txt
stringlengths
202
53.1k
# Start11 ขออาสาแก้ปัญหา สำหรับคนที่ขัดใจ Start Menu ของ Windows 11 ปรับแต่งไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงของ Windows 11 ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดย่อมหนีไม่พ้น Start Menu ที่ย้ายมาอยู่ตรงกลาง (ย้ายไปชิดขอบซ้ายได้) แต่ส่วนอื่นๆ ของ Start Menu และ Task Bar กลับปรับแต่งได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับ Windows 10 แถมยังถูกตัดฟีเจอร์ออกไปอีกพอสมควร (เช่น Live Tiles) ซึ่งผู้ใช้ Windows 10 จำนวนไม่น้อยย่อมขัดใจเมื่ออัพเกรดมาเป็น Windows 11 ไมโครซอฟท์ยังไม่ได้ออกมาพูดถึงแผนว่าจะปรับเปลี่ยน Start Menu อย่างไรในอนาคต ทางออกของเรื่องนี้อาจเป็นโปรแกรมปรับแต่งอย่าง Start11 ของบริษัท Stardock ที่สร้างชื่อมาตั้งแต่ Start8 ในยุค Windows 8 ที่มีปัญหาเรื่อง Start Menu/Screen เช่นกัน Stardock ออกมาประกาศล่วงหน้าแล้วว่า Start11 จะออกเวอร์ชันใหม่ในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ หลัง Windows 11 ออกอย่างเป็นทางการ 2 วัน ความสามารถของ Start11 ก็ครบถ้วน ผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของ Task Bar ได้อย่างอิสระ จะวางชิดขอบบนหรือขอบข้างก็ไม่มีปัญหา ส่วนตัว Start Menu ก็เลือกได้ทุกแบบตั้งแต่ย้อนไปใช้รุ่นคลาสสิคของ Windows 7, แบบมี Live Tiles ของ Windows 10 หรือจะเป็นแบบใหม่ของ Windows 11 แต่ปรับแต่งเพิ่มเองก็ได้อีกเหมือนกัน Start11 วางขายในราคาน่ารักที่ 4.99 ดอลลาร์ ที่มา - Stardock
# YouTube Music ให้ฟังเพลงบนแบคกราวด์ได้แล้ว สำหรับผู้ใช้งานฟรี เริ่มที่แคนาดาก่อน YouTube Music ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับผู้ใช้งานฟรี โดยเริ่มที่ผู้ใช้ในแคนาดาเป็นแห่งแรก นั่นคือการเล่นเพลงบนแบคกราวด์ตอนปิดหน้าจอแอป ซึ่งเดิมฟีเจอร์นี้จะใช้ได้เฉพาะผู้ใช้แบบเสียเงินเท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2021 เป็นต้นไป สำหรับผู้ใช้ YouTube Music ในประเทศอื่น YouTube บอกเพียงให้ติดตามต่อไป โดยจะเพิ่มประเทศที่รองรับฟีเจอร์นี้ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ YouTube Music เพราะทำให้แอปมีคุณสมบัติพื้นฐานในการฟังเพลงบนแบคกราวด์ เหมือนกับแอปฟังเพลงสตรีมมิ่งรายอื่น ที่มา: YouTube
# Apple Watch Series 7 เปิดให้สั่งจองในไทย ศุกร์ที่ 8 ตุลาคมนี้ จัดส่ง 15 ตุลาคม แอปเปิลประกาศวันวางขาย Apple Watch Series 7 แล้ว โดยเริ่มเปิดให้จองพร้อมกันมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย จะเปิดให้จองตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคมนี้ เวลา 19.00น. ประเทศไทย ผ่านช่องทาง apple.com/store และเริ่มวางขายวันที่ 15 ตุลาคม 2021 ราคาขายในไทยเริ่มต้นที่ 13,900 บาท แพงกว่า Apple Watch Series 6 อยู่ 500 บาท ขณะที่ราคาในอเมริกานั้นเท่าเดิม จึงน่าจะเป็นผลจากอัตราค่าเงิน Apple Watch Series 7 มีจุดขายที่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าคือหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 41 และ 45 มม. ขอบจอที่บางลง รวมทั้งระบบกันฝุ่น IP6X กันน้ำ WR50 และชาร์จได้เร็วขึ้น 33% ตัวเรือนแบบอะลูมิเนียมมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ เขียว น้ำเงิน (PRODUCT)RED สตาร์ไลท์ และมิดไนท์ ส่วนรุ่นตัวเรือนสแตนเลสสตีล มีสีเงิน กราไฟต์ และทอง และ Apple Watch Edition มีสีไทเทเนียม และไทเทเนียมดำ รวมทั้งรุ่นพิเศษ Apple Watch Nike กับ Apple Watch Hermès ที่มา: แอปเปิล
# อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์แฉ Facebook ส่งเสริมให้มี Hate Speech เพราะไม่อยากให้ Engagement ตก ดราม่าสดๆ ร้อนๆ จาก Facebook มาอีกแล้ว โดย Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ใน Facebook ทำงานมาได้สองปีและเพิ่งลาออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ออกมาแฉ Facebook ในรายการข่าว 60 Minutes เปิดเผยทั้งหน้าและชื่อ Haugen ระบุว่า Facebook รู้อยู่เต็มอกว่าแพลตฟอร์มสร้างปัญหาในสังคม ทั้งข้อความแสดงความเกลียดชัง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในเด็ก แต่ Facebook ไม่ยอมจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่ายอด Engagement จะหดตัว หรือเลือกผลประโยชน์มากกว่าความปลอดภัยในการใช้งาน เอกสารภายใน Facebook ฉบับหนึ่งที่ Haugen ปล่อยออกมาระบุว่า "เราประเมินว่าเราอาจดำเนินการเพียง 3-5% ของข้อความเกลียดชังและ 0.6% ของ V&I (Violence and Incitement หรือความรุนแรงและการยั่วยุ) แม้ว่ามันจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุดในโลกก็ตาม (despite being the best in the world at it) เอกสารอีกฉบับ มีถ้อยคำที่ตรงไปตรงมามากๆ อย่าง “เรามีหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ว่าคำพูดแสดงความเกลียดชัง คำพูดทางการเมืองที่แตกแยก และข้อมูลที่ไม่ถูกต้องบน Facebook และแอปอื่นในเครือมีผลกระทบต่อสังคมทั่วโลก" ภาพ Frances Haugen ออกมาแฉ Facebook ในรายการ 60 Minutes Haugen บอกว่าต้นตอของปัญหาเริ่มในปี 2018 ที่ Facebook เริ่มใช้อัลกอริทึมแบบใหม่ เริ่มที่จะควบคุมการมองเห็นเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม เพิ่มการมีส่วนร่วมหรือ Engagement ซึ่งบริษัทพบว่าการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดคือการปลูกฝังความกลัวและความเกลียดชังในกลุ่มผู้ใช้งาน Haugen กล่าวว่าเธอเริ่มตื่นตระหนกกับสิ่งที่เห็นใน Facebook พบว่าบริษัทให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเองเป็นอันดับแรก แทนที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของสาธารณชน เธอได้คัดลอกงานวิจัยภายในและส่งเอกสารหลายฉบับให้ The Wall Street Journal มาเผยแพร่ ส่วนหนึ่งในเอกสารเผยให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว Facebook รู้ดีทุกอย่างทั้งผลกระทบจาก Instagram ที่มีต่อสภาพจิตวัยรุ่น, ระบบ VIP ที่คนดังบางรายไม่ต้องเข้าระบบกลั่นกรองเนื้อหา เธอยังบอกด้วยว่าได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง SEC (ก.ล.ต. สหรัฐ) กล่าวหาว่า Facebook หลอกลวงนักลงทุน ให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับการกระทำภายในของบริษัท และยังได้ร่วมพูดคุยกับวุฒิสมาชิกสหรัฐหลายราย เพื่อหารือว่าในทางกฎหมายจะสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง ปัจจุบัน Facebook มีพนักงานกว่า 60,000 คน ด้วยขนาดองค์กรใหญ่ระดับนี้จึงทำให้มีเอกสารและเรื่องราวภายในเผยหลุดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ Facebook จะทำให้พนักงานกว่า 60,000 คนพึงพอใจกับบริษัททั้งหมด โดยเฉพาะกับบริษัทที่เต็มไปด้วยปัญหาอย่าง Facebook Haugen อายุ 37 ปี เป็นชาวไอโอวา จบปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่ Olin College และได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก Harvard เธอมีประสบการณ์ทำงานด้านอัลกอริทึมที่ Google, Pinterest และ Yelp จนมาร่วมงานกับ Facebook ในปี 2019 ดูแลส่วนงานด้านความถูกต้องของข้อมูล และการจารกรรมตามเว็บไซต์ จากการเผยตัวตนของ Haugen เพื่อแฉ Facebook ทางหน่วยงาน Whistleblower Aid ที่สนับสนุนการออกมาเรียกร้องประเด็นต่างๆ สร้างแคมเปญระดมทุนเพื่อสนับสนุนเธอผ่านเว็บไซต์ GoFundMe ด้วย ที่มา - The New York Times, The Verge, The Wall Street Journal
# หลุดภาพ Lenovo Legion Play เครื่องคอนโซลแบบพกพา เน้นเล่นเกมผ่านระบบคลาวด์ ผู้ใช้ TheSpearGuy ในเว็บบอร์ด GBATemp ค้นพบภาพอุปกรณ์เล่นเกมแบบพกพาจาก Lenovo หลังเสิร์ชคำว่า “Lenovo handheld” โดยภาพนั้นลิงก์กลับไปยังหน้าเว็บหลักของ Lenovo แต่กลับไม่มีข้อมูลอื่น เว็บไซต์ Liliputing ตามสืบข้อมูลต่อ พบว่าภาพนี้ถูกอัพโหลดบนเว็บไซต์ Lenovo ประเทศเยอรมณี และประเทศญี่ปุ่น ในส่วนของงาน Mobile World Congress 2021 ทำให้คาดเดาได้ว่า Lenovo อาจเคยเตรียมเปิดตัวเครื่องนี้ในงาน MWC 2021 ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่พับแผนนี้ไปโดยไม่ทราบสาเหตุ คำโปรยในเว็บไซต์เพิ่มเติมระบุว่าอุปกรณ์นี้มีชื่อว่า Lenovo Legion Play ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมแบบ AAA และเป็นคอนโซล Android เครื่องแรกสำหรับเน้นเล่นเกมบนคลาวด์ คำโปรยบอกว่าเครื่องใช้หน้าจอไร้ขอบ (แต่ในภาพมีขอบหนาพอๆ กับ Nintendo Switch) ความละเอียด FHD อัตราส่วน 16:9 รองรับ HDR10 มีลำโพงคู่ ไมค์และคอนโทรลเลอร์ในตัว มีรูหูฟัง 3.5 มม. มอเตอร์สั่นคู่ แบตเตอรี่ 7000mAh ชาร์จผ่าน USB-C แต่ไม่มีข้อมูลชิปเซ็ตหรือแรม ส่วนหน้าตาของ UI ที่มี Google Play Store รวมถึง YouTube, Google Drive และแอปอื่น ทำให้คาดเดาได้ว่าระบบปฏิบัติการหลักน่าจะเป็น Android เวอร์ชั่นปรับแต่ง และบนหน้าจอมีแอป GeForce Now แปลว่าระบบคลาวด์สำหรับเกม AAA ที่พูดถึง น่าจะอิงจาก GeForce Now เป็นหลัก เว็บไซต์ Android Authority สอบถามไปยัง Lenovo แล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบ คงต้องรอติดตามกันต่อว่าเครื่องเกมรุ่นนี้ถูกเลื่อนกำหนดเปิดตัวออกไปเฉยๆ หรือถูกพับไปโดยสิ้นเชิง แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว การขายเครื่องเล่นเกมระบบ Android ที่เน้นเล่นเกมบนคลาวด์ ในยุคที่เทคโนโลยีเล่นเกมผ่านคลาวด์ยังพัฒนาไม่ถึงขั้น อีกทั้งยังมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง Nintendo Switch และ Steam Deck น่าจะเป็นเรื่องที่ลำบากพอตัว ที่มา - Android Authority
# Huawei เปิดตัวแท็บเล็ตเด็ก MatePad T 8 Kids Edition วัสดุซิลิโคนนิ่ม มีปากกา 6,490 บาท Huawei เปิดตัวแท็บเล็ตสำหรับเด็ก MatePad T 8 Kids Edition สำหรับเด็กอายุ 3-8 ขวบ มาพร้อมเคสสีสันสดใส มีหูหิ้ว วัสดุเป็นซิลิโคนนุ่ม มีปากกาสไตลัสพร้อมสายคล้อง และฟีเจอร์ปรับสี-ลดแสงที่หน้าจอเพื่อถนอมสายตา ฝั่งซอฟต์แวร์มีโหมดสำหรับเด็ก Kids Corner ที่มีฟีเจอร์ต่างๆ ส่งเสริมการเรียนรู้ และแอพสำหรับเด็กจาก Azoomee และ BabyBus รวมถึงฟีเจอร์จัดการการใช้งานเครื่อง (parental control) ให้ผู้ปกครองกำหนดระยะเวลาหรือแอพที่ใช้งานได้ สเปกแบบคร่าวๆ คือหน้าจอ LCD 8 นิ้ว 1280 x 800, ซีพียู MediaTek MT8768, แรม 2GB, สตอเรจ 16GB + microSD, กล้องหลัง 5MP, กล้องหน้า 2MP, แบตเตอรี่ 5100 mAh, รอมเป็น EMUI 10 อยู่บนฐาน Android 10 สเปกละเอียดดูได้จาก เว็บไซต์ Huawei ราคาขายของ Huawei MatePad T 8 Kids Edition ในประเทศไทยอยู่ที่ 6,490 บาท ผู้ที่ซื้อในช่วงแรกก่อน 21 ตุลาคม จะได้ของแถมเป็นตุ๊กตา BabyBus Panda Doll และสมาชิก Azoomee/BabyBus เพิ่มเติมด้วย
# พอกันทีกับโจรเรียกค่าไถ่ ปัดเป่าคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ให้พ้นภัย Ransomware ด้วย Azure Defender มัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า Ransomware ได้พัฒนามาเป็นหนึ่งในอาวุธหลักของอาชญากรในโลกดิจิทัล ซึ่งเท่ากับว่าทุกองค์กรและธุรกิจ ไม่ว่าจะขนาดเท่าใดหรืออยู่ในอุตสาหกรรมไหน ไม่สามารถมองข้ามภัยร้ายนี้ไปได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาชญากรเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาพร้อมที่จะจู่โจมเป้าหมายแบบไม่เลือกหน้า ข้อมูลจากกรณีการจู่โจมด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ในระยะหลัง เผยว่าหน่วยงานและธุรกิจด้านสาธารณสุขยังคงตกเป็นเหยื่อของการโจมตีเป็นอันดับหนึ่งด้วยอัตราส่วน 15.6% แม้ว่าโลกของเราจะยังเผชิญกับภัยจากโควิด-19 อยู่ ตามมาด้วยวงการสื่อและบันเทิง การเงินการธนาคาร และพลังงาน ในอัตราส่วนเท่ากันที่ 12.5% และในเมื่อธุรกิจส่วนใหญ่ต่างต้องหันมาให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลกันมากขึ้น จึงเท่ากับว่าผู้ประสงค์ร้ายเหล่านี้มีช่องทางในการจู่โจมและหารายได้จากมัลแวร์เรียกค่าไถ่เพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา ransomware ได้วิวัฒนาการจากมัลแวร์ที่ร้ายแรงจนกลายเป็นธุรกิจนอกกฎหมายที่มีขนาดใหญ่ไม่แพ้องค์กรเป้าหมายบางราย ทั้งยังมีการจู่โจมที่ควบคุมและเลือกเป้าหมายโดยมนุษย์มากขึ้นเพื่อความแม่นยำ จนถึงขนาดที่มีกลุ่มอาชญากรเริ่มให้บริการ ransomware-as-a-service (RaaS) เพื่อแบ่งปันอาวุธกันไปสร้างรายได้จากองค์กรที่ตกเป็นเป้ากันแล้ว ปลอดภัยกว่าบนคลาวด์ไมโครซอฟท์ ด้วย Azure Defender ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาให้แพลตฟอร์มคลาวด์ระดับโลกอย่าง Azure มีศักยภาพด้านความปลอดภัยที่เท่าทันเทคนิคการจู่โจมด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่อย่างรอบด้าน โดยนอกจากบริการอย่าง Azure Multi-Factor Authentication (MFA), แอปพลิเคชัน Azure Active Directory Authenticator และการจดจำใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือ PIN ผ่าน Windows Hello ที่เป็นปราการด่านหน้า ลดโอกาสไม่ให้อาชญากรสามารถแฝงตัวเข้ามาในเครือข่ายเผื่อปล่อย ransomware ได้ง่ายๆ แล้ว ยังมีบริการด้านความปลอดภัยสำหรับคลาวด์โดยเฉพาะอย่าง Azure Defender ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลและบริการต่างๆ ให้พ้นจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่และภัยร้ายอื่นๆ มากมาย Azure Defender พร้อมเสมอที่จะเฝ้าระวังและส่งสัญญาณเตือนภัยเมื่อพบการจู่โจม พร้อมเสนอแนะแนวทางในการจัดการกับผู้บุกรุกและจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยสามารถปกป้องได้ทั้ง virtual machine, ฐานข้อมูล SQL, container ต่างๆ, เว็บแอป, อุปกรณ์ IoT และองค์ประกอบอื่นๆ ในเครือข่ายขององค์กรอย่างทั่วถึง รวมถึงกรณีของ hybrid workload ที่ผสมผสานคลาวด์เข้ากับระบบเซิร์ฟเวอร์แบบ on-premises หรือแม้แต่เซิร์ฟเวอร์ Linux และ Windows ที่ทำงานอยู่บนคลาวด์ของผู้ให้บริการรายอื่น นอกจากนี้ Azure Defender ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโซลูชั่น Microsoft Defender XDR จึงทำงานประสานกับโซลูชั่นด้านความปลอดภัยอื่นๆ ของไมโครซอฟท์ได้อย่างลงตัว โดยมี Microsoft 365 Defender รับบทบาทเป็นหน้าด่านที่คุ้มครองระบบหน้าบ้านอย่างตัวตนของผู้ใช้ อุปกรณ์ แอป อีเมล และเอกสารต่างๆ ส่วน Azure Sentinel ก็นำพลังจาก AI และ machine learning มาเสริมความมั่นใจให้กับองค์กร ด้วยการรวบรวมข้อมูลด้านความปลอดภัยจากทุกแหล่งมาวิเคราะห์หาสัญญาณอันตราย ตรวจพบภัยร้ายและช่องโหว่ที่อาจไม่เคยพบมาก่อน และช่วยตอบโต้การจู่โจมได้อย่างรวดเร็วผ่านระบบอัตโนมัติ ในด้านการใช้งาน Azure Defender ก็มอบความมั่นใจและสะดวกสบายด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของ Azure Security Center ศูนย์กลางหนึ่งเดียวด้านความปลอดภัยบนคลาวด์ของทั้งองค์กร ที่แสดงสถานะของทั้งเซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล เครือข่าย แอปพลิเคชัน และการใช้งานคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็น Azure หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ทั้งยังมีการประเมินคะแนนด้านความปลอดภัย (secure score) ขององค์กรในภาพรวมจากปัจจัยต่างๆ อีกด้วย อีกหนึ่งมาตรการด้านความปลอดภัยที่ไมโครซอฟท์เตรียมไว้จัดการกับมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ก็คือระบบสำรองข้อมูลบนคลาวด์ที่ตอบโจทย์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Azure Backup ที่สำรองข้อมูลจาก Azure Virtual Machine ทุกเครื่องในองค์กร หรือ Azure Disaster Recovery ที่ช่วยสำรองระบบให้แอปพลิเคชันและบริการขององค์กรยังทำงานต่อไปได้ แม้ในยามคับขัน นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังทำการสำรองข้อมูลใน Azure ไว้ในหลายจุด ทั้งภายในศูนย์ข้อมูลเดียวกันและในภูมิภาคอื่น โดยข้อมูลทั้งหมดจะได้รับการเข้ารหัสโดยสมบูรณ์ และยังปกป้องอีกชั้นด้วยมาตรการความปลอดภัยในแต่ละศูนย์ข้อมูลอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Azure Defender และแนวทางการรับมือกับการจู่โจมด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากอีบุ๊ค “Azure Defenses for Ransomware Attack” ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรี ที่นี่ หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ทางอีเมล [email protected]
# ผู้สร้าง Ethereum ระบุเห็นข้อเสียระบบ centralized เพราะโดน Blizzard ลดความเก่งตัวละครที่เล่นใน WoW Vitalik Buterin ผู้ร่วมให้กำเนิดเทคโนโลยีบล็อกเชนระบบ Ethereum ระบุไว้ในโปรไฟล์ของเขาใน about.me ว่าสาเหตุที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจระบบธุรกรรมแบบ decentralized เป็นเพราะ Blizzard เนิร์ฟ (ลดความเก่ง) ตัวละครอาชีพ Warlock ที่เขาเล่นบน World of Warcraft ในปี 2010 โดยการแก้ให้สกิล Siphon Life ไม่สร้างความเสียหายให้กับศัตรู (แต่ปัจจุบัน Siphon Life กลับมาสร้างความเสียหายแล้ว) Vitalik เล่าว่าในคืนที่อัพเดตนี้ออก เขาถึงกับนอนร้องไห้จนหลับไป และมองเห็นถึงความน่ากลัวของระบบ centralized หรือระบบที่มีตัวกลางควบคุม จนเลิกเล่น WoW แล้วไปทำงานเขียนเนื้อหาให้กับบล็อกชื่อ Bitcoin Weekly ได้ค่าแรง 1.5 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ก่อนจะร่วมก่อตั้ง Bitcoin Magazine และลาออกจากมหาวิทยาลัยมาทุ่มให้กับงานด้านคริปโต จนเห็นถึงความไม่เข้าท่าของระบบคริปโตในตอนนั้น และร่วมสร้าง Ethereum ขึ้นมา ปัจจุบันนอกจากค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมของ Ethereum หรือที่เรียกว่าค่า GAS จะแพงขึ้นมากจากช่วงเริ่มต้นแล้ว ตัวระบบก็กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักในด้านการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง โดยเฉพาะเมื่อมีกระแส NFT ที่หลายๆ คนมองว่าเป็นของเล่นของคนรวย ที่แค่ต้องการอะไรบางอย่างที่จะมาแสดงความเป็น “ของแท้” ของงานศิลปะที่ตัวเองมี แต่กลับต้องใช้พลังงานมหาศาลในการทำธุรกรรมเพื่อสร้างโทเค่นยืนยันความเป็นของแท้นั้น และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว แต่ Ethereum เองก็มีแผนยกเครื่องระบบใหม่เป็น Ethereum 2.0 มาตั้งแต่ปี 2017 โดยเปลี่ยนการใช้ระบบ proof of work ที่ต้องให้เครื่องในเครือข่ายแข่งกันแก้สมการของบล็อกเชนซึ่งกินพลังงานมาก มาเป็นระบบ proof of stake ที่ใช้การวางเงิน (staking) เพื่อเป็นการยืนยันการสร้างบล็อกใหม่ และกินพลังงานน้อยกว่าแทน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีกำหนดการแน่นอนว่าจะเริ่มใช้เมื่อไร ซึ่งก็ต้องติดตามต่อว่าจะเป็นอย่างไร ที่มา - PC Gamer
# เข้าสู่ยุค VS Code ผ่านเบราว์เซอร์ บริษัท Gitpod โอเพนซอร์สเซิร์ฟเวอร์ให้ทุกคนใช้งาน นอกจาก GitHub และ GitLab ที่คุ้นชื่อกัน ยังมีบริษัทที่ชื่อขึ้นต้นด้วย Git อีกรายคือ Gitpod เป็นสตาร์ตอัพหน้าใหม่จากเยอรมนีที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2020 สิ่งที่ Gitpod ทำคือการสร้าง developer environment บนคลาวด์ที่พร้อมให้นักพัฒนาเรียกใช้งานแบบรีโมทในทันที ไม่ต้องเสียเวลามาเซ็ตสภาพแวดล้อม ติดตั้งโมดูลซอฟต์แวร์ หรือรอสั่งคอมไพล์ ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ GitHub Codespaces ที่เปิดตัวในปีที่แล้วเช่นกัน บริการของ Gitpod มีทั้งการโฮสต์ dev environment บนคลาวด์ และเครื่องมือพัฒนาคือ VS Code/JetBrains IDE ผ่านเบราว์เซอร์ (เรียกง่ายๆ ว่าชนกับ GitHub Codespaces ทุกอย่าง) โดย Gitpod โฆษณาว่าระบบของตัวเองทำงานเร็วกว่า และราคาถูกกว่าของ GitHub มาก (ราคารุ่นมาตรฐานเหมาจ่ายที่ 25 ดอลลาร์ต่อเดือน ส่วน GitHub ต้องจ่ายตามปริมาณ VM) อีกทั้งเปิดชิ้นส่วนต่างๆ ของบริษัทออกมาเป็นโอเพนซอร์สด้วย ล่าสุด Gitpod โอเพนซอร์สระบบที่ใช้รัน VS Code ผ่านเบราว์เซอร์ออกมาในชื่อ OpenVSCode Server เพื่อให้คนที่สนใจสามารถรัน VS Code ผ่านเบราว์เซอร์เองโดยไม่ต้องผ่าน Gitpod Gitpod บอกว่าระบบเซิร์ฟเวอร์นี้สามารถรัน VS Code รุ่นมาตรฐานได้โดยไม่ต้องปรับแต่ง ไม่ต้องแพตช์ ช่วยลดภาระของการดูแลโค้ดลง โครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนจาก GitLab, VMware, SAP, SUSE และบริษัทอื่นๆ ที่สนใจมาใช้ระบบนี้ด้วย ในขณะที่โซลูชันของ GitHub Codespaces ยังเก็บไว้ใช้เอง ไม่ได้เปิดซอร์สโค้ดออกมา การเปิดซอร์สของ Gitpod จะช่วยสร้างมาตรฐานให้กับวงการ VS Code บนเบราว์เซอร์แทน ที่มา - Gitpod, The New Stack
# ไม่เจ๊งแล้ว New World เกมแรกของ Amazon ที่ประสบความสำเร็จ มีผู้เล่นพร้อมกันกว่า 9 แสนคน หลัง Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซ, ผู้ให้บริการคลาวด์ สมาร์ทโฮม และอีกหลายสิ่ง หันมาพัฒนาเกม และเปิดตัวเกมแรกบนเฟสบุ๊ก Living Classics ตั้งแต่ปี 2012 และเกมแรกบนพีซี Breakaway ในปี 2016 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก จนในปี 2019 ต้องปลดคนไปบางส่วน ส่วนเกม Crucible ที่เปิดในปี 2020 ก็ให้บริการแค่สองเดือนก่อนปิดตัวลงเพราะไม่เป็นที่นิยม แต่ดูเหมือนในที่สุด Amazon Games