txt
stringlengths 202
53.1k
|
---|
# เปิดตัว Galaxy Watch 3 มี EKG/ECG, เซนเซอร์ SpO2 ตรวจจับการล้ม เริ่ม 399 เหรียญ
หลังจากหลุดกันมาหลายรอบ ในงาน Galaxy Unpacked วันนี้ Samsung ก็เปิดตัว Galaxy Watch 3 แล้ว มาพร้อมชิป Exynos 9110 มีสองขนาดคือ 41 มิลลิเมตร หน้าจอ 1.2 นิ้ว และ 45 มิลลิเมตร หน้าจอ 1.4 นิ้ว เป็นหน้าจอ OLED ครอบด้วย Gorilla Glass ตัวเรือนเป็นสแตนเลส (แต่จะมีรุ่นไทเทเนียมวางจำหน่ายทีหลัง) ตัวเรือน Samsung กล่าวว่ามีขนาดบางลง 14% เล็กลง 8% และน้ำหนักเบาลง 15% รองรับ NFC กันน้ำ 5ATM (50 เมตร) และมีรุ่น LTE
ระบบปฏิบัติการรันบน Tizen OS ควบคุมด้วยกรอบที่หมุนได้เช่นเคย แต่มีระบบการควบคุมใหม่เพิ่มเข้ามา คือการกำและคลายมือ เพื่อรับสายหรือวางสายโทรศัพท์ได้ มีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ เซนเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด (SpO2) สามารถวัด VO2Max ประกอบการวิ่งได้ มีเซนเซอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG / EKG) แต่จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะบางประเทศที่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับการล้ม เช่นเดียวกับ Apple Watch มีแจ้งเตือนผู้ใช้ได้หากความดันเลือดผิดปกติ มีระบบวิเคราะห์การนอนหลับที่ปรับปรุงใหม่ บันทึกระยะเวลาการนอน อัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจเพื่อให้คะแนนการนอนด้วย จากเดิมที่ตรวจจับการนอนหลับแบบ REM เท่านั้น
รุ่น 41 มิลลิเมตร มีสองสี คือ Mystic Bronze และ Mystic Silver ส่วนรุ่น 45 มิลลิเมตร มี 2 สีเช่นกัน แต่เป็นสี Mystic Silver กับ Mystic Black วางจำหน่าย 6 สิงหาคมนี้ ราคาดังนี้
รุ่น 41 มิลลิเมตร ราคา 399 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 12,390 บาท)
รุ่น 41 มิลลิเมตร LTE ราคา 449 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 13,990 บาท)
รุ่น 45 มิลลิเมตร ราคา 429 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 13,290 บาท)
รุ่น 45 มิลลิเมตร LTE ราคา 479 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14,900 บาท)
ส่วนราคาและวันวางจำหน่ายในบ้านเรา ต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา - Galaxy Unpacked, Samsung, Samsung |
# ยังไปไม่ได้ก็ดูทางนี้ก่อน - Apple Maps เพิ่ม Look Around ใน 4 เมืองของญี่ปุ่น
Apple Maps แอปแผนที่พื้นฐานใน iOS เพิ่มเมืองที่แสดงผลในโหมด Look Around (มองไปรอบๆ) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ Street View ของ Google Maps ได้แก่ โตเกียว โอซาก้า เกียวโต และนาโกย่า ของประเทศญี่ปุ่น
คุณสมบัติ Look Around เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาใน Apple Maps ตั้งแต่ iOS 13 อย่างไรก็ตามถึงตอนนี้ก็ยังจำกัดเมืองที่สามารถแสดงข้อมูลนี้ได้ โดยทั้งหมดเป็นเมืองใหญ่ในอเมริกา อาทิ บอสตัน ชิคาโก ลาสเวกัส นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส เป็นต้น
แอปเปิลระบุว่า คุณสมบัติ Look Around เป็นการแสดงข้อมูลโดยรอบของสถานที่นั้นด้วยมุมมองแบบ 360 องศา
ที่มา: MacRumors |
# Galaxy Buds Live หูฟังไร้สาย มี Active Noise Cancelling ราคา 169.99 เหรียญ
นอกจากมือถือ แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ วันนี้ Samsung ยังเปิดตัว Galaxy Buds Live หูฟัง True Wireless รุ่นใหม่ของ Samsung ปรับแต่งเสียงโดย AKG ในดีไซน์แปลกใหม่รูปทรงคล้ายถั่ว (หรือไต) ที่มีลักษณะมันวาว มี Active Noise Cancelling มีสปีกเกอร์ขนาด 12 มิลลิเมตรพร้อมท่อนำเบส มีไมโครโฟนสามตัว พร้อมฟังคำสั่งเสียงเรียกใช้ Bixby ได้ตลอดเวลา (แต่ไม่มีบอกว่าเปลี่ยนไปเรียก Google แทนได้หรือไม่) เปิด Game Mode ลดความดีเลย์ของเสียงตอนเล่นเกมได้
แบตเตอรี่ Samsung กล่าวว่าใช้งานได้ 6 ชั่วโมง (คุยโทรศัพท์ได้ 4.5 ชั่วโมง เมื่อเปิด ANC) บวกอีก 15 ชั่วโมงจากเคส ตัวเคสรองรับชาร์จไร้สายแบ Qi หรือ PowerShare (วางแปะหลังเครื่อง) บนอุปกรณ์ Samsung รุ่นที่รองรับ ชาร์จ 5 นาที ใช้งานได้ 1 ชั่วโมง และจะมีจุกหูฟังมาให้สองขนาด
Galaxy Buds Live มีสามสี คือ Mystic White, Mystic Bronze, และ Mystic Black วางจำหน่าย 6 สิงหาคมนี้ ในราคา 169.99 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,290 บาท) และไม่ได้มาแทน Galaxy Buds+ แต่จะเป็นอุปกรณ์แตกไลน์ออกมา
ราคาและวันว่างจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ต้องติดตามกันต่อไปเช่นเคย
ที่มา - Galaxy Unpacked, Samsung, Samsung |
# Galaxy Tab S7 และ S7+ หน้าจอ 120Hz, ใช้ปากกาตัวเดียวกับ Galaxy Note 20
ฮาร์ดแวร์ใหม่อีกตัวที่ซัมซุงเปิดตัวคืนนี้คือแท็บเล็ต Galaxy Tab S7 และ S7+ ที่ชูจุดเด่นหน้าจอ 120Hz บนแท็บเล็ต และปากกา S Pen เวอร์ชันใหม่ตัวเดียวกับ Galaxy Note 20 ที่โฆษณาว่าเขียนได้ลื่นเหมือนกับกระดาษจริงๆ
ภาพรวมของ Galaxy Tab S7/S7+ ยังใช้แนวทางดีไซน์แบบเดียวกับ Galaxy Tab S6 แต่รอบนี้แยกเป็น 2 รุ่นตามขนาดหน้าจอ โดย Galaxy Tab S7 รุ่นมาตรฐานใช้หน้าจอ LTPS TFT ขนาด 11" ส่วน S7+ เป็นรุ่นจอใหญ่ 12.4" แบบ Super AMOLED (ถือเป็นจอ Super AMOLED ขนาดใหญ่ที่สุดที่ซัมซุงเคยทำด้วย) หน้าจอทั้งสองตัวมีอัตรารีเฟรช 120Hz
Galaxy Tab S7 ยังใช้ตัวสแกนนิ้วมือที่ปุ่มด้านข้าง ส่วน Tab S7+ ใช้ตัวสแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
สเปกอย่างอื่นเหมือนกันเกือบทุกประการ
หน่วยประมวลผล Octa-Core 3.0GHz + 2.4GHz + 1.8GHz
หน่วยความจำ 6GB + 128GB หรือ 8GB + 256GB โดยรองรับ microSD
กล้องหลัง 13MP (หลัก) + 5MP (ultrawide)
กล้องหน้า 8MP
ลำโพง 4 ตัว ปรับแต่งโดย AKG
พอร์ต USB Type C 3.2 Gen 1, รองรับชาร์จเร็ว 45W
แบตเตอรี่ 8000 mAh (Tab S7) และ 10,090 mAh (Tab S7+)
ระบบปฏิบัติการ Android 10 มาพร้อมแอพวาดรูป Clip Studio Paint
มีรุ่นย่อย LTE, 5G, Wi-Fi
มีให้เลือก 3 สีคือ Mystic Black, Mystic Silver, Mystic Bronze
ซัมซุงยังร่วมมือกับไมโครซอฟท์ พัฒนาแอพ S Note ให้เชื่อมต่อกับแอพของไมโครซอฟท์หลายตัว เช่น OneNote, Outlook รวมถึงพัฒนาแอพ Linked to Windows / Your Phone ให้มีความสามารถมากขึ้นด้วย (ใช้ได้ทั้ง Note 20 และ Tab S7/S7+)
เริ่มวางขายในประเทศชุดแรก 21 สิงหาคม 2020 ตอนนี้ยังไม่เปิดเผยราคา ตัวเคสคีย์บอร์ด Book Cover Keyboard ขายแยกต่างหาก
ที่มา - Samsung, Samsung |
# เปิดตัว Note 20 และ Note 20 Ultra ปรับปรุงฟีเจอร์เล็กน้อยจาก Note 10 มีรุ่นรองรับ 5G
เปิดตัวแล้วกับเรือธงท้ายปีที่หลุดออกมาแทบจะหมดแล้วกับ Galaxy Note 20 และ Note 20 Ultra ที่มี 2 ขนาด 2 สเปคย่อยเหมือนเดิม
การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ของ Note 20 จะค่อนข้างเป็นไมเนอร์เชนจ์ คืออัพสเปคและเพิ่มฟีเจอร์ขึ้นมาจาก Note 10 อย่างความหน่วง (latency) ของ S Pen ที่ลดลงจาก 42ms เหลือ 26ms (Note 20) และ 9ms (Note 20 Ultra) ไปจนถึง Air Gesture ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา 3 ท่าทางเพื่อกลับหน้าโฮม, กลับไปหน้าก่อนหน้า และถ่ายสกรีนช็อตแบบพร้อมเขียนด้วยปากกาทับ
นอกจากนี้ฟีเจอร์ Note ก็มีอัพเดตใหม่อย่างรองรับการแก้ไข PDF ในตัว, รองรับการอัดเสียงพร้อมจดโน้ต, AI Neat Note แปลงโน้ตที่เขียนเอียงๆ ปรับมาเป็นแนวนอน ไปจนถึงแปลงโน้ตไปเป็น Powerpoint ขณะที่ Samsung Dex บน Note 20 ก็รองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Miracast แล้วด้วย
ส่วนสเปค Galaxy Note 20 Ultra หน้าจอ 6.9 นิ้ว OLED ความละเอียด 1440p สัดส่วน 21:9 รีเฟรชเรท 120Hz ชิปเซ็ต Snapdargon 865+ หรือ Exynos 990 แรม 12GB ความจุ 256GB / 512GB สแกนนิ้วมือใต้จอ
กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหลักเลนส์ไวด์ 108 ล้านพิกเซล, อัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซลและเทเล 13 ล้านพิกเซล เสริมด้วยเซ็นเซอร์ Laser AF ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 8K และซูมได้สูงสุด 50 เท่า กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล ซิมคู่ รองรับ eSim รองรับ 5G กันน้ำ IP68 แบตเตอรี่ 4,500mAH ชาร์จเร็ว 45W รัน Android 10 รองรับ Xbox Game Pass Ultimate มีสี Mystic Bronze และ Mystic Grey ราคา 1,299 เหรียญสำหรับ 128GB และ 1,449 เหรียญสำหรับ 256GB
ขณะที่ Galaxy Note 20 หน้าจอ 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1080p รีเฟรชเรท 60Hz ชิปเซ็ต Snapdragon 865+ หรือ Exynos 990 แรม 8GB ความจุ 128GB
กล้องหลัง 3 ตัวเหมือนกันแต่กล้องหลักเลนส์ไวด์เหลือแค่ 12 ล้านพิกเซล อัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซลและเทเล 64 ล้านพิกเซล ซูมได้ 30x กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล ซิมคู่รองรับ eSim รองรับ 5G กันน้ำ กันน้ำ IP68 แบตเตอรี่ 4,300mAh ชาร์จเร็ว 45W รัน Android 10 รองรับ Xbox Game Pass Ultimate มีสี Mystic Bronze, Mystic Green และ Mystic Grey ราคาเริ่ม 999 เหรียญ |
# อดีตพรีเซนเตอร์ Huawei ในสวีเดนตัดสัมพันธ์กับบริษัท บอกประเทศจีนเป็น “รัฐที่ไม่น่ารักเท่าไร”
Zara Larsson นักร้องชาวสวีเดนที่เคยเป็นพรีเซนเตอร์ของหัวเว่ยในประเทศบ้านเกิดของเธอ ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2019 เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง หลังถูกนักการเมืองท้องถื่น ลงบทความแบบ op-ed ในหนังสือพิมพ์ กล่าวหาว่าเธอเป็นเด็กเดินสารให้กับประเทศจีน ("running China's errands") เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
เธอจึงให้สัมภาษณ์กับ TV4 ในวันเดียวกันที่ ว่าตัดสัมพันธ์กับ Huawei ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า มองย้อนกลับไปแล้ว มันก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดเท่าไร และเธอก็ไม่อยากสนับสนุนสิ่งที่ประเทศจีนทำ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าประเทศจีนเป็น “รัฐที่ไม่น่ารักเท่าไร” พร้อมบอกว่าเธอก็อยากออกความเห็นสนับสนุนเรื่องชาวอุยกูร์ การประท้วงในฮ่องกง หรือแม้แต่ TikTok เหมือนกัน แต่ก็ติดเรื่องที่เธอเคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้ Huawei อยู่
รูปจาก Facebook: Zara Larsso
Larsson เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Resume ของสวีเดนเมื่อปีก่อน เกี่ยวกับเรื่องการสอดแนมของประเทศจีน และความเกี่ยวข้องของ Huawei กับหน่วยงานรัฐจีน โดยเธอตอบว่า “ไม่ทราบข้อมูล” ในเรื่องนี้ และรู้แค่ว่าบริษัทหัวเว่ยเป็นบริษัทเอกชนจากประเทศจีน ที่เพิ่งเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่เท่านั้น และปฏิเสธให้ความเห็นเพิ่มเติมในด้านอื่น
ส่วนบริษัท Huawei สาขาสวีเดน ก็ออกแถลงการว่าบริษัทรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงาน และกล่าวชื่นชม Zara Larsso ในเส้นทางที่เธออยากเดิน แต่ก็บอกว่าการยกเลิกสัญญาในปี 2019 เป็นไปตามข้อตกลงที่ทำไว้ตั้งแต่แรก และยืนยันว่า Huawei เป็นบริษัทเอกชน ที่ไม่ได้ทำงานตามคำสั่งจากรัฐบาลใด
ที่มา - The Local
*คลิปโฆษณา Huawei P30 Pro ที่ Zara Larsson นำแสดง” |
# เปิดตัว Galaxy Z Fold 2 ขยายจอด้านหน้าเต็มพื้นที่, เปลี่ยนมาใช้กล้องหน้าเจาะรู
ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Z Fold 2 มือถือจอพับได้แนวนอน ภาคต่อของ Galaxy Fold ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว (โดยเพิ่มตัว Z มาในชื่อให้เข้าชุดกับ Galaxy Z Flip รุ่นเมื่อต้นปีนี้)
Galaxy Z Fold 2 ยังคงแนวทางมือถือจอพับที่กางออกเป็นแท็บเล็ตได้ แต่ปรับปรุงจุดอ่อนจากรุ่นก่อน ได้แก่ จอภาพด้านหน้าเครื่องขยายเป็นขนาดใหญ่เต็มพื้นที่แล้ว, เปลี่ยนมาใช้กล้องหน้าแบบเจาะรู punch-hole (ภาษาซัมซุงเรียก Infinity-O) และยกเครื่องกล้องหลังมาใช้ระบบเลนส์ปูด 3 ตัวแบบเดียวกับ S20/Note 20 Ultra
สเปกของ Galaxy Z Fold 2 เท่าที่เปิดเผยยังมีเพียงเล็กน้อย
หน้าจอด้านหน้าขนาด 6.2" (รุ่นแรก 4.6")
หน้าจอด้านใน กางออกแล้วมีขนาด 7.6" (รุ่นแรก 7.3")
มีให้เลือก 2 สีคือ Mystic Black และ Mystic Bronze
จะมี Galaxy Z Fold 2 รุ่นพิเศษ Thom Browne Edition
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลของหน่วยประมวลผล แรม สตอเรจ และกล้อง รวมถึงยังไม่ประกาศวันวางขายและราคา รายละเอียดเพิ่มเติมจะแถลงวันที่ 1 กันยายน 2020
ที่มา - Samsung |
# Instagram เปิดตัว Reels ฟีเจอร์คลิปสั้น 15 วินาที ที่ก็อปมาจาก TikTok
Facebook เปิดตัว Instagram Reels ฟีเจอร์วิดีโอสั้น 15 วินาทีแบบเดียวกับ TikTok อย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดทดสอบในอินเดียมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว
Instagram Reels เป็นการอัดคลิปวิดีโอสั้นความยาว 15 วินาที สามารถใส่เอฟเฟคต์ เสียงเพลง และลูกเล่นต่างๆ ได้ เมื่ออัดคลิปแล้วสามารถแชร์ลง Instagram Feed ได้ตามปกติ และจะมีพื้นที่เฉพาะสำหรับแสดง Reels ในแท็บ Explore ด้วย
ในฝั่งของผู้ชม หมวด Reels ในแท็บ Explore ก็เป็นพื้นที่สำหรับชมคลิปเด่นนไปเรื่อยๆ แบบเดียวกับใน TikTok โดยทีมงานจะคัดเลือกบางคลิปขึ้นมาเป็น Featured ให้แพร่หลายมากขึ้นด้วย
เมื่อปี 2016 Instagram เริ่มใช้ฟีเจอร์ Stories ที่ก็อปมาจาก Snapchat และใช้เวลาไม่นานในการแซง Snapchat แง่จำนวนผู้ใช้
ที่มา - Facebook |
# Detroit: Become Human ทำยอดขายเกิน 5 ล้านก๊อปปี้แล้วหลังวางขายบนพีซี
Quantic Dream เปิดเผยว่าเกม Detroit: Become Human ทำยอดขายรวมกันเกิน 5 ล้านก๊อปปี้แล้ว หลังวางจำหน่ายบนพีซีมาได้ปีกว่า ๆ ตั้งแต่ลง Epic เมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะเพิ่งลง Steam เมื่อ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา
ประมาณต้นปี 2019 Detroit: Become Human มียอดขาย (เฉพาะบน PlayStation) ไปแล้วราว 2 ล้านก๊อปปี้ ทำให้ประเมินได้คร่าว ๆ กว่ากว่าครึ่งหรือเกินครึ่งของยอดขายมาจากพีซี และเกมนี้กลายเป็นเกมที่ขายดีที่สุึดของ Quantic Dream เมื่อเทียบกับ Heavy Rain และ Beyond: Two Soul ที่ทำยอดขายไปได้ราว 3 ล้านก๊อปปี้เท่านั้น
ทั้งนี้ Detroit: Become Human ได้ฟีเจอร์ที่ต่างจากบน PlayStation ด้วยคือ Community Play สำหรับสตรีมเมอร์บน Twitch ที่ทำให้คนดูช่วยเลือกตัวเลือกภายในเกมให้แทนได้
ที่มา - GameIndustry |
# Blizzard ยืนยันจัด BlizzCon ต้นปีหน้าแบบออนไลน์ล้วน ยังไม่กำหนดวัน
ในการประกาศผลประกอบการของ Activision Blizzard ที่เพิ่งผ่านไป J. Allen Brack ประธานของ Blizzard เปิดเผยกับผู้ถือหุ้นว่าจะจัดงาน BlizzCon ในช่วงต้นปีหน้า (the early part of 2021) แบบออนไลน์อย่างเดียว
อย่างไรก็ตามทาง Blizzard ยังไม่ได้กำหนดวันอย่างเป็นทางการ หลังจากงาน BlizzCon 2020 ปีนี้ถูกยกเลิกไปเพราะโควิด ขณะที่ช่วงปีหน้าก็คาดว่าสถานการณ์ในสหรัฐที่ตอนนี้ยังคงมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะยังไม่กลับมาปกติพอจะจัดงานขนาดใหญ่ได้
ที่มา - GameIndustry |
# Activision Blizzard บอก Diablo Immortal เป็นหนึ่งในแผนตีตลาดเกมมือถือ, เกมอื่นจะตามมาอีก
Dennis Durkin ซีเอฟโอของ Activision Blizzard พูดในงานแถลงรายได้ประจำไตรมาสที่สองของปี 2020 ว่า Diablo Immortal เป็นเพียงอีกหนึ่งเกมในแผนตีตลาดเกมมือถือของบริษัทเท่านั้น และจะมีเกมอื่นตามมาอีก พร้อมยกตัวอย่างเกม Call of Duty: Mobile ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามบนแพลตฟอร์มมือถือ
Durkin บอกอีกว่าความสำเร็จของแฟรนไชส์ Call of Duty บนมือถือสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับอีกหลายแฟรนไชส์ในมือของบริษัท และบริษัทจะไม่หยุดแค่กับเกม Diablo เท่านั้น แต่จะขยายไปยังแฟรนไชส์อื่นๆ ของบริษัทอีก เพราะทีมงานเห็นโอกาสที่จะเพิ่มการเข้าถึงและการมีปฏิสัมพันธ์กับเกมของผู้เล่นได้อีกมหาศาล
ส่วนสถานะของเกม Diablo Immortal ล่าสุดใน PowerPoint แถลงรายได้ของบริษัท แจ้งว่าอยู่ในขั้นตอนเตรียมขยายการทดสอบภายใน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้ หลังเปิดตัวในปี 2018 และมีอัพเดตล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
ที่มา - Gamespot |
# ศึกรุ่นกลางข้ามค่าย เทียบ Google Pixel 4a,OnePlus Nord และ iPhone SE
ด้วยภาวะเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด ตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ราคาไม่แพงแต่ได้สมาร์ทโฟนที่คุ้มค่าเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะตั้งแต่ iPhone เปิดตัวรุ่นเล็กหลังจากหลายไปหลายปีอย่าง iPhone SE ก่อนจะตามมาด้วย OnePlus Nord หลังจาก OnePlus แพงขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนรุ่นเล็กจาก Google (ที่ลีลาเยอะมากกว่าจะเปิดตัวออกมาได้) อย่าง Pixel 4a ก็เปิดตัวสักที หลังจากรุ่นเล็กก่อนหน้าอย่าง Pixel 3a ได้รับคำชมอย่างล้นหลามว่าเป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดที่คุ้มค่าที่สุดรุ่นหนึ่ง
หลายๆ คนอาจมีข้อสงสัย ว่าควรจะเลือกซื้อมือถือรุ่นกลางจากแบรนด์ไหนดี จะซื้อ iPhone SE เลยดีไหม จะรอ OnePlus Nord วางขายไหนไทย หรือจะหาวิธีซื้อเครื่องหิ้ว Google 4a ดี วันนี้ผู้เขียนจึงเตรียมนำสเปกของทั้งสามรุ่นนี้ ในระดับความจุ 128GB เท่ากันกับ Pixel 4a มาเปรียบเทียบให้เห็น ว่ามีจุดเด่นจุดด้อยในด้านใดบ้าง (จริงๆ ก็มีสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ดูคุ้มค่าอีกหลายรุ่น แต่ขอหยิบมาเฉพาะตัวเด่นๆ ช่วงนี้ก่อน)
ในด้านประสิทธิภาพ iPhone SE กินขาด แต่ OnePlus Nord มีจุดเด่นที่ 5G
ชิป A13 Bionic ที่แม้เป็นชิปของ iPhone 11 ที่วางจำหน่ายเมื่อปีที่แล้ว แต่ประสิทธิภาพจากหลากหลายการทดสอบ ก็ยังเอาชนะทั้ง Snapdragon 765G ใน OnePlus Nord และ Snapdragon 730 ใน Pixel 4a ได้แน่นอน และแม้ iPhone SE จะมีแรมน้อยที่สุดในสามรุ่นนี้คือ 3GB (Pixel 4a มี 6GB และ OnePlus Nord 8GB) แต่ด้วยประสิทธิภาพของ iOS ที่จัดการแรมได้ดีกว่า ทำให้ไม่น่าจะเสียเปรียบนัก แถม CPU และ GPU ที่เร็วกว่าบนชิป A13 ก็น่าจะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานและเล่นเกม ดีกว่าพอสมควร
OnePlus Nord ชนะเรื่องการรองรับสัญญาณ 5G แบบ Sub-6Ghz (ไม่รองรับ mmWave) ในขณะที่ iPhone SE และ Pixel 4a ยังไม่รองรับ 5G เลย (Pixel 4a จะมีรุ่นที่รองรับ 5G ตามมาภายหลัง ในราคาที่แพงกว่า)
อีกประเด็นคือแม้ iPhone SE จะมีขนาดหน้าจอเป็นแบบ LCD ที่เล็กกว่า แต่แบตเตอรี่ที่มีขนาดเพียง 1,821 mAh ก็ค่อนข้างน่าหวั่นใจ เมื่อนำไปเทียบกับ 4,115 mAh ใน OnePlus Nord และ 3,140 mAh ใน Pixel 4a
เรื่องหน้าจอ OnePlus Nord ดีที่สุด
OnePlus Nord เป็นมือถือรุ่นเดียวในการเปรียบเทียบนี้ ที่มีหน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.44 นิ้ว แบบ 90Hz ที่ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล ส่วน iPhone SE เป็นหน้าจอ LCD ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 750 x 1334 พิกเซล และ Pixel 4a เป็นหน้าจอ OLED ขนาด 5.81 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2340 ที่แม้ได้รับคำชมในรีวิว แต่หน้าจอ Fluid AMOLED ของ OnePlus Nord ก็มีความละเอียดสูงกว่า และมี refresh rate ที่ 90Hz
OnePlus Nord มีจำนวนกล้องมากที่สุด แต่เรื่องภาพนิ่ง Pixel 4a ยังเป็นผู้ชนะ
ในด้านกล้อง OnePlus Nord ดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะในแง่จำนวน เพราะเป็นรุ่นเดียวที่ให้กล้องหลังมา 4 กล้อง คือกล้องหลัก 48MP กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP กล้องมาโคร 2MP และ depth sensor 5MP พร้อมกล้องหน้าคู่ 32MP แบบไวด์ และ 5MP แบบอัลตร้าไวด์ ในขณะที่ iPhone SE และ Pixel 4a ยังเป็นกล้องเดี่ยวอยู่
แต่กล้องเดี่ยว 12.2 พิกเซล ของ Pixel 4a ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากรีวิวของเว็บไซต์ต่างๆ เป็นเสียงเดียวกันว่าคุณภาพทั้งสี การเก็บรายละเอียด และการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ทำได้ดีมาก เทียบได้กับเรือธงของ Google รุ่นก่อน อย่าง Pixel 4ซึ่ง เป็นผลมาจากซอฟต์แวร์ประมวลผลของ Pixel 4a ที่ล้ำหน้ากว่าค่ายอื่นๆ แต่ก็คงต้องรอผลทดสอบมากกว่านี้ ว่าดีกว่า OnePlus Nord และ iPhone SE จริงหรือไม่ และมากแค่ไหน
ส่วน iPhone SE แม้จะมีเพียงกล้องเดี่ยว 12MP แต่ในการทดสอบของเว็บไซต์ Android Authority ก็ได้รับคะแนนโหวตชนะ OnePlus Nord ไป และ iPhone SE ยังได้รับคำชมเรื่องการถ่ายวิดีโอตามสไตล์ของกล้อง iPhone ที่ถ่ายได้ทั้ง 4K ที่ 60fps และ 1080p ถึง 240fps ส่วน Pixel 4a ถ่ายได้แค่ 4K 30fps กับ 1080p สูงสุด 120fps ส่วน OnePlus Nord ถ่าย 4K ได้ถึง 60fps และ 1080p สูงสุด 60fps
