title
stringlengths 2
223
| body
stringlengths 496
195k
| summary
stringlengths 34
1.83k
| type
stringlengths 4
98
⌀ | tags
stringlengths 2
1.52k
⌀ | url
stringlengths 27
112
|
---|---|---|---|---|---|
สาธารณสุข จ.ยโสธร เตือนปชช.จับค้างคาวมาบริโภค | ชาวบ้านในอำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร นำตาข่ายดักจับค้างคาวที่อาศัยอยู่ตามต้นตาลในช่วงกลางวัน จำนวนหลายพันตัว เพื่อนำไปทำอาหาร ซึ่งชาวบ้านบอกว่านอกจากนำไปทอดกรอบกระเทียมพริกไทยอร่อยแล้ว เชื่อว่าการรับประทานค้างคาวจะทำให้สุขภาพแข็งแรง และเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศขณะที่นายแพทย์ สุใหญ่ ลิ่มโตประเสริฐ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยโสธร ระบุว่าการนำค้างคาวไปทำอาหาร ควรทำให้สุกหรือผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน เพื่อไม่ให้เสี่ยงกับการรับเชื้อโรค เช่น โรคท้องร่วง โรคไข้หวัดนก และเชื้อพยาธิ ซึ่งอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตขณะเดียวกันควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับค้างคาวโดยตรง เพื่อป้องกันการไปสัมผัสถูกบริเวณที่มีเชื้อไวรัส ซึ่งจะเข้าสู่ร่างกายได้ทันทีหากมีบาดแผล ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติต่อร่างกาย เป็นไข้ ควรแจ้งแพทย์ด้วยว่ามีการบริโภคและสัมผัสค้างคาวมาก่อน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยโรค | นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยโสธร เตือนให้เพิ่มความระมัดระวังในการจับค้างคาวมาบริโภค เพราะอาจเสี่ยงติดเชื้อที่มากับค้างคาว หลังมีชาวบ้านในอำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร จับค้างคาวที่มาอาศัยอยู่ตามต้นตาลไปปรุงเป็นอาหาร เพราะเชื่อว่าจะทำให้สุขภาพแข็งแรง และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ | ภูมิภาค | ค้างคาว,บริโภค,ยโสธร,สาธารณสุข,เชื้อโรค | https://news.thaipbs.or.th/content/175429 |
สโนวเดน มีแผนลี้ภัยไปเอกกวาดอร์ | หลังยกเลิกกำหนดการเดินทางเดิมที่ต้องผ่านคิวบารายงานข่าวของสำนักข่าว เดอะ การ์เดียน เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2013 กล่าวว่า เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ผู้เปิดโปงโครงการสอดแนมของสหรัฐฯ และอังกฤษ ได้พยายามหลบหนีไปยังประเทศเอกวาดอร์ หลังจากเดินทางออกจากฮ่องกงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเดอะ การ์เดียน กล่าวว่า สโนวเดนหายตัวไปอีกครั้งขณะอยู่ในกรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย เขาได้หนีออกจากเครื่องบินโดยไม่มีใครเห็น แต่ก็ถูกตามตัวโดยแพททริซิโอ ชาเวซ เอกอัครราชทูตเอกวาดอร์ โดยมีการสันนิษฐานว่าเขาจะเดินทางไปยังกรุงกีโต ประเทศเอกวาดอร์ผ่านทางคิวบาในวันที่ 24 มิ.ย.สโนวเดนได้ขอลี้ภัยทางการเมืองในเอกวาดอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางการเอกวาดอร์ได้เคยให้ที่ลี้ภัยแก่จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีคส์ที่สถานทูตของพวกเขาในกรุงลอนดอนทางวิกิลีคส์ซึ่งคอยช่วยเหลือสโนวเดนในการเดินทางและเรื่องทางกฏหมายก็ได้ออกแถลงการณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า สโนวเดนจะใช้ช่องทางปลอดภัยเดินทางไปยังเอกวาดอร์เพื่อเป็นที่ลี้ภัยทางการเมือง โดยมีนักการทูตและนักกฏหมายของวิกิลีคส์เป้นผู้ช่วยนำทางจูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วเขามีความรู้สึกร่วมกับจุดยืนของสโนวเดน และวิกิลีกส์สนับสนุนการเปิดโปงเรื่องโครงการสอดแนมระดับใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯทางด้านรัฐมนตรีการต่างประเทศของเอกวาดอร์ซึ่งกำลังเดินทางเยือนเวียดนามกล่าวว่าพวกเขาได้รับคำขอของสโนวเดนแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำตามข้อเรียกร้องหรือไม่ โดยทางการเอกวาดอร์กำลังวิเคราะห์เรื่องผลกระทบที่ต้องรับผิดชอบจากการตัดสินใจนี้อยู่ทางการสหรัฐฯ แสดงความรู้สึกไม่พอใจต่อการที่สโนวเดนหลบหนีจากฮ่องกง ขณะเดียวกันทางการรัสเซียก็ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในเรื่องนี้เมื่อมีกระแสข่าวว่าสโนวเดนถูกยึดหนังสือเดินทางก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากฮ่องกงขณะเดียวกันก็ไม่มีวีซ่าที่ใช้เดินทางไปรัสเซียแต่ทางรัสเซียก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อเหตุการณ์ และบอกว่าสโนวเดนจะปลอดภัยจากการตามล่าของเจ้าหน้าที่ตราบใดที่เขายังอยู่ในห้องพักผู้โดยสารรอผ่านแดน ที่สนามบินนานาชาติเชเรเมทเยโว ขณะที่ ดีมิทรี เปสคอฟ โฆษกของผู้นำรัสเซียกล่าวว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทางการฮ่องกงออกมายอมรับเรื่องที่อนุญาตให้สโนวเดนออกจากประเทศเมื่อ 5 ชั่วโมงหลังจากที่เขาขึ้นเครื่องบิน Aeroflot ไปยังกรุงมอสโควแล้ว และเพิ่งมีการค้นพบข้อผิดพลาดด้านเอกสารสองวันหลังจากที่มีการยื่นเอกสารเดินทางอย่างเป็นทางการ โดยที่เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อคืนวันอาทืตย์ที่ผานมาว่าพวกเขาผิดหวังที่ทางการฮ่องกงไม่จับกุมตัวสโนวเดนเมื่อราวสองทุ่มของวันจันทร์ (24 มิ.ย.) ตามเวลาของไทย สำนักข่าวลอนดอนอีเวนนิงสแตนดาร์ดรายงานข่าวความคืบหน้าว่าสโนวเดนไม่ได้ขึ้นเครื่องบินไปยังกรุงฮาวานา ประเทศคิวบา เพื่อเดินทางต่อไปยังเอกวาดอร์ตามกำหนดการ แต่ได้เดินทางโดยเส้นทางอื่นก่อนหน้านี้ทำให้สามารถเล็ดรอดหลบหนีการจับกุมของหน่วยซีไอเอได้The Guardian 24-06-2013London Evening Standard 24-06-2013 | เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ผู้เปิดโปงโครงการสอดแนมอินเตอร์เน็ตพยายามหลบหนีไปยังประเทศเอกวาดอร์ ท่ามกลางการไล่ล่าจากทางการสหรัฐฯ โดยล่าสุดรายงานข่าวจากสำนักข่าวอังกฤษเผยว่าเขาเล็ดรอดการจับกุมของซีไอเอได้ | ต่างประเทศ,สิทธิมนุษยชน,ไอซีที | จูเลียน อัสซานจ์,วิกิลีกส์,เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน | https://prachatai.com/journal/2013/06/47370 |
ค้านเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลงไม่เป็นธรรม | กลุ่มนักร้อง นักดนตรี และผู้ประกอบธุรกิจดนตรี จากทั่วประเทศ รวมตัวที่ เวทีแสดงดนตรีพระประแดงอาเขต จังหวัดสมุทรปราการ โดยสวมเสื้อสีดำมีข้อความ เพลงไทย คนไทยต้องร้องได้ รวมทั้ง จัดคอนเสิร์ต เพื่อแสดงจุดยืน การไม่เล่น ไม่ร้อง ไม่ต้อนรับศิลปิน จากบริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ (บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด มหาชน)นายเกรียงศักดิ์ ปรีชาวุฒิวัฒน์ ประธานชมรมผู้ประกอบการวงดนตรี เปิดเผยว่า การรวมตัวไม่ได้ต่อต้านการเก็บค่าลิขสิทธิ์ แต่แสดงจุดยืนของกลุ่มคนทำงานด้านดนตรี ทั้งวงดนตรี เครื่องไฟ แสง สี เสียง ที่จะไม่เล่น ไม่ร้องเพลง รวมทั้ง ไม่ให้ศิลปินบริษัทที่เรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ขึ้นเวทีแสดง เพราะเห็นว่าไม่เป็นธรรม โดยอยากให้ส่งตัวแทนเข้าร่วมเจรจาแก้ปัญหา ขณะนี้จึงใช้เพลงของค่ายอื่น ที่ไม่เรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์แทนขณะที่ นายสดใส รุ่งโพธิ์ทอง ศิลปิน นักแต่งเพลง บอกว่าแม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็ต้องทำงานกับกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งเห็นพ้องว่า การเก็บค่าลิขสิทธิ์ไม่เป็นธรรม ผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ เพราะวงดนตรีเป็นผู้สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนรากหญ้า จึงอยากให้มีหน่วยงานเข้ามาดูแล เช่น กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่เชื่อมโยง หรือจัดระเบียบการเก็บค่าลิขสิทธิ์ แบบเป็นธรรมและเป็นมาตรฐานเดียวกันขณะเดียวกัน กลุ่มคนดนตรีที่รวมตัว ยังได้ลงรายชื่อเพื่อให้ครบ 50000 รายชื่อ ก่อนยื่นเสนอประธานรัฐสภา เพื่อให้พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฉบับนี้ด้วย | กลุ่มศิลปินดนตรีและผู้ประกอบธุรกิจดนตรี รวมตัวคัดค้านการเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลงของบริษัทค่ายเพลงใหญ่ พร้อมเชิญร่วมลงลายชื่อให้ครบ 50000 รายชื่อ เพื่อเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติฉบับนี้ เพราะเห็นว่า ไม่เป็นธรรม | ศิลปะ-บันเทิง | นักร้อง,ลิขสิทธิ์,ศิลปิน,เพลง | https://news.thaipbs.or.th/content/203462 |
สัญชาติไทยหน้าฝรั่ง ตุ๋นเงินคนเมืองกาญจน์ นาฬิกาปลอมหลอกแลกเงิน | ส.ทท 8 กก.2 บก.ทท. (กาญจนบุรี) เวลาประมาณ 10.00 น. ได้รับแจ้งจากผู้จัดการโรงแรม Hop Inn กาญจนบุรี ว่ามีชายคล้ายชาวต่างชาติมาเข้าพัก มีรูปร่างลักษณะและขับรถเหมือนกับที่มีคนแจ้งไว้ในเพจของเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า คนเมืองกาญจน์2 ซึ่งชายลักษณะดังกล่าวได้เข้าไปขอความช่วยเหลือ อ้างว่าตนไม่มีเงินติดตัว ขอเงินค่าน้ำมันกลับภูเก็ต,ทั้งนี้ ได้มีการเข้าไปตรวจสอบตามเพจดังกล่าว พบผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายรายถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน บางครั้งก็อ้างว่าถูกผู้หญิงไทยหลอกไม่มีเงินติดตัว ขอเงินกินข้าว ไม่มีเงินเติมน้ำมันกลับบ้าน จึงได้นำนาฬิกายี่ห้อ LOBOR มาให้ไว้และจะนำเงินมาคืน รายละประมาณ 3,500 บาท อ้างว่านาฬิกาเรือนดังกล่าวมีมูลค่ามากถึง 600 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 20,000 บาท,สว.ส.ทท.8ฯ ร้อยเวรฯ พร้อมสายตรวจรถยนต์ 2802 และเจ้าหน้าที่ล่ามแปลเดินทางไปตรวจสอบที่โรงแรมที่เกิดเหตุ พบว่าชายคนดังกล่าวได้คืนห้องไปแล้ว จึงได้ขอรายละเอียดทั้งหมดไว้ ต่อมาได้ทำการสืบหาข้อมูลของชายคนดังกล่าว ทราบว่าชื่อ นายยามาซาล วารีศรี หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน 5 8208 00044 20 1 สัญชาติไทย อยู่บ้านเลขที่ 463/55 หมู่ที่ 8 ต.สมอแข อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก,ต่อมาเวลา 19.53 น. ได้รับแจ้งจากผู้จัดการโรงแรม ว่า นายยามาซาล ได้มาเข้าพักที่โรงแรม Hop Inn อีกครั้ง โดยเข้าพักที่ห้อง 604 จึงได้ติดต่อประสานกับผู้เสียหายบางส่วนในเฟซบุ๊กช่วยกันกระจายข่าว เพื่อให้ผู้เสียหายมาพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อทำการเจรจาตกลงค่าเสียหาย ต่อมามีผู้เสียหายจำนวน 2 ราย ได้เดินทางมาที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี,โดยนายยามาซาล ยอมรับ และได้เขียนด้วยลายมือเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ว่า ได้เคยกระทำพฤติกรรมการหลอกแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง และหลายพื้นที่ นับเป็นจำนวน 100 กว่าครั้ง ทั้งนี้ ผู้เสียหายสามารถมาดูตัว และแจ้งความเพิ่มเติมได้ กับ พ.ต.ท.อุทัย นามงาม พงส.ผนพ. สภ.เมืองกาญจนบุรี เบอร์โทรศัพท์ 087-1658118 | หน้าฝรั่งสัญชาติไทย หลอกเงินคนเมืองกาญจน์ อ้างเป็นชาวต่างชาติถูกหญิงไทยหลอกเอาเงินจนหมดตัว นำนาฬิกายี่ห้อ LOBOR ของปลอม หลอกแลกเงิน 3500 บาท โกหกว่าถ้าเหยื่อนำไปจำนำต่อ จะได้เงินสูง 600 ยูโร พลเมืองดีแจ้งเบาะแส ตร.รวบตัวได้ | null | หลอกเงิน คนกาญจน์,สัญชาติไทยหน้าฝรั่ง,หลอกตุ๋นเงิน,หลอกเอาเงิน,นาฬิกาข้อมือปลอม,โกหกโดนสาวไทยหลอกหมดตัว,พลเมืองดีแจ้งความจับคนร้ายต้นตุ๋น,กาญจนบุรี,ข่าว,ไทยรัฐออนไลน์,ข่าวทั่วไทย | https://www.thairath.co.th/content/540410 |
WHO ตั้งชื่อทางการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 | เมื่อวันที่ 11 ก.พ.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก แถลงตั้งชื่อใหม่อย่างเป็นทางการให้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ว่า COVID-19 โดยคำว่าCO ย่อมาจาก Corona คำว่าVI ย่อมาจาก Virus คำว่า D ย่อมาจาก Disease และตัวเลข 19 มาจากปีที่ไวรัสตัวนี้เริ่มระบาดครั้งแรกผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า การตั้งชื่อใหม่ให้กับไวรัสเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและหลีกเลี่ยงการอ้างอิงสภาพภูมิศาสตร์ สายพันธุ์สัตว์ หรือกลุ่มคนตามหลักเกณฑ์การตั้งชื่อ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดรอยมลทินกับกลุ่มคนหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นการกำหนดรูปแบบมาตรฐานที่ใช้ในการระบาดของไวรัสชนิดนี้ในอนาคตก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลกตั้งชื่อชั่วคราวให้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน 2019-nCoV ขณะที่คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีนตั้งชื่อชั่วคราวให้กับไวรัสว่า novel coronavirus pneumonia หรือ NCPระหว่างการแถลง ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกยังระบุว่า การระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นภัยร้ายแรงต่อโลก ขณะที่วัคซีนที่จะใช้รับมือการระบาดจะนำมาใช้ได้ภายในอีก 18 เดือน | องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งชื่อใหม่อย่างเป็นทางการให้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ว่า COVID-19 ส่วนวัคซีนที่จะใช้รับมือกับการระบาดจะพร้อมนำมาใช้ได้ภายใน 18 เดือน | ต่างประเทศ | COVID-19,ไวรัสโคโรนา,องค์การอนามัยโลก,ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ | https://news.thaipbs.or.th/content/288861 |
ปชช.เนืองแน่นร่วมเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพ | ตำรวจนำแผงเหล็กมาปิดกั้นถนนบริเวณสี่แยกคอกวัว เฉพาะในส่วนฝั่งที่มุ่งหน้าเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ไปยังพระบรมมหาราชวังในช่วงบ่ายวันนี้,หลังจากนี้ไปจนจบพระราชพิธี เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้รถยนต์ที่ไม่เกี่ยวข้องมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณถนนราชดำเนินใน แต่พสกนิกรชาวไทย ยังสามารถเดินเท้าเข้าสู่สนามหลวงได้,ซึ่งการจราจรโดยรอบถนนราชดำเนิน ที่มีการปิดถนน ตำรวจยังคงเร่งระบายรถยนต์ และรถโดยสารประจำทาง เลี้ยวรถกลับไปยังถนนตะนาวทั้งสองฝั่ง ส่วนฝั่งถนนที่มุ่งหน้าไปยังแยกนางเลิ้ง การจราจรเริ่มติดขัด โดยหัวแถวชะลอตัวอยู่ที่บริเวณสี่แยกประตูน้ำ และตำรวจได้แนะนำให้ประชาชน หากประสงค์จะเดินทางมาที่พระบรมมหาราชวัง ขอให้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะแทน,ขณะนี้ ตำรวจยังคงเร่งระบายรถให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับการเดินทางของพสกนิกรชาวไทยที่ทยอยเดินทางกันมาอย่างเนืองแน่น ขณะที่ห้างร้านหลายแห่ง ประดับผ้าสีขาว-ดำที่ป้ายบริเวณหน้าร้าน เพื่อแสดงความไว้อาลัย,ส่วนบริเวณโดยรอบถนนราชดำเนิน พสกนิกรชาวไทยสวมเครื่องแต่งกายสีดำทยอยเดินเท้าเข้าสู่พระบรมมหาราชวังกันอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ได้จับจองพื้นที่ริมบาทวิถี เพื่อเฝ้ารอพิธีอัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ไปยังพระบรมมหาราชวัง ในช่วงบ่ายวันนี้,ตำรวจเริ่มวางกำลังจัดระเบียบพื้นที่ให้กับพสกนิกรที่มาเฝ้าส่งเสด็จ ไม่ให้จับจองที่นั่งพ้นออกมานอกถนน และขอความร่วมมือไม่ให้กางร่ม ไม่สวมแว่นกันแดด และห้ามถ่ายรูปขณะที่มีการเคลื่อนพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ,ขณะที่ บริเวณสี่แยกอรุณอัมรินทร์ พบหญิงชราป่วยเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นคนไข้ประจำของโรงพยาบาลศิริราช เกิดอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ขณะเดินทางมาพร้อมครอบครัว เพื่อรอเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้เข้าปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง โดยทีมเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ยังคงให้บริการน้ำดื่มรวมถึงขนมปังแก่ประชาชนที่มารอเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ,ด้านพลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันนี้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย จะถ่ายทอดสด พระราชพิธีอัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ จากโรงพยาบาลศิริราช ไปยังพระบรมมหาราชวัง ซึ่งจะเริ่มถ่ายทอดตั้งแต่เวลา 14 นาฬิกา 30 นาที เป็นต้นไปจนเสร็จสิ้นพระราชพิธีโดยสมบูรณ์,คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดสดพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ในวันนี้ ตลอดจนพระราชพิธีอันจะปรากฏในอนาคตเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาต | พสกนิกรชาวไทยยังคงทยอยเดินทางไปที่พระบรมมหาราชวังอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ฝั่งมุ่งหน้าสู่พระบรมมหาราชวัง ปิดการจราจรแล้ว | null | ในหลวงสวรรคต,พระเจ้าอยู่หัวสวรรคต,รัชกาลที่ 9 สวรรคต,สิ้นรัชกาลที่ 9,พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช,พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ,ประวัติในหลวง,รูปในหลวง,ภาพในหลวง,พระราชดำรัส,พระราชกรณียกิจ | https://www.thairath.co.th/content/753891 |
สุราษฎร์ฯ อ่วม ชาวบ้านกว่า 100 ครัวเรือน อพยพหนีน้ำท่วมขึ้นที่สูง | วันที่ 1 ธ.ค. 60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี แม้ว่าฝนจะหยุดตก และหลายพื้นที่น้ำได้เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ในพื้นที่ราบลุ่มยังคงมีน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะที่สำนักทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) เขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ยังคงมีน้ำท่วมขังภายในเขตพื้นที่ ระดับน้ำท่วมสูงที่ 60–90 เซนติเมตร ทำให้บ้านพักของพนักงานกว่า 100 ครัวเรือน ต้องขนย้ายสิ่งของไปอยู่บนชั้น 2 ส่วนเครื่องจักรชนิดต่างๆ ได้จอดอยู่ในน้ำ แต่เป็นเครื่องจักรชนิดใหญ่ ทำให้น้ำท่วมไม่ถึงห้องเครื่อง เว้นแต่เครื่องจักรขนาดเล็กที่ต้องนำออกจากโรงจอดไปไว้ที่สูง,นายจำนง ตรีบริษัท อายุ 47 ปี นายช่างเครื่องกลชำนาญงาน กล่าวว่า ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานีได้เกิดฝนตกหนักมาหลายวันแล้ว และได้ตกหนักในช่วงเช้าของ เมื่อวานนี้ (30 พ.ย.) ทำให้น้ำได้ไหลมาท่วมขังในเขตสำนักทางหลวง อย่างรวดเร็ว ทำให้พนักงานต่างนำเครื่องจักร และรถที่เสี่ยงถูกน้ำท่วมขึ้นไว้ที่สูง และที่บ้านพักก็ได้รีบขนย้ายสิ่งของไว้บนชั้น 2 ซึ่งตอนนี้ระดับน้ำยังลดลงอย่างช้าๆ คงเป็นเพราะน้ำภายนอกยังมากอยู่ ตอนนี้พนักงานก็ต้องเดินลุยน้ำเข้าออก เพราะมีเรือไฟเบอร์เพียง 1 ลำเท่านั้น,ทางด้าน นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2560 ขณะที่สถานการณ์ล่าสุด ฝนหยุดตก มีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 9 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบ้านนาสาร พระแสง ชัยบุรี เวียงสระ บ้านนาเดิม กาญจนดิษฐ์ เกาะสมุย เคียนซา และอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี รวมทั้งสิ้น 22 ตำบล 86 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับผลกระทบ 2,795 ครัวเรือน 8,570 คน ความเสียหายอยู่ระหว่างการสำรวจ,ทั้งนี้ แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยที่ราบลุ่ม/ที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ให้ระมัดระวังอุทกภัย วาตภัย ลมกระโชกแรง คลื่นลมแรง และระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนตกสะสม ไปจนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นี้. | ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เผย ขณะนี้มีพื้นที่ประสบภัยกว่า 9 อำเภอ น้ำท่วมขังเกือบ 1 เมตร ชาวบ้านกว่า 100 ครอบครัวอพยพขึ้นที่สูง เตือนประชาชนที่อาศัยใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก จนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นี้ | ข่าว,ทั่วไทย | น้ำท่วม,ภาคใต้,อุทกภัย,อพยพ,สุราษฎร์ธานี,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/south/1141607 |
ตร.เร่งสอบคดีบัณฑิตเกียรตินิยม ม.กรุงเทพเสียชีวิตบนเจดีย์ภูเขาทอง | เมื่อวานนี้ (29 ส.ค.2559) พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยความคืบหน้าในการสอบสวนการเสียชีวิตของนายนราวุฒิ พวงเกสร อายุ 26 ปี ว่าตำรวจจะเรียกครอบครัวของนายนราวุฒิมาสอบปากคำอีกครั้งหนึ่งว่าทางครอบครัวยังติดใจการเสียชีวิตในประเด็นใดบ้าง เพราะตำรวจต้องพิสูจน์ให้ครอบคลุมทุกประเด็น ยังไม่ฟันธงสาเหตุการเสียชีวิต แต่พบเบาะแสที่น่าสนใจคือที่ระฆังซึ่งมีคราบเลือดติดอยู่ข้างๆและกระจายอยู่บริเวณใกล้เคียง รวมทั้งคราบเลือดบริเวณเพิงพัก ซึ่งต้องนำเลือดไปเปรียบเทียบกับผู้ตาย นอกจากนี้ต้องตรวจลายนิ้วมือแฝง ดีเอ็นเอและพิษวิทยาว่ามีสารใดในร่างกายหรือไม่นายนราวุฒิเสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 ส.ค.2559 หลังจากมีผู้พบเขาได้รับบาดเจ็บ นอนจมกองเลือดที่บริเวณทางเดินบนพระบรมบรรพตหรือภูเขาทอง วัดสระเกศ ที่ศีรษะมีบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งนายนราวุฒิทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาลครอบครัวของนายนราวุฒิไม่เชื่อว่าเขาเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย จึงได้ขอให้ตำรวจสอบสวนอย่างละเอียดพล.ต.อ.ศานิตย์กล่าวว่าได้สั่งการพนักงานสอบสวนตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในวันก่อนเกิดเหตุเพื่อเชื่อมโยงกับหลักฐานทั้งหมด หากสอบสวนได้ทุกแง่มุมจะสามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนขึ้น แต่ยังไม่ขอมุ่งไปที่ประเด็นการฆ่าตัวตาย โดยต้องหาหลักฐานให้ครบถ้วนก่อน ซึ่งผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์จะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ | ตำรวจนครบาลเร่งคลี่คลายคดีบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้รับบาดเจ็บบนเจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศ กรุงเทพมหานครและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยพบรอยเลือดติดอยู่ที่ระฆังและเพิงพัก เตรียมตรวจดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงในจุดเกิดเหตุ | อาชญากรรม | ตำรวจนครบาล,บัณฑิตเกียรตินิยม,เจดีย์ภูเขาทอง,พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร,คราบเลือด,บัณฑิตเสียชีวิต,ข่าวไทยพีบีเอส,ThaiPBSnews,ฆ่าตัวตาย,ภูเขาทอง | https://news.thaipbs.or.th/content/255304 |
คมนาคมยืนยัน ญี่ปุ่นไม่แคนเซิลลงทุน รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ | กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อแขนงต่างๆ โดยนำเสนอ ว่า ประเทศญี่ปุ่น จะไม่เข้าร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ในส่วนของงานก่อสร้างและงานวางระบบ รวมถึงงานจัดซื้อตัวรถและซ่อมบำรุง เนื่องจากกังวลว่าจะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ส่วนด้านงานบริหารและการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานี (TOD) ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะเข้ามาร่วมลงทุนควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านความรู้เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง เพื่อผลิตบุคลากรรองรับในอนาคต,เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2561 นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ต่อการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยขอชี้แจงว่า กระทรวงคมนาคม (คค.) และกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น (MOC) เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนารถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยได้เริ่มทำการศึกษา ความเหมาะสมของโครงการระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 แล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2560. | ก.คมนาคมยืนยัน ญี่ปุ่นไม่ได้ยกเลิกการร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เดินหน้าตั้งคณะทำงาน 2 ฝ่าย เร่งศึกษาให้ได้ข้อสรุปอย่างรอบคอบ และเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด | ข่าว,เศรษฐกิจ | รถไฟฟ้าความเร็วสูง,รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่,กระทรวงคมนาคม,ลงทุนร่วมไทย-ญี่ปุ่น,ความร่วมมือการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/business/1404088 |
แพงยันเมล็ด ปีทองทุเรียน แห่ซื้อพันธุ์พื้นบ้านไปเพาะขาย | วันที่ 12 มิ.ย. 61 ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณีที่ราคาเมล็ดทุเรียนบ้านใน จ.พังงา พุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 80 บาท ทำให้มีการตั้งข้อสงสัยว่า จะมีการกว้านซื้อเมล็ดทุเรียนเพื่อนำพันธุ์เมล็ดส่งออกต่างประเทศ เบื้องต้น ได้สอบถาม นางสาโรจน์ ภูมิรักษ์ อายุ 52 ปี แม่ค้ารับซื้อเมล็ดทุเรียน ที่บ้านเลขที่ 11/5 ม.6 บ้านหินสามก้อน ต.กระโสม อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ทราบว่า เมล็ดทุเรียนที่ตนเองรับซื้อนั้น นำส่ง จ.ชุมพร เพื่อเพาะปลูก ซึ่งคนรับซื้อรู้จักกันดีและเป็นญาติ เป็นการรับซื้อเพื่อนำไปเพาะเพื่อจำหน่ายต้นกล้าอีกที่หนึ่ง ส่วนจะเพาะพันธุ์ส่งออกหรือไม่นั้น ตนเองมองว่าในกลุ่มเครือญาติไม่มีการส่งพันธุ์ทุเรียนไปต่างประเทศแน่นอน ,ด้าน นายธีรพงศ์ ตันติเพชราภรณ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดพังงา กล่าวว่า กรณีราคาเมล็ดทุเรียน กิโลกรัมละ 80 บาทนั้น พบว่ามีทั้งผู้ต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์พื้นเมือง เพื่อเพาะพันธุ์ภายในประเทศและต่างประเทศ ขณะผลผลิตออกสู่ตลาดมีการสั่งผลทุเรียนจากจังหวัดต่างๆ ในปริมาณมาก ทำให้ราคาเมล็ดทุเรียนมีราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปกติราคาเมล็ดทุเรียนกิโลกรัมละ 30 บาท ปัจจุบัน พบว่ากิโลกรัมละ 50-80 บาท โดยอาจจะเกิดจากความต้องการเมล็ดทุเรียนในส่วนของต่างประเทศด้วย เนื่องจากในปีนี้ราคาทุเรียนมีราคาสูง ทำให้ความต้องการเมล็ดทุเรียนของเกษตรกรมีมากขึ้น,นายธีรพงศ์ กล่าวอีกว่า ต้นพันธุ์ทุเรียนพื้นเมืองมีความแข็งแรง โดยนำยอดทุเรียนพันธุ์ต่างๆ เสียบยอด เพื่อได้ต้นทุเรียนที่ทนทาน มั่นคง แข็งแรง และได้ผลดี และทราบข่าวว่าความต้องการของต่างประเทศ มีออเดอร์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา โดยไม่ได้ผ่านภาครัฐ หรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลของการส่งออกและนำเข้าพืชพันธุ์ของประเทศไทย หรือเป็นการลักลอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน และสินค้าผลิตผลของทุเรียนได้ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่ามีการขยายพื้นที่ปลูกอย่างมโหฬารในต่างประเทศ และหากทุเรียนในต่างประเทศให้ผลผลิตจะส่งผลกระทบกับทุเรียนในประเทศไทยอย่างแน่นอน,ทางสภาเกษตรกรแห่งชาติ รับทราบเรื่องนี้แล้ว และมีคณะกรรมการด้านไม้ผล จากสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ มีการหารือกัน ต้องมีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดูแลการส่งออกเมล็ดทุเรียนหรือต้นทุเรียน เพื่อป้องกันการปลูกทุเรียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะพันธุกรรม ซึ่งทุเรียนไทยถือว่าเป็นหนึ่งเทียบเท่าประเทศมาเลเซีย ทางคณะกรรมการสภาเกษตกรแห่งชาติ มีความเป็นห่วงเรื่องทุเรียนพันธุ์ที่มีชื่อเสียง เช่น หมอนทอง ก้านยาว ชะนี เป็นต้น จะทะลักออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะนำพันธุ์ทุเรียนเหล่านี้เพาะปลูก เมื่อได้ผลผลิตแล้วจะกลับมาสร้างปัญหาให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะส่งผลกระทบกับเกษตรกรไทย | จริงหรือ! ลักลอบส่งเมล็ดพันธุ์ทุเรียนพื้นบ้านออกนอกประเทศ หลังราคารับซื้อแพงขึ้นเท่าตัว พร้อมกระแส่ขาว ต่างชาติแห่ปลูกทุเรียนแข่งกับไทย ขณะที่แม่ค้ายืนยัน ญาติซื้อไปเพาะต้นขาย | ข่าว,ทั่วไทย | ทุเรียน,ทุเรียนแพง,ซื้อเมล็ดทุเรียน,ทุเรียนพื้นบ้าน,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/south/1305801 |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 2 – 8 พ.ค. 2553 | แรงงานเด็กพุ่ง-ทำงานเท่าผู้ใหญ่ข่าวสด (3 พ.ค. 53) - เมื่อวันที่ 2 พ.ค. รศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา รองอธิการบดีฝ่ายความร่วมมือและเครือข่าย และอาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม(วปส.) มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า วปส.ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) จัดทำรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2553 เรื่อง วิกฤตทุนนิยมสังคมมีโอกาส ได้รวบรวมดัชนีชี้วัด 12 ด้าน โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2552 เรื่องปัญหาแรงงานเด็ก พบว่ามีแรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มากถึง 12% ของแรงงานกลุ่มอาชีพขั้นพื้นฐาน หรือแรงงานไร้ฝีมือทั้งหมด แต่กลับต้องทำงานหนักเท่าแรงงานผู้ใหญ่คือ เดือนละ 22 วัน เฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง หากเป็นแรงงานต่างด้าวจากพม่า กัมพูชา จะอยู่ที่28 วันต่อเดือนหรือแทบไม่มีวันหยุดเลยรศ.ดร.ชื่นฤทัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มผู้พิการอายุ 15 ปีขึ้นไป มีงานทำมีเพียง 1 ใน 3 ของผู้พิการทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเกษตรกร ประมง ที่สำคัญคือ ได้ค่าจ้างขั้นต่ำต่อวันน้อยกว่าแรงงานปกติ โดย 53.2% ของแรงงานพิการ มีรายได้เฉลี่ย 3000 บาท ขณะที่แรงงานปกติ ที่ไม่มีประสบการณ์ มีรายได้น้อยที่สุดอยู่ที่ภาคเหนือ เฉลี่ยเดือนละ7610 บาทน.พ.สนธยา พรึงลำภู ที่ปรึกษาการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม(สปส.) กล่าวว่าปัจจุบันมีแรงงานที่ได้รับการคุ้มครองสวัสดิการตามกฎหมายประกันสังคม จำนวน 8 ล้านกว่าคน และจัดเก็บเงินสมทบจากนายจ้างในกองทุนเงินทดแทนได้ ประมาณ 2800 กว่าล้านบาทแต่พบว่า มีการจ่ายเงินทดแทนให้ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิรับเงินทดแทน 1688 ล้านบาท หรือ58.72% ของเงินกองทุนทั้งที่ผู้ประกันตนของสปส. มีผู้ป่วยเรื้อรังประมาณ 5% มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนกลุ่มนี้มากถึง 1 ใน 4 ของกองทุน แนวโน้มค่าใช้จ่ายจากโรคเรื้อรังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมากเมื่อเปรียบเทียบใน ปี 2548 มี อัตราค่าใช้จ่ายโรคเรื้อรังที่ 2291 ล้านบาท เพิ่มเป็น4381 ล้านบาทในปี 2550 เห็นได้ชัดเจนว่าโรคเรื้อรังกำลังเป็นภาระให้ แก่กองทุนอย่างมากนางเบญจมาภรณ์ จันทรพัฒน์ ผอ.สำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพและบริการสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ในอนาคตหากไม่มีการป้องกันและปล่อยให้เกิดโรคเรื้อรังในสัดส่วนที่สูงขึ้น จะเป็นภาระต่อกองทุนประกันสังคมอย่างมาก เพราะโรคเรื้อรังมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นภาครัฐควรต้องจัดการเชิงรุกต้องป้องกันโรคที่ภาระสูง แต่สามารถป้องกันได้ เช่น โรคเบาหวานความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ซึ่งกว่าครึ่งของผู้ประกันตนเป็นโรคกลุ่มนี้ จึงต้องมีการดูแลสุขภาพลูกจ้าง เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี การออกกำลังกาย การจัดโภชนาการที่เหมาะสม เพื่อป้องและค้นหาโรคที่สามารถรักษาได้มหิดลเปิดรายงานสุขภาพโรคเรื้อรังรุมแรงงานไทยมติชน (3 พ.ค. 53) - รศ.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรารองอธิการบดีฝ่ายความร่วมมือและเครือข่าย และอาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม(วปส.) มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า วปส.ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดทำรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2553 เรื่อง วิกฤตทุนนิยมสังคมมีโอกาส โดยรวบรวมดัชนีชี้วัด 12 ด้าน ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี2552 เรื่องปัญหาแรงงานเด็ก ระบุว่า มีแรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มากถึงร้อยละ12 ของแรงงานกลุ่มอาชีพขั้นพื้นฐาน หรือแรงงานไร้ฝีมือทั้งหมด แต่กลับต้องทำงานหนักเท่าแรงงานผู้ใหญ่ คือ เดือนละ 22 วันเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง หากเป็นแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะแรงงานพม่า กัมพูชา เฉลี่ย 28 วันต่อเดือน หรือแทบไม่มีวันหยุดรศ.ชื่นฤทัยกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มผู้พิการอายุ 15 ปีขึ้นไป มีงานทำเพียง 1 ใน 3 ของผู้พิการทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเกษตรกร ประมง ที่สำคัญคือ ได้ค่าจ้างขั้นต่ำต่อวันน้อยกว่าแรงงานปกติ โดยร้อยละ 53.2 ของแรงงานพิการ มีรายได้เฉลี่ย3000 บาท ขณะที่แรงงานปกติ ที่ไม่มีประสบการณ์ มีรายได้น้อยที่สุดอยู่ที่ภาคเหนือ เฉลี่ยเดือนละ 7610 บาทกลุ่มแรงงานเด็ก ผู้พิการ ผู้สูงอายุแรงงานในต่างประเทศ ยังถือว่าเป็นกลุ่มที่ถูกเอาเปรียบ อยู่ในภาวะยากลำบาก โดยเฉพาะถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ มีทั้งถูกหลอกให้จ่ายค่านายหน้า กดขี่ค่าแรง จนถึงหลอกไปขายบริการทางเพศ ซึ่งเป็นเพราะกฎหมายคุ้มครองแรงงานล่าสมัย ไม่เข้มงวด และไม่มีการส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้พิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ปัญหา รศ.ชื่นฤทัยกล่าวนพ.สนธยา พรึงลำภู ที่ปรึกษาการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม(สปส.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานที่ได้รับการคุ้มครองสวัสดิการตามกฎหมายประกันสังคม8 ล้านคน และจัดเก็บเงินสมทบจากนายจ้างในกองทุนเงินทดแทนได้ 2800 ล้านบาทเศษ แต่พบว่า มีการจ่ายเงินทดแทนให้ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิรับเงินทดแทน 1688 ล้านบาทหรือร้อยละ 58.72 ของเงินกองทุน ทั้งที่ในจำนวนผู้ประกันตน มีผู้ป่วยเรื้อรังร้อยละ 5 มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนกลุ่มนี้มากถึง 1 ใน 4 ของกองทุน แนวโน้มค่าใช้จ่ายจากโรคเรื้อรังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมากเมื่อเปรียบเทียบในปี 2548 ที่มีอัตราค่าใช้จ่ายโรคเรื้อรัง2291 ล้านบาท เพิ่มเป็น 4381 ล้านบาทในปี 2550 เห็นได้ชัดเจนว่าโรคเรื้อรังกำลังเป็นภาระกองทุนอย่างมากด้าน นางเบญจมาภรณ์ จันทรพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพและบริการสุขภาพ สสส.กล่าวว่า ในอนาคตหากไม่มีการป้องกันและปล่อยให้เกิดโรคเรื้อรังในสัดส่วนที่สูงขึ้น จะเป็นภาระต่อกองทุนประกันสังคมอย่างมาก เพราะโรคเรื้อรังมีค่าใช้จ่ายสูงดังนั้น ภาครัฐควรจัดการเชิงรุกกับโรคที่มีภาระสูง เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี ส่งเสริมการออกกำลังกาย ส่งเสริมโภชนาการที่เหมาะสม ฯลฯ เพราะทั้งโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง พบว่ามีกว่าครึ่งของผู้ประกันตนเป็นโรคในกลุ่มนี้แรงงานนอกระบบพุ่ง 63% ภาคอีสานยังนำโด่ง41%จี้รัฐดูแลค่าครองชีพต่ำเดลินิวส์ (3 มี.ค. 53) - รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยว่า สสช.ได้สำรวจจำนวนแรงงานนอกระบบซึ่งเป็นผู้ทำงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงาน ในปี 52 พบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 24.3 ล้านคนหรือคิดเป็น63.4% ของจำนวนผู้ที่มีงานทำทั้งสิ้น 38.4 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุดถึง 41.5% รองลงมาเป็นภาคเหนือ 21.8% ภาคกลาง 18.7%ภาคใต้ 12.6% ขณะที่ใน กทม.มีเพียง 5.4%เท่านั้นทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ ต้องการให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการได้รับค่าตอบแทนที่น้อยกว่าความเป็นจริง โดยมีมากถึง 50.6% รองลงมาเป็นงานที่ทำไม่ได้รับการจ้างอย่างต่อเนื่อง 20.9% และทำงานหนัก 18.5% ขณะที่ปัญหาด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานที่แรงงานนอกระบบต้องประสบมากที่สุด คือ ไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทางในการทำงาน มี 43.2% ปัญหาเรื่องฝุ่น ควันกลิ่น 21.9% และมีแสงสว่างไม่เพียงพอ17.1% ส่วนปัญหาด้านความไม่ปลอดภัยในการทำงานส่วนใหญ่ คือ การได้รับสารเคมีเป็นพิษ 60.3% เครื่องจักร เครื่องมือ ที่เป็นอันตราย 19.6% และการได้รับอันตรายต่อระบบหูหรือระบบตา มีประมาณ 8.6%อย่างไรก็ตามจากผลการสำรวจพบว่าจำนวนแรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 48 ที่มีจำนวน 22.5 ล้านคน หรือ62.1% ของผู้มีงานทำ จนถึงปี 52 ที่เพิ่มเป็น24.3 ล้านคน โดยในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมามีจำนวนแรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 1.3% ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นภาคที่มีแรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้นมากที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 48 มีจำนวน9.5 ล้านคน เพิ่มเป็น 10.1 ล้านคนในปี 52 หรือเพิ่มขึ้น 600000 คนรองลงมาเป็นภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากปี 48 ประมาณ 400000 คน เท่ากับภาคใต้ที่เพิ่มจาก 2.7 ล้านคนเป็น 3.1 ล้านคน ขณะที่ภาคกลางและกทม.เพิ่มขึ้นเท่ากันที่ 200000 คนนอกจากนี้แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าระดับชั้นประถมศึกษา มีจำนวน 16.6 ล้านคนหรือ 68.1% รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษา6.1 ล้านคน หรือ 25.1% ระดับอุดมศึกษา1.6 ล้านคน คิดเป็น 6.6% ซึ่งตลอด 5 ปีนับจากปี 48 แรงงานนอกระบบยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มของผู้ที่มีการศึกษาไม่สูงมากนักดังนั้นหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษาแก่แรงงานนอกระบบ เพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับสถานภาพการทำงานของแรงงานให้ดีขึ้นแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรมถึง 14.4 ล้านคนหรือ 59.1% รองลงมาอยู่ในสาขาการขายส่งและการขายปลีกฯ 3.9 ล้านคน หรือ 15.9%สาขาการโรงแรมและภัตตาคาร 1.9 ล้านคนหรือ 7.8% การผลิต 1.3 ล้านคน หรือ 5.5%สาขาการก่อสร้าง 920000 คน หรือ 3.8%ที่เหลืออยู่ในสาขาอื่น ๆรายงานข่าว กล่าวด้วยว่า จากผลสำรวจพบว่าจำนวนแรงงานนอกระบบทั้งหมดมีสัดส่วนที่เป็นผู้หญิงและผู้ชายที่ใกล้เคียงกันเป็นผู้ชาย 13.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 54.3%เป็นผู้หญิง 11.1 ล้านคน หรือ 45.7% ของแรงงานนอกระบบทั้งหมดและแรงงานนอกระบบยังเป็นแรงงานที่ได้รับบาดเจ็บมากแรงงานเปิด ช่องสมหวังแซนแนล หวังเป็นช่องทางสื่อสารระหว่างรัฐ-ผู้ใช้แรงงานแนวหน้า (4 พ.ค. 53) - เมื่อวันที่ 29 เมษายน นายไพฑูรย์ แก้ว ทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงข่าวเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ช่องสมหวังแชนแนล ที่กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับบริษัท สมหวัง แชนแนล จำกัด ในการเปิดช่องทางการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน โดยมุ่งเน้นทั้งสาระและความบันเทิง ที่จะทำให้ผู้ใช้แรงงานเข้าใจกฎหมายด้านแรงงาน หรือแม้แต่รับทราบข่าวสารการรับสมัครงานที่ง่ายขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการและประชาชนทั่วไป มีระยะเวลาในการออกอากาศ 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ได้รับการยืนยันจากผู้บริหารช่องสมหวังว่าขณะนี้มีความพร้อมเต็มที่ในการ นำเสนอข้อมูลข่าวสาร จากการทดลองออกอากาศมาเป็นระยะเวลา 1 เดือน อย่างไรก็ตามการเปิดช่องดังกล่าวยังถือได้ว่าเป็นของขวัญให้กับผู้ใช้แรงงงานในวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม โดยวิธีการรับชมช่องสมหวัง แชนแนล จะออกอากาศโดยอาศัย คลื่นความถี่ KU Band ช่องสัญญาณ NSS6 ที่สามารถรับชมทางเคเบิ้ลโอเปอร์เรดเตอร์ทั่วประเทศ ผ่านจานดาวเทียม PSI ASTV D Station Samart และ DTH เป็นต้นลูกจ้าง 2 บริษัทบุกร้อง ก.แรงงานโวยเบี้ยวค่าแรง-ผิดสัญญาจ้างเว็บไซต์คมชัดลึก (5 พ.ค. 53) - เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ลูกจ้างจากบริษัท ทองพูล จำเริญ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท วงศ์ไพฑูรย์ กรุ๊ป จำกัด รวมกว่า 300 คน เดินทางมาร้องเรียนที่กระทรวงแรงงาน โดยในส่วนของลูกจ้างบริษัททองพลูฯ มีปัญหาเรื่องการถูกนายจ้างโอนย้ายให้ไปทำงานกับบริษัทซับคอนแทร็กแห่งใหม่ โดยไม่บอกเลิกสัญญาจ้าง ขณะที่บริษัทวงศ์ไพฑูรย์ฯ ได้รับความเดือดร้อนจากการที่นายจ้างไม่มีงานให้ทำ ไม่จ่ายค่าจ้างและไม่มีการบอกเลิกจ้างกว่า 2 เดือนนายยอดยิ่ง แวงวรรณ กรรมการสหภาพแรงงานลูกจ้างเหมาค่าแรง กล่าวว่า สาเหตุที่พนักงานบริษัททองพลูฯ ไม่พอใจการโอนย้าย เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่มีอายุงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ต้องกลับไปเริ่มต้นฐานค่าแรงและสวัสดิการเหมือนเป็นพนักงานใหม่ โดยไม่มีการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เมื่อพนักงานไม่ยินยอม นายจ้างจึงไม่ให้เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา เชื่อว่าสาเหตุที่นายจ้างทำเช่นนี้ เพราะต้องการล้มล้างสหภาพแรงงาน ด้านนายสัญญา ทองไทย เจ้าหน้าที่ควบคุมวัตถุดิบ บริษัท วงศ์ไพฑูรย์ กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้นายจ้าง จ่ายค่าจ้าง และแจ้งความชัดเจนว่าจะมีการปิดกิจการเมื่อใด จะได้ขอรับเงินชดเชยตามกฎหมายนางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า จากการเจรจากันบริษัทวงศ์ไพฑูรย์ฯ จะจ่ายเงินค่าจ้างงวดเดือนมีนาคมทันที และจะโอนพนักงานรายวันจำนวน 300 คน ไปทำงานกับบริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด โดยยังคงอายุงานให้ตามเดิม พร้อมจะจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้ภายหลัง ซึ่งบริษัทวงศ์ไพฑูรย์ฯ จะมีการนัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ เพื่อเสนอขอให้ลงนามปิดกิจการ หากผู้ถือหุ้นยินยอมก็จะนัดลูกจ้างมาเจรจาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่จะได้รับในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ ที่บริษัท เวลา 09.30 น. ส่วนของบริษัททองพูลฯ ยังไม่ได้ข้อสรุปเผยปัญหาลูกแรงงานข้ามชาติเพิ่มเว็บไซต์ไทยรัฐ (5 พ.ค. 53) - ตามที่โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแรงงานข้ามชาติกลุ่มจังหวัดภาคใต้ ร่วมกับโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล จัดประชุมสัมมนาหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง สุราษฎร์ธานี พังงาน และภูเก็ตนั้น นายวิน ดวงแข จัดหางานจังหวัดระนอง กล่าวถึงสถานการณ์ของแรงงานข้ามชาติใน จ.ระนอง ว่าการลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายของแรงงานข้ามชาติยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง จากสาเหตุและปัจจัยหลักดังนี้ สภาพที่ตั้งเอื้ออำนวยเช่น ทางน้ำมีเกาะ 62 เกาะ และมีอาณาเขตทางน้ำ 91 กิโลเมตรที่ยากต่อการตรวจสอบ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและปัจจัยภายในประเทศพม่า ความต้องการของนายจ้าง และที่น่าห่วงมากที่สุดคือขบวนการค้ามนุษย์ ที่สร้างรายได้ให้นายหน้าเป็นกอบเป็นกำ เมื่อแรงงานข้ามชาติหลบหนีเข้ามาเป็นจำนวนมากทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา ทั้งยาเสพติด อาชญากรรม โรคติดต่อร้ายแรง ปัญหาความมั่นคงและคนไร้สัญชาติ ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2553 ให้ขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติและผ่อนผันให้แรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศไทยต่อไปได้นั้น จ.ระนอง จึงได้ดำเนินการหลายส่วนเพื่อรองรับมติ ครม.ดังกล่าว ซึ่งจากตัวเลขของแรงงานข้ามชาติใน จ.ระนองมี 45601 คนนั้น เป็นแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในระหว่างการพิสูจน์สัญชาติ 42154 คน ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว 3447 คน นายธีรยุทธ คงคล้าย ปลัดอำเภอเมืองระนองกล่าวว่า สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุด คือเด็กที่เกิดขึ้นจากแรงงานข้ามชาติที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน หากไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติได้ ก็จะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศโรงแรมไฮโซส่งออกลูกจ้างหนีม็อบข่าวสด (5 พ.ค. 53) - นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงิน บัญชี และบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา เปิดเผยว่า จากปัญหาการชุมนุมในย่านราชประสงค์ บริษัทแก้ปัญหาลูกค้าเข้าพักน้อย ด้วยการให้พนักงานหยุดใช้สิทธิลาพักร้อน และอยู่ระหว่างพิจารณาหากม็อบยืดเยื้อจะใช้กฎหมายแรงงานมาตรา 75 ที่หากบริษัทปิดทำการชั่วคราว โดยไม่ใช่ความผิดของทั้งบริษัทและพนักงาน พนักงานจะได้หยุดอยู่บ้านรับเงินเดือน 75% และยังมีสถานภาพเป็นพนักงานอยู่เหมือนเดิมรายงานข่าวจากโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯแจ้งว่า โรงแรมในเครือโฟร์ซีซันส์ทั่วเอเชีย ได้รับพนักงานบางส่วนจากกรุงเทพฯ ไปทำงานในช่วงมีม็อบ เช่น ลังกาวี มัลดีฟ ฮ่องกง ซิดนีย์เซี่ยงไฮ้ ประมาณ 20 แห่ง ส่วนความเสียหายประเมินอยู่ที่ 1000 ล้านบาทส่วนพนักงานอีกส่วนก็จัดให้พักร้อน และมีบางส่วนไปทำงานที่ตึกไวท์ กรุ๊ป ย่านถ.สุขุมวิท24 ที่เครือไมเนอร์ได้เช่าไว้ สำหรับเป็นอาคารสำนักงานของบริษัทในเครือ สำหรับผู้ที่ทำงานที่บ้านได้ ก็ให้ทำงานอยู่บ้าน แล้วติดต่อผ่านอินเตอร์เน็ตรายงานข่าวจากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลกรุงเทพฯ แจ้งว่า ที่ผ่านมาโรงแรมได้หยุดรับแขก กำหนดเปิดให้บริการวันที่ 10 พ.ค.นี้เช่นเดียวกับโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ทั้งนี้ วันที่ 6 พ.ค.นี้ สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) จะแถลงข่าวถึงผลกระทบจากม็อบตั้งศูนย์เด็กเล็กในโรงงานส่อเค้าแท้งมติชน (6 พ.ค. 53) - แรงงานข้ามชาติวอนรัฐจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กแบ่งเบาภาระ โอดรายได้น้อยนิด แต่ต้องจ้างคนอื่นเลี้ยง อธิบดี กสร.เผยตัวเลขจัดตั้งศูนย์ลดลง เตรียมจับมือนิคมฯดันต่อ ระบุทำหนังสือถึงกรมสรรพากรออกมาตรการจูงใจลดหย่อนภาษี 200%เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม นางอัมพร นิติสิริอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)กล่าวถึงข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานที่ต้องการให้มีการจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กในสถานประกอบการว่าเรื่องนี้เป็นงานด้านสวัสดิการนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด แต่ปัจจุบันอาจมีข้อจำกัดมากขึ้น เพราะกลุ่มลูกจ้างจำนวนมากมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ทำให้พ้นวัยเจริญพันธุ์ ประกอบกับบางส่วนได้ส่งลูกกลับไปให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงในต่างจังหวัดทำให้มีเด็กเล็กน้อยลง อย่างไรก็ตาม หากสถานประกอบการแห่งใดมีเด็กเล็กอยู่มากก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่และภาคราชการยินดีสนับสนุนงบประมาณนางอัมพรกล่าวว่า เดิมทีมีสถานประกอบการอยู่ 70 แห่งที่มีศูนย์เด็กเล็ก แต่ขณะนี้เหลือเพียง45 แห่งเท่านั้น เพราะเด็กๆ โตขึ้นและเข้าสู่ระบบการศึกษาในโรงเรียน ซึ่งในอนาคตเห็นว่าหากตั้งศูนย์เด็กเล็กในสถานประกอบการแบบเดี่ยวๆอาจไม่คุ้ม จึงต้องขอความร่วมมือจากการนิคมอุตสาหกรรมเพื่อให้มีการจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กในกลุ่มสถานประกอบการเหมือนที่ได้ดำเนินการไปแล้วในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานีตอนนี้ในนิคมฯส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีศูนย์เด็กเล็ก แต่บางแห่งเขาก็ไม่อยากให้ตั้งเพราะมีปัญหาเรื่องสารเคมี เขาจึงไม่อยากให้เด็กไปเสี่ยงตอนนี้บางโรงงานมีแนวคิดว่าจะใช้ศูนย์เด็กเล็กเป็นสวัสดิการเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างทำโอทีมากขึ้นเพราะทุกวันนี้ลูกจ้างต้องไปรับลูกข้างนอกหากมีศูนย์เด็กเล็กอยู่ข้างในก็จะทำให้พ่อแม่ทำงานได้เต็มที่ขึ้น แต่ที่แปลกคือ กสร.เคยสำรวจในนิคมฯบางแห่ง ปรากฏว่า ลูกจ้างกลับไม่มีความต้องการเรื่องนี้เลย โดยมากเขาจะส่งให้พ่อแม่เลี้ยงในต่างจังหวัด นางอัมพรกล่าวและว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำหลายครั้งว่าควรมีการสร้างแรงจูงใจให้สถานประกอบการที่จัดตั้งศูนย์เด็กเล็กโดยการลดหย่อนภาษี 200 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเรื่องนี้ กสร.ได้ทำหนังสือถึงกรมสรรพากรแล้ว แต่เรื่องยังเงียบหายไป ด้านนายโกนัย แรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่ากล่าวว่า แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ต้องดูแลเด็กๆกันเอง ส่วนใหญ่เมื่อมีลูกอ่อน แรงงานต้องออกจากงานในช่วง 3 เดือน และหลังจากนั้น ถ้าตกลงกับนายจ้างได้ว่าเอาลูกไปได้ก็ทำงานต่อบางคนต้องให้ญาติพี่น้องจากพม่ามาช่วยเลี้ยงขณะที่บางรายต้องจ้างคนอื่นเลี้ยงซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายวันละ 100 บาท ลูกจ้างเหล่านี้ต้องลำบากมาก เพราะไม่ใช่แค่เลี้ยงดูลูกเท่านั้น แต่ยังมีพ่อแม่ที่อยู่ต่างแดนอีก เราได้ค่าจ้างแค่เดือนละ 4-5 พัน ถ้ายังต้องจ้างคนอื่นเลี้ยงลูกอีก ก็แทบไม่พอกิน ถ้ารัฐบาลเข้ามาจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กให้ก็เป็นเรื่องที่ดี ที่สำคัญคืออยากให้มีศูนย์การศึกษาสำหรับเด็กเหล่านี้ด้วย เพราะเด็กๆ ควรได้เรียนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแม้เขาจะไม่ได้บัตรประชาชนเหมือนคนไทยก็ตาม ปัจจุบันลูกแรงงานข้ามชาติยังได้เรียนน้อยมาก เนื่องจากโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนและพ่อแม่เองก็ไม่มีความรู้ นายโกนัยกล่าวผู้ผลิตมึนแรงงานขาดแคลนเดลินิวส์ (6 พ.ค. 53) - รายงานข่าวจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในเดือน เม.ย. 53 มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ 207 ราย มีการจ้างงานใหม่ 3858 ราย วงเงินลงทุน 5925 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าต่ำสุดในรอบ 12 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงจนทำให้นักลงทุนต้องชะลอแผนการลงทุน ประกอบกับเป็นช่วงเดือนที่มีวันหยุดมากและหลายกลุ่มอุตสาหกรรมขาดแคลนแรงงาน 3-5 แสนคนทำให้นักลงทุนต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์แรงงานก่อนตัดสินใจอีกครั้งโดยจังหวัดสมุทรสาครมีมูลค่าลงทุนมากสุด2210 ล้านบาท รองลงมา นครราชสีมา 715 ล้านบาท สมุทรปราการ 367 ล้านบาท สระแก้ว 355 ล้านบาททั้งนี้อุตสาหกรรมที่มีการขออนุญาตตั้งโรงงานส่วนใหญ่เป็นรายไม่ใหญ่นัก เช่นเฟอร์นิเจอร์ เกษตร ซ่อมรถยนต์ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตแหและอวน จัดหาและจำหน่ายน้ำ ทำมันเส้นและรีดแผ่นเหล็กแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 53 อยู่ในระดับที่ดีจนสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างมาก เห็นได้จากช่วงไตรมาสแรกของปี 53 มีสัดส่วนที่ลงทุนที่สูง โดยเดือน ม.ค. อยู่ที่ 9486 ล้านบาทเดือน ก.พ. อยู่ที่ 15888 ล้านบาท และมี.ค. อยู่ที่ 21935 ล้านบาท รวม 3 เดือนมีมูลค่าสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า50% แต่ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมายอดการอนุญาตตั้งโรงงานกลับลดลงจากเดือนก่อนกว่า 3 เท่าตัวเพราะมีปัจจัยรุมเร้าหลายอย่างนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เดือน เม.ย. มีการขออนุญาตตั้งโรงงานน้อยเพราะนอกจากเหตุการณ์สถานการณ์ทางการเมืองที่มีแนวโน้มรุนแรงแล้ว ยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานทุกจังหวัดในหลายอุตสาหกรรม ส่งผลให้นักลงทุนแสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมากดังนั้นต้องการให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือโดยให้ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุนที่ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มและอาหาร สามารถใช้แรงงานต่างด้าวเข้ามาดำเนินการได้จากปัจจุบันที่ระเบียบบีโอไอให้ใช้เฉพาะแรงงานไทยบีโอไอถกผ่อนผันแรงงานต่างด้าวมติชน (7 พ.ค. 53) - แหล่งข่าวจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ดบีโอไอที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วันที่ 7 พฤษภาคม จะมีการหารือเกี่ยวกับผลกระทบทางการเมืองต่อนักลงทุนต่างชาติ และภาวะการลงทุนช่วง4 เดือนของปีนี้ และการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศนอกจากนี้จะมีการทบทวนเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนเพื่อจูงใจให้มีการลงทุนมากขึ้นโดยจะมีการผ่อนผันให้ผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนสามารถใช้แรงงานต่างด้าวได้ จากเดิมที่กำหนดให้ใช้เฉพาะแรงงานไทยเท่านั้นเนื่องจากปัจจุบันเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมประมาณ 300000-500000 คน ในหลายอุตสาหกรรม เช่นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งขณะนี้กระทรวงแรงงานผ่อนผันให้ผู้ประกอบการใช้แรงงานต่างด้าวได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว จึงไม่น่ามีปัญหานักลงทุนได้ขอให้บีโอไอผ่อนผันให้จ้างแรงงานขั้นพื้นฐานต่างชาติได้ โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวส่งผลให้มีคำสั่งซื้อมากขึ้น แต่ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตตามความต้องการจนทำให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจ เพราะไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างมาก แหล่งข่าวกล่าวแหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับวาระการพิจารณาการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน จะมีทั้งสิ้น 8 กิจการ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ20230 ล้านบาท โดยกิจการที่ได้ขอยื่นรับการส่งเสริมประกอบด้วย 1.การผลิตเครื่องดื่มรังนกของบริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย)จำกัด เงินลงทุน 1095 ล้านบาท 2.กิจการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิคของบริษัท โตโต้แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 1900 ล้านบาท 3.กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะสำหรับยานพาหนะของบริษัท โยโรซึ(ไทยแลนด์) จำกัด เงินลงทุน 1900 ล้านบาท 4.กิจการผลิตท่อเหล็กไร้ตะเข็บของบริษัท ดับบลิวเอสพี ไพพ์ จำกัด เงินลงทุน1750 ล้านบาท 5.กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมของบริษัท เขาค้อ วินด์ พาวเวอร์ จำกัด เงินลงทุน4270 ล้านบาท 6.กิจการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัท เอสพีพีจำกัด จำนวน 4 โครงการ เงินลงทุนรวม6380 บาท 7.กิจการขนส่งทางเรือของ บริษัท พรีเชียส วิชเชส จำกัด เงินลงทุน 783 ล้านบาท และ 8.กิจการขนส่งทางท่อ เงินลงทุน 2150 ล้านบาทก.แรงงานลงนามร่วมมือด้านแรงงานผลักดันข้อตกลงเขตการค้าเสรีมุ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศพิมพ์ไทย (7 พ.ค. 53) - นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ 2 หน่วยงานระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศในการผนึกกำลังสร้างความร่วมมือ เรื่อง การดำเนินโครงการด้านแรงงาน เพื่อรองรับการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเตรียม ความพร้อมและผลักดันการดำเนินการเพื่อรองรับการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีและดำรงไว้ให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ อีกทั้งการเปิดการค้าเสรีในปัจจุบันทำให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หลายประเทศรวมกันจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าต้องปรับตัวในการดำเนินการค้าทั้งในด้านความร่วมมือและการพึ่งพากันมากขึ้นในรูปแบบพหุภาคีหรือทวิภาคี เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับประเทศไทยได้มีการจัดทำความตกลงการค้าเสรีในรูปแบบทวิภาคีและภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 14 ฉบับ โดยมีผลบังคับใช้แล้ว 5 ฉบับได้แก่ เขตการค้าเสรีไทย-จีน เขตการค้าเสรี ไทยอินเดีย เขตการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ความตกลงหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นทั้งนี้ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง การดำเนินโครงการด้านแรงงาน เพื่อรองรับการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี โดยมุ่งแสดงเจตจำนงในการผลักดันการดำเนินการเพื่อรองรับการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี เพื่อดำรงไว้และให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของประเทศมีสาระสำคัญในการประสานความร่วมมือตามบทบาทภารกิจของทั้ง 2 องค์กร คือ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดทำโครงการจำนวน 3 โครงการ ได้แก่โครงการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชนด้านสิทธิแรงงาน เพื่อรองรับการจัดทำข้อตกลงการค้าเสริโดยรณรงค์ให้ผู้เกี่ยวข้องมีจิตสำนึกและให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงานของลูกจ้าง เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจต่อสังคมในเวทีการค้าโลกและลดเงื่อนไขการกีดกันทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่ทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศไทย ตลอดจนเป็นการเตรียมความพร้อมในการให้สัตยาบันอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศโครงการพัฒนาการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้ง ด้วยการเจรจาต่อรองโดยหลักสุจริตใจตามความร่วมมือไทย-นิวซีแลนด์ เพื่อให้ภาคแรงงานในระบบอุตสาหกรรมมีความรู้เกี่ยวกับการเจรจาต่อรองโดยหลักสุจริตใจ รณรงค์ เผยแพร่แนวทางและเทคนิคการแก้ไขข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้งตามโครงการความร่วมมือไทย-นิวซีแลนด์ ด้วยการเจรจาต่อรองโดยหลักสุจริต ตลอดจนนำมาประยุกต์ในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานหรือข้อขัดแย้งให้เหมาะสมกับประเทศไทยโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการ ส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์จากประเทศคู่ค้าความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ให้แก่บุคลากรกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ของประเทศญี่ปุ่น ก่อให้เกิดโลกทัศน์ใหม่และเพื่อให้นายจ้างลูกจ้างเกิดความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นที่จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตลอดจนปกป้องสภาพการจ้างของลูกจ้างจากการเปิดการค้าเสรีสำหรับในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะดำเนินการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการเพื่อรองรับการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่เกี่ยวข้องกับด้านแรงงานทั้ง 3 โครงการ ตลอดจนสนับสนุนและประชาสัมพันธ์การดำเนินการเพื่อรองรับการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่เกี่ยวข้องกับด้านแรงงานBOI แก้ขาดแคลนแรงงานพร้อมเปิดช่องต่างด้าวเข้าทำงานในไทยเพิ่มแนวหน้า (8 พ.ค. 53) - บอร์ดบีโอไอส่งเสริมลงทุนเพิ่มอีก 19 โครงการ มูลค่ากว่า 60000 ล้านบาท พร้อมเร่งแก้วิกฤติแรงงาน เล็งเปิดช่องต่างด้าวทำงานในไทยเพิ่ม เผย นายกรัฐมนตรี ไม่กังวลตัวเลขลงทุนในไทย แม้ การเมืองจะทำให้ต่างชาติย้ายฐานลงทุนบ้างแต่ไม่มากนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติให้ส่งเสริมการลงทุน 19 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 61175 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่ได้รับการส่งเสริม อาทิ บริษัท เซเรบอส(ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มีโครงการลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในไทย 413 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมอยู่ที่ 135800 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทยทั้งนี้ นโยบายเร่งด่วนที่ บีโอไอ ต้องดำเนินการคือ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม โดยบีโอไอกำลังจะพิจารณาสัดส่วนแรงงานต่างด้าวที่เหมาะสมควรเป็นเท่าใด เพราะในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย กำหนดให้ใช้แรงงานต่างด้าวได้ไม่เกิน 50% ของแรงงานทั้งหมดด้านนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้ช่วยรมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ไม่ใช้ทักษะสูง เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ในเบื้องต้น ให้บีโอไอกลับไปศึกษารายละเอียดในการจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะผ่อนผันให้ใช้แรงงานต่างด้าวได้ และพิจารณาสัดส่วนแรงงานที่เหมาะสมว่าจะเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของแรงงานทั้งหมด เพื่อไม่ให้กระทบกับความต้องการแรงงาน และอัตราค่าแรงขั้นต่ำในอนาคต สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และรองเท้านายสรยุทธ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรี ไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเรื่องการลงทุน เนื่องจากตัวเลข 4 เดือนของปีนี้ค่อนข้างดี แต่ยอมรับว่าปัญหาทางการเมืองส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนบ้าง และทำให้นักลงทุนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจจะเลือกประเทศเข้ามาลงทุน ต้องพิจารณาประเทศเพื่อนบ้านแทนแต่ไม่มากนัก เช่น การเลือกลงทุนในประเทศอินโดนีเซียแทนไทย แต่หากการเมืองกลับสู่ภาวะปกติ คาดว่าจะมีการกลับเข้ามาลงทุนดีเหมือนเดิม | แรงงานเด็กพุ่ง-ทำงานเท่าผู้ใหญ่ ข่าวสด (3 พ.ค. 53) - เมื่อวันที่ 2 พ.ค. | แรงงาน,เศรษฐกิจ | สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ | https://prachatai.com/journal/2010/05/29362 |