จะมีเกมที่ฮิตติดตลาดแล้ว เพราะยอดผู้เล่นพร้อมกันของเกม MMORPG ล่าสุดของบริษัทอย่าง New World พุ่งสูงสุดไปถึง 9 แสนคน เมื่อคืนที่ผ่านมา ตามสถิติของ Steamcharts และแซง CS:GO กับ DOTA2 ครองแชมป์ผู้เล่นพร้อมกันมากที่สุด แม้รีวิวบน Steam ยังอยู่ในระดับ Mixed แต่ก็ถือว่าเปิดตัวได้สวยงาม ปัญหาหลักในปัจจุบันเป็นเรื่องของเซิร์ฟเวอร์ เมื่อมีผู้เล่นมาก การรอคิวเข้าเล่นจึงใช้เวลานาน แถม Amazon Games ยังไม่เปิดเซิร์ฟเวอร์ SEA ให้ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เล่นกัน ทำให้เมื่อเข้าไปในหน้าสโตร์ของไทย จะพบแต่คำวิจารณ์ที่เรียกร้องให้เปิดเซิร์ฟเวอร์ SEA เต็มไปหมด คงต้องติดตามว่านอกจากทำเกมสนุกได้แล้ว Amazon Games จะสามารถจัดการชุมชนและรักษาฐานผู้เล่นไว้ได้ต่อเนื่องหรือไม่ ที่มา - PCGamer
# ผลทดสอบ Windows 11 ประสิทธิภาพเล่นเกมตกลง 25% เพราะฟีเจอร์ความปลอดภัย VBS เว็บไซต์ PCGamer ลองทดสอบการเล่นเกมบน Windows 11 แล้วพบว่าฟีเจอร์ความปลอดภัย Virtualization-Based Security (VBS) ส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกม ทำเฟรมเรตลดลงเฉลี่ยประมาณ 25% Virtualization-Based Security (VBS) เป็นชุดฟีเจอร์ความปลอดภัยที่อิงกับ hypervisor มีมาตั้งแต่ Windows 10 แต่ไม่ถูกเปิดใช้เป็นดีฟอลต์ (อยู่ในหมวด Device Security) หากอัพเกรดเครื่องจาก Windows 10 เป็น Windows 11 ก็จะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ถ้าเป็น Windows 11 ที่มาพร้อมเครื่อง OEM จะถูกเปิดเป็นดีฟอลต์ VBS เป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้ Windows 11 ซัพพอร์ตฮาร์ดแวร์เก่าๆ ไม่ได้ เพราะต้องใช้ซีพียูรุ่นที่รองรับด้วย (นอกเหนือจากเรื่อง TPM 2.0 ที่เป็นอีกกรณีแยกกัน เพราะ VBS สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมี TPM) จากการทดสอบของ PCGamer พบว่าเกมดังๆ หลายเกมได้รับผลกระทบจาก VBS เช่น Shadow of the Tomb Raider เฟรมเรตลด 28%, Horizon Zero Dawn ลด 25%, Metro Exodus ลด 24% ในขณะที่บางเกมอย่าง Far Cry New Dawn ลดเพียง 5% PCGamer ค้นหาสาเหตุของปัญหาประสิทธิภาพ พบว่าซีพียูและจีพียูยังทำงานได้ปกติ วิ่งที่สัญญาณนาฬิกาเท่าเดิม แต่กำลังไฟที่จ่ายให้ซีพียูและจีพียูลดลงแทน ซึ่งยังไม่ทราบชัดว่าเกิดจากอะไร PCGamer แนะนำว่าเกมเมอร์ควรปิดการใช้งาน VBS ซึ่งเกมเมอร์ส่วนใหญ่ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอยู่แล้ว แต่กรณีว่าซื้อเครื่องใหม่ที่ออกในช่วงนี้อาจต้องหาวิธีปิด VBS กันเอง ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าพีซีหรือโน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จะออกในช่วงนี้จะเปิด VBS มาให้ด้วยหรือไม่ ที่มา - PCGamer
# เน็ตที่ออฟฟิศช้าเกินไปหรือไม่? Cloudflare เปิดให้ต่อตรงจากตึกเข้าเครือข่าย CDN Cloudflare เปิดบริการใหม่ Cloudflare for Offices เป็นการเชื่อมเครือข่ายของ Cloudflare เข้าไปที่ตึกสำนักงานโดยตรง เพื่อให้บริษัทหรือหน่วยงานในตึกสำนักงานนั้นๆ ได้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกว่าใครๆ เพราะต่อตรงกับเครือข่าย CDN ของ Cloudflare ที่ครอบคลุมเว็บไซต์สำคัญๆ จำนวนมาก Cloudflare บอกว่าพัฒนาฮาร์ดแวร์แบบคัสตอมของตัวเองเพื่อวางไว้ที่ตึกสำนักงาน แล้วจับมือกับบริษัทไฟเบอร์ในแต่ละพื้นที่เพื่อเชื่อมสายเข้ากับระบบของ Cloudflare โดยตรง ข้อดีนอกจากเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่อตรง CDN แล้วยังได้บริการด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ การจัดการเครือข่ายทั้งหมดของ Cloudflare โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย แค่เสียบสายก็ได้ทุกอย่างอัตโนมัติ Cloudflare อธิบายว่าโมเดล Cloudflare for Offices ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาของระบบจัดการเครือข่ายยุคเก่า เช่น MPLS, WAN, VPN, Hardware Firewall ที่เกิดขึ้นต่างยุคสมัย และถูกใช้มาเรื่อยๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลง เกิดความซับซ้อนในแง่การจัดการขึ้นเรื่อยๆ จึงออกฮาร์ดแวร์ใหม่ตัวเดียวมาแทนระบบเดิมทั้งหมด ย้ายงานด้านการจัดการ-ความปลอดภัยไปอยู่ที่เครือข่ายของ Cloudflare แทนการรันที่ปากทางเข้าองค์กร เป้าหมายของ Cloudflare คือเชื่อมสายไปยังตึกสำนักงานใหญ่ๆ กว่า 1,000 แห่งทั่วโลก (ไม่บอกว่ามีประเทศไหนบ้าง) เบื้องต้นยังมีเฉพาะบางตึกในเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐ เช่น นิวยอร์ก ชิคาโก ซานฟรานซิสโก บอสตัน ที่มา - Cloudflare
# ผ่านมาสิบปี Dragon Quest X ออกเวอร์ชันออฟไลน์ ยังมีเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น แฟนๆ เกม Dragon Quest จำนวนไม่น้อยอาจไม่ได้เล่นเกมภาค 10 (DQX) ที่ออกในปี 2012 เพราะเป็นเกมออนไลน์แบบ MMORPG มีเฉพาะเวอร์ชันญี่ปุ่น แต่เวลาผ่านมาเกือบ 10 ปี ล่าสุด Square Enix ประกาศออก Dragon Quest X Offline โดยมีกำหนดออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ลงเครื่อง PS4, PS5, Switch, PC เบื้องต้นยังมีเฉพาะเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น และยังไม่มีข้อมูลว่าจะทำตลาดนอกญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ (ที่ผ่านมา DQX ไม่เคยทำตลาดนอกญี่ปุ่นเลย ยกเว้นเคยทำภาษาจีนบนพีซี แต่ก็เลิกทำไป) Dragon Quest X มีชื่อภาคว่า Rise of the Five Tribes เหตุการณ์เกิดในโลกชื่อ Astoltia ที่มี 5 ทวีป 5 เผ่าจาก 5 ธาตุคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดอกไม้ โดยตัวเอกจะต้องเดินทางไปทั้ง 5 ทวีป รวบรวมเพื่อนจาก 5 เผ่าเพื่อต่อสู้กับจอมมาร ตามข่าวบอกว่าเกมจะออกภาคเสริมทั้ง 2 ภาคคือ The Sleeping Hero และ The Guided Allies Offline ตามมาในรูปแบบ DLC ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ 2022 ที่มา - DQX Offiline, Eurogamer, Gematsu
# Valve ยกเลิก The International 2021 แบบออฟไลน์ เพราะโรมาเนีย Covid-19 กลับมาระบาด Valve ประกาศยกเลิกการจัดงาน The International 2021 (TI 10) แบบออฟไลน์ ที่เดิมทีจะจัดขึ้นที่ประเทศโรมาเนียในวันที่ 7-17 ตุลาคมนี้ ด้วยเหตุผลว่าสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศโรมาเนียกลับมาระบาดอีกครั้ง The International 2021 จะยังจัดต่อแบบตามกำหนดเดิมแบบออนไลน์ ส่วนตั๋วเข้างานจะคืนเงินให้เต็มจำนวน ปีที่แล้ว Valve ยกเลิกการจัดแข่ง TI 10 ไปเลยเพราะสถานการณ์ Covid-19 ทำให้เงินรางวัลก้อนมหาศาล 40 ล้านดอลลาร์ถูกยกข้ามมาเป็นเงินรางวัลของงานปี 2021 แทน ที่มา - Dota 2
# [ไม่ยืนยัน] Jeff Bezos เตรียมลงทุนใน Ula สตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซ B2B ของอินโดนีเซีย TechCrunch รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Jeff Bezos อดีตซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Amazon ได้ตกลงที่จะร่วมลงทุนใน Ula สตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซของอินโดนีเซีย ในการระดมทุนรอบใหม่ที่จะมีเงินลงทุนเพิ่มจากนักลงทุนทั้งหมดราว 80 ล้านดอลลาร์ Ula เป็นสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งเมื่อปีที่แล้ว ได้เงินทุนไปแล้วรวม 30 ล้านดอลลาร์ มีกองทุนดังร่วมลงทุนอาทิ B Capital Group, Sequoia Capital India, Lightspeed Venture Partners และ Quona Capital โดยเป็นอีคอมเมิร์ซเน้นการขายส่งสินค้าสำหรับผู้ประกอบรายย่อย (B2B) เพื่อช่วยบริการจัดการซัพพลายเชน สินค้าคงคลัง และเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รายงานระบุว่า Jeff Bezos จะลงทุนแบบส่วนตัว ผ่านบริษัท Bezos Expeditions ซึ่งลงทุนอยู่ทั้งใน Blue Origins และ Washington Post ที่มา: TechCrunch
# พาเที่ยวงาน Tokyo Game Show 2021 ที่จัดแบบออฟไลน์ กลับมาพบกันอีกครั้งกับนิทรรศเกมเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น Tokyo Game Show 2021 สำหรับปีนี้นั้นงานจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายนถึง 3 ตุลาคมที่ผ่านมาครับ โดยจัดออนไลน์เป็นหลักเช่นเดียวกับปีที่แล้ว งานในปีนี้นั้นมีบริษัทร่วมงานทั้งสิ้น 351 บริษัท ซึ่งลดลงเป็นอย่างมากจากปีก่อน ๆ (2019: 655 บริษัท, 2020: 351 บริษัท) ครับ ที่แตกต่างออกไปคือในปีนี้มีการจัดนิทรรศกาลแบบออฟไลน์ให้สำหรับสื่อมวลชนและ Influencer ด้วย ซึ่งผมก็มีโอกาสได้ไปร่วมงาน และเก็บบรรยากาศมาฝากกันเช่นเคยครับ คำเตือน: ภาพประกอบเยอะมาก เนื่องจากปีนี้ผู้ร่วมงาน (แบบออฟไลน์) นั้นจำกัดมาก ขนาดของงานจึงลดลงจากเดิมเป็นอย่างมากครับ ในปีก่อน ๆ นั้น งานจะใช้พื่นที่ทั้งหมดของของ Makuhari Messe รวม 2 อาคาร 10 ฮอล แต่ในปีนี้นั้นลดลงมาเหลือเพียง 2 ฮอล และเป็นส่วนจัดแสดงเพียงเกือบ ๆ 1 ฮอลเท่านั้นครับ บรรยากาศหน้างานนั้น ถ้าไม่บอกไม่รู้เลยว่าด้านในมีงานอยู่ บรรยากาศในงานโดยรวมเองก็ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากขาใหญ่อย่าง PlayStation หรือ Square Enix นั้นไม่มาร่วมออกบูท บรรยากาศหน้า Makuhari Messe ไม่บอกไม่รู้เลยว่าด้านในมีงานอยู่ Koei Tecmo เป้าหมายหลักของผมในงานคือไปทดลองเล่น Blue Reflection Tie ครับ ในส่วนของ Presentation นั้นค่อนข้างคล้ายกับภาคแรก แต่ระบบต่อสู้นั้นได้รับอิทธิพลมากจาก Atelier Ryza อย่างชัดเจน มีความ Dynamic มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ ที่สำคัญคือมี Photo Mode เพิ่มมาแล้ว ตัวเกมเวอร์ชั่นทดลองเล่นนั้น เปิดให้ดาวน์โหลดได้แล้วใน PlayStation Store ด้วยครับ ไม่ต้องถ่อไปถึงงานแบบผมก็เล่นได้ ฮา วันที่ผมไปนั้น Atelier Sophie 2 ยังไม่ประกาศ จึงไม่มีการพูดถึงในงาน แต่จากข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ รวมถึงมีสแตนด์ Atelier Sophie ภาคแรกวางอยู่ ก็พอจะเดาทางได้ครับ Konami โคนามิเป็นค่ายเดียวในปีนี้ที่ใช้บริการพริตตี้ครับ (ค่ายอื่น มี Mascot ประปราย) แต่เกมที่จัดแสดงนั้น โดยรวมค่อนข้างหน้าผิดหวัง ที่โดดเด่นที่สุดคือมีให้เล่น Power Pro Kun Pocket R กับพริตตี้ กับซีรีส์หากินของค่ายนี้ Yu-Gi-Oh! Master Duel ครับ Capcom หลัก ๆ ของ Capcom ในปีนี้คือ Monster Hunter Rise เวอร์ชั่น Steam และภาคเสริม Monster Hunter Rise Sunbreak ครับ ที่บูทมีตัวอย่างสินค้าที่ขายออนไลน์ และสุนัข Palamute ให้ถ่ายรูป นอกจากนี้ในงานมีให้ทดลองเล่น Monster Hunter Rise เวอร์ชั่น Steam แต่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าหลายวัน กว่าผมจะรู้ตัวก็ไม่ทันแล้ว พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดายครับ SEGA Atlus เป็นบูทที่ลึกลับที่สุดในงานครับ มีเกมให้ทดลองเล่น แต่ทุกอย่างปิดอยู่หลังกำแพงทึบ เกมที่นำมาแสดงในงานมีอยู่ 3 เกม คือ Lost Judgement, Shin Megami Tensei V, และ Demon Slayer -Kimetsu no Yaiba- The Hinokami Chronicles ครับ Lost Judgement นั้นวางจำหน่ายเรียบร้อยแล้วผมจึงไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ และ Demon Slayer นั้น อนุญาติให้เฉพาะสื่อสัญชาติญี่ปุ่นเข้าชมเท่านั้น ผมจึงได้ลองเล่นแค่ Shin Megami Tensei V อย่างเดียวครับ Shin Megami Tensei V ระบบโดยรวม ซับซ้อนกว่า Persona 5 แต่กราฟฟิค และ Presentation ค่อนข้างจืดชืดกว่าอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างวิ่งเล่นอยู่ใน Field เลเวลต่ำ ๆ ผมดันไปเจอศัตรูเลเวลสูง กดหนีพลาด Game Over โดยผู้พัฒนาบอกว่าผมซวยจริง โอกาสเจอต่ำมากครับ Vantan Game Academy อีกส่วนหนึ่งของ Tokyo Game Show ที่มักจะไม่ถูกพูดถึงสักเท่าไหร่ (เนื่องจากถูกกระแสจากบูทใหญ่ ๆ กลบ) คือบูทจากโรงเรียนเฉพาะทางด้านการทำเกมครับ แต่ด้วยขนาดของงานในปีนี้ ทำให้บูทนี้ถือว่าโดดเด่นขึ้นมาเลยทีเดียว ทางโรงเรียนมีการนำผลงานของนักเรียนมาให้ทดลองเล่น ซึ่งก็น่าสนใจทีเดียวครับ เกมจำลองการเป็น VTuber ช่วงชิงความเป็นหนี่งในวงการ โดยการไลฟ์โพสต์ท่าตามที่แฟน ๆ เรียกร้อง แล้วนำเงิน Superchat ที่ได้ ไป Sabotage ไลฟ์คู่แข่ง ไอเดียเด็ดมากครับ เกม VR จำลองการประกวดเพาะกาย เล่นแล้วรู้สึกว่าอะไรในอย่างบางตัวมันตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว เล่นเสร็จ ทีมงานบอกว่าผมได้คะแนนเยอะที่สุดในบรรดาคนที่มาลองเล่นทั้งหมดด้วย บูทอื่น ๆ ที่น่าสนใจ Little Nightmares 2 มีจัดการแสดงเล่นซ่อนแอบครับ เป็นบูทเดียวที่มีโชว์พิเศษเลย Earth Defense Force 6 มีตัวอย่างเกมมาให้ทดลองเล่น และมีหุ่นทหารมาให้ถ่ายรูปครับ Heaven Burns Red เป็นอีกเกมที่ผมสนใจเป็นการส่วนตัว เนื่องจากพัฒนาร่วมกับค่าย Key แต่ในงานมีเพียงแค่จอฉาย Trailers และใบปลิววางแจกเท่านั้นครับ Hypergryph เจ้าของเกม Arknights มาโปรโมทเกมใหม่ Ex Astris ครับ จัดบูทอลังการมาก มีมอเตอไซค์ (?) มาให้ถ่ายรูป และนั่งได้ด้วย แต่ยังไม่ค่อยมีรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับตัวเกมมากนัก Bandai Namco ที่ปกติต้องต่อคิวรอเล่นเกมเป็นชั่วโมง ปีนี้มี Staff และเครื่องทดสอบมากว่าแขกเสียอีก Ikea นำชุดเฟอนิเจอร์เกมมิ่งที่ออกแบบร่วมกับ ASUS ROG มาจัดแสดง รวมถึงมีเก้าอี้เกมมิ่ง (?) หลากหลายรูปแบบครับ รวม Goods จากเกม Apex Legends แฟน ๆ เห็นแล้วจะต้องกรีดร้อง ส่งท้าย งานในปีนี้ (ในส่วนออฟไลน์) นั้นค่อนข้างเงียบเหงาครับ ปกติผู้เขียนต้องใช้เวลา 1-2 วันในการสำรวจงานให้ครบ โดยเสียเวลากว่าครึ่งไปกับการต่อคิวเล่นเกม แต่ในปีนี้นั้น เดินไม่ถึงชั่วโมงก็ครบหมดแล้ว และข่าวประกาศต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ก็ย้ายไปอยู่ในส่วนออนไลน์หมด งานออฟไลน์จึงมีหน้าที่หลัก ๆ เพียงแค่ใน Influencer มาพบปะกับผู้พัฒนาเกม และลองเล่นเกมใหม่ ๆ ก่อนใครเท่านั้น สุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณ Blognone ที่ให้โอกาสผมได้เป็นตัวแทนไปร่วมงานนี้ครับ แล้วพบกันใหม่ปีหน้าครับ นี่คือส่วนจัดแสดงทั้งหมดของงานจริง ๆ ครับ
# ไมโครซอฟท์เผยมีคนใช้ Teams Phone โทรศัพท์ 80 ล้านคน เพิ่มฟีเจอร์โอนสายข้ามอุปกรณ์ เมื่อพูดถึง Microsoft Teams คนมักนึกถึงการแชทหรือการประชุมออนไลน์เป็นหลัก แต่อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงเช่นกันคือการโทรศัพท์ (voice call หรือชื่อทางการคือ Teams Phone) ซึ่งตัวเลขของไมโครซอฟท์ที่เผยมาล่าสุดคือ มีผู้ใช้ Teams ถึง 80 ล้านคนใช้งานฟีเจอร์โทรศัพท์หากัน (จากผู้ใช้ทั้งหมด 145 ล้านคน) Microsoft Teams รองรับทั้งการโทรแบบ VoIP และชุมสาย PSTN แบบดั้งเดิม ไมโครซอฟท์บอกว่าทิศทางชัดเจนว่า VoIP คืออนาคต แต่ PSTN ก็ยังมีคนใช้งานอยู่มากเช่นกัน แนวทางของ Teams คือมุ่งไปทาง VoIP เป็นหลัก แต่ก็ยังไม่ทิ้ง PSTN ไปซะทีเดียว ไมโครซอฟท์ยังประกาศฟีเจอร์ใหม่ให้ Teams Phone อีกหลายอย่าง ได้แก่ การย้ายสายระหว่างคุย (call transfer) ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ โดยสายไม่หลุด ตอนนี้แอพ Teams บนแพลตฟอร์มต่างๆ รองรับการย้ายสายแล้ว ระบบป้องกันสแปม ผู้ใช้จะได้รับคำเตือนก่อนรับสายว่าเป็นสแปมหรือไม่ รองรับการโทรศัพท์ผ่าน CarPlay ตามที่ประกาศไปแล้ว บันทึกเสียงและถอดเสียงอัตโนมัติ (transcription) จะใช้ได้ตอนสิ้นปี 2021 อุปกรณ์โทรศัพท์บนโต๊ะทำงาน (desktop phone) จะมีโหมด Walkie-Talkie เพิ่มเข้ามา กดแล้วพูดได้เลย (push-to-talk) ที่มา - Microsoft
# เตรียมรับมือชิปขาดตลาดอีกรอบ ราคาซิลิคอนพุ่งไม่หยุด หลังจีนพลังงานขาดแคลนจนต้องลดกำลังการผลิต ราคาซิลิคอนในตลาดโลกกำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพียงแค่เวลาสองเดือนตอนนี้ราคาซิลิคอนพุ่งขึ้นแล้ว 3 เท่าตัว และหากดูเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมาก็พุ่งขึ้นถึง 65.2% เนื่องจากโรงงานในจีนต้องลดการผลิตลง หลังจากเกิดเหตุพลังงานขาดแคลน ก่อนหน้านี้ปัญหาชิปขาดแคลนทั่วโลกเกิดจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สูงขึ้น และกำลังผลิตของโรงงานผลิตชิปไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ตอนนี้วัตถุดิบอย่างโลหะก็มาขาดตลาดไปด้วยเนื่องจากทางการจีนสั่งจำกัดการใช้ไฟฟ้า บางจังหวัดในจีนสั่งให้โรงงานถลุงแร่ต้องลดการผลิตลง 90% เพื่อควบคุมการใช้ไฟฟ้าให้เพียงพอ แนวทางนี้ทำให้โลหะหลายชนิดราคาพุ่งสูง ทั้ง อลูมิเนียม, ทองแดง, และซิลิคอนเอง ที่มา - Japan Times ภาพก้อนซิลิคอนบริสุทธิ์ โดย Enricoros
# รีวิว Xiaomi Pad 5 เล่นหนัก ทำงานสนุก กับแท็บเล็ต 11 นิ้ว จอ 120Hz ในราคาแค่หมื่นต้น ช่วงเรียนจากบ้าน หรือทำงานจากบ้านต่อเนื่องยาวๆ แบบนี้ หลายๆ คนอาจเบื่อกับการนั่งหลังขดหลังแข็ง จ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กทั้งวัน จนอาจอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ออกมานั่งเล่นบนโซฟา หรือนอกระเบียงบ้าง โดยที่ยังทำงานได้อยู่ รวมถึงผ่อนคลายช่วงหลังเลิกงาน กับหนังและซีรีส์ หรือเกมแบบเต็มตา Xiaomi Pad 5 เป็นอีกตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งหมดนี้ได้ โดยเป็นแท็บเล็ตแอนดรอยด์ขนาด 11 นิ้ว หน้าจอ IPS LCD ความละเอียด WQHD+ (2560 x 1600 พิกเซล) พร้อมรีเฟรชเรต 120Hz ลื่นไหล สบายตา ใช้งานกับ Xiaomi Smart Pen (ซื้อเพิ่ม) ตอบสนองได้ดีกว่าหน้าจอ 60Hz ทั่วไป กล้องหน้า 8MP และ กล้องหลัง 13MP ทำให้หายห่วงทั้งเรื่องประชุมงาน หรือถ่ายภาพเอกสารส่งอีเมล แบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 8720 mAH พร้อมที่ชาร์จ 22.5W ในกล่อง ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวๆ จนเหลือมาดูซีรีส์หรือหนังหลังทำงานได้แบบสบายๆ ทั้งหมดนี้ในราคาเริ่มต้น 10,990 บาท สเปก Xiaomi Pad 5 หน้าจอ IPS LCD ขนาด 11 นิ้ว WQHD+ รีเฟรชเรต 120Hz, รองรับ HDR10, Dolby Vision ลำโพง 4 ตัว รองรับ Dolby Atmos ซีพียู Qualcomm Snapdragon 860 แรม 6GB หน่วยความจำภายใน UFS 3.1 ความจุ 128GB, 256GB รองรับ Bluetooth 5, Wi-Fi 5GHz ไม่มีช่องใส่ microSD card ไม่มีช่องเสียบหูฟัง แบตเตอรี่ 8720 mAH พร้อมที่ชาร์จ 22.5W รัน Android 11 ครอบด้วย MIUI 12.5 สัมผัสแรก ตัวเครื่องดีไซน์แบบขอบจอบาง ขอบเครื่องเหลี่ยม มุมมน ด้านหน้าเป็นกระจก ด้านหลังเป็นอะลูมิเนียม ตัวเครื่องมีน้ำหนักพอสมควร แต่ยังถือสองมือใช้งานได้แบบสบายๆ ปากกา Xiaomi Smart Pen มีแม่เหล็กดูดติดกับด้านข้างตัวเครื่องได้ ลำโพงอยู่ด้านบนและล่างข้างละสองตัว ไม่มีรูหูฟัง มีพอร์ต Smart Connector เพื่อใช้งานคู่กับคีย์บอร์ดของ Xiaomi ได้ (ซื้อแยกเช่นกัน) การใช้งาน หน้าจอ Xiaomi Pad 5 เป็นแบบ LCD แม้สีดำจะไม่ดำสนิทเท่า AMOLED หรือ OLED แต่เรื่องความละเอียด WQHD+ หรือรีเฟรชเรต 120Hz ให้มาคุ้มราคาหมื่นต้น ทำงานได้ทั้งวันไม่เมื่อยตาเพราะมีโหมด Low Blue Light ช่วยลดแสงสีน้ำเงินด้วย หากทำงานประจำวันจนเสร็จแล้ว ยังสามารถใช้ดู Netflix ต่อได้แบบ FullHD โดยรองรับ HDR แบบ Dolby Vision เพราะด้วยโคเด็ค Widevine L1 ได้ภาพคม สีสด เรนจ์สีกว้าง ระบบเสียงเป็นลำโพง 4 ตัวให้เสียงดัง มีรายละเอียดดี เสริมกับ Dolby Atmos ในหนังและซีรีส์บางเรื่องของ Netflix ยิ่งช่วยให้เสียงมีมิติชัดเจนขึ้น การเล่นเกม ผู้เขียนทดสอบด้วยเกม Asphalt 9 ประสิทธิภาพ Snapdragon 860 แม้ไม่ใช้ชิปเรือธง แต่ก็มาพร้อมจีพียู Adreno 640 ที่เล่นเกมทั่วไปได้แบบสบายๆ แม้อาจบังคับลำบากนิดหน่อย แต่ก็เป็นปกติของการเล่นเกมบนแท็บเล็ตไซส์นี้ และสามารถต่อจอยบลูทูธสำหรับแอนดรอยด์ได้ด้วย ส่วนการใช้งานทั่วไป เช่น เล่นเว็บไซต์ ดู YouTube ดู Netflix ทำงานบน Google Suite หรือวิดีโอคอล ก็ไม่มีกระตุกหรือหน่วงให้พบเลยตลอดการทดสอบใช้งาน การโอนย้ายไฟล์ เปิดแอป ทำได้รวดเร็วเพราะใช้หน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.1 จุดที่ได้เปรียบแท็บเล็ตรุ่นอื่นในราคาหมื่นต้นอีกอย่างคือหน้าจอ 120Hz ที่ทำให้การอ่านบทความ เลื่อนหน้าเว็บ ตอบสนองลื่นไหลกว่าที่เคย เมื่อเชื่อมต่อกับ Xiaomi Smart Pen ผ่าน Bluetooth ก็สามารถวาดภาพในแอปเช่น Sketchbook ให้ความรู้สึกตอบสนองดีกว่าหน้าจอแบบ 60Hz ตัวปากกามาพร้อมแม่เหล็ก ชาร์จได้ในตัวเมื่อแปะติดด้านขวาของตัวเครื่องที่มีแถบชาร์จอยู่ หลายคนอาจสงสัยว่าหน้าจอเป็นแบบ 120Hz แบบไม่ Adaptive (แต่ปรับเป็น 60Hz ได้) แล้วแบตจะหมดไวหรือเปล่า ตรงจุดนี้หายห่วงได้ เพราะ Xiaomi ให้แบตมาขนาดใหญ่ถึง 8720 mAh และหลังผู้เขียนทดสอบ ถ่ายภาพ ดูยูทบ และ Netflix กับ Disney+ รวมถึงสแตนด์บายเครื่องไว้อีกหนึ่งวันเต็มๆ แบตเตอรี่ก็ยังเหลืออีกเพียบ ตามภาพด้านล่าง ตัวอย่างภาพถ่าย Xiaomi Pad 5 มาพร้อมกล้องหน้าและกล้องหลังอย่างละหนึ่งตัว กล้องหลังความละเอียด 13 MP, f/2.0 กล้องหน้า 8 MP, f/2.0 คุณภาพภาพถ่ายเพียงพอจะใช้ถ่ายภาพทั่วไป ถ่ายภาพเอกสาร หรือใช้สำหรับวิดีโอคอลเพราะประชุมงานได้แบบสบายๆ ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า สรุป Xiaomi Pad 5 มีให้เลือกด้วยกันสองสี คือสีเทา Cosmic Gray ในบทความนี้ และสีขาว Pearl White มีรุ่นความจุ 128GB และรุ่น 256GB ราคา 12,990 บาท ทั้งสองรุ่นให้แรมมา 6GB เท่ากัน ไม่รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ และไม่รองรับการใส่ microSD card เพิ่ม