สุดท้ายแล้วคงขึ้นอยู่กับการใช้งาน ที่หากผู้ใช้จำเป็นต้องใช้กล้องอัลตร้าไวด์หรือมาโคร OnePlus Nord คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่หากไม่จำเป็น คงต้องพิจารณาอีกครั้ง หากเน้นถ่ายภาพนิ่ง Pixel 4a น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และถ้าชอบถ่ายวิดีโอ iPhone SE ก็น่าจะตอบโจทย์ที่สุด
การซัพพอร์ตของระบบปฏิบัติการ: iPhone SE ยาวนานที่สุด
เรื่องระบบปฏิบัติการ เป็นอีกประเด็นตัดสินใจของผู้ใช้ ที่การตัดสินใจ อาจมาจากความเคยชิน และความชอบในระบบปฏิบัติการนั้นเป็นหลัก แต่ข้อแตกต่างกันในด้านรายละเอียดการซัพพอร์ตของสามรุ่นนี้ ก็แตกต่างกันพอสมควร
iOS หายห่วงเรื่องซัพพอร์ต เพราะมือถือ iPhone แทบทุกรุ่น จะได้รับการซัพพอร์ตอย่างน้อย 5 ปี รวมถึง iPhone SE ที่เลือกใช้ชิปรุ่นใหม่ก็น่าจะได้รับซัพพอร์ตไปนานไม่แพ้กัน แถม iOS 14 ที่กำลังจะออกนี้ ก็เพิ่มฟีเจอร์มากมายที่เริ่มคล้ายคลึง Android เข้ามา ทั้ง Widgets, การแบ่งหมวดแอป และอื่นๆ ทำให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น สำหรับการย้ายค่ายมาจากฝั่ง Android
ส่วน Google Pixel 4a จะได้รับการซัพพอร์ตอย่างน้อย 3 ปีเป็นอย่างต่ำเท่ากันกับ OnePlus Nord แต่ Pixel 4a จะได้เปรียบในด้านการเป็นระบบปฏิบัติการ Pure Android หรือ Android แท้ๆ ส่งตรงจาก Google เอง ซึ่งได้อัพเดตเวอร์ชั่นไวกว่า ในขณะที่ OnePlus Nord เป็น Android 10 ครอบทับด้วย Oxegen OS ที่ถึงจะค่อนข้างคลีน แต่ก็สู้ Pixel ไม่ได้อยู่ดี
Pixel 4a คุ้มราคาที่สุด แต่หาซื้อยากในบ้านเรา
ในรุ่นความจุ 128GB Pixel 4a ที่มีรุ่นเดียว ราคาเดียว และสีเดียว เป็นผู้ชนะไปในด้านราคาที่ถูกที่สุด ที่ 349 ดอลลาร์ (ประมาณ 10,900 บาท) แต่ยังมีประสิทธิภาพที่พอใช้ กล้องที่คุณภาพดีเยี่ยม หน้าจอ OLED มีสแกนลายนิ้วมือด้านหลัง และรูหูฟังอย่างครบครัน แต่ข้อเสียก็คือหาซื้อยากที่สุดในสามรุ่นนี้ และอาจจะมีแต่เพียงเครื่องหิ้วเท่านั้น
ส่วน OnePlus Nord ยังไม่มีข้อมูลการวางจำหน่ายในบ้านเรา แต่เพราะ OnePlus รุ่นอื่นมีวางจำหน่ายในบ้านเราอย่างเป็นทางการ ทำให้ OnePlus Nord ก็มีโอกาสเช่นกัน รุ่นความจุ 128GB ตั้งราคา 480 เหรียญ (ประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป) เมื่อเข้าบ้านเราแล้ว ก็อาจจะบวกเพิ่มไปอีก
iPhone SE รุ่น 128GB ราคา 449 ดอลลาร์ ซึ่งแพงกว่า Pixel 4a ที่ความจุเท่ากันอยู่ถึง 100 ดอลลาร์ แต่มีวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราแล้ว และเป็นรุ่นเดียวที่ซื้อได้ทันทีในปัจจุบัน ด้วยราคา 16,900 บาท
สรุป
สำหรับผู้ใช้ที่อยู่ในระบบของ Apple อยู่แล้ว และอยากได้มือถือราคาประหยัด โดยไม่ได้สนใจหน้าจอใหญ่ กล้องเทพ หรือเรื่องการรองรับ 5G แต่เน้นที่ประสิทธิภาพภายในล้วนๆ iPhone SE ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเป็นสาวก Android ตัว Google Pixel 4a ก็เป็นอีกรุ่นที่คุ้มราคาที่สุด พร้อมกล้องคุณภาพเยี่ยม ซอฟต์แวร์ Pure Android และการอัพเดตเวอร์ชั่นที่จะได้รับก่อนใคร แม้ Snapdragon 730G จะเป็นชิปที่ไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่ก็คงไม่ส่งผลมากนัก ในการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน และยังเป็นอีกตัวเลือกที่ดี แต่ก็เช่นเคยของ Pixel ในบ้านเรา ที่คงต้องอาศัยการซื้อร้านหิ้ว ที่อาจจะบวกราคาเพิ่มไปอีกพอสมควร (อาจจะประมาณ 15,000 บาท)
ส่วนใครที่อยากได้กล้องอัลตร้าไวด์ หน้าจอเทพ การรองรับ 5G และประสิทธิภาพที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเรือธงในด้านการใช้งานทั่วไป และไม่หวั่นที่จะต้องจ่ายเพิ่มอีกสักหน่อย OnePlus Nord ก็เป็นตัวเลือกที่น่าจะเหมาะสมที่สุด แต่ก็อาจจะต้องรอติดตามข่าวการวางจำหน่ายในบ้านเราต่อไป |
# อดีตผู้ก่อตั้ง Otto ถูกตัดสินจำคุก 18 เดือน ฐานขโมยความลับทางการค้าจาก Waymo
Anthony Levandowski อดีตผู้ก่อตั้ง Otto สตาร์ทอัพรถไร้คนขับถูกศาลตัดสินจำคุก 18 เดือน ฐานขโมยความลับทางการค้าจาก Waymo โดยผู้พิพากษาตัดสินลดลงจากที่สำนักงานอัยการของเขตแคลิฟอร์เนียเหนือ (Northern District of California) ยื่นฟ้องให้จำคุก 27 เดือน หลังเจ้าตัวรับสารภาพไปก่อนหน้านี้
คดีนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2017 ที่ Waymo ยื่นฟ้อง Uber ว่ารู้เห็นเกี่ยวกับการขโมยเอกสารข้อมูลทางเทคนิคที่ Anthony Levandowski อดีตพนักงาน Waymo ขโมยออกมาก่อนจะก่อตั้ง Otto ซึ่งคดีความระหว่าง Waymo กับ Uber สิ้นสุดไปตั้งแต่ปี 2018 หลัง Uber ยอมจ่ายค่าเสียหายไปแล้ว เหลือแค่คดีความนี้ของ Levandowski ที่สำนักงานอัยการเป็นโจทก์
Anthony Levandowski จาก Wikipedia (CC-BY 4.0)
นอกจากโทษจำคุกแล้ว Levandowski ยังต้องจ่ายค่าเสียหายให้ Waymo 757 ล้านเหรียญพร้อมค่าปรับอีก 95,000 เหรียญ โดยตัว Levandowski เองก็ขอยื่นล้มละลายไปก่อนหน้านี้แล้วหลังถูกศาลสั่งให้ชดเชยค่าเสียหายให้ Google 179 ล้านเหรียญในอีกคดีจากความพยายามละเมิดสัญญาว่าจะไม่ดึงตัววิศวกรของ Google
ทั้งนี้ Levandowski ได้ยื่นฟ้อง Uber เป็นเงินราว 4.1 พันล้านเหรียญด้วย โดยกล่าวหาว่า Uber ละเมิดสัญญาที่จะจ่ายเงินชดเชยให้ตอนซื้อ Otto แต่ทาง Uber กลับไม่ทำตามสัญญาและบีบให้ Levandowski ลาออกเพราะการฟ้องร้องเรื่องการขโมยความลับทางการค้าจาก Waymo โดยตัวเลข 4.1 พันล้านเทียบเท่ากับมูลค่าของ Uber Freight บริษัทรถบรรทุกไร้คนขับที่เปลี่ยนชื่อมาจาก Otto
ที่มา - TechCrunch |
# หลุดราคา PS5 จากเว็บ Carrefour 399 ยูโรและ 499 ยูโร แต่อาจเป็น Placeholder
เว็บไซต์ Carrefour ห้างสรรพสินค้าของฝรั่งเศสที่เคยมีอยู่ในประเทศไทยเมื่อนานมาแล้ว หลุดแสดงราคาของ PS5 ทั้งเวอร์ชั่นดิจิทัลราคา 399 ยูโร (ประมาณ 14,700 บาท) และแบบใส่แผ่น ราคา 499 ยูโร (ประมาณ 18,300 บาท) แต่จุดที่ทำให้คาดว่าราคานี้อาจจะเป็นแค่ราคาที่ใส่ไว้ชั่วคราว หรือ Placeholder คือราคาของอุปกรณ์เสริม
ทั้งรีโมต Media จอย DualSense 5 และแท่นชาร์จ บนหน้าเว็บ ลงราคาไว้ 49.90 ยูโรเท่ากันหมด ซึ่งไม่น่าใช่ราคาจริง เพราะนอกจากราคาของทั้งสามสิ่งนี้ที่ควรจะแตกต่างกันแล้ว จอย DualSens 5 น่าจะมีราคาแพงกว่า 49.90 ยูโร หรือประมาณ 1,850 บาท พอสมควร
ภาพหน้าเว็บ Carrefour จากเว็บไซต์ภาษาฝรั่งเศส Phoneandroid
Carrefour ลบหน้านี้ไปแล้ว แต่ก็ลงข้อความไว้ว่า PS5 และ Xbox Series X เตรียมวางจำหน่ายเร็วๆ นี้ และยังมีข่าวจาก Bloomberg ว่าอาจมีการประกาศข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PS5 เช่นราคา ภายในเดือนนี้ แต่ Sony ก็ออกมาสยบข่าวลือแล้ว ว่าจะไม่มีประกาศอะไรเกี่ยวกับ PS5ในงานไลฟ์ Sony State of Play ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 สิงหาคมนี้
ที่มา - Techradar |
# แอป Files ของ Google อัพเดตเพิ่มฟีเจอร์ Safe Folder โฟลเดอร์เก็บไฟล์ล็อกรหัส
แอป Files by Google อัพเดตใหม่เพิ่มฟีเจอร์ที่น่าจะมีความจำเป็นกับหลาย ๆ คนอย่าง Safe Folder สำหรับเก็บไฟล์หรือรูปภาพแบบต่างหากพร้อมการล็อกรหัสด้วย PIN 4 ตัว
Safe Folder จะแสดงขึ้นมาอยู่ในแท็บ Collection ภายในแอป ขณะที่การเพิ่มไฟล์เข้าไปก็แค่กดค้างที่ไฟล์นั้น ๆ แล้วเลือก Move to Safe Folder โดยทาง Google ระบุว่าที่มาที่ไปของฟีเจอร์นี้เกิดจากการสำรวจพบว่า ในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ การแบ่งปันหรือให้พ่อแม่ญาติพี่น้องยืมสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นสิ่งที่หลาย ๆ คนกังวลคือความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างไฟล์หรือรูปภาพ เลยต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลเหล่านี้ที่แยกออกมาจากการเข้าถึงทั่วไป
นอกจากนี้ Google เปิดเผยด้วยว่า Files มียอดผู้ใช้งานรายเดือนเกิน 150 ล้านคนแล้ว
ที่มา - งานแถลงข่าว |
# เคาะแล้ว หนัง Mulan ลง Disney+ กันยายนนี้ ในราคา 29.99 ดอลลาร์
หลังโดนเลื่อนฉายตั้งแต่เดือนมีนาคมเพราะ COVID-19 หนังเรื่อง Mulan ก็มาฉายผ่านสตรีมมิ่ง Disney+ ในวันที่ 4 กันยายนนี้ ถ้าจะได้ดูต้องจ่ายแพ็กเกจพรีเมี่ยม ราคา 29.99 ดอลลาร์ โดยตัวหนังจะได้ฉายในตลาดที่โรงหนังยังสามารถเปิดได้ในตอนนี้ควบคู่กัน
ราคาดูหนัง 29.99 ดอลลาร์ ถือว่าราคาสูง แต่อาจเป็นราคาที่เหมาะกับการดูเป็นครอบครัว ด้านหนัง Mulan มีการลงทุนสร้างกว่า 200 ล้านดอลลาร์ Bob Chepak ซีอีโอดิสนีย์ ระบุว่า Mulan ถือเป็นการเปิดหน้าต่างใหม่ทางธุรกิจ
ที่มา - Mashable, Vulture |
# อินฟลูเอนเซอร์ TikTok ทำอะไรไม่ถูกหลังแอปอาจโดนแบน แห่ใช้ Instagram
ชะตากรรม TikTok ตอนนี้อยู่ในมือไมโครซอฟท์ แต่อินฟลูเอนเซอร์บน TikTok ก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่แน่นอน และทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่า TikTok จะโดนแบนหรือไม่ ทำให้พวกเขาแห่หันไปลงคอนเทนต์ใน Instagram แทน
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้ใช้งาน TikTok ดันแฮชแท็ก #savetiktok ไปกว่า 800 ล้านครั้ง และแสดงออกในท่าทีที่ต้องการให้ TikTok ยังคงใช้งานได้ต่อไป
Max Beaumont หนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ TikTok สายพัฒนาตัวเอง การดูแลรูปร่างและพิวพรรณ บอกว่าการเปลี่ยนไปใช้งาน Instagram ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจสำหรับเขา เขาเขียนจดหมายเปิดผนึกพร้อมด้วยผู้ลงนามอีกหลายรายส่งให้ทรัมป์ เพื่อขอให้ไม่แบน TikTok
ประเด็น TikTok อาจถูกแบนส่งผลดีต่อ Facebook อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะอินฟลูเอนเซอร์บางส่วนไปใช้งาน Instagram ซึ่งตอนนี้กำลังพัฒนาฟีเจอร์ Reels ที่มีความสามารถลิปซิงค์ประกอบเพลง ตัดต่อง่ายๆ ได้แบบ TikTok
ที่มา - Bloomberg |
# เก็บข้อมูลระดับองค์กรอย่างปลอดภัยและไม่เสียค่า Data transfer ด้วย Enterprise Object Storage จาก AIS Business Cloud
การใช้งานคลาวด์ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง นอกจากบริการการเช่าเซิร์ฟเวอร์แล้ว อีกบริการที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกันคือบริการฝากข้อมูล หรือบริการ Object Storage เช่น Amazon S3, Google Cloud Storage, หรือ Azure Blob Storage ที่เปิดให้องค์กรสามารถฝากไฟล์ข้อมูลไว้บนคลาวด์ที่ความน่าเชื่อถือสูง ใช้งานได้ทั้งการเก็บไฟล์ใช้งานเฉพาะในองค์กร หรือการแชร์ไฟล์สู่อินเทอร์เน็ต
บริการ Object Storage เป็นบริการที่มากกว่าการเก็บไฟล์เพียงอย่างเดียว เพราะองค์กรสามารถเพิ่มข้อมูลแนบให้กับไฟล์เข้าไปได้ เช่น ข้อมูลหมายเลขประจำตัวคนไข้ในกรณีที่เก็บภาพสแกนหรือเอ็กซเรย์ทางการแพทย์ ความสามารถเช่นนี้ทำให้องค์กรสามารถพัฒนาแอปพลิเคชั่นเข้ามาควบคุมจัดการการเก็บข้อมูลได้ละเอียดยิ่งขึ้น เช่นบางไฟล์อาจจะมีการเก็บข้อมูลระยะเวลาที่ต้องจัดเก็บตามกฎหมายเพื่อให้สามารถลบไฟล์ออกตามกำหนด
ความท้าทายสำคัญในการใช้บริการ Object Storage คือขนาดแบนวิดท์ที่องค์กรเชื่อมต่อเข้ากับผู้ให้บริการคลาวด์จะมีผลเป็นอย่างมากต่อประสิทธิภาพ การส่งข้อมูลระดับสิบเทราไบต์อาจจะต้องใช้เวลาหลายวัน และเมื่อหากเป็นองค์กรที่มีอัตราการส่งข้อมูลขึ้นลงคลาวด์สูงกว่านั้นก็อาจจะใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตได้ลำบาก โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตต่างประเทศที่มีแบนวิดท์จำกัดกว่า อีกทั้งผู้ให้บริการคลาวด์ส่วนมากมักคิดค่าแบนวิดท์เมื่อดาวน์โหลดไฟล์กลับออกมาใช้งาน ทำให้องค์กรพบกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าที่คาดไว้แต่แรกกันเป็นปกติ
AIS ร่วมกับ VMware และ Cloudian เปิดตัวบริการ Enterprise Object Storage บริการพื้นที่เก็บไฟล์ขนาดใหญ่ คุณภาพบริการระดับเดียวกับคลาวด์ต่างประเทศ สำหรับองค์กรในประเทศไทยที่กำลังหาโซลูชั่นสำหรับการเก็บข้อมูลแบบเดียวกับบริการคลาวด์ โดยยังได้ประโยชน์รูปแบบเดียวกัน ทั้งโมเดลราคาที่ไม่ต้องติดสัญญาระยะยาวแต่คิดตามการใช้งานตามจริง, ระดับความน่าเชื่อถือสูง (ความทนทานข้อมูล 99.99%), ฟีเจอร์ป้องกันข้อมูลสูญหาย, และความเข้ากันได้กับ S3 API เต็มรูปแบบ ทำให้แอปพลิเคชั่นที่พัฒนาไว้ก่อนแล้วสามารถย้ายมาใช้งานได้ทันทีหลังคอนฟิกเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย
นอกจากฟีเจอร์ที่เทียบกันได้กับผู้ให้บริการคลาวด์ต่างประเทศแล้ว Enterprise Object Storage ยังเหนือกว่าด้วยการการคิดค่าบริการเฉพาะพื้นที่เก็บข้อมูลเท่านั้น ไม่มีค่าใช้จ่ายในการรับส่งข้อมูลทั้งอัพโหลดและดาวน์โหลด ศูนย์ข้อมูลที่อยู่ในประเทศไทยทำให้การส่งข้อมูลทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แน่ใจได้ว่าไม่ติดขัดกฎระเบียบในกฎหมายบางธุรกิจที่อาจห้ามนำข้อมูลส่งออกต่างประเทศ และทีมซัพพอร์ตเป็นวิศวกรไทยที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด
พร้อมต่อยอดการทำงานร่วมกันบน VMware Cluster ขององค์กรคุณได้อย่างสะดวกสบาย กับโซลูชั่นจาก VMware และ Cloudian
Enterprise Object Storage จาก AIS Business Cloud พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ สำหรับธุรกิจองค์กรที่สนใจสมัครใช้บริการ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ AIS Business ที่ดูแลองค์กรของท่าน หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ AIS Business Cloud ได้ที่ https://business.ais.co.th/cloud/ หรือติดต่อทีมงานของ AIS ที่ดูแลธุรกิจของคุณอยู่เพื่อประสานงานสำหรับการขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการต่างๆ หรืออีเมล์ [email protected] ได้ทันที |
# ดิสนีย์เตรียมเปิดสตรีมมิ่งใหม่ภายใต้แบรนด์ Star ในตลาดต่างประเทศ
Bob Chapek ซีอีโอดิสนีย์เผยว่ากำลังจะเปิดตัวสตรีมมิ่งภายใต้แบรนด์ Star ในตลาดต่างประเทศภายในปี 2021 ยังไม่รู้รายละเอียดว่าประเทศอะไร และราคาเท่าไรบ้าง
Chapek ระบุเพียงว่าจะมีเนื้อหาจากช่อง ABC, FX, Freeform, Searchlight และค่าย 20th Century Studios และ Star จะไม่ฉายคอนเทนต์ที่มีลิขสิทธิ์ ซึ่งต่างจากสตรีมมิ่งอื่นในเครือดิสนีย์อย่าง Hulu
ดิสนีย์ประสบความสำเร็จในการเปิดตัว Disney+ ซึ่งจนถึงตอนนี้มีผู้ใช้งาน 60 ล้านรายแล้ว และถ้ารวมผู้ใช้งานบริการอื่นในเครืออย่าง Hulu, ESPN Plus เข้าไปด้วยก็จะเป็น 100 ล้านราย
แต่การเปิดตัว สตรีมมิ่งแบรนด์ Star ในต่างประเทศก็เป็นคำถามว่า แล้ว Hulu ที่ซึ่ง Bob Iger ซีอีโอคนเก่าเคยบอกไว้ว่าจะขยายไปยังตลาดต่างประเทศภายในปี 2021 ด้วยเช่นกัน ซึ่ง Chapek ไม่ได้ระบุว่า Star จะมาแทน Hulu หรือไม่ บอกเพียงว่า Hulu ไม่ค่อยมีการรับรู้ในตลาดต่างประเทศ
Disney Stars Studio ถือเป็นแบรนด์เครือดิสนีย์ตีตลาดต่างประเทศ ส่วน Hulu เป็นแบรนด์ที่ใช้เฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และในปี 2019 ก็รวมเข้ากับสตรีมมิ่งในอินเดีย กลายเป็นแบรนด์ Disney Plus HotStar
ภาพจาก ดิสนีย์
ที่มา - The Verge |
# Nearby Share ฟีเจอร์ AirDrop ของแอนดรอยด์ปล่อยตัวจริงบน Pixel และ Samsung แล้ว
จากที่มีข่าวลือออกว่าจะปล่อยเดือนนี้ ล่าสุด Nearby Share ฟีเจอร์แชร์ไฟล์ให้เครื่องรอบข้างแบบ AirDrop ของแอนดรอยด์ปล่อยให้ใช้งานจริงแล้ว โดยเริ่มที่เครื่อง Pixel และ Samsung ก่อน และจะรองรับเฉพาะ Android 6.0 ขึ้นไปเท่านั้น
โปรโตคอลที่ Nearby Share ใช้ในการรับส่งข้อมูลจะเลือกที่ดีที่สุดจาก Bluetooth LE, WebRTC หรือ Wi-FI แบบ peer-to-peer ขณะที่คนรับสามารถเลือกเปิด Nearby Share ได้ที่ Setting > Google > Device connections > Nearby Share > Turn on โดยจะต้องเปิด Bluetooth และ Location ด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถเลือกได้เครื่องอื่นจะแสดงตัวให้เครื่องอื่นเห็นได้ทั้งหมด (all contacts), บางคน (some contacts) หรือไม่เห็นเลย (hidden) ได้จากหน้า Privacy ขณะที่คนส่งจะมีตัวเลือก Nearby Share เพิ่มเข้ามาเวลากด Share ไฟล์หรือลิงก์ใด ๆ
Google ระบุด้วยว่าจะเพิ่มฟีเจอร์นี้ให้กับ Chromebook ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ที่มา - Google Blog |
# เกมเมอร์ไม่พอใจการเอ็กคลูซีฟ Spider-Man ในเกม Marvel's Avengers, ชาว Xbox ร่วมกันบอยคอต
หลังจากที่ Crystal Dynamic สตูดิโอที่พัฒนาเกม Marvel's Avengers ได้ออกมาประกาศว่าเกม Marvel's Avengers จะมี Spider-Man ให้เล่นแบบเอ็กคลูซีฟเฉพาะบน PS4
เหล่าเกมเมอร์ก็มีผลสะท้อนอย่างรุนแรง โดยในชุมชน reddit หนึ่งในกระทู้ที่ได้รับการ upvote สูงสุดกว่า 6,700 ครั้ง ณ เวลานี้ บน r/MarvelAvengersProject ซึ่งเป็น subreddit ของเกม คือกระทู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเอ็กคลูซีฟเพราะการล็อคคอนเทนท์ในเกมมัลติแพลตฟอร์มเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
รวมถึงในชุมชน Xbox ก็มีกระแสบอยคอตขึ้นเช่นกันโดยกระทู้ที่รณรงค์บอยคอตมียอด upvote กว่า 14,300 ครั้ง ณ เวลานี้ โดยกระทู้นี้กล่าวว่า นี่คือการที่เหล่าผู้บริโภคออกมาแสดงจุดยืนของตัวเอง การที่ Spider-Man เอ็กคลูซีฟเฉพาะ PS4 เป็นสิ่งที่เหมือนกับการถูกหลอกลวง เพราะเกมนี้ไม่ใช่เกมเอ็กคลูซีฟของ PS4 แต่เป็นเกมมัลติแพลตฟอร์มที่ขายราคาเต็มเท่ากัน แต่ได้คอนเทนต์ที่น้อยกว่า พวกเราที่เป็นผู้บริโภคก็ควรมีการเคารพในตัวเองและปฏิเสธการถูกปฏิบัติราวกับเป็นลูกค้าชั้นสองแบบนี้
ที่มา - r/MarvelAvengersProject, r/xboxone, Dualshockers |
# Google Play Music จะหยุดให้บริการในเดือนตุลาคม แนะนำผู้ใช้ย้ายไป YouTube Music
หลังจาก YouTube Music ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ก็มีข่าวลือว่า Google จะหยุดให้บริการ Google Play Music และย้ายไป YouTube Music ทั้งหมดเพื่อลดความซ้ำซ้อนของผลิตภัณฑ์ในบริษัท วันนี้ Google ประกาศแผนการหยุดให้บริการ Google Play Music อย่างเป็นทางการแล้ว
Google ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป Google Play Music จะหยุดให้บริการในนิวซีแลนด์และแอฟริกาใต้ และตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไปสำหรับทุกประเทศทั่วโลก โดยผู้ใช้จะไม่สามารถใช้บริการ Google Play Music ได้ แต่ Google จะยังไม่ปิดทั้งหมด โดยจะให้เวลาผู้ใช้งานจนถึงธันวาคมนี้ในการย้ายข้อมูลต่าง ๆ เช่น เพลย์ลิสต์, เพลงที่อัพโหลด และอื่น ๆ ไปยัง YouTube Music ภายในเดือนธันวาคมนี้
สำหรับการหยุดให้บริการ Google Play Music ครั้งนี้ Google ไม่ได้หยุดให้บริการเฉพาะส่วนสตรีมมิ่งเท่านั้น แต่ทางบริษัทจะหยุดให้บริการส่วนเพลงบน Google Play ทั้งหมด หมายความว่าผู้ใช้จะไม่สามารถซื้อเพลงได้อีก โดยแผนการปิด Google Play ส่วนซื้อเพลงจะอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้
ที่มา - YouTube, Engadget
ภาพจาก YouTube |
# Activision Blizzard รายได้เติบโต 38%, Call of Duty: Warzone มีผู้เล่น 75 ล้านราย
Activision Blizzard เป็นบริษัทเกมอีกหนึ่งแห่งที่มีผลประกอบการออกมาดีเยี่ยมในไตรมาส 2/2020 โดยรายได้เติบโต 38% จาก 1.4 พันล้านดอลลาร์เป็น 1.93 พันล้านดอลลาร์ (EA เติบโต 21%, Take-Two โต 54%) จากปัจจัยคนอยู่บ้านเล่นเกม
เกมเด่นในไตรมาสนี้คือ Call of Duty: Warzone ที่มีผู้เล่นแตะ 75 ล้านราย (เพิ่งผ่านหลัก 50 ล้านรายในเดือนเมษายน) ส่วนเกมอื่นๆ ในซีรีส์ก็บวกกันถ้วนหน้า ทั้ง Modern Warfare ที่ได้ผู้เล่นหน้าใหม่จาก Warzone เข้ามาเพิ่ม และ Call of Duty Mobile ที่เติบโตเช่นกัน โดยรวมแล้วฝั่ง Activision มีผู้เล่นต่อเดือน (MAU) 125 ล้านราย
ฝั่ง Blizzard ก็ยังไปได้ดีกับ World of Warcraft ที่เตรียมออกภาคเสริม Shadowlands และ Hearthstone ที่ออกภาคเสริม Ashes of Outland เรียบร้อยแล้ว ฝั่ง Blizzard มีผู้เล่นต่อเดือน 32 ล้านราย
ฟากเกมมือถือของค่าย King ก็มีรายได้เติบโตจาก Candy Crush โดย King มีผู้เล่นต่อเดือนทั้งหมด 271 ล้านราย
ที่มา - Activision Blizzard, VentureBeat |
# Take-Two Interactive รายได้ไตรมาส 2/2020 เติบโต 54% แม้ไม่ออกเกมใหม่เลย
บริษัทเกมถือเป็นธุรกิจที่ได้รับผลเชิงบวกจาก COVID-19 ดังเห็นจากรายได้ไตรมาส 2/2020 ที่เพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น EA รายได้เพิ่ม 21%, ธุรกิจเกมของ Sony เติบโตสูง, Xbox One กลับมาขายดีแม้ท้ายเจน
Take-Two Interactive บริษัทแม่ของ 2K และ Rockstar เป็นอีกบริษัทที่รายงานรายได้เติบโต 54% โดยไม่ได้ออกเกมใหม่แม้แต่เกมเดียว ลำพังแค่เกมเก่าที่เป็นบริการออนไลน์อยู่แล้วอย่าง GTA V, RDR2, เกมกีฬาตระกูล 2K อย่าง NBA 2K20 ก็สามารถช่วยดันรายได้ไตรมาส 2 จาก 540.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มมาเป็น 831.3 ล้านดอลลาร์
Take-Two ยังบอกว่ารายได้จากช่องทางดิจิทัลคิดเป็น 87% ของรายได้ทั้งหมดแล้ว และถ้านับเฉพาะรายได้ดิจิทัล อัตราเติบโตเพิ่มเป็น 70% เลยด้วยซ้ำ
ตัวเลขยอดขาย GTA V เพิ่มจาก 130 ล้านชุดในไตรมาสที่แล้วเป็น 135 ล้านชุด, RDR 2 เพิ่มจาก 31 เป็น 32 ล้านชุด, NBA 2K20 เพิ่มจาก 12 ล้านชุดเป็น 14 ล้านชุด และจำนวนผู้เล่นต่อวันของ NBA 2K เพิ่มขึ้นถึง 82% จากปีที่แล้ว