ทำดีขนาดนี้ เขามีใจหรือเราแค่คิดไปเอง | ถ้าฟังกันจริง พี่พูดเสมอว่าทุกสิ่งที่บอกว่าแฟนผิด ให้คิดว่าความผิดอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่เราเช่นกัน ไม่มีใครผิดทุกสิ่ง หรือถูกต้องทุกอย่าง ที่เขาเป็นแบบนั้นหรือเพราะเราเป็นแบบนี้ เวลาใครมีปัญหาปรึกษาเพื่อน เราก็เล่ามุมของตัวเองกันทั้งนั้น เพื่อนบางคนถึงขั้นไม่อยากยุ่ง ตอนแฟนแย่ก็โทรมาเล่า ตอนเขาน่ารัก มักไม่ค่อยเอามาพูดกลัวเพื่อนหมั่นไส้ว่าอวดแฟน เพื่อนบางคนอินมาก ถึงขั้นเกลียดแฟนเพื่อนไปด้วย แต่ตอนเขาไปดีกัน เราเตรียมกระดิกหางได้เลย ตอนนี้พี่ก็เป็นอยู่ น้องโทรมาฝากด่าหลังไมค์ เลยตั้งใจโทรกลับไปหาน้อง อยากฟังว่าปัญหาคืออะไร แต่ลองโทรหาเจ้าของเรื่องที่โทรเข้ามาเล่าก่อนดีกว่า แค่อยากถามว่าน้องเล่าเรื่องอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายคิดว่าโกหกหรือเปล่า พอน้องรับสายขึ้นมา ปรากฏว่านั่งรถอยู่ด้วยกันพอดี น้องผู้ชายบอกว่า ไม่มีอะไรแล้วครับพี่ ก็เป็นอย่างที่ผมเล่าในรายการนั่นแหละ ตอนนี้ดีกันแล้วครับ ยังถามไปว่า จะให้พี่เคลียร์กับน้องเขาไหม พี่คุยได้นะ อ๋อๆๆ ไม่เป็นไรครับพี่ไม่มีปัญหาแล้ว เขาอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ,จบค่ะ เสียค่าโทรศัพท์ในการโทรมาด่าแท้ๆ ที่สุดคน 2 คนเท่านั้นที่รู้ว่า เรา 2 คนรักกันมากพอจะเดินหน้าต่อไหม ปัญหาต่างๆ มากมายอยู่ที่คน 2 คนได้เปิดใจคุยกันหรือยัง เคยมีเหมือนกัน เข้าใจผิดคิดว่าคนเล่าเอ่ยถึงเรา พอเช็กชื่อกันหลังไมค์จริงๆ กลายเป็นไม่เคยได้ยินแม้ชื่อเสียงเรียงนามกันมาก่อน เฮ้อ แต่ไม่หมดกำลังใจนะคะ ถ้ามีอะไรอยากเล่าสู่กันฟัง ยังยินดีและพร้อมฟังเสมอเช่นเคย,วันนี้มีคำถามที่เข้ามาฝากไว้ใน ,[email protected], หยิบมาตอบกันตรงนี้ซะ 1 คำถามนะคะ,คบกับแฟนคนหนึ่งมาตั้งแต่ปี 2 คบมาเกือบ 7 ปี ตอนแรกมีแพลนว่าจะแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว แต่พอดีคุณพ่อเสีย ตามธรรมเนียมจีนต้องรอทำพิธีครบ 3 ปีก่อนจึงจะจัดงานมงคลได้ พอใกล้จะแต่งงานกันจริงๆ กลับลังเลว่า จะใช่คนนี้จริงๆ หรือ ตอนที่เราสร้างเรือนหอกัน เขาไม่ช่วยคิด ช่วยตัดสินใจ ให้คำปรึกษาอะไรเราไม่ได้เลย ทำให้ทะเลาะกันบ่อย จนแม่เขามาเล่าให้ฟังว่า เขาเคยบ่นกับแม่ว่า ถ้าแต่งงานกันไปจริงๆ ต้องเลิกกันแน่เลย เราน้อยใจมากเลยบอกเลิกก่อน พี่อ้อยเชื่อไหมคะ เขาไม่เคยโทร หรือไลน์มาง้อแม้สักครั้งเดียว แต่กลับไปพร่ำเพ้อในเฟซบุ๊ก จนเวลาผ่านมาประมาณ 10 เดือน มีโอกาสได้คุยกับแม่ของเขา แม่พูดตลอดว่า ลูกเขารักหนูมากนะ ในใจยิ่งสับสนว่า เฮ้ย แล้วทำไมไม่ง้อวะ ก็เลยโทรไปคุยกับเขา เขาตอบว่าก็มาคิดดูแล้ว รั้งไปก็ไม่น่ามีประโยชน์อะไร เพราะเราตัดสินใจแล้ว,หลังจากนั้นเราก็ตกลงเป็นเพื่อนกัน คุยไลน์ทุกวัน เขาส่งรูปมาว่าไปกินข้าวที่ไหน ไปทำอะไรมาบ้าง วันที่หนูไม่สบาย เขาอาสาจะมาพาไปหาหมอ แต่หนูบอกว่าไม่ต้อง เวลาหนูอยากได้คอมฯ ใหม่ เขาก็มาช่วยเลือก วันที่เจอกัน เขายังใส่เสื้อกับรองเท้าที่เราซื้อให้อยู่เลย ตุ๊กตาที่เราซื้อให้วันเกิด เขาก็ยังเก็บไว้บนเตียง โทรคุยกับแม่เขาทีไร แม่จะพูดเสมอว่า เขารักหนูมากนะลูก ตอนที่เลิกกันเขายังจะหนีไปบวชไม่สึกเลย เราเลยหวั่นไหวอีกครั้ง,จนอาทิตย์ที่ผ่านมา เราตั้งใจขับรถไปหาเพื่อเซอร์ไพรส์เขา กะจะถามว่าเรายังรักกันอยู่ใช่ไหม จะได้เดินหน้ากลับมาคบกันใหม่ พอไปถึง เขาเปิดประตูออกมา เขาตกใจมาก รีบบอกเราว่า เฮ้ย เรานัดแฟนเราไว้นะ เราช็อกๆ งงๆ กำลังจะกลับ จังหวะนั้น แฟนเขาเดินขึ้นบันไดมาพอดี พอเห็นเรา เขาก็วิ่งหนีไปเหมือนในละครมากๆ ที่นางเอกเห็นพระเอกอยู่กับนางร้าย แล้ววิ่งหนีไป ผู้ชายก็รีบจะวิ่งตามไป แต่หนูดึงเขาไว้ไม่ให้ไป เราอุตส่าห์ขับรถมาหาเพื่อมาเคลียร์ เขาบอกว่าเขาเลือกผู้หญิงคนนั้น เลยถามว่าแล้วที่ทำไปทั้งหมดนี่คืออะไร เขาบอกว่าเป็นความรักแบบเพื่อนไง มันใช่หรือคะพี่ คบกับเรามาเกือบ 7 ปี เลิกกันไป 10 เดือน เขาคบผู้หญิงคนนี้แค่ประมาณ 2 เดือน ลืมเราง่ายขนาดนี้หรือ เวลาที่เขาใช้ของๆ เรา จะนึกถึงเราบ้างไหม เขาพาผู้หญิงคนนั้นมาที่ห้อง ตุ๊กตาเราอยู่บนเตียงเขา เขาไม่รู้สึกอะไรจริงๆ หรือคะ, ,ไม่ว่าที่มาคืออะไร ที่ไปคือเขาเลือกคนอื่นจ้ะ เราเองฟังจากสิ่งที่คนรอบตัวเขาพูด ลืมดูสิ่งที่เขาทำ จริงๆ น้องเห็นคำตอบอยู่ตลอด พอบอกเลิก ทุกอย่างเงิบไปเงียบๆ ไม่เรียกร้องทุรนทุราย โวยวายขอโอกาส ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ถ้ารักมากมาย ทำไมเลิกอย่างง่ายดายขนาดนี้ ตั้งเกือบ 7 ปีนะน้อง จะไม่ร้องหาอดีตหวานๆ ระหว่างกันบ้างหรือ แม่เขาก็คือแม่ บอกเราว่าลูกเขาเสียใจแค่ไหนตอนเลิกกับเรา แต่เรากลับมองไม่เห็นความกระตือรือร้นของเขาแม้แต่นิดเดียว ตอนจะกลับไปหา เราก็เป็นฝ่ายเริ่มนะ เหมือนมีแต่เราที่โหยหาเขาอยู่ฝ่ายเดียว ตอนรักยังรักไม่เท่ากัน ตอนเลิกกันอย่าหวังว่าความผูกพันเราจะเท่ากันพอดี คนบอกเลิกก่อนกลับเจ็บกว่า เราอยากให้เขากลับมาแล้วเดินหน้าต่อ แต่เขากลับคิดว่าควรพอ ขอเป็นแค่เพื่อนสนิท พอคิดไม่ตรงกัน คนที่คาดหวังมากกว่ายังไงก็เจ็บ,อย่าไปหาเหตุผลกับคนหมดใจเลย คบเรามา 7 ปี แต่ก็เลิกกันแล้ว ต่อให้คนใหม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือน แต่ก็ใหม่กว่า ความรู้สึกตื่นเต้น อยากเป็นเจ้าของมีมากกว่าเราแน่นอน เขาไม่ได้ลืมเรา เขายังเห็นคุณค่า แต่ใช่ว่าเขาต้องรัก ถ้ารักกันจริงใครจะทิ้งให้น้องเป็นแฟนเก่า คิดเอาง่ายๆ แค่นี้ รักเขาเราไม่ผิด เขาคิดมีคนใหม่ก็ไม่ผิดเช่นกัน เพราะเราเลิกกันไปแล้ว เสื้อ รองเท้าที่เราซื้อให้ ตุ๊กตาเรายังวางทิ้งไว้บนเตียง เพราะเขาก็ไม่ได้โกรธเกลียดเรา เรายังอยู่ในความทรงจำดีๆ แค่ไม่ใช่คนที่อยู่ข้างๆ ในปัจจุบัน ย้ายจากคนที่อยู่ในหัวใจ ไปอยู่ในความทรงจำ แค่เราอยากเป็นมากกว่านั้นเลยเสียใจ,ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะกอดน้องแน่นๆ นะ ไม่ว่าเป็นเพราะเขาให้ความหวัง หรือเรายังหลอกตัวเอง ความจริงที่ชัดเจนที่สุดตอนนี้คือ เขาเลือกอีกคน ถ้าแม่เขาพูดให้เราฟังอีกว่า ลูกเขารักเรามากนะ ก็บอกแม่เขาอีกทีว่า แต่ก่อนคงใช่นะแม่ แต่ตอนนี้เขามีแฟนใหม่แล้ว อย่าทำให้แฟนใหม่เขาไม่สบายใจเลย เมื่อเขาเลือกจะมีความสุขกับวันใหม่ๆ เราจะยอมจมทุกข์ทำไมกับวันเก่าๆ ถ้าเขาเคยบอกว่า ถ้าแต่งงานกับเราไปก็ต้องเลิกอยู่ดี เลิกกันซะวันนี้อาจดีต่อใจเรามากกว่าเยอะเลย,IG: ,DJAoy | อาทิตย์ก่อนมีน้องผู้หญิงโทรมาด่าหลังไมค์ค่ะ ปัญหาคือหลายเดือนที่ผ่านมา แฟนของน้องโทรเข้ามาเล่าใน Club Friday ตอนนั้นคงทะเลาะกันอยู่ น้องด่าว่ารายการพี่ฟังความข้างเดียว คนที่โทรเข้ามาเล่าก็เล่าแต่มุมเขาสิ พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง? | คนดังนั่งเขียน | คนดังนั่งเขียน,ดีเจพี่อ้อย,ไทยรัฐออนไลน์,ข่าวไลฟ์สไตล์,คอลัมน์คนดัง,คอลัมน์ไทยรัฐ,ความรัก,ชีวิตรัก,คนรัก,ปัญหาชีวิตคู่,Club Friday,แพลนแต่งงาน,นอกใจ,ไทยรัฐ | https://www.thairath.co.th/content/745431 |
พงศพัศ เยี่ยมครอบครัว โต้ง เหยื่อเบนซ์ซิ่ง เผยนำอัฐิ ลอยแม่น้ำคงคา | เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 มี.ค. 59 ที่บ้านเลขที่ 17 ม.9 ต.เกวียนหัก อ.ขลุง จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของครอบครัว ถาวร ผู้เสียหายในคดีรถเบนซ์ซิ่งชนรถฟอร์ดที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จนมีนักศึกษาปริญญาโทถูกไฟคลอกเสียชีวิต 2 ศพ หนึ่งในนั้นคือ นายกฤษณะ ถาวร หรือ โต้ง ลูกชายของครอบครัวนี้,ทั้งนี้ ในวันนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. เป็นตัวแทน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เดินทางเข้าพบกับ นายไพบูลย์ ถาวร นางทองทิพย์ ถาวร พ่อและแม่ของ นายกฤษณะ ถาวร หรือ โต้ง และ น.ส.กมลรัตน์ วงษ์เกียรติขจร อายุ 28 ปี แฟนสาวนายกฤษณะ เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจ หลังจากมีพิธีพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยมี นายกล้าณรงค์ พงษ์เจริญ รอง ผวจ.จันทบุรี พล.ต.ต.จรัล จิตเจือจุน ผบก.ภ.จันทบุรี ร่วมต้อนรับ,พล.ต.อ.พงศพัศ ได้กล่าวขอโทษกับทางครอบครัว ถาวร ที่ทางตำรวจทำคดีล่าช้า ตลอดจนชี้แจงความคืบหน้าของการดำเนินคดีล่าสุด พร้อมให้คำมั่นจะเร่งรัดคดีให้เร็วที่สุด และเกิดความยุติธรรมกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ครอบครัวมากที่สุด ซึ่งจากการพบปะพูดคุยกับทางญาติครอบครัว ถาวร ในครั้งนี้ พบว่าทั้งพ่อและแม่ตลอดจนแฟนสาว มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มบ้างเล็กน้อย เมื่อทางรอง ผบ.ตร. ได้กล่าวย้ำถึงความคืบหน้า ตลอดจนการเร่งรัดการทำคดี,จากนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าทางคดีว่า เบื้องต้นได้แต่งตั้งชุดทำงานชุดใหม่เข้ารับผิดชอบทำคดีแทนชุดเดิม ซึ่งได้ตั้งชุดพนักงานสอบสวนขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อดูแลด้านคดีแทน ซึ่งคดีมีความคืบหน้าไปมาก ส่วนด้านการแจ้งข้อหาคู่กรณี คือ นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี เพิ่มเติม คือ ข้อหาขับรถในขณะหย่อนความสามารถที่จะขับรถ ซึ่งโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับ 2,000 ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกเหนือจากข้อหาเดิมที่มีการแจ้งดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้,รอง ผบ.ตร. ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเดินทางมาพบกับครอบครัว ถาวร ในวันนี้ นอกจากจะมาเยี่ยมให้กำลังใจและมอบเงินช่วยเหลือแล้ว ยังเป็นการมาชี้แจงถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ทางตำรวจ มีการดำเนินคดีที่ล่าช้า ตลอดจนความคืบหน้าล่าสุดของคดี โดยย้ำชัดว่าหลังจากนี้ทางตำรวจจะปฏิบัติหน้าที่ทำคดีนี้อย่างเต็มความสามารถ และให้เกิดความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้เสียหายมากที่สุด,ขณะที่ น.ส.กมลรัตน์ วงษ์เกียรติขจร แฟนสาว กล่าวว่า ในส่วนของตนเองคาดหวังการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า จะเกิดความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้สูญเสีย ซึ่งที่ผ่านมามีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง และมีผลสรุปที่ประชาชนรับรู้รับทราบถึงกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ หวังว่ากระบวนการทำงานจะชัดเจน โปร่งใส เสมอภาค โดยเฉพาะกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งคนดีจะต้องได้รับความยุติธรรม,ส่วนอัฐิของนายกฤษณะ ภายหลังมีพิธีพระราชทานเพลิงศพไปแล้ว ส่วนหนึ่งได้เก็บไว้ที่วัดวังยาวบน ต.ขลุง ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธี พระราชทานเพลิงศพ และอีกส่วน รศ.ดร.พระมหาหรรษา ธรรมะหาโส ผช.อธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเพื่อนๆ ได้นำไปลอยที่แม่น้ำคงคา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนประสูติของพระพุทธเจ้า และนายกฤษณะ ได้ไปแสวงบุญอยู่เป็นประจำ.,อ่านข่าวเพิ่มเติม,พงศพัศเยี่ยมครอบครัวนิสิตหนุ่ม เหยื่อเสี่ยเบนซ์ แจงการทำงานตร., | พงศ์พัศ รุดเยี่ยม ครอบครัว ถาวร ที่สูญเสียลูกชายในอุบัติเหตุรถเบนซ์ชนฟอร์ดไฟลุกคลอก 2 ศพ ขอโทษเรื่องที่คดีล่าช้า ยืนยันให้ความเป็นธรรมถึงที่สุด เผยแบ่งอัฐิลอยแม่น้ำคงคา ที่ผู้ตายชอบเดินทางไปแสวงบุญ | null | เบนซ์ชนฟอร์ด,เสี่ยเบนซ์,นักศึกษาปริญญาโท,กฤษณะ ถาวร,เจนภพ วีรพร,เยี่ยมครอบครัว,พงศพัศ พงษ์เจริญ,รองผบ.ตร.,ลอยอังคาร,แม่น้ำคงคา,ขลุง,จันทบุรี,ข่าว,ไทยรัฐ,ข่าวทั่วไทย,ข่าวภูมิภาค,ไทยรัฐออนไลน์ | https://www.thairath.co.th/content/593958 |
เอาชัยก่อนเปิดลีก บุรีรัมย์แซงดับเชียงราย 3-1 ศึกแชมเปียนส์ คัพ | วันที่ 2 ก.พ.62 การแข่งขันฟุตบอล ออมสิน แชมเปียนส์ คัพ 2019 ที่สนามกีฬากองทัพบก ซึ่งเป็นการปะทะกันระหว่าง ปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พบกับ กว่างโซ้งมหาภัย สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด,เปิดฉากครึ่งแรกได้เพียงแค่ 3 นาที เป็นฝั่งเชียงรายฯ ที่ขึ้นนำไปก่อน 1-0 บรินเนอร์ เอ็นริเก ขึ้นโขกลูกเตะมุมเข้าไป,แต่ในนาที 44 บุรีรัมย์ ตามตีเสมอเป็น 1-1 สำเร็จ จากจังหวะที่ กรกช วิริยอุดมศิริ ผ่านบอลให้กับ ศุภชัย ใจเด็ด โหม่งตุงตาข่าย,ถัดมาอีกไม่กี่อึดใจในช่วงทดเวลาครึ่งแรกนาที 45+1 พลพรรคปราสาทสายฟ้าก็พลิกขึ้นนำเป็น 2-1 สุเชาว์ นุชนุ่ม เปิดลูกเตะมุมไปถึงเสาสอง บอลเลยมาเข้าทางปืน ศุภชัย ใจเด็ด แปเข้าไปง่าย ๆ และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้,ครึ่งหลังนาที 48 ศุภชัย ใจเด็ด เกือบทำแฮตทริก เมื่อได้จังหวะหลุดเดี่ยวเข้าไปล่อเป้า แต่กลับโดน สรานนท์ อนุอินทร์ เซฟเอาไว้ได้,ท้ายเกมนาที 89 บุรีรัมย์ มาได้ประตูหนีห่างออกไปเป็น 3-1 จากจังหวะโต้กลับเร็ว สุภโชค สารชาติ แทงบอลทะลุช่องให้ โมดิโบ ไมกา หลุดเข้าไปยิงไม่เหลือซาก,และในช่วงทดเวลาเจ็บ เชียงรายฯ ต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 คน เมื่อ บิลล์ โรซิมาร์ ไปเล่นนอกเกมใส่ อันเดรส ตูเญซ ทำให้โดนใบเหลืองที่สองกลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม,กระทั่งจบเกม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เอาชนะ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ไปได้ 3-1 คว้าแชมป์ ออมสิน ไทยแลนด์ แชมเปียนส์ คัพไปครองเป็นสมัยที่ 5. | ศุภชัย ใจเด็ด เหมาคนเดียว 2 ตุงในช่วงปลายครึ่งแรก ช่วยให้พลพรรคปราสาทสายฟ้าแซงเอาชนะ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 3-1 คว้าแชมป์ ออมสิน ไทยแลนด์ แชมเปียนส์ คัพ 2019 ไปครอง | กีฬา,ฟุตบอลไทย | ผลบอล,ออมสิน แชมเปียนส์ คัพ 2019,สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด,บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด,ศุภชัย ใจเด็ด | https://www.thairath.co.th/sport/thaifootball/1486293 |
แม่อัดคลิปรัดคอลูกชาย บอกไม่ได้ทำร้ายจริงๆ แค่น้อยใจผัวรัสเซีย | จากกรณี แม่เครียดจัดอัดคลิปลงเฟซบุ๊กใช้เข็มขัดรัดคอลูกชาย และจะผูกคอตายตาม บอกเจ้าหนี้ให้ไปเก็บเงินที่งานศพตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ (,แม่เครียดจัดอัดคลิปลงเฟซบุ๊ก หวังให้ลูกไปก่อน ค่อยผูกคอตายตาม,),ทั้งนี้ พ.ต.อ.ธิติพงศ์ มงคลศรี ผกก.สภ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น ได้นำกำลังสายตรวจไปยังบ้านที่เกิดเหตุ พบนางสาวเอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี แม่ของเด็กน้อยอายุ 1 ขวบ 7 เดือน ซึ่งอยู่ในอาการเมาสุรา พร้อมทักทายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักกันอย่างเป็นกันเอง โดยตำรวจได้พูดปลอบให้คลายความเครียด ส่วนลูกชายที่ถูกกระทำ ได้รับการช่วยเหลือให้ปลอดภัยแล้ว,นางสาวเอ ให้การว่า ที่ทำแบบนี้เพราะน้อยใจที่สามีที่เป็นชาวรัสเซีย ปัจจุบันทำงานอยู่ที่พัทยา ไม่สนใจครอบครัว และไม่สนใจบุตรชาย ไม่ยอมเดินทางมาหา หรือส่งเสียเงินมาใช้จ่าย โดยก่อนเกิดเหตุนั้นได้ไปขอนมโรงเรียนจากทาง อบต.มาเลี้ยงลูก แต่ก็ได้มาในจำนวนที่จำกัด จึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าว,ลูกใคร ใครก็รัก หนูไม่ทำร้ายลูกจริงๆ หรอก แต่ที่ทำลงไปเพราะน้อยใจสามีชาวรัสเซีย ที่ทำงานอยู่ที่พัทยา ที่ไม่มาเยี่ยมลูก หรือส่งเสียเงินเลี้ยงดูลูกชายคนนี้เลย นมก็หมด ผ้าอ้อมก็หมด จึงตัดสินใจทำลงไปเพราะประชดสามีเท่านั้น,อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหา และไม่ได้เชิญตัวมาโรงพัก แต่ได้ประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่ควบคุมการกระทำรุนแรงต่อเด็กและสตรี ให้เข้ามาตรวจสอบสภาพจิตใจ เพื่อหาทางช่วยเหลือบรรเทาเหตุภายในครอบครัวอีกต่อไป,นายชินกร แก่นคง นายอำเภอภูผาม่าน จ.ขอนแก่น กล่าวว่า เบื้องต้นได้จัดหานมโรงเรียน และนมจากทาง อบต.วังสวาบ มาให้เด็กก่อน รวมไปถึงการจัดหางบประมาณในการซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปมาให้ พร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อีกทั้งจะประสานงานร่วมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลงพื้นที่มาตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ และสภาพปัญหาในภาพรวม เพราะแม่เด็กอยู่กับลูกเพียง 2 คน ส่วนลูกสาวอีก 2 คนนั้นอาศัยอยู่กับญาติ | แม่วัย 40 อัดคลิปใช้เข็มขัดรัดคอลูกชายวัยเพียงขวบกว่า บอกไม่ได้ทำร้ายจริงๆ แค่น้อยใจผัวรัสเซีย รับเครียดจัดไม่มีเงิน นมก็หมด ผ้าอ้อมไม่มี ผัวก็ไม่ส่งเงิน | ข่าว,สังคม | ฆ่าลูก,อัดคลิป,ฆ่าตัวตาย,ขอนแก่น,อัดคลิปรัดคอลูก,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/society/1637765 |
คาวบอยผิวดำ ไม่ได้มีแค่ในภาพยนตร์ | คาวบอยคนผิวดำก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งในบทผู้พิทักษ์กฏหมายและคนงานที่ทำงานหนักกว่าคาวบอยผิวขาวภาพจากเรื่อง จังโก้ ยอดคนแดนเถื่อน หรือ Django Unchained ภาพยนตร์แนวคาวบอยตะวันตกผลงานกำกับของเควนติน ทารันติโน เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องของภาพยนตร์ฮอลลิวูดที่มีคนผิวดำรับบทคาวบอย ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นคนผิวขาวรับบทคาวบอยมากกว่า แต่ในรายงานล่าสุดของสำนักข่าว BBC ก็เปิดเผยว่า ในความเป็นจริงแล้วมีคาวบอยหลายคนที่เป็นคนผิวดำ และมีบางคนที่เอาถูกนำเรื่องราวมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดยให้คนผิวขาวแสดงอีกด้วยเมื่อพูดถึงคาวบอย หลายคนคงนึกถึงภาพของคนพกปืน สวมบูธ และเป็นชายผิวขาวอย่าง จอห์น เวย์น หรือคลิน อีสท์วู้ด แต่จริงๆ แล้วดินแดนดาวบอยในภาพยนตร์ฮอลลิวูดเป็นสิ่งที่ถูกดัดแปลงให้ต่างจากความเป็นจริงในแบบฉบับของคนผิวขาว แต่มีความเป็นไปได้ว่ามีคาวบอยที่เป็นคนผิวดำอยู่มากถึงหนึ่งในสี่จิม ออสติน นักธุรกิจวัย 45 ปี ก็เหมือนหลายๆ คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนผิวดำในแดนคาวบอยมาก่อน แต่หลังจากเขาค้นพบเรื่องนี้ ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขากับภรรยา กลอเรีย ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์มรดกพหุวัฒนธรรมตะวันตก (National Multicultural Western Heritage Museum) ขึ้นที่ ฟอร์ดเวิร์ธ รัฐเท็กซัส โดยพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวมีการแสดงความเคารพต่อคาวบอยอย่างบิลล์ พิกเกทท์ แชมป์เปี้ยนนักแสดงขี่ม้าต้อนปศุสัตว์ผู้ที่คิดค้นเทคนิคที่เรียกว่า บูลด็อกกิ้ง คือเทคนิคที่ผู้ขี่ม้าต้อนปศุสัตว์จะกระโดดลงจากม้าเพื่อควบคุมให้สัตว์ที่ต้อนล้มลงกับพื้นเด็กๆ ที่เรียนประวัติศาสตร์จากในโรงเรียนไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่แท้จริงเกี่ยวกับแดนตะวันตก จิม ออสติน กล่าว พนันเลยว่า 9 ใน 10 ของคนในประเทศ (สหรัฐฯ) คิดว่าคาวบอยเป็นคนขาวทั้งหมด เช่นเดียวกับที่ผมเคยคิดไมค์ เซียเลส ศาตราจารย์เกษียณอายุด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกุสต้าสเตท เปิดเผยว่าคาวบอยที่เป็นคนผิวดำมักจะได้งานเป็นคนฝึกม้าที่ไม่ได้ถูกนำมาขี่บ่อยนัก นอกจากนี้แล้วยังเป็นคนทำอาหารให้รถเสบียงเกวียน (chuck wagon) และมีความสามารถด้านดนตรี เป็นคนคอยทำให้ปศุสัตว์อยู่ในความสงบนักศึกษาของ ไมค์ เซียเลส มักจะเรียกเขาว่าคาวบอยไมค์ เพราะเขาชอบแต่งตัวสวมหมวกแบบคาวบอยมาสอนหนังสือ ไมค์เคยทำการวิจัยเรื่องคาวบอยโดยได้สัมภาษณ์อดีตทาสในยุค 1930s ที่ได้กล่าวว่า คาวบอยที่เป็นคนผิวดำได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่า ความเท่าเทียมในทุ่งปศุสัตว์ในฐานะที่คุณเป็นคาวบอย คุณจะมีอิสระในระดับหนึ่ง ไมค์กล่าว บางครั้งก็ไม่ค่อยมีหัวหน้างานคอยควบคุม เพราะพวกเขาต้องคอยอยู่บนหลังม้าและบางครั้งก็หายไปหลายวันแต่อย่างไรก็ตามชีวิตความเป็นอยู่ของคาวบอยคนผิวดำก็ลำบากกว่าคนผิวขาววินเซนต์ จาคอบ อายุ 80 ปี อดีตโคบาลนักแสดงขี่ม้าจับปศุสัตว์แถวฮุสตัน รัฐเท็กซัส เล่าว่าก่อนหน้านี้เขาก็ประสบกับเรื่องการเหยียดผิวมาก่อน โดยมีการแบ่งแยกนักแสดงขี่ม้าเป็นคนผิวขาวกับผิวดำ และจะยอมให้คนผิวดำออกแสดงก็ต่อเมื่อให้คนผิวขาวออกไปในสนามทั้งหมดแล้วเท่านั้นทางด้าน คลีฟแลนด์ วอลเตอร์ส คาวบอยผิวดำอายุ 88 ปี ที่เมืองลิเบอร์ตี้ รัฐเท็กซัส บอกว่าการเป็นคาวบอยผิวดำถือเป็นงานหนักผมไม่ชอบเลยเวลานึกถึงการเหยียดผิวที่ผมได้พบเจอมา พอถึงเวลาต้องตีตราปศุสัตว์ พวกเขาจะต้องเอาวัว 20 ตัวเข้าคอก แล้วผมต้องเป็นคนไปจับพวกมัน ยื้อพวกมันไว้ คนตีตราเป็นคนผิวขาว พูดอีกอย่างหนึ่งคือ คนผิวดำจะเป็นคนทำงานหนักๆ สกปรกๆ ทั้งหมด คลิฟแลนด์กล่าวทั้งคลีฟแลนด์และวินเซนต์เติบโตมาในยุค 1940s พวกเขาดูภาพยนตร์แนวเวสเทิร์นมาหลายเรื่องแต่ก็ไม่เคยเห็นนักแสดงหลักที่เป็นคนผิวดำBBC เปิดเผยอีกว่าภาพยนตร์บางเรื่องยังได้นำเรื่องจริงของคาวบอยผิวดำไปเป็นวัตถุดิบสร้างภาพยนตร์ที่มีคนแสดงเป็นคาวบอยผิวขาว เช่นเรื่อง หน้ากากพิฆาตอธรรม (The Lone Ranger) เรื่องราวของพระเอกสวมหน้ากากมีผู้ช่วยเป็นชาวพื้นเมืองอเมริกัน ซึ่งน่าจะอ้างอิงมาจากเรื่องจริงของ เบส รีฟฟ์ ผู้พิทักษ์กฏหมายผิวดำในภาพยนตร์ปี 1956 เรื่อง The Searchers ซึ่งสร้างจากนิยายของ อลัน เลอ เมย์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของ บริท จอห์นสัน คาวบอยผิวดำที่ลูกเมียของเขาถูกจับโดยกลุ่มคอมานเช่ในปี 1865 ในภาพยนตร์พระเอกจอห์น เวย์น รับบทเป็นทหารผ่านศึกสงครามกลางเมืองผู้ที่ออกตามหาหลานสาวที่ถูกคอมานเช่จับตัวไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีตัวละครผิวดำปรากฏตัวมากขึ้นในภาพยนตร์คาวบอยเช่นเรื่อง Posse ปี 1993 ไถ่บาปด้วยบุญปืน (Unforgiven) ปี 1992 และ จังโก้ ยอดคนแดนเถื่อน ปี 2012ดูเหมือนว่าฮอลลิวูดจะเริ่มให้ความสำคัญกับคาวบอยผิวดำมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันสมาชิกสมาคมขี่ม้าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ทั้ง 200 คน ซึ่งเป็นกลุ่มคาวบอยและคาวเกิร์ลในยุคสมัยใหม่ ก็ได้ให้การยกย่องวีรกรรมของคาวบอยผิวดำด้วยการจัดการเดินทางขี่ม้า 100 ไมล์ ในแบบลากเกวียนตะวันตกเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งมักจะมีการย้อนรอยไปตามเส้นทางที่อดีตทาสผิวดำเคยฝากรอยไว้ถ้าอะไรบางอย่างไม่ได้อยู่ในจินตนาการของคนทั่วไป มันก็จะไม่มีอยู่จริง ไมค์ เซียเลสกล่าวมีคำถามว่าเหตุใดฮอลลิวูดถึงเลือกนำเสนอเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติในแดนตะวันตกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงไมค์ตอบว่า แดนตะวันตกมักจะถูกมองว่าเป็นจุดกำเนิดของอเมริกา ซึ่งเป็นชาวอเมริกันที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากฝั่งยุโรปแดนตะวันตกเป็นถิ่นที่คนผิวขาวสามารถแสดงความกล้าหาญออกมาได้ แต่ถ้าหากคนผิวดำสามารถเป็นวีรบุรุษและมีคุณสมบัติที่คุณมองว่าเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมได้ แล้วคุณจะสามารถทำให้คนดำเป็นเหมือนทาสหรือคนที่ไม่ใช่มนุษย์ได้อย่างไร ไมค์กล่าวBBC 22-03-2013 | เมื่อพูดถึงคาวบอย เราอาจจะคุ้นภาพมือปืนควบม้าที่เป็นคนผิวขาวมากกว่าคาวบอยที่เป็นคนผิวดำ แต่ในความเป็นจริงแล้วคาวบอยผิวดำไม่ได้แค่ในภาพยนตร์ จังโก้ ยอดคนแดนเถื่อน เท่านั้น ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ | ต่างประเทศ,วัฒนธรรม | คาวบอย,ประชาไทบันเทิง | https://prachatai.com/journal/2013/03/45946 |
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เรียกร้องให้รัฐเยียวยา หลังปรับค่าแรง 300 บาท | แม้สมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ได้เสนอมาตรการเยียวยาให้รัฐบาลช่วยเหลือจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ผ่านทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยไปแล้วแต่ยังกังวลว่ามาตรการเยียวยาบางส่วน อาจไม่เอื้อประโยชน์ต่อเอสเอ็มอีเต็มที่ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล จึงเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้มาตรการของรัฐบาลเอื้อต่อเอสเอ็มอีให้มากที่สุด โดยเฉพาะการชดเชยค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขอให้รัฐบาลจ่ายร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ต่างจากสภาอุตสาหกรรมที่ขอให้กองทุนชดเชยให้ร้อยละ 75 ผู้ประกอบการจ่ายร้อยละ 25 ในปีแรก และลดลงเป็นร้อยละ 50 ในปีที่ 2 และร้อยละ 25 ในปีที่ 3นอกจากนี้ ยังขอให้ลดเงินสมทบกองทุนประกันสังคมทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างเหลือร้อยละ 2 เป็นเวลา 3 ปี ขณะที่ มาตรการอื่น ๆ ได้ขอการสนับสนุนเช่นเดียวกับข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันควรมีตัวแทนสมาคมเอสเอ็มอี ร่วมเป็นหนึ่งคณะทำงานพิจารณามาตรการเยียวยา เพื่อให้มาตรการที่ออกมาแก้ปัญหาได้ตรงจุดและเข้าถึงเอสเอ็มอีที่มีเกือบ 2.9 แสนรายทั่วประเทศ | สมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดมาตรการเยียวยาที่เอื้อต่อเอสเอ็มอีให้มากที่สุด หลังปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท โดยเฉพาะการสมทบค่าจ้างส่วนต่างร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี หลังปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท | เศรษฐกิจ | ค่าแรง 300,ค่าแรงขั้นต่ำ,ผู้ประกอบการรายย่อย,เอสเอ็มอี | https://news.thaipbs.or.th/content/132800 |
ตำนานวัดแก้วแจ่มฟ้า | โรงพิมพ์ที่ผมเริ่มเป็นนักข่าว อยู่ริมถนนสี่พระยา เยื้องๆกับวัดแก้วแจ่มฟ้า เดินไปท่าน้ำลงเรือข้ามฟากไปฝั่งธนฯ ด้านซ้ายเป็นธนาคารฮ่องกง–เซี่ยงไฮ้ อาคารเก่ารูปทรงฝรั่งขรึมขลัง,เมื่อหนังเรื่องเดียร์ฮันเตอร์มาตั้งกองถ่าย มีการทาสีใหม่ อาคารสดใสไปทั้งหลัง แต่พอจะถึงวันถ่ายหนัง สีใหม่ก็ถูกพ่นสีเขม่า ให้ดำให้คล้ำเหมือนเก่า หนังฝรั่งช่างทุนหนา แค่สีตึกเก่าใหม่ลงทุนทำได้ง่ายๆ,ภาพฝังใจนี้ ทำให้ผมตั้งใจดูตอนหนังมาฉาย,อพิโธ่ อภิถัง มีฉากคนนั่งคุยกันริมระเบียงธนาคารฮ่องกง แว่บเดียว ไม่กี่วินาที,ธนาคารถูกใช้เป็นฉากถ่ายหนังได้ไม่นานก็ถูกทุบทิ้ง ตอนนี้เป็นโรงแรมรอยัลออคิดใหม่ทันสมัยโก้หรู,ที่ดินที่เคยเป็นธนาคารฮ่องกงฯผืนนี้เอง ที่ผมเพิ่งรู้ว่าเดิมทีเป็นที่ตั้งวัดแก้วแจ่มฟ้า วัดที่มีป้ายให้พวกผมไปยืนรอรถเมล์ทุกวัน,โรม บุนนาค เขียนไว้ในเรื่องเก่าเล่าสนุก ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับ 13-19 ต.ค.2561 ว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ดินริมเจ้าพระยา รอบๆวัดแก้วแจ่มฟ้า ฝรั่งมาเช่าทำธุรกิจร้องทุกข์กระทรวงนครบาล วัดเผาศพส่งกลิ่นรบกวน,วัดแก้วแจ่มฟ้า เป็นวัดเก่า สร้างสมัยไหนไม่รู้ แต่อยู่มาก่อน ฝรั่งมาอยู่ที่หลัง น่าจะทนได้,ที่ดินวัดแก้วแจ่มฟ้าเป็นของพระคลังข้างที่ ในฐานะเจ้าของที่ดิน ก็ต้องฟังความทั้งสองฝ่าย ฝ่ายวัดนั้นยอมรับสภาพ วัดในวงล้อมของพวกฝรั่ง คนไทยมาทำบุญน้อยมาก,แต่การจะให้เลิกเผาศพก็ไม่ได้ การเผาศพเป็นทั้งหน้าที่เป็นทั้งรายได้ของวัด,ช่วงเวลานั้น พ.ศ.2448 สี่พระยากับหนึ่งคุณหลวง เจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ ร่วมทุนกันตัดถนนสี่พระยา เชื่อมถนนเจริญกรุง ไปทะลุถนนหัวลำโพง ข้างวัดหัวลำโพง เพื่อขายที่ดิน,พระคลังข้างที่ เห็นว่าผลประโยชน์จากการให้ฝรั่งเช่าที่มีมากกว่า จึงลงทุนสร้างวัดแก้วแจ่มฟ้าใหม่ ให้ที่ริมถนนสี่พระยา เมื่อปี 2450,เรื่องนี้ก็จบลงด้วยประโยชน์ลงตัวของสองฝ่าย ทั้งฝ่ายวัดทั้งฝ่ายฝรั่ง,คนละเรื่องกับเรื่องวัดไทร บางคอแหลม ตีระฆัง บาดหูคนเช่านอนคอนโดฯที่อยู่ติดกัน ที่จบลงตรงวัดตีระฆัง ตามธรรมเนียมดั้งเดิมต่อไป เพราะคนคอนโดฯส่วนใหญ่ ก็เป็นคนไทย,ทำบุญกับวัดไทรนิมนต์พระวัดไทร มาในงานบุญที่คอนโดฯประจำ,โรม บุนนาค เล่าว่า เรื่องของวัดกับบ้าน ผลัดกันรุกผลัดกันรับมาแต่โบราณ วัดพนัญเชิง ตั้งมาก่อนสมัยแรกตั้งกรุงศรีอยุธยา พอกรุงแตกอยุธยาถูกเผา วัดพนัญเชิงก็ยังอยู่,ส่วนวัดที่แพ้ฝรั่งจนต้องยุบวัด คือวัดพระยาไกร แต่ด้วยเหตุที่เป็นวัดร้างมาแต่โบราณ มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์เล็กมากมาย ทางการขอแรงวัดใกล้เคียง ให้มานิมนต์ไป,พระองค์ย่อมๆ มีวัดมาจับจองเหลือพระพุทธรูปปูนปั้นองค์ใหญ่ จนเป็นภาระให้วัดไตรมิตร จำใจรับ แต่สุดท้ายพระปูนปั้นก็เป็นข่าวสนั่นโลก,เมื่อปูนกะเทาะออก กลายเป็นพระเนื้อทองคำ น้ำหนักมากกว่าห้าตัน,เรื่องของหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร ถูกนิมนต์ลงแพล่องมาจากสุโขทัย มาพักซ่อนพม่าข้าศึกเอาไว้ กลายเป็นหัวข้อวิจารณ์ ถ้าฝรั่งไม่มารุกเอาที่วัดพระยาไกร,หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร คงเป็นหลวงพ่อโต (ปูนปั้นองค์เดิม),เรื่องราวทุกเรื่องในโลกเป็นเช่นนี้ เมื่อมีได้ ก็ต้องมีเสีย มีเสียก็ต้องมีได้ เรื่องแบบว่า ทำไปแล้วได้อย่างเดียว เสียอย่างเดียว ไม่มี,กระทั่ง เรื่องของบ้านเมืองถ้ากล้ายอมรับความเปลี่ยนแปลง กล้ายอมให้ทหารปฏิวัติ กล้ารุกให้ทหารถอยกลับกรมกองไม่แน่ว่า อนาคตใหม่บ้านนี้เมืองนี้จะดีกว่าที่เป็น.,กิเลน ประลองเชิง | โรงพิมพ์ที่ผมเริ่มเป็นนักข่าว อยู่ริมถนนสี่พระยา เยื้องๆกับวัดแก้วแจ่มฟ้า เดินไปท่าน้ำลงเรือข้ามฟากไปฝั่งธนฯ ด้านซ้ายเป็น | null | วัดแก้วแจ่มฟ้า,ที่ดิน,เจ้าพระยา,ชักธงรบ,กิเลน ประลองเชิง | https://www.thairath.co.th/newspaper/columns/1403070 |
หนุ่มบุรีรัมย์ขับเก๋งชน จยย.2พี่น้องขี่ข้ามถนนเจ็บรวม 2 เสียชีวิต 1 ศพ | เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 7 มีนาคม 2560 พ.ต.ท.อนิรุจ ผดุงดี พนักงานสอบสวน พร้อมทีมกู้ภัยสยาม รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถเก๋งชนจักรยานยนต์ มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย บาดเจ็บ 2รายที่เกิดเหตุริมถนนสายนางรอง-ปะคำ หน้าสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาโคกหลวงพ่อ ไม่มีไฟส่องสว่างข้างทาง ถนนมืด พบรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า ยาริส สีบรอนซ์เงิน ทะเบียนรถ หลุดออกจากตัวรถ ยังหาทะเบียนไม่พบ ผู้ขับ ชื่อ นายนิติพงษ์ ศาลาแก้ว อายุ 25 ปี ชาวบ้าน ต.ถนนหัก อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้รับบาดเจ็บขาหักผิดรูป และรถจักรยานยนต์ สภาพพังล้อบิด ไม่ทราบรุ่น และทะเบียน ขับขี่กันมา 2คนพี่น้อง เสียชีวิต 1คน คือ นส.ศิริจิตร บาหยัน อายุ 31 ปี ชาวบ้าน ม.5 ต.ถนนหัก อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ มากับน้องชายได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ชื่อ ดช.ศราวุฒิ บาหยัน อายุ 14 ปี บ้านเลขที่เดียวกับผู้เสียชีวิต ,สอบถามญาติผู้ตายทราบว่าทั้ง 2 คน มาซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊มน้ำมัน เมื่อออกจากปั๊มได้ขี่รถข้ามถนนเพื่อจะมุ่งหน้าเข้าสู่ อ.นางรอง ขณะเดียวกันรถเก๋งขับมาจาก เส้นทาง อ.ปะคำ จะมุ่งหน้าสู่ อ.นางรอง เช่นกัน ขณะนี้ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานแต่ในช่วงเวลา 2-3 วันที่ผ่านมา มีอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนรถสิบล้อ เป็นเหตุให้ 2พี่น้อง เสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 1 ห่างจากจุดที่เกิดเหตุครั้งนี้ไปเพียง 200 เมตร. | พี่น้องชาวนางรองขี่ จยย.ข้ามถนนสายนางรอง-ปะคำ หน้าปั๊ม ปตท.โคกหลวงพ่อ โดนรถเก๋งหนุ่มบุรีรัมย์ที่ขับมาชนเต็มแรง ทำให้พี่สาวที่ขี่จยย.เสียชีวิตคาที่ ส่วนน้องชายที่ซ้อนมาบาดเจ็บสาหัส ขณะที่คู่กรณีขาหักผิดรูป คาดเพราะถนนมืด | null | รถชนกัน,เก๋งชน จยย.,อ.นางรอง,บุรีรัมย์,ถนนสายนางรอง-ปะคำ | https://www.thairath.co.th/content/877651 |
ทกซูรี พ่นพิษน้ำกว๊านพะเยาเกินระดับ ผู้ว่าฯ สั่งเฝ้าระวัง 24 ชม. | เมื่อวันที่ 17 ก.ย.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่พายุทกซูรีได้พัดผ่านเข้ามายังประเทศไทย ส่งผลให้เกิดฝนตกทั้งวันทั้งคืน ส่งผลให้ระดับน้ำตามลำน้ำสายต่างๆ ห้วยหนองคลองบึง และอ่างกักเก็บน้ำ รวมทั้งกว๊านพะเยา จำนวน 60 แห่ง มีปริมาณของน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางนายณรงค์ศักดิ์ เฉลิมเกียรติ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา สั่งการให้หน่วยงาน นายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เฝ้าระวังเรื่องน้ำไหลหลากเอ่อท่วมตลอด 24 ชั่วโมง
,นายปราโมกข์ ปิงเมือง หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมชลประทาน จ.พะเยา กล่าวว่า จังหวัดพะเยาได้รับผลกระทบจากพายุทกซูรี ทำให้มีฝนตกตลอด ทำให้สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 3 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำแม่ปืม, อ่างเก็บน้ำแม่ต๋ำ และอ่างเก็บน้ำแม่ใจ เริ่มมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นแล้วจากเดิมที่แห้งขาดหายไป สำหรับกว๊านพะเยาจากเดิมเคยกักเก็บเดิมมีปริมาณ 33.800 ล้าน/ลบ.ม. ปัจจุบันระดับน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นของการกักเก็บ 64 ล้าน/ลบ.ม. คิดเป็น 189.94% รวมสถานการณ์น้ำทั้งหมด 60 แห่ง ปริมาณกักเก็บน้ำรวมทั้งหมดจำนวน 134.105 ล้าน/ลบ.ม. ปัจจุบันมีน้ำรวม 123.710 ล้าน/ลบ.ม. คิดเป็น 92.25% ของปริมาณน้ำทั้งหมด. | ทกซูรี ทำน้ำ กว๊านพะเยา เกินกักเก็บ ปริมาณถึง 64 ล้าน/ลบ.ม. หลังฝนตกทั้งวันทั้งคืน ส่งผลให้ระดับน้ำไหลเข้าอ่างเพิ่มสูงขึ้น ด้านผู้ว่าฯ พะเยา สั่งให้หน่วยงานทุกภาคส่วนเฝ้าระวังน้ำไหลหลาก
| ข่าว,ทั่วไทย | ทกซูรี,พายุทกซูรี,กว๊านพะเยา,พะเยา,น้ำท่วม | https://www.thairath.co.th/news/local/north/1072635 |
ไฟดับ ลุงเก็บของเก่า ชวนเมียมานอนข้างนอก โดนโจ๋ฉกเงิน 500 จนหมดตัว | เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 2 พ.ค. ร.ต.อ. ธีรภัทร วงษ์สิงห์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองสงขลา ได้พบนายสมพงษ์ บุญเวช อายุ 76 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 6 ต.ท่าประจะ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ขณะนั่งรออยู่หน้าสถานีตำรวจ เพื่อมาแจ้งความว่า โดนขโมยเงินในกระเป๋าจำนวน 500 บาท โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง พระเครื่อง 2 องค์ สมุดบัญชีธนาคาร 1 เล่ม บัตรประจำตัวประชาชนของตนเองและของภรรยา,นายสมพงษ์ เล่าว่า เมื่อเวลา 02.30 น. ตนกับภรรยามาอาศัยนอนที่หน้าร้านสะดวกซื้อข้างป้อมยามปากทางเข้าเคหะชุมชนสงขลา เนื่องจากที่บ้านไฟดับ ต่อมาได้มีชายวัยรุ่นขับรถจักรยานยนต์ไม่ทราบป้ายทะเบียนขับมาจอด ก่อนเดินเข้าไปขโมยกระเป๋าที่แอบไว้ที่ข้างตัวและขับรถหลบหนีไป ซึ่งตนและภรรยาเรียกขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใคร เพราะเป็นเวลาช่วงดึกมาก กระทั่งปั่นจักรยานมายัง สภ.เมืองสงขลา ระยะทาง 3 กิโลฯ กว่า นั่งรอเจ้าหน้าที่ตำรวจ,ด้าน ร.ต.อ. ธีรภัทร ระบุนายสมพงษ์ เช่าบ้านอาศัยในเคหะชุมชนสงขลาจำนวน 3 คนกับภรรยาและลูก มีอาชีพเก็บของเก่าตามสถานที่ต่างๆ ขายเพื่อเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ แต่มาโดนขโมยเงินทั้งกระเป๋าจนหมดเนื้อหมดตัว เหลือเพียงแต่พระเครื่องที่ห้อยคอ,อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ. ธีรภัทร ได้ให้เงินส่วนตัว 100 บาท แก่นายสมพงษ์ หรือลุงพงษ์ และพนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกประจำวันบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป. | อนิจจังน่าสงสาร เพราะไฟดับแท้ๆ ลุงชราวัย 70 เก็บของเก่าหากินไปวันๆ พาเมียออกมาจากบ้านเช่า มานอนหน้าร้านสะดวกซื้อ โดนโจ๋ลักกระเป๋ามีเงิน 500 จนหมดเนื้อหมดตัว ปั่น 2ล้อระยะทางกว่า 3 โล ไปโรงพักแจ้งความ เจอร.ต.อ.ใจดี ควักให้ 100 | ข่าว,ทั่วไทย | ขโมยเงินลุงเก็บของเก่า,โดนขโมยเงินหมดตัว,ลุงวัย 70 โดนขโมยกระเป๋า,ขี่จักรยานแจ้งความ,ขโมยเงิน | https://www.thairath.co.th/news/local/south/928577 |
บิ๊กฉัตร ลุยทำประมงถูก ก.ม.หลังปลดล็อกใบเหลืองไอยูยู | เมื่อวันที่ 8 ม.ค.62 ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลัง นายเคอเมนู เวลลา ( Mr.Karmenu Vella) กรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทางทะเล และประมง (European Commissioner for Environment, Maritime Affairs, and Fisheries) ประกาศแถลงการณ์ผลการพิจารณาปลดใบเหลืองประมงไอยูยูของประเทศไทย ซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวที่ได้รับการพิจารณาในครั้งนี้ ว่า ถือเป็นความสำเร็จและน่ายินดีที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการทำประมงไอยูยูมาโดยตลอด เพราะตั้งแต่ประเทศไทยได้ใบเหลืองเมื่อเดือนเมษายน 2558 ก็ได้ได้มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย อย่างเต็มที่ จนสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระบบ,ทั้งด้านกรอบกฎหมาย การบริหารจัดการประมง การบริหารจัดการกองเรือ การติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) การตรวจสอบย้อนกลับ และการบังคับใช้กฎหมาย ความมุ่งมั่นทั้งหมดส่งผลให้สหภาพยุโรปปลดใบเหลืองให้กับไทย ทั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงความสำเร็จที่ไทยได้ยกระดับของการทำประมงเชิงพาณิชย์ ทั้งในและนอกน่านน้ำเข้าสู่มาตรฐานสากล และพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับสหภาพยุโรปในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค,พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวต่อว่า จากนี้ไปรัฐบาลไทยก็ยังมีความมุ่งมั่น ที่จะขจัดปัญหาการทำประมงไอยูยู เพราะตระหนักดีถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง พร้อมกันนี้ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กำกับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเชื่อมั่นว่าไทยได้วางรากฐานระบบป้องกันการทำประมงไอยูยู ไว้อย่างสมบูรณ์ทั้ง6ด้านคือ 1. ด้านกฎหมาย 2. ด้านการบริหารจัดการประมง 3. ด้านการบริหารจัดการกองเรือ 4 ด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) 5. ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ และ 6. ด้านการบังคับใช้กฎหมาย,ส่วนการดำเนินการระยะต่อไปหลังการเจรจาระดับทวิภาคีร่วมกับ นายเคอเมนู เวลลา แล้ว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือในอนาคตกับสหภาพยุโรป เพื่อให้ไทยบรรลุการเป็นประเทศปลอดประมงไอยูยู หรือไอยูยูฟรีได้โดยสมบูรณ์ต่อไป. | บิ๊กฉัตร ลั่น รบ.พร้อมเดินหน้าทำประมงปลอดไอยูยู หลังข่าวดีลดใบเหลือง สะท้อนความมุ่งมั่น เชื่อไทยวางรากฐานป้องกันสมบูรณ์ทั้ง 6 ด้าน | ข่าว,การเมือง | บิ๊กฉัตร,ประมง,ประมงไทย,ไอยูยู,ปลดใบเหลือง,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/politic/1465044 |
เปิดรับฟังความเห็นต่าง | หลังจากที่ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ วิจารณ์ว่าการปฏิรูปยังไม่คืบหน้า มีแต่แผนที่ไม่ได้ปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีตอบโต้ว่า รัฐบาลปฏิรูปไปแล้วมากมาย เช่น รถไฟรางคู่ โครงการไทยนิยม และกองทุนหมู่บ้าน อย่าพูดทำให้คนเข้าใจผิด,เป็นวิวาทะระหว่างรัฐบาลกับนักวิชาการ ลองมาฟังความเห็นของชาวบ้านดูบ้าง สวนดุสิตโพลถามว่าสิ่งที่ประชาชนสมหวังใน 4 ปี ของรัฐบาล คสช. คืออะไร ส่วนใหญ่ตอบว่าสมหวังที่บ้านเมืองสงบเรียบร้อย แต่ผิดหวังที่เศรษฐกิจยังไม่ดี และขอให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว หาแนวทางป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง ไม่เห็นแก่พวกพ้อง และแก้ปัญหาปากท้อง,คล้ายกับนิด้าโพลที่สำรวจพบว่าคนส่วนใหญ่ (46.85%) มีความสุขเท่าเดิม ใน 4 ปี ของรัฐบาล คสช. เพราะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การบริหารไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม มีคนที่มีความสุขเพิ่มขึ้นแค่ 27.69% เพราะไม่มีความวุ่นวายทางการเมือง อีก 25.46% มีความสุขลดลง เพราะเศรษฐกิจปากท้องแย่ลง ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ จำกัดสิทธิเสรีภาพมากเกินไป,ทั้งสองโพลสะท้อนความเห็นประชาชนทั่วไป ส่วนผลการสำรวจความเห็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจากทั่วประเทศ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (72.6%) บอกว่ารัฐประหารแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ 70.6% มองผลงานรัฐบาลแย่ถึงแย่มาก มีเพียง 29.4% ที่เห็นว่าดีถึงดีเยี่ยม 86.2% ไม่เชื่อว่ารัฐบาลทหารบริหารประเทศดีกว่ารัฐบาลนักการเมืองจากการเลือกตั้ง,ผลการสำรวจความเห็นของนักศึกษาพบด้วยว่า ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งนายกรัฐมนตรีคนนอก ส่วนคนที่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เจาะจงชื่อใคร แต่บางส่วนบอกว่าเป็นใครก็ได้ ที่มิใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะปฏิรูป เพื่อแก้ปัญหาประเทศได้ เห็นได้ชัดว่านักศึกษาเป็นกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุน คสช.มากที่สุด,แต่โดยสรุปก็คือ ทั้งกลุ่มประชาชนทั่วไปและกลุ่มนักศึกษา ส่วนใหญ่ไม่ประทับใจในผลงาน 4 ปี ของรัฐบาล คสช. แต่รัฐบาลคงจะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่นบางท่านอ้างว่าถ้าไม่ดีจริง รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้ แต่นักวิชาการบางคนชี้ว่ารัฐบาลอยู่ได้ เพราะระบอบ ศาสตราธิปไตย มือขวาถือปืน มือซ้ายถือกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่คือคำสั่ง คสช.,ขณะนี้การเมืองไทยกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง จะต้องมีคนกลุ่มต่างๆออกมาแสดงความคิดเห็นมากขึ้น รัฐบาลจึงควรเปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็น อย่าปิดกั้นเสรีภาพในการพูดการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และรับฟังรายงานจากข้าราชการด้านเดียว อย่าปิดหูปิดตาตนเอง และปิดปากกลุ่มที่เห็นต่าง ขณะที่กลับคืนสู่ประชาธิปไตย. | สี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาล คสช.ประสบความสำเร็จในการบริหารหรือปฏิรูปประเทศหรือไม่ กลายเป็นวิวาทะที่โต้เถียงกันหนัก | null | บทบรรณาธิการ,รัฐบาล คสช.,ความเห็นต่าง,ปฏิรูปประเทศ,ครบรอบ 4 ปี คสช. | https://www.thairath.co.th/news/politic/1288239 |
ผู้ร้ายปากแข็ง โด้ กระสันอยู่โยงชุดขาวต่อ แม้แฟนบอลหมดรัก | สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 28 ม.ค.ว่า คริสเตียโน โรนัลโด ดาวยิงคนสำคัญของทีมเรอัล มาดริด ยอมรับยังต้องการที่จะอยู่กับทีมต่อไปอีกนาน แม้จะมีข่าวลือในด้านลบอย่างต่อเนื่องก็ตาม,โดยอนาคตของดาวเตะชาวโปรตุกีส ยังคงอยู่ในทางสามแพร่ง หลังจากมีข่าวเตรียมย้ายออกจากถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว แบบไม่เว้นวัน รวมถึงมีกระแสว่า สาวกของทีมราชันชุดขาวเริ่มหมดรักในตัวของแข้งดังรายนี้เรียบร้อยแล้ว,แต่ล่าสุด โรนัลโด ได้ออกมาโปรยคำหวานเรียกความนิยมอีกครั้งว่า แน่นอน ผมยังต้องการอยู่ที่นี่ (เรอัล มาดริด) ผมรักสโมสรแห่งนี้ซึ่งอยู่มาตั้งแต่ปี 2009 รวมถึงยังรักบรรยากาศและผู้คนอีกด้วย แถมที่นี่ยังใกล้กับโปรตุเกสแบบสุดๆ ซึ่งผมสามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์ สเปนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ และผมรักที่นี่มาก,แผนการของผมคือการรีไทร์ตอนอายุ 41 ปี ถึงแม้มันจะดูเป็นเรื่องยากสักหน่อยก็ตาม ส่วนการเป็นโค้ชไม่ได้อยู่ในแผนการของผม แต่คุณก็รู้ว่าคนเราเปลี่ยนใจได้เสมอ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ผมยังไม่มีความคิดที่อยากจะเป็นโค้ชแม้แต่น้อย. | ดาวยิงจอมแอ็กอาร์ตชาวโปรตุกีสของราชันชุดขาว โปรยยาหอมยังต้องการตะบันแข้งบนถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว ต่อไปอีกนานแสนนาน | กีฬา,ฟุตบอลยุโรป | คริสเตียโน โรนัลโด,เรอัล มาดริด,ลาลีกา | https://www.thairath.co.th/sport/eurofootball/otherleague/1188703 |
มะกันออกข้อยกเว้นให้บริษัททำธุรกรรมกับหน่วยข่าวกรองรัสเซียได้ | สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ก.พ. กระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกา ออกข้อยกเว้นในมาตรการคว่ำบาตรต่อ สำนักงานข่าวกรองรัสเซีย (FSB) ซึ่งออกโดยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา โดยอนุญาติให้บริษัทของสหรัฐฯ ติดต่อทางธุรกิจกับ FSB ซึ่งจำเป็นต่อการได้รับความเห็นชอบนำเข้าผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศจากรัสเซีย,อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังระบุว่า การออกข้อยกเว้นนี้ไม่ถือเป็นการผ่อนคลายการคว่ำบาตร แต่เป็นการแก่ไขข้อผิดพลาดทางเทคนิก ซึ่งเป็นการตอบรับต่อคำร้องโดยตรงจากบริษัทหลายแห่งที่ไม่สามารถนำเข้าผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศโดยปราศจากการอนุญาตจาก FSB ได้ ซึ่งมาตรการนี้เริ่มเตรียมการหลายสัปดาห์ก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะรับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 20 ม.ค. เสียอีก,ทั้งนี้ มาตรกรคว่ำบาตร FSB ของรัฐบาลโอบามาเกิดขึ้นหลังจากมีข้อกล่าวหาว่ารัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง โดยมีกระแสข่าวว่า นายทรัมป์กำลังหาทางผ่อนคลายหรือยกเลิกการคว่ำบาตรแก่รัสเซีย เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ,อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ปฏิเสธเรื่องนี้ในวันพฤหัสบดี หลังจากถูกนักข่าวถามว่าเขากำลังผ่อนคลายการคว่ำบาตรให้รัสเซียอยู่หรือไม่ ผมไม่ได้กำลังผ่อนคลายอะไรทั้งนั้น | กระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกา ออกข้อยกเว้นในมาตรการคว่ำบาตรต่อ สำนักงานข่าวกรองรัสเซีย แต่เป็นเพียงการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้อย่างไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น | null | คว่ำบาตร,สำนักงานข่าวกรองรัสเซีย,FSB,นำเข้าสินค้า,ข้อยกเว้น | https://www.thairath.co.th/content/850089 |
ซัมซุง ช็อกโลก ประกาศระงับการขาย-เรียกคืน กาแลคซี่ โน้ต 7 แล้ว | ซัมซุง รีบแก้ไขก่อนสายประกาศระงับการขาย กาแลคซี่ โน้ต 7 แล้ว พร้อมกับเรียกคืนมือถือรุ่นเรือธงของบริษัท หลังเพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายใน 10 ประเทศทั่วโลกไม่ถึง 2 สัปดาห์ แต่ยอดขายพุ่งไปแล้วถึง 2.5 ล้านเครื่อง,เมื่อ 2 ก.ย.59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน บริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ในเกาหลีใต้ได้ประกาศระงับการขายสมาร์ทโฟนรุ่น กาแลคซี่ โน้ต 7 (Galaxy Note 7) ทั้งหมดแล้ว พร้อมกับเรียกคืนสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงใหม่ล่าสุดของซัมซุง ที่วางจำหน่ายใน 10 ประเทศทั่วโลก หลังจากได้รับรายงานปัญหาจากลูกค้าที่ซื้อ กาแลคซี่ โน้ต 7 ไปแล้ว 35 ราย เกิดปัญหาเครื่องระเบิด และไฟไหม้ระหว่างชาร์จแบตเตอรี่,นายโคห์ ดอง จิน หัวหน้าสายงานธุรกิจของบริษัทซัมซุง ได้เปิดการแถลงข่าวที่กรุงโซล ในวันศุกร์ที่ 2 ก.ย.ว่า บริษัทซัมซุงมีความเสียใจที่ทางบริษัทต้องเรียกคืนกาแลคซี่ โน้ต 7 ทั้งหมด ที่วางจำหน่ายไปแล้วใน 10 ประเทศ รวมทั้งเกาหลีใต้ และสหรัฐฯ,ขณะที่ ผู้บริหารคนหนึ่งของซัมซุง ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ กล่าวว่า บริษัทซัมซุงได้จำหน่ายกาแลคซี่ โน้ต 7 ไปแล้ว 2.5 ล้านเครื่อง หลังจากเปิดตัวและวางจำหน่ายใน 10 ประเทศทั่วโลก เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา,ด้านผู้เชี่ยวชาญในแวดวงไอที กล่าวว่าการที่บริษัทซัมซุงรีบดำเนินการระงับการขายกาแลคซี่ โน้ต 7 รวมถึงเรียกคืนสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว หลังได้รับทราบปัญหาจากลูกค้าบางคนที่ซื้อมือถือรุ่นล่าสุดนี้ไป (,ซัมซุงจ่อเรียกคืน กาแลคซี่ โน้ต 7 ในโสมขาว-ทั่วโลก เจอปัญหาเครื่องระเบิด,) ถือเป็นการลดความเสียหายให้เกิดน้อยที่สุดต่อการกลับมาจำหน่ายกาแลคซี่ โน้ต 7 ขณะที่บริษัทซัมซุง ยังมุ่งหวังว่า สมาร์ทโฟน กาแลคซี่ โน้ต 7 จะกลับมามียอดจำหน่ายอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง สามารถต่อกรสู้กับคู่แข่งสำคัญ บริษัทแอปเปิล ที่เตรียมจะเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ ในสัปดาห์หน้า. | ซัมซุง รีบแก้ไขก่อนสายประกาศระงับการขาย กาแลคซี่ โน้ต 7 แล้ว พร้อมกับเรียกคืน มือถือรุ่นเรือธง หลังเพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายใน 10 ประเทศทั่วโลกไม่ถึง 2 สัปดาห์ แต่ยอดขายพุ่งไปแล้วถึง 2.5 ล้านเครื่อง | null | ซัมซุง,กาแลคซี่ โน้ต7,Galaxy Note7,ระงับการขาย,เรืยกคืน,เกาหลีใต้,สหรัฐฯ | https://www.thairath.co.th/content/710768 |
เจ้า 24 ลูกหมู 2 หัว 4 ตาตายแล้ว หลังร่างกายอ่อนแอ เจ้าของเตรียมใส่โลงแก้ว | เมื่อวันที่ 22 ส.ค.62 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวเดินทางไปเยี่ยม เจ้า 24 ลูกหมู 2 หัว 4 ตา ที่ฟาร์มหมูของ นายสายันต์ มหาหิงส์ ที่บ้านหนองแสง ต.หัวนา อ.เมืองหนองบัวลำภู ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ (,เจ้า 24 ลูกหมู 2 หัว 4 ตาน่ารัก เจ้าของฝันมีคนเอาเงินมาให้ได้เลขเด็ดงวดนี้,) โดยพบครอบครัวของนายสายันต์ต่างดูแลประคบประหงมเจ้า 24 เป็นอย่างดี ให้นอนอยู่บนเบาะ มีผ้าขนหนูคลุมร่างไว้ให้อบอุ่น,นอกจากนี้ เจ้าของยังนำอาหารเหลวของหมูอ่อนมาให้กิน และนำไปให้กินนมแม่ โดยเจ้า 24 มีรูปร่างเล็กกว่าหมูที่คลอดออกมาในคอกเดียวกัน ซึ่งตัวอื่นถูกนำไปไว้ในคอกรวมกัน โดยเจ้า 24 ยังเคลื่อนไหวขยับร่างกายได้ แต่ยังทรงตัวไม่ได้เนื่องจากส่วนหัวที่ใหญ่,ต่อเมื่อเวลา 19.00 น.ของวันเดียวกัน นายสายันต์ เปิดเผยว่า เจ้า 24 ได้ตายลงไปแล้ว เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ กินไม่ได้ ซึ่งซากของเจ้า 24 ก็ได้วางไว้อยู่บนเบาะภายในบ้าน คาดว่าจะเก็บรักษาซากของเจ้า 24 เอาไว้ด้วยการฉีดฟอร์มาลิน ซึ่งจะพิจารณาขอความช่วยเหลือจากกู้ภัยมังกรศรีบุญเรือง ที่มีนายสัตวแพทย์ช่วยเข้ามาดูแลตั้งแต่เมื่อวาน โดยอาจจะเก็บไว้ในโลงแก้วพร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ซึ่งรอพูดคุยกับคนในครอบครัวก่อน | เจ้า 24 ลูกหมู 2 หัว 4 ตา ตายแล้ว หลังมีชีวิตอยู่แค่เพียง 1 วัน เหตุเพราะร่างกายอ่อนแอ กินไม่ได้ เจ้าของเตรียมเก็บซากไว้ | ข่าว,สังคม | เลขเด็ด,หวยหมู 2 หัว,เลขเจ้า 24,เลขเด็ดไทยรัฐ,ข่าวโซเชียล,หนองบัวลำภู,หวย | https://www.thairath.co.th/news/society/1643853 |
สองจ่า ทบ. ขับเก๋งตกคลอง พลิกหงายท้องน้ำทะลักเข้ารถ หนีรอดได้ 1 ตาย 1 | เวลา 00.30 น. วันที่ 1 มี.ค. ร.ต.อ.สายัณ อินลวง รอง สว.สอบสวน สภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เก๋งตกคลองมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 รายติดอยู่ในรถ พุ่งตกลงไปในคลองชลประทาน ริมถนนสายอุทัย-หนองตาโล่ ม.2 ต.สามบัณฑิต อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา จึงประสานมูลนิธิพุทไธสวรรย์ ไปที่เกิดเหตุ,ในคลองชลประทาน พบรถยนต์เก๋งเชฟโรเล็ต ออพตร้า สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎฐ 2895 กรุงเทพมหานคร อยู่ในน้ำ สภาพล้อชี้ฟ้า เจ้าหน้าที่เร่งเข้าไปช่วยเหลือนำร่างผู้บาดเจ็บ 2 รายออกจากรถขึ้นมาทำการปฐมพยาบาล ทราบชื่อ จ.ส.ต.สุวโรจน์ ศรีสุรารักษ์ อายุ 33 ปี สังกัด มทบ.18 จ.สระบุรี อยู่บ้านเลขที่ 55/203 ม.3 ต.บ้านกรด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา บาดเจ็บเล็กน้อย และจ.ส.ต.อดิศักดิ์ จูมแพง อายุ 32 ปี สังกัด มทบ.18 อยู่บ้านเลขที่ 3 ม.5 ต.กูวง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร อาการสาหัส ต้องช่วยกันปั๊มหัวใจ และประสานรถกู้ชีพโรงพยาบาลอุทัย นำตัวส่งโรงพยาบาล ก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ในเวลาต่อมา,จากการสอบสวน จ.ส.ต.สุวโรจน์ ทราบว่า จ.ส.ต.อดิศักดิ์ ซึ่งเป็นคนขับ ได้ขับรถยนต์เก๋ง เพื่อกลับบ้านพักใน อ.บางปะอิน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ เป็นทางสามแยก รถเกิดเสียหลัก พุ่งตกลงไปในคลองชลประทาน จนรถพลิกหงายท้อง และมีน้ำเข้ามาในตัวรถอย่างรวดเร็ว ตนพยายามตั้งสติและคลานออกจากตัวรถ ขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน เพื่อให้มาช่วยนำ จ.ส.ต.อดิศักดิ์ ซึ่งเป็นคนขับติดอยู่ในรถออกมา แต่จมอยู่ในน้ำนาน ทำให้ จ.ส.ต.อดิศักดิ์ ขาดอากาศหายใจ เสียชีวิตในเวลาต่อมา. | สองจ่าทหารบก สระบุรี ขับเก๋งกลับบ้านเสียหลักตกคลองชลประทานที่ อ.อุทัย อยุธยา พลิกหงายท้องน้ำทะลักเข้ารถ คนนั่งข้างสติดีคลานออกมาได้ ร้องเรียกชาวบ้านไปช่วยเพื่อนติดคาที่นั่งคนขับ นำร่างออกมาได้แต่จมน้ำนาน สิ้นใจที่ รพ.
