sysid
stringlengths 1
6
| title
stringlengths 8
870
| txt
stringlengths 0
257k
|
---|---|---|
606707 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 1/2550 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 4)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๑/๒๕๕๐
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ฉบับที่ ๔)[๑]
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ (๑) มาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ (๗) และ (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
จึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม หมายความว่า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน
๔/๒๕๔๘ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
และประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๔/๒๕๔๙ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกบทนิยาม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และบทนิยาม ระบบการซื้อขาย ในข้อ ๒
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในข้อ ๓ (๓) (๔) และ (๕)
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๓) มีผู้บริหารของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าซึ่งมีคุณวุฒิทางการศึกษา
และมีประสบการณ์ในการทำงาน ดังต่อไปนี้
(ก)
สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ผู้จัดการ
และผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่กรรมการหรือผู้จัดการ
และตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
๑)
สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไปหรือเทียบเท่าที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(ก.พ.) รับรองและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปี หรือ
๒)
สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าห้าปี
(ข)
สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย
และผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย
และตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
๑)
สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไปหรือเทียบเท่าที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(ก.พ.) รับรองและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี หรือ
๒)
สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปี
นอกจากนี้
กรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการดังกล่าวต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(ก)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(จ)
เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ฉ)
เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ช)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(๔)
มีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน
ได้แก่ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่ายและผู้จัดการสาขา
รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สามารถปฏิบัติงานให้แก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเต็มเวลา
(๕)
มีพนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. ให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน แต่ทั้งนี้
สำนักงานอาจจะกำหนดจำนวนพนักงานน้อยกว่าจำนวนดังกล่าวก็ได้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
หากนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าประสงค์จะจ้างบุคคลภายนอกให้ทำหน้าที่ของพนักงานตามวรรคก่อนให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๔
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๔
ในเรื่องของการปฏิบัติงานเต็มเวลาของผู้บริหารตามข้อ ๓ (๔)
หากมีกรณีที่มีเหตุจำเป็นและสมควร เมื่อนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีคำขอ
สำนักงานอาจยกเว้นก็ได้
ข้อ ๕
ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ (๑) และ (๒)
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๑) โครงสร้างองค์กร นโยบาย ขอบเขตอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
รวมทั้งการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าซึ่งแสดงได้ว่ามีระบบป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ระบบป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลระหว่างหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน
ระบบการบริหารความเสี่ยง การจัดการด้านการปฏิบัติงาน
และระบบการตรวจสอบและควบคุมภายในที่สามารถรองรับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งมีมาตรการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินงานตามที่กำหนดไว้
(๒)
หน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance Unit) ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้
โดยหน่วยงานดังกล่าวต้องมีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน
ข้อ ๖
ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ (๓) วรรคสอง ข้อ ๙ ข้อ ๑๒ ข้อ ๒๒ ข้อ ๒๔ ข้อ ๒๖
และข้อ ๓๐ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๗
ให้ยกเลิกความในข้อ ๖
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖ ในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจัดให้มีบุคลากร
ดังต่อไปนี้
(๑)
บุคลากรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance Officer)
(๒)
เจ้าหน้าที่ติดต่อลูกค้า ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะติดต่อ ชักชวนเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
(๓)
นักวิเคราะห์การซื้อขายล่วงหน้า
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าหรือจะจัดทำรายงานหรือบทวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อให้บริการหรือเผยแพร่แก่ลูกค้าในนามของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
เจ้าหน้าที่ติดต่อลูกค้าและนักวิเคราะห์การซื้อขายล่วงหน้าตาม
(๒) และ (๓) ต้องมีคุณสมบัติ หน้าที่และความรับผิดชอบตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๘
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๕ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๒/๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๕
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเข้าลักษณะเป็นการเอาเปรียบ
เบียดบังหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากลูกค้าตามที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๙
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๙ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๒/๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๙
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดทำบัญชีแสดงรายการซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าแต่ละราย
ตลอดจนปรับปรุงบัญชีดังกล่าวให้เป็นปัจจุบัน
ข้อ ๑๐
บรรดาประกาศ
คำสั่งหรือข้อกำหนดที่ออกตามความในประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ถูกยกเลิกตามประกาศนี้ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปโดยอนุโลม ทั้งนี้ จนกว่าจะถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลัง
ข้อ ๑๑
การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่
กน ๒/๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ
ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
ข้อ ๑๒
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
เกริกไกร จีระแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๒
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๐๕/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606705 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 5/2549 เรื่อง การเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กน ๕/๒๕๔๙
เรื่อง
การเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า[๑]
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขให้ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติให้แล้วเสร็จ
ก่อนที่เลขาธิการจะอนุญาตให้เลิกประกอบธุรกิจดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖๙ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๓/๒๕๔๗ เรื่อง การเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒
ในประกาศนี้
ข้อตกลง หมายความว่า
ข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
โอนข้อตกลง หมายความว่า
โอนสิทธิและภาระผูกพันที่เกิดจากข้อตกลงที่ยังไม่ได้ล้างฐานะการถือครอง เงินสด
หลักทรัพย์ หลักประกันและทรัพย์สิน รวมถึงเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงนั้นให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายอื่นรับไปดำเนินการต่อไป
ล้างฐานะการถือครอง หมายความว่า
ทำให้สิทธิและภาระผูกพันตามข้อตกลงที่มีอยู่เดิมหมดไป
ด้วยการซื้อล่วงหน้าหรือขายล่วงหน้าขึ้นใหม่ที่มีผลในทางตรงกันข้าม (offset)
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง หมายความว่า
ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนด มติและหนังสือเวียนที่ออกโดยคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ตลาด หมายความว่า
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
เลขาธิการ หมายความว่า
เลขาธิการคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ ๓
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทดังกล่าว พร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบคำขออนุญาตต่อเลขาธิการ ณ สำนักงาน
ตามแบบคำขออนุญาตที่สำนักงานกำหนด ทั้งนี้ ให้สำเนาคำขอแจ้งตลาดทราบด้วย
ข้อ ๔
เมื่อนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าได้ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามข้อ ๓ แล้ว ให้ดำเนินการ ดังนี้
(๑)
ยุติการซื้อขายหรือรับคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายล่วงหน้าจากลูกค้านับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า เว้นแต่จะเป็นการซื้อขายเพื่อล้างฐานะการถือครอง
(๒) แจ้งเป็นหนังสือโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือวิธีอื่นใดที่มีหลักฐานการตอบรับตามที่สำนักงานเห็นชอบให้ลูกค้าทุกรายของผู้ยื่นคำขออนุญาตทราบ
ทั้งนี้
ภายในห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
(๓) ปิดประกาศเป็นหนังสือแจ้งการขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าไว้ในที่เปิดเผย ณ
สถานที่ทำการทุกแห่งของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้านั้นภายในห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ทั้งนี้ โดยปิดประกาศเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน
(๔)
ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันแห่งท้องถิ่นอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
ภายในห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ยื่นคำขออนุญาต
(๕)
สอบถามความประสงค์ของลูกค้าทุกรายว่าต้องการล้างฐานะการถือครองหรือต้องการโอนข้อตกลงไปยังนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายใด
โดยให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจดังกล่าวดำเนินการให้เป็นไปตามความประสงค์ของลูกค้าและเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการโอนข้อตกลง
(๖) จัดให้มีการส่งมอบหรือรับมอบจนแล้วเสร็จ
ในกรณีที่ข้อตกลงของลูกค้ารายใดมีภาระการส่งมอบหรือรับมอบ
(๗) ปิดบัญชีซื้อขายของลูกค้าแต่ละราย
พร้อมทั้งคืนเงินสด หลักทรัพย์
หลักประกันหรือทรัพย์สินที่ยังเหลืออยู่ให้แก่ลูกค้าแต่ละราย (ถ้ามี)
เมื่อได้ดำเนินการตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) แล้ว ทั้งนี้
ไม่เกินระยะเวลาหกสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจดังกล่าว
(๘)
รายงานผลการดำเนินการเพื่อเลิกการประกอบธุรกิจดังกล่าวให้สำนักงานและตลาดทราบตามกำหนดระยะเวลาและแบบที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๕
ภายหลังจากที่ได้ยื่นคำขอเลิกประกอบธุรกิจตามข้อ
๔ แล้ว ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
คุณสมบัติของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ต้องมีตลอดระยะเวลาของการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ก)
สัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนที่ออกและชำระแล้ว
(ข) ผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน
(ค)
พนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน
(๒)
ระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องแสดงให้เห็นว่าไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์แต่ทั้งนี้
ไม่รวมถึงการจัดเก็บเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าหรือเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้า
และการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
(๓)
การจัดให้มีบุคลากรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance
Officer) และบุคลากรที่ทำหน้าที่ควบคุมภายใน (Internal
Audit) ทั้งนี้
เฉพาะในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแสดงให้เห็นว่าไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
(๔) การแจ้งการเริ่มและการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานหรือบุคลากรของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๕)
การแจ้งการเข้ารับการอบรมในหลักสูตรที่สำนักงานยอมรับของพนักงานหรือบุคลากรของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
เฉพาะกรณีที่พนักงานหรือบุคลากรนั้นใช้คุณสมบัติผ่านการทดสอบหลักสูตรจากสำนักงาน
ในการขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดหรือเจ้าหน้าที่ติดต่อลูกค้าหรือบุคลากรอื่นใดที่สำนักงานกำหนด
(๖)
การแจ้งข้อมูลของบุคคลที่เข้าเกณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๗) การชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายปี (กรณีที่ค่าธรรมเนียมถึงกำหนดชำระแล้ว)
(๘) การดำรงทุนจดทะเบียนและทุนที่ออกและชำระแล้ว
การดำรงฐานะทางการเงิน
และการจัดทำและจัดส่งรายงานฐานะทางการเงินของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ทั้งนี้
เฉพาะในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าสามารถแสดงได้ว่ามีฐานะทางการเงินเพียงพอที่จะรองรับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากธุรกรรมการซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าหรือตนเอง
(๙) การจัดทำและการจัดส่งงบการเงิน
ข้อ ๖
เลขาธิการจะอนุญาตให้เลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต่อเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่านายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ยื่นคำขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่มีหนี้สินหรือภาระผูกพันใด
ๆ ต่อลูกค้า และได้รับอนุญาตให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกตลาดแล้ว
ในการพิจารณาอนุญาตให้เลิกประกอบธุรกิจตามวรรคหนึ่ง
เลขาธิการอาจกำหนดเงื่อนไขในการเลิกประกอบธุรกิจก็ได้
ข้อ ๗
นอกจากที่ระบุไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
ให้สำนักงานมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่กำหนดในประกาศนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบการปฏิบัตินั้นได้
ข้อ ๘
การยกเลิกประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๓/๒๕๔๗ เรื่อง การเลิกประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกยกเลิกดังกล่าว
ทั้งนี้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
การุณ
กิตติสถาพร
ปลัดกระทรวงพาณิชย์
ผู้ใช้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๐๑/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606703 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 4/2549 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 3)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๔/๒๕๔๙
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ฉบับที่ ๓)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๒ และมาตรา ๓๕ (๗) และ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ในประกาศนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม หมายความว่า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน
๔/๒๕๔๘ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกบทนิยาม กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ในข้อ ๒ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน
๒/๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง หมายความว่า ระเบียบ
ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนด มติ
และหนังสือเวียนที่ออกโดยคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ตลอดระยะเวลาของการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๑)
เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทยและมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ
(๒)
มีสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนที่ออกและชำระแล้ว
(๓)
มีกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าซึ่งมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปีหรือมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีแต่ไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสิบปีและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(ก)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(จ)
เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ฉ)
เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ช)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(ซ)
เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ฌ)
เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายหรือประกาศ
ระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี
หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้
รวมถึงการถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียน หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ
ตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(ญ)
เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงาน อันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ฎ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๑
มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่มีผลกระทบต่อราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภายในหรือในความผิดอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันหรือเกี่ยวกับการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง
ฉ้อฉลหรือทุจริต ทั้งนี้
รวมถึงการต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฏ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หรือกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฐ)
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๒๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๒๓
วรรคสอง ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
รวมถึงเคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ทั้งนี้
ความในข้อ (ซ) (ฌ) (ญ) (ฎ) (ฏ) และ (ฐ) มิให้ใช้บังคับกับกรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ดำรงตำแหน่งหรือได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการไปแล้วก่อนวันที่
๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
(๔)
มีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน
ได้แก่ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่ายและ ผู้จัดการสาขา
รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สามารถปฏิบัติงานให้แก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเต็มเวลา
(๕)
มีพนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. ให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน
ข้อ
๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ
๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องมีระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
ระเบียบหรือแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับระบบงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนี้
(ก)
ระบบการควบคุมภายในและระบบป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
(ข)
ระบบการบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันความเสียหายจากความเสี่ยงต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในการประกอบธุรกิจให้อยู่ในระดับที่จะไม่มีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยความเสี่ยงที่นำมาประเมินเพื่อใช้ในการบริหารความเสี่ยงต้องครอบคลุมความเสี่ยงทุกประเภทที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจ
(ค)
มาตรการป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลภายในระหว่างหน่วยงานและบุคลากรของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(Chinese Wall)
(ง)
ขอบเขตอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจนของกรรมการ ผู้จัดการ
และบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการและหน่วยงานต่าง ๆ
(๒)
หน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance Unit) และหน่วยงานควบคุมภายใน (Internal Audit) ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้
โดยหน่วยงานดังกล่าวต้องมีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและมีความเป็นอิสระจากหน่วยงานอื่น
(๓)
หน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ติดต่อ
ชักชวนเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าแยกออกจากหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเองของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยต้องไม่ให้บุคลากรที่มีหน้าที่ตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเองของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าได้ล่วงรู้และเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้า
เว้นแต่ข้อมูลการซื้อขายล่วงหน้าในภาพรวมเท่านั้น
ในกรณีที่บุคลากรที่มีหน้าที่ตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเองของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเป็นผู้บริหารของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ผู้บริหารนั้นต้องไม่ใช่ผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการปฏิบัติงานโดยรวมของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ติดต่อชักชวนเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
เช่น ผู้บริหารที่ดำรงตำแหน่งผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ
หรือตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบดังกล่าว เป็นต้น
(๔)
เอกสารและหลักฐานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าหรือเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดเก็บให้ครบถ้วนอย่างน้อยเป็นระยะเวลาห้าปีนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่มีเอกสารและหลักฐานนั้นหรือวันที่มีการซื้อขายล่วงหน้า
แล้วแต่กรณี โดยในสองปีแรกของระยะเวลาดังกล่าว
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดเตรียมเอกสารและหลักฐานเก็บไว้ ณ
ที่ทำการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่พร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ หากมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการรับส่งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าหรือการเจรจาตกลง
และการดำเนินการกับข้อร้องเรียนยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจัดเก็บบันทึกเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวไว้ต่อไปจนกว่าการดำเนินการกับข้อร้องเรียนจะแล้วเสร็จ
การจัดเก็บเอกสารและหลักฐานดังกล่าวให้รวมถึงข้อมูลซึ่งได้กระทำทางโทรศัพท์หรือทางระบบอื่นใดที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ด้วย
(๕)
ระบบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กธ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง
การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๖ และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ
๖ ให้ยกเลิกความในข้อ ๖
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖
ในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจัดให้มีบุคลากร ดังต่อไปนี้
(๑)
บุคลากรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance)
และบุคลากรที่ทำหน้าที่ควบคุมภายใน (Internal Audit)
(๒)
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะติดต่อ
ชักชวนเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า ให้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ติดต่อลูกค้า
ทั้งนี้
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าหรือจะจัดทำรายงานหรือบทวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อให้บริการหรือเผยแพร่แก่ลูกค้าในนามของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดให้มีนักวิเคราะห์การซื้อขายล่วงหน้าด้วย
คุณสมบัติ
หน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรดังกล่าวข้างต้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ข้อ
๗ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าประกอบธุรกิจอื่นใดก่อนวันที่ ๕ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่มิใช่ธุรกิจตามข้อ ๗ ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเลิกประกอบธุรกิจอื่นนั้นภายในวันที่
๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
เว้นแต่จะได้รับการขยายระยะเวลาจากสำนักงานหรือได้รับความเห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นจากสำนักงาน
ข้อ
๘ ให้ยกเลิกความในข้อ ๙
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๙
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องแจ้งข้อมูลของบุคคลที่เข้าเกณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นในจำนวนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่ว่าสัดส่วนการถือหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ต่อเลขาธิการตามแบบที่สำนักงานกำหนดภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารู้หรือควรจะได้รู้ว่าบุคคลนั้นถือหุ้นเข้าเกณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
หรือรู้หรือควรจะได้รู้ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถือหุ้นในจำนวนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่ว่าสัดส่วนการถือหุ้นจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ข้อ
๙ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ
๑๐ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๒
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๒
ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๑)
เป็นบุคคลธรรมดา ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(ก)
เป็นบุคคลที่สำนักงานตลาด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมการประกันภัยเห็นว่าไม่สมควรเป็นผู้บริหารกิจการที่หน่วยงานดังกล่าวกำกับดูแลหรือมีความเกี่ยวข้อง
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(จ)
เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(ฉ)
เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ช)
เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ซ)
เคยหรืออยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษหรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น
(ฌ)
เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงานอันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ญ)
จงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสาระสำคัญหรือปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญที่ควรบอกให้แจ้งในการแจ้งข้อมูลของผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือในรายงานอื่นใดที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการ
ก.ส.ล. หรือสำนักงาน
(ฎ)
ลักษณะต้องห้ามอื่น ๆ ตามที่สำนักงานกำหนด
(๒)
เป็นนิติบุคคล บุคคลผู้มีอำนาจจัดการนิติบุคคลนั้น เช่น หุ้นส่วนผู้มีอำนาจจัดการ
หรือกรรมการของนิติบุคคลนั้นต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้ใน
(๑) ข้างต้น
หากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามวรรคหนึ่งมีลักษณะต้องห้ามข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าวข้างต้น
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้านั้นรายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นหนังสือต่อสำนักงานภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารู้หรือมีเหตุอันควรรู้ถึงลักษณะต้องห้ามของผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น
ในกรณีปรากฏแก่เลขาธิการในภายหลังว่าบุคคลที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแจ้งข้อมูลต่อเลขาธิการว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีลักษณะต้องห้ามข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าวข้างต้น
เลขาธิการจะแจ้งเรื่องการมีลักษณะต้องห้ามของบุคคลดังกล่าวแก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
และให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้านั้นดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวแก่สำนักงานหรือนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เลขาธิการแจ้งเรื่องการมีลักษณะต้องห้ามของบุคคลดังกล่าวแก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
และหากไม่สามารถแก้ไขได้ภายในระยะเวลาดังกล่าวให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติตามคำสั่งของเลขาธิการโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ
ข้อ
๑๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๔
ในการให้บริการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง
อันเป็นการหลอกลวงหรืออาจทำให้ลูกค้าสำคัญผิดในสาระสำคัญ
ข้อ
๑๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๕
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่าง
ดังต่อไปนี้
(๑)
รับรองแก่ลูกค้าว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการซื้อขายล่วงหน้า
(๒)
รับประกันความเสียหายหรือผลขาดทุนที่เกิดจากการซื้อขายล่วงหน้า
(๓)
รับประกันว่าจะไม่เรียกเก็บเงินประกันขั้นต่ำหรือเรียกเงินประกันเพิ่มเติม
(๔)
กล่าวอ้าง รับประกันหรือสัญญาใด ๆ อันมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับ (๑) (๒) และ (๓)
ข้อ
๑๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ
๑๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๑
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๑
การขอเปิดบัญชีซื้อขายล่วงหน้าและการทำสัญญาระหว่างนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ากับลูกค้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะต้องมั่นใจว่าได้รับข้อมูลหรือเอกสารหรือหลักฐานเพียงพอที่แสดงอย่างชัดเจนถึงความประสงค์ของลูกค้าในการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อการประกันความเสี่ยง
และ/หรือเพื่อการเก็งกำไร ความรู้
ความเข้าใจและประสบการณ์ในธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า การประกอบอาชีพของลูกค้า
ฐานะทางการเงิน
ข้อจำกัดในการซื้อขายของลูกค้าและความสามารถในการวางเงินประกันและชำระหนี้ของลูกค้า
ข้อ
๑๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๒
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๒ ในกรณีที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายล่วงหน้ามีลักษณะผิดปกติหรืออาจเข้าข่ายการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมาย
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตรวจสอบคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายล่วงหน้าก่อน
หากพบสิ่งผิดปกติ ห้ามนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าส่งคำสั่งนั้นเข้าระบบการซื้อขายและรายงานให้สำนักงานทราบทันที
ในกรณีที่ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายเข้าระบบการซื้อขายด้วยสื่ออินเทอร์เน็ต
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้ตามความเหมาะสม
หรือดำเนินการอื่นใดตามที่สำนักงานเห็นสมควร
พร้อมทั้งแจ้งให้สำนักงานทราบโดยไม่ชักช้า
(๑)
แจ้งลูกค้ามิให้ส่งคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายที่มีลักษณะดังกล่าวเข้ามาในระบบการซื้อขาย
(๒)
ยกเลิกคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายที่มีลักษณะดังกล่าวซึ่งยังมิได้มีการจับคู่ซื้อขาย
(๓)
ระงับการให้บริการซื้อขายผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้า
ข้อ
๑๖ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๔
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องตรวจสอบสถานะบัญชีเพื่อการหักบัญชีเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าและฐานะของลูกค้าก่อนทำการซื้อขายล่วงหน้าให้แก่ลูกค้า
ข้อ
๑๗ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๘
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๘
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องยืนยันผลการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
ภายหลังจากได้รับทราบว่าคำสั่งที่ได้เสนอเข้าไปในตลาดได้รับการจับคู่แล้ว
ข้อ
๑๘ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๙
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๙ นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดทำสรุปรายการซื้อขายล่วงหน้า
และธุรกรรมใด ๆ
ที่เกิดขึ้นในบัญชีซื้อขายล่วงหน้าและบัญชีอื่นของลูกค้าทั้งหมดให้แก่ลูกค้า
ข้อ
๑๙ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓๐
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓๐
เมื่อมีการยุติฐานะอันเนื่องมาจากการสิ้นสุดภาระผูกพันตามข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดทำรายการสรุปแสดงผลกำไรและขาดทุนให้แก่ลูกค้าด้วย
ข้อ
๒๐ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓๒
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓๒
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องตรวจสอบดูแลการปฏิบัติงานของพนักงานและบุคลากรของตนให้เป็นไปตามจรรยาบรรณและตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ข้อ
๒๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๓๓/๑
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๓๓/๑
นอกจากที่ระบุไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
ให้สำนักงานมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่กำหนดในประกาศนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบการปฏิบัตินั้นได้
ข้อ
๒๒ บรรดาประกาศ
คำสั่งหรือข้อกำหนดที่ออกตามความในประกาศข้อที่ถูกยกเลิกยังคงใช้บังคับได้ต่อไปโดยอนุโลม ทั้งนี้
จนกว่าจะถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศ คำสั่งหรือข้อกำหนดที่ออกตามความในประกาศนี้
ข้อ
๒๓
การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่
กน ๒/๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ
ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
ข้อ
๒๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๒
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๙๐/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606701 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 2/2549 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 4)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กน ๒/๒๕๔๙
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ฉบับที่
๔)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๒) และ (๓) และมาตรา
๓๕ (๗) และ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๕/๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หมายความว่า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗ เรื่อง
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน
๓/๒๕๔๘ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
และประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๘ เรื่อง
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกบทนิยาม ส่วนของผู้ถือหุ้น
และบทนิยาม กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ในข้อ
๒ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๕/๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓/๑
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และที่แก้ไขเพิ่มเติมและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓/๑ ผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(๑)
มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ
(๒)
มีทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาทสำหรับการยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
และไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านบาทสำหรับการยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
(๓)
มีทุนที่ออกและชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญ
(๔) มีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Adjusted
Net Capital) ไม่ต่ำกว่าสิบล้านห้าแสนบาท
(๕) มีสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยเป็นมูลค่าเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนที่ออกและชำระแล้ว
(๖) มีกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต ซึ่งต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปี
หรือมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีแต่ไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสิบปีและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(ก) เป็นบุคคลล้มละลาย
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(จ) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(ฉ) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ
กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ
ก.ส.ล.
(ช) เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ซ) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(ฌ)
เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายหรือประกาศ
ระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี
หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้
รวมถึงการถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ
ตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(ญ) เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงาน
อันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ฎ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๑
มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี
หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่มีผลกระทบต่อราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภายในหรือในความผิดอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันหรือเกี่ยวกับการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง
ฉ้อฉลหรือทุจริต ทั้งนี้
รวมถึงการต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฏ) เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หรือกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฐ)
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๒๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๒๓
วรรคสอง ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นคำขออนุญาต
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
รวมถึงเคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นคำขออนุญาต
(๗)
แสดงได้ว่าจะมีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน
ได้แก่ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้จัดการสาขา
รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สามารถปฏิบัติงานให้แก่ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตเต็มเวลา
(๘)
แสดงได้ว่าจะมีระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยกำหนดแผนการบริหารและแผนการดำเนินงานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อยในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(ก) โครงสร้างองค์กร (Organization
Chart) หน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ
ด้านการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ข) แหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินงาน
(ค) นโยบาย เป้าหมาย
แผนงานในอนาคตและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
(ง) ระบบปฏิบัติงานด้านการซื้อขายล่วงหน้า
โดยอย่างน้อยจะต้องประกอบด้วย
๑) หลักปฏิบัติในการติดต่อ
ชักชวนและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าและจัดให้มีวิธีการในการประเมินลูกค้า
พร้อมทั้งกำหนดนโยบายและขั้นตอนในการกำหนดวงเงินและการอนุมัติวงเงินให้แก่ลูกค้า
๒) หลักปฏิบัติ
วิธีการและขั้นตอนในการรับคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า
(จ)
หลักปฏิบัติในการดูแลเงินและทรัพย์สินของลูกค้า
(ฉ) มาตรการและแนวทางที่ใช้ในการดำเนินงาน
ตลอดจนขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในด้านต่าง
ๆ ดังนี้
๑) การป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลภายในระหว่างหน่วยงานและบุคลากร
(Chinese Wall)
๒) การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ติดต่อ
ชักชวนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าออกจากหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้าเพื่อผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต
๓) การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่ปฏิบัติการด้านซื้อขายล่วงหน้า
(Back Office) กับหน่วยงานและบุคลากรที่ให้บริการด้านซื้อขายล่วงหน้า
(Front Office) ออกจากกัน
โดยจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องในการปฏิบัติงานระหว่างบุคลากรของหน่วยงานดังกล่าวและต้องไม่มอบหมายให้บุคลากรคนหนึ่งคนใดรับผิดชอบการปฏิบัติงานตลอดกระบวนการในลักษณะที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้
๔)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต (Proprietary
Trading)
๕)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของพนักงานของผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต
รวมทั้งคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
๖)
ระบบป้องกันการซื้อขายล่วงหน้าของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าและพนักงานที่เป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือเข้าข่ายไม่เหมาะสม
๗) ระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล
โดยต้องจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอแก่การป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่บุคคลดังกล่าวไม่มีความรับผิดชอบ
(ช) ระบบการบริหารความเสี่ยง
ซึ่งมีขั้นตอนการรายงานความบกพร่องในการบริหารความเสี่ยงให้ผู้บริหารทราบด้วย
โดยจัดทำเป็นคู่มือ
(ซ) ระบบการควบคุมภายใน
โดยกำหนดนโยบายและมาตรการควบคุมภายในซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการตามนโยบายและระบบที่วางไว้
รวมถึงมีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจสอบและการควบคุมภายในและการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตต้องจัดให้มีหน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงาน
(Compliance Unit) และหน่วยงานควบคุมภายใน
(Internal Audit) ที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและเป็นอิสระจากหน่วยงานอื่น
(ฌ) ระบบการจัดเก็บข้อมูลในการดำเนินงาน
(ญ)
ระบบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
(๙)
มีพนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ ก.ส.ล.
ให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และที่แก้ไขเพิ่มเติมและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔ ให้บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ
๓ (๑) หรือผู้ประสงค์จะจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๒)
ยื่นคำขอความเห็นชอบต่อเลขาธิการในการแต่งตั้งกรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ
๓ (๑) หรือผู้ที่จะเป็นกรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ
๓ (๒) แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงกรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการหรือผู้ที่จะเป็นกรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ
๓ (๑) หรือบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ ๓ (๒)
แล้วแต่กรณีในระหว่างการพิจารณาคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าของเลขาธิการต้องได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการด้วย
ให้บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๑)
หรือผู้ประสงค์จะจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๒)
แจ้งข้อมูลของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๑)
หรือผู้ที่จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ
๓ (๒) แล้วแต่กรณีต่อเลขาธิการตามแบบที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ (๑) (ญ)
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และที่แก้ไขเพิ่มเติมและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(ญ)
จงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสาระสำคัญหรือปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญที่ควรบอกให้แจ้งในการแจ้งข้อมูลของผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือในรายงานอื่นใดที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการ
ก.ส.ล. หรือสำนักงาน
ข้อ ๖ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และที่แก้ไขเพิ่มเติมและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘ ผู้ได้รับใบอนุญาตจะเริ่มประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าได้ ต่อเมื่อ
(๑) ผู้ได้รับใบอนุญาตได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. และสำนักงานกำหนด
เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแล้ว
ทั้งนี้
ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องพร้อมให้สำนักงานตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาต
ในกรณีที่สำนักงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับใบอนุญาตยังมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล.
และสำนักงานกำหนดเลขาธิการอาจสั่งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตดำเนินการใดตามที่เห็นสมควร
(๒)
ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นสมาชิกตลาดภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ทั้งนี้
ผู้ได้รับใบอนุญาตอาจขอขยายระยะเวลาดังกล่าวข้างต้นได้หากมีเหตุจำเป็นและสมควร
โดยต้องขอขยายระยะเวลาต่อเลขาธิการก่อนระยะเวลานั้นสิ้นสุดลง
(๓)
ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องมีทุนที่ออกและชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญครบถ้วนตามจำนวนและระยะเวลาที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. หรือสำนักงานประกาศกำหนดเกี่ยวกับการให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องดำรงทุนที่ออกและชำระแล้วดังกล่าว
ทั้งนี้ ภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาต
ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดภายในเวลาที่กำหนดตามข้อ
๘ (๑) วรรคหนึ่ง ข้อ ๘ (๒) หรือข้อ ๘ (๓)
ให้ถือว่าใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าสิ้นผลบังคับเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในข้อดังกล่าว
ข้อ ๗ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และที่แก้ไขเพิ่มเติมและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐ ค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ให้เรียกเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
(๑) ค่าธรรมเนียมการขออนุญาต คำขอละ ๕๐,๐๐๐
บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)
(๒)
ค่าธรรมเนียมสำหรับการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ก)
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
๑๕๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
(ข)
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายปี ให้สำนักงานเรียกเก็บตามปีปฏิทินตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๕๕๐ เป็นต้นไป ในอัตราปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายปี ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(๓) ใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ฉบับละ ๑๕,๐๐๐ บาท
(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
ข้อ ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๑๑/๑
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๑๑/๑ นอกจากที่ระบุไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
ให้สำนักงานมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่กำหนดในประกาศนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบการปฏิบัตินั้นได้
ข้อ ๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙
สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๘๒/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606699 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 1/2549 เรื่อง ค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กน ๑/๒๕๔๙
เรื่อง
ค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๐ วรรคสอง และมาตรา ๓๒
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๔/๒๕๔๗ เรื่อง ค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๑๔
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
ค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
หมายความว่า ค่าธรรมเนียมที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเรียกเก็บจากลูกค้าจากการให้บริการรับและส่งคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายล่วงหน้าจากลูกค้าเพื่อทำการซื้อขายล่วงหน้าแทนลูกค้า
(Brokerage Fee) โดยไม่รวมค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่นที่เกิดขึ้นในการทำธุรกรรมต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายล่วงหน้า เช่น ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น
ตลาด หมายความว่า
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
สมาชิก หมายความว่า
สมาชิกตลาด
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ ๓ กำหนดให้ค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเรียกเก็บจากลูกค้าในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๐.๐๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๐.๒๕ ของมูลค่าการซื้อหรือขายล่วงหน้าที่จับคู่ได้
ในการเรียกเก็บค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามอัตราที่กำหนดในวรรคหนึ่ง
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าสามารถคำนวณเพื่อเรียกเก็บเป็นจำนวนเงินได้
ข้อ ๔ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันในตลาด
สำนักงานอาจกำหนดเป็นการทั่วไปให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเรียกเก็บค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจากลูกค้าในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดในข้อ
๓ ได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๐๑ ของมูลค่าการซื้อหรือขายล่วงหน้าที่จับคู่ได้
โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
ระยะเวลาที่เหมาะสมประเภทและชนิดของสินค้า
รูปแบบการซื้อขายล่วงหน้าหรือประเภทของลูกค้า เป็นต้น
ข้อ ๕ ค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่เรียกเก็บจากลูกค้าเป็นอัตราที่ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีอื่นใดที่เกี่ยวข้องและค่าใช้จ่ายอื่น
ข้อ ๖ ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจัดเก็บข้อมูล
เอกสารและหลักฐานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจากลูกค้าไว้ให้ครบถ้วน
ถูกต้องและสะดวกต่อการตรวจสอบ ทั้งนี้
รวมถึงข้อมูลที่แสดงว่าการเรียกเก็บค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเป็นจำนวนเงินตามข้อ
๓ วรรคสองเป็นไปตามอัตราที่กำหนดตามข้อ ๓ วรรคหนึ่งด้วย ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเรียกเก็บค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเป็นจำนวนเงิน
ข้อ ๗ ห้ามมิให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจ่ายเงิน
ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แก่ลูกค้าเนื่องจากการติดต่อซื้อหรือขายล่วงหน้าของลูกค้ากับนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ซึ่งมิได้เป็นไปในการบริการลูกค้าโดยปกติ
ข้อ ๘ ประกาศนี้ไม่ใช้บังคับกับการเรียกเก็บค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าระหว่างนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นสมาชิกกับนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่มิใช่สมาชิก
ข้อ ๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๘๐/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606697 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 5/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 3)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กน ๕/๒๕๔๘
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาต
ให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ฉบับที่
๓)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
คณะกรรมการ ก.ส.ล. หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๕/๒๕๔๗ หมายความว่า ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๕/๒๕๔๗ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน
๓/๒๕๔๘ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ ๒ ให้เพิ่มข้อ (ช) ต่อจากข้อ ๓/๑ (๑) (ฉ)
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
ดังต่อไปนี้
(ช) สถาบันการเงินอื่นตามที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓/๑ (๑)
วรรคสองแห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ทั้งนี้
รายละเอียดสัดส่วนการถือหุ้นของนิติบุคคลตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) และ (ช) ในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต
ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ทนง
พิทยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๗๘/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606695 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 4/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๔/๒๕๔๘
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ฉบับที่ ๒)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๒ แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๒ (๒)
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๒) เป็นนิติบุคคล บุคคลผู้มีอำนาจจัดการนิติบุคคลนั้น เช่น
หุ้นส่วนผู้มีอำนาจจัดการ
หรือกรรมการของนิติบุคคลนั้นต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้ใน
(๑) ข้างต้น
ข้อ
๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๗
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
วัฒนา เมืองสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๒
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๗๗/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606693 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 3/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 2)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กน ๓/๒๕๔๘
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ฉบับที่
๒)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๒) และมาตรา ๓๕ (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๕/๒๕๔๗ หมายความว่า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗ เรื่อง
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกความในข้อ ๓
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓ ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องเป็น
(๑)
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามกฎหมายไทย
ระหว่างเวลาซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และสิ้นสุดในวันก่อนวันแรกที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับแต่ยังมิได้ประกอบธุรกิจใด
ๆ หรือ
(๒)
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามกฎหมายไทย
หลังจากวันก่อนวันแรกที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ
โดยผู้ประสงค์จะจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดดังกล่าวต้องยื่นขอรับความเห็นชอบในการจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดจากเลขาธิการ
ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่เลขาธิการกำหนด
ข้อ ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๓/๑
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
ข้อ ๓/๑
ผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(๑)
มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติและมีนิติบุคคลรายหนึ่งหรือหลายรายดังต่อไปนี้ถือหุ้นหรือถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนเฉพาะที่เป็นหุ้นสามัญ
(ก)
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ประกอบธุรกิจหลักทางด้านภาคการเกษตรโดยตรง
(ข) บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือการจัดการกองทุนรวมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ค)
ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(ง)
บริษัทเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(จ)
บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
(ฉ)
บริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
ทั้งนี้
รายละเอียดสัดส่วนการถือหุ้นของนิติบุคคลตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) และ (ฉ) ในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต
ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
(๒)
มีทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท
(๓)
มีทุนที่ออกและชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญและมีส่วนของผู้ถือหุ้นเมื่อหักด้วยค่าความนิยมออกแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญ
(๔) มีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Adjusted
Net Capital) ไม่ต่ำกว่าสิบล้านห้าแสนบาท
(๕)
มีสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยเป็นมูลค่าเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนที่ออกและชำระแล้ว
(๖) กรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปี
หรือมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีแต่ไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสิบปีและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(ก) เป็นบุคคลล้มละลาย
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(จ) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(ฉ) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ
กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ
ก.ส.ล.
(ช) เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ซ) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(ฌ)
เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายหรือประกาศ
ระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ
ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ากฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี
หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้
รวมถึงการถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียน หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(ญ) เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงาน อันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ฎ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๑
มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
กฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี
หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกันในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์หรือความผิดอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน
หรือการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง ฉ้อฉลหรือทุจริต ทั้งนี้
รวมถึงการต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฏ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หรือกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฐ)
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๒๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๒๓
วรรคสอง ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นคำขออนุญาต
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
รวมถึงเคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วยในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นคำขออนุญาต
(๗) แสดงได้ว่าจะมีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน
ได้แก่ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้จัดการสาขา
รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สามารถปฏิบัติงานให้แก่ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตเต็มเวลา
(๘) แสดงได้ว่าจะมีระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยกำหนดแผนการบริหารและแผนการดำเนินงานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อยในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(ก) โครงสร้างองค์กร (Organization
Chart) หน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ
ด้านการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ข) แหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินงาน
(ค) นโยบาย เป้าหมาย
แผนงานในอนาคตและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
(ง) ระบบปฏิบัติงานด้านการซื้อขายล่วงหน้า
โดยอย่างน้อยจะต้องประกอบด้วย
๑) หลักปฏิบัติในการติดต่อ ชักชวนและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าและจัดให้มีวิธีการในการประเมินลูกค้า
พร้อมทั้งกำหนดนโยบายและขั้นตอนในการกำหนดวงเงินและการอนุมัติวงเงินให้แก่ลูกค้า
๒) หลักปฏิบัติ
วิธีการและขั้นตอนในการรับคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า
(จ)
หลักปฏิบัติในการดูแลเงินและทรัพย์สินของลูกค้า
(ฉ) มาตรการและแนวทางที่ใช้ในการดำเนินงาน
ตลอดจนขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในด้านต่าง
ๆ ดังนี้
๑)
การป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลภายในระหว่างหน่วยงานและบุคลากร (Chinese
wall)
๒) การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ติดต่อ
ชักชวนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
ออกจากหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้าเพื่อผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต
๓)
การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่ปฏิบัติการด้านซื้อขายล่วงหน้า (Back
Office) กับหน่วยงานและบุคลากรที่ให้บริการด้านซื้อขายล่วงหน้า
(Front Office) ออกจากกัน
โดยจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องในการปฏิบัติงานระหว่างบุคลากรของหน่วยงานดังกล่าวและต้องไม่มอบหมายให้บุคลากรคนหนึ่งคนใดรับผิดชอบการปฏิบัติงานตลอดกระบวนการในลักษณะที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้
๔)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต (Proprietary
Trading)
๕)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของพนักงานของผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต
รวมทั้งคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
๖)
ระบบป้องกันการซื้อขายล่วงหน้าของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าและพนักงานที่เป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือเข้าข่ายไม่เหมาะสม
๗) ระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล
โดยต้องจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอแก่การป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่บุคคลดังกล่าวไม่มีความรับผิดชอบ
(ช) ระบบการบริหารความเสี่ยง
ซึ่งมีขั้นตอนการรายงานความบกพร่องในการบริหารความเสี่ยงให้ผู้บริหารทราบด้วย
โดยจัดทำเป็นคู่มือ
(ซ) ระบบการควบคุมภายใน โดยกำหนดนโยบายและมาตรการ
ควบคุมภายใน
ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการตามนโยบายและระบบที่วางไว้
รวมถึงมีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจสอบและการควบคุมภายในและการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้
ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตต้องจัดให้มีหน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance
Unit) และหน่วยงานควบคุมภายใน (Internal Audit)
ที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและเป็นอิสระจากหน่วยงานอื่น
(ฌ) ระบบการจัดเก็บข้อมูลในการดำเนินงาน
(ญ)
ระบบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
(๙) มีพนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. ให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน
ข้อ ๔
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔ ให้บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ
๓ (๑) หรือผู้ประสงค์จะจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๒)
ยื่นคำขอความเห็นชอบบุคคลดังต่อไปนี้ต่อเลขาธิการตามแบบที่สำนักงานกำหนด
(๑)
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๑)
หรือผู้ที่จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ
๓ (๒) แล้วแต่กรณี
(๒) กรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ
๓ (๑) หรือผู้ที่จะเป็นกรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ
๓ (๒) แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการหรือผู้ที่จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ผู้ที่จะเป็นกรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ
๓ (๑) หรือบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ ๓ (๒)
แล้วแต่กรณีในระหว่างการพิจารณาคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าของเลขาธิการต้องได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการด้วย
ข้อ ๕
ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๕/๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ
๓ (๑)
หรือผู้ที่จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามข้อ
๓ (๒) แล้วแต่กรณีต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นบุคคลธรรมดา
(ก)
เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่สำนักงาน ตลาด
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมการประกันภัยเห็นว่าไม่สมควรเป็นผู้บริหารกิจการที่หน่วยงานดังกล่าวกำกับดูแลหรือมีความเกี่ยวข้อง
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(จ) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(ฉ) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ
กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ
ก.ส.ล.
(ช) เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ซ)
เคยหรืออยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษหรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น
(ฌ) เคยถูกไล่ออก
ปลดออกหรือให้ออกจากงานอันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ญ)
จงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสาระสำคัญหรือปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญที่ควรบอกให้แจ้งในการขอความเห็นชอบเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือในรายงานอื่นใดที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการ
ก.ส.ล. หรือสำนักงาน
(ฎ) ลักษณะต้องห้ามอื่น ๆ ตามที่สำนักงานกำหนด
(๒) กรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นนิติบุคคล
บุคคลผู้มีอำนาจจัดการนิติบุคคลนั้น เช่น หุ้นส่วนผู้มีอำนาจจัดการ
หรือกรรมการของนิติบุคคลนั้นต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ (๑) ข้างต้น
ข้อ ๖
ให้ยกเลิกความในข้อ ๖
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖
ให้บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๑)
หรือผู้ประสงค์จะจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามข้อ ๓ (๒)
ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามแบบคำขออนุญาตและระยะเวลาที่สำนักงานกำหนดพร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบคำขออนุญาต
โดยยื่นต่อเลขาธิการ ณ สำนักงาน
ข้อ ๗
ให้ยกเลิกความในข้อ ๗
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗ ในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแต่ละคราว
ให้เลขาธิการมีอำนาจกำหนดจำนวนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่จะออกให้แก่ผู้ที่จะได้รับใบอนุญาต ระยะเวลาในการพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาคำขออนุญาต
และหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าด้วย
เมื่อได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจากเลขาธิการแล้ว
ให้ผู้ได้รับอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต่อสำนักงานภายในห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับอนุญาตหากผู้ได้รับอนุญาตไม่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด
ให้ถือว่าผู้ได้รับอนุญาตไม่ประสงค์จะประกอบธุรกิจดังกล่าวแล้ว
ให้เลขาธิการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตภายในห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ผู้ได้รับอนุญาตได้ชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคสอง
และเมื่อได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแล้ว
ห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจอื่นใดนอกจากธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทที่ได้รับอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าให้ใช้ได้เฉพาะตัว จะโอนกันไม่ได้
ข้อ ๘
ให้ยกเลิกความในข้อ ๘
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๕/๒๕๔๗
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘ ผู้ได้รับใบอนุญาตจะเริ่มประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าได้ ต่อเมื่อ
(๑)
สำนักงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับใบอนุญาตได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
เพื่อความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแล้ว
และพร้อมให้สำนักงานตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาต
ในกรณีที่สำนักงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับใบอนุญาตยังมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
เลขาธิการอาจสั่งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตดำเนินการใดตามที่เห็นสมควร
(๒)
ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นสมาชิกตลาดภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า เว้นแต่มีเหตุอันเนื่องมาจากกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(๓)
ผู้ได้รับใบอนุญาตเพิ่มทุนให้มีทุนที่ออกและชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญและมีส่วนของผู้ถือหุ้นเมื่อหักด้วยค่าความนิยมออกแล้วตามข้อ
๓/๑ (๓) เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญ
ภายในสี่สิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาต
การชำระทุนเพิ่มให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการตามข้อ ๘
(๑) วรรคหนึ่ง (๒) หรือ (๓) ข้อหนึ่งข้อใด
ให้ถือว่าใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าสิ้นผลบังคับเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในข้อดังกล่าว
ข้อ ๙
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
วัฒนา
เมืองสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๖๗/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606691 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 2/2548 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๒/๒๕๔๘
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๒ และมาตรา ๓๕ (๗) และ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑
ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน
๒/๒๕๔๕ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๕ และประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๒/๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๔๖
บรรดาประกาศ
คำสั่งหรือข้อกำหนดที่ออกตามความในประกาศที่ถูกยกเลิกตามวรรคหนึ่งยังคงใช้บังคับได้ต่อไปโดยอนุโลม ทั้งนี้
จนกว่าจะถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศ
คำสั่งหรือข้อกำหนดที่ออกตามความในประกาศนี้
ข้อ
๒ ในประกาศนี้
บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการ หมายความว่า
กรรมการบริหาร รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย
และให้หมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
โดยในกรณีที่เป็นการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
บุคคลดังกล่าวต้องเป็นผู้รับผิดชอบงานในสายงานเกี่ยวกับการให้บริการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
การปฏิบัติการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า หรือการวิจัยด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าหรือสายงานอื่นในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้
ไม่ว่าสายงานนั้นจะปฏิบัติงานเพื่อให้บริการแก่บุคคลอื่นหรือเพื่อประโยชน์ของกิจการเอง
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หมายความว่า
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ถือหุ้นของนิติบุคคลไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเกินกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น
ประสบการณ์ในการทำงาน หมายความว่า
(๑)
ประสบการณ์การทำงานในระดับบริหาร
(๒)
ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร อันได้แก่ การผลิต การแปรรูป การค้า การส่งออก การซื้อขายล่วงหน้า
การวิจัยหรือการให้ความรู้ทางวิชาการ หรือด้านอื่น ๆ ตามที่สำนักงานกำหนด
หรือ
(๓)
ประสบการณ์จากการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการหรือผู้ประกอบวิชาชีพหรืออาชีพด้านการบัญชี
การเงิน การบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์หรือกฎหมาย
ทุนที่ออกและชำระแล้ว หมายความว่า
ทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดและให้หมายความรวมถึงทุนที่ออกและชำระแล้วซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันของนิติบุคคลอื่น
ระบบการซื้อขาย หมายความว่า
ระบบที่ใช้ในการซื้อขายล่วงหน้าตามที่ตลาดจัดให้มีขึ้น
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง หมายความว่า ระเบียบ
ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนด มติ
และหนังสือเวียนที่ออกโดยคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
คณะกรรมการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
สำนักงาน หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ตลาด หมายความว่า
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ก.ส.ล. หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พระราชบัญญัติ หมายความว่า
พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
หมวด ๑
การดำรงคุณสมบัติของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๓
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าก่อนวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ตลอดระยะเวลาของการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๑)
เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
และมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ
(๒)
มีสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยเป็นมูลค่าเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนที่ออกและชำระแล้ว
(๓)
กรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปีหรือมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีแต่ไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสิบปีและไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(ก)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(จ)
เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ฉ)
เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ช)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
ทั้งนี้
บุคคลที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าประสงค์จะแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเมื่อประกาศนี้ใช้บังคับ
นอกจากจะต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม
(๓) (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) และ (ช) แล้ว จะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย
(ซ)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ฌ)
เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายหรือประกาศ
ระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี
หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้ รวมถึงการถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด
ๆ ตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(ญ)
เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงานอันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ฎ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๑
มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่มีผลกระทบต่อราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภายใน
หรือความผิดอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน หรือการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง
ฉ้อฉลหรือทุจริต ทั้งนี้
รวมถึงการต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฏ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หรือกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฐ)
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๒๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๒๓
วรรคสอง ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
รวมถึงเคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๔)
มีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน
ได้แก่ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่ายและผู้จัดการสาขา
รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สามารถปฏิบัติงานให้แก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเต็มเวลา ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
(๕)
มีพนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบัน ที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. ให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน
ทั้งนี้
ต้องจัดให้มีภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
ข้อ
๔ นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ตลอดระยะเวลาของการเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๑)
เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามกฎหมายไทย
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ
และมีนิติบุคคลรายหนึ่งหรือหลายรายดังต่อไปนี้ถือหุ้นหรือถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนเฉพาะที่เป็นหุ้นสามัญ
(ก)
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ประกอบธุรกิจหลักทางด้านภาคการเกษตรโดยตรง
(ข)
บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือการจัดการกองทุนรวมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ค)
ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(ง)
บริษัทเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(จ)
บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
(ฉ)
บริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
ทั้งนี้
รายละเอียดสัดส่วนการถือหุ้นของนิติบุคคลตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) และ/หรือ (ฉ)
ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
(๒)
มีสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยเป็นมูลค่าเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนที่ออกและชำระแล้ว
(๓)
กรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปีหรือมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีแต่ไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสิบปีและไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(ก)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(จ)
เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ฉ)
เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ช)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(ซ)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ฌ)
เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายหรือประกาศ
ระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี
หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้
รวมถึงการถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ
ตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(ญ)
เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงานอันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ฎ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๑
มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่มีผลกระทบต่อราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภายใน
หรือความผิดอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันหรือการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง
ฉ้อฉลหรือทุจริต ทั้งนี้
รวมถึงการต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฏ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หรือกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฐ)
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๒๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๒๓
วรรคสอง ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
รวมถึงเคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๔)
มีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน
ได้แก่ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่ายและผู้จัดการสาขา
รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สามารถปฏิบัติงานให้แก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเต็มเวลา
(๕)
มีพนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบัน ที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. ให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน
หมวด ๒
การควบคุมการประกอบธุรกิจ
ส่วนที่ ๑
ระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจ
ข้อ
๕
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดให้มีระบบงานที่เหมาะสมและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยกำหนดแผนการบริหารและแผนการดำเนินงานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อยในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
โครงสร้างองค์กร (Organization Chart) หน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ
ด้านการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๒)
แหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินงาน
(๓)
นโยบาย เป้าหมาย แผนงานในอนาคตและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
(๔)
ระบบปฏิบัติงานด้านการซื้อขายล่วงหน้า โดยอย่างน้อยจะต้องประกอบด้วย
(ก)
หลักปฏิบัติในการติดต่อ
ชักชวนและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าและจัดให้มีวิธีการในการประเมินลูกค้า
พร้อมทั้งกำหนดนโยบายและขั้นตอนในการกำหนดวงเงินและการอนุมัติวงเงินให้แก่ลูกค้า
ทั้งนี้
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะให้บริการหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์การซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าในนามของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจัดให้มีระบบการวิเคราะห์เกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าที่เหมาะสมด้วย
(ข)
หลักปฏิบัติ วิธีการและขั้นตอนในการรับคำสั่ง
การส่งคำสั่งและการยกเลิกคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า
(๕)
หลักปฏิบัติในการดูแลเงินและทรัพย์สินของลูกค้า
(๖)
มาตรการและแนวทางที่ใช้ในการดำเนินงาน
ตลอดจนขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในด้านต่าง
ๆ ดังนี้
(ก)
การป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลภายในระหว่างหน่วยงานและบุคลากร (Chinese wall)
(ข)
การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ติดต่อ
ชักชวนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าออกจากหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเอง
(ค)
การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่ปฏิบัติการด้านซื้อขายล่วงหน้า (Back Office) กับหน่วยงานและบุคลากรที่ให้บริการด้านซื้อขายล่วงหน้า (Front Office) ออกจากกัน
โดยจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องในการปฏิบัติงานระหว่างบุคลากรของหน่วยงานดังกล่าวและต้องไม่มอบหมายให้บุคลากรคนหนึ่งคนใดรับผิดชอบการปฏิบัติงานตลอดกระบวนการในลักษณะที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต
(ง)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเองของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(Proprietary Trading)
(จ)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของพนักงานของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
รวมทั้งคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
(ฉ)
ระบบป้องกันการซื้อขายล่วงหน้าของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าและพนักงานที่เป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม
(ช)
ระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล
โดยต้องจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอแก่การป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่บุคคลดังกล่าวไม่มีความรับผิดชอบ
(ซ)
ระบบการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพ
(๗)
ระบบการบริหารความเสี่ยงซึ่งมีขั้นตอนการรายงานความบกพร่องในการบริหารความเสี่ยงให้ผู้บริหารทราบด้วย
โดยจัดทำเป็นคู่มือ
(๘)
ระบบการควบคุมภายใน
โดยอย่างน้อยต้องจัดให้มีหน่วยงานและบุคลากรกำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance Unit) และหน่วยงานและบุคลากรควบคุมภายใน (Internal Audit Unit) ที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและเป็นอิสระจากหน่วยงานอื่น
และต้องกำหนดนโยบายและมาตรการควบคุมภายในซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการตามนโยบายและระบบที่วางไว้
รวมถึงมีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจสอบและการควบคุมภายในและการกำกับดูแลการปฏิบัติงานด้วย
(๙)
ระบบการจัดเก็บข้อมูลในการดำเนินงาน
โดยนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดเก็บเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าหรือเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าให้ครบถ้วนอย่างน้อยเป็นระยะเวลาห้าปีนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่มีเอกสารหลักฐานนั้นหรือวันที่มีการซื้อขายล่วงหน้า
แล้วแต่กรณี โดยในสองปีแรกของระยะเวลาดังกล่าว
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดเตรียมเอกสารหลักฐานเก็บไว้ ณ
ที่ทำการของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่พร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ หากมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการให้คำแนะนำ
การรับคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าหรือการเจรจาตกลงและการดำเนินการกับข้อร้องเรียนยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจัดเก็บบันทึกเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวไว้ต่อไปจนกว่าการดำเนินการกับข้อร้องเรียนจะแล้วเสร็จ
ระบบการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวให้รวมถึงเอกสารและหลักฐานที่เป็นข้อมูลซึ่งได้กระทำทางโทรศัพท์หรือทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
(๑๐)
ระบบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กธ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง
การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๖ (ตามที่มีแก้ไขเพิ่มเติม)
ทั้งนี้
การจัดให้มีระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า รวมถึงคุณสมบัติ หน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรตามข้อนี้
ให้เป็นไปตามแนวทางที่สำนักงานประกาศกำหนด
สำหรับนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าก่อนวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
อย่างน้อยให้คงไว้ซึ่งระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่มีอยู่เดิมต่อไปจนกว่าจะพ้นระยะเวลาหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับจึงให้นำความในข้อนี้มาใช้บังคับ
ข้อ
๖
ในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจัดให้มีบุคลากรดังต่อไปนี้
(๑)
บุคลากรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance)
และบุคลากรที่ทำหน้าที่ควบคุมภายใน (Internal Audit)
(๒)
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะติดต่อ
ชักชวนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า ให้จัดให้มีเจ้าหน้าที่การตลาด
ทำหน้าที่ติดต่อ ชักชวนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
ทั้งนี้
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าหรือจะจัดทำรายงานหรือบทวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อให้บริการหรือเผยแพร่แก่ลูกค้าในนามของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดให้มีนักวิเคราะห์การซื้อขายล่วงหน้าเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นด้วย
คุณสมบัติ
หน้าที่และความรับผิดชอบของนักวิเคราะห์การซื้อขายล่วงหน้าให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
สำหรับนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าก่อนวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
อย่างน้อยให้คงไว้ซึ่งบุคลากรที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่มีอยู่เดิมต่อไปจนกว่าจะพ้นระยะเวลาหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับจึงให้นำความในข้อนี้มาใช้บังคับ
ข้อ
๗
ห้ามมิให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าประกอบธุรกิจอื่นใด
เว้นแต่ธุรกิจดังต่อไปนี้
(๑)
ธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ ประเภทที่ได้รับอนุญาต
(๒)
ธุรกิจที่มีลักษณะครบถ้วนดังนี้
(ก)
เป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ข)
เป็นธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าหรือลูกค้าของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ค)
เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ตามพระราชบัญญัติประเภทที่ได้รับอนุญาต
โดยสนับสนุนการให้บริการให้มีความสมบูรณ์และครบวงจรยิ่งขึ้น
หรือเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล สถานที่ เครื่องมือ
เครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น
ทั้งนี้
การประกอบธุรกิจตาม (๒) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
(๓)
ธุรกิจอื่น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ข้อ
๘ หากนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าก่อนวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกอบธุรกิจอื่นหรือถือหุ้นในกิจการอื่นหรือมีอำนาจควบคุมกิจการอื่นตามที่สำนักงานกำหนดหรือเป็นผู้ที่อาจรับผลเสียหายหรือความเสี่ยงส่วนใหญ่จากกิจการนั้นอยู่แล้วก่อนประกาศนี้ใช้บังคับ
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าดังกล่าวดำเนินการดังนี้
(๑)
ในกรณีประกอบธุรกิจอื่น
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายงานต่อสำนักงานตามแบบที่สำนักงานกำหนด
ภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ และหากธุรกิจอื่นนั้นมิใช่ธุรกิจตามข้อ
๗ ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(ก)
เลิกประกอบธุรกิจอื่นนั้นภายในสองปีนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
เว้นแต่สำนักงานจะขยายระยะเวลาให้ หรือ
(ข)
จัดทำและขอความเห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นจากสำนักงาน
ภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
ในกรณีที่สำนักงานเห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติตามแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นโดยเคร่งครัดและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าอาจขอความเห็นชอบจากสำนักงานในการแก้ไขเพิ่มเติมแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจที่สำนักงานให้ความเห็นชอบแล้วก็ได้ ทั้งนี้
สำนักงานอาจให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแก้ไขเพิ่มเติมแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจดังกล่าว
เพื่อประโยชน์แก่การประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าด้วยก็ได้
ในกรณีที่สำนักงานไม่เห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นหรือในกรณีที่สำนักงานเห็นว่านายหน้าซื้อขายล่วงหน้าไม่สามารถปฏิบัติตามแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นได้
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเลิกประกอบธุรกิจอื่นนั้นภายในสองปีนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่สำนักงานไม่เห็นชอบหรือเห็นว่านายหน้าซื้อขายล่วงหน้าไม่สามารถปฏิบัติตามแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นได้
แล้วแต่กรณี เว้นแต่สำนักงานจะขยายระยะเวลาให้
(๒)
ในกรณีถือหุ้นในกิจการอื่น
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายงานต่อสำนักงานตามแบบที่สำนักงานกำหนด
ภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
และหากกิจการอื่นนั้นมิใช่ธุรกิจตามข้อ ๗
และนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าถือหุ้นในสัดส่วนเกินกว่าที่กำหนดไว้ ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(ก)
ลดสัดส่วนการถือหุ้นในกิจการอื่นนั้นให้มีสัดส่วนไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้
ภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ หรือ
(ข)
จัดทำและขอความเห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นจากสำนักงาน
ภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
ในกรณีที่สำนักงานเห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติตามแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นโดยเคร่งครัดและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าอาจขอความเห็นชอบจากสำนักงานในการแก้ไขเพิ่มเติมแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจที่สำนักงานให้ความเห็นชอบแล้วก็ได้ ทั้งนี้
สำนักงานอาจให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแก้ไขเพิ่มเติมแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจดังกล่าว
เพื่อประโยชน์แก่การประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าด้วยก็ได้
ในกรณีที่สำนักงานไม่เห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นหรือในกรณีที่สำนักงานเห็นว่านายหน้าซื้อขายล่วงหน้าไม่สามารถปฏิบัติตามแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นได้
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าลดสัดส่วนการถือหุ้นในกิจการอื่นนั้นให้มีสัดส่วนไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้
ภายในระยะเวลาและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
สัดส่วนการถือหุ้นที่กำหนด
ได้แก่
(ก)
ถือหุ้นในกิจการอื่นรวมกันไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมไม่เกินกว่าร้อยละยี่สิบของทุนที่ออกและชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
เว้นแต่กรณีที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน หรือ
(ข)
ถือหุ้นในกิจการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมไม่เกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมดของกิจการนั้น
การคำนวณสัดส่วนการลงทุนในกิจการอื่น
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้านับรวมหุ้นของบุคคลที่โดยพฤติการณ์แล้วนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีอำนาจควบคุมบุคคลนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในเรื่องการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนในกิจการ
หรือการได้มา การจำหน่ายหรือการก่อภาระผูกพันในหุ้นที่บุคคลนั้นมีอยู่ในกิจการด้วย
(๓)
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีอำนาจควบคุมกิจการอื่นตามที่สำนักงานกำหนดหรือเป็นผู้ที่อาจรับผลเสียหายหรือความเสี่ยงส่วนใหญ่จากกิจการนั้น
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายงานต่อสำนักงานตามแบบที่สำนักงานกำหนดและขอความเห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นจากสำนักงาน
ภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
ในกรณีที่สำนักงานเห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้น
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติตามแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นโดยเคร่งครัด
และนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าอาจขอความเห็นชอบจากสำนักงานในการแก้ไขเพิ่มเติมแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจที่สำนักงานให้ความเห็นชอบแล้วก็ได้ ทั้งนี้
สำนักงานอาจให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแก้ไขเพิ่มเติมแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจดังกล่าว
เพื่อประโยชน์แก่การประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าด้วยก็ได้
ในกรณีที่สำนักงานไม่เห็นชอบแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นหรือในกรณีที่สำนักงานเห็นว่านายหน้าซื้อขายล่วงหน้าไม่สามารถปฏิบัติตามแผนประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจนั้นได้
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ส่วนที่ ๒
การเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ข้อ
๙
ในกรณีที่บุคคลใดถือหุ้นในสัดส่วนที่เข้าเกณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามประกาศนี้
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าขอความเห็นชอบการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบุคคลนั้นจากเลขาธิการตามแบบที่สำนักงานกำหนด
ภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าบุคคลนั้นถือหุ้นในสัดส่วนที่เข้าเกณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ความในข้อนี้มิให้ใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าก่อนวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนที่เข้าเกณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตามประกาศนี้โดยให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องขอความเห็นชอบการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่จากเลขาธิการและให้ถือว่าผู้ถือหุ้นดังกล่าวเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตามประกาศนี้
ข้อ
๑๐
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าก่อนวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ต้องขอความเห็นชอบการถือหุ้นในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตามข้อ ๙
วรรคสองจากเลขาธิการตามแบบที่สำนักงานกำหนดก่อนที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายนั้น
หรือภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายนั้นถือหุ้นจากการได้มาโดยวิธีอื่นในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
แล้วแต่กรณี โดยยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการ
ข้อ
๑๑ ภายใต้บังคับข้อ ๙ และข้อ ๑๐
ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าถือหุ้นในสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไป
หรือถือหุ้นในจำนวนที่เพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนการถือหุ้นไม่เปลี่ยนแปลงไป
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายงานเรื่องดังกล่าว
ให้เลขาธิการทราบตามแบบที่สำนักงานกำหนด
ภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายนั้นถือหุ้นในสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว
แล้วแต่กรณี
ข้อ
๑๒
ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๑)
เป็นบุคคลธรรมดา ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(ก)
เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่สำนักงาน ตลาด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมการประกันภัยเห็นว่าไม่สมควรเป็นผู้บริหารกิจการที่หน่วยงานดังกล่าวกำกับดูแลหรือมีความเกี่ยวข้อง
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง)
เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(จ)
เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(ฉ)
เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ช)
เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ซ)
เคยหรืออยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษหรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น
(ฌ)
เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงานอันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ญ)
จงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสาระสำคัญหรือปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญที่ควรบอกให้แจ้งในการขอความเห็นชอบเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือในรายงานอื่นใดที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการ
ก.ส.ล. หรือสำนักงาน
(ฎ)
ลักษณะต้องห้ามอื่น ๆ ตามที่สำนักงานกำหนด
(๒)
เป็นนิติบุคคล กรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนิติบุคคลนั้น
ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้ใน (๑) ข้างต้น
หากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามวรรคหนึ่งมีลักษณะต้องห้ามข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าวข้างต้น
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้านั้นรายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นหนังสือต่อสำนักงานภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารู้หรือมีเหตุอันควรรู้ถึงลักษณะต้องห้ามของผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น
ในกรณีปรากฏแก่เลขาธิการในภายหลังว่าบุคคลที่เลขาธิการเห็นชอบให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีลักษณะต้องห้ามข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าวข้างต้น
เลขาธิการจะแจ้งเรื่องการมีลักษณะต้องห้ามของบุคคลดังกล่าวแก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ทั้งนี้
ให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวไม่เคยได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการตั้งแต่เริ่มต้นหรือสิ้นสุดสถานการณ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตามประกาศนี้
แล้วแต่กรณี และให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้านั้นดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวแก่สำนักงานหรือนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เลขาธิการแจ้งเรื่องการมีลักษณะต้องห้ามของบุคคลดังกล่าวแก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
และหากไม่สามารถแก้ไขได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติตามคำสั่งของเลขาธิการโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ
หมวด ๓
การแสดงตนเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๑๓
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับสิทธิ
หน้าที่และภาระผูกพันของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต่อลูกค้าหรือบุคคลทั่วไป
หรือแสดงตนเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับการค้ำประกันหรือการรับรองจากคณะกรรมการ
ก.ส.ล. หรือสำนักงาน
เว้นแต่เป็นการแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๑๔
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องแสดงข้อความจริงและข้อมูลที่ลูกค้าควรทราบแก่ลูกค้า
เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจในสาระสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๑๕
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
ดังต่อไปนี้
(๑)
รับรองการได้รับผลตอบแทนจากการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
(๒)
รับประกันความเสียหายหรือผลขาดทุนที่เกิดจากการซื้อขายล่วงหน้า
(๓)
รับรองว่าจะไม่เรียกเก็บเงินประกันขั้นต่ำหรือเรียกเงินประกันเพิ่มเติม
(๔)
กล่าวอ้าง รับรองหรือสัญญาใด ๆ อันมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับ (๑) (๒) และ (๓)
ข้อ
๑๖
ก่อนการเปิดบัญชีซื้อขายล่วงหน้าให้แก่ลูกค้ารายใหม่
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องแจ้งให้ลูกค้ารายใหม่ทราบถึงความเสี่ยง
ค่าใช้จ่ายและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายล่วงหน้า กลไกการซื้อขาย
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สิทธิและหน้าที่ของลูกค้าอย่างชัดเจนและครบถ้วน
โดยลูกค้าต้องลงลายมือชื่อเพื่อรับทราบและเข้าใจด้วย
ข้อ
๑๗
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่ทำสัญญาใด ๆ
เพื่อยกเลิกหรือจำกัดความรับผิดของตนเองที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อลูกค้าตามที่พระราชบัญญัติและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนด
ข้อ
๑๘ ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าถูกพักใช้หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ห้ามแสดงตนเป็นนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต่อลูกค้าหรือบุคคลทั่วไป
ทั้งนี้
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องแจ้งเหตุตามวรรคหนึ่งให้ลูกค้าทราบโดยไม่ชักช้า
หมวด ๔
การจัดหาคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายล่วงหน้า
ข้อ
๑๙
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องดำเนินการตามสมควรเพื่อแสดงข้อมูลและหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรตามความเป็นจริง
โดยอย่างน้อยให้ลูกค้าทราบถึงบทบาท หน้าที่และธุรกิจของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
สถานที่ตั้ง ฐานะทางการเงิน
พนักงานหน่วยงานและหมายเลขโทรศัพท์ที่ลูกค้าสามารถติดต่อได้
และองค์กรกำกับดูแลธุรกิจของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๒๐ ในการติดต่อ
ชักชวนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดให้เจ้าหน้าที่การตลาดเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าว
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องควบคุมดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่การตลาดตัวแทนซื้อขายล่วงหน้า
(ถ้ามี) และตัวแทนสนับสนุนการซื้อขายล่วงหน้า (ถ้ามี) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. และสำนักงานกำหนดด้วย
ข้อ
๒๑ การขอเปิดบัญชีซื้อขายล่วงหน้าและการทำสัญญาระหว่างนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ากับลูกค้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะต้องมั่นใจว่า
(๑)
ได้รับข้อมูลหรือเอกสารหรือหลักฐานเพียงพอที่แสดงอย่างชัดเจนถึงความประสงค์ของลูกค้าในการซื้อขายล่วงหน้า
เพื่อการประกันความเสี่ยง และ/หรือเพื่อการเก็งกำไร ความรู้
ความเข้าใจและประสบการณ์ในธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า การประกอบอาชีพของลูกค้า
ฐานะทางการเงิน
ข้อจำกัดในการซื้อขายของลูกค้าและความสามารถในการวางเงินประกันและชำระหนี้ของลูกค้า
(๒)
ลูกค้าเป็นบุคคลเดียวกับที่ปรากฏตามเอกสารและหลักฐานที่ใช้ประกอบการขอเปิดบัญชีซื้อขายล่วงหน้าข้างต้น
หมวด ๕
การรับคำสั่งและการส่งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๒๒
ในกรณีที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายล่วงหน้ามีลักษณะผิดปกติหรืออาจเข้าข่ายการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมาย
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตรวจสอบคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายล่วงหน้าก่อน
หากพบสิ่งผิดปกติ
ห้ามนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าส่งคำสั่งนั้นเข้าระบบการซื้อขายและรายงานให้สำนักงานทราบทันที
ข้อ
๒๓
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องซื้อขายล่วงหน้าให้เป็นไปตามคำสั่งของลูกค้าที่เป็นเจ้าของบัญชีซื้อขายล่วงหน้าหรือบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากลูกค้าที่เป็นเจ้าของบัญชีซื้อขายล่วงหน้าเท่านั้น
และต้องไม่ซื้อขายล่วงหน้าโดยใช้บัญชีซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้ารายหนึ่งเพื่อลูกค้ารายอื่น
ข้อ
๒๔
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องตรวจสอบสถานะบัญชีเพื่อการหักบัญชีเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าและฐานะของลูกค้าก่อนทำการซื้อขายล่วงหน้าให้แก่ลูกค้า
และแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงจำนวนข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้าที่ลูกค้ามีอยู่และจำนวนข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้าสูงสุดที่จะมีได้
ข้อ
๒๕
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องกำหนดขั้นตอนและวิธีการในการซื้อขายล่วงหน้าให้แก่ลูกค้าให้เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง
เว้นแต่คำสั่งของลูกค้าจะกำหนดเงื่อนไขในการซื้อขายล่วงหน้าไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดเจน
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าก่อนประโยชน์ของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยต้องซื้อขายล่วงหน้าเพื่อลูกค้าก่อนตนเอง เว้นแต่คำสั่งของลูกค้าจะกำหนดเงื่อนไขในการซื้อขายล่วงหน้าไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดเจน
ข้อ
๒๖
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องกำหนดขั้นตอนและวิธีการในการแก้ไขรายการซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนและต้องควบคุมมิให้มีการแก้ไขรายการซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและขั้นตอนและวิธีการที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ากำหนดดังกล่าว
ข้อ
๒๗
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดให้มีระบบตรวจสอบที่เชื่อถือได้ว่าบุคคลที่ส่งคำสั่งให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าดำเนินการกับทรัพย์สินในบัญชีของลูกค้าเป็นเจ้าของบัญชีที่แท้จริงหรือเป็นบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของบัญชีที่แท้จริง
เช่น
มีระบบตรวจสอบลายมือชื่อก่อนที่จะดำเนินการกับทรัพย์สินในบัญชีของลูกค้าตามคำสั่งที่ได้รับ
หมวด ๖
การรายงานการซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๒๘
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องยืนยันผลการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ตลาดกำหนด
ภายหลังจากได้รับทราบว่าคำสั่งที่ได้เสนอเข้าไปในตลาดได้รับการจับคู่แล้ว
ข้อ
๒๙
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดทำสรุปรายการซื้อขายล่วงหน้า และธุรกรรมใด ๆ
ที่เกิดขึ้นในบัญชีซื้อขายล่วงหน้าและบัญชีอื่นของลูกค้าทั้งหมดให้แก่ลูกค้าตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ตลาดกำหนด
ข้อ
๓๐
เมื่อมีการยุติฐานะอันเนื่องมาจากการสิ้นสุดภาระผูกพันตามข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องจัดทำรายการสรุปแสดงผลกำไรและขาดทุนให้แก่ลูกค้าด้วย
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ตลาดกำหนด
หมวด ๗
ข้อปฏิบัติอื่นของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ
๓๑
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายปีให้แก่สำนักงานตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ในอัตราปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายปีให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
การชำระค่าธรรมเนียมรายปีตามวรรคหนึ่ง
ให้ชำระก่อนวันที่เริ่มปีปฏิทิน
หากนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าไม่ชำระค่าธรรมเนียมหรือชำระไม่ครบถ้วน
สำนักงานจะคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของค่าธรรมเนียมที่ค้างชำระ
โดยเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน หรือในอัตราอื่นที่สำนักงานกำหนด
ข้อ
๓๒ นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องตรวจสอบดูแลให้พนักงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและระเบียบวิธีปฏิบัติที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ากำหนดขึ้นเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย
ข้อ
๓๓
เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศนี้และเพื่อให้การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องเปิดเผยหรือรายงานข้อมูลที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามแบบและระยะเวลาที่สำนักงานกำหนด
ข้อ
๓๔
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
วัฒนา เมืองสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๒
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๔ มกราคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๔๖/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606689 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 5/2547 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กน ๕/๒๕๔๗
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๒) และ (๓) และมาตรา
๓๕ (๗) และ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ภายใต้บังคับข้อ ๑๑ ของประกาศนี้
ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๑/๒๕๔๕
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๕
และประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๑/๒๕๔๖ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๖
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
หมายความว่า กรรมการบริหาร รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย
และให้หมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
โดยในกรณีที่เป็นการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
บุคคลดังกล่าวต้องเป็นผู้รับผิดชอบงานในสายงานเกี่ยวกับการให้บริการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
การปฏิบัติการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
หรือการวิจัยด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าหรือสายงานอื่นในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้
ไม่ว่าสายงานนั้นจะปฏิบัติงานเพื่อให้บริการแก่บุคคลอื่นหรือเพื่อประโยชน์ของกิจการเอง
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หมายความว่า
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ถือหุ้นของนิติบุคคลไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมเกินกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น
ประสบการณ์ในการทำงาน หมายความว่า
(๑) ประสบการณ์การทำงานในระดับบริหาร
(๒)
ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร อันได้แก่ การผลิต การแปรรูปการค้า
การส่งออก การซื้อขายล่วงหน้า การวิจัยหรือการให้ความรู้ทางวิชาการ หรือด้านอื่น ๆ
ตามที่สำนักงานกำหนด หรือ
(๓)
ประสบการณ์จากการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการหรือผู้ประกอบวิชาชีพหรืออาชีพด้านการบัญชี
การเงิน การบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์หรือกฎหมาย
ทุนจดทะเบียน หมายความว่า
ทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดและให้หมายความรวมถึงทุนซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันของนิติบุคคลอื่น
ทุนที่ออกและชำระแล้ว หมายความว่า
ทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดและให้หมายความรวมถึงทุนที่ออกและชำระแล้วซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันของนิติบุคคลอื่น
ส่วนของผู้ถือหุ้น หมายความว่า
ส่วนของเจ้าของของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดประกอบด้วย
(๑)
หุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญ
(๒)
หุ้นบุริมสิทธิที่ออกและชำระแล้วและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นบุริมสิทธิ
(๓)
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๔) ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์
ส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่าทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายและผลต่างจากการแปลงค่างบการเงิน
และ
(๕) กำไรสะสมจัดสรรเพื่อสำรองตามกฎหมาย
กำไรสะสมจัดสรรเพื่อวัตถุประสงค์อื่นและกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรหรือขาดทุนสะสม
ส่วนของผู้ถือหุ้นยังให้หมายความรวมถึงส่วนของเจ้าของของนิติบุคคลอื่นซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
ทั้งนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระบุในข้อ (๑) ถึง
(๕) ให้หักด้วยหุ้นทุนซื้อคืน
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง หมายความว่า
ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนด
มติและหนังสือเวียนที่ออกโดยคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
คณะกรรมการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ตลาด หมายความว่า
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ก.ส.ล. หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พระราชบัญญัติ หมายความว่า
พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๓ ผู้ประสงค์จะขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องมีคุณสมบัติดังนี้
(๑)
เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามกฎหมายไทย
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ
และมีนิติบุคคลรายหนึ่งหรือหลายรายดังต่อไปนี้ถือหุ้นหรือถือหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนเฉพาะที่เป็นหุ้นสามัญ
(ก)
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ประกอบธุรกิจหลักทางด้านภาคการเกษตรโดยตรง
(ข) บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือการจัดการกองทุนรวมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ค)
ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(ง)
บริษัทเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(จ)
บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
(ฉ)
บริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
ทั้งนี้
รายละเอียดสัดส่วนการถือหุ้นของนิติบุคคลตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) และ (ฉ) ในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดผู้ขออนุญาต
ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
(๒)
มีทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท
(๓)
มีทุนที่ออกและชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญและมีส่วนของผู้ถือหุ้นเมื่อหักด้วยค่าความนิยมออกแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญ
(๔) มีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Adjusted
Net Capital) ไม่ต่ำกว่าสิบล้านห้าแสนบาท
(๕)
มีสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยเป็นมูลค่าเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนที่ออกและชำระแล้ว
(๖) กรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ขออนุญาต
ต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสามปี
หรือมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีแต่ไม่ต่ำ
กว่าการศึกษาภาคบังคับหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าสิบปีและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(ก) เป็นบุคคลล้มละลาย
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(จ) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(ฉ) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ
กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ
ก.ส.ล.
(ช) เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ซ) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(ฌ)
เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ที่ออกตามกฎหมายหรือประกาศ
ระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ
ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ากฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
กฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน
ทั้งนี้ รวมถึงการถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียน หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(ญ) เคยถูกไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกจากงาน
อันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ฎ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๑
มาตรา ๑๒๒ และมาตรา ๑๒๓
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
กฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจทางการเงินในทำนองเดียวกัน ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์หรือความผิดอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน
หรือการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง ฉ้อฉลหรือทุจริต ทั้งนี้
รวมถึงการต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฏ)
เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หรือกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
(ฐ)
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๒๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๒๓
วรรคสอง ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นคำขออนุญาต
เคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
รวมถึงเคยถูกเปรียบเทียบปรับในความผิดตามกฎหมายต่างประเทศในลักษณะทำนองเดียวกันด้วย
ในระยะเวลาไม่เกินสองปีโดยนับถึงวันที่ยื่นคำขออนุญาต
(๗)
มีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน ได้แก่
ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้จัดการสาขา
รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่สามารถปฏิบัติงานให้แก่ผู้ขออนุญาตเต็มเวลา
(๘)
มีระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
โดยกำหนดแผนการบริหารและแผนการดำเนินงานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อยในเรื่องดังต่อไปนี้
(ก) โครงสร้างองค์กร (Organization
Chart) หน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ
ด้านการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ข) แหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินงาน
(ค) นโยบาย เป้าหมาย
แผนงานในอนาคตและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
(ง) ระบบปฏิบัติงานด้านการซื้อขายล่วงหน้า
โดยอย่างน้อยจะต้องประกอบด้วย
๑) หลักปฏิบัติในการติดต่อ
ชักชวนและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าและจัดให้มีวิธีการในการประเมินลูกค้า
พร้อมทั้งกำหนดนโยบายและขั้นตอนในการกำหนดวงเงินและการอนุมัติวงเงินให้แก่ลูกค้า
๒) หลักปฏิบัติ
วิธีการและขั้นตอนในการรับคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า
(จ)
หลักปฏิบัติในการดูแลเงินและทรัพย์สินของลูกค้า
(ฉ) มาตรการและแนวทางที่ใช้ในการดำเนินงาน
ตลอดจนขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในด้านต่าง
ๆ ดังนี้
๑)
การป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลภายในระหว่างหน่วยงานและบุคลากร (Chinese
wall)
๒) การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ติดต่อ
ชักชวนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้า
ออกจากหน่วยงานและบุคลากรที่มีหน้าที่ตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้าเพื่อผู้ขออนุญาต
๓)
การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่ปฏิบัติการด้านซื้อขายล่วงหน้า (Back
Office) กับหน่วยงานและบุคลากรที่ให้บริการด้านซื้อขายล่วงหน้า
(Front Office) ออกจากกัน โดยจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องในการปฏิบัติงานระหว่างบุคลากรของหน่วยงานดังกล่าวและต้องไม่มอบหมายให้บุคลากรคนหนึ่งคนใดรับผิดชอบการปฏิบัติงานตลอดกระบวนการในลักษณะที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้
๔)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของผู้ขออนุญาต (Proprietary
Trading)
๕)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของพนักงานของผู้ขออนุญาต
รวมทั้งคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
๖)
ระบบป้องกันการซื้อขายล่วงหน้าของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าและพนักงานที่เป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือเข้าข่ายไม่เหมาะสม
๗) ระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล
โดยต้องจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอแก่การป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่บุคคลดังกล่าวไม่มีความรับผิดชอบ
(ช) ระบบการบริหารความเสี่ยง
ซึ่งมีขั้นตอนการรายงานความบกพร่องในการบริหารความเสี่ยงให้ผู้บริหารทราบด้วย
โดยจัดทำเป็นคู่มือ
(ซ) ระบบการควบคุมภายใน
โดยกำหนดนโยบายและมาตรการควบคุมภายใน
ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการตามนโยบายและระบบที่วางไว้
รวมถึงมีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจสอบและการควบคุมภายในและการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้
ผู้ขออนุญาตต้องจัดให้มีหน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงาน (Compliance
Unit) และหน่วยงานควบคุมภายใน (Internal Audit)
ที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและเป็นอิสระจากหน่วยงานอื่น
(ฌ) ระบบการจัดเก็บข้อมูลในการดำเนินงาน
(ญ)
ระบบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนของลูกค้า
(๙)
มีพนักงานที่สำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบัน ที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. ให้การรับรองอย่างน้อยห้าคน
ข้อ ๔ ให้ผู้ขออนุญาตตามข้อ ๓
ยื่นคำขอความเห็นชอบบุคคลดังต่อไปนี้ต่อเลขาธิการตามแบบที่สำนักงานกำหนด
(๑) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ขออนุญาต
(๒) กรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ขออนุญาต
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กรรมการ
ผู้จัดการและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ขออนุญาตในระหว่างการพิจารณาคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ของเลขาธิการต้องได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการด้วย
ข้อ ๕ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ขออนุญาตต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นบุคคลธรรมดา
(ก)
เป็นบุคคลที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่สำนักงาน ตลาด
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมการประกันภัยเห็นว่าไม่สมควรเป็นผู้บริหารกิจการที่หน่วยงานดังกล่าวกำกับดูแลหรือมีความเกี่ยวข้อง
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ข)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(ค) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(ง) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(จ) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(ฉ) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ
กรรมการหรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ
ก.ส.ล.