ซีอีโอ Strauss Zelnick ยังให้ความเห็นถึงการขึ้นราคาเกมจาก 59.99 เป็น 69.99 ดอลลาร์ ว่าราคาจะสะท้อนคุณภาพของประสบการณ์ที่ได้ เขาเชื่อว่าเมื่อผู้เล่นได้สัมผัสเกมยุคหน้า จะเข้าใจได้เองว่าทำไมราคาถึงเพิ่มขึ้น (the price is justified) แต่เสริมว่า Take-Two จะพิจารณาการขึ้นราคาเป็นเกมๆ ไป ไม่ใช่ทุกเกมของคอนโซลยุคหน้าจะขึ้นราคาทั้งหมด
ที่มา - Take-Two, VentureBeat, GamesIndustry |
# SonarQube แจ้งเตือนคอนฟิกซอฟต์แวร์ให้ถูกต้อง หลังพบซอร์สโค้ดในองค์กรหลุด
SonarSource ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ตรวจคุณภาพโค้ด SonarQube เขียนบล็อกชี้แจงหลังมีนักวิจัยพบว่าซอร์สโค้ดของหลายองค์กรหลุดออกมาจากเซิร์ฟเวอร์ SonarQube ในบริษัท โดยระบุว่าองค์กรที่ติดตั้ง SonarQube ในองค์กรควรตรวจสอบคอนฟิกให้เหมาะสมกับการใช้งาน เนื่องจากคอนฟิกเริ่มต้นนั้นจะเปิดโครงการเป็นสาธารณะ
ผลกระทบจากการเปิดโครงการเป็นสาธารณะและยังเปิดให้เข้าถึง SonarQube จากอินเทอร์เน็ตจะทำให้คนนอกองค์กรเข้าถึงซอร์สโค้ดได้ และกลายเป็นช่องโหว่ขององค์กรไปเสียเอง โดยก่อนหน้านี้ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @deletescape ได้รายงานถึงเหตุซอร์สโค้ดหลุดจำนวนมาก
ซอฟต์แวร์จำนวนมากที่ออกแบบให้ใช้งานในองค์กรโดยค่าเริ่มต้นไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยเอาไว้ และผู้ใช้งานหลายครั้งไม่ได้ตระหนักว่าต้องปรับแต่งคอนฟิกเพิ่มเติมเป็นเหตุให้ข้อมูลรั่วไหลหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ที่อาจจะพบได้บ่อย เช่น ซอฟต์แวร์ค้นหาอย่าง Elasticsearch เป็นต้น
ที่มา - SonarSource |
# Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดแอปเปิลลงจากตำแหน่ง รั้งตำแหน่ง Apple Fellow
Phil Schiller รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของแอปเปิลประกาศลงจากตำแหน่ง โดยให้ Greg (Joz) Joswiak หัวหน้าฝ่ายการตลาดสินค้า (Product Marketing) ทำหน้าที่แทน โดยตัว Schiller จะรับตำแหน่งทางการเป็น Apple Fellow แต่ยังดูแล Apple Store และงานอีเวนต์ของแอปเปิลต่อไป
Schiller เรียนจบด้านชีววิทยาแต่ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ตั้งแต่จบใหม่ๆ และก้าวหน้าในงานด้านเทคโนโลยีมาจนเป็นผู้จัดการไอทีและหันไปทำงานให้คำปรึกษาการจัดการ ก่อนจะเข้าทำงานกับแอปเปิลในปี 1987 ก่อนจะลาออกไปอยู่กับ Firepower Systems และ Macromedia ในปี 1997 เขากลับมาเป็นผู้บริหารแอปเปิลในหลัง Steve Jobs กลับมาสู่แอปเปิล (Jobs กลับมาปี 1996) แล้วทำงานกับแอปเปิลเรื่อยมา
Joswiak เองทำงานกับแอปเปิลมากว่า 20 ปีแล้ว และ 4 ปีที่ผ่านมาก็เป็นรองประธานฝ่ายการตลาดสินค้า
ที่มา - Apple |
# Apple อัพเดต iMac 27 นิ้ว ซีพียูอินเทล Gen 10 จอ Retina 5K รวมทั้งอัพเดต iMac 21.5 นิ้ว และ iMac Pro
แอปเปิลออกอัพเดต iMac รุ่นจอ 27 นิ้ว ตัวใหม่ มาพร้อมซีพียูอินเทลสูงสุด 10 คอร์ เพิ่มแรมสองเท่าจากรุ่นก่อนหน้า การ์ดจอรุ่นใหม่ของ AMD และอื่น ๆ อีกหลายรายการ
โดยข้อมูลสเป็กโดยละเอียดนั้น ซีพียูเป็นอินเทล Gen 10 ปรับเลือกได้ตั้งแต่ 6 คอร์ จนถึงสูงสุด 10 คอร์ Turbo Boost สูงสุด 5.0GHz, เพิ่มแรมได้สูงสุด 128GB, ส่วนการ์ดจอเริ่มต้น Radeon Pro 5300 ปรับเลือกได้สูงสุดถึง Radeon Pro 5700 XT, SSD เพิ่มได้สูงสุด 8TB
อีกไฮไลท์สำคัญคือหน้าจอ Retina 5K แสดงผลแบบทรูโทน และสามารถเพิ่มเงินเพื่อเลือกกระจกแบบ Nano-Texture ได้ด้วย ส่วนกล้องหน้า (FaceTime HD) ความละเอียดสูงสุด 1080p
นอกจากนี้แอปเปิลยังอัพเดต iMac รุ่นจอ 21.5 นิ้ว มาใช้ SSD เป็นพื้นฐาน แต่สามารถเลือกเปลี่ยนเป็น Fusion Drive ได้ ส่วน iMac Pro ก็มีอัพเดตเช่นกัน โดยอัพเกรดซีพียูเป็นอินเทล Xeon W เริ่มต้น 10 คอร์ เพิ่มได้สูงสุดถึง 18 คอร์
iMac 27 นิ้วรุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้นที่ 62,900 บาท รุ่น 21.5 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 37,900 บาท และ iMac Pro ราคาเริ่มต้นที่ 172,900 บาท สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ของแอปเปิลประเทศไทยได้ เริ่มจัดส่งตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป
ที่มา: แอปเปิล |
# เสิร์ชก่อนแชร์ แก้ข่าวปลอม WhatsApp เพิ่มปุ่มค้นข้อความนั้นในกูเกิล เช็คว่าปลอมหรือไม่
WhatsApp พยายามแก้ปัญหาข่าวปลอมในห้องแชท ด้วยการจำกัดการ forward ข้อความที่ได้รับการส่งต่อเยอะๆ เพื่อสกัดกั้นการระบาดของข่าวปลอม ผลคือสามารถลดจำนวนข่าวปลอมลงได้ถึง 70%
ล่าสุด WhatsApp เพิ่มฟีเจอร์ต่อยอดจากการจำกัดข่าวปลอม โดยจะขึ้นข้อความเตือนผู้ใช้งานว่า ควรตรวจสอบข้อความนี้ผ่าน search engine ก่อน ถ้ากดยืนยัน WhatsApp จะนำข้อความนี้ไปค้นในกูเกิลเพื่อให้ตรวจเช็คได้ง่ายๆ ว่าเป็นข้อมูลจริงหรือปลอม
WhatsApp บอกว่าฟีเจอร์นี้รักษาความเป็นส่วนตัวของข้อความแชท เพราะเป็นการส่งเนื้อหาข้อความไป search ผ่านเบราว์เซอร์ในเครื่องผู้ใช้ โดยที่ WhatsApp ไม่สามารถอ่านข้อความนั้นได้ด้วย
ที่มา - WhatsApp |
# Xbox Game Pass Ultimate รองรับการเล่นเกมบน Android ผ่านสตรีมมิ่ง xCloud
ต่อจากประกาศก่อนหน้านี้ วันนี้ไมโครซอฟท์เปิดตัวโครงการเกมสตรีมมิ่ง Project xCloud อย่างเป็นทางการ โดยจะผนวกเป็นส่วนหนึ่งของ Xbox Game Pass Ultimate ที่คิดราคา 14.99 ดอลลาร์อยู่เดิม (ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม)
ก่อนหน้านี้ สมาชิก Xbox Game Pass Ultimate สามารถเล่นเกมในไลบรารีได้บน Xbox One และพีซี ประกาศนี้จะทำให้เล่นเกมเหล่านี้ (ประมาณ 100 เกม) บนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Android ได้ด้วย โดยยังได้สิทธิเล่นเกมใหม่ของไมโครซอฟท์แบบ Day One ด้วยเช่นกัน
ไมโครซอฟท์ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ต้องการเล่นเกมบนมือถือ ดังนี้
เราอาจเล่นเกมจากที่บ้าน แต่เมื่อต้องเดินทางไกล ก็สามารถเล่นเกมต่อได้ทันที โดยมีโพรไฟล์ เซฟและสถานะของเกม รายชื่อเพื่อน ของเดิมทั้งหมด
เราอาจโดนคนในบ้านแย่งใช้ทีวีไป ก็สามารถเล่นผ่านมือถือได้แทน
เล่นเกมออนไลน์กับเพื่อน แต่แทนที่จะคุยกันผ่านไมโครโฟน ก็เปลี่ยนมานั่งเล่นด้วยกัน คนนึงเล่นบนคอนโซล อีกคนเล่นบนแท็บเล็ต
บริการคลาดว์เกมมิ่งบน Xbox Game Pass Ultimate จะเปิดบริการวันที่ 15 กันยายนนี้ ใน 22 ประเทศ เบื้องต้นยังรองรับเฉพาะบน Android เท่านั้น สามารถเล่นได้ทั้งแบบปุ่มจำลองบนจอสัมผัส หรือต่อกับจอยเกม (ซึ่งรองรับแม้กระทั่ง PlayStation DualShock 4 ของคู่แข่ง)
บทความอ่านประกอบ: บทวิเคราะห์สงครามเกมยุคหน้า กลายเป็น PS5 vs Xbox Game Pass
ภาพแสดงวิสัยทัศน์ Xbox Game Pass ของไมโครซอฟท์ (อัพเดตล่าสุดพร้อมประกาศนี้)
ที่มา - Microsoft |
# Sony ไตรมาสล่าสุด กลุ่มธุรกิจเกมเติบโตสูง ทั้งจากการขายเกม และค่าสมาชิก PS Plus
โซนี่รายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่ 1 ตามปีการเงินบริษัท 2020 (เมษายน-มิถุนายน 2020) รายได้รวม 1.969 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 0.233 ล้านล้านเยน
กลุ่มธุรกิจที่รายได้เติบโตสูงคือเกม และบริการทางการเงิน ขณะที่กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีรายได้ลดลง โดยกลุ่มเกมนั้นแม้ยอดขาย PS4 จะลดลง แต่รายได้จากการขายซอฟต์แวร์และค่าสมาชิก PlayStation Plus มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น สำหรับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าที่ยอดขายลดลงมากคือกล้องและโทรทัศน์
เกมที่โซนี่ระบุว่าได้รับการตอบรับที่ดีคือ The Last of Us Part II และ Ghost of Tsushima
ที่มา: โซนี่ |
# [Canalys] ตลาดแท็บเล็ต ไตรมาส 2/2020 เติบโตถึง 26% เหตุคนต้องการอุปกรณ์สำหรับทำงาน-เรียนที่บ้าน
บริษัทวิจัยตลาด Canalys รายงานภาพรวมตลาดแท็บเล็ตพีซีในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 จำนวนส่งมอบ 37.5 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นถึง 26% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็นการเติบโตสูงหลังตลาดทรงตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุจากการที่คนต้องทำงานและเรียนหนังสือจากบ้าน จึงมีความต้องการแท็บเล็ตมากขึ้นนั่นเอง
แบรนด์แท็บเล็ตยอดนิยม 5 อันดับแรก ต่างได้อานิสงส์จากการเติบโตของตลาดรวม มีการเติบโตระดับเลขสองหลักทุกยี่ห้อ แอปเปิลยังครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 (38.0%) ตามด้วยซัมซุง หัวเหว่ย อเมซอน และเลอโนโว
นักวิเคราะห์จาก Canalys ให้ความเห็นว่า แท็บเล็ตเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับครอบครัว ที่ต้องการอุปกรณ์ส่วนตัวสำหรับแต่ละบุคคล นอกจากนี้ตัวแทนจำหน่ายและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ยังออกโปรโมชันมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาด้วย
ที่มา: Canalys |
# Red Hat เตรียมใส่รันไทม์คอนเทนเนอร์ใหม่ crun เล็กเร็วกว่า runc ทดสอบใน RHEL 8.3
ทีมวิศวกร Red Hat เขียนบล็อคอธิบายถึง crun รันไทม์ใหม่ที่ Giuseppe Scrivano วิศวกรของ Red Hat เขียนขึ้นช่วงวันหยุดปีใหม่ขึ้นปี 2019 โดยเขียนขึ้นด้วยภาษา C ทั้งหมดขณะที่ runc นั้นเขียนด้วยภาษา Go โดย Giuseppe ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ๆ ในรันไทม์ของคอนเทนเนอร์ จนตอนนี้ใน RHEL 8.3 ที่กำลังออก ตัว crun ก็จะใส่เข้ามาด้วยในสถานะ Technology Preview
runc เป็นตัวรันคอนเทนเนอร์อ้างอิงสเปกของ Open Container Initiative หลังจากความบาดหมางระหว่าง Docker และ CoreOS สงบลง แต่การทำตามสเปกเป็นหลักก็ทำให้ไม่มีฟีเจอร์ทดสอบใหม่ๆ
crun เขียนด้วย C ทั้งหมดทำให้ไบนารีมีขนาดเล็กมากเพียง 300kB หรือ 1 ใน 50 ของ runc และการสร้างคอนเทนเนอร์ก็เร็วเท่าตัว โดยกินแรม 1 ใน 4 เท่านั้น พร้อมกับรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น ใช้ cgroup v2 ในเคอร์เนล (ที่ฝั่งเคอร์เนลพัฒนามาตั้งแต่ปี 2015) ดึง stdout/stderr ลงไฟล์ได้โดยตรง และใช้ systemcall ใหม่ๆ ของลินุกซ์ได้ครบ (เพราะเป็นภาษา C)
ที่มา - Red Hat
ภาพโดย ThomasWolter |
# ดีแทคเผย จากโครงการรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ สามารถเก็บขยะมือถือได้แล้ว 1.7 ล้านเครื่อง
นายชารัด เมห์โรทา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีแทค กล่าวว่า ดีแทคได้เริ่มดำเนินการจัดเก็บซากขยะโทรศัพท์มือถือเก่ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งจากสถิติที่บริษัทเก็บได้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ดีแทคสามารถเก็บขยะมือถือได้ถึง 1,774,338 เครื่อง
และเพื่อยกระดับมาตรการการจัดการซากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เชื่อมต่อให้เข้มข้นมากขึ้น จึงเปิดโครงการ “ดีแทค ทิ้งให้ดี” เพิ่มขึ้นมา เชิญชวนผู้ใช้งานอุปกรณ์สื่อสารที่มีอุปกรณ์สื่อสารที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้วและยังเก็บไว้ในบ้าน ให้มาทิ้งที่ศูนย์บริการดีแทค ทั้ง 51 แห่งทั่วประเทศ ขยะที่รับทิ้งคือ สมาร์ทโฟน โทรศัพท์มือถือธรรมดา แท็บเล็ต หูฟัง พาวเวอร์แบงค์ หรืออุปกรณ์ไอที เก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้ว
ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์ |
# หลุดเรนเดอร์ Huawei Mate 40 และ Mate 40 Pro โมดูลกล้องขนาดใหญ่ จอขอบโค้ง
Huawei Mate 40 และ Mate 40 Pro มือถือตระกูล Mate ของ Huawei ที่เตรียมวางจำหน่ายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีภาพเรนเดอร์หลุดมาบนทวิตเตอร์@OnLeaks ที่ร่วมมือกับ @HandsetExpert ปล่อยมาให้ชม โดยในภาพรวม Mate 40 มี ขนาดหน้าจอ 6.4 นิ้ว โมดูลกล้องหลังขนาดใหญ่ 3 กล้อง และกล้องหน้าคู่แบบเจาะรูแบบ pill-shape สแกนลายนิ้วมือใต้จอ ส่วนขอบหน้าจอยังเป็นแบบโค้ง เช่นเดียวกับ P40
Huawei Mate 40
Huawei Mate 40
รุ่น Mate 40 Pro หน้าจอ 6.7 นิ้ว กล้องหน้าคู่เช่นกัน แต่มีกล้องหลัง 4 กล้อง เพิ่มกล้องซูมแบบ Periscope เข้ามา สแกนลายนิ้วมือใต้จอและขอบหน้าจอโค้งเช่นเดียวกัน และมีลักษณะในภาพเรนเดอร์เหมือนเคลือบผิวด้วยวัตถุเซรามิก
Huawei Mate 40 Pro
Huawei Mate 40 Pro
ที่มา - Huawei Central |
# สรุปรีวิว Pixel 4a กล้องดี ซอฟต์แวร์เจ๋ง ประสิทธิภาพปานกลาง แต่คุ้มราคา
หลัง Google เปิดตัว Pixel 4a ไปในราคาที่คุ้มสุดคุ้ม 349 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 10,850 บาท) เมื่อวานนี้ ล่าสุด เว็บไซต์สายเทคโนโลยีหลายเจ้า ก็เริ่มปล่อยบทความรีวิวมือถือระดับกลางรุ่นนี้ออกมาแล้ว โดยส่วนใหญ่ชมเป็นเสียงเดียวกันถึงคุณภาพกล้องที่โดดเด่น ซอฟต์แวร์ Pure Android ที่ยังยอดเยี่ยมเหมือนเคย กับราคาแสนคุ้ม ที่ออกมาได้จังหวะพอดีกับสภาพเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
สื่อแทบทุกเจ้า ชมคุณภาพกล้องหลักเป็นเสียงเดียวกัน The Verge ชมว่าแม้จะเป็นกล้องเดี่ยว ความละเอียดแค่ 12.2MP ซึ่งถือว่าน้อยมาก แต่ซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพที่เยี่ยมยอดของ Pixel ก็ทำให้คุณภาพของภาพที่ออกมา ทั้งรายละเอียด สี การถ่ายภาพในที่แสงน้อย และโหมด Night Sight ยอดเยี่ยมแทบทุกด้าน เทียบได้กับ Pixel 4 รุ่นเรือธงที่ออกมาก่อนหน้านี้
The Verge ยังกล่าวชมด้านอื่นๆ ทั้งซอฟต์แวร์ UI และแบตเตอรี่ ว่าถึงจะเป็นอะไรที่เบสิค แต่ก็ใช้งานได้ดี และคุ้มค่ากับราคานี้ แต่ก็แอบเป็นห่วงว่าประสิทธิภาพของ Snapdragon 730G ที่ดูหน่วงๆ ในบางครั้ง จะทำให้อายุของ Pixel 4a สั้นลงหรือเปล่า และประสิทธิภาพของการถ่ายวิดีโอ ที่ยังไม่ดีเท่าไร กับเสียดายที่ไม่มีระบบชาร์จแบบไร้สาย
ส่วน Android Authority ทดสอบความสว่างของหน้าจอ OLED ขนาด 5.81 นิ้ว ความละเอียด 2,340 x 1,080 ใต้ Gorilla Glass 3 ของ Pixel 4a ได้สูงสุดถึง 719 nits ซึ่งมากกว่า OnePlus Nord, Pixel 4 และ 3a พอสมควร พร้อมทั้งชมคุณภาพของบาลานซ์สี แถมบอกว่า “เป็นหน้าจอที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในมือถือรุ่นประหยัด” เลยทีเดียว แต่ก็พูดถึงข้อเสียว่าไม่รองรับระบบชาร์จไร้สาย ไม่มีมาตรฐานกันน้ำ IP Rating และมีกล้องหลักตัวเดียว กับมีแค่สีเดียว
ส่วน Engadget พาดหัวรีวิวไว้ว่า Pixel 4a เป็น “มือถือราคา 350 เหรียญ ที่ดีที่สุด” เพราะทั้งคุณภาพกล้องที่โดดเด่น ซอฟต์แวร์ของ Google ที่ยอดเยี่ยม คุณภาพแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้เต็มวัน และยังมีทั้งแสกนลายนิ้วมือที่ด้านหลัง กับรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรอยู่ครบ ถือว่าเป็นมือถือที่คุ้มค่า คุ้มราคาที่สุดในตอนนี้ แต่ก็พูดถึงข้อเสียเรื่องมีสีเดียว และกล้องหลังกล้องเดียวเช่นเดียวกับ Android Authority ส่วนสื่อเจ้าอื่นๆ ก็ชมในประเด็นเดียวกัน คือคุณภาพของกล้อง ซอฟต์แวร์และราคา
สรุปแล้ว หากใครต้องการมือถือกล้องดีราคาประหยัด ในช่วงหมื่นต้นๆ Pixel 4a น่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ในตอนนี้ เพราะได้ทั้งหน้าจอ OLED กล้องดีๆ และซอฟต์แวร์ Pure Android ของ Google ที่น่าจะได้อัพเดตกันไปยาวๆ และแม้ประสิทธิภาพของ Snapdragon 730G อาจจะไม่ถึงกับท็อปฟอร์มเท่าไร แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ส่วนเรื่องไม่มี IP Rating ไม่รองรับชาร์จไร้สาย หรือมีสีเดียว อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไรในมือถือระดับราคานี้ แต่ในบ้านเราน่าจะต้องเพิ่มข้อเสียไปอีกข้อ คือหาซื้อได้ยาก และคงมีแต่เครื่องหิ้วอย่างเดียวเช่นเคย อีกประเด็นคือ หากใครต้องการ 5G คงต้องรอไปก่อน เพราะจะมีรุ่น Pixel 4a 5G ที่ราคา 499 เหรียญ (ประมาณ 15,600 บาท) ตามมาในภายหลัง
คะแนนจากสื่อเจ้าต่างๆ
The Verge - 8 / 10
Engadget - 91/100
Android Authority - 4.5 / 5
CNET - 8.4 / 10
Techradar - 4 / 5
Wired 9 / 10
Tom’s Guide - 4.5 / 5 |
# Office 2016 บน macOS จะหมดระยะซัพพอร์ตในเดือนตุลาคม ไม่สามารถใช้ Office 365 หลังจากนั้นได้
Office 2016 สำหรับแมคจะหมดระยะซัพพอร์ตในวันที่ 13 ตุลาคม 2020 นี้ จะส่งผลให้ไม่สามารถใช้งาน Office 365 กับ Office 2016 ได้อีกต่อไป ทำให้หากต้องการใช้ร่วมกับ Office 365 จะต้องเปลี่ยนไปใช้ Office 2019 หรือ Microsoft 365 แทน ซึ่งสำหรับ Office 2019 จะหมดระยะซัพพอร์ตในปี 2023
อย่างไรก็ตามยังสามารถใช้งาน Office 2016 สำหรับแมคนี้ต่อไปได้ แต่จะไม่ได้รับอัพเดตใหม่จากไมโครซอฟท์ รวมถึงอัพเดตด้านความปลอดภัยด้วย
ที่มา - MacRumors, Microsoft |
# พบเอกสารพัฒนาแอปบน iOS 14 ให้เลือกเบราว์เซอร์และอีเมลดีฟอลต์ภายในแอปได้แล้ว
Federico Viticci ผู้ก่อตั้ง MacStories พบเอกสารบนเว็บสำหรับผู้พัฒนาของแอปเปิล ระบุเกี่ยวกับการพัฒนาแอปซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกเป็นแอปเริ่มต้น (default app) บน iOS 14 สำหรับเบราว์เซอร์ และอีเมล แทน Safari และ Mail ได้แล้ว ซึ่งต้องทำตามข้อกำหนดในการพัฒนาแอป และส่งคำขอไปยังแอปเปิล
แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการพัฒนาแอปให้ใช้กับระบบนี้ได้อีก ทำให้ไม่สามารถตั้งได้บน iOS 14 beta ในตอนนี้ และคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้งานได้พร้อมๆ กับการเปิดตัว iOS 14 ในปีนี้
สามารถดูบทความดังกล่าวได้ที่ Apple Developer
ที่มา - MacRumors |
# พุทธิพงษ์ ขู่เอาผิด Facebook ตาม พรบ. คอม หลังไม่ยอมบล็อกเนื้อหาทั้งหมดที่หน่วยงานรัฐไทยร้องขอ
พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับ Facebook หลังไม่ยอมบล็อกเนื้อหาทั้งหมดที่หน่วยงานรัฐไทยร้องขอ โดยกล่าวว่า หาก Facebook ไม่ทำตามข้อเรียกร้องให้ลบหรือปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาที่ขัดต่อกฎหมายไทย อาจผิดกฎหมายมาตรา 27 ของ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่กำหนดไว้ว่า
“ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ หรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของศาลตามมาตรา ๒๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกวาจะปฏิบัติให้ถูกต้อง”
ภายในปีนี้ หน่วยงานรัฐไทยร้องขอบล็อกเนื้อหากว่า 4,700 รายการ แต่ Facebook บล็อกเนื้อหาตามคำร้องเพียง 1,300 รายการเท่านั้น คิดเป็นประมาณ 27% ของคำร้องทั้งหมด แต่ก็นับว่าเป็นจำนวนมากพอสมควร เมื่อเทียบกับตลอดทั้งปี 2019 ที่ Facebook บล็อกเนื้อหาตามคำร้องของหน่วยงานรัฐไทยไปเพียง 1,461 รายการ
คุณพุทธิพงษ์ ยังแสดงสถิติเทียบว่า Google ทำการบล็อกเนื้อหาบน Youtube ไปแล้วกว่า 93% จาก 1,600 คำร้อง เมื่อเทียบกับ 27% ที่ Facebook ทำตามคำขอ และนอกจากนี้รายงานของ Google ยังแสดงให้เห็นว่ามีการลบเนื้อหาที่ส่วนใหญ่ถูกหน่วยงานรัฐไทยระบุว่าเป็นการ “วิจารณ์รัฐบาล” ไปกว่า 4,000 รายการ คิดเป็น 84% ของคำร้องทั้งหมดไปในปี 2019 อีกด้วย
ที่มา - Reuters via Patpicha Tanakasempipat’s Twitter, @BeePunnakanta |
# โซนี่ยืนยันคอนโทรลเลอร์ PS VR และอุปกรณ์เสริมอีกหลายตัวของ PS4 ยังใช้กับ PS5 ได้
โซนี่ออกมาประกาศถึงความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ PS4 หลายตัวเช่น PS Move Motion Controllers และ PlayStation VR Aim Controller สำหรับใช้กับ PS VR, อุปกรณ์เสริมที่โซนี่ไลเซนส์ใช้เช่นชุดพวงมาลัยขับรถ, Arcade Stick หรือ Flight Stick สามารถใช้งานกับเกมที่รองรับบน PS5 ได้
ส่วนหูฟังทั้ง Platinum และ Gold Wireless Headsets รวมถึงที่ไลเซนส์ให้ OEM เจ้าอื่นไปทำ ยังคงสามารถใช้งานบน PS5 ได้หากเชื่อมต่อผ่าน USB หรือพอร์ทหูฟัง 3.5 มม. และแน่นอนว่า DualShock 4 ไปจนถึงคอนโทรลเลอร์ยี่ห้ออื่น (ที่ไลเซนส์ให้ใช้งานกับ PS4) จะยังคงใช้บน PS5 ได้แต่เฉพาะกับเกม PS4 เท่านั้น
อย่างไรก็ตามโซนี่เน้นว่าไม่ใช่อุปกรณ์เสริม (ที่บอกว่าใช้งานได้) ทุกรุ่นจะสามารถใช้งานกับ PS5 ได้ พร้อมแนะนำให้ตรวจสอบกับบริษัทผู้ผลิตอีกครั้ง
ที่มา - PlayStation Blog |
# คู่แข่งใหม่ NUC, ASUS เปิดตัว PN50 Mini-PC มาพร้อม Ryzen 4000 รุ่นโน้ตบุ๊ก เตรียมวางขายเดือนกันยานี้
ASUS PN50 Mini-PC รุ่นแรกในตลาดที่ใช้ซีพียู AMD Renoir หรือตระกูล Ryzen 4000 รุ่นโน้ตบุ๊ก เตรียมวางขายเดือนกันยายนนี้ มีรุ่น Ryzen 3 4300U, Ryzen 5 4500U ที่จะวางขายในประเทศอังกฤษ วันที่ 7 กันยายนนี้ ก่อน Ryzen 7 4700U และ Ryzen 7 4800U จะตามมาในวันที่ 21 กันยายน
PN50 รองรับแรม DDR4-3200 แบบ SO-DIMMs สูงสุด 64GB พร้อมพอร์ต M.2 2280 SATA/PCIe และ SATA 6 Gbps อย่างละหนึ่งพอร์ต ชิปกราฟฟิก Vega ทำให้สามารถส่งภาพ 8K 60Hz ได้หนึ่งหน้าจอผ่าน DisplayPort หรือถ้าเป็น 4K 60Hz จะได้ถึง 4 หน้าจอพร้อมกัน ผ่านพอร์ต HDMI, DisplayPort และ USB-C อีกสองช่อง
ด้านหน้าเครื่องมีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 Type-C จ่ายไฟแบบ Power Delivery พอร์ต USB 3.2 Gen 1 Type-A การ์ดรีดเดอร์แบบ 3 in 1 และรูหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร
ส่วนด้านหลังมี USB 3.2 Gen2 Type-C พอร์ต USB 3.2 Gen1 Type-A สองช่อง the HDMI 2.0 อีกช่อง อีกหนึ่งพอร์ตที่เลือกได้ว่าจะเป็น DP1.4/COM/VGA/LAN ตามพื้นที่วางจำหน่าย ช่องเสียบสายแลน และช่องเสียบสายพาวเวอร์แบบ DC-in มีชิป Intel AX200 รองรับ Wi-Fi 6 และแถมอุปกรณ์ประกอบกับตัวแขวน VESA mount มาให้ในกล่อง
ราคาในอังกฤษเริ่มต้นที่ 275 ปอนด์ หรือประมาณ 11,000 บาท ขึ้นไปจนถึง 500 ปอนด์หรือ 21,000 บาท
ที่มา - ASUS via Anandtech |
# Google ลงทุนและเป็นพาร์ทเนอร์กับ ADT บริษัทโซลูชันและความปลอดภัยสมาร์ทโฮม
Google ประกาศการเป็นพาร์ทเนอร์ระยะยาวกับ ADT บริษัทพัฒนาโซลูชันและระบบความปลอดภัยของสมาร์ทโฮม โดย Google จะลงทุนใน ADT เป็นจำนวนเงิน 450 ล้านเหรียญแลกกับหุ้น 7% ด้วย
ดีลนี้เป็นการเอาไลน์อัพไม่ว่าจะฮาร์ดแวร์ บริการและเทคโนโลยีของทั้งสองฝั่งมารวมและทำงานร่วมกัน โดยจุดเด่นของ ADT ที่ Google ไม่มีก็อย่างเช่นโซลูชันมอนิเตอร์อุปกรณ์สมาร์ทโฮม และทีมงานที่จะไปติดตั้งฮาร์ดแวร์ให้ตามบ้าน นอกจากนี้ดีลนี้ทำให้ ADT จะขายได้เฉพาะฮาร์ดแวร์ฝั่ง Google เท่านั้นด้วย
ที่มา - Google Blog, Financial Times via ArsTechnica |
# เกม Marvel's Avengers จะมี Spider-Man ให้เล่นแบบเอ็กคลูซีฟเฉพาะบน PS4
จากที่ก่อนหน้านี้มีการแย้มตัวละครใหม่ในเกม Marvel's Avengers อย่าง Hawkeye ที่จะมาเสริมทัพฮีโร่ที่มีให้เล่นอยู่แล้วอย่าง Ms. Marvel, Iron Man, Thor, Captain America, Hulk และ Black Widow
ล่าสุด Crytal Dynamic สตูดิโอที่พัฒนาเกมประกาศว่าฮีโร่ตัวที่ 8 ที่จะมีให้เล่นคือ Spider-Man แต่จะเป็นตัวละครเอ็กคลูซีฟเฉพาะเกมบนเวอร์ชัน PS4 เท่านั้น โดย Spider-Man จะเปิดตัวในเกมผ่านอีเวนท์ (in-game event) ไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม และมีชุด Spider-Man ให้เปลี่ยนได้ในเกม
คาดว่าที่ Spider-Man มีให้เล่นเฉพาะบน PS4 อาจเกี่ยวข้องกับดีลที่โซนี่เซ็นเอาไว้กับ Marvel ตอนซื้อลิขสิทธิ Spider-Man มาทำเกมบน PS4
ที่มา - PlayStation Blog |
# บทวิเคราะห์สงครามเกมยุคหน้า กลายเป็น PS5 vs Xbox Game Pass
สงครามเกมคอนโซลยุคที่เก้า (นับตามการแบ่งยุคของวิกิพีเดีย) กำลังจะเริ่มเปิดฉากขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จากการเปิดตัวของสองคอนโซลสำคัญคือ PlayStation 5 และ Xbox Series X
ตอนนี้เรารู้ข้อมูลสำคัญๆ เกือบทั้งหมดของคอนโซลทั้งสองค่ายแล้ว (เหลือแต่วันวางขายกับราคา) ส่วนซอฟต์แวร์เกม ในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา เราก็เห็นไลน์อัพของทั้งสองค่ายเผยโฉมกันมาเยอะแล้วเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจในสงครามคอนโซลรอบนี้ มันอาจไม่ใช่การปะทะกันของคอนโซล 2 เครื่อง PS5 vs Xbox Series X แต่เป็นการปะทะกันระหว่าง 2 แนวคิดคือ PS5 vs Xbox Game Pass แทนต่างหาก
PS5 ยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย
PS4 คือผู้ชนะสงครามคอนโซลยุคที่แปดอย่างไร้ข้อกังขา ด้วยยอดขายรวม 110 ล้านเครื่อง มากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์คอนโซล (แพ้แค่ PS2 เท่านั้น)
ยุทธศาสตร์ของ Sony เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือสร้างฮาร์ดแวร์คอนโซลที่มีประสิทธิภาพสูง (PS4 รุ่นแรกแรงกว่า Xbox One รุ่นแรก ที่ต้องแบ่งพลังไปประมวลผล Kinect) และพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเอ็กซ์คลูซีฟที่ดึงดูดผู้เล่นเข้าแพลตฟอร์ม โดยอาศัยสตูดิโอในสังกัด PlayStation Studios ของตัวเอง บวกกับเครือข่ายพาร์ทเนอร์ที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นมายาวนาน
พอมาถึงยุคของ PS5 ยุทธศาสตร์นี้ยังคงอยู่ เรายังเห็นคอนโซลที่ประสิทธิภาพสูง (แม้จะไม่ใช่สูงที่สุด) บวกกับไลน์อัพเกมเด่นๆ อย่าง Spider-Man: Miles Morales, Horizon Forbiden West หรือ Gran Turismo 7 ที่สร้างความว้าวให้บรรดาเกมเมอร์
ยุทธศาสตร์ใหม่ Xbox ที่ไม่เน้นคอนโซล
แต่ยุทธศาสตร์ของ Xbox ในรอบนี้กลับไปเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หลัง Xbox One พ่ายแพ้ในสงครามยุคที่แปดแบบหมดรูป เพราะวางแผนยุทธศาสตร์พลาดตั้งแต่แรกเปิดตัว (เครื่องแพงกว่า, แรงน้อยกว่า, เน้นความบันเทิงมากกว่าเกม, ย้ายแผ่นเกมข้ามเครื่องได้ยาก ฯลฯ) ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราเห็นไมโครซอฟท์ภายใต้การนำของ Phil Spencer ที่ขึ้นมาคุมทีม Xbox ในปี 2014 (หลัง Xbox One ออกขายหนึ่งปี) ปรับทิศทางของบริษัทไปจากเดิมหลายอย่าง เช่น
ตัด Kinect ออกจาก Xbox One (แก้ปัญหาเครื่องแพงกว่าคู่แข่ง)
ออก Xbox One X ที่แรงกว่า PS4 Pro (แก้ปัญหาภาพลักษณ์คอนโซลแรงน้อยกว่าคู่แข่ง) ซึ่งสืบทอดมาถึง Xbox Series X ที่พยายามชูจุดเด่นเรื่องคอนโซลที่ทรงพลังที่สุด
กว้านซื้อสตูดิโอพัฒนาเกมจำนวนมาก มาอยู่ใต้สังกัด Xbox Game Studios (แก้ปัญหาจุดอ่อนที่ขาดเกมเอ็กซ์คลูซีฟ)
ออกบริการเกมเหมาจ่าย Xbox Game Pass ในปี 2017
ออกบริการเกมสตรีมมิ่ง xCloud ในปี 2018
กลับมาสนใจธุรกิจเกมพีซี ดังจะเห็นได้จากการออก Xbox Game Pass for PC หรือการกลับมาออก Halo บนพีซี
แผนการของไมโครซอฟท์มาขมวดปมในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อเปิดตัวเกมใหม่บน Xbox Series X โดยยังคงแนวทางออกเกมบน Xbox One ด้วย และที่สำคัญคือเกมทั้งหมดจะเปิดให้เล่นบน Xbox Game Pass ตั้งแต่วันแรก (Day One)
ยุทธศาสตร์ของไมโครซอฟท์รอบนี้จึงชัดเจนว่า ต้องการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในสมรภูมิคอนโซล จากสมการ "คอนโซลแรง+เกมเด่น" (ที่ตัวเองแพ้ในยกล่าสุด) มาเป็นแนวคิดใหม่ "เกมที่กลายเป็นบริการ" โดยมี Xbox Game Pass เป็นเรือธงแทน
Xbox Game Pass คืออะไร
ปัจจุบัน Xbox Game Pass ยังไม่เปิดบริการในไทย (ซึ่งคงไม่ต้องหวังอะไรมากเพราะขนาด Xbox ยังไม่วางขายเลย) ถ้าให้อธิบายแบบสรุปรวบรัด ต้องบอกว่ามันคือ "Netflix for Games" ที่ผู้เล่นจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน (ตอนนี้คือ 9.99 ดอลลาร์) เพื่อแลกกับสิทธิเล่นเกมในไลบรารีทั้งหมด (ประมาณ 100 เกม ที่จะเวียนเข้าออกตลอดเวลาเพื่อให้ไลบรารีสดใหม่)
แนวคิดเรื่องบริการเหมาจ่าย (subscription) เพื่อเล่นเกมไม่ใช่ของใหม่ และคู่แข่งหลายๆ รายในอุตสาหกรรมเกมก็มีบริการลักษณะเดียวกัน (เช่น Origin Access/EA Access, Uplay+ หรือแม้แต่ PlayStation Now ที่เริ่มจากสตรีมมิ่งแต่ภายหลังก็หันมารองรับเกมแบบดาวน์โหลดด้วย)
แต่สิ่งที่ทำให้ Xbox Game Pass โดดเด่นเหนือใคร และมียอดสมาชิกเกิน 10 ล้านรายแล้ว (เทียบกับ PS Now ที่มี 2.2 ล้านราย) คือไมโครซอฟท์แกะสมการ subscription ออกตั้งแต่แรก นำเกมทั้งหมดของตัวเองมาเปิดให้เล่นแบบ Day One ต่างจากบริการคู่แข่งที่มักมีแต่เกมเก่าเท่านั้น (เท่านั้นยังไม่พอ ช่วงหลังยังเจรจานำเกมของบริษัทอื่นมาให้เล่นแบบ Day One ด้วย ตัวอย่างล่าสุดคือ Destiny 2: Beyond Light ของ Bungie)
แนวทางการดันเกมใหม่ๆ ดังๆ ที่สามารถขายราคา 60 ดอลลาร์ ฟันรายได้เน้นๆ ในช่วงเปิดตัว มาเปิดให้เล่นฟรีสำหรับสมาชิก Game Pass คงไม่สามารถทำได้หากไม่รวยพอ (เพราะเป็นการแย่งรายได้กันเองระหว่างขายแยก vs จ่ายสมาชิก) แต่ไมโครซอฟท์ดันเป็นบริษัทที่รวยมากพอ จึงสามารถสละรายได้ส่วนนี้ เพื่อมาเน้นการสร้างฐานสมาชิกให้ Game Pass อย่างจริงจัง
เล่นเกมไม่ต้องซื้อคอนโซลก็ได้ เพราะเล่นจากที่ไหนก็ได้
นอกจากการเปลี่ยนโมเดล "ซื้อเกมใหม่" มาเป็น "จ่ายค่าสมาชิกทุกเดือนเพื่อเล่นเกมใหม่" ที่เคียงคู่อุตสาหกรรมเกมมายาวนานหลายทศวรรษ ไมโครซอฟท์ยังพยายามเปลี่ยนมุมมองจากเรื่อง "เกมผูกกับคอนโซล" กลายมาเป็น "เกมเล่นจากที่ไหนก็ได้" ในอีกแกนหนึ่งด้วย
สิ่งที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนคือ ไมโครซอฟท์กลับมาสนใจตลาดเกมพีซีอีกครั้ง (หลังละเลยไปนานมาก) สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการนำ Halo ในฐานะเกมเรือธงที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟของ Xbox มาลงพีซี (แถมขายบน Steam ด้วยอีกต่างหาก) และการขยาย Xbox Game Pass for PC สำหรับกลุ่มคนเล่นเกมพีซีด้วย (รายชื่อเกมไม่เหมือนกันกับบน Xbox One 100%)
ภาพด้านล่างอยู่บนหน้าเว็บของ Xbox Game Pass ถือเป็นภาพสะท้อนมุมมองของไมโครซอฟท์ได้ดี ว่าต้องการให้เกมของแพลตฟอร์มของตัวเองเล่นได้ทั้งบน Xbox One และพีซี (ถ้าเป็นเกมแบบขายแยก มี Xbox Play Anywhere ที่ซื้อทีเดียวแล้วเล่นได้ทั้งสองเครื่อง แต่พอเป็น Game Pass ก็เหมารวมเลย)
แต่แผนการของไมโครซอฟท์ยังไปไกลกว่าพีซี ในปีนี้เราจะได้เห็น Xbox Series X เพิ่มเข้ามาเป็นคอนโซลอีกตัว และเทคโนโลยีการสตรีมเกม xCloud ที่ช่วยให้อุปกรณ์ที่พลังประมวลผลไม่มากนัก (สมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต) สามารถเข้าถึงเกมดังระดับ AAA แบบเดียวกับคอนโซลหรือพีซีด้วย
เมื่อนำจิ๊กซอทุกชิ้นมาประกอบกัน เราจะเห็นยุทธศาสตร์ใหญ่ของไมโครซอฟท์ ที่เน้นการเล่นเกมจากที่ไหนก็ได้ โดยมี Xbox Game Pass เป็นแกนกลาง แทนที่จะเป็น Xbox Series X
ศักดิ์ฐานะของ Xbox Series X จึงถูกลดชั้นลงมาเหลือเพียงฮาร์ดแวร์ตัวหนึ่งในจักรวาลของไมโครซอฟท์เท่านั้น คอนโซลไม่ได้กลายเป็น "ตัวนำ" อีกต่อไป เพราะ "ประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีที่สุด" สามารถส่งผ่านไปถึงผู้ใช้ในช่องทางอื่นได้ (เช่น พีซีหรือสตรีมมิ่ง)
อัพเดต 4 ส.ค. 2020 หลังจากบทความนี้ลงไปได้เพียง 1 วัน ไมโครซอฟท์ก็เปิดตัว xCloud อย่างเป็นทางการ และอัพเดตเว็บไซต์ใหม่ Game Pass แสดงภาพที่ตรงกับวิสัยทัศน์มากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อ Game Pass คือแกนกลาง
ยุทธศาสตร์การผลักดัน Xbox Game Pass แบบสุดตัว แสดงให้เห็นชัดเจนจากงานแถลงข่าวเกม Xbox รอบล่าสุด (ที่ Halo Infinite โดนวิจารณ์หนักเรื่องกราฟิก) เราเห็นการอ้างอิงถึง Xbox Game Pass อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงท้ายคลิปเทรลเลอร์เกม หรือในหน้าเว็บไซต์รายละเอียดของเกม
หากยึดเอาเกม Halo Infinite ที่เป็นเกมเรือธงของไมโครซอฟท์ในปี 2020 ท้ายคลิปจะเห็นโลโก้ Xbox Game Pass อยู่ในตำแหน่งแรกสุด อยู่ก่อน Xbox Series X ด้วยซ้ำ
ถ้าลองเข้าไปดูในหน้าเว็บของ Halo Infinite สิ่งแรกที่เห็นคือข้อความว่า Coming to Xbox Game Pass ไม่มีพูดถึง Xbox Series X ในหน้าจอแรกด้วยซ้ำ
ในขณะที่ Xbox Series X ถูกพูดถึงในแง่ว่า "Optimized for" เท่านั้น ประสบการณ์ที่ดีที่สุดของ Halo Infinite อยู่บน Xbox Series X แต่เล่นบนเครื่องอื่นได้เสมอ
เมนูของเว็บไซต์ Xbox.com ก็สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ใหม่นี้ Game Pass อยู่เมนูแรกสุด ก่อนเมนู Games และ Devices
ก้าวต่อไปที่ต้องจับตาคือการผนวก Xbox Live Gold เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Xbox Game Pass (เวอร์ชัน Ultimate ที่รวมพีซีและคอนโซล) ถ้าไมโครซอฟท์เดินเกมสำเร็จ มันจะกลายเป็น "บริการรายเดือน 15 ดอลลาร์" ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังมีหมากอื่นๆ รอให้เล่นอีกไม่น้อย เช่น Xbox Series S โค้ดเนม "Lockhart" ที่จะช่วยให้กำแพงการเข้าถึงคอนโซลยุคใหม่ถูกลงจากเดิม และโมเดล Xbox All Access จ่ายรายเดือนเริ่มต้นที่ 21.99 ดอลลาร์ ได้ทั้ง Xbox Game Pass ทุกเดือน จ่ายครบแล้วเอาเครื่องไปเลย หมากเหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้คนเข้าถึง Game Pass ได้ง่ายขึ้นในระยะยาว
ยุทธศาสตร์ไหนดีกว่ากัน ฮาร์ดแวร์+เกม vs บริการ
ความเคลื่อนไหวของฝั่ง Xbox ชัดเจนว่าต้องการขยับพื้นฐานของวงการเกม จากฮาร์ดแวร์+ซอฟต์แวร์เกม มาเป็นเกมในฐานะบริการ ภายใต้ร่มของ Xbox Game Pass
แรงขับเคลื่อนของไมโครซอฟท์อาจเริ่มมาจากความพ่ายแพ้ของ Xbox One จนต้องขยับหนี แต่มันอาจเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับยุคสมัย เพราะเทคโนโลยีเกมสตรีมมิ่งกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเกม ที่เคยต้องอิงกับการส่งผ่านประสบการณ์เล่นเกมด้วยฮาร์ดแวร์เฉพาะมาตลอด
แต่ปี 2020 อาจเร็วไปสำหรับสตรีมมิ่งล้วนๆ 100% ดังที่เราเห็นได้จาก Google Stadia ยังลูกผีลูกคน แนวทางของไมโครซอฟท์ที่ยืดหยุ่น ให้อิสระ เล่นจากคอนโซลก็ได้ พีซีก็ดี สตรีมมิ่งก็ไม่ผิด จึงน่าดึงดูดกว่า Stadia ที่เป็นสตรีมมิ่งอย่างเดียว
ปัญหาของไมโครซอฟท์ในตอนนี้เหลืออยู่ 2 อย่าง ได้แก่ เกมเอ็กซ์คลูซีฟยังไม่เยอะและน่าสนใจพอ (เมื่อเทียบกับฝั่งโซนี่) ตรงนี้ไมโครซอฟท์ก็รู้ตัวดี จึงกว้านซื้อสตูดิโอเกมเข้ามาในสังกัดหลายราย แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าผลงานจะออกดอกออกผล เมื่อเทียบกับฝั่งโซนี่ที่ลงทุนวางรากฐานในเรื่องนี้มายาวนาน
ปัญหาอีกข้อแสดงให้เห็นชัดจากกรณีกราฟิกของ Halo Infinite ว่าการรองรับฮาร์ดแวร์หลากหลายรุ่น ทำให้ศักยภาพของเกมรุ่นใหม่ "ไปไม่สุด" เพราะฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า (ในที่นี้คือ Xbox One) ฉุดรั้งเอาไว้ ในขณะที่เกมเอ็กซ์คลูซีฟของ PS5 อย่าง Horizon Forbidden West หรือ Ratchet & Clank ไม่มีปัญหานี้ เพราะสามารถโฟกัสไปที่ PS5 อย่างเดียวได้เลย
ผมเชื่อว่าในช่วงแรกของคอนโซลยุคที่เก้า ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากคอนโซลรุ่นก่อนหน้า ปัจจัยที่มีบทบาทสูงคงเป็นเรื่องของเกมเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งตอนนี้ PS5 ได้เปรียบกว่าพอสมควร และคงไม่น่าแปลกใจนักหาก PS5 จะยังมียอดขายที่ดีกว่า Xbox Series X ในช่วงปีแรกๆ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะเป็นการวัดกันระหว่างยุทธศาสตร์ "คอนโซลเรือธง" vs "เกมคือบริการ" ยอดขายของ Xbox Series X อาจไม่สำคัญที่สุดอีกแล้ว หากไมโครซอฟท์สามารถดันยอดสมาชิก Game Pass (ทั้งบนคอนโซลและพีซี) ให้ได้ถึง 100 ล้านรายแบบเดียวกับยอดขายของ PS4
นั่นจะกลายเป็นว่า สงครามคอนโซลยุคใหม่จึงกลายเป็นการปะทะกันของ PS5 และ Game Pass แทน |
# กูเกิลเผยภาพแรกของ Pixel 4a รุ่น 5G และ Pixel 5 เปิดตัวฤดูใบไม้ร่วงนี้
นอกจาก Pixel 4a กูเกิลยังเผยภาพแรกของ Pixel 4a 5G และ Pixel 5 ออกมาพร้อมกัน โดยยังมีเฉพาะภาพด้านข้างของตัวเครื่องเท่านั้น
ข้อมูลที่มีตอนนี้คือ Pixel 4a 5G จะขายในราคา 499 ดอลลาร์ และ Pixel 5 จะรองรับ 5G ด้วยเช่นกัน กำหนดวางขายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยยังไม่ระบุช่วงเวลาแน่ชัด (ถ้ายึดกรอบเวลาของ Pixel 4 เปิดตัววันที่ 15 ตุลาคม 2019)
ที่มา - Google |
# Pixel 4a เปิดตัวแล้ว Snapdragon 730G, สตอเรจ 128GB, ช่องเสียบหูฟัง, ราคา 349 ดอลลาร์
กูเกิลเปิดตัว Pixel 4a อย่างเป็นทางการ รายละเอียดหน้าตาและสเปกตรงตามข่าวหลุดก่อนหน้านี้ โดยรอบนี้เป็นการเปิดตัว Pixel 4a เพียงรุ่นเดียว ไม่มีรุ่น XL แยกต่างหาก
หน้าจอ 5.8" OLED เจาะรูกล้องหน้าแบบ punch-hole ที่มุมซ้ายบน
หน่วยประมวลผล Snapdragon 730G
ชิปความปลอดภัย Titan M ที่เริ่มใช้ใน Pixel 3
แรม 6GB, สตอเรจ 128GB
แบตเตอรี่ 3140 mAh รองรับ fast charge 18W แถมสายมาให้ในกล่อง
กล้องหลัง 1 ตัว 12.2MP 1.4 μm dual-pixel มี OIS+EIS
กล้องหน้า 1 ตัว 8MP 1.12 μm
รองรับซิมเดียว Nano SIM, ยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5mm
ฟีเจอร์ฝั่งซอฟต์แวร์ทัดเทียมกับ Pixel รุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์กล้องทั้งหมดของ Pixel (รวมถึง astrophotography ที่ถ่ายดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน), แอพอัดเสียง Recorder, Live Caption ถอดเสียงพูดเป็นข้อความได้แบบออฟไลน์, Personal Safety โทรแจ้งตำรวจหากประสบอุบัติเหตุรถชน (รองรับแค่บางประเทศ)
ราคา 349 ดอลลาร์ (ถูกลงจากยุค Pixel 3a ที่เริ่มต้น 399 ดอลลาร์) มีให้เลือกสีเดียวคือ Just Black เริ่มวางขายในสหรัฐอเมริกา 20 สิงหาคมนี้ ตอนนี้เปิดพรีออเดอร์แล้ว
ที่มา - Google |
# Zoom ประกาศเลิกทำธุรกิจโดยตรงในจีน ขายผ่านพาร์ทเนอร์อย่างเดียว
Zoom ประกาศเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจในจีน จากเดิมที่มีทั้งการขายเองโดยตรง (ฮาร์ดแวร์ + subscription), online subscription และขายผ่านพาร์ทเนอร์ มาเป็นขายผ่านพาร์ทเนอร์แต่เพียงอย่างเดียว โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มวันที่ 23 สิงหาคมเป็นต้นไป
Zoom ไม่ได้ให้เหตุผลใด ๆ ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้แต่ยืนยันว่าลูกค้าในจีนจะยังคงสามารถใช้งาน Zoom ได้เหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้ Zoom มีประเด็นเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน จากการสั่งปิดบัญชีผู้ใช้เสียเงินในสหรัฐฯ หลังจัดมีตติ้งรำลึกเหตุการณ์เทียนอันเหมิน
ที่มา - Bloomberg |
# Grab ระดมทุนได้เพิ่มอีก 200 ล้านเหรียญจาก Private Equity เกาหลี
Bloomberg รายงานอ้างอิงคนที่เกี่ยวข้องว่า Grab ได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีกราว 200 ล้านเหรียญจาก Stic Investment บริษัท Private Equity ของเกาหลีใต้
ตอนนี้จำนวนเงินที่ Grab ระดมทุนได้อยู่ที่รวม 1 หมื่นล้านเหรียญแล้ว โดยมี SoftBank มีหนึ่งในผู้ลงทุนใหญ่ที่สุดด้วยจำนวนเงินราว 3 พันล้านเหรียญและจาก SoftBank Vision Fund อีก 1.46 พันล้านเหรียญ ขณะที่มูลค่าของ Grab จากการประเมินของ CB Insights บริษัทวิจัยด้านการลงทุนล่าสุดคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.43 แสนล้านเหรียญ
ที่มา - Bloomberg
ภาพจาก Shutterstock |
# VMware มอบรางวัลพันธมิตรแห่งปี 2020 ตอกย้ำสัมพันธ์ Lenovo นานนับสิบปี
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา VMware ได้มอบรางวัลพันธมิตรแห่งปี 2020 (Partner of the Year Awards) ให้กับกลุ่มพันธมิตรของ VMware ที่สามารถแสดงให้เห็นศักยภาพว่าความร่วมมือกับ VMware สามารถสร้างนวัตกรรมและขยายธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง และแสดงผลงานให้ลูกค้าได้เห็นว่าพันธมิตรของ VMware เป็นที่ปรึกษาที่วางใจได้
Lenovo Enterprise Technology Group เป็นบริษัทที่คว้ารางวัล Partner Value ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากความสำเร็จของ Lenovo ที่พัฒนาธุรกิจของลูกค้าให้เติบโตไปข้างหน้าโดยอาศัยโซลูชั่นของ VMware เป็นตัวผลักดัน รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า Lenovo เป็นพันธมิตรของ VMware ที่ตั้งใจนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมให้กับลูกค้าและมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี
กระบวนการให้รางวัลครั้งนี้ VMware ร่วมมือกับ IDC ร่วมตรวจสอบใบสมัครจากพันธมิตรทั่วโลก การระบุว่าพันธมิตรสร้างความเติบโตให้ลูกค้า จะถูกตรวจสอบว่ามีการสร้างมูลค่าได้จริง Susan Nash รองประธานฝ่าย Strategic Corporate Alliances ระบุว่าบริษัทมีความภูมิใจพันธมิตรได้ช่วยให้ลูกค้าพัฒนาธุรกิจไปข้างหน้าและสร้างมูลค่าจากกระบวนการ Digital Transformation ได้
Lenovo เป็นพันธมิตรกับ VMware มานานกว่าสิบปี โซลูชั่นที่ร่วมมือกับพัฒนามีหลากหลาย ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ ThinkAgile VX ที่ปรับแต่งและทดสอบให้ทำงานร่วมกับ VMware ก่อนส่งถึงมือลูกค้า, Lenovo vSAN ReadyNodes ระบบสตอเรจที่ปรับให้เข้ากับความต้องการได้ทุกองค์กร ไปจนถึง Think System for vCloud Suite ที่ช่วยลูกค้าสร้างคลาวด์ในองค์กรได้เต็มรูปแบบด้วยความคุ้มค่าสูงสุด
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมโซลูชั่นของ VMware และ Lenovo ติดต่อ [email protected] |
# เบนช์มาร์คเผย Alienware m15 R3 แก้ปัญหาความร้อนแล้ว เย็นกว่ารุ่นก่อนหน้า ถึง 30 องศา
Alienware m15 R2 โน้ตบุ๊กเกมมิ่งตัวแรงของ Dell ที่มาพร้อมกับ Core i7 Gen 9th ในปีที่แล้ว แต่มีปัญหาอุณหภูมิเมื่อทำงานแบบฟูลโหลดพุ่งไปถึง 99 องศา ทำให้ปีนี้รุ่น m15 R3 มีการปรับเปลี่ยนระบบระบายความร้อนใหม่ โดยเพิ่มท่อทองแดงเวเปอร์เชมเบอร์ ในชื่อ “Cryo-Tech” เข้ามาช่วยระบายความร้อนให้ซีพียู หากเลือกรุ่นที่ใช้การ์ดจอ Nvidia เพิ่มใบพัดของพัดลมคู่มากขึ้น เพิ่มน้ำหนักท่อทองแดงอีก 39 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีการเปลี่ยนหน้าตาภายนอก
ผลที่ได้ คือลดอุณหภูมิได้ถึง 30 องศา จากการทดสอบรุ่น Core i7 Gen 10th โดยเว็บไซต์ NotebookCheck.net จากอุณหภูมิ 99 องศาเดิม เหลือเพียงประมาณ 73 องศา โดย NotebookCheck ยังบอกอีกว่าเสียงพัดลมดังเท่ารุ่นเดิม แต่ก็มีข้อเสียเล็กน้อยคือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นประมาณ 100 กรัม
ผลการทดสอบ Prime95+FurMark ของรุ่น R2
ผลการทดสอบ Prime95+FurMark ของรุ่น R3
ที่มา - NotebookCheck |
# Naver บริษัทแม่ LINE ลงทุนใน S.M. Entertainment ค่าย K-POP รายใหญ่ 83.8 ล้านดอลลาร์
S.M. Entertainment ค่ายดนตรีใหญ่ของวงการ K-POP เผยได้รับเงินลงทุนจาก Naver บริษัทแม่ของ LINE เป็นมูลค่า 1 แสนล้านวอน หรือราว 83.8 ล้านดอลลาร์