| ข่าว,ทั่วไทย | รถเก๋งตกคลอง,จ่าทหารบก,ตาย1รอด1,รถตกคลองชลประทาน,พระนครศรีอยุธยา | https://www.thairath.co.th/news/local/871082 |
ขสมก.เปิดทดลองรถเมล์ไฟฟ้า 3 เส้นทาง | วันนี้ (4 ก.ย.2562) นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า จะนำรถโดยสารปรับอากาศ ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้ามาทดลองวิ่งเพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงาน และสมรรถนะของรถโดยสารดังกล่าวทั้งนี้จะนำมาทดลองวิ่งให้บริการประชาชนตั้งแต่ วันที่ 4 ก.ย. - 18 ต.ค.62 รวม 45 วัน ซึ่งจัดเก็บค่าโดยสารตามอัตราปกติของแต่ละเส้นทางเส้นทางแรกสาย 129 อู่บางเขน - สำโรงทดลอง วิ่งตั้งแต่วันที่ 4 - 8 ก.ย. เก็บค่าโดยสาร 15 - 20 - 25 ขึ้นทางด่วนเพิ่มอีก 2 บาทเส้นทางที่ 2 สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) ทดลองวิ่งตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. - 3 ต.ค.62 ค่าโดยสาร 30 บาทตลอดสายเส้นทางที่ 3 สาย 522 อู่รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทดลองวิ่งตั้งแต่วันที่ 4 - 18 ต.ค.62 ค่าโดยสาร 13-25 บาท ขึ้นทางด่วนเพิ่มอีก 2 บาทระหว่างการทดลองวิ่งรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 3 เส้นทางจะมีการบันทึกข้อมูลและสถิติการเดินรถต่าง ๆ หลังจากที่ผ่านมาได้ทดลองไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรก เดือน มิ.ย.58 บริษัทล็อกซเล่ย์ ได้เริ่มต้นทดลองวิ่งกับรถประจำทางปรับอากาศสาย 511 ประตูน้ำ - วัดธาตุทอง ครั้งที่ 2 เมื่อ ส.ค.61 นำรถโดยสารไฟฟ้าของบริษัท Edison Motors จำกัด จากประเทศเกาหลีใต้ มาทดลองให้บริการใน 6 เส้นทาง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่ได้ข้อสรุปหลังจากนี้ จะรวบรวมนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบพิจารณาในการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศไฟฟ้าจำนวน 35 คัน ตามแผนฟื้นฟูของ ขสมก.ที่จะต้องทยอยเปลี่ยนรถโดยสาร รวม 2188 คัน ใน 4 ประเภท คือ รถเมล์เอ็นจีวี เช่า 400 คัน รถเมล์ไฮบริดจ์ เช่า 300 คัน รถเมล์ไฮบริด ซื้อ 1453 คัน และรถเมล์ไฟฟ้า 35 คัน โดยกลุ่มรถเมล์เอ็นจีวีและรถเมล์ไฮบริดเช่า ทั้ง 700 คัน คาดว่าจะเริ่มกระบวนการเปลี่ยนได้ภายในสิ้นปีสำหรับรถโดยสารปรับอากาศไฟฟ้าคันนี้มี 24 ที่นั่ง ออกแบบให้สามารถรองรับการใช้บริการของผู้โดยสารทุกกลุ่ม รวมถึงคนพิการ ซึ่งมีทางลาดเพื่อเข็นวีลแชร์ขึ้นลงรถได้อย่างสะดวกปลอดภัยพร้อมที่จอดวีลแชร์ 1 คันส่วนสถานีชาร์จรถไฟฟ้า แต่ละครั้งใช้เวลาชาร์จประมาณ 2.30 ชั่วโมง วิ่งได้ 200 กม.ซึ่งจากการทดลองสามารถชาร์จได้สำหรับการให้บริการไป-กลับได้ขณะที่ความคืบหน้าของนโยบายกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ในการลดค่าโดยสารระบบขนส่งสาธารณะนั้น เบื้องต้น ขสมก.ได้เสนอแผนการลดค่าโดยสารไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้ว แต่จะสามารถปรับลดค่าโดยสารลงได้ในอัตราเท่าใดยังไม่สามารถสรุปได้ และอำนาจในการพิจารณาค่าโดยสาร เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางที่จะเป็นผู้กำหนด คาดว่าภายใน 1-2 วันนี้จะได้ข้อสรุป | ขสมก.เปิดทดลองเดินรถโดยสารปรับอากาศ ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าใน 3 เส้นทาง ก่อนสรุปผลและนำไปประกอบการพิจารณาการจัดซื้อรถตามแผนฟื้นฟู | เศรษฐกิจ | ขสมก.,รถเมล์ไฟฟ้า,ลดค่าครองชีพ,รังสิต,ดอนเมือง,บางเขน | https://news.thaipbs.or.th/content/283738 |
พายุนารีส่งผลภาคอีสาน-ตอ. มีฝนเพิ่ม ลมแรง | ตอนนี้พายุมาประชิดชายฝั่งประเทศเวียดนามแล้วและกำลังเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง แม้ว่าพายุจะมีกำลังแรงเป็นถึงไต้ฝุ่น แต่ว่าแบบจำลองของสำนักพยากรณ์หลายสำนัก ทั้งของไทยและต่างประเทศ วิเคราะห์ว่าพายุเมื่อขึ้นฝั่งที่เวียดนามแล้ว จะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว เป็นโซนร้อนและดีเปรสชั่นในคืนวันนี้ (15 ต.ค.) จากนั้นวันพรุ่งนี้ (16 ต.ค.) น่าจะเป็นดีเปรสชั่นอยู่ที่ประเทศลาว และบริเวณรอยต่อกับภาคอีสานของไทยพายุนี้จะทำให้ภาคอีสาน โดยเฉพาะด้านตะวันออก มีฝนเพิ่มขึ้นและมีลมแรง แต่ไม่มีฝนตกหนัก เพราะว่าช่วงนี้มวลอากาศเย็น กำลังค่อยๆแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่จะนำความชื้นจากทะเลเข้ามา มีกำลังอ่อน ทำให้ตอนบนของไทยมีความชื้นน้อย ส่วนภาคตะวันออกก็จะมีฝนเพิ่มขึ้นได้ บริเวณชายฝั่งและจังหวัดสระแก้ว แต่ว่าน่าจะไม่มีฝนตกหนักเช่นกันสำหรับภาคอีสานที่น่าจะมีฝนเพิ่มขึ้น ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ คือจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจิรญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ส่วนกรุงเทพมหานครอากาศวันนี้จะคล้ายเมื่อวาน คือมีฝนน้อย ฟ้าโปร่ง แต่ก็มีโอกาสเกิดฝนได้ในบางจุดช่วงบ่ายถึงค่ำ ดังนั้นวันนี้ ภาคอีสานและภาคตะวันออกจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีลมแรง แต่ไม่น่าเป็นห่วงมาก เพราะไม่น่าจะมีฝนตกหนัก | สภาพอากาศในช่วงนี้่ ความเคลื่อนไหวของพายุไต้ฝุ่นนารี ซึ่งเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนามในวันนี้่ (15 ต.ค.) | สังคม | ตะวันออก,ฝนตก,พายุไต้ฝุ่นนารี,ลมแรง,อีสาน | https://news.thaipbs.or.th/content/201590 |
ปีติพงศ์ฟุ้งปีแพะ เกษตรไทยไปโลด | ผลผลิตเกษตร หลังโรงงานจีนสร้าง เสร็จ จะทำให้ผลผลิตภาคเกษตรถูกส่งเข้าโรงงานแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้จำนวนมาก ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำได้อย่างแน่นอน และเพื่อไม่ให้สินค้าจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาพร้อมกับการเปิดเออีซีเข้ามาตีตลาดสินค้าไทย ได้มอบให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เข้าไปดูแลในเรื่องนี้แล้ว,ด้าน นายโอภาส กลั่นบุศย์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยถึงบทบาทของกรมฯที่จะเข้ามาดูแลปัญหานี้ว่าสหกรณ์จะเข้ามาเป็นผู้รวบรวมสินค้า และปรับปรุงคุณภาพให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นก่อนส่งจำหน่าย ทำให้มีกำไรเกิดขึ้นกับสหกรณ์ ผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนผู้ถือหุ้น ไม่ใช่เอกชนที่ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียวเหมือนที่ผ่านมา,และด่านชายแดนแรกจะมุ่งไป คือ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยให้สหกรณ์นิคมแม่สอด, สหกรณ์นิคมแม่ระมาด, สหกรณ์การเกษตรพบพระ, สหกรณ์การเกษตรบ้านตาก เข้าไปดูแลควบคุมการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 20,000 ตัน มาปรับปรุงคุณภาพกำจัดสิ่งเจือปนออก เข้าโรงอบลดความชื้น เพื่อให้ได้มาตรฐานแล้วส่งขายต่อไปยังจีน 50% ส่วนที่เหลือให้สหกรณ์ภายในประเทศนำไปใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหารสัตว์จำหน่ายภายในประเทศ,แห่งที่สอง ด่านชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ให้สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น รวบรวมผลผลิตมันสำปะหลัง จำนวน 24,000 ตัน ข้าวโพด 10,000 ตัน มาปรับปรุงคุณภาพก่อนส่งไปจีน ส่วนข้าวแข็ง 5,000 ตัน ถั่วเหลือง 5,000 ตัน จะนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในประเทศ โดยสหกรณ์ทั้งหมดได้จดทะเบียนกับกรมการค้า กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร เพื่อขอนำเข้าสินค้าเกษตรอย่างถูกต้องตาม พ.ร.บ.อาหารสัตว์,ส่วนช่วงเวลานำเข้าผลผลิตทั้งหมด นายโอภาส บอกว่า อยู่ระหว่างเสนอ ครม. เพื่อขอนำเข้าตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เร็วกว่ากำหนดเดิมที่กระทรวงพาณิชย์ ประกาศไว้ 1 ก.พ.-31 ส.ค.58 ซึ่งการนำเข้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตภายในประเทศ เนื่องจากไม่ตรงกับช่วงผลผลิตในประเทศออกสู่ตลาด. | นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงแนวโน้มสินค้าเกษตรไทยในปี 2558 ว่า มีทิศทางดีขึ้น นอกจากจะมีการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ประเทศจีนยังขอเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป | null | ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา,กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,สินค้าเกษตร,แปรรูป,โอภาส กลั่นบุศย์,สหกรณ์,ด่านชายแดน | https://www.thairath.co.th/content/472858 |
ระทึก เครื่องบินฝึก ม.นครพนม ลงฉุกเฉิน ปีกหัก หางขาด ครู-นร.รอด | เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 24 ก.พ.59 ร.ต.ท.ทนงศักดิ์ อุปจัทนทร์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินฝึกบินแบบใบพัด ขนาด 2 ที่นั่ง ของวิทยาลัยการบินนานาชาติ มหาวิทยาลัยนครพนม เกิดเครื่องยนต์ขัดข้อง ทำให้นักบิน และครูฝึกที่อยู่บนเครื่อง 2 คน พยายามแก้ไขปัญหา และนำเครื่องบินร่อนจอดฉุกเฉิน บริเวณลานมันกลางทุ่งนาบ้านหนองดู ต.นาใน อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม เขตติดต่อ ต.บ้านผึ้ง อ.เมืองนครพนม,ที่เกิดเหตุ ทราบว่าเป็นที่ดินของ นายน้อย แสงเพชร อายุ 70 ปี ชาวบ้านหนองปลาดุก ต.บ้านผึ้ง ห่างจากท่าอากาศยาน จ.นครพนม จุดขึ้นบินประมาณ 10 กิโลเมตร เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่า เครื่องบินได้รับความเสียหาย ปีกหักทั้ง 2 ข้าง และหางหักขาดออกจากตัวเครื่อง แต่ไม่มีไฟลุกไหม้,ส่วนนักบิน และครูฝึกทั้ง 2 คน ยังไม่ทราบชื่อ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ชาวบ้านเข้าช่วยเหลือนำออกจากจุดเกิดเหตุ อาการปลอดภัย ภายหลังเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ และกันพื้นที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไป เพื่อทำการตรวจสอบหาสาเหตุโดยละเอียด,จากการสอบถาม นางฉวีวรรณ ขันธชัย อายุ 48 ปี ผู้ใหญ่บ้านหนองปลาดุก ต.บ้านผึ้ง ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุได้เห็นเครื่องบินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งปกติจะมีการฝึกบินให้เห็นเกือบทุกวัน แต่วันนี้กลับเห็นเครื่องลำดังกล่าวมีอาการผิดปกติ จนกระทั่งร่อนลงจอดฉุกเฉิน จึงพากันวิ่งไปดู พบว่าเครื่องร่อนลงกลางลานมัน ชาวบ้านจึงเข้าไปช่วยเหลือนักบิน และครูฝึกออกมาพบว่าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย สามารถเดินได้ตามปกติ ก่อนประสานเจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลนครพนม ซึ่งถือว่าโชคดี ไม่มีใครเสียชีวิต หรือบาดเจ็บอาการหนัก,ทางด้าน นายภิรมย์ มีแก้ว หน้าหน้าท่าอากาศยานนครพนม ได้ให้ข้อมูลว่า ปกติเครื่องบินฝึกบินของวิทยาลัยการบินนานาชาติ จะขึ้นฝึกบินทุกวัน และก่อนเกิดเหตุได้มีการฝึกบิน โดยประสานงานผ่านหอบังคับการบินท่าอากาศยานนครพนม แต่หลังจากฝึกบิน ขากลับ มีรายงานทางวิทยุสื่อสารว่า เครื่องขัดข้องพยายามหาทางร่อนลงจอด จนกระทั่งเกิดเหตุดังกล่าว ซึ่งการดูแลการบิน ทุกครั้งทางท่าอากาศยานจะมีการตรวจสอบ ควบคุม รายงานสภาพอากาศ ความเหมาะสม หรือสภาพการบินตลอดเวลา ส่วนสาเหตุจะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง,ขณะที่นายน้อย แสงเพชร อายุ 71 ปี ชาวบ้านอีกคนที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ เห็นว่าเครื่องบินมีอาการผิดปกติ เหมือนจะตก จึงตกใจและยืนดูคอยลุ้นอยู่ ไม่นานเครื่องก็เสียหลักร่อนลงกลางทุ่งนา ตนและชาวบ้านจึงพากันวิ่งไปดู โชคดีไม่มีไฟลุกไหม้ และนักบิน กับครูฝึก รวม 2 คน ออกมาจากเครื่องได้อย่างปลอดภัย ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ยังสามารถเดินได้,เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจให้กับชาวบ้านพอสมควร และดีที่ไม่ตกเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านที่นี่ จะเห็นเครื่องบินออกมาฝึกบินกันแทบทุกวันนายน้อย กล่าว.,. | เครื่องฝึกบินแบบใบพัด 2 ที่นั่ง ของวิทยาลัยการบินนานาชาติ ม.นครพนม ครูฝึกพานักเรียนขึ้นบิน ชาวบ้านเห็นร่อนผิดปกติ ก่อนลงฉุกเฉินกลางลานมันในทุ่งนา ปีกหักทั้ง 2 ข้าง หางขาด เดชะบุญทั้ง 2 คนปลอดภัย แค่บาดเจ็บเล็กน้อย
| null | เครื่องบิน,เครื่องบินตก,เครื่องบินฝึก,ลงฉุกเฉิน,ปีกหัก,หางขาด,นักบินบาดเจ็บ,วิทยาลัยการบินนานาชาติ,มหาวิทยาลัยนครพนม,เครื่องยนต์ขัดข้อง,นครพนม,ข่าว,ไทยรัฐ,ข่าวทั่วไทย,ข่าวภูมิภาค,ไทยรัฐออนไลน์ | https://www.thairath.co.th/content/581744 |
หน่วยงานความมั่นคงเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ช่วงเดือนรอมฎอน | หลังมีการประชุมหารือร่วมกันของจุฬาราชมนตรี และผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เปิดเผยว่า จากเดิมที่ได้ประกาศให้พี่น้องชาวไทยมุสลิม ทั่วประเทศดูดวงจันทร์ เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ในวันที่ 8 ก.ค.2556 แต่ปรากฏว่าในวันดังกล่าว ไม่มีผู้เห็นดวงจันทร์ จุฬาราชมนตรีจึงประกาศว่า วันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1434 ตรงกับวันพุธที่ 10 ก.ค.2556นายอรุณ บุญชม รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ได้กล่าวถึงชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ ให้ยึดถือปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามในช่วงเดือนรอมฎอน ทั้งแนวทางที่ควรปฏิบัติ และงดเว้นการปฏิบัติในช่วงระหว่างถือศีลอดส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพิ่มมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนโดยมีการวางกำลังในการลาดตระเวนเส้นทาง ทั้งสายหลักและสายรอง การตั้งด่านตรวจและรถต้องสงสัยที่เข้าออกเมืองอย่างเข้มงวดและเป็นพิเศษ เนื่องจากวันแรกของการถือศีลอดปีที่แล้ว เกิดเหตุลอบวางระเบิด ในอำเภอสุไหงโก-ลก ทำให้ปีนี้เจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษด้านนายอับดุลวาฮะ เจ๊ะปอ รักษาการประธานชมรมโต๊ะอิหม่ามและผู้นำศาสนาเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก เชื่อว่า ในช่วงถือศีลอดสถานการณ์น่าจะลดน้อยลง แต่คิดว่ามีการก่อเหตุอยู่บ้าง ซึ่งน่าจะเป็นการดำเนินการของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจาส่วนนางสุภวรรณ นิยะโต๊ะ ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอสุไหงโกลกไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ในเดือนรอมฎอนจะลดลง เพราะสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่งคง ให้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนให้มากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาศัยช่องว่างหรือจังหวะเข้ามาสร้างสถานการณ์ส่วนอาการบาดเจ็บของ สิบเอกอดิพงษ์ รักวงศ์ ทหารร้อย ร. 15331 ชุดเฉพาะกิจ ปัตตานี ที่ถูกลุ่มผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อเช้าวันที่ 8 ก.ค.2556 ยังไม่พ้นขีดอันตราย แพทย์จึงต้องดูแลอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนทหารอีก 7 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะนี้ปลอดภัยแล้วด้านพลตำรวจตรีเอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี เรียกผู้กำกับการทั้ง 12 อำเภอ หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้ประกอบศาสนกิจในช่วงเดือนรอมฎอน | หน่วยงานความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพิ่มรักษามาตรการรักษาความปลอดภัยดูแลประชาชน ก่อนเข้าสู่การถือศีลอด หรือเดือนรอมฎอน อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะการเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษในพื้นที่เสี่ยง หลังทหารชุดรักษาความปลอดภัยครู จังหวัดปัตตานี ถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 8 ก.ค.2556 ด้านสำนักจุฬาราชมนตรี ประกาศให้วันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ประจำปีนี้ ตรงกับวันที่ 10 ก.ค.2556 | ภูมิภาค | จังหวัด,ชายแดนภาคใต้,รอมฎอน,หน่วยงานความมั่นคง | https://news.thaipbs.or.th/content/182773 |
อย่าเอาสวรรค์มาล่อ เหยียบถิ่นวัดป่า ยึดหลักธรรม เหนี่ยวใจชาวพุทธ | เมื่อจุดมุ่งหมายของการเข้าวัดทำบุญล้วนเปลี่ยนไป คนบางกลุ่มทำบุญเพื่อสะเดาะเคราะห์บ้าง แก้ปีชงบ้าง ทำให้หลากหลายวัดหันมาใช้กุศโลบายสะเดาะเคราะห์แก้กรรม ตอบโจทย์คนเหล่านั้น คิดค้นโปรโมชั่นทำมากได้มาก จูงใจให้คนหันหน้าเข้าวัดทำบุญเพิ่มขึ้น แต่กระนั้น ก็ยังมีอีกหลายวัดเช่นกันที่ยังคงความเป็นพุทธศาสนสถาน เน้นการปฏิบัติธรรมมากกว่าการบริจาค ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ลงพื้นที่สำรวจวัดใกล้เมืองกรุง เน้นสอนหลักธรรมให้เกิดความสงบแก่จิตใจ โดยทั้ง 2 วัด คือ วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม และ วัดเชิงเลน ซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 เป็นวัดที่ไม่หรูหราโอ่อ่าใหญ่โตอะไร มีพื้นที่ให้นั่งปฏิบัติธรรม จึงเป็นจุดสำคัญที่แตกต่างจากวัดพุทธพาณิชย์ทั่วไป ที่ความสงบเหล่านี้ทำให้ใครหลายคนเข้าถึงธรรมะอย่างลึกซึ้ง,วัดป่าเชิงเลน วัดป่ากลางกรุง จรัญฯ 37,วัดป่าเชิงเลน เป็นวัดป่าอยู่ใจกลางเมืองกรุง ตั้งอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 ริมคลองชักพระ เข้าไปค่อนข้างลึก จะมีที่จอดรถให้และต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร โดยตลอดทางเข้าเป็นป่าทั้งสองข้างทาง ให้ความรู้สึกเหมือนวัดป่าจริงๆ ที่ไม่คิดว่าในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ จะมีวัดแบบนี้อยู่,สภาพภายในวัดร่มรื่นจากแมกไม้นานาพรรณ มีการก่อสร้างเสนาสนะเท่าที่จำเป็น เช่น ศาลา โบสถ์ หอฉัน กุฏิ โรงครัว เป็นต้น ไม่มีอาคารหรูหราใหญ่โต มีเพียงศาลาเล็กๆ กลางน้ำ ไว้เพื่อให้ญาติโยมได้เสวนาธรรมกับพระภิกษุสงฆ์ ขณะที่ พระสงฆ์ใช้วัดนี้เป็นที่จำศีลภาวนา เป็นที่ปฏิบัติธรรมของญาติโยมผู้ใฝ่ธรรมและใช้เป็นที่เผยแผ่ และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นวัดป่าที่เน้นการปฏิบัติ ความสงบภายในจิตใจ,สำหรับการบริจาคนั้น ทางวัดไม่ได้ทำการเรี่ยไรใดๆ ทั้งหมดอยู่ที่ความศรัทธาของญาติโยม และมีตู้บริจาคไม่มาก แค่เพียง ค่าน้ำ-ค่าไฟ วัด,ด้าน ประชาชนที่มาทำบุญ ระบุว่า ชอบมาวัดป่าเชิงเลน เพราะว่าเงียบสงบ เป็นวัดกลางเมืองเหมือนอยู่ท่ามกลางป่า และไม่เหมือนวัดทั่วๆ ไป ที่ให้ความรู้สึกสงบทั้งภายนอกและภายในจิตใจ ขณะที่หลังจากเข้าวัดก็ได้หลักธรรมคำสอนไปใช้ในการดำรงชีวิต ได้วิธีการนั่งสมาธิทำให้จิตใจสงบ ได้การสวดมนต์ภาวนา,วัดญาณเวศกวัน เรือนแห่งความรู้ ผู้เข้าสู่ญาณ,วัดญาณเวศกวัน ป่าที่มีเรือนแห่งความรู้ หรือ ป่าของผู้เข้าสู่ญาณ ตั้งอยู่ที่ ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ร่มรื่นด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ โอบล้อมด้วยบรรยากาศแห่งธรรมชาติ ให้ความสงบ ร่มเย็น เหมาะแก่การเข้ามาแสวงหาความรู้ เจริญธรรม เจริญปัญญา พื้นที่ส่วนใหญ่ของวัดจึงมีไว้สำหรับต้นไม้มากกว่าสิ่งปลูกสร้าง ทั้งยังมีอุทยานเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา อยู่ในอาณาบริเวณวัดแห่งนี้ด้วย,หากคนที่ไม่เคยมาวัดญาณเวศกวัน และเพิ่งมาเป็นครั้งแรกจะไม่มีทางทราบเลยว่าตู้บริจาคนั้นอยู่ตรงไหน ทีมข่าวฯ เดินจนทั่วทั้งวัด ไม่ว่าจะเป็นหอสมุด โบสถ์ หรือศาลาวัดก็ตาม ไม่มีตู้บริจาคให้เห็นเลยสักตู้เดียว ทีมข่าวฯ จึงสอบถามผู้ที่มาทำบุญที่วัดนี้ ได้ความว่า ตู้บริจาคมีเพียงตู้เดียวเป็นตู้ไม้ อยู่ข้างศาลาฟังธรรม และทางวัดห้ามใส่เงินสดลงไปในตู้ โดยมีซองจดหมายให้ใส่ พร้อมเขียนชื่อ-ที่อยู่ลงใบบนซอง เพื่อที่ทางวัดจะส่งใบอนุโมทนาบัตรมาให้ถึงบ้าน,นางวรรณา วิชัยอุรุโรจน์, เปิดเผยกับทีมข่าวฯ ถึงเหตุผลที่เลือกมาทำบุญที่วัดแห่งนี้ว่า พระที่วัดส่วนใหญ่เป็นพระสายปฏิบัติ คนที่จะมาบวชต้องจองไว้เป็นปี เพราะวัดจะคัดสรรผู้ที่เหมาะสมและตั้งใจจะปฏิบัติธรรมจริงๆ อีกทั้ง เจ้าอาวาสที่วัดท่านจะชอบเทศน์ให้ญาติโยมฟังและมีหนังสือและแผ่นซีดีธรรมะแจกด้วย เจ้าอาวาสได้เขียนหนังสือและแผ่นซีดีธรรมะ เพื่อแจกจ่ายอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย รวมถึงทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ใช้หนังสือที่เจ้าอาวาสเขียนมาใช้ในการศึกษาอีกด้วย,ความแตกต่างจากวัดอื่นๆ คือ วัดส่วนใหญ่จะเน้นการทำบุญ ขณะที่วัดนี้แทบจะไม่มีตู้บริจาค มีตู้เดียวคือตรงศาลา โดยจะไม่ให้ใส่เงินลงไปเลย จะมีซองมาให้ใส่เงินพร้อมเขียนชื่อ-ที่อยู่ แล้วค่อยหยอดใส่ตู้ เพื่อที่ทางวัดจะออกใบอนุโมทนาบัตรส่งให้ถึงบ้าน อีกประการ คือ วัดทั่วไปเป็นพุทธพาณิชย์ ซึ่งที่นี่เน้นสอนธรรมะ เจ้าอาวาสจะเทศน์ให้ฟังทั้งช่วงเช้าและกลางวัน โดยผู้ที่มาฟังจะได้ธรรมะไปปฏิบัติได้ จะเน้นให้คนปฏิบัติมากกว่าการทำบุญ คนส่วนใหญ่ศรัทธาเพราะวัดไม่มีเรื่องแบบนี้,ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ,พระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ รองเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน, ถึงหลักสำคัญที่วัดเน้นปฏิบัติมากที่สุด นั่นคือ โอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา และทางวัดได้แจกหนังสือธรรมะและซีดีเป็นธรรมทาน เมื่อญาติโยมได้เข้ามาที่วัดทำบุญทำกุศลได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์แล้วก็ยังมีหนังสือธรรมะแจกจ่ายให้ไปศึกษาทำความเข้าใจด้วย และมีซีดีที่มีข้อธรรมเหล่านั้น ซึ่งทางวัดแจกเป็นธรรมทานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น,ทำบุญ = ลดความตระหนี่,พระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ อธิบายเรื่องการทำบุญว่า การทำบุญถวายทานหรือสัปปุริสธรรม คือ ทานของสัตบุรุษ ทางวัดจะเน้นย้ำให้เข้าใจว่าจะต้องถวายของที่สะอาด ประณีตบรรจง เหมาะกับพระภิกษุสงฆ์ผู้รับ เหมาะกับกาลเวลา มีการคิดใคร่ครวญพิจารณาก่อนที่จะมีการทำบุญถวาย ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ เมื่อทำบุญถวายจิตใจผ่องใส หลังจากทำบุญถวายมีจิตใจเบิกบาน,ความพอดีของการทำบุญ คือ จะต้องเป็นคนที่มีศรัทธาและไม่มีการบังคับ เรียกร้อง และต้องมีความชัดเจนว่าเป้าหมายที่ทำบุญนั้นเป็นการลดละความตระหนี่ของจิตใจแต่ละบุคคล ทางวัดไม่ได้เน้นย้ำว่าต้องทำบุญเท่าไหร่ เพื่อจะไปในที่ดีๆ หรือได้อะไรต่างๆ ไม่ใช่เอาสวรรค์มาล่อ หรือเอาอะไรต่างๆ มาทำให้โยมนั้นมีการที่จะต้องทำมากขึ้นๆ ฉะนั้นจะต้องทำด้วยปัญญา รองเจ้าอาวาสฯ ระบุ,พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีความกว้าง บางครั้งความเป็นไปของกระแสโลก อาจทำให้บางแห่งมีกุศโลบายที่เป็นการเรียกร้อง และกระตุ้นให้คนนั้นมาถวายมากขึ้นเรื่อยๆ ความจริงแล้วหลักการของพุทธศาสนา ไม่ต้องการจะเป็นคนที่ใหญ่โตโอ่อ่า ไม่ต้องการจะเป็นคนที่สะสมเพิ่มพูนกิเลสมากมาย การที่เราต้องการได้เงินได้ทองมามาก ก็แสดงว่าผิดหลักพระธรรมวินัย การที่จะชักชวนประชาชนเข้ามาทำบุญจะต้องนำพาให้ประชาชนทำในทางที่ถูกต้องไม่ใช่พาหลงทางที่จะทำให้เขานั้น เข้าใจไปว่าการได้บุญต้องทำให้มาก ต้องถวายเยอะๆ อันนี้ไม่ถูกต้องไม่ดี, พระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ ทิ้งท้ายเป็นข้อคิด.,อ่านเพิ่ม,เงินแลกสวรรค์ แพ็กเกจบุญพุทธพาณิชย์ มหาศรัทธา หรือ ธุรกิจกุศล? | ทีมข่าวฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจวัดใกล้เมืองกรุง คือ วัดญาณเวศกวัน และ วัดเชิงเลน เป็นวัดที่ไม่หรูหราใหญ่โต มีพื้นที่ให้นั่งปฏิบัติธรรม จึงเป็นจุดสำคัญต่างจากวัดพุทธพาณิชย์ ที่ความสงบเหล่านี้ทำให้หลายคนเข้าถึงธรรมะอย่างลึกซึ้ง | null | พุทธพาณิชย์,ทำบุญ,พุทธศาสนาเชิงพาณิชย์,พุทธศาสนสถาน,วิธีทำบุญ,หลักคำสอนศาสนา,บริจาค,วัดป่าเชิงเลน,วัดญาณเวศกวัน,แก้กรรม,สะเดาะเคราะห์,ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์,ไทยรัฐออนไลน์,ข่าว | https://www.thairath.co.th/content/485084 |
ข้อเสนอที่ เอาแต่ใจ ของมวลมหาประชาชน | 1.รัฐธรรมนูญคือกฎหมายแม่บทของประเทศใดๆ ที่ใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย กฎหมายต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นฉบับที่ 18 หลังเกิดขึ้นฉบับแรกเมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งเป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่พระมหากษัตริย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งในครั้งนั้น คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช 2475หลังเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทางการเมือง รัฐธรรมนูญของประเทศไทยก็ถูกฉีกออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยการกระทำรัฐประหารยึดอำนาจจากกองกำลังทหารเนื่องมาจากเหตุผลต่างกันไป โดยส่วนมากมักเกิดเมื่อมีปัญหาความรุนแรงทางการเมือง ในการร่างรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งส่วนใหญ่เป็นไปเพื่ออุดช่องว่างจากปัญหาการเมืองครั้งก่อนๆ และอีกเหตุผลหนึ่งเพื่อนิรโทษกรรมในตัวเองให้กับคณะรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นความผิดอาญาถึงขั้นประหารชีวิตปีพุทธศักราช 2549 หลังเกิดปัญหาจากการลงสมัครเลือกตั้งที่พรรคอื่นๆ นอกจากพรรคไทยรักไทยพร้อมใจกันไม่ลงสมัคร รัฐบาลรักษาการณ์โดยการนำของ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกยึดอำนาจด้วยการรัฐประหารจากคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ซึ่งมี พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะหลังเกิดเหตุการณ์ ได้มีการแต่งตั้ง พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ในระหว่างนั้นได้จัดให้มี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมกันไปด้วย หลังจากที่คณะ คปค. ได้ฉีกฉบับเก่าทิ้งไป รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่เปิดให้มีการลงประชามติ เพื่อให้ได้ความชอบธรรมในการประกาศใช้ผลการลงประชามติในภาคใต้และกรุงเทพมหานครรับรองโดยส่วนใหญ่ ในขณะที่บางส่วนของภาคเหนือและภาคอีสานไม่รับรอง โดยสรุป รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 57.81% ต่อ 42.19% และถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 24 สิงหาคม พุทธศักราช 25502.ลักษณะโดยทั่วไปของระบอบประชาธิปไตยคือเป็นระบอบที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และสามารถตรวจสอบการทำงานของผู้แทนที่เข้าไปทำหน้าที่ได้อย่างชอบธรรม ทั้งในระบบสภากระทั่งการเมืองบนท้องถนน ตราบใดที่ยังไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ หรือละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในสังคมหนึ่ง ความต้องการของคนแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป การออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการแรกสุดเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาความแตกต่างนั้น เสียงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจได้ถูกส่งผ่านไปให้กับผู้แทนซึ่งพวกเขาได้เลือกเข้าไปเพื่อสนองต่อความต้องการในรูปนโยบายต่างๆแม้ว่าจะต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ แต่เสียงส่วนน้อยก็ยังต้องได้รับความคุ้มครอง ดังนั้นเราจึงจะเห็นภาพของการออกมาประท้วงและชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิ่งที่รัฐบาลไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องอย่างที่สัญญาไว้จากหลายภาคส่วน หรือออกมาเรียกร้องเมื่อรัฐบาลประพฤติในทางมิชอบอยู่เป็นประจำ เช่นอาจจะเป็นผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบทางเกษตรกรรม หรือที่ปรากฏในช่วงปลายปีที่แล้วอย่างผู้ชุมนุมที่ออกมาคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นที่รับทราบกันว่าไม่เหมาะสมอย่างชัดเจนนี่คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย คือความสวยงามของการที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ลองจินตนาการภาพว่าพวกเรากำลังอาศัยอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบคอมมิวนิสม์ที่อำนาจการปกครองรวมอยู่ที่กลุ่มคนกลุ่มเดียวเราจะยังมีสิทธิ์ในการเรียกร้องอย่างนี้หรือ?3.รัฐบาลนี้ขี้โกง รัฐบาลนี้ทำประเทศจะล่มจม รัฐบาลนี้ไม่ชอบธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราได้ยินอย่างชินชาจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังปิดกรุงเทพฯ อยู่ในขณะนี้ คำถามก็คือ ข้อกล่าวหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ในระบบรัฐสภาหรือไม่จริงอยู่ หากรัฐบาลกุมเสียงในสภาได้เกินกึ่งหนึ่ง พรรคฝ่ายค้านอาจทำอะไรไม่ได้ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มนี้ก็ได้ทำการพิสูจน์แล้วว่าการออกมาของพวกเขาได้ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รู้สึกตัว ว่าพวกเขาไม่อาจทำอะไรตามใจ เสียงและอำนาจของประชาชน ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตยการยอมถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมและการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมให้เห็นว่า รัฐบาล ยอม ที่จะคืนอำนาจในการตัดสินใจเลือกผู้แทนของตนให้กับประชาชนชาวไทยทุกคน ขอย้ำว่า ทุกคนการเลือกตั้งในครั้งนี้จะเป็นกระบวนการที่วัดได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุดว่าการกระทำที่สุดแสนจะชั่วช้าของรัฐบาลชุดนี้จะให้ผลสะท้อนกลับเป็นอย่างไร อาจจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง หรือเกมอาจจะพลิกให้พวกเขากลายเป็นฝ่ายค้าน (น่าเสียดายที่พรรคใหญ่อีกพรรคกลับไม่ยอมเล่นตามกติกา จนทำให้เราไม่อาจได้เห็นได้ในครั้งนี้)คำตอบทุกอย่าง พิสูจน์ได้ด้วยการเลือกตั้ง4.ข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมในตอนนี้คืออะไร?หลังการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงเรียกร้องให้รักษาการนายกรัฐมนตรีและรักษาการคณะรัฐมนตรีลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข เปิดทางให้เกิดสุญญากาศ เพื่อหาคนกลางมาปกครองประเทศ ก่อนที่จะปฏิรูปประเทศ แล้วจึงนำไปสู่การเลือกตั้งย้อนกลับมาที่กฎหมายสูงสุดของประเทศ นั่นคือรัฐธรรมนูญ เรามองไม่เห็นทางออกในข้อกฎหมายที่จะทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผู้ชุมนุมบางคนกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลกระทำการอย่างไม่เคารพรัฐธรรมนูญ มาคราวนี้ทำไมต้องมาเคารพรัฐธรรมนูญ ทำไมต้องอ้างข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญเพื่ออยู่ในตำแหน่งและไม่เปิดทางให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำข้อเรียกร้องให้สำเร็จที่ผ่านมาก็ได้เห็นแล้วว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอย่างศาลรัฐธรรมนูญได้ทำการวินิจฉัยการกระทำหลายอย่างของรัฐบาลว่าไม่เหมาะสม (แต่พรรครัฐบาลประกาศไม่ยอมรับ ซึ่งนั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งถกเถียงได้) นั่นคือกระบวนการตรวจสอบในระบบอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย การไม่เคารพกฎหมายของคณะรัฐบาล สามารถตรวจสอบและลงโทษได้ตามระบบ หากเราปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีทางที่ควรจะเป็นหากรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นกฎหมายแม่บทซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ (และอาจอนุมานได้ว่าเป็นส่วนใหญ่ในกลุ่มผู้ชุมนุมตอนนี้) ลงมติยอมรับ จะเป็นเรื่องที่ชอบธรรมหรือไม่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องยึดถือหลักการและกฎหมายในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และพร้อมจะฉีกกติกาที่ตัวเองเคยกากบาทยอมรับเองเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะการบอกว่าไม่จำเป็นต้องยึดถือรัฐธรรมนูญและเอาหลักศีลธรรมความดีเป็นหลัก เป็นข้อเรียกร้องที่ดู เอาแต่ใจ ไปหรือเปล่า?หากบ้านเมืองนี้ยังคงมีกฎหมาย การเรียกร้องที่ขัดกับกฎหมายก็ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม การใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและหลักการกฎหมาย ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่ประเทศที่เป็นนิติรัฐพึงกระทำ อย่างที่ผู้ชุมนุมกล่าวหารัฐบาลเสมอมาที่สำคัญ การที่เราจะกำจัดคนที่เรากล่าวหาว่าเป็นคนเลวเลว เราจำเป็นต้องทำสิ่งที่เลวกว่าเพื่อให้กลายเป็นคนดีหรือไม่ นี่ก็เป็นหนึ่งในคำถามที่น่าสนใจ และผู้ชุมนุมกลุ่มนี้จำเป็นต้องตอบกับสังคมไทยที่ไม่ได้มีแค่ มวลมหาประชาชน.เทพพิทักษ์ มณีพงษ์ ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | 1.รัฐธรรมนูญคือกฎหมายแม่บทของประเทศใดๆ ที่ใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย กฎหมายต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆ | การเมือง | กฎหมายนิรโทษกรรม,กปปส.,มวลมหาประชาชน,รัฐบาลยิ่งลักษณ์,เทพพิทักษ์ มณีพงษ์ | https://prachatai.com/journal/2014/01/51175 |
อดเห็นลูกวิวาห์ ว่าที่เจ้าบ่าวกลับจากหมั้น หลับในรถคว่ำ พ่อ-ญาติตาย 2 | เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 6 พ.ค. 60 ร.ต.อ.วีระศักดิ์ มะลิทอง รอง สว.สส.สภ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์เสียหลักพุ่งชนเสาไฟส่องสว่างกลางถนนแล้วพลิกหงายท้อง มีผู้เสียชีวิตคาที่ 2 ราย บนถนนสายนครศรีธรรมราช-สุราษฎร์ธานี พื้นที่หมู่ 10 ต.สิชล อ.สิชล จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.โชคดี รักษ์วัฒนพงษ์ ผกก.สภ.สิชล, พ.ต.ท.ปรัชญา จันทร์สมวงศ์ รอง ผกก.สส. และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิใต้เต็กตึ๊ง อ.สิชล ที่เกิดเหตุพบรถกระบะ 4 ประตู ยี่ห้ออีซูซุ สีดำ ทะเบียน กม 4318 นครศรีธรรมราช สภาพพลิกหงายท้องกลางถนน มีผู้เสียชีวิตติดอยู่ในรถที่นั่งอยู่ข้างคนขับ ทราบชื่อ นายสุชาติ จำปี อายุ 55 ปี ชาว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ส่วนอีกรายกระเด็นตกคูข้างทางห่างจากรถประมาณ 10 เมตร ทราบชื่อ นางเพื่อม วิเศษสวัสดิ์ อายุ 77 ปี อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 5 คน ถูกนำส่ง รพ.สิชล ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย,จากการสอบถามคนขับรถ คือ นายธีระชัย จำปี อายุ 28 ปี ว่าที่เจ้าบ่าว บาดเจ็บเล็กน้อย และเป็นลูกชายของ นายสุชาติ เล่าว่า พาพ่อและญาติในหมู่บ้านเดียวกันประมาณ 10 กว่าคน เดินทางด้วยรถกระบะ 2 คัน ไปสู่ขอฝ่ายหญิงที่ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ขากลับขับตามกันมา โดยคันเกิดเหตุขับนำหน้าด้วยความเร็วสูง ถึงที่เกิดเหตุเกิดอาการหลับในทำให้รถเกิดอุบัติเหตุ หลังเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเสร็จมอบให้ทางญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนา. | ว่าที่เจ้าบ่าวเมืองคอน ขับรถกลับจากหมั้นฝ่ายหญิงที่สุราษฎร์ฯ ระหว่างทางหลับในรถพุ่งชนเสาไฟส่องสว่างก่อนพลิกหงายท้องกลางถนน พ่อเสียชีวิตพร้อมญาติ 2 ศพ เจ็บเล็กน้อย 5 ราย รวมว่าที่เจ้าบ่าว | ข่าว,อาชญากรรม | หลับใน,รถคว่ำ,ว่าที่เจ้าบ่าว,รถคว่ำตาย,นครศรีธรรมราช | https://www.thairath.co.th/news/crime/933433 |
ตรวจสอบออกโฉนดทับที่ชาวบ้าน จ.นครพนม | วันนี้ (17 ก.ค.62) ชาวบ้านหมู่ที่ 9 และหมู่ที่ 14 ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ร้องขอให้มีการตรวจสอบสิทธิ์ที่ดิน หลังปี 2551 ถูกนายทุนฟ้องขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ เดือดร้อนกว่า 10 ครอบครัวตัวแทนชาวบ้านนำทีมข่าวไทยพีบีเอสลงพื้นที่ชี้จุดที่ถูกนายทุนขับไล่ โดยให้ข้อมูลว่าในอดีตพื้นที่ หมู่ที่ 9 และ หมู่ที่ 14 ต.ท่าจำปา เป็นชุมชนเผ่าไทยโส้ที่ใช้พื้นที่ประกอบอาชีพทำการเกษตรปลูกข้าวและยางพารามานานกว่า 60 ปี จนกระทั่งเมื่อปี 2551 ชาวบ้านถูกฟ้องขับไล่จากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากบริษัทเอกชนอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ครอบครองพื้นที่จำนวน 14 แปลงที่ผ่านมาชาวบ้านมีการร้องไปยังหน่วยงานต่าง ๆ จนนำไปสู่การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบพื้นที่ของบริษัทเอกชนบางแปลงในการรังวัดออกโฉนดที่ดินมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากหลักฐานเดิม มีการรังวัดรวมเอาที่ดินตามหลักฐาน น.ส.3 ก.ของตนเองและ น.ส.3 ก. ของผู้อื่นรวมเข้าไปด้วย และทับที่สาธารณะประโยชน์ห้วยหลง ที่สาธารณะประโยชน์ห้วยจ่องล่อง และหนองน้ำสาธารณะประโยชน์ ซึ่งมีสภาพเป็นหนองน้ำที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันล่าสุด ยังไม่มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินของบริษัทเอกชนแต่อย่างใด จึงร้องขอให้อธิบดีกรมที่ดินเร่งพิจารณา | ชาวบ้านร้องกรมที่ดินตรวจสอบสิทธิ์ที่ดินหลังถูกนายทุนออกฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ชาวบ้าน และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ จ.นครพนม | ภูมิภาค | นครพนม,โฉนด | https://news.thaipbs.or.th/content/281783 |
เสวนา เดวิด วัยอาจ กับประวัติศาสตร์ไทย | เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ห้อง 301 ชั้น 3 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันท์ มีการเสวนาเสวนาเปิดตัวหน้งสือ แปลโดย ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผศ.กาญจนีละอองศรี และคณะ โดยแปลจากหนังสือ Thailand: A Short History ของ ศ. David K.Wyattโดยก่อนหน้านี้ประชาไทเผยแพร่คลิปแนะนำหนังสือ ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ช่วยเลขานุการและกรรมการมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สำหรับคลิปนี้เป็นช่วงเสวนา เดวิด วัยอาจ กับประวัติศาสตร์ไทยโดย ม.ร.ว. ดร.รุจยา อาภากร ผู้อำนวยการศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ของซีมีโอ (SEAMEO SPAFA) จิระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียนและนักแปล รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต อ.ณัฐพล ใจจริง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ดำเนินรายการโดย ผศ.กาญจนี ละอองศรี หนึ่งในคณะผู้แปล ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับสังเขปสำหรับ ศ.เดวิด วัยอาจ จากข้อมูลของบทความ ของชาญวิทย์ เกษตรศิริที่เผยแพร่ในมติชนออนไลน์นั้น เดวิด เค. วัยอาจ (พ.ศ. 2480 - 2549) หรือ อาจารย์วัยอาจ นั้น เป็นนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดเมื่อ 21 กันยายน พ.ศ. 2480 เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยคอร์แนล มลรัฐนิวยอร์ก ระหว่าง พ.ศ. 2512 - 2545 เคยเป็นคณบดีคณะประวัติศาสตร์ และเป็นผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผลงานที่สำคัญก็คือ Thailand: A ShortHistoryโดยเดวิด วัยอาจ จบปริญญาตรีด้านปรัชญา จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมื่อ พ.ศ.2502 และเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยบอสตัน กับมหาวิทยาลัยคอร์แนล จนได้ปริญญาโทและเอก ทางด้านประวัติศาสตร์ ใน พ.ศ. 2503และ 2509 โดยวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับการปฏิรูปสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยผลงาน Thailand: ThePolitics of Reform ได้รับการตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยเขาถึงแก่กรรมอย่างสงบที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ขณะมีอายุได้ 69 ปีทั้งนี้อาจารย์กาญจนี ได้ตั้งประเด็นการเสวนาเอาไว้สามหัวข้อ ได้แก่ ประเด็นที่หนึ่ง จริงหรือไม่ที่คนนอกมีวิสัยทัศน์หรือมุมมองที่กว้างไกลกว่าคนใน เพราะอาจารย์ธำรงศักดิ์บอกว่าคนในเขียนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นจริงเปล่าที่คนนอกประเด็นที่สอง จริงหรือเปล่าที่คนนอก ไม่ติดกับ หรือไม่ถูกขังกรง ไว้กับอคติของความรัก ความหลงในชาติหรือเชื้อชาติเช่นคนในประเด็นที่สาม จริงหรือเปล่าที่คนนอกรู้จักใช้ข้อมูลอย่างพินิจพิเคราะห์ รู้จักวิจารณ์ นำไปสู่ปัญญา มากกว่าคนในที่ใช้ข้อมูลอย่างรัก หลง ชัง เกลียด และนำไปสู่ปัญหา แล้วอาจารย์สุเนตรเป็นบุคคลหนึ่งที่เขียนเรื่องปัญหาความขัดแย้งในอาเซียนอันเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ | เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ห้อง 301 ชั้น 3 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันท์ มีการเสวนาเสวนาเปิดตัวหน้งสือ ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับสังเขป (เดวิด วัยอาจ) แปลโดย ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ | การศึกษา,สังคม | David K. Wyatt,Thailand: A Short History,กาญจนี ละอองศรี,จิระนันท์ พิตรปรีชา,ณัฐพล ใจจริง,ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์,ประวัติศาสตร์,ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับสังเขป (เดวิด วัยอาจ),ม.ร.ว.รุจยา อาภากร,มัลติมีเดีย,สุเนตร ชุตินธรานนท์,หนังสือ,เดวิด วัยอาจ,แนะนำหนังสือ,โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ | https://prachatai.com/journal/2013/02/45512 |
มือปืนปากแข็ง เรียกช่างทำกรงนกออกมายิงดับ แม่ถูกยิงบาดเจ็บ | เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 59 ร.ต.อ.สุวิทย์ ทองสุภา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช รับแจ้งว่า มีเหตุยิงกันตายและบาดเจ็บที่บ้านเลขที่ 1/2 หมู่ 9 ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช จึงเดินทางไปพร้อมด้วย พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่มูลนิธิใต้เต็กตึ๊ง เพื่อร่วมกันสอบสวนและชันสูตรพลิกศพ,ที่เกิดเหตุพบศพผู้เสียชีวิต ทราบชื่อ นายสมบัติ หรือแก้ว ศรีนวลใย อายุ 38 ปี อาชีพเป็นช่างทำกรงนก ชาว ต.กำแพงเซา นอนหงายเสียชีวิตบริเวณหน้าบ้าน สภาพศพมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นเข้าหน้าอกซ้ายกระสุนฝังใน 1 นัด และขาซ้าย 1 นัด ส่วนผู้บาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อนางน่วง ศรีนวลใย อายุ 72 ปี เป็นแม่ของผู้เสียชีวิต มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นเฉียดบริเวณหน้าอกซ้าย 1 แผล เจ้าหน้าที่มูลนิธินำส่งโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชก่อนหน้านี้แล้ว แพทย์ช่วยเหลือจนพ้นขีดอันตรายแล้ว,จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่นายสมบัติ กำลังนอนหลับพักผ่อนภายในบ้าน มีคนร้ายเป็นชายจำนวน 1 คน เดินมาเรียกนายสมบัติให้ออกมาพูดคุยธุระกันที่บริเวณหน้าบ้าน ปรากฏว่าพอนายสมบัติเปิดประตูบ้านออกมา คนร้ายคนดังกล่าวได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นที่ถือมายิงใส่ร่างนายสมบัติจำนวน 2 นัด จนล้มฟุบตายคาที่ทันที เสียงปืนทำให้นางน่วงรีบวิ่งออกมาดูหน้าบ้านพบลูกชายถูกยิงตายคาที่ และได้วิ่งจะเข้าไปช่วย แต่ถูกคนร้ายยิงใส่อีกจำนวน 1 นัด แต่กระสุนพลาดเฉียดหน้าอกได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ก่อนที่คนร้ายได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว หลังเกิดเหตุพลเมืองดีรีบนำนางน่วง ส่งโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุ พร้อมชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุ,ต่อมาหลังจากเกิดเหตุไม่นาน ทาง พ.ต.ต.วันชัย สุวรรณรัตน์ สว.สส.พร้อมด้วยกำลังตำรวจชุดสืบสวนได้ติดตามจับกุมผู้ต้องหารายนี้ ทราบชื่อนายสุริยัน หรือเบียร์ มูณียงค์ อายุ 30 ปี ชาว ต.กำแพงเซา อ.เมืองนครศรีธรรมราช คุมตัวมาสอบสวนผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งทางตำรวจมีพยานหลักฐานมัดตัวแน่นหนา โดยเฉพาะพยานเป็นแม่ของผู้ตายที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บให้การยืนยันว่า นายสุริยันเป็นคนร้ายที่ลงมือยิงลูกชายของตนจนตาย และยิงตนได้รับบาดเจ็บสาหัส,พ.ต.อ.อดิศักดิ์ เทพวรรณ์ ผกก.สภ.เมือง เผยว่าสาเหตุมาจากขัดผลประโยชน์ในธุรกิจมืดบางธุรกิจ ระหว่างผู้ตายกับผู้ต้องหา แม้ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคุมตัวนายสุริยันดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป. | มือปืนโทรเรียกหนุ่มช่างทำกรงนกออกมายิงตายคาที่ บริเวณหน้าบ้าน แม่ได้ยินเสียงปืนสนั่นวิ่งออกมาช่วยถูกยิงบาดเจ็บ ตำรวจสืบสวนตามจับได้ทันควัน แต่ยังให้การปฏิเสธ คาด สาเหตุมาจากเรื่องขัดแย้งธุรกิจมืด | null | ทะเลาะวิวาท,ยิงเสียชีวิต,ช่างทำกรงนก,เสียชีวิตคาที่,ยิงช่างทำกรงนก,ขัดแย้งธุรกิจมืด,ธุรกิจมืด,ถูกยิง,ผู้ต้องหา,มือปืน,ขัดแย้งธุรกิจ,ผลประโยชน์,อาวุธปืน,นครศรีธรรมราช,ข่าว,ข่าวสังคม,ข่าวทั่วไทย,ข่าวภูมิภาค,ไทยรัฐ,ไทยรัฐออนไลน์ | https://www.thairath.co.th/content/573683 |
สุดเศร้า ผวจ.ภูเก็ต นำรดน้ำศพกัปตัน-ย้ายเครื่องบินเล็กเก็บที่เทคนิคถลาง | เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 11 มี.ค. 61 ที่จุดเกิดเหตุ,เครื่องบินเล็กตก, หลังหมู่บ้านเพลินจันทร์ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต คณะกรรมการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุ กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ภูเก็ต สายตรวจชุมชนตำบลป่าคลอก และนักศึกษาสาขาช่างอากาศยาน นำรถเครนและรถบรรทุกเข้าถอดชิ้นส่วนเครื่องบินที่ประสบอุบัติเหตุอย่างระมัดระวัง โดยมีการถ่ายภาพและบันทึกร่องรอยความเสียหายอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ก่อนใช้รถเครนยกใส่รถบรรทุกนำไปเก็บรักษาไว้ที่วิทยาลัยเทคนิคถลาง เป็นการชั่วคราว เพื่อรอการสอบสวนหาสาเหตุอย่างละเอียดต่อไป ,ด้าน หัวหน้าชุดคณะกรรมการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุ กล่าวว่า หลังจากเข้าตรวจสอบและเก็บหลักฐานแล้วเสร็จจึงต้องนำซากดังกล่าวไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย เผื่อว่ามีข้อสงสัยใดๆ จะสามารถกลับมาตรวจสอบเพิ่มเติมได้ ที่เลือกวิทยาลัยเทคนิคถลาง เนื่องจากมีความพร้อมที่สุด และเจ้าของสถานที่ยินยอม ในส่วนของการสอบสวนยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังต้องรวบรวมข้อมูลอีกหลายส่วน ทั้งผลชันสูตรศพ ข้อมูลจากพิสูจน์หลักฐาน การสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ หรือผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งจะนำข้อมูลนั้นกลับไปเข้าที่ประชุม ก่อนจะใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกจำลองสถานการณ์ รวมถึงต้องเชิญบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินจากประเทศออสเตรเลียมาตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งไม่สามารถประมาณได้ว่าจะทราบสาเหตุที่ชัดเจนได้เมื่อใดเพราะต้องละเอียดที่สุด และเชื่อว่าจะสามารถพิสูจน์สาเหตุของอุบัติเหตุได้แม่นยำเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะต้องรายงานไปยังองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ด้วย ,และในเวลาใกล้เคียงกัน นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีอาบน้ำศพ กัปตันวัฒนา ถิ่นพังงา ที่วัดโสภณวนาราม หรือวัดป่าคลอก ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ห่างจากจุดเกิดเหตุไปราว 100 เมตร โดยมีคนในครอบครัว ญาติสนิท คณะอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคถลาง ตลอดจนเพื่อนในวงการการบินร่วมรดน้ำศพเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งจะมีการตั้งสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 7 วัน ก่อนฌาปนกิจ. | ผวจ.ภูเก็ต เป็นประธานรดน้ำศพ กัปตันวัฒนา บรรยากาศสุดเศร้าคนแห่อาลัย ขณะเครื่องบินเล็กถูกย้ายเก็บในวิทยาลัยเทคนิคถลาง ชั่วคราว รอบริษัทผู้ผลิตจากออสเตรเลียร่วมตรวจสอบ | ข่าว,ทั่วไทย | เครื่องบินตก,เครื่องบินเล็ก,เครื่องบินเล็กตก,วิทยาลัยเทคนิคถลาง,ภูเก็ต,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/south/1225275 |
ป.ป.ช.เปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ครม ยิ่งลักษณ์ แต่รวยที่สุดเป็น ปลอดประสพ | สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะรัฐมนตรีรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำนวน 36 คน 39 ตำแหน่ง กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 536758045 บาท มากกว่าหนี้สิน 541132001 บาท โดยบัญชีทรัพย์สินของนายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรส ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีทรัพย์สิน 76779386 บาท มีหนี้สิน 369658334 บาท ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตร มีทรัพย์สิน 4373955 บาท ส่วน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย มีทรัพย์สิน 75074228 บาท ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 178209858 บาท พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มีทรัพย์สิน 27491960 บาท นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 59905465 บาท นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา มีทรัพย์สิน 441647903 บาท น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 17465981 บาท พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม มีทรัพย์สิน 380446881 บาท นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์สิน 963499502 บาท นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง มีทรัพย์สิน 113328544 บาท นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง มีทรัพย์สิน 4449394 บาท นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง มีทรัพย์สิน 166042486 บาท นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ มีทรัพย์สิน 45682742 บาท นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีทรัพย์สิน 18701114 บาท นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สิน 5135860 บาท เป็นต้น | ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ พบว่า นายกฯ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินรวม 541132001 บาท ส่วน ปลอดประสพ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมากที่สุด คือ 963499502 บาท | การเมือง | ครม. ยิ่งลักษณ์,บัญชีทรัพย์สิน,ป.ป.ช.,หนี้สิน | https://news.thaipbs.or.th/content/36248 |
ปลัดแรงงาน ยัน ไม่ทบทวนปรับค่าจ้าง ชี้สูงสุด 330 บาท เหมาะกับสภาพ ศก. | เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2561 ที่กระทรวงแรงงาน นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 กล่าวถึงการประชุมบอร์ดค่าจ้าง เมื่อช่วงค่ำ 17 ม.ค. ที่ใช้เวลาประชุมนาน 7 ชม. จึงมีมติให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 61 ทุกจังหวัด ในอัตรา 5 – 22 บาท ส่งผลให้ค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศอยู่ที่ 308 - 330 บาท ว่า อัตราค่าจ้างต่ำสุด 308 บาท ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีความสมเหตุผลกับพื้นที่อัตราค่าจ้างสูงสุด 330 บาทใน ภูเก็ต ชลบุรี และระยอง และค่าจ้าง กทม.และปริมณฑล 325 บาท ก็เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจ การเติบโต และค่าครองชีพในแต่จังหวัด ส่วนที่เหลือก็ลดหลั่นกันไป ,ในที่ประชุมนายจ้างและลูกจ้างยอมรับมีการปรับขึ้นในอัตราพอสมควร จึงไม่ต้องทบทวน เพราะต้องให้มีผลในวันที่ 1 เม.ย. 61 เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐไปออกมาตรการรับรองและช่วยเหลือ จึงต้องใช้เวลากระทรวงการคลังต้องพิจารณามาตรการลดหย่อยภาษี จะมีเงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย หรือเอสเอ็มอีอย่างไร และให้นายจ้างได้เตรียมการรองรับค่าจ้างใหม่ ,ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตัวเลข 22 บาท ที่ปรับขึ้นถือว่ามากพอสมควร แต่ก็เป็นไปตามเกณฑ์การพิจารณาที่จะดูจากดัชนีผู้บริโภค การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัดนั้น รวมทั้งภาพรวมของทั้งประเทศ และความสามารถในการจ่ายของผู้ประกอบการ เพื่อให้มีเงินทุนเหลือไปขยายกิจการ แต่ก็ได้มีการเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า ของค่าจ้างแรงงาน และให้มีการปรับค่าจ้างแบบลอยตัว เป็นไปตามความต้องการของผู้ประกอบการ เริ่มนำร่องในพื้นที่สามจังหวัดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกก่อน คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา,ตอนนี้ต้องรอดูมาตรการภาครัฐจะออกมาอย่างไรบ้าง รัฐบาลเป็นกลางให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็น ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมมือกัน การปรับครั้งนี้จึงมีความเหมาะสม เพราะเป็นฉันทานุมัติของ 3 ฝ่าย นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล แต่การปรับขึ้นก็มีทั้งคนได้ และคนมีผลกระทบ รัฐบาลมีการเยียวยาอยู่แล้ว เรื่องนี้นายกฯ ได้พูดไว้ชัดเจน เพราะค่าจ้างแรงงานเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้อยู่ในสังคมได้ กระทรวงแรงงานจะใช้มาตรฐานวิชาชีพเข้าไปพัฒนาให้มีฝีมือมากขึ้น ให้ได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ส่วนที่ห่วงว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้น กระทรวงพาณิชย์มีการดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว นายจรินทร์ กล่าว ,ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ที่ปรับขึ้น 5 - 22 บาท ใน 77 จังหวัด แยกเป็นกลุ่มจังหวัด ดังนี้ 1.ปรับขึ้น 5 บาท จากอัตราเดิม 305 บาท เป็น 310 บาท มี 17 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน เชียงราย สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี ศรีสะเกษ ตาก ชัยภูมิ อำนาจเจริญ แพร่ ราชบุรี มหาสารคาม หนองบัวลำภู สตูล 2.ปรับขึ้น 8 บาท จาก 300 บาท เป็น 308 บาท มี 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี,3.ปรับขึ้น 10 บาท มี 27 จังหวัด จากอัตราเดิมที่ต่างกัน โดย สิงห์บุรี ตรัง นครศรีธรรมราช ระนอง ชุมพร ปรับจาก 300 บาท เป็น 310 บาท ร้อยเอ็ด ประจวบฯ นครสวรรค์ สระแก้ว พัทลุง อุตรดิตถ์ อุดรธานี นครพนม บุรีรัมย์ สุรินทร์ เพชรบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ชัยนาท เลย ยโสธร พะเยา บึงกาฬ น่าน กาญจนบุรี อ่างทอง ปรับจาก 305 บาท เป็น 315 บาท ส่วน ปราจีนบุรี ปรับจาก 308 เป็น 318 บาท,4.ปรับขึ้น 12 บาท จาก 308 บาท เป็น 320 บาท มี 9 จังหวัด คือ สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น สงขลา สุราษฎร์ธานี กระบี่ เชียงใหม่ นครราชสีมา พังงา 5.ปรับขึ้น 13 บาท จาก 305 บาท เป็น 318 บาท มี 6 จังหวัด คือ จันทบุรี สมุทรสงคราม สกลนคร มุกดาหาร นครนายก กาฬสินธุ์,6.ปรับขึ้น 15 บาท มี 11 จังหวัด ปรับจาก 305 บาท เป็น 320 บาท มี อุบลราชธานี สุพรรณบุรี หนองคาย ลพบุรี ตราด ส่วน กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปรับจาก 310 บาท เป็น 325 บาท 7.ปรับขึ้น 17 บาท มี 1 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ปรับจาก 308 บาท เป็น 325 บาท 8.ภูเก็ต ปรับขึ้น 20 บาท จาก 310 เป็น 330 และ ชลบุรี ระยอง เป็น 2 จังหวัด ที่ปรับขึ้นสูงสุด 22 บาท จากอัตราเดิม 308 บาท เป็น 330 บาท ,ด้านนายชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงการปรับขึ้นค่าจ้าง ว่า คสรท. ยังยืนยันตามข้อเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างเท่ากันทั่วประเทศ 360 บาท แต่ที่บอร์ดค่าจ้างให้ปรับ 308 – 330 บาท ก็พอรับได้ แม้จะไม่ถึงที่ขอไว้ ก็ยังดีที่มีการปรับขึ้น การปรับ 330 บาท ใน ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ถือว่าใกล้เคียง 360 บาท แต่ไม่ควรปรับแค่ 3 จังหวัด เพราะมันน้อยมาก การแบ่งกลุ่มค่าจ้าง เป็นความเหลื่อมล้ำ ในขณะที่ลูกจ้างต้องรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น และเชื่อว่าผลกระทบจาการปรับค่าจ้างในทางเศรษฐกิจแทบจะไม่มี เพราะนายจ้างจะได้ประโยชน์จากมาตรการด้านภาษี ที่ถือว่านายจ้างได้ประโยชน์อย่างมาก,ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากคณะกรรมการค่าจ้างรายหนึ่ง ที่ร่วมประชุมเคาะค่าจ้างขั้นต่ำ ว่า ตัวเลขค่าจ้างที่ออกมา 308-330 บาท ถือว่าลูกจ้างผู้ใช้แรงงานแฮปปี้กับค่าจ้างใหม่ เพราะอัตราสูงกว่าที่คิดไว้ ขนาดที่กรรมการเองยังแปลกใจเพราะเดิมทีอัตราค่าจ้างที่แต่ละจังหวัดเสนอมา เมื่อเข้าสูตรคำนวนสูงสุดจะอยู่ที่ 15 บาทเท่านั้น และกรรมการฝ่ายนายจ้างก็ไม่ยอมรับตัวเลขนี้ แต่เมื่อมีการตั้งธงให้ปรับทุกจังหวัด ตัวเลขค่าจ้างจึงถูกดันสูงขึ้นถึง 22 บาท อาทิ จ.บึงกาฬ ที่ขอปรับ 5 บาท ถูกปลัดกระทรวงแรงงานมองว่ามากเกินไป แต่ได้ปรับถึง 10 บาท,แหล่งข่าววงในที่ประชุมกล่าวว่า นายจ้างยอมรับตัวเลขที่สูงขึ้นได้ เพราะได้มาตรการลดภาษีเข้ามาเยียวยา 1.5 เท่าของค่าจ้างแรงงาน ทั้งที่ตอนแรกปรับแค่ 15 บาท ก็ไม่ยอมแล้ว ส่วนที่กระทรวงแรงงานมีแนวคิดให้สำนักงานประกันสังคมลดเงินสมทบฝ่ายนายจ้างจาก 5% เหลือ 4% เป็นเวลา 1 ปี นั้นไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉิน น้ำท่วมใหญ่ ไฟไหม้โรงงาน และเงินส่วนนี้ก็เป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม จึงไม่ควรไปแตะต้อง โดยตั้งขอสังเกตด้วยว่า ตามปกติการปรับค่าจ้างจะเป็นไปได้ยาก หากไม่ใช่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งเหมือนในอดีต ที่มีการปรับค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ. | ปลัดแรงงาน ยัน ไม่ทบทวนปรับค่าจ้าง สูงสุด 330 บาท เหมาะสมตามสภาพเศรษฐกิจ มีผลบังคับใช้ 1 เม.ย. เพื่อให้นายจ้างได้ปรับตัว และให้เวลาภาครัฐออกมาตรการเยียวยาผลกระทบ | ข่าว,ทั่วไทย | ค่าจ้างขั้นต่ำ,ขึ้นค่าจ้าง,กระทรวงแรงงาน,กรรมการค่าจ้าง,จรินทร์ จักกะพาก,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1181025 |
กัมพูชา : ความหวังแรงงานกัมพูชาในไทยขอกลับบ้านเกิด เพื่อเปิดกิจการรายได้หลักล้านบาท | วันนี้ (4 ม.ค. 2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาอยู่ในช่วงแน่นแฟ้นที่สุดในรอบ 65 ปี เมื่อได้เห็นภาพของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนมาเยือนไทย พร้อมกับคณะรัฐมนตรีและนักธุรกิจชั้นนำ ด้วยผู้นำกัมพูชาตั้งเป้าหมายจะเพิ่มปริมาณการค้ากับประเทศไทยนอกจากความสัมพันธ์ระดับรัฐต่อรัฐ ในระดับแรงงานประเทศไทยเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับแรงงานกัมพูชาที่มีอยู่กว่า 4 แสนคน ขณะที่บางคนตัดใจนำเงินเก็บจากการทำงานในไทย กลับไปเปิดกิจการที่บ้านเกิดสมพอร์ส หรือ พร แนะนำอาหารในร้าน สมพอร์ส บอกละห่อง ของเธอด้วยภาษาไทยอย่างคล่องแคล่ว นอกจากทักษะการพูดภาษาไทย และเงินเก็บจากการทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่กรุงเทพฯ กว่า 10 ปี สิ่งหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้จากไทยและช่วยให้เธอประสบความสำเร็จในชีวิต คือวิชาตำส้มตำ ที่เธอลงทุนควักกระเป๋าถึง 7000 บาท เพื่อเรียนรู้สูตรส้มตำจากร้านข้างบ้านในกรุงเทพ พร มองเห็นช่องว่างทางการตลาดว่า คนกัมพูชานิยมรับประทานส้มตำที่ผ่านมามีแค่การขายบนรถเข็นแต่ไม่มีร้านสำหรับนั่ง เธอจึงนำเงินเก็บมาลงทุนเปิดร้านห้องแถว ด้วยรสชาติที่ถูกปากทำให้ร้านของเธอขายดี จนขยายร้านใหญ่ขึ้นเช่นปัจจุบันจากพี่เลี้ยงเด็กรายได้เดือนละ 6000 บาท ปัจจุบัน พรกลายเป็นเจ้าของร้านส้มตำชื่อดังในกรุงพนมเปญ มียอดขายตกประมาณเดือนละ1 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่่องง่าย พรจึงเป็นตัวอย่างของอดีตแรงงานกัมพูชาในไทยที่ประสบความสำเร็จขณะที่แรงงานกัมพูชากว่า 4 แสนคน ในประเทศไทย ยังต้องดิ้นรนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยแรงงานกัมพูชาในไทยจำนวนหนึ่ง บอกว่า มีความสุขกับชีวิตที่นี่และพอใจกับค่าแรงขึั้นต่ำวันละ 300 บาท แม้ความเป็นอยู่ที่ไทยจะสบายกว่าที่กัมพูชา แต่พวกเขายังหวังจะกลับไปทำงานที่บ้านเกิดเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลกัมพูชาประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำจากเดิม 128 ดอลลาร์หรือ 4600 บาทต่อเดือน เป็น 140 ดอลลาร์ หรือประมาณ 5040 บาทต่อเดือน ค่าแรงที่นับว่าต่ำติดอันดับท้ายๆ ของอาเซียน ดึงดูดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในกัมพูชา แต่สำหรับแรงงานในประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำที่ได้รับกลับสวนทางกับค่าครองชีพเดือน ธ.ค. 2558 ที่ผ่านมา คนงานเกือบ 30000 คน ในเขตเศรษฐกิจพิเศษแมนฮัตตันและไทเส็ง ในเมืองบาเวต จ.สวายเรียงออกมาประท้วงให้รัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 148 ดอลลาร์ต่อวัน แต่เจ้าหน้าที่สำนักงานแรงงานยืนยันว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะรัฐบาลตัดสินใจอัตราค่าแรงขั้นต่ำปี 2559 ไปแล้ว | ค่าแรงขั้นต่ำในอาเซียนที่แตกต่างกันมาก ทำให้แรงานย้ายเข้าทำงานในประเทศที่ค่าแรงสูงกว่า เฉพาะแรงงานกัมพูชาในไทยมีถึง 4 แสนคน เนื่องจากหนีค่าแรงขั้นต่ำในกัมพูชาที่รั้งท้ายในอาเซียน ขณะบางคนตัดใจนำเงินเก็บไปเปิดกิจการที่บ้านเกิดจนสำเร็จ ติดตามจากรายงาน | ต่างประเทศ | ศักราชใหม่ประชาคมอาเซียน2016,ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน,เออีซี,แรงงานกัมพูชาในไทย,ค่าแรง 300 บาท,แรงงานเออีซี,ร้านส้มตำ,ค่าแรงขั้นต่ำในกัมพูชารั้งท้ายอาเซียน,แรงงานกัมพูชาหวังกลับบ้านเกิด,สุภาพร เอลเดร็จ,พี่เลี้ยงเด็ก,กรุงเทพ,ThaiPBSnews,ThaiPBS,ไทยพีบีเอส | https://news.thaipbs.or.th/content/7117 |
