title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงนามจัดหาวัคซีนป้องกัน COVID-19 ชุดแรก 26 ล้านโดส
วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ลงนามจัดหาวัคซีนป้องกัน COVID-19 ชุดแรก 26 ล้านโดส วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ​ รัฐบาลลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้า และสัญญาการจัดซื้อวัคซีน จำนวน 26 ล้านโดส กับบริษัท AstraZeneca จำกัด เพื่อจัดหาวัคซีนล่วงหน้าสำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 13 ล้านคน ช่วยลดอัตราการป่วย เสียชีวิต ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมยาในประเทศจากการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 ในอนาคต สำหรับการจองซื้อล่วงหน้าครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าคนไทยจะสามารถเข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ได้อย่างปลอดภัยและทั่วถึง โดยคาดว่าประเทศไทยจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ภายในกลางปี 2564 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์สมุทรสงคราม แนะขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชนน้ำตาลมะพร้าว เพื่อสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวยกระดับคุณภาพน้ำตาลมะพร้าวแท้ให้เป็นที่ยอมรับของตลาด
วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 นายกฯ เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์สมุทรสงคราม แนะขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชนน้ำตาลมะพร้าว เพื่อสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวยกระดับคุณภาพน้ำตาลมะพร้าวแท้ให้เป็นที่ยอมรับของตลาด นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการท่องเที่ยวชุมชน วิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์สมุทรสงคราม แนะขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชนน้ำตาลมะพร้าว เพื่อสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าว ยกระดับคุณภาพน้ำตาลมะพร้าวแท้ให้เป็นที่ยอมรับของตลาด วันนี้ (2 ธ.ค. 63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 08.20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชมการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ ตำบลบ้านปรก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม เพื่อติดตามการท่องเที่ยวชุมชน ที่ได้มีการบริหารจัดการโดยวิสาหกิจชุมชนบ้านริมคลองโฮมสเตย์ ซึ่งเปิดให้บริการที่พักในรูปแบบโฮมสเตย์ เป็นการจัดการท่องเที่ยวในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชนสร้างสรรค์ที่ดี และเป็นศูนย์การเผยแพร่วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนให้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมเยี่ยมชมวิสาหกิจน้ำตาลมะพร้าว ที่ได้รับรางวัลจาก ททท. อาทิ รางวัล Village to the World 10 ชุมชนต้นแบบในประเทศไทย และเยี่ยมชมฐานการเรียนรู้การปลูกผักปลอดสารพิษ กิจกรรมทำเกลือสปา การทำน้ำหวานจากดอกมะพร้าว (SYRUP) การบริหารจัดการน้ำสะอาดคลองผีหลอก บ้านริมคลองโฮมสเตย์ จักสานทางมะพร้าวและผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ โดยมีนายชรัส บุญณสะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม นางถิรดา เอกแก้วนำชัย ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านริมคลองโฮมสเตย์ หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการรับฟังบรรยายสรุป ว่า รู้สึกมีความสุขเมื่อได้มาจังหวัดสมุทรสงคราม เพราะเคยชินกับการมีบ้านในสวน ครอบครัวก็อยู่ริมแม่น้ำ ริมคลอง ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ โดยช่วงเช้าที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปกราบสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม พระพุทธรูปคู่บ้าน คู่เมืองของชาว จ.สมุทรสงคราม ซึ่งมีประชาชนมาให้การต้อนรับทำให้รู้สึกมีความสุข โดยอยากให้ทุกคนมีความรักสามัคคีกัน ขอให้ทุกคนรักบ้าน รักชุมชนของตนเอง และช่วยกันรักษาสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่คู่กับสังคมไทยไปอย่างยาวนาน นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านริมคลองโฮมสเตย์ ที่มีการรู้จักคิดรู้จักทำเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ มีการนำนักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้ของเศรษฐกิจของชุมชน ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย และ ททท. พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติในพื้นที่แต่ละจังหวัด โดยขอให้ชุมชนได้นำของดีของเด่นของจังหวัดออกมาขายสู่ตลาด โดยเฉพาะน้ำตาลมะพร้าว ที่อยากให้นำมาขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ส่วนราชการและทุกภาคส่วนได้มาอุดหนุนซื้อสินค้าของดีของชุมชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเพื่อยกระดับคุณภาพน้ำตาลมะพร้าวแท้ให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการของตลาดผู้บริโภค อีกด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมนั่งเรือพายในร่องสวน เพื่อร่วมทำการปาดน้ำตาลมะพร้าวในสวน แล้วเดินทางต่อไปยังโรงทำน้ำตาลมะพร้าวแท้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกวนน้ำตาลบนกระทะ ด้วยการใช้ไม้กระทุ้งหรือไม้วีน้ำตาล คนน้ำตาลที่เคี่ยวแล้วให้แห้งเร็วขึ้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ชิมกาแฟดอกมะพร้าวพันธุ์ไทยของ Baanrimklong Homestay ก่อนออกเดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินกิจกรรมของหมู่บ้านรางวัลพระราชทานหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” บ้านคลองวัว ณ หมู่ที่ 5 หมู่บ้านคลองวัว ตำบลเหมืองใหม่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามต่อไป ------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เคลียร์นายกฯ จบไฟเขียวโครงการประกันรายได้ชาวสวนยาง
วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 “เฉลิมชัย” เคลียร์นายกฯ จบไฟเขียวโครงการประกันรายได้ชาวสวนยาง “เฉลิมชัย” เคลียร์นายกฯ จบไฟเขียวโครงการประกันรายได้ชาวสวนยาง 1.8 ล้านราย ทั้งบัตรเขียวบัตรชมพู ชาวสวนยางมีเฮส่งท้ายปี เริ่มโอนเงินส่วนต่างสัปดาห์หน้า นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (2 ธ.ค.) ว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,042,820,489.28 บาท จำนวนเกษตรกรชาวสวนยาง 1.8 ล้านราย โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 โดยจะดำเนินการจ่ายเงินส่วนต่างราคายางเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2563 ถึง เดือนมีนาคม 2564 แต่การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และ ธ.ก.ส. ยังไม่สามารถโอนเงินส่วนต่างครั้งที่ 1 ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนตามกำหนดเวลา เนื่องจากสำนักงบประมาณติดขัดประเด็นเรื่องเกษตรกรชาวสวนยางกลุ่มบัตรสีชมพู ล่าสุด นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จนเป็นที่ยุติให้ดำเนินการเช่นเดียวกับโครงการประกันรายได้ระยะที่ 1 คือ เกษตรกรชาวสวนยางทั้งบัตรสีเขียวและบัตรสีชมพูที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. และผ่านการตรวจสอบรับรองเรียบร้อยจะได้เข้าร่วมโครงการประกันรายได้ระยะที่ 2 ทุกคน โดยนายกรัฐมนตรีได้แจ้งผลการหารือต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (1 ธ.ค) และให้ กยท. มีหนังสือประสานไปยังสำนักงบประมาณเพื่อจะสามารถจ่ายเงินส่วนต่างให้เกษตรกรชาวสวนยางต่อไป นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า กยท. จะมีหนังสือถึงสำนักงบประมาณภายในสัปดาห์นี้ พร้อมกับส่งรายชื่อเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบแล้วให้กับ ธ.ก.ส. ชุดแรก โดยพร้อมโอนเงินส่วนต่างครั้งที่ 1 ภายในสัปดาห์หน้า ถือเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จากรัฐบาล และในเดือนมกราคมปีหน้าก็จะโอนจ่ายสำหรับงวดต่อไปจนครบ 6 งวด 6 เดือน ตามกรอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 นายอลงกรณ์ กล่าวว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางเป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางในการประกันความเสี่ยงด้านรายได้ในภาวะที่ราคายางมีความผันผวน โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรณีที่ราคายางตกต่ำ ในช่วงวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) 2. เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง มีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย และแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย จำนวน 1.8 ล้านรายทั้งเกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีดยาง โดยมีหลักเกณฑ์และข้อกำหนด ดังนี้ ราคายางที่ใช้ประกันรายได้แต่ละชนิด (บาท/กิโลกรัม) 1. ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60.00 บาท/กิโลกรัม 2. น้ำยางสด (DRC 100%) 57.00 บาท/กิโลกรัม 3. ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) 23.00 บาท/กิโลกรัม กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37236
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 6 รายลักลอบเข้าประเทศ เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงท่าขี้เหล็ก
วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 สธ.พบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 6 รายลักลอบเข้าประเทศ เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงท่าขี้เหล็ก สธ.พบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 6 รายลักลอบเข้าประเทศ เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงท่าขี้เหล็ก กระทรวงสาธารณสุขพบผู้ป่วยโควิด 19 ลอบเข้าประเทศเพิ่มอีก 6 ราย อยู่ที่พะเยา กทม. พิจิตร ราชบุรี และเชียงใหม่ 2 ราย มีความเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงในจังหวัดท่าขี้เหล็กเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ 4 รายแรก ขณะนี้อยู่ในการกักกันดูแลรักษา และติดตามผู้สัมผัส ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ ขอคนไทยอยากกลับบ้าน เข้าเมืองถูกกฎหมาย วันนี้ (2 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวความคืบหน้าการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด 19 จากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา นายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า ขณะนี้เราพบคนไทยจำนวน 10 ราย ที่ติดเชื้อโควิด 19 มาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา โดยเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติและเดินทางไปสถานที่ต่างๆ โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการกักตัวและรักษาในโรงพยาบาล อาการอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนผู้สัมผัสของผู้ป่วยทั้ง 10 ราย จากการตรวจหาเชื้อโควิด 19 เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีรายใดติดเชื้อ สรุปว่ายังไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศ เป็นการนำเข้าเชื้อมา ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบการควบคุมป้องกันโรคว่าจะไม่เกิดการระบาดเหมือนช่วงต้นปี 2563 เนื่องจากประเทศไทยมีองค์ความรู้และประสบการณ์มากขึ้น แต่ต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังภายในพื้นที่ของตนเองว่า มีคนไทยหรือชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาโดยไม่ได้รับการกักกัน 14 วันหรือไม่ หากพบขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นผู้สัมผัสหรือเป็นผู้ติดเชื้อเองได้ และขอให้ทุกคนยังคงมาตรการป้องกันตนเอง โดยการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง "ผู้ลักลอบเข้าประเทศมีความผิดตามกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.บ.โรคติดต่อ และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่ไปทำงานในต่างประเทศและจะเดินทางกลับมา มีความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศ ด้วยการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายตามช่องทางที่วางไว้ เพื่อเข้ารับการกักกัน 14 วัน และตรวจหาเชื้อ หากพบเชื้อจะได้รับการรักษา แต่หากลักลอบเข้ามาและไปในสถานที่ต่างๆ ทำให้มีผู้สัมผัสจำนวนมาก และต้องใช้งบประมาณสูงในการดำเนินการควบคุมสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัสมาตรวจหาเชื้อ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 2 พันบาทต่อราย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทุกที่ในประเทศไทย ด้วยคงมาตรการใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง" นายแพทย์ธงชัยกล่าว นายแพทย์โสภณกล่าวว่า ผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จำนวน 10 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยเก่าที่แถลงข่าวไปแล้ว 4 ราย คือ เพศหญิงอายุ 29 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพศหญิงอายุ 26 ปี 23 ปี และ 25 ปีที่จังหวัดเชียงราย จากการตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสขณะนี้ยังไม่พบผู้ใดติดเชื้อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของรายที่เชียงใหม่ ที่มีการไปเที่ยวสถานบันเทิงด้วยกัน มีการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ก็ยังไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน สำหรับผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 6 ราย เป็นเพศหญิงทั้งหมด โดยเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงเดียวกันที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก มีรายละเอียดดังนี้ เพศหญิงอายุ 28 ปี จังหวัดพะเยา กลับเข้าประเทศไทยวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยเส้นทางธรรมชาติมายังอำเภอแม่สาย วันที่ 28 พฤศจิกายน เพื่อนขับจักรยานยนต์มาส่ง จากนั้นเหมารถแท็กซี่มาที่อำเภอเมืองเชียงราย พักห้องเช่าของเพื่อน มีออกไปซื้ออาหาร วันที่ 29 พฤศจิกายน อยู่ในห้องพัก ช่วงเย็นแฟนขับรถยนต์พาไปเที่ยวงานสิงห์ปาร์ค แต่อยู่เฉพาะลานเบียร์ จากนั้นไปโรงแรมที่พัก วันที่ 30 พฤศจิกายน ออกจากโรงแรมไปรับการตรวจหาเชื้อที่จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางกลับพะเยามาเข้ารับการรักษาในห้องแยกโรค โรงพยาบาลพะเยา วันที่ 1 ธันวาคม ทราบผลว่าเป็นโควิด 19 เพศหญิงอายุ 21 ปี กรุงเทพมหานคร วันที่ 17-27 พฤศจิกายน ไปเที่ยวสถานบันเทิงที่ท่าขี้เหล็กพร้อมเพื่อนที่อยู่จังหวัดพิจิตร วันที่ 28 พฤศจิกายน กลับเข้าประเทศไทยโดยเส้นทางธรรมชาติที่อำเภอแม่สายมีรถจักรยานยนต์รับจ้างมาส่งที่โรงแรม ต่อมาเริ่มมีไข้ เจ็บคอ น้ำมูก จากนั้นเรียกรถไปส่งที่สนามบินเชียงรายขึ้นเครื่องบินมาลงสนามบินดอนเมือง นั่งแท็กซี่กลับที่พัก วันที่ 29 พฤศจิกายน ไปรับการตรวจที่คลินิกแพทย์ได้รับคำแนะนำให้ไปโรงพยาบาล จึงนั่งรถยนต์ส่วนตัวมากับแฟนไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน ผลการตรวจพบเชื้อโควิด 19 เพศหญิงอายุ 25 ปี จังหวัดพิจิตร เป็นเพื่อนที่ไปเที่ยวสถานบันเทิงที่ท่าขี้เหล็กกับรายกรุงเทพมหานคร โดยเดินทางกลับมาพร้อมกันจนถึงสนามบินดอนเมืองเมื่อวันที่ 28พฤศจิกายน จากนั้นต่อเครื่องไปลงสนามบินพิษณุโลก มีเพื่อนมารับกลับจังหวัดพิจิตร พักอาศัยกับเพื่อนที่มารับ โดยวันที่ 28-30 พฤศจิกายน มีออกไปรับประทานอาหารข้างนอกและทำเล็บ วันที่ 1 ธันวาคม เมื่อทราบผลการสอบสวนโรคของรายกรุงเทพมหานคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตรจึงติดตามมาตรวจหาเชื้อ นำเข้าสู่การกักกัน และ ผลตรวจยืนยันพบเชื้อ เพศหญิงอายุ 36 ปี จังหวัดราชบุรี วันที่ 3-28 พฤศจิกายนอยู่ที่เมียนมา โดยวันที่ 23-24 พฤศจิกายนไปเที่ยวสถานบันเทิง แล้วสังเกตว่าเพื่อนร่วมห้องเริ่มมีอาการป่วย วันที่ 26 พฤศจิกายน ตนเองเริ่มมีอาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ จึงซื้อยามากิน วันที่ 29 พฤศจิกายน เดินทางกลับประเทศไทยโดยช่องทางธรรมชาติจากนั้นไปสนามบินเชียงรายด้วยรถยนต์ของเพื่อน นั่งเครื่องบินถึงสนามบินดอนเมือง ขึ้นแท็กซี่ไปสถานีขนส่งหมอชิต นั่งรถตู้กลับจังหวัดราชบุรี เมื่อถึงใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างไปโรงพยาบาลเอกชนเพื่อตรวจรักษา วันที่ 1 ธันวาคม ทราบผลว่าเพื่อนติดเชื้อโควิด 19 แพทย์จึงส่งตรวจหาเชื้อและส่งต่อรักษาโรงพยาบาลราชบุรี วันที่ 2 ธันวาคม ผลตรวจยืนยันพบเชื้อ เพศหญิงอายุ 23 ปี และ 25 ปี จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 26 พฤศจิกายนเดินทางกลับเข้าประเทศทางช่องทางธรรมชาติ พร้อมเพื่อนรวมเป็น 3 คน วันที่ 27 พฤศจิกายน นอนค้างบ้านเพื่อนที่อำเภอแม่สาย วันที่ 28 พฤศจิกายน เดินทางกลับมาที่พักที่เชียงใหม่ วันที่ 29พฤศจิกายน ให้ประวัติว่าอยู่ในที่พักตลอด วันที่ 30 พฤศจิกายน ผู้ติดเชื้อที่พะเยามาหาหลังจากไปตรวจหาเชื้อ วันที่ 1 ธันวาคม ไปฟังผลแทนเพื่อนพบว่าราย จ.พะเยาติดเชื้อ ทำให้เพื่อน 2 คนมารับการตรวจด้วย ผลพบติดเชื้อ 2 ราย เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลนครพิงค์ ส่วนอีกรายผลเป็นลบ อยู่ระหว่างการกักกันเฝ้าระวังอาการ นายแพทย์โสภณกล่าวว่า ทั้งหมดเป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ โดยกำลังเร่งติดตามผู้สัมผัสทุกราย ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายมีผู้สัมผัสมากน้อยต่างกัน หากมีความรับผิดชอบสูงจะแยกตัว มีกิจกรรมภายนอกน้อย ทำให้มีผู้สัมผัสน้อย แต่บางรายมีการออกไปทำกิจกรรมจำนวนมากทำให้มีผู้สัมผัสมากถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจะได้รับการกักกัน 14 วัน และตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำจะให้แยกตนเองเฝ้าระวังอาการ หากมีอาการให้รีบติดต่อเพื่อตรวจหาเชื้อ โดยเป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานของทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยทั้งหมด 10 ราย พบว่า ไม่มีอาการ 5 ราย ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อน้อยกว่าผู้ที่มีอาการ ส่วนอีก 5 รายมีอาการแต่ไม่รุนแรง สำหรับผู้ที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องอยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ในสถานที่เสี่ยงเดียวกับผู้ป่วยทั้ง 10 รายนี้ ขอให้ไปแสดงตัวกับบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลเพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนเอง ************************************* 2 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นไทย ร้อยละ 96 พร้อมเดินหน้าลงทุน
วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นไทย ร้อยละ 96 พร้อมเดินหน้าลงทุน นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นไทย ร้อยละ 96 พร้อมเดินหน้าลงทุน นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นไทยร้อยละ 96 พร้อมเดินหน้าลงทุน บีโอไอเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศในไทยประจำปี 2563 นักลงทุนต่างชาติมั่นใจศักยภาพประเทศไทย ร้อยละ 96 มีแผนขยายการลงทุนและรักษาระดับการลงทุน แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระบุไทยมีสิทธิประโยชน์จูงใจกระตุ้นให้เกิดการลงทุน มีวัตถุดิบเพียงพอ และมีอุตสาหกรรมสนับสนุนพร้อม นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย ประจำปี 2563 ในงานสัมมนาเรื่อง “ลงทุนไทย 2563: มุมมองอนาคตไทยในสายตาต่างชาติ” เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร โดยได้สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 600 บริษัท พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 96 มีแผนการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยร้อยละ 76.67 ยังคงรักษาระดับการลงทุน ในขณะที่ร้อยละ 19.33 มีแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มเติม แม้จะอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจขยายหรือรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทยนั้น พบว่าอันดับแรก คือการมีสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่กระตุ้นให้ลงทุนในประเทศไทย อันดับสอง มีวัตถุดิบและชิ้นส่วน และอันดับสาม คือมีความพร้อมของอุตสาหกรรมสนับสนุน ทั้งนี้ ผลสำรวจนักลงทุนถึงผลกระทบจากโควิด-19 พบว่า ร้อยละ 63.17 นั้น ธุรกิจได้รับผลกระทบแต่ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ ร้อยละ 29.17 ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ร้อยละ 7.5 ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ มีเพียงร้อยละ 0.17 หยุดการดำเนินธุรกิจ “แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย แต่นักลงทุนยังมีแผนขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนมีความเห็นว่าประเทศไทยมีปัจจัยเอื้ออำนวยหลายด้าน ทั้งวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่เพียงพอ มีบริการด้านการสื่อสาร ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน” นางสาวซ่อนกลิ่นกล่าว ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอที่นักลงทุนใช้และคาดว่าจะใช้มากที่สุด คือ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ร้อยละ 44.86 อันดับสอง คือมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ร้อยละ 37.74 และอันดับสาม คือมาตรการกระตุ้นการลงทุน ร้อยละ 31.45 สำหรับผลการสำรวจความพึงพอใจต่อการบริการของบีโอไอ พบว่านักลงทุนต่างชาติมีความพึงพอใจค่อนข้างมากเกือบทุกด้าน รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่รับทราบถึงการให้บริการของบีโอไอผ่านระบบออนไลน์ โดยบริการที่ใช้มากที่สุด ร้อยละ 75.94 คือระบบรายงานผลประกอบการและรายงานความคืบหน้าของโครงการ รองลงมา คือระบบตรวจสอบสถานภาพเอกสารทางอินเทอร์เน็ต และการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานสิทธิประโยชน์ด้านวัตถุดิบ นักลงทุนมีความเห็นเพิ่มเติมว่ารัฐบาลไทย รวมทั้งบีโอไอควรมีการดำเนินการต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ การยกเลิกใบอนุญาตหรือกระบวนการต่างๆ ที่ไม่จำเป็น การมีแนวทางการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ชัดเจน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้ากราบสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จ. สมุทรสงคราม เพื่อความเป็นสิริมงคล
วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเข้ากราบสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จ. สมุทรสงคราม เพื่อความเป็นสิริมงคล นายกรัฐมนตรีเข้ากราบสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จ. สมุทรสงคราม เพื่อความเป็นสิริมงคล วันนี้ (2 ธันวาคม 2563) เวลา 07.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงวัดเพชรสมุทรวรวิหาร จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีนายชรัส บุญณสะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสงครามรอให้การต้อนรับ เมื่อเดินทางถึงนายกรัฐมนตรีได้จุดธูปเทียน จากนั้นได้เข้ากราบสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมนมัสการพระสมุทรวริโสภณ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเพชรสมุทรวรวิหาร แล้วออกมาเดินพบปะพูดคุย และถ่ายรูปกับประชาชนที่เดินทางมารอต้อนรับ ขณะที่ชาวบ้านต่างขอถ่ายภาพกับนายกรัฐมนตรีเป็นที่ระลึก ซึ่งได้มีประชาชนตะโกนให้นายกฯ ลุงตู่สู้ ๆ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางไปเยี่ยมชมการท่องเที่ยวชุมชน ณ วิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านปรก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด วันนี้ (21 ธ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน กำหนดมาตรการควบคุมพื้นที่ และกำกับดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์กรณีมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร) ถือปฏิบัติตามข้อสั่งการและข้อเสนอแนะโดยเคร่งครัด ได้แก่1) จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดสมุทรสาคร (สมุทรสงคราม นครปฐม และราชบุรี) และจังหวัดที่มีข้อมูลผู้ติดเชื้อหรือเดินทางเข้ามาในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสมุทรสาคร เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี และสมุทรปราการ ให้ค้นหาบุคคลในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าตลาดสัตว์น้ำในจังหวัดสมุทรสาคร ในกรณีจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ซึ่งใช้แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานในประเทศ ให้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดคัดกรองโรค โดยประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธรจังหวัด กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สกัดกั้นการเดินทางเข้า-ออกและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว และควบคุมคนไทยที่เดินทางเข้า-ออกจากสมุทรสาครตามความจำเป็น พร้อมทั้งจัดเตรียมสถานที่กักกันตัวและเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ เครื่องมือ และทรัพยากรทางการแพทย์ รองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจจะเกิดขึ้น 2) จังหวัดพื้นที่ชายแดน แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.) ประสานการปฏิบัติ วางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดน กองกำลังป้องกันชายแดน เข้มงวด ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ และการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว โดยตั้งเครื่องกีดขวาง เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง เฝ้าระวังและป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน หากพบการลักลอบเข้าประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้น และการปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน ให้ประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธรจังหวัด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค บุคคล และการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าเมืองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข กำหนดจุดรับ-ส่งสินค้าให้อยู่ในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนด พร้อมกำหนดให้มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander : IC) ประจำช่องทางผ่านแดนทุกแห่งที่มีการอนุญาตให้ใช้ในการผ่านเข้า-ออก ของบุคคล สินค้า และยานพาหนะ ที่ชัดเจน สามารถปฏิบัติงานได้ 24 ชั่วโมง และควบคุมมิให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวจนกว่าจะมีคำสั่งผ่อนคลาย นอกจากนี้ ให้พิจารณาถึงความจำเป็นในการควบคุมหรือระงับการเดินรถประจำทางสาธารณะหรือรถไฟ ซึ่งอาจเป็นจุดเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค หากมีการระงับการเดินรถข้ามเขตจังหวัด ให้รายงาน ศบค.มท. เพื่อเสนอ ศบค. พิจารณา ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อวางมาตรการลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน และ 3) ในทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร) ให้ตรวจสอบบุคคลที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัตว์น้ำในตลาดสัตว์น้ำจังหวัดสมุทรสาคร หากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ดำเนินการตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข และรายงาน ศบค.มท. ทราบทันที พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงและกังวลว่าตนเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ติดต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทันที และสำหรับการปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน อาสาสมัครในพื้นที่ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ สำรวจ ตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน และเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หากพบ ให้ดำเนินการตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข โดยอาจนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโรค ทั้งนี้ หากพบการละเมิดให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายทันที รวมถึงให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มิให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของ ศบค. หากฝ่าฝืนอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางวินัยหรืออาญาด้วย นอกจากนี้ ให้สร้างการรับรู้ความเข้าใจขอความร่วมมือภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ทั้งผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ ผู้จัดกิจกรรม และผู้ร่วมกิจกรรม ในพื้นที่สาธารณะ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด คือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย เว้นระยะห่างหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่น และใช้แพลตฟอร์มไทยชนะในการเข้าออกสถานที่สาธารณะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจำ พร้อมกำชับเรือนจำเขต ๗ ทำตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจำ พร้อมกำชับเรือนจำเขต ๗ ทำตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจำ พร้อมกำชับเรือนจำเขต ๗ ทำตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม่ พร้อมสร้างความเข้าใจให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ด้านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการก ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ เรือนจำกลางนครปฐม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำเขต ๗ นำโดย นายนักรบ นาคพรหม ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครปฐม ประธานเขต ๗ รวมถึงผู้บัญชาการเรือนจำกลางเขาบิน ผู้บัญชาการเรือนจำกลางราชบุรี ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรสงคราม ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรสาคร ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดกาญจนบุรี ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร ผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอทองผาภูมิ ผู้อำนวยการสถานกักกันนครปฐม ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษธนบุรี และผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงธนบุรี ถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าวและมีความเป็นห่วง จึงได้กำชับถึงมาตรการป้องกันโรค ตามที่กรมราชทัณฑ์กำหนด โดย นายสมศักดิ์ฯ เห็นควรให้ใช้มาตรการดังกล่าวกับเรือนจำเขต ๗ ทั้งหมด จึงขอให้เรือนจำเขต ๗ ดำเนินการ ตามมาตรการสำคัญ ๆ ดังนี้ ๑. แยกกักกันโรค ผู้ต้องขังรับใหม่ รับย้าย กลับจากโรงพยาบาลภายนอก อย่างน้อย ๑๔ วัน และต้องปฏิบัติตามกระบวนการแยกกักกันโรคที่ถูกต้องอย่างเข้มงวด ๒. งดการเยี่ยมญาติช่องทางปกติและให้มีการเยี่ยมญาติทางไลน์ทดแทน ๓. "มาตรการคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า" ด้วยการงดนำผู้ต้องขังออกทำงานภายนอกเรือนจำทุกกรณี และงดการนำบุคคลภายนอกเข้าเรือนจำ ยกเว้นมีความจำเป็น เช่น เจ็บป่วย ๔. สร้างความเข้าใจ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ต้องขังและญาติ ตลอดจนจัดให้มีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดในเรือนจำช่วงระหว่างการงดเยี่ยมญาติ ๕. กำชับเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องขังและญาติ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา การเว้นระยะห่างทางสังคมสังคม และ ๖. งดการจัดกิจกรรมที่ต้องนำผู้ต้องขังมารวมกันมากๆ และจัดหาหน้ากากอนามัยให้ผู้ต้องขังทุกคนอย่างน้อยคนละ ๒ ชิ้น "ขอให้ผู้บัญชาการทุกท่านรับทราบมาตรการ และจัดการให้ดี พยายามประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ทั่วถึง ทั้งตัวผู้ต้องขังและญาติ และการนำตัวผู้ต้องขังไปยังศาลจะสามารถใช้วิธีวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้หรือไม่ และหากเรือนจำไหนพิจารณาแล้วว่าจะเกิดการลุกลามให้พิจารณาล็อกดาวน์ตัวเอง สิ่งที่เราห่วงคือเรื่องของคนในเรือนจำ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ พยายามเช็คอย่างละเอียดและไปในพื้นที่สุ่มเสี่ยง ในเรือนจำต้องไม่มีโควิด" ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าว จากนั้น นายสมศักดิ์ฯ ได้วีดีโอคอนเฟอเรนซ์เข้าสู่ที่ประชุม โดยระบุว่า หากพบเชื้อที่ไหนให้กำหนดจุดบริเวณนั้น และวัดระยะห่างตีกรอบพื้นที่ และให้ทุกคนพิจารณาร่วมกัน เพราะเป็นเรื่องของข้อเท็จจริง หากจุดไหนสุ่มเสี่ยงก็ต้องปิด โดยขณะนี้ได้ตีกรอบงดเยี่ยมญาติแล้วเบื้องต้น ๑๑ เรือนจำ คือ ๑. เรือนจำกลางนครปฐม ๒. เรือนจำกลางเขาบิน ๓. เรือนจำกลางราชบุรี ๔. เรือนจำกลางสมุทรสงคราม ๕. เรือนจำกลางสมุทรสาคร ๖.เรือนจำจังหวัดกาญจนบุรี ๗. เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร ๘. เรือนจำอำเภอทองผาภูมิ ๙. สถานกักกันนครปฐม ๑๐. เรือนจำพิเศษธนบุรี และ ๑๑. ทัณฑสถานหญิงธนบุรี "เมื่อปิดการเยี่ยมญาติให้ผู้บัญชาการทุกท่าน ใช้การสื่อสารทางไกล ผ่านแอปพลิเคชันไลน์สื่อสารกันแทนและเพิ่มรอบการเยี่ยม วางแผนให้ดี รวมถึงการใช้เทคโนโลยีอื่นๆ ตามสิทธิที่ผู้ต้องขังทุกคนควรจะได้ เช่น การพบศาลผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ การฝากเงินผ่านออนไลน์ และทำความเข้าใจกับผู้ต้องขังทุกคน ไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดว่ากีดกันสิทธิเสรีภาพ จนเกิดความวุ่นวาย และขอให้ผู้บริหารทุกท่านนำมาตรการไปปฏิบัติตามสถานการณ์ หากมีปัญหาติดขัดตรงไหนให้รีบแจ้งมาทันที" นายสมศักดิ์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ยั่วใจออกแคมเปญรับปีใหม่ ลดอัตรากำไรสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ไอแบงก์ยั่วใจออกแคมเปญรับปีใหม่ ลดอัตรากำไรสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ไอแบงก์ออกแคมเปญของขวัญปีใหม่ ปี 2564 ลดอัตรากำไรสำหรับผู้ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทุกโครงการลงอีก 0.25% ในปีแรก พร้อมฟรีค่าประเมินราคาและยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกแคมเปญของขวัญปีใหม่ ปี 2564 ลดอัตรากำไรสำหรับผู้ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทุกโครงการลงอีก 0.25% ในปีแรก พร้อมฟรีค่าประเมินราคาและยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา ไอแบงก์ ออกแคมเปญยั่วใจสำหรับผู้ที่สนใจสมัครสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงปีใหม่ ด้วยการปรับลดอัตรากำไรลงจากอัตรากำไรของแต่ละโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงอีก 0.25% ต่อปี ในปีแรก และในปีต่อไปคิดอัตรากำไรตามโครงการสินเชื่อที่ลูกค้าขอสมัครใช้ โดยโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ร่วมแคมเปญมีดังนี้ โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ร่วมแคมเปญ อัตรากำไรเริ่มต้น ปีแรกปกติ อัตรากำไรเริ่มต้นปีแรก แคมเปญของขวัญปีใหม่ 2564 โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านใหม่ Ibank 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านพรีเมี่ยม 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มอาชีพมั่นคง 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มรายได้ยั่งยืน 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มลูกค้ามุสลิม 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อาศัยรีไฟแนนซ์ 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อบ้านมือสอง 3.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 3.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านชายแดนใต้ 3.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 3.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อสวัสดิการสำหรับบุคคลภายนอก (MOU) หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ , บริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ (Listed Companies) และนิติบุคคลอื่นๆ (เฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย) 2.10% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 1.85% ต่อปี สินเชื่อที่อยู่อาศัยมาตรฐาน 4.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 4.00% ต่อปี • หมายเหตุ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด นอกจากนี้ยังฟรีค่าประเมินหลักประกัน (กรณีลูกค้าได้รับการอนุมัติ) พร้อมฟรีค่านิติกรรมสัญญา โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ibank Call center 1302 ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2564 *หมายเหตุ: 1. "อัตรากำไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคำเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม" 2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คำนวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกำหนดการฝาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บอร์ดบีโอไอไฟเขียวมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 ทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด รวมทั้งจังหวัดชายแดนใต้ ไปอีก 2 ปี หนุนเขตส่งเสริมกิจการพิเศษใหม่ “การแพทย์จีโนมิกส์” มหาวิทยาลัยบูรพา พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 สำหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต มาตรการกระตุ้นลงทุนปี 2564 สำหรับมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 บีโอไอต้องการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมาตรการนี้กำหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทำการแรกของปี 2564 ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2564 ต่ออายุมาตรการ SEZ – ชายแดนใต้ อีก 2 ปี นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอจึงมีมติขยายเวลารับคำขอส่งเสริมการลงทุนออกไปอีก 2 ปี ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2565 สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย โดยมาตรการนี้ ครอบคลุมทุกประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมกว่า 300 กิจการ แต่หากเป็นกิจการที่อยู่ใน 14 กลุ่มกิจการเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ประมง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและเครื่องหนัง เครื่องเรือน อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ พลาสติก กิจการท่องเที่ยว เป็นต้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีและลดหย่อนร้อยละ 50 อีก 5 ปี รวมทั้ง ที่ประชุมยังมีมติให้ขยายเวลารับคำขอสำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก 2 ปี เช่นเดียวกัน โดยมี 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา และ 2) มาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500,000 บาท และใช้เครื่องจักรที่มีอยู่เดิมร่วมได้ด้วย นอกจากนี้ หากมีโครงการที่ลงทุนอยู่แล้วเดิม ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งโครงการเดิม และโครงการลงทุนใหม่ นอกจากนี้ ยังมี 5 ประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในเฉพาะพื้นที่ SEZ และ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ได้แก่ 1) กิจการผลิตวัสดุก่อสร้างและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงสำหรับงานสาธารณูปโภค 2) กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งสำหรับประทินร่างกาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เครื่องสำอาง3) กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับสินค้าอุปโภค เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก 4) กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เช่น กล่องกระดาษ และ 5) กิจการพัฒนาอาคารสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและ/หรือคลังสินค้า โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2565 หนุนเขตส่งเสริมพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เขตส่งเสริมการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริม เพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) คือ หากเป็นกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่ 5 – 8 ปีขึ้นไป จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี แต่หากเป็นกิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายและกิจการสนับสนุน ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปีอยู่แล้ว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1 ปี ยกระดับกิจการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่กิจการที่ดำเนินการอยู่เดิม ไม่ว่าจะเคยได้รับการส่งเสริมหรือไม่ก็ตาม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรและการผลิตหรือการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้ในประเทศที่จะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โครงการที่ขอรับการส่งเสริมตามมาตรการนี้ ต้องมีขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับผู้ประกอบการ SMEs กำหนดวงเงินลงทุนเพียง 500,000 บาท โดยต้องเสนอแผนลงทุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ยกระดับกระบวนการทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เช่น การนำซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศอื่นๆ เข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรของกิจการการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Machine Learning การนำ Big Data มาใช้ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การนำซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศมาใช้ในการเข้าสู่ระบบ NationalE–Payment และระบบอื่นๆ ของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37766