อาจต้องคิดไว้ล่วงหน้าว่าต้องการเก็บข้อมูลมากแค่ไหน ก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ละความจุมีราคาดังนี้ รุ่นแรม 6GB ความจุ 128GB ราคา 10,990 บาท รุ่นแรม 6GB ความจุ 256GB ราคา 12,990 บาท ปากกา Xiaomi Smart Pen ที่ต้องซื้อเพิ่ม หากซื้อพร้อมกับ Xiaomi Pad 5 ราคาอยู่ที่ 1,499 บาท หากซื้อแยกอยู่ที่ราคา 2,499 บาท โดยรวมแล้ว Xiaomi Pad 5 เป็นแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานจากบ้าน วิดีโอคอล การวาดภาพ จดโน้ต รวมไปถึงการเสพย์สื่อบันเทิงไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix รวมไปถึงการเล่นเกมก็ทำได้แบบลื่นไหล ไม่มีสะดุด หน้าจอที่ให้รีเฟรชเรต 120Hz ที่ส่วนมากจะหาได้จากแท็บเล็ตรุ่นโปร ก็ทำให้การวาดภาพ ท่องเว็บ และเล่นเกม ตอบสนองทันใจกว่ารุ่นอื่น แบตเตอรี่ที่ให้มาแบบเต็มที่ ช่วยให้ทำงานนอกสถานที่ได้แบบหายห่วง ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องหาที่ชาร์จ ทำให้จะเล่นหนักหรือทำงานสนุกเต็มที่แค่ไหน ก็หายห่วงทุกด้านแบบครบครัน
# Xbox เพิ่มฟีเจอร์คนพิการ ระบุว่าเกมไหนซัพพอร์ตบ้าง, ฟิลเตอร์ตาบอดสี ใช้กับเกมเก่าได้ ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทที่มีผลงานโดดเด่นด้านการเข้าถึงของคนพิการ (accessibility) ในช่วงหลังๆ โดยเฉพาะฝั่ง Xbox อย่าง คอนโทรลเลอร์ Xbox Adaptive Controller หรือ การทำ speech-to-text ในการคุยกันระหว่างเล่นเกม ล่าสุด Xbox ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ด้าน accessibility อีกชุดใหญ่ดังนี้ หน้า Microsoft Store ของ Xbox เพิ่มข้อมูล metadata ว่าเกมนี้รองรับฟีเจอร์สำหรับคนพิการด้านใดบ้าง (game accessibility feature tags) เพื่อให้ผู้เล่นรู้ก่อนตัดสินใจซื้อหรือดาวน์โหลดเกม ไมโครซอฟท์บอกว่ามีชุมชนที่สนใจเรื่องนี้ช่วยทดสอบและใส่แท็กให้เกมต่างๆ อย่างถูกต้องด้วย เพิ่มหน้า Accessibility spotlight รวมเกมที่มีฟีเจอร์เพื่อคนพิการครบถ้วน เพื่อให้ช่วยตัดสินใจเลือกเล่นเกมได้ง่ายขึ้น แยกฟิลเตอร์รายชื่อเกมตามฟีเจอร์ที่ต้องการได้ เช่น ด้านเสียง ด้านตาบอดสี ตัว Xbox OS เพิ่มฟีเจอร์ Quick Settings เพื่อให้เปิดหรือปิดฟีเจอร์คนพิการได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องออกจากเกม เหมาะสำหรับบ้านที่มีผู้เล่นหลายคน ใช้คอนโซลร่วมกัน Xbox Series X|S จะเพิ่ม Color Filters สำหรับคนตาบอดสี ใช้ได้กับเกมเก่าๆ ที่ไม่มีฟีเจอร์นี้มาให้ในตัวด้วย Night Mode Display ลดความสว่างของจอลง สำหรับการใช้งานในที่มืด หรือสำหรับคนที่มีปัญหาอ่อนไหวต่อแสง เกมของไมโครซอฟท์เองที่กำลังจะออกอย่าง Halo Infinite ก็มีฟีเจอร์ accessibility แบบจัดเต็ม ตั้งแต่การปรับขนาดฟอนต์ได้แทบทุกส่วน มีตัวช่วยนำทางเมนู ตัวเลือกปรับสีของศัตรูได้หลากหลาย ฟีเจอร์ด้าน text-to-speech และ speech-to-text เป็นต้น ช่วงหลังๆ มานี้ ประเด็นเรื่อง accessibility ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นมากในอุตสาหกรรมเกม บริษัทอื่นที่มีผลงานโดดเด่นเช่นกันได้แก่ EA ที่ใจกว้าง เปิดสิทธิบัตรด้านนี้ให้คนอื่นใช้งานได้ฟรี และ โซนี่ที่สร้างมาตรฐานไว้ดีเยี่ยมในเกม The Last of Us Part 2 ที่มา - Xbox
# แอพไวท์บอร์ดดิจิทัล Microsoft Whiteboard ปรับหน้าตาใหม่ เพิ่มฟีเจอร์วาดเส้น-รูปทรง ไมโครซอฟท์มีแอพชื่อ Microsoft Whiteboard ที่ใช้เขียนกระดานร่วมกันแชร์ไอเดีย มาตั้งแต่ปี 2016 โดยมีให้ใช้งานทั้งบน Windows, iOS, Android และเวอร์ชันเว็บ รวมถึงเป็นแอพย่อยภายใน Microsoft Teams ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศยกเครื่อง Microsoft Whiteboard ปรับหน้าตาใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์มาอีกหลายอย่าง เพิ่มเพมเพลตของไวท์บอร์ดอีกกว่า 40 แบบ เหมาะสำหรับงานหลากหลายประเภท เช่น ดีไซน์ วางแผนการทำงาน เวิร์คช็อป ไปจนถึงการเล่นเกมร่วมกันบนไวท์บอร์ด เพิ่มสีของ sticky note เป็น 12 สี สดใสขึ้น แยกแปะโน้ตเป็นหลายหมวดได้มากกว่าเดิม รองรับ note grids สำหรับการเรียงโน้ตให้เป็นระเบียบ reaction ฟีเจอร์สำหรับโซเชียลยุคปัจจุบัน เราสามารถกดไลค์ ใส่หัวใจ-หน้ายิ้ม ปรบมือ ให้กับไอเดียหรือโน้ตของเพื่อนๆ ได้ shape ใส่รูปร่างต่างๆ เพื่อเขียนโฟลว์ชาร์ทได้แล้ว ขยายขนาด หมุนเอียง ปรับสีได้, แทรกภาพลงในกระดานได้แล้ว, เปลี่ยนลายพื้นหลังได้ ฟีเจอร์ด้านการวาดเส้น เช่น วาดลูกศรแบบใส่หัวลูกศรให้อัตโนมัติ ลากเส้นแล้วเปลี่ยนเป็นเส้นตรง (straight line) ให้อัตโนมัติ, ลากเส้นแล้วเปลี่ยนเป็นวงกลม-สี่เหลี่ยมมุมฉากให้อัตโนมัติ ฟีเจอร์เหล่านี้จะเพิ่มให้แอพเวอร์ชันเว็บ, Teams, Android ก่อน ส่วนเวอร์ชัน Windows และ iOS จะตามมาในเดือนหน้า ที่มา - Microsoft
# Tesla รายงานตัวเลขการผลิตรถ ไตรมาส 3/2021 ยังคงเพิ่มขึ้น ท่ามกลางปัญหาชิปขาดแคลน Tesla รายงานตัวเลขการผลิตและส่งมอบรถยนต์ ของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ผลิตรถยนต์ได้รวม 237,823 คัน แบ่งเป็น Model 3 และ Model Y 228,882 คัน และเป็น Model S กับ Model X 8,941 คัน จำนวนส่งมอบรวม 241,300 โดยเป็น Model 3 กับ Model Y 232,025 คัน และเป็น Model S กับ Model X 9,275 คัน ประเด็นที่น่าสนใจคือแม้มีข่าวว่าปัญหาชิปขาดแคลนจะส่งผลต่อการผลิตรถยนต์ แต่ Tesla เคยบอกกับนักลงทุนว่าได้แก้ปัญหานี้ ด้วยการเปลี่ยนผู้ผลิตชิป และเขียนเฟิร์มแวร์ใหม่มารองรับ ทำให้จำนวนรถที่ผลิตและส่งมอบยังคงเพิ่มขึ้น ทั้งเมื่อเทียบปีกับไตรมาส 3 ปี 2020 และเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ที่มา: Tesla
# [ลือ] Apple พับแผน iPad Air จอ OLED ที่จะขายปีหน้า เนื่องจากปัญหาการผลิต Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ขาประจำที่รายงานข่าวสินค้าใหม่แอปเปิลมาโดยตลอด รายงานข้อมูลล่าสุดว่าแอปเปิลยกเลิกแผนเปิดตัว iPad Air รุ่นใหม่ หน้าจอ OLED ที่กำหนดไว้ในปีหน้าไปก่อน เนื่องจากมีปัญหาการควบคุมคุณภาพและต้นทุนในการผลิต Kuo ระบุว่า iPad Air ปีหน้าจะยังใช้หน้าจอ TFT-LCD แบบเดิมต่อไปก่อน ส่วน iPad รุ่นอื่นที่จะเปิดตัวปีหน้านั้น Kuo ยังให้ข้อมูลว่า iPad Pro จอ 11 นิ้ว จะเปลี่ยนมาใช้จอแบบ mini-LED กำหนดขายปีหน้า (ปัจจุบันมีเฉพาะจอ 12.9 นิ้ว) รวมทั้งแอปเปิลจะใช้ mini-LED กับสินค้าอื่นอย่าง MacBook Air ด้วย ที่มา: 9to5Mac
# ผู้ให้บริการคลาวด์ยักษ์ใหญ่ตั้งกลุ่ม Trusted Cloud Principles ปกป้องลูกค้าเมื่อภาครัฐขอข้อมูล กลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ 3 รายใหญ่คือ Amazon, Google, Microsoft พ่วงด้วยบริษัทไอทีองค์กรยักษ์ใหญ่ Cisco, IBM, SAP, Atlassian, Salesforce/Slack ประกาศตั้งกลุ่ม Trusted Cloud Principles กำหนดหลักการพื้นฐาน (principles) ที่ผู้ให้บริการคลาวด์พึงกระทำกรณีภาครัฐมาขอข้อมูลจากลูกค้าที่มาเช่าคลาวด์ หลักการมีทั้งหมด 5 ข้อดังนี้ ภาครัฐควรต้องขอข้อมูลจากลูกค้าเอกชนโดยตรง แทนการมาขอจากผู้ให้บริการคลาวด์ ลูกค้าควรต้องได้รับแจ้งเตือน (right to notice) หากหน่วยงานภาครัฐติดต่อมาขอข้อมูล ผู้ให้บริการคลาวด์ต้องมีกระบวนการอุทธรณ์การขอข้อมูลจากรัฐ เช่น แจ้งไปยังหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลในประเทศนั้นๆ ภาครัฐต้องมีวิธีแก้ปัญหากฎหมายแต่ละประเทศต่างกัน ซึ่งผู้ให้บริการคลาวด์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายในหลายประเทศ ภาครัฐต้องสนับสนุนการไหลเวียนของข้อมูลข้ามพรมแดน (cross-border data flows) เพื่อกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม การรวมกลุ่มของ Trusted Cloud Principles ชัดเจนว่ามีเป้าหมายเพื่อต้านทานแรงกดดันจากหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก ที่มาขอข้อมูลของลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นภาระของผู้ให้บริการคลาวด์ ที่มา - Trusted Cloud Principles, ZDNet
# Red Hat เปิดตัว Ansible Automation Platform 2 จัดชิ้นส่วนใหม่รองรับระบบขนาดใหญ่ Red Hat ประกาศอัพเกรด Ansible Automation Platform (APP) เป็นเวอร์ชั่น 2 โดยจัดรูปแบบเพ็กเกจใหม่ ตามแนวทางโครงการ Ansible ฝั่งโอนเพนซอรส์ที่แยกสคริปต์ต่างๆ ออกเป็นโครงการต่างหากออกจากตัวโครงการ Ansible ใน AAP ทาง Red Hat จะแยก Ansible Tower ออกเป็นสองส่วน คือ automation controller และ automation execution environments และสองส่วนนี้แยกกันรันคนละโหนดได้ ในเวอร์ชั่นต่อๆ ไปจะเพิ่ม automation mesh เพื่อรองรับการรันในเครื่องบน edge หรือบนคลาวด์ ตอนนี้ AAP 2 ยังอยู่ในสถานะ Early Access ให้ลูกค้าของ Red Hat เข้าไปโหลดมาทดสอบเตรียมย้ายระบบ และภายในปีนี้คาดว่าจะออก AAP 2.1 ในสถานะ GA ที่มา - Ansible
# ผู้กำกับ Starfield บอกสคริปต์มีบทสนทนา 150,000 บรรทัด มากกว่า Skyrim เกิน 2 เท่า Todd Howard ผู้บริหารของ Bethesda และผู้กำกับเกม Starfield ไปขึ้นเวทีงาน Tokyo Game Show 2021 โดยเปิดเผยว่าสคริปต์ของเกม Starfield มีบทสนทนาของตัวละครรวมกันมากกว่า 150,000 บรรทัด มากกว่า Skyrim ที่มี 60,000 บรรทัดเกินเท่าตัว (Howard เป็นผู้กำกับ Skyrim ด้วย) เกมของ Bethesda มีชื่อเสียงเรื่องบทสนทนาและเนื้อเรื่องอยู่แล้ว การที่ Starfield มีบทสนทนาที่หลากหลายมากขนาดนี้ย่อมทำให้แฟนๆ RPG หันมาสนใจเกมนี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม Kotaku สัมภาษณ์ Wyn Rush นักเขียนบทเกมอีกรายที่ให้ความเห็นว่าบทสนทนาเยอะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะบทยิ่งยาว เกมก็ยิ่งซับซ้อน ใช้เวลาและทรัพยากรของฝ่ายอื่นๆ มากขึ้นอีกมาก ทั้งฝ่ายจัดการเสียง วิศวกร แอนิเมเตอร์ คนออกแบบฉาก ควบคุมคุณภาพของเกมได้ยากขึ้น ส่วนนักพากย์ก็ต้องใช้เวลาบันทึกเสียงนานขึ้นด้วย ที่มา - PCGamer, Kotaku
# ผลสำรวจพีซีองค์กร 30 ล้านเครื่อง มี 55% อัพเกรดเป็น Windows 11 ไม่ได้เพราะสเปกไม่ผ่าน Lansweeper บริษัทซอฟต์แวร์จัดการเครื่องพีซีในองค์กร (IT Asset Management) สำรวจความพร้อมของพีซีองค์กรจำนวน 30 ล้านเครื่อง ที่ระบบของตัวเองมอนิเตอร์อยู่ พบว่ามีพีซีถึง 55% ที่สเปกไม่ผ่านความต้องการขั้นต่ำของ Windows 11 และไม่สามารถอัพเกรดได้ Lansweeper บอกว่าปัจจัยสำคัญมีอยู่ 3 เรื่องคือ ซีพียูต้องใช้ตามรุ่นที่กำหนด, แรมต้องอย่างน้อย 4GB และตัวปัญหาคือต้องมีชิป TPM 2.0 ด้วย จากสถิติของ Lansweeper ระบุว่ามีพีซีที่ซีพียูผ่านเกณฑ์ 44.4%, แรมผ่านเกณฑ์ 91.05%, และผ่านเกณฑ์ TPM 52.55% โดยกรณีของพีซีกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์ TPM นั้น สัดส่วน 19% คือไม่มีชิป TPM เลย ส่วนอีก 28% คือมีชิปแต่อาจเวอร์ชันไม่ถึง หรือไม่ได้เปิดใช้งาน Lansweeper บอกว่าจากสถิตินี้ทำให้การอัพเกรดพีซีองค์กรเป็น Windows 11 เป็นภาระที่หนักมากของแอดมินองค์กร เพราะมีทั้งเครื่องที่อัพเกรดได้และไม่ได้ ทำให้ต้องประเมินทรัพยากรไอทีขององค์กรกันอย่างละเอียดล่วงหน้า ที่มา - Lansweeper via ZDNet
# ด่าแล้วเปลี่ยนแปลง ซัมซุงเริ่มถอดโฆษณาจากแอพ Samsung Pay และ Samsung Health ซัมซุงเคยถูกวิจารณ์หนักว่ารอม One UI มีโฆษณาแทรก แม้ในมือถือรุ่นแพงๆ อย่าง S21 Ultra หรือ Z Fold 3 มิหนำซ้ำยังไม่มีวิธีปิดโฆษณาอีกด้วย แต่ล่าสุดมีผู้ใช้ในเกาหลีใต้พบว่าโฆษณาเหล่านี้เริ่มหายไปแล้ว โดยโฆษณาในแอพ Samsung Pay กับ Samsung Health หายไปแล้ว และบนแอพของซัมซุงตัวอื่นๆ ก็น่าจะตามไปในอีกไม่ช้า ซัมซุงไม่ได้แถลงใดๆ ในเรื่องนี้ และยังไม่ชัดเจนว่าโฆษณาในประเทศอื่นๆ จะหายไปด้วยหรือไม่ ที่มา - SamMobile
# สิ่งเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ Google Slides เปลี่ยนคำเรียกปุ่มนำเสนอจาก Present เป็น Slideshow Google Slides ประกาศการเปลี่ยนแปลงคำเรียกปุ่มนำเสนอสไลด์ จากเดิมใช้คำว่า Present มาเป็นคำว่า Slideshow เริ่มทยอยมีผลกับผู้ใช้งาน Google Workspace ทุกคนตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2021 เป็นต้นไป รวมไปถึง G Suite Basic และ G Suite Business ด้วย แต่ไม่ได้บอกว่ามีผลกับบัญชีกูเกิลทั่วไปหรือไม่ กูเกิลให้เหตุผลว่าการเปลี่ยนคำเรียกนี้ น่าจะช่วยให้ผู้ใช้งานไม่สับสน โดยเฉพาะเวลาแชร์หน้าจอใน Meet ซึ่งกูเกิลเพิ่มฟีเจอร์แชร์สไลด์ได้โดยตรงไม่ต้องสลับแอปไปมา อย่างไรก็ตามใน Meet นั้นคำเรียกปุ่มแชร์หน้าจอก็เป็นคำว่า Present เหมือนกัน กูเกิลจึงน่าจะแก้ไขคำเรียกนี้ใน Slides เพื่อลดความสับสนนั่นเอง ที่มา: กูเกิล ผ่าน Android Police
# Rivian สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายรถขนส่งสินค้าให้ Amazon เตรียมไอพีโอเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว Rivian Automotive, Inc.สตาร์ทอัพพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าได้ยื่นเอกสาร S-1 เพื่อเตรียมไอพีโอเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว Rivian เป็นสตาร์ทอัพพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานกว่า 8,000 คนในโรงงานทั้งแคลิฟอร์เนีย, มิชิแกน, อิลินอยส์ และสหราชอาณาจักร โดยรอบการระดมทุนล่าสุด มี Ford และ Climate Pledge Fund ของ Amazon ร่วมลงทุนด้วย Rivian พัฒนา R1 เป็นแพลตฟอร์มรถยนต์สำหรับลูกค้าทั่วไปแพลตฟอร์มแรกของบริษัท รถยนต์ที่ใช้แพลตฟอร์มนี้มีรถปิคอัพ R1T และรถเอสยูวี R1S โดยทั้งสองรุ่นมียอดพรีออร์เดอร์แล้ว 48,390 คัน ทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดา ส่วนภาคองค์กร Rivian มีลูกค้ารายใหญ่คือ Amazon ที่สั่งรถจาก Rivian ล็อตใหญ่กว่า 1 แสนคัน เพื่อนำเข้าใช้งานขนส่งสินค้าแทนรถยนต์น้ำมัน สำหรับข้อมูลการเงินของ Rivian ระบุว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 426 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 แต่ในช่วงหลังบริษัทมีผลขาดทุนมากขึ้นจากการสร้างโรงงานและเดินสายการผลิต โดยในครึ่งแรกของปีนี้ Rivian รายงานผลขาดทุนสุทธิ 994 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ขาดทุน 377 ล้านดอลลาร์ การไอพีโอครั้งนี้ Rivian จะออกหุ้นสามัญคลาส A และจะจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น Nasdaq โดยใช้สัญลักษณ์ซื้อขาย RIVN ที่มา - SEC, TechCrunch ภาพจาก Rivian ภาพจากข่าวเก่า
# McAfee Enterprise และ FireEye เตรียมควบรวมเป็นบริษัทเดียว หลัง STG ซื้อกิจการเสร็จสิ้น Symphony Technology Group หรือ STG ประกาศแผนควบรวมกิจการบริษัทที่ซื้อมา ได้แก่ McAfee Enterprise และ FireEye โดยจะรวมเป็นบริษัทใหม่แห่งเดียว และแต่งตั้ง Bryan Palma อดีตผู้บริหาร BlackBerry และ Cisco ขึ้นเป็นซีอีโอของบริษัทใหม่นี้ STG ซื้อส่วนธุรกิจ McAfee Enterprise ที่ขายลูกค้าองค์กรจาก McAfee เมื่อต้นปีที่ 4,000 ล้านดอลลาร์ และซื้อ FireEye ที่ 1,200 ล้านดอลลาร์ บริษัทบอกว่าการรวมสองกิจการนี้เข้าด้วยกัน จะทำให้บริษัทเป็นผู้นำตลาดความปลอดภัย สำหรับลูกค้าองค์กรที่มีอยู่มากกว่า 40,000 ราย และมีรายได้มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี คาดว่าการควบรวมจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ยังไม่มีข้อมูลว่าบริษัทใหม่ที่ควบรวมจะใช้ชื่อใด ทั้งนี้ดีลของ McAfee นั้น สิทธิของชื่อ McAfee ยังอยู่กับบริษัทเดิม (เปลี่ยนเน้นตลาดลูกค้าบุคคล) ส่วนกรณีของ FireEye เป็นการขายทั้งธุรกิจ และบริษัทเดิมเปลี่ยนชื่อเป็น Mandiant ตามผลิตภัณฑ์ที่ยังถือครองอยู่ อัพเดต 19 มกราคม 2022 บริษัทใหม่ใช้ชื่อว่า Trellix ที่มา: STG ผ่าน CRN
# Konami แถลงการณ์ขอโทษปัญหาคุณภาพเกม eFootball 2022 บอกจะปรับปรุง Konami ออกแถลงการณ์ขอโทษแฟนๆ เกม eFootball 2022 ที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพกราฟิก จนโดนรีวิวถล่มยับ Konami บอกว่ารับทราบปัญหาที่ผู้เล่นแจ้งเข้ามาในเรื่องต่างๆ เช่น คัทซีน, ใบหน้านักเตะ, การเคลื่อนที่ของนักเตะและลูกฟุตบอล บริษัทขอโทษและจะปรับปรุงปัญหาเหล่านี้ให้เร็วที่สุด โดยจะออกอัพเดตแรกภายในเดือนตุลาคมนี้ (ยังไม่ระบุช่วงเวลา) เกม eFootball ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของซีรีส์ PES เดิม โดยเปลี่ยนมาใช้เอนจิน Unreal แทน Fox Engine ของ Konami เอง จึงน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่กราฟิกยังไม่เข้าที่
# Sensor Tower ระบุ RoV ทำรายได้รวมทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัว มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์แล้ว บริษัทวิจัย Sensor Tower รายงานภาพรวมของตลาดเกมประเภท MOBA หรือ Multiplayer Online Battle Arena บนมือถือในปี 2021 ซึ่งถือเป็นหมวดเกมที่ทำเงินได้สูง แต่ก็มีน้อยเกมมากที่จะประสบความสำเร็จ โดยภาพรวมเกม MOBA ยังมีแนวโน้มเติบโต ทำเงินได้ถึง 300 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2020 ที่มีการล็อกดาวน์จากโควิด 19 ทำให้ตลาดเกมมือถือโตขึ้น เกมที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลโดยนับตั้งแต่เปิดตัวคือ Honor of Kings หรือ RoV ตามชื่อที่ทำการตลาดในประเทศไทย เกมเปิดตัวในปี 2015 ทำเงินผ่าน App Store และ Google Play รวมแล้วมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และยังมีแนวโน้มเติบโตสูง เฉพาะปี 2021 ถึงวันนี้ทำเงินไปมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับ 2 ของปีนี้คือ Brawl Stars ทำเงิน 320 ล้านดอลลาร์ ส่วนเกม MOBA เด่นในปีนี้อย่าง Pokémon Unite สถิติดาวน์โหลดสองวันแรก 15 ล้านครั้ง ถือเป็นจำนวนสูงสุดสำหรับเกมหมวดนี้ ซึ่งต้องดูต่อไปว่าในแง่รายได้จะมากน้อยแค่ไหน ที่มา: Sensor Tower
# Office 2021 เปิดตัวทางการ ราคาเท่าเดิม, เพิ่ม Teams, ปรับเป็น UI ใหม่สีพาสเทล ไมโครซอฟท์เปิดตัว Office 2021 อย่างเป็นทางการ พร้อมวางจำหน่าย 5 ตุลาคม 2021 (พร้อม Windows 11) โดยเวอร์ชันสำหรับผู้ใช้ตามบ้านแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย วางขายในราคาเดิมเท่ากับ Office รุ่นก่อนๆ คือ Office Home and Student 2021 ราคา 149.99 ดอลลาร์ ได้ Word, Excel, PowerPoint, OneNote, Teams Office Home and Business 2021 ราคา 249.99 ดอลลาร์ เพิ่ม Outlook และสิทธิการใช้งานเชิงธุรกิจ Microsoft Office แบบไลเซนส์ซื้อขาดในช่วงหลังๆ เป็นการรวมฟีเจอร์จาก Microsoft 365 เวอร์ชันจ่ายรายเดือนอีกที ของใหม่ใน Office 2021 เทียบจาก Office 2019 รุ่นเดิมคือ อินเทอร์เฟซใหม่สีพาสเทล ขอบโค้งรับดีไซน์ Windows 11 เพิ่ม Microsoft Teams เข้ามาในชุด ตามนโยบายผลักดัน Teams สุดตัว ฟีเจอร์การแก้ไขเอกสารร่วมกันแบบเรียลไทม์ จากเอนจิน Fluid Framework ฟีเจอร์เฉพาะแอพแต่ละตัว เช่น XLOOKUP ใน Excel, ฟีเจอร์บันทึกการนำเสนอใน PowerPoint เป็นวิดีโอ, ปรับปรุงการใช้ปากกา, รองรับฟอร์แมตเอกสาร ODF 1.3 เป็นต้น รายการฟีเจอร์ทั้งหมด ไมโครซอฟท์ยังบอกว่า Office 2013 ไม่ซัพพอร์ต Windows 11 แล้ว จึงแนะนำให้ผู้ใช้เตรียมอัพเกรดเป็น Office 2021 แบบซื้อขาด หรือจะเป็น Microsoft 365 แบบจ่ายรายเดือนก็ได้เช่นกัน ที่มา - Microsoft
# Google ยกเลิกโครงการ Plex ธนาคารออนไลน์บนมือถือแล้ว เมื่อปีที่แล้ว กูเกิลได้เปิดตัว Plex บัญชีเงินฝากที่ผู้ใช้งานสามารถเปิดบัญชีใหม่ได้ผ่านแอป Google Pay โดยเบื้องต้นร่วมมือกับธนาคาร Citi และ Stanford Federal Credit Union ซึ่งมีจุดเด่นคือการไม่มีค่าบริการ ค่าธรรมเนียม และยังขอออกบัตรเดบิตเพิ่มได้ด้วย แต่ล่าสุดโครงการนี้ได้พับไปแล้ว โดย The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวว่าหัวหน้าทีมใน Google Pay ที่ดูแลโครงการนี้ได้ลาออกจากกูเกิลแล้ว ส่งผลให้โครงการนี้ไม่มีความคืบหน้า กูเกิลจึงตัดสินใจยกเลิกการพัฒนา Plex นี้ ซึ่งกูเกิลก็ได้ยืนยันข่าวดังกล่าวว่าโครงการ Plex ยกเลิกจริง แต่ปฏิเสธจะให้ความเห็นประเด็นผู้บริหารลาออก กูเกิลบอกว่าจากนี้จะโฟกัสไปที่การให้บริการต่าง ๆ แบบดิจิทัล และเชื่อมต่อระบบกับสถาบันการเงินต่าง ๆ แทนที่กูเกิลจะเป็นธนาคารที่ให้บริการเอง ที่มา: CNBC
# Apple อัพเดต iOS 15.0.1 แก้ไขปัญหาปลดล็อกจอ iPhone 13 ด้วย Apple Watch แล้ว แอปเปิลออกอัพเดต iOS 15.0.1 และ iPadOS 15.0.1 ซึ่งเป็นอัพเดตย่อย ที่ออกมาหลังจาก iOS 15.0 เปิดให้อัพเดตกับผู้ใช้งานทุกคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในอัพเดตนี้แอปเปิลระบุว่าได้แก้ไขปัญหาหลายอย่างโดยที่ระบุถึงได้แก่ ปัญหาปลดล็อกหน้าจอด้วย Apple Watch ใน iPhone 13, ปัญหาคำเตือนพื้นที่หน่วยความจำเต็มหลังอัพเดต และปัญหาโหมด Audio meditations ทำงานเองใน Apple Watch ของผู้สมัครใช้ Fitness+ ผู้ใช้ iOS อัพเดตแบบ OTA ได้ โดยไปที่ Settings > General > Software Update ที่มา: 9to5Mac
# บริษัทบรอดแบนด์ในเกาหลีใต้ ฟ้อง Netflix ให้ช่วยจ่ายเงินต้นทุนบริการ เนื่องจากทราฟิกเพิ่มสูงขึ้นมาก SK Broadband ผู้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ในเกาหลีใต้ ได้ฟ้องร้อง Netflix เพื่อให้บริษัทช่วยจ่ายเงินต้นทุนทราฟิกอินเทอร์เน็ต และต้นทุนการดูแลรักษาที่เพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตสำหรับดู Netflix มากขึ้น โดยศาลกรุงโซลให้ความเห็นที่รับการฟ้องร้องนี้ ว่ามีเหตุผลพอที่ Netflix