sysid
stringlengths
1
6
title
stringlengths
8
870
txt
stringlengths
0
257k
318768
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ 3
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑ กำหนดให้พื้นที่แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามมาตรา ๓๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น บัดนี้ เนื่องจากได้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมขออนุญาตเข้าใช้ที่ดินเต็มพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไปดังกล่าวแล้ว ดังนั้น เพื่อให้การประกอบอุตสาหกรรมในเขตนี้ได้ขยายตัวกว้างขวางยิ่งขึ้น สมควรเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ โดยขยายพื้นที่ออกไปอีก อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ โดยให้ยกเลิกแผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑ และให้ใช้แผนที่ท้ายประกาศนี้แทน ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒ บรรหาร ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖/ตอนที่ ๑๖๑/หน้า ๖๙๖๘/๒๖ กันยายน ๒๕๓๒
301989
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมชลบุรี (บ่อวิน)
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมชลบุรี (บ่อวิน)[๑] โดยที่เป็นการสมควรให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมชลบุรี (บ่อวิน) ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมชลบุรี (บ่อวิน) ตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒ บรรหาร ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมชลบุรี (บ่อวิน) (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖/ตอนที่ ๑๖๑/หน้า ๖๙๖๗/๒๖ กันยายน ๒๕๓๒
301988
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๕ กำหนดให้พื้นที่ตำบลบ้านกลาง และตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามมาตรา ๓๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเขตนิคมอุตสาหกรรม ดังกล่าว ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ เพื่อนำไปจัดตั้งเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ และได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๓๑ จัดตั้งเขตดังกล่าวเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกแล้ว นั้น บัดนี้ เนื่องจากได้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมขออนุญาตเข้าใช้ที่ดินเต็มพื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออกแล้ว ดังนั้น เพื่อให้การประกอบอุตสาหกรรมในเขตนี้ได้ขยายตัวกว้างขวางยิ่งขึ้น สมควรกันพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือออกเพื่อนำมาจัดตั้งเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพิ่มขึ้น โดยการตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และสมควรเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไปให้เหมาะสมพร้อมกันด้วย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ โดยให้ยกเลิกแผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ และให้ใช้แผนที่ท้ายประกาศนี้แทน ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๒ บรรหาร ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖/ตอนที่ ๘๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๓/๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒
318767
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๕ กำหนดให้พื้นที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามมาตรา ๓๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น บัดนี้ ปรากฏว่า มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมจำนวนมากประสงค์จะลงทุนประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในเขตนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว สมควรกันพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ออก เพื่อดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออก ตามมาตรา ๓๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง โดยให้ยกเลิกแผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ และให้ใช้แผนที่ท้ายประกาศนี้แทน ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ บรรหาร ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖/ตอนที่ ๔๙/หน้า ๒๓๕๑/๑๐ มีนาคม ๒๕๓๒
301987
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางพลี-บางบ่อ
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางพลี-บางบ่อ[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางพลี-บางบ่อ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๒๔ กำหนดให้พื้นที่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามมาตรา ๓๖ (๑)แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น บัดนี้ ปรากฏว่ามีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำนวนมากประสงค์จะลงทุนประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปเพิ่มมากขึ้น สมควรขยายเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางพลี-บางบ่อ ออกไปอีก อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรคสอง และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมบางพลี-บางบ่อ ดังต่อไปนี้ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามประกาศนี้ให้เรียกว่า "เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางพลี" (๒) ให้ยกเลิกแผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางพลี - บางบ่อ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๒๔ และให้ใช้แผนที่ท้ายประกาศนี้แทน ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๑ ประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางพลี - บางบ่อ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๕/ตอนที่ ๑๒๐/หน้า ๕๕๕๐/๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๑
318766
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ 3
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรม ลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓[๑] โดยที่เป็นการสมควรให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ ในท้องที่แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรค ๒ และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๑ ประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังส่วนขยายที่ ๓ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๕/ตอนที่ ๑๐๗/หน้า ๕๑๘๑/๗ กรกฎาคม ๒๕๓๑
301986
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่นแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมบางปู
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปู[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางปู เป็นนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ กำหนดให้พื้นที่ตำบลบางปูใหม่ และตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามมาตรา ๓๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเขตนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปู ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ นั้น บัดนี้ ปรากฏว่ามีผู้ประกอบอุตสาหกรรมจำนวนมากประสงค์จะลงทุนประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในเขตนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว สมควรกันพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปูออก เพื่อดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออก ตามมาตรา ๓๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรคสอง และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปู โดยให้ยกเลิกแผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปู ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ และให้ใช้แผนที่ท้ายประกาศนี้แทน ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปู (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๕/ตอนที่ ๓๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๙/๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
301985
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กำหนดให้พื้นที่แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามมาตรา ๓๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเขตนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปลาดกระบัง ลงวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๕ นั้น บัดนี้ เนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกลาดกระบัง พ.ศ. ๒๕๒๔ กำหนดให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังประกอบกับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกดังกล่าวได้ขยายตัวกว้างขวางขึ้น สมควรเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกลาดกระบังให้สอดคล้องกับการขยายตัวดังกล่าว โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา ๓๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โดยกันพื้นที่ส่วนที่ได้จัดตั้งเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกดังกล่าว ออก เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรคสอง และมาตรา ๖๒แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขตนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โดยให้ยกเลิกแผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปลาดกระบัง ลงวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๕ และให้ใช้แผนที่ท้ายประกาศนี้แทน ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๕/ตอนที่ ๓๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๗/๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
318765
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ[๑] ตามที่ได้ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๕ กำหนดให้พื้นที่ตำบลบ้านกลาง และตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามมาตรา ๓๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น บัดนี้ ปรากฏว่ามีผู้ประกอบอุตสาหกรรมจำนวนมากประสงค์จะลงทุนประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในเขตนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว สมควรกันพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ออก เพื่อดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออก ตามมาตรา ๓๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรคสอง และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขตนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ โดยให้ยกเลิกแผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๕ และให้ใช้แผนที่ท้ายประกาศนี้แทน ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๐๕/ตอนที่ ๓๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๕/๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
301984
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป[๑] โดยที่เป็นการสมควรให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไปในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจึงประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๘ อบ วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๒/ตอนที่ ๓๘/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๖/๑ เมษายน ๒๕๒๘
301983
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมบางปู
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปู[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางปูเป็นนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบางปูใหม่ และตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๔ ตอนที่ ๗๙ วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๐ นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรคสอง และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรประกาศเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปูตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๗ อบ วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปู (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๑/ตอนที่ ๑๗๖/หน้า ๔๖๙๔/๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
318764
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป[๑] โดยที่เป็นการสมควรให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ในท้องที่ตำบลบ้านกลางและตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรค ๒ และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๙/ตอนที่ ๑๙๕/หน้า ๑๗พ/๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๕
301982
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉะบัง เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป[๑] โดยที่เป็นการสมควรให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรค ๒ และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉะบัง เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉะบัง เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๙/ตอนที่ ๑๙๕/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๖/๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๕
301981
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขตเขตอุตสาหกรรมทั่วไปลาดกระบัง
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปลาดกระบัง[๑] ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังเป็นนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๑ นั้น โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงเขตนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป (เขตอุตสาหกรรมทั่วไปลาดกระบัง) ตามประกาศดังกล่าว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรคสอง และมาตรา ๖๒แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศเปลี่ยนแปลงเขตนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป (เขตอุตสาหกรรมทั่วไปลาดกระบัง) ตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๕ พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตอุตสาหกรรมทั่วไปลาดกระบัง (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๙/ตอนที่ ๑๔๖/หน้า ๔๐๙๘/๑๒ ตุลาคม ๒๕๒๕
318763
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางพลี-บางบ่อ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางพลี - บางบ่อ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป[๑] โดยที่เป็นการสมควรให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ในท้องที่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๓๖ วรรค ๒ และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางพลี-บางบ่อ เป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามแผนที่ท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๒๔ พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางพลี- บางบ่อเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๘/ตอนที่ ๖๓/หน้า ๑๒๐๕/๒๙ เมษายน ๒๕๒๔
722247
ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 140 ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 115 ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องสิทธิประโยชน์ในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2540
ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๔๐ ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๑๕ ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องสิทธิประโยชน์ ในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ ตามที่การนิคมอุสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ออกระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๑๕ ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องสิทธิประโยชน์ในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๒๒ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๐ ไปแล้ว นั้น เพื่อให้แนวปฏิบัติเป็นไปในทางเดียวกันกับประกาศการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง ระยะเวลาการพิจารณาคำขอรับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2000 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๙ (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงเห็นควรให้ยกเลิกระเบียบดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป[๑] ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ อัญชลี ชวนิชย์ ที่ปรึกษาระดับ ๑๒ รักษาการในตำแหน่ง ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศิรวัชร์/จัดทำ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม๑๒๑/ตอนพิเศษ ๙๒ ง/หน้า ๔๓/๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๗
426025
ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 138 ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่างๆ ในเรื่องการใช้ที่ดินการก่อสร้างอาคาร และการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2546
ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๓๘ ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องการใช้ที่ดินการก่อสร้างอาคาร และการประกอบกิจการ ในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องการใช้ที่ดิน การก่อสร้างอาคาร และการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๙ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๓๘ ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องการใช้ที่ดินการก่อสร้างอาคาร และการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๖” ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๑๔ ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องการใช้ที่ดิน การก่อสร้างอาคารและการประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ (๒) ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๒๙ ว่าด้วยขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาคำขอต่าง ๆ ในเรื่องการใช้ที่ดิน การก่อสร้างอาคารและการประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๔ บรรดาระเบียบ หรือคำสั่งอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้หรือขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ให้ใช้ระเบียบนี้แทน ข้อ ๕ ในระเบียบนี้ “กนอ.” หมายความว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการ กนอ. “ผู้พิจารณาอนุญาต” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากผู้ว่าการให้เป็นผู้พิจารณาอนุญาต “ส่วนงานที่มีหน้าที่พิจารณา” หมายความถึง สำนักบริการเบ็ดเสร็จครบวงจรหรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งหรือฝ่ายท่าเรืออุตสาหกรรม “เจ้าหน้าที่” หมายความว่า พนักงานของส่วนงานที่มีหน้าที่พิจารณา “วัน” หมายความว่า วันทำการตามปกติของ กนอ. ข้อ ๖ นิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมที่บุคคลอื่นร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ซึ่งได้รับอนุมัติให้จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขต และได้มีประกาศหรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมาย ว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้ว ให้ส่วนงานที่มีหน้าที่พิจารณาอนุญาตให้ใช้ที่ดิน พิจารณาโดยใช้ผังของโครงการนิคมอุตสาหกรรม (Conceptual Land Use Plan) เป็นผังการแสดงการใช้ที่ดินในเชิงธุรกิจ ข้อ ๗ เมื่อมีผู้ประสงค์จะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมายื่นคำขอใช้ที่ดิน เพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม โดยมีเอกสารประกอบคำขอถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ให้ผู้พิจารณาอนุญาตออกใบพิจารณาอนุญาตให้ผู้ยื่นคำขอใช้ที่ดินทันที สำหรับกรณีที่มีผู้ยื่นคำขอใช้ที่ดินโดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางเว็บไซด์ (Website) ของ กนอ. เมื่อผู้ยื่นคำขอส่งแฟ้ม (File) เอกสารถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ต่อ กนอ. และสำนักบริการเบ็ดเสร็จครบวงจรได้รับคำขอใช้ที่ดินที่ส่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางเว็บไซต์ (Website) ของ กนอ. แล้ว ให้เจ้าหน้าที่ตอบรับคำขอใช้ที่ดินดังกล่าวโดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อีเมล์ (E-mail) แก่ผู้ยื่นคำขอเพื่อทราบโดยพลัน เมื่อผู้พิจารณาอนุญาตได้พิจารณาแล้ว และเห็นสมควรให้ผู้ยื่นคำขอใช้ที่ดินได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดิน ให้สำนักบริการเบ็ดเสร็จครบวงจรแจ้งเป็นหนังสือการอนุญาตให้ใช้ที่ดิน โดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อีเมล์ (E-mail) ให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผู้ยื่นคำขอใช้ที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่งและวรรคสองมารับใบอนุญาตพร้อมกับลงนามในสัญญาแต่ละประเภทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ส่วนงานที่มีหน้าที่พิจารณาจัดทำสำเนาคำขอใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมพร้อมเงื่อนไขแนบท้าย แล้วแจ้งให้ผู้ร่วมดำเนินงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกทราบ เพื่อนำไปตรวจสอบ ทั้งนี้ ให้ส่วนงานที่มีหน้าที่พิจารณาเป็นผู้ติดตาม กำกับ ดูแล โดยแจ้งให้ผู้ใช้ที่ดินให้ข้อมูลข้อเท็จจริงตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๘ การขอใช้ที่ดินที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กนอ. หรือคณะกรรมการ กนอ. กำหนด ให้ผู้พิจารณาอนุญาตแจ้งผู้ยื่นคำขอทราบและใช้เวลาพิจารณาเพื่ออนุญาตให้ใช้ที่ดินภายใน ๓๐ วัน นับถัดจากวันที่ได้รับคำขอ ข้อ ๙ ในกรณีผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินตามข้อ ๗ หรือข้อ ๘ ได้ก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร โดยยื่นคำขอต่อ กนอ. และมีเอกสารถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ให้ผู้พิจารณาอนุญาตพิจารณาออกใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน ๒ วัน นับถัดจากวันที่ยื่นคำขอ หากส่วนงานที่มีหน้าที่พิจารณาไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวข้างต้น ให้ผู้พิจารณาอนุญาต จัดทำรายงานพร้อมชี้แจงปัญหาอุปสรรคต่อผู้ว่าการ ภายใน ๒๔ ชั่วโมง นับจากเวลาที่ได้รับคำขอ กรณีผู้พิจารณาอนุญาตมิได้ดำเนินการตามวรรคสอง ให้ถือว่าส่วนงานที่มีหน้าที่พิจารณาได้ดำเนินการพิจารณาเสร็จแล้ว และให้ผู้พิจารณาอนุญาตออกใบอนุญาตให้ผู้ยื่นคำขอ ข้อ ๑๐ ในกรณีผู้ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ตามข้อ ๙ มีความประสงค์จะขอใบรับรองการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ผู้พิจารณาอนุญาตออกใบรับรองภายใน ๓ วัน นับถัดจากวันที่ผู้ยื่นคำขอได้ยื่นคำขอโดยมีเอกสารถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์และได้มีการตรวจอาคารดังกล่าวถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว ข้อ ๑๑ การพิจารณาคำขอการแจ้งเริ่มประกอบกิจการ การประกอบอุตสาหกรรม (ส่วนขยาย) และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้ดำเนินการตามขั้นตอนและระยะเวลา ดังนี้ (๑) รับคำขอ ตรวจสอบเอกสาร ตรวจโรงงาน และพิจารณาเสนอความเห็นภายใน ๒ วัน เมื่อได้มีการตรวจโรงงานและเอกสารถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว (๒) การพิจารณาของผู้พิจารณาอนุญาตและแจ้งผลการพิจารณาให้ใช้เวลา ๑ วัน ข้อ ๑๒ การพิจารณาคำขออื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เช่น การเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงประเภทการประกอบกิจการ การขอขยายระยะเวลาเริ่มปลูกสร้างอาคารหรือโรงงาน การขอเปลี่ยนชื่อผู้รับใบอนุญาตให้ใช้ที่ดิน การโอนสิทธิการใช้ที่ดินและหรือการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เป็นต้น ให้พิจารณาตามขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการดังนี้ (๑) รับคำขอ ตรวจสอบเอกสาร และพิจารณาเสนอความเห็นภายใน ๒ วัน เมื่อเอกสารถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว (๒) การพิจารณาของผู้พิจารณาอนุญาต และแจ้งผลการพิจารณาให้ใช้เวลา ๑ วัน ข้อ ๑๓ กำหนดระยะเวลาตามข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ ดังกล่าวข้างต้น ไม่นับรวมระยะเวลาที่ กนอ. ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขอ จัดส่งหรือชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงปรับปรุงโรงงานเพื่อประกอบการพิจารณา ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ อัญชลี ชวนิชย์ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศุภชัย/พิมพ์ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ สุนันทา/อรดา/ตรวจ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๑๓๑ ง/หน้า ๗๕/๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
325029
ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 127 ว่าด้วย การติดต่อขอรับทราบข้อมูลข่าวสารของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2542
ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๒๗ ว่าด้วย การติดต่อขอรับทราบข้อมูลข่าวสารของการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยที่เป็นการสมควรจัดให้มีระเบียบเกี่ยวกับการให้ประชาชนติดต่อขอรับทราบข้อมูลข่าวสารของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้การบริการ การจัดระบบ การขอ การอนุญาต และการบริการข้อมูลข่าวสารของราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกระเบียบเกี่ยวกับการติดต่อขอรับทราบข้อมูลข่าวสารของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยฉบับที่๑๒๗ ว่าด้วย การติดต่อขอรับทราบข้อมูลข่าวสารของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๒” ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับนับแต่วันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ บรรดาระเบียบหรือคำสั่งอื่นใด ในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้หรือ ซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ให้ใช้ระเบียบนี้แทน หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๔ ในระเบียบนี้ คำว่า “กนอ.” หมายความว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ข้อมูลข่าวสาร” หมายความว่า สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูลหรือสิ่งใด ๆ ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะทำได้โดยสภาพของสิ่งนั้นเอง หรือโดยผ่านวิธีการใดๆ และไม่ว่าจะได้จัดทำไว้ในรูปของเอกสาร แฟ้มรายงาน หนังสือ แผนผัง แผนที่ ภาพวาดภาพถ่าย ฟิล์ม การบันทึกภาพหรือเสียง การบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือวิธีอื่นใดที่ทำให้สิ่งที่บันทึกไว้ปรากฏได้ “ข้อมูลข่าวสารของ กนอ.” หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของ กนอ. ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินงานของ กนอ. หรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน ข้อ ๕ ข้อมูลข่าวสารที่สามารถตรวจดูได้ตามระเบียบนี้ ต้องเป็นข้อมูลข่าวสารตามที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และไม่เป็นข้อมูลที่ห้ามเปิดเผยตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ข้อ ๖ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบนี้ได้ ให้ผู้ว่าการมีอำนาจวินิจฉัยสั่งการตามที่เห็นสมควร หมวด ๒ การขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาต ข้อ ๗ ให้ส่วนราชการ ข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ หรือบุคคลที่ประสงค์จะเข้าตรวจดู ศึกษาค้นคว้า หรือขอสำเนาข้อมูลข่าวสาร ทำหนังสือหรือยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งแสดงเหตุผลและความจำเป็นตามท้ายระเบียบนี้ต่องานห้องสมุด กองส่งเสริมการลงทุน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือผู้มีอำนาจอนุญาต ในกรณีของส่วนราชการมีความจำเป็นที่จะใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อใช้ในราชการไม่ต้องยื่นคำขอและเสียค่าธรรมเนียมตามระเบียบนี้ แต่จะต้องทำเป็นหนังสือมาขอจากหน่วยงานที่ผู้นั้นสังกัดถึงผู้ว่าการ การขอข้อมูลข่าวสารกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน อาจขอด้วยวาจาหรือทางโทรสารก็ได้ โดยให้แจ้งชื่อ ตำแหน่งและที่อยู่ของผู้ขอ โดยให้พนักงานผู้รับคำขอเสนอผู้บังคับบัญชา หรือผู้รับมอบหมายที่มีอำนาจอนุญาตทราบ เพื่อขออนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หากไม่สามารถเปิดเผยได้ให้แจ้งให้หน่วยงานที่ร้องขอทราบ ข้อ ๘ การขอข้อมูลข่าวสารใดที่อยู่ในความดูแลหรือครอบครองของงานห้องสมุดให้หัวหน้างานห้องสมุดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการอนุญาตตามคำขอนั้น ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารที่ขอนั้นมิได้อยู่ในความดูแลหรือครอบครองของงานห้องสมุด การอนุญาตให้เป็นอำนาจของผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารและดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับหัวหน้างานหรือรักษาการในตำแหน่งหัวหน้างานหรือดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับ ๖ ขึ้นไป ข้อ ๙ การขอข้อมูลข่าวสารตามหมายเรียกพยานเอกสารของศาล ให้นำเสนอผู้ว่าการ หรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาอนุญาต และให้พนักงานผู้รับผิดชอบตั้งแต่ระดับ ๖ หัวหน้างานหรือรักษาการในตำแหน่งหัวหน้างานขึ้นไป เป็นผู้รับรองสำเนาข้อมูลข่าวสาร ข้อ ๑๐ ข้อมูลข่าวสารใด หากมีกฎหมาย ระเบียบอื่น หรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารนั้นไว้เป็นพิเศษ การขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาตจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย ข้อ ๑๑ ให้พนักงานที่มีหน้าที่ในการให้บริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนหรือบุคคลที่มาขอรับข้อมูลข่าวสาร อำนวยความสะดวกบริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนหรือบุคคลที่มาขอรับข้อมูลข่าวสารของ กนอ. และปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หมวด ๓ การบริการข้อมูลข่าวสาร ข้อ ๑๒ ให้หน่วยงานในการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดประเภทและบริการข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยให้งานห้องสมุด กองส่งเสริมการลงทุน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวบรวมจัดเตรียมและจัดให้มีข้อมูลข่าวสารที่ดำเนินการเสร็จแล้ว และอยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อเผยแพร่ ขาย จำหน่าย จ่ายแจก ตรวจดู และศึกษาค้นคว้า ตลอดจนจัดหาและจัดทำสำเนาข้อมูลข่าวสารดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ กฎหมายอื่น และระเบียบ กนอ. ข้อ ๑๓ เมื่อได้รับคำขอ ให้งานห้องสมุดตรวจสอบความถูกต้องของคำขอพร้อมชี้แจ้งผู้ยื่นคำขอ เพื่อให้ทราบขั้นตอนการบริการข้อมูลข่าวสาร ระยะเวลาในการดำเนินการจัดหาข้อมูลข่าวสาร หากไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จภายในวันเดียวให้กำหนดระยะเวลามารับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานที่รับคำขอ หากข้อมูลข่าวสารไม่สามารถเปิดเผยได้ก็ให้ชี้แจงผู้ยื่นคำขอทราบหรือหากต้องดำเนินการขออนุมัติผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ให้เสนอตามลำดับชั้นพร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาให้ผู้ยื่นคำขอทราบ ข้อ ๑๔ ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารตามข้อ ๗ แม้ว่าข้อมูลข่าวสารที่ขอจะอยู่ในการควบคุมดูแลของหน่วยงานอื่นหรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมในแต่ละสำนักงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยก็ตาม ให้หน่วยงานที่รับคำขอประสานงานต่อหน่วยงานที่ควบคุมดูแลข่าวสารนั้นโดยไม่ชักช้า หน่วยงานที่มีข้อมูลข่าวสารอยู่ในความควบคุมดูแล ต้องให้ข้อมูลข่าวสารที่มีผู้มาขอทราบ เว้นแต่เป็นเรื่องที่ห้ามเปิดเผยตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ หากหน่วยงานที่มีข้อมูลข่าวสารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยไม่มีเหตุอันควร ให้หัวหน้างานห้องสมุด ทำหนังสือถึงผู้ว่าการเพื่อวินิจฉัยสั่งการ ข้อ ๑๕ ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๘ โดยอนุโลมเว้นแต่เป็นเรื่องลับตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๗ หรือระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ หรือเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเปิดเผยตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ หรือที่ผู้มีอำนาจตามข้อ ๘ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเปิดเผย ข้อ ๑๖ ข้อมูลข่าวสารที่มีไว้เพื่อขายหรือจำหน่าย ให้คิดราคาตามหลักเกณฑ์ที่กนอ. กำหนด ข้อ ๑๗ การเรียกค่าธรรมเนียมการเข้าตรวจดู ค้นคว้า ขอสำเนา ขอพิมพ์สำเนารายละเอียดในคอมพิวเตอร์ หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร ให้เป็นไปตามที่คณะทำงานพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ กำหนดในคำขอรับบริการข้อมูลข่าวสารท้ายระเบียบนี้ การรับรองสำเนาข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานที่รับผิดชอบข้อมูลข่าวสารนั้นตั้งแต่ระดับ ๓ ขึ้นไปเป็นผู้รับรอง โดยลงลายมือชื่อพร้อมทั้งชื่อตัว ชื่อสกุล และตำแหน่งตลอดจนวัน เดือน ปี ให้ชัดเจน ทั้งนี้ให้รับรองตามจำนวนที่ผู้ยื่นคำขอ ขอให้รับรอง ข้อ ๑๘ การบริการส่งข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยทางโทรสาร ให้ดำเนินการได้เฉพาะกรณีเร่งด่วน โดยให้คำนึงถึงความสิ้นเปลือง เช่น จำนวนข้อมูลข่าวสาร ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการส่ง ทั้งนี้ ให้หัวหน้างานขึ้นไป หรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณาอนุญาต ข้อ ๑๙ การบริการข้อมูลข่าวสารให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๒ หมวด ๔ สถานที่บริการข้อมูลข่าวสาร ข้อ ๒๐ ให้หน่วยงานในการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ควบคุมดูแล ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความรับผิดชอบให้เป็นไปตามกฎหมายของระเบียบของราชการ และจัดสถานที่บริการข้อมูลข่าวสารดังนี้ ๑) งานห้องสมุด กองส่งเสริมการลงทุน เป็นสถานที่ติดต่อขอรับข้อมูลข่าวสารหรือให้คำแนะนำในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไปโดยมีหน้าที่เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ก) ให้บริการข้อมูลข่าวสารที่อยู่ระหว่างดำเนินการของหน่วยงานในการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและข้อมูลข่าวสารที่ดำเนินการเสร็จแล้ว ข) เป็นศูนย์ประสานงานกับหน่วยงานในการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสาร ให้ไว้ ณ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ สมเจตน์ ทิณพงษ์ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย [เอกสารแนบท้าย] ๑. คำขอรับบริการข้อมูลข่าวสารของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (แบบ งสม.กสท.01) ๒. อัตราค่าธรรมเนียมการขอข้อมูลข่าวสารของกนอ. (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) อัมพิกา/แก้ไข ๔ มิถุนายน ๒๕๔๕ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖/ตอนพิเศษ ๘๒ ง/หน้า ๕๙/๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๒
752500
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ล่าสุด)
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๒๓ (๑) (๑๒) และ (๑๓) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๓๑ ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ (๒) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๔/๒๕๓๕ เรื่อง ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๖/๒๕๓๕ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ (๔) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๓๘ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๘ (๕) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๔) ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ (๖) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๔๐ เรื่อง การกำหนดประเภทของกิจการอุตสาหกรรม การค้าและการบริการที่พึงอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ลงวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “ผู้ประกอบกิจการ” หมายความว่า ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ค่าบริการ” หมายความว่า ค่าบริการต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น ค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ค่าบริการน้ำประปา เป็นต้น ตลอดจนค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ส่วนที่ ๑ บททั่วไป ข้อ ๖ การประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม มี ๔ ลักษณะ ดังนี้ (๑) การประกอบอุตสาหกรรม (๒) การประกอบการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๓) การประกอบพาณิชยกรรมในเขตประกอบการเสรี (๔) การประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๗ ประเภทและขนาดของการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่ กนอ. ได้กำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ การกำหนดหรือให้ความเห็นชอบประเภทและขนาดของการประกอบกิจการดังกล่าว ให้ กนอ. พิจารณาโดยคำนึงถึงความสอดคล้องและความเหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ในกรณีที่มีปัญหาว่าประเภทและขนาดของกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคหนึ่ง เป็นกิจการที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งแห่งใดได้หรือไม่ ให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการพิจารณา ข้อ ๘ ในกรณีที่ กนอ. กำหนดให้การขออนุญาต การแจ้ง หรือการติดต่อกรณีอื่นใดให้กระทำได้โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การดำเนินการใดตามข้อบังคับนี้ ถ้าได้กระทำโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๙ ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวมีความประสงค์จะซื้อหรือเช่าซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบจำนวนเนื้อที่ ข้อ ๑๐ การประกอบกิจการในเขตประกอบการเสรี ผู้ขออนุญาตต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ การนำของออกไปนอกราชอาณาจักรหรือการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในราชอาณาจักร ผู้ประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๑[๒] ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ กนอ. กำหนด การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. พิจารณาถึงความสอดคล้องกับประเภทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมเป้าหมายตามที่คณะกรรมการ กนอ. ได้อนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นโครงการหรือกิจการที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัยคุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ นอกจากการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามวรรคสาม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการต้องประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องเป็นการเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กนอ. จึงจะพิจารณาการขอประกอบกิจการดังกล่าวต่อไปได้ ในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องตามวรรคสี่ ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการต้องชำระค่าบริการให้แก่ กนอ. ตามอัตราที่คณะกรรมการ กนอ.กำหนด ให้ กนอ. พิจารณาคำขออนุญาตและแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยเร็วภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากหน่วยราชการอื่นให้ขยายเวลาการแจ้งผลการพิจารณาออกไปจนกว่าหน่วยราชการนั้นได้พิจารณาเสร็จแล้ว จากนั้นให้ กนอ. ดำเนินการแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยราชการนั้น ข้อ ๑๒ ในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้ กนอ. ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขออนุญาตมาทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามแบบที่ กนอ. กำหนด ณ ที่ทำการของ กนอ. หรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับมอบหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. เว้นแต่เป็นกรณีนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ร่วมดำเนินงานกับเอกชนหรือหน่วยงานอื่นและเอกชนหรือหน่วยงานอื่นนั้นเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี ก็ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งเฉพาะกรณีการทำสัญญาการใช้ที่ดิน (๒) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีเหตุจำเป็นไม่อาจมาทำสัญญาภายในเวลาที่กำหนดตาม (๑) ได้โดยมีหนังสือขอขยายระยะเวลา พร้อมทั้งแสดงเหตุผลความจำเป็นต่อ กนอ. ให้ กนอ. พิจารณาขยายระยะเวลาตามความเหมาะสม (๓) เมื่อผู้ขออนุญาตได้มาทำสัญญาตาม (๑) แล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด (๔) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่มาทำสัญญาตาม (๑) ภายในเวลาที่กำหนดและไม่มีหนังสือขอขยายระยะเวลาต่อ กนอ. ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งการไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมต่อไป สำหรับการขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ไม่ได้บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ถ้า กนอ. เห็นสมควรอนุญาต ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๒/๑[๓] (ยกเลิก) ข้อ ๑๓ การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมีระยะเวลาไม่เกินห้าปี โดยนับถึงวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ห้า การขอต่ออายุการอนุญาต ให้ยื่นคำขอก่อนวันที่การอนุญาตสิ้นผลไม่น้อยกว่าสามสิบวันตามแบบที่ กนอ. กำหนด เมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ประกอบกิจการต่อไปได้ ในกรณีที่ กนอ. ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข หรือระงับการประกอบกิจการได้ หนังสืออนุญาตให้ต่ออายุให้เป็นไปตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นบุคคลธรรมดา และภายหลังได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมื่อผู้ประกอบกิจการดังกล่าวได้มีหนังสือแจ้งตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตแก่นิติบุคคลนั้นต่อไป โดยให้ กนอ. แก้ไขชื่อผู้ประกอบกิจการในหนังสืออนุญาตเดิมให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ผู้ประกอบกิจการจะต้องทำบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดินหรือสัญญาโอนสิทธิตามแบบที่ กนอ. กำหนด แล้วแต่กรณี ให้กับ กนอ. ก่อนจึงจะถือว่านิติบุคคลนั้นได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๑๕ ผู้ใดได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม โดยเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย หรือกรรมสิทธิ์ตกทอด หากผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินนั้นมีหนังสือแจ้งความประสงค์ จะประกอบกิจการเดิมในนิคมอุตสาหกรรมต่อไปตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตให้แก่ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดนั้นต่อไป และให้นำความในข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดตามวรรคหนึ่ง ประสงค์จะประกอบกิจการประเภทอื่นที่แตกต่างไปจากที่ผู้ประกอบกิจการเดิมเคยได้รับอนุญาตจะต้องยื่นคำขออนุญาต เพื่อประกอบกิจการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามข้อ ๑๒ ข้อ ๑๕/๑[๔] ผู้ประกอบกิจการอาจได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การขอรับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดว่าด้วยการนั้น การอนุญาต หรืออนุมัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อ กนอ. พิจารณาแล้วเห็นสมควรอนุญาตหรืออนุมัติสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบกิจการ ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาต อนุมัติ แล้วแต่กรณี ให้แก่ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต่อไป หมวด ๒ เงื่อนไขการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาต ส่วนที่ ๑ เงื่อนไขทั่วไปสำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การประกอบการบริการ การประกอบพาณิชยกรรม และการประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๖ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการตามประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการตามที่ได้รับอนุญาต การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาใช้บังคับแก่การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการโดยอนุโลม และให้ระยะเวลาในการอนุญาตสิ้นผลไปพร้อมกับการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ในกรณีที่การเพิ่มหรือการแก้ไขเป็นการประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้นำความในส่วนที่ ๒ ของหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๑๗ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการให้เป็นไปตามแผนผังแม่บทสำหรับนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งและต้องพัฒนาที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๘ การก่อสร้าง การดัดแปลง การรื้อถอน หรือการเคลื่อนย้ายอาคาร รวมทั้งการขออนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผังรายละเอียด และรายงานการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารต่อ กนอ. เพื่อพิจารณาอนุญาตออกใบรับรอง แล้วแต่กรณี ตามแบบที่ กนอ. กำหนด ให้ กนอ. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประกอบกิจการทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ประกอบกิจการได้เสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดหรือรายงานตามวรรคหนึ่งครบถ้วนแล้ว เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมจะเริ่มประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งเริ่มประกอบกิจการต่อ กนอ. ตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบกิจการ และให้ กนอ. มีอำนาจเกี่ยวกับการตรวจสอบการแจ้ง ให้ปรับปรุงแก้ไข และการออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๒๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มประกอบกิจการภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการ เว้นแต่ (๑) ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. (๒) เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อ ๒๖ ข้อ ๑๙ การนำอาคารโรงงาน อาคารอื่น ๆ เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือทรัพย์สินอื่นที่ก่อสร้างหรือติดตั้งอยู่ในที่ดินของผู้ประกอบกิจการไปจำนอง ขายฝาก ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือก่อภาระผูกพันใด ๆ โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ.ทราบเป็นหนังสือภายในสิบห้าวันนับแต่ได้กระทำการดังกล่าว การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการประกอบกิจการที่กระทำอยู่หรือมีผลให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้ประกอบกิจการเข้ามาประกอบกิจการแทนจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. เป็นหนังสือจึงจะดำเนินการได้ ข้อ ๒๐ ผู้ประกอบกิจการต้องไม่ปลูกสร้างที่พักอาศัยใด ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องไม่ให้ผู้ใดพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินดังกล่าว เว้นแต่ (๑) เป็นผู้ประกอบกิจการซึ่งให้บริการที่พักอาศัยในบริเวณที่จัดไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยหรือเพื่อพาณิชย์และบริการตามแผนผังแม่บทของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง (๒) ได้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด (๓) กรณีอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๑ ผู้ประกอบกิจการต้องรักษาความสะอาดในโรงงานหรืออาคารอื่น ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องดำเนินการจัดเก็บสินค้า ผลิตภัณฑ์ให้เป็นหมวดหมู่ไม่ปะปนกัน ข้อ ๒๒ ในกรณีที่มีการหยุดดำเนินงาน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบเป็นหนังสือภายในสามเดือนนับแต่วันหยุดดำเนินงาน แต่ในกรณีที่เป็นการหยุดดำเนินงานเพื่อโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันโอน ข้อ ๒๓ การโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ผู้อื่น ผู้ประกอบกิจการต้องมีหนังสือแจ้งให้ กนอ. ทราบ และในกรณีที่ผู้รับโอนประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป ให้นำความในข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๔ ผู้ประกอบกิจการต้องชำระค่าบริการตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่ กนอ. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ชำระค่าบริการในครั้งใด กนอ. จะกำหนดอัตราค่าบริการครั้งถัดไปให้สูงขึ้นตามภาระค่าใช้จ่ายของ กนอ. ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมีการค้างชำระค่าบริการติดต่อกันตามระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด กนอ. อาจงดการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจนกว่าผู้ประกอบกิจการนั้น จะมาชำระค่าบริการทั้งหมด ส่วนที่ ๒ เงื่อนไขเฉพาะการประกอบอุตสาหกรรม ข้อ ๒๕ การตั้งโรงงาน การขยายโรงงาน การก่อสร้าง การแก้ไขต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารโรงงานหรืออาคารอื่นเพื่อการประกอบกิจการ หรือการขยายกิจการ รวมทั้งการอนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานต่อ กนอ. พร้อมทั้งแจ้งระยะเวลาการเริ่มก่อสร้าง และระยะเวลาการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมโดยมีกำหนดเวลาตามสมควรให้ กนอ. พิจารณา ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง หาก กนอ. พิจารณาแล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการก่อสร้างโรงงานไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ข้อ ๒๖ ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มก่อสร้างอาคารโรงงานและเริ่มประกอบอุตสาหกรรมภายในระยะเวลาที่ กนอ. พิจารณาให้ความเห็นชอบหรือได้กำหนดตามความเหมาะสมแห่งกิจการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. ข้อ ๒๗ เมื่อการก่อสร้างอาคารโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักร และทดลองเครื่องแล้วเสร็จพร้อมจะเริ่มประกอบอุตสาหกรรมและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมต่อ กนอ. ตามแบบ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบอุตสาหกรรม ในกรณี กนอ. ตรวจสอบการปฏิบัติตามคำขอ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข แล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ให้ กนอ. พิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนดภายในกำหนดเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้ ไม่นับระยะเวลาที่ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามวรรคสอง ให้ผู้ประกอบกิจการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมเมื่อได้รับใบรับแจ้งจาก กนอ. ข้อ ๒๘ ผู้ประกอบกิจการใดประสงค์จะขยายการประกอบกิจการ ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด เมื่อ กนอ. ได้พิจารณาความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและได้ตรวจสอบโรงงานเรียบร้อยแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมส่วนขยายตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๒๙ ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยในบริเวณข้างเคียง ดังต่อไปนี้ (๑) จัดให้มีและใช้ระบบบำบัดน้ำเสียเบื้องต้นที่มีขนาดและประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งทั้งหมดของโรงงานให้มีคุณลักษณะตามมาตรฐานที่ กนอ. กำหนดตลอดเวลาทำงาน (๒) จัดให้มีและใช้ระบบขจัดกลิ่น ฝุ่นละออง หรือวัตถุอันตรายที่มีประสิทธิภาพ (๓) ดำเนินการกำจัดกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียและกากอุตสาหกรรมจากกระบวนการผลิตให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ (๔) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควรหรือโดยสภาพเป็นกิจการที่ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ให้ กนอ. พิจารณาผ่อนผันหรือยกเว้นการดำเนินการดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควรหรือตามสภาพดังกล่าว แล้วแต่กรณี ส่วนที่ ๒/๑[๕] เงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัย กระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๒๙/๑[๖] ในส่วนนี้ “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของสถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการในนิคมอุตสาหกรรม “ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า การทำ ผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง ตรวจสอบ ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือทำลายสิ่งใด ๆ ตามลักษณะกิจการของโรงงาน ตลอดจนการทดลองเดินเครื่องจักร “กระบวนการผลิต” หมายความว่า กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรง รวมถึงการจัดเก็บ การใช้ การผลิต การครอบครอง หรือเคลื่อนย้ายสารเคมีใด ๆ ภายในเขตนิคมอุตสาหกรรม “ความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety) หมายความว่า กระบวนการในการป้องกันหรือลดความรุนแรงความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดจากอุบัติการณ์ที่เป็นผลจากการเบี่ยงเบนของสภาวะกระบวนการผลิตที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ โดยให้บูรณาการการดำเนินงานด้านเดินเครื่องกระบวนการผลิตและวิศวกรรม รวมทั้งขั้นตอนดำเนินงานและการปฏิบัติให้มีความปลอดภัยตลอดเวลา “การจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety Management : PSM) หมายความว่า การจัดการให้เกิดความปลอดภัย การป้องกันการเกิดอุบัติการณ์และการบาดเจ็บที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการผลิตที่มีการใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง โดยใช้มาตรการทางการจัดการและพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมในการชี้บ่ง ประเมิน และควบคุมอันตรายจากกระบวนการผลิต และให้หมายความรวมถึงการจัดเก็บ การออกแบบ การใช้ การผลิต การบำรุงรักษา การตรวจสอบ การทดสอบและการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสารเคมีอันตรายร้ายแรงในเขตนิคมอุตสาหกรรม “สารเคมีอันตรายร้ายแรง” (Highly Hazardous Chemicals) หมายความว่า สารประกอบสารผสมซึ่งอยู่ในรูปของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น สารพิษ (Toxics) ที่ก่อมะเร็ง และทำให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยสารไวต่อการเกิดปฏิกิริยา (Reactives) และทำปฏิกิริยารุนแรง สารไวไฟ (Flammables) สารระเบิดได้ (Explosives) สารกัดกร่อน (Corrosives) ตัวออกซิไดส์ (Oxidizing Agents) เป็นต้น ตามบัญชีรายชื่อท้ายข้อบังคับนี้ “แก๊สไวไฟ” (Flammable Gases) หมายความว่า แก๊สที่อุณหภูมิ ๒๐ องศาเซลเซียส และมีความดัน ๑๐๑.๓ กิโลปาสกาล สามารถติดไฟได้เมื่อผสมกับอากาศ ๑๓ เปอร์เซ็นต์หรือต่ำกว่าโดยปริมาตรหรือมีช่วงกว้างที่สามารถติดไฟได้ ๑๒ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปเมื่อผสมกับอากาศ โดยไม่คำนึงถึงความเข้มข้นต่ำสุดของการผสม “ของเหลวไวไฟ” (Flammable Liquids) หมายความว่า ของเหลวหรือของเหลวผสมหรือของเหลวที่มีสารแขวนลอยผสมที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า ๓๗.