(ช) เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติ
(ซ)
เคยหรืออยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษหรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น
(ฌ) เคยถูกไล่ออก
ปลดออกหรือให้ออกจากงานอันเนื่องมาจากการกระทำโดยทุจริต
(ญ)
จงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสาระสำคัญหรือปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญที่ควรบอกให้แจ้งในการขอความเห็นชอบเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือในรายงานอื่นใดที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการ
ก.ส.ล. หรือสำนักงาน
(ฎ) ลักษณะต้องห้ามอื่น ๆ ตามที่สำนักงานกำหนด
(๒) กรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นนิติบุคคล
กรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนิติบุคคลนั้น
ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ (๑) ข้างต้น
ข้อ ๖ ให้ผู้ประสงค์จะขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ายื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจดังกล่าวตามแบบคำขออนุญาตและระยะเวลาที่สำนักงานกำหนด
พร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบคำขออนุญาต โดยยื่นต่อเลขาธิการ ณ สำนักงาน
ข้อ ๗ ในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแต่ละคราว
ให้เลขาธิการมีอำนาจกำหนดจำนวนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ที่จะออกให้แก่ผู้ขออนุญาตและให้เลขาธิการพิจารณาตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับคำขออนุญาต
พร้อมเอกสารและหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖
เมื่อได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า จากเลขาธิการแล้ว
ให้ผู้ได้รับอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ต่อสำนักงานภายในห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับอนุญาตหากผู้ได้รับอนุญาตไม่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ได้รับอนุญาตไม่ประสงค์จะประกอบธุรกิจดังกล่าวแล้ว
ให้เลขาธิการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตภายในห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ผู้ขออนุญาตได้ชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคสอง
และเมื่อได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า แล้ว
ห้ามมิให้ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอื่นใดนอกจากธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าให้ใช้ได้เฉพาะตัว จะโอนกันไม่ได้
ข้อ ๘ ผู้ได้รับอนุญาตจะเริ่มประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าได้ ต่อเมื่อ
(๑)
สำนักงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับอนุญาตได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด เพื่อความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแล้ว
และพร้อมให้สำนักงานตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับอนุญาต
ในกรณีที่สำนักงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับอนุญาตยังมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
เลขาธิการอาจสั่งให้ผู้ได้รับอนุญาตดำเนินการใดตามที่เห็นสมควร
(๒)
ผู้ได้รับอนุญาตเป็นสมาชิกตลาดภายในหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า เว้นแต่มีเหตุอันเนื่องมาจากกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(๓)
ผู้ได้รับอนุญาตเพิ่มทุนให้มีทุนที่ออกและชำระแล้วเฉพาะหุ้นสามัญและส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญและมีส่วนของผู้ถือหุ้นเมื่อหักด้วยค่าความนิยมออกแล้วตามข้อ
๓ (๓) เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนเฉพาะหุ้นสามัญ
ภายในสี่สิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับอนุญาต
การชำระทุนเพิ่มให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่สำนักงานกำหนด
ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตไม่ดำเนินการตามข้อ ๘
(๑) วรรคหนึ่ง (๒) หรือ (๓) ข้อหนึ่งข้อใดให้ถือว่าใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า สิ้นผลบังคับเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในข้อดังกล่าว
ข้อ ๙ ในกรณีที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า สูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ
ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต่อเลขาธิการตามแบบคำขอที่สำนักงานกำหนด
ภายในสิบห้าวันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้ทราบถึงการสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๑๐ ค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ให้เรียกเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
(๑) ค่าธรรมเนียมสำหรับการขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ก) แบบคำขออนุญาต ฉบับละ ๕๐๐ บาท
(ห้าร้อยบาทถ้วน)
(ข) ค่าธรรมเนียมการขออนุญาต คำขอละ ๕๐,๐๐๐
บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)
(๒)
ค่าธรรมเนียมสำหรับการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(ก)
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
๑๕๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
(ข)
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายปี ให้สำนักงานเรียกเก็บตามปีปฏิทินตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๕๕๐ เป็นต้นไป ในอัตราปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
รายปี ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
(๓) ใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ฉบับละ ๑๕,๐๐๐ บาท
(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
ข้อ ๑๑ การยกเลิกประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๑/๒๕๔๕ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๕
และประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๑/๒๕๔๖ เรื่อง
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๖
ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามประกาศที่ถูกยกเลิกดังกล่าว
ข้อ ๑๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
วัฒนา
เมืองสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๓๕/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606687 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน 2/2547 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าย้ายสำนักงานแห่งใหญ่หรือสำนักงานสาขา
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กน ๒/๒๕๔๗
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาต
ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าย้ายสำนักงานแห่งใหญ่
หรือสำนักงานสาขา[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗ (๕) มาตรา ๓๒
และมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
สำนักงานแห่งใหญ่ หมายความว่า
สำนักงานแห่งใหญ่ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน
๔/๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า มีสำนักงานสาขาและการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานสาขา
ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สำนักงานสาขา หมายความว่า
สำนักงานสาขาตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๔/๒๕๔๖
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีสำนักงานสาขาและการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานสาขา
ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
การย้ายสำนักงานแห่งใหญ่ หมายความว่า
การเปลี่ยนที่ทำการของสำนักงานแห่งใหญ่จากที่ทำการแห่งเดิม ไปยังที่ทำการแห่งใหม่
การย้ายสำนักงานสาขา หมายความว่า
การเปลี่ยนที่ทำการของสำนักงานสาขาจากที่ทำการแห่งเดิม ไปยังที่ทำการแห่งใหม่
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ ๒ นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ประสงค์จะย้ายสำนักงานแห่งใหญ่
หรือย้ายสำนักงานสาขาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กน ๔/๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีสำนักงานสาขาและการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานสาขา
ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่ประสงค์จะย้ายสำนักงานแห่งใหญ่
หรือย้ายสำนักงานสาขายื่นขออนุญาตการย้ายสำนักงานแห่งใหญ่หรือการย้ายสำนักงานสาขาต่อเลขาธิการตามแบบคำขออนุญาตที่สำนักงานกำหนดพร้อมชำระค่าธรรมเนียมตามข้อ
๕ (๒) ล่วงหน้าก่อนวันปิดทำการที่ทำการแห่งเดิมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน
เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นและสมควรโดยได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการ
ในการพิจารณาคำขออนุญาต
เลขาธิการจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาภายใน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่สำนักงานได้รับคำขออนุญาต
พร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
ข้อ ๓ นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่เปิดดำเนินการที่ทำการแห่งเดิมของสำนักงานแห่งใหญ่หรือสำนักงานสาขา
และที่ทำการแห่งใหม่ของสำนักงานแห่งใหญ่หรือสำนักงานสาขาในวันเดียวกัน ทั้งนี้
เลขาธิการอาจกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการย้ายสำนักงานแห่งใหญ่หรือการย้ายสำนักงานสาขาให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าปฏิบัติด้วยก็ได้
ในการย้ายสำนักงานแห่งใหญ่หรือย้ายสำนักงานสาขา
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าด้วย
ข้อ ๔ นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าต้องแจ้งเรื่องการย้ายสำนักงานแห่งใหญ่หรือการย้ายสำนักงานสาขาแก่ลูกค้าทุกรายเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่อยู่ที่ได้แจ้งไว้
พร้อมทั้งปิดประกาศเรื่องดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผย ณ
ที่ทำการแห่งเดิมของสำนักงานแห่งใหญ่หรือสำนักงานสาขาล่วงหน้าก่อนวันปิดทำการที่ทำการแห่งเดิมของสำนักงานแห่งใหญ่หรือสำนักงานสาขาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
๑๕ วัน
ข้อ ๕ ค่าธรรมเนียมการอนุญาต
(๑) แบบคำขออนุญาต ฉบับละ ๕๐๐ บาท
(ห้าร้อยบาทถ้วน)
(๒) ค่าตรวจแบบและเอกสาร
(ก) สำนักงานแห่งใหญ่ ครั้งละ ๕,๐๐๐
บาท (ห้าพันบาทถ้วน)
(ข) สำนักงานสาขาหนึ่งแห่ง ครั้งละ ๑,๒๕๐
บาท (หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)
ประกาศ
ณ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗
วัฒนา
เมืองสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๓๒/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606685 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 10/2551 เรื่อง การดำรงฐานะทางการเงินสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๑๐/๒๕๕๑
เรื่อง
การดำรงฐานะทางการเงินสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) และมาตรา ๓๔
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การดำรงฐานะทางการเงินสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ลงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
และประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๕/๒๕๕๑ เรื่อง
การดำรงฐานะทางการเงินสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
การยกเลิกประกาศตามวรรคหนึ่ง
ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ
ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกยกเลิกดังกล่าว
ข้อ ๒
ในประกาศนี้
ทุนจดทะเบียน หมายความว่า
ทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดและให้หมายความรวมถึงทุนซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันของนิติบุคคลอื่น
ทุนที่ออกและชำระแล้ว หมายความว่า
ทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดและให้หมายความรวมถึงทุนที่ออกและชำระแล้วซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันของนิติบุคคลอื่น
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ ๓
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องมีและดำรงทุนจดทะเบียนและทุนที่ออกและชำระแล้วดังต่อไปนี้ตลอดระยะเวลาของการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
(๑) ทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่าสามสิบล้านบาท และ
(๒)
ทุนที่ออกและชำระแล้วไม่ต่ำกว่าเจ็ดล้านห้าแสนบาท
ความในวรรคหนึ่ง
ให้ใช้บังคับเมื่อสำนักงานให้ความเห็นชอบการเริ่มประกอบธุรกิจตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าและสำนักงานกำหนดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าแล้ว
ข้อ ๔
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
ไชยา
สะสมทรัพย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๓๐/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606683 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 9/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ 2)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๙/๒๕๕๑
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า
(ฉบับที่
๒)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) และมาตรา ๓๒
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๖ หมายความว่า ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า
ลงวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกบทนิยาม ธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๖
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า หมายความว่า
ธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกบทนิยาม พนักงานเจ้าหน้าที่
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๖
ข้อ ๔
ให้ยกเลิกความในข้อ ๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๖
ข้อ ๕
การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๖ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ
ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
ข้อ ๖
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
ไชยา
สะสมทรัพย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๒๘/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606681 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 8/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ 4)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๘/๒๕๕๑
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาต
เป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
(ฉบับที่
๔)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) (๒) และ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศฉบับนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๕ หมายความว่า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
ลงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๒/๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ และประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๔/๒๕๕๑ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกบทนิยาม พระราชบัญญัติ
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
พระราชบัญญัติ หมายความว่า
พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๐
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกบทนิยาม บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
หมายความว่า กรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย
และให้หมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
โดยบุคคลดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบงานในสายงานเกี่ยวกับการให้บริการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
การปฏิบัติการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า หรือการวิจัยด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าหรือสายงานอื่นในทำนองเดียวกัน
ข้อ ๔
ให้ยกเลิกบทนิยาม ประสบการณ์ในการทำงาน
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕
ข้อ ๕
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒.๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
๒.๕
มีบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๕
แห่งพระราชบัญญัติ
ข้อ ๖
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒.๖
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
๒.๖
มีพนักงานซึ่งสำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ ก.ส.ล.
ให้การรับรองแล้วอย่างน้อยหนึ่งคน
ข้อ ๗
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ ๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ทั้งนี้ ให้งดเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามข้อ
๕.๑ (๒) และ ๕.๒ (๑) จนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๓
ข้อ ๘
การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๕ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
ข้อ ๙
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
ไชยา
สะสมทรัพย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๒๖/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606679 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 7/2551 เรื่อง การดำรงฐานะทางการเงินของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า (ฉบับที่ 2)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๗/๒๕๕๑
เรื่อง
การดำรงฐานะทางการเงินของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
(ฉบับที่
๒)[๑]
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำรงฐานะทางการเงินสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) และมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๓/๒๕๕๑ หมายความว่า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๓/๒๕๕๑ เรื่อง การดำรงฐานะทางการเงินสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า ลงวันที่ ๙ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๒
ให้เพิ่มบทนิยาม สำนักงาน
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๓/๒๕๕๑
ดังต่อไปนี้
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๒
วรรคสอง แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๓/๒๕๕๑
ความในวรรคหนึ่ง
ให้ใช้บังคับเมื่อสำนักงานให้ความเห็นชอบการเริ่มประกอบธุรกิจตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
และสำนักงานกำหนด เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าแล้ว
ข้อ ๔
การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๓/๒๕๕๑ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ
ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
ข้อ ๕
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๒๔/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606677 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 6/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า (ฉบับที่ 2)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๖/๒๕๕๑
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
(ฉบับที่
๒)[๑]
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) และ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศฉบับนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๕๑ หมายความว่า ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๕๑ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า ลงวันที่ ๙ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๒
ให้เพิ่มบทนิยาม เลขาธิการ
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๕๑
ดังต่อไปนี้
เลขาธิการ หมายความว่า
เลขาธิการคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔/๑
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๕๑
ข้อ ๔/๑
ผู้ได้รับใบอนุญาตจะเริ่มประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า ได้ต่อเมื่อ
(๑) ผู้ได้รับใบอนุญาตได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. และสำนักงานกำหนด
เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าแล้ว ทั้งนี้
ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องพร้อมให้สำนักงานตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวภายในเก้าสิบวัน
นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
และสำนักงานเห็นชอบการดำเนินการดังกล่าวแล้ว
ในกรณีที่สำนักงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับใบอนุญาตยังมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล.
และสำนักงานกำหนดเลขาธิการอาจสั่งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตดำเนินการใดตามที่เห็นสมควร
(๒)
ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นสมาชิกตลาดภายในเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นและสมควร
ผู้ได้รับใบอนุญาตอาจขอขยายระยะเวลาตามข้อ ๔/๑ (๑) วรรคหนึ่ง หรือข้อ ๔/๑ (๒)
ได้อีกเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวโดยต้องขอขยายระยะเวลาต่อเลขาธิการก่อนระยะเวลานั้นสิ้นสุดลง
ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดภายในเวลาที่กำหนดตามข้อ
๔/๑ (๑) วรรคหนึ่ง หรือข้อ ๔/๑ (๒) หรือภายในเวลาที่เลขาธิการเห็นชอบให้ขยายตามวรรคสอง
ให้ถือว่าใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
สิ้นผลบังคับเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในข้อดังกล่าว
ข้อ ๔
การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๕๑ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ
ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
ข้อ ๕
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
มิ่งขวัญ
แสงสุวรรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๒๒/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606675 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 4/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ 3)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๔/๒๕๕๑
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาต
เป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
(ฉบับที่
๓)[๑]
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พ.ศ. ๒๕๔๒ และเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) (๒) และ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศฉบับนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๕ หมายความว่า ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๕ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ลงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค
๒/๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
และตามที่จะมีแก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกบทนิยาม ทุนจดทะเบียน
และบทนิยาม ส่วนของผู้ถือหุ้น ในข้อ
๒ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒.๒ ข้อ ๒.๓
และข้อ ๕.๑ (๑) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค
๑/๒๕๔๕
ข้อ ๔
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒.๕ (๒)
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๒)
เคยถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
ข้อ ๕
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔.๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
๔.๔
ผู้ได้รับใบอนุญาตจะเริ่มประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าได้ต่อเมื่อ
(๑) ผู้ได้รับใบอนุญาตได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. และสำนักงานกำหนด
เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าแล้ว ทั้งนี้
ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องพร้อมให้สำนักงานตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวภายในเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าและสำนักงานเห็นชอบการดำเนินการดังกล่าวแล้ว
ในกรณีที่สำนักงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับใบอนุญาตยังมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. และสำนักงานกำหนดเลขาธิการอาจสั่งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตดำเนินการใดตามที่เห็นสมควร
(๒)
ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นสมาชิกตลาดภายในเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นและสมควร ผู้ได้รับใบอนุญาตอาจขอขยายระยะเวลาตามข้อ
๔.๔ (๑) วรรคหนึ่ง หรือข้อ ๔.๔ (๒)
ได้อีกเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวโดยต้องขอขยายระยะเวลาต่อเลขาธิการก่อนระยะเวลานั้นสิ้นสุดลง
ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดภายในเวลาที่กำหนดตามข้อ
๔.๔ (๑) วรรคหนึ่ง หรือข้อ ๔.๔ (๒)
หรือภายในเวลาที่เลขาธิการเห็นชอบให้ขยายตามวรรคสอง
ให้ถือว่าใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าสิ้นผลบังคับเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในข้อดังกล่าว
ข้อ ๖
การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๕ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการใด ๆ
ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามประกาศที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
ข้อ ๗
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
มิ่งขวัญ
แสงสุวรรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๙/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606673 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 3/2551 เรื่อง การดำรงฐานะทางการเงินของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๓/๒๕๕๑
เรื่อง
การดำรงฐานะทางการเงินของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า[๑]
โดยที่เป็นการสมควรให้การดำรงฐานะทางการเงินของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๕๑ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า ลงวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.
๒๕๕๑ มีความคล่องตัว สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจ
และไม่เป็นภาระแก่ผู้ได้รับใบอนุญาตดังกล่าวจนเกินความจำเป็น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) และมาตรา ๓๔
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศนี้
ทุนจดทะเบียน หมายความว่า
ทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดและให้หมายความรวมถึงทุนซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันของนิติบุคคลอื่น
ข้อ ๒
ให้ผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าตามประกาศข้างต้นดำรงฐานะทางการเงิน
โดยมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่าห้าแสนบาทตลอดระยะเวลาของการประกอบธุรกิจดังกล่าว
ข้อ ๓
ไม่ให้นำบทบัญญัติแห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การดำรงฐานะทางการเงินสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ลงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ และประกาศที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกประกาศดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การดำเนินการใด
ๆ ตามประกาศนี้
ข้อ ๔
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เกริกไกร
จีระแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๗/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606671 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 2/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๒/๒๕๕๑
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) และ (๓) และมาตรา
๓๒ แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับแก่ผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๕๑ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า ลงวันที่ ๙ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ ไม่ให้นำบทบัญญัติแห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๖ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า
ลงวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖
และประกาศที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกประกาศดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การดำเนินการใด
ๆ ตามประกาศนี้
ข้อ ๒
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าให้แก่สำนักงานตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
ในอัตราตามที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนดการชำระค่าธรรมเนียมรายปีตามวรรคหนึ่ง
ให้ชำระก่อนวันที่เริ่มปีปฏิทิน
ข้อ ๓
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เกริกไกร
จีระแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๖/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606669 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 1/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๑/๒๕๕๑
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
การซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า[๑]
โดยที่เป็นการสมควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้ามีบทบาทและเป็นกลไกที่สนับสนุนให้เกิดสภาพคล่องในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยมากขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑) (๒) และ (๓)
มาตรา ๒๗ (๑) (ค) และมาตรา ๓๕ (๗) และ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศนี้
การซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
หมายความว่า การซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายประเภทสินค้าเกษตรตามที่ขอและได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ
บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
หมายความว่า กรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย
และให้หมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
โดยบุคคลดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบงานในสายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าหรือการวิจัยด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าหรือสายงานอื่นในทำนองเดียวกัน
ประสบการณ์ในการทำงาน หมายความว่า
(๑) ประสบการณ์การทำงานในระดับบริหาร
(๒) ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร
อันได้แก่ การผลิต การแปรรูปการค้า การส่งออก การซื้อขายล่วงหน้า
การวิจัยหรือการให้ความรู้ทางวิชาการ หรือด้านอื่น ๆ ตามที่สำนักงานกำหนด หรือ
(๓)
ประสบการณ์จากการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการหรือผู้ประกอบวิชาชีพหรืออาชีพด้านการบัญชี
การเงิน การบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์หรือกฎหมาย
ตลาด หมายความว่า
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
คณะกรรมการ ก.ส.ล. หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พระราชบัญญัติ หมายความว่า
พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๐
ข้อ ๒
ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าตามประกาศนี้
ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(๑) เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติ
และมีการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าเกษตรที่ซื้อขายล่วงหน้าในตลาด
หรือที่สำนักงานเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าหรือตลาด
(๒)
บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับหรือเทียบเท่า
หรือมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๕
แห่งพระราชบัญญัติ และไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
(๓)
มีพนักงานซึ่งสำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ ก.ส.ล.
ให้การรับรองแล้วอย่างน้อยหนึ่งคน
ข้อ ๓
ให้ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามข้อ
๒ ยื่นคำขออนุญาตเพื่อการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรประเภทใดประเภทหนึ่ง
พร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบคำขออนุญาตตามแบบคำขออนุญาตที่สำนักงานกำหนด
โดยยื่นต่อเลขาธิการ ณ สำนักงาน
ข้อ ๔
ในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
ให้เลขาธิการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องอันจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าหรือตลาด เช่น
ประเภทหรือชนิดของสินค้าเกษตรในตลาดหรือสภาวะการซื้อขายล่วงหน้าในตลาด
หรือผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า หรือผู้ประกอบธุรกิจสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น
และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตทราบภายในสามสิบวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับคำขออนุญาต
พร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบคำขออนุญาตที่ถูกต้องและครบถ้วน
เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว
หากเลขาธิการไม่ได้แจ้งผลการพิจารณาหรือไม่มีคำสั่งประการอื่นใดไปยังผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาต
ให้ถือว่าเลขาธิการได้อนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าตามคำขออนุญาตแล้ว ทั้งนี้
ให้เลขาธิการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตต่อไป
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
ให้มีอายุหกปีตามปีปฏิทินนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เลขาธิการออกใบอนุญาต และให้ใช้ได้เฉพาะตัว
จะโอนกันไม่ได้
ข้อ ๕
ในกรณีที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าสูญหาย
ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้ายื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้าต่อเลขาธิการ
ตามแบบคำขอ หลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานกำหนด
ข้อ ๖
นับตั้งแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
จนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔
สำนักงานจะงดเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
เพื่อการซื้อขายล่วงหน้าเป็นรายสินค้า
ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีตามปีปฏิทิน
ทั้งนี้
สำนักงานจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕
เป็นต้นไปในอัตราที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนดต่อไป
ข้อ ๗
ไม่ให้นำบทบัญญัติแห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่ กค ๑/๒๕๔๕ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ลงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๒/๒๕๔๖ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
และประกาศที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกประกาศดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การดำเนินการใด
ๆ ตามประกาศนี้
ข้อ ๘
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เกริกไกร
จีระแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๒/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606667 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 1/2548 เรื่อง การให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเฉพาะที่มิได้เป็นสมาชิกสำนักหักบัญชี
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๑/๒๕๔๘
เรื่อง
การให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเฉพาะที่มิได้เป็นสมาชิกสำนักหักบัญชี[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๑๑) และมาตรา ๓๘
วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชีเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าและสามารถตรวจสอบและแสดงความเห็นในการสอบบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าเฉพาะที่มิได้เป็นสมาชิกสำนักหักบัญชีตามข้อบังคับคณะกรรมการตลาดของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับประเภท คุณสมบัติ สิทธิและหน้าที่การลงโทษและการพ้นจากการเป็นสมาชิกสำนักหักบัญชีได้
ทั้งนี้ ตั้งแต่งวดบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ทนง
พิทยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๑/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606665 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 2/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (ฉบับที่ 2)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๒/๒๕๔๖
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาต
เป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
(ฉบับที่
๒)[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๒) และ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศ
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้เพิ่มบทนิยาม ประสบการณ์ในการทำงาน
ต่อจากบทนิยาม บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
ในข้อ ๑ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕ เรื่อง
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ลงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังต่อไปนี้
ประสบการณ์ในการทำงาน หมายความว่า
ก. ประสบการณ์การทำงานในระดับบริหาร หรือ
ข. ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร
อันได้แก่
๑) การผลิต
๒) การแปรรูป
๓) การค้า
๔) การส่งออก
๕) การซื้อขายล่วงหน้า
๖) การวิจัยหรือการให้ความรู้ทางวิชาการ
๗) ด้านอื่น ๆ ตามที่สำนักงานกำหนด หรือ
ค.
ประสบการณ์จากการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการหรือผู้ประกอบวิชาชีพหรืออาชีพด้านบัญชี
การเงิน การบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ หรือกฎหมาย
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒.๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕ เรื่อง
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ลงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
๒.๕ กรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ขออนุญาตต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่า
๓ ปี หรือหากมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีแต่ไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับ
จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี ทั้งนี้ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๓) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(๔) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการหรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(๕) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการ
หรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(๖) เคยถูกถอดถอนตามมาตรา ๖๐ ของพระราชบัญญัติ
(๗) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในข้อ ๓
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค ๑/๒๕๔๕ เรื่อง
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ลงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓ การยื่นคำขออนุญาตเป็นผู้ค้าล่วงหน้า ให้ผู้ประสงค์จะขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทผู้ค้าล่วงหน้ายื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจดังกล่าวตามแบบคำขออนุญาตที่สำนักงานกำหนดพร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบคำขออนุญาต
โดยจัดทำเป็นสำเนาอีกสองชุดยื่นต่อเลขาธิการ ณ สำนักงาน
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
อดิศัย
โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๘/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606663 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 1/2546 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๑/๒๕๔๖
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ และ ๓๕ (๗) และ (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในประกาศนี้
ผู้ค้าล่วงหน้า หมายความว่า
ผู้ได้รับใบอนุญาตจากเลขาธิการให้ทำการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตัวเอง
การซื้อขายล่วงหน้า หมายความว่า
การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
ธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า หมายความว่า
ธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๒
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องดำรงคุณสมบัติตามคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตเป็นผู้ค้าล่วงหน้าตลอดระยะเวลาของการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
ข้อ ๓
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องจัดให้มีระบบการควบคุมภายใน
ระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และระบบป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
โดยกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารและบุคลากรไว้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ให้วางระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ข้อ ๔
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องจัดให้มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ ๕
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องเก็บเอกสารและหลักฐานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าให้ครบถ้วนอย่างน้อยเป็นระยะเวลา ๕ ปีนับจากวันที่มีเอกสารและหลักฐานนั้น
หรือวันที่มีการซื้อขายล่วงหน้าแล้วแต่กรณี โดยใน ๒ ปีแรกของระยะเวลาดังกล่าว
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องเก็บไว้ ณ ที่ทำการของผู้ค้าล่วงหน้า
พร้อมที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งนี้
หากมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้า
ให้ผู้ค้าล่วงหน้าจัดเก็บเอกสารและหลักฐานดังกล่าวไว้จนกว่าการพิจารณาข้อร้องเรียนเป็นที่ยุติ
เอกสารและหลักฐานตามวรรคหนึ่ง
ให้รวมถึงเอกสารและหลักฐานที่ได้มีการกระทำทางโทรศัพท์หรือทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
ข้อ ๖
ผู้ค้าล่วงหน้าต้องกำกับดูแลให้พนักงานปฏิบัติตามระเบียบวิธีปฏิบัติที่ผู้ค้าล่วงหน้ากำหนดขึ้นโดยเคร่งครัด
ประกาศ
ณ วันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖
อดิศัย
โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๖/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
606661 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กค 1/2545 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต และการอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
กค ๑/๒๕๔๕
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต และการอนุญาต
เป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๒) และ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงออกประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
พระราชบัญญัติ หมายความว่า
พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒
คณะกรรมการ ก.ส.ล. หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
เลขาธิการ หมายความว่า
เลขาธิการคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
การซื้อขายล่วงหน้า หมายความว่า
การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
ผู้ค้าล่วงหน้า หมายความว่า
ผู้ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการให้ทำการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเอง
ทุนจดทะเบียน หมายความว่า
ทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัด
หรือบริษัทมหาชนจำกัดหรือทุนของนิติบุคคลตามกฎหมายอื่นที่สำนักงานประกาศกำหนด
ทุนชำระแล้ว หมายความว่า
ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด
หรือทุนของนิติบุคคลตามกฎหมายอื่นที่สำนักงานประกาศกำหนด
ส่วนของผู้ถือหุ้น หมายความว่า
ทุนชำระแล้ว กำไร(ขาดทุน)สะสม และส่วนเกินมูลค่าหุ้นของบริษัทจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด หรือส่วนของเจ้าของของนิติบุคคลตามกฎหมายอื่นที่สำนักงานประกาศกำหนด
บุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
หมายความว่า กรรมการบริหาร รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝ่าย
และให้หมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
โดยบุคคลดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบงานในสายงานเกี่ยวกับการให้บริการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าการปฏิบัติการด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
หรือการวิจัยด้านธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า หรือสายงานอื่นในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้
ไม่ว่าสายงานนั้นจะปฏิบัติงานเพื่อให้บริการแก่บุคคลอื่น
หรือเพื่อประโยชน์ของกิจการเอง
ข้อ ๒ คุณสมบัติของผู้ขออนุญาตเป็นผู้ค้าล่วงหน้า
ผู้ประสงค์จะขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
๒.๑ เป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด
ที่จดทะเบียนในประเทศไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
และมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าโดยผู้ขออนุญาตต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องด้วย
๒.๒ มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า ๓๐ ล้านบาท
๒.๓
มีทุนชำระแล้วและมีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า ๗.๕ ล้านบาท
๒.๔
มีสัดส่วนของการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นที่เป็นสัญชาติไทยเป็นมูลค่าเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนชำระแล้ว
๒.๕ กรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ขออนุญาตต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๓) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(๔) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจจัดการกิจการของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
(๕) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการ
หรือผู้จัดการของสถาบันการเงินใด เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการ ก.ส.ล.
(๖) เคยถูกถอดถอน ตามมาตรา ๖๐ ของพระราชบัญญัติ
(๗) มีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
และมีประสบการณ์ในการทำงานด้านบริหารน้อยกว่า ๓ ปี
(๘) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
๒.๖ มีพนักงานซึ่งสำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ
ก.ส.ล. ให้การรับรองแล้วไม่น้อยกว่า ๒ คน
ข้อ ๓ การยื่นคำขออนุญาตเป็นผู้ค้าล่วงหน้า
ให้ผู้ประสงค์จะขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทผู้ค้าล่วงหน้ายื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจดังกล่าว
ตามแบบคำขออนุญาตพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบคำขออนุญาตที่กำหนดแนบท้ายประกาศฉบับนี้
โดยจัดทำเป็นสำเนาอีกสองชุดยื่นต่อเลขาธิการ ณ สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ข้อ ๔ การอนุญาต
๔.๑
ในการพิจารณาคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
ให้เลขาธิการแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาต พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน
ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๓
เมื่อได้รับแจ้งผลการอนุญาตจากเลขาธิการแล้ว
ให้ผู้ขออนุญาตชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นผู้ค้าล่วงหน้าต่อสำนักงานภายในห้าวันทำการนับแต่วันที่ได้รับการแจ้งผลการอนุญาตหากผู้ขออนุญาตไม่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ถือว่าผู้ขออนุญาตไม่ประสงค์จะประกอบธุรกิจดังกล่าวแล้ว
ให้เลขาธิการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
ให้แก่ผู้ขออนุญาตภายในห้าวันทำการนับแต่วันที่ผู้ขออนุญาตได้ชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคสอง
๔.๒ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าให้ใช้ได้เฉพาะตัว จะโอนกันไม่ได้
๔.๓
ในกรณีที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจดังกล่าวยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตต่อเลขาธิการภายในสิบห้าวันทำการ
นับแต่วันที่ได้ทราบถึงการสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดดังกล่าว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และแบบคำขอที่สำนักงานกำหนด
๔.๔
ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้าต้องประกอบธุรกิจตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไข รวมทั้งต้องดำรงฐานะทางการเงินตามที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. กำหนด
ข้อ ๕ ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
๕.๑
ค่าธรรมเนียมสำหรับการขออนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
(๑) แบบคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ฉบับละ ๕๐๐.- บาท (ห้าร้อยบาทถ้วน)
(๒)
ค่าธรรมเนียมการยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
คำขอละ ๕๐,๐๐๐.- บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)
๕.๒ ค่าธรรมเนียมสำ
หรับการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
(๑) ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ฉบับละ ๕๐,๐๐๐.- บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)
(๒) ใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า ฉบับละ ๕,๐๐๐.- บาท (ห้าพันบาทถ้วน)
ประกาศ
ณ วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย
โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำขออนุญาตประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทผู้ค้าล่วงหน้า (แบบ
กสล/ธค/01/2545)
๒.
แผนที่แสดงที่ตั้งสำนักงาน (แบบฟอร์มรหัส ก3) (แบบ กสล/ธค/01/2545)
๓.
ตารางสัดส่วนผู้ถือหุ้นแบ่งจามสัญชาติ (แบบฟอร์มรหัส ข2) (แบบ
กสล/ธค/01/2545)
๔.
ตารางรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 5 ของทุนที่ชำระแล้วหรือ 10
อันดับแรก (แบบฟอร์มรหัส ข3) (แบบ กสล/ธค/01/2545)
๕.
ตารางสรุปรายชื่อคณะกรรมการ ผู้จัดการและผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
(แบบฟอร์มรหัส ข41) (แบบ กสล/ธค/01/2545)
๖.
แบบรับรองตนเอง สำหรับ กรรมการ ผู้จัดการ และผู้มีอำนาจจัดการกิจการ
(แบบฟอร์มรหัส ข42) (แบบ กสล/ธค/01/2545)
๗.
ประวัติย่อของกรรมการ ผู้จัดการ และผุ้มีอำนาจจัดการกิจการ (แบบฟอร์มรหัส
ข43) (แบบ กสล/ธค/01/2545)
๘.
ตารางสรุปรายชื่อพนักงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าประเภทผู้ค้าล่วงหน้า
ซึ่งสำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าจากสถาบันที่คณะกรรมการ ก.ส.ล.
ประกาศกำหนด (แบบฟอร์มรหัส ข51) (แบบ กสล/ธค/01/2545)
๙.
ประวัติย่อของพนักงานซึ่งสำเร็จการอบรมเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้า
จากสถาบันที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. ประกาศกำหนด (แบบฟอร์มรหัส ข53) (แบบ
กสล/ธค/01/2545)
๑๐.
ข้อมูลฐานะการเงิน (แบบฟอร์มรหัส ค1) (แบบ กสล/ธค/01/2545)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๒/๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
618240 | ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ สน 14/2549 เรื่อง ข้อพึงปฏิบัติในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
| ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ที่
สน ๑๔/๒๕๔๙
เรื่อง
ข้อพึงปฏิบัติในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า[๑]
ตามที่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงข้อ ๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๒/๒๕๔๘ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๔/๒๕๔๙ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ซึ่งทำให้ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ สน
๑๐/๒๕๔๘ เรื่อง ระบบงานและความพร้อมในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ลงวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘ สิ้นสุดลงนั้น
เพื่อให้การปฏิบัติงานของผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีความเป็นมาตรฐาน
มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความในข้อ ๕
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่ กน ๔/๒๕๔๙ เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจึงเห็นควรกำหนดข้อพึงปฏิบัติในการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ดังต่อไปนี้
แผนการบริหารและแผนการดำเนินงาน
ข้อ ๑
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรกำหนดแผนการบริหารและแผนการดำเนินงานเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าอย่างน้อยในเรื่อง
ดังต่อไปนี้
(๑) โครงสร้างองค์กร (Organization
Chart) หน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ด้านการประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๒) ระบบปฏิบัติงานด้านการซื้อขายล่วงหน้า
โดยอย่างน้อยจะต้องประกอบด้วย
(ก) หลักปฏิบัติในการติดต่อและชักชวนลูกค้าและจัดให้มีวิธีการในการประเมินลูกค้าพร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนและวิธีการในการพิจารณาการเปิดบัญชีซื้อขายล่วงหน้าและการอนุมัติวงเงินให้แก่ลูกค้า
ทั้งนี้
ในกรณีที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าจะให้บริการหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์การซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าในนามของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจัดให้มีระบบการวิเคราะห์เกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าที่เหมาะสมด้วย
(ข) หลักปฏิบัติ วิธีการและขั้นตอนในการรับคำสั่ง
การส่งคำสั่งและการยกเลิกคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า
(๓) หลักปฏิบัติในการดูแลเงินและทรัพย์สินของลูกค้า
(๔) มาตรการและแนวทางที่ใช้ในการดำเนินงาน
ตลอดจนขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในด้านต่าง
ๆ ดังนี้
(ก)
การแยกหน่วยงานและบุคลากรที่ปฏิบัติการด้านซื้อขายล่วงหน้า (Back
Office) กับหน่วยงานและบุคลากรที่ให้บริการด้านซื้อขายล่วงหน้า
(Front Office) ออกจากกัน
โดยจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องในการปฏิบัติงานระหว่างบุคลากรของหน่วยงานดังกล่าวและต้องไม่มอบหมายให้บุคลากรคนหนึ่งคนใดรับผิดชอบการปฏิบัติงานตลอดกระบวนการในลักษณะที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต
(ข)
ระบบควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเองของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(Proprietary Trading)
(ค)
ระบบป้องกันการซื้อขายล่วงหน้าของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าและพนักงานที่เป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม
(ง) ระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล
โดยต้องจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอแก่การป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องได้ล่วงรู้หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่บุคคลดังกล่าวไม่มีความรับผิดชอบ
(๕) ระบบการบริหารความเสี่ยงซึ่งมีขั้นตอนการรายงานความบกพร่องในการบริหารความเสี่ยงให้ผู้บริหารทราบด้วย
โดยจัดทำเป็นคู่มือ
(๖)
ระบบการควบคุมภายในซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินการตามนโยบายและระบบที่วางไว้
รวมถึงมีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจสอบและการควบคุมภายในและการกำกับดูแลการปฏิบัติงานด้วย
การดำเนินการกับลูกค้า
ข้อ ๒
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรดำเนินการตามสมควรเพื่อแสดงข้อมูลและหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรตามความเป็นจริง
โดยอย่างน้อยให้ลูกค้าทราบถึงบทบาท หน้าที่และธุรกิจของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
สถานที่ตั้ง ฐานะทางการเงิน
พนักงานหน่วยงานและหมายเลขโทรศัพท์ที่ลูกค้าสามารถติดต่อได้
และองค์กรกำกับดูแลธุรกิจของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
ข้อ ๓
การขอเปิดบัญชีซื้อขายล่วงหน้าและการทำสัญญาระหว่างนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ากับลูกค้า
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจะมั่นใจได้ว่าลูกค้าเป็นบุคคลเดียวกับที่ปรากฏตามเอกสารและหลักฐานที่ใช้ประกอบการขอเปิดบัญชีซื้อขายล่วงหน้าข้างต้น
การบริหารความเสี่ยง
ข้อ ๔
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจัดทำคู่มือเกี่ยวกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหาร
การปฏิบัติงาน การดำเนินกิจกรรมและธุรกรรมของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าตามระบบการบริหารความเสี่ยงที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ากำหนดขึ้น
โดยให้มีรายละเอียดในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(๑)
ขั้นตอนการรายงานความบกพร่องในการบริหารความเสี่ยงให้ผู้บริหารรับทราบ
(๒)
หลักปฏิบัติในการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทนนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าหรือการดำเนินการใด
ๆ ที่จะก่อให้เกิดภาระผูกพันต่อนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(๓)
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินของลูกค้าเพื่อใช้ในการซื้อขายล่วงหน้าให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย
ทั้งนี้
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจะทบทวนระบบการบริหารความเสี่ยงที่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ากำหนดขึ้นให้เป็นปัจจุบันและทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ
รวมทั้งปรับปรุงคู่มือเกี่ยวกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงให้เป็นไปตามระบบการบริหารความเสี่ยงที่ได้ทบทวนแล้วด้วย
ข้อ ๕
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจัดให้มีหลักเกณฑ์การลงนามผูกพันนิติบุคคลของบุคคลผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคลในกิจกรรมต่าง
ๆ ให้ชัดเจนและหากบุคคลดังกล่าวมอบอำนาจให้พนักงานปฏิบัติงานแทน
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจัดให้มีหนังสือมอบอำนาจแก่พนักงานผู้รับมอบอำนาจนั้นด้วย
การควบคุมดูแลพนักงาน
ข้อ ๖
ในการจัดให้มีระบบการควบคุมดูแลและหลักปฏิบัติในการซื้อขายล่วงหน้าของพนักงานของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
รวมทั้งคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรกำหนดให้พนักงาน
รวมทั้งคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะดังกล่าวซื้อขายล่วงหน้าผ่านตนเองเท่านั้น
หากพนักงานของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าแจ้งแก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าว่าตนเอง
รวมทั้งคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามวรรคหนึ่งประสงค์จะซื้อขายล่วงหน้าผ่านนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายอื่น
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าที่พนักงานรายนั้นสังกัดควรจัดให้มีวิธีการในการควบคุมดูแลการซื้อขายล่วงหน้าผ่านนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ารายอื่นของพนักงาน
รวมทั้งคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะดังกล่าว
การจัดการข้อมูล
ข้อ ๗
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจัดระบบการจัดการข้อมูลตามแนวทางต่อไปนี้
(๑)
มีระบบที่ทำให้มั่นใจได้ว่าการจัดการข้อมูลของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีประสิทธิภาพและสามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันเหตุการณ์
(๒)
มีระบบการรายงานข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการบริหารงานของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า เช่น
ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการดำเนินงาน ฐานะการเงิน
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการประกอบธุรกิจให้ผู้บริหารได้รับทราบ
เพื่อให้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการบริหารงานของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์
(๓)
มีระบบการเตือนภัยล่วงหน้าเกี่ยวกับการดำรงฐานะทางการเงินของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า
(early warning system)
เพื่อให้นายหน้าซื้อขายล่วงหน้ามีเวลาที่เพียงพอในการเตรียมการหรือดำเนินการใด ๆ
ในการจัดสรรเงินทุน
หรือแก้ไขปัญหาการดำรงฐานะทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นจากความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ
การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ข้อ ๘
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจัดระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลตามแนวทางต่อไปนี้
(๑) มีระบบการจัดเก็บข้อมูล
เอกสารหลักฐานและรายงานต่าง ๆ ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
และมีระบบสำรองข้อมูลและแผนฉุกเฉินในการกู้ข้อมูลที่จัดเก็บในสิ่งบันทึกข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
(๒)
กำหนดรหัสผ่านในการเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บในสิ่งบันทึกข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์และจำกัดการทราบรหัสผ่านดังกล่าวเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
(๓)
กำหนดระบบควบคุมการเบิกหรือใช้เอกสารแบบฟอร์มที่เกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าหรือการเบิกจ่ายเงิน
เช่น เช็ค ใบยืนยันการซื้อขายล่วงหน้า ใบเสร็จรับเงิน
และใบแสดงยอดทรัพย์สินของลูกค้าคงเหลือ เป็นต้น
และเมื่อมีการยกเลิกแบบฟอร์มดังกล่าวควรมีการประทับตราแสดงการยกเลิกให้ชัดเจนด้วย
(๔) ไม่ให้พนักงาน
ลูกค้าหรือบุคคลอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้อง เข้าไปในพื้นที่ที่ใช้ส่งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า
การกำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงาน
ข้อ ๙
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรจัดระบบการกำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานตามแนวทางต่อไปนี้
(๑)
กำหนดแผนและวิธีปฏิบัติในการกำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าให้ชัดเจน
โดยควรให้ครอบคลุมถึงการดำเนินธุรกิจทั้งหมด
และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทหรือคณะกรรมการบริหาร
รวมทั้งให้รายงานผลการกำกับดูแลและตรวจสอบโดยตรงต่อคณะกรรมการบริษัท
คณะกรรมการบริหาร หรือคณะกรรมการอื่นที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท
(๒) ปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานตามข้อสังเกตหรือประเด็นที่หน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงานหรือหน่วยงานตรวจสอบภายในตรวจพบโดยทันที
พร้อมทั้งติดตามการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว
จรรยาบรรณ
ข้อ ๑๐
นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าควรกำหนดจรรยาบรรณของพนักงานที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยจรรยาบรรณดังกล่าวควรรวมถึงการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนใด ๆ จากลูกค้าหรือบุคคลอื่นของพนักงานอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
ข้อ ๑๑
ประกาศนี้ไม่กระทบกระเทือนหรือมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขประกาศอื่นใดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าที่ใช้บังคับอยู่ในเรื่องต่าง
ๆ ดังกล่าวข้างต้น
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ชัยพัฒน์
สหัสกุล
เลขาธิการ
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๕
พฤศจิกายน ๒๕๕๒
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๕
พฤศจิกายน ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๕๘ ง/หน้า ๒๕/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๒ |
459654 | ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 6/2548 เรื่อง แบบคำขอรับใบอนุญาตและแบบใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
| ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สธ. ๖/๒๕๔๘
เรื่อง
แบบคำขอรับใบอนุญาตและแบบใบอนุญาต
ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า[๑]
อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๔ และข้อ ๖ วรรคสาม แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ.
๕๖/๒๕๔๗ เรื่อง
การออกใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗ สำนักงาน ก.ล.ต. ออกข้อกำหนดไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามแบบ ๑๖ ๕ และเอกสารหลักฐานประกอบคำขอ ท้ายประกาศนี้
ข้อ
๒
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ให้เป็นไปตามแบบท้ายประกาศนี้
ข้อ
๓
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
เลขาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
[เอกสารแนบท้าย]
(๑)
แบบคำขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(แบบ 16-5)
(๒)
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปณตภร/ผู้จัดทำ
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๒๙ ง/หน้า ๕/๔ เมษายน ๒๕๔๘ |
315289 | ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เรื่อง การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า | ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับ
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับ
การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
เรื่อง การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับ
การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
---------------
ด้วยพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนด
ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าขึ้น
มีฐานะเป็นนิติบุคคล มี
อำนาจและหน้าที่ปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตร
ล่วงหน้า (คณะกรรมการ ก.ส.ล.)
ปฏิบัติหน้าที่ด้านธุรการของคณะกรรมการ ก.ส.ล. และคณะ
อนุกรรมการ
และปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงาน หรือ
ตามที่คณะกรรมการ ก.ส.ล. มอบหมาย
รวมทั้งดำเนินการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่ง
ประเทศไทย
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่
๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔ อนุมัติแต่งตั้ง
เลขาธิการคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชา
สูงสุดของสำนักงานฯ
และเป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ ก.ส.ล. บัดนี้ สำนักงาน
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ได้กำหนดสถานที่ตั้งสำนักงานชั่วคราวขึ้น
แล้ว โดยให้ตั้งอยู่ในบริเวณกระทรวงพาณิชย์ ณ อาคาร ๑ ชั้น
๒ กรมการค้าภายใน ถนนมหาราช
กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์/โทรสาร : (๐๒) ๖๒๒-๒๔๐๒
จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๔
ชัยพัฒน์ สหัสกุล
เลขาธิการ
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
[รก.๒๕๔๔/พ๖๕ง/๘/๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔]
ภคินี/แก้ไข
๘/๕/๒๕๔๕
B+A |
648735 | ระเบียบกรมการค้าภายในว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร พ.ศ. 2554 | ระเบียบกรมการค้าภายใน
ระเบียบกรมการค้าภายใน
ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบกรมการค้าภายในเกี่ยวกับการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
กรมการค้าภายในจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบกรมการค้าภายใน ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิก
๓.๑ ระเบียบกรมการค้าภายใน ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
พ.ศ. ๒๕๔๑
๓.๒ ระเบียบกรมการค้าภายใน ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๔ ในระเบียบนี้
สินค้าเกษตร หมายความว่า
ผลิตผลทางเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรสภาพผลิตผลทางเกษตรกรรม
ตลาด หมายความว่า
สถานที่ที่ผู้ซื้อผู้ขายมาซื้อขายสินค้าเกษตรในลักษณะขายส่งด้วยวิธีประมูลหรือต่อรองราคา
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะซื้อขายโดยตรงหรือผ่านนายหน้าก็ตาม
ตลาดกลางสินค้าเกษตร หมายความว่า
ตลาดที่ได้รับการส่งเสริมจากกรมการค้าภายใน
ข้อ ๕ ตลาดที่จะได้รับการส่งเสริมจากกรมการค้าภายในให้เป็นตลาดกลางสินค้าเกษตร
ได้แก่
๕.๑ ตลาดข้าวและพืชไร่
๕.๒ ตลาดผักและผลไม้
๕.๓ ตลาดปศุสัตว์
๕.๔ ตลาดสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ที่แปรสภาพมาจากสัตว์น้ำ
๕.๕ ตลาดประเภทอื่นที่อธิบดีกรมการค้าภายในประกาศกำหนด
ข้อ ๖ ให้อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้
หมวด ๑
การขอรับการส่งเสริมและการให้การส่งเสริม
ข้อ ๗ ผู้ที่ประสงค์จะขอตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรต้องมีคุณสมบัติ
ดังต่อไปนี้
๗.๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร หรือองค์กรเกษตรกร
ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
๗.๒ มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินอันเป็นสถานที่ตั้งตลาด
กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองดังกล่าวให้หมายความถึง
(๑) โฉนดที่ดิน โฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง หรือตราจองที่ตราว่า ได้ทำประโยชน์แล้ว
(๒) หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ น.ส. ๓ ก. หรือ น.ส. ๓ ข.)
(๓)
สัญญาเช่าที่มีกำหนดไม่น้อยกว่าห้าปีและจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
(๔) หนังสือยินยอมให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินไม่น้อยกว่าห้าปี
๗.๓
ที่ดินซึ่งเป็นสถานที่ตั้งตลาดต้องมีแนวเขตที่ดินติดต่อเป็นผืนเดียวกัน หรือกรณีแนวเขตที่ดิน
ไม่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันที่ดินนั้นต้องอยู่ตรงกันข้ามแล้วมีถนนสาธารณะคั่นอยู่
และที่ดินต้องมีจำนวน ดังต่อไปนี้
(๑) ตลาดข้าวและพืชไร่ไม่น้อยกว่ายี่สิบไร่
(๒) ตลาดผักและผลไม้ไม่น้อยกว่าสิบไร่
(๓) ตลาดปศุสัตว์ไม่น้อยกว่าสิบไร่
(๔) ตลาดสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ที่แปรสภาพมาจากสัตว์น้ำไม่น้อยกว่าสิบไร่
(๕) ตลาดประเภทอื่นที่อธิบดีกรมการค้าภายในกำหนดไม่น้อยกว่าสิบไร่
จำนวนที่ดินตามวรรคหนึ่ง
กรมการค้าภายในอาจพิจารณาเปลี่ยนแปลงได้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๘ เงื่อนไขในการส่งเสริม
๘.๑ สถานที่ตั้งตลาดข้าวและพืชไร่ที่ขอรับการส่งเสริมต้องมีระยะทางอยู่ห่างจากสถานที่ตั้งตลาดประเภทเดียวกันที่ได้รับการส่งเสริมไปก่อนแล้วไม่น้อยกว่าสามสิบกิโลเมตร
ไม่ว่าตลาดนั้นจะอยู่ภายในจังหวัดเดียวกันหรือไม่ก็ตาม
๘.๒
ตลาดผักและผลไม้ที่จะได้รับการส่งเสริมต้องมีเพียงจังหวัดละหนึ่งแห่ง ถ้าจะมีมากกว่าหนึ่งแห่ง
สถานที่ตั้งตลาดผักและผลไม้ที่ขอรับการส่งเสริมต้องมีระยะทางอยู่ห่างจากตลาดประเภทเดียวกันที่ได้รับการส่งเสริมไปก่อนแล้วไม่น้อยกว่าห้าสิบกิโลเมตร
๘.๓
ตลาดข้าวและพืชไร่ต้องมีสถานที่เก็บข้าวและพืชไร่ขนาดความจุไม่น้อยกว่าหนึ่งพันเมตริกตัน
สำหรับตลาดประเภทอื่นให้มีสถานที่เก็บตามสภาพของสินค้าเกษตร
และมีขนาดเหมาะสมกับปริมาณสินค้าเกษตรที่เข้าสู่ตลาด
๘.๔
ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการซื้อขายให้เหมาะสมกับสภาพของสินค้าเกษตรแต่ละประเภท
กรณีตลาดข้าวและพืชไร่อย่างน้อยต้องมีเครื่องชั่งชนิดที่ ๔ (เครื่องชั่งรถยนต์) ลานตากคอนกรีตหรือเครื่องอบลดความชื้น
และเครื่องตรวจสอบคุณภาพตามชนิดของสินค้าเกษตรที่ซื้อขาย
๘.๕
ต้องมีสถานที่สำหรับซื้อขายเป็นสัดส่วนและจัดไว้ในที่เปิดเผยเพื่อสะดวกในเวลาซื้อขาย
๘.๖ ต้องมีบริการสาธารณูปโภคไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำประปาหรือน้ำบาดาลและห้องสุขา
ที่ถูกสุขลักษณะ กรณีตลาดผักและผลไม้ต้องมีที่รองรับขยะมูลฝอย
ระยะทางตามข้อ ๘.๑ และข้อ ๘.๒
กรมการค้าภายในอาจพิจารณาเปลี่ยนแปลงได้ตามที่เห็นสมควร
เพื่อให้ตลาดสามารถรองรับปริมาณสินค้าเกษตรที่เข้าสู่ตลาดได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
ข้อ ๙ การยื่นคำขอรับการส่งเสริม
๙.๑ ตลาดซึ่งมีสถานที่ตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร
ให้ยื่นคำขอรับการส่งเสริม ณ กองส่งเสริมและพัฒนาระบบตลาด กรมการค้าภายใน
๙.๒ ตลาดซึ่งมีสถานที่ตั้งในเขตจังหวัดอื่น
ให้ยื่นคำขอรับการส่งเสริม ณ สำนักงานการค้าภายในจังหวัดแห่งท้องที่ที่ตลาดตั้งอยู่
๙.๓ การยื่นคำขอรับการส่งเสริมให้ยื่นพร้อมเอกสาร ดังต่อไปนี้
(๑)
หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแสดงการจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด
(๒) สำเนาใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสหกรณ์หรือสำเนาใบทะเบียนจัดตั้งกลุ่มเกษตรกร
(๓) สำเนาข้อบัญญัติ เทศบัญญัติ
หรือข้อบังคับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดให้ดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นการพาณิชย์ได้
(๔) หนังสือมอบอำนาจกรณีที่นิติบุคคลมอบอำนาจให้ผู้อื่นมายื่นคำขอ
(๕) ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ยื่นคำขอ
(๖) สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาโฉนดแผนที่ สำเนาโฉนดตราจอง
สำเนาตราจองที่ตราว่า ได้ทำประโยชน์แล้ว สำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส. ๓ น.ส. ๓ ก. หรือ น.ส. ๓ ข.) หรือสำเนาสัญญาเช่าที่ดิน
หรือหนังสือยินยอมให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน อันเป็นสถานที่ตั้งตลาด
(๗)
แผนที่โดยสังเขปแสดงแนวเขตที่ดินทุกแปลงที่ใช้เป็นสถานที่ตั้งตลาด รวมทั้งแนวเขตข้างเคียงตลาด
(๘) แผนที่โดยสังเขปแสดงสถานที่ตั้งของตลาด
รวมทั้งแผนผังอาคารตลาดและรายละเอียดสิ่งก่อสร้างบนที่ดินให้ครบถ้วน
(๙) เอกสารแสดงรายละเอียดโครงการหรือแผนการบริหารงานตลาด
๙.๔ เมื่อเจ้าหน้าที่กองส่งเสริมและพัฒนาระบบตลาด
กรมการค้าภายในหรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัดได้รับคำขอพร้อมเอกสารตามข้อ ๙.๓
แล้ว ให้ตรวจสอบเอกสารคุณสมบัติของตลาดที่ขอรับการส่งเสริม ให้ถูกต้องครบถ้วน
รวมทั้งตรวจสอบสภาพและสถานที่ตั้งตลาดให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด แล้วนำเสนอ
อธิบดีกรมการค้าภายในหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี
กรณีที่เอกสารตามข้อ ๙.๓ ไม่ครบถ้วน
ให้เจ้าหน้าที่กองส่งเสริมและพัฒนาระบบตลาดกรมการค้าภายในหรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัดแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมยื่นใหม่ให้ถูกต้องครบถ้วน
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นใด
ๆ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการในกำหนดเวลาดังกล่าว
ให้ผู้ยื่นคำขอยื่นเอกสารให้ครบถ้วนพร้อมแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นในโอกาสแรก
ข้อ ๑๐ การพิจารณาให้การส่งเสริม
๑๐.๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะพิจารณาคำขอรับการส่งเสริมแล้วให้ความเห็นเบื้องต้นก่อนส่งคำขอดังกล่าวให้อธิบดีกรมการค้าภายใน
๑๐.๒
เมื่ออธิบดีกรมการค้าภายในได้รับคำขอรับการส่งเสริมและได้พิจารณาแล้วเห็นว่าตลาดที่ยื่นคำขอมีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วน
สภาพและสถานที่ตั้งตลาดเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
และโครงการหรือแผนงานของตลาดมีความเป็นไปได้
อธิบดีกรมการค้าภายในจะพิจารณาให้การส่งเสริมและออกหนังสือรับรองการเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรให้
กรณีที่อธิบดีกรมการค้าภายในให้หรือไม่ให้การส่งเสริม
กรมการค้าภายในหรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัด แล้วแต่กรณี
จะแจ้งผลการพิจารณาเป็นหนังสือไปยังผู้ยื่นคำขอรับการส่งเสริม
๑๐.๓
การพิจารณาคำขอรับการส่งเสริมให้ดำเนินการแล้วเสร็จและแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมทราบภายในยี่สิบห้าวันนับแต่วันได้รับคำขอรับการส่งเสริมพร้อมเอกสารถูกต้องครบถ้วน
๑๐.๔ หนังสือรับรองการเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรให้ใช้ได้ห้าปีนับแต่วันที่ออกหนังสือรับรอง
ถ้าตลาดกลางสินค้าเกษตรประสงค์จะต่ออายุหนังสือรับรองการเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรจะต้องยื่นคำขอต่ออายุตามแบบที่กำหนดก่อนหนังสือรับรองสิ้นอายุ
การพิจารณาต่ออายุหนังสือรับรองการเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรให้นำหลักเกณฑ์ตามข้อ
๑๐.๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
กรณีที่หนังสือรับรองการเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรชำรุด
สูญหายหรือถูกทำลายให้ตลาดกลางสินค้าเกษตรยื่นคำขอรับใบแทนหนังสือรับรองภายในสามสิบวันนับแต่วันที่หนังสือรับรองชำรุด
สูญหาย หรือถูกทำลายตามแบบที่กำหนด
๑๐.๕ ตลาดกลางสินค้าเกษตรจะเปิดสาขามิได้
การย้ายสถานที่ตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรจะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมการค้าภายใน
หลักเกณฑ์การพิจารณาตามวรรคสองให้นำข้อ ๗ และ ข้อ ๘
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๒
สิทธิประโยชน์และหน้าที่ของตลาดกลางสินค้าเกษตร
ข้อ ๑๑ ตลาดกลางสินค้าเกษตรจะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่าง
ดังต่อไปนี้
๑๑.๑ ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า ตลาดกลาง.......(ระบุประเภทสินค้าเกษตร)
จังหวัด..................ในความส่งเสริมของจังหวัดและกรมการค้าภายใน
กระทรวงพาณิชย์
ตลาดกลางสินค้าเกษตรที่ได้รับการส่งเสริมอยู่ก่อนวันที่ระเบียบฉบับนี้ใช้บังคับให้ใช้ชื่อที่ใช้อยู่เดิมได้ต่อไป
๑๑.๒
ได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อในการพัฒนาตลาดตามความจำเป็นตามที่รัฐบาลให้การสนับสนุน
โดยตลาดกลางสินค้าเกษตรในความส่งเสริมของกรมการค้าภายในจะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับแรก
๑๑.๓ ได้รับการพิจารณาการส่งเสริมให้เป็นคลังสินค้าสาธารณะ
๑๑.๔ ได้รับสิทธิการเป็นสมาชิกเครือข่ายตลาดกลางสินค้าเกษตร
โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลข่าวสารด้านราคาและการตลาด การพัฒนาความรู้
รวมทั้งการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการบริหารจัดการ และการซื้อขาย
๑๑.๕ เป็นศูนย์กลางการให้บริการจัดทำสัญญาข้อตกลงของจังหวัด
๑๑.๖ ได้รับการช่วยเหลือด้านการบริหารและการตลาด ดังต่อไปนี้
(๑) การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานตามโครงการต่าง ๆ
ของรัฐบาลรวมทั้งได้รับการแนะนำและช่วยติดต่อประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
(๒) การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานและประโยชน์ของตลาดกลางสินค้าเกษตร
เพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อผู้ขายมาใช้บริการมากขึ้น
(๓) ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารงานตลาด
(๔)
ได้รับข้อมูลและข่าวสารการตลาดสินค้าเกษตรจากภายในประเทศและต่างประเทศ
(๕) จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกของตลาดเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
(๖) การสนับสนุนป้าย ตลาดกลาง....
(ระบุประเภทสินค้าเกษตร) จังหวัด......ในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน
กระทรวงพาณิชย์ ป้ายแสดงปริมาณ ป้ายแสดงราคาสินค้าเกษตร
ป้ายแสดงอัตราค่าบริการ และบอร์ดประชาสัมพันธ์ รวมทั้งตราสัญลักษณ์
๑๑.๗ ได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านอื่น ๆ
ตามที่กรมการค้าภายในเห็นสมควร
ข้อ ๑๒ ตลาดกลางสินค้าเกษตรต้องปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
๑๒.๑
ให้ความร่วมมือและสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
๑๒.๒ จัดให้มีการซื้อขายโดยเปิดเผยด้วยวิธีการประมูลหรือต่อรองราคา
๑๒.๓
กำหนดเวลาทำการเปิดและปิดตลาดไว้ให้แน่นอนและในกรณีที่ประสงค์จะปิดตลาดหรือหยุดการซื้อขายในวันใดต้องประกาศให้ผู้ซื้อผู้ขายทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน
๑๒.๔
บริหารงานให้เป็นไปตามโครงการหรือแผนการบริหารงานที่ยื่นไว้ตามข้อ ๙.๓ (๙)
๑๒.๕ ติดตั้งป้ายแสดงปริมาณและราคาสินค้าเกษตรรวมทั้งป้ายรายการอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งได้มีการซื้อขายกัน ณ ตลาดกลางสินค้าเกษตรหรือตลาดอื่น ๆ
เพื่อให้ผู้ซื้อผู้ขายสามารถเปรียบเทียบได้
๑๒.๖
ให้บริการเกี่ยวกับการซื้อขายหรือเก็บรักษาสินค้าเกษตรไม่ว่าจะเป็นการขนถ่ายสินค้า
การขนส่งสินค้า การรับฝากสินค้าและจัดการสินค้า
๑๒.๗
ให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการตลาดสินค้าเกษตรแก่ผู้ซื้อผู้ขาย
๑๒.๘
ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในหรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานตรวจสอบดูแลการดำเนินงานของตลาดกลางสินค้าเกษตร
ดังต่อไปนี้
(๑) รายงานผลการดำเนินงานประจำปีให้กรมการค้าภายในทราบ
(๒)
รายงานข้อมูลราคาสินค้าเพื่อให้กรมการค้าภายในทราบสถานการณ์ซื้อขายของตลาด
(๓)
จัดทำเว็บไซต์ของตลาดที่สามารถเชื่อมโยงระบบสารสนเทศกับกรมการค้าภายใน
เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์สูงสุด
และจะต้องปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน อยู่เสมอ
๑๒.๙
แสดงหนังสือรับรองการเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรหรือใบแทนหนังสือรับรองไว้ ณ
ตลาดกลางสินค้าเกษตรในที่เปิดเผยซึ่งเห็นได้ง่าย
๑๒.๑๐ ให้แสดงแผนผังองค์กรและขั้นตอนการซื้อขาย
ตลอดจนการให้บริการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้ทราบอย่างชัดเจน
หมวด ๓
การบริหารงานของตลาดกลางสินค้าเกษตร
ข้อ ๑๓ การซื้อขายสินค้าเกษตรให้กระทำได้เฉพาะในเวลาทำการของตลาดกลางสินค้าเกษตรตามข้อ
๑๒.๓ และต้องกระทำโดยเปิดเผย ณ สถานที่ซื้อขายซึ่งตลาดกลางสินค้าเกษตรจัดไว้
ข้อ ๑๔ ตลาดกลางสินค้าเกษตร
จะทำการซื้อขายสินค้าเกษตรในตลาดกลางสินค้าเกษตรมิได้ เว้นแต่กรณีที่ผู้ซื้อมีการรวมตัวกันกดราคาซื้อและเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรได้ร้องขอ
หรือรับซื้อในราคานำตลาด
ข้อ ๑๕ เมื่อปิดตลาดในแต่ละวัน
ตลาดกลางสินค้าเกษตรต้องประกาศราคาสินค้าเกษตรที่ทำการซื้อขายในวันนั้นโดยเปิดเผยและเป็นจริง
ข้อ ๑๖ เมื่อถึงเวลาปิดตลาด
หากปรากฏว่าในวันนั้นผู้ขายนำสินค้าเกษตรมาขายในตลาดกลางสินค้าเกษตรแต่ไม่มีผู้ซื้อหรือมีผู้ซื้อแต่ให้ราคาต่ำ
ตลาดกลางสินค้าเกษตรต้องช่วยเหลือผู้ขายในการเก็บรักษา ติดต่อหาผู้ซื้อมาซื้อหรือซื้อเสียเองในราคาที่เหมาะสม
หมวด ๔
การเพิกถอนสิทธิประโยชน์
ข้อ ๑๗ อธิบดีกรมการค้าภายในอาจมีหนังสือแจ้งให้ตลาดกลางสินค้าเกษตรปฏิบัติหรือแก้ไขการดำเนินงานให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดได้
เมื่อปรากฏว่า
๑๗.๑ ตลาดกลางสินค้าเกษตรไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๕ หรือข้อ
๑๖
๑๗.๒ ตลาดกลางสินค้าเกษตรเอารัดเอาเปรียบผู้ซื้อผู้ขาย
๑๗.๓ หยุดดำเนินกิจการหรือปิดตลาดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ข้อ ๑๘ ในกรณีที่ตลาดกลางสินค้าเกษตรขาดคุณสมบัติตามข้อ
๗ สภาพและสถานที่ตั้งตลาดไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อ ๘ เพิกเฉยไม่ปฏิบัติหรือแก้ไขการดำเนินงานตามที่ได้รับแจ้งจากอธิบดีกรมการค้าภายในตามข้อ
๑๗
อธิบดีกรมการค้าภายในจะระงับการส่งเสริมเป็นการชั่วคราวจนกว่าตลาดกลางสินค้าเกษตรจะได้แก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในการนี้ตลาดกลางสินค้าเกษตรจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ ตามระเบียบนี้จนกว่าจะแก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง
หากยังเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติตามที่ได้รับแจ้งกรมการค้าภายในจะมีหนังสือแจ้งการเพิกถอนการส่งเสริมต่อไป
ก่อนมีคำสั่งตามวรรคหนึ่ง
กรมการค้าภายในจะเปิดโอกาสให้ตลาดกลางสินค้าเกษตรได้รับทราบข้อเท็จจริงและชี้แจงแสดงหลักฐานประกอบภายในระยะเวลาอันสมควร
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๑๙ ตลาดกลางสินค้าเกษตรที่ได้รับการส่งเสริมจากกรมการค้าภายในตามระเบียบกรมการค้าภายใน
ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๔๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกรมการค้าภายใน ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ ให้ถือว่าได้รับการส่งเสริมให้เป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรตามระเบียบนี้
ข้อ ๒๐ บรรดาคำขอที่ยื่นไว้แล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณาตามระเบียบกรมการค้าภายใน
ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกรมการค้าภายใน
ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗
ให้ถือว่าเป็นคำขอตามระเบียบนี้โดยอนุโลม
และให้ดำเนินการเกี่ยวกับคำขอดังกล่าวตามระเบียบนี้
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔
วัชรี วิมุกตายน
อธิบดีกรมการค้าภายใน
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐ พฤษภาคม
๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๑๐ พฤษภาคม
๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๔๗ ง/หน้า ๕/๒๔ เมษายน ๒๕๕๔ |
443661 | ระเบียบกรมการค้าภายใน ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 | ระเบียบกรมการค้าภายใน
ระเบียบกรมการค้าภายใน
ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
(ฉบับที่
๒)
พ.ศ.
๒๕๔๗
ตามที่กรมการค้าภายในได้ออกระเบียบกรมการค้าภายในว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
พ.ศ. ๒๕๔๑
ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๑
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การขอรับและให้การส่งเสริมตลาดกลางสินค้าเกษตร ไปแล้ว นั้น
เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก
รวดเร็วในการขอเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน
อธิบดีกรมการค้าภายในจึงออกระเบียบ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกรมการค้าภายใน
ว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ
๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐.๓
แห่งระเบียบกรมการค้าภายในว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๔๑
ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
๑๐.๓
การพิจารณาคำขอรับการส่งเสริมให้ดำเนินการแล้วเสร็จและแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมทราบภายในยี่สิบห้าวัน
นับแต่วันที่ได้รับคำขอรับการส่งเสริมพร้อมเอกสารหลักฐานถูกต้องครบถ้วน
ข้อ
๔ ให้แก้ไขคำว่า กองส่งเสริมและพัฒนาตลาด ในข้อ
๙.๑ และ ข้อ ๙.๔
แห่งระเบียบกรมการค้าภายในว่าด้วยการส่งเสริมการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๔๑
เป็น กองส่งเสริมและพัฒนาระบบตลาด
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ศิริพล ยอดเมืองเจริญ
อธิบดีกรมการค้าภายใน
มยุรี/พิมพ์
๒๐
ตุลาคม ๒๕๔๗
ศุภสรณ์/ธัญกมล/ตรวจ
๒๙
ตุลาคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๘๗ง/๖๕/๔ สิงหาคม ๒๕๔๗ |
395108 | พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2545 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
การฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕
เป็นปีที่ ๕๗
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า
กิจการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้าร่วมกันเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ
หรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ตกลงเข้าร่วมกันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย
และมิได้ประสงค์จะหากำไรหรือรายได้เพื่อแบ่งปันกัน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
สมาชิก หมายความว่า สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เงินค่าสมัคร หมายความว่า
เงินค่าสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เงินสงเคราะห์
หมายความว่า เงินที่สมาชิกร่วมกันออกช่วยเหลือเป็นค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตาย
รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานที่เป็นที่ทำการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กรรมการ หมายความว่า
กรรมการดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานครหรือนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่อื่น
แล้วแต่กรณี
นายทะเบียนกลาง หมายความว่า นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ปลัดกระทรวง หมายความว่า
ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์*
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และการฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว
ใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๖
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว* เป็นนายทะเบียนกลาง
นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานครและนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่อื่นให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว*แต่งตั้ง
มาตรา ๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์* รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่นหรือออกระเบียบและประกาศ ทั้งนี้
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวง ระเบียบและประกาศนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๒
การจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๘ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีขึ้นได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีวัตถุประสงค์นอกจากการฌาปนกิจสงเคราะห์มิได้
มาตรา ๙
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีข้อบังคับและต้องจดทะเบียนเมื่อได้จดทะเบียนแล้วให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล
การตั้งสาขาสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกระทำมิได้
มาตรา ๑๐ การขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
ยื่นคำขอพร้อมด้วยข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยสามฉบับต่อนายทะเบียนประจำท้องที่ที่จะตั้งสำนักงาน
คุณสมบัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และหลักเกณฑ์ วิธีการยื่นคำขอจดทะเบียน ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๑ ในการขอจดทะเบียน
ถ้าได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐
มีข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา ๑๓ และข้อบังคับนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายและวัตถุประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กับทั้งผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทุกคนมีคุณสมบัติถูกต้องตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง
ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนได้
และให้ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
ถ้าหากนายทะเบียนเห็นว่าในการขอจดทะเบียนมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนมีคำสั่งให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง
เมื่อได้แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงถูกต้องแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้สมาคมนั้น
ถ้าผู้ยื่นคำขอไม่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามวรรคสองภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่งนายทะเบียนให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนและแจ้งคำสั่งไม่รับจดทะเบียนพร้อมด้วยเหตุผลไปยังผู้ขอจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันยื่นคำขอ
ให้ผู้ขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๑๒
ให้นายทะเบียนกลางประกาศการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยต้องมีข้อความเกี่ยวกับเรื่อง ดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ กำกับไว้กับชื่อนั้นด้วย
(๒)
วัตถุประสงค์
(๓)
ที่ตั้งสำนักงาน และวันเวลาเปิดทำการ
(๔)
วิธีการรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ
(๕)
อัตราเงินค่าสมัคร อัตราเงินค่าบำรุง และอัตราเงินสงเคราะห์
และวิธีการชำระเงินนั้น
(๖)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
(๗)
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
(๘)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงิน
(๙)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
(๑๐)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
และการประชุมของคณะกรรมการ
มาตรา ๑๔ คุณสมบัติของสมาชิก
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับสมาชิกให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
วิธีการจ่ายเงินและการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงินตามมาตรา ๑๓
(๗) และ (๘) ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๕ วันเวลาเปิดทำการสำนักงานตามมาตรา ๑๓ (๓)
ต้องไม่น้อยกว่าห้าวันในหนึ่งสัปดาห์ และวันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง
และให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ปิดประกาศวันและเวลาเปิดทำการไว้ที่สำนักงาน
มาตรา ๑๖
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกระทำได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่ และต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
การยื่นคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
นายทะเบียนมีอำนาจไม่รับจดทะเบียนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
เมื่อเห็นว่าการแก้ไขหรือเพิ่มเติมนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขัดต่อกฎหมาย
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
จะยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่านายทะเบียนจะได้รับจดทะเบียนแล้ว
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นำมาตรา ๑๑ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๗
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องจัดให้มีป้ายชื่อเป็นภาษาไทยอ่านได้ชัดเจนติดไว้ที่หน้าสำนักงาน
และต้องติดใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนไว้ที่สำนักงานในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสูญหาย
ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ
ให้นายทะเบียนออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร้องขอ
การขอรับใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
การออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนและแบบใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
หมวด ๓
การดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๑๙
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นัดสมาชิกมาประชุมกันเป็นการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียนเพื่อตั้งคณะกรรมการและมอบหมายการทั้งปวงให้แก่คณะกรรมการ
ในระหว่างที่ยังมิได้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับคณะกรรมการ
มาตรา ๒๐
การแต่งตั้งกรรมการและการเปลี่ยนตัวกรรมการ ให้ทำได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนกรรมการคนใด
นายทะเบียนต้องแจ้งเหตุที่ไม่รับจดทะเบียนให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ไม่รับจดทะเบียน
และให้นำมาตรา ๑๑ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในระหว่างที่ยังไม่มีการจดทะเบียนกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ชุดใหม่
ถ้าข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้กรรมการชุดเดิมปฏิบัติหน้าที่กรรมการต่อไปจนกว่าจะได้มีการจดทะเบียนกรรมการชุดใหม่
มาตรา ๒๑
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
โดยมีตำแหน่งนายกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หนึ่งคน เลขานุการหนึ่งคน เหรัญญิกหนึ่งคน
และตำแหน่งอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
เป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และเป็นผู้แทนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
เพื่อการนี้ คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องมีคุณสมบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียน
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่โดยมติสองในสามของผู้มาประชุมจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระและได้มีการแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทน
ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๒ การประชุมใหญ่สามัญ
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี ปีละหนึ่งครั้งภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน
เพื่อ
(๑)
รับทราบรายงานกิจการในรอบปีที่ผ่านมาของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๒)
พิจารณาอนุมัติบัญชีรายได้ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓) เลือกตั้งคณะกรรมการแทนคณะกรรมการเมื่อครบวาระตามมาตรา
๒๑ วรรคสาม
(๔)
พิจารณาวาระอื่น ๆ
มาตรา ๒๓
คณะกรรมการจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อใดก็ได้สุดแต่จะเห็นสมควร
สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าห้าสิบคนจะทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อการใดการหนึ่งเมื่อใดก็ได้
ในกรณีที่สมาชิกเป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ
ถ้าคณะกรรมการไม่เรียกประชุมใหญ่วิสามัญในระยะเวลาดังกล่าว
ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกประชุมใหญ่วิสามัญได้
มาตรา ๒๔ ในการเรียกประชุมใหญ่สามัญหรือการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญตามมาตรา
๑๙ มาตรา ๒๒ หรือมาตรา ๒๓
คณะกรรมการต้องส่งหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคนซึ่งมีชื่อในทะเบียนสมาชิกก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน
การเรียกประชุมใหญ่ตามวรรคหนึ่งต้องระบุสถานที่ วัน เวลา
และระเบียบวาระการประชุมและจัดส่งรายละเอียดและเอกสารที่เกี่ยวข้องตามควรไปพร้อมกันด้วย
มาตรา ๒๕ การประชุมใหญ่
ต้องมีสมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนจึงจะเป็นองค์ประชุม
ถ้าในการประชุมนัดแรก
สมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุมหากการประชุมนั้นได้นัดโดยสมาชิกร้องขอ
ให้เลิกประชุม ถ้าการประชุมนั้นมิใช่โดยสมาชิกร้องขอ
ให้นัดประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งภายในสามสิบวัน
การประชุมครั้งหลังนี้มีสมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าสามสิบคนก็ให้ถือว่าเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับและการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีผู้มาประชุมตามวรรคหนึ่งเท่านั้น
มาตรา ๒๖
ในการประชุมใหญ่ สมาชิกคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
เว้นแต่กรณีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ
และการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของผู้มาประชุม
มาตรา ๒๗ สมาชิกจะมอบฉันทะเป็นหนังสือให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่สมาชิกมาประชุมใหญ่และออกเสียงแทนตนก็ได้
ผู้รับมอบฉันทะคนหนึ่งรับมอบฉันทะได้คนเดียว
มาตรา ๒๘ ในกรณีที่จะมีมติเรื่องใด
ถ้าส่วนได้เสียของกรรมการหรือสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ผู้ใดขัดกับประโยชน์ได้เสียของสมาคม
กรรมการหรือสมาชิกของสมาคมผู้นั้นจะออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้นมิได้
มาตรา ๒๙
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่อาจเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และอาจชี้แจงแสดงข้อคิดเห็นแก่ที่ประชุมใหญ่ได้
แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เรียกเก็บเงินอื่นใดจากสมาชิกนอกเหนือจากเงินค่าสมัคร
เงินค่าบำรุง และเงินสงเคราะห์
เงินค่าสมัครให้เรียกเก็บจากผู้ซึ่งสมัครเข้าเป็นสมาชิกในครั้งแรกเพียงครั้งเดียวตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
เงินค่าบำรุงให้เรียกเก็บจากสมาชิกเป็นรายเดือนหรือรายปีตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
เงินสงเคราะห์ให้เรียกเก็บได้ตามจำนวนสมาชิกที่ตายตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจเรียกเก็บเงินสงเคราะห์ไว้ล่วงหน้าเพื่อสำรองจ่ายเป็นค่าจัดการศพได้
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนดและต้องกำหนดในข้อบังคับ
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เลิก
หรือสมาชิกผู้ใดพ้นจากสมาชิกภาพ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คืนเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บไว้ล่วงหน้าให้แก่สมาชิกเท่าที่สมาชิกผู้นั้นยังไม่ตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินสงเคราะห์ตามที่ได้จ่ายล่วงหน้าไว้ให้แล้ว
มาตรา ๓๑
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจหักเงินจำนวนหนึ่งไว้จากเงินสงเคราะห์ได้ตามสมควร
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามอัตราที่ที่ประชุมกำหนด
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
มาตรา ๓๒
กรรมการไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กรรมการอาจได้รับเบี้ยประชุม
ค่าพาหนะ หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
หากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้วางระเบียบไว้ให้จ่ายได้
ระเบียบของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ว่าด้วยการจ่ายเบี้ยประชุม
ค่าพาหนะ หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันให้แก่กรรมการ
ต้องกระทำโดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องส่งสำเนาที่มีคำรับรองว่าถูกต้องต่อนายทะเบียน
มาตรา ๓๓ ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน
ชี้ช่อง หรือจัดการโดยวิธีใด ๆ ที่คล้ายคลึงกันให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ยังมิได้จดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย
มาตรา ๓๔ ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน ชี้ช่อง
หรือจัดการให้ผู้อื่นเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินหรือทรัพย์สินอื่นไม่ว่าจะเป็นสินจ้างหรือค่าใช้จ่ายอื่นจากการชักชวน
ชี้ช่อง หรือจัดการนั้น
มาตรา ๓๕
สมาชิกมีสิทธิขอตรวจสอบบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เพื่อทราบการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่สำนักงานได้ในเวลาเปิดทำการ
หมวด ๔
การควบคุมสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๓๖
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
และให้เก็บรักษาทะเบียนดังกล่าวพร้อมทั้งหลักฐานและเอกสารที่ใช้ประกอบการลงทะเบียนไว้ที่สำนักงาน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่มีอยู่ในวันที่ครบเก้าสิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียนให้แก่นายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันดังกล่าว
และเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม เดือนมิถุนายน เดือนกันยายน และเดือนธันวาคมของทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกในส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนนั้นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๗ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องจัดให้มีสมุดชำระเงินประจำตัวสมาชิกให้แก่สมาชิก บัญชีชำระเงินประจำตัวสมาชิก
บัญชีแสดงฐานะการเงินและหลักฐานการรับจ่ายเงินตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
และต้องเก็บรักษาเอกสารประกอบบัญชีแสดงให้เห็นความถูกต้องแห่งบัญชีนั้นไว้ด้วย
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องรายงานจำนวนเงินที่มีอยู่ในมือและในธนาคารตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนมิถุนายนของทุกปีต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๘ เมื่อสิ้นปีปฏิทินทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องทำบัญชีรายได้ รายจ่าย
และบัญชีงบดุลตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด เสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปี
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่ออนุมัติบัญชีรายได้
รายจ่าย และบัญชีงบดุลนั้นภายในกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนางบดุลตามวรรคหนึ่งที่มีคำรับรองว่าถูกต้องต่อนายทะเบียน
เพื่อตรวจสอบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่อนุมัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องแสดงสำเนางบดุลไว้ที่สำนักงานเพื่อให้สมาชิกและผู้มีส่วนได้เสียตรวจดูได้ด้วย
มาตรา ๓๙
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เก็บรักษาหลักฐานเอกสารตามมาตรา ๓๖ มาตรา
๓๗ และมาตรา ๓๘ ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
มาตรา ๔๐ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจเอกสาร คัดเอกสาร
หรือขอให้คัดรายการ และรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จากนายทะเบียนให้ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๑ เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้เป็นไปด้วยดี
เมื่อมีกรณีที่นายทะเบียนเห็นสมควรที่จะได้ฟังความคิดเห็นและคำวินิจฉัยของสมาชิกในปัญหาหรือกิจการใด
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยปัญหาหรือกิจการนั้นได้
มาตรา ๔๒
เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอว่าการประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่เกิดขึ้นในการประชุมที่ได้เรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเสียได้
การร้องขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่นั้น ถ้าสมาชิกเป็นผู้ร้องขอต้องร้องขอภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่
กรรมการคนใดคนหนึ่งมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้
โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๔๓
ในกรณีที่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ถ้าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ร้องทุกข์หรือฟ้องคดี
ให้นายทะเบียนร้องทุกข์หรือฟ้องคดีได้ โดยให้พนักงานอัยการรับว่าต่างให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการร้องทุกข์ฟ้องคดีหรือว่าต่างแก่นายทะเบียนหรือพนักงานอัยการ
แล้วแต่กรณี
มาตรา ๔๔ ในกรณีที่คณะกรรมการหรือกรรมการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ของตนจนทำให้เสื่อมเสียผลประโยชน์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือสมาชิก
หรือทำให้มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการเงินหรือการบัญชี
ให้นายทะเบียนมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ปฏิบัติการ ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการระงับการปฏิบัติบางส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดข้อบกพร่องหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือสมาชิก
(๒)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการแก้ไขข้อบกพร่องตามวิธีการและระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
(๓)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว
เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องนั้นให้แล้วเสร็จตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
(๔) ให้คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
หรือให้กรรมการซึ่งเกี่ยวข้องกับการนั้นพ้นจากตำแหน่งกรรมการ
มาตรา ๔๕
เมื่อนายทะเบียนสั่งให้คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งกรรมการทั้งคณะ
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราวขึ้นคณะหนึ่งมีอำนาจหน้าที่และสิทธิเช่นเดียวกับคณะกรรมการ
และให้คณะกรรมการชั่วคราวจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ทั้งคณะให้เสร็จสิ้นภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
มาตรา ๔๖ เมื่อนายทะเบียนสั่งให้กรรมการคนใดพ้นจากตำแหน่งกรรมการ
ให้คณะกรรมการส่วนที่เหลือเรียกประชุมใหญ่ตั้งผู้เป็นกรรมการแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่กรรมการพ้นจากตำแหน่ง
ถ้ามิได้ตั้งหรือตั้งกรรมการไม่ได้ตามกำหนดเวลา
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งสมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็นกรรมการแทน
และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งกรรมการเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
แต่ถ้าวาระของกรรมการผู้นั้นเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
คณะกรรมการส่วนที่เหลือจะเรียกประชุมใหญ่เพื่อตั้งกรรมการแทนหรือนายทะเบียนจะดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนหรือไม่ก็ได้
ในกรณีที่คณะกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึงเจ็ดคน
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งกรรมการชั่วคราวให้ครบจำนวนเจ็ดคน
และให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งกรรมการแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนแต่งตั้งกรรมการชั่วคราว
มาตรา ๔๗
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ มีอำนาจ
(๑)
เข้าไปในสำนักงานของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในวันทำการระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
เพื่อตรวจสอบและควบคุมให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
สั่งให้กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งหรือแสดงบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓)
สอบถามบุคคลใน (๒)
หรือเรียกบุคคลดังกล่าวมาเพื่อสอบถามหรือแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ในกรณีการตรวจสอบกระทำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อตรวจสอบแล้วให้เสนอรายงานการตรวจสอบต่อนายทะเบียนด้วย
ในการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควรแก่นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๔๘
นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัวตามแบบที่นายทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ
หมวด ๕
การฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
มาตรา ๔๙ ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐใดที่ประสงค์จะดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ให้ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดในมาตรา
๕๐
มาตรา ๕๐
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์* กำหนดระเบียบการขึ้นทะเบียนการดำเนินกิจการ
การควบคุม และการเลิกกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐขึ้นไว้
ระเบียบนี้เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้ใช้บังคับได้
เมื่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐได้ขึ้นทะเบียนตามระเบียบที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์*
กำหนดในวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ถือว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวเป็นงานอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐนั้น
หมวด ๖
การเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๕๑
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้เลิก
(๒)
นายทะเบียนสั่งให้เลิกตามมาตรา ๕๒
(๓)
ศาลสั่งให้เลิกตามมาตรา ๕๔
เมื่อเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นายทะเบียนกลางประกาศการเลิกในราชกิจจานุเบกษา
และให้นายทะเบียนปิดประกาศที่สำนักงานด้วย
มาตรา ๕๒
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ในกรณี ดังต่อไปนี้
(๑)
สมาชิกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดร่วมกันยื่นคำร้องขอต่อนายทะเบียน
ขอให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์พร้อมด้วยเหตุผลประกอบคำร้องขอ และนายทะเบียนได้สอบสวนหลักฐานและเหตุผลประกอบคำร้องขอแล้วเป็นที่ปรากฏแน่ชัดว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมควรจะต้องเลิกดำเนินกิจการตามคำร้องขอนั้น
(๒)
บุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นกรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนเข้ามากระทำการในฐานะกรรมการและนายทะเบียนได้มีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวเลิกการกระทำการในฐานะกรรมการแล้ว
แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน
(๓)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นไม่เป็นไปโดยสุจริต
และนายทะเบียนได้สอบสวนพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วมีเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้
(๔)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่อาจดำเนินต่อไปได้ไม่ว่าเพราะเหตุใด
ๆ
เมื่อนายทะเบียนสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใด
ให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือพร้อมด้วยเหตุผลไปยังสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นภายในสามสิบวัน
มาตรา ๕๓
ในกรณีที่นายทะเบียนสั่งเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามมาตรา ๕๒ กรรมการจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อปลัดกระทรวงโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๕๔ ในกรณีที่นายทะเบียนเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๕๒ เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ ศาลอาจสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นได้
หมวด ๗
การชำระบัญชี
มาตรา ๕๕
เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้มีการชำระบัญชีสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
และให้นำความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทจำกัด มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา ๕๖
ในการตั้งผู้ชำระบัญชีของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ต้องเลิก
ให้ที่ประชุมใหญ่ตั้งผู้ชำระบัญชีโดยได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือนับแต่วันที่ปลัดกระทรวงมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์
แล้วแต่กรณี เพื่อทำการชำระบัญชีของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ในกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ไม่อาจตั้งผู้ชำระบัญชีภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
หรือนายทะเบียนไม่ให้ความเห็นชอบในการตั้งผู้ชำระบัญชี
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีขึ้นทำการชำระบัญชีสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
เมื่อนายทะเบียนเห็นสมควรหรือเมื่อสมาชิกมีจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งหมดร้องขอต่อนายทะเบียน นายทะเบียนจะแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีคนใหม่แทนผู้ชำระบัญชีที่ได้ตั้งไว้ก็ได้
ให้นายทะเบียนจดทะเบียนผู้ชำระบัญชีที่นายทะเบียนให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง หรือผู้ชำระบัญชีที่ได้รับแต่งตั้งตามวรรคสองหรือวรรคสาม
และให้ปิดประกาศชื่อผู้ชำระบัญชีไว้ที่สำนักงานและที่ว่าการอำเภอแห่งท้องที่ที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่จดทะเบียนผู้ชำระบัญชี
ผู้ชำระบัญชีอาจได้รับค่าตอบแทนตามที่นายทะเบียนกำหนด
มาตรา ๕๗
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนจดทะเบียนผู้ชำระบัญชี
ให้ผู้ชำระบัญชีปิดประกาศไว้ที่สำนักงานและที่ว่าการอำเภอแห่งท้องที่ที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่
และประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่หรือโฆษณาทางวิทยุประจำท้องที่ว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้เลิก
และแจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าหนี้ทุกคนซึ่งมีชื่อปรากฏในสมุดบัญชีหรือเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือปรากฏจากทางอื่น
เพื่อให้ทราบว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเลิกและให้เจ้าเจ้าหนี้ยื่นคำทวงหนี้แก่ผู้ชำระบัญชี
มาตรา ๕๘ เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เลิก
ให้คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีหน้าที่จัดการรักษาทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไว้จนกว่าผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้ส่งมอบ
ผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งมอบทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสารและสิ่งอื่นเมื่อใดก็ได้
มาตรา ๕๙
ผู้ชำระบัญชีต้องทำงบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิชักช้าส่งให้ผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจรับรองว่าถูกต้อง
และในกรณีจำเป็นอาจร้องขอให้นายทะเบียนตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจสอบงบดุลนั้นได้
เมื่อผู้สอบบัญชีรับรองงบดุลแล้ว
ให้ผู้ชำระบัญชีเสนองบดุลต่อที่ประชุมใหญ่เพื่ออนุมัติแล้วเสนองบดุลนั้นต่อนายทะเบียน
มาตรา ๖๐ เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว
ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่จะแบ่งให้แก่สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ได้
ทรัพย์สินนั้นจะต้องโอนไปให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อื่น
หรือนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกุศลสาธารณะตามที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือตามมติของที่ประชุมใหญ่
ในกรณีที่มิได้ระบุไว้ในข้อบังคับหรือที่ประชุมใหญ่มิได้มีมติไว้
ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
หมวด ๘
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๖๑
ผู้ใดดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๒ ผู้ใดเป็นสมาชิกของการฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยรู้ว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๖๓ ผู้ใดใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์ หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าร้อยบาทจนกว่าจะเลิกใช้
มาตรา ๖๔[๒] ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง มาตรา
๑๗ มาตรา ๒๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙ หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๐ หรือมาตรา
๓๑ ถ้าการกระทำความผิดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด หรือในกรณีที่กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา ๖๕ กรรมการผู้ใดรับเงิน หรือทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยไม่มีสิทธิที่จะรับได้ตามมาตรา ๓๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๖
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๓ หรือมาตรา ๓๔ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๗
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา
๔๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๖๘ กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ผู้ใดไม่จัดการรักษาทรัพย์สินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือไม่ส่งมอบทรัพย์สิน สมุดบัญชี
เอกสารและสิ่งอื่นของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้แก่ผู้ชำระบัญชีตามมาตรา ๕๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๙
ผู้ใดแบ่งหรือโอนทรัพย์สินที่เหลืออยู่เมื่อได้ชำระบัญชีแล้วให้แก่บุคคลใดอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๖๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๗๐ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๗๑ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๗๒
เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เปลี่ยนทุนของรัฐวิสาหกิจใดเป็นหุ้นและจัดตั้งบริษัท
และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด แล้วแต่กรณี
จดทะเบียนบริษัทนั้นตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจแล้ว
ให้การฌาปนกิจสงเคราะห์ของรัฐวิสาหกิจที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัตินี้
ยังคงดำเนินการได้ต่อไปจนกว่าจะมีการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
และให้โอนบรรดาสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของการฌาปนกิจสงเคราะห์ของรัฐวิสาหกิจนั้นไปเป็นของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนแล้วนี้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันจดทะเบียนบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจดังกล่าว
ในกรณีที่ไม่มีการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าเป็นการเลิกการฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
มาตรา ๗๓ ให้บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ
หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗ คงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบ
ประกาศหรือคำสั่งออกมาใช้บังคับแทนภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
(๑)
คำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๒)
คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติม
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๓)
คำขอจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัว
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๔)
คำขอตรวจหรือคัดเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๕)
คำขอเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อย่างอื่น
นอกจาก (๑) (๒) (๓) และ (๔) ฉบับละ ๒๕ บาท
(๖)
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐๐ บาท
(๗)
ใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๘)
การรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๒๕ บาท
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่การดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทางด้านการเงินตามที่พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ กำหนดไว้ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน
และวิธีการควบคุมสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวยังไม่รัดกุมพอที่จะป้องกันการฉ้อโกงและการแสวงหาผลประโยชน์จากกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ของกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสมาคมได้
ทำให้สมาคมได้รับความเสียหาย สมควรปรับปรุงพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.