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ลุยแดนข้าวเหนียว ดัน อสร. ร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นฤมล ลุยแดนข้าวเหนียว ดัน อสร. ร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ รมช. แรงงาน เยือนขอนแก่น ดันอาสาสมัครแรงงานร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ บูรณาการ 7 เสือแรงงาน ขับเคลื่อนด้านแรงงานตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ยกระดับเศรษฐกิจไทย วันที่ 21 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงานที่จังหวัดขอนแก่น พบปะพูดคุยกับอาสาสมัครแรงงาน ที่เข้าร่วมสัมมนาโครงการอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติด ณ โรงแรมเจริญธานีขอนแก่น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับ โดยศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวกับอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ตอนหนึ่งว่า “อาสาสมัครแรงงาน เป็นบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญ เพราะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานงานระหว่างกระทรวงแรงงานกับประชาชนในพื้นที่ เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกทั้งได้รับความไววางใจจากชุมชน ดังนั้น ประชาชนหรือแรงงานจะรับทราบข้อมูลข่าวสาร ภารกิจหรือบริการของรัฐ ต้องอาศัยอาสาสมัครแรงงาน เป็นผู้แจ้งข่าวสารนั้นด้วย นอกจากนี้ ยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังปัญหาความเดือดร้อนด้านแรงงานในพื้นที่ แล้วแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้รับทราบปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป จึงเห็นได้ว่า อสร. ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทั้งฝ่ายภาครัฐและประชาชน ในวันนี้ กระทรวงแรงงาน ได้จัดสัมมนาขึ้น เพื่อให้ อสร. ร่วมเป็นเครือข่ายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในชุมชนและสถานประกอบกิจการ” อีกประเด็นที่ต้องการให้ อสร.ช่วยดำเนินการคือ ประชาสัมพันธ์การพัฒนาทักษะฝีมือ ซึ่งมีหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตั้งอยู่ทุกจังหวัด สามารถให้บริการและช่วยเหลือแรงงานที่ต้องการมีความรู้ ไปประกอบอาชีพ โดยเฉพาะผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขอให้ อสร.สำรวจและคัดเลือกแรงงานที่ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง เพื่อช่วยให้แรงงานเหล่านี้ เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพ มีรายได้ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป “ขอขอบคุณ อสร.ทุกคนและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่”รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด หลังจากนั้นรมช.แรงงานและคณะ เดินทางไปยังศูนย์ฟื้นฟูสรรถภาพคนงานภาค 4 จังหวัดขอนแก่น และรับฟังผลการดำเนินงาน พบว่า เป็นศูนย์ที่มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและเครื่องมือในด้านการบำบัดและฟื้นฟูทางการแพทย์ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการฟื้นฟูจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง มีการฝึกอาชีพอิสระเพื่อให้สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติหรือประกอบอาชีพอื่นได้ ที่ผ่านมาผู้เข้ารับการฟื้นฟูจะเป็นลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะเนื่องมาจากการทำงาน แต่ในอนาคตจะผลักดันให้กลุ่มผู้พิการที่ไม่ใช่ลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุ มีโอกาสเข้ารับการฟื้นฟูในศูนย์ดังกล่าวด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างทั่วถึงต่อไป และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่ง มีการตรวจคัดกรองลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวเข้มงวดมากยิ่งขึ้น การลงพื้นที่ในครั้งนี้ รมช.แรงงาน จึงนำทีมงาน ตรวจเยี่ยมการคัดกรอง บริษัท โรงงานทออวนเดชาพานิช จำกัด ซึ่งมีแรงงานต่างด้าวประมาณ 1,172 คน โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 6 ขอนแก่น ตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมเตรียมเข้าทำงาน ได้แก่ การประกอบอาหารไทย ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ และช่างซ่อมรถยนต์ ทั้ง 3 หลักสูตรมีระยะเวลาการฝึก 2 เดือน ฝากฝึกในสถานประกอบกิจการอีก 1 เดือน พร้อมรับฟังผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนด้านแรงงาน รมช.แรงงานได้เน้นย้ำว่า ให้บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง แต่ละหน่วยมีภารกิจเกี่ยวข้องกัน พัฒนาฝีมือแรงงานแล้วต้องประสานจัดหางานและศูนย์บริหารข้อมูลตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดูตำแหน่งงาน เพื่อหางานให้ผู้การอบรมมีช่องทางในการประกอบอาชีพ ส่วนด้านของประกันสังคม สนง.สวัสดิการและศูนย์ฟื้นฟูก็เช่นกัน ขอให้บริการแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะภาครัฐคือที่พึ่งของประชาชน โดยมีแรงงานจังหวัดเป็นศูนย์กลางและเป็นพี่เลี้ยง นอกจากนี้แล้ว ยังต้องแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นและภาคเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานของกระทรวงแรงงานให้มากขึ้นด้วย ทำงานตามแนวนโยบายของรัฐบาลในรูปแบบประชารัฐ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงความเป็นมาการดำเนินโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จังหวัดปทุมธานี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกรมโยธาธิการและผังเมืองในการดำเนินการโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 9/2560 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่องการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร เพื่อแก้ปัญหาการบุกรุกลำน้ำสาธารณะ โดยให้พัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อประโยชน์ด้านการระบายน้ำป้องกันปัญหาอุทกภัยและแก้ไขปัญหาน้ำเสีย ทั้งนี้ โครงการบ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลอง และการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชาชากร ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 โดยมีกรอบการดำเนินงาน 4 ด้าน ดังนี้ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนด้านการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ด้านกฎหมายและการขับเคลื่อน ทั้งนี้ ยืนยันว่าการก่อสร้างเขื่อนไม่ได้กีดขวางการระบายน้ำ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่คลองรังสิตแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นแนวก่อสร้างที่คณะอนุกรรมการจัดทำแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร เป็นผู้กำหนด ซึ่งมีการพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37773
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน"
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" ในโครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๔ โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ศิลปิน ประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมชมการแสดง ณ สังคีตศาลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37764
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5 วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงกรณีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์ข้อความที่ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านอุดมสุขให้นักเรียนยืนเข้าแถวกลางสนามเพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้า ในสภาวะที่อากาศมีมลพิษ PM 2.5 ในปริมาณสูง และครูยังใช้คำพูดหยาบคายกับนักเรียน ว่า ได้สั่งการให้ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.) ลงไปติดตามสถานการณ์ดังกล่าว โดยประสานไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 (สพม.2) ติดตามสถานการณ์ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นหน้าเสาธงขณะเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ส่วนพฤติกรรมของครูเป็นไปตามคลิป แต่เป็นเพียงการพูดจากับนักเรียนชั้น ม.6 โดยเป็นครูคณิตศาสตร์ และเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียน ซึ่งสพม.2 ได้ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปเพื่อสร้างความเข้าใจกับนักเรียนและครู ซึ่งต้องมีการประชุมหารือถึงมาตรการหาทางออก และสร้างความเข้าใจในวิธีการเรียนการสอน และมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 โดยสำนักอำนวยการ และศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.สพฐ.) เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม รวบรวม วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และจัดทำรายงานข้อมูลเสนอผู้บริหารระดับสูง โดยมีการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 พร้อมองค์ความรู้วิธีป้องกันตัวเองจากฝุ่นละออง PM 2.5 ไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เพื่อแจ้งสถานศึกษาในสังกัดให้วางแผนรับมือ รวมถึงสร้างองค์ความรู้เรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้แก่นักเรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษา และประชาสัมพันธ์ผู้ปกครองได้รับทราบ พร้อมกันนั้นให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานต่อ สพฐ. หากพบนักเรียนที่เจ็บป่วยจากสถานการณ์ PM 2.5 นอกจากนี้สพฐ. ได้แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้สถานศึกษาสามารถพิจารณาดำเนินการสั่งปิดสถานศึกษาเป็นกรณีพิเศษได้ ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ประกาศ ณ วันที่ 3 กันยายน 2558 และให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานจำนวนสถานศึกษาที่สั่งปิดจากกรณีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มายัง ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน เพื่อรวบรวมข้อมูลส่งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ก่อนเวลา 12.00 น. ของทุกวัน เพื่อรวบรวมข้อมูลรายงานผู้บริหาร สพฐ. และ รมว.ศธ. โดยศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 จะดำเนินการติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง คุณภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ ผ่านเว็บไชต์ AIR4THAI แล้วรวบรวมข้อมูลรายงานสถานการณ์รายวันผ่านแอปพลิเคชั่น LINE เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านข้อมูลให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน ใช้ประกอบในการพิจารณาสั่งปิดสถานศึกษา ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เตรียมรับมือ เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม เตรียมรับมือ เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเรื่องมาตรการควบคุม/เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ ของสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเรื่องมาตรการควบคุม/เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ ของสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีผู้อำนวยการหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอให้ดำเนินการตามมาตรการการปฏิบัติงานภายในที่พัก (Work From Home) รวมทั้งให้สำรวจประเมินความเสี่ยงของบุคลากรในสังกัด และขอให้ดำเนินการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุคลากรรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 สุริยะ สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานความคืบหน้าการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นจำนวนมาก และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก และจังหวัดสมุทรสาครได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดตามที่ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณชนไปแล้วนั้น จึงได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นทั่วประเทศ กำชับให้โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่ง ปฏิบัติตามแนวทางและคำสั่งจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค โควิด-19 อย่างเคร่งครัด “กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ออกมาตรการบังคับและสั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และการนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นๆ ที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ขอให้มีการติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกวดขัน คัดกรองพนักงาน โดยการวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อในโรงงาน และให้ดูแลสุขอนามัย ในโรงงาน อาทิ การเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นทางเดินเข้า–ออกอาคาร ลิฟต์ ห้องน้ำ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ตรวจเช็ดทำความสะอาดจุดสัมผัสสาธารณะต่างๆ และลดความเสี่ยงการติดเชื้อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ทั้งนี้จังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานในนิคมและนอกนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาครกว่า 6,082 โรงงาน คนงานกว่า 345,464 คน” นายสุริยะ กล่าว และได้มีมาตรการสำหรับการปฏิบัติงานสำหรับข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยขอให้ติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด และกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการปฏิบัติงานภายในของสำนักงาน เช่น การให้สามารถปฏิบัติงานที่บ้าน (work from home) ได้ตามความจำเป็น และให้งดเดินทางออกจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครหากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติงานติดต่อกับส่วนราชการอื่นให้ใช้การประสานงานทางโทรศัพท์ทางระบบสารสนเทศหรือการประชุมโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก สำหรับส่วนราชการอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและหรือพื้นที่เสี่ยงระมัดระวัง สังเกตอาการ ของเจ้าหน้าที่และให้ส่งรายชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหรือเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดทราบทุกคน และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงซึ่งมีการประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาดในช่วงเวลาที่จังหวัดสมุทรสาครกำหนดให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัดซึ่งอาจจะมีการประกาศต่อไป ด้านส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมทั้งหมดให้งดการเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการแจ้งให้หรือประสานสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครทราบเพื่อแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแจ้งนโยบายของผู้ว่าและกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ประสานงานกันก่อนในช่วงระหว่างนี้ให้ใช้การติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์เทคนิคหรือช่องทางทางเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ แทนการเข้าพื้นที่ และให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรมติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องสอดรับอย่างเคร่งครัด -----------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน โดยมีท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช นายกก่อตั้งสมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย และคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ นายกสมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี โดยมีกรรมการฯ และสมาชิกสมาคม ตพส.ไทย เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๔ อาคารพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีการเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และนางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาชีวิตคนพิการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ใช้ GPS ติดตามรถพยาบาล Real Time ห้ามขับเกิน 90 กม./ชม. นำร่องอุดรธานีช่วยลดอุบัติเหตุ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สธ.ใช้ GPS ติดตามรถพยาบาล Real Time ห้ามขับเกิน 90 กม./ชม. นำร่องอุดรธานีช่วยลดอุบัติเหตุ กระทรวงสาธารณสุขร่วมเอสซีจี โลจิสติกส์ ใช้ระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบ Real Time กำหนดขับไม่เกิน 90 กม./ชม. ไปกลับเกิน 400 กม.ต้องมีคนขับ 2 คน หากพบความเสี่ยงจะแจ้งเตือนทันที นำร่องพื้นที่ จ.อุดรธานี พบช่วยลดอุบัติเหตุ ปลอดภัยท กระทรวงสาธารณสุขร่วมเอสซีจี โลจิสติกส์ ใช้ระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบ Real Time กำหนดขับไม่เกิน 90 กม./ชม. ไปกลับเกิน 400 กม.ต้องมีคนขับ 2 คน หากพบความเสี่ยงจะแจ้งเตือนทันที นำร่องพื้นที่ จ.อุดรธานี พบช่วยลดอุบัติเหตุ ปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคลากร เดินหน้าลงนามขยายความร่วมมือครอบคลุมระดับเขตและประเทศ รวมถึงรถกู้ชีพมูลนิธิและ อปท. วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ที่ห้องประชุมธนกร ศูนย์ประชุมมลฑาทิพย์ อ.เมือง จ.อุดรธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการลงนามความร่วมมือโครงการพัฒนาความปลอดภัยของรถพยาบาล (Ambulance Safety Solution) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด นายอนุทินกล่าวว่า ข้อมูลในปี 2559-2563 เกิดอุบัติเหตุกับรถฉุกเฉินรวม 156 ครั้ง บุคลากรทางการแพทย์ได้รับบาดเจ็บ 139 ราย เสียชีวิต 4 ราย อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างส่งต่อผู้ป่วยร้อยละ 80 จากการสอบสวนอุบัติเหตุพบว่า ปัจจัยหลักเกิดจากพฤติกรรมพนักงานขับรถร้อยละ 67 คือ หลับใน ขับรถเร็วเกินกำหนด และฝ่าไฟแดงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมร้อยละ 31 ได้แก่ ฝนตก ถนนลื่น แสงสว่างไม่เพียงพอ และถูกคู่กรณีชนและปัจจัยเรื่องรถพยาบาลร้อยละ 2 คือ ยางระเบิด ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยและความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ จึงกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุรถพยาบาลและความคุ้มครองอุบัติเหตุทางถนน เช่น การติดตั้ง GPS ที่ได้มาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก เพื่อกำกับติดตามการใช้รถพยาบาลและพฤติกรรมของพนักงานขับรถ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ หากพบความเสี่ยงจะมีระบบแจ้งเตือนเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ สำหรับโครงการพัฒนาความปลอดภัยของรถพยาบาล (Ambulance Safety Solution) ได้นำร่องในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี โดยนำระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เอสซีจีโลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด มาใช้ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบครบวงจร ดำเนินการครอบคลุมรถพยาบาลของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และโรงพยาบาลเอกชน จำนวน 99 คัน พร้อมตรวจสุขภาพและพัฒนาสมรรถนะการให้บริการของพนักงานขับรถ และจัดทำแนวปฏิบัติเพื่อการขับขี่รถพยาบาลปลอดภัย ได้แก่ กำหนดความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปฏิบัติตามกฎจราจร หากขับรถต่อเนื่องควรหยุดพักทุก 2 ชั่วโมง ระยะเวลาทำงานไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน กรณีนำส่งผู้ป่วยระยะทางไปกลับเกิน 400 กิโลเมตร ควรมีพนักงานขับรถ 2 คน เกิน 800 กิโลเมตร ต้องมีการพักค้างคืนระหว่างการเดินทาง ทำให้สามารถติดตาม กำกับการบริการตลอดเส้นทางการเดินทาง ทั้งระยะทาง ความเร็วรถ พฤติกรรมพนักงานขับรถ ได้แบบ Real Time และมีระบบแจ้งเตือนกรณีเกิดความเสี่ยง เชื่อมโยงไปถึงระหว่างโรงพยาบาลรับ-ส่งผู้ป่วยให้สามารถเตรียมความพร้อมการให้บริการได้รวดเร็วจากการประเมินผลการดำเนินการพบว่า อัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลง จึงได้ลงนามเพื่อขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดอุดรธานีมีสถิติรถพยาบาลเกิดอุบัติเหตุระหว่างปี 2559-2562 จำนวน 9 ครั้ง แต่ภายหลังดำเนินการดังกล่าวในปีงบประมาณ 2563 ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จากนี้มีเป้าหมายจะขยายให้ครอบคลุมถึงรถรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน (กู้ชีพ) ของมูลนิธิ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีจะเป็นต้นแบบให้หน่วยบริการได้ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อขยายการทำงานในระดับเขตและประเทศต่อไป ***************************** 21 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’คลอดมาตรการเชิงรุกเพิ่ม ปูพรมตรวจต่างด้าวในโรงงาน เร่งเยียวยาผู้กระทบโควิด -19
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ‘จับกัง1’คลอดมาตรการเชิงรุกเพิ่ม ปูพรมตรวจต่างด้าวในโรงงาน เร่งเยียวยาผู้กระทบโควิด -19 สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกหน่วยเกี่ยวข้อง ประชุมวางมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติมป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงาน สั่งตั้งชุดเฉพาะกิจปูพรมจัดรถโมบายเข้าตรวจแรงงานในสถานประกอบการ พร้อมหามาตรการช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสุดวิสัย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมประมง กรุงเทพมหานคร ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนทางการเมียนมา เป็นต้น เพื่อวางมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติมสำหรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงานทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกคนได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน วันนี้ ผมได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ตั้งชุดเฉพาะกิจที่จะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อออกตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งให้สำนักงานประกันสังคมร่วมมือกับสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุกเพื่อจัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้เข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด - 19 เพื่อให้ทราบผลภายใน 3-4 ชั่วโมง ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด มาตรการดังกล่าวกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ ในบอร์ดประกันสังคม เพื่อดำเนินการตรวจโควิด – 19 ให้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการในเชิงรุกโดยลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ นายสุชาติ ยังกล่าวถึงมาตรการเยียวยาสำหรับกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม ได้นำเรื่องการพิจารณาประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา ในวันนี้ (21 ธ.ค.63) เพื่อขอความเห็นชอบคณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบ และให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. .... แก้ไขนิยาม “เหตุสุดวิสัย” หมายความรวมถึง ภัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย และรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดเป็นผลกระทบให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ50 ของค่าจ้างรายวันโดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่ ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีปฏิทินมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 90 วัน ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจะได้นำเรื่องขอความเห็นชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37781
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.สั่งทุกจังหวัดตรวจโควิด 19 เชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา ใช้สมุทรสาครโมเดล
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ปลัด สธ.สั่งทุกจังหวัดตรวจโควิด 19 เชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา ใช้สมุทรสาครโมเดล ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ให้คัดกรองเชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา หากพบติดเชื้อใช้สมุทรสาครโมเดล ปิดพื้นที่เสี่ยง ติดตามผู้มาจากสมุทรสาคร หากพบการติดเชื้อให้สอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสโดยเร็ว พร้อมอ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ให้คัดกรองเชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา หากพบติดเชื้อใช้สมุทรสาครโมเดล ปิดพื้นที่เสี่ยง ติดตามผู้มาจากสมุทรสาคร หากพบการติดเชื้อให้สอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสโดยเร็ว พร้อมออก 7 ข้อสั่งการ เน้นย้ำสื่อสารประชาชนไม่ให้เกิดความตระหนก สวมหน้ากาก 100% วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคโควิด 19 ร่วมกับผู้บริหารส่วนกลางส่วนภูมิภาค และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร สันนิษฐานว่า มาจากแรงงานเมียนมา จึงมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกแรงงานเมียนมาบริเวณหอพักใกล้ตลาดกลางกุ้ง ทำให้พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ได้ปิดพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาดห้ามเข้าออกเพื่อจำกัดวงการระบาด ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยเกี่ยวข้องกับตลาดกลางกุ้ง เกิดจากการตรวจพบเชื้อและมีการสอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่เกิดการแพร่กระจาย เป็นการดำเนินงานเหมือนกรณีสนามมวยลุมพินี นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ โดยให้ อสม.ช่วยฝ่ายปกครองสอดส่องผู้ที่มาจาก จ.สมุทรสาคร ให้ไปแสดงตัวและประเมินความเสี่ยง โดยไม่จำเป็นต้องกักตัว หากมีความเสี่ยงสูงจะตรวจทางห้องปฏิบัติการ หากเสี่ยงต่ำอาจให้แยกตัวเฝ้าระวังอาการ เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในจังหวัดต้องสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสอย่างรวดเร็ว คัดกรองเชิงรุกในชุมชนแรงงานเมียนมา หากมีการติดเชื้ออาจใช้สมุทรสาครโมเดล โดยการปิดพื้นที่ทำ OQ (Organization Quarantine) ซึ่งเป็นการจัดการสถานการณ์อย่างเหมาะสม ปิดเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยง ไม่ได้เป็นการปิดทั้งจังหวัด และต้องสื่อสารให้ความรู้ประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก เนื่องจากการปิดพื้นที่อาจทำให้ประชาชนกังวลและเดินทางออกจากพื้นที่ ขอให้มีการซักซ้อมความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ รวมถึงขอให้สถานประกอบการที่มีแรงงานเมียนมาจำนวนมาก ดำเนินการตรวจด้วย Rapid Test นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มี 7 ข้อสั่งการจากกรณีพื้นที่จ.สมุทรสาคร ดังนี้ 1.สื่อสารประชาสัมพันธ์ไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเรื่องของข่าวปลอมต่าง ๆ 2.เน้นย้ำให้ประชาชนสวมหน้ากากตลอดเวลา หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน สังเกตอาการตนเอง โดยให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่ต้นแบบสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ 3.เน้นย้ำและตรวจสอบมาตรการป้องกันควบคุมโรค ทั้งส่วนบุคคลและสถานที่ ดำเนินการอย่างเคร่งครัด ได้แก่ DMHT เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก จัดที่ล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์ หากสงสัยให้เข้ารับการตรวจ เข้มการสแกนไทยชนะ และทำความสะอาดพื้นผิว 4.ลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันจำนวนมาก กรณีจำเป็นให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด 5.สุ่มตรวจกลุ่มแรงงานต่างด้าวตามแนวทางที่กรมควบคุมโรคกำหนด 6.ให้ทุกจังหวัดเตรียมเรื่องเตียงและโรงพยาบาลสนาม และ7.ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดูแลเรื่องการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้เพียงพอและรวดเร็ว ******************************** 21 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37786
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกฯ ย้ำการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีย้ำการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 วันนี้ (21 ธ.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2563 ย้ำการส่งเสริมการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อ ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังสถานการณ์โควิด-19 ด้วยความระมัดระวังและเน้นปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด มั่นใจสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกรัฐมนตรีย้ำในที่ประชุม ให้พิจารณาแนวทางที่จะส่งเสริมให้การลงทุนของประเทศในช่วงนี้และอนาคตดีขึ้น ทั้งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศให้ครอบคลุมไปถึงส่งเสริมการลงทุนด้านเกษตรกรรม ท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งออกและนำเข้า เป็นต้น เน้นสนับสนุนการลงทุนในประเทศและส่งเสริมนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศขนาดเล็กและประเทศหมู่เกาะที่มีศักยภาพ รวมไปถึงการเร่งลงทุนนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ จะช่วยเสริมในการบริหารจัดการค่าเงินบาทได้ นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle (EV) ในประเทศให้มากขึ้น โดยเน้นรถยนต์ที่ผลิตและประกอบในประเทศไทย รวมถึงการเตรียมแผนพัฒนาแบตเตอรี่และสถานีชาร์ต ให้รองรับเพียงพอ โดยจะเริ่มนำร่องใช้รถยนต์ไฟฟ้าในส่วนราชการก่อนในปีหน้า (พ.ศ.2564) ขณะเดียวก็ส่งเสริมให้การใช้บริการระบบขนส่งคมนาคมรถไฟฟ้าให้มากขึ้น เน้นประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเรื่อง Cloud หรือ Data Center ว่ามีความจำเป็นในแง่ของการส่งเสริมการลงทุน เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคตของภูมิภาค โดยให้ดำเนินการในลักษณะแพ็จเก็จที่จูงใจและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เตรียมพร้อมทรัพยากรบุคคลที่มีขีดความสามารถ นอกจากนี้ พลังงานสะอาดจะเป็นจุดแข็งที่จะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศที่ให้ความสำคัญพลังงานสะอาดเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นและสอดคล้องกับการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 สำหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กำหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การ ส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทำการแรกของปี 2564 ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2564 รวมถึงการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด (กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย) และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต เป็นต้น ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ศธ. มอบ สพฐ. ส่งเสริมการออมให้กับนักเรียนทั่วประเทศ มุ่งให้นักเรียนมีเงินออมกับ กอช. เพิ่มความมั่นคงทางการเงินในอนาคต”
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 “ศธ. มอบ สพฐ. ส่งเสริมการออมให้กับนักเรียนทั่วประเทศ มุ่งให้นักเรียนมีเงินออมกับ กอช. เพิ่มความมั่นคงทางการเงินในอนาคต” กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. แก่นักเรียน และบุคลากร ในสถานศึกษา ให้มีเงินบำนาญรายเดือนกับ กอช. ครอบคลุมทั่วประเทศ วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติ กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ในกลุ่มนักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ให้มีเงินบำนาญรายเดือนไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี กับ กอช. ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ และ นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือการบูรณาการการทำงานร่วมกันในการอบรมให้ความรู้แก่ผู้บริหาร นักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ภายใต้การกำกับดูแลของ สพฐ. ทั่วประเทศ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โดยความร่วมมือครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ มีความยินดี และจะร่วมส่งเสริมให้สถานศึกษาภายใต้การกำกับดูแล ได้ร่วมกันส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้รู้จักการออมเงินเพื่อวางแผนอนาคตตนเอง เพื่อความมั่นคงทางการเงิน และตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561– 2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมนั้น ในเรื่องการรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำรงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้ตระหนักถึงการออมตั้งแต่วัยเรียน เป็นการปลูกฝังให้เด็กได้รู้จักจัดการเงิน รู้จักเก็บออม เริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อย สร้างนิสัยการออมเงินเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญของอนาคต สำหรับน้องนักเรียนที่ยังเรียนอยู่ สามารถบริหารแบ่งเงินค่าขนมบางส่วนมาออมไว้ เพียงเริ่มวางแผนออมเงินวันละ 1 บาท พอมีเงินครบ 50 บาท ก็สามารถนำมาออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) รัฐบาลจะสมทบเงินเพิ่มให้ 50% ของเงินออม คิดเป็นเงิน 25 บาท สูงสุด 600 บาทต่อปี ความพิเศษของการออมเงินเพื่ออนาคตกับ กอช. ได้ประโยชน์ 4 ต่อ ดังนี้ ต่อที่ 1 รับเงินสมทบจากรัฐบาล 50 - 100% ตามช่วงอายุ ต่อที่ 2 รัฐบาลค้ำประกันผลตอบแทนจากการลงทุน ต่อที่ 3 ออมเงินตามความพร้อมของตนเอง ขั้นต่ำ 50 บาทต่อปี ต่อที่ 4 มีเงินรายเดือนไว้ใช้ในอนาคต ทั้งนี้ กอช. ถือเป็นการตอบโจทย์การออมเงินเพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงในอนาคตอย่างแท้จริง นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการออมให้ครอบคลุม ทั่วถึงประชาชนที่ไม่มีสวัสดิการบำเหน็จ บำนาญ ให้มีความมั่นคงทางการเงิน ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี รัฐบาลจะเติมเงินสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุ อายุ 15 – 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุด 600 บาทต่อปี อายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมสะสม สูงสุด 960 บาทต่อปี อายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมสะสม สูงสุด 1,200 บาทต่อปี ทั้งนี้ กอช. ได้สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับสมาชิก เมื่อเทียบจากเงินฝากประจำที่ดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อตั้งกองทุน จนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563) มีผลตอบแทนเฉลี่ย 2.5% ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จึงได้มีการดำเนินงานร่วมกับสถานศึกษา โดยมีการดำเนินกิจกรรมที่สอดรับกับแผนการสร้างวินัยการออมและการวางแผนทางการเงินขั้นพื้นฐานให้แก่กลุ่มนักเรียน เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน และมีวินัยในการออม รวมถึงกำหนดรูปแบบการสร้างเครือข่ายจากคณะอาจารย์ในแต่ละสถานศึกษา เพื่อเป็นต้นแบบการออมให้กระจายทวีคูณ โดยมุ่งเน้นให้วางแผนทางการเงิน การออมเงิน อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ไปขยายผลเพื่อพัฒนาคุณภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว สังคม ชุมชน ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และส่งเสริมให้เป็นสมาชิก กอช. เพื่อให้มีบำนาญใช้ในยามเกษียณต่อไป นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ทาง สพฐ. ได้ร่วมกับ กอช. ในการบูรณาการการทำงานร่วมกันในการอบรมให้ความรู้แก่คณาจารย์ ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ โดยนำร่องโรงเรียน กรุงเทพมหานคร จำนวน 119 โรงเรียน ให้ได้ตระหนักถึงวิธีการวางแผนทางการเงิน การออมเงิน ซึ่งจะขยายผลการอบรมให้ความรู้แก่ นักเรียน ในสถานศึกษา ที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้มีการวางแผนออมเงินเพื่ออนาคตและสนับสนุนให้แต่ละโรงเรียนส่งเสริมการออมในสถานศึกษา และสมัครเป็นสมาชิก กอช. โดยมอบหมายให้แต่ละสถานศึกษาให้มีตัวแทน กอช. ในสถานศึกษา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลข่าวสารของ กอช. แก่นักเรียนในสถานศึกษา พร้อมทั้งสนับสนุนให้ กอช. เป็นหนึ่งในวิชาทางเลือกให้กับนักเรียน ในโรงเรียนภายใต้การกำกับดูแลของ สพฐ. และมอบหมายให้สำนักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเป็นผู้ประสานงานกับสถานศึกษาในสังกัดแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา โดย สพฐ. ร่วมกับ กอช. ดำเนินการอบรมให้ความรู้ในเรื่องการวางแผนการเงินกับ กอช. รายละเอียดข้อมูล กอช. วิธีการสมัคร หรือ ส่งเงินออมสะสมกับ กอช. พร้อมมีการอบรมหลักสูตร “Train the Trainer: Happy Money สุขเงิน สร้างได้” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนการเงินมาให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย เพื่อส่งเสริมการออมให้กับบุคลากรภายใต้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อาทิ บุคลากร ครูลูกจ้าง ลูกจ้างทั่วไป กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้เข้าถึงการออมเงินกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐบาลเป็นเงินบำนาญจากรัฐครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกฯ กำชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19 นายกฯ กำชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19 วันนี้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งทหาร ตำรวจ และกองกำลังต่าง ๆ ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มมาตรการป้องกันชายแดนอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่ลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ รวมถึงการเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติ เช่น เพิ่มจุดเฝ้าระวังในพื้นที่ที่เป็นช่องทางธรรมชาติที่สามารถเดินข้ามได้สะดวก ด้วยการวางเครื่องกีดขวางต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มกำลังลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมงทั้งในส่วนของการเดินเท้า การใช้รถจักรยานยนต์ การใช้รถยนต์ เรือ การใช้โดรนบินลาดตระเวน พร้อมตรวจจุดพักพิงตามแนวชายแดนให้มากขึ้น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้เพิ่มมาตรการการตรวจสอบพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง โดยจะต้องมีการสกัดกั้น ตั้งจุดสกัดต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการตรวจสกัดการลักลอบที่จะเข้ามาในประเทศอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันเฝ้าสังเกตคนที่เข้ามาในหมู่บ้าน หรือชุมนุม ที่ซึ่งแม้จะเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน หรือชุมชน แต่อาจมีการลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย หากประชาชนพบสิ่งผิดปกติ ขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบด้วย ทั้งนี้ การลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด และหากมีขบวนการช่วยเหลือและลักลอบให้ต่างด้าวหรือคนไทยเข้าประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบของ ศบค. ในปัจจุบัน ทางรัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อทำลายขบวนการดังกล่าวให้หมดไป นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กองทัพได้รายงานการเพิ่มน้ำหนักงานข่าว และเฝ้าระวังชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น โดยเสริมกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ รวมทั้งเพิ่มมาตรการสกัดกั้นและเฝ้าตรวจตามช่องทางต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันตกที่มีช่องทางธรรมชาติเป็นแนวยาว ด้วยการขยายผลติดตั้งไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมกว่า 40 ตัว รวมทั้งการวางแนวลวดหนามกว่า 100 ช่องทาง ระยะทางกว่า 6,000 เมตร และได้เพิ่มกำลังชุดปฏิบัติการและเครื่องมือเสริมการลาดตระเวนกลางวันและกลางคืน ทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจภายในหมู่บ้าน ร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองต่อเนื่องกันมา และพร้อมกันนี้ กองทัพได้ให้น้ำหนักกับมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น โดยเพิ่มความเข้มข้นงานด้านการข่าวเชื่อมโยงเครือข่ายขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทั้งได้ประสานการทำงานร่วมกับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของประเทศเพื่อนบ้านที่มีจุดผ่านแดนร่วมกัน เพื่อร่วมเฝ้าตรวจดูแลมาตรการเฝ้าระวังป้องกันร่วมกันมากขึ้นในภาพรวม”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจำปี ๒๕๖๓
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจำปี ๒๕๖๓ รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจำปี ๒๕๖๓ ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ สำนักงาน ป.ป.ส. ถนนดินแดง กรุงเทพฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหารของสำนักงาน ป.ป.ส. ประจำปี ๒๕๖๓ แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีอุปการคุณต่อสำนักงาน ป.ป.ส. และผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง รุ่นที่ ๒ หรือ นบส.ปปส. โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธี และนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เป็นผู้กล่าวรายงาน และให้การต้อนรับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ในนามของรัฐบาลต้องขอบคุณที่สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง รุ่นที่ ๒ และขอบคุณสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ได้มีความร่วมมือช่วยจัดทำเนื้อหาหลักสูตรทางด้านวิชาการ การจัดหลักสูตรทำนองนี้มีประโยชน์หลายสถานด้วยกัน ถ้าหากว่ารักษาดุลยภาพในทุกวัตถุประสงค์แล้ว ก็จะมีแต่ได้ ทั้งนี้ทุกหลักสูตรมักมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน ๓ ข้อ ได้แก่ ๑. Comprehension คือ การสร้างความเข้าใจศาสตร์ใหม่ ๆ ๒. Communication คือ ทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารกัน ๓. Connection คือ การติดต่อเชื่อมโยงกันระหว่างผู้อบรม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจของหลักสูตรทุกหลักสูตร” “นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ในฐานะผู้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรก็ได้ประโยชน์ด้วย คือ ได้ทั้งเครือข่ายภาคีและแนวร่วม เพราะงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนั้น ก็เหมือนกับราชการอีกหลายอย่าง ที่มีศัตรู ถ้ามีคนเข้าใจผิด หรือมีคนไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้มีพันธมิตร มีเครือข่าย คนเหล่านี้พร้อมจะให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่เราต้องการ เรียกว่าได้มิตรที่มีคุณภาพ” นายวิษณุ กล่าวว่า “การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระของโลก ไม่ใช่วาระของชาติ ประเทศเอง รัฐบาลเองทุกยุคทุกสมัยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ได้ปรับปรุงแก้กฎหมายหลายอย่าง เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านใช้ความรู้ที่ได้รับไปเกิดประโยชน์ต่อตัวท่านเองและสังคม” สำหรับผู้ที่ได้รับวิทยฐานะนักบริหาร ประจำปี ๒๕๖๓ ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีอุปการคุณในการดำเนินงานด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน ๑๗ คน และผู้สำเร็จผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส) รุ่นที่ ๒ จำนวน ๕๘ คน รวมทั้งสิ้น ๗๕ คน ซึ่งได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๘ ตุลาคม - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยได้รับความร่วมมือจากอาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในการพัฒนาเนื้อหาในหลักสูตร มุ่งเน้นเพื่อพัฒนาแนวคิดเชิงบริหารยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแก่ผู้บริหารระดับสูง เพิ่มพูนวิสัยทัศน์และเสริมทักษะที่จำเป็นในการแก้ไขและรับมือกับปัญหายาเสพติดในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ พิธีมอบเข็มวิทยฐานะนักบริหารสำนักงาน ป.ป.ส. มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความขอบคุณแก่ผู้ที่ทำคุณประโยชน์ ผู้ที่มีอุปการคุณในการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร นบส.ปปส. รุ่นที่ ๒ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดรายอื่นๆ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยรักชุมชนส่งมอบความสุขปีใหม่ให้ลูกค้า ด้วยชุดของขวัญจากรอยยิ้มของ 4 ชุมชนต้นแบบ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรุงไทยรักชุมชนส่งมอบความสุขปีใหม่ให้ลูกค้า ด้วยชุดของขวัญจากรอยยิ้มของ 4 ชุมชนต้นแบบ ธนาคารกรุงไทยเลือกสรรชุดของขวัญจาก 4 ชุมชนต้นแบบในโครงการกรุงไทยรักชุมชน เพื่อส่งมอบความสุข ให้กับลูกค้าในเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนต้นแบบที่ผลิตโดยฝีมือของชาวบ้านในชุมชน และทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ธนาคารกรุงไทยเลือกสรรชุดของขวัญจาก 4 ชุมชนต้นแบบในโครงการ กรุงไทยรักชุมชน เพื่อส่งมอบความสุข ให้กับลูกค้าในเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนต้นแบบที่ผลิตโดยฝีมือของชาวบ้านในชุมชน และทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ได้แก่ ข้าวสมุนไพรประคบร้อนจากชุมชนบ้านหนองสระ สมุนไพรเพื่อสุขภาพจากชุมชนท่ามะโอ ชุดกาแฟแม่กำปองและกาต้มน้ำร้อนพับได้ และชาชงสมุนไพรใบขลู่พร้อมสบู่และสครับเปลือกหอยนางรม บ้านโคกไคร นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า 1 ใน 5 เสาหลักของการดำเนินธุรกิจ ตามแผนยุทธศาสตร์ ในปี 2564 คือ การปรับรูปแบบการทำงาน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสู่ความยั่งยืน รวมถึงการเข้าไปช่วยเหลือ ดูแลชุมชนต่างๆ ให้เข้มแข็ง ตามแนวคิด “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” นอกจากการนำจุดแข็งของธนาคารเข้าไปช่วยเหลือชุมชนในการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และเข้าถึง ระบบการเงินดิจิทัลแล้ว ธนาคารยังสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับการท่องเที่ยวของชุมชน รวมทั้งจัดกิจกรรม ส่งเสริมเพื่อยกระดับสินค้าและบริการต่างๆ โดยคำนึงถึงศักยภาพของชุมชน ทรัพยากรและภูมิปัญญาในท้องถิ่นเป็นหลัก สำหรับในเทศกาลปีใหม่ 2564 ธนาคารได้เลือกสรรผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นจาก 4 ชุมชนต้นแบบ ในโครงการกรุงไทยรักชุมชน มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้า เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพ กระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจของชุมชน รวมถึงประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของชุมชนให้เป็นที่รู้จัก “ข้าวสมุนไพรประคบร้อน” ที่ผลิตจากข้าวหอมบุญ สุดยอดพันธุ์ข้าวหอมมะลิแดง จากบ้านหนองสระ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรประคบร้อนเพื่อสุขภาพ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากอาการบาดเจ็บหรือจากความเครียดในการทำงาน เพียงอุ่นในไมโครเวฟ 1 นาที แล้วนำมาประคบที่บริเวณต้นคอ “ชุดสมุนไพรเพื่อสุขภาพ” จากชุมชนท่ามะโอ จังหวัดลำปาง ซึ่งในชุดประกอบด้วย สเปรย์สมุนไพรกระดูกไก่ดำ น้ำมันเหลืองไพลและขมิ้นชัน มีสรรพคุณแก้อาการฟกช้ำ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ น้ำมันเขียวย่านาง ใช้ถอนพิษร้อน บรรเทาอาการน้ำร้อนลวก แมลงสัตว์กัดต่อย และสเปรย์กันยุงสมุนไพรตะไคร้หอม “ชุดกาแฟแม่กำปอง” ผลิตจากเมล็ดกาแฟ ที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ จากชุมชนแม่กำปอง แหล่งผลิตกาแฟพันธุ์ อาราบิก้าชั้นดี ของจังหวัดเชียงใหม่และมีกาต้มน้ำร้อนพับได้สำหรับคอกาแฟบรรจุอยู่ในชุด “ชาชงสมุนไพรใบขลู่พร้อมสบู่และสครับเปลือกหอยนางรม” ที่ผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น สุดยอดภูมิปัญญาชุมชน ของบ้านโคกไคร จังหวัดพังงา โครงการกรุงไทยรักชุมชน เกิดจากวิสัยทัศน์ของธนาคารกรุงไทย ที่ต้องการมุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง โดยยึดหลักการพึ่งพาตนเอง และสามารถเติบโตไปพร้อมกับทุกภาคส่วนของสังคมได้อย่างยั่งยืน ทีม Marketing Strategy โทร 0-2208-4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37779