๘ องศาเซลเซียสหรือ ๑๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ “อันตราย” (Hazard) หมายความว่า สิ่งหรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่วยจากการทำงาน ความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ตลอดจนความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือต่อสาธารณชน “ชี้บ่งอันตราย” (Hazard Identification) หมายความว่า กระบวนการในการค้นหาอันตรายที่มีอยู่และการระบุลักษณะของอันตราย “การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต” (Process Hazard Analysis : PHA) หมายความว่ากระบวนการวิเคราะห์อันตรายจากกระบวนการผลิต “อุบัติการณ์” (Incident) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นแล้วและมีผลให้เกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ “อุบัติเหตุ” (Accident) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดจากการขาดการควบคุม และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลให้เกิดการบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วยจากการทำงานหรือการเสียชีวิต หรือความสูญเสียต่อทรัพย์สิน หรือความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือต่อสาธารณชน “เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ” (Near Miss) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ “การทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง” (Pre-Startup Safety Review : PSSR) หมายความว่า การทบทวนตรวจสอบความปลอดภัยของกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับงานก่อสร้าง การติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ การดัดแปลงกระบวนการผลิต การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต การบำรุงรักษาครั้งใหญ่ก่อนนำสารเคมีอันตรายร้ายแรงเข้าสู่กระบวนการผลิต รวมถึงก่อนนำอุปกรณ์เข้าใช้งานหรือเดินเครื่อง “ผู้รับเหมา” (Contractors) หมายความว่า ผู้รับเหมาขั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงตามที่กำหนดไว้ในนิยามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ “งานที่ไม่ใช่งานประจำ” (Non - routine Work) หมายความว่า งานที่นอกเหนือจากงานปกติ งานที่ยังไม่เคยมีมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedures) งานที่ไม่ได้ปฏิบัติบ่อย งานที่มีวิธีปฏิบัติแตกต่างจากที่แสดงไว้ในขั้นตอนการปฏิบัติงาน งานที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน รวมถึงงานประจำแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายสูง “การตรวจประเมิน” (Audit) หมายความว่า การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตที่เป็นระบบอย่างเป็นอิสระ โดยการจัดทำเป็นเอกสารเพื่อให้ได้หลักฐานการตรวจประเมิน และประเมินว่าเป็นไปตามเกณฑ์การตรวจประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance Audits) “การตรวจประเมินภายใน” (Internal Audit) หมายความว่า การดำเนินการตรวจประเมินโดยคณะผู้ตรวจประเมินภายในของสถานประกอบการเอง เพื่อทบทวนระบบความปลอดภัยและการจัดการว่าองค์กรได้ดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินภายในไม่ควรเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายให้ไปตรวจประเมิน “การตรวจประเมินภายนอก” (External Audit) หมายความว่า การดำเนินการตรวจประเมินโดยคณะผู้ตรวจประเมินที่ขึ้นทะเบียนกับ กนอ. และได้รับการมอบหมายจาก กนอ. ให้ตรวจประเมินเป็นกรณีไป “เกณฑ์การตรวจประเมิน” (Audit Criteria) หมายความว่า บรรทัดฐานที่ใช้ในการพิจารณา ซึ่งอาจจะเป็นนโยบายขั้นตอนการดำเนินงาน หรือข้อกำหนดต่าง ๆ ทั้งนี้ เกณฑ์การตรวจประเมินดังกล่าวจะนำมาใช้อ้างอิงโดยเทียบเคียงกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต “คณะผู้ตรวจประเมิน” (Audit Team) หมายความว่า คณะบุคคลที่ดำเนินการตรวจประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตของแต่ละสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง” (Specialists) หมายความว่า ผู้ที่มีความรู้และความชำนาญซึ่งเหมาะสมกับสถานประกอบการนั้น “สิ่งที่พบจากการตรวจประเมิน” (Audit Findings) หมายความว่า ผลของการตรวจประเมินตามหลักฐานการตรวจประเมินที่รวบรวมได้ โดยเทียบกับเกณฑ์การตรวจประเมินซึ่งสามารถชี้บ่งได้ทั้งความสอดคล้องและความไม่สอดคล้องกับเกณฑ์การตรวจประเมินหรือโอกาสสำหรับการปรับปรุง “ข้อเสนอแนะ” (Recommendations) หมายความว่า ข้อเสนอแนะของคณะผู้ตรวจประเมินที่มีต่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อให้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุง ข้อ ๒๙/๒[๗] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการวางแผน การปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบการปฏิบัติตามแผนและการปรับปรุงแก้ไขที่เป็นระบบอย่างต่อเนื่อง ข้อ ๒๙/๓[๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิต ดังต่อไปนี้ต้องดำเนินการการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิต (๑) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรงในปริมาณครอบครอง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเท่ากับหรือมากกว่าปริมาณที่กำหนดในบัญชีท้ายข้อบังคับนี้ หรือ (๒) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับแก๊สไวไฟหรือของเหลวไวไฟ ที่มีปริมาณครอบครองตั้งแต่ ๔,๕๔๕ กิโลกรัมหรือ ๑๐,๐๐๐ ปอนด์ขึ้นไป ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง กรณีกระบวนการตาม (๑) หรือ (๒) หมายความรวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องหรืออุปกรณ์ข้างเคียงหรือที่ต่อเนื่องกับกระบวนการดังกล่าวด้วย เว้นแต่แก๊สไวไฟหรือของเหลวไวไฟซึ่งนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น เช่น ใช้สำหรับหม้อน้ำ หรือเติมยานพาหนะ ข้อ ๒๙/๔[๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินภายในทุก ๑ ปีและการตรวจประเมินภายนอกทุก ๓ ปี ทั้งนี้ ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอกประกอบการยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตต่อ กนอ. หรือกรณีเกิดอุบัติเหตุเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต หรือกรณีการขอขยายกำลังการผลิตที่กระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต โดยมิได้หมายความรวมถึงการขยายพื้นที่ ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอกประกอบการยื่นขออนุญาตต่อ กนอ. ข้อ ๒๙/๕[๑๐] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีข้อมูลและขั้นตอนแผนการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรโดยให้พนักงานมีส่วนร่วมและรับทราบการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ หรือการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย การปฏิบัติและพัฒนาการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต การพัฒนาในด้านอื่น ๆ ของการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต การให้รับทราบและสามารถสืบค้นข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต รวมทั้งข้อมูลอื่นเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน ตลอดจนให้มีส่วนร่วมตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ดังต่อไปนี้ (๑) ข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิต (Process Safety Information : PSI) (๒) การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต (Process Hazard Analysis : PHA) (๓) ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Operating Procedures : OP) (๔) การฝึกอบรม (Training) (๕) การจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management : CSM) (๖) การทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง (Pre-Startup Safety Review : PSSR) (๗) ความพร้อมใช้ของอุปกรณ์ (Mechanical Integrity : MI) (๘) การอนุญาตทำงานที่อาจทำให้เกิดความร้อนและประกายไฟ (Hot Work Permits) และการอนุญาตทำงานที่ไม่ใช่งานประจำ (Non-Routine Work Permits) (๙) การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Management of Change : MOC) (๑๐) การสอบสวนอุบัติการณ์ (Incident Investigation : II) (๑๑) การเตรียมความพร้อมและการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Emergency Planning and Response : EPR) (๑๒) การตรวจประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance Audits) (๑๓) ความลับทางการค้า (Trade Secrets) ข้อ ๒๙/๖[๑๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมจะต้องดำเนินการรวบรวมข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะเริ่มทำการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานและการผลิตได้ตระหนักและทำความเข้าใจถึงอันตรายที่อาจเกิดจากกระบวนการผลิตที่มีสารเคมีอันตรายร้ายแรง ข้อ ๒๙/๗[๑๒] ข้อมูลอันตรายจากสารเคมีอันตรายร้ายแรงในกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อมูล ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อและสูตรเคมีของสารเคมีอันตรายร้ายแรง (๒) ความเป็นพิษ (๓) ค่าการสัมผัสที่ยอมรับได้ (๔) สมบัติทางกายภาพและทางเคมี (๕) ความสามารถในการทำปฏิกิริยา (๖) สมบัติในการกัดกร่อน (๗) ความเสถียรทางเคมีและความร้อน (๘) อันตรายที่เกิดขึ้นจากการผสมสารเคมี ข้อ ๒๙/๘[๑๓] ข้อมูลเทคโนโลยีกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) แผนภาพการไหล (Block Flow Diagram) หรือแผนภาพการไหลกระบวนการผลิตอย่างง่าย (Simplified Process Flow Diagram) และคำอธิบายแสดงขั้นตอนการผลิต (๒) เคมีกระบวนการผลิต (Process Chemistry) (๓) ปริมาณกักเก็บสารเคมีอันตรายร้ายแรงสูงสุด (๔) ขีดจำกัดต่ำสุดและสูงสุดที่ระยะปลอดภัย (Safe Upper and Lower Limits) ของแต่ละอุปกรณ์ เครื่องจักร และกระบวนการผลิต เช่น อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล หรือองค์ประกอบ เป็นต้น (๕) การประเมินผลที่ตามมาจากการเบี่ยงเบนไปจากค่ากำหนดเดิม รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม่สามารถแสดงข้อมูลเทคโนโลยีกระบวนการผลิตได้ ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเสาะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สามารถนำมาประยุกต์เพื่อใช้ในการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตแทนก็ได้ ข้อ ๒๙/๙[๑๔] ข้อมูลอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) วัสดุที่ใช้ในการสร้างอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งท่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (๒) แผนภาพระบบท่อและเครื่องมือวัด (Piping and Instrumentation Diagrams: P&IDs) (๓) การจำแนกบริเวณอันตรายทางไฟฟ้า (Electrical Area Classification) (๔) การออกแบบระบบที่ใช้ในการลดความดัน และพื้นฐานการออกแบบ (๕) การออกแบบระบบระบายอากาศ (๖) ข้อกำหนด (Codes) และมาตรฐาน (Standards) ที่นำมาใช้ออกแบบ (๗) ดุลมวลสารและดุลพลังงาน (Material and Energy Balances) สำหรับกระบวนการผลิต (๘) การออกแบบระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การเชื่อมโยง กลไกการควบคุมจากภายใน อุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Interlock) ระบบตรวจจับ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้และระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๐[๑๕] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำเอกสารเพื่อแสดงว่าอุปกรณ์เป็นไปตามมาตรฐานและวิธีปฏิบัติทางวิศวกรรมที่ดีที่ได้รับการรับรองและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป (Recognized and Generally Accepted Good Engineering Practices : RAGAGEP) สำหรับอุปกรณ์ที่ออกแบบและก่อสร้างตามข้อกำหนดมาตรฐานเดิมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ผู้ประกอบอุตสาหกรรมจะต้องจัดทำเอกสารเพื่อแสดงว่าอุปกรณ์นั้นได้ถูกออกแบบ บำรุงรักษา ตรวจสอบ ทดสอบ และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ข้อ ๒๙/๑๑[๑๖] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องทบทวนและปรับปรุงเอกสารข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ข้อ ๒๙/๑๒[๑๗] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตทั้งหมด วิธีการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตให้เป็นระบบและเหมาะสมต่อความซับซ้อนของกระบวนการผลิตโดยสามารถชี้บ่ง ประเมิน และควบคุมอันตรายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ครอบคลุมถึงการจัดเก็บ การใช้ การผลิต และการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสารเคมีอันตรายร้ายแรงได้ ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องลำดับความสำคัญของอันตราย และจัดทำเอกสารสำหรับวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต โดยให้พิจารณาจากขอบเขตของอันตรายในกระบวนการผลิตจำนวนพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบ อายุการใช้งานของอุปกรณ์ เครื่องจักร และกระบวนการผลิต ตลอดจนประวัติการเดินเครื่องจักรในกระบวนการผลิต (๒) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งวิธีตามความเหมาะสม เพื่อชี้บ่งอันตรายวิเคราะห์และประเมินอันตรายกระบวนการผลิตดังนี้ (๒.๑) What - if (๒.๒) Checklist (๒.๓) What - if/Checklist (๒.๔) Hazard and Operability Study (HAZOP) (๒.๕) Failure Mode and Effects Analysis (FMEA) (๒.๖) Fault Tree Analysis (๒.๗) วิธีอื่นที่เทียบเท่าหรือดีกว่าตามความเหมาะสม (๓) การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม อย่างน้อยจะต้องมีรายละเอียดดังนี้ (๓.๑) อันตรายจากกระบวนการผลิตและการทำงานที่เกี่ยวข้อง (๓.๒) การชี้บ่งอุบัติการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือผลกระทบที่สำคัญต่อพนักงานและสถานประกอบการ (๓.๓) การควบคุมทางด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการที่ใช้ควบคุมการเกิดอันตรายและสิ่งที่เกี่ยวกับอันตราย เช่น วิธีการที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการตรวจจับเพื่อเตือนเหตุล่วงหน้า วิธีการในการตรวจจับที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งอาจรวมถึงการเฝ้าระวังกระบวนการผลิต และการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสัญญาณเตือนและอุปกรณ์ในการตรวจจับ เช่น เครื่องตรวจจับไฮโดรคาร์บอน เป็นต้น (๓.๔) ผลจากความล้มเหลวของการควบคุมทางด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการ (๓.๕) การวางตำแหน่งที่ตั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร และอาคารทั้งหมดของผังโรงงาน (๓.๖) ปัจจัยด้านบุคคล เช่น ข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน ความไม่สมบูรณ์ด้านสุขภาพของพนักงาน (๓.๗) การประเมินผลกระทบเชิงคุณภาพด้านความปลอดภัย และด้านสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นกับพนักงานในสถานประกอบการในกรณีที่การควบคุมล้มเหลว (๔) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีคณะทำงานวิเคราะห์อันตรายอย่างน้อย ๓ คน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต พนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านกระบวนการวิเคราะห์และประเมินอันตราย และพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (๕) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบในการจัดการกับสิ่งที่พบจากการตรวจประเมินและข้อเสนอแนะจากคณะทำงานวิเคราะห์อันตราย เพื่อให้ข้อเสนอแนะนั้นได้รับการแก้ไขได้ทันเวลาและมีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยระบุถึงแผนการดำเนินงาน ผู้รับผิดชอบและกำหนดวันแล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังจะต้องแจ้งให้ฝ่ายปฏิบัติการบำรุงรักษาและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากคำแนะนำและการดำเนินงานนั้นด้วย (๖) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องปรับปรุงข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตให้เป็นปัจจุบันโดยให้ดำเนินการอย่างน้อยทุก ๕ ปี หรือเมื่อมีการขยายหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตจากเดิมที่มีอยู่ ทั้งนี้ การปรับปรุงข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายให้จัดทำโดยคณะทำงานวิเคราะห์อันตรายตาม (๔) (๗) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดเก็บเอกสารการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตไว้ตลอดระยะเวลาที่กระบวนการผลิตนั้นยังใช้งานอยู่ ข้อ ๒๙/๑๓[๑๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรและการนำไปใช้ให้สอดคล้องกับข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตและผลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต เพื่อเตรียมข้อมูลที่มีความชัดเจนสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ขั้นตอนการปฏิบัติงาน อย่างน้อยต้องประกอบด้วยเรื่อง ดังต่อไปนี้ (๑) ขั้นตอนสำหรับแต่ละระยะการปฏิบัติการ (Operating Phase) (๑.๑) การเริ่มเดินเครื่องครั้งแรก (Initial Startup) (๑.๒) การปฏิบัติการผลิตปกติ (Normal Operations) (๑.๓) การปฏิบัติการผลิตชั่วคราว (Temporary Operations) (๑.๔) การหยุดระบบการผลิตฉุกเฉิน (Emergency Shutdown) รวมถึงการหยุดระบบการผลิตฉุกเฉินที่มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นไปตามเงื่อนไขการผลิตของแต่ละสถานประกอบการ (๑.๕) การปฏิบัติการผลิตในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations) (๑.๖) การหยุดระบบการผลิตตามปกติ หรือตามระยะเวลาที่กำหนด (Normal Shutdown) (๑.๗) การเริ่มเดินเครื่องหลังจากการซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ หรือหลังจากการหยุดระบบการผลิตฉุกเฉิน (๒) ขีดจำกัดในการปฏิบัติงาน (Operating Limits) (๒.๑) ผลกระทบหรือผลที่เกิดขึ้นจากการเบี่ยงเบนออกจากขีดจำกัด (๒.๒) ขั้นตอนในการแก้ไข หรือการหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนออกจากขีดจำกัด (๓) ข้อควรระวังเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย (๓.๑) สมบัติและอันตรายของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต (๓.๒) ข้อควรปฏิบัติที่จำเป็นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารเคมีและการสัมผัสสารเคมี รวมทั้งการควบคุมทางวิศวกรรม การควบคุมการจัดการ และอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (๓.๓) มาตรการควบคุมหากเกิดการสัมผัสสารเคมีโดยตรงหรือที่แพร่กระจายในอากาศ (๓.๔) การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและปริมาณของสารเคมีอันตรายร้ายแรง (๓.๕) อันตรายเฉพาะหรือลักษณะพิเศษของกระบวนการผลิต (๔) ระบบความปลอดภัยและระบบอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น อุปกรณ์การเชื่อมโยง กลไกการควบคุมจากภายใน อุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Interlock) ระบบตรวจจับ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๔[๑๙] ขั้นตอนการปฏิบัติงานตามข้อ ๒๙/๑๓ ต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) ต้องมีความพร้อมเพื่อให้พนักงานที่ปฏิบัติงานสามารถค้นหาได้ (๒) ต้องมีการทบทวนให้เป็นไปตามการปฏิบัติงานในปัจจุบันอยู่เสมอ และ (๓) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องรับรองความเป็นปัจจุบันและความถูกต้องของขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นประจำทุกปี กรณีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ พนักงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการเปลี่ยนแปลงของอุปกรณ์ อาคาร หรือสถานที่ที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Facility) รวมทั้งส่วนสนับสนุนการผลิต (Utility) ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยกระบวนการ ข้อ ๒๙/๑๕[๒๐] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยเป็นลายลักษณ์อักษรและการนำมาใช้ เพื่อควบคุมอันตรายการปฏิบัติงานของพนักงานและผู้รับเหมา เช่น การควบคุมการเข้าปฏิบัติงานของพนักงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย การปฏิบัติงานในลักษณะที่อาจทำให้เกิดความร้อนและประกายไฟ การปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานประจำ การตัดแยกระบบเพื่อความปลอดภัย (Lock out/Tag out) การทำงานในที่อับอากาศ การเปิดอุปกรณ์และท่อในกระบวนการผลิต รวมทั้งการขออนุญาตเข้าทำงาน เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๖[๒๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมช่วงเริ่มปฏิบัติงานแก่พนักงานปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในกระบวนการผลิต และพนักงานที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพรวมของกระบวนการผลิต ขั้นตอนการปฏิบัติงานความปลอดภัยและอันตรายต่อสุขภาพที่มีความจำเพาะต่อกระบวนการผลิตนั้น ๆ การปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน รวมถึงการหยุดระบบการผลิต และการปฏิบัติงานอื่น ๆ อย่างปลอดภัยตามหน้าที่ที่พนักงานได้รับมอบหมาย กรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการทดสอบพนักงานเพื่อให้พนักงานนั้นมีความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อ ๒๙/๑๗[๒๒] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อทบทวนความรู้แก่พนักงานอย่างน้อยทุก ๆ ๓ ปี หรือมากกว่านั้น เพื่อให้พนักงานนั้นมีความเข้าใจและทราบถึงข้อมูลขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ต้องให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพิจารณาและจำนวนครั้งที่เหมาะสมในการจัดการฝึกอบรมเพื่อทบทวนความรู้ให้กับพนักงาน ข้อ ๒๙/๑๘[๒๓] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีเอกสารบันทึกการฝึกอบรมของพนักงานและกำหนดให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตได้รับความรู้ ความเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติงาน ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยชื่อพนักงาน วันที่เข้ารับการฝึกอบรม และวิธีการที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมใช้ในการทวนสอบความเข้าใจของพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรม ข้อ ๒๙/๑๙[๒๔] ให้มีการจัดการความปลอดภัย เพื่อนำไปใช้กับผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงในการผลิต การซ่อมบำรุง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เครื่องจักร การซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่หรืองานพิเศษอื่นที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหรือสถานที่ใกล้เคียง ข้อ ๒๙/๒๐[๒๕] กรณีความรับผิดชอบของผู้ประกอบอุตสาหกรรม (๑) กรณีเมื่อมีการคัดเลือกผู้รับเหมา ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องพิจารณาและประเมินประสิทธิภาพการทำงานด้านความปลอดภัย และขั้นตอนการทำงานของผู้รับเหมาเพื่อความปลอดภัยตามสัญญา (๒) ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ต้องดำเนินการ (๒.๑) ให้ข้อมูลแก่ผู้รับเหมาในเรื่องสารเคมีที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้ การระเบิด หรืออันตรายจากสารเคมีรั่วไหลที่เกี่ยวข้องกับงานของผู้รับเหมาหรือกระบวนการผลิต (๒.๒) ต้องอธิบายให้ผู้รับเหมาทราบถึงเงื่อนไขการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน (๒.๓) ให้นำวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยตามข้อ ๒๙/๑๕ มาใช้เพื่อควบคุมการเข้าและออกของผู้รับเหมาในกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้อง (๒.๔) มีการประเมินสมรรถนะของผู้รับเหมาเป็นระยะเพื่อให้ผู้รับเหมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และเก็บรักษาใบบันทึกรายการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บที่เกี่ยวเนื่องกับงานของผู้รับเหมา ข้อ ๒๙/๒๑[๒๖] กรณีความรับผิดชอบของผู้รับเหมา (๑) พนักงานของผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานต้องได้รับการฝึกอบรมให้ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย (๒) พนักงานของผู้รับเหมาต้องได้รับการชี้แจงถึงสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟไหม้ การระเบิด สารเคมีรั่วไหล การเชื่อม อันเนื่องมาจากงานและกระบวนการผลิต รวมทั้งการปฏิบัติตนเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินตามที่มีการเตรียมการไว้ (๓) จัดทำเอกสารบันทึกการฝึกอบรม โดยต้องระบุชื่อพนักงานของผู้รับเหมา วันที่เข้ารับการฝึกอบรม และวิธีการที่ใช้ในการตรวจสอบความเข้าใจของพนักงานของผู้รับเหมาที่ได้รับฝึกอบรม (๔) กำกับ ดูแลพนักงานของผู้รับเหมาให้ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยของโรงงาน รวมทั้งวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๑๕ (๕) ผู้รับเหมาต้องแจ้งให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมทราบถึงอันตรายที่เกิดขึ้นได้หรืออันตรายที่พบจากการปฏิบัติงานของผู้รับเหมา ข้อ ๒๙/๒๒[๒๗] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการทบทวนความปลอดภัยก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่องในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) มีการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ (๒) มีการดัดแปลงกระบวนการผลิตหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลด้านความปลอดภัยกระบวนการผลิต (๓) มีการซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ ข้อ ๒๙/๒๓[๒๘] กรณีการทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่องตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๒๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องยืนยันความสอดคล้องตามแผนการทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง ก่อนนำสารเคมีอันตรายร้ายแรงหรือสารที่มีความดันหรืออุณหภูมิที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อพนักงานและกระบวนการผลิต ตลอดจนการนำไนโตรเจน ไอน้ำ เข้าสู่กระบวนการผลิต ดังต่อไปนี้ (๑) การก่อสร้างและอุปกรณ์ต้องเป็นไปตามแบบที่กำหนดไว้ (๒) ขั้นตอนปฏิบัติด้านความปลอดภัย การปฏิบัติงาน การซ่อมบำรุง และภาวะฉุกเฉินต้องมีเพียงพอและพร้อมสำหรับการใช้งาน (๓) ต้องมีการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตสำ หรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่และคำแนะนำต่าง ๆ ต้องได้รับการแก้ไข หรือนำไปใช้ก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่อง ทั้งนี้ การดัดแปลงหรือการเปลี่ยนแปลงส่วนใด ๆ ของโรงงานต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๓๓ ข้อ ๒๙/๓๔ และข้อ ๒๙/๓๕ (๔) มีการฝึกอบรมพนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในกระบวนการผลิตให้แล้วเสร็จก่อนการเดินเครื่อง ข้อ ๒๙/๒๔[๒๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ ให้มีความพร้อมใช้อยู่เสมอโดยเฉพาะอุปกรณ์วิกฤตในกระบวนการผลิต (Critical Process Equipment) เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์นั้นได้รับการออกแบบและติดตั้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐานและหลักวิศวกรรม และมีการใช้งานตรงตามวัตถุประสงค์การออกแบบอย่างเหมาะสม (๑) ถังหรือภาชนะรับแรงดันที่บรรจุสารเคมีเหลวหรือแก๊สภายใต้ความดัน หรือถังเก็บสารเคมีเหลวหรือแก๊ส (๒) ระบบท่อ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบ เช่น วาล์ว เป็นต้น (๓) ระบบลดและระบายความดันและอุปกรณ์ (๔) ระบบหยุดการผลิตฉุกเฉิน (๕) ระบบควบคุมที่รวมอุปกรณ์วัด ตัวรับสัญญาณ อุปกรณ์สัญญาณบอกเหตุ และอุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Controls including Monitoring Devices and Sensors, Alarms, and Interlocks) (๖) เครื่องสูบต่าง ๆ เช่น เครื่องสูบสารเคมีอันตรายร้ายแรง เครื่องสูบน้ำหล่อเย็น เป็นต้น (๗) ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย ข้อ ๒๙/๒๕[๓๐] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการจัดทำขั้นตอนการดูแลรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นลายลักษณ์อักษรและการนำไปใช้ เพื่อให้เครื่องจักรและอุปกรณ์มีความพร้อมใช้อย่างสมบูรณ์ ข้อ ๒๙/๒๖[๓๑] เพื่อความปลอดภัยของพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความพร้อมใช้ของอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต พนักงานผู้นั้นจะต้องได้รับการฝึกอบรมในภาพรวมเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและอันตรายที่อาจเกิดจากกระบวนการผลิต ตลอดจนได้รับการฝึกอบรมขั้นตอนการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายก่อน ข้อ ๒๙/๒๗[๓๒] การตรวจสอบและทดสอบอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตต้องเป็นไปตามหลักวิศวกรรมสำหรับจำนวนครั้งในการตรวจสอบและทดสอบให้เป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตหรือตามหลักวิศวกรรม แล้วแต่กรณี ซึ่งอาจจะมีจำนวนครั้งมากกว่านั้นหากพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานย้อนหลังแล้วเห็นว่ามีความจำเป็น ในการตรวจสอบและทดสอบอุปกรณ์กระบวนการผลิตในแต่ละครั้ง ต้องมีการบันทึกไว้เป็นเอกสารระบุวันที่ทำการตรวจสอบและทดสอบ ชื่อผู้ตรวจสอบและทดสอบ หมายเลขประจำเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ (Serial Number) หรือสิ่งอื่นใด เช่น Tag Number เป็นต้น ที่สามารถระบุอุปกรณ์ที่ได้รับการตรวจสอบและทดสอบ รวมทั้งรายละเอียดของวิธีการตรวจสอบและทดสอบที่ใช้ ตลอดจนผลการตรวจสอบและทดสอบ ข้อ ๒๙/๒๘[๓๓] กรณีอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตมีความบกพร่องเกินขีดจำกัดที่ยอมรับได้ตามที่ระบุไว้ในข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิต เช่น ค่าการเบี่ยงเบน เป็นต้น ต้องได้รับการแก้ไขให้มีความพร้อมสมบูรณ์ก่อนที่จะใช้งานอุปกรณ์นั้นต่อไป ทั้งนี้ หากมีความประสงค์ที่จะใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวต่อไปและอยู่ระหว่างรอการแก้ไขปรับปรุง ต้องแสดงวิธีการตามหลักวิศวกรรมและมีแผนการปฏิบัติเพื่อให้การใช้งานอุปกรณ์เป็นไปอย่างปลอดภัย ข้อ ๒๙/๒๙[๓๔] กรณีที่มีการก่อสร้างโรงงานและติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ในกระบวนการผลิต ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบและทดสอบว่าอุปกรณ์นั้นมีความเหมาะสมกับกระบวนการผลิต และดำเนินการติดตั้งให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรม สอดคล้องกับข้อกำหนดการออกแบบและคำแนะนำของผู้ผลิต ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบและทดสอบว่าวัสดุที่นำมาใช้ในการซ่อมบำรุง ชิ้นส่วนสำรองหรืออะไหล่และอุปกรณ์ มีความเหมาะสมกับกระบวนการผลิตและการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ข้อ ๒๙/๓๐[๓๕] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำระบบใบอนุญาตทำงานและกำหนดขั้นตอนการขออนุญาตทำงานสำหรับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับความร้อนหรือก่อให้เกิดประกายไฟในบริเวณที่มีการผลิตและสถานที่ใกล้หรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ข้อ ๒๙/๓๑[๓๖] ใบอนุญาตทำงานต้องมีรายละเอียดอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ หรือตามที่ กนอ. กำหนด (๑) การกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดไฟไหม้ ซึ่งจะต้องดำเนินการก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานเกี่ยวกับความร้อนหรือประกายไฟ รวมทั้งการระงับเหตุ (๒) วันที่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงาน และการระบุชื่ออุปกรณ์ที่จะปฏิบัติงานเกี่ยวกับความร้อนหรือประกายไฟ (๓) พื้นที่ปฏิบัติงาน (๔) ผู้ขออนุญาตปฏิบัติงาน (๕) ขั้นตอนและวิธีการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนเริ่มปฏิบัติงาน (๖) การวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย (๗) ผู้ตรวจสอบความปลอดภัยก่อนการเริ่มปฏิบัติงาน (๘) ผู้มีอำนาจอนุมัติ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบความปลอดภัยก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานว่าได้ดำเนินการตัดแยกและปิดกั้นอุปกรณ์ที่จะทำงานนั้นออกจากระบบอื่น ๆ แล้ว และให้พื้นที่ปฏิบัติงานปราศจากสารไวไฟหรือสารเคมีอันตราย เพื่อความปลอดภัยในระหว่างการปฏิบัติงาน ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการตรวจวัดแก๊สไวไฟหรือสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย และมีการตรวจวัดเป็นระยะตามช่วงเวลาที่ปฏิบัติงานว่ามีความปลอดภัย รวมทั้งใบอนุญาตทำงานต้องถูกแสดงไว้ในพื้นที่ปฏิบัติงานจนกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ และภายหลังจากสิ้นสุดการปฏิบัติงานต้องมีการตรวจยืนยันความปลอดภัยในพื้นที่ปฏิบัติงานอีกครั้งหนึ่ง ข้อ ๒๙/๓๒[๓๗] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำระบบใบอนุญาตทำงานและขั้นตอนการขออนุญาตทำงานสำหรับการปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานประจำในบริเวณที่มีการผลิตและสถานที่ใกล้กับหรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต เช่น การปฏิบัติงานในที่อับอากาศ การตัดแยกระบบเพื่อความปลอดภัยระหว่างการบำรุงรักษา หรือระหว่างการหยุดเครื่องจักร หรือมีการนำสารเคมีอันตราย สารไวไฟที่ไม่ได้ใช้ประจำในกระบวนผลิตเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติงาน เป็นต้น ทั้งนี้ โดยให้มีมาตรการป้องกันการสัมผัสสารเคมีในขั้นตอนการทำงาน หรือป้องกันการเกิดประกายไฟ การเกิดไฟไหม้ และต้องมีรายละเอียดการปฏิบัติในใบอนุญาตทำงานด้วย ข้อ ๒๙/๓๓[๓๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนการจัดการการเปลี่ยนแปลงเป็นลายลักษณ์อักษร และการนำไปใช้กับการเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ พนักงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ อาคาร หรือสถานที่ที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Facility) รวมทั้งส่วนสนับสนุนการผลิต (Utility) ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยกระบวนการผลิต เว้นแต่กรณีการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อกำหนดเดิมทุกประการ ข้อ ๒๙/๓๔[๓๙] ขั้นตอนการปฏิบัติงานการจัดการการเปลี่ยนแปลงตามข้อ ๒๙/๓๓ ต้องพิจารณาข้อมูล ดังต่อไปนี้ ก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลง (๑) ข้อมูลด้านเทคนิคของการเปลี่ยนแปลงที่จะกระทำ (๒) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่อความปลอดภัยและสุขภาพ (๓) การปรับเปลี่ยนขั้นตอนการปฏิบัติงาน (๔) ระยะเวลาจำเป็นที่ใช้งานระหว่างการเปลี่ยนแปลง (๕) ข้อกำหนดการพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลง ข้อ ๒๙/๓๕[๔๐] พนักงานที่ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตและการซ่อมบำรุง ผู้รับเหมาและพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่อการปฏิบัติงานที่ดำเนินการอยู่นั้น ต้องได้รับข้อมูลและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นก่อนเริ่มเดินเครื่อง และหากการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตและขั้นตอนการปฏิบัติงาน ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องปรับปรุงข้อมูลให้สอดคล้องกันและเป็นปัจจุบัน ข้อ ๒๙/๓๖[๔๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนแต่ละอุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดหรืออาจจะก่อให้เกิดไฟไหม้ การระเบิด และการรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรงในพื้นที่ปฏิบัติงาน การสอบสวนอุบัติการณ์ตามวรรคหนึ่ง ต้องเริ่มดำเนินการภายใน ๔๘ ชั่วโมงนับจากเกิดเหตุอุบัติการณ์ในแต่ละคราว ข้อ ๒๙/๓๗[๔๒] กรณีการสอบสวนอุบัติการณ์ต้องให้ดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบโดยคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยพนักงานผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจกระบวนการผลิตอย่างน้อย ๑ คน และพนักงานผู้มีความรู้หรือมีประสบการณ์ในการสอบสวนและวิเคราะห์อุบัติการณ์ รวมทั้งผู้รับเหมากรณีที่ผู้รับเหมามีความเกี่ยวข้องกับอุบัติการณ์ ที่เกิดขึ้นนั้นด้วย ข้อ ๒๙/๓๘[๔๓] รายงานการสอบสวนอุบัติการณ์ ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) วันที่เกิดอุบัติการณ์ (๒) วันที่เริ่มต้นสอบสวน (๓) รายละเอียดของอุบัติการณ์ (๔) สาเหตุของอุบัติการณ์ (๕) ข้อแนะนำหลังการสอบสวน ข้อ ๒๙/๓๙[๔๔] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบการสอบสวนอุบัติการณ์ซึ่งสามารถสรุปสิ่งที่พบจากการตรวจประเมิน วิธีการและข้อแนะนำในการแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุของอุบัติการณ์และต้องมีการบันทึกและทบทวนรายงานโดยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงผู้รับเหมาในกรณีที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้อ ๒๙/๔๐[๔๕] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดเก็บรายงานการสอบสวนอุบัติการณ์ไว้อย่างน้อย ๕ ปีนับตั้งแต่การสอบสวนนั้นเสร็จสิ้น ข้อ ๒๙/๔๑[๔๖] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินและการนำไปใช้ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินซึ่งครอบคลุมถึงกรณีการเกิดไฟไหม้ การระเบิด การรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรง ตลอดจนกรณีสารเคมีอันตรายร้ายแรงรั่วไหลปริมาณน้อยและของเสียอันตรายด้วย ข้อ ๒๙/๔๒[๔๗] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินแก่พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๓[๔๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินให้กับพนักงาน ผู้รับเหมา และชุมชน ตลอดจนบุคคลภายนอกที่เข้ามาในสถานประกอบการ โดยรวมถึงแผนการสื่อสารในภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๔[๔๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการและคงไว้ซึ่งการสื่อสารในภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ชุมชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๕[๕๐] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบการแจ้งเตือนพนักงานในกรณีที่เกิดเหตุภาวะฉุกเฉิน และใช้เสียงสัญญาณเตือนให้เหมาะสม ข้อ ๒๙/๔๖[๕๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการให้มีการตรวจประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมตามที่ กนอ. กำหนด ดังต่อไปนี้ (๑) การตรวจประเมินภายใน ให้ดำเนินการตรวจตามเกณฑ์การตรวจประเมินตามข้อบังคับนี้อย่างน้อย ๑ ครั้งต่อปีโดยคณะผู้ตรวจประเมินของสถานประกอบการเอง ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย ๑ คนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดร่วมอยู่ด้วยก็ได้และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้วไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการอย่างน้อย ๓ ปี (๒) การตรวจประเมินภายนอก ให้ดำเนินการทุก ๓ ปีโดยคณะผู้ตรวจประเมินที่ขึ้นทะเบียนไว้ กับ กนอ. คณะผู้ตรวจประเมินภายนอกต้องมีอย่างน้อย ๓ คนขึ้นไป ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย ๑ คนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดร่วมอยู่ด้วยก็ได้ และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้ว ๒ ฉบับล่าสุดไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการนั้นด้วย ข้อ ๒๙/๔๗[๕๒] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องอนุญาตให้ผู้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม และผู้ตรวจประเมินสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่จำเป็นได้โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรง ในกรณีที่เป็นความลับทางการค้าให้ถือว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเจ้าของความลับทางการค้าได้ให้ความยินยอมในการเปิดเผย เอาไป หรือใช้ความลับทางการค้านั้น มาตรฐานตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นข้อห้ามสำหรับการทำเป็นข้อตกลงรักษาความลับ หรือข้อตกลงที่ไม่เปิดเผยข้อมูล ส่วนที่ ๓ มาตรการบังคับ ข้อ ๓๐ ในกรณีผู้ประกอบกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หรือในการอนุญาต หรือในสัญญาการใช้ที่ดินหรือบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดิน ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไขปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมในระยะเวลาที่กำหนด ข้อ ๓๑ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามที่ กนอ. ได้มีหนังสือแจ้งตามข้อ ๓๐ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการดำเนินกิจการเพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ข้อ ๓๒ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ ๓๑ หรือไม่ชำระค่าบริการตามข้อ ๒๔ วรรคสอง หรือกรณีที่การประกอบกิจการต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ ให้ กนอ. มีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตได้ บทเฉพาะกาล ข้อ ๓๓ การอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ให้ไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาการอนุญาต และให้ กนอ.ดำเนินการอนุญาตให้ใหม่ โดยผู้ได้รับอนุญาตต้องมาทำสัญญาและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป การขออนุญาตเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตตามข้อบังคับนี้ และให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย [เอกสารแนบท้าย] ๑.[๕๓] บัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายร้ายแรงท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๕๔] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓[๕๕] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙[๕๖] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๕ ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) นิคมอุตสาหกรรมผาแดง นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๒ ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๑[๕๗] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ปริยานุช/จัดทำ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ วริญา/เพิ่มเติม ๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ พิมพ์มาดา/เพิ่มเติม ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๐๖ ง/หน้า ๓๙/๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑ [๒] ข้อ ๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๑ [๓] ข้อ ๑๒/๑ ยกเลิกโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๑ [๔] ข้อ ๑๕/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๕]ส่วนที่ ๒/๑ เงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๖] ข้อ ๒๙/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๗] ข้อ ๒๙/๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๘] ข้อ ๒๙/๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๙] ข้อ ๒๙/๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๐] ข้อ ๒๙/๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๑] ข้อ ๒๙/๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๒] ข้อ ๒๙/๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๓] ข้อ ๒๙/๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๔] ข้อ ๒๙/๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๕] ข้อ ๒๙/๑๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๖] ข้อ ๒๙/๑๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๗] ข้อ ๒๙/๑๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๘] ข้อ ๒๙/๑๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๙] ข้อ ๒๙/๑๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๐] ข้อ ๒๙/๑๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๑] ข้อ ๒๙/๑๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๒] ข้อ ๒๙/๑๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๓] ข้อ ๒๙/๑๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๔] ข้อ ๒๙/๑๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๕] ข้อ ๒๙/๒๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๖] ข้อ ๒๙/๒๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๗] ข้อ ๒๙/๒๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๘] ข้อ ๒๙/๒๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๙] ข้อ ๒๙/๒๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๐] ข้อ ๒๙/๒๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๑] ข้อ ๒๙/๒๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๒] ข้อ ๒๙/๒๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๓] ข้อ ๒๙/๒๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๔] ข้อ ๒๙/๒๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๕] ข้อ ๒๙/๓๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๖] ข้อ ๒๙/๓๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๗] ข้อ ๒๙/๓๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๘] ข้อ ๒๙/๓๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๙] ข้อ ๒๙/๓๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๐] ข้อ ๒๙/๓๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๑] ข้อ ๒๙/๓๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๒] ข้อ ๒๙/๓๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๓] ข้อ ๒๙/๓๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๔] ข้อ ๒๙/๓๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๕] ข้อ ๒๙/๔๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๖] ข้อ ๒๙/๔๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๗] ข้อ ๒๙/๔๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๘] ข้อ ๒๙/๔๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๙] ข้อ ๒๙/๔๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๐] ข้อ ๒๙/๔๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๑] ข้อ ๒๙/๔๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๒] ข้อ ๒๙/๔๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๓] บัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายร้ายแรงท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๕๖/๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ [๕๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔๙ ง/หน้า ๕๙/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ [๕๖] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๑๑ ง/หน้า ๑๗/๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ [๕๗] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๘๔ ง/หน้า ๒๖/๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
809432
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2561
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๑[๑] โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๑” ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑ ของข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ข้อ ๑๑ ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ กนอ. กำหนด การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. พิจารณาถึงความสอดคล้องกับประเภทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมเป้าหมายตามที่คณะกรรมการ กนอ. ได้อนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นโครงการหรือกิจการที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัยคุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ นอกจากการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามวรรคสาม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการต้องประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องเป็นการเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กนอ. จึงจะพิจารณาการขอประกอบกิจการดังกล่าวต่อไปได้ ในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องตามวรรคสี่ ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการต้องชำระค่าบริการให้แก่ กนอ. ตามอัตราที่คณะกรรมการ กนอ.กำหนด ให้ กนอ. พิจารณาคำขออนุญาตและแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยเร็วภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากหน่วยราชการอื่นให้ขยายเวลาการแจ้งผลการพิจารณาออกไปจนกว่าหน่วยราชการนั้นได้พิจารณาเสร็จแล้ว จากนั้นให้ กนอ. ดำเนินการแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยราชการนั้น” ข้อ ๔ ให้ยกเลิกข้อ ๑๒/๑ ของข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พิมพ์มาดา/จัดทำ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๘๔ ง/หน้า ๒๖/๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
809428
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอจัดตั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. 2561
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอจัดตั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. ๒๕๖๑[๑] โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอจัดตั้งหรือขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบกับมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอจัดตั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. ๒๕๖๑” ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจัดตั้งหรือขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “กนอ.” หมายความว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ขอร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ซึ่งมีความประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม “โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ผู้ขอร่วมดำเนินงานเสนอ “ผู้ร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ขอร่วมดำเนินงานที่ได้รับอนุมัติในหลักการให้เข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน และได้ทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ กนอ. แล้ว ข้อ ๕ ผู้ขอร่วมดำเนินงานโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (๑) เป็นนิติบุคคลไทย (๒) เป็นผู้มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่จะดำเนินการโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน หรือมีหลักฐานแสดงการที่จะได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่เจ้าของที่ดินยินยอมให้ดำเนินการโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ทั้งนี้ ที่ดินที่จะนำเสนอเป็นโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานต้องไม่เป็นที่ดินที่ได้รับอนุมัติให้มีการดำเนินการตามกฎหมายอื่นอยู่แล้ว ข้อ ๖ พื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานต้องตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เหมาะสมและมีศักยภาพที่จะดำเนินการให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน และพื้นที่ดังกล่าวต้องสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างการขอร่วมดำเนินงาน หาก กนอ. ตรวจสอบพบว่าพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานตั้งอยู่ในบริเวณที่ได้มีการวางและจัดทำผังเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองแล้วและได้มีข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่อาจจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน หรือพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานนั้นได้มีการวางและจัดทำผังเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว และได้มีข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่อาจจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานได้ ให้ กนอ. ไม่รับพิจารณาโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานนั้นและคืนเรื่องให้แก่ผู้ขอร่วมดำเนินงาน ข้อ ๗ กรณีที่พื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานระบุตำแหน่ง ขอบเขต และจำนวนพื้นที่โดยประมาณของสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้ชัดเจน โดยการใช้ประโยชน์พื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานต้องหลีกเลี่ยงและไม่กระทบสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ข้อ ๘ ประเภทของการประกอบกิจการในพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๙ ให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานยื่นคำขอร่วมดำเนินงานโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ อย่างละสองชุด ทั้งนี้ กนอ. อาจกำหนดให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานเสนอข้อมูลเพิ่มเติมได้ ข้อ ๑๐ ให้ กนอ. พิจารณาคำขอโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานตามข้อ ๙ โดยเร็ว กรณีคำขอโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน หรือเอกสารของข้อมูลโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานแก้ไขให้ครบถ้วนหรือถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด หากผู้ขอร่วมดำเนินงานไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ขอร่วมดำเนินงานละทิ้งคำขอนั้น และให้ กนอ. คืนเรื่องให้แก่ผู้ขอร่วมดำเนินงาน กรณีที่ กนอ. พิจารณาแล้วเห็นว่าคำขอโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานหรือเอกสารข้อมูลโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานมีความครบถ้วนและถูกต้อง ให้ กนอ. ดำเนินการดังต่อไปนี้ (๑) พิจารณาโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ทั้งนี้ กนอ. อาจเรียกให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานชี้แจงรายละเอียดของโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็น (๒) เข้าตรวจสอบพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน (๓) เมื่อได้ดำเนินการตาม (๑) และ (๒) แล้ว ให้ กนอ. พิจารณาโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานต่อไปดังนี้ (๓.๑) ในกรณีที่ กนอ. พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สมควรให้มีการดำเนินการโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ให้ กนอ. แจ้งให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานทราบ (๓.๒) ในกรณีที่ กนอ. พิจารณาแล้ว เห็นสมควรให้ดำเนินการโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ให้ กนอ. เสนอรายละเอียดโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและผลการพิจารณาต่อคณะกรรมการ กนอ. เพื่อพิจารณา ข้อ ๑๑ กรณีคณะกรรมการ กนอ. พิจารณาอนุมัติในหลักการโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานตามที่ผู้ขอร่วมดำเนินงานเสนอแล้ว ให้ กนอ. แจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานทราบ และให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานมาทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ต่อไปภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. ในกรณีที่ผู้ขอร่วมดำเนินงานมีความจำเป็นไม่อาจมาทำสัญญาภายในเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานมีหนังสือขอขยายเวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนสิ้นสุดระยะเวลา ให้ กนอ. พิจารณาขยายระยะเวลาให้แก่ผู้ขอร่วมดำเนินงาน ทั้งนี้ ต้องไม่เกินหกสิบวันนับตั้งแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ ในกรณีที่ผู้ขอร่วมดำเนินงานไม่มาทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งและไม่มีหนังสือขอขยายเวลา หรือผู้ขอร่วมดำเนินงานได้ขอขยายเวลาการทำสัญญาแต่ไม่มาทำสัญญาภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ขอร่วมดำเนินงานไม่ประสงค์จะร่วมดำเนินงานกับ กนอ. และให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ขอร่วมดำเนินงานเพื่อยกเลิกโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พร้อมทั้งรายงานให้คณะกรรมการ กนอ. ทราบ ในกรณีที่คณะกรรมการ กนอ. พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สมควรให้มีการดำเนินการโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ให้ กนอ. แจ้งให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานทราบ ข้อ ๑๒ หลังจากที่ได้ทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานแล้วให้ผู้ร่วมดำเนินงานดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ก่อนการเสนออนุมัติการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามข้อ ๑๓ (๑) ในกรณีที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานของผู้ร่วมดำเนินงานเป็นโครงการหรือกิจการที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ให้ผู้ร่วมดำเนินงานจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (๒) นอกจากการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตาม (๑) สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ผู้ร่วมดำเนินงานต้องประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องเป็นการเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กนอ. จึงจะพิจารณาโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานดังกล่าวต่อไปได้ ในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องตาม (๒) ผู้ร่วมดำเนินงานต้องชำระค่าบริการให้แก่ กนอ. ตามอัตราที่คณะกรรมการ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๓ เมื่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานหรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงได้รับความเห็นชอบตามกฎหมายแล้ว ให้ กนอ. นำเสนอคณะกรรมการ กนอ. เพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ข้อ ๑๔ เมื่อได้รับอนุมัติให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานตามข้อ ๑๓ แล้ว ผู้ร่วมดำเนินงานต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการร่วมดำเนินงานในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการ กนอ. กำหนด และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนต้องพัฒนาโครงการให้เป็นไปตามรายละเอียด ผังแม่บทและแบบก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานที่ได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. ข้อ ๑๕ เมื่อมีการทำสัญญาร่วมดำเนินงานกับ กนอ. แล้ว หากผู้ร่วมดำเนินงานได้พัฒนา รุกล้ำ ใช้ประโยชน์ หรือยินยอมให้บุคคลใดพัฒนา รุกล้ำ หรือใช้ประโยชน์ในสาธารณสมบัติของแผ่นดินในพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ให้ กนอ. แจ้งให้ผู้ร่วมดำเนินงานแก้ไขปรับปรุงให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในสภาพเดิมภายในเวลาที่ กนอ. กำหนด ในกรณีที่ผู้ร่วมดำเนินงานไม่ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ กนอ. หรือผู้ที่ กนอ. มอบหมาย ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในสภาพเดิมโดยให้ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ข้อ ๑๖ ในกรณีผู้ร่วมดำเนินงานจะนำพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานไปขอรับสิทธิประโยชน์หรือขอรับอนุมัติตามกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยศุลกากร เป็นต้น ผู้ขอร่วมดำเนินงานต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ กนอ. ทราบและต้องได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. เป็นหนังสือก่อนจึงจะดำเนินการได้ ข้อ ๑๗ ให้คำขอเสนอโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับและยังมิได้นำเสนอคณะกรรมการ กนอ. พิจารณาอนุมัติการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน เป็นคำขอเสนอโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานตามข้อบังคับนี้ และให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป ข้อ ๑๘ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พิมพ์มาดา/จัดทำ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๘๔ ง/หน้า ๒๑/๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
821804
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ณ วันที่ 13/05/2559)