การลงทุนรอบใหม่จะถูกส่งไปยังอีกสองบริษัทในเครือ S.M. ด้วย คือ SMEJ Plus และ Mystic Story รวมถึงการลงทุนสร้างเนื้อหาวิดีโอใหม่ๆ นอกจากนี้ S.M. ยังวางแผนที่จะรวมบริการแฟนคลับทั่วโลกไว้ใน “Fanship” บนแพลตฟอร์ม V- Live ของ Naver ซึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว เป้นระบบให้ผู้ใช้งานเสียเงินเพื่อเข้าถึงเนื้อหาพิเศษและได้สื่อสารกับศิลปินที่ชอบได้
Han Seong-sook ซีอีโอ Naver กล่าวว่า ผ่านการลงทุนนี้เราจะร่วมมือกับ S.M อย่างใกล้ชิดและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของระบบ Fanship ด้าน Lee Sung-soo ซีอีโอ SM บอกว่า S.M. รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ Naver และนำเสนอเนื้อหาที่แตกต่างสำหรับแฟนๆ และถือเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งความบันเทิง
เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้ง S.M. และ Naver ร่วมกันจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ในซีรีส์ Beyond Live ซึ่งเริ่มด้วยวง Super M มียอดขายตั๋วถึง 13.2 พันล้านวอนและผู้ชมมากกว่า 400,000 คน
ภาพจาก S.M. Entertainment Press Center
ที่มา - Korea Herald |
# เปิดตัว Black Shark 3S มือถือเกมมิ่ง จอ 120Hz ชิป Snapdragon 865 เริ่ม 17,900 บาท
Black Shark เปิดตัว Black Shark 3S มือถือเกมมิ่ง ชิป Snapdragon 865 หน้าจอ 6.67 นิ้ว แบบ 120hz touch sampling 270Hz แรม LPDDR5 ขนาด 12GB และหน่วยความจำภายใน UFS 3.1 ขนาด 128GB, 256GB และ 512GB
Black Shark 3S มาพร้อมแบตเตอรี่ 4,720 mAh ชาร์จเร็ว 65W และมีอุปกรณ์สายชาร์จแบบแม่เหล็กหลังเครื่อง 18W ขายแยก (เพื่อความสะดวกตอนเล่นเกม) รองรับ 5G, Wi-Fi 6 และ รันบน Android 10 ครอบทับด้วย JOYUI12 กล้องหลังสามกล้อง เลนส์หลัก 64MP เลนส์อัลตร้าไวด์ 13MP depth sensor 5MP และกล้องหน้า 20MP
มีสองสี คือ Skyfall Black กับ Crystal Blue วางจำหน่ายในประเทศจีน 4 สิงหาคมนี้ สามความจุ สามราคา
แรม 12GB + ความจุ 128GB ราคา 3,999 หยวน (ประมาณ 17,900 บาท)
แรม 12GB + ความจุ 256GB ราคา 4,299 หยวน (ประมาณ 19,250 บาท)
แรม 12GB + ความจุ 512GB ราคา 4,799 หยวน (ประมาณ 21,480 บาท)
ส่วนในบ้านเรา ต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา - XDA Developers |
# แอปเปิลถอดเกือบ 30,000 แอปออกจาก App Store ในจีน หลังบังคับกฎต้องมีใบอนุญาต
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แอปเปิลได้นำแอปจำนวน 29,800 แอปออกจาก App Store ในประเทศจีน ตามคำขอของทางการของจีน เนื่องจากไม่มีใบอนุญาต ซึ่งในจำนวนดังกล่าวนี้เป็นแอปเกมมากถึง 26,000 แอป
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แอปเปิลให้เวลาถึงเดือนมิถุนายนในการส่งใบอนุญาตสำหรับเกมบน App Store จนมีการลบเกมไปแล้วกว่า 2,500 เกมในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม รัฐบาลจีนได้พยายามบังคับให้แอปเกมเหล่านี้ขอใบอนุญาตอย่างเป็นทางการจากจีนเพื่อเปิดใช้งาน in-app purchase มาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว ทั้งบน App Store ของแอปเปิล และแอนดรอยด์ แต่ในปีนี้แอปเปิลเข้มงวดกว่าเดิมมาก
ที่มา - Reuters, MacRumors |
# บทวิเคราะห์ 5 สาเหตุกับ 6 ปีแห่งความล้มเหลวของ Android One
Android One แรกเริ่มเดิมทีเป็นโครงการที่ Google หมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นโครงการ Nexus สำหรับสมาร์ทโฟนราคาถูก เพื่อเจาะตลาดที่สมาร์ทโฟนราคาถูกกำลังเติบโตอย่างอินเดีย
ในบทความที่แล้ว เราได้เห็นพัฒนาการของ Android One ตลอดระยะเวลา 6 ปีไปบ้างแล้ว ซึ่งก็สามารถพูดได้ว่า Android One เป็นหนึ่งในโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนักของ Google
บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์และสำรวจว่าทำไม Android One ถึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
1. วางหมากแรกพลาด เท่ากับพลาดไปตลอด
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 Google ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากการเปิดตัวโปรเจค Android One ในอินเดีย เนื่องจากสร้างขึ้นมาเพื่อตีตลาดกลุ่มคนที่ไม่เคยใช้อินเทอร์เน็ต และไม่เคยมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเองมาก่อน แต่ในช่วงแรก Google กลับเลือกขาย Android One ในอินเดียผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น ทำให้กลุ่มผู้ใช้งานที่ Google ต้องการเจาะตลาดไม่สามารถหาซื้อได้ บวกกับ ตลาดสมาร์ทโฟนในอินเดียยังคงพึ่งการขายจากหน้าร้านเป็นหลัก ส่งผลให้มือถือ Android One ไม่ติดตลาดเท่าที่ควร
ยอดขาย Android One ปีแรกในอินเดียอยู่ที่ 1.2 ล้านเครื่อง คิดเป็น 3.5% ของส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในระดับราคา 50-100 เหรียญ ในขณะที่มือถือราคาใกล้กันอย่าง Xiaomi Redmi กลับมีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 7.5% ของสมาร์ทโฟนในระดับราคาเดียวกัน
แม้ในภายหลัง Android One จะวางขายหน้าร้านบ้างแล้ว แต่อัตรากำไร (margin) ที่ Google เสนอให้กับร้านค้าอยู่ที่ 3 - 4% เท่านั้น ต่ำกว่าท้องตลาด (ปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 9 -10%) ทำให้ร้านค้าไม่ต้องการสต๊อกมือถือ Android One เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ Android One หาซื้อได้ยากขึ้นไปอีก
พอยอดขายไม่เป็นไปตามที่หวัง OEM หลายเจ้าที่ออกสินค้า Android One ก็ไม่อยากทำต่อ เพราะการขายสมาร์ทโฟนราคาถูกต้องขายให้ได้จำนวนมากๆ เมื่อขายได้น้อย กำไรที่ได้ก็น้อยตาม ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน ทำให้ OEM ที่ร่วมเปิดตัวอย่าง Karbonn และ Spice จึงไม่มีแผนที่จะผลิตสมาร์ทโฟนในโครงการอีก ส่วน Micromax ก็หันไปเน้นขายมือถือราคาประหยัดที่ไม่ได้ร่วมโครงการ Android One และกลับมียอดขายพุ่งกว่ามาก
2. สเปกไม่ดึงดูดทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
ในช่วงแรก Google จับมือกับ OEM 3 เจ้า ปล่อยมือถือในกลุ่ม Android One ออกมา 3 รุ่น ได้แก่ Canvas A1, Karbonn Sparkle V และ Spice Dream Uno แต่ Google กลับบังคับให้ OEM ใช้สเปกตามที่ตัวเองกำหนด ทั้งยังสั่งซื้อชิ้นส่วนให้ OEM ด้วย เพื่อจะสะดวกในการปล่อยอัพเดต (เพราะในช่วงแรก มือถือ Android One ยังได้อัพเดตสายตรงจาก Google อยู่)
ข้อเสียที่ตามมาคือมือถือ Android One แต่ละยี่ห้อแทบไม่มีความต่างแตกกัน ขาดจุดเด่นด้านสเปก และการที่ OEM ไม่สามารถเลือกชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์เองได้ จึงเป็นไม่ได้เลยที่จะปรับลดสเปกเพื่อประหยัดต้นทุน
เมื่อยอดขายในปีแรกที่ไม่ดีนัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราเห็น OEM ทั้ง 3 เจ้า พับโครงการผลิตมือถือ Android One ทันทีหลังจากปล่อยออกมาได้เพียงรุ่นเดียว
แม้แต่ในปี 2015 ที่ Google เริ่มปรับทิศทางของ Android One หันมาออกมือถือตลาดกลาง Mid-Range โดยรอบนี้ตั้งใจเจาะตลาดกลุ่มคนที่ใช้สมาร์ทโฟนอยู่แล้ว ด้วยการออก Lava Pixel V1 สเปกดีกว่าเดิม ในราคา 11,349 รูปี (ประมาณ 6,200 บาท) แพงขึ้นกว่าสามรุ่นแรกที่ออกมาสองเท่า (สามรุ่นแรกราคาอยู่ที่ 6,399 รูปี หรือประมาณ 3,500 บาท) ด้วยหวังว่าจะสามารถจุดประกายให้กับ Android One ได้อีกครั้ง
แต่ Lava Pixel V1 กลับไม่รองรับสัญญาณ 4G ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ของสมาร์ทโฟนในเวลานั้น ทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามหวังอีก โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2015 Lava Pixel V1 ทำยอดขายในอินเดียไปเพียง 100,000 เครื่องเท่านั้น
3. จุดเด่นเรื่องอัพเดตก็ไม่เด่นอีกต่อไป
ในระยะแรก จุดเด่นของ Android One คือการได้อัพเดต Android สายตรงจาก Google เป็นเวลาสองปี ทำให้ได้อัพเดตที่รวดเร็วกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยสเปกที่เคร่งทำให้เหล่า OEM ไม่อยากทำ
ในระยะที่สอง Google จึงให้อิสระ OEM ในด้านปรับแต่งสเปก แต่ด้วยสเปกที่หลากหลาย ผลที่ตามมาคือ Android One ไม่ได้รับอัพเดตโดยตรงจาก Google อีกต่อไป ขึ้นอยู่กับ OEM ว่าจะเอา Android ไปปรับแต่งและปล่อยอัพเดตให้เมื่อไร ดังนั้น Android One รุ่นหลังๆ จึงได้รับอัพเดตไม่พร้อมกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Xiaomi ที่ถูกวิจารณ์มาโดยตลอดว่าไม่ค่อยจริงจังกับการทำรอม Android One เท่าไรนัก โดยเฉพาะกรณี Mi A3 ที่ได้อัพเดต Android 10 ช้ากว่า Mi 9T ที่ไม่ได้อยู่ในโครงการ และ ผู้ใช้งานหลายรายก็พบบั๊กหลังอัพเดท หรือกรณีของ Nokia ที่มือถือทุกรุ่นจะเข้าร่วมโครงการ Android One แต่กลับได้อัพเดตไม่พร้อมกัน ดังนั้น การให้อิสระแก่ OEM จึงทำให้ Android One สูญเสียจุดขายด้านความเร็วในอัพเดตไป เหลือเพียงแต่การรับประกันว่าจะได้อัพเดตเป็นเวลาสองปีเท่านั้น
นอกจากเรื่องการการันตีอัพเดต 2 ปีแล้ว มือถือ Android One แทบไม่มีจุดเด่นด้านอื่นๆ เหลือเลย ไม่ว่าจะเป็นในด้านฟีเจอร์ แบรนด์ หรือดีไซน์ เพราะส่วนใหญ่เป็นมือถือในกลุ่ม Mid-range สเปกกลางๆ ราคาไม่ได้ถูกที่สุด ส่วนการได้อัพเดต 2 ปี ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ที่อาจไม่ได้เห็นความสำคัญของการอัพเดตเวอร์ชั่น Android มากนัก
4. จุดขายไม่มี มีแต่คู่แข่ง
การปรับระดับราคามาเป็น mid-range อาจช่วยให้สเปกยืดหยุ่นขึ้น แต่ก็สูญเสียจุดเด่นเรื่องราคาไปเช่นกัน ยกอย่างเช่น GM 5 Plus ที่ออกมาในราคาประมาณ 7,800 บาท แพงกว่าสามรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2014 (ราคาประมาณ 3,500 บาท) ถึงสองเท่า หรืออย่าง Xiaomi Mi A1 ที่วางขายในไทย 7,990 บาท แพงกว่า Android One รุ่นที่เคยขายในไทยไปก่อนหน้านี้ i-mobile IQ II ที่ราคา 4,444 บาทเกือบสองเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน เราเริ่มเห็นมือถือราคาถูกจากจีนเข้ามาเจาะตลาดนี้มากขึ้น การแข่งขันเริ่มสูงขึ้น ตัวเลือกผู้บริโภคเริ่มเยอะมากขึ้น เมื่อมือถือช่วงราคานี้แทบจะไม่ได้แตกต่างกันเรื่องสเปกหลัก แต่ละเจ้าจึงพยายามหาความโดดเด่นจากฟีเจอร์ ลูกเล่นต่างๆ
คู่แข่งของ Android One ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น เมื่อราคาขยับขึ้นมาในช่วง 10,000 บาท อย่าง HTC U11 Life หรือ Moto X4 ที่ใช้ Snapdragon 630 และขายในราคา 349 เหรียญและ 399 เหรียญตามลำดับ ต้องมาเจอกับนักฆ่าเรือธงในปี 2017 อย่าง OnePlus 5 ที่มาพร้อมกับชิปรุ่นท็อป Snapdragon 835 แรมมากกว่าที่ตัวเลือก 6GB และ 8GB (HTC กับ Moto แค่ 3GB) แถมด้วยฟีเจอร์หรือลูกเล่นต่างๆ บน OxygenOS ที่ Android One ไม่มี ในราคาที่บวกขึ้นมาแบบพอนำมาพิจารณาได้ที่ 479 เหรียญ ทำให้ได้รับความสนใจากผู้บริโภคไปเต็มๆ
นอกจากคู่แข่งจากฝั่ง Android แล้ว ฝั่ง iOS ก็ปล่อย iPhone SE ออกมา ถึงแม้ว่าราคาอาจจะแพงกว่า Android One (iPhone SE เริ่มต้น 16,800 บาท) แต่ก็ยังมีจุดขายคือฮาร์ดแวร์ แบรนด์และอีโคซิสเต็ม Apple ยิ่งทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้นไปอีก
5. ขาดแบรนด์ดังๆ โอกาสจะปังก็ยาก
เราไม่เห็นแบรนด์มือถือเจ้าใหญ่ที่ครองตลาดอย่าง Samsung, Huawei, Oppo เข้ามาทำมือถือในโครงการ Android One เลย เป็นเพราะแบรนด์เหล่านี้ต่างมี ecosystem เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น UI แอปพลิเคชั่นหรือฟีเจอร์ต่างๆ ที่ใส่มาในมือถือ ล้วนเป็นกลไกสำคัญให้ผู้ใช้คุ้นชินกับแบรนด์ และต้องการใช้งาน ecosystem อย่างต่อเนื่อง
การออกมือถือมาร่วมโครงการเท่ากับต้องทิ้ง ecosystem ของตัวเองนี้ไป ทำให้ไม่สามารถใส่อะไรฟีเจอร์อะไรลงไปได้มาก ขาดอิสระด้านซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ ecosystem ของแต่ละแบรนด์ก็ยังขายได้ปกติ จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้าโครงการ
การขยับมา mid-range มีจุดที่ทำให้ Android One ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำและเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เล็กๆ คือ Xiaomi Mi A1 ที่นับเป็นหนึ่งในรุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดและทำให้ Android One บุกตลาดโลกอย่างเต็มตัว แต่สุดท้าย Mi A1 หรือแม้แต่ Mi A2 ก็ประสบปัญหาเรื่องการอัพเดตอย่างที่กล่าวไป แถมยังมีปัญหาเรื่องการควบคุมคุณภาพฮาร์ดแวร์ใน Mi A2 และการลดต้นทุนใน Mi A3 ที่ใช้จอแค่ความละเอียด 720p จนทำให้แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ Android One ดับวูบลงไปในที่สุด
หาก Android One ประสบความสำเร็จ เราอาจเห็นแบรนด์ใหญ่ๆ ยอมทิ้ง ecosystem แล้วหันมาทำ Android One อยู่บ้าง อย่างเช่น Xiaomi แต่จากยอดขายตลอดหลายปีที่ผ่านมายิ่งทำให้แบรนด์ใหญ่ๆ มองข้าม Android One ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อแบรนด์ใหญ่ๆ เลือกที่จะไม่ร่วมโครงการ ชื่อของ Android One ก็ยากที่จะไปถึงหูของผู้บริโภค
สรุป
ถ้าจะให้กล่าวโดยสรุป การที่ Android One ไม่ประสบความสำเร็จ สาเหตุหลักๆ มาจากการที่ Google ยังขาดการวางแผนที่ดีพอ เห็นได้จากการเลือกที่ช่องทางการขายโดยไม่สนใจสภาพตลาด เลือกปรับทิศทางและชูจุดเด่นโดยไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภค ผลลัพธ์ที่ได้จึงกลายมาเป็นโปรเจคไม่มีจุดขายที่แน่นอน
ในระยะหลังๆ มานี้ Google เองก็ไม่ได้จริงจังกับการโปรโมท Android One เท่าไหร่นัก ล่าสุดที่พูดถึง Android One ก็คือช่วงต้นปี 2019 นอกจากนี้ นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2020 มาจนถึงปัจุบัน มีมือถือ Android One ออกมาเพียงสามรุ่นเท่านั้น ได้แก่ Nokia 8.3 5G, Nokia 5.3, Moto G Pro และด้วยสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า จุดจบของ Android One คงจะอยู่อีกไม่ไกล แต่บทเรียนในครั้งนี้จะจารึกในประวัติศาสตร์ของ Google ไปอีกนาน
อ้างอิง
บทความจาก The Wall Street Journal
บทความจาก Ars Technica
บทความจาก The Economic Times (1, 2, 3, 4, 5)
บทความจาก Softpedia
บทความจาก Notebookcheck
บทความจาก Business Insider
บทความจาก Forbes |
# Google เริ่มทดสอบ trust token บน Chrome เพื่อนำมาใช้แทนคุกกี้จากบุคคลที่สาม
Google เริ่มทดสอบระบบ trust token สำหรับนักพัฒนาเว็บบน Chrome เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่คาดว่าจะนำมาใช้ทดแทนระบบคุกกี้จากบุคคลที่สามเพื่อตอบโจทย์ทั้งฝั่งผู้ใช้งานและนักโฆษณา
ปัจจุบัน ระบบโฆษณาบนเว็บนิยมใช้คุกกี้จากบุคคลที่สามเพื่อติดตามโฆษณา แต่ปัญหาคือต้องแลกกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และตอนนี้ก็ยังไม่มีระบบที่ตอบโจทย์ทั้งฝั่งผู้โฆษณา, ผู้ใช้งานเว็บ และนักพัฒนาเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Google เริ่มพัฒนาระบบ trust token ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกใช้งานทดแทนคุกกี้จากบุคคลที่สาม
ตอนนี้ trust token กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบ โดย Google จะนำระบบใหม่นี้เข้ามาใช้ทดแทนคุกกี้จากบุคคลที่สามให้ได้ และมีเป้าหมายจะบล็อคคุกกี้จากบุคคลที่สามบน Chrome ภายในปี 2022
ที่มา - Engadget |
# กูเกิลเผยรายละเอียดการรันแอพ Windows บน Chrome OS ผ่าน Parallels
จากข่าวเมื่อเดือนมิถุนายน ว่ากูเกิลจับมือ Parallels พัฒนาแนวทางรันแอพ Windows บน Chrome OS ทีมงานของกูเกิลเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในบทสัมภาษณ์กับ The Verge ดังนี้
กลุ่มเป้าหมายของการรันแอพ Windows บน Chrome OS คือตลาดองค์กร ที่สนใจย้ายมาใช้ Chrome OS แต่ติดขัดเรื่องแอพเก่าบางตัว
เบื้องหลังการทำงานไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นการรัน Parallels Desktop ใน Chrome OS แล้วบูต Windows ขึ้นมาข้างในอีกที (แปลว่าจำเป็นต้องซื้อไลเซนส์ Windows ด้วย)
ฝั่ง Chrome OS จะช่วย redirect การเปิดไฟล์บางประเภทให้รันจากแอพ Windows ใน Parallels ได้เลย เพื่อให้การใช้งานราบรื่นขึ้น และในอนาคตจะพัฒนาเทคนิคที่ให้รันแอพได้โดยไม่ต้องเปิด Windows เดสก์ท็อปขึ้นมาก่อน สามารถรันแอพ Windows เคียงคู่ไปกับแอพ Chrome OS ได้เลย
กูเกิลเคยลองพยายามใช้ท่า dual boot มาก่อน แต่พบว่าไม่เวิร์ค เพราะติดเรื่องความปลอดภัยของกระบวนการบูต ที่เป็นจุดแข็งของ Chrome OS จึงหันมาจับมือกับ Parallels ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้แทน
Chromebook ที่จะรันแอพ Windows ได้ต้องมีสเปกแรงพอสมควร ซึ่งยังไม่ระบุชัดว่าเท่าไร
ตอนนี้ยังไม่ประกาศวันเปิดให้ใช้งาน บอกแค่ว่าภายในปีนี้ และยังไม่บอกราคาค่าไลเซนส์ของ Parallels
ภาพตัวอย่างการรัน Excel บน Parallels บน Chrome OS
ที่มา - The Verge |
# Trump ไฟเขียว ให้เวลาไมโครซอฟท์เจรจาซื้อ TikTok จนถึงวันที่ 15 กันยายน
ไมโครซอฟท์ยืนยันข่าวการเจรจาซื้อ TikTok ผ่านบล็อกของบริษัท โดยระบุว่าซีอีโอ Satya Nadella หารือกับประธานาธิบดี Donald Trump แล้ว ทำให้ไมโครซอฟท์มีเวลาเจรจากับ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ไปจนถึงวันที่ 15 กันยายน 2020
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาว่า Trump ไม่สนใจแนวทางการให้บริษัทอเมริกันซื้อ TikTok และต้องการแบนอย่างเดียว แต่การหารือกับ Satya Nadella น่าจะทำให้ Trump เปลี่ยนใจ และอดทนรอการเจรจาซื้อกิจการของไมโครซอฟท์ก่อน
ไมโครซอฟท์ระบุว่าต้องการซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาจเชิญนักลงทุนอเมริกันรายอื่นมาร่วมซื้อ TikTok ด้วย หากซื้อกิจการสำเร็จ ไมโครซอฟท์จะย้ายข้อมูลของผู้ใช้มาเก็บในอเมริกา และทำลายแบ็คอัพที่เก็บอยู่ในประเทศอื่นๆ ทันทีเมื่อย้ายเสร็จ
ที่มา - Microsoft |
# "ขอบคุณที่บินกับ SpaceX" ยาน Dragon นำนักบินอวกาศกลับสู่โลกสำเร็จ
วันนี้ Bob Behnken กับ Doug Hurley ขึ้นยาน Dragon และถอนตัวออกจากสถานีอวกาศนานาชาติ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการลดระดับจากวงโคจรและลงจอด (splash down) ลงในอ่าวเม็กซิโกสำเร็จ โดยทีมงาน SpaceX และนาซ่ากล่าวต้อนรับนักบินทั้งสองกลับสู่โลกและขอบคุณที่บินกับ SpaceX
กระบวนการกู้ยาน Dragon ใช้เวลา 25 นาทีหลังยานลงน้ำ โดยตัวยานสามารถตั้งตรงบนน้ำได้ถูกต้อง (สถานะ stable-1) โดยกระบวนการใช้เวลานานเพราะต้องรอเรือกู้ยานหลักเข้ามาใช้เครนยกยานขึ้นเรือแล้ววางบนฐานรอง (recovery nest)
ยาน Dragon หมายเลข C206 ที่ใช้ในภารกิจนี้จะนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งในภารกิจ Crew-2 ต้นปี 2021 ข้อมูลทั้งหมดจากภารกิจ Crew Demo-2 นี้ต้องให้นาซ่าตรวจความเรียบร้อยก่อนรับรองให้เดินหน้าภารกิจ Crew-1 มีกำหนดขึ้นบินปลายเดือนกันยายนนี้
ที่มา - YouTube: SpaceX |
# พบ Garmin ได้รับตัวถอดรหัส WastedLocker ไม่ยืนยันว่าจ่ายค่าไถ่หรือไม่
หลังจาก Garmin ถูกโจมตีจนต้องปิดบริการแทบทั้งหมด และสามารถเปิดบริการกลับมาได้ภายในสี่วันถัดมา ทาง Bleeping Computer ระบุว่าได้รับโปรแกรมถอดรหัสมัลแวร์ WastedLocker
สคริปต์ติดตั้งระบุว่าสร้างไฟล์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสคริปต์จะสำเนาโปรแกรมลงเครื่อง, ถอดดิสก์เน็ตเวิร์ค, แล้วถอดรหัสไฟล์ในเครื่องจากกุญแจเข้ารหัสของไฟล์นามสกุล .garminwasted
ทาง Bleeping Computer ระบุว่าไฟล์อ้างถึงสองบริษัท คือ Emsisoft บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์, และ Coveware บริษัทเจรจาจ่ายค่าไถ่ โดยทั้งสองบริษัทไม่แสดงความเห็นต่อลูกค้ารายใดเป็นการเฉพาะ ขณะที่แหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนระบุกับ Bleeping Computer ว่า Coveware ไม่รับเจรจากับ Evil Corp ผู้สร้าง WastedLocker เนื่องจากสหรัฐฯ สั่งห้าม
ที่มา - Bleeping Computer
ภาพจาก Garmin.com |
# พบบัตรเครดิตหลายธนาคารสามารถสำเนาได้แม้เป็นบัตรชิป, Visa พบแฮกเกอร์เริ่มมุ่งเป้าแคช์เชียร์รับบัตรชิป
บริษัทวิจัยความปลอดภัย Cyber R&D Labs รายงานถึงช่องโหว่จากการตรวจสอบบัตรเครดิตของสถาบันการเงินหลายแห่ง เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถสร้างสำเนาบัตรได้แม้จะเป็นบัตรชิปก็ตาม
บัตรแม่เหล็กนั้นมีข้อมูลทั้งหมดของตัวบัตรอยู่ในแถบแม่เหล็กรวมถึงตัวเลขยืนยันบัตร CVV ที่ไม่ได้พิมพ์อยู่บนตัวบัตร ขณะที่บัตรชิปนั้นจะเป็นตัวเลข iCVV ที่ควรจะเป็นคนละเลขกับในบัตรแม่เหล็ก แต่ Cyber R&D Labs สาธิตให้เห็นว่าหลายธนาคารไม่ได้ตรวจสอบตัวเลขนี้จริง โดยทีมงานสามารถนำเลข iCVV กลับไปสร้างบัตรแม่เหล็ก แล้วรูดจ่ายเงินสำเร็จได้
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Visa ออกรายงานระบุว่ามัลแวร์แวร์ที่มุ่งโจมตีจุดรับชำระ (แคชเชียร์, Point-of-Sale/POS) เริ่มถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ตระกูลใหม่ๆ ที่มุ่งเป้าไปยัง POS ที่รับชำระด้วยบัตรชิป แสดงความเป็นไปได้ว่าแฮกเกอร์เริ่มใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีธนาคารบ้างแล้ว โดยประกาศของ Visa ไม่ได้ยอมรับโดยตรงแต่ระบุว่า หากธนาคารตรวจสอบเลข iCVV อย่างถูกต้องความเสี่ยงก็จะต่ำมาก