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 ปิดให้บริการชั่วคราว
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 ปิดให้บริการชั่วคราว กรมสรรพากรแจ้งปิดสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร กรมสรรพากรแจ้งปิดสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีสามารถทำธุรกรรมทางภาษี (TAX from Home) ได้ที่ www.rd.go.th หรือที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 1 นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน)ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพรร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาครในขณะนี้ กรมสรรพากรจึงได้มีคำสั่งปิดสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึง วันที่ 3 มกราคม 2564 เพื่อความปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ประกอบการ ผู้เสียภาษี และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีสามารถทำธุรกรรมทางภาษี (TAX from Home) ได้ที่ www.rd.go.th หรือใช้บริการที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 1 หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ที่สะดวกแทน ทั้งนี้ กรมสรรพากรจะดำเนินการตามมาตรการป้องกันไวรัส COVID - 19 และแนวทางปฏิบัติของกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขโดยเคร่งครัด” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยจากแพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ผู้เสียภาษีสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรได้ที่ www.rd.go.th” สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37785
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ำสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีย้ำสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข วันนี้ (21 ธ.ค. 63) เวลา 11.50 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2563 กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่าตนไม่เคยหยุดติดตามสถานการณ์ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อยืนยันว่ายังมีการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างครบถ้วน เนื่องจากมีผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการของสาธารณะสุข รวมทั้งการรับแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเกิดรูรั่ว ดังนั้น สังคมจึงต้องช่วยกัน โดยเฉพาะภาคเอกชน เจ้าของกิจการ จะต้องมีวิธีการติดตามแรงงาน และหากพบผู้ติดเชื้อจะต้องทำการปิดโรงงานทันที ยืนยันว่า สถานการณ์ขณะนี้ยัง สามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลสนาม รวมถึงยาฟาวิพิราเวียร์ สิ่งสำคัญ คือ ให้คนเหล่านี้เข้าสู่ระบบให้ได้เป็นลำดับแรก เพื่อตัวเองจะได้ปลอดภัย และไม่เป็นพาหะนำโรคให้ผู้อื่น ตอนนี้ได้มีการล็อกดาวน์พื้นที่ที่พบการแพร่ระบาดแล้ว และได้มีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีการ swab โดยรถตรวจพระราชทาน หวังว่า 7 วันหลังจากนี้ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี อย่าตื่นตระหนกขอให้มั่นใจในระบบสาธารณสุข พร้อมย้ำให้ประชาชนกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก และใช้แอพไทยชนะ ในการนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนายกอบจ. โดยเน้นว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นตัวอย่างในการใช้อำนาจตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ต้องเตรียมการพัฒนาบริหารท้องถิ่นให้ดี ทั้งวิธีการ การบริหาร การใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงการจัดทำแผนการทำงาน ให้สอดคล้องกับส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนการเลือกตั้งในระดับอื่นๆ ได้เตรียมความพร้อมตามลำดับต่อไป -----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020”
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ผู้ประกอบการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าฯ รับเสด็จ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ๒ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้นำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Culture Product of Thailand : CPOT) ไปจัดแสดงและจำหน่ายภายในงาน OTOP City 2020 ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ๑ - ๓ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1’ ออกประกาศกระทรวงฯ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้า-ออกพื้นที่เสี่ยงโควิด ในทุกกรณี
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 จับกัง 1’ ออกประกาศกระทรวงฯ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้า-ออกพื้นที่เสี่ยงโควิด ในทุกกรณี รมว.แรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้าไปหรือออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 พร้อมประสานผู้ว่าฯสั่งการสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ ลงพื้นที่ Check List แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ให้สามารถทำงานได้โดยปลอดเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกำหนด นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เรียกผู้บริหารระดับสูงสังกัดกระทรวงแรงงาน ประชุมเร่งด่วนกรณีการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยห่วงใยพี่น้องแรงงานต่างด้าว นายจ้าง/สถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว รวมทั้งประชาชนทุกกลุ่มจะได้รับผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ซึ่งถูกตรวจพบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นจำนวนมากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้ออกประกาศกระทรวงแรงงาน เพื่อขอความร่วมมือนายจ้าง/สถานประกอบการทุกแห่งดำเนินการ 2 เรื่อง คือ 1.ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณี ทั้งเข้าไปหรือออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและได้รับโทษตามมาตรา 51 แห่งพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และมาตรา 18 แห่งพรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 2.จัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค ได้แก่ วัดอุณหภูมิและสังเกตลักษณะอาการบ่งชี้ หากพบอาการผิดปกติต้องหยุดงานและแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อดำเนินการตามาตรการควบคุมโรคทันที จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์เพื่อใช้ในการล้างมือ หรือจัดสถานที่สำหรับล้างมือภายในสถานที่ทำงาน ณ บริเวณทางเข้า - ออก และห้องสุขา ควบคุมให้แรงงานต่างด้าวสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือขณะปฏิบัติงานรวมทั้งเว้นระยะห่างในการปฏิบัติงาน 1 – 2 เมตร ตลอดจนทำความสะอาดสิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้งานเป็นประจำ และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่แรงงานต่างด้าวให้ทราบวิธีการป้องกันโรคโควิด-19 เบื้องต้นด้วยตนเอง รวมทั้งการระงับการให้บริการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 จนถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 “ในส่วนของสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1- 10 ได้สั่งการให้ดำเนินตามมาตรการ ดังนี้ 1.สำรวจตรวจสอบ (Check List) แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการให้สามารถทำงานได้โดยไม่ให้มีการติดเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกำหนด 2.ตรวจสอบคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกายของประชาชนที่มารับบริการ หากพบมีอุณหภูมิร่างกายผิดปกติหรือพบลักษณะอาการผิดปกติอื่น ๆ ให้ผู้รับบริการนั้น ๆ รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง 3.จัดหาแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ หรือจัดสถานที่สำหรับล้างมือภายในสถานที่ทำงาน อาทิ บริเวณประตูเข้า-ออก โต๊ะทำงาน หรือห้องสุขา 4.เพิ่มความตระหนักให้กับบุคลากร เจ้าหน้าที่ และพนักงานทำความสะอาด โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันตนเอง การสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือขณะปฏิบัติงาน การทำความสะอาดสิ่งของที่ใช้งานบ่อย อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงาน รวมถึงดูแลให้ผู้ใช้บริการทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ใช้บริการ 5.ประชาสัมพันธ์วิธีป้องกันโรคโควิด-19 เบื้องต้นด้วยตนเองให้ประชาชนตลอดจนแรงงานต่างด้าวได้รับทราบ โดยกรมการจัดหางานได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์แนวทางดังกล่าว เป็น 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาลาว ภาษาเมียนมา ภาษากัมพูชา 6.หากเจ้าหน้าที่พบว่าตนเองมีอาการป่วย ให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน 7.ติดตามและตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันที่เว็บไซต์กรมควบคุมโรค “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37782
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีกลุ่มชาวบ้านบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 23 คน ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลก ผ่านสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่ปรึกษาของคณะกรรมการพิจารณาการขอขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกโลก (UNESCO) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาชุมชน ก่อนเดินหน้ายื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นผืนป่ามรดกโลก โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ประเด็น ได้แก่ ให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินให้กับชาวบ้าน ขอกลับไปทำไร่หมุนเวียน และชาวบ้านบางกลอยบางส่วน ต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับ มท. เพื่อกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมนั้น ปัจจุบัน การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้กับชาวบ้านบางกลอยเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ดำเนินการสำรวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เสร็จแล้ว โดยได้ส่งมอบแผนที่แสดงการสำรวจการครอบครองที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ให้ราษฎรบ้านโป่งลึก และบ้านบางกลอย นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อยู่ระหว่างการจัดทำอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดระเบียบปฏิบัติในการดำเนินการให้เป็นไปตาม มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยการจัดทำโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ โดยมิได้สิทธิในที่ดินนั้น เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ต่อไป กรณีราษฎรจะอาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาตินั้น จะต้องอยู่ภายในขอบเขตที่ดินของตนเองที่ผ่านการสำรวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์และอยู่ในหลักเกณฑ์ตาม มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2564 อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไม่สามารถอนุญาตในกรณีดังกล่าวได้ เนื่องจากขัดต่อพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และหากไม่มีการป้องกันและปล่อยให้พื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกทำลาย จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความสมบูรณ์ของแหล่งน้ำต้นแม่น้ำเพชรบุรี และแม่น้ำปราณบุรี ตลอดจนทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าต่อไป อนึ่ง สำหรับพื้นที่ที่ราษฎรบ้านบางกลอยอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ได้มีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานจัดทำแผนปฏิบัติการเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามพระราชดำริบ้านโป่งลึก – บางกลอย ในด้านต่างๆ ได้แก่ การส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน การส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา การส่งเสริมการสาธารณสุข การส่งเสริมอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ วิถีชีวิต ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นต้น โอกาสนี้ นางรวีวรรณภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านโป่งลึก – บางกลอย ได้รับการจัดสรรที่ดินครอบครัวละ 7 ไร่ 3 งาน (1,250 ตารางเมตร) จำนวน 57 แปลง รวมทั้งหมด 413.25 ไร่ ต่อมาได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 และคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 (ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2541 – วันที่ 17 มิถุนายน 2557) โดยรวมทั้ง 2 หมู่บ้าน คือ บ้านโป่งลึก – บางกลอย มีผู้ถือครองที่ดิน จำนวน 260 ราย 337 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1,890 ไร่ ในส่วนของราษฎรที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน ทส. อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ประเทศไทยตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ปัจจุบัน มีราษฎรจากบ้านบางกลอย 30 ราย และบ้านโป่งลึก 37 ราย มาทำการแจ้งการครอบครองที่ดินแล้ว ขณะที่ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย โฆษกกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันไม่มีการบุกรุกยึดถือครอบครองหรือตั้งที่อยู่อาศัยทำการเกษตรในบริเวณพื้นที่ใจแผ่นดินหรือบางกลอยบน พื้นที่มีสภาพเป็นป่าฟื้นตัว ราษฎรบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยได้รับการสำรวจที่ดินตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 64 ในส่วนของการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับการสำรวจแล้ว ให้กรรมการพิจาณาผลการสำรวจการครอบครองที่ดิน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและแก้ไขปัญหา โดยราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นประชากรครอบครัวขยาย ไม่สามารถขยายพื้นที่ทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ และควรใช้คณะกรรมการ คทช. เข้ามาดำเนินการจัดหาพื้นที่นอกเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อรองรับต่อไป ทั้งนี้ กรณีชาวบ้านบางกลอยบางส่วนต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิมและอ้างว่าเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทย นั้น ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดได้ประสานอำเภอแก่งกระจาน ทราบว่าหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและป่าสงวนแห่งชาติยางน้ำกลัดเหนือ ยางน้ำกลัดใต้ พื้นที่ดังกล่าว จึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยได้ ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37772
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 “พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้ “พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้ 21 ธันวาคม 2563 “โฆษกกระทรวงพาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอกับความต้องการ ขอความร่วมมือประชาชนอย่าซื้อกักตุน ให้ซื้อเพียงพอกับที่ต้องใช้ หลังมีการระบาดของโควิด-19 ในบางจังหวัด เผยผู้ผลิตพร้อมป้อนสินค้าเต็มที่ ระบบขนส่งยังเป็นปกติ และมีการส่งทีมตรวจสอบติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนหน้ากากอนามัย ก็มีเพียงพอ ย้ำหากพบการกักตุน ขายแพง แจ้งสายด่วน 1569 จะจัดการตามกฎหมายทันที นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ขอแจ้งข่าวไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกกับข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในบางจังหวัด และบางพื้นที่ แต่ขอให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง อย่าเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง และขอชี้แจงว่าสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอกับความต้องการ หากไม่มีการกักตุนหรือนำออกไปใช้นอกระบบ เพราะผู้ผลิตยังสามารถผลิตได้ ไม่มีปัญหาติดขัดอะไร และยังมีการเร่งผลิตสินค้าเพื่อป้อนความต้องการอย่างเต็มที่ ขณะที่ภาคการขนส่งก็ไม่มีปัญหา แม้จะมีการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ แต่ก็ยังขนส่งได้เป็นปกติ “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าสินค้ามีเพียงพอกับความต้องการ ผู้ผลิตก็มีการผลิตเต็มที่ การขนส่งก็ไม่มีปัญหา จึงไม่ควรซื้อกักตุน เพราะจะยิ่งเป็นการสร้างความตื่นตระหนก และในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบสถานการณ์สินค้า และราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด หากพบพื้นที่ไหน มีปัญหา ก็จะเร่งประสาน นำสินค้าเข้าพื้นที่ต่อไป” นอกจากนี้ ในส่วนของหน้ากากอนามัย ได้รับการยืนยันจากผู้ผลิตว่าสินค้ามีเพียงพอกับ ความต้องการ เพราะก่อนหน้านี้ มีการผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง มีสต็อกคงเหลืออยู่ และยังมีการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนเบาใจได้ แต่หากมีการพบเห็นการขายแพง กักตุน หรือเอารัดเอาเปรียบ ขอให้แจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายทันที นายสุพพัตกล่าวว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กำชับพาณิชย์จังหวัดและค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ ให้ติดตามสถานการณ์ความต้องการสินค้าป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสินค้าหน้ากากอนามัยที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น และต้องมีราคาจำหน่ายให้เป็นไปตามประกาศของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้รวมถึงหน้ากากนำเข้า และหน้ากากที่มีคุณภาพสูงด้วย รวมถึงให้ดูแลอย่าให้เกิดการกักตุนสินค้า หรือฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาขายปลีก จนประชาชนเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดกรมการค้าภายในได้เชิญผู้ผลิต หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแพลตฟอร์มออนไลน์ มาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การผลิตและจำหน่ายหน้ากากอนามัยแล้ว โดยยืนยันว่ากำลังการผลิตมีเพียงพอกับความต้องการ มีโรงงานผลิตรวม 30 โรง ผลิตได้วันละ 5 ล้านชิ้น และได้ยืนยันราคาจำหน่ายสำหรับหน้ากากที่ผลิตในประเทศไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ส่วนหน้ากากนำเข้าให้จำหน่ายได้ตามโครงสร้างราคา ที่กำหนดไว้เดิม และในส่วนของแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้ช่วยตรวจสอบและดูแลการจำหน่าย อย่าให้มีการปรับขึ้นราคาเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ หากมีการขายเกินราคาควบคุม มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีกักตุน หรือค้ากำไรเกินควร มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ำการให้ "โอกาส" จากสังคม
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ำการให้ "โอกาส" จากสังคม กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ำการให้ "โอกาส" จากสังคม ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น ๘ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษในกิจกรรม ก้าวสู่ ๑๐ ปี ข้อกำหนดกรุงเทพ : ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือทางสังคม "Towards the 10th Year of the Bangkok Rules : Enhancing the Power of Social Partnership" ภายใต้แนวคิด "ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว" โดยมี นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและนำเสนอนวัตกรรมทางความคิด พร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ำการให้ "โอกาส" จากสังคมคือสิ่งสำคัญที่สุด และเปิดมิติใหม่แห่งการฝึกอาชีพให้ผู้ก้าวพลาดปรับตัวสู่โลกดิจิทัล สามารถก้าวทันโลกยุคปัจจุบัน พร้อมประกอบอาชีพเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า วันนี้เราเห็นได้ชัดเจนว่า การรับรองข้อกำหนดกรุงเทพยกระดับความสำคัญเรื่องการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกไปอีกขั้นหนึ่ง สำหรับประเทศไทยนั้น ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา งานราชทัณฑ์ของเราได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้ต้องขังหญิงและผู้ต้องขังชายมากยิ่ง ทั้งนี้ ในแง่นโยบายได้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ ในปี ๒๕๖๐ ให้ทันสมัยและสอดรับกับความต้องการเฉพาะของผู้ต้องขังหญิงมากขึ้น และได้มีการนำข้อกำหนดกรุงเทพมาปรับใช้เป็นแนวปฏิบัติของราชทัณฑ์ ตลอดจนการกำหนดตัวชี้วัดเรือนจำที่อ้างอิงตามแนวทางของข้อกำหนดกรุงเทพ เพื่อพัฒนาการบริหารเรือนจำและคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ถือเป็นการครบรอบ ๑๐ ปี การรับรองข้อกำหนดกรุงเทพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและผู้กระทำผิดหญิง ให้มีความเหมาะสมด้านเพศสภาพมากยิ่งขึ้น ตรงตามความต้องการเฉพาะด้านสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิง และของเด็กติดผู้ต้องขัง ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) หน่วยงานภายใต้กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ มีส่วนสำคัญในการร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม-ผู้เข้าชม ผู้ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม-ผู้เข้าชม ผู้ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะทำงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนกรมต่างๆ เข้าร่วมว่า ที่ประชุมได้หารือมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) หลังจากคณะกรรมการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชน งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก เช่น งานเทศกาลปีใหม่ กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี และงานรื่นเริงต่าง ๆ แต่หากจะจัดงานต้องเสนอแผนควบคุมโรคเพื่อขออนุญาตกับสำนักอนามัย กทม.เพื่อพิจารณาก่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะทำงานฯ ได้รับรายงานจากหน่วยงานในสังกัดวธ. ที่มีการเตรียมการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก ได้แก่ กรมการศาสนา เตรียมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ.2564 วันที่ 31 ธ.ค.2563 - 1 ม.ค.2564 ณ ท้องสนามหลวง และกิจกรรมมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน เช่น กิจกรรมไหว้พระ10วัด เสริมสิริมงคลรับปีใหม่ในกรุงเทพฯ วันที่1 - 2ม.ค.2564ซึ่งจะต้องรอผลการพิจารณาของที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้รายงานถึงกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.2563 - ม.ค.2564 ภายในหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และพื้นที่ของสวธ. ซึ่งมีทั้งกิจกรรมคอนเสิร์ตและกิจกรรมอื่นๆ ที่กำลังจะจัดขึ้น และกิจกรรมที่ขอเลื่อนออกไปก่อน โดยสวธ.ได้กำชับผู้จัดกิจกรรมให้จัดที่นั่งเว้นระยะห่างและคัดกรองตรวจวัดไข้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันกรมศิลปากรแจ้งมาตรการดูแลผู้เข้าชมแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ มีการวัดไข้ก่อนเข้าชม/ใช้บริการ จำกัดจำนวนผู้เข้าชม/ผู้ใช้บริการ งดให้เข้าชมเป็นหมู่คณะโดยจะดำเนินการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ทุกหน่วยงานของวธ. ดูแลข้าราชการที่มีภูมิลำเนาหรือประวัติความเสี่ยงในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการทำงานที่บ้าน (work from home)รวมทั้งให้สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37783
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน“เฉลิมฉลอง 112ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5ช่วยอนุรักษ์โบราณสถาน-สืบทอดประวัติศาสตร์สู่คนรุ่นใหม่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรและประเทศ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ณ สวนสาธารณะโบราณสถานลายพระหัตถ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน“เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี 2563”โดยมีนายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ดร.บังอร วิลาวัลย์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี ปทุมธานี ราชบุรี ชลบุรี ผู้บริหารสถานศึกษา และชาวอำเภอศรีมหาโพธิเข้าร่วม งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เกิดจิตสำนึก มีความตระหนัก และเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ วัฒนธรรม ประเพณีอันทรงคุณค่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่เป็นมรดกที่ล้ำค่าของชาติไทยต่อไป ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานพิธีเปิดงานงาน“เฉลิมฉลอง 112ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี2563”โดยมีนายวรพันธุ์สุวัณณุสส์ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ดร.บังอร วิลาวัลย์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรีผู้บริหารสถานศึกษา และชาวอำเภอศรีมหาโพธิเข้าร่วม งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5และเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เกิดจิตสำนึก มีความตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์โบราณสถานโบราณวัตถุวัฒนธรรมประเพณีอันทรงคุณค่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่เป็นมรดกที่ล้ำค่าของชาติไทยต่อไป ปลัด วธ. กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานครั้งนี้ รู้สึกภาคภูมิใจแทนพี่น้องชาวอำเภอศรีมหาโพธิและชาวจังหวัดปราจีนบุรีเป็นอย่างมากที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารับเสด็จล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ณ บริเวณสถานที่แห่งนี้ การเสด็จประพาสหัวเมืองในแต่ละครั้งพระองค์จะทรงบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ได้ทอดพระเนตรไว้อย่างละเอียดเป็นจำนวนมากนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งที่เราควรจะศึกษาเรียนรู้เพื่อจะได้ทราบถึงความเป็นมาต่าง ๆ ในอดีต “สำหรับชาวอำเภอศรีมหาโพธินั้นต้องถือว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่นอกจากพระองค์ท่านจะได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนทอดพระเนตรความเป็นอยู่วิถีชีวิตและทุกข์สุขของราษฎรแล้วยังได้พระราชทานลายพระหัตถ์ไว้เป็นสิริมงคลอย่างสูงยิ่งต่อบ้านเมืองอีกด้วย ขอขอบคุณชาวปราจีนบุรี พี่น้องประชาชนชาวอำเภอศรีมหาโพธิและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานเฉลิมฉลอง 112 ปีลายพระหัตถ์ขึ้นมาในวันนี้ถือเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อพระองค์ท่านและเป็นการช่วยกันอนุรักษ์โบราณสถานแห่งนี้ไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรและประเทศตลอดมา”ปลัดวธ. กล่าว ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่17-18 ธันวาคมมีการจัดกิจกรรม อาทิ พิธีบวงสรวงถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5พิธีเจริญพระพุทธมนต์เย็น กิจกรรมส่งเสริมทางวิชาการ นิทรรศการพระราชกรณียกิจของ รัชกาลที่ 5พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันและการตอบปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ และการจำลองวัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิต จำหน่ายสินค้าพื้นบ้านเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและนำเสนอชุมชนคุณธรรม เดินขบวนพาเหรดแต่งกายย้อนยุคการแสดงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำพุมดวง สุราษฎร์ธานี
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำพุมดวง สุราษฎร์ธานี กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำพุมดวง สุราษฎร์ธานี วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีสื่อนำเสนอข่าวกรณีเครือข่ายคนรักพุมดวง จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งข้อสังเกตการก่อสร้างโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำพุมดวง ที่ใช้งบประมาณการก่อสร้างเกือบ 500 ล้านบาท นั้นว่า เนื่องจากคลองพุมดวงไม่ได้เป็นแม่น้ำสายหลักจึงไม่เข้าข่ายตามประเภทโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่กรมชลประทานได้เล็งเห็นถึงความสำคัญถึงวิถีชีวิตของประชาชนที่ใช้ทรัพยากรสองฝั่งคลองในการประกอบอาชีพ จึงได้ดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการศึกษาความเหมาะสม หากผ่านขั้นตอนการศึกษาแล้ว จะดำเนินการด้านการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการฯ และจะลงพื้นที่เพื่อทำประชาพิจารณ์ร่วมกับประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ต่อไป โดยอาคารทดน้ำแบบฝายพับได้ ได้มีการคำนวณสมดุลน้ำอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ด้านท้ายน้ำไว้ ซึ่งไม่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาสมดุลน้ำ ได้ปล่อยน้ำให้ล้นผ่านสันฝายสู่ด้านท้ายน้ำ เพื่อรักษาระบบนิเวศด้านท้ายน้ำ เช่น การป้องกันการรุกล้ำน้ำเค็ม การประปาภูมิภาค การประปาของท้องถิ่น รวมทั้งความต้องการน้ำเพื่อรักษาคุณภาพน้ำของการประมงด้วย โดยจะไม่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศในลำน้ำอย่างแน่นอน กรมชลประทาน ในฐานะของหน่วยงานที่มีภารกิจในการพัฒนาแหล่งน้ำ และเพิ่มพื้นที่ชลประทานตามศักยภาพลักษณะลุ่มน้ำ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาแหล่งน้ำ และการบริหารจัดการน้ำ ขอยืนยันว่าการดำเนินงานพัฒนาแหล่งน้ำทุกโครงการ จะยึดประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นข้อวิจารณ์โครงการคนละครึ่งว่า จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นและรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ เพื่อรักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ซึ่งประกอบด้วย (1) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14 ล้านคน เพื่อช่วยเหลือเยียวยา เพิ่มกำลังซื้อ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มดังกล่าว เพิ่มเติมเดือนละ 500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน จากเดิมที่ภาครัฐได้ช่วยเหลืออยู่แล้วประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เช่น วงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า 200/300 บาท/คน/เดือน วงเงินค่ารถ บขส. 500 บาท/คน/เดือน วงเงินค่ารถไฟ 500 บาท/คน/เดือน เป็นต้น (2) โครงการคนละครึ่ง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 15 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย มีรายได้จากการขายสินค้า โดยขณะนี้ มีผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการประมาณ 1 ล้านร้านค้า โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - มีนาคม 2564 (3) มาตรการช้อปดีมีคืน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี โดยผู้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้มีประมาณ 3.7 ล้านคน ทั้งนี้ รัฐบาลมีความต้องการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม ซึ่งนอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังได้มีการดูแลประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ผ่านมาตรการและสวัสดิการอื่น ๆ ของรัฐ ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินมาตรการหรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล มาจากแหล่งรายได้ของรัฐ รวมทั้งเงินกู้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามปกติ ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนนั้น เนื่องจากเป็นการร่วมจ่าย กลุ่มเป้าหมายจึงเป็นผู้ที่พอจะมีรายได้เพื่อมาร่วมจ่ายกับรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย รวมไปถึงผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยรักษารักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง โครงการคนละครึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญของโครงการ คือ ระบบการใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่ต้องมีการลงทะเบียนและใช้ OTP รวมทั้งยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์จริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้ให้มั่นใจว่าสิทธิจะไปถึงตัวของท่านจริง ไม่มีผู้อื่นมาใช้สิทธิแทน และมีการใช้จ่ายจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนจนถึงระดับฐานราก ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society ไปพร้อม ๆ กัน ในขณะเดียวกันยังเป็นการลดการใช้เงินสด ทำให้การดำเนินโครงการโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยขอยืนยันว่า ระบบการลงทะเบียนและการยืนยันตัวตนของโครงการคนละครึ่ง ซึ่งรวมถึงระบบการส่ง OTP เป็นระบบที่เป็นมาตรฐานสากล โปร่งใส และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนำร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนำร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนำร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ วันนี้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมเปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา และเปิดโครงการนำร่องท่าเรืออัจฉริยะ (SmartPier) ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท เพื่อการยกระดับการขนส่งสาธารณะของประเทศ และตรวจสอบความพร้อม ของการนำเรือโดยสารไฟฟ้ามาเริ่มให้บริการระบบการขนส่งโดยสารทางน้ำในแม่น้าเจ้าพระยา โดย นายกฯ จะนั่งเรือไฟฟ้า E-Smart Ferry จากท่าเรือ แคท ทาวเวอร์ ไปยังท่าเรือสะพานพุทธ เพื่อทดสอบระบบหลังจากนั้นจะเปิดท่าเทียบเรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า และเยี่ยมชมโครงการนำร่องในการพัฒนา ท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ เครื่องจำหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติ ป้ายอัจฉริยะแจ้งเวลาเรือเข้าเทียบท่า ระบบโซล่าเซลล์ไฟส่องสว่างภายนอกอาคาร ฯลฯ ทั้งนี้ การพัฒนาเรือไฟฟ้าฯ และท่าเรืออัจฉริยะฯ ดังกล่าว นับเป็นความสำเร็จในความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยกรมเจ้าท่า และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้นำยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ปี พ.ศ.2563 มาเริ่มให้บริการในระบบการขนส่งผู้โดยสารทางน้ำ พร้อมพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางน้ำ ให้เป็นไปตามเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs ) อันเป็นการยกระดับเรือโดยสารและท่าเรือให้ทันสมัย สะดวกปลอดภัย ไร้มลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37768
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีฉลองการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 พิธีฉลองการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีฉลองผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย ณ สนามทดสอบรถยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จ.ชลบุรี วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีฉลองผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย พร้อมทดลองขับมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดยมีนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย ณ สนามทดสอบรถยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จ.ชลบุรี สำหรับรถยนต์ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ถูกผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส แหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์พีเอชอีวี ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น นอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ เอาท์ แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมิตซูบิชิ และแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการตอบรับต่อนโยบายของรัฐที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า สร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมควบคู่ไปกับการลดการสร้างภาระให้แก่สิ่งแวดล้อม เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้นในอนาคตและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้เน้นย้ำเรื่องโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG Model อันจะช่วยนำพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อีกทั้งให้ความสำคัญเรื่องรถยนต์ประหยัดพลังงาน (Eco Car) และการปรับเปลี่ยนสู่ฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยตั้งเป้าเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถึง 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ กระตุ้นความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของตลาดภายในประเทศ และเตรียมพร้อมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37792
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3 วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ดำเนินการทดสอบโดยสถาบันทดสอบ ทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจสอบความรู้ และความคิดรวบยอดของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้น ซึ่งได้แก่ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ที่สะท้อนคุณภาพของผู้เรียนในภาพรวมของประเทศ ซึ่งผู้เรียนที่เป็น กลุ่มเป้าหมายในการทดสอบคือ ผู้เรียนที่มาจากสถานศึกษาในสังกัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักการศึกษาเมืองพัทยา และ การจัดการศึกษาโดยครอบครัว (Homeschool) ต่อมา เพื่อให้บุคลากรในทุกระดับของหน่วยงานเห็นความสำคัญของการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รวมทั้งส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ นำผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐาน (O-NET) ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้กำหนดให้ใช้ผลการทดสอบ O-NET เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน ที่จบการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 โดยกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำประกาศกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2555 กำหนดให้ใช้ผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐานในสัดส่วน 80 : 20 ประกาศ ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2559 กำหนดให้ใช้สัดส่วนผลการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน 70 : 30 ประกาศ ณ วันที่ 29 มกราคม 2559 ทั้งนี้ เพื่อ ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา และ สพฐ. วิเคราะห์ผลการทดสอบ O-NET ในปีการศึกษาที่ผ่านมา เพื่อวางแผนงานโครงการยกระดับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติที่สอดคล้อง กับสภาพปัญหาและสภาพบริบทของหน่วยงาน -----------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37774
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยความคืบหน้าการค้นหาผู้ติดเชื้อกรณี จ.สมุทรสาคร