ควรจ่ายเงินให้บริษัทบรอดแบนด์ ข้อมูลจาก SK Broadband ระบุว่าซีรี่ส์ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นมาก รวมถึงเรื่องล่าสุดอย่าง Squid Game เป็นปัจจัยให้การชม Netflix ในประเทศเพิ่มสูงมาก จนตอนนี้เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ปริมาณทราฟิกสูงเป็นอันดับ 2 ในเกาหลีใต้ รองจาก YouTube เท่านั้น และมีเพียงสองบริการนี้ที่ยังไม่จ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการบรอดแบนด์ ขณะที่บริษัทอื่นอย่าง Amazon, Apple และ Facebook มีการจ่ายเงินให้ ปัจจุบันทราฟิกข้อมูลของ Netflix ที่ต้องรองรับคือ 1.2 ล้านล้านบิตต่อวินาที เพิ่มขึ้นมา 24 เท่า จากเดือนพฤษภาคม ปี 2018 ด้าน Netflix ชี้แจงว่าบริษัทกำลังตรวจสอบข้อเรียกร้องของทาง SK Broadband ขณะเดียวกันก็กำลังทำงานร่วมกันด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้า SK Broadband จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ที่มา: Channel News Asia
# Bandai Namco เปิดตัวโลโก้ใหม่ เปลี่ยนมาใช้สีม่วงบานเย็นแทนสีส้ม Bandai Namco ประกาศเปลี่ยนโลโก้ใหม่ จากของเดิมที่เป็นสีส้มและเขียนชื่อ Bandai Namco อยู่คนละบรรทัด มาใช้โลโก้ใหม่ที่เขียนอยู่บนบรรทัดเดียวกัน และใช้กรอบสีชมพูแทน โลโก้ใหม่จะถูกใช้ในเดือนเมษายน 2022 การเปลี่ยนโลโก้ครั้งนี้มาพร้อมสโลแกนใหม่ของบริษัท "Fun for All into the Future" ที่เกิดจากการสำรวจความเห็นพนักงาน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทั่วโลก มานิยามเป้าหมายของบริษัทว่าต้องการสร้างความสนุกและแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก Bandai Namco ระบุว่าโลโก้เดิมถูกสร้างขึ้นในช่วงการควบรวมระหว่าง Bandai และ Namco เมื่อปี 2015 แต่ตอนนี้ผ่านเฟสของการควบรวมเข้าสู่ยุคใหม่ มีภารกิจใหม่ จึงออกแบบโลโก้ใหม่ให้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงนี้ แนวคิดการออกแบบโลโก้คือเป็น "เครื่องหมายคำพูด" ที่สะท้อนการแสดงออกไอเดียของผู้คน และสะท้อนวัฒนธรรมการ์ตูนมังงะของญี่ปุ่นที่คนทั้งโลกชื่นชอบ ส่วนการเลือกสีม่วงบานเย็น ต้องการแสดงถึงความหลากหลาย สดใส สนุกสนาน ที่มา - Bandai Namco
# OYO สตาร์ทอัพโรงแรมราคาประหยัดเตรียมไอพีโอเข้าตลาดหุ้นอินเดียแล้ว OYO สตาร์ทอัพโรงแรมราคาประหยัดจากอินเดียยื่นเอกสารเตรียมไอพีโอเข้าตลาดหุ้นที่อินเดียแล้ว โดยคาดว่าจะระดมทุนกว่า 1.16 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการไอพีโอนี้ OYO จะออกขายหุ้นใหม่มูลค่ารวม 942 ล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือจะเป็นการขายหุ้นเดิม โดย SoftBank จะขายหุ้นมูลค่ากว่า 175 ล้านดอลลาร์ OYO เป็นสตาร์ทอัพเชิงท่องเที่ยว เน้นให้บริการจองห้องพักและโรงแรมราคาประหยัด โดยผู้ลงทุนรายใหญ่ของ OYO มีทั้ง SoftBank, Microsoft, Airbnb ด้วยธุรกิจโรงแรม บริษัทก็ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยในปีงบประมาณล่าสุด OYO มีรายได้ 600 ล้านดอลลาร์ และมีผลประกอบการขาดทุน 528 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรายได้ของ OYO กว่า 90% มาจาก 4 ตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และยุโรป ซึ่งก่อนหน้านี้ OYO เคยดรอปถึงจุดต่ำสุด 60% ในช่วงล็อกดาวน์ของหลาย ๆ ประเทศ แต่ตอนนี้บริษัทเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัวแล้วโดยเฉพาะในกลุ่มตลาดหลักที่เริ่มเปิดเมืองในไตรมาสที่ผ่านมา ที่มา - TechCrunch
# Clubhouse ประกาศทำฟีเจอร์ Replays ฟังย้อนหลังได้, Clips ตัดเสียงไปแชร์ต่อได้ Clubhouse ประกาศทำฟีเจอร์สำคัญที่เรียกร้องกันมานานคือ Replays ที่เปิดให้ฟังการสนทนาย้อนหลังได้ ตอนนี้ยังไม่มีภาพหน้าจอออกมาให้ดู แต่ Clubhouse บอกว่าเจ้าของห้องสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ฟังย้อนหลังได้หรือไม่ ฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ทดสอบในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ฟีเจอร์อีกตัวที่เปิดให้ใช้งานแล้วคือ Clips เป็นการตัดเสียงสนทนาไม่เกิน 30 วินาที (เฉพาะห้อง public room) โดยจะมีไอคอนรูปกรรไกรเพิ่มเข้ามา คลิปที่ตัดแล้วสามารถแชร์ไปยังช่องทางใดๆ ก็ได้ เช่น Facebook, Twitter, Instagram อีกสองฟีเจอร์ที่ประกาศพร้อมกันคือ Universal Search ค้นหาได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นห้องหรือคน และ Spatial Audio for Android ตามหลังเวอร์ชัน iOS ที่ได้ไปก่อนแล้ว ที่มา - Clubhouse
# ชวนคนรุ่นใหม่แก้โจทย์ Cyber Security และ Subsea Machine Learning ในงาน ARV Hackathon 2021 โอกาสสำหรับคนสายเทคโนโลยีและ Start-up ที่ต้องการลับคมตัวเองมาแล้ว กับงาน ARV Hackathon 2021 พร้อมโจทย์สุดท้าทายที่ผู้เข้าร่วมจะได้ใช้ทักษะ สร้างโซลูชั่นที่นำมาใช้จริงในอุตสาหกรรมพลังงาน AI and Robotics Ventures หรือ ARV มุ่งมั่นสู่การเป็นศูนย์กลางของธุรกิจเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ (Artificial intelligence and Robotics) ที่ล้ำสมัยอย่างครบวงจร เพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าว กระโดด และเป็นแหล่งรายได้ใหม่ให้กับ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. สผ. ซึ่งปีนี้ ARV ได้นำหัวข้อ Cyber Security และ Subsea Machine Learning มาเป็นโจทย์หลักของงาน ARV Hackathon 2021 เฟ้นหาสุดยอดทีมนักพัฒนาที่อยากท้าทายตัวเอง และสนใจเทคโนโลยี ร่วมโชว์ศักยภาพสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ ที่สามารถสร้างความปลอดภัยให้กับโลกไซเบอร์ ปกป้องข้อมูล และแก้ไขช่องโหว่ของระบบที่มีในปัจจุบัน ตลอดจนถึงการพัฒนาขีดความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ เพื่อต่อยอดธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ผู้สมัครทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษา Start-up, Programmer, Innovator หรือบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทาง Blognone ได้พูดคุยกับ ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไปของ ARV ถึงงาน Hackathonในปีนี้ และสิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันจะได้เจอ รวมไปถึงประสบการณ์ที่จะได้รับกลับไปจากงานนี้ ทำความรู้จัก ARV กับโปรเจกต์สำคัญด้าน AI และ Robotics AI and Robotics Ventures หรือ ARV เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ (Artificial intelligence and Robotics) สร้างสรรค์ พัฒนา และต่อยอดเทคโนโลยีด้านนวัตกรรม ครอบคลุมการใช้งานทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล เพื่อแก้ปัญหาที่มีความท้าทายในหลากหลายอุตสาหกรรม และมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการนำเทคโนโลยี AI และ Robotics ไปใช้ประโยชน์ ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ARV มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นชมรมวิจัยหุ่นยนต์ในบริษัท ปตท. สผ. ผลงานแรก ๆ ของชมรมคือ การสร้างโดรนตรวจสอบเพื่อซ่อมบำรุงปล่องเผาเชื้อเพลิงส่วนเกิน (Flare Stack) ที่ทีมงานช่วยกันพัฒนาขึ้นมาจากศูนย์ ไม่ได้นำโดรนยี่ห้อไหนมาดัดแปลงเลยแม้แต่น้อย อีกหนึ่งโครงการคือ การพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถควบคุมได้จากระยะไกล มาใช้ในการตรวจสอบซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ ซึ่งเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างมาก เมื่อปี 2561 ชมรมหุ่นยนต์ได้รับความสนใจจากผู้บริหารของ ปตท. สผ. ที่เริ่มมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ทำให้ชมรมหุ่นยนต์ถูกจัดตั้งแยกออกมาเป็นบริษัทลูกที่มี ปตท. สผ. ถือหุ้น​​ทั้งหมดในชื่อบริษัท AI and Robotics Ventures (ARV) ARV มองเห็นว่าแนวโน้มของเทคโนโลยีด้าน AI และ Robotics กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งองค์กรในประเทศไทยเอง ก็เริ่มมีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้ เพื่อให้การทำงานในด้านต่างๆ มีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีทั้งการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการเริ่มพัฒนาด้วยตนเองภายในประเทศ สำหรับ ARV เพื่อตอบโจทย์ที่ท้าทาย และไม่ได้มีเทคโนโลยีสำเร็จรูปพร้อมใช้จึง จำเป็นต้องเลือกที่จะลงมือและพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้เอง แม้ว่าจะมีความท้าทายในหลายๆ ด้าน แต่ ARV ก็มีความพร้อมเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของทีมงานที่มีประสบการณ์ ประสิทธิภาพ และ passion รวมถึง infrastructure ที่มีความพร้อมสำหรับการนำ prototype และโมเดลต่างๆ ไปทดลองใช้งานได้ในพื้นที่การทำงานจริง และที่สำคัญ ARV อาศัยการร่วมมือกับ พันธมิตร เพื่อช่วยกัน พัฒนา เทคโนโลยีให้เร็วยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความ จำเป็น และ รวดเร็ว ของ ภาคธุรกิจ อีกทั้ง ARV ยังมีหล่งเงินทุนที่แข็งแรง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ ARV สามารถดำเนินการพัฒนา และส่งมอบเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน ARV ในบทบาทของการเป็น Business Builder มี 4 ธุรกิจ ที่ถือเป็น New Business S-Curve ให้กับ ปตท.สผ. และเชื่อว่ามีศักยภาพที่สามารถ unlock valuation ไปถึงระดับยูนิคอร์น (Unicorn) ได้ คือ Rovula: ธุรกิจ Subsea IRM สำหรับการตรวจสอบ ซ่อมแซม และบำรุงรักษาใต้ทะเลอย่างครบวงจร Skyller: ธุรกิจการทำ Industrial Infrastructure Inspection Platform โดยการใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ Varuna: ธุรกิจเกษตรอัจฉริยะอย่างครบวงจรใน scale ระดับประเทศ Cariva: ธุรกิจน้องใหม่ที่ยกระดับการดูแลรักษาสุขภาพ ให้แก่ ภาคธุรกิจและประชาชนไทย ผ่าน Platform เครือข่ายข้อมูล และบริการด้านสุขภาพ เป้าหมายของ ARV ในวันนี้คือเป็น Venture Studio ในการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำ ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้แนวคิด “Partner of Choice” เพื่อที่จะนำมาใช้แก้ปัญหา Pain Point ต่างๆ ทั้งของธุรกิจพลังงานที่เป็นธุรกิจหลักของ ปตท. สผ. รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ นอกกรอบอุตสาหกรรมพลังงานต้นน้ำ ARV Hackathon 2021 งานที่ผู้เข้าแข่งขันจะได้คิดและลงมือทำ ARV Hackathon 2021 ครั้งนี้ มีหัวข้อโจทย์ในการแข่งขัน จำนวน 2 Tracks คือ Track I: Cyber Security ร่วมกันยกระดับความสามารถและขีดจำกัดของ Digital Wallet ให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน ● จัดแข่งขัน Hackathon วันที่ 20-21 และ 27 พฤศจิกายน 2564 Track II: Subsea Machine Learning ร่วมออกแบบ Machine Learning Model ที่มีความสามารถในการตรวจจับและแยกแยะวัตถุใต้ท้องทะเล ● จัดแข่งขัน Hackathon วันที่ 11-12 และ 18 ธันวาคม 2564 ทั้งสอง Track เป็นธุรกิจที่ ARV กำลังพัฒนาอยู่ ดังนั้น Hackathon ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสของผู้เข้าแข่งขัน ที่จะได้มาร่วมสร้างโซลูชั่นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมจริง และ Case Study จริง Hackathon ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อค้นหาโซลูชั่นในการต่อยอด และพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ ที่มีความสมบูรณ์แบบ ทดแทนการทำงานของมนุษย์ใต้ท้องทะเล เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายของธุรกิจคู่ค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ARV ยังนำเรื่อง Cyber Security มาเป็นโจทย์เพื่อค้นหาแนวคิดและนวัตกรรมในการปกป้องข้อมูลของธุรกิจในเครืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Digital Wallet หรือในธุรกิจด้านการเกษตรและสุขภาพ ซึ่งมีข้อมูลที่ต้องบริหารและเก็บรักษาจำนวนมากโดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคล การใช้โจทย์ AI ผสานรวมกับ Cyber Security ใน Hackathon ครั้งนี้ จะช่วยเสริมรากฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมพลังงานรวมไปถึงธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆ ของประเทศไทย ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากใครอยากท้าทายตัวเอง อยากลงมือปฏิบัติจริง เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ ARV Hackathon 2021 คืองานที่ตอบโจทย์ความท้าทายของผู้เข้าร่วมได้เป็นอย่างดี สมัครเข้าร่วมแข่งขัน ARV Hackathon 2021 ARV Hackathon 2021 เปิดประสบการณ์การแข่งขันแบบใหม่ ที่ใช้โจทย์จากปัญหาที่พบละต้องการแก้ไขจากอุตสาหกรรมจริง ซึ่งผู้เข้าแข่งขันจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากการแข่งขันที่ไหนมาก่อน เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงศักยภาพ เพิ่มโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับ ARV ในอนาคต เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมแข่งขันแล้ววันนี้ จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ที่ เว็บไซต์ ARV Hackathon และหากมีความสนใจ ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน Open House ในวันที่ 12 ตุลาคม 2564 เพื่อฟังรายละเอียดโครงการได้ที่นี่
# ชิปหาย (ไป) Phil Spencer บอสใหญ่ Xbox ระบุ ปัญหาซัพพลายเชนไม่จบง่ายๆ อาจลากยาวถึงปี 2022 ปัญหาชิปขาดแคลน และซัพพลายเชนที่ติดขัด เป็นอีกปัญหาที่วงการอิเล็กทรอนิกส์แทบจะทุกแขนง ทั้งรถยนต์ ทีวี ไปจนถึงเครื่องซักผ้าและเครื่องปิ้งขนมปัง โดยบริษัทผู้ผลิตชิปชั้นนำอย่าง TSMC มองว่าปัญหานี้อาจลากยาวไปจนถึง ปี 2023 และวันนี้ฝั่งบอสใหญ่ของ Xbox อย่าง Phil Spencer ก็ออกมาให้ความเห็นคล้ายคลึงกัน Phil Spencer ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ The Wrap ระบุว่าปัญหาซัพพลายเชนรอบนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาชิปขาดเแคลนเพียงอย่างเดียว แต่การหาชิ้นส่วนมาผลิตเครื่องคอนโซลและขนส่งไปยังประเทศที่มีความต้องการเครื่อง มีจุดติดขัดอยู่หลายจุด และจุดติดขัดนี้น่าจะอยู่กับเราไปอีกนานหลายเดือน ลากยาวไปจนจบปีปฏิทินนี้ และอาจยาวไปจนถึงปีหน้า นอกจากปัญหาชิปขาดแคลนแล้ว ปัญหาซัพพลายเชนยังมีจุดอื่นๆ อีกด้วย เช่นปัญหาค่าขนส่งสินค้าทางเรือที่ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงหลัง ปัญหาด้านการผลิตที่เกิดขึ้นในหลายมุมโลกเช่นนี้ ผนวกกับดีมานด์ของชิปและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พุ่งสูงจากการทำงานจากบ้านและความต้องการด้านความบันเทิงที่มากขึ้น น่าจะทำให้ปัญหานี้ต้องใช้ในการแก้ไขอีกยาวนาน โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงอีกครั้งในหลายประเทศที่เหมือนจะคุมการระบาดได้แล้ว ที่มา - ExtremeTech
# มีปัญหา Work from Anywhere อยู่ใช่มั้ย หาคำตอบในงานสัมมนากับ Aruba ฟรี ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงการทำงานครั้งยิ่งใหญ่ แนวโน้มหลายองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงการทำงาน มีแนวโน้มให้พนักงานทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) มากขึ้นเรื่อยๆ สู่การทำงานได้จากทุกที่หรือ Work from Anywhere ซึ่งเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งระบบไอทีควรมีความพร้อมสนับสนุนองค์กรใน การขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างราบรื่น เพื่อให้องค์กรสามารถใช้งาน Cloud และขับเคลื่อนธุรกิจองค์กรในการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างสมบูรณ์ ระบบเครือข่ายและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยจึงสำคัญ HPE Aruba และ INET MS ขอเรียนเชิญ IT Manager, Network Engineer, IT Admin และทุกท่านที่สนใจ เข้าร่วมฟัง Webinar ในหัวข้อเรื่อง "หมดปัญหากวนใจ จัดการ WiFi ง่ายๆ ด้วย Enterprise WiFi as a Service และ Aruba Central" กับเราในวันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 – 11.30 น. (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ลงทะเบียนฟรี คลิก!! https://zoom.us/webinar/register/4016328844336/WN_Er6QuukmQHeHHHP-tFKZ5Q รายละเอียดการบรรยาย หัวข้อ: หมดปัญหากวนใจ จัดการ WiFi ง่ายๆ ด้วย Enterprise WiFi as a Service และ Aruba Central Date: 21 October 2021 Time: 10:00-11:30 น. Speaker: คุณอนุสิษฐ์ รัชฎาเลิศณรงค์ Partner Business Manager จาก HPE Aruba ร่วมกับ คุณสตัมภ์ จันทร์บาง Business Development (WiFi) บริษัท ไอเน็ต แมเนจด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ช่องทางการบรรยาย: Online Web Conference ภาษา: ไทย สนใจลงทะเบียน คลิก!! https://zoom.us/webinar/register/4016328844336/WN_Er6QuukmQHeHHHP-tFKZ5Q ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดงาน กำหนดการ 10.00 Aruba central ตอบโจทย์องค์กรอย่างไร 10.30 Enterprise WiFi as a Service ช่วยคุณได้อย่างไร 11.00 Technical demo & Use case 11.30 Q&A ไขทุกข้อสงสัย และปัญหากวนใจในการดูแลทางด้านเครือข่าย ด้วยบริการ WiFi พร้อมใช้งานสำหรับองค์กร โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลครบวงจร พร้อมเสริมความปลอดภัยด้วยบริการตรวจสอบการใช้งานที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบ WiFi ที่ให้บริการ 24x7 โดยทีม Security Operation Center (SOC) พร้อมชม Demo การตรวจและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นผ่าน Aruba Central พิเศษ!! สำหรับผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน มีสิทธ์ลุ้นรับของรางวัลมากมายในงาน ลงทะเบียนเข้าร่วม Webinar ได้ฟรี ผู้ที่สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อเข้าร่วม Webinar ในหัวข้อนี้ได้ฟรี!! ที่ https://zoom.us/webinar/register/4016328844336/WN_Er6QuukmQHeHHHP-tFKZ5Q โดยทีมงานขอความกรุณากรอกข้อมูลชื่อบริษัทด้วยชื่อเต็มของหน่วยงานหรือองค์กร เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการจัดการกับข้อมูลการลงทะเบียน
# ไมโครซอฟท์เปิดทดสอบ Visual Studio 2022 for Mac Preview 1 ใช้ UI แบบเนทีฟ ไมโครซอฟท์ออก Visual Studio 2022 for Mac Preview 1 ให้คนทั่วไปดาวน์โหลดมาทดสอบแล้ว หลังทดสอบในกลุ่มปิดมาได้ระยะหนึ่ง ไมโครซอฟท์นิยาม Visual Studio 2022 for Mac ว่าเป็น "modern .NET IDE" ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้แมค เพราะเปลี่ยนมาใช้ native UI ของ macOS โดยตรง มีทั้ง Dark/Light Theme และรองรับฟีเจอร์ของ OS อย่าง VoiceOver ในตัว นอกจากนี้ มันออกแบบมาเพื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ของไมโครซอฟท์คือ .NET 6 และ C# 10 รวมถึง .NET MAUI ในอนาคตด้วย ที่มา - Microsoft
# [แจ้งเตือน] root CA แรกของ Let's Encrypt หมดอายุ อาจมีปัญหากับไคลเอนต์เก่าหรือเซิร์ฟเวอร์ที่คอนฟิกผิด เมื่อคืนที่ผ่านมาใบรับรอง DST Root CA X3 ของ IdenTrust หมดอายุไป ทำให้เว็บบางส่วนมีปัญหาขึ้นคำเตือนว่าใบรับรองไม่ถูกต้อง โดยสาเหตุมีได้ทั้งจากไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์เอง เท่าที่ผมรวบรวมมามีสาเหตุได้ดังนี้ ไคลเอนต์เก่าไม่รองรับใบรับรองของ Let's Encrypt: แม้ว่า Let's Encrypt จะเริ่มต้นด้วยการออกใบรับรองที่ cross-sign กับ IdenTrust ที่ไคลเอนต์จำนวนมากรองรับ แต่ก็พยายามผลักดันใบรับรอของตัวเองให้ไคลเอนต์รวมเข้าไว้ในระบบเรื่อยมา ทุกวันนี้ฐานข้อมูล root CA แทบทั้งหมดรองรับ ISRG Root X1 แทบทั้งหมดแล้ว ไคลเอนต์เฉพาะทาง ไม่รองรับ Let's Encrypt: มีรายงานเช่น Web Hook จากบริการต่างๆ อาจจะไม่ทำงานเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ไม่ได้อัพเดตฐานข้อมูล หรือไลบรารีของผู้ผลิตบางรายที่มีฐานข้อมูล เซิร์ฟเวอร์คอนฟิกผิด ไม่ใส่ Intermediate CA: เวลาที่ไคลเอนต์ ACME ขอใบรับรองจาก Let's Encrypt นั้นจะได้ไฟล์ออกมา 4 ไฟล์ ได้แก่ cert.pem, chain.pem, fullchain.pem, และ privkey.pem โดยท่าปกติแล้วเซิร์ฟเวอร์ควรใช้เพียงสองไฟล์ คือ fullchain.pem ที่ระบุเส้นทางอ้างอิงการรับรองกลับไปยัง ISRG Root X1 ได้ แต่หากเซิร์ฟเวอร์ใส่เพียง cert.pem ที่ไม่ระบุ Intermediate CA จะทำให้ไคลเอนต์หาเส้นทางอ้างอิงไม่เจอ กระบวนการอัพเดตฐานข้อมูล root CA นั้นเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยากเนื่องจากฐานข้อมูลมักมากับระบบปฎิบัติการหรือเฟิร์มแวร์อุปกรณ์ ที่ผ่านมา Let's Encrypt ถูกรวมเข้าฐานข้อมูลไปนวนมากแล้ว เช่น Windows XP SP3, macOS 10.12.1, iOS 10, Firefox 50, Ubuntu 16.04, Debian 8, Java 7/8 เป็นต้น ที่มา - Let's Encrypt เส้นทางรับรอง Let's Encrypt เส้นสีแดงคือเส้นที่หมดอายุ
# eFootball 2022 โดนถล่มยับด้านคุณภาพเกม หลังเริ่มเปิดโหมดออนไลน์ให้เล่นฟรี eFootball 2022 หรือชื่อเดิมคือ Pro Evolution Soccer (PES) ที่แฟนเกมฟุตบอลรู้จักกัน เริ่มเปิดโหมดออนไลน์ (My Club) ให้เล่นไปเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งแม้จะเปิดตัวแบบยังไม่เต็มที่ และเป็นเกมที่เล่นได้ฟรีบางส่วน แต่แฟนเกมก็มีสิทธิ์คาดหวังคุณภาพกราฟฟิกและความสมบูรณ์ของเกมในระดับที่พร้อมเปิดให้คนทั่วไปเล่น Konami ไม่ได้ระบุว่าตัวเกมเป็น Beta หรือ Demo แต่คุณภาพคล้ายคลึงกับการเป็นเวอร์ชั่น Beta พอสมควร โดยผู้ใช้ในทวิตเตอร์หลายราย นำภาพกราฟฟิกหน้าตาและบั๊กแอนิเมชั่นตลกๆ ของนักเตะและคนดูประกอบฉากมาโพสต์ ภาพจากทวิตเตอร์ @EpicPes ปัจจุบันหน้าร้านของเกมใน Steam ก็มีระดับคะแนนรีวิว “Overwhelmingly Negative” หรือแง่ลบเป็นอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยรีวิวในแง่ลบ ทั้งด้านกราฟฟิกและการบังคับที่มีปัญหา ในระดับที่ผู้เล่นหลายคนบอกว่าเกมนี้ตายไปแล้ว และเกมฟุตบอลเหลือแค่เกมเดียวคือ FIFA คงต้องติดตามกันต่อว่า Konami จะสนใจเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ เกม และปรับปรุงตัวเกมให้สมบูรณ์ขึ้นก่อนเน้นเปิดขายลูทบ็อกซ์ หรือเปิดให้เก็บเงินเพื่อเล่นโหมดอื่นแบบจริงจังหรือไม่ ที่มา - Kotaku
# Google ญี่ปุ่นสร้างโปรโตไทป์แก้วชาหุ้มแป้น Gboard ตัวอักษรญี่ปุ่น ฉลองพิธีชงชาเก่าแก่ Google งดเล่นมุก April Fools' Day มาสองปีแล้วเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 แต่หากใครยังจำได้ ย้อนกลับไปในปี 2018 Google ประเทศญึ่ปุ่นเล่นมุกหนึ่ง เป็นอุปกรณ์เสริมคีย์บอร์ด ป้อนข้อมูลโดยการลากนิ้วเป็นตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ ล่าสุด Google ญี่ปุ่นต่อยอดไอเดีย สร้างแป้นพิมพ์ Gboard ในรูปแบบแก้วชาทรงกระบอกขนาด 125 มิลลิลิตร เพื่อเฉลิมฉลองพิธีชงชาคิตาโนะ ตัวแก้วหุ้มด้วยปุ่มกดทั่วทั้งแก้ว มีช่องเสียบพอร์ต USB-C และที่ว่างข้างในแก้วสามารถใส่ชาลงไปและดื่มได้จริงๆ ตัวปุ่มกดเป็นตัวอักษรเขียนด้วยพู่กันสวยงาม Google ญี่ปุ่นสร้างแก้วชา Gboard เป็นโปรโตไทป์ และเผยแพร่ให้เข้าถึงและไปพัฒนาต่อได้ผ่าน Github มีการเผยแพร่ทั้งเฟิร์มแวร์ แผนผัง และเลย์เอาต์ของบอร์ด และสามารถเชื่อมต่อการใช้งานได้จริงบนพีซีและโทรศัพท์ Android สำหรับตัววิดีโอสาธิตการใช้งานถูกถ่ายทำขึ้นก่อนเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งคาดว่าตั้งใจจะนำมาใช้เป็นมุกใน April Fools' Day แต่ทาง Google ก็ระงับการจัดไป และ Google ญี่ปุ่นได้นำวิดีโอมาเผยแพร่ในวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันเฉลิมฉลองพิธีชงชา พิธีชงชาคิตาโนะ จัดขึ้นในปีเท็นโชว 15 (ค.