การชำระ พระมหาชนก ในประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่ | หากแต่เป็นการเล่าที่สัมพันธ์สอดคล้องกับเรื่องราวของผู้ชำระเองมากกว่าอื่นใดนับแต่ที่ พระมหาชนก ฉบับพระราชนิพนธ์ ตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 2539 ก็ได้เกิดงานเขียนว่าด้วย พระมหาชนก ในแง่มุมต่างๆ ตามมาเป็นจำนวนมาก โดยงานส่วนใหญ่ยังมีลักษณะเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติ ไม่ได้เน้นสร้างองค์ความรู้หรือเติมเต็มเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ชาดก (ซึ่งในที่นี้ก็คือ พระมหาชนก) โดยเฉพาะงานเขียนประเภทที่จะมองจากแง่มุมของความเปลี่ยนแปลงทางความคิดและการสื่อความหมาย ที่แฝงมาในกระบวนการแปรและชำระ พระมหาชนก ในประวัติศาสตร์ไทยยุคใกล้นี้ ก็ยังไม่ถูกผลิตขึ้นเท่าที่ควรผลคือการพิจารณา พระมหาชนก ยังคงขาด มิติทางเวลา จนอาจทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย ดูราวกับไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใดเกิดขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญเลย ถือเป็นวรรณกรรมตามขนบจารีตไปโดยง่ายดาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง ทั้งยังง่ายที่จะถูกผูกขาดการตีความไปใช้ประโยชน์สร้างสิทธิธรรมของการเคลื่อนไหวทางการเมือง และอีกหลายต่อหลายอย่างก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ในเมื่อองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวยังขาดตกบกพร่องอยู่เช่นนี้ จึงจะหวังความรู้ความเข้าใจอะไรถ่องแท้เป็นไปไม่ได้เสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการนำมาใช้ปลุกระดมมวลชนเพื่อต่อสู้เรียกร้อง การเมืองใหม่ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อไม่นานมานี้หากไม่พิจารณาว่า พระมหาชนก ฉบับหลัง ๆ นี้มีปฏิสัมพันธ์กับฉบับก่อนหน้าอย่างไร อาจทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย การแต่งเรื่องใหม่ การสร้างตัวละครใหม่ การเปลี่ยนบทบาทตัวละครเดิม การปรับเปลี่ยนโครงเรื่องใหม่ใส่ลงในเรื่องเดิม เป็นส่วนสำคัญหนึ่งของกระบวนการที่เรียกว่า ชำระ เพียงแต่ในบางกรณีผลงานอันมีที่มาจาก กระบวนการชำระ อาจถูกยอมรับให้เป็น การแต่ง ได้ง่าย เพราะกลุ่มผู้ยอมรับนั้นมักขาดการพิจารณาเปรียบเทียบกับฉบับอื่น ๆนักศึกษาประวัติศาสตร์อาจคุ้นเคยกับงานศึกษาการชำระหลักฐานสำคัญเช่น พระราชพงศาวดาร และศิลาจารึก (หลักที่ 1) แต่การศึกษาการชำระวรรณกรรมหรือหลักฐานประเภทอื่นยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามผู้เขียนเห็นว่าการศึกษาการชำระพระราชพงศาวดารและศิลาจารึก (หลักที่ 1) ในช่วงที่ผ่านมามีคุณูปการสามารถประยุกต์ใช้ศึกษาวรรณกรรมประเภทอื่นได้ แม้ว่าวรรณกรรมดังกล่าวจะมีคุณลักษณะแตกต่างจากพระราชพงศาวดารและศิลาจารึก ทั้งส่วนใหญ่ก็ยังไม่นิยามการกระทำต่อวรรณกรรมในลักษณะเดียวกับที่ปราชญ์ต้นรัตนโกสินทร์กระทำต่อพระราชพงศาวดารว่า ชำระ หรือกล่าวอีกนัยคือส่วนใหญ่ยังเข้าใจกันว่าไม่มีการชำระวรรณกรรมเกิดขึ้นในที่อื่น ๆ อีก ผู้ชำระสมัยหลังมักนิยามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นแต่เพียงการ แต่ง เรื่อง (ขึ้นใหม่) เท่านั้น แต่แท้ที่จริงในการแต่งดังกล่าวได้รวมกระบวนการทำงานที่สำคัญเข้าไว้ด้วยกัน เช่น การแก้ไขสำนวนโวหาร แก้ไขอักขระและตัวสะกด แต่งเรื่องต่อ แทรกเรื่องใหม่ลงไปในเรื่องเก่า และแก้เรื่องเก่าจนกลายเป็นเรื่องใหม่ไป เป็นต้นด้วยเหตุดังนั้น การแต่งในลักษณะนี้จึงควรถือเป็นการชำระ และการชำระวรรณกรรมนั้นไม่ได้หมายถึงเพียงการเติมเนื้อความให้บริบูรณ์จากวรรณกรรมฉบับก่อนหน้าเท่านั้น แต่หมายถึงการแก้ไขดัดแปลงแนวคิดที่เสนอผ่านวรรณกรรมชิ้นนั้น ๆ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับโลกทัศน์ รสนิยม และผลประโยชน์ทางการเมืองของผู้ชำระหรือผู้ต้องการ ใช้ วรรณกรรมนั้น ๆ เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นความหมายของการชำระที่ครอบรวมถึงการกระทำที่อาจไม่ใช่เพียงต่อตัวบทอักษรเท่านั้น หากการชำระนั้นมุ่งเน้นประเด็นไปที่การสื่อ ความหมายทางสังคม (social meaning) เป็นหลัก ฉะนั้นจึงไม่เป็นการเกินเลยที่จะมีผู้กล่าวว่า การชำระวรรณกรรมทุกกรณี นอกจากนี้แล้ว บทบาท ผู้แต่ง ในกระบวนการชำระข้างต้น มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างจาก ผู้แต่ง ทั่วไป ในประเด็นที่ว่า เริ่มต้นจากการได้อ่านหรือได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดหรือการสื่อความหมายที่เสนอผ่านเรื่องนั้น ๆ จึงนำมาสู่ความพยายามในการแก้ไขดัดแปลงเรื่องนั้น ๆ ขึ้นใหม่ แท้จริงจะเห็นได้ว่า ผู้แต่ง หรือ ผู้ชำระ ในกรณีดังกล่าวนี้ ก็คือ ผู้อ่าน ที่แสดงบทบาทย้อนกลับไปเป็น ผู้แต่ง ใหม่นั่นเองข้อเท็จจริงก็คือว่า พระมหาชนก ไม่ได้มีเพียงฉบับมาตรฐานหนึ่งเดียว ความเปลี่ยนแปลงจากฉบับหนึ่งสู่อีกฉบับจึงมีความน่าสนใจว่าอะไรเป็นตัวปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เดิม พระมหาชนก หรือ มหาชนกชาดก ถือเป็นชาดกในนิบาต มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกส่วนพระสูตร (พระสุตตันตปิฎก) ขุททกนิกาย ชาดก ภาคที่ 2 ชาดก แบ่งได้เป็น 2 ประเภทกว้าง ๆ ได้แก่ ชาดกในนิบาต (หรือ นิบาตชาดก ) เป็นชาดกที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก และชาดกที่ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎกเรียกว่า ชาดกนอกนิบาต เกี่ยวกับการจัดประเภทชาดกนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งจัดพิมพ์ชาดกในการเฉลิมฉลองพระชนมายุ 58 ชันษาใน พ.ศ. 2462 ทรงพระนิพนธ์คำนำถึงเรื่องนี้ว่า:ชาดก เป็นหนังสือเรื่องใหญ่ มีจำนวนนิทานชาดกถึง 550 เรื่อง แบ่งเป็นนิบาต 21 คัมภีร์ นับเป็น 22 ทั้งทศชาติ ลักษณะที่แบ่งเป็นนิบาตนั้น จัดนิทานที่มีคาถาเดียวขึ้นไปจนถึง 80 คาถา รวมไว้เป็นพวก ๆ เรียกชื่อตามจำนวนของคาถา เป็นต้นว่า คัมภีร์พวกนิทานที่มีคาถาเดียวเรียกว่าเอกนิบาต คัมภีร์พวกนิทานที่มี 2 คาถาเรียกว่าทุกนิบาต แลคัมภีร์พวกนิทานที่มี 3 คาถาเรียกว่าติกนิบาต ฉะนี้เป็นตัวอย่าง คัมภีร์พวกนิทานที่มีคาถาถึง 80 เรียกว่าอสีตินิบาต ส่วนคัมภีร์ที่รวมเรื่องนิทานมีคาถามาก ๆ น้อย ๆ ไม่เท่ากันเรียกว่า ปกิณณกนิบาต หมายความว่าเป็นคัมภีร์ที่รวมเรื่องเกลื่อนกล่น ในที่สุดจึงถึงเรื่องทศชาติเรียกว่ามหานิบาต การสำรวจในชั้นหลังให้ข้อมูลแตกต่างจากที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยให้ไว้อยู่บ้าง ผู้เขียนพบ (เช่นเดียวกับท่านอื่นที่พบมาก่อนหน้า) ว่า ชาดกในพระไตรปิฎก ซึ่งอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มีอยู่ทั้งหมด 547 เรื่อง ทุกเรื่องมีแต่ตัวคาถา คือบทร้อยกรอง เนื้อความเน้นเฉพาะ แก่นเรื่อง เป็นสำคัญ คาถาในแต่ละเรื่องมีจำนวนไม่เท่ากัน คือ มีตั้งแต่ 1 คาถา ไปจนถึง 1000 คาถา (เช่น เรื่องมหาเวสสันดรชาดก เป็นต้น) ด้วยเหตุนี้จึงมีการแบ่งหมวดชาดกตามจำนวนคาถาแต่ละเรื่อง เรื่องใดมีคาถาจำนวนเท่ากันก็รวมอยู่ในหมวดเดียวกันในจำนวน 547 ชาติ พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ สัตว์ เทวดา และอมนุษย์ ซึ่งจำแนกได้ดังนี้คือ พระชาติที่เป็นสัตว์มีจำนวน 124 ชาติ แบ่งออกเป็นในอรรถกถาชาดก 12 ชาติ พระชาติร่วมสมัยกับพระปัจเจกพุทธเจ้าอีก 3 ชาติ นอกจากนี้ในชาติที่เป็นสัตว์ยังสามารถจำแนกออกได้เป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น เป็นนก 39 ชาติ เป็นลิง 12 ชาติ เป็นเนื้อหรือกวาง 11 ชาติ เป็นราชสีห์ 11 ชาติ เป็นหงส์ 9 ชาติ เป็นช้าง 7 ชาติ เป็นพญานาค 6 ชาติ เป็นสัตว์สี่เท้าอื่น ๆ เช่น สุนัข ม้า โค หมู รวม 21 ชาติ เป็นสัตว์น้ำ 3 ชาติ เป็นไก่ 2 ชาติ และเป็นสัตว์พิเศษอื่น เช่น ครุฑ และกินนรอีก 3 ชาติ เป็นเทวดา 19 ชาติ เป็นยักษ์อีก 1 ชาติ ในจำนวนพระชาติที่กล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นสัตว์มากที่สุด ทั้งนี้การเป็นสัตว์ทำให้เอื้อต่อการแสดงภาพให้เห็นทุกขเวทนาที่พระพุทธองค์ทรงได้รับมาเป็นเวลายาวนาน จนเป็นที่แน่ชัดว่าทางที่จะทรงพ้นทุกขเวทนานั้นได้ก็มีแต่จะต้องหลุดพ้นจากการเกิดเท่านั้นอรรถกถาชาดก เป็นนิทานร้อยแก้วภาษาบาลี มักเป็นที่แพร่หลายในท้องถิ่นมากกว่าส่วนกลาง (ซึ่งจะเพราะเหตุใดนั้นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของผู้เขียนในที่นี้) ผู้แต่งนำนิทานคาถาในนิบาตชาดกมาแทรกไว้ในเรื่อง แต่ไม่ได้ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะกำหนดโครงเรื่องทั้งหมด ความสำคัญของนิบาตชาดกในอรรถกถาชาดกดูเหมือนจะเป็นการโยงเอาหลักธรรมมาปรับเข้ากับเนื้อเรื่อง ซึ่งทำให้นิทานชาดกแตกต่างจากนิทานประเภทอื่น การแต่งอรรถกถาชาดกมีหลายลักษณะ เช่น การแต่งแบบขยายความ การแต่งแบบพิสดาร บ้างก็เป็นการแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้ส่วนมากมักเป็นการแต่งที่ไม่ถึงขั้นจะสัมพันธ์กับกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบที่จะเรียกได้ว่า ชำระ โครงเรื่องของอรรถกถาชาดกประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วน คือ1. ปัจจุบันวัตถุ หรือการปรารภเรื่อง หมายถึง เรื่องในสมัยพุทธกาล กล่าวถึงต้นเหตุของการเล่าชาดก โดยมักจะกล่าวเริ่มว่าขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ไหน ทรงปรารถเรื่องอะไรจึงตรัสคาถาเรื่องนั้น2. อดีตวัตถุ หมายถึง เนื้อเรื่องของนิทานชาดก ซึ่งมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า อตีเต3. คาถา หมายถึง หัวใจของเรื่องหรือสุภาษิตที่นำมาจากนิบาตชาดก4. อธิบายคาถา หมายถึง การอธิบายคาถาที่นำมาแทรกไว้ในเรื่อง ด้วยภาษาบาลีง่าย ๆ ให้เข้าใจดีขึ้น เป็นการอธิบายไวยากรณ์ทีละคำทีละวลี5. สโมธาน หรือประชุมชาดก (บางกรณีเรียกว่า ประชุมชาติ ) หมายถึง การสรุปเรื่องชาดกด้วยการโยงเรื่องในอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกัน เป็นการระบุว่าผู้ฟังชาดกเรื่องนั้น ผู้อยู่ในที่นั้น (ขณะทรงตรัสเล่าชาดก) หรือผู้มีชื่อเป็นตัวละครอยู่ในยุคพุทธกาล ต่างได้บรรลุมรรคผลในขั้นใดไปบ้างแล้ว ใครกลับชาติมาเกิดเป็นใครในสมัยพุทธกาล โดยทั่วไปตัวละครใน อดีตวัตถุ กับ ปัจจุบันวัตถุ มักจะสอดคล้องกัน เช่น ผู้ร้ายฝ่ายชาย (อดีตวัตถุ) จะได้แก่ พระเทวทัต (ปัจจุบันวัตถุ) ผู้ร้ายฝ่ายหญิง (อดีตวัตถุ) ได้แก่ นางจิญจมาณวิกา (ปัจจุบันวัตถุ) ผู้ช่วยพระเอก (พระอินทร์) ได้แก่ พระอนุรุทธะ นางเอก คือ พระนางพิมพายโสธรา ฯลฯส่วนสาเหตุที่มาของเนื้อเรื่องที่ปรากฏภายหลัง ทั้งที่ในพระไตรปิฎกไม่มีนั้น รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ สันนิษฐานว่า เนื้อเรื่องคงจะสูญหายไป ทำให้ในเวลาต่อมาพระพุทธโฆสะหรือพระพุทธโฆษาจารย์ได้แต่งเรื่องราวและเพิ่มเติมรายละเอียดให้สมบูรณ์ โดยการเพิ่มเติมการปรารภเรื่อง รายละเอียดของนิทาน และการกลับชาติ เรื่องราวนี้เรียกว่า อรรถกถาชาดก หรือ ชาตกัฏฐกถา ขณะที่อนุสรณ์ อุณโณ ผู้ศึกษา ชาตกัฏฐกถา โดยตรง เห็นต่างออกไปว่า ผู้แต่งอรรถกถาชาดกไม่ใช่พระพุทธโฆษาจารย์ เพราะจากหลักฐานสำคัญเช่น คัมภีร์มหาวงศ์ และ พุทธโฆสุปัตติ ตลอดจน คัมภีร์คันธวงส์ สาสนวงส์ และ สัตธัมมสังคหะ แม้ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานแสดงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ได้โดยตรง แต่ก็แสดงอัตชีวประวัติของพระพุทธโฆษาจารย์ไว้ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะการที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้เดินทางไปยังลังกาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 ตามคำแนะนำของพระเรวัติโดยมีวัตถุประสงค์ให้ท่านไปศึกษาภาษาสิงหลและอรรถกถาภาษาสิงหล (หรือ สิงหลัฏฐกถา ) แล้วให้แปลอรรถกถาภาษาสิงหลเหล่านี้ออกเป็นภาษาบาลี เพื่อนำกลับไปยังอินเดีย ซึ่งในเวลานั้นมีแต่พระไตรปิฎก ไม่มีคัมภีร์อรรถกถาหลงเหลืออยู่เลยนอกจากนี้ ชาตกัฏฐกถา ยังไม่น่าจะเป็นผลงานของพระพุทธโฆษาจารย์ ด้วยเหตุผลที่ว่าสำนวนภาษาและวิธีการแต่งไม่เหมือนกับผลงานเล่มอื่น ๆ ของท่าน ชาตกัฏฐกถา จึงน่าจะถูกรจนาขึ้นโดยอรรถกถาจารย์รูปอื่นในยุคใกล้เคียงกับพระพุทธโฆษาจารย์ พร้อมกันนั้นด้วยความที่อรรถกถาที่กล่าวถึงเรื่อง พระโพธิสัตว์จรรยา ยังมักจะเป็นผลงานของ พระธรรมปาละ จึงเชื่อว่าชาตกัฏฐกถาน่าจะเป็นผลงานของพระธรรมปาละมากกว่า แต่ถึงกระนั้นอัตชีวประวัติและผลงานของพระธรรมปาละ ก็ไม่ได้แสดงความชัดเจนว่าท่านได้รจนาชาตกัฏฐกถาขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร และด้วยวัตถุประสงค์อะไร ด้วยเหตุดังนั้นขณะนี้จึงยังไม่อาจสรุปหรือหาข้อยุติได้แน่ชัดว่าชาตกัฏฐกถาถูกรจนาขึ้นโดยพระอรรถกถาจารย์ท่านใด แต่อาจกล่าวได้อย่างคร่าว ๆ ว่าน่าจะรจนามาจากอรรถกถาภาษาสิงหลอีกทอดหนึ่งในลังกาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10จะเห็นได้ว่า ความสำคัญของชาดกในการศึกษาวรรณกรรมจารีตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ขณะเดียวกันชาดกก็มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงไม่ได้รับการใส่ใจจากนักประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเท่าที่ควร เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่เกิดตามมาจึงได้แก่ อาการหยุดนิ่งง่อยเปลี้ยของความรู้ในด้านนี้ ชาดกมักถูกเข้าใจง่าย ๆ ว่าเป็นเรื่องของการเล่าอดีตชาติของพระพุทธเจ้า มีมาตั้งแต่ในยุคพุทธกาล ซึ่งชวนให้น่าสงสัยถึงความคงทนไม่เปลี่ยนแปลงของตัวบทในชาดกเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของบทความนี้ก็ไม่ใช่จะถกเถียงในประเด็นว่าใครเป็นผู้แต่งอรรถกถาชาดกในระยะแรกเริ่มของการรับพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์อันไกลโพ้นเกินสติปัญญาความสามารถของผู้เขียน แต่จะศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางความคิดและการสื่อความหมายในกระบวนการชำระและปรับใช้ชาดก (ผ่านกรณีของ พระมหาชนก ) ที่เกิดขึ้นในระยะไม่นานมานี้ ว่ามีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ (ไม่ใช่ประวัติศาสตร์จารีต ซึ่งเป็นไปไม่ได้อีกแล้วเมื่อถูกชำระขึ้นใหม่ในภายหลัง)ขณะเดียวกันก็จะพยายามชี้ให้เห็นด้วยว่าความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในประเด็นว่าด้วย ความเป็นสมัยใหม่ ในสังคมไทยนั้น ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบคิดและกระบวนการสื่อความหมายที่กำกับอยู่เบื้องหลังการชำระ พระมหาชนก ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยอันใกล้นี้ โดยไม่ละเลยประเด็นว่า กระบวนการปรับใช้หรืออ้าง ความเป็นจารีต นี้มีผลอย่างไรต่อเงื่อนไขและนิยามของสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นไทย ในระยะหลังมานี้ชาดก มาจากคำว่า ชาต ในภาษาบาลี แปลว่า เกิด พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2525) ให้คำนิยามชาดกไว้ว่า ส่วนความหมายที่กระชับได้ใจความนั้น รุ่งวิทย์ สุวรรณอภิชน อธิบายว่า ชาดก แม้จะมีความสำคัญในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก เป็นที่รับรู้กันมาช้านาน แต่ชาดกก็เพิ่งจะมีการพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 2447 โดยพิมพ์แจกเป็นพระราชกุศลในงานพระศพพระเจ้าพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าหญิงศรีวิไลยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้อาราธนาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ พร้อมทั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ ร่วมกันแปลนิบาตชาดกถวายตามพระราชประสงค์จำนวน 3 วรรค รวมชาดก 30 เรื่อง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ พระบรมราชาธิบาย เป็นคำนำไว้ด้วย ต่อมาจึงได้เกิดเป็นธรรมเนียมนิยมในหมู่ราชตระกูล ซึ่งมักจะจัดให้มีการพิมพ์ชาดกเผยแพร่ในงานพระศพถวายเป็นพระราชกุศล ทั้งนี้เป็นการพิมพ์แยกจากพระไตรปิฎก คือเลือกพิมพ์เฉพาะเนื้อความส่วนที่เป็นชาดก นอกเหนือจากที่มีประเพณีการเทศน์มหาชาติ แผ่พระราชกุศลมาแต่ครั้งต้นรัตนโกสินทร์โดยในส่วนของพระไตรปิฎกทั้งหมดนั้น พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สา ปุสสเทว) วัดราชประดิษฐ์ มาประชุมพร้อมกันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงมีพระราชดำรัสชี้แจงพระราชประสงค์ที่จะให้พิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย พระสงฆ์ทั้งปวงก็ถวายอนุโมทนารับแบ่งหน้าที่กันตรวจต้นฉบับจากภาษาขอมและรามัญที่มีอยู่เดิมในหอพระมณเฑียรธรรม ทรงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นแม่กองจัดพิมพ์ จำนวน 1000 จบ รวมเป็นหนังสือ 39000 เล่ม งานสำเร็จลงใน พ.ศ. 2436 แล้วได้เฉลิมฉลองในงานพระราชพิธีรัชฎาภิเษก เนื่องในโอกาสทรงครองราชย์ครบ 25 ปี ทั้งนี้พิมพ์ได้ทั้งหมด 39 เล่ม ยังขาดไปไม่ได้พิมพ์อีก 6 เล่มต่อมา พ.ศ. 2468 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7) ได้มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท เป็นประธานอำนวยการ และโปรดให้อาราธนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชขณะนั้น ทรงรับหน้าที่เป็นประธานในการตรวจทานชำระต้นฉบับพระไตรปิฎก ในการพิมพ์ครั้งนี้ได้ใช้ทุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนกว่า 200000 บาท มีผู้บริจาคร่วมสมทบทุนเป็นพระราชกุศลอีก 600000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินมากกว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ตั้งไว้แต่แรก จึงมีเงินเหลือสำหรับพิมพ์คัมภีร์อรรถกถาและฎีกาต่าง ๆ เพิ่มเติมพระไตรปิฎกฉบับพ.ศ. 2468 นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิมพ์เป็นอักษรไทยจบบริบูรณ์ พระไตรปิฎกฉบับนี้มีจำนวนจบหนึ่ง 45 เล่ม ทั้งหมด 1500 จบ ขนานนามว่า พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ มีตราช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ประจำปก จากนั้นโปรดให้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นในระหว่างวันที่ 25-27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2473 ได้พระราชทานแก่บุคคลสำคัญในประเทศ 200 จบ ต่างประเทศ 450 จบ อีก 850 จบ พระราชทานแก่ผู้บริจาคขอรับหนังสือพระไตรปิฎกสำหรับไว้เป็นมงคลในบ้านเรือนของตนอย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามในการสร้างพระไตรปิฎกฉบับไทยสยามขึ้น แต่พระไตรปิฎกฉบับ พ.ศ. 2468 ก็ยังเป็นแต่เพียงพระไตรปิฎกภาษาบาลีที่พิมพ์ด้วยอักษรไทยเท่านั้น ยังไม่มีการถ่ายทอดเนื้อหาเป็นภาษาไทยทั้ง 3 ปิฎกครบถ้วนอย่างเป็นทางการ ต่อมาภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ.2475) ใน พ.ศ. 2483 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสสเทวมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช ทรงปรารภถึงความสำคัญของการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยในที่ประชุมพระเถรานุเถระว่า ควรดำเนินการให้มีการแปลเป็นภาษาไทยให้ครบทั้ง 3 ปิฎกอย่างสมบูรณ์ โดยทรงให้เหตุผลว่า จึงได้โปรดให้ประธานคณะบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช ขอความอุปถัมภ์จากรัฐบาลซึ่งมีหลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตะสังคะ) เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้ดำเนินการแปลและจัดพิมพ์พระไตรปิฎก โดยตั้งคณะกรรมการ คณะกรรมาธิการ แปลพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก งานนี้ได้ทำสืบเนื่องมาจนถึงตกอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจากที่แสดงมาข้างต้น มีข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ชาดกในนิบาตถูกถ่ายทอดเป็นภาษาไทยก่อนที่พระไตรปิฎกจะถูกแปลอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่แยกขาดจากพระไตรปิฎก แม้จะเป็นชาดกในนิบาตซึ่งได้รับการยืนยันความน่าเชื่อถือด้วยมีปรากฏในพระไตรปิฎกก็ตาม แต่พระไตรปิฎกเองก็ไม่ได้ถูกใช้เป็นมาตรฐานในการชี้วัดความสำคัญของชาดกในนิบาตแต่อย่างใด สถานะความศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างประทับไว้แก่พระไตรปิฎกกลายเป็นข้อจำกัด เพราะจะแตะต้องหรือดัดแปลงไม่ได้มากนัก ภาระหน้าที่ในการสร้างคำอธิบายให้สอดรับกับรสนิยมของพุทธปุถุชน จึงตกเป็นของอรรถกถาจารย์ กล่าวข้างต้นไม่ใช่จะให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดในรูปลายลักษณ์อักษรแต่เพียงอย่างเดียว เพราะที่จริงแล้วการเล่าชาดกในนิบาตได้เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในรูปของการเทศน์มหาชาติซึ่งกลายเป็นประเพณีที่สำคัญของการเล่าชาดกไป แต่ดังที่ทราบกันดีว่ามหาชาติที่นิยมเทศน์ในงานบุญกันนั้น คือ มหาเวสสันดรชาดก พระชาติสุดท้ายก่อนเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นส่วนชาดกนอกนิบาตนั้นดูเหมือนจะเป็นตรงกันข้าม คือสามารถแตะต้องได้ ทั้งยังไม่จำเป็นต้องเป็นอรรถกถาจารย์หรือพระเถระที่เป็นที่เคารพเชื่อถือเท่านั้น ที่จะสามารถสร้างคำอธิบายขยายความหมายและความสำคัญ ฆราวาสที่มีชื่อเสียงก็สามารถกระทำได้ รสพระธรรมจากชาดกนอกนิบาตจึงมีความหลากหลายและน่าจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ารสพระธรรมจากพระคัมภีร์เดิม ชาดกถูกปรับให้เข้ากับความเป็นจริงของแต่ละยุคสมัยไม่ใช่น้อย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับประเพณีการเทศน์มหาชาติด้วยการเลื่อนสถานะความเป็นประเพณีขึ้น โดยให้ถือว่าเป็น เทศนาสำหรับแผ่นดิน ขณะที่มโหสถชาดกถือเป็นชาดกประจำชาติพม่า มหาเวสสันดรชาดกก็ถือเป็นชาดกประจำชาติสยาม-ไทย เมื่อเจ้านายเชื้อพระวงศ์เสด็จออกผนวช ก็มักจัดให้มีเทศน์มหาชาติ และเมื่อเทคโนโลยีการพิมพ์ได้ถูกนำมาใช้แพร่หลาย เจ้านายเชื้อพระวงศ์ต่างนิยมพิมพ์เผยแพร่ชาดกในงานวันคล้ายวันพระราชสมภพของแต่ละพระองค์ ถือเป็นสิริมงคลแก่เชื้อพระวงศ์ท่านนั้น ๆ เป็นอย่างสูงนอกจากนี้ชาดกยังเป็นที่นิยมแพร่หลายตามท้องถิ่น ธวัช ปุณโณทก และจารุวรรณ ธรรมวัตร นักวิชาการที่ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งสองท่านได้ตั้งข้อสังเกตไว้ตรงกันว่า ชาดก โดยเฉพาะมหาเวสสันดรชาดกที่จะเล่ากันอย่างเป็นระบบในงานบุญประเพณีเรียกว่า บุญพระเวสส์ (หรือ บุญผะเหวด ตามสำเนียงการออกเสียงของท้องถิ่น) นั้น มีส่วนอย่างสำคัญต่อวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่น ทั้งนี้ชาดกมักจะถูกดัดแปลงมานำเสนอคติพื้นบ้านผสมผสานกับความเชื่อทางพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนาของท้องถิ่นมีลักษณะเป็นพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน (Popular Buddhism) มากกว่าจะเป็นพุทธศาสนาที่เคร่งครัดตามหลักปรัชญาขององค์พระศาสดา (Doctrinal Buddhism) ทั้งนี้มีความเชื่อพื้นฐานอยู่ 2 ประการ ที่ทำให้มหาเวสสันดรชาดกมีความสำคัญตามระบบคิดของท้องถิ่น คือ2. ความเชื่อที่ว่า มหาเวสสันดรชาดกเป็นพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแด่พระภิกษุสงฆ์ ณ นิโครธราม กรุงกบิลพัสดุ์ ผู้ใดได้สดับฟังจะเกิดสิริสวัสดิมงคล3. ความเชื่อที่ว่า พระศรีอาริยเมตไตรยเทพบุตร ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ได้ตรัสบอกแก่พระมาลัยมหาเถระว่า ผู้ที่ฟังมหาชาติหรือเวสสันดรชาดกจบในหนึ่งวันหนึ่งคืน และบูชาด้วยประทีป ธูปเทียน ธงฉัตร ดอกไม้ต่าง ๆ เช่น ดอกบัว ดอกราชพฤกษ์ และดอกผักตบ ให้ครบจำนวนชนิดละ 1000 ดอก อานิสงฆ์จะชักนำให้ผู้นั้นได้พบกับยุคพระศรีอาริย์ นอกจากนี้อานิสงฆ์ในการฟังเทศน์ การเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์จะได้รับความสุขความเจริญ และที่สำคัญคือการที่ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล ความเชื่อและอานิสงฆ์ข้อนี้ มีผลต่อการแพร่หลายของอุดมการณ์ความเชื่อ ที่สำคัญอันหนึ่งของขบวนการชาวนาและกลุ่มชนต่าง ๆ ในอีสานและล้านช้าง คือ อุดมการณ์ความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์และกบฏผู้มีบุญในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25ในส่วนของส่วนกลางนั้น สืบเนื่องจากความพยายามในการเปลี่ยนแปลงให้พุทธศาสนามีลักษณะทางโลกย์ในช่วงระยะปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ล่วงมาจนถึงต้นรัชกาลที่ 5 อิทธิพลของขบวนการธรรมยุติกนิกายแผ่ซึมครอบงำมุมมองต่อโลกและชีวิตทางสังคมของชนชั้นนำสยาม สิ่งนี้ปรากฏให้เห็นในความเปลี่ยนแปลงของวรรณกรรมจารีตทางพุทธศาสนา วรรณกรรมทางพุทธศาสนาบางส่วนถูกชำระดัดแปลงให้มีคุณค่าแสดงความเป็นชาติอารยะของสยาม ในพ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ พระบรมราชาธิบายเรื่องนิบาตชาดก ทรงพยายามทำให้ชาดกมีความเป็นสากล ถือเอาตะวันตกเป็นมาตรฐานชี้วัดคุณค่า โดยเปรียบเทียบชาดกที่มีอยู่แต่เดิมในสยามกับนิทานอีสปของโลกตะวันตกมีใจความสำคัญดังนี้ :นิทานอย่างเช่นชาดกนี้ ไม่ได้มีแต่ในคัมภีร์ฝ่ายพระพุทธศาสนา ในหมู่ชนชาติอื่นภาษาอื่นนอกพระพุทธศาสนาก็มีปรากฏเหมือนกัน ฯ ชาติอื่น ๆ เช่น อาหรับเปอร์เซีย เป็นต้น ก็ว่ามีนิทานเช่นนี้คล้ายคลึงกัน แต่จะยกไว้ไม่กล่าว เพราะไม่มีตัวเรื่องมาเทียบ ฯ จะยกแต่นิยายอีสอป ซึ่งข้าพเจ้าได้แปลงเป็นภาษาไทยช้านานมาแล้ว ได้ชื่อว่าอีสอปปกรณำ ของนักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อว่าอีสอป เป็นผู้แต่งขึ้นในประเทศกรีก ฯ นักปราชญ์ผู้นี้ได้แต่งหนังสือฉบับนั้นแต่ในเมื่อเวลาราว ๆ กันกับพุทธกาล มีทำนองนิทานอย่างเดียวกัน คือ เทวดาพูดกับคน ดิรัจฉานพูดกับคน ดิรัจฉานต่อดิรัจฉานพูดกันเองทำนองเดียวกันกับชาดก ฯ และเรื่องราวที่อีสอปกล่าวนั้น ก็มีคล้ายคลึงกันที่อาจจะเทียบกับเรื่องราวชาดกได้หลายเรื่อง เช่นเรื่องกันทคลกชาดกในทุกนิบาตกับเรื่องสุนัขป่ากับนกกระสา ในอีสอปปกรณำ (เรื่องที่ 5) เป็นเรื่องเดียวกันแท้ ฯ ประโยชน์ของนิทานนี้ก็ลงท้ายแสดงภาษิต (เช่น) ว่า โลภมากลาภหายอย่างเดียวกัน ฯ ถ้าจะตรวจสอบกันอีก ก็เห็นจะยังมีถูกกันมาก จึงเห็นว่านิทานเช่นนี้คงจะเป็นนิทานเก่าที่เล่ากันมาแต่ก่อน 2500 ปีขึ้นไป ถ่ายเทกันไปมา และเป็นวิธีที่ยกขึ้นมาประกอบทางสั่งสอนของคนโบราณครั้งก่อนพุทธกาลและราว ๆ พุทธกาล ฯ นอกจากนี้ประเด็นที่ยากแก่การอธิบายให้สอดคล้องกับนิยามความเป็นสากลขณะนั้น ยังมีอีกประเด็นคือเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์และความเชื่อเรื่องการสำเร็จฌานขั้นสูงที่เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ การระลึกชาติได้ สอดรับกับความเชื่อเรื่องกฎการเวียนว่ายตายเกิดของพุทธผสมพราหมณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโต้แย้งว่าความเชื่อในเรื่องนี้ก็มีในโลกตะวันตก โดยทรงยกกรณีปราชญ์ชื่อดังนาม ปีถักโกรัส (Pythagoras) ว่าก็เคยอ้างว่าระลึกชาติได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า แสดงนัยให้เห็นว่าท้ายสุดแล้วความเชื่ออันเป็นรากฐานของพุทธศาสนานี้ใช่ว่าจะขัดแย้งกับคติความเชื่อที่มีอยู่ในโลกตะวันตก ซึ่งถูกยอมรับเป็นมาตรฐานความเป็นสากลในขณะนั้น และเมื่อคติความเชื่อเช่นนั้นยังสามารถเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมตะวันตกได้ คติความเชื่อเช่นนี้ (ซึ่งเชื่อกันว่ามีอยู่มาแต่เดิมในสังคมสยาม) ก็น่าจะสามารถใช้เป็นฐานของอารยธรรมสยามใหม่ได้เช่นกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ประเด็นดังกล่าวไว้ดังนี้: ในเรื่องราวของพวกกรีก มีนักปราชญ์ชาตินั้นผู้หนึ่งชื่อ ปีถักกอรัส (Pythagoras) เป็นเจ้าลัทธิในวิชาว่าด้วยธรรมดาของรูปธรรมนามธรรม (Phylosophy) ซึ่งเป็นเหตุเกิดศาสนาต่าง ๆ ขึ้น และเป็นคนเข้าใจวิชาสำหรับคำนวณ (Mathematics) เขาเกิดที่เมืองสามส (Samos) ประเทศกรีกครั้งยังแยกเป็นหลายอาณาจักร เมื่อก่อนคฤสตศกราช 582 ปี คือ ก่อนพุทธปรินิพพาน 40 ปี ได้แก่ เวลากำลังเป็นพุทธกาล ในตอนแรก ๆ พระพุทธเจ้าพึ่งได้ตรัสรู้สัก 5 ปีล่วงไปแล้ว เที่ยวสอนความรู้ของตนในเมืองทั้งหลายแถบประเทศกรีกตั้งมาเดิมชื่อเรียกว่า มักนากรีเซีย (Magna Greacia) และสันนิษฐานตามภูมิศาสตร์โบราณว่าประเทศอิตาลีตอนใต้ เมื่อก่อนคฤสตศกราว 529 ปี คือ หลังพุทธปรินิพพานราว 13 ปี ทำกาลกิริยาที่เมืองเมตตาปันตุม (Matapontum) จังหวัดมักนากรีเซีย นั้นเอง เมื่อก่อนคฤสตศกราว 500 ปีถ้วน คือ หลังพุทธปรินิพพาน 42 ปี ฯ ฯ คราวหนึ่งก่อนคฤสตศกระหว่าง 1335 ลงมาหา 1149 ปี แต่ที่ลงสันนิษฐานร่วมกันว่า 1183 ปี คือ ก่อนพุทธปรินิพพานราว 641 ปี พวกกรีกสมทบกันทำสงครามต่อพวกโตรยัน (Trojan) คือ ชาวเมืองตรอย (Troy) ในประเทศโตรอัด ( Troad ) ปลายเขตแผ่นดินเอเชียไมนอร์ (Asia Minor) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยสาเหตุคือ ปารีส (Paris) ราชบุตรของพระเจ้าไปรอัม (Priam) พระราชาของพวกโตรยันพาเอาพระนางเฮเลน (Helen) พระราชมเหษีของพระเจ้าเมนเนลาอุส (Menelaus) พระราชาเมืองสปาร์ตา (Sparta) อีกนัยหนึ่ง ชื่อเมืองลัชซีดีมน (Lacedaemon) ไป พวกกรีกก็หวังจะตามเอาคืนมาให้จงได้ ฯ สงครามครั้งนั้นฝ่ายกรีกมีพระเจ้าอักกเม็มนน (Agamemnon) พระราชาเมืองไมซีนี (Mycenae) และบริเวณอารโกลิส (Argolis) พระราชภาดาของพระเจ้าเมนเนลาอุสเป็นจอมพล ต่อรบกันอยู่ถึง 10 ปี พวกกรีกจึงมีชัยชนะ ได้เมืองตรอย และได้พานางเฮเลนคืนมา ในสงครามครั้งนั้น พระเจ้าเมนเนลาอุส ฆ่านายทหารพวกโตรยันชื่อ ยูฟอร์บุส (Euphorbus) ที่เป็นคนมีชื่อเสียงข้างกล้าหาญตาย แล้วเอาโล่ห์ของเขาถวายไว้ ณ เทวสถานแห่งนางเทพอัปษรชื่อ ฮีรา (Hera) ที่พวกกรีกนับถือว่าเป็นภคนีเทวีแห่งพระพฤหัสบดี Zeus (Jupiter) และเป็นแบบอย่างของสตรีที่มีความดี ทั้งที่เป็นภรรยาและที่เป็นมารดาอันตั้งอยู่ใกล้เมืองไมซีนี บ้างก็ถวายไว้ ณ เทวสถานเทพบุตรอปอลโล (Apollo) โอรสพระพฤหัสบดี เป็นที่หมายแห่งแสงสว่างและอำนาจอันทำให้เป็นและตายของพระอาทิตย์ บางทีก็มักเข้าใจว่าเป็นพระอาทิตย์เอง อันตั้งอยู่ที่เมืองบรางกิดี (Branchide) ฯ ฯ การแก้ต่างให้กับพระพุทธเจ้าโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่นั้น มีนัยเท่ากับแก้ต่างให้กับคติความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยู่ในสยามขณะนั้น ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาสำคัญคือ การมาของจักรวรรดินิยมตะวันตก ที่เริ่ม รุก เข้ามาโดยแฝงในรูปแบบต่าง ๆ นอกเหนือจากการแข่งขันทางการค้าและการคุกคามทางการเมืองโดยตรง ยังปรากฏการแข่งขันทางด้านคติความเชื่ออีกด้วย ชนชั้นนำสยามเริ่มปรับตัวเรียนรู้วิทยาการจากโลกตะวันตก แล้วปรับใช้ความรู้และวิทยาการเหล่านั้นมาค้ำจุนสถานะเดิมของตนในสังคม เนื่องจากหวาดระแวงกันว่าการเข้ามาของชาวตะวันตกในพุทธศตวรรษที่ 24-25 จะทำให้อำนาจและบทบาทความเป็น เจ้าผู้ปกครอง ของตน ต้องถูกสั่นคลอนจากอำนาจภายนอกที่เหนือกว่า ขณะเดียวกับที่มีความพยายามในการปรับเปลี่ยนภูมิปัญญาดั้งเดิมให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังกระทบเข้ามา และในกระบวนการปรับเปลี่ยนเหล่านั้นเอง นำมาซึ่งการตัดต่อตีความวรรณกรรมจารีตขึ้นใหม่ จากเดิมที่รับรู้โลกและสังคมในแบบที่อยู่เลยพ้นจากประสบการณ์การรับรู้ทางผัสสะ กลายเป็นการรับรู้ที่เน้นประสบการณ์ในโลกจริง ให้ความสำคัญกับการรับรู้โลกในเชิงประจักษ์ความสำคัญของพระมหาชนกในหมู่ชนชั้นนำสยามยุคสมบูรณาญาสิทธิ์ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่าง กล่าวคือท่ามกลางความขัดแย้งและคลุมเครือในอำนาจระหว่างขุนนางกับเชื้อพระวงศ์ เรื่องเล่าของพระมหาชนกกลายเป็นตัวแทนของการเรียกร้องสิทธิอำนาจแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ฝั่ง ที่พระมหาชนกพยายามว่ายจะไปให้ถึงนั้นคือ เมืองมิถิลานคร ไม่ใช่ สุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิมีความสำคัญในแง่ที่เป็นเพียงทางผ่าน พระมหาชนกตั้งพระทัยต่อเรือเพื่อไปทำการค้ายังสุวรรณภูมิ ก็ด้วยหวังจะสร้างความมั่งคั่งแล้วไปชิงราชสมบัติเมืองมิถิลานคร ความเพียรของพระมหาชนกในที่นั้น จึงตอบสนองแรงปรารถนาของฝ่ายราชจักรีวงศ์เพื่อการขึ้นสู่อำนาจสูงสุดอย่างแท้จริงนั่นเองนอกจากที่กล่าวข้างต้น ชาดกในนิบาตยังมีลักษณะเฉพาะสอดรับกับสภาพความเปลี่ยนแปลงอีกอย่าง กล่าวคือระยะแรกความเปลี่ยนแปลงทางตัวบทและสารสำคัญเป็นส่วนขยายจากความพยายามในการคงความเก่าแก่และความจริงแท้แบบดั้งเดิม เพื่อตอบโต้กับชุดของความจริงแท้แบบใหม่ที่กำลังโอบล้อมเข้ามา เป็นการแสดงความศิวิไลซ์ผ่านการผลิตซ้ำและสร้างความจริงแท้แบบดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ เพื่อชี้ให้เห็นว่าในสังคมเดิมมีศาสตร์ลี้ลับที่เรียกตามศัพท์พุทธศาสนาว่า โลกุตตระธรรม ที่วิธีมองโลกแบบตะวันตกเป็นศูนย์กลางเข้าไม่ถึงหรือไม่อาจเข้าใจได้ ต่างกับความรู้และวิทยาการจากตะวันตกซึ่งถูกมองเป็นเรื่องทางโลกย์ (หรือ โลกิยะธรรม ) นี่คือกระแสที่สองของความพยายามในการสร้างความศิวิไลซ์แก่สยาม เป็นแนวทางที่ตกต่างจากกระแสแรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำ ส่วนกระแสที่สองผู้มีบทบาทดูเหมือนจะเน้นหนักไปทางฝ่ายสงฆ์มากกว่าฆราวาส ความแตกต่างในแนวทางและวิธีการจัดการชำระวรรณกรรมระยะนี้จึงแสดงจุดยืนและความแตกต่างระหว่างฝ่ายรัฐกับสงฆ์ แต่ทั้งสองกระแสนี้ต่างเอื้อประโยชน์ต่อกันในการสร้างความศิวิไลซ์แก่สยามตอบโต้การครอบงำของจักรวรรดินิยมตะวันตกเนื่องจากเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดทำ พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ได้แยกต้นฉบับพระไตรปิฎกส่วนพระสูตรออกมาชำระแปลเป็นภาษาไทย เน้นความสนใจไปที่ทศชาติ ด้วยทรงมุ่งหวังจะตีพิมพ์เผยแพร่เป็นการกุศลเนื่องในงานวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ปีละเรื่องต่อเนื่องกันไป นับแต่ พ.ศ. 2471 จนถึงวาระอายุครบ 70 ปีในพ.ศ. 2480 แต่ปรากฏว่าบางปีเช่น 2472 ทรงพิมพ์มากกว่าหนึ่งเรื่อง นับเป็นทศชาติฉบับแปลที่กล่าวกันว่าเป็นที่เชื่อถือเป็นมาตรฐานของทศชาติฉบับพิมพ์ครั้งหลังจากนั้นเรื่อยมา จนถึงระยะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มให้ความสนพระทัย พระมหาชนก ใน พ.ศ. 2520 ซึ่งจะกล่าวถึงในลำดับถัดไปด้วยความที่พิมพ์เผยแพร่ในงานวันพระราชสมภพของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ทั้งยังเป็นผลงานการแปลของพระองค์เองอีกด้วย ทศชาติฉบับนี้จึงถูกเรียกอีกนามว่า ทศชาติฉบับชินวร การยึดถือตัวบทและแก่นเรื่องที่ถูกต้องตามพระไตรปิฎกถือเป็นคุณลักษณะอันโดดเด่นของทศชาติฉบับนี้ ในคราวจัดพิมพ์ครั้งแรกเนื่องในวันสมภพของพระองค์ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ทรงกล่าวถึงการแปลทศชาติของพระองค์ว่า ความเปลี่ยนแปลงในรสพระธรรม ทำให้ทรงไม่เห็นด้วยกับอรรถกถาจารย์รุ่นก่อนที่มักจัดประเภทการบำเพ็ญบารมีในแต่ละพระชาติแบบตายตัว เช่นว่า พระเตมีย์บำเพ็ญขันติบารมี พระมหาชนกบำเพ็ญวิริยบารมี สุวรรณสามบำเพ็ญสัจจบารมี พระเนมิราชบำเพ็ญเนกขัมมบารมี มโหสถบำเพ็ญปัญญาบารมี ภูริทัตนาคราชบำเพ็ญศีลบารมี พระจันทกุมารบำเพ็ญอธิษฐานบารมี พระนารทพรหมบำเพ็ญเมตตาบารมี วิธูรบัณฑิตบำเพ็ญอุเบกขาบารมี และพระเวสสันดรบำเพ็ญทานบารมี (ซึ่งเป็นบารมี 10 ประการที่วิวัฒน์เป็นคำสอนพระราชาที่รู้จักกันในนาม ทศพิธราชธรรม) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเห็นว่า:พระโพธิสัตว์ชื่อหนึ่งบำเพ็ญบารมีแต่อย่างเดียวเท่านั้นตลอดชาติ เมื่อมาจับแปลเข้าคราวนี้จึงได้ความเห็นใหม่ว่า ท่านกล่าวดังนั้นน่าจะหมายความเพียงว่า บารมีอันนี้พระโพธิสัตว์ชื่อนี้ได้บำเพ็ญเป็นยอดเยี่ยมกว่า 9 บารมี แต่ที่จริงพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี 10 บริบูรณ์ตลอดชาติหนึ่ง ทรงสลับการเชื่อมโยงกันระหว่างพระโพธิสัตว์กับ บารมี ด้วยทรงเห็นว่า ตอนพระเตมิยะเห็นพระราชบิดาลงราชทัณฑ์แก่โจร ก็หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องรับครองราชย์สมบัติ และเวลา ฯ ต่อมา พ.ศ. 2471 ก็ถึงคราวที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช จะทรงพิมพ์ มหาชนกชาดก เนื่องในวันพระราชสมภพของพระองค์ในวันที่ 16 ธันวาคม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ทรงวาดรูปภาพประกอบมาถวายแก่พระองค์ เป็นภาพพระมหาชนกขณะกำลังว่ายน้ำพร้อมสนทนาธรรมกับนางมณีเมขลา เหตุที่เป็นรูปนี้ก็ด้วย หาใช่เพราะต้องการเน้นตัวบทและความสำคัญของพระมหาชนกจากฉากที่กำลังว่ายน้ำด้วยความเพียร (หรือความเพียรในการว่ายน้ำแม้จะไม่เห็นฝั่ง) เพราะดังที่กล่าวไว้แล้วว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเห็นว่าบารมีที่พระมหาชนกทรงบำเพ็ญอย่างยอดยิ่งนั้น ได้แก่ ทานบารมี มีความสำคัญไม่น้อยกว่า วิริยบารมีกล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า วิริยบารมี จะไม่ใช่บารมีเฉพาะที่สำคัญของพระมหาชนกตามที่ปรากฏในทศชาติฉบับชินวรนี้แต่อย่างใด เพราะ วิริยบารมี ที่ทศชาติฉบับนี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดยิ่งกว่าการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรทั้ง 7 นั้น ได้แก่ ความเพียรพยายามตั้งใจจริงที่จะออกผนวช (เรียกตามศัพท์ในทศชาติว่า ออกมหาภิเนษกรมณ์ ) มหาชนกชาดก ในทศชาติฉบับชินวรเริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึงยุคพุทธกาล พระภิกษุมาชุมนุมกัน ณ พระเชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าตรัสต่อที่ชุมนุมสงฆ์ว่า จากนั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงนำ อดีตวัตถุ มาเล่าต่อ อดีตวัตถุ ที่ว่าก็ได้แก่ เรื่อง มหาชนกชาดก นี้เองการเสด็จออกผนวชของพระมหาชนกเป็นเรื่องยากก็เพราะเป็นการออกผนวชที่ต้องทิ้งราชสมบัติ ทิ้งบ้านเมือง ทิ้งพระนางสีวลีและนางสนม 700 นาง ทิ้งพระทีฆาวุราชกุมาร ทิ้งเหล่าข้าราชบริพารและอาณาประชาราษฎร ฯลฯ ทศชาติฉบับชินวร พรรณนาฉากการออกผนวชของพระมหาชนกไว้อย่างยืดยาวเป็นจำนวนกว่า 26 หน้า (นับจากหน้า 58 - 83) ขณะที่พรรณนาการว่ายน้ำและสนธนาธรรมกับนางมณีเมขลาอย่างกระชับสั้นเพียง 4 หน้า (จากหน้า 47 - 50) จากจำนวนหน้าทั้งหมด 40 หน้า (จากหน้า 43 - 83) ที่เหลือเป็นการพรรณนาภูมิหลังความขัดแย้ง การแย่งชิงราชสมบัติเมืองมิถิลานคร ชีวิตวัยเยาว์ การพิสูจน์พระองค์เพื่อขึ้นสู่ราชบัลลังก์ การเสด็จประพาสราชอุทยาน การสำราญพระราชหฤทัยกับเหล่านางสนมและข้าราชบริพาร ฯลฯ เกินกว่าครึ่งของเนื้อเรื่องทั้งหมดของ ทศชาติฉบับชินวร เป็นการพรรณนาฉากการออกผนวชของพระมหาชนกเนื้อเรื่องเริ่มจากทรงเห็นธรรมในคราวเสด็จประพาสราชอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงสองต้น ต้นหนึ่งมีผลดกงาม อีกต้นไม่มีผล ทรงเสวยผลมะม่วงจากต้นที่มีผล แล้วตรัสชมว่า ดุจโอชารสทิพย์ กลุ่มชนผู้ติดตามได้ยินดังนั้นคล้อยหลังพระองค์เสด็จไปต่างพากันยื้อแย่งผลมะม่วงมากินกันจนต้นมะม่วงหักโค่นลง พอเสด็จกลับมาเห็นต้นมะม่วงเป็นดังนั้น ก็ทรงบังเกิดความสังเวชพระทัย ทรงดำริว่า จากนั้นเสด็จเข้าพระนครขึ้นสู่ปราสาท เริ่มปฏิบัติพระองค์เป็นบรรพชิต เจริญสมณธรรมอยู่พระองค์เดียว ไม่ออกว่าราชกิจทั้งปวง จนเวลาล่วงไปราว 4 เดือน ทรงตระหนักพระทัยแน่วแน่ว่า และทรงตระหนักชัดอีกว่า จึงทรงตั้งพระทัยจะละจากเมืองมิถิลานครมุ่งสู่ป่าหิมพานต์รุ่งขึ้นอีกวันจึงทรงเสด็จลงจากมหาปราสาท ฝ่ายพระนางสีวลีและนางสนม 700 คน ไม่ได้เห็นพระมหาชนกเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว ในวันเดียวกันนั้นจึงพากันขึ้นมหาปราสาท จะเข้าเฝ้าพระองค์ พอพระองค์เสด็จลงจากปราสาทสวนทางกับพระนาง พระนางจำพระมหาชนกไม่ได้ เข้าพระทัยว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวายโอวาทพระราชา ครั้นถึงที่บรรทมพระนางทอดพระเนตรเห็นห่อเครื่องราชาภรณ์ จึงทรงระลึกได้ว่าภิกษุที่เห็นนั้นคือพระมหาชนก จึงรีบเสด็จตามออกไป เกิดความโกลาหลขึ้นในเมืองมิถิลานคร พระนางสีวลีพร้อมนางสนม 700 คน และเหล่าข้าราชบริพารต่างเดินตามพระมหาชนก กราบทูลวิงวอนให้เสด็จกลับไปเป็นพระราชาดังเดิม พระมหาชนกก็ไม่ทรงเสด็จกลับ พระนางสีวลีจึงคิดอุบายแสร้งเผาบ้านเรือนในเมืองให้วอดวาย แล้วกราบทูลว่า พระราชทรัพย์นั้นของพระองค์ ให้เสด็จกลับไปดับเพลิง พระมหาชนกทรงสดับรู้ว่าเป็นอุบายของพระนาง ทั้งพระองค์ก็มิได้อาลัยอาวรณ์ พระราชทรัพย์ ของพระองค์นั้นแล้ว จึงทรงเสด็จต่อไปพระนางสีวลีจึงคิดอุบายใหม่ ตรัสสั่งให้เหล่าอมาตย์แสร้างทำเหตุการณ์เป็นโจรปล้นฆ่าราษฎรชาวเมือง แลทำการปล้นแว่นแคว้น แล้วตกแต่งเรือนกายราษฎรที่ถูกประหารให้นอนลอยน้ำพัดไป ให้พระมหาชนกเห็นเป็นศพราษฎรลอยน้ำตายเกลื่อนแม่น้ำ จากนั้นพระนางก็เข้าไปกราบทูลว่ามีกองโจรปล้นเมือง ทำร้ายอาณาประชาราษฎร ขอพระองค์เสด็จกลับไปปราบปรามโจรผู้ร้าย พระมหาชนกก็ทรงสดับรู้อีกว่าเป็นอุบายที่จะนำพระองค์กลับไปเป็นพระราชา พระองค์จึงตระหนักว่าหากฝูงชนยังติดตามพระองค์ไปเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดี ทรงคิดอุบายจะให้ฝูงชนกลับเข้าเมืองไปใช้ชีวิตดังเดิม จึงทรงตรัสถามเหล่าอมาตย์ทั้งหลายว่า ราชสมบัตินี้ของใคร อมาตย์ทั้งหลายทูลตอบว่า ของพระองค์ พระองค์ตรัสต่อว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายจงลงราชทัณฑ์แก่ผู้ทำรอยขีดนี้ให้ว่างขาด ตรัสแล้วทรงขีดรอยขวางทางระหว่างพระองค์กับฝูงชนไว้ แล้วเสด็จต่อไป ฝูงชนไม่กล้าเดินตามพระองค์ไปเนื่องจากกลัวราชทัณฑ์ ฝ่ายพระนางสีวลีเมื่อเห็นเช่นนั้นไม่อาจกลั้นความเศร้าโศก ร่ำไห้ล้มกลิ้งเกลือกพื้นดินจนรอยขีดขวางนั้นเลือนหายไป ฝูงชนจึงเดินตามพระองค์ต่อไป กาลนั้นฤษีผู้ใหญ่รูปหนึ่งนามว่า นารทะ รับรู้เหตุการณ์เช่นนั้นแล้วเกรงว่าพระมหาชนกจะโอนอ่อนตามคำเรียกร้องของปุถุชน พระนารทฤษี จึงไปด้วยกำลังฤทธิ์ สถิตในอากาศเบื้องหน้าแห่งพระโพธิสัตว์เจ้านั้น เพื่อจะถวายโอวาทแก่พระองค์ให้มั่นคงแน่วแน่ในการออกผนวชต่อไป พร้อมทั้งบอกวัตรปฏิบัติแก่พระมหาชนกให้ทรงเคร่งครัดมากขึ้น มีใจความสำคัญดังต่อไปนี้:กิมฺเหโส มหโต โฆโส กา นุ คาเมว กีฬิยาสมณ เตฺวว ปุจฺฉามิ กตฺเถโสภิสโฏ ชโนความกึกก้องของประชุมชนใหญ่นี้เพื่ออะไร นั่นใครหนอมากับท่านเหมือนเล่นกันอยู่ในบ้าน สมณะ อาตมะขอถามท่าน ประชุมชนนี้แวดล้อมท่านเพื่ออะไร ฯ พระมหาสัตว์ตรัสตอบพระฤษีนารท (ด้วยคาถาที่ 138 - 139) มมํ โอหาย คจฺฉนฺตํ เอตฺเถโสภิสโฏ ชโน สีมาติกฺกมนํ ยนฺตํ มุนิโมนสฺส ปตฺติยาประชุมชนนี้ตามข้าพเจ้าผู้ละพวกเขาไปในที่นี้ ข้าพเจ้าผู้ล่วงสีมาคือกิเลสไปเพื่อถึงมโนธรรม กล่าวคือญาณของมุนีผู้ไม่เกื้อกูลแก่เหย้าเรือน ผู้เจือด้วยนันทีความเพลิดเพลินทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นในขณะไปอยู่ เมื่อพระผู้เป็นเจ้ารู้อยู่ฉะนั้นแล้ว จะถามทำไม ฯลำดับนั้นพระนารทมหามุนีจึงกล่าวคาถา (ที่ 140) อีก เพื่อประโยชน์แก่พระมหาสัตว์สมาทานมั่นว่า มาสฺสุ ติณฺโณ อมญฺญิตฺโถ สรีรํ ธารยํ อิมํ อตีรเณยฺยมิทํ กมฺมํ พหู หิ ปริปนฺถโยพระองค์เพียงแต่ทรงสรีระอันครองบรรพชิตบริขารและผ้ากาสาวะนี้จะสำคัญว่า เราข้ามพ้นกิเลสแล้วหาได้ไม่ กรรมคือกิเลสจะกำหนดเท่านี้หาได้ไม่ เพราะว่าอันตรายคือกิเลสของพระองค์มีมาก ฯลำดับนั้นพระมหาชนกบรมโพธิสัตว์จึงตรัส (คาถา 141) ว่า โก นุ เม ปริปนฺถสฺส มม เอวฺ วิหาริโน โย เนว ทิฏฺเฐ นาทิฏเฐ กามานมภิปตฺถเยข้าพเจ้าผู้ใดปรารถนาเฉพาะซึ่งกามทั้งหลายในมนุษยโลก อันบุคคลเห็นแล้วก็หาไม่เลย ในเทวโลกอันบุคคลไม่เห็นแล้วก็หาไม่ อันตรายอะไรหนอจะพึงมีแก่ข้าพเจ้าผู้นั้นซึ่งมีปกติผู้เดียวอยู่อย่างนี้ ฯเมื่อพระนารทมหาดาบสจะแสดงอันตรายทั้งหลายแก่พระมหาสัตว์นั้น จึงตรัสภาษิตคาถา (ที่ 142) ว่า นิทฺทา ตนฺที วิชมฺภิกา อรติ ภตฺตสมฺมโท อาวสนฺติ สรีรฏฐา พหู หิ ปริปนฺถโยอันตรายมากทีเดียว คือความหลับ ความง่วงเหงา ความไม่ชอบใจ ความเมาเพราะบริโภคภัตตาหารเกินประมาณ ตั้งอยู่ในสรีระของพระองค์ ฯ มีอรรถาธิบายว่า สมณะ พระองค์เป็นผู้มีพระรูปงามน่าเลื่อมใส มีพรรณดุจทองคำ ครั้นเมื่อพระองค์รับสั่งว่าอาตมะละราชสมบัติออกทรงผนวช คนทั้งหลายจักถวายบิณฑบาตรมีโอชาประณีตแก่พระองค์ พระองค์ทรงรับพอเต็มบาตร เสวยพอควรแล้วเข้าสู่บรรณศาลา บรรทม ณ ที่ลาดด้วยไม้ หลับกรน ตื่นในระหว่าง พลิกกลับไปกลับมา เหยียดพระหัตถ์แลพระบาท ลุกขึ้นจับราวจีวร เกียจคร้านไม่จับไม้ยุงกวาด ๆ อาศรมบท ไม่นำน้ำดื่มมา บรรทมหลับอีก ตรึกในกามวิตก กาลนั้นก็ไม่พอพระหฤทัยในบรรพชา ความกระวนกระวายเพราะภัตตาหารจักมีแด่พระองค์ด้วยประการฉะนี้ ฯจากนั้น ทศชาติฉบับชินวร เล่าต่อไปถึงการที่พระนางสีวลียังคงติดตามพระมหาชนกต่อไป ทั้งสองเสด็จถึงเมืองถูนนคร พระมหาชนกเสด็จออกบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นชิ้นเนื้อที่สุนัขคาบมาทิ้งไว้บนลานดินหน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงเห็นชิ้นเนื้อนั้นไม่มีเจ้าของแล้ว จึงทรงหยิบมาปัดฝุ่นแล้วเสวย พระนางสีวลีเห็นเช่นนั้นก็ต่อว่าพระองค์ ด้วยเห็นว่าทรงประพฤติพระองค์ไม่สมเป็นวรรณะกษัตริย์ แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้พระนางได้คิดว่า อีกแล้ว แต่พระนางก็ยังไม่อาจตัดพระทัยจากพระองค์ จึงตามเสด็จพระองค์ต่อไปทั้งสองเสด็จถึงประตูเมืองถูนนคร พบนางกุมาริกานางหนึ่งกำลังฝัดทรายเล่นอยู่ แขนของนางข้างหนึ่งสวมกำไล 1 อัน อีกข้างสวม 2 ข้าง พระมหาชนกทรงดำริว่า การที่พระนางสีวลียังคงติดตามพระองค์อูยู่อย่างนั้นไม่เป็นผลดี เพราะจะทำให้ชาวเมืองติเตียนได้ว่า แม้บวชแล้วก็ยังไม่สามารถละจากภรรยาได้ จึงทรงตรัสถามนางกุมาริกาเพื่อให้การพูดตอบของนางทำให้พระนางสีวลีเลิกติดตามพระองค์ พระมหาชนกทรงถามนางกุมาริกาว่า เหตุใดกำไลในแขนนางข้างหนึ่งดังอีกข้างไม่ดัง นางตอบได้อย่างน่าอัศจรรย์ว่า กำไลข้างไม่ดังนั้น ได้ยินดังนั้นแล้วพระมหาชนกจึงตรัสต่อพระนางสีวลีว่า พอถึงทางแยก พระมหาชนกจึงเสนอให้เดินแยกกันที่ทางแยกที่จะถึงข้างหน้า พระนางสีวลีได้ยินรับสั่งก็กราบทูลว่า แต่เสด็จไปได้เพียงเล็กน้อย พระนางก็ไม่สามารถกลั้น โศกาดูร ไว้ได้ เสด็จกลับมาตามพระมหาชนกเข้าสู่ถูนนครด้วยกัน ครั้นถึงเวลาบิณฑบาต เสด็จถึงประตูเรือนช่างศร จึงทรงคิดใช้วิธีเดียวกับคราวพบนางกุมาริกา ทรงตรัสถามช่างศรว่า เหตุใดเวลาเล็งดูลูกศรจึงต้องหลับตาข้างหนึ่ง ช่างศรทูลตอบพระองค์เปรียบเทียบว่า แต่ก็เช่นเดิม พระนางสีวลียังคงความเพียรอย่างแก่กล้าที่จะนำพระมหาชนกเสด็จกลับเมืองมิถิลานคร จนเสด็จถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีแนวหญ้ามุงกระตายเขียวชอุ่ม พระมหาชนกทรงใช้วิธีใหม่เพื่อหวังให้พระนางสีวลีเลิกติดตามพระองค์ พระองค์ถอนต้นหญ้าขึ้นมา ตรัสเรียกพระนางมาหาแล้วรับสั่งว่า หญ้าที่พระองค์ทรงถอนขึ้นนี้ไม่อาจสืบต่อกับกอได้อีกฉันใด การอยู่ร่วมกันระหว่างพระองค์กับพระนางก็ไม่อาจสืบต่อกันอีกฉันนั้น พระนางได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่อาจอดกลั้นพระทัยได้ ทรง ปริเวทนาการเป็นอันมาก ถึงวิสัญญีล้มลงที่มรรคาใหญ่ เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว พระมหาชนกจึงได้ทีฉวยรีบสาวพระบาทเสด็จสู่ป่าหิมพานต์ เข้าอภิญญาสมาบัติเป็นเวลา 7 วันก็เสด็จสู่พรหมโลก ฝ่ายพระนางสีวลีเมื่อฟื้นคืนสติ ไม่เห็นพระมหาชนก ออกเที่ยวตามหาเป็นนานปีก็ไม่พบ มหาชนกชาดก ระบุถึงพระนางในตอนนี้ว่า ทรงปริเทวนาการมากมาย ทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ในที่สำคัญเพื่อระลึกถึงพระมหาชนก ได้แก่ สถานที่ทรงตรัสกับช่างศร ตรัสกับนางกุมาริกา เสวยเนื้อสุนัขทิ้ง และตรัสกับพระนารทฤษี เสด็จกลับมิถิลานคร ทรงอภิเษกทีฆาวุราชกุมาร พระราชโอรสของพระมหาชนกขึ้นครองราชย์ จากนั้นพระนางทรงผนวชเป็นอิสินี ประทับในราชอุทยาน ไม่นานก็ทรงเสด็จสู่พรหมโลกเช่นเดียวกับพระมหาชนกมหาชนกชาดก จบเรื่องลงตามขนบของการเล่าชาดกอื่น ๆ คือจบด้วยการเฉลยธรรมของพระพุทธเจ้าว่าใครกลับมาเกิดเป็นใครในยุคพุทธกาล สำหรับ มหาชนกชาดก พระพุทธองค์ทรงเฉลยว่า นางมณีเมขลาครั้งนั้นเป็นนางภิกษุณีชื่อ อุบลวรรณา ในยุคพุทธกาล พระนารทฤษีเป็นพระสารีบุตร นางกุมาริกาเป็นนางเขมาภิกษุณี ช่างศรเป็นพระอานนท์ พระนางสีวลีเป็นพระนางยโสธรา ทีฆาวุกุมารเป็นพระราหุลกุมาร ข้าราชบริพารที่ติดตามพระองค์ในครั้งนั้นเป็นพุทธบริษัทในยุคพุทธกาลนั่นเอง เป็นที่น่าสังเกตว่าพระมหาชนกใน ทศชาติฉบับชินวรตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ยังสอดคล้องลงรอยกับความในพระสุตตันตปิฎก กลายเป็นมาตรฐานการแปลทศชาติฉบับอื่น ๆ หรือแม้แต่เป็นมาตรฐานการแปลพระไตรปิฎกส่วนพระสูตร แม้ฉบับแปลระยะหลังและตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงยังคงพยายามรักษา แก่นเรื่อง ของพระมหาชนกในแบบฉบับดั้งเดิมเอาไว้ ดังที่อนุสรณ์ อุณโณ และรื่นฤทัย สัจจพันธุ์ ชี้ให้เห็นไว้ คือ ชาดกในพระไตรปิฎก มักจะไม่มีเนื้อเรื่อง พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ได้แต่งเสริมให้มีเนื้อเรื่องขึ้นมา โดยเฉพาะตอนเริ่มและตอนจบของเรื่อง แต่ยังคงรักษา แก่นเรื่อง และฉากพรรณนาของเรื่องไว้ให้สอดคล้องกับพระไตรปิฎก โดยตอนเริ่มและจบเรื่องนั้นทรงแสดง สโมธาน กำหนดเอาความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้ากับบุคคลต่าง ๆ ในยุคพุทธกาลเป็นมาตรฐานเทียบเคียงว่า ใครกลับชาติมาเกิดเป็นใคร เช่น พระพุทธเจ้า = พระมหาชนก พระมเหสี = พระนางสีวลี – พระนางยโสธรา (พิมพา) พระราชโอรส = ทีฆาวุกุมาร – ราหุลกุมาร ผู้ช่วยให้รอด = นางมณีเมขลา – นางอุบลวรรณาภิกษุณี ฯลฯ ในส่วน แก่นเรื่อง ที่มีอยู่เดิมนั้นก็ต้องนับเป็นความหลักแหลมลุ่มลึกของปราชญาจารย์ยุคเก่า ท่านซ่อนนัยเป็นความเปรียบ (metaphor) ยกย่องความตั้งมั่นแน่วแน่ในการสละชีวิตทางโลกย์ บำเพ็ญเพียร เพื่อการหลุดพ้น ว่าเป็นหนทางที่ยากลำบากยิ่ง ยากยิ่งกว่าการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรทั้ง 7 เสียอีก พระมหาชนกซึ่งว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรทั้ง 7 มาแล้ว ยังทรงได้ความยากลำบากจากการผนวช เป็นต้น ฉะนั้น การว่ายน้ำของพระมหาชนกในที่นั้น หาได้เป็นการว่ายอย่างที่ควรจะเข้าใจตามตัวบทอักษรไม่ เป็นการว่ายในอีกระบบคิดที่แตกต่างจากที่เราจะเข้าใจได้ด้วยวิธีมองจากมาตรฐานของปัจจุบันซึ่งถูกครอบงำด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ความเพียร ของพระองค์ก็ไม่ใช่ความเพียรที่สนองตอบต่อวิถีชีวิตแบบคนสมัยใหม่ แต่เป็นความเพียรที่มีจุดมุ่งหมายก้าวข้ามปัญหาในอดีตและปัจจุบัน สู่อนาคตที่ดีกว่า การเปลี่ยนจากชาดกสู่ทศชาติถือเป็นเรื่องเล่าที่ถูกยกระดับสู่พิธีกรรมการแสดงองค์เพื่อเปลี่ยนผ่านสถานะจากพระโพธิสัตว์สู่ ความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการตระหนักรู้ถึงความจริงของชีวิต การยอมรับความจริง ยอมรับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน กล่าวได้ว่า พระมหาชนกใน ทศชาติฉบับชินวร นี้ยังคงเป็นพระมหาชนกตามแบบฉบับโลกุตตระธรรม คือโลกศักดิ์สิทธิ์ในทางพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นว่า สัจธรรมความจริงแท้ในอุดมคติแบบดั้งเดิมยังคงมีอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของสัจจะความจริงแบบสมัยใหม่ ส่วนจะมีอยู่จริงหรือไม่นั้น กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งสืบเนื่องจากสำนักพิมพ์ปรานีได้ติดต่อหลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) ขอให้เขียนเรื่องชาดกในวรรณคดีทางพุทธศาสนา ให้เป็นเรื่องอ่านง่าย ๆ สำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะเด็กเยาวชน แต่หลวงวิจิตรวาทการเห็นว่า หนังสือประเภทนี้มีอยู่มากแล้วในขณะนั้น จึได้คิดแต่งหนังสืออีกแนวหนึ่ง ที่จะมุ่งให้เป็นหนังสือแบบ วรรณคดี อ่านได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือให้ได้ทั้งสาระความรู้ควบคู่กับรสทางวรรณคดีบันเทิงใจแก่เยาวชน จึงเกิดงานเขียน วรรณคดีชาดกฉบับหลวงวิจิตราทการ ขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาเนื้อหาชาดกแล้ว จะเห็นได้ว่าหลวงวิจิตรวาทการยังคงใช้ทศชาติฉบับชินวรเป็นหลักในการเขียน แต่สิ่งที่ทำให้ วรรณคดีชาดกฯ แตกต่างจาก ทศชาติฉบับชินวร ก็คือ วรรณคดีชาดกฯ จะไม่มีส่วนที่เป็น คาถา ร้อยกรองภาษาบาลีถูกถอดออกหมด เนื่องจากมุ่งหมายนำเสนอสู่สาธารณะ จำเป็นต้องเขียนเป็นร้อยแก้วให้อ่านเข้าใจง่าย และที่สำคัญคือ หลวงวิจิตรวาทการได้เขียนแทรกตาม หลักวิชา อธิบายหลักธรรมที่เป็นแก่นเรื่องและพรรณนาสภาพบ้านเมืองประกอบ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ในส่วนของ พระมหาชนก หลวงวิจิตรวาทการกล่าวสอดคล้องกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ในประเด็นว่า ฉะนั้นเมื่อพระมหาชนกทรงทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงในราชอุทยานถูกโค่นล้มหลังจากที่ทรงเสวยเสร็จ ก็ทรงบังเกิดความสังเวชพระทัย จนเห็นสัจจะที่ว่า พระมหาชนกฉบับหลวงวิจิตรวาทการจึงจบเรื่องเช่นเดียวกับฉบับชินวร คือทรงเสด็จออกผนวช และเผชิญความทุกข์ยากต่าง ๆ ในระหว่างที่ออกผนวชนั้น หลวงวิจิตรวาทการพรรณนาถึงช่วงที่ทรงว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรและได้พบนางมณีเมขลาเพียงเล็กน้อยโดยในส่วนของนางมณีเมขลานั้น หลวงวิจิตรวาทการเสนอให้แยก นิยาย ออกจาก ความจริง และให้สนใจเฉพาะส่วนที่เป็นบทสนทนาธรรมระหว่างพระมหาชนกกับนางมณีเมขลา กล่าวคือเรื่องนางมณีเมขลานั้นให้ถือเป็น นิยาย ส่วนการสนทนาธรรมนั้นให้ถือเป็นสาระสำคัญของเรื่อง ซึ่งคนสมัยก่อนเสนอไว้แทรกอยู่ในรูปของ นิยาย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอนั่นเอง และเมื่อต้องพิจารณาจำแนกว่าอะไรจริง อะไรเป็นนิยายที่สร้างขึ้นประกอบเรื่อง หลวงวิจิตรวาทการก็เสนอให้ใช้ หลักวิชา คืออาศัยอำนาจของความรู้มาแสดงเหตุผลประกอบการพิจารณา หลวงวิจิตรวาทการจึงเป็นบุคคลแรก ๆ ในหมู่นักเขียนชาดกที่เสนอว่า สุวรรณภูมิ ที่พระมหาชนกต่อเรือสำเภาจะไปทำการค้านั้น การว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรก็ถูกตีความโดยหลวงวิจิตรวาทการว่า เป็นผลมาจากสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ในวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ทั้งนี้หลวงวิจิตรวาทการหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงระยะเวลาที่พระมหาชนกว่ายน้ำในมหาสมุทรว่า เป็นเวลานานเท่าใด ถึง 7 วัน 7 คืนหรือไม่นอกจากนี้แล้ว หลวงวิจิตรวาทการยังเสนอสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ทางประวัติศาสตร์ สำหรับพิจารณาสภาพบ้านเมืองของ อินเดียโบราณ วัฒนธรรม ประเพณี ตามที่ปรากฏในเรื่องพระมหาชนก เช่น สภาพของเมืองมิถิลานคร ลำดับชั้นวรรณะของคนสมัย อินเดียโบราณ ประเพณีการเสี่ยงทายหาผู้มีคุณสมบัติจะขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยการส่งราชรถออกไป หากราชรถหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ใด แสดงว่าผู้นั้นมีบุญสมควรจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จารีตปฏิบัติในราชสำนักที่ว่า ต้นไม้ทั้งหลายในราชอุทยานนั้น ถ้ากษัตริย์ยังมิได้เสวย ใครจะแตะต้องมิได้ ต่อเมื่อกษัตริย์เสวยต้นใดไปแล้ว คนอื่น ๆ จึงจะมีสิทธิเก็บผลไม้ต้นนั้นไปกินได้ จารีตปฏิบัติอันนี้เองเป็นเหตุให้พระมหาชนกได้คติธรรม ปลงสังเวชต่อความเป็นไปของชีวิต จนตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช กล่าวคือถ้าเข้าใจว่าคนสมัยนั้นมีวัฒนธรรมวิธีคิดอย่างไร ก็จะเข้าใจความคิด พฤติกรรม และการกระทำของตัวละครที่เกิดขึ้นในลำดับเรื่องนั้น ๆ ได้จะเห็นได้ว่า บทบาทของหลวงวิจิตรวาทการในงานเกี่ยวกับพระมหาชนกนั้น คือ การใช้ อำนาจความรู้ ที่เป็นอยู่ในยุคของหลวงวิจิตรวาทการมาอธิบายแทรกชี้ให้เห็นคุณค่าของเรื่องพระมหาชนกตามหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ละทิ้งส่วนที่เป็นฉบับดั้งเดิมของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช เมื่อไม่มีการเปลี่ยนโครงเรื่อง เนื้อเรื่องยังคงเดิม วิธีการลำดับเรื่องก็ยังคงเดิม แก่นเรื่องของการนำเสนอหรือหลักธรรมคำสอนที่ต้องการถ่ายทอดผ่านเรื่องดังกล่าวก็ยังคงเดิม สิ่งที่เปลี่ยนก็คือการอธิบายให้ความหมายเท่านั้น พระมหาชนกฉบับหลวงวิจิตรวาทการจึงไม่อาจถือเป็นฉบับที่เกิดจากกระบวนการชำระล้างสิ่งเก่าแต่อย่างใดอย่างไรก็ตาม การเสนอสู่สาธารณะโดยอาศัยเงื่อนไขของระบบทุนนิยมการพิมพ์ ตามที่หลวงวิจิตรวาทการและนักเขียนแนวสารคดีร่วมสมัยเดียวกับหลวงวิจิตรวาทการได้กระทำอย่างต่อเนื่อง (จนถึงระยะหลังทศวรรษ 2510) ก็มีผลอย่างสำคัญที่ทำให้ชาดกถูกยอมรับอย่างเป็นทางการให้มีความสำคัญในฐานะ วรรณคดี ด้วย นอกเหนือจากที่เคยเป็นผลงานสำคัญสำหรับการถ่ายทอดคติความเชื่อทางพุทธศาสนา บทบาทในการถ่ายทอดหลักธรรมที่เป็นที่ยอมรับให้เป็นความจริงอย่างสัมบูรณ์ ทำให้ชาดกมีฐานะเป็นนิทานเรื่องเล่าอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ในฐานะวรรณคดีที่ก่อเกิดภายหลังอิทธิพลของทุนนิยมการพิมพ์ ชาดกสามารถเป็นเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิงหรรษาแก่เยาวชนและคนทั่วไปได้ ทั้งนี้เพราะวิธีมองเชื่อมโยงกับ หลักวิชา หรืออำนาจของความรู้ ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางด้านภาษาการนำเสนอเป็นลำดับแรก ๆ นั่นเอง ในงานอีกชิ้นเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ศาสนา หลวงวิจิตรวาทการอธิบายถึงแนวทางการศึกษาศาสนาของตนไว้ดังนี้:เราจะศึกษาวิชาการทางศาสนาแต่ในแง่ศาสนาแง่เดียวหาได้ไม่ ศาสนาไม่ได้เกิดขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ ทุกศาสนาย่อมได้กำเนิดจากอิทธิพลทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สภาพสังคม ความเป็นอยู่ของหมู่ชนที่ลัทธิศาสนาได้ก่อกำเนิดขึ้น ประกอบด้วยเหตุการณ์แวดล้อม ซึ่งโดยมากมักเป็นเหตุการณ์รุนแรงจนมนุษย์ต้องคิดหาที่พึ่ง หรือเครื่องช่วยเหลือที่สูงกว่าความสามารถของมนุษย์เอง การศึกษาเรื่องศาสนาจึงจำต้องทำไปพร้อมกับการศึกษาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน จึงจะเข้าใจเรื่องศาสนาถูกถ้วนดีส่วนประเด็นว่า อำนาจความรู้ ที่หลวงวิจิตรวาทการเสนอให้ใช้อ้างอิงในการอ่านพระมหาชนกและชาดกเรื่องอื่น ๆ นั้น มีขีดจำกัดอย่างไร ตลอดถึงข้อจำกัดของแนวทางการศึกษา ประวัติศาสตร์ศาสนา ตามที่หลวงวิจิตรวาทการเสนอไว้ใน ศาสนาสากล ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับงานศึกษาในที่นี้ โครงเรื่องและเนื้อหาของพระมหาชนกตามที่ปรากฏใน ทศชาติฉบับชินวร ยังคงใช้เป็นฉบับมาตรฐานเรื่อยมา จนกระทั่งถึงระยะการกำเนิดขึ้นมาของ พระมหาชนก พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สืบเนื่องจากใน พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้สดับเรื่องพระมหาชนกจากการแสดงพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาโรมหาเถร) วัดราชผาติการาม จากนั้นจึงทรงสนพระราชหฤทัย ทรงค้นคว้าเพิ่มเติมโดยพระองค์เองจากพระไตรปิฎก ทรงเริ่มดำเนินการแปลพระมหาชนกเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยตามลำดับ โดยทรงใช้ระยะเวลาในการแปลนานถึง 11 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2531 แต่กว่าจะพิมพ์เผยแพร่อย่างเป็นทางการก็ล่วงมาจนถึงพ.ศ. 2539 ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พุทธศักราช 2539 เวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชทานวโรกาสให้นายขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายกิจการพิเศษ นำคณะกรรมการดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญทองคำจำลอง เหรียญพระมหาชนกขนาดพิเศษ ฟิล์มถ่ายรูปเขียนหนังสือ และรูปเขียนประกอบ ทรงพระราชทานเหรียญทองคำแก่คณะศิลปิน คณะที่ปรึกษา และคณะทำงาน ในโอกาสนี้ทรงพระราชทานพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าด้วย โดยนายขวัญแก้ว วัชโรทัย ในฐานะรองประธานการจัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ ได้กล่าวถวายรายงานการดำเนินงานจัดพิมพ์ จากนั้นนายขวัญแก้วได้เบิกตัวผู้จัดพิมพ์หนังสือและศิลปินผู้วาดรูปประกอบเข้ารับพระราชทานเหรียญที่ระลึก รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทูลเกล้าฯ ถวายเงินจำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ทางธนาคารได้ได้ซื้อภาพเขียนที่ใช้ประกอบในหนังสือทั้งหมด โดยภาพเขียนดังกล่าวเป็นผลงานของศิลปิน 8 คน ที่ได้รับเหรียญพระราชทานครั้งนี้ประกอบด้วย นายประหยัด พงษ์ดำ นายพิชัย นิรันต์ นายปรีชา เถาทอง นายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ นายปัญญา วิจินธนสาร นายธีระวัฒน์ คะนะมะ นายเนติกร ชินโย และนางสาวจินตนา เปี่ยมศิริ เป็นต้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญพระมหาชนกคู่กับหนังสือด้วย โดยทรงเสด็จไปเป็นประธานในพระราชพิธีชัยมังคลาภิเษก ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เหรียญพระมหาชนกมีลักษณะเป็นเหรียญห้อยคอ ด้านหนึ่งเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มุมล่างซ้ายจารึกคำภาษาไทยว่า วิริยะ มุมล่างขวาจารึกคำภาษาอังกฤษว่า Perseverance อีกด้านเป็นรูปพระมหาชนกกำลังว่ายน้ำพร้อมสนทนาธรรมกับนางมณีเมขลา ซึ่งเป็นรูปฝีพระหัตถ์ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ทรงถวายแก่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ในพ.ศ. 2471 มุมล่างซ้ายจารึกคำภาษาไทยว่า พระมหาชนก มุมล่างขวาจารึกคำภาษาอังกฤษว่า Mahajanaka เหรียญพระมหาชนกสร้างเป็นเนื้อโลหะต่างกัน 3 ชนิด ได้แก่ เนื้อทองคำแท้ หนัก 34 กรัม เนื้อนาก หนัก 24 กรัม และเนื้อเงิน 92.5 เปอร์เซ็นต์ หนัก 23 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลาง 29 มิลลิเมตร มีตราพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. เป็นเรือนยอดด้านบน ออกแบบปั้นนูนลอยเด่น เพื่อให้เกิดการผสมผสานความรู้สึกระหว่างความศักดิ์สิทธิ์และงดงาม เหตุผลของการสร้างเหรียญก็เพื่อจะให้ประชาชนทั่วไปสามารถสั่งซื้อจองเป็นเจ้าของ หนังสือพระราชนิพนธ์พร้อมเหรียญได้ 2 แบบ 2 ราคา คือ พระราชนิพนธ์พร้อมเหรียญชุดสามกษัตริย์รวม 3 องค์ ราคา 50000 บาท และพระราชนิพนธ์พร้อมเหรียญเงิน ราคา 5000 บาท ส่วนราคาหนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรก (ปกแข็ง) ใน พ.ศ. 2539 ราคา 250 บาท รายได้สมทบทุนบริจาคแก่มูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นองค์กรนำสำคัญของการจัดทำโครงการพระราชดำริ ปรากฏว่าการสั่งจองเหรียญและหนังสือได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างมาก แต่หนังสือก็ถูกกล่าวถึงในแง่ที่ว่า อ่านเข้าใจยากเต็มด้วยข้อความและภาพที่สลับซับซ้อนต่อมาในโอกาสมหามงคลเฉลิมพรรษาครบ 6 รอบ (พ.ศ. 2542) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพิมพ์อัมรินทร์พริ้นติ้งจัดพิมพ์ พระมหาชนกฉบับการ์ตูน ขึ้น โดยได้ชัย ราชวัตร (สมชัย กตัญญุตานันท์) เป็นผู้เขียนภาพการ์ตูนประกอบเนื้อเรื่อง โอม รัชเวทย์ เป็นผู้ช่วย ปรีชา เถาทอง เป็นที่ปรึกษาศิลปกรรม และพิษณุ ศุภนิมิตร เป็นผู้ออกแบบ เนื้อเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลกไปจากฉบับภาพเขียนศิลปินพ.