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สธ.เผยความคืบหน้าการค้นหาผู้ติดเชื้อกรณี จ.สมุทรสาคร กระทรวงสาธารณสุข เผยการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ยอดสะสม 821 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เร่งคัดกรองเพิ่ม เป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10,300 ราย ระบบเฝ้าระวังเชิงรุกกำลังทำงานอย่างเข้มแข็งทุกพื้นที่ ทำให้ตรวจจับได้เร็ว ย้ำประชาชนสวมหน้ากาก 100 กระทรวงสาธารณสุข เผยการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ยอดสะสม 821 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เร่งคัดกรองเพิ่ม เป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10,300 ราย ระบบเฝ้าระวังเชิงรุกกำลังทำงานอย่างเข้มแข็งทุกพื้นที่ ทำให้ตรวจจับได้เร็ว ย้ำประชาชนสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด ผู้ที่มีประวัติไปตลาดกลางกุ้งขอคำแนะนำได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) และนายแพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการติดเชื้อโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ จำนวน 382 ราย เป็นการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าวจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 360 ราย ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 14 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกัน 8 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 12 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 5,289 ราย รักษาหายรวม 4,053 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,176 ราย เสียชีวิตรวม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศและเข้ากักกัน 8 รายได้แก่ สหรัฐอเมริกา 3 ราย สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยูเครน คูเวต และซูดาน ประเทศละ 1 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษา ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ มีเพียง 1 รายติดเชื้อมีอาการไข้ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 14 รายในจำนวนนี้12 รายมีประวัติเชื่อมโยงกับตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาครแบ่งเป็นชายไทย 5 ราย หญิงไทย 6 ราย และชายลาว 1 ราย ตรวจหาเชื้อช่วงวันที่ 18-19 ธ.ค. ผลพบเชื้อมีอาการ 8 ราย ได้แก่ เจ็บคอ ไอ น้ำมูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และไข้ ไม่มีอาการ 4 รายส่วนอีก 2 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 29 ปีช่างเสริมสวยที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจหาเชื้อวันที่ 18 ธ.ค. ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ รักษารพ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา และหญิงเมียนมาอายุ 42 ปีอาชีพพนักงานห้าง อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและประวัติเสี่ยง ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารักษา รพ.แม่สอด จ.ตาก สำหรับการติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว 360 รายมากกว่าร้อยละ 90 ไม่มีอาการ และรอผลการตรวจอีก 2,600 กว่าราย นอกจากนี้ จะมีการตรวจเชิงรุกเพิ่มอีก 10,300 ราย ผลการตรวจจะทยอยออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ การติดเชื้อยังคงสูงอยู่ที่บริเวณตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร อัตราติดเชื้อประมาณร้อยละ 42 วงรอบนอกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 ส่วนการปิดหอพักเพื่อไม่ให้แรงงานเมียนมานำเชื้อออกมานั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ติดเชื้อไม่มีอาการ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ ภาครัฐจะจัดส่งอาหารและน้ำดูแล หากมีอาการจะส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ใกล้ หอพักประมาณ 100 เตียง ส่วนผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้ออยู่แล้ว จึงให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับประเทศสิงคโปร์ นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สำหรับลูกค้าประจำตลาดกลางกุ้ง 1,000 กว่าราย ได้มีการติดตามทุกคน ส่วนผู้ที่เคยไปตลาดกุ้งตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ขอให้แสดงตัวและไปรับการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน สำหรับการขนส่งสินค้าออกมาจาก จ.สมุทรสาคร ขอให้บริษัทขนส่งเข้มกระบวนการขนส่งทุกขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องของภาชนะต่าง ๆ ต้องสะอาด เนื่องจากการติดเชื้อมีโอกาสเกิดขึ้นจากการสัมผัส การรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร้อน ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ทั้งนี้ ภาครัฐจะมีการตรวจสอบรถและพนักงานขับรถอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนและเตรียมหลักเกณฑ์ในการล็อกดาวน์พื้นที่ตามความเหมาะสม เน้นย้ำการสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ สวมตลอดเวลาเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ และขอให้ช่วยแนะนำคนรอบข้างให้สวมหน้ากากด้วยความหวังดีและความห่วงใยในสุขภาพ สำหรับสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรวม 77,166,774 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 546,756 ราย เสียชีวิต 1,699,497 ราย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 18,267,579 ราย อินเดีย 10,056,248 ราย บราซิล 7,238,600 ราย รัสเซีย 2,848,377 ราย ฝรั่งเศส 2,473,354 ราย ด้านนายแพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กล่าวว่า ความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร ณ 21 ธันวาคม 2563 ผู้ป่วยสะสมขณะนี้อยู่ที่ 821 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่มาตรวจในโรงพยาบาลและติดตามผู้สัมผัส 33 ราย และการค้นหาในชุมชนส่งตรวจทั้งหมด 4,688 ราย ผลออกแล้ว 1,861 ราย ให้ผลบวกสะสม 788 ราย จากแผนที่การระบาด และการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นค่อนข้างแน่ชัดว่าจุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง ซึ่งเป็นตลาดกุ้งเลี้ยง ไม่ใช่อาหารทะเลทั้งหมด หลังจากนั้นการระบาดเป็นวงเฉพาะในกลุ่มแรงงานเมียนมา และพบบางรายในบางจังหวัดที่มีความเชื่อมโยงกับแรงงานเมียนมา โดยขณะนี้ฝ่ายปกครองได้ล็อกดาวน์จุดที่พบผู้ติดเชื้อมากคือพื้นที่ตลาดกลางกุ้งและหอพัก ไม่ให้มีการเข้าออกแล้ว สมมุติฐานเรื่องสาเหตุของการระบาดในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า น่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากแรงงานเมียนมา เพราะจากการค้นหาตรวจเชิงรุกพบว่าการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 90 เป็นแรงงานเมียนมา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า น่าจะมีการเคลื่อนย้ายของแรงงานเมียนมาเข้ามาจากต่างประเทศในช่วงก่อนการระบาด และนำเข้ามาแพร่สู่ชุมชนเมียนมาที่มีอยู่เดิมแล้วในพื้นที่สมุทรสาคร อย่างไรก็ตามเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานดังกล่าว จะได้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพิ่มเติมเพื่อดูรหัสพันธุกรรมว่ามีความเชื่อมโยงกับที่ไหน หรือกรณีใดบ้างต่อไป ส่วนสาเหตุที่ทำให้มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในกลุ่มแรงงานเมียนมานั้นค่อนข้างชัดเจนว่าเกิดจากการอยู่กันอย่างแออัดในที่พักอาศัย และมีการติดต่อใกล้ชิดกันจากชีวิตประจำวัน โดยไม่มีมาตรการป้องกันตนเอง เช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือ นายแพทย์วิชาญกล่าวต่อว่า จากการค้นหา ขีดวง เฝ้าระวัง ค้นหากลุ่มเสี่ยงทั้งหมดโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว ทั้งใน จ.สมุทรสาคร และชุมชนแรงงานต่างด้าวในจังหวัดอื่น จะทำให้พบรายงานผู้ป่วยที่มีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น และอาจมีข่าวพบผู้ติดเชื้อในหลายจังหวัด ซึ่งตามหลักระบาดวิทยาถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ว่าระบบเฝ้าระวังโรคของเราในทุกพื้นที่ ระบบเฝ้าระวังเชิงรุก และเจ้าหน้าที่กำลังทำงานกันอย่างเข้มแข็ง ทำให้ตรวจจับได้เร็ว ขอให้ประชาชนอย่าตระหนก แต่ให้ตระหนักในการป้องกันตนเอง มาตรการสำคัญที่จะต้องขอความร่วมมือจากประชาชน คือ สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด และสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์ ยกการ์ดให้สูง เพื่อไม่ให้ขยายการระบาดเป็นวงกว้าง ประชาชน จ.สมุทรสาคร และคนที่ออกมาจากจ.สมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ให้สังเกตอาการตนเอง หากสงสัยให้โทรปรึกษา สายด่วนของจังหวัดหรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงคือ มีประวัติไปตลาดกลางกุ้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือเคยสัมผัสกับผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงและไม่สบายด้วย สามารถเดินทางไปเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ที่โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน โดยแพทย์จะประเมินความเสี่ยงและพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้วแต่กรณี “ขอให้ประชาชนตั้งสติ อย่าเชื่อข่าวปลอม อย่าส่งต่อ ให้ติดตามข้อมูลจากทางการ และดูว่าตัวเองเป็นผู้สัมผัสกลุ่มไหน เสี่ยงสูงหรือไม่ และปฏิบัติตามข้อแนะนำอย่างเคร่งครัด หากเสี่ยงสูงไปรับการตรวจ เสี่ยงปานกลางปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อประเมินอาการ เสี่ยงต่ำสังเกตอาการตัวเอง 14 วัน และทุกกลุ่มต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกการ์ด100% ใช้ชีวิตแบบ New normal ใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ ใช้ช้อนตัวเอง งดอยู่ในพื้นที่แออัด ผู้ประกอบการต้องมีการคัดกรอง และบังคับสแกน ไทยชนะ ทุกคน เพื่อช่วยติดตามตัว นอกจากนี้ โรงพยาบาลต้องเป็นสถานที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซนต์ ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน ขอให้เข้มมาตรการตามข้อสั่งการ การ์ดอย่าตก” นายแพทย์วิชาญกล่าว ******************************** 21 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 ก.อุตฯ เลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม กระทรวงอุตสาหกรรมเลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน วันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม นั้น เนื่องด้วย ปัจจุบันมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง และมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงกรุงเทพมหานคร โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก ตามที่ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณชนไปแล้ว ประกอบกับ กรุงเทพมหานครได้ขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชน งดจัดกิจกรรม ที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก คณะกรรมการจัดงานฯ และผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแล้วเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับมาตรการป้องกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน วันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปและจะกำหนดวันจัดงานอีกครั้งเมื่อสถานการณ์จะมีความเหมาะสมแล้ว -----------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37793
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทินฯ เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทินฯ เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ วันนี้ (21 ธ.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยภายหลังการเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาครและมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการไปแล้ว โดยการตรวจหาผู้ติดเชื้อในตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครซึ่งเป็นที่พำนักอาศัยของแรงงานต่างด้าวจำนวนมากซึ่งขณะนี้พบว่ามีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 42 ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการและอยู่ระหว่างการกักตัวภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตามจะมีการรายงานสถานการณ์ประจำวันอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่ใช่การระบาดในวงกว้าง เพราะสามารถสอบสวนโรคหาที่มาของแหล่งการแพร่ระบาดได้ จึงไม่จำเป็นต้องล็อคดาวน์ทุกจังหวัด ทั้งนี้ กระทรวงสาธาณสุขเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร เพื่อให้การรักษาผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น จำนวน 100 เตียง แต่หากผู้ใดมีอาการรุนแรงก็จะทำการนำส่งโรงพยาบาลตามหลักความปลอดภัย พร้อมย้ำให้ทุกพื้นที่มีการตรวจคัดกรองเบื้องต้น โดยมีการวัดไข้ สวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือ และฝากถึงผู้ประกอบการ อาทิ ไซต์งานก่อสร้างให้ช่วยกันดูแลลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวด้วย ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่พี่น้องประชาชน จัดหาเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ ทำการตรวจคัดกรองโรคให้ได้มากที่สุด และปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดรับกับสถานการณ์ ขณะนี้ได้มีการตรวจคัดกรองในพื้นที่ชุมชนที่มีการระบาดมาก และจะทำการตรวจคัดกรองเพิ่มเติมในชุมชนใกล้เคียงกับจังหวัดสมุทรสาคร โดยส่วนใหญ่พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 บริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร จึงจำเป็นต้องป้องกันการเดินทางเข้า-ออกจังหวัดของแรงงานต่างด้าว ตามหลักการควบคุมโรค ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สามารถออกมาตรการเพื่อกำกับดูแลในพื้นที่ได้ทันทีไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้จะมีการหารือถึง พ.ร.บ. ควบคุมโรคติดต่อฉบับแก้ไข ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้สามารถใช้ พ.ร.บ. ควบคุมโรคติดต่อที่มีความเข้มข้นมากขึ้นแทน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง รองนายกรัฐมนตรีตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการจัดงานเทศกาลปีใหม่ว่าต้องประเมินสถานการณ์ประจำวัน ในส่วนของงานแต่งงาน งานบวช หากไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการสั่งห้ามก็สามารถจัดได้ แต่ต้องยกระดับมาตรการป้องกัน พร้อมกล้าวว่า ไม่ได้ห้ามการเดินทางของประชาชน แต่ขอความร่วมมือให้สวมใส่หน้ากากอนามัยเสมอ เว้นระยะห่าง ระมัดระวังในการสัมผัส และหากพบว่าตนเองมีอาการป่วย ให้รีบเข้ารับการตรวจก่อนเดินทาง ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีวอนประชาชนทุกคนให้กำลังใจ สนับสนุน การทำงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยรองนายกรัฐมนตรีเผยว่าตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมเวชภัณฑ์อย่างเพียงพอ อาทิ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ยา อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ โดยยืนยันว่าไม่ขาดแคลน และยังไม่มีการขอรับบริจาคอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยองค์การเภสัชกรรมได้จัดเตรียมหน้ากากอนามัยไว้ 50 ล้านแผ่นให้แก่ประชาชนด้วย ........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการการเฝ้าระวัง COVID-19 ระลอกใหม่ ของ #สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 มาตรการการเฝ้าระวัง COVID-19 ระลอกใหม่ ของ #สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มาตรการการเฝ้าระวัง COVID-19 ระลอกใหม่ ของ #สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลดเงินสมทบ เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนรับปีใหม่
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 ลดเงินสมทบ เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนรับปีใหม่ วันจันทร์ที่ 28 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากเดิมแต่ละฝ่ายต้องนำส่งเงินสมทบร้อยละ 5 ให้เหลือเพียงร้อยละ 3 ของค่าจ้าง เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2564 คาดว่าจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของนายจ้างและผู้ประกันตนเป็นเงินรวมกว่า 15,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังให้เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนในกรณีสงเคราะห์บุตร จากเดิม 600 เป็น 800 บาทต่อเดือนต่อคน ส่วนกรณีคลอดบุตรจากเดิม 13,000 บาท เพิ่มเป็น 15,000 บาท ค่าฝากครรภ์ จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท เพิ่มเป็น 5 ครั้ง 1,500 บาท เพื่อสร้างหลักประกันให้ผู้ประกันตนทุกคน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ส่งสุขเทศกาลปีใหม่ 2564 ถึงพี่น้องเกษตรกรและประชาชน หนุนนโยบาย มีกิน มีใช้ มีรายได้พอเพียง
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ ส่งสุขเทศกาลปีใหม่ 2564 ถึงพี่น้องเกษตรกรและประชาชน หนุนนโยบาย มีกิน มีใช้ มีรายได้พอเพียง กระทรวงเกษตรฯ ส่งสุขเทศกาลปีใหม่ 2564 ถึงพี่น้องเกษตรกรและประชาชน หนุนนโยบาย มีกิน มีใช้ มีรายได้พอเพียง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เพื่อส่งมอบความสุขให้เป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ 2564 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มีนโยบายจัดกิจกรรมขึ้น 2 กิจกรรม เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้เพิ่ม และลดรายจ่ายครัวเรือน ให้กับเกษตรกรและประชาชน ในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมถึงเพื่อส่งมอบความสุขให้กับเกษตรกรและประชาชน จากการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรที่สวยงาม พร้อมกับได้รับความรู้ทางด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรและประชาชน สำหรับกิจกรรมที่ 1 เป็นการมอบของขวัญเกษตรกรไทย มีกิน มีใช้มีรายได้พอเพียง โดยจัดทำโครงการ เพิ่มเติมการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เป็นของขวัญให้แก่เกษตรกร และประชาชน เช่น สำนักงานชลประทานที่ 17 ส่งมอบโครงการชลประทานขนาดเล็ก และเพิ่มประสิทธิภาพกักเก็บน้ำและการระบายน้ำบ้านบึงฉลาม โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางนรา อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และดำเนินการปรับปรุงคัน คลอง 29 จุด จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการทางเทคนิคและการบริหารธุรกิจ และสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และครุภัณฑ์ให้กับศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน จำนวน 394 ศูนย์ จัดเวทีเชื่อมโยงเครือข่าย พร้อมทั้งพัฒนา Platform และ Application ในการให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ย และการใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจ รวมถึงเปิดตัวโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก “ช็อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน” และรณรงค์ ให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยผ่านระบบออนไลน์ต่าง ๆ นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดหาสินค้าดีมีคุณภาพเพื่อจำหน่ายให้แก่ประชาชน และเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรให้แก่เกษตรกร จำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ จากสินค้าคุณภาพราคาพิเศษ จากเกษตรกร และกลุ่มเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน อาทิ ผลไม้สด ผลไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์จากข้าว เป็นต้น ณ จุดจำหน่ายของหน่วยงานและตลาดออนไลน์ ในส่วนของกิจกรรมที่ 2 เพิ่มสุขปีใหม่ เที่ยวทั่วไทย สุขใจไปกับกระทรวงเกษตรฯ ประกอบด้วย 3 กิจกรรมย่อย 1) เปิดสถานที่ราชการ ปรับภูมิทัศน์รองรับนักท่องเที่ยว เช่น ศูนย์วิจัยข้าวแม่ฮ่องสอน เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก หาดดอกเกด โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำจืด 43 แห่งแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร เป็นต้น 2) เปิดสถานที่ให้ประชาชนเข้าชมฟรี/ลดค่าบริการ เช่น เปิดสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ประชาชนเข้าชมฟรี เปิดพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ประชาชนเข้าชมฟรี พร้อมทั้ง กิจกรรมฉายภาพยนตร์แอนิเมชัน 3 มิติและเปิดบริการให้เข้าชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร สืบสาน รักษา ต่อยอด Wisdom Farm และลดค่าบริการเข้าชมฟาร์มโคนมไทย - เดนมาร์ค จังหวัดสระบุรี เป็นต้น 3) กระทรวงเกษตรฯ ได้ตั้งจุดให้บริการประชาชน บริเวณหน้าสถานที่ราชการ ที่อยู่ในเส้นทางการเดินทางช่วงเทศกาล เช่น ให้บริการจุดพักรถ ห้องน้ำ ขนมและน้ำดื่ม จำนวน 198 จุด ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเกษตรกรและประชาชนจะได้รับความสุข สร้างรายได้เพิ่ม และลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ตลอดจนเกษตรกรและประชาชนจะได้รับรู้ผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงมีทัศนคติที่ดีในการประสานความร่วมมือขับเคลื่อนงานพัฒนาไปพร้อมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป สวัสดีปีใหม่ 2564.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37951
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารพาณิชย์ห่วงใยสุขภาพลูกค้า แนะนำให้ทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมสำรองเงินสดเพียงพอเบิกถอน
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 ธนาคารพาณิชย์ห่วงใยสุขภาพลูกค้า แนะนำให้ทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมสำรองเงินสดเพียงพอเบิกถอน สมาคมธนาคารไทย มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชนและลูกค้าของธนาคาร จึงขอแนะนำให้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิกส์ โดยการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ อินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง และใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชันโมบายแบงกิ้ง สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครั้งใหม่ในประเทศ ที่มีการแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างซึ่งเกิดขึ้นในช่วงใกล้เทศกาลฉลองปีใหม่ และเป็นวันหยุดยาวที่ประชาชนจะมีการเดินทางและจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงปกติ สมาคมธนาคารไทย มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชนและลูกค้าของธนาคาร จึงขอแนะนำให้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิกส์ โดยการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ อินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง และใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชันโมบายแบงกิ้ง ซึ่งเป็นช่องทางที่ง่าย สะดวก และปลอดภัย โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสาขาของธนาคาร ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 นี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ต่างๆได้เตรียมสำรองเงินสดไว้อย่างเพียงพอทุกช่องทาง สำหรับการเบิกถอนของประชาชน และลูกค้าธนาคาร ทั้งการเบิกถอนผ่านเคาน์เตอร์สาขาธนาคารและผ่านตู้ATM ทั่วประเทศ สมาคมธนาคารไทย โทร. 0-2558-7500
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37956
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะ และโล่รางวัลเรียนดี แก่ผู้สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ 74 และ 75
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 มท.1 เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะ และโล่รางวัลเรียนดี แก่ผู้สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ 74 และ 75 มท.1 เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะ และโล่รางวัลเรียนดี แก่ผู้สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตร นปส.รุ่นที่ 74 และ 75 เน้นย้ำบทบาทผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง สามารถบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ประชาชน และสังคมส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 2 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะ และโล่รางวัลเรียนดี ให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 และรุ่นที่ 75 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้กล่าวรายงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ให้เกียรติเข้าร่วมพิธี โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้โอวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาอบรมทุกท่าน โดยมีใจความว่า ในนามของกระทรวงมหาดไทย ขอแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ 74 และรุ่นที่ 75 ทุกท่าน ซึ่งสามารถผ่านการทดสอบในเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่บททดสอบที่แท้จริงจะเป็นการทดสอบว่า ท่านจะสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาอบรมไปประยุกต์ใช้สำหรับการทำงานที่อำเภอ จังหวัด หรือหน่วยงานของท่านได้อย่างไร และจากการเข้ารับการศึกษาอบรมในครั้งนี้ ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ย่อมคาดหวังในตัวท่านทั้งหลายว่าจะสามารถนำแนวคิด หรือวิทยาการใหม่ ๆ กลับไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ ดังนั้น เมื่อท่านกลับไปแล้ว ขอให้นำความรู้ที่ได้รับไปใช้สนับสนุนการทำงานของอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้บังคับบัญชา ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติราชการ และขอให้ท่านพึงระลึกไว้อยู่เสมอว่า ท่านต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เป็นผู้นำที่จะนำความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนรู้ กลับไปพัฒนา และขยายผลแก่เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้ ขอให้ท่านเป็นผู้นำที่ดีและเก่ง สามารถบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ประชาชน และสังคมโดยส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาอบรมในครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 200 คน ประกอบด้วย หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 จำนวน 100 คน เข้ารับการศึกษาอบรม ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 17 มีนาคม 2563 และช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน - 17 กรกฎาคม 2563 และรุ่นที่ 75 จำนวน 100 คน เข้ารับการศึกษาอบรม ระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม – 18 กันยายน 2563 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ดำเนินการโดย สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหลักสูตรเพื่อพัฒนาศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหาร ให้เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีสมรรถนะด้านการบริหารจัดการที่ดี มีคุณธรรมและจริยธรรม มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติราชการ โดยยึดหลักการบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่ และการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ทำให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมสามารถนำความรู้และวิทยาการใหม่ๆ ที่ได้กลับไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนางานของหน่วยงาน เพื่อประโยชน์สุขแก่พี่น้องประชาชน และประเทศชาติสืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต”ขอเวลา 7 วัน ควบคุมโควิด 19 จ.ระยอง เร่งบิ๊กคลีนนิ่ง รับนักท่องเที่ยวหลังปีใหม่ 2564
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 “สาธิต”ขอเวลา 7 วัน ควบคุมโควิด 19 จ.ระยอง เร่งบิ๊กคลีนนิ่ง รับนักท่องเที่ยวหลังปีใหม่ 2564 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอเวลา 7 วัน ควบคุมโรคโควิด 19ในพื้นที่ จ.ระยอง ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน และชุดตรวจ Rapid Test เพื่อคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด พร้อมส่งกรมอนามัย ล้างเมืองระยองให้สะอาด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอเวลา 7 วัน ควบคุมโรคโควิด 19ในพื้นที่ จ.ระยอง ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน และชุดตรวจRapid Test เพื่อคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด พร้อมส่งกรมอนามัย ล้างเมืองระยองให้สะอาด ก่อนเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังปีใหม่ 2564 วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) ที่ ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย นายนพดล ตั้งทรงเจริญ ประธานกรรมการหอการค้า จ.ระยอง และนายวีรยุทธ อนุจิตรอนันต์ ประธานกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ หอการค้า จ.ระยอง (YEC) ร่วมกันแถลงความคืบหน้าสถานการณ์โควิด 19 และการดำเนินการควบคุมป้องกันโรค จ.ระยอง โดยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ จ.ระยอง มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 56 คน และอยู่ระหว่างรอผลอีกจำนวนหนึ่งรวมแล้วประมาณ 92 คนแนวโน้มของผู้ติดเชื้อลดลง โดยขอเวลา 7 วัน ประเมินสถานการณ์ และค้นหาสอบสวนเพื่อให้พบผู้ติดเชื้อมากที่สุด โดยในวันพรุ่งนี้ (29 ธันวาคม 2563) จะระดมรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน เชิงรุกค้นหากลุ่มเสี่ยงครอบคลุมในทุกพื้นที่ โดยใช้ชุดตรวจ Rapid Test ใช้คัดกรองผู้ติดเชื้อจำนวนมากเบื้องต้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ก่อนนำไปตรวจหาเชื้อด้วยวิธีการ RT-PCR เพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจน “เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั้งในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ในสัปดาห์หน้าได้มอบหมายให้กรมอนามัย ลงพื้นที่ทำความสะอาดล้างตัวเมืองระยองให้ปลอดภัย นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ได้ออกมาตรการเร่งด่วน สั่งปิดสถานที่เสี่ยงสำคัญ รวมถึงกวาดล้างแหล่งอบายมุข เนื่องจากเป็นที่แออัด เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อที่สำคัญ เพื่อเตรียมเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหลังช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากาก 100% ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่าง งดการไปในสถานที่มีคนหนาแน่น มั่นใจจะควบคุมโรคได้” ดร.สาธิต กล่าวว่า ด้านนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า โครงการล้างเมืองระยองให้สะอาดใน 7 วัน กรมอนามัยจะร่วมมือกับผู้ประกอบการดำเนินการใน 9 สถานที่ ได้แก่ ร้านอาหาร ศาสนสถาน คอนโด ห้างสรรพสินค้า โรงมหรสพ ฟิตเนส โรงเรียน ตลาด/ตลาดนัด และศูนย์เด็กเล็ก เพื่อให้แหล่งแพร่เชื้อไม่มีในสถานประกอบการ โดยจะเริ่มดำเนินการวันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นวันแรก เริ่มที่ตลาดก่อน ขอให้สถานประกอบการต่างๆ เข้ามาลงทะเบียนและประเมินตนเองช่วงระหว่างปิดทำความสะอาดนี้ผ่านแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID ทั้งนี้ จากการสำรวจระหว่างวันที่ 21-25 ธันวาคม ชาวระยองสวมหน้ากากร้อยละ 93.68 มีพื้นที่ที่สวมหน้ากากน้อย ได้แก่ สวนสาธารณะ สถานที่ท่องเที่ยว สถานบันเทิง ฟิตเนส และโรงแรม โดยสถานการณ์การระบาดครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้ควบคุมโควิด 19 ได้เร็ว คือ ความร่วมมือ หากไปสัมผัสกับผู้ป่วยโควิด 19 หรือมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะมาจากกิจกรรมที่ถูกกฎหมายหรือไม่ ขอให้แจ้งหน่วยงานสาธารณสุข ยิ่งปิดประวัติจะทำให้ยิ่งแพร่เชื้อ ในส่วนสถานประกอบการ ขอให้ทำตามมาตรการป้องกัน คัดกรอง ควบคุมให้ผู้มารับบริการสวมหน้ากาก ส่วนประชาชน ใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ ในการคัดกรองประเมินตนเองเบื้องต้น เหมือนเป็น "โควิดพาสปอร์ต" และตรวจหาเชื้อเมื่อมีอาการ จะช่วยหยุดยั้งโรคได้เร็ว ด้านนายนพดล ตั้งทรงเจริญ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดระยอง และนายวีรยุทธ อนุจิตรอนันต์ ประธานกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดระยอง (YEC) กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน จ.ระยอง ทำให้เศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัวกลับมาวิกฤตอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่จังหวัดประกาศ ปิดสถานบริการเกือบทั้งหมด เพื่อเคลียร์ให้จังหวัดปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่พร้อมจะเดินทางเข้ามา ซึ่งต้องขอขอบคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และทีมสาธารณสุขที่จัดโครงการดีๆ เรียกความเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ การทำให้ยอดของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ลดลงได้เร็วที่สุดเท่าไหร่ จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เบื้องต้นเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือนร้อน และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการภาคธุรกิจในจังหวัดได้ร่วมมือกันจัดโครงการรักระยอง กอดระยอง ช่วยเหลือเยียวยา โดยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ ช่วยเหลือ ผู้ประกอบการรายเล็ก อาทิ การลดค่าเช่า เป็นต้น และให้ภาคอุตสาหกรรมในจังหวัด ช่วยกันสนับสนุนจัดซื้อจัดจ้างสินค้าของผู้ประกอบการในพื้นที่ และจะนำโครงการตู้ปันสุขกลับมาใช้ในจังหวัดอีกครั้ง และขอฝากให้ภาครัฐมีมาตรการต่างๆมเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการพักชำระหนี้ และนำโครงการต่างๆ ดี เช่น โครงการคนละครึ่ง มาช่วยผู้ประกอบภาคธุรกิจต่างๆ ด้วย *********************************** 28 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลตรวจผู้บริหาร ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ทุกคนเป็นลบ
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 สธ. เผยผลตรวจผู้บริหาร ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ทุกคนเป็นลบ กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการคณะผู้บริหารที่ลงพื้นที่สมุทรสาคร ผลเป็นลบ แยกกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน พร้อมตรวจซ้ำใน 3-5 วัน ส่วนสถานการณ์ภาพรวมที่สมุทรสาครควบคุมโรคได้แล้ว ผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกพบมีภูมิต้านทาน ออกจากที่กักกันแล้ว 3 คน กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการคณะผู้บริหารที่ลงพื้นที่สมุทรสาคร ผลเป็นลบแยกกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน พร้อมตรวจซ้ำใน 3-5 วัน ส่วนสถานการณ์ภาพรวมที่สมุทรสาครควบคุมโรคได้แล้วผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกพบมีภูมิต้านทาน ออกจากที่กักกันแล้ว 3 คน ส่วนผู้ติดเชื้อกลุ่มงานเลี้ยงบิ๊กไบค์ ค้นหาผู้สัมผัสได้เร็วผู้ติดเชื้อรวม 20 ราย วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์โรคโควิด 19 กรณีจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดกระบี่โดยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผลการตรวจของยืนยันของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พบสารพันธุกรรมไวรัสโควิด 19 ขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว โดยมีอาการเจ็บคอ ต้องขอให้กำลังใจท่านที่ติดเชื้อจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักในการควบคุมโรคโควิด 19ในครั้งนี้ สำหรับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของคณะผู้บริหารที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ กำกับการทำงานในพื้นที่และการตั้งโรงพยาบาลสนาม รวมทั้งได้ร่วมประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลตรวจเป็นลบ ส่วนผู้บริหารท่านอื่นซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขา อย. อธิบดีทุกกรมและผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่8ผลตรวจยืนยันเป็นลบทุกคน ทั้งนี้ ผู้บริหารทุกคนได้แยกตัวเอง ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับคนหมู่มาก ปฏิบัติภารกิจเท่าที่จำเป็น โดยเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ เดินทางโดยรถส่วนบุคคล โดยจะตรวจซ้ำครั้งที่ 2 ใน 3-5 วัน และตรวจเป็นระยะจนครบ 14 วัน ซึ่งมาตรการจะเข้มกว่าคนทั่วไป เพื่อเป็นตัวอย่าง มั่นใจ ห่วงใย ไม่ให้แพร่กระจายไปสู่คนอื่นสำหรับสื่อมวลชนที่ไปทำข่าวถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ขอให้สังเกตอาการตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ไม่คลุกคลีกับคนหมู่มากสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่หากไม่สบายใจสามารถมารับการตรวจหาเชื้อที่สถาบันบำราศนราดูรหลังจากนี้อีก 5 วัน “เหตุการณ์ครั้งนี้ สอนเราว่าเรามีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวได้ เนื่องจากระยะหลังส่วนใหญ่พบว่าผู้ติดเชื้อมีอาการน้อย หรือไม่มีอาการ อยู่ร่วมในชุมชนและแพร่กระจายเชื้อได้ และขอชื่นชมท่านผู้ว่าราชการจังหวัดที่สวมหน้ากากตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก รวมทั้งความร่วมมือในการทำมาตรการกักตัว เว้นระยะห่าง เช่นที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ปฏิบัติทันทีที่ทราบว่ามีความเสี่ยง ทำให้คนอื่นๆ ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ถ้าทุกคนร่วมมือกัน” นายแพทย์โอภาสกล่าว ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า วันนี้ มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่144 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศอยู่ในกักกันโรคของรัฐ 15 รายที่เหลือเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ โดย 115 รายเป็นผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนในจังหวัดต่าง ๆ อีก 14 รายเกิดจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 6,285 ราย หายป่วยแล้ว 4,180 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม คงอยู่ที่ 60 ราย มีผู้ที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 2,045 ราย เกือบทั้งหมดอาการน้อยมาก ผู้ป่วยอาการหนัก 5 ราย ข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ ณ วันที่ 27 ธันวาคม เวลา 18.00 น. พบผู้ติดเชื้อใน 43 จังหวัด ผู้ติดเชื้อสะสม 454 ราย ระหว่างวันที่ 15-27 ธันวาคม 2563 จำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดที่จังหวัดสมุทรสาคร รองลงมาคือ กทม. ผู้ติดเชื้อ 94 ราย และ ระยอง 92 ราย ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีบางจังหวัดมีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยจังหวัดสมุทรสาครซึ่งพบการระบาดครั้งใหม่ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2563 ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยลง สำหรับศูนย์กลางการระบาดอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง สถานการณ์ควบคุมได้แล้ว จากการค้นหาเชิงรุกผลการตรวจ 2,052 ราย พบติดเชื้อ 901 รายอัตราการติดเชื้อร้อยละ 44 เมื่อวานนี้ (27 ธันวาคม 2563) ผู้ติดเชื้อที่พบกลุ่มแรก ๆ กักตัวครบ 10 วัน และตรวจพบมีภูมิคุ้มกันโควิด 19 จึงได้รับอนุญาตให้ออกจากสถานที่กักกันโรคจำนวน 3 คน สำหรับพื้นที่ที่ห่างออกมา ได้แก่ ตลาดทะเลไทย ชุมชนซอยเศรษฐกิจ 13สะพานปลาสมุทรสาครและโรงพยาบาลสมุทรสาครมีอัตราการติดเชื้อที่ต่ำลงตั้งแต่น้อยกว่าร้อยละ 1 จนถึงร้อยละ 13 ส่วนพื้นที่รอบนอก เช่น บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ชุมชนบ้านเอื้ออาทร ชุมชนวัดโกรกกราก ตลาดมหาชัยนิเวศน์ มีผู้ติดเชื้อน้อยกว่าร้อยละ 2 ล่าสุดได้ตรวจที่ชุมชนตลาดแม่พ่วงจำนวน 197 ราย พบผู้ติดเชื้อ 11 คน คิดเป็นร้อยละ 16 และสถานที่พักคนชรา จำนวน 30 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบางที่เมื่อติดเชื้อจะมีโอกาสป่วยรุนแรงได้ ในภาพรวมตรวจคัดกรองแล้ว 11,847 ราย พบติดเชื้อ 1,367 ราย คิดเป็นร้อยละ 11.5 ส่วนกรณีกลุ่มผู้ร่วมงานเลี้ยงที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เดินทางโดยรถจักรยานยนต์จากหลายจังหวัด วันที่ 11 – 12 ธันวาคม 2563 ทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต สงขลา สมุทรสาคร และกทม. ร่วมกับสคร. 11 นครศรีธรรมราช ร่วมกันสอบสวนโรคค้นหาผู้สัมผัสทั้งคนในครอบครัวและค้นใกล้ชิดได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ลดความเสี่ยงพบการติดเชื้อรุ่นต่อไป รวมพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั้งสิ้น 20 รายใน 6 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 1 ราย, กระบี่ 6 ราย เป็นชายอายุ 35 ปี บุตรชาย ภรรยา และญาติ รวมทั้งเทรนเนอร์และเพื่อนหญิงของเทรนเนอร์, ภูเก็ต 3 ราย เป็นชายอายุ 40 ปี และบุตรชาย 2 คน, สงขลา 2 ราย เป็นชายอายุ 27 ปี เพื่อน และมารดาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส 1 ราย และกรุงเทพมหานคร 7 ราย เป็นพนักงานบริษัทชายอายุ 41 ปี แพร่เชื้อให้เพื่อนที่ทำงานเดียวกันอีก 4 ราย ภรรยาของเพื่อน 2 ราย “ขอให้ผู้ที่ไปร่วมงานเลี้ยงที่มีประมาณ 100 คน เฝ้าระวังสังเกตอาการ รายงานตัวกับหน่วยงานสาธารณสุขใกล้บ้าน กรณีที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ขอให้รีบไปโรงพยาบาล โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ แจ้งประวัติการร่วมงาน เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว” นพ.โสภณกล่าว **************************************** 28 ธันวาคม 2563 **************************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศปถ.เปิดศูนย์อำนวยการการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ปี 2564 เน้นการบูรณาการการทำงานในลักษณะยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง (Area Approach) มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 ศปถ.เปิดศูนย์อำนวยการการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ปี 2564 เน้นการบูรณาการการทำงานในลักษณะยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง (Area Approach) มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ ศปถ.เปิดศูนย์อำนวยการการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ปี 2564 เน้นการบูรณาการการทำงานในลักษณะยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง (Area Approach) มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ วันนี้ (28 ธ.ค. 63) เวลา 09.30 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (นปถ.) เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 จึงได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ”ช่วงควบคุมเข้มข้นระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564 โดยบูรณาการการทำงานในลักษณะยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง (Area Approach) มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งคน รถ ถนน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงสอดรับกับแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 เน้นการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนและสร้างวินัยจราจรให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน รวมถึงปรับปรุงถนนและสภาพแวดล้อมริมทางให้ปลอดภัย คุมเข้มความปลอดภัยของยานพาหนะทุกประเภท ทั้งสภาพรถ อุปกรณ์นิรภัย ความพร้อมของพนักงานขับรถ รถบรรทุกน้ำหนักเกินและรถบรรทุกผู้โดยสาร พร้อมเฝ้าระวังและป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนทุกรูปแบบ ควบคู่กับการดำเนินมาตรการ “ตรวจวัดแอลกอฮอล์” กรณีเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่มีผู้บาดเจ็บรุนแรง หรือ มีผู้เสียชีวิต สร้างการรับรู้มาตรการบังคับใช้กฎหมาย สถานการณ์อุบัติเหตุ การใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยผ่านทุกช่องทางสื่อ ตลอดจนจัดหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยกู้ชีพกู้ภัย และเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ และส่งต่อผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างรวดเร็วในทุกพื้นที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลอุบัติเหตุทางถนน ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยทำหน้าที่อำนวยการสั่งการแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนน มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนผ่านกลไกการทำงานในระดับพื้นที่ ผ่านกลไกของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด อำเภอ และองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ และตลอดทั้งปี พ.ศ. 2564 นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้พิจารณาการดำเนินงานความปลอดภัยทางถนนในทศวรรษหน้า พ.ศ. 2565 – 2575 โดยจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 กรอบ 12 เป้าหมายโลกในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน และปฏิญญาสตอกโฮล์ม เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนให้บรรลุเป้าหมายการลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 8 คนต่อประชากร 1 แสนคน ภายในปี พ.ศ. 2575 ในท้ายที่สุด พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เน้นย้ำว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร และจิตอาสา ช่วยกันคุมเข้มและลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนในรูปแบบ รวมถึงการจัดตั้งด่านชุมชน การใช้กลไกครอบครัว ควบคู่กับการดำเนินมาตรการเชิงรุกในรูปแบบการเคาะประตูบ้าน อีกทั้งดูแลความปลอดภัยเส้นทางสัญจรทางน้ำ สถานที่จัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อสร้างความปลอดภัยเป็นของขวัญปีใหม่แก่พี่น้องประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย งดเข้าอวยพรปีใหม่ ลดเสี่ยงโควิด-19