ศ. 1587) เป็นงานพิธีชงชาขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น เจ้าภาพคือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ จัดขึ้น ณ ศาลเจ้าคิตาโนะ เทมมังกูในเกียวโต ในวันแรกของเดือนที่สิบ ที่มา - 9to5Google, Google Japan
# Zoom ยุติการซื้อบริษัทซอฟต์แวร์คอลเซ็นเตอร์ Five9 หลังผู้ถือหุ้น Five9 ไม่อนุมัติ Zoom ล้มแผนการซื้อกิจการ Five9 บริษัทซอฟต์แวร์คอลเซ็นเตอร์ ที่ประกาศซื้อเมื่อเดือนกรกฎาคม ในราคา 14.7 พันล้านดอลลาร์ เหตุผลที่ต้องยุติการซื้อกิจการเป็นเพราะผู้ถือหุ้น Five9 ลงมติขายกิจการด้วยเสียงโหวตที่มีจำนวนไม่มากพอ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบว่าควรยกเลิกข้อตกลงซื้อกิจการที่ประกาศไว้ก่อนหน้า Zoom ระบุว่ายังจะเดินหน้าสู่ตลาดซอฟต์แวร์คอลเซ็นเตอร์ผ่านคลาวด์ต่อไป โดยจะเปิดตัว Zoom Video Engagement Center (VEC) โซลูชันของตัวเองในช่วงต้นปี 2022 แทน ที่มา - Zoom, Five9
# Dropbox เปิดตัวแอพ Capture อัดคลิปวิดีโอแชร์ให้เพื่อนร่วมงานแทนประชุมออนไลน์ Dropbox เปิดตัวแอพ Capture สำหรับบันทึกวิดีโอจากกล้อง จับภาพหน้าจอ อัดวิดีโอหน้าจอ แล้วแชร์ให้เพื่อนร่วมงานผ่านทางแชทอย่าง Slack/Teams Dropbox บอกว่าการสื่อสารด้วยวิดีโอทรงพลังกว่า ถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการสื่อได้ดีกว่า แต่ก็ลดภาระของการประชุมออนไลน์ลง เพราะผู้รับสารสามารถดูคลิปในช่วงเวลาที่ตัวเองสะดวก หากโยกการประชุมออนไลน์ที่ไม่จำเป็น มาเป็นการถ่ายคลิปแล้วคอมเมนต์กันทีหลังแทน จะลดความเครียดในการทำงานลงได้ วิธีการอธิบายตามภาษาของ Dropbox คือเปลี่ยนจาก Zoom มาเป็น Slack กันดีกว่า อย่างไรก็ตาม Slack ก็เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ Clips แชร์คลิปสั้นในลักษณะเดียวกัน มาด้วยเช่นกัน ต้องรอดูกันว่าการชนกันตรงๆ กับเจ้าของแพลตฟอร์มแบบนี้ จะส่งผลต่อจำนวนผู้ใช้ Dropbox Capture หรือไม่ ตอนนี้ Dropbox Capture มีให้ดาวน์โหลดบนวินโดวส์และแมคเท่านั้น ที่มา - Dropbox, Dropbox
# ลงเอยด้วยดี Scarlett Johansson กับดิสนีย์ทำข้อตกลงยุติคดีฟ้องร้องการฉาย Black Widow บน Disney+ ความคืบหน้าล่าสุดของคดีความระหว่าง Scarlett Johansson นักแสดงนำหนัง Black Widow ฟ้องร้องบริษัทดิสนีย์ จากการสตรีมหนังใน Disney+ ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ในฐานะนักแสดง หลังกระบวนการฟ้องร้องกินเวลาไปร่วมสามเดือน ล่าสุด ตัวแทนของ Johansson ยืนยันกับสื่อหลักหลายแห่ง เช่น The Hollywood Reporter, Variety และ The New York Times ว่า Johansson กับดิสนีย์ได้ทำข้อตกลงระงับการพิพาท ไม่เปิดเผยมูลค่าเงินในข้อตกลง แต่แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุกับสำนักข่าว Deadline ว่า มูลค่าเงินในข้อตกลงสูงหลักสิบล้านดอลลาร์ Johansson บอกกับ The Hollywood Reporter ว่า เธอรู้สึกดีที่ได้แก้ไขความไม่เข้าใจกันระหว่างเธอและดิสนีย์ และตั้งตารอที่จะทำงานร่วมกันต่อในอนาคต ด้าน Alan Bergman ประธานของ Disney Studios กล่าวว่า เรารู้สึกขอบคุณที่ Johansson ได้มีส่วนร่วมกับ Marvel Cinematic Universe และตั้งตารอที่จะได้ทำงานร่วมกันในโปรเจกต์ต่างๆ ที่กำลังจะมาถึง ภาพจากตัวอย่างหนัง Black Widow ย้อนกลับไปที่การฟ้องร้องของ Johanssons เธอระบุว่าค่าตอบแทนหลักของนักแสดงขึ้นอยู่กับรายรับจากบ็อกซ์ออฟฟิศหรือรายได้จากการฉายหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งดิสนีย์ให้สัญญาว่าจะฉายหนังในโรงก่อนแบบเอ็กซ์คลูซีฟ แต่กลับนำหนังฉายผ่านสตรีมมิ่ง Disney+ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือข้อตกลง ด้านดิสนีย์ก็โต้กลับว่า คดีนี้เป็นการเพิกเฉยต่อผลกระทบโควิด-19 ที่โรงหนังหลายแห่งยังต้องปิดบริการ ที่สำคัญดิสนีย์ได้ปฏิบัติตามสัญญาของ Johansson อย่างสมบูรณ์ การเปิดตัว Black Widow บน Disney+ ด้วย Premier Access ยังทำให้เธอมีรายได้เพิ่ม 20 ล้านดอลลาร์ ที่มา - The Verge
# หวังแก้ความสับสน USB ออกโลโก้ใหม่ โชว์ตัวเลขส่งข้อมูล-กำลังการชาร์จแทนเลขเวอร์ชัน มาตรฐาน USB ในปัจจุบันมีความสับสนอย่างมาก เพราะมีทั้งเรื่องอินเทอร์เฟซของหัวเสียบ (USB Type-C), อัตราการส่งข้อมูล (USB4) และกำลังในการชาร์จ (USB Power Delivery หรือ USB PD) ล่าสุดกลุ่ม USB-IF พยายามแก้ปัญหานี้โดยออกโลโก้ใหม่ ที่รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน โดยระบุอัตราการส่งข้อมูล 20/40 Gbps (USB4) และกำลังการชาร์จ 60w/240w (USB PD 3.1) ไว้ที่ตัวโลโก้บนแพ็กเกจต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายขึ้นว่าสายและที่ชาร์จอะไรได้บ้าง แทนการเขียนเวอร์ชันของสเปก (USB 4, USB PD 3.1) ที่ผู้บริโภคอ่านแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร โลโก้ใหม่ของ USB-C มีทั้งแบบส่งข้อมูลอย่างเดียว (ระบุแค่อัตราการส่งข้อมูล 40 Gbps), แบบสายชาร์จกำลังสูง (240w) และแบบที่มีทั้งสองอย่าง (ช่องขวาสุดในภาพ) ที่มา - UBS-IF
# Apple Watch รุ่นแรก เข้าสู่สถานะสินค้า Vintage แล้ว แอปเปิลอัพเดตข้อมูลในหน้าสินค้ารุ่นเก่า-เลิกผลิต (Vintage and obsolete) โดยเพิ่ม Apple Watch รุ่นแรก ทั้งหน้าปัด 38 มม. และ 42 มม. ทำให้เป็นสินค้าในกลุ่ม Apple Watch รุ่นแรกที่เข้าสู่กลุ่มสินค้ารุ่นเก่า-เลิกผลิตนี้ สินค้าที่เข้ากลุ่มรุ่นเก่านั้น แอปเปิลระบุเงื่อนไขว่าต้องหยุดขายมาอย่างน้อย 5 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปี ซึ่งแอปเปิลจะหยุดการสนับสนุนงานซ่อม ยกเว้นในประเทศที่มีกฎหมายกำหนดเพิ่มเติม Apple Watch รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2014 เริ่มขายจริงช่วงต้นปี 2015 จากนั้นออกรุ่นอัพเกรด Series 2 ในปี 2016 พร้อมกับอัพเกรดสเป็กรุ่นแรกด้วยชื่อ Series 1 ที่มา: MacRumors
# Dropbox เปิดตัวแอพ Replay เพื่อคนตัดต่อวิดีโอ แชร์ไฟล์พร้อมคอมเมนต์ว่าแก้ตรงไหน Dropbox ประกาศออกแอพเสริมตัวใหม่เอาใจสายตัดต่อวิดีโอ ที่แชร์ไฟล์วิดีโอให้กันผ่าน Dropbox แต่ต้องบอกว่าจะตัดตรงไหน แก้ตรงไหนในช่องทางสื่อสารอื่น เช่น แชทหรืออีเมล แอพตัวนี้ชื่อว่า Dropbox Replay ผู้ใช้งานสามารถเซฟไฟล์ลง Dropbox แล้วแชร์ให้เพื่อนร่วมงาน พร้อมใส่คอมเมนต์ลงในไฟล์วิดีโอได้อย่างละเอียดระดับเฟรม ว่าแก้ตรงไหนอย่างไร โดยเพื่อนร่วมงานในทีมสามารถแชทโต้ตอบ และทำเครื่องหมายว่าตรงนี้แก้เรียบร้อยแล้วได้จากแอพ Replay เลย Dropbox ระบุว่าเห็นสถิติการส่งไฟล์วิดีโอสำหรับตัดต่อให้กันผ่าน Dropbox เพิ่มขึ้นมากในช่วงหลัง จึงออกฟีเจอร์นี้ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้กลุ่มนี้ทำงานสะดวกขึ้น แอพ Replay จะเปิดทดสอบเบต้าในเร็วๆ นี้ ที่มา - Dropbox
# Sony ซื้อกิจการ Bluepoint Games สตูดิโอที่รีเมค Shadow of the Colossus และ Demon’s Souls โซนี่ประกาศซื้อกิจการสตูดิโอเกม Bluepoint Games ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับโซนี่มานาน โดยดีลดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยมูลค่า และทำให้เป็นดีลการซื้อสตูดิโอเกมต่อเนื่องในปีนี้จาก Housemarque, Nixxes Software และ Firesprite ผลงานเด่นของ Bluepoint Games ได้แก่ รีเมค Shadow of the Colossus ลง PS4 และ Demon’s Souls เวอร์ชัน PS5 Marco Thrush ประธานของ Bluepoint Games กล่าวว่า PlayStation มีเกมที่โดดเด่นในแคตตาล็อก และสำหรับเราไม่มีอะไรดีกว่าการนำเกมระดับตำนานนั้นมาสู่ผู้เล่นหน้าใหม่ การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ PlayStation Studios จะช่วยเสริมคุณภาพงานให้ดีมากยิ่งขึ้น ที่มา: โซนี่
# Loon ประกาศโอนสิทธิบัตรให้บริษัทลูกของ SoftBank, เปิดข้อมูลเส้นทางบอลลูนเป็นสาธารณะ โครงการ Loon ที่ทดสอบการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายจากบอลลูนของ Alphabet ซึ่งประกาศยุติโครงการไปเมื่อต้นปี ได้รายงานแผนการบริหารข้อมูลและสิทธิบัตร ที่เกิดขึ้นในระหว่างการพัฒนาโครงการนี้ ซึ่งได้แก้ปัญหาหลายอย่างด้วย Alphabet ระบุว่าแม้เป้าหมายหลักโครงการคือสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากบอลลูนที่ลอยอยู่ แต่ระหว่างทางก็มีสิ่งน่าสนใจอาทิ วิธีการทำให้บอลลูนลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ได้นานที่สุด การสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบนฟ้า หรือการทำให้บอลลูนสามารถเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายได้เองโดยไม่ต้องใช้คนควบคุม โครงการ Loon จึงตัดสินใจเปิดข้อมูลที่ได้จากโครงการเป็นสาธารณะในชุด The Loon Collection เช่น ข้อมูลการเดินทางของบอลลูน สภาพลม สภาพอากาศ ฯลฯ ส่วนเทคโนโลยีที่มีการจดสิทธิบัตร โครงการจะโอนสิทธิให้กับผู้ร่วมพัฒนาได้แก่ Raven บริษัทผู้สร้างบอลลูน และ HAPSMobile บริษัทลูกของ SoftBank ที่พัฒนาระบบอุปกรณ์สื่อสาร โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ที่มา: X และ TechCrunch
# อินเทลเปิดตัวชิปจำลองสมอง Loihi 2 จำลองสมอง 1 ล้านนิวรอน อินเทลเปิดตัวชิปวิจัยวงจรจำลองสมอง Loihi 2 ตัวต่อจากชิป Loihi ที่เปิดตัวเมื่อปี 2017 แต่ละชิปสามารถจำลองนิวรอนได้ 1 ล้านนิวรอน พร้อมจุดเชื่อมต่อ (synapse) จำนวน 120 ล้านจุด วงจรภายในของชิป Loihi เป็นคอร์นิวรอนที่เป็นการคำนวณแบบแมทริกซ์เพื่อคำนวณผลของสัญญาณกระตุ้น (spike) จากภายนอกคอร์ แต่ละคอร์เชื่อมต่อกันด้วยระบบเน็ตเวิร์คในชิป (network-on-chip - NoC) เชื่อม 128 คอร์เข้าด้วยกัน เฟรมเวิร์ค Lava ที่เปิดตัวมาพร้อมกันเป็นเฟรมเวิร์คภาษา Python ที่สามารถใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่มีชิปกราฟิกแบบเดิมๆ ได้เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชั่นก่อนที่จะได้ลองใช้ชิปจำลองสมองจริงๆ อินเทลจะเปิดโค้ดออกมาภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยโค้ดสามารถนำไปรันบนชิป Loihi 1 และ 2 ได้ภายหลัง ตอนนี้ชิป Loihi ยังเปิดให้ใช้งานในหมู่นักวิจัยเท่านั้น โดยกลุ่ม Intel Neuromorphic Research Community (INRC) ที่เป็นเครือข่ายของอินเทลมีสมาชิก 150 องค์กรแล้ว นอกจากนี้ Loihi 2 ยังเป็นชิปที่ใช้กระบวนการผลิต Intel 4 ก่อนชิปเชิงการค้าที่อินเทลคาดว่าจะเริ่มผลิตเพื่อขายปลายปี 2022 ที่มา - Intel
# PostgreSQL ออกเวอร์ชั่น 14 คิวรี JSON เหมือนจาวาสคริปต์แล้ว PostgreSQL ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สออกเวอร์ชั่น 14 โดยมีความเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพภายในหลายอย่าง แต่สำหรับภาษา SQL ที่ใช้คิวรีในเวอร์ชั่นนี้เพิ่มเอาฟีเจอร์ subscripting เข้ามา ทำให้การเขียนคิวรี JSON นั้นเหมือนกับการเขียนจาวาสคริปต์มากขึ้น PostgreSQL รองรับ JSONB มาตั้งแต่เวอร์ชั่น 9.2 แต่การคิวรีนั้นใช้เครื่องหมาย (operator) เฉพาะทาง ทำให้โปรแกรมเมอร์ค่อนข้างสับสน เช่นการดึงข้อมูลในออปเจกต์นั้นใช้เครื่องหมาย ->> เช่น '{"a":1,"b":2}'::json->>'b' การรองรับ subscripting ทำให้ SQL ที่คิวรีเขียนเหมือนกับโค้ดจาวาสคริปต์ที่นิยมใช้งานกัน นอกจากฟีเจอร์ JSON แล้วเวอร์ชั่นนี้ยังรองรับข้อมูลประเภท multirange ทำให้เช็คช่วงของข้อมูลที่ซ้อนทับกันได้ เช่น ร้านที่เปิดในช่วงเวลาที่ต้องการ จากฐานข้อมูลเวลาเปิดปิด โดยข้อมูลประเภท range นั้นรองรับมาตั้งแต่ PostgreSQL 9.2 การรองรับ multirange ทำให้ระบุช่วงข้อมูลเป็นชุดได้ เช่น ร้านอาหารเปิดช่วงเช้า แล้วเปิดอีกทีช่วงบ่าย ที่มา - PostgreSQL
# เผยโฉม BlueStacks X อีมูเลเตอร์แอนดรอยด์ตัวแรกที่รันบนคลาวด์ ปล่อยเวอร์ชันเบต้าวันนี้ ช่วงนี้วงการอีมูเลเตอร์แอนดรอยด์บน PC กำลังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ขาใหญ่ของตลาดอย่าง BlueStacks ที่เพิ่งปล่อยเวอร์ชัน 5.3 ที่ใช้แอนดรอยด์ 7 (Nougat) เป็นพื้นฐาน และเวอร์ชัน 64 บิตที่ใช้แอนดรอยด์ 9 (Pie) วันนี้ออกมาประกาศเปิดตัว BlueStacks X อีมูเลเตอร์รุ่นใหม่ที่ยกแอนดรอยด์ขึ้นไปรันบนคลาวด์เป็นครั้งแรก BlueStacks บอกว่า BlueStacks X ตั้งเป้าจะให้ทุกอุปกรณ์สามารถเข้าถึงการเล่นเกมแอนดรอยด์ผ่านคลาวด์ได้ในอนาคต โดยในขณะนี้ยังเปิดให้ใช้งานผ่านเว็บแอปฯ และแอปฯ บนวินโดวส์ 10/11 ในเวอร์ชันเบต้าไปก่อน ในช่วงแรกจะมีเกมให้เลือกเล่นประมาณ 200 กว่ารายการ และจะทยอยเพิ่มขึ้นในภายหลัง ตัว BlueStacks X ตั้งเป้าว่าจะรองรับฟีเจอร์ให้เท่าเทียมกับบนสมาร์ทโฟน สามารถสลับอุปกรณ์ไปมาได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งเปิดตัวบอทดิสคอร์ดสำหรับให้เหล่าสหายสามารถเข้าร่วมเล่นเกมด้วยกันได้ในคลิกเดียว ใครที่อยากใช้งานสามารถเข้าไปลองด้วยตัวเองได้ที่ BlueStack X ต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะเริ่มใช้งานได้ครับ ที่มา - BlueStacks ผ่าน Windows Central UI ของ BlueStacks X
# [ลือ] Valve กำลังสร้างแว่น VR ไร้สายตัวใหม่ โค้ดเนม Deckard ยูทูบเบอร์ Brad Lynch ค้นพบข้อมูลของแว่น VR ไร้สายตัวใหม่ของ Valve ที่ใช้โค้ดเนม "Deckard" ในซอร์สโค้ดของ SteamVR และเอกสารสิทธิบัตรของ Valve ด้วย ปัจจุบัน Valve มีแว่น VR ของตัวเองคือ Valve Index ที่เปิดตัวในปี 2019 โดยเป็นแว่นแบบมีสายที่ต้องเชื่อมต่อกับพีซี เว็บไซต์ Ars Technica อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด Valve ว่าบริษัทกำลังพัฒนาแว่น VR ไร้สายอยู่ 2 ตัว โดยตัวแรกยังต้องเชื่อมต่อกับพีซี และมีลักษณะคล้ายแว่น Index แต่แว่นอีกตัวสามารถทำงานได้ครบจบในตัว (standalone ที่ใช้ inside tracking) เหมือนกับแว่น Oculus Quest อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลว่าแว่นทั้ง 2 ตัวนี้จะได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ออกมาขายจริงๆ หรือไม่ ที่มา - Ars Technica ภาพแว่น Valve Index
# Facebook Messenger และ Instagram สามารถตั้ง Group chat ข้ามแอปกันได้แล้ว Facebook ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ของแชทใน Facebook Messenger และ Instagram หลังจากที่สามารถแชทข้ามแพลตฟอร์มกันได้ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยสามารถตั้งห้องคุยกลุ่ม (group chat) แบบข้ามแอปกันได้ นอกจากนี้ Instagram ยังสามารถใช้งานโพลในแชท แบบเดียวกับที่มีใน Messenger ก่อนหน้านี้อีกด้วย ห้องคุยแบบกลุ่มยังเพิ่มคุณสมบัติเหมือนกับที่มีในหลายแอปแชท คือข้อความแสดงสถานะว่าใครในกลุ่มกำลังพิมพ์ข้อความอยู่ นอกจากนี้ยังมีของใหม่อื่นสำหรับผู้ใช้ Facebook Messenger ดังนี้ ธีมห้องแชท Cottagecore และ J Balvin เซตห้องแชท Astrology art มีทั้งธีม สติกเกอร์ และลูกเล่นวิดีโอ AR ส่วน Instagram เพิ่มคอนเทนต์ใหม่ใน Watch Together ของ Steve Aoki, Travis Barker และ Cardi B ฟีเจอร์ทั้งหมดเริ่มทยอยเปิดใช้งานกับผู้ใช้ทั่วโลกตั้งแต่วันนี้ ที่มา: Facebook
# Dell ประเทศไทย เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง Dell G15 และ Dell G15 Ryzen Edition การ์ดจอซีรีส์ RTX 30 ราคาเริ่มต้น 35,990 บาท Dell ประเทศไทย เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง 15 นิ้ว สองรุ่น คือ Dell G15 ซีพียู Intel Core 11th Gen และ Dell G15 Ryzen Edition ซีพียู AMD Ryzen 5000 การ์ดจอซีรีส์ NVIDIA GeForce RTX 30 ทั้งสองรุ่นเตรียมวางจำหน่ายเดือนพฤศจิกายน รายละเอียดดังนี้ Dell G15 หน้าจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD ตัวเลือก 120Hz และ 165Hz ซีพียู Intel Core 11th Gen สูงสุด Core i7 การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 30 (ไม่ระบุรุ่น) ราคาเริ่มต้น 35,990 บาท Dell G15 Ryzen Edition หน้าจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD ตัวเลือก 120Hz และ 165Hz ซีพียู AMD Ryzen 5 5600H, Ryzen 7 5800H การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3050 / RTX 3050Ti แรม DDR4 3200MHz 8GB, 16GB, 32GB แบบอัพเกรดได้ ราคาเริ่มต้น 35,990 บาท ทั้งสองรุ่นน่าจะเป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับเกมเมอร์ที่กำลังขาดแคลนการ์ดจอในช่วงนี้ แม้จะเป็นรุ่นรองลงมาอย่าง RTX 3050/3050 Ti แต่ด้วยราคาการ์ดจอในขณะนี้ การได้โน้ตบุ๊กเกมมิ่งทั้งเครื่องในราคาเริ่มต้น 35,990 บาท ก็ค่อนข้างคุ้มค่าพอสมควร ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# Dell ประเทศไทย เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง Alienware 3 รุ่น มีทั้ง Intel และ Ryzen การ์ดจอซีรีส์ RTX 30 เริ่ม 72,590 บาท Dell ประเทศไทย เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งรุ่นใหม่ในตระกูล Alienware สามรุ่น คือ Alienware x15, Alienware m15 Ryzen Edition R5 และ Alienware m15 R6 มาพร้อมซีพียูทั้ง Intel Core 11th Gen และ AMD Ryzen 5000 ทั้งสามรุ่นเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 30 กันยายน รายละเอียดดังนี้ Alienware x15 หน้าจอ 15.6 นิ้ว ตัวเลือกความละเอียด FHD 165Hz, FHD 360Hz และ QHD 240Hz ซีพียู Intel Core i7 11800H, Core i9 11900H จีพียู NVIDIA GeForce RTX 3060, RTX 3070, RTX 3080 แรม DDR4 3200MHz ความจุ 16GB, 32GB SSD NVMe PCIe M.2 เริ่ม 256GB สูงสุด 4TB แบบ Dual-Drive Non-RAID การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2, Wi-Fi 6E แบตเตอรี่ 87 Whr พอร์ต USB Type-A 3.2 Gen 1 หนึ่งพอร์ต, USB Type C 3.2 Gen 2 หนึ่งพอร์ต (ชาร์จแบบ PD ได้), Thunderbolt 4 (Type-C) หนึ่งพอร์ต, ช่องอ่าน MicroSD card หนึ่งช่อง ช่องต่อ HDMI 2.1 Out หนึ่งพอร์ต มีพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. ราคาเริ่มต้น 113,490 บาท Alienware m15 Ryzen Edition R5 หน้าจอ 15.6 นิ้ว ตัวเลือกความละเอียด FHD 165Hz, FHD 360Hz และ QHD 240Hz ซีพียู Ryzen R7 5800H, Ryzen R9 5900HX จีพียู NVIDIA GeForce RTX 3060, RTX 3070 แรม DDR4 3200MHz ความจุ 8GB, 16GB, 32GB SSD NVMe PCIe M.2 เริ่ม 256GB สูงสุด 4TB แบบ Dual-Drive Non-RAID การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2, Wi-Fi 6 แบตเตอรี่ 86 Whr พอร์ต USB Type-A 3.2 Gen 1 สามพอร์ต, USB Type C 3.2 Gen 2 หนึ่งพอร์ต (ชาร์จแบบ PD ได้), ช่องต่อ HDMI 2.1 Out หนึ่งพอร์ต, พอร์ตหูฟัง 3.5 มม. ราคาเริ่มต้น 72,590 บาท Alienware m15 Ryzen R6 หน้าจอ 15.6 นิ้ว ตัวเลือกความละเอียด FHD 165Hz, FHD 360Hz และ QHD 240Hz ซีพียู Intel Core i5 1140H, Core i7 11800H, Core i9 11900H จีพียู NVIDIA GeForce RTX 3050Ti, RTX 3060, RTX 3070, RTX 3080 แรม DDR4 3200MHz ความจุ 8GB, 16GB, 32GB SSD NVMe PCIe M.2 เริ่ม 256GB สูงสุด 4TB แบบ Dual-Drive