๒๕๑๗
เพื่อให้การคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนที่เป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานของคณะกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
*พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕[๓]
มาตรา ๑๕ ในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.
๒๕๔๕ ให้แก้ไขคำว่า กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คำว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คำว่า ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็น ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคำว่า อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ เป็น ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้บัญญัติให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่โดยมีภารกิจใหม่
ซึ่งได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม นั้นแล้ว
และเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้โอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
รัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่
โดยให้มีการแก้ไขบทบัญญัติต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ที่โอนไปด้วย ฉะนั้น
เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนส่วนราชการ
เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมายโอนอำนาจหน้าที่ว่าตามกฎหมายใดได้มีการโอนภารกิจของส่วนราชการหรือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายนั้นไปเป็นของหน่วยงานใดหรือผู้ใดแล้ว
โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ รัฐมนตรี
ผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการให้ตรงกับการโอนอำนาจหน้าที่
และเพิ่มผู้แทนส่วนราชการในคณะกรรมการให้ตรงตามภารกิจที่มีการตัดโอนจากส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่รวมทั้งตัดส่วนราชการเดิมที่มีการยุบเลิกแล้ว
ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐[๔]
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน
คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘ พระราชบัญญัติสถานบริการ
พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง
เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๖ ดังนั้น เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ธนพันธ์/แก้ไข
พลัฐวัษ/ตรวจ
๒๙
มีนาคม ๒๕๕๖
พิมพ์มาดา/เพิ่มเติม
๑๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
ปริญสินีย์/ตรวจ
๑๖ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
ศิรวัชร์/แก้ไข
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๔๒ ก/หน้า ๑/๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕
[๒] มาตรา ๖๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
[๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๐๒ ก/หน้า ๖๖/๘ ตุลาคม ๒๕๔๕
[๔]
ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ |
769023 | พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. 2560 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐
เป็นปีที่ ๒
ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตราแห่งประมวลกฎหมาย
พระราชบัญญัติและพระราชกำหนด จำนวนเจ็ดสิบหกฉบับ ดังต่อไปนี้
และให้ใช้ความตามที่ปรากฏในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้แทนตามลำดับ
(๑) มาตรา ๑๒ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พุทธศักราช
๒๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒) มาตรา ๓๕ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๒๕
และมาตรา ๙๐/๕ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๓) มาตรา ๖๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๔) มาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ
(ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๕) มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๓๕
(๖) มาตรา ๒๘/๔ แห่งพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๖
(๗) มาตรา ๓๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๘) มาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. ๒๕๑๐
(๙) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
(๑๐) มาตรา ๗๒/๕ แห่งพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปุ๋ย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐
(๑๑) มาตรา ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๒) มาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๓) มาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๔) มาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๑๕) มาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๖) มาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๗) มาตรา ๓๒
แห่งพระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๔
(๑๘) มาตรา ๒๓ แห่งพระราชกำหนดควบคุมสินค้าตามชายแดน พ.ศ. ๒๕๒๔
(๑๙) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
(๒๐) มาตรา ๑๕
แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๗ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
(๒๑) มาตรา ๙๒
แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
(๒๒) มาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
(๒๓) มาตรา ๑๐๑ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
(๒๔) มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒๕) มาตรา ๔๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
และมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒๖) มาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๗) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๘) มาตรา ๑๑๑
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๙) มาตรา ๘๗/๒ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๐) มาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๓๑) มาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๒) มาตรา ๑๐๘ แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๓) มาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๓๗
(๓๔) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
(๓๕) มาตรา ๘๙
แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙
(๓๖) มาตรา ๑๓ แห่งพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. ๒๕๕๐
(๓๗) มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒
(๓๘) มาตรา ๖๑
แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒
(๓๙) มาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๐) มาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๑) มาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๒) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๓) มาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๔) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๕) มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๖) มาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๗) มาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๘) มาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๙) มาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.
๒๕๔๓
(๕๐) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
(๕๑) มาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๔๓
(๕๒) มาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๓) มาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๔) มาตรา ๔๖
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๕) มาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
(๕๖) มาตรา ๑๓๕ แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๗) มาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๘) มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๙) มาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๗
(๖๐) มาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ. ๒๕๔๘
(๖๑) มาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ. ๒๕๔๘
(๖๒) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๓) มาตรา ๑๔๑ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๔) มาตรา ๑๕๓ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๕) มาตรา ๘๐ แห่งพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๖) มาตรา ๕๔
แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
(๖๗) มาตรา ๑๓๒ และมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.
๒๕๕๑
(๖๘) มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๖๙) มาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๖
แห่งพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๐) มาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๑) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๒) มาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๓) มาตรา ๘๕ แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๔) มาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๕) มาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓
(๗๖) มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
บัญชีท้ายพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
๑. พระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า
พุทธศักราช ๒๔๗๔
มาตรา ๑๒ จัตวา ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒. ประมวลรัษฎากร
มาตรา ๓๕ ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๒ ทวิ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
มาตรา ๙๐/๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามหมวดนี้เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓. พระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑
มาตรา ๖๒ ตรี ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖๒ ทวิ เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๒ ทวิ ด้วย
๔. พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗
มาตรา ๑๑๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕. พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
มาตรา ๒๕ ในกรณีที่บริษัทจำกัดใดกระทำความผิดตามมาตรา
๗ ถึงมาตรา ๒๔ ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทจำกัดนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัดนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทจำกัดนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
๖. พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
มาตรา ๒๘/๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗. พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐
มาตรา ๓๙ ทวิ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๘. พระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
พ.ศ. ๒๕๑๐
มาตรา ๓๓ ผู้ใดมิใช่ในกิจการของ
อผศ. หรือโดยมิได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก อผศ.
ใช้ชื่อหรือถ้อยคำในประการที่น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นกิจการของ อผศ. หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
อผศ. ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นิติบุคคลใดมิใช่กระทรวง
ทบวง กรม หรือโดยมิได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก อผศ. ใช้คำว่า อผศ. ทหารผ่านศึก ผ่านศึก นอกประจำการ หรือคำว่าทหาร เป็นชื่อหรือประกอบชื่อของนิติบุคคลนั้น
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิดผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
๙. พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.
๒๕๑๔
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิด
ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๐. พระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๗๒/๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
เว้นแต่กรณีตามมาตรา ๗๒/๒ ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๑.
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๘๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๒.
พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๘๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๓. พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๓๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๔ .
พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๗๑ นิติบุคคลอาคารชุดใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๓๘/๑ มาตรา ๓๘/๒ และมาตรา ๓๘/๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ในกรณีที่นิติบุคคลอาคารชุดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้น
หรือในกรณีที่ผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลอาคารชุดนั้นกระทำความผิด
ผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งด้วย
๑๕. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๖. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๗๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๗. พระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๒๔
มาตรา ๓๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๓๐
หรือมาตรา ๓๑ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๘. พระราชกำหนดควบคุมสินค้าตามชายแดน พ.ศ.
๒๕๒๔
มาตรา ๒๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๙. พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๐. พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๗
มาตรา ๑๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลซึ่งปรากฏพยานหลักฐานว่ามีพฤติกรรมเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลด้วย
๒๑. พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๙๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๒. พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.
๒๕๓๐
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่คณะกรรมการกองทุนกระทำความผิดตามมาตรา
๓๔ ถ้าการกระทำความผิดของคณะกรรมการกองทุนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้คณะกรรมการกองทุนนั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๓. พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
มาตรา ๑๐๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๔. พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา
๕ หรือมาตรา ๘ เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๒๕. พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๔๘/๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา
๑๕ วรรคสี่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นกระทำความผิด
หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย
มาตรา ๔๙ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๗
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๖. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
๒๕๓๕
มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๗. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๘. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๑๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๙. พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๘๗/๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
ผู้เชี่ยวชาญ บุคลากรเฉพาะ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๐. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๑. พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๑๔ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิดตามมาตรา
๒๓ มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๖ หรือมาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งหรือให้ทำคำชี้แจงตามมาตรา
๔๕ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิดผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๒. พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๐๘ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๓
มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งหรือให้ทำคำชี้แจงตามมาตรา ๔๙
หรือไม่หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวตามมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๓. พระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๓๙ ในกรณีที่สภากระทำความผิดและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของสภานั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการผู้ใดมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สภานั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
๓๔. พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๕. พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๘๙ ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนรายใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๘๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งแสนบาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ถ้าการกระทำความผิดของผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๖. พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๔๑
มาตรา ๑๓ บริษัทบริหารสินทรัพย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๔/๑ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ หรือมาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือคำสั่งหรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๔/๑
วรรคสอง มาตรา ๕ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑/๑ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๑๒
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาทตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ใดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทบริหารสินทรัพย์นั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทบริหารสินทรัพย์นั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทบริหารสินทรัพย์นั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๗. พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๘. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๖๑ นิติบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๗
มาตรา ๘ หรือมาตรา ๙ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งของนิติบุคคลเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๙. พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๘๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๐. พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๖๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๑. พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๘๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๒. พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
และสำหรับนิติบุคคลต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบเท่าของอัตราโทษปรับสำหรับความผิดนั้นด้วย
๔๓. พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๔๒
มาตรา ๗๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๔. พระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
และสำหรับนิติบุคคลต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบเท่าของอัตราโทษปรับสำหรับความผิดนั้นด้วย
๔๕. พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๔๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๖. พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๔๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๗. พระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๕๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๘. พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๖๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๙. พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๐. พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๔๓
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๑. พระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๘๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๒. พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๓. พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๗๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๔. พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๔๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๕. พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.
๒๕๔๕
มาตรา ๖๔ ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๗ มาตรา ๒๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙
หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ถ้าการกระทำความผิดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
๕๖. พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๖
มาตรา ๑๓๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๖
มาตรา ๑๒๗ มาตรา ๑๒๘ มาตรา ๑๒๙ มาตรา ๑๓๐ มาตรา ๑๓๑ มาตรา ๑๓๓ หรือมาตรา ๑๓๘
เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ หรือทั้งจำทั้งปรับ
๕๗. พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.
๒๕๔๖
มาตรา ๑๑๕ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๗๔ หรือมาตรา ๗๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดกระทำความผิดตามมาตรา ๗๔ หรือมาตรา
๗๕ ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการสภาสถาบัน
อธิการบดี หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๘. พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
พ.ศ. ๒๕๔๖
มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๙. พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๗๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๐. พระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ.
๒๕๔๘
มาตรา ๓๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๑. พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ
พ.ศ. ๒๕๔๘
มาตรา ๗๗ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามมาตรา
๗๐ หรือมาตรา ๗๑ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๒. พระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ.
๒๕๕๐
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับอนุญาตตามมาตรา
๓๓ ซึ่งเป็นนิติบุคคลกระทำความผิด ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๓. พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.
๒๕๕๐
มาตรา ๑๔๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๔. พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๑๕๓ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลกระทำความผิดและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๕. พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๘๐ ผู้ใดให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในการตรวจสอบหรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งเป็นทรัสตี
ถ้าการกระทำความผิดของทรัสตีนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของทรัสตีนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ทรัสตีนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๖๖. พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๗. พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๑๓๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๑
หรือมาตรา ๑๒๓ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของนิติบุคคล
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๙
ในกรณีที่สถาบันการเงินกระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๒ มาตรา ๑๒๔ มาตรา ๑๒๕
หรือมาตรา ๑๒๘
ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันการเงินนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๑๓๙ ในกรณีที่สถาบันการเงินใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๓๖ มาตรา ๕๐ มาตรา ๖๖ มาตรา ๘๐ มาตรา ๙๓ มาตรา ๙๔ หรือมาตรา ๙๕ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ ข้อกำหนด หลักเกณฑ์
หรือคำสั่งที่กำหนดตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๓ มาตรา
๓๖ มาตรา ๕๐ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๑ มาตรา ๘๐ มาตรา ๙๐ หรือมาตรา ๙๕ ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันการเงินนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๖๘. พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๖๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๙. พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๖๕ ผู้ใดนอกจากสถาบันการเงิน ใช้ข้อความ เครื่องหมาย
หรือสัญลักษณ์ เพื่อแสดงว่าธุรกิจของตนเป็นสถาบันการเงินที่เงินฝากได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๖๖ สถาบันการเงินใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
๗๐. พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา
๔๘ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๑. พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๒. พระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๓. พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๘๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษอาญาตามส่วนนี้เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๔. พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๑๒๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๕. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน
พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๔๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๖. พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๕๔
มาตรา ๖๒ ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนรายใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๕๗
วรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองล้านบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน
คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘ พระราชบัญญัติสถานบริการ
พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง
เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๖ ดังนั้น เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ชวัลพร/ปริยานุช/จัดทำ
๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ |
769649 | พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2545 (ฉบับ Update ณ วันที่ 08/10/2545) | พระราชบัญญัติ
การฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕
เป็นปีที่ ๕๗
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า
กิจการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้าร่วมกันเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ
หรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ตกลงเข้าร่วมกันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย
และมิได้ประสงค์จะหากำไรหรือรายได้เพื่อแบ่งปันกัน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
สมาชิก หมายความว่า สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เงินค่าสมัคร หมายความว่า
เงินค่าสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เงินสงเคราะห์
หมายความว่า เงินที่สมาชิกร่วมกันออกช่วยเหลือเป็นค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตาย
รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานที่เป็นที่ทำการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กรรมการ หมายความว่า
กรรมการดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานครหรือนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่อื่น
แล้วแต่กรณี
นายทะเบียนกลาง หมายความว่า นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ปลัดกระทรวง หมายความว่า
ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์*
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕ ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และการฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว
ใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๖
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว* เป็นนายทะเบียนกลาง
นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานครและนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่อื่นให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว*แต่งตั้ง
มาตรา ๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์* รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่นหรือออกระเบียบและประกาศ ทั้งนี้
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวง ระเบียบและประกาศนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๒
การจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๘
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีขึ้นได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีวัตถุประสงค์นอกจากการฌาปนกิจสงเคราะห์มิได้
มาตรา ๙
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีข้อบังคับและต้องจดทะเบียนเมื่อได้จดทะเบียนแล้วให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล
การตั้งสาขาสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกระทำมิได้
มาตรา ๑๐ การขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
ยื่นคำขอพร้อมด้วยข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยสามฉบับต่อนายทะเบียนประจำท้องที่ที่จะตั้งสำนักงาน
คุณสมบัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และหลักเกณฑ์ วิธีการยื่นคำขอจดทะเบียน ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๑ ในการขอจดทะเบียน
ถ้าได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐
มีข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา ๑๓ และข้อบังคับนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายและวัตถุประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กับทั้งผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทุกคนมีคุณสมบัติถูกต้องตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง
ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนได้ และให้ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
ถ้าหากนายทะเบียนเห็นว่าในการขอจดทะเบียนมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนมีคำสั่งให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง
เมื่อได้แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงถูกต้องแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้สมาคมนั้น
ถ้าผู้ยื่นคำขอไม่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามวรรคสองภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่งนายทะเบียนให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนและแจ้งคำสั่งไม่รับจดทะเบียนพร้อมด้วยเหตุผลไปยังผู้ขอจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันยื่นคำขอ
ให้ผู้ขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๑๒
ให้นายทะเบียนกลางประกาศการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยต้องมีข้อความเกี่ยวกับเรื่อง ดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ กำกับไว้กับชื่อนั้นด้วย
(๒)
วัตถุประสงค์
(๓)
ที่ตั้งสำนักงาน และวันเวลาเปิดทำการ
(๔)
วิธีการรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ
(๕)
อัตราเงินค่าสมัคร อัตราเงินค่าบำรุง และอัตราเงินสงเคราะห์ และวิธีการชำระเงินนั้น
(๖)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
(๗)
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
(๘)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงิน
(๙)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
(๑๐)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
และการประชุมของคณะกรรมการ
มาตรา ๑๔ คุณสมบัติของสมาชิก
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับสมาชิกให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
วิธีการจ่ายเงินและการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงินตามมาตรา ๑๓
(๗) และ (๘) ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๕ วันเวลาเปิดทำการสำนักงานตามมาตรา ๑๓ (๓)
ต้องไม่น้อยกว่าห้าวันในหนึ่งสัปดาห์ และวันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง
และให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ปิดประกาศวันและเวลาเปิดทำการไว้ที่สำนักงาน
มาตรา ๑๖
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกระทำได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่ และต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
การยื่นคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
นายทะเบียนมีอำนาจไม่รับจดทะเบียนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
เมื่อเห็นว่าการแก้ไขหรือเพิ่มเติมนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขัดต่อกฎหมาย
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
จะยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่านายทะเบียนจะได้รับจดทะเบียนแล้ว
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นำมาตรา ๑๑ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๗
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องจัดให้มีป้ายชื่อเป็นภาษาไทยอ่านได้ชัดเจนติดไว้ที่หน้าสำนักงาน
และต้องติดใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนไว้ที่สำนักงานในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสูญหาย
ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ
ให้นายทะเบียนออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร้องขอ
การขอรับใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
การออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนและแบบใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
หมวด ๓
การดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๑๙
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นัดสมาชิกมาประชุมกันเป็นการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียนเพื่อตั้งคณะกรรมการและมอบหมายการทั้งปวงให้แก่คณะกรรมการ
ในระหว่างที่ยังมิได้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับคณะกรรมการ
มาตรา ๒๐
การแต่งตั้งกรรมการและการเปลี่ยนตัวกรรมการ ให้ทำได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนกรรมการคนใด
นายทะเบียนต้องแจ้งเหตุที่ไม่รับจดทะเบียนให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ไม่รับจดทะเบียน
และให้นำมาตรา ๑๑ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในระหว่างที่ยังไม่มีการจดทะเบียนกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ชุดใหม่
ถ้าข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ให้กรรมการชุดเดิมปฏิบัติหน้าที่กรรมการต่อไปจนกว่าจะได้มีการจดทะเบียนกรรมการชุดใหม่
มาตรา ๒๑
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
โดยมีตำแหน่งนายกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หนึ่งคน เลขานุการหนึ่งคน เหรัญญิกหนึ่งคน
และตำแหน่งอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
เป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และเป็นผู้แทนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
เพื่อการนี้ คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องมีคุณสมบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียน
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่โดยมติสองในสามของผู้มาประชุมจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระและได้มีการแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทน
ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๒ การประชุมใหญ่สามัญ
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี
ปีละหนึ่งครั้งภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน เพื่อ
(๑)
รับทราบรายงานกิจการในรอบปีที่ผ่านมาของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๒)
พิจารณาอนุมัติบัญชีรายได้ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓) เลือกตั้งคณะกรรมการแทนคณะกรรมการเมื่อครบวาระตามมาตรา
๒๑ วรรคสาม
(๔)
พิจารณาวาระอื่น ๆ
มาตรา ๒๓
คณะกรรมการจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อใดก็ได้สุดแต่จะเห็นสมควร
สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าห้าสิบคนจะทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อการใดการหนึ่งเมื่อใดก็ได้
ในกรณีที่สมาชิกเป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ
ถ้าคณะกรรมการไม่เรียกประชุมใหญ่วิสามัญในระยะเวลาดังกล่าว
ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกประชุมใหญ่วิสามัญได้
มาตรา ๒๔
ในการเรียกประชุมใหญ่สามัญหรือการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญตามมาตรา ๑๙ มาตรา
๒๒ หรือมาตรา ๒๓
คณะกรรมการต้องส่งหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคนซึ่งมีชื่อในทะเบียนสมาชิกก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน
การเรียกประชุมใหญ่ตามวรรคหนึ่งต้องระบุสถานที่ วัน เวลา
และระเบียบวาระการประชุมและจัดส่งรายละเอียดและเอกสารที่เกี่ยวข้องตามควรไปพร้อมกันด้วย
มาตรา ๒๕ การประชุมใหญ่
ต้องมีสมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนจึงจะเป็นองค์ประชุม
ถ้าในการประชุมนัดแรก
สมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุมหากการประชุมนั้นได้นัดโดยสมาชิกร้องขอ
ให้เลิกประชุม ถ้าการประชุมนั้นมิใช่โดยสมาชิกร้องขอ
ให้นัดประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งภายในสามสิบวัน การประชุมครั้งหลังนี้มีสมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าสามสิบคนก็ให้ถือว่าเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับและการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีผู้มาประชุมตามวรรคหนึ่งเท่านั้น
มาตรา ๒๖ ในการประชุมใหญ่
สมาชิกคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
เว้นแต่กรณีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ และการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของผู้มาประชุม
มาตรา ๒๗ สมาชิกจะมอบฉันทะเป็นหนังสือให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่สมาชิกมาประชุมใหญ่และออกเสียงแทนตนก็ได้
ผู้รับมอบฉันทะคนหนึ่งรับมอบฉันทะได้คนเดียว
มาตรา ๒๘ ในกรณีที่จะมีมติเรื่องใด
ถ้าส่วนได้เสียของกรรมการหรือสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ผู้ใดขัดกับประโยชน์ได้เสียของสมาคม
กรรมการหรือสมาชิกของสมาคมผู้นั้นจะออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้นมิได้
มาตรา ๒๙
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่อาจเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และอาจชี้แจงแสดงข้อคิดเห็นแก่ที่ประชุมใหญ่ได้
แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เรียกเก็บเงินอื่นใดจากสมาชิกนอกเหนือจากเงินค่าสมัคร
เงินค่าบำรุง และเงินสงเคราะห์
เงินค่าสมัครให้เรียกเก็บจากผู้ซึ่งสมัครเข้าเป็นสมาชิกในครั้งแรกเพียงครั้งเดียวตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
เงินค่าบำรุงให้เรียกเก็บจากสมาชิกเป็นรายเดือนหรือรายปีตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
เงินสงเคราะห์ให้เรียกเก็บได้ตามจำนวนสมาชิกที่ตายตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจเรียกเก็บเงินสงเคราะห์ไว้ล่วงหน้าเพื่อสำรองจ่ายเป็นค่าจัดการศพได้
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนดและต้องกำหนดในข้อบังคับ
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เลิก
หรือสมาชิกผู้ใดพ้นจากสมาชิกภาพ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คืนเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บไว้ล่วงหน้าให้แก่สมาชิกเท่าที่สมาชิกผู้นั้นยังไม่ตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินสงเคราะห์ตามที่ได้จ่ายล่วงหน้าไว้ให้แล้ว
มาตรา ๓๑
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจหักเงินจำนวนหนึ่งไว้จากเงินสงเคราะห์ได้ตามสมควร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามอัตราที่ที่ประชุมกำหนด
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
มาตรา ๓๒
กรรมการไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กรรมการอาจได้รับเบี้ยประชุม
ค่าพาหนะ หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
หากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้วางระเบียบไว้ให้จ่ายได้
ระเบียบของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ว่าด้วยการจ่ายเบี้ยประชุม
ค่าพาหนะ หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันให้แก่กรรมการ
ต้องกระทำโดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องส่งสำเนาที่มีคำรับรองว่าถูกต้องต่อนายทะเบียน
มาตรา ๓๓
ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน ชี้ช่อง หรือจัดการโดยวิธีใด ๆ ที่คล้ายคลึงกันให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ยังมิได้จดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย
มาตรา ๓๔ ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน ชี้ช่อง
หรือจัดการให้ผู้อื่นเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินหรือทรัพย์สินอื่นไม่ว่าจะเป็นสินจ้างหรือค่าใช้จ่ายอื่นจากการชักชวน
ชี้ช่อง หรือจัดการนั้น
มาตรา ๓๕
สมาชิกมีสิทธิขอตรวจสอบบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ เพื่อทราบการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่สำนักงานได้ในเวลาเปิดทำการ
หมวด ๔
การควบคุมสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๓๖
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
และให้เก็บรักษาทะเบียนดังกล่าวพร้อมทั้งหลักฐานและเอกสารที่ใช้ประกอบการลงทะเบียนไว้ที่สำนักงาน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่มีอยู่ในวันที่ครบเก้าสิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียนให้แก่นายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันดังกล่าว
และเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม เดือนมิถุนายน เดือนกันยายน และเดือนธันวาคมของทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกในส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนนั้นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๗ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ต้องจัดให้มีสมุดชำระเงินประจำตัวสมาชิกให้แก่สมาชิก
บัญชีชำระเงินประจำตัวสมาชิก
บัญชีแสดงฐานะการเงินและหลักฐานการรับจ่ายเงินตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
และต้องเก็บรักษาเอกสารประกอบบัญชีแสดงให้เห็นความถูกต้องแห่งบัญชีนั้นไว้ด้วย
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องรายงานจำนวนเงินที่มีอยู่ในมือและในธนาคารตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนมิถุนายนของทุกปีต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๘ เมื่อสิ้นปีปฏิทินทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องทำบัญชีรายได้ รายจ่าย และบัญชีงบดุลตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
เสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปี
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่ออนุมัติบัญชีรายได้
รายจ่าย และบัญชีงบดุลนั้นภายในกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนางบดุลตามวรรคหนึ่งที่มีคำรับรองว่าถูกต้องต่อนายทะเบียน
เพื่อตรวจสอบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่อนุมัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องแสดงสำเนางบดุลไว้ที่สำนักงานเพื่อให้สมาชิกและผู้มีส่วนได้เสียตรวจดูได้ด้วย
มาตรา ๓๙
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เก็บรักษาหลักฐานเอกสารตามมาตรา ๓๖ มาตรา
๓๗ และมาตรา ๓๘ ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
มาตรา ๔๐ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจเอกสาร คัดเอกสาร
หรือขอให้คัดรายการ และรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จากนายทะเบียนให้ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๑
เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้เป็นไปด้วยดี
เมื่อมีกรณีที่นายทะเบียนเห็นสมควรที่จะได้ฟังความคิดเห็นและคำวินิจฉัยของสมาชิกในปัญหาหรือกิจการใด
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยปัญหาหรือกิจการนั้นได้
มาตรา ๔๒
เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอว่าการประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่เกิดขึ้นในการประชุมที่ได้เรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเสียได้
การร้องขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่นั้น ถ้าสมาชิกเป็นผู้ร้องขอต้องร้องขอภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่
กรรมการคนใดคนหนึ่งมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้
โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๔๓
ในกรณีที่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ถ้าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ร้องทุกข์หรือฟ้องคดี
ให้นายทะเบียนร้องทุกข์หรือฟ้องคดีได้ โดยให้พนักงานอัยการรับว่าต่างให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการร้องทุกข์ฟ้องคดีหรือว่าต่างแก่นายทะเบียนหรือพนักงานอัยการ
แล้วแต่กรณี
มาตรา ๔๔ ในกรณีที่คณะกรรมการหรือกรรมการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ของตนจนทำให้เสื่อมเสียผลประโยชน์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือสมาชิก
หรือทำให้มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการเงินหรือการบัญชี
ให้นายทะเบียนมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ปฏิบัติการ ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการระงับการปฏิบัติบางส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดข้อบกพร่องหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือสมาชิก
(๒)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการแก้ไขข้อบกพร่องตามวิธีการและระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
(๓)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว
เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องนั้นให้แล้วเสร็จตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
(๔) ให้คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
หรือให้กรรมการซึ่งเกี่ยวข้องกับการนั้นพ้นจากตำแหน่งกรรมการ
มาตรา ๔๕
เมื่อนายทะเบียนสั่งให้คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งกรรมการทั้งคณะ
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราวขึ้นคณะหนึ่งมีอำนาจหน้าที่และสิทธิเช่นเดียวกับคณะกรรมการ
และให้คณะกรรมการชั่วคราวจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ทั้งคณะให้เสร็จสิ้นภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
มาตรา ๔๖ เมื่อนายทะเบียนสั่งให้กรรมการคนใดพ้นจากตำแหน่งกรรมการ
ให้คณะกรรมการส่วนที่เหลือเรียกประชุมใหญ่ตั้งผู้เป็นกรรมการแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่กรรมการพ้นจากตำแหน่ง
ถ้ามิได้ตั้งหรือตั้งกรรมการไม่ได้ตามกำหนดเวลา
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งสมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็นกรรมการแทน
และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งกรรมการเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
แต่ถ้าวาระของกรรมการผู้นั้นเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
คณะกรรมการส่วนที่เหลือจะเรียกประชุมใหญ่เพื่อตั้งกรรมการแทนหรือนายทะเบียนจะดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนหรือไม่ก็ได้
ในกรณีที่คณะกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึงเจ็ดคน
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งกรรมการชั่วคราวให้ครบจำนวนเจ็ดคน
และให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งกรรมการแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนแต่งตั้งกรรมการชั่วคราว
มาตรา ๔๗
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ มีอำนาจ
(๑)
เข้าไปในสำนักงานของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในวันทำการระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
เพื่อตรวจสอบและควบคุมให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
สั่งให้กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งหรือแสดงบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓)
สอบถามบุคคลใน (๒)
หรือเรียกบุคคลดังกล่าวมาเพื่อสอบถามหรือแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ในกรณีการตรวจสอบกระทำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อตรวจสอบแล้วให้เสนอรายงานการตรวจสอบต่อนายทะเบียนด้วย
ในการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควรแก่นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๔๘
นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัวตามแบบที่นายทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ
หมวด ๕
การฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
มาตรา ๔๙ ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐใดที่ประสงค์จะดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ให้ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดในมาตรา
๕๐
มาตรา ๕๐
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์* กำหนดระเบียบการขึ้นทะเบียนการดำเนินกิจการ
การควบคุม และการเลิกกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐขึ้นไว้
ระเบียบนี้เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้ใช้บังคับได้
เมื่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐได้ขึ้นทะเบียนตามระเบียบที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์*
กำหนดในวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ถือว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวเป็นงานอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐนั้น
หมวด ๖
การเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๕๑
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้เลิก
(๒)
นายทะเบียนสั่งให้เลิกตามมาตรา ๕๒
(๓)
ศาลสั่งให้เลิกตามมาตรา ๕๔
เมื่อเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นายทะเบียนกลางประกาศการเลิกในราชกิจจานุเบกษา
และให้นายทะเบียนปิดประกาศที่สำนักงานด้วย
มาตรา ๕๒
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ในกรณี ดังต่อไปนี้
(๑)
สมาชิกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดร่วมกันยื่นคำร้องขอต่อนายทะเบียน
ขอให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์พร้อมด้วยเหตุผลประกอบคำร้องขอ และนายทะเบียนได้สอบสวนหลักฐานและเหตุผลประกอบคำร้องขอแล้วเป็นที่ปรากฏแน่ชัดว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมควรจะต้องเลิกดำเนินกิจการตามคำร้องขอนั้น
(๒)
บุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นกรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนเข้ามากระทำการในฐานะกรรมการและนายทะเบียนได้มีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวเลิกการกระทำการในฐานะกรรมการแล้ว
แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน
(๓)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นไม่เป็นไปโดยสุจริต
และนายทะเบียนได้สอบสวนพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วมีเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้
(๔)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่อาจดำเนินต่อไปได้ไม่ว่าเพราะเหตุใด
ๆ
เมื่อนายทะเบียนสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใด
ให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือพร้อมด้วยเหตุผลไปยังสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นภายในสามสิบวัน
มาตรา ๕๓
ในกรณีที่นายทะเบียนสั่งเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามมาตรา ๕๒ กรรมการจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อปลัดกระทรวงโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๕๔ ในกรณีที่นายทะเบียนเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๕๒ เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ ศาลอาจสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นได้
หมวด ๗
การชำระบัญชี
มาตรา ๕๕
เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้มีการชำระบัญชีสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
และให้นำความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทจำกัด มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา ๕๖
ในการตั้งผู้ชำระบัญชีของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ต้องเลิก
ให้ที่ประชุมใหญ่ตั้งผู้ชำระบัญชีโดยได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือนับแต่วันที่ปลัดกระทรวงมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์
แล้วแต่กรณี เพื่อทำการชำระบัญชีของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ในกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ไม่อาจตั้งผู้ชำระบัญชีภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
หรือนายทะเบียนไม่ให้ความเห็นชอบในการตั้งผู้ชำระบัญชี
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีขึ้นทำการชำระบัญชีสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
เมื่อนายทะเบียนเห็นสมควรหรือเมื่อสมาชิกมีจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งหมดร้องขอต่อนายทะเบียน นายทะเบียนจะแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีคนใหม่แทนผู้ชำระบัญชีที่ได้ตั้งไว้ก็ได้
ให้นายทะเบียนจดทะเบียนผู้ชำระบัญชีที่นายทะเบียนให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง หรือผู้ชำระบัญชีที่ได้รับแต่งตั้งตามวรรคสองหรือวรรคสาม
และให้ปิดประกาศชื่อผู้ชำระบัญชีไว้ที่สำนักงานและที่ว่าการอำเภอแห่งท้องที่ที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่จดทะเบียนผู้ชำระบัญชี
ผู้ชำระบัญชีอาจได้รับค่าตอบแทนตามที่นายทะเบียนกำหนด
มาตรา ๕๗
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนจดทะเบียนผู้ชำระบัญชี
ให้ผู้ชำระบัญชีปิดประกาศไว้ที่สำนักงานและที่ว่าการอำเภอแห่งท้องที่ที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่
และประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่หรือโฆษณาทางวิทยุประจำท้องที่ว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้เลิก
และแจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าหนี้ทุกคนซึ่งมีชื่อปรากฏในสมุดบัญชีหรือเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือปรากฏจากทางอื่น
เพื่อให้ทราบว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเลิกและให้เจ้าหนี้ยื่นคำทวงหนี้แก่ผู้ชำระบัญชี
มาตรา ๕๘ เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เลิก
ให้คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีหน้าที่จัดการรักษาทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไว้จนกว่าผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้ส่งมอบ
ผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งมอบทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสารและสิ่งอื่นเมื่อใดก็ได้
มาตรา ๕๙
ผู้ชำระบัญชีต้องทำงบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิชักช้าส่งให้ผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจรับรองว่าถูกต้อง
และในกรณีจำเป็นอาจร้องขอให้นายทะเบียนตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจสอบงบดุลนั้นได้
เมื่อผู้สอบบัญชีรับรองงบดุลแล้ว
ให้ผู้ชำระบัญชีเสนองบดุลต่อที่ประชุมใหญ่เพื่ออนุมัติแล้วเสนองบดุลนั้นต่อนายทะเบียน
มาตรา ๖๐ เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว
ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่จะแบ่งให้แก่สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ได้
ทรัพย์สินนั้นจะต้องโอนไปให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อื่น
หรือนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกุศลสาธารณะตามที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือตามมติของที่ประชุมใหญ่
ในกรณีที่มิได้ระบุไว้ในข้อบังคับหรือที่ประชุมใหญ่มิได้มีมติไว้
ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
หมวด ๘
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๖๑
ผู้ใดดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๒ ผู้ใดเป็นสมาชิกของการฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยรู้ว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๖๓ ผู้ใดใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์ หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าร้อยบาทจนกว่าจะเลิกใช้
มาตรา ๖๔
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง มาตรา
๑๗ มาตรา ๒๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙ หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๐
หรือมาตรา ๓๑ กรรมการทุกคนต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
มาตรา ๖๕ กรรมการผู้ใดรับเงิน หรือทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยไม่มีสิทธิที่จะรับได้ตามมาตรา ๓๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๖ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา
๓๓ หรือมาตรา ๓๔ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๗
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา
๔๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๖๘
กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ผู้ใดไม่จัดการรักษาทรัพย์สินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือไม่ส่งมอบทรัพย์สิน สมุดบัญชี เอกสารและสิ่งอื่นของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้แก่ผู้ชำระบัญชีตามมาตรา
๕๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๙
ผู้ใดแบ่งหรือโอนทรัพย์สินที่เหลืออยู่เมื่อได้ชำระบัญชีแล้วให้แก่บุคคลใดอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๖๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๗๐ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๗๑ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ องค์การของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
เป็นการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๗๒
เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เปลี่ยนทุนของรัฐวิสาหกิจใดเป็นหุ้นและจัดตั้งบริษัท
และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด แล้วแต่กรณี
จดทะเบียนบริษัทนั้นตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจแล้ว
ให้การฌาปนกิจสงเคราะห์ของรัฐวิสาหกิจที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัตินี้
ยังคงดำเนินการได้ต่อไปจนกว่าจะมีการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
และให้โอนบรรดาสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของการฌาปนกิจสงเคราะห์ของรัฐวิสาหกิจนั้นไปเป็นของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนแล้วนี้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันจดทะเบียนบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจดังกล่าว
ในกรณีที่ไม่มีการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าเป็นการเลิกการฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
มาตรา ๗๓ ให้บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ
หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
คงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบ
ประกาศหรือคำสั่งออกมาใช้บังคับแทนภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
(๑)
คำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๒)
คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติม
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๓)
คำขอจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัว
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๔)
คำขอตรวจหรือคัดเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๕)
คำขอเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อย่างอื่น
นอกจาก (๑) (๒) (๓) และ (๔) ฉบับละ ๒๕ บาท
(๖)
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐๐ บาท
(๗)
ใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๘)
การรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๒๕ บาท
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทางด้านการเงินตามที่พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ กำหนดไว้ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน
และวิธีการควบคุมสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวยังไม่รัดกุมพอที่จะป้องกันการฉ้อโกงและการแสวงหาผลประโยชน์จากกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ของกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสมาคมได้
ทำให้สมาคมได้รับความเสียหาย สมควรปรับปรุงพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.
๒๕๑๗
เพื่อให้การคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนที่เป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานของคณะกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
*พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕[๒]
มาตรา
๑๕
ในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้แก้ไขคำว่า กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คำว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คำว่า ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็น ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคำว่า อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ เป็น ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕
ได้บัญญัติให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่โดยมีภารกิจใหม่
ซึ่งได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม นั้นแล้ว
และเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้โอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
รัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่
โดยให้มีการแก้ไขบทบัญญัติต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ที่โอนไปด้วย ฉะนั้น เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนส่วนราชการ
เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมายโอนอำนาจหน้าที่ว่าตามกฎหมายใดได้มีการโอนภารกิจของส่วนราชการหรือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายนั้นไปเป็นของหน่วยงานใดหรือผู้ใดแล้ว
โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ รัฐมนตรี
ผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการให้ตรงกับการโอนอำนาจหน้าที่
และเพิ่มผู้แทนส่วนราชการในคณะกรรมการให้ตรงตามภารกิจที่มีการตัดโอนจากส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่รวมทั้งตัดส่วนราชการเดิมที่มีการยุบเลิกแล้ว
ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
ธนพันธ์/แก้ไข
พลัฐวัษ/ตรวจ
๒๙
มีนาคม ๒๕๕๖
ศิรวัชร์/แก้ไข
๑๔ สิงหาคม
๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๔๒ ก/หน้า ๑/๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕
[๒] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๐๒ ก/หน้า ๖๖/๘ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
316587 | พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2545 | พระราชบัญญัติ
การฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕
เป็นปีที่ ๕๗
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า
กิจการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้าร่วมกันเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ
หรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ตกลงเข้าร่วมกันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย
และมิได้ประสงค์จะหากำไรหรือรายได้เพื่อแบ่งปันกัน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
สมาชิก หมายความว่า สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เงินค่าสมัคร หมายความว่า
เงินค่าสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เงินสงเคราะห์
หมายความว่า เงินที่สมาชิกร่วมกันออกช่วยเหลือเป็นค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตาย
รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
สำนักงาน หมายความว่า
สำนักงานที่เป็นที่ทำการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กรรมการ หมายความว่า
กรรมการดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานครหรือนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่อื่น
แล้วแต่กรณี
นายทะเบียนกลาง หมายความว่า นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ปลัดกระทรวง หมายความว่า ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และการฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว
ใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๖ ให้อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์เป็นนายทะเบียนกลาง
นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานครและนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่อื่นให้อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์แต่งตั้ง
มาตรา ๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่นหรือออกระเบียบและประกาศ ทั้งนี้
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวง ระเบียบและประกาศนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๒
การจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๘
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีขึ้นได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีวัตถุประสงค์นอกจากการฌาปนกิจสงเคราะห์มิได้
มาตรา ๙
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีข้อบังคับและต้องจดทะเบียนเมื่อได้จดทะเบียนแล้วให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล
การตั้งสาขาสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกระทำมิได้
มาตรา ๑๐ การขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
ยื่นคำขอพร้อมด้วยข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยสามฉบับต่อนายทะเบียนประจำท้องที่ที่จะตั้งสำนักงาน
คุณสมบัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และหลักเกณฑ์ วิธีการยื่นคำขอจดทะเบียน ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๑ ในการขอจดทะเบียน
ถ้าได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐
มีข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา ๑๓ และข้อบังคับนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายและวัตถุประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กับทั้งผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทุกคนมีคุณสมบัติถูกต้องตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง
ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนได้
และให้ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
ถ้าหากนายทะเบียนเห็นว่าในการขอจดทะเบียนมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนมีคำสั่งให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง
เมื่อได้แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงถูกต้องแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้สมาคมนั้น
ถ้าผู้ยื่นคำขอไม่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามวรรคสองภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่งนายทะเบียนให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนและแจ้งคำสั่งไม่รับจดทะเบียนพร้อมด้วยเหตุผลไปยังผู้ขอจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันยื่นคำขอ
ให้ผู้ขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๑๒ ให้นายทะเบียนกลางประกาศการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยต้องมีข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ กำกับไว้กับชื่อนั้นด้วย
(๒)
วัตถุประสงค์
(๓)
ที่ตั้งสำนักงาน และวันเวลาเปิดทำการ
(๔)
วิธีการรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ
(๕)
อัตราเงินค่าสมัคร อัตราเงินค่าบำรุง และอัตราเงินสงเคราะห์
และวิธีการชำระเงินนั้น
(๖)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
(๗)
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
(๘)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงิน
(๙)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
(๑๐)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
และการประชุมของคณะกรรมการ
มาตรา ๑๔
คุณสมบัติของสมาชิก หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับสมาชิกให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
วิธีการจ่ายเงินและการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงินตามมาตรา ๑๓
(๗) และ (๘) ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๕ วันเวลาเปิดทำการสำนักงานตามมาตรา ๑๓ (๓)
ต้องไม่น้อยกว่าห้าวันในหนึ่งสัปดาห์ และวันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง
และให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ปิดประกาศวันและเวลาเปิดทำการไว้ที่สำนักงาน
มาตรา ๑๖
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกระทำได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่
และต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
การยื่นคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
นายทะเบียนมีอำนาจไม่รับจดทะเบียนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
เมื่อเห็นว่าการแก้ไขหรือเพิ่มเติมนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขัดต่อกฎหมาย
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
จะยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่านายทะเบียนจะได้รับจดทะเบียนแล้ว
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นำมาตรา ๑๑ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๗ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องจัดให้มีป้ายชื่อเป็นภาษาไทยอ่านได้ชัดเจนติดไว้ที่หน้าสำนักงาน
และต้องติดใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนไว้ที่สำนักงานในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสูญหาย
ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้นายทะเบียนออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร้องขอ
การขอรับใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
การออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนและแบบใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
หมวด ๓
การดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๑๙
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นัดสมาชิกมาประชุมกันเป็นการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียนเพื่อตั้งคณะกรรมการและมอบหมายการทั้งปวงให้แก่คณะกรรมการ
ในระหว่างที่ยังมิได้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับคณะกรรมการ
มาตรา ๒๐
การแต่งตั้งกรรมการและการเปลี่ยนตัวกรรมการ ให้ทำได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนกรรมการคนใด
นายทะเบียนต้องแจ้งเหตุที่ไม่รับจดทะเบียนให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ไม่รับจดทะเบียน
และให้นำมาตรา ๑๑ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในระหว่างที่ยังไม่มีการจดทะเบียนกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ชุดใหม่
ถ้าข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ให้กรรมการชุดเดิมปฏิบัติหน้าที่กรรมการต่อไปจนกว่าจะได้มีการจดทะเบียนกรรมการชุดใหม่
มาตรา ๒๑
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
โดยมีตำแหน่งนายกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หนึ่งคน เลขานุการหนึ่งคน เหรัญญิกหนึ่งคน
และตำแหน่งอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด เป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และเป็นผู้แทนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
เพื่อการนี้ คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องมีคุณสมบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียน
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่โดยมติสองในสามของผู้มาประชุมจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระและได้มีการแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทน
ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๒ การประชุมใหญ่สามัญ
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี
ปีละหนึ่งครั้งภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน เพื่อ
(๑)
รับทราบรายงานกิจการในรอบปีที่ผ่านมาของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๒)
พิจารณาอนุมัติบัญชีรายได้ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓) เลือกตั้งคณะกรรมการแทนคณะกรรมการเมื่อครบวาระตามมาตรา
๒๑ วรรคสาม
(๔)
พิจารณาวาระอื่น ๆ
มาตรา ๒๓ คณะกรรมการจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อใดก็ได้สุดแต่จะเห็นสมควร
สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าห้าสิบคนจะทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อการใดการหนึ่งเมื่อใดก็ได้
ในกรณีที่สมาชิกเป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ
ถ้าคณะกรรมการไม่เรียกประชุมใหญ่วิสามัญในระยะเวลาดังกล่าว
ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกประชุมใหญ่วิสามัญได้
มาตรา ๒๔
ในการเรียกประชุมใหญ่สามัญหรือการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญตามมาตรา ๑๙ มาตรา
๒๒ หรือมาตรา ๒๓
คณะกรรมการต้องส่งหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคนซึ่งมีชื่อในทะเบียนสมาชิกก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน
การเรียกประชุมใหญ่ตามวรรคหนึ่งต้องระบุสถานที่
วัน เวลา
และระเบียบวาระการประชุมและจัดส่งรายละเอียดและเอกสารที่เกี่ยวข้องตามควรไปพร้อมกันด้วย
มาตรา ๒๕ การประชุมใหญ่
ต้องมีสมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนจึงจะเป็นองค์ประชุม
ถ้าในการประชุมนัดแรก
สมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุมหากการประชุมนั้นได้นัดโดยสมาชิกร้องขอ
ให้เลิกประชุม ถ้าการประชุมนั้นมิใช่โดยสมาชิกร้องขอ
ให้นัดประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งภายในสามสิบวัน
การประชุมครั้งหลังนี้มีสมาชิกหรือผู้แทนสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าสามสิบคนก็ให้ถือว่าเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับและการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีผู้มาประชุมตามวรรคหนึ่งเท่านั้น
มาตรา ๒๖
ในการประชุมใหญ่ สมาชิกคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
เว้นแต่กรณีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ
และการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของผู้มาประชุม
มาตรา ๒๗
สมาชิกจะมอบฉันทะเป็นหนังสือให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่สมาชิกมาประชุมใหญ่และออกเสียงแทนตนก็ได้
ผู้รับมอบฉันทะคนหนึ่งรับมอบฉันทะได้คนเดียว
มาตรา ๒๘ ในกรณีที่จะมีมติเรื่องใด
ถ้าส่วนได้เสียของกรรมการหรือสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ผู้ใดขัดกับประโยชน์ได้เสียของสมาคม
กรรมการหรือสมาชิกของสมาคมผู้นั้นจะออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้นมิได้
มาตรา ๒๙ นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่อาจเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และอาจชี้แจงแสดงข้อคิดเห็นแก่ที่ประชุมใหญ่ได้
แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
มาตรา ๓๐
ห้ามมิให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เรียกเก็บเงินอื่นใดจากสมาชิกนอกเหนือจากเงินค่าสมัคร
เงินค่าบำรุง และเงินสงเคราะห์
เงินค่าสมัครให้เรียกเก็บจากผู้ซึ่งสมัครเข้าเป็นสมาชิกในครั้งแรกเพียงครั้งเดียวตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
เงินค่าบำรุงให้เรียกเก็บจากสมาชิกเป็นรายเดือนหรือรายปีตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
เงินสงเคราะห์ให้เรียกเก็บได้ตามจำนวนสมาชิกที่ตายตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจเรียกเก็บเงินสงเคราะห์ไว้ล่วงหน้าเพื่อสำรองจ่ายเป็นค่าจัดการศพได้
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนดและต้องกำหนดในข้อบังคับ
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เลิก
หรือสมาชิกผู้ใดพ้นจากสมาชิกภาพ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คืนเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บไว้ล่วงหน้าให้แก่สมาชิกเท่าที่สมาชิกผู้นั้นยังไม่ตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินสงเคราะห์ตามที่ได้จ่ายล่วงหน้าไว้ให้แล้ว
มาตรา ๓๑
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจหักเงินจำนวนหนึ่งไว้จากเงินสงเคราะห์ได้ตามสมควรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามอัตราที่ที่ประชุมกำหนด
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
มาตรา ๓๒ กรรมการไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กรรมการอาจได้รับเบี้ยประชุม
ค่าพาหนะ หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
หากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้วางระเบียบไว้ให้จ่ายได้
ระเบียบของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ว่าด้วยการจ่ายเบี้ยประชุม
ค่าพาหนะหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันให้แก่กรรมการ
ต้องกระทำโดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องส่งสำเนาที่มีคำรับรองว่าถูกต้องต่อนายทะเบียน
มาตรา ๓๓
ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน ชี้ช่อง หรือจัดการโดยวิธีใดๆ ที่คล้ายคลึงกันให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ยังมิได้จดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย
มาตรา ๓๔ ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน ชี้ช่อง
หรือจัดการให้ผู้อื่นเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินหรือทรัพย์สินอื่นไม่ว่าจะเป็นสินจ้างหรือค่าใช้จ่ายอื่นจากการชักชวน
ชี้ช่อง หรือจัดการนั้น
มาตรา ๓๕ สมาชิกมีสิทธิขอตรวจสอบบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อทราบการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่สำนักงานได้ในเวลาเปิดทำการ
หมวด ๔
การควบคุมสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๓๖
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
และให้เก็บรักษาทะเบียนดังกล่าวพร้อมทั้งหลักฐานและเอกสารที่ใช้ประกอบการลงทะเบียนไว้ที่สำนักงาน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่มีอยู่ในวันที่ครบเก้าสิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียนให้แก่นายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันดังกล่าว
และเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม เดือนมิถุนายน เดือนกันยายน และเดือนธันวาคมของทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกในส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนนั้นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๗ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องจัดให้มีสมุดชำระเงินประจำตัวสมาชิกให้แก่สมาชิก บัญชีชำระเงินประจำตัวสมาชิก
บัญชีแสดงฐานะการเงินและหลักฐานการรับจ่ายเงินตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด และต้องเก็บรักษาเอกสารประกอบบัญชีแสดงให้เห็นความถูกต้องแห่งบัญชีนั้นไว้ด้วย
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องรายงานจำนวนเงินที่มีอยู่ในมือและในธนาคารตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนมิถุนายนของทุกปีต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๘ เมื่อสิ้นปีปฏิทินทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องทำบัญชีรายได้ รายจ่าย
และบัญชีงบดุลตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
เสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปี
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่ออนุมัติบัญชีรายได้
รายจ่าย และบัญชีงบดุลนั้นภายในกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนางบดุลตามวรรคหนึ่งที่มีคำรับรองว่าถูกต้องต่อนายทะเบียนเพื่อตรวจสอบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่อนุมัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องแสดงสำเนางบดุลไว้ที่สำนักงานเพื่อให้สมาชิกและผู้มีส่วนได้เสียตรวจดูได้ด้วย
มาตรา ๓๙ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เก็บรักษาหลักฐานเอกสารตามมาตรา
๓๖ มาตรา ๓๗ และมาตรา ๓๘ ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
มาตรา ๔๐ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจเอกสาร คัดเอกสาร
หรือขอให้คัดรายการ และรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จากนายทะเบียนให้ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๑
เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้เป็นไปด้วยดี
เมื่อมีกรณีที่นายทะเบียนเห็นสมควรที่จะได้ฟังความคิดเห็นและคำวินิจฉัยของสมาชิกในปัญหาหรือกิจการใด
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยปัญหาหรือกิจการนั้นได้
มาตรา ๔๒
เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอว่าการประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่เกิดขึ้นในการประชุมที่ได้เรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเสียได้
การร้องขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่นั้น ถ้าสมาชิกเป็นผู้ร้องขอต้องร้องขอภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่
กรรมการคนใดคนหนึ่งมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้
โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๔๓ ในกรณีที่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ถ้าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ร้องทุกข์หรือฟ้องคดี
ให้นายทะเบียนร้องทุกข์หรือฟ้องคดีได้ โดยให้พนักงานอัยการรับว่าต่างให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการร้องทุกข์ฟ้องคดีหรือว่าต่างแก่นายทะเบียนหรือพนักงานอัยการ
แล้วแต่กรณี
มาตรา ๔๔
ในกรณีที่คณะกรรมการหรือกรรมการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ของตนจนทำให้เสื่อมเสียผลประโยชน์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือสมาชิก
หรือทำให้มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการเงินหรือการบัญชี
ให้นายทะเบียนมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ปฏิบัติการ ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการระงับการปฏิบัติบางส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดข้อบกพร่องหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือสมาชิก
(๒)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการแก้ไขข้อบกพร่องตามวิธีการและระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
(๓)
ให้คณะกรรมการหรือกรรมการหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว
เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องนั้นให้แล้วเสร็จตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
(๔) ให้คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
หรือให้กรรมการซึ่งเกี่ยวข้องกับการนั้นพ้นจากตำแหน่งกรรมการ
มาตรา ๔๕
เมื่อนายทะเบียนสั่งให้คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งกรรมการทั้งคณะ
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราวขึ้นคณะหนึ่งมีอำนาจหน้าที่และสิทธิเช่นเดียวกับคณะกรรมการ
และให้คณะกรรมการชั่วคราวจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ทั้งคณะให้เสร็จสิ้นภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
มาตรา ๔๖
เมื่อนายทะเบียนสั่งให้กรรมการคนใดพ้นจากตำแหน่งกรรมการ ให้คณะกรรมการส่วนที่เหลือเรียกประชุมใหญ่ตั้งผู้เป็นกรรมการแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่กรรมการพ้นจากตำแหน่ง
ถ้ามิได้ตั้งหรือตั้งกรรมการไม่ได้ตามกำหนดเวลา
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งสมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็นกรรมการแทน
และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งกรรมการเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
แต่ถ้าวาระของกรรมการผู้นั้นเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
คณะกรรมการส่วนที่เหลือจะเรียกประชุมใหญ่เพื่อตั้งกรรมการแทนหรือนายทะเบียนจะดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนหรือไม่ก็ได้
ในกรณีที่คณะกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึงเจ็ดคน
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งกรรมการชั่วคราวให้ครบจำนวนเจ็ดคน
และให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งกรรมการแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนแต่งตั้งกรรมการชั่วคราว
มาตรา ๔๗
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่
มีอำนาจ
(๑)
เข้าไปในสำนักงานของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในวันทำการระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
เพื่อตรวจสอบและควบคุมให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
สั่งให้กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งหรือแสดงบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓)
สอบถามบุคคลใน (๒)
หรือเรียกบุคคลดังกล่าวมาเพื่อสอบถามหรือแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ในกรณีการตรวจสอบกระทำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อตรวจสอบแล้วให้เสนอรายงานการตรวจสอบต่อนายทะเบียนด้วย
ในการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควรแก่นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๔๘ นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัวตามแบบที่นายทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ
หมวด ๕
การฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
มาตรา ๔๙ ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐใดที่ประสงค์จะดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ให้ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดในมาตรา
๕๐
มาตรา ๕๐ ให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมกำหนดระเบียบการขึ้นทะเบียนการดำเนินกิจการ
การควบคุม และการเลิกกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐขึ้นไว้
ระเบียบนี้เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้ใช้บังคับได้
เมื่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐได้ขึ้นทะเบียนตามระเบียบที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมกำหนดในวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ถือว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวเป็นงานอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐนั้น
หมวด ๖
การเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา ๕๑ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(๑)
ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้เลิก
(๒)
นายทะเบียนสั่งให้เลิกตามมาตรา ๕๒
(๓)
ศาลสั่งให้เลิกตามมาตรา ๕๔
เมื่อเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นายทะเบียนกลางประกาศการเลิกในราชกิจจานุเบกษาและให้นายทะเบียนปิดประกาศที่สำนักงานด้วย
มาตรา ๕๒
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ในกรณี ดังต่อไปนี้
(๑)
สมาชิกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดร่วมกันยื่นคำร้องขอต่อนายทะเบียน
ขอให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์พร้อมด้วยเหตุผลประกอบคำร้องขอ และนายทะเบียนได้สอบสวนหลักฐานและเหตุผลประกอบคำร้องขอแล้วเป็นที่ปรากฏแน่ชัดว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมควรจะต้องเลิกดำเนินกิจการตามคำร้องขอนั้น
(๒)
บุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นกรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนเข้ามากระทำการในฐานะกรรมการและนายทะเบียนได้มีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวเลิกการกระทำการในฐานะกรรมการแล้ว
แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน
(๓)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นไม่เป็นไปโดยสุจริต
และนายทะเบียนได้สอบสวนพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วมีเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้
(๔) มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่อาจดำเนินต่อไปได้ไม่ว่าเพราะเหตุใด
ๆ
เมื่อนายทะเบียนสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใด
ให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือพร้อมด้วยเหตุผลไปยังสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นภายในสามสิบวัน
มาตรา ๕๓
ในกรณีที่นายทะเบียนสั่งเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามมาตรา ๕๒ กรรมการจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อปลัดกระทรวงโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
ให้ปลัดกระทรวงวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา ๕๔
ในกรณีที่นายทะเบียนเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕๒
เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ ศาลอาจสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นได้
หมวด ๗
การชำระบัญชี
มาตรา ๕๕
เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้มีการชำระบัญชีสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
และให้นำความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทจำกัด มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา ๕๖
ในการตั้งผู้ชำระบัญชีของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ต้องเลิก
ให้ที่ประชุมใหญ่ตั้งผู้ชำระบัญชีโดยได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือนับแต่วันที่ปลัดกระทรวงมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์
แล้วแต่กรณี เพื่อทำการชำระบัญชีของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ในกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ไม่อาจตั้งผู้ชำระบัญชีภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
หรือนายทะเบียนไม่ให้ความเห็นชอบในการตั้งผู้ชำระบัญชี
ให้นายทะเบียนแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีขึ้นทำการชำระบัญชีสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
เมื่อนายทะเบียนเห็นสมควรหรือเมื่อสมาชิกมีจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งหมดร้องขอต่อนายทะเบียน
นายทะเบียนจะแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีคนใหม่แทนผู้ชำระบัญชีที่ได้ตั้งไว้ก็ได้
ให้นายทะเบียนจดทะเบียนผู้ชำระบัญชีที่นายทะเบียนให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง หรือผู้ชำระบัญชีที่ได้รับแต่งตั้งตามวรรคสองหรือวรรคสาม
และให้ปิดประกาศชื่อผู้ชำระบัญชีไว้ที่สำนักงานและที่ว่าการอำเภอแห่งท้องที่ที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่จดทะเบียนผู้ชำระบัญชี
ผู้ชำระบัญชีอาจได้รับค่าตอบแทนตามที่นายทะเบียนกำหนด
มาตรา ๕๗
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนจดทะเบียนผู้ชำระบัญชี
ให้ผู้ชำระบัญชีปิดประกาศไว้ที่สำนักงานและที่ว่าการอำเภอแห่งท้องที่ที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่
และประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่หรือโฆษณาทางวิทยุประจำท้องที่ว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้เลิก
และแจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าหนี้ทุกคนซึ่งมีชื่อปรากฏในสมุดบัญชีหรือเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือปรากฏจากทางอื่น
เพื่อให้ทราบว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเลิกและให้เจ้าหนี้ยื่นคำทวงหนี้แก่ผู้ชำระบัญชี
มาตรา ๕๘ เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เลิก
ให้คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีหน้าที่จัดการรักษาทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไว้จนกว่าผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้ส่งมอบ
ผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งมอบทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสารและสิ่งอื่นเมื่อใดก็ได้
มาตรา ๕๙
ผู้ชำระบัญชีต้องทำงบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิชักช้าส่งให้ผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจรับรองว่าถูกต้อง
และในกรณีจำเป็นอาจร้องขอให้นายทะเบียนตั้งผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจสอบงบดุลนั้นได้
เมื่อผู้สอบบัญชีรับรองงบดุลแล้ว
ให้ผู้ชำระบัญชีเสนองบดุลต่อที่ประชุมใหญ่เพื่ออนุมัติแล้วเสนองบดุลนั้นต่อนายทะเบียน
มาตรา ๖๐ เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว
ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่จะแบ่งให้แก่สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ได้
ทรัพย์สินนั้นจะต้องโอนไปให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อื่น
หรือนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกุศลสาธารณะตามที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือตามมติของที่ประชุมใหญ่
ในกรณีที่มิได้ระบุไว้ในข้อบังคับหรือที่ประชุมใหญ่มิได้มีมติไว้
ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
หมวด ๘
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๖๑
ผู้ใดดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๒ ผู้ใดเป็นสมาชิกของการฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยรู้ว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๖๓ ผู้ใดใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์ หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าร้อยบาทจนกว่าจะเลิกใช้
มาตรา ๖๔
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง มาตรา
๑๗ มาตรา ๒๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙ หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๐
หรือมาตรา ๓๑ กรรมการทุกคนต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
มาตรา ๖๕ กรรมการผู้ใดรับเงิน หรือทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยไม่มีสิทธิที่จะรับได้ตามมาตรา ๓๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๖
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๓ หรือมาตรา ๓๔ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๗
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา
๔๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๖๘ กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ผู้ใดไม่จัดการรักษาทรัพย์สินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือไม่ส่งมอบทรัพย์สิน สมุดบัญชี
เอกสารและสิ่งอื่นของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้แก่ผู้ชำระบัญชีตามมาตรา ๕๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๙
ผู้ใดแบ่งหรือโอนทรัพย์สินที่เหลืออยู่เมื่อได้ชำระบัญชีแล้วให้แก่บุคคลใดอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา
๖๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๗๐ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๗๑ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๗๒
เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เปลี่ยนทุนของรัฐวิสาหกิจใดเป็นหุ้นและจัดตั้งบริษัท
และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด แล้วแต่กรณี
จดทะเบียนบริษัทนั้น ตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจแล้ว
ให้การฌาปนกิจสงเคราะห์ของรัฐวิสาหกิจที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัตินี้ ยังคงดำเนินการได้ต่อไปจนกว่าจะมีการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
และให้โอนบรรดาสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของการฌาปนกิจสงเคราะห์ของรัฐวิสาหกิจนั้นไปเป็นของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่จดทะเบียนแล้วนี้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันจดทะเบียนบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจดังกล่าว
ในกรณีที่ไม่มีการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าเป็นการเลิกการฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
มาตรา ๗๓ ให้บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ
หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗ คงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบ
ประกาศหรือคำสั่งออกมาใช้บังคับแทนภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
(๑)
คำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๒)
คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติม
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๓)
คำขอจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัว
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๔)
คำขอตรวจหรือคัดเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๕)
คำขอเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อย่างอื่น
นอกจาก (๑) (๒) (๓) และ (๔) ฉบับละ ๒๕ บาท
(๖)
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐๐ บาท
(๗)
ใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๘)
การรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๒๕ บาท
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่การดำเนินการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทางด้านการเงินตามที่พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ กำหนดไว้ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน
และวิธีการควบคุมสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวยังไม่รัดกุมพอที่จะป้องกันการฉ้อโกงและการแสวงหาผลประโยชน์จากกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ของกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสมาคมได้
ทำให้สมาคมได้รับความเสียหาย สมควรปรับปรุงพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.