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 มหาดไทย งดเข้าอวยพรปีใหม่ ลดเสี่ยงโควิด-19 มหาดไทย งดเข้าอวยพรปีใหม่ ลดเสี่ยงโควิด-19 วันนี้ (28 ธ.ค.63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในขณะนี้เข้าสู่ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2564 ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น จึงได้มีข้อสั่งการไปยังกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ งดการเข้าอวยพรปีใหม่ ประจำปี 2564 ทุกกรณี เพื่อร่วมกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำนโยบายในการร่วมกันสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในทุกพื้นที่ ทั้งท้องที่ และท้องถิ่น โดยบูรณาการร่วมกันจากทุกภาคส่วน ดำเนินมาตรการทางสาธารณสุขตามนโยบายศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเข้มข้น และสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างทางสังคม ไม่รวมตัวในพื้นที่แออัด เพื่อสร้างความปลอดภัย และสุขภาพอนามัยของพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รณรงค์ คาถาปีใหม่ ปลอดโรคปลอดภัย “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 สธ.รณรงค์ คาถาปีใหม่ ปลอดโรคปลอดภัย “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” กระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ คาถาปีใหม่ ปลอดโรคปลอดภัย “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เดินทางปลอดภัย ตรวจหาแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย เอาผิดร้านค้าขายแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี อบรมประเมินสภาวะการมึนเมามีทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน กระทรวงสาธารณสุข รณรงค์คาถาปีใหม่ ปลอดโรคปลอดภัย “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”เดินทางปลอดภัย ตรวจหาแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย เอาผิดร้านค้าขายแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี อบรมประเมินสภาวะการมึนเมามีทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) แนะประชาชนเคร่งครัดมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 การ์ดอย่าตก สวมหน้ากากตลอดเวลาในที่สาธารณะ วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคนพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พล.ต.ต. วีรพัฒน์ ศิวะแพทย์ผบก.กองแผนงานความมั่นคงสำนักงานตำรวจแห่งชาติดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกันแถลงข่าวคาถาปีใหม่ ปลอดโรคปลอดภัย “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”โดยมีอธิบดีกรมที่เกี่ยวข้องเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมเป็นเกียรติในการแถลงข่าว ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ที่ใกล้มาถึงนี้ ยังอยู่ในภาวะของการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยประชาชนที่จะเดินทางกลับบ้านหรือเดินทางท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ได้อยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นและมีความสุข โดยเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุจะพบมากขึ้นจากช่วงปกติ ข้อมูลช่วงเทศกาลปีใหม่ย้อนหลัง 5 ปี พบผู้เสียชีวิต 2,526 คน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการดื่มแล้วขับ ซึ่งข้อมูลปี 2562-2563 กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุ พบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกฎหมายกำหนด คือ 50มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถึง54.66% ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์สูงถึง 39.53% ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายรณรงค์“ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”ให้ประชาชนร่วมรับผิดชอบ ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ อย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตนเองและเพื่อนร่วมทาง และยังร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551ตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกรายห้ามการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี กรณีตรวจพบจะให้มีการสืบกลับไปยังร้านค้าที่ฝ่าฝืน และจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดนอกจากนี้ เตรียมแนวทางให้ อสม.คัดกรองสังเกตอาการคนเมาที่ด่านชุมชนและคัดกรองป้องกันโรคโควิด 19 ด้วย เพื่อช่วยสกัดกั้นคนเมาไม่ให้ออกไปสู่ท้องถนนสำหรับความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมความพร้อม ศูนย์รับแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน 1669ทั่วประเทศ ชุดปฏิบัติการทั่วประเทศ ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ เอกชน และโรงพยาบาลต่างๆพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ได้จัดอบรมวิธีการประเมินสภาวะการมึนเมาแก่ อสม. พัฒนาศักยภาพ อสม.จิตอาสา เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้มีทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) ช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉินบนท้องถนนอย่างถูกวิธี ก่อนส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์หรือส่งต่อไปยังสถานพยาบาลอย่างปลอดภัย ลดการเสียชีวิตหรือความพิการลงได้และขอให้ อสม.ช่วยเป็นหูเป็นตา สอดส่อง เฝ้าระวังร้านค้าในชุมชนไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย และนำความรู้ในการดูแลและป้องกันอุบัติเหตุจากแอปพลิเคชันสมาร์ท อสม. ส่งต่อสู่ชุมชนด้วยการเคาะประตูบ้านหรือสื่อสารผ่านผู้นำชุมชนและสื่อในชุมชน “เทศกาลปีใหม่2564ยังอยู่ในสถานการณ์โรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางกลับบ้านหรือเดินทางไปท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ได้อยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นและมีความสุข ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม และยึดหลักการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด การ์ดอย่าตก สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และลงทะเบียนไทยชนะเมื่อไปสถานที่ต่างๆ” ดร.สาธิตกล่าว นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข(Emergency Operation Center:EOC)ที่ส่วนกลางและระดับจังหวัด เป็นศูนย์ประสานและสนับสนุนการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ได้เตรียมชุดปฏิบัติการฉุกเฉินทุกระดับแล้ว 8,255 หน่วย รถปฏิบัติการฉุกเฉิน 20,338 คัน และผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินรวม 164,795 คนเพิ่มบุคลากรมากขึ้นจากเดิม120-130 เปอร์เซ็นต์ เตรียมพร้อมห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู และระบบส่งต่อจัดหน่วยกู้ชีพระดับพื้นฐาน และหน่วยปฏิบัติการระดับสูง ประจำบนเส้นทางถนนสายหลักที่มีจุดตรวจ/จุดบริการอยู่ห่างกันมาก กรณีบาดเจ็บ/เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สามารถรับบริการที่โรงพยาบาลใกล้ที่สุด โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายภายใน 72 ชั่วโมงแรก ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ซึ่งบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขได้อุทิศตน ทุ่มเท เสียสละ และเต็มใจทำงานโดยไม่มีวันหยุด จึงขอให้ประชาชนช่วยกันลดอุบัติเหตุ ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ ทั้งนี้ ในช่วง7 วันเทศกาลปีใหม่ปีที่ผ่านมามีผู้บาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล 29,545 ราย เฉลี่ยวันละ 4,220 ราย สูงกว่าช่วงปกติ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่ากรมควบคุมโรคร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการขับขี่ปลอดภัย มั่นใจไร้แอลกอฮอล์ โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กรมการขนส่งทางบก สนับสนุนค่าตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดให้ทุกราย ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 เพื่อนำผลตรวจไปประกอบสำนวนคดีตามกฎหมายต่อไปทั้งนี้ ปัญหาดื่มแล้วขับยังมีแนวโน้มเป็นปัญหาต่อเนื่อง ยังพบร้านค้ากระทำความผิดกฎหมาย จึงได้ประชาสัมพันธ์ให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551ตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาล จึงขอให้ประชาชนเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องดูแลผู้กระทำผิดกฎหมาย ทั้งการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี การจำหน่ายในสถานที่ห้ามขาย เช่น ปั๊มน้ำมัน สถานที่ราชการ สถานศึกษา ศาสนสถาน สวนสาธารณะการขายสุราในเวลาที่ห้ามขาย2 ช่วงเวลา คือหลัง 24.00-11.00 น. และ 14.00-17.00 น. การเร่ขาย และการโฆษณาหรือส่งเสริมการขาย(ลด แลก แจก แถม) ให้แจ้งได้ที่ศูนย์ร้องเรียนบุหรี่และสุรา หมายเลข 0 2590 3342 หรือสายด่วน 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า อสม. กว่า 1.05 ล้านคนทั่วประเทศ เป็นเครือข่ายสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย ทำงานใกล้ชิดกับประชาชน เชื่อมประสานเจ้าหน้าที่และเครือข่ายต่างๆ ในชุมชนได้เป็นอย่างดี โดยกระทรวงสาธารณสุข กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้อบรมให้ความรู้ในการประเมินและคัดกรองคนเมาเบื้องต้น ณ ด่านชุมชน เพื่อสกัดกั้นคนเมาในชุมชนไม่ให้ขับขี่พาหนะ ให้กับประธานชมรม อสม. ระดับจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อนำความรู้ไปสื่อสาร และถ่ายทอดให้กับ อสม. ในพื้นที่ เน้นย้ำให้เฝ้าระวังการบังคับใช้กฎหมาย ป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี รวมทั้งได้พัฒนาทักษะการเป็นจิตอาสาด้านการแพทย์และสาธารณสุข สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นและทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) พร้อมช่วยเหลือประชาชนในภาวะวิกฤติ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้ว ผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บรุนแรงไม่สามารถเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ขับขี่ส่งสถานพยาบาลทำการเจาะเลือดภายใน6 ชั่วโมง (หากเกิน 6 ชั่วโมงปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดต่ำลง) และส่งตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไปยังห้องปฏิบัติการศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และส่วนภูมิภาค ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ สมุทรสงคราม ชลบุรี ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา และตรัง โดยจะทำการตรวจวิเคราะห์ด้วยเครื่อง Gas Chromatography (Headspace GC-FID) ซึ่งให้ผลที่เที่ยงตรงและแม่นยำ และได้รับการรับรองห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน ISO 15189 และ ISO/IEC 17025 สำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ซึ่งได้มีการกำหนดวันควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564 ห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมดำเนินการตรวจวิเคราะห์ให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ห้องปฏิบัติการอ้างอิงทางการแพทย์และสาธารณสุข ได้สอบเทียบเครื่องวัดแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ซึ่งควรผ่านการสอบเทียบตามรอบระยะเวลาทุก 6 เดือน โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะมีใบรับรองผลการสอบเทียบและติดสติ๊กเกอร์รับรองไว้ที่ตัวเครื่อง และหากห้องปฏิบัติการ พบว่า เครื่องมีค่าความผิดพลาดเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดจะทำการปรับตั้งค่าใหม่ เพื่อให้เครื่องสามารถตรวจวัดค่าปริมาณแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลการวัดที่ถูกต้องแม่นยำ และใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่าสพฉ.ได้เตรียมความพร้อมของหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน มีบุคลากรในระบบกว่า 57,000 คน พร้อมให้บริการผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉิน อุบัติเหตุทางถนน โดยมีศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 รวม 80 ศูนย์ ครอบคลุมทุกจังหวัด พร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง และมีชุดปฏิบัติการฉุกเฉินพิเศษ (Special Covid-19 Operation Team: SCOT) ที่ผ่านการอบรมออกปฏิบัติงานรับส่งผู้ป่วยติดเชื้อหรือสงสัยว่าจะติดเชื้อโควิด 19 รับสั่งการจากศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการจังหวัด 1669 ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน นอกจากนี้ ได้พัฒนาชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับพื้นฐานพิเศษ (BLS) และชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับต้นพิเศษ (FR) 1,800 คน ใน 54 จังหวัดทั่วประเทศที่พร้อมให้บริการ 24 ชั่วโมง หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน บาดเจ็บที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายถึงชีวิต หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ เช่น หัวใจหยุดเต้น เส้นโลหิตสมองตีบหรือแตก ที่เสี่ยงต่อความพิการ รวมทั้งพบเห็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19 โทรแจ้งขอความช่วยเหลือที่หมายเลข 1669 หรือใช้แอปพลิเคชัน EMS 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ******************************** 28 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37958
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ประกาศเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 กระทรวงมหาดไทย ประกาศเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ กระทรวงมหาดไทย ประกาศเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ✒️ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 30 วัน เพื่อท่องเที่ยว แข่งขันกีฬา และเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศ ต้องถูกกักกันตัวเป็นเวลา 14 วัน จึงทำให้เวลาที่อยู่เพื่อดำเนินกิจกรรมตามที่ได้รับอนุญาต เหลือเพียง 16 วัน ดังนั้น จึงได้เพิ่มระยะเวลาการอยู่ในประเทศไทย อีกจำนวน 15 วันให้กับกลุ่มบุคคลดังกล่าว เพื่อให้สามารถมีเวลาอยู่ในประเทศไทยเพื่อดำเนินกิจกรรมได้ครบตามระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต . คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามที่กำหนดในมาตรา 34 (4) (8) และ (9) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ. ศ. 2522 ให้อยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 45 วันนับแต่วันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร . คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวซึ่งได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราตามข้อ 13 (3) และ (4) แห่งกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา พ.ศ. 2545 ให้อยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 45 วันนับแต่วันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ในกรณีที่คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันที่ประกาศนี้สิ้นผลใช้บังคับ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวได้รับระยะเวลาการพำนักในราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ . มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2563 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37953
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ผลตรวจโควิดเป็นลบ แสดงความรับผิดชอบกักตนเอง
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 รมว.สธ. ผลตรวจโควิดเป็นลบ แสดงความรับผิดชอบกักตนเอง ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวกรณีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกรณีทำงานร่วมผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เผยผลตรวจเชื้อเบื้องต้นเป็นลบ แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมกักกันตนเองแล้ว และจะตรวจซ้ำตามมาตรฐานการควบคุมโรค วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวกรณีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเรื่องการบริโภคอาหารทะเลปลอดภัย และตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลสนามที่ตลาดกลางกุ้ง เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา ดร.สาธิตกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถือว่าเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตามมาตรการควบคุมโรคจึงได้กักตนเองที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน พร้อมเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อเมื่อช่วงเช้า ผลเบื้องต้นออกมาว่าเป็นลบ ไม่พบการติดเชื้อ แต่หลังจากนี้ 3 วัน จะตรวจหาเชื้ออีกครั้ง เนื่องจากระยะการฟักตัวของเชื้ออยู่ที่ประมาณ 2-7 วัน สำหรับการทำงานจะใช้ระบบNew Normal สั่งงานและประชุมผ่านทางโซเชียลมีเดีย “ขอรณรงค์ให้ทุกคนป้องกันตนเองจากโรคโควิด 19 โดยสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง เสี่ยงสถานที่ชุมชน จะช่วยประเทศอย่างมาก และขอให้เป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรสาธารณสุขที่ทำงานอยู่ด่านหน้า ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม หากอนาคตมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขมีการติดเชื้อ ได้เตรียมแผนรองรับในการบริหารจัดการเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง” ดร.สาธิตกล่าว ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขอให้ทุกคนช่วยกันเป็นกำลังใจให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งท่านมีความตั้งใจและทุ่มเททำงานในพื้นที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ดูแลรักษาเป็นอย่างดี และตรวจสมาชิกในครอบครัวและคนใกล้ชิดแล้ว ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถือว่าเข้าตามเกณฑ์ผู้สัมผัสเสี่ยง ได้แยกกักตัว 14 วัน ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ไม่มีการปกปิดข้อมูล เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและการควบคุมป้องกันโรค โดยผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ เป็นการตรวจครั้งแรกหลังการลงพื้นที่ 1 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าไม่ได้มีการติดเชื้อมาก่อน บุคคลรอบข้างจึงไม่มีความเสี่ยง และระหว่างการกักตัวจะมีการเก็บตัวอย่างตรวจเป็นระยะตามมาตรฐาน สำหรับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขท่านอื่น มีการตรวจหาเชื้อแล้วเช่นกันอยู่ระหว่างรอผลการตรวจ โดยการกักตัวจะพิจารณาตามความเสี่ยง ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงคือ มีการไอจามใส่กัน, พูดคุยใกล้ชิดไม่เกิน 1 เมตร โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า หรืออยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เช่น รถตู้ ห้องประชุม ในระยะ 5 เมตรเกินกว่า 15 นาที โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า จะต้องกักตัว 14 วัน ตรวจหาเชื้อเป็นระยะตามที่กำหนด ส่วนกลุ่มอื่นถือว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ให้เฝ้าระวังสังเกตอาการตนเอง 14 วัน เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก พักที่บ้านหรือWORK FROM HOMEหากมีอาการทางเดินหายใจให้มารับการตรวจทันที โดยจะมีการตรวจสอบภาพต่างๆ เพื่อค้นหาว่าผู้ใดสัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ *********************************** 28 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37961
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ เผยนายกฯ ห่วงใยประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือประชาชน พร้อมเตรียมรับมือน้ำแล้งที่จะเกิดขึ้นให้ทันต่อสถานการณ์
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ เผยนายกฯ ห่วงใยประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือประชาชน พร้อมเตรียมรับมือน้ำแล้งที่จะเกิดขึ้นให้ทันต่อสถานการณ์ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ ห่วงใยประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือประชาชน พร้อมเตรียมรับมือน้ำแล้งที่จะเกิดขึ้นให้ทันต่อสถานการณ์ วันนี้ (28 ธ.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 4/2563 โดยมีนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุม กนช. วันนี้ว่า เพื่อทราบผลขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ผ่านมาและเพื่อพิจารณาแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561- 2580) และโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม รวมทั้งการดำเนินการตามบทเฉพาะกาลในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เมื่อครบกำหนด 2 ปี ซึ่งการลงพื้นที่เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาว่าพบมีบางพื้นที่ยังประสบปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาน้ำแล้ง จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์การจัดการน้ำในฤดูแล้งที่จะถึงนี้ ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแม้ว่าการคาดการณ์ปริมาณน้ำท่าในปีหน้า เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์ ขณะที่ปัญหาน้ำท่วมก็ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือและฟื้นฟูให้ประชาชนได้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว รองนายกรัฐมนตรียังย้ำว่านายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง จึงขอให้ทุกหน่วยงานร่วมมือร่วมใจกันบูรณาการดำเนินการตามมาตรการ นโยบาย และงบประมาณที่กำหนดไว้ โดยแผนงานโครงการใดที่ได้รับงบประมาณแล้วให้เร่งดำเนินการและรายงานให้ กนช. ได้รับทราบความคืบหน้าด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเสนอขอตั้งงบประมาณปี พ.ศ. 2565 คือ โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิง จ.ฉะเชิงเทรา ดำเนินการโดยกรมชลประทาน ความจุ 15 ล้าน ลบ.ม. เมื่อแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 10,000 ไร่ และในฤดูแล้ง 3,000 ไร่ ทำให้มีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภค–บริโภค และเสริมการผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำบางปะกง รวมทั้งรองรับการใช้น้ำเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วย อีกทั้งยังได้เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยเป็นแผนปฏิบัติการของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ และแผนงบประมาณการบริหารทรัพยากรน้ำ ที่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดและคณะกรรมการลุ่มน้ำแล้ว ซึ่งเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดไว้ โดยที่ประชุมวันนี้ได้พิจารณาเห็นชอบตามที่ สทนช. เสนอ จำนวน 46,887 รายการทั่วประเทศ จากที่หน่วยงานเสนอมาทั้งหมด 86,879 รายการ โดยมอบหมาย สทนช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ รวบรวมโครงการทั้งหมดนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ.2565 ต่อไป พร้อมทั้งที่ประชุมเห็นชอบการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ซึ่งประกอบด้วย 1.แผนหลักการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการระบายน้ำพื้นที่ชุมชนเมืองพัทยาและพื้นที่ต่อเนื่อง 2.แผนหลักการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง 3.แผนหลักการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง 4.โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2564 ของการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่ที่ประสบปัญหา รองรับความต้องการใช้น้ำใน 10 ปี ข้างหน้าอย่างพอเพียง รวมทั้งยังเห็นชอบการกำหนดรูปแบบและแนวทางการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนอง สำหรับเป็นแนวทางใช้ในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) ใช้เก็บกักน้ำแบบถาวร (เก็บน้ำไว้ช่วงฤดูแล้ง) 2) ใช้เก็บกักน้ำแบบชั่วคราว (เก็บน้ำหลังเก็บเกี่ยว) และ 3) ใช้เป็นทางน้ำผ่าน (ช่วงน้ำหลาก) เป็นต้น --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จับมือ FedEx สนับสนุนผู้ส่งออกไทย เข้าถึงบริการทางการเงินและโอกาสทางธุรกิจระหว่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 EXIM BANK จับมือ FedEx สนับสนุนผู้ส่งออกไทย เข้าถึงบริการทางการเงินและโอกาสทางธุรกิจระหว่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล EXIM BANK จับมือ FedEx ผู้ให้บริการขนส่งระดับโลกและหนึ่งในบริษัทขนส่งด่วนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลค้าขายระหว่างประเทศมากขึ้น โดยมี EXIM BANK สนับสนุนด้านสินเชื่อและประกันการส่งออก EXIM BANK จับมือ FedEx สนับสนุนผู้ส่งออกไทย เข้าถึงบริการทางการเงินและโอกาสทางธุรกิจระหว่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล EXIM BANK จับมือ FedEx ผู้ให้บริการขนส่งระดับโลกและหนึ่งในบริษัทขนส่งด่วนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลค้าขายระหว่างประเทศมากขึ้น โดยมี EXIM BANK สนับสนุนด้านสินเชื่อและประกันการส่งออก นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (FedEx) เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของไทยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยทั้งสองหน่วยงานจะเชื่อมโยงข้อมูลและจัดกิจกรรมร่วมกันเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกด้านการค้าระหว่างประเทศ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs เข้าถึงโอกาสทางธุรกิจระหว่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยมี EXIM BANK เป็นแหล่งเงินทุนและที่ปรึกษาด้านการเงิน รวมถึงการบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกค้าขายระหว่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ ทั้งนี้ FedEx จะสนับสนุนลูกค้าของ EXIM BANK ด้วยบริการขนส่งที่รวดเร็วและไว้วางใจได้ สามารถเข้าถึงตลาดทั้งในประเทศและเครือข่ายต่างประเทศกว่า 220 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก “คาดว่าความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับ FedEx จะช่วยให้การค้าระหว่างประเทศของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ทั้งสองหน่วยงานสามารถตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคในโลกยุคปัจจุบันที่ต้องการสินค้าและบริการ ผ่านระบบที่มีความปลอดภัยและสะดวกรวดเร็ว สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ EXIM BANK ในด้านการเชื่อมไทย เชื่อมโลก ด้วยการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและภาคการส่งออกของไทย” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 EXIM Thailand Works with FedEx to Support Thai Exporters with Financial Facilities and International Business Opportunities via Digital Platform EXIM Thailand has collaborated with FedEx, a global provider of express transportation and one of the world's largest express transportation companies, to promote international trade among Thai entrepreneurs and SMEs via a digital platform. EXIM Thailand aims to offer both export credit and export credit insurance facilities. Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that EXIM Thailand had entered into a Memorandum of Understanding (MOU) with FedEx Express International (Thailand) Limited (FedEx) to promote Thailand’s international trade via a digital platform. The MOU promotes mutual cooperation towards data connection and activities to provide entrepreneurs, especially Small and Medium Enterprises (SMEs), with in-depth international trade knowledge and better access to international business opportunities. EXIM Thailand will provide funding and financial advice and a risk-hedging facility to facilitate international trade so small businesses can trade online with confidence and without concerns about payment defaults by overseas buyers. FedEx will support EXIM Thailand’s customers by offering logistics solutions for fast and reliable delivery and access to markets in the domestic and international network. FedEx Express serves customers in more than 220 countries and territories. “The collaboration between EXIM Thailand and FedEx is expected to grow Thailand’s international trade by more than 5 billion baht a year. This collaboration will enable both companies to be more responsive to behaviors of today’s consumers who look for goods and services that are made available on safe and speedy platforms. This strategic alliance supports the Bank’s strategy of developing and expanding Thai trade and investment globally, to help drive Thailand’s export and economic recovery,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4 https://bit.ly/2WMK1cj
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ด สสว. เห็นชอบแผนส่งเสริมเอสเอ็มอี พ.ศ. 64-65 ให้เอสเอ็มอีไทยอยู่รอดได้ในสถานการณ์โควิด-19 ย้ำให้ สสว.ขับเคลื่อนงานอย่างรวดเร็วโปร่งใส แก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีได้ตามแผน
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 นายกฯ ประชุมบอร์ด สสว. เห็นชอบแผนส่งเสริมเอสเอ็มอี พ.ศ. 64-65 ให้เอสเอ็มอีไทยอยู่รอดได้ในสถานการณ์โควิด-19 ย้ำให้ สสว.ขับเคลื่อนงานอย่างรวดเร็วโปร่งใส แก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีได้ตามแผน นายกฯ เป็นประธานประชุมบอร์ด สสว. เห็นชอบแผนส่งเสริมเอสเอ็มอี พ.ศ. 2564-2565 ให้เอสเอ็มอีไทยอยู่รอดได้ในสถานการณ์โควิด-19 ย้ำให้ สสว.ขับเคลื่อนงานอย่างรวดเร็ว โปร่งใส แก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีได้ตามแผน วันนี้ (28 ธ.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ครั้งที่ 3/2563 ร่วมกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายต่อที่ประชุมตอนหนึ่งว่า การดำเนินขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ของ สสว. จะต้องดำเนินการให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด และโปร่งใส เป็นธรรม สามารถแก้ปัญหาให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ตามแผนการส่งเสริมเอสเอ็มอี ที่มีแนวทางการพัฒนาให้เอสเอ็มอี อยู่รอด อยู่เป็น และอยู่ยาว โดยจะต้องดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายทุกประการ รวมทั้งต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรและบุคลากรของ สสว. ให้ได้รับความเชื่อมั่นเชื่อถือจากประชาชน เพราะมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลด้วย ดังนั้นการบริหารต่าง ๆ จะต้องร่วมมือกัน แสวงหาความร่วมมือกันให้ได้ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ทำทุกอย่างให้เกิดความโปร่งใส เกิดความก้าวหน้าอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ตอบสนองสอดคล้องกับประชาชนและธุรกิจเอสเอ็มอี โดยในการทำงานขอให้คิดถึงการทำประโยชน์เพื่อประชาชนและบ้านเมืองเป็นหลัก ต้องทำให้ประชาชนมีความสุข ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรียึดมั่นมาโดยตลอด ทั้งนี้ ขอให้บอร์ด สสว. รับข้อสังเกตจากการประชุมในวันนี้ไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งให้มีการรายงานผล ติดตามจากผลการประเมินอย่างรัดกุม เพราะเป็นการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส โดยที่ประชุมบอร์ด สสว. ได้มีมติดังนี้ 1. เห็นชอบแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2564 - 2565 ซึ่งเป็นแผนที่จัดทำขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เนื่องจากสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนา 2019 ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด โดยสาระสำคัญของแผนการส่งเสริมฯ คือ เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยสามารถประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์โควิด-19 โดยมีแนวทางดังนี้ 1) การบรรเทาปัญหาและฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่น ส่งเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี 2) การสร้างความพร้อมให้เอสเอ็มอีในการเข้าสู่การแข่งขันในบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ เช่น ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรและธุรกิจ และ 3) การปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เกิดความสะดวกแก่เอสเอ็มอีในการประกอบธุรกิจ เช่นปรับแก้กฎหมายเพื่อลดอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ 2. เห็นชอบแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ 2564 - 2565 และข้อเสนอโครงการและงบประมาณฯ ประจำปีงบประมาณ 2565 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานและบูรณาการร่วมกัน ซึ่งมีโครงการที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหาร สสว. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 จำนวน 114 โครงการ งบประมาณ 5,334 ล้านบาท 3. เห็นชอบเปลี่ยนแปลงการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินสนับสนุนงบประมาณโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย จากเดิม เป็นไปตามมาตรา 34 (3) จัดสรรงบประมาณให้เอสเอ็มอีโดยตรง เป็นมาตรา 34 (2) จัดสรรเงินกองทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการผ่านหน่วยงานร่วมดำเนินการ (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย.) งบประมาณ 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ สสว. ยังได้รายงานให้บอร์ด สสว. ทราบถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอี มีดังนี้ โครงการส่งเสริม เอสเอ็มอี ที่สำคัญในปีงบประมาณ 2564 1. ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Early State/Start up) ดำเนินการพัฒนาทักษะและยกระดับความเป็นผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจไม่เกิน 3.5 ปี เป้าหมาย 2,800 ราย โดยจะให้ที่ปรึกษาให้คำแนะนำด้านการเงิน การออกแบบและพัฒนาสินค้า ในเอสเอ็มอีภาคการเกษตร ภาคการผลิต ภาคการค้าและบริการ 2. พัฒนาวิสาหกิจรายย่อย (Micro เอสเอ็มอี) ให้ประกอบธุรกิจอย่างมืออาชีพ ส่งเสริมพัฒนาด้านมาตรฐานและตลาดออนไลน์ ให้เอสเอ็มอีรายย่อม รายย่อย วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ โดยเน้นเรื่องการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ มีเป้าหมาย 250 ราย และการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านทางดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง มีเป้าหมาย 6,500 ราย 3. พัฒนาวิสาหกิจขนาดย่อม (Small Enterprises หรือ SE) ให้ก้าวสู่ธุรกิจสมัยใหม่ ดำเนินการ 3 แนวทางคือ 1) ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต มีเป้าหมาย 3,000 ราย เน้นที่กลุ่ม New S-Curve และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม 2) ส่งเสริมกลุ่ม SE ที่ผ่านการพัฒนาจากโครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต จำนวน 100 กิจการ 3) พัฒนาศักยภาพและช่องทางการตลาด สำหรับเอสเอ็มอี เป้าหมาย 1,000 ราย เช่น การจัดงาน เอสเอ็มอี FEST จำนวน 10 จังหวัด ทั่วประเทศ 4. ส่งเสริมความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ทำการค้าระหว่างประเทศ เป้าหมาย 2,000 ราย แนวทางการให้ความช่วยเหลือ เอสเอ็มอี ผ่านระบบผู้ให้บริการทางธุรกิจ (Business Development Service : BDS) หรือการจ่ายคนละครึ่งภาค เอสเอ็มอี ขณะนี้ อยู่ระหว่างการจัดทำร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการให้ความช่วยเหลืออุดหนุนจากเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผ่านระบบผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการพัฒนาธุรกิจ พ.ศ. .... และคาดว่าจะนำสามารถนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมส่งเสริม สสว. ได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 การส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) สร้างตลาดนัดชุมชน เชื่อมโยงกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา การสนับสนุนให้ เอสเอ็มอี เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แบบกำหนดโจทย์ล่วงหน้า เพื่อให้เอสเอ็มอีรับทราบความต้องการ เตรียมความพร้อมและสามารถวางแผนการผลิตสินค้าได้ตามความต้องการของผู้ซื้อ คือ กองทัพอากาศและบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด ซึ่งในระยะแรก มุ่งเน้นการดำเนินการในอุตสาหกรรมอากาศยานและซ่อมบำรุง --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ บอร์ด สสว.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. คืนเงินดอกเบี้ยกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นของขวัญปีใหม่ แก่เกษตรกรทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 ธ.ก.ส. คืนเงินดอกเบี้ยกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นของขวัญปีใหม่ แก่เกษตรกรทั่วประเทศ ธ.ก.ส. ส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2564 แก่เกษตรกร ผ่านโครงการชำระดีมีคืนและโครงการลดภาระหนี้ เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของเกษตรกรจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทันทีที่ชำระหนี้เกษตรกรจะได้รับเงินคืนร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระ ธ.ก.ส. ส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2564 แก่เกษตรกร ผ่านโครงการชำระดีมีคืนและโครงการลดภาระหนี้ เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของเกษตรกรจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทันทีที่ชำระหนี้เกษตรกรจะได้รับเงินคืนร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง และกรณีสถาบันเกษตรกรได้รับเงินคืนร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง วางเป้าคืนเงินเข้ากระเป๋าเกษตรกรจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 มี.ค. 64 นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน ซึ่งที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ และสถาบันเกษตรกร ทั้งการขยายระยะเวลาชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย รวมถึงสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อช่วยผ่อนคลายภาระด้านหนี้สินและค่าใช้จ่ายของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ดี รวมถึงการช่วยเหลือลูกค้าที่ยังคงมีหนี้อันเป็นภาระหนัก ได้ลดความกังวล สามารถมีเงินกลับคืนเข้าสู่กระเป๋า เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นหรือค่าใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่อันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ธ.ก.ส. จึงได้ออกมาตรการ ดังนี้ 1) โครงการชำระดีมีคืน สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้เป็นหนี้ปกติ และไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระเกิน15 เดือน ซึ่งต้องมีหนี้คงเหลือ ณ 31 ตุลาคม 2563 ยกเว้นสัญญาเงินกู้ตามโครงการที่ได้รับชดเชยดอกเบี้ยตามนโยบายรัฐบาล เมื่อชำระจะได้รับคืนดอกเบี้ยโดยการโอนคืนเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้าในวันถัดไปหลังจากวันที่ชำระหนี้ กรณีเป็นเกษตรกร และบุคคล จะได้รับเงินคืนในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง แต่ไม่เกินรายละ 5,000 บาท และกรณีกลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จะได้รับเงินคืนในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง แต่ไม่เกินรายละ 50,000 บาท วงเงินงบประมาณ 3,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินงบประมาณ 2) โครงการลดภาระหนี้ สำหรับลูกค้าที่มีสถานะหนี้เป็นหนี้ค้างชำระหรือสถานะหนี้ปกติที่มีดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า 15 เดือน ซึ่งต้องมีหนี้คงเหลือ ณ 31 ตุลาคม 2563 ยกเว้นสัญญาเงินกู้ตามโครงการที่ได้รับชดเชยดอกเบี้ยตามนโยบายรัฐบาล โดย ธ.ก.ส. จะนำดอกเบี้ยที่คืนให้มาลดภาระหนี้ด้วยการตัดชำระต้นเงิน และหลังจากตัดชำระหนี้แล้ว มีเงินคงเหลือจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรในวันถัดไป ซึ่งในกรณีลูกค้าเกษตรกรและบุคคล จะได้รับคืนดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง และกรณีกลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จะได้รับคืนดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง ไม่จำกัดวงเงินที่จะคืน ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ หลังการชำระหนี้ ธ.ก.ส. จะส่งข้อความ SMS ให้เกษตรกรลูกค้าได้รับทราบเมื่อมีการโอนเงินเข้าบัญชี เงินฝากและกรณีที่เกษตรกรลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เช่นกัน หากเกษตรกรลูกค้าต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555 หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37957
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯร่วมเป็นสักขีพยานและกดแตรสัญญาณการเริ่มส่งสินค้าเกษตรไทยไปประเทศจีน
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 รมว.เกษตรฯร่วมเป็นสักขีพยานและกดแตรสัญญาณการเริ่มส่งสินค้าเกษตรไทยไปประเทศจีน รมว.เกษตรฯร่วมเป็นสักขีพยานและกดแตรสัญญาณการเริ่มส่งสินค้าเกษตรไทยไปประเทศจีนภายใต้โครงการเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดพร้อมผลักดันการส่งสินค้าไทยไปตลาดโลกเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยพลโทรังษีกิติญาณทรัพย์กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกและนายสมเด็จสุสมบูรณ์อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศร่วมเป็นสักขีพยานและกดแตรสัญญาณการเริ่มส่งสินค้าเกษตรไทยไปสู่ตลาดโลกภายใต้โครงการเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดกองทัพบกโดยททบ. และองค์ภาคีเครือข่าย 5 องค์กรณท่าเรือแหลมฉบัง B5 จ.ชลบุรีโดยสินค้าเกษตรไทยที่ส่งไปล็อตแรกนี้คือมะพร้าวอ่อนบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 5 ตู้จากเกษตรกรสวนผึ้งจ.ราชบุรีน้ำหนักรวม 100 ตันโดยดำเนินการขนส่งทางเรือจากท่าเรือแหลมฉบังไปยังประเทศจีนคาดว่าสินค้าล็อตแรกนี้จะส่งถึงจีนในช่วงต้นเดือนมกราคม 2564 หรือก่อนเทศกาลตรุษจีน ทั้งนี้คาดว่าในปี 2564 ประเทศจีนจะมีความต้องการสินค้าเกษตรไทยเป็นจำนวนมากโดยผู้ประกอบการภาคเอกชนของประเทศจีนมีความสนใจที่จะสั่งซื้อสินค้าเกษตรของไทยอีกหลายรายการอาทิมะพร้าวน้ำหอมลำไยสับปะรดภูแลและทุเรียนหมอนทองเป็นต้น "การดำเนินการส่งสินค้าในวันนี้เป็นผลมาจากลงนามร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงพาณิชย์ททบ. และภาคีเครือข่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาซึ่งทางททบ. จะดำเนินการบริหารจัดการในเรื่องของสินค้าผ่านแพล็ตฟอร์ม OHLALA SHOPPING.COM วันนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นในการส่งสินค้าไปต่างประเทศและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามสินค้าเกษตรไทยมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นทั้งพืชผลและเนื้อสัตว์เราจึงต้องรักษาคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยให้ได้มาตรฐานจึงเชื่อมั่นว่าการดำเนินการร่วมกันในวันนี้ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและองค์กรภาคีเครือข่ายจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการส่งสินค้าไทยไปตลาดโลกและช่วยฟื้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อีกทางหนึ่ง" นายเฉลิมชัยกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประชุมป้องกันการทุจริต ยกระดับคุณธรรม ความโปร่งใส ยึดจุดเน้น 4 ด้าน ‘ป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบริหารจัดการ’