ศ. 2439 พระมหาชนกฉบับการ์ตูนมี 2 ฉบับ คือ ฉบับการ์ตูนภาพสี ราคา 65 บาท และฉบับการ์ตูนภาพขาวดำ ราคา 35 บาท การจัดพิมพ์ใหม่ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมว่าด้วยชาดกในสังคมไทย ซึ่งเราจะไม่พบในช่วงระยะเวลาก่อนหน้านี้ แม้ชาดกและพระมหาชนกจะเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนไทยมาช้านานแล้ว แต่ลักษณะการรับรู้ในแต่ละช่วงเวลาก็มีข้อแตกต่างกันออกไป เห็นได้ชัดว่าความคิดเบื้องหลังที่กำกับโครงเรื่องของพระมหาชนกตามปรากฎในพระมหาชนกฉบับก่อนหน้าพระราชนิพนธ์ มีบางอย่างที่ขัดแย้งไม่ลงรอยกับแนวคิด ความเป็นกษัตริย์ ในโลกสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนว่าด้วยการสละชีวิตทางโลกย์ ซึ่งยากจะไปกันได้กับสถานะที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่จริงของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระยะหลังมานี้ จึงน่าสนใจว่าใน พระมหาชนกฉบับพระราชนิพนธ์ มีกระบวนการชำระ พระมหาชนก อย่างไร ให้สอดคล้องลงรอยและไปกันได้กับสถานะความเป็นกษัตริย์ดังกล่าว? ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พุทธศักราช 2539 เวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ให้แก่คณะศิลปินและสื่อมวลชนที่เข้าเฝ้ามีใจความสำคัญดังนี้ :โอกาสนี้ตามปกติก็เป็นการเรียกว่า เปิดหรือเผยหนังสือ. หมายความว่าเปิดให้ทุกคนทราบว่ามีหนังสือที่จะออกจำหน่าย และโดยมากก็โฆษณาว่าหนังสือนั้นมีอะไรบ้าง. ในที่นี้จะขอไม่โฆษณา เพราะว่าทุกคนก็ได้เห็นรูปและทราบดีว่าเรื่องมีอะไรบ้าง. ส่วนที่ไม่ทราบก็เอาไว้ทราบเมื่อได้อ่านหนังสือ เพราะว่าถ้าเล่าให้ฟังแล้ว ก็อาจไม่เข้าใจหรือจะไม่มีความร่าเริงบันเทิงใจเท่าที่ควร. ฉะนั้นก็ขอถือโอกาสนี้ขอบใจคณะที่ดำเนินการให้หนังสือนี้เป็นผลสำเร็จขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นงานที่ลำบากสำหรับทุกคน. โดยเฉพาะศิลปินที่เขียนรูปและจัดรูปของหนังสือนั้น เข้าใจว่าต้องคิดมากและต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เพราะว่าเป็นงานที่พิเศษ. ผลที่ออกมาก็เป็นผลที่นับว่าใช้ได้ดีมาก และจะเป็นที่ร่าเริงใจของผู้ได้อ่าน.. ส่วนภาษาอังกฤษนั้นก็ได้แปลตรงมาจากภาษาไทย ที่ได้ปรุงแต่งทั้งของเก่าทั้งของใหม่. เป็นภาษาอังกฤษที่บางคนอาจฉงน เพราะว่าไม่ได้เรียนในโรงเรียน. เป็นภาษาที่อาจดูแปลกไปหน่อย . ฉะนั้นถ้าใครรู้ภาษาอังกฤษบางทีจะต้องมาดูภาษาไทย เพื่อที่จะให้เข้าใจว่าเขาว่ายังไง. คนที่รู้ภาษาไทย บางทีจะต้องไปดูภาษาอังกฤษ จะได้รู้ว่าภาษาไทยเขาว่าอย่างไร. จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ชอบศึกษาภาษา คือจะเป็นการขัดเกลาภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษ เป็นการขัดเกลาภาษาไทย สำหรับผู้ที่รู้ภาษาไทย. นอกจากนี้ก็ได้เขียนเป็นตัวอักษรโบราณ คืออักษรเทวนาครี ซึ่งเป็นสิ่งที่ลำบากมาก เพราะว่าผู้ที่รู้ภาษาโบราณนี้ก็มีน้อยคน.ทั้งหมดนี้จะต้องอาศัยความละเอียด ในการจัดให้ถูกต้องและเป็นที่พอใจ. ที่ลงมาช้า ทำให้ท่านทั้งหลายต้องคอยอยู่นาน ก็มีเหตุผล เพราะว่าการแก้หนังสือนี้ยังไม่เสร็จ. อันนี้การแก้ทั้งรูป คือทั้งภาพที่ท่านศิลปินได้เขียนยังมีการแก้. คงกลุ้มใจ แต่ว่างานต้องเพียรต่อไป แล้วก็มีเวลาน้อย. มีการแก้ภาษาไทย ซึ่งบางตัวก็เขียนผิด. แก้ภาษาอังกฤษ ซึ่งบางตัวก็อาจมีผิดไวยากรณ์ด้วยซ้ำ. ถกเถียงกัน ผู้ที่ไม่ได้มาในที่นี้ที่เป็นผู้ที่ช่วยทำ คือสมเด็จพระเทพฯ. สมเด็จพระเทพฯ ก็ทำมาสองวันสองคืน กับเพื่อน ๆ. และสองวันสองคืนนี้กับเพื่อน ๆ แบ่งเป็นสองพวก พวกหนึ่งดูดาวหาง และอีกพวกหนึ่งดูพระมหาชนก. ผู้ที่ดูพระมหาชนกไม่ได้ดูดาวหาง ผู้ที่ดูดาวหางไม่ได้ดูพระมหาชนก. แต่สมเด็จพระเทพฯ ขึ้นมาตาปรือ เพราะมาบอกว่าดูทั้งมหาชนก ทั้งดาวหาง. นั่นนะเป็นอย่างนี้ คือความเพียรนี่ก็ต้องมี แม้จะตาปรือก็ต้องมีความเพียร. มาบัดนี้เข้าใจว่าครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่หมด. นี่ที่เขียน อันนี้เป็นตัวการทำให้ที่ลงมาช้า เพราะว่ายังต้องเขียนมาแจ้งให้คุณชูเกียรติ คุณสมรรถ ได้ทราบว่าต้องมีการดูแก้ไขอะไร และยังไม่หมด ยังเหลืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องทำงานต่อไป. อันนี้ถึงต้องมาแถลง ทำไมลงมาช้า ลงมาช้าเพราะต้องทำงานถึงสุดท้าย.ก็ต้องขอขอบใจศิลปิน ขอขอบใจผู้ที่ช่วยทำงาน ที่ช่วยสนับสนุนให้หนังสือเล่มนี้ออกมาได้. ก็เข้าใจว่าเป็นงานที่หนัก เพราะที่ทำอยู่นี้ก็เป็นงานหนัก. แต่ที่มีความสำคัญ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รับรองได้ว่า เป็นหนังสือที่ไม่มีที่เทียม. นี่ต้องอวดหน่อยว่าไม่มีที่เทียม แล้วก็ท่านที่เป็นศิลปิน ผู้ที่เป็นกรรมการ และผู้ที่สนับสนุนย่อมจะทราบดีว่างานที่เราทำนั้นคุ้มแค่ไหน. และผู้ที่ยังไม่เห็นหนังสือเล่มนี้ ในที่นี้ก็ได้เห็นรูปที่ศิลปินเขียน ซึ่งยังไม่ครบและก็ยังไม่สมบูรณ์ ก็ได้เห็นเป็นตัวอย่าง. ผู้ที่รู้เรื่องพระไตรปิฎก ก็ได้อ่านพระไตรปิฎกเกี่ยวข้องกับมหาชนกชาดก ก็คงทราบอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เห็น ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งจะขึ้นมาครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยงานของท่าน. ฉะนั้นจะต้องขอบใจท่านทั้งหลายทุกคนที่มาชุมนุมกันในที่นี้ เพื่อที่จะรับรู้ว่าหนังสือนี้มีขึ้นแล้ว. ที่ต้องขอบใจ ตะกี้ยังมีการถกเถียงกันว่า โยชน์หนึ่งคือเท่าไหร่. พวกกรรมการดูดาวที่ไม่ได้ดูดาว บอกว่า โยชน์หนึ่งเท่ากับ สิบหกกิโลเมตร. เราเอง ไม่บอกไม่ใช่ ไม่ได้เท่ากับสิบหกกิโลเมตร เพราะว่าเขาบอกว่าเปรียบเทียบกับวากับเส้น ก็เป็นสิบหกกิโลเมตร. แต่เราเปรียบเทียบกับไมล์ เป็นสามไมล์ เป็นหนึ่งโยชน์. สามไมล์ Stated ไมล์. ฉะนั้นก็เลยต้องมาถกเถียงกับท่านทั้งหลาย ก็มีผู้ที่ต้องมาถกเถียงเข้ามาอีกคนหนึ่ง. แต่นี่ก็พอแล้ว ตอนนี้ตกลงจะไปทำตามที่เขียนอยู่นี้ และเข้าใจว่าลงตัวแล้ว. ฉะนั้นก็ถือว่าเป็นฤกษ์ที่ดี ที่จะแจ้งให้ใครต่อใครเขารับรู้ ว่ามีหนังสือเล่มนี้. ท่านทั้งหลายที่เป็นสื่อมวลชนก็ได้เห็นแล้ว เห็นหน้าท่านศิลปิน และท่านกรรมการต่าง ๆ ก็จะได้เห็นว่าอ้อ คนนี้ ๆ เป็นคนเขียนรูป แล้วก็เห็นหน้าผู้ที่เขียนแล้วก็เมื่ออ่านเรื่องนี้เสร็จก็คงได้เห็นทั้งหมด คือเห็นทั้งผู้เขียนรูป เห็นทั้งผู้ที่เขียนเรื่องและผู้ที่มาสนับสนุน เพื่อที่จะให้งานนี้ได้สำเร็จเรียบร้อย.ฉะนั้นก็ขอขอบใจทุกท่าน ทุกคนที่ได้ทำให้หนังสือนี้ออกมาเป็นหนังสือ และเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคน และเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งไทยและเทศ. ก็ขอขอบใจท่านอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนี้ก็ขอไปชมรูป และอาจจะมีวิจารณ์เล็กน้อยต่อมาในวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2539 หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งก็นำกระแสพระราชดำรัสข้างต้นมาเป็นรายงานข่าวในพระราชสำนัก แม้จะไม่ได้เรียบเรียงจากบันทึกพระสุรเสียงดังสำนักราชเลขาธิการ แต่ก็แสดงพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สอดคล้องตรงกันดังนี้ : โอกาสนี้ตามปกติก็ต้องมาเปิดเผยเรื่องหนังสือให้ทราบว่ามีหนังสือออกมาจำหน่าย และโฆษณาว่าในนั้นมีอะไรบ้าง แต่ไม่โฆษณาเพราะคงทราบดีว่าเรื่องมีอะไรบ้าง ส่วนคนที่ไม่ทราบเอาไว้ทราบเมื่อได้อ่านเรื่องแล้ว เพราะถ้าเล่าให้ฟังอาจจะไม่เข้าใจและไม่ร่าเริงบันเทิงใจเท่าที่ควรจากนั้นได้ทรงขอบใจคณะกรรมการที่ดำเนินงานให้การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้สำเร็จขึ้นมา โดยเฉพาะศิลปินที่เขียนรูป ทรงมีรับสั่งว่าคงต้องคิดมากและเหน็ดเหนื่อยเพราะเป็นงานพิเศษ แต่ผลที่ออกมานับว่าดีมาก จากนั้น และส่วนที่ 3 เป็นภาษาอังกฤษก็แปลโดยตรงจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษที่บางคนอาจจะฉงน เพราะไม่ได้เรียนและเป็นภาษาอาจดูแปลกไป เพราะต้องใช้ให้เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโบราณนับปีไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นภาษาโบราณและอาจเป็นปริศนาบ้าง จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ศึกษาภาษาอังกฤษและเป็นการช่วยขัดเกลาภาษา ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ให้ผู้พยายามเรียนรู้ทั้ง 2 ภาษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสอีกว่า ส่วนที่ลำบากมากคือภาษาเทวนาครีเพราะมีผู้รู้น้อย ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนในการจัดให้ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้มีสมเด็จพระเทพฯ เป็นผู้ช่วย รวมทั้งพระสหายสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งแบ่งเป็น 2 พวก พวกหนึ่งดูดาวหางไม่ได้ดูพระมหาชนก อีกพวกดูพระมหาชนกแต่ไม่ได้ดูดาวหาง ส่วนสมเด็จพระเทพฯ ดูทั้งพระมหาชนกและดาวหาง ตาก็เลยปรือ เพราะใช้เวลา 2 วัน 2 คืน แต่หนังสือก็สำเร็จลงได้ เพราะมีวิริยะ จากหลักฐานข้างต้น ก็ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาว่า ความคิด ที่ ซึ่งไม่ตรงกับ และทั้งยัง อาจไม่เป็นประโยชน์กับคนปัจจุบัน นั้นหมายถึงความคิดอะไร ? และความคิดนั้น อาจไม่เป็นประโยชน์กับคนปัจจุบัน อย่างไร จึงต้อง ตกแต่งใหม่เพื่อให้เข้าใจง่ายและเป็นประโยชน์ (กับปัจจุบัน)? ในชั้นต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภถึงการดัดแปลงเนื้อเรื่องในมหาชนกชาดกของพระองค์ไว้อีกที่หนึ่งว่า โดยในตอนเรื่องต้นมะม่วง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ตอนสำคัญที่ทำให้พระมหาชนกตัดสินพระทัยละจากราชสมบัติออกผนวช หลังเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เพิ่งผ่านไปไม่นาน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาโร มหาเถร) วัดราชผาติการาม แสดงพระธรรมเทศนาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. 2520 ใจความสำคัญมีอยู่ว่า :ที่ทางเข้าสวนหลวงมีต้นมะม่วงสองต้น ต้นหนึ่งมีผล อีกต้นหนึ่งไม่มีผล ทรงลิ้มรสมะม่วงอันโอชา แล้วเสด็จเยี่ยมอุทยาน. เมื่อเสด็จกลับออกจากสวนหลวง ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงที่มีผลรสดี ถูกข้าราชบริพารดึงทิ้งจนโค่นลง ส่วนต้นที่ไม่มีลูกก็ยังคงตั้งอยู่ตระหง่าน แสดงว่าสิ่งใดดี มีคุณภาพ จะเป็นเป้าหมายของการยื้อแย่ง และจะเป็นอันตรายในท่ามกลางผู้ที่ขาดปัญญา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเกี่ยวกับพระธรรมข้างต้นว่า : กล่าวคือข้าราชบริพาร นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้างคนรักษาม้า และนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น. ไม่มีความรู้ทั้งทางวิทยาการทั้งทางปัญญา ยังไม่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์แท้แม้ของตนเอง จึงต้องตั้งสถานอบรมสั่งสอนให้เบ็ดเสร็จ. อนึ่ง เก้าวิธีอีกด้วย. หากพิจารณาเนื้อเรื่องทั้งหมดโดยเปรียบเทียบกับฉบับก่อนหน้าแล้ว จะพบว่าทรงตัดส่วนที่เป็นต้นเรื่อง (ปัจจุบันวัตถุ) และท้ายเรื่อง (สโมธาน) ออก ส่วนดังกล่าวเป็นเนื้อเรื่องตอนพุทธกาลที่พระภิกษุมาชุมนุมร่วมกัน จากนั้นพระพุทธองค์ทรงนำ อดีตวัตถุ มาแสดงพระธรรมเทศนาแก่พระภิกษุเหล่านั้น ส่วนตอนจบของเรื่องที่เป็นการเฉลยธรรมตามขนบชาดกว่า ใครกลับมาเกิดเป็นใครในยุคพุทธกาล ส่วนที่เป็น คาถา และ อธิบายคาถา ก็ถูกปรับเปลี่ยนอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ในส่วนของ อดีตวัตถุ เองก็ยังตัดตอนพระมหาชนกเสด็จออกผนวชออกทั้งหมด ฉบับพระราชนิพนธ์เปลี่ยนมาจบเรื่องโดยพระมหาชนกยังทรงครองราชย์และทรงสร้าง ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ขึ้นเป็นสถานอบรมศีลธรรมและความรู้แก่ประชาชนชาวเมืองมิถิลานคร ส่วนที่คงไว้ก็มีการดัดแปลงให้กระชับสั้นสละสลวย ทั้งยังขยายความเนื้อเรื่องตอนต้นเกี่ยวกับการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระเจ้าอริฏฐชนกกับพระเจ้าโปลชนก พระเจ้าอริฏฐชนกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระมเหสีซึ่งกำลังทรงพระครรภ์หลบหนีไปยังเมืองนครกาลจัมปากะ ประสูติพระราชโอรส ทรงพระนาม พระมหาชนก เมื่อทรงพระชนม์ได้ 16 พรรษา ทรงคิดกลับไปทวงคืนสิทธิในราชสมบัติ โดยทรงต่อเรือพาณิชย์ไปค้าขายยังสุวรรณภูมิเพื่อสร้างความมั่งคั่งเสียก่อน เรือแล่นไปได้เจ็ดร้อยโยชน์ เกิดคลื่นลมแรงทำให้เรือแตก ทรงว่ายน้ำเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน โดยกำหนดทิศจะว่ายไปยังเมืองมิถิลานคร นางมณีเมขลาเหาะมาพบจึงช่วยอุ้มพระองค์ไปส่งยังเมืองมิถิลานคร จากเดิมที่ ทศชาติฉบับชินวร กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้แต่เพียงว่า :ในเมื่อห้วงทะเลใหญ่ (ทั้งลึก ทั้งกว้าง) หาประมาณมิได้ เห็นปานดังนี้ เป็นไปแล้ว ท่านผู้ใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จม (ตาย) ด้วยกิจคือการของบุรุษ ใจของท่านยินดีในที่ใด ท่านผู้นั้นจงไปที่นั้น ฯครั้นนางมณีเมขลากล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้บัณฑิต ผู้มีความเพียรมาก ข้าพเจ้าจักพาท่านไปที่ไหน ฯ ครั้นพระโพธิสัตว์ตรัสว่า ไปสู่มิถิลานคร นางมณีเมขลาจึงช้อนพระมหาสัตว์ขึ้น ดุจบุคคลยกกำดอกไม้ ประคองด้วยมือทั้งสองให้แนบกับทรวง พาเหาะไปในอากาศ ดุจอุ้มบุตรเป็นที่รักไป ฯ พระบรมโพธิสัตว์มีสรีระอันเศร้าหมองแล้วด้วยน้ำเค็มสิ้น 7 วัน สัมผัสผัสสะทิพย์แล้วหยั่งลงสู่นิทรารมณ์บรรทมหลับ ฯ ลำดับนั้นนางเทพมณีเมขลานำพระโพธิสัตว์นั้นสู่มิถิลานคร ฉบับพระราชนิพนธ์ชำระปรับแก้ใหม่เป็น :เทวดา (หมายถึง นางมณีเมขลา – ผู้อ้าง) ได้สดับพระวาจาอันมั่งคงของพระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะสรรเสริญพระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาว่า : ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ซึ่งประมาณมิได้ เห็นปานนี้ ด้วยกิจคือความเพียรของบุรุษท่านนั้นจงไปในสถานที่ที่ใจของท่านยินดีนั้นเถิด.ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นางมณีเมขลาได้ถามว่า : ข้าแต่ท่านบัณฑิตผู้มีความบากบั่นมาก ข้าพเจ้าจักนำท่านไปที่ไหน. เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสว่า : มิถิลานคร นางจึงอุ้มพระมหาสัตว์ขึ้น ดุจคนยกกำดอกไม้ ใช้แขนทั้งสองประคองให้นอนแนบทรวง พาเหาะไปในอากาศ เหมือนคนอุ้มลูกฉะนั้น.พร้อมกันนั้น พระมหาสัตว์มีสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน ได้สัมผัสทิพยผัสสะก็บรรทมหลับ. ลำดับนั้น นางมณีเมขลานำพระมหาสัตว์ถึงมิถิลานคร. ให้บรรทมโดยเบื้องขวาบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคลในสวนมะม่วง มอบให้หมู่เทพเจ้าในสวนคอยอารักขาพระมหาสัตว์แล้วไปสู่ที่อยู่ของตน จากนั้นการแต่งเนื้อเรื่องขึ้นใหม่แทรกลงในโครงเรื่องเดิม ก็ปรากฏอยู่ทั่วไปในช่วงครึ่งท้ายของเรื่อง เริ่มจากเมื่อพระมหาชนกเสด็จกลับจากประพาสราชอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงที่มีผลดกงามถูกโค่นล้ม ส่วนอีกต้นซึ่งไม่มีผลยังตั้งตรงอยู่ ทรงดำริว่า แต่แทนที่จะมีพระทัยโน้มเอียงไปทางปลีกวิเวกและตัดสินใจสละชีวิตทางโลกย์ออกผนวช ดังฉบับก่อนหน้า เช่นที่ระบุว่า โดยในฉบับพระราชนิพนธ์นี้ ทรงตรัสเรียกหาเสนาบดีไปเชิญอุทิจจพราหมณ์มหาศาลให้มาพร้อมด้วยศิษย์ คือ จารุเตโชพราหมณ์ และคเชนทรสิงหบัณฑิต สองคนนี้ คนแรกเป็นผู้เชี่ยวชาญการเพาะปลูก คนที่สองเชี่ยวชาญการรื้อถอน ทรงแนะวิธีให้ฟื้นฟูต้นมะม่วงเก้าอย่าง คือ หนึ่ง เพาะเม็ดมะม่วง สอง ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกใหม่ สาม ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ สี่ เอากิ่งดีมาเสียบยอดกิ่งของต้นที่ไม่มีผลให้มีผลดี ห้า เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น หก เอากิ่งมาทาบกิ่ง เจ็ด ตอนกิ่งให้ออกราก แปด รมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล เก้า ทำ ชีวาณูสงเคราะห์ อุทิจจพรามหณ์รับสนองพระราชโองการจะให้คเชนทรสิงหบัณฑิตกับจารุเตโชพราหมณ์ ไปดำเนินการตามพระราชดำริ ความเชี่ยวชาญของพราหมณ์ทั้งสองจะเห็นได้ว่าเป็นความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติตามพระราชดำริ หาใช่ความเชี่ยวชาญที่มาพร้อมกับกระบวนการคิดค้นด้วยตนเองแต่อย่างใดนอกจากนี้ พระมหาชนกยังโปรดให้อุทิจจพราหมณ์ คอยรับพระราชดำริต่อไป คือ การตั้งสถาบันการศึกษาที่ชื่อว่า ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย เนื่องจากทรงระลึกถึงวาจาที่นางมณีเมขลากล่าวแก่พระองค์ ทรงจดจำคำพูดของนางไม่ได้ทุกถ้อยคำ แต่ทรงทราบว่า เทวดากล่าวชี้ว่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตอบโต้พระมหาชนกฉบับเก่า พร้อมกับเน้นย้ำความคิดใหม่ในการมองพระมหาชนกที่พยายามเสนอไว้ในฉบับพระราชนิพนธ์ พระมหาชนกตามแบบฉบับของความเป็น กษัตริย์ทางโลกย์ ทรงมีทางเลือกที่ไม่ใช่การเสด็จออกผนวช และที่มาของคำ ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ยังสามารถตีความได้ว่า เป็นการพยายามล้มล้างมายาคติเดิมเกี่ยวกับการว่ายน้ำในมหาสมุทร 7 วัน 7 คืน ซึ่งอาจถูกมองจากมาตรฐานความคิดแบบสมัยใหม่ได้ว่าเป็นเรื่องงมงายเชื่อถือไม่ได้ ฉบับพระราชนิพนธ์แก้ไขปัญหานี้ด้วยการแต่งเรื่อง ปูทะเลยักษ์ ขึ้นมาแทรกในตอนท้ายของเรื่อง เฉลยความนัยว่าที่ทรงสามารถว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทร 7 วัน 7 คืนได้นั้น แท้จริงเป็นเพราะทรงได้รับความช่วยเหลือจากปูทะเลยักษ์นั่นเอง ดังเมื่ออยู่ลำพังกับอุทิจจพราหมณ์ ทรงตรัสว่า :เราสงวนเรื่องนี้มาหลายเวลาแล้ว นับแต่คราวลงเรือมุ่งสู่สุวรรณภูมินั้นก่อนคลื่นยักษ์มากระหน่ำนาวา เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกัน เป็นภาษาสุวรรณภูมิว่า : โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า. และว่าผู้ใดเหยียบปูนั้นได้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หากมีความเพียรแท้. อีกที่หนึ่งคือ หลังจากเล่าเรื่องนี้แก่อุทิจจพราหมณ์ฟัง พราหมณ์ทูลตอบว่า เคยได้ยินเรื่อง ปูทะเลยักษ์ นี้มาบ้าง แต่ไม่ทราบว่ามีอยู่จริงหรือไม่ พระมหาชนกทรงย้ำว่า ปูทะเลยักษ์ นี้ :มีแน่แท้. หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ ลงทะเลพ้นปลาและเต่า ก็ว่ายข้ามมหาสมุทร. ได้พักผ่อนเป็นคราว ๆ. บางครั้ง ก็รู้สึกเหมือนเหยียบพื้นทะเลได้คล้าย ๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่หกในจำพวกเจ็ดบุคคล แต่ที่แท้เป็นปูทะเลยักษ์นั่นเอง. เมื่อทรงเชื่อเช่นนั้น จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อสถานศึกษาของพระมหาชนกว่า ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ไม่ใช่ โพธิยาลัยมหาวิชชาลัย ดังนางมณีเมขลาชี้แนะไว้ เป็นสถานศึกษาที่เกิดขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาการศึกษาแก่ไพร่ราษฎร ซึ่งก็มีความสมเหตุสมผล เนื่องจากพระมหาชนกทรงมองว่า นัยยะของ ต้นมะม่วง และ ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย จึงกล่าวได้ว่า อย่างแรกมีลักษณะเป็นความเปรียบ หมายถึง ชาติบ้านเมืองที่ยังทรงต้องทำหน้าที่ปกครองดูแล เพราะว่าราษฎรยังไร้การศึกษาขาดความรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขภายในชาติบ้านเมือง จึงนำไปสู่ความจำเป็นที่ต้องมีอย่างที่สอง ซึ่งหมายถึง สถานที่ที่จะให้การอบรมศึกษาให้รู้จักประโยชน์ในชาติแห่งตน เป็นต้น นอกจากนี้ ประเด็นการว่ายน้ำในมหาสมุทร 7 วัน 7 คืน ยังได้รับการยืนยันว่ามีความเป็นจริง ด้วยภาพแผนที่พยากรณ์ที่วาดด้วยคอมพิวเตอร์ นำมาเสนอแทรกอยู่ในเนื้อเรื่อง เป็นภาพแสดงสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองโบราณสมัยพระมหาชนก และยังแสดงข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับทิศทางลม การกำหนดวันเดินทะเล ตลอดจนจุดอับปางของเรือ ที่คาดคะเนโดยอาศัยข้อมูลทางโหราศาสตร์ ฉบับพระราชนิพนธ์ไม่ได้พรรณนาโดยตรงว่า การว่ายน้ำ (และความเพียร) ของพระมหาชนกนั้นมีความเป็นจริงในประวัติศาสตร์หรือไม่ แต่แผนที่พยากรณ์กลับมีส่วนช่วยโน้มน้าวผู้อ่านให้เห็นคล้อยตามได้ง่ายว่า เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แต่งขึ้น ดังที่นายชูเกียรติ อุทกพันธุ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทอัมรินทร์พริ้นติ้ง ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการจัดพิมพ์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนที่พยากรณ์ในฉบับพระราชนิพนธ์ว่า : โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและพยากรณ์อากาศไว้ด้วยว่าหากพระมหาชนกออกเดินทางโดยทางเรือในวันที่ 20 เมษายน ก็จะไม่ประสบเหตุเรือพระที่นั่งแตก แต่การเดินทางเมื่อวันที่ 24 เมษายน พระองค์ทรงคำนวณแล้วว่าจะต้องประสบกับพายุจึงทำให้การเดินทางไม่สำเร็จ การที่พระองค์ทรงคำนวณเวลาและพยากรณ์อากาศไว้เช่นนี้ นับเป็นอีกก้าวของการชำระ พระมหาชนก ในสังคมไทย โดยในยุคหลังมานี้ พระมหาชนกทรงเลือกที่จะเป็น กษัตริย์ทางโลกย์ มากกว่า กษัตริย์ทางจิตวิญญาณ ตามขนบของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม เมื่อความคิดและการรับรู้ต่อความจริงพื้นฐานของโลกและชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พระมหาชนกจึงถูกทำให้เป็นภาพเสนอเกี่ยวกับสถานะความเป็นกษัตริย์ในอุดมคติแบบใหม่นี้ ผ่านการชำระดัดแปลงวรรณกรรมสร้างตัวละครใหม่และปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องอย่างเป็นระบบ การสละชีวิตทางโลกย์เพื่อความหลุดพ้นในโลกหน้า การปลีกตัวออกจากรัฐและสังคม การสละราชสมบัติตัดขาดจากพระราชอำนาจ ถือเป็นแนวคิดและอุดมคติที่ขัดแย้งไม่เข้ากับสภาพความเป็นจริงทางสังคมการเมืองที่เกิดขึ้นในระยะหลังมานี้ พระมหาชนกฉบับพระราชนิพนธ์ที่เกิดจากกระบวนการชำระอย่างเป็นระบบ มีส่วนช่วยสร้างตัวแทนชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า การเป็นพระมหากษัตริย์ในโลกระยะหลังมานี้ จักต้องประกอบ ความเพียร อย่างยอดยิ่ง ไม่ใช่จะเป็นได้ด้วยเพียงเพราะมีสิทธิธรรมจากสายพระโลหิตเท่านั้น เมื่อได้ขึ้นครองราชสมบัติเมืองมิถิลานครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระมหาชนกจึงทรงรำลึกพระองค์ว่า แสดงให้เห็นร่องรอยอิทธิพลของความคิดแบบมนุษย์นิยมผสมผสานกับมหาบุรุษนิยม กล่าวคือ ถือว่าความสำเร็จในชีวิตมีที่มาจากความเพียรของตัวมนุษย์คนนั้น ๆ เอง ไม่ใช่เพราะเทพยดาฟ้าดินบันดาลให้เกิดขึ้น เป็น ความเพียร เพื่อสถานะความเป็นอยู่ในโลกยุคใหม่ ความเพียร ในพระมหาชนกฉบับพระราชนิพนธ์จึงมีสารัตถะแตกต่างจาก ความเพียร (หรือ การบำเพ็ญเพียร) ตามความหมายของพระมหาชนกในฉบับก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากพระมหาชนกเป็นนิบาตชาดกมีปรากฏในพระไตรปิฎก การชำระพระมหาชนกจึงมีค่าเท่ากับชำระพระไตรปิฎกในส่วนที่ขัดแย้งกับสถานะ ความเป็นกษัตริย์ แบบใหม่ไปด้วยในตัว คือการทำให้สถานะความเป็นกษัตริย์ที่สร้างขึ้นใหม่ในระยะหลังมานี้ มีความชอบธรรมเป็นเหตุเป็นผลในแนวคิดทางโลกย์ พร้อมทั้งดูไม่ได้ละเลยหรือเปลี่ยนแปลงอันใดในส่วนที่เกี่ยวกับอุดมคติที่มีอยู่ก่อนหน้า กษัตริย์ทางโลกย์ และสิ่งที่ถูกสร้างให้มีภาพเป็นจารีต ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่แล้วนี้เอง คือแก่นหลักใจกลางสำคัญของ ความเป็นไทย ในหมู่ชนชั้นนำไทยสมัยหลังมานี้ พระมหาชนก มาถึงจุดเปลี่ยนอีกคราวในการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการทางการเมืองที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของและบรรณาธิการใหญ่ของหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ และเครือข่ายนักวิชาการอนุรักษ์นิยม เริ่มตั้งแต่การจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ตั้งแต่ พ.ศ. 2546-2548 โดยในการจัดรายการในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีกลุ่มคนให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก สนธิได้ประกาศแนวทางการต่อสู้ของตนด้วยการชูคำขวัญว่า เราจะสู้เพื่อในหลวง เสนอให้ประชาชนร่วมต่อต้านรัฐบาลทักษิณ พร้อมโจมตีตัวบุคคลคือ ทักษิณ ชินวัตร ว่าละเมิดสิ่งที่เรียกว่า พระราชอำนาจ ต่อมาสนธิ เครือผู้จัดการ วุฒิสภา และกลุ่มนักวิชาการฝ่ายขวา ร่วมกันเสนอ นายกพระราชทาน ตีความมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวนี้กลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยคณะทหารที่เรียกตนเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) (ต่อมาเปลี่ยนเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)) ทว่าในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2550 ผลปรากฏว่านายสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชน ได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์อย่างท่วมท้น สนธิและกลุ่มพันธมิตรฯ จึงหวนกลับมาเคลื่อนไหวบนท้องถนนอีกครั้งโดยปักหลักยืดเยื้อจากบริเวณเชิงสะพานมัฆวาน เข้ายึดทำเนียบ จนถึงบุกยึดสนามบิน โจมตีฝ่ายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นระบบว่าไม่จงรักภักดีและทำให้เสียดินแดนเขาพระวิหาร ฯลฯ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ พยายามปลุกเร้าผู้คนให้เข้าร่วมโค่นล้มรัฐบาลโดยอ้างเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ในคืนวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 22.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้กล่าวปราศรัยต่อผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล มีใจความสำคัญเปรียบเปรยถึง พระมหาชนก ดังนี้ :พี่น้อง มีคนถามว่าผมห้อยอะไรอยู่หรือ (พูดพร้อมชูเหรียญห้อยคอ) (ที่ชุมนุมปรบมือและส่งเสียงดัง) ในคืนวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 21.10 น. สนธิยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า :พี่น้อง บ้านนี้เมืองนี้มันปกครองกันยังไง นายกสมัครไปก็โดนไล่ นายกสมชายไปก็โดนไล่ โกวิท วัฒนะ รมต. มหาดไทย ไปจันทบุรีก็โดนไล่อีก (ที่ชุมนุมปรบมือ) บ้านเมืองนี้มันต้องเปลี่ยนแปลง มันไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยังไม่ทันไรเลยก็ตั้งพรรคเพื่อไทย ตุลาคมต่อถึงพฤศจิกายนก็ต้องยุบพรรคพลังประชาชน แล้วก็มาตั้งพรรคเพื่อไทยอีก ประเทศชาติปล่อยให้บริหารกันอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วพี่น้อง พี่น้องครับ จำเมื่อคืนที่ผมพูดได้ไหม (ที่ชุมนุมปรบมือพร้อมส่งเสียง) (ที่ชุมนุมปรบมือ) (ที่ชุมนุมปรบมือ)บทบาทสนธิเกี่ยวกับ พระมหาชนก อย่างในกรณีข้างต้น ถือได้ว่าสลับขั้วคำอธิบายจากหัวเป็นท้ายแล้วสร้างความหมายใหม่ขึ้นมา ทำให้ พระมหาชนก มีพื้นที่ในการเมืองมวลชนแบบพันธมิตร เปลี่ยนย้ายบริบทจากวรรณกรรมพระราชนิพนธ์สู่การสื่อความหมายทางสังคมการเมืองโดยตรง จะเห็นได้ว่าพระมหาชนกของสนธิไม่ได้หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะเท่านั้น แต่ได้ปรากฏความพยายามที่จะเปลี่ยนพระมหาชนกให้มีความหมายต่อมวลชนคนเสื้อเหลือง โดยพระมหาชนกฉบับมวลชนพันธมิตรไม่ได้เกิดและเวียนว่ายอยู่แต่ในโลกวรรณกรรมอีกต่อไป แต่มีศูนย์กลางอยู่ที่ความคิดที่สื่อออกมาจากเวทีพันธมิตรและ ASTV สร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ สื่อความหมายให้เห็นว่าพวกตนเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนความหมายของ พระมหาชนก ไปในขณะเดียวกันแม้จะทรงเคยเน้นย้ำด้วยพระองค์ว่า แต่สนธิกลับเน้นว่า คือ นายกลาออก แล้วเปลี่ยนระบบสังคมการเมืองไปสู่ การเมืองใหม่ จากเดิมที่ฉบับพระราชนิพนธ์จะเน้นความคิดมนุษย์นิยมกับมหาบุรุษนิยม ขณะเรือกำลังจะแตกอยู่นั้น สนธิตัดต่อตีความใหม่ว่า และ เทวดา ที่สนธิพูดถึงกับผู้ชุมนุมอยู่เสมอนั้น สำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วก็เป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากฝ่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงสะท้อนมุมมองที่กลุ่มพันธมิตรฯ มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะเปรียบประดุจว่าเป็น เทวดา ที่จะทรงบันดาลให้การต่อสู้เรียกร้องของพวกเขาประสบความสำเร็จ พร้อมกับแสดงต่อสาธารณะไปด้วยในตัวว่าการต่อสู้ของพวกเขาเป็นไปโดยสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามข้อเสนอในลักษณะนี้ เกือบจะเข้าใกล้การยกพระองค์ขึ้นเป็นสมมติเทพ ถอยหลังกลับไปสู่ยุคก่อนสมัยใหม่ ซึ่งขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงของยุคสมัยและหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างถึงที่สุด พระมหาชนก ได้ถูกปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดในสังคมสยาม-ไทย นับแต่สมัยพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช จนถึงฉบับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ฉบับพันธมิตรนั้นเป็นตรงกันข้าม กล่าวเช่นนี้ก็เพราะข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบแต่ละฉบับ ยืนยันแก่ผู้วิเคราะห์ข้อหนึ่งคือ ชั้นต้น พระมหาชนก ไม่ใช่วรรณกรรมชี้นำการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง แต่เป็นวรรณกรรมที่เปลี่ยนแปลงสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมือง การชำระ พระมหาชนก ในสังคมสยาม-ไทย จึงเป็นการชำระที่เกิดหลังการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองครั้งสำคัญ ๆ เสมอ เช่น แม้จะเปลี่ยนเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ตั้งแต่หลังวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 แต่การชำระ พระมหาชนก ก็เพิ่งเกิดขึ้นในระยะ พ.ศ. 2468-2471 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของยุคสมบูรณาญาสิทธิ์ไปแล้ว และแม้เพิ่งมีการชำระ พระมหาชนก เพื่อให้สอดรับกับสถานะ ความเป็นกษัตริย์ทางโลกย์ ในช่วงพ.ศ. 2520-2531 แต่สถานะการเป็นองค์พระประมุขแบบใหม่ของพระมหากษัตริย์ในระยะหลังมานี้ ก็เป็นประเด็นที่ได้รับการยอมรับว่า มีความเป็นจริงทางสังคมการเมืองรองรับอยู่ก่อนนั้นมาพอสมควรแล้ว โดยสามารถนับย้อนกลับไปได้ถึงระยะหลังรัฐประหาร 2490 เสียด้วยซ้ำการเข้ามาของจักรวรรดินิยมตะวันตก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการปรับตัวของชนชั้นนำสยามในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ทำให้ชนชั้นนำบางส่วนโดยเฉพาะในฝ่ายสงฆ์ เห็นความจำเป็นที่ต้องแสวงหาและรักษาไว้ซึ่งระเบียบเก่าบางอย่างและความจริงแท้แบบดั้งเดิม คู่กับที่มีอีกกระแสที่เสนอการปรับตัวอย่างรวดเร็ว (ภายหลังกระแสนี้แตกออกเป็นอีกกระแสที่เป็นกำลังสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในระหว่างทศวรรษ 2470-2480) พระมหาชนกฉบับกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อกระแสแรกจึงพยายามรักษาส่วนที่เป็น แก่นเรื่อง เอาไว้ แสดงความจริงแท้แบบดั้งเดิม สร้างความศิวิไลซ์ในอีกแนวทางหนึ่งนั่นเอง ด้วยระบบคิดและจุดยืนแบบสงฆ์นิกายธรรมยุติจึงทำให้เน้นยกย่องความเพียรในการสละชีวิตทางโลกย์ของพระมหาชนกอย่างมากมายเดิมพระมหาชนกจึงเป็นงานสำคัญทางพุทธศาสนา หลวงวิจิตรวาทการได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างนิยามใหม่ให้พระมหาชนกและชาดกเรื่องอื่นอีก 9 เรื่อง เริ่มที่จะมีรสทางวรรณคดี นำเสนอต่อสาธารณชนวงกว้าง ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะเชื้อพระวงศ์ และโอกาสในการจัดพิมพ์ก็เปลี่ยนมาขึ้นกับตลาดในระบบทุนนิยมการพิมพ์เป็นสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะวาระสำคัญเนื่องในการเฉลิมวันพระราชสมภพ การเสนอเครื่องมือในการอธิบายให้ความหมายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับ วรรณคดีชาดกฉบับหลวงวิจิตรวาทการ โดยเครื่องมือที่ว่านั้นได้แก่ สิ่งที่หลวงวิจิตรวาทการเรียกว่า หลักวิชา โดยเฉพาะวิชาความรู้ทางประวัติศาสตร์ สำหรับชี้ให้เห็นคุณค่าของชาดกในฐานะวรรณคดีที่ให้ความรู้ กรณีหลวงวิจิตรวาทการจึงถือว่าเป็นการสร้างคำอธิบายแทรกลงในโครงเรื่องเดิม ไม่ได้กระทำการปรับเปลี่ยนอย่างเป็นกระบวนการในหลายด้านประกอบกันถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่า ชำระ แต่กรณีหลวงวิจิตรวาทการก็มีความสำคัญทำให้เกิดหลักหมายของการกำหนดนิยาม ความเป็นชาดก จากนิทานเรื่องเล่าอันศักดิ์สิทธิ์ สู่การเป็นวรรณคดีที่เสนอต่อสาธารณะเป็นสำคัญต่อมาจึงได้เกิดการชำระ พระมหาชนก ขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากภายหลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา เกิดปัญหาใหม่ที่กระทบต่อสถานะ ความเป็นกษัตริย์ ในโลกสมัยใหม่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย สถานะใหม่ที่ปรากฏขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 2490 ก็เป็นที่รับรู้ว่า ไม่ใช่จะได้มาด้วยเพียงเพราะทรงมีสิทธิทางสายพระโลหิตเท่านั้น แต่ด้วย แก่นเรื่อง ในพระมหาชนกที่ชำระขึ้นใหม่นี้มีอะไรที่สอดคล้องกับกระบวนการสร้างความเป็น กษัตริย์ทางโลกย์ ในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่า พระมหาชนกฉบับพระราชนิพนธ์ เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปบางประการในกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในระยะก่อนทศวรรษ 2520 นั่นเอง ด้วยแนวคิดมนุษย์นิยม มหาบุรุษนิยม และกษัตริย์นิยมแบบใหม่ พระมหาชนกฉบับพระราชนิพนธ์จึงไม่ได้เสด็จออกผนวช แต่ทรงเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติสืบมา ด้วยเหตุที่ว่าในเมื่อราษฎรชาวเมืองยังคง จาริกในโมหภูมิ จึงจำเป็นต้องคอยสั่งสอนและปกครองอยู่ต่อไปการสร้างความเป็นการเมืองแก่ พระมหาชนก ในกรณีสนธิและกลุ่มพันธมิตร นอกจากจะขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงของยุคสมัยและหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังขัดแย้งกับความเปลี่ยนแปลงภายในตัวบทของวรรณกรรมว่าด้วย พระมหาชนก เองด้วย ความขัดแย้งทั้งสามด้านในเวลาเดียวกันเช่นนี้มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนระบบคิดว่าด้วย ความเป็นกษัตริย์ ที่ถูกขยายมาจากโครงเรื่องในพระมหาชนกอยู่โดยนัย เพียงแต่ข้อจำกัดของฉบับพันธมิตร คือ ไม่ได้กระทำขึ้นอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร จึงขาดความสมบูรณ์ในกระบวนการชำระไปโดยปริยาย แต่ก็ถือได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนโครงเรื่องและความหมายของตัวบทเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อนิยามความเป็น กษัตริย์ทางโลกย์ ในยุคสมัยใหม่ไปในขณะเดียวกันด้วยระบบคิดและอัตลักษณ์ที่มีการนำเสนอผ่านเรื่อง พระมหาชนก ไม่ใช่ระบบคิดและอัตลักษณ์ตามแบบฉบับที่เคยมีมาในยุคจารีต แม้จะอ้างเป็นเรื่องเดียวกับ พระมหาชนก ฉบับที่มีมาแต่กาลก่อน แต่หากทำการศึกษาพิจารณาเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบแล้ว จะพบว่าความแตกต่างระหว่างฉบับพระราชนิพนธ์กับฉบับอื่น ๆ ที่มาก่อนหน้านั้น มีมากเสียจนไม่อาจถือได้ว่าเป็นฉบับที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาแต่ประการใด บทบาทความเป็น กษัตริย์ทางโลกย์ จะช่วยตอบโจทก์ให้เกิดความยอมรับได้กว้างขวางกว่าความเป็น กษัตริย์ทางจิตวิญญาณ ตามแบบฉบับของยุคจารีต สิ่งนี้กลายเป็นศูนย์กลาง ความเป็นไทย ที่มีคุณูปการอย่างสูงในการสร้างมาตรฐานทางศีลธรรมที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดูน่าเชื่อถือ สูงส่ง ควรค่าแก่การถวายความจงรักภักดี มากกว่าสถาบันทางการเมืองอื่น ๆ ของรัฐไทยในระยะหลังมานี้หากจะถือว่า พระมหาชนก คือเรื่องที่นำเสนอภาพการต่อรองระหว่างยุคสมัย ก็จะไม่ใช่การต่อรองระหว่างยุคจารีตกับยุคสมัยใหม่ ความเพียรของ พระมหาชนก ตามฉบับพระราชนิพนธ์ เป็นความเพียรเพื่อความอยู่รอดและมีสถานภาพที่ดีในยุคสมัยใหม่ กล่าวคือเป็นการต่อรองกำหนดนิยามและสร้างเงื่อนไขระหว่าง ความเป็นสมัยใหม่ แบบหนึ่งกับ ความเป็นสมัยใหม่ อีกแบบหนึ่ง ประเด็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของ พระมหาชนก ไม่ใช่ปัญหาว่า จะทำอย่างไรจึงจะให้ยุคจารีตกลับคืนมา? สุวรรณภูมิในยุคจารีต (ตามฉบับชินวร) ย่อมไม่เป็นที่น่าปรารถนาอะไรเลย ถ้าเทียบกับราชสมบัติในมิถิลามหานครสมัยใหม่ (ตามฉบับพระราชนิพนธ์) แต่ความเป็นสมัยใหม่นั้นกลับมีนิยามพื้นฐานในประเด็นที่ว่า ราชสมบัติต้องไม่เป็นของใครผู้ใดผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งความหมายก็เท่ากับจะต้องไม่มี ราชสมบัติ อีกต่อไป ปัญหาจริง ๆ จึงมีอยู่ว่า ทำอย่างไรจึงจะให้ราชสมบัตินี้คงอยู่สืบไปในมิถิลามหานครสมัยใหม่ แต่มหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ คลื่นน้ำ และพายุก็มักจะแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หาก พระมหาชนก จะไม่อาจว่ายข้ามไปได้หรือไม่ก็ไม่พบนางมณีเมขลาหรือเทวดาองค์ใด มาช่วยให้พระองค์ได้ไปถึงฝั่ง ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเลยกล่าวโดยสรุปแล้ว แก่นเรื่องของ พระมหาชนก ตามฉบับพันธมิตรแตกต่างจากฉบับพระราชนิพนธ์อย่างสิ้นเชิง แต่มีลักษณะอ้างอิงสืบเนื่องเป็นอันเดียวกับฉบับพระราชนิพนธ์ ซึ่งที่จริงฉบับพระราชนิพนธ์ก็แตกต่างจากฉบับกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทั้งนี้ฉบับพระราชนิพนธ์ก็หาได้อ้างอิงว่าสืบเนื่องมาจากฉบับกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าทรงดัดแปลงพระไตรปิฎก ซึ่งความหมายก็คือทรงดัดแปลงฉบับกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ด้วย อย่างไรก็ตาม ทุกฉบับที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้กล่าวได้ว่า ต่างเสนอระบบคิดและจุดยืนของผู้ชำระในแต่ละช่วง เวลา เป็นสำคัญ เมื่อเวลาเปลี่ยนความคิดก็เปลี่ยนตาม ตัวบทหนึ่งซึ่งแสดงความคิดหนึ่งอาจมีความสำคัญในเวลาหนึ่ง แต่สำหรับอีกเวลาหนึ่งตัวบทและความคิดนั้นก็อาจไม่เหมาะสมหรือไม่มีความสำคัญอีกต่อไป การชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นประเด็นสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นฉบับเก่าดั้งเดิมเท่านั้น จึงจะถือเป็นของแท้ ตัวบทและการนำเสนอความคิดนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่มุ่งเฉพาะตัวบทและความคิดที่มีคุณประโยชน์ต่อการสร้างความชอบธรรมของชนชั้นนำเท่านั้น ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จึงนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า หากแต่เป็นการเล่าที่สัมพันธ์สอดคล้องกับเรื่องราวของผู้ชำระเองมากกว่าอื่นใด ใช่หรือไม่ ? ขอให้ดูกรณีการชำระพระราชพงศาวดารใน นิธิ เอียวศรีวงศ์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์บรรณกิจ 2523 ; อุบลศรี อรรถพันธุ์. การชำระพระราชพงศาวดารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2524 ; จีรพล เกตุจุมพล. การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขององค์ความรู้ของกลุ่มชนชั้นนำสยามรุ่นใหม่ พ.ศ.2367-2468 (ศึกษากรณีการชำระพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 1-4) (วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2539 ; และกรณีศิลาจารึกหลักที่ 1 ใน สุจิตต์ วงษ์เทศ (บก.). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม 2531 ; พิริยะ ไกรฤกษ์. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้ง 2532. จีรพล เกตุจุมพล. การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขององค์ความรู้ของกลุ่มชนชั้นนำสยามรุ่นใหม่ พ.ศ.2367-2468 น. 15. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระนิพนธ์คำนำ. ใน กาญจนบุรี: สหายการพิมพ์ 2539 (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธรมหาเถร ป.ธ. 9) วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2539) ไม่ระบุเลขหน้า. อนุสรณ์ อุณโณ. การวิเคราะห์ชาตกัฏฐกถาด้วยทฤษฎีมานุษยวิทยาสัญลักษณ์. (วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2539) น. 53-54. สืบพงศ์ ธรรมชาติ. (กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์ 2542) น. 14. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊ค 2548) น. 29. อนุสรณ์ อุณโณ. การวิเคราะห์ชาตกัฏฐกถาด้วยทฤษฎีมานุษยวิทยาสัญลักษณ์ น. 16 เรื่องเดียวกัน น. 17. (กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์ 2530) น. 267. รุ่งวิทย์ สุวรรณอภิชน. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สร้อยทอง 2539) น. 21. กรมหลวงวงศาธิราชสนิท. (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร 2548) น. 321. ทรงวิทย์ แก้วศรี. พระไตรปิฎกฉบับหลวง. : (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2535) น. 75-76. เรื่องเดียวกัน น. 76. เรื่องเดียวกัน น. 76-77. คำปรารภของสมเด็จพระพนรัต วัดเบญจมบพิตร ประธานกรรมการแปลพระไตรปิฎก วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ใน เล่มที่ 28. กรุงเทพฯ: กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ 2514 (พิมพ์ในปีฉลองรัชดาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พุทธศักราช 2514) น. 9-16 ; กรมการศาสนา. (กรุงเทพ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2539) น. (2)- (3).การศึกษาการแพร่กระจายของมหาเวสสันดรชาดกในทางวิชาการนั้นขอให้ดู นิธิ เอียวศรีวงศ์. อันเนื่องมาจากมหาชาติเมืองเพชร. ใน : (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์ 2543) น. 363-401 ; สมหมาย เปรมจิตต์. เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง 2544. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร 2511) น. 71-75. ธนิต อยู่โพธิ์. กรุงเทพฯ: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 2524 (พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานทอดผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดมหรรณพาราม กรุงเทพมหานคร วันที่ 29 ตุลาคม พุทธศักราช 2524) น. 27 ; สมบัติ จันทรวงศ์. มหาชาติคำหลวง: ความหมายทางการเมือง. ใน (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คบไฟ 2547) น. 284 290-291. เกษม บุญศรี. กรุงเทพฯ: ไม่ระบุโรงพิมพ์ 2512 (พิมพ์เป็นธรรมพลีในงานฌาปนกิจศพ นายอุปถัมภ์ สันติเวชชกุล วัดธาตุทอง พระโขนง พระนคร วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2512) น. 153-158. ธวัช ปุณโณทก. (กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์ 2525) น. 188-189 221 ; จารุวรรณ ธรรมวัตร. (มหาสารคาม: สาขาวิชาไทยศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2539) น. 86-89 133. กรมการศาสนา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร 2503 (พิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพนางเกื้อ หุตะสิงห์ วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2503) น. (1)-(4). ผู้เขียนวิเคราะห์งานศึกษาประเด็นนี้อย่างละเอียดใน กำพล จำปาพันธ์. ข่าเจือง: กบฏผู้มีบุญในพระราชอาณาเขตสยาม พ.ศ.2415-2436. (วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2552) บทที่ 1. นิธิ เอียวศรีวงศ์. พระปฐมสมโพธิกถากับความเคลื่อนไหวทางศาสนาในต้นรัตนโกสินทร์. ใน : (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์ 2543) น. 449-504. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระบรมราชาธิบายเรื่องนิบาตชาดก. ใน พระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธรโร). (ผู้แปล). กรุงเทพฯ: จรัสศิลป์การพิมพ์ 2511 (พิมพ์เนื่องในงานฌาปนกิจศพนางซุ้ย ศิริมงคล วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2511) น. 5-7. เรื่องเดียวกัน น. 14-16 เส้นใต้ขีดโดยผู้อ้าง. ดูรายละเอียดประเด็นปัญหานี้ใน ทวีศักดิ์ เผือกสม. การปรับตัวทางความรู้ ความจริง และอำนาจของชนชั้นนำสยาม พ.ศ. 2325-2411. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2540. ลำดับการพิมพ์ทศชาติชาดกของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช มีดังนี้ ; พ.ศ. 2470 พิมพ์เตมิยชาดก พ.ศ. 2471 พิมพ์มหาชนกชาดก พ.ศ. 2472 พิมพ์สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสธชาดก พ.ศ. 2473 พิมพ์ภูริทัตตนาคราชชาดก พ.ศ. 2474 พิมพ์จันทกุมารชาดก พ.ศ. 2475 พิมพ์พรหมนารทชาดก พ.ศ. 2476 พิมพ์วิธุรชาดก พ.ศ. 2477 พิมพ์พระเวสสันดรชาดก และรวมพิมพ์ทั้งสิบเรื่องในคราวเดียวกันครั้งแรกใน พ.ศ. 2481 โดยใช้ชื่อเล่มว่า มหานิบาตชาดก ทศชาติฉบับชินวร จำนวน 2 เล่มจบ โดยเล่ม 1 ประกอบด้วยเรื่องเตมิยชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก และมโหสธชาดก เล่ม 2 ประกอบด้วย ภูริทัตตนาคราชชาดก จันทกุมารชาดก พรหมนารทชาดก วิธุรชาดก และพระเวสสันดรชาดก ในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนใช้ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2432 ความแตกต่างในการเขียนระหว่างคำเรียก เตมิยชาดก กับ เตมิกชาดก และ มโหสธชาดก กับ มโหสถชาดก สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการแปลถ่ายทอดจากอรรถกถาโดยพยายามคงรูปคำตามเดิมเอาไว้ จึงเห็นได้ว่า คำแรก (เช่น เตมิยชาดก และ มโหสธชาดก ) เป็นคำที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงใช้ในทศชาติฉบับของพระองค์ ส่วนคำหลัง (เช่น เตมิกชาดก และ มโหสถชาดก ) เป็นศัพท์ที่นิยมใช้กันในสมัยหลังมานี้ ทั้งนี้พิจารณา บริบทการใช้ ของทศชาติฉบับก่อน ๆ ยังน่าสนใจในแง่ที่ว่า เนื่องจากมีขึ้นเพื่อใช้เทศน์มากกว่าใช้อ่าน รูปแบบการถ่ายทอดเนื้อหาจึงเน้นการพูดกับการฟัง ปากกับหูจึงทำงานเป็นด้านหลักในกระบวนการถ่ายทอด ไม่ใช่เน้นการอ่านทางตาเป็นด้านหลักดังปัจจุบัน รูป คำ จึงมีขึ้นสำหรับใช้แทนเสียงพูดหรือแทนคำพูดที่สื่อสารผ่านปากและหู ไม่ใช่รูปคำที่ใช้สำหรับแทนการเขียน ฉะนั้นการเขียนต่างกันในสมัยก่อนจึงไม่เป็นปัญหาถ้าเสียงของคำเหมือนกันและเข้าใจความหมายของคำตรงกัน แต่ในกรอบของโลกยุคสมัยใหม่ที่เน้นสื่อสารกันด้วยตาและภาษาเขียน การเขียนคำต่างกันแม้คนเขียนจะหมายถึงคำเดียวกันก็อาจเป็นปัญหาในการสื่อความหมายได้ง่าย ๆ หน่วยงานอำนาจนิยมสุดขั้วอย่างกระทรวงวัฒนธรรมและราชบัณฑิตยสถาน จึงมีบทบาทสำคัญที่จะกำกับให้การเขียนสอดคล้องตรงกันไปเสียหมด แต่ในทางประวัติศาสตร์นั้นคำมีประวัติศาสตร์ของตัวมันเองเสมอ คำที่เขียนเหมือนกันอาจมีความหมายต่างกัน เมื่อเวลาเปลี่ยนไประยะหนึ่ง บางคำเขียนต่างกัน ความหมายอาจเหมือนกันก็ได้ นี่คือวิธีการพื้นฐานที่ผู้เขียนใช้ในการมองกรณี พระมหาชนก ในที่นี้ด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช. กรุงเทพฯ: กองบัญชาการทหารสูงสุด เหล่าทัพ และกรมตำรวจ 2532 (พิมพ์เนื่องในการออกพระเมรุพระศพสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2532) น. 1. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. ทศบารมีในพระพุทธศาสนาเถรวาท. (วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2524) น. 139. พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช. น. 1. เรื่องเดียวกัน น. 2 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. เรื่องเดียวกัน น. 41. เรื่องเดียวกัน น. 43. เรื่องเดียวกัน น. 58 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. เรื่องเดียวกัน น. 59. เรื่องเดียวกัน น. 67. เรื่องเดียวกัน น. 71. เรื่องเดียวกัน น. 71-73 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. เรื่องเดียวกัน น. 78. เรื่องเดียวกัน น. 79. เรื่องเดียวกัน น. 80. เรื่องเดียวกัน ตรงนี้คงต้องขออภัยนักสตรีนิยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเพราะตัวบทในเอกสารว่าไว้เช่นนั้นเท่านั้น แต่เพราะตระหนักว่าความปิติสุขจากการบวชของพระมหาชนกในที่นั้น เป็นทุกขเวทนาอย่างสาหัสของพระนางสีวลี ความเพียรของพระนางดังที่เอกสารพรรณนามีค่าควรแก่การยกย่องไม่น้อยไปกว่าความเพียรของพระมหาชนก ในที่นี้ผู้เขียนไม่มีเจตนาจะผลิตซ้ำมุมมองอคติแบบชายเป็นใหญ่ที่ปรากฏให้เห็นในทศชาติแต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้เขียนก็เห็นด้วยว่าการศึกษา ประวัติศาสตร์ชาดก ก็เช่นเดียวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ด้านอื่น ๆ ตรงที่ยังการมองแบบ สตรีเป็นศูนย์กลาง ยังมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็นอยู่มาก เรื่องเดียวกัน น. 81. เรื่องเดียวกัน น. 82. อย่างเช่น มหามกุฎราชวิทยาลัย. กรุงเทพฯ: มหามกุฎราชวิทยาลัย 2525 (พิมพ์เนื่องในโอกาสครบ 200 ปีแห่งพระราชวงศ์จักรีและกรุงรัตนโกสินทร์) และ กรมการศาสนา. พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค 2 ใน น. 202-228. อาจารย์ฉลอง สุนทราวาณิชย์ ได้กรุณาชี้แนะผู้เขียนว่า ในบรรดาปัญญาชนฝ่ายฆราวาสที่มีผลงานประพันธ์ทางพุทธศาสนาในช่วงทศวรรษ 2470-2490 หลวงวิจิตรวาทการนับเป็นผู้หนึ่งที่หากใครสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็จำเป็น ต้องอ่าน อีกทั้งหลวงวิจิตรวาทการยังเป็น ดาวเด่น ในหมู่สงฆ์ หลายวัดทั้งในเมืองและชนบทต่างต้องมีงานของหลวงวิจิตรวาทการเก็บไว้ในตู้สำหรับเป็นตำราอ้างอิงศึกษา แม้ไม่เห็นด้วยทั้งหมดเสียทีเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้เขียนหายข้องใจในประเด็นที่ว่า เหตุใดวัดเก่าแก่หลายวัดตามบ้านนอกจึงมักมีผลงานเก่า ๆ ของหลวงวิจิตรวาทการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ขณะที่หลายเล่มปัจจุบันจัดอยู่ในชั้น หายาก ของหอสมุดในกรุงเทพฯ ไปแล้ว แต่จะยังคงอ่านกันอยู่มากน้อยเพียงใดนั้น ก็สุดปัญญาที่จะทราบได้ หลวงวิจิตรวาทการ. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คลังวิทยา 2499) คำนำไม่ระบุเลขหน้า. เรื่องเดียวกัน. เรื่องเดียวกัน น. 20. เรื่องเดียวกัน น. 27-28. เรื่องเดียวกัน น. 21. เรื่องเดียวกัน. หลวงวิจิตรวาทการ. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ส.ธรรมภักดี 2494) น. ก.-ข. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. (กรุงเทพฯ:อัมรินทร์พริ้นติ้ง 2542) น. (6). ข่าวในพระราชสำนัก. เล่ม 113 ตอนที่ 30 ง. (วันที่ 11 เมษายน พุทธศักราช 2539) น. 108 ควรกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า เวลาเสด็จลงจากศาลาดุสิตาลัย ที่หลักฐานนี้ระบุ 18.30 น. นั้นมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย หลักฐานจากแหล่งอื่น เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน ระบุตรงกันว่า เป็นเวลา 17.30 น. ผู้เขียนจึงรับเชื่อว่าเป็นเวลาหลังนี้มากกว่า ส่วนสาเหตุที่หลักฐานราชกิจจานุเบกษาคลาดเคลื่อนไปนั้น คงเป็นเพราะการลงข่าวย้อนหลังไปเป็นเวลา 14 วัน (เหตุการณ์เกิดในวันที่ 28 มีนาคม แต่ราชกิจจานุเบกษาไปลงข่าวในวันที่ 11 เมษายน) ต่างกับหนังสือพิมพ์รายวันซึ่งลงข่าวย้อนหลังไปเพียงวันเดียว (เหตุเกิดวันที่ 28 มีนาคม ลงข่าววันที่ 29 มีนาคม ) แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เข้าเฝ้าตามที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาฉบับนี้ ตรวจสอบแล้วก็พบว่า แม่นยำทีเดียว. ดูรูป ประวัติ และภาพเขียนของศิลปินทั้ง 8 คนนี้ได้จากภาคผนวกใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. (กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้ง 2539) น. 154-162.ไม่ใช่ครั้งแรกแต่อย่างใดที่ทรงมีบทบาทในการสร้างเหรียญลักษณะนี้ด้วยพระองค์เอง จากงานศึกษาเกี่ยวกับการจัดทำโครงการพระราชดำริในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่โดยชนิดา ชิตบัณฑิตย์ ได้เสนอข้อมูลว่าก่อนหน้านี้ในยุคที่รัฐไทยเผชิญปัญหาความมั่นคงจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่อง สมเด็จจิตรลดา หรือ พระกำลังแผ่นดิน ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับพระนาม ด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่าง ๆ จากทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสต่าง ๆ และเส้นพระเจ้า (พระเกศา) ของพระองค์เอง เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นเครื่องยึดแล้ว จึงทรงกดพระแต่ละองค์ลงในแบบพิมพ์ โดยไม่ได้เอาเข้าเตาหรือใช้ความร้อนชนิดใด มีนายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ปฏิมากรราชสำนักประจำ (ต่อมาได้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาประติมากรรมและจิตรกรรม พ.ศ. 2529) เป็นผู้แกะถวาย เพื่อพระราชทานเป็นการส่วนพระองค์แก่ข้าราชบริพาร และพสกนิกรผู้ประกอบคุณงามความดีแก่แผ่นดิน โดยเฉพาะตำรวจทหารและพลเรือน (พตท.) ที่ปฏิบัติการอยู่ในสถานการณ์สู้รบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มสร้างพระเครื่องราว พ.ศ. 2508 และหยุดสร้างราว พ.ศ. 2512 รวมจำนวนไม่เกิน 3000 องค์ แต่ก็น่าสนใจในแง่ที่ว่าเหรียญพระมหาชนกที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2539 ไม่ได้ถูกมองเป็นพระเครื่องของในหลวง และการสร้างพระเครื่องของในหลวงถูกมองยึดโยงไว้กับความทรงจำในสถานการณ์สู้รบช่วงระหว่างทศวรรษ 2510-2520 ดูรายละเอียดจาก ชนิดา ชิตบัณฑิตย์. : (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2550) บทที่ 3. รุ่งวิทย์ สุวรรณอภิชน. น. 93. สำหรับการอ้างอิงในที่นี้ผู้เขียนใช้ฉบับการ์ตูนภาพขาวดำเป็นหลัก นายชูเกียรติ อุทกพันธุ์ - ผู้อ้าง. นายสมรรถ เรืองณรงค์ - ผู้อ้าง. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. กรุงเทพฯ: สำนักราชเลขาธิการ 2540 (พิมพ์เนื่องในงานพระราชพิธีฉัตรมงคล วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2540) น. 231-234 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. ปีที่ 19 ฉบับที่ 6595 (วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2539) น. 15 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. น. (5) เรื่องเดียวกัน. เรื่องเดียวกัน ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช. น. 50. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. น. 68-71 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. เรื่องเดียวกัน น. 93- 94 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช. น. 58 จะเห็นได้ว่าข้อความข้างต้นเป็นข้อความที่ถูกตัดออกไปในฉบับพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. น. 96 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. เรื่องเดียวกัน น. 102. เรื่องเดียวกัน น. 95 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. เรื่องเดียวกัน น. 103. เรื่องเดียวกัน น. 105. เรื่องเดียวกัน น. 109 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. ภาพอยู่ในหน้า 46 47 56 57. ปีที่ 19 ฉบับที่ 6595 (วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2539) น. 15 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. น. 84. ดูคำปราศรัยฉบับเต็มได้จาก http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1002&mmsID=1002%2F1002%2D6300%2Ewma&program_id=18906 ถอดเทปจาก http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1002&mmsID=1002%2F1002%2D6300%2Ewma&program_id=18907 พระราชดำรัสวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2539 ใน น. 15. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. น. 49. | การชำระ พระมหาชนก ที่เกิดขึ้นในสังคมสยาม-ไทยในช่วงที่ผ่านมา ต่างมีผลทำให้ พระมหาชนก ไม่ได้เป็นการเล่าเรื่องอดีตชาติของพระพุทธเจ้าอีกต่อไป | การเมือง,วัฒนธรรม,การศึกษา | กำพล จำปาพันธ์,ประวัติศาสตร์,พระมหาชนก | https://prachatai.com/journal/2014/05/53151 |
ลุงปืนโหดยิงผัวเมียโรงงานมะพร้าวอัมพวา ตาย 1 สาหัส 1 ปมขัดแย้งที่ดิน | เพื่อนบ้านปืนโหดยิงผัวเมียเจ้าของโรงงานทำมะพร้าวขาวที่อัมพวา เมียตายผัวสาหัส ปมเหตุจากขัดแย้งเรื่องกล่าวหาว่าโรงงานมะพร้าวรุกล้ำที่ดิน ก่อนจะหลบหนีไป ตร.เร่งวิทยุสกัดจับตัวแต่ยังคว้าน้ำเหลวเมื่อช่วงบ่าย วันที่ 12 พ.ค.63 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีเหตุยิงกันที่ หน้าบ้านเลขที่ 128 หมู่ 4 ต.บางนางลี่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูน 2 ชั้น ด้านข้างทำเป็นโรงงานปอกมะพร้าวขาวและรับซื้อน้ำมะพร้าว มีล้อมรั้วมิดชิด หน้าบ้านพบเพียงรอยเลือดกองเป็นหย่อมๆ มี พ.ต.อ.เผด็จ ภู่บุบผากาญจน ผกก.สภ.อัมพวา พ.ต.ท.เกรียติศักดิ์ ทองลือ รอง ผกก.ป. ชุดสืบสวน ภวจ.สมุทรสงคราม และชุดสืบสวนภาค 7 ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน ภวจ.สมุทรสงคราม เข้าตรวจที่เกิดเหตุร.ต.อ.พิษิณ หนูพินิตย์ รอง สว.สอบสวน สภ.อัมพวา ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รพ.แม่กลองมหาชัย (เอกชน) ว่ามีผู้ถูกยิงด้วยอาวุธปืน 2 ราย เป็นสามี ภรรยา อาการสาหัส ชื่อนางวิสา ประดิษฐวัฒนา อายุ 41 ปี เป็นเจ้าของกิจการทำมะพร้าวขาว รับซื้อน้ำมะพร้าวส่งโรงงานในกรุงเทพฯ ถูกกระสุนปืนเข้าที่ใต้ราวนมด้านซ้าย 1 นัด บริเวณหน้าท้องด้านขวา 1 นัด หัวกระสุนฝังใน เสียเลือดมาก แพทย์พยายามยื้อชีวิตจนสุดความสามารถและได้เสียชีวิตลง ส่วนสามีชื่อ นายดนุพล บุตรักษ์ อายุ 38 ปี ถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณหน้าท้อง 2 นัด หัวกระสุนฝังใน แพทย์รีบนำเข้าห้องผ่าตัดทันทีนายวันชนะ บุตรักษ์ อายุ 21 ปี หลานชายนายดนุพลผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า บ้านที่เกิดเหตุอยู่ติดกัน ตนเองได้ยินเสียงปืนหลายนัด รีบวิ่งมาดูพบน้าชายถูกยิงนอนจมกองเลือด รีบวิ่งให้คนงานที่กำลังปอกมะพร้าวขาวช่วยกันนำร่างขึ้นรถกระบะนำส่งโรงพยาบาลแม่กลองมหาชัยที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อยื้อชีวิตด้าน นายสมฤทธิ์ วงษ์สวัสดิ์ กำนันตำบลบางนางลี่ กล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสงคราม ได้มาทำรังวัดที่ดิน เนื่องจากโรงงานมะพร้าวขาวมีข้อพิพาทกับ นายทองสุข ประทุมรักษ์ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125/2 มีอาชีพขายส่งถุงพาสติกและน้ำตาลปี๊บ ที่บ้านอยู่ใกล้กัน เรื่องทำรั้วรุกล้ำที่ดินกันในบริเวณหลังที่เกิดเหตุ โดยตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลังจากการรังวัดพบว่า ไม่มีการรุกล้ำที่ดิน แต่หลังคาโรงทำมะพร้าวขาวล้ำเข้ามาในที่ของคู่กรณี โดยนางวิสาเจ้าของบอกว่าเย็นนี้จะรื้อออกให้ ก็ตกลงกันด้วยดี แต่ไม่ทราบด้วยเรื่องใด ทำไมจึงต้องยิงกันแบบนี้ขณะที่ น.ส.ณิชาภัตร แพทย์จะเกร็ง อายุ 18 ปี ลูกสาวของนางวิสา ผู้ตาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า สาเหตุข้อพิพาทกับเพื่อนบ้านมาจาก นายทองสุข กล่าวหาว่า มารดาทำรั้วรุกล้ำที่ของเขา เมื่อเจ้าหน้าที่มาทำรังวัด แม่บอกขอตัดต้นไม้ที่เอนเข้ามาใกล้หลังคาโรงงานมะพร้าวขาว แต่นายทองสุขไม่ยอม ขณะที่ยืนคุยกับแม่หน้าบ้าน นายทองสุขเดินมาจากบ้านใช้ปืนลูกโม่ยิงใส่นายดนุพล บุตรักษ์พ่อบุญธรรมก่อน แล้วหันมายิงแม่ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปทางบ้านอยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตร แต่ทางนั้นเป็นทางตัน ไม่รู้ว่าหนีไปไหนต่อทั้งนี้ จนท.จะนำศพ นางวิสา ประดิษฐวัฒนา ส่งสถาบันนิติเวชเพื่อชันสูตรหาสาเหตุการตาย และจะติดตามตัวคนร้ายมือยิงที่หลบหนีมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป. | เพื่อนบ้านปืนโหดยิงผัวเมียเจ้าของโรงงานทำมะพร้าวขาวที่อัมพวา เมียตายผัวสาหัส ปมเหตุจากขัดแย้งเรื่องกล่าวหาว่าโรงงานมะพร้าวรุกล้ำที่ดิน ก่อนจะหลบหนีไป ตร.เร่งวิทยุสกัดจับตัวแต่ยังคว้าน้ำเหลว | ข่าว,อาชญากรรม | ยิงกันตาย,ยิงผัวเมีย,ยิงเมียตายผัวสาหัส,ยิงเจ้าของโรงงานมะพร้าว,ขัดแย้งเรื่องที่ดิน,สภ.อัมพวา,สมุทรสงคราม,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/crime/1842576 |
อิตาลี ชนะ เบลเยียม 2-0 ประเดิมศึกฟุตบอลยูโร 2016 | วันนี้ (14 มิ.ย.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 2016 รอบสุดท้าย เมื่อคืนนี้ ไฮไลท์อยู่ที่การแข่งขันในกลุ่มอี ระหว่าง อิตาลี อดีตแชมป์ยูโร 1 สมัย เจอกับ เบลเยียม ทีมฟอร์มแรงที่กำลังรั้งอันดับ 2 ในตารางของฟีฟ่าครึ่งแรก อิตาลี เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำไปก่อน จาก เอ็มมานูเอเล จัคเครินี นาทีที่ 32 หลังจากนั้น เบลเยียม เดินเกมรุกเต็มสูบ เพื่อพยายามตีเสมอ แต่ทำไม่สำเร็จ ก่อนที่ อิตาลี จะมาได้ประตูย้ำชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจาก กราเซียโน เปลเล ช่วยให้ อิตาลี เอาชนะ เบลเยียม ไป 2-0 เก็บ 3 คะแนนเต็ม ขยับขึ้นไปรั้งจ่าฝูง หลังจบเกมนัดแรกส่วนอีกคู่ในกลุ่มอี เป็นการพบกันของ 2 ทีมที่ได้เข้ามาเล่น ยูโร รอบสุดท้าย จากการเพลย์ออฟ ระหว่าง ไอร์แลนด์ กับ สวีเดน นาทีที่ 48 เป็นฝั่งไอร์แลนด์ ที่ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน จาก เวสลีย์ ฮูลาฮาน แต่ในนาที 71 สวีเดน มาตามตีเสมอได้สำเร็จจากการทำเข้าประตูตัวเองของ เคียแรน คลาร์ก หลังจากนั้นไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม ไอร์แลนด์ กับ สวีเดน เสมอกันไป 1-1 แบ่งกันไปทีมละ 1 แต้มขณะที่กลุ่มดี ระหว่าง สเปน ที่กำลังลุ้นคว้าแชมป์ยูโร สมัยที่ 3 ติดต่อกัน พบกับ สาธารณรัฐเช็ก ผลปรากฏว่า สเปน เป็นฝ่ายเฉือนชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 โดยได้ประตูชัยจากการโหม่งของ เกราร์ด ปิเก้ ในนาทีที่ 87 ของการแข่งขัน ช่วยให้ สเปน เก็บ 3 แต้ม ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงร่วมกับ โครเอเชีย ที่เอาชนะ ตุรกี ด้วยสกอร์เดียวกันไปก่อนหน้านี้ | อิตาลี ประเดิมศึกฟุตบอลยูโร 2016 รอบสุดท้าย ด้วย 3 คะแนน หลังเอาชนะ เบลเยียม ทีมอันดับ 2 ของโลก ไป 2-0 | กีฬา | ThaiPBSnews,ไทยพีบีเอส,ฟุตบอลยูโร2016,ยูโร2016,euro2016,ฟุตบอลยูโร,อิตาลี,เบลเยี่ยม,สเปน,เช็ก | https://news.thaipbs.or.th/content/253106 |
