขาเห็นเราเล่นหุ้นก็รุมกันเตือนให้ถอยด้วยความห่วงใย ตอนนี้หลายบริษัทขึ้นมาจากก้นเหวแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าทุกบริษัทที่ขึ้นมาได้ จะบินต่อไปอีก หลายบริษัทอาจจะคาอยู่ปากเหวแล้วไม่บินก็ได้ ผมพยายามสั่งตัวเองเสมอให้มองในระยะยาว 3-5 ปี ว่าวันนั้น บริษัทไหนบ้างที่ยังโตต่อเนื่องต่อไป มีโอกาสเพิ่มมุลค่าให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง นายตลาดเป็นตัวของตัวเองเสมอ อย่าพยายามคาดคะเนใจเขาครับ เมื่อ: 2010-07-31T03:41:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นลงเยอะที่น่าจับตามอง เพราะกำไรก็ยังมี >> VNG VS RC Jeng: เพื่อนๆคิดไง กับสองตัวนี้ครับ VNG ราคา 4.74 เก้าเดือนกำไร 664 ล้าน RCI ราคา 20.80 เก้าเดือนกำไร 103.98 ล้าน เมื่อ: 2005-11-24T09:05:04+00:00 Jeng: จับตามองเฉยๆนะ  :D เมื่อ: 2005-11-24T09:14:34+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นกลุ่ม electornics oonngg51: ตอนนี้โรงงาน electronics เกือบจะทุกโรงงานในประเทศไทยกำลังขยายกำลังการผลิตกันขนานใหญ่ เป็น sign ที่ดีของธุรกิจ และตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่น รวมถึงเศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มฟื้นตัว ธุรกิจที่มีการ add value ให้ product และใช้แรงงานทักษะสุงหน่อย อย่าง IC , PCB น่าจะไปได้ดีนะครับ ในความคิดผม ส่วน OEM ผมไม่แน่ใจการแข่งขันด้านแรงงาน แต่ว่าพอมาดูราคาแล้ว ผมแปลกใจกับ KCE จังครับ ราคาปัจจุบัน 12-13 บาท แต่ EPS = 7 กว่าๆ แน่ะ ฝากผู้รู้วิเคราะห์หน่อยสิครับ ผมขอฝากตัวเป็นน้องใหม่ประจำบอร์ดหน่อยนะครับ เมื่อ: 2004-01-07T02:07:42+00:00 CEO: KCE เพิ่งแตกพาร์มานะครับ แล้วกำไรนี่มันก่อนหรือของหลังแตกพาร์ ระวังนะครับ เมื่อ: 2004-01-07T02:19:16+00:00 Kopite: พึ่งแตกพาร์ตอน 7/11/2003 ครับ แต่ผมก็ถือตัวนี้อยู่ที่ 12.50 เมื่อ: 2004-01-07T06:18:20+00:00 witt: เรียนถามคุณพี่ CEO ครับว่าก่อนหรือหลังแตกพาร์ทำให้ค่าต่างกันอย่างไร ตอนนี้ผมถือdraco อยู่นิดหน่อย เพราะ p/e p/b น่าสน ส่วนkce กิมเอ็งเชียร์เยอะ และขึ้นไปสูงแล้วเลยไม่เอา ไม่รู้คิดถูกหรือเปล่า ขอฝากเนือ้ฝากตัวด้วย ผมน้องใหม่น่ะครับ เมื่อ: 2004-01-07T17:14:22+00:00 Minesweeper: EPS 7 บาท ต้องเทียบกับราคา 120-130 ครับ หุ้นตัวนี้เรียกได้ว่าเป็น หุ้นอนาคตตัวนึงเลยครับ คล้ายๆ กับ VNG เมื่อ: 2004-01-07T22:43:30+00:00 Minesweeper: มังกร น่าสนใจกว่านะ p/e ต่ำกว่า และ โครงสร้างการเงินบริษัท เกือบไม่มีหนี้ ทำธุรกิจ pcb เหมือนกัน เมื่อ: 2004-01-08T02:04:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขออนุญาต หยิบข้อความของผู้ที่เห็นอนาคตของโลกมา post คับ crazyrisk: ช่วงนี้ กำลังเพลิน ไล่ดูข้อมูลเก่าๆ และข้อมูลของคนที่มีการวิเคราะห์หุ้นแบบตรงไปตรงมา และ สามารถ มองเห็นอนาคตได้แม่นอย่างกับจับวาง (ผมไม่แน่ใจว่า การนำมาโพสต์ มีผลต่อตัวบุคคลของท่านๆนั้นอย่างไร แต่ด้วยความเคารพต่อการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา) หากทาง thaivi พบว่าไม่เหมาะสมแต่ประการใด สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมคับ เมื่อ: 2007-09-30T13:07:56+00:00 crazyrisk: http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... c&start=30 เมื่อ: 2007-09-30T13:08:21+00:00 crazyrisk: http://www.temppic.com/img?30-09-2007:1 ... 568400.bmp โทดทีคับ ผมยังหาวิธีโพสต์รูปลงไปตรงๆไม่ได้ เมื่อ: 2007-09-30T13:20:58+00:00 crazyrisk: สามัญชน Regular Joined: 16 Aug 2003 Posts: 3871 PostPosted: Sat Jun 24, 2006 2:58 pm    Post subject: Reply with quote หุ้น scnyl น่าสนใจเพราะว่า 1. มีสินทรัพย์มากถึง 13,000 ลบ.ที่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรซึ่งมีความแน่นอนสูงมากแม้ผลตอบแทนจะต่ำ แต่ว่าอาศัยว่ามีวงเงินลงทุนสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นซึ่งมีแค่สี่ร้อยกว่าล้านบาท 2. แม้หนี้สินจะสูงถึง 12,000 + ลบ. แต่เป็นเบี้ยประกันซึ่งยังไม่ต้องจ่ายในเร็ววันนี้ และระยะเวลาที่จะจ่ายก็ยังอยู่อีกนานมาก  รวมทั้งค่าเคลมประกันก็อยู่ในช่วงปกติของธุรกิจไม่ได้มากมายอะไร 3. บริษัทรับทำประกันชีวิต ซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องของการจ่ายเบี้ยประกันสูงมาก ต่างจากการรับทำประกันอื่นๆซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องที่สั้นกว่า เช่น การรับประกันรถยนต์อาจจะได้มากในปีนี้แต่ปีหน้าอาจจะลดลงเพราะลูกค้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งทุกปี  แต่ประกันชีวิตมักจะไม่เป็นอย่างนั้น 4.การประมาณการรายรับในเรื่องการลงทุนทำได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทลงทุนในพันธบัตร ต่างจากการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง 5. บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงมากจากเบี้ยประกัน  บัฟเฟตต์เองชอบหุ้นประกันก็ด้วยเหตุผลเรื่องเงินสดเป็นสำคัญ(เหมือนกัน) 6. บริษัทสามารถขยายกิจการได้มาก ขยายสาขาได้มาก เพราะใช้สาขาเดียวกันและพนักงานเดียวกันกับธนาคารไทยพานิชย์ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศอยู่แล้ว 7. การประกันชีวิตน่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการดำเนินชีวิตที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ pb สุงถึง 5.5 เท่าทำให้ความปลอดภัยลดลงเยอะ  และยิ่งดอกเบี้ยอยู่ในแนวโน้มเป็นขาขึ้นก็ยิ่งลดความน่าสนใจลง  แต่ถ้าเป็นตรงกันข้ามก็จะน่าสนใจไม่น้อย เมื่อ: 2007-09-30T13:22:02+00:00 crazyrisk: ลูกอิสาน Regular Joined: 13 Oct 2003 Posts: 3693 PostPosted: Sat Dec 10, 2005 10:50 pm    Post subject: หุ้นตัวนี้น่าสนใจหรือเปล่าครับ.. Reply with quote หุ้นตัวนี้คือ UEC หรือ ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง ผมมองว่าราคาน่าสนใจ ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เป็นหนึ่งในหุ้นของคุณไพบูลย์ เฉลิมทรัพยากร อดีตเจ้าของ UGP ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ UMS UECมุมมองธุรกิจท่านค่อนข้างน่าสนใจ คล้ายๆกับแนว VI เท่าที่อ่านจุดเด่นน่าจะเป็นอย่างนี้.. 1.เป็นผู้นำอุตสหกรรม มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน คู่แข่งเข้ามาได้ยาก ไม่สามารถใช้ราคาแข่งขึ้นได้ เพราะมีประเด็นเรื่องความปลอดภัยเข้ามาเกี่ยวข้อง (ลูกค้าคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัย มากกว่าราคา) และก่อตั้งบริษัทมาแล้วอย่างยาวนาน 2.กำไรขยายตัวทุกปี ได้รับประโยชน์จากอุตสาหกรรมพลังงานซึ่งมีความผันผวนต่ำ นอกจากนั้นยังรับประโยชน์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สารพัดโครงการ ที่กำลังจะสร้างโรงงาน 3.ผู้ถือหุ้นมีวิสัยทัศน์ มีการคานอำนาจอยู่ในตัว 4.กระแสเงินสดค่อนข้างดีมาก ไม่ต้องการเงินหมุนเวียนมาก ไม่มีหนี้เงินกู้ แต่มีเงินสดถึง 130 ล้าน ไม่รวมเงินระดมทุน หากรับเงินขายหุ้นจะมีเงินสดประมาณ 460 ล้าน หรือ 3 บาทต่อหุ้น (ราคาหุ้นในตลาด 6.3 บ.) 5.จากเงินสดที่มี คาดว่าจะจ่ายปันผลหนัก 6. พีอีต่ำ 7.สภาพคล่องของหุ้นค่อนข้างดี (มูลค่าตลาดสูงสุดใน mai) เจ้าของ ลูกสาว ลูกชาย เก็บหุ้นเข้าพอร์ตหลายครั้ง 8.ปีหน้า จ่ายภาษีลดลง เพราะเข้าตลาด mai จุดด้อย คือ กำไรปีนี้สูงกว่าปกติ เพราะมีสัญญาขายสินค้าในตอนที่ราคาเหล็กแพง แต่ตอนผลิตส่งมอบ ราคาเหล็กลดลง มีเพื่อนๆสนใจตัวนี้บ้างใหมครับ มีประเด็นอะไรที่ต้องคำนึงถึงอีกหรือเปล่า อันนี้ไล่อ่านมาตั้งนาน หา catalyst ที่เป็น ตัว trigger ไม่ได้ ขอยกให้ ผู้ที่ขุดหุ้นมาให้เรารู้จักกันนะคับ เมื่อ: 2007-09-30T14:22:07+00:00 crazyrisk: http://images.temppic.com/30-09-2007/im ... 202300.bmp สำหรับตำนานตัวนี้ ที่ผมดู ก้อมี miracle ,rocker ฯลฯ เมื่อ: 2007-09-30T14:28:23+00:00 crazyrisk: GrahamDodd Joined: 15 Dec 2006 Posts: 78 PostPosted: Mon Feb 19, 2007 1:45 pm    Post subject: Reply with quote เป็นบริษัทที่มีราคาซื้อขายกันไม่เกิน Current Assets หักด้วย Total Liabilities นะครับ (มีที่ไหนกัน ให้เราเป็นหุ้นส่วนในทุก ๆ อย่าง แต่จ่ายเงินแต่ค่าเงินทุนหมุนเวียน) เท่าที่ศึกษามา พบว่าแนวโน้มผลิตภัณฑ์ของ Double-sided PCB ซึ่งมีการเติบโตของปริมาณขายที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นที่ดีกว่า  โดยสังเกตได้จากกำไรในไตรมาสที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีการกักตุนวัตถุดิบ คือ ทองแดง เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าจะสะท้อนถึงการเตรียมตัวผลิตซึ่งได้รับออร์เดอร์จากลูกค้ามามากครับ ใครสนใจอาจจะซื้อไว้เล็กน้อย เพราะโอกาสที่จะแย่กว่าปีที่ผ่าน ๆ มา ลดลงไปมากครับ และมีโอกาสดีขึ้น (ผมไม่ได้รับประกันนะครับ) เมื่อ: 2007-09-30T14:39:07+00:00 crazyrisk: ให้ทายครับ ตัวอะไร DRACO   ีที่เพิ่งกลายร่างเป็น DRAGONBALL หมาดๆ http://www.temppic.com/img.php?30-09-20 ... 034300.bmp เมื่อ: 2007-09-30T14:44:28+00:00 สามัญชน: scnyl ผมโพสท์ตอนปี 2006 ครับ ตอนนั้นราคาประมาณ 70-80 มั้ง แต่เรื่องเครดิตนี้ต้องยกให้กับน้อง worapong เพราะน้องเขาเห็นก่อนผมอีก และน้องเขาซื้อไว้ตั้งแต่ 17-18 บาท ผมมาเห็นทีหลัง อีกสองท่านที่ลืมไม่ได้เลยก็คุณลูกอิสานกับคุณ LOSO ครับ  ที่เจาะลึกข้อมูลและประมาณการรายรับรายจ่ายและกำไรได้อย่างแม่นยำ  สุดยอดเซียนทั้งคู่ครับ เมื่อ: 2007-10-01T03:23:10+00:00 cryptonian_man: เห็นหัวกระทู้นึกว่า กระทู้เรื่องลึกลับเหนือจริง เปิดมา โห สุดยอด ถ้าตอนนั้นผมเข้าบอร์ดนี้ก้อดี เฮ้อ รู้สึกว่าเริ่มลงทุนช้าไปจริงๆ เข้ามาตอนที่แต่ละตัวที่พูดถึงกลายเป็นหุ้นพุ่งแรงไปแล้ว เมื่อ: 2007-10-01T14:55:11+00:00 tummeng: แวะมาเพิ่มเติมอีกท่านครับ ตั้งแต่เล่นหุ้นมา 3 ปี ไม่เคยเห็นหุ้นตัวไหนอนาคตสดใสเท่า UMS http://thaivi.com/webboard/viewtopic.ph ... hlight=ums ปล.ที่อ่านๆๆอยู่ราคาตอนนั้นยังไม่ได้แตกพาร์นะครับ เมื่อ: 2007-10-01T15:22:34+00:00 Jeng: คิดถึงกระทู้นี้แล้วก็ขำนะ tummeng พอดีพี่เจออุบัติเหตุ ทำให้ มีเวลาศึกษาหุ้น แต่ไม่มีเงินซื้อ สัก สลึง บอกใครก็ไม่มีใครเชื่อว่า ไม่ได้ซื้อเลย UMS ลงทุนนี่แปลกมาก คนมีเงินเป็น 10 ล้าน หลายคนศึกษาน้อยกว่าพี่อีก อิอิ ว่าแต่ ตอน 17.50 ก่อน แตกพาร์ ก่อนปันผล 50 ตัง พี่โทรบอกหลายคน ให้ซื้อ ซื้อ ซื้อ ไม่มีคนซื้ออะครับ พี่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะไม่ได้เล่นหุ้นอยู่ดี จาก 17 วิ่งปรู๊ด ไป 50 อืม มันส์ เมื่อ: 2007-10-01T16:37:30+00:00 SEHJU: สุดยอดจริงๆครับ... ขอบคุณที่ทำให้ผมได้อ่านกระทู้เก่าๆ... สายตาเค้าเฉียบแหลมจริงๆ... โปรดรับการคาราวะจากข้าน้อย.... เมื่อ: 2007-10-02T07:08:11+00:00 crazyrisk: มิได้คับ กระผมยังอ่อนต่อการลงทุนอย่างมาก จึงได้แต่ศึกษาจากอดีต   ความจริงแล้วในหุ้นแต่ละหุ้นนั้นมีขาจรและขาประจำท่านอื่นๆอีกมากมาย แต่ไม่สามารถ นำมาโพสต์ได้หมด จึงได้ใช้เกณฑ์ในการคัดเลือก ข้อความดังนี้คือ 1. เป็นข้อความแรกๆ ของหุ้นๆตัวนั้นๆ (และราคายังไม่ขยับเท่าไรนัก) และเป็นข้อความที่ ค่อนข้างที่จะ มีเหตุผลรับรองอย่างสมเหตุสมผล มากกว่า... ตีฆ้องร้องป่าว 2. เป็นข้อความหลังๆ ที่โพสต์  และหลังจากนั้นไม่นาน ก้อ มีการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว ข้อแรกนั้น ผมใช้ในการศึกษาวิธีการเลือกหุ้น ส่วนข้อ สองนั้น  ผมใช้ในการศึกษา จังหวะในการเข้าซื้อหุ้น รออีกสักหน่อยคับ ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้มาแต่ละตัว.... ขอเรียนเชิญเพื่อนๆ วีไอ ทุกคน เข้ามาโพสต์เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปนะคับ เมื่อ: 2007-10-02T07:13:30+00:00 tummeng: ท่านนี้ก็ใช่ย่อยครับ มองขาดแบบกระจาย หุ้น 2 ตัวนี้ ไม่มีคำว่าสาย..