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 ศธ.ประชุมป้องกันการทุจริต ยกระดับคุณธรรม ความโปร่งใส ยึดจุดเน้น 4 ด้าน ‘ป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบริหารจัดการ’ นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมปฏิบัติการขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริต เพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ศธ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ปลัด ศธ.”สุภัทร จำปาทอง” กล่าวในการประชุมขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริต เพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน แก่หน่วยงานส่วนกลาง-ภูมิภาค ให้ยึดจุดเน้น 4 ด้าน ‘ป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบริหารจัดการ’ ย้ำถ้าทุกคนทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็อย่ากังวล เพราะอธิบายได้ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความดีจะชนะทุกอย่าง (21 ธันวาคม 2563) นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมปฏิบัติการขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริต เพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ศธ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 โดยมีผู้บริหารและบุคลากรจากองค์กรหลัก องค์กรในกำกับ และสำนักงานศึกษาธิการภาค/จังหวัด เข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน ณ โรงแรมรอยัล ซิตี้ กรุงเทพฯ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อพูดถึง ‘คุณธรรม จริยธรรม’ เชื่อว่าทุกคนจะอยู่ในจุดหลักเดียวกัน คือ มีความรู้ มีความเข้าใจในการปฏิบัติตนให้อยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง แต่ช่วงเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินข่าวการกระทำความผิด การกระทำการทุจริตในหน่วยงานราชการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องยึดจุดเน้นของการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ คือ ‘ป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบริหารจัดการ’ ถ้าทุกคนทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเราสามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้ เพราะความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย สุดท้ายแล้วความดีจะชนะทุกอย่าง ขอให้ยึดมั่นในสิ่งนี้ สำหรับการประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของ ศธ. เป็นการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริตเพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ศธ. และสร้างความรู้ ความเข้าใจ และวิเคราะห์ความเสี่ยงการทุจริตในหน่วยงานได้ ขอเน้นย้ำให้ข้าราชการทุกคน ต้องอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม และขอให้ทุกคนมีจุดยืนของตัวเอง รักษาความดีของการเป็นข้าราชการที่ดีเอาไว้ต่อไป นางสาวพรมนันท์ เตียวเจริญชัย ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ศธ. กล่าวว่า การป้องกัน ปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นวาระสำคัญที่ถูกกำหนดไว้ในยุทธศาตร์ชาติ ด้านที่ 6 การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ประเด็นที่ 6 ภาครัฐมีความโปร่งใส ปลอดการทุจริต และประพฤติมิชอบ ทุกภาคส่วนร่วมต่อต้านการทุจริตภาครัฐ มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในทุกระดับ ทั้งนี้ ได้กำหนดให้ประเด็น “แก้ปัญหาการทุจริต” เป็น 1 ใน 15 ประเด็นการพัฒนาเร่งด่วนในช่วงระยะ 5 ปีแรก ของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านที่ 11 การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้กำหนดจุดเน้นของการปฏิรูปเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการป้องกันและเฝ้าระวัง 2) ด้านการป้องปราม 3) ด้านการปราบปราม และ 4) ด้านการบริหารจัดการ ซึ่งมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ที่กำหนดให้การบริหารจัดการในภาครัฐ มีการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบเป็นยุทธศาสตร์ที่ 6 ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวสู่การปฏิบัติ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) รวมทั้งการปรับโครงสร้างประเทศไทยไปสู่ไทย 4.0 สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2565) ซึ่งมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ให้หน่วยงานภาครัฐมีระบบป้องกันและแก้ไขการทุจริต รวมทั้งประชาชนไม่เพิกเฉยต่อการทุจริตของหน่วยงานภาครัฐ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้กำหนดให้มีการประชุมปฏิบัติการขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริตของ ศธ.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจทิศทางการขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริต เพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ศธ. สร้างความรู้ความเข้าใจและวิเคราะห์ความเสี่ยงการทุจริตในหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามฯ และแผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ปึงบประมาณ พ.ศ. 2564 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ต่อไป ทั้งนี้ ในการประชุมปฏิบัติการ มีการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริตเพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใส อาทิ - ว่าที่ร้อยโท ดร.เจนรบ พละเดช ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาครัฐ กองการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ สำนักงาน ป.ป.ท - ผศ.ดร.เขมม์ภัทร เย็นเปี่ยม โรงเรียนกฎหมายและการเมืองมหาวิทยาลัยสวนดุสิต - นางสาวประสพสุข ทรงผาสุข ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงาน ป.ป.ช. - นายอภิรักษ์ แสงทอง เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตชำนาญการ สำนักงาน ป.ป.ช. - นายจิรายุ อุปเสน ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จงจิตร ฟองละแอ / สรุป ธนภัทร จันทรืห้างหว้า / ถ่ายภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.จับมือภาคีเครือข่าย พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ Active Learning สอดคล้องจุดเน้น ‘สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ’
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 สพฐ.จับมือภาคีเครือข่าย พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ Active Learning สอดคล้องจุดเน้น ‘สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ’ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ ‘พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ Active Learning ร่วมกับภาคีเครือข่าย’ ให้แนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ สอดคล้องกับแนวทางและจุดเน้น ‘สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ’ เมื่อเร็ว ๆนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ ‘พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ Active Learning ร่วมกับภาคีเครือข่าย’ โดยว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้แนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ สอดคล้องกับแนวทางและจุดเน้น ‘สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ’ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา กล่าวว่า การขับเคลื่อนงานในปีงบประมาณ 2564 สพฐ.มุ่งเน้นต่อยอดวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ Active Learning ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่สนับสนุนให้ทุกโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ทั้ง 225 เขตพื้นที่การศึกษา ให้สามารถวิเคราะห์และเลือกใช้นวัตกรรมได้ตามความต้องการและเหมาะสมกับบริบท พร้อมทั้งใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนโดยใช้พื้นที่เป็นฐานเพื่อนำสู่การใช้ประโยชน์จริงในพื้นที่และสอดคล้องกับผู้เรียนที่มีความหลากหลายในทุกๆมิติ โดยได้กำหนดแผนการดำเนินงานระยะแรกร่วมกับภาคีเครือข่าย กิจกรรมสำคัญประกอบด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถอดกระบวนการจัดการเรียนรู้ Active Learning ของภาคีเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จ ในรูปแบบความร่วมมือ รูปแบบการเรียนรู้ รูปแบบด้านเนื้อหา และบริบทที่หลากหลาย การสังเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จในด้านการจัดการเรียนรู้ Active Learning ร่วมกับภาคีเครือข่าย รวมไปถึงการพัฒนาและออกแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ในรูปแบบหลากหลายและเป็นระบบ ด้วยฐานการวิจัยแบบมีส่วนร่วมให้สอดคล้องกับการนำไปใช้ตามบริบทพื้นที่ ตามแนวทางและจุดเน้น ของ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. คือ ‘สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ’ โดยจะใช้พื้นที่เป็นฐานขับเคลื่อนคุณภาพ จะใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนความสำเร็จ ดร.สมพร สามทองกล่ำ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยทางการศึกษา สพฐ. เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนทุกคนของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ได้พัฒนาทักษะความรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะวิชาการ ทักษะวิชาชีพ และทักษะชีวิต รวมถึงคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับภาคีเครือข่ายได้อย่างเหมาะสมและมีความสุข ตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ Active Learning ร่วมกับภาคีเครือข่าย ที่สนับสนุนให้โรงเรียนสามารถวิเคราะห์และเลือกใช้นวัตกรรมได้ตามความต้องการและเหมาะสมกับบริบท รวมถึงสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้จากภาคีเครือข่ายไปประยุกต์ใช้ตามบริบทที่มีความแตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม การดำเนินงานที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกที่มีทรัพยากรและมีความพร้อมในมิติต่าง ๆ เป็นอย่างดี เช่น การสนับสนุนแหล่งเรียนรู้ การสนับสนุนวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ การสนับสนุนสื่อการเรียนรู้และเทคโนโลยี รวมถึงการสนับสนุนองค์ความรู้ กระบวนการและกิจกรรม เป็นต้น ซึ่งบูรณาการกระบวนการเรียนรู้ Active Learning ในการเข้าร่วมพัฒนาศักยภาพผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง โดย สพฐ.มุ่งเน้นการขับเคลื่อน 4 ด้าน คือ ด้านความปลอดภัย โอกาส คุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งสอดรับกับนโยบายของ สพฐ. ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทั้ง 20 หน่วยงาน ที่ร่วมคิด ร่วมแบ่งปัน ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยการเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและพัฒนาการศึกษาไปด้วยกัน ศตายุ วาดพิมาย สรุป/ภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37963
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอคนทั้งประเทศร่วมมือ+ร่วมใจ ผ่านปัญหาโควิด-19 ยืนยันการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ต้องผ่าน อย. คัดกรองประเมินความเสี่ยงก่อน
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีขอคนทั้งประเทศร่วมมือ+ร่วมใจ ผ่านปัญหาโควิด-19 ยืนยันการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ต้องผ่าน อย. คัดกรองประเมินความเสี่ยงก่อน นายกรัฐมนตรีขอคนทั้งประเทศร่วมมือ+ร่วมใจ ผ่านปัญหาโควิด-19 ยืนยันการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ต้องผ่าน อย. คัดกรองประเมินความเสี่ยงก่อน วันนี้ (28 ธ.ค.63) เวลา 14.45 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้มีการหารือในแผนการดำเนินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด โดยที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ การให้ SMEs ไปต่อได้ โดยอาจปรับเปลี่ยนรูปแบบในการลงทุน เพิ่มนวัตกรรม ผลักดันผลิตภัณฑ์สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เร่งรัดหน่วยราชการ สามารถจัดซื้อวิสาหกิจชุมชนตามที่เคยปลดล็อกไปแล้ว นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์โควิด-19 หากสามารถติดตามผู้ติดเชื้อในแต่ละวันให้เข้าระบบ รู้ที่มาของการติดเชื้อก็จะสามารถหาวิธีการป้องกันได้ ทั้งนี้ รัฐบาลมีหน้าที่ในการดูแล และป้องกันให้ประชาชนทุกคนปลอดภัย พร้อมเตือนให้ทุกคนใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด โดยเฉพาะเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึง รวมถึงให้พิจารณาการเรียน online และมาตรการ Work from Home ดังที่เคยได้มีการปฏิบัติมาก่อนแล้ว กรณีวัคซีนนั้น จะต้องผ่านการตรวจสอบจาก อย. ต้องมีการคัดกรองคุณภาพ ประสิทธิภาพจึงจะสามารถนำมาใช้ได้ รวมทั้งประเมินความเสี่ยงติดตามผลข้างเคียงของวัคซีนที่จะเกิดขึ้นด้วย จึงจำเป็นต้องรับความคิดเห็นจากแพทย์และต้องให้สาธารณสุขรับรองเสียก่อน ในส่วนของวัคซีนที่สั่งจองไปจำนวน 20 ล้านโดสมีข้อตกลงว่าสามารถนำมาวิจัยต่อยอดในประเทศได้ สามารถผลิตเองได้ ทำให้มั่นใจว่าจะเพียงพอต่อคนทั้งประเทศแน่นอน ในส่วนการส่งเสริมภายในประเทศรัฐบาลมีวงเงินงบประมาณที่ให้สถาบันวัคซีนเพื่อแจกจ่ายคณะทำงานในส่วนนี้ โดยกลุ่มที่จะได้รับงบประมาณจะต้องเข้าเกณฑ์ที่สถาบันวัคซีนกำหนด พร้อมกล่าวว่าได้เพิ่มวงเงินงบประมาณในส่วนนี้แล้ว ช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรียังวอนคนทั้งประเทศร่วมมือร่วมใจกันผ่านปัญหาไปให้ได้ ไม่โทษกันเอง ย้ำไม่เคยเอื้อประโยชน์พร้อมสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงและลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องทุกราย หากพบการทุจริตสามารถส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีได้โดยตรง พร้อมขอบคุณสำหรับฉายาที่สื่อตั้งให้ ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกอะไรที่ได้รับฉายานี้ --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37968
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวง กำหนด โรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2563
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 กระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวง กำหนด โรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2563 กระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวง กำหนด โรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2563 กระทรวงมหาดไทย ออกกฎกระทรวง กำหนดโรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร หรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร พ. ศ. 2563 :: มีผลใช้บังคับ 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 25 ธ.ค.63 เล่มที่ 137 ตอนที่ 105ก หน้า 12-13) โรคตามมาตรา 12 (4) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 1 โรคเรื้อน 2 วัณโรคในระยะอันตราย 3 โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม 4 โรคยาเสพติดให้โทษ 5 โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 6 โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 โรคตามมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 1 โรคเรื้อน 2 วัณโรคในระยะอันตราย 3 โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม 4 โรคยาเสพติดให้โทษ 5 โรคพิษสุราเรื้อรัง 6 โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 7 โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ทั้งนี้ ประเทศไทยได้มีมาตรการในการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศ ตั้งแต่เริ่มมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยกฎกระทรวงฯ นี้ ได้กำหนดโรคโควิด-19 เป็นโรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวที่จะเข้ามาในประเทศหรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย มีผลใช้บังคับ 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37954
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะขับเคลื่อน BCG Economy เคาะมาตรการ Green Tax Expense ลดหย่อนภาษีสำหรับพลาสติกที่ย่อยสลายได้ 1.25 เท่า
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 สุริยะขับเคลื่อน BCG Economy เคาะมาตรการ Green Tax Expense ลดหย่อนภาษีสำหรับพลาสติกที่ย่อยสลายได้ 1.25 เท่า กระทรวงอุตฯ จับมือคลังปล่อยมาตรการกระตุ้นใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ลดภาษีเงินได้ 1.25 เท่า ส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หนุนเอกชนซื้อผลิตภัณฑ์ชีวภาพตามข้อกำหนดได้ยกเว้นภาษีปี 2562-25 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งขับคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy : เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) ดังนั้นเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมจึงได้ร่วมกับกระทรวงการคลังจัดทำมาตรการกระตุ้นการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Green Tax Expense) ซึ่งจะเป็นการนำรายจ่ายที่ผู้ประกอบการได้จ่ายไปในการซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจำนวน 1.25 เท่าของค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปในขอรับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ในระหว่างปี 2562-2564 โดยจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายตามประเภทที่กรมสรรพากรกำหนดจากผู้ผลิตที่ได้รับใบรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่ออกให้โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ทั้งนี้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนจะมีการใช้เทคโนโลยียกระดับอุตสาหกรรมชีวภาพเพื่อสร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว มุ่งลดการปล่อยมลภาวะและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สามารถตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังขยายตัวอยู่ทั่วโลก ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่า ผู้ประกอบการจะเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 ต่อปีของปริมาณการผลิตพลาสติกทั้งหมดจำนวน 431,800 ตันต่อปี “มาตรการกระตุ้นการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน BCG Economy ยกระดับนวัตกรรมให้สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่มีแนวโน้มขยายเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากพลาสติกเป็นส่วนประกอบในเกือบทุกอุตสาหกรรมและมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของประชาชน การผลักดันให้เกิดการใช้พลาสติกย่อยสลายได้อย่างแพร่หลายจะช่วยลดมลภาวะและของเสียในสังคม ช่วยสร้างเศรษฐกิจสีเขียวและยกระดับสังคมให้น่าอยู่มากขึ้น ช่วยลดงบประมาณภาครัฐในการกำจัดขยะพลาสติกตกค้าง และเป็นการเพิ่มทางเลือกในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายยาก ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุเป้าประสงค์ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub of ASEAN” นายสุริยะ กล่าว นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า มาตรการ Green Tax Expense สำหรับพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ สศอ. จะออกใบรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพให้กับผู้ผลิตในประเทศที่จำหน่ายระหว่างปี 2562-2564 โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ซื้อคนแรกสามารถนำรายงานการซื้อสินค้า ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และใบรับรองผลิตภัณฑ์ฯ จาก สศอ. ยื่นขอลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นจำนวน 1.25 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ได้แก่ 1.ถุงหูหิ้ว 2.ถุงขยะ 3.แก้วพลาสติก 4.จาน ชาม ถาดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว 5.ช้อน ส้อม มีดพลาสติก 6.หลอดพลาสติก 7.ถุงพลาสติกสำหรับเพาะชำ 8.ฟิล์มคลุมหน้าดิน 9.ขวดพลาสติก 10.ฝาแก้วน้ำ และ 11.ฟิล์มปิดฝาแก้ว “หลักเกณฑ์การออกใบรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกดังกล่าว จะออกให้กับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกฯ ที่จำหน่ายระหว่างปี 2562-2564 โดยต้องยื่นแบบฟอร์มการขอใบรับรองให้ สศอ. ตรวจสอบ ตามหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งใน 4 ข้อ คือ 1.ผลิตภัณฑ์ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) 2.ผลิตภัณฑ์ได้รับรองมาตรฐานอื่นที่เทียบเท่าในต่างประเทศ 3.ผลิตภัณฑ์มีใบรับรองทางห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง 4.ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองเม็ดพลาสติกที่ใช้ผลิตตามมาตรฐาน มอก. 17088 หรือ มาตรฐานเทียบเท่า และสำเนาผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ในรายการผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองเม็ดพลาสติกที่ใช้ผลิตตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 17088 หรือ มาตรฐานเทียบเท่าและสำเนาผลการทดสอบองค์ประกอบผลิตภัณฑ์ (FTIR)” นายทองชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37962
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- มาตรการป้องกันโรคโควิด-19
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 โดยในพื้นที่ กทม. ให้ปิดโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ตั้งด่านตรวจคัดกรองโรคจากแรงงานต่างด้าวตลอด 24 ชั่วโมง จัดเจ้าหน้าที่ตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในตลาดสดและแคมป์คนงานก่อสร้างทั่ว กทม. ให้ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และสถานบริการ ทำความสะอาดสถานที่ เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ และให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้านและสแกน QR Code ไทยชนะ ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ขอความร่วมมือให้ทุกคนปฏิบัติตาม D-M-H-T-T อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ตรวจให้ไว ใช้ไทยชนะ
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 โฆษก ศบค. ขอความร่วมมือให้ทุกคนปฏิบัติตาม D-M-H-T-T อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ตรวจให้ไว ใช้ไทยชนะ โฆษก ศบค. ขอความร่วมมือให้ทุกคนปฏิบัติตาม D-M-H-T-T อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ตรวจให้ไว ใช้ไทยชนะ วันนี้ (28 ธ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประจำวัน ดังนี้ โฆษก ศบค. ยืนยันผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการข้าราชการชั้นสูงที่ปฏิบัติงาน ณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร พบเชื้อโควิด-19 มีประวัติการทำงานในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูง โดยเมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขได้ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเพื่อติดตามศูนย์ห่วงใยคนสาคร หรือโรงพยาบาลสนาม สำหรับดูแลคนต่างด้าวในจังหวัดสมุทรสาคร และมีการประชุม ณ โรงพยาบาลสมุทรสาครเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แม้ว่าตลอดการประชุมจะมีการใส่หน้ากากตลอดเวลา แต่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขจะต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโรค เบื้องต้นได้ตรวจโดยวิธี Rapid test และวิธี Swab เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอผลการตรวจ ระหว่างนี้ได้กักตัวเพื่อดูอาการ 14 วัน โฆษก ศบค. ยังเน้นย้ำ หากผู้ใดที่มีความเสี่ยงสูงในกลุ่มนี้ เช่น หากมีการไอ จามรดกันโดยไม่ใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย หรือเข้าร่วมประชุมที่ระยะห่างไม่เกิน 5 เมตรเกินกว่า 15 นาที ให้รีบรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในทุกพื้นที่ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำให้กักตัวดูอาการเป็นเวลา 14 วันและให้ใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยเป็นประจำ เว้นระยะห่าง และเวิร์คฟอร์มโฮม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยไปยังผู้ที่มีการติดเชื้อและขอให้ทางจังหวัดได้ดูแลกันอย่างเต็มที่ตามมาตรการที่มอบอำนาจไปแล้ว โดยผู้ตรวจราชการในเขตพื้นที่สุขภาพที่ 5 กระทรวงสาธารณสุขจะได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนต่อไป โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ 144 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 115 ราย ผู้ติดเชื้อโดยการตรวจเชิงรุกในกลุ่มแรงงานต่างด้าว 14 ราย อยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 15 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสม 6,285 ราย แบ่งออกเป็นการติดเชื้อในประเทศ 4,302 ราย และเป็นการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าว 1,370 ราย หายป่วยแล้ว 4,180 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตยังคงที่อยู่ที่ 60 ราย จังหวัดที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ นราธิวาส นครนายก เชียงใหม่ สุโขทัยและลพบุรี สถานการณ์ทั่วโลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 81,142,113 คน เพิ่มขึ้นวันนี้ 410,102 คน เสียชีวิตสะสม 1,717,884 เพิ่มขึ้น 7,041 คน คนโดยไทยอยู่ในลำดับที่ 142 ของโลก โฆษก ศบค. กล่าวถึงการจัดการดูแลในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร (ส.1) เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อปฏิบัติการ ณ จุดตรวจ/ด่านคัดกรองใน 3 อำเภอ จำนวน 11 จุด เพื่ออำนวยความสงบเรียบร้อย ควบคุมและเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันได้มีการจัดตั้งศูนย์ห่วงใยคนสาคร1 ณ สนามกีฬาจังหวัดสมุทรสาคร และโรงพยาบาลสนาม ณ ตลาดกลางกุ้ง สำหรับกระบวนการนำผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือบุคคลที่สงสัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้าสู่โรงพยาบาล สามารถติดต่อสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 หรือติดต่อชุดปฏิบัติการฉุกเฉินพิเศษ Special Covid-19 Operation Team : SCOT เพื่อช่วยนำส่งผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าสู่โรงพยาบาลได้ ในช่วงท้าย โฆษก ศบค. ยังย้ำถึงที่ประชุม ศบค. ได้ให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่แบ่งเป็น 4 ระดับ โดยเฉพาะพื้นที่ควบคุม สูงสุด และพื้นที่ควบคุมต้องการการทำงานอย่างเข้มแข็ง โดยฝากผู้ว่าราชการจังหวัด นายแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กำชับการใช้มาตรการทุกข้อ เพื่อไม่ให้ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้มีตัวเลขการติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงจำนวนถึงหลักพัน โดยขอให้ทุกคนปฏิบัติตาม D-M-H-T-T ซึ่งได้แก่ อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ตรวจให้ไว และเชิญชวนให้ประชาชนใช้แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ที่เป็นระบบบันทึกการเดินทางของประชาชนผ่าน Bluetooth ซึ่งมีระบบติดตามค่อนข้างละเอียดและช่วยแจ้งเตือนประชาชนเมื่ออยู่ในบริเวณใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยโควิด 19 ได้อีกด้วย .......................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37959
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ปล่อยขบวนอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2564 “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ”
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 ศธ.ปล่อยขบวนอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2564 “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ศธ.ปล่อยขบวนอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2564 “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เชิญชวนพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยว ตรวจสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์…ฟรี ศธ.ปล่อยขบวนอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2564 “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เชิญชวนพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยว ตรวจสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์…ฟรี หวังลดอุบัติเหตุ ให้ทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ให้บริการ 259 ศูนย์ ครอบคุลม 76 จังหวัด และกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 29 ธ.ค.2563 – 4 ม.ค.2564 (23 ธันวาคม 2563) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดกิจกรรมอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างกระทรวงศึกษาธิการ โดยนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ นายณรงค์ ดูดิง ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ (คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) รวมทั้งผู้บริหารองค์กรหลักและในกำกับ เข้าร่วมกิจกรรม รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดกิจกรรมอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2564 เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ บริการและช่วยเหลือสังคมในเรื่องที่ตรงกับสาขาวิชาชีพของตนเอง ได้แสดงออกในการมีส่วนร่วมต่อสังคมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้คำขวัญการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนว่า “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลทุกปี จะเห็นชาวอาชีวศึกษาออกมาทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นบริการขั้นพื้นฐาน แต่ความจริงแล้วอาชีวะสามารถทำได้มากกว่านี้ ทั้งในเรื่องการซ่อมแซมอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน สิ่งสำคัญ คือ วันนี้เรากำลังยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาให้คนเห็นความสำคัญของผู้เรียน ทั้งในเรื่องของความสามารถ ทักษะอาชีพ ซึ่งหวังว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของทั้งผู้ปกครองและนักเรียนให้เห็นความสำคัญของสายอาชีพ ขณะเดียวกัน ศธ. มีความจำเป็นที่จะทำให้สายอาชีพมีการพัฒนาการเรียนรู้ระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ โดยบูรณาการให้เป็น Excellence Center และพยายามพัฒนาให้เกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะศูนย์ร่วมกับภาคเอกชนเพื่อยกระดับอาชีวศึกษาอย่างแท้จริง ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการ กอศ. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สอศ. มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2564 ตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ กิจกรรมศูนย์อาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน โดยตั้งศูนย์ให้บริการทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพฯ จำนวน 259 แห่ง บริเวณถนนสายหลักและสายรอง ยกเว้นศูนย์อาชีวะอาสาฯ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีจุดสังเกตสำหรับประชาชนคือ เต็นท์สีม่วงริมทาง โดยจะมีป้ายบอกระยะทาง 1 กม. และ 500 เมตร ก่อนถึงศูนย์ฯ หรือสามารถค้นหาจุดบริการจากแอปพลิเคชันอาชีวะอาสา เพื่อนำทางไปยังจุดบริการได้ ภายในศูนย์ จะให้บริการตรวจสภาพรถเบื้องต้นเพื่อความปลอดภัย ให้ความช่วยเหลือผู้เดินทางกรณีฉุกเฉิน บริการรถยก (บางพื้นที่) บริการนวดผ่อนคลาย บริการผ้าเย็น น้ำดื่ม ข้อมูลเส้นทางและแหล่งท่องเที่ยว รายชื่ออู่รถที่เปิดให้บริการ เป็นต้น ซึ่งเป็นการให้บริการฟรีไม่คิดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ กิจกรรมที่ให้บริการจะเป็นไปตามความเหมาะสมของบริบทพื้นที่นั้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะให้บริการระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 00.30 น. และกิจกรรมตรวจเข้มข้นสภาพรถโดยสารสาธารณะหมวด 2 หมวด 3 ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพฯ โดยร่วมช่วยเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดทั่วประเทศในการตรวจความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะก่อนออกเดินทาง และระหว่างการเดินทาง ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 รวม 7 วัน ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564 ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แอปพลิเคชัน “อาชีวะอาสา” หรือสอบถามได้ที่ โทร. 089-765-7977 , 085-906-5499 หรือ 065-637-3455 ปารัชญ์ ไชยเวช / สรุป อธิชนม์ สลางสิงห์ / ถ่ายภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2563 ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีและส่งสหรัฐอเมริกา
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 พม. ร่วมประชุมพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2563 ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีและส่งสหรัฐอเมริกา พม. ร่วมประชุมพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2563 ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีและส่งสหรัฐอเมริกา วันนี้ (28 ธ.ค. 63) เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 8/2563 เพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 โดยมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และกระทรวงแรงงาน เป็นต้น รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 60 คน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยได้เห็นชอบในหลักการร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษเรียบร้อยแล้ว สำหรับการประชุมฯ ในวันนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาร่างรายงานทั้งสองฉบับดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ ซึ่งมุ่งเน้นการนำเสนอความก้าวหน้าและผลการดำเนินงาน 3 ด้านสำคัญ ดังนี้ 1) ด้านดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย โดยการนำเสนอสถิติการดำเนินคดีค้ามนุษย์ ความคืบหน้าคดีสำคัญ และการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ 2) ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ โดยการเตรียมการรองรับการดูแลกลุ่มผู้เสียหายที่มีความหลากหลายทางเพศ และการพัฒนาแนวทางการใช้ระยะเวลาฟื้นฟูและไตร่ตรอง (Reflection Period) เพื่อให้บุคคลที่อาจเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้มีระยะเวลาที่เหมาะสมในการทบทวนเรื่องราว ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองช่วยเหลือและดำเนินคดี และ 3) ด้านป้องกัน โดยการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปรามการค้ามนุษย์ การกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ ในกลุ่มแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ การคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย และการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจแรงงานกลุ่มเสี่ยงและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเข้มงวด นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. จะนำร่างรายงานดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มกราคม 2564 เพื่อพิจารณาเห็นชอบ ก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ ประจำปี 2564 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37967
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” มอบ นฤมล-ธรรมนัส แก้ปัญหาแรงงานประมงสงขลา
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 “บิ๊กป้อม” มอบ นฤมล-ธรรมนัส แก้ปัญหาแรงงานประมงสงขลา - - วันที่ 28 ธันวาคม 2563 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เคลียร์ปัญหา ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอจะนะได้รับผลกระทบจากโครงการ “จะนะเมืองต้นแบบนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ดูสภาพพื้นที่บ้านปากบางสะกอม เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านกว่า 100 ลำ และทำความเข้าใจกับแกนนำกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น เพื่อหาทางออกร่วมกัน ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ “จะนะเมืองต้นแบบนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” และกังวลในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จึงมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนจากการดำเนินโครงการดังกล่าว แล้วนำปัญหาที่แท้จริงและข้อเสนอจากชาวบ้านไปนำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้มากที่สุด อยากไรก็ตาม รัฐบาลจะหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยจุดที่ 1 ไปพบปะตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่บ้านสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา (บริเวณหาดเต่าไข่) ณ จุดพักชมธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เดินทางต่อไปยังตำบลตลิ่งชัน และตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เพื่อดูสภาพพื้นที่และพบปะชาวประมงพื้นบ้าน ณ บ้านปากบางสะกอม จุดนี้มีเรือประมงพื้นบ้าน จำนวน 100 ลำ ที่คอยให้การต้อนรับและสะท้อนปัญหาความกังวลที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และจุดที่ 3 ไปยังโรงเรียนศาสนบำรุง ตำบลบ้านนา อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เพื่อหารือร่วมกับแกนนำกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น จากการรับฟังประเด็นปัญหาและข้อเสนอของชาวบ้าน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่เห็นด้วย แต่มีเงื่อนไข กลุ่มเห็นด้วยทุกกรณี และกลุ่มคัดค้าน โดยกลุ่มแรก ต้องการให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าที่จะสร้างขึ้นนี้ด้วย อาจเป็นในรูปการจัดตั้งบริษัท เพื่อเข้าถือหุ้น โดยคณะอนุกรรมการฯ จะรับข้อเสนอของทุกฝ่ายไปศึกษาความเป็นไปได้ในทางกฎหมาย และเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี แล้วเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณาในลำดับต่อไป จุดแรกพบปะชาวบ้านบ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะนะ เสนอให้ยุติโครงการก่อสร้างไปก่อน แล้วกลับไปศึกษาผลกระทบต่างๆ อย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านทุกกลุ่ม เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะมากขึ้น จุดนี้มีทั้งกลุ่มที่ทำประมง และปลูกพืชผลทางเกษตรกร และทำนาข้าว ที่เป็นพันธ์ข้าวอนุรักษ์(พันธ์ข้าวลูกปลา) การก่อสร้างดังกล่าวจะส่งผลกระทบอาชีพเหล่านี้ รวมถึงมีผลกระทบต่อรายได้และอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกันด้วย ด้านตัวแทนนักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จากวิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่า โรงไฟฟ้าแห่งนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นในภาคใต้ ดังนั้นจึงควร ศึกษาข้อมูลที่จะมารองรับถึงความเหมาะสมและคุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมาข้อมูลที่ถูกนำเสนอยังไม่เพียงพอ ในการสร้างความเชื่อมั่น เพราะไม่ได้มาจากการศึกษา นักวิชาการและชาวบ้านจึงยังมีความกังวลและคิดว่าการก่อสร้างอาจไม่ได้เป็นการพัฒนาภาคใต้หรือพัฒนาประเทศ จึงเสนอให้ควรที่จะกลับไปทบทวนอีกครั้ง หากมีข้อมูลที่ชัดเจน จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชาวบ้านได้ นอกจากนี้ ยังได้พบกับกลุ่ม "เครือข่ายประชาชนจะนะอาสาเพื่อพัฒนาถิ่น" ซึ่งเป็นตัวแทนจาก 3 ตำบลได้แก่ ตำบลนาทับ ตำบลตลิ่งชันและตำบลสะกอม ต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไป พร้อมยื่นหนังสือถึงสนับสนุนไปยังนายกรัฐมนตรีอีกด้วย จุดที่ 2 หารือร่วมกับตัวแทนสมาคมประมงสงขลาและพบปะชาวประมงพื้นบ้าน เสนอให้มีการต่อยอดอาชีพที่เป็นอยู่ แทนการนำนิคมอุตสาหกรรมเข้ามาในพื้นที่ และะควรต้องมีการสำรวจความคิดเห็นของชาวบ้าน เพราะพื้นที่นี้เป็นครัวของจังหวัดที่มีอาหารทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และจุดสุดท้าย ไปยังโรงเรียนศาสนบำรุงตำบลบ้านนาอำเภอจะนะเพื่อหารือร่วมกับแกนนำกลุ่มธนะรักษ์ถิ่น โดยกลุ่มแกนนำให้ความเห็นว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้คัดค้านการก่อสร้าง แต่ต้องการให้ศึกษาผลกระทบอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวบ้านได้ อีกทั้งให้ชาวบ้านทุกกลุ่มมีส่วนร่วมมากกว่านี้ จึงจะสามารถลดความขัดแย้งลงได้ "ท่านนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ให้ฟังทั้งสองฝ่าย ให้พูดคุยหารือกันด้วยเหตุผล ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม ขอให้มั่นใจ ว่าท่านรักเป็นห่วงพี่น้องประชาชนทุกคน และจะได้หาทางออกรร่วมกัน และไม่ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน" รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเปิดเส้นทางเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา และท่าเรืออัจฉริยะเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โดยเรือดังกล่าวเป็นเรืออลูมิเนียม ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ไร้มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ และทางเสียง รองรับผู้โดยสารได้ 250 คนต่อลำ ในระยะแรก ให้บริการจำนวน 6 ลำ วันจันทร์ – ศุกร์ จอดรับส่งที่ท่าเรือพระราม5 พระราม7 เกียกกาย บางโพธิ์ เทเวศ พรานนก ปากคลองตลาด ราชวงศ์ กรมเจ้าท่า และแคททาวเวอร์สาธร ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ให้บริการที่ท่าเรือท่าช้าง วัดอรุณ วัดกัลยาณมิตร กรมเจ้าท่า และแคททาวเวอร์สาธร สามารถเดินทางเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าทั้งสายสีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดง ผู้สนใจทดลองใช้บริการฟรีได้ตั้งแต่วันนี้ – 14 ก.พ. 2564 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำการกระชับความสัมพันธ์ ไทย-ศรีลังกา พร้อมส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-เอเชียใต้ให้ครอบคลุมทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563 นายกฯ ย้ำการกระชับความสัมพันธ์ ไทย-ศรีลังกา พร้อมส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-เอเชียใต้ให้ครอบคลุมทุกมิติ นายกฯ ย้ำการกระชับความสัมพันธ์ ไทย-ศรีลังกา พร้อมส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-เอเชียใต้ให้ครอบคลุมทุกมิติ นายกฯ ย้ำการกระชับความสัมพันธ์ ไทย-ศรีลังกา พร้อมส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-เอเชียใต้ให้ครอบคลุมทุกมิติ วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสมันตา เค ชยสุริยะ (H.E. Mrs. Samantha K. Jayasuriya) เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับศรีลังกาในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ยินดีที่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศที่มีมายาวนานกว่า 65 ปี ได้ดำเนินต่อไป ซึ่งไทยพร้อมกระชับความร่วมมือกับศรีลังกาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยไทยและศรีลังกาสามารถเป็นประตูสู่ภูมิภาคของกันและกันได้ ทั้งนี้ไทยพร้อมร่วมมือกับศรีลังกาและประเทศอื่น ๆ อย่างแข็งขันในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งขอขอบคุณรัฐบาลศรีลังกาที่ได้มอบหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากเมืองอนุราธปุระ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ด้านเอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานในตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง เป็นช่วงเวลาที่ดีได้รับประสบการณ์และความทรงจำที่ดีเสมอมา ชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน ตลอดจนเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะในมิติด้านศาสนา วัฒนธรรม และความร่วมมือในภูมิภาค นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวชื่นชมรัฐบาลไทยในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เชื่อมั่นในศักยภาพด้านสาธารณสุขของไทยที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับ ทั้งนี้ ศรีลังกาพร้อมให้ความร่วมมือและจะนำประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการสถานการณ์ของไทยไปประยุกต์ใช้ต่อไป อีกทั้งยินดีกับความสำเร็จจากความพยายามของไทยในการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งสามารถลงนามได้เป็นผลสำเร็จในปีนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะส่งเสริมความร่วมมือให้ครอบคลุมในหลายสาขา ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนทวิภาคีระหว่างกันผ่านการสนับสนุนการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ศรีลังกา รวมถึงกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ด้านวิชาการ ที่จะเน้นการพัฒนาชนบท เกษตรกรรม ประมง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการพระราชดำริฝนหลวง และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งไทยยินดีที่จะถ่ายทอด แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นและยืนยันที่จะสนับสนุนศรีลังกาในฐานะประธานความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) เพื่อเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับเอเชียใต้ให้ครอบคลุมทุกมิติยิ่งขึ้น โดยไทยยินดีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC ครั้งที่ 5 เพื่อสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพของศรีลังกา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “สุชาติ” ย้ำบุคลากร กสร. ต้องสร้างศรัทธาให้ลูกจ้าง-นายจ้าง ยึดค่านิยมในการทำงานเพื่อประชาชน