โจรปีนกุฏิฉกมือถือในวัดกลางเมืองอุดรฯ พระให้พร ระวังหูหนวกตาบอด | เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ร.ต.อ.สมัย ชัยบัวลา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งจากศูนย์วิทยุร่อมโพธิ์ทอง ว่ามีเหตุคนร้ายงัดกุฏิพระ ภายในวัดไชยาราม ม.5 บ้านหนองสวรรค์ ต.เชียงพิณ อ.เมืองอุดรธานี จึงออกไปตรวจสอบพร้อมด้วยตำรวจสืบสวน และ ร.ต.ท.สมศักดิ์ บุญเต็ม รอง สวป.สภ.เมืองอุดรธานี ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าตำรวจชุมชนตำบลเชียงพิณ,จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบ พระทวี วายาโม อายุ 51 ปี พระลูกวัด ผู้เสียหาย นำตำรวจเข้าตรวจสอบ ภายในกุฏิสร้างด้วยไม้ยกพื้นสูง พบร่องรอยคนร้ายใช้ราวบันไดปีนเข้าทางหน้าต่างเข้าไปขโมยโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ยี่ห้อซัมซุงแกแล็กซี่ สีขาว ราคา 7,900 บาท ภายในห้อง แต่ทรัพย์สินอย่างอื่น เช่น สายชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ ซองใส่โทรศัพท์สีชมพู และพระเครื่องวางอยู่ในพาน จำนวนหลายร้อยองค์คนร้ายไม่แตะแม้แต่ชิ้นเดียว,พระทวี กล่าวว่า เดิมทีอาตมาเป็นชาว จ.สุโขทัย บวชมา 4 พรรษา และเดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ 4 เดือน ไม่เคยมีทรัพย์สินหาย กระทั่งเช้าวันนี้เวลา 06.00 น. ออกเดินบิณฑบาต สังเกตเห็นชายหน้าตาดี อายุประมาณ 30-35 ปี จำนวน 2 คน ขับรถเก๋งสีดำ ยี่ห้อโตโยต้า ไม่ทราบรุ่นและหมายเลขทะเบียน จอดอยู่บริเวณหน้าวัด เมื่อออกมาจากรถทำทีส่องดูใต้ท้องรถ ซึ่งตนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อาจเป็นคนร้ายที่เข้ามาขโมยทรัพย์สินของอาตมาไป,ทั้งนี้ หลังจากอาตมาบิณฑบาตกลับมายังกุฏิ หลังจากฉันจังหัน หรือฉันเช้า ร่วมกับพระรูปอื่นที่ศาลา พบหน้าต่างกุฏิแง้มออก และทรัพย์สินดังกล่าวหายไป สอบถามลูกศิษย์วัดทราบว่าคนร้ายเป็นชาย จำนวน 2 คน เดินเข้าไปในกุฏิ แต่รองเจ้าอาวาสร้องถามว่ามาหาใคร คนร้ายตกใจรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้ตอบคำถาม จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาตรวจสอบ,หากนำโทรศัพท์มาคืนที่กุฏิ จะไม่เอาความ หากไม่นำมาคืนจะเป็นกรรมและถูกตำรวจจับดำเนินคดี โทรศัพท์เป็นสิ่งจำเป็นที่ไว้ติดต่อญาติโยม พ่อแม่ และพระต่างวัดที่อยู่ห่างไกล ท่านโจรขโมยของพระสงฆ์เอาไปขาย หรืออย่างไรก็ตามแต่ ให้ระวังเกิดชาติหน้า อาจจะหูหนวก ตาบอด ก็เป็นไปได้ เพราะเวรกรรมมีอยู่จริง ไม่ช้าก็เร็ว พระทวีกล่าว,ด้าน ร.ต.อ.สมัย กล่าวว่า หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว คนร้ายที่เข้ามาขโมยทรัพย์สินภายในวัด กำลังจะก่อเหตุที่กุฏิรองเจ้าอาวาสด้วย แต่ตกใจรีบหลบหนีออกไปจากวัดเสียก่อน เนื่องจากไม่ทราบว่ามีพระนอนอาพาธอยู่ในกุฏิ และคาดว่าคนร้ายเป็นคนต่างถิ่น และหลักฐานที่คนร้ายทิ้งเอาไว้ในที่เกิดเหตุคือ ลายนิ้วมือแฝงบนซองโทรศัพท์มือถือ จะนำไปให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ตรวจหาลายนิ้วมือแฝงและดีเอ็นเอของคนร้าย เพื่อไว้เป็นหลักฐานติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป. | โจรใจบาปปีนกุฏิฉกโทรศัพท์มือถือพระในวัดไชยาราม ระหว่างฉันเช้าในศาลา ขณะที่พระให้พรคุณโจร เวรกรรมมีจริงระวังหูจะหนวกตาจะบอด ตร.เมืองอุดรธานี คาดเป็นคนต่างถิ่นเร่งพิสูจน์ลายนิ้วมือคนร้ายเพื่อดำเนินคดี
| null | ฉกมือถือพระ,ขโมยของพระ,โจรบาปขโมยของพระสงฆ์,วัดไชยาราม,อุดรธานี,ข่าว,ทั่วไทย,ข่าวทั่วไทย,ไทยรัฐ,ไทยรัฐออนไลน์,ปีนกุฏิ,ยกเค้าพระ,ขโมยโทรศัพท์พระ,ขโมยมือถือพระ | https://www.thairath.co.th/content/660924 |
พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความเสียใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด | วันนี้ (12 ส.ค.2559) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ระบุถึงความคืบหน้ากรณีเหตุระเบิดหลายจุด บริเวณย่านท่องเที่ยวหลายแห่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บทุกคน และได้กำชับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพร้อมช่วยเหลือดูแลและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วสำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บ ทางรัฐบาลได้สั่งการให้ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลและอำนวยความสะดวกเรื่องการประสานงานกับครอบครัวและเรื่องการเดินทางภายในประเทศเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้การดำเนินการในทางคดีอาจเร็วเกินไปที่จะระบุว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ หรือใครอยู่เบื้องหลัง ต้องให้กระบวนการสืบสวนเป็นไปตามระบบและกลไกที่เป็นทางการก่อน โดยมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถนำตัวผู้ก่อเหตุมาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายได้พร้อมขอให้ประชาชนดำเนินชีวิตไปตามปกติ แต่อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังในบางพื้นที่อยู่บ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง จะเสริมมาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนขึ้นให้ตามเหมาะสมของสถานการณ์อย่างดีที่สุด รวมทั้งอยากขอความร่วมมือสื่อมวลชนได้ใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวสารให้อยู่ในจุดที่สมดุลเหมาะสม เพื่อไม่ไปเสริมให้บรรยากาศทั่วไปเป็นไปด้วยความตื่นตระหนก จนไปเข้าทางความต้องการของกลุ่มที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นการช่วยกันประคับประคองบรรยากาศของภาพรวมประเทศ | หัวหน้า คสช.เสียใจกรณีเหตุระเบิดหลายจุดมีผู้บาดเจ็บและสูญเสีย พร้อมขอประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ แต่ให้เพิ่มความระมัดระวังบางพื้นที่ | อาชญากรรม | พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา,ประยุทธ์,คสช.,ระเบิด,ThaiPBSnews,ไทยพีบีเอส,ThaiPBS,ข่าวไทยพีบีเอส,ระเบิดภาคใต้ | https://news.thaipbs.or.th/content/254852 |
จ่าเสริฐ มอบตัวแสดงความบริสุทธิ์ ปฏิเสธ ปล้นทองที่บิ๊กซีฯ | จากเหตุคดีคนร้ายอ้วนผอมใช้อาวุธปืนอาก้าเข้าชิงทรัพย์ร้านทองเยาวราชกรุงเทพ ในห้างบิ๊กซีสาขาระยอง ได้ทองรูปพรรณน้ำหนัก 370 บาท เงินสดอีก 230,000 บาท เหตุเกิดเวลา 20.00 น. วันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยคนร้ายใช้รถยนต์มาสด้า 4 ประตู ขับหลบหนีไปนั้น ,วันที่ 21 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า ช่วงตีหนึ่งที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบสวนภาค 2 ได้นำตัวนายประเสริฐ รักนาม หรือจ่าเสริฐ ที่เข้ามอบตัวแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด พร้อมแสดงตนเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า 4 ประตู รุ่นทริบิวต์ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน กท 4358 กาญจนบุรี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปรับตัวจาก อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น พร้อมรถยนต์มาที่ จ.ระยอง,จากนั้น พล.ต.ต.เชษฐา โกมลวรรธนะ รอง ผบช.ภ.2 ได้เดินทางมาตรวจหาหลักฐานร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดระยอง ตรวจเก็บลายนิ้วมือเก็บสิ่งของที่มีดีเอ็นเอที่อยู่ในรถ นำสิ่งของในรถออกมาทั้งหมด มีเสื้อเชิ้ต 9 ตัว ที่แขวนอยู่ ขวดน้ำดื่ม 8-9 ขวด ไขควง 1 อัน ผ้าเช็ดรถ 1 ผืน ซึ่งของทั้งหมด นายประเสริฐ บอกกับตำรวจว่ามีของที่ไม่ใช่ของตนแปลกปลอมมาคือ ไขควง กับผ้าเช็ดรถ,ขณะที่ชุดสืบสวนจังหวัดระยอง ได้นำตัวนายประเสริฐเข้าสอบปากคำตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยไม่ให้ผู้สื่อข่าวถ่ายรูปทำข่าว จนบ่ายก็ยังไม่นำตัวนายประเสริฐออกมาแต่อย่างใด ด้านเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ตรวจพบว่าที่พวงมาลัยรถมีขนของผ้าติดอยู่ คาดว่าคนร้ายทำความสะอาดรถ ขณะเดียวกันช่วงเช้าวันที่ 21 พ.ค. ร.ต.อ.กวีวุฒิ บุญเรือง พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดระยองกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนแล้ว ,ด้าน พ.ต.ท.หญิง ปาริฉัตร นักวิทยาศาสตร์ (สบ.3) พิสูจน์หลักฐานจังหวัดระยอง ได้ตรวจเก็บดีเอ็นเอของ น.ส.ดวงกมล เงาใส อายุ 32 ปี กับ น.ส.วาสนา ศรีสมดี พนักงานขายของร้านทองเยาวราชกรุงเทพ สาขาบิ๊กซี ระยอง ที่เกิดเหตุ โดยเก็บจากน้ำลาย เพื่อตรวจสอบด้วย,ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมด้วย พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้เดินทางมาที่ห้องประชุมตำรวจภูธรระยองเพื่อประชุมติดตามเร่งรัดคดี ร่วมกับ พล.ต.ต.ไตรศูล เนียมทรัพย์ ผบก.ภ.จว.ระยอง และชุดสืบสวนภาค 2 โดยบอกว่าวันนี้จะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานก่อน,ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังไปตรวจค้นที่บ้านพักของนายปรเมศฐ์ อัครโภคินนุกูล หรือเค เขาน้อย ผู้ต้องหาอีกคน ในพื้นที่อำเภอแกลง และอำเภอเขาชะเมา เพื่อหาหลักฐานในคดีด้วย. | หิ้ว จ่าเสริฐ ผู้ต้องหา ร่วม เค เขาน้อย ควงอาก้าปล้นทอง 370 บาท ในห้างบิ๊กซีระยอง จากขอนแก่นปิดห้องสอบเครียด หลังขอมอบตัวแสดงความบริสุทธิ์ ยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง พฐ.พบหลักฐานมีการเช็ดรถ | ข่าว,อาชญากรรม | ปล้นทอง,ชิงทอง,โจรอ้วนผอม,อาก้าปล้นทอง,จ่าเสริฐ,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/crime/1287554 |
สาวชะตาขาดขี่ จยย.ไถลชนเก๋ง ล้อทับหัวดับ หนุ่มคนขับช็อกร่ำไห้สะอื้น | เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 18 มี.ค. 2559 ร.ต.อ.สมเกียรติ นาเจริญ ร้อยเวร สภ.บางปู จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถเก๋งชนรถจักรยานยนต์ มีผู้เสียชีวิต บนถนนตัดใหม่พุทธรักษา ตรงข้ามซอยแพรกษา 13 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นถนนตัดใหม่อยู่ระหว่างก่อสร้างยังไม่เปิดใช้ พบร่าง น.ส.ภัทรณีย์ณุ ชุมจันทร์เฉลิม อายุ 44 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง นอนจมกองเลือดบนพื้นถนน สภาพใบหน้าบิดเบี้ยว และมีแผลถลอกตามร่างกายหลายแห่ง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพพยายามช่วยกันปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิต แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้,ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า คลิก สีฟ้า-ขาว ทะเบียน 2 กฎ 1454 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของผู้ตายล้มคว่ำอยู่ในสภาพพังยับตัวรถหักครึ่ง โดยหมวกกันน็อกที่ผู้ตายสวมใส่มาตกอยู่ในสภาพแตกกลางใบ ห่างออกไปราว 20 เมตร พบรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีดำ ทะเบียน กฉ 6720 ฉะเชิงเทรา จอดอยู่ในสภาพ ด้านหน้ารถพังยับเยิน สเกิร์ตหน้าหลุด บังโคลนหน้าสองข้างหลุด โดยนายพิเศษ รณภาพ อายุ 24 ปี เป็นคนขับ ยืนก้มหน้าร้องไห้อยู่ข้างรถ ส่วนศพผู้เสียชีวิตได้มอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธินำส่งชันสูตรสถาบันนิติเวช,จากการสอบถามนายพิเศษ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุได้ขับรถมารับเพื่อนที่หมู่บ้านเอื้ออาทร ตั้งอยู่ท้ายนิคมฯ บางปู เพื่อที่จะไปกินข้าวในย่านแพรกษา ขณะที่ขับรถเลี้ยวออกถนนพุทธรักษาได้ประมาณ 500 เมตร ซึ่งเป็นถนนสร้างใหม่ยังไม่เปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการ ได้พบเห็นรถจักรยานยนต์ที่วิ่งสวนทางมาเสียหลักล้มลื่นไถลมาตามถนนตรงเข้ามาหารถของตน โดยพยายามเหยียบเบรกแต่ไม่ทัน รถของตนได้ทับเข้าที่บริเวณศีรษะของผู้ตายและวิ่งข้ามไปชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายอีกครั้ง ก่อนที่ตนจะรีบจอดรถโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ,เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ก่อนเกิดเหตุรถเก๋งคันดังกล่าวน่าจะขับมาด้วยความเร็ว ส่วนผู้ตายก็ขับขี่รถจักรยานยนต์สวนทางมาด้วยความเร็วเช่นกัน ก่อนที่จะเสียหลักล้มลื่นไถลมาตามถนน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่รถเก๋งขับสวนทางมาด้วยความเร็วจึงเบรกไม่อยู่ จนเกิดเหตุสลดดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป. | สาวพนักงานบริษัท ขี่ จยย.สวนทางบนถนนเพิ่งสร้างเสร็จยังไม่เปิดใช้ ตรงข้ามซอยแพรกษา 13 เมืองปากน้ำ เสียหลักรถไถลร่างกระเด็นเข้าหาเก๋ง หนุ่มโชเฟอร์สุดช็อกเบรกไม่อยู่ล้อทับศีรษะสาวเลือดนองดับ ยืนร้องไห้รอให้การ ตร. | null | รถชน,รถชนจักรยานยนต์,อุบัติเหตุ,เก๋งทับหัว,ล้อทับหัว,แพรกษา,สมุทรปราการ,นิคมบางปู,ถนนพุทธรักษา,แพรกษา13,ภัทรณีย์ณุ ชุมจันทร์เฉลิม,จยย.ไถลชนเก๋ง,เก๋งชนจยย.,พิเศษ รณภาพ,เบรกไม่อยู่,อุบัติเหตุสมุทรปราการ,วิ่งสวนทาง,บางปู,ข่าว,ข่าวทั่วไทย,ข่าวไทยรัฐ,ข่าวอุบัติเหตุ,ข่าวภูมิภาค,ไทยรัฐออนไลน์ | https://www.thairath.co.th/content/592612 |
เมียเผยคำพูดสุดท้าย ลุงขับกะป๊อ ก่อนถูกรุม ชมพลเมืองดีช่วย ไม่คิดชีวิต | วันที่ 3 ก.ค. 60 ถามตรงๆ กับจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ วันนี้เสนอกรณี 4 หนุ่มรุมกระทืบ,ลุงขับกะป๊อ,เสียชีวิตจากเหตุทะเลาะวิวาทภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งพื้นที่โชคชัย 4 ซอย 36 แขวงและเขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ คืนวันเสาร์ที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุดจับกุมทั้ง 4 คนได้แล้ว หลังหนีไปกบดานทั้งใน กทม. และปริมณฑล พร้อมรับสารภาพดื่มสุราก่อนเกิดเหตุด้วย,เริ่มต้นด้วยการพูดคุยกับ นายเอ (นามสมมติ) และ น.ส.บี (นามสมมติ) ผู้ร่วมช่วยเหลือ นายสัจจา ปราศรัย อายุ 63 ปี คนขับรถกะป๊อ ซึ่งทั้งคู่ย้ายไปพักวันที่ 30 มิ.ย. ถัดมาเกิดเหตุวันที่ 1 ก.ค. และย้ายออกแล้ว เพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย ได้เล่าเหตุการณ์ว่า ขณะนั่งอยู่ในห้องพักชั้น 1 ได้ยินเสียงคนวิ่งคล้ายคนหยอกกัน แต่จู่ๆ มีผู้หญิงตะโกนว่า ช่วยด้วย มีวัยรุ่นกระทืบคนแก่ ก็รีบวิ่งออกไปเจอลุงนอนนิ่ง เห็นชาย 2 คน พร้อมรถจักรยานยนต์กำลังจะขับขี่ออกไปก็รีบวิ่งเข้าไปกระโดดถีบ 1 ใน 2 คน เพราะเชื่อว่าเป็นคนทำร้ายแน่นอน โดยไม่ได้เอะใจว่ามีอาวุธหรือไม่ กระทั่งมีอีก 2 คนมารุมทำร้ายไปรวมเป็น 4 คน พร้อมพูดถามว่า มึงแน่มากเหรอ,นาทีนั้นผมเห็นลุงนิ่งก็สงสาร ถ้าเห็นวัยรุ่นตีกันอาจจะไม่ช่วย แต่เห็นว่ารุมกระทืบคนแก่ก็เข้าไปช่วย ไม่ทันคิดว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต,ด้าน น.ส.บี แฟนสาวนายเอ กล่าวว่า ออกมาเห็นเลือดเต็มหน้า นายสัจจา นอนแน่นิ่ง มีอีกคนผู้ชายที่วิ่งถือมีดออกมาช่วย แต่ก็โดนแย่งมีดไป ไม่มีใครใช้มีด จากนั้นชายคนดังกล่าวบอกให้รีบเข้าห้อง จึงพากันวิ่งเข้าปิดประตูกระจกและเข้าห้องได้ทัน แต่ต่อมากลุ่มคนร้ายก็ถีบกระจกแตกและตามมารุมชายคนนี้ อยู่แค่บนตึกเขาเลยหยุด ห่างกันไม่กี่นาที ดูจากอาการก็สาหัส โดนขู่ มึงห้ามยุ่ง ก่อนนำลุงส่ง รพ.,ขณะที่ น.ส.ทิพากร บุญพารอด ภรรยานายสัจจา คนสุดท้ายที่ได้ฟังคู่ชีวิตพูดเป็นครั้งสุดท้าย เล่าเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุว่า สามีเป็นคนพูดเสียงดัง เห็นกลับมาเดินเข้าออกก็ถามว่ามีปัญหาหรือเปล่า สามีพูดว่าหนีอันธพาลมา ด่าทอและจะทำร้าย ตอนเร่งเครื่องหนีได้เฉี่ยวจักรยานยนต์กลุ่มคนร้ายล้ม จึงรีบบอกให้สามีเข้าห้อง แต่ยังไม่ถึงปากประตูก็โดนชกและลากไปที่ลานจอดรถเพื่อรุมทำร้าย จึงวิ่งไปแจ้งตำรวจ ขอความช่วยเหลือคนในหอ รีบกลับไปดูสามีเห็นเลือดเต็มกับลมหายใจเฮือก พอจะพาตัวเอาไป รพ. กลุ่มคนร้ายก็พูดทำนองว่าไม่ต้องยุ่ง จะเอาไปทำไม,ส่วน นายเอก (นามสมมติ) รปภ.อพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุ อีกคนร่วมช่วย นายสัจจา เผยว่า โดนคนร้ายใช้ศีรษะโขก แย่งมีด ก่อนที่จะโดนรุม วันนั้นไม่สบาย ป่วยกระดูกทับเส้นประสาท เตรียมจะไปพบแพทย์วันรุ่งขึ้น สู้แรงไม่ไหว คนร้ายถามว่า มึงด้วยใช่ไหม ก็บอกว่าไม่เกี่ยว จึงยอมถอยออกไป ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน และชื่นชม นายเอ และ น.ส.บี ที่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ. | ถามตรงๆ กับจอมขวัญ กรณี 4 หนุ่มรุมกระทืบลุงขับกะป๊อในอพาร์ตเมนต์ย่านโชคชัย 4 ล่าสุดถูกจับแล้วทั้งหมด สารภาพดื่มสุราก่อนเกิดเหตุ พลเมืองดีเข้าช่วยไม่คิดชีวิต ด้านภรรยาเผยช่วงเวลาสุดท้ายพูดคุยก่อนเสียสามีอย่างไม่มีวันกลับ | ข่าว,อาชญากรรม | ลุงขับกะป๊อ,ถามตรงๆ กับจอมขวัญ,จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์,รุมกระทืบคนแก่,โชคชัย 4,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/crime/992935 |
พบชายชรานอนเสียชีวิตภายในบ้านพัก คาดสาเหตุเพราะอากาศร้อนจัด | แพทย์และตำรวจภูธรเมืองแพร่ เข้าตรวจสภาพศพ นายวิรัตน์ ประดิษฐ์พงษ์ อายุ 60 ปี นอนเสียชีวิตบริเวณใต้ถุนบ้านในชุมชนบ้านใหม่ ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ โดยเจ้าของบ้านระบุว่า คืนที่ผ่านมาผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นญาติเดินทางมาจาก จ.ลำปาง มาพักที่บ้านได้ลงจากบ้านมานอนที่ใต้ถุง เนื่องจากอากาศร้อนก่อนจะพบว่าเสียชีวิตในช่วงเช้า เบื้องต้นแพทย์ลงความเห็นว่าสาเหตุอาจเกิดจากอากาศร้อน ทำให้ความดันโลหิตสูงจนหัวใจวายเสียชีวิตนอกจากนี้ยังเกิดเหตุคนจมน้ำเสียชีวิตอีกหนึ่งราย ที่บริเวณสระน้ำ ในบ้านหมู่ที่ 3 ต.น้ำชำ อ.เมืองแพร่ โดยผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ผู้เสียชีวิตคือ นายสุทิน สุขวัฒนานนท์ อายุ 43 ปี ที่ลงงมหาหอยในสระน้ำไปประกอบอาหาร แต่คาดว่าสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้นายสุทินเกิดอาการหน้ามืดหมดสติทำให้จมน้ำเสียชีวิตขณะที่กุ้งก้ามกรามในพื้นที่ ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เกิดภาวะน๊อคตายลอยเกลื่อนริมปากบ่อ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ร้อนจัดสลับพายุฝนอีกทั้งยังขาดแคลนน้ำสำหรับเปลี่ยนถ่ายน้ำเสียออกจากบ่อหลังโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาวยังคงปิดการส่งน้ำในฤดูแล้งไปจนถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 ทั้งนี้ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามในพื้นที่ ต.บัวบาน ระบุว่า ปัญหากุ้งน๊อคตายเกิดซ้ำซากในช่วงหน้าแล้งมาตลอดเกือบ 10 ปี เกษตรกรหลายรายต้องเลหลังขายกุ้งทิ้งและบางส่วนลดปริมาณการเลี้ยง ในช่วงสภาพอากาศที่ร้อนและประสบภัยแล้ง หรือขุดบ่อบาดาลเพื่อนำน้ำมาใช้เองจึงเรียกร้องหน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยเหลือ เนื่องจาก จ.กาฬสินธุ์เป็นพื้นที่เลี้ยงกุ้งก้ามกรามแหล่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพยายามผลักดันการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามเพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร | ชาวนากุ้งก้ามกราม จ.กาฬสินธุ์ เรียกร้องให้ภาครัฐเข้าช่วยเหลือหลังกุ้งเกิดน๊อคตายเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ขณะที่จ.แพร่พบชายชรานอนเสียชีวิตภายในบ้านพักสาเหตุคาดว่าน่าจะมาจากอากาศร้อนทำให้ความดันโลหิตสูง | ภูมิภาค | กุ้งน๊อคตาย,ชาวนากุ้ง,ช่วยเหลือ,อากาศร้อน,เกษตรกร,แพร่ | https://news.thaipbs.or.th/content/1558 |
นักวิชาการชี้เด็กหลุดระบบการศึกษามาจากความรุนแรงในครอบครัว-ล่วงละเมิดทางเพศ | วันนี้ (25 ก.พ.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานประชุม นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาแห่งเอเชีย เดินหน้าโรดแมปแห่งเอเชียพาเด็กนอกระบบ 18 ล้านคน คืนสู่ระบบการศึกษา ภายในปี ค.ศ.2030 โดย น.ส.ซูซาน โคล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบาย ด้านความรุนแรงที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า จากการวิจัยพบนักเรียนชั้นประถมในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา กว่าร้อยละ 20 ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และความรุนแรงในครอบครัว ส่งผลให้เด็กมีปัญหาสภาวะทางจิตใจ และพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้ รู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ไว้วางใจคนอื่น จนเกิดการสร้างความรุนแรงต่อเพื่อนในโรงเรียน ทำให้เด็กเหล่านี้หลุดจากระบบการศึกษานายไกรยส ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐศาสตร์การศึกษา สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กล่าวว่า งานวิจัยเรื่องดังกล่าว สะท้อนให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ไม่แตกต่างจากบริบทในประเทศไทย ที่พบความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนทั้งสายสามัญและอาชีวศึกษามากขึ้น โดยปรากฏข่าวของการแชร์ข้อมูลเด็กนักเรียนตบตีกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น อย่าโทษเด็กว่าเป็นตัวสร้างปัญหา แต่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนายไกรยส กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จากความรุนแรง และการถูกล่วงละเมิดทางเพศ จะต้องบูรณาการความร่วมมือของทุกฝ่ายตั้งแต่โรงเรียน ชุมชน และนักจิตวิทยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก รวมถึงการติดตามเยียวยา เพื่อไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา | นักวิชาการด้านการศึกษาเผยสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวและการถูกล่วงละเมิดทางเพศของเด็ก ส่งผลให้เด็กมีปัญหาสภาวะทางจิตใจ รู้สึกไม่ปลอดภัย และสร้างความรุนแรงต่อกับเพื่อนในโรงเรียน จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา | สังคม | นักวิชาการ,ความรุนแรงในครอบครัว,ล่วงละเมิดทางเพศ,การศึกษา,ระบบการศึกษา,ThaiPBSnews,ไทยพีบีเอส | https://news.thaipbs.or.th/content/250447 |
ตาก ใช้กำลังกว่า 100 นาย ทำแผนผู้อพยพ ฆ่าตำรวจ | ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 พ.ต.อ.วิรัติ พ่วงอินทร์ ผกก.สภ.ท่าสองยาง พร้อมด้วยชุดสืบสวน ภ.จ.ตาก ทหารกองกำลังนเรศวร ตชด. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ควบคุมตัวคนร้ายชาวเมียนมา 4 คน ประกอบด้วย 1. นายโน อารัน อายุ 24 ปี 2. นายโก ซิน อายุ 20 ปี 3. นายกามาดิน อายุ 18 ปี และ 4. นายมัท สะพี อายุ 21 ปี ซึ่ง 3 คนแรกเป็นพี่น้องกัน ที่รุมฆ่า ด.ต.ไพฑูรย์ สาเป็ง อายุ 41 ปี ผบ.หมู่งานป้องกัน ทำหน้าที่หัวหน้าตู้ยามบ้านแม่หละ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ท่ามกลางประชาชนทั้งไทยและเมียนมา ที่พากันมาดูการทำแผนจำนวนมาก จนตำรวจต้องเลื่อนเวลาทำแผนหลายครั้ง ต้องใช้กำลังกว่า 100 นาย กันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปเฝ้าระวังการเข้าทำร้ายตัวผู้ต้องหา การทำแผนมีผู้ต้องหาเพียง 3 คน เพราะอีกคนเป็นเยาวชน,การทำแผนเริ่มตั้งแต่คนร้ายทั้งหมดข้ามมาจากฝั่งเมียนมา รวมทั้งลักลอบนำแพะเข้ามา และมาพบ ด.ต.ไพฑูรย์ จากนั้น มีการเจรจากันเรื่องการหลบหนีออกจากศูนย์อพยพในยามวิกาล และเกิดการโต้เถียง ใช้กำลังทำร้ายและใช้มีดที่ติดตัวมาแทงไม่ยั้ง รวมทั้งแย่งปืนพกของ ด.ต.ไพฑูรย์ ยิงไปที่ท้อง 1 นัด กลัวว่าจะไม่ตาย ใช้มีดเล่มเดิมปาดคอจนหลอดลมหวิดขาด ทิ้งมีดพากันหลบหนีไป พร้อมปืนและรถจักรยานยนต์ โดยผู้ต้องหาทั้งหมดยอมรับสารภาพ ส่วนทางด้านคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตั้งข้อหาหลบหนีเข้าเมือง พ.ร.บ.ศุลกากร ร่วมกันฆ่าผู้อื่นจนถึงแก่ความตายโดยเจตนา และข้อหาชิงทรัพย์ นำตัวส่งฟ้องศาลฝากขัง ต่อไป. | ตาก จนท.ใช้กำลังกว่า 100 นาย คุม 3 คนร้ายชาวเมียน มาทำแผนผู้อพยพฆ่าตำรวจ ท่ามกลางประชาชนมุงดูการทำแผน | ข่าว,ทั่วไทย | ฆ่าตำรวจ,ทำแผนผู้อพยพ,ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ,วิรัติ พ่วงอินทร์,ผกก.สภ.ท่าสองยาง,กองกำลังนเรศวร ตชด.,เมียนมา,ไพฑูรย์ สาเป็ง,ยามบ้านแม่หละ,ตาก,ใช้กำลังกว่า 100 นาย,คุมตัว,ข่าว,ไทยรัฐออนไลน์,ข่าวทั่วไทย,ภูมิภาค | https://www.thairath.co.th/news/local/592129 |
ฟิล์ม รัฐภูมิ สุดปลื้มคว้าปริญญาโทสำเร็จ เพื่อนดารา-แฟนคลับร่วมยินดี | ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์, จากละคร มัจจุราชฮอลิเดย์ ทางช่อง 8 ดิจิตอลทีวี เป็นมหาบัณฑิตคนใหม่ เข้าร่วมพิธีรับประทานปริญญาบัตรในระดับปริญญาโท โดยสำเร็จการศึกษาคณะบริหารการจัดการ เอกจิตวิทยาการบริหารองค์การ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตบางเขน ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.66 ทั้งนี้มีเพื่อนดาราช่อง 8 อาทิ ยีน-เกวลิน ศรีวรรณา และมิ้ม รัตนาภรณ์ กลิ่นกุหลาบหิรัญ มาร่วมแสดงความยินดี ที่อาคาร ดร.สุข พุคยาภรณ์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ทั้งนี้ฟิล์ม แฟมิลี่ ของหนุ่มฟิล์ม ยังได้จัดทำซุ้มพร้อมทั้งหอบดอกไม้ ของขวัญ มามอบให้ แต่ที่ทำเอาสะดุดตาเป็นพิเศษ ก็พวงมาลัยธนบัตรที่แฟนคลับร่วมใจกันทำให้ ทำเอาเจ้าตัวเป็นปลื้ม ขอบคุณในความตั้งใจและเป็นกำลังใจให้กันเสมอมา,ฟิล์ม รัฐภูมิ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคน ทุกกำลังใจที่มีให้ผมจนทุกวันนี้ วันนี้รู้สึกหายเหนื่อย ดีใจมากที่ทำสำเร็จ ได้ทำให้ คุณพ่อ คุณแม่ภูมิใจ ก็เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจที่ผมพยายามทำให้สำเร็จ ความรู้ได้ที่เรียนมา ก็เอามาบริหารใช้ในการทำงานของตัวเอง หลายคนอาจจะมองว่า ทำงานเยอะ เรียนหนัก แต่ผมอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าถ้าพยายาม มีความตั้งใจ เราก็สามารถทำสำเร็จได้ อาจจะหนักและเหนื่อยกว่าคนอื่น แต่มันก็เป็นบทพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้ครับ ยังมีอีกหลายคนที่ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย มีธุรกิจที่ต้องดูแลด้วยแบบผม ก็ขอเป็นกำลังใจให้สู้ๆ,การศึกษาเป็นอาวุธติดตัวที่ใครก็ไม่สามารถขโมยไปได้ ยังไงผมก็ขอเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ และทุกคนที่กำลังเรียนอยู่ อดทน ตั้งใจ วันที่คุณได้รับใบปริญญามา คุณจะภูมิใจกับความเหน็ดเหนื่อยครั้งนี้ครับ จากนี้ก็มีแผนเรื่องเรียนต่อปริญญาเอกไว้ครับ ส่วนเรื่องความรักก็เรื่อยๆ ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ยอมรับว่ามีคนที่พูดคุยอยู่ด้วย (ยิ้ม) แต่ผมก็เน้นโฟกัสที่ความสำเร็จเป็นหลักก่อน เพราะอยากมีอนาคตที่มั่นคง ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด งานในวงการก็ยังทำอยู่ครับ ตอนนี้กำลังถ่ายละครเรื่อง มัจจุราชฮอลิเดย์ ช่อง 8 อยู่ ขอให้รอติดตามผลงานกันนะครับ. | หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง พระเอกหนุ่ม ฟิล์ม รัฐภูมิ เป็นมหาบัณฑิตคนใหม่ เข้าร่วมพิธีรับปริญญาบัตรในระดับปริญญาโท คณะบริหารการจัดการ เอกจิตวิทยาการบริหารองค์การ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตบางเขน | บันเทิง,ข่าวบันเทิง | ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์,ฟิล์ม รัฐภูมิ,ฟิล์ม รัฐภูมิ รับปริญญา,ฟิล์ม รัฐภูมิ เรียนจบ,มหาวิทยาลัยศรีปทุม,กอสซิป | https://www.thairath.co.th/entertain/news/1266936 |
หนุ่มสุรินทร์ นอนประท้วง ชี้ช้างตกเหวนรก มีสิ่งปลูกสร้างขวางทางเดิน | สายวันที่ 11 ตุลาคม นายเข็มทอง หรือจืด โมราษฎร์ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ 3 ต.สำโรง อ.เมือง จ.สุรินทร์ จาก กลุ่มเด็กรักป่าสุรินทร์ เดินทางมาโดยรถยนต์ ถึงบริเวณหน้าด่านทางขึ้นอุทยานฯ เขาใหญ่ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปูผ้านั่งและนอนประท้วงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หลังจากได้ยื่นหนังสือที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ยังไม่ได้คำตอบ,สำหรับข้อเรียกร้อง คือ ให้รื้อสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่บริเวณน้ำตกเหวนรก มีร้านอาหาร ศาลา ห้องน้ำ ที่พัก ป้อมยาม พร้อมโรงเรือน จุดกลางเต็นท์เสริมด้วย ให้ย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้าม ห่างไปประมาณ 50 เมตร โดยนายเข็มทอง อ้างว่า บริเวณที่ก่อสร้างทั้งหมดเป็นสาเหตุทำให้ช้างตกเหวตาย เพราะแต่เดิมเป็นทางเดินของช้าง ช้างจะใช้เส้นทางนี้เดินหากิน เมื่อไปสร้างสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบังเส้นทางเขา เขาจึงต้องไปเดินบนหน้าผา ทำให้ตกลงมาตายเป็นจำนวนมาก โดยจะรอคำตอบจากรัฐมนตรีหรือผู้มีอำนาจ จะประท้วงทั้งหมด 11 วัน ตั้งใจอดอาหาร 5 วัน หลังจากนั้นจะอดน้ำด้วยอีก ซึ่งการประท้วง 11 วัน เพราะช้างตาย 11 ตัว ตั้งใจยอมตายเพื่อช้างเขาใหญ่,โดยตลอดทั้งวัน นายเข็มทองนอนด้วยความสงบ ห้ามใครรบกวน มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และตำรวจ สภ.หมูสี เฝ้าดูอยู่ห่างๆ | หนุ่มใหญ่จากสุรินทร์ นอนประท้วงหน้าอช.เขาใหญ่ จี้รื้ออาคาร สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบริเวณรอบน้ำตกเหวนรก เนื่องจากเคยเป็น ทางช้างเดิน เมื่อมีสิ่งกีดขวาง ช้างจำต้องเดินหลบ จนตกเหวตาย | ข่าว,ทั่วไทย | ช้างตกเหวนรก,นอนประท้วง,น้ำตกเหวนรก,ประท้วง เขาใหญ่,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/1680398 |
ดราม่ารียูสหลอด-น้ำแข็ง ใช้ซ้ำ มหันตภัยร้าย เสี่ยงติดสารพัดโรค | เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้องยี้ออกมากันหนาหู ภายหลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปบอกเล่าเรื่องราวสุดทน เมื่อร้านค้าหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม นำหลอด-น้ำแข็ง กลับมารีไซเคิลใช้ซ้ำ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงภัยอันตรายที่จะตามมา, วันนี้ ,ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์, ไม่พลาดที่นำข้อมูลทั้งสองฝ่าย มาไล่เรียงให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ได้รับฟังอย่างรอบด้าน รวมถึงพาไปไขคำตอบด้วยว่า , ติดตามได้ในรายงานพิเศษชิ้นนี้,ดราม่าหนักมาก มีข่าวหลัง นศ.จันทรเกษม ร้อง ร้านค้าหลังมหาลัย สกปรก ใช้น้ำแข็ง-หลอดซ้ำ,ทีมข่าวฯ ต่อสายตรงไปยัง ,ทีมงานจันทรเกษมโพสต์, ที่มีการตีแผ่เรื่องราวดังกล่าวออกสู่สังคมจนเป็นกระแสข่าวออกไปในวงกว้าง โดย ,นายณัฐชนพงศ์ ยงศ์พีระกุล บรรณาธิการจันทรเกษมโพสต์, บอกเล่าถึงเรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ตามที่ปรากฏในคลิปนั้นเกิดขึ้นจากการที่นักศึกษาหลายคน ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์สุดทน ที่ร้านอาหารตามสั่ง บริเวณหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มีพฤติกรรมใช้หลอดซ้ำ และนำน้ำแข็งที่เหลือจากลูกค้ามาขายใหม่ รวมถึงพบว่า บางร้านไม่มีการล้างแก้วด้วยน้ำยาล้างจาน แต่กลับเพียงแค่แช่แก้วไว้ในน้ำขุ่นๆ แล้วเอาขึ้นมาใช้ใหม่เลย,ที่ผ่านมา พบว่า มีหลายร้านที่มักแยกหลอดที่ใช้แล้วไว้ในตะกร้า หรือแช่ไว้ในถังน้ำ ซึ่งผมแค่สงสัยว่า หากไม่มีการนำมาใช้ซ้ำจริง เหตุใดถึงไม่ทิ้งถังขยะทันที? นายณัฐชนพงศ์ กล่าวอ้าง,บรรณาธิการจันทรเกษมโพสต์ กล่าวต่อว่า เมื่อประเด็นดังกล่าว เริ่มเป็นที่พูดถึงในกลุ่มนักศึกษาวงกว้าง ประกอบกับมีนักศึกษาหลายคนประสบพบเจอกับเหตุการณ์คล้ายๆ กัน ทำให้ ทีมงานจันทรเกษมโพสต์ ลงพื้นที่สำรวจ ร้านค้าหลังมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะร้านค้าที่ปรากฏในคลิป ที่มีพฤติกรรมคล้ายกับนำน้ำแข็งที่เหลือจากลูกค้า ไปล้างน้ำและนำกลับมาใช้ใหม่ โดยยืนยันว่า คลิปดังกล่าวไม่มีการตัดต่อใดๆ ทั้งสิ้น,ทีมข่าวฯ ยังได้มีการพูดคุยกับ ,นักศึกษา ชั้นปีที่ 3 รายหนึ่งซึ่งขอสงวนชื่อ-นามสกุล, โดยบอกเล่าว่า ตนเคยเจอเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันกับที่ปรากฏในคลิปด้วยตัวเอง ซึ่งประสบก่อนที่คลิปดังกล่าวจะมีการเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง จนเกิดเป็นเรื่องราวดราม่านั้น, นักศึกษา ปี 3 รายเดิมกล่าวอ้าง,ร้านค้า 2 แห่ง หลัง ม.ราชภัฏจันทรเกษม แจงอ้างสังคมเข้าใจผิด ,นอกจากนี้ ทีมข่าวฯ ยังได้ลงพื้นที่ไปยังร้านค้าดังกล่าวที่ปรากฏในคลิป ทราบว่า เจ้าของร้านชื่อ ,นางสมร คงบุปฝา อายุ 46 ปี, คุณป้าบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ,ตนขอเป็นฝ่ายชี้แจงบ้าง เพราะไม่อยากให้สังคมเข้าใจผิด, ผู้สื่อข่าวถามนางสมร ซึ่งก็ได้รับคำตอบยืนยันจากคุณป้าสมรเช่นเดิมว่า ,ส่วนประเด็นที่บอกว่ามีการนำน้ำแข็งไปล้างนั้น ไม่มีอย่างแน่นอน เพราะป้าก็ต้องกินเหมือนกัน หากเป็นการเทกลับไปในถังจริง ป้าเองก็คงกินไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้องๆ นักศึกษาถึงทำกับป้าแบบนี้ ส่วนตัวขายตรงจุดนี้มาหลายปีไม่เคยเกิดปัญหา แต่หลังจากเกิดเหตุขึ้น ก็ยอมรับว่าลูกค้าหดหายไปเกินครึ่ง,นางสมร ขอชี้แจงด้วยว่า ส่วนประเด็นเรื่องหลอดดูดที่มีการนำมาใช้ซ้ำนั้น ไม่ใช่ร้านตนอย่างแน่นอน เ, ,สุดท้าย นางสมร บอกผ่านผู้สื่อข่าวด้วยว่า ยืนยันไม่เอาผิดทางคดีความกับนักศึกษา แต่หากเป็นไปได้ อยากขอให้เข้ามาพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ส่วนตัวพร้อมให้อภัยทุกอย่าง,ขณะที่ร้านค้าอีกร้านหนึ่ง ตามที่ปรากฏอยู่ในข่าวว่ามีการนำหลอดมาวนใช้ซ้ำนั้น ทีมข่าวฯ ก็ลงพื้นที่ไปพบร้านดังกล่าว ได้พูดคุยกับ ,เจ้าของร้าน ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อและนามสกุล อายุ 55 ปี, ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า ตนขายข้าวบริเวณหลังมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มานานหลายปี ยืนยันได้ว่าไม่มีการนำกลับมาใช้ซ้ำแน่นอน ไม่เคยใช้ของซ้ำ ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า นักศึกษากลุ่มดังกล่าวถ่ายภาพออกมาได้อย่างไร พร้อมขอท้าให้นักศึกษามานั่งดูสักครึ่งชั่วโมง จะได้รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร,ทุกครั้งที่เก็บแก้ว หลังจากลูกค้ากินเสร็จแล้ว ก็จะนำหลอดไปแยกรวมกันไว้ในตะกร้า เพื่อรอทิ้งทีเดียว ,เหตุใดถึงไม่ทิ้งหลอดลงถังขยะทันที? ผู้สื่อข่าวถามพ่อค้ารายเดิม ตอบในประเด็นนี้ว่า เนื่องจากแต่ละวันผมต้องเดินไปทิ้งขยะไกล เดินวันละหลายเที่ยว จึงใช้วิธีการแยกหลอดไว้ก่อน แล้วนำไปทิ้งรวมกันทีเดียว,นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลจากเจ้าของร้านดังกล่าวด้วยว่า ต้นทุนหลอดแพ็กละ 40 บาท มีจำนวน 10 ห่อ ซึ่งแต่ละวันก็จะใช้อยู่ที่ 1-2 ห่อ ส่วนน้ำแข็งก็อยู่ที่ 1 ถุง 50 บาทต่อวัน,อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวฯ ได้ติดต่อสอบถามถึงความคืบหน้าล่าสุด, นายเชาวฤทธิ์ ทรงนวรัตน์ ผู้อำนวยการเขตจตุจักร, เปิดเผยว่า ภายหลังจากทราบข่าวได้สั่งให้ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลของเขตฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม โดยรอบทุกร้าน ,รียูส หลอด-น้ำแข็ง วนใช้ซ้ำ เสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบบี,ทั้งนี้ ทีมข่าวฯ ยังได้เชื้อเชิญ ,นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข, มาไขข้อข้องใจปมภัยอันตรายต่อสุขภาพด้วยว่า ,นพ.โอภาส ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวฯ ว่า กรณีที่มีร้านค้านำหลอดและน้ำแข็งกลับมารีไซเคิลใช้ซ้ำนั้น นอกจากจะไม่มีความสะอาดแล้ว อาจมีการปนเปื้อนและก่อให้เกิดโรคระบาดได้ โดยเฉพาะเสี่ยงต่อโรคติดต่อหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ,ไวรัสตับอักเสบบี โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือ โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่เรียกว่า เชื้อเริม, เป็นต้น,อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขมี 2 มาตรการ โดยมาตรการแรก เป็นการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ แต่กรณีที่ผู้ประกอบการไม่สนใจและยังกระทำการดังกล่าว จนพิสูจน์ได้ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคติดต่อและโรคระบาด จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 การประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและไม่ถูกสุขลักษณะ,เพราะฉะนั้น การรับประทานอาหารตามร้านค้าต่างๆ ก็อยากให้สังเกตว่าถูกสุขลักษณะหรือไม่ โดยเฉพาะอาหารและน้ำแข็ง ควรจะต้องตรวจสอบความสะอาดก่อนบริโภค ส่วนเรื่องการใช้หลอดนั้น หากไม่แน่ใจ ก็หลีกเลี่ยงโดยการไม่ใช้หลอดนั้นไปเลย หรือหลีกเลี่ยงไปดื่มเครื่องดื่มที่มีความร้อน อย่างน้อยก็จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ในระดับหนึ่ง นพ.โอภาส กล่าวทิ้งท้าย,ขอบคุณคลิปประกอบจาก :, ทีมงานจันทรเกษมโพสต์ ,ทีมข่าวเฉพาะกิจ | เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้องยี้ออกมากันหนาหู ภายหลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปบอกเล่าเรื่องราวสุดทน เมื่อร้านค้าหลายๆ ร้าน หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม นำหลอด-น้ำแข็ง กลับมารีไซเคิลใช้ซ้ำ | ข่าว,ทั่วไทย | ดราม่าป้าขายน้ำ,หลอด-น้ำแข็ง ใช้ซ้ำ,ร้านค้าหลัง ม.,ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์,รีไซเคิล,มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม | https://www.thairath.co.th/news/local/786981 |
ขอนแก่นประมูลทะเบียนสวย หมวดขก.ตรงกับอักษรย่อจังหวัด ตั้งเป้า 20ล. | เมื่อวันที่ 26 ม.ค. นายวิโรจน์ วิริยะจันทร์ ขนส่ง จ.ขอนแก่น เปิดเผยถึง การประมูลเลขทะเบียนรถ ครั้งที่ 14 หมวด ขก. ของ จ.ขอนแก่น ว่า สำนักงานขนส่ง จ.ขอนแก่น กำหนดจัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถ จ.ขอนแก่น ครั้งที่ 14 หมวด ขก. หรือขอนแก่นมหานคร ในวันที่ 4-5 ก.พ.60 ซึ่งหมวดอักษรดังกล่าวนี้เป็นที่รอคอยของชาวขอนแก่นอย่างมาก เพราะเป็นอักษรย่อของจังหวัด ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์กันว่า จะมีผู้มาร่วมการประมูลมากกว่าทุกหมวดที่ผ่านมา เนื่องจากหมวดอักษรล่าสุดที่ขนส่งจังหวัดจัดการประชุมในปี 2559 นั้น คือหมวด กอ. โดยหมวดเลขที่ได้รับการประมูลที่มีราคามากที่สุดคือ กอ-9999 ขอนแก่น ด้วยวงเงินประมูล 939,999 บาท ขณะที่หมวด ขก. นั้นมีการปรับรูปแบบของสีป้ายทะเบียนและตัวเลขที่เด่นชัดขึ้น โดยยังคงภาพกราฟิกที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดที่ประกอบด้วย พระธาตุขามแก่น, ท่อนไม้ขาม, บึงแก่นนคร, ไดโนเสาร์ และดอกคูณ ไว้ในแผ่นป้ายทะเบียน,หมวดอักษร ขก. หรือที่เราให้นิยามว่าขอนแก่นมหานคร เป็นการประมูลเลขทะเบียนสวยที่ทุกคนเฝ้ารอ เพราะนอกจากจะเป็นการฉลองครบรอบ 220 ปีของ จ.ขอนแก่นแล้ว ยังคงเป็นหมวดอักษรสัญลักษณ์ของจังหวัดอีกด้วย โดยการประมูลปีนี้ ได้กำหนดไว้ 301 หมายเลข ใน 3 กลุ่มหลัก แยกเป็นกลุ่มที่ 1 เลขสี่ตัวเหมือน กลุ่มที่ 2 เลขสามตัวเหมือน, สองตัวเหมือน, เลขตัวเดียว, เลข 8 คู่และเลข 9 คู่ และกลุ่มที่ 3 คือเลขหลักพัน, เลขเรียงและเลขคู่ โดยผู้ที่สนใจนั้นสามารถยื่นเรื่องเพื่อวางเงินประกันและเข้าร่วมประมูลตามขั้นตอนต่างๆ ที่ขนส่งจังหวัดขอนแก่นได้กำหนดไว้ได้แล้วตั้งแต่วันนี้,ขนส่งจังหวัดขอนแก่น กล่าวเพิ่มว่า การประมูลหมายเลขทะเบียนรถภาพรวมของ จ.ขอนแก่น ดำเนินการมาแล้ว 13 ครั้ง มีรายได้จากการประมูลทั้งหมด 214,564,783 บาท ขณะที่ครั้งที่ 4 ประจำปี 2560 นั้น มีการคาดการณ์ในการตั้งเป้ารายได้ที่ 20 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากการประมูล จะเข้าสมทบกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เพื่อนำไปสนับสนุนและส่งเสริมด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเกิดจากการใช้รถใช้ถนน โดยในปี 2559 นั้นได้มีการอนุมัติงบประมาณจากเงินกองทุนดังกล่าว 1,749,000 บาท สำหรับการซื้ออุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากรถ โดยได้มีการส่งมอบให้กับผู้ประสบภัยที่ต้องการขอรับการช่วยเหลือแล้วในวันนี้ทั้งสิ้น 33 ราย. | ขนส่งขอนแก่น เตรียมเปิดประมูลทะเบียนเลขสวย หมวด ขก. ในวันที่ 14-15 ก.พ.60 นี้ ซึ่งเป็นหมวดที่ตรงกับอักษรย่อของจังหวัดพอดี คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมูลจำนวนมาก ตั้งเป้า 20 ล้านบาท | null | ประมูลทะเบียนรถ,ประมูลเลขสวย,ทะเบียนรถขอนแก่น,ทะเบียนเลขสวย,หมวด ขก. | https://www.thairath.co.th/content/844351 |
เพื่อไทย เปิดคลิปโต้ ไม่เชื่อ สรรเสริญ ทหารแต่งพลเรือนส่งเสบียง | น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เปิดคลิปโต้ พ.อ.สรรเสริญ ชี้ทหารแต่งพลเรือนมาส่งข้าวเป็นเรื่องอันตรายจะทำให้ทหารด้วยกันเข้าใจผิด และไม่มีทหารกินข้าวในแนวหน้าวานนี้ (8 มิ.ย. 53) เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่า น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการศูนย์ติดตามช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยประชาชน (ศชปป.) แถลงพร้อมเปิดคลิปชี้แจงตอบโต้ ศอฉ.ว่า หลังจากพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ดำเนินการตรวจสอบชายแต่งชุดพลเรือนถือปืน M 16 วิ่งเข้ามาในกลุ่มทหารในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่บริเวณปากซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 โดยไม่มีการจับกุมนั้น ตกลงแล้วเป็นกลุ่มคนนิรนาม หรือไอ้โม่ง หรือทหาร และทาง ศอฉ.ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า บุคคลดังกล่าวเป็นทหารจริง แต่เป็นทหารชุดส่งข้าวกล่องในพื้นทีส่วนปืน M 16 เป็นของทหารที่ถูกยิงและเก็บมาได้ ส่วนคลิปที่ทหารระดมยิงนั้น เป็นการยิงคุ้มครองการถอนกำลังและกล่าวย้ำว่า ทหารมีความจำเป็นต้องใส่ชุดพลเรือน เพราะต้องนำอาหารไปส่งยังจุดต่าง ๆ หน้าแนวทหารที่วางกำลังถือว่าอันตรายจึงต้องทำตัวให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไปน.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ในวันนี้ทางพรรคเพื่อไทยได้แสดงคลิปวีดีโออีก 1 คลิป ที่แสดงว่าพลเรือนคนนี้ คือทหารส่งข้าวกล่องจริงหรือไม่ โดยเป็นคลิปที่มีการนำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย เชื่อว่า คำกล่าวอ้างของ ศอฉ.ไม่เป็นเรื่องจริง และปืนที่ทหารนอกเครื่องแบบถือนั้นก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า เป็นปืนของตัวเองหรือของทหารที่ถูกยิง เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีสาระในการหาความจริงแต่อย่างใด และก็เป็นเพียงการแก้ตัวเท่านั้นน.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า การที่ ศอ ฉ.บอกว่าจำเป็นที่จะต้องแต่งกายนอกเครื่องแบบนั้น ตนคิดว่าการแต่งกายพลเรือนไปส่งข้าวนั้น น่าจะอันตรายมากกว่า เพราะอาจจะทำให้ทหารในแนวเขตด้านในเข้าใจผิดได้ และเป็นการพูดแก้ตัวเท่านั้นเพราะยุทธวิธีทางการทหารนั้นคงไม่มีทหารคนไหนไปนั่งกินข้าวในแนวหน้าในเวลาปฏิบัติการตามที่ ศอฉ.กล่าวอ้าง พรรคเพื่อไทย จึงขอเรียกร้องให้ ศอฉ.ยอมรับความจริงในการปฏิบัติการวันที่ 19 พฤษภาคม ที่มีการใช้ชุดนอกเครื่องแบบในการขอคืนพื้นที่ซึ่งอาจเป็นบุคคลนิรนาม ตามที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้างด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ถูกจับกุมตัว เพื่อให้ญาติสามารถติดตามได้ เพราะประเทศไทยมีระบอบการปกครองด้วยประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการ อย่างที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ และขอให้หยุดปลุกระดมให้ประชาชนแตกแยกกัน โดยใช้สื่อที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือโทรทัศน์ | น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เปิดคลิปโต้ พ.อ.สรรเสริญ ชี้ทหารแต่งพลเรือนมาส่งข้าวเป็นเรื่องอันตรายจะทำให้ทหารด้วยกันเข้าใจผิด และไม่มีทหารกินข้าวในแนวหน้า ภาพนิ่งและคลิปเมื่อ 19 พ.ค. 53 | การเมือง,สิทธิมนุษยชน,ความมั่นคง | การสลายการชุมนุม,พรรคเพื่อไทย,ศอฉ.,สรรเสริญ แก้วกำเนิด,อนุดิษฐ์ นาครทรรพ | https://prachatai.com/journal/2010/06/29923 |
บิ๊กไบค์ชนกับเก๋ง ล้มไฟท่วม คลอกหนุ่มคนขี่ดับ สาวซ้อนสาหัส | เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 24 ต.ค. พ.ต.ท.สมจิตร ยศหนองทุ่ม สว.สส.สภ.กำแพงแสน จ.นครปฐม รับแจ้งเหตุ มีบิ๊กไบค์ชนรถเก๋ง มีผู้เสียชีวิตจากไฟคลอก 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย บนถนนพลดำริห์ หมู่ 6 อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม และรถดับเพลิงเทศบาลตำบลกำแพงแสน 1 คัน ,ที่เกิดเหตุ พบรถบิ๊กไบค์ ไม่ทราบสี ยี่ห้อ และทะเบียน ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ยังพบศพชายไม่ทรายชื่อ ซึ่งเป็นคนขับขี่บิ๊กไบค์ ถูกไฟคลอกทั้งร่าง และ น.ส.อุไรวรรณ์ แวทไธสง อายุ 23 ปี นั่งซ้อนท้ายมา ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่ง รพ.กำแพงแสน ,ห่างกัน 10 เมตร พบรถเก๋งมาสด้า 2 สีขาว ทะเบียน 5กธ 6613 กทม. จอดอยู่ปากซอยฟิชชิ่งรีสอร์ต ด้านประตูฝั่งซ้ายแถบคนนั่งพังเสียหาย ท้ายรถถูกไฟไหม้ โดยมี นายอมรชัย ตรีรัตน์สกุลชัย เป็นคนขับ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่า 1 ชม. จนสามารถเปิดถนนได้ตามปกติ,พ.ต.ท.สมจิตร กล่าวว่า เบื้องต้นจากการสอบถาม นายอมรชัย คนขับรถเก๋ง ทราบว่ามุ่งหน้ามาทางกำแพงแสน เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ ตนจะเลี้ยวขวาเข้าซอยฟิชชิ่งรีสอร์ต ขณะดียวกัน ได้มีบิ๊กไบค์วิ่งสวนทางมา มุ่งหน้าเข้า กทม. ก่อนชนเข้าอย่างจัง จนรถเกิดไฟไหม้ ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาใคร ต้องรอสอบสวน น.ส.อุไรวรรณ์ ที่นั่งซ้อนท้ายมาอีกครั้ง. | หนุ่มขี่บิ๊กไบค์ มีสาวซ้อนท้าย ชนเข้ากับเก๋งกำลังเลี้ยวเข้าซอย บนถนนพลดำริห์ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ก่อนล้มไฟท่วม หนุ่มคนขี่ดับ ส่วนสาวเจ็บสาหัส จนท.เร่งสอบ ก่อนแจ้งข้อหา | null | บิ๊กไบค์ชนเก๋ง,เก๋งชนบิ๊กไบค์,ไฟไหม้บิ๊กไบค์,นครปฐม,กำแพงแสน,ไฟคลอก | https://www.thairath.co.th/content/763182 |
จับหนุ่มแสบ แก้คำสั่งศาล ฮุบมรดก20ล. | (ภาพจาก : ตำรวจกองปราบ),กองปราบฯรวบหนุ่มกลัวไม่ได้มรดกเพราะแม่บุญธรรมเสียชีวิต เลยแอบปลอมพินัยกรรมไปเบิกเงินกว่า 20 ล้านบาทแล้วหลบหนี ต่อมาผู้เสียหายเป็นน้องสาวแม่บุญธรรมรู้เรื่อง เลยแจ้งตำรวจตามจับได้คาอพาร์ตเมนต์ย่านสำโรงเหนือ เจ้าตัวให้การปฏิเสธ ขณะที่ตำรวจขุดพบหมายจับอีก 3 หมาย,รวบลูกเลี้ยงหนุ่มปลอมพินัยกรรมหลังแม่ บุญธรรมตาย เบิกเงินไปใช้กว่า 20 ล้านบาท เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธ์ุม่วง ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.อภิสัณฐ์ ไชยรัตน์ พ.ต.ท.ชัยฏิภูมิ อำนวยชัย รองผกก.5 บก.ป. พ.ต.ต.พงศ์พิทักษ์ บุญบำรุง สว.กก.5 บก.ป. พร้อมกำลัง ร่วมกันจับกุมนายณัฐชัย ศรีอิทยาวิทย์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1041/35 ถนนเพลินจิต ซอยนายเลิศ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. ตาม หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ลงวันที่ 22 ก.ย.2560 ข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม จับได้ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในซอยแบริ่ง 58 ต.สำโรงเหนือ อ.เมืองสมุทรปราการ,ผกก.5 บก.ป.เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับกองปราบปราม ถูกนายณัฐชัยพร้อมกับพวกร่วมกันปลอมคำสั่งศาลและพินัยกรรมของบิดา-มารดาของผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายและพี่สาว เป็นผู้รับทรัพย์สินตามพินัยกรรม ทั้งที่ดินย่านเพลินจิต และที่ จ.นครนายก เครื่องเพชรและเงินสด รวมแล้วประมาณ 150 ล้านบาท ต่อมาพี่สาวเสียชีวิตไปพร้อมกับสามีเมื่อปี 58 นายณัฐชัยซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของพี่สาวและสามีที่รับเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็ก เกรงจะไม่ได้มรดก ตัดสินใจแก้คำสั่งศาลทำพินัยกรรมปลอม นำไปยื่นกับธนาคารหลายแห่งที่พ่อ-แม่ผู้เสียหายมีทรัพย์สินฝากไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารหลงเชื่อ ให้ผู้ต้องหาถอนเงินออกมากว่า 20 ล้านบาทแล้วหลบหนี กระทั่งผู้เสียหายพบว่ามีการกระทำความผิด ได้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ลุมพินี ก่อนที่เจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ป. จะติดตามจับกุมได้,พ.ต.อ.ภูมินทร์กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า ผู้ต้องหายังไม่มีอาชีพอะไร มีหมายจับที่ยังไม่ถูกจับกุมอีก 3 คดี คือ หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารทางราชการและใช้เอกสารราชการปลอมและร่วมกันฉ้อโกง หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ 94/2561 ข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานในยุติธรรม และหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 95/2561 ข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานในยุติธรรม,ขณะที่นายณัฐชัยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ และยังไม่เคยถูกจับกุมมาก่อน เจ้าหน้าที่นำตัวส่ง สน.ลุมพินี ดำเนิน คดีตามกฎหมายต่อไป | กองปราบฯรวบหนุ่มกลัวไม่ได้มรดกเพราะแม่บุญธรรมเสียชีวิต เลยแอบปลอมพินัยกรรมไปเบิกเงินกว่า 20 ล้านบาทแล้วหลบหนี ต่อมาผู้เสียหายเป็นน้องสาวแม่บุญธรรมรู้เรื่อง | ข่าว,ทั่วไทย | แก้คำสั่งศาล,ปลอมพินัยกรรม,กองปราบปราม,มรดก,ข่าวหน้า1,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1282542 |
ผมทรงไหน ใช้อะไรเซต พบ 6 ตัวช่วยที่ทำให้หนุ่มๆ หมดปัญหาเรื่องผมไม่เป็นทรง | หากคิ้วเปรียบเสมือนมงกุฎของสาวๆ ทรงผมของผู้ชายก็คงไม่ต่างกัน เพราะการจะดูดีได้นอกจากเสื้อผ้าต้องเป๊ะแล้ว ทรงผมของหนุ่มๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลุคของคุณวันนั้น ดับ หรือ ได้ไปต่อ เพราะแม้คุณจะตัดผมกับร้านชื่อดังขนาดไหน แต่ถ้ากลับมาบ้านแล้วเซตไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมชนิดไหน เพราะมีให้เลือกทั้ง โพเมด แว็กซ์ เจล เคลย์ สเปรย์ มูส ฯลฯ ที่วางเรียงรายอยู่บนชั้น อย่าลืมว่าผมแต่ละทรงใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมไม่เหมือนกัน เจลกระปุกเดียวกับที่ซื้อมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว อาจไม่เหมาะกับผมทรงปัจจุบันของคุณ ดังนั้น วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยว่าโปรดักส์แต่งผมเหล่านี้ทำอะไรกับเส้นผมของหนุ่มๆ ได้บ้าง และตัวไหนที่เหมาะกับทรงผมของคุณมากที่สุด (ซ้าย) เนื้อเจลมีความใส บาง แต่จัดทรงอยู่นาน(ขวา)คริส เฮมส์เวิร์ธเจล ยึดเกาะสูง & เงามากเจลถือเป็นผลิตภัณฑ์แต่งผมที่คนรู้จักมากที่สุด เพราะหาซื้อง่ายและเห็นใช้กันมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ สามารถเซตผมให้เรียบแปล้แบบเนิร์ดๆ ด้วยการหวีปาดหรือเสยไปด้านหลัง หรือจับผมที่สั้นๆ ให้ชี้ขึ้นเป็นช่อ เป็นผมทรงหนาม ข้อเสียคือทำให้ผมแห้งกรัง แข็ง ไม่เป็นธรรมชาติเพราะเส้นผมแทบไม่กระดิก หากเลือกยี่ห้อไม่ดีจะทิ้งขุยขาวๆ ไว้เต็มศีรษะเหมือนรังแค เสียบุคลิกหมด (ซ้าย) ตัวละครจาก Mad Men (ขวา) โพเมดมอบความเรียบ เนี้ยบ กริบ โพเมด ยึดเกาะสูง & เงามากโพเมดมอบลุคเนี้ยบกริบสไตล์วินเทจเหมือนพระเอก Mad Men หรือที่บ้านเราเรียก ทรงคุณชาย ต่างจากเจลตรงที่ไม่ทำให้ผมแห้งกรอบ เส้นผมมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า ผมทรงนี้ได้รับความนิยมมากในบ้านเราช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนผสมหลักที่ใช้ได้แก่น้ำมัน บางยี่ห้อจึงล้างออกค่อนข้างยาก ทำให้ผมเหนียวเหนอะหนะ และอาจอุดตันจนเกิดสิวบนหนังศีรษะได้ ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อที่ใช้สูตรน้ำ (water based) ทำให้สระออกง่ายขึ้น แต่พลังยึดเกาะไม่แน่นเท่าสูตรน้ำมัน อาจต้องพกเติมระหว่างวัน (ซ้าย) แว็กซ์มีลักษณะเป็นเนื้อครีม เซตได้ทั้งทรงเนี้ยบและเซอร์ๆ (ขวา) แซค แอฟรอนแว็กซ์ ยึดเกาะปานกลาง & เงาปานกลางแว็กซ์ต่างจากโพเมดตรงที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ทำให้พลังการยึดเกาะไม่สูงเท่า แต่สามารถเซตให้อยู่ทรงได้ดีและหลากหลาย ไม่ว่าจะเนี้ยบๆ หวีปาด หรือใช้มือเสยผมขึ้นให้ดูเซอร์ๆ สบายๆ เหมาะทั้งหนุ่มผมสั้นและยาวปานกลาง แนะนำให้วอร์มด้วยการป้ายแว็กซ์ปริมาณเท่าเหรียญบาทลงบนฝ่ามือ ถูไถฝ่ามือไปมา ก่อนจัดแต่งเส้นผม วิธีนี้ช่วยให้ใยในแว็กซ์ยึดเกาะเส้นผมได้ดีขึ้น ข้อเสียคืออาจอยู่ไม่ถึงค่ำ เพราะเหงื่อและความชื้นในอากาศทำให้แว็กซ์คลายตัวได้ง่าย (ซ้าย) เดวิด เบ็คแฮม (ขวา) เคลย์มีเนื้อคล้ายขี้ผึ้ง ไม่เหนอะมือ เน้นความด้าน ไม่ขึ้นเงา เคลย์ และ พาสต์ – ยึดเกาะปานกลาง & เงาต่ำคล้ายแว็กซ์แต่ส่วนใหญ่เป็นเนื้อด้าน ใส่แล้วไม่ขึ้นเงา ทำให้เส้นผมเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย เหมาะกับวันลำลองที่คุณสามารถเสยผมโชว์สาวได้ ใช้ได้กับหนุ่มผมสั้นและยาวปานกลาง แต่อย่าลืมวอร์มก่อนใช้งานด้วย (ซ้าย) โฟมจากมูสช่วยเพิ่มวอลุ่ม ทำให้ผมดูหนาขึ้น (ขวา) ทิโมธี ชาลาเมต์มูส – เพิ่มวอลุ่มมูสใช้สำหรับเพิ่มวอลุ่มให้เส้นผม เหมาะสำหรับคนที่มีผมเส้นเล็ก ลีบ แบน แต่อยากทำให้ผมดูหนาขึ้น ควรใช้ระหว่างเป่าผมใกล้แห้ง จากนั้นเป่าต่อจนผมแห้ง แล้วตามด้วยผลิตภัณฑ์แต่งผมอื่นๆ ทรงที่ได้จะดูหนา แน่น ฟู หนุ่มผมยาวบางคนใส่แค่มูส ขยุ้มๆ เป่านิดหน่อยก็ออกจากบ้านได้เลย ด่านสุดท้ายใช้ฉีดให้ทั่วศีรษะหลังเซตผมเสร็จแฮร์สเปรย์ – อยู่ทรงนานหน้าที่ของแฮร์สเปรย์คือประการด่านสุดท้ายที่ช่วยให้ทรงผมที่คุณเซตไว้อย่างดี อยู่ทรงไปตลอดทั้งวัน เพียงฉีดให้ทั่วศีรษะหลังเซตผมเสร็จ แค่นี้ก็ไม่ต้องคอยพะวงว่าผมจะเสียทรงระหว่างวันPhoto:Shutterstock | แม้คุณจะตัดผมกับร้านชื่อดังขนาดไหน แต่ถ้ากลับมาบ้านแล้วเซตไม่เป็น ไม่รู้ว่าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมชนิดไหน เพราะมีให้เลือกทั้ง โพเมด แว็กซ์ เจล เคลย์ สเปรย์ มูส ฯลฯ ผมแต่ละทรงใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมไม่เหมือนกัน เจลกระปุกเดียวกับที่ซื้อมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว อาจไม่เหมาะกับผมทรงปัจจุบันของคุณ | null | null | https://thestandard.co/hairstyling-products-for-men/ |
เฉลิมแถลงผลงาน 1 ปี ศพส. ตัดเส้นทางขนส่งยาเสพติด-บำบัดผู้เสพได้เกินเป้า | วันนี้ (12 ก.ย.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ หรือ ศพส. ร่วมกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ หรือ ป.ป.ส. แถลงผลงานวาระครบรอบ 1 ปี วาระแห่งชาติเอาชนะยาเสพติดว่า ได้ร่วมกับทางทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกันสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากตะเข็บชายแดนรวมถึงการตัดเส้นทางของสารตั้งต้นยาเสพติด ซูโดอีเฟดรีนพร้อมทั้งร่วมมือ กับ ประเทศจีน ลาว และพม่า ตั้งจุดตรวจลำน้ำโขงและแนวตะเข็บชายแดนในการปราบปรามยาเสพติด ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวขอบคุณกองทัพบก เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานต่างๆ ที่ร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดจนผลงานอย่างมากมาย รวมถึงการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดเกินกว่าที่ตั้งไว้ คือ 400000 คน แต่มีผู้เข้ารับการบำบัด ทั้งสมัครใจ บังคับบำบัด และระบบต้องโทษ รวมกว่า 500000 คนด้าน พล.ท.หฤษฎ์ พุ่มหิรัญ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ศพส.กล่าวถึงบทบาทของกองทัพ ในการบำบัดรักษาและฟื้นฟู สมรรถภาพผู้ที่ติดยาเสพติด ที่ทางรัฐบาลขอสนับสนุนกองคุมประพฤติใช้หน่วยที่ตั้งของทหาร จำนวน 52 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2555 มีผู้เข้ารับการบำบัดกว่า 7000 คน ซึ่งในการบำบัดจะใช้เวลาทั้งหมด 6 เดือน โดยแบ่งเป็น 2 เดือนแรกเป็นการฟื้นฟูทางด้านร่างกาย และระเบียบวินัย 2เดือนต่อมาจะฟื้นฟูสภาพจิตใจ และ 2 เดือนสุดท้ายจะเป็นการเตรียมพร้อมให้ผู้เข้ารับการบำบัดกลับสู้สังคม สำหรับในปี 2556 ยืนยันและพร้อมบำบัด และฟื้นฟูผู้ที่ติดยาเสพติด เพื่อที่จะกลับเข้าสังคมได้อีกน.อ.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ารัฐบาลได้กำหนดว่าการบำบัดผู้ติดยาเสพติดให้.ช้หลักเมตตาธรรม ซึ่งให้ถือว่าผู้ที่ติดยาเสพติดถือเป็นผู้ป่วย ที่จะต้องได้รับการดูแล และรักษา พร้อมทั้งระบุว่าผู้ที่ได้รับการบำบัดเรียบร้อยแล้วจะต้องไม่กล้บไปใช้ยาเสพติดอีก โดยมีการติดตามผลการรักษา และให้ครอบครัวช่วยดูแลสอดส่อง และผู้ที่เข้ามารับการรักษามากที่สุดคือ ผู้ใช้แรงงาน รองลงมาเป็นเกษตรกร และอันดับ 3 คือนักเรียนนักศึกษา โดยพบว่าผู้ที่ติดยาเสพติดที่อายุน้อยที่สุดอยู่ที่ 9 ปีทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม เผยว่า ขณะนี้ได้ร่างกฎหมาย เพิ่มเติม คือถ้าตรวจพบผู้ติดยาเสพติดจะไม่มีการจับ แต่จะส่งบำบัดทันที พร้อมผลักดันโทษประหารชีวิตจากที่ศาลอาญาตัดสินเห็นพ้องกับศาลชั้นต้น การประหารชีวิตต้องมากกว่า 60 วันไปแล้วถึงจะประหารชีวิตได้เป็นโทษประหารภายใน 15 วัน ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม พร้อมขอความร่วมมือทุกฝ่ายร่วมมือและในปีหน้า 2556 นี้จะเน้นการค้นหาผู้ติดยาเสพติดเพื่อเข้ารับการบำบัด ซึ่งยุทธศาสตร์ ในปี 2556 จะเน้นการจับกุม การบำบัด การป้องปราบ และการป้องกัน | ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศพส. แถลงผลการดำเนินงาน ครบรอบ 1 ปี ศพส. โดยร่วมกับทหาร-ตำรวจ สกัดกั้นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากตะเข็บชายแดนและขจัดสารตั้งต้นยาเสพติด รวมถึงเผยยอดการเข้ารับการบำบัดรยาเสพติด เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมกว่า 500000 คน | การเมือง | ป.ป.ส.,ยาเสพติด,ศพส.,เฉลิม,แถลง | https://news.thaipbs.or.th/content/110940 |
คนแห่เที่ยวแน่นชายหาดอ่าวดงตาล นมัสการหลวงพ่ออี๋ ส่งท้ายผ่อนปรนเฟส 3 | ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังชายหาดอ่าวดงตาล กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบว่ามีประชาชนเป็นจำนวนมากพาครอบครัวมานั่งเล่นพักผ่อนที่ชายหาด หลังจากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 3 จึงมีประชาชนในพื้นที่อำเภอสัตหีบและพื้นที่ใกล้เคียงต่างหลั่งไหลพาครอบครัวมาเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุด หากเมื่อยก็มีกลุ่มแม่บ้านทหารเรือที่ผ่านการฝึกอบรมนวดฝ่าเท้าระดับมืออาชีพคอยให้บริการนวดฝ่าเท้าคลายเมื่อย และ การจัดจำหน่ายห่วงยาง เตียง เสื่อ ไว้ให้บริการเป็นอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่งทางชายหาดอ่าวดงตาล กองเรือยุทธการ ยังคงมาตรการตรวจวัดไข้ มีจุดใช้เจลล้างมือไว้บริการให้ประชาชนนั่งเว้นระยะห่างในการนั่งในพื้นที่บริเวณชายหาด มีป้ายแจ้งเตือนการปฏิบัติของนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคนจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงแม้จะได้รับการผ่อนปรนแล้วก็ตามส่วนบรรยากาศที่ วิหารหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ประชาชนจำนวนมากได้ทยอยเดินทางมากราบไหว้หลวงพ่ออี๋เกจิอาจารย์ดังในพื้นที่สัตหีบอย่างไม่ขาดสาย และได้พบกับผู้คนที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่างเดินทางเข้ามาสักการะกราบไหว้บูชาหลวงพ่ออี๋เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งภาคตะวันออกเป็นจำนวนมาก สำหรับพระครูวรเวทมุนี หรือที่รู้จักกันว่าหลวงพ่ออี๋ โดยประชาชนทุกคนก็ต้องเดินทางผ่านอุโมงค์ฆ่าเชื้อไวรัสที่ทางวัดได้จัดไว้ก่อนจะเข้าไปสักการะในวิหารหลวงพ่ออี๋. | ประชาชนเป็นจำนวนมาก พากันเดินทางมาพักผ่อนที่ชายหาดดงตาล อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ในช่วงสุดท้ายของการผ่อนปรนระยะ 3 ก่อนเข้าสู่ระยะที่ 4 ทั้งนี้ยังมีการคุมเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง | ข่าว,ทั่วไทย | เที่ยวทะเล,อ่าวดงตาล,อ.สัตหีบ,ชลบุรี,หลวงพ่ออี๋,วัดสัตหีบ,ผ่อนปรนระยะ 3,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/east/1868671 |
ไล่ล่ามือฆ่าชิงทรัพย์เสี่ยรับเหมาสุพรรณบุรี | เมื่อวานนี้ (20 ก.ย.2561) ตำรวจภูธรเมืองสุพรรณบุรี เข้าตรวจสอบบริษัท ชยุตา 9999 จำกัด ใน ต.โพธิ์พระยา อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี หลังได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมในบริเวณดังกล่าวสำหรับที่เกิดเหตุเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ตั้งอยู่ในพื้นที่กว่า 3 ไร่ ด้านข้างเป็นห้องแถวบ้านพักคนงาน ด้านในสุดติดแม่น้ำสุพรรณบุรี มีบ้านไม้ทรงไทย ซึ่งภายในห้องนอนพบศพนายณัฐปพนวิช วงค์ธนจีรนาถ อายุ 49 ปี เจ้าของบ้าน โดยพบบาดแผลถูกแทงหลายแห่งและพบร่องรอยการรื้อค้นทรัพย์สิน จากสอบสวนนายรณัฐ สุนทรวิภาต ลูกบุญธรรมของผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้พบศพ ให้การว่าไม่เห็นพ่อออกจากห้องนอนจึงเดินไปปลุก แต่พบประตูห้องล็อกด้วยแม่กุญแจจากด้านนอก จึงไปตามพี่สาวของผู้ตาย นำกุญแจสำรองมาไขเข้าไปดูก็พบว่านายณัฐปพนวิช เสียชีวิตแล้วด้านนางณัฐณิชาภรณ์ วงค์ธนจีรนาถ พี่สาวผู้ตาย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 ก.ย. น้องชายพาคนงานชาวเมียนมา มา 3 คน โดยมีนายโซ คนชาวเมียนมา อายุประมาณ 22 ปี ที่เพิ่งมาทำงานได้เพียงวันเดียว ขอเข้าไปพักที่บ้านของน้องชาย กระทั่งเช้าวันที่ 20 ก.ย. ก็พบว่าน้องชายเสียชีวิตจากการตรวจสอบสิ่งของมีค่าพบว่าหายไปหลายรายการ เช่น สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 3 องค์ สร้อยข้อมือทองคำหนัก 3 บาท แหวนเพชร 2 วง นาฬิกาหรู รวมถึงเงินสดอีกประมาณ 20000 บาท และปืนพก 1 กระบอก คิดเป็นมูลค่าหลายแสนบาท พ.ต.อ.อภิชิต สุรพินิจ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ฆาตกรลงมืออย่างเหี้ยมโหด ทั้งทุบหัวและใช้ของแหลมแทง ขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด สอบพยานแวดล้อม รวมถึงเช็กกล้องวงจรปิดภายในบ้านและบริเวณทางเข้าบริษัท สันนิษฐานเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุอาจจะเป็นนายโซ แรงงานเมียนมาที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงวันเดียวเบื้องต้น สอบปากคำเพื่อนแรงงานด้วยกันทราบว่า นายโซมาจาก อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี มาทำงานในบริษัทผู้ตายจากการชักชวนของชาวเมียนมาที่รู้จักกัน ผู้ตายเพิ่งไปรับมาเมื่อวานนี้ ขณะนี้ได้ให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่เพื่อติดตามตัวนายโซ ส่วนสาเหตุสังหารน่าจะมาจากการฆ่าชิงทรัพย์ เนื่องจากผู้ตายใส่เครื่องประดับและสิ่งของมีค่าติดตัวมาก จึงอาศัยช่วงดึกที่ญาติผู้ตายและคนงานเข้านอนหมดแล้ว ลงมือฆ่าชิงทรัพย์แล้วหลบหนีไปสำหรับนายณัฐปพนวิช วงค์ธนจีรนาถ หรือ เสี่ยเล็ก อรดา มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เคยทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ปัจจุบันรับเหมาก่อสร้างตึกแถวและหมู่บ้านหลายแห่ง พร้อมทำธุรกิจสวนเกษตรอินทรีย์และสวนมะม่วง | ตำรวจเร่งไล่ล่าติดตามตัวชายชาวเมียนมาที่ก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ใน จ.สุพรรณบุรี โดยเป็นการก่อเหตุหลังนายจ้างรับเข้าทำงานเพียงวันเดียว | อาชญากรรม | เสี่ยรับเหมาก่อสร้าง,ฆ่าชิงทรัพย์,สุพรรณบุรี,ฆาตกรรม,แรงงานเมียนมา,ไทยพีบีเอส,ข่าวไทยพีบีเอส,ThaiPBSnews,ThaiPBS | https://news.thaipbs.or.th/content/274692 |