Non-RAID การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2, Wi-Fi 6 แบตเตอรี่ 86 Whr พอร์ต USB Type-A 3.2 Gen 1 สามพอร์ต, USB Type C 3.2 Gen 2 หนึ่งพอร์ต (ชาร์จแบบ PD ได้ และเป็น Thunderbolt 4 ในรุ่น RTX 3060 ขึ้นไป), ช่องต่อ HDMI 2.1 Out หนึ่งพอร์ต, พอร์ตหูฟัง 3.5 มม., พอร์ต LAN ราคาเริ่มต้น 74,490 บาท แม้จะดูราคาแรงไปบ้าง แต่เมื่อเทียบกับราคาการ์ดจอของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันที่พุ่งสูงจนแค่การ์ดจอ RTX 3060 ก็มีราคาพุ่งไปถึงราวสามหมื่นบาท การซื้อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง อาจกลายมาเป็นอีกทางเลือกที่เป็นที่นิยมมากขึ้นกว่าการประกอบคอมใหม่ อย่างน้อยก็จนกว่าราคาการ์ดจอจะกลับเป็นปกติ ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# Akamai ซื้อกิจการ Guardicore บริษัทความปลอดภัยแบบ Zero-trust มูลค่าดีล 600 ล้านดอลลาร์ Akamai ประกาศซื้อกิจการ Guardicore บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จากอิสราเอล ที่พัฒนาโซลูชันความปลอดภัยที่ระดับย่อยแบบ zero-trust สำหรับลูกค้าองค์กร เพื่อลดการถูกโจมตีทั้งในระดับเครือข่าย แอพพลิเคชัน ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด มูลค่าดีลในการซื้อกิจการนี้อยู่ที่ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นการซื้อหุ้นของ Guardicore ทั้งหมด Akamai บอกว่าจะนำโซลูชันนี้มาเสริมกับพอร์ตโฟลิโอด้าน Zero-trust ที่บริษัทมีอยู่ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเข้าใจและเห็นภาพของการป้องกันทั้งระบบ ตั้งแต่จากเครือข่ายภายในองค์กรไปจนถึงคลาวด์ได้ดีมากขึ้น ที่มา: Guardicore
# Google ชี้แจงคดีผูกขาดเสิร์ชบน Android บอกแม้แต่ใน Bing คนก็ค้นคำว่า Google มากที่สุด สำนักข่าว Bloomberg รายงานเนื้อหาเพิ่มเติมจากการไต่สวนคดีที่สหภาพยุโรป สั่งปรับกูเกิล 4,342 ล้านยูโรในปี 2018 ด้วยข้อหาผูกขาดทางการค้า Android ที่ระบุว่ากูเกิลบังคับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องลง Google Search และ Chrome โดยคราวนี้เป็นประเด็นเรื่องการผูกขาดเสิร์ชบน Android ทนายความของกูเกิลให้ข้อมูลว่า มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่คำที่คนค้นหามากที่สุดบน Bing เสิร์ชเอ็นจินคู่แข่งของกูเกิลของไมโครซอฟท์ ก็เป็นคำว่า Google สะท้อนให้เห็นว่า การที่คนใช้กูเกิลเป็นเสิร์ชหลักนั้นเพราะพวกเขาเลือกเอง ไม่ใช่ถูกบังคับให้ใช้ ส่วนแบ่งการตลาดของเสิร์ชเอ็นจินของกูเกิลก็ยังสูงที่ระดับ 95% มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้มีรายงานว่ากูเกิลได้ให้เหตุผลว่า Android ไม่ได้ผูกขาดตลาดเพราะมีแอปเปิลเป็นคู่แข่ง ที่มา: Bloomberg
# เตรียมพร้อมสู่ทศวรรษที่สองของสตาร์ทอัพด้วยอินฟราและพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งของ AIS The StartUp AIS Business และ AIS The StartUp จัดงาน NATIONAL DIGITAL CTO FORUM 2022 รวมผู้นำวงการเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ อัพเดตเทรนด์เทคโนโลยี โอกาสและความท้าทายของวงการสตาร์ทอัพที่กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สอง ย้อนกลับไปราวปี 2011 ถือเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของวงการสตาร์ทอัพในไทย เรามองเห็นการจัดการแข่งขันประชันไอเดีย สร้างโมเดลธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ pain point ของลูกค้าและสังคม เรามองเห็นการระดมทุนอย่างคึกคักและไทยก็ถือว่ามีศักยภาพเป็นศูนย์กลางของสตาร์ทอัพในอาเซียนได้ แนวคิดของหน่วยงาน AIS the StartUp เองเริ่มก่อตั้งขึ้นในปลายปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงระยะแรกของวงการสตาร์ทอัพพอดี โดยเอไอเอสเล็งเห็นแล้วว่าประเทศไทยไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยสินค้าอย่างเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วยบริการและต้องเป็นบริการดิจิทัลด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้บริหารเริ่มโครงการ Startup ขึ้นมา จนถึงตอนนี้ผ่านมาสิบปี ก้าวสู่ทศวรรษที่สองของสตาร์ทอัพ มีการเปลี่ยนแปลงจากสิบปีที่แล้วอย่างไร และต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่ทศวรรษที่สองของสตาร์ทอัพได้อย่างไร Blognone จะพาไปหาคำตอบที่งานเสวนาออนไลน์ครั้งนี้ สิบปีที่อยู่ในวงการ AIS the StartUp มองเห็นอะไรบ้าง ในการเสวนาหัวข้อ “เกิดอะไรขึ้นบ้างกับวงการ Startup และ Tech SMEs” คุณศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการส่วนงาน AIS the StartUp ที่เห็นความเป็นไปในวงการสตาร์ทอัพมาร่วมสิบปี แชร์เทรนด์และโอกาสในอนาคตของสตาร์ทอัพได้อย่างน่าสนใจ คุณศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการส่วนงาน AIS the StartUp “เหตุผลสำคัญที่ก่อตั้ง AIS the StartUp มาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่บอกว่า เราไม่สามารถรอให้ประเทศมี ecosystem ที่พร้อมสำหรับสตาร์ทอัพได้ แต่เราต้องเป็นหนึ่งในองคาพยพที่ทำให้ประเทศไทยมีความพร้อม จึงได้ก่อตั้ง AIS the StartUp เพื่อช่วยสนับสนุนสตาร์ทอัพในประเทศไทย” แรงขับเคลื่อนที่ทำให้ไทยสามารถสร้าง ecosystem มาได้ถึงสิบปี มาจากสามปัจจัยด้วยกัน ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ความสะดวกในการเดินทางและแลกเปลี่ยนกันทางธุรกิจกับประเทศอื่นที่มีความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีอย่างสิงคโปร์ เวียดนาม ต้นทุนการเริ่มต้นสร้างธุรกิจ ค่าครองชีพ ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ไทยเป็นตลาดที่มีความหลากหลาย ธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และทำการทดสอบตลาดได้ตั้งแต่ระดับชุมชน หรือกลุ่มคนเล็กๆ ไปจนถึงกลุ่มใหญ่ระดับประเทศ โควิด-19 บททดสอบสำคัญของสตาร์ทอัพ ช่วงโควิด-19 เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพและ SMEs ใครที่สามารถพิสูจน์ธุรกิจของตัวเองได้ว่าก่อตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร ทำไปด้วยเหตุผลอะไร ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างไร ธุรกิจนั้นจะสามารถเปล่งประกายขึ้นมาได้ในยุคโรคระบาด โควิด-19 ยังเป็นโอกาสของสตาร์ทอัพที่จะสร้างตัวจากการแก้ปัญหาของคนได้ เพราะด้วยโครงสร้างบริษัทมีขนาดเล็ก สามารถขยับตัวทำอะไรใหม่ๆ ได้คล่องตัวกว่า หากสร้างบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ปัญหาช่วงโควิด-19 ได้ทันเวลา ลูกค้าก็พร้อมยอมจ่าย ยกตัวอย่าง SHIPPOP ที่เข้าร่วมกับ AIS The StartUp ตั้งแต่ปี 2015 สตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์เจาะกลุ่มธุรกิจรายย่อย เป็นอีกทางเลือกบริการแพลตฟอร์มส่งของสำหรับคนขายของออนไลน์ที่ไม่มีเครื่องมือด้านโลจิสติกส์ สามารถนำไปใช้กับธุรกิจของตัวเอง โดยช่วงล็อกดาวน์ SHIPPOP มีการเติบโตมากกว่า 60% สะท้อนถึงการคว้าโอกาสได้อย่างดี Exclusive Network Partnership กับไมโครซอฟท์ ให้สตาร์ทอัพไปได้ไกลกว่า พัฒนาการของสตาร์ทอัพเริ่มจาก B2C ให้บริการแก่ผู้บริโภคทั่วไป และ B2B ให้บริการแก่ผู้ประกอบการ แต่เทรนด์อนาคตคือ B2B2X โดย X ในที่นี้สามารถเป็นใครก็ได้ตั้งแต่ คน ธุรกิจ ไปจนถึงองค์กร ซึ่งการขยายตัวไปสู่ B2B2X ได้จำเป็นต้องมีเครือข่ายพาร์ทเนอร์เป็นแรงสนับสนุนสำคัญ AIS the StartUp จึงร่วมมือกับ Microsoft for Startups โดยเอไอเอสเป็นพาร์ทเนอร์รายแรกและรายเดียวของไมโครซอฟท์ร่วมกันทำโครงการ AIS x Microsoft for Startups สนับสนุนสตาร์ทอัพไทยที่ทำธุรกิจ B2B ให้เข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศได้ ในงานเสวนาครั้งนี้ Emily Rich ซึ่งเป็นหัวหน้าของ Microsoft for Startups ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มาร่วมเสวนา และแชร์มุมมองฝั่งไมโครซอฟท์ให้ฟังกันด้วย Emily Rich หัวหน้า Microsoft for Startups ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Rich บอกว่า การร่วมมือกับเอไอเอสครั้งนี้สร้างความเป็นไปได้มากมายแก่สตาร์ทอัพไทย โดยเฉพาะเรื่องมาร์เก็ตเพลสที่สตาร์ทอัพจะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น และการสนับสนุนสตาร์ทอัพในเชิงเทคนิคหลายด้าน Rich ยกตัวอย่างเทคโนโลยีสำคัญที่สตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงได้เลยเมื่อเข้าร่วมโครงการคือ เครดิต Azure (สูงถึง $120,000 เป็นเวลา 2 ปี) เข้าถึง Visual Studio และ GitHub Enterprise ฟรี สิทธิ์การใช้งาน Microsoft 365 รวมถึง Microsoft Teams เพื่อดำเนินธุรกิจ สิทธิ์การใช้งาน Dynamics 365 และ Power Platform การสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง เข้าถึงเมนเทอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์ นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างโปรเจกต์ที่ไมโครซอฟท์ช่วยสนับสนุนสตาร์ทอัพในต่างประเทศ ได้แก่ Highway to 100 Unicorns โครงการที่ช่วยผลักดันสตาร์ทอัพเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก, Global Social Entrepreneurship: Project Amplify ร่วมกับ Accenture ช่วยสตาร์ทอัพที่เน้นการสร้างคุณค่าทางสังคม เป็นต้น การสนับสนุนสตาร์ทอัพเป็นสิ่งที่ไมโครซอฟท์ทำมาตลอดอยู่แล้ว แต่การจับมือเอไอเอส ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันแบบครบวงจร ไมโครซอฟท์มีระบบคลาวด์ที่ทำให้ deploy บริการใหม่ออกมาได้เร็ว และเอไอเอสก็มีเครือข่ายบุคลากรหลังการขาย ช่วยให้สตาร์ทอัพออกสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น การร่วมมือกันระหว่างสองค่ายใหญ่เอไอเอสและไมโครซอฟท์ นำมาสู่ ยุทธศาสตร์ 4S ติดปีกสตาร์ทอัพ คือ Speed, Saving, Solution, Sale & Marketing Speed คือการทำงานบนเครือข่ายของเอไอเอส ที่ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วไทย Saving การเข้าถึงเทคโนโลยีไมโครซอฟท์ได้ฟรี ลดค่าใช้จ่ายและลดระยะเวลา deploy บริการและผลิตภัณฑ์ Solutions การเข้าถึงโซลูชันทั้ง Azure, Visual Studio, GitHub Enterprise ฯลฯ Sale & Marketing เข้าถึงช่องทางการขายหลากหลาย ผ่านพนักงานขายของเอไอเอสและไมโครซอฟท์ สร้างการเติบโตทางธุรกิจ สรุป ย้อนกลับไปสักสิบปีที่แล้ว มาตรวัดความสำเร็จของสตาร์ทอัพคือโมเดลธุรกิจและการสร้าง Impact ต่อสังคม แต่การรันธุรกิจให้ราบรื่นและต่อยอดธุรกิจให้โตขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการทำคนเดียวอาจเป็นเรื่องยาก เพราะสิ่งที่ทำให้ธุรกิจโตต่อไปได้อย่างก้าวกระโดดคือ Infrastructure การสร้างพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งผ่านโครงการ AIS x Microsoft for Startups พร้อมโครงข่าย 5G จากเอไอเอสที่นำมาใช้เป็น use case จริงแล้วในหลายอุตสาหกรรม จะช่วยติดปิกสตาร์ทอัพให้ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สองของสตาร์ทอัพได้อย่างมั่นคง สตาร์ทอัพและผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ หรือเข้าเว็บไซต์ AIS the StartUp หรือ Facebook Fanpage AIS the StartUp
# อยากให้ทุกคนได้พัก Electron ประกาศหยุดพัฒนาเดือนธันวาคม แก้เฉพาะช่องโหว่ความปลอดภัย โครงการ Electron ที่เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเดสก์ทอปประกาศหยุดพักโครงการ (quiet month) ในเดือนธันวาคมนี้เพื่อให้นักพัมนาได้พักผ่อนเต็มที่ ทำให้เดือนธันวานี้ จะไม่มีการออกเวอร์ชั่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นเบต้าหรือเวอร์ชั่นเสถียร, ไม่รับ pull request, ไม่ตอบ issue, ไม่มีนักพัฒนาช่วย debug ใน Discord, และช่องทางโซเชียลไม่มีอัพเดต ทางโครงการยืนยันว่าโครงการยังอยู่ แต่อยากให้ผู้ดูแลโครงการได้พักผ่อนเต็มที่ และเดือนธันวาคมหลายบริษัทก็มีแนวทางลดงานช่วงนี้อยู่แล้ว การที่โครงการโอเพนซอร์สพักไปเหมือนกันทำให้ผู้ร่วมโครงการได้พักผ่อนเต็มที่ และทาง Electron สนับสนุนให้โครงการโอเพนซอร์สอื่นๆ ทำตามด้วย ระหว่างการพัก จะยังคงออกเวอร์ชั่นใหม่ได้ หากเป็นช่องโหว่ความปลอดภัยหรือมีการละเมิดกฎชุมชน ที่มา - Electron
# หนทางสู่ความเป็นอมตะ Samsung จำลองการทำงานนิวรอนลงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เปิดทางจำลองสมองในอนาคต นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ร่วมกับบริษัท Samsung รายงานถึงการจำลองโครงสร้างสมองบนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยทีมวิจัยศึกษาโครงสร้างสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและ “สำเนา” ไปเป็นวงจรหน่วยความจำแบบ solid state โดยผลการศึกษาพบว่าสามารถจำลองการทำงานของสมองบางด้านได้ เปิดทางสร้างคอมพิวเตอร์ที่อาจทำงานใกล้เคียงสมองในอนาคต หลักการทำงานเบื้องต้น คือทีมวิจัยจะใช้แผงนาโนอิเล็กโทรดที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อก็อปปี้แผนผังการเชื่อมต่อเซลล์ประสาท (neuronal connection map) แล้วไปวางไว้บนโครงข่าย solid state memory (SSM) แบบสามมิติความหนาแน่นสูง ที่ Samsung เตรียมร่วมพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษ และเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกับใน SSD ที่เราใช้งานกัน Samsung ระบุว่าผู้วิจัยวาดภาพการสร้างชิปหน่วยความจำที่จะจำลองคุณสมบัติในการประมวลผลของมนุษย์ คือใช้พลังงานต่ำ เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ง่าย ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ ไปจนถึงมีความอัตโนมัติและมีสติสัมปชัญญะ (cognition) ที่เคยอยู่นอกเหนือความสามารถทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ภาพเซลล์ประสาทหนู บนแผงนาโนอิเล็กโทรด CMOS ชื่อเปเปอร์นี้คือ “Neuromorphic electronics based on copying and pasting the brain” หรือแปลได้ว่า การสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ neuromorphic ที่พยายามจำลองการทำงานของสมองด้วยโครงสร้างแบบเดียวกัน โดยจะเป็นการพยายามเลียนแบบโครงสร้างของเซลล์ประสาท เพื่อทำความเข้าใจสมองมนุษย์มากขึ้น สมองของมนุษย์มีนิวรอนประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ และมีจำนวนการเชื่อมต่อต่อนิวรอนอีกนับพัน ซัมซุงระบุว่าการจำลองสมองต้องใช้ชิปหน่วยความจำที่จำลองการเชื่อมต่อทั้งหมดได้ การเชื่อมต่อมากเช่นนี้จำเป็นต้องใช้หน่วยเชื่อมต่อหน่วยความจำแบบสามมิติที่เป็นเทคโนโลยีที่ซัมซุงบุกเบิกสำหรับหน่วยความจำทุกวันนี้ งานวิจัยนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้พยายามสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบนิวโรมอร์ฟิก เพราะ Intel เองเคยเริ่มทำการค้นคว้าเรื่องคอมพิวเตอร์แบบนิวโรมอร์ฟิกมาก่อนหน้านี้ และเปิดตัว Pohoiki Beach บอร์ดจำลองสมองแบบ neuromorphic-computing ขนาด 8 ล้านนิวรอนมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2019 ภาพบอร์ด Pohoiki Beach นอกจากนี้ Dr. Mark Dean หนึ่งในผู้ร่วมสร้าง IBM PC รุ่นแรก ก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมค้นคว้าเกี่ยวกับ neuromorphic computing เช่นกัน แต่งานวิจัยนี้ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและ Samsung น่าจะเป็นการพยายามต่อยอดการพัฒนาไปอีกขั้น โดยการก็อปปี้การทำงานของเซลล์ประสาทสมองมนุษย์ลงไปบนหน่วยความจำ การผลักดันเทคโนโลยีการประมวลผลและหน่วยความจำด้วยการจำลองสมองมนุษย์ อาจเป็นอีกวิธีที่ทำให้มนุษย์เข้าใกล้คอมพิวเตอร์ประมวลผลความเร็วสูงได้เร็วขึ้น และอาจเป็นอีกก้าวที่ทำให้มนุษย์เข้าใกล้การอัพโหลดสมองสู่คอมพิวเตอร์มากขึ้น ถือเป็นการค้นคว้าวิทยาการทางคอมพิวเตอร์อีกสาย ที่น่าสนใจไม่แพ้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเลยทีเดียว ที่มา - PCGamer, Samsung
# DeepMind โชว์โมเดล AI พยากรณ์อากาศระยะสั้น 2 ชม. บอกได้ว่าฝนจะตกหรือไม่ DeepMind บริษัท AI ในเครือ Alphabet ประกาศความร่วมมือกับสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของสหราชอาณาจักร (Met Office) สร้างอัลกอริทึมที่พยากรณ์อากาศได้แม่นยำในช่วงเวลาสั้นๆ (Nowcasting) เช่น บอกล่วงหน้าได้ก่อน 2 ชั่วโมงว่าจะมีฝนตกหรือไม่ โมเดลพยากรณ์อากาศในปัจจุบันใช้ระบบที่เรียกว่า numerical weather prediction (NWP) เป็นการพยากรณ์สภาพอากาศทั้งโลก (planet-scale) ล่วงหน้าเป็นเวลานานหลายวัน ปัญหาของโมเดลแบบเก่าคือพยากรณ์อากาศระยะสั้นไม่ได้ โมเดลใหม่ของ DeepMind เป็นการนำข้อมูลจากเรดาร์ตรวจอากาศความละเอียดสูง วัดค่าบ่อยๆ (เช่น วัดค่าในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรทุก 5 นาที) มาใช้พยากรณ์อากาศล่วงหน้าสั้นๆ ไม่เกิน 2 ชั่วโมง DeepMind บอกว่าโมเดลของตัวเอง (ชื่อทางเทคนิคคือ DGMR หรือ Deep Generative Model for Rainfall) ได้รับการยอมรับจากนักพยากรณ์อากาศของ Met Office ว่ามีความแม่นยำกว่าโมเดลพยากรณ์อื่นๆ ที่ใช้ deep learning ในปัจจุบันอย่าง PySTEPS และ Unet (แต่ก็ยังเป็นการเปรียบเทียบกับข้อมูลสภาพอากาศย้อนหลังในปี 2019 เพียงกรณีเดียว) บริษัทตีพิมพ์เปเปอร์วิจัยใน Nature ซึ่งสามารถเข้าไปอ่านกันได้ฟรี รวมถึงเผยแพร่โมเดลและชุดข้อมูลบน GitHub ด้วย ที่มา - DeepMind
# โรงงาน Western Digital ในไทยเข้ากลุ่ม Global Lighthouse Network จาก World Economic Forum หลังใช้เทคโนโลยีพัฒนาการผลิต โรงงาน Western Digital ในจังหวัดปราจีนบุรี ได้เข้าร่วมกลุ่ม Global Lighthouse Network ของ World Economic Forum ในแง่โรงงานที่มีเทคโนโลยีการผลิตล้ำสมัย โดยเป็นโรงงานแรกในประเทศไทยที่จัดเป็น end-to-end (E2E) Lighthouse ที่มีนวัตกรรมและเสริมกำลังการผลิตแรงงานไปอีกระดับ ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR - Fourth Industrial Revolution) หรืออุตสาหกรรม 4.0 Global Lighthouse Network เป็นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 มาสร้างประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้จริง ไม่ใช่เพียงการสาธิตโครงการนำร่องเท่านั้น ปัจจุบันมีโรงงานที่อยู่ในกลุ่ม 90 แห่ง และโรงงานของ WD ได้เข้าร่วมกลุ่มพร้อมกันทั้งโรงงานในไทยและมาเลเซีย โรงงานของ WD ที่เข้าร่วมกลุ่มครั้งนี้เป็นโรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์ ที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และ IoT มาเปลี่ยนโรงงานให้สามารถติดตามกระบวนการผลิตได้ทั้งระบบแบบเรียลไทม์ เก็บข้อมูลมาใช้วิเคราะห์คาดการณ์และปรับปรุงระบบ จนเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นถึง 123% ลดต้นทุนจากการสั่งซื้อได้ 32% ลดปริมาณการส่งผลผลิตคืนได้ 43% และลดต้นทุนจากการแก้ไขงานได้ 41% ที่มา - งานแถลงข่าว Western Digital, BusinessWire, WEF
# โค้ดอาจไม่สวยแต่ธีมต้องสวยก่อน ไมโครซอฟท์เปิดให้แปลงธีม VS Code มาใช้กับ VS 2022 ความนิยมของ Visual Studio Code ส่งผลให้มีคนสร้างชุดธีมเป็นจำนวนมาก ล่าสุดไมโครซอฟท์เปิดให้นำธีมเหล่านี้ไปใช้กับ Visual Studio 2022 รุ่นใหญ่ได้แล้ว ไมโครซอฟท์ระบุว่ากำลังพัฒนาตัวช่วยแปลงธีม VS Code มาเป็นธีมของ VS 2022 และติดต่อผู้สร้างธีม VS Code หลายรายให้ลองทดสอบกันดูก่อน ผลคือธีมใหม่จำนวนหนึ่ง (กดดูรายชื่อทั้งหมดได้จากที่มา) ที่ใช้งานได้กับ VS 2022 Preview 4 ขึ้นไป ผู้ที่สนใจพอร์ตธีมสามารถทดสอบตัวแปลงธีมได้แล้ว ไมโครซอฟท์บอกว่าตัวแปลงธีมยังเพิ่งเริ่มต้นพัฒนา และยังเน้นที่การทำธีมรองรับ C++ และ C# เป็นหลักก่อนขยายไปยังภาษาอื่นๆ ในระยะถัดไป ที่มา - Visual Studio Blog
# ซื้อมายังไม่ครบเดือน Firesprite สตูดิโอใหม่สังกัด PlayStation ซื้อกิจการเพิ่ม ขยายทีมพัฒนา เมื่อต้นเดือนนี้ เราเห็นข่าว PlayStation Studios ซื้อกิจการ Firesprite สตูดิโอเกมอังกฤษที่สร้าง The Playroom เพื่อเสริมกองทัพผลิตเกมแข่งกับไมโครซอฟท์ เวลาผ่านมาไม่ถึงเดือน Firesprite ประกาศข่าวซื้อกิจการ Fabrik Games สตูดิโอเกมจากอังกฤษอีกแห่ง (Firesprite อยู่ลิเวอร์พูล ส่วน Fabrik อยู่แมนเชสเตอร์) เพื่อผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Firesprite อีกที เพิ่มจำนวนทีมพัฒนาของ Firesprite ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 265 คน (เท่ากับว่า PlayStation Studios มีสตูดิโอในสังกัด 14 แห่งเท่าเดิม แต่คนเยอะขึ้น) Fabrik Games ก่อตั้งเมื่อปี 2014 โดย Graeme Ankers ผู้บริหารของ Firesprite มีผลงานเกมอินดี้ 2 เกมคือ Filthy Lucre และ The Lost Bear (เกมหลังเป็น VR) นอกจากนี้ยังมีบทบาทช่วย Firesprite พัฒนาเกม The Persistence ด้วย เรียกว่าคุ้นเคยกันอย่างดีทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่มา - Firesprite, Eurogamer
# Cloudflare Dash เปิดตัว Dark Mode ให้แอดมินทำงานในความมืดได้อย่างสบายตา กระแสความนิยมของ Dark Mode ไม่ได้จำกัดแต่ระบบปฏิบัติการ แอพมือถือ-เดสก์ท็อปเท่านั้น ล่าสุด Cloudflare ออก Dark Mode สำหรับหน้าเว็บจัดการ Cloudflare Dashboard ให้แอดมินสามารถทำงานได้สบายตาแม้ในยามค่ำคืน ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าจาก Settings ใน Cloudflare Dashboard โดยเลือกธีม