๒๕๑๗
เพื่อให้การคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนที่เป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานของคณะกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ธนพันธ์/แก้ไข
พลัฐวัษ/ตรวจ
๒๙
มีนาคม ๒๕๕๖
ศิรวัชร์/แก้ไข
๑๔
สิงหาคม ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๔๒ ก/หน้า ๑/๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ |
301367 | พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗
_________
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗
เป็นปีที่ ๒๙
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗
มาตรา
๒* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๑๗/๑๐๙/๒๕พ/๒๖
มิถุนายน ๒๕๑๗]
มาตรา
๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๒๘๗ ลงวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๕
หมวด ๑
บททั่วไป
_______
มาตรา
๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า
กิจการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้า
กัน เพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ
หรือจัดการศพและสงเคราะห์
ครอบครัวของบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่ตกลงเข้ากันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย
และมิได้ประสงค์จะหา
กำไรเพื่อแบ่งปันกัน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า
สมาคมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนิน
กิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์
เงินค่าสมัคร หมายความว่า
เงินค่าสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฌาปน
กิจสงเคราะห์
เงินสงเคราะห์ หมายความว่า
เงินที่สมาชิกร่วมกันออกช่วยเหลือเป็นค่า
จัดการศพหรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตาย
รวมทั้ง
เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
แล้วแต่กรณี
อธิบดี หมายความว่า
อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์
ปลัดกระทรวง หมายความว่า ปลัดกระทรวงมหาดไทย
มาตรา
๕
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และการ
ฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว
ใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์ หรือ
คำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา
๖
ให้อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์เป็นนายทะเบียนกลางสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์
และเป็นนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
กรุงเทพมหานคร ส่วนนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่อื่นให้รัฐมนตรี
แต่งตั้งขึ้นตามความจำเป็น
มาตรา
๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราช
บัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม
ไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติ
การตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๒
การจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
________
มาตรา
๘
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีขึ้นได้โดยอาศัยอำนาจตามบท
แห่งพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะมีวัตถุที่ประสงค์นอกจากการฌาปนกิจ
สงเคราะห์ด้วยมิได้
มาตรา
๙
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีข้อบังคับและต้องจดทะเบียน
เมื่อได้จดทะเบียนแล้ว
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีฐานะเป็นนิติบุคคล
มาตรา
๑๐ การตั้งสาขาสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกระทำมิได้
มาตรา
๑๑
การขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นให้ผู้เริ่มก่อการ
จัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคนยื่นคำขอต่อนายทะเบียนประจำ
ท้องที่ที่จะตั้งสำนักงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
หรือนายทะเบียนกลางถ้าไม่มีนายทะเบียน
ประจำท้องที่ในท้องที่นั้น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง พร้อมด้วย
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยสามฉบับ
มาตรา
๑๒ ในการขอจดทะเบียนนั้น
ถ้าได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามที่
บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๑ มีข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา ๑๔
และข้อบังคับนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย
และวัตถุที่ประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กับทั้งผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ทุกคนเป็นผู้มีหลักฐานสมควรแก่วัตถุที่ประสงค์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนได้
และให้ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนตามแบบที่กำหนด
ในกฎกระทรวง ให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
ถ้านายทะเบียนเห็นว่า
จะรับจดทะเบียนตามวรรคหนึ่งมิได้ ให้นายทะเบียน
มีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน
และแจ้งคำสั่งไม่รับจดทะเบียนพร้อมด้วยเหตุผลที่ไม่รับจดทะเบียน
ไปยังผู้ขอจดทะเบียนโดยมิชักช้า
ผู้ขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้
โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา
๑๓
ให้นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประกาศการ
จดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๑๔
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างน้อยต้องมี
ข้อความดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า "สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์" กำกับไว้กับชื่อนั้นด้วย
(๒)
วัตถุที่ประสงค์
(๓)
ที่ตั้งสำนักงาน
(๔)
วิธีรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ
(๕)
อัตราเงินค่าสมัครและอัตราเงินสงเคราะห์และวิธีการชำระเงินนั้น
(๖)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
(๗)
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพหรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
(๘)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงิน
(๙)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
(๑๐)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
และการประชุมของคณะกรรมการ
มาตรา
๑๕
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
จะกระทำได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องนำไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่
ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
นายทะเบียนมีอำนาจไม่รับจดทะเบียนการแก้ไข
หรือเพิ่มเติมข้อบังคับของ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้
ในเมื่อเห็นว่าการแก้ไขหรือเพิ่มเติมนั้นขัดต่อวัตถุที่ประสงค์
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขัดต่อกฎหมาย
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะยังไม่มีผล
ใช้บังคับจนกว่านายทะเบียนจะได้รับจดทะเบียนแล้ว
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ให้นำมาตรา ๑๒ วรรคสอง และวรรคสาม
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา
๑๖
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องจัดให้มีป้ายชื่อเป็นภาษาไทย
อ่านได้ชัดเจนติดไว้ที่หน้าสำนักงาน
และต้องติดใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนไว้ที่สำนักงาน
ในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย
มาตรา
๑๗
ในกรณีที่ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ
ให้นายทะเบียนออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร้องขอ
หมวด ๓
การดำเนินกิจการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
________
มาตรา
๑๘
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนิน
กิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และเป็นผู้แทนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในกิจการ
ที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือ
หลายคนทำการแทนก็ได้
มาตรา
๑๙
การตั้งกรรมการและการเปลี่ยนตัวกรรมการให้ทำได้โดยมติของ
ที่ประชุมใหญ่
และต้องนำไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
มาตรา
๒๐ ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
นัดสมาชิกมา
ประชุมกันเป็นการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่จดทะเบียนสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์
เพื่อตั้งคณะกรรมการและมอบหมายการทั้งปวงให้แก่คณะกรรมการ
ในระหว่างที่ยังมิได้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดเช่นเดียวกับคณะกรรมการ
การประชุมใหญ่สามัญครั้งต่อไป
ให้คณะกรรมการเรียกประชุมปีละหนึ่งครั้ง
แต่ทั้งนี้จะกำหนดไว้ในข้อบังคับให้เรียกประชุมมากกว่านั้นก็ได้
มาตรา
๒๑
คณะกรรมการจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อใดก็สุดแต่จะเห็น
สมควร
สมาชิกมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมด
หรือไม่น้อย
กว่าห้าสิบคน
จะทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อการหนึ่ง
การใดเมื่อใดก็ได้
ในกรณีที่สมาชิกเป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ
ให้คณะกรรมการ
เรียกประชุมใหญ่วิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ
ถ้าคณะกรรมการ
ไม่เรียกประชุมใหญ่วิสามัญภายในระยะเวลาดังกล่าว
ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกประชุม
ใหญ่วิสามัญได้
มาตรา
๒๒
การประชุมใหญ่ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งจำนวนของ
สมาชิกทั้งหมด หรือไม่น้อยกว่าห้าสิบคน จึงจะเป็นองค์ประชุม
ถ้าในการประชุมนัดแรกสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุม
หากการประชุมนั้นได้
นัดโดยสมาชิกร้องขอ ให้เลิกประชุม
ถ้าการประชุมนั้นมิใช่โดยสมาชิกร้องขอ ให้นัดประชุม
ใหญ่อีกครั้งหนึ่งภายในสิบสี่วัน การประชุมครั้งหลังนี้
ไม่บังคับว่าจำต้องครบองค์ประชุม
มาตร
า ๒๓ ในการประชุมใหญ่
สมาชิกคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน
การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียง
เพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา
๒๔ สมาชิกจะมอบฉันทะให้ผู้อื่นมาประชุมใหญ่และออกเสียงแทน
ตนก็ได้ แต่การมอบฉันทะเช่นนี้ต้องทำเป็นหนังสือ
มาตรา
๒๕
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่อาจเข้าร่วมการประชุมใหญ่
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และอาจชี้แจงแสดงข้อคิดเห็นแก่ที่ประชุมใหญ่ได้ แต่ไม่มี
สิทธิออกเสียงลงคะแนน
มาตรา
๒๖
ห้ามมิให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เรียกเก็บเงินอื่นใดจาก
สมาชิกนอกเหนือจากเงินค่าสมัคร
เงินค่าบำรุงและเงินสงเคราะห์
เงินค่าสมัครให้เรียกเก็บจากผู้ซึ่งสมัครเข้าเป็นสมาชิกในครั้งแรกเพียง
ครั้งเดียวตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
และต้องไม่เกินคนละห้าสิบบาท
เงินค่าบำรุงให้เรียกเก็บจากสมาชิกเป็นรายเดือนหรือรายปีตามอัตราที่
กำหนดไว้ในข้อบังคับ และต้องไม่เกินคนละยี่สิบสี่บาทต่อปี
เงินสงเคราะห์ให้เรียกเก็บได้ตามจำนวนสมาชิกที่ตาย
ตามอัตราที่กำหนดไว้
ในข้อบังคับ และต้องไม่เกินรายละยี่สิบบาท
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจเรียกเก็บเงินสงเคราะห์ไว้ล่วงหน้าเพื่อสำรอง
จ่ายเป็นค่าจัดการศพได้
แต่ต้องไม่เกินอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนด
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เลิก
หรือสมาชิกผู้ใดพ้นจากสมาชิกภาพ
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คืนเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บไว้ล่วงหน้าให้แก่สมาชิกเท่าที่
สมาชิกผู้นั้นยังไม่ตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินสงเคราะห์ตามที่ได้จ่ายล่วงหน้าไว้ให้
แล้ว
มาตรา
๒๗
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจหักเงินจำนวนหนึ่งไว้จากเงิน
สงเคราะห์ได้ตามสมควร
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ตามอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนด
และต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ตามวรรคหนึ่ง
จะกำหนดให้แตกต่างกันตามฐานะของสมาคมที่มีสมาชิกมากน้อย
กว่ากันก็ได้
มาตรา
๒๘ กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง
หรือเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจได้รับเบี้ยประชุม ค่าพาหนะ
หรือเงิน หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกัน
จากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ หาก
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้วางระเบียบไว้ให้จ่ายได้
ระเบียบของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ว่าด้วยการจ่ายเบี้ยประชุม
ค่าพาหนะ
หรือเงิน หรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกัน
ให้แก่กรรมการของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ ต้องกระทำโดยมติของที่ประชุมใหญ่
และต้องส่งสำเนาที่มีคำรับรองว่าถูกต้อง
ต่อนายทะเบียน
มาตรา
๒๙ ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน ชี้ช่อง
หรือจัดการโดยวิธีใด ๆ ที่คล้ายคลึง
กัน ให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ซึ่งยังมิได้จดทะเบียนโดยถูกต้องตาม
กฎหมาย
มาตรา
๓๐ ห้ามมิให้ผู้ใดชักชวน ชี้ช่อง
หรือจัดการให้บุคคลเข้าเป็นสมาชิก
ในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
โดยได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินหรือทรัพย์สินอื่นไม่ว่าจะ
เป็นสินจ้างหรือค่าใช้จ่ายอื่นจากการชักชวน ชี้ช่อง
หรือจัดการนั้น
มาตรา
๓๑ ในการติดต่อกับสมาชิก
พนักงานเจ้าหน้าที่และบุคคลภายนอก
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องเปิดทำการตามวัน
และเวลาที่กำหนดไว้ในข้อบังคับซึ่งต้องไม่
น้อยกว่าสามวันต่อหนึ่งสัปดาห์
และวันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าหกชั่วโมง
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประกาศวันและเวลาเปิดทำการไว้ที่สำนักงาน
มาตรา
๓๒
สมาชิกมีสิทธิขอตรวจสอบบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปน
กิจสงเคราะห์ เพื่อทราบการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่สำนักงานของ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ในเวลาเปิดทำการ
หมวด ๔
การควบคุมสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
_________
มาตรา
๓๓ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตาม
แบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด และให้เก็บรักษาทะเบียนดังกล่าวไว้ที่สำนักงาน
พร้อมทั้ง
หลักฐานและเอกสารที่ใช้ประกอบการลงทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่มีอยู่ในวันที่
ครบเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่จดทะเบียนให้แก่นายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันดังกล่าว และ
เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนและเดือนธันวาคมของทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนา
ทะเบียนสมาชิกตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนนั้น
ต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันสิ้น
เดือนนั้น
มาตรา
๓๔ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องจัดให้มีบัญชีแสดงฐานะการเงิน
ตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด และต้องเก็บรักษาเอกสารประกอบบัญชีแสดงให้เห็น
ความถูกต้องแห่งบัญชีนั้นไว้ด้วย
มาตรา
๓๕ เมื่อสิ้นปีปฏิทินทุกปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องทำบัญชี
งบดุลตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนดเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่ออนุมัติภายในหกสิบวัน
นับแต่วันสิ้นปี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องส่งสำเนางบดุลตามวรรคหนึ่งที่มีคำรับรองว่า
ถูกต้องต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่อนุมัติและต้องแสดงไว้ที่สำนัก
งานเพื่อให้สมาชิกและผู้มีส่วนได้เสียตรวจดูได้ด้วย
มาตรา
๓๖ หลักฐานเอกสารตามมาตรา ๓๓
มาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
มาตรา
๓๗ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจเอกสาร
หรือคัดเอกสาร หรือขอให้
คัดรายการและรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จากนายทะเบียน
ให้ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา
๓๘ เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ให้เป็นไปด้วยดี
เมื่อมีกรณีที่นายทะเบียนเห็นสมควรที่จะได้ฟังความคิดเห็นและ
คำวินิจฉัยของสมาชิกในปัญหาหรือกิจการใด
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้คณะกรรมการของ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยปัญหาหรือ
กิจการนั้นได้ และให้นำมาตรา ๒๑ วรรคสาม
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา
๓๙
การประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ถ้าได้นัดเรียก
หรือได้ประชุมกัน
หรือได้ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ เมื่อสมาชิกคนหนึ่งคนใดหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้
เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่เกิดขึ้นในการประชุมที่ได้เรียก
หรือได้ประชุมกัน หรือที่ได้
ลงมติฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเสียได้
การร้องขอให้
เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่นั้น ถ้าสมาชิกเป็นผู้ร้องขอ
ต้องร้องขอภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ
ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่
กรรมการของ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คนหนึ่งคนใดมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อปลัดกระทรวงได้
โดยทำ
เป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา
๔๐
ให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจสอบกิจการ
และฐานะการเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เพื่อการนี้ให้นายทะเบียนและพนักงาน
เจ้าหน้าที่มีอำนาจ
(๑)
เข้าไปในสำนักงานของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ในเวลาระหว่าง
พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
(๒)
สั่งให้กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ส่งหรือแสดงบัญชีและเอกสารของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓)
สอบถามบุคคลใน (๒) หรือเรียกบุคคลดังกล่าวมาเพื่อสอบถามหรือ
แสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
มาตรา
๔๑ ในการปฏิบัติหน้าที่
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้อง
แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้เกี่ยวข้องร้องขอ
หมวด ๕
การฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
องค์การของรัฐและรัฐวิสาหกิจ
_________
มาตรา
๔๒ ส่วนราชการ องค์การของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจใดที่ประสงค์
จะดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดในมาตรา ๔๓
มาตรา
๔๓
ให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดระเบียบการขึ้นทะเบียนการดำเนิน
กิจการ การควบคุม
และการเลิกกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ องค์การของ
รัฐ หรือรัฐวิสาหกิจขึ้นไว้
ระเบียบนี้เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้ใช้บังคับได้
เมื่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ
ได้ขึ้นทะเบียนตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดในวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ถือว่าการ
ฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวเป็นงานอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
องค์การของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจนั้น
หมวด ๖
การเลิกฌาปนกิจสงเคราะห์
_________
มาตรา
๔๔
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ย่อมเลิกด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด
ดังต่อไปนี้
(๑)
ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้เลิก
(๒)
นายทะเบียนสั่งให้เลิกตามมาตรา ๔๕
(๓)
ศาลสั่งให้เลิกตามมาตรา ๔๗
เมื่อเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้นายทะเบียนกลางประกาศการเลิกใน
ราชกิจจานุเบกษา
และให้นายทะเบียนประจำท้องที่ปิดประกาศที่สำนักงานสมาคมฌาปน
กิจสงเคราะห์ด้วย
มาตรา
๔๕
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ใน
กรณีดังต่อไปนี้
(๑)
สมาชิกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดร่วมกันยื่นคำร้อง
ขอต่อนายทะเบียนขอให้เลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์พร้อมด้วยเหตุผลประกอบคำร้องขอ
และนายทะเบียนได้สอบสวนหลักฐานตามเหตุผลประกอบคำร้องขอแล้วเป็นที่ปรากฏแน่ชัด
ว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมควรจะต้องเลิกดำเนินกิจการตามคำร้องขอนั้น
(๒)
บุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คนหนึ่ง
หรือหลายคนเข้ามากระทำการในฐานะกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
และนาย
ทะเบียนได้มีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวเลิกกระทำการในฐานะกรรมการของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน
(๓)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์นั้น ไม่เป็นไปโดยสุจริต และนายทะเบียนได้สอบสวนพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วมีเหตุ
ผลเป็นที่เชื่อถือได้
(๔)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ไม่อาจจะดำเนินต่อไปได้ไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ
เมื่อนายทะเบียนสั่งเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใด
ให้แจ้งคำสั่งเป็น
หนังสือพร้อมด้วยเหตุผลไปยังสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นโดยมิชักช้า
มาตรา
๔๖
กรรมการคนหนึ่งคนใดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่
นายทะเบียนสั่งเลิกตามมาตรา ๔๕
มีสิทธิอุทธรณ์ต่อปลัดกระทรวงโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อ
นายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไป
ยังปลัดกระทรวงโดยมิชักช้า
คำวินิจฉัยของปลัดกระทรวงให้เป็นที่สุด
มาตรา
๔๗
ในกรณีที่นายทะเบียนต้องดำเนินการตามมาตรา ๔๕ แต่นาย
ทะเบียนเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่นั้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ
ศาลอาจสั่งให้เลิก
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เสียก็ได้
มาตรา
๔๘
เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใดให้มี
การชำระบัญชีสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น และให้นำความในบรรพ
๓ ลักษณะ ๒๒ หมวด
๕
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทจำกัด มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา
๔๙ เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว
ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่จะแบ่งให้แก่สมาชิก
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ได้
ทรัพย์สินนั้นจะต้องโอนไปให้แก่นิติบุคคลอื่นตามที่ระบุไว้ใน
ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ หรือตามที่ที่ประชุมใหญ่ได้มีมติไว้หรือถ้ามิได้ระบุไว้
ในข้อบังคับและที่ประชุมใหญ่มิได้มีมติไว้
ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของรัฐ
หมวด ๗
บทกำหนดโทษ
_________
มาตรา
๕๐
ผู้ใดดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียน
เป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๕๑
ผู้ใดเป็นสมาชิกของการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยรู้ว่าการฌาปนกิจ
สงเคราะห์นั้นมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจ
สงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา
๕๒ ผู้ใดใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า
"ฌาปนกิจสงเคราะห์" หรือคำอื่น
ใดที่มีความหมายเช่นเดียวกันอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพัน
บาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งร้อยบาท จนกว่าจะได้เลิกใช้
มาตรา
๕๓
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ วรรค
หนึ่ง มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๙
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา
๕๔
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง หรือ
เรียกเก็บเงินจากผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือสมาชิกเกินกว่าที่กำหนด
อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา
๒๖ วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ หรือวรรคห้า
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา
๕๕
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดหักเงินไว้จากเงินสงเคราะห์เพื่อ
เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เกินกว่าที่กำหนด
อันเป็น
การฝ่าฝืนมาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา
๕๖
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ผู้ใดรับเงินหรือ
ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์โดยไม่มีสิทธิที่จะรับได้ตามมาตรา
๒๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๕๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ หรือมาตรา ๓๐
ถ้าการกระทำอันเป็นการ
ฝ่าฝืนนั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่ง
พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๕๘ สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๓๓ มาตรา
๓๔ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๓๖
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา
๕๙
ผู้ใดแบ่งหรือโอนทรัพย์สินที่เหลืออยู่เมื่อได้ชำระบัญชีแล้วให้แก่
บุคคลใดอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๔๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสอง
พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๖๐
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กระทำความผิดตามพระราช
บัญญัตินี้
กรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับสมาคมฌาปน
กิจสงเคราะห์
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์นั้นด้วย
บทเฉพาะกาล
_________
มาตรา
๖๑ ให้ส่วนราชการ องค์การของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ ที่ดำเนินกิจการ
การฌาปนกิจสงเคราะห์อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และยังมิได้จดทะเบียนสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์ตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกในมาตรา ๓
ขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์
ต่อกรมประชาสงเคราะห์ตามระเบียบที่กำหนดในมาตรา ๔๓
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วัน
ที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ส่วนราชการ
องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์ตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกในมาตรา ๓
ไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้
บังคับ
หากประสงค์จะขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้ต่อไป
ให้กระทำได้และให้ถือว่าคำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ยื่นไว้นั้นเป็นคำขอ
จดทะเบียนตามมาตรา ๑๑
มาตรา
๖๒ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกในมาตรา
๓ เป็นสมาคมฌาปนกิจ
สงเคราะห์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
และมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดตาม
พระราชบัญญัตินี้ทุกประการ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
___________
(๑)
คำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๒๐ บาท
(๒)
คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ฉบับละ ๑๐ บาท
(๓)
คำขอจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัวกรรมการ
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐ บาท
(๔)
คำขอตรวจหรือคัดเอกสารเกี่ยวกับสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐ บาท
(๕)
คำขอเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อย่างอื่นนอกจาก
(๑) (๒) (๓) และ (๔) ฉบับละ ๕ บาท
(๖)
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์
ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๗)
ใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๒๐ บาท
(๘)
การรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ฉบับละ ๕ บาท
----------------------------------
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากปรากฏว่า
ส่วนราชการ องค์การของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ
ไม่สามารถดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้เป็นไปตามรูปของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๗
ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๕ ได้
ประกอบกับบทบัญญัติบางข้อแห่งประกาศของคณะ
ปฏิวัติฉบับดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและมีข้อขัดข้องในทางปฏิบัติด้วย
สมควรปรับปรุงประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว เพื่อให้ส่วนราชการ
องค์การของรัฐ และ
รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ได้โดยชอบด้วยกฎหมายและเพื่อให้
เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๒
ก.ย ๒๕๔๔
A+B (C) |
438593 | กฎกระทรวง กำหนดอัตราเงินค่าสมัคร เงินค่าบำรุง และเงินสงเคราะห์ พ.ศ. 2547
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดอัตราเงินค่าสมัคร
เงินค่าบำรุง และเงินสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ และมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้กำหนดอัตราเงินค่าสมัคร
เงินค่าบำรุง และเงินสงเคราะห์ ดังนี้
(๑)
เงินค่าสมัครไม่เกินคนละหนึ่งร้อยบาท
(๒)
เงินค่าบำรุงไม่เกินเดือนละห้าบาท หรือปีละห้าสิบบาท
(๓)
เงินสงเคราะห์เรียกเก็บตามจำนวนสมาชิกที่ตาย ไม่เกินศพละ ดังนี้
(ก)
หนึ่งร้อยบาท สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกไม่เกินสองพันห้าร้อยคน
(ข)
ห้าสิบบาท
สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินสองพันห้าร้อยคนแต่ไม่เกินห้าพันคน
(ค)
สามสิบบาท สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินห้าพันคน
แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นคน
(ง)
ยี่สิบบาท สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินหนึ่งหมื่นคน
ข้อ
๒
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดมีสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราการเรียกเก็บเงินสงเคราะห์จากเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ให้คณะกรรมการเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเพื่อพิจารณาแก้ไขข้อบังคับเปลี่ยนอัตราการเรียกเก็บเงินสงเคราะห์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเสียใหม่ในวาระแรกที่มีการประชุมใหญ่นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิก
เว้นแต่สมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นมีจำนวนไม่เกินร้อยละหนึ่งของจำนวนสมาชิกเดิม
คณะกรรมการจะไม่เสนอให้พิจารณาแก้ไขข้อบังคับเพื่อเปลี่ยนอัตราการหักเงินสงเคราะห์ใหม่ก็ได้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
สรอรรถ กลิ่นประทุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๓๑
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติว่า
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาจหักเงินจำนวนหนึ่งไว้จากเงินสงเคราะห์ได้ตามสมควร
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนดแต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๘ ธันวาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑/ตอนที่ ๓๕
ก/หน้า ๙/๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ |
438589 | กฎกระทรวง กำหนดอัตราการหักเงินสงเคราะห์ พ.ศ. 2547
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดอัตราการหักเงินสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑
การหักเงินสงเคราะห์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องไม่เกินอัตรา
ดังนี้
(๑)
ร้อยละเก้าของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกไม่เกินสองพันห้าร้อยคน
(๒)
ร้อยละแปดของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินสองพันห้าร้อยคน
แต่ไม่เกินห้าพันคน
(๓)
ร้อยละหกของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินห้าพันคน
แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นคน
(๔)
ร้อยละสี่ของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินหนึ่งหมื่นคน
ข้อ
๒ ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดมีสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราการหักเงินสงเคราะห์จากเกณฑ์ที่ที่ประชุมใหญ่ได้กำหนดไว้
ให้คณะกรรมการเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเพื่อพิจารณาเปลี่ยนอัตราการหักเงินสงเคราะห์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเสียใหม่ในวาระแรกที่มีการประชุมใหญ่นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิก
เว้นแต่สมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นมีจำนวนไม่เกินร้อยละหนึ่งของจำนวนสมาชิกเดิม
คณะกรรมการจะไม่เสนอให้พิจารณาเปลี่ยนอัตราการหักเงินสงเคราะห์ใหม่ก็ได้
ข้อ
๓ ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หักเงินสงเคราะห์ไว้ไม่เพียงพอแก่การใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ
หรือหักเงินสงเคราะห์ไว้มากเกินความจำเป็นแก่การใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ ให้คณะกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เสนอที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเพื่อพิจารณากำหนดอัตราการหักเงินสงเคราะห์เพิ่มขึ้นหรือลดลงในวาระแรกที่มีการประชุมใหญ่นับแต่มีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น
แต่จะเพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนดในข้อ ๑ ไม่ได้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
สรอรรถ กลิ่นประทุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๓๐
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
บัญญัติให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เรียกเก็บเงินค่าสมัคร เงินค่าบำรุง
และเงินสงเคราะห์ได้ตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับแต่ต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑/ตอนที่ ๓๕
ก/หน้า ๗/๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ |
438587 | กฎกระทรวง กำหนดค่าธรรมเนียม พ.ศ. 2547
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดค่าธรรมเนียม
พ.ศ. ๒๕๔๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ให้กำหนดค่าธรรมเนียม ดังนี้
(๑) คำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๒) คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๓) คำขอจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัวกรรมการ
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๔) คำขอตรวจหรือคัดเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐ บาท
(๕) คำขอเกี่ยวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อย่างอื่น
นอกจาก (๑) (๒) (๓)
และ (๔) ฉบับละ ๒๕ บาท
(๖) ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๕๐๐ บาท
(๗) ใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๘) การรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๒๕ บาท
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
สรอรรถ กลิ่นประทุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติ
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๘ ธันวาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑/ตอนที่ ๓๕
ก/หน้า ๑๑/๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ |
318531 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔
(พ.ศ. ๒๕๑๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
บัตรประจำตัวนายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ และพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ใช้แบบท้ายกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๒
รูปถ่ายติดบัตรประจำตัว ให้เป็นรูปถ่ายครึ่งตัวหน้าตรง ขนาด ๓ x ๔
เซนติเมตร และแต่งเครื่องแบบปกติ หรือแต่งกายสากล ไม่สวมหมวก
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗
ท. อัชกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ : -
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
บัญญัติให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่
ต้องแสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อมีผู้เกี่ยวข้องร้องขอ จึงจำเป็นออกกฎกระทรวงฉบับนี้
พรมนัส/ปรับปรุง
๒๘ สิงหาคม
๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๑๘๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๑/๑
พฤศจิกายน ๒๕๑๗ |
301369 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๓
(พ.ศ. ๒๕๑๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๒๗
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
อัตราการหักเงินสงเคราะห์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะกำหนด
ต้องไม่เกินอัตรา ดังต่อไปนี้
(๑)
ร้อยละสิบสองของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกไม่เกินสองพันห้าร้อยคน
(๒) ร้อยละสิบของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้
สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินสองพันห้าร้อยคน แต่ไม่เกินห้าพันคน
(๓) ร้อยละแปดของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้
สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินห้าพันคน แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นคน
(๔) ร้อยละหกของเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บได้
สำหรับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีสมาชิกเกินหนึ่งหมื่นคน
ข้อ ๒
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใดมีสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราการหักเงินสงเคราะห์จากเกณฑ์ที่ที่ประชุมใหญ่ได้กำหนดไว้
ให้คณะกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เสนอที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
เพื่อพิจารณาเปลี่ยนอัตราการหักเงินสงเคราะห์ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเสียใหม่ในวาระแรกที่มีการประชุมใหญ่
นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิก
เว้นแต่สมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นมีจำนวนไม่เกินร้อยละหนึ่งของจำนวนสมาชิกเดิม
คณะกรรมการจะไม่เสนอให้พิจารณาเปลี่ยนอัตราการหักเงินสงเคราะห์ใหม่ก็ได้
ข้อ ๓
ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หักเงินสงเคราะห์ไว้ไม่เพียงพอแก่การใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ
หรือหักเงินสงเคราะห์ไว้มากเกินความจำเป็นแก่การใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ
ให้คณะกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เสนอที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเพื่อพิจารณากำหนดอัตราการหักเงินสงเคราะห์เพิ่มขึ้นหรือลดลงในวาระแรกที่มีการประชุมใหญ่นับแต่มีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น
แต่จะเพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนดในข้อ ๑ ไม่ได้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗
ท. อัชกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ : - เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
อนุญาตให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หักเงินจำนวนหนึ่งไว้จากเงินสงเคราะห์ได้ตามสมควรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนด
ซึ่งต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงฉบับนี้
พรมนัส/ปรับปรุง
๒๘ สิงหาคม
๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๑๘๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๗/๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๗ |
301368 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๑๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้กำหนดค่าธรรมเนียม ดังนี้
(๑) คำขอจดทะเบียนสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๒)
คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือ
เพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ
๑๐ บาท
(๓)
คำขอจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยน
ตัวกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ ๑๐ บาท
(๔)
คำขอตรวจหรือคัดเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ
๑๐ บาท
(๕)
คำขอเกี่ยวกับสมาคมปนกิจ
สงเคราะห์อย่างอื่นนอกจาก
(๑) (๒) (๓) และ (๔) ฉบับละ
๕ บาท
(๖)
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
(๗)
ใบแทนใบสำคัญแสดงการจด
ทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๘)
การรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ฉบับละ
๕ บาท
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗
ท. อัชกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ : -
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติ
การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
บัญญัติให้ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับ
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องออกกฎ
กระทรวงฉบับนี้
พรมนัส/ปรับปรุง
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๑๘๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๔/๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๗ |
318530 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑
(พ.ศ. ๒๕๑๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ส.ฌ. ๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
สำเนทะเบียนบ้านของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทุกคน
และประวัติแสดงหลักฐานของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทุกคนตามแบบ
ส.ฌ. ๑ ก ท้ายกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๒
การยื่นคำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้ปฏิบัติดังนี้
(๑)
ในกรณีที่สำนักงานของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ให้ยื่นต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานคร ณ กรมประชาสงเคราะห์
(๒) ในกรณีที่สำนักงานของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตั้งอยู่ในจังหวัดอื่น
ให้ยื่นต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ในจังหวัดนั้น
ถ้าในจังหวัดใดไม่มีนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
ให้ยื่นต่อนายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น
ข้อ ๓
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ให้ใช้แบบ ส.ฌ. ๒
ท้ายกฎกระทรวงนี้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗
ท. อัชกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ : -
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติให้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และแบบใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนโดยกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงฉบับนี้
พรมนัส/ปรับปรุง
๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๑๘๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑
พฤศจิกายน ๒๕๑๗ |
692368 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฉบับ Update ล่าสุด) | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
การใช้จ่าย
และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา
๑๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย
และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในกรณีที่สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ถึงแก่ความตาย
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวให้แก่บุคคลที่สมาชิกได้ระบุไว้ในใบสมัครให้เป็นผู้รับเงินสงเคราะห์และหรือเป็นผู้จัดการศพ
ซึ่งต้องเป็นบุคคล ดังต่อไปนี้
(๑) สามี ภริยา บุตร บิดา
มารดา
(๒) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(๓) พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
(๔) ปู่ ย่า ตา ยาย
(๕) ลุง ป้า น้า อา
(๖) ผู้อุปการะเลี้ยงดูหรือผู้อยู่ในอุปการะเลี้ยงดู
ในกรณีไม่มีบุคคลที่สมาชิกระบุไว้ในใบสมัครหรือมีบุคคลที่ระบุไว้ในใบสมัครแต่ไม่อาจจัดการตามเจตนาของสมาชิกได้
หรือในกรณีที่สมาชิกไม่ได้ระบุบุคคลใดไว้ในใบสมัคร บุคคลตามวรรคหนึ่งอาจยื่นคำร้องต่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
เพื่อขอเป็นผู้จัดการศพก็ได้
เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้รับคำร้องตามวรรคสอง
และได้พิจารณาแล้วเห็นว่าบุคคลนั้นสามารถเป็นผู้จัดการศพของสมาชิกได้จริง ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินค่าจัดการศพให้แก่บุคคลนั้น
แต่ถ้าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เห็นว่าบุคคลนั้นไม่สามารถเป็นผู้จัดการศพได้ หรือไม่มีบุคคลตามวรรคหนึ่งยื่นคำร้องภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จัดการศพให้แก่สมาชิกที่ถึงแก่ความตายตามสมควรแก่ฐานานุรูปและประเพณีทางศาสนาของสมาชิกนั้น
เมื่อได้ปฏิบัติตามวรรคสามแล้ว ยังคงมีเงินค่าจัดการศพหรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวเหลืออยู่
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่ให้แก่บุคคลที่สมาชิกได้ระบุไว้ในใบสมัคร
แต่ถ้าไม่มีบุคคลที่สมาชิกระบุไว้ในใบสมัครให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่บุคคลในวรรคหนึ่งตามลำดับก่อนหลัง
โดยผู้อยู่ลำดับก่อนย่อมตัดสิทธิผู้อยู่ลำดับหลัง ถ้ามีผู้อยู่ในลำดับเดียวกันหลายคน
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์แบ่งเงินค่าจัดการศพหรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวที่เหลืออยู่ให้แก่ทุกคนในสัดส่วนที่เท่ากัน
หากไม่อาจแบ่งเงินให้แก่บุคคลใดได้ให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
ข้อ ๔ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวครั้งแรกเท่าที่เรียกเก็บได้ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอและให้จ่ายส่วนที่เหลือภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้จ่ายเงินดังกล่าวครั้งแรก
ข้อ ๕
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการตามข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีได้ในกรณี
ดังต่อไปนี้
(๑) ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยง
ค่าพาหนะ และค่าเช่าที่พักของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๒) เงินเดือน ค่าจ้าง
และค่าล่วงเวลาของเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓) ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ
และค่าเช่าที่พักของเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๔) เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
กองทุนบำเหน็จ และค่าเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๕) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
(๖) ค่าลงทะเบียนในการเข้าร่วมประชุมฝึกอบรม
สัมมนาของกรรมการและเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๗) ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อที่ดิน
อาคาร และครุภัณฑ์ต่าง ๆ หรือจัดจ้าง การก่อสร้าง ต่อเติมอาคารของสำนักงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๘) ค่าเช่าที่ดินและอาคารสำนักงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๙) ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัสดุ
ค่าซ่อม ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา
(๑๐) ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าไปรษณีย์
(๑๑) ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๒) ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ทำบัญชี
ผู้ตรวจบัญชี ผู้สอบบัญชี ผู้ชำระบัญชี และค่าใช้จ่ายในการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๓) ค่าพวงหรีดและค่าพิธีกรรมทางศาสนาของสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๔) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่นายทะเบียนกลางให้ความเห็นชอบ
ค่าใช้จ่ายตาม (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๑๓) ต้องวางเป็นระเบียบและนำเสนอที่ประชุมใหญ่อนุมัติและส่งให้นายทะเบียนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน
ทั้งนี้ ภายในกำหนดสามสิบวัน
ข้อ ๖ การเก็บรักษาเงิน ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นำเงินฝากไว้กับธนาคารของรัฐ
ธนาคารพาณิชย์ หรือสหกรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ ในนามของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์[๒]
ถ้าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะเก็บรักษาเงินสดไว้ในมือ
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คำนึงถึงความเหมาะสมและความจำเป็น ทั้งนี้ จะต้องกำหนดจำนวนเงินนั้นไว้ในข้อบังคับด้วย
ข้อ ๗
การใช้จ่ายเงินและการเบิกถอนเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ให้นายกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันในการอนุมัติค่าใช้จ่ายและเบิกถอนเงิน
ข้อ ๘
ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(ฉบับที่ ๒)[๓]
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ
๓๑ ง/หน้า ๑๐/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖
[๒] ข้อ ๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(ฉบับที่ ๒)
[๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๔
ง/หน้า ๓๓/๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ |
642846 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฉบับที่ 2) | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
การใช้จ่าย
และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฉบับที่ ๒)
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
การใช้จ่าย และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๑๔ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๖๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย
และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฉบับที่ ๒)
ข้อ ๒[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๖
แห่งประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย
และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖ การเก็บรักษาเงิน
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นำเงินฝากไว้กับธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์
หรือสหกรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ ในนามของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
อิสสระ
สมชัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๔ ง/หน้า ๓๓/๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ |
386855 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการส่งสำเนาทะเบียนสมาชิก รายงานจำนวนเงินที่มีอยู่ในมือและในธนาคาร และสำเนางบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
| ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการส่งสำเนาทะเบียนสมาชิก รายงานจำนวนเงิน
ที่มีอยู่ในมือและในธนาคาร
และสำเนางบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๓๖
วรรคสอง มาตรา ๓๗ วรรคสอง และมาตรา ๓๘ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการส่งสำเนาทะเบียนสมาชิก
รายงานจำนวนเงินที่มีอยู่ในมือและในธนาคาร และสำเนางบดุลของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ
๒[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่มีอยู่ในวันที่ครบเก้าสิบวันนับแต่วันที่จดทะเบียนจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด (แบบ ส.ฌ.ก. ๑)
ให้แก่นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดดังกล่าว
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม
มิถุนายน กันยายน และธันวาคมของทุกปี
โดยส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกในส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนให้แก่นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ๆ
การส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์รับรองความถูกต้องสำเนาทะเบียนสมาชิกนั้นด้วย
ข้อ
๔
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องรายงานจำนวนเงินที่มีอยู่ในมือและในธนาคารตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
(แบบ ส.ฌ.ก. ๔) ตามที่เป็นอยู่ในวันสิ้นเดือนมิถุนายนของทุกปีต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นเดือนนั้น
ข้อ
๕
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ส่งสำเนางบดุลที่อนุมัติโดยที่ประชุมใหญ่และมีคำรับรองว่าถูกต้องตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด
(แบบ ส.ฌ.ก. ๙ (๙/๑) หรือ
๙ (๙/๒)) ต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่อนุมัติ
พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนารายงานการประชุมใหญ่
(๒) บัญชีรายได้ รายจ่าย
ตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด (แบบ ส.ฌ.ก. ๑๐ (๑๐/๑) หรือ ๑๐ (๑๐/๒))
(๓) รายการรับ จ่ายเงินสงเคราะห์ในรอบปี
ตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด (แบบ ส.ฌ.ก. ๑๑)
(๔) รายการเงินสงเคราะห์ล่วงหน้าคงเหลือ ณ วันสิ้นปีปิดบัญชี
ตามแบบที่นายทะเบียนกลางกำหนด (แบบ ส.ฌ.ก. ๑๒)
ข้อ
๖ การส่งสำเนาทะเบียนสมาชิก
การรายงานจำนวนเงินที่มีอยู่ในมือและในธนาคาร การส่งสำเนางบดุล ให้ยื่นต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่กรุงเทพมหานครหรือนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่จังหวัด
แล้วแต่กรณี
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวด้วยตนเองหรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ก็ได้
ข้อ
๗
ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ (แบบ ส.ฌ. ๑)
๒.
ประวัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งและกรรมการฌาปนกิจสงเคราะห์ (แบบ ส.ฌ. ๒)
๓.
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (แบบ ส.ฌ. ๓)
๔.
คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕ (แบบ ส.ฌ. ๔)
๕.
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ (แบบ ส.ฌ. ๕)
๖.
คำขอจดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕ (แบบ ส.ฌ. ๖)
๗.
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการ (แบบ ส.ฌ. ๗)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๓๑ ง/หน้า ๑๕/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖ |
386815 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
| ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
การใช้จ่าย
และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา
๑๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย
และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในกรณีที่สมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ถึงแก่ความตาย
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวให้แก่บุคคลที่สมาชิกได้ระบุไว้ในใบสมัครให้เป็นผู้รับเงินสงเคราะห์และหรือเป็นผู้จัดการศพ
ซึ่งต้องเป็นบุคคล ดังต่อไปนี้
(๑) สามี ภริยา บุตร บิดา
มารดา
(๒) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(๓) พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
(๔) ปู่ ย่า ตา ยาย
(๕) ลุง ป้า น้า อา
(๖) ผู้อุปการะเลี้ยงดูหรือผู้อยู่ในอุปการะเลี้ยงดู
ในกรณีไม่มีบุคคลที่สมาชิกระบุไว้ในใบสมัครหรือมีบุคคลที่ระบุไว้ในใบสมัครแต่ไม่อาจจัดการตามเจตนาของสมาชิกได้
หรือในกรณีที่สมาชิกไม่ได้ระบุบุคคลใดไว้ในใบสมัคร บุคคลตามวรรคหนึ่งอาจยื่นคำร้องต่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อขอเป็นผู้จัดการศพก็ได้
เมื่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้รับคำร้องตามวรรคสอง
และได้พิจารณาแล้วเห็นว่าบุคคลนั้นสามารถเป็นผู้จัดการศพของสมาชิกได้จริง ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินค่าจัดการศพให้แก่บุคคลนั้น
แต่ถ้าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เห็นว่าบุคคลนั้นไม่สามารถเป็นผู้จัดการศพได้ หรือไม่มีบุคคลตามวรรคหนึ่งยื่นคำร้องภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จัดการศพให้แก่สมาชิกที่ถึงแก่ความตายตามสมควรแก่ฐานานุรูปและประเพณีทางศาสนาของสมาชิกนั้น
เมื่อได้ปฏิบัติตามวรรคสามแล้ว ยังคงมีเงินค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวเหลืออยู่ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่ให้แก่บุคคลที่สมาชิกได้ระบุไว้ในใบสมัคร
แต่ถ้าไม่มีบุคคลที่สมาชิกระบุไว้ในใบสมัคร ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่บุคคลในวรรคหนึ่งตามลำดับก่อนหลัง
โดยผู้อยู่ลำดับก่อนย่อมตัดสิทธิผู้อยู่ลำดับหลัง ถ้ามีผู้อยู่ในลำดับเดียวกันหลายคน
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์แบ่งเงินค่าจัดการศพหรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวที่เหลืออยู่ให้แก่ทุกคนในสัดส่วนที่เท่ากัน
หากไม่อาจแบ่งเงินให้แก่บุคคลใดได้ให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
ข้อ ๔ ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จ่ายเงินค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวครั้งแรกเท่าที่เรียกเก็บได้ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอและให้จ่ายส่วนที่เหลือภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ได้จ่ายเงินดังกล่าวครั้งแรก
ข้อ ๕
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการตามข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์มีได้ในกรณี
ดังต่อไปนี้
(๑) ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยง
ค่าพาหนะ และค่าเช่าที่พักของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๒) เงินเดือน ค่าจ้าง
และค่าล่วงเวลาของเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๓) ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ
และค่าเช่าที่พักของเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๔) เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
กองทุนบำเหน็จ และค่าเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๕) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
(๖) ค่าลงทะเบียนในการเข้าร่วมประชุมฝึกอบรม
สัมมนาของกรรมการ และเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๗) ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อที่ดิน
อาคาร และครุภัณฑ์ต่าง ๆ หรือจัดจ้าง การก่อสร้าง ต่อเติมอาคารของสำนักงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๘) ค่าเช่าที่ดินและอาคารสำนักงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๙) ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัสดุ
ค่าซ่อม ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา
(๑๐) ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าไปรษณีย์
(๑๑) ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๒) ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ทำบัญชี
ผู้ตรวจบัญชี ผู้สอบบัญชี ผู้ชำระบัญชี และค่าใช้จ่ายในการเลิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๓) ค่าพวงหรีดและค่าพิธีกรรมทางศาสนาของสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๔) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่นายทะเบียนกลางให้ความเห็นชอบ
ค่าใช้จ่ายตาม (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๑๓) ต้องวางเป็นระเบียบและนำเสนอที่ประชุมใหญ่อนุมัติและส่งให้นายทะเบียนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน
ทั้งนี้ ภายในกำหนดสามสิบวัน
ข้อ ๖ การเก็บรักษาเงิน ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นำเงินฝากไว้กับธนาคารของรัฐ
หรือธนาคารพาณิชย์ ในนามของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ถ้าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จะเก็บรักษาเงินสดไว้ในมือ
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์คำนึงถึงความเหมาะสมและความจำเป็น ทั้งนี้ จะต้องกำหนดจำนวนเงินนั้นไว้ในข้อบังคับด้วย
ข้อ ๗
การใช้จ่ายเงินและการเบิกถอนเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้นายกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันในการอนุมัติค่าใช้จ่ายและเบิกถอนเงิน
ข้อ ๘
ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ
๓๑ ง/หน้า ๑๐/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖ |
386800 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการขอรับใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนการออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน และกำหนดแบบใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
| ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการขอรับใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
การออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
และกำหนด
แบบใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนของสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการขอรับใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนการออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
และกำหนดแบบใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ
๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ในกรณีที่ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สูญหายหรือถูกทำลาย
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ยื่นคำขอตามแบบ ส.ฌ. ๘
ต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
พร้อมกับสำเนาบันทึกการแจ้งความของพนักงานสอบสวนด้วย
ในกรณีที่ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ชำรุดในสาระสำคัญ
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ยื่นคำขอตามแบบ ส.ฌ. ๘
ต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
พร้อมกับใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนที่เหลืออยู่
ข้อ
๔ เมื่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
ได้รับคำขอตามข้อ ๓
แล้วเห็นว่าใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ
ให้ออกใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนตามแบบ ส.ฌ. ๙
ข้อ
๕ แบบ ส.ฌ. ๘ และแบบ ส.ฌ. ๙
ให้เป็นไปตามท้ายประกาศนี้
ข้อ
๖ ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำขอรับใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕ (แบบ ส.ฌ. ๘)
๒.
ใบแทนใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (แบบ ส.ฌ. ๙)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๓๑ ง/หน้า ๘/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖ |
386793 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ จดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับจดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และแบบของใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
| ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้ง
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
จดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ
จดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และแบบของใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๑๐
วรรคสอง มาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๖ วรรคสอง และมาตรา ๒๐ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
จดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ
จดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
และแบบของใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ
๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓
การขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคนยื่นคำขอตามแบบ ส.ฌ. ๑ ท้ายประกาศนี้ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์จำนวนสามฉบับ
(๒) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งทุกคน
(๓) ประวัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งทุกคนตามแบบ ส.ฌ. ๒ ท้ายประกาศนี้
(๔) แผนผังแสดงที่ตั้งสำนักงานของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๕) หนังสืออนุญาตให้ใช้สถานที่เพื่อเป็นที่ตั้งของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๖) เอกสารอื่น ๆ (ถ้ามี)
ข้อ
๔
การจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ยื่นคำขอตามแบบ ส.ฌ. ๔
ท้ายประกาศนี้ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
รายงานการประชุมใหญ่ที่มีมติให้มีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๒) ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เฉพาะส่วนที่แก้ไขหรือเพิ่มเติม
ข้อ
๕
การขอจดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ยื่นคำขอตามแบบ ส.ฌ. ๖ ท้ายประกาศนี้
พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
รายงานการประชุมใหญ่ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีมติแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๒) ประวัติของกรรมการที่ได้รับเลือกตั้งตามแบบ ส.ฌ. ๒ ท้ายประกาศนี้
(๓) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และสำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการทุกคน
(๔) เอกสารอื่น ๆ (ถ้ามี)
ข้อ
๖ การยื่นคำขอจดทะเบียนตามข้อ ๓ ข้อ
๔ หรือข้อ ๕ ให้ยื่นต่อนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ที่สำนักงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่
เมื่อได้รับคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน
หากเห็นว่าเอกสารหลักฐานถูกต้องครบถ้วนและเข้าหลักเกณฑ์ที่รับจดทะเบียนได้
ให้นายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่รับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามแบบ
ส.ฌ. ๓ ท้ายประกาศนี้
หรือใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับตามแบบ ส.ฌ. ๕ ท้ายประกาศนี้
หรือใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการตามแบบ ส.ฌ. ๗ ท้ายประกาศนี้ แล้วแต่กรณี
ให้แก่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ
๗
ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำขอจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕ (แบบ ส.ฌ. ๑)
๒. ประวัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งและกรรมการฌาปนกิจสงเคราะห์
(แบบ ส.ฌ. ๒)
๓. ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(แบบ ส.ฌ. ๓)
๔. คำขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕ (แบบ ส.ฌ. ๔)
๕.
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ (แบบ ส.ฌ. ๕)
๖. คำขอจดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕ (แบบ ส.ฌ. ๖)
๗.
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแต่งตั้งและเปลี่ยนตัวกรรมการ (แบบ ส.ฌ. ๗)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๓๑ ง/หน้า ๕/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖ |
386778 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง คุณสมบัติของสมาชิก หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
| ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
คุณสมบัติของสมาชิก หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับสมาชิก
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๑๔
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง คุณสมบัติของสมาชิก
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
เป็นผู้มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑) เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ
(๒) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
หรือเป็นคนไร้ความสามารถ
(๓) มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
ข้อ ๔ ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ด้วยตนเองในวันทำการ
พร้อมทั้งเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ
(๒) สำเนาทะเบียนบ้าน
(๓)
ใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งจากสถานพยาบาลของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
(๔) หลักฐานอื่นตามที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กำหนด
ความสมบูรณ์ของสมาชิกภาพของผู้สมัครตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่ข้อบังคับของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กำหนด
ข้อ ๕
เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใด
ให้ถือว่าผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ ๖
ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ
๓๑ ง/หน้า ๓/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖ |
386772 | ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง คุณสมบัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
| ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคม
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง
คุณสมบัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา
๑๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เรื่อง คุณสมบัติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์
(๓) มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่สี่
(๔) มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในจังหวัดที่ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(๕) มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและมีฐานะมั่นคง
(๖) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(๗) ไม่เป็นภิกษุ
สามเณร นักพรต หรือนักบวชในศาสนาใด
(๘)
ไม่เคยถูกนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่สั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๙) ไม่เคยถูกที่ประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งกรรมการเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
หรือไม่เคยต้องโทษตามกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๐) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๑๑) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๑๒) ไม่เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือบุคคลล้มละลาย
(๑๓)
ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ
หรือไม่เคยถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
ข้อ ๔
ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๓๑ ง/หน้า ๑/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖ |
811687 | ประกาศนายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ เรื่อง กำหนดแบบทะเบียนสมาชิก แบบบัญชีแสดงฐานะการเงินและแบบบัญชีงบดุล ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
| ประกาศนายทะเบียนกลางสมาคม
ฌาปนกิจสงเคราะห์
เรื่อง
กำหนดแบบทะเบียนสมาชิก แบบบัญชีแสดงฐานะการเงิน
และแบบบัญชีงบดุล
ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กำหนดแบบทะเบียนสมาชิก
แบบบัญชีแสดงฐานะการเงิน และแบบงบดุล ขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
๑. ทะเบียนสามชิก แบบ
ส.ฌ. ๑๐
๒. บัญชีแสดงฐานะการเงิน
๒.๑ สมุดเงินสด แบบ
ส.ฌ. ๑๑ ก
๒.๒ สมุดเงินฝากธนาคาร แบบ
ส.ฌ. ๑๑ ข
๒.๓ บัญชีแยกประเภท แบบ
ส.ฌ. ๑๑ ค
๒.๔ สมุดรายวันทั่วไป แบบ
ส.ฌ. ๑๑ ง
๒.๕ บัญชีรายได้ รายจ่าย แบบ
ส.ฌ. ๑๑ จ
๓. บัญชีงบดุล แบบ
ส.ฌ. ๑๒
ทั้งนี้
ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใช้แบบต่าง ๆ ตามแบบท้ายประกาศฉบับนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๑๗
อร่าม
สุทธะพินทุ
รองอธิบดี รักษาราชการแทน
อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์
นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบทะเบียนที่นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กำหนด (แบบ ส.ฌ. ๑๐)
๒.
แบบบัญชีที่นายทะเบียนกลางสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กำหนด
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ศิรวัชร์/จัดทำ
๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๑๔๒/หน้า ๓๑๘๔/๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๗ |
314320 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 264/2521 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการทั่วราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
ที่ ๒๖๔/๒๕๒๑
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการทั่วราชอาณาจักร
ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติราชการตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นไปโดยเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ ๘๗๙/๒๕๑๙
ลงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๙ และให้แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวในเขตท้องที่ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
๑. รองอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์
๒. หัวหน้ากองความมั่นคงแห่งสังคม
กรมประชาสงเคราะห์
๓. ผู้ตรวจการประชาสงเคราะห์
๔. เจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ ๕
กองความมั่นคงแห่งสังคม กรมประชาสงเคราะห์
๕. นิติกร ๕ กองความมั่นคงแห่งสังคม
กรมประชาสงเคราะห์
๖. เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี ๕
กองความมั่นคงแห่งสังคม กรมประชาสงเคราะห์
๗. เจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ ๔
กองความมั่นคงแห่งสังคม กรมประชาสงเคราะห์
๘. นิติกร ๔ กองความมั่นคงแห่งสังคม
กรมประชาสงเคราะห์
๙.
เจ้าหน้าที่การเงินและการบัญชี ๔ กองความมั่นคงแห่งสังคม กรมประชาสงเคราะห์
๑๐. เจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ ๓
กองความมั่นคงแห่งสังคม กรมประชาสงเคราะห์
๑๑. นักสังคมสงเคราะห์ ๓
กองความมั่นคงแห่งสังคม กรมประชาสงเคราะห์
๑๒. เจ้าหน้าที่การเงินและการบัญชี
๓ กองความมั่นคงแห่งสังคม กรมประชาสงเคราะห์
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ
วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๑
ดำริ น้อยมณี
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ศิรวัชร์/จัดทำ
๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๕/ตอนที่ ๖๘/หน้า ๒๑๒๔/๔ กรกฎาคม ๒๕๒๑ |
324280 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 880/2519 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเฉพาะเขตท้องที่ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
ที่ ๘๘๐/๒๕๑๙
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเฉพาะเขตท้องที่
ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติราชการตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นไปโดยเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงมหาดไทย
ที่ ๕๕๙/๒๕๑๗ ลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๑๗ และให้แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ในเขตท้องที่อำเภอหรือจังหวัดอันเป็นเขตอำนาจของตน
๑. ผู้ว่าราชการจังหวัด
๒. รองผู้ว่าราชการจังหวัด
๓. ปลัดจังหวัด
๔. ประชาสงเคราะห์จังหวัด
๕. จ่าจังหวัด
๖. นายอำเภอ
๗. ปลัดอำเภอ
๘. ผู้ช่วยประชาสงเคราะห์จังหวัด
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ
วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๙
คนึง ฦาไชย
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ
รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๑๕๗/หน้า ๔๐๘๙/๒๘ ธันวาคม ๒๕๑๙ |
722346 | ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2545 (ฉบับ Update ล่าสุด) | ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคม
ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา
๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ
๒[๑]
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓[๒] กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) คุณสมบัติ
(ก) มีสัญชาติไทย
(ข) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์
(ค) มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่สี่
(ง) มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและมีฐานะมั่นคง
(จ) เป็นสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
(๒) ลักษณะต้องห้าม
(ก) เป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อื่น
(ข) เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(ค) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวชในศาสนาใด
(ง) เคยถูกนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
สั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(จ)
เคยถูกที่ประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งกรรมการเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
หรือไม่เคยต้องโทษตามกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
(ฉ) เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
(ช) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(ซ) เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือบุคคลล้มละลาย
(ฌ) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ
หรือไม่เคยถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวรักษาการตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗[๓]
วิศนี/ผู้จัดทำ
๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ
๓๑ ง/หน้า ๒๗/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖
[๒] ข้อ ๓
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗
[๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๑/ตอนพิเศษ
๒๖๔ ง/หน้า ๑/๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ |
719898 | ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 | ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๗
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๒๑
แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ
๓ ของระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓ กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) คุณสมบัติ
(ก) มีสัญชาติไทย
(ข) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์
(ค) มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่สี่
(ง) มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและมีฐานะมั่นคง
(จ) เป็นสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
(๒) ลักษณะต้องห้าม
(ก) เป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อื่น
(ข) เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(ค) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวชในศาสนาใด
(ง) เคยถูกนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
สั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(จ)
เคยถูกที่ประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งกรรมการเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
หรือไม่เคยต้องโทษตามกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
(ฉ) เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
(ช) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(ซ) เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือบุคคลล้มละลาย
(ฌ) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือไม่เคยถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
ประกาศ
ณ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
วิเชียร
ชวลิต
ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๘ มกราคม ๒๕๕๘
วิศนี/ผู้ตรวจ
๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๑/ตอนพิเศษ ๒๖๔ ง/หน้า ๑/๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ |
442104 | ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ พ.ศ. 2547
| ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๔๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์โดยอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีจึงออกระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๔๗
หมวด ๑
บททั่วไป
ข้อ
๒ ในระเบียบนี้
การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
หมายความว่า การฌาปนกิจสงเคราะห์ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
และองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
การขึ้นทะเบียน
หมายความว่า การขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
เงินสงเคราะห์
หมายความว่า เงินที่สมาชิกร่วมกันออกช่วยเหลือเป็นค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตาย รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจการของการฌาปนกิจสงเคราะห์
คณะกรรมการ
หมายความว่า คณะกรรมการดำเนินการการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
นายทะเบียน
หมายความว่า นายทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
พนักงานเจ้าหน้าที่
หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามระเบียบนี้
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามระเบียบนี้
ข้อ
๓
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นนายทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
ข้อ
๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รักษาการตามระเบียบนี้
และมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามระเบียบนี้
หมวด ๒
การขึ้นทะเบียน
ข้อ
๕ การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
จะมีวัตถุประสงค์นอกจากการฌาปนกิจสงเคราะห์ด้วยมิได้
ข้อ
๖ การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
ต้องเป็นไปตามข้อบังคับหรือระเบียบของหน่วยงานนั้น ๆ
และต้องขึ้นทะเบียนตามระเบียบนี้
ข้อ
๗ การขอขึ้นทะเบียนตามระเบียบนี้
ให้หัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือนายกสภาองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนตามแบบ ก.ฌ. ๑ ท้ายระเบียบนี้ และต้องมีข้อบังคับหรือระเบียบของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่ขอขึ้นทะเบียนส่งไปด้วยจำนวนสองฉบับ
ข้อ
๘
เมื่อนายทะเบียนได้พิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนและข้อบังคับหรือระเบียบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามระเบียบนี้
ให้นายทะเบียนรับขึ้นทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนตามแบบ ก.ฌ. ๒
ท้ายระเบียบนี้ให้แก่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
ข้อ
๙
ข้อบังคับหรือระเบียบของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐอย่างน้อยต้องมีข้อความ
ดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อต้องมี คำว่า การฌาปนกิจสงเคราะห์ กำกับไว้กับชื่อนั้นด้วย
(๒)
วัตถุประสงค์
(๓)
ที่ตั้งสำนักงานและวันเวลาเปิดทำการ
(๔)
วิธีการรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ
(๕)
อัตราเงินค่าสมัคร อัตราเงินค่าบำรุง และอัตราเงินสงเคราะห์
และวิธีการชำระเงินนั้น
(๖)
อัตราการหักเงินสงเคราะห์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ
(๗)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
(๘)
วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพ หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว
(๙)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเก็บรักษาเงิน
(๑๐)
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการตั้งกรรมการ จำนวนกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
และการประชุมของคณะกรรมการ
ข้อ
๑๐
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับหรือระเบียบของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
ให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการ
โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมด
และแจ้งให้นายทะเบียนทราบ เมื่อนายทะเบียนพิจารณาเห็นว่าถูกต้องตามระเบียบนี้แล้ว
ก็ใช้บังคับได้
ข้อ
๑๑
ในกรณีที่ใบสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนสูญหายหรือถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ
ให้นายทะเบียนออกใบแทนใบสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนตามแบบ ก.ฌ. ๓ ท้ายระเบียบนี้
เมื่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐร้องขอ
หมวด ๓
การดำเนินกิจการ
ข้อ
๑๒ ให้การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐเป็นงานสวัสดิการของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐนั้น
โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการและเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
เพื่อการนี้คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้
คณะกรรมการต้องมีหัวหน้าส่วนราชการ
หรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือนายกสภาองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าว เป็นประธานกรรมการ
ข้อ
๑๓
การตั้งกรรมการและการเปลี่ยนตัวกรรมการให้อยู่ในดุลพินิจและความรับผิดชอบของหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ
หรือนายกสภาองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
ซึ่งต้องมีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการพร้อมส่งสำเนาที่มีคำรับรองว่าถูกต้อง
ภายในสามสิบวันไปให้นายทะเบียนทราบด้วย
ข้อ
๑๔ การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
จะเรียกเก็บเงินจากผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกได้เฉพาะเงินค่าสมัคร เงินค่าบำรุง
และเงินสงเคราะห์ ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑)
เงินค่าสมัคร ให้เรียกเก็บจากผู้สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกเพียงครั้งเดียวตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือระเบียบ
แต่ต้องไม่เกินคนละหนึ่งร้อยบาท
(๒)
เงินค่าบำรุง ให้เรียกเก็บจากสมาชิกเป็นรายเดือนหรือรายปีตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือระเบียบ
แต่ต้องไม่เกินห้าสิบบาทต่อปี
(๓)
เงินสงเคราะห์
ให้เรียกเก็บจากสมาชิกคิดตามข้อจำกัดจำนวนสมาชิกที่มีอยู่และตามจำนวนสมาชิกที่ตาย
ในอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือระเบียบ แต่ต้องไม่เกินศพละ
(ก)
หนึ่งร้อยบาท สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกไม่เกินสองพันห้าร้อยคน
(ข)
ห้าสิบบาท สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกเกินสองพันห้าร้อยคน
แต่ไม่เกินห้าพันคน
(ค)
สามสิบบาท สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกเกินห้าพันคน
แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นคน
(ง)
ยี่สิบบาท สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกเกินหนึ่งหมื่นคน
ในกรณีที่การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐใดมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราการเรียกเก็บเงินสงเคราะห์
ให้คณะกรรมการพิจารณาแก้ไขข้อบังคับหรือระเบียบเปลี่ยนแปลงอัตราการเรียกเก็บเงินสงเคราะห์โดยไม่ชักช้า
แต่ถ้ามีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่เกินร้อยละหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดจะไม่แก้ไขข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราการเรียกเก็บเงินสงเคราะห์ก็ได้
ข้อ
๑๕
การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐอาจเรียกเก็บเงินสงเคราะห์ไว้ล่วงหน้าเพื่อสำรองจ่ายเป็นค่าจัดการศพ
หรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือระเบียบก็ได้
ในกรณีที่การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐต้องเลิกไปหรือสมาชิกผู้ใดพ้นจากสมาชิกภาพ
ให้คืนเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บไว้ล่วงหน้าตามวรรคหนึ่งให้แก่สมาชิกหรือทายาทของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตายเท่าที่สมาชิกผู้นั้นยังไม่ตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินสงเคราะห์ตามที่ได้จ่ายล่วงหน้าไว้
ข้อ
๑๖
การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐอาจหักเงินจำนวนหนึ่งไว้จากเงินสงเคราะห์
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือระเบียบ
แต่ต้องไม่เกินอัตรา ดังต่อไปนี้
(๑)
ร้อยละเก้า สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกไม่เกินสองพันห้าร้อยคน
(๒)
ร้อยละแปด สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกเกินสองพันห้าร้อยคน
แต่ไม่เกินห้าพันคน
(๓)
ร้อยละหก สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกเกินห้าพันคน
แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นคน
(๔)
ร้อยละสี่ สำหรับการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่มีสมาชิกเกินหนึ่งหมื่นคน
ในกรณีที่การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐใดมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราการหักเงินสงเคราะห์ไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
ให้นำความในข้อ ๑๔ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐหักเงินสงเคราะห์ไว้ไม่เพียงพอแก่การใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ
หรือหักเงินสงเคราะห์ไว้มากเกินความจำเป็นแก่การใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ
ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดอัตราการหักเงินสงเคราะห์เพิ่มขึ้นหรือลดลงนับแต่มีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น
แต่จะเพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งไม่ได้
ข้อ
๑๗
กรรมการของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างหรือเงินอื่นใดนอกจากเบี้ยประชุมหรือค่าพาหนะเท่านั้น
โดยให้การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐวางระเบียบเกี่ยวกับการนี้
และต้องส่งสำเนาที่มีคำรับรองว่าถูกต้องต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวัน
หมวด ๔
การควบคุม
ข้อ
๑๘
การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดและให้เก็บรักษาไว้ที่สำนักงาน
พร้อมทั้งหลักฐานเอกสารที่ใช้ประกอบการลงทะเบียน
และให้ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่มีอยู่ในวันที่ครบเก้าสิบวันนับแต่วันที่ขึ้นทะเบียนให้แก่นายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันดังกล่าว
และเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนของทุกปี ให้ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น
และแจ้งบัญชีรายชื่อของสมาชิกที่ตายหรือการพ้นจากสมาชิกภาพตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดให้แก่นายทะเบียนภายในสามสิบวัน
นับแต่สิ้นเดือนมิถุนายน
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกตามที่ปรากฏในทะเบียนสมาชิก
ให้การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐรายงานนายทะเบียนตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดตามระยะเวลาในวรรคหนึ่ง
ข้อ
๑๙
การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐต้องจัดให้มีบัญชีแสดงฐานะทางการเงินตามแบบที่นายทะเบียนกำหนด
และต้องเก็บรักษาเอกสารประกอบบัญชีที่แสดงให้เห็นความถูกต้องแห่งบัญชีนั้นไว้ด้วย
ข้อ
๒๐
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของทุกปี การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐต้องทำบัญชีงบดุลเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ
หรือนายกสภาองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
เพื่ออนุมัติ
และส่งสำเนางบดุลและเอกสารประกอบงบดุลให้แก่นายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติ
และให้แสดงงบดุลนั้นไว้ที่สำนักงานของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐเพื่อให้สมาชิกและผู้มีส่วนได้เสียตรวจดูได้ด้วย
ในกรณีที่การฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐใดได้จัดทำบัญชีงบดุลเมื่อสิ้นปีงบประมาณให้จัดทำบัญชีงบดุลในลักษณะดังกล่าวต่อไปได้อีกไม่เกินสองปีงบประมาณนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ
ข้อ
๒๑ เอกสารหลักฐานตามข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙
และข้อ ๒๐
ต้องเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐไม่น้อยกว่าสิบปี
ข้อ
๒๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบนี้
ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
ดังต่อไปนี้
(๑)
ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการ
(๒)
เรียกเอกสารหลักฐาน ทะเบียนสมาชิก หรือบัญชีของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐมาตรวจสอบ
(๓)
เรียกกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
มาเพื่อสอบถามหรือแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของการฌาปนกิจสงเคราะห์
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควรแก่นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่
หมวด ๕
การเลิกกิจการ
ข้อ
๒๓
นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้เลิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐได้ในกรณี
ดังต่อไปนี้
(๑)
สมาชิกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดร่วมกันยื่นคำร้องขอเป็นหนังสือต่อนายทะเบียน
ขอให้เลิกพร้อมด้วยเหตุผลประกอบคำร้องขอ และนายทะเบียนได้สอบสวนแล้วเห็นสมควรให้เลิก
(๒)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริต
และนายทะเบียนได้สอบสวนพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว มีเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้
(๓)
มีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่าการดำเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐไม่อาจจะดำเนินต่อไปได้
ไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ
เมื่อนายทะเบียนสั่งเลิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐใด
ให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือพร้อมด้วยเหตุผลไปยังหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ
หรือนายกสภาองค์กรวิชาชีพซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐนั้น
ภายในสามสิบวัน
ข้อ
๒๔ กรรมการของการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐที่นายทะเบียนสั่งเลิกตามข้อ
๒๓ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี
โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน
นับแต่วันยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
ข้อ
๒๕
เมื่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐต้องเลิก ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ
ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือนายกสภาองค์กรวิชาชีพ ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
มีหน้าที่รับผิดชอบในการชำระบัญชีให้เสร็จโดยเร็ว และเมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว
ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด
ให้นำทรัพย์สินนั้นไปใช้จ่ายในด้านสวัสดิการตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับหรือระเบียบหรือตามมติของคณะกรรมการ
ในกรณีที่มิได้ระบุไว้ในข้อบังคับหรือระเบียบ หรือคณะกรรมการมิได้มีมติไว้
ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
สรอรรถ กลิ่นประทุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำขอขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
(แบบ ก.ฌ. ๑)
๒. ใบสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
(แบบ ก.ฌ. ๒)
๓. ใบแทนใบสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ภาครัฐ
(แบบ ก.ฌ. ๓)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๑/ตอนที่ ๔๗ ง/หน้า ๑๖/๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ |
386760 | ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2545
| ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคม
ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
พ.ศ. ๒๕๔๕
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา
๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ว่าด้วยคุณสมบัติของกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์
(๓) มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่สี่
(๔) มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในจังหวัดที่จดทะเบียนตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
(๕) มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและมีฐานะมั่นคง
(๖) เป็นสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น
(๗) ไม่เป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อื่น
(๘) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(๙) ไม่เป็นภิกษุ
สามเณร นักพรต หรือนักบวชในศาสนาใด
(๑๐) ไม่เคยถูกนายทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่
สั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๑) ไม่เคยถูกที่ประชุมใหญ่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งกรรมการเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
หรือไม่เคยต้องโทษตามกฎหมายว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์
(๑๒) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
(๑๓) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๑๔) ไม่เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว
หรือบุคคลล้มละลาย
(๑๕) ไม่เคยถูกไล่ออก
ปลดออก หรือให้ออกจากส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือไม่เคยถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
ข้อ ๔ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวรักษาการตามระเบียบนี้
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อนุรักษ์ จุรีมาศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ
๓๑ ง/หน้า ๒๗/๑๓ มีนาคม ๒๕๔๖ |
302146 | พระราชบัญญัติการดำรงตำแหน่งในทางการเมืองของข้าราชการ กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2522 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การดำรงตำแหน่งในทางการเมืองของข้าราชการ
กรรมการ
พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการดำรงตำแหน่งในทางการเมืองของข้าราชการ
กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการดำรงตำแหน่งในทางการเมืองของข้าราชการ
กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา
๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๒๐ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐
มาตรา
๔ ในพระราชบัญญัตินี้
ข้าราชการ
หมายความว่า ข้าราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร
ข้าราชการพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนและกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
ข้าราชการตำรวจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการตำรวจ
ข้าราชการอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ข้าราชการฝ่ายรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา
และข้าราชการกรุงเทพมหานครตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานคร
กรรมการ
หมายความว่า กรรมการในคณะกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
โดยประกาศพระบรมราชโองการ โดยคณะรัฐมนตรี
หรือโดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
สำหรับกรรมการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจให้หมายความรวมถึงประธานกรรมการและรองประธานกรรมการด้วย
พนักงานส่วนท้องถิ่น
หมายความว่า พนักงานเทศบาล พนักงานสุขาภิบาล
และหมายความรวมถึงข้าราชการส่วนจังหวัดด้วย
พนักงานรัฐวิสาหกิจ
หมายความว่า พนักงานของรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
มาตรา
๕
ภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๐๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๒๑ มิให้นำบทบัญญัติของกฎหมายที่ห้ามข้าราชการ กรรมการ
พนักงานส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา ตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
หรือตำแหน่งสมาชิกสภาที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติ
หรือดำรงตำแหน่งในทางการเมืองมาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง
หรือตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาของข้าราชการ กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น
หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
บทบัญญัติตามวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาของข้าราชการฝ่ายตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการด้วยโดยอนุโลม
มาตรา
๖ ในระหว่างระยะเวลาตามมาตรา ๕
มิให้นำมาตรา ๒๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จบำนาญ
และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๐๕
มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองของข้าราชการ กรรมการ
พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานรัฐวิสาหกิจ และให้ข้าราชการ กรรมการ
พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองด้วยในขณะเดียวกันมีสิทธิได้รับเงินเดือนตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้าราชการ
กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
และเงินเดือนและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง
แต่สำหรับเงินเดือนในตำแหน่งข้าราชการการเมืองให้ได้รับจริงเพียงกึ่งหนึ่ง
มาตรา
๗
ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติเป็นบทเฉพาะกาล
อนุญาตให้ข้าราชการประจำ กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น
หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจดำรงตำแหน่งในทางการเมืองในขณะเดียวกันได้ ทั้งนี้
เพื่อให้สามารถระดมผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาการต่าง ๆ
มาช่วยเหลือในการบริหารราชการแผ่นดินได้เป็นการชั่วคราว แต่เนื่องจากมีกฎหมายปัจจุบันที่ผ่อนผันให้ข้าราชการ
กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ดำรงตำแหน่งในทางการเมืองได้นั้นจะสิ้นอายุลงภายหลังการเลือกตั้ง
สมควรแก้ไขให้ข้าราชการ กรรมการ พนักงานส่วนท้องถิ่น
และพนักงานรัฐวิสาหกิจดำรงตำแหน่งในทางการเมืองได้ต่อไป เพื่อให้สมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
วศิน/แก้ไข
๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓
ปริญสินีย์/ปรับปรุง
ชาญ/ตรวจ
๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๖/ตอนที่ พิเศษ/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๑/๒๒ เมษายน ๒๕๒๒ |
773809 | พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
กิจการดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า การทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยกระทำเป็นทางค้าปกติและได้รับค่าตอบแทนหรือค่าบริการ
สัญญาดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างคู่สัญญากับผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตกลงจะดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่คู่สัญญาตกลงกันไว้
คู่สัญญา[๒] (ยกเลิก)
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้
บัญชีดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
บัญชีเงินฝากที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเปิดไว้กับสถาบันการเงินในนามของตนเพื่อประโยชน์ของคู่สัญญา
สถาบันการเงิน หมายความว่า
(๑)
ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(๒)
ธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
ใบอนุญาต หมายความว่า
ใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
กรรมการ หมายความว่า กรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงและประกาศนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๕ ในการทำสัญญาต่างตอบแทนใด ๆ
คู่สัญญาอาจตกลงกันจัดให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
โดยการทำสัญญาดูแลผลประโยชน์และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖
สัญญาดูแลผลประโยชน์ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
และอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๒)
วันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๓)
ชื่อสัญญาต่างตอบแทนที่กำหนดระหว่างคู่สัญญา
(๔)[๓] ระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
หรือการส่งมอบเงินตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๕)[๔] หลักเกณฑ์ในการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
ในกรณีที่สัญญากำหนดให้มีการส่งมอบเงิน
(๖)
สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๗)
ค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผลประโยชน์
(๘)
รายการอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๗ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ในการดูแลให้คู่สัญญาปฏิบัติการชำระหนี้ตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยดูแลรักษาเงิน ทรัพย์สิน
หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้บรรดาที่คู่สัญญาได้ส่งมอบให้อยู่ในความครอบครองของตน
พร้อมทั้งดำเนินการส่งมอบเงินหรือจัดให้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญา[๕]
นอกจากหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาอาจให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามที่มีข้อตกลงกับคู่สัญญาได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๘ ในกรณีที่คู่สัญญามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
ให้คู่สัญญาออกค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง ฝ่ายละเท่ากัน และหากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้มีการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามมาตรา
๗ วรรคสอง ให้คู่สัญญาฝ่ายนั้นเป็นผู้ออกค่าบริการตามที่ร้องขอ
อัตราค่าตอบแทนหรือค่าบริการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ค่าตอบแทนหรือค่าบริการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีสิทธิได้รับตามวรรคหนึ่งห้ามเรียกเก็บจากเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์
หมวด ๒
การประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
มาตรา ๙ บุคคลตามมาตรา ๑๐
ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๐ ผู้ซึ่งประสงค์จะได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๙
ต้องเป็นสถาบันการเงิน หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในการออกกฎกระทรวงกำหนดให้นิติบุคคลใดประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามวรรคหนึ่งจะกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงฐานะการเงิน
การวางหลักประกันหรือหลักเกณฑ์อื่นใดให้นิติบุคคลดังกล่าวต้องปฏิบัติเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
มาตรา ๑๑
ห้ามบุคคลใดนอกจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจว่า
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๑๒ ห้ามผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาซึ่งมีส่วนได้เสียกับคู่สัญญาไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญาซึ่งตนมีส่วนได้เสีย
กรณีใดจะถือว่าเป็นการมีส่วนได้เสียกับคู่สัญญาตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๓
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดทำทะเบียนเกี่ยวกับสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องรักษาทะเบียน
และสำเนาสัญญาดูแลผลประโยชน์ไว้ไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ลงรายการครั้งสุดท้ายในทะเบียนหรือวันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยจะเก็บไว้ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือรูปแบบใดก็ได้
มาตรา ๑๔
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดเก็บทรัพย์สินของคู่สัญญาแยกออกจากทรัพย์สินของตน
โดยต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินของคู่สัญญาแต่ละรายแยกออกจากบัญชีทรัพย์สินของตน รวมทั้งเก็บรักษาบัญชีดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๕
ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญายื่นรายงานหรือเอกสารใด
ๆ เกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
โดยจะให้ทำคำชี้แจงเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานหรือเอกสารนั้นด้วยก็ได้
มาตรา ๑๖
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดประสงค์จะเลิกประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ให้ยื่นคำขออนุญาตต่อรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนเลิกประกอบกิจการ
ในการยื่นคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องแสดงหลักฐานว่าได้ดำเนินการดังต่อไปนี้เรียบร้อยแล้ว
(๑)
การบอกกล่าวให้คู่สัญญาและผู้มีส่วนได้เสียทราบและใช้สิทธิตามกฎหมาย
(๒)
การจัดการหรือโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๓)
การจัดการโอนเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์หรือทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์คืนให้แก่คู่สัญญา
ในกรณีที่คู่สัญญาประสงค์จะเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์หรือไม่สามารถโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นไปดำเนินการแทนได้
ในการพิจารณาอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขหรือมีคำสั่งให้ผู้ยื่นคำขออนุญาตปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาส่งคืนใบอนุญาตแก่รัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งอนุญาตให้เลิกประกอบกิจการ
หมวด ๓
สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๑๗[๖] เมื่อคู่สัญญาตกลงกันให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาดำเนินการจัดทำสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๖
ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาดำเนินการเปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์เพื่อสัญญารายนั้นกับสถาบันการเงิน
และนำเงินที่ได้รับจากคู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินฝากไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ดังกล่าวภายในหนึ่งวันทำการ
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาออกหลักฐานรับรองการฝากเงินส่งให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินทุกครั้ง
โดยให้ถือว่าหลักฐานดังกล่าวเป็นหลักฐานในการปฏิบัติเกี่ยวกับการชำระหนี้เงินตามสัญญา
และให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาแจ้งเป็นหลักฐานให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบถึงการฝากเงินนั้นโดยเร็ว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ในกรณีที่ทรัพย์สินที่คู่สัญญาต้องส่งมอบหรือโอนสิทธิเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดทราบ
และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวบันทึกเป็นหลักฐานไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นอยู่ภายใต้บังคับแห่งสัญญาดูแลผลประโยชน์
และห้ามจดทะเบียนโอนสิทธิในทรัพย์สินนั้นจนกว่าจะได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๑๘[๗] ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องแจ้งหลักฐานให้คู่สัญญาทราบถึงรายการฝากหรือโอนเงิน
และจำนวนเงินคงเหลือในบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๙[๘] ในกรณีที่คู่สัญญาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์ครบถ้วนแล้ว
และไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาตามสัญญาดูแลผลประโยชน์ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาโอนเงินพร้อมดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
หรือจัดให้มีการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
มาตรา ๒๐[๙] ในกรณีที่มีการโอนเงินจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องโอนเข้าบัญชีของคู่สัญญาซึ่งมีสิทธิได้รับเงินโดยตรง
และต้องแจ้งหลักฐานการโอนเงินให้คู่สัญญาดังกล่าวทราบโดยทันที
มาตรา ๒๑
การเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์ไม่ว่าด้วยเหตุใด
ไม่กระทบสิทธิของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่จะได้รับค่าตอบแทนและค่าบริการเพื่อการงานที่ตนได้จัดทำไปแล้วตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
เว้นแต่การเลิกสัญญาเกิดจากความผิดของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๒๒[๑๐] ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกัน ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาพิจารณาดำเนินการ
ดังต่อไปนี้
(๑) ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
หรือ
(๒)
ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
การดำเนินการตาม (๑)
หรือ (๒) ต้องกระทำภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๒๓
เว้นแต่ในสัญญาดูแลผลประโยชน์จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของคู่สัญญาตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
ห้ามผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาส่งเงินหรือโอนทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนกว่าคู่สัญญาจะได้ทำความตกลงกันหรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
มาตรา ๒๔[๑๑] ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์สิ้นสุดลงและได้มีการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์หมดสิ้นแล้ว
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง
และแจ้งให้คู่สัญญาทราบโดยทันที
มาตรา ๒๕
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
หรือถูกทางการหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมายอื่นสั่งระงับการดำเนินกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด
ให้เงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์ได้รับความคุ้มครองโดยไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การยึดหรืออายัดในคดีแพ่งซึ่งผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลายของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาหรือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การห้ามจำหน่าย
จ่าย หรือโอน ตามคำสั่งระงับการดำเนินกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด
เมื่อผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามวรรคหนึ่งถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคณะกรรมการดำเนินการแยกเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์
รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑)
รวบรวมเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์และจัดสรรคืนให้แก่คู่สัญญา
ในกรณีที่คู่สัญญาประสงค์จะเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒)
โอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๓)
ประนีประนอมยอมความ ฟ้องร้อง ต่อสู้คดี หรือดำเนินการอื่นใด
เพื่อให้การจัดการเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์เสร็จสิ้นไป
ในการดำเนินการตามวรรคสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคณะกรรมการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้
หมวด ๔
การกำกับดูแลและตรวจสอบ
มาตรา ๒๖ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมที่ดิน
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย
และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินห้าคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ให้ปลัดกระทรวงการคลังแต่งตั้งข้าราชการของกระทรวงการคลังเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในด้านการเงิน การบัญชี ภาษี กฎหมาย
การคุ้มครองผู้บริโภค หรือการซื้อขายทรัพย์สิน
มาตรา ๒๗ ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ
รับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม การศึกษาข้อมูล และกิจการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการ
มาตรา ๒๘[๑๒] ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
กำกับดูแลและส่งเสริมการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
(๒)
เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับการออกประกาศตามพระราชบัญญัตินี้
(๓)
ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๗ มาตรา
๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๒
(๔)
ออกประกาศกำหนดค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา
๘
(๕)
กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้
(๖)
ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
ประกาศตาม
(๓) และ (๔) เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๒๙
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสองปี
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
แต่ยังมิได้แต่งตั้งกรรมการใหม่ ให้กรรมการนั้นปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะได้แต่งตั้งกรรมการใหม่
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้
มาตรา ๓๐ นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
รัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือทุจริตต่อหน้าที่
หย่อนความสามารถหรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย
(๔)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๕)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖)
ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
(๗)
เป็นกรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ
หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๓๑
ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
รัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทนได้ และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง
ให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
มาตรา ๓๒ การประชุมคณะกรรมการ
ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมคณะกรรมการ
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๓๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้
ให้นำบทบัญญัติในมาตรา
๓๒ มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา ๓๔ ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
เข้าไปในสถานที่ประกอบกิจการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาในระหว่างเวลาทำการของสถานที่นั้นเพื่อตรวจสอบกิจการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
รวมทั้งเก็บรวบรวมเอกสารหลักฐาน
หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๒) อายัดเอกสาร หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
(๓)
สั่งให้กรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ
หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามาให้ถ้อยคำหรือให้แสดงหรือส่งสมุดบัญชี
เอกสาร ดวงตราหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์
และหนี้สินของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและบุคคลข้างต้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม
(๑) พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องไม่กระทำการอันมีลักษณะเป็นการข่มขู่หรือเป็นการค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๓๕ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา
๓๔ ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๓๖ ในการปฏิบัติหน้าที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๗
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๕
การอุทธรณ์
มาตรา ๓๘
คำสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองของคณะกรรมการตามมาตรา ๓๙ วรรคสองหรือมาตรา
๔๐
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
รัฐมนตรีต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง
ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันได้รับอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ
ส่วนที่ ๑
โทษทางปกครอง
มาตรา ๓๙ ในกรณีที่ปรากฏต่อคณะกรรมการว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดดำเนินกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗
วรรคสอง มาตรา ๘ วรรคสอง มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๗ วรรคสาม มาตรา ๑๘
หรือมาตรา ๒๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ปรับปรุง ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน
หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในระยะเวลาที่กำหนด[๑๓]
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง
ให้คณะกรรมการพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๔๐[๑๔] ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา
๑๐ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสี่ หรือมาตรา ๒๒ ให้คณะกรรมการพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๑ ในการพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง
ให้คณะกรรมการคำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติกรรมที่กระทำผิด
ในกรณีผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่ยอมชำระค่าปรับทางปกครอง
ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
และในกรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับตามคำสั่ง
หรือมีแต่ไม่สามารถดำเนินการบังคับทางปกครองได้
ให้คณะกรรมการมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับชำระค่าปรับ
ในการนี้ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคำสั่งให้ชำระค่าปรับนั้นชอบด้วยกฎหมาย
ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาและบังคับให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าปรับได้
มาตรา ๔๒
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องรับโทษปรับทางปกครอง ให้กรรมการผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญานั้นต้องรับโทษปรับทางปกครองตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น
หรือตนได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว
มาตรา ๔๓
ให้รัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้
เมื่อปรากฏว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาใด
(๑)
ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖ วรรคสาม
(๒)
เคยถูกลงโทษปรับทางปกครองและกระทำการอันเป็นความผิดอย่างเดียวกันและถูกลงโทษปรับทางปกครองซ้ำอีก
(๓)
กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติที่มีโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัตินี้
(๔)
กรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ดูแลประโยชน์ของคู่สัญญากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา
๔๘
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งหมดสิทธิในการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญานับแต่วันที่มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้ทำไว้กับคู่สัญญาก่อนถูกเพิกถอนใบอนุญาตและยังมีผลผูกพันอยู่
และให้คณะกรรมการมีอำนาจดำเนินการโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
โดยให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว
ในการดำเนินการตามวรรคสาม
คณะกรรมการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้
ส่วนที่ ๒
โทษอาญา
มาตรา ๔๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
มาตรา ๔๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๖
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่งและวรรคสี่
มาตรา ๒๐ หรือมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๗
ผู้ใดขัดขวางหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๔
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๘ กรรมการ ผู้จัดการ
บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใด กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑)
หลอกลวงคู่สัญญาด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งเกี่ยวกับกิจการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่กระทำเพื่อประโยชน์ของคู่สัญญาและการกระทำดังกล่าวทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของคู่สัญญา
(๒)
ยักยอกหรือทำให้เงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์ลดลงจากจำนวนที่คู่สัญญาได้ฝากไว้
(๓)
ครอบครองทรัพย์สินของคู่สัญญาซึ่งผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้รับไว้เนื่องจากการประกอบกิจการตามพระราชบัญญัตินี้
และเบียดบังเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม
(๔)
ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีหรือเอกสารของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่จัดทำขึ้นตามหน้าที่ในการประกอบกิจการตามพระราชบัญญัตินี้
(๕)
กระทำการหรือไม่กระทำการโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๔๙ บรรดาความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา
๔๘ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคน ซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใดและผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดแล้ว
ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๕๐[๑๕] ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในส่วนที่
๒ นี้ ยกเว้นมาตรา ๔๘ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๕๑
พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการตามหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจ
Escrow Account ลงวันที่
๘
มีนาคม ๒๕๔๔ หรือประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การอนุญาตให้บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดให้มีบัญชีดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(Escrow Account) ลงวันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
และในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนดังกล่าวประสงค์จะประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ดำเนินการขอรับใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๕๒
ผู้ใดใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อหรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกันอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา
๑๑ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากระบบการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทนอื่นใดในปัจจุบัน
ดำเนินการโดยอาศัยความน่าเชื่อถือระหว่างคู่สัญญาเป็นหลักในการชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
การที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของคู่สัญญา
จะทำให้ระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทนเกิดความเสี่ยงหรือหยุดชะงักอันส่งผลกระทบต่อคู่สัญญาและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่สัญญาและสร้างความมั่นคงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
สมควรให้มีคนกลางที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือเพื่อทำหน้าที่ดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐[๑๖]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน
คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘
พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖ ดังนั้น
เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒[๑๗]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๑๒ บรรดาประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
จนกว่าจะมีประกาศตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
การดำเนินการออกประกาศตามวรรคหนึ่ง
ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้รัฐมนตรีรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๑๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
ใช้บังคับเฉพาะแก่สัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการชำระเงินเท่านั้นไม่สามารถใช้บังคับแก่สัญญาต่างตอบแทนอื่นได้
สมควรแก้ไขให้สามารถใช้บังคับแก่สัญญาต่างตอบแทนอื่นได้ด้วยเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน
และสมควรแก้ไขหน้าที่ของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
วิธีการรับรองการฝากเงินและการแจ้งการฝากเงินไปยังคู่สัญญาให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น
และกำหนดให้คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อช่วยในการส่งเสริมการประกอบธุรกิจการดูแลผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วิวรรธน์/เพิ่มเติม
๑๘ เมษายน ๒๕๖๒
นุสรา/ตรวจ
๒๑ เมษายน ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๖ ก/หน้า ๑/๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
[๒] มาตรา
๓ นิยามคำว่า คู่สัญญา ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๓] มาตรา
๖ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๔] มาตรา
๖ (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕] มาตรา ๗ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๖] มาตรา ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๗] มาตรา
๑๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๘] มาตรา
๑๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๙] มาตรา
๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๑๐] มาตรา
๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๑๑] มาตรา
๒๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๑๒] มาตรา
๒๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๑๓] มาตรา ๓๙
วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๔] มาตรา
๔๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๑๕] มาตรา ๕๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
[๑๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
[๑๗] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๔๙ ก/หน้า ๒๗/๑๔ เมษายน ๒๕๖๒ |
831129 | พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 | พระราชบัญญัติ
การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๖๒
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒
เป็นปีที่ ๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อส่งเสริมให้การกำกับดูแลกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อันจะเป็นการอำนวยความสะดวก
และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบทนิยามคำว่า คู่สัญญา ในมาตรา
๓ แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความใน (๔) และ (๕) ของมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๔)
ระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ หรือการส่งมอบเงินตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๕)
หลักเกณฑ์ในการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
ในกรณีที่สัญญากำหนดให้มีการส่งมอบเงิน
มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๗ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ในการดูแลให้คู่สัญญาปฏิบัติการชำระหนี้ตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยดูแลรักษาเงิน ทรัพย์สิน
หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้บรรดาที่คู่สัญญาได้ส่งมอบให้อยู่ในความครอบครองของตน
พร้อมทั้งดำเนินการส่งมอบเงินหรือจัดให้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญา
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ มาตรา
๑๙ และมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๑๗ เมื่อคู่สัญญาตกลงกันให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาดำเนินการจัดทำสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๖
ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาดำเนินการเปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์เพื่อสัญญารายนั้นกับสถาบันการเงิน
และนำเงินที่ได้รับจากคู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินฝากไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ดังกล่าวภายในหนึ่งวันทำการ
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาออกหลักฐานรับรองการฝากเงินส่งให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินทุกครั้ง
โดยให้ถือว่าหลักฐานดังกล่าวเป็นหลักฐานในการปฏิบัติเกี่ยวกับการชำระหนี้เงินตามสัญญา
และให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาแจ้งเป็นหลักฐานให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบถึงการฝากเงินนั้นโดยเร็ว ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ในกรณีที่ทรัพย์สินที่คู่สัญญาต้องส่งมอบหรือโอนสิทธิเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดทราบ และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวบันทึกเป็นหลักฐานไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นอยู่ภายใต้บังคับแห่งสัญญาดูแลผลประโยชน์
และห้ามจดทะเบียนโอนสิทธิในทรัพย์สินนั้นจนกว่าจะได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๑๘
ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องแจ้งหลักฐานให้คู่สัญญาทราบถึงรายการฝากหรือโอนเงิน
และจำนวนเงินคงเหลือในบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๙ ในกรณีที่คู่สัญญาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์ครบถ้วนแล้ว
และไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาตามสัญญาดูแลผลประโยชน์ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาโอนเงินพร้อมดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
หรือจัดให้มีการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
มาตรา ๒๐
ในกรณีที่มีการโอนเงินจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องโอนเข้าบัญชีของคู่สัญญาซึ่งมีสิทธิได้รับเงินโดยตรง
และต้องแจ้งหลักฐานการโอนเงินให้คู่สัญญาดังกล่าวทราบโดยทันที
มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๒
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๒๒ ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกัน ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาพิจารณาดำเนินการ
ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
หรือ
(๒)
ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
การดำเนินการตาม
(๑) หรือ (๒) ต้องกระทำภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๔
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๒๔ ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามสัญญาที่มีการชำระเงิน
เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์สิ้นสุดลงและได้มีการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์หมดสิ้นแล้ว
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง
และแจ้งให้คู่สัญญาทราบโดยทันที
มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๒๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑)
กำกับดูแลและส่งเสริมการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
(๒)
เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับการออกประกาศตามพระราชบัญญัตินี้
(๓)
ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๗ มาตรา
๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๒
(๔) ออกประกาศกำหนดค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา
๘
(๕)
กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้
(๖)
ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
ประกาศตาม
(๓) และ (๔) เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๓๙ ในกรณีที่ปรากฏต่อคณะกรรมการว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดดำเนินกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗
วรรคสอง มาตรา ๘ วรรคสอง มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๗ วรรคสาม มาตรา ๑๘
หรือมาตรา ๒๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ปรับปรุง ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน
หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในระยะเวลาที่กำหนด
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๐
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๔๐ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา
๑๐ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสี่ หรือมาตรา ๒๒ ให้คณะกรรมการพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๑๒
บรรดาประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
จนกว่าจะมีประกาศตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
การดำเนินการออกประกาศตามวรรคหนึ่ง
ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้รัฐมนตรีรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๑๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
ใช้บังคับเฉพาะแก่สัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการชำระเงินเท่านั้นไม่สามารถใช้บังคับแก่สัญญาต่างตอบแทนอื่นได้
สมควรแก้ไขให้สามารถใช้บังคับแก่สัญญาต่างตอบแทนอื่นได้ด้วยเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน
และสมควรแก้ไขหน้าที่ของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
วิธีการรับรองการฝากเงินและการแจ้งการฝากเงินไปยังคู่สัญญาให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น
และกำหนดให้คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อช่วยในการส่งเสริมการประกอบธุรกิจการดูแลผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วิวรรธน์/จัดทำ
๑๘
เมษายน ๒๕๖๒
นุสรา/ตรวจ
๒๑
เมษายน ๒๕๖๒
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๔๙ ก/หน้า ๒๗/๑๔ เมษายน ๒๕๖๒ |
838561 | พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ณ วันที่ 11/02/2560) | พระราชบัญญัติ
การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
กิจการดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
การทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยกระทำเป็นทางค้าปกติและได้รับค่าตอบแทนหรือค่าบริการ
สัญญาดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างคู่สัญญากับผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตกลงจะดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่คู่สัญญาตกลงกันไว้
คู่สัญญา หมายความว่า คู่สัญญาตามสัญญาต่างตอบแทนใด
ๆ ที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการชำระเงินตามสัญญา
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา หมายความว่า
ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้
บัญชีดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
บัญชีเงินฝากที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเปิดไว้กับสถาบันการเงินในนามของตนเพื่อประโยชน์ของคู่สัญญา
สถาบันการเงิน หมายความว่า
(๑)
ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(๒)
ธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
ใบอนุญาต หมายความว่า
ใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
กรรมการ หมายความว่า
กรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงและประกาศนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๕ ในการทำสัญญาต่างตอบแทนใด ๆ
คู่สัญญาอาจตกลงกันจัดให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
โดยการทำสัญญาดูแลผลประโยชน์และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖
สัญญาดูแลผลประโยชน์ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
และอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๒)
วันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๓)
ชื่อสัญญาต่างตอบแทนที่กำหนดระหว่างคู่สัญญา
(๔)
ระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้และการส่งมอบเงินของคู่สัญญา
(๕)
หลักเกณฑ์ในการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
(๖)
สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๗)
ค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผลประโยชน์
(๘)
รายการอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๗
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ในการดูแลให้คู่สัญญาปฏิบัติการชำระหนี้ตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
และดูแลรักษาเงิน ทรัพย์สิน
หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ที่คู่สัญญาได้ส่งมอบให้อยู่ในความครอบครองของตนพร้อมทั้งดำเนินการส่งมอบเงินและจัดให้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญา
นอกจากหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาอาจให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามที่มีข้อตกลงกับคู่สัญญาได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๘
ในกรณีที่คู่สัญญามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
ให้คู่สัญญาออกค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง ฝ่ายละเท่ากัน
และหากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้มีการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามมาตรา ๗
วรรคสอง ให้คู่สัญญาฝ่ายนั้นเป็นผู้ออกค่าบริการตามที่ร้องขอ
อัตราค่าตอบแทนหรือค่าบริการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ค่าตอบแทนหรือค่าบริการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีสิทธิได้รับตามวรรคหนึ่งห้ามเรียกเก็บจากเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์
หมวด ๒
การประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
มาตรา ๙ บุคคลตามมาตรา ๑๐
ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๐ ผู้ซึ่งประสงค์จะได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๙
ต้องเป็นสถาบันการเงิน หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในการออกกฎกระทรวงกำหนดให้นิติบุคคลใดประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามวรรคหนึ่งจะกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงฐานะการเงิน
การวางหลักประกันหรือหลักเกณฑ์อื่นใดให้นิติบุคคลดังกล่าวต้องปฏิบัติเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
มาตรา ๑๑
ห้ามบุคคลใดนอกจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจว่า
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๑๒
ห้ามผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาซึ่งมีส่วนได้เสียกับคู่สัญญาไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญาซึ่งตนมีส่วนได้เสีย
กรณีใดจะถือว่าเป็นการมีส่วนได้เสียกับคู่สัญญาตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๓
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดทำทะเบียนเกี่ยวกับสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องรักษาทะเบียน
และสำเนาสัญญาดูแลผลประโยชน์ไว้ไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ลงรายการครั้งสุดท้ายในทะเบียนหรือวันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยจะเก็บไว้ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือรูปแบบใดก็ได้
มาตรา ๑๔
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดเก็บทรัพย์สินของคู่สัญญาแยกออกจากทรัพย์สินของตน
โดยต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินของคู่สัญญาแต่ละรายแยกออกจากบัญชีทรัพย์สินของตน
รวมทั้งเก็บรักษาบัญชีดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๕
ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญายื่นรายงานหรือเอกสารใด
ๆ เกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
โดยจะให้ทำคำชี้แจงเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานหรือเอกสารนั้นด้วยก็ได้
มาตรา ๑๖
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดประสงค์จะเลิกประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ให้ยื่นคำขออนุญาตต่อรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนเลิกประกอบกิจการ
ในการยื่นคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องแสดงหลักฐานว่าได้ดำเนินการดังต่อไปนี้เรียบร้อยแล้ว
(๑)
การบอกกล่าวให้คู่สัญญาและผู้มีส่วนได้เสียทราบและใช้สิทธิตามกฎหมาย
(๒)
การจัดการหรือโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๓)
การจัดการโอนเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์หรือทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์คืนให้แก่คู่สัญญา
ในกรณีที่คู่สัญญาประสงค์จะเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์หรือไม่สามารถโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นไปดำเนินการแทนได้
ในการพิจารณาอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขหรือมีคำสั่งให้ผู้ยื่นคำขออนุญาตปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาส่งคืนใบอนุญาตแก่รัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งอนุญาตให้เลิกประกอบกิจการ
หมวด ๓
สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๑๗
เมื่อคู่สัญญาตกลงกันให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาดำเนินการจัดทำสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๖
และดำเนินการเปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์เพื่อสัญญารายนั้นกับสถาบันการเงิน
และนำเงินที่ได้รับจากคู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินฝากไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ดังกล่าวภายในหนึ่งวันทำการ
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาออกหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการฝากเงินส่งให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินทุกครั้ง
โดยให้ถือว่าหลักฐานดังกล่าวเป็นหลักฐานในการปฏิบัติเกี่ยวกับการชำระหนี้เงินตามสัญญา
และให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาแจ้งเป็นหนังสือให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบถึงการฝากเงินนั้นโดยทันที
ในกรณีที่ทรัพย์สินที่คู่สัญญาต้องส่งมอบหรือโอนสิทธิเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินทราบและให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวบันทึกเป็นหลักฐานไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นอยู่ภายใต้บังคับแห่งสัญญาดูแลผลประโยชน์
และห้ามจดทะเบียนโอนสิทธิในทรัพย์สินนั้นจนกว่าจะได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๑๘
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องมีหนังสือแจ้งให้คู่สัญญาทราบถึงรายการฝากหรือโอนเงิน
และจำนวนเงินคงเหลือในบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๙
ในกรณีที่คู่สัญญาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์ครบถ้วนแล้ว
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาโอนเงินพร้อมดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ให้แก่คู่สัญญาซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องโอนหรือส่งมอบทรัพย์สิน
และจัดให้มีการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามสัญญาให้แก่คู่สัญญาซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องชำระเงิน
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
หากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธการรับชำระหนี้ ให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๒๓
มาใช้บังคับ
มาตรา ๒๐ การโอนเงินจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องโอนเข้าบัญชีของคู่สัญญาซึ่งมีสิทธิได้รับเงินโดยตรง
และต้องแจ้งเป็นหนังสือให้คู่สัญญาดังกล่าวทราบโดยทันที
มาตรา ๒๑
การเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์ไม่ว่าด้วยเหตุใด
ไม่กระทบสิทธิของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่จะได้รับค่าตอบแทนและค่าบริการเพื่อการงานที่ตนได้จัดทำไปแล้วตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
เว้นแต่การเลิกสัญญาเกิดจากความผิดของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๒๒ เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกัน
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาพิจารณาดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
หรือ
(๒)
ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
ให้คณะกรรมการประกาศกำหนดระยะเวลาการดำเนินการตาม
(๑) หรือ (๒)
มาตรา ๒๓
เว้นแต่ในสัญญาดูแลผลประโยชน์จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของคู่สัญญาตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
ห้ามผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาส่งเงินหรือโอนทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนกว่าคู่สัญญาจะได้ทำความตกลงกันหรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
มาตรา ๒๔ เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์สิ้นสุดลง
และได้มีการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์หมดสิ้นแล้ว
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง
และแจ้งให้คู่สัญญาทราบโดยทันที
มาตรา ๒๕
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
หรือถูกทางการหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมายอื่นสั่งระงับการดำเนินกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด
ให้เงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์ได้รับความคุ้มครองโดยไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การยึดหรืออายัดในคดีแพ่งซึ่งผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลายของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาหรือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การห้ามจำหน่าย
จ่าย หรือโอน ตามคำสั่งระงับการดำเนินกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด
เมื่อผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามวรรคหนึ่งถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคณะกรรมการดำเนินการแยกเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์
รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑)
รวบรวมเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์และจัดสรรคืนให้แก่คู่สัญญา
ในกรณีที่คู่สัญญาประสงค์จะเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒)
โอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๓)
ประนีประนอมยอมความ ฟ้องร้อง ต่อสู้คดี หรือดำเนินการอื่นใด
เพื่อให้การจัดการเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์เสร็จสิ้นไป
ในการดำเนินการตามวรรคสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคณะกรรมการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้
หมวด ๔
การกำกับดูแลและตรวจสอบ
มาตรา ๒๖ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมที่ดิน
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย
และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินห้าคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ให้ปลัดกระทรวงการคลังแต่งตั้งข้าราชการของกระทรวงการคลังเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในด้านการเงิน การบัญชี ภาษี กฎหมาย
การคุ้มครองผู้บริโภค หรือการซื้อขายทรัพย์สิน
มาตรา ๒๗
ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ
รับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม การศึกษาข้อมูล และกิจการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการ
มาตรา ๒๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑)
เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับการออกประกาศตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๗ มาตรา
๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๒
(๓)
ออกประกาศกำหนดค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา
๘
(๔)
ปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
ประกาศตาม
(๒) และ (๓) เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๒๙
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสองปี
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
แต่ยังมิได้แต่งตั้งกรรมการใหม่ ให้กรรมการนั้นปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะได้แต่งตั้งกรรมการใหม่
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้
มาตรา ๓๐ นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
รัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือทุจริตต่อหน้าที่
หย่อนความสามารถหรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย
(๔)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๕)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖)
ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
(๗)
เป็นกรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ
หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๓๑
ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
รัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทนได้
และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง
ให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
มาตรา ๓๒ การประชุมคณะกรรมการ
ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมคณะกรรมการ
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๓๓
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้
ให้นำบทบัญญัติในมาตรา
๓๒ มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา ๓๔ ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
เข้าไปในสถานที่ประกอบกิจการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาในระหว่างเวลาทำการของสถานที่นั้นเพื่อตรวจสอบกิจการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
รวมทั้งเก็บรวบรวมเอกสารหลักฐาน หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๒)
อายัดเอกสาร
หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
(๓)
สั่งให้กรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ
หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามาให้ถ้อยคำหรือให้แสดงหรือส่งสมุดบัญชี
เอกสาร ดวงตราหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์
และหนี้สินของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและบุคคลข้างต้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม
(๑) พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องไม่กระทำการอันมีลักษณะเป็นการข่มขู่หรือเป็นการค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๓๕
ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๔
ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๓๖ ในการปฏิบัติหน้าที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๗
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๕
การอุทธรณ์
มาตรา ๓๘ คำสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองของคณะกรรมการตามมาตรา
๓๙ วรรคสองหรือมาตรา ๔๐
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
รัฐมนตรีต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง
ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันได้รับอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ
ส่วนที่ ๑
โทษทางปกครอง
มาตรา ๓๙
ในกรณีที่ปรากฏแก่คณะกรรมการว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดดำเนินกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๗ วรรคสอง มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ปรับปรุง
ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในระยะเวลาที่กำหนด
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง
ให้คณะกรรมการพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๔๐ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา
๑๐ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๒๒
ให้คณะกรรมการพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๑ ในการพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง
ให้คณะกรรมการคำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติกรรมที่กระทำผิด
ในกรณีผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่ยอมชำระค่าปรับทางปกครอง
ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
และในกรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับตามคำสั่ง
หรือมีแต่ไม่สามารถดำเนินการบังคับทางปกครองได้
ให้คณะกรรมการมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับชำระค่าปรับ
ในการนี้ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคำสั่งให้ชำระค่าปรับนั้นชอบด้วยกฎหมาย
ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาและบังคับให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าปรับได้
มาตรา ๔๒
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องรับโทษปรับทางปกครอง
ให้กรรมการผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญานั้นต้องรับโทษปรับทางปกครองตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น
หรือตนได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว
มาตรา ๔๓
ให้รัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้
เมื่อปรากฏว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาใด
(๑)
ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖ วรรคสาม
(๒)
เคยถูกลงโทษปรับทางปกครองและกระทำการอันเป็นความผิดอย่างเดียวกันและถูกลงโทษปรับทางปกครองซ้ำอีก
(๓)
กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติที่มีโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัตินี้
(๔)
กรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ดูแลประโยชน์ของคู่สัญญากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา
๔๘
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งหมดสิทธิในการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญานับแต่วันที่มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้ทำไว้กับคู่สัญญาก่อนถูกเพิกถอนใบอนุญาตและยังมีผลผูกพันอยู่
และให้คณะกรรมการมีอำนาจดำเนินการโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
โดยให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว
ในการดำเนินการตามวรรคสาม
คณะกรรมการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้
ส่วนที่ ๒
โทษอาญา
มาตรา ๔๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
มาตรา ๔๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๖
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่งและวรรคสี่
มาตรา ๒๐ หรือมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๗
ผู้ใดขัดขวางหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๔
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๘ กรรมการ ผู้จัดการ
บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใด
กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑)
หลอกลวงคู่สัญญาด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งเกี่ยวกับกิจการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่กระทำเพื่อประโยชน์ของคู่สัญญาและการกระทำดังกล่าวทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของคู่สัญญา
(๒)
ยักยอกหรือทำให้เงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์ลดลงจากจำนวนที่คู่สัญญาได้ฝากไว้
(๓)
ครอบครองทรัพย์สินของคู่สัญญาซึ่งผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้รับไว้เนื่องจากการประกอบกิจการตามพระราชบัญญัตินี้
และเบียดบังเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม
(๔)
ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน
หรือปลอมบัญชีหรือเอกสารของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่จัดทำขึ้นตามหน้าที่ในการประกอบกิจการตามพระราชบัญญัตินี้
(๕)
กระทำการหรือไม่กระทำการโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๔๙ บรรดาความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา
๔๘ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคน
ซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใดและผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดแล้ว
ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๕๐[๒]
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา ๔๘ เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๕๑
พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการตามหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจ Escrow Account ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๔
หรือประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การอนุญาตให้บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดให้มีบัญชีดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(Escrow Account) ลงวันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
และในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนดังกล่าวประสงค์จะประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ดำเนินการขอรับใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๕๒
ผู้ใดใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อหรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกันอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา
๑๑ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากระบบการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทนอื่นใดในปัจจุบัน
ดำเนินการโดยอาศัยความน่าเชื่อถือระหว่างคู่สัญญาเป็นหลักในการชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
การที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของคู่สัญญา
จะทำให้ระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทนเกิดความเสี่ยงหรือหยุดชะงักอันส่งผลกระทบต่อคู่สัญญาและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดังนั้น
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่สัญญาและสร้างความมั่นคงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
สมควรให้มีคนกลางที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือเพื่อทำหน้าที่ดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐[๓]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖
และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน คือ
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘ พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย
พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง
เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๖ ดังนั้น
เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
คุณากร/จัดทำ
๓ มกราคม ๒๕๕๕
ชาญ/ตรวจ
๓ มกราคม ๒๕๕๖
พรวิภา/เพิ่มเติม
๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
พจนา/ตรวจ
๒๐ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๖ ก/หน้า ๑/๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
[๒] มาตรา ๕๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ |
769053 | พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. 2560 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐
เป็นปีที่ ๒
ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตราแห่งประมวลกฎหมาย
พระราชบัญญัติและพระราชกำหนด จำนวนเจ็ดสิบหกฉบับ ดังต่อไปนี้
และให้ใช้ความตามที่ปรากฏในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้แทนตามลำดับ
(๑) มาตรา ๑๒ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พุทธศักราช
๒๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒) มาตรา ๓๕ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๒๕
และมาตรา ๙๐/๕ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๓) มาตรา ๖๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๔) มาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ
(ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๕) มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๓๕
(๖) มาตรา ๒๘/๔ แห่งพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๖
(๗) มาตรา ๓๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๘) มาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. ๒๕๑๐
(๙) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
(๑๐) มาตรา ๗๒/๕ แห่งพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปุ๋ย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐
(๑๑) มาตรา ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๒) มาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๓) มาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๔) มาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๑๕) มาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๖) มาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๗) มาตรา ๓๒
แห่งพระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๔
(๑๘) มาตรา ๒๓ แห่งพระราชกำหนดควบคุมสินค้าตามชายแดน พ.ศ. ๒๕๒๔
(๑๙) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
(๒๐) มาตรา ๑๕
แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๗ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
(๒๑) มาตรา ๙๒
แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
(๒๒) มาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
(๒๓) มาตรา ๑๐๑ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
(๒๔) มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒๕) มาตรา ๔๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
และมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒๖) มาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๗) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๘) มาตรา ๑๑๑
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๙) มาตรา ๘๗/๒ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๐) มาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๓๑) มาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๒) มาตรา ๑๐๘ แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๓) มาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๓๗
(๓๔) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
(๓๕) มาตรา ๘๙
แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙
(๓๖) มาตรา ๑๓ แห่งพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. ๒๕๕๐
(๓๗) มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒
(๓๘) มาตรา ๖๑
แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒
(๓๙) มาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๐) มาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๑) มาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๒) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๓) มาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๔) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๕) มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๖) มาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๗) มาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๘) มาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๙) มาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.