หากคิดจะซื้อ http://thaivi.com/webboard/viewtopic.ph ... nt&start=0 ของผมได้อานิสงส์หลงรัก น้อง mint มาจนบัดนี้ ก็จากกระทู้นี้แหล่ะครับ (ก่อนหน้านั้นเห็นราคา 4-5 บาทก็คิดว่าแพงแล้ว แต่พออ่านกระทู้นี้เข้า เลยคิดได้เลยครับ ว่าไม่มีคำว่าสายจริงๆๆ สำหรับหุ้นแบบนี้) เมื่อ: 2007-10-02T07:34:43+00:00 por_jai: crazyrisk เขียน:มิได้คับ กระผมยังอ่อนต่อการลงทุนอย่างมาก 8) เล่นแบดก็(อ่อน)ด้วยครับ เมื่อ: 2007-10-02T09:50:20+00:00 crazyrisk: dan007 Joined: 24 Dec 2006 Posts: 32 PostPosted: Wed Aug 01, 2007 12:13 am    Post subject: จากหนังสือชี้เเจงนะครับ พี่ woody -----------------------------------------------------------------------------------           2. การเพิ่มขึ้นของ ประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและ ลดการสูญเสีย      จากการผลิตอันเนื่องมาจาก      การลงทุนของบริษัท ใน เครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่      ที่มี เทคโนโลยีและให้ประสิทธิผลสูง ซึ่งได้ ใช้เงินลงทุน    จากการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุน            3. การลงทุนในการผลิตสินค้าใหม่ ตามโครงการผลิตสินค้า PET------------------------------------------------------------------------------------- ผมว่าธุรกิจพวก พสาสติกนะครับ ค่า mold กับเครื่องจักรมันจะเป็นอะไรที่ลูกค้าจะเปลี่ยนยากนะครับเพราะมันต้องจ่ายค่า tool ด้วยกันเเละเรื่องQC สำคัญมากๆ เรื่อง ขวด PET ผมว่ามันมี margin มากกว่า ชนิดอื่นๆ ครับ ถ้า project เป็นไปตาม Plan ผมว่า รายรับคงเพิ่มขึ้นมากนะครับ อย่างมีนัยสำคัญเเต่เท่าไรผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ผมลองคำนวน ราคาคร่าวๆ นะครับ yield =6.25%( 0.3/4.8 > ราคา 4.8 ณ จ่ายปันผล 15พค07) EPS จาก 0.44 เป็น 0.55 เติบโต 25% 1Q2007 > เติบโต 89% จาก 0.09 เป็น  0.17 ถ้าทั้งปี EPS ควรจะเป็น 0.17*4  = 0.68 เติบโต 25 % ทั้งปีเหมือนเดิม เเต่ผมว่ามันต้องมากกว่านี้เพราะ project PET ต้องรอดูงบ 2Q07 นะครับ ถ้าปันผล 50% จากนโยบายปันผลก็ประมาณ 0.34 Price (2007) = 0.34/0.0625% = 5.45 บาท ก็ราคาตอนนี้เลยครับ เเต่ผมว่ามันจะต้องเติบโตมากกว่า 25% นะครับ ลองดูผลงานนะครับ เผื่อ MOS ครับไว้ด้วย “เดิมเราคาดหมายรายได้ไว้แค่ 820 แต่จากการที่มีการติดต่อลูกค้าใหม่ และลูกค้า ต่างประเทศติดต่อเพื่อให้ผลิตสินค้านั้น ทำให้เราต้องมีการปรับประมาณการใหม่เพื่อให้สอด คล้อง ซึ่งเราก็คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นมาเป็น 874 ล้านบาท” นายปรีชา กล่าว ------------------------------- 2005 > รายได้ 608  ล้านบาท, EPS =0.44 2006 > รายได้ 675  ล้านบาท เพิ่ม 11%, EPS = 0.55 2007 > รายได้ประมาณ 874  ล้านบาท เพิ่ม  29%, EPS ต้องเพิ่มมากกว่า 25% เเน่ๆ ถ้าได้อนาคตสดใสๆ  เนื่องจาก Margin เพิ่ม จาก economic of scale จากลูกค้าเพิ่มตามที่ให้ข่าว >O< จริงๆตัวนี้ ก่อนอื่นต้องยกความดีความงามให้กับ คุณ KORN woody ผู้นำกระทู้มาแปะคนแรกๆ ตัวนี้คืออะไรนั้น ทราบกันหรือยังคับ เมื่อ: 2007-10-03T01:05:48+00:00 crazyrisk: ลูกอิสาน Regular Joined: 13 Oct 2003 Posts: 3696 PostPosted: Thu Aug 30, 2007 1:04 pm    Post subject: Reply with quote อิมโก้แพค ปี 2548-46 ครับ Quote: จำนวนเงิน (บาท) ปีงบ 2548  ปีงบ 2547  ปีงบ 2546   รายได้หลัก 2,136,536,681  1,974,994,067  1,804,175,599   รวมรายได้ 2,190,458,646  2,009,280,874  1,861,955,179   ต้นทุนขาย 1,850,653,265  1,706,512,663  1,553,505,940   ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 167,197,619  155,453,132  137,501,566   ดอกเบี้ยจ่าย 39,680,748  32,438,961  43,107,948   ภาษีเงินได้ 31,178,917  28,723,482  25,427,885   กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 101,748,097  86,152,637  102,411,841   มาลาพลาส Quote: รายได้หลัก 1,278,898,363  1,335,745,748  1,215,302,320   รวมรายได้ 1,293,040,732  1,344,987,083  1,228,007,405   ต้นทุนขาย 1,004,897,426  989,952,630  909,071,486   ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 162,507,018  165,049,828  134,415,337   ดอกเบี้ยจ่าย 893,272  2,682,350  7,251,700   ภาษีเงินได้ 36,880,894  55,562,219  53,664,693   กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 87,862,122  131,740,056  123,604,189   เหรียญชัย Quote: ปีงบ 2548  ปีงบ 2547  ปีงบ 2546   รายได้หลัก 676,517,238  571,318,435  432,589,284   รวมรายได้ 689,932,936  580,666,505  434,963,152   ต้นทุนขาย 598,543,543  497,300,075  368,933,546   ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 62,140,185  52,138,907  43,541,544   ดอกเบี้ยจ่าย 16,251,565  13,385,178  14,529,827   ภาษีเงินได้ 4,391,803  5,518,019  1,093,366   กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 8,605,840  12,235,251  4,820,088   เบอลี่ Quote: ปีงบ 2548  ปีงบ 2547  ปีงบ 2546   รายได้หลัก 613,049,053  500,575,375  439,022,391   รวมรายได้ 619,453,070  506,687,207  448,981,855   ต้นทุนขาย 536,433,183  430,903,124  342,908,204   ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 57,397,830  53,536,151  51,631,003   ดอกเบี้ยจ่าย 15,259,891  13,692,075  11,840,348   ภาษีเงินได้ 0  0  0   กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 10,362,166  8,555,857  42,602,300   แอมคอร์ Quote: ปีงบ 2548  ปีงบ 2547  ปีงบ 2546   รายได้หลัก 319,145,493  319,053,566  322,238,497   รวมรายได้ 324,325,271  321,866,773  325,248,319   ต้นทุนขาย 317,980,196  286,399,334  258,553,193   ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 33,992,826  36,861,031  43,239,210   ดอกเบี้ยจ่าย 14,261,856  12,210,677  11,987,659   ภาษีเงินได้ 0  0  0   กำไร(ขาดทุน)สุทธิ (41,909,607)  (13,604,269)  11,468,257   ข้อมูลปี 2548 อิมโก้แพคมียอดขายมากที่สุด 2 พันต้นๆ รองลงมามาลาพลาส 1300 ล้าน tpac น่าจะอยู่อันดับ 3 ทุกบริษัทมีกำไรทั้งนั้น ยกเว้นแอมคอร์ของ wg และเป็นรายเล็กที่สุดด้วย ถ้าผู้บริหาร tpac ต้องการเป็นที่ 1 ใน 5 ปี ต้องโตไม่น้อยกว่า 200% คือจาก 800 เป็น 2400 ล้านภายใน 5 ปี ดูแล้ว agressive มากครับ Confused _________________ การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว นี้คือช่วง  "ถูกกระตุ้น"  ค้าบบบ เมื่อ: 2007-10-03T01:14:36+00:00 crazyrisk: http://images.temppic.com/03-10-2007/im ... 363900.bmp ขอคารวะคับ PS...  ตัว snapshot ที่ผม d/l มาจาก thaiware มันใกล้จะหมดอายุแล้ว ใครรู้แหล่ง d/l ดีๆ อันอื่นมีอีกไหมคับ เมื่อ: 2007-10-03T01:25:52+00:00 por_jai: 8) วันนี้จะเอา snagit ไปฝากที่คอร์ต ดี๊ดีละตัวนี้.... เมื่อ: 2007-10-03T01:48:34+00:00 crazyrisk: por_jai เขียน:8) วันนี้จะเอา snagit ไปฝากที่คอร์ต ดี๊ดีละตัวนี้.... ขอบคุณล่วงหน้าคับ งั้นแลกกับคลิปเด็ดละกันคับ เมื่อ: 2007-10-03T05:17:01+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอขอบคุณ คุณแป๋ม และทีมผู้จัดงานสังสรรค์ทุกๆท่าน jeasmine: ขอขอบคุณ คุณแป๋ม ท่านนายก กรรมการสมาคมฯ วิทยากร คุณชาย คุณชิณณ์ อาจารย์นิเวศน์ และทีมผู้จัดงานทุกๆท่าน งานจัดได้ยอดเยี่ยมมาก อัดแน่นด้วยความรู้ทางด้านการลงทุน การฝึกจิต การบริหารจิตใจซึ่งนำไปใช้ได้ทั้งในการดำเนินชีวิตและการลงทุน ^_^ เมื่อ: 2018-04-02T05:32:49+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สรุปงานสัมนา VI Know How Meeting 1กพ.58 ครับ noooon010: VI Know How Seminar#1 (Material Download) 1 Feb 2015 @ KT-Zemico Basic Health Care Knowledge นพ.จตุพล สุวรรณพินิจ หมอนุ่น https://www.dropbox.com/s/c59ombpi88lcb ... e.pdf?dl=0 Basic Steel Industry คุณนัท https://www.youtube.com/watch?v=9l7JqonyoKA https://www.dropbox.com/s/mucapwzy6rn8h ... y.pdf?dl=0 Dollar มนตรี นิพิฐวิทยา https://www.dropbox.com/s/kumbb0oy5d1x5 ... r.pdf?dl=0 Insurance Company Operation @มีม restricted material Banking Industry Somkiat Kraikriangsri https://www.dropbox.com/s/zxy25z2zivsw8 ... 4.pdf?dl=0 14.50-15.00 พักเบรค 15.00-15.20 K.Bundit Ungrangsee and K.IH retweet น้องเอก ยกยอดไปคราวหน้า 15.20-16.00 Socialnomics คุณเบน ยกยอดไปคราวหน้า 16.00-17.00 4G น้องยู ยกยอดไปคราวหน้า 17:00-17:30 ยาง พี่โทนี่ ยกยอดไปคราวหน้า ################# ขอเริ่มเลยนะครับ Speaker คนแรกผมไม่ได้จดเลยครับ 555 Speaker ท่านที่ 2 สามารถชมจาก clip VDO และเอกสารตาม Link ครับ ################ VIP Speaker พี่มน พี่มนสอนว่า - ที่สอนมาทั้งหมด ไม่ได้บอกว่าให้หาข้อสรุป ...แต่สอนให้หาข้อมูลที่เป็นเหตุผล เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ - เวลาคิดอะไรให้คิดถึงทางที่เป็นไปได้มากกว่า 2แบบ เช่นไปสยาม ต้องนั่งรถไฟฟ้าเท่านั้นหรือ นั่งรถเมล' หรือขับรถมา หรือติดรถเพื่อนมาก็ได้ คำตอบที่ว่า ในอนาคต เงินดอลลาร์จะเป็นเช่นไรก็เช่นกัน - บางทีเราต้องปรับตัว หุ้นที่อดีตมันเคยดีสุดกู่ ตอนนี้ถ้าไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ถ้ามันแย่แล้ว ก็ปล่อยมันไป เพราะสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง "มันคือการเปลี่ยนแปลง"ครับ อย่ายึดติดให้มากนัก - ศึกษาประวัติศาสตร์บ้าง อีกอย่างให้ดูว่าใครเป็นคนเขียน อย่างสงครามโลกที่เกิดขึ้น ฝ่ายเยอรมันก็เขียนอีกแบบ ฝ่ายอเมริกาก็เขียนอีกแบบ ลองอ่านประวัติศาสตร์ที่ชาวบ้านเขียนบ้าง ....(ความเห็นส่วนตัว) ผมคิดว่าเหมือนกับเราอ่านสามก๊กครับ มีทั้งสดุดีเล่าปี่ โจโฉ กวนอู ฯลฯ อย่าไปบอกว่าคนนี้เขียนผิด 100% แต่ให้ดูว่าเค้าเอาเหตุอะไรมาอ้างอิง แล้วเราค่อยดูว่าน่าเชื่อไหม โอกาสเป็นไปได้มันเยอะไหม เมื่อ: 2015-02-02T08:54:49+00:00 noooon010: ประมาณ 200ปีก่อน ขาใหญ่ของโลกคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลแลนด์(ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1) พอปี 1919 ประเทศอังกฤษเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมากจากการพัฒนา technology ด้านต่างๆ ช่วงนั้นเริ่มมีการพบทองใน USA , Africa พอเกิดสงครามโลก มีการหยุดใช้ Gold Standard(35$:1 ออนซ์) เป็นระยะๆ เราเรียกอัตราส่วนนี้ว่า ทรอยอัล พอจบสงคราม อังกฤษ ฝรั่งเศส แย่ มีการยกเลิก Gold standard และแต่ละประเทศใช้มาตรการการเงิน โดยการปรับดอกเบี้ย ขึ้น ลง โดยไม่ได้ ปรึกษากันมากนัก คนที่ได้ประโยชน์จากสงครามโลกมากที่สุด คือประเทศที่ขายอาวุธ นั่นคือ USA เมื่อ: 2015-02-02T09:02:32+00:00 noooon010: ภูมิศาสตร์ของ USA นั้นได้เปรียบประเทศอื่นๆมาก ทั้งฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก ติดมหาสมุทร สามารถเดินทางโดยเรือ ไปที่ยุโรปก็ได้ เอเชียก็ได้ (สมัยก่อน ใครเป็นเจ้าแห่งการเดินเรือ ผู้นั้นมีอำนาจมาก ลองศึกษาเรือรบอังกฤษ ตอนนั้น หรือวิธีการรบของ พระเจ้านโปเลียนดูนะครับ/ แอนโทนี่สอนมาครับ) ทางทะเลจีนใต้ เป็นทางขนส่งสินค้าของ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซึ่งปัจจุบันมีความสัมพันธ์ที่ดี กับ USA ส่วนอีกประเทศที่ใช้เส้นทางนี้คือ จีน ซึ่งมีปัญหากับ 2ประเทศด้านบนอยู่เป็นเนืองๆ เมื่อ: 2015-02-02T09:07:02+00:00 noooon010: ตอนนั้น อังกฤษเสียหายทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ฝรั่งเศสก็พอๆกัน ตรงนี้สำคัญ ตั้งใจอ่านนะครับ #### เดิมเงิน ปอนด์ คนเชื่อถือกันมาก จึงมีการเลิกใช้ us$ มาอ้างอิงกับราคาทองคำ แล้วใช้เงิน ปอนด์แทน ดังนั้นความต้องการเงินปอนด์จะมากขึ้น แต่อังกฤษไม่สามารถพิมพ์เงินอย่างไม่จำกัดได้ เพราะการพิมพ์เงิน ต้องใช้ทองคำ มาค้ำประกัน เมื่อมีการพิมพ์เงินปอนด์ออกมามากๆ เงินเริ่มอ่อนค้า ประจวบกับเศรษฐกิจของประเทศไม่ดี อังกฤษเริ่มขาดดุลการค้า ...