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๒๓ (๑) (๑๒) และ (๑๓) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๓๑ ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ (๒) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๔/๒๕๓๕ เรื่อง ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๖/๒๕๓๕ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ (๔) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๓๘ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๘ (๕) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๔) ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ (๖) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๔๐ เรื่อง การกำหนดประเภทของกิจการอุตสาหกรรม การค้าและการบริการที่พึงอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ลงวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “ผู้ประกอบกิจการ” หมายความว่า ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ค่าบริการ” หมายความว่า ค่าบริการต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น ค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ค่าบริการน้ำประปา เป็นต้น ตลอดจนค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ส่วนที่ ๑ บททั่วไป ข้อ ๖ การประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม มี ๔ ลักษณะ ดังนี้ (๑) การประกอบอุตสาหกรรม (๒) การประกอบการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๓) การประกอบพาณิชยกรรมในเขตประกอบการเสรี (๔) การประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๗ ประเภทและขนาดของการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่ กนอ. ได้กำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ การกำหนดหรือให้ความเห็นชอบประเภทและขนาดของการประกอบกิจการดังกล่าว ให้ กนอ. พิจารณาโดยคำนึงถึงความสอดคล้องและความเหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ในกรณีที่มีปัญหาว่าประเภทและขนาดของกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคหนึ่ง เป็นกิจการที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งแห่งใดได้หรือไม่ ให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการพิจารณา ข้อ ๘ ในกรณีที่ กนอ. กำหนดให้การขออนุญาต การแจ้ง หรือการติดต่อกรณีอื่นใดให้กระทำได้โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การดำเนินการใดตามข้อบังคับนี้ ถ้าได้กระทำโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๙ ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวมีความประสงค์จะซื้อหรือเช่าซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบจำนวนเนื้อที่ ข้อ ๑๐ การประกอบกิจการในเขตประกอบการเสรี ผู้ขออนุญาตต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ การนำของออกไปนอกราชอาณาจักรหรือการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในราชอาณาจักร ผู้ประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๑ ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ กนอ. กำหนด การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. พิจารณาถึงความสอดคล้องกับประเภทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมเป้าหมายตามที่คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ให้ กนอ. พิจารณาคำขออนุญาตและแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยเร็วภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากหน่วยราชการอื่นให้ขยายเวลาการแจ้งผลการพิจารณาออกไปจนกว่าหน่วยงานราชการนั้นได้พิจารณาเสร็จแล้ว จากนั้นให้ กนอ. ดำเนินการแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานราชการนั้น ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามที่กฎหมายกำหนดหรือกำหนดโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการจัดทำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งให้องค์การอิสระให้ความเห็นประกอบก่อน กนอ. จึงจะพิจารณาการประกอบกิจการดังกล่าวต่อไปได้[๒] ให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ตามวรรคสี่ ตามอัตราที่คณะกรรมการ กนอ. กำหนด[๓] ข้อ ๑๒ ในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้ กนอ. ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขออนุญาตมาทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามแบบที่ กนอ. กำหนด ณ ที่ทำการของ กนอ. หรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับมอบหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. เว้นแต่เป็นกรณีนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ร่วมดำเนินงานกับเอกชนหรือหน่วยงานอื่นและเอกชนหรือหน่วยงานอื่นนั้นเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี ก็ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งเฉพาะกรณีการทำสัญญาการใช้ที่ดิน (๒) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีเหตุจำเป็นไม่อาจมาทำสัญญาภายในเวลาที่กำหนดตาม (๑) ได้โดยมีหนังสือขอขยายระยะเวลา พร้อมทั้งแสดงเหตุผลความจำเป็นต่อ กนอ. ให้ กนอ. พิจารณาขยายระยะเวลาตามความเหมาะสม (๓) เมื่อผู้ขออนุญาตได้มาทำสัญญาตาม (๑) แล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด (๔) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่มาทำสัญญาตาม (๑) ภายในเวลาที่กำหนดและไม่มีหนังสือขอขยายระยะเวลาต่อ กนอ. ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งการไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมต่อไป สำหรับการขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ไม่ได้บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ถ้า กนอ. เห็นสมควรอนุญาต ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๒/๑[๔] ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ประกอบกิจการถูกร้องเรียนว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และต่อมาคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้ง ได้วินิจฉัยว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ผู้ประกอบกิจการจะต้องหยุดประกอบกิจการ และดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ วรรคสี่ ก่อน ข้อ ๑๓ การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมีระยะเวลาไม่เกินห้าปี โดยนับถึงวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ห้า การขอต่ออายุการอนุญาต ให้ยื่นคำขอก่อนวันที่การอนุญาตสิ้นผลไม่น้อยกว่าสามสิบวันตามแบบที่ กนอ. กำหนด เมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ประกอบกิจการต่อไปได้ ในกรณีที่ กนอ. ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข หรือระงับการประกอบกิจการได้ หนังสืออนุญาตให้ต่ออายุให้เป็นไปตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นบุคคลธรรมดา และภายหลังได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมื่อผู้ประกอบกิจการดังกล่าวได้มีหนังสือแจ้งตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตแก่นิติบุคคลนั้นต่อไป โดยให้ กนอ. แก้ไขชื่อผู้ประกอบกิจการในหนังสืออนุญาตเดิมให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ผู้ประกอบกิจการจะต้องทำบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดินหรือสัญญาโอนสิทธิตามแบบที่ กนอ. กำหนด แล้วแต่กรณี ให้กับ กนอ. ก่อนจึงจะถือว่านิติบุคคลนั้นได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๑๕ ผู้ใดได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม โดยเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย หรือกรรมสิทธิ์ตกทอด หากผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินนั้นมีหนังสือแจ้งความประสงค์ จะประกอบกิจการเดิมในนิคมอุตสาหกรรมต่อไปตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตให้แก่ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดนั้นต่อไป และให้นำความในข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดตามวรรคหนึ่ง ประสงค์จะประกอบกิจการประเภทอื่นที่แตกต่างไปจากที่ผู้ประกอบกิจการเดิมเคยได้รับอนุญาตจะต้องยื่นคำขออนุญาต เพื่อประกอบกิจการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามข้อ ๑๒ ข้อ ๑๕/๑[๕] ผู้ประกอบกิจการอาจได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การขอรับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดว่าด้วยการนั้น การอนุญาต หรืออนุมัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อ กนอ. พิจารณาแล้วเห็นสมควรอนุญาตหรืออนุมัติสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบกิจการ ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาต อนุมัติ แล้วแต่กรณี ให้แก่ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต่อไป หมวด ๒ เงื่อนไขการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาต ส่วนที่ ๑ เงื่อนไขทั่วไปสำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การประกอบการบริการ การประกอบพาณิชยกรรม และการประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๖ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการตามประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการตามที่ได้รับอนุญาต การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาใช้บังคับแก่การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการโดยอนุโลม และให้ระยะเวลาในการอนุญาตสิ้นผลไปพร้อมกับการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ในกรณีที่การเพิ่มหรือการแก้ไขเป็นการประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้นำความในส่วนที่ ๒ ของหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๑๗ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการให้เป็นไปตามแผนผังแม่บทสำหรับนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งและต้องพัฒนาที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๘ การก่อสร้าง การดัดแปลง การรื้อถอน หรือการเคลื่อนย้ายอาคาร รวมทั้งการขออนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผังรายละเอียด และรายงานการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารต่อ กนอ. เพื่อพิจารณาอนุญาตออกใบรับรอง แล้วแต่กรณี ตามแบบที่ กนอ. กำหนด ให้ กนอ. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประกอบกิจการทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ประกอบกิจการได้เสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดหรือรายงานตามวรรคหนึ่งครบถ้วนแล้ว เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมจะเริ่มประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งเริ่มประกอบกิจการต่อ กนอ. ตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบกิจการ และให้ กนอ. มีอำนาจเกี่ยวกับการตรวจสอบการแจ้ง ให้ปรับปรุงแก้ไข และการออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๒๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มประกอบกิจการภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการ เว้นแต่ (๑) ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. (๒) เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อ ๒๖ ข้อ ๑๙ การนำอาคารโรงงาน อาคารอื่น ๆ เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือทรัพย์สินอื่นที่ก่อสร้างหรือติดตั้งอยู่ในที่ดินของผู้ประกอบกิจการไปจำนอง ขายฝาก ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือก่อภาระผูกพันใด ๆ โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ.ทราบเป็นหนังสือภายในสิบห้าวันนับแต่ได้กระทำการดังกล่าว การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการประกอบกิจการที่กระทำอยู่หรือมีผลให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้ประกอบกิจการเข้ามาประกอบกิจการแทนจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. เป็นหนังสือจึงจะดำเนินการได้ ข้อ ๒๐ ผู้ประกอบกิจการต้องไม่ปลูกสร้างที่พักอาศัยใด ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องไม่ให้ผู้ใดพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินดังกล่าว เว้นแต่ (๑) เป็นผู้ประกอบกิจการซึ่งให้บริการที่พักอาศัยในบริเวณที่จัดไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยหรือเพื่อพาณิชย์และบริการตามแผนผังแม่บทของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง (๒) ได้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด (๓) กรณีอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๑ ผู้ประกอบกิจการต้องรักษาความสะอาดในโรงงานหรืออาคารอื่น ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องดำเนินการจัดเก็บสินค้า ผลิตภัณฑ์ให้เป็นหมวดหมู่ไม่ปะปนกัน ข้อ ๒๒ ในกรณีที่มีการหยุดดำเนินงาน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบเป็นหนังสือภายในสามเดือนนับแต่วันหยุดดำเนินงาน แต่ในกรณีที่เป็นการหยุดดำเนินงานเพื่อโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันโอน ข้อ ๒๓ การโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ผู้อื่น ผู้ประกอบกิจการต้องมีหนังสือแจ้งให้ กนอ. ทราบ และในกรณีที่ผู้รับโอนประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป ให้นำความในข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๔ ผู้ประกอบกิจการต้องชำระค่าบริการตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่ กนอ. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ชำระค่าบริการในครั้งใด กนอ. จะกำหนดอัตราค่าบริการครั้งถัดไปให้สูงขึ้นตามภาระค่าใช้จ่ายของ กนอ. ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมีการค้างชำระค่าบริการติดต่อกันตามระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด กนอ. อาจงดการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจนกว่าผู้ประกอบกิจการนั้น จะมาชำระค่าบริการทั้งหมด ส่วนที่ ๒ เงื่อนไขเฉพาะการประกอบอุตสาหกรรม ข้อ ๒๕ การตั้งโรงงาน การขยายโรงงาน การก่อสร้าง การแก้ไขต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารโรงงานหรืออาคารอื่นเพื่อการประกอบกิจการ หรือการขยายกิจการ รวมทั้งการอนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานต่อ กนอ. พร้อมทั้งแจ้งระยะเวลาการเริ่มก่อสร้าง และระยะเวลาการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมโดยมีกำหนดเวลาตามสมควรให้ กนอ. พิจารณา ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง หาก กนอ. พิจารณาแล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการก่อสร้างโรงงานไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ข้อ ๒๖ ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มก่อสร้างอาคารโรงงานและเริ่มประกอบอุตสาหกรรมภายในระยะเวลาที่ กนอ. พิจารณาให้ความเห็นชอบหรือได้กำหนดตามความเหมาะสมแห่งกิจการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. ข้อ ๒๗ เมื่อการก่อสร้างอาคารโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักร และทดลองเครื่องแล้วเสร็จพร้อมจะเริ่มประกอบอุตสาหกรรมและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมต่อ กนอ. ตามแบบ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบอุตสาหกรรม ในกรณี กนอ. ตรวจสอบการปฏิบัติตามคำขอ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข แล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ให้ กนอ. พิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนดภายในกำหนดเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้ ไม่นับระยะเวลาที่ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามวรรคสอง ให้ผู้ประกอบกิจการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมเมื่อได้รับใบรับแจ้งจาก กนอ. ข้อ ๒๘ ผู้ประกอบกิจการใดประสงค์จะขยายการประกอบกิจการ ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด เมื่อ กนอ. ได้พิจารณาความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและได้ตรวจสอบโรงงานเรียบร้อยแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมส่วนขยายตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๒๙ ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยในบริเวณข้างเคียง ดังต่อไปนี้ (๑) จัดให้มีและใช้ระบบบำบัดน้ำเสียเบื้องต้นที่มีขนาดและประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งทั้งหมดของโรงงานให้มีคุณลักษณะตามมาตรฐานที่ กนอ. กำหนดตลอดเวลาทำงาน (๒) จัดให้มีและใช้ระบบขจัดกลิ่น ฝุ่นละออง หรือวัตถุอันตรายที่มีประสิทธิภาพ (๓) ดำเนินการกำจัดกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียและกากอุตสาหกรรมจากกระบวนการผลิตให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ (๔) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควรหรือโดยสภาพเป็นกิจการที่ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ให้ กนอ. พิจารณาผ่อนผันหรือยกเว้นการดำเนินการดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควรหรือตามสภาพดังกล่าว แล้วแต่กรณี ส่วนที่ ๒/๑[๖] เงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัย กระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๒๙/๑[๗] ในส่วนนี้ “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของสถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการในนิคมอุตสาหกรรม “ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า การทำ ผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง ตรวจสอบ ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือทำลายสิ่งใด ๆ ตามลักษณะกิจการของโรงงาน ตลอดจนการทดลองเดินเครื่องจักร “กระบวนการผลิต” หมายความว่า กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรง รวมถึงการจัดเก็บ การใช้ การผลิต การครอบครอง หรือเคลื่อนย้ายสารเคมีใด ๆ ภายในเขตนิคมอุตสาหกรรม “ความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety) หมายความว่า กระบวนการในการป้องกันหรือลดความรุนแรงความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดจากอุบัติการณ์ที่เป็นผลจากการเบี่ยงเบนของสภาวะกระบวนการผลิตที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ โดยให้บูรณาการการดำเนินงานด้านเดินเครื่องกระบวนการผลิตและวิศวกรรม รวมทั้งขั้นตอนดำเนินงานและการปฏิบัติให้มีความปลอดภัยตลอดเวลา “การจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety Management : PSM) หมายความว่า การจัดการให้เกิดความปลอดภัย การป้องกันการเกิดอุบัติการณ์และการบาดเจ็บที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการผลิตที่มีการใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง โดยใช้มาตรการทางการจัดการและพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมในการชี้บ่ง ประเมิน และควบคุมอันตรายจากกระบวนการผลิต และให้หมายความรวมถึงการจัดเก็บ การออกแบบ การใช้ การผลิต การบำรุงรักษา การตรวจสอบ การทดสอบและการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสารเคมีอันตรายร้ายแรงในเขตนิคมอุตสาหกรรม “สารเคมีอันตรายร้ายแรง” (Highly Hazardous Chemicals) หมายความว่า สารประกอบสารผสมซึ่งอยู่ในรูปของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น สารพิษ (Toxics) ที่ก่อมะเร็ง และทำให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยสารไวต่อการเกิดปฏิกิริยา (Reactives) และทำปฏิกิริยารุนแรง สารไวไฟ (Flammables) สารระเบิดได้ (Explosives) สารกัดกร่อน (Corrosives) ตัวออกซิไดส์ (Oxidizing Agents) เป็นต้น ตามบัญชีรายชื่อท้ายข้อบังคับนี้ “แก๊สไวไฟ” (Flammable Gases) หมายความว่า แก๊สที่อุณหภูมิ ๒๐ องศาเซลเซียส และมีความดัน ๑๐๑.๓ กิโลปาสกาล สามารถติดไฟได้เมื่อผสมกับอากาศ ๑๓ เปอร์เซ็นต์หรือต่ำกว่าโดยปริมาตรหรือมีช่วงกว้างที่สามารถติดไฟได้ ๑๒ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปเมื่อผสมกับอากาศ โดยไม่คำนึงถึงความเข้มข้นต่ำสุดของการผสม “ของเหลวไวไฟ” (Flammable Liquids) หมายความว่า ของเหลวหรือของเหลวผสมหรือของเหลวที่มีสารแขวนลอยผสมที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า ๓๗.๘ องศาเซลเซียสหรือ ๑๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ “อันตราย” (Hazard) หมายความว่า สิ่งหรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่วยจากการทำงาน ความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ตลอดจนความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือต่อสาธารณชน “ชี้บ่งอันตราย” (Hazard Identification) หมายความว่า กระบวนการในการค้นหาอันตรายที่มีอยู่และการระบุลักษณะของอันตราย “การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต” (Process Hazard Analysis : PHA) หมายความว่ากระบวนการวิเคราะห์อันตรายจากกระบวนการผลิต “อุบัติการณ์” (Incident) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นแล้วและมีผลให้เกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ “อุบัติเหตุ” (Accident) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดจากการขาดการควบคุม และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลให้เกิดการบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วยจากการทำงานหรือการเสียชีวิต หรือความสูญเสียต่อทรัพย์สิน หรือความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือต่อสาธารณชน “เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ” (Near Miss) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ “การทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง” (Pre-Startup Safety Review : PSSR) หมายความว่า การทบทวนตรวจสอบความปลอดภัยของกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับงานก่อสร้าง การติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ การดัดแปลงกระบวนการผลิต การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต การบำรุงรักษาครั้งใหญ่ก่อนนำสารเคมีอันตรายร้ายแรงเข้าสู่กระบวนการผลิต รวมถึงก่อนนำอุปกรณ์เข้าใช้งานหรือเดินเครื่อง “ผู้รับเหมา” (Contractors) หมายความว่า ผู้รับเหมาขั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงตามที่กำหนดไว้ในนิยามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ “งานที่ไม่ใช่งานประจำ” (Non - routine Work) หมายความว่า งานที่นอกเหนือจากงานปกติ งานที่ยังไม่เคยมีมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedures) งานที่ไม่ได้ปฏิบัติบ่อย งานที่มีวิธีปฏิบัติแตกต่างจากที่แสดงไว้ในขั้นตอนการปฏิบัติงาน งานที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน รวมถึงงานประจำแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายสูง “การตรวจประเมิน” (Audit) หมายความว่า การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตที่เป็นระบบอย่างเป็นอิสระ โดยการจัดทำเป็นเอกสารเพื่อให้ได้หลักฐานการตรวจประเมิน และประเมินว่าเป็นไปตามเกณฑ์การตรวจประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance Audits) “การตรวจประเมินภายใน” (Internal Audit) หมายความว่า การดำเนินการตรวจประเมินโดยคณะผู้ตรวจประเมินภายในของสถานประกอบการเอง เพื่อทบทวนระบบความปลอดภัยและการจัดการว่าองค์กรได้ดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินภายในไม่ควรเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายให้ไปตรวจประเมิน “การตรวจประเมินภายนอก” (External Audit) หมายความว่า การดำเนินการตรวจประเมินโดยคณะผู้ตรวจประเมินที่ขึ้นทะเบียนกับ กนอ. และได้รับการมอบหมายจาก กนอ. ให้ตรวจประเมินเป็นกรณีไป “เกณฑ์การตรวจประเมิน” (Audit Criteria) หมายความว่า บรรทัดฐานที่ใช้ในการพิจารณา ซึ่งอาจจะเป็นนโยบายขั้นตอนการดำเนินงาน หรือข้อกำหนดต่าง ๆ ทั้งนี้ เกณฑ์การตรวจประเมินดังกล่าวจะนำมาใช้อ้างอิงโดยเทียบเคียงกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต “คณะผู้ตรวจประเมิน” (Audit Team) หมายความว่า คณะบุคคลที่ดำเนินการตรวจประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตของแต่ละสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง” (Specialists) หมายความว่า ผู้ที่มีความรู้และความชำนาญซึ่งเหมาะสมกับสถานประกอบการนั้น “สิ่งที่พบจากการตรวจประเมิน” (Audit Findings) หมายความว่า ผลของการตรวจประเมินตามหลักฐานการตรวจประเมินที่รวบรวมได้ โดยเทียบกับเกณฑ์การตรวจประเมินซึ่งสามารถชี้บ่งได้ทั้งความสอดคล้องและความไม่สอดคล้องกับเกณฑ์การตรวจประเมินหรือโอกาสสำหรับการปรับปรุง “ข้อเสนอแนะ” (Recommendations) หมายความว่า ข้อเสนอแนะของคณะผู้ตรวจประเมินที่มีต่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อให้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุง ข้อ ๒๙/๒[๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการวางแผน การปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบการปฏิบัติตามแผนและการปรับปรุงแก้ไขที่เป็นระบบอย่างต่อเนื่อง ข้อ ๒๙/๓[๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิต ดังต่อไปนี้ต้องดำเนินการการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิต (๑) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรงในปริมาณครอบครอง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเท่ากับหรือมากกว่าปริมาณที่กำหนดในบัญชีท้ายข้อบังคับนี้ หรือ (๒) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับแก๊สไวไฟหรือของเหลวไวไฟ ที่มีปริมาณครอบครองตั้งแต่ ๔,๕๔๕ กิโลกรัมหรือ ๑๐,๐๐๐ ปอนด์ขึ้นไป ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง กรณีกระบวนการตาม (๑) หรือ (๒) หมายความรวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องหรืออุปกรณ์ข้างเคียงหรือที่ต่อเนื่องกับกระบวนการดังกล่าวด้วย เว้นแต่แก๊สไวไฟหรือของเหลวไวไฟซึ่งนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น เช่น ใช้สำหรับหม้อน้ำ หรือเติมยานพาหนะ ข้อ ๒๙/๔[๑๐] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินภายในทุก ๑ ปีและการตรวจประเมินภายนอกทุก ๓ ปี ทั้งนี้ ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอกประกอบการยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตต่อ กนอ. หรือกรณีเกิดอุบัติเหตุเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต หรือกรณีการขอขยายกำลังการผลิตที่กระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต โดยมิได้หมายความรวมถึงการขยายพื้นที่ ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอกประกอบการยื่นขออนุญาตต่อ กนอ. ข้อ ๒๙/๕[๑๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีข้อมูลและขั้นตอนแผนการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรโดยให้พนักงานมีส่วนร่วมและรับทราบการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ หรือการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย การปฏิบัติและพัฒนาการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต การพัฒนาในด้านอื่น ๆ ของการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต การให้รับทราบและสามารถสืบค้นข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต รวมทั้งข้อมูลอื่นเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน ตลอดจนให้มีส่วนร่วมตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ดังต่อไปนี้ (๑) ข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิต (Process Safety Information : PSI) (๒) การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต (Process Hazard Analysis : PHA) (๓) ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Operating Procedures : OP) (๔) การฝึกอบรม (Training) (๕) การจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management : CSM) (๖) การทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง (Pre-Startup Safety Review : PSSR) (๗) ความพร้อมใช้ของอุปกรณ์ (Mechanical Integrity : MI) (๘) การอนุญาตทำงานที่อาจทำให้เกิดความร้อนและประกายไฟ (Hot Work Permits) และการอนุญาตทำงานที่ไม่ใช่งานประจำ (Non-Routine Work Permits) (๙) การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Management of Change : MOC) (๑๐) การสอบสวนอุบัติการณ์ (Incident Investigation : II) (๑๑) การเตรียมความพร้อมและการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Emergency Planning and Response : EPR) (๑๒) การตรวจประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance Audits) (๑๓) ความลับทางการค้า (Trade Secrets) ข้อ ๒๙/๖[๑๒] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมจะต้องดำเนินการรวบรวมข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะเริ่มทำการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานและการผลิตได้ตระหนักและทำความเข้าใจถึงอันตรายที่อาจเกิดจากกระบวนการผลิตที่มีสารเคมีอันตรายร้ายแรง ข้อ ๒๙/๗[๑๓] ข้อมูลอันตรายจากสารเคมีอันตรายร้ายแรงในกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อมูล ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อและสูตรเคมีของสารเคมีอันตรายร้ายแรง (๒) ความเป็นพิษ (๓) ค่าการสัมผัสที่ยอมรับได้ (๔) สมบัติทางกายภาพและทางเคมี (๕) ความสามารถในการทำปฏิกิริยา (๖) สมบัติในการกัดกร่อน (๗) ความเสถียรทางเคมีและความร้อน (๘) อันตรายที่เกิดขึ้นจากการผสมสารเคมี ข้อ ๒๙/๘[๑๔] ข้อมูลเทคโนโลยีกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) แผนภาพการไหล (Block Flow Diagram) หรือแผนภาพการไหลกระบวนการผลิตอย่างง่าย (Simplified Process Flow Diagram) และคำอธิบายแสดงขั้นตอนการผลิต (๒) เคมีกระบวนการผลิต (Process Chemistry) (๓) ปริมาณกักเก็บสารเคมีอันตรายร้ายแรงสูงสุด (๔) ขีดจำกัดต่ำสุดและสูงสุดที่ระยะปลอดภัย (Safe Upper and Lower Limits) ของแต่ละอุปกรณ์ เครื่องจักร และกระบวนการผลิต เช่น อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล หรือองค์ประกอบ เป็นต้น (๕) การประเมินผลที่ตามมาจากการเบี่ยงเบนไปจากค่ากำหนดเดิม รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม่สามารถแสดงข้อมูลเทคโนโลยีกระบวนการผลิตได้ ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเสาะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สามารถนำมาประยุกต์เพื่อใช้ในการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตแทนก็ได้ ข้อ ๒๙/๙[๑๕] ข้อมูลอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) วัสดุที่ใช้ในการสร้างอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งท่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (๒) แผนภาพระบบท่อและเครื่องมือวัด (Piping and Instrumentation Diagrams: P&IDs) (๓) การจำแนกบริเวณอันตรายทางไฟฟ้า (Electrical Area Classification) (๔) การออกแบบระบบที่ใช้ในการลดความดัน และพื้นฐานการออกแบบ (๕) การออกแบบระบบระบายอากาศ (๖) ข้อกำหนด (Codes) และมาตรฐาน (Standards) ที่นำมาใช้ออกแบบ (๗) ดุลมวลสารและดุลพลังงาน (Material and Energy Balances) สำหรับกระบวนการผลิต (๘) การออกแบบระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การเชื่อมโยง กลไกการควบคุมจากภายใน อุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Interlock) ระบบตรวจจับ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้และระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๐[๑๖] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำเอกสารเพื่อแสดงว่าอุปกรณ์เป็นไปตามมาตรฐานและวิธีปฏิบัติทางวิศวกรรมที่ดีที่ได้รับการรับรองและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป (Recognized and Generally Accepted Good Engineering Practices : RAGAGEP) สำหรับอุปกรณ์ที่ออกแบบและก่อสร้างตามข้อกำหนดมาตรฐานเดิมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ผู้ประกอบอุตสาหกรรมจะต้องจัดทำเอกสารเพื่อแสดงว่าอุปกรณ์นั้นได้ถูกออกแบบ บำรุงรักษา ตรวจสอบ ทดสอบ และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ข้อ ๒๙/๑๑[๑๗] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องทบทวนและปรับปรุงเอกสารข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ข้อ ๒๙/๑๒[๑๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตทั้งหมด วิธีการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตให้เป็นระบบและเหมาะสมต่อความซับซ้อนของกระบวนการผลิตโดยสามารถชี้บ่ง ประเมิน และควบคุมอันตรายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ครอบคลุมถึงการจัดเก็บ การใช้ การผลิต และการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสารเคมีอันตรายร้ายแรงได้ ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องลำดับความสำคัญของอันตราย และจัดทำเอกสารสำหรับวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต โดยให้พิจารณาจากขอบเขตของอันตรายในกระบวนการผลิตจำนวนพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบ อายุการใช้งานของอุปกรณ์ เครื่องจักร และกระบวนการผลิต ตลอดจนประวัติการเดินเครื่องจักรในกระบวนการผลิต (๒) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งวิธีตามความเหมาะสม เพื่อชี้บ่งอันตรายวิเคราะห์และประเมินอันตรายกระบวนการผลิตดังนี้ (๒.๑) What - if (๒.๒) Checklist (๒.๓) What - if/Checklist (๒.๔) Hazard and Operability Study (HAZOP) (๒.๕) Failure Mode and Effects Analysis (FMEA) (๒.๖) Fault Tree Analysis (๒.๗) วิธีอื่นที่เทียบเท่าหรือดีกว่าตามความเหมาะสม (๓) การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม อย่างน้อยจะต้องมีรายละเอียดดังนี้ (๓.๑) อันตรายจากกระบวนการผลิตและการทำงานที่เกี่ยวข้อง (๓.๒) การชี้บ่งอุบัติการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือผลกระทบที่สำคัญต่อพนักงานและสถานประกอบการ (๓.๓) การควบคุมทางด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการที่ใช้ควบคุมการเกิดอันตรายและสิ่งที่เกี่ยวกับอันตราย เช่น วิธีการที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการตรวจจับเพื่อเตือนเหตุล่วงหน้า วิธีการในการตรวจจับที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งอาจรวมถึงการเฝ้าระวังกระบวนการผลิต และการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสัญญาณเตือนและอุปกรณ์ในการตรวจจับ เช่น เครื่องตรวจจับไฮโดรคาร์บอน เป็นต้น (๓.๔) ผลจากความล้มเหลวของการควบคุมทางด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการ (๓.๕) การวางตำแหน่งที่ตั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร และอาคารทั้งหมดของผังโรงงาน (๓.๖) ปัจจัยด้านบุคคล เช่น ข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน ความไม่สมบูรณ์ด้านสุขภาพของพนักงาน (๓.๗) การประเมินผลกระทบเชิงคุณภาพด้านความปลอดภัย และด้านสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นกับพนักงานในสถานประกอบการในกรณีที่การควบคุมล้มเหลว (๔) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีคณะทำงานวิเคราะห์อันตรายอย่างน้อย ๓ คน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต พนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านกระบวนการวิเคราะห์และประเมินอันตราย และพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (๕) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบในการจัดการกับสิ่งที่พบจากการตรวจประเมินและข้อเสนอแนะจากคณะทำงานวิเคราะห์อันตราย เพื่อให้ข้อเสนอแนะนั้นได้รับการแก้ไขได้ทันเวลาและมีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยระบุถึงแผนการดำเนินงาน ผู้รับผิดชอบและกำหนดวันแล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังจะต้องแจ้งให้ฝ่ายปฏิบัติการบำรุงรักษาและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากคำแนะนำและการดำเนินงานนั้นด้วย (๖) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องปรับปรุงข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตให้เป็นปัจจุบันโดยให้ดำเนินการอย่างน้อยทุก ๕ ปี หรือเมื่อมีการขยายหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตจากเดิมที่มีอยู่ ทั้งนี้ การปรับปรุงข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายให้จัดทำโดยคณะทำงานวิเคราะห์อันตรายตาม (๔) (๗) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดเก็บเอกสารการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตไว้ตลอดระยะเวลาที่กระบวนการผลิตนั้นยังใช้งานอยู่ ข้อ ๒๙/๑๓[๑๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรและการนำไปใช้ให้สอดคล้องกับข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตและผลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต เพื่อเตรียมข้อมูลที่มีความชัดเจนสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ขั้นตอนการปฏิบัติงาน อย่างน้อยต้องประกอบด้วยเรื่อง ดังต่อไปนี้ (๑) ขั้นตอนสำหรับแต่ละระยะการปฏิบัติการ (Operating Phase) (๑.๑) การเริ่มเดินเครื่องครั้งแรก (Initial Startup) (๑.๒) การปฏิบัติการผลิตปกติ (Normal Operations) (๑.๓) การปฏิบัติการผลิตชั่วคราว (Temporary Operations) (๑.๔) การหยุดระบบการผลิตฉุกเฉิน (Emergency Shutdown) รวมถึงการหยุดระบบการผลิตฉุกเฉินที่มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นไปตามเงื่อนไขการผลิตของแต่ละสถานประกอบการ (๑.๕) การปฏิบัติการผลิตในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations) (๑.๖) การหยุดระบบการผลิตตามปกติ หรือตามระยะเวลาที่กำหนด (Normal Shutdown) (๑.๗) การเริ่มเดินเครื่องหลังจากการซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ หรือหลังจากการหยุดระบบการผลิตฉุกเฉิน (๒) ขีดจำกัดในการปฏิบัติงาน (Operating Limits) (๒.๑) ผลกระทบหรือผลที่เกิดขึ้นจากการเบี่ยงเบนออกจากขีดจำกัด (๒.๒) ขั้นตอนในการแก้ไข หรือการหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนออกจากขีดจำกัด (๓) ข้อควรระวังเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย (๓.๑) สมบัติและอันตรายของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต (๓.๒) ข้อควรปฏิบัติที่จำเป็นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารเคมีและการสัมผัสสารเคมี รวมทั้งการควบคุมทางวิศวกรรม การควบคุมการจัดการ และอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (๓.๓) มาตรการควบคุมหากเกิดการสัมผัสสารเคมีโดยตรงหรือที่แพร่กระจายในอากาศ (๓.๔) การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและปริมาณของสารเคมีอันตรายร้ายแรง (๓.๕) อันตรายเฉพาะหรือลักษณะพิเศษของกระบวนการผลิต (๔) ระบบความปลอดภัยและระบบอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น อุปกรณ์การเชื่อมโยง กลไกการควบคุมจากภายใน อุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Interlock) ระบบตรวจจับ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๔[๒๐] ขั้นตอนการปฏิบัติงานตามข้อ ๒๙/๑๓ ต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) ต้องมีความพร้อมเพื่อให้พนักงานที่ปฏิบัติงานสามารถค้นหาได้ (๒) ต้องมีการทบทวนให้เป็นไปตามการปฏิบัติงานในปัจจุบันอยู่เสมอ และ (๓) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องรับรองความเป็นปัจจุบันและความถูกต้องของขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นประจำทุกปี กรณีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ พนักงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการเปลี่ยนแปลงของอุปกรณ์ อาคาร หรือสถานที่ที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Facility) รวมทั้งส่วนสนับสนุนการผลิต (Utility) ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยกระบวนการ ข้อ ๒๙/๑๕[๒๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยเป็นลายลักษณ์อักษรและการนำมาใช้ เพื่อควบคุมอันตรายการปฏิบัติงานของพนักงานและผู้รับเหมา เช่น การควบคุมการเข้าปฏิบัติงานของพนักงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย การปฏิบัติงานในลักษณะที่อาจทำให้เกิดความร้อนและประกายไฟ การปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานประจำ การตัดแยกระบบเพื่อความปลอดภัย (Lock out/Tag out) การทำงานในที่อับอากาศ การเปิดอุปกรณ์และท่อในกระบวนการผลิต รวมทั้งการขออนุญาตเข้าทำงาน เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๖[๒๒] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมช่วงเริ่มปฏิบัติงานแก่พนักงานปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในกระบวนการผลิต และพนักงานที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพรวมของกระบวนการผลิต ขั้นตอนการปฏิบัติงานความปลอดภัยและอันตรายต่อสุขภาพที่มีความจำเพาะต่อกระบวนการผลิตนั้น ๆ การปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน รวมถึงการหยุดระบบการผลิต และการปฏิบัติงานอื่น ๆ อย่างปลอดภัยตามหน้าที่ที่พนักงานได้รับมอบหมาย กรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการทดสอบพนักงานเพื่อให้พนักงานนั้นมีความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อ ๒๙/๑๗[๒๓] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อทบทวนความรู้แก่พนักงานอย่างน้อยทุก ๆ ๓ ปี หรือมากกว่านั้น เพื่อให้พนักงานนั้นมีความเข้าใจและทราบถึงข้อมูลขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ต้องให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพิจารณาและจำนวนครั้งที่เหมาะสมในการจัดการฝึกอบรมเพื่อทบทวนความรู้ให้กับพนักงาน ข้อ ๒๙/๑๘[๒๔] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีเอกสารบันทึกการฝึกอบรมของพนักงานและกำหนดให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตได้รับความรู้ ความเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติงาน ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยชื่อพนักงาน วันที่เข้ารับการฝึกอบรม และวิธีการที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมใช้ในการทวนสอบความเข้าใจของพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรม ข้อ ๒๙/๑๙[๒๕] ให้มีการจัดการความปลอดภัย เพื่อนำไปใช้กับผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงในการผลิต การซ่อมบำรุง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เครื่องจักร การซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่หรืองานพิเศษอื่นที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหรือสถานที่ใกล้เคียง ข้อ ๒๙/๒๐[๒๖] กรณีความรับผิดชอบของผู้ประกอบอุตสาหกรรม (๑) กรณีเมื่อมีการคัดเลือกผู้รับเหมา ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องพิจารณาและประเมินประสิทธิภาพการทำงานด้านความปลอดภัย และขั้นตอนการทำงานของผู้รับเหมาเพื่อความปลอดภัยตามสัญญา (๒) ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ต้องดำเนินการ (๒.๑) ให้ข้อมูลแก่ผู้รับเหมาในเรื่องสารเคมีที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้ การระเบิด หรืออันตรายจากสารเคมีรั่วไหลที่เกี่ยวข้องกับงานของผู้รับเหมาหรือกระบวนการผลิต (๒.๒) ต้องอธิบายให้ผู้รับเหมาทราบถึงเงื่อนไขการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน (๒.๓) ให้นำวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยตามข้อ ๒๙/๑๕ มาใช้เพื่อควบคุมการเข้าและออกของผู้รับเหมาในกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้อง (๒.๔) มีการประเมินสมรรถนะของผู้รับเหมาเป็นระยะเพื่อให้ผู้รับเหมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และเก็บรักษาใบบันทึกรายการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บที่เกี่ยวเนื่องกับงานของผู้รับเหมา ข้อ ๒๙/๒๑[๒๗] กรณีความรับผิดชอบของผู้รับเหมา (๑) พนักงานของผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานต้องได้รับการฝึกอบรมให้ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย (๒) พนักงานของผู้รับเหมาต้องได้รับการชี้แจงถึงสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟไหม้ การระเบิด สารเคมีรั่วไหล การเชื่อม อันเนื่องมาจากงานและกระบวนการผลิต รวมทั้งการปฏิบัติตนเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินตามที่มีการเตรียมการไว้ (๓) จัดทำเอกสารบันทึกการฝึกอบรม โดยต้องระบุชื่อพนักงานของผู้รับเหมา วันที่เข้ารับการฝึกอบรม และวิธีการที่ใช้ในการตรวจสอบความเข้าใจของพนักงานของผู้รับเหมาที่ได้รับฝึกอบรม (๔) กำกับ ดูแลพนักงานของผู้รับเหมาให้ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยของโรงงาน รวมทั้งวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๑๕ (๕) ผู้รับเหมาต้องแจ้งให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมทราบถึงอันตรายที่เกิดขึ้นได้หรืออันตรายที่พบจากการปฏิบัติงานของผู้รับเหมา ข้อ ๒๙/๒๒[๒๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการทบทวนความปลอดภัยก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่องในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) มีการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ (๒) มีการดัดแปลงกระบวนการผลิตหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลด้านความปลอดภัยกระบวนการผลิต (๓) มีการซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ ข้อ ๒๙/๒๓[๒๙] กรณีการทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่องตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๒๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องยืนยันความสอดคล้องตามแผนการทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง ก่อนนำสารเคมีอันตรายร้ายแรงหรือสารที่มีความดันหรืออุณหภูมิที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อพนักงานและกระบวนการผลิต ตลอดจนการนำไนโตรเจน ไอน้ำ เข้าสู่กระบวนการผลิต ดังต่อไปนี้ (๑) การก่อสร้างและอุปกรณ์ต้องเป็นไปตามแบบที่กำหนดไว้ (๒) ขั้นตอนปฏิบัติด้านความปลอดภัย การปฏิบัติงาน การซ่อมบำรุง และภาวะฉุกเฉินต้องมีเพียงพอและพร้อมสำหรับการใช้งาน (๓) ต้องมีการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตสำ หรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่และคำแนะนำต่าง ๆ ต้องได้รับการแก้ไข หรือนำไปใช้ก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่อง ทั้งนี้ การดัดแปลงหรือการเปลี่ยนแปลงส่วนใด ๆ ของโรงงานต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๓๓ ข้อ ๒๙/๓๔ และข้อ ๒๙/๓๕ (๔) มีการฝึกอบรมพนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในกระบวนการผลิตให้แล้วเสร็จก่อนการเดินเครื่อง ข้อ ๒๙/๒๔[๓๐] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ ให้มีความพร้อมใช้อยู่เสมอโดยเฉพาะอุปกรณ์วิกฤตในกระบวนการผลิต (Critical Process Equipment) เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์นั้นได้รับการออกแบบและติดตั้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐานและหลักวิศวกรรม และมีการใช้งานตรงตามวัตถุประสงค์การออกแบบอย่างเหมาะสม (๑) ถังหรือภาชนะรับแรงดันที่บรรจุสารเคมีเหลวหรือแก๊สภายใต้ความดัน หรือถังเก็บสารเคมีเหลวหรือแก๊ส (๒) ระบบท่อ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบ เช่น วาล์ว เป็นต้น (๓) ระบบลดและระบายความดันและอุปกรณ์ (๔) ระบบหยุดการผลิตฉุกเฉิน (๕) ระบบควบคุมที่รวมอุปกรณ์วัด ตัวรับสัญญาณ อุปกรณ์สัญญาณบอกเหตุ และอุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Controls including Monitoring Devices and Sensors, Alarms, and Interlocks) (๖) เครื่องสูบต่าง ๆ เช่น เครื่องสูบสารเคมีอันตรายร้ายแรง เครื่องสูบน้ำหล่อเย็น เป็นต้น (๗) ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย ข้อ ๒๙/๒๕[๓๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการจัดทำขั้นตอนการดูแลรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นลายลักษณ์อักษรและการนำไปใช้ เพื่อให้เครื่องจักรและอุปกรณ์มีความพร้อมใช้อย่างสมบูรณ์ ข้อ ๒๙/๒๖[๓๒] เพื่อความปลอดภัยของพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความพร้อมใช้ของอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต พนักงานผู้นั้นจะต้องได้รับการฝึกอบรมในภาพรวมเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและอันตรายที่อาจเกิดจากกระบวนการผลิต ตลอดจนได้รับการฝึกอบรมขั้นตอนการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายก่อน ข้อ ๒๙/๒๗[๓๓] การตรวจสอบและทดสอบอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตต้องเป็นไปตามหลักวิศวกรรมสำหรับจำนวนครั้งในการตรวจสอบและทดสอบให้เป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตหรือตามหลักวิศวกรรม แล้วแต่กรณี ซึ่งอาจจะมีจำนวนครั้งมากกว่านั้นหากพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานย้อนหลังแล้วเห็นว่ามีความจำเป็น ในการตรวจสอบและทดสอบอุปกรณ์กระบวนการผลิตในแต่ละครั้ง ต้องมีการบันทึกไว้เป็นเอกสารระบุวันที่ทำการตรวจสอบและทดสอบ ชื่อผู้ตรวจสอบและทดสอบ หมายเลขประจำเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ (Serial Number) หรือสิ่งอื่นใด เช่น Tag Number เป็นต้น ที่สามารถระบุอุปกรณ์ที่ได้รับการตรวจสอบและทดสอบ รวมทั้งรายละเอียดของวิธีการตรวจสอบและทดสอบที่ใช้ ตลอดจนผลการตรวจสอบและทดสอบ ข้อ ๒๙/๒๘[๓๔] กรณีอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตมีความบกพร่องเกินขีดจำกัดที่ยอมรับได้ตามที่ระบุไว้ในข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิต เช่น ค่าการเบี่ยงเบน เป็นต้น ต้องได้รับการแก้ไขให้มีความพร้อมสมบูรณ์ก่อนที่จะใช้งานอุปกรณ์นั้นต่อไป ทั้งนี้ หากมีความประสงค์ที่จะใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวต่อไปและอยู่ระหว่างรอการแก้ไขปรับปรุง ต้องแสดงวิธีการตามหลักวิศวกรรมและมีแผนการปฏิบัติเพื่อให้การใช้งานอุปกรณ์เป็นไปอย่างปลอดภัย ข้อ ๒๙/๒๙[๓๕] กรณีที่มีการก่อสร้างโรงงานและติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ในกระบวนการผลิต ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบและทดสอบว่าอุปกรณ์นั้นมีความเหมาะสมกับกระบวนการผลิต และดำเนินการติดตั้งให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรม สอดคล้องกับข้อกำหนดการออกแบบและคำแนะนำของผู้ผลิต ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบและทดสอบว่าวัสดุที่นำมาใช้ในการซ่อมบำรุง ชิ้นส่วนสำรองหรืออะไหล่และอุปกรณ์ มีความเหมาะสมกับกระบวนการผลิตและการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ข้อ ๒๙/๓๐[๓๖] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำระบบใบอนุญาตทำงานและกำหนดขั้นตอนการขออนุญาตทำงานสำหรับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับความร้อนหรือก่อให้เกิดประกายไฟในบริเวณที่มีการผลิตและสถานที่ใกล้หรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ข้อ ๒๙/๓๑[๓๗] ใบอนุญาตทำงานต้องมีรายละเอียดอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ หรือตามที่ กนอ. กำหนด (๑) การกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดไฟไหม้ ซึ่งจะต้องดำเนินการก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานเกี่ยวกับความร้อนหรือประกายไฟ รวมทั้งการระงับเหตุ (๒) วันที่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงาน และการระบุชื่ออุปกรณ์ที่จะปฏิบัติงานเกี่ยวกับความร้อนหรือประกายไฟ (๓) พื้นที่ปฏิบัติงาน (๔) ผู้ขออนุญาตปฏิบัติงาน (๕) ขั้นตอนและวิธีการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนเริ่มปฏิบัติงาน (๖) การวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย (๗) ผู้ตรวจสอบความปลอดภัยก่อนการเริ่มปฏิบัติงาน (๘) ผู้มีอำนาจอนุมัติ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบความปลอดภัยก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานว่าได้ดำเนินการตัดแยกและปิดกั้นอุปกรณ์ที่จะทำงานนั้นออกจากระบบอื่น ๆ แล้ว และให้พื้นที่ปฏิบัติงานปราศจากสารไวไฟหรือสารเคมีอันตราย เพื่อความปลอดภัยในระหว่างการปฏิบัติงาน ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการตรวจวัดแก๊สไวไฟหรือสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย และมีการตรวจวัดเป็นระยะตามช่วงเวลาที่ปฏิบัติงานว่ามีความปลอดภัย รวมทั้งใบอนุญาตทำงานต้องถูกแสดงไว้ในพื้นที่ปฏิบัติงานจนกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ และภายหลังจากสิ้นสุดการปฏิบัติงานต้องมีการตรวจยืนยันความปลอดภัยในพื้นที่ปฏิบัติงานอีกครั้งหนึ่ง ข้อ ๒๙/๓๒[๓๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำระบบใบอนุญาตทำงานและขั้นตอนการขออนุญาตทำงานสำหรับการปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานประจำในบริเวณที่มีการผลิตและสถานที่ใกล้กับหรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต เช่น การปฏิบัติงานในที่อับอากาศ การตัดแยกระบบเพื่อความปลอดภัยระหว่างการบำรุงรักษา หรือระหว่างการหยุดเครื่องจักร หรือมีการนำสารเคมีอันตราย สารไวไฟที่ไม่ได้ใช้ประจำในกระบวนผลิตเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติงาน เป็นต้น ทั้งนี้ โดยให้มีมาตรการป้องกันการสัมผัสสารเคมีในขั้นตอนการทำงาน หรือป้องกันการเกิดประกายไฟ การเกิดไฟไหม้ และต้องมีรายละเอียดการปฏิบัติในใบอนุญาตทำงานด้วย ข้อ ๒๙/๓๓[๓๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนการจัดการการเปลี่ยนแปลงเป็นลายลักษณ์อักษร และการนำไปใช้กับการเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ พนักงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ อาคาร หรือสถานที่ที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Facility) รวมทั้งส่วนสนับสนุนการผลิต (Utility) ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยกระบวนการผลิต เว้นแต่กรณีการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อกำหนดเดิมทุกประการ ข้อ ๒๙/๓๔[๔๐] ขั้นตอนการปฏิบัติงานการจัดการการเปลี่ยนแปลงตามข้อ ๒๙/๓๓ ต้องพิจารณาข้อมูล ดังต่อไปนี้ ก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลง (๑) ข้อมูลด้านเทคนิคของการเปลี่ยนแปลงที่จะกระทำ (๒) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่อความปลอดภัยและสุขภาพ (๓) การปรับเปลี่ยนขั้นตอนการปฏิบัติงาน (๔) ระยะเวลาจำเป็นที่ใช้งานระหว่างการเปลี่ยนแปลง (๕) ข้อกำหนดการพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลง ข้อ ๒๙/๓๕[๔๑] พนักงานที่ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตและการซ่อมบำรุง ผู้รับเหมาและพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่อการปฏิบัติงานที่ดำเนินการอยู่นั้น ต้องได้รับข้อมูลและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นก่อนเริ่มเดินเครื่อง และหากการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตและขั้นตอนการปฏิบัติงาน ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องปรับปรุงข้อมูลให้สอดคล้องกันและเป็นปัจจุบัน ข้อ ๒๙/๓๖[๔๒] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนแต่ละอุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดหรืออาจจะก่อให้เกิดไฟไหม้ การระเบิด และการรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรงในพื้นที่ปฏิบัติงาน การสอบสวนอุบัติการณ์ตามวรรคหนึ่ง ต้องเริ่มดำเนินการภายใน ๔๘ ชั่วโมงนับจากเกิดเหตุอุบัติการณ์ในแต่ละคราว ข้อ ๒๙/๓๗[๔๓] กรณีการสอบสวนอุบัติการณ์ต้องให้ดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบโดยคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยพนักงานผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจกระบวนการผลิตอย่างน้อย ๑ คน และพนักงานผู้มีความรู้หรือมีประสบการณ์ในการสอบสวนและวิเคราะห์อุบัติการณ์ รวมทั้งผู้รับเหมากรณีที่ผู้รับเหมามีความเกี่ยวข้องกับอุบัติการณ์ ที่เกิดขึ้นนั้นด้วย ข้อ ๒๙/๓๘[๔๔] รายงานการสอบสวนอุบัติการณ์ ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) วันที่เกิดอุบัติการณ์ (๒) วันที่เริ่มต้นสอบสวน (๓) รายละเอียดของอุบัติการณ์ (๔) สาเหตุของอุบัติการณ์ (๕) ข้อแนะนำหลังการสอบสวน ข้อ ๒๙/๓๙[๔๕] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบการสอบสวนอุบัติการณ์ซึ่งสามารถสรุปสิ่งที่พบจากการตรวจประเมิน วิธีการและข้อแนะนำในการแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุของอุบัติการณ์และต้องมีการบันทึกและทบทวนรายงานโดยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงผู้รับเหมาในกรณีที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้อ ๒๙/๔๐[๔๖] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดเก็บรายงานการสอบสวนอุบัติการณ์ไว้อย่างน้อย ๕ ปีนับตั้งแต่การสอบสวนนั้นเสร็จสิ้น ข้อ ๒๙/๔๑[๔๗] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินและการนำไปใช้ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินซึ่งครอบคลุมถึงกรณีการเกิดไฟไหม้ การระเบิด การรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรง ตลอดจนกรณีสารเคมีอันตรายร้ายแรงรั่วไหลปริมาณน้อยและของเสียอันตรายด้วย ข้อ ๒๙/๔๒[๔๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินแก่พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๓[๔๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินให้กับพนักงาน ผู้รับเหมา และชุมชน ตลอดจนบุคคลภายนอกที่เข้ามาในสถานประกอบการ โดยรวมถึงแผนการสื่อสารในภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๔[๕๐] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการและคงไว้ซึ่งการสื่อสารในภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ชุมชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๕[๕๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบการแจ้งเตือนพนักงานในกรณีที่เกิดเหตุภาวะฉุกเฉิน และใช้เสียงสัญญาณเตือนให้เหมาะสม ข้อ ๒๙/๔๖[๕๒] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการให้มีการตรวจประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมตามที่ กนอ. กำหนด ดังต่อไปนี้ (๑) การตรวจประเมินภายใน ให้ดำเนินการตรวจตามเกณฑ์การตรวจประเมินตามข้อบังคับนี้อย่างน้อย ๑ ครั้งต่อปีโดยคณะผู้ตรวจประเมินของสถานประกอบการเอง ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย ๑ คนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดร่วมอยู่ด้วยก็ได้และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้วไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการอย่างน้อย ๓ ปี (๒) การตรวจประเมินภายนอก ให้ดำเนินการทุก ๓ ปีโดยคณะผู้ตรวจประเมินที่ขึ้นทะเบียนไว้ กับ กนอ. คณะผู้ตรวจประเมินภายนอกต้องมีอย่างน้อย ๓ คนขึ้นไป ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย ๑ คนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดร่วมอยู่ด้วยก็ได้ และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้ว ๒ ฉบับล่าสุดไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการนั้นด้วย ข้อ ๒๙/๔๗[๕๓] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องอนุญาตให้ผู้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม และผู้ตรวจประเมินสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่จำเป็นได้โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรง ในกรณีที่เป็นความลับทางการค้าให้ถือว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเจ้าของความลับทางการค้าได้ให้ความยินยอมในการเปิดเผย เอาไป หรือใช้ความลับทางการค้านั้น มาตรฐานตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นข้อห้ามสำหรับการทำเป็นข้อตกลงรักษาความลับ หรือข้อตกลงที่ไม่เปิดเผยข้อมูล ส่วนที่ ๓ มาตรการบังคับ ข้อ ๓๐ ในกรณีผู้ประกอบกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หรือในการอนุญาต หรือในสัญญาการใช้ที่ดินหรือบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดิน ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไขปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมในระยะเวลาที่กำหนด ข้อ ๓๑ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามที่ กนอ. ได้มีหนังสือแจ้งตามข้อ ๓๐ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการดำเนินกิจการเพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ข้อ ๓๒ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ ๓๑ หรือไม่ชำระค่าบริการตามข้อ ๒๔ วรรคสอง หรือกรณีที่การประกอบกิจการต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ ให้ กนอ. มีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตได้ บทเฉพาะกาล ข้อ ๓๓ การอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ให้ไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาการอนุญาต และให้ กนอ.ดำเนินการอนุญาตให้ใหม่ โดยผู้ได้รับอนุญาตต้องมาทำสัญญาและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป การขออนุญาตเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตตามข้อบังคับนี้ และให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย [เอกสารแนบท้าย] ๑.[๕๔] บัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายร้ายแรงท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๕๕] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓[๕๖] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙[๕๗] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๕ ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) นิคมอุตสาหกรรมผาแดง นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๒ ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ปริยานุช/จัดทำ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ วริญา/เพิ่มเติม ๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๐๖ ง/หน้า ๓๙/๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑ [๒] ข้อ ๑๑ วรรคสี่ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๓] ข้อ ๑๑ วรรคห้า เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๓] [๔] ข้อ ๑๒/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๕] ข้อ ๑๕/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๖]ส่วนที่ ๒/๑ เงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๗] ข้อ ๒๙/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๘] ข้อ ๒๙/๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๙] ข้อ ๒๙/๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๐] ข้อ ๒๙/๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๑] ข้อ ๒๙/๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๒] ข้อ ๒๙/๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๓] ข้อ ๒๙/๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๔] ข้อ ๒๙/๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๕] ข้อ ๒๙/๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๖] ข้อ ๒๙/๑๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๗] ข้อ ๒๙/๑๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๘] ข้อ ๒๙/๑๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๑๙] ข้อ ๒๙/๑๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๐] ข้อ ๒๙/๑๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๑] ข้อ ๒๙/๑๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๒] ข้อ ๒๙/๑๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๓] ข้อ ๒๙/๑๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๔] ข้อ ๒๙/๑๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๕] ข้อ ๒๙/๑๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๖] ข้อ ๒๙/๒๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๗] ข้อ ๒๙/๒๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๘] ข้อ ๒๙/๒๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๒๙] ข้อ ๒๙/๒๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๐] ข้อ ๒๙/๒๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๑] ข้อ ๒๙/๒๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๒] ข้อ ๒๙/๒๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๓] ข้อ ๒๙/๒๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๔] ข้อ ๒๙/๒๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๕] ข้อ ๒๙/๒๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๖] ข้อ ๒๙/๓๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๗] ข้อ ๒๙/๓๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๘] ข้อ ๒๙/๓๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๓๙] ข้อ ๒๙/๓๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๐] ข้อ ๒๙/๓๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๑] ข้อ ๒๙/๓๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๒] ข้อ ๒๙/๓๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๓] ข้อ ๒๙/๓๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๔] ข้อ ๒๙/๓๘ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๕] ข้อ ๒๙/๓๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๖] ข้อ ๒๙/๔๐ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๗] ข้อ ๒๙/๔๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๘] ข้อ ๒๙/๔๒ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๔๙] ข้อ ๒๙/๔๓ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๐] ข้อ ๒๙/๔๔ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๑] ข้อ ๒๙/๔๕ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๒] ข้อ ๒๙/๔๖ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๓] ข้อ ๒๙/๔๗ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๔] บัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายร้ายแรงท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ [๕๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๕๖/๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ [๕๖] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔๙ ง/หน้า ๕๙/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ [๕๗] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๑๑ ง/หน้า ๑๗/๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
750689