ไป รัสเซีย กันดีกว่า | สำหรับ 4 ทีมล่าสุดที่จะได้ไปเหยียบถิ่นหมีขาว รัสเซีย ในปีหน้า ได้แก่ ไนจีเรีย, คอสตาริกา, โปแลนด์ และ อียิปต์ หลังจากนัดล่าสุดทำแต้มมากพอที่จะได้ตั๋วผ่านเข้ารอบสุดท้าย,โดยเฉพาะ ทีมชาติอียิปต์ ที่ได้เล่นรอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 3 และเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่ขุนพลมัมมี่สามารถตีตั๋วผ่านเข้ารอบสุดท้ายมาได้ โดยครั้งล่าสุดที่ได้เล่นในรอบนี้ ต้องย้อนไปในปี 1990 เลยทีเดียว,สำหรับทีมที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ล่าสุด ได้มา 14 ทีม ดังนี้,โซนอเมริกาใต้ : บราซิล (เข้ารอบสุดท้าย 21 สมัย),โซนเอเชีย : อิหร่าน (เข้ารอบสุดท้าย 5 สมัย) ญี่ปุ่น (เข้ารอบสุดท้าย 6 สมัย) เกาหลีใต้ (เข้ารอบสุดท้าย 10 สมัย) ซาอุดีอาระเบีย (เข้ารอบสุดท้าย 5 สมัย),โซนคอนคาเคฟ : เม็กซิโก (เข้ารอบสุดท้าย 16 สมัย) คอสตาริกา (เข้ารอบสุดท้าย 5 สมัย),โซนแอฟริกา : ไนจีเรีย (เข้ารอบสุดท้าย 6 สมัย) อียิปต์ (เข้ารอบสุดท้าย 3 สมัย),โซนยุโรป : เบลเยียม (เข้ารอบสุดท้าย 13 สมัย) เยอรมนี (เข้ารอบสุดท้าย 19 สมัย) อังกฤษ (เข้ารอบสุดท้าย 15 สมัย) สเปน (เข้ารอบสุดท้าย 15 สมัย) โปแลนด์ (เข้ารอบสุดท้าย 8 สมัย),เมื่อรวมกับเจ้าภาพ รัสเซีย ทำให้ตอนนี้มีทั้งหมด 15 ทีม ที่เข้ารอบสุดท้ายแน่นอนแล้ว ยังเหลืออีก 17 ทีม ที่กำลังแย่งชิงตั๋วรอบสุดท้าย ก็ขอให้สมหวังกันทั่วหน้า,JUPITER | งวดเข้ามาทุกขณะสำหรับศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ของทุกโซน ล่าสุดได้มาอีก 4 ทีม ที่ตีตั๋วเข้ารอบสุดท้ายไปแล้ว | null | ฟุตบอลโลก 2018,ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก,ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย,รัสเซีย,ฟุตบอลโลก | https://www.thairath.co.th/sport/eurofootball/otherleague/1093760 |
ตำรวจอ่างทอง ตั้งจุดสกัดจุดตรวจ จับยาบ้า 4000 เม็ด | วันที่ 9 ก.ค. นายวีร์รวุทธ์ ปุตระเศรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชูตระกูล ยศมาดี ผกก.สภ.เมืองอ่างทอง แถลงข่าวตำรวจตั้งจุดสกัดจุดตรวจ สามารถจับกุมผู้ต้องหาขนยาบ้า จำนวน 4,000 เม็ด ที่ สภ.เมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2559 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอ่างทอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตั้งจุดตรวจจุดสกัดเส้นทางสายรอง โดยรอบอำเภอเมืองอ่างทอง บริเวณ ถ.ลำท่าแดง-วัดน้ำอาบ ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง พบรถต้องสงสัย รถยนต์กระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน บฉ 279 อ่างทอง จึงขอทำการตรวจค้น โดยมี นางสาวพันธุ์ทิพย์ หรือ น้ำตาล มาศิริ อายุ 26 ปี บ้านเลขที่ 105/1 ม.7 ต.แสวงหา อ.แสวงหา จ.อ่างทอง เป็นเจ้าของรถพร้อมคนขับ นายเทวัญ หรือ เบียร์ เจริญพิทักษ์กุล อายุ 34 ปี บ้านเลขที่ 207 ม.5 ต.แสวงหา อ.แสวงหา จ.อ่างทอง หลังการตรวจค้นพบ ยาบ้า จำนวน 2 มัด (4000 เม็ด) ซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะที่นั่งด้านหน้า และทำการยึดของกลางทั้งหมด รถยนต์กระบะอีซูซุ ทะเบียน บฉ 279 อ่างทอง จำนวน 1 คัน สร้อยคอทองคำ จำนวน 1 เส้น สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร โทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง รถจักรยายนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น MSX จำนวน 1 คัน ซึ่งตรวจสอบพบว่า เป็นรถที่แจ้งหายในเขตพื้นที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ โดยรับว่าทำมาหลายครั้งแล้ว แต่เป็นแค่คนรับจ้างขนยาเสพติด โดยได้รับค่าจ้างในราคามัดละ 2,000 บาท มาส่งให้กับลูกค้าที่บริเวณสถานีขนส่งอ่างทอง ก่อนโดนจับกุม และจากการขยายผล สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 1 ราย นายอดินันท์ หรือ พี เรืองปาน อายุ 24 ปี บ้านเลขที่ 18 ม.5 ต.กำเนิดนพคุณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงควบคุมตัวพร้อมยึดของกลางทั้งหมดเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย ต่อไป. | ผู้ว่าฯ ร่วมกับ ตร.อ่างทอง แถลงข่าว ตำรวจตั้งจุดสกัดจุดตรวจ สามารถจับกุมผู้ต้องหาแก๊งขนยาบ้า 3 ราย ได้ของกลางเป็นยาบ้า จำนวน 4,000 เม็ด พร้อมยึดรถกระบะ-จยย.-สร้อยคอทองคำ-สมุดบัญชีธนาคาร | null | ยาบ้า4000เม็ด,จับยาบ้า,อ่างทอง,ผู้ต้องหา 3 ราย,วีร์รวุทธ์ ปุตระเศรณี,ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง,ชูตระกูล ยศมาดี,ผกก.สภ.เมืองอ่างทอง,แสวงหา,ข่าว,ไทยรัฐออนไลน์,ข่าวสังคม,ภูมิภาค,ทั่วไทย | https://www.thairath.co.th/content/659266 |
สัมผัส Dream Keeper แห่งอาเซียน สันติภาพต้องมาจากคนพื้นที่เอง | พื้นที่ความขัดแย้งในอาเซียน คือ อาเจะห์ของอินโดนีเซีย เกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์และชายแดนใต้ของไทย ในนาม Dream Keeper หรือคนเฝ้าฝันสันติภาพแห่งอาเซียน ดร.กามารุซซามาน อัสกันดาร (ขวา) หรือ ดร.แซม แห่งเครือข่ายศึกษาความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยไซน์มาเลเซีย กับภรรยาชาวเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ผู้เรียกตัวเองว่า Dream Keeper หรือคนเฝ้าฝันสันติภาพแห่งอาเซียน - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 3 พื้นที่ขัดแย้งแห่งอาเซียน เครือข่ายศึกษาความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยไซน์มาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1999 เพื่อทำงานด้านการสร้างสันติภาพ ปัจจุบันเรามีพื้นที่ทำงานสามพื้นที่คือ จังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย เกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ผมเป็นผู้ประสานงานศูนย์วิจัยและศึกษาเพื่อสันติภาพ ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยไซน์มาเลเซีย การทำงานวิจัยและศึกษานี่แหละจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสันติภาพให้ทั้งสามพื้นที่ได้ โดยพื้นที่แรกที่เราเริ่มทำงานคือ อาเจะห์ เราเข้าไปในอาเจะห์เป็นครั้งแรกในปี 2001 ต่อมาในปี 2004 สันติภาพในอาเจะห์ก็เกิดขึ้น และภารกิจในอาเจะห์ของเราก็สิ้นสุดลงในปีเดียวกันนั้นเอง ตอนนี้เรายังเหลือพื้นที่ทำงานอีกสองแห่ง คือ มินดาเนาของฟิลิปปินส์ กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เราเริ่มเข้ามาศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี 2004 คือหลังจากมีเหตุปล้นปืนของกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตำบลปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 รูปแบบการทำงานของเรา คือ การเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งไปสู่สันติภาพ ซึ่งอันที่จริงแล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งมันคงยากที่จะให้ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นและจบลงง่ายๆ แต่เราก็พยายามศึกษาถึงสาเหตุของความขัดแย้ง เพื่อนำไปใช้ในการสร้างสันติภาพ การแก้ปัญหานั้นของเรามี 2 ขั้นตอนหลัก คือ1.เปลี่ยนจากการแก้ปัญหาโดยยาก ไปสู่การแก้ปัญหาโดยง่าย 2.สร้างให้คนในพื้นที่เกิดจิตสำนึกในการสร้างสันติภาพ ที่มินดาเนา เราได้ศึกษาวิจัยร่วมกับภาคประชาสังคมและภาคประชาชน ซึ่งเราไม่ยึดข้อมูลของคู่ขัดแย้งอย่างเดียว นั่นคือรัฐบาลฟิลิปปินส์กับขบวนการMILF () เพราะข้อมูลที่ดีที่สุด คือข้อมูลที่มาจากฝ่ายที่อยู่ตรงกลางระหว่างคู่ขัดแย้ง นอกจากนี้ เราได้ทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานเพื่อสร้างสันติภาพ เช่น องค์กรที่มาจากประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าเราร่วมกันทำงานกันหลายฝ่าย เราเริ่มเข้าไปทำงานการสร้างสันติภาพในมินดาเนาตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งเกี่ยวเนื่องจากการที่รัฐบาลมาเลเซียเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับขบวนการMILF บทบาทในชายแดนใต้ของไทย เราได้สร้างเครือข่ายเพื่อสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียนของเรา มีหลายพื้นที่ยังมีความขัดแย้งอยู่ การศึกษาวิจัยจะไม่เกิดประโยชน์เลย ถ้าเราไม่นำองค์ความรู้ที่ได้มา นำไปปฏิบัติจริง ศูนย์วิจัยและศึกษาเพื่อสันติภาพ ซึ่งเราตั้งอยู่ที่มาเลเซีย เพราะความเหมาะสมทางด้านภูมิศาสตร์ คือตั้งอยู่ท่ามกลางประเทศที่มีความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ระหว่างที่ยังมีความไม่สงบอยู่ มีชาวอาเจะห์จำนวนมากที่หลบหนีเข้ามาเลเซีย หรือกรณีของจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ก็มีคนในพื้นที่ไม่น้อยที่หลบหนีความขัดแย้งเข้ามาทางรัฐทางภาคเหนือของมาเลเซีย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้รัฐบาลมาเลเซียอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ จึงเกิดแนวคิดที่จะสร้างสันติภาพให้ประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นเราจึงมีโครงการที่จะสร้างสันติภาพให้กับพื้นที่อาเจะห์ มินดาเนาและชายแดนภาคใต้ของไทยขึ้นมา สำหรับแนวทางการสร้างสันติภาพนั้น ไม่มีทฤษฏีตายตัว เพราะในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ ดังนั้นการดึงคนในพื้นที่กระบวนการสร้างสันติภาพนั้น เป็นกุญแจที่สำคัญมาก เพราะคนในพื้นที่เท่านั้นที่จะเข้าใจปัญหาต้นตอของความขัดแย้งได้ดีที่สุด ข้อมูลของคนในพื้นที่จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาในพื้นที่ ทำให้เราทำงานง่ายขึ้นมาก การสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนในพื้นที่ มีส่วนช่วยในการทำงานง่ายขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นมุสลิมด้วยกัน ซึ่งจะมีความลึกซึ้งมากกว่าคนที่มาจากต่างศาสนา ความเป็นจุดร่วมของเรา จะต่างจากจุดร่วมขององค์กรที่มาจากชาติตะวันตก แนวทางการทำงานของเราคือ เข้าไปช่วยเหลือคนในท้องถิ่นที่ต้องการสร้างสันติภาพ สำหรับการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2004 นั้น เริ่มจากการพูดคุยกับนักศึกษาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่เข้าไปศึกษาเล่าเรียนในประเทศมาเลเซีย จากนั้นเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย นอกจากนี้ เรายังได้ศึกษาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เราได้สร้างความสัมพันธ์กับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อร่วมกันสร้างกระบวนการสร้างสันติภาพขึ้นมา โดยเราได้สร้างหลักสูตรที่เรียกว่า สันติศึกษา ตอนนี้เราได้ทำงานร่วมกับนักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งวิทยาเขตหาดใหญ่และวิยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และเราได้ดึงนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมด้วย หลักสูตรสันติศึกษา ประกอบด้วย วิชาว่าด้วยทางออกของความขัดแย้ง วิชาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชน กำเนิด Dream Keeper คนเฝ้าฝันสันติภาพ ในปี 2008 เราได้เริ่มโครงการ Dream Keeper หรือคนเฝ้าฝัน ทำไมเราถึงใช้คำนี้ เพราะเราเชื่อว่า ทุกคนทุกฝ่ายต่างก็มีความฝันที่จะเห็นสันติภาพที่ยั่งยืน ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่รุนแรง เราทุกคนต่างมีฝันที่จะเห็นสันติภาพ ความยุติธรรม ความเท่าเทียม ทุกคนมีบทบาทในการปกปักรักษาความสงบ ถึงแม้ในความจริงวันนี้สันติภาพยังไม่เกิดขึ้น วันนี้เราจึงต้องเริ่มต้นด้วยความฝัน จากนั้น ขั้นต่อไปก็ต้องคิดถึงว่า ใครจะเป็นคนที่ดำเนินความฝันที่มีนั้นให้เป็นจริง ดังนั้นเป้าหมายของเราคือคนรุ่นหนุ่มสาว เยาวชน นักศึกษา เพราะเราคาดการณ์ว่า การแก้ปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ต้องใช้เวลานานพอสมควร ถึงแม้ในช่วงชีวิตของคนรุ่นผม อาจจะไม่เกิดสันติภาพตามที่ได้ตั้งใจไว้ แต่เราคาดหวังว่า เด็กรุ่นใหม่ในยุคต่อไป จะทำให้สันติภาพเกิดขึ้นจริง เราเข้าไปสนับสนุนในด้านกระบวนการสร้างสันติภาพมากกว่า เพราะไม่ใช่ภาระหน้าที่ที่เราจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คนที่อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง จะต้องเป็นผู้ที่ทำให้เกิดสันติภาพในพื้นที่ด้วยตัวของเขาเอง เราเข้าใจว่า โดยลำพังคนในพื้นที่เองนั้น ทำงานด้วยความยากลำบากมาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ศักยภาพของคนทำงาน การสร้างกระบวนการสร้างสันติภาพเองก็ยังมีน้อย อาจเป็นเพราะคนทำงานขาดประสบการณ์ เราสามารถช่วยเหลือในสิ่งที่คนในพื้นที่ยังขาด เราก็จะเข้าไปเติมเต็ม อะไรที่คนทำงานในพื้นที่ไม่มี เราก็จะเข้าไปสร้าง หากคนทำงานขาดประสบการณ์เราก็จะจัดอบรมให้ โดยเราเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เขาไปศึกษาในเรื่องสันติศึกษาในประเทศมาเลเซีย จากนั้นเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เราก็ส่งกลับไปทำงานในพื้นที่ของเขา จากนั้น เมื่อพวกเขากลับมาทำงานในพื้นที่ เราก็จะช่วยเชื่อมความสัมพันธ์กับคนทำงานในพื้นที่อื่นๆ ที่มีความขัดแย้งเหมือนกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ หากกลับมาทำงานในพื้นที่แล้วเกิดปัญหาด้านเงินทุน เราก็จะช่วยเหลือหางบประมาณให้ แต่หากเขามีศักยภาพพร้อมทุกด้าน เขาก็สามารถถอนตัวออกจากคณะทำงานของเราได้ เราทำในลักษณะนี้เหมือนกันทุกพื้นที่ เราไม่ได้ทำงานเพื่อหวังชื่อเสียง แต่เราเห็นว่า ผลสำเร็จของการปฏิบัติงานนั้น เป็นฝีมือของคนในพื้นที่เอง เราเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเท่านั้น ในโครงการ Dream Keeper นี้ เราจะส่งวิทยากรมาให้ความรู้ จากนั้นคนในพื้นที่ก็จะทำงานกันเอง เราจะไม่ลงมาประจำยังพื้นที่เอง สันติภาพต้องมาจากคนพื้นที่ ทั้ง 3 พื้นที่ที่เราทำงานนั้น มีข้อจำกัดในการทำงานแตกต่างกัน ซึ่งก่อนที่จะลงมือทำงาน เราต้องศึกษาความเป็นพื้นที่ก่อน เพื่อหาแนวทางในการวางบทบาทของเราและต้องสอดคล้องกับพื้นที่ เช่น ในมินดาเนา ซึ่งมีแผนสันติภาพเกิดขึ้นมานานแล้ว เราเข้าไปเป็นเพียงผู้หนุนเสริมให้เกิดสันติภาพจริงอย่างไร เราต้องเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยเจรจากันระหว่างฝ่ายที่มีความขัดแย้งกัน แต่สำหรับในชายแดนภาคใต้ยังไม่มีกระบวนการสร้างสันติภาพจริงๆ ความหวาดระแวง ความหวาดกลัวยังคงเกิดขึ้นมาก ดังนั้นเราจึงเลือกการดำเนินงานโดยผ่านมหาวิทยาลัย ซึ่งการทำงานผ่านมหาวิทยาลัยจะมีความชอบธรรมมากที่สุด เพราะเป็นการดำเนินงานภายใต้ร่มของการศึกษา ที่ผ่านมาเราได้จัดอบรม เพื่อให้เกิดแนวคิดการสร้างสันติภาพกับคนในพื้นที่ เราได้ร่วมงานกับคณาจารย์และนักศึกษา เรามีความเชื่อมั่นในพลังของคนหนุ่มสาวที่มีแนวคิดในการต่อสู้แบบสันติ เรารู้ตัวว่า บางครั้งมุมมองของคนอื่นบางคน มักมองว่าเราเป็นกลุ่มที่มาแทรกแซงกิจการภายใน เป็นพวกยุยงบ้าง บางครั้งก็ถูกมองว่า เข้าข้างขบวนการ เราคิดว่า การต่อสู้นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การต่อสู้นั้นมันมีหลากหลายรูปแบบ การต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันกลับเป็นวัฏจักรของความโกรธแค้น การต่อสู้ตามกระบวนการของเรา เป็นทางเลือกเพื่อให้เกิดสันติภาพอย่างถาวร แต่คนที่จะทำให้เกิดสันติภาพนี้ได้ ต้องมาจากคนในพื้นที่เอง ฝ่ายเราเป็นเพียงผู้สนับสนุนด้านองค์ความรู้และงบประมาณในงานสร้างสันติภาพเท่านั้น | สัมภาษณ์พิเศษ ดร.กามารุซซามาน อัสกันดาร หรือ ดร.แซม แห่งเครือข่ายศึกษาความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยไซน์มาเลเซีย ผู้มีบทบาทในกระบวนการสร้างสันติภาพใน 3 | การเมือง,ต่างประเทศ,สิทธิมนุษยชน,ความมั่นคง | Dream Keeper,Malaysia,southeast aisa,คนเฝ้าฝันสันติภาพ,ความมั่นคง,ชายแดนใต้,ดร.กามารุซซามาน อัสกันดาร,ดร.แซม,ฟิลิปปินส์,มาเลเซีย,มินดาเนา,สันติภาพ,สัมภาษณ์พิเศษ,อาเจะห์,อาเซียน,เครือข่ายศึกษาความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,เหตุความไม่สงบ,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | https://prachatai.com/journal/2011/04/33924 |
คพ.เตรียมเอาผิดโรงงานเอทานอลต้นตอกระเบนราหูแม่กลองตาย | วันนี้ (21 ต.ค.2559) นายวิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ผลการตรวจสอบน้ำกากส่าจากโรงงานเอทานอลใน จ.ราชบุรี ที่รั่วไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลองช่วงต้นปลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อนำมาตรวจพิสูจน์ในห้องปฏิบัติการ พบว่ามีความเข้มข้นของแอมโมเนียอิสระสูงถึง 18 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายต่อสัตว์น้ำ โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงน้ำขึ้น น้ำที่ไหลมาจาก จ.กาญจนบุรี และราชบุรี ไม่สามารถระบายออกสู่ทะเลได้ ทำให้น้ำกากส่าบางส่วนตกลงสู่ท้องน้ำ จึงเป็นพิษกับกระเบนราหูและสัตว์น้ำอื่นๆ ในแม่น้ำแม่กลอง บริเวณ จ.สมุทรสงครามศ.สพ.ญ.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า อีกปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้กระเบนตายอย่างเฉียบพลัน คือมีภาวะอัมพาต จากการได้รับสารไซยาไนด์สัปดาห์หน้า ตัวแทนกรมควบคุมมลพิษเตรียมดำเนินการกล่าวโทษโรงงานที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษกับพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และให้โรงงานจ่ายค่าเสียหาย กับภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเก็บตัวอย่างน้ำเสียทุกโรงงานใกล้กับแม่น้ำแม่กลอง เพื่อตรวจสอบการลักลอบปล่อยสารไซยาไนด์ และสารพิษอื่นที่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศและสัตว์น้ำในแม่น้ำแม่กลอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก | กรมควบคุมมลพิษเตรียมดำเนินการกล่าวโทษกับโรงงานเอทานอลใน จ.ราชบุรี หลังผลการตรวจตัวอย่างน้ำกากที่รั่วไหลออกจากโรงงานลงส่งแม่น้ำแม่กลอง หลังพบความเข้มข้นของแอมโมเนียอิสระสูงถึง 18 เท่า ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุทำให้กระเบนราหูตายจำนวนมาก | สิ่งแวดล้อม | ThaiPBSnews,ไทยพีบีเอส,ข่าวไทยพีบีเอส,กรมควบคุมมลพิษ,กระเบนราหู,แอมโมเนีย,โรงงาน,เอทานอล,ราชบุรี,น้ำกากส่า,แม่น้ำแม่กลอง,สมุทรสงคราม | https://news.thaipbs.or.th/content/256924 |
เสนอ กสทช.วางมาตรการด้านการสื่อสาร | น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.เปิดเผยว่า ได้ทำบันทึกข้อความถึงนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.เรื่องขอให้ทำวาระเร่งด่วนเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช.ชุดใหญ่ ในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ เพื่อหาผลกระทบด้านสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเห็นว่าต้องหาแผนหรือมาตรการรองรับ หรือแนวทางป้องกันหากเกิดเหตุการณ์ครั้งต่อไปขณะที่นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ด้านส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวว่า ผลกระทบด้านสิทธิเสรีภาพจากการชุมนุมทางการเมืองที่เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารของประชาชนหลายเรื่องทั้งปัญหาคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเฉพาะในสถานที่ชุมนุมเกิดปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตขัดข้อง จากเหตุการณ์ตัดไฟฟ้าในอาคารศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบริษัท กสท โทรคมนาคม เขตบางรักขณะเดียวกัน ยังเกิดเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.นำมวลชนไปยังสถานีโทรทัศน์ เพื่อกดดันให้สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ถ่ายทอดสัญญาณการเคลื่อนไหว และคำแถลงของ กปปส. | กรรมการ กสทช.ด้านส่งเสริมสิทธเสรีภาพของประชาชน ทำหนังสือถึง กสทช.ชุดใหญ่ขอให้มีการพิจารณาหามาตรการรองรับผลกระทบด้านการสื่อสารจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง | วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี | กปปส.,กสทช.,ชุมนุม | https://news.thaipbs.or.th/content/210519 |
ผู้ว่าฯ โคราช นำทุกภาคส่วนทำพิธีบวงสรวง ดวงวิญญาณย่าโม | เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2561 ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยผู้แทนแม่ทัพภาคที่ 2, ผู้แทนอธิบดีผู้พิพากษาภาค 3, ผู้แทนอธิบดีอัยการภาค 3, หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มสตรี และประชาชนร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณท่านท้าวสุรนารี หรือคุณย่าโม และวางพวงมาลาสักการะ พร้อมสวมเครื่องทรงฤดูร้อน เป็นผ้าสไบสีน้ำทะเล ให้กับองค์จำลองด่านล่าง เนื่องในพิธีฉลองวันแห่งชัยชนะท่านท้าวสุรนารี วีรสตรีผู้กล้าหาญ ซึ่งถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน โดยจัดเครื่องสักการะเซ่นไหว้ชุดใหญ่ ประกอบด้วยอาหารคาวหวาน 9 อย่าง ไข่ต้ม 500 ฟอง บายศรี 9 ชั้น พราหมณ์ร่ายคาถา เพื่อความเป็นสิริมงคล ,ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวกระทำขึ้นด้วยสำนึกในบุญคุณความดีของคุณย่าโมที่ช่วยประเทศชาติให้รอดพ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรู โดยอัญเชิญดวงทิพย์วิญญาณได้สดับตับฟังถึงคำสดุดีในเกียรติประวัติและวีรกรรมอันน่าเทิดทูนยกย่องที่จารึกอยู่ในความทรงจำของประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา และชาวไทยทุกคน และลูกหลานสืบไป พร้อมกันนี้กองทหารกองเกียรติยศจำนวน 1 กองร้อยได้ยิงสลุตนายละ 9 นัดขณะประกอบพิธีพราหมณ์เป่าสังข์ . | ชาวโคราชทุกภาคส่วนร่วมบวงสรวง ดวงวิญญาณย่าโมพิธีศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน โดยจัดเครื่องสักการะเซ่นไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคล | ข่าว,ทั่วไทย | บวงสรวง,ย่าโม,นครราชสีมา,ท้าวสุรนารี,วิเชียร จันทรโณทัย,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/1237766 |
ระดับนี้ต้องแพขนานยนต์ บิ๊กตู่ ลั่นไม่ได้เป็นเรือแป๊ะแจวตามใจ | เมื่อวันที่ 27 พ.ย.58 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวเปรียบเทียบรัฐบาลในวันนี้ว่า เสมือนนำเรือข้ามแม่น้ำ 5 สาย ไม่ใช่เรือแป๊ะ ฉันไม่ใช่แป๊ะ แต่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเรียกก็ไม่เป็นไร เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ แต่ตนไม่ใช่แป๊ะ พอพูดถึงเรือแป๊ะสื่อก็จะบอกว่าต้องตามใจแป๊ะ แต่ความหมายของเรือแป๊ะถ้าเป็นเรือจ้างเรือแจวก็จะต้องมีคนรับจ้างพายข้ามฟาก ก็ต้องตามใจคนพาย อยู่ดีๆ จะบอกว่าไม่ขอไปเส้นโน้น ขออ้อมไปเส้นนี้ได้หรือไม่ เขาไม่ไปหรอก เพราะจะตายเปล่าๆ นั่นแหละเขาเรียกว่าตามใจแป๊ะแจวเรือจ้าง,ผมไม่ใช่เรือจ้างพาพวกท่านไปส่ง แต่ผมเป็นแพและเป็นแพขนานยนต์ด้วยซ้ำ ต้องไปให้เร็วและต้องไปด้วยกันทั้งหมด ขึ้นแพใหญ่ๆ ไป แค่เรือจ้างเรือแป๊ะไม่พอ เพราะผมต้องเอาคนทั้งหมดไป เอาประชารัฐไป ถ้าทุกคนแยกเรือกันไปมันจะไปไม่ได้ ติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ทรงเครื่อง เหมือนกันแหละ แต่งตัวไม่เสร็จมันจะสวยงามได้อย่างไร วันนี้กำลังแต่งตัวอยู่ สื่อเคยได้ยินบ้างไหมคำพวกนี้ ไปอ่านนิทานอีสปกันบ้าง ติเรือทั้งโกลนขณะที่ยังสร้างไม่เสร็จจะไปติทำไม มันเสร็จแล้วก็ไม่ไป ถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ผมก็พูดของผมไปด้วย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว,เมื่อถามว่า แพขนานยนต์ของนายกฯ จะแตกก่อนปี 60 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่เธอ ไม่ได้อยู่ที่ฉัน ฉันต่อแพแล้ว ท่านจะทำให้แพแตกก็เรื่องของท่าน ก็จมน้ำกันไป ผมว่ายน้ำเป็นอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปด้วยกันตายหมด นอกจากว่ายน้ำไม่เป็นยังโดนเหยียบกันตาย เพราะมันแย่งกันทะเลาะกัน เอาเปรียบกัน ต่างคนอยากอยู่ตรงกลางแพ ริมแพไม่มีใครอยู่ ฉะนั้นอย่าลืมว่าทั้งหมดต้องไปด้วยกัน มันต้องค้ำถ่อไปทุกด้าน เท่าเทียมกัน ถ้าค้ำซ้ายอย่างเดียวก็เลี้ยวขวาตลอด มันต้องค้ำหลัง ค้ำซ้าย ค้ำขวา สื่อต้องสอนคนอย่างนี้ เด็กเล็กจะได้เข้าใจ อย่าไปเขียนศัพท์สวิงสวายจะไม่รู้เรื่อง | บิ๊กตู่ ลั่นไม่ใช่เรือแป๊ะ แต่เปรียบเป็นคนต่อแพขนานยนต์ หวังนำประชารัฐถึงฝั่งพร้อมกัน ชี้ถ้าเอาเปรียบแย่งอยู่กลางแพจะตายหมด วอนอย่าติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ทรงเครื่อง บอกวันนี้กำลังแต่งตัวอยู่ | null | ประยุทธ์ จันทร์โอชา,เรือแป๊ะ,นายกฯเปรียบรัฐบาล,นายกฯเปรียบ รบ.เหมือนแพขนานยนต์,ประชารัฐ,การเลือกตั้ง ปี 60,ร่างรัฐธรรมนูญ,แม่น้ำ 5 สาย,บิ๊กตู่,ข่าว,ข่าวการเมือง,ไทยรัฐออนไลน์ | https://www.thairath.co.th/content/542430 |
ประกันตัว 3.5 แสน ลูกพ.ต.อ.รุมโทรม นศ.นิเทศฯ ยืนยันหญิงสมยอม | ,
เวลา 13.00 น. วันที่ 23 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.ท.ทรงพล หมอกกลั่น สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. ได้เบิกตัว นายระบิล ธีรกานต์อนันต์ อายุ 29 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1848/2561 ลงวันที่ 20 ส.ค.2561 ในข้อหา ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ ในลักษณะเป็นการ โทรมหญิง,
ระหว่างการถูกควบคุมตัวพร้อมกับสอบปากคำตลอดคืนที่ผ่านมา นายระบิล ยังคงยืนกรานให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหา อ้างว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเข้าใจผิด ตนเองไม่ได้ก่อเหตุข่มขืนผู้เสียหาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสมยอมระหว่างตนกับผู้เสียหาย แต่ช่วงระหว่างที่ตนเองกับผู้เสียหายกำลังร่วมรักกันอยู่นั้นเป็นจังหวะที่เพื่อนตนเดินเข้ามาพบเห็นเข้าพอดี จึงทำให้ผู้เสียหายเกิดความตกใจและคิดว่าตนกับเพื่อนวางแผนจะรุมโทรม ผู้เสียหายเลยรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเปลือยกายออกไปบริเวณนอกบ้าน ก่อนจะมีการแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว
,อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเวลาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในห้องคุมขังกองบังคับการปราบปรามนั้น ปรากฏว่าไม่มีพ่อ แม่ หรือญาติพี่น้องคนในครอบครัวคนอื่นๆ รวมทั้งเพื่อนๆ ของนายระบิลมาเข้าเยี่ยมแต่อย่างใด มีเพียงทนายความส่วนตัวที่มาเข้าเยี่ยมและให้คำปรึกษาทางด้านคดีเท่านั้น แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของนายระบิลมากนัก เนื่องจากตลอดคืนที่ผ่านมานั้นนายระบิลยังคงรับประทานอาหาร นอนหลับพักผ่อนได้ตามปกติ และไม่ได้มีการแสดงอาการท่าทีที่ดูเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด,ส่วนคำร้องฝากขัง บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค.61 เวลาประมาณ 03.20 – 04.00 น. หลังจากผู้ต้องหาได้พบกับสาวอายุ 24 ปี ผู้เสียหายที่ร้านอาหารชื่อ มาร็อก ย่านถนนประเสริฐมนูกิจ ก็ได้ออกอุบายอาสาพาไปส่งที่บ้านพัก โดยผู้ต้องหาอ้างว่าจะต้องกลับไปเอารถยนต์ที่บ้านพักตนเองซึ่งอยู่กับร้านดังกล่าว ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงไปกับผู้ต้องหาด้วยรถแท็กซี่ก่อน และเมื่อถึงบ้านพักในซอยนวมินทร์ 74 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว ผู้ต้องหาก็ใช้กำลังบังคับให้ผู้เสียหายดื่มไวน์ ก่อนใช้กำลังบังคับถอดเสื้อผ้าแล้วผลักผู้เสียหายให้นอนบนโซฟา กระทั่งข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้จนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง และหลังจากนั้นยังมีชายไทยไม่ทราบชื่อสกุลที่ยังไม่ได้ตัวมาดำเนินคดี เข้ามาจะข่มขืนชำเราต่อ โดยผู้ต้องหาจับขาของผู้เสียหายไว้แต่ยังไม่ทันที่ชายคนดังกล่าวจะสอดใส่อวัยวะเพศ ผู้เสียหายได้ส่งเสียงร้องโวยวายและดิ้นจนสามารถผลักชายดังกล่าวออกได้ แล้วก็สามารถออกจากบ้านเกิดเหตุได้,ต่อมาจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งภายหลังได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานกระทั่งขอศาลออกหมายจับได้เมื่อวันที่ 20 ส.ค.นี้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้วันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ย่าน ถ.เพชรบุรี แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ โดยร่วมกระทำผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ตามประมวลกฎหมายอาญา 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา,ภายหลังศาลพิจารณาคำร้อง และสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านการฝากขัง จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ตามคำร้อง,ต่อมาญาติของนายระบิล ผู้ต้องหา ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์จำนวน 350,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างการฝากขัง ซึ่งศาลกำลังพิจารณาขอประกันตัวดังกล่าว,สำหรับนายระบิล ผู้ต้องหารายนี้ ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า นามสกุลเดียวกันนายตำรวจนอกราชการยศ พ.ต.อ.คนหนึ่ง ซึ่งเกษียณราชการไปแล้ว,ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว นายระบิล ธีรกานต์อนันต์ อายุ 29 ปี โดยตีราคาประกัน 350,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และกำหนดนัดให้ผู้ต้องหามารายงานต่อศาลครั้งแรกระหว่างการฝากขัง หลังครบฝากขังครั้งที่ 4 ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 08.30 น. | คุมตัวลูกชายพ.ต.อ. ฝากขังข้อหา โทรมหญิง หลังพา นศ.นิเทศศาสตร์ที่ไปทำงานพีอาร์สถานบันเทิง หารายได้เสริม ไปที่บ้าน แล้วมีเพื่อนโผล่มาร่วมแจม ยังยืนยันหญิงสมยอม
| ข่าว,อาชญากรรม | รุมโทรม,รุมโทรมนักศึกษา,ข่มขืน,ลูกพ.ต.อ.,ฝากขังลูกพ.ต.อ.,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/crime/1360827 |
งูเข้า จยย.ครูสาวที่โคราช ไล่ไม่ยอมไป ต้องจุดธูปขอ เชื่อมาให้โชค | เมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 ส.ค. 61 ว่าที่ร้อยตรีภัทรกฤต เลาะสูงเนิน ผู้ช่วยเจ้าพนักงานเทศกิจ เทศบาลตำบลพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งจาก นางน้ำฝน พรมรักษ์ อายุ 34 ปี ชาวบ้าน ม.1 ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ครูผู้ดูแลเด็กโรงเรียนกุลโน เขตเทศบาลตำบลพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ว่าให้มาจับงูออกจากรถจักรยานยนต์ให้ด้วย จอดรถไว้ด้านหน้าอาคารเรียน จึงรุดไปตามที่ได้รับแจ้งพร้อมอุปกรณ์การจับงูและเครื่องมือช่าง เพื่อจะทำการรื้อส่วนประกอบของรถจักรยานยนต์ออก พอมาถึงพบครูและนักเรียนกำลังหาวิธีช่วยกันเอางูออกจากรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ110ไอ สีดำ-ขาว ทะเบียน 1กฒ 3601 นครราชสีมา,ใช้เวลารื้อส่วนประกอบของรถออกเป็นบางส่วน แต่งูก็ยังไม่ยอมออกใช้เวลาประมาณ 40 นาที คุณครูน้ำฝน จึงได้นำธูปมา 9 ดอก มาจุดเพื่อกราบไหว้อยู่ข้างรถจักรยานยนต์ของตน และขอโชคลาภคิดว่างูคงจะมาให้โชคลาภตามความเชื่อ ถ้าจะมาให้โชคจริงๆ ก็ให้ออกมาจากรถโดยเร็ว หลังจากนั้นไม่นานงูตัวดังกล่าวก็เลื้อยออกมาจากรถอย่างรวดเร็ว เป็นงูลายสอ ความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร จึงนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติต่อไป. | ครูสาวชาว อ.พิมาย โคราช ร้องเทศกิจช่วยจับงูเลี้อยไปหลบใน จยย.ไล่เท่าไรก็ไม่ไป จนต้องจุดธูปไหว้ บอกหากมาให้โชคลาภให้ออกจากรถโดยเร็ว ปรากฏงูออกมาทันที พบเป็นงูลายสอยาว 50 ซม. | ข่าว,ทั่วไทย | หวย,เลขเด็ด,งูเข้ารถ,ให้โชคลาภ,นครราชสีมา,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/1364307 |
นักวิชาการร้อง สปสช.บรรจุยา เลิกบุหรี่ ในบัญชียาหลัก-ช่วยประชาชนเลิกสูบง่ายขึ้น | การบรรยายหัวข้อประสบการณ์หลักประกันสุขภาพช่วยเลิกบุหรี่ของประเทศญี่ปุ่น โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมบรรยายและเสนอความสำเร็จของประเทศญี่ปุ่นบำบัดผู้สูบบุหรี่ โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีผู้สูบบุหรี่มากเป็นลำดับต้น ๆ แต่ระบบการดูแลและบำบัดผู้สูบบุหรี่ทำให้ระยะเวลาเพียง 5 ปีประเทศญี่ปุ่นลดอัตราผู้สูบบุหรี่ลงได้ร้อยละ 16 ขณะที่การเข้าถึงแหล่งบริการด้านการบำบัดของประเทศญี่ปุ่นมีเพียงร้อยละ 12.7 เท่านั้นผศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุว่า ความสำเร็จของญี่ปุ่นในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่เกิดจากการสนับสนุนในเชิงนโยบายและงบประมาณของรัฐบาล ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีระบบการให้บริการการเลิกบุหรี่อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ จึงเรียกร้องให้ สปสช. เร่งดำเนินการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรับบริการเลิกบุหรี่และเข้ายาช่วยเลิกบุหรี่มาตรฐานได้อย่างเท่าเทียมกันเพื่อช่วยให้เยาวชนและผู้ติดบุหรี่ สามารถเข้าสู่กระบวนการบำบัดได้ง่ายและรวดเร็วนอกจากนี้การสำรวจร้อยละ 80 ของผู้สูบบุหรี่ ส่วนใหญ่ฐานะยากจน ขณะที่ยาช่วยเลิกบุหรี่มีราคาแพงทำให้จำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้เท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลควรบรรจุยาช่วยเลิกบุหรี่ไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติช่วยประหยัดงบประมาณ และสามารถต่อรองราคายา ซึ่งจะทำให้บุคคลเข้าถึงยาช่วยเลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น | นักวิชาการด้านสุขภาพเรียกร้องให้ สปสช.เร่งดำเนินการให้มีระบบการให้บริการเลิกบุหรี่กับประชาชนอย่างทั่วถึง และ เท่าเทียม โดยเฉพาะยาช่วยเลิกบุหรี่ควรบรรจุไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติเพราะมีราคาแพง หลังประเทศญี่ปุ่นใช้ระบบหลักประกันสุขภาพช่วยเลิกบุหรี่ให้กับประชาชนเป็นผลสำเร็จ | สังคม | บัญชียาหลัก,ยาสูบ,สปสช.,หลักประกันสุขภาพ,เลิกบุหรี่ | https://news.thaipbs.or.th/content/105420 |
รายงาน: พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ คุ้มครองหรือละเมิดสิทธิ? | ผู้ร่วมร่างฉบับแก้ไข แจงไม่มีธงต้องผ่าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในรัฐบาลนี้ ชี้เทรนด์ภัยคุกคามทางไซเบอร์กำลังมา ต้องรีบรับมือ นักกฎหมายค้าน อังกฤษ-อเมริกา ภัยเยอะกว่ายังไม่ให้อำนาจเท่านี้ ผู้ก่อตั้งเว็บดังมอง คกก.ชุดใหม่อำนาจมากกว่า ศอฉ. ด้านผู้ประกอบการโฮสติ้ง หวั่นประกาศใช้เมื่อไหร่ติดคุกสถานเดียวรายการ คม-ชัด-ลึก เนชั่นชาแนล เมื่อวันที่ 21 เม.ย.54 มีการเชิญ สุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ และรักษาการรองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณายกร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และอาจารย์พิเศษวิชากฎหมายเทคโนโลยี จุฬาฯ ปรเมศวร์ มินศิริ เว็บมาสเตอร์ และอุปนายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย และ ภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ ประธานชมรมผู้ประกอบการธุรกิจโฮสติ้ง ร่วมพูดคุยในประเด็น ดำเนินรายการโดยจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์สุรางคณา วายุภาพ ในฐานะผู้มีส่วนร่างกฎหมายฉบับนี้ กล่าวว่า หัวเรือในการแก้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ครั้งนี้คือ กระทรวงไอซีที โดยมีตัวแทนจากศาลยุติธรรมและสำนักงานกฤษฎีกาเข้าร่วม ส่วนตัวแทนจากหน่วยงานความมั่นคงนั้น มาในขั้นรับฟังความเห็น ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นการเปิดรับฟังความเห็นอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยเปิดให้ตัวแทนจากสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าแสดงความคิดเห็นสำหรับสาระสำคัญที่มีการแก้ไขให้ชัดเจนขึ้น มี 4 ส่วน ได้แก่ เรื่องนิยาม ฐานความผิด โครงสร้างคณะกรรมการและพนักงานเจ้าหน้าที่ และอำนาจเจ้าหน้าที่และพยานหลักฐานในส่วน นิยาม สุรางคณาขยายความว่า แก้ไขเพื่อให้สามารถรองรับพัฒนาการของเทคโนโลยีที่กว้างมากขึ้น เพราะในอนาคต จะเข้าสู่ยุคที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ทำให้เชื่อมต่อออนไลน์ได้ โดยแนวโน้มของการเขียนกฎหมายของโลก จะขยายความ คอมพิวเตอร์ ให้ครอบคลุมการทำงานในหน้าที่อื่นๆ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตด้วยขณะที่ ฐานความผิด เช่น การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ เดิม กฎหมายเอาผิดกับบุคคลซึ่งเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยมิชอบ แต่โดยธรรมชาติของคนไทย ยังขาดความตระหนักและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงไม่ค่อยมีมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ทำให้เอาผิดกับผู้กระทำความผิดไม่ได้ หรือกรณีการทำสำเนา หากมีการนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไปซ่อมที่ร้าน แล้วถูกนำข้อมูลในคอมพิวเตอร์ไป บางกรณีอาจเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ แต่บางกรณีไม่ใช่ ส่วนที่แก้ไขนี้ก็จะเข้ามาเสริม ทั้งนี้กรณีที่มีความกังวลว่าเพียงการทำสำเนาข้อมูลอย่างการ cache ก็อาจกลายเป็นความผิดนั้น ผู้ร่างไม่ได้ตั้งใจให้กลายเป็นความผิด อย่างไรก็ตาม รับว่าจำเป็นต้องเขียนให้ชัดขึ้นการครอบครองภาพลามกเด็กและ เยาวชน ปัจจุบัน เทรนด์ของเทคโนโลยีมาเร็ว เยาวชนอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ทั้งนี้ที่น่าเป็นห่วงคือ หากคนผิดไม่อยู่ในประเทศไทย หากจะขอความร่วมมือจากประเทศอื่น แต่ถ้าเราไม่กำหนดฐานความผิดแบบเดียวกันกับเขา ก็ขอให้ส่งมาไม่ได้สุรางคณา ระบุว่า ด้วยเทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรง ทุกอย่างจะสะดวก รวดเร็ว พร้อมด้วยอันตรายที่มากขึ้น โดยหลายประเทศมองไปถึงเทรนด์การจู่โจมประเทศทางออนไลน์ หรือก่อการร้ายรูปแบบใหม่ ยกตัวอย่าง แฮกเกอร์มือดีอาจเจาะระบบของกรมการปกครอง เพื่อทำลายข้อมูลของประชาชนทั้งประเทศ หรืออาจมีการแฮก เข้าไปควบคุมการผสมคลอรีนในน้ำประปา ซึ่งอาจส่งผลถึงตายได้ ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการป้องปรามภัยที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยผู้ดำเนินรายการถามถึงจุดประสงค์ของการมีคณะกรรมการชุดดังกล่าว สุรางคณาชี้แจงว่า โดยเจตนารมณ์ ไม่ได้ต้องการให้เป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิด ศาลยังคงเป็นผู้ตัดสิน เพียงแต่คณะกรรมการนี้ จะดูเชิงนโยบายของประเทศโดยเน้นที่ความสงบสุขของประชาชนที่เป็นเหยื่อเป็นหลัก รวมถึงทำหน้าที่ประสานงานส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันกรณีที่มีผู้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายนั้น สุรางคณาระบุว่า ไม่ต้องกังวล เพราะต้องดูเรื่องของเจตนาประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าที่มีผู้กังวลกันคือกลัวว่าถ้าเขียนไม่ชัดจะถูกตีความให้เป็นแพะรับบาปได้ง่าย และเป็นภาระของผู้ประกอบการ ซึ่งส่วนนี้คิดว่าจะน้อมรับความคิดเห็นทุกกรณี เพื่อนำไปปรับให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นสุรางคณาย้ำว่า รมว.ไอซีทีไม่ได้ตั้งเป้าว่ากฎหมายจะต้องผ่านในรัฐบาลนี้ คาดว่าต้องใช้เวลา 3-5 ปีกว่าจะเสร็จสิ้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะมีการรับฟังความเห็นทุกขั้นตอนอย่างไรก็ตาม สุรางคณา ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ต้องตระหนักร่วมกันคือการสร้างสมดุลระหว่างสังคมส่วนใหญ่ของประเทศ กับสิทธิบางอย่างของประชาชนในลักษณะส่วนตัว รวมถึงการรับมือภัยทางอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังจะมาแน่ๆ และประเทศไทยยังอ่อนแอด้านนี้ด้าน ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กล่าวว่า ปัญหาของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่ที่ตัวกฎหมาย แต่อยู่ที่ผู้บังคับใช้ ส่วนตัวมองว่า 3 ปีที่ผ่านมา มีความเสียหายจากการบังคับใช้กฎหมายผิดคิดเป็น 98% เพราะมีปัญหาทางเทคนิคเยอะ โดยเดิมถูกนำไปใช้กับเนื้อหาอย่างเว็บลามก หมิ่นสถาบัน กระทบความมั่นคง มากกว่าอยู่แล้ว ฉบับร่างแก้ไขนี้กลับเปลี่ยนจากโทษอาญาที่เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ ให้กลายเป็นเรื่องความมั่นคง สถาบัน ความปลอดภัยมากขึ้นทั้งนี้ แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับการมีคณะกรรมการใหม่เพิ่มขึ้นมา แต่กังวลเรื่องอำนาจของคณะกรรมการซึ่งมีที่มาจากหน่วยงานด้านความมั่นคงถึง 90% และการให้อำนาจกับคณะกรรมการนี้แทนจากเดิมที่ไอซีทีดูแล รวมถึงเนื้อหาที่กลายเป็นด้านความมั่นคงไพบูลย์กล่าวว่า ร่างฉบับใหม่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่และ เพิ่ม โทษมากกว่าเดิมเยอะ อาทิ การทำสำเนาโดยมิชอบ ทั้งที่การทำสำเนา หรือที่เรียกว่า cache หรือ temporary file นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว หากต้องการเข้าถึงข้อมูลหรือติดต่อระหว่างกันผ่านอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ นอกจากนี้ยังตั้งคำถามกรณีการใช้ภาพข่าวจากสื่อต่างๆ ว่า ตามกฎหมายลิขสิทธิ์บอกว่าไม่ผิดเพราะ เป็นการใช้อย่างเป็นธรรม หรือ fair use แต่มาตราที่แก้ไขไม่มีเรื่องนี้ เท่ากับระบุว่าแม้จะใช้อย่าง fair use ก็อาจจะผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ เขาเปรียบเทียบกับโทษปรับอื่นๆ ด้วยว่า ทำร้ายร่างกาย ชกหน้ากัน ปรับ 500 บาท แต่หากทำสำเนา ต้องจำคุก 3 ปี นอกจากนี้ นิยามของผู้ดูแลระบบตามร่างกฎหมายใหม่ user หรือผู้ใช้ ก็เป็นผู้ดูแลระบบด้วย เช่น ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ถือว่ามีสิทธิเข้าถึงเฟซบุ๊กของตัวเองที่ทำให้คนติดต่อกันได้ อาจเสี่ยงต่อการถูกตีความว่ากระทำความผิดได้ไพบูลย์กล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมายอาญาด้วยว่า โดยทั่วไป ตุลาการจะเป็นผู้ตีความใช้กฎหมาย จะไม่มีฝ่ายบริหารเข้ามากำหนดว่าอะไรเป็นความผิด ยกเว้นในสถานการณ์พิเศษ เช่น การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในอังกฤษและอเมริกาที่มีปัญหาอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์มากกว่าไทย ก็ยังแบ่งเป็นสองระดับ โดยฝ่ายบริหารของอังกฤษและอเมริกาจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายความมั่นคงจริง ฝ่ายบริหารของอังกฤษจะมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ต่อต้านการก่อการร้าย ขณะที่อเมริกา มีกฎหมายจลาจลทั้งนี้ เขามองว่า ในสถานการณ์ขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องมีในกฎหมายลักษณะนี้ (ฉบับร่างแก้ไข) และว่าใช้เป็นไกด์ไลน์น่าจะดีกว่าไพบูลย์เสริมว่า สังคมอินเทอร์เน็ตไม่สามารถปิดกั้นได้ ต่อให้เพิ่มกฎหมายมา คนที่จะทำผิดก็จะย้ายไปใช้เซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้กฎหมายเป็นหมัน ทั้งนี้ เสนอให้ใช้การบล็อคและการดูแลกันเองโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) หรือสมาคมต่างๆปรเมศวร์ ในฐานะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับปี 2550 ตั้งคำถามว่าถ้าจะขอประชาพิจารณ์เพื่อแก้ไขร่างกฎหมายนี้ ทำไมผู้ร่วมร่างฉบับแรกจึงไม่เห็น พร้อมบอกว่า ตนเองเพิ่งเห็นร่างกฎหมายนี้หลังจากมีการแก้ไขและเป็นข่าวแล้วเขากล่าวว่า เข้าใจว่าการร่างกฎหมายฉบับนี้มีเจตนาดี แต่มองว่า เหมือนจะจับหนู แต่ฉีดยาจนทำให้ข้าวตายไปด้วย โดยอ้างถึงมาตรา 7(4) ที่ให้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นตาม พ.ร.บ.นี้หรือกฎหมายอื่น ซึ่งเขามองว่า การให้อำนาจเช่นนี้ เท่ากับให้คณะกรรมการนี้ทำ อะไรก็ได้ ฟังดูใหญ่กว่า ศอฉ. เสียอีก นอกจากนี้สัดส่วนของคณะกรรมการฯ 90% ล้วนอยู่ในตำแหน่งใหญ่ๆ เรียกว่า กระบองใหญ่ขึ้น แค่เรียกไปก็กลัวแล้วปรเมศวร์กล่าวถึงการทำสำเนาว่าอาจจะส่งผลให้การใช้อินเทอร์เน็ตของประเทศช้าไปด้วย โดยอธิบายว่า ทุกวันนี้ที่อินเทอร์เน็ตเร็วเพราะไอเอสพีทำสำเนาข้อมูลไว้เพื่ออำนวยความสะดวก เช่น วิดีโอคลิปจากต่างประเทศที่มีคนเรียกดูเยอะๆ ก็จะมีการทำสำเนาไว้ที่ไอเอสพี ทำให้ไม่ต้องเรียกดูจากต่างประเทศ ซึ่งวิธีนี้ในต่างประเทศก็ทำกัน ทั้งนี้ หากไม่ให้สำเนา เท่ากับต้องเรียกข้อมูลจากต่างประเทศโดยตรง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แปลว่าหากอยากให้บริการเร็วขึ้น ก็ต้องเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ปลายทางเพิ่มด้วย ขณะที่ หนู ที่ต้องการจะจัดการ สุดท้ายก็จับไม่ได้ คำถามคือจะแก้ไขเพื่อไปจัดการ หนู หรือทำให้ส่วนที่จะเป็นไปตามปกติมันไปไม่ได้ในส่วนผู้ให้บริการ ฉบับร่างแก้ไข เพิ่มคำว่า ผู้ดูแลระบบ ตนเข้าใจว่าพยายามล้อกับผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะผู้ให้บริการเปรียบเทียบกับสำนักข่าวหรือสำนักพิมพ์ แต่ผู้ดูแลระบบดูจะเน้นไปที่ตัวบุคคล เหมือนกับกฎหมายสิ่งพิมพ์ ซึ่งผู้พิมพ์ผู้โฆษณาเป็นตำแหน่งไว้ขึ้นศาล แต่การพูดถึงผู้ดูแลระบบในที่นี้ เขากลัวว่าจะกลายเป็นการจับยามกับภารโรงไปด้วย เพราะผู้ดูแลระบบนั้นเป็นฝ่ายเทคนิคที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาเลย ขณะที่ผู้ที่มีเจตนาทำเว็บผิดกฎหมายอาจไม่ถูกจับแม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับเรื่องการครอบครองสื่อลามกเด็ก เพราะในต่างประเทศ การกระทำความผิดเกี่ยวกับเด็ก พัฒนามาจากการเป็นผู้ดูไปสู่ผู้กระทำเสียเอง แต่อาจต้องเขียนให้รัดกุมกว่านี้ ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นยาแรงที่ถูกใช้กลั่นแกล้งกันทางการเมืองได้ โดยยกตัวอย่างว่า หากเขาเขียนอีเมลโดยแนบรูปลามกเด็ก ทันทีที่อีเมลนั้นส่งเข้าไปใน inbox เท่ากับผู้รับมีความผิดทันที เพราะถือว่าครอบครองในฐานะผู้ให้บริการ ยากจะบอกว่าผู้ใช้ทำอะไรจนกว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว เพราะไม่สามารถเฝ้าได้ตลอด พร้อมยกตัวอย่างว่า การมีผู้เอาภาพละเมิดลิขสิทธิ์มาโพสต์ ก็เหมือนมีคนเช่าห้องแล้วเอาถ้วยกาแฟคนอื่นมาไว้ในห้องตัวเอง ถามว่าในฐานะเจ้าของบ้านเช่าจะรู้ได้อย่างไรว่ามีการนำแก้วกาแฟของใครเข้ามาเมื่อใด สิ่งที่อยากให้เป็นคือ เมื่อเกิดความผิดบนเครื่องให้แจ้งผู้ให้บริการตามหลักเกณฑ์นอกจากนี้ ภูมิจิต วิจารณ์ด้วยว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ยากมากที่ผู้ให้บริการจะบอกว่าเราไม่ยินยอมให้ใช้ เธอมองว่าผู้ใช้กฎหมายไม่เข้าใจไอทีดีพอ ตีความตามใจฉัน ถ้าใช้ตาม พ.ร.บ.ฉบับร่างแก้ไขนี้คงติดคุกแน่ๆ | ผู้ร่วมร่างฉบับแก้ไข แจงไม่มีธงต้องผ่าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในรัฐบาลนี้ ชี้เทรนด์ภัยคุกคามทางไซเบอร์กำลังมา ต้องรีบรับมือ นักกฎหมายค้าน อังกฤษ-อเมริกา ภัยเยอะกว่ายังไม่ให้อำนาจเท่านี้ | สิทธิมนุษยชน,ไอซีที | คอมพิวเตอร์,ปรเมศวร์ มินศิริ,พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์,พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์,ภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ,ลิขสิทธิ์,สุรางคณา วายุภาพ,อินเทอร์เน็ต,ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ | https://prachatai.com/journal/2011/04/34231 |
ตร.ลำพูนกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่ได้ผู้ต้องหา 51 คน-ยาบ้ากว่า 3 แสนเม็ด | นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจังหวัดตรัง นำชาวโรฮิงญาที่ควบคุมตัวได้ไปตรวจสุขภาพ ก่อนจะนำตัวไปเข้าพักที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ปัญหาที่พบส่วนใหญ่มีอาการคันตามลำตัวและน้ำหนักน้อย เช่นเดียวกับที่จังหวัดพังงาตำรวจภูธรและตำรวจตระเวนชายแดนที่ 425 นำกำลังสกัดจับเรือกลางทะเล บริเวณหมู่ที่ 3 ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี พร้อมควบคุมชาวโรฮิงญาที่เข้ามาในประเทศได้อีก 174 คนส่วนที่จังหวัดนราธิวาสประชาชนในพื้นที่ต่างทยอยนำสิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้าและอาหารแห้ง ไปบริจาคให้กับนายมูฮำหมัด สันมาน อิหม่ามประจำมัสยิดฮานูรดา เพื่อนำไปช่วยเหลือเยาวชนชาวโรฮิงญา 18 คน ที่ถูกส่งตัวไปอาศัยอยู่ที่เรือนนอนของบ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดนราธิวาสพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. กล่าวว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขณะนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การดูแล โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัยและความเป็นอยู่ โดยประสานกับสำนักจุฬาราชมนตรี และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เพื่อให้ดูแลชาวโรฮิงญาตามหลักสิทธิมนุษยชนส่วนการช่วยเหลือระยะยาวนั้นกระทรวงการต่างประเทศและสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยังมีมาตรการดูแลอยู่ เพราะชาว โรฮิงยากลุ่มนี้ ไม่ได้เป็นกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามา แต่พบว่ามีปัญหาด้านการสื่อสาร เพราะชาวโรฮิงญา พูดภาษาถิ่น ทำให้การสื่อสารทำได้ยากสำหรับปัญหาการลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของชาวโรฮิงญาทางภาคใต้ พบว่า เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังหาแนวทางการแก้ไขปัญหาว่าจะดำเนินอย่างไร เนื่องจากทุกคนต้องการเดินทางไปประเทศที่ 3 มากกว่าถูกส่งกลับประเทศพม่า | เจ้าหน้าที่ควบคุมชาวโรฮิงญาที่หลบซ่อนในพื้นที่ภาคใต้ได้เพิ่มอีกเกือบ 200 คน ขณะเดียวกันหลายหน่วยงานยังคงเข้าไปช่วยเหลือชาวโรฮิงญาอย่างต่อเนื่อง | ภูมิภาค | นครราชสีมา,ผู้รับเหมา,สตง.,สถานีตำรวจ,โคราช,โรงพัก | https://news.thaipbs.or.th/content/140417 |
ทนายยังไม่ยื่นประกันตัว บุญทรง วันนี้ | วันนี้ (29 ส.ค.2560) นายนริทร์ สมนึก ทนายความของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีสาการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนยังไม่ได้เดินทางไปยื่นคำร้องขอประกันตัวรอบใหม่ เนื่องจากจะหารือกับนายบุญทรงก่อน ถึงเหตุผลและเงื่อนไขที่จะยื่นประกอบคำร้องประกันตัว โดยเวลา 13.00 น.วันนี้ ตนเองจะเข้าพบนายบุญทรงที่เรือนจำส่วนคดีที่นางปอยใจระพี เตริยาภิรมย์ ภรรยานายบุญทรง ยื่นฟ้อง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวม 3 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีอายัดบัญชีเงินฝากชื่อนางปอยใจระพีจำวน 2 บัญชีในการบังคับคดีนายบุญทรงชดใช้ค่าเสียหายระบายข้าวตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์กว่าพันล้านบาทนั้น ซึ่งวันนี้ศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่นั้น นายนริทร์ ทนายความ กล่าวว่า มอบหมายทนายความอีกคนที่จะเดินทางไปฟังคำสั่งตามที่ศาลนัดแทน | ทนายความ อดีต รมว.พาณิชย์ ระบุ ในวันนี้จะยังไม่ได้เดินทางไปยื่นคำร้องขอประกันตัวรอบใหม่ เนื่องจากจะหารือกับนายบุญทรง ถึงเหตุผลและเงื่อนไขที่จะยื่นประกอบคำร้องประกันตัว ก่อน | การเมือง | นรินทร์ สมนึ,บุญทรง,เตริยาภิรมย์,ประกันตัว,กระทรวงพาณิชย์,ข่าวไทยพีบีเอส,ไทยพีบีเอส,ThaiPBSnews,ThaiPBS | https://news.thaipbs.or.th/content/265620 |
ศาลเชียงใหม่ ให้ กลุ่มฮักช่างเคี่ยน ชนะคดีฟ้องเอกชนสร้างตึกสูงในเมือง | ตัวแทนกลุ่มฮักช้างเคี่ยน แสดงความดีใจหลังศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษาให้ชนะดคี กรณียื่นฟ้องให้โครงการอิ่มสุวรรณแมนชั่น ซึ่งก่อนสร้างอาคารสูงใกล้กับหมู่บ้านช่างเคี่ยน ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ยุติการก่อสร้าง เพราะบดบังทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่ขณะเดียวกันการก่อสร้างยังส่งผลกระทบชาวบ้านทั้งเสียงและสิ่งแวดล้อม โดยศาลฯสั่งให้เจ้าของโครงการ ยื่นรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใน 60 วัน นับจากวันที่พิพากษา หากพบมีผลกระทบกับชาวบ้าน หรือส่งรายงานไม่ทันภายใน 60 วัน ก็ให้เลิกสัญญาและยุติโครงการคดีนี้ชาวบ้านกลุ่มฮักช่างเคี่ยน รวมตัวฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่ ให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารในพื้นที่ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จำนวน 9 โครงการ 11 อาคาร เพราะนอกจากส่งผลกระทบกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน และปัญหาด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังบดบังทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่และในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ศาลปกครองเชียงใหม่ มีคำพิพากษาให้ให้โครงการอิ่มสุวรรณแมนชั่น กลับไปทำ EIA ส่วนโครงการอื่นๆ ที่เหลือ คาดว่าศาลอาจมีคำพิพากษาในเร็วๆ นี้ | ศาลปกครองเชียงใหม่ ตัดสินให้ กลุ่มฮักช่างเคี่ยน ชนะคดีการยื่นฟ้องเอกชนที่ก่อสร้างอาคารสูงในเขตอำเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพราะบดบังทัศนียภาพ โดยให้เจ้าของโครงการ ยื่นรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ภายใน 60 วัน มิฉะนั้นให้ยกเลิกสัญญาก่อสร้างได้ทันที | ภูมิภาค | ศาลปกครอง,ฮักช่างเคี่ยน,เชียงใหม่,เอกชน | https://news.thaipbs.or.th/content/202142 |
ปลาป่นโดนหางเลข หยุดเดินเรือประมง ขึ้นแน่ กก.ละ 1-2 บาท | …,เมื่อวันที่ 3 ก.ค. นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการหารือกับสมาคมอาหารทะเลที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ได้แก่ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่า สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย ว่า จากการหารือตัวแทนภาคส่งออกที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลตามนโยบายของพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ที่ให้หามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากการแก้ไขเรือประมง ผิดกฎหมาย พบว่าภาคเอกชนเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ไขปัญหาเรือประมงของรัฐบาล และการส่งออกอาหารทะเลของไทย ไม่ได้รับผลกระทบจากการหยุดเดินเรือในครั้งนี้ โดยเฉพาะปลาทูน่า ที่ไทยส่งออกมากเป็นอันดับ 1 เพราะวัตถุดิบที่นำมาใช้เกือบทั้งหมดนำเข้าจากต่างประเทศ หรือนำเข้าปลาทูน่าปีละ 800,000-900,000 ตัน ไม่ได้ใช้วัตถุดิบในประเทศ,ผู้ส่งออกยืนยันว่า การหยุดเรือครั้งนี้จะไม่ได้รับผลกระทบเลย เพราะวัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้า แต่ปลาป่นจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะส่วนใหญ่ใช้ปลาในประเทศ และบางส่วนใช้เศษซากที่เหลือของปลาทูน่า มาทำเป็นปลาป่นสำหรับเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์,ด้านนายสงวนศักดิ์ อัครวรินทร์ชัย นายกสมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมปลาป่นได้รับผลกระทบจากเรือประมงหยุดหาปลา เพราะวัตถุดิบที่นำมาผลิตปลาป่นและสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น ลูกชิ้น ปูอัด ต้องใช้วัตถุดิบที่มาจากเรือประมงมากกว่า 50% ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาปลาป่นขึ้นมาประมาณ 5-10% หรือ 1-2 บาท/กก. จากราคาปกติที่ประมาณ 37 บาท แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบทำให้ราคาอาหารสัตว์ขึ้นราคาแน่นอน เพราะปลาป่นใช้ผสมในอาหารสัตว์น้อยมาก และไม่น่าจะทำให้อาหารสัตว์ขาดแคลน เพราะยังมีสต๊อกล่วงหน้าไว้ใช้ได้นานถึง 6 เดือน หรือจนถึงสิ้นปีนี้. | พณ.ถกผู้ส่งออกอาหารทะเล ผลกระทบเรือประมงหยุดหาปลา ยันกลุ่มส่งออกปลาทูน่าไม่ได้รับผลกระทบ แต่ปลาป่นโดนเต็มๆ สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย คาดขึ้นแน่ กก.ละ 1-2 บาท แต่ไม่ทำให้ราคาอาหารสัตว์ขึ้น หรือขาดแคลน เพราะมีสต๊อกใช้ได้นาน 6 เดือน | null | เรือประมงหยุดหาปลา,ปลาป่นขึ้นราคา,ผลกระทบเรือประมงหยุดหาปลา,พาณิชย์,อาหารทะเล,ปลาทูน่า,อาหารสัตว์,นันทวัลย์ ศกุนตนาค,ส่วนผสมอาหารสัตว์,หยุดเรือ,ฉัตรชัย สาริกัลยะ,เรือประมงผิดกฎหมาย,สงวนศักดิ์ อัครวรินทร์ชัย,อุตสาหกรรมทูน่า,ข่าวเศรษฐกิจ,ข่าว,ไทยรัฐออนไลน์,ประมง,ชาวประมง | https://www.thairath.co.th/content/509261 |
ชาวบ้านเฮลั่น มาแล้ว กฎหมายเก็บเห็ด สนช.ปลดล็อก พ.ร.บ.อุทยานฯ | วันที่ 8 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร–นครสวรรค์ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอแม่วงก์ และอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ รวม 894 ตร.กม. รวมทั้งผืนป่ากันชนรอยต่อระหว่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานีด้วย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร สภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด ,ช่วงต้นของฤดูฝนตั้งแต่กลางเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ป่าผืนนี้จะเริ่มมีหน่อไม้ เห็ดเผาะ กระทือ เอื้อง บุก กระเจียว ผักอีนูน และอื่นๆ อีกหลายชนิดให้ชาวบ้านเก็บไปบริโภคและจำหน่ายสร้างรายได้ และหลายๆ ปีที่ผ่านมาชาวบ้านต่างร่วมกันดูแลรักษาและใช้ประโยชน์เพื่อหาอยู่หากินร่วมกันจนเกิดความอุดมสมบูรณ์,ท่ามกลางกระแสข่าว การหาของป่ามาขายแล้วถูกจับ ชาวบ้านที่มีบ้านเรือนอยู่ติดกับรั้วเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ได้ดีใจ เฮกันลั่น กรณี สนช.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ใช้เป็นกฎหมายเก็บเห็ดโคน ไข่มดแดง หน่อไม้ ฯลฯ ขายแล้วไม่ถูกจับ,นายกิติพัฒน์ ธาราภิบาล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2562 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติเป็นเอกฉันท์ในวาระที่ 2 และ 3 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ซึ่งจะส่งผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าของชาติ ต่อไปในอนาคต โดยมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ไขปัญหาหลายอย่างที่สั่งสมมานับแต่อดีต และเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน โดยในส่วนของอุทยานฯ มีการอนุญาตให้ราษฎรซึ่งอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ได้อยู่อาศัยทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้รวมทั้งให้ ราษฎรในท้องถิ่นสามารถเก็บหาของป่าที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลในปริมาณที่เหมาะสม,อย่างไรก็ตาม การเข้าไปภายในเขตอุทยานฯ ต้องมีกฎกติกา คือ การเก็บหาของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ด หรืออะไรต่างๆ จะมีการกำหนดแบ่งโซนพื้นที่ที่เหมาะสมในการเก็บหาตามฤดูกาล เหมาะสมเพียงพอในการเก็บหา โดยไม่รุกล้ำเขต และไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพธรรมชาติ สัตว์ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพ และระบบนิเวศ ก็จะลดผลกระทบต่อชาวบ้านที่หาของป่า เก็บเห็ดแล้วถูกจับกุมดำเนินคดี ,พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังมีการกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิด โดยกรรมาธิการฯ และ สนช.เห็นชอบตามมาตรา 42 ที่ระบุว่าผู้ใดเก็บหา นำออกไป ทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่ปิโตรเลียม หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น หรือกระทำการอื่นใดอันส่งผลต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอุทยานแห่งชาติ อันเป็นการฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับด้วย,ด้านนายชัยพร ทิมแก้ว ผู้ใหญ่บ้านบ้านคลองปลาสร้อย ต.ปางตาไว อ.ปางศิลาทอง จ.กำแพงเพชร กล่าวว่า ชาวบ้านหลายๆ หมู่บ้าน ทั้งอำเภอคลองลาน อำเภอปางศิลาทอง ต่างดีใจ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ให้ชาวบ้านได้เข้าหาของป่าในเขตอุทยานได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะตลอดเวลาชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ต้องกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง เพราะใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยป่าเป็นหลัก เข้าป่าหาไม้ไผ่มาสานเป็นอุปกรณ์ดักปลา ที่ใส่ข้าวเหนียว จำหน่ายนำรายได้เลี้ยงครอบครัว พอถึงช่วงที่มีหน่อไม้ก็เข้าไปหาหน่อไม้ เมื่อเอาเห็ดโคนออกมาขายก็ผิดกฎหมาย แต่ต่อไปนี้สามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์มาดำรงชีวิตและขายได้ โดยจะให้ความร่วมมือ ร่วมคิด ร่วมร่าง ร่วมสร้างกติกาป่า ร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าไม่ให้ได้รับผลกระทบ. | ชาวบ้านเฮ สนช.ผ่านวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ แก้ไขให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ราษฎรอาศัยทำกินได้ สามารถเก็บหน่อไม้ เห็ดโคน ไข่มดแดง ไปขายได้ ไม่ถูกจับ | ข่าว,ทั่วไทย | เก็บเห็ด,พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ,แก้พ.ร.บ.อุทยานฯ,เก็บเห็ดในป่า,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/local/north/1514606 |