ที่มา - ZDNet, Krebs on Security
ภาพโดย AhmadArdity |
# ไมโครซอฟท์ปรับแบรนด์ Xbox Game Pass เล็กน้อย ตัดคำว่า Xbox ออก
ไมโครซอฟท์ปรับแบรนด์และโลโก้ของบริการ Xbox Game Pass เล็กน้อย โดยตัดคำว่า Xbox ออกจากข้อความ เหลือแต่คำว่า Game Pass เฉยๆ (แต่ยังคงโลโก้วงกลมรูปตัว X เอาไว้)
ส่วนบริการ Xbox Game Pass for PC ก็ปรับข้อความแบบเดียวกัน เหลือแค่ Game Pass for PC
ไมโครซอฟท์ไม่ได้อธิบายเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่คาดว่าต้องการลดความสับสนของผู้ใช้งาน (โดยเฉพาะ Xbox Game Pass for PC ที่อาจไม่ชัดเจนว่าเป็นบริการสำหรับพีซีหรือคอนโซลกันแน่)
นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์เพิ่งยกเลิกการขายสมาชิก Xbox Live Gold แบบ 12 เดือนโดยไม่ให้เหตุผลใดๆ ในวงการเกมจึงคาดหมายกันว่า ไมโครซอฟท์จะปรับทิศทางของบริการรายเดือนใหม่ นำ Xbox Live Gold มารวมกับ Xbox Game Pass ไปเลย ซึ่งเราน่าจะได้เห็นข่าวทิศทางใหม่ของบริการรายเดือนในเร็วๆ นี้
ที่มา - Thurrott
โลโก้ใหม่ของ Game Pass
โลโก้เก่าของ Game Pass ที่ยังมีคำว่า Xbox |
# ทีมผู้สร้าง Halo Infinite ยอมรับปัญหากราฟิกต้องแก้ไข, อธิบายตั้งใจใช้งานอาร์ตย้อนยุค
จากกรณี Halo Infinite ถูกวิจารณ์หนัก กราฟิกไม่สมกับเป็นคอนโซลยุคหน้า ทีมงาน 343 Industries ออกมาตอบเสียงวิจารณ์ของแฟนๆ ผ่านบล็อกอย่างเป็นทางการของ Halo
ได้รับฟังเสียงวิจารณ์แล้ว อ่านความเห็นจากทุกที่ทั้ง Twitter, Reddit, Forums
อธิบายแนวทางออกแบบของ Halo Infinite ว่าตั้งใจใช้งานอาร์ต (art style) แบบคลาสสิค ย้อนยุคไปยัง Halo ช่วงแรกๆ ทำให้ภาพดูสีสันสดใสขึ้น เห็นตัวละครหรือวัตถุชัดเจนขึ้น มีสิ่งรบกวนสายตาน้อยลง ซึ่งมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ทีมงานยืนยันว่าจะใช้งานอาร์ตแบบนี้ในภาคนี้
แต่ประเด็นเรื่องความละเอียดของกราฟิก (visual fidelity) ก็ยอมรับว่าเป็นปัญหาจริงๆ ทั้งในแง่ภาพที่ดูแบนราบ ดูเป็นพลาสติก สภาพแสง ฯลฯ ซึ่งทีมงานจะรับไปแก้ไขให้สมบูรณ์ขึ้นในเกมตัวเต็ม
ทีมงาน 343 Industries ยังตอบคำถามอีกหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเกมภาคนี้ รวมถึงเนื้อเรื่องและระบบเกมบางส่วนด้วย ใครเป็นแฟน Halo สามารถตามอ่านได้จากต้นทาง
ที่มา - Halo Waypoint |
# หลุดภาพ Press Shot และสเปคของ Google Pixel 4a ก่อนเปิดตัว
Google Pixel 4a เป็นสมาร์ทโฟน mid-range ราคาถูกของ Google ที่จะเปิดตัวในวันที่ 3 สิงหาคม 2020
ภาพ press shot ล่าสุดที่หลุดออกมานั้น ตรงกับข่าวหลุดตัวเครื่องจริงก่อนหน้านี้ สำหรับสเปคนั้นมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย โดยสเปคทั้งหมดรวมเป็นดังนี้
Google Pixel 4a
จอแสดงผล OLED ขนาด 5.81 นิ้ว อัตราส่วน 19.5:9 รีเฟรชเรทที่ 60Hz
ซีพียู Snapdragon 730G (เพิ่มประสิทธิภาพด้านกราฟฟิคจาก Snapdragon 730 ขึ้น 15%)
แรมขนาด 6GB
ความจำภายใน 128GB
กล้องหลังตัวเดียว 12.2MP F/1.7 มี OIS
กล้องหน้า 8MP F/2
ลำโพงคู่หน้า stereo
มีช่องหูฟัง 3.5 mm
แสกนลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง
แบตเตอรี่ 3,140 mAh
รองรับ Always On Display และ Now Playing
วัสดุตัวเครื่องเป็นพลาสติก
ขนาดตัวเครื่อง 144x69.4x8.2 mm หนัก 143 กรัม
รองรับการชาร์จเร็ว 18W
ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 10
ราคา $349 (ประมาณ 10,900 บาทไทย)
วางขายประมาณวันที่ 20 สิงหาคม 2020
ที่มา: 9to5google, @Ishan Agarwal |
# เพื่อความโปร่งใส กูเกิลจะแสดงชื่อผู้ลงโฆษณาในหน้า About This Ad
ปกติแล้ว โฆษณาในเครือข่ายของกูเกิลจะมีตัว i เล็กๆ ตรงมุมขวาบน ที่กดแล้วเจอหน้า Why this ad ที่อธิบายว่าทำไมเราจึงเห็นโฆษณาชิ้นนี้ (เช่น ผู้ลงโฆษณาเจาะจงความสนใจหรือช่วงอายุของเรา หรือ ผู้ลงโฆษณาอัพโหลดข้อมูลระบุตัวตนของเราอย่างอีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์)
ล่าสุดกูเกิลประกาศเพิ่มความโปร่งใสให้หน้าแสดงข้อมูลโฆษณา โดยจะเปลี่ยนชื่อหน้านี้เป็น About this ad พร้อมแสดงชื่อและประเทศของผู้ลงโฆษณาเพิ่มเข้ามาด้วย หน้าข้อมูลแบบใหม่จะเริ่มจากโฆษณาประเภทแบนเนอร์ (display ads) และจะขยายไปยังโฆษณาประเภทอื่นๆ ต่อไป
กูเกิลยังเปิดตัวส่วนขยายของ Chrome ชื่อ Ads Transparency Spotlight ที่เอาไว้ดูรายละเอียดของโฆษณาทั้งหมดในหน้าเว็บนั้น ว่ามาจากที่ใดบ้าง ตอนนี้ยังอยู่ในสถานะทดสอบแบบอัลฟ่า
นอกจากนี้ กูเกิลยังประกาศเรื่องการใช้ API แบบใหม่สำหรับการวัดผลโฆษณาออนไลน์ แทนการใช้คุกกี้ภายนอก (third-party cookies) ที่ Chrome จะหยุดรองรับภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยกูเกิลบอกว่ามีข้อเสนอหลายตัวเข้ามาเป็นมาตรฐานกลาง (ข้อเสนอของกูเกิลเรียกว่า Privacy Sandbox ที่เปิดตัวในปี 2019) แนวคิดหนึ่งที่เป็นไปได้คือการใช้ trust token แทนการใช้คุกกี้ ซึ่งกูเกิลบอกว่าแก้ปัญหาคลิกโฆษณาปลอมโดยบ็อตได้ดีกว่า
ที่มา - Google |
# [ลือ] Apple Watch ซีรี่ย์ 6 จะมาพร้อมกับเซนเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด
รายงานจาก DigiTimes พบว่าแอปเปิลทำข้อตกลงกับ ASE Technology ในการผลิต Apple Watch ซีรี่ย์ 6 หรือซีรี่ย์ถัดไปที่จะเปิดตัวในปีนี้ รายงานระบุว่า Apple Watch ซีรี่ย์ 6 จะมีเซนเซอร์ตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือดมาด้วย ประกอบกับการค้นพบโค้ดรองรับเซนเซอร์ตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือดบน iOS 14
คาดว่าเซนเซอร์ตัวนี้จะพร้อมใช้งานบน watchOS 7 ที่จะเปิดตัวพร้อมกับ Apple Watch ซีรี่ย์ 6 และยังไม่ทราบว่าจะสามารถใช้งานบนซีรี่ย์ที่เก่ากว่าได้หรือไม่ แต่ในด้านฮาร์ดแวร์ ย้อนไปตั้งแต่ Apple Watch รุ่นแรก (1st generation) iFixit ระบุว่าแอปเปิลใช้เซนเซอร์แบบ plethysmograph ซึ่งสามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือดได้อยู่แล้ว
ปกติแล้วระดับออกซิเจนในเลือดหรือ blood oxygen saturation มีค่าอยู่ประมาณ 95-100 เปอร์เซ็นต์ หากค่านี้ต่ำกว่าปกติจะสามารถระบุได้ถึงปัญหาในระบบหายใจ และระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งจะส่งผลต่อระบบอื่นๆ ในร่างกาย และควรไปพบแพทย์
ที่มา - MacRumors 1,2 |
# Pinterest ไตรมาสล่าสุด จำนวนผู้ใช้งานทะลุ 400 ล้านบัญชีแล้ว
Pinterest รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2020 รายได้โต 4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็น 272 ล้านดอลลาร์ และขาดทุนสุทธิ 101 ล้านดอลลาร์ จำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAUs) เพิ่มขึ้นเป็น 416 ล้านบัญชี
ซีอีโอ Ben Silbermann กล่าวว่าไตรมาสนี้บริษัทได้ผ่านเป้าหมายสำคัญ คือมีจำนวนผู้ใช้งานที่เข้ามาค้นหาแรงบันดาลใจใน Pinterest เกิน 400 ล้านคน นอกจากนี้เขายังพบว่าผู้คนใช้ Pinterest เพื่อหาไอเดียทำอาหารทานในบ้าน ทำสวน หากิจกรรมให้ลูกทำ และไอเดียจัดสถานที่ทำงานที่บ้านกันมากขึ้น ในช่วงการระบาดของโควิด-19
รายได้หลักของ Pinterest มาจากโฆษณา ซึ่งบริษัทบอกว่าไตรมาสที่ผ่านมายังเติบโต โดยได้ลูกค้าจากกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง มากกว่าครึ่ง
ที่มา: Pinterest และ CNBC |
# ไมโครซอฟท์หยุดทำแอพ Cortana บนมือถือ, ถอดฟีเจอร์จากลำโพง-หูฟังของตัวเอง
ชะตากรรมของ Cortana อับเฉามาสักพักใหญ่ๆ และไมโครซอฟท์ก็เคยประกาศปรับทิศทาง Cortana มาเน้นภาคธุรกิจแทนคอนซูเมอร์ มาก่อนแล้ว
วันนี้ไมโครซอฟท์ประกาศหยุดให้บริการ Cortana ฝั่งคอนซูเมอร์หลายด้าน ดังนี้
หยุดรองรับ "ทักษะ" (skill) ของบริษัทอื่นที่มาเชื่อมต่อกับ Cortana ในวันที่ 7 กันยายน 2020
ต้นปี 2021 จะหยุดแอพ Cortana บนมือถือ Android/iOS (ตอนนี้เหลือแต่ในสหรัฐอยู่แล้ว) โดยให้ย้ายไปใช้แอพ Cortana ใน Windows 10 หรือฟีเจอร์ Cortana บน Outlook/Teams แทน
มกราคม 2021 ลำโพงอัจฉริยะ Harman Kardon Invoke ที่ขายตั้งแต่ปี 2017 จะใช้ Cortana ไม่ได้อีกต่อไป ต้องสั่งงานผ่าน Bluetooth แทน โดยไมโครซอฟท์จะมอบบัตรของขวัญมูลค่า 50 ดอลลาร์ให้เป็นการปลอบใจ
หูฟังไร้สาย Surface Headphones รุ่นแรกที่ออกในปี 2018 จะใช้ Cortana ไม่ได้อีก ไมโครซอฟท์จะให้บัตรของขวัญ 25 ดอลลาร์ปลอบใจ
ที่มา - Microsoft
อุปกรณ์อัจฉริยะที่เคยเชื่อมต่อกับ Cortana ก็ถูกตัดฟีเจอร์เหล่านี้ออกทั้งหมด |
# จับแฮ็กเกอร์คดีแฮ็ก Twitter เพิ่มอีก 2 คน คุยกันผ่าน Discord ถูกตามตัวเจอเพราะ Coinbase
ต่อจากข่าว ตำรวจสหรัฐจับ Graham Ivan Clark วัยรุ่นอายุ 17 ปีในรัฐฟลอริด้าต้องสงสัยแฮกทวิตเตอร์ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐยังเผยข้อมูลผู้ต้องสงสัยอีก 2 คนที่ร่วมขบวนการกัน คือ Nima Fazeli อายุ 22 ปีอยู่ในฟลอริด้าเช่นกัน และ Mason Sheppard อายุ 19 จากสหราชอาณาจักร
เอกสารคำฟ้องของกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า Clark แฮ็กเข้าไปในเครือข่ายภายในของ Twitter ได้ก่อน จากนั้นสื่อสารกับแฮ็กเกอร์อีก 2 คนที่เหลือผ่านฟอรั่ม OGUsers ใน Discord โดยอ้างว่าเขาทำงานที่ Twitter และยืนยันด้วยการโพสต์ข้อความลงบัญชีทวิตเตอร์ของทั้งสองคนโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
ข้อความแชท Discord จากคำฟ้องของกระทรวงยุติธรรม
หลังจากนั้น Clark จึงขายสิทธิการเข้าถึงเครื่องมือของ Twitter ให้ทั้งสองคนใช้งาน และทั้งสามคนก็ร่วมกันโฆษณาสินค้าของ Clark ให้แฮ็กเกอร์คนอื่นๆ ใน OGUsers อีกทีหนึ่ง ซึ่งคาดว่ามีแฮ็กเกอร์คนอื่นมาซื้อไปใช้โพสต์ลิงก์ Bitcoin ในบัญชีคนดังแบบที่เราเห็น
เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข่าวดัง FBI จึงเข้ามาสอบสวน โดยได้ข้อมูลแชทล็อกและบัญชีผู้ใช้จาก Discord, ฐานข้อมูลผู้ใช้และหมายเลขไอพีของ OGUsers ที่เคยถูกแฮ็กมาก่อนหน้านี้, ที่อยู่ Bitcoin ของแฮ็กเกอร์จาก Coinbase จนสามารถขยายผลและตามหาทั้ง 3 คนได้
จุดอ่อนสำคัญของแฮ็กเกอร์มาจาก Nima Fazeli ที่ลิงก์บัญชี Discord ของตัวเองกับบัญชีใน OGUsers, ใช้อีเมลเดียวกันลงทะเบียนกับเว็บ OGUsers, Twitter, Coinbase และข้อมูลของเขาใน Coinbase มีใบขับขี่ที่ใช้ยืนยันตัวตนตอนลงทะเบียน ส่วน Sheppard ก็มีความผิดพลาดคล้ายๆ กันคือยืนยันใบขับขี่กับ Coinbase
ที่มา - Justice.gov, ZDNet |
# Apple ซื้อกิจการ Mobeewave ผู้ให้บริการระบบชำระเงิน โดยใช้สมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า แอปเปิลได้เข้าซื้อกิจการสตาร์ทอัพ Mobeewave ซึ่งพัฒนาระบบรับชำระเงิน ที่ทำให้ลูกค้าสามารถแตะบัตรเครดิต หรือสมาร์ทโฟน กับสมาร์ทโฟนของร้านค้าเพื่อทำการจ่ายเงินได้ผ่าน NFC ร้านค้าจึงไม่ต้องมีอุปกรณ์อื่นเพิ่มเติมอื่นอีก
มูลค่ากิจการที่ซื้อนั้นระบุว่าอยู่ราว 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแอปเปิลก็ยืนยันดีลดังกล่าวด้วยประโยคเดิมว่า แอปเปิลซื้อกิจการบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กมาโดยตลอด และจะไม่แสดงความเห็นถึงแผนงานในอนาคต
ที่มา: MacRumors |
# Trump เตรียมสั่งแบน TikTok ในสหรัฐ, ลือไมโครซอฟท์สนใจซื้อ TikTok ให้เป็นของอเมริกา
ประธานาธิบดี Donald Trump ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าจะเซ็นคำสั่งบริหารแบนการใช้งาน TikTok ในสหรัฐอเมริกาเร็วๆ นี้ แต่ยังไม่ให้รายละเอียดของวิธีการว่าจะทำอย่างไร
ในวันเดียวกันก็มีข่าวลือออกมาว่า ไมโครซอฟท์อาจกลายมาเป็นผู้ซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐต่อจาก ByteDance เพื่อให้ TikTok กลายเป็นบริษัทอเมริกัน ที่ไม่โดนแบนจากรัฐบาลอเมริกัน
ข่าวการซื้อ TikTok ของไมโครซอฟท์สร้างความสับสนเรื่องความเหมาะสมกับยุทธศาสตร์ของบริษัทไม่น้อย เพราะไมโครซอฟท์ขยับออกมาจากตลาดคอนซูเมอร์ (ไม่รวมเกม) นานแล้ว ดังที่เราเห็นการถอนตัวจากธุรกิจสมาร์ทโฟน อุปกรณ์สวมใส่ เครื่องอ่านอีบุ๊ก ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ถือหุ้นบางส่วนของ TikTok ในสหรัฐ หารือกันเรื่องเข้ามาถือหุ้นใหญ่ TikTok ของ ByteDance เพื่อให้กลายเป็นบริษัทอเมริกันเช่นกัน
ที่มา - CNBC |
# Elon Musk เผย Tesla พร้อมให้ไลเซนส์ซอฟต์แวร์และซัพพลายระบบขับเคลื่อนกับแบตเตอรี่แก่ผู้ผลิตเจ้าอื่น
การมาของ Tesla ที่ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้านั้นสร้างความปั่นป่วนไปทั่ววงการรถยนต์ โดยก่อให้เกิดกระแส "electrification" หรือการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตรถยนต์แทบทุกเจ้าเริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของตนออกมาในระยะหลังนี้
เยอรมนีที่เป็นประเทศแห่งรถยนต์ชั้นดีก็ย่อมนั่งไม่ติด ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าหนึ่งที่จริงจังมากกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าคือ Volkswagen เพราะบอบช้ำหนักจากเหตุการณ์โกงผลการทดสอบมลพิษเมื่อปี 2015 โดยเหล่าผู้บริหารระดับสูงต่างยอมรับตรงๆ เลยว่ามี Elon Musk และ Tesla เป็นต้นแบบ ซึ่ง Hebert Diess ประธานบริษัท Volkswagen ระบุว่ามีแผนการ "ไล่ตาม Tesla" หรือ "Tesla catch-up plan" ดำเนินอยู่ภายในด้วย
ล่าสุดเว็บไซต์ Teslarati ได้ลงบทความเรื่องผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนีต่างกำลังพยายามตาม Tesla ให้ทัน เพราะ Tesla มีประสบการณ์การทำรถยนต์ไฟฟ้านำไปก่อนหลายปีแล้ว และ Elon Musk ได้ตอบกลับถึงบทความนี้ว่า Tesla ยินดีให้ไลเซนส์ซอฟต์แวร์ในรถแก่ผู้ผลิตเจ้าอื่น รวมถึงพร้อมซัพพลายระบบขับเคลื่อนและแบตเตอรี่ให้ด้วย และย้ำว่าภารกิจของ Tesla คือการเร่งการเปลี่ยนสู่การใช้พลังงานยั่งยืน ไม่ใช่ทำลายคู่แข่ง
มอเตอร์ขับเคลื่อนของรถ Tesla Model S
ต่อมามีคนถามกลับว่านี่รวมถึงการให้ใช้ซอฟต์แวร์ Autopilot ด้วยหรือไม่ ซึ่ง Elon ได้ตอบกลับว่า "แน่นอน" อย่างไรก็ตาม เขาเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าการนำไปใช้ในรถของผู้ผลิตเจ้าอื่นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เมื่อก่อน Tesla เคยส่งระบบขับเคลื่อนให้ Mercedes-Benz และ Toyota ซึ่งทั้งสองบริษัทเคยเป็นผู้ถือหุ้น Tesla ก่อนจะยกเลิกความร่วมมือทั้งหมดไปในปี 2015
ที่มา - Electrek
แชสซีของรถ Tesla Model S |
# Facebook ให้สตรีม MV เพลงได้แล้ว เริ่มที่สหรัฐฯ พร้อมชน YouTube
จากรายงานที่ผ่านมาพบว่า Facebook ได้เจรจาเรื่องลิขสิทธิ์เพลงจากค่ายเพลงใหญ่ในสหรัฐฯ เพื่อสามารถนำเพลงมาลงแพลตฟอร์มได้ไม่มีปัญหาลิชสิทธิ์ ล่าสุด Facebook เปิดให้สตรีมดู MV เพลงเต็มๆ แล้วผ่านหน้า Facebook Watch หลังทดสอบฟีเจอร์มาก่อนแล้วในไทยและอินเดีย
ค่ายเพลงที่ Facebook เจรจาได้ลิขสิทธิ์มาคือ Sony Music Group, Universal Music Group, Warner Music Group, Merlin, BMG, Kobalt เป็นต้น และจะมีศิลปินที่ลงคลิปแบบพรีเมียร์บน Facebook ด้วย เช่น J. Balvin, Karol G, Sebastian Yatra, Alejandro Fernandez และ Calibre 50
ก่อนหน้านี้ไม่นานเว็บไซต์ TechCrunch พบว่า Facebook แจ้งการตั้งค่าใหม่แก่เจ้าของเพจและศิลปิน ผู้ใช้งานไม่ต้องอัพโหลดเองแต่เป็นการอนุญาตให้ Facebook เพิ่มมิวสิควิดีโอในหน้าของพวกเขาซึ่งแฟนๆ สามารถค้นพบได้ในแท็บวิดีโอ จากเดิมที่ศิลปินสามารถทำได้แค่ลงคลิปสั้นไม่เต็มเพลง
ที่มา - Facebook Newsroom |
# Apple กลับมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง
แอปเปิลกลับมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลกตามราคาหุ้นอีกครั้ง หลังจากราคาหุ้นเมื่อคืนปิดการซื้อขายที่ 425.04 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 10.47% ทำให้มูลค่ากิจการเป็น 1.84 ล้านล้านดอลลาร์ แซง Saudi Aramco บริษัทน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย ที่ไอพีโอเข้าตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้ว และมีมูลค่ากิจการล่าสุด 1.76 ล้านล้านดอลลาร์
ราคาหุ้นแอปเปิลปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง หลังจากรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ผ่านมา รายได้เพิ่มขึ้น 11% และประกาศแตกหุ้นอัตราส่วน 4 หุ้นใหม่ต่อ 1 หุ้นเดิม
ที่มา: CNBC |
# จับได้แล้ว ตำรวจสหรัฐฯ จับวัยรุ่นในรัฐฟลอริด้าต้องสงสัยแฮกทวิตเตอร์ ตั้ง 30 ข้อหา
อัยการรัฐฟลอริด้าแถลงการจับกุม Graham Clark วัยรุ่นอายุ 17 ปีฐาน จากการเป็นเป็นผู้ "บงการ" (mastermind) การแฮกทวิตเตอร์ โดยตั้งข้อหารวม 30 ข้อหา ตั้งแต่ข้อหาร้ายแรงเช่นการฉ้อโกงเงินเกิน 50,000 ดอลลาร์, การแฮกระบบสื่อสาร, การขโมยตัวตนผู้อื่น, ไปจนถึงข้อหาที่เบาลงเช่นการใช้ข้อมูลส่วนตัว โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุม Clark ที่อพาร์ตเมนต์ของเขาในช่วงเช้าวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐฯ ฝั่งตะวันออก
คดีนี้ทาง FBI และสรรพากรสหรัฐฯ ตามตัว Clark จนพบและทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในฟลอริด้าเพื่อจับกุม โดยทางอัยการระบุว่าจะดำเนินคดี Clark ในรัฐฟลอริด้าโดยไม่นำคดีขึ้นเป็นคดีรัฐบาลกลาง (federal crime) เนื่องจากกฎหมายรัฐฟลอริด้าเอื้อให้ดำเนินคดีผู้เยาว์ในฐานะผู้ใหญ่ได้ หากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเงิน และตัวผู้ต้องสงสัยก็อยู่ในรัฐขณะปฎิบัติการ
แม้ Clark จะถูกระบุว่าเป็นผู้บงการ แต่อัยการไม่เปิดเผยว่าจะมีการจับกุมเพิ่มเติมหรือไม่ แต่บอกเพียงว่ากระบวนการสอบสวนยังเดินหน้าต่อไป
ที่มา - WFLA
ภาพหน้าจอแอปทวิตเตอร์บนโทรศัพท์มือถือโดย Free-Photos |
# Rare รีเมคเกม Battletoads ฉบับปี 2020 ลง Xbox One และพีซี หลังหายไปนาน 26 ปี
Rare เปิดตัวเกม Battletoads ฉบับรีเมคปี 2020 บน Xbox One และพีซี โดยประกาศกำหนดวางขาย 20 สิงหาคม 2020
Battletoads เป็นเกมแนวเดินหน้าลุย (beat 'em up) ที่ใช้ตัวละครเป็น "กบ" เกมภาคแรกออกในปี 1991 บนเครื่อง NES/Famicom และได้รับความนิยมไม่น้อยในฝั่งอเมริกา แต่เกมซีรีส์นี้มีอายุสั้น คือออกภาคสุดท้ายในปี 1994 แล้วเงียบหายไปนาน 26 ปี ก่อนกลับมาอีกครั้งในปี 2020
Rare ประกาศข่าวรีเมค Battletoads ในปี 2018 โดยร่วมพัฒนากับสตูดิโอ Dlala Studios แต่ก็เงียบหายไปอีกพักใหญ่ จนกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในวันนี้
Battletoads เวอร์ชันปี 2020 ยังคงความเป็นเกม beat 'em up แนวการ์ตูนสีสันสดใสแบบดั้งเดิม ปรับกราฟิกให้ทันสมัยขึ้น และมีโหมด co-op แบบ local เล่นพร้อมกันในจอเดียวได้ 3 คน (ตามตัวละครหลักที่เป็นกบ 3 ตัว)
เกมจะออกขายบน Xbox One, Xbox Game Pass และพีซี Microsoft Store กับ Steam แต่ยังไม่ประกาศราคา
ที่มา - Xbox |
# [ลือ] NVIDIA เป็นเจ้าเดียวที่เจรจาซื้อ Arm อย่างจริงจัง, การพูดคุยมีความก้าวหน้า
ต่อเนื่องจากข่าวลือที่ NVIDIA สนใจซื้อ Arm จาก SoftBank ล่าสุด Bloomberg รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างอิงคนที่เกี่ยวข้องกับดีลนี้ว่า NVIDIA เป็นผู้สนใจรายเดียวที่มีการเจรจาจริงจังกับ SoftBank และการเจรจานี้มีความก้าวหน้า โดยทั้งสองฝ่ายคาดหวังว่าจะสามารถปิดดีลนี้ได้ในอีกไม่สัปดาห์ข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม Bloomberg ระบุว่ายังไม่มีการตกลงใด ๆ กันทั้งสิ้นและดีลนี้ยังคงสามารถล่มได้อยู่ทุกเมื่อ แต่หากสำเร็จจริง NVIDIA อาจถูกเพ่งเล่งและตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐอย่างหนัก เพราะจะมี conflict of interest กับลูกค้าหลายรายของ Arm ที่เป็นคู่แข่งกับ NVIDIA
ที่มา - Bloomberg |
# จีนเปิดใช้งานดาวเทียมนำทาง BeiDou ทั่วโลกเต็มรูปแบบ
จีนเปิดใช้งานระบบดาวเทียมนำทาง BeiDou ครบทั้งโลกเป็นทางการหลังจากยิงครบทั้งระบบที่วางแผนไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยสี จิ้นผิง เป็นผู้กล่าวเปิดที่หอประชุมใหญ่ของประชาชน (the Great Hall of the People in Beijing) ด้วยตัวเอง โดยก่อนหน้านี้ระบบอยู่ระหว่างการทดสอบขั้นสุดท้าย
ระบบดาวเทียม BeiDou นอกจากสามารถส่งข้อมูลเวลาเพื่อนำทางด้วยความแม่นยำสูงแล้ว ยังสามารถส่งข้อความไม่เกิน 1,200 ตัวอักษรจีน หรือส่งภาพให้แก่กัน
ที่มา - Japan Times |
# หรือ E3 ไม่ต้องจัดก็ได้? เมื่อผลตอบรับอีเวนท์เปิดตัวเกมออนไลน์ออกมาดีกว่างาน E3 ปีก่อน
E3 (Electronic Entertainment Expo) หนึ่งในงานเกมที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ ถูกตั้งคำถามจากอุตสาหกรรมเกมาสักพักถึงความจำเป็นของตัวงาน และการเข้าร่วมงานของผู้จัดจำหน่ายเกม เพื่อให้ได้พื้นที่สื่อหรือความสนใจจากผู้ชม นับตั้งแต่ค่ายเกมยักษ์ใหญ่หลายเจ้าทยอยถอนตัวไม่เข้าร่วมงานหรือออกบูธ ไล่ตั้งแต่ EA ที่ถอดตัวไปเลย, Activition ที่เคยเว้นช่วงไปและ Sony ที่ไม่เข้าร่วมตั้งแต่ปี 2018
ขณะที่สถานการณ์ COVID-19 ปีนี้ที่ทำให้งานออฟไลน์ทุกอย่างถูกแคนเซิลและย้ายไปออนไลน์ทั้งหมด ยิ่งตอกย้ำความไม่จำเป็นของงานเกมอย่าง E3 เข้าไปอีกขั้น เมื่อตัวเลขจากการสำรวจต่างชี้ไปในทางเดียวกันว่า ค่ายเกมยักษ์ใหญ่แทบไม่จำเป็นต้องพึ่งงาน E3 ด้วยซ้ำ หลังผลตอบรับและจำนวนผู้ชมอีเวนท์ออนไลน์ปีนี้ดีกว่าหรือเยอะกว่างาน E3 ปีที่แล้ว