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๕ ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) นิคมอุตสาหกรรมผาแดง นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๒ ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นส่วนที่ ๒/๑ เงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๒๙/๑ ถึงข้อ ๒๙/๔๗ ของหมวด ๒ เงื่อนไขการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาต แห่งข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ “ส่วนที่ ๒/๑ เงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัย กระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๒๙/๑ ในส่วนนี้ “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของสถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการในนิคมอุตสาหกรรม “ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า การทำ ผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง ตรวจสอบ ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือทำลายสิ่งใด ๆ ตามลักษณะกิจการของโรงงาน ตลอดจนการทดลองเดินเครื่องจักร “กระบวนการผลิต” หมายความว่า กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรง รวมถึงการจัดเก็บ การใช้ การผลิต การครอบครอง หรือเคลื่อนย้ายสารเคมีใด ๆ ภายในเขตนิคมอุตสาหกรรม “ความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety) หมายความว่า กระบวนการในการป้องกันหรือลดความรุนแรงความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดจากอุบัติการณ์ที่เป็นผลจากการเบี่ยงเบนของสภาวะกระบวนการผลิตที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ โดยให้บูรณาการการดำเนินงานด้านเดินเครื่องกระบวนการผลิตและวิศวกรรม รวมทั้งขั้นตอนดำเนินงานและการปฏิบัติให้มีความปลอดภัยตลอดเวลา “การจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต” (Process Safety Management : PSM) หมายความว่า การจัดการให้เกิดความปลอดภัย การป้องกันการเกิดอุบัติการณ์และการบาดเจ็บที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการผลิตที่มีการใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง โดยใช้มาตรการทางการจัดการและพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมในการชี้บ่ง ประเมิน และควบคุมอันตรายจากกระบวนการผลิต และให้หมายความรวมถึงการจัดเก็บ การออกแบบ การใช้ การผลิต การบำรุงรักษา การตรวจสอบ การทดสอบและการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสารเคมีอันตรายร้ายแรงในเขตนิคมอุตสาหกรรม “สารเคมีอันตรายร้ายแรง” (Highly Hazardous Chemicals) หมายความว่า สารประกอบสารผสมซึ่งอยู่ในรูปของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น สารพิษ (Toxics) ที่ก่อมะเร็ง และทำให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยสารไวต่อการเกิดปฏิกิริยา (Reactives) และทำปฏิกิริยารุนแรง สารไวไฟ (Flammables) สารระเบิดได้ (Explosives) สารกัดกร่อน (Corrosives) ตัวออกซิไดส์ (Oxidizing Agents) เป็นต้น ตามบัญชีรายชื่อท้ายข้อบังคับนี้ “แก๊สไวไฟ” (Flammable Gases) หมายความว่า แก๊สที่อุณหภูมิ ๒๐ องศาเซลเซียส และมีความดัน ๑๐๑.๓ กิโลปาสกาล สามารถติดไฟได้เมื่อผสมกับอากาศ ๑๓ เปอร์เซ็นต์หรือต่ำกว่าโดยปริมาตรหรือมีช่วงกว้างที่สามารถติดไฟได้ ๑๒ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปเมื่อผสมกับอากาศ โดยไม่คำนึงถึงความเข้มข้นต่ำสุดของการผสม “ของเหลวไวไฟ” (Flammable Liquids) หมายความว่า ของเหลวหรือของเหลวผสมหรือของเหลวที่มีสารแขวนลอยผสมที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า ๓๗.๘ องศาเซลเซียสหรือ ๑๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ “อันตราย” (Hazard) หมายความว่า สิ่งหรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่วยจากการทำงาน ความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ตลอดจนความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือต่อสาธารณชน “ชี้บ่งอันตราย” (Hazard Identification) หมายความว่า กระบวนการในการค้นหาอันตรายที่มีอยู่และการระบุลักษณะของอันตราย “การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต” (Process Hazard Analysis : PHA) หมายความว่ากระบวนการวิเคราะห์อันตรายจากกระบวนการผลิต “อุบัติการณ์” (Incident) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นแล้วและมีผลให้เกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ “อุบัติเหตุ” (Accident) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดจากการขาดการควบคุม และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลให้เกิดการบาดเจ็บ หรือความเจ็บป่วยจากการทำงานหรือการเสียชีวิต หรือความสูญเสียต่อทรัพย์สิน หรือความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือต่อสาธารณชน “เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ” (Near Miss) หมายความว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ “การทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง” (Pre-Startup Safety Review : PSSR) หมายความว่า การทบทวนตรวจสอบความปลอดภัยของกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับงานก่อสร้าง การติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ การดัดแปลงกระบวนการผลิต การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต การบำรุงรักษาครั้งใหญ่ก่อนนำสารเคมีอันตรายร้ายแรงเข้าสู่กระบวนการผลิต รวมถึงก่อนนำอุปกรณ์เข้าใช้งานหรือเดินเครื่อง “ผู้รับเหมา” (Contractors) หมายความว่า ผู้รับเหมาขั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงตามที่กำหนดไว้ในนิยามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ “งานที่ไม่ใช่งานประจำ” (Non - routine Work) หมายความว่า งานที่นอกเหนือจากงานปกติ งานที่ยังไม่เคยมีมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedures) งานที่ไม่ได้ปฏิบัติบ่อย งานที่มีวิธีปฏิบัติแตกต่างจากที่แสดงไว้ในขั้นตอนการปฏิบัติงาน งานที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน รวมถึงงานประจำแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายสูง “การตรวจประเมิน” (Audit) หมายความว่า การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตที่เป็นระบบอย่างเป็นอิสระ โดยการจัดทำเป็นเอกสารเพื่อให้ได้หลักฐานการตรวจประเมิน และประเมินว่าเป็นไปตามเกณฑ์การตรวจประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance Audits) “การตรวจประเมินภายใน” (Internal Audit) หมายความว่า การดำเนินการตรวจประเมินโดยคณะผู้ตรวจประเมินภายในของสถานประกอบการเอง เพื่อทบทวนระบบความปลอดภัยและการจัดการว่าองค์กรได้ดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินภายในไม่ควรเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายให้ไปตรวจประเมิน “การตรวจประเมินภายนอก” (External Audit) หมายความว่า การดำเนินการตรวจประเมินโดยคณะผู้ตรวจประเมินที่ขึ้นทะเบียนกับ กนอ. และได้รับการมอบหมายจาก กนอ. ให้ตรวจประเมินเป็นกรณีไป “เกณฑ์การตรวจประเมิน” (Audit Criteria) หมายความว่า บรรทัดฐานที่ใช้ในการพิจารณา ซึ่งอาจจะเป็นนโยบายขั้นตอนการดำเนินงาน หรือข้อกำหนดต่าง ๆ ทั้งนี้ เกณฑ์การตรวจประเมินดังกล่าวจะนำมาใช้อ้างอิงโดยเทียบเคียงกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต “คณะผู้ตรวจประเมิน” (Audit Team) หมายความว่า คณะบุคคลที่ดำเนินการตรวจประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตของแต่ละสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง” (Specialists) หมายความว่า ผู้ที่มีความรู้และความชำนาญซึ่งเหมาะสมกับสถานประกอบการนั้น “สิ่งที่พบจากการตรวจประเมิน” (Audit Findings) หมายความว่า ผลของการตรวจประเมินตามหลักฐานการตรวจประเมินที่รวบรวมได้ โดยเทียบกับเกณฑ์การตรวจประเมินซึ่งสามารถชี้บ่งได้ทั้งความสอดคล้องและความไม่สอดคล้องกับเกณฑ์การตรวจประเมินหรือโอกาสสำหรับการปรับปรุง “ข้อเสนอแนะ” (Recommendations) หมายความว่า ข้อเสนอแนะของคณะผู้ตรวจประเมินที่มีต่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อให้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุง ข้อ ๒๙/๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการวางแผน การปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบการปฏิบัติตามแผนและการปรับปรุงแก้ไขที่เป็นระบบอย่างต่อเนื่อง ข้อ ๒๙/๓ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิต ดังต่อไปนี้ต้องดำเนินการการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิต (๑) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรงในปริมาณครอบครอง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเท่ากับหรือมากกว่าปริมาณที่กำหนดในบัญชีท้ายข้อบังคับนี้ หรือ (๒) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับแก๊สไวไฟหรือของเหลวไวไฟ ที่มีปริมาณครอบครองตั้งแต่ ๔,๕๔๕ กิโลกรัมหรือ ๑๐,๐๐๐ ปอนด์ขึ้นไป ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง กรณีกระบวนการตาม (๑) หรือ (๒) หมายความรวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องหรืออุปกรณ์ข้างเคียงหรือที่ต่อเนื่องกับกระบวนการดังกล่าวด้วย เว้นแต่แก๊สไวไฟหรือของเหลวไวไฟซึ่งนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น เช่น ใช้สำหรับหม้อน้ำ หรือเติมยานพาหนะ ข้อ ๒๙/๔ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินภายในทุก ๑ ปีและการตรวจประเมินภายนอกทุก ๓ ปี ทั้งนี้ ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอกประกอบการยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตต่อ กนอ. หรือกรณีเกิดอุบัติเหตุเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต หรือกรณีการขอขยายกำลังการผลิตที่กระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต โดยมิได้หมายความรวมถึงการขยายพื้นที่ ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอกประกอบการยื่นขออนุญาตต่อ กนอ. ข้อ ๒๙/๕ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีข้อมูลและขั้นตอนแผนการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรโดยให้พนักงานมีส่วนร่วมและรับทราบการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ หรือการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย การปฏิบัติและพัฒนาการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต การพัฒนาในด้านอื่น ๆ ของการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต การให้รับทราบและสามารถสืบค้นข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต รวมทั้งข้อมูลอื่นเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน ตลอดจนให้มีส่วนร่วมตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ดังต่อไปนี้ (๑) ข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิต (Process Safety Information : PSI) (๒) การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต (Process Hazard Analysis : PHA) (๓) ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Operating Procedures : OP) (๔) การฝึกอบรม (Training) (๕) การจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management : CSM) (๖) การทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง (Pre-Startup Safety Review : PSSR) (๗) ความพร้อมใช้ของอุปกรณ์ (Mechanical Integrity : MI) (๘) การอนุญาตทำงานที่อาจทำให้เกิดความร้อนและประกายไฟ (Hot Work Permits) และการอนุญาตทำงานที่ไม่ใช่งานประจำ (Non-Routine Work Permits) (๙) การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Management of Change : MOC) (๑๐) การสอบสวนอุบัติการณ์ (Incident Investigation : II) (๑๑) การเตรียมความพร้อมและการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Emergency Planning and Response : EPR) (๑๒) การตรวจประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance Audits) (๑๓) ความลับทางการค้า (Trade Secrets) ข้อ ๒๙/๖ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมจะต้องดำเนินการรวบรวมข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะเริ่มทำการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานและการผลิตได้ตระหนักและทำความเข้าใจถึงอันตรายที่อาจเกิดจากกระบวนการผลิตที่มีสารเคมีอันตรายร้ายแรง ข้อ ๒๙/๗ ข้อมูลอันตรายจากสารเคมีอันตรายร้ายแรงในกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อมูล ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อและสูตรเคมีของสารเคมีอันตรายร้ายแรง (๒) ความเป็นพิษ (๓) ค่าการสัมผัสที่ยอมรับได้ (๔) สมบัติทางกายภาพและทางเคมี (๕) ความสามารถในการทำปฏิกิริยา (๖) สมบัติในการกัดกร่อน (๗) ความเสถียรทางเคมีและความร้อน (๘) อันตรายที่เกิดขึ้นจากการผสมสารเคมี ข้อ ๒๙/๘ ข้อมูลเทคโนโลยีกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) แผนภาพการไหล (Block Flow Diagram) หรือแผนภาพการไหลกระบวนการผลิตอย่างง่าย (Simplified Process Flow Diagram) และคำอธิบายแสดงขั้นตอนการผลิต (๒) เคมีกระบวนการผลิต (Process Chemistry) (๓) ปริมาณกักเก็บสารเคมีอันตรายร้ายแรงสูงสุด (๔) ขีดจำกัดต่ำสุดและสูงสุดที่ระยะปลอดภัย (Safe Upper and Lower Limits) ของแต่ละอุปกรณ์ เครื่องจักร และกระบวนการผลิต เช่น อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล หรือองค์ประกอบ เป็นต้น (๕) การประเมินผลที่ตามมาจากการเบี่ยงเบนไปจากค่ากำหนดเดิม รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม่สามารถแสดงข้อมูลเทคโนโลยีกระบวนการผลิตได้ ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเสาะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สามารถนำมาประยุกต์เพื่อใช้ในการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตแทนก็ได้ ข้อ ๒๙/๙ ข้อมูลอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) วัสดุที่ใช้ในการสร้างอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งท่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (๒) แผนภาพระบบท่อและเครื่องมือวัด (Piping and Instrumentation Diagrams: P&IDs) (๓) การจำแนกบริเวณอันตรายทางไฟฟ้า (Electrical Area Classification) (๔) การออกแบบระบบที่ใช้ในการลดความดัน และพื้นฐานการออกแบบ (๕) การออกแบบระบบระบายอากาศ (๖) ข้อกำหนด (Codes) และมาตรฐาน (Standards) ที่นำมาใช้ออกแบบ (๗) ดุลมวลสารและดุลพลังงาน (Material and Energy Balances) สำหรับกระบวนการผลิต (๘) การออกแบบระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การเชื่อมโยง กลไกการควบคุมจากภายใน อุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Interlock) ระบบตรวจจับ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้และระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๐ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำเอกสารเพื่อแสดงว่าอุปกรณ์เป็นไปตามมาตรฐานและวิธีปฏิบัติทางวิศวกรรมที่ดีที่ได้รับการรับรองและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป (Recognized and Generally Accepted Good Engineering Practices : RAGAGEP) สำหรับอุปกรณ์ที่ออกแบบและก่อสร้างตามข้อกำหนดมาตรฐานเดิมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ผู้ประกอบอุตสาหกรรมจะต้องจัดทำเอกสารเพื่อแสดงว่าอุปกรณ์นั้นได้ถูกออกแบบ บำรุงรักษา ตรวจสอบ ทดสอบ และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ข้อ ๒๙/๑๑ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องทบทวนและปรับปรุงเอกสารข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ข้อ ๒๙/๑๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตทั้งหมด วิธีการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตให้เป็นระบบและเหมาะสมต่อความซับซ้อนของกระบวนการผลิตโดยสามารถชี้บ่ง ประเมิน และควบคุมอันตรายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ครอบคลุมถึงการจัดเก็บ การใช้ การผลิต และการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสารเคมีอันตรายร้ายแรงได้ ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องลำดับความสำคัญของอันตราย และจัดทำเอกสารสำหรับวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต โดยให้พิจารณาจากขอบเขตของอันตรายในกระบวนการผลิตจำนวนพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบ อายุการใช้งานของอุปกรณ์ เครื่องจักร และกระบวนการผลิต ตลอดจนประวัติการเดินเครื่องจักรในกระบวนการผลิต (๒) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งวิธีตามความเหมาะสม เพื่อชี้บ่งอันตรายวิเคราะห์และประเมินอันตรายกระบวนการผลิตดังนี้ (๒.๑) What - if (๒.๒) Checklist (๒.๓) What - if/Checklist (๒.๔) Hazard and Operability Study (HAZOP) (๒.๕) Failure Mode and Effects Analysis (FMEA) (๒.๖) Fault Tree Analysis (๒.๗) วิธีอื่นที่เทียบเท่าหรือดีกว่าตามความเหมาะสม (๓) การวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม อย่างน้อยจะต้องมีรายละเอียดดังนี้ (๓.๑) อันตรายจากกระบวนการผลิตและการทำงานที่เกี่ยวข้อง (๓.๒) การชี้บ่งอุบัติการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือผลกระทบที่สำคัญต่อพนักงานและสถานประกอบการ (๓.๓) การควบคุมทางด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการที่ใช้ควบคุมการเกิดอันตรายและสิ่งที่เกี่ยวกับอันตราย เช่น วิธีการที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการตรวจจับเพื่อเตือนเหตุล่วงหน้า วิธีการในการตรวจจับที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งอาจรวมถึงการเฝ้าระวังกระบวนการผลิต และการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสัญญาณเตือนและอุปกรณ์ในการตรวจจับ เช่น เครื่องตรวจจับไฮโดรคาร์บอน เป็นต้น (๓.๔) ผลจากความล้มเหลวของการควบคุมทางด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการ (๓.๕) การวางตำแหน่งที่ตั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร และอาคารทั้งหมดของผังโรงงาน (๓.๖) ปัจจัยด้านบุคคล เช่น ข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน ความไม่สมบูรณ์ด้านสุขภาพของพนักงาน (๓.๗) การประเมินผลกระทบเชิงคุณภาพด้านความปลอดภัย และด้านสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นกับพนักงานในสถานประกอบการในกรณีที่การควบคุมล้มเหลว (๔) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีคณะทำงานวิเคราะห์อันตรายอย่างน้อย ๓ คน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต พนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านกระบวนการวิเคราะห์และประเมินอันตราย และพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (๕) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบในการจัดการกับสิ่งที่พบจากการตรวจประเมินและข้อเสนอแนะจากคณะทำงานวิเคราะห์อันตราย เพื่อให้ข้อเสนอแนะนั้นได้รับการแก้ไขได้ทันเวลาและมีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยระบุถึงแผนการดำเนินงาน ผู้รับผิดชอบและกำหนดวันแล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังจะต้องแจ้งให้ฝ่ายปฏิบัติการบำรุงรักษาและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากคำแนะนำและการดำเนินงานนั้นด้วย (๖) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องปรับปรุงข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตให้เป็นปัจจุบันโดยให้ดำเนินการอย่างน้อยทุก ๕ ปี หรือเมื่อมีการขยายหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตจากเดิมที่มีอยู่ ทั้งนี้ การปรับปรุงข้อมูลการวิเคราะห์อันตรายให้จัดทำโดยคณะทำงานวิเคราะห์อันตรายตาม (๔) (๗) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดเก็บเอกสารการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตไว้ตลอดระยะเวลาที่กระบวนการผลิตนั้นยังใช้งานอยู่ ข้อ ๒๙/๑๓ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรและการนำไปใช้ให้สอดคล้องกับข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตและผลการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิต เพื่อเตรียมข้อมูลที่มีความชัดเจนสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ขั้นตอนการปฏิบัติงาน อย่างน้อยต้องประกอบด้วยเรื่อง ดังต่อไปนี้ (๑) ขั้นตอนสำหรับแต่ละระยะการปฏิบัติการ (Operating Phase) (๑.๑) การเริ่มเดินเครื่องครั้งแรก (Initial Startup) (๑.๒) การปฏิบัติการผลิตปกติ (Normal Operations) (๑.๓) การปฏิบัติการผลิตชั่วคราว (Temporary Operations) (๑.๔) การหยุดระบบการผลิตฉุกเฉิน (Emergency Shutdown) รวมถึงการหยุดระบบการผลิตฉุกเฉินที่มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นไปตามเงื่อนไขการผลิตของแต่ละสถานประกอบการ (๑.๕) การปฏิบัติการผลิตในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations) (๑.๖) การหยุดระบบการผลิตตามปกติ หรือตามระยะเวลาที่กำหนด (Normal Shutdown) (๑.๗) การเริ่มเดินเครื่องหลังจากการซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ หรือหลังจากการหยุดระบบการผลิตฉุกเฉิน (๒) ขีดจำกัดในการปฏิบัติงาน (Operating Limits) (๒.๑) ผลกระทบหรือผลที่เกิดขึ้นจากการเบี่ยงเบนออกจากขีดจำกัด (๒.๒) ขั้นตอนในการแก้ไข หรือการหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนออกจากขีดจำกัด (๓) ข้อควรระวังเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย (๓.๑) สมบัติและอันตรายของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต (๓.๒) ข้อควรปฏิบัติที่จำเป็นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารเคมีและการสัมผัสสารเคมี รวมทั้งการควบคุมทางวิศวกรรม การควบคุมการจัดการ และอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (๓.๓) มาตรการควบคุมหากเกิดการสัมผัสสารเคมีโดยตรงหรือที่แพร่กระจายในอากาศ (๓.๔) การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและปริมาณของสารเคมีอันตรายร้ายแรง (๓.๕) อันตรายเฉพาะหรือลักษณะพิเศษของกระบวนการผลิต (๔) ระบบความปลอดภัยและระบบอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น อุปกรณ์การเชื่อมโยง กลไกการควบคุมจากภายใน อุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Interlock) ระบบตรวจจับ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๔ ขั้นตอนการปฏิบัติงานตามข้อ ๒๙/๑๓ ต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) ต้องมีความพร้อมเพื่อให้พนักงานที่ปฏิบัติงานสามารถค้นหาได้ (๒) ต้องมีการทบทวนให้เป็นไปตามการปฏิบัติงานในปัจจุบันอยู่เสมอ และ (๓) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องรับรองความเป็นปัจจุบันและความถูกต้องของขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นประจำทุกปี กรณีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ พนักงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการเปลี่ยนแปลงของอุปกรณ์ อาคาร หรือสถานที่ที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Facility) รวมทั้งส่วนสนับสนุนการผลิต (Utility) ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยกระบวนการ ข้อ ๒๙/๑๕ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยเป็นลายลักษณ์อักษรและการนำมาใช้ เพื่อควบคุมอันตรายการปฏิบัติงานของพนักงานและผู้รับเหมา เช่น การควบคุมการเข้าปฏิบัติงานของพนักงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย การปฏิบัติงานในลักษณะที่อาจทำให้เกิดความร้อนและประกายไฟ การปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานประจำ การตัดแยกระบบเพื่อความปลอดภัย (Lock out/Tag out) การทำงานในที่อับอากาศ การเปิดอุปกรณ์และท่อในกระบวนการผลิต รวมทั้งการขออนุญาตเข้าทำงาน เป็นต้น ข้อ ๒๙/๑๖ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมช่วงเริ่มปฏิบัติงานแก่พนักงานปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในกระบวนการผลิต และพนักงานที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพรวมของกระบวนการผลิต ขั้นตอนการปฏิบัติงานความปลอดภัยและอันตรายต่อสุขภาพที่มีความจำเพาะต่อกระบวนการผลิตนั้น ๆ การปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน รวมถึงการหยุดระบบการผลิต และการปฏิบัติงานอื่น ๆ อย่างปลอดภัยตามหน้าที่ที่พนักงานได้รับมอบหมาย กรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการทดสอบพนักงานเพื่อให้พนักงานนั้นมีความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อ ๒๙/๑๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อทบทวนความรู้แก่พนักงานอย่างน้อยทุก ๆ ๓ ปี หรือมากกว่านั้น เพื่อให้พนักงานนั้นมีความเข้าใจและทราบถึงข้อมูลขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ต้องให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพิจารณาและจำนวนครั้งที่เหมาะสมในการจัดการฝึกอบรมเพื่อทบทวนความรู้ให้กับพนักงาน ข้อ ๒๙/๑๘ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีเอกสารบันทึกการฝึกอบรมของพนักงานและกำหนดให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตได้รับความรู้ ความเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติงาน ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยชื่อพนักงาน วันที่เข้ารับการฝึกอบรม และวิธีการที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมใช้ในการทวนสอบความเข้าใจของพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรม ข้อ ๒๙/๑๙ ให้มีการจัดการความปลอดภัย เพื่อนำไปใช้กับผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงในการผลิต การซ่อมบำรุง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เครื่องจักร การซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่หรืองานพิเศษอื่นที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหรือสถานที่ใกล้เคียง ข้อ ๒๙/๒๐ กรณีความรับผิดชอบของผู้ประกอบอุตสาหกรรม (๑) กรณีเมื่อมีการคัดเลือกผู้รับเหมา ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องพิจารณาและประเมินประสิทธิภาพการทำงานด้านความปลอดภัย และขั้นตอนการทำงานของผู้รับเหมาเพื่อความปลอดภัยตามสัญญา (๒) ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ต้องดำเนินการ (๒.๑) ให้ข้อมูลแก่ผู้รับเหมาในเรื่องสารเคมีที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้ การระเบิด หรืออันตรายจากสารเคมีรั่วไหลที่เกี่ยวข้องกับงานของผู้รับเหมาหรือกระบวนการผลิต (๒.๒) ต้องอธิบายให้ผู้รับเหมาทราบถึงเงื่อนไขการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน (๒.๓) ให้นำวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยตามข้อ ๒๙/๑๕ มาใช้เพื่อควบคุมการเข้าและออกของผู้รับเหมาในกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้อง (๒.๔) มีการประเมินสมรรถนะของผู้รับเหมาเป็นระยะเพื่อให้ผู้รับเหมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และเก็บรักษาใบบันทึกรายการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บที่เกี่ยวเนื่องกับงานของผู้รับเหมา ข้อ ๒๙/๒๑ กรณีความรับผิดชอบของผู้รับเหมา (๑) พนักงานของผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานต้องได้รับการฝึกอบรมให้ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย (๒) พนักงานของผู้รับเหมาต้องได้รับการชี้แจงถึงสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟไหม้ การระเบิด สารเคมีรั่วไหล การเชื่อม อันเนื่องมาจากงานและกระบวนการผลิต รวมทั้งการปฏิบัติตนเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินตามที่มีการเตรียมการไว้ (๓) จัดทำเอกสารบันทึกการฝึกอบรม โดยต้องระบุชื่อพนักงานของผู้รับเหมา วันที่เข้ารับการฝึกอบรม และวิธีการที่ใช้ในการตรวจสอบความเข้าใจของพนักงานของผู้รับเหมาที่ได้รับฝึกอบรม (๔) กำกับ ดูแลพนักงานของผู้รับเหมาให้ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยของโรงงาน รวมทั้งวิธีการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๑๕ (๕) ผู้รับเหมาต้องแจ้งให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมทราบถึงอันตรายที่เกิดขึ้นได้หรืออันตรายที่พบจากการปฏิบัติงานของผู้รับเหมา ข้อ ๒๙/๒๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการทบทวนความปลอดภัยก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่องในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) มีการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ (๒) มีการดัดแปลงกระบวนการผลิตหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลด้านความปลอดภัยกระบวนการผลิต (๓) มีการซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ ข้อ ๒๙/๒๓ กรณีการทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่องตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๒๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องยืนยันความสอดคล้องตามแผนการทบทวนความปลอดภัยก่อนการเริ่มเดินเครื่อง ก่อนนำสารเคมีอันตรายร้ายแรงหรือสารที่มีความดันหรืออุณหภูมิที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อพนักงานและกระบวนการผลิต ตลอดจนการนำไนโตรเจน ไอน้ำ เข้าสู่กระบวนการผลิต ดังต่อไปนี้ (๑) การก่อสร้างและอุปกรณ์ต้องเป็นไปตามแบบที่กำหนดไว้ (๒) ขั้นตอนปฏิบัติด้านความปลอดภัย การปฏิบัติงาน การซ่อมบำรุง และภาวะฉุกเฉินต้องมีเพียงพอและพร้อมสำหรับการใช้งาน (๓) ต้องมีการวิเคราะห์อันตรายกระบวนการผลิตสำ หรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่และคำแนะนำต่าง ๆ ต้องได้รับการแก้ไข หรือนำไปใช้ก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่อง ทั้งนี้ การดัดแปลงหรือการเปลี่ยนแปลงส่วนใด ๆ ของโรงงานต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๙/๓๓ ข้อ ๒๙/๓๔ และข้อ ๒๙/๓๕ (๔) มีการฝึกอบรมพนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในกระบวนการผลิตให้แล้วเสร็จก่อนการเดินเครื่อง ข้อ ๒๙/๒๔ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ ให้มีความพร้อมใช้อยู่เสมอโดยเฉพาะอุปกรณ์วิกฤตในกระบวนการผลิต (Critical Process Equipment) เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์นั้นได้รับการออกแบบและติดตั้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐานและหลักวิศวกรรม และมีการใช้งานตรงตามวัตถุประสงค์การออกแบบอย่างเหมาะสม (๑) ถังหรือภาชนะรับแรงดันที่บรรจุสารเคมีเหลวหรือแก๊สภายใต้ความดัน หรือถังเก็บสารเคมีเหลวหรือแก๊ส (๒) ระบบท่อ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบ เช่น วาล์ว เป็นต้น (๓) ระบบลดและระบายความดันและอุปกรณ์ (๔) ระบบหยุดการผลิตฉุกเฉิน (๕) ระบบควบคุมที่รวมอุปกรณ์วัด ตัวรับสัญญาณ อุปกรณ์สัญญาณบอกเหตุ และอุปกรณ์เชื่อมโยงเพื่อห้ามการทำงาน (Controls including Monitoring Devices and Sensors, Alarms, and Interlocks) (๖) เครื่องสูบต่าง ๆ เช่น เครื่องสูบสารเคมีอันตรายร้ายแรง เครื่องสูบน้ำหล่อเย็น เป็นต้น (๗) ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย ข้อ ๒๙/๒๕ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการจัดทำขั้นตอนการดูแลรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นลายลักษณ์อักษรและการนำไปใช้ เพื่อให้เครื่องจักรและอุปกรณ์มีความพร้อมใช้อย่างสมบูรณ์ ข้อ ๒๙/๒๖ เพื่อความปลอดภัยของพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความพร้อมใช้ของอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต พนักงานผู้นั้นจะต้องได้รับการฝึกอบรมในภาพรวมเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและอันตรายที่อาจเกิดจากกระบวนการผลิต ตลอดจนได้รับการฝึกอบรมขั้นตอนการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายก่อน ข้อ ๒๙/๒๗ การตรวจสอบและทดสอบอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตต้องเป็นไปตามหลักวิศวกรรมสำหรับจำนวนครั้งในการตรวจสอบและทดสอบให้เป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตหรือตามหลักวิศวกรรม แล้วแต่กรณี ซึ่งอาจจะมีจำนวนครั้งมากกว่านั้นหากพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานย้อนหลังแล้วเห็นว่ามีความจำเป็น ในการตรวจสอบและทดสอบอุปกรณ์กระบวนการผลิตในแต่ละครั้ง ต้องมีการบันทึกไว้เป็นเอกสารระบุวันที่ทำการตรวจสอบและทดสอบ ชื่อผู้ตรวจสอบและทดสอบ หมายเลขประจำเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ (Serial Number) หรือสิ่งอื่นใด เช่น Tag Number เป็นต้น ที่สามารถระบุอุปกรณ์ที่ได้รับการตรวจสอบและทดสอบ รวมทั้งรายละเอียดของวิธีการตรวจสอบและทดสอบที่ใช้ ตลอดจนผลการตรวจสอบและทดสอบ ข้อ ๒๙/๒๘ กรณีอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตมีความบกพร่องเกินขีดจำกัดที่ยอมรับได้ตามที่ระบุไว้ในข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิต เช่น ค่าการเบี่ยงเบน เป็นต้น ต้องได้รับการแก้ไขให้มีความพร้อมสมบูรณ์ก่อนที่จะใช้งานอุปกรณ์นั้นต่อไป ทั้งนี้ หากมีความประสงค์ที่จะใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวต่อไปและอยู่ระหว่างรอการแก้ไขปรับปรุง ต้องแสดงวิธีการตามหลักวิศวกรรมและมีแผนการปฏิบัติเพื่อให้การใช้งานอุปกรณ์เป็นไปอย่างปลอดภัย ข้อ ๒๙/๒๙ กรณีที่มีการก่อสร้างโรงงานและติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ในกระบวนการผลิต ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบและทดสอบว่าอุปกรณ์นั้นมีความเหมาะสมกับกระบวนการผลิต และดำเนินการติดตั้งให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรม สอดคล้องกับข้อกำหนดการออกแบบและคำแนะนำของผู้ผลิต ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบและทดสอบว่าวัสดุที่นำมาใช้ในการซ่อมบำรุง ชิ้นส่วนสำรองหรืออะไหล่และอุปกรณ์ มีความเหมาะสมกับกระบวนการผลิตและการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ข้อ ๒๙/๓๐ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำระบบใบอนุญาตทำงานและกำหนดขั้นตอนการขออนุญาตทำงานสำหรับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับความร้อนหรือก่อให้เกิดประกายไฟในบริเวณที่มีการผลิตและสถานที่ใกล้หรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ข้อ ๒๙/๓๑ ใบอนุญาตทำงานต้องมีรายละเอียดอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ หรือตามที่ กนอ. กำหนด (๑) การกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดไฟไหม้ ซึ่งจะต้องดำเนินการก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานเกี่ยวกับความร้อนหรือประกายไฟ รวมทั้งการระงับเหตุ (๒) วันที่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงาน และการระบุชื่ออุปกรณ์ที่จะปฏิบัติงานเกี่ยวกับความร้อนหรือประกายไฟ (๓) พื้นที่ปฏิบัติงาน (๔) ผู้ขออนุญาตปฏิบัติงาน (๕) ขั้นตอนและวิธีการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนเริ่มปฏิบัติงาน (๖) การวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย (๗) ผู้ตรวจสอบความปลอดภัยก่อนการเริ่มปฏิบัติงาน (๘) ผู้มีอำนาจอนุมัติ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องตรวจสอบความปลอดภัยก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานว่าได้ดำเนินการตัดแยกและปิดกั้นอุปกรณ์ที่จะทำงานนั้นออกจากระบบอื่น ๆ แล้ว และให้พื้นที่ปฏิบัติงานปราศจากสารไวไฟหรือสารเคมีอันตราย เพื่อความปลอดภัยในระหว่างการปฏิบัติงาน ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการตรวจวัดแก๊สไวไฟหรือสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย และมีการตรวจวัดเป็นระยะตามช่วงเวลาที่ปฏิบัติงานว่ามีความปลอดภัย รวมทั้งใบอนุญาตทำงานต้องถูกแสดงไว้ในพื้นที่ปฏิบัติงานจนกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ และภายหลังจากสิ้นสุดการปฏิบัติงานต้องมีการตรวจยืนยันความปลอดภัยในพื้นที่ปฏิบัติงานอีกครั้งหนึ่ง ข้อ ๒๙/๓๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำระบบใบอนุญาตทำงานและขั้นตอนการขออนุญาตทำงานสำหรับการปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานประจำในบริเวณที่มีการผลิตและสถานที่ใกล้กับหรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต เช่น การปฏิบัติงานในที่อับอากาศ การตัดแยกระบบเพื่อความปลอดภัยระหว่างการบำรุงรักษา หรือระหว่างการหยุดเครื่องจักร หรือมีการนำสารเคมีอันตราย สารไวไฟที่ไม่ได้ใช้ประจำในกระบวนผลิตเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติงาน เป็นต้น ทั้งนี้ โดยให้มีมาตรการป้องกันการสัมผัสสารเคมีในขั้นตอนการทำงาน หรือป้องกันการเกิดประกายไฟ การเกิดไฟไหม้ และต้องมีรายละเอียดการปฏิบัติในใบอนุญาตทำงานด้วย ข้อ ๒๙/๓๓ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนการจัดการการเปลี่ยนแปลงเป็นลายลักษณ์อักษร และการนำไปใช้กับการเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ พนักงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ อาคาร หรือสถานที่ที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Facility) รวมทั้งส่วนสนับสนุนการผลิต (Utility) ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยกระบวนการผลิต เว้นแต่กรณีการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อกำหนดเดิมทุกประการ ข้อ ๒๙/๓๔ ขั้นตอนการปฏิบัติงานการจัดการการเปลี่ยนแปลงตามข้อ ๒๙/๓๓ ต้องพิจารณาข้อมูล ดังต่อไปนี้ ก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลง (๑) ข้อมูลด้านเทคนิคของการเปลี่ยนแปลงที่จะกระทำ (๒) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่อความปลอดภัยและสุขภาพ (๓) การปรับเปลี่ยนขั้นตอนการปฏิบัติงาน (๔) ระยะเวลาจำเป็นที่ใช้งานระหว่างการเปลี่ยนแปลง (๕) ข้อกำหนดการพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลง ข้อ ๒๙/๓๕ พนักงานที่ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตและการซ่อมบำรุง ผู้รับเหมาและพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่อการปฏิบัติงานที่ดำเนินการอยู่นั้น ต้องได้รับข้อมูลและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นก่อนเริ่มเดินเครื่อง และหากการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลความปลอดภัยกระบวนการผลิตและขั้นตอนการปฏิบัติงาน ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องปรับปรุงข้อมูลให้สอดคล้องกันและเป็นปัจจุบัน ข้อ ๒๙/๓๖ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนแต่ละอุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดหรืออาจจะก่อให้เกิดไฟไหม้ การระเบิด และการรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรงในพื้นที่ปฏิบัติงาน การสอบสวนอุบัติการณ์ตามวรรคหนึ่ง ต้องเริ่มดำเนินการภายใน ๔๘ ชั่วโมงนับจากเกิดเหตุอุบัติการณ์ในแต่ละคราว ข้อ ๒๙/๓๗ กรณีการสอบสวนอุบัติการณ์ต้องให้ดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบโดยคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยพนักงานผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจกระบวนการผลิตอย่างน้อย ๑ คน และพนักงานผู้มีความรู้หรือมีประสบการณ์ในการสอบสวนและวิเคราะห์อุบัติการณ์ รวมทั้งผู้รับเหมากรณีที่ผู้รับเหมามีความเกี่ยวข้องกับอุบัติการณ์ ที่เกิดขึ้นนั้นด้วย ข้อ ๒๙/๓๘ รายงานการสอบสวนอุบัติการณ์ ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) วันที่เกิดอุบัติการณ์ (๒) วันที่เริ่มต้นสอบสวน (๓) รายละเอียดของอุบัติการณ์ (๔) สาเหตุของอุบัติการณ์ (๕) ข้อแนะนำหลังการสอบสวน ข้อ ๒๙/๓๙ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบการสอบสวนอุบัติการณ์ซึ่งสามารถสรุปสิ่งที่พบจากการตรวจประเมิน วิธีการและข้อแนะนำในการแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุของอุบัติการณ์และต้องมีการบันทึกและทบทวนรายงานโดยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงผู้รับเหมาในกรณีที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้อ ๒๙/๔๐ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดเก็บรายงานการสอบสวนอุบัติการณ์ไว้อย่างน้อย ๕ ปีนับตั้งแต่การสอบสวนนั้นเสร็จสิ้น ข้อ ๒๙/๔๑ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดทำขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินและการนำไปใช้ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินซึ่งครอบคลุมถึงกรณีการเกิดไฟไหม้ การระเบิด การรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรง ตลอดจนกรณีสารเคมีอันตรายร้ายแรงรั่วไหลปริมาณน้อยและของเสียอันตรายด้วย ข้อ ๒๙/๔๒ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกอบรมขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินแก่พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๓ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมขั้นตอนและแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินให้กับพนักงาน ผู้รับเหมา และชุมชน ตลอดจนบุคคลภายนอกที่เข้ามาในสถานประกอบการ โดยรวมถึงแผนการสื่อสารในภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๔ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการและคงไว้ซึ่งการสื่อสารในภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ชุมชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ข้อ ๒๙/๔๕ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบการแจ้งเตือนพนักงานในกรณีที่เกิดเหตุภาวะฉุกเฉิน และใช้เสียงสัญญาณเตือนให้เหมาะสม ข้อ ๒๙/๔๖ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องดำเนินการให้มีการตรวจประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต และการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมตามที่ กนอ. กำหนด ดังต่อไปนี้ (๑) การตรวจประเมินภายใน ให้ดำเนินการตรวจตามเกณฑ์การตรวจประเมินตามข้อบังคับนี้อย่างน้อย ๑ ครั้งต่อปีโดยคณะผู้ตรวจประเมินของสถานประกอบการเอง ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย ๑ คนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดร่วมอยู่ด้วยก็ได้และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้วไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการอย่างน้อย ๓ ปี (๒) การตรวจประเมินภายนอก ให้ดำเนินการทุก ๓ ปีโดยคณะผู้ตรวจประเมินที่ขึ้นทะเบียนไว้ กับ กนอ. คณะผู้ตรวจประเมินภายนอกต้องมีอย่างน้อย ๓ คนขึ้นไป ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย ๑ คนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดร่วมอยู่ด้วยก็ได้ และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้ว ๒ ฉบับล่าสุดไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการนั้นด้วย ข้อ ๒๙/๔๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องอนุญาตให้ผู้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิตและการตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม และผู้ตรวจประเมินสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่จำเป็นได้โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรง ในกรณีที่เป็นความลับทางการค้าให้ถือว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเจ้าของความลับทางการค้าได้ให้ความยินยอมในการเปิดเผย เอาไป หรือใช้ความลับทางการค้านั้น มาตรฐานตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นข้อห้ามสำหรับการทำเป็นข้อตกลงรักษาความลับ หรือข้อตกลงที่ไม่เปิดเผยข้อมูล” ประกาศ ณ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย [เอกสารแนบท้าย] ๑. บัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายร้ายแรงท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ปริยานุช/จัดทำ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วริญา/ตรวจ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๑๑ ง/หน้า ๑๗/๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
720712
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสำหรับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ พ.ศ. 2557
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการ สำหรับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยที่เป็นการสมควรให้มีข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสำหรับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และความในข้อ ๒ และข้อ ๓ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสำหรับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ พ.ศ. ๒๕๕๗” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๙๐ วันนับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ “พื้นที่โครงการ” หมายความว่า พื้นที่ที่จะใช้สำหรับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ข้อ ๔ ให้ผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเสนอแผนผังและแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็น รวมทั้งแผนผังการจัดพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมต่อ กนอ. ตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา วิศวกรผู้ออกแบบ วิศวกรควบคุมงานเป็นผู้รับรองแผนผังและแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการที่จำเป็นตามมาตรฐานด้านวิศวกรรมและมาตรฐานระบบสาธารณูปโภคตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ตลอดจนเป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมงานก่อสร้าง แล้วแต่กรณี สำหรับกรณีเขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นเขตอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรมหรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ และมีความประสงค์จัดตั้งให้เขตพื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้ดำเนินการพัฒนาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็นต้องจัดให้มี สำหรับนิคมอุตสาหกรรมเสร็จแล้ว หากปรากฏว่าระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการดังกล่าวแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อทำการสำรวจตรวจสอบว่าระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการนั้นอยู่ในวิสัยที่จะทำการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ได้หรือไม่ หากคณะทำงานดังกล่าวเห็นว่าไม่อยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้ แต่ได้ดำเนินการถูกต้องตามมาตรฐานวิชาการและสามารถรองรับการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการ การควบคุมดูแล และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยตามลักษณะของกลุ่มกิจกรรมในเขตพื้นที่นั้น ให้ กนอ. ดำเนินการให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นนิคมอุตสาหกรรมต่อไป และให้นำความในวรรคสองมาใช้บังคับกับกรณีนี้โดยอนุโลม ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อกำหนดรายละเอียดในการออกแบบระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรฐานวิชาการเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ การวางผังพื้นที่โครงการ ข้อ ๖ การจัดวางผังพื้นที่โครงการจะต้องสอดคล้องกับลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมของที่ตั้งพื้นที่โครงการ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินและกิจกรรมต่าง ๆ ของพื้นที่โครงการไม่กระทบต่อลักษณะทางนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องจัดภูมิทัศน์อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับประเภทอุตสาหกรรมและกิจกรรมนั้นด้วย ข้อ ๗ การจัดสรรพื้นที่โครงการเพื่อประกอบกิจการ เช่น อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การบริการ จะต้องจำแนกพื้นที่การประกอบกิจการออกเป็นแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน และผู้ประกอบกิจการในแต่ละพื้นที่ต้องสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันจากระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในนิคมอุตสาหกรรมได้ ข้อ ๘ การดำเนินการปรับระดับพื้นที่โครงการ ต้องรักษาและคงสภาพภูมิประเทศเดิมให้มากที่สุดโดยหากมีการปรับระดับพื้นที่โครงการไม่ว่าบริเวณใด ๆ ต้องไม่เกิน ๒.๐๐ เมตร เว้นแต่มีเหตุผลทางด้านวิศวกรรม หมวด ๒ ระบบถนน ข้อ ๙ ในหมวดนี้ “ถนน” หมายความว่า ถนนภายในนิคมอุตสาหกรรมหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๐ การออกแบบระบบถนนต้องเป็นไปตามมาตรฐานหลักวิชาวิศวกรรมการทางและจราจร มาตรฐานกรมทางหลวง และมาตรฐานความปลอดภัยด้านการจราจรกำหนด โดยให้มีแบบถนนตลอดจนขนาดของเขตทางและผิวจราจรเป็นสัดส่วนกับขนาดของนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ (๑) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๓,๐๐๐ ไร่ขึ้นไป ให้ออกแบบถนนสายประธานเป็นแบบถนน ๖ ช่องทาง โดยมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า ๔๕.๐๐ เมตร ผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒๑.๐๐ เมตร เกาะกลางถนนกว้างไม่น้อยกว่า ๔.๐๐ เมตร และทางเท้าพร้อมทางสำหรับรถจักรยานที่มีความปลอดภัยเพียงพอต่อการใช้งานกว้างไม่น้อยกว่า ๓.๐๐ เมตรต่อข้าง ตลอดจนให้ปลูกพรรณไม้ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ณ บริเวณเกาะกลางและไหล่ทางดังกล่าวด้วย (๒) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ไร่ขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ให้มีถนนสายประธานเป็นแบบถนน ๔ ช่องทาง โดยมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า ๓๕.๐๐ เมตร ผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๑๔.๐๐ เมตร เกาะกลางถนนกว้างไม่น้อยกว่า ๓.๐๐ เมตร และทางเท้าพร้อมทางสำหรับรถจักรยาน ซึ่งมีความปลอดภัยเพียงพอต่อการใช้งานกว้างไม่น้อยกว่า ๓.๐๐ เมตรต่อข้าง ตลอดจนให้ปลูกพรรณไม้ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ณ บริเวณเกาะกลางและไหล่ทางดังกล่าวด้วย (๓) นิคมอุตสาหกรรมที่มีขนาดไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้มีถนนสายประธานเป็นแบบถนน ๒ ช่องทาง โดยมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า ๒๕.๐๐ เมตร ผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๗.๐๐ เมตร และทางเท้าพร้อมทางสำหรับรถจักรยานซึ่งมีความปลอดภัยเพียงพอต่อการใช้งานกว้างไม่น้อยกว่า ๓.๐๐ เมตรต่อข้าง อีกทั้งจะต้องมีผิวทางหรือไหล่ทางกว้างเพียงพอสำหรับให้รถจอดในกรณีฉุกเฉินได้ตามที่ กนอ. เห็นชอบ (๔) ให้วางแนวถนนในลักษณะเป็นวงรอบ (Loop) เพื่อลดจุดตัดกระแสจราจรและลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการซ่อมแซมบำรุงรักษาถนน ข้อ ๑๑ การออกแบบถนนที่เป็นทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม มีดังนี้ (๑) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ ๓,๐๐๐ ไร่ขึ้นไป ต้องจัดให้มีทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม โดยมีลักษณะทางกายภาพตามข้อ ๑๐ (๑) อย่างน้อย ๒ ทางพร้อมระบบควบคุมการเข้า - ออกตามความเหมาะสม และจะต้องเพิ่มจำนวนทางเชื่อม ๑ ทางตามขนาดพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ ๒,๐๐๐ ไร่ โดยให้รวมพื้นที่ที่ขอขยายเพิ่มเติมในภายหลังด้วย (๒) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ไร่ขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ต้องจัดให้มีทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม โดยมีลักษณะทางกายภาพตามข้อ ๑๐ (๒) อย่างน้อย ๑ ทางพร้อมระบบควบคุมการเข้า - ออกตามความเหมาะสม (๓) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ต้องจัดให้มีทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม โดยมีลักษณะทางกายภาพตามข้อ ๑๐ (๓) อย่างน้อย ๑ ทางพร้อมระบบควบคุมการเข้า - ออกตามความเหมาะสม ข้อ ๑๒ ความลาดชันของผิวจราจรในนิคมอุตสาหกรรม ให้ดำเนินการก่อสร้างตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ความลาดชันของผิวจราจรที่เป็นทางเนินต้องไม่เกินร้อยละสี่ต่อทางราบ ๑๐๐ ส่วนและให้มีระดับราบรองรับ (BRAKE GRADE) (๒) ความลาดชันของผิวจราจรที่เป็นทางราบต้องไม่เกินร้อยละสองต่อทางราบ ๑๐๐ ส่วน (๓) การกำหนดค่าระดับสูงต่ำของการก่อสร้างถนนจะต้องเป็นไปตามลักษณะภูมิประเทศเดิมให้มากที่สุด ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่างค่าระดับก่อนและหลังการก่อสร้างต้องไม่เกินกว่า ๒.๐๐ เมตร จากสภาพภูมิประเทศเดิม เว้นแต่มีเหตุผลความจำเป็นทางด้านวิศวกรรม ข้อ ๑๓ ผิวจราจรต้องเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก แอสฟัลต์ติกคอนกรีต คอนกรีตเสริมเหล็กลาดด้วยแอสฟัลต์หรือปูทับด้วยวัสดุอื่นหรือวัสดุในท้องถิ่นหรือวัสดุเหลือใช้ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถนำมาใช้ในงานทางได้ตามมาตรฐานวิชาการหรือกรมทางหลวงกำหนด หรือลาดยางแอสฟัลต์รองด้วยชิ้นวัสดุพื้นทางที่มีความหนาและบดอัดแน่นตามมาตรฐานวิชาการกำหนด ดังนี้ (๑) ผิวจราจรที่เป็นประเภทคอนกรีต ต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า ๐.๒๑ เมตร เมื่อชั้นดินเดิม C.B.R. ไม่น้อยกว่าร้อยละสามหรือเมื่อชั้นดินทรุดตัวสม่ำเสมอแล้ว C.B.R. ต้องไม่มากกว่าร้อยละสาม (๒) ผิวจราจรที่เป็นประเภทแอสฟัลต์ติกคอนกรีต ต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า ๐.๐๕ เมตร เมื่อพื้นดินอ่อนจนถึงพื้นดินแข็ง C.B.R. ตั้งแต่ร้อยละหนึ่งขึ้นไป ข้อ ๑๔ ถนนที่ตัดผ่านคลองหรือลำรางสาธารณประโยชน์ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องสร้างเป็นสะพานสะพานท่อ หรือท่อลอด แล้วแต่กรณี ให้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานวิชาการกำหนด ข้อ ๑๕ ถนนที่เป็นทางเข้าออกของนิคมอุตสาหกรรมที่บรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหรือทางสาธารณประโยชน์ต้องมีความกว้างของเขตทางให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๐ ข้อ ๑๖ ระดับความสูงของถนนต้องสอดคล้องกับระบบระบายน้ำในนิคมอุตสาหกรรมและต้องได้ระดับและมาตรฐานกับทางสาธารณะ ข้อ ๑๗ ให้ปลูกหญ้าหรือปลูกต้นไม้ด้วยพรรณไม้ท้องถิ่นตามความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่บนเนิน (Slope) ตลอดแนวสองข้างของถนน หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อป้องกันการทรุดตัวของไหล่ทางลาดเอียง (Slope Protection) ข้อ ๑๘ ให้ติดตั้งสัญญาณไฟจราจร ป้ายสัญญาณจราจร หรืออุปกรณ์สะท้อนแสงไฟบริเวณเกาะกลางถนน วงเวียน ทางแยก ทางโค้ง ร่อง หรือสันนูนของถนนทุกแห่ง โดยแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนตลอดจนการจัดให้มีระบบไฟฟ้าที่มีแสงสว่างอย่างเพียงพอในบริเวณถนนตามกฎเกณฑ์ความปลอดภัยที่กรมทางหลวงกำหนด ข้อ ๑๙ ระบบไฟฟ้าส่องสว่างถนนและระบบไฟสัญญาณจราจรให้ใช้อุปกรณ์ชนิดประหยัดไฟฟ้าหรือชนิดที่ใช้แหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานทดแทน (Renewable Energy) เป็นแหล่งพลังงานหลัก ข้อ ๒๐ การออกแบบและก่อสร้างระบบถนนนอกจากที่ได้กำหนดไว้ในหมวดนี้แล้วให้ดำเนินการตามมาตรฐานวิชาการกำหนด หมวด ๓ ระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วม ข้อ ๒๑ ในหมวดนี้ “อัตราน้ำฝนไหลนอง” (Strom water Runoff Rate) หมายความว่า อัตราที่น้ำไหลเข้าท่อหรือรางระบายน้ำมีค่าเท่ากับส่วนของฝนที่ตกลงมาบนพื้นดินและไหลนองไปตามพื้นในช่วงระหว่างที่ฝนกำลังตกรวมถึงภายหลังจากที่ฝนได้หยุดตก “พื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย” หมายความว่า พื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยหรืออันตรายที่เกิดจากน้ำท่วมหรืออันตรายอันเกิดจากสภาวะที่น้ำไหลเอ่อล้นฝั่งแม่น้ำ ลำธารหรือทางน้ำเข้าท่วมพื้นที่ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ได้อยู่ใต้ระดับน้ำหรือเกิดจากการสะสมน้ำบนพื้นที่ซึ่งระบายออกไม่ทันทำให้พื้นที่นั้นปกคลุมไปด้วยน้ำหรือพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุประสบอุทกภัยมาก่อน หรือพื้นที่ที่ใช้สำหรับเป็นทางระบายน้ำท่วม (flood way) ข้อ ๒๒ การคำนวณปริมาณน้ำฝนไหลนอง จะกำหนดให้บริเวณน้ำไหลนองมีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนโดยตรง โดยให้มีสัดส่วนน้ำฝนที่ตกลงมาบนพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “วิธีเรชั่นแนล” (Rational Method) ตามสูตรการคิดคำนวณ ดังนี้ Q = 0.278 CIA Q = อัตราน้ำฝนไหลนองสูงสุดในท่อหรือรางระบายน้ำ ณ จุดที่พิจารณาหน่วยเป็นลูกบาศก์เมตรต่อวินาที C = สัมประสิทธิ์การไหลนองเป็นค่าคงที่ไม่มีหน่วย ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นที่ของบริเวณนั้น ทั้งนี้ ในส่วนของพื้นที่สาธารณูปโภคส่วนกลางกำหนดให้ใช้ค่าเฉลี่ยไม่เกิน ๐.๕๐ I = ความเข้มเฉลี่ยของฝนที่ตกเป็นมิลลิเมตรต่อชั่วโมง A = พื้นที่ที่จะระบายน้ำออกเป็นตารางกิโลเมตร ข้อ ๒๓ ระบบระบายน้ำฝนให้ใช้แบบรางเปิดหรือแบบท่อปิด (Closed Conduits) พร้อมบ่อพักก็ได้โดยให้เป็นไปตามความเหมาะสมของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม กรณีระบบระบายน้ำฝนสำหรับเขตที่พักอาศัยและเขตพาณิชยกรรมให้ใช้เป็นแบบรางเปิดหรือแบบท่อปิด (Closed Conduits) โดยให้เป็นไปตามความเหมาะสมของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและให้การไหลของน้ำต้องมีความเร็วไม่น้อยกว่า ๐.๖๐ เมตรต่อวินาทีเพื่อป้องกันการตกตะกอน วัสดุและอุปกรณ์สำหรับใช้ในระบบระบายน้ำฝนต้องไม่เป็นพิษ และไม่มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ข้อ ๒๔ อัตราการไหลของน้ำในคลองระบาย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) กรณีรางระบายน้ำ ค.ส.ล. ให้มีความเร็วการไหลของน้ำตั้งแต่ ๐.๖๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๓.๐๐ เมตรต่อวินาที (๒) กรณีคลองดิน ให้มีความเร็วการไหลของน้ำตั้งแต่ ๐.๔๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๑.๐๐ เมตรต่อวินาที การกำหนดความเร็วการไหลของน้ำตาม (๑) และ (๒) ต้องคำนึงถึงการตกตะกอนและการกัดเซาะดินด้วย ข้อ ๒๕ การออกแบบระบบระบายน้ำฝนสำหรับนิคมอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัยให้พิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ความสามารถของแหล่งรับน้ำภายนอกเพื่อรองรับน้ำจากนิคมอุตสาหกรรม (๒) ทิศทางการไหลของน้ำรอบบริเวณพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ทั้งในภาวะปกติและกรณีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย ให้ผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประสานกับผู้ดูแลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งรับน้ำ เพื่อบำรุงรักษาแหล่งรับน้ำให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการรับน้ำตามที่ได้ออกแบบไว้เป็นประจำทุกปี ข้อ ๒๖ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องระบายน้ำออกนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมด้วยเครื่องสูบน้ำ ให้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่เดินด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นระบบหลัก และเครื่องสูบน้ำซึ่งเดินด้วยเครื่องยนต์เป็นระบบสำรองไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ณ บริเวณบ่อรับน้ำ (Retention Pond) เพื่อทำการสูบน้ำจากบ่อรับน้ำดังกล่าวและระบายลงสู่ระบบระบายน้ำฝนต่อไป กรณีการระบายน้ำตามวรรคหนึ่ง หากเป็นนิคมอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัยต้องระบายน้ำให้ได้ร้อยละหนึ่งร้อยของปริมาณน้ำที่คำนวณได้ภายในเวลาไม่เกินสองชั่วโมง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะด้วยเครื่องสูบน้ำที่เดินด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องสูบน้ำสำรองซึ่งเดินด้วยเครื่องยนต์ก็ตาม การออกแบบบ่อรับน้ำ (Retention Pond) ให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการ โดยจะต้องมีขนาดความจุที่สัมพันธ์กับการระบายน้ำของนิคมอุตสาหกรรมและไม่กระทบต่อขีดความสามารถในการรองรับการระบายนํ้าของแหล่งน้ำภายนอก ทั้งนี้ ให้เลือกใช้แหล่งน้ำเดิมที่มีอยู่เป็นบ่อรับน้ำในลำดับแรกและจะต้องจัดให้มีบ่อกักเก็บน้ำสำหรับกรณีหากเกิดอุบัติภัยเพื่อป้องกันไม่ให้สารอันตรายรั่วไหลเข้าสู่บ่อรับน้ำตลอดจนต้องสร้างทางซึ่งมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร หนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร ให้มีความเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์และสะดวกในการบำรุงรักษาและมีความพร้อมสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา ข้อ ๒๗ นิคมอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นที่ลุ่มและมีน้ำท่วมขัง ต้องดำเนินการก่อสร้างคันกั้นน้ำล้อมรอบพื้นที่โครงการ เพื่อป้องกันน้ำท่วมและป้องกันน้ำจากบริเวณรอบนอกไหลเข้าสู่พื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) คันกั้นน้ำต้องออกแบบให้มีลักษณะเป็นเขื่อน และมีโครงสร้างที่มีความแข็งแรงเพียงพอในการต้านทานแรงดันน้ำจากภายนอกโครงการ โดยให้คำนึงถึงสภาพน้ำไหลหรือน้ำซึมผ่านฐานเขื่อนและใต้เขื่อนด้วย (๒) คันกั้นน้ำต้องมีความสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบสิบปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร (๓) การก่อสร้างคันกั้นน้ำต้องไม่ขวางทางน้ำหลากเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นซึ่งจะต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำขวางทางน้ำหลากนั้น ให้จัดทำร่องน้ำเพื่อระบายน้ำให้ไหลออกสู่ทางน้ำสาธารณะได้โดยสะดวก (๔) สันเขื่อนต้องออกแบบให้มีทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร หนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร และต้องจัดให้มีทางขึ้น - ลงทุกระยะ ๘๐๐.๐๐ เมตรสำหรับการบำรุงรักษาปกติทั่วไปและในภาวะฉุกเฉิน หรือเสนอรูปแบบทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) และทางขึ้น - ลงที่เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ ในกรณีที่มีความจำเป็น กนอ. อาจพิจารณาให้ดำเนินการถมพื้นที่บางส่วนหรือทั้งหมดเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยก็ได้ โดยให้ถมดินสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดแต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดินกำหนด ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๒๘ นิคมอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ต้องดำเนินการก่อสร้างคันกั้นน้ำล้อมรอบพื้นที่โครงการเพื่อป้องกันน้ำท่วมและป้องกันน้ำจากบริเวณรอบนอกไหลเข้าสู่พื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรมภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) คันกั้นน้ำต้องออกแบบให้มีลักษณะเป็นเขื่อน และมีโครงสร้างที่มีความแข็งแรงเพียงพอในการต้านทานแรงดันน้ำจากภายนอกโครงการ โดยใช้เกณฑ์ระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปีเป็นฐานในการคำนวณ และต้องคำนึงถึงสภาพน้ำไหลหรือน้ำซึมผ่านฐานเขื่อนและใต้เขื่อนด้วย (๒) คันกั้นน้ำต้องมีความสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปี โดยกำหนดระยะส่วนเผื่อความสูง (Free Board) ไว้ไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร (๓) การก่อสร้างคันกั้นน้ำต้องไม่ขวางทางน้ำหลากเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นซึ่งจะต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำขวางทางน้ำหลากนั้น ให้จัดทำร่องน้ำเพื่อระบายน้ำให้ไหลออกสู่ทางน้ำสาธารณะได้โดยสะดวก (๔) สันเขื่อนต้องออกแบบให้มีทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร และหนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร ตลอดจนต้องจัดให้มีทางขึ้น – ลง ทุกระยะ ๘๐๐.