แต่... คู้ค้าของอังกฤษไม่ยอมให้เงินปอนด์อ่อนค่าลง ดังนั้นประเทศคู่ค้าจึงทำการแทรกแซงเงินของประเทศตนเอง เพื่อให้เงินของประเทศตนเองอ่อนค่าลง ดังนั้นเงินปอนด์ก็ยังไม่อ่อนค่า คนเริ่มตกงาน(มีคนตกงาน 20-30%) เค้าเลยต้องพึ่งประเทศที่เศรษฐกิจดี มีกองทหารที่เข้มแข็ง และมีเงินสด นั่นคือ USA เมื่อ: 2015-02-02T09:15:36+00:00 noooon010: มีการประชุมของประเทศมหาอำนาจเกิดขึ้น เกิดข้อตกลง Plaza Accord ทางอังกฤษ ส่ง จอห์น เมนาร์ด เคนส์ (แอนโทนี่บอกว่า เค้า Very Genious...ผมเห็นด้วยมากๆครับ) ทาง USA ส่ง เด็กเตอร์ ไวส์ ...ท่านนี้บอกว่าจะเอา $ มาเป็นมาตรฐาน ซึ่งเข้ากับความต้องการของเคนส์ ดังนั้นเราจึงใช้ US$ เป็น Reserve Currency ครับ เมื่อ: 2015-02-02T09:18:53+00:00 noooon010: USA ใช้ triangle trade ให้เงินช่วยเหลือ ยุโรป และญี่ปุ่น เพื่อให้2กลุ่มประเทศนี้มีเงินมาซื้อวัตถุดิบของตน ข้อได้เปรียบของ ญี่ปุ่น และเยอรมันคือ ทั้ง2ประเทศนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณด้านการทหาร (เพราะโดนบีบหลังแพ้สงคราม) ซึ่งงบด้านการทหาร เป็น สัดส่วนที่สูงถึง 50% ของGDP หลายๆประเทศ อย่างไรก็ตามเมื่อ 2ประเทศนี้ มีเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้ง 2ประเทศก็พยายาม devaluation ค่าเงินตนเอง เพื่อไม่ให้ค่าเงินของตนสูงขึ้น ปรากฏว่า ทาง USA มาบีบ 2ประเทศนี้ ให้ทำให้ค่าเงินของตนแข็งค่า เมื่อ: 2015-02-02T09:23:40+00:00 noooon010: หากลองศึกษาประวัติศาสตร์สงครามโลก จะได้ประโยชน์มากๆ/แอนโทนี่(อาจารย์อีกท่านของผม) ##### ญี่ปุ่นก่อสงครามโลก เพื่อจะไปเอา Resource (น้ำมัน, แก๊ส, เหล็ก) จากประเทศอื่นๆ ดังนั้น 2ประเทศนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ งบประมาณของประเทศตนเอง ขาดดุล ไม่ได้ (เยอรมัน มีสหภาพแรงงานที่แข็งมาก ขนาดสามารถปลดนายกได้) ปัจจุบัน จีน ก็ขาดดุลไม่ได้เช่นกัน เราจะเห็นว่า ROE ของบริษัทในจีนไม่สูง แต่จีนต้องการให้มี GDP Growth เพื่อสะสม เงินทุน(Capital) ไว้ เพื่อใช้ในอนาคต จีนจึงเอาแรงงานราคาถูก และที่ดินราคาถูกเข้ามาใช้ เมื่อ: 2015-02-02T09:28:47+00:00 noooon010: พอเกิดการยกเลิก Gold Standard ราคาทองเกิดการดิ่งเหว จนต้องเกิดการประชุมเพื่อไม่ให้แต่ละประเทศมาแข่งกันเทขายทองคำ ราคาทองจึงฟื้นขึ้นมา ปี 1930-1939 ช่วง Great Depression เป็นช่วงที่ทุกคนมีเงิน แต่ความมั่นใจหด คนไม่กล้าจับจ่ายซื้อของ ของก็เลยขายไม่ได้ ตอนนั้นท่านเคนส์เลยใช้วิธี QE แต่ปริมาณเงินไม่มากเช่นปัจจุบัน ซึ่งสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ปัจจุบัน -เงิน ดอลลาร์ใช้ในการค้าทั่วโลกกว่า 87% (เต็ม 20@% เพราะซื้อขายกันไปมา ดูรายละเอียดในเอกสารพี่มนครับ) -USA สร้างท่าเรือโดยใช้เงินไม่มาก ค่าก่อสร้างค่อนข้างถูก USA เตรียม export น้ำมัน ...ดังนั้นซาอุ (ซึ่งมีการส่่งออกน้ำมันเป็นหัวใจหลัก) จึงไม่ยอมลดกำลังการผลิตน้ำมัน - USA ขาดดุลน้อยลงเรื่อยๆ และดูเหมือน จะค่อยๆลดบทบาทเงิน $ ของตน (สาเหตุจากข้อเขียนด้านบน) เมื่อ: 2015-02-02T09:36:40+00:00 noooon010: ตอนแรกๆที่ USA จะทำ QE >> Singapore ออกมาด่า พอUSA จะลด QE >> Singapore ก็ออกมาต่อว่าเช่นกันว่า เศรษฐกิจเค้าเสียหาย (ล่าสุด พี่ท่านเลยทำ QE เอง) ดังนั้นจีนต้องเพิ่มบทบาทของเงินหยวนของตน จะเห็นได้จากเดิม การค้าระหว่างประเทศของจีน เดิมใช้ เงิน $ 100% ปัจจุบัน หยวน 2% $ 98% และความสำคัญของเงินหยวนดูก้าวกระโดด (ดูจากเอกสารพี่มนครับ) เมื่อ: 2015-02-02T09:39:59+00:00 noooon010: นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะหากมีการยกเลิก US$ มาเป็น สกุลเงินกลางจริง โลกจะเกิดการช๊อค เกิดเงินฝืด และประเทศที่มีการค้ากับทุกๆประเทศในโลกอย่างจีนก็จะแย่ ดังนั้นการกระทำของเค้าเป็นเรื่องปกติที่ควรทำ(ที่ญี่ปุ่นเคยพลาด ...ไม่ทำแบบจีน) มีคนถามว่า จีนไปทำสัญญา กับอังกฤษ(เป็นเรื่องปกติที่สามารถเห็นได้) ...เราลืมไปแล้วหรือไรว่า เดิมฮ่องกงเป็นของอังกฤษถึง 99ปี ปัจจุบันธุรกิจของอังกฤษที่ต้องติดต่อกับเอเชีย อยู่ในฮ่องกง และอังกฤษต้องการให้ฮ่องกง เป็นศูนย์กลางการค้าของเอเชีย ลองสังเกตว่า การประท้วงที่ฮ่องกง ประเทศจีน ประนีประนอมสุดๆ ไม่เหมือนตอนเทียนอันเหมิน เพราะจีนก็ใช้ฮ่อฝกงเป็นสถานที่สำคัญในการทำการค้าเช่นกัน ในอีก 20ปีข้างหน้า บทบาทของเงินหยวน น่าจะพอๆกับ US $ แต่ US $ จะไม่หายไปเป็นกระดาษชำระ เงิน € (ยูโร) ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ แต่ละประเทศในนั้นก็เคยชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด (อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ไม่ถูกกัน) เมื่อ: 2015-02-02T09:48:09+00:00 noooon010: ว่างๆลองกดดู SHIBOR(Shanghi Interbank Offered Rate) จริงๆเราจะพบว่า จีนก็ทำ QE เหมือนกัน แต่ไม่เป็นข่าวเท่า USA มีคนกังวลเรื่องหนี้ของ USA จริงๆแล้วหนี้ของ USA ก็เหมือนญี่ปุ่น เจ้าหนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นประชาชน และบริษัทในประเทศของเค้าเองที่ไปซื้อ bond มาจากรัฐบาล ดังนั้น เวลาจะคืนเงิน รัฐบาลก็คืนเงินเป็นเงินดอลลาร์ หรือเยน ตามลำดับ เมื่อ: 2015-02-02T09:51:54+00:00 noooon010: ราคาน้ำมันลงมา เราลองเปิดดูต้นทุนการผลิตน้ำมันของแต่ละประเทศครับ เราจะพบว่า รัสเซียเลยแย่สุดๆ เพราะเค้าค้าขายด้านน้ำมัน และก๊าสธรรมชาติ รัสเซียจะซื้ออาหาร จากยุโรป(ยุโรปซื้อก๊าสจากรัสเซีย)*** จีนเองก็ซื้ออาหาร โดยเฉพาะถั่วเหลือง จาก USA USA ซื้อสินค้าอิเล็คโทรนิค จากจีนมากที่สุด รัฐกันชนอย่าง Ukrain (Anthony เคยเป็นทหารอาสาช่วยชีวิตคนที่รัสเซีย อังกฤษ ยูเครน ตุรกี) ... เวลา Emperor Napolean จะบุกรัสเซีย เค้าจะเข้าไปทางยูเครน ดังนั้นรัสเซียต้องแสดงบทบาท และควบคุมประเทศนี้ (พอๆกับบริเวณด่านเจดีย์สามองค์)...ลองอ้านประวัติศาสตร์ดูครับ เมื่อ: 2015-02-02T09:57:34+00:00 noooon010: ยูเครนมี 2พวก พวกนึง เข้ากับรัสเซีย อีกพวกไม่เอารัสเซีย ดังนั้นถ้ารัสเซียจะเข้ามาคุม เค้าต้องทำการแทรกแซงประเทศนี้ ไม่งั้นเกิดการแบ่งประเทศ ภูมิศาสตร์ของรัสเซียจะเป็นอันตรายครับ เมื่อ: 2015-02-02T09:59:50+00:00 noooon010: ย้อนกลับไป หลัง สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษไปทวงเงินฝรั่งเศส ไปทวงเงินเยอรมันด้วย อ้างว่า ต้องเสียค่าปฏิกรสงคราม USA กลายเป็นประเทศพ่อพระ เพราะให้เงินแก่ประเทศที่มีปัญหา ฟรีๆ ดังนั้น คนให้เงิน เสียงจะดังกว่าลูกหนี้ ...จริงไหมครับ พี่มนแนะนำให้อ่านหนังสือ ระบบการค้า และการเงินระหว่างประเทศครับ เมื่อ: 2015-02-02T10:02:47+00:00 noooon010: แนะนำให้ศึกษา REER(Real Effective Exchange Rate) เพิ่มเติมครับ เมื่อ: 2015-02-02T10:03:39+00:00 noooon010: ขอสรุปเท่านี้ก่อนนะครับผม ขอตัวไปทำงานบ้านก่อนครับ อ่านแล้วอย่าลืมอ่านข้อคิดด้านบนสุดที่พี่มนสอนนะครับ มีสติ มีความสุข และสนุกกับการลงทุนครับ เมื่อ: 2015-02-02T10:13:25+00:00 noooon010: รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ผมนำไปบริจาคให้ รพ.ดอนพุด จ.สระบุรี เป็นจำนวนเงิน 116,874 บาท นะครับ ขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน ขอบคุณ เจ้าของสถานที่ และท่านผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านครับ หากผมสรุปผิดพลาด หรือตกหล่น จัดงานสัมนาแล้วมีการผิดพลาดประการใด ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2015-02-02T10:21:09+00:00 kissme: สุดยอดครับ อ่านแค่นิดเดียวก็มันมาก ขออนุญาติปักหมุดไว้อ่านให้จบ ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2015-02-02T10:30:24+00:00 ลูกหิน: ขอบคุณหมอนุ่นมากๆนะครับ มีประโยชน์ได้รับรู้อีกมุมมองที่ตกผลึกมาแล้วอย่างดี เมื่อ: 2015-02-02T12:33:30+00:00 noooon010: เอกสารของน้องมีมติดลิขสิทธิ ผมเยขออนุญาติสรุปมาให้อ่านกันตามความเข้าใจของผมนะครับ ##### การทำประกัน มีมาตั้งแต่สมัย 2,000ปีก่อน ตอนที่มีเรือล่มกันบ่อยๆ จึงมีการเอาเงินลงขันกันเพื่อจัดสรรค์เงิน ไปช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยเรือล่มครับ ลองหาอ่านหนังสือของ George E.Rejda นะครับ 1.Rate Making คือการคิดเบี้ยประกันครับ ตัวเบี้ยประกันเราเรียกว่า Premium ครับ การประกัน ถ้าเราคิดเบี้ยถูกต้อง เหมาะสมกับความเสี่ยง บริษัทประกันจะไม่ขาดทุน ดังนั้น บริษัทประกันต้องใช้นักคณิตศาสตร์เก่งๆมาคิดตรงจุดนี้ครับ นอกจากการใช้ ประวัติของลูกค้า เราอาจต้องใช้ ประวัติของบริษัท และบริษัทอื่น และประวัติของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง มาประกอบในการคำนวณเบี้ย โดยส่วนใหญ่ Loss Expense ของบริษัทประกันที่ดี ควรจะดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมโดยรวมครับ เมื่อ: 2015-02-02T13:32:12+00:00 noooon010: 2. การ Underwriting คือการพิจารณารับประกัน ตรงนี้ต้องการคนที่เก่งมากๆ ให้ดูตรงนี้เลยว่า บ.นั้นจะเก่งไม่เก่ง ขึ้นกับตรงนี้ ปรักันภัยจะมี 4 ประเภทคือ ประกันอัคคีภัย ประกัน Marine (ตัวเรือ / cargo) ประกันรถยนต์ แบบบังคับ และสมัครใจ สุดท้ายคือ ประกันอื่นๆ คือส่วนที่ไม่ใช่3ประเภทแรกครับ ยกตัวอย่างกรณี CTW เราอาจประเมินได้ว่า CTW มีมูลค่า 6หมื่นล้านบาท ดังนั้นบริษัทเดียวที่จะมารับประกัน ...ไม่น่าเพียงพอ เราอาจต้องทำเป็น ซินดีเคท คือมีบริษัทมารับประกันหลายเจ้าครับ ศัพท์ที่เกี่ยวข้อง เบี้ยประกัน = จำนวนเงินที่ผู้ทำประกันเป็นผู้จ่าย ทุนประกัน = มูลค่าสูงสุด ที่ผู้ทำประกันจะได้รับ การ underwriting จะทำกันทุกวันครับ กรณีไฟไหม้ จะเกิดขึ้นยากที่สุด ช่วงน้ำท่วม มีบริษัทประกัน หรือประกันภัยต่อ ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมทดแทน(ผมเรียกถูกไหมเอ่ย) เพราะ บ.