ภาพจาก E3
ตัวเลขที่ SuperData บริษัทวิเคราะห์ตัวเลขและตลาดเกมบอกว่าเปิดเผยออกมาพบว่า จำนวนผู้ชมที่ดูอีเวนท์ Ubisoft Forward 2020 บน Twitch อยู่ที่ราว 1.02 ล้านคน เทียบกับที่ Ubisoft ไปออกงาน E3 เองที่มีคนดูอยู่ที่ 0.75 ล้านคนเท่านั้น ส่วนงานเปิดตัว PlayStation 5 บน Twitch ก็มีคนดูที่ราว 1.51 ล้านคน สูงกว่า Xbox E3 2019 ที่มีคนดูราว 0.94 ล้านคน
ขณะที่จำนวนบทความที่สื่อพูดถึงเกมอย่าง Assassin's Creed: Valhalla หรือ Spider Man: Miles Morales ภายใน 72 ชม. แรกจากการรวบรวมของ GameIndustry.biz ก็ยังสูงกว่าเกมระดับเดียวกันที่โชว์ในงาน E3 2019 อย่าง Star Wars: Jedi Fallen Order และ Elden Ring ด้วยซ้ำ ไม่เว้นแม้แต่เกมอินดี้ก็ออกมาในลักษณะเดียวกัน
นอกจากจำนวนบทความที่สื่อพูดถึงแล้ว จำนวนปฏิกริยาต่าง ๆ จากแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ว่า Facebook, Twitter, YouTube ของเกมที่โชว์ในปีนี้ ก็ล้วนสูงกว่าที่โชว์ในงาน E3 2019 หรือแม้แต่เกมเก่าที่เอามาทำใหม่อย่าง Crash Bandicooot 4 ที่เปิดตัวปีนี้ กลับมียอดวิวบน YouTube สูงกว่าภาคต่อของเกมอย่าง The Legend of Zelda: Breath of the Wild ที่เปิดตัวปีที่แล้วด้วยซ้ำ
SuperData และ GameIndustry เลยได้ข้อสรุปไปในทางเดียวกันว่า ความสำคัญของงาน E3 แทบไม่เหลือแล้ว โดยเฉพาะกับค่ายเกมใหญ่ ๆ ที่มีแฟรนไชส์เกมที่ดึงดูดคนได้ดีอยู่แล้ว แต่ SuperData ก็บอกว่าอาจเป็นข้อยกเว้นสำหรับค่ายเกมเล็ก ๆ หรือเกมอินดี้ ที่อาจจะยังต้องพึ่งงานอย่าง E3 เพื่อให้ได้พื้นที่สื่ออยู่
ที่มา - GameIndustry, SuperData |
# Google เพิ่มส่วนขยายใน Chrome ดูที่มาโฆษณาบนเว็บ หาสมดุลความเป็นส่วนตัวกับการสร้างรายได้จากโฆษณา
Google เปิดตัวส่วนขยาย Chrome คือ Ads Transparency Spotlight ดูรายละเอียดของผู้ลงโฆษณาตามเว็บไซต์ได้ดีขึ้นว่าเป็นใคร มาจากไหน
เมื่อติดตั้งส่วนขยายแล้วผู้ใช้งานจะสามารถมองเห็นข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโฆษณาบนหน้าเว็บ, ดูรายชื่อผู้ให้บริการโฆษณาที่รับผิดชอบ, มีบริษัทใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาชิ้นนี้ รวมถึงสาเหตุที่โฆษณาปรากฏบนเว็บ เป็นต้น ส่วนขยาย Ads Transparency Spotlight เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ว
Google ระบุด้วยว่าฟีเจอร์นี้จะนำไปใช้กับโฆษณาที่ถูกซื้อผ่านทาง Google Ads และ Display & Video 360 และฟีเจอร์เพิ่มเติมเหล่านี้จะทยอยเปิดให้บริการในโฆษณารูปแบบอื่นๆ ภายในปี 2021
Google เพิ่มช่องทางให้ผู้ใช้งานได้รู้ว่าทำไมโฆษณานั้นๆ จึงปรากฏมาให้เห็นหรือ About this ad เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่วน Facebook ก็แสดงที่มาของโฆษณาบนแพลตฟอร์มโดยเฉพาะโฆษณาการเมืองมาตั้งแต่ปี 2018
แนวทางเบราว์เซอร์หลายตัวเริ่มเลิกสนับสนุนการใช้งานคุกกี้ของผู้พัฒนาอื่น (third party cookie) มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ลงโฆษณาไม่สามารถลงโฆษณาอย่างเจาะจง เช่น การตามหาคนที่เคยค้นสินค้าบางประเภทบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ช แม้กูเกิลจะตอบรับแนวทางนี้แต่ก็ยืดระยะเวลาเลิกสนับสนุนออกไป พร้อมกับเสนอแนวทาง Privacy Sandbox เพื่อช่วยให้ผู้ลงโฆษณายังเจาะจงเป้าหมายได้บางส่วนอยู่
ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์ |
# Jeff Bezos ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก ว่า Amazon ไม่เคยใช้ข้อมูลคนขายในทางที่ผิด
ในการไต่สวนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ประเด็นผูกขาด ซึ่งมีผู้บริหารจาก Facebook, Google, Amazon, Apple เข้าร่วมนั้น Amazon ถูกตั้งคำถามเรื่องการหาประโยชน์จากข้อมูลของคนขายในทางที่ผิดหรือไม่ เพราะ Amazon ที่เป็นเจ้าของมาร์เก็ตเพลสซึ่งควรจะเป็นแพลตฟอร์มกลางในการค้าขายออนไลน์ ก็มีผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยเช่นกัน ผลคือ Jeff Bezos ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าบริษัทไม่เคยละเมิดกฎ
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Wall Street Journal เผยแพร่รายงานสืบสวนว่า Amazon มีนโยบายที่ห้ามไม่ให้พนักงานดูข้อมูลจากผู้ขายรายบุคคล แต่กฎนี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัดเสมอไป แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าวกับ WSJ ว่าบางครั้งผู้จัดการจะขอให้นักวิเคราะห์ธุรกิจของ Amazon ทำรายงานจากข้อมูลดังกล่าวซึ่งตามกฎแล้ว เป็นข้อมูลที่แม้แต่พนักงานก็ไม่สามารถเข้าถึงได้
ระหว่างการไต่สวน Pramila Jayapal สมาชิกสภาคอนเกรสได้อ้างอิงรายงานจาก WSJ ถาม Jeff Bezos โดยตรง ซึ่ง Bezos ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ บอกเพียงว่า ไม่สามารถยืนยันได้ว่า Amazon ไม่เคยใช้ข้อมูลผู้ขายในทางที่ผิด บริษัทมีนโยบายต่อต้านการใช้ข้อมูลเฉพาะของผู้ขาย แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าไม่มีใครละเมิดกฎนั้น
ภาพจาก คลิปเต็มการไต่สวน
ที่มา - Engadget |
# YouTube ปิดบริการทำซับไตเติลโดยชุมชน หลังพบสแปมเยอะ
YouTube ประกาศปิดบริการสร้างคำบรรยายภาพ (ซับไตเติล) โดยชุมชน หลังจากพบว่ามีการใช้ยิงสแปมและละเมิด ประกอบกับการใช้งานยังค่อนข้างน้อย
หลังการปิดบริการสร้างซับไตเติลโดยชุมชนออกไป YouTube ยังคงเปิดให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างคำบรรยายวิดีโอด้วยตัวเอง, ปล่อยให้กูเกิลสร้างคำบรรยายอัตโนมัติ, หรือใช้เครื่องมือสร้างคำบรรยายโดยชุมชนจากภายนอก เช่น Amara
แม้จะปิดบริการแปลโดยชุมชนไป แต่วิดีโอบน YouTube ยังคงใช้ปัญญาประดิษฐ์แปลงเสียงเป็นข้อความบรรยายพร้อมบริการแปลภาษาอัตโนมัติเช่นเดิม น่าสนใจว่าหากมีการแปลผิดแบบเดียวกับกรณีของเฟซบุ๊กจะมีท่าทีอย่างไรจากกระทรวงดิจิทัลหรือไม่
ครีเอเตอร์ยังเปิดใช้คำบรรยายจากชุมชนได้ถึงวันที่ 28 กันยายนนี้
ที่มา - YouTube Support |
# EA ไตรมาส 2/2020 รายได้โต 21% แม้เกมใหม่น้อย จากปัจจัย COVID-19, ขายบน Steam
Electronic Arts หรือ EA แถลงผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2020 เป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัทเกม-ไอทีรายอื่นๆ ที่รายได้พุ่งจากปัจจัยคนอยู่บ้านเพราะ COVID-19
สิ่งที่น่าสนใจคือ EA มีเกมวางขายในไตรมาส 2/2020 เพียงสองเกมคือเกมเก่าอย่าง Command & Conquer Remastered กับ Burnout Paradise Remastered เท่านั้น อีกทั้งในไตรมาส 1/2020 ไม่มีเกมใหม่เลยแม้แต่เกมเดียว
ฐานเกมเดิมที่มีอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกมออนไลน์ที่ EA เรียกว่า Live Services และได้ปัจจัยบวกจากคนอยู่บ้าน ทำให้รายได้ก้อนนี้เติบโต 16% เป็น 1.1 พันล้านดอลลาร์
รายได้จากการขายเกมตัวเต็ม (full game) ได้ตัวช่วยจากนโยบายการขายเกมบน Steam เพิ่มเติมจาก Origin ช่วยให้รายได้ก้อนนี้เติบโตถึง 37% เป็น 359 ล้านดอลลาร์
บวกกันแล้ว รายได้รวมของ EA เพิ่มเป็น 1,459 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 21% จากปีก่อน แถมยังถือเป็นรายได้ประจำไตรมาส 2 ของปีที่เยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทด้วย (ปกติบริษัทเกมจะมีรายได้สูงที่สุดในไตรมาส 4 เพราะเป็นช่วงเทศกาลปลายปี)
Andrew Wilson ซีอีโอของ EA ยอมรับว่าไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทมีผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่มขึ้นหลายสิบล้านคน (tens of millions) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์พิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และบริษัทจะพยายามรักษาผู้เล่นกลุ่มนี้เอาไว้แม้สถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายในอนาคต
เกมเด่นของ EA ในไตรมาสที่ผ่านมาคือ
Apex Legends Season 5 ที่ระบุว่ามีอัตรา engagement สูงที่สุดนับตั้งแต่ Season 1
FIFA มีผู้เล่นเพิ่มขึ้น 100% จากปีก่อน, Madden NFL มีผู้เล่นเพิ่มขึ้น 140%
The Sims 4 มีผู้เล่นเพิ่มขึ้น 10 ล้านคน จนตัวเลขรวมคือ 30 ล้านคน
เกมมือถือ Star Wars: Galaxy of Heroes ที่เปิดตัวมาแล้ว 5 ปี มีคนเล่นเยอะเป็นประวัติการณ์ สร้างรายได้รวมกันเกิน 1 พันล้านดอลลาร์แล้วตลอดอายุขัยของเกม
ส่วนไตรมาส 3/2020 ถือเป็นไตรมาสสำคัญของปีเพราะ EA มีเกมกีฬาเปิดตัวหลายเกม ตั้งแต่ FIFA 21, Madden NFL 21, NHL 21, UFC 4 และ Star Wars: Squadrons
ที่มา - EA, GamesIndustry.biz, VentureBeat |
# แอปเปิลถูกตั้งคำถามเรื่องลบแอปคู่แข่งจาก App Store เป็นการกีดกันหรือไม่
ในการไต่สวนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่เรื่องผูกขาดโดยสภาคองเกรส แอปเปิลถูกตั้งคำถามเรื่องการลบแอปพลิเคชั่นจัดการเวลาบนหน้าจอซึ่งเป็นคู่แข่งออกจาก App Store หลังเปิดตัว iOS 12 ซึ่งมีฟีเจอร์คล้ายๆ กันนั้น ถือเป็นการพยายามกีดกันคู่แข่งหรือไม่
โดยหลังจากแอปเปิลเปิดตัวฟีเจอร์ Screen Time มีผู้ผลิตแอปพลิเคชั่นภายนอกพบว่าแอปของตัวเองถูกตรวจสอบโดยแอปเปิลมากขึ้น หรือในบางกรณีก็ถูกปฏิเสธไม่ให้อัพเดต หรือถูกลบออกจาก App Store ไปเลย
Tim Cook อธิบายเหตุผลต่อสภาว่า เป็นการลบเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน เพราะข้อมูลผู้ใช้อาจตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะแอปตัดการเวลาบนหน้าจอนั้นต้องใช้ข้อมูลเยอะ ทั้งการเข้าถึงกล้องถ่ายรูป อีเมล การอนุญาตเข้าถึงอุปกรณ์ในรูปแบบต่างๆ
ภาพจาก คลิปเต็มการไต่สวน
อย่างไรก็ตาม ที่สภาตั้งคำถามคือ ทำไมแอปเปิลถึงเพิ่งมาจัดการแอปภายนอกเหล่านั้นทั้งๆ ที่แอปเหล่านั้นเปิดใช้งานมานานแล้ว Cook ตอบประเด็นนี้ว่า กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว และช่วงนั้นแอปภายนอกเหล่านั้นใช้เทคโนโลยีที่อาจเป็นปัญหาคือ MDM มีความสามารถในการควบคุมการใช้งานหน้าจอ และอาจมีบุคคลที่สามเข้าถึงได้
อย่างไรก็ตาม การใช้ MDM ไม่ใช่เรื่องผิด มีการใช้งานในองค์กรทั่วไป จัดการควบคุมอุปกรณ์ในสำนักงาน ซึ่งเป็นเหตุผลด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ และการให้พ่อแม่จัดการการใช้งานมือถือของลูก ก็เป็นไปเพื่อไม่ให้เด็กๆ เสียสุขภาพจิต แต่แอปเปิลก็เลือกที่จะลบแอปภายนอกออกไปแทนที่จะเพิ่มทางเลือกในการแก้ปัญหาความข้อมูลส่วนตัวตกอยู่ในความเสี่ยง
ที่มา - TechCrunch |
# Google ใบ้ Pixel รุ่นใหม่บนเว็บ ใช้สีโลโก้ และ “Lorem ipsum” ซ่อนข้อความ เปิดตัว 3 สิงหาคมนี้
Google ปล่อยภาพยั่วน้ำลายมือถือ Pixel รุ่นใหม่ ที่คาดว่าจะเป็น Pixel 4a บนหน้าเว็บ Google Store แล้ว โดยมีรูปมือถือลายตารางเหมือนเป็นวัตถุโปร่งใสในแอปแต่งภาพ มีข้อความที่เหมือนถูกขีดทับด้วยสีเทา แต่เมื่อถูกคลิกจะเปลี่ยนสี หากคลิกให้สีเรียงกันได้ตรงกับสีโลโก้ของ Google (ฟ้า,แดง,เหลือง,ฟ้า,เขียว,แดง) จะเปิดเผยวันเปิดตัว คือ วันที่ 3 สิงหาคมนี้ออกมา
นอกจากนี้ในตัวข้อความ Lorem ipsum ที่โรงพิมพ์ หรือนักออกแบบมักใช้วางทดสอบสำหรับบทความที่ยังไม่มีเนื้อหาจริง คราวนี้ Google ซ่อนคำศัพท์เกี่ยวกับจุดขายของ Pixel รุ่นใหม่มาในนั้นด้วย เช่นคำว่า “ lowlightena capturum” ที่น่าจะหมายถึง “lowlight capture” หรือการถ่ายภาพในที่แสงน้อย คำว่า “bokehus” การถ่ายภาพแบบ bokeh, “megapixelum” กล้องทีมีจำนวนพิกเซลมากขึ้น และ “longlastingis batterum” ที่น่าจะหมายถึงแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานขึ้น
ที่มา - Google via 9to5Google |
# Atlassian ซื้อกิจการ Mindville ซอฟต์แวร์จัดการทรัพย์สินในองค์กร เสริมทัพ Jira
Atlassian บริษัทซอฟต์แวร์ด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ เจ้าของ Jira, Trello, Bitbucket ประกาศซื้อกิจการบริษัท Mindville ที่ทำระบบจัดการทรัพย์สินขององค์กร (asset management) ที่ขี่อยู่บนแพลตฟอร์ม Jira อีกทีหนึ่ง
ซอฟต์แวร์ของ Mindville ใช้จัดการทรัพย์สินทุกประเภทในองค์กร ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคคล รถยนต์ พาหนะ สิทธิบัตร ข้อมูล ฯลฯ ที่เดิมมักถูกแยกย้ายกันเก็บตามฝ่ายต่างๆ และมีวิธีเก็บข้อมูลแตกต่างกัน (เช่น ลงฐานข้อมูล ไฟล์) ซอฟต์แวร์ของ Mindville สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ที่เดียวกัน มีระบบ automation จัดการอัตโนมัติ และวิเคราะห์ข้อมูลให้เสร็จสรรพ
การที่ซอฟต์แวร์ของ Mindville อยู่บนระบบของ Jira อยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ Atlassian จะซื้อกิจการแล้วผนวกเข้ามาเป็นบริการของ Jira ซะเลย
ที่มา - Mindville, Atlassin TechCrunch |
# The Sims 4 ผู้เล่นเพิ่ม 10 ล้านคนในช่วงโควิด จำนวนผู้เล่นทั้งหมดแตะ 30 ล้านแล้ว
EA Games แถลงในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (Q2/2020) ว่าตอนนี้เกม The Sims 4 ที่เปิดตัวเมื่อปี 2014 มีผู้เล่นถึง 30 ล้านคนแล้ว หลังแถลงไว้ว่ามีผู้เล่นกว่า 20 ล้านคน เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แปลว่าในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มีผู้เล่นเพิ่มขึ้นกว่า 10 ล้านคน เป็นผลมาจากช่วงกักตัวอยู่บ้านจากการระบาดของโรคโควิด และเกมสร้างบ้าน พบปะผู้คน และจำลองการเข้าสังคม น่าจะเป็นอีกเกมที่ผู้เล่นเพลิดเพลินเป็นพิเศษ ในช่วงที่ไม่ได้ออกไปสังสรรในโลกจริง
นอกจากนี้ยังอาจเป็นผลที่เกมมาลงจำหน่ายบน Steam ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ได้ผู้เล่นหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยซื้อเกมในแอป Origin ของ EA โดย The Sims 4 ในช่วงหลัง จะเน้นการขายภาคเสริมเป็นพิเศษ โดยภาคหลักถูกจัดอยู่ในโปรโมชั่นลดราคาหลายครั้ง และยังเคยแจกฟรีอีกด้วย ส่วนภาคเสริมล่าสุดตัวที่ 9 ของภาคนี้ ชื่อ Eco Lifestyles เป็นอุปกรณ์ตกแต่งและสร้างบ้านในแนวรักษ์โลก และกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา
ที่มา - VentureBeat |
# Chrome บน Android จะสแกนนิ้วเพื่อใช้บัตรเครดิตได้แล้ว
หลังจากปล่อยทดสอบไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ล่าสุด Chrome บน Android สามารถใช้การยืนยันตัวตนแบบ Biometric เช่นการสแกนนิ้วมือ เพื่อใช้บัตรเครดิตบนเว็บไซต์ต่างๆได้แล้ว ไม่ต้องใส่เลข CVC อีกต่อไป
ในอัพเดทเดียวกัน Google ยังเพิ่มฟีเจอร์ Touch-to-fill อีกด้วย ผู้ใช้สามารถ Sign in เข้าเว็บไซต์ได้ง่าย เพียงแค่เลือกบัญชีที่ต้องการ ไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านเอง โดยจะใช้ข้อมูลที่บันทึกไว้ใน Chrome's password manager
ทั้งสองฟีเจอร์จะปล่อยให้ใช้งานบน Android ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนเวอร์ชั่น iOS ยังต้องรอติดตามต่อไป
ที่มา - Chromium Blog via Android Police |
# Alphabet บริษัทแม่ของ Google รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2020
Alphabet บริษัทแม่ของกูเกิล รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2020 รายได้ลดลง 2% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 38,297 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิลดลงเป็น 6,959 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่กูเกิลมีรายได้เทียบระหว่างปีลดลง นับตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามบริษัทได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้ตั้งแต่ไตรมาสที่แล้ว
Ruth Porat ซีเอฟโอของ Alphabet และกูเกิลกล่าวว่าผลกระทบหลักมาจากธุรกิจโฆษณา ขณะที่บริการ Google Cloud ตลอดจนรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ (ส่วนใหญ่คือฮาร์ดแวร์) ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทก็ต้องผ่านช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจยากลำบากนี้
ถึงแม้ภาพรวมธุรกิจโฆษณาของกูเกิลจะลดลง แต่เมื่อแยกเป็นรายผลิตภัณฑ์ รายได้จากโฆษณาบน YouTube ยังเพิ่มขึ้น 6% เป็น 3,812 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Google Cloud รายได้เพิ่มขึ้นถึง 76% เป็น 3,007 ล้านดอลลาร์
กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งรวมทั้งฮาร์ดแวร์, Play Store, รายได้สมัครใช้บริการ YouTube ก็เติบโตสูงเช่นกัน 26% เป็น 5,124 ล้านดอลลาร์ และธุรกิจใหม่ Other Bets รายได้ลดลงเล็กน้อยเป็น 148 ล้านดอลลาร์
ที่มา: Alphabet และ The Verge |
# Twitter เผยเบื้องหลังการแฮ็ก พนักงานถูกหลอกทางโทรศัพท์ เพื่อเข้าถึงเครื่องมือภายใน
Twitter เปิดเผยรายละเอียดของการถูกแฮ็กครั้งใหญ่เมื่อกลางเดือน ที่ก่อนหน้านี้เคยเปิดเผยว่าเกิดจากคนในถูกหลอก และคนร้ายเข้าถึงข้อมูลบัญชีกับข้อความ DM
ต้นเหตุมาจากแฮ็กเกอร์ต้องการเข้าถึงเครื่องมือภายใน (internal tools) ที่พนักงานใช้จัดการทวีต ซึ่งจำเป็นต้องเจาะเข้ามายังเครือข่ายภายในบริษัทก่อน และต้องใช้ล็อกอินของพนักงานเฉพาะบางคนที่มีสิทธิเข้าถึงเครื่องมือนี้ด้วย
แฮ็กเกอร์เริ่มจากการหลอกพนักงานบางคนด้วยวิธี phone spear phishing attack (ที่ไม่ระบุรายละเอียดชัดเจน แต่น่าจะหมายถึงการปลอมตัวโทรไปหลอกข้อมูลจากพนักงานโดยตรง) พนักงานชุดแรกที่โดนหลอกไม่มีใครมีสิทธิเข้าถึง internal tools แต่แฮ็กเกอร์ใช้ล็อกอินชุดแรกเข้าไปยังเครือข่ายภายใน และเรียนรู้กระบวนการความปลอดภัยของบริษัทได้
ขั้นถัดมา แฮ็กเกอร์จึงค้นหาพนักงานที่มีสิทธิเข้า internal tools เจอและตามไปหลอกเอาล็อกอินมาอีก เมื่อได้ของครบแล้วจึงเข้า internal tools ไปโพสต์ข้อมูลลงบัญชีดังๆ เพื่อหลอกให้โอนเงิน Bitcoin ตามที่เราเห็นกัน
การแฮ็กครั้งนี้มีบัญชีที่เป็นเป้าหมายทั้งหมด 130 บัญชี บัญชีที่โพสต์ข้อมูล 45 บัญชี, บัญชีที่โดนเข้าถึง DM 36 บัญชี และบัญชีที่ถูกดาวน์โหลดข้อมูลไป 7 บัญชี
Twitter อธิบายว่า internal tools มีไว้สำหรับงานซัพพอร์ตเป็นหลัก มีนโยบายเข้มงวดในการจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือนี้ แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นจุดอ่อนของกระบวนการเข้าถึง โดยเฉพาะการใช้จุดอ่อนที่ตัวมนุษย์เองโดยตรง หลังเหตุการณ์แฮ็กครั้งนี้ บริษัทจึงจำกัดการเข้าถึง internal tools กว่าเดิม และจะเพิ่มการตรวจสอบความปลอดภัยให้มากขึ้น
ที่มา - Twitter |
# คุยกับ Central JD Fintech ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันดอลฟิน ที่เป็นมากกว่าแค่การใช้จ่ายแบบไร้เงินสด
ปัจจุบันมีอีวอลเลทในไทยหลากหลายเจ้า ซึ่งต่างก็แข่งกันที่จำนวนร้านค้าที่รับชำระ และสิทธิพิเศษต่างๆ แต่คงมีเพียงไม่กี่รายที่มองไกลกว่านั้น และได้พัฒนาบริการให้เป็นมากกว่าแค่โซลูชันการชำระเงินแบบไร้เงินสด แต่ยังครอบคลุมบริการอื่นๆที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการเงิน
แอปดอลฟิน พัฒนาโดยบริษัท Central JD Fintech Holding ซึ่งเกิดจากความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและดิจิ-ไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย และเจดีดอทคอม (JD.com) บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีนและใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก และเจดี ดิจิทส์ (JD Digits) ผู้นำด้านเทคโนโลยี FinTech ระดับโลกของประเทศจีน
แอปดอลฟินได้เปิดตัวบริการ e-Wallet หรือกระเป๋าเงินออนไลน์เป็นบริการแรกเพื่อรองรับการชำระเงินบนช่องทางดิจิทัลสำหรับผู้บริโภคและร้านค้า โดยมีแนวคิดหลัก คือ การสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ทุกการใช้จ่ายกลายเป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘คิดให้ ใช้ฟิน’
Blognone สัมภาษณ์ คุณรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ประธานกรรมการผู้บริหาร Central JD Fintech Holding เจาะลึกที่มาที่ไปของแอปดอลฟิน และ Dolfin Culture ที่สะท้อนวิถีการทำงานร่วมกันในองค์กร รวมถึงคุณสมบัติของคนทำงานที่จะมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดอลฟินแห่งนี้
ภารกิจของดอลฟิน คือ การนำเอาเทคโนโลยีอันชาญฉลาด มาช่วยให้คนใช้ชีวิตง่ายขึ้น
คุณรุ่งเรือง เล่าให้ฟังว่าแอปดอลฟิน จะอยู่ก้ำกึ่ง ระหว่าง Internet Banking กับอีวอลเลท คือ เราไม่ได้เป็นธนาคารซะทีเดียว แต่ทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ให้บริการด้านการเงินผ่านระบบดิจิทัล ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงบริการต่างๆได้สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอยโดยไม่ใช้เงินสด การเข้าถึงสินเชื่อ บริการประกันออนไลน์ หรือแม้แต่การลงทุนซึ่งจะเป็นฟังก์ชั่นที่จะให้บริการในอนาคต เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาบริการด้านการเงินหลากหลาย
จุดเด่นของ Dolfin
สโลแกนของดอลฟิน คือ "คิดให้ ใช้ฟิน" สื่อถึง ฟังก์ชั่นต่างๆของแอป ที่เกิดจากการคิดวิเคราะห์บนพื้นฐานการใช้งานและความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ ความสะดวก และคุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การสแกนจ่ายด้วย QR Code โดยไม่ต้องสัมผัสเงินสด, ฟังก์ชั่น Share Bill ที่ทำให้การไปกินข้าวร่วมกันแล้วต้องหารกันเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น หรือฟังก์ชั่นการบันทึกค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นข้อมูลว่าเราใช้เงินอย่างไรบ้าง