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 “สุชาติ” ย้ำบุคลากร กสร. ต้องสร้างศรัทธาให้ลูกจ้าง-นายจ้าง ยึดค่านิยมในการทำงานเพื่อประชาชน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตอบรับนโยบายและทิศทางการปฏิบัติราชการของรมว.แรงงาน บ่มเพาะจรรยาข้าราชการ ให้บุคลากรกรมมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกความซื่อสัตย์สุจริต ยึดค่านิยมในการทำงานเพื่อประชาชน สร้างความเชื่อถือ และศรัทธาให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรโดยการสร้างคนให้มีศักยภาพเป็น คนเก่งและดี พร้อมน้อมนำแนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางปฏิบัติงาน โดยเน้นย้ำว่า บุคลากรของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น ต้องปฏิบัติงานอยู่ระหว่างผลประโยชน์ของนายจ้าง ลูกจ้าง และต้องบริการอย่างใกล้ชิด บางครั้งอาจถูกร้องเรียน กล่าวหา หรืออาจถูกดำเนินการทางวินัย อาจทำให้กระทบกับภารกิจของกรมและตัวของข้าราชการได้ ดังนั้น จึงต้องสร้างความน่าเชื่อถือ และศรัทธาให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง โดยการปลูกฝังค่านิยมให้มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประเทศชาติและประชาชน อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นกลไกสำคัญที่จะสนับสนุนให้ระบบราชการมีบุคลากรที่มีคุณภาพสูงและมีความพร้อมในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ ตามทิศทางการปฏิบัติราชการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปด้านบริหารราชการแผ่นดิน แผนแม่บทและแผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ กรมจึงได้จัดโครงการอบรม เสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาสำหรับข้าราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขึ้น เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาทัศนคติ จิตสำนึกและพฤติกรรมให้เป็นผู้มีวินัยในการทำงาน ตลอดจนทราบถึงขั้นตอน วิธีการ หรือวิธีปฏิบัติเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม บรรลุผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน คือ แรงงานได้รับการคุ้มครอง ดูแล และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการสร้างเครือข่ายการต่อต้านการทุจริตของกรม พร้อมทั้งประกาศเจตจำนงสุจริตของผู้บริหาร อันจะนำไปสู่การเป็นองค์กรราชการใสสะอาด เกิดภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธา ของนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนได้ในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37896
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓ นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓ โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม เพื่อรับทราบการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ และมาตรการด้านสาธารณสุข กรณีการแพร่ระบาดใน จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.นครปฐม จ.พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และแนวชายแดน ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด - 19 การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 กรณีการแพร่ระบาดใน จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.นครปฐม จ.พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และ แนวชายแดน มาตรการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๔ มาตรการเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 มาตรการและแนวทางการใช้แอปพลิเคชันเพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 นอกจากนี้ที่ประชุมพิจารณาความเหมาะสมในการจัดงานฉลองปีใหม่ ๒๕๖๔ งานวันเด็ก รวมถึงความเหมาะสมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตันนานาชาติ พร้อมทั้งพิจารณาปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งข้อเสนอแนะในการดำเนินงาน ของศูนย์ปฏิบัติการด้านต่างๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม. พร้อมแล้ว!! กับการโอนดอกเบี้ยงวดแรกและการซื้อขายในตลาดรองบนแอปเป๋าตัง
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม. พร้อมแล้ว!! กับการโอนดอกเบี้ยงวดแรกและการซื้อขายในตลาดรองบนแอปเป๋าตัง สบน.เปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. แล้ว 2 รุ่น วงเงินรวม 5,200 ล้านบาท โดยรุ่นที่สามารถขายคืนบนตลาดรองได้ นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนวอลเล็ต สบม. จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) ดอกเบี้ยจ่ายงวดแรกของวอลเล็ต สบม. โอนเข้าวอลเล็ตผู้ลงทุนแล้ว 2) การเปิดตัวตลาดรอง โดยเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายพันธบัตรได้ด้วยตนเองผ่านโทรศัพท์มือถือ รวมถึงเช็คราคาพันธบัตรและรับเงินจากการขายได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งนวัตกรรมนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าพันธบัตรออมทรัพย์สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายโดยไม่มีค่าธรรมเนียม และดึงดูดความสนใจของผู้ลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ได้มากขึ้น นอกเหนือจากการซื้อได้ง่ายและทำทุกอย่างได้สะดวกผ่านปลายนิ้ว สบน. ได้เปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. แล้ว 2 รุ่น วงเงินรวม 5,200 ล้านบาท โดยรุ่นที่สามารถขายคืนบนตลาดรองได้ คือ รุ่น SB236A อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี ที่จำหน่ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2563 วงเงิน 200 ล้านบาท ในขณะที่พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม.-2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี วงเงิน 5,000 ล้านบาท จะเริ่มซื้อขายในตลาดรองได้ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้ที่เคยยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยบัตรประชาชน (Dip chip) ที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว สามารถสแกนใบหน้าในแอปพลิเคชันและทำธุรกรรมตลาดรองได้ทันที สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ http://www.pdmo.go.th และ Facebook ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809, 5820
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37897
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับใช้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พร้อมออกมาตรการป้องกันการขาดแคลนแอลกอฮอล์เพื่อใช้สู้ภัยโควิด
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 สรรพสามิตมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับใช้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พร้อมออกมาตรการป้องกันการขาดแคลนแอลกอฮอล์เพื่อใช้สู้ภัยโควิด กรมสรรพสามิตได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จำนวน 2,000 ลิตร ให้แก่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 16 หน่วยงานที่มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่าตามที่มีรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ในจังหวัดสมุทรสาคร โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563 นั้น ในวันนี้ (25 ธ.ค. 2563) กรมสรรพสามิตได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จำนวน 2,000 ลิตร ให้แก่ พลตรี นิธิศ เปลี่ยนปาน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 16 หน่วยงานที่มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมและควบคุมสูงสุด ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบต่อไป อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างหนึ่ง คือ การทำความสะอาดโดยการฆ่าเชื้อโรคด้วยแอลกอฮอล์ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ดังนั้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีเพียงพอต่อความต้องการและเพื่อส่งเสริมการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้ออกประกาศกรมสรรพสามิตเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราภาษีศูนย์สำหรับสุราสามทับ ที่นำไปทำการแปลงสภาพ เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2563 โดยประกาศดังกล่าว เป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิเสียภาษีในอัตราภาษีศูนย์ของสุราสามทับ (แอลกอฮอล์) ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ปัจจุบันผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราสามทับ ทั้ง 3 กลุ่ม คือ 1. องค์การสุรา กรมสรรพสามิต (กำลังการผลิต 60,000 ลิตรต่อวัน หรือ 18 ล้านลิตรต่อปี) 2. ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราสามทับ เพื่อส่งออก (กำลังการผลิต 365,000 ลิตรต่อวัน หรือ 100 ล้านลิตร ต่อปี) และ 3. กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง (กำลังการผลิต 6.3 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อใช้ผสมน้ำมัน 4.4 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งจะเหลือเอทานอลจากการใช้เป็นเชื้อเพลิง 1.9 ล้านลิตรต่อวัน) ได้ผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์บริสุทธิ์และแอลกอฮอล์แปลงสภาพเข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรม การแพทย์ และพลังงาน ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการแล้ว แต่เมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้มีความต้องการปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์และแอลกอฮอล์แปลงสภาพเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กระทบกับปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ที่ใช้ในด้านการแพทย์ที่มีอยู่เดิม และเพื่อให้ประชาชนมีผลิตภัณฑ์ป้องกันการติดเชื้อจากโรคไวรัสโคโรน่า 2019 อย่างทั่วถึง กรมสรรพสามิตจึงได้ประกาศขยายระยะเวลาการให้สิทธิทางภาษีของสุราสามทับ (แอลกอฮอล์) ดังกล่าว อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้ายว่า กรมสรรพสามิตยังมีความห่วงใยและให้ความสำคัญในความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโคโรนา 2019 เพื่อให้สามารถก้าวผ่านภาวะวิกฤตนี้ไปได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37899
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ห่วงแรงงานไทยในเกาหลีติดเชื้อโควิด-19 กำชับ ทูตแรงงานประสานความช่วยเหลือ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ‘จับกัง1’ห่วงแรงงานไทยในเกาหลีติดเชื้อโควิด-19 กำชับ ทูตแรงงานประสานความช่วยเหลือ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใย กรณีคนงานไทยในสาธารณรัฐเกาหลีตรวจพบเชื้อโควิด -19 กว่า 30 คน กำชับทูตแรงงาน สนร.กรุงโซล ประสานให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอน เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีตรวจพบเชื้อโควิด -19 กว่า 30 คน ว่า กระทรวงแรงงานได้รับการรายงานจากอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลว่า เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา เทศบาลเมืองชอนัน จังหวัดชุงชองนัม สาธารณรัฐเกาหลีได้รายงานผลการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 พบว่า มีคนไทยที่มีผลการตรวจเป็นบวก จำนวน 31 คน ซึ่งฝ่ายแรงงานฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่า สถานที่ที่ตรวจพบว่าเป็นแหล่งที่คนไทยติดเชื้อโควิด -19 คือ อาคารพาณิชย์ในย่านเพียงชอน โดยชั้น 2 เป็นร้านอาหารไทยตามสั่งและบริการบุฟเฟ่ต์ รวมทั้งมีโต๊ะสนุ๊กให้บริการด้วย ซึ่งคาดว่า พ่อครัวติดเชื้อโควิด – 19 แต่ยังไม่แสดงอาการ จึงทำให้คนไทยที่ไปใช้บริการในร้านติดเชื้อไปด้วยจำนวนมาก ในจำนวน 31 คนนี้ ส่วนใหญ่ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวีซ่าและยังไม่ทราบชื่อทั้งหมด รอรับการแจ้งจากศูนย์อนามัย ทั้งนี้ มีการตรวจผู้มีความเสี่ยงจากร้านอาหารจำนวน 90 คน และรอผลอยู่ 28 คน นายสุชาติ ยังกล่าวถึงรายงานของอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลว่า การให้บริการตรวจหาเชื้อจะไม่มีค่าใช้จ่ายและจากการสอบถามสายด่วน 1339 ของกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าคนไทยติดเชื้อโควิด – 19 ในเกาหลีใต้จะได้รับสนับสนุนค่ารักษา อย่างไรก็ตามคนไม่มีวีซ่าต้องสอบถามแต่ละโรงพยาบาลอีกครั้ง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลได้ตั้งกลุ่มไลน์ชื่อ “ที่ปรึกษาสุขภาพกรณีโควิด-19 เกาหลี” โดยมีนายแพทย์จากประเทศไทยเข้ามาให้คำแนะนำปรึกษาทางไลน์ ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีมีมาตรการเข้มงวดให้งดรวมกลุ่มเกิน 5 คนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 และนายจ้างจำนวนมากไม่อนุญาตให้แรงงานออกนอกโรงงานด้วย สำหรับการให้ความช่วยเหลือฝ่ายแรงงานฯ อยู่ระหว่างประสานข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานต่างๆ พร้อมดำเนินงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตเพื่อให้การช่วยเหลือแก่ผู้ติดเชื้อ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์และเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานศูนย์ช่วยเหลือต่างๆ แจ้งให้ผู้ที่มีความเสี่ยงออกมาตรวจหาเชื้อด้วยแล้ว โดยจนถึงขณะนี้สาธารณรัฐเกาหลีมีผู้ติดเชื้อสะสม 54,770 คน ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จำนวน 38,048 คน เสียชีวิต 773 คน ผู้ป่วยเฝ้าระวัง 156,789 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37927
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด- 19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 กระทรวงมหาดไทยชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด- 19 โฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่มีการอ้างว่าภายหลังจับบุคคลต่างด้าวได้แล้ว กลับไม่มีสถานที่กักกันตัวเพื่อดูอาการนั้น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขอชี้แจงว่า ได้มีการเตรียมจัดหาสถานที่สำรองเพื่อเป็นสถานกักกันตัวสำหรับบุคคลที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายไว้ในพื้นที่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 8 อำเภอ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ที่ผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมีจำนวนน้อย และไม่บ่อยครั้งที่หน่วยงานจับกุมจะเป็นผู้ควบคุมและกักกันตัวเพื่อรอผลตรวจสอบหาเชื้อโควิด – 19 ซึ่งหากผลเป็นลบก็จะส่งพนักงานสอบสวนในพื้นที่เพื่อดำเนินคดีต่อไป ประกอบกับสถานีตำรวจในพื้นที่มีสถานที่เพื่อกักกันตัวเพียงพอซึ่งไม่ขัดข้องที่จะควบคุมตัวไว้ก่อนส่งดำเนินคดี จังหวัดมีมาตรการในการแก้ปัญหา ดังนี้ 1) กรณีที่มีผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นจำนวนมาก จังหวัดได้จัดเตรียมสถานที่กักกันไว้รองรับทุกอำเภอแล้ว เพื่อรอผลตรวจหาเชื้อและดำเนินคดีต่อไป แต่หากกรณีมีจำนวนน้อยจะใช้มาตรการตาม พรบ. ควบคุมโรคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้มาตรการกักกันตัว ณ จุดเกิดเหตุจนกว่าจะทราบผลตรวจที่ถูกต้อง 2) สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในสถานกักกันตัวฯ จังหวัดได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุน จากงบประมาณในการป้องกันและยับยั้งสาธารณภัย (งป.ฉุกเฉิน) ในกรณีหากมีผู้หลบหนีเข้าเมืองจำนวนมากในคราวเดียวกัน 3) เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จะมีชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อออกตรวจสารคัดหลั่งเชื้อโควิด – 19 ทันที ถ้ามีการร้องขอ อีกทั้งจังหวัดจะดำเนินการจัดอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุกตำบลให้สามารถตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด – 19 ได้ พร้อมทั้งสนับสนุนชุดตรวจหาเชื้อประจำใน รพ.สต. ในพื้นที่ใกล้ชายแดนทุกตำบล เพื่อส่งไปตรวจในห้อง LAB โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ได้ทันที 4) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดตามมาตรการในการป้องกันและยับยั้งเชื้อโควิด – 19 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด – 19 นายแพทย์โอภาส การ์ยกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังชี้แจงถึงข้อร้องเรียนของแพทย์ชนบทไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณค่าตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มแรงงานต่างด้าวว่า งบประมาณสำหรับต่างด้าวทุกกรณีในกรณีเข้าเกณฑ์ PUI และกลุ่มที่อยู่ในระบบการเฝ้าระวัง เช่น ผู้ต้องขังแรกรับ ผู้ต้องกักแรกรับหลบหนีเข้าเมือง เป็นต้น กรมควบคุมโรคมีการสนับสนุนค่าตรวจทั้งคนไทยและต่างด้าว ตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง มี.ค. และจ่ายให้กลุ่มต่างด้าวทุกกรณี ตั้งแต่ มี.ค.- ก.ย.63 จากงบกลางที่ได้รับมาจากรัฐบาลเป็นจำนวนเงิน 86,194,500 บาท ให้ทุกหน่วยที่เรียกเก็บมาในปีงบประมาณ 2564 ยังสนับสนุนการตรวจสำหรับต่างด้าว โดยงบประมาณของกรมควบคุมโรคซึ่งไม่เพียงพอ จึงได้ทำการของบประมาณเป็นงบกลางจากสำนักงบประมาณซึ่งอยู่ระหว่างรองบประมาณ แต่มีการแจ้งว่าสามารถเบิกจ่ายจากกรมควบคุมโรคได้ ซึ่งให้มาตั้งเบิกไว้ก่อน รอได้รับงบประมาณจะตัดจ่ายให้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนขอรับงบประมาณ ------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37919
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเปิดตัวโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเปิดตัวโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021 นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดี ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021 วันที่ ๒๔ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๙อาคารกรมบังคับคดี นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดี ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี ๒๕๖๔ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021 นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 ที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐยกระดับการพัฒนาระบบราชการให้ขับเคลื่อนด้วยการใช้เทคโนโลยี ในการให้บริการแก่ประชาชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอน และลดภาระของประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นหลัก กรมบังคับคดี เป็นหน่วยงานภาครัฐที่ได้พัฒนานวัตกรรมการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ๒๕๖๔ กำหนดให้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการบังคับคดีให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ LED 4.0 ผ่านระบบ e – Filing ทั่วประเทศ ประกอบด้วย การอายัดทรัพย์ การวางเงินค่าใช้จ่ายในคดี การยื่นคำร้องอื่นๆ และการยึดทรัพย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน อันเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงการให้บริการของหน่วยงานรัฐได้โดยง่ายแบบ Easier Anywhere Better ง่าย ทำได้ทุกที่ ดีกว่าเดิม และเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน อีกทั้งเป็นการสอดรับกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) อีกด้วย ซึ่งภายในงานได้มีการแนะนำ พร้อมสาธิตการใช้ระบบ e – Filing โดยเปิดให้มีการลงทะเบียนยืนยันตัวตนในระบบการใช้งานจริง ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะเปิดให้บริการระบบอายัดทรัพย์ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑มกราคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37907
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 688 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.96 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 688 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.96 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 426 คดี ค่าปรับ 3.36 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 192 คดี ค่าปรับ 4.00 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 11 คดี ค่าปรับ 0.24 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 27 คดี ค่าปรับ 1.22 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 1 คดี ค่าปรับ 0.08 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 22 คดี ค่าปรับ 0.57 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 9 คดี ค่าปรับ 0.49 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 6,550.335 ลิตร ยาสูบ จำนวน 12,958 ซอง ไพ่ จำนวน 1,296 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 28,670.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 2,400 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 34 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 24 ธันวาคม 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 6,930 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 127.99 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 3,936 คดี ค่าปรับ 36.71 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 2,141 คดี ค่าปรับ 48.98 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 166 คดี ค่าปรับ 1.82 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 230 คดี ค่าปรับ 16.03 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 30 คดี ค่าปรับ 1.44 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 297 คดี ค่าปรับ จำนวน 7.68 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 130 คดี ค่าปรับ 15.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 156,305.080 ลิตร ยาสูบ จำนวน 180,615 ซอง ไพ่ จำนวน 11,301 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 490,359.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 76,139 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 424 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778 https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/611-2564-18-24-2563-64
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต เปิดศูนย์ผ่าตัดโรคซับซ้อนด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 รมช.สาธิต เปิดศูนย์ผ่าตัดโรคซับซ้อนด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี ใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ แขนกลเคลื่อนไหว 7 ทิศทาง ผ่าตัดรักษาโรคซับซ้อนหลายระบบอย่างแม่นยำ ลดภาวะแทรกซ้อน มีความปลอดภัยมากขึ้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี ใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ แขนกลเคลื่อนไหว 7 ทิศทาง ผ่าตัดรักษาโรคซับซ้อนหลายระบบอย่างแม่นยำ ลดภาวะแทรกซ้อน มีความปลอดภัยมากขึ้น ฟื้นตัวเร็ว ลดเวลาการครองเตียง รองรับผู้ป่วยมากขึ้น วันนี้ (25 ธันวาคม 2563) ที่อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี โรงพยาบาลราชวิถี กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี ร่วมเปิดห้องผ่าตัดแห่งใหม่ และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อรองรับการผ่าตัดรักษาที่มีความซับซ้อน พร้อมชมการสาธิตการใช้งานหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่ ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์เพิ่มคุณภาพบริการและความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน สำหรับโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เป็นโรงพยาบาลต้นแบบและสนับสนุนวิชาการให้แก่โรงพยาบาลในส่วนภูมิภาค ได้นำนวัตกรรมทางการแพทย์ต่าง ๆ มาอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มพื้นที่ส่วนให้บริการผ่าตัดแห่งใหม่และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดรักษาที่ซับซ้อน นำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มาติดตั้งที่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ และแขนกลที่เคลื่อนไหวได้ 7 ทิศทาง คล้ายการเคลื่อนไหวของมือมนุษย์ โดยตัวหุ่นยนต์อยู่ข้างคนไข้ทำการผ่าตัดเลียนแบบการเคลื่อนไหวของมือศัลยแพทย์ที่ควบคุมสั่งการอยู่ที่เครื่องควบคุม ทำให้มีความแม่นยำในการผ่าตัด โดยเฉพาะตำแหน่งที่เข้าถึงได้ยาก ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดได้ มีความปลอดภัยในการรักษามากขึ้น ระยะเวลาในการฟื้นตัวเร็วขึ้น และพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสั้นลง รวมทั้งลดการสัมผัสระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ผู้ผ่าตัด ลดการแพร่กระจายเชื้อในสถานการณ์โรคโควิด 19 นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวว่า ศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์สามารถรองรับการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็ง และโรคที่ต้องอาศัยการผ่าตัดที่ซับซ้อนในหลายระบบได้ เช่น โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคระบบโสต ศอ นาสิก ได้แก่ โรคของต่อมทอลซิล และมะเร็งที่โคนลิ้น, โรคในระบบศัลยศาสตร์ ได้แก่ โรคมะเร็งตับ และลำไส้ใหญ่, โรคในระบบนรีเวช ได้แก่ เนื้องอกมดลูก และโรคในระบบหัวใจและทรวงอก เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อลดความแออัดของผู้มารับบริการ โรงพยาบาลราชวิถีได้เพิ่มห้องผ่าตัดแห่งใหม่ จำนวน 11 ห้อง ได้แก่ ห้องผ่าตัดแผนกจักษุ 4 ห้อง ห้องผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ 3 ห้อง ห้องผ่าตัดอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ห้อง และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ 1 ห้อง ที่ชั้น 4 อาคารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี รองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6,000 รายต่อวัน รวมทั้งผู้ป่วยที่ต้องได้รับการผ่าตัดซับซ้อนที่มีมากขึ้นด้วย ********************************************* 25 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37915
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ วันนี้ (25 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยมี พลตำรวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงมหาดไทย) พร้อมด้วย กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 ในวันนี้ "ซึ่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของกระทรวง เพื่อนำข้อสรุปมาเป็นแนวทางสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีต่อไป" จากนั้น พลตำรวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงมหาดไทย) เป็นประธานร่วมการประชุม โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญ เช่น การรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2563 ผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยที่สำคัญ เป็นต้น สำหรับการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 นี้ กระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งในการประชุมฯ ได้มีการนำเสนอภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยและผลการดำเนินงานที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาล ได้แก่ โครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินและรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองรวมเมือง/ชุมชน การบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ (Linkage Center) และการดำเนินโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากนั้นคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกกระทรวงต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมฯ กล่าวย้ำว่า กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของกระทรวง เพื่อนำข้อสรุปมาเป็นแนวทางสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 นี้ ได้มีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37917
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงาน เร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรจะดำเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชนดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา และให้นำเสนอแผนงาน/โครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและสอดคล้องในภาพรวม กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการและผู้ประกอบการ จึงได้จัดของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระต้นทุนเนื่องในโอกาสปีใหม่ 2564 โดยจัดโครงการต่างๆ แบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านการ ลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการ 2. ด้านการเสริมสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจ 3. การยกระดับผู้ประกอบการ และ 4. การดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ โดยมีรายละเอียดการดำเนินงาน ดังนี้ 1. ด้านการลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการด้วย 1.1) การยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเครื่องจักร โดยขณะนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการจัดทำกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. ... โดยเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักรตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. 2514 ให้เป็นระยะเวลาหนึ่งปี มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ร่างกฎกระทรวงได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 และผ่านการตรวจพิจารณาโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แจ้งเรื่องกลับมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม เตรียมนำเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามในกฎกระทรวง และนำไปออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ประมาณการว่าจะสูญเสียรายได้จากการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักรในครั้งนี้ประมาณ 2 ล้านบาท 1.2) ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก./ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและบริการ ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อาทิ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. ค่าตรวจโรงงาน ค่าใช้จ่ายการตรวจติดตามผลหลังการอนุญาต ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใบรับรอง ยกเว้นค่าแปลใบอนุญาต/ใบรับรอง ค่าทดสอบผลิตภัณฑ์ มอก. S เป็นต้น ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่ 10 ตุลาคม 2563 จนถึง 30 เมษายน 2564 โดยคิดเป็นมูลค่าที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมด กว่า 111 ล้านบาท 1.3 ) ลดค่าบริการการใช้ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี ของสถาบันอาหาร โดยลดค่าบริการการใช้ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี (โลหะหนัก สารหนู ปรอท ยาฆ่าแมลง) จุลชีววิทยา เชื้อก่อโรคที่อาจปนเปื้อนมาในอาหาร /บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด ลด 25% จำนวน 250 สิทธิ์ สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหารขนาดเล็ก 1.4) มาตรการกระตุ้นการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพลดหย่อนภาษี 1.25 เท่า โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 1.25 เท่า สำหรับผู้ซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ซื้อคนแรกสามารถนำรายงานการซื้อสินค้า ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และใบรับรองผลิตภัณฑ์ฯ จาก สศอ. ยื่นขอลดหย่อนภาษีได้ 1.5) แจกซอฟแวร์ฟรีสำหรับเอสเอ็มอีไทย โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จำนวน 29 โปรแกรม ให้ใช้ 6 เดือน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ สนับสนุนการใช้ Business Software and Application เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรม 2. เสริมสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจด้วยการปล่อยสินเชื่อ ด้วย 2.1) สินเชื่อ“เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” วงเงิน 1,000 ลบ. ของกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สำหรับ SMEs เพื่อลงทุน ขยาย ปรับปรุง กิจการ หรือเป็นทุนหมุนเวียนสภาพคล่อง กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อ สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลากู้สูงสุด ไม่เกิน 7 ปี กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มอุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เครื่องมือทางการแพทย์ หุ่นยนต์/เครื่องจักรอัตโนมัติ ท่องเที่ยว และ Tech Startup โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ 2.2) สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยต้องยื่นคำขอภายใน 31 มีนาคม 2564 ลูกค้ารายเดิม 1. สำหรับลูกหนี้เดิมที่ชำระเงินปกติ : พักชำระเงินต้น ไม่เกิน 12 เดือน (โดยชำระเฉพาะดอกเบี้ย) และขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ ไม่เกิน 12 เดือน 2. สำหรับลูกหนี้เดิมที่ค้างชำระไม่เกิน 3 งวด : พักชำระเงินต้น ไม่เกิน 6 เดือน (โดยชำระเฉพาะดอกเบี้ย) และขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ ไม่เกิน 6 เดือน ลูกค้ารายใหม่ (สำหรับอุตสาหกรรมรายย่อย ในวงเงิน 100,000 บาท ขึ้นไป) 1. ได้สิทธิพักชำระเงินต้น ไม่เกิน 6 เดือน (โดยชำระเฉพาะดอกเบี้ย) 2. อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี 3. สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมฝึกอบรม หลักสูตร TPS และ TOYOTA KARAKURI KAIZE และ หลักสูตร SMART FACTORY SOLOTION for SMEs 4.0 กับทาง กสอ. มอบสิทธิพิเศษด้านการเงินกับสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash และ สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน โดยรับสิทธิพิเศษจาก SMEs BANK 2.3) สินเชื่อ “จ่ายดี มีเติม” โดย SMEs D BANK สำหรับลูกค้าเดิมที่มีประวัติชำระหนี้ดีจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 SMEs D BANK เติมทุนเสริมสภาพคล่องให้เพิ่มเติม สูงสุดเท่ากับวงเงินสินเชื่อเดิม และขยายเวลาพักชำระหนี้สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย 3.ยกระดับผู้ประกอบการ โดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ด้วยบริการฟรีออกแบบบรรจุภัณฑ์ ฉลาก สติกเกอร์ พร้อมจัดทำต้นแบบ พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำกลยุทธ์และเทคนิคการตลาดออนไลน์ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ 3.1) บริการประเมินและวินิจฉัยเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรม4.0 โดยสถาบันไทย-เยอรมัน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยการเข้าประเมินที่โรงงาน และให้การวินิจฉัยและคำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 1 Man/Day โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 4.ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ ประกอบด้วย 4.1) โครงการเพื่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยจัดซื้อเครื่องสางใบอ้อยมาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ยืม ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในการตัดอ้อยสด ซึ่งสามารถติดต่อขอยืมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทรายภาค ที่ 1-4 และขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้เงินกู้ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี 2562-2564 และพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 1 ปี และ 4.2) โครงการเหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชนปีที่ 4 โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพของประชาชน ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถตรวจสุขภาพประชาชนโดยรอบสถานประกอบการเหมืองแร่ได้ไม่น้อยกว่า 30,000 คน พร้อมมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียนให้กับชุมชนรอบเหมือง และ 4.3) ระบบประเมินคุณภาพผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (e-QR) โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่า สินค้าดี มีคุณภาพและได้มาตรฐานหรือไม่ พร้อมทั้งสามารถให้ข้อคิดเห็นหรือร้องเรียนในกรณีที่สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานได้ ทั้งนี้ เพื่อให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายสามารถได้รับบริการตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกลุ่ม โดยของขวัญเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในผลงานสำคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่น ขับเคลื่อน ชัดเจน จริงจัง เพื่อเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมตลอดมา ซึ่งเชื่อมั่นจะเป็นของขวัญที่ถูกใจผู้ประกอบการและประชาชนผู้รับบริการ --------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ”
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 รมว.ยุติธรรม เข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ” นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ” ในวันศุกร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องรับรอง ๒ - ๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ” โดยกล่าวถึงการเข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา ในโอกาสเข้าอวยพรปีใหม่ และหารือเรื่องแนวทางการออกหมายศาลสำหรับผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ราย ที่จากเดิมต้องใช้เวลา ๑๒๐ วัน จึงอยากขอให้ศาลได้ช่วยในเรื่องของการออกหมายให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นการลดความแออัดภายในเรือนจำ และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มผู้ต้องขัง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ พร้อมทั้งยืนยันต่อประชาชนให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งหมด ไม่ได้เป็นกลุ่มผู้ต้องขัง ๗ ประเภทที่ต้องเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญหรือเป็นภัยต่อสังคม (Watch List) คือ ฆ่าข่มขืนเด็ก ฆ่าข่มขืน ฆาตรกรต่อเนื่อง ฆาตรกรโรคจิต สังหารหมู่ ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ และนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ พร้อมทั้งจะรายงานต่อประธานศาลฎีกาเรื่องการไต่สวนผ่านระบบ Video Conference ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศาลและกระทรวงยุติธรรม โดยขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ทำเรื่องเสนอมายังกระทรวงยุติธรรมไปยังศาลแล้ว และมีการเตรียมพร้อมของอุปกรณ์เพื่อให้ติดตั้งระบบ Video Conference เนื่องจากการนำผู้ต้องขังออกไปขึ้นศาลอาจเสี่ยงที่จะเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสโควิด - 19 ไปแพร่ระบาดในสถานที่กักขังหรือเรือนจำ และอาจส่งผลเสียหายต่อระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของประธานศาลฎีกาในการหลีกเลี่ยงการส่งจำเลยเข้าไปรับโทษกักขัง ในสถานที่กักขังหรือจำคุกในเรือนจำ รวมทั้งเรื่องการเสนอนำเครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM) ผู้ต้องขัง นอกจากนี้ ในหลายเรือนจำที่ต้องปิดการเยี่ยมญาติตามคำสั่งกรมราชทัณฑ์แต่มีหลายแห่งสมัครใจ ซึ่งแม้จะปิดการเยี่ยมญาติ แต่สามารถเยี่ยมญาติผ่านระบบ Application Line เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะเรือนจำที่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงที่เป็นจังหวัดพื้นที่การระบาด ขณะนี้มีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่งดเยี่ยมญาติแล้ว จำนวน ๖๖ แห่ง แบ่งเป็น ๑) กรมราชทัณฑ์สั่งปิด ๑๓ แห่ง เรือนจำ/ทัณฑสถานสั่งปิดตามสถานการณ์ในจังหวัด ๕๓ แห่ง ๒) เรือนจำ/ทัณฑสถานที่กำลังจะงดเยี่ยมญาติภายใน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๕๕ แห่ง และมีเรือนจำที่ยังไม่ปิด จำนวน ๒๒ แห่ง ส่วนผู้ต้องขังต่างด้าวจะมีการเฝ้าระวัง ๑๔ วัน โดยผู้ต้องขังที่รับตัวเข้าใหม่ (วันที่ ๑๑ - ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓) จำนวน ๒๕๓ ราย รับย้ายเรือนจำ จำนวน ๕๐ ราย เรือนจำที่รับตัวเข้าใหม่สูงสุด ๒ แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน ๒๘ คน และเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ๒๗ คน นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือนักโทษเพิ่มเติม คือ เรือนจำอนุญาตให้ผู้ต้องขังใช้เงินเพิ่มจากเดิม ๓๐๐ บาทต่อวันเป็น ๖๐๐ บาทต่อวัน พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีผู้ต้องขังติดเชื้อไวรัสโควิด - 19 แต่เป็นการดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่จะกลายเป็นปัญหาต่อประชาชนและสังคม ที่ผ่านมามีประสบการณ์มาแล้ว และไม่มีการไปริดรอนสิทธิใด ๆ หากใครได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือพักโทษเราจะเร่งดำเนินการตามกระบวนการเหมือนเดิม ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ติดต่อง่าย อาจกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ จึงขอให้ทุกท่านดูแลความปลอดภัย ใส่หน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะทำให้สังคมปลอดภัยมีโอกาสกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติโดยเร็ว ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37925
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะฯ เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจ เฝ้าระวัง สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด ป้องก