๐๐ เมตรสำหรับการบำรุงรักษาปกติทั่วไปและในภาวะฉุกเฉิน หรือเสนอรูปแบบทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) และทางขึ้น - ลงที่เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ (๕) การก่อสร้างคันกั้นน้ำจะต้องประสานกับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดระบบการระบายน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนลดผลกระทบทั้งกรณีปริมาณของน้ำและทิศทางการไหลของน้ำที่ไหลเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรม (๖) ต้องจัดให้มีระบบการติดตามสถานการณ์น้ำ การเฝ้าระวังระดับน้ำภายนอก และการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงเสนอแผนป้องกันและมาตรการภาวะฉุกเฉินกรณีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย ตลอดจนการตรวจสอบสภาพของระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมเป็นประจำ พร้อมทั้งให้รายงานการตรวจสอบดังกล่าวต่อ กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุกปี (๗) ต้องจัดให้มีวิศวกรระดับสามัญวิศวกรเป็นผู้ลงนามรับรองการคำนวณและออกแบบระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมสำหรับพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ในกรณีที่มีความจำเป็น กนอ. อาจพิจารณาให้ดำเนินการถมพื้นที่บางส่วนหรือทั้งหมดเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยก็ได้ โดยให้ถมดินสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดินกำหนด ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๒๙ หลักเกณฑ์การออกแบบระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมนอกจากที่กำหนดไว้ในหมวดนี้แล้ว ให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรมหรือมาตรฐานวิชาการกำหนด หมวด ๔ ระบบน้ำประปา ข้อ ๓๐ คุณภาพของน้ำประปาที่ใช้ในเขตนิคมอุตสาหกรรมต้องได้ค่ามาตรฐานของการประปานครหลวงหรือการประปาส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณี หรือเหมาะสมกับคุณภาพน้ำใช้สำหรับประเภทของกิจการแต่ละประเภทของนิคมอุตสาหกรรมนั้น ๆ ข้อ ๓๑ นิคมอุตสาหกรรมใดประสงค์จะใช้ระบบประปาโดยการผลิตจากแหล่งน้ำผิวดิน (ระบบน้ำดิบ) ต้องดำเนินการเพื่อให้ได้น้ำดิบที่ได้เกณฑ์มาตรฐานแหล่งน้ำเพื่อการประปาของการประปานครหลวงหรือการประปาส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณี และมีปริมาณเพียงพอสำหรับการใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ตลอดทั้งปี ข้อ ๓๒ นิคมอุตสาหกรรมใดประสงค์จะใช้น้ำประปาจากระบบการผลิตน้ำประปาขึ้นเองต้องออกแบบระบบประปาให้มีความสามารถในการผลิตที่เพียงพอต่อการใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมและให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๓๐ รวมถึงกรณีที่ใช้น้ำประปาจากภายนอกโครงการด้วย ข้อ ๓๓ ให้นิคมอุตสาหกรรมนำน้ำจากบ่อรับน้ำ (Retention Pond) ของระบบระบายน้ำมาใช้เป็นน้ำดิบในการผลิตน้ำประปา โดยมีสัดส่วนปริมาณที่ใช้ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของปริมาณน้ำดิบที่ใช้ในโครงการ เว้นแต่ปริมาณน้ำในบ่อรับน้ำดังกล่าวมีไม่เพียงพอสำหรับใช้ในการผลิตน้ำประปา ข้อ ๓๔ ให้นิคมอุตสาหกรรมนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาใช้ไม่น้อยกว่าร้อยละสิบห้าของปริมาณน้ำประปาที่ผลิตตามปกติ หรือวิธีการอื่นใดที่มีความเหมาะสม ข้อ ๓๕ การคิดคำนวณปริมาณความต้องการน้ำใช้ต่อพื้นที่การใช้สอยในนิคมอุตสาหกรรมให้ประมาณการจากการใช้น้ำต่อหน่วยการผลิต รวมถึงโอกาสที่จะผลิตอย่างเต็มกำลังของแต่ละนิคมอุตสาหกรรม โดยให้คำนึงถึงปัจจัยประเภทอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมของพื้นที่ ตลอดจนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในอนาคตด้วย ข้อ ๓๖ ระบบการจ่ายน้ำประปา ให้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) การออกแบบติดตั้งท่อประปาต้องมีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ (๒) การจ่ายน้ำประปาให้ใช้ระบบหอถังสูงหรือระบบอัดแรงดันในเส้นท่อซึ่งมีแรงดันน้ำในท่อไม่น้อยกว่า ๑.๕๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๖.๐๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร ทั้งนี้ ให้ใช้ระบบจ่ายน้ำด้วยหอถังสูงเป็นหลัก (๓) ออกแบบโครงข่ายท่อจ่ายน้ำประปาให้มีลักษณะเป็นวงรอบ (Loop) เชื่อมต่อถึงกัน (๔) ถังสำหรับเก็บน้ำประปาต้องมีความจุอย่างน้อยแปดชั่วโมงของค่าความต้องการใช้น้ำสูงสุดต่อวันโดยรวมถึงปริมาณน้ำสำรองสำหรับการดับเพลิงด้วย ข้อ ๓๗ ในกรณีที่นิคมอุตสาหกรรมใดได้แบ่งการพัฒนาพื้นที่โครงการเป็นระยะ ๆ และระบบประปา ซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ผลิตน้ำใช้ในพื้นที่ดังกล่าวตามปริมาณและคุณภาพที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ และยังคงเหลือซึ่งเพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาในระยะต่อไปเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบประปาของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วได้ต่อไป และต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานด้านวิศวกรรมและวิชาการกำหนด ภายใต้บังคับตามวรรคหนึ่ง หากมีการใช้น้ำปริมาณเกินกว่าร้อยละเจ็ดสิบของความสามารถในการผลิตจากระบบประปาที่มีอยู่เดิม ให้ดำเนินการปรับปรุงหรือขยายระบบประปาที่มีอยู่เดิมนั้นให้มีขนาดเพียงพอและสามารถรองรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมซึ่งได้รับอนุญาตจาก กนอ. ต่อไปได้ หรือดำเนินการก่อสร้างระบบประปาขึ้นใหม่ แล้วแต่กรณี ข้อ ๓๘ เครื่องจักร วัสดุและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในระบบน้ำประปา เช่น เครื่องสูบน้ำ ท่อต้องเป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรม ตลอดจนการใช้ต้องไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษหรือส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม หมวด ๕ ระบบบำบัดน้ำเสีย ข้อ ๓๙ การออกแบบระบบบำบัดน้ำเสีย (Wastewater Treatment Plant) ให้ดำเนินการ ดังนี้ (๑) การคำนวณปริมาณน้ำเสีย (Designed Flow) เพื่อการออกแบบ ให้คิดคำนวณโดยใช้ค่าร้อยละแปดสิบของปริมาณน้ำใช้และปริมาณน้ำรั่วซึมเข้าเส้นท่อ หรือในกรณีที่มีข้อมูลปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นจริงก็สามารถคำนวณจากข้อมูลดังกล่าวตามความเหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ (๒) ต้องมีความเหมาะสมตามลักษณะสมบัติของน้ำเสียของแต่ละนิคมอุตสาหกรรมและการบำบัดน้ำเสียต้องเป็นไปตามมาตรฐานน้ำทิ้งตามที่กฎหมายกำหนด โดยให้มีบ่อเก็บน้ำทิ้งหลังการบำบัด (Holding Pond) เพื่อเป็นจุดติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งก่อนที่จะระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะหรือจะนำกลับไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด และหากจะระบายน้ำทิ้งดังกล่าวลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะนิคมอุตสาหกรรมจะต้องพิจารณาศักยภาพการรองรับของแหล่งน้ำสาธารณะนั้นด้วย (๓) การบำบัดและกำจัดกากตะกอน (Sludge Treatment and Disposal) ที่ออกจากระบบบำบัดน้ำเสียต้องดำเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสม หรืออาจส่งกากตะกอนให้แก่ผู้รับบริการกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการถูกต้องตามกฎหมายรับไปดำเนินการบำบัดและกำจัดก็ได้ ทั้งนี้ การบำบัดและกำจัดดังกล่าวต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ข้อ ๔๐ ระบบระบายน้ำเสีย (Sewerage System) ต้องดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ระบบระบายน้ำเสียต้องแยกออกจากระบบระบายน้ำฝนโดยเด็ดขาด และการระบายน้ำเสียให้อาศัยแรงโน้มถ่วงไหลสู่ระบบบำบัดน้ำเสียเป็นหลัก (๒) น้ำเสียที่เกิดขึ้นจากเขตอุตสาหกรรม เขตพาณิชยกรรม และเขตที่พักอาศัยให้ระบายลงสู่ระบบระบายน้ำเสีย (๓) ท่อระบายน้ำเสียต้องเป็นระบบท่อปิด มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อไม่น้อยกว่า ๐.๒๐ เมตร และมีความลึกของท้องท่อสูงสุดต้องไม่เกิน ๔.๐๐ เมตร หากมีข้อจำกัดด้านสภาพพื้นที่ ให้ดำเนินการติดตั้งระบบท่อระบายน้ำเสียที่มีความลึกของท้องท่อมากกว่า ๔.๐๐ เมตรก็ได้ แต่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบท่ออื่น ๆ ตลอดจนการซ่อมบำรุงในอนาคต ทั้งนี้ การออกแบบการระบายน้ำเสียให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์มาตรฐานวิศวกรรมและมาตรฐานความปลอดภัยด้วย (๔) ระยะห่างระหว่างบ่อพักน้ำเสีย (Manhole) ต้องไม่เกิน ๔๐.๐๐ เมตร ข้อ ๔๑ นิคมอุตสาหกรรมต้องติดตั้งระบบตรวจติดตามวัดผลคุณภาพน้ำต่อเนื่องแบบอัตโนมัติ (Water Quality Monitoring System) ณ จุดระบายน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้ว (Effluent) ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งรับน้ำหรือจุดที่ กนอ.เห็นชอบ โดยจะต้องตรวจวัดค่า BOD, COD, PH, TDS หรือค่าอื่น ๆ ตามที่ กนอ. กำหนด แล้วให้ส่งข้อมูลดังกล่าวผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังศูนย์ปฏิบัติการของ กนอ. ได้ตลอดเวลา และต้องบันทึกข้อมูลนั้นได้ในช่วงเวลาที่ กนอ. กำหนดด้วย ข้อ ๔๒ นิคมอุตสาหกรรมต้องติดตั้งเครื่องวัดและบันทึกอัตราการไหลของน้ำเสีย (Flow Meter) ที่เข้าและออกจากระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลางตามที่ กนอ. เห็นชอบ โดยสามารถส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังศูนย์ปฏิบัติการ กนอ. ได้ตลอดเวลา ข้อ ๔๓ ในกรณีที่นิคมอุตสาหกรรมใดได้แบ่งการพัฒนาพื้นที่เป็นระยะ ๆ และระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้บำบัดน้ำเสียในพื้นที่ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหมวดนี้และยังคงมีขีดความสามารถและประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาในระยะต่อไปเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบบำบัดน้ำเสียของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วต่อไปได้ แต่ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านวิศวกรรมและวิชาการกำหนด ภายใต้บังคับตามวรรคหนึ่ง หากมีการบำบัดน้ำเสียเกินกว่าร้อยละเจ็ดสิบของความสามารถในการบำบัดน้ำเสียจากระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่เดิม ให้ดำเนินการปรับปรุงหรือขยายระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่เดิมนั้นให้มีขนาดเพียงพอและสามารถรองรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมในระยะต่อไปได้หรือดำเนินการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นใหม่ แล้วแต่กรณี ข้อ ๔๔ เครื่องจักร วัสดุและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในระบบน้ำเสีย ต้องเป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรมตลอดจนการใช้ต้องไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษและหรือส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม หมวด ๖ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ข้อ ๔๕ ผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบสื่อสารโทรคมนาคมภายในนิคมอุตสาหกรรมเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการหรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างทั่วถึงรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และต้องจัดให้มีตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อให้บริการโดยทั่วไปด้วย ข้อ ๔๖ ผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบสื่อสารและเครือข่ายที่รองรับระบบ Video Conference และเชื่อมต่อข้อมูลไปยังศูนย์ปฏิบัติการของ กนอ. ได้ตลอดเวลา หมวด ๗ ระบบไฟฟ้า ข้อ ๔๗ การออกแบบระบบไฟฟ้าจะต้องจัดทำตามแบบแปลน แผนผังตามแบบมาตรฐานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงหรือตามมาตรฐานวิศวกรรมกำหนด แล้วแต่กรณี และควรออกแบบวางสายไฟฟ้าให้อยู่ใต้ระดับพื้นดิน เพื่อความสวยงามทางภูมิทัศน์ ข้อ ๔๘ สายไฟฟ้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้าทุกชนิดที่ใช้กับระบบไฟฟ้าต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงกำหนด แล้วแต่กรณี และควรเลือกใช้อุปกรณ์ชนิดประหยัดพลังงาน ข้อ ๔๙ ให้นำระบบจัดการพลังงานมาใช้สำหรับระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมและอาคารส่วนกลาง รวมทั้งใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) เป็นทางเลือกเสริมพลังงานหลัก ข้อ ๕๐ ค่ามาตรฐานความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ถือเกณฑ์ ๕๐ KVA ต่อพื้นที่ ๑ ไร่ สำหรับนิคมอุตสาหกรรมใดที่มีพื้นที่มากกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ขึ้นไป ต้องจัดเตรียมพื้นที่ให้เพียงพอและเหมาะสมเพื่อจัดตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยขึ้นตามหลักเกณฑ์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงกำหนด แล้วแต่กรณี หมวด ๘ ระบบดับเพลิงและระบบป้องกันอุบัติภัย ข้อ ๕๑ การออกแบบระบบท่อน้ำดับเพลิง ตลอดจนอุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้สำหรับการดับเพลิงต้องมีความเหมาะสมตามลักษณะ ประเภทและขนาดของกิจการโรงงานหรือกิจการการบริการในนิคมอุตสาหกรรมและต้องได้มาตรฐานการป้องกันอัคคีภัยหรือมาตรฐานทางราชการกำหนด ข้อ ๕๒ หัวดับเพลิง (Hydrant) ที่ใช้ในระบบดับเพลิงต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นแบบเปียก (Wet Barrel) (๒) หัวดับเพลิงต้องมีขนาดไม่น้อยกว่า ๑๐๐ มิลลิเมตร โดยมีขนาดของท่อต่อทางน้ำเข้าหัวดับเพลิงกับระบบท่อน้ำไม่น้อยกว่า ๑๕๐ มิลลิเมตร และหัวน้ำออกขนาด ๖๕ มิลลิเมตร พร้อมประตูน้ำจำนวนสองทาง (๓) หัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงต้องเป็นหัวต่อแบบสวมเร็วชนิดตัวเมีย พร้อมฝาครอบและโซ่ (๔) ระยะห่างระหว่างท่อดับเพลิงแต่ละหัวต้องไม่เกิน ๑๕๐.๐๐ เมตร ข้อ ๕๓ ระบบส่งน้ำดับเพลิงต้องมีความเหมาะสมและมีแรงดันน้ำปลายท่อดับเพลิงที่จุดไกลสุดไม่น้อยกว่า ๑.๕๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร โดยใช้ระบบเครื่องสูบน้ำเพิ่มแรงดันน้ำด้วยก็ได้ ข้อ ๕๔ ให้จัดรถดับเพลิงที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐาน NFPA 1901 Standard for Automotive Fire Apparatus และสอดคล้องตามลักษณะ ประเภท และขนาดของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม หากนิคมอุตสาหกรรมใดตั้งอยู่ในท้องที่ที่มีหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ให้บริการเกี่ยวกับการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย ให้นิคมอุตสาหกรรมนั้นใช้บริการจากหน่วยงานดังกล่าวได้ ข้อ ๕๕ ให้มีมาตรการป้องกันอุบัติภัยและแผนฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ อุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินอื่น โดยให้เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ ตลอดจนบุคลากรอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมตามมาตรการดังกล่าวเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หมวด ๙ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูล ข้อ ๕๖ ในหมวดนี้ “กากอุตสาหกรรม” หมายความว่า ขยะหรือของเสียที่เกิดจากการประกอบกิจการในโรงงานโดยแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ กากอุตสาหกรรมไม่อันตรายซึ่งหมายความถึงขยะหรือของเสียที่ไม่ปนเปื้อน ผสม หรือปะปนกับสารอันตรายตามที่กฎหมายกำหนด และกากอุตสาหกรรมอันตรายซึ่งหมายความถึงขยะหรือของเสียที่ปนเปื้อน ผสม หรือปะปนกับสารอันตรายหรือมีคุณสมบัติที่เป็นอันตรายตามที่กฎหมายกำหนด “มูลฝอยและสิ่งปฏิกูล” หมายความว่า ขยะหรือของเสียที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ในสถานที่หรือบริเวณใด ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ สถานบริการ ที่พักอาศัย เป็นต้น แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกากอุตสาหกรรม ข้อ ๕๗ การคำนวณปริมาณกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูลในนิคมอุตสาหกรรมให้ใช้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ให้คิดคำนวณอัตราการเกิดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในเขตพาณิชยกรรม และที่พักอาศัยจำนวนอัตรา ๐.๘๐ กิโลกรัมต่อคนต่อวัน อัตราความหนาแน่นของมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลเท่ากับ ๐.๓ กิโลกรัมต่อลิตร (๒) ให้คิดคำนวณอัตราการเกิดกากอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมจำนวน ๑๘.๐๐ กิโลกรัม ต่อไร่ต่อวัน อัตราความหนาแน่นของกากอุตสาหกรรมเท่ากับ ๐.๑๕ กิโลกรัมต่อลิตร (๓) ให้คิดคำนวณการเกิดกากอุตสาหกรรมอันตรายเป็นร้อยละห้าของปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในเขตอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีข้อมูลปริมาณกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูลที่เกิดขึ้นจริงสามารถคำนวณจากข้อมูลดังกล่าวให้เหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ ข้อ ๕๘ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในนิคมอุตสาหกรรมให้ดำเนินการ ดังนี้ (๑) ให้ใช้บริการการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลจากผู้รับบริการกำจัดที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยราชการได้ (๒) กรณีนิคมอุตสาหกรรมใดมีความประสงค์จะสร้างระบบกำจัดกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลขึ้นเอง ต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายกำหนด ข้อ ๕๙ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลอื่นใด นอกจากที่กำหนดไว้แล้วในหมวดนี้ ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการหรือหน่วยงานราชการกำหนด ข้อ ๖๐ ให้นิคมอุตสาหกรรมจัดให้มีศูนย์การแลกเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ในนิคมอุตสาหกรรมตามแนวคิดการใช้ซ้ำ (Reuse) การลดของเสีย (Reduce) และการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) หมวด ๑๐ ระบบติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ข้อ ๖๑ ให้ดำเนินการติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ (๑) ติดตามผลการปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการว่าจ้างบุคคลที่สามหรือหน่วยงานกลาง (Third Party) ที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ดำเนินการติดตามผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตลอดจนติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๒) ให้จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมตาม (๑) ทุก ๆ หกเดือนหรือสองครั้งต่อปี ทั้งนี้ ตามแนวทางที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด (๓) ติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามกฎหมายหรือมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๖๒ จัดให้มีศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Monitoring and Control Center : EMCC) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลด้านมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมต้องรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวต่อ กนอ. ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด ในกรณีที่นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งพัฒนาโดยผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมรายเดียวกัน ผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวอาจตั้งศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพียงศูนย์เดียวก็ได้โดยการรับ - ส่งข้อมูลการบริหารจัดการมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมต้องมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ ให้มีห้องปฏิบัติการเพื่อใช้สำหรับการปฏิบัติงานของศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมพร้อมทั้งอุปกรณ์ใช้สอยที่จำเป็นและเกี่ยวข้องตามที่ กนอ. กำหนด หมวด ๑๑ ระบบรักษาความปลอดภัย ข้อ ๖๓ ให้มีการจัดระบบรักษาความปลอดภัยแก่พนักงานและบุคลากร ตลอดจนอาคารสถานที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม ซึ่งอย่างน้อยต้องจัดให้มีมาตรการการรักษาความปลอดภัยด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดขอบเขตพื้นที่รักษาความปลอดภัยให้แน่ชัดว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่ควบคุมหรือพื้นที่หวงห้าม เพื่อสะดวกในการควบคุม ดูแลการเข้า - ออกของบุคคลและยานพาหนะ (๒) แสดงแนวเขตหรืออาณาเขตโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนประตูรั้ว หรือประตูเข้า – ออก และต้องจัดให้มีการดูแลสิ่งแสดงแนวเขตและประตูดังกล่าวให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ (๓) ให้มีแสงสว่างที่เพียงพอในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เช่น บริเวณถนน ทางเข้า - ออกและบริเวณอื่นที่มีความเสี่ยงภัย (๔) ให้ติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ที่ควบคุมได้จากระยะไกล สามารถบันทึกภาพได้ตลอดเวลา และเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้ไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ตลอดจนมีระบบการแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยครอบคลุมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เช่น บริเวณถนน ทางเข้า - ออก และบริเวณอื่นที่มีความเสี่ยงภัย ทั้งนี้ ควรจัดให้มีผู้รับผิดชอบในการควบคุม ดูแลและตรวจสอบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดและระบบการแจ้งเตือนภัยดังกล่าวให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ตลอดเวลาด้วย (๕) ให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อทำหน้าที่ตรวจตราและดูแลรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังกล่าวอาจใช้บริการจากหน่วยงานของรัฐหรือนิติบุคคลซึ่งรับจ้างดูแลรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานก็ได้ ข้อ ๖๔ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประกอบกิจการหรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ที่เสี่ยงภัย นอกจากจะต้องดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖๓ อย่างเคร่งครัดแล้ว ต้องจัดให้มีการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นและก่อความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรม โดยอาจพิจารณาเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรืออุปกรณ์สำหรับการป้องกันภัยหรือระวังภัยหรือมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นใดหรือขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หมวด ๑๒ การจัดสรรพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๖๕ ในหมวดนี้ “พื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt)” หมายความว่า พื้นที่แนวกันชนที่มีคุณค่าต่อระบบนิเวศ เช่น เป็นแหล่งพักน้ำ หรือพื้นที่สวนที่มีการปรับภูมิทัศน์ หรือพื้นที่สีเขียวที่มีแนวต้นไม้โดยรอบหรือแนวป้องกัน (Protection Strip) ข้อ ๖๖ การจัดสรรพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีเขตพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ดังนี้ (๑) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๓,๐๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของพื้นที่ทั้งหมดโดยจะต้องจัดให้มีเฉพาะส่วนที่เป็นพื้นที่สีเขียวและแนวกันชนไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของพื้นที่ทั้งหมด ทั้งนี้ พื้นที่สีเขียวจะต้องกระจายอยู่ทั่วพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว้างไม่น้อยกว่า ๑๐.๐๐ เมตร (๒) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนพื้นที่ทั้งหมดแต่ทั้งนี้จะต้องไม่น้อยกว่า ๒๕๐ ไร่ โดยมีพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว้างไม่น้อยกว่า ๑๐.๐๐ เมตร (๓) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนพื้นที่ทั้งหมด โดยมีพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว้างไม่น้อยกว่า ๑๐.๐๐ เมตร ภายใต้บังคับตามวรรคหนึ่ง จะต้องจัดให้มีทางซึ่งมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตรสำหรับการตรวจการหรือซ่อมบำรุง (Service Road) ในบริเวณระหว่างพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศกับแนวเขตพื้นที่โรงงานรอบนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมและต้องใช้งานได้ตลอดเวลา ข้อ ๖๗ นิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีต้นไม้ พรรณไม้ หรือพืชที่ใช้สำหรับปลูกในพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศหรือพื้นที่สีเขียวในนิคมอุตสาหกรรมตามที่ กนอ. กำหนด โดยอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับท้องถิ่นหรือพรรณไม้ของท้องถิ่นเดิมหรือมีคุณสมบัติในการดูดซับมลพิษต่าง ๆ ได้ดี ข้อ ๖๘ นิคมอุตสาหกรรมต้องจัดสรรพื้นที่สำหรับจอดรถยนต์ส่วนกลาง ดังนี้ (๑) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๓,๐๐๐ ไร่ ต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถไม่น้อยกว่า ๑๐ ไร่ (๒) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถไม่น้อยกว่า ๕ ไร่ (๓) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ ต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถไม่น้อยกว่า ๒ ไร่ หมวด ๑๓ ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นเพิ่มเติม ข้อ ๖๙ นิคมอุตสาหกรรมที่มีความประสงค์จะให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการอื่นเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้แล้วในหมวด ๒ ถึงหมวด ๑๒ เช่น ศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์ข้อมูลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco center) ศูนย์กลางการติดต่อสื่อสาร สถานพยาบาล หรือบริการรถรับส่งให้ดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ข้อ ๗๐ การออกแบบอาคารส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรมให้ใช้แนวทางการออกแบบอารยสถาปัตย์ (Universal Design) และแนวทางตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดประเภทหรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานหรือตามเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวภาครัฐสำหรับกรณีอาคารสร้างใหม่ หรือตามเกณฑ์การประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทยสำหรับการก่อสร้างและปรับปรุงโครงการใหม่โดยสถาบันอาคารเขียวไทย (TREES - NC) หรือเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวของต่างประเทศ เช่น LEED : Leadership in Energy and Environmental Design ของประเทศสหรัฐอเมริกา หมวด ๑๔ การตรวจสอบการออกแบบ และก่อสร้าง ข้อ ๗๑ ในกรณีที่ กนอ. ตรวจพบว่าการออกแบบของบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาและการก่อสร้างไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางด้านวิศวกรรมและตามมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงานหรือผู้ก่อสร้าง แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดชอบแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่ กนอ.กำหนด ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๘ นุสรา/ผู้ตรวจ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๘ ง/หน้า ๑๗/๑๓ มกราคม ๒๕๕๘
679191
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอจัดตั้งหรือขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. 2555
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอจัดตั้งหรือขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. ๒๕๕๕[๑] โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาการขอจัดตั้งหรือขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอจัดตั้งหรือขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. ๒๕๕๕” ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “ผู้ขอร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ซึ่งมีความประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม “โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า โครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมที่ผู้ร่วมดำเนินงานเสนอ “ผู้ร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ขอร่วมดำเนินงานที่ได้รับอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. ข้อ ๔ ผู้ขอร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นนิติบุคคลไทย (๒) เป็นผู้มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่จะดำเนินการโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม หรือหลักฐานแสดงการจะได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่เจ้าของที่ดินยินยอมให้ดำเนินการเป็นนิคมอุตสาหกรรมได้ ข้อ ๕ พื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต้องตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เหมาะสมและมีศักยภาพที่จะดำเนินการให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและพื้นที่ดังกล่าวต้องสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนด กรณีตามวรรคหนึ่ง หากตรวจสอบพบว่าพื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในท้องที่ซึ่งได้มีการวางและจัดทำผังเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองแล้วและได้จำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยกำหนดให้เป็นเขตสีที่ไม่อาจจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ หรือกรณีเมื่อการบังคับใช้การวางและจัดทำผังเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในท้องที่นั้นสิ้นสุดลงและได้มีการพิจารณาจัดทำร่างผังเมืองขึ้นใหม่ซึ่งผ่านขั้นตอนความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยยังคงหลักการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินในท้องที่ดังกล่าวให้เป็นเขตสีที่ไม่อาจจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมได้เช่นเดียวกัน กนอ. ต้องไม่รับพิจารณาเพื่อดำเนินการขออนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมนั้นและให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบ หากพื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในท้องที่ที่ไม่เคยมีการวางและจัดทำผังเมืองมาก่อน หรืออยู่ระหว่างการจัดทำร่างผังเมืองซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ ให้ กนอ. รับพิจารณาคำขอโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ตามความเหมาะสม ข้อ ๖ ประเภทของการประกอบกิจการในพื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยผังเมือง รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ข้อ ๗ ให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานยื่นคำขออนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด พร้อมสำเนาเอกสารของข้อมูลโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อย่างละสองชุด ทั้งนี้ กนอ. อาจกำหนดให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานเสนอข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้ ข้อ ๘ ให้ กนอ. พิจารณาคำขออนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามข้อ ๗ โดยเร็วภายในเวลา ๑๕ วันทำการนับแต่วันที่ได้รับคำขอนั้น กรณีคำขออนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนเอกสารหลักฐานไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ กนอ. กำหนด ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานแก้ไขปรับปรุงหรือจัดส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด หากผู้ขอร่วมดำเนินงานไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ขอร่วมดำเนินงานละทิ้งคำขอนั้นและให้ กนอ. จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบ กรณีที่ กนอ. พิจารณาแล้วเห็นว่าคำขออนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมมีความถูกต้องสมบูรณ์ ตลอดจนได้รับเอกสารข้อมูลโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมครบถ้วนแล้ว ให้ กนอ. ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานทราบ โดยหนังสือดังกล่าวอาจกำหนดให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานต้องมาชี้แจงรายละเอียดของโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมตามความจำเป็นและเข้าตรวจสอบพื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภายในกำหนด ๑๕ วันทำการนับแต่วันที่ กนอ. ได้พิจารณาคำขอตามวรรคหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว (๒) เสนอรายละเอียดและเอกสารข้อมูลโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งผลการตรวจสอบพื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต่อคณะกรรมการ กนอ. เพื่อพิจารณาอนุมัติภายใน ๖๐ วันทำการนับแต่วันที่ได้ดำเนินการตาม (๑) จนแล้วเสร็จ ข้อ ๙ กรณีคณะกรรมการ กนอ. พิจารณาอนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามที่ผู้ขอร่วมดำเนินงานเสนอแล้ว ให้ กนอ. แจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานทราบ พร้อมทั้งให้ผู้ขอร่วมดำเนินงานมาทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. ต่อไป ภายใน ๑๒๐ วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. กรณีผู้ขอร่วมดำเนินงานมีเหตุผลความจำเป็นไม่อาจมาทำสัญญาภายในเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่งได้โดยมีหนังสือขอขยายเวลาก่อนสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าวไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน พร้อมทั้งแสดงเหตุผลความจำเป็นต่อ กนอ. ให้ กนอ. พิจารณาขยายระยะเวลาการทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวได้อีกตามความเหมาะสมแต่ต้องไม่เกิน ๖๐ วันนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง กรณีผู้ขอร่วมดำเนินงานไม่มาทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. ภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งและไม่มีหนังสือขอขยายเวลาต่อ กนอ. ให้ถือว่าผู้ขอร่วมดำเนินงานไม่ประสงค์จะร่วมดำเนินงานกับ กนอ. และให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือยกเลิกโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมนั้นต่อไป ข้อ ๑๐ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการกำหนด ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ข้อ ๑๑ กรณีผู้ร่วมดำเนินงานจะนำพื้นที่โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมไปขอรับสิทธิประโยชน์หรือขอรับอนุมัติตามกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยศุลกากร เป็นต้น ผู้ขอร่วมดำเนินงานต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ กนอ. ทราบและต้องได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. เป็นหนังสือก่อนจึงจะดำเนินการได้ ทั้งนี้ หากผู้ร่วมดำเนินงานได้ดำเนินการโดยยังไม่ได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. และ กนอ. ได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าว กนอ. มีสิทธิบอกเลิกโครงการหรือสัญญาร่วมดำเนินงานได้ แล้วแต่กรณี และมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากกรณีนี้ รวมถึงมีสิทธิที่จะดำเนินการยุบนิคมอุตสาหกรรมที่ได้ประกาศจัดตั้งไว้แล้วด้วย ข้อ ๑๒ กรณีที่ผู้ขอร่วมดำเนินงานซึ่งได้ยื่นคำขออนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการ กนอ. เพื่อพิจารณาต่อไป ข้อ ๑๓ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อุษมล/ผู้จัดทำ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๙๔ ง/หน้า ๗๙/๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕
678845
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. 2555
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการ ในนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยที่เป็นการสมควรกำหนดมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และความในข้อ ๒ และ ๓ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. ๒๕๕๕” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมบริการเสนอแผนผัง และแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็น รวมทั้งแผนผังการจัดพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมบริการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒ และข้อ ๓ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ต่อ กนอ. ตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมบริการต้องจัดให้มีบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา วิศวกรผู้ออกแบบ วิศวกรควบคุมงานเป็นผู้รับรองแผนผังและแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็นตามมาตรฐานด้านวิศวกรรมและมาตรฐานระบบสาธารณูปโภคตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ตลอดจนเป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมงานก่อสร้าง แล้วแต่กรณี ด้วย สำหรับกรณีเขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นเขตอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรมหรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ และมีความประสงค์จัดตั้งให้เขตพื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยโดยได้ดำเนินการพัฒนาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็นต้องจัดให้มีสำหรับนิคมอุตสาหกรรมบริการเสร็จแล้ว หากปรากฏว่าระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการดังกล่าวแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อทำการสำรวจตรวจสอบว่าระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการนั้นอยู่ในวิสัยที่จะทำการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ได้หรือไม่ หากคณะทำงานเห็นว่าไม่อยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้ แต่ได้ดำเนินการถูกต้องตามมาตรฐานวิชาการและสามารถรองรับการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการ การควบคุมดูแล และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยตามลักษณะของกลุ่มกิจกรรมในเขตพื้นที่นั้น ให้ กนอ. ดำเนินการให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการต่อไป และให้นำความในวรรคสองมาใช้บังคับกับกรณีนี้โดยอนุโลม ข้อ ๔ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อกำหนดรายละเอียดในการออกแบบระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรมบริการตามมาตรฐานวิชาการเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ ระบบถนนภายในหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรมบริการ ข้อ ๕ ระบบถนนภายในหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรมบริการ ให้ออกแบบโดยการพิจารณาจากชนิด ความเร็วของยานพาหนะและลักษณะการจัดการจราจร ซึ่งต้องเหมาะสมกับความต้องการและการใช้สอยสำหรับกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการทั้งในปัจจุบันและการขยายตัวในอนาคตตามมาตรฐานหลักวิชาวิศวกรรมการทางและจราจร มาตรฐานกรมทางหลวงและมาตรฐานความปลอดภัยด้านการจราจร ดังนี้ (๑) ถนนเป็นแบบ ๒ ช่องทาง (เดินรถ ๒ ช่องทาง ไป - กลับ) โดยมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า ๑๘.๐๐ เมตร และผิวจราจรแต่ละช่องทางกว้างไม่น้อยกว่า ๓.๕๐ เมตร และต้องจัดให้มีไหล่ทาง เพื่อจอดรถกรณีฉุกเฉิน ตลอดจนการจัดวางระบบสาธารณูปโภคอื่น ๆ ในกรณีที่มีข้อมูลปริมาณการจราจร ชนิด ความเร็วของยานพาหนะ และลักษณะการจัดการจราจรที่เกิดขึ้นจริงจากกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการก็สามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาคำนวณออกแบบระบบถนนตามความเหมาะสมกับประเภทกิจการนั้นได้ (๒) ต้องจัดที่จอดรถส่วนกลางให้พอเพียงและเหมาะสมกับประเภทและกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการโดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบจราจรโดยรวม ข้อ ๖ ความลาดชันของผิวจราจรในนิคมอุตสาหกรรมบริการ (๑) ความลาดชันของผิวจราจรที่เป็นทางเนินต้องไม่เกินร้อยละสี่ต่อทางราบ ๑๐๐ ส่วนและให้มีระดับราบรองรับ (Brake Grade) (๒) ความลาดชันของผิวจราจรที่เป็นทางราบต้องไม่เกินร้อยละสองต่อทางราบ ๑๐๐ ส่วน ความลาดชันของผิวจราจรนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามมาตรฐานหลักวิศวกรรมการทางด้วย ข้อ ๗ ผิวจราจรต้องเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก แอสฟัลต์ติกคอนกรีต คอนกรีตเสริมเหล็กลาดด้วยแอสฟัลต์หรือปูทับด้วยวัสดุอื่น หรือลาดยางแอสฟัลต์รองด้วยชิ้นวัสดุพื้นทางที่มีความหนาและบดอัดแน่นตามมาตรฐานวิชาการกำหนด ดังนี้ (๑) ผิวจราจรที่เป็นประเภทคอนกรีตต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า ๐.๒๑ เมตร เมื่อชั้นดินเดิม C.B.R ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓ หรือเมื่อชั้นดินทรุดตัวสม่ำเสมอแล้ว C.B.R ต้องไม่มากกว่าร้อยละ ๓ (๒) ผิวจราจรที่เป็นประเภทแอสฟัลต์ติกคอนกรีตต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า ๐.๐๕ เมตร เมื่อพื้นดินอ่อนจนถึงพื้นดินแข็ง C.B.R ตั้งแต่ร้อยละ ๑ ขึ้นไป ผิวจราจรนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามมาตรฐานหลักวิศวกรรมการทางด้วย ข้อ ๘ ถนนที่ตัดผ่านคลองหรือลำรางสาธารณประโยชน์ที่มีความจำเป็นจะต้องสร้างเป็นสะพาน สะพานท่อ หรือท่อลอด แล้วแต่กรณี ให้ออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานวิชาการ ข้อ ๙ ถนนที่เป็นทางเข้าออกของนิคมอุตสาหกรรมบริการที่บรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหรือทางสาธารณประโยชน์ต้องมีความกว้างของเขตทางตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ ข้อ ๑๐ ระดับความสูงของถนนต้องสอดคล้องกับระบบระบายน้ำในนิคมอุตสาหกรรมบริการและต้องได้ระดับและมาตรฐานกับทางสาธารณประโยชน์ ข้อ ๑๑ ให้ปลูกหญ้าหรือปลูกต้นไม้บนเนิน (Slope) ตลอดแนวสองข้างถนน หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อป้องกันการทรุดตัวของไหล่ทางลาดเอียง (Slope Protection) พร้อมทั้งปลูกหญ้าหรือปลูกต้นไม้บริเวณเกาะกลางถนนด้วย ข้อ ๑๒ ให้ติดตั้งสัญญาณไฟจราจร ป้ายสัญญาณจราจร หรืออุปกรณ์สะท้อนแสงไฟบริเวณที่เป็นเกาะกลางถนน วงเวียน ทางแยก ทางโค้ง ร่อง หรือสันนูนของถนนทุกแห่ง และแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ตลอดจนจัดให้มีระบบไฟฟ้าแสงสว่างเพียงพอในบริเวณถนนตามกฎเกณฑ์ความปลอดภัยที่กรมทางหลวงกำหนด ข้อ ๑๓ หลักเกณฑ์การออกแบบระบบถนนภายในหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรมบริการ นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในหมวดนี้แล้วให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการด้วย หมวด ๒ ระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วม ข้อ ๑๔ ในหมวดนี้ “พื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย” หมายความว่า เขตนิคมอุตสาหกรรมบริการซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางระบายน้ำ (Flood Way) หรือพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยอันตรายที่เกิดจากน้ำท่วมหรือภัยอันตรายอันเกิดจากสภาวะของน้ำที่ไหลเอ่อล้นฝั่งแม่น้ำ ลำธาร หรือทางน้ำเข้าท่วมพื้นที่ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ได้อยู่ใต้ระดับน้ำ หรือเกิดจากการสะสมปริมาณของน้ำบนพื้นที่ซึ่งระบายน้ำออกไม่ทันทำให้น้ำท่วมพื้นที่บริเวณนั้น หรือบริเวณที่เคยเกิดเหตุประสบอุทกภัย “อัตราน้ำฝนไหลนอง” (Stromwater Runoff Rate) หมายความว่า อัตราที่นํ้าไหลเข้าท่อหรือรางระบายน้ำมีค่าเท่ากับส่วนของฝนที่ตกลงมาบนพื้นดิน และไหลนองไปตามพื้นในช่วงระหว่างที่ฝนกำลังตก รวมถึงภายหลังจากที่ฝนได้หยุดตก ข้อ ๑๕ การคำนวณปริมาณน้ำฝนไหลนองจะกำหนดให้บริเวณน้ำไหลนองมีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนโดยตรง โดยให้มีสัดส่วนน้ำฝนที่ตกลงมาบนพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “วิธีเรชั่นแนล” (Rational Method) ตามสูตรการคิดคำนวณดังนี้ Q = ๐.๒๗๘ CIA Q = อัตราน้ำฝนไหลนองสูงสุดในท่อ หรือรางระบายน้ำ ณ จุดที่พิจารณาหน่วยเป็นลูกบาศก์เมตรต่อวินาที C = สัมประสิทธิ์การไหลนอง เป็นค่าคงที่ไม่มีหน่วยขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นที่ของบริเวณนั้น I = ความเข้มเฉลี่ยของฝนที่ตกเป็นมิลลิเมตรต่อชั่วโมง A = พื้นที่ที่จะระบายน้ำออกเป็นตารางกิโลเมตร ข้อ ๑๖ ระบบระบายน้ำฝนให้ใช้แบบรางเปิดหรือแบบท่อปิด (Closed Conduits) พร้อมบ่อพักก็ได้และต้องจัดให้มีบ่อพักน้ำฝน (Retention Pond) เพื่อนำน้ำกลับมาใช้ใหม่โดยให้เป็นไปตามความเหมาะสมของพื้นที่และมาตรฐานตามหลักวิชาการ ทั้งนี้ การไหลของน้ำต้องมีความเร็วไม่น้อยกว่า ๐.๖๐ เมตร ต่อวินาทีเพื่อป้องกันการตกตะกอน ข้อ ๑๗ อัตราการไหลของน้ำในคลองระบาย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) กรณีรางระบายน้ำ ค.ส.ล. ให้มีความเร็วการไหลของน้ำตั้งแต่ ๐.๖๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๓.๐๐ เมตรต่อวินาที (๒) กรณีคลองดิน ให้มีความเร็วการไหลของน้ำตั้งแต่ ๐.๔๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๑.๐๐ เมตรต่อวินาที การกำหนดความเร็วการไหลของน้ำตาม (๑) และ (๒) ต้องคำนึงถึงการตกตะกอนและการกัดเซาะดินด้วย ข้อ ๑๘ กรณีการออกแบบระบบระบายน้ำฝนสำหรับนิคมอุตสาหกรรมบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัยให้พิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ความสามารถของแหล่งรับน้ำภายนอกเพื่อรองรับน้ำจากนิคมอุตสาหกรรมบริการ (๒) ทิศทางการไหลของน้ำรอบบริเวณพื้นที่ที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ทั้งในภาวะปกติและกรณีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย ให้ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมบริการประสานกับผู้ดูแลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งรับน้ำเพื่อบำรุงรักษาแหล่งรับน้ำให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการรับน้ำตามที่ได้ออกแบบไว้เป็นประจำทุกปี ข้อ ๑๙ นิคมอุตสาหกรรมบริการใดมีความจำเป็นจะต้องระบายน้ำออกนอกพื้นที่ ให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่เดินด้วยพลังงานไฟฟ้า และเครื่องสูบน้ำสำรองซึ่งเดินด้วยเครื่องยนต์เพื่อรองรับเหตุกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟฟ้าดับ เป็นต้น ณ บริเวณบ่อพักน้ำฝน (Retention Pond) กรณีการระบายน้ำออกนอกพื้นที่ตามวรรคหนึ่ง หากเป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ต้องระบายน้ำด้วยเครื่องสูบน้ำที่เดินด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องสูบนํ้าสำรอง ซึ่งเดินด้วยเครื่องยนต์ให้ได้ร้อยละหนึ่งร้อยของปริมาณน้ำที่คำนวณได้ภายในเวลาไม่เกินสองชั่วโมง บ่อพักน้ำฝนตามวรรคหนึ่ง จะต้องสร้างถนนให้มีความเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ และสะดวกในการบำรุงรักษา โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร หนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร และมีความพร้อมสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา ข้อ ๒๐ กรณีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบริการใดมีลักษณะเป็นที่ลุ่มและมีน้ำท่วมขัง จะต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำล้อมรอบพื้นที่โครงการเพื่อป้องกันน้ำท่วมและป้องกันน้ำจากบริเวณรอบนอกไหลเข้าสู่พื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรมบริการ ภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) คันกั้นน้ำต้องออกแบบให้มีลักษณะเป็นเขื่อน และมีโครงสร้างที่มีความแข็งแรงเพียงพอในการต้านทานแรงดันน้ำจากภายนอกโครงการ โดยใช้เกณฑ์ระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบสิบปีเป็นฐานในการคำนวณ และต้องคำนึงถึงสภาพน้ำไหลหรือน้ำซึมผ่านฐานเขื่อนและใต้เขื่อนด้วย (๒) คันกั้นน้ำต้องมีความสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบสิบปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร (๓) สันเขื่อนต้องออกแบบให้สามารถใช้เป็นทางซ่อมบำรุง (Service Road) โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร หนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร และต้องจัดให้มีทางขึ้น - ลงทุกระยะ ๘๐๐.๐๐ เมตร สำหรับการบำรุงรักษาปกติทั่วไปและในภาวะฉุกเฉิน หรือเสนอรูปแบบทางซ่อมบำรุง (Service Road) และทางขึ้น - ลงที่เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ (๔) การก่อสร้างคันกั้นน้ำต้องไม่ขวางทางน้ำหลากเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ แต่หากมีเหตุจำเป็นจะต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำขวางทางน้ำหลาก ให้จัดทำร่องน้ำเพื่อระบายน้ำที่จะท่วมขังให้ไหลออกสู่ทางน้ำสาธารณะได้โดยสะดวก ในกรณีที่มีความจำเป็น กนอ. อาจพิจารณาให้ดำเนินการถมพื้นที่บางส่วนหรือทั้งหมด โดยให้ถมดินสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบสิบปีแต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อป้องกันน้ำท่วมก็ได้ ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน ตลอดจนกฎหมายอื่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกำหนด ข้อ ๒๑ กรณีนิคมอุตสาหกรรมบริการใดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่ออุทกภัย จะต้องดำเนินการก่อสร้างคันกั้นน้ำล้อมรอบพื้นที่โครงการเพื่อป้องกันน้ำท่วมและป้องกันน้ำจากบริเวณรอบนอกไหลเข้าสู่พื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรมบริการ ภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) คันกั้นน้ำต้องออกแบบให้มีลักษณะเป็นเขื่อน และมีโครงสร้างที่มีความแข็งแรงเพียงพอในการต้านทานแรงดันน้ำจากภายนอกโครงการ โดยใช้เกณฑ์ระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปีเป็นฐานในการคำนวณ และต้องคำนึงถึงสภาพน้ำไหลหรือน้ำซึมผ่านฐานเขื่อนและใต้เขื่อนด้วย (๒) คันกั้นน้ำต้องมีความสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปี โดยมีระยะส่วนเผื่อความสูง (Free Board) ไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร (๓) สันเขื่อนต้องออกแบบให้สามารถใช้เป็นทางซ่อมบำรุง (Service Road) โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร หนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร และต้องดูแลให้ใช้งานได้ตลอดเวลาและต้องจัดให้มีทางขึ้น - ลงทุกระยะ ๘๐๐.๐๐ เมตรสำหรับการบำรุงรักษาปกติทั่วไปและในภาวะฉุกเฉินหรือเสนอรูปแบบทางซ่อมบำรุง (Service Road) และทางขึ้น - ลงที่เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ (๔) การก่อสร้างคันกั้นน้ำต้องไม่ขวางทางน้ำหลากเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ แต่หากมีเหตุจำเป็นจะต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำขวางทางน้ำหลาก ให้จัดทำร่องน้ำเพื่อระบายนํ้าที่จะท่วมขังให้ไหลออกสู่ทางน้ำสาธารณะได้โดยสะดวก (๕) การก่อสร้างคันกั้นน้ำจะต้องประสานกับหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดระบบการระบายน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรมบริการเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพตลอดจนลดผลกระทบทั้งกรณีปริมาณของน้ำและทิศทางการไหลของน้ำที่ไหลเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมบริการ (๖) ต้องจัดให้มีระบบการติดตามสถานการณ์น้ำ การเฝ้าระวังระดับน้ำภายนอก และการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงเสนอแผนป้องกันและมาตรการภาวะฉุกเฉินกรณีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย ตลอดจนการตรวจสอบสภาพของระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมเป็นประจำ พร้อมทั้งให้รายงานการตรวจสอบดังกล่าวต่อ กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุกปี (๗) ต้องจัดให้มีวิศวกรระดับสามัญวิศวกรเป็นผู้ลงนามรับรองการคำนวณและออกแบบระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วม ในกรณีที่มีความจำเป็น กนอ. อาจพิจารณาอนุญาตให้ดำเนินการถมพื้นที่บางส่วนหรือทั้งหมดโดยให้ถมดินสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปีแต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อป้องกันน้ำท่วมก็ได้ ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน ตลอดจนกฎหมายอื่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกำหนด ข้อ ๒๒ หลักเกณฑ์การออกแบบระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในหมวดนี้แล้ว ให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรมหรือวิชาการกำหนดด้วย หมวด ๓ ระบบประปา ข้อ ๒๓ คุณภาพน้ำประปาในเขตนิคมอุตสาหกรรมบริการต้องได้ค่ามาตรฐานของการประปานครหลวงหรือการประปาส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณี หรือเหมาะสมกับคุณภาพน้ำใช้สำหรับประเภทของกิจการแต่ละประเภทของนิคมอุตสาหกรรมบริการ ข้อ ๒๔ นิคมอุตสาหกรรมบริการใดมีความประสงค์จะใช้ระบบประปาโดยการผลิตจากแหล่งน้ำผิวดิน (ระบบน้ำดิบ) ต้องดำเนินการเพื่อให้ได้น้ำดิบที่ได้เกณฑ์มาตรฐานแหล่งน้ำเพื่อการประปาของการประปานครหลวง หรือการประปาส่วนภูมิภาค หรือมาตรฐานน้ำดิบขององค์การอนามัยโลก แล้วแต่กรณี และต้องมีปริมาณเพียงพอสำหรับการใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมบริการนั้นตลอดทั้งปี ข้อ ๒๕ นิคมอุตสาหกรรมบริการใดมีความประสงค์จะใช้น้ำประปาจากระบบการผลิตน้ำประปาขึ้นเอง ต้องออกแบบระบบประปาให้มีความสามารถในการผลิตที่เพียงพอต่อการใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมบริการและให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามข้อ ๒๓ รวมถึงกรณีที่ใช้น้ำประปาจากภายนอกโครงการด้วย ข้อ ๒๖ การคิดคำนวณปริมาณความต้องการใช้น้ำ ให้พิจารณาจากการใช้น้ำตามประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ หรือจากข้อมูลปริมาณน้ำใช้ที่เกิดขึ้นจริงจากการประกอบการบริการและการประกอบกิจการโรงงาน ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการขยายตัวในอนาคตด้วย ข้อ ๒๗ ระบบการจ่ายน้ำประปา ให้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) การจ่ายน้ำประปาให้ใช้โดยวิธีการแบบอัดแรงดันในเส้นท่อ หรือระบบหอถังสูงซึ่งมีแรงดันน้ำในท่อไม่น้อยกว่า ๑.๕๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๖.๐๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (๒) ถังสำหรับเก็บน้ำประปาต้องมีความจุอย่างน้อยแปดชั่วโมงของค่าความต้องการใช้น้ำสูงสุดต่อวันโดยรวมถึงปริมาณน้ำสำรองสำหรับการดับเพลิงด้วย (๓) การออกแบบติดตั้งระบบท่อประปาต้องมีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และได้มาตรฐานตามหลักวิชาวิศวกรรม ข้อ ๒๘ กรณีระบบประปาซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมบริการใดได้ผลิตน้ำใช้ในพื้นที่ดังกล่าวในปริมาณและคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ และน้ำที่ผลิตเพื่อใช้ในพื้นที่นั้นยังคงเหลือและเพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบประปาของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วต่อไปได้โดยไม่ต้องก่อสร้างระบบประปาขึ้นใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านวิศวกรรมและวิชาการด้วย ภายใต้บังคับตามวรรคหนึ่ง หากได้มีการใช้น้ำในปริมาณเกินกว่าร้อยละ ๗๐ ของความสามารถในการผลิตจากระบบประปาที่มีอยู่เดิม ให้ทำการก่อสร้างระบบประปาแห่งใหม่ทันที หมวด ๔ ระบบบำบัดน้ำเสีย ข้อ ๒๙ การออกแบบระบบบำบัดน้ำเสีย (Wastewater Treatment Plant) ให้ดำเนินการ ดังนี้ (๑) การคำนวณปริมาณน้ำเสีย (Designed Flow) เพื่อการออกแบบ ให้คิดคำนวณโดยใช้ค่าร้อยละ ๘๐ ของปริมาณน้ำใช้และปริมาณน้ำรั่วซึมเข้าเส้นท่อ ในกรณีที่มีข้อมูลปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นจริงก็สามารถคำนวณจากข้อมูลดังกล่าวตามความเหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการนั้นได้ (๒) ต้องมีความเหมาะสมตามลักษณะสมบัติของน้ำเสียของแต่ละนิคมอุตสาหกรรมบริการและการบำบัดน้ำเสียต้องเป็นไปตามมาตรฐานน้ำทิ้งตามที่กฎหมายกำหนด โดยต้องจัดให้มีบ่อเก็บน้ำทิ้งหลังการบำบัด (Holding Pond) เพื่อเป็นจุดติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งก่อนที่จะระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะหรือนำไปใช้ประโยชน์อื่นใด หากนิคมอุตสาหกรรมบริการใดมีการระบายน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะต้องพิจารณาศักยภาพการรองรับของแหล่งน้ำสาธารณะนั้นด้วย (๓) การบำบัดและกำจัดสลัดจ์ (Sludge Treatment and Disposal) ที่ออกจากระบบบำบัดน้ำเสียต้องดำเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสม หรืออาจส่งสลัดจ์ให้แก่ผู้รับบริการกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการถูกต้องตามกฎหมายรับไปดำเนินการบำบัดและกำจัดก็ได้ ข้อ ๓๐ ระบบระบายน้ำเสีย (Sewerage System) ให้ดำเนินการ ดังนี้ (๑) ระบบระบายน้ำเสียต้องแยกออกจากระบบระบายน้ำฝนโดยเด็ดขาด (๒) น้ำเสียที่เกิดขึ้นจากเขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตประกอบการเสรีให้ระบายลงสู่ระบบระบายน้ำเสีย (๓) ท่อระบายน้ำเสียต้องเป็นระบบท่อปิด มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อไม่น้อยกว่า ๐.๒๐ เมตร และมีความลึกของท้องท่อสูงสุดต้องไม่เกิน ๔.๐๐ เมตร หากมีข้อจำกัดด้านสภาพพื้นที่ทำให้ต้องติดตั้งท่อระบายน้ำเสียที่ความลึกของท้องท่อมากกว่า ๔.๐๐ เมตร ให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบท่ออื่น ๆ ตลอดจนการซ่อมบำรุงในอนาคต ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานวิศวกรรมและมาตรฐานความปลอดภัยกำหนด (๔) ระยะห่างระหว่างบ่อพักน้ำเสีย (Manhole) ต้องไม่เกิน ๔๐.๐๐ เมตร ข้อ ๓๑ กรณีระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมบริการใดได้บำบัดน้ำเสียในพื้นที่ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ และระบบบำบัดน้ำเสียนั้นยังคงมีขีดความสามารถและประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบบำบัดน้ำเสียของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วต่อไปได้โดยไม่ต้องก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านวิศวกรรมและวิชาการด้วย ภายใต้บังคับตามวรรคหนึ่ง หากได้มีการบำบัดน้ำเสียในปริมาณเกินกว่าร้อยละ ๗๐ ของความสามารถในการบำบัดน้ำเสียจากระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่เดิม ให้ทำการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ทันที หมวด ๕ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ข้อ ๓๒ ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมบริการต้องจัดให้มีระบบสื่อสารโทรคมนาคมภายในนิคมอุตสาหกรรมบริการเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการหรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมบริการได้อย่างทั่วถึง รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อให้บริการโดยทั่วไปด้วย หมวด ๖ ระบบไฟฟ้า ข้อ ๓๓ การออกแบบระบบไฟฟ้าต้องจัดทำตามแบบแปลน แผนผังตามแบบมาตรฐานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวง แล้วแต่กรณี ข้อ ๓๔ สายไฟฟ้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้าทุกชนิดที่ใช้กับระบบไฟฟ้าต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงกำหนด แล้วแต่กรณี ข้อ ๓๕ ให้ประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบริการให้เพียงพอกับกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการนั้น สำหรับนิคมอุตสาหกรรมบริการใดที่มีพื้นที่มากกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ ต้องจัดเตรียมพื้นที่ให้เพียงพอและเหมาะสมเพื่อจัดตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยขึ้น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงกำหนด แล้วแต่กรณี หมวด ๗ ระบบดับเพลิงและระบบป้องกันอุบัติภัย ข้อ ๓๖ ระบบท่อน้ำดับเพลิง ตลอดจนอุปกรณ์ เครื่องมือสำหรับใช้ในการดับเพลิงและป้องกันอุบัติภัยในหมวดนี้ ต้องมีความเหมาะสมกับลักษณะ ประเภทและขนาดของกิจการโรงงานหรือกิจการการบริการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ และต้องได้มาตรฐานการป้องกันอัคคีภัยหรือมาตรฐานทางราชการกำหนด ข้อ ๓๗ หัวดับเพลิง (Hydrant) ที่ใช้ในระบบดับเพลิงต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นแบบเปียก (Wet Barrel) (๒) ขนาดของท่อต่อทางน้ำเข้าหัวดับเพลิงกับระบบท่อน้ำดับเพลิงต้องมีขนาดไม่น้อยกว่า ๑๕๐.๐๐ มิลลิเมตร และหัวน้ำออกขนาด ๖๕.๐๐ มิลลิเมตร พร้อมประตูน้ำจำนวนสองทาง (๓) หัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงต้องเป็นหัวต่อแบบสวมเร็วชนิดตัวเมีย พร้อมฝาครอบและโซ่ (๔) ระยะห่างระหว่างท่อดับเพลิงแต่ละหัวต้องไม่เกิน ๑๕๐.๐๐ เมตร ข้อ ๓๘ ระบบส่งน้ำดับเพลิงต้องมีความเหมาะสมและมีแรงดันน้ำปลายท่อดับเพลิงที่จุดไกลสุดไม่น้อยกว่า ๑.๕๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร โดยใช้ระบบเครื่องสูบน้ำเพิ่มแรงดันน้ำได้ ข้อ ๓๙ ให้จัดรถดับเพลิงไว้พร้อมใช้ปฏิบัติงานเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรฐาน NFPA 1901 Standard for Automotive Fire Apparatus ตามจำนวนที่เหมาะสมและสอดคล้องตามลักษณะ ประเภท และขนาดของกิจการการบริการและกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบริการแต่หากนิคมอุตสาหกรรมบริการใดตั้งอยู่ในท้องที่ที่มีหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ให้บริการเกี่ยวกับการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัยอยู่แล้ว ให้นิคมอุตสาหกรรมบริการนั้นใช้บริการจากหน่วยงานดังกล่าวได้ ข้อ ๔๐ ให้มีมาตรการป้องกันอุบัติภัยและแผนฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ อุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินอื่น โดยต้องเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ ตลอดจนบุคลากรอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ และต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมต่อกรณีดังกล่าวเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หมวด ๘ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูล ข้อ ๔๑ ในหมวดนี้ “กากอุตสาหกรรม” หมายความว่า สิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานโดยแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ของเสียไม่อันตราย ซึ่งหมายความถึงสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่มีองค์ประกอบ หรือไม่ปนเปื้อนสารอันตราย หรือไม่มีคุณสมบัติที่เป็นอันตรายตามที่กฎหมายกำหนดและของเสียอันตราย ซึ่งหมายความถึงสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่มีองค์ประกอบ หรือปนเปื้อนสารอันตรายหรือมีคุณสมบัติที่เป็นอันตรายตามที่กฎหมายกำหนด “มูลฝอยและสิ่งปฏิกูล” หมายความว่า มูลฝอย และสิ่งปฏิกูลตามกฎหมายว่าด้วยสาธารณสุขที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ในสถานที่หรือบริเวณใด ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมบริการ เช่น อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ สถานบริการ ที่พักอาศัย เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกากอุตสาหกรรม ข้อ ๔๒ การคิดคำนวณปริมาณกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ให้ประเมินจากข้อมูลอัตราการเกิดกากอุตสาหกรรม และมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลตามหลักวิชาการหรือประเมินจากข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงจากการประกอบกิจการโรงงานหรือกิจการการบริการ ข้อ ๔๓ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในนิคมอุตสาหกรรมบริการให้ดำเนินการ ดังนี้ (๑) ให้ใช้บริการการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลจากผู้รับบริการกำจัดที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยราชการได้ (๒) กรณีนิคมอุตสาหกรรมบริการใดมีความประสงค์จะสร้างระบบกำจัดกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลขึ้นเอง ต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายกำหนด ข้อ ๔๔ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลอื่นใด นอกจากที่กำหนดไว้ในหมวดนี้แล้ว ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการหรือหน่วยงานราชการกำหนดด้วย หมวด ๙ ระบบติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ข้อ ๔๕ ให้ดำเนินการติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรมบริการ ดังนี้ (๑) ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะหรือเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ใด ๆ จากเครื่องตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งอัตโนมัติซึ่งประกอบด้วยเครื่องวัดอัตราการไหลของน้ำทิ้ง เครื่องตรวจวัดค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) และหรือเครื่องตรวจวัดซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) โดยให้เริ่มเดินระบบเครื่องตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งอัตโนมัติ เมื่อมีน้ำเสียเข้าระบบบำบัดน้ำเสีย (๒) ติดตามผลการปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการนิคมอุตสาหกรรมบริการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการว่าจ้างบุคคลที่สามหรือหน่วยงานกลาง (Third Party) ที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ดำเนินการติดตามผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตลอดจนติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๓) ให้จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมตาม (๒) ทุก ๆ หกเดือนหรือสองครั้งต่อปีตามแนวทางที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด (๔) ติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามกฎหมายหรือมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง หมวด ๑๐ ระบบรักษาความปลอดภัย ข้อ ๔๖ เพื่อรักษาความเรียบร้อยและความปลอดภัยของนิคมอุตสาหกรรมบริการ ให้ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมบริการจัดให้มีสิ่งแสดงแนวเขตหรือขอบเขตของนิคมอุตสาหกรรมบริการ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการตรวจตราและรักษาความปลอดภัย ณ บริเวณถนนหรือทางเข้า - ออกของนิคมอุตสาหกรรมบริการเป็นประจำตลอดเวลา ตลอดจนบริเวณอื่นที่จำเป็นนอกจากนี้ให้ติดตั้งระบบระวังภัยอื่นๆ เช่น กล้องวงจรปิด หรือเทคโนโลยีอื่นใดที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยหรือเทียบเท่า ณ บริเวณถนนหรือทางเข้า - ออกของนิคมอุตสาหกรรมบริการและบริเวณที่มีความเสี่ยงภัยด้วย ข้อ ๔๗ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประกอบกิจการหรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมบริการที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ที่เสี่ยงภัย นอกจากจะต้องดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๔๖ อย่างเคร่งครัดแล้ว ต้องจัดให้มีการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นและก่อความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรมบริการ โดยอาจพิจารณาเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรืออุปกรณ์สำหรับการป้องกันภัยหรือระวังภัย หรือมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นใด หรือขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสม หมวด ๑๑ การจัดสรรพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมบริการ ข้อ ๔๘ ในหมวดนี้ “พื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt)” หมายถึง พื้นที่แนวกันชนที่มีคุณค่าต่อระบบนิเวศ เช่น เป็นแหล่งพักน้ำ หรือพื้นที่สวนที่มีการปรับภูมิทัศน์แล้ว หรือพื้นที่สีเขียวที่มีแนวต้นไม้โดยรอบ เป็นต้น ข้อ ๔๙ การจัดสรรพื้นที่สำหรับการประกอบกิจการแต่ละประเภทในนิคมอุตสาหกรรมบริการให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) พื้นที่สำหรับการประกอบกิจการการบริการต้องแยกออกจากพื้นที่สำหรับการประกอบกิจการโรงงาน (๒) ให้มีพื้นที่สำหรับการประกอบกิจการโรงงานได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของพื้นที่โครงการทั้งหมดและต้องปฏิบัติตามข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๕๐ นอกเหนือจากการจัดสรรพื้นที่ตามข้อ ๔๙ แล้ว ต้องจัดให้มีเขตพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว และพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) นิคมอุตสาหกรรมบริการที่มีพื้นที่เกินกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ไม่น้อยกว่า ๒๕๐ ไร่ ทั้งนี้ ต้องมีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ ของพื้นที่ดังกล่าวโดยมีแนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบริการกว้างไม่น้อยกว่า ๕.๐๐ เมตร (๒) นิคมอุตสาหกรรมบริการที่มีพื้นที่เกินกว่า ๕๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว และพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนพื้นที่ทั้งหมด โดยมีแนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบริการกว้างไม่น้อยกว่า ๕.๐๐ เมตร (๓) นิคมอุตสาหกรรมบริการที่มีพื้นที่ไม่เกิน ๕๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว และพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๕ ของจำนวนพื้นที่ทั้งหมด โดยมีแนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco - Belt) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบริการกว้างไม่น้อยกว่า ๓.๐๐ เมตร บทเฉพาะกาล ข้อ ๕๑ บรรดาแบบแปลน แผนผังของระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ในวันที่ข้อบังคับใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขออนุมัติตามข้อบังคับนี้โดยอนุโลม ในกรณีที่คำขออนุมัติดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็น หรือผู้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการจะขอแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นตามข้อบังคับนี้ก็ได้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณัฐพร/ผู้ตรวจ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๙๑ ง/หน้า ๔๓/๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕
676103
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอานวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2555
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และความในข้อ ๒ และข้อ ๓ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๕” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๒) ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๔ ให้ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมเสนอแผนผังและแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็น รวมทั้งแผนผังการจัดพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒ และข้อ ๓ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ต่อ กนอ. ตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีบริษัทวิศวกร ที่ปรึกษา วิศวกรผู้ออกแบบ วิศวกรควบคุมงานเป็นผู้รับรองแผนผังและแบบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็นตามมาตรฐานด้านวิศวกรรมและมาตรฐานระบบสาธารณูปโภคตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ตลอดจนเป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมงานก่อสร้าง แล้วแต่กรณี ด้วย สำหรับกรณีเขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นเขตอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรมหรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ และมีความประสงค์จัดตั้งให้เขตพื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้ดำเนินการพัฒนาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็นต้องจัดให้มีสำหรับนิคมอุตสาหกรรมเสร็จแล้ว หากปรากฏว่าระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการดังกล่าวแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อทำการสำรวจ ตรวจสอบว่าระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการนั้นอยู่ในวิสัยที่จะทำการปรับปรุง แก้ไขให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ได้หรือไม่ หากคณะทำงานเห็นว่าไม่อยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้ แต่ได้ดำเนินการถูกต้องตามมาตรฐานวิชาการและสามารถรองรับการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการ การควบคุมดูแล และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยตามลักษณะของกลุ่มกิจกรรมในเขตพื้นที่นั้น ให้ กนอ. ดำเนินการให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นนิคมอุตสาหกรรมต่อไป และให้นำความในวรรคสองมาใช้บังคับกับกรณีนี้โดยอนุโลม ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศ เพื่อกำหนดรายละเอียดในการออกแบบระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม ตามมาตรฐานวิชาการเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ ระบบถนนภายในหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๖ การออกแบบระบบถนนภายในหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐานหลักวิชาวิศวกรรมการทางและจราจร มาตรฐานกรมทางหลวง และมาตรฐานความปลอดภัยด้านการจราจรกำหนด โดยให้มีแบบถนน ตลอดจนขนาดของเขตทางและผิวจราจรเป็นสัดส่วนกับขนาดของนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ (๑) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ขึ้นไป ให้ออกแบบถนนสายประธานเป็นแบบถนน ๔ ช่องทาง มีเขตทางไม่น้อยกว่า ๓๐.๐๐ เมตร ผิวจราจรไม่น้อยกว่า ๑๔.๐๐ เมตร โดยมีเกาะกลางถนนและทางเท้าไม่น้อยกว่า ๒.๐๐ เมตรต่อข้าง (๒) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ ๕๐๐ ไร่ขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้มีถนน สายประธานเป็นแบบถนน ๒ ช่องทาง มีเขตทางไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เมตร ผิวจราจรไม่น้อยกว่า ๗.๐๐ เมตร และให้มีทางเท้าไม่น้อยกว่า ๒.๐๐ เมตรต่อข้าง อีกทั้งจะต้องมีผิวทางหรือไหล่ทางกว้างเพียงพอสำหรับให้รถจอดในกรณีฉุกเฉินได้ (๓) นิคมอุตสาหกรรมที่มีขนาดตั้งแต่ ๑๐๐ ไร่ขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๕๐๐ ไร่ ให้มีถนน สายประธานเป็นแบบถนน ๒ ช่องทาง มีเขตทางไม่น้อยกว่า ๑๖.๐๐ เมตร ผิวจราจรไม่น้อยกว่า ๗.๐๐ เมตร และให้มีทางเท้าไม่น้อยกว่า ๒.๐๐ เมตรต่อข้าง อีกทั้งจะต้องมีผิวทางหรือไหล่ทางกว้างเพียงพอสำหรับให้รถจอดในกรณีฉุกเฉินได้ ทั้งนี้ ตามที่ กนอ. เห็นชอบ (๔) นิคมอุตสาหกรรมที่มีขนาดไม่เกิน ๑๐๐ ไร่ ให้มีถนนสายประธานเป็นแบบถนน ๒ ช่องทาง มีเขตทางไม่น้อยกว่า ๑๒.๐๐ เมตร ผิวจราจรไม่น้อยกว่า ๗.๐๐ เมตร โดยมีไหล่ทางและทางเท้ารวมกันไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตรต่อข้าง ทั้งนี้ ตามที่ กนอ. เห็นชอบ ข้อ ๗ ความลาดชันของผิวจราจรในนิคมอุตสาหกรรม ให้ดำเนินการก่อสร้างตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ความลาดชันของผิวจราจรที่เป็นทางเนินต้องไม่เกินร้อยละสี่ต่อทางราบ ๑๐๐ ส่วนและให้มีระดับราบรองรับ (BRAKE GRADE) (๒) ความลาดชันของผิวจราจรที่เป็นทางราบต้องไม่เกินร้อยละสองต่อทางราบ ๑๐๐ ส่วน ข้อ ๘ ผิวจราจรต้องเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก แอสฟัลต์ติกคอนกรีต คอนกรีตเสริมเหล็กลาดด้วยแอสฟัลต์หรือปูทับด้วยวัสดุอื่น หรือลาดยางแอสฟัลต์รองด้วยชิ้นวัสดุพื้นทางที่มีความหนาและบดอัดแน่นตามมาตรฐานวิชาการกำหนด ดังนี้ (๑) ผิวจราจรที่เป็นประเภทคอนกรีต ต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า ๐.๒๑ เมตร เมื่อชั้นดินเดิม C.B.R. ไม่น้อยกว่าร้อยละสามหรือเมื่อชั้นดินทรุดตัวสม่ำเสมอแล้ว C.B.R. ต้องไม่มากกว่าร้อยละสาม (๒) ผิวจราจรที่เป็นประเภทแอสฟัลต์ติกคอนกรีต ต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า ๐.๐๕ เมตร เมื่อพื้นดินอ่อนจนถึงพื้นดินแข็ง C.B.R. ตั้งแต่ร้อยละหนึ่งขึ้นไป ข้อ ๙ ถนนที่ตัดผ่านคลองหรือลารางสาธารณประโยชน์ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องสร้างเป็นสะพาน สะพานท่อ หรือท่อลอด แล้วแต่กรณี ให้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานวิชาการกำหนด ข้อ ๑๐ ถนนที่เป็นทางเข้าออกของนิคมอุตสาหกรรมที่บรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหรือทางสาธารณประโยชน์ต้องมีความกว้างของเขตทางให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ ข้อ ๑๑ ระดับความสูงของถนนต้องสอดคล้องกับระบบระบายน้ำในนิคมอุตสาหกรรม อีกทั้งต้องได้ระดับและมาตรฐานกับทางสาธารณะด้วย ข้อ ๑๒ ให้ปลูกหญ้าหรือปลูกต้นไม้บนเนิน (Slope) ตลอดแนวสองข้างถนน หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อป้องกันการทรุดตัวของไหล่ทางลาดเอียง (Slope Protection) ข้อ ๑๓ ให้ติดตั้งสัญญาณไฟจราจร ป้ายสัญญาณจราจร หรืออุปกรณ์สะท้อนแสงไฟบริเวณเกาะกลางถนน วงเวียน ทางแยก ทางโค้ง ร่อง หรือสันนูนของถนนทุกแห่งโดยแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ตลอดจนการจัดให้มีระบบไฟฟ้าที่มีแสงสว่างอย่างเพียงพอในบริเวณถนนตามกฎเกณฑ์ความปลอดภัยที่กรมทางหลวงกำหนด ข้อ ๑๔ การออกแบบและก่อสร้างระบบถนนภายในหรือทางเชื่อมต่อกับถนนหรือทางภายนอกนิคมอุตสาหกรรม นอกจากที่ได้กำหนดไว้ในหมวดนี้แล้ว ให้ดำเนินการตามมาตรฐานวิชาการกำหนดด้วย หมวด ๒ ระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วม ข้อ ๑๕ ในหมวดนี้ “อัตราน้ำฝนไหลนอง” (Stromwater Runoff Rate) หมายความว่า อัตราที่น้ำไหลเข้าท่อหรือรางระบายน้ำมีค่าเท่ากับส่วนของฝนที่ตกลงมาบนพื้นดิน และไหลนองไปตามพื้นในช่วงระหว่างที่ฝนกำลังตก รวมถึงภายหลังจากที่ฝนได้หยุดตก “พื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย” หมายความว่า บริเวณพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุประสบอุทกภัย หรือบริเวณพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย เช่น บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำท่าจีน เป็นต้น ข้อ ๑๖ การคำนวณปริมาณน้ำฝนไหลนอง จะกำหนดให้บริเวณน้ำไหลนองมีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนโดยตรง โดยให้มีสัดส่วนน้ำฝนที่ตกลงมาบนพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “วิธีเรชั่นแนล” (Rational Method) ตามสูตรการคิดคำนวณดังนี้ Q = ๐.๒๗๘ CIA Q = อัตราน้ำฝนไหลนองสูงสุดในท่อ หรือรางระบายน้ำ ณ จุดที่พิจารณาหน่วยเป็นลูกบาศก์เมตรต่อวินาที C = สัมประสิทธิ์การไหลนอง เป็นค่าคงที่ไม่มีหน่วย ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นที่ของบริเวณนั้น I = ความเข้มเฉลี่ยของฝนที่ตกเป็นมิลลิเมตรต่อชั่วโมง A = พื้นที่ที่จะระบายน้ำออกเป็นตารางกิโลเมตร ข้อ ๑๗ ระบบระบายน้ำฝนให้ใช้แบบรางเปิดหรือแบบท่อปิด (Closed Conduits) พร้อมบ่อพักก็ได้ โดยให้เป็นไปตามความเหมาะสมของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม สำหรับเขตที่พักอาศัยและเขตพาณิชยกรรมให้ใช้เป็นแบบรางเปิดหรือแบบท่อปิด (Closed Conduits) พร้อมบ่อพักก็ได้ โดยให้เป็นไปตามความเหมาะสมของพื้นที่และให้การไหลของน้ำมีความเร็วไม่น้อยกว่า ๐.๖๐ เมตรต่อวินาที เพื่อป้องกันการตกตะกอน ข้อ ๑๘ อัตราการไหลของน้ำในคลองระบาย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) กรณีรางระบายน้ำ ค.ส.ล. ให้มีความเร็วการไหลของน้ำตั้งแต่ ๐.๖๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๓.๐๐ เมตรต่อวินาที (๒) กรณีคลองดิน ให้มีความเร็วการไหลของน้ำตั้งแต่ ๐.๔๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๑.๐๐ เมตรต่อวินาที การกำหนดความเร็วการไหลของน้ำตาม (๑) และ (๒) ต้องคำนึงถึงการตกตะกอนและการกัดเซาะดินด้วย ข้อ ๑๙ กรณีการออกแบบระบบระบายน้ำฝนสำหรับนิคมอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ให้พิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ความสามารถของแหล่งรับน้ำภายนอกเพื่อรองรับน้ำจากนิคมอุตสาหกรรม (๒) ทิศทางการไหลของน้ำรอบบริเวณพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ทั้งในภาวะปกติและกรณีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย ให้ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมประสานกับผู้ดูแลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งรับน้ำ เพื่อบำรุงรักษาแหล่งรับน้ำให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการรับน้ำตามที่ได้ออกแบบไว้เป็นประจำทุกปี ข้อ ๒๐ นิคมอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องระบายน้ำออกนอกพื้นที่ ให้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่เดินด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นระบบหลัก และเครื่องสูบน้ำซึ่งเดินด้วยเครื่องยนต์เป็นระบบสำรองไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ณ บริเวณบ่อรับน้ำ (Retention Pond) เพื่อทำการสูบน้ำจากบ่อรับน้ำดังกล่าวและระบายลงสู่ระบบระบายน้ำฝนต่อไป กรณีการระบายน้ำออกนอกพื้นที่ตามวรรคหนึ่ง หากเป็นนิคมอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ต้องระบายน้ำให้ได้ร้อยละหนึ่งร้อยของปริมาณน้ำที่คำนวณได้ภายในเวลาไม่เกินสองชั่วโมง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะด้วยเครื่องสูบน้ำที่เดินด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องสูบน้ำสำรองซึ่งเดินด้วยเครื่องยนต์ก็ตาม บ่อรับน้ำ (Retention Pond) ตามวรรคหนึ่ง ต้องสร้างถนนให้มีความเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์และสะดวกในการบำรุงรักษา โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร หนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร และมีความพร้อมสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา ข้อ ๒๑ กรณีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นที่ลุ่มและมีน้ำท่วมขังต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำล้อมรอบพื้นที่โครงการ เพื่อป้องกันน้ำท่วมและป้องกันน้ำจากบริเวณรอบนอกไหลเข้าสู่พื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) คันกั้นน้ำต้องออกแบบให้มีลักษณะเป็นเขื่อน และมีโครงสร้างที่มีความแข็งแรงเพียงพอในการต้านทานแรงดันน้ำจากภายนอกโครงการ โดยให้คำนึงถึงสภาพน้ำไหลหรือน้ำซึมผ่านฐานเขื่อน และใต้เขื่อนด้วย (๒) คันกั้นน้ำต้องมีความสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบสิบปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร (๓) การก่อสร้างคันกั้นน้าต้องไม่ขวางทางน้ำหลากเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ แต่หากมีเหตุจำเป็นจะต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำขวางทางน้ำหลาก ให้จัดทำร่องน้ำเพื่อระบายน้ำที่จะท่วมขังให้ไหลออกสู่ทางน้ำสาธารณะได้โดยสะดวก (๔) สันเขื่อนต้องออกแบบให้มีทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) ด้วย โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร หนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร และต้องจัดให้มีทางขึ้น - ลงทุกระยะ ๘๐๐.๐๐ เมตร สำหรับการบำรุงรักษาปกติทั่วไปและในภาวะฉุกเฉิน หรือเสนอรูปแบบทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) และทางขึ้น - ลง ที่เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ (๕) ในกรณีที่มีความจำเป็น กนอ. อาจพิจารณาให้ดำเนินการถมพื้นที่บางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยก็ได้ โดยให้ถมดินสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดแต่ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดินกำหนด ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ข้อ ๒๒ นิคมอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ต้องดำเนินการก่อสร้างคันกั้นน้ำล้อมรอบพื้นที่โครงการเพื่อป้องกันน้ำท่วมและป้องกันน้ำจากบริเวณรอบนอกไหลเข้าสู่พื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) คันกั้นน้ำต้องออกแบบให้มีลักษณะเป็นเขื่อน และมีโครงสร้างที่มีความแข็งแรงเพียงพอในการต้านทานแรงดันน้ำจากภายนอกโครงการ โดยใช้เกณฑ์ระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปีเป็นฐานในการคำนวณ และต้องคำนึงถึงสภาพน้ำไหลหรือน้ำซึมผ่านฐานเขื่อนและใต้เขื่อนด้วย (๒) คันกั้นน้ำต้องมีความสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปี โดยกำหนดระยะส่วนเผื่อความสูง (Free Board) ไว้ไม่น้อยกว่า ๕๐.๐๐ เซนติเมตร (๓) การก่อสร้างคันกั้นน้ำต้องไม่ขวางทางน้ำหลากเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ แต่หากมีเหตุจำเป็นจะต้องก่อสร้างคันกั้นน้ำขวางทางน้ำหลาก ให้จัดทำร่องน้ำเพื่อระบายน้ำที่จะท่วมขังให้ไหลออกสู่ทางน้ำสาธารณะได้โดยสะดวก (๔) สันเขื่อนต้องออกแบบให้มีทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) ด้วย โดยมีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร และหนาไม่น้อยกว่า ๒๐.๐๐ เซนติเมตร ตลอดจนต้องจัดให้มีทางขึ้น - ลง ทุกระยะ ๘๐๐.๐๐ เมตรสำหรับการบำรุงรักษาปกติทั่วไปและในภาวะฉุกเฉิน หรือเสนอรูปแบบทางสำหรับการซ่อมบำรุง (Service Road) และทางขึ้น - ลงที่เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ (๕) การก่อสร้างคันกั้นน้ำจะต้องประสานกับหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดระบบการระบายน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนลดผลกระทบทั้งกรณีปริมาณของน้ำและทิศทางการไหลของน้ำที่ไหลเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรม (๖) ต้องจัดให้มีระบบการติดตามสถานการณ์น้ำ การเฝ้าระวังระดับน้ำภายนอก และการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงเสนอแผนป้องกันและมาตรการภาวะฉุกเฉินกรณีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย ตลอดจนการตรวจสอบสภาพของระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมเป็นประจำ พร้อมทั้งให้รายงานการตรวจสอบดังกล่าวต่อ กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุกปี (๗) ต้องจัดให้มีวิศวกรระดับสามัญวิศวกรเป็นผู้ลงนามรับรองการคำนวณและออกแบบระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมสำหรับพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัยด้วย ในกรณีที่มีความจำเป็น กนอ. อาจพิจารณาให้ดำเนินการถมพื้นที่บางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยก็ได้ โดยให้ถมดินสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบเจ็ดสิบปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า๕๐.๐๐ เซนติเมตร ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดินกำหนด ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ข้อ ๒๓ หลักเกณฑ์การออกแบบระบบระบายน้ำฝนและระบบป้องกันน้ำท่วมนอกจากที่กำหนดไว้ในหมวดนี้แล้ว ให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรมหรือมาตรฐานวิชาการกำหนดด้วย หมวด ๓ ระบบน้ำประปา ข้อ ๒๔ คุณภาพของน้ำประปาที่ใช้ในเขตนิคมอุตสาหกรรมต้องได้ค่ามาตรฐานของการประปานครหลวงหรือการประปาส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณี หรือเหมาะสมกับคุณภาพน้ำใช้สำหรับประเภทของกิจการแต่ละประเภทของนิคมอุตสาหกรรมนั้น ๆ ข้อ ๒๕ นิคมอุตสาหกรรมใดประสงค์จะใช้ระบบประปาโดยการผลิตจากแหล่งน้ำผิวดิน (ระบบน้ำดิบ) ต้องดำเนินการเพื่อให้ได้น้ำดิบที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๔ และมีปริมาณเพียงพอสำหรับการใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมนั้นตลอดทั้งปี ข้อ ๒๖ นิคมอุตสาหกรรมใดประสงค์จะใช้น้ำประปาจากระบบการผลิตน้ำประปาขึ้นเอง ต้องออกแบบระบบประปาให้มีความสามารถในการผลิตที่เพียงพอต่อการใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรม และให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๒๔ รวมถึงกรณีที่ใช้น้ำประปาจากภายนอกโครงการด้วย ข้อ ๒๗ การคิดคำนวณปริมาณความต้องการน้ำใช้ต่อพื้นที่การใช้สอยในนิคมอุตสาหกรรม ให้ประมาณการจากการใช้น้ำต่อหน่วยการผลิต รวมถึงโอกาสที่จะผลิตอย่างเต็มกาลังของแต่ละนิคมอุตสาหกรรม โดยให้คำนึงถึงปัจจัยประเภทอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมของพื้นที่ ตลอดจนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในอนาคตด้วย ข้อ ๒๘ ระบบการจ่ายน้ำประปา ให้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) การออกแบบติดตั้งท่อประปาต้องมีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และได้มาตรฐานตามหลักวิชาวิศวกรรม (๒) จ่ายน้ำประปาโดยวิธีแบบอัดแรงดันในเส้นท่อ หรือระบบหอถังสูงซึ่งมีแรงดันน้ำในท่อ ไม่น้อยกว่า ๑.๕๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๖.๐๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (๓) ถังสำหรับเก็บน้ำประปาต้องมีความจุอย่างน้อยแปดชั่วโมงของค่าความต้องการใช้น้ำสูงสุดต่อวัน โดยรวมถึงปริมาณน้ำสำรองสำหรับการดับเพลิงด้วย ข้อ ๒๙ กรณีระบบประปาซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมใด ได้ผลิตน้ำใช้ในพื้นที่ดังกล่าวในปริมาณและคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ และน้ำที่ผลิตเพื่อใช้ในพื้นที่นั้น ยังคงเหลือและเพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบประปาของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วต่อไปโดยไม่ต้องก่อสร้างระบบประปาขึ้นใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านวิศวกรรมและวิชาการกำหนด ภายใต้บังคับตามวรรคหนึ่ง หากได้มีการใช้น้ำปริมาณเกินกว่าร้อยละเจ็ดสิบของความสามารถในการผลิตจากระบบประปาที่มีอยู่เดิม ให้ดำเนินการเพื่อก่อสร้างระบบประปาแห่งใหม่ทันที หมวด ๔ ระบบบาบัดน้าเสีย ข้อ ๓๐ การออกแบบระบบบาบัดน้ำเสีย (Wastewater Treatment Plant) ให้ดำเนินการ ดังนี้ (๑) การคำนวณปริมาณน้ำเสีย (Designed Flow) เพื่อการออกแบบ ให้คิดคำนวณโดยใช้ค่าร้อยละแปดสิบของปริมาณน้ำใช้และปริมาณน้ำรั่วซึมเข้าเส้นท่อ หรือในกรณีที่มีข้อมูลปริมาณน้ำเสีย ที่เกิดขึ้นจริงก็สามารถคำนวณจากข้อมูลดังกล่าวตามความเหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ (๒) ต้องมีความเหมาะสมตามลักษณะสมบัติของน้ำเสียของแต่ละนิคมอุตสาหกรรม และการบำบัดน้ำเสียต้องเป็นไปตามมาตรฐานน้ำทิ้งตามที่กฎหมายกำหนด โดยให้มีบ่อเก็บน้ำทิ้งหลังการบำบัด (Holding Pond) ด้วย (๓) การบำบัดและกำจัดสลัดจ์ (Sludge Treatment and Disposal) ที่ออกจากระบบบาบัดน้ำเสียต้องดำเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสม หรืออาจส่งสลัดจ์ให้แก่ผู้รับบริการกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการถูกต้องตามกฎหมายรับไปดำเนินการบำบัดและกำจัดก็ได้ ข้อ ๓๑ ระบบระบายน้ำเสีย (Sewerage System) ต้องดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ระบบระบายน้ำเสียต้องแยกออกจากระบบระบายน้ำฝนโดยเด็ดขาด (๒) น้ำเสียที่เกิดขึ้นจากเขตอุตสาหกรรม เขตพาณิชยกรรม และเขตที่พักอาศัยให้ระบายลงสู่ระบบระบายน้ำเสีย (๓) ท่อระบายน้ำเสียต้องเป็นระบบท่อปิด มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อไม่น้อยกว่า ๐.๒๐ เมตร และมีความลึกของท้องท่อสูงสุดต้องไม่เกิน ๔.๐๐ เมตร (๔) ระยะห่างระหว่างบ่อพักน้ำเสีย (Manhole) ต้องไม่เกิน ๔๐.๐๐ เมตร ข้อ ๓๒ กรณีระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมใดได้บำบัดน้ำเสียในพื้นที่ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ และระบบบาบัดน้ำเสียนั้นยังคงมีขีดความสามารถและประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบบำบัดน้ำเสียของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วต่อไปได้โดยไม่ต้องก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านวิศวกรรมและวิชาการกำหนด ภายใต้บังคับตามวรรคหนึ่ง หากได้มีการบำบัดน้ำเสียเกินกว่าร้อยละเจ็ดสิบของความสามารถในการบำบัดน้ำเสียจากระบบบาบัดน้ำเสียที่มีอยู่เดิม ให้ดำเนินการเพื่อก่อสร้างระบบบาบัดน้าเสียแห่งใหม่ทันที หมวด ๕ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ข้อ ๓๓ ให้ผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีระบบสื่อสารโทรคมนาคมภายในนิคมอุตสาหกรรมเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการหรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างทั่วถึง รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และต้องจัดให้มีตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อให้บริการโดยทั่วไปด้วย หมวด ๖ ระบบไฟฟ้า ข้อ ๓๔ การออกแบบระบบไฟฟ้าต้องจัดทำตามแบบแปลน แผนผังตามแบบมาตรฐานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงกำหนด แล้วแต่กรณี ข้อ ๓๕ สายไฟฟ้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้าทุกชนิดที่ใช้กับระบบไฟฟ้าต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงกำหนด แล้วแต่กรณี ข้อ ๓๖ ค่ามาตรฐานความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ถือเกณฑ์ ๕๐ KVA ต่อพื้นที่ ๑ ไร่ สำหรับนิคมอุตสาหกรรมใดที่มีพื้นที่มากกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ ต้องจัดเตรียมพื้นที่ให้เพียงพอ และเหมาะสมเพื่อจัดตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยขึ้น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงกำหนด แล้วแต่กรณี หมวด ๗ ระบบดับเพลิงและระบบป้องกันอุบัติภัย ข้อ ๓๗ การออกแบบระบบท่อน้ำดับเพลิง ตลอดจนอุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้สำหรับการดับเพลิงต้องมีความเหมาะสมตามลักษณะ ประเภทและขนาดของกิจการโรงงานหรือกิจการการบริการในนิคมอุตสาหกรรมและต้องได้มาตรฐานการป้องกันอัคคีภัยหรือมาตรฐานทางราชการกำหนด ข้อ ๓๘ หัวดับเพลิง (Hydrant) ที่ใช้ในระบบดับเพลิงต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นแบบเปียก (Wet Barrel) (๒) หัวดับเพลิงต้องมีขนาดไม่น้อยกว่า ๑๐๐.๐๐ มิลิเมตร โดยมีขนาดของท่อต่อทางน้ำเข้าหัวดับเพลิงกับระบบท่อน้ำไม่น้อยกว่า ๑๕๐.๐๐ มิลลิเมตร และหัวน้ำออกขนาด ๖๕.๐๐ มิลลิเมตร พร้อมประตูน้ำจำนวน ๒ ทาง (๓) หัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงต้องเป็นหัวต่อแบบสวมเร็วชนิดตัวเมีย พร้อมฝาครอบและโซ่ (๔) ระยะห่างระหว่างท่อดับเพลิงแต่ละหัวต้องไม่เกิน ๑๕๐.๐๐ เมตร ข้อ ๓๙ ระบบส่งน้ำดับเพลิงต้องมีความเหมาะสมและมีแรงดันน้ำปลายท่อดับเพลิงที่จุดไกลสุดไม่น้อยกว่า ๑.๕๐ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร โดยใช้ระบบเครื่องสูบน้ำเพิ่มแรงดันน้ำด้วยก็ได้ ข้อ ๔๐ ให้จัดรถดับเพลิงที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐาน NFPA 1901 Standard for Automotive Fire Apparatus และสอดคล้องตามลักษณะ ประเภท และขนาดของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม หากนิคมอุตสาหกรรมใดตั้งอยู่ในท้องที่ที่มีหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ให้บริการเกี่ยวกับการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย ให้นิคมอุตสาหกรรมนั้นใช้บริการจากหน่วยงานดังกล่าวได้ ข้อ ๔๑ ให้มีมาตรการป้องกันอุบัติภัยและแผนฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ อุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินอื่น โดยให้เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ ตลอดจนบุคลากรอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมตามมาตรการดังกล่าวเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หมวด ๘ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูล ข้อ ๔๒ ในหมวดนี้ “กากอุตสาหกรรม” หมายความว่า ขยะหรือของเสียที่เกิดจากการประกอบกิจการในโรงงานโดยแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ กากอุตสาหกรรมไม่อันตรายซึ่งหมายความถึงขยะหรือของเสียที่ไม่ปนเปื้อน ผสม หรือปะปนกับสารอันตรายตามที่กฎหมายกำหนด และกากอุตสาหกรรมอันตราย ซึ่งหมายความถึงขยะหรือของเสียที่ปนเปื้อน ผสม หรือปะปนกับสารอันตรายหรือมีคุณสมบัติที่เป็นอันตรายตามที่กฎหมายกำหนด “มูลฝอยและสิ่งปฏิกูล” หมายความว่า ขยะหรือของเสียที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ในสถานที่หรือบริเวณใด ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ สถานบริการ ที่พักอาศัย เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกากอุตสาหกรรม ข้อ ๔๓ การคำนวณปริมาณกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูลในนิคมอุตสาหกรรม ให้ใช้หลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ให้คิดคำนวณอัตราการเกิดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในเขตพาณิชยกรรม และที่พักอาศัยจำนวนอัตรา ๐.๘๐ กิโลกรัมต่อคนต่อวัน อัตราความหนาแน่นของมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลเท่ากับ ๐.๓๐ กิโลกรัม ต่อลิตร (๒) ให้คิดคำนวณอัตราการเกิดกากอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมจำนวน ๑๘.๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ต่อวัน อัตราความหนาแน่นของกากอุตสาหกรรมเท่ากับ ๐.๑๕ กิโลกรัมต่อลิตร (๓) ให้คิดคำนวณการเกิดกากอุตสาหกรรมอันตรายเป็นร้อยละห้าของปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในเขตอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีข้อมูลปริมาณกากอุตสาหกรรม มูลฝอย และสิ่งปฏิกูลที่เกิดขึ้นจริงสามารถคำนวณจากข้อมูลดังกล่าวให้เหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ ข้อ ๔๔ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในนิคมอุตสาหกรรมให้ดำเนินการ ดังนี้ (๑) ให้ใช้บริการการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลจากผู้รับบริการกาจัดที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยราชการได้ (๒) กรณีนิคมอุตสาหกรรมใดมีความประสงค์จะสร้างระบบกาจัดกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลขึ้นเอง ต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเภทของกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายกำหนด ข้อ ๔๕ ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรม มูลฝอยและสิ่งปฏิกูลอื่นใด นอกจากที่กำหนดไว้แล้วในหมวดนี้ ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการหรือหน่วยงานราชการกำหนดด้วย หมวด ๙ ระบบติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ข้อ ๔๖ ให้ดำเนินการติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ (๑) ติดตามผลการปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการว่าจ้างบุคคลที่สามหรือหน่วยงานกลาง (Third Party) ที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ดำเนินการติดตามผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตลอดจนติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๒) ให้จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมตาม (๑) ทุก ๆ หกเดือน หรือสองครั้งต่อปี ทั้งนี้ ตามแนวทางที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด (๓) ติดตามตรวจสอบมลพิษและคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามกฎหมายหรือมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง หมวด ๑๐ ระบบรักษาความปลอดภัย ข้อ ๔๗ การจัดระบบรักษาความปลอดภัยของนิคมอุตสาหกรรม ต้องจัดให้มีสิ่งแสดงแนวเขตหรือขอบเขตของนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อตรวจตราและดูแลรักษาความปลอดภัยภายในเขตนิคมอุตสาหกรรม ณ บริเวณที่มีความจำเป็น และทางเข้า - ออกของนิคมอุตสาหกรรมเป็นประจำตลอดเวลา ข้อ ๔๘ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประกอบกิจการ หรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ที่เสี่ยงภัย นอกจากจะต้องดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๔๗ อย่างเคร่งครัดแล้ว ต้องจัดให้มีการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นและก่อความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรม โดยอาจพิจารณาเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรืออุปกรณ์สำหรับการป้องกันภัยหรือระวังภัย หรือมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นใด หรือขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสม หมวด ๑๑ การจัดสรรพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๔๙ การจัดสรรพื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมต้องจัดให้มีเขตพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว และพื้นที่แนวกันชน (Buffer Zone) ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว และพื้นที่แนวกันชน (Buffer Zone) ไม่น้อยกว่า ๒๕๐ ไร่ ทั้งนี้ ต้องมีพื้นที่สีเขียวไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของพื้นที่ดังกล่าว โดยมีแนวกันชน (Buffer Zone) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว้างไม่น้อยกว่า ๕.๐๐ เมตร (๒) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่เกินกว่า ๕๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว และพื้นที่แนวกันชน (Buffer Zone) ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนพื้นที่ทั้งหมด โดยมีแนวกันชน (Buffer Zone) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว้างไม่น้อยกว่า ๕.๐๐ เมตร (๓) นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ไม่เกิน ๕๐๐ ไร่ ให้มีพื้นที่ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว และพื้นที่แนวกันชน (Buffer Zone) ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนพื้นที่ทั้งหมด โดยมีแนวกันชน (Buffer Zone) รอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว้างไม่น้อยกว่า ๓.๐๐ เมตร หมวด ๑๒ ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นเพิ่มเติม ข้อ ๕๐ นิคมอุตสาหกรรมที่มีความประสงค์จะให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่นเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้แล้วในหมวด ๑ ถึงหมวด ๑๑ เช่น ศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์กลางการติดต่อสื่อสาร สถานพยาบาล หรือบริการรถรับส่ง เป็นต้น ให้ดำเนินการได้ตามความเหมาะสม หมวด ๑๓ การตรวจสอบการออกแบบ และก่อสร้าง ข้อ ๕๑ ในกรณีที่ กนอ. ตรวจพบว่าการออกแบบของบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาและการก่อสร้างไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางด้านวิศวกรรมและตามมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงานหรือผู้ก่อสร้าง แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดชอบแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด บทเฉพาะกาล ข้อ ๕๒ บรรดาแบบแปลน แผนผังของระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขออนุมัติตามข้อบังคับนี้โดยอนุโลม ในกรณีที่คำขออนุมัติดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็น หรือผู้จัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมจะขอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้ก็ได้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ชาญ/ผู้ตรวจ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๖๐ ง/หน้า ๒๐/๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕
665737
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยการขอผนวกพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2555
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอผนวกพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๕[๑] โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการขอผนวกพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบกับมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔ กับมติเวียนของคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ และมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขอผนวกพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๕” ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “การขอผนวกพื้นที่” หมายความว่า การนำที่ดินที่มีแนวเขตติดต่อกับนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. เพิ่มเข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า นิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการจัดตั้งขึ้นหรือร่วมดำเนินงานกับเอกชนในการจัดตั้งโดยมีข้อตกลงให้ กนอ. เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น “พื้นที่โครงการ” หมายความว่า พื้นที่ทั้งหมดที่ผู้ขอผนวกพื้นที่เสนอต่อ กนอ. เพื่อดำเนินการให้เป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม “ผู้ขอผนวกพื้นที่” หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่มีความประสงค์จะนำที่ดินที่ตนมีกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินเพิ่มเข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๔ การขอให้ กนอ. นำที่ดินในพื้นที่โครงการของผู้ขอผนวกพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม ผู้ขอผนวกพื้นที่ต้องเป็นผู้ลงทุนและพัฒนาที่ดินนั้นเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของตนตามหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๕ กนอ. เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้พื้นที่โครงการที่ขอผนวกได้รับการจัดตั้งให้เป็นส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรม โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมและคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ผังเมืองชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น รวมทั้งเป็นผู้พิจารณาอนุญาตการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงาน และการประกอบกิจการโรงงานภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนดด้วย ในกรณีที่ผู้ขอผนวกพื้นที่ได้ดำเนินกิจกรรมใดก่อนการขอผนวกพื้นที่ตามวรรคหนึ่ง หากการดำเนินกิจกรรมนั้นยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนด ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ขอผนวกพื้นที่ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด ข้อ ๖ ผู้ขอผนวกพื้นที่ต้องจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นเพิ่มเติมตามความจำเป็นเพื่อรองรับการประกอบกิจการที่เพิ่มขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๗ ผู้ขอผนวกพื้นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้ครบถ้วน เช่น การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รายงานการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) การจัดทำแนวป้องกัน (Protection Strip) เพื่อจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โรงงาน ข้อ ๘ ในกรณีที่มีการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินระหว่าง กนอ. กับผู้ขอผนวกพื้นที่ให้ใช้ราคาตามราคาตลาดหรือราคาประเมินหรือราคาตามมูลค่าทางบัญชีในขณะนั้น แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่าก็ให้ใช้ราคานั้น หากราคาที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของ กนอ. มีราคาสูงกว่า ผู้ขอผนวกพื้นที่ต้องชดใช้ราคาส่วนต่างนั้นให้ กนอ. และเมื่อมีการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินดังกล่าวแล้ว ผู้ขอผนวกพื้นที่ต้องดำเนินการพัฒนาหรือก่อสร้างทดแทน ในส่วนที่แลกเปลี่ยนไป ทั้งนี้ ผู้ขอผนวกพื้นที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการขอผนวกพื้นที่ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ข้อ ๙ ผู้ขอผนวกพื้นที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการขอผนวกพื้นที่ให้ กนอ. ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในกรณีที่ กนอ. เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น ข้อ ๑๐ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ ปณตภร/ผู้ตรวจ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๕ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๖๔ ง/หน้า ๕๔/๕ เมษายน ๒๕๕๕
752506
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ณ วันที่ 27/12/2553)
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๒๓ (๑) (๑๒) และ (๑๓) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๓๑ ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ (๒) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๔/๒๕๓๕ เรื่อง ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๖/๒๕๓๕ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ (๔) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๓๘ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๘ (๕) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๔) ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ (๖) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๔๐ เรื่อง การกำหนดประเภทของกิจการอุตสาหกรรม การค้าและการบริการที่พึงอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ลงวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “ผู้ประกอบกิจการ” หมายความว่า ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ค่าบริการ” หมายความว่า ค่าบริการต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น ค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ค่าบริการน้ำประปา เป็นต้น ตลอดจนค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ส่วนที่ ๑ บททั่วไป ข้อ ๖ การประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม มี ๔ ลักษณะ ดังนี้ (๑) การประกอบอุตสาหกรรม (๒) การประกอบการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๓) การประกอบพาณิชยกรรมในเขตประกอบการเสรี (๔) การประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๗ ประเภทและขนาดของการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่ กนอ. ได้กำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ การกำหนดหรือให้ความเห็นชอบประเภทและขนาดของการประกอบกิจการดังกล่าว ให้ กนอ. พิจารณาโดยคำนึงถึงความสอดคล้องและความเหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ในกรณีที่มีปัญหาว่าประเภทและขนาดของกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคหนึ่ง เป็นกิจการที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งแห่งใดได้หรือไม่ ให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการพิจารณา ข้อ ๘ ในกรณีที่ กนอ. กำหนดให้การขออนุญาต การแจ้ง หรือการติดต่อกรณีอื่นใดให้กระทำได้โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การดำเนินการใดตามข้อบังคับนี้ ถ้าได้กระทำโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๙ ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวมีความประสงค์จะซื้อหรือเช่าซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบจำนวนเนื้อที่ ข้อ ๑๐ การประกอบกิจการในเขตประกอบการเสรี ผู้ขออนุญาตต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ การนำของออกไปนอกราชอาณาจักรหรือการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในราชอาณาจักร ผู้ประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๑ ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ กนอ. กำหนด การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. พิจารณาถึงความสอดคล้องกับประเภทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมเป้าหมายตามที่คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ให้ กนอ. พิจารณาคำขออนุญาตและแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยเร็วภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากหน่วยราชการอื่นให้ขยายเวลาการแจ้งผลการพิจารณาออกไปจนกว่าหน่วยงานราชการนั้นได้พิจารณาเสร็จแล้ว จากนั้นให้ กนอ. ดำเนินการแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานราชการนั้น ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามที่กฎหมายกำหนดหรือกำหนดโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการจัดทำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งให้องค์การอิสระให้ความเห็นประกอบก่อน กนอ. จึงจะพิจารณาการประกอบกิจการดังกล่าวต่อไปได้[๒] ให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ตามวรรคสี่ ตามอัตราที่คณะกรรมการ กนอ. กำหนด[๓] ข้อ ๑๒ ในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้ กนอ. ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขออนุญาตมาทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามแบบที่ กนอ. กำหนด ณ ที่ทำการของ กนอ. หรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับมอบหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. เว้นแต่เป็นกรณีนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ร่วมดำเนินงานกับเอกชนหรือหน่วยงานอื่นและเอกชนหรือหน่วยงานอื่นนั้นเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี ก็ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งเฉพาะกรณีการทำสัญญาการใช้ที่ดิน (๒) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีเหตุจำเป็นไม่อาจมาทำสัญญาภายในเวลาที่กำหนดตาม (๑) ได้โดยมีหนังสือขอขยายระยะเวลา พร้อมทั้งแสดงเหตุผลความจำเป็นต่อ กนอ. ให้ กนอ. พิจารณาขยายระยะเวลาตามความเหมาะสม (๓) เมื่อผู้ขออนุญาตได้มาทำสัญญาตาม (๑) แล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด (๔) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่มาทำสัญญาตาม (๑) ภายในเวลาที่กำหนดและไม่มีหนังสือขอขยายระยะเวลาต่อ กนอ. ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งการไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมต่อไป สำหรับการขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ไม่ได้บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ถ้า กนอ. เห็นสมควรอนุญาต ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๒/๑[๔] ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ประกอบกิจการถูกร้องเรียนว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และต่อมาคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้ง ได้วินิจฉัยว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ผู้ประกอบกิจการจะต้องหยุดประกอบกิจการ และดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ วรรคสี่ ก่อน ข้อ ๑๓ การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมีระยะเวลาไม่เกินห้าปี โดยนับถึงวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ห้า การขอต่ออายุการอนุญาต ให้ยื่นคำขอก่อนวันที่การอนุญาตสิ้นผลไม่น้อยกว่าสามสิบวันตามแบบที่ กนอ. กำหนด เมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ประกอบกิจการต่อไปได้ ในกรณีที่ กนอ. ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข หรือระงับการประกอบกิจการได้ หนังสืออนุญาตให้ต่ออายุให้เป็นไปตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นบุคคลธรรมดา และภายหลังได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมื่อผู้ประกอบกิจการดังกล่าวได้มีหนังสือแจ้งตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตแก่นิติบุคคลนั้นต่อไป โดยให้ กนอ. แก้ไขชื่อผู้ประกอบกิจการในหนังสืออนุญาตเดิมให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ผู้ประกอบกิจการจะต้องทำบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดินหรือสัญญาโอนสิทธิตามแบบที่ กนอ. กำหนด แล้วแต่กรณี ให้กับ กนอ. ก่อนจึงจะถือว่านิติบุคคลนั้นได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๑๕ ผู้ใดได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม โดยเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย หรือกรรมสิทธิ์ตกทอด หากผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินนั้นมีหนังสือแจ้งความประสงค์ จะประกอบกิจการเดิมในนิคมอุตสาหกรรมต่อไปตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตให้แก่ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดนั้นต่อไป และให้นำความในข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดตามวรรคหนึ่ง ประสงค์จะประกอบกิจการประเภทอื่นที่แตกต่างไปจากที่ผู้ประกอบกิจการเดิมเคยได้รับอนุญาตจะต้องยื่นคำขออนุญาต เพื่อประกอบกิจการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามข้อ ๑๒ ข้อ ๑๕/๑[๕] ผู้ประกอบกิจการอาจได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การขอรับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดว่าด้วยการนั้น การอนุญาต หรืออนุมัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อ กนอ. พิจารณาแล้วเห็นสมควรอนุญาตหรืออนุมัติสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบกิจการ ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาต อนุมัติ แล้วแต่กรณี ให้แก่ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต่อไป หมวด ๒ เงื่อนไขการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาต ส่วนที่ ๑ เงื่อนไขทั่วไปสำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การประกอบการบริการ การประกอบพาณิชยกรรม และการประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๖ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการตามประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการตามที่ได้รับอนุญาต การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาใช้บังคับแก่การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการโดยอนุโลม และให้ระยะเวลาในการอนุญาตสิ้นผลไปพร้อมกับการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ในกรณีที่การเพิ่มหรือการแก้ไขเป็นการประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้นำความในส่วนที่ ๒ ของหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๑๗ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการให้เป็นไปตามแผนผังแม่บทสำหรับนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งและต้องพัฒนาที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๘ การก่อสร้าง การดัดแปลง การรื้อถอน หรือการเคลื่อนย้ายอาคาร รวมทั้งการขออนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผังรายละเอียด และรายงานการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารต่อ กนอ. เพื่อพิจารณาอนุญาตออกใบรับรอง แล้วแต่กรณี ตามแบบที่ กนอ. กำหนด ให้ กนอ. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประกอบกิจการทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ประกอบกิจการได้เสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดหรือรายงานตามวรรคหนึ่งครบถ้วนแล้ว เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมจะเริ่มประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งเริ่มประกอบกิจการต่อ กนอ. ตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบกิจการ และให้ กนอ. มีอำนาจเกี่ยวกับการตรวจสอบการแจ้ง ให้ปรับปรุงแก้ไข และการออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๒๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มประกอบกิจการภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการ เว้นแต่ (๑) ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. (๒) เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อ ๒๖ ข้อ ๑๙ การนำอาคารโรงงาน อาคารอื่น ๆ เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือทรัพย์สินอื่นที่ก่อสร้างหรือติดตั้งอยู่ในที่ดินของผู้ประกอบกิจการไปจำนอง ขายฝาก ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือก่อภาระผูกพันใด ๆ โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ.ทราบเป็นหนังสือภายในสิบห้าวันนับแต่ได้กระทำการดังกล่าว การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการประกอบกิจการที่กระทำอยู่หรือมีผลให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้ประกอบกิจการเข้ามาประกอบกิจการแทนจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. เป็นหนังสือจึงจะดำเนินการได้ ข้อ ๒๐ ผู้ประกอบกิจการต้องไม่ปลูกสร้างที่พักอาศัยใด ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องไม่ให้ผู้ใดพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินดังกล่าว เว้นแต่ (๑) เป็นผู้ประกอบกิจการซึ่งให้บริการที่พักอาศัยในบริเวณที่จัดไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยหรือเพื่อพาณิชย์และบริการตามแผนผังแม่บทของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง (๒) ได้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด (๓) กรณีอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๑ ผู้ประกอบกิจการต้องรักษาความสะอาดในโรงงานหรืออาคารอื่น ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องดำเนินการจัดเก็บสินค้า ผลิตภัณฑ์ให้เป็นหมวดหมู่ไม่ปะปนกัน ข้อ ๒๒ ในกรณีที่มีการหยุดดำเนินงาน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบเป็นหนังสือภายในสามเดือนนับแต่วันหยุดดำเนินงาน แต่ในกรณีที่เป็นการหยุดดำเนินงานเพื่อโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันโอน ข้อ ๒๓ การโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ผู้อื่น ผู้ประกอบกิจการต้องมีหนังสือแจ้งให้ กนอ. ทราบ และในกรณีที่ผู้รับโอนประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป ให้นำความในข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๔ ผู้ประกอบกิจการต้องชำระค่าบริการตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่ กนอ. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ชำระค่าบริการในครั้งใด กนอ. จะกำหนดอัตราค่าบริการครั้งถัดไปให้สูงขึ้นตามภาระค่าใช้จ่ายของ กนอ. ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมีการค้างชำระค่าบริการติดต่อกันตามระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด กนอ. อาจงดการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจนกว่าผู้ประกอบกิจการนั้น จะมาชำระค่าบริการทั้งหมด ส่วนที่ ๒ เงื่อนไขเฉพาะการประกอบอุตสาหกรรม ข้อ ๒๕ การตั้งโรงงาน การขยายโรงงาน การก่อสร้าง การแก้ไขต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารโรงงานหรืออาคารอื่นเพื่อการประกอบกิจการ หรือการขยายกิจการ รวมทั้งการอนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานต่อ กนอ. พร้อมทั้งแจ้งระยะเวลาการเริ่มก่อสร้าง และระยะเวลาการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมโดยมีกำหนดเวลาตามสมควรให้ กนอ. พิจารณา ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง หาก กนอ. พิจารณาแล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการก่อสร้างโรงงานไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ข้อ ๒๖ ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มก่อสร้างอาคารโรงงานและเริ่มประกอบอุตสาหกรรมภายในระยะเวลาที่ กนอ. พิจารณาให้ความเห็นชอบหรือได้กำหนดตามความเหมาะสมแห่งกิจการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. ข้อ ๒๗ เมื่อการก่อสร้างอาคารโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักร และทดลองเครื่องแล้วเสร็จพร้อมจะเริ่มประกอบอุตสาหกรรมและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมต่อ กนอ. ตามแบบ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบอุตสาหกรรม ในกรณี กนอ. ตรวจสอบการปฏิบัติตามคำขอ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข แล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ให้ กนอ. พิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนดภายในกำหนดเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้ ไม่นับระยะเวลาที่ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามวรรคสอง ให้ผู้ประกอบกิจการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมเมื่อได้รับใบรับแจ้งจาก กนอ. ข้อ ๒๘ ผู้ประกอบกิจการใดประสงค์จะขยายการประกอบกิจการ ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด เมื่อ กนอ. ได้พิจารณาความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและได้ตรวจสอบโรงงานเรียบร้อยแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมส่วนขยายตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๒๙ ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยในบริเวณข้างเคียง ดังต่อไปนี้ (๑) จัดให้มีและใช้ระบบบำบัดน้ำเสียเบื้องต้นที่มีขนาดและประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งทั้งหมดของโรงงานให้มีคุณลักษณะตามมาตรฐานที่ กนอ. กำหนดตลอดเวลาทำงาน (๒) จัดให้มีและใช้ระบบขจัดกลิ่น ฝุ่นละออง หรือวัตถุอันตรายที่มีประสิทธิภาพ (๓) ดำเนินการกำจัดกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียและกากอุตสาหกรรมจากกระบวนการผลิตให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ (๔) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควรหรือโดยสภาพเป็นกิจการที่ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ให้ กนอ. พิจารณาผ่อนผันหรือยกเว้นการดำเนินการดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควรหรือตามสภาพดังกล่าว แล้วแต่กรณี ส่วนที่ ๓ มาตรการบังคับ ข้อ ๓๐ ในกรณีผู้ประกอบกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หรือในการอนุญาต หรือในสัญญาการใช้ที่ดินหรือบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดิน ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไขปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมในระยะเวลาที่กำหนด ข้อ ๓๑ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามที่ กนอ. ได้มีหนังสือแจ้งตามข้อ ๓๐ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการดำเนินกิจการเพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ข้อ ๓๒ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ ๓๑ หรือไม่ชำระค่าบริการตามข้อ ๒๔ วรรคสอง หรือกรณีที่การประกอบกิจการต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ ให้ กนอ. มีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตได้ บทเฉพาะกาล ข้อ ๓๓ การอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ให้ไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาการอนุญาต และให้ กนอ.ดำเนินการอนุญาตให้ใหม่ โดยผู้ได้รับอนุญาตต้องมาทำสัญญาและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป การขออนุญาตเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตตามข้อบังคับนี้ และให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๖] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓[๗] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ปริยานุช/จัดทำ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ วริญา/เพิ่มเติม ๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๐๖ ง/หน้า ๓๙/๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑ [๒] ข้อ ๑๑ วรรคสี่ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๓] ข้อ ๑๑ วรรคห้า เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๓] [๔] ข้อ ๑๒/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๕] ข้อ ๑๕/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๖] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๕๖/๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ [๗] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔๙ ง/หน้า ๕๙/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓
752504
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ณ วันที่ 23/06/2553)
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๒๓ (๑) (๑๒) และ (๑๓) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๓๑ ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ (๒) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๔/๒๕๓๕ เรื่อง ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๖/๒๕๓๕ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ (๔) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๓๘ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๘ (๕) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๔) ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ (๖) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๔๐ เรื่อง การกำหนดประเภทของกิจการอุตสาหกรรม การค้าและการบริการที่พึงอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ลงวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “ผู้ประกอบกิจการ” หมายความว่า ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ค่าบริการ” หมายความว่า ค่าบริการต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น ค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ค่าบริการน้ำประปา เป็นต้น ตลอดจนค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ส่วนที่ ๑ บททั่วไป ข้อ ๖ การประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม มี ๔ ลักษณะ ดังนี้ (๑) การประกอบอุตสาหกรรม (๒) การประกอบการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๓) การประกอบพาณิชยกรรมในเขตประกอบการเสรี (๔) การประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๗ ประเภทและขนาดของการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่ กนอ. ได้กำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ การกำหนดหรือให้ความเห็นชอบประเภทและขนาดของการประกอบกิจการดังกล่าว ให้ กนอ. พิจารณาโดยคำนึงถึงความสอดคล้องและความเหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ในกรณีที่มีปัญหาว่าประเภทและขนาดของกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคหนึ่ง เป็นกิจการที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งแห่งใดได้หรือไม่ ให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการพิจารณา ข้อ ๘ ในกรณีที่ กนอ. กำหนดให้การขออนุญาต การแจ้ง หรือการติดต่อกรณีอื่นใดให้กระทำได้โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การดำเนินการใดตามข้อบังคับนี้ ถ้าได้กระทำโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๙ ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวมีความประสงค์จะซื้อหรือเช่าซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบจำนวนเนื้อที่ ข้อ ๑๐ การประกอบกิจการในเขตประกอบการเสรี ผู้ขออนุญาตต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ การนำของออกไปนอกราชอาณาจักรหรือการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในราชอาณาจักร ผู้ประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๑ ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ กนอ. กำหนด การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. พิจารณาถึงความสอดคล้องกับประเภทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมเป้าหมายตามที่คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ให้ กนอ. พิจารณาคำขออนุญาตและแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยเร็วภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากหน่วยราชการอื่นให้ขยายเวลาการแจ้งผลการพิจารณาออกไปจนกว่าหน่วยงานราชการนั้นได้พิจารณาเสร็จแล้ว จากนั้นให้ กนอ. ดำเนินการแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานราชการนั้น ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามที่กฎหมายกำหนดหรือกำหนดโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการจัดทำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งให้องค์การอิสระให้ความเห็นประกอบก่อน กนอ. จึงจะพิจารณาการประกอบกิจการดังกล่าวต่อไปได้[๒] ให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ตามวรรคสี่ ตามอัตราที่คณะกรรมการ กนอ. กำหนด[๓] ข้อ ๑๒ ในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้ กนอ. ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขออนุญาตมาทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามแบบที่ กนอ. กำหนด ณ ที่ทำการของ กนอ. หรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับมอบหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. เว้นแต่เป็นกรณีนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ร่วมดำเนินงานกับเอกชนหรือหน่วยงานอื่นและเอกชนหรือหน่วยงานอื่นนั้นเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี ก็ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งเฉพาะกรณีการทำสัญญาการใช้ที่ดิน (๒) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีเหตุจำเป็นไม่อาจมาทำสัญญาภายในเวลาที่กำหนดตาม (๑) ได้โดยมีหนังสือขอขยายระยะเวลา พร้อมทั้งแสดงเหตุผลความจำเป็นต่อ กนอ. ให้ กนอ. พิจารณาขยายระยะเวลาตามความเหมาะสม (๓) เมื่อผู้ขออนุญาตได้มาทำสัญญาตาม (๑) แล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด (๔) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่มาทำสัญญาตาม (๑) ภายในเวลาที่กำหนดและไม่มีหนังสือขอขยายระยะเวลาต่อ กนอ. ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งการไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมต่อไป สำหรับการขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ไม่ได้บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ถ้า กนอ. เห็นสมควรอนุญาต ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๒/๑[๔] ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ประกอบกิจการถูกร้องเรียนว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และต่อมาคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้ง ได้วินิจฉัยว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ผู้ประกอบกิจการจะต้องหยุดประกอบกิจการ และดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ วรรคสี่ ก่อน ข้อ ๑๓ การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมีระยะเวลาไม่เกินห้าปี โดยนับถึงวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ห้า การขอต่ออายุการอนุญาต ให้ยื่นคำขอก่อนวันที่การอนุญาตสิ้นผลไม่น้อยกว่าสามสิบวันตามแบบที่ กนอ. กำหนด เมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ประกอบกิจการต่อไปได้ ในกรณีที่ กนอ. ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข หรือระงับการประกอบกิจการได้ หนังสืออนุญาตให้ต่ออายุให้เป็นไปตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นบุคคลธรรมดา และภายหลังได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมื่อผู้ประกอบกิจการดังกล่าวได้มีหนังสือแจ้งตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตแก่นิติบุคคลนั้นต่อไป โดยให้ กนอ. แก้ไขชื่อผู้ประกอบกิจการในหนังสืออนุญาตเดิมให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ผู้ประกอบกิจการจะต้องทำบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดินหรือสัญญาโอนสิทธิตามแบบที่ กนอ. กำหนด แล้วแต่กรณี ให้กับ กนอ. ก่อนจึงจะถือว่านิติบุคคลนั้นได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๑๕ ผู้ใดได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม โดยเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย หรือกรรมสิทธิ์ตกทอด หากผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินนั้นมีหนังสือแจ้งความประสงค์ จะประกอบกิจการเดิมในนิคมอุตสาหกรรมต่อไปตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตให้แก่ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดนั้นต่อไป และให้นำความในข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดตามวรรคหนึ่ง ประสงค์จะประกอบกิจการประเภทอื่นที่แตกต่างไปจากที่ผู้ประกอบกิจการเดิมเคยได้รับอนุญาตจะต้องยื่นคำขออนุญาต เพื่อประกอบกิจการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามข้อ ๑๒ หมวด ๒ เงื่อนไขการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาต ส่วนที่ ๑ เงื่อนไขทั่วไปสำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การประกอบการบริการ การประกอบพาณิชยกรรม และการประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๖ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการตามประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการตามที่ได้รับอนุญาต การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาใช้บังคับแก่การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการโดยอนุโลม และให้ระยะเวลาในการอนุญาตสิ้นผลไปพร้อมกับการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ในกรณีที่การเพิ่มหรือการแก้ไขเป็นการประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้นำความในส่วนที่ ๒ ของหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๑๗ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการให้เป็นไปตามแผนผังแม่บทสำหรับนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งและต้องพัฒนาที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๘ การก่อสร้าง การดัดแปลง การรื้อถอน หรือการเคลื่อนย้ายอาคาร รวมทั้งการขออนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผังรายละเอียด และรายงานการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารต่อ กนอ. เพื่อพิจารณาอนุญาตออกใบรับรอง แล้วแต่กรณี ตามแบบที่ กนอ. กำหนด ให้ กนอ. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประกอบกิจการทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ประกอบกิจการได้เสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดหรือรายงานตามวรรคหนึ่งครบถ้วนแล้ว เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมจะเริ่มประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งเริ่มประกอบกิจการต่อ กนอ. ตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบกิจการ และให้ กนอ. มีอำนาจเกี่ยวกับการตรวจสอบการแจ้ง ให้ปรับปรุงแก้ไข และการออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๒๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มประกอบกิจการภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการ เว้นแต่ (๑) ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. (๒) เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อ ๒๖ ข้อ ๑๙ การนำอาคารโรงงาน อาคารอื่น ๆ เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือทรัพย์สินอื่นที่ก่อสร้างหรือติดตั้งอยู่ในที่ดินของผู้ประกอบกิจการไปจำนอง ขายฝาก ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือก่อภาระผูกพันใด ๆ โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ.ทราบเป็นหนังสือภายในสิบห้าวันนับแต่ได้กระทำการดังกล่าว การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการประกอบกิจการที่กระทำอยู่หรือมีผลให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้ประกอบกิจการเข้ามาประกอบกิจการแทนจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. เป็นหนังสือจึงจะดำเนินการได้ ข้อ ๒๐ ผู้ประกอบกิจการต้องไม่ปลูกสร้างที่พักอาศัยใด ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องไม่ให้ผู้ใดพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินดังกล่าว เว้นแต่ (๑) เป็นผู้ประกอบกิจการซึ่งให้บริการที่พักอาศัยในบริเวณที่จัดไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยหรือเพื่อพาณิชย์และบริการตามแผนผังแม่บทของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง (๒) ได้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด (๓) กรณีอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๑ ผู้ประกอบกิจการต้องรักษาความสะอาดในโรงงานหรืออาคารอื่น ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องดำเนินการจัดเก็บสินค้า ผลิตภัณฑ์ให้เป็นหมวดหมู่ไม่ปะปนกัน ข้อ ๒๒ ในกรณีที่มีการหยุดดำเนินงาน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบเป็นหนังสือภายในสามเดือนนับแต่วันหยุดดำเนินงาน แต่ในกรณีที่เป็นการหยุดดำเนินงานเพื่อโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันโอน ข้อ ๒๓ การโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ผู้อื่น ผู้ประกอบกิจการต้องมีหนังสือแจ้งให้ กนอ. ทราบ และในกรณีที่ผู้รับโอนประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป ให้นำความในข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๔ ผู้ประกอบกิจการต้องชำระค่าบริการตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่ กนอ. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ชำระค่าบริการในครั้งใด กนอ. จะกำหนดอัตราค่าบริการครั้งถัดไปให้สูงขึ้นตามภาระค่าใช้จ่ายของ กนอ. ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมีการค้างชำระค่าบริการติดต่อกันตามระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด กนอ. อาจงดการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจนกว่าผู้ประกอบกิจการนั้น จะมาชำระค่าบริการทั้งหมด ส่วนที่ ๒ เงื่อนไขเฉพาะการประกอบอุตสาหกรรม ข้อ ๒๕ การตั้งโรงงาน การขยายโรงงาน การก่อสร้าง การแก้ไขต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารโรงงานหรืออาคารอื่นเพื่อการประกอบกิจการ หรือการขยายกิจการ รวมทั้งการอนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานต่อ กนอ. พร้อมทั้งแจ้งระยะเวลาการเริ่มก่อสร้าง และระยะเวลาการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมโดยมีกำหนดเวลาตามสมควรให้ กนอ. พิจารณา ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง หาก กนอ. พิจารณาแล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการก่อสร้างโรงงานไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ข้อ ๒๖ ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มก่อสร้างอาคารโรงงานและเริ่มประกอบอุตสาหกรรมภายในระยะเวลาที่ กนอ. พิจารณาให้ความเห็นชอบหรือได้กำหนดตามความเหมาะสมแห่งกิจการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. ข้อ ๒๗ เมื่อการก่อสร้างอาคารโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักร และทดลองเครื่องแล้วเสร็จพร้อมจะเริ่มประกอบอุตสาหกรรมและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมต่อ กนอ. ตามแบบ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบอุตสาหกรรม ในกรณี กนอ. ตรวจสอบการปฏิบัติตามคำขอ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข แล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ให้ กนอ. พิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนดภายในกำหนดเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้ ไม่นับระยะเวลาที่ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามวรรคสอง ให้ผู้ประกอบกิจการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมเมื่อได้รับใบรับแจ้งจาก กนอ. ข้อ ๒๘ ผู้ประกอบกิจการใดประสงค์จะขยายการประกอบกิจการ ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด เมื่อ กนอ. ได้พิจารณาความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและได้ตรวจสอบโรงงานเรียบร้อยแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมส่วนขยายตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๒๙ ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยในบริเวณข้างเคียง ดังต่อไปนี้ (๑) จัดให้มีและใช้ระบบบำบัดน้ำเสียเบื้องต้นที่มีขนาดและประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งทั้งหมดของโรงงานให้มีคุณลักษณะตามมาตรฐานที่ กนอ. กำหนดตลอดเวลาทำงาน (๒) จัดให้มีและใช้ระบบขจัดกลิ่น ฝุ่นละออง หรือวัตถุอันตรายที่มีประสิทธิภาพ (๓) ดำเนินการกำจัดกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียและกากอุตสาหกรรมจากกระบวนการผลิตให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ (๔) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควรหรือโดยสภาพเป็นกิจการที่ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ให้ กนอ. พิจารณาผ่อนผันหรือยกเว้นการดำเนินการดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควรหรือตามสภาพดังกล่าว แล้วแต่กรณี ส่วนที่ ๓ มาตรการบังคับ ข้อ ๓๐ ในกรณีผู้ประกอบกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หรือในการอนุญาต หรือในสัญญาการใช้ที่ดินหรือบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดิน ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไขปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมในระยะเวลาที่กำหนด ข้อ ๓๑ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามที่ กนอ. ได้มีหนังสือแจ้งตามข้อ ๓๐ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการดำเนินกิจการเพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ข้อ ๓๒ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ ๓๑ หรือไม่ชำระค่าบริการตามข้อ ๒๔ วรรคสอง หรือกรณีที่การประกอบกิจการต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ ให้ กนอ. มีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตได้ บทเฉพาะกาล ข้อ ๓๓ การอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ให้ไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาการอนุญาต และให้ กนอ.ดำเนินการอนุญาตให้ใหม่ โดยผู้ได้รับอนุญาตต้องมาทำสัญญาและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป การขออนุญาตเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตตามข้อบังคับนี้ และให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๕] ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ปริยานุช/จัดทำ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ วริญา/เพิ่มเติม ๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๐๖ ง/หน้า ๓๙/๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑ [๒] ข้อ ๑๑ วรรคสี่ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๓] ข้อ ๑๑ วรรคห้า เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓[๓] [๔] ข้อ ๑๒/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ [๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๕๖/๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
642334
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบกับมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุม ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๑๕/๑ ของข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ “ข้อ ๑๕/๑ ผู้ประกอบกิจการอาจได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การขอรับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดว่าด้วยการนั้น การอนุญาต หรืออนุมัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง ให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อ กนอ. พิจารณาแล้วเห็นสมควรอนุญาตหรืออนุมัติสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบกิจการ ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาต อนุมัติ แล้วแต่กรณี ให้แก่ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต่อไป” ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ ณัฐวดี/ตรวจ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔๙ ง/หน้า ๕๙/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓
630899
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ และวรรคห้า ของข้อ ๑๑ ของข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ “ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามที่กฎหมายกำหนดหรือกำหนดโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการจัดทำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งให้องค์การอิสระให้ความเห็นประกอบก่อน กนอ. จึงจะพิจารณาการประกอบกิจการดังกล่าวต่อไปได้ ให้ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ตามวรรคสี่ ตามอัตราที่คณะกรรมการ กนอ. กำหนด” ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๑๒/๑ ของข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ “ข้อ ๑๒/๑ ในกรณีที่โครงการหรือกิจการของผู้ประกอบกิจการถูกร้องเรียนว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และต่อมาคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้ง ได้วินิจฉัยว่าโครงการหรือกิจการดังกล่าวเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ผู้ประกอบกิจการจะต้องหยุดประกอบกิจการ และดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ วรรคสี่ ก่อน” ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ นันท์นภัสร์/ตรวจ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ วริญา/ปรับปรุง ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๕๖/๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
630896
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดิน ในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2553
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดิน ในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) และมาตรา ๓๙/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๓” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “การจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า การจำหน่ายที่ดินแปลงเดียวหรือที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกันภายในแนวเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน ทั้งนี้ ต้องเป็นการจำหน่ายไปเพื่อเป็นที่ประกอบอุตสาหกรรม การบริการ พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม การบริการ หรือพาณิชยกรรม “สิทธิในที่ดิน” หมายความว่า กรรมสิทธิ์ที่ดิน และให้หมายความรวมถึงสิทธิครอบครองด้วย “พื้นที่สาธารณูปโภค” หมายความว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ระบบถนน ระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบระบายน้ำ เป็นต้น “บริการอื่น” หมายความว่า การให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นนอกเหนือจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต้องจัดให้มีในโครงการจัดสรรที่ดินที่กำหนดไว้ในโครงการที่ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามข้อบังคับนี้ “ใบอนุญาต” หมายความว่า ใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม “หนังสืออนุญาต” หมายความว่า หนังสืออนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน หรือหนังสืออนุญาตให้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการ และวิธีการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม และให้หมายความรวมถึงหนังสืออนุญาตให้ก่อภาระผูกพันแก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรด้วย “ผู้ขอจัดสรรที่ดิน” หมายความว่า เอกชนหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประสงค์จะจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้จัดสรรที่ดิน” หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรม และให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนใบอนุญาตและผู้รับโอนสิทธิในที่ดินจากผู้จัดสรรที่ดินคนก่อนด้วย “ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร” หมายความว่า ผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรรและให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อ ๆ ไปด้วย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ การกำกับ ดูแลการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๖ ให้ กนอ. กำกับ ดูแลการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้และกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) พิจารณาคำขออนุญาต การออกใบอนุญาต การโอนใบอนุญาตหรือเพิกถอนการโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม (๒) ตรวจสอบการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามแผนผังโครงการและวิธีการที่ได้รับอนุญาต (๓) พิจารณาการขออนุญาตแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผัง โครงการและวิธีการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม การขออนุญาตก่อภาระผูกพันแก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรร (๔) เรียกหรือเชิญให้บุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย ความเห็น แนะนำทางวิชาการหรือส่งเอกสารหรือข้อมูลการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมตามที่เห็นสมควร หมวด ๒ การขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน ในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๗ ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย ข้อ ๘ ผู้ใดประสงค์จะขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ยื่นคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินต่อ กนอ. พร้อมหลักฐานและรายละเอียดเท่าที่จำเป็นแก่กรณีการขอจัดสรรที่ดิน ดังต่อไปนี้ (๑) สำเนาโฉนดที่ดินหรือสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อผู้ขอจัดสรรที่ดินเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินและต้องเป็นที่ดินที่อยู่ภายในแนวเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้ว โดยที่ดินนั้นต้องปลอดจากบุริมสิทธิใด ๆ เว้นแต่บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (๒) ในกรณีที่ที่ดินที่ขอทำการจัดสรรที่ดินมีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือภาระการจำนอง ให้แสดงการบันทึกความยินยอมให้ทำการจัดสรรที่ดินของผู้ทรงบุริมสิทธิหรือผู้รับจำนองและจำนวนเงินที่ผู้ทรงบุริมสิทธิหรือผู้รับจำนองจะได้รับชำระหนี้จากที่ดินแปลงย่อยแต่ละแปลง และต้องระบุด้วยว่าที่ดินเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคหรือที่ดินที่ใช้เพื่อบริการอื่นไม่ต้องรับภาระหนี้บุริมสิทธิหรือจำนองดังกล่าว (๓) แผนผังแสดงจำนวนที่ดินแปลงย่อยที่จะขอจัดสรรและเนื้อที่โดยประมาณของที่ดินแปลงย่อยแต่ละแปลง (๔) โครงการปรับปรุงที่ดินที่ขอจัดสรร การจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการหรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งบริการอื่นตลอดจนการปรับปรุงอื่นตามความเหมาะสมกับลักษณะและขนาดของนิคมอุตสาหกรรม และสภาพของท้องถิ่น โดยแสดงแผนผัง รายละเอียดและรายการก่อสร้าง ประมาณการค่าก่อสร้าง และกำหนดเวลาที่จะจัดทำให้แล้วเสร็จ ในกรณีที่ได้มีการปรับปรุงที่ดินที่ขอจัดสรรหรือได้จัดทำระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่นแล้วเสร็จทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนขอทำการจัดสรรที่ดิน ให้แสดงแผนผังรายละเอียดและรายการก่อสร้างที่ได้จัดทำแล้วเสร็จนั้นด้วย แผนผังของระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นที่จะจัดให้มีทุกรายการจะต้องแสดงรายละเอียดของสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสภาพปัจจุบัน และสภาพหลังจากการปรับปรุงพัฒนาแล้ว ทั้งนี้ รายละเอียดของสิ่งที่ต้องแสดงในแผนผังแต่ละรายการให้เป็นไปตามที่ กนอ. กำหนด โดยให้มุมด้านล่างข้างขวาของกระดาษแผนผังจะต้องแสดงดัชนีแผนผังที่ต่อกัน (ในกรณีที่ต้องแสดงแผนผังเกินกว่า ๑ แผ่น) ชื่อโครงการ ที่ตั้งของที่ดิน ชื่อและที่ตั้งของสำนักงานจัดสรรที่ดิน ชื่อและลายมือชื่อของผู้ออกแบบและวิศวกรผู้คำนวณระบบต่าง ๆ พร้อมทั้งเลขทะเบียนใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรมและหรือสถาปัตยกรรมด้วย (๕) แผนงาน โครงการและการบำรุงรักษาสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก (๖) วิธีการจำหน่ายที่ดินจัดสรรและการชำระราคาหรือค่าตอบแทน (๗) ภาระผูกพันต่าง ๆ ที่บุคคลอื่นมีส่วนได้เสียเกี่ยวกับที่ดินที่ขอจัดสรรนั้น (๘) ที่ตั้งสำนักงานของผู้ขอจัดสรรที่ดิน (๙) หลักฐานการให้ความยินยอมหรือความเห็นชอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินที่จะขออนุญาตทำการจัดสรร ข้อ ๙ เมื่อ กนอ. ได้รับคำขอตามข้อ ๘ แล้วให้ตรวจสอบคำขอดังกล่าวหากเห็นว่าไม่ครบถ้วนให้แจ้งผู้ขอจัดสรรที่ดินดำเนินการส่งหลักฐาน และรายละเอียดเพิ่มเติมให้ครบถ้วนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ในกรณีผู้ขอจัดสรรที่ดินไม่ดำเนินการยื่นหลักฐานและรายละเอียดเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด หรือได้ยื่นหลักฐานและรายละเอียดเพิ่มเติมดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อ กนอ. แล้ว แต่หลักฐานและรายละเอียดนั้นยังไม่ครบถ้วน ให้ กนอ. สั่งไม่รับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดิน แล้วแจ้งคำสั่งดังกล่าวพร้อมส่งหลักฐานและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องคืนให้แก่ผู้ขอจัดสรรที่ดิน ในกรณีที่ กนอ. ตรวจสอบแล้วเห็นว่าหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นพร้อมคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง หรือหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคสองครบถ้วนแล้ว ให้รับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินและแจ้งให้ผู้ขอจัดสรรที่ดินทราบต่อไป ข้อ ๑๐ เมื่อ กนอ. ได้มีคำสั่งรับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินแล้ว ให้ กนอ. พิจารณาคำขอดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในห้าวันทำการนับแต่วันที่ได้มีคำสั่งรับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินและหลักฐานและรายละเอียดประกอบที่ถูกต้องและครบถ้วน หากเห็นสมควรอนุญาตให้เสนอผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายเพื่อพิจารณา เมื่อผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายเห็นชอบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาต พร้อมทั้งแจ้งผลการพิจารณาและจัดส่งสำเนาแผนผังโครงการ และวิธีการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมไปยังพนักงานเจ้าหน้าที่แห่งท้องที่ซึ่งที่ดินจัดสรรนั้นตั้งอยู่เพื่อใช้ประกอบการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินต่อไป ข้อ ๑๑ ให้ กนอ. ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอจัดสรรที่ดินเมื่อผู้ขอจัดสรรที่ดินได้ดำเนินการดังต่อไปนี้ครบถ้วนแล้ว (๑) รังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขอจัดสรร พร้อมออกโฉนดที่ดินตามแผนผังโครงการและวิธีการจัดสรรที่ดิน ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ต้องแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยเพื่อจัดสรร (๒) ให้ที่ดินแปลงย่อยที่จัดเป็นระบบสาธารณูปโภค ปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ ทั้งสิ้น (๓) ปรับปรุงที่ดินและจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ตามแผนผังโครงการและวิธีจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม หรือได้ดำเนินการจัดให้มีการค้ำประกันการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกตามข้อ ๑๕ ข้อ ๑๒ เมื่อได้ออกใบอนุญาตให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดินแล้ว ให้ กนอ. ส่งสำเนาใบอนุญาตพร้อมทั้งแผนผังโครงการ และวิธีการจัดสรรที่ดินที่อนุญาตไปยังพนักงานเจ้าหน้าที่แห่งท้องที่ซึ่งที่ดินจัดสรรนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอให้จดแจ้งในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตว่าที่ดินนั้นอยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน รวมทั้งเมื่อได้ออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยแล้วก็ขอให้จดแจ้งไว้ในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่แบ่งแยกนั้นด้วย ข้อ ๑๓ กรณีที่ดินจัดสรรมีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือการจำนองติดอยู่เมื่อได้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยแล้วผู้ขอจัดสรรที่ดินจะต้องนำโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปดำเนินการให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดแจ้งบุริมสิทธิหรือการจำนองนั้นในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยทุกฉบับ พร้อมทั้งระบุจำนวนเงินที่ผู้ทรงบุริมสิทธิหรือผู้รับจำนองจะได้รับชำระหนี้จากที่ดินแปลงย่อยแต่ละแปลงในสารบัญสำหรับจดทะเบียนด้วย และให้ถือว่าที่ดินแปลงย่อยเป็นประกันหนี้บุริมสิทธิหรือหนี้จำนองตามจำนวนเงินที่ระบุไว้นั้น ให้ที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคปลอดจากบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และภาระการจำนอง ข้อ ๑๔ ถ้าผู้ขอจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมประสงค์จะขอจัดสรรที่ดินเพิ่มเติมหรือขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผัง โครงการ หรือวิธีการจัดสรรที่ดินให้ยื่นคำขอพร้อมหลักฐานประกอบการพิจารณาต่อ กนอ. ทั้งนี้ ให้นำความตามข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ มาใช้บังคับกับการดังกล่าวโดยอนุโลม หมวด ๓ การค้ำประกันการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๑๕ กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายเห็นสมควรอนุญาตให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดินแล้ว แต่ผู้ขอจัดสรรที่ดินยังมิได้จัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการอื่น หรือการปรับปรุงที่ดิน หรือดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จตามแผนผังและโครงการผู้ขอจัดสรรที่ดินดังกล่าวต้องนำหลักประกันเป็นเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ กนอ. เชื่อถือได้ตามจำนวนที่ กนอ. กำหนด มามอบไว้ต่อ กนอ. เพื่อค้ำประกันการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการอื่น หรือการปรับปรุงที่ดิน หรือดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จตามแผนผังและโครงการ ถ้าผู้ขอจัดสรรที่ดินไม่จัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการอื่นหรือปรับปรุงที่ดินไม่แล้วเสร็จตามแผนผัง โครงการ และกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตไว้ หรือมีกรณีที่เชื่อได้ว่าจะไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามที่ได้รับอนุญาต ให้ กนอ. ใช้สิทธิริบหลักประกันหรือเรียกร้องให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินผู้ค้ำประกันชำระเงินให้แก่ กนอ. ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาค้ำประกันภายในเวลาที่กำหนด เพื่อที่ กนอ. จะได้ใช้เงินนั้นในการดำเนินการจัดให้มีสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่น หรือปรับปรุงที่ดินนั้นให้แล้วเสร็จตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาต หมวด ๔ การก่อภาระผูกพันแก่ที่ดินในโครงการ ข้อ ๑๖ ห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมกับบุคคลใดอันก่อให้เกิดภาระผูกพันใด ๆ แก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย ข้อ ๑๗ การขอทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้ (๑) เมื่อได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน และได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นแปลงย่อยตามแผนผัง โครงการและวิธีการตามที่ได้รับอนุญาตแล้วผู้จัดสรรที่ดินประสงค์จะทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินที่จัดสรร ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานต่อ กนอ. (๒) ให้ กนอ. พิจารณาตรวจสอบคำขอให้แล้วเสร็จภายในห้าวันทำการนับจากวันที่ กนอ. ได้รับคำขอ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องโดยถูกต้อง ครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาและเสนอผลการพิจารณาต่อผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย (๓) เมื่อผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายพิจารณาเห็นสมควรอนุญาตตามที่ผู้จัดสรรที่ดินมีคำขอแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตแก่ผู้จัดสรรที่ดินไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้จัดสรรที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาทราบโดยเร็ว ทั้งนี้ หนังสืออนุญาตต้องระบุชื่อโครงการจัดสรรที่ดิน เลขที่ใบอนุญาตทำการจัดสรรที่ดินเลขที่โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองประโยชน์ ประเภทหรือลักษณะการใช้ที่ดิน ประเภทนิติกรรมชื่อคู่กรณี และระยะเวลาในการก่อให้เกิดภาระผูกพันด้วย (๔) การทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินอันเป็นพื้นที่สาธารณูปโภค ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้ (๔.๑) ห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินอันเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคและที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะโดยการจดทะเบียนจำนอง สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดินสิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ (๔.๒) การทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินอันเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคและที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะโดยการจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ต้องเป็นถนนหรือทางเท้าเท่านั้น (๔.๓) การทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะโดยการให้เช่า ก. การให้เช่าที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะต้องเป็นการเช่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับลักษณะการให้บริการหรือการให้สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการจัดสรรที่ดินที่กำหนดไว้ในโครงการ ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย หรือสัญญาจะซื้อจะขายหรือเอกสารโฆษณา ข. เมื่อผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายได้อนุญาตให้เช่าแล้ว ต่อมามีการขออนุญาตให้เช่ากับคู่กรณีใหม่โดยยังอยู่ในระยะเวลาสัญญาเช่าเดิม ผู้จัดสรรที่ดินต้องแสดงหลักฐานว่าสัญญาเช่าเดิมได้ระงับไปแล้ว ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจึงจะอนุญาตให้เช่าได้ ค. เมื่อผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายได้อนุญาตให้เช่าแล้ว ต่อมาผู้เช่าจะให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซึ่งได้มีการตกลงให้ผู้เช่าสามารถให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าได้ การให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้จัดสรรที่ดิน ทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันและให้ผู้เช่าดำเนินการได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย แต่ทั้งนี้ผู้จัดสรรที่ดินจะต้องแจ้งการให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่านั้นให้ กนอ. ทราบด้วย (๔.๔) ผู้จัดสรรที่ดินที่ประสงค์จะทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินอันเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินแล้ว ให้ผู้จัดสรรที่ดินนั้นแจ้งความประสงค์ดังกล่าวต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินนั้นก่อน และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินนั้นด้วย (๕) การก่อภาระผูกพันในที่ดิน หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยการจำนอง วงเงินจำนองอย่างสูงต้องไม่เกินราคาประเมินแห่งทรัพย์สินที่จำนองนั้น สำหรับที่ดินให้ยึดถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ส่วนสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ขอจัดสรรที่ดินแสดงต้นทุนการก่อสร้างตามความเป็นจริงโดยแยกดังนี้ (๕.๑) กรณีที่ดินเปล่า วงเงินจำนองอย่างสูงต้องไม่เกินราคาประเมินที่ดินที่ใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดิน หรือราคาที่คณะกรรมการกำหนดหรือเห็นชอบ (๕.๒) กรณีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง วงเงินจำนองอย่างสูงต้องไม่เกินราคาประเมินที่ดินที่ใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดิน รวมกับราคาสิ่งปลูกสร้างตามราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างของ กนอ. หรือราคาที่คณะกรรมการกำหนดหรือเห็นชอบ (๕.๓) ราคาที่คณะกรรมการกำหนดหรือเห็นชอบ หมายถึง ราคาจากแหล่งข้อมูลที่สามารถนำมาประมวลเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาวงเงินที่จะอนุญาตให้จำนอง ดังต่อไปนี้ (ก) ราคาจำหน่ายของที่ดินที่ขอจำนองซึ่งแสดงไว้ในเอกสารโครงการและวิธีการจัดสรรที่ดิน (ข) ราคาจำหน่ายของที่ดินที่ขอจำนอง ซึ่งปรากฏในเอกสารโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์โครงการจัดสรรที่ดิน (ค) ราคาที่ดินที่ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินได้ประเมินเพื่อเป็นฐานในการอนุมัติสินเชื่อ (ง) ราคาที่บริษัทประเมินกลางที่เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย และได้รับอนุญาตให้ประเมินค่าทรัพย์สินโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้รับรอง ในกรณีที่ราคาตาม (ก) - (ง) ไม่ใกล้เคียงหรือไม่สอดคล้องกัน ให้ กนอ. พิจารณาแต่งตั้งผู้แทนไปตรวจสอบและพิจารณาใช้ราคาที่ดินโดยการเทียบเคียงกับที่ดินแปลงที่มีลักษณะและสภาพสาธารณูปโภคใกล้เคียงกัน (๖) ผู้รับจำนองต้องยินยอมเฉลี่ยหนี้และรับชำระหนี้เป็นรายโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงย่อย โดยถือว่าที่ดินแปลงย่อยแต่ละแปลงเป็นประกันหนี้จำนองเฉพาะส่วนตามวงเงินที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงย่อย และผู้รับจำนองยินยอมให้ผู้จำนองไถ่ถอนหรือปลอดจำนองเป็นรายโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงย่อยได้ (๗) ผู้จัดสรรที่ดินต้องจัดการให้ที่ดินแปลงย่อยปลอดภาระผูกพันก่อนจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินแก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร (๘) ห้ามมิให้ทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้ซื้อที่ดินที่จัดสรรแล้ว เว้นแต่มีข้อตกลงยกเว้นไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย หรือมีหนังสือยินยอมจากผู้ซื้อที่ดินจัดสรรให้ทำนิติกรรมประเภทจำนองได้ (๙) เงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่ กนอ. เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่ผู้ซื้อที่ดินที่จัดสรร หมวด ๕ การดำเนินการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่น แก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๘ การให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด หรือตามสัญญาหรือข้อตกลงที่ผู้จัดสรรที่ดินทำไว้กับ กนอ. หมวด ๖ การจัดการดูแล บำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๑๙ ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาต เช่น ถนน ทางเท้า สวนสาธารณะต้องจดทะเบียนภาระจำยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร ให้ผู้จัดสรรที่ดิน หรือ กนอ. แล้วแต่กรณี มีหน้าที่บำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกตามวรรคหนึ่งให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป และจะกระทำการใดอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตหรือข้อตกลงหรือสัญญาที่ผู้จัดสรรที่ดินทำไว้กับ กนอ. ข้อ ๒๐ กรณีผู้จัดสรรที่ดินซึ่งมีหน้าที่ดูแล บำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกตามข้อ ๑๙ กระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวก หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผิดไปจากแผนผัง โครงการ หรือวิธีการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย ให้ กนอ. สั่งให้ผู้จัดสรรที่ดินระงับการกระทำนั้นและให้จัดการดูแล บำรุงรักษาสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นหรือดำเนินการตามแผนผัง โครงการ หรือวิธีการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด หมวด ๗ การจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๒๑ การจัดเก็บเงินค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและจัดการสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่ กนอ. ประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ หมวด ๘ การยกเลิกการจัดสรรที่ดิน ข้อ ๒๒ กรณีผู้จัดสรรที่ดินประสงค์จะยกเลิกการจัดสรรที่ดิน ให้ยื่นคำขอต่อ กนอ. ตามแบบที่ กนอ. กำหนด การขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๒๓ ให้ กนอ. ปิดประกาศคำขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานนิคมอุตสาหกรรม สำนักงานของผู้จัดสรรที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดหรือสำนักงานที่ดินสาขาบริเวณที่ดิน ที่ทำการจัดสรร ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล การปิดประกาศตามวรรคหนึ่ง ให้มีกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ปิดประกาศ และให้ผู้จัดสรรที่ดินประกาศในหนังสือพิมพ์ซึ่งแพร่หลายในท้องถิ่นนั้นไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรทราบด้วย ข้อ ๒๔ ให้ผู้ซึ่งมีประโยชน์เกี่ยวข้องกับการจัดสรรที่ดินที่ประสงค์จะคัดค้านคำขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินยื่นคำคัดค้านต่อ กนอ. ภายในสามสิบวันนับแต่วันครบกำหนดปิดประกาศตามข้อ ๒๒ ถ้าไม่มีผู้ใดคัดค้านภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ส่วนงานเจ้าของเรื่องเสนอเรื่องให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายสั่งยกเลิกการจัดสรรที่ดินนั้น สำหรับกรณีผู้ซื้อที่ดินจัดสรรคัดค้าน ให้ กนอ. ยกเลิกเรื่องขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินนั้นส่วนกรณีหากมีผู้คัดค้านแต่มิใช่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ให้ กนอ. เสนอคำขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินและคำคัดค้านให้ผู้ว่าการพิจารณา ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของผู้ว่าการให้เป็นที่สุด ข้อ ๒๕ เมื่อผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายสั่งยกเลิกการจัดสรรที่ดินแล้ว ใบอนุญาตที่ได้ออกตามข้อบังคับนี้ ให้เป็นอันยกเลิก บทเฉพาะกาล ข้อ ๒๖ บรรดาคำขออนุมัติหรืออนุญาตที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตดำเนินการจัดสรรที่ดินหรือเปลี่ยนแปลงการจัดสรรที่ดินตามข้อบังคับนี้โดยอนุโลม ในกรณีที่คำขออนุมัติ อนุญาตดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากคำขออนุมัติอนุญาตตามข้อบังคับนี้ ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ นันท์นภัสร์/ตรวจ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๗๘ ง/หน้า ๑๔๔/๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
624878
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วย กำหนดประเภทโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องติดตั้งเครื่องมือหรือ เครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. 2553
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วย กำหนดประเภทโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องติดตั้งเครื่องมือหรือ เครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. ๒๕๕๓ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบกับมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุม ครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในข้อบังคับนี้ “โรงงาน” หมายความว่า โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าทุกขนาดลำดับที่ ๘๘ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือโรงงานในลำดับอื่น ๆ ที่มีแหล่งกำเนิดมลพิษในทำนองเดียวกัน “เครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ” หมายความว่า เครื่องตรวจวัดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศจากปล่องที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring Systems : CEMS) ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วน คือ (๑) ส่วนการเก็บและส่งตัวอย่าง (Sampling interface/Sampling delivery system) (๒) ส่วนการวิเคราะห์ (Analyzer) (๓) ส่วนการจัดการข้อมูล (Data acquisition system) ข้อ ๒ โรงงานตามที่กำหนดในข้อบังคับนี้ต้องติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษ เพื่อตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ ดังนี้ ขนาดของหน่วยการผลิต ประเภทโรงงาน ค่าต่าง ๆ ของเครื่องมือหรือ เครื่องอุปกรณ์พิเศษที่ต้อง ตรวจวัด หมายเหตุ หน่วยผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่มีกำลังการผลิตทุกขนาด โรงงานลำดับที่ ๘๘ ตาม กฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๕) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตาม ความในพระราชบัญญัติ โรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือโรงงานในลำดับอื่น ๆ ที่มีแหล่งกำเนิดมลพิษ ในทำนองเดียวกัน ความทึบแสงหรือฝุ่นละออง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ออกไซด์ของ ไนโตรเจน (NOx) ก๊าซออกซิเจน (O2) ๑) หากเชื้อเพลิงไม่มี กำมะถันไม่ต้องตรวจวัด SO2 ๒) หากเชื้อเพลิงเป็น ก๊าซธรรมชาติไม่ต้อง ตรวจวัด SO2 และความ ทึบแสงหรือฝุ่นละออง ค่าต่าง ๆ ของเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษที่ต้องตรวจวัดมีหน่วยวัด ดังนี้ ค่าต่าง ๆ ของเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์ที่ต้องตรวจวัด หน่วยวัด ความทึบแสง (Opacity) ร้อยละ (%) ฝุ่นละออง (Particulate) มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (mg/m3) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide: SO2) ส่วนในล้านส่วน (ppm) ออกไซด์ของไนโตรเจน (Oxides of nitrogen: NOx) วัดในรูปไนโตรเจนไดออกไซด์ ส่วนในล้านส่วน (ppm) ก๊าซออกซิเจน (Oxygen: O2) ร้อยละโดยปริมาณ (% by volume) ข้อ ๓ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ ตลอดจนค่าต่าง ๆ ที่ตรวจวัดวิเคราะห์ให้ใช้วิธีที่องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Environmental Protection Agency : U.S. EPA) กำหนดไว้ หรือวิธีอื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเห็นชอบ ในการตรวจวัดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศจากปล่องที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอย่างต่อเนื่องแบบแบ่งคาบเวลา (Time Sharing) สามารถใช้เครื่องตรวจวัดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศชุดเดียวกันสำหรับปล่องที่มากกว่า ๑ ปล่องแต่ไม่เกิน ๓ ปล่อง ทั้งนี้ คุณภาพอากาศที่ระบายออกจากปล่องเหล่านั้นต้องมีคุณสมบัติและสภาวะที่คล้ายคลึงกัน เช่น กระบวนการผลิตใกล้เคียงกัน ใช้เชื้อเพลิงประเภทเดียวกัน ค่าความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศใกล้เคียงกัน ข้อ ๔ คุณลักษณะเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์ที่สอดคล้องกับการเชื่อมโยงระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (CEMS) คุณลักษณะเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์ที่สอดคล้องกับการเชื่อมโยงระบบ CEMS เป็นดังนี้ (๑) มี Modem ที่ใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างน้อย ๑ ชุด หรือมีช่องทางการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Internet ที่สามารถเชื่อมโยงได้ตลอดเวลา (๒) มีระบบสัญญาณเตือนเมื่อค่าที่วัดได้เกินกว่าค่าที่กำหนด และต้องส่งข้อมูลให้กับศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม หรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนดได้ทันที (๓) สามารถส่งข้อมูลปัจจุบันอย่างต่อเนื่องให้กับศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมหรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนดได้ (๔) สามารถเก็บข้อมูล (History) ได้อย่างน้อย ๓๐ วัน และสามารถส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม หรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนดได้เมื่อมีการร้องขอ ทั้งนี้ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์รับข้อมูลและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operate) ให้แก่ศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม หรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๕ การเชื่อมโยงระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (CEMS) การเชื่อมโยงระบบ CEMS ต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ เมื่อโรงงานได้ติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่องแล้ว โรงงานจะต้องแจ้งข้อมูลดังต่อไปนี้ ต่อศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม หรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนด (๑) ชื่อและทะเบียนโรงงาน (๒) รายละเอียดปล่องและเครื่องมืออุปกรณ์ที่ติดตั้ง (๓) ค่าที่ทำการตรวจวัด (Parameters) (๔) รายละเอียดเครื่องมือและอุปกรณ์ส่งสัญญาณ (๕) หมายเลขโทรศัพท์ของโรงงานที่ใช้เชื่อมต่อกับระบบเชื่อมโยงของศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม หรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) ชื่อผู้ประสานงานและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ เมื่อศูนย์รับข้อมูลพร้อมสำหรับการเชื่อมโยงระบบแล้ว โรงงานจะต้องทำการทดสอบระบบและส่งข้อมูลให้ศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม หรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนดทันที ข้อ ๖ การรายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ ให้รายงานผลที่ความดัน ๑ บรรยากาศ หรือที่ ๗๖๐ มิลลิเมตรปรอท อุณหภูมิ ๒๕ องศาเซลเซียสที่สภาวะแห้ง (Dry basis) โดยมีปริมาตรอากาศส่วนเกิน (Excess air) ร้อยละ ๕๐ หรือมีปริมาตรออกซิเจนส่วนเกิน (Excess Oxygen) ร้อยละ ๗ และรายงานเป็นค่าเฉลี่ยทุก ๆ ๑ ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง โดยที่การรายงานผลการตรวจวัดต้องมีข้อมูลเกินกว่าร้อยละ ๘๐ ของช่วงเวลาทั้งหมดในแต่ละวัน (๐.๐๐ น. - ๒๔.๐๐ น.) หากมีเหตุขัดข้องไม่ว่ากรณีใด ๆ และไม่สามารถรายงานผลการตรวจวัดได้ หรือมีข้อมูลน้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ในวันนั้น ๆ ให้รายงานสาเหตุและการแก้ไขปัญหามายังศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม หรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนดภายในวันเดียวกันหรือวันถัดไปโดยไม่เว้นวันหยุดราชการ การส่งรายงานผลการตรวจวัดให้ส่งมายังศูนย์รับข้อมูลของสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมหรือที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนด โดยผ่านระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมหรือระบบเครือข่ายโทรศัพท์หรือระบบสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) ข้อ ๗ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับกับโรงงานที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่ง ข้อ ๘ โรงงานที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการโรงงานหลังวันที่ข้อบังคับนี้มีผลบังคับใช้ให้ติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติให้แล้วเสร็จก่อนแจ้งเริ่มประกอบกิจการโรงงาน ในกรณีโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการโรงงานก่อนวันที่ข้อบังคับนี้มีผลบังคับใช้ให้ติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑] ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓ นันท์นภัสร์/ตรวจ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๒๖ ง/หน้า ๔๑/๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
618622
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และความในข้อ ๒ และข้อ ๓ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมอุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๒๕/๑ ของข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ “ข้อ ๒๕/๑ กรณีระบบประปาซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมใดได้ผลิตน้ำใช้ในพื้นที่ดังกล่าวในปริมาณและคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ และน้ำที่ผลิตเพื่อใช้ในพื้นที่นั้นยังคงเหลือและเพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบประปาของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วต่อไปได้โดยไม่ต้องก่อสร้างระบบประปาขึ้นใหม่ แต่ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านวิศวกรรม และวิชาการด้วย ถ้าปรากฏว่าระบบประปาตามวรรคหนึ่ง ได้มีการใช้น้ำในปริมาณจำนวนเกินกว่าร้อยละ ๗๐ ของความสามารถในการผลิตน้ำจากระบบประปาที่มีอยู่เดิม ให้ทำการก่อสร้างระบบประปาแห่งใหม่ทันที” ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๒๗/๑ ของข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ “ข้อ ๒๗/๑ กรณีระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งจัดให้มีในพื้นที่ที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมใดได้บำบัดน้ำเสียในพื้นที่ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ และระบบบำบัดน้ำเสียนั้นยังคงมีขีดความสามารถและประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับการให้บริการแก่พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้พื้นที่ที่พัฒนาเพิ่มเติมนั้นใช้ระบบบำบัดน้ำเสียของพื้นที่ที่พัฒนาแล้วต่อไปได้โดยไม่ต้องก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นใหม่ แต่ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านวิศวกรรม และวิชาการด้วย ถ้าปรากฏว่าระบบบำบัดน้ำเสียตามวรรคหนึ่ง ได้มีการบำบัดน้ำเสียเกินกว่าร้อยละ ๗๐ ของความสามารถในการบำบัดน้ำเสียจากระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่เดิม ให้ทำการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ทันที” ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ นันท์นภัสร์/ตรวจ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๖๐ ง/หน้า ๙๐/๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
607015
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประเภทท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. 2552
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่น ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประเภทท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. ๒๕๕๒ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๖ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประเภทท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน พ.ศ. ๒๕๕๒” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “ท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตประกอบการเสรี ที่กำหนดพื้นที่ไว้สำหรับการประกอบกิจการท่าเรือเพื่อรองรับกิจการอุตสาหกรรมบริการ หรือกิจการอื่น ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องตามที่ กนอ. กำหนด “พื้นที่โครงการ” หมายความว่า พื้นที่ทั้งหมดที่ผู้ร่วมดำเนินงานเสนอเพื่อขอเข้าร่วมดำเนินงานจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน “ผู้ขอร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ซึ่งมีความประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ในการจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน “ผู้ร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ขอร่วมดำเนินงานที่ได้รับอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ข้อ ๔ ผู้ขอร่วมดำเนินงานที่ประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. เพื่อจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานต้องเป็นผู้จัดหาพื้นที่ พร้อมทั้งลงทุนและพัฒนาโครงการให้เป็นท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน โดยผู้ขอร่วมดำเนินงานต้องเสนอข้อมูลของโครงการจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต่อ กนอ. เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ ข้อ ๕ เมื่อคณะกรรมการได้อนุมัติโครงการจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานแล้ว ผู้ขอร่วมดำเนินงานต้องทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ตามแบบและระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด กรณีผู้ขอร่วมดำเนินงานไม่ได้ทำสัญญาร่วมดำเนินงานภายในระยะเวลาที่ กนอ. กำหนดให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพิกถอนการอนุมัติโครงการจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานนั้น ข้อ ๖ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นตามความจำเป็นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม หรือตามที่คณะกรรมการกำหนด ตลอดจนการปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยถ้ามี ให้ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นโดยต้องชำระค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานให้แก่ กนอ. รวมทั้งต้องจัดให้มีกองทุนหลักประกันเพื่อบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนวิธีใช้และจ่ายเงินกองทุนดังกล่าวตามที่คณะกรรมการกำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ข้อ ๗ เมื่อผู้ร่วมดำเนินงานได้ทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งท่าเรืออุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานแล้ว ให้ กนอ. ดำเนินการให้พื้นที่โครงการดังกล่าวเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป ข้อ ๘ ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดค่าบริการต่าง ๆ ของผู้ร่วมดำเนินงานตามความเหมาะสมและความจำเป็นในด้านธุรกิจโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ข้อ ๙ ในวันทำสัญญาร่วมดำเนินงาน หรือวันทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเพื่อขยายการพัฒนาในแต่ละระยะ แล้วแต่กรณี ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดให้มีหลักประกันสัญญาเป็นเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ กนอ. เห็นชอบในอัตราที่คณะกรรมการกำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ข้อ ๑๐ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๘๑ ง/หน้า ๒๖/๙ มิถุนายน ๒๕๕๒