คุณสมบัติดังกล่าวทำให้แอปดอลฟิน แตกต่างจากอีวอลเลทอื่นๆ เพราะเรามองว่า การจับจ่ายใช้สอย ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจ่ายเงินเท่านั้น แต่เราสามารถเพิ่มมูลค่าของเงินให้มากขึ้น และสร้างความคุ้มค่าในทุกๆการใช้จ่ายได้ และนั่นจะเป็นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้จ่ายผ่านดอลฟิน ทั้งในรูปแบบคูปองส่วนลด คูปองแทนเงินสด เงินโบนัส, คะแนน The 1 หรือโปรโมชั่นอื่นๆ สิ่งนี้ช่วยให้ทุกการจ่ายคุ้มค่ามากขึ้น
ปัจจุบันแอปดอลฟินรองรับการใช้จ่ายราว 4,000 จุด รวมช่องทางการรับชำระผ่านพร้อมเพย์แล้ว และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ถึง 20,000 จุด ภายในปี 2020 นอกจากนี้แอปดอลฟินยังเป็นระบบ Open Loop รองรับการใช้จ่ายทั้งร้านค้าในเครือและนอกเครือบริษัท ครอบคลุมร้านค้าที่ตอบโจทย์ครบทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งกิน เที่ยว ช้อป ดูหนัง
วัฒนธรรมองค์กร
บริษัท Central JD Fintech Holding ก่อตั้งเมื่อปี้ 2018 ตอนนี้เรามีพนักงานทั้งที่ออฟฟิศประเทศไทยและประเทศจีนรวมแล้วกว่า 200 คน เราเป็นองค์กรที่ไม่ใหญ่มากและมีโครงสร้างที่ค่อนข้าง Flat ทุกคนทำงานร่วมกันเสมือนครอบครัว
รูปแบบการทำงานที่นี่ไม่ได้มีการแบ่งฟังก์ชั่นที่ชัดเจน และนั่นทำให้แต่ละคนมีโอกาสได้ดึงความสามารถออกมาใช้ในบทบาทที่ตนเองถนัด ทุกคนมีทักษะ ความชอบที่หลายหลาย ที่นี่คุณจะได้นำมันมาใช้พัฒนาสิ่งใหม่ๆและขับเคลื่อนธุรกิจของเรา
เรามีความยืดหยุ่นในแง่บทบาทหน้าที่ ถ้ามีไอเดียอะไร ก็สามารถมานำเสนอ และหารือกันได้ตลอด เพราะเราทุกคนคือทีมเดียวกัน
ความท้าทายในการทำงานที่นี่เปลี่ยนไปทุกวัน เนื่องจากแอปดอลฟิน และตลาดอี-วอลเล็ทยังถือเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทยยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมาก ความสนุกอยู่ที่การได้ลับสมองและคิดหาวิธีรับมือแต่ละความท้าทายใหม่ๆที่เข้ามาในทุกๆวันได้อย่างไร คนที่เข้ามาร่วมงานกันจะได้ใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาแน่นอน
ทำไมต้องเป็น Dolfin
ที่มาของ Dolfin คือ DOL มาจาก Dolphin ผสานกับคำว่า Fin ที่มาจาก Fintech ซึ่งหมายถึง เรา คือ ธุรกิจฟินเทคที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย ใช้ง่าย สนุก ทำให้ชีวิตดีขึ้น ช่วยให้คนตัดสินใจฉลาดขึ้น เหมือนคาแร็คเตอร์ของปลาโลมา ซึ่งเป็นคาแร็คเตอร์ที่สะท้อนอยู่ใน Branding ของเราภายใต้ Tagline คิดให้ ใช้ฟิน ทุกอย่างเราคิดมาแล้ว คุณแค่เอาไปใช้ให้ฟิน
คำว่า Dolfin ยังมีความหมายซ่อนอยู่ในแต่ละตัวอักษร ที่สะท้อนแนวคิดการทำงานของเรา คือ
D หรือ Data Driven คือ การนำ Data มาจัดการ และวิเคราะห์ให้มากที่สุด เพื่อใช้ประกอบการการวางแผนและตัดสินใจในทุกครั้ง
O หรือ Open Door Policy เปิดให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นและความสามารถ
L หรือ Leadership สนับสนุนให้ทุกคนในองค์กรมีความเป็นผู้นำ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้รับผิดชอบและบริหารจัดการส่วนงานที่ได้รับมอบหมาย
F หรือ Fresh&Fun สร้างบรรยากาศการทำงานที่สนุก ให้คนทำงานอย่างมี passion มีบริการอาหารว่างและเครื่องดื่มเพื่อเติมความสดชื่นให้ทุกคนตลอดวัน
I หรือ Integrity เนื่องจากธุรกิจของเราเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน ดังนั้น ความซื่อสัตย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งต่อตัวเอง ลูกค้าและต่อบริษัท
N คือ Never Give Up เนื่องจากผลิตภัณฑ์กระเป๋าเงินออนไลน์แบบดอลฟินเป็นของใหม่สำหรับตลาดในประเทศไทย ดังนั้นมันจึงไม่มีสูตรสำเร็จ หรือ Case Study ใดๆที่เราจะนำมาศึกษาหรือปรับใช้ได้ แต่เราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆระหว่างทางได้ และสุดท้าย เราเชื่อว่าความมุ่งมั่นตั้งใจจะนำพาเรากคนไปสู่ความสำเร็จแน่นอน
ต้องการคนแบบไหนมาร่วมงาน
คุณรุ่งเรือง กล่าวว่า ทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกัน เหมือนโลโก้เราที่มีหลากหลายสี สื่อให้เห็นว่าเรายอมรับและเคารพความแตกต่างของแต่ละคน เรามองหาคนที่อยากทำอะไรใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญเทคโนโลยีมาก แต่ขอให้มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้น มีความซื่อสัตย์ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อองค์กร ชอบความท้าทายและทดสอบความสามารถของตัวเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมปรับตัวและรับมือกับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ทุกคนมีความสามารถและความเก่งแตกต่างกันไปแต่ละด้าน มาร่วมกันแชร์ไอเดียและใช้ความสามารถของคุณพัฒนาชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น ช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าสู่บริการด้านการเงินที่ง่าย สะดวก และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นกันนะครับ
ดูตำแหน่งสมัครงานเพิ่มเติมที่ Blognone Jobs JD Fintech |
# Splinter Cell เตรียมสร้างเป็นแอนิเมชั่นลง Netflix โดยผู้เขียนบท John Wick
Tom Clancy’s Splinter Cell เกมแนวลอบเร้นจาก Ubisoft ที่อยู่ในจักรวาลของนักเขียนนิยายแนวทหารชื่อดัง เตรียมถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่บน Netflix โดยได้ Derek Kolstad ผู้เขียนบท John Wick มาเป็นผู้รังสรรเนื้อเรื่อง และผู้อำนวยการสร้าง โดย Netflix เซ็นสัญญาสร้างแล้วสองซีซั่น เป็นจำนวน 16 ตอน แต่ยังไม่มีกำหนดฉาย
Splinter Cell เป็นเนื้อเรื่องแซม ฟิชเชอร์ สายลับจากหน่วย Thrid Echelon หน่วยงานของ NSA ที่ปฏิบัติภารกิจลับรอบโลก ที่มาพร้อมแว่นมองกลางคืนสามตาอันเป็นเอกลักษณ์ และอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ มากมาย พร้อมเนื้อเรื่องแนวนิยายสงครามของ Tom Clancy ที่เต็มไปด้วยการหักมุม อาวุธทำลายล้าง และมีความสมจริงในด้านกลยุทธทางทหาร
Splinter Cell ภาคแรกวางจำหน่ายในปี 2002 ส่วนภาคล่าสุด Blacklist วางจำหน่ายในปี 2013 โดยยังไม่มีทีท่าว่า Ubisoft จะทำภาคต่อหรือไม่ แต่แซม ฟิชเชอร์ ก็เพิ่งมารับบทเป็นตัวละครรับเชิญ ในเกม Ghost Recon Wildlands ไปในปี 2018 จึงอาจยังมีความเป็นไปได้อยู่
ที่มา - comicbook.com |
# Amazon รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2020 ยอดขายโตถึง 40%
Amazon รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 88,912 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 5,243 ล้านดอลลาร์
ซีอีโอ Jeff Bezos กล่าวว่าเป็นอีกไตรมาสที่สถานการณ์ไม่ปกติสำหรับ Amazon โดยบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับโควิด-19 ทั้งการจัดการสภาพแวดล้อมคลังสินค้า ตลอดจนปรับปรุงการขนส่ง มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 175,000 ตำแหน่ง
AWS ไตรมาสนี้รายได้โต 29% เป็น 10,808 ล้านดอลลาร์ โดย Amazon บอกว่าได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงานเพื่อให้บริการราบรื่นในช่วงการระบาดของโควิด-19 เช่น องค์การอนามัยโลก, Zoom
ที่มา: Amazon |
# แม้แบรนด์บอยคอตร่วมพันราย Facebook ยังมองรายได้โฆษณาในแง่ดี
Facebook ไตรมาสสอง (เม.ย - มิ.ย.) ประจำปี 2020 มีรายได้จากโฆษณา 18,321 ล้านดอลลาร์ โตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 10% (16,624 ล้านดอลลาร์) ผู้ใช้งานรายวัน 1.79 พันล้านราย เพิ่มขึ้นปีต่อปี 12% ผู้ใช้งานแอคทีฟรายเดือน 2.7 พันล้านราย เพิ่มขึ้นปีต่อปี 12%
Facebook ไม่ได้ระบุรายได้โฆษณาช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่การบอยคอตเริ่มต้นขึ้น และขณะนี้มีแบรนด์เข้าร่วมไม่ลงโฆษณา Facebook นับพันรายแล้ว แต่ระบุว่า รายได้โฆษณาในช่วงสามสัปดาห์แรกของเดืนอ ก.ค. มีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับผลในไตรมาสสอง และคาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้โฆษณาไตรมาสต่อปีสำหรับไตรมาสที่สามจะใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในเดือนกรกฎาคมนี้
แม้แบรนด์ใหญ่หลายรายจะบอยคอตจากปัญหา Hate Speech และนโยบายการจัดการของ Facebook ที่สังคมมองว่าเป็นปัญหา แต่ธุรกิจขนาดกลางและเล็กยังคงใช้จ่ายโฆษณากับ Facebook เนื่องจากมีช่องทางประชาสัมพันธ์ไม่มาก โดยเฉพาะช่วงโรคระบาดที่ผู้บริโภคพึ่งพาช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้า
ภาพจาก Facebook Company Info
ที่มา - Facebook |
# Apple รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด รายได้รวมโต 11% เป็น 59,685 ล้านดอลลาร์
แอปเปิลรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุด ไตรมาสที่ 3 ปีการเงินบริษัท 2020 สิ้นสุดเดือนมิถุนายน รายได้ 59,685 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน กำไรสุทธิ 11,253 ล้านดอลลาร์ รายได้จากนอกอเมริกาคิดเป็น 60% ของรายได้รวม
รายได้ของแอปเปิลไตรมาสนี้มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจและทุกภูมิภาค ปัจจัยเนื่องจากมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงที่ผ่านมา และการที่คนต้องทำงานและเรียนอยู่ที่บ้าน โดยรายได้ Mac เพิ่มขึ้น 22% เป็น 7,079 ล้านดอลลาร์ ส่วน iPad เพิ่มขึ้น 31% เป็น 6,582 ล้านดอลลาร์
ข้อมูลเพิ่มเติมจากช่วงแถลงผลประกอบการมีดังนี้
รายได้ของ iPhone คิดเป็น 44% ของรายได้รวม เป็นอัตราส่วนต่ำที่สุดในรอบหลายปี
รายได้กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์สวมใส่เพิ่มขึ้น 17% เป็น 6,450 ล้านดอลลาร์
ธุรกิจบริการ (Services) ยังทำสถิติใหม่ เติบโต 15% เป็น 13,156 ล้านดอลลาร์
รายได้จากธุรกิจโฆษณาและ AppleCare ลดลง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของเศรษฐกิจ
ยอดขาย iPhone เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นในเดือนพฤษภาคม
ผู้ใช้ Apple Watch 70% เป็นลูกค้าใหม่ที่ซื้อเป็นครั้งแรก
iPhone รุ่นใหม่เลื่อนเปิดตัวช้าออกจากแผนเดิมกันยายน
สุดท้ายยังมีประเด็นสำหรับผู้ลงทุนในหุ้นแอปเปิล โดยแอปเปิลจะแตกหุ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม เป็น 4 หุ้นใหม่ (four-for-one) ปิดสมุดรายชื่อในวันที่ 24 สิงหาคม 2020 และเริ่มซื้อขายหุ้นใหม่ตั้งแต่ 31 สิงหาคม 2020
ที่มา: แอปเปิล และ MacRumors |
# Football Manager 21 ยืนยันออกปีนี้แน่นอน แต่ล่าช้ากว่ากำหนด
การแข่งขันฟุตบอลยุโรปที่ต้องเลื่อนกำหนดจากปัญหา COVID-19 ทำให้เกิดคำถามต่อ "เกมฟุตบอล" ที่ใช้ข้อมูลจากผู้เล่นจริงๆ อย่างซีรีส์ Football Manager ว่ากระทบด้วยหรือไม่
ล่าสุด Sports Interactive สตูดิโอที่พัฒนาเกมซีรีส์นี้ ออกมายืนยันแล้วว่าเราจะได้เห็น Football Manager ภาคใหม่ออกในปีนี้แน่นอน แต่จะมาช้ากว่าแผนการเดิมที่ตั้งเป้าไว้ (ปกติแล้ว Football Manager จะออกภาคใหม่ช่วงเดือนพฤศจิกายน)
Sports Interactive ให้เหตุผลของการเลื่อนว่าเกิดจากการปรับวิธีทำงานไปที่บ้าน ซึ่งมีความขลุกขลักสูงในช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้เข้าที่แล้ว และสถานการณ์ในโลกฟุตบอลเองที่ลีกของแต่ละประเทศมีนโยบายแตกต่างกันไป มีความไม่แน่นอนสูง
Sports Interactive ยังบอกว่าไม่มีผลกระทบเรื่องรายได้มากนัก และสามารถจ้างพนักงานเพิ่มได้ถึง 20 คนด้วยซ้ำในช่วง COVID-19
ที่มา - Football Manager |
# แอปเปิลยืนยัน iPhone 12 จะเปิดตัวช้ากว่าปกติเล็กน้อย อาจเป็นเดือนตุลาคม
Luca Maestri ซีเอฟโอของแอปเปิล ระบุในงานแถลงผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเมื่อคืนนี้ ว่าเราจะได้เห็น iPhone รุ่นใหม่ (ซึ่งก็น่าจะหนีไม่พ้น iPhone 12) เปิดตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็นประมาณ 2-3 สัปดาห์ (คำพูดต้นฉบับคือ few weeks later)
ปกติแล้ว แอปเปิลจัดงานเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในเดือนกันยายน แปลว่าเราจะได้เห็นกำหนดการนี้ขยับไปอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจข้ามไปอยู่ในเดือนตุลาคมแทน
แอปเปิลไม่ได้ให้เหตุผลของการเลื่อนเปิดตัว iPhone แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวว่าเป็นเพราะปัญหาซัพพลายเชนจากสถานการณ์ COVID-19
ที่มา - Bloomberg
ภาพงานเปิดตัว iPhone 11 จากแอปเปิล |
# พุทธิพงษ์ สงสัยทำไมระบบแปลอัตโนมัติแปลผิด ประกาศเตรียมดำเนินการอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่ช่อง Thai PBS ได้ถ่ายทอดสด พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2563 แต่มีข้อความส่วนหนึ่งถูกแปลผิดพลาด วันนี้พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลก็ออกมาแสดงท่าทีแสดงความไม่พอใจต่อคำชี้แจงของเฟซบุ๊กว่า "บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีของโลก เหตุใดถึงมีข้อผิดพลาดในการแปลแบบนี้ได้" พร้อมแสดงภาพมีข้อความ "มาตรการขั้นเด็ดขาด เตรียมดำเนินการเฟซบุ๊ก หากผิด พ.ร.บ. คอม!!!"
นอกจากประเด็นการแปลผิดแล้ว รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลยังระบุว่าเฟซบุ๊กทำลบข้อมูลตามคำสั่งศาลของไทยเพียง 20% ขณะที่ YouTube ของกูเกิลปิดหรือลบเกือบ 90%
หน้าเว็บของเฟซบุ๊กมีบริการแปลภาษาหากโพสไม่ตรงกับภาษาที่เราใช้งาน โดยผู้ใช้สามารถเลือกภาษาที่ไม่ต้องการให้แปลได้ เช่นตัวผมเองเลือกภาษาไทยและอังกฤษ เฟซบุ๊กก็จะไม่ให้ตัวเลือกแปลสองภาษานี้เลย นอกจากนี้เราสามารถกำหนดภาษาอื่นๆ ที่ไม่ต้องการให้เฟซบุ๊กแปลภาษาเหล่านั้นโดยอัตโมมัติ โดยเข้าเมนู Settings > Language and Region > แล้วดูตัวเลือก "Languages you don't want automatically translated" สำหรับการเลือกภาษาที่ไม่ต้องการให้เฟซบุ๊กแปลอัตโนมัติ
ระบบแปลอัตโนมัติของเฟซบุ๊กใช้ neural network มาตั้งแต่ปี 2017 แม้จะทำให้คุณภาพการแปลโดยรวมดีขึ้น แต่ก็ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมากในการพัฒนาคุณภาพการแปลโดยเฉพาะภาษาที่มีชุดข้อมูลไม่มากนักอย่างภาษาไทย ปีที่แล้วกูเกิลก็นำเสนองานวิจัยถึงการปรับปรุงคุณภาพการแปลในภาษาที่มีข้อมูลไม่มากนัก โดยชุดข้อมูลต่อสาธารณะในการแปลภาษาไทยเช่นของสถาบันวิจัยปัญญาประดิษฐ์ไทยนั้นมีข้อมูล 1 ล้านคู่ประโยค ขณะที่ชุดข้อมูลคู่ภาษาที่ได้รับความนิยมสูงๆ อย่างฝรั่งเศส-อังกฤษนั้น ในชุดข้อมูล WMT 2014 ชุดเดียวก็มีถึง 41 ล้านประโยค
ที่มา - @BeePunnakanta 2 |
# [แจ้งเตือน] แพตช์ GRUB2 ของ Red Hat ทำ RHEL 8.2 บูตไม่ขึ้น อย่าเพิ่งลงแพตช์
เมื่อวานนี้หลังทางบริษัท Eclypsium ได้เปิดเผยช่องโหว่ของ GRUB2 ออกมาผู้ผลิตระบบปฎิบัติการก็ออกแพตช์กันตามนัดหมาาย แต่ปรากฎว่าผู้ใช้ RHEL 8.2 จำนวนหนึ่งกลับพบว่าแพตช์ทำให้เครื่องบูตไม่ขึ้น
ผู้ใช้จำนวนหนึ่งระบุว่าทางออกคือปิด Secure Boot ไปก่อน สำหรับผู้ใช้บางส่วนระบุว่าต้อง downgrade แพ็กเกจ shim-x64 และ grub2
ระหว่างนี้ใครใช้ RHEL 8.2 ควรระวังการแพตช์แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง หากติดตั้งไปแล้วและพบปัญหาให้ติดต่อซัพพอร์ตของทาง Red Hat
ที่มา - Red Hat
ภาพกระบวนการตรวจสอบโค้ดก่อนบูตจาก Eclypsium |
# มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ชี้ เม็ดเงินโฆษณาไหลไปแพลตฟอร์มอื่นอย่างกูเกิลมากกว่า Facebook
วันนี้ (30 มิ.ย.) มีการประชุมสภาคองเกรส ไต่สวนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ประเด็นผูกขาด มีผู้บริหารเข้าร่วมประชุมผ่านออนไลน์คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กจาก Facebook, Jeff Bezos ซีอีโอ Amazon, Sundar Pichai ซีอีโอกูเกิล, Tim Cook ซีอีโอแอปเปิล
มาร์ก พูดถึงประเด็นผูกขาดในส่วนของ Facebook ว่า จริงๆ แล้ว Facebook ยังตามหลังคู่แข่งรายอื่นในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐคือ iMessage ไม่ใช่ Facebook, แอปพลิเคชั่นที่เติบโตเร็วที่สุดคือ TikTok แอปพลิเคชั่นยอดนิยมสำหรับวิดีโอคือ YouTube แพลตฟอร์มโฆษณาที่เติบโตเร็วที่สุดคือ Amazon และ แพลตฟอร์มโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดคือกูเกิล มาร์กยังพูดเปรียบเปรยด้วยว่า เม็ดเงินโฆษณาที่ใช้จ่ายในสหรัฐฯนั้นมีไม่ถึง 10 เซนต์ที่มาถึง Facebook
Facebook ถูกตั้งคำถามเรื่องลอกเลียนแบบฟีเจอร์ของบริษัทคู่แข่งด้วยเช่นกัน กรณีที่โด่งดังคือ ฟีเจอร์วิดีโอสั้นของ Snapchat ซึ่งมาร์กบอกว่าเป็นการนำมาปรับใช้ ส่วนประเด็นการเข้าซื้อ Instagram ก็มีการตั้งคำถามจากสมาชิกสภาว่าเป็นการเข้าซื้อเพื่อจะได้ไม่เข้ามาเป็นคู่แข่งในอนาคตหรือไม่ และในระหว่างการเข้าซื้อ Facebook ได้แสดงท่าทีข่มขู่จะลอกเลียนแบบฟีเจอร์ของ Instagram หรือไม่ ซึ่งมาร์กบอกว่าไม่ได้มองว่าการสนทนาในอดีตนั้นเป็นการข่มขู่แต่อย่างใด
ด้านบริษัทอื่นก็โดนกดดันด้วยประเด็นแตกต่างกันไป อย่าง Amazon ก็โดนตั้งคำถามเรื่องการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของตัวเองขายบนมาร์เกตเพลสที่ควรจะเป็นตัวกลาง ซึ่ง Jeff Bezos ก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ตรงๆ
ด้านกูเกิลโดนตั้งคำถามเรื่องแสดงผลการค้นหาที่ให้ประโยชน์ต่อผลิตภัณฑ์ของตัวเองหรือไม่ และในกระบวนการนั้นมีการใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่นเช่น Yelp หรือไม่ รวมถึงผูกขาดช่องทางโฆษณาดิจิทัลหรือไม่
แอปเปิลถูกตั้งคำถามว่าลบแอปพลิเคชั่น parental control ของบริษัทอื่นๆ เช่น OurPact เพื่อเปิดตัวฟีเจอร์ของตัวเองคือ Screen Time หรือไม่ ซึ่ง Tim Cook ใช้เหตุผลเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่ง OurPact มีความเสี่ยงที่บุคคลอื่นจะเข้าถึงข้อมูลได้
ที่มา - Bloomberg, Business Insider, NPR |
# โปรแกรมแก้ไขไฟล์ Nano ออกเวอร์ชั่น 5.0 มี scrollbar แล้ว, รองรับ Markdown
คนใช้ลินุกซ์ในกลุ่ม Ubuntu น่าจะพบว่าเอกสารการใช้งานส่วนมากไม่ได้แนะนำให้แก้ไขไฟล์ด้วย vi เช่นเดียวกับลินุกซ์อื่นๆ แต่อาศัย nano ที่ใช้งานค่อนข้างง่ายกว่าแทน วันนี้ทางโครงการก็ออก GNU nano 5.0
ฟีเจอร์สำคัญคือผู้ใช้จะสามารถเปิดออปชั่น --indicator หากไฟล์ยาวเกินหน้าจอตัวโปรแกรมก็จะแสดง scrollbar ขึ้นด้านข้างแสดงว่าหน้าจอตอนนี้อยู่ตรงส่วนใดของไฟล์ นับเป็นฟีเจอร์พื้นฐานของโปรแกรมแก้ไขไฟล์แบบ GUI จำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ชุดใหญ่ เช่น รองรับ syntax ไฟล์ Markdown, bookmark (เรียกในโปรแกรมว่า tagged) ตำแหน่งไฟล์ไว้ได้, เพิ่มสีที่รองรับในระบบเป็นต้น
ที่มา - GNU nano
ภาพหน้าจอ GNU nano โดย Legiøń |
# dtac เร่งโฟกัส 4G ก่อน ส่วน 5G 26GHz ไตรมาสที่ 3 และ 700 MHz ไตรมาสที่ 4 ปีนี้
ในงาน dtac เล่าสู่กันฟัง เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร dtac เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ในช่วงปีที่ผ่านมาของ dtac ระบุ แม้ยอดผู้ใช้ลดลง แต่ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยว และแรงงานต่างชาติในไทยที่ลดลงเพราะโรค COVID-19 และยังยืนยันว่าตัวเลขผู้ใช้งานที่เป็น active-user และมีการใช้งานโทรศัพท์ต่อเนื่อง ไม่ลดลงมากนัก
นอกจากนี้ยังเปิดเผยเทรนด์การใช้งานว่าในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ผู้ใช้มือถืออาจยืดเวลาการเปลี่ยนมือถือไปถึง 36 เดือน และการใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือ เริ่มกระจายตัวออกไปนอกเขตธุรกิจ และนอกกรุงเทพมหานครฯ มากขึ้น เนื่องมาจากการทำงานจากบ้าน และการย้ายกลับต่างจังหวัดของพนักงานหรือลูกจ้างในกรุงเทพ ที่มีตำแหน่งงานน้อยลง โดยมียอดการใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือในต่างจังหวัดมากขึ้นถึง 5 เท่า และปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือ ช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน ปี 2563 สูงขึ้นถึง 44% จากปีที่แล้ว
dtac เตรียมโฟกัสที่การพัฒนาระบบโครงข่าย 4G เดิม โดยการพัฒนาโครงข่าย Massive MIMO และเร่งขยายเสาสัญญาณ 4G แบบ TDD (Time Division Duplex) เป็นมากกว่า 20,000 เสาทั่วประเทศภายในปีนี้ และจะพัฒนาโครงข่าย 5G เป็นลำดับต่อไป โดยจะเปิดให้ใช้งานช่วงคลื่น 26GHz ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ (ล่าช้าจากกำหนดการเดิม ไตรมาสที่ 2 เนื่องจากการระบาดของ COVID-19) สำหรับใช้งานในโซนอุตสาหกรรม เช่น ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก่อนจะเริ่มเปิดให้ใช้งานคลื่น 700 MHz สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ส่วนในด้านคลื่น 2300 MHz ยังอยู่ในช่วงหารือกับ TOT และ กสทช.
ที่มา - งานแถลงข่าว “dtac เล่าสู่กันฟัง” |
Subsets and Splits
No saved queries yet
Save your SQL queries to embed, download, and access them later. Queries will appear here once saved.