เล่นเอาเกือบล่ม | เปลี่ยนแผนใหม่ให้ ลุงตู่ นั่งเก้าอี้นายกฯ ก่อนแล้วค่อยไปเจรจาโควตากระทรวง ที่ผ่านมาผิดเหลี่ยมผิดกระบวนท่า เล่นเอาวุ่นไปหมด เมื่อได้เก้าอี้ใหญ่อำนาจต่อรองจึงมีมากขึ้น,ข่าว เขย่าขวด สุดสัปดาห์นี้แม้จะรู้สึกว่าการตั้งรัฐบาลดูจะล่าช้า วุ่นวายกันบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในกฎกติกา,ต้องเริ่มจากการตั้งประธานสภาผู้แทนฯ และรองอีก 2 คนอย่างเป็นทางการจึงจะเดินหน้าต่อไปเพื่อตั้งนายกฯ,จากนั้นจึงตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศต่อไป,ด้วยความไม่พร้อมนับแต่รัฐสภาแห่งใหม่ที่ยังไม่เสร็จเลยต้องหาสถานที่ประชุมชั่วคราว เพื่อรองรับจึงเป็นปัญหาที่เห็นๆกันอยู่,การประชุมเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนฯจึงเลือกที่ทีโอทีเป็นที่ประชุมแทนที่คับแคบ อุปกรณ์ไม่พร้อม,ทุกอย่างจึงฉุกละหุกไปหมด,แต่ที่เห็นปัญหาก็คือความไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง โดยขั้วพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาล,ความไม่เป็นเอกภาพ การจัดลำดับความสำคัญไม่ชัดเจน,ประเด็นก็คือใครมีอำนาจที่แท้จริงในการเจรจาต่อรอง,แม้การแสดงตัวตนของพลังประชารัฐ ที่ให้หัวหน้าพรรค เลขาธิการเป็นตัวเปิด แต่ปรากฏว่ามีผู้จัดการรัฐบาล หรือผู้มีบารมีอยู่เบื้องหลัง,จึงเกิดปัญหาไม่รู้ว่าใครใหญ่จริง?,การเจรจาจึงมุ่งไปที่ผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเชื่อว่าตัวจริงเสียงจริงมากกว่าคนในพรรคที่ทำหน้าที่อยู่เช่นกัน,สุดท้ายก็เลยเกิดปัญหาอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น,การเลือกประธานสภาผู้แทนฯคือตัวอย่างที่ปรากฏ เนื่องจากประชาธิปัตย์ได้เจรจากับคนนอกที่ยกเก้าอี้ให้เพราะเชื่อว่าจะซื้อใจกันได้,ปรากฏว่าประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมมีท่าทีให้ชัดคือยังไม่มีมติอย่างเป็นทางการว่าจะเข้าร่วมกับพลังประชารัฐหรือไม่,พลังประชารัฐ จึงมีมติเสนอชื่อ สุชาติ ตันเจริญ,แต่สุดท้ายประชาธิปัตย์ยืนยันจะเสนอชื่อ ชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาผู้แทนฯ,เท่ากับว่ามาแข่งขันกันเองทำให้เกิดปรากฏการณ์เลื่อนวาระในที่ประชุมสภาฯ เล่นเอางงๆกันว่าเหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้เลยเกิดปัญหาเพราะมี 5 ส.ส.ยกมือหนุนอีกฝ่ายหนึ่ง,กว่าจะลงตัวกันได้เล่นเอาเหงื่อตก พรรคร่วมอื่นๆก็เลยปวดหัวไปด้วย,ว่าไปแล้วแนวคิดของพลังประชารัฐก็คือ ต้องการให้ทุกอย่างจบตั้งแต่เริ่มต้นยกแรกคือได้เสียง ส.ส.เกินครึ่งเพื่อราบรื่นตั้งแต่ต้น,คือรวบรวมเสียงให้ได้และเจรจาแบ่งโควตากระทรวงกันไปเลย,เมื่อติดขัดตั้งแต่แรกก็เลยเป็นผลตามมาในการเจรจาแบ่งกระทรวงสุดท้ายก็เลยต้องปล่อยผ่านไปก่อน เพื่อให้ลงมติเลือกนายกฯไปให้เรียบร้อยเสียก่อน,หรือการแบ่งกระทรวงก็มีปัญหา เพราะมีการตกลงกับผู้มีบารมีที่เชื่อว่าน่าจะจบ ปรากฏว่าทางพรรคไม่รู้เรื่องนี้,พอเจรจากันก็เลยเกิดปัญหา เพราะพรรคที่ได้ส่วนแบ่งนี้จึงเอามายืนยัน แต่ในพรรคแกนนำไม่รู้เรื่องด้วย,ทำให้ บ้าน แทบแตกว่างั้นเถอะ,สุดท้ายเลยต้องเปลี่ยนแผนคนในพรรคจึงขอจัดการกันเอง และจะให้นายกฯเข้ามาพิจารณารายชื่อเองในฐานะผู้มีอำนาจเต็ม,ที่น่าสนใจอยู่อย่างก็คือ ความเป็น ไปได้ที่ พี่ใหญ่ จะข้ามห้วยไปนั่งเก้าอี้ มท.1 แทน น้องรอง,ว่ากันว่า 3 ป. โอเคเพื่อค้ำยันอำนาจให้ยืนยง,ลิขิต จงสกุล,อ่านข่าวล่าสุด เจาะลึกข้อมูลเลือกตั้ง 2562,https://www.thairath.co.th/election, | เปลี่ยนแผนใหม่ให้ ลุงตู่ นั่งเก้าอี้นายกฯก่อนแล้วค่อยไปเจรจาโควตากระทรวง ที่ผ่านมาผิดเหลี่ยมผิดกระบวนท่า เล่นเอาวุ่นไปหมด | เลือกตั้ง | จัดตั้งรัฐบาล,ประธานสภา,รองประธานสภา,พรรคพลังประชารัฐ,พรรคประชาธิปัตย์,สับรางวันอาทิตย์,ลิขิต จงสกุล,เลือกตั้ง | https://www.thairath.co.th/news/politic/1581748 |
บุนเดสลีกา ประกาศความพร้อมกลับมาแข่งขัน 9 พ.ค.นี้ | วันนี้ (24 เม.ย.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฝ่ายจัดการแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกาของเยอรมนี แสดงความพร้อมในการกลับมาจัดแข่งขันช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ต่ออีกครั้ง ในวันที่ 9 พ.ค.นี้ หลังจากที่มีการประชุมร่วมกับบรรดาทั้ง 36 สโมสรที่อยู่ในบุนเดสลีกา และลีกา 2 ถึงความพร้อมและมาตราการของแต่ละสโมสร ในการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ซึ่งการกลับมาแข่งขันในครั้งนี้จะเป็นการเล่นแบบไม่มีคนดูคริสเตียน ไซเฟิร์ต ผู้บริหารของฟุตบอลลีกเยอรมัน ให้สัมภาษณ์ว่า มีความพร้อมที่จะจัดแข่งขันในเดือน พ.ค. แต่หากทางรัฐบาลจะให้เริ่มช้ากว่านี้ก็มีความพร้อมเช่นกัน ส่วนเรื่องการจัดแข่งขันแบบไม่มีคนดู ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ถ้าต้องการจะให้แมตซ์แข่งขันช่วงที่เหลือดำเนินต่อไปได้โดยเมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาทีมต่างๆ ในบุนเดสลีกาได้เรียกนักเตะกลับมาร่วมฝึกซ้อมครบทุกทีมแล้ว แต่เป็นการซ้อมแบบแยกกลุ่ม | ฝ่ายจัดการแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกา ประกาศพร้อมกลับมาแข่งขันช่วงที่เหลือของฤดูกาลอีกครั้ง ในวันที่ 9 พ.ค.นี้ และจะเป็นการแข่งขันแบบไม่มีคนดู | กีฬา | บุนเดสลีกา,ฟุตบอล,เยอรมนี,COVID-19,โควิด-19,ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ | https://news.thaipbs.or.th/content/291609 |
ค้นบ้านผู้ต้องหาฆ่ายกครัวพ่อลูก ไม่พบปืน-กระบะก่อเหตุ คาดเอาไปซ่อน | เมื่อช่วงเย็นวันที่ 3 พ.ค. พ.ต.อ.อดิศักดิ์ เทพวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวน พร้อมหมายค้นของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ไปตรวจค้นบ้านจำนวน 3 หลังของนายศิริชัย บุรินทร์โกษฐ์ ผู้ต้องหาในคดีฆ่ายกครัวพ่อลูก 2 ศพ โดยหลังแรกที่บ้านเลขที่ 195/2 ถนนเทวบุรี ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พบอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก มีทะเบียนถูกต้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดมาตรวจสอบ ก่อนเข้าค้นบ้านเลขที่ 119 หมู่ 4 ต.นาเรียง อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช และบ้านเลขที่ 110 หมู่ 1 ต.พรหมโลก อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นของเมียของผู้ต้องหา ซึ่งไม่พบอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม.และรถยนต์กระบะต้องสงสัยที่ใช้ก่อเหตุ คาดว่ากลุ่มผู้ต้องหาที่เหลือนำรถยนต์กระบะไปซ่อน,ด้าน พ.ต.อ.อดิศักดิ์ เผยว่า คดีมีความคืบหน้าไปมากทั้งพยานและหลักฐาน พร้อมที่จะออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีกคนในเร็วๆ นี้ โดยขณะนี้ตำรวจได้คุ้มกันพยานปากสำคัญไว้อย่างเต็มที่ ซึ่งคดีนี้ตำรวจมั่นใจจับไม่ผิดตัวแน่ จากพยานและหลักฐานที่ชัดเจน,สำหรับบรรยากาศงานศพ 2 พ่อลูก ยังบ้านเลขที่ 170 บ้านมะม่วงตลอด หมู่ 7 ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ได้มีนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. เดินทางไปเคารพศพและให้กำลังใจกับญาติและครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง โดยรับปากจะดูแลด้านคดี ให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ ซึ่งจะต้องจับกุมคนที่ก่อเหตุมารับโทษตามกฎหมายอย่างแน่นอน. | ตร.เมืองคอน บุกค้นบ้าน 3 หลังหนุ่มผู้ต้องหาคดีฆ่ายกครัวพ่อลูก 2 ศพ ไม่พบปืนสั้น 9 มม.-กระบะใช้ก่อเหตุ คาดเอาไปซ่อน เชื่อพยานหลักฐานชัดเจน มั่นใจจับไม่ผิดตัว | null | ฆ่ายกครัวพ่อลูก,ฆ่าพ่อลูก2ศพ,คดีฆ่ายกครัว,ยิง2พ่อลูกดับ,นครศรีธรรมราช,หาปืนยิงพ่อลูก,พรหมคีรี,บ้านมะม่วงตลอด,งานศพสองพ่อลูก,ข่าวภูมิภาค,ข่าว,ไทยรัฐ,พระพรหม,หลักฐานคดียิงฆ่ายกครัว | https://www.thairath.co.th/content/615022 |
กลุ่มผู้ใช้ยาจี้ ก.สาธารณสุข หนุนนโยบายลดอันตรายจากการใช้ยา | แต่การจับกุมตามข้อหาเสพและครอบครองยังดำเนินต่อไป (24 มิ.ย.54) ผู้สนับสนุนนโยบายลดอันตรายจากการใช้ยาและเครือข่ายภาคประชาสังคมกว่า 100 คนในนามกลุ่ม 12-D ซึ่งทำงานในประเด็นยาและปัญหาเอชไอวีจะยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรียกร้องให้แสดงความเป็นผู้นำและความก้าวหน้ามากขึ้นในการผลักดันนโยบายลดอันตรายจากการใช้ยาในประเทศไทย จิรศักดิ์ ศรีประมงค์ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารศูนย์ช่วยเหลือผู้ใช้ยาด้วยการฉีดที่กรุงเทพฯ กล่าวว่า ก่อนจะถึงวันต่อต้านยาเสพติดโลกในวันที่ 26 มิถุนายน เรามารวมตัวที่นี่เพื่อประท้วงการวางนโยบายลดอันตรายจากการใช้ยา (เช่น การติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบและการน็อกยา) เนื่องจากวิธีการเหล่านั้นไม่มีข้อมูลสนับสนุน ไม่ได้มีฐานจากชุมชน และเป็นวิธีการที่กระทำโดยไม่สมัครใจ ก่อนที่จะพบกับรัฐมนตรีในเวลา 17.00 น. กลุ่มผู้รณรงค์จะรวมตัวกันประท้วงในเวลา 15.00 น. ที่ด้านหน้าของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ผู้สนับสนุนเหล่านี้ประกอบด้วยผู้ใช้ยาและพันธมิตรซึ่งต่างเรียกร้องให้มีการแสดงความเป็นผู้นำมากขึ้น มีการจัดทำนโยบาย มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่ดีขึ้น และการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ยาทั้งที่ยังใช้อยู่และเลิกใช้แล้วมีส่วนร่วมในการจัดทำและออกแบบกิจกรรมลดอันตราย นักรณรงค์ระบุว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่สามารถแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบที่อันตราย เนื่องจากขาดมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อเหล่านี้ในบรรดาผู้ใช้ยาด้วยการฉีด นอกจากนั้น นโยบายปราบปรามยาเสพติดที่กระทำอย่างสม่ำเสมอยังเป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้กลุ่มผู้ใช้ยาเหล่านี้แทบไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการป้องกันได้ ผู้ใช้ยาด้วยการฉีดประสบปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบซีที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา และแม้ว่านโยบายของรัฐที่ประกาศในปี 2545 ว่าผู้ใช้ยาเป็น ผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร แต่การจับกุมผู้ใช้ยาในฐานะอาชญากรตามข้อหาเสพและครอบครองยังดำเนินต่อไป เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่เราจะให้บริการที่ช่วยชีวิตคนได้ อย่างเช่น การให้คำปรึกษาด้านเอชไอวีและโครงการแลกเปลี่ยนเข็มและหลอดฉีดยา เพราะว่าตำรวจได้รับมอบอำนาจให้เดินเข้ามาในศูนย์ของเรา และจับกุมใครก็ได้ตามที่ต้องการ แล้วใครจะกล้ามาที่ศูนย์ดร็อปอินของเราหากว่าไม่รู้สึกปลอดภัยและไม่รู้สึกว่ามีการรักษาความลับของพวกเขา? เราต้องการการสนับสนุน ตำรวจมีอำนาจล้นฟ้า แต่กลับไม่มีหน่วยงานไหนให้การอบรมตำรวจถึงประโยชน์ที่ได้จากบริการลดอันตรายเลย แครีน แคปแพลน มูลนิธิรณรงค์เพื่อการรักษาเอดส์กล่าว มูลนิธิแห่งนี้ได้ทำงานสนับสนุนการลดอันตรายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 การให้บริการสาธารณสุขมักมีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ใช้ยา ในขณะที่ตำรวจยังคงละเมิดสิทธิผู้ใช้ยาอย่างต่อเนื่อง และยังขัดขวางไม่ให้ผู้สนับสนุนและนักกิจกรรมทำงานเพื่อผู้ใช้ยา การใช้ยาเป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่ง และบริการลดอันตรายอย่างเช่น การเข้าถึงอุปกรณ์การฉีดที่สะอาดและการบำบัดด้วยสารทดแทนอนุพันธุ์ฝิ่น อย่างเช่น เมทาโดน เป็นมาตรการพื้นฐานเพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้ใช้ยา เราต้องการให้กระทรวงสาธารณสุขแสดงจุดยืนและแสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการเป็นผู้นำนโยบายลดอันตรายที่เป็นผล และให้กำจัดกฎหมายและนโยบายที่ยิ่งเพิ่มอันตรายให้กับผู้ใช้ยาและสังคมโดยทั่วไป ไพศาล สุวรรณวงศ์ อดีตประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์แห่งประเทศไทย และสมาชิกเครือข่ายผู้ใช้ยาแห่งประเทศไทยกล่าว | ผู้ใช้ยาเรียกร้องให้ก.สาธารณสุขแสดงความเป็นผู้นำมากขึ้น เพื่อสนับสนุนนโยบายและโครงการลดอันตรายจากการใช้ยา ชี้แม้เคยมีนโยบายผู้ใช้ยาเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร | คุณภาพชีวิต,สังคม | ผู้ติดเชื้อเอชไอวี,ผู้ใช้ยา,สาธารณสุข,เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์แห่งประเทศไทย,เครือข่ายผู้ใช้ยาแห่งประเทศไทย | https://prachatai.com/journal/2011/06/35654 |
เปิดปากคำนิสิตรายล้อมดราม่าจุฬาฯ ชี้ กระบวนการจัดงานมีปัญหาจริง ขาดประชาสัมพันธ์ | พิธีการไม่ต่างจากปีที่แล้วนัก มีให้ยืนคำนับแต่ยังถวายบังคม แบ่งโซนความเชื่อแตกต่างแต่ประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจน คนในโซนย้อมผมโดนโยกย้ายไปมาท่ามกลางสายฝนที่โรยเม็ดลงมา นิสิตชั้นปีที่ 1 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยืนตรงอยู่กลางสนามหญ้าใจกลางมหาวิทยาลัย ยกมือขึ้นถวายบังคมเหนือหัว น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเก่าแก่ พิธีการนี้เป็นพิธีการประจำปี จัดขึ้นเพื่อให้นิสิตใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาฯ และมีความเชื่อกันว่านิสิตที่เข้าร่วมพิธีการนี้จะเป็นนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัวแต่ระหว่างพิธีมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย นอกจากอุปสรรคจากฟ้าฝน ก็ยังมีประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในโลกออนไลน์เป็นเวลา 2-3 วันแล้ว เมื่อเกิดภาพความขัดแย้งระหว่างฝั่งสภานิสิตจุฬาฯ นำโดยเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และอาจารย์ เกิดเป็นเหตุการณ์ที่ดูรุนแรง ทั้งการ ล็อกคอ และการใช้คำผรุสวาทผู้สื่อข่าวได้ใช้โอกาสนี้สัมภาษณ์ความคิดเห็นของนิสิตที่เข้าร่วมงานต่อภาพรวมของงานในช่วงพิธีการ ทั้งรุ่นพี่และนิสิตชั้นปีที่ 1 ที่เข้าร่วมในพิธีที่ถือเป็นเหตุการณ์แวดล้อมประเด็นดราม่าที่เป็นที่ถกเถียงกันในโซเชียลมีเดียถึงปัญหาที่มีภายในงานและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฟ้าฝนและวิธีปฏิบัติงานของนิสิตผู้ปฏิบัติงานหรือสต๊าฟเริ่มที่ประธานฝ่ายนิสิตสัมพันธ์จากคณะหนึ่ง เขากล่าวชื่นชมการทำงานของฝ่ายจัดงานในฐานะที่ตนเข้าร่วมประชุมงานด้วยกันว่า ฝ่ายจัดงานตั้งใจทำงานดี และทำงานได้เป็นระบบ แต่จากข้อคิดเห็นด้านลบมากมายจากงานถวายสัตย์ฯ เมื่อปีที่แล้วซึ่งควรเกิดการเปลี่ยนแปลงงานไปในทางที่ดีขึ้นได้บ้าง ตนกลับไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกเสียจากการให้ยืนแทนการหมอบกราบคือเขาบอกว่าให้เป็นทางเลือก ใครอยากนั่งก็นั่ง ใครอยากยืนเขาก็จะจัดสถานที่เฉพาะให้ตามความเชื่อส่วนบุคคล แต่เราคิดว่าเขาดูไม่ได้จริงจัง ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ออกไปเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีนอกจากนี้ นิสิตสัมพันธ์คนนี้ยังมองว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของงานถวายสัตย์ฯ ประจำปีนี้คือแผนป้องกันฝนตกที่ทำให้เกิดความโกลาหล และเป็นฉากของภาพเหตุการณ์อาจารย์ล็อกคอนิสิตที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้แผนป้องกันฝนตกแย่มาก คือเขามีการเตรียมการอยู่แล้ว มีเต็นท์ให้ทั้งกันร้อนและกันฝน มีแผนจะให้ไปหลบที่ตึกโดยรอบ คณะทั้งสถาปัตย์ วิทยาศาสตร์ หรือหอศิลปะ ที่สำคัญคือมีเสื้อกันฝนเตรียมไว้แล้ว แต่กลับแจกให้น้องตอนที่ฝนตกมาแล้ว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าฝนมันตั้งเค้ามานานแล้วทำไมไม่แจกตั้งแต่ฝนยังไม่ตกด้านนิสิตผู้ปฏิบัติงานชั้นปีที่ 2 ของคณะหนึ่งอย่างมิกซ์ (นามสมมติ) กล่าวถึงความแตกต่างและความพร้อมของการจัดงานในปีนี้และปีที่แล้วซึ่งตนเข้าร่วมว่า เห็นได้ชัดว่าฝ่ายจัดการสถานที่ของปีที่แล้วได้จัดเตรียมเสื้อกันฝนเอาไว้ให้นิสิตที่เข้าร่วมงานตั้งแต่ก่อนเข้าทำพิธีที่ลานพระบรมรูปสองรัชกาลแล้ว แต่ยังดีที่ไม่มีฝน และแดดออกจัด นิสิตที่เข้าร่วมพิธีถวายสัตย์ฯ ส่วนใหญ่จึงนำมาทำเป็นแผ่นรองนั่งแทนแต่ปีนี้ ทางฝ่ายจัดงานไม่ได้เตรียมเสื้อกันฝนไว้ก่อน ถึงจะเห็นว่ามีโอกาสที่ฝนจะตกสูงมากในตอนนั้น ฝ่ายจัดงานจึงต้องวิ่งแจกเสื้อกันฝนให้นิสิตที่เข้าร่วมงานด้วยความโกลาหลเมื่อฝนเริ่มลงเม็ด แล้วก็ท่ามกลางความโกลาหลตอนแจกเสื้อกันฝน ก็เห็นภาพว่าฝ่ายจัดงานต้องรีบๆ โยนเสื้อกันฝนเหมือนสาดอาหารให้ปลากินที่วัดมิกซ์ยังได้กล่าวอีกว่า ฝนที่ตกลงมาไม่ใช่ฝนปรอยๆ อย่างที่หลายฝ่ายกล่าวอ้าง แต่เป็นฝนที่อาจทำให้น้องป่วยได้ ตอนนั้นผมมองเข้ามาในลานพระบรมรูปฯ จากข้างนอก ฝนเริ่มตกปรอยๆ ตั้งแต่พิธีกรพูดกำหนดการคร่าวๆ กำหนดการเดิมคือต้องซ้อมก่อนพิธีจริงก่อนสองหรือสามครั้ง ตอนที่เขาเริ่มรอบ ซ้อม รอบแรก ฝนก็เริ่มเทลงมาแล้ว พิธีกรจึงประกาศให้นิสิตหลบฝน ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว นิสิตที่ไม่ได้รับแจกเสื้อกันฝนบางส่วนก็ต้องตากฝนกันตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งไม่ใช่แค่ตกปรอยๆ หรือแค่ตกหนักหลังจบพิธีอย่างที่มีคนพูดในทางกลับกัน นิสิตชั้นปีที่ 1 อย่างบีม (นามสมมติ) ที่เป็นผู้เข้าร่วมพิธีการและต้องนั่งอยู่กลางสนามจริงๆ กลับมองว่าฝนไม่ได้ตกหนักขนาดนั้น และเสื้อกันฝนก็ถือเป็นวิธีการจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดี แต่เธอก็มองเหมือนกับทั้งสองคนข้างต้นว่าการแจกเสื้อกันฝนช้าเกินไป ฝนมันตั้งเค้ามาตั้งนานแล้ว ควรแจกตั้งแต่แรก มันอาจจะยังไม่ได้เริ่มพิธี มันดูวุ่นวายมาก เข้าใจว่าต้องรีบแจก แจกแบบโยนๆ แล้วเด็กก็ไม่ได้เสื้อกันฝนครบทุกคน บางคนก็ได้เป็นถุงที่ใส่เสื้อกันฝน มันคลุมได้ครึ่งตัวก็จริง แต่มันไม่มีช่องสำหรับให้หัวลอดออกมาได้เช่นเดียวกับกัณต์พงษ์ วีระพงศ์พร นิสิตชั้นปีที่ 1 ก็คิดว่าแผนป้องกันฝนตกโดยการแจกเสื้อกันฝนเป็นแผนที่เหมาะสมแล้ว แต่ก็ยังกระทำได้ล่าช้าเกินไป คือมันเห็นทีท่าว่าจะตกอยู่แล้ว ควรแจกตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในหอประชุมหรือไม่ก็ก่อนจะเดินเข้าไปในสนามความคิดเห็นต่อประเด็นฝนตกของนิสิตไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ยังมีนิสิตบางส่วนที่คิดว่าความรุนแรงของฝนไม่ได้มากขนาดที่ต้องใส่เสื้อกันฝนด้วยช้ำ เช่นความคิดเห็นของโลม (นามสมมติ) เรื่องฝนตกผมมองว่าไม่ใช่ปัญหา ผมเต็มใจเข้าร่วมพิธีครับ ตอนแรกมันตกนิดเดียวมันทนได้ เพราะทุกคนอยากมาถวายสัตย์ ทุกฝ่ายก็พยายามแก้ปัญหาแล้ว เอาเสื้อกันฝนมาให้ พิธีการก็รีบเร่งและตัดรวบรัดดีนอกจากนี้ การที่นิสิตจะเข้าร่วมพิธีการนี้ได้มิใช่จะเป็นผู้ที่ผ่านการสอบเข้ามาแล้วเท่านั้น แต่ยังมีกฎระเบียบอื่นๆ ก่อนเข้าพิธี ซึ่งผู้ที่ไม่ทำตามจะถูกคัดกรองและไม่ได้เข้าไปร่วมยืนแปรอักษรอยู่กลางสนาม เช่น เรื่องสีผมที่ต้องเป็นสีธรรมชาติ ไม่ผ่านการทำสีที่อาจไม่สุภาพภูมิ (นามสมมติ) เป็นหนึ่งในนิสิตที่ไม่ผ่านการคัดกรองเพราะย้อมสีผม เขาไม่ได้เข้าไปร่วมพิธีกับเพื่อนตรงกลางสนามแต่ต้องไปยืนร่วมพิธีอยู่ข้างหลังแทน กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าการจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของฝั่งจัดงานยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรผมอยู่ตรงข้างหลังที่ย้อมผมแล้วโดนแยก ทุกอย่างงงมากๆ ตอนแรกให้ไปนั่งหลังสุด แบบแยกออกไปเลย พอสักพักฝนตก เขาก็แจกเสื้อกันฝนให้คนอื่นๆ แล้วเขาก็ให้พวกผมลุกไปหลบในเต็นท์ นึกว่ารอดแล้ว แต่พอหลบไปได้ครู่เดียวเขาก็มาบอกให้กลับไปที่เดิม ไม่มีเสื้อกันฝนให้ บอกว่าให้อดทนหน่อยนะน้อง ตากฝนไม่นานหรอก เสื้อกันฝนหมด ก็ต้องไปยืนตากฝน เปียกเลย แต่สุดท้ายเขาก็ให้ถอยไปหลบใต้ต้นไม้ แล้วก็ปล่อยกลับแบบงงๆ งงไปหมดทั้งนี้ ในประเด็นความขัดแย้งของสภานิสิตฯ และอาจารย์ที่เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์นั้น ทางกิจการนิสิตได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า เนติวิทย์ได้กระทำผิดข้อตกลงที่ให้ไว้ตอนแรก และ รศ.ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ รองอธิการบดีด้านกิจการนิสิต ได้ออกมาขอโทษในประเด็นดังกล่าว ผมต้องขอโทษนิสิตคนนั้นแทนอาจารย์ด้วยที่อาจจะทำอะไรเกินไป ทางจุฬาฯพยายามเปิดพื้นที่ให้กับทุกคน แต่ผมว่ามันต้องให้ความยุติธรรมและให้การเคารพข้อตกลงซึ่งมีต่อกันและกัน สำคัญที่สุดคือต้องจริงใจต่อกันด้วย ( )ในช่วงเวลาห่างกันไม่นาน เนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล หรือแฟรงค์ ประธานสภานิสิตจุฬาฯ และศุกลักษณ์ บำรุงกิจ หรือเสก รองประธานสภานิสิตจุฬาฯ ซึ่งรายหลังเป็นคนถูกล็อกคอในคลิปได้โพสท์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะทาง รศ.บัญชา ไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันกับไว้ในเรื่องการมีพื้นที่ให้คนที่ไม่ต้องการถวายบังคม พื้นที่ให้คนย้อมผม ใส่เครื่องประดับเข้าร่วมงานได้ รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องหลักการและเหตุผล และกระบวนการดำเนินการกิจกรรมดังกล่าวนอกเหนือจากประเด็นที่ถกเถียงกันในด้านสิทธิ เสรีภาพของการเข้าร่วมพิธี แนวคิดของการจัดพิธีการสักการะ การพูดคุยกันของนิสิตและอาจารย์ในระดับบริหาร และเหตุการณ์การใช้กำลังของอาจารย์ต่อนิสิตแล้ว อยากให้สังคมไม่ลืมประเด็นกระบวนการการจัดงานและสวัสดิภาพของนิสิตที่ร่วมกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่รายล้อมประเด็นดราม่า อันเป็นผลพวงจากวิธีปฏิบัติงานที่ดำเนินการโดยนิสิตด้วยกันเอง | ความเห็นแตกต่างเรื่องฝนหนัก-เบา แต่แผนฝนตกมีปัญหา เสื้อกันฝนไม่พอ แจกช้าและเร่งรีบจนเหมือนโยนอาหารให้ปลากิน แก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังมีปัญหาแต่ชื่นชมความตั้งใจ รวบรัดพิธีการ แก้ปัญหาได้ | คุณภาพชีวิต,วัฒนธรรม,การศึกษา | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,ถวายสัตย์ฯ จุฬาฯ,พิธีถวายสัตย์และปฎิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาฯ,ศุภลักษณ์ บำรุงกิจ,เนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล | https://prachatai.com/journal/2017/08/72671 |
ปภ.พังงาแจ้งเตือน 5 อำเภอเสี่ยงน้ำป่า-ดินโคลนถล่ม | เจ้าหน้าที่ป้องกันภัยส่งศพ ด.ญ.รุธ อาชีวะพฤษากิจ อายุ 6 ขวบ ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนไทยราษฎร์คีรี สาขาสันยอดดอย ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ที่ถูกน้ำป่าพัดจมหายไปขณะเดินทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน เมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพบพระก่อนที่จะมอบศพให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนา โดยการค้นหาต้องระดมกำลังเจ้าหน้าที่และชาวบ้านกว่า 200 คนกระจายกำลังออกค้นหาตั้งแต่จุดเกิดเหตุจนถึงปลายน้ำระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ก่อนจะพบศพติดอยู่ในกอไผ่ บริเวณหนองน้ำเขียว บ้านสันยอดดอยส่วนชาวบ้านในตำบลย่านซื่อ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูลกว่า 40 หลังคาเรือน ต่างเร่งซ่อมแซมหลังคาบ้านกันอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเกรงว่า จะเกิดฝนตกหนักซ้ำลงมาอีกครั้ง โดยบางครอบครัวที่ยังซ่อมบ้านไม่แล้วเสร็จต้องไปพักกับอาศัยกับญาติหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียงเป็นการชั่วคราวไปก่อนด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงาได้สั่งการให้มิสเตอร์เตือนภัยในพื้นที่ 5 อำเภอคือ อำเภอตะกั่วป่าตะกั่วทุ่ง คุระบุรี กะปง และ ท้ายเหมือง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มให้เฝ้าระวังและตรวจวัดปริมาณน้ำฝนอย่างใกล้ เพื่อให้สามารถเตือนประชาชนได้ทันท่วงทีส่วนเรือประมงและเรือรับส่งสินค้าและเรือบริการนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยและชายฝั่งทะเลอันดามัน ส่วนใหญ่ยังคงจอดเทียบท่า เพื่อรอดูสถานการณ์คลื่นลมไปอีก 1 - 2 วันหากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติก็พร้อมที่จะออกทะเลอีกครั้ง | สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงาสั่งการให้มิสเตอร์เตือนภัยเฝ้าระวังปริมาณน้ำฝนอย่างใกล้ชิด ส่วนเด็กหญิงวัย 6 ขวบที่ถูกกระแสน้ำป่าพัดหายไปขณะเดินทางกลับบ้าน เจ้าหน้าที่พบศพแล้ว | ภูมิภาค | น้ำฝน,พังงา,พายุฝน,มิสเตอร์เตือนภัย,สูญหาย | https://news.thaipbs.or.th/content/88113 |
ขาดน้ำ เลียงผา พลัดหลงนาชาวบ้านตัวที่ 2 | วันนี้ (7 พ.ค.2562) นายจรัส คำแพง หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน จ.อุทัยธานี กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (6 พ.ค.) เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน ได้เข้าช่วยเหลือสัตว์ป่าพลัดหลง ออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ตามที่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจประดู่ยืน โดยมีสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรลานสัก เจ้าหน้าที่ อปพร. ตำบลประดู่ยืน เข้าร่วมตรวจสอบในครั้งนี้ด้วยโดยพบเลียงผาตัวเมีย 1 ตัว อายุประมาณ 5-7 ปี น้ำหนัก 50-70 กิโลกรัม พลัดหลงออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เข้ามาอยู่บริเวณพื้นที่การเกษตร ทุ่งนาของชาวบ้านบ้านป่าคา หมู่ที่ 9 ต.ประดู่ยืน อ.ลานสัก จ.อุทัยธานีภาพ:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืชเจ้าหน้าที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ช่วยกันจับโดยวิธีการใช้ลูกดอกยาสลบ และเจ้าหน้าที่สัตวบาลได้เก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจสอบโรคและความสมบูรณ์ของร่างกาย พร้อมทั้งได้นำเลียงผาตัวดังนี้ไปอนุบาลเฝ้าระวัง และสังเกตอาการ เพื่อจะได้ปล่อยคืนสู่ป่าอนุรักษ์ต่อไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2561เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน เคยต้อนเลียงผาตัวผู้ 1 ตัว พลัดหลงออกนอกพื้นที่ป่าเข้ามาบริเวณชาวบ้านผ่านมาได้รับแจ้งจากราษฎรบ้านสนามบิน ม.11 ต.เขากวางทอง อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี โดยเลียงผามีอาการเหนื่อยหอบ สอบถามจากชาวบ้านในพื้นที่ทราบว่าถูกสุนัขวิ่งไล่มา คณะเจ้าหน้าที่จึงได้เฝ้าสังเกต อาการจนเลียงผาตัวดังกล่าวมีอาการดีขึ้น และต้อนการผลักดันกลับเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์อย่างปลอดภัยภาพ:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืชไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช กล่าวว่า เลียงผาเป็นสัตว์ที่หากินบนเขาหินปูน เมื่อเจอน้ำจะใช้ขาจุ่มไว้เลีย และกินน้ำบนยอดใบไม้ แต่ในช่วงหน้าแล้งน้ำตามซอกเขาระเหยไว ยอดใบไม้อ่อนที่มีน้ำเกาะก็ไม่เพียงพอ ทำให้ต้องออกมาหากินน้ำในเขตชุมชน และเจอตัวบ่อยขึ้น ซึ่งพฤติกรรมของเลียงผา จะขี้ตกใจง่าย เมื่อมาใกล้ชุมชนอาจจะเจอสุนัขไล่กวดจนหลัดพลงได้ง่ายในปลายปี 2561 เคยเจอเลียงผาพลัดหลงวิ่งเข้าไปในบ้านคนแถวจ.นครนายก มีบาดแผลตามลำตัว เพราะตกใจสุนัข เมื่อมีการอนุบาจนแข็งแรงปลอดภัยแล้วนำไปปล่อยที่ผาเดียวดาย อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นายสัตวแพทย์ภัทรพล กล่าวอีกว่าขณะนี้หลายพื้นที่มีสัตว์ป่าออกมาหาแหล่งน้ำและพลัดหลง หลายตัว เช่น เก้ง กวาง ช้าง เลียงผา เพราะปีนี้สภาพอากาศร้อนและแล้ง ดังนั้นจึงฝากแจ้งชาวบ้านว่าถ้าเจอสัตว์พลัดหลงให้แจ้งมาที่สายด่วน 1375 กรมอุทยานฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือภาพ:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืชขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ร่วมกับจิตอาสากลุ่มอนุรักษ์ ยังช่วยกันสร้างแหล่งน้ำเพิ่มเติมในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้สัตว์ป่า โดยมีการสำรวจและพัฒนาปรับปรุงแหล่งน้ำในหลายพื้นที่ เช่น ในเขตอ.ท่าตะเกียบ และสนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทราสำหรับเลียงผา จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาไซเตส กำหนดให้เลียงผาอยู่ในบัญชี 1 ใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากในระยะหลังเลียงผามีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุจากการล่าอย่างหนักเพื่อเอาเขา กระดูก และน้ำมันมาใช้ทำยาสมานกระดูก และพื้นที่หากินของเลียงผาลดลงอย่างรวดเร็ว จากการทำการเกษตรตามลาดเขา และบนพื้นที่ที่ไม่ชันจนเกินไป | จนท.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุนช่วยเลียงผา สัตว์ป่าสงวน พลัดหลงทุ่งนาชาวบ้าน จ.อุทัยธานี นำตัวไปอนุบาลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง พบเป็นตัวที่ 2 ช่วงเดือนส.ค.2561 เคยเจอตัวผู้ออกมาหากินในไร่ของชาวบ้าน หมอล็อตชี้อากาศร้อนน้ำบนเขาหินปูนแห้ง | สิ่งแวดล้อม | เลียงผา,สัตว์ป่าสงวน,อุทัยธานี,ไทยพีบีเอส,ThaiPBSnews | https://news.thaipbs.or.th/content/279817 |
หามส่ง รพ. เด็กสองขวบเผลอกลืนเหรียญบาท | เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 8 ก.พ. 58 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีเด็กอมเหรียญบาทติดคอ จึงเดินทางไปที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน รพ.ร้อยเอ็ด ที่รับคนไข้ต่อมาจาก รพ.จตุรพักตรพิมาน ที่เกิดเหตุพบเด็กหญิงหล่า (นามสมมติ) อายุ 2 ขวบ 9 เดือน,จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีเหรียญติดที่ลำคอ เด็กมีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดและมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ ใกล้ๆ กันพบกับนางทองเพชร คู่กระสังข์ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 92 บ้านหัวนาคำ หมู่ 4 ต.ดงกลาง อ.จตุรพักตรพิมาน ซึ่งกำลังนั่งอุ้มเด็กหญิงหล่าอยู่,นางทองเพชร เปิดเผยว่า เด็กหญิงหล่า (นามสมมติ) เป็นหลานเพียงคนเดียวที่เกิดจาก น.ส.น้ำพุ บุตรสอน อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นลูกสาว กับนายวุฒิ บรรพชิต อายุ 29 ปี ลูกเขย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้พากันไปทำงานหารายได้อยู่ที่ จ.ชลบุรี ขณะเดียวกันได้มอบ ด.ญ.หล่า ให้ตนเป็นคนเลี้ยง ต่อมามี ด.ช.อ้าย (นามสมมติ) อายุ 14 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 เป็นญาติ ชอบมาเล่นเป็นเพื่อนกับ ด.ญ.หล่า ที่บ้าน ขณะที่ทั้งสองคนเล่นด้วยกันอยู่นั้น ด.ช.อ้ายได้เงินจำนวน 16 บาท จากยายให้ไว้เป็นค่าขนมตอนกลางวัน ด.ช.อ้าย จึงเอาเงินเหรียญหนึ่งบาทให้ ด.ญ.หล่า เพื่อเก็บสะสมไว้เป็นค่าขนม,ต่อมา นางทองเพชร ชงเครื่องดื่มโอวัลตินให้ ด.ญ.หล่า กินก่อนที่จะนอนกลางวัน หลังจากโอวัลตินหมดขวดแล้ว จากนั้น ด.ญ.หล่าร้องไห้เเละมาบอกกับตนว่าเจ็บคอ เพราะก่อนหน้านั้นขณะเล่นอยู่กับเพื่อน เอาเงินเหรียญหนึ่งบาทอมไว้ในปาก จึงกลืนลงไปในลำคอพร้อมกับน้ำโอวัลติน ต่อมา นางทองเพชรจึงบอกให้เพื่อนบ้านมาหาทางช่วย เอามือล้วงคอ ด.ญ.หล่า แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจรีบนำส่ง รพ.จตุรพักตรพิมาน ตรวจรักษา ก่อนส่งต่อ รพ.ร้อยเอ็ด รักษา,หลังเกิดเหตุนางทองเพชรได้โทรศัพท์ไปบอกลูกสาวและลูกเขยที่กำลังทำงานอยู่ที่ จ.ชลบุรี หลังจากที่ทั้งสองทราบเรื่อง พากันตกใจและรีบเดินทางกลับ จ.ร้อยเอ็ด ทันที ขณะเดียวกันแพทย์ รพ.ร้อยเอ็ด ได้รีบหาวิธีรักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เด็กหญิงวัยสองขวบปลอดภัย. | เกิดอุบัติเหตุ น่าเศร้า เมื่อเด็กหญิงวัย 2 ขวบเก้าเดือน ชาว จ.ร้อยเอ็ด พลาดกลืนเหรียญบาทเข้าไปในลำคอ เคราะห์ดีที่ญาตินำส่ง รพ. ได้ทันเวลา | ข่าว,ทั่วไทย | เด็กกลืนเหรียญ,เหรียญติดคอ,เหรียญเข้าคอ,อุบัติเหตุ,พลาดกลืนเหรียญ,เหรียญบาทติดคอ,ข่าว,ไทยรัฐออนไลน์,ข่าวทั่วไทย | https://www.thairath.co.th/news/local/479926 |
เวนเกอร์ เซ็ง ปืนใหญ่ ยิงนกตกปลา ก่อนเจ๊า ฮัลล์ ไร้สกอร์ | สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 21 ก.พ. ว่า อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่ของ ปืนใหญ่ อาร์เซนอล ยอมรับผิดหวังกับฟอร์มของลูกทีมในเกมเอฟเอคัพ รอบ 5 ที่เปิดสนาม เอมิเรตส์สเตเดียม ทำได้เพียงเสมอกับ ฮัลล์ ซิตี้ ทีมจากเดอะแชมเปี้ยนชิพ 0-0 เมื่อคืนที่ผ่านมา,โดยเกมนี้ ปืนใหญ่ แทบจะเป็นฝ่ายพับสนามบุกอยู่ฝั่งเดียวโดยการครองบอลสูงถึง 70 กว่าเปอร์เซนต์ อีกทั้งโอกาสยิงในเกมก็มากถึง 24 ครั้งแต่กลับยิงทิ้งยิงขว้างไปซะหมด,ส่งผลให้หลังเกม อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของทีมถึงกับออกอาการเซ็ง โดยให้สัมภาษณ์ผ่าน บีที สปอร์ต ว่า ผมไม่แฮปปี้แน่นอน ไม่ นัดรีเพลย์มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่ฮัลล์ตั้งรับได้ดีมาก เรามีโอกาสได้หลายประตู แต่เราไม่คมพออีกทั้งการผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายก็ทำไม่ดีพอ,อีกทั้งตราบใดที่เราไม่สามารถทำประตูได้ พวกเขาก็จะเล่นในวิธีของเขา และตอนจบเกมเรามีโอกาสยิง 20 กว่าครั้ง ครองบอล 70 เปอร์เซนต์แต่ไม่มีประตู ดังนั้นเราควรมองไปที่ตัวเองเหอะ,นอกจากนี้ เวนเกอร์ ยังตอบคำถามถึงโอกาสเข้ารอบต่อไปว่า ถ้าเราไม่มีนักเตะเจ็บเพิ่ม ผมคิดว่าเราสามารถจัดการกับนัดรีเพลย์ได้อย่างแน่นอน แต่มันก็ใช่เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ,สำหรับ ปืนใหญ่ มีโปรแกรมทำศึกหนักกับ บาร์เซโลนา ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกแรกกลางสัปดาห์ที่จะถึงนี้ | อาร์แซน เวนเกอร์ ขงเบ้งเลือดน้ำหอมของ ปืนใหญ่ อาร์เซนอล สุดเซ็งที่ลูกทีมทำได้เพียงเสมอกับ ฮัลล์ ซิตี้ 0-0 ในเกมเอฟเอคัพรอบ 5 ทำให้พวกเขาต้องไปเล่นนัดรีเพลย์อีกครั้ง | null | เอฟเอคัพ,พรีเมียร์ลีก,อาร์เซนอล,อาร์แซน เวนเกอร์,ฮัลล์ ซิตี้,ข่าวกีฬา,ข่าว,ไทยรัฐออนไลน์ | https://www.thairath.co.th/content/580274 |
ความคิดเห็นที่แตกต่างของ คณะกรรมการ กสทช.กรณียุติออกอากาศ เหนือเมฆ 2 | มาตรา 37 ที่มี เนื้อหาที่ครอบคลุม เกี่ยวกับการห้ามออกอากาศ เนื้อหาที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือมีเนื้อหากระทบต่อความมั่นคงของรัฐ กระทบต่อความสงบเรียบร้อย กระทบต่อศีลธรรมอันดีงาม และลามกอนาจาร โดยให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ ตรวจสอบ และระงับการออกอากาศ และหากไม่ดำเนินการ ก็ให้กรรมการ ในที่นี้ หมายถึง กสทช.มีสิทธิ์สั่งการ หรือ ตั้งกรรมการสอบสวนได้มาตรา 37 ถูกนำมาเป็นเหตุผลหลักที่ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 ชี้แจงกับ คณะกรรมการกสทช. แม้จะไม่ใช่แบบเป็นทางการ แต่หากนับตั้งแต่ก่อตั้ง กสทช. ก็มีเพียงกรณีเดียวที่ มาตรา 37 ถูกนำมาใช้ คือการแพร่ภาพออกอากาศ รายการ เรียลลิตี้โชว์ ไทยแลนด์ก็อตทาเล้นต์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 จนเป็นที่วิพากวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอย่างกว้างขวางในสังคมต่อมาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง ของ กสทช. ก็มีมติสั่งปรับเงินทางปกครองสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เป็นจำนวนเงิน 500000 บาท เพราะเห็นว่า เป็นการเผยแพร่รายการที่มีเนื้อหาลามก อนาจารครั้งนั้น ผู้บริหารบริษัท เวิร์คพ้อยท์ ผู้ผลิตรายการดังกล่าวป้อนให้กับช่อง 3 ยืนยันว่า เกิดจากความผิดพลาดกันเอง ในการตรวจสอบเนื้อหาก่อนออกอากาศแต่สำหรับ กรณีละครเหนือเมฆ2 ที่ยุติการออกอากาศกระทันหัน โดยช่อง 3 ใช้ ประเด็นมาตรา 37 แจ้งกับ กสทช.นั้น แม้จะอ้างว่า ไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้ยืนยันหรือชี้แจงว่า ไม่เหมาะสมอย่างไร ซึ่งประเด็นนี้ คณะกรรมการ กสทช.ที่ดูแลงานด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ บอร์ดกสท. หลายคน มีความเห็นต่างแตกต่างกันไป และเป็นเหตุผลให้บอร์ดกสท.วันนี้ ไม่สามารถพิจารณาได้ว่า การยุติออกอากาศของช่อง 3 อย่างกระทันหัน ทำถูกต้องหรือไม่พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานบอร์ด กสท.เห็นว่า แม้จะยังไม่มีคำชี้แจงเป็นทางการจากช่อง 3 แต่การกล่าวอ้างถึงมาตรา 37 นั้น เห็นว่า ผู้ที่มีอำนาจพิจารณาเป็นใครทำผิดมาตรานี้หรือไม่ ก็ควรเป็นกสทช. แต่ผู้ประกอบการก็มีสิทธิ์ดูมาตรานี้ประกอบ เพื่อไม่ให้การผลิตรายการ สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดตามมาตรานี้ แต่เพื่อให้เกิดความกระจ่างในเหตุผลการระงับการออกอากาศมากขึ้น จึงมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณาด้านเนื้อหา และผังรายการ กลับไปรวบรวมข้อมูลให้รอบด้าน มาเสนออีกครั้งในที่ประชุมบอร์ดสัปดาห์หน้าขณะที่ กรรมการกสทช.อีกคน ซึ่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเนื้อหา รายการ เห็นว่า เป็นสิทธิ์ของช่อง 3 ที่จะพิจารณาตัวเองว่า มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และไม่ใช่เรื่องใหญ่หากพบว่าเกิดปัญหาแล้วยุติการออกอากาศแต่ในมุมมองของ กสทช.ที่ดูแลงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค กลับเห็นว่า การที่ช่อง 3 อ้างกฎหมาย มาแบนละครโดยไม่มีหลักการ จะส่งผลให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อความเป็นองค์กรสื่อ และเห็นว่าการกำกับดูแลกันเอง กับการตรวจสอบหรือเซนเซอร์ มีความแตกต่างกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ มีโอกาสที่ช่อง 3 จะใช้ดุลพินิจในทางที่ผิด และส่งผลกระทบอต่อสิทธิของประชาชนในสิทธิ์ที่ควรมีตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้ว่าเรื่องนี้จะยังไม่ได้ข้อยุติ แต่สิ่งที่สังคมอยากได้ คือ เหตุผลที่ช่อง 3 ระงับการออกอากาศกระทันหันวันพรุ่งนี้ (8 ม.ค.) สมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เตรียมไปยื่นหนังสือต่อ กสทช.ในวันพรุ่งนี้ เพื่อเรียกร้องให้แก้ปัญหา และตรวจการกรณีที่ช่อง 3 ยุติออกอากาศเรื่องเหนือเมฆ2 เพราะเห็นว่าเป็นการริดรอนสิทธิผู้ชมหรือผู้บริโภค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 และ 61 และหากไม่ดำเนินการให้กลับมาออกอากาศ จะยื่นฟ้องศาลปกครองด้วย | ที่ประชุมบอร์ด กสท.ของกสทช. ยังไม่สรุปผลกรณีสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ยุติออกอากาศ เหนือเมฆ 2 โดยอ้างว่า ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน เกี่ยวกับความไม่เหมาะสม ที่ช่อง 3 กล่าวอ้าง ขณะที่มาตรา 37 ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ ปี 2551 ที่ทางช่อง3 กล่าวอ้างว่าไม่เหมาะสมนั้น ก็ถูกตีความจากคณะกรรมการกสทช.หลายคนที่เกี่ยวข้องแตกต่างกันไป | เศรษฐกิจ | กสทช.,ช่อง3,มาตรา37,เหนือเมฆ2 | https://news.thaipbs.or.th/content/138015 |
โครงการเรือประชาอาสาดันน้ำออกทะเล เชื่อทำให้น้ำลดลง | น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการเรือประชาอาสาดันน้ำออกทะเล ที่บริเวณสะพานพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี โดยมีการปล่อยเรือ 500 ลำ เพื่อผลักดันน้ำที่ไหลลงมาจากภาคเหนือให้ออกสู่ทะเล ซึ่งจุดนี้เป็นจุดหนึ่งในทั้งหมด 42 จุดของแม่น้ำ สายเจ้าพระยา จากที่กำหนดไว้ 3 สายแม่น้ำ โดยแม่น้ำสาย บางประกง มีเรือ 300 ลำและแม่น้ำสายท่าจีน 300 ลำ ซึ่งคาดว่า โครงการผลักน้ำด้วยเรือจะสามารถผลักดันน้ำลงสู่ทะเลได้ 50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันทั้งนี้ นายกฯ กล่าวระหว่างกล่าวเปิดโครงการฯ ว่า การระบายน้ำสู่ทะเลเป็นอีกโครงการที่รัฐบาลมุ่งมั่นจะเร่งระบายน้ำ เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชน เป็นวิธีที่เสริมธรรมชาติที่ดีที่สุด และทำได้อย่างรวดเร็ว พร้อมย้ำรัฐบาลได้น้อมนำพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงใช้เรือผลักดันน้ำลงสู่ทะเลประสบความสำเร็จเมื่อ 10 ปีก่อนมาเป็นแนวปฏิบัติและแก้ไขปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวแสดงความเชื่อว่า ปฏิบัติ การครั้งนี้จะช่วยผลักดันน้ำลงสู่ทะเลได้ทันทีและจะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่ น้ำเจ้าพระยาพร่องลงและจะทำให้ปริมาณน้ำที่ท่วมอยู่บริเวณ จังหวัดปทุมธานี และ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะเข้ามาแทนที่ และเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ที่จะลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนกรุงเทพฯ | นายกฯ ระบุ รัฐบาลน้อมนำพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ทรงใช้เรือผลักดันน้ำลงสู่ทะเล ประสบความสำเร็จเมื่อ 10 ปีก่อน มาใช้ในโครงการเรือประชาอาสาดันน้ำออกทะเล | สังคม | น้ำท่วม,แม่น้ำเจ้าพระยา,โครงการเรือประชาอาสาดันน้ำออกทะเล | https://news.thaipbs.or.th/content/40073 |
กรมเจ้าท่ารุดตรวจเรือล่มอยุธยา สั่งสอบเขื่อนหน้าวัดสนามไชย | เมื่อวันที่ 21 ก.ย.59 นายณัฐ จับใจ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า พร้อมคณะเดินทางมาตรวจสอบเรือ พร้อมกล่าวว่า จากการสันนิษฐาน คนขับเรือควบคุมเรือไม่ได้ เพราะเป็นทางโค้งกระแสน้ำไหลแรง กราบเรือด้านขวากระแทกกับแท่นปูนที่ยื่นออกมาจากเขื่อน เรือจึงแตกกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ยาว 8 เมตร,ขณะนี้ได้สั่งให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาอยุธยา ไปตรวจสอบที่วัดสนามไชย ว่าการก่อสร้างเขื่อนมีใบอนุญาตถูกต้องและสร้างตามแบบหรือไม่ หากตรวจพบว่าผิดจะดำเนินคดีแจ้งความกับทางวัด ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบหารายละเอียดตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้เสร็จภายใน 10 วัน ส่วนมาตรการเสริมเพิ่มเติมต้องการให้เรือบรรทุกสินค้า เรือโดยสาร และเรือประเภทอื่นๆ ต้องมีวิทยุสื่อสารทุกลำ,นอกจากนี้พระครูอนุกูลศาสนกิจ เจ้าอาวาสวัดศาลาปูน และเจ้าคณะอำเภอพระนครศรีอยุธยา และพระพิพัฒนศาสนกิจวิธาน (เจ้าคุณเบิ้ม) เจ้าอาวาสวัดท่าการ้อง และรองเจ้าคณะอำเภอพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยคณะสงฆ์กว่า 20 รูป นำข้าวสาร จำนวน 200 ถุง พร้อมเงินสดจำนวน 151,000 บาท มาช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บที่เป็นชาวมุสลิมจำนวนมากในเหตุการณ์เรือล่มบริเวณท่าน้ำหน้าวัดสนามไชย ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี นายจักรกฤษ เส้นขาว โต๊ะอิหม่าม มัสยิดอาลียีนนูรอยน์ เป็นตัวแทนรับมอบ พร้อมนายดำรง พุฒตาล เป็นสักขีพยาน. | กรมเจ้าท่ารุดตรวจสอบเรือล่ม คาดคนขับคุมเรือไม่ได้ เพราะเป็นทางโค้งกระแสน้ำแรง ขณะที่กราบเรือขวากระแทกกับแท่นปูนที่ยื่นจากเขื่อน เล็งสอบวัดสนามไชย สร้างเขื่อนได้รับใบอนุญาตหรือไม่ | null | เรือล่ม อยุธยา,วัดสนามไชย,เรือล่ม,กรมเจ้าท่า,อยุธยา | https://www.thairath.co.th/content/729955 |
ข่าวปลอม | เพราะช่องทางการสื่อสารเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ก่ออาชญากรรมและปลุกระดมประชาชนให้หลงเชื่อ บิดเบือนข้อมูล อย่างล่าสุด เจ้าของเฟซบุ๊กถูกทางการของสหรัฐฯเชิญเข้าให้ปากคำ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแฮ็กข้อมูลความลับระหว่างประเทศ กระทบกับความมั่นคงในระดับหนึ่ง จนกระทั่งเฟซบุ๊กเองต้องยืนยันว่าจะระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นอีก,ฝ่ายความมั่นคงของ สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เคยยืนยันข้อมูลว่า การก่อการร้าย ได้มีการส่งคำสั่งในการปฏิบัติการก่อความรุนแรงผ่านทางสื่อออนไลน์ หรือใช้สื่อโซเชียลในการปลุกระดมแบ่งแยกดินแดน ร้ายแรงจนกระทั่งเข้าไปแฮ็กข้อมูลความมั่นคงและข้อมูลทางเศรษฐกิจจากทั่วโลก, ,หลายประเทศได้ออกกฎหมายที่เรียกว่า ป้องกันข่าวลวง อย่าง ประเทศมาเลเซีย เองก็มีกฎหมายทำนองนี้ออกมาเมื่อตอนที่มีการเลือกตั้งใหญ่ เพราะเกรงว่าจะใช้เป็นช่องทางในการทำลายคู่แข่งทางการเมือง,ซึ่งในหลายประเทศต้องยอมรับว่า มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่พัฒนากว่าบ้านเรามาก ยังเอาไม่อยู่ เพราะ สื่อออนไลน์ถือว่าเป็นสื่อที่ไร้พรมแดน ที่ไหนมีอินเตอร์เน็ต ที่นั่นจะสร้างข่าวสารอะไรขึ้นมาก็ได้ ไม่ว่าจะจริงจะเท็จ ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ที่ไปที่มาได้,ระบบความปลอดภัยของประเทศไทยยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คงจะเห็นข่าวที่มีแก๊งคนร้ายอาศัยประเทศไทยเป็นฐานการกระทำความผิดทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจอยู่บ่อยๆ,รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญและเข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีข้อเสนอเรื่องของ ซิงเกิลเกตเวย์ เพื่อควบคุมในการใช้อินเตอร์เน็ตไม่ให้นำไปใช้กระทำความผิด แต่ก็ถูกต่อต้าน บางครั้งก็ต้องใช้ความเด็ดขาด โดยคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก เช่น ประเทศจีน ที่ห้ามไม่ให้ใช้โซเชียลบางประเภท และมีบทลงโทษที่หนักกว่าการกระทำความผิดทั่วไป,เว็บข่าวของกรมประชาสัมพันธ์ได้เผยแพร่การให้สัมภาษณ์ของ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ระบุว่า มีผู้ไม่หวังดีนำเอาข้อมูลไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ในลักษณะเป็นข่าวปลอมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไล่ให้ประชาชนไปใช้น้ำเปล่าแทนน้ำมันดีเซล กรณีที่น้ำมันขึ้นราคา,เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้ คสช. แจ้งความเอาผิดกับผู้จงใจเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว โดยให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด,การสร้างข่าวปลอม เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับ สังคมในยุคดิจิทัล ไม่ใช่แค่เรื่องประโยชน์ส่วนตัว แต่เสียหายต่อประโยชน์ส่วนรวม เสียหายต่อประเทศชาติ ระหว่าง ความเป็นอิสระและเสรีภาพกับการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ต่างกันโดยสิ้นเชิง,ขืนหลงเชื่อจะทำให้ประเทศหายนะได้ง่ายๆ.,หมัดเหล็ก,[email protected] | ในต่างประเทศเริ่มเข้มงวดเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีคนเข้าไปใช้บริการมากๆ เช่น เฟซบุ๊ก กูเกิล หรือยูทูบ | null | คาบลูกคาบดอก,หมัดเหล็ก,ข่าวปลอม,การเผยแพร่ข้อมูล,สื่อออนไลน์ | https://www.thairath.co.th/news/politic/1291251 |
จับ ไอ้โก้ ได้ วิญญาณ ไฮโซเชอรี่ คงสงบ พ่ออยากถาม ทำไมต้องทำแบบนี้ | ,จากกรณีพบศพ น.ส.ธิติมา หรือเชอรี่ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วัย 39 ปี ถูกตีด้วยไม้เบสบอลเสียชีวิต ภายในโรงแรมหรู ย่านลาดพร้าว ต่อมาเจ้าหน้าที่ออกหมายจับ นายอัศยา ชัยภา หรือโก้ อายุ 33 ปี ลูกน้องคนสนิท ในข้อหาฆ่าโดยเจตนา และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ต่อมาทางกัมพูชา สามารถจับกุมตัว นายโก้ ได้พร้อมน้องชาย ก่อนคุมตัวกลับมายังประเทศไทย,ซึ่งจากการสอบสวน ให้การรับสารภาพ อ้างว่า ตอนอยู่ในห้องที่คอนโด มีปากเสียงกับผู้ตาย เถียงกันบานปลายถึงขั้นผู้ตายบันดาลโทสะด่าทอลามถึงบุพการีและลูกสาวของตน ที่ติดจากภรรยาเก่า จึงทำให้เกิด จึงทำให้เกิดความคับแค้นใจ หันไปเห็นไม้เบสบอล จึงคว้ามาฟาดใส่จนตาย จากนั้นก็ขอความช่วยเหลือให้น้องชายพาหนีข้ามชายแดน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น,ความคืบหน้า นายอำนวย วิชัยโชติ พ่อของไฮโซเชอรี่ เผย เตรียมทำบุญให้ลูก และจะบอกลูกว่า จับคนร้ายได้แล้ว ซึ่งก็คิดว่าจะไปถามผู้ต้องหาด้วยว่า ทำไมทำกับลูกสาวตนขนาดนี้ และเชื่อว่า เป็นการหวังทรัพย์สิน ซึ่งมันเกินที่จะให้อภัย ก็อยากให้รับโทษประหารให้สาสม,ด้าน นายปฐมพัฒน์ พี่ชาย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ ทางครอบครัวดีใจอย่างมากที่จับตัวคนร้าย ที่ก่อเหตุในครั้งนี้ได้ครับ ดวงวิญญาณของน้องเชอร์รี่ได้สงบสุข ขอขอบคุณนายตำรวจทั้งที่ประเทศกัมพูชา และไทย ที่ติดตามจนจับกุมได้ ขอให้ทางราชการตำรวจให้ลงโทษขั้นสูงสุด อย่าให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป | พี่ชายโพสต์ข้อความ หลังจับ ไอ้โก้ ได้ เชื่อดวงวิญญาณ ไฮโซเชอรี่ คงสงบ ด้านพ่ออยากไปถามเจ้าตัว ทำไมต้องทำแบบนี้ เชื่อหวังทรัพย์สิน | ข่าว,สังคม | ไฮโซสาว,ไอ้โก้,ไฮโซเชอรี่,ไม้เบสบอลฟาด,ด่าบุพการี,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/society/1366397 |
โลกความเร็วกับไทยรัฐ 22/05/62 | ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างสะแด่วแห้วไม่มีตก ไอ้หนูมหัศจรรย์ มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลกชาวสแปนิชจากเรปโซลฮอนด้า ที่ผงาดคว้าแชมป์โมโตจีพีสนาม 5 เฟรนช์ กรังด์ปรีซ์ ที่ฝรั่งเศส ไปครองตามคาดหมาย พร้อมกับโกยแต้มเป็น 95 คะแนน นำบนตารางจ่าฝูงเหนืออันดับ 2 อย่าง อันเดรีย โดวิซิโอโซ นักบิดอิตาเลียน 8 คะแนน จากชัยชนะของ มาร์เกซ ครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นนักบิดที่สามารถคว้าแชมป์ครั้งที่ 300 ในประวัติศาสตร์ของฮอนด้า ค่ายผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่น ในการแข่งขันพรีเมียร์ คลาสของโมโตจีพีได้อย่างยิ่งใหญ่,แหมอดเสียดายกับ คิงคองก้อง สมเกียรติ จันทรา นักบิดดาวรุ่งไทยจากโครงการ เรซทูเดอะดรีม ของ เอ.พี.ฮอนด้า ที่พลาดท่าล้มในรอบที่ 8 จนได้รับบาดเจ็บที่นิ้วเท้าด้านซ้ายทำให้ชวดแต้มในสนามนี้ไป จะว่าไปแล้วก็ไม่มีอะไรที่เกินคาดเพราะก่อนการแข่งขันหลายคน ยังเป็นห่วง เจ้าก้อง ที่มีอาการตึงแขนขวา อาร์มปั๊ม ตั้งแต่สนามที่แดนกระทิงแล้ว,คงต้องรอเช็กอาการล่าสุดอีกครั้งว่าจะต้องผ่าตัดหรือไม่ ถ้าผ่าตัดน่าจะผ่าพร้อมกับอาร์มปั๊มไปเลยในทีเดียว เชื่อว่าหลายคนยังเป็นกำลังใจให้กับ เจ้าก้อง ให้หายไวๆ กลับคืนสู่สนามนักบิดให้เร็วที่สุด ส่วนสนามหน้าที่จะมีขึ้นในวันที่,31 พ.ค.-2 มิ.ย. ที่ออโตโตโมอินเตอร์นาเซียนา-เลเดลมูเจลโล ประเทศอิตาลี,สยามวอเตอร์ คร้าฟท์แอนด์คลับบีอาร์พีไทยแลนด์ เปิดศูนย์กีฬาทางน้ำแห่งใหม่เพื่อคนรักกีฬากลางแจ้ง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะกีฬาเจ็ตสกีเซอร์วิสครบวงจร หลายค่ายจากแบรนด์ดังระดับโลก SEADOO ซีดู ด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย พร้อมศูนย์บริการให้การดูแลยานยนต์ทางน้ำ สำหรับนักกีฬาใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมในที่เดียว สะดวกครบครันแบบ One Stop,พุธที่ 5 มิ.ย.นี้ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ จัดแถลงข่าวการแข่งขัน ช้าง ซุปเปอร์ จีที เรซ 2019 ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 25 การกีฬาแห่งประเทศไทย (หัวหมาก) ตั้งแต่เวลา 14.00-15.30 น. ,โจ้ เต็มสปีด,[email protected], | แหมอดเสียดายกับ คิงคองก้อง สมเกียรติ จันทรา นักบิดดาวรุ่งไทยจากโครงการ เรซทูเดอะดรีม ของ เอ.พี.ฮอนด้า ที่พลาดท่าล้ม | null | สมเกียรติ จันทรา,คิงคองก้อง,เรซทูเดอะดรีม,เอ.พี.ฮอนด้า,บาดเจ็บ,โลกความเร็วกับไทยรัฐ,โจ้ เต็มสปีด | https://www.thairath.co.th/sport/others/1572558 |
MONO29 ระเบิดศึกสังเวียนหยุดโลก ท็อปคิงส์ 2016 ถ่ายสด 27 พ.ย.นี้ | จากเมืองหนานชาง มณฑลเจียงซี ประเทศจีน, ,วันที่ 24 พ.ย. 59 โมโนทเวนตี้ไนน์ ท็อปคิง เวิลด์ ซีรีส์ 2016 (MONO29 Topking World Series 2016) ศึกมวยไทยระดับโลก จัดขึ้นเพื่อค้นหาแชมป์มวยไทยตัวจริง จากสังเวียนมวยหลากหลายประเทศทั่วโลก ต่อสู้กันแบบดุเดือด ให้ผู้ชมได้ลุ้นระทึก ด้วยกติกาการแข่งขันแบบ แพ้คัดออก,ล่าสุด เตรียมเปิด รอบ 8 คนสุดท้าย เพื่อค้นหาสุดยอดนักชกที่จะไต่บันไดแชมป์เข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ 4 คนสุดท้าย โดยการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนี้ มีขุนพลนักสู้ชาวไทย ที่จะเป็นตัวแทนนักมวยไทยขึ้นเวทีการแข่งขันในรอบนี้ถึง 3 คนด้วยกัน ซึ่งการจับคู่มวยขึ้นเวทีชกจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดศึกสายเลือด ไทย ชนกับ ไทย ทั้ง ยอดวิชา ศิษย์สองพี่น้อง เจ้าของฉายาจอมเข่าโคราชจะขึ้นเวทีดวลหมัดกับ เซาะกราว เพชรยินดีอะคาเดมี่ เจ้าของฉายา หนุ่มเซาะกราว ต่อมาเป็นคู่ของ ยอดขุนพล ม.รัตนบัณฑิต ขึ้นชกกับ เควิน เรนาอี จากประเทศฝรั่งเศส, อาร์บี เอมิเยฟ เจ้าของฉายาจอมปิศาจรัสเซีย ปะทะกับ ผู ตง ตง เจ้าของฉายามังกรผยอง จากประเทศจีน และ จาง กวงฉี ฉายาตี๋จอมทรนง ปะทะ รุสลาน อตาเยฟ ฉายาอุซเบพันธุ์คลั่ง,ทั้งนี้ แฟนกีฬาชาวไทยร่วมชมและเชียร์นักชกไทยได้ทางช่อง MONO29 (โมโนทเวนตี้ไนน์) วันเสาร์ที่ 27 พ.ย.2559 ตั้งแต่ เวลา 18.20 น. เป็นต้นไป | โมโนทเวนตี้ไนน์ ท็อปคิง เวิลด์ ซีรีส์ 2016 (MONO29 Topking World Series 2016) ศึกมวยไทยระดับโลก รอบ 8 คนสุดท้าย ช่อง MONO 29 (โมโนทเวนตี้ไนน์) เตรียมถ่ายทอดสดให้แฟนมวยชาวไทยได้ชมและเชียร์ 27 พ.ย.นี้ เวลา 18.20-21.00 น. | null | MONO 29,โมโนทเวนตี้ไนน์,ศึกสังเวียนหยุดโลก,ท็อปคิงส์ 2016,ศึกมวยไทยระดับโลก | https://www.thairath.co.th/content/792486 |
ได้ใจไปเลย ภาพครู-นร.เดินเท้าเข้าป่ากว่า 9 กิโล ไปสอบโอเน็ต | ชาวเน็ตแห่แชร์ภาพกลุ่มเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่ง กำลังเดินทางเข้าป่าเพื่อไปสอบโอเน็ต โดยภาพนี้ถูกเผยแพร่โดยสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อ ,สมศักดิ์ ประสาร, ระบุข้อความว่า ,การศึกษากับหายนะภาพเด็กๆจากห้องเรียนหนึ่งเดินทางไปสอบข้อสอบระดับชาติอีกทึ่หนึ่ง เครดิตภาพ ผอ.ปกรณ์ ร.ร.บ้านสว้า,,ล่าสุดชาวเน็ตแห่แชร์ภาพนี้กว่า 2.3 พันครั้ง ส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นว่าวิพากษ์วิจารณ์ถึงความแตกต่างของการศึกษาไทย พร้อมทั้งให้กำลังใจเด็กนักเรียนที่ต้องเดินทางไกล,ด้านนายประสิทธิ์ ชาวแหลง รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 2 เปิดเผยข้อเท็จจริงว่า ในภาพที่แชร์กัน เป็นภาพของเด็กนักเรียนสังกัดโรงเรียนบ้านสว้า อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียนที่เรียกว่า ห้องเรียนสาขา อาศัยอยู่หมู่บ้านป่ากำและขุนน้ำจอน อ.บ่อเกลือ จ.น่าน เป็นหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาห่างไกลจากโรงเรียนและธุรกันดารมาก โดยปกตินักเรียนจะไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียน แต่จะส่งคุณครูประมาณ 3-4 คนไปสอนที่หมู่บ้านแทน,สำหรับในภาพดังกล่าว เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พร้อมคุณครู ผอ.โรงเรียน และผู้ปกครอง กำลังเดินทางกลับจากการสอบโอเน็ต จากสนามสอบโรงเรียนบ้านสว้า ที่ต้องเดินทางมาสอบเพียงปีละ 1 ครั้ง ระยะทางในการเดินทางประมาณ 9 กิโลเมตร (แบบขึ้นเขา) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง อาจารย์ผู้ที่นำภาพมาแชร์นี้มีเจตนาเพียงแค่อยากให้ทราบว่า ไม่ว่าเส้นทางยากลำบากแค่ไหน แต่เด็กทุกคนก็พร้อมใจมาสอบ อีกทั้งเป็นเส้นทางที่เด็กๆ คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด ทั้งนี้สำหรับเส้นทางระหว่างหมู่บ้านและโรงเรียนมีเพียงรถจักรยานยนต์แบบวิบากและรถยนต์โฟร์วิวสภาพดี ที่จะเข้าถึงได้เท่านั้น,เมื่อสอบถามต่อว่า ห้องเรียนสาขา ก่อตั้งมานานหรือยัง? นายประสิทธิ์เล่าต่อว่า เกิดขึ้นมาประมาณ 8 ปีมาแล้ว ถ้าไม่มีบริการแบบนี้เด็กก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ปัจจุบันห้องเรียนสาขามีนักเรียนทั้งหมด 50 คน มีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 | ชาวเน็ตแห่แชร์ภาพกลุ่มเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่ง กำลังเดินเท้าเข้าป่าเพื่อไปสอบโอเน็ต | null | นักเรียน,เด็ก,ครู,คุณครู,ผอ,โรงเรียนบ้านสว้า,บ่อเกลือ,น่าน,เขา,เดินป่า,สอบ,โอเน็ต,บ้านป่ากำ,บ้านขุนน้ำจอน,ข่าว,ข่าวด่วน,ข่าวไทยรัฐ,ไทยรัฐออนไลน์,ไทยรัฐ,สายตรวจโซเชียล,โซเชียล,Thairath | https://www.thairath.co.th/content/592430 |
แมวโรงพักน่ารัก บำบัดทุกข์ คือ ตร. แต่หน้าที่ให้ความสุข คือ เหมียวเอง | แฟนเพจเฟซบุ๊ก ,แมวโรงพัก, ได้โพสต์ข้อความว่า แรกเริ่มเดิมทีแล้ว ภายในโรงพักเราต่างมีทาสแมวแฝงตัวอยู่ในโรงพักอยู่แล้ว อย่างตัวแอดเองก็มีเจ้านายอยู่ 2 ท่านเช่นกัน ซึ่งเป็นพันธุ์ side road (ข้างถนน) ทั่วไป ตามที่เราเคยพบเจอกันมา,จนการมาถึงของ พี่ลาย แมวลายสลิด ซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้แอด กับน้องๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจภายในโรงพักตกหลุมรักมันเข้า ก่อนหน้านี้มีน้องภายในโรงพัก ได้อุ้มพี่ลายของเราขึ้นห้องที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งของต่างๆ ของแมวแล้ว,ทั้งกระบะทรายเอย อาหารแมวเอย เตรียมพร้อมทุกอย่าง แต่พี่ลายเจ้ากรรม ด้วยความที่เป็นแมวอินดี้จัด ทำให้พี่แกร้องหง่าวเอาจนน้องคนดังกล่าวต้องอุ้มมาปล่อยไว้ที่เดิม ซึ่งก็เป็นหนึ่งในแอดมินเพจตอนนี้ พอหลังจากนั้นเนี่ย การได้เจอเจ้าลายอีกครั้งพร้อมกับพี่ๆ น้องๆ ในโรงพักก็ตกลงกันว่า โอเคได้ เราจะช่วยกันดูแล,โดยมีพี่ที่ดูแลหลักๆ ก็จะเป็นพี่ขวัญ ที่เปรียบเหมือนป๊ะป๋าของพี่ลายนั่นล่ะครับ ที่คอยจัดแจงอาหารต่างๆ ให้ พร้อมทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากพี่ๆ สิบเวรที่ผลัดเปลี่ยนมาให้อาหารเม็ด โดยจะประจำวางอยู่ในห้องวิทยุอยู่ตลอดเวลา,เนิ่นนานวันเข้า ความทะเล้นบวกกับความขี้เล่นที่ผ่านสายตาของแอด กับน้องๆ ในโรงพัก จากการถ่ายรูปตลกๆ ส่งทางไลน์ ก็กลับกลายเป็นเพจนี้ขึ้น ด้วยจุดประสงค์ที่ว่าอยากเก็บรูปไว้ดูนานๆ พร้อมแบ่งปันทาสจากทุกสารทิศให้ได้รับความสุขไปด้วยกัน,เฮ้ยใครเจอเจ้าลายบ้าง ถ่ายรูปมาฝากด้วยนะ พี่จะเอาลงเพจเจอๆ พี่ เดี๋ยวผมส่งให้เฮ้ยๆ ส่งรูปด้วยพี่ไปตอนเช้าไม่เจอว่ะสงสัยพี่ขวัญไม่เข้า ไอ้ลายเลยไม่มาพี่ๆ ผมเจอมันอยู่หลังคาชั้นสองของ สน. เดี๋ยวผมไปถ่ายให้นะ,บทสนทนาเหล่านี้ คือ การพูดคุยกันระหว่างแอดฯ กับทีมงาน ที่อยากบอกต่อกับทุกคนจริงๆ พอย้อนกลับไปอ่านทีไร มันก็ทำให้เราเห็นความตั้งใจของน้องๆ ที่อยากช่วยให้เพจ มีเนื้อหาเดินหน้าต่อไปได้ และต่อจากนั้นก็มีข้อความจากหลังบ้านส่งแมวจากที่นั่นที่นี่เข้ามา ทำให้เนื้อหาของเพจมีความกว้างขึ้น,อีกทั้งยังทำให้เราได้รู้ว่า เครือข่ายทาสแมวและเจ้านายได้วางกำลังอยู่ทุกโรงพักทั่วทุกหัวเมืองแล้วจริงๆ ไล่มาตั้งแต่ นุ้งมณีแห่งสายไหม เจ้ไฝสืบเมืองน่าน สองแสบมะลิกับดาวเรืองแห่งบางชัน และอีกมากมายที่เริ่มทยอยเข้ามา,มาถึงตอนนี้ เราไม่รู้ว่าเพจเราประสบความสำเร็จในการประชาสัมพันธ์หรือยัง แต่เราถือว่าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก นั่นคือการดูแลแมวตัวนึงให้เขาออกมาใช้ชีวิตได้ดีกว่าเดิม เราได้เห็นชุมชนคนรักแมวที่ได้แสดงความคิดเห็นให้เรา แนะนำเรามากมาย เราถือว่าเราได้ประชาสัมพันธ์องค์กรของเราในมุมดีๆ ที่ไม่มีใครเห็น ซึ่งมันก็ดีต่อกำลังใจของแอดฯ และเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในองค์กรของแอดมากจริงๆ,สุดท้ายนี้คงไม่มีใครอยากขึ้นโรงพัก ถ้าไม่มีเรื่องมีราวที่ทำให้น่าปวดหัวใช่ไหมล่ะแต่ต่อไปนี้แอดฯ ว่ามันคงจะสร้างรอยยิ้ม และความมึนงงเล็กน้อยให้กับพี่ๆเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากจะมีประชาชนจำนวนหนึ่งขึ้นโรงพัก พร้อมกับเอ่ยถามคำแรกกับเจ้าหน้าที่ว่า สวัสดีค่ะ จะมาหาแมวโรงพัก เจอน้องได้ที่ไหนคะ ฮ่าๆๆ มันคงจะดีไม่น้อยเลยเนาะ ว่าไหมครับ ทาสแมวทุกคน,(ขอบคุณภาพและข้อความจาก ,แมวโรงพัก,) | ชาวเน็ตเห็นแล้วยิ้ม แฟนเพจเฟซบุ๊ก แมวโรงพัก น่ารัก บำบัดทุกข์ คือ หน้าที่ตำรวจ แต่หน้าที่ให้ความสุข คือ เหมียวเอง | ข่าว,สังคม | แมวโรงพัก,ข่าวโซเชียล,ทาสแมว,น้องแมว,แมวน่ารัก,ข่าวทั่วไป | https://www.thairath.co.th/news/society/1637583 |
ฮัลโหลเมืองปาย ตรุษจีนนี้เที่ยวสไตล์จีนยูนนาน หมู่บ้านสันติชล(คลิป) | I TOUR ALONE กับฮัมมิ่งเบิร์ด,สัปดาห์นี้ ถือโอกาสหาวันว่างแบกเป้เดินทางมาเที่ยวที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน หลายคนคงไปมาจนเบื่อแล้วสินะ แต่สำหรับเราเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรก จริงๆ จุดหมายคือจะไปเที่ยวที่ถ้ำนำ้ลอด อ.ปางมะผ้า แต่ขอแวะเที่ยวชุมชนจีนยูนนานอันโด่งดังซะหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเมืองปาย,ประจวบเหมาะกับช่วงนี้กำลังจะถึงเทศกาลตรุษจีน เราว่าได้มาเที่ยวที่ชุมชนจีนแบบนี้ได้อารมณ์วันปีใหม่จีนแบบสุดๆ, ,-1-,จริงๆ เมืองปาย มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง เช่น สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ถนนคนเดินปาย วัดน้ำฮู ทุ่งบัวตอง หมู่บ้านชาวเขา ล่องแก่งล่องแพยาง ขี่ช้างชมธรรมชาติ เป็นต้น อีกแห่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ หมู่บ้านสันติชล ชุมชนชาวจีนยูนนานที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่นี้ตั้งแต่อดีต,จนทุกวันนี้กลายเป็นชุมชนจีนยูนนาน ต่อมาทางชุมชนจึงได้ทำเป็นศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนนาน ในลักษณะเป็นหมู่บ้านจำลองขึ้นมา เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อหารายได้เสริมให้แก่ชาวเขาในชุมชน,หมู่บ้านสันติชล รายล้อมไปด้วยภูเขาสูงต่ำสลับกันเป็นทิวยาว ภายในหมู่บ้านมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ซุ้มเล่นกิจกรรมกระจายตัวอยู่หลายหลัง ร้านอาหารจะเสิร์ฟอาหารสไตล์ยูนนาน มีกิจกรรมยิงธนู กิจกรรมเช่าชุดจีนใส่ถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ร้านค้าแต่ละร้านจะเป็นบ้านดิน มุงหลังคาด้วยหญ้าแฝก รูปแบบของบ้านเรือนถ่ายทอดวัฒนธรรมของชาวจีนยูนนานได้ดี,-2-,พอเราก้าวเข้ามาในศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้ปุ๊บ ก็รู้สึกเหมือนบินไปเที่ยวประเทศจีนยังไงยังงั้น เพราะการออกแบบ และการตกแต่งสถานที่จะเป็นสไตล์จีนยูนนานทั้งหมด จุดเด่นคือมีมังกรทองพันอยู่บนเสาซึ่งตั้งบนเนินหินสูงใหญ่สีดำทะมึน,พอเดินเข้ามาข้างในอีกหน่อย จะพบกับบ้านดินสีส้มตัดกับฟ้าสีฟ้าสดใส ระหว่างเดินเที่ยวก็มีลมพัดเข้ามาตลอด อากาศเย็นสบาย แม้แดดจะแรงแต่ก็ไม่ร้อนอย่างที่คิด,บ้านดินเหล่านี้เป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกอยู่หลายหลัง มีหลังหนึ่งขายใบชา เราเลยแวะเข้าไปชิมชาหลายชนิด ชมการสาธิตชงชาแบบจีน และเดินเลือกชมกระดิ่งจีน ฮู้จีน ฯลฯ,มีชาตัวหนึ่งชิมแล้วหอมมาก คือยอดใบชาขาวที่เพิ่งเก็บใหม่ในฤดูกาลล่าสุด ที่แถบภาคเหนือของไทยถือเป็นแหล่งปลูกชาที่ได้คุณภาพดี แล้วส่งขายไปทั่วทุกจังหวัด ได้มาชิมชาดีๆ ในบรรยากาศรายล้อมวิวดีแบบนี้ ฮืมฟิน,-3-,นอกจากนี้ก็ยังมีซุ้มเล่นกิจกรรมอย่าง การโล้ชิงช้าชาวเขา ซุ้มกิจกรรมยิงธนู ยิงเป้า เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยก็จะพบกับกำแพงเมืองจีนจำลอง และมีสะพานข้ามสระน้ำขนาดใหญ่ เพื่อไปยังอาคารร้านค้าเช่าเสื้อผ้าชุดจีนอีกหลายอาคาร อ้อ สระน้ำที่ว่านี้ นักท่องเที่ยวสามารถไปให้อาหารปลาได้ด้วยนะ,เท่าที่สังเกต จะเห็นว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย มีทั้งจากยุโรป จีน เกาหลี ญี่ปุ่น น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน คงเป็นเพราะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบนี้ต่างชาติน่าจะนิยมมากกว่าบ้านเรา,ใช้เวลาเดินเที่ยวแค่ชั่วโมงนิดๆ ก็เที่ยวชมได้ทั่วแล้ว เดินไม่เหนื่อย เพราะเป็นทางราบตลอด ไม่ต้องปีนป่ายหรือเดินขึ้นเนินเขาให้เมื่อยขา (แต่ถ้าเมื่อยเพราะเดินถ่ายรูปนี่ก็อีกเรื่อง) ก่อนกลับหาร้านกาแฟนั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยไปต่อจุดหมายปลายทางถัดไป,คราวหน้าจะพาไปเที่ยวชุมชนปางมะผ้า ค้นหาโลงไม้ฝังศพโบราณของคนสมัยก่อนที่เรียกว่า โลงผีแมน เดี๋ยวมาเล่าให้ฟัง อย่าลืมติดตามกันนะจ๊ะ, ,พิกัดการเดินทาง : หมู่บ้านสันติชลตั้งอยู่ที่ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อยู่ห่างจากตัวอำเภอปายประมาณ 4.5 กิโลเมตร เปิดบริการนักท่องเที่ยวทุกวัน เวลา 07.00 - 21.00 น., | ตรุษจีนนี้จะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวไกลกรุงเทพฯ หน่อย นั่งรถตู้เกือบพันโค้งไปยังจุดหมายปลายทาง ณ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ได้พักผ่อนกายใจท่ามกลางอากาศหนาวสุดฟิน แวะเที่ยวซึบซับบรรยากาศแบบชาวแดนมังกรที่ หมู่บ้านสันติชล ชุมชนจีนยูนนาน | ไลฟ์สไตล์,ท่องเที่ยว | ตรุษจีน2018,ตรุษจีน2561,เที่ยวตรุษจีน,เที่ยวปาย,หมู่บ้านจีนยูนนาน | https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/thaitravel/1200833 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.