๒๕๔๓
(๕๐) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
(๕๑) มาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๔๓
(๕๒) มาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๓) มาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๔) มาตรา ๔๖
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๕) มาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
(๕๖) มาตรา ๑๓๕ แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๗) มาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๘) มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๙) มาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๗
(๖๐) มาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ. ๒๕๔๘
(๖๑) มาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ. ๒๕๔๘
(๖๒) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๓) มาตรา ๑๔๑ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๔) มาตรา ๑๕๓ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๕) มาตรา ๘๐ แห่งพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๖) มาตรา ๕๔
แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
(๖๗) มาตรา ๑๓๒ และมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.
๒๕๕๑
(๖๘) มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๖๙) มาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๖
แห่งพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๐) มาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๑) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๒) มาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๓) มาตรา ๘๕ แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๔) มาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๕) มาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓
(๗๖) มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
บัญชีท้ายพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
๑. พระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า
พุทธศักราช ๒๔๗๔
มาตรา ๑๒ จัตวา ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒. ประมวลรัษฎากร
มาตรา ๓๕ ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๒ ทวิ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
มาตรา ๙๐/๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามหมวดนี้เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓. พระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑
มาตรา ๖๒ ตรี ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖๒ ทวิ เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๒ ทวิ ด้วย
๔. พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗
มาตรา ๑๑๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕. พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
มาตรา ๒๕ ในกรณีที่บริษัทจำกัดใดกระทำความผิดตามมาตรา
๗ ถึงมาตรา ๒๔ ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทจำกัดนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัดนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทจำกัดนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
๖. พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
มาตรา ๒๘/๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗. พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐
มาตรา ๓๙ ทวิ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๘. พระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
พ.ศ. ๒๕๑๐
มาตรา ๓๓ ผู้ใดมิใช่ในกิจการของ
อผศ. หรือโดยมิได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก อผศ.
ใช้ชื่อหรือถ้อยคำในประการที่น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นกิจการของ อผศ. หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
อผศ. ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นิติบุคคลใดมิใช่กระทรวง
ทบวง กรม หรือโดยมิได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก อผศ. ใช้คำว่า อผศ. ทหารผ่านศึก ผ่านศึก นอกประจำการ หรือคำว่าทหาร เป็นชื่อหรือประกอบชื่อของนิติบุคคลนั้น
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิดผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
๙. พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.
๒๕๑๔
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิด
ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๐. พระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๗๒/๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
เว้นแต่กรณีตามมาตรา ๗๒/๒ ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๑.
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๘๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๒.
พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๘๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๓. พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๓๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๔ .
พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๗๑ นิติบุคคลอาคารชุดใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๓๘/๑ มาตรา ๓๘/๒ และมาตรา ๓๘/๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ในกรณีที่นิติบุคคลอาคารชุดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้น
หรือในกรณีที่ผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลอาคารชุดนั้นกระทำความผิด
ผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งด้วย
๑๕. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๖. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๗๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๗. พระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๒๔
มาตรา ๓๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๓๐
หรือมาตรา ๓๑ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๘. พระราชกำหนดควบคุมสินค้าตามชายแดน พ.ศ.
๒๕๒๔
มาตรา ๒๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๙. พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๐. พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๗
มาตรา ๑๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลซึ่งปรากฏพยานหลักฐานว่ามีพฤติกรรมเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลด้วย
๒๑. พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๙๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๒. พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.
๒๕๓๐
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่คณะกรรมการกองทุนกระทำความผิดตามมาตรา
๓๔ ถ้าการกระทำความผิดของคณะกรรมการกองทุนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้คณะกรรมการกองทุนนั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๓. พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
มาตรา ๑๐๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๔. พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา
๕ หรือมาตรา ๘ เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๒๕. พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๔๘/๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา
๑๕ วรรคสี่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นกระทำความผิด
หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย
มาตรา ๔๙ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๗
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๖. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
๒๕๓๕
มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๗. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๘. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๑๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๙. พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๘๗/๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
ผู้เชี่ยวชาญ บุคลากรเฉพาะ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๐. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๑. พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๑๔ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิดตามมาตรา
๒๓ มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๖ หรือมาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งหรือให้ทำคำชี้แจงตามมาตรา
๔๕ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิดผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๒. พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๐๘ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๓
มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งหรือให้ทำคำชี้แจงตามมาตรา ๔๙
หรือไม่หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวตามมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๓. พระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๓๙ ในกรณีที่สภากระทำความผิดและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของสภานั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการผู้ใดมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สภานั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
๓๔. พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๕. พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๘๙ ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนรายใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๘๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งแสนบาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ถ้าการกระทำความผิดของผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๖. พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๔๑
มาตรา ๑๓ บริษัทบริหารสินทรัพย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๔/๑ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ หรือมาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือคำสั่งหรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๔/๑
วรรคสอง มาตรา ๕ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑/๑ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๑๒
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาทตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ใดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทบริหารสินทรัพย์นั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทบริหารสินทรัพย์นั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทบริหารสินทรัพย์นั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๗. พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๘. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๖๑ นิติบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๗
มาตรา ๘ หรือมาตรา ๙ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งของนิติบุคคลเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๙. พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๘๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๐. พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๖๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๑. พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๘๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๒. พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
และสำหรับนิติบุคคลต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบเท่าของอัตราโทษปรับสำหรับความผิดนั้นด้วย
๔๓. พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๔๒
มาตรา ๗๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๔. พระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
และสำหรับนิติบุคคลต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบเท่าของอัตราโทษปรับสำหรับความผิดนั้นด้วย
๔๕. พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๔๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๖. พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๔๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๗. พระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๕๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๘. พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๖๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๙. พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๐. พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๔๓
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๑. พระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๘๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๒. พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๓. พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๗๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๔. พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๔๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๕. พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.
๒๕๔๕
มาตรา ๖๔ ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๗ มาตรา ๒๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙
หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ถ้าการกระทำความผิดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
๕๖. พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๖
มาตรา ๑๓๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๖
มาตรา ๑๒๗ มาตรา ๑๒๘ มาตรา ๑๒๙ มาตรา ๑๓๐ มาตรา ๑๓๑ มาตรา ๑๓๓ หรือมาตรา ๑๓๘
เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ หรือทั้งจำทั้งปรับ
๕๗. พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.
๒๕๔๖
มาตรา ๑๑๕ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๗๔ หรือมาตรา ๗๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดกระทำความผิดตามมาตรา ๗๔ หรือมาตรา
๗๕ ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการสภาสถาบัน
อธิการบดี หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๘. พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
พ.ศ. ๒๕๔๖
มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๙. พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๗๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๐. พระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ.
๒๕๔๘
มาตรา ๓๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๑. พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ
พ.ศ. ๒๕๔๘
มาตรา ๗๗ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามมาตรา
๗๐ หรือมาตรา ๗๑ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๒. พระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ.
๒๕๕๐
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับอนุญาตตามมาตรา
๓๓ ซึ่งเป็นนิติบุคคลกระทำความผิด ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๓. พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.
๒๕๕๐
มาตรา ๑๔๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๔. พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๑๕๓ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลกระทำความผิดและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๕. พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๘๐ ผู้ใดให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในการตรวจสอบหรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งเป็นทรัสตี
ถ้าการกระทำความผิดของทรัสตีนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของทรัสตีนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ทรัสตีนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๖๖. พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๗. พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๑๓๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๑
หรือมาตรา ๑๒๓ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของนิติบุคคล
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๙
ในกรณีที่สถาบันการเงินกระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๒ มาตรา ๑๒๔ มาตรา ๑๒๕
หรือมาตรา ๑๒๘
ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันการเงินนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๑๓๙ ในกรณีที่สถาบันการเงินใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๓๖ มาตรา ๕๐ มาตรา ๖๖ มาตรา ๘๐ มาตรา ๙๓ มาตรา ๙๔ หรือมาตรา ๙๕ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ ข้อกำหนด หลักเกณฑ์
หรือคำสั่งที่กำหนดตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๓ มาตรา
๓๖ มาตรา ๕๐ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๑ มาตรา ๘๐ มาตรา ๙๐ หรือมาตรา ๙๕ ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันการเงินนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๖๘. พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๖๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๙. พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๖๕ ผู้ใดนอกจากสถาบันการเงิน ใช้ข้อความ เครื่องหมาย
หรือสัญลักษณ์ เพื่อแสดงว่าธุรกิจของตนเป็นสถาบันการเงินที่เงินฝากได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๖๖ สถาบันการเงินใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
๗๐. พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา
๔๘ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๑. พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๒. พระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๓. พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๘๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษอาญาตามส่วนนี้เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๔. พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๑๒๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๕. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน
พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๔๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๖. พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๕๔
มาตรา ๖๒ ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนรายใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๕๗
วรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองล้านบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน
คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘ พระราชบัญญัติสถานบริการ
พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง
เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๖ ดังนั้น เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ชวัลพร/ปริยานุช/จัดทำ
๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ |
572089 | พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551
| พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ในพระราชบัญญัตินี้
กิจการดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
การทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยกระทำเป็นทางค้าปกติและได้รับค่าตอบแทนหรือค่าบริการ
สัญญาดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างคู่สัญญากับผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตกลงจะดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่คู่สัญญาตกลงกันไว้
คู่สัญญา หมายความว่า คู่สัญญาตามสัญญาต่างตอบแทนใด
ๆ ที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีหนี้ในการชำระเงินตามสัญญา
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา หมายความว่า
ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้
บัญชีดูแลผลประโยชน์ หมายความว่า
บัญชีเงินฝากที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเปิดไว้กับสถาบันการเงินในนามของตนเพื่อประโยชน์ของคู่สัญญา
สถาบันการเงิน หมายความว่า
(๑)
ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(๒)
ธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
ใบอนุญาต หมายความว่า
ใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
กรรมการ หมายความว่า
กรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงและประกาศนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๕
ในการทำสัญญาต่างตอบแทนใด ๆ
คู่สัญญาอาจตกลงกันจัดให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
โดยการทำสัญญาดูแลผลประโยชน์และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖
สัญญาดูแลผลประโยชน์ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
และอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๒)
วันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๓)
ชื่อสัญญาต่างตอบแทนที่กำหนดระหว่างคู่สัญญา
(๔)
ระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้และการส่งมอบเงินของคู่สัญญา
(๕)
หลักเกณฑ์ในการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
(๖)
สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๗)
ค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผลประโยชน์
(๘)
รายการอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๗
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่ในการดูแลให้คู่สัญญาปฏิบัติการชำระหนี้ตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
และดูแลรักษาเงิน ทรัพย์สิน
หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ที่คู่สัญญาได้ส่งมอบให้อยู่ในความครอบครองของตนพร้อมทั้งดำเนินการส่งมอบเงินและจัดให้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญา
นอกจากหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาอาจให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามที่มีข้อตกลงกับคู่สัญญาได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๘
ในกรณีที่คู่สัญญามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
ให้คู่สัญญาออกค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง ฝ่ายละเท่ากัน
และหากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้มีการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามมาตรา ๗
วรรคสอง ให้คู่สัญญาฝ่ายนั้นเป็นผู้ออกค่าบริการตามที่ร้องขอ
อัตราค่าตอบแทนหรือค่าบริการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ค่าตอบแทนหรือค่าบริการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีสิทธิได้รับตามวรรคหนึ่งห้ามเรียกเก็บจากเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์
หมวด ๒
การประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
มาตรา ๙
บุคคลตามมาตรา ๑๐
ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๐
ผู้ซึ่งประสงค์จะได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๙ ต้องเป็นสถาบันการเงิน
หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในการออกกฎกระทรวงกำหนดให้นิติบุคคลใดประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามวรรคหนึ่งจะกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงฐานะการเงิน
การวางหลักประกันหรือหลักเกณฑ์อื่นใดให้นิติบุคคลดังกล่าวต้องปฏิบัติเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
มาตรา ๑๑
ห้ามบุคคลใดนอกจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจว่า
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๑๒
ห้ามผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาซึ่งมีส่วนได้เสียกับคู่สัญญาไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญาซึ่งตนมีส่วนได้เสีย
กรณีใดจะถือว่าเป็นการมีส่วนได้เสียกับคู่สัญญาตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๓
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดทำทะเบียนเกี่ยวกับสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องรักษาทะเบียน
และสำเนาสัญญาดูแลผลประโยชน์ไว้ไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ลงรายการครั้งสุดท้ายในทะเบียนหรือวันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
โดยจะเก็บไว้ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือรูปแบบใดก็ได้
มาตรา ๑๔
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดเก็บทรัพย์สินของคู่สัญญาแยกออกจากทรัพย์สินของตน
โดยต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินของคู่สัญญาแต่ละรายแยกออกจากบัญชีทรัพย์สินของตน รวมทั้งเก็บรักษาบัญชีดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๕
ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญายื่นรายงานหรือเอกสารใด
ๆ เกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
โดยจะให้ทำคำชี้แจงเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานหรือเอกสารนั้นด้วยก็ได้
มาตรา ๑๖
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดประสงค์จะเลิกประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ให้ยื่นคำขออนุญาตต่อรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนเลิกประกอบกิจการ
ในการยื่นคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องแสดงหลักฐานว่าได้ดำเนินการดังต่อไปนี้เรียบร้อยแล้ว
(๑)
การบอกกล่าวให้คู่สัญญาและผู้มีส่วนได้เสียทราบและใช้สิทธิตามกฎหมาย
(๒)
การจัดการหรือโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๓)
การจัดการโอนเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์หรือทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์คืนให้แก่คู่สัญญา
ในกรณีที่คู่สัญญาประสงค์จะเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์หรือไม่สามารถโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นไปดำเนินการแทนได้
ในการพิจารณาอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขหรือมีคำสั่งให้ผู้ยื่นคำขออนุญาตปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาส่งคืนใบอนุญาตแก่รัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งอนุญาตให้เลิกประกอบกิจการ
หมวด ๓
สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๑๗
เมื่อคู่สัญญาตกลงกันให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาดำเนินการจัดทำสัญญาดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๖
และดำเนินการเปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์เพื่อสัญญารายนั้นกับสถาบันการเงิน
และนำเงินที่ได้รับจากคู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินฝากไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ดังกล่าวภายในหนึ่งวันทำการ
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาออกหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการฝากเงินส่งให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินทุกครั้ง
โดยให้ถือว่าหลักฐานดังกล่าวเป็นหลักฐานในการปฏิบัติเกี่ยวกับการชำระหนี้เงินตามสัญญา
และให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาแจ้งเป็นหนังสือให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบถึงการฝากเงินนั้นโดยทันที
ในกรณีที่ทรัพย์สินที่คู่สัญญาต้องส่งมอบหรือโอนสิทธิเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินทราบและให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวบันทึกเป็นหลักฐานไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นอยู่ภายใต้บังคับแห่งสัญญาดูแลผลประโยชน์
และห้ามจดทะเบียนโอนสิทธิในทรัพย์สินนั้นจนกว่าจะได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๑๘
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องมีหนังสือแจ้งให้คู่สัญญาทราบถึงรายการฝากหรือโอนเงิน
และจำนวนเงินคงเหลือในบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๑๙
ในกรณีที่คู่สัญญาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์ครบถ้วนแล้ว
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาโอนเงินพร้อมดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ให้แก่คู่สัญญาซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องโอนหรือส่งมอบทรัพย์สิน
และจัดให้มีการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามสัญญาให้แก่คู่สัญญาซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องชำระเงิน
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
หากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธการรับชำระหนี้ ให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๒๓
มาใช้บังคับ
มาตรา ๒๐
การโอนเงินจากบัญชีดูแลผลประโยชน์
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องโอนเข้าบัญชีของคู่สัญญาซึ่งมีสิทธิได้รับเงินโดยตรง
และต้องแจ้งเป็นหนังสือให้คู่สัญญาดังกล่าวทราบโดยทันที
มาตรา ๒๑
การเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์ไม่ว่าด้วยเหตุใด
ไม่กระทบสิทธิของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่จะได้รับค่าตอบแทนและค่าบริการเพื่อการงานที่ตนได้จัดทำไปแล้วตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
เว้นแต่การเลิกสัญญาเกิดจากความผิดของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๒๒
เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกัน
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาพิจารณาดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
หรือ
(๒)
ให้คู่สัญญาฝ่ายที่ต้องโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ได้รับเงินและดอกผลจากบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
ให้คณะกรรมการประกาศกำหนดระยะเวลาการดำเนินการตาม
(๑) หรือ (๒)
มาตรา ๒๓
เว้นแต่ในสัญญาดูแลผลประโยชน์จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของคู่สัญญาตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
ห้ามผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาส่งเงินหรือโอนทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนกว่าคู่สัญญาจะได้ทำความตกลงกันหรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
มาตรา ๒๔
เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์สิ้นสุดลง
และได้มีการโอนเงินออกจากบัญชีดูแลผลประโยชน์หมดสิ้นแล้ว
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง
และแจ้งให้คู่สัญญาทราบโดยทันที
มาตรา ๒๕
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
หรือถูกทางการหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลตามกฎหมายอื่นสั่งระงับการดำเนินกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด
ให้เงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์ได้รับความคุ้มครองโดยไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การยึดหรืออายัดในคดีแพ่งซึ่งผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลายของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาหรือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การห้ามจำหน่าย
จ่าย หรือโอน ตามคำสั่งระงับการดำเนินกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด
เมื่อผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามวรรคหนึ่งถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคณะกรรมการดำเนินการแยกเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์
รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑)
รวบรวมเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์และจัดสรรคืนให้แก่คู่สัญญา
ในกรณีที่คู่สัญญาประสงค์จะเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒)
โอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
(๓)
ประนีประนอมยอมความ ฟ้องร้อง ต่อสู้คดี หรือดำเนินการอื่นใด
เพื่อให้การจัดการเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์และทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์เสร็จสิ้นไป
ในการดำเนินการตามวรรคสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคณะกรรมการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้
หมวด ๔
การกำกับดูแลและตรวจสอบ
มาตรา ๒๖
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมที่ดิน
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย
และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินห้าคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ให้ปลัดกระทรวงการคลังแต่งตั้งข้าราชการของกระทรวงการคลังเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในด้านการเงิน การบัญชี ภาษี กฎหมาย
การคุ้มครองผู้บริโภค หรือการซื้อขายทรัพย์สิน
มาตรา ๒๗
ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ
รับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม การศึกษาข้อมูล และกิจการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการ
มาตรา ๒๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑)
เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับการออกประกาศตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา ๗ มาตรา
๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๒
(๓)
ออกประกาศกำหนดค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามมาตรา
๘
(๔)
ปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
ประกาศตาม
(๒) และ (๓) เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๒๙
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสองปี
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
แต่ยังมิได้แต่งตั้งกรรมการใหม่
ให้กรรมการนั้นปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะได้แต่งตั้งกรรมการใหม่
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้
มาตรา ๓๐
นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
รัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือทุจริตต่อหน้าที่ หย่อนความสามารถหรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย
(๔)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๕)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖)
ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
(๗)
เป็นกรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ
หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๓๑
ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
รัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทนได้
และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง
ให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
มาตรา ๓๒
การประชุมคณะกรรมการ
ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมคณะกรรมการ
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๓๓
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้
ให้นำบทบัญญัติในมาตรา
๓๒ มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา ๓๔
ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
เข้าไปในสถานที่ประกอบกิจการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาในระหว่างเวลาทำการของสถานที่นั้นเพื่อตรวจสอบกิจการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
รวมทั้งเก็บรวบรวมเอกสารหลักฐาน หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(๒)
อายัดเอกสาร
หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
(๓)
สั่งให้กรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ
หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามาให้ถ้อยคำหรือให้แสดงหรือส่งสมุดบัญชี
เอกสาร ดวงตราหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์
และหนี้สินของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและบุคคลข้างต้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม
(๑) พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องไม่กระทำการอันมีลักษณะเป็นการข่มขู่หรือเป็นการค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๓๕
ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๔
ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๓๖
ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๓๗
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๕
การอุทธรณ์
มาตรา ๓๘
คำสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองของคณะกรรมการตามมาตรา ๓๙ วรรคสองหรือมาตรา
๔๐
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
รัฐมนตรีต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง
ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันได้รับอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ
ส่วนที่ ๑
โทษทางปกครอง
มาตรา ๓๙
ในกรณีที่ปรากฏแก่คณะกรรมการว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดดำเนินกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๗ วรรคสอง มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ปรับปรุง
ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในระยะเวลาที่กำหนด
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง
ให้คณะกรรมการพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๔๐
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา
๑๐ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๒๒
ให้คณะกรรมการพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๑
ในการพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง
ให้คณะกรรมการคำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติกรรมที่กระทำผิด
ในกรณีผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่ยอมชำระค่าปรับทางปกครอง
ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
และในกรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับตามคำสั่ง
หรือมีแต่ไม่สามารถดำเนินการบังคับทางปกครองได้
ให้คณะกรรมการมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับชำระค่าปรับ
ในการนี้ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคำสั่งให้ชำระค่าปรับนั้นชอบด้วยกฎหมาย
ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาและบังคับให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าปรับได้
มาตรา ๔๒
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องรับโทษปรับทางปกครอง
ให้กรรมการผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญานั้นต้องรับโทษปรับทางปกครองตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น
หรือตนได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว
มาตรา ๔๓
ให้รัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้
เมื่อปรากฏว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาใด
(๑)
ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖ วรรคสาม
(๒)
เคยถูกลงโทษปรับทางปกครองและกระทำการอันเป็นความผิดอย่างเดียวกันและถูกลงโทษปรับทางปกครองซ้ำอีก
(๓)
กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติที่มีโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัตินี้
(๔)
กรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ดูแลประโยชน์ของคู่สัญญากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา
๔๘
ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งหมดสิทธิในการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญานับแต่วันที่มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้ทำไว้กับคู่สัญญาก่อนถูกเพิกถอนใบอนุญาตและยังมีผลผูกพันอยู่
และให้คณะกรรมการมีอำนาจดำเนินการโอนสัญญาดูแลผลประโยชน์ที่ยังมีผลผูกพันอยู่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารายอื่นดำเนินการแทนตามที่คู่สัญญาตกลงกัน
โดยให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว
ในการดำเนินการตามวรรคสาม
คณะกรรมการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้
ส่วนที่ ๒
โทษอาญา
มาตรา ๔๔
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
มาตรา ๔๕
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๖
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่งและวรรคสี่
มาตรา ๒๐ หรือมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๔๗
ผู้ใดขัดขวางหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๔
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๘
กรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ
หรือพนักงานของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาผู้ใด
กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑)
หลอกลวงคู่สัญญาด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งเกี่ยวกับกิจการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีหน้าที่กระทำเพื่อประโยชน์ของคู่สัญญาและการกระทำดังกล่าวทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของคู่สัญญา
(๒)
ยักยอกหรือทำให้เงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์ลดลงจากจำนวนที่คู่สัญญาได้ฝากไว้
(๓)
ครอบครองทรัพย์สินของคู่สัญญาซึ่งผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาได้รับไว้เนื่องจากการประกอบกิจการตามพระราชบัญญัตินี้
และเบียดบังเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม
(๔)
ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน
หรือปลอมบัญชีหรือเอกสารของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาที่จัดทำขึ้นตามหน้าที่ในการประกอบกิจการตามพระราชบัญญัตินี้
(๕)
กระทำการหรือไม่กระทำการโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของคู่สัญญา
มาตรา ๔๙
บรรดาความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา ๔๘ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคน
ซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใดและผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดแล้ว
ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๕๐
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา ๔๘ เป็นนิติบุคคล
กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น
หรือตนได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๕๑
พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการตามหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจ Escrow Account ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๔ หรือประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การอนุญาตให้บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดให้มีบัญชีดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
(Escrow Account) ลงวันที่ ๓ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๔๖
และในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนดังกล่าวประสงค์จะประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ดำเนินการขอรับใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๕๒
ผู้ใดใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อหรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกันอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา
๑๑ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากระบบการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทนอื่นใดในปัจจุบัน
ดำเนินการโดยอาศัยความน่าเชื่อถือระหว่างคู่สัญญาเป็นหลักในการชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
การที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของคู่สัญญา
จะทำให้ระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทนเกิดความเสี่ยงหรือหยุดชะงักอันส่งผลกระทบต่อคู่สัญญาและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่สัญญาและสร้างความมั่นคงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
สมควรให้มีคนกลางที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือเพื่อทำหน้าที่ดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
คุณากร/ผู้จัดทำ
๓ มกราคม ๒๕๕๕
ชาญ/ตรวจ
๓ มกราคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๖ ก/หน้า ๑/๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ |
585392 | กฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์สำหรับสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
สำหรับสถาบันการเงิน
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ และมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ สถาบันการเงินที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ต้องแสดงให้เห็นได้ว่ามีความสามารถและความพร้อมในการประกอบธุรกิจดังกล่าว
โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑)
ดำรงเงินกองทุนหรือกันเงินสำรองได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่ควบคุมการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินนั้นหรือกฎหมายที่จัดตั้งสถาบันการเงินนั้น
แล้วแต่กรณี
(๒) มีการบริหารงานที่ดีและมีประสิทธิภาพ
โดยคำนึงถึงนโยบายการบริหารแผนงานในการประกอบธุรกิจ แนวทางการบริหารความเสี่ยง
และระบบบัญชีตามมาตรฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
(๓) มีระบบงานที่มีความพร้อมในการปฏิบัติการหรือการให้บริการในการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
โดยคำนึงถึงโครงสร้างองค์กร แผนการบริหารจัดการ และแผนอัตรากำลังบุคลากร
(๔) มีมาตรการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ
โดยคำนึงถึงการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของพนักงานที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อคู่สัญญา
ข้อ ๒ สถาบันการเงินที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต ณ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ตามแบบคำขอพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานตามที่ระบุในแบบคำขอนั้น
ข้อ ๓ ให้คณะกรรมการพิจารณาคำขอรับใบอนุญาตตามข้อ
๒ ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้รับคำขอรับใบอนุญาตพร้อมทั้งเอกสารหรือหลักฐานถูกต้องครบถ้วน
ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้และเสนอแนะต่อรัฐมนตรีว่าสมควรออกใบอนุญาต
ให้รัฐมนตรีพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
ข้อ ๔ แบบคำขอรับใบอนุญาตตามข้อ ๒
และใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้ไว้ ณ วันที่ ๖
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๙ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติให้การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๓ ก/หน้า ๒๘/๘ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
639938 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับ Update ล่าสุด) | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒[๒]
ค่าตอบแทนที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากคู่สัญญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาถือปฏิบัติดังนี้
(๑)
กรณีการดูแลผลประโยชน์ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของคู่สัญญา
ให้สามารถเรียกเก็บค่าตอบแทนได้ในอัตราไม่เกินร้อยละศูนย์จุดสามต่อปีของมูลค่าสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒)
กรณีการดูแลผลประโยชน์ที่นอกจาก (๑)
ให้เรียกเก็บตามอัตราที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและคู่สัญญาตกลงกัน
ข้อ ๓
ค่าบริการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากคู่สัญญาฝ่ายที่ร้องขอให้มีการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามมาตรา
๗ วรรคสอง
ให้เรียกเก็บได้ตามอัตราและระยะเวลาที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและคู่สัญญาฝ่ายนั้นตกลงกัน
หากการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามวรรคหนึ่งได้แล้วเสร็จก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามที่ตกลงกันไว้
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องคืนค่าบริการให้แก่คู่สัญญาฝ่ายนั้นตามสัดส่วนของระยะเวลาที่เหลือ
ข้อ ๔
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติในเรื่องค่าตอบแทนและค่าบริการเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์
ดังนี้
(๑)[๓]
ประกาศรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร
ให้ปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สถานประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เพื่อให้ผู้ที่มาติดต่อหรือใช้บริการในสถานที่นั้นทราบข้อมูลดังกล่าว
โดยให้จัดทำประกาศรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการเป็นภาษาไทยด้วย
และให้ส่งสำเนาประกาศดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการทราบภายใน ๗
วันนับแต่วันปิดประกาศและวันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
(๒)
แจ้งรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการให้คู่สัญญาทราบ
ก่อนที่จะตกลงกันทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๓)
ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการในการดูแลผลประโยชน์ลงในสัญญาดูแลผลประโยชน์
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๓[๔]
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๕๖[๕]
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
ปณตภร/เพิ่มเติม
๗ มกราคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๕/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑
[๒] ข้อ ๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๖
[๓] ข้อ ๔ (๑)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๒๑ ง/หน้า ๓๖/๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๓
[๕] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๕๗ ง/หน้า ๖๙/๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ |
674588 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา (ฉบับ Update ล่าสุด) | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒
ในประกาศนี้
บริษัทแม่
หมายความว่า
บริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในลักษณะดังต่อไปนี้
(๑)
มีหุ้นในบริษัทหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒)
มีอำนาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทหนึ่ง
(๓)
มีอำนาจควบคุมการแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้มีอำนาจในการจัดการหรือกรรมการตั้งแต่กึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดในบริษัทหนึ่ง
การมีหุ้นในบริษัทหนึ่งตั้งแต่ร้อยละยี่สิบขึ้นไปของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีอำนาจควบคุมกิจการ
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามิได้มีอำนาจควบคุมกิจการ
บริษัทลูก หมายความว่า
(๑)
บริษัทที่มีบริษัทอื่นเป็นบริษัทแม่ หรือ
(๒)
บริษัทลูกของบริษัทตาม (๑) ต่อไปทุกทอด
บริษัทร่วม
หมายความว่า บริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ร่วมกัน
ข้อ ๓
กรณีดังต่อไปนี้ให้ถือว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีส่วนได้เสียกับคู่สัญญา
และห้ามทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญารายนั้น ๆ
(๑)
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีความสัมพันธ์กับคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายในลักษณะเป็นบริษัทแม่
บริษัทลูก หรือบริษัทร่วม
(๒)
กรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการบริหารของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นคู่สัญญาหรือมีความสัมพันธ์กับคู่สัญญาในลักษณะดังต่อไปนี้
(ก)[๒]
บุตรและบุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
(ข)
บุพการี
(ค)
คู่สมรส
(ง)
พี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกัน
(จ)
พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
(๓)[๓]
(ยกเลิก)
ข้อ
๔[๔]
ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นผู้ให้สินเชื่อแก่คู่สัญญาฝ่ายที่มีหน้าที่โอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องแจ้งให้คู่สัญญาทราบว่า
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นผู้ให้สินเชื่อแก่คู่สัญญาฝ่ายที่มีหน้าที่โอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
และจะต้องป้องกันไม่ให้ความเกี่ยวข้องดังกล่าวกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๕]
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๖[๖]
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
ปณตภร/เพิ่มเติม
๒ ตุลาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๗/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑
[๒] ข้อ ๓ (๒) (ก)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๓
[๓] ข้อ ๓ (๓) ยกเลิกโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๕๖
[๔] ข้อ ๔ เพิ่มโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๕๖
[๕] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔๙ ง/หน้า ๕๘/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓
[๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๐๔ ง/หน้า ๑๘/๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ |
697976 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๖
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๘ วรรคสอง และมาตรา ๒๘ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้ ดังนี้
ข้อ ๑[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.
๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒
ค่าตอบแทนที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากคู่สัญญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาถือปฏิบัติดังนี้
(๑) กรณีการดูแลผลประโยชน์ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของคู่สัญญา
ให้สามารถเรียกเก็บค่าตอบแทนได้ในอัตราไม่เกินร้อยละศูนย์จุดสามต่อปีของมูลค่าสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒) กรณีการดูแลผลประโยชน์ที่นอกจาก (๑)
ให้เรียกเก็บตามอัตราที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและคู่สัญญาตกลงกัน
ประกาศ
ณ วันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๘ พฤศจิกายน
๒๕๕๖
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๒๖ พฤศจิกายน
๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๕๗ ง/หน้า ๖๙/๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ |
691047 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๖
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๒ วรรคสอง และมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้ ดังนี้
ข้อ
๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกความใน (๓) ของข้อ ๓
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา ลงวันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ
๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา ลงวันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๔ ในกรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นผู้ให้สินเชื่อแก่คู่สัญญาฝ่ายที่มีหน้าที่โอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องแจ้งให้คู่สัญญาทราบว่า
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นผู้ให้สินเชื่อแก่คู่สัญญาฝ่ายที่มีหน้าที่โอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
และจะต้องป้องกันไม่ให้ความเกี่ยวข้องดังกล่าวกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๐๔ ง/หน้า ๑๘/๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ |
700753 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับ Update ณ วันที่ 18/10/2553)
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ค่าตอบแทนที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากคู่สัญญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาถือปฏิบัติดังนี้
(๑)
เรียกเก็บค่าตอบแทนในอัตราไม่เกินร้อยละศูนย์จุดสามต่อปีของจำนวนเงินทั้งหมดที่คู่สัญญาฝ่ายที่มีหนี้ในการชำระเงินตามสัญญาต้องชำระไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ก่อนที่จะมีการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินนั้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒)
ค่าตอบแทนตาม (๑) ให้เรียกเก็บจากคู่สัญญา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตามที่ตกลงกันไว้ปีละสองงวด
งวดละหกเดือน โดยเรียกเก็บงวดแรกในวันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์ เว้นแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์น้อยกว่าหกเดือนให้เรียกเก็บค่าตอบแทนงวดเดียวในวันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
กรณีที่คู่สัญญามิได้ตกลงกันตามวรรคหนึ่งข้างต้น
ให้เรียกเก็บค่าตอบแทนจากคู่สัญญาฝ่ายละเท่ากัน
(๓)
หากการชำระหนี้ของคู่สัญญาได้สิ้นสุดลงก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องคืนค่าตอบแทนตาม (๒)
ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตามสัดส่วนของระยะเวลาที่เหลือ
ข้อ ๓ ค่าบริการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากคู่สัญญาฝ่ายที่ร้องขอให้มีการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามมาตรา
๗ วรรคสอง
ให้เรียกเก็บได้ตามอัตราและระยะเวลาที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและคู่สัญญาฝ่ายนั้นตกลงกัน
หากการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามวรรคหนึ่งได้แล้วเสร็จก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามที่ตกลงกันไว้
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องคืนค่าบริการให้แก่คู่สัญญาฝ่ายนั้นตามสัดส่วนของระยะเวลาที่เหลือ
ข้อ ๔ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติในเรื่องค่าตอบแทนและค่าบริการเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์
ดังนี้
(๑)[๒]
ประกาศรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรให้ปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ
สถานประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เพื่อให้ผู้ที่มาติดต่อหรือใช้บริการในสถานที่นั้นทราบข้อมูลดังกล่าว โดยให้จัดทำประกาศรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการเป็นภาษาไทยด้วย
และให้ส่งสำเนาประกาศดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการทราบภายใน ๗ วันนับแต่วันปิดประกาศและวันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
(๒)
แจ้งรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการให้คู่สัญญาทราบ
ก่อนที่จะตกลงกันทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๓)
ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการในการดูแลผลประโยชน์ลงในสัญญาดูแลผลประโยชน์
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๓[๓]
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๕/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑
[๒] ข้อ ๔ (๑)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๒๑ ง/หน้า ๓๖/๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ |
642332 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกความใน (ก) ของ (๒) ในข้อ
๓ แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา ลงวันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(ก)
บุตรและบุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ประกาศ ณ วันที่ ๑๗
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓
สมชาย พูลสวัสดิ์
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔๙ ง/หน้า ๕๘/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ |
638223 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๓
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกความใน (๑) ของข้อ ๔
แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๑)
ประกาศรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรให้ปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ
สถานประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เพื่อให้ผู้ที่มาติดต่อหรือใช้บริการในสถานที่นั้นทราบข้อมูลดังกล่าว
โดยให้จัดทำประกาศรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการเป็นภาษาไทยด้วย
และให้ส่งสำเนาประกาศดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการทราบภายใน ๗ วันนับแต่วันปิดประกาศและวันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
ประกาศ ณ วันที่ ๑๔
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
ศุภชัย จงศิริ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๒๑ ง/หน้า ๓๖/๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ |
623267 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ
การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ และมาตรา ๓๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒ บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามบัตรประจำตัวของผู้ตรวจการสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
โดยให้ถือว่าบัตรประจำตัวของผู้ตรวจการสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินเป็นบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้วยโดยอนุโลม
ข้อ ๓ ในกรณีบุคคลผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินพ้นจากตำแหน่ง
ให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวไม่มีสิทธิใช้บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้วยโดยอนุโลม
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
กรณ์ จาติกวณิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔ ง/หน้า ๔๗/๒๗ มกราคม ๒๕๕๓ |
623265 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา
๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศไว้ ดังนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ.
๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ข้อ ๒ ให้บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๓ ให้บุคคลตามข้อ ๒
พ้นจากการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
เมื่อพ้นจากการเป็นผู้ตรวจการสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
กรณ์ จาติกวณิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔ ง/หน้า ๔๖/๒๗ มกราคม ๒๕๕๓ |
606956 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ และมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งให้บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ สกส. ๒/๒๕๕๑ เรื่อง
แต่งตั้งผู้ตรวจการสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๑
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
ประกาศนี้
ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
กรณ์ จาติกวณิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๘๐ ง/หน้า ๓๕/๘ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
674590 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบ
ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่งและวรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศแต่งตั้งบุคคลดังต่อไปนี้เป็นกรรมการในคณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
๑. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
หรือผู้ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมาย
๒. ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
หรือผู้ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมอบหมาย
๓. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
หรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกามอบหมาย
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
สุชาติ
ธาดาธำรงเวช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๓
กันยายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๐
กันยายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๙๐ ง/หน้า ๓๖/๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑ |
594063 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ
การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบท้ายประกาศนี้
ข้อ ๒ รูปถ่ายที่ติดบัตรประจำตัวให้เป็นรูปถ่ายครึ่งตัว
หน้าตรง ไม่สวมหมวกและแว่นตาสีเข้ม
ข้อ ๓ ให้ปลัดกระทรวงการคลัง
หรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ประกาศ ณ วันที่ ๑๓
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
สุชาติ ธาดาธำรงเวช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ท้ายประกาศออกตามความในพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๙๐ ง/หน้า ๓๗/๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑ |
590108 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
หลักเกณฑ์การมีส่วนได้เสียของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญา
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
บริษัทแม่
หมายความว่า
บริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในลักษณะดังต่อไปนี้
(๑)
มีหุ้นในบริษัทหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒)
มีอำนาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทหนึ่ง
(๓)
มีอำนาจควบคุมการแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้มีอำนาจในการจัดการหรือกรรมการตั้งแต่กึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดในบริษัทหนึ่ง
การมีหุ้นในบริษัทหนึ่งตั้งแต่ร้อยละยี่สิบขึ้นไปของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีอำนาจควบคุมกิจการ
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามิได้มีอำนาจควบคุมกิจการ
บริษัทลูก หมายความว่า
(๑)
บริษัทที่มีบริษัทอื่นเป็นบริษัทแม่ หรือ
(๒)
บริษัทลูกของบริษัทตาม (๑) ต่อไปทุกทอด
บริษัทร่วม
หมายความว่า บริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ร่วมกัน
ข้อ ๓ กรณีดังต่อไปนี้ให้ถือว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีส่วนได้เสียกับคู่สัญญาและห้ามทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญากับคู่สัญญารายนั้น
ๆ
(๑)
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีความสัมพันธ์กับคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายในลักษณะเป็นบริษัทแม่
บริษัทลูก หรือบริษัทร่วม
(๒)
กรรมการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการบริหารของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นคู่สัญญาหรือมีความสัมพันธ์กับคู่สัญญาในลักษณะดังต่อไปนี้
(ก)
ผู้สืบสันดาน
(ข)
บุพการี
(ค)
คู่สมรส
(ง)
พี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกัน
(จ)
พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
(๓)
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นผู้ให้สินเชื่อแก่คู่สัญญาฝ่ายที่มีหน้าที่โอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๗/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ |
590106 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ค่าตอบแทนที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากคู่สัญญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาถือปฏิบัติดังนี้
(๑)
เรียกเก็บค่าตอบแทนในอัตราไม่เกินร้อยละศูนย์จุดสามต่อปีของจำนวนเงินทั้งหมดที่คู่สัญญาฝ่ายที่มีหนี้ในการชำระเงินตามสัญญาต้องชำระไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ก่อนที่จะมีการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินนั้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒)
ค่าตอบแทนตาม (๑) ให้เรียกเก็บจากคู่สัญญา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตามที่ตกลงกันไว้ปีละสองงวด
งวดละหกเดือน โดยเรียกเก็บงวดแรกในวันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์ เว้นแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์น้อยกว่าหกเดือนให้เรียกเก็บค่าตอบแทนงวดเดียวในวันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
กรณีที่คู่สัญญามิได้ตกลงกันตามวรรคหนึ่งข้างต้น
ให้เรียกเก็บค่าตอบแทนจากคู่สัญญาฝ่ายละเท่ากัน
(๓)
หากการชำระหนี้ของคู่สัญญาได้สิ้นสุดลงก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องคืนค่าตอบแทนตาม (๒)
ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตามสัดส่วนของระยะเวลาที่เหลือ
ข้อ ๓ ค่าบริการที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากคู่สัญญาฝ่ายที่ร้องขอให้มีการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามมาตรา
๗ วรรคสอง
ให้เรียกเก็บได้ตามอัตราและระยะเวลาที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาและคู่สัญญาฝ่ายนั้นตกลงกัน
หากการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมตามวรรคหนึ่งได้แล้วเสร็จก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามที่ตกลงกันไว้
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องคืนค่าบริการให้แก่คู่สัญญาฝ่ายนั้นตามสัดส่วนของระยะเวลาที่เหลือ
ข้อ ๔ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติในเรื่องค่าตอบแทนและค่าบริการเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์
ดังนี้
(๑)
ประกาศรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรไว้ในที่เปิดเผย ณ สถานประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เพื่อให้ผู้ที่มาติดต่อหรือใช้บริการในสถานที่นั้นทราบข้อมูลดังกล่าว
และให้ส่งสำเนาประกาศดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการทราบภายใน ๗
วันนับแต่วันติดประกาศและวันที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วย
(๒)
แจ้งรายละเอียดอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการให้คู่สัญญาทราบ
ก่อนที่จะตกลงกันทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๓)
ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนและค่าบริการในการดูแลผลประโยชน์ลงในสัญญาดูแลผลประโยชน์
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๕/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ |
590104 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง กำหนดระยะเวลาการดำเนินการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกัน
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
กำหนดระยะเวลาการดำเนินการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา
๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ เมื่อสัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องดำเนินการตามมาตรา ๒๒ (๑) หรือ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้เสร็จสิ้นโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้
ต้องไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่วันที่สัญญาดูแลผลประโยชน์เลิกกัน
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๔/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ |
590102 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง หลักเกณฑ์การแจ้งความเคลื่อนไหวของเงินฝากในบัญชีดูแลผลประโยชน์
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
หลักเกณฑ์การแจ้งความเคลื่อนไหวของเงินฝากในบัญชีดูแลผลประโยชน์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องมีหนังสือแจ้งรายการฝากหรือโอนเงิน
และจำนวนเงินคงเหลือในบัญชีดูแลผลประโยชน์ไปยังคู่สัญญา
อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้งหลังจากที่ได้มีการดำเนินการทางบัญชี โดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑)
ทางไปรษณีย์
(๒)
ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail)
(๓)
โดยวิธีอื่นใดที่คู่สัญญาสามารถเก็บไว้เป็นหลักฐานได้
ข้อ ๓ การดำเนินการโดยวิธีการตามข้อ ๒ (๒) และ
(๓) ต้องทำความตกลงกับคู่สัญญาก่อน
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๓/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ |
590100 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำทะเบียนเกี่ยวกับสัญญาดูแลผลประโยชน์
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
หลักเกณฑ์การจัดทำทะเบียนเกี่ยวกับสัญญาดูแลผลประโยชน์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดทำทะเบียนเกี่ยวกับสัญญาดูแลผลประโยชน์แยกเป็นรายสัญญา
โดยมีเลขทะเบียนกำกับไว้ในแต่ละสัญญา
ข้อ ๓ ทะเบียนเกี่ยวกับสัญญาดูแลผลประโยชน์ให้เป็นไปตามแบบท้ายประกาศนี้และอย่างน้อยต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
(๑)
ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญา
(๒)
วันที่ทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๓)
รายละเอียดของทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๔)
มูลค่าทรัพย์สินตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๕)
ชื่อบัญชีและเลขที่บัญชีดูแลผลประโยชน์
(๖)
ค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่น (ถ้ามี)
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ทะเบียนสัญญาดูแลผลประโยชน์ (ชื่อผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๒/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ |
590098 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำบัญชีทรัพย์สินของคู่สัญญา
| ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ประกาศคณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
เรื่อง
หลักเกณฑ์การจัดทำบัญชีทรัพย์สินของคู่สัญญา
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องจัดทำบัญชีแสดงทรัพย์สินของคู่สัญญาแต่ละรายแยกออกจากบัญชีทรัพย์สินของตน
โดยบัญชีดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้
(๑)
เลขทะเบียนสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๒)
ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญา
(๓)
ชื่อบัญชีและเลขที่บัญชีดูแลผลประโยชน์และจำนวนเงินในบัญชี
(๔)
รายการความเคลื่อนไหวของการเบิกจ่ายเงินตามสัญญาดูแลผลประโยชน์
(๕)
รายละเอียดทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับสัญญาดูแลผลประโยชน์
รวมถึงมูลค่าของทรัพย์สินนั้น
ข้อ ๓ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องบันทึกรายการในบัญชีทรัพย์สินของคู่สัญญาให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน
ข้อ ๔ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาต้องเก็บรักษาบัญชีทรัพย์สินของคู่สัญญาไว้ไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ลงรายการครั้งสุดท้าย
โดยจะเก็บไว้ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือรูปแบบใดก็ได้
ประกาศ ณ วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สุภา ปิยะจิตติ
รองปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการกำกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง/หน้า ๕๑/๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ |
585898 | ประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง กำหนดแบบคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์สำหรับสถาบันการเงิน
| ประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เรื่อง
กำหนดแบบคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์สำหรับสถาบันการเงิน
อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๔
แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์สำหรับสถาบันการเงิน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ให้สถาบันการเงินที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามแบบคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์สำหรับสถาบันการเงินที่แนบท้ายประกาศนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๘
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
พรรณี สถาวโรดม
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์สำหรับสถาบันการเงิน
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๓๗ ง/หน้า ๕/๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
585896 | ประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง กำหนดแบบใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
| ประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เรื่อง
กำหนดแบบใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๔
แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์สำหรับสถาบันการเงิน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ให้เป็นไปตามแบบท้ายประกาศนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๘
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
พรรณี สถาวโรดม
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ใบอนุญาตประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๒๓ เมษายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๓๗ ง/หน้า ๔/๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
301943 | พระราชบัญญัติการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2522 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การตรวจเงินแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการตรวจเงินแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา
๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๒๒/๒๗/๑พ/๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒]
มาตรา
๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
พุทธศักราช ๒๔๗๖
มาตรา
๔ ในพระราชบัญญัตินี้
หน่วยรับตรวจ หมายความว่า
(๑)
กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็น
กระทรวง ทบวง หรือกรม
(๒)
หน่วยงานของราชการส่วนภูมิภาค
(๓)
หน่วยงานของราชการส่วนท้องถิ่น
(๔)
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือหน่วยงานอื่น
ของรัฐ
(๕)
หน่วยงานอื่นใดที่มีกฎหมายกำหนดหรือที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้สำนักงาน
ตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบ
ผู้รับตรวจ
หมายความว่า
หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานผู้รับ
ผิดชอบในการปฏิบัติราชการหรือการบริหารของหน่วยรับตรวจ
ผู้อำนวยการ
หมายความว่า ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
พนักงานเจ้าหน้าที่
หมายความว่า
ข้าราชการในสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ซึ่งผู้อำนวยการแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๕ ให้มีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
มีผู้อำนวยการเป็นผู้บังคับบัญชา
และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
และให้มีรองผู้อำนวยการ
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้บังคับบัญชาและช่วยผู้อำนวยการสั่งและปฏิบัติราชการ
มาตรา
๖
การแต่งตั้งผู้อำนวยการต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
มาตรา
๗ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑)
ตรวจสอบรายงานการรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ และงบแสดง
ฐานะการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ
และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมายและตาม
ความเป็นจริงหรือไม่
(๒)
ตรวจสอบบัญชีทุนสำรองเงินตราประจำปี และแสดงความเห็นว่าเป็นไป
ตามกฎหมายและตามความเป็นจริงหรือไม่
(๓)
ตรวจสอบการรับจ่าย การเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินอื่น
ของหน่วยรับตรวจหรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ
และแสดงความเห็นว่าเป็นไป
ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีหรือไม่
และอาจตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน
และการใช้ทรัพย์สินอื่น และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์
เป็นไปโดยประหยัดได้
ผลตามเป้าหมายและมีผลคุ้มค่าหรือไม่
ในกรณีที่หน่วยรับตรวจเป็นรัฐวิสาหกิจ
ให้แสดงความเห็นตามมาตรฐานการ
สอบบัญชีที่รับรองทั่วไปด้วย
(๔)
ตรวจสอบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นของ
หน่วยรับตรวจ และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับหรือมติคณะ
รัฐมนตรีหรือไม่
มาตรา
๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๗
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
มีอำนาจดังต่อไปนี้
(๑)
ตรวจสอบเงินและทรัพย์สินอื่น บัญชี ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานอื่น
ที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ
(๒)
เรียกผู้รับตรวจหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยรับตรวจมาเพื่อสอบสวน หรือ
สั่งให้ผู้รับตรวจหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยรับตรวจส่งมอบบัญชี
ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานอื่น
บรรดาที่หน่วยรับตรวจจัดทำขึ้นหรือมีไว้ในครอบครอง
(๓)
อายัดเงินและทรัพย์สินอื่น บัญชี ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่อยู่ใน
ความรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ
(๔)
เรียกบุคคลใด ๆ มาให้การเป็นพยานในการตรวจสอบตาม (๑) หรือให้ส่ง
มอบบัญชี ทะเบียน เอกสาร
หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับหรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับหน่วยรับตรวจ
เพื่อประกอบการพิจารณา
มาตรา
๙ เพื่อปฏิบัติการตามมาตรา ๘
ให้ผู้อำนวยการและพนักงานเจ้าหน้าที่
มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ
ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกหรือในเวลา
ทำการเพื่อตรวจสอบ ค้น ยึด หรืออายัด บัญชี ทะเบียน เอกสาร
หรือหลักฐานอื่น หรืออายัด
ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับหรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับหน่วยรับตรวจเท่าที่จำเป็น
มาตรา
๑๐
การเรียกบุคคลมาให้การเป็นพยานหรือให้ส่งมอบบัญชี ทะเบียน
เอกสารหรือหลักฐานอื่นตามมาตรา ๘ (๔)
ให้ทำเป็นหนังสือและนำไปส่งในระหว่างเวลา
พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกหรือในเวลาทำการของผู้รับ
หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ณ
ถิ่นที่อยู่หรือสถานที่ทำการของผู้รับ
มาตรา
๑๑
ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานตรวจเงิน
แผ่นดินเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๑๒
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัวตามแบบที่สำนักงานตรวจ
เงินแผ่นดินกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตร
ประจำตัวเมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ
มาตรา
๑๓
ในกรณีที่ผลการตรวจสอบปรากฏว่ามีข้อบกพร่องหรือมีการไม่
ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรี
ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
แจ้งให้หน่วยรับตรวจชี้แจงหรือแก้ไขข้อบกพร่องหรือปฏิบัติให้ถูกต้องภายในเวลาที่
กำหนดให้
เมื่อพ้นเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่งแล้ว
ถ้าหน่วยรับตรวจมิได้ชี้แจงหรือ
แก้ไขข้อบกพร่องหรือปฏิบัติการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรี
โดยไม่มีเหตุผลสมควร
ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแจ้งให้กระทรวงเจ้าสังกัด หรือผู้บังคับ บัญชา
หรือผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ แล้วแต่กรณี ดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนที่ทางราชการหรือหน่วยรับตรวจกำหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ
ตามควรแก่กรณี
มาตรา
๑๔
ในกรณีที่ผลการตรวจสอบปรากฏว่ามีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็น
การทุจริต
ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี และให้สำนักงาน
ตรวจเงินแผ่นดินแจ้งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ผู้รับตรวจหรือกระทรวงเจ้าสังกัดหรือผู้บังคับ
บัญชาหรือผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจดำเนินการตามกฎหมาย
และระเบียบ
แบบแผนที่ทางราชการหรือหน่วยรับตรวจกำหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้วย
เมื่อพนักงานสอบสวน
หรือผู้รับตรวจหรือกระทรวงเจ้าสังกัดหรือผู้บังคับบัญชา
หรือผู้ควบคุม
กำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจตามวรรคหนึ่งดำเนินการไปประการใดแล้ว
ให้แจ้งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทราบโดยมิชักช้า
ในกรณีที่ผู้รับตรวจหรือกระทรวงเจ้าสังกัด
หรือผู้บังคับบัญชา หรือผู้ควบคุม
กำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่งภายในระยะเวลาอันสมควร
ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินรายงานต่อนายกรัฐมนตรี
มาตรา
๑๕
ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทำรายงานผลการตรวจสอบการ
รับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ
และงบแสดงฐานะการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณตาม มาตรา ๗ (๑) และผลการปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน พร้อมด้วยความเห็นเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอรัฐสภา
มาตรา
๑๖
การตรวจสอบการรับจ่ายเงินและทรัพย์สินอื่น บัญชี ทะเบียน
เอกสารหรือหลักฐานอื่นของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เป็นผู้แต่งตั้งผู้ตรวจสอบ
ในการตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง
ให้นำมาตรา ๗ (๓) มาตรา ๘ มาตรา ๙
มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา
๑๗
ผู้ใดเปิดเผยข้อความที่ได้มาเนื่องจากการปฏิบัติตามมาตรา ๗ (๔)
มาตรา ๘ (๔)
หรือมาตรา ๙ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวน
หรือการพิจารณาคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๑๘
ผู้ใดมีหน้าที่ครอบครองหรือรักษาเงินและทรัพย์สินอื่น บัญชี
ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
หรือผู้ตรวจสอบที่รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังแต่งตั้งตามมาตรา ๑๖ เรียกให้ส่งตามมาตรา ๘
(๒) หรืออายัดตามมาตรา ๘
(๓) หรือมาตรา ๙ ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย
หรือทำให้สูญหายหรือทำให้
ไร้ประโยชน์ซึ่งเงินและทรัพย์สินอื่น บัญชี ทะเบียน
เอกสารหรือหลักฐานนั้น ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๑๙
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือขัดขวาง
การปฏิบัติของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตามมาตรา ๘
หรือผู้อำนวยการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามมาตรา ๙
หรือผู้ตรวจสอบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้ง ตามมาตรา ๑๖ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๒๐ ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้อำนวยการ พนักงาน
เจ้าหน้าที่และผู้ตรวจสอบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งตามมาตรา
๑๖ เป็น
เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา
๒๑ ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
และสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
และบรรดาอำนาจหน้าที่ของประธานคณะกรรมการ
ตรวจเงินแผ่นดินไปเป็นของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือของผู้อำนวยการ
ตามพระราชบัญญัติ
นี้ แล้วแต่กรณี
มาตรา
๒๒ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้
ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบ
ประมาณของสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาไปเป็นของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๒๓
ให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินอยู่ใน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นผู้อำนวยการ ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๒๔ บรรดาบทกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
ประกาศ คำสั่ง หรือมติ
คณะรัฐมนตรีใดที่อ้างถึงคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินหรือสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงิน
แผ่นดิน ให้ถือว่าบทกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง
หรือมติคณะรัฐมนตรีนั้น อ้างถึง
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
และที่อ้างถึงประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้ถือว่าอ้างถึง
ผู้อำนวยการ
ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๒๕
ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส.โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุง
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเสียใหม่
เพื่อให้การตรวจสอบการรับจ่าย เก็บ
รักษาเงิน
และทรัพย์สินอื่นของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นไปโดยถูกต้องและเรียบร้อย
มีประสิทธิภาพ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
ชไมพร/แก้ไข
๑๙
ก.ย. ๔๔
A+B (C) |
395086 | พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
เป็นปีที่ ๕๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ และยินยอมของรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด
พ.ศ. ๒๕๐๗
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
ความเสียหาย หมายความว่า ความเสียหายตามหมวด ๓
อุตสาหกรรมภายใน หมายความว่า อุตสาหกรรมภายในตามหมวด
๔
สินค้าที่ถูกพิจารณา[๒]
หมายความว่า สินค้ารายที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุ่มตลาดหรือได้รับการอุดหนุน
หรือสินค้ารายที่ถูกกล่าวหาว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
สินค้าชนิดเดียวกัน หมายความว่า สินค้าที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการกับสินค้าที่ถูกพิจารณา
แต่ในกรณีที่ไม่มีสินค้าดังกล่าวให้หมายความว่าสินค้าที่คล้ายคลึงกันอย่างมากกับสินค้าดังกล่าว
ขั้นตอนทางการค้า
หมายความว่า ขั้นตอนต่าง ๆ ในการจำหน่ายสินค้าทอดต่าง ๆ
จนถึงผู้บริโภค
ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด หมายความว่า ส่วนที่ราคาส่งออกจากต่างประเทศต่ำกว่ามูลค่าปกติ
ผู้มีส่วนได้เสีย หมายความว่า
(๑)
ผู้ผลิตในต่างประเทศ ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ ผู้นำเข้าซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
หรือสมาคมในทางการค้าที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิต ผู้ส่งออก
หรือผู้นำเข้าซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา แล้วแต่กรณี
(๒)[๓] รัฐบาลของประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
(๒/๑)[๔]
ผู้ประกอบสินค้าตามมาตรา ๗๑/๑
(๓)
ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศ
หรือสมาคมในทางการค้าที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว หรือ
(๔)
บุคคลอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
อากร หมายความว่า อากรชั่วคราว
อากรตอบโต้การทุ่มตลาด หรืออากรตอบโต้การอุดหนุน แล้วแต่กรณี
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมศุลกากร
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๑ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงและประกาศนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการพิจารณาการทุ่มตลาด การพิจารณาการอุดหนุน การพิจารณาความเสียหาย
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
การพิจารณาการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
การพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนการทบทวนมาตรการ
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ
อันเกี่ยวกับพระราชบัญญัตินี้ได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้[๕]
ในกรณีที่สมควร
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งนั้นจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใด อาจกระทำได้โดยออกเป็นประกาศกระทรวงพาณิชย์ก็ได้
หมวด ๑
บททั่วไป[๖]
มาตรา ๗[๗] การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
และการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ให้คำนึงถึงประโยชน์ของอุตสาหกรรมภายใน
ผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะประกอบกัน
มาตรา ๘[๘]
เพื่อประโยชน์ในการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้
เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรจะให้กรมการค้าต่างประเทศมีหนังสือขอให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดทำทะเบียนการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าใด หรือรวบรวมข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าก็ได้
ในกรณีนี้ให้กรมศุลกากรมีอำนาจกำหนดให้ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกแจ้งข้อเท็จจริงใด ๆ ตามที่คณะกรรมการร้องขอได้
และให้นำกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในส่วนที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่กรณีนี้
มาตรา ๙[๙]
ผู้ซึ่งยื่นคำขอให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ผู้นำเข้า ผู้ประกอบสินค้า ผู้ผลิตในต่างประเทศ
หรือผู้ส่งออกจากต่างประเทศอาจขอรายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการกำหนดมาตรการชั่วคราว
การกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การทบทวนอากรหรือการคืนอากร แล้วแต่กรณี ได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
คำขอตามวรรคหนึ่งให้ยื่นภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่มาตรการชั่วคราว
การกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การทบทวนอากรหรือการคืนอากร มีผลใช้บังคับ
มาตรา ๑๐[๑๐] ในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ผู้ใดอาจมีคำขอให้พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
พิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้ทำความตกลง ให้ทบทวนมาตรการ ให้คืนอากร
ตลอดจนการขอข้อมูลข่าวสารใดนั้น
ให้กระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกประกาศกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายได้ตามความเหมาะสมแก่ภาระในการดำเนินงานดังกล่าว
มาตรา ๑๑[๑๑]
เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
การคืนอากรหรือหลักประกันการชำระอากรตามพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๒
การทุ่มตลาด
มาตรา ๑๒ การทุ่มตลาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในเป็นการกระทำอันมิชอบที่อาจตอบโต้ได้
มาตรา ๑๓ การทุ่มตลาดตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่
การส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในทางพาณิชย์
โดยมีราคาส่งออกที่ต่ำกว่ามูลค่าปกติของสินค้าชนิดเดียวกัน
มาตรา ๑๔ ราคาส่งออก ได้แก่
ราคาส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกมายังประเทศไทยตามที่ได้ชำระหรือควรจะมีการชำระกันจริง
ในกรณีที่ไม่ปรากฏราคาส่งออกหรือราคาส่งออกนั้นไม่น่าเชื่อถือ
เนื่องจากมีการร่วมมือกันหรือจัดให้มีการชดเชยประโยชน์กันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องให้คำนวณหาราคาส่งออกจากราคาสินค้านั้นที่ได้จำหน่ายต่อไปทอดแรกยังผู้ซื้ออิสระ
แต่ในกรณีที่สินค้านั้นไม่มีการจำหน่ายต่อไปยังผู้ซื้ออิสระหรือไม่ได้จำหน่ายต่อไปตามสภาพสินค้าที่เป็นอยู่ในขณะนำเข้า
ให้คำนวณราคาส่งออกตามหลักเกณฑ์อย่างหนึ่งอย่างใดที่เหมาะสมแก่กรณีดังกล่าว
ในกรณีตามวรรคสอง
การคำนวณหาราคาส่งออกให้หักค่าใช้จ่ายและค่าภาระต่าง ๆ ตลอดจนภาษีอากร
และกำไรที่ได้รับอันเกิดขึ้นระหว่างการนำเข้าและการจำหน่ายต่อไปออกด้วย
มาตรา ๑๕ มูลค่าปกติ ได้แก่
ราคาที่ผู้ซื้ออิสระในประเทศผู้ส่งออกได้ชำระหรือควรจะมีการชำระกันจริงในทางการค้าปกติสำหรับสินค้าชนิดเดียวกันที่ขายเพื่อการบริโภคภายในประเทศนั้น
โดยพิจารณาจากการขายสินค้าดังกล่าวในปริมาณใดปริมาณหนึ่งที่เหมาะสมซึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของปริมาณสินค้านั้นที่ส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกมายังประเทศไทย
แต่จะนำปริมาณการขายที่ต่ำกว่านั้นมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาก็ได้
ถ้ามีเหตุอันรับฟังได้ว่าราคาขายที่พิจารณาจากปริมาณสินค้าดังกล่าวเป็นราคาในตลาดประเทศผู้ส่งออก
ในกรณีไม่ปรากฏราคาตามวรรคหนึ่งหรือราคานั้นไม่น่าเชื่อถือเนื่องจากมีการร่วมมือกันหรือจัดให้มีการชดเชยประโยชน์กันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง
หรือตลาดในประเทศผู้ส่งออกมีลักษณะเฉพาะทำให้ไม่อาจหาราคาที่เปรียบเทียบกันได้โดยเหมาะสม
ให้พิจารณาหามูลค่าปกติจากราคาต่อไปนี้
(๑)
ราคาส่งออกในทางการค้าปกติของสินค้าชนิดเดียวกันที่ส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกไปยังประเทศที่สามที่เหมาะสม
ถ้ามีเหตุอันรับฟังได้ว่าราคานั้นแสดงถึงราคาในตลาดประเทศผู้ส่งออก หรือ
(๒)
ราคาที่คำนวณจากต้นทุนการผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดรวมกับจำนวนที่เหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการจัดการ
การขาย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตลอดจนกำไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ในกรณีที่ราคาตามวรรคหนึ่งหรือราคาตามวรรคสอง
(๑) ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตรวมกับค่าใช้จ่ายในการจัดการ การขาย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เมื่อได้พิจารณาการขายสินค้าดังกล่าวในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่สมควรโดยมีปริมาณการขายที่มากพอแล้ว
ถ้าปรากฏว่าราคาเหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้คืนทุนได้ภายในเวลาที่เหมาะสม
จะถือว่าราคานั้นเป็นราคาในทางการค้าปกติที่จะนำมาพิจารณาหามูลค่าปกติไม่ได้
เว้นแต่ราคานั้นสูงกว่าต้นทุนการผลิตถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักต่อหน่วยที่ปรากฏในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
มาตรา ๑๖
ในกรณีที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกไม่ใช้กลไกตลาดการหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕ ให้พิจารณาเทียบเคียงจากข้อมูลราคาที่เป็นอยู่ในประเทศที่สามซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่ใช้กลไกตลาดและเหมาะสมแก่การเปรียบเทียบ
แต่ถ้าหาประเทศที่สามที่เหมาะสมไม่ได้
ให้พิจารณาจากราคาของสินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายในประเทศไทยหรือจากพื้นฐานอื่นใดตามที่เหมาะสมแก่กรณี
มาตรา ๑๗ ในกรณีเป็นการนำสินค้าเข้ามาในประเทศไทยโดยการส่งออกจากประเทศอื่นซึ่งมิใช่ประเทศแหล่งกำเนิด
ให้ใช้ข้อมูลราคาที่เป็นอยู่ในประเทศผู้ส่งออกนั้นเป็นเกณฑ์ในการหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕
แต่ถ้ามีเหตุอันควรจะใช้ราคาในประเทศแหล่งกำเนิดเป็นเกณฑ์ในการหามูลค่าปกติก็ได้
โดยเฉพาะในกรณีที่สินค้านั้นเป็นเพียงการขนถ่ายผ่านประเทศผู้ส่งออก
หรือสินค้านั้นไม่มีการผลิตในประเทศผู้ส่งออก
หรือไม่มีราคาที่จะเปรียบเทียบกันได้ในประเทศผู้ส่งออก
มาตรา ๑๘
การพิจารณาหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดให้มีการเปรียบเทียบอย่างเป็นธรรมและให้กระทำที่ขั้นตอนทางการค้าเดียวกันและในเวลาเดียวกัน
โดยคำนึงถึงบรรดาข้อแตกต่างที่มีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาประกอบด้วย
ในกรณีที่ราคาส่งออกและมูลค่าปกติมิได้อยู่บนขั้นตอนทางการค้าเดียวกันหรือเวลาเดียวกัน
ให้มีการปรับลดองค์ประกอบต่าง ๆ
ที่แตกต่างกันอันมีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาออกด้วย
ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง
วิธีการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดต่อหน่วยให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
เว้นแต่จะมีเหตุสมควรที่จะใช้วิธีการอื่น
(๑)
เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกับราคาส่งออกถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก
(๒)
เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติกับราคาส่งออกของธุรกรรมแต่ละรายโดยเฉลี่ย หรือ
(๓)
ในกรณีที่ปรากฏว่าราคาส่งออกมายังตลาดภายในประเทศมีความแตกต่างกันในสาระสำคัญระหว่างผู้ซื้อต่างคนกัน
ภูมิภาคที่ส่งออก หรือระยะเวลาที่ส่งออก และวิธีการตาม (๑) หรือ (๒)
ไม่อาจแสดงสภาพแท้จริงของการทุ่มตลาดได้ ให้เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกับราคาส่งออกของธุรกรรมแต่ละรายโดยเฉลี่ย
ในการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดก็ได้
หมวด ๓
ความเสียหาย
มาตรา ๑๙ ถ้าบทบัญญัติใดมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
ความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้หมายความว่า
(๑)
ความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน
(๒)
ความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน หรือ
(๓)
อุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใน
มาตรา ๒๐ การพิจารณาว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๑) ต้องมีพยานหลักฐานโดยตรงสนับสนุนเกี่ยวกับกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
ปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดและผลของการทุ่มตลาดที่มีต่อราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
และ
(๒)
ผลกระทบของการทุ่มตลาดนั้นที่มีต่ออุตสาหกรรมภายใน
ในกรณีมีการทุ่มตลาดสินค้าใดจากประเทศผู้ส่งออกมากกว่าหนึ่งประเทศอยู่ระหว่างการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดพร้อมกัน
ถ้าปรากฏว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดและปริมาณการนำเข้าจากแต่ละประเทศดังกล่าวมีจำนวนมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำตามมาตรา
๒๘ การพิจารณาความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
จะประเมินผลของการนำเข้าจากแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันก็ได้
ถ้ากรณีมีความเหมาะสมต่อสภาพการแข่งขันในระหว่างสินค้าทุ่มตลาดด้วยกันและในระหว่างสินค้าทุ่มตลาดกับสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
มาตรา ๒๑ ในการพิจารณาความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าทุ่มตลาดกับความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
โดยนอกจากผลจากสินค้าทุ่มตลาดแล้วจะต้องพิจารณาผลจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ปรากฏว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในในเวลาเดียวกันประกอบด้วย
ปัจจัยดังกล่าวให้รวมถึงปริมาณและราคาของสินค้านำเข้าที่มิได้ขายในราคาที่มีการทุ่มตลาด
การที่อุปสงค์ลดลง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค
การผูกขาดตัดตอนทางการค้า การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตในต่างประเทศและผู้ผลิตภายในประเทศ
การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ประสิทธิภาพในการส่งออกและความสามารถในการผลิต
มาตรา ๒๒
การพิจารณาว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๒) ต้องมีข้อเท็จจริงสนับสนุนอันมิใช่เป็นเพียงการกล่าวอ้าง หรือการคาดการณ์
หรือความเป็นไปได้ที่ไกลเกินเหตุ โดยจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เห็นได้ว่าการทุ่มตลาดนั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างเห็นได้ชัดและใกล้จะเกิดขึ้น
หรือมีแนวโน้มว่าอาจมีสินค้าทุ่มตลาดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างสำคัญได้ถ้าไม่ดำเนินการป้องกันเสียก่อน
ในการนี้อาจพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
(๑)
อัตราเพิ่มขึ้นที่เห็นได้ชัดของสินค้าทุ่มตลาดอันแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่าอาจมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
(๒)
ขีดความสามารถของผู้ส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและระบายสินค้าได้อย่างอิสระอันแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่าอาจมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการมีอยู่ของตลาดส่งออกอื่นที่อาจรองรับสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วย
(๓)
ความชัดเจนของผลของราคาสินค้าทุ่มตลาดที่เป็นการกดหรือลดราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในและแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้านั้น
(๔)
ปริมาณคงเหลือของสินค้าทุ่มตลาด
มาตรา ๒๓
การพิจารณาว่ามีอุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๓)
ต้องมีข้อเท็จจริงที่ทำให้คาดหมายได้ว่าจะทำให้เกิดความล่าช้าอย่างสำคัญซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้หรือระยะเวลาในการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในด้วย
หมวด ๔
อุตสาหกรรมภายใน
มาตรา ๒๔ อุตสาหกรรมภายในตามพระราชบัญญัตินี้
ได้แก่
ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศที่มีผลผลิตรวมกันได้เกินกึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตรวมภายในประเทศของสินค้าชนิดนั้นเว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
ถ้าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันรายใดเป็นผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
หรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดจากต่างประเทศ
ในกรณีเช่นนี้จะไม่ถือว่าผู้ผลิตดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมภายในก็ได้
(๒)
ถ้าในอาณาเขตของประเทศได้มีการแบ่งตลาดของสินค้าชนิดเดียวกันเป็นตลาดมากกว่าหนึ่งตลาดขึ้นไป
จะถือว่าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในแต่ละตลาดเป็นอุตสาหกรรมภายในแยกต่างหากจากกันก็ได้
ถ้าปรากฏว่าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของตลาดหนึ่งขายสินค้าของตนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในตลาดนั้น
และผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันรายอื่นภายในประเทศมิได้ส่งสินค้าไปยังตลาดนั้นมากพอควรแก่ความต้องการของตลาดดังกล่าว
ให้ถือว่าผู้ผลิตมีความเกี่ยวข้องกับผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดจากต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง
(๑) ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายถูกควบคุมโดยบุคคลที่สาม
หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกันควบคุมบุคคลที่สาม
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
โดยมีเหตุให้เชื่อหรือสงสัยได้ว่าผลจากการเกี่ยวข้องกันจะเป็นเหตุให้ผู้ผลิตรายนั้นมีพฤติกรรมแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเช่นว่านั้น
ในการนี้ให้ถือว่าฝ่ายหนึ่งควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ถ้าฝ่ายแรกอยู่ในฐานะทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติที่จะยับยั้งหรือสั่งการฝ่ายหลังได้
ในกรณีที่มีการแบ่งตลาดตามวรรคหนึ่ง
(๒) ความเสียหายให้พิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นเฉพาะในตลาดนั้น แม้ว่าส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมภายในประเทศจะไม่เสียหายก็ตาม
และให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้าทุ่มตลาดที่ส่งมาเพื่อการบริโภคเฉพาะในตลาดนั้นได้
แต่ถ้าปรากฏในทางปฏิบัติว่าการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเฉพาะสินค้าทุ่มตลาดที่ส่งมาเพื่อการบริโภคในตลาดนั้นไม่อาจปฏิบัติได้
หรือเมื่อผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดไม่มีข้อเสนอทำความตกลงที่เหมาะสมภายในเวลาอันควรตามมาตรา
๔๔
จะเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากสินค้าทุ่มตลาดทั้งหมดที่ส่งเข้ามาในประเทศไทยก็ได้
หมวด ๕
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ส่วนที่ ๑
บททั่วไป
มาตรา ๒๕ การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดนอกจากที่ได้บัญญัติไว้ตามหมวดนี้แล้ว
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๖
ข้อมูลข่าวสารใดเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดโดยสาระและเนื้อหา
หรือผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นขอให้ปกปิด การพิจารณาจะต้องไม่กระทำการใดให้เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้น
ข้อมูลข่าวสารที่ผู้ให้ข้อมูลข่าวสารขอให้ปกปิดนั้น
การเปิดเผยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้นั้นก่อน
และในการพิจารณาจะต้องขอให้ผู้ให้ข้อมูลข่าวสารจัดทำย่อสรุปที่สามารถเปิดเผยได้เพื่อประกอบการพิจารณา
ถ้าผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นไม่จัดทำย่อสรุปดังกล่าวและไม่แจ้งความยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่ให้มาภายในเวลาที่กำหนด
ในการนี้จะไม่รับฟังข้อมูลข่าวสารนั้นประกอบการพิจารณาก็ได้
มาตรา ๒๗
ในกรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียผู้ใดปฏิเสธที่จะนำพยานหลักฐานมาแสดงหรือไม่นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาแสดงภายในเวลาตามที่กำหนด
หรือไม่ให้ความร่วมมือเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน
หรือขัดขวางกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
การพิจารณาจะรับฟังเพียงข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่หรืออาจรับฟังไปในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ผู้นั้นก็ได้
มาตรา ๒๘ การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดให้เป็นอันยุติ
หากปรากฏว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดมีจำนวนน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
หรือมีปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๙ ในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
กรมการค้าต่างประเทศหรือคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี จะดำเนินการเพื่อให้มีการตรวจสอบความเป็นจริงของข้อกล่าวอ้างหรือพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับการพิจารณาก็ได้
การตรวจสอบความเป็นจริงนั้นจะกระทำในขั้นตอนใดของกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและจะกระทำในประเทศไทย
ประเทศผู้ส่งออก หรือประเทศที่เกี่ยวข้องก็ได้
มาตรา ๓๐ ก่อนที่จะประกาศคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการเกี่ยวกับผลการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาวินิจฉัย
เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีโอกาสยื่นข้อโต้แย้งในการป้องกันผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียเหล่านั้น ทั้งนี้
ต้องให้ระยะเวลาอันควรสำหรับการยื่นข้อโต้แย้งดังกล่าว
มาตรา ๓๑
เมื่อมีการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายตามมาตรา ๓๙ แล้ว
หากพฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่าในชั้นที่สุดอาจต้องมีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่ก่อนวันใช้บังคับมาตรการชั่วคราว
คณะกรรมการอาจขอให้กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากรตามพระราชบัญญัตินี้สำหรับสินค้าที่ถูกพิจารณาที่นำเข้ามาตามระยะเวลาที่กำหนดได้
ในการนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจเรียกหลักประกันตามจำนวนที่คณะกรรมการมีคำขอ
ส่วนที่ ๒
การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณา
มาตรา ๓๒
ให้เริ่มดำเนินกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
เมื่อมีคำขอของกรมการค้าต่างประเทศหรือของบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา ๓๓
มาตรา ๓๓[๑๒] บุคคลหรือคณะบุคคลอาจยื่นคำขอในนามของอุตสาหกรรมภายในต่อกรมการค้าต่างประเทศเพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
คำขอตามวรรคหนึ่งจะถือว่าเป็นคำขอที่ยื่นในนามของอุตสาหกรรมภายในได้ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศซึ่งมีการผลิตรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของผู้ที่ได้แสดงความเห็นทั้งส่วนที่สนับสนุนและส่วนที่คัดค้านรวมกัน ทั้งนี้
ไม่ว่ากรณีใดปริมาณการผลิตของฝ่ายสนับสนุนนั้นต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมดในประเทศ
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
มาตรา ๓๔ ถ้าคำขอตามมาตรา ๓๓
มีรายละเอียดหรือหลักฐานไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้ครบถ้วนหรือถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
เมื่อคำขอมีรายละเอียดและพยานหลักฐานครบถ้วนและถูกต้องแล้ว
ให้กรมการค้าต่างประเทศเสนอคำขอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
มาตรา ๓๕ เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอตามมาตรา ๓๒
แล้ว
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้รัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องทราบถึงการมีคำขอดังกล่าว
มาตรา ๓๖ ผู้ยื่นคำขออาจถอนคำขอได้
แต่ถ้าได้มีการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายตามมาตรา ๓๙ แล้ว คณะกรรมการจะยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือดำเนินการพิจารณาต่อไปก็ได้
มาตรา ๓๗
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอมีมูลเกี่ยวกับการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยไม่ชักช้า
ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอนั้นไม่มีมูลเกี่ยวกับการทุ่มตลาดหรือความเสียหายให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๓๘
ถ้ารัฐบาลของประเทศใดร้องเรียนว่าสินค้าทุ่มตลาดจากประเทศอื่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในของประเทศนั้น
และคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเห็นสมควรให้ดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดตามที่ถูกกล่าวหานั้น
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อไป
โดยให้นำบทบัญญัติในหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้ แต่การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากองค์การการค้าโลกก่อน
เมื่อกรมการค้าต่างประเทศเห็นสมควร
หรือเมื่ออุตสาหกรรมภายในร้องเรียนว่ามีการนำสินค้าจากประเทศอื่นเข้าไปทุ่มตลาดในอีกประเทศหนึ่งและก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
และกรมการค้าต่างประเทศเห็นว่าคำร้องดังกล่าวมีมูล
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการร้องขอให้ทางการประเทศนั้นดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป
หลักเกณฑ์และวิธีการในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ส่วนที่ ๓
การไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
มาตรา ๓๙ ในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นการทุ่มตลาดและความเสียหาย
เริ่มต้นโดยการออกประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายในราชกิจจานุเบกษา
และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันหรือเผยแพร่โดยวิธีการอื่นใดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้สาธารณชนรับรู้
ตามที่เห็นสมควร[๑๓]
ประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
ระบุสินค้า
(๒)
ประเทศผู้ส่งออกและประเทศที่เกี่ยวข้อง
(๓)
ข้อเท็จจริงโดยสังเขป
(๔)
การขอรับข้อมูลข่าวสารอันเป็นรายละเอียดตลอดจนค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
(๕)
ระยะเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นเป็นหนังสือ
(๖)
กำหนดเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียแจ้งความจำนงขอแถลงการณ์ด้วยวาจาประกอบการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
และในกรณีที่ทราบที่อยู่ของผู้ส่งออกจากต่างประเทศ
ผู้นำเข้าหรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งเป็นหนังสือให้บุคคลเหล่านั้นทราบประกาศนั้นด้วย
มาตรา ๔๐
เมื่อได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายเสร็จแล้วให้กรมการค้าต่างประเทศสรุปผลการไต่สวนและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
ส่วนที่ ๔
มาตรการชั่วคราว
มาตรา ๔๑
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
ถ้าขณะนั้นปรากฏว่ามีความจำเป็นต้องป้องกันความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน คณะกรรมการอาจใช้มาตรการชั่วคราวโดยประกาศเรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวดังกล่าวได้
อากรชั่วคราวที่เรียกเก็บตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่สูงกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดที่ประเมินขณะที่มีคำวินิจฉัยเบื้องต้น
ในกรณีมีการใช้มาตรการชั่วคราว
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่การเรียกเก็บอากรชั่วคราวเสมือนอากรดังกล่าวเป็นอากรขาเข้าตามกฎหมายนั้น
และอากรชั่วคราวที่เก็บได้รวมทั้งเงินที่บังคับจากหลักประกันการชำระอากรนั้นให้เก็บรักษาไว้เพื่อปฏิบัติตามมาตรา
๕๑ และมาตรา ๕๒ จนกว่าจะสิ้นเหตุที่จะต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว
มาตรา ๔๒
มาตรการชั่วคราวจะนำมาใช้ก่อนหกสิบวันนับแต่วันประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายไม่ได้
มาตรการชั่วคราวต้องใช้ตามระยะเวลาที่จำเป็นและตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีปกติจะกำหนดให้เก็บเกินสี่เดือนไม่ได้
(๒)
ถ้ามีคำขอของผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่มีสัดส่วนมากพอสมควร
คณะกรรมการจะประกาศขยายเวลาเก็บอากรชั่วคราวเกินกว่าสี่เดือนแต่ไม่เกินหกเดือนก็ได้
(๓)
ในกรณีมีการพิจารณาประเด็นว่าถ้าเรียกเก็บอากรต่ำกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจะเพียงพอต่อการขจัดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่
คณะกรรมการจะประกาศขยายเวลาการเก็บอากรชั่วคราวกรณีตาม (๑)
เกินกว่าสี่เดือนแต่ไม่เกินหกเดือนหรือกรณีตาม (๒)
เกินกว่าหกเดือนแต่ไม่เกินเก้าเดือนก็ได้
ส่วนที่ ๕
ความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาด
มาตรา ๔๓ การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดอาจยุติลงสำหรับผู้ส่งออกจากต่างประเทศรายหนึ่งรายใดโดยไม่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
หรือไม่เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
ถ้าสามารถทำความตกลงกันได้ระหว่างผู้ส่งออกรายนั้นกับกรมการค้าต่างประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงราคาหรือระงับการส่งออกสินค้าในราคาทุ่มตลาด
กรมการค้าต่างประเทศจะทำความตกลงได้ต่อเมื่อกรณีเป็นที่พอใจว่าความตกลงนั้นจะขจัดผลเสียหายจากการทุ่มตลาดได้
แต่ความตกลงดังกล่าวจะกำหนดให้มีการเพิ่มราคาสูงกว่าที่จำเป็นเพื่อขจัดส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดไม่ได้
ความตกลงจะมีผลใช้บังคับได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว
มาตรา ๔๔
การทำความตกลงจะกระทำได้ภายหลังที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว
ความตกลงนั้น
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศจะเป็นฝ่ายเสนอหรือกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นฝ่ายเสนอก็ได้
กรมการค้าต่างประเทศจะไม่ยอมรับข้อเสนอทำความตกลงของผู้ส่งออกจากต่างประเทศเพราะเหตุผลในทางนโยบายหรือเหตุผลใด
ๆ ก็ได้ และถ้าเป็นกรณีที่สามารถแจ้งเหตุผลให้ได้
ก็ให้แจ้งให้ผู้ส่งออกจากต่างประเทศทราบด้วย
มาตรา ๔๕
การที่ผู้ส่งออกจากต่างประเทศผู้ใดไม่เสนอทำความตกลงหรือไม่ยอมรับข้อเสนอทำความตกลงของกรมการค้าต่างประเทศ
จะต้องไม่นำเหตุนั้นมาพิจารณาไปในทางเสียประโยชน์ต่อผู้นั้น
มาตรา ๔๖
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่ทำความตกลงกับกรมการค้าต่างประเทศต้องให้ข้อมูลข่าวสารตามระยะเวลาที่กำหนด
และต้องยอมให้กรมการค้าต่างประเทศตรวจสอบความเป็นจริงของข้อมูลข่าวสารนั้นได้
ถ้ามีการฝ่าฝืนความตกลงก็อาจใช้ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในการกำหนดมาตรการชั่วคราวและดำเนินกระบวนพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไปได้
มาตรา ๔๗ แม้ได้มีการทำความตกลงกันแล้ว
คณะกรรมการจะดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไปก็ได้
ถ้าผู้ส่งออกจากต่างประเทศประสงค์เช่นนั้นในการทำความตกลง หรือเป็นกรณีที่ทำความตกลงกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศได้เพียงบางราย
หรือเมื่อมีการฝ่าฝืนความตกลง หรือคณะกรรมการเห็นสมควรเพราะเหตุอื่น
ในกรณีตามวรรคหนึ่งเมื่อสิ้นสุดการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่า
(๑)
ไม่มีการทุ่มตลาดหรือไม่มีความเสียหาย ก็ให้ยุติการดำเนินการตามความตกลงนั้น
แต่ถ้าปรากฏในขณะนั้นว่ากรณีน่าจะมีการทุ่มตลาดหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นถ้ามิได้มีการดำเนินการตามความตกลงนั้น
คณะกรรมการจะวินิจฉัยให้ดำเนินการตามความตกลงนั้นต่อไปตามระยะเวลาที่สมควรก็ได้
(๒)
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย ก็ให้ดำเนินการตามความตกลงนั้นต่อไป
(๓)
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายเนื่องจากมีการฝ่าฝืนความตกลง
คณะกรรมการอาจวินิจฉัยให้เก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่ก่อนวันประกาศใช้บังคับมาตรการชั่วคราวไม่เกินเก้าสิบวันก็ได้
แต่จะใช้กับสินค้าทุ่มตลาดที่นำเข้าก่อนมีการฝ่าฝืนความตกลงนั้นไม่ได้
มาตรา ๔๘ ให้นำบทบัญญัติแห่งหมวด ๘
มาใช้บังคับกับความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดโดยอนุโลม
หมวด ๖
อากรตอบโต้การทุ่มตลาด
มาตรา ๔๙
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
อัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดนั้นให้กำหนดได้เพียงเพื่อขจัดความเสียหายและจะเกินกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดมิได้
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดต้องกำหนดให้เหมาะสมกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศแต่ละรายที่ทุ่มตลาดโดยไม่เลือกปฏิบัติ
เว้นแต่เป็นการดำเนินการตามความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดตามส่วนที่ ๕ ของหมวด ๕
ในกรณีที่มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากสินค้าใด
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับกับการเรียกเก็บอากรดังกล่าวเสมือนอากรนั้นเป็นอากรขาเข้าตามกฎหมายนั้น
และอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่เก็บได้ให้เก็บรักษาไว้เพื่อปฏิบัติตามมาตรา ๕๙
จนกว่าจะสิ้นเหตุที่จะต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว
มาตรา ๔๙/๑[๑๔]
ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่ชำระอากรหรือชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดไม่ครบถ้วนหรือค้างชำระค่าอากรดังกล่าว
ให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการเรียกเก็บอากร เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ การกักของ
การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน การขายทอดตลาด และการดำเนินการเกี่ยวกับของตกค้าง รวมทั้งการลดเงินเพิ่ม งดหรือลดเบี้ยปรับ
ทุเลาการชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาด เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่เห็นด้วยกับการประเมินอากร
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ การลดเงินเพิ่ม และงดหรือลดเบี้ยปรับ ของกรมศุลกากรตามวรรคหนึ่ง
ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองโดยอนุโลม
บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนหรือเงินรางวัลตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรไม่นำมาใช้กับการเก็บอากร
เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับที่จัดเก็บได้จากอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามมาตรานี้
มาตรา ๔๙/๒[๑๕]
ผู้นำเข้าอาจยื่นคำขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดต่อกรมศุลกากรได้หากภายหลังปรากฏว่ามีการส่งสินค้าที่ได้ชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการพิจารณาคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาด ทั้งนี้ ให้นำมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐
บทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง และบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๕๐[๑๖] ในกรณีที่หาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามมาตรา
๑๘ วรรคสาม
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้กำหนดให้เหมาะสมกับผู้ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่างแต่ละราย
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่าง
ให้กำหนดอัตราไว้ไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
แต่ถ้าผู้ที่ไม่ได้รับการสุ่มตัวอย่างรายใดได้ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตนโดยครบถ้วนถูกต้องภายในเวลาที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด
ให้คณะกรรมการกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เหมาะสมสำหรับผู้นั้น เว้นแต่การกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับแต่ละรายจะเป็นภาระเกินสมควรและอาจทำให้การไต่สวนไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๕๔
เนื่องจากมีผู้ได้ให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จะกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักดังกล่าวก็ได้
มาตรา ๕๑ ในกรณีที่มีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
หรือมีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๒)
ซึ่งถ้ามิได้มีการใช้มาตรการชั่วคราวมาก่อนน่าจะทำให้เกิดความเสียหายตามมาตรา ๑๙
(๑) ได้ คณะกรรมการจะกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราวก็ได้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
ถ้าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่คณะกรรมการกำหนดตามวรรคหนึ่งมีอัตราสูงกว่าอากรชั่วคราวส่วนต่างที่เกิดขึ้นนั้นจะเรียกเก็บมิได้
แต่ถ้าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดมีอัตราต่ำกว่าอากรชั่วคราวก็ให้คืนผลต่างของอากรส่วนที่เกินให้ด้วย
มาตรา ๕๒ ในกรณีที่มีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๒)
หรือ (๓)
คณะกรรมการอาจกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดได้ตั้งแต่วันที่มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่ามีความเสียหายตามมาตรา
๑๙ (๒) และ (๓) แล้วแต่กรณี และอากรที่เรียกเก็บหรือหลักประกันต่าง ๆ ที่ได้บังคับใช้ตามมาตรการชั่วคราวให้คืนโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าไม่มีการทุ่มตลาดหรือไม่มีความเสียหาย
บรรดาอากรชั่วคราวที่เรียกเก็บหรือหลักประกันที่ให้ไว้ตามมาตรการชั่วคราวให้คืนโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๕๓ ในกรณีที่มีการใช้มาตรการตามมาตรา ๓๑
คณะกรรมการอาจกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหลังจากวันประกาศไต่สวนแต่ต้องไม่เกินเก้าสิบวันก่อนวันที่ใช้มาตรการชั่วคราวก็ได้
ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปนี้
(๑)
เคยมีการทุ่มตลาดสินค้ารายนั้นและมีความเสียหายหรือผู้นำเข้าได้รู้หรือควรได้รู้ว่าผู้ส่งออกจากต่างประเทศได้ทุ่มตลาดและอาจมีความเสียหาย
และ
(๒)
ความเสียหายได้เกิดขึ้นจากการเร่งนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดเป็นจำนวนมากภายในเวลาอันสั้น
ซึ่งจากช่วงเวลา
ปริมาณการนำเข้าและพฤติการณ์อื่นที่เกี่ยวข้องชี้ให้เห็นว่าจะบั่นทอนผลการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นอย่างมาก
หากไม่กำหนดให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดก่อนวันที่ใช้มาตรการชั่วคราว
ก่อนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามวรรคหนึ่ง
ต้องให้ผู้นำเข้าได้มีโอกาสเสนอความเห็นด้วย
หมวด ๗
ระยะเวลาการไต่สวน
มาตรา ๕๔
การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดจนถึงการดำเนินการให้มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าไม่มีการทุ่มตลาดและไม่มีความเสียหาย
ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศไต่สวน
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ให้ขยายได้อีกไม่เกินหกเดือน
หมวด ๘
ระยะเวลาตอบโต้การทุ่มตลาดและการทบทวน
มาตรา ๕๕ อากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามหมวด ๖
ให้นำมาใช้ได้ตลอดเวลาที่มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
มาตรา ๕๖
การทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป ให้กระทำได้เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำขอจากผู้มีส่วนได้เสียหลังจากได้ใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
โดยในคำขอดังกล่าวผู้มีส่วนได้เสียอาจขอให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนเพื่อยุติการเรียกเก็บหรือเปลี่ยนแปลงอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดได้
แต่ต้องเสนอพยานหลักฐานเพียงพอเกี่ยวกับปัญหาการทุ่มตลาดหรือความเสียหายที่สมควรให้มีการทบทวนการใช้บังคับอากรดังกล่าวในระหว่างนั้น
การพิจารณาการทบทวนจะต้องพิจารณาโดยรวดเร็ว
และจะต้องเสร็จสิ้นภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
การพิจารณาทบทวนไม่กระทบถึงการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในระหว่างนั้น
มาตรา ๕๗[๑๗]
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เรียกเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่เกินห้าปีนับแต่วันเริ่มใช้บังคับหรือนับแต่วันที่ผลการทบทวนครั้งสุดท้ายซึ่งมีการพิจารณาทบทวนทั้งปัญหาการทุ่มตลาดและปัญหาความเสียหายใช้บังคับ
เว้นแต่เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรให้ทบทวนหรือเมื่อบุคคลหรือคณะบุคคลมีคำขอในนามของอุตสาหกรรมภายในให้ทบทวนภายในเวลาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
และคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าการยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจะทำให้มีการทุ่มตลาดและความเสียหายต่อไปหรือฟื้นคืนมาอีก ทั้งนี้ การพิจารณาทบทวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
การพิจารณาทบทวนไม่กระทบถึงการเรียกเก็บอากรในระหว่างระยะเวลาที่อากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามวรรคหนึ่งยังมีผลใช้บังคับ
แต่หากการพิจารณาทบทวนไม่แล้วเสร็จหลังพ้นกำหนดระยะเวลาที่อากรตอบโต้การทุ่มตลาดมีผลใช้บังคับ
ให้คณะกรรมการเรียกหลักประกันการชำระอากรในระหว่างนั้นจนกว่าผลการพิจารณาทบทวนจะใช้บังคับ
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าการยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจะทำให้มีการทุ่มตลาดและความเสียหายต่อไปหรือฟื้นคืนมาอีก
ให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่วันที่มีการเรียกหลักประกันการชำระอากรตามวรรคสอง
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยให้ยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
บรรดาหลักประกันการชำระอากรที่ให้ไว้ในระหว่างการทบทวน ให้คืนโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๕๘[๑๘]
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายใดซึ่งมิได้ส่งสินค้าทุ่มตลาดเข้ามาในช่วงระยะเวลาที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อการไต่สวนการทุ่มตลาดแต่ได้ส่งสินค้าทุ่มตลาดเข้ามาหลังช่วงระยะเวลาดังกล่าว
อาจขอให้ทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับตนเป็นการเฉพาะรายได้ โดยต้องแสดงให้เห็นว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายอื่นซึ่งอยู่ในบังคับถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าว
ให้ถือว่าผู้ขอทบทวนมีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายอื่นตามวรรคหนึ่ง ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือทั้งสองฝ่ายถูกควบคุมโดยบุคคลที่สาม
หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกันควบคุมบุคคลที่สาม
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการนี้
ให้ถือว่าฝ่ายหนึ่งควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ ถ้าฝ่ายแรกอยู่ในฐานะทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติที่จะยับยั้งหรือสั่งการฝ่ายหลังได้
ในระหว่างการทบทวนตามวรรคหนึ่งจะเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดกับสินค้านำเข้าที่ส่งออกหรือผลิตจากผู้ขอทบทวนดังกล่าวไม่ได้
แต่คณะกรรมการอาจขอให้กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากรก็ได้ ในการนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจเรียกหลักประกันอากรตามจำนวนที่คณะกรรมการมีคำขอ
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่ามีการทุ่มตลาด
ให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดย้อนหลังไปนับแต่วันที่ประกาศให้มีการทบทวน
แต่หากคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าไม่มีการทุ่มตลาด
ให้คืนหลักประกันอากรที่เรียกไว้โดยไม่ชักช้า
การพิจารณาทบทวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
มาตรา ๕๙[๑๙]
ผู้นำเข้าอาจขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในขณะหนึ่งขณะใดได้ ถ้าผู้นั้นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
หรือส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดลดลงต่ำกว่าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่ใช้บังคับ
การขอคืนอากรตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศภายในหกเดือนนับแต่วันชำระอากร
การพิจารณาคืนอากรต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการรับคำขอ
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายเวลาได้อีกไม่เกินหกเดือน
มาตรา ๖๐[๒๐] ให้นำบทบัญญัติในหมวด
๒ หมวด ๓ หมวด ๔ ส่วนที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ส่วนที่ ๓ ของหมวด ๕
และหมวด ๖ มาใช้บังคับแก่การทบทวนและการขอคืนอากรตามหมวดนี้โดยอนุโลม
หมวด ๙
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาล
มาตรา ๖๑
ผู้ใดไม่พอใจคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการตามมาตรา ๔๙ หรือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการในการขอให้ทบทวนตามมาตรา
๕๖ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๙
ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น
การอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเรียกเก็บหรือคืนอากรตามพระราชบัญญัตินี้
เว้นแต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะสั่งเป็นอย่างอื่น
หมวด ๑๐
การอุดหนุน
มาตรา ๖๒ ในหมวดนี้
รัฐบาล[๒๑] หมายความว่า
รัฐบาลของประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกซึ่งสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศไทย และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานของรัฐด้วย
วิสาหกิจ หมายความว่า วิสาหกิจหรืออุตสาหกรรม
หรือกลุ่มวิสาหกิจ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม
มาตรา ๖๓[๒๒] การอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้
ได้แก่ การได้รับประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดเนื่องจากรัฐบาลกระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งหมายความรวมถึง
(ก) การกระทำใด ๆ เกี่ยวกับการโอนเงิน เช่น การให้เงิน การให้กู้ยืมเงิน
การเข้าร่วมทุน
หรือการกระทำใดเกี่ยวกับการเพิ่มขีดความสามารถทางการเงิน หรือการลดภาระหนี้ เช่น
การค้ำประกันเงินกู้
(ข) การทำให้รายได้ที่รัฐบาลพึงจะจัดเก็บได้ตามปกติต้องสูญเสียไป เช่น
การให้เครดิตภาษีหรือการให้สิ่งจูงใจทางภาษีอากรอื่น
แต่การให้สินค้าส่งออกได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรประเภทที่เรียกเก็บจากสินค้าชนิดเดียวกันที่ใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศหรือการคืนภาษีอากรดังกล่าวในจำนวนไม่เกินภาระภาษีอากรที่เกิดขึ้นไม่ถือว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน
(ค)
การจัดหาสินค้าหรือบริการอื่นใดนอกจากสาธารณูปโภคทั่วไป หรือการซื้อสินค้า หรือ
(ง)
การให้เงินผ่านกลไกสนับสนุนทางการเงิน หรือการมอบหมายหรือสั่งให้เอกชนดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตาม (ก) (ข) หรือ (ค)
ซึ่งไม่แตกต่างจากการดำเนินการตามปกติที่รัฐบาลพึงดำเนินการเอง
(๒)
ให้การสนับสนุนด้านรายได้หรือด้านราคาไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าใดหรือลดการนำเข้าสินค้าใด
มาตรา ๖๓/๑[๒๓]
การอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงและก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในเป็นการกระทำอันมิชอบที่อาจตอบโต้ได้
มาตรา ๖๔[๒๔] การอุดหนุนใดที่ให้แก่วิสาหกิจบางรายจะเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงหรือไม่
ให้พิจารณาจากหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
การที่รัฐบาลให้การอุดหนุนแก่วิสาหกิจบางรายโดยชัดแจ้ง เป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
(๒)
การอุดหนุนที่มีกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการได้รับการอุดหนุนและจำนวนเงินอุดหนุนที่ใช้เป็นการทั่วไปและมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขนั้นอย่างเคร่งครัด
ไม่เป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังกล่าวต้องไม่เอื้อประโยชน์แก่วิสาหกิจบางรายมากกว่าวิสาหกิจรายอื่น
และต้องสอดคล้องกับเหตุผลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
เช่น การกำหนดจำนวนลูกจ้างหรือขนาดของวิสาหกิจ
(๓)
ในกรณีที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์การอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงตาม (๑) และ (๒)
หากคณะกรรมการมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงโดยพฤตินัย
คณะกรรมการอาจนำปัจจัยอื่นดังต่อไปนี้มาพิจารณาประกอบด้วย (ก)
การจำกัดจำนวนวิสาหกิจที่จะได้รับการอุดหนุน (ข)
การให้วิสาหกิจบางรายได้รับหรือได้ใช้ประโยชน์จากการอุดหนุนมากกว่าวิสาหกิจรายอื่น
(ค) จำนวนเงินอุดหนุนที่ให้แก่วิสาหกิจบางรายมีสัดส่วนที่มากกว่าที่ให้แก่วิสาหกิจรายอื่น
และ (ง) การมีดุลพินิจที่จะเลือกให้การอุดหนุน ทั้งนี้
ให้คำนึงถึงความหลากหลายทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาที่มีโครงการอุดหนุนดังกล่าวด้วย
การอุดหนุนที่ให้แก่วิสาหกิจบางรายที่ตั้งอยู่ในบางพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
แต่หากการอุดหนุนนั้นเป็นการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีอากรที่มีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขใช้บังคับเป็นการทั่วไป
ไม่ถือว่าเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
การอุดหนุนดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงและมิให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับ
(๑) การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออกไม่ว่าโดยนิตินัยหรือโดยพฤตินัย
และให้รวมถึงการอุดหนุนตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้
การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออกโดยพฤตินัย ได้แก่ การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับการส่งออกหรือรายได้จากการส่งออก
ทั้งที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดการณ์ไว้
(๒)
การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อให้มีการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดมากกว่าสินค้านำเข้า
การพิจารณาว่ามีการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงตามมาตรานี้ต้องมีพยานหลักฐานโดยตรงสนับสนุน
มาตรา ๖๕[๒๕] (ยกเลิก)
มาตรา ๖๖[๒๖] (ยกเลิก)
มาตรา ๖๗[๒๗] (ยกเลิก)
มาตรา ๖๘ อากรตอบโต้การอุดหนุนให้คำนวณจากประโยชน์ที่ได้รับในช่วงระยะเวลาที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อการไต่สวนการอุดหนุน
โดยกำหนดเป็นอัตราต่อหน่วยของสินค้าของผู้ที่ได้รับการอุดหนุนแต่ละราย[๒๘]
ถ้าผู้รับการอุดหนุนมีภาระหรือต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนใดให้แก่รัฐบาลที่ให้การอุดหนุน
ผู้รับการอุดหนุนจะขอให้หักค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกก็ได้
แต่ภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นของผู้รับการอุดหนุน
อากรตอบโต้การอุดหนุนนั้นให้กำหนดเพียงเพื่อขจัดความเสียหาย
และจะเกินกว่าประโยชน์ที่ผู้รับการอุดหนุนได้รับมิได้
มาตรา ๖๙ การคำนวณหาประโยชน์ที่ได้รับตามมาตรา ๖๓
ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) การที่รัฐบาลเข้าร่วมทุนไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่การลงทุนนั้นไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามปกติของภาคเอกชนในประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
(๒)
การที่รัฐบาลให้กู้ยืมเงินไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนเงินที่ผู้กู้ต้องชำระและประโยชน์อื่นใดที่คำนวณเป็นตัวเงินได้อันเนื่องมาจากการกู้ยืมจากรัฐบาลกับการกู้ยืมทางพาณิชย์ที่เปรียบเทียบกันได้ในตลาด
ในกรณีนี้ประโยชน์ที่ได้รับคือส่วนต่างของจำนวนดังกล่าว
(๓)
การที่รัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์ เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนเงินที่ผู้ได้รับการค้ำประกันต้องชำระและประโยชน์อื่นใดที่คำนวณเป็นตัวเงินได้ระหว่างการค้ำประกันโดยรัฐบาลกับการค้ำประกันโดยเอกชนในทางพาณิชย์และให้นำความใน
(๒) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๔)
การที่รัฐบาลให้สินค้าหรือบริการหรือการซื้อสินค้าไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์ เว้นแต่เป็นการให้โดยได้รับค่าตอบแทนที่น้อยกว่าอัตราที่สมควรหรือการซื้อสินค้าที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่าอัตราที่สมควร
ซึ่งอัตราที่สมควรให้พิจารณาจากสภาพทางการตลาดที่เป็นอยู่ในประเทศที่รัฐบาลให้สินค้าหรือบริการหรือที่ซื้อสินค้านั้น[๒๙]
การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับ
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใดเป็นไปตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดก็ได้
มาตรา ๗๐ การพิจารณากำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน
ให้นำบทบัญญัติหมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หมวด ๖ หมวด ๗ หมวด ๘ และหมวด ๙
มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๔๒ (๒) และ (๓) มิให้ใช้บังคับในการใช้มาตรการชั่วคราว
(๒)
ความตกลงเพื่อระงับการอุดหนุนระหว่างผู้ส่งออกกับกรมการค้าต่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้ส่งออกด้วย
มาตรา ๗๐/๑[๓๐]
ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่ชำระอากรหรือชำระอากรตอบโต้การอุดหนุนไม่ครบถ้วนหรือค้างชำระค่าอากรดังกล่าว
ให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการเรียกเก็บอากร เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
การกักของ การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน การขายทอดตลาด และการดำเนินการเกี่ยวกับของตกค้าง รวมทั้งการลดเงินเพิ่ม
งดหรือลดเบี้ยปรับ ทุเลาการชำระอากรตอบโต้การอุดหนุน เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่เห็นด้วยกับการประเมินอากร
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ การลดเงินเพิ่ม และงดหรือลดเบี้ยปรับ ของกรมศุลกากรตามวรรคหนึ่ง
ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองโดยอนุโลม
บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนหรือเงินรางวัลตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรไม่นำมาใช้กับการเก็บอากร
เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับที่จัดเก็บได้จากอากรตอบโต้การอุดหนุนตามมาตรานี้
มาตรา ๗๐/๒[๓๑]
ผู้นำเข้าอาจยื่นคำขอคืนอากรตอบโต้การอุดหนุนต่อกรมศุลกากรได้หากภายหลังปรากฏว่ามีการส่งสินค้าที่ได้ชำระอากรตอบโต้การอุดหนุนกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการพิจารณาคืนอากรตอบโต้การอุดหนุน ทั้งนี้ ให้นำมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐
บทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง และบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๗๑[๓๒] เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอจากผู้ยื่นคำขอในนามของอุตสาหกรรมภายในหรือกรมการค้าต่างประเทศให้พิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ก่อนที่จะเปิดการไต่สวน ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้รัฐบาลของประเทศซึ่งสินค้าดังกล่าวถูกพิจารณาว่าได้มีการอุดหนุนทราบและขอให้รัฐบาลของประเทศนั้นมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับการอุดหนุนและความเสียหายของอุตสาหกรรมภายในตามคำขอ
การปรึกษาหารือจะดำเนินการในขั้นตอนใดระหว่างการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุนก็ได้ และกรมการค้าต่างประเทศต้องให้โอกาสตามควรในการปรึกษาหารือนั้น
แต่การปรึกษาหารือไม่เป็นเหตุกระทบการดำเนินการในขั้นตอนการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ในการปรึกษาหารือกรมการค้าต่างประเทศต้องให้โอกาสประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณาได้รับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการพิจารณา
เว้นแต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดโดยสาระและเนื้อหา
หรือผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นขอให้ปกปิด
หมวด ๑๐/๑
การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน[๓๓]
มาตรา ๗๑/๑[๓๔] ในหมวดนี้
มาตรการตอบโต้
หมายความว่า มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ผู้ประกอบสินค้า
หมายความว่า
(๑)
ผู้ที่นำสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ซึ่งยังทำไม่สำเร็จที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาทำให้สำเร็จในประเทศไทยหรือในประเทศอื่น
หรือ
(๒)
ผู้ที่นำส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ในประเทศไทยหรือในประเทศอื่น
มาตรา ๗๑/๒[๓๕]
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตามหมวดนี้
ให้ใช้กับการนำเข้าสินค้าที่มีการไต่สวนแล้วปรากฏว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
มาตรา ๗๑/๓[๓๖] การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ตามมาตรา ๗๑/๒
ต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
(๑)
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้าอันเกิดจากการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจโดยไม่มีเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจสนับสนุนอย่างเพียงพอ
แต่เป็นไปเพื่อมิให้อยู่ภายใต้บังคับการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนหรือเพื่อมิให้อยู่ภายใต้บังคับอัตราอากรตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒)
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้าตาม (๑)
มีผลเป็นการบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ และ
(๓)
หลักฐานการทุ่มตลาดโดยเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดที่คำนวณขึ้นก่อนหน้ากับราคาส่งออกของสินค้าที่ถูกพิจารณาหรือราคาขายของสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของผู้ผลิตในต่างประเทศ
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ หรือผู้ประกอบสินค้า ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ ทั้งนี้
โดยคำนึงถึงปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาด้วย
หรือหลักฐานการได้รับการอุดหนุน
หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ
การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ
และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน ตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗๑/๔[๓๗]
การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจตามมาตรา ๗๑/๓ (๑) ได้แก่
(๑)
การแก้ไขดัดแปลงสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้เพียงเล็กน้อยโดยไม่มีผลต่อลักษณะหรือคุณสมบัติที่สำคัญของสินค้านั้น
ไม่ว่าการแก้ไขดัดแปลงสินค้าดังกล่าวจะทำในประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้หรือในประเทศอื่น
(๒)
การส่งออกสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้จากประเทศที่ถูกใช้มาตรการดังกล่าวมาประเทศไทยโดยผ่านประเทศอื่น
(๓)
การส่งออกสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้จากประเทศที่ถูกใช้มาตรการดังกล่าวมาประเทศไทยโดยผ่านผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายที่ไม่ถูกเรียกเก็บหรือรายที่ถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราที่สินค้านั้นถูกเรียกเก็บ
(๔)
การนำสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ซึ่งยังทำไม่สำเร็จที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาทำให้สำเร็จ
หรือการนำส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ในประเทศไทยหรือในประเทศอื่น
โดยให้พิจารณาดังต่อไปนี้
(ก)
การทำให้สำเร็จหรือการประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ได้เริ่มดำเนินการหรือมีการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
และ
(ข)
สินค้าที่ถูกทำให้สำเร็จหรือประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มหรือมูลค่าส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนดังนี้
๑)
ในกรณีสินค้าที่ถูกทำให้สำเร็จมีมูลค่าเพิ่มของสินค้านั้นน้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของต้นทุนการผลิต
หรือ
๒)
ในกรณีส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของสินค้าที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มีมูลค่าเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละหกสิบของมูลค่าส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนทั้งหมดของสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้
เว้นแต่สินค้าที่ประกอบขึ้นจากส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของต้นทุนการผลิต
๓)
การคำนวณมูลค่าเพิ่มตาม ๑) และ ๒)
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
(๕)
การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจอื่นใด
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗๑/๕[๓๘]
ให้เริ่มดำเนินกระบวนการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้เมื่อมีคำขอของกรมการค้าต่างประเทศหรือของบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา
๗๑/๖
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้หลังจากคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุด
ให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
มาตรา ๗๑/๖[๓๙]
บุคคลหรือคณะบุคคลอาจยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศในนามของผู้ผลิตในประเทศซึ่งผลิตสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้เพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
คำขอตามวรรคหนึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตในประเทศซึ่งผลิตสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้
ในปริมาณไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ทั้งหมดในประเทศ
การยื่นคำขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
มาตรา ๗๑/๗[๔๐] ถ้าคำขอตามมาตรา ๗๑/๖
มีรายละเอียดหรือหลักฐานไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้ครบถ้วนหรือถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
เมื่อคำขอมีรายละเอียดและพยานหลักฐานครบถ้วนและถูกต้องแล้ว
ให้กรมการค้าต่างประเทศเสนอคำขอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
มาตรา ๗๑/๘[๔๑] ผู้ยื่นคำขอตามมาตรา ๗๑/๖ อาจถอนคำขอได้
แต่ถ้าได้มีการประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ตามมาตรา ๗๑/๑๐ แล้ว
คณะกรรมการจะยุติการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้หรือดำเนินการพิจารณาต่อไปก็ได้
มาตรา ๗๑/๙[๔๒]
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอมีมูลเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอนั้นไม่มีมูลเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๗๑/๑๐[๔๓] ในการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
เริ่มต้นโดยการออกประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ในราชกิจจานุเบกษา
และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันหรือเผยแพร่โดยวิธีการอื่นใดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้สาธารณชนรับรู้
ตามที่เห็นสมควร
ประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต้องมีรายการตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ให้ผู้ยื่นคำขอ
ผู้ผลิตในต่างประเทศ ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ หรือผู้ประกอบสินค้า
ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
และรัฐบาลของประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องทราบ
และในกรณีที่ทราบที่อยู่ของผู้นำเข้าที่เกี่ยวข้องหรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งเป็นหนังสือให้บุคคลเหล่านั้นทราบประกาศนั้นด้วย
มาตรา ๗๑/๑๑[๔๔]
การเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นรวมทั้งสิทธิการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗๑/๑๒[๔๕] ให้นำมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐
และมาตรา ๔๐ มาใช้บังคับแก่การไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้โดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๑๓[๔๖]
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้ขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนกับการนำเข้าสินค้าที่หลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ในอัตราไม่เกินอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้จากประเทศผู้ส่งออกนั้น
ในการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เริ่มตั้งแต่วันที่มีการจัดทำทะเบียนการนำเข้าสินค้า ในการนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจเรียกเก็บอากรดังกล่าวตามที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัย
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เปลี่ยนแปลงหรือยุติตามการเรียกเก็บอากรของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้
มาตรา ๗๑/๑๔[๔๗]
ในกรณีที่มีการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หากผู้นำเข้าไม่ชำระอากรหรือชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนไม่ครบถ้วน
หรือค้างชำระค่าอากรดังกล่าว ให้นำมาตรา ๔๙/๑
หรือมาตรา ๗๐/๑ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๑๕[๔๘]
ในกรณีที่มีการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนผู้นำเข้าอาจยื่นคำขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนต่อกรมศุลกากรได้
หากภายหลังปรากฏว่ามีการส่งสินค้าที่ได้ชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ให้นำมาตรา ๔๙/๒ หรือมาตรา ๗๐/๒ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๑๖[๔๙] การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้จนถึงการดำเนินการให้มีคำวินิจฉัยว่าให้ขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือมีคำวินิจฉัยว่าไม่มีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเก้าเดือนนับแต่วันประกาศไต่สวน
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายได้อีกไม่เกินสามเดือน
มาตรา ๗๑/๑๗[๕๐] เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควร
หรือเมื่อมีคำขอจากผู้มีส่วนได้เสียหลังจากที่ได้มีการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
คณะกรรมการอาจพิจารณาทบทวนเพื่อยุติการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนได้
การพิจารณาทบทวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
การพิจารณาทบทวนไม่กระทบถึงการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนในระหว่างนั้น
มาตรา ๗๑/๑๘[๕๑] ผู้นำเข้าอาจขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรืออากรตอบโต้การอุดหนุนที่ถูกเรียกเก็บจากการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ในขณะหนึ่งขณะใดได้ถ้าผู้นั้นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ตามมาตรา
๗๑/๓
การขอคืนอากรตามวรรคหนึ่งต้องยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศภายในหกเดือนนับแต่วันชำระอากรดังกล่าว
การพิจารณาคืนอากรจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการรับคำขอดังกล่าว
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายเวลาได้อีกไม่เกินหกเดือน
มาตรา ๗๑/๑๙[๕๒] ให้นำมาตรา ๗๑/๓ มาตรา ๗๑/๔ มาตรา ๗๑/๖
วรรคสาม มาตรา ๗๑/๗ มาตรา ๗๑/๘ มาตรา ๗๑/๙
มาตรา ๗๑/๑๐ มาตรา ๗๑/๑๑ และมาตรา ๗๑/๑๒ มาใช้บังคับแก่การทบทวนและการขอคืนอากร
ตามมาตรา ๗๑/๑๗ และมาตรา ๗๑/๑๘ โดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๒๐[๕๓]
ผู้ใดไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๑/๑๓ หรือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการในการขอให้ทบทวนตามมาตรา
๗๑/๑๗ และมาตรา ๗๑/๑๘ ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น
และให้นำมาตรา ๖๑ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๑๑
คณะกรรมการ
มาตรา ๗๒ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมการค้าภายใน
อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ*
ผู้ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมอบหมายหนึ่งคน
และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหกคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นเลขานุการและแต่งตั้งข้าราชการของกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ช่วยเลขานุการของคณะกรรมการ
การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง
ให้แต่งตั้งจากบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ
เศรษฐศาสตร์ การบัญชี นิติศาสตร์ การเกษตร และการอุตสาหกรรม สาขาละหนึ่งคน
มาตรา ๗๓ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑)[๕๔] พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
และพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
ให้ความเห็นชอบในการทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
(๓)
ให้คำแนะนำในการออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
(๔)
ปฏิบัติการอื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๗๔
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี
ในวาระเริ่มแรกเมื่อครบสองปีให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดโดยวิธีจับสลาก
และให้ถือว่าการออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยวิธีจับสลากเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง
หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่[๕๕]
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้[๕๖]
มาตรา ๗๕ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย บกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่
หรือหย่อนความสามารถ
(๔)
ต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๕)
เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖)
เป็นบุคคลล้มละลาย
มาตรา ๗๖[๕๗] ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
ให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนโดยเร็ว และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับแต่งตั้งแทนดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ตนแทน
เว้นแต่วาระการอยู่ในตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระนั้นเหลือไม่ถึงเก้าสิบวัน
จะไม่ดำเนินการแต่งตั้งก็ได้
ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตามวรรคหนึ่ง
ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
และให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่ ทั้งนี้
ต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหลืออยู่ไม่น้อยกว่าสามคน
มาตรา ๗๗
การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานในที่ประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ในการประชุม
ถ้ามีความเห็นแย้งให้บันทึกความเห็นแย้งพร้อมทั้งเหตุผลไว้ในรายงานการประชุมด้วย
แต่กรรมการคนใดจะขอให้รวมความเห็นแย้งของตนไว้ในคำวินิจฉัยก็ได้
กรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสียในเรื่องที่ต้องวินิจฉัยชี้ขาด
ห้ามมิให้กรรมการผู้นั้นเข้าร่วมการประชุมในเรื่องนั้น[๕๘]
มาตรา ๗๘ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้
หมวด ๑๒
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๗๙
บรรดาการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนที่ค้างพิจารณาอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษซึ่งสินค้านำเข้าเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๓๙ และพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ จนกว่าจะเสร็จสิ้น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว
บทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวบางประการไม่เหมาะสมกับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ
ไม่มีหลักการเรื่องการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามายังประเทศไทย
และไม่สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
สมควรบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ให้มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามาในประเทศเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศและให้สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
*พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕[๕๙]
มาตรา
๑๗
ในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้แก้ไขคำว่า อธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ เป็น อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕
ได้บัญญัติให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่โดยมีภารกิจใหม่ ซึ่งได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม นั้นแล้ว
และเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้โอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
รัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่
โดยให้มีการแก้ไขบทบัญญัติต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ที่โอนไปด้วย ฉะนั้น
เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนส่วนราชการ
เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมายโอนอำนาจหน้าที่ว่าตามกฎหมายใดได้มีการโอนภารกิจของส่วนราชการหรือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายนั้นไปเป็นของหน่วยงานใดหรือผู้ใดแล้ว
โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ รัฐมนตรี
ผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการให้ตรงกับการโอนอำนาจหน้าที่
และเพิ่มผู้แทนส่วนราชการในคณะกรรมการให้ตรงตามภารกิจที่มีการตัดโอนจากส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่
รวมทั้งตัดส่วนราชการเดิมที่มีการยุบเลิกแล้ว
ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒[๖๐]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๒๗
เมื่อมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นครั้งแรกหลังจากที่พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และกรรมการดังกล่าวดำรงตำแหน่งครบสองปี ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดโดยวิธีจับสลาก
และให้ถือว่าการออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยวิธีการจับสลากเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
มาตรา ๒๘ มิให้นำมาตรา ๔๙/๑ วรรคหนึ่ง และมาตรา
๗๐/๑ วรรคหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ และมาตรา ๔๙/๒ และมาตรา
๗๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่การนำเข้าที่ได้นำเข้ามาก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๒๙
บรรดาคำขอที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือเป็นคำขอตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
และให้การดำเนินการเกี่ยวกับคำขอนั้น ๆ อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่คำขอตามมาตรา ๓๓ มาตรา ๕๖
มาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๙ ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และผู้ยื่นคำขอยังไม่ได้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดและพยานหลักฐานเกี่ยวกับคำขอให้ครบถ้วนและถูกต้องตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๐
บรรดากฎกระทรวงและประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวงและประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๓๑
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ปัจจุบันการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนเป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้ในการดำเนินการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น
แต่พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังไม่มีการบัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้
จึงไม่มีมาตรการทางกฎหมายที่จะคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในที่ได้รับความเสียหายจากการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้
ประกอบกับพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังมีบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการทุ่มตลาดและการอุดหนุนบางประการที่ยังไม่ครอบคลุมขั้นตอนในทางปฏิบัติทางการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น
เพื่อให้การใช้บังคับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อันจะเป็นประโยชน์แก่การคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พิมพ์มาดา/เพิ่มเติม
๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒
นุสรา/ตรวจ
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖/ตอนที่ ๒๒ ก/หน้า ๕๙/๓๑ มีนาคม ๒๕๔๒
[๒] มาตรา ๔ นิยามคำว่า สินค้าที่ถูกพิจารณา
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓] มาตรา ๔ นิยามคำว่า ผู้มีส่วนได้เสีย (๒)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔] มาตรา
๔ นิยามคำว่า ผู้มีส่วนได้เสีย (๒/๑)
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕] มาตรา
๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๖] หมวด ๑
บททั่วไป มาตรา ๗ ถึง มาตรา ๑๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๗] มาตรา
๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๘] มาตรา
๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๙] มาตรา
๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๐] มาตรา
๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๑] มาตรา
๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๒] มาตรา ๓๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๓] มาตรา
๓๙ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๔] มาตรา
๔๙/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๕] มาตรา
๔๙/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๖] มาตรา
๕๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๗] มาตรา ๕๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๘] มาตรา
๕๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๙] มาตรา
๕๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๐] มาตรา
๖๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๑] มาตรา
๖๒ นิยามคำว่า รัฐบาล
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๒] มาตรา
๖๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๓] มาตรา
๖๓/๑
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๔] มาตรา
๖๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๕] มาตรา
๖๕ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๖] มาตรา
๖๖ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๗] มาตรา
๖๗ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๘] มาตรา
๖๘ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๙] มาตรา
๖๙ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๐] มาตรา
๗๐/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๑] มาตรา
๗๐/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๒] มาตรา
๗๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๓] หมวด
๑๐/๑ การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน มาตรา ๗๑/๑ ถึง มาตรา ๗๑/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๔] มาตรา
๗๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๕] มาตรา
๗๑/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๖] มาตรา
๗๑/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๗] มาตรา
๗๑/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๘] มาตรา
๗๑/๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๙] มาตรา
๗๑/๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๐] มาตรา
๗๑/๗
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๑] มาตรา
๗๑/๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๒] มาตรา
๗๑/๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๓] มาตรา
๗๑/๑๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๔] มาตรา
๗๑/๑๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๕] มาตรา
๗๑/๑๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๖] มาตรา
๗๑/๑๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๗] มาตรา
๗๑/๑๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๘] มาตรา
๗๑/๑๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๙] มาตรา
๗๑/๑๖
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๐] มาตรา
๗๑/๑๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๑] มาตรา
๗๑/๑๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๒] มาตรา
๗๑/๑๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๓] มาตรา
๗๑/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๔] มาตรา ๗๓ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๕] มาตรา ๗๔ วรรคสาม
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๖] มาตรา
๗๔ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๗] มาตรา ๗๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๘] มาตรา
๗๗ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๙]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๐๒ ก/หน้า ๖๖/๘ ตุลาคม ๒๕๔๕
[๖๐] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๖๗ ก/หน้า ๑๐๘/๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ |
834119 | พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 | พระราชบัญญัติ
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.