หลายแห่งแจ้งว่า มันผิดเงื่อนไขกับที่ทำประกันไว้ เมื่อ: 2015-02-02T13:39:41+00:00 noooon010: ถ้าบริษัทประกันคิดว่า ค่าประกันแบบ Standard ใช้ไม่ได้ เค้าก็จะเพิ่มส่วนของ Restriction หรือ Modification ครับ หากบริษัทประกันรับทำประกันให้บริษัทใหญ่ๆที่มีชื่อเสียง ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาให้บริษัทประกันด้วยครับ เมื่อ: 2015-02-02T13:42:01+00:00 noooon010: ประกันชีวิต จะมีแบบสะสมทรัพย์ (Saving) เรามักเห็นในธุรกิจ bank assurance (เช่น SCBLIF, BLA, เมืองไทยประกันชีวิต, พรูเดนเชียล(ผ่าน TCAP)) แบบนี้เบี้ยประกัน จะใกล้เคียงกับทุนประกันครับ แบบนี้จะไม่ค่อยได้ไปตรวจโรค เพราะในสัญญาการทำประกัน จะไม่ครอบคลุม หากเกิดโรคต่างๆ กับ ประกันชีวิตจริงๆ แบบนี้เบี้ย กับทุนประกันจะต่างกันมาก เช่น จ่าย1หมื่น ได้ทุนประกัน 2แสน ซึ่งแบบนี้ เป็นแบบที่ ผู้ทำประกันต้องการครับ และผู้ทำประกันมีแนวโน้มต้องไปตรวจกับแพทย์ที่ บริษัทประกันแต่งตั้งครับ เมื่อ: 2015-02-02T13:46:35+00:00 noooon010: 3.Claim Settlement จะมีการดูทุนประกันว่า ครอบคลุม สิ่งที่จะเสียหาย(=risk) ไหม ศัพท์ Inception Date คือวันที่เกิดเหตุ Claim Date คือวันที่เกิดการเคลม และมีการแจ้งให้บริษัทประกันรับทราบ ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่ามี Gap เกิดขึ้น บริษัทที่เก่ง จะมีการตั้ง Incur but Not Yet Report (ค่าใช้จ่ายที่คลาดเคลื่อนระหว่าง 2วันนีข้างต้น) ตรงนี้ไว้ดูบริษัทที่เก่ง กับธรรมดาได้ครับ เมื่อ: 2015-02-02T13:50:33+00:00 noooon010: บริษัทประกันส่วนใหญ่จะตั้งค่าตรงส่วนนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นความเสี่ยงของบริษัทประกันครับ Claim adjuster จะเป็นคนดูว่าสิ่งที่เสียหายที่เค้าแจ้งเคลมนั้น ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า คนที่เป็น Claim Adjuster มักเป็นคนในบริษัท แต่ Surveyor มักเป็นคนนอก Re-insurance - Primary Insurer (Ceding Company) จะโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันอื่นๆ - ค่า Retention Limit : The Amount of insurance retained by the ceding company - The amount of insurance cede to the reinsurer is known as a cession(มักเรียกว่า เบี้ยรับ Seed) ทุกครั้งที่มีการจ่ายเบี้ย จะมีคนมารับ commission เสมอ เมื่อ: 2015-02-02T14:58:52+00:00 noooon010: เวลาที่บริษัทประกันรับเงินประกัน บริษัทประกันจะนำเงินส่วนนี้ไปไว้ในส่วนเบี้ยประกันที่รับมา(เป็นหนี้ชนิดหนึ่ง) ดังนั้นเวลาที่เราอ่านงบของบริษัทประกัน เราจึงเห็นว่าบริษัทจะมีหนี้สูง ซึ่งจริงๆไม่ใช่หนี้ที่แท้จริง(ผมเองเคยเขลาอยู่นานครับ ) เมื่อ: 2015-02-02T15:01:49+00:00 noooon010: Reinsurance จะมี 2ส่วน คือ 1. Facultative Reinsurance : เป็น optional ที่ทำเป็น case by case (สำหรับเคสที่ไม่ใช่ Standard Case) 2. Treaty Reinsurance : Cede จะบอกอยู่แล้วว่า ถ้าเกิดมีการเคลม จะมีบริษัทไหนมารับผิดชอบจ่ายค่าสินไหมเป็น % เท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้ บริษัทประกันจะพิจารณาส่วนนี้ปีละ 1ครั้ง เมื่อ: 2015-02-02T15:08:10+00:00 noooon010: ค่า Ex O L (Excess of loss treaty) = จะใช้ตอน claim มากกว่ากรณีปกติ ลองอ่านเพิ่มจากลิงค์นี้ดูนะครับ http://en.m.wikipedia.org/wiki/Reinsurance ซึ่ง การซื้อ EX O L นี้ จะทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทประกันเพิ่มขึ้น แต่จะลดความเสี่ยงในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันลงครับ ซึ่งต้องอาศัยคนมีความเชี่ยวชาญมาตัดสินใจครับ เมื่อ: 2015-02-02T15:13:52+00:00 noooon010: ส่วนสุดท้ายคือ Investment ครับ บริษัทประกันจะนำส่วน Premium มาลงทุนให้เข้ากับธุรกิจของตนเอง เช่นถ้าเป็นบริษัทประกันภัย แน่นอนว่าต้องมีการเคลมทุกปี ดังนั้นก็ไม่ควรนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนกับ Bond ระยะยาว เช่น 10 year bond ครับ (ช่วงน้ำท่วม มีงริษัทที่ทำแบบนี้ จึงเกิดความเสียหายต่อบริษัทครับ) ผมขอจบการสรุปเท่านี้นะครับ ช่วงของพี่หว่า สมเกียรติ รบกวนอ่านจากสไลด์ประกอบการบรรยายนะครับ ขอบคุณมากๆที่ติดตามอ่านครับ เมื่อ: 2015-02-02T15:20:58+00:00 noooon010: เงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมบริจาคให้ รพ.ดอนพุด จ.สระบุรี เพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยนะครับ บุญรักษาครับทุกๆท่าน เมื่อ: 2015-02-02T15:24:11+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ไม่เข้าใจ wg เรียนถามคุณฉัตรชัย Jeng: เมื่อกี้นั่งดูงบหนุกๆ เงินสด 221 + เงินลงทุนกองทุน 100 ล้าน หาร 17.85 ล้านหุ้น ก็มีเงินสด 18 บาทต่อหุ้น book ไปอยู่ที่ 42 ในขณะที่ราคา 40 บาท ถ้าคิดว่า เอาราคาที่ซื้อ 40 - 18 ก็ซื้อที่ราคา 22 บาท บริษัททำกำไรได้ 4.90 บาท โห pe เหลือเท่าไรนี่ 4.49 ในขณะที่ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่มมาตลอด 5 ปี เรื่องที่ไม่เข้าใจ คือ เค๊าเหลือเงินไว้ทำไมมากๆ อยากทราบว่า ทีเคยได้ยินว่าบริษัทที่เหลือเงินมากๆ จะถูกเทนเดอร์ออก นี่ จริงหรือเป่า ครับ คุณฉัตรชัย และถามเรื่องอื่นด้วย เรื่อง ค่าเช่าของ wg นอกจากตึกรูเบีย แล้วมีอะไรอีกครับ และที่ดินสองแปลงที่เคยเล่าให้พี่ฟัง นี่ ปัจจุบัน เอาไปทำอะไรหรือยัง อืม เมื่อ: 2006-04-15T12:09:11+00:00 Jeng: เรื่องค่าเงินด้วยคุณฉัตรชัย wg น่าจะได้กำไรเพิ่มใช่หรือไม่เห็นค่าเงินแข็ง และไตรมาสหน้า จะไม่มีการตัดขาดทุน 5 ล้านกว่าแล้วใช่หรือไม่ เพราะหมดแล้ว แถมยังได้ดอกเบี้ยจากที่ไปลงทุน 100 ล้าน ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 5.25 % ใช่หรือไม่ คุณฉัตรชัยช่วยประมาณการกำไรปีนี้ 2549 ของ wg ให้หน่อยครับ ว่าน่าจะไปประมาณกี่บาทต่อหุ้น เอาเป็นช่วงก็ได้ อย่างแย่สุด กี่บาท อย่างดีสุดที่กี่บาท เมื่อ: 2006-04-15T12:13:39+00:00 akekarat: ขอแทรกหน่อยครับ คือเงิน 220 ล้านเนี่ย เป็นยอดเงินสดของสิ้นปี 48 ครับ ซึ่งเมื่อกลางเดือน มกราคม 49 นำมาจ่ายเป็นเงินค่าซื้อที่ดินและโกดังจากแอมคอร์จำนวนประมาณ 150 ล้านครับ ให้แอมคอร์นำไปใช้หนี้ธนาคารและอื่น ๆ ตอนนี้ WG ก็เหลือเงินสด ๆ น่าจะประมาณ 50-70 ล้านแหละครับ ส่วนเรื่องจะถือเงินสดไว้มาก ๆ ทำไม .... ก็อยากจะถามผู้บริหารเหมือนกันครับ เมื่อ: 2006-04-15T19:25:47+00:00 Jeng: โห ซื้อโกดังตั้ง 150 ล้าน อืม โกดังไรนี่ แล้วผลตอบแทนค่าเช่า ต่อปีจะได้เท่าไรนะ โกดังที่ว่านี่ เมื่อ: 2006-04-16T00:54:50+00:00 miracle: ซื้อจากบริษัทร่วม ตอนนี้บริษัทร่วมที่ว่านั้น ยังเช่าต่อถึงเมื่อไร ทำเลอยู่ใกล้สุวรรณภูมิไม่ทราบว่าอยู่ส่วนไหนครับ เอ๋ยังมีอีกข้อหนึ่ง ประธานกรรมการ เพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วมีผลกระทบต่อกิจการไหมครับ มาเพิ่มคำถามให้ เมื่อ: 2006-04-16T01:20:07+00:00 ปรัชญา: โผล่เข้ามาดู 8)   อืม สงสัยพี่ฉัตรชัยไปเที่ยวสงกรานต์ เลยยังไม่มาตอบ เมื่อ: 2006-04-16T04:23:52+00:00 miracle: คงที่อยู่บ้านช่วงสงกานต์นั่งทำการบ้านเรื่องหุ้นกันใหญ่เลยอ่ะ เมื่อ: 2006-04-16T08:40:22+00:00 chatchai: Jeng เขียน:ในขณะที่ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่มมาตลอด 5 ปี เรื่องที่ไม่เข้าใจ คือ เค๊าเหลือเงินไว้ทำไมมากๆ ผมคิดว่าผู้บริหารค่อนข้าง Conservative ไม่อยากจะกู้ยืมมาลงทุน  ในจังหวะที่เห็นโอกาสที่ดีนะครับ   ดังเช่นในกรณีที่ซื้อที่ดินและโรงงานจากบริษัทร่วม (แอมคอร์)  ซึ่งบริษัทก็ใช้เงินสด 150 ล้านบาท Jeng เขียน:อยากทราบว่า ทีเคยได้ยินว่าบริษัทที่เหลือเงินมากๆ จะถูกเทนเดอร์ออก นี่ จริงหรือเป่า ครับ คุณฉัตรชัย ส่วนใหญ่น่าจะเป็นอย่างนั้น  ถ้าราคาหุ้นในตลาดยังคงถูกมากๆ แต่กรณี WG ผมยังคิดว่ามีโอกาสที่น้อย  เพราะมูลค่าบริษัทของ WG ค่อนข้างเล็กมากเมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกิจหลักๆอื่นของกลุ่มโอสถสภา เห็นงบการตลาดที่กลุ่มโอสถสภาจะใช้  เพื่อให้เครื่องดื่มชูกำลังของกลุ่มโอสถสภา ไปบุกตลาดโลก   แล้วจะเห็นความแตกต่างเลยครับ  มูลค่าเกือบเท่ามูลค่าบริษัทของ WG เลยครับ Jeng เขียน:เรื่อง ค่าเช่าของ wg นอกจากตึกรูเบีย แล้วมีอะไรอีกครับ และที่ดินสองแปลงที่เคยเล่าให้พี่ฟัง นี่ ปัจจุบัน เอาไปทำอะไรหรือยัง อืม WG มีที่ดิน 2 แปลงครับ 1. ที่ดินในซอยสุขุมวิท 42  ซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงาน สร้างรายได้ค่าเช่า 2. ที่ดินที่ซอยร่วมใจ  บางนา กม.18.8  ปัจจุบันมีโรงงานของ WG  และมีคลังสินค้าให้เช่าครับ ส่วนที่ดินที่ WG ซื้อเพิ่ม  เป็นที่ดินที่ติดกับที่ดินเดิมที่ซอยร่วมใจครับ  รายได้ปัจจุบันก็คือรายได้ค่าเช่าจาก แอมคอร์   แต่ที่ดีมากๆ  ก็คือ  ทำให้มูลค่าที่ดินแปลงเดิมของ WG มีมุลค่าเพิ่มมากขึ้นด้วย  เพราะทำให้มีทางเข้าออกสะดวกขึ้น เมื่อ: 2006-04-17T04:00:25+00:00 chatchai: Jeng เขียน:เรื่องค่าเงินด้วยคุณฉัตรชัย wg น่าจะได้กำไรเพิ่มใช่หรือไม่เห็นค่าเงินแข็ง คงมีส่วนที่ช่วยให้บริษัทมี Margin เพิ่มขึ้นบ้าง  แต่คงไม่มากนัก   Jeng เขียน:และไตรมาสหน้า จะไม่มีการตัดขาดทุน 5 ล้านกว่าแล้วใช่หรือไม่ เพราะหมดแล้ว ไตรมาส 1 ปี 48  บริษัทยังต้องรับรู้ผลขาดทุนจากแอมคอร์จำนวน 4.37 ล้านบาท แต่ในปี 2549  บริษัทไม่ต้องรับรู้แล้วครับ Jeng เขียน:แถมยังได้ดอกเบี้ยจากที่ไปลงทุน 100 ล้าน ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 5.25 % ใช่หรือไม่ ในไตรมาส 1 ปี 48  บริษัทยังไม่ได้รับรู้ดอกเบี้ยจาก Property Fund ครับ แต่ในปีนี้  บริษัทจะรับรู้ดอกเบี้ยที่ 5.75% ต่อปี ครับ  แต่ส่วนต่างก็คงไม่มาก รายได้ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้อีกแหล่ง  ก็คือรายได้จากค่าเช่าคลังสินค้าและโรงงานครับ ในไตรมาสที่ 1 ปี 48  พื้นที่คลังสินค้ามีลูกค้ามาเช่าไม่เต็มพื้นที่  เพราะอยู่ระหว่างการปรับปรุง  แต่ปีนี้เช่าเต็มหมดแล้ว และยังมีรายได้ค่าเช่ามาจากแอมคอร์เพิ่มด้วย เมื่อ: 2006-04-17T04:11:24+00:00 chatchai: akekarat เขียน:ตอนนี้ WG ก็เหลือเงินสด ๆ น่าจะประมาณ 50-70 ล้านแหละครับ ส่วนเรื่องจะถือเงินสดไว้มาก ๆ ทำไม .... ก็อยากจะถามผู้บริหารเหมือนกันครับ ไปช่วยกันถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไหมครับ เมื่อ: 2006-04-17T04:12:32+00:00 chatchai: miracle เขียน:ทำเลอยู่ใกล้สุวรรณภูมิไม่ทราบว่าอยู่ส่วนไหนครับ ถ้าไปจากบางนา  ก็อยู่ซ้ายมือครับ  เลยมหาวิทยาลัยหัวเฉียวไปนิดหน่อยครับ  เข้าซอยร่วมใจ  ในซอยมีโรงงานอยู่เยอะพอสมควร  ทั้งโรงงานของกลุ่มยัสปาลแอนด์ซัน  และที่ดินของ WG เลยก็เป็นโรงงานกระดาษเซลล็อกซ์ครับ miracle เขียน:ประธานกรรมการ เพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วมีผลกระทบต่อกิจการไหมครับ คงไม่มีผลกระทบ  เพราะท่านเกษียณอายุไปนานแล้ว เมื่อ: 2006-04-17T04:17:25+00:00 hongvalue: ผมโหลดงบ wg อยากถามว่าระยะเวลาในการชำระหนี้ที่คุณฉัตรชัยวิเคราะห์ว่า 63.58 วัน  ใช้ตัวเลขอะไรมาคิดเหรอครับมีการประยุกต์สูตรขึ้นมาใช้เองหรือป่าวครับ ผมคิดได้แค่ 60 วัน เมื่อ: 2006-04-17T10:30:13+00:00 MO101: เก็บเงินสดไว้ใช้ในการซื้อที่ดิน จะดูเท่มากๆ เพราะซื้อด้วยเงินสด ไม่มีค่าธรรมเนียมจากแบงค์ 1% ของวงเงิน ส่วนที่ดินผมว่าอยู่แถวๆ นี้นะ "Tha Khanun South" lat=14.731188121, lon=98.6476765021 พื้นที่สีเขียวแล้วมีจุดน้ำตาลนี่ ม.หัวเฉียว ส่วนด้านขวามีโรงงานตัว I สีเงิน นี่โรงงานของ MK เมื่อ: 2006-04-17T10:47:45+00:00 MO101: http://i54.photobucket.com/albums/g113/Pu121/wg_fac.jpg ส่วนโรงงานที่ WG ซื้อไปอันนี้ ไม่ทราบว่าหลังคามันเป็นสีอะไร เลยไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนได้ เมื่อ: 2006-04-17T11:04:39+00:00 chatchai: [quote="hongvalue"]ผมโหลดงบ wg อยากถามว่าระยะเวลาในการชำระหนี้ที่คุณฉัตรชัยวิเคราะห์ว่า 63.58 วัน เมื่อ: 2006-04-17T12:18:29+00:00 hongvalue: ผมอ่านสไลของคุณฉัตรชัยที่ตลาดหลักทรัพย์มีเรื่องจะถามครับ  ทำไมสูตรโดยทั่วไปของ roa กับ roe คือ กำไรหารสินทรัพย์ กับผู้ถือหุ้น แต่ ratio ของคุณฉัตรชัย(roa) กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี/สินทรัพย์รวม roe กระแสเงินสดจากการดำเนินงานทำไมไม่ใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเหมือนกับ roa ล่ะครับ ผมขอคำแนะนำเพิ่มเติมของพี่ฉัตรชัยหน่อยครับ เมื่อ: 2006-04-18T17:58:19+00:00 chatchai: ROA  เป็นการวัดผลตอบแทนจากการใช้สินทรัพย์รวม  ซึ่งมีทั้งส่วนทุนและหนี้  ดอกเบี้ยจ่ายเป็นต้นทุนของส่วนหนี้  จึงไม่คิดครับ แต่ ROE เป็นการวัดผลตอบแทนจากการใช้ส่วนทุน  จึงต้องหักต้นทุนของส่วนหนี้ออกก่อนครับ เมื่อ: 2006-04-19T04:10:54+00:00 hongvalue: ขอบคุณพี่ฉัตรชัยมากครับ เมื่อ: 2006-04-19T12:06:50+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมเมืองไทยถึงไม่มี โรงงานผลิตนมผงสำหรับเด็ก hot: หรือว่ามีแต่ผมไม่ทราบคับ เมื่อ: 2005-07-17T02:16:24+00:00 SmileGraycop: ผมจำได้ว่ามีนะครับ เคยไปนิคมบางชันรู้สึกว่าจะทำยี่ห้อดูเม็กซ์นี่แหละ เมื่อ: 2005-07-17T04:35:33+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