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 สุริยะฯ เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจ เฝ้าระวัง สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด ป้องก นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง กรณีที่มีการเสนอข่าวเกี่ยวกับสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่มีการะบาดของโรคโควิด-19 ขนย้าย หรือนำแรงงานต่างด้าวไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ เนื่องจากเกรงกลัวความผิด นั้น กรณีดังกล่าวสันนิษฐานว่าอาจจะมีการใช้แรงงานผิดกฎหมาย เมื่อจะมีการตรวจสอบผู้ประกอบการเกรงกลัวความผิดและขนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้สั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจเข้ม เฝ้าระวัง ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะโรงงานที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อให้ความช่วยเหลือและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ตรวจสอบ คัดกรอง หาผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง รายงานจำนวนสถานประกอบการที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว โดยประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับแรงงานจังหวัด พร้อมย้ำเตือนผู้ประกอบการ อย่าตระหนก อย่าเกรงกลัวความผิด หากฝ่าฝืนโทษจะยิ่งหนักกว่าหลายเท่า และไม่ให้มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็น การขนย้ายแรงงานออกนอกโรงงานโดยเด็ดขาด ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์และสุ่มเสี่ยง การแพร่ระบาดมากขึ้น เตือนผู้ประกอบการจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ในการดูแลแรงงานของตนอย่างดีตามหลักมนุษยชน พร้อมปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด และหากมีแรงงานในสถานประกอบการติดเชื้อ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน(quarantine) ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ และเข้าสู่กระบวนการรักษาตามหลักสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนทุกคนมีสุขอนามัยที่ดี มีการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดทุกอย่างและเราจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ในเร็ววัน นอกจากนี้ นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ประธานอนุกรรมาธิการเพื่อการศึกษา ติดตาม ตรวจสอบ การใช้เงินตามพระราชกำหนด 3 ฉบับ (โควิด-19) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของสถานประกอบการขนาดเล็กที่ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หากมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้แรงงานต่างด้าว ไม่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องวิตก กังวลหรือกลัวความผิด ด้วยการขนย้ายแรงงานไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ สามารถขอความช่วยเหลือและแนะนำจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค โควิด-19 ได้อีกทางหนึ่งด้วย --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37898
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการและประธานคณะอนุกรรมาธิการ นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ ๑ พร้อมคณะฯ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๕-๐๑ ชั้น ๕ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการและประธานคณะอนุกรรมาธิการ นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ ๑ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและหาแนวทางการขับเคลื่อน เรื่อง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงาน ๕ ประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้นำเสนอความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน พันตำรวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นำเสนอความคืบหน้าเรื่องกฎหมายว่าด้วยนิติวิทยาศาสตร์ ระบบนิติเวช และนายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม กล่าวถึงประเด็นพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในครั้งนี้ จะได้จัดทำเป็นข้อสรุป พร้อมทั้งข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อน เรื่อง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank แจ้งปิดสาขาสมุทรสาครเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 SME D Bank แจ้งปิดสาขาสมุทรสาครเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ประกาศ ผวจ.สมุทรสาคร เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นการชั่วคราวนั้น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ห่วงใยสุขภาพความปลอดภัยของลูกค้า และพนักงาน เป็นสำคัญ ได้ดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัย เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด จึงขอปิดให้บริการ SME D Bank สาขาสมุทรสาคร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการได้ยัง SME D Bank สาขาอื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมถึง สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นขอสินเชื่อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น LINE Official Account: SME Development Bank, เว็บไซต์ www.smebank.co.th และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid - 19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid - 19 สรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนใช้บริการทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทุกขั้นตอน ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม ลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม สรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนใช้บริการทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทุกขั้นตอน ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชำระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการอีกด้วย นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ในขณะนี้ กรมสรรพากรมีความห่วงใยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีที่ต้องทำธุรกรรมด้านภาษี กับหน่วยงานกรมสรรพากรทั่วประเทศ จึงขอแนะนำให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษี “ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” โดยทุกขั้นตอนของการทำธุรกรรมจะผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ www.rd.go.th และผู้ใช้บริการยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชำระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการอีกด้วย สำหรับบริการ “ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” ประกอบด้วย การลงทะเบียน e-Registration ยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สามารถทำแบบออนไลน์ และนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านทาง e-mail ได้ทันที การยื่นแบบ e-Filing ได้สิทธิพิเศษขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีออนไลน์ออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี e-Payment โดยธนาคารที่ร่วมโครงการ* ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการสำหรับแบบที่ยื่นและชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จนถึงปี 2564 การคืนเงินภาษี e-Refund ผู้เสียภาษีที่ชำระภาษีไว้เกิน กรมสรรพากรจะดำเนินการคืนเงินให้ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home จะช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ได้เป็นอย่างดี” สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ *ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 30 มิถุนายน 2564 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 31 ธันวาคม 2564 กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช. ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับมิติด้านพลังงาน ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช. ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับมิติด้านพลังงาน ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์ นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช.ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์ จ่ายเข้าระบบปี 64 แบ่งเป็นซื้อไฟส่วนเกินจากกลุ่มบ้านอยู่อาศัย 50 เมกะวัตต์ สถานศึกษา โรงพยาบาล น้ำเพื่อการเกษตร 50 เมกะวัตต์ วันนี้ (25 ธ.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญของการประชุมดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับมิติด้านพลังงาน โดยจะต้องร่วมกระบวนการรักษ์โลกสะอาด ทั้งในเรื่องพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนในอนาคตให้ได้มากที่สุด โดยต้องเร่งพิจารณาดำเนินการโรงไฟฟ้าชุมชนให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งในเรื่องพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และส่วนที่จะเกิดจากภาคการผลิต ซึ่งเรื่องพลังงานต้องปรับให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาประเทศด้านพลังงาน ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเรื่องการลดฝุ่น PM 2.5 ในอนาคต โดยการทำงานต้องมองในภาพรวม ไม่มองงานเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว และต้องทำงานร่วมกับกระทรวงอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ การทำงานด้านพลังงานทดแทน จะต้องปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ และของโลก โดยต้องไม่เป็นภาระของประชาชน ให้คำนึงถึงความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และรักษาเสถียรภาพให้ได้ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในอนาคตจะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ทั้ง EEC SEC และ Smart City ดังนั้น การบริหารงานด้านพลังงานนอกจากการบริหารในภาพรวมแล้ว ควรมองแนวทางการบริหารเป็นรายภาค รายกลุ่มจังหวัด และจังหวัดด้วย เพราะแต่ละจังหวัดมีศักยภาพต่างกัน มีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับการประกอบอาชีพของประชาชนเป็นหลัก ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบตามมติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชน โดยแบ่งเป็นการดำเนินการ 2 ส่วน ดังนี้ 1. ปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากกลุ่มบ้านผู้อยู่อาศัย (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน) ที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเป็น 2.20 บาท/kWh* จากเดิมรับซื้อในราคาไม่เกิน 1.68 บาท/kWh เป้าหมายการรับซื้อ 50 MWp** ระยะเวลารับซื้อ 10 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการใหม่และที่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ซึ่งการปรับเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้ผลตอบแทนดีขึ้น สามารถคืนทุนภายใน 8 - 9 ปี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย 2. ขยายผลการดำเนินโครงการฯ ไปยังกลุ่มโรงเรียนสถานศึกษา โรงพยาบาล และสูบน้ำเพื่อการเกษตร (โครงการนำร่อง) โดยกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ในอัตรา 1.00 บาท/kWh แบ่งเป็นกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา 20 MWp กลุ่มโรงพยาบาล 20 MWp และแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร 10 MWp หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จะต้องมีกำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 kWp แต่น้อยกว่า 200 kWp ระยะเวลารับซื้อ 10 ปี เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและศักยภาพพื้นที่ สำหรับติดตั้งระบบโดยเฉลี่ย และส่งเสริมระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย ในกรณีการลงทุนโดยภาครัฐในส่วนของกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานรับไปหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ คาดว่าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชนและโครงการนำร่องในกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล จำนวน 100 MWp จะสามารถสร้างการลงทุนได้กว่า 3,000 ล้านบาท * kWh: หมายถึง หน่วยที่ใช้บอกขนาด หรือปริมาณของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งาน พลังงานไฟฟ้า 1 ยูนิต หรือ 1 หน่วย เท่ากับ 1กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kilo watthour = กำลังไฟ 1 กิโลวัตต์ใช้งานนาน 1ชั่วโมง) ** MWp: หมายถึง เมกะวัตต์สูงสุดของแผงโฟโตโวลเทอิก (Photovoltaic Panel) ณ สภาวะทดสอบมาตรฐาน (Standard Test Condition) --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กพช.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37921
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19 ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19 วันนี้ (25 ธ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การระบาดใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและมีการแพร่กระจายไปยังจังหวัดอื่นๆซึ่งส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและจำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ติดต่อหรือพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) และหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ส่วนหน้า ในพื้นที่ "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" หรือ "พื้นที่ควบคุม" โดยมี นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร เป็นหัวหน้าผู้ปฏิบัติหน้าที่ นายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วยรองอธิบดีจากทุกกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยมี ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน กรมการปกครอง และผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นเลขานุการร่วม โดย ศบค.มท. ส่วนหน้า ทำหน้าที่สนับสนุน กำกับ และประสานการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดใน "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" และ "พื้นที่ควบคุม" ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ นนทบุรี และนครปฐม รวมทั้งจังหวัดอื่น ๆ ที่อาจถูกกำหนดเป็น "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" และ "พื้นที่ควบคุม" ทั้งนี้ องค์ประกอบใน ศบค.มท. ส่วนหน้า เป็นผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งในพื้นที่ และมีความคุ้นเคยในเชิงพื้นที่ เข้าใจกลไกระบบการทำงาน และงานมวลชนในพื้นที่เป็นอย่างดี อาทิ นายสมคิด จันทมฤก เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงนายพิริยะ ฉันทดิลก เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนี้ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเพชรบุรี มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งนายวุฒิพงษ์ เคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองจังหวัดสมุทรสาครมาก่อน และมีคำสั่งโยกย้ายนายณัฐภัทร์ เอมอ่อน นายอำเภอนครชัยศรีมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองสมุทรสาคร เคยดำรงตำแหน่งป้องกันจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งการจัดตั้ง ศบค.มท. ส่วนหน้า และการแต่งตั้งข้าราชการในครั้งนี้ เป็นการเสริมกำลังและสนับสนุนการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในพื้นที่ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติงานตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37924
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓ ในวันศุกร์ที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น ๑๑ กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม ๖ เขตพญาไท กรุงเทพฯ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓ โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม พร้อมด้วยพลตำรวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม สำหรับการประชุมครั้งนี้มีประเด็นที่ถูกหยิบยกมาหารือ อาทิ การติดตามการยื่นคำขออนุญาต เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน๒๕๖๓ ผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและ การขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยที่สำคัญ และการหารือเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37920
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน รัฐมนตรีเกษตรฯ ยืนยัน สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มข้น จึงขอให้พี่น้องประชาชนสามารถบริโภคได้ตามปกติ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รอบใหม่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการสรุปรายงานสถานการณ์และผลการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวจากหน่วยงานในสังกัดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จากกระแสความกังวลของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสัตว์น้ำที่อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการบริโภคอาหารทะเล กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร ทั้งสินค้าประมงและสินค้าปศุสัตว์ เพื่อให้สินค้ามีความปลอดภัยและได้มาตรฐานต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด จึงขอให้พี่น้องประชาชนสามารถบริโภคได้ตามปกติ และขอยืนยันว่าสินค้าที่มีเครื่องหมายรับรองจากกรมประมงและกรมปศุสัตว์ จะไม่มีการแพร่เชื้ออย่างแน่นอน ด้าน นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกระแสความกังวลของประชาชนต่อการบริโภคสินค้าประมง กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้มีการออกมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจในการป้องกันการปนเปื้อนไวรัสโควิด-19 ในสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น คือ 1) ผู้ประกอบการกระบวนการผลิต : เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ฟาร์มต้องขึ้นทะเบียนและได้มาตรฐานจากกรมประมง ปฏิบัติตามมาตรการคัดกรอง และการปฏิบัติงาน ล้างทำความสะอาดยานพาหนะที่ใช้บรรทุกสัตว์น้ำ ทั้งภายในและภายนอกห้องบรรจุสัตว์น้ำด้วยคลอรีน ขณะเข้าและออกจากฟาร์ม ผู้ขับขี่ยานพาหนะบรรทุกสัตว์น้ำ ต้องตรวจคัดกรองและสวมหน้ากากตลอดเวลาเช่นเดียวกับบุคลากรในฟาร์ม ส่วนชาวประมง/เรือประมงทุกคนต้องผ่านการคัดกรองจากศูนย์แจ้งเข้า-ออก เรือประมงตามมาตรการของกรมประมง ทำความสะอาดส่วนที่สัมผัสกับสัตว์น้ำอยู่เสมอ สวมถุงมือและสวมหน้ากากตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน ห้ามออกนอกสะพานปลา ท่าเทียบเรือ ขณะขนถ่ายสัตว์น้ำที่ท่าเทียบเรือหรือสะพานปลา 2) ผู้ประกอบการกระบวนการลำเลียงและขนส่งสัตว์น้ำ ล้างและทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับ ลำ เลียง หรือขนส่งสัตว์น้ำก่อน-หลัง ใช้ทุกครั้ง ฉีดพ่น ทำความสะอาดยานพาหนะที่ใช้ในการลำเลียง หรือขนส่ง ก่อน-หลัง ทุกครั้ง โดยประสานกรมปศุสัตว์หรือภาคเอกชนช่วยดำเนินการ พร้อมทั้งควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนระหว่างการขนส่ง เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการลำเลียง คัดแยก และขนส่งสัตว์น้ำ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ถุงมือ และมีระยะห่างในการปฏิบัติงานในระยะที่เหมาะสม 3) ผู้ประกอบการสะพานปลา (องค์การสะพานปลานำร่อง) ปฏิบัติตามมาตรฐานสุขอนามัยท่าเทียบเรือ สะพานปลา คัดกรองบุคลากรที่ทำงานในพื้นที่ทุกรายเป็นประจำทุกวัน ทำความสะอาดสถานที่ด้วยคลอรีนทุกวัน พาหนะบรรทุกสัตว์น้ำที่เข้า-ออก ต้องลงทะเบียน และฉีดพ่นด้วยคลอรีน โดยต้องทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกห้องบรรจุสัตว์น้ำ ก่อนการบรรจุสินค้าสัตว์น้ำ 4) ผู้ประกอบการร้านค้า Modern Trade ปฏิบัติตามข้อกำหนดร้านค้าของสาธารณสุข ทำความสะอาดพาหนะที่ขนส่งสินค้า ณ จุดจอด ก่อนมีการขนถ่ายเข้าสู่สถานประกอบการด้วยคลอรีน แยกสัตว์น้ำแต่ละประเภท ล้างทำความสะอาด และบรรจุในถุงพลาสติกก่อนวางบนน้ำแข็ง เพื่อลดการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์น้ำ สุ่มตรวจการปนเปื้อนของไวรัสโควิด-19 เป็นระยะตามความเหมาะสม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37908
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ ในวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และคณะกรรมการเข้าร่วมฯ เพื่อทราบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ดำรงตำแหน่ง ครบวาระ ผลการดำเนินงานที่สำคัญของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด และการรายงานสถานการณ์ด้านกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ที่ประชุมพิจารณา ร่างพระราชพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนของหลักสูตรอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ และพิจารณาร่างรายงานประจำปี ๒๕๖๓ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำรพ.สนามมีความจำเป็นสำหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 โฆษก ศบค. ย้ำรพ.สนามมีความจำเป็นสำหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ โฆษก ศบค. ย้ำรพ.สนาม มีความจำเป็นสำหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ ยกเว้นจ. สมุทรสาคร วันนี้ (25 ธ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้ โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ 81 ราย ติดเชื้อในประเทศ 37 ราย ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว 35 ราย สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 9 ราย ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,910 ราย โดยแยกกลุ่มแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุก 1,308 ราย มีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,943 ราย สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 1,411 ราย หายป่วยแล้ว 4,137 ราย เสียชีวิต 60 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 1,713 ราย ซึ่งจำนวนหนึ่งอยู่ที่พื้นที่กักกันในจังหวัดสมุทรสาครอยู่ด้วย โดยมีการแยกตัวเลขอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 500 ราย กักตัวอยู่ 1,200 ราย มีอาการหนัก 2-3 ราย นอกจากนี้ มีผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ คัดกรอง ณ ด่านฯ และเข้าสถานกักกันทุกประเภทที่รัฐจัดให้มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมนี และเมียนมา มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ บางรายอาจจะมีอาการ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีอยู่สถาน Alternative State Quarantine (ASQ สมุทรปราการ) จำนวน 1 ราย จากตัวเลขของการติดเชื้อในที่มีความเกี่ยวเนื่องจากจังหวัดสมุทรสาคร จะมีความแตกต่างทั้งเพศและอาชีพ เช่น ค้าขาย รับราชการ และขนส่งอาหารทางทะเล พนักงานธนาคาร ซึ่งกระจายไปยังจังหวัด ต่าง ๆ อาการโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ได้เชิญคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมทีมค้นหาผู้ป่วยที่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาครให้ได้มากที่สุดและให้มีการแยกแยะคนที่เจ็บป่วยออกมารักษา ดังนั้น การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง และมีระบบของการดูแลสภาวะแวดล้อมอย่างดี โฆษก ศบค. ได้ขอความร่วมมือและความเข้าใจในการดูแลคนกลุ่มนี้ในจังหวัดของท่านและอยู่ใกล้พื้นที่ซึ่งจะสะดวกในการดูแล โดยทางทีมแพทย์จะสนธิกำลังเติมเข้าไปสนับสนุนดูแลอย่างเต็มที่ สำหรับ สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 79,729,121 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 106,250 ราย เสียชีวิต 1,749,340 ราย ส่วน 5 อันดับแรก คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย ฝรั่งเศส ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 144 ส่วนประเทศในเอเชียพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ เมียนมา ขณะที่มาตรการนำคนไทยกลับจากต่างประเทศนั้น ในวันนี้ ( 25 ธันวาคม 2563) มีคนไทยเดินทางกลับมา 575 ราย พรุ่งนี้ (26 ธ.ค. 63) จำนวน 311 ราย และในช่วงสัปดาห์หน้าถึงวันที่ 1 ม.ค. 64 จะเห็นเที่ยวบินนำคนไทยที่ตกค้างกลับไทยอีก ย้ำความจำเป็นยังต้องแสกน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ” โฆษก ศบค. ย้ำอีกรอบในการแบ่งพื้นที่ตามความรุนแรงของสถานการณ์เป็น 4 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งมอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด รับผิดชอบกำหนดระดับพื้นที่สถานการณ์เพื่อให้มีการยืนยันต่อ ศบค. และกองระบาดวิทยา พิจารณาว่าจังหวัดนั้น ๆ ควรอยู่ในพื้นที่ระดับใด ตามเกณฑ์ 4 ข้อ ได้แก่ 1) อัตราการขยายของจำนวนผู้ติดเชื้อ 2) ขีดความสามารถทางการแพทย์และสาธารณสุข 3) ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมให้การสนับสนุน ศบค. สธ. และ 4) ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมและอื่น ๆ มีความตระหนักรู้ถึงมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 โฆษก ศบค. ยังขอความร่วมมือบุคคลที่การทำความผิด เช่น เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ลักลอบพาแรงงานต่างด้าวหลบหนี ให้หยุดการกระทำดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและการแพร่ระบาดไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ โฆษกยังกล่าวถึงการจัดกิจกรรมฉลองปีใหม่ 2564 และการจัดกิจกรรมงานวันเด็กว่า สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดการจัดกิจกรรมฉลองทุกชนิด ยกเว้นการจัดกิจกรรมออนไลน์ พื้นที่ควบคุม ให้งดการจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะ แต่ผ่อนผันให้จัดกิจกรรมที่มีเฉพาะคนรู้จักหรือแบบออนไลน์ สำหรับพื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่เฝ้าระวังสามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ต้องลดขนาดของงานให้เล็กลงกว่าปกติ พร้อมมีมาตรการ DMHT คือ D – Distancing เว้นระยะห่าง M – Mask wearing สวมใส่หน้ากากอนามัน H – Hand washing ล้างมือ และ T – Testing ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังตอบคำถามของต่อสื่อมวลชนกรณีข้อเรียกร้องจากผู้ประกอบการจังหวัดสมุทรสาครที่หลายจังหวัดปฏิเสธ การรับสินค้าจากจังหวัดสมุทรสาคร ว่า กระบวนการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นมาจากทางเดินหายใจ พร้อมยืนยันหากเป็นการอุปโภค บริโภค เมื่อทำความสะอาดแล้ว ปรุงสุกแล้ว สินค้าเหล่านั้นยังสามารถบริโภคได้เหมือนเดิม โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจัดทีมตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากผู้ผลิต เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค สำหรับกรณีคนไทยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเกาหลีใต้ 31 ราย ว่า ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการประสานงานให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง ในช่วงท้ายนี้ โฆษก ศบค. ยังขอบคุณผู้ประกอบการกิจการ/กิจกรรม ต่าง ๆ ที่มีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด และขอให้ประชาชนร่วมกันเตือนหากพบเจอผู้ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า รวมไปถึงชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามมาตรการของประเทศไทยด้วยเช่นกัน พร้อมฝากถึงประชาชนที่ต้องการเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ว่าขณะนี้จำกัดการเดินทางเข้า-ออก แค่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด คือจังหวัดสมุทรสาคร แต่ในพื้นที่อื่น ๆ ยังสามารถเดินทางได้ปกติ เพียงแต่ขอให้หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด และขอให้ติดตามการรายงานสถานการณ์ประจำวันจาก ศบค. เพื่อความรวมศูนย์ของชุดข้อมูลที่มีความถูกต้องแม่นยำ ------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37911
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐครั้งที่ 2 รวม 204 ราย มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐครั้งที่ 2 รวม 204 ราย มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 51 บัญญัติให้คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ มีอำนาจประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้งานก่อสร้างในสาขาใดเป็นงานก่อสร้างที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างจะเข้าร่วมเป็นผู้ยื่นข้อเสนอ นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 51 บัญญัติให้คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ มีอำนาจประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้งานก่อสร้างในสาขาใดเป็นงานก่อสร้างที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างจะเข้าร่วมเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างในสาขานั้นต้องเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง โดยต้องใช้เงินงบประมาณในวงเงินเท่าใดหรือต้องใช้ผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาใดด้วยก็ได้ และมาตรา 53 บัญญัติให้กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง ซึ่งหน่วยงานของรัฐไม่ต้องจัดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการประเภทนั้นอีก และให้หน่วยงานของรัฐกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอตามมาตรา 51 ในประกาศเชิญชวนให้เข้าร่วมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐนั้นด้วย จากการที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างแล้ว ปรากฏว่า มีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างประกาศกำหนด รวมทั้งสิ้น 5 สาขา ได้แก่ สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพาน สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างชลประทาน และสาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง จำนวน 204 ราย อย่างไรก็ดี สำหรับหน่วยงานของรัฐใดได้ดำเนินการนำร่างประกาศและร่างเอกสารเชิญชวนเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ หรือเผยแพร่ประกาศและเอกสารเชิญชวนในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-GP) หรือมีหนังสือเชิญชวนไปแล้วก่อนวันที่กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้าง ให้หน่วยงานของรัฐนั้นดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ โดยได้รับยกเว้นการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ต้องขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง “กรมบัญชีกลางมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในครั้งนี้ จะทำให้การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมาตรฐาน มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 2 ได้ตามบัญชีเอกสารแนบท้ายประกาศ ผ่านทางเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37909
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบเห็นยุทธศาสตร์สมุนไพรตัวท็อป
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 คกก.นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบเห็นยุทธศาสตร์สมุนไพรตัวท็อป คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางส่งเสริมสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และกระชายดำ Product Champion เตรียมเสนอกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีในการนำเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการแข่งขัน พร้อมขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร 3 ด้าน คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางส่งเสริมสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และกระชายดำProduct Champion เตรียมเสนอกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีในการนำเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการแข่งขันพร้อมขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร3 ด้าน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนการส่งเสริมสมุนไพรไทย โดยมีปลัดกระทรวง ผู้บริหาร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สภาการแพทย์แผนไทย กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมการประชุม นายแพทย์โสภณกล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข ประสานการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยสร้างสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพรProduct Champion 2 ชนิด คือ ฟ้าทะลายโจร และกระชายดำ โดยจะขอยกเว้นภาษีในการนำเอทิลแอลกอฮอล์หรือเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร เพื่อลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ เพิ่มการแข่งขันกับต่างประเทศ และมอบให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ ทำหนังสือถึงกรมสรรพสามิตเพื่อขอใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราศูนย์สำหรับสุราสามทับที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งการพัฒนาสายพันธุ์และการเพาะปลูกฟ้าทะลายโจรเพื่อเพิ่มปริมาณสารสำคัญ ส่วนกระชายดำให้มีการจัดการปริมาณและพัฒนามาตรฐาน, เพิ่มมูลค่าโดยส่งออกในรูปสารสกัด และสื่อสาร สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นThai ginseng นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร ในปี 2564-2565 เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานซึ่งแบ่งเป็น3 คลัสเตอร์ ได้แก่1.เกษตรกรวัตถุดิบสมุนไพร5 จังหวัด คือ อำนาจเจริญ สุรินทร์ มหาสารคาม อุทัยธานี และสกลนคร จะผลักดันเกษตรกรในเมืองสมุนไพรเข้าสู่ตลาดกลางวัตถุดิบสมุนไพร ร่วมกับตลาดไทและกระทรวงเกษตรฯ พื้นที่ปลูกให้ได้มาตรฐาน พัฒนาวัตถุดิบคุณภาพ ปลอดสารกำจัดศัตรูพืช2.อุตสาหกรรมสมุนไพร4 จังหวัด คือ นครปฐม สระบุรี ปราจีนบุรี จันทบุรี พัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาดอบรม/ส่งเสริมผู้ประกอบการในเมืองสมุนไพร และ3.ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพความงามและการแพทย์แผนไทย5จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา ถ่ายทอดความรู้ เส้นทางท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์สมุนไพรกับมัคคุเทศก์ ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ เห็นชอบให้กำหนดพิกัดรหัสสถิติพิกัดศุลกากร เพื่อใช้ในการติดตามมูลค่าการนำเข้าและส่งออก เริ่มในสมุนไพร5 รายการ ได้แก่ มะขามป้อมซึ่งมีมูลค่านำเข้ามาก และขมิ้นชัน ว่านหางจระเข้ หญ้าหวาน ซึ่งมีมูลค่าการใช้สูงในต่างประเทศ และบัวบกที่พบมีการนำเข้าสารสกัดจำนวนมากแต่ไม่ทราบมูลค่าแน่ชัด จะทำให้มีข้อมูลที่ชัดเจนในการวางแผนยุทธศาสตร์ในระยะต่อไป ********************************************* 25 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37918
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา ในวันศุกร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ อาคารศาลฎีกา สนามหลวง กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะ นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๔ และเพื่อประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่าง ๒ หน่วยงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กบข. รับสิทธิประกันภัยโควิด-19 ฟรี จากทิพยประกันภัย
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 สมาชิก กบข. รับสิทธิประกันภัยโควิด-19 ฟรี จากทิพยประกันภัย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในหลายพื้นที่ กบข. มีความห่วงใยสุขภาพของสมาชิกและครอบครัว จึงได้ร่วมกับ บมจ.ทิพยประกันภัย มอบสิทธิพิเศษ “ประกันภัยโควิด-19 สำหรับสมาชิก กบข.” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สมาชิกจะได้รับการคุ้มครองยาวนาน 30 วัน ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในหลายพื้นที่ กบข. มีความห่วงใยสุขภาพของสมาชิกและครอบครัว จึงได้ร่วมกับ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษ “ประกันภัยโควิด-19 สำหรับสมาชิก กบข.” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สมาชิกจะได้รับการคุ้มครองยาวนาน 30 วัน ชดเชยภาวะโคมาจากการติดเชื้อ COVID-19 วงเงินสูงสุด 100,000 บาท สมาชิกกดรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพียงพิมพ์ค้นหาไลน์ไอดี “@tipgo” และกดเพิ่มเพื่อน ต่อมากดลงทะเบียนรับประกันภัยโควิด-19 โดยสมาชิกกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน จัดส่งข้อมูลผ่านระบบ หลังจากนั้นยืนยันการใช้สิทธิ์สมาชิก กบข. โดยพิมพ์คำว่า “กบข.” ในกล่องข้อความไลน์ Dhipaya Insurance ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตอบกลับข้อความของสมาชิกเพื่อยืนยันการได้รับสิทธิ์และเริ่มต้นการคุ้มครองทันที สมาชิกที่สนใจสอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายธุรกิจภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ บมจ.ทิพยประกันภัย โทร. 0-2239-2830 ถึง 7 หรือติดตามข่าวสารสวัสดิการใหม่ได้ทาง Facebook กบข. หรือ Line กบข. พิมพ์ค้นหาไอดี @gpfcommunity
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564 รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564 วันนี้(25ธันวาคม2563)เวลา09.00น.ณตึกบัญชาการ1ทำเนียบรัฐบาลนายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19ระลอกที่2ซึ่งพบจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากและมีการแพร่ระบาดหลายจังหวัดอย่างรวดเร็วรัฐบาลโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงงดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในวัดต่างๆทั่วประเทศเพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดแต่จะมีการถ่ายทอดสดพิธีเจริญพระพุทธมนต์จากวัดอรุณราชวรารามวรวิหารให้ประชาชนได้ติดตามชมและร่วมเจริญจิตตภาวนาผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง7 HDและสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(NBT2HD)รวมทั้งสื่อOnlineของวัดอรุณราชวรารามและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและ9 MCOTในวันที่31ธันวาคม2563เวลา23.00น.เป็นต้นไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและประเทศชาติและมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดปี2564 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ในพื้นที่จ.ชัยนาทจำนวน6รายโดยรายแรกเป็นพ่อค้าอาหารทะเลที่เดินทางมาจากสมุทรสาครมีการแพร่ระบาดไปยังผู้ติดเชื้อ2รายเป็นแม่ลูกที่เข้ารับการรักษาคลีนิกเดียวกันรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของผู้ติดเชื้อรายแรกตรวจพบเชื้อเพิ่มเติมอีก3รายนั้นทางจ.ชัยนาทได้ดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดโดยมีการควบคุมพื้นที่ที่เกิดการแพร่ระบาดจึงขอให้ประชาชนชาวชัยนาทมั่นใจว่ารัฐบาลมีการดำเนินงานอย่างเข้มงวด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเรื่องความร่วมมือความสามัคคีของคนในประเทศซึ่งตนมีความมั่นใจว่า“แม้โรคนี้จะร้ายแรงเพียงใดแต่สู้พี่น้องคนไทยไม่ได้”หากเรามีความรักความสามัคคีก็จะเอาชนะโรคร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ไปได้ดั่งเช่นการแพร่ระบาดระลอกแรกที่เราสามารถเอาชนะมาได้จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับสถานการณ์แพร่ระบาดขอให้ทุกฝ่ายเห็นอกเห็นใจช่วยดูแลซึ่งกันและกันในฐานะพี่น้องคนไทยด้วยกัน ..................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.สหรัฐฯ และ การประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ สาธารณรัฐประชาชนจีน
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563 ผลการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.สหรัฐฯ และ การประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ สาธารณรัฐประชาชนจีน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า หลังการประชุม รมว.กห.อาเซียนครั้งที่ 14 ในบ่ายวันเดียวกันของ 9 ธ.ค.63 ได้มีการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.สหรัฐอเมริกา และต่อด้วย การประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.สาธารณประชาชนจีน โดย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. เป็นผู้แทน รมว.กห. เข้าร่วมประชุมดังกล่าว ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดยการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.สหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN-U.S. Defence Ministers’ Informal Meeting) นาย Christopher C. Miller (คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์) รักษาการ รมว.กห.สหรัฐฯ ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของ อาเซียน กับ สหรัฐฯ ว่ามีการขยายตัวจากความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และย้ำถึงยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ ที่เปิดกว้างและเสรี โดยยึดมั่นความเป็นแกนกลางอาเซียน และต้องการให้ภูมิภาคอาเซียน เปิดกว้าง มีเสรีภาพและเสถียรภาพ ทุกประเทศสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน และพร้อมรับมือกับความท้าทายของภูมิภาคที่สำคัญ ด้วยความโปร่งใสและมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการเฝ้าระวังความมั่นคงทางทะเล การก่อการร้าย การปกป้องอธิปไตยและโรคระบาด ด้วยการแบ่งปันข้อมูลร่วมกันและยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อเติบโตและเข้มแข็งไปด้วยกัน ทั้งนี้ กห.สหรัฐฯพร้อมให้การสนับสนุน กห.อาเซียน และร่วมกับ กห.ไทย อย่างใกล้ชิดในความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลต่อไป อาเซียนได้ชื่นชมสหรัฐ ฯ ที่สนับสนุนความเป็นแกนกลาง และความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ผ่านแผนปฏิบัติการอาเซียน -สหรัฐฯ ปี 64-68 โดย พล.อ.ชัยชาญ ฯ ได้กล่าวย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญกับบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐ ฯในภูมิภาค ทั้งในมิติทางด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งเสรีภาพของการเปิดกว้าง ความโปร่งใส เคารพในอธิปไตยและกฎกติกาสากล ไทยมุ่งมั่นสานต่อกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศและพร้อมทำงานกับสหรัฐ ฯ ในคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเล ต่อจากนั้น เวลา 1500 พล.อ.ชัยชาญฯ รมช.กห. ได้เข้าร่วมประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.สปจ.อย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN-China Defence Ministers’ Informal Meeting) โดย พล.อ.เว่ย เฟิ่งเหอ (Wei Fenghe) รมว.กห.สปจ.ได้กล่าวว่า หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทุกประเทศเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จีนในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของ ASEAN ยินดีแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยเราจำเป็นต้องเพิ่มพูนความร่วมมือและสนับสนุนกันรับมือกับปัญหาทั้ง COVID-19 ด้านเศรษฐกิจ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยจีนยินดีดำเนินการตามข้อตกลงต่างๆ ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และยินดีสนับสนุนความเป็นแกนกลางอาเซียน พร้อมย้ำว่า ASEAN คือ คู่ค้ารายใหญ่ของจีน ที่เราต่างต้องร่วมกันแก้ปัญหารับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง โดยจีนยืนยันไม่แทรกแซงเรื่องภายในของแต่ละประเทศ และพร้อมส่งเสริม เพิ่มพูนความร่วมมือกับอาเซียนรับมือกับปัญหาโรคระบาด ภัยพิบัติและการก่อการร้าย รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาสันติภาพ การแก้ปัญหาทุ่นระเบิด รวมทั้งการฝึกและลาดตระเวนร่วมทางทะเล โดยเฉพาะปัญหาทะเลจีนใต้ ที่เราจำเป็นที่ต้องยับยังชั่งใจ ไตร่ตรองให้รอบคอบกับการแทรกแซงจากภายนอกภูมิภาค อาเซียนได้ชื่นชมบทบาทของจีน ที่สนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน และความพยายามระหว่างอาเซียนกับจีนในการเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ที่ผ่านมาอย่างเป็นขั้นตอน ช่วงที่อาเซียนและจีนอยู่ระหว่างเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยพล.อ.ชัยชาญ ฯ ได้กล่าวย้ำว่า ไทยยืนยันส่งเสริมความร่วมมือและความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยปรับเปลี่ยนให้ทะเลจีนใต้เป็นทะเลแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ ความไพบูลย์และความยั่งยืนร่วมกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37528