Light, Dark หรืออิงจากค่าของระบบ Cloudflare ยังเผยเบื้องหลังการออกแบบ Dark Mode โดยกำนดตั้งแต่คู่สี ฟอนต์ และระบบการออกแบบ ใครสนใจสายดีไซน์ UX/UI ตามอ่านได้จากที่มา ที่มา - Cloudflare
# จาก April Fool’s Day ในวันนั้น สู่การพรีออเดอร์ในวันนี้ Stack Overflow ขายปุ่มก็อปวางโค้ดแล้ว ในวัน April Fool’s Day ที่ผ่านมา Stack Overflow เล่นมุกขายฮาร์ดแวร์ตัวแรกเป็นคีย์บอร์ดในชื่อ The Key สำหรับ copy/paste โค้ดเพื่อความสะดวกสูงสุด จนหลายคนรู้สึกว่าอยากให้ทำออกมาขายจริง ล่าสุดทาง Stack Overflow เปิดพรีออเดอร์ปุ่มนี้แล้วในราคา 29 ดอลลาร์ sหรือราว 1,000 บาท The Key มีสามปุ่มคือ C V และ อีกปุ่มหนึ่งที่ยังไม่ชัดเจนว่าใช้ทำอะไรแต่มีโลโก้ Stack Overflow วางอยู่ โดยคาดว่านักพัฒนาสามารถนำปุ่มไปตั้งโปรแกรมต่อได้ ภาพจาก Stack Overflow ที่มา - The Verge
# แอปเปิลเปิดให้คะแนนรีวิวแอปของตัวเองได้ คอมเม้นท์ล้นหลาม Podcasts ได้คะแนนรีวิวน้อยสุด ปกติแล้ว แอปเปิลไม่เคยเปิดให้ผู้ใช้งานจัดเรตติ้งหรือรีวิวแอปขอองฝั่งแอปเปิลอย่าง Mail, Music, News, Stocks และ Calculator เลย โดยเปิดให้รีวิวเฉพาะแอปของนักพัฒนาภายนอกเท่านั้น ล่าสุด 9to5Mac ไปเจอว่าแอปเปิลเปิดให้รีวิวแอปของบริษัทได้ผ่าน App Store แล้ว และทันทีที่แอปเปิลเปิดโอกาสให้รีวิว ก็มีคอมเม้นท์รีวิวแอปฝั่งแอปเปิลมากมาย โดยตอนนี้แอป Podcasts ได้คะแนนรีวิวจากผู้ใช้งานน้อยที่สุดคือ 2.0 แอปเปิลไม่บอกเหตุผลที่เปิดให้รีวิว แต่คาดว่าเป็นเพราะแรงกดดันจากการเลือกปฏิบัติระหว่างแอปของตัวเองกับแอปของบริษัทนักพัฒนาภายนอก นอกจาก Podcasts แล้ว ยังพบด้วยว่าแอป Translate ได้คะแนนรีวิว 2.2 ดาว ซึ่งคอมเม้นท์วิจารณ์มักนำแอปเทียบกับคู่แข่งอย่าง Google Translate, Apple News คะแนนรีวิว 2.3 ดาว โดยหลายคนบ่นว่าแอปหยุดทำงานซ้ำๆ เมื่อเรียกดูบทความ ส่วนแอปที่ได้คะแนนสูงขึ้นมาคือ Voice Memos ได้ 4 ดาว, Weather และ Apple Music ได้ 3.7 ดาว ผู้ใช้งานสามารถให้คะแนนและวิจารณ์แอปของ Apple ที่สามารถลบและติดตั้งใหม่ได้ผ่าน App Store ยกเว้นแอปสำคัญอย่าง Phone และ Messages ที่มา - 9to5Mac
# Twitch เพิ่มระบบคัดกรองผู้ชม ต้องยืนยันตัวตนก่อนถึงจะแชทกับสตรีมเมอร์ได้ Twitch ออกมาตรการป้องกันปัญหากลั่นแกล้งหรือรุมด่ากันออนไลน์ ซึ่งช่วงหลังเกิดกับบรรดาสตรีมเมอร์ที่ถูกรุมถล่ม (แบบตั้งใจหรือเจาะจงตัว) ระหว่างสตรีมเกม มาตรการของ Twitch คือสตรีมเมอร์สามารถตั้งค่าว่าคนที่จะเข้ามาร่วมแชทได้ ต้องยืนยันตัวตนด้วยโทรศัพท์หรืออีเมลเท่านั้น (Verified Chat) โดยสตรีมเมอร์สามารถตั้งค่าได้อย่างละเอียดว่า ให้บัญชีใดบ้างที่ต้องยืนยันตัวตน ทุกบัญชี คนที่เข้ามาแชทครั้งแรก ตามอายุการสร้างบัญชี เช่น อย่างน้อย 1 ชั่วโมงไปจนถึง 6 เดือน ตามอายุการติดตามสตรีมเมอร์ อย่างน้อย 10 นาทีไปจนถึง 3 เดือน สตรีมเมอร์ยังสามารถกำหนดเงื่อนไขยกเว้นให้ผู้ชมบางกลุ่ม เช่น VIP, Subscribers, Moderators ได้ด้วย Twitch บอกว่าเครื่องมือ Verified Chat ตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นระบบป้องกันที่อยู่ระหว่างการแบนผู้ใช้ กับการปล่อยให้สตรีมเมอร์โดนโจมตี โดยผู้ใช้ที่ไม่ได้ยืนยันตัวตนจะยังสามารถรับชมสตรีมได้ ติดตามช่องได้ (ไม่ส่งผลให้จำนวนผู้ชมสตรีมลดลง) แต่เข้ามาพูดคุยในช่องไม่ได้ จนกว่าจะยืนยันตัวตน ที่มา - Twitch
# [ไม่ยืนยัน] สตูดิโอเกมหลายแห่งได้ Nintendo Switch 4K ไปพัฒนาเกมรอแล้ว Bloomberg อ้างข้อมูลจากพนักงานในบริษัทเกม 11 แห่ง (ที่ระบุชื่อคือ Zynga บริษัทเดียว) ว่ามีชุดพัฒนาของ Nintendo Switch 4K ในครอบครองแล้ว ตามข่าวบอกว่านินเทนโดแจก dev kit ของ Switch 4K ให้สตูดิโอเกมมาได้สักพักแล้ว แผนเดิมคือจะออก Switch 4K ปีนี้ แต่มีปัญหาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขาดแคลน ทำให้เปลี่ยนใจไปออก Switch OLED แทน ซึ่งทำให้นักพัฒนากลุ่มที่ได้ Switch 4K เซอร์ไพร์สเช่นกัน ข่าวล่าสุดของ Bloomberg ระบุว่า Switch 4K จะออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 เป็นอย่างเร็ว ส่วนนินเทนโดปฏิเสธข่าวทั้งหมดของ Bloomberg ว่าไม่ถูกต้อง ที่มา - Bloomberg, Polygon
# Google Maps เพิ่มข้อมูลแหล่งติดต่อ และการอพยพเมื่อเกิดไฟป่า Google Maps เปิดตัวการแสดงพื้นที่ที่เกิดไปฟ่าไปก่อนหน้านี้โดยใช้ข้อมูลดาวเทียม เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าพื้นที่ไฟป่าครอบคลุมขนาดไหน ล่าสุดกูเกิลต่อยอด นำข้อมูลไฟป่าทั้งหมดมารวมกับเลเยอร์ใหม่ใน Google Maps เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ฉุกเฉิน หมายเลขโทรศัพท์ และข้อมูลการอพยพจากรัฐบาลท้องถิ่นหากได้รับแจ้ง ผู้ใช้งานสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับไฟป่า เช่น การควบคุมไฟ ขนาดพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้ และข้อมูลอัพเดตล่าสุดทั้งหมด ฟีเจอร์ใหม่จะเปิดตัวทั่วโลกบน Android, iOS และเดสก์ท็อป ในเดือนตุลาคมนี้ ที่มา - YouTube: Google Search On
# เปิดตัว Google Lens ใน Chrome แคปเจอร์ภาพในเดสก์ทอปเพื่อค้นหาได้ ไม่ต้องออกจากเว็บ ในงาน Search On กูเกิลเปิดตัวการใช้งาน Google Lens ใน Chrome ผู้ใช้งานสามารถใช้ Google Lens บนเดสก์ทอปได้ วิธีการคือ คลิปขวาที่รูปภาพ เลือกเมนู Search with Google Lens ระบบจะแสดงผลการค้นหาที่หน้าต่างด้านขวามือทันที โดยผู้ใช้งานไม่ต้องออกจากเว็บไซต์นั้นๆ ที่มา - YouTube: Google Search On
# ฟีเจอร์ใหม่ Google Lens ใช้ภาพผสมข้อความในการค้นหาได้ กูเกิลพัฒนา Multitask Unified Model หรือ MUM เป็นระบบ AI ที่สามารถทำความเข้าใจข้อมูลได้หลากหลาย เข้าใจภาษามากกว่า 75 ภาษา ถูกฝึกให้เข้าใจทั้งข้อความและรูปภาพ และยังดึงข้อมูลที่มีความเชื่อมโยงเข้าหากันได้ด้วย ล่าสุด ในงาน Search On กูเกิลนำ MUM มาใช้ในการค้นหาผ่าน Google Lens ใช้ภาพผสมข้อความในการค้นหาได้ ตัวอย่างในคลิปนี้ คือการใช้ Google Lens ค้นหาแหล่งขายเสื้อจากรูปภาพ จากนั้นก็สามารถค้นหาให้ลึกเข้าไปอีกได้ เช่นค้นหาถุงเท้าที่มีลายหรือแพตเทิร์นแบบเดียวกับเสื้อตัวนี้ อีกสถานการณ์คือ การถ่ายภาพล้อจักรยาน และค้นหาวิธีซ่อมแซมล้อต่อได้ กูเกิลจะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ภายในเดือนหน้า และจะเริ่มที่การค้นหาในภาษาอังกฤษก่อน ที่มา - YouTube: Google Search On
# เกม New World ห้ามตั้งชื่อตัวละครล้อ Jeff Bezos หรือบริษัท Amazon ผู้สร้าง เกม New World ของ Amazon เริ่มเปิดให้เล่นในหลายๆ ภูมิภาคแล้ว แม้ปัจจุบันจะได้คะแนนรีวิวระดับ “Mixed” ใน Steam แต่ก็ถูกพูดถึงและมีผู้เล่นเยอะพอสมควร แต่จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือผู้เล่นจะพบว่าไม่สามารถตั้งชื่อให้เหมือน หรือแม้แต่คล้าย Jeff Bezos ซีอีโอของ Amazon เจ้าของ Amazon Games ผู้สร้างเกมนี้ ผู้เล่นไม่สามารถตั้งชื่อว่า Jeff Beseus, JeffB, Bez0s, Be Zos หรือชื่ออื่นที่คล้ายคลึงได้ รวมถึงไม่สามารถมีคำว่า Amazon ในชื่อได้ โดยจะขึ้นคำเตือนว่า "the name cannot be used" ซึ่งเป็นคำเตือนเดียวกันหากผู้เล่นใช้คำหยาบในชื่อ เว็บไซต์ Rock Paper Shotgun พบว่าใช้คำว่า Geoff Bay Sos ได้ ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ ก็หาวิธีตั้งชื่อแบบอื่นจนได้เช่นกัน เช่น Beff Jezos แม้จะดูเหมือนเป็นการพยายามปกป้อง Jeff Bezos หรือบริษัท Amazon แต่เกมออนไลน์หลายๆ เกมก็มีฟิลเตอร์ป้องกันไม่ให้ผู้เล่นตั้งชื่อที่เกี่ยวข้องกับทีมงานหรือเจ้าของเกม เพื่อป้องกันการแอบอ้าง อยู่เป็นปกติ ประเด็นนี้อาจจะเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะ Jeff Bezos และ Amazon เองมีปัญหาด้านนโยบายการทำงานอยู่บ่อยๆ เช่นล่าสุดที่ กล้องตรวจจับพนักงานในรถขนส่งทำงานผิดพลาด และเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ที่ทำให้มีชาวเน็ตหลายส่วนที่ไม่พอใจนัก ที่มา - Neowin
# Cloudflare เปิดบริการรับจดโดเมน คิดราคาเท่าทุน จด .com ไม่ถึงสามร้อยบาท Cloudflare เปิดบริการรับจดโดเมนให้กับผู้ใช้ทุกคนแล้ว หลังก่อนหน้านี้จำกัดเฉพาะบัญชีระดับ Biz, Pro, และ Enterprise และยังเน้นรับจดโดเมนสำหรับการย้ายเข้า (เพื่อมาใช้บริการ Cloudflare) เป็นหลัก ตอนนี้บริการ Registrar จะรับจดโดเมนใหม่ได้ทันที และใช้ได้กับบัญชีทุกระดับ จุดเด่นของบริการจดโดเมนนี้คือ Cloudflare สัญญาว่าจะคิดเงินเท่าต้นทุนค่าจดทะเบียนแต่ละโดเมนซึ่งเป็นค่าจดทะเบียนกับ Registry โดเมนต่างๆ และค่าธรรมเนียม ICANN เท่านั้น หากบาง Registry คิดค่าธรรมเนียมเป็นเงินสกุลอื่นนอกจากดอลลาร์ก็จะปรับเป็นดอลลาร์ตามความเปลี่ยนแปลงค่าเงินประมาณเดือนละครั้ง แนวทางนี้ทำให้ค่าบริการโดเมนของ Cloudflare ค่อนข้างถูก .com นั้นอยู่ที่ 8.57 ดอลลาร์ หรือประมาณ 290 บาท ตอนนี้ Cloudflare ยังรับจดทะเบียนโดเมนจำกัดแต่ก็ค่อยๆ เพิ่มโดเมนเข้ามาเรื่อย ที่มา - Cloudflare Blog
# Apple บอก iPad mini 6 เวลาเลื่อนจอแล้วภาพสั่นเหมือนเจลลี่ เป็นเรื่องปกติของจอ LCD iPad mini 6 เริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าในหลายประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีรายงานปัญหาจากผู้ใช้งาน โดยพบอาการภาพเด้งสั่นเหมือนเยลลี่ เพราะแสดงผลตามกันไม่ทันทั้งหมด เกิดขึ้นเวลาปัดเลื่อนหน้าจอ ซึ่งเรียกว่า Jelly scrolling ซึ่งแอปเปิลก็ออกมาชี้แจงปัญหานี้แล้ว แอปเปิลได้ชี้แจงกับ Ars Technica ว่าอาการ Jelly scrolling เป็นเรื่องปกติของหน้าจอแบบ LCD เพราะใช้วิธีรีเฟรชหน้าจอแยกทีละบรรทัด จึงอาจเกิดดีเลย์ขึ้นได้ ดูตัวอย่างของอาการที่เกิดขึ้นได้ท้ายข่าว ที่มา: 9to5Mac
# คุยกับคุณชาง ฟู COO จาก Tencent Cloud บริการคลาวด์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าในไทยด้วย Data Center ในประเทศ ในปัจจุบันบริการคลาวด์มีการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกต่างปรับตัวเพื่อทรานส์ฟอร์มองค์กรให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดนิ่งในยุคดิจิทัล เฟิร์ส เราจึงเห็นผู้ให้บริการคลาวด์ระดับยักษ์ใหญ่หลายรายเริ่มขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทุกภาคพื้นเศรษฐกิจ รวมถึงนำเสนอโซลูชันที่ตอบความต้องการเฉพาะของแต่ละท้องถิ่นได้อย่างครบวงจร Tencent Cloud เริ่มจากการให้บริการเฉพาะในจีนในช่วงปี 2016 และขยายตัวออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้มี data center อยู่ใน 27 ภูมิภาค รวมจำนวน 68 โซน น่าสนใจว่าเฉพาะในแถบอาเซียนนั้น Tencent Cloud มี data center อยู่ถึง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยประเทศไทยตอนนี้ Tencent Cloud มี data center ในไทยถึง 2 แห่งแล้ว Blognone พูดคุยกับคุณชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จํากัด หลังจากปีที่แล้วเคยพูดคุยกันไปครั้งหนึ่งเพื่อแนะนำบริการ Tencent Cloud ในไทย หลังจากผ่านมาปีกว่า ตอนนี้ Tencent Cloud ยังคงขยายบริการในไทยอย่างต่อเนื่อง Data Center ของ Tencent Cloud ทั่วโลก Tencent Cloud มองตลาดคลาวด์ในเอเชียเป็นอย่างไร ทำไมจึงเน้นลงทุนในภูมิภาคนี้ เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูง และ Tencent Cloud มองว่าเราต้องลงทุนเพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะในอาเซียนเอง ไทยนับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้คลาวด์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการ์ทเนอร์คาดว่าจะเติบโตถึง 31.7% ในปีนี้ เร็วกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 23.1% อย่างชัดเจน ที่ผ่านมาเรามีบริการสำหรับผู้บริโภคทั่วไปอย่างเช่น JOOX หรือ WeTV อยู่แล้ว แต่เพื่อให้โครงสร้างรองรับลูกค้าในระดับองค์กรที่จะเข้ามาใช้งานได้ด้วยก็ต้องลงทุนเพิ่มเติมต่อไป นอกจาก data center ที่อยู่ในไทยแล้ว บริการหลายตัวก็รองรับภาษาไทยอย่างการแปลงภาพหรือเสียงเป็นข้อความ เรามองว่าการรองรับภาษาท้องถิ่นเป็นเรื่องสำคัญ และที่ผ่านมาเราก็ทำตลาดต่อเนื่องในประเทศไทยทำให้การรองรับภาษาไทยเป็นภาษาที่อยู่ในกลุ่มแรกๆ นอกจากนี้ เรามีบริการสำหรับผู้ใช้ทั่วไปหลายตัวที่รองรับภาษาไทยอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อฝึกปัญญาประดิษฐ์ให้รองรับภาษาไทยได้ต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีลูกค้ากลุ่มไหนให้ความสนใจ Tencent Cloud เป็นพิเศษ เราพยายามทำงานร่วมกับลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมโดยลูกค้ากลุ่มที่ให้ความสนใจบริการจาก Tencent Cloud เป็นพิเศษคือธุรกิจกลุ่มสื่อ หรือผู้ต้องการทำสื่อประชาสัมพันธ์หรือสื่อทางการตลาดรูปแบบใหม่ นอกจากโซลูชั่นที่ครบเครื่อง เทนเซ็นต์ เองก็มีความเชี่ยวชาญจากการที่มีบริการสื่อของตัวเองอยู่ ทำให้สามารถช่วยตอบสนองความต้องการของธุรกิจกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ เช่น การไลฟ์สตรีมวิดีโอ (Live Video Broadcasting - LVB) ที่รองรับการทำไลฟ์สตรีมคุณภาพสูงรองรับผู้ชมจำนวนมาก อีกสองกลุ่มที่มีการทำงานร่วมกับเราคือ กลุ่มค้าปลีก ที่อาจจะใช้บริการไลฟ์สตรีมวิดีโอเช่นเดียวกับกลุ่มสื่อเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มภาคการผลิตที่เราทำงานร่วมกับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างโซลูชันด้านการเงินการธนาคารจาก Tencent Cloud แต่อีกกลุ่มที่เราเข้าไปทำงานด้วยคือกลุ่มธนาคารที่กำลังทรานสฟอร์มตัวเอง เรามีโซลูชันด้าน e-KYC (ระบบทำความรู้จักลูกค้าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์) และปัญญาประดิษฐ์ที่ตอบโจทย์ของลูกค้ากลุ่มนี้ นอกจากนี้บริการด้านฐานข้อมูลก็เป็นบริการที่ได้รับความสนใจเพราะธนาคารต้องประมวลข้อมูลการโอน-จ่าย จำนวนมาก และบางแห่งอาจจะไม่พอใจกับระบบฐานข้อมูลแบบเดิมๆ ที่ใช้งานอยู่ ประสบการณ์ของเราจากการให้บริการ WeBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลเต็มตัว ทำให้ธนาคารต่างๆ มั่นใจได้ว่าระบบฐานข้อมูลของ Tencent Cloud สามารถรองรับการใช้งานได้ ปีที่ผ่านมา Tencent Cloud มีความเปลี่ยนแปลงในไทยอย่างไรบ้าง ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคงเป็นการเปิด data center แห่งที่สอง ทำให้เรามีระบบสำรอง (redundancy) ในประเทศไทย นอกจากนี้เรายังอัพเกรด data center แรกให้ใช้เทคโนโลยีล่าสุด เป็นความตั้งใจของเราว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่เสมอ ความเปลี่ยนแปลงถัดมาคือเราเพิ่มสินค้าและบริการในไทยจำนวนมาก จากเดิมที่เราเริ่มจากการให้บริการคลาวด์แบบ IaaS เป็นหลัก ตอนนี้เรามองเป็นโซลูชันสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น โซลูชัน Smart Retail สำหรับองค์กรกลุ่มค้าปลีก หรือ Smart Banking สำหรับลูกค้ากลุ่มการเงิน จากนี้เรายังสร้าง ecosystem ทั้งระบบจากการทำงานร่วมพันธมิตรอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศเพื่อช่วยซัพพอร์ตลูกค้า หรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระที่จะเข้ามาใช้ Tencent Cloud เป็นแพลตฟอร์มในการนำเสนอบริการให้กับผู้ใช้ต่อไป สรุป ปี 2020-2021 นับเป็นช่วงเวลาที่องค์กรต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงการทำงานและการทำธุรกิจมาสู่รูปแบบดิจิทัลกันในเวลาอันสั้น Tencent Cloud เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่ขยายธุรกิจในประเทศไทยเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้องค์กรต่างๆพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้อย่างทันท่วงที Tencent Cloud มี data center ในไทยถึงสองแห่ง ทำให้องค์กรสามารถวางระบบสำรองในประเทศ ลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจนระบบล่ม ลดความเสี่ยงกับปัญหาการเชื่อมต่อนอกประเทศ Tencent Cloud ร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น ตัวแทนจำหน่าย และนักพัฒนา เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงช่องทางบริการ Tencent Cloud ได้ง่าย ดังนั้นแนวทางการลงทุนเพื่อรองรับตลาดในประเทศของ Tencent Cloud ทำให้เป็นบริการคลาวด์ที่เหมาะกับธุรกิจในไทยอย่างยิ่ง
# Alibaba ประกาศห้ามขายอุปกรณ์ขุดเงินคริปโตทุกชนิดบนแพลตฟอร์ม เริ่ม 8 ตุลาคมนี้ Alibaba ประกาศห้ามขายอุปกรณ์สำหรับขุดเงินคริปโต และอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้องกันตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป หลังจากรัฐบาลจีนมีท่าทีต่อต้านวงการเงินคริปโตมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้ว่าธนาคารกลางจีนถึงกับระบุว่าธุรกรรมเกี่ยวกับเงินคริปโตทั้งหมดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ปัจจุบัน Alibaba และ Aliexpress เป็นแพลตฟอร์มใหญ่ขายอุปกรณ์ขุดเงินคริปโต เช่นเคส หรือเมนบอร์ดเฉพาะทาง โดยที่ผ่านมา Alibaba อนุญาตให้บริษัทจีนขายสินค้าเหล่านี้ให้กับคนต่างชาติได้ แม้ว่าเว็บ Taobao ที่ทำตลาดกับคนจีนเองก็ห้ามขายอุปกรณ์เหล่านี้ไปตั้งแต่ปี 2014 ทาง Alibaba เตือนว่าหากประกาศมีผลแล้วยังมีผู้นำสินค้าในกลุ่มนี้มาวางขายอีกหลังวันที่ 15 ตุลาคมอาจจะถูกล็อกบัญชี หรือแบนบัญชีไปเลย ที่มา - South China Morning Post
# ไมโครซอฟท์เปิดรับแอพขึ้น Store ของ Windows 11 แล้ว, Epic มาร่วมขายเกมด้วย ไมโครซอฟท์เปิดรับแอพขึ้น Microsoft Store ของ Windows 11 เตรียมความพร้อมก่อนวันปล่อยอัพเดตจริง 5 ตุลาคม 2021 ไมโครซอฟท์เปิดรับแอพจากนักพัฒนาบางรายมาล่วงหน้าแล้ว ปัจจุบัน Microsoft Store ของ Windows 11 มีแอพดังๆ อย่าง Discord, Zoom, KakaoTalk, VLC, TeamViewer, Adobe Reader DC, LibreOffice เบราว์เซอร์คู่แข่ง Opera, Yandex รวมถึงแอพของไมโครซอฟท์เองอย่าง Visual Studio Code แอพที่รองรับตอนนี้ยังเป็นแอพเดสก์ท็อปฝั่งวินโดวส์ และเว็บแอพในรูปแบบ PWA ส่วนแอพ Android ที่จะเชื่อมจาก Amazon Appstore ยังต้องรอกันไปก่อน ความเคลื่อนไหวสำคัญอีกอย่างคือ นโยบายสโตร์ซ้อนสโตร์ ตามที่ประกาศไว้ (Amazon Appstore ถือเป็นสโตร์แรกตามนโยบายนี้) ได้สโตร์ใหม่อีก 1 รายคือ Epic Games ที่นำเกมมาขายบน Microsoft Store ด้วย ไมโครซอฟท์ยังระบุว่า Microsoft Store เวอร์ชันใหม่จะนำมาใช้กับ Windows 10 ด้วย แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาแน่ชัด ที่มา - Microsoft
# Netflix ซื้อบริษัทเกมแห่งแรก Night School Studio ผู้สร้างเกมผจญภัย Oxenfree Netflix ประกาศซื้อกิจการสตูดิโอเกมแห่งแรก ตามนโยบายการบุกเข้าตลาดเกมตามที่ประกาศไว้ สตูดิโอแรกที่ถูก Netflix ซื้อกิจการคือ Night School Studio บริษัทจากแคนาดา ผู้สร้างเกม Oxenfree เกมผจญภัย 2D เน้นเนื้อเรื่อง พอสมควร ตัวแทนของ Netflix ระบุว่าตัดสินใจซื้อ Night School เพราะความโดดเด่นด้านการเล่าเรื่อง ซึ่งเหมาะสมกับแนวทางของ Netflix ที่พยายามทำงานกับครีเอเตอร์เก่งๆ ทั่วโลกอยู่แล้ว ตอนนี้ทางสตูดิโอกำลังพัฒนา Oxenfree II อยู่ และจะพัฒนาต่อไปตามแผนเดิม ที่มา - Night School Studio, VentureBeat, Netflix
# ปิดปากคุณได้ก็จะปิดปาก Rockstar ตั้งค่าซ่อนคอมเมนต์ที่มีคำว่า “GTA 6” บนยูทูบของบริษัท หลังตัวอย่างใหม่ของ GTA:V เวอร์ชั่น PS5 ถูกถล่มจนยอดดิสไลก์อยู่ที่ 238k เทียบกับยอดไลค์เพียง 30k และมีแฟนๆ ถามหา GTA 6 กันเต็มไปหมดในช่องคอมเมนต์ ดูเหมือนว่า Rockstar จะหมดความอดทน และถึงกับตั้งค่า mute คำว่า “GTA 6” บนแชนแนลของบริษัทไปเลย ทวิตเตอร์ @Not_StrangeMan เป็นผู้ค้นพบเรื่องนี้ โดยเขาทดลองนำบัญชีหลักไปคอมเมนต์ว่า GTA 6 ในคลิปเก่าของ Rockstar แต่เมื่อเอาอีกบัญชีไปอ่านคอมเมนต์ กลับพบว่ามองไม่เห็นคอมเมนต์ GTA 6 ของเขาแล้ว ซึ่งน่าจะเกิดมาจาก Rockstar ตั้งค่าไม่ให้แสดงคอมเมนต์ที่มีคำนี้ ยังไม่มีวี่แววว่า Rockstar จะเปิดตัวเกมใหม่เมื่อไร และข่าวช่วงหลังที่ออกก็มีแต่เกี่ยวกับ GTA:V หรือเกม GTA 3, Vice City, San Andreas ภาครีเมคเท่านั้น ซึ่งการนำ GTA:V กลับมาขายใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ออกภาคใหม่ กำลังทำให้แฟนๆ ไม่พอใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ที่มา - @Not_StrangeMan
# สรุปรีวิว iPad Mini สวย เล็ก เหมาะใช้งานมือเดียว แต่ UI ยังไม่เข้าที่ ขาดอุปกรณ์เสริม และราคาแรงขึ้น สื่อหลายเจ้าเริ่มเริ่มมีรีวิว iPad Mini รุ่นปี 2021 กันออกมาแล้ว ส่วนใหญ่พูดในจุดเดียวกันว่าเหมาะสำหรับคนชอบแท็บเล็ตไซส์เล็ก และตอบโจทย์การใช้งานด้านเสพย์สื่อได้อย่างครบครัน แถมจับถนัดมือกว่าเมื่ออ่านบทความหรือหนังสือในแนวตั้ง ขนาดที่เล็กลงการกดปุ่มบนจอตอนเล่นเกมทำได้สะดวกขึ้น พอร์ตชาร์จ USB-C ทำให้การเชื่อมต่อและโอนย้ายไฟล์ทำได้ง่ายกว่าเดิม การรองรับ Apple Pencil รุ่นที่สองทำให้การจดโน้ตทำได้สะดวกขึ้น แม้อาจจะเล็กเกินไปสำหรับการวาดภาพแบบจริงจัง ส่วนการวาง TouchID ไว้บนปุ่มล็อกเครื่อง ก็ทำให้ใช้งานสะดวกขึ้น (และอาจสะดวกกว่า FaceID เมื่อต้องใส่หน้ากากอยู่ข้างนอก) ด้านประสิทธิภาพ แม้ชิป Apple A15 รุ่นล่าสุดในเครื่องจะถูกลดความเร็วจนด้อยกว่า iPhone 13 แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพสูงอยู่ หน้าจอถึงจะไม่เป็นจอ ProMotion 120Hz แต่ก็เป็น IPS