'โสรัตน์ วณิชวรากิจ' หุ้นดีควรซื้อช่วง 'วิกฤติ' บูรพาไม่แพ้: เซียนหุ้น..ฟอร์มเยอะ จัดหนัก 'เคน' โสรัตน์ วณิชวรากิจ เดินหน้าค้นหาหุ้นพื้นฐานดี แปรวิกฤติให้เป็นโอกาส อย่ารีบร้อน อย่าเร่งมือ เมื่อซื้อแล้วอย่ากังวลต้นทุน ของดีจริง 1-2 ปี มันจะกลับมา!!! ช่วงวิกฤติหนี้ยุโรปเรื่อยมาจนถึงปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย "เคน" โสรัตน์ วณิชวรากิจ เซียนหุ้นที่เพื่อนๆ ตั้งฉายาให้ว่า "ฟอร์มเยอะ จัดหนัก" ยังคงเดินหน้าค้นหาหุ้นที่เข้าข่าย “กฎเหล็กซื้อขาย 10 ประการ” เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายส่วนตัวที่ต้องการซื้อหุ้นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นปีละ 1 ตัว เคนเป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัท แพนเอเชีย อุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตแผ่นพลาสติกอะคริลิกรายใหญ่มียอดขายปีละกว่า 600 ล้านบาท โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง นอกจากนี้เขายังมีบริษัทในเครืออีก 5 แห่ง กิจการทั้งหมดมียอดขายรวมกันปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากบทบาทนักธุรกิจและผู้บริหารแล้ว เขายังเป็น "เซียนหุ้น" ที่เคยล้มเหลวมาก่อน ก่อนที่ปัจจุบันจะเป็นเจ้าของพอร์ตลงทุนใหญ่ระดับ "พันล้านบาท" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ตรวจสอบล่าสุดพบว่า โสรัตน์ถือหุ้นใหญ่ (เกิน 0.5%) อยู่จำนวน 8 บริษัท เงินลงทุนรวมกัน ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2554 มูลค่า 1,012 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2554 ที่เคยมีพอร์ตลงทุนจำนวน 1,303 ล้านบาท พอร์ตลงทุนของโสรัตน์ถือหุ้น RS ของ "เฮียฮ้อ" สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ มากที่สุดจำนวน 132.54 ล้านหุ้น สัดส่วน 15.01% มูลค่าประมาณ 345 ล้านบาท อันดับสองถือหุ้น SAMART ของ วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ จำนวน 30 ล้านหุ้น สัดส่วน 3.04% มูลค่าประมาณ 215 ล้านบาท อันดับสามถือหุ้น SAMTEL ในเครือสามารถ จำนวน 16.68 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.75% มูลค่าประมาณ 164 ล้านบาท สำหรับหุ้นที่ถือลงทุนและมีมูลค่าต่ำกว่า 100 ล้านบาท ได้แก่ หุ้น HTECH, CRANE, SALEE, SVI และ PREB เป็นที่น่าสังเกตุว่าในปี 2554 โสรัตน์ ได้มีการปรับพอร์ตลงทุนในหุ้นหลายบริษัทมีทั้งเพิ่มขึ้นและลดการลงทุนลง แต่ยังคงถือหุ้นใหญ่จำนวน 8 บริษัทเท่าเดิม โดยมีการขายหุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ PTL ออกจากเดิมเคยถืออันดับ 3 ของพอร์ต จำนวน 9.76 ล้านหุ้น มูลค่า ณ เดือนมิถุนายน 2554 เท่ากับ 196 ล้านบาท แต่ล่าสุดไม่พบว่าถือหุ้น PTL อยู่แล้ว แต่ไปเพิ่มหุ้นชูไก (CRANE) เข้ามาในพอร์ต ถือจำนวน 23.61 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.24% มูลค่าประมาณ 76 ล้านบาท ลดหุ้น SAMART ลงจากเดิม 35.20 ล้านหุ้นเหลือ 30 ล้านหุ้น แต่ไปเพิ่มหุ้น SAMTEL จากเดิม 11 ล้านหุ้น เพิ่มเป็น 16.68 ล้านหุ้น นอกจากนี้ยังซื้อหุ้น RS เพิ่มขึ้นอีก 11.6 ล้านหุ้น จากเดิม 120.94 ล้านหุ้น สัดส่วน 13.7% ซื้อเพิ่มเป็น 132.54 ล้านหุ้น สัดส่วน 15.01% ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของบริษัทเป็นรองแค่ครอบครัวเชษฐโชติศักดิ์ เท่านั้น "เคน" โสรัตน์ วณิชวรากิจ นักลงทุนหนุ่มวัย 38 ปี อัพเดทข้อมูลการลงทุนส่วนตัวให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ก่อนที่กรุงเทพฯจะจมน้ำ ตนเองได้เดินทางไปเยี่ยมชมกิจการ (Company Visit) หุ้นที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “หุ้นพื้นฐาน” หลายบริษัท มีเข้าตาบ้างไม่เข้าตาบ้าง สุดท้ายก็ตกลงปลงใจซื้อหุ้น ชูไก (CRANE) บริษัทนี้นำเข้าเครื่องจักรใช้แล้วจากต่างประเทศ และมีบริการซ่อมและจำหน่ายอะไหล่ด้วย สาเหตุที่เลือกบริษัทนี้เพราะชอบในความสามารถของผู้บริหาร ธงไชย แพรรังสี ผู้ก่อตั้งชูไก แถมยังให้คำแนะนำดีๆ ในการทำธุรกิจมาด้วย ถ้าจำไม่ผิดใช้เวลาประมาณ 3 เดือนไล่เก็บหุ้น CRANE ในกระดาน รวมถึงติดต่อซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมหลายรายที่ประสงค์จะขายหุ้น ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการต่อรองราคา ปัจจุบันโสรัตน์ บอกว่าสามารถเก็บหุ้น CRANE ได้แล้วประมาณ 8% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2554 ที่ถืออยู่จำนวน 23.61 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.24% โดยมีต้นทุนเฉลี่ยที่หุ้นละ 3.30 บาท "ชูไกถือว่าเข้าข่ายกฎเหล็กซื้อขายทุกข้อของผม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจมีความยั่งยืน ฐานะการเงินดี หนี้ไม่สูง ผู้บริหารเก่ง มีความรู้เยอะ เรียกง่ายๆเป็น “มวยรองบ่อน” อย่าให้ลุกขึ้นมาชกน็อคเอ้าท์แน่นอน ที่สำคัญผู้บริหารเขา (ธงไชย แพรรังสี) มีเวลาให้ตลอดเวลา เพราะผมจะไปหาเขาทุกๆ 1 เดือน และจะโทรศัพท์คุยทุก 1 สัปดาห์ เพื่ออัพเดทข้อมูลต่างๆ ซึ่งเขาตอบสนองในสิ่งที่ต้องการได้เป็นอย่างดี" เคนให้ข้อมูลว่า ช่วงนี้ยังคงตระเวนเยี่ยมชมกิจการดีๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาจังหวะซื้อในปี 2555 แม้น้ำจะท่วมก็ไม่ใช่อุปสรรค ส่วนตัวมองเป็นโอกาสที่ดีสามารถหาซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่มี "ส่วนลด" ค่อนข้างมาก หุ้นบางตัวราคาลดลงถึง 70% จากราคาในอดีต จะเข้าไปค้นคำตอบ (จากผู้บริหาร) ว่าทำไมราคาถึงเปลี่ยนแปลงมาก โอกาสธุรกิจยังเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า! ที่สำคัญจะไปดูว่าเจ้าของบริษัทกับเราเข้ากันได้หรือไม่ คุยกันถูกคอหรือไม่ นอกจากหุ้น CRANE ที่เป็นน้องใหม่ในพอร์ตประจำปี 2554 แล้ว ตอนนี้ยังไม่เจอตัวที่ “ใช่” เคยไปคุยกับบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะเขาดีแค่ชั่วคราว อีกอย่างราคาขึ้นมาเยอะแล้ว ไม่อยากลงไปเล่นเกมกับเจ้าของ บางครั้งเจอตัวที่ใช่! ถูกใจมาก ผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลังขยายตัว 100% จ่ายเงินปันผลมากกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่ 3% แต่ก็มักติดปัญหาตรงที่เจ้าของถือหุ้นต่ำกว่า 50% หรือก็ไม่ได้บริหารเอง แต่จ้างมือปืนรับจ้างทำงานแทน หุ้นอย่างนี้ก็ไม่น่าสนใจ "ผู้บริหารบริษัทบางคนก็หยิ่ง อ้างว่าไม่สะดวกให้ข้อมูลนักลงทุนบ่อยๆ เมื่อข้อสำคัญสำหรับผมไม่ผ่าน ต่อให้ราคาหุ้นถูกแค่ไหน ผมก็คงต้องโบกมือลา เพราะอยู่กันไปคงไม่มีความสุข" เซียนหุ้นระดับพันล้าน บอกว่า กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นตัวใหม่ๆ ยังคงเหมือนเดิม หากเจอตัวที่ “ปิ๊ง” ก็จะเข้าไปคุยกับเจ้าของ บอกให้เขารับรู้ว่าจะเข้ามาซื้อหุ้น "เป้าหมายของผมคือ เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ของบริษัท" เมื่อเจ้าของบริษัทโอเค! ไม่ว่าอะไรก็จะทยอยเก็บหุ้นในกระดานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีผู้ถือหุ้นเดิมพร้อมขาย (ล็อตใหญ่) ให้ คือต้องทำให้เขารู้ว่า เราเอาจริงไม่ได้พูดเล่นขำๆ เขาบอกว่า เป้าหมายการลงทุนไม่ได้ต้องการกำไรมหาศาลเป็นปัจจัยแรก แต่ต้องการ “คู่คิด CEO” ที่สามารถให้คำแนะนำซึ่งกันและกันได้ เพราะคำแนะนำของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจก็มีส่วนสำคัญทำให้ธุรกิจของครอบครัวตนเองเติบโตอย่างยั่งยืน "อธิบายง่ายๆ วันนี้ผมถือหุ้น 6-7 ตัว มูลค่าระดับพันล้านบาท หุ้นทุกตัวมีผู้บริหารเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น "เฮียฮ้อ" สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เจ้าของ RS เขาจะเก่งเรื่อง "การตลาดแบบแปลกๆ" คิดได้ไง! ผมได้อะไรจากเฮียฮ้อมากมาย แถมสามารถนำมาปรับใช้ได้กับธุรกิจของครอบครัวได้ด้วย อยู่แล้วสบายใจไป RS เหมือนอยู่บ้านมีแต่คนต้อนรับ" นอกจากนี้ วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ เจ้าของสามารถคอร์ปอเรชั่น คนนี้เก่งเรื่อง “คอนเน็คชั่น” เขามักสอนผมเสมอ “ทำธุรกิจต้องมีเครือข่ายที่ดี ธุรกิจจะได้คล่องตัว” ส่วนตัวก็นำมาปรับใช้ อีกคน สาทิส ตัตวธร เจ้าของสาลี่อุตสาหกรรม คนนี้ชำนาญเรื่อง "งานบริหารการผลิต" เขาช่วยธุรกิจผมเยอะมาก เห็นอะไรที่เกี่ยวกับพลาสติกอะคริลิกในต่างประเทศเฮียสาทิตก็จะโทรมาบอกแบบไม่มีนัยสำคัญอะไร นอกจากนี้แกยังขนทรายมาให้บริษัทผมทำคันกั้นน้ำ 5 ตัน แถมยังช่วยวางแผนให้อีกต่างหาก คนสุดท้าย พีท ริมชลา เจ้าของแฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ คนนี้เก่งเรื่อง "วิจัยและพัฒนา" เพราะเป็นคนมีระบบระเบียบมาก วางเงินไว้ในมือเขาอุ่นใจสุดๆ “ใครจะทำได้อย่างผมมี CEO บริษัทใหญ่ๆ เป็นที่ปรึกษา พวกเขาทำให้กำไรธุรกิจครอบครัวของผมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง “ทำน้อย กำไรมาก” มีที่ไหน คู่แข่งได้ยินหนาวไปตามๆกัน ใครจะกล้ามาแข่งกับผม ตอนนี้คิดว่าจะเรียนเชิญ CEO ทั้ง 5 ท่าน มาเล่าประสบการณ์การทำงานให้พนักงานแพนเอเชีย อุตสาหกรรม ฟังเฉลี่ยเดือนละครั้ง” โสรัตน์บอกว่า ตอนนี้หุ้นในพอร์ตของเขาก็ยังคงเป็นตัวเดิมๆ ไม่ได้ซื้อเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะอัพเดทข้อมูลใหม่ๆกับผู้บริหารบริษัทตลอดเวลา เชื่อหรือไม่! ในช่วงที่เมืองไทยวิกฤติแบบนี้ ทำให้เห็นว่าหุ้นที่ถืออยู่มันดีที่สุดจริงๆ เอาง่ายๆ ในยามที่บ้านเมืองไม่ปกติสุขแบบนี้ แต่ผู้บริหารเขามองการณ์ไกล คิดแก้ปัญหาล่วงหน้า บางคนนอนกินอยู่ในบริษัท ไม่ได้หนีหายออกนอกประเทศ หรือไปต่างจังหวัด แล้วทิ้งให้ลูกน้องดูแลงานทั้งหมดแทน คนเป็นกัปตันมันต้องไม่สละเรือหนี "ผมโทรไปคุยกับเฮียฮ้อ ช่วงน้ำท่วมลาดพร้าว ใหม่ๆแกบอกว่าไม่ต้องห่วง เราขายของบนออนไลน์ ไม่ได้ขายแผ่นเหมือนก่อนสินค้าไม่เสียหาย ส่วนห้องอัดเสียงก็อยู่บนที่สูงห่างน้องน้ำ ส่วนออฟฟิคย้ายไปเช่าตึกแถวพระราม 4 ประมาณ 1 เดือน อาจมีบ้างที่กระทบในแง่โฆษณา แต่เขาควบคุมต้นทุนอะไรไม่จำเป็นตัดทิ้งให้หมด ส่วนเฮียสาทิส คนนี้สุดยอด ไม่กลับบ้าน นอนเฝ้าโรงงานทั้งวันทั้งคืน แถมยังรับออเดอร์ต่อเนื่อง เพราะคู่แข่งหยุดทำงาน บางโรงงานก็จมน้ำ เฮียแกบอกว่า ตอนนี้ออเดอร์เยอะทำไม่ทัน กัปตันเรือต้องแบบนี้ ตอนทะเลนิ่งคนมักชอบอวด แต่พอทะเลพิโรธหายหน้าไปเลย" โสรัตน์ยังออกอาการชื่นชม วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ที่บ้านโดนน้ำท่วมเพราะอยู่ในเมืองเอก แต่ก็ยังสู้ไม่ถอย แกบอกว่า ไม่ต้องกลัววันนี้ยังรับงานอย่างต่อเนื่องเราต้องทำงานตอนน้ำยังไม่ลด คนทำงานหลังน้ำลดสู้เราไม่ได้หรอก เพราะเราก้าวมาไกลแล้ว ยิ่งคุณพีท ก็ใช่ย่อย แกบอกว่าหากน้ำท่วมแบบนี้ลูกค้าเมืองไทยมีสะเทือน ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องไปอินโดนีเซียขายดักหน้าไปเลย เพราะมีบริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ (ฟิลิปปินส์) ร่วมทุนกับ “ต๊อก ชี ชวน” (ชาวสิงคโปร์) และ “ฮามิลคาร์ อาซาเรียส” (ชาวฟิลิปปินส์) บริษัทแม่ถือหุ้น 65% “ผมนำเงินที่เตรียมจะไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลมาลงทุนในตลาดหุ้น ฉะนั้นต้องมั่นใจว่า CEO เหล่านี้จะดูแลเงินผมเป็นอย่างดี สามารถให้เงินปันผลได้มากกว่าดอกเบี้ยพันธบัตร เมื่อกัปตันเหล่านี้ทำงานเกินหน้าที่ แล้วผมจะทิ้งเขา (ขายหุ้น) ไปได้อย่างไร” เซียนหุ้นพันล้าน แนะนำนักลงทุนว่า ในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปี 2554 ควรหาธุรกิจที่เป็นไปตามที่เราต้องการ หาจุดชี้วัดให้เจอ คือเขาดีใจที่เจอเรา แล้วเราก็แฮปปี้ที่มีเขา หากเจอแล้ว ก็จงหาจังหวะลงทุน อย่าสนใจว่าดัชนีตอนนั้นจะสูงหรือต่ำ ถ้าธุรกิจดีจริง SET Index จะขึ้นหรือลง ก็ไม่มีผลอะไรต่อหุ้นของเราทั้งนั้น “อย่ารีบร้อน อย่าเร่งมือ เมื่อซื้อแล้วอย่ากังวลต้นทุน ของดีจริง 1-2 ปี มันจะกลับมา” นี่คือคาถาลงทุนของ "เคน" โสรัตน์ วณิชวรากิจ เซียนหุ้นผู้ที่ได้รับฉายา "ฟอร์มเยอะ จัดหนัก ที่มา...http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ิกฤติ.html เมื่อ: 2011-11-14T00:53:58+00:00 yoko: ผมว่าเขามองผบหดีมากเกินไป ปู่บัฟบอกว่าธุรกิจที่ไม่ได้เรื่อง เอาผบหดีมาบริหารก็น่าเศร้า ไม่แม่นครับ555 เมื่อ: 2011-11-16T13:33:36+00:00 pornchal: อ่านแล้ว เห็นหุ้นที่เค้าซื้อ คอมเมนซ์ ไม่เป็นเลย... งง เลย.. เมื่อ: 2011-11-16T17:11:52+00:00 บูรพาไม่แพ้: ผมมองแค่อย่างเดียวครับ นักลงทุนที่ดีควรที่จะซื้อหุ้นในยามวิกฤติและหุ้นนั้นต้องมีส่วนลดมากพอ ทั้งนี้ต้องหมายถึงว่าหุ้นนั้นจะต้องผ่านวิกฤติไปได้ด้วยนะครับ และไม่แน่เราอาจจะได้กิจการที่ยอดเยี่ยมในราคายุติธรรมก็ได้ครับ เมื่อ: 2011-11-17T01:11:22+00:00 bank115: ผมว่าคุณเคน เค้าฉลาดเลือกผู้บริหารนะครับ ซึ่ง win-win กันทั้ง 2 ฝ่าย การที่ได้ผู้บริหารเก่ง ๆ มาเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษาธุรกิจตัวเองด้วยนั้น เยี่ยมสุด ๆ ไปเลย แต่วิธีการเลือกหุ้นเช่นนี้คงไม่เหมาะ สำหรับคนธรรมดาสามัญ ที่ ต้องการ maximize profit มั๊งครับ นานาจิตตัง เมื่อ: 2011-11-17T09:31:09+00:00 mameepoko: มีแต่ htech กับ salee ที่ยังพอเข้าใจ บางตัววอลุ่มแห้งผากก็ ตอนเก็บใช้เวลานาน ตอนปล่อยอาจจะนานกว่า เทพคงมองเห็นสิ่งที่คนสามัญอย่างผมมองไม่เห็นจริงๆ เมื่อ: 2011-11-19T09:45:06+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผลกระทบตามฤดูกาล aviruth: อยากถามคนที่อยู่ในตลาดนานๆปรกติไตรมาสสามฝนตกเยอะพลอยทำให้ธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนรายได้ลดลงหรือเปล่าครับ หุ้นตัวใหนได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์จากหน้าฝน แล้วที่ผ่านมาจะกลับมาขายดีในไตรมาสสีหรือเปล่า อยากให้คนที่มีประสปการณ์มาตอบ เมื่อ: 2010-09-14T04:39:50+00:00 MO101: หน้าฝน หุ้นยาง จะได้ผลกระทบจากปริมาณน้ำยางที่ได้ลดลง หุุ้นค้าปลีก คนมาเดินช๊อปปิ้งน้อยลง หุ้นท่องเที่ยว คนมาท่องเที่ยวน้อยลง หุ้นน้ำประปา ประมาณน้ำเพิ่มขึ้น ได้รับผลดีตัวเดียวเลยมั้ง เมื่อ: 2010-09-14T04:46:49+00:00 laohanant: ฝนตก ยิ่งตกยิ่งมาก ดีต่อธุรกิจปลูกปาล์มแน่นอนครับ UVAN UPOIC  :D เมื่อ: 2010-09-14T08:21:02+00:00 sai: ฝนตก คนป่วยบ่อย โรงพยาบาลขายดีงับ  :lol: เมื่อ: 2010-09-14T08:23:33+00:00 เกล้า: ฝันตกทุกวันบ่อยๆเครื่องซักผ้าแรงดันน้ำต่ำน่าจะได้ประโยชน์ไม่รู้คิดถูกรึเปล่า..  :D  :D เมื่อ: 2010-09-14T09:12:02+00:00 comrade: ฝนตกคนเดินห้างปิดมากกว่าห้างเปิด ฝนตกคนอยู่บ้านมากกว่าออกนอกบ้าน อยู่บ้านเล่นเน็ท กินอาหารแช่แข๊ง เมื่อ: 2010-09-14T11:55:14+00:00 My House: ผมอยู่บ้านกินมาม่าคับ หุหุ เมื่อ: 2010-09-14T13:43:11+00:00 unnop.t: น้ำมา ปุ๋ยน่าจะขายดี  :D ฝนตกหนักอยู่บ้าน อากาศดี คนน่าจะปั๊มลูกกันเยอะขึ้น อีก 9 เดือน ผ้าอ้อมขายดี   :lol:  :lol: เมื่อ: 2010-09-15T06:36:49+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
888 LOSO: 555 เมื่อ: 2005-06-13T14:44:40+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วอลลุ่ม กับ ราคาหุ้น bankamo: ีที่เขาบอกว่า วอลลุ่ม บอกถึงความเหนียวแน่น และ ทิศทางของราคา เลย อยากทราบว่า ถ้าสมมติ มี วอลลุ่มอยู 500หุ้น ทั้งหมด วันนี้ ราคา ขึ้นไป เป็น 30บาท วอลลุ่มซื้อขายอยูที่ 350 <--- นะราคานี้ และ วอลลุ่มที่สูง ขนาดนี้ จะถือเป็นแนวรับ แนวต้านที่แข็งแกร่งได้หรือไหม ? ถ้า วอลลุ่มเยอะ แสดงถึง แนวรับ แนวต้านที่แข็งแกร่งหรือไหม ?? หรือ แสดงถึง ราคา ที่จะอยู ในระดับนี้ ได้นานพอสมควร ? ขอบคุณครับ ~ เมื่อ: 2010-08-08T06:28:57+00:00 o-bo-ja-ma: bankamo เขียน:ีที่เขาบอกว่า วอลลุ่ม บอกถึงความเหนียวแน่น และ ทิศทางของราคา เลย อยากทราบว่า ถ้าสมมติ มี วอลลุ่มอยู 500หุ้น ทั้งหมด วันนี้ ราคา ขึ้นไป เป็น 30บาท วอลลุ่มซื้อขายอยูที่ 350 <--- นะราคานี้ และ วอลลุ่มที่สูง ขนาดนี้ จะถือเป็นแนวรับ แนวต้านที่แข็งแกร่งได้หรือไหม ? ถ้า วอลลุ่มเยอะ แสดงถึง แนวรับ แนวต้านที่แข็งแกร่งหรือไหม ?? หรือ แสดงถึง ราคา ที่จะอยู ในระดับนี้ ได้นานพอสมควร ? ขอบคุณครับ ~ เออ...เอิ๊อก... โอ้ย .... อ๊าก .... ลองดูกระทู้เก่า ๆ ว่าน่าจะผิดห้องหรือเปล่าครับ  :twisted: เมื่อ: 2010-08-08T14:11:40+00:00 ซุนเซ็ก: อย่าไปสนใจเลย  มันบอกอะไรไม่ได้มากหรอก เมื่อ: 2010-08-08T14:24:14+00:00 nattachai: ผมว่าไม่เกี่ยวกันเลยครับ ผมเห็นบ่อยๆหุ้นซื้อที่ราคาสูงๆซะเยอะเป็น 70-80% ของ Volume วันนั้น วันรุ่งขึ้นก็รูดลงมา แล้วก็ไม่เคยกลับมาที่ราคานั้นอีกเลยก็มีเยอะไปครับ เมื่อ: 2010-08-08T14:39:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
VI กับ VS ใครว่าต่างกัน THiNK: ต้องเหนื่อยเหมือนกันทั้งคู่ครับ ขณะที่ VI ขมักเขม่นศึกษาพื้นฐานของบริษัทที่ตัวเองสนใจเป็นระยะๆ VS ก็นั่งคำนวนคาดการณ์การขึ้นลงของหุ้นรายวันตามหลักของแต่ละคน เราก็จะพบว่า ทั้งคู่ถ้ามีลงทุนมีเหตุผลใช้ความรู้ ก็ต้องเหนื่อยกันทั้งคู่ ก็คงขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจจะเหนื่อยแบบไหน ไม่มีอะไรหรอกครับ ... ทำการบ้านไป บ่นไปน่ะ ... ไปฟังคุณคลายเคลียดสอนน้อง กันหน่อย ดีมั้ยครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 50451.html เมื่อ: 2003-09-11T16:27:28+00:00 นายสต็อก: ณ ยามตลาดคึกคัก... ห้องค้ากลายเป็นห้องที่วุ่นวายน่าเวียนหัวยิ่งนัก เดินเข้าไปก็เหมือนเดิน เข้าสนามรบ เสียงดังเซ็งแซ่ไปหมดคงจะหายากสักหน่อย ที่จะเจอนักลง ทุนกางตำราวิเคราะห์หุ้นทีละตัวก่อนซื้อ-ขาย แต่ละคนต่างก็ใช้ ประสบการณ์ในการลงทุน, ข่าว, และ คำแนะนำทั่วไป ประกอบการตัดสินใจ ผมหรือคนอื่นต่างก็มีกำลังทรัพย์ในกระเป๋าไม่เท่ากัน บ้างก็ทุนหนา บ้างก็ทุนน้อย บ้างก็มือใหม่ คงยากสักหน่อยที่จะสรุปว่า คนไหนเป็นนักลงทุนเก็งกำไร นักลงทุนระยะประเภทอื่น อยากรู้ว่า ใครเป็นนักลงทุนมีคุณภาพ ก็ต้องเช็คอัตราผลตอบแทนพอร์ตของแต่ ละรายกันดูแหละครับ โดยเฉพาะในระยะยาวๆ.... ที่สำคัญ..."วันพระมิได้มีหนเดียวซะด้วย!" เมื่อ: 2003-09-12T13:31:16+00:00 นายสต็อก: ผมไม่เคยรู้จัก"เฮียคลายเครียด" หรืออ่านข้อเขียนของเฮียมาก่อน เพราะตั้งแต่ลงทุนมาก็เข้าอยู่แค่tvi web และของsettrade กับ secเท่านั้น(เพิ่งลงทุนได้แค่ปีกว่าๆ) แต่พอได้อ่านตามที่เพื่อนpost ไว้และlinkตามดูไปเรื่อยๆ ผมยอมเรียก"เฮีย"ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ข้อเขียนของเฮียกลั่นมาจากประสบการณ์ ความเจ็บปวด ความกล้าเอาสิ่งที่ผิดพลาดของตัวเอง มาตีแผ่ให้น้องๆรุ่นหลังที่ไม่ทันยุค"ราชาเงินทุน"ล้ม(คล้ายๆกับตอนนี้ที่หุ้นกำลังบูมหนัก) ได้เป็นอุธาหรณ์อย่างดีที่สุด และซึ้งที่สุดกับความรักที่บุพการีมีต่อลูกของท่านโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดมาบรรยาย แสดงถึงความเมตตาของเฮียที่ไม่อยากให้รุ่นหลังๆเจอ"ทุกข์"เหมือนรุ่นก่อนๆ ขอคารวะไว้อีกครั้งครับ อยากให้เฮียเข้ามาแวะดูและช่วยตอบปัญหาให้น้องๆด้วยครับ เมื่อ: 2003-09-12T14:19:29+00:00 ปรัชญา1: ที่นี่..ที่นี่ วันนี้ตอนเที่ยงZIMCO เลี้ยงอาหารเที่ยงในโรงแรม(โต๊ะจีน) เย็นนี้ อีกบริษัทก็เลี้ยงอาหารค่ำ ตอนนี้ ผอ.ห้องค้าเอาใจนักเก็งกำไรสุดชีวิต น้ำกำลังขึ้น เขากำลังรีบตักตวง แต่ถ้าหมดรอบ ก็คงหายหน้าหายตากันไป ตอนนี้เศรษฐีใหม่ กำลังฮึกเหิม เพลิดกับส่วนเกินที่ได้มา ห้ามไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ (ว่าแต่เขา ผมเป็นอิเหนาเอง) รอดูกันไปเรื่อยๆครับ ว่าพรรคพวกเพื่อนเรา จะอยู่ครบไหม นักลงทุนVI เน้นการลงทุน แบบหุ้นส่วนบริษัท นักลงทุนVS เน้นการลงทุน แบบเด็ดดอกไม้มาดมแล้วโยนทิ้ง ผมคิดอย่างนี้ผิดหรือถูกครับ เมื่อ: 2003-09-12T14:24:46+00:00 moo: สร้างบ่อเลี้ยงปลาอย่างที่พี่ CK สอนไว้ ดีกว่าเยอะเลยครับ เมื่อ: 2003-09-13T12:16:14+00:00 FW: ไม่มีอะไรดีที่สุด.. ผมเชื่ออย่างนั้น.. คำสอนของพระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าให้เรา "เดินทางสายกลาง" และ อย่าให้มี "อัตตา" มากนัก จะเหมาะสมที่สุดครับ.. สำหรับมือใหม่.. มีหลายเว็บที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหุ้น ไม่ว่าเราจะเป็น VI หรือ VS ก็อ่านไว้ประดับความรู้ได้ครับ.. ผมก็มือใหม่คนหนึ่ง.. วันๆ ก็อ่านหลายเว็บเหมือนกัน สำหรับงานเขียนของเฮีย 2 คอ (ผมขออนุญาตเรียกว่า "เฮีย") ต้องยอมรับว่า เฮียเขียนได้เนียนเหมือนนักเขียนมาก.. เข้าใจว่าต้องเคยเขียนบทความมาก่อน.. (ขอเดา..) ใครไม่เคยอ่านลองแวะ "สินธร" อ่านดู แล้วจะรู้ว่าเฮีย 2คอ ไม่ธรรมดาจริงๆ นะเฮีย.. ! เชียร์กันข้ามเว็บเลยนะเนี่ย... เมื่อ: 2003-09-13T18:24:15+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ช่วยกันวิเคราะห์หน่อยเร็ว FW: ผมไม่เข้าใจว่าทำไมบัฟเฟ๊ตถึงซื้อหุ้นปีโตรไชน่า ทั้งที่เป็นธุรกิจที่แข่งขันแต่เรื่องราคา ถ้าหากคิดว่าบัฟเฟ๊ตคาดว่าน้ำมันจะมีราคาแพงก็ไม่น่าใช่เพราะบัฟเฟ๊ตจะไม่พยายามคาดการณ์อนาคตแล้วทำไมถึงซื้อหละ งงงงงงๆ เมื่อ: 2004-08-10T03:58:00+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แต่ง(หุ้น)ด้วยเครื่องสำอาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Thai VI Article: ผมชอบติดตามเรื่องราวของคนในสังคมโดยเฉพาะจากภรรยาของผมที่มักจะมีเพื่อนหลากหลายทั้งทางด้านของอาชีพและอายุ ผมคิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นมักจะบอกถึง เทรนด์หรือแนวโน้มของสังคมที่ “ไม่ลำเอียง” เพราะคนที่เล่าไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งหรือต้องการชักชวนให้เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย นอกจากนั้น การฟังเรื่องราวเหล่านั้นก็เป็นเรื่องของความบันเทิงและเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีเรื่องคุยกันได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมก็ได้รับฟังเรื่องราวของเดียร์ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็น “สาวเก่ง” ที่ทำการค้าขายเสื้อผ้าแนวค้าปลีก-ส่งในย่านดังของกรุงเทพมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ เธอมีร้านอยู่ 2-3 แห่งที่ประสบความสำเร็จและทำมานานกว่าสิบปี ต่อมาก็ขยายไปขายเปียโนมือสองจากญี่ปุ่นทางอินเตอร์เน็ตเพราะเห็นว่าธุรกิจที่มีอยู่เดิมอาจจะถดถอยลงในอนาคต ซึ่งธุรกิจใหม่นี้ก็พอไปได้ กำไรเดือนละหลายหมื่นบาท แต่ที่น่าสนใจมากสำหรับผมก็คือ ขณะนี้เธอกำลังเริ่มโปรเจ็คใหม่ที่ทำให้ผมเขียนบทความนี้นั่นก็คือ เธอกำลังจะ “ขายเครื่องสำอางผ่านอินเตอร์เน็ต” เหตุที่ผมสนใจก็เพราะไม่ใช่เฉพาะเดียร์ที่อยากขายเครื่องสำอาง แต่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทก็กำลังคิดขายเครื่องสำอาง เหตุผลก็คงเป็นเพราะบริษัทจดทะเบียนที่ขายเครื่องสำอางหรือมีแผนกขายเครื่องสำอางหลายบริษัทมีกำไรที่ดีและ “เติบโตมาก” ยอดขายและกำไร “พุ่งพรวด” Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น “มโหฬาร” ค่า PE ของหุ้นสูงยิ่งกว่าซุปเปอร์สต็อกที่ 50-100 เท่า ทำให้เจ้าของกลายเป็น “มหาเศรษฐี” ในชั่ว “ข้ามคืน” ในอดีตนั้น การขายเครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ “ทำยาก” แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งที่มี “ดารา” เพียบที่พร้อมจะช่วยโปรโมตสินค้าก็ล้มเหลวมาแล้ว ย้อนกลับไป 20-30 ปีก่อนนั้น สินค้าเครื่องสำอางถือเป็นสินค้า “หรู” และเจ้าของสินค้าจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีเทคโนโลยี “สูง” มี แล็บที่ก้าวหน้าสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดีไว้ใจได้เพราะมันเป็นของที่ต้องใช้กับหน้ากับตัว ถ้าพลาดก็จะเสียหายหนัก ผมเองยังจำได้ถึงครีมทาหน้า “กวนอิม” ที่ถูกผลิตขายในราคาถูกและทำให้เด็กที่รับจ้างทำงานบ้าน “หน้าขาว” ผุดผ่องจนคุณนายต้องหันมาใช้และภายหลังพบว่ามันมีส่วนผสมของปรอทที่เป็นอันตรายจนทำให้ครีมนั้นสูญหายไปจากตลาด ดังนั้น เครื่องสำอางจึงจำเป็นที่จะต้องมี “ยี่ห้อ” เก่าแก่ที่ดีจากต่างประเทศจึงจะขายได้ แต่ก็เหมือนกับสินค้าอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เทคโนโลยีการผลิตเครื่องสำอางมีความก้าวหน้าและแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง โรงงานที่สามารถผลิตเครื่องสำอางคุณภาพมาตรฐานเกิดขึ้นเต็มไปหมดรวมถึงในประเทศไทย ต้นทุนในการผลิตก็ต่ำลงมาก การวิจัยใหม่ ๆ ก็ก่อให้เกิดการผลิตเครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เครื่องสำอางก็ขยายตัวขึ้นอานิสงค์จากคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นมาก สินค้าเกี่ยวกับเครื่องสำอางก็มีหลากหลายขึ้น แต่เดิมที่มักเน้นเฉพาะหน้าก็กลายเป็นทั้งตัว ทั้งหมดนั้นทำให้ตลาดของเครื่องสำอางโตขึ้นมาก ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ คนส่วนใหญ่ยกเว้นคนที่รวยจริง ๆ เริ่มไม่ยึดติดกับยี่ห้อที่เคยโด่งดังในอดีต พวกเขารู้ว่าเครื่องสำอางที่ผลิตออกมาขายในท้องตลาดมักจะมีคุณภาพมาตรฐานไม่เป็นอันตรายและก็มีคุณสมบัติตามที่โฆษณาไว้เพราะมันมีตัวยาที่ทำให้มันเป็นอย่างนั้นได้จริงโดยที่ตัวยานั้นเองบางทีก็ผลิตจากโรงงานเดียวกัน จริงอยู่ความแตกต่างก็อาจจะมีบ้างแต่มันไม่มากพอหรือคนใช้ก็อาจจะไม่สามารถสังเกตได้ ดังนั้น คนจึงสนใจเรื่องยี่ห้อน้อยลง แต่จะดูว่าเครื่องสำอางยี่ห้อไหนและแบบไหน “เหมาะกับตัวเอง” มากกว่า นอกจากผลิตภัณฑ์แล้ว ช่องทางในการจัดจำหน่ายเป็นอุปสรรคสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้การขายเครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ยาก เครื่องสำอางนั้นมักจะมีราคาขายที่ไม่สูงและต้องสะดวกที่จะซื้อเนื่องจากมันเป็นสินค้าที่ต้องใช้ประจำวันไปแล้ว ดังนั้น การจะวางจำหน่ายเครื่องสำอางแบบกว้างขวางจะต้องมีระบบโลจิสติกที่ดีและต้องลงทุนไม่น้อย นี่ทำให้ธุรกิจเครื่องสำอางในอดีตจะต้องเป็นบริษัทที่ใหญ่พอสมควรซึ่งทำให้คนที่จะเข้าไปเล่นมีน้อย การโปรโมชั่นหรือส่งเสริมการขายซึ่งรวมถึงการโฆษณาเองนั้น ในอดีตเป็นเรื่องที่ใหญ่มากที่สุดอย่างหนึ่ง สินค้าเครื่องสำอางนั้นเป็นสินค้าผู้บริโภคโดยแท้ ถ้าไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จัก การขายก็เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายก็คือเรื่องของราคา เครื่องสำอางนั้นเป็นสินค้าที่ “บ่งบอกรสนิยม” หรือแสดงถึงรสนิยมของผู้ใช้ การตั้งราคาที่ต่ำเกินไปเพื่อดึงดูดคนมาซื้อนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้น ราคาของเครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงเป็นราคาที่สูงเมื่อเทียบกับต้นทุนในการผลิต พูดง่าย ๆ ว่าเครื่องสำอางมักจะมี Gross Margin สูงมาก ราคาขายอาจจะ 100 บาท ต้นทุนการผลิตจริง ๆ อาจจะแค่ 20-30 บาท แต่ต้นทุนส่วนใหญ่จะมาจากต้นทุนในการขายและการบริหารมากกว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดต้นทุนอื่นทั้งหมดแล้ว กำไรต่อยอดขายก็มักจะสูงถ้าสามารถทำยอดขายได้ดีเมื่อเทียบกับต้นทุนในการขายเช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าที่ร้านค้า และค่าบุคลากรอื่น ๆ เป็นต้น เวลาผ่านมาจนถึงยุคนี้ที่มีความก้าวหน้าในทุกด้านโดยเฉพาะทางด้าน การผลิตแบบ Global Sourcing E-commerce และ Social Media ได้ทำให้ “กำแพง” หรืออุปสรรคขวางกั้นการเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอางถูกทำลายลง ตัวผลิตภัณฑ์นั้น แม้แต่คุณเดียร์ที่ไม่เคยรู้เรื่องเคมีและวิศวกรรมอะไรทั้งสิ้นก็สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ “ในฝัน” รอบแรกถึง 5-6 อย่าง ทั้งหมดนั้น “ออกแบบ” โดย “คุณเดียร์” ที่ทำให้ ผิวขาว นุ่ม เนียน และอื่น ๆ อย่างที่ผู้หญิงต้องการและผลิตโดยผู้ผลิตชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ โดยมี “เครื่องหมายรับประกัน” คุณภาพ การประชาสัมพันธ์หรือโฆษณารวมถึงการสั่งซื้อนั้นทำผ่านอินเตอร์เน็ตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วย “ปลายนิ้ว” คุณไม่ต้องไปเดินหาที่ไหนให้เสียเวลา ถ้าคุณตัดสินใจซื้อ สินค้าจะส่งถึงบ้านวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดนี้มีต้นทุนน้อยมากและคุณเดียร์ไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะมีบริษัทหรือคนพร้อมรับส่งให้เสร็จ ที่สำคัญ ถ้าขายไม่ได้คุณเดียร์ก็ไม่ต้องจ่ายเงินจ้างคนเหล่านั้น แม้แต่ตัวผลิตภัณฑ์เอง ถ้าขายไม่ออกและตัดสินใจเลิกทำ เธอก็ไม่ได้เสียหายมาก เพราะเธอสามารถนำสินค้านั้นมาใช้เองได้ แต่ถ้าสินค้าขายได้ติดตลาด กำไรก็น่าจะเป็นกอบเป็นกำ ลึก ๆ แล้วเธอก็คงมีความหวังกับโปรเจคนี้ไม่น้อย เพราะเครื่องสำอางนั้น “ทำง่าย” และ “กำไรดี” มองในภาพใหญ่ ธุรกิจที่ทุกคนทำได้ด้วยต้นทุนการลงทุนที่ต่ำ เจ๊งก็ไม่ค่อยเสียหายหนักแต่ถ้าประสบความสำเร็จก็กำไรดีและ “อาจจะ” มหาศาลนั้น ย่อมดึงดูดทุกคนให้เข้ามาแข่ง ในอีกด้านหนึ่ง ผู้บริโภคหรือคนซื้อเองนั้น ก็ไม่ได้ติดยึดอะไรกับตัวสินค้า ไม่ได้คิดว่าสินค้าบริษัทไหนจะโดดเด่นกว่าอีกบริษัทหนึ่ง พวกเขาซื้อตามความชอบที่อาจจะ “เหมาะกับตัวเอง” ซึ่งก็มักจะเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ “ตามสถานการณ์” หรือ “ตามกระแส” ในขณะนั้น หรือพูดง่าย ๆ เป็นเรื่องของ “แฟชั่น” นี่ก็คือธุรกิจที่แข่งกันหนักเกือบสมบูรณ์ ซึ่งทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์บอกว่าเป็นธุรกิจที่ “เลวร้าย” ทำกำไรมากกว่าปกติยาก และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่บริษัทเครื่องสำอาง “ระดับโลก” หลายบริษัทที่เคยดีมากในอดีตกำลังตกต่ำลงอย่างหนักในช่วงเร็ว ๆ นี้ ข้อสรุปความเห็นของผมต่อหุ้นที่ขายเครื่องสำอางในตลาดหลักทรัพย์ไทยก็คือ การแข่งขันที่กำลังเพิ่มขึ้นมามากประกอบกับความไม่ติดยึดของผู้บริโภคจะทำให้การเติบโตของธุรกิจยากขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นจนค่า PE สูงลิ่วราวกับว่าบริษัทจะเป็น “จ้าวตลาด” นั้น จะทำให้การลงทุนในหุ้นเครื่องสำอางเป็นความเสี่ยง และบริษัทที่กำลังอาศัยธุรกิจเครื่องสำอางมากอบกู้หรือสร้างการเติบโตของบริษัทนั้นอาจจะไม่สำเร็จอย่างที่หวัง การ “แต่งหุ้น” ด้วยเครื่องสำอางคงไม่ง่ายเหมือนการแต่งหน้า[/size] เมื่อ: 2018-03-11T10:37:50+00:00 pakapong_u: ชอบประโยคนี้ของดร.นิเวศน์ "การ “แต่งหุ้น” ด้วยเครื่องสำอางคงไม่ง่ายเหมือนการแต่งหน้า" แต่ถ้าไปถามผู้หญิง การแต่งหน้าอาจจะยากกว่าที่เราคิด เมื่อ: 2018-03-12T05:49:35+00:00 ball048: ขอบคุณท่านดร.นิเวศน์ ที่คอยเตือนสติบ่อยๆครับ ขอบคุณพี่ที่เอามาเผยแพร่ด้วยครับ เมื่อ: 2018-03-31T11:41:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำอย่างไรกันครับ เมือหุ้นที่เล็งไว้ มีราคาแพงเกินไป Samadha: จะรอก็ไม่ค่อยลง มีแต่ขึ้นไปเรื่อย จะซื้อเลยก็รู้สึกว่า overvalue ถือแล้วหวาดเสียว ส่วนตัวผม จะหลบไปซื้อตัวอื่นที่คิดว่าคุ้มค่ากว่า แต่ก็รู้สึกตะหงิดๆใจ เหมือน ชอบผู้หญิงคนนึง แต่ดันไปลงเอยกับผู้หญิงอีกคน อยากรู้ว่า VI ทั้งหลายตัดสินใจกันอย่างไรครับ เมื่อ: 2014-08-27T12:08:51+00:00 bono: ตอนนี้นั่งทับมือไว้อยู่ครับ เมื่อ: 2014-08-27T12:15:42+00:00 vim: Samadha เขียน:จะรอก็ไม่ค่อยลง มีแต่ขึ้นไปเรื่อย จะซื้อเลยก็รู้สึกว่า overvalue ถือแล้วหวาดเสียว ส่วนตัวผม จะหลบไปซื้อตัวอื่นที่คิดว่าคุ้มค่ากว่า แต่ก็รู้สึกตะหงิดๆใจ เหมือน ชอบผู้หญิงคนนึง แต่ดันไปลงเอยกับผู้หญิงอีกคน อยากรู้ว่า VI ทั้งหลายตัดสินใจกันอย่างไรครับ ผมเคยพลาดซื้อหุ้นที่ราคาขึ้นไปสูงๆ แม้ตัวบริษัทจะแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าเราซื้อมาแพงผลตอบแทนที่ได้อาจจะไม่ดีมากตามครับ ตอนหลังเลยเรียนรู้ว่าการรักษาต้นทุนนั้นสำคัญกว่า ซื้อในบริษัทที่เรามั่นใจว่าราคานั้นคุ้มค่า มักจะไม่ค่อยขาดทุนครับ ตอนนี้หุ้นบางตัวผมรอมาสี่ห้าปีแล้ว ยังไม่ลงมาเลยครับ การที่เรามีเงินสด บางทีเราก็เจอโอกาสลงทุนใหม่ๆที่ค่อนข้างดีนะครับ บางทีก็มีโอกาสการลงทุนให้เห็นเป็นระยะๆเหมือนกัน ทั้งในตลาดและนอกตลาด เมื่อ: 2014-08-27T12:24:40+00:00 นพพร: ส่วนตัวผมก็เก็บเิงินสดนั้นไว้ครับ รอ รอ และก็รออย่างเดียวครับ ไม่ต้องเครียดไม่ต้องคิดมาก รอไป เจอตัวใหม่ที่ได้จังหวะก็อาจจะเอาเงินที่รอนั้นใส่เข้าไปครับ ไม่ต้องรีบ เมื่อ: 2014-08-27T15:16:49+00:00 todsapon: รอ หรือไม่ก็เล็งตัวใหม่ เมื่อ: 2014-08-27T16:36:13+00:00 kongkiti: ทำใจครับ เมื่อ: 2014-08-27T16:40:40+00:00 Pekko: รอก่อนครับ แต่ถ้าทนไม่ไหว ก็ซื้อติดปลายนวมเล็กน้อย เมื่อ: 2014-08-28T03:49:03+00:00 ดำ: ผมว่าน่าจะขึ้นกับมุมมอง "ระยะยาว" ของเราที่มีต่อหุ้นนั้นๆ ถ้าเชื่อว่ากำไรยังจะโตไปได้เรื่อยๆ อีกนานหลายปี เพียงแต่เห็นว่า P/E ตอนนี้ค่อนข้างแพง แต่ขณะเดียวกัน ก็กลัวตกรถเพราะรออยู่สักพักแล้ว ราคาหุ้นที่ว่าแพงก็ไม่ยอมลง แถมยังค่อยๆ ขึ้นไปอีกต่างหาก ทางเลือกนึงที่คิดว่าอยากให้ลองพิจารณาดู คือ "ทยอยซื้อไปเลยบางส่วน" เนื่องจากพอมีหุ้นบางส่วนในมือแล้ว ธรรมชาติของใจเราจะรู้สึกลดความกดดันจากความกลัวตกรถไปได้ระดับนึง ความเครียดก็จะลดลง มุมมองก็จะเป็นกลางมากขึ้น อย่างน้อยหลังจากที่มีหุ้นติดมืออยู่บ้าง ทีนี้ราคาหุ้นจากนั้นจะขึ้นจะลงก็สามารถมองได้ว่าดีทั้งนั้น ลงก็จะได้ซื้อเพิ่ม ถ้าขึ้นก็มีอยู่บางส่วนแล้วไม่ได้ตกรถซะทีเดียว หมายเหตุ ผมเห็นว่าเหมาะสมเฉพาะกับหุ้นที่เชื่อว่ากำไรจะโตในระยะยาวเท่านั้นนะครับ เมื่อ: 2014-08-28T05:41:29+00:00 Pun08: รอครับ ผมเคยลองแล้วโดนเลยถ้าคำนวนแล้ว PEG >1 ยังไงก็แพง (กฏส่วนตัว) เก็บเงินสดไว้ดีกว่า ยังไงก็ต้องมีจังหวะให้เราซื้อ ปีที่แล้วก็มีหลายตัวที่ซื้อไม่ได้ แต่ปีนี้ซื้อได้ ตอนนี้ก็มีหลายตัวที่ยังไม่กล้าซื้อ แต่เดือนหน้าอาจได้ซื้อ ระหว่างนี้ก็หาตัวอื่นไปเรื่อยๆ เพิ่มใน watch list ปล. ถ้าคิดและรู้สึกว่าแพง ยังไงก็แพงครับ เมื่อ: 2014-08-28T08:17:28+00:00 marcus147: ผมจะดูที่ราคาล่าสุดอีกรอบ แล้วประเมินครับ ว่ายังอยากซื้ออยู่หรือไม่ ถ้ายังอยากซื้อ ก็จะซื้อเฉลี่ยครับ (แบ่งไม้) เมื่อ: 2014-08-28T10:06:56+00:00 ลุงขวด: รออย่างเดียว ถ้ารู้ว่าแพงแล้ว ก็ ไปซื้อตัวอื่นก่อน....