๒๕๖๒
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
เป็นปีที่
๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๗ และมาตรา ๔๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้
เพื่อให้การใช้บังคับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อันจะเป็นประโยชน์แก่การคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ
ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๖๒
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า
สินค้าที่ถูกพิจารณา ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
สินค้าที่ถูกพิจารณา
หมายความว่า สินค้ารายที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุ่มตลาดหรือได้รับการอุดหนุน
หรือสินค้ารายที่ถูกกล่าวหาว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
มาตรา ๔
ให้ยกเลิกความใน (๒) ของบทนิยามคำว่า
ผู้มีส่วนได้เสีย ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๒)
รัฐบาลของประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๒/๑) ของบทนิยามคำว่า
ผู้มีส่วนได้เสีย ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
(๒/๑)
ผู้ประกอบสินค้าตามมาตรา ๗๑/๑
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการพิจารณาการทุ่มตลาด การพิจารณาการอุดหนุน การพิจารณาความเสียหาย
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน การพิจารณาการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
การพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนการทบทวนมาตรการ
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ
อันเกี่ยวกับพระราชบัญญัตินี้ได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๗
ให้ยกเลิกความในหมวด ๑ บททั่วไป
มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
หมวด
๑
บททั่วไป
มาตรา ๗ การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
และการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ให้คำนึงถึงประโยชน์ของอุตสาหกรรมภายใน
ผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะประกอบกัน
มาตรา ๘
เพื่อประโยชน์ในการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้
เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรจะให้กรมการค้าต่างประเทศมีหนังสือขอให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดทำทะเบียนการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าใด
หรือรวบรวมข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าก็ได้
ในกรณีนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจกำหนดให้ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกแจ้งข้อเท็จจริงใด ๆ
ตามที่คณะกรรมการร้องขอได้ และให้นำกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในส่วนที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่กรณีนี้
มาตรา ๙
ผู้ซึ่งยื่นคำขอให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ผู้นำเข้า ผู้ประกอบสินค้า ผู้ผลิตในต่างประเทศ
หรือผู้ส่งออกจากต่างประเทศอาจขอรายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการกำหนดมาตรการชั่วคราว การกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การทบทวนอากรหรือการคืนอากร แล้วแต่กรณี ได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
คำขอตามวรรคหนึ่งให้ยื่นภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่มาตรการชั่วคราว
การกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การทบทวนอากรหรือการคืนอากร มีผลใช้บังคับ
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ผู้ใดอาจมีคำขอให้พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
พิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้ทำความตกลง ให้ทบทวนมาตรการ ให้คืนอากร
ตลอดจนการขอข้อมูลข่าวสารใดนั้น ให้กระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกประกาศกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายได้ตามความเหมาะสมแก่ภาระในการดำเนินงานดังกล่าว
มาตรา ๑๑
เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
การคืนอากรหรือหลักประกันการชำระอากรตามพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๓
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๓ บุคคลหรือคณะบุคคลอาจยื่นคำขอในนามของอุตสาหกรรมภายในต่อกรมการค้าต่างประเทศเพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
คำขอตามวรรคหนึ่งจะถือว่าเป็นคำขอที่ยื่นในนามของอุตสาหกรรมภายในได้ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศซึ่งมีการผลิตรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของผู้ที่ได้แสดงความเห็นทั้งส่วนที่สนับสนุนและส่วนที่คัดค้านรวมกัน
ทั้งนี้
ไม่ว่ากรณีใดปริมาณการผลิตของฝ่ายสนับสนุนนั้นต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมดในประเทศ
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๙ ในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นการทุ่มตลาดและความเสียหาย
เริ่มต้นโดยการออกประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายในราชกิจจานุเบกษา
และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันหรือเผยแพร่โดยวิธีการอื่นใดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้สาธารณชนรับรู้
ตามที่เห็นสมควร
มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๙/๑
และมาตรา ๔๙/๒ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา
๔๙/๑ ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่ชำระอากรหรือชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดไม่ครบถ้วนหรือค้างชำระค่าอากรดังกล่าว ให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการเรียกเก็บอากร
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ การกักของ การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน การขายทอดตลาด
และการดำเนินการเกี่ยวกับของตกค้าง
รวมทั้งการลดเงินเพิ่ม งดหรือลดเบี้ยปรับ ทุเลาการชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่เห็นด้วยกับการประเมินอากร
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ การลดเงินเพิ่ม และงดหรือลดเบี้ยปรับ
ของกรมศุลกากรตามวรรคหนึ่ง
ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองโดยอนุโลม
บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนหรือเงินรางวัลตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรไม่นำมาใช้กับการเก็บอากร
เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับที่จัดเก็บได้จากอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามมาตรานี้
มาตรา ๔๙/๒
ผู้นำเข้าอาจยื่นคำขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดต่อกรมศุลกากรได้หากภายหลังปรากฏว่ามีการส่งสินค้าที่ได้ชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการพิจารณาคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
ทั้งนี้ ให้นำมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ บทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง
และบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๕๐ ในกรณีที่หาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามมาตรา
๑๘ วรรคสาม อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้กำหนดให้เหมาะสมกับผู้ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่างแต่ละราย
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่าง
ให้กำหนดอัตราไว้ไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
แต่ถ้าผู้ที่ไม่ได้รับการสุ่มตัวอย่างรายใดได้ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตนโดยครบถ้วนถูกต้องภายในเวลาที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด
ให้คณะกรรมการกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เหมาะสมสำหรับผู้นั้น เว้นแต่การกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับแต่ละรายจะเป็นภาระเกินสมควรและอาจทำให้การไต่สวนไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๕๔ เนื่องจากมีผู้ได้ให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
จะกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักดังกล่าวก็ได้
มาตรา ๑๒
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘
มาตรา ๕๙ และมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๕๗ อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เรียกเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่เกินห้าปีนับแต่วันเริ่มใช้บังคับหรือนับแต่วันที่ผลการทบทวนครั้งสุดท้ายซึ่งมีการพิจารณาทบทวนทั้งปัญหาการทุ่มตลาดและปัญหาความเสียหายใช้บังคับ
เว้นแต่เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรให้ทบทวนหรือเมื่อบุคคลหรือคณะบุคคลมีคำขอในนามของอุตสาหกรรมภายในให้ทบทวนภายในเวลาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
และคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าการยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจะทำให้มีการทุ่มตลาดและความเสียหายต่อไปหรือฟื้นคืนมาอีก
ทั้งนี้ การพิจารณาทบทวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
การพิจารณาทบทวนไม่กระทบถึงการเรียกเก็บอากรในระหว่างระยะเวลาที่อากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามวรรคหนึ่งยังมีผลใช้บังคับ
แต่หากการพิจารณาทบทวนไม่แล้วเสร็จหลังพ้นกำหนดระยะเวลาที่อากรตอบโต้การทุ่มตลาดมีผลใช้บังคับ
ให้คณะกรรมการเรียกหลักประกันการชำระอากรในระหว่างนั้นจนกว่าผลการพิจารณาทบทวนจะใช้บังคับ
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าการยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจะทำให้มีการทุ่มตลาดและความเสียหายต่อไปหรือฟื้นคืนมาอีก
ให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่วันที่มีการเรียกหลักประกันการชำระอากรตามวรรคสอง
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยให้ยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
บรรดาหลักประกันการชำระอากรที่ให้ไว้ในระหว่างการทบทวน ให้คืนโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๕๘
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายใดซึ่งมิได้ส่งสินค้าทุ่มตลาดเข้ามาในช่วงระยะเวลาที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อการไต่สวนการทุ่มตลาดแต่ได้ส่งสินค้าทุ่มตลาดเข้ามาหลังช่วงระยะเวลาดังกล่าว
อาจขอให้ทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับตนเป็นการเฉพาะรายได้ โดยต้องแสดงให้เห็นว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายอื่นซึ่งอยู่ในบังคับถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าว
ให้ถือว่าผู้ขอทบทวนมีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายอื่นตามวรรคหนึ่ง
ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายถูกควบคุมโดยบุคคลที่สาม หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกันควบคุมบุคคลที่สาม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการนี้
ให้ถือว่าฝ่ายหนึ่งควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ ถ้าฝ่ายแรกอยู่ในฐานะทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติที่จะยับยั้งหรือสั่งการฝ่ายหลังได้
ในระหว่างการทบทวนตามวรรคหนึ่งจะเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดกับสินค้านำเข้าที่ส่งออกหรือผลิตจากผู้ขอทบทวนดังกล่าวไม่ได้
แต่คณะกรรมการอาจขอให้กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากรก็ได้ ในการนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจเรียกหลักประกันอากรตามจำนวนที่คณะกรรมการมีคำขอ
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่ามีการทุ่มตลาด
ให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดย้อนหลังไปนับแต่วันที่ประกาศให้มีการทบทวน
แต่หากคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าไม่มีการทุ่มตลาด ให้คืนหลักประกันอากรที่เรียกไว้โดยไม่ชักช้า
การพิจารณาทบทวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
มาตรา ๕๙ ผู้นำเข้าอาจขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในขณะหนึ่งขณะใดได้
ถ้าผู้นั้นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
หรือส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดลดลงต่ำกว่าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่ใช้บังคับ
การขอคืนอากรตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศภายในหกเดือนนับแต่วันชำระอากร
การพิจารณาคืนอากรต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการรับคำขอ
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายเวลาได้อีกไม่เกินหกเดือน
มาตรา ๖๐ ให้นำบทบัญญัติในหมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔
ส่วนที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ส่วนที่ ๓
ของหมวด ๕ และหมวด ๖ มาใช้บังคับแก่การทบทวนและการขอคืนอากรตามหมวดนี้โดยอนุโลม
มาตรา ๑๓
ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า
รัฐบาล ในมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
รัฐบาล
หมายความว่า รัฐบาลของประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกซึ่งสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศไทย
และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานของรัฐด้วย
มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๖๓ การอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่
การได้รับประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดเนื่องจากรัฐบาลกระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งหมายความรวมถึง
(ก) การกระทำใด
ๆ เกี่ยวกับการโอนเงิน เช่น การให้เงิน การให้กู้ยืมเงิน การเข้าร่วมทุน
หรือการกระทำใดเกี่ยวกับการเพิ่มขีดความสามารถทางการเงิน หรือการลดภาระหนี้ เช่น
การค้ำประกันเงินกู้
(ข) การทำให้รายได้ที่รัฐบาลพึงจะจัดเก็บได้ตามปกติต้องสูญเสียไป
เช่น การให้เครดิตภาษีหรือการให้สิ่งจูงใจทางภาษีอากรอื่น
แต่การให้สินค้าส่งออกได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรประเภทที่เรียกเก็บจากสินค้าชนิดเดียวกันที่ใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศหรือการคืนภาษีอากรดังกล่าวในจำนวนไม่เกินภาระภาษีอากรที่เกิดขึ้นไม่ถือว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน
(ค)
การจัดหาสินค้าหรือบริการอื่นใดนอกจากสาธารณูปโภคทั่วไป หรือการซื้อสินค้า หรือ
(ง)
การให้เงินผ่านกลไกสนับสนุนทางการเงิน หรือการมอบหมายหรือสั่งให้เอกชนดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตาม (ก) (ข) หรือ (ค)
ซึ่งไม่แตกต่างจากการดำเนินการตามปกติที่รัฐบาลพึงดำเนินการเอง
(๒)
ให้การสนับสนุนด้านรายได้หรือด้านราคาไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าใดหรือลดการนำเข้าสินค้าใด
มาตรา ๑๕
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๖๓/๑
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒
มาตรา
๖๓/๑ การอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงและก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในเป็นการกระทำอันมิชอบที่อาจตอบโต้ได้
มาตรา ๑๖
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๔
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๖๔ การอุดหนุนใดที่ให้แก่วิสาหกิจบางรายจะเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงหรือไม่
ให้พิจารณาจากหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
การที่รัฐบาลให้การอุดหนุนแก่วิสาหกิจบางรายโดยชัดแจ้ง
เป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
(๒)
การอุดหนุนที่มีกฎหมาย กฎ หรือระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการได้รับการอุดหนุนและจำนวนเงินอุดหนุนที่ใช้เป็นการทั่วไปและมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขนั้นอย่างเคร่งครัด
ไม่เป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง ทั้งนี้ หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังกล่าวต้องไม่เอื้อประโยชน์แก่วิสาหกิจบางรายมากกว่าวิสาหกิจรายอื่น
และต้องสอดคล้องกับเหตุผลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
เช่น การกำหนดจำนวนลูกจ้างหรือขนาดของวิสาหกิจ
(๓)
ในกรณีที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์การอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงตาม (๑) และ (๒)
หากคณะกรรมการมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงโดยพฤตินัย
คณะกรรมการอาจนำปัจจัยอื่นดังต่อไปนี้มาพิจารณาประกอบด้วย (ก) การจำกัดจำนวนวิสาหกิจที่จะได้รับการอุดหนุน
(ข)
การให้วิสาหกิจบางรายได้รับหรือได้ใช้ประโยชน์จากการอุดหนุนมากกว่าวิสาหกิจรายอื่น
(ค) จำนวนเงินอุดหนุนที่ให้แก่วิสาหกิจบางรายมีสัดส่วนที่มากกว่าที่ให้แก่วิสาหกิจรายอื่น
และ (ง) การมีดุลพินิจที่จะเลือกให้การอุดหนุน ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความหลากหลายทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาที่มีโครงการอุดหนุนดังกล่าวด้วย
การอุดหนุนที่ให้แก่วิสาหกิจบางรายที่ตั้งอยู่ในบางพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
แต่หากการอุดหนุนนั้นเป็นการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีอากรที่มีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขใช้บังคับเป็นการทั่วไป
ไม่ถือว่าเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
การอุดหนุนดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงและมิให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับ
(๑)
การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออกไม่ว่าโดยนิตินัยหรือโดยพฤตินัย และให้รวมถึงการอุดหนุนตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้
การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออกโดยพฤตินัย
ได้แก่ การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับการส่งออกหรือรายได้จากการส่งออก
ทั้งที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดการณ์ไว้
(๒)
การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อให้มีการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดมากกว่าสินค้านำเข้า
การพิจารณาว่ามีการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงตามมาตรานี้ต้องมีพยานหลักฐานโดยตรงสนับสนุน
มาตรา ๑๗
ให้ยกเลิกมาตรา ๖๕ มาตรา ๖๖ และมาตรา
๖๗ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๑๘
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๖๘
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๖๘ อากรตอบโต้การอุดหนุนให้คำนวณจากประโยชน์ที่ได้รับในช่วงระยะเวลาที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อการไต่สวนการอุดหนุน
โดยกำหนดเป็นอัตราต่อหน่วยของสินค้าของผู้ที่ได้รับการอุดหนุนแต่ละราย
มาตรา ๑๙
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๖๙
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๖๙ การคำนวณหาประโยชน์ที่ได้รับตามมาตรา
๖๓ ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑)
การที่รัฐบาลเข้าร่วมทุนไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์ เว้นแต่การลงทุนนั้นไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามปกติของภาคเอกชนในประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
(๒)
การที่รัฐบาลให้กู้ยืมเงินไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์ เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนเงินที่ผู้กู้ต้องชำระและประโยชน์อื่นใดที่คำนวณเป็นตัวเงินได้อันเนื่องมาจากการกู้ยืมจากรัฐบาลกับการกู้ยืมทางพาณิชย์ที่เปรียบเทียบกันได้ในตลาด
ในกรณีนี้ประโยชน์ที่ได้รับคือส่วนต่างของจำนวนดังกล่าว
(๓)
การที่รัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์ เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนเงินที่ผู้ได้รับการค้ำประกันต้องชำระและประโยชน์อื่นใดที่คำนวณเป็นตัวเงินได้ระหว่างการค้ำประกันโดยรัฐบาลกับการค้ำประกันโดยเอกชนในทางพาณิชย์และให้นำความใน
(๒) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๔)
การที่รัฐบาลให้สินค้าหรือบริการหรือการซื้อสินค้าไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์ เว้นแต่เป็นการให้โดยได้รับค่าตอบแทนที่น้อยกว่าอัตราที่สมควรหรือการซื้อสินค้าที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่าอัตราที่สมควร
ซึ่งอัตราที่สมควรให้พิจารณาจากสภาพทางการตลาดที่เป็นอยู่ในประเทศที่รัฐบาลให้สินค้าหรือบริการหรือที่ซื้อสินค้านั้น
มาตรา ๒๐
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๐/๑
และมาตรา ๗๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา
๗๐/๑ ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่ชำระอากรหรือชำระอากรตอบโต้การอุดหนุนไม่ครบถ้วนหรือค้างชำระค่าอากรดังกล่าว ให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการเรียกเก็บอากร
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ การกักของ การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน การขายทอดตลาด
และการดำเนินการเกี่ยวกับของตกค้าง รวมทั้งการลดเงินเพิ่ม
งดหรือลดเบี้ยปรับ ทุเลาการชำระอากรตอบโต้การอุดหนุน เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่เห็นด้วยกับการประเมินอากร
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ การลดเงินเพิ่ม และงดหรือลดเบี้ยปรับ
ของกรมศุลกากรตามวรรคหนึ่ง
ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองโดยอนุโลม
บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนหรือเงินรางวัลตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรไม่นำมาใช้กับการเก็บอากร
เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับที่จัดเก็บได้จากอากรตอบโต้การอุดหนุนตามมาตรานี้
มาตรา ๗๐/๒
ผู้นำเข้าอาจยื่นคำขอคืนอากรตอบโต้การอุดหนุนต่อกรมศุลกากรได้หากภายหลังปรากฏว่ามีการส่งสินค้าที่ได้ชำระอากรตอบโต้การอุดหนุนกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและให้เป็นอำนาจของกรมศุลกากรในการพิจารณาคืนอากรตอบโต้การอุดหนุน
ทั้งนี้ ให้นำมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ บทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง
และบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๑
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๑
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๗๑ เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอจากผู้ยื่นคำขอในนามของอุตสาหกรรมภายในหรือกรมการค้าต่างประเทศให้พิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ก่อนที่จะเปิดการไต่สวน ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้รัฐบาลของประเทศซึ่งสินค้าดังกล่าวถูกพิจารณาว่าได้มีการอุดหนุนทราบและขอให้รัฐบาลของประเทศนั้นมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับการอุดหนุนและความเสียหายของอุตสาหกรรมภายในตามคำขอ
การปรึกษาหารือจะดำเนินการในขั้นตอนใดระหว่างการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุนก็ได้
และกรมการค้าต่างประเทศต้องให้โอกาสตามควรในการปรึกษาหารือนั้น
แต่การปรึกษาหารือไม่เป็นเหตุกระทบการดำเนินการในขั้นตอนการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ในการปรึกษาหารือกรมการค้าต่างประเทศต้องให้โอกาสประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณาได้รับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการพิจารณา
เว้นแต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดโดยสาระและเนื้อหา
หรือผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นขอให้ปกปิด
มาตรา ๒๒
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๑๐/๑
การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน มาตรา ๗๑/๑ ถึงมาตรา ๗๑/๒๐
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒
หมวด
๑๐/๑
การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
มาตรา ๗๑/๑
ในหมวดนี้
มาตรการตอบโต้
หมายความว่า มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ผู้ประกอบสินค้า
หมายความว่า
(๑)
ผู้ที่นำสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ซึ่งยังทำไม่สำเร็จที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาทำให้สำเร็จในประเทศไทยหรือในประเทศอื่น
หรือ
(๒)
ผู้ที่นำส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ในประเทศไทยหรือในประเทศอื่น
มาตรา ๗๑/๒
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตามหมวดนี้
ให้ใช้กับการนำเข้าสินค้าที่มีการไต่สวนแล้วปรากฏว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
มาตรา ๗๑/๓ การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ตามมาตรา ๗๑/๒
ต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
(๑)
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้าอันเกิดจากการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจโดยไม่มีเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจสนับสนุนอย่างเพียงพอ
แต่เป็นไปเพื่อมิให้อยู่ภายใต้บังคับการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนหรือเพื่อมิให้อยู่ภายใต้บังคับอัตราอากรตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒)
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้าตาม (๑)
มีผลเป็นการบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ และ
(๓)
หลักฐานการทุ่มตลาดโดยเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดที่คำนวณขึ้นก่อนหน้ากับราคาส่งออกของสินค้าที่ถูกพิจารณาหรือราคาขายของสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของผู้ผลิตในต่างประเทศ
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ หรือผู้ประกอบสินค้า
ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ ทั้งนี้
โดยคำนึงถึงปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาด้วย
หรือหลักฐานการได้รับการอุดหนุน
หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ
และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗๑/๔
การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจตามมาตรา
๗๑/๓ (๑)
ได้แก่
(๑)
การแก้ไขดัดแปลงสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้เพียงเล็กน้อยโดยไม่มีผลต่อลักษณะหรือคุณสมบัติที่สำคัญของสินค้านั้น
ไม่ว่าการแก้ไขดัดแปลงสินค้าดังกล่าวจะทำในประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้หรือในประเทศอื่น
(๒)
การส่งออกสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้จากประเทศที่ถูกใช้มาตรการดังกล่าวมาประเทศไทยโดยผ่านประเทศอื่น
(๓)
การส่งออกสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้จากประเทศที่ถูกใช้มาตรการดังกล่าวมาประเทศไทยโดยผ่านผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายที่ไม่ถูกเรียกเก็บหรือรายที่ถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราที่สินค้านั้นถูกเรียกเก็บ
(๔)
การนำสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ซึ่งยังทำไม่สำเร็จที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาทำให้สำเร็จ หรือการนำส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มาประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ในประเทศไทยหรือในประเทศอื่น
โดยให้พิจารณาดังต่อไปนี้
(ก)
การทำให้สำเร็จหรือการประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ได้เริ่มดำเนินการหรือมีการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
และ
(ข)
สินค้าที่ถูกทำให้สำเร็จหรือประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มหรือมูลค่าส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนดังนี้
๑) ในกรณีสินค้าที่ถูกทำให้สำเร็จมีมูลค่าเพิ่มของสินค้านั้นน้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของต้นทุนการผลิต
หรือ
๒) ในกรณีส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนของสินค้าที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้มีมูลค่าเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละหกสิบของมูลค่าส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนทั้งหมดของสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้
เว้นแต่สินค้าที่ประกอบขึ้นจากส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของต้นทุนการผลิต
๓) การคำนวณมูลค่าเพิ่มตาม ๑) และ
๒) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
(๕)
การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจอื่นใด ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗๑/๕
ให้เริ่มดำเนินกระบวนการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้เมื่อมีคำขอของกรมการค้าต่างประเทศหรือของบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา
๗๑/๖
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้หลังจากคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุด
ให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
มาตรา ๗๑/๖ บุคคลหรือคณะบุคคลอาจยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศในนามของผู้ผลิตในประเทศซึ่งผลิตสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้เพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
คำขอตามวรรคหนึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตในประเทศซึ่งผลิตสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้
ในปริมาณไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ทั้งหมดในประเทศ
การยื่นคำขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
มาตรา ๗๑/๗
ถ้าคำขอตามมาตรา ๗๑/๖
มีรายละเอียดหรือหลักฐานไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้ครบถ้วนหรือถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
เมื่อคำขอมีรายละเอียดและพยานหลักฐานครบถ้วนและถูกต้องแล้ว
ให้กรมการค้าต่างประเทศเสนอคำขอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
มาตรา ๗๑/๘ ผู้ยื่นคำขอตามมาตรา ๗๑/๖ อาจถอนคำขอได้
แต่ถ้าได้มีการประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ตามมาตรา
๗๑/๑๐ แล้ว คณะกรรมการจะยุติการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้หรือดำเนินการพิจารณาต่อไปก็ได้
มาตรา ๗๑/๙ ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอมีมูลเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอนั้นไม่มีมูลเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๗๑/๑๐ ในการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
เริ่มต้นโดยการออกประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ในราชกิจจานุเบกษา
และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันหรือเผยแพร่โดยวิธีการอื่นใดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้สาธารณชนรับรู้
ตามที่เห็นสมควร
ประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต้องมีรายการตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ให้ผู้ยื่นคำขอ
ผู้ผลิตในต่างประเทศ ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ หรือผู้ประกอบสินค้า
ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
และรัฐบาลของประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องทราบ
และในกรณีที่ทราบที่อยู่ของผู้นำเข้าที่เกี่ยวข้องหรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งเป็นหนังสือให้บุคคลเหล่านั้นทราบประกาศนั้นด้วย
มาตรา ๗๑/๑๑ การเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นรวมทั้งสิทธิการดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗๑/๑๒ ให้นำมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐
และมาตรา ๔๐ มาใช้บังคับแก่การไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้โดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๑๓
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่ามีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ ให้ขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนกับการนำเข้าสินค้าที่หลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ในอัตราไม่เกินอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้จากประเทศผู้ส่งออกนั้น
ในการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เริ่มตั้งแต่วันที่มีการจัดทำทะเบียนการนำเข้าสินค้า ในการนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจเรียกเก็บอากรดังกล่าวตามที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัย
การขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เปลี่ยนแปลงหรือยุติตามการเรียกเก็บอากรของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้
มาตรา ๗๑/๑๔
ในกรณีที่มีการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน หากผู้นำเข้าไม่ชำระอากรหรือชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนไม่ครบถ้วน
หรือค้างชำระค่าอากรดังกล่าว ให้นำมาตรา ๔๙/๑
หรือมาตรา ๗๐/๑ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๑๕
ในกรณีที่มีการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนผู้นำเข้าอาจยื่นคำขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนต่อกรมศุลกากรได้
หากภายหลังปรากฏว่ามีการส่งสินค้าที่ได้ชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ให้นำมาตรา ๔๙/๒ หรือมาตรา ๗๐/๒ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๑๖
การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้จนถึงการดำเนินการให้มีคำวินิจฉัยว่าให้ขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือมีคำวินิจฉัยว่าไม่มีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเก้าเดือนนับแต่วันประกาศไต่สวน
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายได้อีกไม่เกินสามเดือน
มาตรา ๗๑/๑๗
เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควร
หรือเมื่อมีคำขอจากผู้มีส่วนได้เสียหลังจากที่ได้มีการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
คณะกรรมการอาจพิจารณาทบทวนเพื่อยุติการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนได้
การพิจารณาทบทวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
การพิจารณาทบทวนไม่กระทบถึงการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนในระหว่างนั้น
มาตรา ๗๑/๑๘ ผู้นำเข้าอาจขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรืออากรตอบโต้การอุดหนุนที่ถูกเรียกเก็บจากการขยายการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ในขณะหนึ่งขณะใดได้ถ้าผู้นั้นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ตามมาตรา
๗๑/๓
การขอคืนอากรตามวรรคหนึ่งต้องยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศภายในหกเดือนนับแต่วันชำระอากรดังกล่าว
การพิจารณาคืนอากรจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการรับคำขอดังกล่าว เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายเวลาได้อีกไม่เกินหกเดือน
มาตรา ๗๑/๑๙
ให้นำมาตรา ๗๑/๓ มาตรา ๗๑/๔ มาตรา
๗๑/๖ วรรคสาม มาตรา ๗๑/๗ มาตรา ๗๑/๘ มาตรา ๗๑/๙
มาตรา ๗๑/๑๐ มาตรา ๗๑/๑๑ และมาตรา ๗๑/๑๒ มาใช้บังคับแก่การทบทวนและการขอคืนอากร
ตามมาตรา ๗๑/๑๗ และมาตรา ๗๑/๑๘ โดยอนุโลม
มาตรา ๗๑/๒๐ ผู้ใดไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตามมาตรา
๗๑/๑๓ หรือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการในการขอให้ทบทวนตามมาตรา
๗๑/๑๗ และมาตรา ๗๑/๑๘ ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น
และให้นำมาตรา ๖๑ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๓
ให้ยกเลิกความใน (๑) ของมาตรา ๗๓
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๑) พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน และพิจารณาตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๔
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามและวรรคสี่ของมาตรา
๗๔ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง
หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้
มาตรา ๒๕
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๖
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๗๖ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
ให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนโดยเร็ว และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับแต่งตั้งแทนดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ตนแทน
เว้นแต่วาระการอยู่ในตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระนั้นเหลือไม่ถึงเก้าสิบวัน
จะไม่ดำเนินการแต่งตั้งก็ได้
ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตามวรรคหนึ่ง
ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
และให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่ ทั้งนี้
ต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหลืออยู่ไม่น้อยกว่าสามคน
มาตรา ๒๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของมาตรา
๗๗ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
กรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสียในเรื่องที่ต้องวินิจฉัยชี้ขาด
ห้ามมิให้กรรมการผู้นั้นเข้าร่วมการประชุมในเรื่องนั้น
มาตรา ๒๗
เมื่อมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นครั้งแรกหลังจากที่พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และกรรมการดังกล่าวดำรงตำแหน่งครบสองปี ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดโดยวิธีจับสลาก และให้ถือว่าการออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยวิธีการจับสลากเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
มาตรา ๒๘
มิให้นำมาตรา ๔๙/๑ วรรคหนึ่ง
และมาตรา ๗๐/๑ วรรคหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ และมาตรา ๔๙/๒
และมาตรา ๗๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่การนำเข้าที่ได้นำเข้ามาก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๙ บรรดาคำขอที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือเป็นคำขอตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ และให้การดำเนินการเกี่ยวกับคำขอนั้น
ๆ อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่คำขอตามมาตรา ๓๓ มาตรา ๕๖
มาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๙ ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และผู้ยื่นคำขอยังไม่ได้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดและพยานหลักฐานเกี่ยวกับคำขอให้ครบถ้วนและถูกต้องตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๐
บรรดากฎกระทรวงและประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
จนกว่าจะมีกฎกระทรวงและประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ปัจจุบันการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนเป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้ในการดำเนินการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น
แต่พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังไม่มีการบัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้
จึงไม่มีมาตรการทางกฎหมายที่จะคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในที่ได้รับความเสียหายจากการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้
ประกอบกับพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังมีบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการทุ่มตลาดและการอุดหนุนบางประการที่ยังไม่ครอบคลุมขั้นตอนในทางปฏิบัติทางการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น
เพื่อให้การใช้บังคับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อันจะเป็นประโยชน์แก่การคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พิมพ์มาดา/จัดทำ
๒๓
พฤษภาคม ๒๕๖๒
นุสรา/ตรวจ
๒๗
พฤษภาคม ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๖๗ ก/หน้า ๑๐๘/๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ |
834283 | พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 (ฉบับ Update ณ วันที่ 08/10/2545) | พระราชบัญญัติ
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
เป็นปีที่ ๕๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ และยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด
พ.ศ. ๒๕๐๗
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
ความเสียหาย หมายความว่า ความเสียหายตามหมวด ๓
อุตสาหกรรมภายใน หมายความว่า อุตสาหกรรมภายในตามหมวด
๔
สินค้าที่ถูกพิจารณา หมายความว่า
สินค้ารายที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุ่มตลาดหรือได้รับการอุดหนุน
สินค้าชนิดเดียวกัน หมายความว่า
สินค้าที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการกับสินค้าที่ถูกพิจารณา
แต่ในกรณีที่ไม่มีสินค้าดังกล่าวให้หมายความว่าสินค้าที่คล้ายคลึงกันอย่างมากกับสินค้าดังกล่าว
ขั้นตอนทางการค้า หมายความว่า ขั้นตอนต่าง ๆ
ในการจำหน่ายสินค้าทอดต่าง ๆ จนถึงผู้บริโภค
ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด หมายความว่า
ส่วนที่ราคาส่งออกจากต่างประเทศต่ำกว่ามูลค่าปกติ
ผู้มีส่วนได้เสีย หมายความว่า
(๑)
ผู้ผลิตในต่างประเทศ ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ ผู้นำเข้าซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
หรือสมาคมในทางการค้าที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิต ผู้ส่งออก
หรือผู้นำเข้าซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา แล้วแต่กรณี
(๒)
รัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
(๓)
ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศ
หรือสมาคมในทางการค้าที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว หรือ
(๔)
บุคคลอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
อากร หมายความว่า อากรชั่วคราว อากรตอบโต้การทุ่มตลาด
หรืออากรตอบโต้การอุดหนุน แล้วแต่กรณี
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมศุลกากร และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงตามมาตรา
๑๑ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงและประกาศนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใด
ๆ เกี่ยวกับการพิจารณาการทุ่มตลาด การพิจารณาการอุดหนุน การพิจารณาความเสียหาย
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน การทบทวน มาตรการตอบโต้
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ อันเกี่ยวกับพระราชบัญญัตินี้ได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีที่สมควร
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งนั้นจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใด
อาจกระทำได้โดยออกเป็นประกาศกระทรวงพาณิชย์ก็ได้
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๗ การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนให้คำนึงถึงประโยชน์ของอุตสาหกรรมภายใน
ผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะประกอบกัน
มาตรา ๘
เพื่อประโยชน์ในการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควร
จะมีหนังสือขอให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดทำทะเบียนการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าใด
หรือรวบรวมข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าได้
ในกรณีนี้ให้กรมศุลกากรมีอำนาจกำหนดให้ผู้นำเข้า หรือผู้ส่งออกแจ้งข้อเท็จจริงใด ๆ
ตามที่คณะกรรมการร้องขอได้
และให้นำกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในส่วนที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่กรณีนี้
มาตรา ๙ ผู้ซึ่งยื่นคำขอให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ผู้นำเข้า
หรือผู้ส่งออกจากต่างประเทศอาจขอรายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการกำหนดมาตรการชั่วคราว
การกำหนดอากร หรือการทบทวนอากรได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
คำขอตามวรรคหนึ่งจะยื่นเมื่อพ้นหนึ่งเดือนนับแต่วันที่มีการกำหนดมาตรการชั่วคราวหรือการกำหนดอากรไม่ได้
มาตรา ๑๐
ในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ผู้ใดอาจมีคำขอให้พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
พิจารณาตอบโต้การอุดหนุน ให้ทำความตกลง การขอให้ทบทวนมาตรการต่าง ๆ
ตลอดจนการขอข้อมูลข่าวสารใดนั้น ให้กระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกประกาศกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายได้ตามความเหมาะสมแก่ภาระในการดำเนินงานดังกล่าว
มาตรา ๑๑
การคืนอากรหรือหลักประกันการชำระอากรตามพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๒
การทุ่มตลาด
มาตรา ๑๒
การทุ่มตลาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในเป็นการกระทำอันมิชอบที่อาจตอบโต้ได้
มาตรา ๑๓ การทุ่มตลาดตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่
การส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในทางพาณิชย์
โดยมีราคาส่งออกที่ต่ำกว่ามูลค่าปกติของสินค้าชนิดเดียวกัน
มาตรา ๑๔ ราคาส่งออก ได้แก่
ราคาส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกมายังประเทศไทยตามที่ได้ชำระหรือควรจะมีการชำระกันจริง
ในกรณีที่ไม่ปรากฏราคาส่งออกหรือราคาส่งออกนั้นไม่น่าเชื่อถือ
เนื่องจากมีการร่วมมือกันหรือจัดให้มีการชดเชยประโยชน์กันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องให้คำนวณหาราคาส่งออกจากราคาสินค้านั้นที่ได้จำหน่ายต่อไปทอดแรกยังผู้ซื้ออิสระ
แต่ในกรณีที่สินค้านั้นไม่มีการจำหน่ายต่อไปยังผู้ซื้ออิสระหรือไม่ได้จำหน่ายต่อไปตามสภาพสินค้าที่เป็นอยู่ในขณะนำเข้า
ให้คำนวณราคาส่งออกตามหลักเกณฑ์อย่างหนึ่งอย่างใดที่เหมาะสมแก่กรณีดังกล่าว
ในกรณีตามวรรคสอง
การคำนวณหาราคาส่งออกให้หักค่าใช้จ่ายและค่าภาระต่าง ๆ ตลอดจนภาษีอากร
และกำไรที่ได้รับอันเกิดขึ้นระหว่างการนำเข้าและการจำหน่ายต่อไปออกด้วย
มาตรา ๑๕ มูลค่าปกติ ได้แก่ ราคาที่ผู้ซื้ออิสระในประเทศผู้ส่งออกได้ชำระหรือควรจะมีการชำระกันจริงในทางการค้าปกติสำหรับสินค้าชนิดเดียวกันที่ขายเพื่อการบริโภคภายในประเทศนั้น
โดยพิจารณาจากการขายสินค้าดังกล่าวในปริมาณใดปริมาณหนึ่งที่เหมาะสมซึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของปริมาณสินค้านั้นที่ส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกมายังประเทศไทย
แต่จะนำปริมาณการขายที่ต่ำกว่านั้นมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาก็ได้
ถ้ามีเหตุอันรับฟังได้ว่าราคาขายที่พิจารณาจากปริมาณสินค้าดังกล่าวเป็นราคาในตลาดประเทศผู้ส่งออก
ในกรณีไม่ปรากฏราคาตามวรรคหนึ่งหรือราคานั้นไม่น่าเชื่อถือเนื่องจากมีการร่วมมือกันหรือจัดให้มีการชดเชยประโยชน์กันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง
หรือตลาดในประเทศผู้ส่งออกมีลักษณะเฉพาะทำให้ไม่อาจหาราคาที่เปรียบเทียบกันได้โดยเหมาะสม
ให้พิจารณาหามูลค่าปกติจากราคาต่อไปนี้
(๑)
ราคาส่งออกในทางการค้าปกติของสินค้าชนิดเดียวกันที่ส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกไปยังประเทศที่สามที่เหมาะสม
ถ้ามีเหตุอันรับฟังได้ว่าราคานั้นแสดงถึงราคาในตลาดประเทศผู้ส่งออก หรือ
(๒)
ราคาที่คำนวณจากต้นทุนการผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดรวมกับจำนวนที่เหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการจัดการ
การขาย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตลอดจนกำไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ในกรณีที่ราคาตามวรรคหนึ่งหรือราคาตามวรรคสอง
(๑) ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตรวมกับค่าใช้จ่ายในการจัดการ การขาย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เมื่อได้พิจารณาการขายสินค้าดังกล่าวในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่สมควรโดยมีปริมาณการขายที่มากพอแล้ว
ถ้าปรากฏว่าราคาเหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้คืนทุนได้ภายในเวลาที่เหมาะสม
จะถือว่าราคานั้นเป็นราคาในทางการค้าปกติที่จะนำมาพิจารณาหามูลค่าปกติไม่ได้
เว้นแต่ราคานั้นสูงกว่าต้นทุนการผลิตถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักต่อหน่วยที่ปรากฏในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
มาตรา ๑๖ ในกรณีที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกไม่ใช้กลไกตลาดการหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕ ให้พิจารณาเทียบเคียงจากข้อมูลราคาที่เป็นอยู่ในประเทศที่สามซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่ใช้กลไกตลาดและเหมาะสมแก่การเปรียบเทียบ
แต่ถ้าหาประเทศที่สามที่เหมาะสมไม่ได้
ให้พิจารณาจากราคาของสินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายในประเทศไทยหรือจากพื้นฐานอื่นใดตามที่เหมาะสมแก่กรณี
มาตรา ๑๗ ในกรณีเป็นการนำสินค้าเข้ามาในประเทศไทยโดยการส่งออกจากประเทศอื่นซึ่งมิใช่ประเทศแหล่งกำเนิด
ให้ใช้ข้อมูลราคาที่เป็นอยู่ในประเทศผู้ส่งออกนั้นเป็นเกณฑ์ในการหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕ แต่ถ้ามีเหตุอันควรจะใช้ราคาในประเทศแหล่งกำเนิดเป็นเกณฑ์ในการหามูลค่าปกติก็ได้
โดยเฉพาะในกรณีที่สินค้านั้นเป็นเพียงการขนถ่ายผ่านประเทศผู้ส่งออก
หรือสินค้านั้นไม่มีการผลิตในประเทศผู้ส่งออก
หรือไม่มีราคาที่จะเปรียบเทียบกันได้ในประเทศผู้ส่งออก
มาตรา ๑๘ การพิจารณาหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดให้มีการเปรียบเทียบอย่างเป็นธรรมและให้กระทำที่ขั้นตอนทางการค้าเดียวกันและในเวลาเดียวกัน
โดยคำนึงถึงบรรดาข้อแตกต่างที่มีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาประกอบด้วย
ในกรณีที่ราคาส่งออกและมูลค่าปกติมิได้อยู่บนขั้นตอนทางการค้าเดียวกันหรือเวลาเดียวกัน
ให้มีการปรับลดองค์ประกอบต่าง ๆ ที่แตกต่างกันอันมีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาออกด้วย
ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง
วิธีการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดต่อหน่วยให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
เว้นแต่จะมีเหตุสมควรที่จะใช้วิธีการอื่น
(๑)
เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกับราคาส่งออกถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก
(๒)
เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติกับราคาส่งออกของธุรกรรมแต่ละรายโดยเฉลี่ย หรือ
(๓)
ในกรณีที่ปรากฏว่าราคาส่งออกมายังตลาดภายในประเทศมีความแตกต่างกันในสาระสำคัญระหว่างผู้ซื้อต่างคนกัน
ภูมิภาคที่ส่งออก หรือระยะเวลาที่ส่งออก และวิธีการตาม (๑) หรือ (๒)
ไม่อาจแสดงสภาพแท้จริงของการทุ่มตลาดได้ ให้เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกับราคาส่งออกของธุรกรรมแต่ละรายโดยเฉลี่ย
ในการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดก็ได้
หมวด ๓
ความเสียหาย
มาตรา ๑๙ ถ้าบทบัญญัติใดมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
ความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้หมายความว่า
(๑)
ความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน
(๒)
ความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน หรือ
(๓)
อุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใน
มาตรา ๒๐ การพิจารณาว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๑) ต้องมีพยานหลักฐานโดยตรงสนับสนุนเกี่ยวกับกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
ปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดและผลของการทุ่มตลาดที่มีต่อราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
และ
(๒)
ผลกระทบของการทุ่มตลาดนั้นที่มีต่ออุตสาหกรรมภายใน
ในกรณีมีการทุ่มตลาดสินค้าใดจากประเทศผู้ส่งออกมากกว่าหนึ่งประเทศอยู่ระหว่างการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดพร้อมกัน
ถ้าปรากฏว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดและปริมาณการนำเข้าจากแต่ละประเทศดังกล่าวมีจำนวนมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำตามมาตรา
๒๘ การพิจารณาความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
จะประเมินผลของการนำเข้าจากแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันก็ได้
ถ้ากรณีมีความเหมาะสมต่อสภาพการแข่งขันในระหว่างสินค้าทุ่มตลาดด้วยกันและในระหว่างสินค้าทุ่มตลาดกับสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
มาตรา ๒๑ ในการพิจารณาความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าทุ่มตลาดกับความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
โดยนอกจากผลจากสินค้าทุ่มตลาดแล้วจะต้องพิจารณาผลจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ปรากฏว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในในเวลาเดียวกันประกอบด้วย
ปัจจัยดังกล่าวให้รวมถึงปริมาณและราคาของสินค้านำเข้าที่มิได้ขายในราคาที่มีการทุ่มตลาด
การที่อุปสงค์ลดลง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค การผูกขาดตัดตอนทางการค้า
การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตในต่างประเทศและผู้ผลิตภายในประเทศ
การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ประสิทธิภาพในการส่งออกและความสามารถในการผลิต
มาตรา ๒๒
การพิจารณาว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๒) ต้องมีข้อเท็จจริงสนับสนุนอันมิใช่เป็นเพียงการกล่าวอ้าง หรือการคาดการณ์ หรือความเป็นไปได้ที่ไกลเกินเหตุ
โดยจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เห็นได้ว่าการทุ่มตลาดนั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างเห็นได้ชัดและใกล้จะเกิดขึ้น
หรือมีแนวโน้มว่าอาจมีสินค้าทุ่มตลาดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างสำคัญได้ถ้าไม่ดำเนินการป้องกันเสียก่อน
ในการนี้อาจพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
(๑)
อัตราเพิ่มขึ้นที่เห็นได้ชัดของสินค้าทุ่มตลาดอันแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่าอาจมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
(๒)
ขีดความสามารถของผู้ส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและระบายสินค้าได้อย่างอิสระอันแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่าอาจมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้
ให้คำนึงถึงการมีอยู่ของตลาดส่งออกอื่นที่อาจรองรับสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วย
(๓)
ความชัดเจนของผลของราคาสินค้าทุ่มตลาดที่เป็นการกดหรือลดราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในและแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้านั้น
(๔)
ปริมาณคงเหลือของสินค้าทุ่มตลาด
มาตรา ๒๓
การพิจารณาว่ามีอุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๓) ต้องมีข้อเท็จจริงที่ทำให้คาดหมายได้ว่าจะทำให้เกิดความล่าช้าอย่างสำคัญซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้หรือระยะเวลาในการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในด้วย
หมวด ๔
อุตสาหกรรมภายใน
มาตรา ๒๔ อุตสาหกรรมภายในตามพระราชบัญญัตินี้
ได้แก่
ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศที่มีผลผลิตรวมกันได้เกินกึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตรวมภายในประเทศของสินค้าชนิดนั้นเว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
ถ้าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันรายใดเป็นผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
หรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดจากต่างประเทศ
ในกรณีเช่นนี้จะไม่ถือว่าผู้ผลิตดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมภายในก็ได้
(๒)
ถ้าในอาณาเขตของประเทศได้มีการแบ่งตลาดของสินค้าชนิดเดียวกันเป็นตลาดมากกว่าหนึ่งตลาดขึ้นไป
จะถือว่าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในแต่ละตลาดเป็นอุตสาหกรรมภายในแยกต่างหากจากกันก็ได้
ถ้าปรากฏว่าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของตลาดหนึ่งขายสินค้าของตนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในตลาดนั้น
และผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันรายอื่นภายในประเทศมิได้ส่งสินค้าไปยังตลาดนั้นมากพอควรแก่ความต้องการของตลาดดังกล่าว
ให้ถือว่าผู้ผลิตมีความเกี่ยวข้องกับผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดจากต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง
(๑) ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือทั้งสองฝ่ายถูกควบคุมโดยบุคคลที่สาม
หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกันควบคุมบุคคลที่สาม
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
โดยมีเหตุให้เชื่อหรือสงสัยได้ว่าผลจากการเกี่ยวข้องกันจะเป็นเหตุให้ผู้ผลิตรายนั้นมีพฤติกรรมแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเช่นว่านั้น
ในการนี้ให้ถือว่าฝ่ายหนึ่งควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ถ้าฝ่ายแรกอยู่ในฐานะทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติที่จะยับยั้งหรือสั่งการฝ่ายหลังได้
ในกรณีที่มีการแบ่งตลาดตามวรรคหนึ่ง
(๒) ความเสียหายให้พิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นเฉพาะในตลาดนั้น แม้ว่าส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมภายในประเทศจะไม่เสียหายก็ตาม
และให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้าทุ่มตลาดที่ส่งมาเพื่อการบริโภคเฉพาะในตลาดนั้นได้
แต่ถ้าปรากฏในทางปฏิบัติว่าการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเฉพาะสินค้าทุ่มตลาดที่ส่งมาเพื่อการบริโภคในตลาดนั้นไม่อาจปฏิบัติได้
หรือเมื่อผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดไม่มีข้อเสนอทำความตกลงที่เหมาะสมภายในเวลาอันควรตามมาตรา
๔๔
จะเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากสินค้าทุ่มตลาดทั้งหมดที่ส่งเข้ามาในประเทศไทยก็ได้
หมวด ๕
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ส่วนที่ ๑
บททั่วไป
มาตรา ๒๕ การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดนอกจากที่ได้บัญญัติไว้ตามหมวดนี้แล้ว
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๖
ข้อมูลข่าวสารใดเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดโดยสาระและเนื้อหา หรือผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นขอให้ปกปิด
การพิจารณาจะต้องไม่กระทำการใดให้เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้น
ข้อมูลข่าวสารที่ผู้ให้ข้อมูลข่าวสารขอให้ปกปิดนั้น
การเปิดเผยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้นั้นก่อน
และในการพิจารณาจะต้องขอให้ผู้ให้ข้อมูลข่าวสารจัดทำย่อสรุปที่สามารถเปิดเผยได้เพื่อประกอบการพิจารณา
ถ้าผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นไม่จัดทำย่อสรุปดังกล่าวและไม่แจ้งความยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่ให้มาภายในเวลาที่กำหนด
ในการนี้จะไม่รับฟังข้อมูลข่าวสารนั้นประกอบการพิจารณาก็ได้
มาตรา ๒๗ ในกรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียผู้ใดปฏิเสธที่จะนำพยานหลักฐานมาแสดงหรือไม่นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาแสดงภายในเวลาตามที่กำหนด
หรือไม่ให้ความร่วมมือเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน
หรือขัดขวางกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
การพิจารณาจะรับฟังเพียงข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่หรืออาจรับฟังไปในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ผู้นั้นก็ได้
มาตรา ๒๘ การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดให้เป็นอันยุติ
หากปรากฏว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดมีจำนวนน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
หรือมีปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๙ ในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด กรมการค้าต่างประเทศหรือคณะกรรมการ
แล้วแต่กรณี จะดำเนินการเพื่อให้มีการตรวจสอบความเป็นจริงของข้อกล่าวอ้างหรือพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับการพิจารณาก็ได้
การตรวจสอบความเป็นจริงนั้นจะกระทำในขั้นตอนใดของกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและจะกระทำในประเทศไทย
ประเทศผู้ส่งออก หรือประเทศที่เกี่ยวข้องก็ได้
มาตรา ๓๐ ก่อนที่จะประกาศคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการเกี่ยวกับผลการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาวินิจฉัย
เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีโอกาสยื่นข้อโต้แย้งในการป้องกันผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียเหล่านั้น ทั้งนี้
ต้องให้ระยะเวลาอันควรสำหรับการยื่นข้อโต้แย้งดังกล่าว
มาตรา ๓๑
เมื่อมีการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายตามมาตรา ๓๙ แล้ว
หากพฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่าในชั้นที่สุดอาจต้องมีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่ก่อนวันใช้บังคับมาตรการชั่วคราว
คณะกรรมการอาจขอให้กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากรตามพระราชบัญญัตินี้สำหรับสินค้าที่ถูกพิจารณาที่นำเข้ามาตามระยะเวลาที่กำหนดได้
ในการนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจเรียกหลักประกันตามจำนวนที่คณะกรรมการมีคำขอ
ส่วนที่ ๒
การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณา
มาตรา ๓๒
ให้เริ่มดำเนินกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
เมื่อมีคำขอของกรมการค้าต่างประเทศหรือของบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา ๓๓
มาตรา ๓๓ บุคคลหรือคณะบุคคลอาจเสนอตนทำการแทนอุตสาหกรรมภายใน
เพื่อขอให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดได้
โดยยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศ
คำขอตามวรรคหนึ่ง
ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศซึ่งมีการผลิตรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของผู้ที่ได้แสดงความเห็นทั้งส่วนที่สนับสนุนและส่วนที่คัดค้านรวมกัน
โดยปริมาณการผลิตของฝ่ายสนับสนุนนั้นต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมดในประเทศ
การยื่นคำขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
มาตรา ๓๔ ถ้าคำขอตามมาตรา ๓๓
มีรายละเอียดหรือหลักฐานไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้ครบถ้วนหรือถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
เมื่อคำขอมีรายละเอียดและพยานหลักฐานครบถ้วนและถูกต้องแล้ว
ให้กรมการค้าต่างประเทศเสนอคำขอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
มาตรา ๓๕ เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอตามมาตรา ๓๒
แล้ว ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้รัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องทราบถึงการมีคำขอดังกล่าว
มาตรา ๓๖ ผู้ยื่นคำขออาจถอนคำขอได้
แต่ถ้าได้มีการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายตามมาตรา ๓๙ แล้ว คณะกรรมการจะยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือดำเนินการพิจารณาต่อไปก็ได้
มาตรา ๓๗
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอมีมูลเกี่ยวกับการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยไม่ชักช้า
ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอนั้นไม่มีมูลเกี่ยวกับการทุ่มตลาดหรือความเสียหายให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๓๘
ถ้ารัฐบาลของประเทศใดร้องเรียนว่าสินค้าทุ่มตลาดจากประเทศอื่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในของประเทศนั้น
และคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเห็นสมควรให้ดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดตามที่ถูกกล่าวหานั้น
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อไป
โดยให้นำบทบัญญัติในหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้
แต่การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากองค์การการค้าโลกก่อน
เมื่อกรมการค้าต่างประเทศเห็นสมควร
หรือเมื่ออุตสาหกรรมภายในร้องเรียนว่ามีการนำสินค้าจากประเทศอื่นเข้าไปทุ่มตลาดในอีกประเทศหนึ่งและก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
และกรมการค้าต่างประเทศเห็นว่าคำร้องดังกล่าวมีมูล ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการร้องขอให้ทางการประเทศนั้นดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป
หลักเกณฑ์และวิธีการในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ส่วนที่ ๓
การไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
มาตรา ๓๙ ในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นการทุ่มตลาดและความเสียหาย
เริ่มต้นโดยการออกประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายในราชกิจจานุเบกษา
และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษตามที่เห็นสมควร
ประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
ระบุสินค้า
(๒)
ประเทศผู้ส่งออกและประเทศที่เกี่ยวข้อง
(๓)
ข้อเท็จจริงโดยสังเขป
(๔)
การขอรับข้อมูลข่าวสารอันเป็นรายละเอียดตลอดจนค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
(๕)
ระยะเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นเป็นหนังสือ
(๖)
กำหนดเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียแจ้งความจำนงขอแถลงการณ์ด้วยวาจาประกอบการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
และในกรณีที่ทราบที่อยู่ของผู้ส่งออกจากต่างประเทศ ผู้นำเข้าหรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งเป็นหนังสือให้บุคคลเหล่านั้นทราบประกาศนั้นด้วย
มาตรา ๔๐
เมื่อได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายเสร็จแล้วให้กรมการค้าต่างประเทศสรุปผลการไต่สวนและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
ส่วนที่ ๔
มาตรการชั่วคราว
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
ถ้าขณะนั้นปรากฏว่ามีความจำเป็นต้องป้องกันความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน
คณะกรรมการอาจใช้มาตรการชั่วคราวโดยประกาศเรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวดังกล่าวได้
อากรชั่วคราวที่เรียกเก็บตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่สูงกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดที่ประเมินขณะที่มีคำวินิจฉัยเบื้องต้น
ในกรณีมีการใช้มาตรการชั่วคราว
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่การเรียกเก็บอากรชั่วคราวเสมือนอากรดังกล่าวเป็นอากรขาเข้าตามกฎหมายนั้น
และอากรชั่วคราวที่เก็บได้รวมทั้งเงินที่บังคับจากหลักประกันการชำระอากรนั้นให้เก็บรักษาไว้เพื่อปฏิบัติตามมาตรา
๕๑ และมาตรา ๕๒ จนกว่าจะสิ้นเหตุที่จะต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว
มาตรา ๔๒
มาตรการชั่วคราวจะนำมาใช้ก่อนหกสิบวันนับแต่วันประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายไม่ได้
มาตรการชั่วคราวต้องใช้ตามระยะเวลาที่จำเป็นและตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีปกติจะกำหนดให้เก็บเกินสี่เดือนไม่ได้
(๒)
ถ้ามีคำขอของผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่มีสัดส่วนมากพอสมควร
คณะกรรมการจะประกาศขยายเวลาเก็บอากรชั่วคราวเกินกว่าสี่เดือนแต่ไม่เกินหกเดือนก็ได้
(๓)
ในกรณีมีการพิจารณาประเด็นว่าถ้าเรียกเก็บอากรต่ำกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจะเพียงพอต่อการขจัดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่
คณะกรรมการจะประกาศขยายเวลาการเก็บอากรชั่วคราวกรณีตาม (๑)
เกินกว่าสี่เดือนแต่ไม่เกินหกเดือนหรือกรณีตาม (๒)
เกินกว่าหกเดือนแต่ไม่เกินเก้าเดือนก็ได้
ส่วนที่ ๕
ความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาด
มาตรา ๔๓
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดอาจยุติลงสำหรับผู้ส่งออกจากต่างประเทศรายหนึ่งรายใดโดยไม่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
หรือไม่เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด ถ้าสามารถทำความตกลงกันได้ระหว่างผู้ส่งออกรายนั้นกับกรมการค้าต่างประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงราคาหรือระงับการส่งออกสินค้าในราคาทุ่มตลาด
กรมการค้าต่างประเทศจะทำความตกลงได้ต่อเมื่อกรณีเป็นที่พอใจว่าความตกลงนั้นจะขจัดผลเสียหายจากการทุ่มตลาดได้
แต่ความตกลงดังกล่าวจะกำหนดให้มีการเพิ่มราคาสูงกว่าที่จำเป็นเพื่อขจัดส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดไม่ได้
ความตกลงจะมีผลใช้บังคับได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว
มาตรา ๔๔ การทำความตกลงจะกระทำได้ภายหลังที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว
ความตกลงนั้น
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศจะเป็นฝ่ายเสนอหรือกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นฝ่ายเสนอก็ได้
กรมการค้าต่างประเทศจะไม่ยอมรับข้อเสนอทำความตกลงของผู้ส่งออกจากต่างประเทศเพราะเหตุผลในทางนโยบายหรือเหตุผลใด
ๆ ก็ได้ และถ้าเป็นกรณีที่สามารถแจ้งเหตุผลให้ได้
ก็ให้แจ้งให้ผู้ส่งออกจากต่างประเทศทราบด้วย
มาตรา ๔๕
การที่ผู้ส่งออกจากต่างประเทศผู้ใดไม่เสนอทำความตกลงหรือไม่ยอมรับข้อเสนอทำความตกลงของกรมการค้าต่างประเทศ
จะต้องไม่นำเหตุนั้นมาพิจารณาไปในทางเสียประโยชน์ต่อผู้นั้น
มาตรา ๔๖ ผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่ทำความตกลงกับกรมการค้าต่างประเทศต้องให้ข้อมูลข่าวสารตามระยะเวลาที่กำหนด
และต้องยอมให้กรมการค้าต่างประเทศตรวจสอบความเป็นจริงของข้อมูลข่าวสารนั้นได้
ถ้ามีการฝ่าฝืนความตกลงก็อาจใช้ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในการกำหนดมาตรการชั่วคราวและดำเนินกระบวนพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไปได้
มาตรา ๔๗ แม้ได้มีการทำความตกลงกันแล้ว
คณะกรรมการจะดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไปก็ได้
ถ้าผู้ส่งออกจากต่างประเทศประสงค์เช่นนั้นในการทำความตกลง
หรือเป็นกรณีที่ทำความตกลงกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศได้เพียงบางราย หรือเมื่อมีการฝ่าฝืนความตกลง
หรือคณะกรรมการเห็นสมควรเพราะเหตุอื่น
ในกรณีตามวรรคหนึ่งเมื่อสิ้นสุดการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่า
(๑)
ไม่มีการทุ่มตลาดหรือไม่มีความเสียหาย ก็ให้ยุติการดำเนินการตามความตกลงนั้น
แต่ถ้าปรากฏในขณะนั้นว่ากรณีน่าจะมีการทุ่มตลาดหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นถ้ามิได้มีการดำเนินการตามความตกลงนั้น
คณะกรรมการจะวินิจฉัยให้ดำเนินการตามความตกลงนั้นต่อไปตามระยะเวลาที่สมควรก็ได้
(๒)
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย ก็ให้ดำเนินการตามความตกลงนั้นต่อไป
(๓)
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายเนื่องจากมีการฝ่าฝืนความตกลง
คณะกรรมการอาจวินิจฉัยให้เก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่ก่อนวันประกาศใช้บังคับมาตรการชั่วคราวไม่เกินเก้าสิบวันก็ได้
แต่จะใช้กับสินค้าทุ่มตลาดที่นำเข้าก่อนมีการฝ่าฝืนความตกลงนั้นไม่ได้
มาตรา ๔๘ ให้นำบทบัญญัติแห่งหมวด ๘
มาใช้บังคับกับความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดโดยอนุโลม
หมวด ๖
อากรตอบโต้การทุ่มตลาด
มาตรา ๔๙
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
อัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดนั้นให้กำหนดได้เพียงเพื่อขจัดความเสียหายและจะเกินกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดมิได้
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดต้องกำหนดให้เหมาะสมกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศแต่ละรายที่ทุ่มตลาดโดยไม่เลือกปฏิบัติ
เว้นแต่เป็นการดำเนินการตามความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดตามส่วนที่ ๕ ของหมวด ๕
ในกรณีที่มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากสินค้าใด
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับกับการเรียกเก็บอากรดังกล่าวเสมือนอากรนั้นเป็นอากรขาเข้าตามกฎหมายนั้น
และอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่เก็บได้ให้เก็บรักษาไว้เพื่อปฏิบัติตามมาตรา ๕๙
จนกว่าจะสิ้นเหตุที่จะต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว
มาตรา ๕๐ ในกรณีที่หาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามมาตรา
๑๘ วรรคสาม
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้กำหนดให้เหมาะสมกับผู้ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่างแต่ละราย
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่างให้กำหนดอัตราไว้ไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
แต่ถ้าผู้อยู่ในบังคับของอัตราอากรดังกล่าวผู้ใดได้ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตนโดยครบถ้วนถูกต้องภายในเวลาที่คณะกรรมการกำหนด
ให้คณะกรรมการกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เหมาะสมสำหรับผู้นั้น
เว้นแต่การกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับแต่ละรายจะเป็นภาระเกินสมควรและอาจทำให้การไต่สวนไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา
๕๔ เนื่องจากมีผู้ได้ให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
จะกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักดังกล่าวก็ได้
มาตรา ๕๑ ในกรณีที่มีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
หรือมีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๒)
ซึ่งถ้ามิได้มีการใช้มาตรการชั่วคราวมาก่อนน่าจะทำให้เกิดความเสียหายตามมาตรา ๑๙
(๑) ได้
คณะกรรมการจะกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราวก็ได้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
ถ้าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่คณะกรรมการกำหนดตามวรรคหนึ่งมีอัตราสูงกว่าอากรชั่วคราวส่วนต่างที่เกิดขึ้นนั้นจะเรียกเก็บมิได้
แต่ถ้าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดมีอัตราต่ำกว่าอากรชั่วคราวก็ให้คืนผลต่างของอากรส่วนที่เกินให้ด้วย
มาตรา ๕๒ ในกรณีที่มีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๒)
หรือ (๓)
คณะกรรมการอาจกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดได้ตั้งแต่วันที่มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่ามีความเสียหายตามมาตรา
๑๙ (๒) และ (๓) แล้วแต่กรณี และอากรที่เรียกเก็บหรือหลักประกันต่าง ๆ
ที่ได้บังคับใช้ตามมาตรการชั่วคราวให้คืนโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าไม่มีการทุ่มตลาดหรือไม่มีความเสียหาย
บรรดาอากรชั่วคราวที่เรียกเก็บหรือหลักประกันที่ให้ไว้ตามมาตรการชั่วคราวให้คืนโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๕๓ ในกรณีที่มีการใช้มาตรการตามมาตรา ๓๑
คณะกรรมการอาจกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหลังจากวันประกาศไต่สวนแต่ต้องไม่เกินเก้าสิบวันก่อนวันที่ใช้มาตรการชั่วคราวก็ได้
ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปนี้
(๑)
เคยมีการทุ่มตลาดสินค้ารายนั้นและมีความเสียหายหรือผู้นำเข้าได้รู้หรือควรได้รู้ว่าผู้ส่งออกจากต่างประเทศได้ทุ่มตลาดและอาจมีความเสียหาย
และ
(๒)
ความเสียหายได้เกิดขึ้นจากการเร่งนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดเป็นจำนวนมากภายในเวลาอันสั้น
ซึ่งจากช่วงเวลา
ปริมาณการนำเข้าและพฤติการณ์อื่นที่เกี่ยวข้องชี้ให้เห็นว่าจะบั่นทอนผลการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นอย่างมาก
หากไม่กำหนดให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดก่อนวันที่ใช้มาตรการชั่วคราว
ก่อนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามวรรคหนึ่ง
ต้องให้ผู้นำเข้าได้มีโอกาสเสนอความเห็นด้วย
หมวด ๗
ระยะเวลาการไต่สวน
มาตรา ๕๔
การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดจนถึงการดำเนินการให้มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าไม่มีการทุ่มตลาดและไม่มีความเสียหาย
ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศไต่สวน
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ให้ขยายได้อีกไม่เกินหกเดือน
หมวด ๘
ระยะเวลาตอบโต้การทุ่มตลาดและการทบทวน
มาตรา ๕๕ อากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามหมวด ๖
ให้นำมาใช้ได้ตลอดเวลาที่มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
มาตรา ๕๖
การทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป
ให้กระทำได้เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำขอจากผู้มีส่วนได้เสียหลังจากได้ใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
โดยในคำขอดังกล่าวผู้มีส่วนได้เสียอาจขอให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนเพื่อยุติการเรียกเก็บหรือเปลี่ยนแปลงอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดได้
แต่ต้องเสนอพยานหลักฐานเพียงพอเกี่ยวกับปัญหาการทุ่มตลาดหรือความเสียหายที่สมควรให้มีการทบทวนการใช้บังคับอากรดังกล่าวในระหว่างนั้น
การพิจารณาการทบทวนจะต้องพิจารณาโดยรวดเร็ว
และจะต้องเสร็จสิ้นภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
การพิจารณาทบทวนไม่กระทบถึงการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในระหว่างนั้น
มาตรา ๕๗ อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เรียกเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่เกินห้าปีนับแต่วันเริ่มใช้บังคับหรือนับแต่มีการทบทวนครั้งสุดท้ายซึ่งมีการพิจารณาทบทวนทั้งปัญหาการทุ่มตลาดและปัญหาความเสียหาย
เว้นแต่เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรหรือเมื่อบุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งทำการแทนอุตสาหกรรมภายในมีคำขอภายในระยะเวลาอันสมควรก่อนครบกำหนดดังกล่าว
ว่าการยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจะทำให้มีการทุ่มตลาดต่อไป
หรือทำให้การทุ่มตลาดฟื้นคืนมาอีก
มาตรา ๕๘
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายใดซึ่งมิได้ส่งสินค้าทุ่มตลาดเข้ามาในช่วงระหว่างการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
อาจขอให้ทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับตนเป็นการเฉพาะรายได้
แต่ผู้ขอทบทวนต้องพิสูจน์ว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศซึ่งอยู่ในบังคับถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าว
ในการนี้ ให้นำมาตรา ๒๔ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในระหว่างการทบทวนตามวรรคหนึ่งจะเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศดังกล่าวไม่ได้
แต่ถ้าต่อมาคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่ามีการทุ่มตลาดหรือผู้ขอทบทวนมีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศซึ่งอยู่ในบังคับถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าว
คณะกรรมการจะกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับระยะเวลาที่งดเก็บนั้นก็ได้
และให้นำมาตรา ๓๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๕๙ ผู้นำเข้าอาจขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในขณะหนึ่งขณะใดได้ถ้าผู้นั้นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
หรือส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดลดลงต่ำกว่าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่ใช้บังคับ
การขอคืนอากรตามวรรคหนึ่งต้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมการภายในหกเดือนนับแต่วันชำระอากรดังกล่าว
มาตรา ๖๐ ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่ ๑ ส่วนที่ ๒
ส่วนที่ ๓ ของหมวด ๕ และหมวด ๖
มาใช้บังคับกับการทบทวนและการขอคืนอากรตามหมวดนี้โดยอนุโลม
หมวด ๙
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาล
มาตรา ๖๑
ผู้ใดไม่พอใจคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการตามมาตรา ๔๙
หรือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการในการขอให้ทบทวนตามมาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘
และมาตรา ๕๙
ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น
การอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเรียกเก็บหรือคืนอากรตามพระราชบัญญัตินี้
เว้นแต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะสั่งเป็นอย่างอื่น
หมวด ๑๐
การอุดหนุน
มาตรา ๖๒ ในหมวดนี้
รัฐบาล หมายความรวมถึง หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐด้วย
วิสาหกิจ หมายความว่า วิสาหกิจหรืออุตสาหกรรม
หรือกลุ่มวิสาหกิจ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม
มาตรา ๖๓ การอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้ได้แก่
การได้รับประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดเนื่องจากรัฐบาลประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกกระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งหมายความรวมถึง
(ก)
การกระทำใด ๆ ที่ในที่สุดจะทำให้ได้รับเงินทุนหรือทำให้หนี้สินลดลงหรือหมดไป
(ข)
การลดหย่อนหรือไม่เรียกเก็บรายได้ของรัฐที่ปกติวิสาหกิจพึงชำระ
(ค)
ซื้อสินค้า ให้ทรัพย์สิน หรือให้บริการอื่นใดนอกจากสาธารณูปโภคทั่วไป หรือ
(ง)
ให้เงินแก่กลไกจัดหาเงินทุน
หรือมอบหมายหรือสั่งให้เอกชนดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตาม (ก) (ข) หรือ (ค)
(๒)
ให้การสนับสนุนด้านรายได้หรือด้านราคาไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าใดหรือลดการนำเข้าสินค้าใด
การให้สินค้าส่งออกได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรประเภทที่เรียกเก็บจากสินค้าชนิดเดียวกันที่ใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศหรือการคืนภาษีอากรดังกล่าวในจำนวนไม่เกินภาระภาษีอากรที่เกิดขึ้น
ไม่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือทางการเงินตามวรรคหนึ่ง (๑)
มาตรา ๖๔
การอุดหนุนดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการอุดหนุนโดยเจาะจง
(๑)
การให้การอุดหนุนแก่วิสาหกิจเพียงบางแห่งไม่ว่าโดยนิตินัยหรือโดยพฤตินัย
การอุดหนุนที่มีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ใช้ทั่วไปกับวิสาหกิจทุกแห่งในช่วงการค้าเดียวกันโดยไม่ลำเอียงและสอดคล้องกับเหตุผลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
และมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นั้นอย่างเคร่งครัด
ไม่ให้ถือว่าเป็นการอุดหนุนโดยเจาะจง
ในการพิจารณาว่ามีการอุดหนุนแก่วิสาหกิจบางแห่งหรือไม่นั้น
จะต้องนำปัจจัยนอกจากหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขตามวรรคสองมาพิจารณาประกอบด้วย
ปัจจัยดังกล่าวให้รวมถึง (ก)
การที่วิสาหกิจบางแห่งได้รับหรือได้ใช้ประโยชน์จากการอุดหนุนนั้นมากกว่าวิสาหกิจแห่งอื่น
และ (ข) การมีดุลพินิจที่จะเลือกให้การอุดหนุน ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความหลากหลายทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาที่มีโครงการอุดหนุนดังกล่าว
(๒)
การให้การอุดหนุนแก่วิสาหกิจบางแห่งที่ตั้งอยู่ในบางพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แต่การกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีอากรที่มีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขใช้บังคับเป็นการทั่วไป
ไม่ถือเป็นการอุดหนุนโดยเจาะจงตามมาตรานี้
การพิจารณาว่ามีการอุดหนุนโดยเจาะจงตามวรรคหนึ่งหรือไม่นั้นต้องมีพยานหลักฐานโดยตรงสนับสนุน
มาตรา ๖๕ การอุดหนุนดังต่อไปนี้
ที่มีลักษณะเจาะจงตามมาตรา ๖๔ เป็นการอุดหนุนที่ตอบโต้ได้
(๑) การให้การอุดหนุนแก่การส่งออกไม่ว่าโดยทางนิตินัยหรือโดยทางพฤตินัยตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๒)
การให้การอุดหนุนเพื่อให้มีการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า
(๓)
การให้การอุดหนุนที่มีผลเสียต่อประโยชน์ของประเทศ ซึ่งหมายความถึง
(ก)
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน
(ข)
ทำให้ผลประโยชน์ทั้งในทางตรงและทางอ้อมของประเทศต้องสูญสิ้นหรือเสื่อมเสีย
โดยเฉพาะผลประโยชน์ของข้อลดหย่อนที่ผูกพันไว้ตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก
(ค)
ผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์ของประเทศตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง
การใช้บทบัญญัติตามมาตรานี้กับสินค้าเกษตร
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๖๖
การอุดหนุนโดยเจาะจงตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดอันเกี่ยวกับกรณีดังต่อไปนี้
ไม่อยู่ในข่ายถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การอุดหนุน
(๑)
การให้ความช่วยเหลือด้านการวิจัย
(๒)
การให้ความช่วยเหลือแก่ภูมิภาคที่เสียเปรียบ หรือ
(๓)
การให้ความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
มาตรา ๖๗ ในกรณีมีการอุดหนุนตามมาตรา ๖๕
(๑)
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ประเทศที่ให้การอุดหนุนทราบเพื่อปรึกษาหารือกันและเสนอเรื่องให้มีการระงับข้อพิพาท
ตามขั้นตอนและวิธีการพิจารณาตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลกว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้
และให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการตอบโต้อย่างหนึ่งอย่างใดที่เหมาะสมแก่กรณี
(๒)
ให้คณะกรรมการดำเนินการเพื่อพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน โดยกำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน
ในกรณีที่ได้ดำเนินการตาม
(๑) และ (๒) พร้อมกัน หากในชั้นที่สุดปรากฏว่าสามารถใช้มาตรการตอบโต้ได้ทั้งตาม
(๑) และ (๒)
ก็ให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการตอบโต้ได้มาตรการใดมาตรการหนึ่งเพียงมาตรการเดียว
มาตรา ๖๘ อากรตอบโต้การอุดหนุนให้คำนวณจากประโยชน์ที่ได้รับในระหว่างระยะเวลาที่ปรากฏในการพิจารณาว่ามีการอุดหนุน
โดยกำหนดเป็นอัตราต่อหน่วยของสินค้าของผู้ที่ได้รับการอุดหนุนแต่ละราย
ถ้าผู้รับการอุดหนุนมีภาระหรือต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนใดให้แก่รัฐบาลที่ให้การอุดหนุน
ผู้รับการอุดหนุนจะขอให้หักค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกก็ได้
แต่ภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นของผู้รับการอุดหนุน
อากรตอบโต้การอุดหนุนนั้นให้กำหนดเพียงเพื่อขจัดความเสียหาย
และจะเกินกว่าประโยชน์ที่ผู้รับการอุดหนุนได้รับมิได้
มาตรา ๖๙
การคำนวณหาประโยชน์ที่ได้รับให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑)
การร่วมลงทุนของรัฐบาลไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่การลงทุนนั้นไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามปกติของภาคเอกชนในประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
(๒)
การให้เงินกู้ไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนทรัพย์สินที่ผู้กู้ต้องให้ในการกู้ยืมจากรัฐบาลกับการกู้ยืมทางพาณิชย์ที่เปรียบเทียบกันได้ในตลาด
ในกรณีนี้ประโยชน์ที่ได้รับคือส่วนต่างของจำนวนดังกล่าว
(๓)
การค้ำประกันเงินกู้ไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนทรัพย์สินที่ผู้ได้รับการค้ำประกันต้องให้ระหว่างการค้ำประกันโดยรัฐบาลกับการค้ำประกันโดยเอกชนในทางพาณิชย์และให้นำความใน
(๒) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๔)
กรณีที่รัฐบาลให้ทรัพย์สินหรือบริการหรือการซื้อสินค้าไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่เป็นการให้โดยมีค่าตอบแทนที่น้อยกว่าอัตราที่สมควรหรือการซื้อสินค้าที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่าอัตราที่สมควร
ซึ่งอัตราที่สมควรให้พิจารณาจากสภาพทางการตลาดที่เป็นอยู่ในประเทศที่ให้ทรัพย์สินหรือบริการหรือที่ซื้อสินค้านั้น
การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับ
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใดเป็นไปตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดก็ได้
มาตรา ๗๐ การพิจารณากำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน
ให้นำบทบัญญัติหมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หมวด ๖ หมวด ๗ หมวด ๘ และหมวด ๙
มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๔๒ (๒) และ (๓) มิให้ใช้บังคับในการใช้มาตรการชั่วคราว
(๒)
ความตกลงเพื่อระงับการอุดหนุนระหว่างผู้ส่งออกกับกรมการค้าต่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้ส่งออกด้วย
มาตรา ๗๑
เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอจากผู้ทำการแทนอุตสาหกรรมภายในหรือข้อเสนอของกรมการค้าต่างประเทศให้พิจารณาตอบโต้การอุดหนุนแล้วให้คณะกรรมการแจ้งให้ประเทศซึ่งสินค้าดังกล่าวถูกพิจารณาว่าได้มีการอุดหนุนทราบและขอให้ประเทศนั้นมาปรึกษาหารือโดยไม่ชักช้า
เพื่อทำความตกลงให้ยุติการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุนหรือเพื่อทำความตกลงระงับการอุดหนุน
การปรึกษาหารือจะดำเนินการในขั้นตอนใดระหว่างการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุนก็ได้
และคณะกรรมการต้องให้โอกาสตามควรในการปรึกษาหารือนั้น
แต่การปรึกษาหารือไม่เป็นเหตุกระทบการดำเนินการต่าง ๆ
ในขั้นตอนการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ในการปรึกษาหารือคณะกรรมการต้องให้โอกาสประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณาได้รับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการพิจารณาได้
เว้นแต่ในส่วนที่คณะกรรมการเห็นว่าเป็นความลับ
หมวด ๑๑
คณะกรรมการ
มาตรา ๗๒ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ*
ผู้ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมอบหมายหนึ่งคน
และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหกคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นเลขานุการและแต่งตั้งข้าราชการของกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ช่วยเลขานุการของคณะกรรมการ
การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง
ให้แต่งตั้งจากบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ
เศรษฐศาสตร์ การบัญชี นิติศาสตร์ การเกษตร และการอุตสาหกรรม สาขาละหนึ่งคน
มาตรา ๗๓ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑)
พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
ให้ความเห็นชอบในการทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
(๓)
ให้คำแนะนำในการออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
(๔)
ปฏิบัติการอื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๗๔
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี
ในวาระเริ่มแรกเมื่อครบสองปีให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดโดยวิธีจับสลาก
และให้ถือว่าการออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยวิธีจับสลากเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
มาตรา ๗๕ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย บกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่
หรือหย่อนความสามารถ
(๔)
ต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่ในความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๕)
เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖)
เป็นบุคคลล้มละลาย
มาตรา ๗๖
ในกรณีตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิว่างลงก่อนครบกำหนดวาระ
ให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนโดยเร็ว
เว้นแต่วาระการอยู่ในตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมีการแต่งตั้งใหม่จะเหลือไม่ถึงเก้าสิบวันจะไม่ดำเนินการแต่งตั้งก็ได้
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งแทนตามวรรคหนึ่งอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ตนแทน
มาตรา ๗๗
การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานในที่ประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ในการประชุม
ถ้ามีความเห็นแย้งให้บันทึกความเห็นแย้งพร้อมทั้งเหตุผลไว้ในรายงานการประชุมด้วย
แต่กรรมการคนใดจะขอให้รวมความเห็นแย้งของตนไว้ในคำวินิจฉัยก็ได้
มาตรา ๗๘ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้
หมวด ๑๒
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๗๙
บรรดาการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนที่ค้างพิจารณาอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษซึ่งสินค้านำเข้าเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๓๙ และพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ จนกว่าจะเสร็จสิ้น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว
บทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวบางประการไม่เหมาะสมกับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ
ไม่มีหลักการเรื่องการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามายังประเทศไทย
และไม่สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
สมควรบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ให้มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามาในประเทศเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศและให้สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
*พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕[๒]
มาตรา
๑๗
ในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้แก้ไขคำว่า อธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ เป็น อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕
ได้บัญญัติให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่โดยมีภารกิจใหม่
ซึ่งได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม นั้นแล้ว และเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้โอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
รัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่
โดยให้มีการแก้ไขบทบัญญัติต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ที่โอนไปด้วย ฉะนั้น เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนส่วนราชการ
เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมายโอนอำนาจหน้าที่ว่าตามกฎหมายใดได้มีการโอนภารกิจของส่วนราชการหรือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายนั้นไปเป็นของหน่วยงานใดหรือผู้ใดแล้ว
โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ รัฐมนตรี
ผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการให้ตรงกับการโอนอำนาจหน้าที่
และเพิ่มผู้แทนส่วนราชการในคณะกรรมการให้ตรงตามภารกิจที่มีการตัดโอนจากส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่
รวมทั้งตัดส่วนราชการเดิมที่มีการยุบเลิกแล้ว
ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖/ตอนที่ ๒๒ ก/หน้า ๕๙/๓๑ มีนาคม ๒๕๔๒
[๒]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๐๒ ก/หน้า ๖๖/๘ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
307281 | พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๒
เป็นปีที่ ๕๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ และยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. ๒๕๐๗
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
ความเสียหาย หมายความว่า ความเสียหายตามหมวด ๓
อุตสาหกรรมภายใน หมายความว่า อุตสาหกรรมภายในตามหมวด
๔
สินค้าที่ถูกพิจารณา หมายความว่า
สินค้ารายที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุ่มตลาดหรือได้รับการอุดหนุน
สินค้าชนิดเดียวกัน หมายความว่า
สินค้าที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการกับสินค้าที่ถูกพิจารณา
แต่ในกรณีที่ไม่มีสินค้าดังกล่าวให้หมายความว่าสินค้าที่คล้ายคลึงกันอย่างมากกับสินค้าดังกล่าว
ขั้นตอนทางการค้า หมายความว่า ขั้นตอนต่าง ๆ
ในการจำหน่ายสินค้าทอดต่าง ๆ จนถึงผู้บริโภค
ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด หมายความว่า
ส่วนที่ราคาส่งออกจากต่างประเทศต่ำกว่ามูลค่าปกติ
ผู้มีส่วนได้เสีย หมายความว่า
(๑)
ผู้ผลิตในต่างประเทศ ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ ผู้นำเข้าซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
หรือสมาคมในทางการค้าที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิต ผู้ส่งออก
หรือผู้นำเข้าซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา แล้วแต่กรณี
(๒)
รัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
(๓)
ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศ
หรือสมาคมในทางการค้าที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว หรือ
(๔)
บุคคลอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
อากร หมายความว่า อากรชั่วคราว
อากรตอบโต้การทุ่มตลาด หรืออากรตอบโต้การอุดหนุน แล้วแต่กรณี
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมศุลกากร
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๑ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงและประกาศนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใด
ๆ เกี่ยวกับการพิจารณาการทุ่มตลาด การพิจารณาการอุดหนุน การพิจารณาความเสียหาย
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน การทบทวน มาตรการตอบโต้
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ อันเกี่ยวกับพระราชบัญญัตินี้ได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีที่สมควร
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งนั้นจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใด
อาจกระทำได้โดยออกเป็นประกาศกระทรวงพาณิชย์ก็ได้
หมวด ๑
บททั่วไป
มาตรา ๗
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนให้คำนึงถึงประโยชน์ของอุตสาหกรรมภายใน
ผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะประกอบกัน
มาตรา ๘
เพื่อประโยชน์ในการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควร จะมีหนังสือขอให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดทำทะเบียนการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าใด
หรือรวบรวมข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าได้
ในกรณีนี้ให้กรมศุลกากรมีอำนาจกำหนดให้ผู้นำเข้า หรือผู้ส่งออกแจ้งข้อเท็จจริงใด ๆ
ตามที่คณะกรรมการร้องขอได้
และให้นำกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในส่วนที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่กรณีนี้
มาตรา ๙
ผู้ซึ่งยื่นคำขอให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ผู้นำเข้า
หรือผู้ส่งออกจากต่างประเทศอาจขอรายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการกำหนดมาตรการชั่วคราว
การกำหนดอากร หรือการทบทวนอากรได้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
คำขอตามวรรคหนึ่งจะยื่นเมื่อพ้นหนึ่งเดือนนับแต่วันที่มีการกำหนดมาตรการชั่วคราวหรือการกำหนดอากรไม่ได้
มาตรา ๑๐
ในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ผู้ใดอาจมีคำขอให้พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
พิจารณาตอบโต้การอุดหนุน ให้ทำความตกลง การขอให้ทบทวนมาตรการต่าง ๆ
ตลอดจนการขอข้อมูลข่าวสารใดนั้น ให้กระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกประกาศกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายได้ตามความเหมาะสมแก่ภาระในการดำเนินงานดังกล่าว
มาตรา ๑๑
การคืนอากรหรือหลักประกันการชำระอากรตามพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๒
การทุ่มตลาด
มาตรา ๑๒
การทุ่มตลาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในเป็นการกระทำอันมิชอบที่อาจตอบโต้ได้
มาตรา ๑๓
การทุ่มตลาดตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่
การส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในทางพาณิชย์
โดยมีราคาส่งออกที่ต่ำกว่ามูลค่าปกติของสินค้าชนิดเดียวกัน
มาตรา ๑๔
ราคาส่งออก ได้แก่
ราคาส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกมายังประเทศไทยตามที่ได้ชำระหรือควรจะมีการชำระกันจริง
ในกรณีที่ไม่ปรากฏราคาส่งออกหรือราคาส่งออกนั้นไม่น่าเชื่อถือ
เนื่องจากมีการร่วมมือกันหรือจัดให้มีการชดเชยประโยชน์กันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้คำนวณหาราคาส่งออกจากราคาสินค้านั้นที่ได้จำหน่ายต่อไปทอดแรกยังผู้ซื้ออิสระ
แต่ในกรณีที่สินค้านั้นไม่มีการจำหน่ายต่อไปยังผู้ซื้ออิสระหรือไม่ได้จำหน่ายต่อไปตามสภาพสินค้าที่เป็นอยู่ในขณะนำเข้า
ให้คำนวณราคาส่งออกตามหลักเกณฑ์อย่างหนึ่งอย่างใดที่เหมาะสมแก่กรณีดังกล่าว
ในกรณีตามวรรคสอง
การคำนวณหาราคาส่งออกให้หักค่าใช้จ่ายและค่าภาระต่าง ๆ ตลอดจนภาษีอากร
และกำไรที่ได้รับอันเกิดขึ้นระหว่างการนำเข้าและการจำหน่ายต่อไปออกด้วย
มาตรา ๑๕
มูลค่าปกติ ได้แก่
ราคาที่ผู้ซื้ออิสระในประเทศผู้ส่งออกได้ชำระหรือควรจะมีการชำระกันจริงในทางการค้าปกติสำหรับสินค้าชนิดเดียวกันที่ขายเพื่อการบริโภคภายในประเทศนั้น
โดยพิจารณาจากการขายสินค้าดังกล่าวในปริมาณใดปริมาณหนึ่งที่เหมาะสมซึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของปริมาณสินค้านั้นที่ส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกมายังประเทศไทย
แต่จะนำปริมาณการขายที่ต่ำกว่านั้นมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาก็ได้
ถ้ามีเหตุอันรับฟังได้ว่าราคาขายที่พิจารณาจากปริมาณสินค้าดังกล่าวเป็นราคาในตลาดประเทศผู้ส่งออก
ในกรณีไม่ปรากฏราคาตามวรรคหนึ่งหรือราคานั้นไม่น่าเชื่อถือเนื่องจากมีการร่วมมือกันหรือจัดให้มีการชดเชยประโยชน์กันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง
หรือตลาดในประเทศผู้ส่งออกมีลักษณะเฉพาะทำให้ไม่อาจหาราคาที่เปรียบเทียบกันได้โดยเหมาะสม
ให้พิจารณาหามูลค่าปกติจากราคาต่อไปนี้
(๑)
ราคาส่งออกในทางการค้าปกติของสินค้าชนิดเดียวกันที่ส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกไปยังประเทศที่สามที่เหมาะสม
ถ้ามีเหตุอันรับฟังได้ว่าราคานั้นแสดงถึงราคาในตลาดประเทศผู้ส่งออก หรือ
(๒)
ราคาที่คำนวณจากต้นทุนการผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดรวมกับจำนวนที่เหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการจัดการ
การขาย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตลอดจนกำไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ในกรณีที่ราคาตามวรรคหนึ่งหรือราคาตามวรรคสอง
(๑) ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตรวมกับค่าใช้จ่ายในการจัดการ การขาย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เมื่อได้พิจารณาการขายสินค้าดังกล่าวในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่สมควรโดยมีปริมาณการขายที่มากพอแล้ว
ถ้าปรากฏว่าราคาเหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้คืนทุนได้ภายในเวลาที่เหมาะสม
จะถือว่าราคานั้นเป็นราคาในทางการค้าปกติที่จะนำมาพิจารณาหามูลค่าปกติไม่ได้ เว้นแต่ราคานั้นสูงกว่าต้นทุนการผลิตถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักต่อหน่วยที่ปรากฏในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
มาตรา ๑๖
ในกรณีที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกไม่ใช้กลไกตลาดการหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕ ให้พิจารณาเทียบเคียงจากข้อมูลราคาที่เป็นอยู่ในประเทศที่สามซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่ใช้กลไกตลาดและเหมาะสมแก่การเปรียบเทียบ
แต่ถ้าหาประเทศที่สามที่เหมาะสมไม่ได้
ให้พิจารณาจากราคาของสินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายในประเทศไทยหรือจากพื้นฐานอื่นใดตามที่เหมาะสมแก่กรณี
มาตรา ๑๗
ในกรณีเป็นการนำสินค้าเข้ามาในประเทศไทยโดยการส่งออกจากประเทศอื่นซึ่งมิใช่ประเทศแหล่งกำเนิด
ให้ใช้ข้อมูลราคาที่เป็นอยู่ในประเทศผู้ส่งออกนั้นเป็นเกณฑ์ในการหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕
แต่ถ้ามีเหตุอันควรจะใช้ราคาในประเทศแหล่งกำเนิดเป็นเกณฑ์ในการหามูลค่าปกติก็ได้โดยเฉพาะในกรณีที่สินค้านั้นเป็นเพียงการขนถ่ายผ่านประเทศผู้ส่งออก
หรือสินค้านั้นไม่มีการผลิตในประเทศผู้ส่งออก
หรือไม่มีราคาที่จะเปรียบเทียบกันได้ในประเทศผู้ส่งออก
มาตรา ๑๘
การพิจารณาหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดให้มีการเปรียบเทียบอย่างเป็นธรรมและให้กระทำที่ขั้นตอนทางการค้าเดียวกันและในเวลาเดียวกัน
โดยคำนึงถึงบรรดาข้อแตกต่างที่มีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาประกอบด้วย
ในกรณีที่ราคาส่งออกและมูลค่าปกติมิได้อยู่บนขั้นตอนทางการค้าเดียวกันหรือเวลาเดียวกัน
ให้มีการปรับลดองค์ประกอบต่าง ๆ ที่แตกต่างกันอันมีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคาออกด้วย
ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง
วิธีการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดต่อหน่วยให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
เว้นแต่จะมีเหตุสมควรที่จะใช้วิธีการอื่น
(๑)
เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกับราคาส่งออกถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก
(๒)
เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติกับราคาส่งออกของธุรกรรมแต่ละรายโดยเฉลี่ย หรือ
(๓)
ในกรณีที่ปรากฏว่าราคาส่งออกมายังตลาดภายในประเทศมีความแตกต่างกันในสาระสำคัญระหว่างผู้ซื้อต่างคนกัน
ภูมิภาคที่ส่งออก หรือระยะเวลาที่ส่งออก และวิธีการตาม (๑) หรือ (๒)
ไม่อาจแสดงสภาพแท้จริงของการทุ่มตลาดได้ ให้เปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกับราคาส่งออกของธุรกรรมแต่ละรายโดยเฉลี่ย
ในการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดก็ได้
หมวด ๓
ความเสียหาย
มาตรา ๑๙
ถ้าบทบัญญัติใดมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
ความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้หมายความว่า
(๑)
ความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน
(๒)
ความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน หรือ
(๓)
อุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใน
มาตรา ๒๐
การพิจารณาว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา ๑๙
(๑) ต้องมีพยานหลักฐานโดยตรงสนับสนุนเกี่ยวกับกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
ปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดและผลของการทุ่มตลาดที่มีต่อราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
และ
(๒)
ผลกระทบของการทุ่มตลาดนั้นที่มีต่ออุตสาหกรรมภายใน
ในกรณีมีการทุ่มตลาดสินค้าใดจากประเทศผู้ส่งออกมากกว่าหนึ่งประเทศอยู่ระหว่างการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดพร้อมกัน
ถ้าปรากฏว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดและปริมาณการนำเข้าจากแต่ละประเทศดังกล่าวมีจำนวนมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำตามมาตรา
๒๘ การพิจารณาความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
จะประเมินผลของการนำเข้าจากแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันก็ได้
ถ้ากรณีมีความเหมาะสมต่อสภาพการแข่งขันในระหว่างสินค้าทุ่มตลาดด้วยกันและในระหว่างสินค้าทุ่มตลาดกับสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
มาตรา ๒๑
ในการพิจารณาความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าทุ่มตลาดกับความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยนอกจากผลจากสินค้าทุ่มตลาดแล้วจะต้องพิจารณาผลจากปัจจัยต่าง
ๆ ที่ปรากฏว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในในเวลาเดียวกันประกอบด้วย
ปัจจัยดังกล่าวให้รวมถึงปริมาณและราคาของสินค้านำเข้าที่มิได้ขายในราคาที่มีการทุ่มตลาด
การที่อุปสงค์ลดลง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค การผูกขาดตัดตอนทางการค้า
การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตในต่างประเทศและผู้ผลิตภายในประเทศ
การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ประสิทธิภาพในการส่งออกและความสามารถในการผลิต
มาตรา ๒๒
การพิจารณาว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๒) ต้องมีข้อเท็จจริงสนับสนุนอันมิใช่เป็นเพียงการกล่าวอ้าง หรือการคาดการณ์
หรือความเป็นไปได้ที่ไกลเกินเหตุ โดยจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เห็นได้ว่าการทุ่มตลาดนั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างเห็นได้ชัดและใกล้จะเกิดขึ้น
หรือมีแนวโน้มว่าอาจมีสินค้าทุ่มตลาดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างสำคัญได้ถ้าไม่ดำเนินการป้องกันเสียก่อน
ในการนี้อาจพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
(๑)
อัตราเพิ่มขึ้นที่เห็นได้ชัดของสินค้าทุ่มตลาดอันแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่าอาจมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
(๒)
ขีดความสามารถของผู้ส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและระบายสินค้าได้อย่างอิสระอันแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่าอาจมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการมีอยู่ของตลาดส่งออกอื่นที่อาจรองรับสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วย
(๓)
ความชัดเจนของผลของราคาสินค้าทุ่มตลาดที่เป็นการกดหรือลดราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในและแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้านั้น
(๔)
ปริมาณคงเหลือของสินค้าทุ่มตลาด
มาตรา ๒๓
การพิจารณาว่ามีอุปสรรคล่าช้าอย่างสำคัญต่อการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๓)
ต้องมีข้อเท็จจริงที่ทำให้คาดหมายได้ว่าจะทำให้เกิดความล่าช้าอย่างสำคัญซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้หรือระยะเวลาในการก่อตั้งหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในด้วย
หมวด ๔
อุตสาหกรรมภายใน
มาตรา ๒๔
อุตสาหกรรมภายในตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่
ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศที่มีผลผลิตรวมกันได้เกินกึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตรวมภายในประเทศของสินค้าชนิดนั้นเว้นแต่ในกรณี
ดังต่อไปนี้
(๑)
ถ้าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันรายใดเป็นผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
หรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดจากต่างประเทศ
ในกรณีเช่นนี้จะไม่ถือว่าผู้ผลิตดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมภายในก็ได้
(๒)
ถ้าในอาณาเขตของประเทศได้มีการแบ่งตลาดของสินค้าชนิดเดียวกันเป็นตลาดมากกว่าหนึ่งตลาดขึ้นไป
จะถือว่าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในแต่ละตลาดเป็นอุตสาหกรรมภายในแยกต่างหากจากกันก็ได้
ถ้าปรากฏว่าผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของตลาดหนึ่งขายสินค้าของตนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในตลาดนั้น
และผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันรายอื่นภายในประเทศมิได้ส่งสินค้าไปยังตลาดนั้นมากพอควรแก่ความต้องการของตลาดดังกล่าว
ให้ถือว่าผู้ผลิตมีความเกี่ยวข้องกับผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดจากต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง
(๑) ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือทั้งสองฝ่ายถูกควบคุมโดยบุคคลที่สาม หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกันควบคุมบุคคลที่สาม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
โดยมีเหตุให้เชื่อหรือสงสัยได้ว่าผลจากการเกี่ยวข้องกันจะเป็นเหตุให้ผู้ผลิตรายนั้นมีพฤติกรรมแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเช่นว่านั้น
ในการนี้ให้ถือว่าฝ่ายหนึ่งควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ถ้าฝ่ายแรกอยู่ในฐานะทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติที่จะยับยั้งหรือสั่งการฝ่ายหลังได้
ในกรณีที่มีการแบ่งตลาดตามวรรคหนึ่ง
(๒) ความเสียหายให้พิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นเฉพาะในตลาดนั้น แม้ว่าส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมภายในประเทศจะไม่เสียหายก็ตาม
และให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้าทุ่มตลาดที่ส่งมาเพื่อการบริโภคเฉพาะในตลาดนั้นได้
แต่ถ้าปรากฏในทางปฏิบัติว่าการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเฉพาะสินค้าทุ่มตลาดที่ส่งมาเพื่อการบริโภคในตลาดนั้นไม่อาจปฏิบัติได้
หรือเมื่อผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดไม่มีข้อเสนอทำความตกลงที่เหมาะสมภายในเวลาอันควรตามมาตรา
๔๔
จะเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากสินค้าทุ่มตลาดทั้งหมดที่ส่งเข้ามาในประเทศไทยก็ได้
หมวด ๕
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ส่วนที่ ๑
บททั่วไป
มาตรา ๒๕
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดนอกจากที่ได้บัญญัติไว้ตามหมวดนี้แล้ว
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๖
ข้อมูลข่าวสารใดเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดโดยสาระและเนื้อหา
หรือผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นขอให้ปกปิด การพิจารณาจะต้องไม่กระทำการใดให้เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้น
ข้อมูลข่าวสารที่ผู้ให้ข้อมูลข่าวสารขอให้ปกปิดนั้น
การเปิดเผยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้นั้นก่อน
และในการพิจารณาจะต้องขอให้ผู้ให้ข้อมูลข่าวสารจัดทำย่อสรุปที่สามารถเปิดเผยได้เพื่อประกอบการพิจารณา
ถ้าผู้ให้ข้อมูลข่าวสารนั้นไม่จัดทำย่อสรุปดังกล่าวและไม่แจ้งความยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่ให้มาภายในเวลาที่กำหนด
ในการนี้จะไม่รับฟังข้อมูลข่าวสารนั้นประกอบการพิจารณาก็ได้
มาตรา ๒๗
ในกรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียผู้ใดปฏิเสธที่จะนำพยานหลักฐานมาแสดงหรือไม่นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาแสดงภายในเวลาตามที่กำหนด
หรือไม่ให้ความร่วมมือเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน
หรือขัดขวางกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด การพิจารณาจะรับฟังเพียงข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่หรืออาจรับฟังไปในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ผู้นั้นก็ได้
มาตรา ๒๘
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดให้เป็นอันยุติ
หากปรากฏว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดมีจำนวนน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
หรือมีปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๙
ในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด กรมการค้าต่างประเทศหรือคณะกรรมการ
แล้วแต่กรณี จะดำเนินการเพื่อให้มีการตรวจสอบความเป็นจริงของข้อกล่าวอ้างหรือพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับการพิจารณาก็ได้
การตรวจสอบความเป็นจริงนั้นจะกระทำในขั้นตอนใดของกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและจะกระทำในประเทศไทย
ประเทศผู้ส่งออก หรือประเทศที่เกี่ยวข้องก็ได้
มาตรา ๓๐
ก่อนที่จะประกาศคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการเกี่ยวกับผลการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาวินิจฉัย
เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีโอกาสยื่นข้อโต้แย้งในการป้องกันผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียเหล่านั้น
ทั้งนี้
ต้องให้ระยะเวลาอันควรสำหรับการยื่นข้อโต้แย้งดังกล่าว
มาตรา ๓๑
เมื่อมีการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายตามมาตรา ๓๙ แล้ว
หากพฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่าในชั้นที่สุดอาจต้องมีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่ก่อนวันใช้บังคับมาตรการชั่วคราว
คณะกรรมการอาจขอให้กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากรตามพระราชบัญญัตินี้สำหรับสินค้าที่ถูกพิจารณาที่นำเข้ามาตามระยะเวลาที่กำหนดได้
ในการนี้ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจเรียกหลักประกันตามจำนวนที่คณะกรรมการมีคำขอ
ส่วนที่ ๒
การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณา
มาตรา ๓๒
ให้เริ่มดำเนินกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
เมื่อมีคำขอของกรมการค้าต่างประเทศหรือของบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา ๓๓
มาตรา ๓๓
บุคคลหรือคณะบุคคลอาจเสนอตนทำการแทนอุตสาหกรรมภายใน
เพื่อขอให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดได้
โดยยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศ
คำขอตามวรรคหนึ่ง
ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศซึ่งมีการผลิตรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของผู้ที่ได้แสดงความเห็นทั้งส่วนที่สนับสนุนและส่วนที่คัดค้านรวมกัน
โดยปริมาณการผลิตของฝ่ายสนับสนุนนั้นต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของปริมาณการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมดในประเทศ
การยื่นคำขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
มาตรา ๓๔
ถ้าคำขอตามมาตรา ๓๓ มีรายละเอียดหรือหลักฐานไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้ครบถ้วนหรือถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
เมื่อคำขอมีรายละเอียดและพยานหลักฐานครบถ้วนและถูกต้องแล้ว
ให้กรมการค้าต่างประเทศเสนอคำขอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
มาตรา ๓๕
เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอตามมาตรา ๓๒ แล้ว ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้รัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องทราบถึงการมีคำขอดังกล่าว
มาตรา ๓๖
ผู้ยื่นคำขออาจถอนคำขอได้
แต่ถ้าได้มีการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายตามมาตรา ๓๙ แล้ว
คณะกรรมการจะยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือดำเนินการพิจารณาต่อไปก็ได้
มาตรา ๓๗
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอมีมูลเกี่ยวกับการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยไม่ชักช้า
ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าคำขอนั้นไม่มีมูลเกี่ยวกับการทุ่มตลาดหรือความเสียหายให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๓๘
ถ้ารัฐบาลของประเทศใดร้องเรียนว่าสินค้าทุ่มตลาดจากประเทศอื่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในของประเทศนั้น
และคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเห็นสมควรให้ดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดตามที่ถูกกล่าวหานั้น
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อไป
โดยให้นำบทบัญญัติในหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้
แต่การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากองค์การการค้าโลกก่อน
เมื่อกรมการค้าต่างประเทศเห็นสมควร
หรือเมื่ออุตสาหกรรมภายในร้องเรียนว่ามีการนำสินค้าจากประเทศอื่นเข้าไปทุ่มตลาดในอีกประเทศหนึ่งและก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
และกรมการค้าต่างประเทศเห็นว่าคำร้องดังกล่าวมีมูล
ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการร้องขอให้ทางการประเทศนั้นดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป
หลักเกณฑ์และวิธีการในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ส่วนที่ ๓
การไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
มาตรา ๓๙
ในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนประเด็นการทุ่มตลาดและความเสียหาย
เริ่มต้นโดยการออกประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายในราชกิจจานุเบกษา
และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษตามที่เห็นสมควร
ประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
(๑)
ระบุสินค้า
(๒)
ประเทศผู้ส่งออกและประเทศที่เกี่ยวข้อง
(๓)
ข้อเท็จจริงโดยสังเขป
(๔)
การขอรับข้อมูลข่าวสารอันเป็นรายละเอียดตลอดจนค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
(๕)
ระยะเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นเป็นหนังสือ
(๖)
กำหนดเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียแจ้งความจำนงขอแถลงการณ์ด้วยวาจาประกอบการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
และในกรณีที่ทราบที่อยู่ของผู้ส่งออกจากต่างประเทศ
ผู้นำเข้าหรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งเป็นหนังสือให้บุคคลเหล่านั้นทราบประกาศนั้นด้วย
มาตรา ๔๐
เมื่อได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายเสร็จแล้วให้กรมการค้าต่างประเทศสรุปผลการไต่สวนและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
ส่วนที่ ๔
มาตรการชั่วคราว
มาตรา ๔๑
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
ถ้าขณะนั้นปรากฏว่ามีความจำเป็นต้องป้องกันความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน
คณะกรรมการอาจใช้มาตรการชั่วคราวโดยประกาศเรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวดังกล่าวได้
อากรชั่วคราวที่เรียกเก็บตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่สูงกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดที่ประเมินขณะที่มีคำวินิจฉัยเบื้องต้น
ในกรณีมีการใช้มาตรการชั่วคราว
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่การเรียกเก็บอากรชั่วคราวเสมือนอากรดังกล่าวเป็นอากรขาเข้าตามกฎหมายนั้น
และอากรชั่วคราวที่เก็บได้รวมทั้งเงินที่บังคับจากหลักประกันการชำระอากรนั้นให้เก็บรักษาไว้เพื่อปฏิบัติตามมาตรา
๕๑ และมาตรา ๕๒ จนกว่าจะสิ้นเหตุที่จะต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว
มาตรา ๔๒
มาตรการชั่วคราวจะนำมาใช้ก่อนหกสิบวันนับแต่วันประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายไม่ได้
มาตรการชั่วคราวต้องใช้ตามระยะเวลาที่จำเป็นและตามหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีปกติจะกำหนดให้เก็บเกินสี่เดือนไม่ได้
(๒)
ถ้ามีคำขอของผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่มีสัดส่วนมากพอสมควร
คณะกรรมการจะประกาศขยายเวลาเก็บอากรชั่วคราวเกินกว่าสี่เดือนแต่ไม่เกินหกเดือนก็ได้
(๓)
ในกรณีมีการพิจารณาประเด็นว่าถ้าเรียกเก็บอากรต่ำกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจะเพียงพอต่อการขจัดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่
คณะกรรมการจะประกาศขยายเวลาการเก็บอากรชั่วคราวกรณีตาม (๑)
เกินกว่าสี่เดือนแต่ไม่เกินหกเดือนหรือกรณีตาม (๒)
เกินกว่าหกเดือนแต่ไม่เกินเก้าเดือนก็ได้
ส่วนที่ ๕
ความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาด
มาตรา ๔๓
การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดอาจยุติลงสำหรับผู้ส่งออกจากต่างประเทศรายหนึ่งรายใดโดยไม่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
หรือไม่เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด ถ้าสามารถทำความตกลงกันได้ระหว่างผู้ส่งออกรายนั้นกับกรมการค้าต่างประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงราคาหรือระงับการส่งออกสินค้าในราคาทุ่มตลาด
กรมการค้าต่างประเทศจะทำความตกลงได้ต่อเมื่อกรณีเป็นที่พอใจว่าความตกลงนั้นจะขจัดผลเสียหายจากการทุ่มตลาดได้
แต่ความตกลงดังกล่าวจะกำหนดให้มีการเพิ่มราคาสูงกว่าที่จำเป็นเพื่อขจัดส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดไม่ได้
ความตกลงจะมีผลใช้บังคับได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว
มาตรา ๔๔
การทำความตกลงจะกระทำได้ภายหลังที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว
ความตกลงนั้น
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศจะเป็นฝ่ายเสนอหรือกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นฝ่ายเสนอก็ได้
กรมการค้าต่างประเทศจะไม่ยอมรับข้อเสนอทำความตกลงของผู้ส่งออกจากต่างประเทศเพราะเหตุผลในทางนโยบายหรือเหตุผลใด
ๆ ก็ได้ และถ้าเป็นกรณีที่สามารถแจ้งเหตุผลให้ได้
ก็ให้แจ้งให้ผู้ส่งออกจากต่างประเทศทราบด้วย
มาตรา ๔๕
การที่ผู้ส่งออกจากต่างประเทศผู้ใดไม่เสนอทำความตกลงหรือไม่ยอมรับข้อเสนอทำความตกลงของกรมการค้าต่างประเทศ
จะต้องไม่นำเหตุนั้นมาพิจารณาไปในทางเสียประโยชน์ต่อผู้นั้น
มาตรา ๔๖
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่ทำความตกลงกับกรมการค้าต่างประเทศต้องให้ข้อมูลข่าวสารตามระยะเวลาที่กำหนด
และต้องยอมให้กรมการค้าต่างประเทศตรวจสอบความเป็นจริงของข้อมูลข่าวสารนั้นได้
ถ้ามีการฝ่าฝืนความตกลงก็อาจใช้ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในการกำหนดมาตรการชั่วคราวและดำเนินกระบวนพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไปได้
มาตรา ๔๗
แม้ได้มีการทำความตกลงกันแล้ว
คณะกรรมการจะดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไปก็ได้
ถ้าผู้ส่งออกจากต่างประเทศประสงค์เช่นนั้นในการทำความตกลง
หรือเป็นกรณีที่ทำความตกลงกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศได้เพียงบางราย หรือเมื่อมีการฝ่าฝืนความตกลง
หรือคณะกรรมการเห็นสมควรเพราะเหตุอื่น
ในกรณีตามวรรคหนึ่งเมื่อสิ้นสุดการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่า
(๑)
ไม่มีการทุ่มตลาดหรือไม่มีความเสียหาย ก็ให้ยุติการดำเนินการตามความตกลงนั้น
แต่ถ้าปรากฏในขณะนั้นว่ากรณีน่าจะมีการทุ่มตลาดหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นถ้ามิได้มีการดำเนินการตามความตกลงนั้น
คณะกรรมการจะวินิจฉัยให้ดำเนินการตามความตกลงนั้นต่อไปตามระยะเวลาที่สมควรก็ได้
(๒)
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย ก็ให้ดำเนินการตามความตกลงนั้นต่อไป
(๓)
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายเนื่องจากมีการฝ่าฝืนความตกลง คณะกรรมการอาจวินิจฉัยให้เก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่ก่อนวันประกาศใช้บังคับมาตรการชั่วคราวไม่เกินเก้าสิบวันก็ได้
แต่จะใช้กับสินค้าทุ่มตลาดที่นำเข้าก่อนมีการฝ่าฝืนความตกลงนั้นไม่ได้
มาตรา ๔๘
ให้นำบทบัญญัติแห่งหมวด ๘
มาใช้บังคับกับความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดโดยอนุโลม
หมวด ๖
อากรตอบโต้การทุ่มตลาด
มาตรา ๔๙
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
อัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดนั้นให้กำหนดได้เพียงเพื่อขจัดความเสียหายและจะเกินกว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดมิได้
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดต้องกำหนดให้เหมาะสมกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศแต่ละรายที่ทุ่มตลาดโดยไม่เลือกปฏิบัติ
เว้นแต่เป็นการดำเนินการตามความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดตามส่วนที่ ๕ ของหมวด ๕
ในกรณีที่มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากสินค้าใด
ให้นำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับกับการเรียกเก็บอากรดังกล่าวเสมือนอากรนั้นเป็นอากรขาเข้าตามกฎหมายนั้น
และอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่เก็บได้ให้เก็บรักษาไว้เพื่อปฏิบัติตามมาตรา ๕๙
จนกว่าจะสิ้นเหตุที่จะต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว
มาตรา ๕๐
ในกรณีที่หาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามมาตรา ๑๘
วรรคสาม
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้กำหนดให้เหมาะสมกับผู้ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่างแต่ละราย
สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการสุ่มเป็นตัวอย่างให้กำหนดอัตราไว้ไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
แต่ถ้าผู้อยู่ในบังคับของอัตราอากรดังกล่าวผู้ใดได้ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตนโดยครบถ้วนถูกต้องภายในเวลาที่คณะกรรมการกำหนด
ให้คณะกรรมการกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เหมาะสมสำหรับผู้นั้น เว้นแต่การกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับแต่ละรายจะเป็นภาระเกินสมควรและอาจทำให้การไต่สวนไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา
๕๔ เนื่องจากมีผู้ได้ให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
จะกำหนดอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดไม่เกินอัตราถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักดังกล่าวก็ได้
มาตรา ๕๑
ในกรณีที่มีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑) หรือมีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๒)
ซึ่งถ้ามิได้มีการใช้มาตรการชั่วคราวมาก่อนน่าจะทำให้เกิดความเสียหายตามมาตรา ๑๙
(๑) ได้ คณะกรรมการจะกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราวก็ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
ถ้าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่คณะกรรมการกำหนดตามวรรคหนึ่งมีอัตราสูงกว่าอากรชั่วคราวส่วนต่างที่เกิดขึ้นนั้นจะเรียกเก็บมิได้
แต่ถ้าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดมีอัตราต่ำกว่าอากรชั่วคราวก็ให้คืนผลต่างของอากรส่วนที่เกินให้ด้วย
มาตรา ๕๒
ในกรณีที่มีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๒) หรือ (๓)
คณะกรรมการอาจกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดได้ตั้งแต่วันที่มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่ามีความเสียหายตามมาตรา
๑๙ (๒) และ (๓) แล้วแต่กรณี และอากรที่เรียกเก็บหรือหลักประกันต่าง ๆ ที่ได้บังคับใช้ตามมาตรการชั่วคราวให้คืนโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าไม่มีการทุ่มตลาดหรือไม่มีความเสียหาย
บรรดาอากรชั่วคราวที่เรียกเก็บหรือหลักประกันที่ให้ไว้ตามมาตรการชั่วคราวให้คืนโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๕๓
ในกรณีที่มีการใช้มาตรการตามมาตรา ๓๑
คณะกรรมการอาจกำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหลังจากวันประกาศไต่สวนแต่ต้องไม่เกินเก้าสิบวันก่อนวันที่ใช้มาตรการชั่วคราวก็ได้
ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปนี้
(๑)
เคยมีการทุ่มตลาดสินค้ารายนั้นและมีความเสียหายหรือผู้นำเข้าได้รู้หรือควรได้รู้ว่าผู้ส่งออกจากต่างประเทศได้ทุ่มตลาดและอาจมีความเสียหาย
และ
(๒)
ความเสียหายได้เกิดขึ้นจากการเร่งนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดเป็นจำนวนมากภายในเวลาอันสั้น
ซึ่งจากช่วงเวลา
ปริมาณการนำเข้าและพฤติการณ์อื่นที่เกี่ยวข้องชี้ให้เห็นว่าจะบั่นทอนผลการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นอย่างมาก
หากไม่กำหนดให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดก่อนวันที่ใช้มาตรการชั่วคราว
ก่อนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามวรรคหนึ่ง
ต้องให้ผู้นำเข้าได้มีโอกาสเสนอความเห็นด้วย
หมวด ๗
ระยะเวลาการไต่สวน
มาตรา ๕๔ การเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดจนถึงการดำเนินการให้มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าไม่มีการทุ่มตลาดและไม่มีความเสียหาย
ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศไต่สวน
เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ให้ขยายได้อีกไม่เกินหกเดือน
หมวด ๘
ระยะเวลาตอบโต้การทุ่มตลาดและการทบทวน
มาตรา ๕๕
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามหมวด ๖
ให้นำมาใช้ได้ตลอดเวลาที่มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหาย
มาตรา ๕๖
การทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป
ให้กระทำได้เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำขอจากผู้มีส่วนได้เสียหลังจากได้ใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
โดยในคำขอดังกล่าวผู้มีส่วนได้เสียอาจขอให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนเพื่อยุติการเรียกเก็บหรือเปลี่ยนแปลงอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดได้
แต่ต้องเสนอพยานหลักฐานเพียงพอเกี่ยวกับปัญหาการทุ่มตลาดหรือความเสียหายที่สมควรให้มีการทบทวนการใช้บังคับอากรดังกล่าวในระหว่างนั้น
การพิจารณาการทบทวนจะต้องพิจารณาโดยรวดเร็ว
และจะต้องเสร็จสิ้นภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศให้มีการทบทวน
การพิจารณาทบทวนไม่กระทบถึงการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในระหว่างนั้น
มาตรา ๕๗
อากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้เรียกเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่เกินห้าปีนับแต่วันเริ่มใช้บังคับหรือนับแต่มีการทบทวนครั้งสุดท้ายซึ่งมีการพิจารณาทบทวนทั้งปัญหาการทุ่มตลาดและปัญหาความเสียหาย
เว้นแต่เมื่อคณะกรรมการเห็นสมควรหรือเมื่อบุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งทำการแทนอุตสาหกรรมภายในมีคำขอภายในระยะเวลาอันสมควรก่อนครบกำหนดดังกล่าว
ว่าการยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจะทำให้มีการทุ่มตลาดต่อไป
หรือทำให้การทุ่มตลาดฟื้นคืนมาอีก
มาตรา ๕๘
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศรายใดซึ่งมิได้ส่งสินค้าทุ่มตลาดเข้ามาในช่วงระหว่างการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
อาจขอให้ทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับตนเป็นการเฉพาะรายได้
แต่ผู้ขอทบทวนต้องพิสูจน์ว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศซึ่งอยู่ในบังคับถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าว
ในการนี้ ให้นำมาตรา ๒๔ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในระหว่างการทบทวนตามวรรคหนึ่งจะเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจากผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศดังกล่าวไม่ได้
แต่ถ้าต่อมาคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่ามีการทุ่มตลาดหรือผู้ขอทบทวนมีความเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศซึ่งอยู่ในบังคับถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าว
คณะกรรมการจะกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับระยะเวลาที่งดเก็บนั้นก็ได้
และให้นำมาตรา ๓๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๕๙
ผู้นำเข้าอาจขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในขณะหนึ่งขณะใดได้ถ้าผู้นั้นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
หรือส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดลดลงต่ำกว่าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่ใช้บังคับ
การขอคืนอากรตามวรรคหนึ่งต้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมการภายในหกเดือนนับแต่วันชำระอากรดังกล่าว
มาตรา ๖๐
ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ส่วนที่ ๓ ของหมวด ๕ และหมวด ๖
มาใช้บังคับกับการทบทวนและการขอคืนอากรตามหมวดนี้โดยอนุโลม
หมวด ๙
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาล
มาตรา ๖๑
ผู้ใดไม่พอใจคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการตามมาตรา ๔๙
หรือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการในการขอให้ทบทวนตามมาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘
และมาตรา ๕๙
ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น
การอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเรียกเก็บหรือคืนอากรตามพระราชบัญญัตินี้
เว้นแต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะสั่งเป็นอย่างอื่น
หมวด ๑๐
การอุดหนุน
มาตรา ๖๒
ในหมวดนี้
รัฐบาล หมายความรวมถึง หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐด้วย
วิสาหกิจ หมายความว่า วิสาหกิจหรืออุตสาหกรรม
หรือกลุ่มวิสาหกิจ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม
มาตรา ๖๓
การอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้ได้แก่
การได้รับประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดเนื่องจากรัฐบาลประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออกกระทำการ
ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งหมายความรวมถึง
(ก)
การกระทำใด ๆ ที่ในที่สุดจะทำให้ได้รับเงินทุนหรือทำให้หนี้สินลดลงหรือหมดไป
(ข)
การลดหย่อนหรือไม่เรียกเก็บรายได้ของรัฐที่ปกติวิสาหกิจพึงชำระ
(ค)
ซื้อสินค้า ให้ทรัพย์สิน หรือให้บริการอื่นใดนอกจากสาธารณูปโภคทั่วไปหรือ
(ง)
ให้เงินแก่กลไกจัดหาเงินทุน หรือมอบหมายหรือสั่งให้เอกชนดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตาม
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๒)
ให้การสนับสนุนด้านรายได้หรือด้านราคาไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าใดหรือลดการนำเข้าสินค้าใด
การให้สินค้าส่งออกได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรประเภทที่เรียกเก็บจากสินค้าชนิดเดียวกันที่ใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศหรือการคืนภาษีอากรดังกล่าวในจำนวนไม่เกินภาระภาษีอากรที่เกิดขึ้น
ไม่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือทางการเงินตามวรรคหนึ่ง (๑)
มาตรา ๖๔
การอุดหนุนดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการอุดหนุนโดยเจาะจง
(๑)
การให้การอุดหนุนแก่วิสาหกิจเพียงบางแห่งไม่ว่าโดยนิตินัยหรือโดยพฤตินัย
การอุดหนุนที่มีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ใช้ทั่วไปกับวิสาหกิจทุกแห่งในช่วงการค้าเดียวกันโดยไม่ลำเอียงและสอดคล้องกับเหตุผลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
และมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นั้นอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ถือว่าเป็นการอุดหนุนโดยเจาะจง
ในการพิจารณาว่ามีการอุดหนุนแก่วิสาหกิจบางแห่งหรือไม่นั้น
จะต้องนำปัจจัยนอกจากหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขตามวรรคสองมาพิจารณาประกอบด้วย
ปัจจัยดังกล่าวให้รวมถึง (ก)
การที่วิสาหกิจบางแห่งได้รับหรือได้ใช้ประโยชน์จากการอุดหนุนนั้นมากกว่าวิสาหกิจแห่งอื่นและ
(ข) การมีดุลพินิจที่จะเลือกให้การอุดหนุน ทั้งนี้
ให้คำนึงถึงความหลากหลายทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาที่มีโครงการอุดหนุนดังกล่าว
(๒)
การให้การอุดหนุนแก่วิสาหกิจบางแห่งที่ตั้งอยู่ในบางพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แต่การกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีอากรที่มีหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขใช้บังคับเป็นการทั่วไป
ไม่ถือเป็นการอุดหนุนโดยเจาะจงตามมาตรานี้
การพิจารณาว่ามีการอุดหนุนโดยเจาะจงตามวรรคหนึ่งหรือไม่นั้นต้องมีพยานหลักฐานโดยตรงสนับสนุน
มาตรา ๖๕
การอุดหนุนดังต่อไปนี้ ที่มีลักษณะเจาะจงตามมาตรา ๖๔ เป็นการอุดหนุนที่ตอบโต้ได้
(๑)
การให้การอุดหนุนแก่การส่งออกไม่ว่าโดยทางนิตินัยหรือโดยทางพฤตินัย ตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๒)
การให้การอุดหนุนเพื่อให้มีการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า
(๓)
การให้การอุดหนุนที่มีผลเสียต่อประโยชน์ของประเทศ ซึ่งหมายความถึง
(ก)
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน
(ข)
ทำให้ผลประโยชน์ทั้งในทางตรงและทางอ้อมของประเทศต้องสูญสิ้นหรือเสื่อมเสีย โดยเฉพาะผลประโยชน์ของข้อลดหย่อนที่ผูกพันไว้ตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก
(ค)
ผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์ของประเทศตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง
การใช้บทบัญญัติตามมาตรานี้กับสินค้าเกษตร
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๖๖
การอุดหนุนโดยเจาะจงตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดอันเกี่ยวกับกรณีดังต่อไปนี้
ไม่อยู่ในข่ายถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การอุดหนุน
(๑)
การให้ความช่วยเหลือด้านการวิจัย
(๒)
การให้ความช่วยเหลือแก่ภูมิภาคที่เสียเปรียบ หรือ
(๓)
การให้ความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย
หรือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
มาตรา ๖๗
ในกรณีมีการอุดหนุนตามมาตรา ๖๕
(๑)
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งให้ประเทศที่ให้การอุดหนุนทราบเพื่อปรึกษาหารือกันและเสนอเรื่องให้มีการระงับข้อพิพาท
ตามขั้นตอนและวิธีการพิจารณาตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลกว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้
และให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการตอบโต้อย่างหนึ่งอย่างใดที่เหมาะสมแก่กรณี
(๒)
ให้คณะกรรมการดำเนินการเพื่อพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน โดยกำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน
ในกรณีที่ได้ดำเนินการตาม
(๑) และ (๒) พร้อมกัน หากในชั้นที่สุดปรากฏว่าสามารถใช้มาตรการตอบโต้ได้ทั้งตาม
(๑) และ (๒) ก็ให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการตอบโต้ได้มาตรการใดมาตรการหนึ่งเพียงมาตรการเดียว
มาตรา ๖๘
อากรตอบโต้การอุดหนุนให้คำนวณจากประโยชน์ที่ได้รับในระหว่างระยะเวลาที่ปรากฏในการพิจารณาว่ามีการอุดหนุน
โดยกำหนดเป็นอัตราต่อหน่วยของสินค้าของผู้ที่ได้รับการอุดหนุนแต่ละราย
ถ้าผู้รับการอุดหนุนมีภาระหรือต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนใดให้แก่รัฐบาลที่ให้การอุดหนุน
ผู้รับการอุดหนุนจะขอให้หักค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกก็ได้
แต่ภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นของผู้รับการอุดหนุน
อากรตอบโต้การอุดหนุนนั้นให้กำหนดเพียงเพื่อขจัดความเสียหาย
และจะเกินกว่าประโยชน์ที่ผู้รับการอุดหนุนได้รับมิได้
มาตรา ๖๙
การคำนวณหาประโยชน์ที่ได้รับให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑)
การร่วมลงทุนของรัฐบาลไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่การลงทุนนั้นไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามปกติของภาคเอกชนในประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
(๒)
การให้เงินกู้ไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนทรัพย์สินที่ผู้กู้ต้องให้ในการกู้ยืมจากรัฐบาลกับการกู้ยืมทางพาณิชย์ที่เปรียบเทียบกันได้ในตลาด
ในกรณีนี้ประโยชน์ที่ได้รับคือส่วนต่างของจำนวนดังกล่าว
(๓)
การค้ำประกันเงินกู้ไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์ เว้นแต่มีส่วนต่างระหว่างจำนวนทรัพย์สินที่ผู้ได้รับการค้ำประกันต้องให้ระหว่างการค้ำประกันโดยรัฐบาลกับการค้ำประกันโดยเอกชนในทางพาณิชย์
และให้นำความใน (๒) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๔)
กรณีที่รัฐบาลให้ทรัพย์สินหรือบริการหรือการซื้อสินค้าไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์
เว้นแต่เป็นการให้โดยมีค่าตอบแทนที่น้อยกว่าอัตราที่สมควรหรือการซื้อสินค้าที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่าอัตราที่สมควร
ซึ่งอัตราที่สมควรให้พิจารณาจากสภาพทางการตลาดที่เป็นอยู่ในประเทศที่ให้ทรัพย์สินหรือบริการหรือที่ซื้อสินค้านั้น
การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับ
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดให้กรณีหนึ่งกรณีใดเป็นไปตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดก็ได้
มาตรา ๗๐
การพิจารณากำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน ให้นำบทบัญญัติหมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔
หมวด ๕ หมวด ๖ หมวด ๗ หมวด ๘ และหมวด ๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๔๒ (๒) และ (๓) มิให้ใช้บังคับในการใช้มาตรการชั่วคราว
(๒)
ความตกลงเพื่อระงับการอุดหนุนระหว่างผู้ส่งออกกับกรมการค้าต่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้ส่งออกด้วย
มาตรา ๗๑
เมื่อคณะกรรมการได้รับคำขอจากผู้ทำการแทนอุตสาหกรรมภายในหรือข้อเสนอของกรมการค้าต่างประเทศให้พิจารณาตอบโต้การอุดหนุนแล้ว
ให้คณะกรรมการแจ้งให้ประเทศซึ่งสินค้าดังกล่าวถูกพิจารณาว่าได้มีการอุดหนุนทราบและขอให้ประเทศนั้นมาปรึกษาหารือโดยไม่ชักช้า
เพื่อทำความตกลงให้ยุติการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุนหรือเพื่อทำความตกลงระงับการอุดหนุน
การปรึกษาหารือจะดำเนินการในขั้นตอนใดระหว่างการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุนก็ได้และคณะกรรมการต้องให้โอกาสตามควรในการปรึกษาหารือนั้น
แต่การปรึกษาหารือไม่เป็นเหตุกระทบการดำเนินการต่าง ๆ
ในขั้นตอนการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน
ในการปรึกษาหารือคณะกรรมการต้องให้โอกาสประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณาได้รับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการพิจารณาได้
เว้นแต่ในส่วนที่คณะกรรมการเห็นว่าเป็นความลับ
หมวด ๑๑
คณะกรรมการ
มาตรา ๗๒
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
ผู้ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมอบหมายหนึ่งคน และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหกคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นเลขานุการและแต่งตั้งข้าราชการของกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ช่วยเลขานุการของคณะกรรมการ
การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง
ให้แต่งตั้งจากบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ
เศรษฐศาสตร์ การบัญชี นิติศาสตร์ การเกษตร และการอุตสาหกรรม สาขาละหนึ่งคน
มาตรา ๗๓
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
ให้ความเห็นชอบในการทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
(๓)
ให้คำแนะนำในการออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
(๔)
ปฏิบัติการอื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๗๔
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี
ในวาระเริ่มแรกเมื่อครบสองปีให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดโดยวิธีจับสลาก
และให้ถือว่าการออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยวิธีจับสลากเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
มาตรา ๗๕
นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย
บกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ
(๔)
ต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่ในความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๕)
เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖)
เป็นบุคคลล้มละลาย
มาตรา ๗๖
ในกรณีตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิว่างลงก่อนครบกำหนดวาระ
ให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนโดยเร็ว
เว้นแต่วาระการอยู่ในตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมีการแต่งตั้งใหม่จะเหลือไม่ถึงเก้าสิบวันจะไม่ดำเนินการแต่งตั้งก็ได้
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งแทนตามวรรคหนึ่งอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ตนแทน
มาตรา ๗๗
การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานในที่ประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ในการประชุม
ถ้ามีความเห็นแย้งให้บันทึกความเห็นแย้งพร้อมทั้งเหตุผลไว้ในรายงานการประชุมด้วย แต่กรรมการคนใดจะขอให้รวมความเห็นแย้งของตนไว้ในคำวินิจฉัยก็ได้
มาตรา ๗๘
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้
หมวด ๑๒
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๗๙
บรรดาการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนที่ค้างพิจารณาอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษซึ่งสินค้านำเข้าเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๓๙ และพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ จนกว่าจะเสร็จสิ้น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาด พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว
บทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวบางประการไม่เหมาะสมกับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ
ไม่มีหลักการเรื่องการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามายังประเทศไทย
และไม่สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
สมควรบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ให้มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามาในประเทศเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศและให้สอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
เนติมา/พัชรินทร์/จัดทำ
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๖
วศิน/แก้ไข
๒๔ มีนาคม ๒๕๕๒
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๖/ตอนที่ ๒๒ ก/หน้า ๕๙/๓๑ มีนาคม ๒๕๔๒ |
868934 | กฎกระทรวงการพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน พ.ศ. 2563 | กฎกระทรวง
การพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ
การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ
และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๖๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖ และมาตรา ๗๑/๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจตามมาตรา
๗๑/๓ (๑) ให้พิจารณา
ดังนี้
(๑) ความคุ้มค่าในการดำเนินการ
โดยอย่างน้อยต้องวิเคราะห์เปรียบเทียบต้นทุนและผลประโยชน์ที่ได้รับระหว่างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้ากับกรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้า
หรือ
(๒) การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน
เช่น การเปลี่ยนแปลงกระบวนการในการจัดซื้อหรือการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ
การขนส่งหรือกระจายสินค้า ทั้งนี้ โดยต้องวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้ากับกรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้า
ข้อ ๒ การพิจารณาการบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาตามมาตรา
๗๑/๓ (๒) ให้พิจารณา ดังนี้
(๑) การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศเมื่อปรากฏกรณีหนึ่งกรณีใด
ดังต่อไปนี้
(ก) ราคาของสินค้านำเข้าที่ถูกพิจารณาในการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับราคาขายของสินค้าของอุตสาหกรรมภายในที่นำมาใช้พิจารณาในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนหรือในการทบทวนการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนครั้งสุดท้าย
(ข) ราคาของสินค้านำเข้าที่ถูกพิจารณาในการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของสินค้าของอุตสาหกรรมภายในที่นำมาใช้พิจารณาในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
(ค) ราคาส่งออกของสินค้าที่ถูกพิจารณาในการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต่ำกว่าราคาส่งออกของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่คำนวณขึ้นในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือในการทบทวนการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนครั้งสุดท้าย
(๒) การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปรากฏกรณีหนึ่งกรณีใด
ดังต่อไปนี้
(ก) ราคาขายของสินค้าที่ถูกทำให้สำเร็จหรือที่ประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ของผู้ประกอบสินค้าต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับราคาของสินค้านำเข้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่คำนวณขึ้นในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือในการทบทวนการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนครั้งสุดท้าย โดยรวมอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนแล้ว
(ข) ราคาขายของสินค้าที่ถูกทำให้สำเร็จหรือที่ประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ของผู้ประกอบสินค้าต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของสินค้าของอุตสาหกรรมภายในที่นำมาใช้พิจารณาในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ข้อ ๓ การพิจารณาการบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของปริมาณตามมาตรา ๗๑/๓ (๒) ให้พิจารณาว่า สินค้าที่ถูกพิจารณาในการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้มีปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยพิจารณาจากปริมาณการนำเข้าจริง
หรือจากปริมาณการนำเข้าที่เทียบเคียงกับปริมาณการผลิตหรือปริมาณการบริโภคภายในประเทศไทยของสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้
ข้อ ๔ การพิจารณาหลักฐานการทุ่มตลาดตามมาตรา ๗๑/๓
(๓) ให้พิจารณา ดังนี้
(๑) กรณีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ หากราคาส่งออกของสินค้าที่ถูกพิจารณาในการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ต่ำกว่ามูลค่าปกติของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่คำนวณขึ้นในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการทบทวนการตอบโต้การทุ่มตลาดครั้งสุดท้าย
(๒) กรณีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
หากราคาขายของสินค้าที่ถูกทำให้สำเร็จหรือที่ประกอบเป็นสินค้าที่เหมือนกับสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ของผู้ประกอบสินค้าต่ำกว่ามูลค่าปกติของสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ที่คำนวณขึ้นในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการทบทวนการตอบโต้การทุ่มตลาดครั้งสุดท้าย
ข้อ ๕ การพิจารณาหลักฐานการได้รับการอุดหนุนตามมาตรา
๗๑/๓ (๓) ให้พิจารณาว่าการได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนสินค้าที่ถูกใช้มาตรการตอบโต้ยังมีอยู่
ข้อ ๖ ในการเปรียบเทียบราคาตามข้อ ๒ และข้อ ๔ ให้เปรียบเทียบอย่างเป็นธรรมโดยคำนึงถึงบรรดาข้อแตกต่างที่มีผลกระทบต่อการเปรียบเทียบราคา
ไม่ว่าจะเป็นการปรับองค์ประกอบของราคาให้อยู่ในขั้นตอนทางการค้าเดียวกัน
รวมทั้งปัจจัยที่มีผลต่อราคาที่นำมาเปรียบเทียบ เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน
หรือค่าขนส่งที่เปลี่ยนแปลงไป
ข้อ ๗ ช่วงระยะเวลาที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ตามกฎกระทรวงนี้ ให้ใช้ข้อมูลย้อนหลังได้ไม่เกินสามปีนับแต่วันประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนครั้งแรก
เว้นแต่ข้อ ๒ และข้อ ๔ ให้ใช้ข้อมูลในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับวันประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ โดยให้ใช้ข้อมูลย้อนหลังได้ไม่เกินสิบแปดเดือนนับแต่วันประกาศไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
จุรินทร์
ลักษณวิศิษฏ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๗๑/๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติให้การพิจารณาเหตุอันควรหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ
การบั่นทอนผลการใช้บังคับมาตรการตอบโต้ในด้านของราคาหรือปริมาณ
และหลักฐานการทุ่มตลาดหรือการได้รับการอุดหนุน เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ชญานิศ/จัดทำ
๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๘๔ ก/หน้า ๑๓/๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ |
868930 | กฎกระทรวงการแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด และการอุดหนุนและการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. 2563 | กฎกระทรวง
การแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
และการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๖๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ วรรคสอง มาตรา ๒๕ และมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๒ เมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
หรือการพิจารณาความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้กรมการค้าต่างประเทศออกประกาศแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณา
ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้
ประกาศตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบ
ข้อ ๓ กรณีคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้น ในประกาศอย่างน้อยต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
(๑) ชื่อผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศ
หรือชื่อประเทศผู้ส่งออก หรือประเทศแหล่งกำเนิดในกรณีที่ไม่สามารถระบุชื่อผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตได้
(๒) ลักษณะของสินค้าเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินพิธีการทางศุลกากร
ในกรณีที่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
(๓) ในกรณีการทุ่มตลาด ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดที่คำนวณได้
วิธีการเปรียบเทียบราคาส่งออกและมูลค่าปกติตามมาตรา ๑๘ และเหตุผลที่ใช้วิธีการเปรียบเทียบดังกล่าว
และในกรณีการอุดหนุน มูลค่าของประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุน และฐานในการพิจารณาว่ามีการอุดหนุน
(๔) การพิจารณาความเสียหายตามมาตรา
๑๙
(๕) รายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ใช้รับฟังว่ามีการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนและมีความเสียหาย
(๖) เหตุผลหลักในการวินิจฉัย และเหตุผลในการกำหนดให้มีการใช้มาตรการชั่วคราว (ถ้ามี)
ข้อ ๔ กรณีคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุด ในประกาศอย่างน้อยต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
(๑) รายการตามข้อ
๓
(๒) ข้อโต้แย้งหรือข้อกล่าวอ้างของผู้มีส่วนได้เสีย
และเหตุผลที่ใช้ยอมรับหรือปฏิเสธข้อโต้แย้งหรือข้อกล่าวอ้างดังกล่าว
(๓) ในกรณีที่ใช้วิธีการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจากการสุ่มตัวอย่างตามมาตรา
๑๘
วรรคสาม ให้แสดงหลักเกณฑ์การกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนสำหรับผู้ส่งออกจากต่างประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณาและมีการไต่สวนแต่ละรายด้วย
ข้อ ๕ กรณีคณะกรรมการให้ความเห็นชอบความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ในประกาศอย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้
(๑) รายการตามข้อ
๓
(๒) รายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ใช้เป็นหลักในการให้ความเห็นชอบความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
(๓) รายละเอียดของความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ข้อ ๖ ในกรณีที่ความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนสิ้นสุดลง
เนื่องจากมีการฝ่าฝืนหรือยกเลิกความตกลงดังกล่าว
ให้ประกาศรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ความตกลงสิ้นสุดลง
ข้อ ๗ กรณีคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้
ในประกาศอย่างน้อยต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
(๑) ชื่อผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศ
หรือชื่อผู้ประกอบสินค้าตามมาตรา ๗๑/๑ แล้วแต่กรณี
(๒) ลักษณะของสินค้าเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินพิธีการทางศุลกากร
กรณีที่มีการขยายมาตรการ
(๓) ข้อโต้แย้งหรือข้อกล่าวอ้างของผู้มีส่วนได้เสีย
และเหตุผลที่ใช้ยอมรับหรือปฏิเสธข้อโต้แย้งหรือข้อกล่าวอ้างดังกล่าว
(๔) เหตุผลหลักในการวินิจฉัย
ข้อ ๘ ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการทบทวนตามมาตรา
๕๖ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ ให้นำข้อ ๔ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการทบทวนตามมาตรา
๗๑/๑๗ ให้นำข้อ ๗ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
ข้อ ๙ การออกประกาศแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ต้องไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดตามมาตรา
๒๖
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
จุรินทร์
ลักษณวิศิษฏ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๒ ได้เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
สมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสดงข้อมูลให้ครอบคลุมถึงการแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนด้วย
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ชญานิศ/จัดทำ
๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๘๔ ก/หน้า ๖/๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ |
864738 | กฎกระทรวงการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุน พ.ศ. 2563 | กฎกระทรวง
การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๖๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ วรรคสอง และมาตรา ๖๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับในกรณีที่รัฐบาลเข้าร่วมลงทุนในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามปกติของภาคเอกชนในประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
ให้คำนวณตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีที่รัฐบาลเข้าร่วมลงทุนด้วยการซื้อหุ้น ให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างมูลค่าหุ้นที่รัฐบาลเข้าร่วมลงทุนกับมูลค่าหุ้นในตลาดของกิจการที่รัฐบาลเข้าร่วมลงทุนนั้นในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน
(๒)
กรณีที่ไม่มีมูลค่าหุ้นในตลาดของกิจการที่รัฐบาลเข้าร่วมลงทุนตาม (๑)
มูลค่าการเข้าร่วมลงทุนของรัฐบาลบางส่วนหรือทั้งหมด แล้วแต่กรณี
ให้ถือว่าเป็นเงินให้เปล่าจากรัฐบาล และให้คำนวณตามข้อ ๖
(๓) กรณีที่รัฐบาลเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบอื่นและการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับให้เป็นไปตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
การพิจารณาว่าการเข้าร่วมลงทุนมีลักษณะที่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามปกติของภาคเอกชนตามวรรคหนึ่ง
ให้พิจารณาจากข้อมูลในช่วงเวลาที่รัฐบาลเข้าร่วมลงทุนว่าเป็นการลงทุนที่รัฐบาลมีโอกาสได้รับผลตอบแทนอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่
โดยคำนึงถึงปัจจัยอื่นซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมลงทุนประกอบด้วย
เช่น ผลการศึกษาการลงทุน หรือผลตอบแทนการลงทุนในภาพรวม
ข้อ ๒ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับในกรณีที่รัฐบาลให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราการกู้ยืมทางพาณิชย์
ให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างจำนวนดอกเบี้ยที่ผู้กู้ชำระให้รัฐบาลกับจำนวนดอกเบี้ยที่ผู้กู้รายเดียวกันต้องชำระหากเป็นการกู้ยืมทางพาณิชย์
โดยการกู้ยืมทางพาณิชย์ที่นำมาเปรียบเทียบนั้น ต้องเป็นการเปรียบเทียบในจำนวนเงินและระยะเวลาการผ่อนชำระที่ใกล้เคียงกับที่ผู้กู้รายนั้นเคยได้รับจากสถาบันการเงินในประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
หากไม่สามารถหาอัตราดอกเบี้ยที่จะนำมาเปรียบเทียบได้ตามวรรคหนึ่ง
อัตราดอกเบี้ยที่จะนำมาใช้ในการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับ
ให้ใช้ข้อมูลอย่างหนึ่งอย่างใดมาเปรียบเทียบโดยลำดับ ดังนี้
(๑)
การกู้ยืมของเอกชนรายอื่นในสถานการณ์ทางการเงินที่ใกล้เคียงกัน
(๒)
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจซึ่งพิจารณาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะที่รัฐบาลให้กู้ยืมและสถานะของผู้กู้ในขณะนั้น
การกู้ยืมที่ไม่มีการชำระคืนเงินต้น
หรือการกู้ยืมที่ได้รับการยกหนี้ให้บางส่วน หรือทั้งหมด ให้ถือว่าจำนวนเงินกู้ยืมที่ไม่มีการชำระคืนหรือได้รับการยกหนี้ให้ดังกล่าวเป็นเงินให้เปล่าจากรัฐบาลนับตั้งแต่วันที่ไม่มีการชำระหนี้
และให้คำนวณตามข้อ ๖
การที่รัฐบาลผ่อนผันการชำระภาษี เงินช่วยเหลือที่ต้องชำระคืน
หรือกรณีอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
ให้ถือว่าเป็นการกู้ยืมจากรัฐบาลโดยปราศจากดอกเบี้ย และให้คำนวณตามจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายตามอัตราในการกู้ยืมทางพาณิชย์
ข้อ ๓ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับในกรณีที่รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้
เช่น การค้ำประกันเงินกู้
การค้ำประกันสินเชื่อเพื่อการซื้อขาย หรือการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อการส่งออก
ซึ่งมีผลทำให้ผู้กู้มีค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมต่ำกว่าในกรณีที่ไม่มีการค้ำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล
หรือมีค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ที่ไม่ครอบคลุมต้นทุนและกำไรที่เหมาะสมในทางพาณิชย์
ให้คำนวณจากส่วนต่างของจำนวนค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมดังกล่าว
ในกรณีที่เป็นการค้ำประกันเงินกู้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ
ให้พิจารณาจากจำนวนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ที่ผู้กู้ตามโครงการค้ำประกันเงินกู้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะต้องชำระ
หากต่ำกว่าค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ของเอกชนรายอื่นตามโครงการค้ำประกันเงินกู้ทั่วไปในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน ให้นำการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับตามวรรคหนึ่งมาใช้บังคับ
ข้อ
๔ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับในกรณีที่รัฐบาลให้สินค้าหรือบริการโดยได้รับค่าตอบแทนที่น้อยกว่าอัตราที่สมควรตามสภาพทางการตลาดที่เป็นอยู่ในประเทศที่รัฐบาลให้สินค้าหรือบริการนั้น
ให้คำนวณตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑)
หากผู้ได้รับการอุดหนุนได้ซื้อสินค้าหรือบริการชนิดเดียวกับสินค้าหรือบริการที่รัฐบาลให้จากเอกชนรายอื่น
ให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างราคาสินค้าหรือบริการที่จ่ายให้แก่รัฐบาลกับราคาสินค้าหรือบริการที่ต่ำที่สุดที่จ่ายให้แก่เอกชนรายดังกล่าว
(๒)
หากไม่มีสินค้าหรือบริการที่นำมาเปรียบเทียบได้ตาม (๑) ให้เปรียบเทียบโดยใช้ราคาที่ต่ำที่สุดของสินค้าหรือบริการในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
หากรัฐบาลเป็นผู้ค้ารายเดียว
ให้พิจารณาว่าอัตราค่าตอบแทนที่รัฐบาลได้รับเป็นอัตราที่ไม่สมควรตามสภาพทางการตลาดที่เป็นอยู่ในประเทศที่รัฐบาลให้สินค้าหรือบริการนั้น
เมื่อมีการให้สินค้าหรือบริการในราคาพิเศษที่เอื้อประโยชน์เฉพาะกับเอกชนบางราย
ในกรณีนี้ ให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างราคาพิเศษดังกล่าวกับราคาปกติของสินค้าหรือบริการที่จ่ายโดยเอกชนรายอื่น
ในกรณีที่ราคาปกติของสินค้าหรือบริการดังกล่าวไม่ครอบคลุมต้นทุนและกำไรที่เหมาะสม
ให้ใช้ราคาของสินค้าหรือบริการที่ครอบคลุมต้นทุนและกำไรที่เหมาะสมมาเปรียบเทียบ
การเปรียบเทียบราคาตามวรรคหนึ่ง ให้พิจารณาโดยคำนึงถึงเงื่อนไขทางการค้าที่สามารถเปรียบเทียบกันได้
การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้คำนวณเฉพาะกับสินค้าหรือบริการที่นำไปใช้โดยตรงในการผลิตหรือการจำหน่ายสินค้าชนิดเดียวกัน
ข้อ
๕ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับในกรณีที่รัฐบาลซื้อสินค้าโดยให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าอัตราที่สมควรตามสภาพทางการตลาดที่เป็นอยู่ในประเทศที่มีการขายสินค้านั้น
ให้คำนวณตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑)
หากมีเอกชนรายอื่นซื้อสินค้าชนิดเดียวกับที่รัฐบาลซื้อ ให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างราคาที่รัฐบาลซื้อกับราคาสูงสุดที่มีการเสนอซื้อในตลาดของสินค้านั้น
(๒)
หากไม่สามารถเปรียบเทียบราคาขายสินค้าให้แก่เอกชนรายอื่นตาม (๑) ได้ หรือไม่สามารถหาข้อมูลมาเปรียบเทียบได้
ให้พิจารณาราคาสินค้าจากกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
(๓)
หากรัฐบาลเป็นผู้ซื้อรายเดียว ให้คำนวณจากส่วนต่างของราคาที่รัฐบาลซื้อกับต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าในช่วงระยะเวลาที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อการไต่สวนการอุดหนุน
รวมกับกำไรที่เหมาะสม
การเปรียบเทียบราคาตามวรรคหนึ่ง
ให้พิจารณาโดยคำนึงถึงเงื่อนไขทางการค้าที่สามารถเปรียบเทียบกันได้
ข้อ
๖ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับในกรณีที่รัฐบาลให้การสนับสนุนโดยตรงในรูปแบบของเงินให้เปล่าหรือเทียบเท่าเงินให้เปล่า
หรือไม่เรียกเก็บรายได้ที่ควรจะได้ ไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดด้วยการลดหย่อนหรือการยกเว้น เช่น การลดหรือยกเว้นภาษี
การเร่งรัดให้มีการหักค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ เพื่อประโยชน์ในการนำไปหักกับรายได้ของบริษัทในการชำระภาษีเงินได้
หรือการอุดหนุนอัตราดอกเบี้ย ให้คำนวณจากจำนวนเงินที่รัฐให้เปล่าหรือเทียบเท่าเงินให้เปล่า
หรือมูลค่าที่ได้รับลดหย่อนหรือยกเว้นดังกล่าว โดยรวมดอกเบี้ยเชิงพาณิชย์ของเงินจำนวนดังกล่าวด้วย
ข้อ ๗ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับในกรณีที่รัฐบาลปลดหนี้ให้แก่ผู้ได้รับการอุดหนุน ให้คำนวณจากมูลค่าหนี้ที่ได้รับการปลดหนี้
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างจ่าย
ข้อ
๘ การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุนตามกฎกระทรวงนี้
ให้คำนวณเฉพาะช่วงระยะเวลาที่นำข้อมูลมาใช้เพื่อการไต่สวนการอุดหนุน หากเป็นการอุดหนุนที่ทำให้เกิดประโยชน์ที่มีผลต่อเนื่อง
ให้เป็นไปตามสัดส่วนของประโยชน์ที่ได้รับเฉพาะในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงมูลค่าประโยชน์ที่ได้รับจริงโดยรวมดอกเบี้ยเชิงพาณิชย์
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
จุรินทร์
ลักษณวิศิษฏ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๖๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้การคำนวณประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ชญานิศ/จัดทำ
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๖๔ ก/หน้า ๑๑/๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ |
864736 | กฎกระทรวงกำหนดลักษณะการให้การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออก พ.ศ. 2563 | กฎกระทรวง
กำหนดลักษณะการให้การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออก
พ.ศ. ๒๕๖๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา
๖ และมาตรา ๖๔ วรรคสาม (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในกฎกระทรวงนี้
ภาษีทางตรง หมายความว่า ภาษีที่เรียกเก็บจากค่าจ้าง กำไร ดอกเบี้ย ค่าเช่า
ค่าสิทธิ
และภาษีที่เรียกเก็บจากรายได้รูปแบบอื่นใด และภาษีที่เกี่ยวกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์
ค่าธรรมเนียมในการนำเข้า
หมายความว่า อากรศุลกากรรวมทั้งอากรและค่าธรรมเนียมอื่นใดที่จัดเก็บจากการนำเข้า
ภาษีทางอ้อม
หมายความว่า ภาษีการขาย ภาษีสรรพสามิต
ภาษีจากยอดขาย ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีสินค้าและบริการ
ภาษีแฟรนไชส์ อากรแสตมป์ ภาษีการโอน ภาษีสินค้าคงเหลือและภาษีอุปกรณ์ ภาษีที่เก็บ ณ ชายแดน และภาษีอื่นใดที่นอกเหนือจากภาษีทางตรงและค่าธรรมเนียมในการนำเข้า
ภาษีทางอ้อมระหว่างการผลิต
หมายความว่า ภาษีทางอ้อมที่เรียกเก็บจากสินค้าหรือบริการที่ใช้โดยตรงหรือโดยอ้อมในระหว่างการผลิตสินค้า
ภาษีทางอ้อมสะสม หมายความว่า ภาษีทางอ้อมที่เรียกเก็บจากสินค้าหรือบริการที่นำไปใช้ในแต่ละลำดับขั้นการผลิต โดยไม่มีระบบการให้เครดิตภาษีแก่สินค้าหรือบริการที่นำไปใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการในขั้นตอนต่อไป
การลดหย่อนภาษี
หมายความรวมถึง การให้ส่วนลดหรือจ่ายคืนภาษี
การลดหย่อนหรือการคืนค่าธรรมเนียมในการนำเข้า หมายความรวมถึง
การยกเว้นค่าธรรมเนียมในการนำเข้าบางส่วนหรือทั้งหมด หรือการชะลอการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการนำเข้า
ข้อ ๒ การให้การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออกดังต่อไปนี้
ให้ถือว่าเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
(๑) การให้การอุดหนุนโดยตรงต่อวิสาหกิจโดยมีเงื่อนไขเพื่อการส่งออก
(๒) การกำหนดมาตรการการถือครองเงินตราหรือการปฏิบัติในลักษณะคล้ายคลึงกัน อันเป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อการส่งออก
(๓) การให้หรือกำหนดเงื่อนไขการให้ค่าขนส่งและค่าระวางภายในประเทศเพื่อการส่งออกที่ดีกว่าการให้หรือกำหนดเงื่อนไขการให้ค่าขนส่งและค่าระวางเพื่อการจำหน่ายในประเทศ
(๔) การกำหนดมาตรการทางตรงหรือทางอ้อมโดยให้เงื่อนไขที่ดีกว่าสำหรับสินค้าหรือบริการซึ่งใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกเมื่อเทียบกับสินค้าหรือบริการที่เหมือนกันหรือที่สามารถทดแทนกันได้ซึ่งใช้ในการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
ในกรณีสินค้าที่ใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกจะต้องมีเงื่อนไขที่ดีกว่าเงื่อนไขเชิงพาณิชย์ในตลาดโลกด้วย
(๕) การลดหย่อนหรือการชะลอการเรียกเก็บภาษีทางตรง หรือค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคมบางส่วนหรือทั้งหมด
ที่เฉพาะเจาะจงกับการส่งออก เว้นแต่การชะลอการเรียกเก็บภาษีทางตรงได้มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยอย่างเหมาะสม
หรือการลดหย่อนหรือการชะลอการเรียกเก็บภาษีทางตรงที่เป็นไปตามความตกลงเกี่ยวกับการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
(๖) การให้หักค่าใช้จ่ายใด
ๆ เป็นพิเศษ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการส่งออกหรือความสามารถในการส่งออกในการคำนวณภาษีทางตรงที่มากกว่าหรือนอกเหนือจากที่ให้แก่การผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
(๗) การยกเว้นหรือการลดหย่อนภาษีทางอ้อมแก่การผลิตและการจำหน่ายสินค้าเพื่อการส่งออก ซึ่งมากกว่าการผลิตและการจำหน่ายสินค้าชนิดเดียวกันเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
(๘) การยกเว้น
การลดหย่อน หรือการชะลอการเรียกเก็บภาษีทางอ้อมสะสมที่ให้แก่สินค้าหรือบริการที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก
ซึ่งเกินกว่าหรือนอกเหนือจากการยกเว้นการลดหย่อน หรือการชะลอการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวที่ให้แก่สินค้าหรือบริการที่เหมือนกันที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
เว้นแต่ได้มีการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจากปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกที่ได้หักส่วนสูญเสียแล้ว
(๙) การลดหย่อนหรือการคืนค่าธรรมเนียมในการนำเข้าปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเกินกว่าค่าธรรมเนียมที่มีการเรียกเก็บจริงที่ได้หักส่วนสูญเสียแล้ว
หรือการให้ดอกเบี้ยสำหรับเงินคืนค่าธรรมเนียมดังกล่าว
(๑๐) การใช้มาตรการการค้ำประกันหรือการประกันการส่งออกซึ่งเป็นการลดต้นทุนของสินค้าหรือไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงที่มีค่าเบี้ยประกันไม่ครอบคลุมต้นทุนการดำเนินการระยะยาวและการขาดทุนจากมาตรการดังกล่าว
(๑๑) การสนับสนุนจากรัฐบาลในการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกโดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราที่ควรจะต้องจ่ายหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
หรืออัตราที่ต่ำกว่าอัตราที่ควรจะต้องจ่ายหากขอสินเชื่อจากตลาดทุนระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ บนฐานของสินเชื่อที่มีอายุ วงเงิน
เงื่อนไข และสกุลเงินเดียวกัน หรือการที่รัฐบาลชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกิดขึ้นแก่ผู้ส่งออกหรือสถาบันการเงินซึ่งมีผลให้เกิดประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญภายใต้เงื่อนไขของการได้รับสินเชื่อเพื่อการส่งออก ทั้งนี้ เว้นแต่ในกรณีที่ความตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกโดยรัฐบาลมีข้อกำหนดที่แตกต่างไปจากที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้
การพิจารณาเงื่อนไขเชิงพาณิชย์ตาม
(๔) ให้พิจารณาจากการที่ผู้ส่งออกมีทางเลือกอย่างอิสระในการใช้สินค้าภายในประเทศหรือสินค้านำเข้าในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก
ในการพิจารณาปัจจัยที่ใช้ในการผลิตตาม
(๘) จะต้องตรวจสอบได้ว่ามีการนำระบบหรือกระบวนการมาใช้ในการตรวจสอบปัจจัยและปริมาณที่ใช้ในการผลิต
และระบบหรือกระบวนการดังกล่าวมีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ
และเป็นที่ยอมรับตามแนวปฏิบัติทางการค้าของประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งการหักส่วนสูญเสียตามปกติที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตมีความถูกต้องเหมาะสม
โดยคำนึงถึงการหักส่วนสูญเสียในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมโดยทั่วไปของประเทศผู้ส่งออกด้วย
เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ภาษีทางอ้อมสะสมไม่รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีที่เก็บ ณ
ชายแดน ทั้งนี้ การยกเว้นหรือการลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีที่เก็บ
ณ ชายแดนที่เกินกว่าที่จ่ายจริงให้เป็นไปตาม (๗)
ในกรณีตาม
(๙) ถ้าการลดหย่อนหรือการคืนค่าธรรมเนียมในการนำเข้าเกิดขึ้นจากการนำปัจจัยภายในประเทศที่มีปริมาณ
คุณภาพ และคุณลักษณะเช่นเดียวกับปัจจัยที่นำเข้ามาใช้ทดแทนในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก
และการนำเข้าปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้าและการส่งออกสินค้ามีระยะเวลาที่สอดคล้องกันและเกิดขึ้นภายในระยะเวลาที่เหมาะสมแต่ไม่เกินสองปีนับแต่วันนำเข้าปัจจัยที่ใช้ในการผลิตดังกล่าว
ไม่ถือว่าเป็นการลดหย่อนหรือการคืนค่าธรรมเนียมในการนำเข้า ทั้งนี้ ให้นำความในวรรคสามมาใช้บังคับแก่การพิจารณาปัจจัยที่ใช้ในการผลิตด้วยโดยอนุโลม
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้
คือ โดยที่มาตรา ๖๔ วรรคสาม (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติให้การอุดหนุนที่มีเงื่อนไขเพื่อการส่งออกตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวงถือเป็นการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจง
และอยู่ภายใต้บังคับการใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ชญานิศ/จัดทำ
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๖๔ ก/หน้า ๗/๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ |
339726 | กฎกระทรวง กำหนดเกณฑ์ในการยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. 2545 | กฎกระทรวง
กำหนดเกณฑ์ในการยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง มาตรา ๖ มาตรา ๒๘ และมาตรา
๗๐ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๒ เมื่อเป็นที่พอใจของคณะกรรมการว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอว่ามีการทุ่มตลาดหรือมีความเสียหายที่เป็นเหตุเพียงพอให้ดำเนินการต่อไป
ให้ยกคำร้องให้มีการไต่สวนการทุ่มตลาด และยุติการไต่สวนการทุ่มตลาดโดยพลัน
ในกรณีที่คณะกรรมการชี้ว่าส่วนเหลื่อมของการทุ่มตลาดอยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำ
หรือปริมาณสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาดทั้งที่เป็นจริงหรืออาจจะเกิดขึ้น หรือว่าความเสียหายมีเพียงเล็กน้อย
ให้ยุติการไต่สวนในทันที
ส่วนเหลื่อมของการทุ่มตลาดให้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำ
หากส่วนเหลื่อมนั้นน้อยกว่าร้อยละสองของราคาส่งออก
ปริมาณของสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาดโดยทั่วไปให้ถือว่ามีเพียงเล็กน้อย
หากปริมาณของสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาดจากประเทศที่ถูกไต่สวนแต่ละประเทศน้อยกว่าร้อยละสามของสินค้านำเข้าชนิดเดียวกันในประเทศ
เว้นแต่ปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ทุ่มตลาดจากแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันแล้วเกินกว่าร้อยละเจ็ดของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศ
ข้อ ๓ เมื่อเป็นที่พอใจของคณะกรรมการว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอว่ามีการอุดหนุนหรือความเสียหายที่เป็นเหตุเพียงพอให้ดำเนินการต่อไป
ให้ยกคำร้องให้มีการไต่สวนการอุดหนุน และยุติการไต่สวนการอุดหนุนโดยพลัน
ในกรณีที่คณะกรรมการชี้ว่าการอุดหนุนที่ได้รับอยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำ
หรือปริมาณสินค้านำเข้าที่ได้รับการอุดหนุนทั้งที่เป็นจริงหรืออาจจะเกิดขึ้น หรือความเสียหายมีเพียงเล็กน้อย
ให้ยุติการไต่สวนในทันที
การอุดหนุนที่ได้รับให้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำ หากมีน้อยกว่าร้อยละหนึ่งของมูลค่าสินค้าหรือไม่เกินร้อยละสองของมูลค่าสินค้าต่อหน่วยสำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือไม่เกินร้อยละสามของมูลค่าสินค้าต่อหน่วยสำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกซึ่งดำเนินการตามเงื่อนไขของความตกลงองค์การการค้าโลกในการยกเลิกการอุดหนุนการส่งออกก่อน
พ.ศ. ๒๕๔๖ หรือสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุดที่เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
ทั้งนี้ อัตราไม่เกินร้อยละสามให้มีผลใช้ถึงวันที่
๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เท่านั้น
ปริมาณของสินค้านำเข้าที่ได้รับการอุดหนุนที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกถือว่ามีเพียงเล็กน้อย
หากปริมาณของสินค้านำเข้าที่ได้รับการอุดหนุนจากแต่ละประเทศน้อยกว่าร้อยละสี่ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกัน
เว้นแต่ปริมาณของสินค้านำเข้าที่ได้รับการอุดหนุนจากแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันแล้วเกินร้อยละเก้าของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้านั้น
ข้อ ๔ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดเกณฑ์ของส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
ประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุน ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
และปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนที่ใช้ในการยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนยังไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับความตกลงว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนภายใต้องค์การการค้าโลกซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน
๒๕๕๔
สายสัมพันธ์/ปรับปรุง
๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๓
ภิรมย์พร/ตรวจ
๔
ธันวาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๑๒ ก/หน้า ๑๑/๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ |
339732 | กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาความเสียหายที่เกิดแก่อุตสาหกรรม ภายในจากการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน พ.ศ. 2545 | กฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาความเสียหายที่เกิดแก่
อุตสาหกรรมภายในจากการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๒ การพิจารณาความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในจากการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ให้อาศัยหลักฐานสนับสนุนและการตรวจสอบเกี่ยวกับ
(๑) ปริมาณของสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนและผลของการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนที่มีต่อราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
(ก) ในส่วนที่เกี่ยวกับปริมาณของสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุน ให้พิจารณาว่าได้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นโดยมีนัยสำคัญหรือไม่
ไม่ว่าจะพิจารณาจากปริมาณนำเข้าจริงหรือปริมาณที่เทียบเคียงกับปริมาณการผลิตหรือปริมาณการบริโภคในประเทศ
(ข) ในส่วนที่เกี่ยวกับผลของการนำเข้าสินค้าที่ทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนที่มีต่อราคา ให้พิจารณาว่าราคาของสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนได้มีการตัดราคาโดยมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศหรือไม่
หรือมิเช่นนั้น การนำเข้าดังกล่าวจะมีผลเป็นการกดราคาหรือจะหยุดยั้งการที่ราคาจะขยับตัวสูงขึ้นโดยมีนัยสำคัญ
เนื่องจากการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนนั้นหรือไม่
ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งหรือหลายปัจจัยที่กล่าวนี้ ไม่ถือเป็นข้อพิจารณาที่ตายตัว
(๒) ผลกระทบจากสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาดและสินค้านำเข้าที่ได้รับการอุดหนุนที่มีต่ออุตสาหกรรมภายใน
(ก) ในส่วนที่เกี่ยวกับผลกระทบจากสินค้านำเข้าที่ทุ่มตลาด ให้พิจารณาโดยประเมินจากปัจจัยและดัชนีทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อสภาวะของอุตสาหกรรมภายใน
รวมทั้งการลดลงทั้งที่เป็นจริงและที่อาจเกิดขึ้นของยอดจำหน่าย กำไร ผลผลิต ส่วนแบ่งตลาด
ผลิตภาพ ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือการใช้กำลังการผลิต ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศ
ความมากน้อยของส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด ผลกระทบและแนวโน้มที่จะเกิดต่อกระแสเงินสด
สินค้าคงคลัง การจ้างงาน ค่าจ้างแรงงาน อัตราการเจริญเติบโต ความสามารถในการระดมทุนหรือการลงทุน
(ข) ในส่วนที่เกี่ยวกับผลกระทบของสินค้านำเข้าที่ได้รับการอุดหนุน
ให้พิจารณาโดยประเมินจากปัจจัยและดัชนีทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อสภาวะของอุตสาหกรรมภายใน
รวมทั้งการลดลงทั้งที่เป็นจริงและที่อาจเกิดขึ้นของยอดจำหน่าย กำไร ผลผลิต ส่วนแบ่งตลาด
ผลิตภาพ ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือการใช้กำลังการผลิต ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศ
ผลกระทบและแนวโน้มที่จะเกิดต่อกระแสเงินสด สินค้าคงคลัง การจ้างงาน ค่าจ้างแรงงานอัตราการเจริญเติบโต
ความสามารถในการระดมทุนหรือการลงทุน สำหรับสินค้าเกษตร
ให้พิจารณาด้วยว่าเป็นการเพิ่มภาระต่อโครงการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลหรือไม่
ทั้งนี้ ปัจจัยข้างต้นยังไม่ครอบคลุมทุกอย่างและปัจจัยหนึ่งหรือหลายปัจจัยที่กล่าวนี้ไม่ถือเป็นข้อพิจารณาที่ตายตัว
ข้อ ๓ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในจากการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง ยังไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับความตกลงว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนภายใต้องค์การการค้าโลกซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน
๒๕๕๔
สายสัมพันธ์/ปรับปรุง
๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๓
ภิรมย์พร/ตรวจ
๔ ธันวาคม
๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๑๒ ก/หน้า ๘/๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ |
316987 | กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคืนอากรหรือหลักประกันการชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2545 | กฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคืนอากรหรือหลักประกัน
การชำระอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
และการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในกรณีที่กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากร
หรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราว ถ้าต่อมาคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดให้คืนหลักประกันอากรหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวเนื่องจากสิ้นเหตุที่จะต้องเก็บรักษาไว้
เมื่อคณะกรรมการแจ้งให้กรมศุลกากรทราบ ให้กรมศุลกากรคืนหลักประกันอากรหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวโดยไม่ชักช้า
โดยผู้นำเข้าต้องนำหลักฐานการวางหลักประกันอากรหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวมาติดต่อขอรับคืน
ณ ท่าหรือที่ หรือสนามบินศุลกากรที่ได้วางหลักประกันอากรหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวดังกล่าวไว้
ข้อ ๒ ในกรณีที่กรมศุลกากรเรียกเก็บอากรชั่วคราว
ถ้าต่อมาคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดไม่ว่าตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราวหรือไม่
เมื่อคณะกรรมการแจ้งให้กรมศุลกากรทราบ ให้กรมศุลกากรคืนอากรชั่วคราว หรือคืนผลต่างของอากรส่วนที่เกินหากอากรตอบโต้การทุ่มตลาดมีอัตราต่ำกว่าอากรชั่วคราวที่ได้เรียกเก็บไว้ให้แก่ผู้นำเข้าโดยไม่ชักช้า
โดยผู้นำเข้าต้องนำหลักฐานการชำระอากรชั่วคราวมาติดต่อขอรับคืน ณ ท่าหรือที่ หรือสนามบินศุลกากรที่ได้ชำระอากรดังกล่าวไว้
ข้อ ๓ ในกรณีที่กรมศุลกากรเรียกเก็บอากรชั่วคราว
ถ้าต่อมาคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่าไม่มีการทุ่มตลาดหรือไม่มีความเสียหาย เมื่อคณะกรรมการแจ้งให้กรมศุลกากรทราบ
ให้กรมศุลกากรคืนอากรชั่วคราวที่ผู้นำเข้าชำระไว้โดยไม่ชักช้า
โดยผู้นำเข้าต้องนำหลักฐานการชำระอากรชั่วคราวมาติดต่อขอรับคืน ณ ท่าหรือที่ หรือสนามบินศุลกากรที่ได้ชำระอากรดังกล่าวไว้
ข้อ ๔ ในกรณีที่ผู้นำเข้าขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่ถูกเรียกเก็บตามมาตรา
๕๙ เมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่าไม่มีส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด หรือส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดลดลงต่ำกว่าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่ใช้บังคับ และได้แจ้งให้กรมศุลกากรทราบ
ให้กรมศุลกากรคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาด หรือคืนผลต่างระหว่างส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดกับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดโดยไม่ชักช้า
โดยผู้นำเข้าต้องนำหลักฐานการชำระอากรมาติดต่อขอรับคืน
ณ ท่าหรือที่ หรือสนามบินศุลกากรที่ได้ชำระอากรดังกล่าวไว้
ข้อ ๕ สำหรับกรณีตอบโต้การอุดหนุน
ให้นำความในข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๔ แห่งกฎกระทรวงฉบับนี้มาใช้บังคับกับการคืนหลักประกันอากร
อากรชั่วคราว หลักประกันการชำระอากรชั่วคราว และอากรตอบโต้การอุดหนุนโดยอนุโลม
ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมศุลกากร
และมาตรา ๑๑ กำหนดให้การคืนอากรหรือหลักประกันการชำระอากรเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน
๒๕๕๔
สายสัมพันธ์/ปรับปรุง
๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๓
ภิรมย์พร/ตรวจ
๔
ธันวาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๗๘ ก/หน้า ๑๐/๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ |
312118 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง มาตรา ๒๘ และมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดหรือประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุนตามจำนวนดังต่อไปนี้ให้ถือเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำเพื่อใช้พิจารณาในการยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการพิจารณากำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน
(๑) ในกรณีการทุ่มตลาด
ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดมีจำนวนร้อยละสองของราคาส่งออก
(๒) ในกรณีการอุดหนุน
ประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุนมีจำนวนจำกัดดังต่อไปนี้
(ก) ร้อยละหนึ่งของราคาต่อหน่วย
(ข) ร้อยละสองของราคาต่อหน่วย
สำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดและส่งมาจากประเทศกำลังพัฒนา หรือ
(ค) ร้อยละสามของราคาต่อหน่วย
สำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดและส่งมาจากประเทศกำลังพัฒนาที่ดำเนินการตามเงื่อนไขของความตกลงองค์การการค้าโลกในการยกเลิกการอุดหนุนการส่งออกก่อน
พ.ศ. ๒๕๔๖ หรือสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดและส่งมาจากประเทศตามบัญชีรายชื่อท้ายกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๒
การนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือการนำเข้าสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนในปริมาณดังต่อไปนี้ให้ถือเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำเพื่อใช้พิจารณาในการยุติการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการพิจารณากำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน
(๑) ในกรณีการทุ่มตลาด การนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดจากประเทศผู้ส่งออกแต่ละประเทศมีปริมาณคิดเป็นร้อยละสามของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกันมายังประเทศไทย
เว้นแต่การนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดจากประเทศผู้ส่งออกแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันแล้วมีปริมาณเกินกว่าร้อยละเจ็ดของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกันมายังประเทศไทย
(๒) ในกรณีการอุดหนุน
การนำเข้าสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากประเทศที่ให้การอุดหนุนแต่ละประเทศมีปริมาณ
ดังต่อไปนี้
(ก)
ร้อยละสามของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกันมายังประเทศไทยเว้นแต่การนำเข้าสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากประเทศผู้ส่งออกแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันแล้วมีปริมาณเกินกว่าร้อยละเจ็ดของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกันมายังประเทศไทย
หรือ
(ข)
ร้อยละสี่ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกันมายังประเทศไทยสำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดและส่งมาจากประเทศกำลังพัฒนา
เว้นแต่การนำเข้าสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากแต่ละประเทศดังกล่าวรวมกันแล้วมีปริมาณเกินกว่าร้อยละเก้าของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของสินค้าชนิดเดียวกันมายังประเทศไทยสำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนินและส่งมาจากประเทศกำลังพัฒนา
ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
บัญชีท้ายกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
(๑)
ประเทศสมาชิกองค์การค้าโลกที่อยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศพัฒนาน้อยที่สุดขององค์การสหประชาชาติ
(๒)
ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเฉลี่ยต่อหัวน้อยกว่า
๑,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ ฯ ต่อปี ได้แก่
(ก) สาธารณรัฐโบลิเวีย
(ข) สาธารณรัฐแคเมอรูน
(ค) สาธารณรัฐคองโก
(ง) สาธารณรัฐโกตดิวัวร์
(จ) สาธารณรัฐโดมินิกัน
(ฉ) สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์
(ช) สาธารณรัฐกานา
(ซ) สาธารณรัฐกัวเตมาลา
(ฌ) สาธารณรัฐสหกรณ์กายอานา
(ญ) สาธารณรัฐอินเดีย
(ฎ) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
(ฏ) สาธารณรัฐเคนยา
(ฐ) ราชอาณาจักรโมร๊อกโก
(ฑ) สาธารณรัฐนิการากัว
(ฒ) สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย
(ณ) สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
(ด) สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
(ต) สาธารณรัฐเซเนกัล
(ถ) สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
(ท) สาธารณรัฐซิมบับเว
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ บัญญัติให้การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นอันยุติ
หากปรากฏว่าส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดหรือปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดมีจำนวนน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
ประกอบกับมาตรา ๗๐ได้กำหนดให้นำเอาหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๒๘ ดังกล่าวมาใช้บังคับการพิจารณากำหนดอากรตอบโต้การอุดหนุน
ซึ่งพิจารณาจากประโยชน์ที่ได้รับการอุดหนุน
หรือปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนด้วย จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๒๗ ก/หน้า ๑๖/๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ |
323166 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ.๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง มาตรา ๖ มาตรา ๒๕ และมาตรา
๗๐ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นหรือคำวินิจฉัยชั้นที่สุดเกี่ยวกับการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน การยอมรับข้อเสนอทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน การเพิกถอนความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน หรือการยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนอันเนื่องมาจากการทบทวน
ให้กรมการค้าต่างประเทศออกประกาศแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาผลการไต่สวน
การยอมรับหรือการเพิกถอนความตกลง และผลการทบทวน ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยให้ใช้มาตรการชั่วคราวให้ประกาศรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คณะกรรมการใช้รับฟังเป็นยุติว่ามีการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนและมีความเสียหาย
โดยต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(ก) ชื่อผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศ
หรือชื่อประเทศผู้ส่งออกหรือประเทศแหล่งกำเนิดในกรณีที่ไม่สามารถระบุชื่อผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตได้
(ข) ลักษณะของสินค้าเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินพิธีการทางศุลกากร
(ค) ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนที่คำนวณได้ วิธีการเปรียบเทียบราคาส่งออกและมูลค่าปกติตามมาตรา
๑๘ และเหตุผลที่ใช้วิธีการเปรียบเทียบดังกล่าว
(ง) การพิจารณาวินิจฉัยความเสียหายตามมาตรา ๑๙
(จ) เหตุผลหลักที่วินิจฉัยให้ใช้มาตรการชั่วคราว
(๒) ในกรณีที่คณะกรรมการวินิจฉัยให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือยอมรับข้อเสนอทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้ประกาศรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คณะกรรมการใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือวินิจฉัยยอมรับข้อเสนอทำความตกลงดังกล่าวโดยต้องมีรายการตาม (๑) และข้อโต้แย้งหรือข้อกล่าวอ้างของผู้ส่งออกจากต่างประเทศ หรือผู้นำเข้าอันมีเหตุผลรับฟังได้เป็นที่ยุติ ในกรณีที่เป็นการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนโดยใช้วิธีการหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจากการสุ่มตัวอย่างตามมาตรา
๑๘ วรรคสาม ให้แสดงหลักเกณฑ์การกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนสำหรับผู้ส่งออกจากต่างประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณาและมีการไต่สวนแต่ละรายด้วย
(๓) ในกรณีที่คณะกรรมการวินิจฉัยให้เพิกถอนความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน ให้ประกาศรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คณะกรรมการใช้เป็นพื้นฐานในการวินิจฉัยให้เพิกถอนความตกลงดังกล่าว
(๔) ในกรณีที่คณะกรรมการวินิจฉัยให้ยุติหรือระงับการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนเนื่องจากมีการยอมรับข้อเสนอทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนให้ประกาศรายละเอียดของความตกลงดังกล่าว
การดำเนินการตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) จะต้องไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิดตามมาตรา
๒๖
ข้อ ๒ ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งเป็นหนังสือให้รัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกและผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงประกาศที่ออกตามข้อ
๑
ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด การพิจารณาตอบโต้การอุดหนุน การทบทวนมาตรการตอบโต้
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ อันเกี่ยวกับพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
กำหนดให้การพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงสมควรกำหนดรายละเอียดที่จะต้องระบุในประกาศคำวินิจฉัยเบื้องต้นหรือชั้นที่สุดเกี่ยวกับการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน การยอมรับข้อเสนอทำความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
การเพิกถอนความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน การยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนอันเนื่องมาจากการทบทวน
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน
๒๕๕๔
สายสัมพันธ์/ปรับปรุง
๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๓
ภิรมย์พร/ตรวจ
๔
ธันวาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๒๗ ก/หน้า ๑๓/๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ |
312117 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๓ (พ.ศ.
๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง มาตรา ๖ มาตรา ๒๕ และมาตรา
๗๐ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศแจ้งข้อเท็จจริงและความเห็นตามแบบสอบถามที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแบบสอบถามจากกรมการค้าต่างประเทศ
(๒) ในการแจ้งข้อเท็จจริงตาม (๑) ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศมีสิทธิแนบเอกสารเพื่อประกอบการชี้แจงข้อเท็จจริงและความเห็นที่แจ้งไว้ในแบบสอบถาม
หรือจะเสนอความเห็นเป็นหนังสือเพิ่มเติมจากที่ระบุไว้ในแบบสอบถามด้วยก็ได้
(๓) ในกรณีที่ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศไม่สามารถแจ้งข้อเท็จจริงและความเห็นตามแบบสอบถามได้ภายในกำหนดเวลาตามประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายหรือประกาศไต่สวนการอุดหนุนและความเสียหาย
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศมีสิทธิขอขยายเวลาการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยยื่นคำร้องระบุเหตุผลในการขอขยายเวลาต่อกรมการค้าต่างประเทศก่อนครบกำหนดเวลาส่งแบบสอบถาม
(๔) ในกรณีที่กรมการค้าต่างประเทศเห็นสมควร จะอนุญาตให้ขยายเวลาการแจ้งข้อเท็จจริงและความเห็นตามแบบสอบถามออกไปอีกก็ได้
แต่ต้องไม่เกินสามสิบวัน
เพื่อประโยชน์ในการนับระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศได้รับแบบสอบถามดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับตั้งแต่วันที่กรมการค้าต่างประเทศส่งแบบสอบถามไปยังผู้ส่งออกจากต่างประเทศ
ผู้ผลิตในต่างประเทศ ผู้แทนทางการทูตของประเทศผู้ส่งออกหรือผู้แทนอย่างเป็นทางการของเขตแดนทางศุลกากรในกรณีที่ประเทศผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตซึ่งเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกนั้นมีดินแดนซึ่งเป็นเขตแดนทางศุลกากรแยกต่างหาก
ข้อ ๒ ในระหว่างการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนซึ่งได้มีการออกประกาศกำหนดระยะเวลาไว้ตามมาตรา
๓๙ ให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียนั้นได้
รวมทั้งมีสิทธิดำเนินการในเรื่องดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) การร้องขอให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสีย
เพื่อแสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งของแต่ละฝ่าย
(๒) การนำเสนอข้อมูลอื่นนอกเหนือจากข้อมูลที่ได้เสนอไว้แล้วในการประชุมร่วมกันตาม
(๑) ด้วยวาจา ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร
(๓) การขอดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนที่กรมการค้าต่างประเทศได้จัดทำไว้เพื่อประโยชน์ในการไต่ส่วนและมิได้เป็นข้อมูลที่ต้องปกปิดตามมาตรา
๒๖
ข้อ ๓ เมื่อมีการร้องขอตามข้อ
๒ (๑) ให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการให้ตามที่มีการร้องขอในการดำเนินการดังกล่าวให้คำนึงถึงความจำเป็นในการรักษาความลับและความสะดวกของทุกฝ่าย
ในการประชุมร่วมกันตามวรรคหนึ่ง ผู้มีส่วนได้เสียฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะไม่เข้าร่วมประชุมก็ได้และการไม่เข้าร่วมประชุมนั้นไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้นั้นในการไต่ส่วน
ข้อ ๔ ข้อมูลที่เสนอเพิ่มเติมตามข้อ ๒ (๒) จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาไต่สวนได้เมื่อผู้นำเสนอข้อมูลนั้นได้จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรและมอบให้ผู้มีส่วนได้เสียอื่นแล้ว
ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา
๖ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนได้ จึงเห็นสมควรกำหนดระยะเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นเป็นหนังสือตามประกาศการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน นอกจากนี้ ในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนผู้มีส่วนได้เสียควรมีโอกาสปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างเต็มที่
จึงสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตในการปกป้องผลประโยชน์ดังกล่าวไว้ด้วย จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน
๒๕๕๔
สายสัมพันธ์/ปรับปรุง
๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๓
ภิรมย์พร/ตรวจ
๔ ธันวาคม
๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๒๗ ก/หน้า ๑๐/๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ |
323165 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง มาตรา ๖ และมาตรา ๗๐
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุน
และผลของการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ที่มีผลต่อราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศจนก่อให้เกิดความเสียหายอย่างสำคัญแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๒๐ วรรคหนึ่ง (๑) ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑)
ในกรณีของปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุน
ได้มีการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนทั้งที่นำเข้าจริงหรือที่เปรียบเทียบกับสัดส่วนของผลผลิตหรือการบริโภคในประเทศในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
(๒) ในกรณีของผลของการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ต้องปรากฎว่าการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนก่อให้เกิดการตัด
กด
หรือชะลอการขึ้นราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศอย่างชัดเจนในการพิจารณาความเสียหายตามวรรคหนึ่ง
ให้พิจารณาหลักเกณฑ์ตาม (๑) และ (๒) ประกอบกัน
ข้อ ๒
ผลกระทบของการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนที่มีต่ออุตสาหกรรมภายในอันจะถือว่าก่อให้เกิดความเสียหายอย่างสำคัญแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๒๐ วรรคหนึ่ง (๒) ให้พิจารณาโดยประเมินปัจจัยและดัชนีทางเศรษฐกิจที่มีผลและบ่งชี้ถึงสถานะของอุตสาหกรรมเช่นว่านั้น
ดังต่อไปนี้
(๑) ยอดจำหน่าย กำไร ผลผลิต ส่วนแบ่งการตลาด
ความสามารถในการผลิตผลตอบแทนการลงทุน หรืออัตราการใช้กำลังการผลิต
มีปริมาณหรืออัตราลดลงหรือมีแนวโน้มที่จะลดลง
(๒) ผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศ
(๓) ผลกระทบและแนวโน้มที่จะเกิดต่อกระแสเงินสด สินค้าคงคลัง
การจ้างงานค่าจ้างแรงงาน อัตราการเจริญเติบโต ความสามารถในการเพิ่มทุนหรือการลงทุน
(๔)
ความสัมพันธ์ของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดกับส่วนเหลี่อมการทุ่มตลาด
ในกรณีที่เป็นการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด
(๕)
ภาระของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับโครงการช่วยเหลือของรัฐบาลเพิ่มขึ้น
ในกรณีที่เป็นการพิจารณาตอบโต้การอุดหนุนสินค้าเกษตรในการพิจารณาความเสียหายตามวรรคหนึ่ง
ให้พิจารณาหลักเกณฑ์ตาม (๑) ถึง (๕) ประกอบกัน
ข้อ ๓
ข้อมูลที่จะนำมาใช้พิจารณาผลกระทบของการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนที่มีต่ออุตสาหกรรมภายในตามข้อ
๒
ต้องเป็นข้อมูลของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศและจำแนกประเภทของข้อมูลตามปัจจัยและดัชนีทางเศรษฐกิจที่กำหนดตามข้อ
๒
ในกรณีที่ไม่สามารถแยกข้อมูลของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศออกมาเป็นข้อมูลเฉพาะได้
ให้พิจารณาผลกระทบดังกล่าวจากข้อมูลของกลุ่มสินค้าหรือประเภทสินค้าที่สินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนถูกจัดให้เป็นสินค้าชนิดเดียวกันกับกลุ่มหรือประเภทสินค้าดังกล่าว
ทั้งนี้ การจัดกลุ่มประเภทสินค้าดังกล่าวจะต้องพิจารณาโดยจำกัดกลุ่มหรือประเภทสินค้าให้แคบที่สุดและข้อมูลที่ใช้จะต้องเป็นข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น
ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.
๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒
บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาความเสียหาย
และมาตรา ๒๐
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้กำหนดให้การพิจารณาความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในต้องพิจารณาจากหลักฐานที่เกี่ยวข้องในเรื่องปริมาณสินค้าทุ่มตลาดหรืออุดหนุนและการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนน
ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศและต่ออุตสาหกรรมภายใน
จึงสมควรกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาในเรื่องดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๒๗ ก/หน้า ๗/๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ |
312114 | กฎกระทรวง (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. 2542 | กฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง มาตรา ๖ และมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในการคำนวณต้นทุนการผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดของสินค้าที่ถูกพิจารณาว่ามีการทุ่มตลาดเพื่อหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕ วรรคสอง (๒) ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑) ใช้ข้อมูลของผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศที่ได้บันทึกไว้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับหลักการทางบัญชีอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในประเทศของผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือในต่างประเทศที่ผลิตสินค้าที่ถูกพิจารณานั้น
และมีรายละเอียดแสดงต้นทุนเกี่ยวกับการผลิตและการขายสินค้าที่ถูกพิจารณาดังกล่าวอย่างมีเหตุผลสมควร
(๒) ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลตาม (๑) ให้ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการปันส่วนต้นทุนที่เหมาะสม
รวมถึงการปันส่วนต้นทุนของสินค้าที่ถูกพิจารณาที่ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศใช้ในช่วงระยะเวลาการไต่สวน
แต่ทั้งนี้ ต้องเป็นการปันส่วนต้นทุนที่ผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือผู้ผลิตในต่างประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณาได้ใช้มาโดยตลอด
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมของรายการ การตัดค่าเสื่อมสิ้น
และการตัดค่าเสื่อมราคา การปรับค่าใช้จ่ายฝ่ายทุน และรายการต้นทุนเพื่อการพัฒนาอื่น
ในกรณีที่พิจารณาการปันส่วนต้นทุนจากข้อมูลตาม
(๑) จะต้องปรับต้นทุนการผลิตให้เหมาะสมสำหรับรายการดังต่อไปนี้
(ก) ต้นทุนเกี่ยวกับรายการที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการผลิตในปัจจุบันหรือในอนาคต
(ข) ต้นทุนในช่วงระยะเวลาการไต่สวนที่ได้รับผลกระทบจากการเริ่มต้นการผลิตแต่การปรับต้นทุนในกรณีนี้จะต้องครอบคลุมถึงต้นทุนเมื่อสิ้นสุดช่วงระยะเวลาเริ่มต้นการผลิตด้วย
ในกรณีที่ช่วงระยะเวลาเริ่มต้นการผลิตยาวกว่าช่วงระยะเวลาการไต่สวน
ให้นำต้นทุนครั้งหลังสุดมาประกอบการพิจารณาด้วย
ข้อ ๒ การคำนวณจำนวนที่เหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการจัดการ
การขาย และค่าใช้จ่ายอื่น ตลอดจนกำไรที่เกิดขึ้นของสินค้าที่ถูกพิจารณา เพื่อหามูลค่าปกติตามมาตรา
๑๕ วรรคสอง (๒) ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ใช้ข้อมูลการผลิตและการขายที่เกิดขึ้นจริงในทางการค้าปกติสำหรับสินค้าชนิดเดียวกันของผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือของผู้ผลิตในต่างประเทศ
(๒) ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลตาม (๑) ให้ใช้ข้อมูลอย่างหนึ่งอย่างใดโดยลำดับ
ดังนี้
(ก) ข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากการผลิตและการขายสินค้าประเภทเดียวกันในประเทศแหล่งกำเนิดของผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือของผู้ผลิตในต่างประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา
(ข) ข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากการผลิตและการขายสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศแหล่งกำเนิดของผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือของผู้ผลิตในต่างประเทศซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณารายอื่น
โดยวิธีการเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก หรือ
(ค) ข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและกำไรที่คำนวณขึ้นจากวิธีการที่มีเหตุผลสมควรโดยกำไรดังกล่าวต้องไม่เกินกว่ากำไรปกติที่เกิดขึ้นจากการขายสินค้าประเภทเดียวกันในประเทศแหล่งกำเนิดของสินค้าที่ถูกพิจารณาของผู้ส่งออกจากต่างประเทศหรือของผู้ผลิตในต่างประเทศรายอื่น
ข้อ ๓ ในการเปรียบเทียบเพื่อหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดตามมาตรา
๑๘ ที่ต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมาคำนวณประกอบการเปรียบเทียบด้วย ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยน
ณ วันที่มีหรือถือว่ามีการซื้อขายสินค้าที่ถูกพิจารณาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ เว้นแต่ในการซื้อขายสินค้าที่ถูกพิจารณาได้มีการตกลงให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ก็ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแทน
ในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนไม่คงที่
ให้ผู้ส่งออกใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย โดยคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงระยะเวลาการไต่สวนเพื่อปรับราคาส่งออกเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวัน
ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้
คือ โดยที่มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาการทุ่มตลาด
หรือการพิจารณาการอุดหนุน และเนื่องจากการพิจารณาเรื่องดังกล่าวจะต้องพิจารณาหามูลค่าปกติของสินค้า
เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการดำเนินการต่อไป ดังนั้น สมควรกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณต้นทุนการผลิต
ค่าใช้จ่ายในการจัดการ การขาย ค่าใช้จ่ายอื่น และกำไรเพื่อให้ข้อมูลที่นำมาใช้พิจารณาสอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกัน
นอกจากนี้ สมควรกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อมูลและวิธีหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อให้การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความชัดเจนสามารถใช้ประกอบการเปรียบเทียบราคาส่งออกและมูลค่าปกติเพื่อหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดให้เป็นไปตามที่มีการยอมรับและเป็นบรรทัดฐานใกล้เคียงกัน
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิภา/ผู้จัดทำ
๑ กันยายน
๒๕๕๔
สายสัมพันธ์/ปรับปรุง
๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๓
ภิรมย์พร/ตรวจ
๔ ธันวาคม
๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๒๗ ก/หน้า ๔/๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.