LCD คุณภาพดี ขนาดหน้าจอที่เล็กกว่าทำให้ความละเอียด 1488x2266 พิกเซล มีจำนวนพิกเซลต่อตารางนิ้วอยู่ที่ 327 PPI คมชัดกว่าเมื่อเทียบกับ iPad Air รุ่นล่าสุด ที่มีพิกเซลต่อตารางนิ้วอยู่ที่ 264 PPI เรื่องกล้อง สื่อหลายเจ้าชื่นชอบกล้องหน้าอัลตร้าไวด์ที่มาพร้อมฟีเจอร์ CenterStage พร้อมระบุว่าน่าจะเหมาะกับการประชุมงานทางวิดีโอ แต่ก็อาจจะแปลกๆ บ้างหากวาง iPad Mini ในแนวนอน เพราะกล้องอยู่ด้านบนของตัวเครื่อง มุมมองของผู้ใช้จึงอาจดูเหมือนมองเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งได้ ด้านแบตเตอรี่ อายุใช้งานที่ Apple ระบุอยู่ที่ราว 10 ชั่วโมง เท่า iPad Air แต่สื่อหลายเจ้าเช่น Dave2D พบว่าแบตเตอรี่อยู่ได้สั้นกว่า iPad Air เล็กน้อยในการใช้งานจริง อยู่ที่ราว 8 ชั่วโมง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจด้วยขนาดที่เล็กกว่า ข้อเสีย สื่อหลายเจ้าเช่น The Verge รวมถึงยูทูบเบอร์อย่าง MKBHD พบว่า UI ของ iPadOS 15 ยังไม่ถูกปรับให้เข้ากับ iPad Mini นัก หน้าโฮมเว้นพื้นที่ว่างจากขอบจอมากจนเกินไป แถมไอค่อนแอปยังเล็กกว่า iPhone 13 Pro Max ด้วยซ้ำ อีกหนึ่งข้อเสียคือ iPad Mini ไม่มี Smart Connector จึงไม่สามารถใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่ใช้การเชื่อมต่อนี้ได้ ทำให้อาจใช้อุปกรณ์เสริมได้น้อยลง แม้ก็ยังรองรับคีย์บอร์ด Bluetooth อยู่ และอีกจุดคือปุ่มเพิ่ม-ลด เสียง ที่ถูกย้ายไปไว้ด้านบนเว้นที่ด้านข้างไว้รองรับ Apple Pencil ก็ทำให้การเพิ่ม-ลด เสียง และการกดปุ่มบันทึกหน้าจอดูแปลกๆ อีกประเด็นคือ iPad Mini รุ่นใหม่นี้มีราคาแพงขึ้นจากรุ่นก่อนที่เริ่มต้น 399 ดอลลาร์ เป็น เริ่มต้น 499 ดอลลาร์แทน ขยับมาใกล้กับ iPad Air ที่ราคาเริ่มต้น 599 ดอลลาร์มากขึ้น ในขนาดที่เล็กกว่า และรองรับอุปกรณ์เสริมน้อยกว่า แถมมีความจุ 64GB แล้วกระโดดไปที่ 256GB เลย ทำให้อาจตัดสินใจซื้อได้ยาก สุดท้ายแล้ว iPad Mini น่าจะเหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการใช้งานแท็บเล็ตขนาดกำลังดีด้วยมือเดียว และไม่ได้ต้องการนำไปใช้แทนโน้ตบุ๊กเครื่องใหญ่เพื่อพิมพ์งานหรือทำงานจริงจัง แต่เป็น iPad รุ่นเสริม พกพาสะดวก ที่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เหมาะกับการนำไปใช้จดโน้ต ชมวิดีโอยูทูบ ประชุมงานเล็กน้อย เล่นเกมในช่วงว่าง แล้วจบด้วยการอ่านหนังสือเบาๆ บนเตียง รวมรีวิวจากเว็บต่างๆ The Verge - 7.5 / 10 Tom’s Guide - 4.5 / 5 The Guardian - 5 / 5 Wired - 8 / 10 MKBHD - N/A Dave2D - N/A Mac’s Story - N/A The Wall Street Journal - N/A
# เปิดตัว Echo Glow อุปกรณ์เพื่อเด็กเรียนออนไลน์ มีจอวิดีโอคอลล์ + โปรเจคเตอร์ฉายลงโต๊ะ Amazon เปิดตัว Echo Glow อุปกรณ์ประเภทใหม่สำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ ยุคที่ต้องเรียนจากที่บ้าน Echo Glow ประกอบด้วยหน้าจอแนวตั้ง 8 นิ้วสำหรับวิดีโอคอลล์ (กับพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือครู) ส่วนการแสดงเนื้อหาการเรียนใช้โปรเจคเตอร์ฉายสื่อการเรียนลงบนพื้นหรือพื้นโต๊ะ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่การแสดงผลอย่างเดียว แต่เราสามารถนำวัตถุอื่นๆ มาร่วมเรียนรู้ได้ เช่น นำจิ๊กซอหรือ Tangram มาต่อบนภาพที่ฉายลงโต๊ะได้ (ฝั่งผู้ใหญ่สามารถใช้แท็บเล็ตธรรมดาแล้วติดตั้งแอพ Glow ได้ฟรี) Echo Glow จะมีสื่อการเรียนรู้ที่ร่วมกับ 4 บริษัทคาแรกเตอร์ชื่อดังคือ Disney, Mattel, Nickelodeon, Sesame Workshop และในอนาคตจะเปิด SDK ให้บริษัทอื่นๆ ผลิตเนื้อหาสำหรับ Echo Glow ได้ด้วย Amazon บอกว่า Echo Glow เหมาะกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป ราคาขายในช่วงแรกอยู่ที่ 249.99 ดอลลาร์ และยังจำกัดเฉพาะผู้ที่ได้รับคำเชิญเท่านั้น ขายหมดชุดแรกแล้วจะขึ้นราคาเป็น 299.99 ดอลลาร์ ที่มา - Amazon
# Amazon ออกขาตั้งมิกกี้เมาส์ให้ Echo Show, เพิ่มฟีเจอร์ Hey Disney พูดกับตัวละครในเครือดิสนีย์ Amazon ประกาศออกขาตั้งลายหูมิกกี้เมาส์สำหรับ Amazon Echo Show 5 หน้าจออัจฉริยะรุ่นเล็ก พร้อมฟีเจอร์ใหม่ชื่อ 'Hey, Disney!' ที่ร่วมพัฒนากับดิสนีย์ ทำให้ผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa สามารถสวมบทบาทเป็นตัวละครจาก Disney, Pixar, Marvel, Star Wars พูดคุย เล่าเรื่องให้เราฟังได้ นอกจากการใช้งานที่บ้านแล้ว โรงแรมในสวนสนุก Walt Disney World Resort จะเริ่มนำ Alexa เข้าไปใช้งานภายในห้องพัก และมีความสามารถพูดคุยกับแขกที่มาพักแบบเดียวกัน ตัวขาตั้งจะขายในราคา 24.99 ดอลลาร์ (เป็นขาตั้งเปล่าๆ ไม่มีฟังก์ชันอะไร) และฟีเจอร์ Hey, Disney! จะต้องซื้อเพิ่ม แต่ยังไม่บอกราคา จะเริ่มขายช่วงต้นปี 2022 ที่มา - Amazon
# Amazon เปิดตัว Echo Show 15 กรอบรูปอัจฉริยะติดกล้องหน้า ใช้เป็นทีวีดูหนังได้ Amazon เปิดตัวหน้าจออัจฉริยะรุ่นใหม่ Echo Show 15 ขยายจอใหญ่เป็น 15.6" 1080p Full HD และสามารถวางแขวนผนัง ทำเป็นกรอบรูปอัจฉริยะที่มีกล้องหน้า Echo Show 15 ยังปรับอินเทอร์เฟซใหม่ให้โชว์ข้อมูลสำคัญๆ ของบ้านตลอดเวลา เช่น ปฏิทิน สภาพอากาศ โน้ต ดูภาพจากกล้องวงจรปิด เมื่อบวกกับการที่หน้าจอใหญ่ถึง 15" สามารถใช้ดูหนังแทนทีวีได้เลย รองรับสตรีมมิ่งอย่าง Amazon Prime/Netflix และใช้เป็นกรอบรูปดิจิทัลได้ สเปกภายในของ Echo Show 15 ใช้ชิป Amazon AZ2 Neural Edge ที่พัฒนาขึ้นจากชิป AZ1 ที่ใช้ใน Echo Show 10 มีความสามารถด้านประมวลผล AI สูงขึ้น ทำให้ Echo Show 15 ได้ฟีเจอร์ใหม่คือ Visual ID ใช้กล้องสแกนบุคคลที่อยู่หน้ากล้อง และปรับการแสดงผลข้อมูลให้ตรงกับบุคคลนั้นๆ ได้ Echo Show 15 วางขายในราคาตัวละ 249.99 ดอลลาร์ ที่มา - Amazon
# Amazon เปิดตัว Astro หุ่นยนต์ตรวจการในบ้าน Amazon เปิดตัว Astro หุ่นยนต์ตรวจการในบ้าน ทำหน้าที่กล้องวงจรปิดแต่สามารถวิ่งไปมาตามจุดต่างๆ ได้ตามคำสั่ง พร้อมกับหน้าจอสัมผัสที่สามารถใช้ฟีเจอร์ Alexa ทำให้สามารถรับชมรายการต่างๆ, ดูรูปภาพ, สั่งให้วิ่งมาถ่ายรูป, รวมถึงโทรศัพท์ผ่านบริการ Alexa call ได้ด้วย ตัวหุ่นมีกล้องแบบ periscope ยืดออกจากตัวเพื่อดูของบนโต๊ะได้ ทำให้สามารถสั่ง Astro ไปตรวจสอบได้ว่าปิดแก๊สหรือยัง หรือมีของอะไรวางอยู่บนโต๊ะบ้าง ไมโครโฟนมีความสามารถจับเสียงบางประเภท เช่น เสียงกระจกแตก, เสียงเตือนควัน เพื่อแจ้งผู้ใช้ทันที ซอฟต์แวร์ภายในของ Astro สามารถสร้างแผนที่สามมิติในบ้านได้อัตโนมัติ และเมื่อสำรวจบ้านเสร็จแล้วเราสามารถกำหนดได้ว่าห้ามไม่ให้หุ่นเข้าไปยังเขตใดบ้าง หรือหากสมัครบริการ Ring Protect Pro ก็จะสั่งให้ Astro ตรวจการในบ้านอัตโนมัติ พร้อมเก็บคลิปเหตุการณ์ต่างๆ บนคลาวด์ของ Ring Amazon เตรียมวางจำหน่าย Astro ในปีนี้ในราคา 1,449.99 ดอลลาร์ ลูกค้ากลุ่มแรกจะซื้อได้ในราคา 999.99 ดอลลาร์พร้อม Ring Protect Pro นาน 6 เดือน แต่ลูกค้ากลุ่มแรกต้องได้รับเชิญจาก Amazon เท่านั้น ที่มา - Amazon
# iFixit แกะ iPhone 13 Pro แล้ว ยืนยันปัญหา เปลี่ยนจอเองจะใช้ Face ID ไม่ได้ iFixit ได้แกะ iPhone 13 Pro โดยพบประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างที่แตกต่างไปจากใน iPhone 12 ประเด็นแรกคือชิ้นส่วนของ Face ID ที่รวมเป็นโมดูลเดียวกัน ทำให้รอยบากหน้าจอเล็กลง และทำให้ส่วนของ Face ID แยกออกมาจากชิ้นส่วนหน้าจอ ประเด็นนี้ทำให้ iFixit มองว่า Face ID จึงไม่ทำงานหากมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนหน้าจอจากร้านภายนอก ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ เพราะทำให้ชิ้นส่วนไม่เข้าคู่กัน แบตเตอรี่มีขนาด 3,095mAh เพิ่มขึ้นจาก iPhone 12 Pro ที่ 2,815mAh โดยแบตเตอรี่เป็นรูปตัว L แตกต่างจากปีก่อนที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า และแรมมีขนาด 6GB iFixit ให้คะแนนซ่อมแซมที่ 5 เต็ม 10 ชิ้นส่วนหลักสามารถเปลี่ยนซ่อมได้ แต่หักคะแนนตรงกระจกหลังที่เปลี่ยนยาก และประเด็นการเปลี่ยนหน้าจอที่ทำให้ใช้ Face ID ไม่ได้ ที่มา: iFixit
# Xbox Series X|S รองรับการแสดงภาพ HDR ฟอร์แมต Dolby Vision แล้ว ไมโครซอฟท์ประกาศปล่อยอัพเดตให้ Xbox Series X|S รองรับการแสดงผลภาพ HDR ฟอร์แมต Dolby Vision แล้ว หากเกมเมอร์มีทีวีที่รองรับ Dolby Vision ด้วยจะสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้อัตโนมัติ Xbox Series X|S ประกาศมาตั้งแต่แรกจะว่ารองรับ Dolby Vision แต่กว่าซอฟต์แวร์จะรองรับก็ต้องรอกันเกือบ 1 ปีหลังเครื่องวางขาย ไมโครซอฟท์ระบุว่ามีเกมที่รองรับ HDR มากกว่า 100 เกม และเกมในอนาคตอย่าง Halo Infinite ก็จะรองรับ Dolby Vision อย่างเต็มที่ การรองรับ Dolby Vision ทำให้ Xbox Series X|S ถือเป็นคอนโซลรุ่นแรกที่รองรับมาตรฐานของ Dolby สองตัวคือ Dolby Vision และระบบเสียง Dolby Atmos ที่มา - Xbox
# Cloudflare เปิดตัว R2 สตอเรจแบบไม่คิดค่านำข้อมูลออก ใช้ร่วมกับ S3 API ได้เลย หนึ่งในเรื่องน่าปวดหัวของการใช้คลาวด์คือ "ค่านำข้อมูลออก" หรือ egress fee ที่ผู้ให้บริการคลาวด์แต่ละเจ้าเก็บเงินตรงนี้ และหลายองค์กรที่ใช้คลาวด์จริงจังพบว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้สูงเกินจะรับไหว ล่าสุด Cloudflare ได้เปิดตัว R2 Storage บริการเก็บข้อมูลที่ไม่มีค่านำข้อมูลออก Cloudflare เป็นผู้ให้บริการ CDN และ DNS ที่ต่อต้านการเก็บเงินค่านำข้อมูลออกมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ได้ก่อตั้ง Bandwidth Alliance ขึ้นมาเพื่อให้ลดค่าแบนด์วิดท์ระหว่างคลาวด์ลง แต่ AWS ไม่ยอมเข้าร่วม ทำให้ Matthew Prince ผู้ร่วมก่อตั้ง Cloudflare วิจารณ์ AWS ว่าทำกำไรจากค่าแบนด์วิดท์เป็นสิบเท่าจากต้นทุน ด้วยความที่ AWS เป็นผู้ให้บริการคลาวด์อันดับหนึ่งของโลก และ S3 ก็เป็นบริการเก็บข้อมูลที่แทบทุกคนที่ใช้ AWS ต้องใช้งาน ค่านำข้อมูลออกจึงสร้างรายได้ให้ AWS อย่างมาก ทำให้ Cloudflare เปิดตัวบริการลักษณะเดียวกันขึ้นมาแข่งในชื่อ R2 Storage Cloudflare ระบุว่า R2 เป็น object storage (บางครั้งเรียกว่า blob storage) ที่จะไม่เก็บค่าแบนด์วิดท์ขาออก คิดเฉพาะค่าเก็บข้อมูลที่ 0.015 ดอลลาร์สหรัฐ/GB (ราว 50 สตางค์/GB) และค่าเขียน/อ่านออบเจ็กต์บนสตอเรจ (storage operations) โดยหากเขียน/อ่านไม่บ่อย (จำนวนรีเควสไม่ถึง 10 ครั้งต่อวินาที) จะไม่คิดค่าเขียน/อ่านเลย แต่หากเกินกว่านั้นก็จะคิดราคาที่ถูกกว่าผู้ให้บริการรายอื่นอย่างมาก จุดแข็งสำคัญของ R2 คือมันรองรับ S3 API เต็มรูปแบบ แปลว่าแอพและเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้งานกับ Amazon S3 Storage สามารถใช้กับ R2 ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าที่สนใจย้ายจาก S3 ไป R2 สามารถใช้เครื่องมือไมเกรตที่ Cloudflare มีให้ได้เลย เพียงแค่เลือก bucket ที่จะย้ายแล้วเครื่องมือจะจัดการให้อัตโนมัติ Cloudflare บอกว่า R2 มีความคงทน (durability) ของออบเจกต์อยู่ที่ 99.999999999% เทียบเท่า AWS และคลาวด์เจ้าอื่นๆ (เก็บออบเจ็กต์ 1 ล้านอัน จะหาย 1 อันทุก 1 แสนปี) นอกจากนี้ R2 ยังทำงานร่วมกับ Cloudflare Workers ได้อย่างไร้รอยต่อ ทำให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดเข้า Workers เพื่อจัดการกับออบเจ็กต์ใน R2 ได้ง่ายมาก หรือใช้เป็น CDN ที่ควบคุมอายุแคชได้มากกว่าการใช้ Cloudflare CDN ตามปกติ โดยทีมงานระบุว่าช่วงแรกที่เปิดให้บริการจะต้องใช้งานผ่าน Workers ก่อน และหลังจากนั้นถึงจะเปิดเป็น endpoint ให้ใช้งานแทน S3 ได้ ซึ่งดูแล้วน่าจะไม่ใช่เร็วๆ นี้ ขณะนี้ R2 ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาอยู่ และยังไม่ระบุว่าจะให้ใช้งานได้เมื่อใด แต่ผู้ที่สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มขอเป็น waitlist ได้แล้ว ที่มา - Cloudflare Blog ภาพโดย Cloudflare
# 1Password เปิดตัว Masked Email ฟีเจอร์ generate อีเมลแอดเดรสใช้กับบริการออนไลน์ ไม่ต้องกรอกอีเมลจริง 1Password เปิดตัวฟีเจอร์ Masked Email เป็นฟีเจอร์ generate อีเมลแอดเดรสสำหรับใช้ล็อกอินบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้ฟอร์เวิร์ดอีเมลเข้าอีเมลอีกทีหนึ่งโดยไม่ต้องกรอกอีเมลจริง ซึ่งฟีเจอร์นี้ 1Password ร่วมมือกับ Fastmail เพื่อให้บริการนี้ สามารถใช้งานได้ผ่าน 1Password ทุกแพลตฟอร์ม ฟีเจอร์ Masked Email ของ 1Password จะเหมือนกับ Hide My Email ของ Sign in with Apple คือจะสร้างอีเมลแอดเดรสขึ้นมาเพื่อให้เอาไปใส่ในเว็บไซต์ที่ต้องการอีเมลโดยไม่ต้องใส่อีเมลจริง แต่ถ้ามีอีเมลส่งเข้ามาที่อีเมลแอดเดรสนี้ Fastmail จะฟอร์เวิร์ดเข้าอีเมลหลักอีกทีหนึ่ง ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์มากหากเว็บไซต์ที่ใส่อีเมลไปแล้วปล่อยข้อมูลรั่วไหล ไปจนถึงการนำข้อมูลไปขายหรือแชร์ให้บุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วมีอีเมลที่ไม่ต้องการส่งเข้ามา ผู้ใช้ก็จะรับทราบว่าอีเมลแอดเดรสที่หลุดออกไปนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับบริการไหน หรือสามารถสั่งปิดไม่ให้ฟอร์เวิร์ดเข้ามาก็ได้ ที่มา - Engadget
# มีสัญญาณเตือนดังขึ้นขณะลูกเรือ Inspiration4 อยู่ในอวกาศ สาเหตุคือพัดลมในส้วมเสีย เก็บตกจากภารกิจ Inspiration4 ของ SpaceX เล็กน้อย มีรายงานออกมาว่าขณะที่เหล่าลูกเรือกำลังโคจรรอบโลกในยาน Dragon อยู่ ก็มีสัญญาณเตือนดังขึ้น ซึ่งทั้งหมดได้รับการฝึกมาแล้วกับการรับมือเหตุฉุกเฉิน โดยลูกเรือได้ติดต่อกับศูนย์ควบคุมบนโลกก่อนจะพบว่าเกิดปัญหากับส้วม ส้วมของยาน Dragon มีพัดลมจำนวนหนึ่งถูกติดตั้งอยู่เพื่อดูดของเสียที่ลูกเรือขับถ่ายออกมา (หากไม่มีพัดลมนี้ อาจจะมีโศกนาฏกรรมของเสียลอยในยาน) และสัญญาณเตือนดังกล่าวดังขึ้นเพราะพัดลมในส้วมมีปัญหา ทั้งนี้รายงานไม่ได้ระบุว่ามีปัญหาอย่างไร และลูกเรือทั้งหมดก็ยังใช้ห้องน้ำได้ตามปกติจนจบภารกิจ นอกจากนี้เรายังได้ทราบว่าการติดต่อระหว่างยาน Dragon กับศูนย์ควบคุมบนโลกนั้นขาดหายไปบางช่วง โดย Jared ระบุว่าตลอดระยะเวลาของภารกิจ การติดต่อถูกตัดขาดไปประมาณ 10% ซึ่งเหล่าลูกเรือก็ไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด ย้อนกลับไปตอนภารกิจ Apollo 10 ที่ส่งมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์เมื่อปี 1969 ได้มีเหตุการณ์หนักกว่านี้เกิดขึ้นมาแล้ว หลังนักบินอวกาศรายงานว่าพบอุจจาระลอยอยู่ในยาน ก่อนจะช่วยกันเก็บด้วยถุงพลาสติกธรรมดา โดยเหล่านักบินอวกาศระบุว่า "กลิ่นเกินบรรยาย" ที่มา - CNN ภาพโดย SpaceX
# รีวิว ASUS M3200 all-in-one คอมตั้งโต๊ะที่ตอบโจทย์ทุกการทำงาน เริ่มต้นวันได้ทันใจด้วย SSD M.2 512GB และ Windows 10 Home ในตัว ยุคนี้การทำงาน คืบคลานเข้ามาในทุกพื้นที่ของชีวิต การทำงานอยู่บ้าน อาจทำให้การแบ่งเวลาทำงานและพักผ่อนเป็นไปได้ยาก และทำให้เวลาทุกขณะมีค่า ไม่ว่าจะเป็นวินาที นาที หรือชั่วโมง ซึ่ง ASUS M3200 คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบ all-in-one จะเข้ามาตอบโจทย์ ช่วยทุ่นเวลาการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นจากบ้าน หรือในออฟฟิศได้อีกต่อ สเปกแรง เร็วทุกงาน ASUS M3200 ใช้ซีพียู Ryzen 3 5300U ซีพียูประหยัดพลังงาน 4 แกน 8 เธรดของ AMD สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 3.85GHz ที่เพิ่งเปิดตัวไปช่วงต้นปี 2021 และแรม DDR4 8GB แบบ SO-DIMM การใช้ซีพียูประหยัดพลังงานช่วยเรื่องความร้อนและเสียง ในขณะที่แรม 8GB ถือว่าตามมาตราฐานสำหรับงานทั่วไป สตอเรจเป็น SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB พร้อม Windows 10 Home ที่จะช่วยให้การเปิดเครื่อง เปิดไฟล์เอกสาร ภาพ หรือวิดีโอต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์จานหมุนทั่วไป ประหยัดเวลาชีวิตได้อีกมาก แค่เปิดกล่อง เสียบสาย พร้อมใช้งานทันที ASUS M3200 มาพร้อมเม้าส์และคีย์บอร์ดไร้สายในกล่อง ตัวเมนบอร์ดซีพียูและแรม รวมอยู่ในมอนิเตอร์ขนาด 21.5 นิ้ว ความละเอียด FullHD 1920x1080 พิกเซล จะประชุมวิดีโอคอล หรือเรียนออนไลน์ผ่านแอปไหนก็หมดห่วง ด้วยกล้องหน้าความละเอียด HD 720p และลำโพงในตัว รองรับการเชื่อมต่อ WiFi5 และ Bluetooth 5.0 นอกจากนี้แค่เปิดเครื่องก็พร้อมทำงานทันที ไม่ต้องหาซื้อซอฟต์แวร์มาลงเพิ่มให้ยุ่งยาก เพราะ ASUS M3200 นอกจากจะมาพร้อมกับ Windows 10 Home แล้ว ยังมาพร้อมกับ Microsoft Office Home & Student 2019 ให้ใช้งานตลอดอายุเครื่องอีกด้วย แข็งแรง ทนทาน ประหยัดพื้นที่ ตัวเครื่องเรียบหรู มาพร้อมขาตั้งอะลูมิเนียมหล่อแบบชิ้นเดียว เสริมความมั่นคง และอีกจุดได้เปรียบของคอมพิวเตอร์แบบ all-in-one คือเมื่อไม่ต้องใช้พื้นที่ในการวางเคส ก็ทำให้สามารถวางเอกสาร อุปกรณ์อื่น หรือมีพื้นที่ให้น้องแมวนั่งเล่นบนโต๊ะได้อีกด้วย เม้าส์และคีย์บอร์ดที่ให้มาเป็นแบบไร้สาย คุณภาพใช้พิมพ์งานได้ดี มีข้อดีคือทำให้โต๊ะดูเรียบร้อย ไม่แกะกะ พร้อมแต่งสวย นำไปโชว์ในกลุ่มจัดโต๊ะทำงานได้แบบเต็มที่ หน้าจอขอบบาง แสดงผลสี sRGB 100% หน้าจอขนาด 21.5 นิ้วเป็นหน้าจอ LCD ความสว่างสูงสุด 200nits ความละเอียด FullHD แบบ NanoEdge ขอบบาง อัตราส่วนหน้าจอต่อเครื่อง 87% แสดงผลมาตรฐานสี sRGB ได้ 100% จะแต่งรูป หรือวาดภาพก็สะดวก ไมโครโฟนบนหน้าจอมาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนด้วย AI แบบสองทาง ช่วยให้ประชุมและเรียนออนไลน์ได้แบบหายห่วง พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ASUS ให้พอร์ตเชื่อมต่อมาครบครันทั้งด้านข้างและด้านหลัง โดยด้านข้างมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และพอร์ต USB 2.0 Type-A และ Kensington lock เพิ่มความปลอดภัยเมื่อต่อสาย พอร์ตสำหรับต่อไฟ DC อยู่ด้านหลัง พร้อมพอร์ต USB 3.2 Gen 1 Type-A ที่มีมาให้ถึง 4 พอร์ต ต่อเชื่อมอุปกรณ์ได้เหลือเฟือ มีพอร์ตสาย LAN และ HDMI out 1.4 ต่อจ่อแยกเพิ่มเติมได้อีกถ้าพื้นที่แสดงผลไม่พอ หายห่วงด้วยประกันจาก ASUS ASUS M3200 มาพร้อมประกันบริการซ่อมถึงที่ 3 ปี (Local On-site Service) และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีเต็ม (Perfect Warranty) ไม่ว่าจะน้ำหก น้องแมววิ่งผ่าน หรือเครื่องค้าง ทีมบริการก็พร้อมดูแลเสมอ ไม่ต้องกลัวว่าจะเรียนหรือทำงานไม่ทัน สรุป ASUS M3200 เป็นคอมพิวเตอร์ all-in-one อีกรุ่นที่เน้นความสะดวกเรียบง่ายในการใช้งาน ที่แค่เปิดกล่อง เสียบสาย ก็ใช้งานได้ทันที เพราะมาพร้อม Windows 10 Home และ Microsoft Office Home & Student 2019 แถมซีพียู Ryzen 3 5300U และ SSD 512GB ก็ช่วยการันตีอีกต่อว่าการใช้งานจะทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีสะดุด ข้อได้เปรียบของการเป็นคอมพิวเตอร์ all-in-one และมาพร้อมเม้าส์และคีย์บอร์ดไร้สาย ยังทำให้ไม่กินพื้นที่ และไม่มีสายเกะกะรกตา เมื่อวางบนโต๊ะทำงานในบ้านอีกด้วย ถือเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับการทำงานและเรียนออนไลน์ ที่น่าจะช่วยประหยัดเวลาชีวิตได้อีกมาก โดยรุ่นนี้ที่มาพร้อมกับ Microsoft Office Home & Student 2019 จะมีราคาอยู่ที่ 21,990 บาท
# พลเมืองสหรัฐฯ และแคนาดาที่ถูกจีนคุมตัวตั้งแต่ปี 2018 ได้ออกจากจีนหลัง CFO หัวเว่ยกลับประเทศ รัฐบาลจีนอนุญาตให้ Victor และ Cynthia Liu กลับสหรัฐฯ ได้หลังจากมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ โดยไม่ได้ตั้งข้อหาใดๆ มาตั้งแต่กลางปี 2018 โดยทนายของทั้งสองระบุว่าการห้ามออกนอกประเทศตอนแรกนั้นเป็นเงื่อนไขที่ตำรวจใช้ต่อรองกับพ่อของทั้งสองให้ร่วมมือกับตำรวจ แต่หลังจาก Meng Wanzhou CFO ของหัวเว่ย ได้กลับประเทศไม่กี่ชั่วโมง ทั้งสองก็ได้รับอนุญาตให้กลับสหรัฐฯ ได้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาจีนก็ปล่อยตัว Michael Kovrig อดีตทูตแคนาดาที่ถูกคุมตัวหลัง Wanzhou ถูกจับเพียงไม่กี่วัน ทั้งสหรัฐฯ, จีน, และแคนาดา ปฎิเสธว่าการปล่อยตัว Wanzhou ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนตัวประกัน ที่มา - South China Morning Post
# กูเกิลสู้คดีผูกขาด Android ที่โดน EU สั่งปรับ, บอกไม่ได้ผูกขาดเพราะมีแอปเปิลเป็นคู่แข่ง กูเกิลสู้คดีสหภาพยุโรปสั่งปรับ 4.34 พันล้านยูโรในปี 2018 ข้อหาผูกขาด Android ในแง่ว่าบังคับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องลง Google Search/Chrome และกีดกันผู้ผลิตที่พยายาม fork Android เวอร์ชันของตัวเอง ทนายของกูเกิลโต้ข้อกล่าวหาเหล่านี้ในชั้นศาล โดยบอกว่าคณะกรรมการยุโรป (European Commission หรือ EC) จงใจมองข้ามประเด็นว่ากูเกิลแข่งขันกับแอปเปิลอย่างดุเดือด ตลาดสมาร์ทโฟนไม่ได้ถูกผูกขาดแต่อย่างใด และการเลือกมองแค่ Android เพียงอย่างเดียวเป็นการตีกรอบเพื่อให้กูเกิลผิดให้ได้ ส่วนทนายของ EC โต้กลับว่าส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิลเล็กกว่า โมเดลธุรกิจก็ต่างกัน และการดึงแอปเปิลมาเอี่ยวก็ไม่ได้ช่วยให้กูเกิลพ้นผิดเรื่องการผูกขาด search/browser ไปได้ คดีนี้ของ EC เกิดจากการร้องเรียนของกลุ่ม FairSearch ที่ต่อสู้เรื่องส่วนแบ่งตลาดค้นหา และมองว่ากูเกิลมีพฤติกรรม "ขายเหล้าพ่วงเบียร์" บริการค้นหาของตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งปิดทางไม่ให้คู่แข่งหน้าใหม่ๆ ได้เกิด ที่มา - Reuters