ผมมีหลายตัวที่รอแล้วก็ไม่ได้ซื้อสักที เพราะมันขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่ก็สอนว่า เขาไม่ใช่เนื้อคู่ของเราครับ เมื่อ: 2014-08-29T02:12:09+00:00 CARPENTER: ตรวจสอบอีกครั้ง ว่าราคาที่เราประเมินมีอะไรผิดพลาดไม๊ หาความรู้เพิ่ม โลกทัศน์กว้างขึ้น ทำให้เรามองหุ้นเปลี่ยนไป เพราะการประเมินหุ้นต่ำเกินไป มี MOS มากเกินไป เป็นความผิดพลาดเหมือนกับการประเมินสูงเกินไป หุ้นดีที่เสียไปนั้น บางครั้งมันเสียหายแบบหลายเด้งเลย คนซื้อหุ้นมี 3 กลุ่ม คือ 1.พวกติดดอย 2.ตกรถ 3.พวกสมเหตุสมผล เมื่อ: 2014-08-29T02:28:34+00:00 Nevercry.boy: โดยส่วนใหญ่ผมจะยอมเสียพรีเมี่ยมครับ และถ้าเป็นหุ้นที่อยากได้และไตร่ตรองดีแล้ว จะค่อนข้างเคาะขวาครับ ผมยึดคติไม่เสียดายไม่เสียใจครับ เมื่อ: 2014-08-29T03:14:51+00:00 pullmeunder: Samadha เขียน:จะรอก็ไม่ค่อยลง มีแต่ขึ้นไปเรื่อย จะซื้อเลยก็รู้สึกว่า overvalue ถือแล้วหวาดเสียว ส่วนตัวผม จะหลบไปซื้อตัวอื่นที่คิดว่าคุ้มค่ากว่า แต่ก็รู้สึกตะหงิดๆใจ เหมือน ชอบผู้หญิงคนนึง แต่ดันไปลงเอยกับผู้หญิงอีกคน อยากรู้ว่า VI ทั้งหลายตัดสินใจกันอย่างไรครับ ถ้าหุ้นแพงเกิน ผมจะรอครับ ถ้าเป็นเรื่องสาว สินสอดมีพรีเมี่ยมนิดหน่อยก็โอเคครับ 55555 เมื่อ: 2014-08-29T04:02:14+00:00 BeSmile: ประเด็นน่าอยู่ที่การประเมินมูลค่า ระยะสั้น ระยะยาว กับเวลาที่จะถือหุ้น ถ้าเรามั่นใจการประเมินมูลค่า สัก 90% เราก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร แต่ก็ยากมากที่เราจะประเมิน มูลค่า กิจการได้ ใกล้เคียง ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยให้ขาดทุนน้อยลง เวลาประเมินมูลค่าผิด คือซื้อแบบ discount เมื่อ: 2014-08-29T05:49:38+00:00 dino: ผมจะยึดตามนี้เสมอครับ 1 ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี 2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต 3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ 4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ 5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่ วอเรนซ์ บัฟเฟตต์ คำถามนี้จะอยู่ในข้อ3 ครับ ถ้ารู้สึกแพงแสดงว่าราคาสูงกว่ามูลค่าที่จริงของกิจการ ก็คงยังไม่ซื้อครับ ก่อนซื้อทุกครั้งผมก็จะประเมินมูลค่าก่อนครับ ผมรอได้เสมอครับ เมื่อมีแนวทางแล้วจะไม่พยายามออกนอกแนว เมื่อ: 2014-08-30T09:59:34+00:00 theerasak24: น่าจะรอ แล้วหาข้อมูลประกอบไปด้วยครับ พร้อมทั้งหาตัวอื่นควบคู่กันไปด้วยเผื่อจะเจอกับหุ้นตัวที่ดีกว่าตัวที่รออยู่ครับ เมื่อ: 2014-08-30T10:29:15+00:00 kudochiniji: ถ้าเป็นบริษัทที่ดีจริงๆและไม่แพงมากจนเกินไปผมจะซื้อนิดหน่อยครับ อย่างที่คุณดำบอก ก็คือ เวลาที่เรามีหุ้นบ้างเราจะลดความเครียดได้ส่วนหนึ่ง เรื่องนั้นผมก็เป็นครับ แล้วเราก็ยังจะมีไฟในการหาข้อมูลและวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นเพิ่มเติมด้วยครับ แต่ถ้าเป็นบริษัทกลางๆ ผมจะรอ และ วิเคราะห์หุุ้นตัวเดิมๆ ไปพร้อมๆ กับหาหุ้นตัวใหม่ๆครับ บางครั้งก็ได้เป็น Stock List เพิ่ม เพราะก็แพงไปเหมือนกัน บางครั้งไม่ได้ Stock List เพิ่มก็ยังได้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอื่นๆเพิ่มเติมครับ เมื่อ: 2014-08-31T04:21:41+00:00 neuhiran: หุ้นดีมันก็มีช่วงเวลาที่ย่อตัวลงมาบ้าง 1.ทะยอยเก็บครับ ตอนที่ตลาดตกใจ 2. ทยอยขายออกไปบ้าง เมื่อตลาดเริ่มฟื้น หลังจากเราขายเอากำไรมาแล้ว ก็จะทำให้ต้นทุนที่เราถืออยู่นั้นลดลงไป ต้นทุนจะลดลงไปมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วละครับ ว่าอยากจะให้หุ้นที่ถือนั้น มีต้นทุนเท่าไร (อยากให้ต้นทุนเป็น ศูนย์ก็ยังได้) คราวนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้วครับ (ถ้าหุ้นที่เราเลือกมาแล้วมันดีจริง) ถือยาวเลยครับ รอรับปันผลเรื่อยๆ ติดตามกิจการ ทุกไตรมาส เท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ ฟังดูแล้วง่ายดีมั๊ยครับ วิธีของผม เมื่อ: 2014-08-31T05:22:09+00:00 sittha: ถ้าหุ้นมันแพงเพราะพื้นฐานมันดี เราก้อคงต้องซื้อแพงครับแต่อย่าซื้อตอนมันแพงสุดๆ เช่นในตอนที่ตลาดมันบูมสุดๆ และ มันจะแพงอยู่อย่างนั้นได้ พฐ ระยะยาว ต้องมีการเติบโตเปนไปแบบเดิมพอๆกับที่มันเคยเปนมาในเรื่อง ยอดขาย กำไรต่อหุ้น เงินสดต่อหุ้น ความเสี่ยงของผลการดำเนินงาน เมื่อ: 2014-08-31T10:31:45+00:00 BoatAttasit: หาตัวอื่นครับ บางทีตัวที่แพงเกินไปแล้วผมมักไม่ค่อยติดตามอย่างใกล้ชิด ดูห่างๆอย่างห่วงๆดีกว่า รออย่างเดียวครับ ไม่ชอบซื้ออนาคต เอามูลค่าปัจจุบันดีกว่า เมื่อ: 2014-09-02T16:05:47+00:00 miracle: ตอบแบบนี้ล่ะกัน 1. ไม่ซื้อเพราะราคาไปไกลแล้ว แต่ต้องทำใจให้ได้ว่า เดี๋ยวมันก็มีมาให้อีกในรอบหน้า 2. ซื้อ เพราะ ลุย ขึ้นกับตัวของคุณว่า เลือกข้อ 1 หรือ 2 แต่ทว่า ขาดทุนหรือกำไรมันอยู่ที่ตัวของคุณ เมื่อ: 2014-09-03T06:13:03+00:00 AleAle: หุ้นต่างกับสาวตรงที่ เราสามารถจีบๆ ป้อๆ เลือกๆ ได้หลายตัวพร้อมกัน โดยไม่ต้องกลัวปัญหารถไฟชนกันครับ เมื่อ: 2014-09-06T04:52:52+00:00 เด็กชายแทน: ซื้อติดมือไว้นิดหน่อยจะได้ไม่ลืมเวลาหุ้นตกหนักๆ เมื่อ: 2014-09-06T07:58:42+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากทราบครับว่า อ.ดร.นิเวศน์ ... บุรุษไร้นาม: เริ่มต้นเล่นหุ้น ด้วยเงินลงทุนเท่าไหร่ครับ เมื่อ: 2006-06-02T13:54:43+00:00 MarginofSafety: ขอเดาจากข้อมูลที่มีแล้วกันนะครับ... จากประวัติการศึกษาของท่าน ท่านจบวิศกรรมเครื่องกลจุฬา หลังจากจบท่านก็ทำงานเป็นวิศวกรโรงงาน จากนั้นเรียนโทด้านการตลาดที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ก่อนที่จะต่อปริญญาเอก ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การลงทุน โดยตรงที่อเมริกา อะไรที่เป็นแรงกระตุ้นให้ท่านศึกษาปริญญาเอกด้านการเงิน การลงทุน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านก็เป็นเหมือนเราๆ ท่านๆ ที่รักการลงทุนเป็นชีวิตจิตใจ แสดงว่าท่านน่าจะเล่นหุ้นก่อนหน้านี้แล้ว ... ผมว่าดีไม่ดีท่านลงทุนตั้งแต่ท่านกำลังศึกษาปริญญาโท หรืออาจจะก่อนหน้านั้น สมัยท่านยังทำงานเป็นวิศวกรโรงงาน สมัยที่ท่านลงทุนแรกๆ ท่านก็เก็งกำไร ซื้อๆขายๆ นี่แหละครับ ก่อนที่จะค้นพบว่ามันไม่ work และค้นพบว่าแนว VI มัน work สำหรับท่าน กลับมาที่คำถาม ผมว่าท่านเริ่มลงทุนด้วยเงินไม่มาก เช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ซึ่งก็น่าจะเริ่มจากเลข 6 หลักเท่านั้น ย้ำอีกครั้งว่าเดาเอา จากการวิเคราะห์ตามข้อมูลที่ทราบครับ... เมื่อ: 2006-06-02T14:20:12+00:00 BHT: เท่าที่จำได้ เริ่มตอนที่จบเอกจากเมืองนอกกลับมาเมืองไทย ทำงานอยู่กับบริษัทหลักทรัพย์บริษัทหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ เริ่มด้วยเงินหลายแสนอยู่ แต่ไปในทางเก็งกำไร เลยขาดทุนไปเยอะ ด้วยความรู้ที่มากมาย และได้อ่านหนังสือด้าน vi จึงเปลี่ยนแนว และช่วงวิกฤติปี 2540 เป็นช่วงที่เริ่มลงทุนด้วยแนว vi มั้ง ก็เลยประสบความสำเร็จอย่างสูงมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อ: 2006-06-02T14:24:51+00:00 Kao: เท่าที่ได้ศึกษาและติดตามมานะครับ ดร.นิเวศน์ท่านเริ่มต้นลงทุนแนวVIประมาณปี2539 ด้วยเงินลงทุนประมาณ 14.5ล้านบาท จริงๆแล้วตอนแรกท่านจะนำเงินก้อนนี้มาสร้างบ้านแต่เปลี่ยนใจมาลงทุนแทนครับ ระหว่างปี2539 ถึง 2546 ท่านได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 60% หรือคิดป็นผลตอบแทนแบบทบต้นที่52%ครับ เมื่อ: 2006-06-02T18:34:27+00:00 บุรุษไร้นาม: ผมมีเงิน แสนเดียว จะรวยแบบอาจารย์ได้ไหมล่ะครับ เมื่อ: 2006-06-03T15:10:46+00:00 Kao: บุรุษไร้นาม เขียน:ผมมีเงิน แสนเดียว จะรวยแบบอาจารย์ได้ไหมล่ะครับ ได้ครับ ถ้าสามารถทำผลตอบแทนแบบทบต้นได้52%!!!เหมือนดร.นิเวศน์ เริ่มต้น       100,000 ปีที่5          811,368 ปีที่10     6,583,182 ปีที่15   53,413,842 ปีที่20 433,382,888 เมื่อ: 2006-06-03T16:00:05+00:00 MarginofSafety: โอ้โห... Buffett เรียกพี่...  :shock: เมื่อ: 2006-06-03T16:02:00+00:00 Kao: แต่จริงๆแล้วการได้ผลตอบแทนทบต้นที่52%เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะขนาดWarren Buffet ทำได้ประมาณ23%ตลอดระยะเวลากว่า 30ปี สมมติแบบเป็นได้แล้วกัน เริ่มต้น100,000 ทำผลตอบแทนให้ได้ 15%ทุกปี ทุกๆสิ้นปีเพิ่มเงินลงทุนอีก60,000บาท(5,000ต่อเดือน) เริ่มต้น       100,000 ปีที่5          605,679 ปีที่10     1,622,779 ปีที่15     3,668,531 ปีที่20     7,783,269 ปีที่25   16,059,476 ปีที่30   34,125,272 เริ่มต้นได้เร็วก็ได้เปรียบนะครับ เมื่อ: 2006-06-03T16:19:01+00:00 Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมดผมมีเงิน แสนเดียว จะรวยแบบอาจารย์ได้ไหมล่ะครับ องค์ประกอบไม่เหมือนกัน ถ้าเริ่มจากคิดว่าจะรวยเหมือนคนอื่น ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบเวลาเดียวกัน 1. จังหวะชีวิต 2. จังหวะหุ้น 3. นิสัยการลงทุน ยกตัวอย่างการมีความรู้ในการลงทุนอย่างเพียงพอ และไปเจอจังหวะที่ลงทุนได้ และมีเงินเพียงพอในการลงทุน และไม่เอาดอกผลไปกินก่อนที่มันจะเบ่งบาน ตัวอย่างคร่าวๆ 4 เหตุการที่ ต้องบรรจบกัน ผมคิดว่าแข่งกับตัวเองดีที่สุด ไม่งั้นจะเครียดแล้วรู้สึกว่าไปไม่ถึงไหน เมื่อ: 2006-06-04T01:57:55+00:00 นายสต็อก: ผมชอบวลีของท่านนายกฯทักษิณที่ว่า... "ตาดูดาว!...เท้าติดดิน!" ลองไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนของเรานะครับ ตั้งเป้าไปทีละขั้น เช่น ลงทุนเริ่มแรก 100,000 บาท ทำยังไงให้เป็น 150,000 บาท ถ้าทำได้แล้วค่อยตั้งเป้าหมายขั้นต่อไปใหม่ แต่เป้าหมายระยะยาว คือ One Million Baht! มันดูจะเป็นไปได้มากกว่าไปตั้งเป้าหมายลมๆแล้งๆ แล้วปฏิบัติจริง ไม่ได้!!! ขอให้โชคดีอยู่กับท่านนักลงทุน VI ครับ.... เมื่อ: 2006-06-04T09:41:33+00:00 บุรุษไร้นาม: ขอบคุณครับ  8) เมื่อ: 2006-06-04T16:03:01+00:00 beammy: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2006-06-23T05:41:10+00:00 กะหนุงกะหนิง: ขอบคุณมากนะคะสำหรับความคิดเห็นดีๆ เมื่อ: 2006-07-14T06:47:43+00:00 drchatri: เรียนถามน้อง HVI ว่าท่าน ดร. ท่านเข้าเวบนี้บ้างหรือเปล่าครับ.. 8)  หรือเคยแอบโพสตอบกระทู้บ้างหรือเปล่า (อยากรู้) 8) เมื่อ: 2006-07-14T16:10:44+00:00 MarginofSafety: [quote="drchatri"]เรียนถามน้อง HVI ว่าท่าน ดร. ท่านเข้าเวบนี้บ้างหรือเปล่าครับ.. 8) เมื่อ: 2006-07-14T16:50:45+00:00 Kao: ผมเคยเห็นท่านดร.นิเวศน์โพสท์ในสมัยที่เว็บเพิ่งเปิดใหม่ๆครับ เมื่อ: 2006-07-14T17:24:17+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หาก FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง........ นักดูดาว: ผมว่าหุ้นที่มีหนี้สินเยอะๆ โดยเฉพาะหนี้ธนาคารแบบดอกเบี้ยลอยตัว มีปัญหาแน่นอนครับ เลือกหุ้นที่มี net cash หรือไม่ก็มีหุ้นกู้ดอกเบี้ยคงที่ปลอดภัยกว่า เมื่อ: 2004-04-22T07:42:02+00:00 Solo: ดอกเบี้ย เริ่มรับบท คนร้าย แล้วนะครับ ระวังกัน ด้วยครับ เมื่อ: 2004-04-22T08:15:10+00:00 Solo: ถ้าใครซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้อยู่ ควรทำอย่างไรดีครับ เมื่อ: 2004-04-22T15:03:56+00:00 chatchai: ตามธรรมดาแล้ว ราคาห้นก้ก็น่าจะผกผันกับอัตราดอกเบี้ยนะครับ เมื่อ: 2004-04-23T13:38:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }