query_id
stringlengths 1
4
| query
stringlengths 14
176
| positive_passages
listlengths 1
9
| negative_passages
listlengths 0
14
|
---|---|---|---|
3905 | เมืองอู๋ซีก่อตั้งขึ้นเมื่อใด? | [
{
"docid": "618735#2",
"text": "เมืองอู๋ซีก่อตั้งขึ้นเมื่อ 3,000 ปีก่อนโดยเจ้าชายสองพระองค์ผู้ลี้ภัยมาจากตอนเหนือของจีน ทั้งสองพระองค์เรียกดินแดนบริเวณนี้ว่า 'เหมย' (Mei) เนื่องจากมีการขุดทำเหมืองดีบุกในบริเวณใกล้เคียง เมืองนี้จึงเป็นที่รู้จักในชื่อว่า 'หยูซี' (Youxi - เมืองที่มีดีบุก) จนกระทั่งแร่ดีบุกจึงขุดจนหมดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 568 เมืองนี้จึงถูกเรียกในชื่อปัจจุบัน\nตามที่ระบุไว้ใน สื่อจี้ หรือสารานุกรมด้านประวัติศาสตร์จีน (Records of the Grand Historian; Taishi gong shu; 太史公書 หรือ the Shiji; 史記 – \"Historical Records\") ช่วงศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตศักราช (11th century BC) เจ้าชายสองพระองค์แห่งราชวงศ์โจว คือ เจ้าชายไท่โป๋ (อังกฤษ: Taibo; จีน: 泰伯; พินอิน: Tàibó) และจ้งยง (อังกฤษ: Zhongyong; จีน: 仲雍; พินอิน: Zhòngyōng) ทั้งสองพระองค์ได้สละสิทธิ์ในการสืบพระราชบัลลังก์ต่อจากพระบิดา คือจักรพรรดิไท่ แห่งราชวงศ์โจว (อังกฤษ: King Tai of Zhou; จีน: 周太王; พินอิน: Zhōu Tàiwáng) ออกมาก่อตั้งอาณาจักรใหม่ในบริเวณเมืองอู๋ซีนี้",
"title": "อู๋ซี"
}
] | [
{
"docid": "166243#1",
"text": "เมืองอฺวี้ซีก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 960 ในเวลานั้นมณฑลยูนนานยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน เมืองอฺวี้ซีครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ใจกลางของมณฑลยูนนานในสมัยก่อนราชวงศ์ฉิน (ก่อน 221 ปีก่อน ค.ศ.) ต่อมาในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (206 ปีก่อน ค.ศ. – ค.ศ. 24) ได้เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลอี้ (อี้โจว) และได้เปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่ทั้งแยกและรวมเรื่อยมา จนในปี ค.ศ. 1997 อฺวี้ซีได้กลายเป็นนครระดับจังหวัดของสาธารณรัฐประชาชนจีน",
"title": "อฺวี้ซี"
},
{
"docid": "618735#3",
"text": "แคว้นอู๋ (state of Wu;) มีเมืองหลวงแห่งแรกชื่อ เหมยหลี่ (อังกฤษ: Meili; จีน:梅里; พินอิน: Méilǐ) ซึ่งคาดว่าจะเป็นบริเวณหมู่บ้านเหมยชุน (Meicun) ในอู๋ซี (มีข้อมูลอื่นที่บันทึกว่าบริเวณที่ตั้งของเมืองหลวงเหมยหลี่อยู่ใกล้กับบริเวณเมืองซูโจวปัจจุบัน) เจ้าชายไท่โป๋และเจ้าชายจ้งยง ทั้งสองพระองค์ได้ช่วยกันพัฒนาด้านเกษตรกรรมและระบบชลประทานจนทำให้แคว้นอู๋กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีความเจริญเป็นอย่างมาก เมื่อจักรพรรดิไท่โป๋ทรงเสด็จสวรรคตลงโดยไม่มีราชบุตรสืบต่อ เจ้าชายจ้งยงผู้เป็นพระอนุชาจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอู๋ (king of Wu)",
"title": "อู๋ซี"
},
{
"docid": "618735#6",
"text": "ในยุคสามก๊ก มีการแต่งตั้งข้าราชการเข้าดูแลเมืองอู๋ซีทางตะวันตก ซึ่งเป็นเขตเกษตรกรรม ในช่วง 280 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จึงได้รวมเข้ากับอู๋ซีมาตลอดยุคราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง และราชวงศ์ซ่ง จนเมื่อปี ค.ศ. 1295 เทศมณฑลอู๋ซี (Wuxi County) ได้รับการยกระดับเป็นเมืองอู๋ซี (Wuxi City) ในปี ค.ศ. 1368 ก็ถูกลดระดับกลับไปเป็นเทศมณฑลอู๋ซีดังเดิม ปี ค.ศ. 1724 อู๋ซีเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดฉางโจว (Changzhou) จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1912 หลังสิ้นราชวงศ์ชิง",
"title": "อู๋ซี"
},
{
"docid": "618735#0",
"text": "อู๋ซี (อังกฤษ: Wuxi; ) เป็นเมืองอุตสาหกรรมเก่าในมณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน บริเวณที่ลุ่มปากแม่น้ำแยงซี มีทะเลสาบไท่หูพาดผ่านแบ่งเมืองออกเป็นสองส่วน ทางทิศจะวันตกมีอาณาเขตติดกับฉางโจว และทางทิศตะวันออกติดกับซูโจว เนื่องจากเป็นเมืองที่ได้รับการพัฒนาเมื่อไม่นานมานี้ จึงถูกขนานนามว่า \"เซี่ยงไฮ้น้อย\" มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นหนึ่งในเมืองต้นกำเนิดอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจสมัยใหม่ของจีน และยังเป็นบ้านเกิดของนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงหลายคนในสมัยศตวรรษที่ 20 ที่มีส่วนสร้างเมืองเซี่ยงไฮ้ให้เป็นเมืองเศรษฐกิจสมัยใหม่อีกด้วย",
"title": "อู๋ซี"
},
{
"docid": "618735#17",
"text": "เขตการส่งออกอู๋ซี (Wuxi Export Processing Zone) ก็ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1992 เช่นเดียวกับเขตเมืองใหม่อู๋ซี โดยตั้งอยู่ภายในเขตเมืองใหม่อู๋ซีนั่นเอง มีพื้นที่ประมาณ 2.98 ตารางกิโลเมตร สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการส่งเสริม เช่น electronic information, optical-mechanical-electronic-integration, precision machinery และ new materials เป็นต้น มีการคมนาคมขนส่งที่สะดวกเพราะตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินอู๋ซีและท่าเรือฉางโจว",
"title": "อู๋ซี"
},
{
"docid": "822663#1",
"text": "เมืองซีบูก่อตั้งขึ้นโดยเจมส์ บรูก ในปี ค.ศ. 1862 โดยเขาได้สร้างป้อมในเมืองเพื่อป้องกันการโจมตีจากชาวดาจัก ต่อมาชาวจีนฮกเกี้ยนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณป้อม และมีกิจกรรมการค้าในเมือง ในปี ค.ศ. 1901 หว่อง ไน เซียง (Wong Nai Siong) ได้นำผู้อพยพชาวฝูโจวจำนวน 1,118 คน จากมณฑลฝูเจี้ยนมาอาศัยอยู่ที่เมืองซีบู ทำให้เมืองซีบูขึ้นชื่อว่าเป็น \"ฝูโจวแห่งใหม่\" มีการสร้างตลาดและโรงพยาบาลแห่งแรกในการปกครองของบรูก โรงพยาบาลเลาคิงเฮา (Lau King Howe) และโรงเรียนเมทอดิสต์และโบสถ์หลายแห่ง สร้างขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1930 อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุไฟไหม้ในเมืองซีบู 2 ครั้งในปี ค.ศ. 1889 และ 1928 และมีการก่อสร้างใหม่หลังจากนั้น ไม่มีการต่อสู้ในเมืองซีบูในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาในซาราวะก์ ในปี ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นได้เข้ามาสร้างที่พักอาศัยในซีบูในเดือนมิถุนายน ค.ศง 1942 และได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น ซีบู-ชู (Sibu-shu) ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1942 หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 1945 อังกฤษได้เข้ามายึดครองซีบูในฐานะคราวน์โคโลนี นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวเมลาเนารุ่นใหม่ในซีบูไม่พอใจ เป็นผลทำให้เจ้าหน้าที่บริหารชาวอังกฤษคนที่ 2 เซอร์ ดังคัน จอร์จ สจ๊วต ถูกลอบสังหารโดย รอสลี โดบี (Rosli Dhobi) เมื่อเขามาถึงซีบูในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1949 ต่อมารอสลีถูกแคว้นคอตายในคุกกลางกูชิงในปี ค.ศ. 1950 ลุ่มน้ำซีบูและราจังเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของลัทธิคอมมิวนิสต์ และคงดำเนินต่อไปแม้ซาราวะก์ได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1963",
"title": "ซีบู"
},
{
"docid": "618735#5",
"text": "ต่อมาเมื่อ 473 ปีก่อนคริสต์ศักราช แคว้นอู๋พ่ายแพ้แก่แคว้นเยว่ (ปัจจุบันคือ มณฑลเจ้อเจียงและมณฑลฝูเจี้ยน) และเมื่อ 334 ปีก่อนคริสต์ศักราชแคว้นฉู่ (state of Chu) เอาชนะและครอบครองแคว้นเยว่ได้ ต่อมาแคว้นฉู่พ่ายแพ้แก่แคว้นจิ้นในราว 223 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมืองอู๋ซีจึงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นฉู่และจิ้นในเวลาต่อมาในยุคจั้นกั๋ว (Warring States period) นั้นเอง",
"title": "อู๋ซี"
},
{
"docid": "618735#34",
"text": "ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 1987 ทางตะวันตกของเมืองอู๋ซี เป็นสตูดิโอสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศจีน เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรืองสามก๊ก (\"The Three Kingdoms) \"และเรื่องซ้องกั๋ง (\"Water Margins)\" ได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในระดับ AAAAA scenic area โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน (China National tourism Administration)",
"title": "อู๋ซี"
},
{
"docid": "618735#21",
"text": "เมืองอู๋ซีตั้งอยู๋บนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายเซี่ยงไฮ้–นานจิง ที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองนานจิง (ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง) และกับเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้ (ใช้เวลา 45 นาที โดยทางรถไฟ) โดยห่างจากเมืองซูโจวซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจอันดับที่ 5 และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญเพียง 24 นาที รถไฟสายเค (K-series) ทุกขบวนหยุดรับส่งผู๋โดยสายที่อู๋ซีนี้ด้วย",
"title": "อู๋ซี"
}
] |
3908 | โยเซฟถูกขายเป็นทาสให้กับใคร? | [
{
"docid": "79642#3",
"text": "เมื่อโยเซฟถูกขายไปยังอียิปต์นั้น โปทิฟาร์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของฟาโรห์ ได้ซื้อโยเซฟไว้ โยเซฟรับใช้ถูกใจโปทิฟาร์ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลการงานในบ้าน และมอบทรัพย์สิ่งของทั้งปวงไว้ในความดูแลทั้งหมด และโยเซฟมิเคยแตะต้องทรัพย์สมบัติของโปทิฟาร์เลย",
"title": "โยเซฟ (บุตรยาโคบ)"
}
] | [
{
"docid": "79642#4",
"text": "ด้วยเป็นหน้าตาดี ภรรยาของโปทิฟาร์จึงมองด้วยความปฏิพัทธ์ เมื่อสบโอกาสที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน นางจึงชวนโยเซฟให้ร่วมหลับนอนกับนาง แต่โยเซฟสามารถหลบเลี่ยงได้ทุกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งนางคว้าเสื้อผ้าของโยเซฟไว้ได้ จึงแจ้งแก่โปทิฟาร์ว่าโยเซฟปลุกปล้ำตนเอง จึงนำโยเซฟไปจำไว้ที่คุกหลวงโดยมิได้ไต่สวนแต่อย่างใด",
"title": "โยเซฟ (บุตรยาโคบ)"
},
{
"docid": "79642#5",
"text": "เมื่อโยเซฟไปอยู่ในคุกหลวง พระเจ้าก็ยังทรงอยู่กับเขา เป็นเหตุให้พัศดีเมตตา และมอบนักโทษทั้งปวงที่ในเรือนจำให้อยู่ในความดูแลของเขา ต่อมาหัวหน้าพนักงานน้ำองุ่น และหัวหน้าพนักงานขนมขององค์ฟาโรห์ทำผิด และถูกส่งมาอยู่ในคุกหลวงนี้ โยเซฟจึงได้รับคำสั่งให้ปรนนิบัติทั้งสองคน คืนหนึ่งทั้งสองคนฝันกันคนละเรื่อง คนละความหมาย แต่ไม่มีผู้ใดแก้ความฝันให้ได้ โยเซฟจึงขอแก้ฝันให้",
"title": "โยเซฟ (บุตรยาโคบ)"
},
{
"docid": "79642#15",
"text": "ครั้นเมื่อพวกพี่ ๆ เดินทางไปถึงอียิปต์ โยเซฟจึงให้เชิญไปร่วมรับประทานอาหารที่บ้าน พร้อมทั้งได้ปล่อยตัวสิเมโอนออกมา และจัดข้าวบรรจุกระสอบให้พวกพี่ แต่สั่งให้คนรับใช้นำจอกเงินของตนใส่ในปากกระสอบของเบนยามินด้วย ครั้นเมื่อพวกลูกๆ ของยาโคบเดินทางกลับ โยเซฟจึงให้คนตามไปและแจ้งว่ามีผู้ขโมยจอกเงินมา เมื่อค้นจึงเจอในกระสอบของเบนยามิน ทั้งหมดจึงกลับไปยังบ้านโยเซฟอีกครั้ง และในครั้งนี้เองโยเซฟจึงได้เผยตัวให้พี่ๆ ได้รู้ และข่าวญาติๆ ของโยเซฟมาก็ไปถึงพระกรรณฟาโรห์ จึงรับสั่งให้จัดรถไปรับครอบครัวของโยเซฟมาอยู่ ณ เมืองโกเชน ประเทศอียิปต์ด้วยกัน",
"title": "โยเซฟ (บุตรยาโคบ)"
},
{
"docid": "79642#13",
"text": "เมื่อบรรดาบุตรชายของยาโคบเดินทางไปซื้อข้าว โยเซฟ เป็นผู้ขายข้าวและจำพี่ ๆ ได้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก และจับพวกพี่ ๆ ขังคุกไว้โดยให้ข้อหาว่าเป็นพวกสอดแนม เมื่อผ่านไป 3 วัน จึงได้จับสิเมโอนไว้ และให้พี่ๆ ที่เหลือไปนำน้องคนสุดท้องมาเพื่อยืนยันว่ามิได้เป็นพวกสอดแนมจริง แล้วปล่อยพวกพี่ๆ ที่เหลือกลับไปพร้อมข้าวและเงินค่าข้าวที่ได้รับมา",
"title": "โยเซฟ (บุตรยาโคบ)"
},
{
"docid": "79642#2",
"text": "เมื่ออายุ 17 ปี โยเซฟตามพวกพี่ ๆ ไปเลี้ยงแกะที่เมืองเชเคม พวกพี่ชายคิดจะฆ่าเขา แต่รูเบนได้ช่วยพูดไว้ โยเซฟจึงถูกขายให้เป็นทาสในประเทศอียิปต์ ฝ่ายพี่ๆ นำเสื้อผ้าของโยเซฟไปจุ่มเลือดแกะ และบอกบิดาว่า พบเสื้อของโยเซฟระหว่างทาง ทำให้ยาโคบเข้าใจว่าโยเซฟตายแล้ว",
"title": "โยเซฟ (บุตรยาโคบ)"
},
{
"docid": "224626#44",
"text": "เมื่อ SEESทำลายเกรทชาโดว์ทั้ง 12 ได้แล้ว ไอกิสได้ถูกอิคุตซึกิตั้งโปรแกรมให้โจมตีคนอื่นๆ แต่เธอสามารถหลุดจากการควบคุมได้เมื่อถูกสั่งให้ฆ่าตัวเอก ในที่สุด เธอได้รับความเสียหายอย่างหนักในการต่อสู้กับเรียวจิ ซึ่งก็คือเดธ เกรทชาโดว์ตนที่ 13 ความจริงได้เปิดเผยว่าในการต่อสู้กับเดธในอดีตนั้นไอกิสไม่สามารถโค่นเดธได้ เธอจึงใช้วิธีผนึกเดธไว้ในร่างของเด็กชายซึ่งอยู่แถวๆนั้น นั่นก็คือตัวเอกนั่นเอง และการที่เธอพยายามอยู่ใกล้ชิดกับตัวเอกเพื่อให้แน่ใจว่าเดธนั้นยังไม่ออกมาเป็นอิสระ เมื่อการซ่อมแซมไอกิสเสร็จสิ้น เธอกลับมายังหอพักด้วยความสับสนเพราะเธอได้พัฒนาจิตใจอันแท้จริงของมนุษย์แล้ว ด้วยกำลังใจจากสมาชิกคนอื่นๆของ SEES เธอจึงสามารถร่วมต่อสู้กับทุกคนในการต่อสู้กับนิกซ์ได้",
"title": "เพอร์โซนา 3"
},
{
"docid": "8448#14",
"text": "บอสแห่งองค์กร พาสซิโอเน่ เป็นพ่อแท้ๆ ของ ทริช ได้ออกคำสั่งให้บูจาราตี้ทำหน้าที่รับตัวทริชมาส่งให้แก่ตน โดยมีเป้าหมายลับเพื่อนำตัวไปสังหาร ด้วยหวังไม่ให้ใครสามารถสืบหาตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้ ทว่าบูจาราตี้ไม่อาจปล่อยให้ทริชโดนฆ่าทั้งที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวใดๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งการต่อสู้ของกลุ่มบูจาราตี้กับผู้ใช้แสตนด์มากมายที่ถูกส่งมาจากองค์กร จนถึงจุดสิ้นสุดแห่งการเผชิญหน้ากับเดียโบโร่ ผู้กุมอำนาจแห่งพาสซิโอเน่ ตัวเดียโบโร่เองเป็นคน 2 บุคลิก โดยบุคลิกที่ 2 ซ่อนในร่างของเด็กหนุ่มบอบบางที่แตกต่างจากตัวตนเดิมทั้งหน้าตา น้ำเสียง และขนาดร่างกาย ใช้ชื่อว่า วิเนการ์ โดปปิโอ (Vinegar Doppio)มีวิธีเฉพาะในการสื่อสารกับบุคลิกหลัก (เดียโบโร่)ในร่างกายตนเองผ่านการสนทนาเสมือนคุยโทรศัพท์",
"title": "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 5"
},
{
"docid": "320358#5",
"text": "ครั้นโยเซฟเติบใหญ่ กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ภรรยาของข้าหลวงได้หลงใหลในรูปโฉมของเขา และล่อลวงเขาด้วยความใคร่อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่โยเซฟไม่มีความคิดที่เนรคุณข้าหลวงที่เลี้ยงดูตัวเอง จึงไม่ได้สนใจการหว่านเสน่ห์ของภรรยาข้าหลวงแต่อย่างใด ทำให้นางเกิดความคับแค้น และวางแผนให้เขาได้รับโทษ ฐานที่ทำให้นางขายหน้า โดยการล่อหลอกให้เขาเข้ามาในห้องของนางตามลำพัง และตะโกนร้องเรียกทหารยามว่า โยเซฟได้เข้ามาปลุกปล้ำตน เขาจึงถูกข้าหลวงทำโทษ โดยการถูกส่งไปจองจำในคุก",
"title": "ประวัติศาสตร์อิสราเอล"
},
{
"docid": "189501#3",
"text": "ฮิโตะคิริ บัตโตไซ มือสังหารในตำนาน ชื่อจริง ชินตะ ถูกขายเป็นทาสตอนอายุ 10 ขวบ ในระหว่างที่เดินทางพ่อค้าทาสและทาสคนอื่นๆเสียชีวิตเนื่องจากถูกโจรปล้น ชินตะได้พวกพี่สาวปกป้องไว้จึงรอดชีวิตมาได้เพราะฮิโกะ เซจูโร่มาช่วยไว้ได้ทัน หลังจากนั้นเซจูโร่ประทับใจที่ชินตะลงมือฝังศพให้กับพรรคพวกที่ตายรวมทั้งโจรด้วยจึงรับเป็นศิษย์และเปลี่ยนชื่อให้ว่า เคนชิน",
"title": "ฮิมุระ เคนชิน"
}
] |
3915 | มูลนิธิโครงการหลวงก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
{
"docid": "43516#0",
"text": "โครงการหลวง () เป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2512 โดยหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับผิดชอบในฐานะประธานมูลนิธิโครงการหลวง",
"title": "โครงการหลวง"
}
] | [
{
"docid": "78248#1",
"text": "\"มูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ\" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2522 อันเป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 60 ปีของกำพล วัชรพล ซึ่งใช้ทุนส่วนตัวในการก่อตั้งมูลนิธิดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท และยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งมูลนิธิ ต่อสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม) และได้รับใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิ เลขที่ ต.131/2523 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 ต่อมาจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อ \"มูลนิธิไทยรัฐ\" จนถึงปัจจุบัน",
"title": "มูลนิธิไทยรัฐ"
},
{
"docid": "33241#3",
"text": "มูลนิธิชัยพัฒนาก่อตั้งเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 105 ตอนที่ 109 วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชดำรงตำแหน่งนายกมูลนิธิ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีดำรงตำแหน่งองค์ประธานบริหารมูลนิธิ โดยมี นายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นเลขาธิการมูลนิธิ และมีอาคารสำนักงานตั้งอยู่ภายในสวนหลวงพระราม 8 แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด ซึ่งเดิมเคยเป็นสถานที่ตั้งโรงสุราบางยี่ขัน มาก่อน",
"title": "มูลนิธิชัยพัฒนา"
},
{
"docid": "401936#4",
"text": "มูลนิธิกระจกเงา เริ่มต้นจากการรวมตัวทำกิจกรรมของคนหนุ่มสาวจำนวน 5 คน ในปลายปี 2534 ซึ่งประกอบด้วยนักกิจกรรมในรั้วและนอกรั้วมหาวิทยาลัย ได้รวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่อเนื่อง โดยในขณะนั้นใช้ชื่อกลุ่มว่า \"กลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงา ได้ขอเข้าอยู่เป็นโครงการภายใต้มูลนิธิโกมลคีมทอง\" ในปี 2535 และได้จดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิกระจกเงา ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 โดยมูลนิธิกระจกเงาเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำหน้าที่เป็นเงาในการสะท้อนปัญหาเพื่อร่วมพัฒนาสังคมในหลายด้าน ได้แก่ งานด้านสิทธิมนุษยชน งานด้านสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ งานพัฒนาอาสาสมัคร และการแบ่งปันทรัพยากร เพื่อเพิ่มศักยภาพใน การเรียนรู้และการใช้ชีวิต โดยมีพื้นที่ปฏิบัติงานทั้งบนสังคมออนไลน์ (internet) สังคมเมืองและสังคมชนบท",
"title": "มูลนิธิกระจกเงา"
},
{
"docid": "401936#40",
"text": "ก่อตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครสึนามิ Tsunami Volunteer Center ที่เขาหลัก จ.พังงา เมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 เพื่อทำการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยตลอด 3 ปีของการดำเนินการได้มีอาสาสมัครจากทุกมุมโลกร่วมปฏิบัติการครั้งนี้มากกว่า 5.000 คน และได้ทำการสร้างบ้านพัก เรือประมง กองทุนส่งเสริมอาชีพ กิจกรรมด้านการศึกษาให้แก่ลูกหลานผู้ประสบภัย นับเป็นโครงการแรกของมูลนิธิกระจกเงา ที่ได้ร่วมประสบการณ์ในงานด้านภัยพิบัติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการทำงานด้านนี้ ในโอกาสต่อมา",
"title": "มูลนิธิกระจกเงา"
},
{
"docid": "394249#3",
"text": "มูลนิธิร่วมกตัญญูเกิดขึ้นจาก สมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง พ่อค้าขายกาแฟชาวจีน โดยได้ช่วยเหลือ ผู้ด้อยโอกาสกว่าในชุมชนแออัด ตรอกโรงหมู กล้วยน้ำไท โดยเฉพาะกับคนจนๆ ที่ตายแล้วไม่มีเงินซื้อโลงศพ ต่อมาขยายวงจรจากท่าเรือคลองเตย ไปถึงพระโขนง พระประแดง บางขุนเทียน โดยใช้ชื่อ \"ศาลหลวงปู่เปี่ยม\" จนในปี พ.ศ. 2513 จัดตั้งเป็นมูลนิธิ ภายใต้การจัดตั้งโดยโรจน์ โชติรุ่งเรือง และคณะกรรมการรวม 15 ท่าน โดยคุณสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง เป็นผู้บริหารงานและคุณรัตนา ภรรยา เป็นเลขาธิการ หลังจากที่โรจน์ถึงแก่กรรม คณะกรรมการบริหารมูลนิธิ จึงได้ยื่นขอเปลี่ยนใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิร่วมกตัญญู เปลี่ยนชื่อประธานกรรมการ มาเป็นชื่อ สมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2530 จนถึงปัจจุบัน",
"title": "มูลนิธิร่วมกตัญญู"
},
{
"docid": "322738#4",
"text": "มูลนิธิมีที่มาจาก คณะเก็บศพไต้ฮงกง ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2452 โดยพ่อค้าชาวจีนในกรุงเทพฯ 12 คน ในการดำเนินงานระยะแรกของคณะเก็บศพไต้ฮงกงเป็นไปอย่างอัตคัต เงินที่ได้รับบริจาคไม่พอกับค่าใช้จ่าย และเมื่อในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองในปี พ.ศ. 2455 คณะผู้ก่อตั้งขอพระบรมราชูปถัมภ์จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็ทรงพระกรุณาพระราชทานเงินช่วยเหลือให้ปีละ 2,000 บาท แต่ถึงกระนั้นการดำเนินงานก็ยังทำได้ในวงจำกัด จน พ.ศ. 2480 นักธุรกิจจีนได้ร่วมกับบรรดาสมาคมและหนังสือพิมพ์จีน ระดมความคิดปฏิรูปคณะเก็บศพไต้ฮงกงขึ้นใหม่ โดยจดทะเบียน (ทุน 2,000 บาท) จัดตั้งเป็นมูลนิธิในนาม ป่อเต็กตึ๊ง หรือในชื่อเต็มว่า ฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง (ฮั่วเคี้ยว หรือหัวเฉียว หมายถึง ชาวจีนโพ้นทะเล, ป่อเต็ก แปลว่า สนองพระคุณ, เซี่ยง หรือเสียง หมายถึง ทำบุญกุศล และ ตึ๊ง หมายถึง ศาลาหรือองค์กร) เป็นมูลนิธิลำดับที่ 11 ของประเทศสยาม",
"title": "มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง"
},
{
"docid": "593030#3",
"text": "ตั้งแต่ปี 2537 ที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ประทานพระดำริให้จัดตั้งมูลนิธิฯ ขึ้นมานั้น ทางสมาคมโหรฯจึงได้มีมติให้จัดตั้งมูลนิธิขึ้น โดยแต่งตั้งให้อาจารย์เอื้อ บัวสรวง เป็นประธานกรรมการ จัดทำร่างระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ พร้อมดำเนินงานก่อตั้งมูลนิธิ โดยเริ่มรวบรวมเงินจากทุกท่านที่มีความศรัทธา และผู้หวังทำประโยชน์สาธารณะหลาย ๆ ท่าน จนกระทั่งกลางปี 2538 สามารถรวบรวมเงินบริจาคครบ 5 แสนบาทเป็นทุนทรัพย์เริ่มแรกขั้นต่ำตามกฎหมาย จึงได้กราบทูลเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขอพระเมตตาให้ทรงรับมูลนิธิไว้ในพระอุปถัมภ์ ซึ่งพระองค์ทรงพระเมตตารับไว้ในพระอุปถัมภ์ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2538 ตามหนังสือเลขที่ พ ๓๒๐/๒๕๓๘ จากสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ลงนามโดยผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช พระธรรมสิริสารเวที (บุญเรือน ปุณฺณโก) ตามสมณศักดิ์ในขณะนั้น (ต่อมาท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระมหารัชมงคลดิลก ใน พ.ศ. 2539)",
"title": "มูลนิธิสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระสังฆราชูปถัมภ์"
},
{
"docid": "65083#0",
"text": "มูลนิธิธรรมกาย () จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เดิมใช้ชื่อว่า มูลนิธิธรรมประสิทธิ์ โดยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ณ กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2513 เมื่อสร้างวัดพระธรรมกายเสร็จได้ขอแก้ไขเอกสาร เปลี่ยนชื่อเป็น \"มูลนิธิพระธรรมกาย\" เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2525 ณ ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี และเพื่อไม่ให้สับสนกับชื่อวัด จึงจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อจาก มูลนิธิพระธรรมกาย เป็น \"มูลนิธิธรรมกาย\" โดยได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ตามหนังสือที่ ศธ 1304/6088 ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2528",
"title": "มูลนิธิธรรมกาย"
},
{
"docid": "12413#5",
"text": "ในกลางปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) เวลส์ได้ก่อตั้งมูลนิธิวิกิมีเดียขึ้น โดยเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนวิกิพีเดียและโครงการพี่น้องอื่น ๆ นับแต่นั้น บทบาทของเวลส์จะเพิ่มขึ้นจากเดิมในด้านการส่งเสริมและการพูดในที่ต่าง ๆ ถึงโครงการของมูลนิธิ นับถึงปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) เวลส์ยังคงดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิและประธานกรรมการบริหารมูลนิธิอยู่",
"title": "จิมมี เวลส์"
}
] |
3929 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่าอะไร? | [
{
"docid": "42096#2",
"text": "ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า \"พราหมณ์\" ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล -จนถึงนิกายมหายาน - วัชรญาณ เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้",
"title": "ศาสนาฮินดู"
},
{
"docid": "766866#0",
"text": "ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า ”พราหมณ์” ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธมหายานบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดูเนื่องจากหลักธรรมส่วนใหญ่ของศาสนาพุทธได้ประยุกต์มาจากศาสนาฮินดูเมื่อครั้งยังเป็นศาสนาพราหมณ์โดยเริ่มจากนิกายเถรวาทเมื่อครั้งพุทธกาล -จนถึงนิกายมหายาน - วัชรญาณ เมื่อ โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แลัวเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้",
"title": "ประวัติศาสนาฮินดู"
}
] | [
{
"docid": "42096#9",
"text": "ศิวลึงค์เป็นความคิดที่พราหมณ์ในสมัยก่อนคิดกันขึ้นมาเพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ มิใช่ความปรารถนาของพระศิวะที่จะให้พราหมณ์นับถือศิวลึงค์ หรือโยนีสำหรับลัทธิศักติ การบูชาพระศิวะสามารถทำได้ด้วยการกระทำความดีเพื่อถวายแก่พระศิวะ ผู้ที่ปรารถนาที่จะกลับเข้าสู่ความเป็นอาตมันหรือตรัสรู้สามารถทำได้โดยการทำสมาธิ และให้คิดว่าร่างกายนี้เราก็ละในที่สุดก็จะตรัสรู้และมีแสงเป็นจุดกลมๆเป็นฝอยๆสีขาวคล้ายน้ำหมึก ขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตรบางอันก็เล็กกว่า และมีแสงเป็นรูปคล้ายดาวกระจายขนาดประมาณครึ่งนิ้ว แสงที่เห็นจะมีน้ำหนัก มีลักษณะเป็นก้อน เมื่อกระทบวัตถุสามารถเด้งกลับได้ การตรัสรู้ของศาสนาพราหมณ์คือ \"การรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา\"ศาสนาฮินดู ที่สืบเนื่องจากศาสนาพราหมณ์นับเป็นศาสนาที่เก่าแก่มากที่สุด ได้แบ่งออกเป็นหลายนิกายที่สำคัญ เช่น",
"title": "ศาสนาฮินดู"
},
{
"docid": "42096#0",
"text": "ศาสนาฮินดู () หรือ สนาตนธรรม เป็นศาสนาแบบพหุเทวนิยมที่พัฒนาการต่อมาจากศาสนาพราหมณ์ จึงมักเรียกรวมกันว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าใครเป็นศาสดา มีพระเวทเป็นคัมภีร์หลัก มีศาสนิกชนมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก มีจำนวนประมาณ 900 ล้านคน .",
"title": "ศาสนาฮินดู"
},
{
"docid": "50638#0",
"text": "ฤคเวท () เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ อำนาจแห่งเทวะ และประวัติการสร้างโลก รวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งจะใช้ในพิธีการบรวงสรวงเทพเจ้าต่างๆ ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส ( ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหมณ์ การจัดรวบรวมบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา มีบทสวดทั้งหมด 1,028 บท เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งสี่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเรียกรวมกันว่า \"พระเวท\" และนับเป็นบทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ เนื้อหาด้านชาติพันธุวิทยาและภูมิศาสตร์ที่ปรากฏในฤคเวทนั้น เป็นหลักฐานแสดงว่าฤคเวทนั้นมีมานานกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล",
"title": "ฤคเวท"
},
{
"docid": "42096#10",
"text": "1. ลัทธิไวษณพ เป็นนิกายที่เก่าที่สุด นับถือพระวิษณุเจ้าเป็นเทพองค์สูงสุด เชื่อว่าวิษณุสิบปาง หรือนารายณ์ ๑๐ ปางอวตารลงมาจุติ มีพระลักษมีเป็นมเหสี มีพญาครุฑเป็นพาหนะ นิกายนี้มีอิทธิพลมากในอินเดียภาคเหนือและภาคกลาง ของประเทศ นิกายนี้เกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๐ สถาปนาโดยท่านนาถมุนี (Nathmuni)",
"title": "ศาสนาฮินดู"
},
{
"docid": "32293#38",
"text": "ลัทธิยูดา นับได้ว่าเป็นศาสนาแรกในกลุ่ม เป็นลัทธิเทวนิยมที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดและยังอยู่ยั่งยืนถึงปัจจุบัน คุณค่าและประวัติศาสตร์ของชาวยิวนับเป็นส่วนหลักสำคัญที่ เป็นรากฐานของกลุ่มศาสนาแอบราฮัมอื่น เช่นคริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม รวมทั้งศาสนาบาไฮ อย่างไรก็ดี แม้จะมีรากฐานร่วมจากแอบราฮัมด้วยกันมาแต่โบราณ แต่แต่ละศาสนาก็มีความแตกต่างกันทางศิลปะที่ชัดเจน (ทั้งทัศนศิลป์และนาฏศิลป์) ซึ่งความแตกต่างนี้เนื่องมากจากอิทธิพลภูมิภาคที่มีอยู่ก่อนโดยมีศาสนาเข้ามาในภายหลังและกลายเป็นศาสนาที่เป็นตัวแสดงลักษณะเด่นทางวัฒนธรรมในเวลาต่อมา",
"title": "วัฒนธรรม"
},
{
"docid": "838595#4",
"text": "ชาวฮินดูแบบบาหลีจะมีการนมัสการพระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุตามคติดั้งเดิมของศาสนา แต่มีเอกลักษณ์พิเศษคือมีเทพพื้นเมืองเพิ่มเข้าไปด้วย หนึ่งในนั้นคือซังฮฺยังวีดี (Sang Hyang Widhi) หรือ อจินไตย (Acintya) เป็นหนึ่งในเทพเจ้าตามคติบาหลี และต่อมาได้นับถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียวตามหลักปรัชญาปัญจศีลของประเทศอินโดนีเซีย โดยซังฮฺยังวีดีหรืออจินไตยจะมีที่ประทับเรียกว่า ปัทมาสน์ (padmasana \"ปัดมาซานา\") ซึ่งมีลักษณะเป็นเก้าอี้ว่างเปล่า พบได้ทั่วไปตามบ้านเรือนและศาสนสถานต่าง ๆ",
"title": "ศาสนาฮินดูแบบบาหลี"
},
{
"docid": "32367#2",
"text": "ฤคเวท (สันสกฤต: ऋग्वेद, ฤคฺเวท, Rigveda) เป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ อำนาจแห่งเทวะ และประวัติการสร้างโลก รวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งจะใช้ในพิธีการบรวงสรวงเทพเจ้าต่าง ๆ ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส (ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหมณ์ การจัดรวบรวมบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา มีบทสวดทั้งหมด 1,028 บท เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งสี่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเรียกรวมกันว่า \"พระเวท\" และนับเป็นบทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ เนื้อหาด้านชาติพันธุวิทยาและภูมิศาสตร์ที่ปรากฏในฤคเวทนั้น เป็นหลักฐานแสดงว่าฤคเวทนั้นมีมานานกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล",
"title": "พระเวท"
},
{
"docid": "18933#1",
"text": "แต่เดิมนั้นพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพแต่อย่างใด ศาสนาพราหมณ์ หรือ ฮินดู ซึ่งมีมาก่อนศาสนาพุทธ ก็ไม่มีรูปเคารพเป็นเทวรูปเช่นกัน หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ผู้ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนา อยากจะมีสิ่งที่จะทำให้รำลึกถึง หรือเป็นสัญญลักษณ์ขององค์ศาสดา เพื่อที่จะบอกกล่าวเล่าขาน เรื่องราวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงศึกษาค้นคว้าหาทางดับทุกข์ และทรงชี้แนะสอนสั่งผู้คน ถึงการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นอยู่ ที่ก่อให้เกิดความผาสุกในหมู่มวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในโลก",
"title": "พระพุทธรูป"
}
] |
3934 | ทางยกระดับอุตราภิมุข เปิดให้บริการเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "112546#0",
"text": "ทางยกระดับอุตราภิมุข หรือ ดอนเมืองโทลล์เวย์ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า โทลล์เวย์ เป็นทางด่วนสายหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง และบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) โดยมีการแบ่งการบริหารจัดการทางยกระดับเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ทางยกระดับดินแดง–ดอนเมือง เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 และเป็นทางหลวงสัมปทาน และส่วนทางยกระดับอนุสรณ์สถาน−รังสิต เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ทางยกระดับอุตราภิมุขมีแนวสายทางเริ่มจากบริเวณเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร แล้วสิ้นสุดเส้นทางที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี รวมระยะทางทั้งสิ้น 28.224 กิโลเมตร โดยเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2537",
"title": "ทางยกระดับอุตราภิมุข"
}
] | [
{
"docid": "112546#1",
"text": "วัตถุประสงค์ของการก่อสร้างทางยกระดับอุตราภิมุข คือ การแก้ปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต และถนนพหลโยธิน โดยในระยะแรก กรมทางหลวงมีโครงการที่จะขยายช่องจราจรของถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อเป็นการรองรับการสัญจรของรถยนต์ที่จะไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิตมีแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกวัน จนติดขัดในช่วงเวลาเร่งด่วน แต่อุปสรรคของการขยายช่องจราจรคือ มีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมเส้นทางเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถขยายช่องจราจรได้ กรมทางหลวงจึงมีแนวคิดที่จะสร้างเป็นทางยกระดับซ้อนทับบนถนน โดยใช้พื้นที่เกาะกลางถนนเพื่อรองรับโครงสร้าง แต่เนื่องจากในขณะนั้นงบประมาณของกรมทางหลวงมีไม่เพียงพอ จึงได้เสนอให้เอกชนได้เข้าร่วมประมูลโครงการเพื่อบริหารจัดการ โดยบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง ได้ชนะประมูล และบริหารเส้นทางมาจนถึงปัจจุบัน",
"title": "ทางยกระดับอุตราภิมุข"
},
{
"docid": "353986#4",
"text": "เวลา 21:41 นาฬิกา พันตำรวจโท ฉัตรชัย เอี่ยมอ่อง สารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลวิภาวดีรังสิต รับรายงานเหตุ จึงนำกำลังไปตรวจสอบ และสั่งปิดการจราจรบนทางยกระดับอุตราภิมุข ตลอดจนบริเวณทางคู่ขนานขาเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ตั้งแต่หน้าบริษัทยาคูลท์ ไปจนถึงสี่แยกบางเขน บนทางยกระดับอุตราภิมุข เขาพบรถรรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของอรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา จอดอยู่กลางถนน หน้ารถพังยับเยิน และล้อหลุด ส่วนอรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา พิงขอบทางยกระดับอุตราภิมุข ใช้แบล็กเบอร์รีอยู่ข้าง ๆ และพบรถตู้ที่ประสบเหตุ กำลังพลิกคว่ำ สภาพท้ายรถพังยับเยิน นอกจากนี้ เขายังพบศพกระจายเกลื่อนอยู่บนทางคู่ขนาน ตั้งแต่หน้าหน้าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ มาถึงประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับได้ทั้งหมด 8 ศพ ส่วนผู้บาดเจ็บมี 7 คน รวมอรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ด้วยแล้ว เจ้าหน้าที่และพลเมืองดีได้ช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลวิภาวดีที่อยู่ใกล้เคียง ต่อมา จันจิรา ซิมกระโทก ผู้บาดเจ็บ ตายลงอีก 1 จำนวนผู้ประสบเหตุจึงเปลี่ยนแปลงเป็น เสียชีวิต 9 คน บาดเจ็บ 6 คน",
"title": "เหตุการณ์รถตู้สาธารณะถูกชนบนทางยกระดับอุตราภิมุข พ.ศ. 2553"
},
{
"docid": "112546#3",
"text": "ทางยกระดับอนุสรณ์สถานแห่งชาติ−รังสิต เป็นทางยกระดับที่เป็นส่วนต่อขยายจากทางยกระดับอุตราภิมุข มีระยะทาง 7.327 กิโลเมตร (4.553 ไมล์) กำหนดเป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 38 อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง เริ่มต้นบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ซ้อนอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิตจากนั้นเบี่ยงซ้ายไปตามถนนพหลโยธิน และสิ้นสุดบนถนนพหลโยธินบริเวณหน้าโรงกษาปณ์ในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ทางยกระดับช่วงนี้ไม่มีการเก็บค่าผ่านทาง โดยได้มีการยกเลิกการเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่ายทาง จึงกำหนดสถานะให้เป็นทางหลวงแผ่นดิน",
"title": "ทางยกระดับอุตราภิมุข"
},
{
"docid": "141742#9",
"text": "การก่อสร้างตลอดสายแล้วเสร็จตามสัญญาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2543 (ระยะเวลาก่อสร้างที่ขยายจากแผนงานเดิม 11 เดือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2540) โดยได้เปิดให้บริการเป็นช่วงต่าง ๆ ดังนี้ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552 และทางเชื่อมทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552",
"title": "ทางพิเศษบูรพาวิถี"
},
{
"docid": "353986#17",
"text": "เวลา 19:00 นาฬิกาของวันเดียวกัน ชาวเฟซบุ๊กจากโครงการ \"มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ แพรวา (อรชร) เทพหัสดิน ณ อยุธยา\" ข้างต้น ราวห้าสิบคน นัดรวมตัวกันและเดินเท้าจากหน้าโรงพยาบาลวิภาวดี ไปยังทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ใต้ทางยกระดับอุตราภิมุขจุดเกิดเหตุ แล้วจุดเทียนไว้อาลัยแก่ผู้ตาย ทั้งกล่าวด้วยว่าจะจัดกิจกรรมเช่นนี้ต่อไปจนกว่าอรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยาจะได้รับการลงโทษตามกฎหมาย มีรายงานข่าวว่า ประชาชนที่ผ่านไปมาหยุดดูด้วยความสนใจ",
"title": "เหตุการณ์รถตู้สาธารณะถูกชนบนทางยกระดับอุตราภิมุข พ.ศ. 2553"
},
{
"docid": "141740#2",
"text": "การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเปิดให้บริการทางพิเศษฉลองรัชช่วง รามอินทรา–อาจณรงค์ เป็นช่วงแรก เป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2539 โดยมีเส้นทางเริ่มจากถนนรามอินทรา จากนั้นเส้นทางมุ่งไปทางทิศใต้ ข้ามถนนลาดพร้าว ถนนประชาอุทิศ ถนนพระราม 9 แล้วไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตัดกับทางพิเศษศรีรัช ส่วน D พร้อมกับข้ามถนนรามคำแหง และถนนพัฒนาการ แล้วเลียบแนวคลองตันข้ามถนนสุขุมวิททางด้านตะวันออกของสะพานพระโขนง ไปบรรจบกับทางพิเศษเฉลิมมหานคร สายบางนา–ท่าเรือ ที่บริเวณอาจณรงค์ (ปลายซอยสุขุมวิท 50) มีด่านเก็บค่าผ่านทางรวมจำนวน 10 ด่าน",
"title": "ทางพิเศษฉลองรัช"
},
{
"docid": "112546#2",
"text": "ทางยกระดับดินแดง−อนุสรณ์สถานแห่งชาติ หรือ ทางยกระดับดินแดง–ดอนเมือง เป็นทางหลวงสัมปทานประเภททางยกระดับ อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด แต่ได้ถูกกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) มีระยะทาง 20.897 กิโลเมตร โดยสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2577 มีแนวสายทางเริ่มจากปลายทางพิเศษเฉลิมมหานคร บริเวณเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร มุ่งไปทางทิศเหนือ โดยใช้พื้นที่เกาะกลางถนนวิภาวดีรังสิต ตั้งแต่หลักกิโลเมตรที่ 6 ถึงกิโลเมตรที่ 27 ผ่านท่าอากาศยานดอนเมือง แล้วสิ้นสุดช่วงนี้ที่ทางแยกต่างระดับอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ต่อเนื่องกันกับช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ−รังสิต โดยเปิดให้บริการในช่วงดินแดง−หลักสี่ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2537 และช่วงหลักสี่−อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2541 พร้อมกันกับช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ−รังสิต",
"title": "ทางยกระดับอุตราภิมุข"
},
{
"docid": "112546#4",
"text": "ปัจจุบันมีโครงการส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลเวย์ จากโรงกษาปณ์ ไป ประตูน้ำพระอินทร์ เพื่อบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ระยะทาง 18 กิโลเมตร เมื่อรวมกับโครงการเดิมจะมีระยะทางทั้งสิ้น 46.224 กิโลเมตร และมีโครงการทางเชื่อมกับ ทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 2 กิโลเมตร เพื่อเป็นทางลัดเชื่อมให้ผู้ที่ต้องการสัญจรไปท่าอากาศยานดอนเมือง หรือสถานีกลางบางซื่อสามารถเดินทางไปง่ายขึ้น",
"title": "ทางยกระดับอุตราภิมุข"
},
{
"docid": "353986#3",
"text": "ครั้นมาถึงทางยกระดับอุตราภิมุข ซึ่งอยู่สูง 20 เมตรเหนือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ติดต่อกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และบริษัทยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร รถยนต์นั่งส่วนบุคคลของอรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้วิ่งมาด้วยความเร็ว พุ่งเข้าชนท้ายรถตู้ รถตู้จึงเสียหลัก พลิกคว่ำไปชนขอบกั้นคอนกรีตของทางยกระดับอุตราภิมุข และฟาดกับเสาไฟฟ้า ก่อนคว่ำลงกับพื้นในลักษณะตะแคง กระจกแตก และประตูเปิดออก แรงเหวี่ยงส่งผลให้ผู้โดยสารบางส่วนกระเด็นจากรถ กระแทกพื้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 บางส่วนปลิวตกลงคลองของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มี 1 คนกระเด็นไปกระแทกสะพานลอยใต้ทางยกระดับอุตราภิมุขเสียชีวิตและศพเกี่ยวห้อยอยู่ ณ ที่นั้น ขณะที่อีกส่วนคาอยู่ในรถตู้",
"title": "เหตุการณ์รถตู้สาธารณะถูกชนบนทางยกระดับอุตราภิมุข พ.ศ. 2553"
}
] |
3936 | เซอร์เบีย ใช้ภาษาอะไร ? | [
{
"docid": "18444#0",
"text": "ภาษาเซอร์เบีย () เป็นหนึ่งในหลายมาตรฐานของภาษาถิ่นชทอคาเวีย (Štokavian dialect) ภาษาเซอร์เบียใช้มากในเซอร์เบีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา และชาวเซิร์บในทุก ๆ ที่ มาตรฐานเดิมของภาษานี้คือ ภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชีย (Serbo-Croatian language) ปัจจุบันแตกออกเป็นมาตรฐานภาษาเซอร์เบีย ภาษาโครเอเชีย และภาษาบอสเนีย",
"title": "ภาษาเซอร์เบีย"
}
] | [
{
"docid": "18444#2",
"text": "อีกคุณสมบัติเฉพาะของภาษาเซอร์เบีย คือการใช้อักษร 2 แบบ คือ อักษรซีริลลิกและอักษรละติน ซึ่งแทบจะเหมือนกัน ยกเว้นในรูปอักษรที่ใช้ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากส่วนหนึ่งของประชากรที่พูดภาษาเซอร์เบียอยู่ภายใต้อิทธิพลทางตะวันตก (ที่ใหม่กว่า) ของออสเตรีย-ฮังการี และส่วนที่เหลืออยู่ภายใต้อิทธิพลทางตะวันออก (ที่เก่ากว่า) ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ผู้มีการศึกษาทุกคนจะมีความรู้ในทั้ง 2 อักษร",
"title": "ภาษาเซอร์เบีย"
},
{
"docid": "18444#1",
"text": "ภาษาเซอร์เบียมีคุณสมบัติเฉพาะที่ภาษาอื่นส่วนใหญ่ไม่มี คือ ทุกคำสะกดตามที่อ่านตรง ๆ และทุกตัวอักษรแทนหนึ่งเสียง หลักการนี้เป็นไปตามสุภาษิตที่ว่า \"เขียนตามที่พูดและอ่านตามที่เขียน\" (\"Write as you speak and read as it is written\") ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้โดยวุก สเตฟานอวิช คาราดจิช (Vuk Stefanović Karadžić) ตอนที่ปฏิรูปการสะกดภาษาเซอร์เบียด้วยอักษรซีริลลิกในคริสต์ศตวรรษที่ 19",
"title": "ภาษาเซอร์เบีย"
},
{
"docid": "513309#0",
"text": "อาเรบีตซา (บอสเนีย: ) หรือ อาราบีตซา () เป็นอักษรอาหรับรูปแบบหนึ่งที่ใช้เขียนภาษาบอสเนีย เคยใช้เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 (พุทธศตวรรษที่ 20-24) เป็นความพยายามของมุสลิมที่จะพัฒนาอักษรอาหรับมาใช้เขียนภาษาบอสเนียนอกเหนือจากอักษรละตินและอักษรซีริลลิกสำหรับภาษาเซอร์เบีย หนังสือที่พิมพ์ด้วยอักษรนี้ตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อ ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) อักษรนี้ใช้ในทางศาสนาและการบริหาร แต่ใช้น้อยกว่าอักษรอื่น ๆ",
"title": "อาเรบีตซา"
},
{
"docid": "116851#0",
"text": "วิกิพีเดียภาษาเซอร์เบีย () เป็นสารานุกรมวิกิพีเดียที่จัดทำขึ้นในภาษาเซอร์เบีย เริ่มสร้างเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ปัจจุบันวิกิพีเดียภาษาเซอร์เบียมีบทความมากกว่า 100,000 บทความ (ธันวาคม 2550)",
"title": "วิกิพีเดียภาษาเซอร์เบีย"
},
{
"docid": "779788#3",
"text": "สัญลักษณ์เริ่มใช้กับในคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยยัน ฮุส นอกจากนี้ยังถูกใช้กับภาษาที่มีความคล้ายกันอย่างภาษาสโลวัก จากภาษาเช็ก ตัวอักษรถูกนำไปใช้ใน โดย ในค.ศ.1830 จากนั้นจึงนำไปสู่ ภาษาเซอร์เบีย และอักษร นอกอยากนี้ยังถูกใช้ใน บางภาษาในตระกูลภาษาอูราล และภาษาอื่นๆ",
"title": "Ž"
},
{
"docid": "314916#1",
"text": "เครื่องหมายนี้ในภาษาโครเอเชีย ภาษาสโลวีเนีย และภาษาเซอร์เบีย ใช้แสดงเสียงวรรณยุกต์ตกลงที่เป็นเสียงสั้น แต่ไม่ค่อยใช้ในชีวิตประจำวัน จะใช้เครื่องหมายนี้เพื่ออธิบายการออกเสียงในภาษาเหล่านี้เท่านั้น สำหรับอักษรซีริลลิก А Е И О Р У ที่เทียบเท่าอักษรละติน A E I O R U ไม่มีอักขระเฉพาะตัวในรูปแบบดับเบิลเกรฟ ต้องประสมขึ้นเองจากตัวผสานดับเบิลเกรฟ (U+030F) เช่น И + ◌̏ = И̏",
"title": "ดับเบิลเกรฟแอกเซนต์"
},
{
"docid": "128038#0",
"text": "ภาษาซามาร์เทียหรือภาษาไซเทีย เป็นสำเนียงของภาษากลุ่มอิหร่านตะวันออก ใช้พูดโดยชาวไซเทียหรือซามาร์เทียในรัสเซียภาคใต้ระหว่าง 257 ปีก่อนพุทธศักราชจนถึง พ.ศ. 1043 ชาวไซเทียอพยพจากเอเชียกลางเข้าสู่ยุโรปตะวันออก ซึ่งปัจจุบันเป็นรัสเซียภาคใต้และยูเครน รวมทั้งที่ราบคาร์ปาเทียนในมอลโดวาและโดบรูยา ประวัติศาสตร์ของชนกลุ่มนี้หายไปหลังการรุกรานของชาวฮั่นเมื่อ พ.ศ. 1043 ผู้พูดภาษานี้เปลี่ยนไปพูดภาษากลุ่มเตอร์กิก (เช่น ภาษาอวาร์, ภาษาบุลการ์, ภาษาบัตซันเก) และภาษากลุ่มสลาวิก อย่างไรก็ตาม ในเทือกเขาคอเคซัสยังมีสำเนียงของภาษาไซเทียใช้พูดจนถึงปัจจุบันเรียกภาษาออสเซต",
"title": "ภาษาไซเทีย"
},
{
"docid": "579842#0",
"text": "ภาษาซาไฟติก (Safaitic language; ภาษาอาหรับ: صفوية หรือ صفائية) เป็นชื่อของภาษาอาระเบียเหนือโบราณที่เขียนด้วยอักษรเซมิติกใต้ ซึ่งจารึกเหล่านี้เขียนโดยชาวเบดูอินและชาวเซมิ-นอมาดิกที่อยูในทะเลทรายซีโร-อาระเบีย อายุของจารึกเหล่านี้ยังไม่แน่ชัดแต่น่าจะอยู่ประมาณ พ.ศ. 443 – 943\nจารึกภาษาซาไฟติกตั้งชื่อตามสถานที่ที่พบครั้งแรกคือเอสซาฟาเมื่อ พ.ศ. 2400 บริเวณดังกล่าวเป็นทะเลทรายที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดามัสกัส ประเทศซีเรีย ทางตะวันออกของประเทศจอร์แดน และทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดิอาระเบีย ตัวอย่างที่แยกออกไปพบที่ พัลมีราในซีเรีย ในเลบานอน ในวาดีฮัวราน ประเทศอิรัก และฮาอิลในภาคกลางตอนเหนือของซาอุดิอาระเบีย บริเวณที่หนาแน่นที่สุดพบในฮารัต อาช ชามะห์ ทะเลทรายทางใต้และตะวันออกจากยาเบล ดรูซ ผ่านจอร์แดนไปยังซาอุดิอาระเบีย ซึ่งพบจารึกประมาณ 30,000 ชิ้น และอาจจะมีที่ยังหาไม่พบอีกมาก\nภาษาซาไฟติกเป็นสาขาของกลุ่มภาษาเซมิติกกลางใต้ อยู่ในกลุ่มภาษาอาหรับที่ใช้เสียง h- แทนที่ ’al สำหรับคำนำหน้านามชี้เฉพาะ ซึ่งได้แก่ ภาษาซาไฟติก ภาษาลิเฮียไนต์ ภาษาทามูดิก และภาษาฮาไซติก อักษรที่ใช้เขียนภาษาซาไฟติกมี 28 ตัว มีกลุ่มของตัวอักษรสามแบบแต่เขียนในลำดับที่ต่างกัน รูปแบบในการเขียนมีหลายแบบคือแบบซาไฟติก แบบซาไฟติกเหลี่ยม และแบบซาไฟติกใต้ การเขียนมักเป็นแบบซิกแซกคือบรรทัดแรกจากซ้ายไปขวา บรรทัดต่อมาจากขวาไปซ้ายสลับไปเรื่อยๆหรือกลับกัน \nส่วนใหญ่เขียนถึงคนที่ตายไปแล้ว การสวดภาวนาหรือการปฏิบัติศาสนกิจ บางครั้งแสดงการล่าสัตว์และค่ายพักของชาวเบดูอิน\nวัฒนธรรมของผู้พูดภาษาซาไฟติกเป็นที่รู้จักน้อยมาก ชาวเบดูอินในอดีตเก็บหลักฐานทางโบราณคดีไว้น้อย และการศึกษายังน้อยอยู่",
"title": "ภาษาซาไฟติก"
},
{
"docid": "51141#0",
"text": "ภาษาซีรีแอก (; ซีรีแอก: ܣܘܪܝܝܐ Suryāyā) เป็นสำเนียงตะวันออกของภาษาแอราเมอิก ใช้พูดในกลุ่มชาวคริสต์ ที่อยู่ระหว่างจักรวรรดิโรมันและเปอร์เซีย ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1 –12 ปัจจุบันยังคงใช้ในทางศาสนา โดยผู้พูดภาษาแอราเมอิกใหม่ในซีเรีย และใช้ในโบสถ์คริสต์ของชาวซีเรีย ในรัฐเกรละ ประเทศอินเดีย เป็นภาษาทางศาสนาในตะวันออกกลางในช่วงพุทธศตวรรษที่ 7 – 13 ความหมายอย่างกว้างหมายถึงภาษาแอราเมอิกตะวันออกทั้งหมดที่ใช้ในหมู่ชาวคริสต์ ความหมายอย่างจำเพาะเจาะจงหมายถึงภาษาคลาสสิกของอีเดสซา ซึ่งเป็นภาษาทางศาสนาของชาวซีรีแอกที่นับถือศาสนาคริสต์ และกลายเป็นสื่อในการเผยแพร่วัฒนธรรมและศาสนาคริสต์จากทางเหนือไปสู่มาลาบาร์ และจากทางตะวันออกไปถึงจีนเคยใช้เป็นภาษากลางระหว่างชาวอาหรับกับชาวเปอร์เซียก่อนจะถูกแทนที่ด้วยภาษาอาหรับเมื่อ พุทธศตวรรษที่ 13",
"title": "ภาษาซีรีแอก"
}
] |
3950 | สงครามดอกกุหลาบ มีระยะเวลานานเท่าไหร่? | [
{
"docid": "156009#0",
"text": "สงครามดอกกุหลาบ () เป็นชุดสงครามราชวงศ์ที่ผู้สนับสนุนราชวงศ์แพลนแทเจเนตสองสายที่เป็นคู่แข่งชิงราชบัลลังก์อังกฤษกัน ได้แก่ ราชวงศ์แลงแคสเตอร์และราชวงศ์ยอร์ก (ซึ่งสัญลักษณ์ตราประจำตระกูล คือ ดอกกุหลาบสีแดงและสีขาวตามลำดับ) ทั้งสองฝ่ายรบกันเป็นช่วงห่าง ๆ กันระหว่างปี 1455 ถึง 1485 แม้จะมีการสู้รบที่เกี่ยวข้องอีกทั้งก่อนหน้าและหลังช่วงนี้ สงครามดังกล่าวเป็นผลจากปัญหาทางสังคมและการเงินหลังสงครามร้อยปี ชัยชนะบั้นปลายเป็นของผู้เรียกร้องเชื้อสายแลงแคสเตอร์ค่อนข้างห่าง เฮนรี ทิวดอร์ ผู้กำราบพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ยอร์ก และอภิเษกสมรสกับเอลิซาเบธแห่งยอร์ก พระราชธิดาในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 เพื่อรวมสองราชวงศ์ หลังจากนั้น ราชวงศ์ทิวดอร์ปกครองอังกฤษและเวลส์เป็นเวลา 117 ปี",
"title": "สงครามดอกกุหลาบ"
},
{
"docid": "158063#0",
"text": "สงครามร้อยปี () เป็นชุดความขัดแย้งระหว่าง ค.ศ. 1337 ถึง 1453 ระหว่างราชวงศ์แพลนแทเจเนต ผู้ปกครองราชอาณาจักรอังกฤษ กับราชวงศ์วาลัว เพื่อแย่งการควบคุมราชอาณาจักรฝรั่งเศส ต่างฝ่ายดึงพันธมิตรมากมายเข้าสู่สงคราม",
"title": "สงครามร้อยปี"
}
] | [
{
"docid": "156009#75",
"text": "ระหว่างสงครามก็แทบจะไม่มีการยุบเลิกตำแหน่งขุนนางใดใด เช่นในระหว่าง ค.ศ. 1425 ถึง ค.ศ. 1449 ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นก็มีการยุบตำแหน่งขุนนางไป 25 ตำแหน่ง พอพอกับ 24 ตำแหน่งที่ยุบไประหว่างการต่อสู้ระหว่าง ค.ศ. 1450 ถึง ค.ศ. 1474 แต่ขุนนางที่มีความทะเยอทะยานสูงเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก มาถึงสมัยต่อมาก็แทบจะไม่มีขุนนางที่เต็มใจที่จะสละชีพในการต่อสู้ที่ไม่มีผลที่จะทราบได้แน่นอน",
"title": "สงครามดอกกุหลาบ"
},
{
"docid": "232269#2",
"text": "จู่ ๆ มหานครนิวยอร์กถูกถล่มด้วยอุกกาบาตไฟ ที่ฮ่องกงก็เกิดคลื่นยักษ์จากอุกกาบาต แดน ทรูแมน (บิลลี่ บ็อบ ทอร์นตัน) ผู้อำนวยการองค์การนาซาพบว่า โลกมีเวลาเหลือเพียง 18 วันเท่านั้น ก่อนถูกทำลายล้างด้วยดาวหางขนาดใหญ่เท่ารัฐเทกซัสที่กำลังพุ่งตรงลงมา ทางเดียวที่จะแก้ได้คือ ต้องฝังหัวระเบิดนิวเคลียร์ที่แกนกลางของดาวหางดวงนี้ ซึ่งผู้ที่จะทำภารกิจนี้ได้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการขุดเจาะเท่านั้น ซึ่งแดนเลือกเอาทีมของแฮร์รี่",
"title": "อาร์มาเก็ดดอน วันโลกาวินาศ"
},
{
"docid": "765572#3",
"text": "คราสบดบังลึกที่สุดครั้งนี้กินระยะเวลา 2 นาที 41.6 วินาทีที่ ในอุทยานแห่งรัฐไจแอนท์ซิตี ทางใต้ของเมืองคาร์บอนเดล รัฐอิลลินอยส์ และเงาคราสมีขนาดใหญ่ที่สุดที่ ใกล้กับหมู่บ้านของเซรูเลียน รัฐเคนทักกี อยู่ระหว่างเมืองโฮปคินส์วิลล์ และพรินซ์ตัน นับเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกที่มองเห็นได้จากสหรัฐอเมริกาตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่สุริยุปราคาเต็มดวง 7 มีนาคม พ.ศ. 2513 ซึ่งมองเห็นได้แต่ที่รัฐฟลอริดา",
"title": "สุริยุปราคา 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560"
},
{
"docid": "783479#0",
"text": "ดิอันโนนวอร์ (; , \"มหาสงครามของผู้รักชาติ\"; หรือ , \"สงครามนิรนาม\") เป็นสารคดีโทรทัศน์ 20 ตอนของสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2521 มีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองส่วนแนวรบตะวันออกระหว่างเยอรมนีนาซีกับสหภาพโซเวียต แต่ละตอนจะมีความยาว 47 นาที ด้วยเอาฟิล์มต้นฉบับของสหภาพโซเวียตมาฉายตั้งแต่ปฏิบัติการบาร์บารอสซาถึงยุทธการที่เบอร์ลิน\nนอกจากนี่ยังมีการสัมภาษณ์พิเศษของเกออร์กี จูคอฟ, วาซีลี ชุยคอฟ รวมถึงเลโอนิด เบรจเนฟ ด้วย",
"title": "ดิอันโนนวอร์"
},
{
"docid": "156009#72",
"text": "แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งการชี้ให้เห็นถึงความเสียหายอันใหญ่หลวงของสงครามดอกกุหลาบก็อาจจะเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าเฮนรีที่ 7 ทรงใช้ในการช่วยแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ในการนำมาซึ่งความสันติในบั้นปลายก็เป็นได้ แต่จะอย่างไรก็ตามผลกระทบกระเทือนต่อชนชั้นพ่อค้าและแรงงานในการเป็นสงครามอันยืดเยื้อในการล้อมเมืองหรือปล้นเมืองก็ยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสหรือประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่ประสบกับสงครามอันยาวนาน แม้ว่าจะมีการล้อมที่เนิ่นนานอยู่บ้างเช่นการล้อมปราสาทฮาร์เล็ค แต่ก็เป็นการล้อมสถานที่ที่ไกลผู้ไกลคน ในบริเวณที่มีประชากรหนาแน่นถ้ามีการสู้รบกันขึ้นก็จะสร้างความเสียหายอันไม่ควรค่าให้แก่ทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นการต่อสู้ส่วนใหญ่จึงเป็นการต่อสู้ที่มีการนัดกันล่วงหน้าในการเลือกจุดที่จะทำการต่อสู้ (pitched battle)",
"title": "สงครามดอกกุหลาบ"
},
{
"docid": "995828#1",
"text": "สุริยุปราคาครั้งนี้เป็นสุริยุปราคาที่มีระยะเวลาคราสเต็มดวงยาวนานที่สุดในรอบหลายพันปี แนวคราสนั้นจะพาดผ่านตอนใต้ของหมู่เกาะกาลาปาโกส (โดยมีสุริยุปราคาเต็มดวงนาน 4 นาทีเกิดขึ้นที่ส่วนใต้สุดของเกาะเอสปาโญลา) ปลายเหนือสุดของประเทศเอกวาดอร์ (โดยมีสุริยุปราคาเต็มดวงนาน 3 นาที 26 วินาทีเกิดขึ้นบน) ตอนกลางของประเทศโคลัมเบีย (สุริยุปราคาเต็มดวงนาน 4 นาที 50 วินาทีเกิดขึ้นที่กรุงโบโกตา) ตอนกลางของประเทศเวเนซุเอลา และตอนเหนือของประเทศกายอานา (สุริยุปราคาเต็มดวงนาน 7 นาที 4 วินาทีเกิดขึ้นที่ตอนเหนือสุดของเมืองอันนารีกีนา)",
"title": "สุริยุปราคา 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2729"
},
{
"docid": "156009#44",
"text": "หลังจากนั้นเอ็ดเวิร์ดและวอริกก็นำกองทัพใหญ่ขึ้นไปทางเหนือไปปะทะกับกองทัพของฝ่ายแลงแคสเตอร์ที่มีกำลังพอ ๆ กันที่โทว์ทัน ยุทธการที่โทว์ทันไม่ไกลจากยอร์กที่เกิดขึ้นเป็นยุทธการที่ใหญ่ที่สุดในสงครามดอกกุหลาบ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าปัญหาทั้งหมดต้องตกลงกันให้เป็นที่สิ้นสุดกันในวันนั้นโดยไม่มีฝ่ายใดที่จะยอมประนีประนอมแม้แต่เพียงก้าวเดียว ทหารที่เข้าร่วมต่อสู้มีทั้งหมดด้วยกันประมาณ 40,000 ถึง 80,000 คนโดยมีผู้เสียชีวิตราว 20,000 คนระหว่างการต่อสู้ หรือหลังจากการต่อสู้ ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตที่เป็นจำนวนอันมหาศาลที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวบนแผ่นดินอังกฤษ ในยุทธการครั้งนี้เอ็ดเวิร์ดและผู้สนับสนุนได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ผู้นำของฝ่ายแลงแคสเตอร์เสียชีวิตไปเกือบทั้งหมด เมื่อได้ข่าวการพ่ายแพ้พระเจ้าเฮนรีและพระนางมาร์กาเรตผู้ประทับรออยู่ที่ยอร์กพร้อมกับพระราชโอรสก็เสด็จหนีขึ้นเหนือ ผู้ที่รอดมาได้จากยุทธการก็สลับข้างไปสนับสนุนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้ที่ไม่ยอมสนับสนุนก็ถูกไล่ขึ้นไปทางพรมแดนทางตอนเหนือและเวลส์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเปลี่ยนหัวของพระราชบิดา พระอนุชาเอ็ดมันด์ เอิร์ลแห่งรัทแลนด์ และเอิร์ลแห่งซอลสบรีที่เสียบประจานไว้หน้าเมืองยอร์ก ด้วยหัวของขุนนางแลงแคสเตอร์ผู้พ่ายแพ้เช่นหัวของจอห์น คลิฟฟอร์ด บารอนที่ 9 แห่งคลิฟฟอร์ด ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีบทบาทในการสังหารเอิร์ลแห่งรัทแลนด์หลังจากยุทธการที่เวกฟิลด์",
"title": "สงครามดอกกุหลาบ"
},
{
"docid": "156009#53",
"text": "แต่ความสำเร็จของวอริคก็เป็นไปเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น เมื่อวอริคเลยเถิดไปพยายามที่จะรุกรานเบอร์กันดีโดยการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสเมื่อฝรั่งเศสสัญญาว่าจะให้ดินแดนในเนเธอร์แลนด์เป็นการตอบแทน ซึ่งเป็นผลให้ชาร์ลส์แห่งเบอร์กันดีมอบทุนทรัพย์และกองทหารที่ทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดสามารถนำกลับไปรุกรานอังกฤษได้ในปี ค.ศ. 1471 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จขึ้นฝั่งพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่งที่เรเวนสเปอร์ทางฝั่งทะเลตอนเหนือของอังกฤษในยอร์กเชอร์ เมื่อเริ่มแรกก็ทรงอ้างว่าเสด็จมาสนับสนุนพระเจ้าเฮนรีและขอบรรดาศักดิ์ดยุกแห่งยอร์กคืน แต่ไม่นานพระองค์ก็ทรงได้รับการสนับสนุนจากเมืองยอร์ค พระอนุชาดยุกแห่งแคลเรนซ์ผู้ไปสนับสนุนวอริคอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็ทิ้งวอริคและหันกลับมาสนับสนุนพระองค์อีกครั้ง จากนั้นพระองค์ก็ทรงเดินทัพลงมาเพื่อยึดกรุงลอนดอน และมาปะทะกับกองทัพของวอริกในยุทธการที่บาร์เน็ต การต่อสู้เกิดขึ้นท่ามกลางหมอกที่ลงจัด กองกำลังของวอริคก็โจมตีกันเองด้วยความเข้าใจผิด และกองทัพของวอริกก็เชื่อกันโดยทั่วไปว่าโดนทรยศจึงหนีกันกระเจิดกระเจิง วอริกถูกสังหารขณะที่พยายามจะขึ้นม้า",
"title": "สงครามดอกกุหลาบ"
},
{
"docid": "156009#20",
"text": "พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แทบจะไม่มีส่วนร่วมในความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยความคิดเห็นทั่วไปแล้วเป็นพระมหากษัตริย์ที่อ่อนแอไม่มีสมรรถภาพ นอกจากนั้นก็ยังมีพระอาการเสียพระสติเป็นระยะ ๆ ซึ่งอาจจะเป็นอาการที่เป็นกรรมพันธุ์มาจากพระเจ้าชาลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส พระอัยกาเมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1450 ก็เป็นที่ตกลงกันว่าไม่ทรงมีความสามารถในการทำหน้าที่เป็นพระพระมหากษัตริย์ได้อีกต่อไป",
"title": "สงครามดอกกุหลาบ"
}
] |
3954 | ชัย ชิดชอบ เกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่? | [
{
"docid": "169334#0",
"text": "ชัย ชิดชอบ (5 เมษายน พ.ศ. 2471 — ) เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน พรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคพลังประชาชน ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรแทนนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่โดนใบแดง ก่อนหน้านี้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)หลายสมัย และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)จังหวัดบุรีรัมย์",
"title": "ชัย ชิดชอบ"
}
] | [
{
"docid": "24308#1",
"text": "นายเนวิน ชิดชอบ เกิดวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็นบุตรของชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ และนางละออง ชิดชอบ เป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องชาย 5 หญิง 1 (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชาย เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย) กำนันชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน ตั้งตัวมาจากธุรกิจโรงโม่หิน มีกิจการที่สำคัญคือ โรงโม่หินศิลาชัย",
"title": "เนวิน ชิดชอบ"
},
{
"docid": "169334#4",
"text": "นายชัย ชิดชอบ เริ่มงานการเมืองจากการเมืองท้องถิ่น เป็นกำนันตำบลอิสาน อำเภอเมืองบุรีรัมย์ และทำธุรกิจโรงโม่หิน ชื่อโรงโม่หินศิลาชัย ที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มงานการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2500 โดยสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดบุรีรัมย์หลายสมัยติดต่อกัน ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2512 (อิสระ) , 2522 (พรรคประชาราษฎร์), 2526 (พรรคกิจสังคม), 2529 (พรรคสหประชาธิปไตย) , 2535/2 2538 (พรรคชาติไทย) , 2539 (พรรคเอกภาพ) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พ.ศ. 2548 (พรรคไทยรักไทย) และสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดบุรีรัมย์ พ.ศ. 2549 และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 2",
"title": "ชัย ชิดชอบ"
},
{
"docid": "310799#1",
"text": "นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เกิดเมื่อวันที่ ที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นบุตรของนายชัย ชิดชอบ กับนางละออง ชิดชอบ (น้องชายของนายเนวิน ชิดชอบ) สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2527 และปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2531",
"title": "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ"
},
{
"docid": "169334#3",
"text": "ชีวิตส่วนตัว นายชัย ชิดชอบ สมรสกับนางละออง ชิดชอบ มีบุตรชาย 5 คน หญิง 1 คน บุตรคือนายเนวิน ชิดชอบ เป็นประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายชัยชื่นชอบนักการเมืองชาวอิสราเอลคนหนึ่ง ที่ชื่อ โมเช่ ดายัน ถึงขนาดตั้งฉายาให้ตัวเองว่า \"ชัย โมเช่\"",
"title": "ชัย ชิดชอบ"
},
{
"docid": "169334#5",
"text": "นายชัย ชิดชอบ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 นายชัยได้ทำหน้าที่ประธานโดยได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ ขณะที่นายชัยจะคุกเข่าสดับพระบรมราชโองการฯ ก็เกิดล้มหัวคะมำ และเมื่อคุกเข่ารับฟังเสร็จแล้ว เมื่อจะลุกขึ้นก็ลุกไม่ขึ้น แต่นายชัยก็พยายามจะลุกให้ได้ จึงทำให้ล้มไปข้างหน้า จนนายนิสิต สินธุไพร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ที่มาร่วมในพิธีด้วย รีบเข้าไปพยุงนายชัยให้ยืนขึ้นเป็นปกติ และเดินกลับไปห้องประชุมได้และเรื่องนี้ก็ได้เป็นที่เล่าขานถึงความศักดิ์สิทธ์ของรัฐสภาในการคัดสรรผู้เหมาะสมที่จะบังลังก์",
"title": "ชัย ชิดชอบ"
},
{
"docid": "125827#0",
"text": "นางกรุณา ชิดชอบ (ชื่อเล่น: ต่าย) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ 3 สมัย เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรีคนโตของนายคะแนน สุภา เจ้าของ บริษัทเชียงใหม่ คอนสตรัคชั่น จำกัด กิจการรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับสัมปทานก่อสร้างในพื้นที่ภาคเหนือ จากส่วนราชการ หลายกระทรวงทบวงกรม มูลค่ารวมกว่า หนึ่งหมื่นล้านบาท กับนางนวลจันทร์ สุภา และมีนางกรุณา เป็นกรรมการผู้จัดการ",
"title": "กรุณา ชิดชอบ"
},
{
"docid": "169334#6",
"text": "ขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส. หนองบัวลำภู พรรคพลังประชาชน ได้เสนอ นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส. สกลนคร พรรคพลังประชาชน เป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แต่นายจุมพฏไม่เห็นชอบด้วย นายพิษณุจึงมีทีท่าจะเสนอคนอื่นแทน นายชัย ชิดชอบ จึงกล่าวขึ้นกลางที่ประชุมว่า \"จะเสนอใครถามเจ้าตัวก่อนดีกว่าว่าเขารับหรือไม่ เจ้าตัวไม่เอายังเสือกเสนออยู่อีก จะเสนอใครก็รีบเสนอ เสียเวล่ำเวลา\" ท่ามกลางความตกตะลึงของ ส.ส. ในที่ประชุม อย่างไรก็ดี ความหงุดหงิดของนายชัยเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มประชุมแล้ว เนื่องจากความไม่พร้อมเพรียงและความวุ่นวายของ ส.ส. ที่เข้าประชุม จนนายชัยต้องกดสัญญาณเรียกถึงหกครั้ง และสั่งให้นับองค์ประชุมอีกหลายครั้ง ทั้งนี้ ในวันต่อมา นายชัยก็ได้กล่าวขอโทษ ส.ส. สำหรับกรณีดังกล่าวอย่างสุภาพด้วยความรู้สึกผิด",
"title": "ชัย ชิดชอบ"
},
{
"docid": "169334#1",
"text": "นายชัย ชิดชอบ เกิดที่บ้านเพี้ยราม ตำบลเพี้ยราม อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนสุรวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์",
"title": "ชัย ชิดชอบ"
},
{
"docid": "473302#1",
"text": "เชิดชัย อุดมไพจิตรกุล หรือ เชิดชัย อุดม เกิดเมื่อ พ.ศ. 2484 ที่ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้ที่ชื่นชอบกีฬามวยแต่เด็ก โดยขึ้นชกทั้งมวยไทยและมวยสากล ได้แชมป์มวยนักเรียนของจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อจบ ม.8 มาศึกษาต่อที่วิทยาลัยพลศึกษาที่กรุงเทพฯ จนจบ ปกศ.สูง ระหว่างนั้น ขึ้นชกมวยสากลสมัครเล่นในนามของวิทยาลัยพลศึกษา ได้แชมป์มวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2506 – 2511 ในรุ่นแบนตัมเวท จนติดทีมชาติไทย และได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยพลศึกษาด้วย",
"title": "เชิดชัย อุดมไพจิตรกุล"
}
] |
3956 | หญิงที่เข้ารับการอุปสมบถเรียกว่าอะไร? | [
{
"docid": "34082#0",
"text": "ภิกษุณี (; ) เป็นคำใช้เรียกนักพรตหญิงในศาสนาพุทธ คู่กับภิกษุที่หมายถึงนักพรตชายในพระพุทธศาสนา คำว่า ภิกษุณี เป็นศัพท์ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาอื่น",
"title": "ภิกษุณี"
},
{
"docid": "34082#1",
"text": "ภิกษุณี หรือ ภิกษุณีสงฆ์ จัดตั้งขึ้นโดยพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี โดยวิธีรับคุรุธรรม 8 ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่าต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณีมีศีล 311 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีศีลเพียง 227 ข้อเท่านั้น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน และการตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับภิกษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวช",
"title": "ภิกษุณี"
}
] | [
{
"docid": "135543#1",
"text": "ผู้หญิงในทางชีววิทยา อวัยวะเพศหญิงทำหน้าที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ ในขณะที่ลักษณะทางเพศที่สองจะเกี่ยวข้องกับการดูแลเด็กและในบางวัฒนธรรมอาจรวมถึงการดึงดูดคู่ผสมพันธุ์ รังไข่จะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนและสร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่เรียกว่าไข่ เมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิจากเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย (สเปิร์ม) แล้วมันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ มดลูกเป็นอวัยวะที่มีเนื้อเยื่อสำหรับปกป้องและให้อาหารตัวอ่อนและมีกล้ามเนื้อสำหรับการคลอด ช่องคลอดใช้สำหรับการร่วมเพศและการคลอด เต้านมพัฒนาจากต่อมเหงื่อเอาไว้สำหรับผลิตนม ซึ่งถือเป็นสารอาหารที่เป็นลักษณะพิเศษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม",
"title": "ผู้หญิง"
},
{
"docid": "437242#1",
"text": "อาทิจและดรุณี คือตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่รับสืบทอดภาระและหน้าที่ที่มีต่อแผ่นดิน หรือ \"\"ธรณี\"\" มาจากคุณย่า ผู้หญิงตัวคนเดียวที่ใช้ทั้งความแข็งแกร่งและความอ่อนโยน หว่านพืชปลูกพันธุ์จนเติบโตงอกงาม และสามารถโอบอุ้มทุกชีวิตไว้บนแผ่นดิน\nแต่กว่าจะถึงวันนั้นได้ อุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทางมากมาย ดังชีวิตจริงของเราทุกคน ที่มีทั้งความสนุกสนาน หวามหวาน ทดท้อ และบางครั้งก็มีน้ำตา แต่สุดท้ายแล้ว ความสุขกับความสำเร็จ ก็ย่อมเป็นรางวัลที่ผู้มีความเพียรพึงจะได้รับ",
"title": "ธรณีนี่นี้ใครครอง"
},
{
"docid": "375075#24",
"text": "1. โนวิซ (Novice) หรือนักพรตฝึกหัด เป็นขั้นแรกสำหรับสตรีที่ต้องการจะเข้าร่วมอาราม โดยอาจจะกินเวลา 1-2 ปี (หรืออาจจะมากกว่านั้นซึ่งขึ้นอยู่กับแม่อธิการ หรือธรรมเนียมของอารามนั้น ๆ) การเป็นโนวิซนั้นอาจจะได้รับมอบผ้าคลุมศีรษะ (Apostolnik) โดยเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับแม่อธิการเช่นกัน โนวิซสามารรประสงค์ที่จะออกจากอารามได้หากตนนั้นไม่พร้อม",
"title": "นักพรตหญิง"
},
{
"docid": "983436#3",
"text": "\"รันนามาอารี เป็นผีที่ชาวมัลดีฟส์สมัยก่อนพรั่นพรึง ทุก ๆ เดือนจะมีการบูชายัญหญิงพรหมจารี มิเช่นนั้นชาวบ้านอาจถูกปีศาจตนนี้ออกอาละวาดด้วยความแค้น หญิงสาวชาวเกาะจะถูกกษัตริย์หรือองคมนตรีเลือกสำหรับไปบูชาปีศาจ เบื้องต้นเธอจะถูกขังเดี่ยวในวัดซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลด้านบูรพาทิศของมาเลช่วงคืนแรกของเดือน ครั้นรุ่งสางครอบครัวจะไปที่วัดเพื่อรับศพของหญิงสาว ชาวมัลดีฟส์เกรงกลัวปีศาจตนนี้มาก จนกระทั่งมีผู้เดินทางชาวมุสลิมคนหนึ่งเดินเข้าไปหาแม่หญิงที่จะถูกสังเวยแก่ปีศาจในวัดแล้วอ่านโองการจากพระคัมภีร์อัลกุรอาน เมื่อเขาอ่านโองการจบ ปีศาจก็หายไป และไม่ปรากฏเรื่องราวทำนองนี้ขึ้นอีก ประชาชนบนเกาะต่างดีใจที่ปีศาจตนนี้หายไป และเชื่อว่าอัลลอฮ์ใหญ่ยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งหมดจึงเข้ารับอิสลาม\"",
"title": "รันนามาอารี"
},
{
"docid": "827364#1",
"text": "เจรมัย (เจ) - นักร้องหนุ่มที่กำลังโด่งดัง มีความสามารถในการร้องเพลง และเป็นขวัญใจของประชาชน อยู่กับแม่แค่ 2 คน เจรมัยจึงติดนิสัยอ่อนโยนแบบผู้หญิงมา แต่ก็เป็นคนกล้าหาญ และกตัญญู จริงๆ แล้วต้นตระกูลของเจรมัยเป็นคณะหนังตะลุง และเจรมัยต้องทำหน้าที่สืบทอดมรดกนี้ แต่จรรยา ผู้เป็นมารดาปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้เจรมัยรู้เจรมัยไม่ชอบให้ใครมาตัดสินตัวเองแบบผิดๆ และรักแม่มาก เขาจึงยอมสัญญาว่าจะดูแลมรดกของตระกูลแทนคุณตาที่เสียชีวิตไป และต้องการพิสูจน์หาความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมด",
"title": "เงาอาถรรพ์"
},
{
"docid": "740756#3",
"text": "นันทิสา หรือ ออย สาวห้าวที่สุดประจำบริษัทคิวปิดฮัต เธอเป็นฝ่ายบุคคลที่มีหน้าที่ดูแลการทำงานของพนักงานให้ทำตามกฎระเบียบ แต่นันทิสากลับเป็นคนที่มาทำงานสายเกือบจะทุกวันเพราะบ้านเธออยู่ไกลจากที่ทำงาน กว่าจะได้รับอนุญาตจากแม่และยายให้เริ่มเดินทางออกจากบ้านก็ต้องรอจนกว่าฟ้าจะสว่าง เพื่อป้องกันภัยจากความเลวระยำที่เกิดจากไอ้พวกมนุษย์เพศผู้ แล้วสถิติการมาสายของนันทิสาก็ดูจะหนักข้อขึ้นทุกวันตามจำนวนยอดขายรถยนต์ จึงทำให้ ภีม ต้องออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าให้นันทิสาย้ายมาเช่าคอนโดของเขาอยู่ชั่วคราวไม่เช่นนั้นเขาจะต้องไล่เธอออก นันทิสาจึงยอมย้ายมาอยู่ที่คอนโดใจกลางกรุงเทพฯของภีม ทำให้นันทิสาได้พบกับ อังค์กูณฑ์ สถาปนิกหนุ่มหล่อเพื่อนข้างห้อง นันทิสามีทัศนคติเรื่องผู้ชายที่ไม่ดีเหมือนแม่กับยาย เพราะแม่กับยายเล่าเรื่องความรักที่เจ็บปวดจากผู้ชายให้เธอฟังตั้งแต่เด็ก แล้วทัศนคติของเธอก็ยิ่งต้องแย่หนักขึ้นเมื่อเธอเห็นว่ามีผู้หญิงมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้าไปในห้องของอังค์กูณฑ์ และทุกคนจะออกมาพร้อมกับท่าทางปวดเมื่อย ทว่าสีหน้ากลับ “ฟินเว่อร์” นันทิสาจึงเข้าใจไปเองว่าอังค์กูณฑ์เป็นพวกบ้ากาม นันทิสาแทบอยากจะย้ายออกไปจากคอนโด แต่เพราะไม่อยากถูกไล่ออกเธอจึงต้องทนอยู่ห้องติดกับไอ้วิตถารต่อไป กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่อังค์กูณฑ์ทำคือการวาดรูปนู้ดเท่านั้นก็ทำให้ความสัมพันธ์ของนันทิสาและอังค์กูณฑ์ไม่ดีเอาซะเลย ขณะเดียวกัน นันท์นลิน น้องสาวของอังค์กูณฑ์ ถูก มารุต แฟนหนุ่มที่คบกันมานานขอแต่งงาน แต่ อารีย์ แม่ของนันท์นลินยังไม่ยินยอมให้แต่งเหตุเพราะเธอไม่ถูกชะตากับมารุต ดังนั้นอารีย์จึงอ้างไปว่านันท์นลินจะแต่งงานก่อนพี่ชายไม่ได้ นันท์นลินก็เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อหาแฟนให้อังค์กูณฑ์ หนึ่งในแผนนี้ก็คือการพาเพื่อนสมัยเรียนที่มีโปรไฟล์ชั้นเลิศและเคยแอบชอบอังค์กูณฑ์มาทำความรู้จักกับพี่ชาย แต่นันท์นลินเผลอทำมากไปทำให้เพื่อนๆ เข้าไปใจไปว่าอังค์กูณฑ์คลั่งไคล้พวกเธอสุดๆ ทุกคนต่างแวะเวียนมาหาอังค์กูณฑ์ อังค์กูณฑ์ก็ไม่ใจดำพอที่จะปฏิเสธเพราะไม่ชอบเห็นผู้หญิงเสียใจ เขาขอความช่วยเหลือจาก ชาร์ลี เพื่อนสนิทจอมกวนประสาทก็ไม่ได้ผล โชคดีที่นันทิสามาพบเข้าและช่วยเขาแก้ปัญหาได้ดี อังค์กูณฑ์ก็เลยตัดสินใจชวนนันทิสามาทำหน้าที่แฟนกำมะลอเพื่อไล่ผู้หญิงพวกนั้น นันทิสาก็ยอมทำเพื่อช่วยผู้หญิงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอังค์กูณฑ์ และเพื่อเงินสำหรับเป็นต้นทุนเปิดร้านขายอาหารสุขภาพในไอจี เพราะนันทิสามั่นใจว่าเธอทำตามเงื่อนไขหาแฟนแลกหนึ่งล้านของภีมไม่ได้ เธอจะต้องถูกไล่ออก เธอจึงต้องหาช่องทางทำมาหากินอื่นๆ ไว้ด้วย หลังจากนั้นนันทิสาและอังค์กูณฑ์ก็ร่วมมือกันเป็นแฟนเพื่อขับไล่เพื่อนของนันท์นลินด้วยวิธีอ่อนโยนที่สุด จนเรื่องอังค์กูณฑ์มีแฟนก็ไปถึงหูของครอบครัว อารีย์สั่งให้เขาพาแฟนมาด้วยแล้วกลายเป็นว่าอารีย์ชอบผู้หญิงไม่มีมาดดูจริงใจอย่างนันทิสามาก แต่นันท์นลินไม่ชอบนันทิสาเพราะรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาเกินไปที่จะมาเป็นพี่สะใภ้ของเธอ และนันท์นลินรู้สึกแปลกๆ กับพฤติกรรมของพวกเขาจึงคอยตามสืบ โดยมี น้ำผึ้ง ดาราสาวคนรักเก่าของอังค์กูณฑ์ที่เพิ่งบินกลับมาจากเมืองนอกมาคอยช่วยเหลือ การพยายามปกปิดความจริงของนันทิสาและอังค์กูณฑ์ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกัน ทัศนคติของนันทิสาที่มีต่อผู้ชายก็เปลี่ยนไปก่อเกิดความรักในใจขึ้นกันอย่างเงียบๆ แต่ก็ได้แค่ซุกซ่อนไว้ในใจเท่านั้น จนกระทั่งน้ำผึ้งสืบรู้เรื่องยายกับแม่ของนันทิสา เธอจึงนำเรื่องที่หลานสาวหัวแก้วหัวแหวนมีแฟนซ้ำยังอยู่คอนโดเดียวกัน แม่กับยายโกรธมากสั่งนันทิสาให้ลาออกจากบริษัททันที ตอนนี้เองที่อังค์กูณฑ์แน่ใจตัวเองแล้วว่าห่วงใยนันทิสามากเขาจึงไม่ซุกซ่อนความรักของตัวเองอีกต่อไป แต่เลือกที่จะเปิดเผยความรักความจริงใจทั้งหมดของเขาให้แม่กับยายของนันทิสารู้ เพื่อให้พวกเขาแน่ใจว่าผู้ชายคนนี้รักลูกสาวและหลานสาวของพวกเขาเพียงใด",
"title": "ซ่อนรักกามเทพ"
},
{
"docid": "975264#65",
"text": "“สาธุ ข้าแต่พระองค์ผู้มีบุญ หม่อมฉันจักได้อำลาพระบาทพลัดพรากไปไกลครั้งนี้ ขอพระราชสามีเป็นเจ้าแห่งหม่อมฉันนี้จงได้อยู่เป็นอุปราชากับด้วยพระราชบิดา ของหม่อมฉัน ตามจารีตประเพณีอันเป็นคลองแห่งอุปราชาอันดีมาแต่ก่อน ให้เหมือนดังเมื่อเราทั้งสองยังอยู่พร้อมเพรียงกันนั้นทุกประการเทอญ”",
"title": "ฤๅษีวาสุเทพ"
},
{
"docid": "305233#3",
"text": "หญิงข้ามเพศบางคนรู้สึกการข้ามเพศของตนมีความสมบูรณ์แล้ว มีความต้องการให้เรียกตนว่า \"ผู้หญิง\" และพิจารณาว่า คำว่า \"หญิงข้ามเพศ\" หรือ \"ชายข้ามเพศเป็นหญิง\" เป็นคำที่ใช้กับคนที่ข้ามเพศแบบไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีหลายคนไม่ต้องการให้เรียกตนเองว่า \"หญิงข้ามเพศ\" ในสังคม ซึ่งมีแนวโน้มว่าตน \"ดูเป็นคนอื่น\" ที่ดูขัดกับเพศทั้งสองเพศ หรือมีเหตุผลส่วนตัวมากกว่านั้นที่จะแสดงตนเป็นคนแปลงเพศแล้ว",
"title": "หญิงข้ามเพศ"
},
{
"docid": "207839#2",
"text": "คือ การที่ใครก็ตามที่เกิดมาย่อมมีหน้าที่ติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น จึงควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ใครเป็นสามีก็รับผิดชอบต่อหน้าที่สามี เลี้ยงครอบครัวให้ดี ไม่ปันใจให้หญิงอื่น จริงใจกับภรรยา ใครเป็นภรรยาก็จริงใจต่อหน้าที่ของภรรยา ดูแลการงานในบ้านให้เรียบร้อย ไม่เที่ยวเตร่ ไม่เล่นการพนันเผาผลาญทรัพย์ เป็นลูกก็ต้องมีความรับผิดชอบว่า เราเป็นลูกมีหน้าที่รักษาวงศ์ตระกูลให้ดี ถ้าพ่อแม่แก่เฒ่า ก็ต้องเลี้ยงดูท่าน ทหารก็จริงใจลงไปในหน้าที่ทหาร เป็นตำรวจก็รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตำรวจ ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ก็ทุ่มไปกับหน้าที่ของตัวให้เต็มที่ หากทำเช่นนี้ได้จึงเรียกว่า มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่",
"title": "สัจจะ"
},
{
"docid": "15219#20",
"text": "ลักษณะสำคัญของหญิงโสเภณีคือ ประพฤติตนสำส่อนในทางประเวณี ด้วยการรับจ้างกระทำชำเรากับชายหลายคนเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นหญิงที่ค้าประเวณีกับชายทั่วไป เพราะฉะนั้น ถ้าหญิงร่วมประเวณีกับชายทั่วไปเป็นประจำไม่สำส่อน แม้จะได้รับค่าตอบแทนก็ตาม ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหญิงโสเภณี",
"title": "การค้าประเวณี"
}
] |
3958 | เฮลิคอปเตอร์ ลำแรกของโลกถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "270643#2",
"text": "อาพาชี่ถูกเลือกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538 และสัญญาสั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ 67 ก็ทำขึ้นในปีพ.ศ. 2539 เฮลิคอปเตอร์ลำแรกถูกสร้างขึ้นโดยโบอิง (ซึ่งถูกรวมเข้ากับแมคดอนเนลล์ ดักลาสในปีพ.ศ. 2540) ซึ่งถูกส่งมอบในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 เวสท์แลนด์ส่งมอบเครื่องของตนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2543 อาพาชี่ลำสุดท้ายถูกส่งมอบในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 ราคาของเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดคือประมาณ 3,100 ล้านปอนด์ มากขึ้นกว่าเดิม 1 พันล้านปอนด์ที่ระบุไว้ในสัญญาเดิม เพราะว่าค่าขนส่งนั่นเอง",
"title": "อกุสต้าเวสท์แลนด์ อาพาชี่"
}
] | [
{
"docid": "48199#1",
"text": "เฮลิคอปเตอร์ลำแรกของโลกพัฒนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2482 โดยชาวอเมริกันเชื้อสายรัสเซีย ชื่ออิกอร์ ซิคอร์สกี ( Igor Sikorsky) โดยใช้ชื่อว่า VS-300 ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ประกอบด้วยเหล็กท่ออย่างหนา ไม่มีผนังลำตัวปกปิด และไม่มีเครื่องวัดใด ๆ โรเตอร์หลักประกอบด้วยใบพัดสามใบ และมีโรเตอร์ท้ายเพื่อต้านแรงหมุนที่เกิดขึ้น",
"title": "เฮลิคอปเตอร์"
},
{
"docid": "270643#0",
"text": "อกุสต้าเวสท์แลนด์ อาพาชี่ () เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีเอเอช-64ดี อาพาชี่ลองโบว์ของโบอิงที่ผลิตขึ้นมาภายใต้ใบอนุญาตให้กับกองทัพบกอังกฤษ เฮลิคอปเตอร์แปดลำแรกถูกสร้างขึ้นโดบโบอิง อีก 59 ลำที่เหลือประกอบโดยเวสท์แลนด์ เฮลิคอปเตอร์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอกุสต้าเวสท์แลนด์) โดยใช้ส่วนประกอบจากโบอิง สิ่งที่มันมีแตกต่างจากเอเอช-64ดีคือเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ ระบบอิเลคทรอนิกป้องกันแบบใหม่ และกลไลใบพัดที่ททำให้รุ่นนี้สามารถทำหน้าที่ได้จากบนเรือ เฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้ได้รับชื่อว่า\"ดับบลิวเอเอช-64\" ที่ตั้งโดยเวสท์แลดน์ เฮลิคอปเตอร์ มันใช้อีกชื่อหนึ่งว่า\"อาพาชี่ เอเอช มาร์ค1\" (\"Apache AH Mk 1\") หรือ\"อาพาชี่ เอเอช1\" โดยกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร",
"title": "อกุสต้าเวสท์แลนด์ อาพาชี่"
},
{
"docid": "305457#0",
"text": "ยูเอช-1 ไอโรควอยส์ () หรือ ฮิวอี้ เป็นเฮลิคอปเตอร์ทางการทหารที่มีหนึ่งเครื่องยนต์ ใบพัดหลักสองใบ และใบพัดหางสองใบ มันถูกสร้างขึ้นโดยเบลล์ เฮลิคอปเตอร์ให้กับกองทัพบกสหรัฐที่ต้องการเฮลิคอปเตอร์สำหรับขนส่งผู้บาดเจ็บในปีพ.ศ. 2495 และทำการบินครั้งแรกในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2499 การผลิตเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 25\n03 ยูเอช-1 เป็นเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์กังหันรุ่นแรกที่เข้าสู่ระบบการผลิตให้กับกองทัพสหรัฐ และมีมากกว่า 16,000 ลำที่ถูกผลิตออกมาทั่วโลก",
"title": "ยูเอช-1 ไอระควอย"
},
{
"docid": "48199#3",
"text": "จวบจนเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงยุคต้นปี 1480 เมื่อเลโอนาร์โด ดาวินชีได้ทำการออกแบบเครื่องกลที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็น \"สกรูอากาศ\" (aerial screw), นับได้ว่าเป็นบันทึกหลักฐานแรกของความก้าวหน้าในเรื่องราวของการบินในแนวตั้ง จากบันทึกของเขาบอกไว้ว่าเขาได้สร้างแบบจำลองการบินขนาดเล็กขึ้น แต่ก็ไม่มีข้อบ่งชี้ใด ๆ สำหรับข้อกำหนดในการที่จะทำให้มีการที่จะหยุดตัวโรเตอร์ (ใบพัดหลักของเฮลิคอปเตอร์) จากการทำให้ตัวยานนั้นหมุนไปได้ (ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ในยุคปัจจุบันนี้นั้นทำได้แล้วคือ เพิ่มใบพัดส่วนหางสำหรับผลักดันต่อต้านผลของแรงบิดอันเนื่องมาจากแรงปฏิกิริยาที่เกิดจากการหมุนย้อนกลับอันเนื่องมาจากการหมุนของใบพัดโรเตอร์เข้าไป) เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นและกลายเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มนุษย์ก็ยังคงเฝ้าติดตามแนวความคิดใหม่ ๆ ในเรื่องของการบินในแนวตั้งอยู่ตลอดมา หลาย ๆ แบบจำลองและเครื่องกลไกเหล่านี้ในระยะเวลาภายหลังต่อ ๆ มาดูจะคล้ายคลึงอย่างใกล้ชิดมากกับเครื่องบินที่ทำจากไม้ไผ่ที่บินด้วยปีกหมุนที่อยู่ด้านบน, มากกว่าสกรูอากาศของดาวินชี",
"title": "เฮลิคอปเตอร์"
},
{
"docid": "48199#16",
"text": "การออกแบบสร้างเฮลิคอปเตอร์ตามที่อิกอร์ ซิคอร์สกี ได้ทำการออกแบบไว้เป็นเฮลิคอปเตอร์รุ่น VS-300 ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่มีใบพัดหางขนาดเล็กอยู่ตรงบริเวณส่วนปลายหางด้านท้ายของลำตัวเครื่อง",
"title": "เฮลิคอปเตอร์"
},
{
"docid": "216660#6",
"text": "เบลล์ได้ทำการค้นหาเกี่ยวกับเฮลิคอปเตอร์จู่โจมมาตั้งแต่ช่วงปลายปีพ.ศ. 2493 และได้สร้างต้นแบบจำลองของเฮลิคอปเตอร์ดี 255 เอาไว้โดยใช้ชื่อว่า\"ไอโรควอยส์วอริเออร์\" ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2505 เบลล์ได้แสดงแบบจำลองให้กับทางกองทัพโดยหวังที่จะเรียกร้องขอทุนในการพัฒนาต่อไป ดี 255 ไอโรควอยส์วอริเออร์ได้ถูกวางแผนให้สร้างเพื่อเป็นอากาศยานจู่โจมที่มีพื้นฐานจากยูเอช-1บีและส่วนประกอบใหม่ๆ อย่างความผอมบาง ที่นั่งคู่ ห้องนักบินแบบเรียงกัน มันยังมีเครื่องยิงระเบิดในป้อมที่ส่วนจมูกของมันและปีกสำหรับติดตั้งจรวดหรือขีปนาวุธต่อต้านยานเกราะ เอสเอส-10",
"title": "เอเอช-1 คอบรา"
},
{
"docid": "48199#6",
"text": "เดือนกรกฎาคม ปี 1901 นักประดิษฐ์ชื่อ แฮร์มันน์ เกนสวินด์ท (Hermann Ganswindt) ได้แสดงให้เห็นบินถึงเที่ยวบินแรกของเฮลิคอปเตอร์ของเขาที่เกิดขึ้นในกรุงเบอร์ลิน-โชนเบอร์ก (Berlin-Schöneberg), ซึ่งอาจเป็นครั้งแรกที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนป็นเที่ยวบินแรกที่บรรทุกมนุษย์ไปด้วย\nในปี 1885 โทมัส เอดิสันได้รับเงิน 1,000 เหรียญ จาก เจมส์ กอร์ดอน เบนเน็ตต์ จูเนียร์ (James Gordon Bennett, Jr) เพื่อจะดำเนินการทดลองการพัฒนาการบิน เอดิสันสร้างเฮลิคอปเตอร์ขึ้นและใช้กระดาษสำหรับพิมพ์ราคาหุ้นเพื่อที่จะสร้างดินสำลี (guncotton), อีกด้วยซึ่งเขาพยายามที่จะใช้พลังงานจากเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นตัวขับเคลื่อน เฮลิคอปเตอร์ได้รับความเสียหายจากการระเบิดและหนึ่งในคนงานของเขาถูกไฟคลอกย่างสดอย่างรุนแรงทั้งเป็น เอดิสันรายงานว่ามันจะต้องใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลังในอัตราส่วน 3-4 ปอนด์ต่อแรงม้าเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ, บนพื้นฐานของการทดลองของเขา ยาน บาฮิลิล (Ján Bahýľ), นักประดิษฐ์ชาวสโลวัก (Slovak), ได้ดัดแปลงเครื่องยนต์สันดาปภายในเพื่อเป็นต้นกำลังของเฮลิคอปเตอร์ต้นแบบของเขาที่สามารถบรรลุความสูงไปได้ถึง 0.5 เมตร (1.6 ฟุต) ในปี 1901 วันที่ 5 พฤษภาคม ปี 1905 เฮลิคอปเตอร์ของเขาไปถึงในระดับความสูงสี่เมตร (13 ฟุต) และบินมาเป็นระยะทางกว่า 1,500 เมตร (4,900 ฟุต) ในปี 1908, เอดิสันได้จดสิทธิบัตรการออกแบบของตัวเองสำหรับเฮลิคอปเตอร์ที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เบนซิน (gasoline engine) ที่ประกอบไปด้วยว่าวกล่อง (box kite) ที่ยึดติดอยู่กับเสากระโดงโดยสายเคเบิลของใบพัดโรเตอร์, แต่มันก็ไม่เคยบินขึ้นได้เลย",
"title": "เฮลิคอปเตอร์"
},
{
"docid": "337984#23",
"text": "คอมพิวเตอร์ \"เชิงพาณิชย์\" เครื่องแรกที่มีฮาร์ดแวร์จำนวนจุดลอยตัวคือ Z4 ของทซูเซอ ออกแบบและสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2485–2488 คอมพิวเตอร์มาร์ก V ของเบลล์แลบอลาทอรีส์ใช้งานจำนวนจุดลอยตัวฐานสิบใน พ.ศ. 2489 เวลาต่อมาเกือบทศวรรษคือ พ.ศ. 2497 คอมพิวเตอร์ไอบีเอ็ม 704 ซึ่งใช้หลอดสุญญากาศถูกสร้างขึ้นเพื่อจำหน่ายจำนวนมาก คอมพิวเตอร์รุ่นดังกล่าวได้แนะนำการใช้งานเลขชี้กำลังแบบไบแอส หลายทศวรรษหลังจากนั้น ฮาร์ดแวร์จำนวนจุดลอยตัวเป็นคุณลักษณะทางเลือก และคอมพิวเตอร์ที่มีคุณลักษณะนี้ถูกเรียกว่า \"คอมพิวเตอร์วิทยาศาสตร์\" หรือมีความสามารถใน \"การคำนวณทางวิทยาศาสตร์\" ไม่บรรจุเป็นมาตรฐาน จนกระทั่ง พ.ศ. 2532 คอมพิวเตอร์สำหรับ \"จุดประสงค์ทั่วไป\" มีความสามารถเกี่ยวกับจำนวนจุดลอยตัวในฮาร์ดแวร์เป็นมาตรฐาน",
"title": "จำนวนจุดลอยตัว"
},
{
"docid": "76627#20",
"text": "ญี่ปุ่นได้สั่งซื้อเอเอช-64ดีจำนวน 50 ลำ พวกมันจะถูกสร้างภายใต้ใบอนุญาตโดยอุตาหกรรมฟูจิด้วยการส่งเฮลิคอปเตอร์ลำแรกให้กับญี่ปุ่นในปี 2549 หลังจากที่เริ่มการส่งในปี 2548 อาพาชี่ที่สร้างโดยฟูจิจะใช้ชื่อว่า\"เอเอช-64ดีเจบี\"",
"title": "เอเอช-64 อาพาชี"
}
] |
3964 | กรุงเทพมหานครได้เปิดให้บริการ รถโดยสารด่วนพิเศษ สายสาทร-ราชพฤกษ์ ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่? | [
{
"docid": "142881#1",
"text": "กรุงเทพมหานครได้เปิดให้บริการ รถโดยสารด่วนพิเศษ สายสาทร-ราชพฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 (จากกำหนดเดิมในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553) โดยโครงการสายอื่นนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผน",
"title": "รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล"
}
] | [
{
"docid": "140610#2",
"text": "จนกระทั่งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 กรุงเทพมหานครได้ออกแถลงการณ์ที่จะยกเลิกโครงการรถโดยสารด่วนพิเศษ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560 ด้วยเหตุผลหลักคือขาดทุนสะสมปีละกว่า 200 ล้านบาท พ่วงด้วยปัญหาด้านการจราจรที่หนักยิ่งกว่าเดิม อาทิ ระบบไม่สามารถทำเวลาได้เนื่องจากประชาชนลักลอบใช้เส้นทาง และเพิ่มปัญหาการจราจรบนถนนทั้งถนนนราธิวาสราชนครินทร์ และถนนพระรามที่ 3 โดยโครงสร้างของสถานีทั้งหมดจะถูกรื้อทิ้ง และทำเป็นรถไฟฟ้าสายสีเทาส่วนใต้ พระโขนง–ช่องนนทรี–ท่าพระ โดยให้รถที่มาจากแยกวิทยุเลี้ยวเข้าถนนสาทร และหักเลี้ยวเข้าถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ก่อนวิ่งตามเส้นทางเดิมของรถโดยสารบีอาร์ทีต่อไป แต่หลังจากการแถลงกลับเกิดเสียงคัดค้านอย่างหนักเนื่องจากประชาชนยังคงมีความต้องการในการใช้เส้นทาง และบางส่วนมองว่าการยกเลิกโครงการจะทำให้ภาษีที่ถูกนำมาสร้างกลายเป็นเงินก้อนที่เปล่าประโยชน์ไป กรุงเทพมหานครจึงตัดสินใจเลื่อนแผนการยกเลิกโครงการฯ ออกไปก่อน และปรับอัตราค่าโดยสารจากเดิม 5 บาท เป็น 15 บาทตลอดสาย จนกว่าจะได้ความแน่นอนเรื่องการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเทา",
"title": "รถโดยสารด่วนพิเศษ สายสาทร–ราชพฤกษ์"
},
{
"docid": "140610#1",
"text": "โครงการนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2548 ในสมัยของอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้วยงบประมาณ 1,400 ล้านบาท หลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2550 เริ่มก่อสร้างจริงเมื่อปี พ.ศ. 2550 และมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงปี พ.ศ. 2551–2552 แต่ได้เกิดความล่าช้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้การก่อสร้างสถานีเสร็จสมบูรณ์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว เนื่องจากการจัดหาตัวรถหยุดชะงักไปถึง 9 เดือนภายใต้กระบวนการตรวจสอบความโปร่งใสของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมไปถึงความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งอัจฉริยะ, การก่อสร้างทางเดินเชื่อมสถานีสาทรกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่องนนทรีที่แยกสาทร–นราธิวาส และการก่อสร้างช่องทางเดินรถเฉพาะสำหรับบีอาร์ที แต่ในภายหลังสามารถเปิดให้บริการได้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553",
"title": "รถโดยสารด่วนพิเศษ สายสาทร–ราชพฤกษ์"
},
{
"docid": "140610#0",
"text": "รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ สายสาทร–ราชพฤกษ์ หรือสายช่องนนทรี–ราชพฤกษ์ เป็นระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ หรือ\"บีอาร์ที\" (BRT) สายนำร่องของกรุงเทพมหานคร และเป็นสายแรกของประเทศไทย เดินรถบนถนนนราธิวาสราชนครินทร์, ถนนพระรามที่ 3, สะพานพระราม 3 และถนนรัชดาภิเษก–ท่าพระ ระยะทาง 15.9 กิโลเมตร มีจุดจอดรับส่งผู้โดยสาร 12 สถานี โดยจัดช่องทางการเดินรถแยกจากช่องทางปกติบนพื้นถนนเดิมในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นบนสะพานข้ามทางแยกและสะพานพระราม 3ที่เดินรถในช่องเดินรถมวลชน (high-occupancy vehicle/HOV lane) ร่วมกับรถยนต์ที่มีผู้โดยสารตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป และบริเวณทางแยกบางจุดที่ใช้ช่องทางร่วมกับรถทั่วไป",
"title": "รถโดยสารด่วนพิเศษ สายสาทร–ราชพฤกษ์"
},
{
"docid": "142881#8",
"text": "เป็นเส้นทางนำร่อง พัฒนามาจากเส้นทางช่องนนทรี-สะพานกรุงเทพ และสุรวงศ์-ราชพฤกษ์ ดำเนินการโดยทางกรุงเทพมหานครลงทุนทั้งหมด แล้วให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ตั้งบริษัทลูกมาบริหารจัดการ จัดซื้อรถ และจัดหาพนักงานมาปฏิบัติการ แต่ไม่มีส่วนเข้ามาลงทุน และไม่มีส่วนในการแบ่งผลกำไร ปัจจุบันงานโยธาก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ และการจัดหารถโดยสาร มีกำหนดเปิดใช้วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งล่าช้าจากกำหนดการเดิมในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากการจัดซื้อรถอยู่ภายใต้การตรวจสอบความโปร่งใสของกรมสอบสวนคดีพิเศษ",
"title": "รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล"
},
{
"docid": "858034#1",
"text": "รถด่วนพิเศษอีสานมรรคาเริ่มเดินรถเที่ยวปฐมฤกษ์ในเส้นทางกรุงเทพมหานคร-หนองคาย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559 หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดซื้อรถไฟโดยสารเชิงพาณิชย์รุ่นใหม่จากประเทศจีนจำนวนทั้งหมด 115 คัน โดยขบวนรถได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับรถด่วนพิเศษของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ อุตราวิถี อีสานวัตนา และทักษิณารัถย์",
"title": "รถด่วนพิเศษอีสานมรรคา"
},
{
"docid": "858042#1",
"text": "รถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์เริ่มเดินรถเที่ยวปฐมฤกษ์ในเส้นทางกรุงเทพมหานคร-ชุมทางหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559 หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดซื้อรถไฟโดยสารเชิงพาณิชย์รุ่นใหม่จากประเทศจีนจำนวนทั้งหมด 115 คัน โดยขบวนรถได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับรถด่วนพิเศษของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ อุตราวิถี อีสานมรรคา และอีสานวัตนารถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์มีกำหนดเวลาดังต่อไปนี้",
"title": "รถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์"
},
{
"docid": "253441#0",
"text": "รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ สายหมอชิต-ปากเกร็ด หรือ รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ สายหมอชิต-ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโครงการก่อสร้างระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (BRT) ของกรุงเทพมหานคร จำนวน 7 สถานี เกิดแนวคิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2551 ในสมัยของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มุ่งหวังรองรับบริการข้าราชการกว่า 30,000 คนที่ทำงานภายในศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร และเมืองทองธานี คาดว่าจะมีปริมาณผู้โดยสาร 56,000 คนต่อวัน และใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท",
"title": "รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ สายหมอชิต-ปากเกร็ด"
},
{
"docid": "142881#7",
"text": "กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการจราจรและขนส่ง ได้จัดทำแผนการพัฒนาระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษเช่นเดียวกันกับ สนข. ตามนโยบายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้น ในชื่อโครงการ บางกอกบีอาร์ที ()และอีก 10 เส้นทางที่เดิมคาดว่าจะเปิดใช้ได้ในปี พ.ศ. 2551 ได้แก่จากเส้นทางในแผนแม่บทของกรุงเทพมหานครทั้งหมด มีเพียงสายช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ เส้นทางเดียวที่สามารถก่อสร้างเป็นเส้นทางนำร่องได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2552 นอกจากนี้ยังมีโครงการสายหมอชิต-ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเปิดใช้ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร บนถนนแจ้งวัฒนะ และจะก่อสร้างเป็นสายที่ 2 ต่อไป",
"title": "รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล"
},
{
"docid": "845806#1",
"text": "รถด่วนพิเศษอุตราวิถีเริ่มเดินรถเที่ยวปฐมฤกษ์ในเส้นทางกรุงเทพมหานคร-เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดซื้อรถไฟโดยสารเชิงพาณิชย์รุ่นใหม่จากประเทศจีนจำนวนทั้งหมด 115 คัน โดยขบวนรถได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับรถด่วนพิเศษของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ อีสานมรรคา อีสานวัตนา และทักษิณารัถย์รถด่วนพิเศษอุตราวิถีใช้กำหนดเวลาเดิมของรถด่วนพิเศษนครพิงค์ก่อนการยุบเลิก มีรายละเอียดดังต่อไปนี้",
"title": "รถด่วนพิเศษอุตราวิถี"
}
] |
3980 | พระเจ้าอินโจ เกิดเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "154370#0",
"text": "พระเจ้าอินโจ (인조 仁祖 ค.ศ. 1595 ถึง ค.ศ. 1649) ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 16 (ค.ศ. 1623 ถึง ค.ศ. 1649) แห่งราชวงศ์โชซอน ทรงได้รับราชบัลลังก์มาจากการยึดอำนาจของฝ่ายตะวันตก หรือ \"ซออิน\" () จากองค์ชายควางแฮในค.ศ. 1623 ในรัชสมัยของพระเจ้าอินโจขุนนางฝ่ายตะวันตกขึ้นมามีอำนาจ และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีความเปลี่ยนแปลงของจีนจากราชวงศ์หมิงสู่ราชวงศ์ชิง พระเจ้าอินโจและขุนนางฝ่ายตะวันตกดำเนินนโยบายสนับสนุนราชวงศ์หมิงและต่อต้านราชวงศ์ชิง จนเป็นเหตุให้เกิดการรุกรานเกาหลีของแมนจูสองครั้งได้แก่ ค.ศ. 1627 และค.ศ. 1636-37 ซึ่งผลออกมาอาณาจักรโจซอนพ่ายแพ้ต่อพวกแมนจูและตกเป็นรัฐบรรณาการของราชวงศ์ชิง",
"title": "พระเจ้าอินโจ"
}
] | [
{
"docid": "154370#1",
"text": "พระเจ้าอินโจ เดิมพระนามว่า องค์ชายนึงยาง () เป็นพระโอรสองค์โตองค์ชายจองวอน () ซึ่งองค์ชายจองวอนนั้นเป็นพระโอรสของพระเจ้าซอนโจกับพระสนมอินบิน ตระกูลคิม เนื่องจากพระสนมอินบินเป็นพระสนมองค์โปรดของพระเจ้าซอนโจ พระเจ้าซอนโจจึงมีพระประสงค์จะให้พระโอรสของสนมอินบินได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งโจซอนต่อจากพระองค์ แต่ทว่าในขณะนั้นมีองค์ชายรัชทายาทผู้สืบทอดอยู่แล้วคือ องค์ชายควังแฮ ดังนั้นในรัชสมัยขององค์ชายควังแฮ องค์ชายจองวอนและพระโอรสจึงเป็นที่เพ่งเล็งอยู่เสมอ ในค.ศ. 1615 พระอนุชาขององค์ชายนึงยางคือ องค์ชายนึงชัง () ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏต่อพระเจ้าควังแฮและถูกสำเร็จโทษด้วยยาพิษ",
"title": "พระเจ้าอินโจ"
},
{
"docid": "833814#0",
"text": "อินย็อลวังฮู (; แปลตรงตัว \"ราชเทวีอินย็อล\"; 16 สิงหาคม ค.ศ. 1594 – 16 มกราคม ค.ศ. 1636) เป็นมเหสีของพระเจ้าอินโจ เมื่ออายุ 17 สมรสกับนึงยังกุน (능양군) ครั้นนึงยังกุนขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าอินโจ นางก็ได้เป็นมเหสี แต่เมื่อคลอดโอรสคนที่ 6 ได้ 4 วัน นางก็เสียชีวิต พระเจ้าอินโจต้องการจะประทานนาม มย็องฮ็อน (Myeongheon) ให้แก่นางหลังนางสิ้นชีวิต แต่คิม ซัง-ฮ็อน (Kim Sang-heon) เสนอให้เปลี่ยนนาม อินย็อล เป็น อินรย็อล (인렬) แทน สุสานของนางอยู่ที่พาจูในคย็องกี",
"title": "พระนางอินรย็อล"
},
{
"docid": "913209#1",
"text": "อีอินจวาเกิดเมื่อ ค.ศ. 1694 อันตรงกับปีที่ 20 แห่งรัชสมัยของ พระเจ้าซุกจง พระราชาลำดับที่ 20 ใน ตระกูลลีแห่งจอนจู โดยเขาสืบเชื้อสาย พระเจ้าเซจงมหาราช พระราชาลำดับที่ 4 และ พระนางโซฮ็อน เป็นขุนนางฝ่าย โซนน กลุ่มขุนนางสำคัญฝ่ายก้าวหน้าที่ให้การสนับสนุน พระเจ้าคย็องจง พระราชาลำดับที่ 21 ตรงข้ามกับฝ่าย โนนน กลุ่มขุนนางสำคัญฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ให้การสนับสนุน พระเจ้าย็องโจ พระราชาลำดับที่ 22",
"title": "อีอินจวา"
},
{
"docid": "219207#1",
"text": "พระเจ้าอนโจ มีพระนามเดิมว่า อนโจ เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กใน พระเจ้าดงเมียงยอง (จูมง) ผู้สถาปนา อาณาจักรโกคูรยอ (37 ปีก่อนค.ศ. - ค.ศ. 668) และพระนางซอนโนพระมเหสีพระองค์ที่สองของพระเจ้าดงเมียงยอง โดยมีพระเชษฐา 2 พระองค์ คือองค์ชายยูริ(พระเจ้ายูริ)และองค์ชายพีรู โดยองค์ชายยูริเป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระนางโซยา ประสูติที่อาณาจักรพูยอ ส่วนองค์ชายพีรูนั้นเป็นพระเชษฐาร่วมพระราชมารดาเดียวกัน",
"title": "พระเจ้าอนโจ"
},
{
"docid": "154370#3",
"text": "หลังจากพระเจ้าอินโจเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียงสิบเดือน ก็เกิดเหตุการณกบฏขึ้นเมื่อ ลีควาล () เป็นขุนพลซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการรัฐประหารเมื่อค.ศ. 1623 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังชายแดนทางตอนเหนือ ไว้สำหรับป้องกันการรุกรานของราชวงศ์โฮ่วจิน (ราชวงศ์ชิง) แต่ลีควาลกลับมองว่าตำแหน่งทหารชายแดนนั้นเป็นตำแหน่งที่ต้อยต่ำ ไม่เหมาะสมแก่คุณความดีความชอบของตนเองที่ได้เคยกระทำไว้ จึงเกิดความไม่พอใจและใช้กองกำลังชายแดนเหนืออันมากมายมหาศาลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนเอง บุกไปยังเมืองฮันซองในค.ศ. 1624 พระเจ้าอินโจพร้อมทั้งพระราชวงศ์เสด็จหลบหนีออกมาฝ่าวงล้อมของกบฏไปประทับที่เมืองคงจูทางตอนใต้ของนครฮันซอง ลีควาลสามารถตีนครฮันซองได้และตั้งองค์ชายฮึงอันพระปิตุลาของพระเจ้าอินโจเป็นกษัตริย์ชั่วคราว ฝ่ายพระเจ้าอินโจนายพล จางมัน () ได้รวบรวมทัพเข้าบุกยึดเมืองหลวงคืนจากลีควาลได้สำเร็จ นายพลลีควาลได้ถูกทหารผู้ทรยศของตนเองสังหาร",
"title": "พระเจ้าอินโจ"
},
{
"docid": "149276#0",
"text": "พระเจ้าอินจง ( ค.ศ. 1515 - ค.ศ. 1545) เป็นกษัตริย์องค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์โชซอน (ค.ศ. 1544 - ค.ศ. 1545) ประสูติเมื่อค.ศ. 1515 เป็นพระโอรสของพระเจ้าจุงจง (중종, 中宗) และพระมเหสีจังกยอง (장경왕후, 章敬王后) จากตระกูลยุนแห่งพาพยอง (파평윤씨, 坡平尹氏) ซึ่งสิ้นพระชนม์ในระหว่างมีพระประสูติการพระเจ้าอินจง พระเจ้าอินจงทรงได้รับการสถาปนาเป็นองค์ชายรัชทายาทเมื่อค.ศ. 1520 ในค.ศ. 1534 พระมเหสีมุนจอง (문정왕후, 文定王后) พระมเหสีองค์ใหม่จากตระกูลยุนเช่นกัน ได้ประสูติพระอนุชาของพระเจ้าอินจงคือ องค์ชายคยองวอน (경원대군, 慶原大君) ทำให้ตระกูลยุนแตกออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายยุนใหญ่ (대윤, 大尹) นำโดยยุนนิม (윤임, 尹任) พระเชษฐาของพระมเหสีจังกยองและพระมาตุลาขององค์ชายรัชทายาท สนับสนุนองค์ชายรัชทายาทให้ได้เป็นกษัตริย์ และฝ่ายยุนเล็ก นำโดยยุนวอนฮย็อง (윤원형, 尹元衡) พระอนุชาของพระมเหสีมุนจอง สนับสนุนองค์ชายคยองวอน",
"title": "พระเจ้าอินจงแห่งโชซ็อน"
},
{
"docid": "297556#1",
"text": "จักรพรรดินีเอโช พระพันปีหลวงประสูติเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2378 มีพระนามเดิมว่าอะซะโกะ เป็นธิดาของฮิซะตะดะ คุโจอดีตคัมปะกุ พระองค์ได้ถูกวางตัวสำหรับรับใช้พระราชวงศ์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดยพระองค์ถูกจับคู่กับมกุฎราชกุมารโอะกิฮิโตะขณะพระชันษา 13 ปี ครั้นจักรพรรดินิงโกเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2389 มกุฎราชกุมารโอะกิฮิโตะเสวยราชย์ในนามจักรพรรดิโคเม จึงสถาปนาอะซะโกะขึ้นเป็น \"เนียวโง\" ซึ่งถือเป็นตำแหน่งพระชายาสูงผู้สืบเชื้อสายจากจักรพรรดิคัมมุ",
"title": "จักรพรรดินีเอโช พระพันปีหลวง"
},
{
"docid": "212460#1",
"text": "พระเจ้าซุกจงประสูติเมื่อ ค.ศ. 1661 เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าฮย็อนจง กับพระมเหสีมยองซอง ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาทเมื่อ ค.ศ. 1667 ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1674 พระนางอินซอน พระมเหสีของพระเจ้าฮโยจง สิ้นพระชนม์ จึงเกิดข้อถกเถียงกันเรื่องการใส่พระภูษาไว้ทุกข์ของพระนางจางรยอล พระมเหสีของพระเจ้าอินโจ ขึ้นอีกครั้ง เรียกว่า ความขัดแย้งเรื่องพิธีปีคาบิน (갑인예송, 甲寅禮訟) พระเจ้าฮย็อนจงทรงเลือกที่จะทำตามข้อเสนอของขุนนางฝ่ายใต้ นำโดยฮอมก (허목, 許穆) ซึ่งเสนอให้นางจางรยอลไว้ทุกข์แบบแทกง (대공, 大功 9 เดือน พระภูษาหยาบ) ทำให้ฝ่ายใต้ขึ้นมามีอำนาจแทนฝ่ายตะวันตก ซึ่งมีอำนาจอยู่ก่อนหน้า",
"title": "พระเจ้าซุกจงแห่งโชซ็อน"
},
{
"docid": "421570#1",
"text": "องค์ชายอึนจอน ประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1759 ในรัชกาล พระเจ้ายองโจ พระอัยกาเป็นพระโอรสของ องค์ชายรัชทายาทซาโด และเป็นพระราชอนุชาต่างพระราชมารดาของ พระเจ้าจองโจ เมื่อพระเจ้ายองโจผู้เป็นพระอัยกาสวรรคตลงในปี ค.ศ. 1776 องค์ชายลีซานพระราชนัดดารัชทายาทและพระเชษฐาขององค์ชายอึนจอนจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าจองโจ ได้ทรงทำการกวาดล้างขุนนางฝ่ายโนนนที่มีผู้นำคือ ฮงพงฮัน พระบิดาของ พระชายาเฮคยอง พระพันปีของพระเจ้าจองโจซึ่งสนับสนุนพระเจ้ายองโจจนแทบจะหมดสิ้นและยกฝ่ายโซนนที่สนับสนุนพระองค์ขึ้นมามีอำนาจแทนทำให้ ฮงซังบอม ขุนนางฝ่ายโนนนซึ่งเป็นพระญาติไม่พอใจได้ร่วมมือกับขุนนางฝ่ายโนนนบางส่วนวางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าจองโจในงานพิธีฉลองราชาภิเษกครบ 1 ปีและยกองค์ชายอึนจอนขึ้นเป็นพระราชาองค์ใหม่แต่แผนการนี้ไม่สำเร็จถูกจับได้ฮงซังบอมและเหล่าขุนนางถูกประหารส่วนองค์ชายอึนจอนถูกเนรเทศและสิ้นพระชนม์ในปี 1778 ขณะพระชนม์เพียง 19 พรรษา",
"title": "เจ้าชายอึนจ็อน"
}
] |
3982 | โจเซฟ โคซูต เกิดที่ไหน ? | [
{
"docid": "664706#1",
"text": "โคซูตเกิดเมื่อปีค.ศ. 1945 ในเมืองโทลีโด (Toledo) รัฐโอไอโอ สหรัฐอเมริกา มีบิดาเป็นชาวฮังการีและมารดาที่มีเชื้อสายฝรั่งเศส อังกฤษ และเชอโรกีผสมกัน ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนแห่งพิพิธภัณฑ์และการออกแบบโตเลโดในบ้านเกิด (Toledo Museum School of Design) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1955-1962 และมีการเรียนการสอนเป็นการส่วนตัวกับจิตรกรชาวเบลเยียม ไลน์ บลูม เดรฟเปอร์ (Line Bloom Draper) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963-1964ซึ่งภายหลังจากนั้นเขาก็ได้รับศึกษาต่อที่สถาบันทางศิลปะแห่งคลิฟแลนด์ (Cleveland Art Institute)",
"title": "โจเซฟ โคซูต"
}
] | [
{
"docid": "664706#0",
"text": "โจเซฟ โคซูต (, ) หนึ่งในศิลปินผู้มีความสำคัญในการบุกเบิกและขับเคลื่อนกระแสศิลปะเชิงแนวคิด ในช่วงกลางศตวรรษ 1960 เป็นการหันกลับไปพิจารณาสารัตถะที่แท้จริงของศิลปะ แทนที่การสร้างสรรค์ศิลปะเพื่อหวังผลสุนทรียศาสตร์และการถ่ายทอดอารมณ์ของศิลปินที่มีความเป็นอัตวิสัย ในลักษณะเดียวกันกับการถอดรื้อมายาคติทางศิลปะของ มาเซล ดูช็องป์ (Marcel Duchamp, 1887 - 1968)",
"title": "โจเซฟ โคซูต"
},
{
"docid": "15559#0",
"text": "โจเซฟ คอนราด () 3 ธันวาคม ค.ศ. 1857 – 3 สิงหาคม ค.ศ. 1924)เกิดที่ประเทศโปแลนด์เขตยูเครน เมื่อปี ค.ศ. 1857 และต้องเป็นกำพร้าด้วยวัย 12 ปี เด็กชายโยเซฟ ทีโอดอร์ คอร์เซนอฟสกีจึงย้ายไปอยู่กับลุงที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่หลังจากนั้นไม่นานได้เข้าทำงานกับบริษัทเดินเรือพาณิชย์แห่งฝรั่งเศส และต่อมาก็บริษัทเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ ซึ่งเขาได้เป็นกัปตันเรือของตนเองในที่สุด ภายหลังได้รับสัญชาติอังกฤษ เขาเปลี่ยนชื่อเป็นโจเซฟ คอนราด เมื่ออายุ 36 เขาเลิกออกทะเล และตั้งหลักปักฐานในอังกฤษ แต่งงาน มีบุตรชายสองคน รวมทั้งเริ่มต้นอาชีพการประพันธ์อันมีมนต์สะกด โดยผลงานที่เด่นๆ ของเขาคือ Almayer’s Folly (ค.ศ. 1895), The Heart of Darkness (ค.ศ. 1902), Nostromo (ค.ศ. 1904) และ Lord Jim (ค.ศ. 1907)เป็นอาทิ คอนราดได้รับการยอมรับว่า เป็นหนึ่งในบรรดานักเขียนผู้ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีลีลายอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่สามของเขา รองลงมาจากภาษาโปแลนด์และฝรั่งเศสก็ตาม และตราบจนวาระสุด ท้ายของชีวิต เขาก็ยังพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงแปร่งๆ ตามแบบชาวต่างชาติ เขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในปี 1924",
"title": "โจเซฟ คอนราด"
},
{
"docid": "335484#4",
"text": "สตีฟ โรเจอร์ส ถือกำเนิดในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 ที่โลเวอร์อีสท์ไซด์ของแมนฮัตตัน ในนิวยอร์ก โดยมีพ่อแม่เป็นชาวไอร์แลนด์ที่อพยพเข้าเมือง ซึ่งมีชื่อว่าซาร่าห์ กับโจเซฟ โรเจอร์ส โจเซฟ โรเจอร์สเสียชีวิตลง โดยที่เหลือเพียงสตีฟซึ่งเป็นบุตรเพียงคนเดียวของซาร่าห์ผู้เป็นมารดา จากนั้นในภายหลัง ซาร่าห์ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคปอดบวมในช่วงที่สตีฟอยู่ในวัยหนุ่ม ในช่วงต้นยุค 1940 ก่อนที่อเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง โรเจอร์สเป็นผู้มีร่างกายสูงแต่ผอมบาง เขาเป็นนักเรียนด้านวิจิตรศิลป์ผู้เชี่ยวชาญภาพประกอบ จากเหตุการณ์ที่คุกคามโดยจักรวรรดิไรช์ที่สามนี้ โรเจอร์สได้พยายามที่จะเข้าร่วมเกณฑ์ เพียงเพื่อต้องการที่จะปฏิเสธความยากจน เนื่องด้วยพลเอกเชสเตอร์ ฟีลิปส์แห่งกองทัพสหรัฐกำลังมองหาการทดสอบอยู่พอดี โรเจอส์จึงมีโอกาสที่จะรับใช้ประเทศชาติด้วยการมีส่วนร่วมในโครงการป้องกันความลับสุดยอด โอเปอร์เรชั่น: รีเบิร์ธ หรือโครงการการเกิดใหม่จึงได้เกิดขึ้น ซึ่งได้มีความพยายามในการพัฒนาด้านการสร้างซูเปอร์โซลเยอร์ที่มีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายอย่างแท้จริง โรเจอร์สอาสาเข้ารับการทดสอบ และภายหลังจากการคัดเลือกอย่างเข้มงวด เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับเซรุ่มเพื่อเป็นซูเปอร์โซลเยอร์จากนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อว่า ดร.โจเซฟ ไรน์สไตน์ ซึ่งในภายหลังเขาได้เปลี่ยนชื่อรหัสของนักวิทยาศาสตร์มาเป็น อับราฮัม เออร์สไคน์",
"title": "กัปตันอเมริกา"
},
{
"docid": "350940#0",
"text": "โจเซ่ มาร์ตินส์ อาเชม (; เกิดวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1944 — 23 กันยายน ค.ศ. 2008) หรือชื่อจีน กง จื้อเหยิน () เป็นชาวโปรตุเกสที่เกิดในมาเก๊า เป็นผู้พิจารณาการก่อตั้งและเป็นผู้ก่อตั้งมาเก๊าคาราเต้โด กับเซอิโกคันมาเก๊า เขาได้แนะนำคาราเต้โดสู่จังหวัดต่างๆของโปรตุเกสใน ค.ศ. 1967 โดยพ่อของเขาทำงานในสำนักงานตำรวจศาลยุติธรรมมาเก๊า ในช่วง 40 ปีที่มาเก๊า เขาได้พัฒนาวิชาคาราเต้ และโปรโมทวิชาคาราเต้จากมาเก๊าสู่วงการคาราเต้ระดับนานาชาติ ซึ่งวงการคาราเต้ของมาเก๊าได้ให้สมญานามแก่เขาว่า มาสเตอร์, บิดาแห่งวงการคาราเต้",
"title": "โจเซ่ มาร์ตินส์ อาเชม"
},
{
"docid": "664706#2",
"text": "ในปี ค.ศ.1965 โคซูตย้ายมาศัยอยู่ที่นิวยอร์กเพื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนวิชาทัศนศิลป์ (School of Visual Arts)ซึ่งต่อมาอีกไม่นานหลังจากนั้นผลงานของเขาก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงศิลปะเชิงแนวคิดซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ.1967 จากงานนิทรรศการที่เขาร่วมก่อตั้ง ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Museum of Normal Artซึ่งมีเค้าสำคัญจากผลงานที่มีชื่อเสียงที่ทุดของเขา One and Three Chairs เมื่อปี ค.ศ. 1965 ต่อมาในปี ค.ศ.1969 โคซูตเริ่มจัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกที่แกลลอรี่ของ ลีโอ คาสเตลลี่ (Leo Castelli Gallery) ในนิวยอร์กและในปีเดียวกันเขาได้กลายเป็นบรรณาธิการของวาสารทางศิลปะและภาษาของอเมริกัน (Art & Language) และในปีเดียวกัน เขาได้จัดนิทรรศการทางศิลปะกว่า 15 แห่ง ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันใน 15 พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลก",
"title": "โจเซฟ โคซูต"
},
{
"docid": "106357#1",
"text": "โจเซฟ พูลิตเซอร์ เกิดที่เมืองมาโก ประเทศฮังการี เมื่อเติบโตขึ้นได้พยายามมุ่งสู่อาชีพการเป็นทหารแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ถูกปฏิเสธเนื่องจากมีร่างกายอ่อนแอและสายตาไม่ดี ต่อมาพูลิตเซอร์ ได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2407 เพื่อสมัครเป็นทหารในสงครามกลางเมือง",
"title": "โจเซฟ พูลิตเซอร์"
},
{
"docid": "496082#0",
"text": "โจเซฟ \"โจ\" เบนเนตต์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1990 เป็นนักฟุตบอล ชาวอังกฤษ ปัจจุบันได้ลงเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา โดยเกิดที่ รอชเดล หลังจากนนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับ สโมสรฟุตบอลมิดเดิลส์เบรอ ในฤดูกาล 2008–2009 โดยเขาสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในด้านซ้าย หลังจากนั้นก็ได้มาเล่นเป็น กองหลังตัวซ้าย หรือ แบ็กซ้าย โดยสโสรปัจจุบันของเขาคือ แอสตันวิลลา โดยย้ายมาในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2012 โดยไม่เปิดเผยค่าตัว",
"title": "โจ เบนเนตต์ (นักฟุตบอล)"
},
{
"docid": "664706#11",
"text": "เรื่องราวในผลงานชุด Zero & Not จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ย้ำเตือนให้เราระลึกถึงบทเรียนต่างๆ ทางด้านจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ข้อความที่ถูกปกปิดและร่องรอยที่ปรากฏอยู่บ้างนั้นได้กระตุ้นเตือนเราให้ระลึกถึงความเข้าใจในกระบวนการทำงานของความทรงจำ การเก็บกด และภาพความทรงจำ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ได้ละทิ้งร่องรอยของตัวมันเองที่เคยปรากฏเมื่อถูกเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์อื่นๆ ข้อความที่ถูกปกปิดนั้นได้นำมาสู่การสังเกตในเรื่องการทำความเข้าใจของฟรอยด์เกี่ยวกับมนุษย์ในลักษณะสาขาวิชาทางด้านโบราณคดี สำหรับฟรอยด์ การพัฒนาหรือการก่อรูปความทรงจำของมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ และถูกคลุมทับด้วยกระบวนการต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งก็คือลักษณะการทำงานของจิตวิเคราะห์ที่จะต้องขุดค้นและขุดลอกความทรงจำแต่ละชั้นที่ซ้อนทับกันขึ้นมา และนำเสนอความเข้าใจในตนเองเพื่อบรรเทาอาการป่วยของโรคเก็บกดท้ายที่สุด ข้อความที่ตัดตอนมาจาก The Interpretation of Dreams ได้ย้ำเตือนให้นึกถึงงานทางด้านจิตวิเคราะห์อันแหวกแนวสำหรับยุคนั้น โดยเฉพาะการทำงานของฟรอยด์ที่มีการลดรูป การแทนที่ และการแปลความหมาย ซึ่งก็คือข้อความในการแสดงงานของโคซูตที่เป็นเหมือนจุดสำคัญที่สุดของกระบวนการเข้าใจความฝันของมนุษย์",
"title": "โจเซฟ โคซูต"
},
{
"docid": "55592#4",
"text": "ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 เขาเป็นบุตรคนที่ 8 ในจำนวน 10 คน ของครอบครัวชาวแอฟริกัน-อเมริกันชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ในบ้านสองห้องนอน บนถนนแจ็กสันสตรีท ที่เมืองแกรี รัฐอินดีแอนา ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของชิคาโก บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ \"โจ\" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) พ่อของเขา โจเซฟ เคยเป็นอดีตนักมวยและทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็ก โจยังเล่นกีต้าร์ให้วงดนตรีท้องถิ่นแนวอาร์แอนด์บี ที่ชื่อ \"เดอะฟอลคอนส์\" เพื่อเสริมรายได้ให้ครอบครัว แม่ของเขา แคเทอรีน เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนาพยานพระยะโฮวา เธอเล่นคลาริเน็ตและเปียโนและเคยมีแรงบันดาลใจเป็นนักแสดงประเทศตะวันตก เธอทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อสนับสนุนครอบครัว ไมเคิลเติบโตมาด้วยกันกับพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน ลา โทยา มาร์ลอน แรนดี และเจเน็ต",
"title": "ไมเคิล แจ็กสัน"
}
] |
4000 | ใครแสดงเป็นตัวละครที่ชื่อว่า เป็นต่อ ในซิตคอม เรื่องเป็นต่อ? | [
{
"docid": "45027#23",
"text": "ทางน้องชมพูเชิญทีมเป็นต่อไปแต่งงาน ยกเว้นวอก กับจ้างให้ยมถ่ายพรีเวดดิ้งไม่ให้วอกรู้ ยมจึงให้วอกทำโอทีสืบเนื่องจากความโด่งดังของซิตคอมเรื่องเป็นต่อทำให้ใน พ.ศ. 2553 ธัญญา โพธิ์วิจิตร หรือ เป็ด เชิญยิ้ม ตลกชื่อดังได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง \"ผู้ชายลั้ลลา\" ขึ้นโดยดึง ชาคริต แย้มนาม , เกลือ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล และ เจี๊ยบ เชิญยิ้ม ซึ่งรับบทเป็น เป็นต่อ , วอกและพี่ยมให้มานำแสดงนับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทั้งสามหนุ่มจากเป็นต่อมาแสดงภาพยนตร์ร่วมกัน",
"title": "เป็นต่อ"
},
{
"docid": "45027#7",
"text": "เป็นต่อ 2018 (ปี 2561 - ปัจจุบัน)\nเป็นต่อ (ชาคริต แย้มนาม) พนักงานฝ่ายขายของนิตยสารรายเดือนฉบับหนึ่ง อาศัยอยู่กับน้องสาว พอใจ (พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร) ที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาด ๆ พอใจมีเพื่อนสนิทที่นับถือคือ ทิพย์ (มยุริญ ผ่องผุดพันธ์) แฟนเก่าของเป็นต่อ สาวเจ้าระเบียบธรรมะธัมโม พี่กอล์ฟ (ธงธง มกจ๊ก) กะเทยพนักงานทำความสะอาดคอนโด เพื่อนร่วมงานที่บริษัทของเป็นต่อมีพี่ยม (เจี๊ยบ เชิญยิ้ม) ฝ่ายศิลป์, วอก (กิตติ เชี่ยววงศ์กุล) รุ่นน้องฝ่ายพิสูจน์อักษร, พี่อู๊ด (แอ๊ด มกจ๊ก) รุ่นพี่คอลัมน์นิสต์, พี่หมอน (ผอูน จันทรศิริ) ผู้จัดการปากกรรไกร ทางด้านมีร้านอาหารกึ่งผับที่ประจำของพวกเป็นต่อ ที่มีเจ๊มิ้นท์ (วิชุดา พินดั้ม) สาวเซ็กซี่เจ้าของร้าน และจวบ (สร้อย สารคาม) บ๋อย แก่นเรื่องพูดถึงชีวิตคนโสด และเสน่ห์ของความเป็นโสด การออกเดทและการแสวงหา การหาคู่หรือความมั่นคง\nต่อมา พี่หมอนลาออกจากบริษัทนิตยสาร BKL ไปเป็นผู้จัดการในบริษัทใหม่ชื่อ PEAK ภายหลังพนักงานใน BKL ก็ตามไปทำงานกับพี่หมอน เพราะทนผู้จัดการคนใหม่ของ BKL ไม่ได้ และทางด้านของเป็นต่อที่ต้องการกลับมาขอคืนดีกับทิพย์ แต่ก็ต้องถูกทิพย์ปฏิเสธ เนื่องจากทิพย์มีแฟนใหม่แล้ว ชื่อว่า ขั้นเทพ (ยุกต์ ส่งไพศาล) ฝ่ายพอใจคอยตามจับผิดขั้นเทพอยู่ทุกฝีก้าว เพื่อต้องการให้ขั้นเทพกับทิพย์เลิกกันและให้ทิพย์กลับมาคบกับเป็นต่อ อีกทั้งยังพยายามขัดขวางไม่ให้เป็นต่อคบผู้หญิงคนไหนนอกจากทิพย์อีกด้วย ทางด้านของพี่ยมและเจ๊มิ้นท์ก็มีคนที่ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่เพิ่มมาอีก 1 คน ก็คือ พี่หมอน",
"title": "เป็นต่อ"
}
] | [
{
"docid": "45027#0",
"text": "เป็นต่อ เป็นละครโทรทัศน์ประเภทซิตคอม ผลิตโดย เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ และ ซีเนริโอ อำนวยการผลิตโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ",
"title": "เป็นต่อ"
},
{
"docid": "45027#1",
"text": "ออกอากาศครั้งแรกทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มออกอากาศวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ออกอากาศตอนสุดท้ายทางช่อง 3 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 โดยมีซิตคอมเรื่องใหม่ชื่อ \"เป็นข่าว\" มาออกอากาศแทน หลังจากที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ออกกล่องสัญญาณดาวเทียม \"จีเอ็มเอ็มแซต\" มาขายในช่วงฟุตบอลยูโร มีข่าวออกมาว่าซิตคอมเป็นต่อจะกลับมาฉายอีกครั้งโดยมีเนื้อเรื่องต่อจากตอนเดิมในชื่อเรื่อง \"เป็นต่อ ขั้นเทพ\" เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ทางช่องจีเอ็มเอ็มวัน (ปัจจุบันคือช่องวัน 31) ออกอากาศครั้งสุดท้ายวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556",
"title": "เป็นต่อ"
},
{
"docid": "253043#0",
"text": "ธีระชาติ ธีระวิทยากุล (เกิดเมื่อ 13 มีนาคม พ.ศ. 2519) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ อู๊ด เป็นต่อ เป็นนักแสดงตลกชาวไทย มีชื่อเสียงจากละครซิทคอมเรื่อง เป็นต่อ ในบท \"อู๊ด\"",
"title": "อู๊ด เป็นต่อ"
},
{
"docid": "135794#14",
"text": "วิชญ์วิสิฐรับงานแสดงทางโทรทัศน์ครั้งแรก โดยเป็นตัวละครชื่อ \"เตวิช ไหมแก้ว\" (ชื่อเล่น: เต้) ลูกชายวัยรุ่นของ\"อรละออ\" (แสดงโดย: ณหทัย พิจิตรา) พี่สาวต่างแม่ของ\"ชลธี\" (แสดงโดย: วรินทร ปัญหกาญจน์) ซึ่งแม่มักมีเหตุทะเลาะกับเขาอยู่เป็นประจำ ช่วงแรกของเรื่อง ได้รับการดูแลจาก คุณอาชลธี และคุณตาทวด\"มาริโอ ปีเปิล คอนเนลิโอ\" (แสดงโดย: อังเดร มาคิลเซน) อดีตมาเฟียชาวอิตาลีเป็นอย่างดี เขาจึงตอบแทนบุญคุณ ด้วยการอำนวยความสะดวก เมื่อทั้งสองต้องหนีออกจากบ้าน และคอยรายงานความเคลื่อนไหวที่บ้านให้รู้เป็นระยะ ในระหว่างที่คุณอาไม่อยู่",
"title": "วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล"
},
{
"docid": "253043#2",
"text": "การแสดงตลกในคณะเหลือเฟือ มกจ๊ก ไปสะดุดตาจิรศักดิ์ โย้จิ้ว ผู้กำกับละครซิทคอม เป็นต่อ จึงได้ติดต่อให้เข้ามาร่วมแสดง",
"title": "อู๊ด เป็นต่อ"
},
{
"docid": "217869#0",
"text": "กิตติ เชี่ยววงศ์กุล (เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2523) เป็นนักแสดง, นักเขียนบท และ ผู้กำกับละครจำนวนมากเช่น เฮง เฮง เฮง , บ้านนี้มีรัก , ยีนเด่น , บางรักซอย 9 , เป็นต่อ , ผู้กองเจ้าเสน่ห์ กิตติมีชื่อเสียงจากบทบาท \"วอก\" ในซิทคอมเรื่อง เป็นต่อ เกลือสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาศิลปะการแสดง",
"title": "กิตติ เชี่ยววงศ์กุล"
},
{
"docid": "795078#0",
"text": "ณัฐกฤต เกษตรภิบาล (เกิด 14 ธันวาคม พ.ศ. 2535) ชื่อเล่น ตึก เป็น นายแบบ และนักแสดงชาวไทย เป็นที่รู้จักจากละครซิทคอมเรื่อง \"บ้านนี้มีรัก\" ในบท \"ออตโต้\" ซึ่งออกอากาศทาง ช่องวัน โดยนอกจากผลงานการแสดงแล้ว ยังมีผลงานการเดินแบบตามเวทีและอีเว้นท์ต่างๆอย่างต่อเนื่องมากว่า 5 ปี และเคยได้รับเชิญไปร่วมเดินแบบในงาน seoul fashion week 2014 ที่กรุงโซล ประเทศ เกาหลีใต้ อีกด้วย",
"title": "ณัฐกฤต เกษตรภิบาล"
},
{
"docid": "56424#0",
"text": "ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง หรือรู้จักในชื่อเล่นว่า แท่ง เป็นนักแสดง นักร้อง พิธีกร ชาวไทย มีชื่อเสียงจาก ภาพยนตร์ เรื่อง กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ และ ละครซิตคอม 3 หนุ่ม 3 มุม และละครหลังข่าวอีกหลายเรื่อง รวมถึงซิตคอม อย่าง บางรักซอย 9 ที่เป็นที่มาของละครเวที ก่อนจะถึง บางรักซอย 9 on stage และมีวงดนตรีของตัวเองที่ตั้งขึ้นมาจากกลุ่มเพื่อนทีม แมงปอล้อคลื่น ที่ใช้ชื่อว่า พลพรรครักเอย และนอกจากนี้แท่งยังเคยเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับทีม สโมสรฟุตบอลสุราษฎร์ธานี อีกด้วย และในปี พ.ศ. 2557 สโมสร ซีคเคอร์ เอฟซี ทีมในศึกดิวิชั่น 2 โซนภาคกลางและตะวันตก คว้าตัว \"แท่ง\" ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง นักร้องนักแสดงชื่อดังมาร่วมทีมเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยเซ็นสัญญา 1 ปี ในตำแหน่งกองกลาง สวมเสื้อหมายเลข 1",
"title": "ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง"
}
] |
4011 | จังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่ทางภูมิภาคอะไรของประเทศไทย? | [
{
"docid": "6470#0",
"text": "จังหวัดอุตรดิตถ์ เดิมสะกดว่า อุตรดิฐ เป็นจังหวัดหนึ่งตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้ชื่อว่าเมืองท่าแห่งทิศเหนือ ตำนานอันลึกลับของเมืองลับแล ดินแดนแห่งลางสาดหวานหอม อุตรดิตถ์เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มายาวนาน โดยมีการค้นพบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "6470#21",
"text": "จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ใต้สุดของภาคเหนือ โดยมีพื้นที่ประมาณ 7,854 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 25 ของประเทศ มีจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกัน ดังนี้\nภูมิประเทศทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัดส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูง ทิวเขาเหล่านี้ต่อเนื่องมาจากจังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "6470#2",
"text": "จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ทางใต้สุดของภาคเหนือตอนล่าง โดยสภาพภูมิศาสตร์จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่สูงสลับซับซ้อน ซึ่งจะอยู่ทางตอนเหนือและทางตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากทำเลที่ตั้งดังกล่าวจึงทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน มีอากาศฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูฝน และมีช่วงฤดูแล้งคั่นอยู่อย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม เดือนที่ร้อนที่สุดคือเดือนเมษายน จังหวัดอุตรดิตถ์ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ มรสุมตะวันออกเฉียงใต้ปกติจะมีแหล่งกำเนิดบริเวณทะเลอันดามัน ทำให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีช่วงฤดูฝนกินระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูงที่สุด",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "155082#1",
"text": "โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ เปิดทำการอย่างเป็นทางการเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2494 โดยมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้นในปัจจุบันจำนวน 46 ไร่ 1 งาน 99 ตารางวา ตั้งอยู่เขตภาคแหนือตอนล่าง ในอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ถือเป็นโรงพยาบาลศูนย์แห่งที่ 2 ในเขตกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง และเป็นโรงพยาบาลประจำภูมิภาคที่มีขีดความสามารถระดับตติยภูมิ (Tertiary Care) ในปัจจุบันได้เปิดทำการสาขานอกโรงพยาบาล 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ สาขา 1 บริเวณทางหลวงหมายเลข 1045(ถนนย่านศิลาอาสน์) เปิดศูนย์สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ 1 แห่งที่ ถนนสำราญรื่นใกล้กับวัดท้ายตลาด และได้มีการก่อสร้างตึกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินขึ้นใหม่แล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2555 มีผลทำให้โรงพยาบาลฯมีจำนวนเตียงผู้ป่วยเพิ่มจากเดิม 500 เตียงเป็น 647 เตียง",
"title": "โรงพยาบาลอุตรดิตถ์"
}
] | [
{
"docid": "6470#1",
"text": "เดิมทีตัวเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบันนี้เป็นเพียงตำบลชื่อ \"บางโพธิ์ท่าอิฐ\" แต่เพราะบางโพธิ์ท่าอิฐซึ่งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำน่านมีความเจริญรวดเร็ว เพราะเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าสำคัญในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ย้ายเมืองหลักมาจากเมืองพิชัยมายังตำบลบางโพธิ์ท่าอิฐ และยกฐานะขึ้นเป็นเมือง \"อุตรดิตถ์\" ซึ่งมีความหมายว่า ท่าน้ำแห่งทิศเหนือของสยามประเทศ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 เมืองอุตรดิตถ์มีความเจริญขึ้น เมืองอุตรดิตถ์จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัด",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "6470#37",
"text": "จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพรมแดนติดกับเมืองปากลาย แขวงไชยบุรี ประเทศลาว ทางอำเภอบ้านโคกและน้ำปาด เมือปี 2552 ทางคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกระดับช่องภูดู่ ตำบลม่วงเจ็ดต้น อำเภอบ้านโคก เป็นด่านชายแดนสากล ดังนั้นในปัจจุบัน การเดินทางผ่านแดนเข้าออกสู่ประเทศลาวสามารถทำได้อย่างสะดวก ณ ที่ทำการด่าน ตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศลาว",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "6470#26",
"text": "ประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมของจังหวัด คือชนพื้นถิ่นไทยสยามและไทยวน ผู้เป็นเจ้าของซากโครงกระดูกและเครื่องมือหินและสำริดสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในจังหวัด ต่อมาพื้นที่ตั้งเมืองอุตรดิตถ์เป็นทางผ่านสำคัญมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมดองซอน ทำให้มีการเคลื่อยย้ายผู้คนมาจากที่ต่าง ๆ มากขึ้น เรื่อยมาในสมัยทวารวดีและอาณาจักรขอมดังปรากฏหลักฐานเมืองโบราณที่เวียงเจ้าเงาะ จนมาในสมัยสมัยสุโขทัยได้มีเมืองเกิดขึ้นมากมาย เช่น เมืองฝาง เมืองทุ่งยั้ง เมืองตาชูชก และเมืองพิชัย และด้วยการเป็นเส้นทางการค้าทางน้ำ ทำให้ชาวเมืองอุตรดิตถ์ในสมัยโบราณมีที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาจนปัจจุบันคือไทยสยามจากอาณาจักรสุโขทัยที่อาศัยอยู่ในแถบอำเภอพิชัย และไทยวนจากอาณาจักรล้านนาที่อพยพจากเชียงแสนมาอาศัยอยู่ในแถบอำเภอลับแล ชนสองกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานขึ้นเป็นเมืองอย่างมั่นคงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "6470#7",
"text": "พื้นที่ตั้งตัวเมืองอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ในทำเลที่ตั้งอันเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่มีความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้นในบริเวณแถบนี้จึงมีการเคลื่อนไหวและย้ายถิ่นฐานของผู้คนมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีท่าน้ำที่สำคัญ 3 ท่า คือ ท่าเซา ท่าอิด และท่าโพธิ์ ซึ่งมีความสำคัญและเจริญรุ่งเรืองมาแต่สมัยขอมปกครองท่าอิด ตั้งแต่ พ.ศ. 1400",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "6470#33",
"text": "สำหรับโรงเรียน ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดอุตรดิตถ์สภาพพื้นที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ในเขตรอยต่อ 3 วัฒนธรรม คือล้านนา ล้านช้าง และไทยกลาง เป็นผลให้ลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภาษาถิ่นและงานประเพณีพื้นบ้านต่าง ๆ มีลักษณะผสมผสาน บางส่วนพูดภาษาไทยถิ่นเหนือ (คำเมือง) บางส่วนพูดภาษาไทยภาคกลาง บางส่วนพูดภาษาลาว และบางส่วนพูดภาษาท้องถิ่นของตน เช่น บ้านทุ่งยั้ง เป็นต้น",
"title": "จังหวัดอุตรดิตถ์"
},
{
"docid": "87486#15",
"text": "โรงเรียนอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่เลขที่ 15 ถนน อินใจมี - ประชานิมิตร ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพื้นที่ตั้งอยู่ในที่ดินราชพัสดุ เขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ เนื้อที่ 19 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา และนอกจากแปลงที่ตั้งโรงเรียนแล้วยังมีที่ดินฝึกปฏิบัติการวิชาเกษตรกรรมนักเรียนโดยตั้งอยู่ ณ ตำบลชัยจุมพล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ดินสาธารณประโยชน์กระทรวงมหาดไทยมอบให้กรมสามัญศึกษา โรงเรียนอุตรดิตถ์ เป็นผู้ดูแล มีเนื้อที่ 63 ไร่ 2 งาน 29 ตารางวา ห่างจากแปลงที่ 1 ประมาณ 8 กิโลเมตร",
"title": "โรงเรียนอุตรดิตถ์"
}
] |
4012 | เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เป็นการโจมตีตึกอะไรของอเมริกา ? | [
{
"docid": "28558#0",
"text": "เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 หรือ 9/11 (ไนน์วันวัน) เป็นการการโจมตีพลีชีพที่ประสานกันสี่ครั้งต่อสหรัฐ ในนครนิวยอร์กและพื้นที่วอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 เช้าวันนั้น ผู้ก่อการร้าย 19 คนจากกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงอัลกออิดะฮ์จี้อากาศยานโดยสารสี่ลำ โจรจี้เครื่องบินนั้นนำเครื่องบินทั้งสองพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กโดยเจตนา และอาคารทั้งสองถล่มลงภายในสองชั่วโมง โจรจี้เครื่องบินชนเครื่องบินลำที่สามกับอาคารเพนตากอนในอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ส่วนเครื่องบินลำที่สี่ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ตกในทุ่งใกล้กับแชงค์วิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนถึงเป้าหมายที่โจรจี้เครื่องบินต้องการพุ่งชนอาคารรัฐสภาสหรัฐ ในวอชิงตัน ดี.ซี. หลังผู้โดยสารพยายามยึดเครื่องกลับคืน มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คนในเหตุโจมตีดังกล่าว และไม่มีผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินทั้งสี่ลำ",
"title": "วินาศกรรม 11 กันยายน"
},
{
"docid": "28558#2",
"text": "เหตุวินาศกรรมทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อเศรษฐกิจของแมนฮัตตันล่าง การทำความสะอาดเขตเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 พิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์ 11 กันยายนแห่งชาติมีกำหนดเปิดในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ติดกับอนุสรณ์ วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งมีความสูง 541 เมตร ประเมินไว้ว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน พ.ศ. 2556 เพนตากอนซ่อมแซมภายในเวลาหนึ่งปี และมีการเปิดอนุสรณ์เพนตากอน ติดกับตัวอาคาร ใน พ.ศ. 2551 มีการจัดตั้งอนุสรณ์แห่งชาติเที่ยวบินที่ 93 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 และอนุสรณ์ดังกล่าวก่อสร้างเสร็จอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554",
"title": "วินาศกรรม 11 กันยายน"
},
{
"docid": "159247#120",
"text": "เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 (\"9/11\"), สหรัฐถูกโจมตีดัวยผู้ก่อการร้าย เมื่อ 19 นักจี้เครื่องบินกลุ่มอัล กออิดะห์ เข้ายึดสี่สายการบินและจงใจพุ่งชนตึกแฝดทั้งสองของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และเพนตากอน, ฆ่าคนเกือบ 3,000 คน, ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน. ในการตอบสนอง ในวันที่ 20 กันยายน ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศ \"สงครามกับความหวาดกลัว\". เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2001 ประเทศสหรัฐและนาโตบุกอัฟกานิสถานเพื่อขับไล่ระบอบการปกครองของตอลิบาน, ซึ่งให้ที่หลบภัยในสวรรค์กับอัล กออิดะห์ และผู้นำของเขา อุซามะห์ บินลาดิน.",
"title": "ประวัติศาสตร์สหรัฐ"
}
] | [
{
"docid": "394201#0",
"text": "เหตุโจมตีด้วยแอนแทรกซ์ พ.ศ. 2544 ในสหรัฐอเมริกา หรือรู้จักกันในชื่อ อเมริแทรกซ์ (Amerithrax) จากชื่อคดีของสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) เกิดขึ้นช่วงหลายสัปดาห์เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2544 หนึ่งสัปดาห์หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544",
"title": "เหตุโจมตีด้วยแอนแทรกซ์ พ.ศ. 2544"
},
{
"docid": "478446#0",
"text": "วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 คณะผู้แทนทางทูตสหรัฐในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ถูกรุมล้อมโดยผู้ประท้วง ชัดเจนว่าเป็นการสนองต่อวิดีโอต่อต้านอิสลามออนไลน์ ที่มีชื่อว่า \"Innocence of Muslims\" กลุ่มผู้ประท้วงปีนกำแพงสถานเอกอัครราชทูตและฉีกธงชาติสหรัฐอเมริกาและแทนที่ด้วยธงอิสลามสีดำ เหตุการณ์ดังกล่าว และเหตุโจมตีด้วยอาวุธต่อสถานกงสุลสหรัฐในเบงกาซี ประเทศลิเบีย ซึ่งมีรายงานคลาดเคลื่อนอย่างกว้างขวางว่าเป็นปฏิกิริยาต่อภาพยนตร์ดังกล่าวเช่นกัน ทำให้เกิดการเดินขบวนอย่างต่อเนื่องทั่วโลกต่อต้านภาพยนตร์ดังกล่าวตามมา นอกสถานทูตของสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่น ๆ อย่างไรก็ดี ประเด็นแห่งความไม่พอใจเบื้องหลังอื่นเป็นเชื้อการประท้วงในบางประเทศ การประท้วงซึ่งดำเนินอยู่ในสัปดาห์ต่อ ๆ มายังขยายไปยังสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับตะวันตกอื่น ๆ ด้วย โดยการประท้วงบางแห่งได้กลายเป็นเหตุรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและบาดเจ็บหลายร้อยคน",
"title": "เหตุโจมตีคณะผู้แทนทางทูต พ.ศ. 2555"
},
{
"docid": "231777#4",
"text": "ต่อมาเป็นแผนลับโจมตีสหัสวรรษ พ.ศ. 2543 ซึ่งรวมความพยายามวางระเบิดท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส ในเดือนตุลาคม 2543 เกิดเหตุวางระเบิดยูเอสเอส \"โคล\" ตามด้วยวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544",
"title": "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย"
},
{
"docid": "715173#1",
"text": "ในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 อาคารรัฐสภา เกือบจะถูกทำลายในเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 โดยผู้โดยสารของเครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93ได้ต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายทำให้ไม่สามารถทำตามที่ผู้ก่อการร้ายวางแผนเอาไว้ได้จนเครื่องบินไปตกที่รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา",
"title": "อาคารรัฐสภาสหรัฐ"
},
{
"docid": "830531#0",
"text": "เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 เกิดเหตุกราดยิงที่ไนต์คลับในเบชิกทัชจากเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี การโจมตีเกิดขึ้นเมื่อเวลา 01:15 FET (UTC+3) โดยประมาณ ที่ไรย์นาไนต์คลับ ขณะที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์จำนวนร้อยกว่าคนกำลังฉลองเทศกาลปีใหม่ มีผู้ถูกยิงเสียชีวิตอย่างน้อย 39 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 70 ราย ต่อมาไอซิสได้ออกแถลงการณ์ โดยอ้างว่าตนคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น",
"title": "เหตุโจมตีไนต์คลับอิสตันบูล พ.ศ. 2560"
},
{
"docid": "55600#4",
"text": "นับจากเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ปัจจุบันตึกเอ็มไพร์สเตตได้กลับมาเป็นอาคารที่สูงที่สุดในนครนิวยอร์กอีกครั้ง และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุด (ไม่รวมเสาอากาศ) อันดับที่ 43 ของโลก ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมภายในอาคารได้",
"title": "ตึกเอ็มไพร์สเตต"
},
{
"docid": "28558#3",
"text": "เช้าวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 โจรจี้เครื่องบิน 19 คนยึดเครื่องบินพาณิชย์สี่เครื่องระหว่างทางไปซานฟรานซิสโกและลอสแอนเจลิสหลังนำเครื่องขึ้นจากบอสตัน เนวาร์ค และวอชิงตัน ดี.ซี. โจรเจตนาเลือกจี้เครื่องบินที่ต้องบินเป็นระยะทางไกลเพราะมีน้ำมันอยู่มาก เมื่อเวลา 8.46 น. โจรจี้เครื่องบินห้าคนนำเที่ยวบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 พุ่งเข้าชนกับตึกเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (1 WTC) และเมื่อเวลา 9.03 น. โจรอีกห้าคนได้นำเที่ยวบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 พุ่งเข้าชนตึกใต้ (2 WTC)",
"title": "วินาศกรรม 11 กันยายน"
}
] |
4017 | เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือที่ไหน ? | [
{
"docid": "930321#0",
"text": "สนามกีฬาเครสตอฟสกี () ชื่ออย่างเป็นทางการ สนามกีฬาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือ เซนิตอารีนา เป็นสนามกีฬาที่มีหลังคาเปิด-ปิดได้ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะเครสตอฟสกี ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สนามกีฬาแห่งนี้เปิดใช้งานในปี ค.ศ. 2017 เพื่อรองรับฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 กำหนดการเดิมจะต้องสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2008 แต่ก็เลื่อนไปหลายครั้ง จนกระทั่งได้เปิดใช้งานจริงในปี ค.ศ. 2017 สรุปในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2017 สนามกีฬาล่าช้ากว่ากำหนด 518% และใช้เงินเกินงบประมาณ 548% สนามกีฬามีความจุ 67,000 ที่นั่ง สนามแห่งนี้ถูกเรียกว่า สนามกีฬาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในการแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 และฟุตบอลโลก 2018.",
"title": "สนามกีฬาเครสตอฟสกี"
},
{
"docid": "36343#1",
"text": "เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กสร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช เมื่อ พ.ศ. 2246 โดยตัวเมืองเริ่มสร้างด้วยการถมทรายและหินเป็นจำนวนมากเพราะว่าพื้นที่เดิมของเมืองนั้นเป็นดินเลนของทะเล พระองค์ทรงเลือกที่จะสร้างเมืองที่บริเวณนี้เพราะว่าตัวเมืองมีทางออกทะเลบอลติกและสามารถติดต่อไปทางยุโรปและประเทศอื่นๆได้ง่าย เพื่อการปฏิรูปรัสเซียให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้โดยง่าย ต่อมาเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กจึงได้รับสมญานามว่าหน้าต่างแห่งยุโรป และได้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิรัสเซียเป็นเวลา 206 ปี (หลังจากนั้นได้ย้ายเมืองหลวงไปที่มอสโก เมื่อ พ.ศ. 2461) ชื่อเดิมของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กคือ เปโตรกราด (Petrograd, Петрогра́д, ใช้ในช่วง พ.ศ. 2457-2467) และ เลนินกราด (Leningrad, Ленингра́д, ใช้ในช่วง พ.ศ. 2467-2534)\nปัจจุบันเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีประชากรมากกว่า 4.7 ล้านคน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซีย และเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก",
"title": "เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก"
},
{
"docid": "448456#0",
"text": "สโมสฟุตบอลเซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นสโมสรฟุตบอลใน ประเทศรัสเซีย ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1925 ในเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเล่นในลีก รัสเซียน พรีเมียร์ลีก ซึ่งสโมสรฟุตบอลแห่งนี้เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมากในรัสเซียและมีแฟนบอลเยอะที่สุดในประเทศ ซึ่งสโมสรแห่งนี้ประสบความสำเร็จหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นบอลถ้วย,บอลลีก และ บอลถ้วยในยุโรป ปัจจุบันอยู่ในการคุมทีมของ เซอร์เก้ เซมัค",
"title": "สโมสรฟุตบอลเซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก"
},
{
"docid": "943411#0",
"text": "เซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (; ) เป็นสโมสรวอลเลย์บอลอาชีพตั้งอยู่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, ประเทศรัสเซีย มีผู้สนับสนุนหลักคือกัซปรอม โดยสโมสรได้รับการก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 2017 เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลเซนิต และเข้าแข่งขันในซูเปอร์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2017-18 ซึ่งจบอันดับที่ 5 ในฤดูกาลปกติ และนัดสุดท้ายในเพลย์ออฟได้พบกับเซนิต-คาซานอีกครั้ง",
"title": "สโมสรวอลเลย์บอลเซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก"
},
{
"docid": "36343#0",
"text": "เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (; , เป็นเมืองท่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสหพันธรัฐรัสเซีย ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเนวา ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก",
"title": "เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก"
},
{
"docid": "577313#0",
"text": "รถไฟใต้ดินเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก () เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เปิดให้บริการครั้งแรกในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1955 ปัจจุบันมีจำนวนห้าเส้นทาง",
"title": "รถไฟใต้ดินเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก"
},
{
"docid": "516367#0",
"text": "มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก () ก่อตั้งขึ้นโดยจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1ในปีค.ศ. 1724 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศรัสเซีย มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชื่อว่า มหาวิทยาลัยเลนินกราด ในยุคสหภาพโซเวียต มีคณาจารย์และศิษย์เก่ารางวัลโนเบลรวมจำนวน 8 คน ชื่อเสียงโด่งดังจากนิติศาสตรบัณฑิตซึ่งเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย 2 คน ได้แก่ วลาดีมีร์ ปูติน และ ดมีตรี เมดเวเดฟ",
"title": "มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก"
}
] | [
{
"docid": "246985#0",
"text": "ซุ้มเซนต์ปีเตอร์ () เป็นซุ้มสำริดที่สร้างโดยจานโลเรนโซ แบร์นินีที่ตั้งอยู่เหนือแท่นบูชาเอกภายใต้โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในนครรัฐวาติกันในกรุงโรม ซุ้มสร้างขึ้นเพื่อหมายที่ตั้งของบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์ตั้งแต่ดั้งเดิม สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8ทรงเป็นผู้จ้างให้จานโลเรนโซ แบร์นินีเป็นผู้ออกแบบ การก่อสร้างซุ้มเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมของปี ค.ศ. 1623 และมาเสร็จลงในอีกสิบปีต่อมาในปี ค.ศ. 1633",
"title": "ซุ้มเซนต์ปีเตอร์"
},
{
"docid": "78273#21",
"text": "เมื่อปี ค.ศ. 1712 จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 ทรงย้ายนครหลวงจากกรุงมอสโกไปยังกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของอ่าวฟินแลนด์เพื่อเป็น \"“หน้าต่างแลยุโรป”\" การสร้างกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้เริ่มขึ้นหลังจากที่รัสเซียสามารถยึดปอลตาวาจากสวีเดนได้ในปี ค.ศ. 1703 โดยมีโดมินิโก เทรซซินี ชาวสวิซ-อิตาลี และต่อมาชอง แบบติสท์ เลอบอลอด ชาวฝรั่งเศสเป็นสถาปนิก จักรพรรดิทรงชื่นชมศิลปะและสถาปัตยกรรมยุโรปตะวันตกเป็นอันมากและเห็นว่ามีความเหมาะสมกับรัสเซียมากกว่าศิลปะสลาฟที่มีอิทธิพลในรัสเซียมาเป็นระยะเลาอันยาวนาน ดังนั้น ทาสติดที่ดิน นักโทษสงครามและนักโทษอุกฉกรรจ์จำนวนนับแสนจึงถูกเกณฑ์แรงงานไปก่อสร้างเมือง และจำนวนมากได้เสีอชีวิตจากอากาศที่หนาวเย็น โรคภัยไข้เจ็บและการขาดอาหาร ในระยะแรก อาคารต่างๆ สร้างด้วยซุงเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย แต่ต่อมาจักรพรรดิปีเตอร์ทรงให้สร้างด้วยหินเพื่อความคงทนถาวรและสง่างามดังเมืองใหญ่ๆ ในยุโรปตะวันตก จักรพรรดิปีเตอร์และพระราชวงศ์ทรงย้ายมาประทับ ณ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี ค.ศ. 1710 ก่อนที่จะจัดตั้งเป็นนครหลวงแห่งใหม่ และบังคับให้พวกขุนนางพ่อค้าและเจ้าที่ดินที่ครอบครองทาสติดที่ดินตั้งแต่ 30 ครอบครัวขึ้นไป ต้องไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วย ใน ค.ศ. 1714 จักรพรรดิทรงออกพระราชโองการห้ามการก่อสร้างอาคารด้วยหินหรืออิฐในที่อื่นๆ ในรัสเซียเพื่อสงวนวัสดุก่อสร้างไว้สร้างอาคารสถานที่ต่างๆ ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก",
"title": "จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย"
},
{
"docid": "78273#23",
"text": "ขณะที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างนั้น ในปี ค.ศ. 1717 จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 ได้เสด็จประพาสยุโรปตะวันตกเป็นครั้งที่ 2 โดยทรงเยี่ยมเยียนดูความก้าวหน้าของศิลปวิทยาการในกรุงโคเปนเฮเกน (ประเทศเดนมาร์ก) กรุงอัมสเตอร์ดัม (ประเทศเนเธอร์แลนด์) กรุงเบอร์ลิน (ปรัสเซีย) และกรุงปารีส (ประเทศฝรั่งเศส) ซึ่งพระองค์ทรงมีโอกาสเข้าเยี่ยมพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ขณะพำนักอยู่ในกรุงปารีส จักรพรรดิปีเตอร์ก็ทรงให้ความสนพระทัยเป็นพิเศษในความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ต่างๆ จำนวนมาก นอกจากนี้ จักรพรรดิปีเตอร์ยังทรงได้รับการทูลเชิญให้เป็นสมาชิกของราชบัณฑิตยสภาฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อเสด็จนิวัติกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจักรพรรดิจึงทรงคิดจัดตั้งราชบัณฑิตยสภาหรือสถาบันวิทยาศาสตร์ขึ้น นอกจากนี้ยังทรงทำให้กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นศูนย์กลางของความเจริญและวัฒนธรรมตะวันตก นครแห่งนี้ซึ่งสร้างขึ้นตามชื่อของนักบุญปีเตอร์ อัครสาวกของพระเยซูยังเป็นอนุสรณ์สถานและสัญลักษณ์ของจักรพรรดิปีเตอร์มหาราชในความพยายามสร้างรัสเซียให้เป็นมหาอำนาจยุโรปและเจริญทัดเทียมอารยประเทศตะวันตก นับแต่นั้นเป็นต้นมา รัสเซียไม่สามารถที่จะหันหลังให้แก่ความเจริญ การแข่งขัน และความขัดแย้งของยุโรปได้อีกต่อไป ส่วนกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเองก็ได้รับการพัฒนาและการขยายตัวในรัชสมัยขององค์ประมุขต่อๆ มา มีการวางผังเมือง การสร้างพระราชวังและอาคารอย่างถาวรสวยงามเป็นระเบียบมากมายจนเสร็จสมบูรณ์เป็น “มหานคร” ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปในรัชสมัยจักรพรรดินีนาถแคเธอรีนที่ 2 มหาราช และเป็น “อัญมณีประดับยอดพระมหามงกุฎ” ของราชวงศ์โรมานอฟจนกระทั่งรัสเซียประกาศยกเลิกระบอบการปกครองแบบอัตตาธิปไตยและสถาบันจักรพรรดิในปี ค.ศ. 1917",
"title": "จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย"
}
] |
4022 | การสืบพันธุ์ หมายถึงอะไร? | [
{
"docid": "46539#0",
"text": "การสืบพันธุ์ หรือ การขยายพันธุ์ () หมายถึง การเพิ่มจำนวนลูกหลานที่มีลักษณะเหมือนเดิมของสิ่งมีชีวิต โดยที่สิ่งมีชีวิตรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นนี้จะทดแทนสิ่งมีชีวิตรุ่นเก่าที่ล้มหายตายจากไป ทำให้สิ่งมีชีวิตเหลือรอดอยู่ในโลกได้โดยไม่สูญพันธุ์ไป",
"title": "การสืบพันธุ์"
}
] | [
{
"docid": "463846#0",
"text": "การเจริญเป็นตัวอ่อนโดยไม่ต้องผสมพันธุ์ (;) เป็นการสืบพันธุ์ที่พบในพวกไรน้ำ พวกผึ้งหรือตัวต่อ เป็นต้น เป็นการกระบวนการสืบพันธุ์โดยเกิดการเจริญเติบโตของไข่ (Egg) หรือเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียจะเจริญไปเป็นตัวอ่อน หรือเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ โดยไม่ได้รับการผสมพันธุ์หรือเกิดการปฏิสนธิกับเซลล์สืบพันธุ์ของเพศผู้ คำนี้มาจากภาษากรีก παρθένος, \"parthenos\", หมายถึง \"พรหมจรรย์\", และ γένεσις, \"genesis\", หมายถึง \"เกิด\".",
"title": "การเกิดโดยไม่ผสมพันธุ์"
},
{
"docid": "171309#0",
"text": "การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ () คือการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีการผสมระหว่างเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งการสืบพันธุ์แบบนี้จะไม่มีการกลายพันธุ์หรือสร้างความหลากหลายทางพันธุกรรมขึ้น ส่วนใหญ่พบในสัตว์ชั้นต่ำและเป็นการสืบพันธุ์อย่างไม่สลับซับซ้อน ข้อดีของการสืบพันธุ์แบบนี้ได้แก่ ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถเพิ่มจำนวนได้โดยไม่ต้องหาคู่ ในกรณีของสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอเวลาและพลังงานในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์และการปฏิสนธิ เหมาะกับสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนั้น ๆ",
"title": "การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ"
},
{
"docid": "46539#4",
"text": "การสืบพันธุ์ของสัตว์มีทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศพบในสัตว์ที่มีร่างกายไม่ซับซ้อน และมีความสามารถในการงอกใหม่ เช่น พลานาเรีย ดาวทะเล สัตว์พวกนี้สามารถ สืบพันธุ์ด้วยวิธีการงอกใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นโดยส่วนของร่างกายที่ขาดออกไป หรือสูญเสียไปด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวใหม่ได้ ทำให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น",
"title": "การสืบพันธุ์"
},
{
"docid": "38417#0",
"text": "อวัยวะเพศ () หรือ อวัยวะสืบพันธุ์ () เป็นโครงสร้างทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อน และเป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์ อวัยวะที่เห็นได้จากด้านนอกในเพศหญิงและชายเรียกว่าเป็น \"อวัยวะเพศปฐมภูมิ\" หรือ อวัยวะสืบพันธุ์ (genitals, genitalia) ส่วนอวัยวะภายในเรียกว่าเป็น \"อวัยวะเพศทุติยภูมิ\" หรือ \"อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน\" ลักษณะที่เริ่มเกิดขึ้นในวัยเริ่มเจริญพันธุ์ เช่น ขนหัวหน่าวในผู้หญิงและผู้ชาย และหนวดในผู้ชาย เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางเพศทุติยภูมิ (secondary sex characteristics)",
"title": "อวัยวะเพศ"
},
{
"docid": "879379#0",
"text": "ความสำเร็จในการสืบพันธุ์ () คือการสืบทอดยีนไปยังสิ่งมีชีวิตรุ่นต่อไป โดยที่รุ่นต่อไปก็สามารถสืบทอดยีนเหล่านั้นต่อไปได้ด้วย\nนี่ไม่ใช่เพียงแค่จำนวนของลูกที่สิ่งมีชีวิตนั้นมี \nแต่รวมโอกาสความสำเร็จในการสืบพันธุ์ที่ลูกของสิ่งมีชีวิตนั้นมีด้วย ทำให้การเลือกคู่ (ซึ่งเป็นส่วนของการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ) เป็นปัจจัยสำคัญ\nเป็นแนวคิดที่ทำความเหมาะสมให้เป็นกุญแจหลักอย่างหนึ่งในทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติและวิวัฒนาการ",
"title": "ความสำเร็จในการสืบพันธุ์"
},
{
"docid": "38417#4",
"text": "ในสัตววิทยาทั่วไป ด้วยความหลากหลาบของรูปร่างหน้าตาอวัยวะและพฤติกรรมการร่วมเพศ อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ถูกให้ความหมายว่าเป็น \"โครงสร้างเพศผู้ที่ถูกสอดใส่เข้าไปในเพศเมียหรือถูกค้างไว้ใกล้รูเปิด (gonopore) ระหว่างการถ่ายทอดน้ำอสุจิ\" ส่วนอวัยวะสืบพันธุ์เมียถูกให้ความหมายว่า \"ส่วนของระบบสืบพันธุ์เพศเมียที่สัมผัสกับอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้โดยตรงหรือสัมผัสกับผลผลิตเพศชาย (น้ำอสุจิ, ถุงน้ำเชื้อ) ระหว่างหรือหลังการร่วมเพศ\" อวัยวะเพศของพี่ไม้ม3/1ใหญ่มาก(ขำๆนะลบได้)",
"title": "อวัยวะเพศ"
},
{
"docid": "46539#6",
"text": "การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเกิดจาก การปฏิสนธิ (Fertilization) ของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้หรืออสุจิ กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียหรือเซลล์ไข่ อาจจะเกิดภายในหรือภายนอกร่างกายของสัตว์เพศเมียก็ได้ โดยเซลล์ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วเรียกว่าไซโกต จะเจริญเติบโตเป็นเอ็มบริโอ และตัวเต็มวัยที่สามารถสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนประชากรต่อไปได้",
"title": "การสืบพันธุ์"
},
{
"docid": "383235#0",
"text": "ระบบสืบพันธุ์ () เป็นระบบของอวัยวะในร่างกายสิ่งมีชีวิตซึ่งทำงานร่วมกันโดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนสิ่งมีชีวิตให้มากขึ้น ในระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยสารต่าง ๆ อาทิ ของเหลว ฮอร์โมน และฟีโรโมนหลายชนิดเพื่อช่วยเหลือในการทำงาน ระบบสืบพันธุ์เป็นระบบซึ่งแตกต่างจากระบบอวัยวะอื่น ๆ กล่าวคือระบบเพศของสัตว์ต่างชนิดกันก็มีความแตกต่างกัน ความหลากหลายนี้ก่อให้เกิดการผสมรวมกันของสารพันธุกรรมระหว่างสิ่งมีชีวิตสองตัว เพื่อเพิ่มความสามารถในการดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมของลูกหลานต่อไป",
"title": "ระบบสืบพันธุ์"
},
{
"docid": "237897#7",
"text": "ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยอวัยวะซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภายในร่างกายและรอบๆ บริเวณเชิงกรานซึ่งทำหน้าที่ในกระบวนการสืบพันธุ์ ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ช่องคลอดทำหน้าที่รองรับอสุจิจากเพศชาย, มดลูกซึ่งช่วยรองรับทารกในครรภ์ และรังไข่ทำหน้าที่ผลิตไข่ เต้านมก็เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในระยะการดูแลทารก",
"title": "ระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์"
}
] |
4023 | เนื้อหาหลักของเรื่องสามก๊กคือกลยุทธ์ในการรบใช่หรือไม่? | [
{
"docid": "9800#1",
"text": "สามก๊กมีเนื้อหาหลากหลายรสชาติ เต็มไปด้วยกลเล่ห์เพทุบาย กลศึกในการรบ การชิงรักหักเหลี่ยม ความเคียดแค้นชิงชัง ความซื่อสัตย์และการให้อภัย ซึ่งมีเนื้อหาและเรื่องราวในทางที่ดีและร้ายปะปนกัน ภาพโดยรวมของสามก๊กกล่าวถึงประวัติศาสตร์จีนในยุคสามก๊ก ในปี พ.ศ. 763 - พ.ศ. 823 โดยจุดเริ่มต้นของสามก๊กเริ่มจากยุคโจรโพกผ้าเหลืองในปี พ.ศ. 726 ที่ออกอาละวาด จนเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสามคือเล่าปี่ กวนอูและเตียวหุย ได้ร่วมสาบานตนเป็นพี่น้องและร่วมปราบกบฏโจรโพกผ้าเหลือง รวมทั้งการแย่งและช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นของก๊กต่าง ๆ อันประกอบด้วยวุยก๊กหรือก๊กเว่ย (魏) จ๊กก๊กหรือก๊กสู่ (蜀) และง่อก๊กหรือก๊กหวู (吳) จนถึงการสถาปนาราชวงศ์จิ้นโดยสุมาเอี๋ยน รวมระยะเวลาประมาณ 60 ปี นอกจากนี้ สามก๊กยังเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับไซอิ๋ว ซ้องกั๋งและความฝันในหอแดง ซึ่งนักอ่านหนังสือจำนวนมากยกย่องสามก๊กเป็นบทเรียนตำราพิชัยสงครามภาคปฏิบัติ การบริหารและเศรษฐกิจ",
"title": "สามก๊ก"
},
{
"docid": "186256#0",
"text": "กลศึกสามก๊ก (; ) เป็นการรวบรวมกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำศึกสงครามที่ปรากฏในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในสามก๊กมีการทำศึกสงครามมากมายหลายครั้งเพื่อแย่งชิงอำนาจและความเป็นใหญ่ การนำกำลังทหารและไพร่พลจำนวนมากการบุกโจมตีและยึดครองเมืองหรือสถานที่ต่าง ๆ หรือทางการทูตต่างแดนในการเจรจาต่อรองผูกสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นอื่น การต่อสู้ทางด้านสติปัญญาและกุศโลบายในการแสดงแสนยานุภาพแก่ศัตรู การปกครองไพร่พลรวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา การทหาร การเมือง การเศรษฐกิจ การบริหารปกครองบ้านเมือง หรือแม้นแต่การใช้คนอย่างถูกต้อง ในสามก๊กทุกสิ่งล้วนแต่เป็นการนำเอาทรัพยากรทุกอย่างที่มีเพื่อนำมาใช้ในการทำศึกสงคราม สงครามสามก๊กนั้นมีบ่อยครั้งที่กำลังทหารที่มีกำลังไพร่พลน้อยกว่ากลับเอาชนะกำลังทหารที่มีกำลังไพร่พลมากกว่าได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือกลยุทธ์ในด้านยุทธศาสตร์และการชำนาญภูมิศาสตร์สถานที่ในการทำศึกสงคราม",
"title": "กลศึกสามก๊ก"
}
] | [
{
"docid": "84540#2",
"text": "การ์ตูนสามก๊กฉบับนี้ดำเนินเรื่องค่อนข้างรวดเร็ว แต่คงเนื้อหาและใจความหลักของเรื่องเดิมไว้เป็นส่วนใหญ่ ภายในเรื่องจะมีการสอดแทรกมุขเสียดสีสถานการณ์บ้านเมืองขณะที่เขียนไว้อย่างแสบๆ คันๆ อยู่เสมอ ตอนใดที่ในสามก๊กฉบับภาษาจีนมีบทกวีที่ไพเราะ ก็จะมีการแปลแทรกและเขียนประกอบไว้ในเรื่องด้วย เช่น ตอนหองจูเปียนรำพันก่อนถูกลิยู ลูกน้องของตั๋งโต๊ะปลงพระชนม์ ตอนโจสิดต้องร่ายกลอนให้สำเร็จภายในชั่ว 7 ก้าวเดินเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นต้น",
"title": "สามก๊ก มหาสนุก"
},
{
"docid": "743196#1",
"text": "สามก๊กมีขนาดสองเล่มจบ ความหนาหนึ่งพันแปดสิบหกหน้า เนื้อเรื่องมีแปดสิบสามตอน สำหรับหนอนหนังสือแล้วไม่ใช่เรื่องยากเย็นอย่างไร เพราะหากเทียบกับวรรณกรรมอย่าง ผู้ยากไร้ ของวิคเตอร์ ฮูโก หรือสงครามและสันติภาพ ของลีโอ ตอลสตอย หรือแม้แต่มังกรหยก ของกิมย้ง แล้วสามก๊กถือได้ว่าไม่ยากและไม่ง่ายสำหรับการอ่าน",
"title": "สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)"
},
{
"docid": "186256#8",
"text": "กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย หรือ อี่อี้ไต้เหลา (; ) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการที่ศัตรูยังคงมีความเข้มแข็ง กำลังไพร่พลทหารยังคงแข็งแกร่งยากจะต่อสู้ก็ไม่ควรจะเข้าปะทะโดยตรงด้วยกำลังที่มีอยู่ แต่ยามใดที่ศัตรูเกิดความอ่อนแอในกองทัพเมื่อใด ต้องรีบฉวยโอกาสบุกเข้าโจมตีโดยเร็ว เพื่อเป็นการข่มขวัญและป้องกันไม่ให้ศัตรูกลับมาแข็งแกร่งดั้งเดิม กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ยเป็นการใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ให้ระยะเวลาเป็นการบั่นทอนกำลังและจิตใจของศัตรู ฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์จากเดิมที่กลายเป็นรองหรือเสียเปรียบให้กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในสามก๊กยามเกิดศึกสงคราม กองทัพทุกกองทัพต่างใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ยเพื่อหาโอกาสเหมาะในการบุกเข้าโจมตีศัตรูยามเพลี่ยงพล้ำอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ยไปใช้ได้แก่ลกซุนที่แนะนำซุนกวนให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนนำกำลังทหารไปตีลกเอี๋ยง",
"title": "กลศึกสามก๊ก"
},
{
"docid": "186256#5",
"text": "กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล หรือ หมานเทียนกว้อไห่ (; ) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการที่คิดหรือมองข้ามสิ่งใด ๆ ก็ตามที่คิดว่าตนเองนั้นได้ตระเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว ก็มักจะมีความประมาทมองข้ามศัตรูไปอย่างง่ายดาย พบเห็นสิ่งใดที่มองเห็นเสมอในยามปกติ ก็ไม่เกิดความติดใจสงสัยในสิ่งนั้น เกิดความชะล่าใจในตนเอง การบุกเข้าโจมตีศัตรูโดยที่ศัตรูไม่รู้ตัวนับว่าเป็นการได้ชัยชนะมาแล้วครึ่งหนึ่ง สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย การปกปิดอำพรางซ่อนเร้น จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดในการทำศึกสงคราม ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเลไปใช้ได้แก่ลิบองที่ลอบบุกเข้าโจมตีเกงจิ๋วโดยที่กวนอูไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย",
"title": "กลศึกสามก๊ก"
},
{
"docid": "186256#31",
"text": "กลยุทธ์แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า หรือ เจี่ยชือปู้เตียน (; ) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการแสร้งยอมทำเป็นโง่ มิเคลื่อนไหวอย่าอวดทำเป็นสู่รู้ทำบุ่มบ่าม การอวดรู้ย่อมกลายเป็นผลเสียแก่ตนเองได้ในภายหน้า คัมภีร์อี้จิงกล่าวว่า \"\"ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟาดฟัน\"\" โดยคำว่า \"หยุด\" หมายความถึง \"\"อสนีบาตฤดูหนาวแฝงกายอยู่ใต้พื้นพสุธา จักแผดร้องก้องนภาคราฤดูใบไม้ผลิ\"\" ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่มีสติปัญญามิพึงแสดงตัว แต่พึงเตรียมการทั้งปวงอย่างลับ ๆ มิให้ผู้ใดล่วงรู้ ประหนึ่งคมดาบที่แอบซ่อนอยู่ภายในฝัก มิปรากฏให้ผู้ใดได้เห็น ครั้นเมื่อถึงเวลาอันสมควรก็จักคำรนคำรามเสมือนสายฟ้า ที่จะกระหน่ำพสุธาให้แตกสลายไป ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์แสร้งทำบอแต่ไม่บ้าไปใช้ได้แก่เล่าปี่ที่แสร้งทำเป็นหวาดกลัวเสียงฟ้าร้องจนตะเกียบหลุดจากมือ เพื่อให้โจโฉตายใจและไม่คิดระแวงเล่าปี่ที่อ่านคิดการใหญ่ในภายหน้า",
"title": "กลศึกสามก๊ก"
},
{
"docid": "9800#32",
"text": "เนื้อหาในบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่มีการกล่าวถึงตำราพิชัยสงครามและสามก๊ก นับเป็นหลักฐานการยืนยันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความคุ้นเคยของชาวไทยที่มีต่อสามก๊ก และได้มีการค้นพบจดหมายเหตุในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งโปรดปรานบทร้อยแก้วของสามก๊กที่เป็นการแปลฉบับของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และกลายเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้มีพระราชดำริรับสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง เพื่อสำหรับนำไปใช้ในการบริหารราชการบ้านเมืองสืบต่อไป",
"title": "สามก๊ก"
},
{
"docid": "186256#18",
"text": "กลยุทธ์ยืมซากคืนชีพ หรือ เจี้ยซือหวนหุน (; ) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการที่ผู้ที่มีความสามารถและมีบทบาทในหน้าที่ต่าง ๆ จะใช้ความสามารถนั้นในการปฏิบัติหน้าที่อย่างผลีผลามไม่ได้ ส่วนผู้ที่ไร้ซึ่งความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ก็มักจะขอความช่วยเหลืออยู่เป็นนิจ การที่ใช้ผู้ที่ไร้ซึ่งความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ มิใช่เป็นการที่จะมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติ หากแต่เป็นเพราะผู้ที่ไร้ซึ่งความสามารถต้องการความพึ่งพายามต้องการความช่วยเหลือ ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์ยืมซากคืนชีพไปใช้ได้แก่จูกัดเหลียงที่ให้นำเมล็ดข้าวสารใส่ไว้ในปากเพื่อเป็นการรักษาดาวสำหรับต่ออายุ และหลอกทหารสุมาอี้ให้หลงชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่",
"title": "กลศึกสามก๊ก"
},
{
"docid": "186256#9",
"text": "กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ หรือ เชิ่นหว่อต่าเจี๋ย (; ) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการที่ศัตรูยังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอและย่ำแย่ ควรรีบฉกฉวยโอกาสนำทัพเข้าโจมตีเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ หรือมอบหมายให้แม่ทัพหรือทหารที่มีความเข้มแข็งนำทัพเข้าโจมตี ซึ่งเป็นการฉกฉวยเอาผลประโยชน์จากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงและยุ่งเหยิง นำความดีความชอบมาเป็นของตน ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์ตีชิงตามไฟไปใช้ได้แก่ตั๋งโต๊ะที่ฉกฉวยโอกาสยึดเอาเมืองหลวงและราชสำนักของพระเจ้าหองจูเหียบมาเป็นของตน และแต่งตั้งตนเองเป็นมหาอุปราชและเป็นบิดาบุญธรรมของพระเจ้าหองจูเปียน",
"title": "กลศึกสามก๊ก"
},
{
"docid": "977119#3",
"text": "ในเวอร์ชันญี่ปุ่น \"เทนชิโอะคุราอุ II\" ตามสถานการณ์ของเล่าปี่ในจิงโจวจากเรื่องสามก๊ก ซึ่งเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์จากประเทศจีน มีฉากในยุคสามก๊กช่วงที่โจโฉกำลังบุกเข้าสู่ดินแดนของเขา ใน\"วอริเออร์สออฟเฟต\" จ๊กก๊กที่นำโดยเล่าปี่ เช่นเดียวกับในนวนิยาย ทุกอย่างของก๊กนี้จะเป็นฝ่าย \"ดี\" และ \"ชอบธรรม\" ในขณะที่วุยก๊กที่นำโดยโจโฉผู้มีความขี้ระแวงและฉลาดแกมโกง ได้รับการพรรณาว่า \"ชั่วร้าย\" และ \"ไม่ดี\" นักรบของเล่าปี่เริ่มต้นด้วยการสู้รบกับกองกำลังของโจโฉในยุทธการที่ทุ่งพกบ๋อง ต่อมาเป็นศึกสะพานเตียงปันเกี้ยว จากนั้นก็เข้าร่วมกับซุนกวนเพื่อต่อสู้ที่ศึกผาแดง หากห้าทหารเสือสังหารโจโฉ ง่อก๊กและจ๊กก๊กจะรวมพลังและรวบรวมวุยก๊กมาเป็นหนึ่งเดียว จ๊กก๊กกลับสู่การปกครองและฟื้นฟูความสงบสุข แต่หากโจโฉหนีไปได้และประวัติศาสตร์ยังคงดำเนินต่อไป ก็จะถูกแทนที่ด้วยแผ่นดินที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายและการสิ้นสุดของจ๊กก๊ก",
"title": "วอริเออร์สออฟเฟต"
}
] |
4039 | นกตบยุง ออกลูกเป็นไข่หรือไม่ ? | [
{
"docid": "571903#1",
"text": "ขนาดตัว: 31.5-33 เซนติเมตร ขณะเกาะปลายหางยาวเลยปลายปีกออกมามากกว่านกชนิดอื่นๆ ตัวผู้: หัวสีน้ำตาลเหลือง แถบกลางหัวสีน้ำตาลคล้ำ แถบหนวดและแถบข้างคอขาวชัดเจน ปลายขนคลุมปีกมีแต้มสีน้ำตาลอ่อนหรือขาวต่อเนื่องเป็นแถบ 4 แถบขวางแนวลำตัว ท้ายทอยแกมสีน้ำตาลแดง ไหล่มีลายขีดดำชัดเจน ขณะบินปลายขนปีกบินมีจุดขาวใหญ่ชัด ปลายหางคู่นอกๆ ขาว ตัวเมีย: จุดขาวที่ปีกมีสีน้ำตาลเหลือง ปลายหางขาวแกมเหลืองไม่ชัดเจน เสียงร้อง: ก้อง “ชุก ชุก” หรือ “จุ๋ง จุ๋ง” ต่อเนื่องเป็นจังหวะ อุปนิสัย: มักพบโดดเดี่ยวหรือเป็นคู่ ออกหากินเวลากลางคืน กินแมลงเป็นอาหาร โดยหมอบตามพื้นดินหรือเกาะกิ่งไม้แห้ง เมื่อแมลงบินผ่านมาก็บินโฉบด้วยปาก ส่วนเวลากลางวันมักหมอบพักบนต้นไม้หรือหมอบนอนหลับตามพื้นดิน ใต้ร่มเงาต้นไม้ หรือพื้นหญ้า ซึ่งมีใบไม้หรือใบหญ้าที่ร่วงหล่นค่อนข้างหนาแน่น การผสมพันธุ์: ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ในการเกี้ยวพาราสี นกตัวผู้จะวิ่งรอบตัวเมีย ส่ายหางไปมา พองขนสีขาวที่คอ พร้อมทั้งส่งเสียงร้องคล้ายกบ นกชนิดนี้ไม่สร้างรัง แต่จะวางไข่บนพื้นดิน ในรังมักพบไข่ 2 ฟอง ไข่สีครีมแกมเหลือง หรือสีเนื้อแกมชมพู มีลายจุดเป็นลายดอกดวงสีเทาหรือเทาแกมแดง ทั้งพ่อแม่นกจะช่วยกันฟักไข่ ระยะฟักไข่ 16 – 20 วัน ถิ่นอาศัย: ป่าโปร่ง ชายป่า พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เปิดโล่งต่างๆ ที่ราบถึงความสูง 2,135 เมตร มักพบอยู่ตามเส้นทางลำคลองในป่า ทั้งป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง เขตแพร่กระจาย: พบในปากีสถาน อินเดีย จีนด้านตะวันตกเฉียงใต้ ไหหลำ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะซุนดาใหญ่ และออสเตรเลียตอนเหนือสถานภาพ: นกประจำถิ่น พบบ่อย บางส่วนเป็นนกอพยพระยะสั้น \nอาหารหลักของนกตบยุงเป็นพวกแมลงกลางคืนนานาชนิด ทั้งผีเสื้อกลางคืน ด้วงปีกแข็ง และมวนต่าง ๆ รวมทั้งแมลงเม่า หรือแม้แต่พวกจิ้งหรีดตามพื้นดินเป็นอาหาร ส่วนยุงกลับไม่ใช่อาหารของมัน แต่ด้วยลีลาการบินที่ค่อยกระพือปีก สลับร่อน และยกปีกเป็นรูปตัววี บินกลับตัวฉวัดเฉวียน จึงดูคล้ายกำลังตบยุงกลางอากาศ เมื่อตะวันตกดิน นกตบยุงก็จะเริ่มออกหากินเรื่อยไปตลอดทั้งคืน ด้วยการบินโฉบจับแมลงกลางอากาศในระดับเรือนยอดไม้ หรือหมอบอยู่ตามพื้นดินหรือเกาะบนกิ่งไม้ เมื่อแมลงบินผ่านก็โฉบจับด้วยปากอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้นกตบยุงหางยาวจึงเป็นนกที่ช่วยควบคุมปริมาณแมลงที่มีมากมายในธรรมชาติให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ \nจากการศึกษาความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการของนกในอันดับ Caprimulgiformes โดยใช้ลำดับเบสจำนวน 2.8 kb ของ RAG-1 exon นั้น พบว่า นกในอันดับนี้ไม่เป็น monophylatic group โดยนกในวงศ์ Aegothelidae (owlet-nightjars) เป็น sister group กับนกในอันดับ Apodiformes (swifts and hummingbirds) และพบว่านกในวงศ์นกปากกบ Podargidae (frogmouths) และนกในวงศ์นกตบยุง Caprimulgidae (nightjars) มีความใกล้ชิดกัน สำหรับนกตบยุงหางยาว (\"C. macrurus\") เป็น sister group กับ นก \"C. europaeus\" นกในสกุล \"Semeiophorus\" และนกในสกุล \"Scotornis\" \nขนที่ขึ้นปกคลุมร่างกายของนกมีลักษณะแตกต่างไปจากขนของสัตว์ชนิดอื่นคือ มีโครงสร้างที่แข็งและมีโครงสร้างบางส่วนที่เป็นตะขอทำหน้าที่เกาะเกี่ยวกันจนเกิดเป็นแผ่นเรียกว่า ขนนก (Feathers) ขนที่มีลักษณะนี้เป็นลักษณะจำเพาะของสัตว์ที่อยู่ใน Class Aves เท่านั้น ทั้งนี้ขนที่ขึ้นปกคลุมลำตัวนกในแต่ละส่วนของร่างกายจะมีลักษณะและรูปร่างแตกต่างกัน ซึ่งขนแบบคอนทัวร์ (Contour) จะพบมากที่สุดบนตัวนก อันได้แก่ ขนปกคลุมลำตัวทั่วไป ขนปีก ขนหาง โดยขนปีกและขนหางมีขนาดใหญ่กว่าขนที่ปกคลุมลำตัว และเส้นขนก็มีความแข็งแรงกว่า ขนประเภทนี้ทำหน้าที่ในการบิน นอกจากนี้ นกตบยุงหางยาวยังมีขนแบบบริสเติล (Blistle) ซึ่งเป็นขนที่มีก้านขนยาว และอาจมีเส้นขนเล็กน้อยหรือไม่มีเลย พบอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในส่วนของหัว ที่ช่วยในการกรองแมลงเข้าปากขณะบิน และเพื่อใช้รับความรู้สึกเวลามีแมลงบินผ่าน \nจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ ใช้พรางตัวเพื่อให้รอดพ้นอันตรายจากการล่าโดยศัตรู หรือในทางตรงข้าม นกใช้ประโยชน์จากการพรางตัวเพื่อการล่าเหยื่อ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า นกที่หากินอยู่บนพื้นดินส่วนใหญ่จะมีสีน้ำตาลสลับดำเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในนกเพศเมียที่ต้องทำหน้าที่ฟักไข่ ด้วยเหตุนี้ นกตบยุงหางยาวจึงเป็นนักพรางตัวที่ดีเลิศ เนื่องจากมีขนสีน้ำตาลคล้ำอมเทาผสมกับแถบสีดำและจุดประสีน้ำตาลปกคลุมจนทั่วตัว ทำให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมที่เป็นพุ่มไม้หรือกองใบไม้แห้งตามพื้นป่า ทำให้ยากต่อการสังเกตเห็น ซึ่งต้องเข้าใกล้เกือบถึงตัวนกจึงจะรู้ว่ามีนกชนิดนี้อยู่ก็เมื่อตอนมันบินหนีไป นอกจากนี้การมีไข่สีน้ำตาลที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับลูกนกที่แรกเกิดจะยังลืมตาไม่ได้แต่การมีสีขนลำตัวเป็นสีน้ำตาลแก่นั้นจะช่วยพรางตัวจากสัตว์ผู้ล่า เนื่องจากขนคล้ายใบไม้แห้งที่หล่นทับถมตามรังนอนมาก \nเนื่องจากนกต้องปรับตัวให้มีน้ำหนักเบา เพื่อให้เหมาะสมกับการบิน จึงจำเป็นต้องลดรูปกระดูกขากรรไกรให้มีขนาดเล็กลงและไม่มีฟัน แต่นกได้เพิ่มความสามารถในการฉีกและจับอาหารของปากโดยมีจะงอยปากที่แข็ง และกระเพาะอาหารที่พัฒนาเพื่อการบดเคี้ยวอาหารแทนกระดูกขากรรไกรและฟัน เป็นผลทำให้ขนาดและรูปร่างของจะงอยปากของนกแตกต่างกันไปตามชนิดของอาหารที่นกกิน ทั้งนี้นกตบยุงมีจะงอยปากที่สั้นแบน ใช้สำหรับกินแมลงเป็นอาหาร จึงทำให้นิ้วที่ 3 มีเล็บเป็นเล็บหยักคือ มีซี่หวี (Pectimate) เพื่อใช้ในการจัดเรียงระเบียบขนแทนจะงอยปาก เนื่องจากนกต้องดูแลขนของตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะถ้าขนสกปรกจะทำให้ขนปีกติดกัน และนกอาจตกลงมาในเวลาบินได้ ทั้งยังเป็นการขับไล่แมลงและไรที่เกาะหากินอยู่บนตัวนก \nเนื่องจากนกตบยุงหางยาวกินแมลงเป็นอาหารและออกหากินในเวลากลางคืน ด้วยวิธีบินโฉบจับแมลงกลางอากาศในระดับเรือนยอดไม้ หรือหมอบอยู่ตามพื้นดินหรือเกาะบนกิ่งไม้ ดังนั้นการมีปากสั้นแบนกว้างและมีขนแข็งที่โคนปาก จึงเพิ่มโอกาสในการจับแมลงที่บินผ่านในขณะที่โฉบจับกลางอากาศด้วยปากอย่างรวดเร็ว \nนกมีตาขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว โดยนกที่หากินกลางวันมีลูกตารูปทรงกลมหรือแบน ส่วนนกหากินกลางคืนมีลูกตาทรงกระบอก นกมีหนังตาชั้นที่ 3 เป็นอวัยวะเด่นที่แตกต่างจากสัตว์อื่น ใช้สำหรับเปิดปิดนัยน์ตาแทนการกระพริบตาด้วยหนังตาชั้นนอก และช่วยป้องกันตาเมื่อนกบินปะทะลม ด้วยเหตุนี้นกตบยุงหางยาวซึ่งออกหากินในเวลากลางคืนจึงมีหนังตาและตาขนาดใหญ่ เพื่อช่วยในการหาเหยื่อ",
"title": "นกตบยุงหางยาว"
},
{
"docid": "571903#0",
"text": "นกตบยุงหางยาว () เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกสัตว์ปีก (Aves) อยู่ในวงศ์นกตบยุง (Family Caprimulgidae) นกวงศ์นี้มีเพียง ๑ สกุล คือ สกุลนกตบยุง (\"Caprimulgus\") ในประเทศไทยมีนกตบยุง 6 ชนิด ได้แก่ นกตบยุงพันธุ์มลายู (\"Eurostopodus temminckii\") นกตบยุงยักษ์ (\"Eurostopodus macrotis\") นกตบยุงภูเขา (\"Caprimulgus indicus\") นกตบยุงหางยาว (\"Caprimulgus macrurus\") นกตบยุงเล็ก (\"Caprimulgus asiaticus\") และนกตบยุงป่าโคก (\"Caprimulgus affinis\") ซึ่งนกตบยุงจะมีจะงอยปากแบนกว้าง ไม่ค่อยแข็งแรง ช่องปากกว้าง รูจมูกเป็นหลอดเล็กน้อยคล้ายกับจมูกของนกจมูกหลอด บริเวณมุมปากมีขนยาว ลำตัวเพรียว หางยาว ปีกยาวปลาย ปีกแหลม ดวงตากลมโต อาหารได้แก่ แมลงต่าง ๆ หากินโดยการบินโฉบจับแมลงกลางอากาศ มีนิสัยชอบอยู่โดดเดี่ยว นกตบยุงไม่สร้างรัง แต่จะวางไข่บนพื้นดิน วางไข่ครอกละ ๒ ฟอง ปกติไข่ไม่มีลายขีด ลูกนกอยู่ในไข่จนโตพอสมควรก่อนออกจากไข่ มีขนดาวน์หรือขนอุยขึ้นปกคลุมลำตัว ลืมตาได้ แต่ลูกนกยังคงต้องให้พ่อแม่หาอาหารมาป้อนให้",
"title": "นกตบยุงหางยาว"
}
] | [
{
"docid": "505744#3",
"text": "ตัวเมียตั้งท้องนาน 5 เดือน และออกลูกเป็นตัว โดยครั้งหนึ่งจะได้ลูกมากถึง 40 ตัว โดยในไข่จะมีน้ำคร่ำช่วยพยุงตัวลูกงูให้อยู่ได้ และไข่ที่ไม่ฟักเป็นตัวจะถูกปล่อยออกมาด้วย รวมถึงลูกงูตัวที่ตายตั้งแต่อยู่ในท้อง ลูกงูในระยะแรกจะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการใช้พลังงานจากถุงไข่แดงที่ติดตัวออกมา จากนั้นจะกินอาหารด้วยการเริ่มจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ก่อน เช่น แมลง โดยที่แม่งูจะไม่เลี้ยงดู ซึ่งลูกงูอนาคอนดาเหลืองในวัยอ่อนมีโอกาสอย่างมากที่จะตกเป็นอาหารของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น นกกินปลาต่าง ๆ รวมถึงจระเข้ไคแมน เป็นต้น",
"title": "งูอนาคอนดาเหลือง"
},
{
"docid": "472930#16",
"text": "เพลี้ยแป้งเพศเมียเต็มวัยสามารถขยายพันธุ์ได้ โดย ไม่ต้องผสมพันธุ์จากเพศผู้ มีทั้งสามารถออกลูกเป็นตัว และออกลูกเป็นไข่แล้วฟักเป็นตัวอ่อนได้ แต่ส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่ โดย วางไข่เป็นเม็ด เวลาวางไข่จะสร้างถุงไข่ไว้ใต้ท้องมีลักษณะเป็นใยคล้ายสำลีหุ้มไข่ไว้อีกชั้นหนึ่ง มีขนาดกว้าง 0.20 มิลลิเมตร ยาว 0.40 มิลลิเมตร ถุงไขมีจำนวนไข่ ตั้งแต่ 50-600 ฟอง ใช้เวลาวางไข่ 7 วัน ไข่ มีลักษณะเป็นเม็ดเดียว สีเหลืองอ่อน รูปร่างยาวรี ส่วนตัวอ่อนวัยแรกที่ฟักออกจากไข่ มีสีเหลืองอ่อน ลำตัวยาวรี สามารถเคลื่อนที่ได้ หลังจากนั้นลอกคราบ 3-4 ครั้ง ระยะตัวอ่อนใช้เวลา 18-59 วัน ตัวอ่อนมีขนาดกว้าง 1.00 มิลลิเมตร ยาว 2.09 มิลลิเมตร โดย ตัวอ่อนเริ่มมีหาง สามารถสร้างแป้งและไขแป้งสีขาวห่อหุ้มรอบลำตัวได้ สำหรับตัวเมียเต็มวัย มีลักษณะตัวค่อนข้างแบน บนหลังและรอบลำตัวมีไขแป้งปกคลุมมาก มีขนาดกว้าง 1.83 มิลลิเมตร ยาว 3.03 มิลลิเมตร และหางยาว 1.57 มิลลิเมตร ตัวเมียเต็มวัยอายุประมาณ 10 วัน สามารถวางไข่หรือออกลูกได้ ส่วนตัวผู้เต็มวัยมีปีกบินได้และหนวดยาว ขนาดกว้าง 0.45 มิลลิเมตร ยาว 1.35 มิลลิเมตร ปีกยาว 1.57 มิลลิเมตร เพลี้ยแป้งบางชนิดเท่านั้นที่ไข่พัฒนาเป็นตัวเต็มวัยเพศผู้ รวมชีพจักรเพลี้ยแป้ง ตั้งแต่ 35-92 วัน",
"title": "เพลี้ยแป้ง"
},
{
"docid": "717710#13",
"text": "ทั้งตัวผู้ตัวเมียจะกกไข่ \nโดยตัวผู้ดูจะรับกกไข่ต่อจากตัวเมีย โดยเฉพาะในช่วงร้อน ๆ เวลากลางวัน \nลูกนกจะออกจากไข่ภายใน 28-30 วัน\nนกผสมพันธุ์สำเร็จในอัตรา 40% คือไข่บางฟองจะไม่เป็นตัว\nส่วนการเสียไข่ที่ผสมพันธุ์สำเร็จ อยู่ในระดับสูงที่ ~43% เนื่องจากการล่าเหยื่อของพังพอน กา และเหยี่ยว\nลูกนกมีโอกาสตายที่ 8.3% โดยจะมีโอกาสรอดสูงขึ้นหลังจากอาทิตย์แรก",
"title": "นกต้อยตีวิด"
},
{
"docid": "350429#1",
"text": "เรื่องเกิดขึ้นจาก ราชาหมูเขียวต้องการกินไข่ดาว จึงให้ลูกน้องไปขโมยไข่นกที่อยู่ใกล้เคียงมา พวกนกรู้สึกโมโหมาก จึงต้องตามทวงไข่ของพวกตนคืน นำมาซึ่งการบุกไปถล่มป้อมปราการป้องกันที่ทำจากหิน, ไม้ และแก้ว ของพวกหมู\nนก เป็นกลุ่มตัวละครหลักที่มีบทบาทในการบุกปราการของพวกหมู เพื่อชิงไข่กลับมา พวกนกแต่ละตัวจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน ได้แก่",
"title": "แอ็งกรีเบิดส์ (วิดีโอเกม)"
},
{
"docid": "784082#5",
"text": "นกอยู่ตามชายป่า ป่าไม้เปิด ป่าไม้พุ่ม ทุ่งหญ้า พื้นที่ที่สามารถทำเกษตรกรรมได้ อุทยาน และสวน นกกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร ปกติอยู่โดด ๆ และบ่อยครั้งยากที่จะเห็น\nเป็นนกปรสิตไข่ให้นกอื่นเลี้ยง คือไข่ในรังของนกยอดข้าวหางแพน นกกระจิบหญ้า และนกกระจิบกัมพูชา ไข่จะเหมือนของนกอื่นยกเว้นใหญ่กว่า นกเล็ก ๆ บางครั้งจะรุมตีนกอีวาบตั๊กแตนเพื่อไล่ไปจากรังของพวกมัน",
"title": "นกอีวาบตั๊กแตน"
},
{
"docid": "415847#4",
"text": "วางไข่ครั้งละ 6 ฟองบนต้นไม้หรือพุ่มไม้ หรือบางครั้งก็บนพื้นดิน พ่อแม่นกจะช่วยกันดูแลลูกอ่อน โดยรังจะสานจากกิ่งไม้หรือใบไม้ หรือฟางที่หาได้ มีหลายชนิดที่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน ลูกนกเมื่ออยู่รัง พ่อแม่นกจะช่วยกันดูแลและคาบอาหารมาให้ ส่วนมากเป็นแมลง บางครั้งอาจจะเป็นแมง เช่น ตะขาบ หรือสัตว์อย่างอื่น เช่น ไส้เดือนดิน แล้วแต่จะหาได้ ลูกนกเมื่อจะถ่าย จะหันก้นออกนอกรังแล้วขับถ่ายมูลออกมา ซึ่งถูกห่อหุ้มอยู่ในถุงขนาดใหญ่ พ่อแม่นกต้องคาบไปทิ้งให้ไกลจากรัง เพราะกลิ่นจากมูลลูกนกจะเป็นสิ่งที่บอกที่อยู่ให้แก่สัตว์นักล่าได้",
"title": "วงศ์นกแต้วแร้ว"
},
{
"docid": "294044#12",
"text": "ผีจ๊อยส์ ยังคงหลอกหลอนปูอย่างต่อเนื่อง และคนที่อาศัยอยู่ในหอ เริ่มทนใช้น้ำแช่ศพไม่ไหว จน นวล เจ้าของหอและเพื่อน ๆ ต้องขึ้นไปดูว่ามีอะไรผิดปกติที่แท็งก์น้ำ ขณะนั้นปูก็ได้ขึ้นไปด้วย เมื่อนวลไปเปิดแท็งก์น้ำก็พบศพ ปูจึงพยายามผลักนวลลงแท็งก์และกดน้ำเพื่อหวังฆ่า แต่ผีจ๊อยส์จับปูลงน้ำ ส่วนนวลรอดมาได้จึงรีบออกมา และปูถูกผีฆ่าตายด้วยการถูกจับอยู่ใต้น้ำ ในที่สุด ก็มีรถมารับศพทั้งสองออกไป โดยที่นวลรู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเพื่อนชายของนวลได้เข้าไปปลอบด้วย",
"title": "ตายโหง (ภาพยนตร์)"
},
{
"docid": "492497#2",
"text": "ด้านบนลำตัวเป็นลายจุดสีดำและน้ำตาล ด้านล่างลำตัวมีลายพาดระหว่าง สีขาวและน้ำตาล ดูระยะไกลจะเห็นเป็นสีน้ำตาลแกมเทากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม แต่นกคอพันไม่สามารถไต่ต้นไม้ในลักษณะแนวตั้งเหมือนนกหัวขวานทั่วไปได้ เพราะขนหางอ่อนนุ่มไม่สามารถค้ำยันตัวได้ โดยจะเกาะกิ่งไม้เหมือนนกเกาะคอน อีกทั้งยังไม่สามารถใช้จะงอยปากเจาะลำต้นของต้นไม้เพื่อหาแมลงกินได้อีกด้วย แต่นกคอพันก็มีลิ้นที่ยาวและมีน้ำลายที่เหนียวตวัดกินมดหรือหนอนตามต้นไม้เป็นอาหาร เหมือนนกหัวขวาน มีลำตัวยาวประมาณ 16-18 เซนติเมตร",
"title": "นกคอพัน"
},
{
"docid": "108346#3",
"text": "เพนกวินออกลูกเป็นไข่ เมื่อเพนกวินตัวเมียออกลูกจะให้ตัวผู้กกไข่ ส่วนตัวเมียจะออกไปหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลา, ครัสเตเชียน หรือหมึก ลูกเพนกวินแรกเกิดจะมีขนสีเทา เมื่อโตขึ้นขนสีเทาจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำที่ด้านหลัง และขนสีขาวที่ด้านหน้าท้อง เพนกวินจะมีพฤติกรรมการทำรังที่ต่างออกไปตามแต่ละชนิด บางชนิดทำรังใกล้ทะเล แต่บางชนิดทำรังในป่ามะเลาะ หรือพื้นที่ในชุมชนของมนุษย์ เช่น ใต้ถุนบ้าน หรือในสวนหลังบ้าน ก็มี\nเพนกวินทุกชนิดจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอากาศหนาว ทำให้เพนกวินต้องมีชั้นไขมันที่หนาเพื่อช่วยในการกักเก็บความร้อนจากร่างกาย และร่างกายมีการปรับอุณหภูมิอยู่เสมอ โดยมีระบบหมุนเวียนเลือดที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงชั้นไขมันนี้ยังใช้เป็นพลังงานอาหารในช่วงที่คลาดแคลน ขนของเพนกวินมี 2 ชั้น ชั้นในทำหน้าที่เหมือนขนของนกทั่วไป ส่วนชั้นนอกจะมีไขมันเคลือบไว้ เพื่อป้องกันน้ำ ความหนาวเย็น และลมหนาวจากภายนอก เพนกวินจะผลัดขนปีละครั้ง ขนที่เก่าและเสียหายจะหลุดออก และขนใหม่จะขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งถือว่าเร็วมาก เมื่อเทียบกับนกทั่วไปซึ่งใช้เวลานานกว่านั้นมาก (โดยเฉลี่ยเกือบปี) หากแต่เพนกวินในช่วงผลัดขนนี้จะมีสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบจำไม่ได้ และจะไม่เข้าใกล้น้ำหรือว่ายน้ำเลย นอกจากนี้แล้วเพนกวินยังมีอวัยวะที่ทำงานได้อย่างพิเศษไม่เหมือนกับนกหรือสัตว์โลกทั่วไป ที่สามารถตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนได้ถึงระดับโซเดียมในเลือดหากจะมีมากเกินไป อันเนื่องจากเป็นนกที่กินอาหารทะเลเป็นหลัก ซึ่งการทำงานนี้ของอวัยวะอันนี้ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถลอกเลียนแบบได้",
"title": "เพนกวิน"
}
] |
4040 | ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์มีทั้งหมดกี่ภาค? | [
{
"docid": "4336#3",
"text": "หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์สจำนวนแปดภาค โดยเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มที่เจ็ด ผู้สร้างได้แบ่งออกเป็นสองตอน ภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เป็นชุดภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตสินค้าควบคู่กันอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้ชื่อยี่ห้อแฮร์รี่ พอตเตอร์มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เนื้อหาที่ไม่ได้เปิดเผยในหนังสือได้เริ่มเผยแพร่ในรูปแบบอีบุ๊กผ่าน \"พอตเตอร์มอร์\" ได้มีการต่อยอดความสำเร็จของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปในหลายรูปแบบ อาทิเช่น สวนสนุก\"โลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์\", สตูดิโอทัวร์ในลอนดอน, ภาพยนตร์ภาคแยกซึ่งดัดแปลงมาจากเนื้อหาของหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ และภายหลังได้มีการดัดแปลงแฮร์รี่ พอตเตอร์สู่รูปแบบละครเวที ใช้ชื่อว่า \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป\" เปิดการแสดงในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ เมืองลอนดอน โดยบทละครเวทียังได้ถูกพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบราวน์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกันที่ตีพิมพ์นิยายผู้ใหญ่ของโรว์ลิ่งภายใต้ชื่อ โรเบิร์ต กัลเบรธอีกด้วย",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์"
},
{
"docid": "4336#55",
"text": "ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องรายได้ของภาพยนตร์ทั้ง 8 ภาค ทำรายได้รวมมากกว่า 7,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐและภาพยนตร์ชุดที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่สองรองจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล โดยภาคที่ทำรายได้ไปมากที่สุดคือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์"
}
] | [
{
"docid": "4336#56",
"text": "ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์แต่ละภาคได้รับคำวิจารณ์จากแฟนหนังสือมากมาย ในภาคแรกและภาคที่สองซึ่งกำกับโดยคริส โคลัมบัส ตัวภาพยนตร์เองได้รับการดัดแปลงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเนื้อเรื่องในหนังสือไว้ แต่เนื้อหาของภาพยนตร์ก็เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับเด็ก จึงทำให้เด็กชมภาพยนตร์ภาคแรกและภาคสองมากกว่าผู้ใหญ่ ในภาคที่สามกำกับโดยอัลฟอนโซ กวารอน ที่ได้ปรับเปลี่ยนตัวปราสาทฮอกวอตส์และใช้บรรยากาศแบบมืดครื้ม แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องมากกว่าเดิมทำให้ฉากแอ็กชันที่มีในหนังสือลดลงไป ส่วนในภาคที่สี่กำกับโดยไมค์ นิวเวลล์ เน้นหนักในเรื่องฉากแอ็กชันและฉากต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก แต่การทำฉากแอ็กชันมากเกินไป จึงทำให้เนื้อหาและบทบาทตัวละครในเรื่องลดลงตามไปด้วย และในภาคที่ห้าที่กำกับโดยเดวิด เยตส์ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องและตัดเนื้อเรื่องบางตอนออกไป เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือที่มากกว่าเล่มอื่น ๆ ฉากแอ็กชันจึงลดลงทำให้ภาพยนตร์ออกมาในแนวดรามา แต่ทางทีมงานก็ได้ใช้เทคนิคพิเศษมากกว่าภาคก่อน ๆ ทำให้ภาพยนตร์ภาคที่ห้านี้ทำรายได้ไปถึง 939 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในภาคที่หกเดวิด เยตส์ทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์เช่นเคยโดยจะเน้นบทดรามามากกว่าฉากแอ็กชันซึ่งมีอยู่น้อยมากและจะเน้นในเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ แทน ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ภาคที่หกนี้ก็ได้สร้างสถิติใหม่นั่นก็คือ ภาพยนตร์ทำเงินทั่วโลกสูงสุดในสัปดาห์แรก โดยทำเงินไปทั้งสิ้น 394 ล้านดอลลาร์สหรัฐทำลายสถิติของไอ้แมงมุม 3ที่เปิดตัวด้วยรายรับทั่วโลก 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำรายได้รวมไป 934 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1เข้าฉายและทำรายได้รวม 955 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการเดินทางตามหาฮอร์ครักซ์ของพวกแฮร์รี่และจบลงที่การตายของด๊อบบี้ ทำให้โทนหนังของภาคนี้จะเป็นแนวโร้ดมูฟวี่หรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเดินเสียเป็นส่วนใหญ่",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์"
},
{
"docid": "898311#2",
"text": "ภาพยนตร์เรื่องแรกของโลกเวทมนตร์นั้นคือ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) ซึ่งตามด้วยภาคต่ออีกเจ็ดภาค เริ่มจาก \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\" ในปี ค.ศ. 2002 และจบที่ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2\" ในปี ค.ศ. 2011 ต่อมา ภาพยนตร์ชุด \"สัตว์มหัศจรรย์\" เริ่มจาก \"สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่\" (2016) เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เป็นภาคแยกและภาคก่อนของภาพยนตร์ชุด \"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" และภาคต่อ \"\" ฉายเมื่อ ค.ศ. 2018 ขณะที่ยังมีภาพยนตร์อีกสามเรื่องอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยภาพยนตร์เรื่องถัดไปมีกำหนดฉายปี ค.ศ. 2020",
"title": "โลกเวทมนตร์"
},
{
"docid": "38960#23",
"text": "ในเดือนตุลาคม ปี 1998 วอร์เนอร์บราเธอร์สได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือสองภาคแรกจากโรว์ลิงด้วยเงินจำนวนเจ็ดหลัก หลังจากนั้นภาพยนตร์ภาคแรก\"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" ได้เข้าฉายในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 และตามด้วยภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ\" ฉายในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 ภาพยนตร์ทั้งสองภาคกำกับโดยคริส โคลัมบัส ต่อมาภาพยนตร์ของ\"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน\" เข้าฉายในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2004 กำกับภาพยนตร์โดยอัลฟองโซ กัวรอง ส่วนภาพยนตร์ภาคที่สี่\"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี\" กำกับโดย ไมค์ นิวเวลล์และฉายในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 จากนั้นภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์\" ออกฉายในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2007มีเดวิด เยตส์เป็นผู้กำกับ และได้ไมเคิล โกลเดนเบิร์กมาเขียนบทภาพยนตร์แทนสตีฟ โคลฟที่เขียนบทสี่ภาคแรก หลังจากนั้นภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม\" ก็ได้เข้าฉายเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 อีกทั้งยังได้เดวิด เยตส์มากำกับภาพยนตร์เช่นเดิมและสตีฟ โคลฟก็ได้กลับมาเขียนบทภาพยนตร์อีกครั้ง วอร์เนอร์บราเธอร์สแบ่งภาพยนตร์ภาคสุดท้าย \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต\" ออกเป็นสองส่วน ภาคแรกเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 และภาคสอง ฉายในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 เดวิด เยตส์เป็นผู้กำกับทั้งสองภาค",
"title": "เจ. เค. โรว์ลิง"
},
{
"docid": "197263#0",
"text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2001 กำกับโดย คริส โคลัมบัส และจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอส์ เนื้อเรื่องยึดจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเจ. เค. โรว์ลิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคแรกในภาพยนตร์ชุด\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เขียนเรื่องโดยสตีฟ โคลฟส์ และผลิตโดยเดวิด เฮย์แมน เนื้อเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเรียนปีแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ฮอกวอตส์ ที่เขาพบว่าเขาเป็นพ่อมดที่มีชื่อเสียงและเริ่มศึกษาวิชาเวทมนตร์",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (ภาพยนตร์)"
},
{
"docid": "197283#0",
"text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ () เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2002 กำกับโดย Chris Columbus และจัดจำหน่ายโย Warner Bros. Pictures ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ J. K. Rowling ซึ่งเคยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1998 เป็นภาคต่อของ \"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์\" (2001) และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในชุดภาพยนตร์\"แฮร์รี่ พอตเตอร์\" เป็นผลงานการเขียนบทของ Steve Kloves และอำนวยการสร้างโดย David Heyman เล่าเรื่องการผจญภัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในปีที่สองของการศึกษาในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ซึ่งทายาทของซัลลาซาร์ สลิธีริน ได้เปิดห้องแห่งความลับ และปลดปล่อยสัตว์ร้ายภายในออกมาทำให้ผู้คนในโรงเรียนกลายเป็นหิน นำแสดงโดย Daniel Radcliffe รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ Rupert Grint รับบทรอน วีสลีย์ และ Emma Watson รับบทเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ Richard Harris มารับบทเป็นศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ก่อนที่จะเสียชีวิตในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (ภาพยนตร์)"
},
{
"docid": "4336#57",
"text": "และเมื่อภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เข้าฉายก็ได้สร้างสถิติต่าง ๆ มากมาย อาทิ ภาพยนตร์ที่เปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดการ ทำรายได้วันแรกสูงถึง 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำลายสถิติเดิมของแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นิวมูน ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สุดสัปดาห์ที่สูงสุดทำลายสถิติของแบทแมน อัศวินรัตติกาล โดยทำรายได้สัปดาห์แรกที่ 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งต่อมาถูกทำลายสถิติโดยดิ อเวนเจอร์สและไอรอนแมน 3 และทำลายสถิติภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดทั่วโลกสัปดาห์แรกของที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคหกเคยทำไว้ โดยทำเงินรวมทั่วโลกในสัปดาห์แรกสูงถึง 483 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์เปิดตัว และทำรายได้ปิดที่ 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง ณ ตอนนั้นสามารถรั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลเป็นรองเพียงแค่ภาพยนตร์เรื่องอวตารและไททานิกเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกอย่างล้นหลาม โดยเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้สูงถึง 96%ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงที่สุดในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ จึงถือว่าภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ก็ว่าได้",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์"
},
{
"docid": "222054#0",
"text": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1 () เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี-ผจญภัยภาคต่อที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของเจ. เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนที่ 7 ในชื่อ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่เนื่องจากในภาคสุดท้ายนั้นมีรายละเอียดมากและทางผู้สร้างต้องการให้หนังจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ จึงแบ่งออกเป็น 2 ตอนคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตตอนที่ 1 และตอนที่ 2 สำหรับตอนที่ 1 เริ่มถ่ายทำเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และจะเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ตอนที่ 2 จะเข้าฉายในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ภาพยนตร์มีนักแสดงนำได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ รูเพิร์ท กรินท์ และเอ็มม่า วัตสัน กำกับการแสดงโดย เดวิด เยตส์ เขียนบทโดยสตีฟ โคลฟ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน และเดวิด แบร์รอน",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1"
},
{
"docid": "222054#3",
"text": "ส่วนในด้านของผู้กำกับการแสดงทางค่ายวอร์เนอร์ บราเดอร์สได้เลือกให้เดวิด เยตส์ ผู้กำกับจากภาค5และภาค6มารับหน้าที่การกำกับในตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งสองตอน ทำให้เยตส์เป็นผู้กำกับที่รับหน้าที่กำกับการแสดงในภาพยนตร์ชุดนี้กว่า 4ภาค มากที่สุดในบรรดาผู้กำกับของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งในการเตรียมงานถ่ายทำทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น ทางผู้สร้างต้องสร้างป่าโบราณจำลองในสตูดิโอเพื่อถ่ายทำฉากกวางสาวสีเงิน ซึ่งกการเซ็ตฉากและสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็คที่ใช้มีรายจ่ายที่สูงมาก ทำให้ภาพยนตร์ตอนแรกมีทุนสร้างถึง 250ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว ในส่วนของการเตรียมงานทั้งหมดใช้เวลาไป 250 วัน ในขณะที่การถ่ายทำใช้เวลาไป 478 วัน",
"title": "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1"
}
] |
4042 | โครงสร้างหลักของคอเคลียก็คืออวัยวะของคอร์ติ ซึ่งเป็นอวัยวะรับประสาทสัมผัสคือการได้ยินเสียงใช่หรือไม่? | [
{
"docid": "469223#0",
"text": "อวัยวะของคอร์ติ () เป็นอวัยวะรับรู้เสียงที่อยู่ในหูชั้นในรูปหอยโข่ง (หรือคอเคลีย) ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม\nมีแถบเซลล์เยื่อบุผิวที่ไม่เหมือนกันตลอดแถบ ทำให้สามารถถ่ายโอนเสียงต่าง ๆ ให้เป็นสัญญาณประสาทต่าง ๆ\nโดยเกิดผ่านแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้น้ำในคอเคลียและเซลล์ขนในอวัยวะของคอร์ติไหว\nนักกายวิภาคชาวอิตาลี นพ. แอลฟอนโซ คอร์ติ (พศ. 2365-2419) เป็นผู้ค้นพบอวัยวะของคอร์ติในปี 2394\nโครงสร้างมีวิวัฒนาการมาจาก basilar papilla และขาดไม่ได้เพื่อแปลแรงกลให้เป็นสัญญาณประสาทในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม\nอวัยวะของคอร์ติอยู่ในคอเคลียภายในหูชั้นในระหว่างท่อ vestibular duct กับ tympanic duct และประกอบด้วยเซลล์รับแรงกลที่รู้จักกันว่า เซลล์ขน\nซึ่งตั้งขึ้นอย่างเหมาะสมที่เยื่อกั้นหูชั้นใน (basilar membrane) ของอวัยวะ โดยมีเซลล์ขนด้านนอก (outer hair cell, OHC) 3 แถว กับเซลล์ขนด้านใน (inner hair cell, IHC) อีกหนึ่งแถว\nและมีเซลล์ที่เป็นตัวแยกและค้ำจุนเซลล์ขนเหล่านี้ คือ Deiters cell (phalangeal cell) และ pillar cell\nเซลล์ขนมีส่วนยื่นออกด้านบนคล้าย ๆ กับนิ้วที่เรียกว่า stereocilia ซึ่งเรียงตามลำดับความสูงโดยมีเส้นที่สั้นที่สุดอยู่ด้านนอกและยาวที่สุดตรงกลาง\nเชื่อว่า การเรียงลำดับเช่นนี้สำคัญมากเพราะว่าช่วยให้เซลล์ให้ปรับรับเสียงได้ดี (superior tuning)",
"title": "อวัยวะของคอร์ติ"
},
{
"docid": "844976#0",
"text": "หูชั้นในรูปหอยโข่ง\nหรือ อวัยวะรูปหอยโข่ง\nหรือ คอเคลีย\n(, , จาก , kōhlias, แปลว่า หมุนเป็นวงก้นหอย หรือเปลือกหอยทาก) เป็นอวัยวะรับเสียงในหูชั้นใน\nเป็นช่องกลวงมีรูปร่างเป็นก้นหอยโข่งอยู่ในกระดูกห้องหูชั้นใน (bony labyrinth) โดยในมนุษย์จะหมุน 2.5 ครั้งรอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus\nและมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9 มม.\nโครงสร้างหลักของคอเคลียก็คืออวัยวะของคอร์ติ ซึ่งเป็นอวัยวะรับประสาทสัมผัสคือการได้ยินเสียง และอยู่กระจายไปตามผนังที่กั้นโพรงสองโพรงที่เต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งวิ่งไปตามก้นหอยที่ค่อย ๆ แคบลง\nส่วนคำว่าคอเคลียมาจากคำในภาษาละตินซึ่งแปลได้ว่า \"เปลือกหอยทาก\" และก็มาจากคำภาษากรีกว่า κοχλίας, \"kokhlias\" ซึ่งแปลว่า หอยทาก หรือเกลียว ซึ่งมาจากคำว่า κόχλος, kokhlos ซึ่งแปลว่า เปลือกวนเป็นก้นหอย\nคอเคลียในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดยกเว้นของโมโนทรีมมีรูปร่างเช่นนี้\nคอเคลียเป็นโพรงกระดูกรูปกรวยวนเป็นรูปก้นหอย\nที่คลื่นความดันเสียงจะแพร่กระจายไปจากส่วนฐาน (base) ใกล้หูชั้นกลางที่ช่องรูปไข่ (oval window) ไปยังส่วนยอด (apex) คือที่ส่วนปลายหรือตรงกลางของก้นหอย\nโพรงที่วนเป็นก้นหอยเรียกว่า Rosenthal's canal หรือ spiral canal of the cochlea โดยยาวประมาณ 30 มม. และหมุน 2¾ รอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus\nโดยมีโครงสร้างรวมทั้ง",
"title": "หูชั้นในรูปหอยโข่ง"
}
] | [
{
"docid": "469223#1",
"text": "ถ้าคลี่คอเคลียออกมันก็จะยาวประมาณ 33 มม. ในหญิง และ 34 มม. ในชาย โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 2.28 มม.\nคอเคลียจัดเรียงตามความถี่เสียงแบบ tonotopic คือความถี่เสียงโดยเฉพาะ จะทำให้คอเคลียเกิดปฏิกิริยาในจุดโดยเฉพาะ\nฐานของคอเคลียซึ่งใกล้กับหูชั้นนอกมากที่สุด จะแข็งและแคบ และเป็นส่วนที่ถ่ายโอนเสียงความถี่สูงเป็นกระแสประสาท\nจุดยอด (apex) ของคอเคลียจะกว้างและยืดหยุ่นได้ดีกว่า และจะถ่ายโอนเสียงความถี่ต่ำ",
"title": "อวัยวะของคอร์ติ"
},
{
"docid": "860326#6",
"text": "กลไกการเสียการได้ยินเกิดจากความบอบช้ำต่อ stereocilia ของคอเคลีย ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักเต็มไปด้วยน้ำของหูชั้นใน\nใบหูบวกกับหูชั้นกลางจะขยายความดันเสียงถึง 20 เท่า จึงเป็นความดันเสียงในระดับสูงที่เข้ามาถึงคอเคลียแม้จะเกิดจากเสียงในอากาศที่ไม่ดังมาก\nเหตุโรคของคอเคลียก็คือ สารมีออกซิเจนที่มีฤทธิ์ (reactive oxygen species) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการตายเฉพาะส่วนกับอะพอพโทซิสที่เกิดจากเสียงของ stereocilia\nการได้รับเสียงดัง ๆ มีผลต่าง ๆ กันต่อบุคคลกลุ่มต่าง ๆ",
"title": "ผลต่อสุขภาพจากเสียง"
},
{
"docid": "860308#3",
"text": "ส่วนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนที่เรียกว่า อวัยวะของคอร์ติ จะมีเซลล์ขนและเซลล์ค้ำจุนที่จัดเป็นรูปแบบโดยเฉพาะ\nในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด อวัยวะของคอร์ติจะมีช่องที่ประกอบด้วย pillar cell ซึ่งด้านในจะมีเซลล์ขนด้านใน (IHC) และด้านนอกจะมีเซลล์ขนด้านนอก (OHC)\nหูชั้นกลางที่เป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและคอเคลียที่ยาวขึ้น จะช่วยให้ไวเสียงความถี่สูงยิ่งขึ้น",
"title": "วิวัฒนาการของคอเคลีย"
},
{
"docid": "469223#9",
"text": "อวัยวะของคอร์ติจะเกิดหลังการเกิดและพัฒนาการของท่อคอเคลีย (cochlear duct) ซึ่งอยู่ระหว่างท่อ scala tympani และ scala media\nแล้วเซลล์ขนด้านใน (IHC) และเซลล์ขนด้านนอก (OHC) ก็จะแยกพัฒนาการไปอยู่ในตำแหน่งที่สมควร และตามด้วยการจัดระเบียบของเซลล์ค้ำจุนต่าง ๆ\nการจัดระเบียบและรูปร่าง (topology) ของเซลล์ค้ำจุนจะกำหนดคุณสมบัติเชิงกลของเยื่อ ที่จำเป็นเพื่อไหวตามเสียงที่เฉพาะเจาะจงอย่างยิ่งภายในอวัยวะ\nพัฒนาการและการเติบโตของอวัยวะขึ้นอยู่กับยีนโดยเฉพาะ ๆ ซึ่งหลายอย่างได้กำหนดแล้วในงานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้ง SOX2, GATA3, EYA1, FOXG1, BMP4, RAC1 เป็นต้น\nเพื่อให้เกิดพัฒนาการโดยเฉพาะ ๆ เช่นนี้ได้\nซึ่งโดยย่อก็คือ พัฒนาการของท่อคอเคลียและการเกิดเซลล์ขนในอวัยวะ\nการกลายพันธุ์ของยีนที่แสดงออกที่หรือใกล้อวัยวะของคอร์ติก่อนเกิดเซลล์ขน จะขัดขวางพัฒนาการของอวัยวะ ซึ่งอาจทำให้พิการ",
"title": "อวัยวะของคอร์ติ"
},
{
"docid": "860298#6",
"text": "ในคอเคลียของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การขยายเสียงจะเกิดขึ้นที่เซลล์ขนด้านนอก (OHC) ในอวัยวะของคอร์ติ\nเป็นเซลล์ที่อยู่บนเยื่อกั้นหูชั้นใน (basilar membrane หรือเยื่อฐาน ตัวย่อ BM) ซึ่งไวต่อความถี่เสียงโดยเฉพาะ ๆ ที่จุดต่าง ๆ\nคลื่นเสียงความถี่ต่าง ๆ จะวิ่งเข้าไปในท่อ scala vestibuli ของคอเคลียแล้ววิ่งผ่านเซลล์\nซึ่งสร้างแรงดันที่เยื่อฐานและเยื่อคลุม (tectorial membrane) ของคอเคลีย โดยเยื่อจะขยับตอบสนองต่อคลื่นเสียงที่ความถี่โดยเฉพาะ ๆ มีรูปเหมือนกับคลื่นวิ่ง (travelling wave)",
"title": "การขยายเสียงของคอเคลีย"
},
{
"docid": "469223#7",
"text": "นอกจากจะรับเสียงแล้ว อวัยวะของคอร์ติยังสามารถปรับสัญญาณเสียงได้อีกด้วย\nคือ OHC สามารถขยายสัญญาณเสียงผ่านกระบวนการที่เรียกว่า electromotility ซึ่งเซลล์เพิ่มการเคลื่อนไหวของเยื่อกั้นหูชั้นใน (basilar membrane) และดังนั้น เพิ่มการไหวของ stereocilia ของ IHC\nโดยทำงานร่วมกับเยื่อคลุม (tectorial membrane) การเคลื่อนไหวของเยื่อกั้นหูชั้นในก็จะสามารถเพิ่มแรงสั่นในคอเคลีย",
"title": "อวัยวะของคอร์ติ"
},
{
"docid": "860308#12",
"text": "คอเคลียเป็นอวัยวะมี 3 ช่องที่เป็นตัวตรวจจับเสียงในหู รวมทั้งช่อง scala media, scala tympani, และ scala vestibuli\nในสัตว์เลี้ยงลูกด้วนนม ทั้งสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องและสัตว์มีรก ตอบสนองต่อเสียงและมีศักย์ไฟฟ้าระดับพักคล้าย ๆ กัน\nซึ่งเป็นเหตุจุดชนวนการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ชั้นเธอเรียเหล่านี้ ว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันอย่างไรเพื่อหาจุดกำเนิดของคอเคลีย\nคอเคลียรูปก้นหอยมีต้นกำเนิดประมาณ 120 ล้านปีก่อน",
"title": "วิวัฒนาการของคอเคลีย"
},
{
"docid": "844976#6",
"text": "คอเคลียเต็มไปด้วยน้ำที่เรียกว่า perilymph ซึ่งไหวไปตามแรงสั่นสะเทือนที่มาจากหูชั้นกลางโดยผ่านช่องรูปไข่ (oval window)\nเมื่อน้ำในคอเคลียเคลื่อน ท่อคอเคลีย (cochlear duct/partition) ที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งรวมเยื่อฐาน (basilar membrane) และอวัยวะของคอร์ติ ก็จะเคลื่อนด้วย\nเซลล์ขนนับเป็นพัน ๆ จะรับรู้การเคลื่อนไหวผ่าน stereocilia แล้วแปลงแรงกลนั้นให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่สื่อประสาทไปยังเซลล์ประสาทเป็นพัน ๆ\nโดยตัวนิวรอนที่ต่อกับเซลล์ขนจะเป็นตัวแปลงสัญญาณจากเซลล์ขนให้เป็นอิมพัลส์ไฟฟ้าประสาทที่เรียกว่า ศักยะงาน (action potential) ซึ่งส่งทางเส้นประสาท auditory nerve ไปยังโครงสร้างในก้านสมองเพื่อการประมวลผลต่อ ๆ ไป",
"title": "หูชั้นในรูปหอยโข่ง"
}
] |
4053 | เจงกีสข่านคือใคร? | [
{
"docid": "245533#0",
"text": "เจงกีส ข่าน () กลุ่มดนตรีป็อป/ดิสโก สัญชาติเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1979 เพื่อเป็นตัวแทนประเทศเยอรมนีเข้าร่วมการประกวดเพลงยูโรวิชัน โดยใช้เพลงที่เข้าประกวดในชื่อเดียวกัน แต่งโดยราล์ฟ ซีเกล คำร้องโดยเบิร์นด์ เมนุงเกอร์ ตั้งชื่อตามตัวสะกดคำว่า \"เจงกีส ข่าน\" ในภาษาเยอรมัน",
"title": "เจงกีส ข่าน (วงดนตรี)"
},
{
"docid": "9937#0",
"text": "เจงกีส ข่าน (; หรือ ,; ; พ.ศ. 1705 หรือ 1708 — 18 สิงหาคม พ.ศ. 1770) \"เจงกีส\" แปลว่า “เวิ้งสมุทร, มหาสมุทร” (ซึ่งเปรียบได้ว่า เจงกีส ข่าน มีความยิ่งใหญ่ ดั่งเวิ้งมหาสมุทรนั่นเอง) จักรพรรดินักรบชาวมองโกลผู้พิชิต ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิมองโกล เดิมมีนามว่า \"เตมูจิน\" (Temüjin) ตามสถานที่เกิดริมฝั่งแม่น้ำโอนอน เป็นผู้นำครอบครัวแทนบิดาเมื่ออายุเพียง 13 ปี และต้องดิ้นรนต่อสู้ขับเคี่ยวกับชนเผ่าต่าง ๆ ที่เป็นอริอยู่หลายปี ปราบเผ่า “ไนแมน” ทางด้านตะวันตก พิชิตชนชาติ “ตันกุต” (เซี่ยตะวันตก) และยอมรับการจำนนของชาว “อุยกูร์”",
"title": "เจงกีส ข่าน"
}
] | [
{
"docid": "9937#1",
"text": "ในปี พ.ศ. 1749 \"เตมูจิน\" ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น \"เจงกีส ข่าน\" และจากปี พ.ศ. 1754 ด้วยการรบพุ่งหลายครั้ง เจงกีส ข่าน สามารถยึดครองจีนตอนเหนือ จักรวรรดิคารา-คิไต (Qara Khitai Empire)(เหลียวตะวันตก) จักรวรรดิคาเรสม์ และดินแดนอื่น ๆ อีกหลายแห่ง นับถึงเวลาเมื่อเจงกีส ข่าน สิ้นพระชนม์ จักรวรรดิมองโกลได้แผ่ขยายตั้งแต่ทะเลดำไปจดมหาสมุทรแปซิฟิก โดยทั้งหมดเริ่มที่จีนตอนเหนือ หลังจากยึดจงตู (ปัจจุบันคือกรุงปักกิ่ง) ได้แล้ว เจงกีส ข่าน ได้ส่งทูตไปยังเปอร์เซีย แต่ทางสุลต่านตัดหัวคนที่เขาส่งไป เจงกีส ข่าน สั่งระดมพลไปบุกเปอร์เซีย เมืองทุกเมืองที่ต่อต้านจะถูกปล้นชิงและทำลาย หลังการยึด เจงกีส ข่าน ได้สั่งทหาร 10,000 คนบุกไปทางเหนือ โดยไม่ได้ถูกหยุดเลยจนถึงสุดขอบทะเลยังใกล้เคียงตะวันออกกลาง\nเจงกีสข่านมีชีวิตอยู่ตรงช่วงประมาณ 1 ศตวรรษ ก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงสุโขทัย พระองค์ได้รับการยกย่องโดยทั่วไปว่าเป็นนักการทหารที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก นอกจากความสำเร็จในทางการทหารแล้ว เจงกีสข่านยังสร้างระบบอักษรขึ้นใช้ในจักรวรรดิมองโกล โดยดัดแปลงมาจากอักษรอุยกูร์ พระองค์รวบรวมชนเผ่าเร่ร่อนต่างๆของมองโกลเข้าเป็นชาติเดียวกัน และปกครองโดยถือหลักเปิดกว้างต่อความเชื่อทางศาสนา นอกจากนี้พระองค์ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงในเส้นทางสายไหม ทำให้โลกมุสลิม เอเชียตะวันออก และยุโรป สามารถค้าขายและติดต่อสื่อสารถึงกันได้",
"title": "เจงกีส ข่าน"
},
{
"docid": "245533#1",
"text": "หลังจากมีผลงานอัลบั้มออกมา 6 ชุด สมาชิกในวงก็แยกย้ายกันไปทำงานอื่น ก่อนจะกลับมาร่วมตัวกันใหม่ในปี 2005 ปัจจุบัน เจงกีส ข่านยังออกแสดงทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกับวงดนตรียุคหลัง ที่ใช้ชื่อว่า \"The Legacy of Dschinghis Khan\" ร่วมกับ \"Cirque du Dschinghis Khan\" การแสดงละครสัตว์แบบมองโกล",
"title": "เจงกีส ข่าน (วงดนตรี)"
},
{
"docid": "139894#0",
"text": "เจงกีส ข่าน สามารถหมายถึง",
"title": "เจงกีส ข่าน (แก้ความกำกวม)"
},
{
"docid": "9937#2",
"text": "ภายหลังเจงกีส ข่าน สิ้นพระชนม์ โอเกได ข่าน พระราชโอรสของเจงกีส ข่านได้นำทัพกลับไปที่ใกล้ตะวันออกกลาง แต่ในขณะที่จะเข้าเวียนนา โอเกได ข่านได้สิ้นพระชนม์ก่อน ทำให้การปะทะกันไม่อาจเกิดขึ้น",
"title": "เจงกีส ข่าน"
},
{
"docid": "912662#1",
"text": "เจสสิก้า สมปอง เอสพินเนอร์ (ชื่อเล่น : เจส) เป็นคนกรุงเทพมหานคร เจสเป็นลูกคนครึ่งไทย-อังกฤษ เจ้าของตำแหน่งมิสแกรนด์กรุงเทพมหานคร ปี 2017 และได้รับตำแหน่งมิสแกรนด์ไรส์ซิงสตาร์ในปี 2017 จากการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 จึงได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 7เจสเข้าร่วมการประกวดมิสแกรนด์กรุงเทพมหานคร ปี 2017 และได้รับตำแหน่งชนะเลิศในปีนั้น เจสเป็นตัวแทนกรุงเทพมหานครในการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปี 2017 และเมื่อในรอบตัดสินวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เธอก็สามารถผ่านเข้ารอบ 12 คนสุดท้ายในการประกวด และได้รับตำแหน่งนางงามยิ้มสวยและมิสแกรนด์ไรส์ซิงสตาร์ในปีนั้น พร้อมกับเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7",
"title": "เจสสิก้า เอสพินเนอร์"
},
{
"docid": "245533#2",
"text": "เพลงที่ได้รับความนิยมของวง คือเพลง \"Dschinghis Khan\" และ \"Moskau\" (มอสโก) โดยเพลง Dschinghis Khan เคยถูกนำมาคัฟเวอร์โดยวงรอยัลสไปรท์ของไทย และวงเจป๊อป เบอร์รีซ์โคโบ ในปี 2008",
"title": "เจงกีส ข่าน (วงดนตรี)"
},
{
"docid": "139421#7",
"text": "มองโกล เผ่าพันธุ์ลูกหลานแห่งเจงกีสข่านผู้ยิ่งใหญ่ ชนชาติจากแผ่นดินทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง นักล่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักขี่ม้าและนักยิงธนูตัวยง ได้เริ่มต้นประกาศแสนยานุภาพด้วยการยาตราทัพอันแข็งแกร่งบุกสู่ยุโรป ผนวกแผ่นดินซี่เซี่ยและจิน กระทั่งยึดครองลงใต้มายังราชธานีของราชวงศ์ซ่ง จนจีนต้องถึงกาลผลัดแผ่นดินอีกครั้งราชวงศ์หยวน หรือที่เรียกในนามว่าต้าหยวน (大元) เป็นมหาอาณาจักรที่ถูกสถาปนาขึ้นโดยชนชาติมองโกลที่อาศัยอยู่บนที่ราบสูงทางตอนเหนือของประเทศจีน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีชนกลุ่มน้อยสามารถเข้ายึดครองอำนาจการปกครองทั่วทั้งแผ่นดินจีนได้ ชาวมองโกลที่เชี่ยวชาญด้านการสัประยุทธ์ ไม่เพียงแต่ใช้กำลังทหารยึดครองเขตภาคกลางและพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ของจีนเท่านั้น แต่ยังได้แผ่ขยายแสนยานุภาพควบคุมไปจนถึงเขตเอเชียตะวันตก กลางเป็นราชวงศ์ที่มีขอบเขตการปกครองที่กว้างใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีประวัติศาสตร์จีนเป็นต้นมาชนชาติมองโกล (蒙古族) จัดเป็นชนเผ่าเก่าแก่หนึ่ง ที่อาศัยการเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ในการดำรงชีวิต เนื่องจากอาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่แห้งแล้ง ทุรกันดาร มีอากาศหนาวจัด และเป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ชาวมองโกลเป็นคนที่มีความทรหดอดทน และเก่งกล้าสามารถในการขี่ม้าและยิงธนู กระทั่งช่วงศตวรรษที่ 12 ในชนเผ่ามองโกลได้บังเกิดยอดคนที่เป็นผู้นำขึ้นคนหนึ่งนามว่า เถี่ยมู่เจิน (铁木真) หรือเตมูจินที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของชนเผ่าด้วยการรวบรวมชาวมองโกลที่แตกแยกกระจัดกระจายได้สำเร็จ จนได้รับการขนานนามเป็น “เจงกิสข่าน” (成吉思汗)ในปี ค.ศ. 1206 ภายใต้การนำของเจงกีสข่าน ชนเผ่ามองโกลได้เติบโตและเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกองกำลังทางเหนือของจีนที่ไม่อาจดูแคลนได้อีกต่อไป ในขณะนั้น นอกจากอาณาจักรซ่งใต้ (南宋) แล้ว ยังมีอาณาจักรซีเซี่ย (西夏) และอาณาจักรจิน (金国) ที่จัดว่าเป็นดินแดนที่มีเอกราชอธิปไตยของตนอยู่ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1227 เจงกิสข่านได้นำทัพเข้าพิชิตดินแดนซีเซี่ย และสิ้นพระชนม์จบชีวิตอันเกรียงไกรของตนลงในปีเดียวกันแม้ว่าเจงกิสข่านจะสิ้นชีพไปแล้ว ทว่าด้วยรากฐานที่ได้วางเอาไว้ ส่งผลให้อาณาจักรของมองโกลมิเพียงไม่ถดถอย ซ้ำยังรุดหน้าขยายแผ่นดินไปเรื่อยๆ หลังจากกลืนแผ่นดินซีเซี่ยเป็นผลสำเร็จ ก็เบนเข็มต่อมายังอาณาจักรจิน ซึ่งถือว่าเป็นรัฐกันชนระหว่างอาณาจักรซ่งใต้กับมองโกล ซึ่งในช่วงเวลานั้น ราชสำนักซ่งใต้ ได้เลือกที่จะจับมือเป็นพันธมิตรกับมองโกล จนกระทั่งในปีค.ศ. 1234 กองทัพอันเหี้ยมหาญของชนชาติที่ยิ่งใหญ่บนทุ่งหญ้า ก็สามารถพิชิตอาณาจักรจินที่กำลังเสื่อมถอยลงได้หลังจากผ่านการสืบทอดอำนาจมาหลายรุ่น จากเจงกีสข่าน มาสู่วอคั่วข่าน กุ้ยโหยวข่าน เมิ่งเกอข่าน และเมื่อมาถึงสมัยของกุบไลข่าน หรือฮูปี้เลี่ย (忽必烈) หลานของเจงกีสข่านผู้ขนานนามตนเองว่าหยวนซื่อจู่ (元世祖) ได้ยอมรับความคิดเห็นของขุนนางนามหลิวปิ่งจง, หวังเอ้อ สถาปนาราชวงศ์ต้าหยวนขึ้นในปี ค.ศ. 1271 และย้ายราชธานีมาอยู่ที่ต้าตู (大都) หรือปักกิ่งในปัจจุบันโดยคำว่าหยวนมาจากคำในคัมภีร์โบราณของจีน “อี้จิง” (易经) โดยยังคงรักษาซั่งตู ให้เป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือเอาไว้ ซึ่งเหตุการณ์นี้นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของอาณาจักรมองโกลผู้แผ่ขยายอาณาเขตไปจนถึงเปอร์เซีย รัสเซีย ที่แต่เดิมสนใจเพียงปล้นชิงขูดรีดจากแผ่นดินจีน กลายมาเป็นถือเป็นแผ่นจีนเป็นศูนย์กลางในการปกครองอาณาจักร อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นที่ผลักดันให้ปักกิ่งค่อยๆกลายเป็นแหล่งศูนย์รวมทางการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมแม้ว่าจะมีการตั้งเมืองหลวงอยู่ในต้าตูแล้ว ทว่า ณ เวลานั้นชนชาติมองโกลยังไม่สามารถครอบครองแผ่นดินจีนทั้งหมด ด้วยปณิธานที่ต้องการจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น กุบไลข่านจึงนำทัพบุกดินแดนซ่งใต้แล้วจับตัวฮ่องเต้ซ่งกงตี้กับพระมารดาไป ในห้วงเวลาดังกล่าวก็ยังมีขุนนางซ่งผู้จงรักภักดีอีกกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านกองทัพมองโกลอย่างกล้าหาญ ทว่าในที่สุดราชวงศ์ซ่งใต้ก็ถูกพิชิตอย่างราบคาบในปี ค.ศ. 1279 ราชวงศ์หยวนสามารถรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่นโดยมีอาณาเขตทางเหนือจรดแผ่นดินมองโกล ไซบีเรีย ทางใต้จรดหนันไห่ (ทะเลใต้) ตะวันตกเฉียงใต้ครอบคลุมไปถึงมณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) และทิเบตในปัจจุบัน ตะวันตกเฉียงเหนือไปถึงทางตะวันออกของซินเจียง (ซินเกียง) ตะวันออกเฉียงเหนือไปถึงทะเลโอคอตสค์ เป็นมหาจักรวรรดิแห่งแรกที่ครองพื้นที่ไปทั่วทั้งเอเชียและยุโรป",
"title": "จักรวรรดิจีน"
},
{
"docid": "210386#0",
"text": "เอกซ์-แมน ปริศนาเขาคือใคร (; ) เป็นรายการเกมโชว์จากประเทศเกาหลีใต้ ทางช่อง SBS ประเทศเกาหลีใต้ ออกอากาศครั้งแรกทางเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ถึง 8 เมษายน พ.ศ. 2550 ในช่วง Real Situation Sunday ของทุกวันอาทิตย์ ในประเทศไทยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ (21 เมษายน พ.ศ. 2550 ถึง 16 มกราคม พ.ศ. 2553 ) ทางช่อง True X-Zyte ของทรูวิชันส์ ผู้ดำเนินรายการโดย ยู แจซอก (Yu Jae-seok (MC Yoo/MC 유)) รายการนี้ได้ยุติการออกอากาศไปแล้วโดยเทปสุดท้ายออกอากาศเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2550",
"title": "X-Man ปริศนาเขาคือใคร"
},
{
"docid": "9960#2",
"text": "จักรวรรดิมองโกลที่เจงกีสข่านสร้างไว้ขึ้นถึงจุดสูงสุดในสมัยของกุบไล ข่าน เมื่อกุบไล ข่านสามารถเอาชนะราชวงศ์ซ่งของจีน และยึดครองกรุงปักกิ่ง ปกครองประเทศจีน กุบไลข่านยังตีได้ดินแดนต้าหลี่ (Dali - ในมณฑลยูนนานในปัจจุบัน) และเกาหลี นอกจากนี้ยังได้พยายามยึดครองดินแดนนิฮง (ญี่ปุ่น ในปัจจุบัน ) และดินแดนหนานหยาง (ดินแดนแหลมสุวรรณภูมิ) ประกอบด้วย พม่า, เวียดนาม และอินโดนีเซีย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ",
"title": "กุบไล ข่าน"
}
] |
4054 | PS 4 วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อไหร่ ? | [
{
"docid": "539795#0",
"text": "เพลย์สเตชัน 4 หรือ PS4 () เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมตระกูลเพลย์สเตชันรุ่นที่ 4 ของบริษัทโซนี่คอมพิวเตอร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เปิดตัวต่อจากเพลย์สเตชัน 3 ที่งานแถลงข่าวรอบสื่อมวลชนในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2013 และเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2013 ในทวีปอเมริกาเหนือ และต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2013 จึงวางจำหน่ายในยุโรปและออสเตรเลีย เพลย์สเตชัน 4 มีคู่แข่งที่สำคัญคือ Wii U ของนินเทนโด และ Xbox One ของไมโครซอฟท์ ทั้งนี้ ณ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 โซนี่ได้จำหน่ายเพลย์สเตชัน 4 ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 82.2 ล้านเครื่องทั่วโลก เป็นเครื่องเล่นวีดีโอเกมยุคที่แปดที่ขายดีเป็นอันดับสองรองจากนินเท็นโด 3ดีเอส",
"title": "เพลย์สเตชัน 4"
}
] | [
{
"docid": "539795#4",
"text": "PlayStation 4 Slim ได้ถูกเปิดตัวเมื่อวันที่ 7 ภุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 และเริ่มวางจำหน่ายเมื่อ 15 กันยายนในปีเดียวกัน รุ่นสลิมนี้มาแทนที่เพลย์สเตชัน 4 รุ่นเดิมซึ่งยุติสายการผลิต รุ่นสลิมนี้มีองค์ประกอบและคุณสมบัติภายในเหมือนกับรุ่นเดิมทุกอย่าง แต่รองรับมาตรฐาน WiFi มากขึ้น มีรูปร่างที่บางลงและมีน้ำหนักที่เบาลง และยังกินไฟน้อยกว่ารุ่นเดิม 35%",
"title": "เพลย์สเตชัน 4"
},
{
"docid": "539795#5",
"text": "PlayStation 4 Pro ได้ถูกเปิดตัวเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 และเริ่มวางจำหน่ายเมื่อ 10 พฤศจิกายนในปีเดียวกัน มีหมายเลขโมเดลคือ CUH-7000 ซึ่งรุ่นโปรนี้เป็นรุ่นอัปเดตจากเพลย์สเตชัน 4 รุ่นเดิม โดยมี GPU ถึง 4.2 เทราฟล็อปซึ่งมากกว่ารุ่นเดิมถึง 128% และยังมีมี CPU ที่แรงกว่าเดิม ซึ่งคุณลักษณะที่แรงกว่าเดิมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเล่นเกมที่ความคมชัดระดับ 4K ได้ และยังช่วยให้เพลย์สเตชัน วีอาร์แสดงผลได้ดีขึ้นด้วย และที่พิเศษคือรุ่นโปรนี้ยังได้เพิ่มขนาดแรมสำรอง จาก 256MB เป็น 1GB สำหรับรันแอปพลิเคชันเบื้องหลัง ทำให้การสลับหน้าจอออกจากเกมไปยังแอพลิเคชันอื่นทำได้โดยไม่สะดุด",
"title": "เพลย์สเตชัน 4"
},
{
"docid": "13941#9",
"text": "เมื่อ Sony Computer Entertainment ได้วางจำหน่ายเครื่องเล่นเกมพกพา เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล ทาง Polyphony Digital จึงได้พัฒนาเกม Gran Turismo สำหรับ PSP ด้วย วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ PSP Go วางจำหน่ายครั้งแรกด้วย โดยที่ตัวเกมจะเหมือนกับ Gran Turismo 4 แทบทุกอย่าง แต่จะมีแค่โหมด Normal Race, Time Trial และ Drift Trial ที่มาจาก Gran Turismo 5 Prologue ในเกมนี้ไม่มีการปรับแต่งรถด้วยการซื้ออะไหล่เหมือนภาคที่ผ่าน ๆ มา แต่จะมีการปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของรถ ซึ่งสามารถทำได้แค่ในโหมด Drift Trial เท่านั้น นอกจากนี้ การซื้อรถนั้น ทุก ๆ 2 วันจะมียี่ห้อใหม่มาให้ผู้เล่นเลือก 4 ยี่ห้อในแต่ละวัน ซึ่งยี่ห้อเหล่านี้อาจแตกต่างกันไป ต่างจากภาคก่อน ๆ ที่ผู้เล่นสามารถซื้อรถทุกยี่ห้อเมื่อไรก็ได้ (ไม่นับรถมือสองที่จะอัปเดตรายการรถทุก ๆ 7 วัน) แต่จะเหมือนกันตรงที่ผู้เล่นต้องมีเงินในเกมพอที่จะซื้อได้",
"title": "กรันตูริสโม"
},
{
"docid": "27768#7",
"text": "วินโดวส์ 1.04 ได้ออกวางจำหน่ายในเดือนเมษายน พ.ศ. 2530 ซึ่งได้เพิ่มการรองรับสำหรับกราฟิกการ์ด VGA สำหรับเครื่องไอบีเอ็ม PS/2 เครื่องใหม่",
"title": "วินโดวส์ 1.0"
},
{
"docid": "607855#0",
"text": "เดอะซิมส์ 4 () เป็นเกมจำลองชีวิต รุ่นที่ 4 ในตระกูล เดอะซิมส์ ถูกประกาศเริ่มทดสอบระบบในปี พ.ศ. 2556 โดยทางอีเอได้ประกาศที่งานอิเล็กทรอนิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์เอกซ์โป หรือ E ว่าจะวางจำหน่ายในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557 สำหรับไมโครซอฟท์ วินโดวส์ และในโอเอสเทน วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 เดอะซิมส์ 4 เป็นเกมพีซีแรกที่ทำยอดขายชนะเกมในเครื่องเล่นคอนโซลชนิดอื่น ๆ ในรอบ 2 ปี และยอดขาย 408,150 ชุด ใน 4 วันแรกนับตั้งแต่วันที่จำหน่าย และในเดือนพฤศจิกายนก็ทำยอดขายได้ทะลุ 1.10 ล้านชุดทั่วโลก ตัวเกมนั้นต่างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าเดอะซิมส์ภาคก่อนหน้าก็ตาม และยังถูกจัดจากแฟนคลับว่าเป็นเกมส์ที่ชาวซิมส์โดนฆ่ามากที่สุดอีกด้วย",
"title": "เดอะซิมส์ 4"
},
{
"docid": "205331#0",
"text": "ซิมซิตี 4 () เป็นวิดีโอเกมแนววางแผน สร้างเมืองตัวที่ 4 ของเกมชุดซิมซิตี เริ่มวางจำหน่ายเมื่อ 10 มกราคม ค.ศ. 2003 สร้างโดย Maxis เขียนโดย Electronic Arts\nและมีภาคเสริมในภายใต้ชื่อ Simcity 4 Deluxe Edition และ Simcity 4 Rush Hour ซึ่งออกมาในเวลาต่อมา เพื่อพัฒนาปรับปรุงและเพิ่มเติมคุณสมบัติบางอย่างจากซิมซิตี 4 เดิม",
"title": "ซิมซิตี 4"
},
{
"docid": "13941#13",
"text": "วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2556 โดยตัวเกมภาคนี้ยังคงผลิตเป็นเวอร์ชันสำหรับเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชัน 3 อยู่เช่นเดิม ยังไม่ได้ผลิตเป็นเวอร์ชันสำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 4 โดยตรงแต่อย่างใด (เครื่องเพลย์สเตชัน 4 เริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 แต่ในประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มวางจำหน่ายล่าช้าออกไปเป็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557)",
"title": "กรันตูริสโม"
},
{
"docid": "241227#0",
"text": "บ้าหอบฟาง เป็นอัลบั้มชุดแรกของสองพี่น้อง อัสนี-วสันต์ วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2529 ในสังกัดไนท์สปอร์ต และได้ออกวางจำหน่ายอีกครั้งทั้งสองครั้งคือแบบผลิตและจำหน่ายโดย ออนป้า โดยเพิ่มเพลงบรรเลงท้ายแทรคอีก 4 เพลง วางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2530 ครั้งที่ 2 วางจำหน่ายในสังกัดมอร์มิวสิกในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ โดยได้เรียงรายชื่อเพลงใหม่ โดยไม่เรียงเพลงตามต้นฉบับที่เคยวางแผงเมื่อปี 2529 และได้เพิ่ม 2 เพลง จากคอนเสิร์ตเหมือนข้าวเย็น เพิ่มไว้ในตอนท้าย และครั้งที่ 3 ทางค่ายมิวสิกมูฟเอนเตอร์เทนเมนต์ ก็ได้นำอัลบั้มนี้มาทำใหม่อีกครั้งในรูปแบบรีมาสเตอร์ โดยจัดทำขึ้นในโอกาสพิเศษ ครบรอบ 30 ปี อัลบั้ม บ้าหอบฟาง เมื่อปี 2559 ซึ่งสามารถรับฟังในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลดและมิวสิกสตรีมมิง",
"title": "บ้าหอบฟาง"
},
{
"docid": "319792#2",
"text": "เดิมซิงเกิลนี้วางแผนจะวางจำหน่ายในวันที่ 15 เมษายน แต่เนื่องจากความต้องการของแฟนเพลง ทำให้ต้องเลื่อนวันออกจำหน่ายมาเป็นวันที่ 1 เมษายน โดยวางจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 4 รูปแบบ แบ่งเป็นรูปแบบลิมิเต็ดพร้อมเพลงเรียบเรียงใหม่ 1 เพลง และกระดาษต่อรูปไม คุรากิ กับรูปแบบธรรมดา นอกจากนี้ยังแบ่งออกเป็นปกพัซเซิลที่จะแถมการ์ดยอดนักสืบจิ๋วโคนันชุด A ส่วนปกรีไวฟ์จะแถมการ์ดชุด B แต่สิ่งที่ทั้งสี่รูปแบบมีเหมือนกันคือ QR code สำหรับเล่นเกมทางโทรศัพท์มือถือ",
"title": "พัซเซิล/รีไวฟ์"
}
] |
4057 | ละครเรื่อง สายลับสามมิติ ออกอากาศตอนแรกเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "627708#0",
"text": "สายลับสามมิติ เป็นละครโทรทัศน์แนวแอ็คชั่น คอมเมดี แฟนตาซี ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 บทประพันธ์โดย สีชาติ เขียนบทโทรทัศน์โดย เบญจมาศ ดาลหิรัญรัตน์, ปวิตา ขาวสำอาง และ ศักดิ์ชาย เกียรติปัญญาโอภาส กำกับโดย ตระกูล อรุณสวัสดิ์ นำแสดงโดย ณัฐวุฒิ สกิดใจ และ พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ผลิตโดย บริษัท ชลลัมพี โปรดักชั่น จำกัด ออกอากาศทุกคืนวันศุกร์–อาทิตย์ เวลา 20.15–22.45 น. เริ่มตอนแรกวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558 – วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558",
"title": "สายลับสามมิติ"
}
] | [
{
"docid": "300075#3",
"text": "NBC ประกาศเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552 ว่า\"ชัค สายลับสมองล้น\" ซีซั่น 3 จะออกอากาศตอนแรกในวันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553 ออกอากาศต่อเนื่อง 2 ชั่วในเวลา 20.00 น. central time ก่อนที่จะย้ายไปออกอากาศถาวรในเวลา 19.00 น. central time ตามเดิม สองตอนแรกที่ออกอากาศทำให้รายการนี้ได้เรตติ้งสูงที่สุดตั้งแต่ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา นับรวมถึงตอนพิเศษสามมิติที่ออกอากาศในวันถัดจากการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 43 มีผู้ชม 7.7 ล้านคนและได้ demo rating 3.0 ในชั่วโมงแรกก่อนที่จะลดเหลือ 7.2 ล้านคนและเรตติ้ง 2.9 ในครึ่งหลัง ล่าสุด 13 พฤษภาคม 2554 NBC ได้อนุมัติให้ผลิต\"ชัค\"ต่อเป็นซีซั่นที่ 5 ซึ่งจะเป็นซีซั่นสุดท้าย ออกอากาศช่วงฤดูใบไม้ร่วง พ.ศ. 2554 ในเวลาฉาย 8/7c วันศุกร์",
"title": "ชัค สายลับสมองล้น"
},
{
"docid": "671345#2",
"text": "ครั้งที่ 2 สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ผู้ถือลิขสิทธิ์นวนิยายในนามส่วนตัวนำมาจัดทำเป็นละครโทรทัศน์ ออกอากาศครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2538 เขียนบทโทรทัศน์โดยศัลยา ผลิตโดยบริษัทดาราวิดีโอ กำกับการแสดงโดยสยาม สังวริบุตร นำแสดงโดยศรราม เทพพิทักษ์ รับบท ขุนไกร, สุวนันท์ คงยิ่ง รับบท ดาวเรือง และศตวรรษ ดุลยวิจิตร รับบท หมื่นทิพเทศา / หมื่นทิพ ออกอากาศทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 20.30 น. ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 - 7 มกราคม พ.ศ. 2539 จำนวนตอนออกอากาศถูกวางไว้เพียง 27 ตอน ดำเนินเรื่องเปิดเรื่องจนถึงตอนอวสานจบเรื่องตามบทประพันธ์ทุกประการ หมายเหตุไม่มีเพิ่มจำนวนตอนออกอากาศใดๆ\nเนื่องจากนโยบายของ สุรางค์ เปรมปรีดิ์ การผลิตละครโทรทัศน์ให้ยึดถือต้นฉบับบทประพันธ์เป็นหลักทุกๆ เรื่อง พยายามทำตามบทประพันธ์ให้มากที่สุด จึงไม่มีการเพิ่มจำนวนตอนใดๆทั้งสิ้น",
"title": "สายโลหิต"
},
{
"docid": "836184#0",
"text": "ข้ามมิติ ลิขิตสวรรค์ ( \"ทาเร ยอนิน - โพโบ-กย็องชิม รยอ\", ) ละครโทรทัศน์แนวอิงประวัติศาสตร์ โรแมนติก แฟนตาซี จากประเทศเกาหลีใต้ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เอสบีเอส นำแสดงโดย อี จุน-กี และ ไอยู โดยออกอากาศตอนแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2016 และออกอากาศตอนสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 จำนวนทั้งสิ้น 20 ตอนพร้อมตอนพิเศษอีก 2 ตอนโดยเป็นการนำละครโทรทัศน์ของจีนที่ประสบความสำเร็จมาสร้างใหม่",
"title": "ข้ามมิติ ลิขิตสวรรค์"
},
{
"docid": "701010#0",
"text": "สะใภ้สายลับ เป็นละครโทรทัศน์ไทยแนว แอ็กชั่น-โรแมนติก-ดราม่า-คอมเมดี นำแสดงโดย เอกพงศ์ จงเกษกรณ์, ตฤณญา มอร์สัน และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558–30 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 18.30 - 19.45 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (ออริจินัล) และทีวีดิจิตอล ช่อง 3 เอชดี ช่อง 33 ผลิตโดย บริษัท ควิซ แอนด์ เควส จำกัด บทประพันธ์โดย มัลลิกา บทโทรทัศน์โดย ดำเนินสะดวก กำกับการแสดงโดย ชูศักดิ์ สุธีรธรรม",
"title": "สะใภ้สายลับ"
},
{
"docid": "655764#0",
"text": "สวยร้ายสายลับ เป็นละครโทรทัศน์ไทย แนวโรแมนติก-แอ็กชั่น-คอมเมดี นำแสดงโดย ธนิน มนูญศิลป์,อรเณศ ดีคาบาเลส เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557–29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 20.15 - 22.45 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย บริษัท ยูม่า 99 จำกัด บทประพันธ์โดย มีนมีนา บทโทรทัศน์โดย วิลักษณา กำกับการแสดงโดย บัวรัตนา (รัตนา แซ่ตั่น)",
"title": "สวยร้ายสายลับ"
},
{
"docid": "669601#3",
"text": "และในปี 2558 ละครเรื่องแรกคือ \"สายลับสามมิติ\" ในบท วิศวะ นักประดิษฐ์สติเฟื่อง ภัทร์มีละครเรื่องที่สองคือ \"แผนร้าย ลงท้ายว่ารัก\" โดยรับบทเป็น ภาณุมาศและละครเรื่อง \"สามสหายกับคุณนายสะอาด\" โดยภัทร์รับบทเป็น หมอแท้จริง",
"title": "ภัทร์ ฉัตรบริรักษ์"
},
{
"docid": "300075#1",
"text": "ภาพยนตร์ชุดนี้สร้างโดย College Hill Picture, Wonderland Sound and Vision และ Warner Bros. Television ออกอากาศครั้งแรกวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี ฉายคืนวันจันทร์ เวลา 19.00 น. central time ก่อน\"ฮีโร่ส์\" แม้แรกเริ่มจะได้รับอนุมัติให้สร้างเต็มซีซั่นแต่สุดท้ายแล้วซีซั่นแรกก็มีเพียง 13 ตอนเท่านั้นเนื่องจากเหตุการณ์การประท้วงของสมาคมนักเขียนบทแห่งอเมริกาช่วงปี 2007-2008 ซีซั่นที่ 2 เริ่มออกอากาศวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551 ออกอากาศได้ครบ 22 ตอนตามกำหนด สถานีโทรทัศน์ NBC ได้แผยแพร่ตอนแรกของซีซั่น 2 หนึ่งสัปดาห์ก่อนออกอากาศจริงผ่านการเผยแพร่ด้วยระบบออนไลน์หลายๆ วิธี รวมทั้งทางสถานีโทรทัศน์เคเบิลออนดีมานด์ด้วย",
"title": "ชัค สายลับสมองล้น"
},
{
"docid": "836184#1",
"text": "ส่วนในประเทศไทยทาง ช่อง 3 แฟมิลี่ ได้ซื้อลิขสิทธิ์ละครเรื่องนี้นำมาออกอากาศโดยออกอากาศตอนแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560 และออกอากาศตอนสุดท้ายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560",
"title": "ข้ามมิติ ลิขิตสวรรค์"
},
{
"docid": "813294#0",
"text": "สูตรรักชุลมุน (ชื่อเดิม:รักสามรส) เป็นละคร ซิทคอม ของไทยจาก เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ นำแสดงโดย สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว, วรรณรท สนธิไชย, จริญญา ศิริมงคลสกุล, และ กันติชา ชุมมะ ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 - 20.30 น. ทาง ช่องวัน เริ่มตอนแรกวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559 และออกอากาศเป็นตอนสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560 โดยละครเรื่องนี้นับเป็นละครเรื่องแรกของ แก้ว จริญญา หรือ แก้ว เฟย์ ฟาง แก้ว ภายหลังจากหมดสัญญาจากต้นสังกัดเก่าอย่าง อาร์เอส และ ติช่า กันติชา หรือ ติช่า เดอะเฟซ และตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน เป็นต้นไป กับช่วงเวลาใหม่ขยับเวลามาเร็วขึ้นกว่าเดิมเละเพิ่มเวลาเป็น 19.45 - 20.30 น. ในช่วง วันขำดี คอเมดี้ทุ่มสี่สิบห้า และซิทคอมเรื่องนี้ก็ขยับเวลาออกอากาศมาเร็วกว่าเดิมและเพิ่มเวลาเป็น 19.15 - 20.00 น. เป็นต้นไป เริ่ม 1 มิถุนายน 2560 และเวลา 19.10 - 19.55 น. เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ และตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ปรับเวลาการออกอากาศใหม่เป็นเวลา 19.00 - 20.00 น.\n=เค้าโครงเรื่อง=\nเรื่องราวความรักสุดชุลมุนของ โป้ง (บี้ สุกฤษฎิ์) เชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์แต่ปากจัดที่เพิ่งจะอกหักทำให้เขาได้พบกับ 3 สาว 3 สไตล์ที่เพิ่งจะอกหักเช่นกันซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในห้องของเขาเนื่องจากถูก อ้น (ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์) เพื่อนของโป้งหลอกให้ทำสัญญาเช่าห้องและโกงเงินไปประกอบไปด้วย ขิง (แก้ว จริญญา) สาวห้าวสุดแซ่บ , โซดา (ติช่า กันติชา) สาวเปรี้ยวเข็ดฟันและ ลูกตาล (วิว วรรณรท) สาวหวานแสนเรียบร้อยสุดท้ายสาวใดจะสามารถพิชิตใจเชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์ได้สำเร็จ\n=ตัวละคร=",
"title": "สูตรรักชุลมุน"
}
] |
4060 | สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มต้นเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "276879#0",
"text": "พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสที่กรุงรัตนโกสินทร์จะมีอายุ บรรจบครบ 200 ปี เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2525 ซึ่งรัฐบาลสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า ในปีพ.ศ. 2525 กรุงรัตนโกสินทร์จะมีอายุได้ 200 ปี นับเป็นมหามงคลสมัยแสดงถึงความมั่นคงของบ้านเมือง ได้ผ่านพ้นภัยพิบัติต่างๆ มาโดยสวัสดี มีความร่มเย็นเป็นสุขด้วยพระบารมีของพระผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ผู้สืบราชสันตติวงศ์ทุกรัชกาลโดยลำดับ รัฐบาลและปวงชนชาวไทยจึงมีความปีติยินดี พร้อมกันแสดงความกตเวทิตาคุณ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อ พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ และบรรพชนไทยที่จรรโลงชาติให้มีความรุ่งเรืองสันติสุขสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้",
"title": "พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี"
},
{
"docid": "74022#0",
"text": "รัตนโกสินทรศก ตัวย่อ ร.ศ. (อังกฤษ: Rattanakosin era) คือ รูปแบบของศักราชบอกปีชนิดหนึ่ง ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่ปีที่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นปีแรก รัตนโกสินทรศกเริ่มมีการใช้ครั้งแรกเมื่อจุลศักราช 1250 (พ.ศ. 2324) และวันเริ่มต้นปีคือวันที่ 1 เมษายน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้เป็นวันขึ้นปีใหม่และประกาศใช้รัตนโกสินทรศกอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นประโยชน์และสะดวกในการใช้พุทธศักราชอ้างอิงประวัติศาสตร์ จึงได้มีการยกเลิกการใช้งานรัตนโกสินทรศกตามประกาศเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 131 (พ.ศ. 2455) โดยหนังสือราชการทั้งหมดได้เปลี่ยนมาใช้พุทธศักราชแทนที่",
"title": "รัตนโกสินทรศก"
},
{
"docid": "16485#0",
"text": "ราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์ \nเป็นราชอาณาจักรที่สี่ในยุคประวัติศาสตร์ของไทย เริ่มตั้งแต่การย้ายเมืองหลวงจากฝั่งกรุงธนบุรี มายังกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325",
"title": "อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)"
}
] | [
{
"docid": "10811#1",
"text": "สำหรับปีที่แต่งนั้นไม่ปรากฏหลักฐาน แต่บันทึกสืบต่อกันมา ว่าแต่งในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นแน่ เพราะท่านแต่งหนังสือในสมัยกรุงธนบุรีเพียงสองเรื่อง คือ ลิลิตเพชรมงกุฎ และ อิเหนาคำฉันท์ ระยะเวลานั้น อาจระบุถึงกว้างมาก คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 - 2348 แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่าน่าจะแต่งก่อน กากีคำกลอน ดังนั้น เวลาที่แต่งเรื่องนี้จึงอาจจะก่อน พ.ศ. 2348 สักระยะหนึ่ง",
"title": "สมบัติอมรินทร์คำกลอน"
},
{
"docid": "342810#8",
"text": "ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเหมือนกรุงศรีอยุธยาแห่งที่สอง มีการสร้างสถาปัตยกรรมที่สำคัญเลียนแบบกรุงศรีอยุธยา ส่วนบ้านพักอาศัย เรือนไทยที่คงเหลือจากสงครามก็ถูกถอดและนำประกอบใหม่",
"title": "สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์"
},
{
"docid": "142465#15",
"text": "สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในยุคแรก บ้านเมืองยังคงอยู่ในภาวะศึกสงคราม จึงมิได้สร้างพระเมรุมาศสูงใหญ่เทียบเท่าพระเมรุมาศสมัยกรุงศรีอยุธยา ระหว่างรัชกาลที่ 1 - 4 พระเมรุมาศเริ่มเป็นทรงปราสาท พระเมรุมาศองค์แรกที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์คือ พระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิถวายพระราชบิดาหลังจากบ้านเมืองสงบศึก โดยทรงอนุสรณ์คำนึงว่า พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ในระหว่างภาวะสงครามโดยมิได้ประทับร่วมกัน และเพื่อสนองพระคุณ จึงมีพระราชดำริจะบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย และยังมีการจัดงานพระศพเจ้านายสำคัญหลายพระองค์คือ งานพระศพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ส่วนการพระราชพิธีในงาน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยึดหลักอย่างประเพณีอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เพื่อฟื้นฟูประเพณีให้กลับรุ่งเรืองสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชนและเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมือง และยังมีการประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นคือ การประดิษฐ์เกรินบันไดนาค สำหรับเชิญพระโกศ คิดค้นโดยเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี",
"title": "พระเมรุมาศ"
},
{
"docid": "16485#29",
"text": "มรดกเริ่มต้นที่พระองค์ทรงได้รับจากพระเชษฐา คือ ปัญหาชนิดที่กลายมาเรื้อรังในรัชกาลที่ 6 ปัญหาเร่งด่วนที่สุด คือ เศรษฐกิจ การเงินของรัฐอยู่ในความยุ่งเหยิง งบประมาณติดลบอย่างหนัก และบัญชีของพระมหากษัตริย์เต็มไปด้วยหนี้สินและธุรกรรมที่น่าสงสัย และการที่ประเทศที่เหลือในโลกต่างประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็มิได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น",
"title": "อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)"
},
{
"docid": "16485#34",
"text": "อาณาจักรรัตนโกสินทร์ยังคงใช้ระบบไพร่ตามอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรธนบุรี แต่พบว่าจำนวนประชากรในอาณาจักรเพิ่มมากขึ้น ระยะเวลาการเกณฑ์แรงงานไพร่จึงลดลงเหลือ 4 เดือนต่อปี และ 3 เดือนต่อปีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทั้งนี้ ทางการได้หันไปจ้างแรงงานกุลีจากจีนมาทำงานมากกว่าการใช้ไพร่เนื่องจากมีประสิทธิภาพดีกว่า ระบบไพร่จึงมีความสำคัญน้อยลงจนกระทั่งถูกยกเลิกไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว",
"title": "อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)"
},
{
"docid": "17648#2",
"text": "การติดต่อกับต่างประเทศในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มตั้งแต่มีพระราชไมตรีทางการค้ากับประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2367 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพวกมิชชันนารีจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในประเทศไทย คนไทยเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษ ศึกษาวิทยาการต่าง ๆ โดยเฉพาะพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ กลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ และกลุ่มข้าราชการก็ศึกษาวิชาการต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นสังคมไทยบางกลุ่มจึงได้มีค่านิยมโลกทัศน์ตามวิทยาการตะวันตก",
"title": "ความเคลื่อนไหวสู่การปฏิวัติสยาม"
},
{
"docid": "342810#14",
"text": "ส่วนคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือสมัยก่อนเรียก เฟอร์โรคอนกรีต (Ferroconcrete) เข้ามายังประเทศไทยในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411-2453) โดยช่วงแรกที่เริ่มใช้ก่อสร้างโครงสร้างด้วยวัสดุนี้ มักใช้กับเสา คาน และพื้นชั้นล่าง ส่วนพื้นชั้นบนยังคงใช้ตง และพื้นไม้อยู่ รูปทรงอาคารจึงยังไม่แตกต่างจากอาคารที่ใช้ระบบผนังรับน้ำหนักมากนัก ต่อมาช่างมีความชำนาญจึงได้เปลี่ยนรูปแบบใช้สอยให้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น ใช้เป็นหลังคายอดโดม ผนังโค้ง หรือกันสาด ฯ ทำให้โครงสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 มีรูปทรงที่ซับซ้อนขึ้น",
"title": "สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์"
},
{
"docid": "342810#0",
"text": "สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ คือสถาปัตยกรรมในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลปัจจุบัน) เป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลจากจากตะวันตก วิชาชีพสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มเป็นที่รู้จัก และถือได้ว่าการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมแผนใหม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งสถาบันการศึกษาสถาปัตยกรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2476 โดยอาจารย์นารถ โพธิประสาท และการก่อตั้งสมาคมสถาปนิกสยามฯ ในปี พ.ศ. 2477",
"title": "สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์"
}
] |
4073 | รถไฟแบบ Maglev ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "146009#63",
"text": "maglev แรกใช้การลอยด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าที่เปิดให้บริการประชาชนเป็น HML-03, ทำโดย Hyundai Heavy Industries สำหรับแทจอน Expo ในปี 1993, หลังจากห้าปีของการวิจัยและการผลิตสองต้นแบบ, HML-01 และ HML-02. การวิจัยสำหรับ maglev เมืองโดยใช้การลอยแม่เหล็กไฟฟ้าเริ่มต้นในปี 1994 โดยรัฐบาล. maglev เมืองสายแรกที่เปิดให้ประชาชนเป็น UTM-02 ใน Daejeon เมื่อวันที่ 21 เมษายนปี 2008 หลังจาก 14 ปีของการพัฒนาและการสร้างต้นแบบหนึ่งแบบ; UTM-01. maglev เมืองวิ่งบน รางยาว 1 กิโลเมตร (0.62 ไมล์) ระหว่าง Expo Park กับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ. ในขณะที่ UTM-02 สร้างข้อสังเกตด้านนวัตกรรมโดยการดำเนินการจำลอง maglev เป็นครั้งแรกของโลก. แต่อย่างไรก็ตาม UTM-02 ยังคงเป็นเครื่องต้นแบบที่สองของรุ่นสุดท้าย. รูปแบบ UTM สุดท้ายของ maglev เมืองของ Rotem, UTM-03, มีกำหนดจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2014 ในเกาะ Yeongjong ของอินชอนที่สนามบินนานาชาติอินชอนตั้งอยู่.",
"title": "แม็กเลฟ"
},
{
"docid": "146009#4",
"text": "ปลายปี 1940s, วิศวกรไฟฟ้าขาวอังกฤษ เอริค Laithwaite, ศาสตราจารย์ที่อิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน, ได้พัฒนารูปแบบการทำงานแบบเต็มขนาดเครื่องแรกของมอเตอร์เหนี่ยวนำแนวราบ. เขาก็กลายเป็นศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าหนักที่วิทยาลัยอิมพีเรียลในปี 1964, ซึ่งเขายังคงพัฒนาต่อเนื่องเพื่อความสำเร็จของมอเตอร์แนวราบ. เนื่องจากมอเตอร์เชิงเส้นไม่จำเป็นต้องมีการติดต่อทางกายภาพระหว่างตัวรถและรางนำทาง (), มันกลายเป็นรูปแบบทั่วไปของระบบการขนส่งขั้นสูงมากที่ได้รับการพัฒนาในปี 1960s และ 70s. ตัวของ Laithwaite เองได้เข้าร่วมการพัฒนาหนึ่งในโครงการดังกล่าว, ยานโฮเวอร์คราฟท์ที่วิ่งบนราง () แต่เงินทุนสำหรับโครงการนี้ถูกยกเลิกในปี 1973",
"title": "แม็กเลฟ"
}
] | [
{
"docid": "145468#11",
"text": "นอกจากนั้น ตั้งแต่ปี 1970 ญี่ปุ่นยังได้พัฒนาชุโอะ ชิงกันเซ็ง ซึ่งเป็นรถไฟพลังแม่เหล็ก (แม็กเลฟ) ที่พัฒนามาจากรถไฟความเร็วสูงพลังแม่เหล็ก (Maglev) ของเยอรมนี โดยกำหนดว่าจะวิ่งจากโตเกียวไปยังโอซากะ ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2003 รถไฟพลังแม่เหล็กขนาดสามตู้รถไฟ ชื่อ JR-Maglev MLX01",
"title": "ชิงกันเซ็ง"
},
{
"docid": "146009#1",
"text": "รถไฟ Maglev ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับแรงดึงและแรงเสียดทานที่เกิดจากรางวิ่งหมายความว่าความเร่งและความหน่วงของมันมีมากกว่าพาหนะที่ใช้ล้อและมันจะไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ. พลังงานที่จำเป็นสำหรับการยกตัวโดยทั่วไปมักจะมีจำนวนเปอร์เซ็นต์ไม่มากเมื่อเทียบกับการใช้พลังงานโดยรวม; พลังงานส่วนใหญ่ถูกใช้ไปในการเอาชนะแรงต้านของอากาศ (drag ในทางฟิสิกส์), เช่นเดียวกับรูปแบบของการขนส่งความเร็วสูงอื่นๆ. ถึงแม้ว่าการขนส่งที่ใช้ล้อธรรมดาก็สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วมากก็ตาม, แต่ระบบ maglev สามารถใช้ความเร็วที่สูงกว่าได้เป็นประจำในขณะที่รถไฟธรรมดาไม่สามารถทำได้, และมันเป็นประเภทนี้เองที่เป็นระบบที่ได้รับการบันทึกความเร็วสำหรับการขนส่งทางรถไฟ. ระบบรถไฟหลอดสูญญากาศยังเป็นข้อสันนิษฐานที่อาจทำให้ maglev สัมฤทธิ์ผลด้านความเร็วในขนาดที่แตกต่างกัน. ในขณะที่ยังไม่มีรางวิ่งดังกล่าวในหลอดสูญญากาศที่ได้รับการสร้างขึ้นในเชิงพาณิชย์, มีความพยายามเป็นจำนวนมากที่จะศึกษาและพัฒนารถไฟแบบ \"ซุปเปอร์ maglev\". \nเมื่อเทียบกับรถไฟแบบใช้ล้อธรรมดา, ความแตกต่างในการก่อสร้างส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของรถไฟ maglev. ในรถไฟล้อที่ความเร็วสูงมาก, การสึกหรอและการฉีกขาดจากแรงเสียดทานตลอดจนแรงกระแทกจากล้อลงบนรางจะช่วยเร่งการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์และป้องกันระบบรถไฟที่ต้องขึ้นอยู่กับกลไกต่างๆไม่ให้บรรลุความเร็วสูงๆได้อย่างสม่ำเสมอ. ตรงกันข้ามรางวิ่งของ maglev ในอดีตพบว่าจะมีราคาแพงมากกว่าในการสร้าง แต่ต้องการการบำรุงรักษาน้อยลงและมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องที่ต่ำกว่า.",
"title": "แม็กเลฟ"
},
{
"docid": "146009#8",
"text": "Transrapid 05 เป็นรถไฟ maglev เครื่องแรกที่มีการขับเคลื่อนแบบ longstator ที่ได้รับใบอนุญาตสำหรับการขนส่งผู้โดยสาร. ในปี 1979, ราง 908 เมตรถูกเปิดใช้ในฮัมบูร์กสำหรับนิทรรศการครั้งแรกของการขนส่งระหว่างประเทศ (IVA 79). มีความสนใจอย่างมากว่าการดำเนินงานจะต้องมีการขยายออกไปสามเดือนหลังจากเสร็จสิ้นการจัดแสดงนิทรรศการ, ได้ทำการขนส่งผู้โดยสารมากกว่า 50,000 คน. มันได้รับการประกอบขึ้นใหม่ในเมืองคาสเซิลในปี 1980.\n \nระบบ maglev อัตโนมัติในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของโลกเป็นรถรับส่ง maglev ความเร็วต่ำที่วิ่งจากสนามบินของสนามบินนานาชาติเบอร์มิงแฮมไปยังสถานีรถไฟเบอร์มิงแฮมระหว่างประเทศที่อยู่ใกล้กันระหว่างปี 1984 และปี 1995. ความยาวของรางวิ่งเป็น 600 เมตร (2,000 ฟุต) และรถไฟ \"บิน\" ที่ระดับความสูง 15 มิลลิเมตร (0.59 นิ้ว), ยกตัวโดยแม่เหล็กไฟฟ้า, และขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เหนี่ยวนำแนวราบ. มันทำงานอยู่เกือบสิบเอ็ดปี, แต่ปัญหาเสื่อมสภาพกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ทำให้มันไม่น่าเชื่อถือในปีต่อมา. หนึ่งในตัวเครื่องดั้งเดิมปัจจุบันแสดงอยู่ที่ Railworld ในเมือง Peterborough ร่วมกับ Research Test Vehicle RTV31 ยานพาหนะรถไฟที่ลอยได้. อีกเครื่องหนึ่งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งชาติในเมืองยอร์ก.",
"title": "แม็กเลฟ"
},
{
"docid": "146009#0",
"text": "รถไฟแบบ Maglev หรือ () เป็นระบบการขนส่งรูปแบบหนึ่งที่ใช้แรงยกตัวของแม่เหล็กไฟฟ้า ให้ตัวยานพาหนะลอยขึ้นเหนือรางวิ่งแทนการใช้ล้อ, เพลาหรือลูกปืนลดความเสียดทาน. อำนาจแม่เหล็กจะยกยานพาหนะลอยขึ้นเหนือรางเพียงเล็กน้อยพร้อมกับสร้างแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและเงียบกว่าระบบขนส่งแบบด้วยล้อ. ความเร็วของรถไฟพลังแม่เหล็กที่ถือว่าเป็นสถิติโลกอยู่ที่ 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยรถไฟญี่ปุ่น ทำลายสถิติโลกที่รถไฟ เตเฌเว หรือ TGV ของฝรั่งเศสแบบใช้ล้อลงด้วยความเร็วที่มากกว่ากันอยู่ 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง",
"title": "แม็กเลฟ"
},
{
"docid": "146009#58",
"text": "ในเดือนมกราคมปี 2001, จีนได้ลงนามในข้อตกลงกับกลุ่มบริษ้ท maglev Transrapid ของเยอรมันในการสร้างสาย maglev ความเร็วสูงแบบ EMS เพื่อเชื่อมสนามบินนานาชาติผู่ตงกับสถานีเมโทรถนน Longyang บนขอบด้านตะวันออกของนครเซี่ยงไฮ้. รถไฟ Maglev เซี่ยงไฮ้ () สายสาธิตนี้, หรือส่วนการดำเนินงานเริ่มต้น (IOS), ได้อยู่ในการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เมษายน 2004 และตอนนี้ทำงาน 115 เที่ยวต่อวัน (เพิ่มขึ้นจาก 110 เที่ยวต่อวันในปี 2010) ด้วยระยะทาง 30 กิโลเมตร (19 ไมล์) ระหว่างสองสถานีในเวลาเพียง 7 นาทีที่ความเร็วสูงสุด 431 กิโลเมตร/ชั่วโมง (268 ไมล์ต่อชั่วโมง) เฉลี่ย 266 กิโลเมตร/ชั่วโมง (165 ไมล์ต่อชั่วโมง). ในการทดสอบระบบเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2003, maglev เซี่ยงไฮ้ประสบความสำเร็จที่ความเร็วของ 501 กิโลเมตร/ชั่วโมง (311 ไมล์ต่อชั่วโมง), ซึ่งเป็นความเร็วที่ถูกออกแบบมาสำหรับเส้นทางระหว่างเมืองที่ยาวกว่า. ไม่เหมือนเทคโนโลยีเก่าของ maglev เบอร์มิงแฮม, maglev เซี่ยงไฮ้เร็วกว่ามากและมาถึงตามเวลา - อย่างที่สอง - ความน่าเชื่อถือก็สูงกว่า 99.97%",
"title": "แม็กเลฟ"
},
{
"docid": "487160#10",
"text": "ในรถรางเดี่ยวที่ทันสมัยขึ้นอาจใช้สนามแม่เหล็กยกรถให้ลอยเหนือราวแล้วผลักให้วิ่งไป เรียกว่ารถไฟพลังแม่เหล็กหรือแมกเลฟ (MAGLEV) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นระบบรางที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก โดย JR-Maglev ของญี่ปุ่นเป็นเจ้าของสถิติอยู่ที่ 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ราวเกาะสำหรับรถไฟแมกเลฟอาจจะกว้างมากจนไม่อาจเรียกว่าราวเกาะแบบรางเดี่ยวก็ได้ นอกจากนี้รถไฟพลังแม่เหล็กที่มีความเร็วต่ำกว่านี้มักจะถูกใช้ในเมืองเป็นหลักเช่น Linimo ของญี่ปุ่นโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล",
"title": "รางเดี่ยว"
},
{
"docid": "146009#40",
"text": "พลังงานสำหรับรถไฟ maglev ถูกนำมาใช้ในการเร่งความเร็ว, และอาจจะได้รับคืนมาเมื่อรถไฟวิ่งช้าลง (\"การผลิตขึ้นใหม่จากการเบรก\") (). นอกจากนี้ มันยังถูกใช้เพื่อยกขบวนรถไฟให้ลอยและทำให้การเคลื่อนไหวของรถไฟมีเสถียรภาพ. ส่วนหลักของพลังงานเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อใช้บังคับให้ขบวนรถวิ่งผ่านอากาศ (\"air drag\"). นอกจากนี้ยังมีพลังงานบางส่วนที่ใช้สำหรับเครื่องปรับอากาศ, เครื่องให้ความร้อน, แสงสว่างและระบบอื่นๆอีกจิปาถะ.",
"title": "แม็กเลฟ"
},
{
"docid": "146009#38",
"text": "บางระบบ (โดยเฉพาะระบบ Swissmetro) นำเสนอการใช้เทคโนโลยีรถไฟ maglev แบบ vactrains ที่ใช้ในท่อ(สุญญากาศ)การอพยพ, ซึ่งจะลบล้างแรงลากจากอากาศ (). ระบบนี้มีศักยภาพที่จะเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพอย่างมาก, เพราะส่วนใหญ่ของพลังงานสำหรับรถไฟ maglev ธรรมดามีการสูญเสียให้กับแรงต้านอากาศพลศาสตร์.",
"title": "แม็กเลฟ"
},
{
"docid": "146009#21",
"text": "คำว่า \"maglev\" ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงต้วรถเท่านั้น, แต่หมายถึงระบบรางด้วย, ที่ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับการยกตัวและการขับเคลื่อนด้วยแรงแม่เหล็ก. ทุกการใช้งานการดำเนินงานของเทคโนโลยี maglev ได้มีการซ้อนทับกันน้อยที่สุดกับเทคโนโลยีรถไฟแบบมีล้อและยังไม่เข้ากันได้กับรางรถไฟธรรมดา. เนื่องจากพวกมันไม่สามารถแชร์โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว, ระบบ maglev เหล่านี้จะต้องได้รับการออกแบบเป็นระบบการขนส่งที่สมบูรณ์. ระบบ maglev แบบ SPM ที่มีการลอยตัวแบบประยุกต์สามารถใช้ร่วมกันได้กับรางเหล็กและจะยอมให้ยานพาหนะ maglev และรถไฟธรรมดาสามารถดำเนินการได้ในเวลาเดียวกัน, ทางด้านขวาของทางเดียวกัน. บริษัท MAN ในเยอรมนียังออกแบบระบบ maglev ที่ทำงานกับรางรถไฟธรรมดา, แต่มันก็ไม่เคยได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่.",
"title": "แม็กเลฟ"
}
] |
4078 | กฎหมายตราสามดวงถูกใช้ครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "103362#0",
"text": "กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ 1 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่าที่มีมาแต่ครั้งโบราณ แล้วรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อจุลศักราช 1166 ตรงกับ พ.ศ. 2347 โปรดให้เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง”\nให้อาลักษณ์ชุบเส้นหมึกสามชุด แต่ละชุดประทับตรา 3 ดวง คือ ตราพระราชสีห์ (สำหรับตำแหน่งสมุหนายก) 1 ตราพระคชสีห์ (สำหรับตำแหน่งสมุหพระกลาโหม) 1 และตราบัวแก้ว (สำหรับตำแหน่งโกษาธิบดี หมายถึงพระคลัง ซึ่งดูแลรวมทั้งกิจการด้านต่างประเทศ) ไว้ทุกเล่มเก็บไว้ ณ ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหนึ่ง และศาลหลวงอีกชุดหนึ่ง",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
}
] | [
{
"docid": "6835#5",
"text": "ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตราสำคัญในราชการไทยมีสามดวง คือตราพระคชสีห์สำหรับสมุหพระกลาโหม ซึ่งใช้ในราชการด้านการทหารทั่วไป ตราพระราชสีห์สำหรับสมุหนายก ใช้ในราชการด้านมหาดไทย และตราบัวแก้วประจำตำแหน่งพระคลัง กฎหมายไทยที่เรียกว่า \"กฎหมายตราสามดวง\" ก็เป็นเพราะมีการประทับตราทั้งสามดวงนี้ ซึ่งมีตราบัวแก้วรวมอยู่ด้วยดวงหนึ่ง",
"title": "กระทรวงการต่างประเทศ (ประเทศไทย)"
},
{
"docid": "103362#2",
"text": "กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในระยะแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่เมื่อครั้ง กรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยความจำ และการคัดลอกมาตามเอกสารที่หลงเหลือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยอาศัยมูลอำนาจอธิปไตยของ พระองค์เองบ้าง อาศัยหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน\nฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บ้างจนกระทั่งได้เกิดคดีขึ้นคดีหนึ่งและมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกา คดีที่เกิดขึ้นนี้แม้เป็นคดีฟ้องหย่าของชาวบ้านธรรมดา แต่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย ก็คือผลจากคดีนี้เป็นต้นเหตุให้นำมา ซึ่งการชำระสะสางกฎหมายในสมัยนั้น เป็นคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง\nทั้งๆ ที่ตนได้ทำชู้ กับ นายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
},
{
"docid": "103362#1",
"text": "กฎหมายตราสามดวงนี้ ได้ใช้อาลักษณ์หลายท่านเขียนขึ้น โดยแยกเป็น “ฉบับหลวง” และ “ฉบับรองทรง” โดยสันนิษฐานว่า สำหรับฉบับหลวง ชุดหนึ่งเป็นสมุดไทย 41 เล่ม เมื่อรวม 3 ชุด จึงมีทั้งสิ้น 123 เล่ม แต่เท่าที่พบ ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 79 เล่ม โดยเก็บไว้ที่กระทรวงยุติธรรม 37 เล่ม และที่หอสมุดแห่งชาติ 41 เล่ม ส่วนอีก 44 เล่ม ไม่ทราบว่าขาดหายไปด้วยประการใด ส่วน ฉบับรองทรง นั้น ก็คือ กฎหมายตราสามดวงที่อาลักษณ์ชุดเดียวกับที่เขียนฉบับหลวง ได้เขียนขึ้น โดยเขียนในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยฉบับหลวง เขียนในปีฉลู จ.ศ.1167 (พ.ศ. 2348) ส่วนฉบับรองทรงเขียนขึ้นในปีเถาะ จ.ศ. 1169 (พ.ศ. 2350) ข้อแตกต่างระหว่าง ฉบับหลวง และฉบับรองทรง ก็คือ ฉบับรองทรงจะไม่มีตราสามดวงประทับไว้ และฉบับหลวงจะมีอาลักษณ์สอบทาน 3 คนส่วนฉบับรองทรงมีอาลักษณ์สอบทานเพียง 2 คน สำหรับกฎหมายตราสามดวง ฉบับรองทรงนี้ ปัจจุบันนี้พบเพียง 18 เล่ม โดยเก็บรักษาไว้ที่ หอสมุดแห่งชาติ 17 เล่มและที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย สำนักงานอัยการสูงสุด 1 เล่ม",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
},
{
"docid": "8013#4",
"text": "ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมได้มีการตรากฎหมายวิธีสบัญญัติเกี่ยวกับพระธรรมนูญศาลยุติธรรมขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2165 ซึ่งในกฎหมายตราสามดวงเรียกกฎหมายดังกล่าวว่า “พระธรรมนูญ” จากกฎหมายฉบับนี้ทำให้ทราบได้ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรมเป็นต้นมา มีศาลที่พิจารณาอรรถคดีต่าง ๆ กัน 14 ประเภท ดังนี้ตามระบบการศาลสมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่าเมื่อมีคำพิพากษาของศาลแล้ว คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดเลย ไม่มีการฟ้องร้องระหว่างคู่ความเดิมในศาลชั้นสูงอีก ยกเว้นกรณีคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่าตระลาการ ผู้ถามความ ผู้ถือสำนวน พยานซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีของตนกระทำมิชอบหรือไม่ให้ความยุติธรรมแก่ตนก็อาจฟ้องร้องกล่าวหาตระลาการ ผู้ถามความ ผู้ถือสำนวน พยานนั้น ๆ ต่อศาลหลวง คดีในลักษณะเช่นนี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยานับว่าเป็นความอุทธรณ์ และศาลหลวงก็คือศาลอุทธรณ์ในสมัยนั้น ส่วนศาลฎีกานั้นยังไม่มี แต่อาจมีราษฎรทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์บ้าง\nเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีนั้น แม้จะมีการชำระกฎหมายตราสามดวง แต่ระบบการศาลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยกรุงศรีอยุธยา",
"title": "ศาลชั้นต้น (ประเทศไทย)"
},
{
"docid": "190503#9",
"text": "บรรดากฎหมายเก่าที่มีคำว่า \"ตระลาการ\" นี้ แม้เมื่อสิ้นกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีแล้วก็ยังมีผลใช้บังคับต่อมา จนกระทั่งในสมัยรัตนโกสินทร์ ในจุลศักราช 1166 (พ.ศ. 2347-2348) ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการที่มีสติปัญญาจำนวนสิบเอ็ดนายเป็นคณะกรรมการชำระกฎหมายทั้งปวงที่มีอยู่ในหอหลวง แล้วให้อาลักษณ์จัดทำไว้เป็นสามฉบับประทำตราสามตรา ดังที่เรียกติดปากกันจนทุกวันนี้ว่า \"กฎหมายตราสามดวง\" กระนั้น คำว่า \"ตระลาการ\" ก็ยังปรากฏอยู่",
"title": "ข้าราชการฝ่ายตุลาการ (ประเทศไทย)"
},
{
"docid": "853774#3",
"text": "พัฒนาการของกฎหมายปกครองในประเทศไทย เริ่มต้นในสมัยกรุงสุโขทัย(พ.ศ.1781-1893) ไม่มีกฎเกณฑ์และกฎหมายเนื่องจากมีประชากรน้อย มีขนาดเล็กจึงใช้หลักการปกครองแบบบิดากับบุตร ด้านกฎหมายได้นำเอา\"หลักพระธรรมศาสตร์\"มาใช้กับ\"หลักพระราชศาสตร์\" กฎหมายที่ค้นพบในสมัยกรุงสุโขทัย ได้แก่กฎหมายเกี่ยวกับภาษี กฎหมายเกี่ยวกบการจับจองทรัพย์สิน กฎหมายเกี่ยวกับมรดก เป็นต้น ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาในสมัยของพระเจ้าอู่ทอง(พ.ศ.1893-1912) ทีการตรากฎหมาย 8 ฉบับ กฎหมายฉบับหนึ่งคือ พระอัยการอาญาหลวง พ.ศ.1895ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับลักษณะความผิดและโทษของข้าราชการที่กระทำผิดต่อหน้าที่และวินัย กฎหมายลักาณะพยาน กฎหมายลักษณะลักพา กฎหมายลักษณะผัวเมีย ในส่วนของสมัยกรุงธนบุรี(พ.ศ.2310-2325)มีระยะเวลาสั้นเพียง 15 ปีจึงไม่ปรากฏการปรับปรุงกฎหมาย ในส่วนสุดท้ายสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในปีพ.ศ.2348 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้มีการจัดหมวดหมู่และปรับปรุงงกฎหมายให้สอดคล้องกับความยุติธรรม พระราชกำหนด\nกฎหมายที่ชำระสะสางเสร็จแล้วนี้เรียกกันว่า\"กฎหมายตราสามดวง\" จนกระทั่งในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปฎิรูปกฎหมายให้เป็นแบบตะวันตกเพื่อที่จะปรับปรุงสัมพันธ์กับปรเทศตะวันตก",
"title": "กฎหมายปกครองท้องถิ่น"
},
{
"docid": "23368#3",
"text": "ส่วนในประเทศไทย ปรากฏหลักฐานว่า ในกฎหมายตราสามดวงมีการบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งตุลาการโดยคู่ความ ซึ่งแตกต่างจากตุลาการที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และต่อมาในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ประกาศใช้ใน พ.ศ. 2477 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เรื่องอนุญาโตตุลาการในศาลและนอกศาลไว้ กับทั้งได้มีการตราพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 ขึ้นเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาล โดยมีการจัดตั้งสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม (Thai Arbitration Institute: TAI) ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2533",
"title": "อนุญาโตตุลาการ"
},
{
"docid": "346424#11",
"text": "หลังจากรัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ใน ร.ศ. 127 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2451 ก็ได้กฎหมายลักษณะอาญาเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของประเทศและประกาศใช้ในปีนั้นเอง ครั้นแล้ว ก็เริ่มร่างและประกาศใช้ประมวลกฎหมายฉบับที่สอง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบริบูรณ์ใน พ.ศ. 2477 อันเป็นช่วงหลังปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 แล้ว กินระยะเวลาตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายลักษณะอาญาจนถึงใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้พร้อมมูล มากกว่าสามสิบปี",
"title": "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ประเทศไทย)"
},
{
"docid": "287080#0",
"text": "ลูกครึ่ง หมายถึงลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นคนต่างชาติกัน คำว่าลูกครึ่งในประเทศไทย ไม่แน่ชัดว่าใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่ ไม่พบในกฎหมายตราสามดวง และคาดว่าคงเริ่มใช้หลังรัชกาลที่ 4 ในสมัยอยุธยา ลูกครึ่งเกิดจากพ่อค้าฝรั่งในเมืองไทย และที่อพยพมาจากต่างประเทศ มีลูกหลานที่เป็นไพร่ในกรม เช่น กรมฝรั่งแม่นปืน เป็นต้น คนไทยสมัยนั้นไม่รู้สึกว่าลูกครึ่งแตกต่างจากไพร่ฟ้าทั่วไป จึงยังไม่เรียกคนเหล่านั้นว่าลูกครึ่ง จนเมื่อลูกครึ่งฝรั่งมีความแตกต่างขึ้นมา คือไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน หรือไม่ใช่ไพร่เพราะมีกฎหมายฝรั่งคุ้มครองตามสิทธิสภาพนอกอาณาเขต อีกทั้งยังแต่งกายและมีวิถีชีวิตแบบฝรั่ง แต่จำนวนลูกครึ่งก็ยังมีไม่มากนัก มีลูกครึ่งฝรั่งที่มีบันทึกในอัตชีวประวัติที่ชื่อ เออิจิอะไร ตีพิมพ์เป็นหนังสือ",
"title": "ลูกครึ่ง"
}
] |
4080 | กฎหมายตราสามดวงถูกใช้เมื่อไหร่? | [
{
"docid": "103362#0",
"text": "กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ 1 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่าที่มีมาแต่ครั้งโบราณ แล้วรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อจุลศักราช 1166 ตรงกับ พ.ศ. 2347 โปรดให้เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง”\nให้อาลักษณ์ชุบเส้นหมึกสามชุด แต่ละชุดประทับตรา 3 ดวง คือ ตราพระราชสีห์ (สำหรับตำแหน่งสมุหนายก) 1 ตราพระคชสีห์ (สำหรับตำแหน่งสมุหพระกลาโหม) 1 และตราบัวแก้ว (สำหรับตำแหน่งโกษาธิบดี หมายถึงพระคลัง ซึ่งดูแลรวมทั้งกิจการด้านต่างประเทศ) ไว้ทุกเล่มเก็บไว้ ณ ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหนึ่ง และศาลหลวงอีกชุดหนึ่ง",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
},
{
"docid": "103362#5",
"text": "กฎหมายตราสามดวงได้เป็นกฎหมายหลักของประเทศที่ใช้บังคับมาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะเวลานานถึง 103 ปี จนกระทั่งมีการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลตามแบบประเทศมหาอำนาจยุโรป จึงได้เลิกใช้กฎหมายตราสามดวง",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
}
] | [
{
"docid": "103362#1",
"text": "กฎหมายตราสามดวงนี้ ได้ใช้อาลักษณ์หลายท่านเขียนขึ้น โดยแยกเป็น “ฉบับหลวง” และ “ฉบับรองทรง” โดยสันนิษฐานว่า สำหรับฉบับหลวง ชุดหนึ่งเป็นสมุดไทย 41 เล่ม เมื่อรวม 3 ชุด จึงมีทั้งสิ้น 123 เล่ม แต่เท่าที่พบ ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 79 เล่ม โดยเก็บไว้ที่กระทรวงยุติธรรม 37 เล่ม และที่หอสมุดแห่งชาติ 41 เล่ม ส่วนอีก 44 เล่ม ไม่ทราบว่าขาดหายไปด้วยประการใด ส่วน ฉบับรองทรง นั้น ก็คือ กฎหมายตราสามดวงที่อาลักษณ์ชุดเดียวกับที่เขียนฉบับหลวง ได้เขียนขึ้น โดยเขียนในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยฉบับหลวง เขียนในปีฉลู จ.ศ.1167 (พ.ศ. 2348) ส่วนฉบับรองทรงเขียนขึ้นในปีเถาะ จ.ศ. 1169 (พ.ศ. 2350) ข้อแตกต่างระหว่าง ฉบับหลวง และฉบับรองทรง ก็คือ ฉบับรองทรงจะไม่มีตราสามดวงประทับไว้ และฉบับหลวงจะมีอาลักษณ์สอบทาน 3 คนส่วนฉบับรองทรงมีอาลักษณ์สอบทานเพียง 2 คน สำหรับกฎหมายตราสามดวง ฉบับรองทรงนี้ ปัจจุบันนี้พบเพียง 18 เล่ม โดยเก็บรักษาไว้ที่ หอสมุดแห่งชาติ 17 เล่มและที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย สำนักงานอัยการสูงสุด 1 เล่ม",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
},
{
"docid": "346424#10",
"text": "เมื่อเล็งเห็นว่า การร่างประมวลกฎหมายดังตั้งความประสงค์ไว้นี้ จักต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนาน เพื่อจัดการกับสถานการณ์ระหว่างนั้น รัฐบาลสยามก็ตรากฎหมายเป็นเรื่อง ๆ เพื่อใช้แทนกฎหมายตราสามดวงในส่วนที่ไม่เหมาะสม จนกว่างานจัดทำประมวลกฎหมายจะแล้วสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับกฎหมายวิธีสบัญญัติ ในกฎหมายตราสามดวงนั้น ได้ถูกแทนที่โดย พระราชบัญญัติลักษณะพยาน รัตนโกสินทรศก 113, พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความมีโทษสำหรับใช้ไปพลางก่อน รัตนโกสินทร์ศก 115, พระราชบัญญัติกระบวนพิจารณาความแพ่ง รัตนโกสินทรศก 115 และ พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พุทธศักราช 2477 ตามลำดับ",
"title": "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ประเทศไทย)"
},
{
"docid": "103362#2",
"text": "กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในระยะแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่เมื่อครั้ง กรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยความจำ และการคัดลอกมาตามเอกสารที่หลงเหลือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยอาศัยมูลอำนาจอธิปไตยของ พระองค์เองบ้าง อาศัยหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน\nฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บ้างจนกระทั่งได้เกิดคดีขึ้นคดีหนึ่งและมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกา คดีที่เกิดขึ้นนี้แม้เป็นคดีฟ้องหย่าของชาวบ้านธรรมดา แต่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย ก็คือผลจากคดีนี้เป็นต้นเหตุให้นำมา ซึ่งการชำระสะสางกฎหมายในสมัยนั้น เป็นคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง\nทั้งๆ ที่ตนได้ทำชู้ กับ นายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
},
{
"docid": "6835#5",
"text": "ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตราสำคัญในราชการไทยมีสามดวง คือตราพระคชสีห์สำหรับสมุหพระกลาโหม ซึ่งใช้ในราชการด้านการทหารทั่วไป ตราพระราชสีห์สำหรับสมุหนายก ใช้ในราชการด้านมหาดไทย และตราบัวแก้วประจำตำแหน่งพระคลัง กฎหมายไทยที่เรียกว่า \"กฎหมายตราสามดวง\" ก็เป็นเพราะมีการประทับตราทั้งสามดวงนี้ ซึ่งมีตราบัวแก้วรวมอยู่ด้วยดวงหนึ่ง",
"title": "กระทรวงการต่างประเทศ (ประเทศไทย)"
},
{
"docid": "286257#4",
"text": "ในการร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้น คณะกรรมการร่างได้รับเอาหลักการว่าด้วยคุณธรรมของมนุษย์หลายเรื่องจากกฎหมายตราสามดวงมาโดยตรงทีเดียว ซึ่งไม่ปรากฏในกฎหมายของชาติใดอีกแล้ว อันรวมถึงเรื่องคดีอุทลุมด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว, ลักษณะ 2 บิดามารดากับบุตร, หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร ที่ยังใช้บังคับอยู่จนปัจจุบัน ห้ามผู้สืบสันดาน () ฟ้องบุพการี () ของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยบัญญัติว่า",
"title": "อุทลุม"
},
{
"docid": "103362#4",
"text": "ในคดีนี้แม้จะทรงเห็นว่าคำตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม อันอาจเนื่องมาจากการคัดลอกกฎหมายมาผิด ก็ชอบที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายให้กลับไปสู่ความถูกต้องเหมือนการสังคายนาพระไตรปิฎก ดังพระราชปรารภที่ว่า “ให้กรรมการชำระพระราชกำหนดบทพระอายการ อันมีอยู่ในหอหลวง ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์ไปให้ถูกถ้วน ตามบาฬีและเนื้อความ มิให้ผิดเพี้ยนซ้ำกัน ได้จัดเป็นหมวด เป็นเหล่าเข้าไว้ แล้วทรงอุตสาห ทรงชำระดัดแปลง ซึ่งบทอันวิปลาดนั้นให้ชอบโดยยุติธรรมไว้”จากอดีตจนถึงปัจจุบัน กฎหมายตราสามดวงได้เคยถูกพิมพ์เผยแพร่มาแล้วอย่างน้อย 10 ครั้งดังนี้",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
},
{
"docid": "103362#3",
"text": "เมื่อผลของคดีเป็นเช่นนี้ นายบุญศรีจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายฎีกา ต่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเห็นด้วยกับฎีกาว่าคำพิพากษาของศาลนั้น\nขัดหลักความยุติธรรม ทรงสงสัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีจะถูกต้องตรงตามตัวฉบับกฎหมายหรือไม่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เทียบกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ศาลใช้กับฉบับที่หอหลวงและที่ห้องเครื่อง แต่ก็ปรากฏ ข้อความที่ตรงกัน เมื่อเป็นดังนี้ จึงมีพระราชดำริว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสม อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการคัดลอก\nสมควรที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายใหม่ เหมือนการสังคายนา พระไตรปิฎกจากคดีอำแดงป้อมดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงให้เห็นหลักกฎหมายสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ว่าแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติตามไม่มีพระราชอำนาจที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎหมาย ตามอำเภอใจ",
"title": "กฎหมายตราสามดวง"
},
{
"docid": "23368#3",
"text": "ส่วนในประเทศไทย ปรากฏหลักฐานว่า ในกฎหมายตราสามดวงมีการบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งตุลาการโดยคู่ความ ซึ่งแตกต่างจากตุลาการที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และต่อมาในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ประกาศใช้ใน พ.ศ. 2477 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เรื่องอนุญาโตตุลาการในศาลและนอกศาลไว้ กับทั้งได้มีการตราพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 ขึ้นเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาล โดยมีการจัดตั้งสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม (Thai Arbitration Institute: TAI) ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2533",
"title": "อนุญาโตตุลาการ"
}
] |
4085 | นิวตรอนถูกค้นพบเมื่อไหร่? | [
{
"docid": "13986#8",
"text": "นิวตรอนถูกค้นพบโดย เซอร์ เจมส์ แชดวิก (Sir James Chadwick) ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ในปี ค.ศ. 1932 โดยแชดวิกได้ทำการทดลองโดยการยิงอนุภาคแอลฟาจากพอโลเนียมใส่แผ่นโบรอนบาง ๆ และรองรับอนุภาคด้วยเครื่องตรวจจับที่บรรจุแก๊สไนโตรเจนไว้ภายใน พบว่ามีอนุภาคหนึ่งหลุดมาและเป็นกลางทางไฟฟ้า จึงตั้งชื่อให้ว่า \"นิวตรอน\" โดยการทดลองของทอมสันและโกลด์สตีนที่ใช้หลอดรังสีแคโทดไม่สามารถตรวจพบนิวตรอนได้ เพราะนิวตรอนไม่มีปฏิกิริยากับขั้วแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ในการทดลอง",
"title": "นิวตรอน"
},
{
"docid": "109379#19",
"text": "นิวตรอนถูกค้นพบในปี 1932. แนวคิดของปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ถูกสร้างขึ้นโดยนิวตรอนเป็นสื่อกลาง, ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ฮังการี Leó Szilárd, ในปี 1933. เขายื่นจดสิทธิบัตรสำหรับความคิดของเขาในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ง่ายในปีต่อมาขณะที่เขาทำงานที่กระทรวงทหารเรือในกรุงลอนดอน. อย่างไรก็ตามความคิด Szilárd ไม่ได้รวมความคิดของนิวเคลียร์ฟิชชั่นว่าเป็นแหล่งของนิวตรอน, เนื่องจากกระบวนการนั้นยังไม่ได้ถูกค้นพบ. ความคิดของ Szilárd สำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์โดยการใช้ปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ที่กำเนิดจากนิวตรอนเป็นสื่อกลางในองค์ประกอบเบาได้พิสูจน์แล้วว่าทำงานไม่ได้.",
"title": "เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์"
},
{
"docid": "13986#3",
"text": "นิวตรอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ ในทศวรรษหลังจากที่นิวตรอนที่ถูกค้นพบในปี 1932 นิวตรอนถูกนำมาใช้เพื่อให้เกิดการกลายพันธ์ของนิวเคลียส () ในหลายประเภท ด้วยการค้นพบของ นิวเคลียร์ฟิชชัน ในปี 1938 ทุกคนก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า ถ้าการฟิชชันสามารถผลิตนิวตรอนขึ้นมาได้ นิวตรอนแต่ละตัวเหล่านี้อาจก่อให้เกิดฟิชชันต่อไปได้อีกในกระบวนการต่อเนื่องที่เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ เหตุการณ์และการค้นพบเหล่านี้นำไปสู่เครื่องปฏิกรณ์ที่ยั่งยืนด้วยตนเองเป็นครั้งแรก (Chicago Pile-1, 1942) และอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรก (ทรินิตี้ 1945)",
"title": "นิวตรอน"
},
{
"docid": "6388#9",
"text": "ในปี 1932 เจมส์ แชดวิกค้นพบนิวตรอน ซึ่งได้รับการยอมรับในทันทีว่าเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสำหรับการทดลองนิวเคลียร์เพราะมันไม่มีประจุไฟฟ้า. การทดลองด้วยการระดมยิงวัสดุด้วยนิวตรอนทำให้ Frédéric และ Irène Joliot-Curie ได้ค้นพบกัมมันตภาพรังสีที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1934, ซึ่งยอมให้ทำการสร้างองค์ประกอบที่เหมือนเรเดียมด้วยราคาน้อยกว่าเรเดียมธรรมชาติ. งานต่อไปโดย Enrico Fermi ในปี 1930s เน้นการใช้นิวตรอนช้าในการเพิ่มประสิทธิภาพของกัมมันตภาพรังสีที่เกิด. การทดลองที่ระดมยิงยูเรเนียมด้วยนิวตรอนทำให้ Fermi เชื่อว่าเขาได้สร้างองค์ประกอบ transuranic ขึ้นใหม่ซึ่งได้รับการขนานนามว่า hesperium.",
"title": "พลังงานนิวเคลียร์"
},
{
"docid": "19858#0",
"text": "นิวเคลียส ของอะตอม () เป็นพื้นที่ขนาดเล็กที่หนาแน่นในใจกลางของอะตอม ประกอบด้วยโปรตอน และนิวตรอน (สำหรับอะตอมของไฮโดรเจนธรรมดา นิวเคลียสมีแต่โปรตอนเท่านั้น ไม่มีนิวตรอน) นิวเคลียสถูกค้นพบในปี 1911 โดยเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ที่ได้จาก'การทดลองฟอยล์สีทองของ Geiger-Marsden ในปี 1909'. หลังจากการค้นพบนิวตรอนในปี 1932 แบบจำลองของนิวเคลียสที่ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วโดย Dmitri Ivanenko และเวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก เกือบทั้งหมดของมวลของอะตอมตั้งอยู่ในนิวเคลียสกับอยู่ในขนาดที่เล็กมากของ'เมฆอิเล็กตรอน' โปรตอนและนิวตรอนจะหลอมรวมกันเพื่อก่อตัวขึ้นเป็นนิวเคลียสด้วยแรงนิวเคลียร์",
"title": "นิวเคลียสของอะตอม"
}
] | [
{
"docid": "13986#17",
"text": "เมื่ออยู่ในภาวะที่ความดันและอุณหภูมิสูง อนุภาคนิวคลีออน (โปรตอน+นิวตรอน) และกลูออน จะหลอมรวมเป็นอะตอมของธาตุนิวโตรเนียม (Nt) ธาตุที่เบากว่าไฮโดรเจนซึ่งยังไม่ถูกค้นพบ แต่เชื่อว่าอยู่ภายในดาวนิวตรอน ที่มีส่วนประกอบหลักเป็นนิวตรอน และอยู่ในภาวะที่ความดันสูงและร้อนจัดเหมาะที่จะเกิดการหลอมตัวดังกล่าวได้",
"title": "นิวตรอน"
},
{
"docid": "13986#18",
"text": "ปฏินิวตรอนถูกค้นพบโดย บรู๊ซ คอร์ก ในปี ค.ศ. 1956 หนึ่งปีหลังจากการค้นพบปฏิโปรตอน โดยมีมวลต่างกันเพียง 9±5×10 กรัมเท่านั้น ปฏินิวตรอนมีโครงสร้างคล้ายกับนิวตรอน เพียงแต่เปลี่ยนจากควาร์กเป็นปฏิควาร์กเท่านั้น",
"title": "นิวตรอน"
},
{
"docid": "429480#2",
"text": "หลักการของแรงนิวเคลียร์เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1934 ไม่นานหลังจากการค้นพบนิวตรอนซึ่งเผยให้เห็นว่า นิวเคลียสอะตอมประกอบขึ้นด้วยโปรตอนกับนิวตรอน ที่ยึดเหนี่ยวกันและกันเอาไว้ด้วยแรงดึงดูด เวลานั้นเชื่อกันว่าแรงนิวเคลียร์ถูกส่งผ่านด้วยอนุภาคที่เรียกว่า มีซอน ซึ่งเป็นอนุภาคที่ทำนายเอาไว้ในทฤษฎี ก่อนจะมีการค้นพบจริงในปี ค.ศ. 1947 ต่อมาในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 จึงมีความเข้าใจกันมากขึ้นว่า มีซอนเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของควาร์กและกลูออน ที่ส่งผ่านระหว่างนิวคลีออนโดยที่ตัวมันประกอบขึ้นจากควาร์กและกลูออน แบบจำลองใหม่นี้ทำให้อันตรกิริยาอย่างเข้มเป็นตัวยึดเหนี่ยวนิวคลีออนเอาไว้ด้วยกัน",
"title": "แรงนิวเคลียร์"
},
{
"docid": "809638#1",
"text": "นีแอนเดอร์ทาลถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1856 ที่ถ้ำเฟลด์โฮเฟอร์ในหุบเขาเนอันเดอร์ ใกล้เมืองดึสเซลดอร์ฟ ทางตอนเหนือของเยอรมนี โดยคนงานเหมืองขุดค้นพบกระดูกโบราณซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นหมี และได้ส่งกระดูกนั้นแก่นักธรรมชาติวิทยา โยฮันน์ คาร์ล ฟูลรอทท์ ฟูลรอทท์จึงได้ส่งต่อให้แก่นักกายวิภาควิทยา เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ จึงให้ชื่อว่า \"นีแอนเดอร์ทาล\" เพื่อเป็นเกียรติแก่หุบเขาเนอันเดอร์ สถานที่ที่ค้นพบ",
"title": "นีแอนเดอร์ทาล"
},
{
"docid": "119204#3",
"text": "มันมีการค้นพบต่อมาว่าโปรตอนและนิวตรอนไม่ใช่อนุภาคพื้นฐาน แต่ถูกสร้างขึ้นจากอนุภาคที่เป็นเนื้อแท้ที่เรียกว่าควาร์ก แรงดึงดูดที่แข็งแกร่งระหว่างนิวคลีออนด้วยกันเป็นผลข้างเคียงของแรงพื้นฐานที่ยึดเหนี่ยวควาร์กไว้ด้วยกันในตัวโปรตอนและตัวนิวตรอน ทฤษฎีควอนตัม chromodynamics อธิบายว่าควาร์กมีในสิ่งที่เรียกว่าประจุสี แม้ว่ามันจะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับสีที่มองเห็นได้ ควาร์กที่มีประจุสีต่างกันจะดึงดูดซึ่งกันและกันอันเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้รับการไกล่เกลี่ยโดยอนุภาคที่เรียกว่า กลูออน",
"title": "อันตรกิริยาอย่างเข้ม"
}
] |
4111 | เมืองหลวงของอิสราเอลคืออะไร? | [
{
"docid": "3835#0",
"text": "ประเทศอิสราเอล (; ; ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รัฐอิสราเอล (; ; ) เป็นประเทศในตะวันออกกลางบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายฝั่งเหนือของทะเลแดง มีเขตแดนทางบกติดต่อกับประเทศเลบานอนทางทิศเหนือ ประเทศซีเรียทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศจอร์แดนทางทิศตะวันออก ดินแดนเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ทางทิศตะวันออกและตะวันตกตามลำดับ และประเทศอียิปต์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศอิสราเอลมีภูมิลักษณ์หลากหลายแม้มีพื้นที่ค่อนข้างเล็ก เทลอาวีฟเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ ส่วนที่ตั้งรัฐบาลและเมืองหลวงตามประกาศคือ เยรูซาเลม แม้อำนาจอธิปไตยของรัฐเหนือเยรูซาเลมยังไม่มีการรับรองในระดับนานาประเทศ",
"title": "ประเทศอิสราเอล"
}
] | [
{
"docid": "541061#0",
"text": "อิสเมอิลีอา หรือ อัลอิสมะอิลียะห์ ( \"\"; }) เป็นเมืองทางตอนเหนือ-ตะวันออก ของประเทศอียิปต์ ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของคลองสุเอซ เป็นเมืองหลวงของเขตผู้ว่าราชการอิสเมอิลีอา เมืองมีประชากร (รวมบริเวณรอบเมือง) ราว 750,000 คน เมืองก่อตั้งในปี ค.ศ. 1863 ในระหว่างการก่อสร้างคลองสุเอซ",
"title": "อิสเมอิลีอา"
},
{
"docid": "3835#30",
"text": "ขณะเดียวกัน รัฐบาลเบกินจัดสิ่งจูงใจแก่ชาวอิสราเอลให้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์ ทำให้เพิ่มความตึงเครียดกับชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ มีการผ่านกฎหมายหลักพื้นฐาน เยรูซาเลม เมืองหลวงของอิสราเอล ในปี 1980 ซึ่งบางคนเชื่อว่ายืนยันการผนวกเยรูซาเลมของอิสราเอลในปี 1967 ด้วยกฤษฎีกาของรัฐบาล และจุดชนวนกรณีพิพาทระหว่างประเทศเหนือสถานภาพของนคร ไม่มีกฎหมายอิสราเอลฉบับใดนิยามดินแดนอิสราเอลและไม่มีรัฐบัญญัติใดเจาะจงรวมเยรูซาเลมตะวันออกในเยรูซาเลมด้วย จุดยืนของรัฐสมาชิกสหประชาชาติมีการสะท้อนในข้อมติหลายข้อมติซึ่งประกาศว่าการกระทำของอิสราเอลในการตั้งถิ่นฐานพลเมืองในเวสต์แบงก์ และกำหนดกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดินต่อเยรูซาเลมตะวันออก มิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลสมบูรณ์ ในปี 1981 อิสราเอลผนวกที่ราบสูงโกลัน แม้การผนวกนั้นไม่ได้รับการรับรองของนานาชาติ ความหลากหลายของประชากรของอิสราเอลเพิ่มขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1980 ถึง 1990 ยิวเอธิโอเปียหลายระลอกเข้าเมืองอิสราเอลตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 ส่วนระหว่างปี 1990 และ 1994 การเข้าเมืองจากรัฐหลังโซเวียตเพิ่มประชากรของอิสราเอลร้อยละ 12",
"title": "ประเทศอิสราเอล"
},
{
"docid": "431818#0",
"text": "ฮาราเร (ก่อน พ.ศ. 2525 ชื่อ ซอลส์บรี) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศซิมบับเว ใน พ.ศ. 2552 มีการประเมินประชากรไว้ที่ 1,606,000 คน โดยมี 2,800,000 คนในเขตปริมณฑล (พ.ศ. 2549) ในทางการปกครอง ฮาราเรเป็นนครอิสระมีฐานะเทียบเท่าจังหวัด เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางการปกครอง พาณิชย์และการสื่อสารของประเทศซิมบับเว นครนี้เป็นศูนย์กลางการค้ายาสูบ ข้าวโพด ฝ้ายและผลไม้สกุลส้ม การผลิตมีทั้งสิ่งท่อ เหล็กกล้าและเคมีภัณฑ์ ตลอดจนมีการขุดทองในพื้นที่ ฮาราเรตั้งอยู่ที่ความสูง 1,483 เมตรจกระดับน้ำทะเล และภูมิอากาศจัดอยู่ในประเภทอุณหภูมิอบอุ่น",
"title": "ฮาราเร"
},
{
"docid": "543792#0",
"text": "ฮะเดรา ( '; '; ) เป็นเมืองในเขตไฮฟา ประเทศอิสราเอล ตั้งอยู่ห่างจากเมืองใหญ่อย่าง เทลอาวีฟและไฮฟา ราว 45 กม. เมืองตั้งอยู่บนที่ราบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของอิสราเอลยาว 7 กม. เมืองมีประชากรราว 80,200 คน ที่รวมถึงประชากรที่อพยพมาตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1990 โดยมากมาจากเอธิโอเปียและอดีตสหภาพโซเวียต",
"title": "ฮะเดรา"
},
{
"docid": "138337#0",
"text": "อิสลามาบาด (, ) เป็นเมืองหลวงของประเทศปากีสถาน ตั้งอยู่ในอิสลามาบาดแคพิทัลเทร์ริทอรี มีพื้นที่ 906 ตารางกิโลเมตร ประชากร 805,000 คน (พ.ศ. 2541) กรุงอิสลามาบาดสร้างขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อเป็นเมืองหลวงของประเทศแทนนครการาจี",
"title": "อิสลามาบาด"
},
{
"docid": "435182#0",
"text": "เอลอาอายุน (), ลาอายูน (), อัลอุยูน () หรือ เลอ์ยุน (เบอร์เบอร์: ⵍⵄⵢⵓⵏ) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวสเทิร์นสะฮารา ดินแดนที่เป็นข้อพิพาทในทวีปแอฟริกา เชื่อกันว่าเมืองสมัยใหม่ได้รับการก่อตั้งอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1938 โดยอันโตนิโอ เด โอโร นักล่าอาณานิคมชาวสเปน ใน ค.ศ. 1940 สเปนกำหนดให้เอลอาอายุนเป็นเมืองหลวงของสแปนิชสะฮารา ปัจจุบันเมืองนี้เป็นเมืองหลักของแคว้นเอลอาอายุน-อัลซากิยะตุลฮัมรออ์ซึ่งมีโมร็อกโกเป็นผู้บริหารภายใต้การควบคุมดูแลของคณะรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเวสเทิร์นสะฮารา",
"title": "เอลอาอายุน"
},
{
"docid": "502041#0",
"text": "อิสฟาฮาน หรือ เอสฟาฮาน ( \"Esfahān\") เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอิสฟาฮาน ประเทศอิหร่าน ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเตหะรานทางทิศใต้ราว 340 กม. มีประชากร 1,583,609 คน เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิหร่าน รองจากเตหะรานและมัชฮัด ตรงใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของไมดานอิชาห์ จตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกและแสดงให้เห็นสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของอิหร่านและอิสลาม เมืองได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก",
"title": "อิสฟาฮาน"
},
{
"docid": "747166#0",
"text": "อันนาศิรียะฮ์ () เป็นนครในประเทศอิรัก ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำยูเฟรทีส ตั้งห่างจากกรุงแบกแดดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 225 ไมล์ (370 กม.) อยู่ใกล้กับโบราณสถานเมืองอูร์ เป็นเมืองหลวงของเขตผู้ว่าการษีกอร ในปี ค.ศ. 2003 มีประชากรราว 560,000 คน ทำให้เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศอิรัก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ประชากรนับถือหลากหลายศาสนา คือ เป็นชาวมุสลิม ยิว มันดาอี แต่ปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายชีอะฮ์",
"title": "อันนาศิรียะฮ์"
},
{
"docid": "924499#0",
"text": "ซาอิส (อาหรับ: صاالحجر; กรีกโบราณ: Σάϊς; คอปติก: ⲥⲁⲓ) หรือ ซา เอล ฮาการ์ เป็นเมืองของอียิปต์โบราณในแถบแม่น้ำไนล์ฝั่งตะวันตกบนดินดอนปากแม่น้ำไนล์ มันเป็นเมืองหลวงของเมือง ซาป-เมฮ์ ในอียิปต์ล่าง และกลายเป็นเมืองหลวงศูนย์รวมอำนาจในราชวงศ์ยี่สิบสี่แห่งอียิปต์โบราณ (732-720 ปีก่อนคริสตกาล) และราชวงศ์ที่ยี่สิบหกแห่งอียิปต์โบราณ (664- 525 ปีก่อนคริสตกาล) ในช่วงยุคปลาย ชื่ออียิปต์โบราณเรียกเมืองนี้ว่า ซาอู",
"title": "ซาอิส"
},
{
"docid": "858702#41",
"text": "h ในปี 1980, อิสราเอลได้ประกาศให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศ ทำให้ปาเลสไตน์นั้นต้องแยกดินแดนออกมาโดยใช้เมืองหลวงคือเยรูซาเล็มตะวันออกที่สามารถยึดคือมาจากอิสราเอลได้ในสงครามหกวันในปี 1967 แต่สหประชาชาติและหลายประเทศยังไม่ยอมรับการอ้างสิทธิ์ของปาเลสไตน์",
"title": "ภูมิศาสตร์เอเชีย"
}
] |
4112 | บนโลกประกอบไปด้วยมหาสมุทรกี่เปอร์เซ็นต์ ? | [
{
"docid": "3958#1",
"text": "มวลน้ำเค็มปกคลุมประมาณ 72% ของพื้นผิวโลก (~3.6 กม.) และถูกแบ่งเป็นมหาสมุทรหลัก ๆ และทะเลขนาดเล็กอีกหลายแห่ง โดยมหาสมุทรจะครอบคลุมพื้นที่โลกประมาณ 71% มหาสมุทรประกอบด้วยน้ำของโลก 97% และนักสมุทรศาสตร์กล่าวว่ามหาสมุทรในโลกเพิ่งได้มีการสำรวจไปได้เพียง 5% เท่านั้น ปริมาตรสุทธิมีประมาณ 1.35 พันล้านลูกบาศก์กิโลเมตร (320 ล้านลูกบาศก์ไมล์) มีความลึกเฉลี่ยที่",
"title": "มหาสมุทร"
},
{
"docid": "3958#0",
"text": "มหาสมุทร () เป็นผืนน้ำทะเลขนาดใหญ่เชื่อมต่อกัน และครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3 ใน 4 (71%) ของพื้นผิวโลก มหาสมุทรเรียงตามลำดับขนาดจากมากไปน้อยได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรใต้ และมหาสมุทรอาร์กติก คำว่า \"sea\" หรือ\"ทะเล\" บางครั้งใช้แทนคำว่า \"ocean\" หรือ \"มหาสมุทร\" ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันได้ แต่หากเจาะจงการพูดแล้ว sea คือแหล่งน้ำเค็ม (ส่วนหนึ่งของมหาสมุทร) ส่วนที่มีพื้นที่ติดพื้นดิน",
"title": "มหาสมุทร"
}
] | [
{
"docid": "3875#9",
"text": "บรรยากาศโลกและมหาสมุทรประกอบขึ้นจากกัมมันตภาพภูเขาไฟและกระบวนการปล่อยก๊าซ (outgassing) ไอน้ำจากสองแหล่งดังกล่าวควบแน่นเป็นมหาสมุทร รวมกับน้ำและน้ำแข็งที่มากับดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์ก่อนเกิด และดาวหาง ตามแบบจำลองนี้ \"ก๊าซเรือนกระจก\" ในบรรยากาศช่วยรักษามหาสมุทรไม่ให้เยือกแข็งเมื่อดวงอาทิตย์ที่เพิ่งก่อกำเนิดยังมีความสว่างเพียงร้อยละ 70 เทียบกับปัจจุบัน ราว เกิดสนามแม่เหล็กโลกซึ่งช่วยปกป้องบรรยากาศไม่ให้ถูกลมสุริยะพัดพาไป",
"title": "โลก (ดาวเคราะห์)"
},
{
"docid": "3875#26",
"text": "เปลือกโลกส่วนทวีปประกอบด้วยวัตถุความหนาแน่นต่ำอย่างเช่นหินอัคนีแกรนิตและแอนดีไซต์ ที่พบน้อยกว่าคือบะซอลต์ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟความหนาแน่นสูงและเป็นองค์ประกอบหลักของพื้นมหาสมุทร หินตะกอนซึ่งก่อตัวขึ้นจากการสะสมตัวของตะกอนที่ทับถมบีบอัดตัวเข้าด้วยกัน เกือบร้อยละ 75 ของพื้นผิวทวีปถูกปกคลุมด้วยหินตะกอนโดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 5 ของเปลือกโลก วัตถุหินที่พบบนโลกรูปแบบที่สามคือหินแปร ก่อกำเนิดโดยการแปรเปลี่ยนมาจากหินดั้งเดิมที่มีอยู่ก่อนผ่านความดันสูง หรืออุณหภูมิสูง หรือทั้งสองอย่าง แร่ซิลิเกตที่พบมากที่สุดบนผิวโลกประกอบด้วย ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ แอมฟิโบล ไมกา ไพรอกซีน และโอลิวีน แร่คาร์บอเนตที่พบทั่วไปประกอบด้วย แคลไซต์ (พบในหินปูน) และโดโลไมต์",
"title": "โลก (ดาวเคราะห์)"
},
{
"docid": "3875#63",
"text": "ชีวภาคของโลกก่อกำเนิดผลิตภัณฑ์ชีวภาพหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ประกอบด้วยอาหาร ไม้ ยารักษาโรค ออกซิเจน และช่วยรีไซเคิลของเสียอินทรีย์จำนวนมาก ระบบนิเวศบนบกต้องอาศัยหน้าดินและน้ำจืด ในขณะที่ระบบนิเวศมหาสมุทรต้องอาศัยสารอาหารที่ละลายในน้ำซึ่งถูกชะมาจากแผ่นดิน ในปี 1980 พื้นดินของโลก (50.53 ล้านตารางกิโลเมตร) เป็นพื้นที่ป่าและต้นไม้ (67.88 ล้านตารางกิโลเมตร) เป็นทุ่งหญ้าและทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และ (15.01 ล้านตารางกิโลเมตร) เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพาะปลูก จำนวนพื้นที่ชลประทานโดยประมาณในปี 1993 อยู่ที่ () มนุษย์ยังดำรงชีวิตบนพื้นดินโดยใช้วัสดุก่อสร้างขนิดต่าง ๆ ก่อสร้างที่พักอยู่อาศัย",
"title": "โลก (ดาวเคราะห์)"
},
{
"docid": "3875#29",
"text": "ความอุดมของน้ำบนผิวโลกเป็นลักษณะเอกลักษณ์ซึ่งแยก \"ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน\" ออกจากดาวเคราะห์อื่น ๆ ในระบบสุริยะ อุทกภาคของโลกประกอบด้วยมหาสมุทรเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือประกอบด้วยผิวน้ำทั้งหมดในโลกได้แก่ ทะเลในแผ่นดิน ทะเลสาบ แม่น้ำ น้ำใต้ดินลึกลงไป 2,000 เมตร ตำแหน่งใต้น้ำที่ลึกที่สุดคือ แชลเลนเจอร์ดีปบริเวณร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีความลึกที่ 10,911.4 เมตร",
"title": "โลก (ดาวเคราะห์)"
},
{
"docid": "3875#18",
"text": "โลกมีมวลโดยประมาณ ส่วนมากประกอบขึ้นจากเหล็ก (ร้อยละ 32.1) ออกซิเจน (ร้อยละ 30.1) ซิลิกอน (ร้อยละ 15.1) แมกนีเซียม (ร้อยละ 13.9) กำมะถัน (ร้อยละ 2.9) นิกเกิล (ร้อยละ 1.8) แคลเซียม (ร้อยละ 1.5) และอะลูมิเนียม (ร้อยละ 1.4) ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 1.2 ประกอบด้วยธาตุอื่น ๆ ในปริมาณเล็กน้อย จากกระบวนการการแยกลำดับชั้นโดยมวลทำให้เชื่อว่าบริเวณแกนโลกประกอบขึ้นในขั้นต้นด้วยเหล็กร้อยละ 88.8 มีนิกเกิลในปริมาณเล็กน้อยราวร้อยละ 5.8 กำมะถันร้อยละ 4.5 และน้อยกว่าร้อยละ 1 เป็นธาตุพบน้อยชนิดอื่น",
"title": "โลก (ดาวเคราะห์)"
},
{
"docid": "240735#4",
"text": "เปลือกโลกใต้มหาสมุทรประกอบไปด้วยหินที่มีอายุอ่อนกว่าอายุของโลกมาก โดยชั้นเปลือกโลกทั้งหมดในแอ่งมหาสมุทรจะมีอายุอ่อนกว่า 200 ล้านปี เปลือกโลกมีการเกิดขึ้นใหม่ในอัตราคงที่ที่สันกลางสมุทร การเคลื่อนที่ออกจากเทือกเขากลางสมุทรทำให้ความลึกของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนที่ลึกที่สุดคือร่องลึกก้นสมุทร ขณะที่ชั้นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรเคลื่อนที่ออกจากสันกลางนั้น หินเพริโดไทต์ในชั้นเนื้อโลกที่อยู่ด้านใต้เกิดการเย็นตัวลงมีสภาพที่แข็งแกร่งขึ้น ชั้นเปลือกโลกและหินเพริโดไทต์ที่อยู่ด้านใต้นี้ทำให้เกิดธรณีภาคชั้นนอกใต้มหาสมุทร",
"title": "เทือกเขากลางสมุทร"
},
{
"docid": "849842#3",
"text": "ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรของโลกได้เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟและปล่อยแก๊สและไอน้ำ รวมถึงยังได้รับจากน้ำและน้ำแข็งจากดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์แรกเริ่ม และดาวหาง แก๊สเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศช่วยปกป้องมหาสมุทรจากการแข็งตัวขณะที่ดวงอาทิตย์เกิดใหม่ยังมีความสว่างดวงอาทิตย์เพียงร้อยละ 70 ช่วง 3.5 พันล้านปี สนามแม่เหล็กของโลกได้เกิดขึ้นซึ่งช่วยป้องกันลมสุริยะไม่ให้พัดผ่านชั้นบรรยากาศของโลก ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรของโลกยังคงมีอิทธิพลต่อรูปร่างบนผิวโลกอย่างต่อเนื่องจากการกัดเซาะและการพัดผ่านวัตถุบนพื้นผิว",
"title": "พื้นดิน"
},
{
"docid": "55977#5",
"text": "ในตำนานเยอรมันโบราณและ นอร์ส เชื่อกันว่าเอกภพประกอบด้วย \"โลก\" จำนวนเก้าโลกเชื่อมต่อกัน ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีการเชื่อมต่อกันอย่างไร แต่แนวคิดหนึ่งบอกว่า โลกเจ็ดแห่งวางตัวบนทะเลรายล้อม ได้แก่ ดินแดนของเอลฟ์ (Alfheim) คนแคระ (Niðavellir) พระเจ้า (Asgard กับ Vanaheim) และยักษ์ (Jotunheim กับ Muspelheim) แต่พวกนักปราชญ์นอร์สบอกว่าโลกทั้งเจ็ดนี้อยู่บนท้องฟ้า คืออยู่บนกิ่งก้านของต้นอิกดราซิล \"ต้นแอชแห่งพิภพ\" ทั้งสองแนวคิดกล่าวถึงโลกของมนุษย์ (ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อต่างๆ กัน เช่น มิดการ์ด, มิดเดนเอม, และมิดเดิ้ลเอิร์ธ) ว่าอยู่ที่ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมี Bifröst สะพานสายรุ้ง เชื่อมจากมิดเดิ้ลเอิร์ธไปยังแอสการ์ด ส่วน เฮล ดินแดนแห่งความตายตั้งอยู่ใต้มิดเดิ้ลเอิร์ธ",
"title": "มิดเดิลเอิร์ธ"
},
{
"docid": "286016#2",
"text": "ในอดีตกาล โลกถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของเทพยดาทั้งหลายที่ร่วมกันสร้างโลกขึ้นมา ซึ่งเหล่าเทวดาที่สร้างโลกนั้นถูกเรียกขานว่า โกเซย์เทนชิ , โกเซย์เทนชิ แบ่งการปกครองตนเองออกเป็น3เผ่า ประกอบไปด้วย สกายอิค (เผ่าที่ใช้พลังแห่งผืนนภา) , แลนดิค (เผ่าที่ใช้พลังของผืนปฐพี) และ ซีอิค (เผ่าที่ใช้พลังของวารีและมหาสมุทร) ซึ่งทั้ง3เผ่ามีหน้าที่คอยปกป้องโลกมนุษย์และสวรรค์ให้พ้นภัยจากศัตรูที่หมายยึดครองโลกทั้งศัตรูที่กำเนิดขึ้นในโลกอย่างยูมาจู จนสามารถสกัดกั้นการรุกรานโลกได้เป็นผลสำเร็จ แต่ภารกิจปกป้องโลกยังมีคงอยู่ต่อไป",
"title": "ขบวนการเทพสวรรค์ โกเซย์เจอร์"
}
] |
4113 | กรุงเทพมหานครมีกี่เขต? | [
{
"docid": "22726#0",
"text": "เขตบางขุนเทียน เป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในกลุ่มเขตกรุงธนใต้ สภาพพื้นที่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเขตเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย การค้า และอุตสาหกรรม ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขตเกษตรกรรมและมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เนื่องจากเป็นเขตเดียวของกรุงเทพมหานครที่มีพื้นที่ติดกับอ่าวไทย (เป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร) และยังมีป่าชายเลนหลงเหลืออยู่",
"title": "เขตบางขุนเทียน"
},
{
"docid": "29287#0",
"text": "เขตมีนบุรี เป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในกลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีคลองและลำรางไหลผ่านหลายสาย ในอดีตเป็นเรือกสวนไร่นา บ่อปลา นาบัว และไร่หญ้า แต่ปัจจุบันเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากพื้นที่หลายแห่งถูกเปลี่ยนสภาพเป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่น หมู่บ้าน อาคารพาณิชย์ สถานที่ประกอบการทั้งเล็กและขนาดใหญ่",
"title": "เขตมีนบุรี"
},
{
"docid": "19372#0",
"text": "เขตหลักสี่ เป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในกลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ ซึ่งถือเป็นเขตที่อยู่อาศัยรองรับการขยายตัวของเมือง ทางทิศตะวันออก (ตอนเหนือ) ของกรุงเทพมหานคร",
"title": "เขตหลักสี่"
},
{
"docid": "21106#0",
"text": "เขตดุสิต เป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในกลุ่มเขตกรุงเทพกลาง สภาพพื้นที่ประกอบไปด้วยแหล่งการค้า แหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก เขตทหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ตั้งรัฐสภา กระทรวงต่าง ๆ และพระราชวัง จึงทำให้เขตนี้มีลักษณะราวกับว่าเป็นเขตการปกครองส่วนกลางของประเทศไทย อนึ่ง ที่ทำการสำนักงานส่วนภูมิภาคและสำนักงานประจำประเทศไทย ขององค์การสหประชาชาติ และขององค์การระหว่างประเทศหลายองค์การ ก็อยู่ในพื้นที่เขตนี้",
"title": "เขตดุสิต"
},
{
"docid": "9672#1",
"text": "ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมี 50 เขต ต่อไปนี้คือรายชื่อเขตทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร (เรียงตามรหัสเขตการปกครองที่ใช้ในราชการ)",
"title": "รายชื่อเขตของกรุงเทพมหานคร"
}
] | [
{
"docid": "104125#0",
"text": "กรุงเทพมหานครและปริมณฑล () เป็นเขตเมืองของกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่ตั้งอยู่โดยรอบ (\"ปริมณฑล\" หมายถึง วงรอบ) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 พันตารางกิโลเมตร แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน มีประชากรที่มีภูมิลำเนาจดทะเบียนตามหลักฐานทะเบียนราษฎรรวมกันประมาณ 10.6 ล้านคน (เดือนธันวาคม พ.ศ. 2555) แต่ยังมีจำนวนผู้อยู่อาศัย (residents) ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นภูมิลำเนาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในเวลากลางวันจะมีประชากรถึง 13 ล้านกว่าคนที่อยู่ในเขตนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑลนับว่าเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความเจริญที่สุด และเป็นศูนย์กลางการปกครอง การบริหารราชการ พาณิชยกรรม และการเงินของประเทศ",
"title": "กรุงเทพมหานครและปริมณฑล"
},
{
"docid": "9672#2",
"text": "เขตที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2516 มี 24 เขต ได้แก่\nฝั่งพระนคร คือพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ในอดีตคือจังหวัดพระนคร ภายหลังรวมเข้ากับจังหวัดธนบุรีเป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรี และกรุงเทพมหานครในเวลาต่อมา แบ่งเขตออกเป็น 35 เขต ดังนี้หลังจากปี พ.ศ. 2514 ได้มีการรวมจังหวัดธนบุรีเข้ากับจังหวัดพระนคร เป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรี และกรุงเทพมหานครในเวลาต่อมา สภาพของจังหวัดธนบุรีจึงกลายเป็น ฝั่งธนบุรี หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า ฝั่งธนฯ คือ พื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร",
"title": "รายชื่อเขตของกรุงเทพมหานคร"
},
{
"docid": "34706#2",
"text": "ในอดีต (พ.ศ. 2553) สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร มีจำนวนทั้งสิ้น 61 คน โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง ส.ก.ส.ข.ในวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เนื่องจากมีเขตทั้งหมด 5 เขตมีประชากรมากขึ้น ได้แก่ เขตบางขุนเทียน, เขตลาดกระบัง, เขตประเวศ, เขตคลองสามวา, เขตบางกะปิ โดยเขตที่มีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ได้มากกว่า 1 คน จะต้องเป็นเขตที่มีจำนวนประชากรมากกว่า 150,000 คน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 11 เขตที่จะมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานครได้มากกว่า 1 คน คือ 2 คน ได้แก่ เขตบางเขน, เขตจตุจักร, เขตสวนหลวง, เขตดอนเมือง, เขตสายไหม, เขตลาดกระบัง, เขตคลองสามวา, เขตประเวศ, เขตจอมทอง, เขตบางแค, เขตบางขุนเทียน",
"title": "สภากรุงเทพมหานคร"
},
{
"docid": "246913#0",
"text": "แขวงสี่แยกมหานาค เป็นเขตการปกครองระดับแขวงหนึ่งในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มีถนนพิษณุโลกเป็นเส้นแบ่งเขตการปกครองกับแขวงสวนจิตรลดา มีชื่อเสียงเป็นย่านการค้าทางเรือที่สำคัญมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2394 เพื่อขยับขยายพระนคร",
"title": "แขวงสี่แยกมหานาค"
},
{
"docid": "104125#1",
"text": "การแบ่งจังหวัดเป็นภูมิภาคด้วยระบบ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการแบ่งที่เป็นทางการโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติ ใช้ในการศึกษาทางภูมิศาสตร์ โดยภาคกลางของระบบ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นี้ ประกอบไปด้วยเขตการปกครอง 6 จังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานคร (ซึ่งเป็นเขตการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีฐานะเทียบเท่ากับจังหวัด) โดยมีพื้นที่ทางเหนือไปจนสุดเขตจังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก และทางใต้ลงไปสุดที่อ่าวไทย ยกเว้นจังหวัดที่ติดกับประเทศพม่า ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขา และยกเว้นจังหวัดทางภาคตะวันออก",
"title": "กรุงเทพมหานครและปริมณฑล"
},
{
"docid": "235995#23",
"text": "ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เป็นที่ทำการของหน่วยงานเกือบทั้งหมดของ อปท.กทม.ปัจจุบันมีสองแห่งคือ เลขที่ 173 ถนนดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร และบริเวณริมถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง อันเป็นที่ตั้งของหน่วยงาน 8 สำนัก ได้แก่ สำนักการจราจรและขนส่ง, สำนักการโยธา, สำนักการระบายน้ำ, สำนักพัฒนาสังคม, สำนักผังเมือง, สำนักสิ่งแวดล้อม, สำนักอนามัย, สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวมีทั้งหมด 437 โรงเรียน\n สำนักงานเขต",
"title": "กรุงเทพมหานคร (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)"
}
] |