599511
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. 2552
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่น ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. ๒๕๕๒ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๖ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. ๒๕๕๒” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “การบริการ” หมายถึง การประกอบกิจการ การประกอบธุรกิจ หรือกิจกรรมที่ไม่ใช่เป็นการผลิตสินค้าตามประเภทหรือชนิดของโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน “นิคมอุตสาหกรรมบริการ” หมายถึง นิคมอุตสาหกรรมที่มีการจัดพื้นที่เพื่อรองรับการประกอบกิจการการบริการที่ กนอ. กำหนด ทั้งนี้ ให้มีพื้นที่สำหรับการประกอบกิจการโรงงานได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของพื้นที่โครงการ “พื้นที่โครงการ” หมายความว่า พื้นที่ทั้งหมดที่ผู้ร่วมดำเนินงานเสนอเพื่อขอเข้าร่วมดำเนินงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. “ผู้ขอร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ซึ่งมีความประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ในการขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ “ผู้ร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ขอร่วมดำเนินงานที่ได้รับอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. “กองทุน” หมายความว่า กองทุนหลักประกันเพื่อการบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกของนิคมอุตสาหกรรมบริการ ข้อ ๔ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ การดำเนินการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ ข้อ ๕ กรณีผู้ขอร่วมดำเนินงานประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ ผู้ขอร่วมดำเนินงานดังกล่าวต้องเป็นผู้จัดหาที่ดิน พร้อมทั้งลงทุนและพัฒนาโครงการเพื่อขาย ให้เช่า หรือให้เช่าซื้อที่ดินนั้น ผู้ขอร่วมดำเนินงานต้องเสนอข้อมูลของโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ต่อ กนอ. เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ ข้อ ๖ กรณีคณะกรรมการได้อนุมัติโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการตามที่ผู้ขอร่วมดำเนินงานเสนอแล้ว ให้ กนอ. ดำเนินการเพื่อให้พื้นที่โครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ รวมทั้งพิจารณาอนุญาตการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงานและการประกอบกิจการโรงงานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด การดำเนินการให้เขตพื้นที่โครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการตามวรรคหนึ่ง จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินผู้ซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากผู้ขอร่วมดำเนินงานแล้วทุกราย ข้อ ๗ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการตามข้อบังคับนี้ ให้ กนอ. หรือผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นในนิคมอุตสาหกรรมบริการตามที่กำหนดไว้ในหมวด ๒ และหมวด ๓ แล้วแต่กรณี กรณีตามวรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ร่วมดำเนินงานนำอสังหาริมทรัพย์ ส่วนควบและอุปกรณ์ซึ่งใช้เป็นระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไปใช้เป็นหลักประกันหนี้ หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันไม่ว่าในกรณีใด ๆ ข้อ ๘ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นตามความจำเป็นแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการตามข้อบังคับของคณะกรรมการว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๙ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการกับ กนอ. ตามแบบที่ กนอ. กำหนด นอกจากนี้จะต้องจัดให้มีสถานที่ทำงาน ที่พัก และยานพาหนะพร้อมเชื้อเพลิง รวมทั้งสิ่งของที่จำเป็นอื่น ๆ ให้เหมาะสมและเพียงพอต่อการปฏิบัติงานของพนักงาน กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๑๐ กรณีผู้ร่วมดำเนินงานได้ตกลงและทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการกับ กนอ. แล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ร่วมดำเนินงานไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข หรือสัญญาในการร่วมดำเนินงาน อีกทั้งไม่ได้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด และหลักเกณฑ์ เงื่อนไข หรือสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสาระสำคัญให้ กนอ. เรียกค่าเสียหาย ถ้ามี หรือบอกเลิกสัญญาโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการนั้นโดยผู้ร่วมดำเนินงานต้องโอนบรรดากรรมสิทธิ์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ส่วนควบ และอุปกรณ์ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้แก่ กนอ. เพื่อดำเนินงานนิคมอุตสาหกรรมบริการต่อไปตามที่ตกลงไว้ในสัญญาร่วมดำเนินงาน ข้อ ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า ค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนค่าบำรุงรักษา สิ่งอำนวยความสะดวก และค่าบริการต่าง ๆ ของผู้ร่วมดำเนินงานในนิคมอุตสาหกรรมบริการ ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมและความจำเป็นในด้านธุรกิจโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ หมวด ๒ หลักเกณฑ์และเงื่อนไข กรณี กนอ. เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น ข้อ ๑๒ กรณี กนอ. เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นให้ผู้ร่วมดำเนินงานเลือกชำระค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานวิธีใดวิธีหนึ่งแก่ กนอ. ดังต่อไปนี้ (๑) กรณีชำระค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนเป็นเงินร้อยละ ๑๘ ของค่าพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ระบบถนน ระบบประปา ระบบระบายน้ำ ระบบป้องกันน้ำท่วม ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบกำจัดขยะ อาคารสำนักงาน เป็นต้น ให้แบ่งสัดส่วนการชำระ ดังนี้ (๑.๑) ชำระค่าบริหารโครงการ เป็นจำนวนเงินร้อยละ ๔๐ ของเงินค่าบริหารโครงการและค่ากองทุน ทั้งนี้ ให้แบ่งชำระเป็นรายปีปีละเท่ากันภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันที่ลงนาม ในสัญญาร่วมดำเนินงาน (๑.๒) ชำระค่ากองทุน เป็นจำนวนเงินร้อยละ ๖๐ ของเงินค่าบริหารโครงการและค่ากองทุน ทั้งนี้ ให้แบ่งชำระเป็นรายปีปีละเท่ากันภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันที่ลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน (๒) กรณีชำระค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนตามจำนวนพื้นที่โครงการ ให้แบ่งชำระตามสัดส่วน ดังนี้ (๒.๑) ชำระค่าบริหารโครงการ (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๒๑,๖๐๐ บาท ต่อไร่ (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๑๐,๘๐๐ บาท ต่อไร่ (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ขึ้นไป ให้ชำระเงินจำนวน ๕,๔๐๐ บาท ต่อไร่ (๒.๒) ชำระค่ากองทุน (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๓๒,๔๐๐ บาท ต่อไร่ (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท ต่อไร่ (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ขึ้นไป ให้ชำระเงินจำนวน ๒๑,๖๐๐ บาท ต่อไร่ ข้อ ๑๓ การชำระค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนตามข้อ ๑๒ (๒) ให้ผู้ร่วมดำเนินงานชำระเป็นเงินตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ครั้งที่หนึ่ง ชำระเงินร้อยละ ๕ ของค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนตามข้อ ๑๒ (๒.๑) และ (๒.๒) ในวันลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน (๒) ครั้งที่สอง ชำระเงินร้อยละ ๕ ของค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนตาม ข้อ ๑๒ (๒.๑) และ (๒.๒) เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่โครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมบริการตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้ว โดยให้ชำระภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. (๓) ครั้งต่อ ๆ ไป ชำระเงินตามพื้นที่ขายที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. ซึ่งต้องชำระเงินค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนในส่วนที่เหลือทั้งหมดภายใน ๗ ปีนับแต่วันลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน ข้อ ๑๔ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดหลักประกันการร่วมดำเนินงานและส่งมอบหลักประกันสัญญาให้แก่ กนอ. ดังนี้ (๑) จัดให้มีหนังสือค้ำประกันของธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินอื่นตามที่ กนอ. เห็นชอบในวงเงินค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานซึ่งผู้ร่วมดำเนินงานได้เลือกชำระโดยวิธีใดวิธีหนึ่งตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๒ ในส่วนที่ยังชำระไม่ครบถ้วน (๒) ให้โอนบรรดาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนควบ อุปกรณ์ ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในนิคมอุตสาหกรรมบริการแก่ กนอ. ทันทีเมื่อได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาแล้วเสร็จตามโครงการแต่ละส่วน เพื่อให้ กนอ. เป็นผู้บริหารและให้บริการระบบสาธารณูปโภคและ สิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ หมวด ๓ หลักเกณฑ์และเงื่อนไข กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น ข้อ ๑๕ กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่น ผู้ร่วมดำเนินการดังกล่าวต้องชำระค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานให้แก่ กนอ. ดังต่อไปนี้ (๑) ค่าบริหารโครงการ แบ่งการชำระออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ (๑.๑) ค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงาน ให้ชำระในอัตรา ดังนี้ (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๕๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๘๓๖,๐๐๐ บาท (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกินกว่า ๕๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๒๖๔,๐๐๐ บาท (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกินกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๑,๑๐๐ บาท ต่อไร่ (ง) พื้นที่โครงการส่วนที่เกินกว่า ๓,๐๐๐ ไร่ขึ้นไป ชำระในอัตรา ๑๑๐ บาท ต่อไร่ ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานดังกล่าวจะกำหนดเป็นอัตราผันแปร และปรับเพิ่มขึ้น ทุกรอบระยะสามปีในอัตราร้อยละสิบของอัตราค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานในขณะนั้น เป็นฐานในการคำนวณ โดยให้เริ่มปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีปฏิทิน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไปตามบัญชีการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานท้ายข้อบังคับนี้ การชำระค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงาน ผู้ร่วมดำเนินงานต้องชำระในวันทำสัญญาร่วมดำเนินงาน (๑.๒) ค่ากำกับการบริการ ให้ชำระในอัตรา ดังนี้ (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๕๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกินกว่า ๕๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๔๘๔,๐๐๐ บาท ต่อปี (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกินกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๒๐๐ บาท ต่อไร่ต่อปี (ง) พื้นที่โครงการส่วนที่เกินกว่า ๓,๐๐๐ ไร่ ขึ้นไป ชำระในอัตรา ๑๑๐ บาท ต่อไร่ต่อปี ทั้งนี้ อัตราค่ากำกับการบริการดังกล่าวจะกำหนดเป็นอัตราผันแปร และปรับเพิ่มขึ้นทุกรอบระยะเวลาสามปีในอัตราร้อยละสิบของอัตราค่ากำกับการบริการในขณะนั้นเป็นฐานในการคำนวณโดยให้เริ่มปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีปฏิทิน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไปตามบัญชีการคำนวณอัตราค่ากำกับการบริการท้ายข้อบังคับนี้ การชำระค่ากำกับการบริการ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องชำระตั้งแต่ปีที่ ๓ ภายในวันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปีตลอดไปในอัตราที่คำนวณได้ในปีนั้น โดยให้ถือปีที่ทำสัญญาร่วมดำเนินงาน (สัญญาหลัก) เป็นปีที่ ๑ (๒) ค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุน ให้คำนวณตามพื้นที่ขายของพื้นที่พัฒนาในแต่ละระยะในอัตราไร่ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ อัตราค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนจะกำหนดเป็นอัตราผันแปร และปรับเพิ่มขึ้นทุกรอบระยะเวลาสามปีในอัตราร้อยละสิบของอัตราค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนในขณะนั้นเป็นฐานในการคำนวณ โดยให้เริ่มปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีปฏิทิน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไปตามบัญชีการคำนวณอัตราค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนท้ายข้อบังคับนี้ การชำระค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุน ให้ผู้ร่วมดำเนินงานชำระเป็นเงินตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๒.๑) ครั้งที่หนึ่ง ชำระในวันทำสัญญาร่วมดำเนินงานหรือวันทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเพื่อขยายการพัฒนาในแต่ละระยะในอัตราร้อยละ ๕ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนของพื้นที่ขายแต่ละระยะ (๒.๒) ครั้งที่สอง ชำระเมื่อมีการประกาศเขตนิคมอุตสาหกรรมบริการในอัตรา ร้อยละ ๕ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนของพื้นที่ขายแต่ละระยะที่ได้ประกาศเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมบริการ โดยให้ชำระภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. (๒.๓) ครั้งต่อ ๆ ไป ชำระเงินในอัตราร้อยละ ๙๐ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนต่อไร่ตามพื้นที่ขายที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินจาก กนอ. โดยให้ชำระภายในวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไปนับแต่เดือนที่ผู้ใช้ที่ดินได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดิน กรณีพื้นที่ขายเพิ่มขึ้น ผู้ร่วมดำเนินงานต้องชำระเงินค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนตามจำนวนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ กนอ. ในงวดสุดท้ายโดยไม่คิดดอกเบี้ย กรณีพื้นที่ขายลดลง กนอ. ต้องคืนเงินค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนตามจำนวนที่ลดลงให้แก่ผู้ร่วมดำเนินงานในงวดสุดท้ายโดยไม่คิดดอกเบี้ย ข้อ ๑๖ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดให้มีกองทุนเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมบริการ โดยผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องชำระเงินให้แก่ กนอ. เพื่อนำเงินเข้าบัญชีกองทุน แล้วแต่กรณี ดังนี้ (๑) กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นตามความจำเป็น จะต้องจัดให้มีกองทุนเป็นหลักประกันการร่วมดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม หรือตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร (๒) กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นตามความจำเป็นบางระบบ ต้องจัดให้มีกองทุนเป็นหลักประกันการร่วมดำเนินงานโดยปรับลดวงเงินลงตามสัดส่วนของระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นตามความจำเป็นที่ผู้ร่วมดำเนินงานให้บริการ หรือตามที่คณะกรรมการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ข้อ ๑๗ กองทุนตามข้อ ๑๖ ให้กำหนดวงเงินไว้สูงสุดที่จำนวนหกสิบล้านบาท แต่ ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินเพิ่มที่เกิดจากการผิดนัดชำระเงินกองทุน และรายได้หรือผลประโยชน์อื่นใดอันเกิดจากเงินในบัญชีกองทุน โดยผู้ร่วมดำเนินงานต้องนำเงินสดเข้าบัญชีกองทุนตามสัดส่วนของพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินจาก กนอ. ภายในวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไปนับแต่เดือนที่ผู้ใช้ที่ดินได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดิน และหากมีดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินในบัญชีกองทุนให้สมทบเข้าในกองทุนเมื่อได้ชำระเงินครบถ้วนตามจำนวนที่คำนวณตามอัตราที่กำหนดไว้ตามข้อ ๑๖ แล้ว สำหรับเงินอันเกิดจากดอกเบี้ยของบัญชีกองทุนในส่วนเกินวงเงินกองทุน ผู้ร่วมดำเนินงานอาจนำไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่นตามความจำเป็นได้ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๘ ให้ผู้ร่วมดำเนินงานเปิดบัญชีกองทุนกับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นที่ กนอ. เห็นชอบ และให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. ในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุน โดย กนอ. เป็นผู้มีสิทธิใช้และสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกองทุนเพื่อนำไปใช้บำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก กรณีผู้ร่วมดำเนินงานไม่อาจดำเนินงานตามวัตถุประสงค์หรือตามสัญญาร่วมดำเนินงานได้ให้เงินในบัญชีกองทุนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. ในฐานะผู้ดูแลกองทุน ตลอดจนให้ กนอ.เป็นผู้มีสิทธิใช้และสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกองทุนเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการจัดให้มีกองทุน สำหรับกรณีผู้ร่วมดำเนินงานประสงค์จะนำเงินในบัญชีกองทุนไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นตามความจำเป็นตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด ซึ่งทำให้ยอดเงินในบัญชีกองทุนของนิคมอุตสาหกรรมบริการนั้นต่ำกว่าวงเงินกองทุนที่คำนวณได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๗ ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องนำเงินมาทดแทนให้ครบถ้วนตามวงเงินกองทุนดังกล่าวภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่ กนอ. สั่งจ่ายเงินออกจากบัญชีกองทุน ทั้งนี้ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องนำหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน ที่ กนอ. เห็นชอบในวงเงินเท่ากับจำนวนเงินที่ กนอ. สั่งจ่าย มาวางเป็นหลักประกันให้แก่ กนอ. ในวันที่ กนอ. สั่งจ่ายเงินยอดนั้นออกจากบัญชีกองทุน ข้อ ๑๙ ในวันทำสัญญาร่วมดำเนินงาน หรือวันทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเพื่อขยายการพัฒนาในแต่ละระยะ แล้วแต่กรณี ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดให้มีหลักประกันสัญญาเป็นเงินสด หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ กนอ. เห็นชอบในจำนวนเท่ากับวงเงินค่ากำกับการบริการ และอีกจำนวนร้อยละ ๑๐ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนของพื้นที่พัฒนาในแต่ละระยะ รวมทั้งอีกร้อยละ ๑๐ ของเงินกองทุนของพื้นที่พัฒนาในแต่ละระยะเพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาร่วมดำเนินงาน ผู้ร่วมดำเนินงานมีสิทธิขอลดวงเงินหลักประกันตามวรรคหนึ่งได้ เมื่อผู้ร่วมดำเนินงานได้ชำระเงินค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานและเงินกองทุนไปบางส่วน โดยรวมถึงยอดวงเงินค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานแล้ว แต่ทั้งนี้ผู้ร่วมดำเนินงานยังคงต้องวางหลักประกันไว้ไม่น้อยกว่าสามเท่าของค่ากำกับการบริการต่อปีตลอดไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย [เอกสารแนบท้าย] ๑. บัญชีคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒. บัญชีคำนวณอัตราค่ากำกับการบริการท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๓. บัญชีคำนวณอัตราค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนท้ายข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการ พ.ศ. ๒๕๕๒ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ปริยานุช/จัดทำ ๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๓๑ ง/หน้า ๖๐/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
596940
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ พ.ศ. 2551
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่ในปัจจุบันได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกรณีการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ออกมาบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิเช่น กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ประกาศคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากองค์กรธุรกิจ เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีมีคุณธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้สำหรับตนเองหรือผู้อื่นจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่รับผิดชอบ ดังนั้น เพื่อความสะดวกและเกิดความชัดเจนต่อ กนอ. จึงสมควรนำบทบัญญัติและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขัดกันของผลประโยชน์ดังกล่าวมารวบรวมเป็นหลักเกณฑ์การปฏิบัติสำหรับ กนอ. ไว้เป็นการเฉพาะ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยการป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ พ.ศ. ๒๕๕๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการในคณะกรรมการ กนอ. และให้หมายความรวมถึงประธานกรรมการด้วย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการ กนอ. “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานและลูกจ้าง กนอ. ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการ กนอ. รักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ ให้ผู้ว่าการมีอำนาจออกระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งใดเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ ทั้งนี้ เท่าที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการ หมวด ๑ การขัดประโยชน์เกี่ยวกับการเสนอราคา ข้อ ๕ ในหมวดนี้ “การเสนอราคา” หมายความว่า การยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นผู้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับ กนอ. อันเกี่ยวกับการซื้อ การจ้าง การแลกเปลี่ยน การเช่า การจำหน่ายทรัพย์สิน การได้รับสัมปทาน หรือการได้รับสิทธิใด ๆ ข้อ ๖ ห้ามมิให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานกระทำการโดยทุจริตในการออกแบบกำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข หรือกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดมีสิทธิเข้าทำสัญญากับ กนอ. โดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขัน ในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ตกลงร่วมกันหรือเป็นธุระจัดการให้ผู้อื่นตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับ กนอ. โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมหรือกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อ กนอ. หรือเอาเปรียบแก่ กนอ. อันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ (๒) ให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ เรียก รับหรือยอมจะรับเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ในการเสนอราคาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจูงใจให้ผู้นั้นร่วมกระทำการใด ๆ อันเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดได้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับ กนอ. หรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นเสนอราคาสูง หรือต่ำจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้า บริการ หรือสิทธิที่ควรจะได้รับหรือเพื่อจูงใจ ให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมในการเสนอราคาหรือถอนการเสนอราคา (๓) ใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมร่วมดำเนินการใด ๆ ในการเสนอราคาหรือไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทำการเสนอราคาตามที่กำหนดจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น (๔) ใช้อุบายหลอกลวง หรือกระทำการโดยมิชอบจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ข้อ ๗ กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้ใดมีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณา หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาครั้งใด หากรู้หรือได้รู้ หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่าควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาตามที่กฎหมายบัญญัติ ให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นดำเนินการใด ๆ เพื่อให้มีการยกเลิกการเสนอราคาในครั้งนั้น หมวด ๒ การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ข้อ ๘ ในหมวดนี้ “การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา” หมายความว่า การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากญาติหรือจากบุคคลที่ให้ในโอกาสต่าง ๆ โดยปกติตามขนบธรรมเนียม ประเพณีหรือวัฒนธรรม หรือให้กันตามมารยาทที่ปฏิบัติกันในสังคม “ประโยชน์อื่นใด” หมายความว่า สิ่งที่มีมูลค่า ได้แก่ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับบริการ การรับการฝึกอบรม หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน “ญาติ” หมายความว่า ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน พี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน ลุง ป้า น้า อา คู่สมรส ผู้บุพการีหรือผู้สืบสันดานของคู่สมรส บุตรบุญธรรม หรือผู้รับบุตรบุญธรรม ข้อ ๙ ห้ามมิให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันจากบุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันควรได้ตามกฎหมายหรือข้อบังคับ ระเบียบ หลักเกณฑ์หรือวิธีปฏิบัติที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ข้อ ๑๐ กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานจะรับทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาได้ ดังต่อไปนี้ (๑) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากญาติซึ่งให้โดยเสน่หาตามจำนวนที่เหมาะสมตามฐานานุรูป (๒) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ญาติโดยมีราคาหรือมูลค่าในการรับจากแต่ละบุคคลแต่ละโอกาสไม่เกินสามพันบาท (๓) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่การให้นั้นเป็นการให้ในลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป ข้อ ๑๑ กรณีกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากต่างประเทศซึ่งผู้ให้มิได้ระบุให้เป็นของส่วนตัว หรือมีราคาหรือมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๐ ไม่ว่าจะระบุเป็นของส่วนตัวหรือไม่ แต่มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องรับไว้เพื่อรักษาไมตรี มิตรภาพหรือความสัมพันธ์ อันดีระหว่างบุคคล ให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นรายงานรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาเห็นว่า ไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ยึดถือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดนั้นไว้เป็นประโยชน์ส่วนบุคคลให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นส่งมอบทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่รับไว้แก่ กนอ. โดยทันที ให้นำความในข้อ ๑๒ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มาใช้บังคับกับการรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นตามวรรคหนึ่ง โดยอนุโลม ข้อ ๑๒ การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ หรือมีราคาหรือมีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๐ ซึ่งกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานได้รับมาแล้วโดยมีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องรับไว้เพื่อรักษาไมตรี มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล ให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นรายงานรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ดังนี้ (๑) กรรมการต้องรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (๒) ผู้ว่าการต้องรายงานต่อประธานกรรมการ กนอ. (๓) รองผู้ว่าการต้องรายงานต่อผู้ว่าการ (๔) พนักงานที่มีตำแหน่งต่ำกว่ารองผู้ว่าการลงมา ต้องรายงานต่อผู้ว่าการโดยผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น การรายงานรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดต่อผู้บังคับบัญชาตามวรรคหนึ่ง จะต้องดำเนินการในทันทีที่สามารถกระทำได้เพื่อให้ผู้บังคับบัญชานั้นวินิจฉัยว่ามีเหตุผล ความจำเป็น ความเหมาะสม และสมควรที่จะให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดดังกล่าวไว้เป็นสิทธิของตนหรือไม่ กรณีผู้บังคับบัญชามีคำสั่งว่าไม่สมควรรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตามวรรคหนึ่งได้ก็ให้คืนทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดนั้นแก่ผู้ให้โดยทันที แต่หากไม่อาจคืนทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ให้ได้ให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นส่งมอบทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดดังกล่าวให้เป็นสิทธิของ กนอ. โดยเร็ว และเมื่อดำเนินการแล้วให้ถือว่ากรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นไม่เคยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดนั้นเลย ข้อ ๑๓ การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงาน ในหมวดนี้ ให้ใช้บังคับแก่กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานดังกล่าวซึ่งพ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่ถึงสองปีด้วย หมวด ๓ การให้หรือรับของขวัญ ข้อ ๑๔ ในหมวดนี้ “ของขวัญ” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้แก่กันเพื่ออัธยาศัยไมตรี และให้หมายความรวมถึง เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้เป็นรางวัล ให้โดยเสน่หาหรือเพื่อการสงเคราะห์หรือให้เป็นสินน้ำใจ การให้สิทธิพิเศษซึ่งมิใช่เป็นสิทธิที่จัดไว้สำหรับบุคคลทั่วไปในการได้รับการลดราคาทรัพย์สิน หรือการให้สิทธิพิเศษในการได้รับบริการหรือความบันเทิง ตลอดจนการออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือท่องเที่ยว ค่าที่พัก ค่าอาหาร หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกันและไม่ว่าจะให้เป็นบัตร ตั๋ว หรือหลักฐานอื่นใด การชำระเงินให้ล่วงหน้า หรือการคืนเงินให้ในภายหลัง “ปกติประเพณีนิยม” หมายความว่า เทศกาลหรือวันสำคัญซึ่งอาจมีการให้ของขวัญกัน และให้หมายความรวมถึงโอกาสในการแสดงความยินดี การแสดงความขอบคุณ การต้อนรับ การแสดงความเสียใจ หรือการให้ความช่วยเหลือตามมารยาทที่ถือปฏิบัติกันในสังคมด้วย “บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส บุตร บิดา มารดา พี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน ข้อ ๑๕ กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานจะให้ของขวัญแก่ผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลในครอบครัวของผู้บังคับบัญชานอกเหนือจากกรณีปกติประเพณีนิยมที่มีการให้ของขวัญแก่กันมิได้ การให้ของขวัญตามปกติประเพณีนิยมตามวรรคหนึ่ง กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานจะให้ของขวัญที่มีราคาหรือมูลค่าเกินกว่าจำนวนที่กำหนดในข้อ ๑๐ มิได้ กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานจะทำการเรี่ยไรเงินหรือทรัพย์สินอื่นใด หรือใช้เงินสวัสดิการใด ๆ เพื่อมอบให้หรือจัดหาของขวัญให้ผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลในครอบครัวของผู้บังคับบัญชาไม่ว่า กรณีใด ๆ มิได้ ข้อ ๑๖ ผู้บังคับบัญชาจะยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลในครอบครัวของตนรับของขวัญจากกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานซึ่งเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามิได้ เว้นแต่เป็นการรับของขวัญที่ให้ตามปกติประเพณีนิยมและของขวัญนั้นต้องมีราคาหรือมูลค่าไม่เกินกว่าจำนวนตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๐ ข้อ ๑๗ กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานจะยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลในครอบครัวของตนรับของขวัญจากผู้ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ของตนมิได้ เว้นแต่เป็นการรับของขวัญที่ให้ตามปกติประเพณีนิยมและของขวัญนั้นต้องมีราคาหรือมูลค่าไม่เกินกว่าจำนวนตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๐ ผู้ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ผู้มาติดต่องานหรือผู้ซึ่งได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติงานของกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานนั้นในลักษณะดังต่อไปนี้ (๑) ผู้ซึ่งมีคำขอให้ กนอ. ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น การขอใบรับรอง การขอให้ออกคำสั่งทางปกครอง หรือการร้องเรียน เป็นต้น (๒) ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจที่ทำกับ กนอ. เช่น การประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม การจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น (๓) ผู้ซึ่งกำลังดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ กนอ. เป็นผู้ควบคุมหรือกำกับดูแล (๔) ผู้ซึ่งอาจได้รับประโยชน์หรือผลกระทบจากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงาน ข้อ ๑๘ กรณีบุคคลในครอบครัวของกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานรับของขวัญแล้วและกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานนั้นทราบในภายหลังว่าเป็นการรับของขวัญโดยฝ่าฝืนข้อบังคับนี้ ให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานดังกล่าวปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๒ โดยอนุโลม หมวด ๔ การรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากองค์กรธุรกิจ ข้อ ๑๙ ในหมวดนี้ “องค์กรธุรกิจ” หมายความว่า บุคคล คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัทหรือองค์กรอื่นใดที่ดำเนินการทางธุรกิจโดยแสวงหากำไร “ความช่วยเหลือทางวิชาการ” หมายความว่า การให้ทุนการศึกษา การปฏิบัติ การวิจัย การฝึกอบรม การดูงาน หรือการให้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนในการศึกษา การปฏิบัติ การวิจัย การฝึกอบรม หรือดูงานทั้งที่ดำเนินการภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งความช่วยเหลืออื่นที่มีลักษณะเดียวกัน ข้อ ๒๐ กรณีองค์กรธุรกิจเสนอให้ความช่วยเหลือทางวิชาการโดยตรงแก่กรรมการ ผู้ว่าการหรือพนักงาน และกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้นั้นประสงค์จะรับความช่วยเหลือดังกล่าวให้เสนอคำขออนุมัติไปยังผู้บังคับบัญชา การเสนอคำขออนุมัติไปยังผู้บังคับบัญชาตามวรรคหนึ่ง ให้นำความในข้อ ๑๒ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มาบังคับใช้โดยอนุโลม ข้อ ๒๑ กรณีองค์กรธุรกิจเสนอให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ กนอ. ไม่ว่าจะเป็นการให้โดยไม่ระบุตัวผู้รับหรือระบุตัวผู้รับ หรือเป็นการเสนอให้ความช่วยเหลือโดยตรงไปยังกรรมการผู้ว่าการ หรือพนักงาน ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่าควรรับความช่วยเหลือทางวิชาการหรือไม่ ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) การรับความช่วยเหลือทางวิชาการจะต้องเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน หรือเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ กนอ. (๒) เป็นการพัฒนาความรู้ ทักษะ หรือความเชี่ยวชาญให้แก่บุคลากรของ กนอ. และเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของ กนอ. (๓) เป็นการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการโดยไม่มีเงื่อนไขในลักษณะที่ให้ กนอ. หรือกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานจะต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นการตอบแทน (๔) การรับความช่วยเหลือทางวิชาการจะต้องไม่ก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณของ กนอ. ข้อ ๒๒ ห้ามมิให้ กนอ.รับความช่วยเหลือทางวิชาการจากองค์กรธุรกิจที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคู่สัญญาหรือเข้ามีส่วนได้เสียทางธุรกิจกับ กนอ. เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือทางวิชาการที่ให้กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานเดินทางไปดูงาน กระบวนการผลิต การให้บริการ หรือแสวงหาข้อมูลซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นเพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจเข้าทำสัญญากับองค์กรธุรกิจนั้น ข้อ ๒๓ การรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากองค์กรธุรกิจที่เป็นคู่สัญญากับ กนอ. จะกระทำได้ก็เฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีหรือการพัฒนาความรู้ทักษะ และความเชี่ยวชาญแก่กรรมการผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของ กนอ. ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา หมวด ๕ มาตรการและการรับผิดตามกฎหมาย ข้อ ๒๔ กรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานผู้ใดฝ่าฝืนข้อบังคับนี้ นอกจากจะมีความผิดซึ่งจะต้องถูกลงโทษทางวินัยตามข้อบังคับที่ กนอ. กำหนดแล้ว จะต้องรับผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ และกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี ด้วย ความในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับกับคู่สมรสของกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของกรรมการ ผู้ว่าการ หรือพนักงานนั้นด้วย และให้ถือว่าการกระทำของคู่สมรสเป็นการกระทำของกรรมการ ผู้ว่าการหรือพนักงานผู้นั้น เว้นแต่กรรมการ ผู้ว่าการหรือพนักงานดังกล่าว จะพิสูจน์ได้ว่ามิได้รู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำของคู่สมรสของตน ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วัชศักดิ์/จัดทำ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๒ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๙ ง/หน้า ๑๔/๒๐ มกราคม ๒๕๕๒
583123
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2551
ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๒๓ (๑) (๑๒) และ (๑๓) และมาตรา ๔๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๓๑ ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ (๒) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๔/๒๕๓๕ เรื่อง ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๖/๒๕๓๕ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ (๔) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๓๘ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๓) ลงวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๘ (๕) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ ๔) ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ (๖) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๒/๒๕๔๐ เรื่อง การกำหนดประเภทของกิจการอุตสาหกรรม การค้าและการบริการที่พึงอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ลงวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “ผู้ประกอบกิจการ” หมายความว่า ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ค่าบริการ” หมายความว่า ค่าบริการต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น ค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ค่าบริการน้ำประปา เป็นต้น ตลอดจนค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ส่วนที่ ๑ บททั่วไป ข้อ ๖ การประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม มี ๔ ลักษณะ ดังนี้ (๑) การประกอบอุตสาหกรรม (๒) การประกอบการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๓) การประกอบพาณิชยกรรมในเขตประกอบการเสรี (๔) การประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๗ ประเภทและขนาดของการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่ กนอ. ได้กำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ การกำหนดหรือให้ความเห็นชอบประเภทและขนาดของการประกอบกิจการดังกล่าว ให้ กนอ. พิจารณาโดยคำนึงถึงความสอดคล้องและความเหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ในกรณีที่มีปัญหาว่าประเภทและขนาดของกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคหนึ่ง เป็นกิจการที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งแห่งใดได้หรือไม่ ให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการพิจารณา ข้อ ๘ ในกรณีที่ กนอ. กำหนดให้การขออนุญาต การแจ้ง หรือการติดต่อกรณีอื่นใดให้กระทำได้โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การดำเนินการใดตามข้อบังคับนี้ ถ้าได้กระทำโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตและการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๙ ผู้ขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวมีความประสงค์จะซื้อหรือเช่าซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ กนอ. เสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบจำนวนเนื้อที่ ข้อ ๑๐ การประกอบกิจการในเขตประกอบการเสรี ผู้ขออนุญาตต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ การนำของออกไปนอกราชอาณาจักรหรือการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในราชอาณาจักร ผู้ประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๑ ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่ กนอ. กำหนด การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. พิจารณาถึงความสอดคล้องกับประเภทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมเป้าหมายตามที่คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ให้ กนอ. พิจารณาคำขออนุญาตและแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยเร็วภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากหน่วยราชการอื่นให้ขยายเวลาการแจ้งผลการพิจารณาออกไปจนกว่าหน่วยงานราชการนั้นได้พิจารณาเสร็จแล้ว จากนั้นให้ กนอ. ดำเนินการแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานราชการนั้น ข้อ ๑๒ ในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้ กนอ. ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขออนุญาตมาทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามแบบที่ กนอ. กำหนด ณ ที่ทำการของ กนอ. หรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับมอบหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. เว้นแต่เป็นกรณีนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ร่วมดำเนินงานกับเอกชนหรือหน่วยงานอื่นและเอกชนหรือหน่วยงานอื่นนั้นเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขาย จะซื้อจะขาย เช่าซื้อ หรือเช่าที่ดิน แล้วแต่กรณี ก็ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งเฉพาะกรณีการทำสัญญาการใช้ที่ดิน (๒) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตมีเหตุจำเป็นไม่อาจมาทำสัญญาภายในเวลาที่กำหนดตาม (๑) ได้โดยมีหนังสือขอขยายระยะเวลา พร้อมทั้งแสดงเหตุผลความจำเป็นต่อ กนอ. ให้ กนอ. พิจารณาขยายระยะเวลาตามความเหมาะสม (๓) เมื่อผู้ขออนุญาตได้มาทำสัญญาตาม (๑) แล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด (๔) ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตไม่มาทำสัญญาตาม (๑) ภายในเวลาที่กำหนดและไม่มีหนังสือขอขยายระยะเวลาต่อ กนอ. ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งการไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมต่อไป สำหรับการขออนุญาตประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ไม่ได้บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ถ้า กนอ. เห็นสมควรอนุญาต ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๓ การอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมีระยะเวลาไม่เกินห้าปี โดยนับถึงวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ห้า การขอต่ออายุการอนุญาต ให้ยื่นคำขอก่อนวันที่การอนุญาตสิ้นผลไม่น้อยกว่าสามสิบวันตามแบบที่ กนอ. กำหนด เมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ประกอบกิจการต่อไปได้ ในกรณีที่ กนอ. ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข หรือระงับการประกอบกิจการได้ หนังสืออนุญาตให้ต่ออายุให้เป็นไปตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นบุคคลธรรมดา และภายหลังได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมื่อผู้ประกอบกิจการดังกล่าวได้มีหนังสือแจ้งตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตแก่นิติบุคคลนั้นต่อไป โดยให้ กนอ. แก้ไขชื่อผู้ประกอบกิจการในหนังสืออนุญาตเดิมให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ผู้ประกอบกิจการจะต้องทำบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดินหรือสัญญาโอนสิทธิตามแบบที่ กนอ. กำหนด แล้วแต่กรณี ให้กับ กนอ. ก่อนจึงจะถือว่านิติบุคคลนั้นได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ข้อ ๑๕ ผู้ใดได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม โดยเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย หรือกรรมสิทธิ์ตกทอด หากผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดในที่ดินนั้นมีหนังสือแจ้งความประสงค์ จะประกอบกิจการเดิมในนิคมอุตสาหกรรมต่อไปตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้ถือว่าการอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นการอนุญาตให้แก่ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดนั้นต่อไป และให้นำความในข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดตามวรรคหนึ่ง ประสงค์จะประกอบกิจการประเภทอื่นที่แตกต่างไปจากที่ผู้ประกอบกิจการเดิมเคยได้รับอนุญาตจะต้องยื่นคำขออนุญาต เพื่อประกอบกิจการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๑ และทำสัญญาการใช้ที่ดินตามข้อ ๑๒ หมวด ๒ เงื่อนไขการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาต ส่วนที่ ๑ เงื่อนไขทั่วไปสำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การประกอบการบริการ การประกอบพาณิชยกรรม และการประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๖ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการตามประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการตามที่ได้รับอนุญาต การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาใช้บังคับแก่การเพิ่มหรือการแก้ไขประเภท ชนิด หรือขนาดของการประกอบกิจการโดยอนุโลม และให้ระยะเวลาในการอนุญาตสิ้นผลไปพร้อมกับการอนุญาตให้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ในกรณีที่การเพิ่มหรือการแก้ไขเป็นการประกอบกิจการอุตสาหกรรมให้นำความในส่วนที่ ๒ ของหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๑๗ ผู้ประกอบกิจการต้องประกอบกิจการให้เป็นไปตามแผนผังแม่บทสำหรับนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งและต้องพัฒนาที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๘ การก่อสร้าง การดัดแปลง การรื้อถอน หรือการเคลื่อนย้ายอาคาร รวมทั้งการขออนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผังรายละเอียด และรายงานการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารต่อ กนอ. เพื่อพิจารณาอนุญาตออกใบรับรอง แล้วแต่กรณี ตามแบบที่ กนอ. กำหนด ให้ กนอ. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประกอบกิจการทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ประกอบกิจการได้เสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดหรือรายงานตามวรรคหนึ่งครบถ้วนแล้ว เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมจะเริ่มประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งเริ่มประกอบกิจการต่อ กนอ. ตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบกิจการ และให้ กนอ. มีอำนาจเกี่ยวกับการตรวจสอบการแจ้ง ให้ปรับปรุงแก้ไข และการออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๒๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มประกอบกิจการภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการ เว้นแต่ (๑) ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. (๒) เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อ ๒๖ ข้อ ๑๙ การนำอาคารโรงงาน อาคารอื่น ๆ เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือทรัพย์สินอื่นที่ก่อสร้างหรือติดตั้งอยู่ในที่ดินของผู้ประกอบกิจการไปจำนอง ขายฝาก ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือก่อภาระผูกพันใด ๆ โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ.ทราบเป็นหนังสือภายในสิบห้าวันนับแต่ได้กระทำการดังกล่าว การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการประกอบกิจการที่กระทำอยู่หรือมีผลให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้ประกอบกิจการเข้ามาประกอบกิจการแทนจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. เป็นหนังสือจึงจะดำเนินการได้ ข้อ ๒๐ ผู้ประกอบกิจการต้องไม่ปลูกสร้างที่พักอาศัยใด ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องไม่ให้ผู้ใดพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินดังกล่าว เว้นแต่ (๑) เป็นผู้ประกอบกิจการซึ่งให้บริการที่พักอาศัยในบริเวณที่จัดไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยหรือเพื่อพาณิชย์และบริการตามแผนผังแม่บทของนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง (๒) ได้ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด (๓) กรณีอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๑ ผู้ประกอบกิจการต้องรักษาความสะอาดในโรงงานหรืออาคารอื่น ๆ ในบริเวณที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และต้องดำเนินการจัดเก็บสินค้า ผลิตภัณฑ์ให้เป็นหมวดหมู่ไม่ปะปนกัน ข้อ ๒๒ ในกรณีที่มีการหยุดดำเนินงาน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบเป็นหนังสือภายในสามเดือนนับแต่วันหยุดดำเนินงาน แต่ในกรณีที่เป็นการหยุดดำเนินงานเพื่อโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ผู้ประกอบกิจการต้องแจ้งให้ กนอ. ทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันโอน ข้อ ๒๓ การโอนกิจการหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ผู้อื่น ผู้ประกอบกิจการต้องมีหนังสือแจ้งให้ กนอ. ทราบ และในกรณีที่ผู้รับโอนประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป ให้นำความในข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๔ ผู้ประกอบกิจการต้องชำระค่าบริการตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่ กนอ. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ชำระค่าบริการในครั้งใด กนอ. จะกำหนดอัตราค่าบริการครั้งถัดไปให้สูงขึ้นตามภาระค่าใช้จ่ายของ กนอ. ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมีการค้างชำระค่าบริการติดต่อกันตามระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด กนอ. อาจงดการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจนกว่าผู้ประกอบกิจการนั้น จะมาชำระค่าบริการทั้งหมด ส่วนที่ ๒ เงื่อนไขเฉพาะการประกอบอุตสาหกรรม ข้อ ๒๕ การตั้งโรงงาน การขยายโรงงาน การก่อสร้าง การแก้ไขต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารโรงงานหรืออาคารอื่นเพื่อการประกอบกิจการ หรือการขยายกิจการ รวมทั้งการอนุญาตอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ผู้ประกอบกิจการต้องเสนอแบบแปลน แผนผัง และรายละเอียดตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานต่อ กนอ. พร้อมทั้งแจ้งระยะเวลาการเริ่มก่อสร้าง และระยะเวลาการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมโดยมีกำหนดเวลาตามสมควรให้ กนอ. พิจารณา ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง หาก กนอ. พิจารณาแล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการก่อสร้างโรงงานไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ข้อ ๒๖ ผู้ประกอบกิจการต้องเริ่มก่อสร้างอาคารโรงงานและเริ่มประกอบอุตสาหกรรมภายในระยะเวลาที่ กนอ. พิจารณาให้ความเห็นชอบหรือได้กำหนดตามความเหมาะสมแห่งกิจการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาเป็นหนังสือจาก กนอ. ข้อ ๒๗ เมื่อการก่อสร้างอาคารโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักร และทดลองเครื่องแล้วเสร็จพร้อมจะเริ่มประกอบอุตสาหกรรมและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการมีหนังสือแจ้งการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมต่อ กนอ. ตามแบบ พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แล้วเสร็จหรือพร้อมจะประกอบอุตสาหกรรม ในกรณี กนอ. ตรวจสอบการปฏิบัติตามคำขอ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข แล้วพบว่าผู้ประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ให้ กนอ. พิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบอุตสาหกรรมตามแบบที่ กนอ. กำหนดภายในกำหนดเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้ ไม่นับระยะเวลาที่ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามวรรคสอง ให้ผู้ประกอบกิจการเริ่มประกอบอุตสาหกรรมเมื่อได้รับใบรับแจ้งจาก กนอ. ข้อ ๒๘ ผู้ประกอบกิจการใดประสงค์จะขยายการประกอบกิจการ ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่ กนอ. กำหนด เมื่อ กนอ. ได้พิจารณาความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและได้ตรวจสอบโรงงานเรียบร้อยแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมส่วนขยายตามแบบที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๒๙ ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยในบริเวณข้างเคียง ดังต่อไปนี้ (๑) จัดให้มีและใช้ระบบบำบัดน้ำเสียเบื้องต้นที่มีขนาดและประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งทั้งหมดของโรงงานให้มีคุณลักษณะตามมาตรฐานที่ กนอ. กำหนดตลอดเวลาทำงาน (๒) จัดให้มีและใช้ระบบขจัดกลิ่น ฝุ่นละออง หรือวัตถุอันตรายที่มีประสิทธิภาพ (๓) ดำเนินการกำจัดกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียและกากอุตสาหกรรมจากกระบวนการผลิตให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ (๔) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอุตสาหกรรม ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควรหรือโดยสภาพเป็นกิจการที่ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ให้ กนอ. พิจารณาผ่อนผันหรือยกเว้นการดำเนินการดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควรหรือตามสภาพดังกล่าว แล้วแต่กรณี ส่วนที่ ๓ มาตรการบังคับ ข้อ ๓๐ ในกรณีผู้ประกอบกิจการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หรือในการอนุญาต หรือในสัญญาการใช้ที่ดินหรือบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาการใช้ที่ดิน ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไขปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมในระยะเวลาที่กำหนด ข้อ ๓๑ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการไม่ปฏิบัติตามที่ กนอ. ได้มีหนังสือแจ้งตามข้อ ๓๐ ให้ กนอ. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการระงับการดำเนินกิจการเพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ข้อ ๓๒ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ ๓๑ หรือไม่ชำระค่าบริการตามข้อ ๒๔ วรรคสอง หรือกรณีที่การประกอบกิจการต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ ให้ กนอ. มีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตได้ บทเฉพาะกาล ข้อ ๓๓ การอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ให้ไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาการอนุญาต และให้ กนอ.ดำเนินการอนุญาตให้ใหม่ โดยผู้ได้รับอนุญาตต้องมาทำสัญญาและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป การขออนุญาตเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตตามข้อบังคับนี้ และให้ กนอ. พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริยานุช/จัดทำ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๐๖ ง/หน้า ๓๙/๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑
566334
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับผู้ประกอบกิจการ เขตอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชน อุตสาหกรรม และกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2550
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับผู้ประกอบกิจการ เขตอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชนอุตสาหกรรม และกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๐ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๖ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกตามความพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับผู้ประกอบกิจการเขตอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชนอุตสาหกรรม และกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๐” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า นิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ร่วมดำเนินงานกับเขตอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชนอุตสาหกรรม และกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) “เขตอุตสาหกรรม” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่จัดสรรไว้สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปอยู่รวมกันอย่างเป็นระบบ โดยจัดให้มีพื้นที่อุตสาหกรรม ตลอดจนระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นที่จำเป็นให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้การควบคุมและส่งเสริมตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และเป็นการดำเนินงานโดยภาคเอกชนที่ไม่ได้ร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ทั้งนี้ ให้หมายความรวมถึง สวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และชุมชนอุตสาหกรรมด้วย “กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster)” หมายความว่า กลุ่มธุรกิจหรือองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะร่วมดำเนินงาน ร่วมมือ เกื้อหนุน เชื่อมโยงและเสริมกิจการซึ่งกันและกันอย่างครบวงจร รวมถึงการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมสนับสนุนต่าง ๆ ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องด้วย “พื้นที่โครงการ” หมายความว่า พื้นที่ทั้งหมดที่ผู้ร่วมดำเนินงานเสนอเพื่อขอเข้าร่วมดำเนินงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. “พื้นที่ขาย” หมายความว่า พื้นที่ที่กำหนดจากพื้นที่โครงการ หรือจากพื้นที่ที่ได้ดำเนินการพัฒนาเป็นระยะ ๆ ซึ่งผู้ร่วมดำเนินงานได้กำหนดให้เป็นพื้นที่แน่นอนสำหรับขาย ให้เช่า หรือให้เช่าซื้อแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม “ผู้ขอร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งประกอบกิจการประเภทเขตอุตสาหกรรมสวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชนอุตสาหกรรม และกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) ซึ่งมีความประสงค์จะเข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม “ผู้ร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า ผู้ขอร่วมดำเนินงานที่ได้รับอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. “กองทุน” หมายความว่า กองทุนหลักประกันเพื่อการบำรุงรักษา และสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกของนิคมอุตสาหกรรม “ประกาศคณะกรรมการ” หมายความว่า ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม “บริษัทย่อย” หมายความว่า บริษัทที่ถือหุ้นโดยผู้ร่วมดำเนินงาน บริษัทย่อยอื่น ๆ บริษัทที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ บริษัทร่วมทุนอื่น ๆ และให้หมายความรวมถึงผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวโดยมีหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมด “บริษัทที่เกี่ยวข้อง” หมายความว่า บริษัทที่ถือหุ้นโดยผู้ร่วมดำเนินงาน บริษัทย่อยอื่น ๆ บริษัทที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ บริษัทร่วมทุนอื่น ๆ และให้หมายรวมถึงผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวโดยมีหุ้นตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ แต่ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของจำนวนหุ้นทั้งหมด “บริษัทร่วมทุน” หมายความว่า บริษัทที่ถือหุ้นโดยผู้ร่วมดำเนินงาน บริษัทย่อยอื่นๆ บริษัทที่เกี่ยวข้องอื่นๆ บริษัทร่วมทุนอื่นๆ และให้หมายความรวมถึงผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวโดยมีหุ้นไม่เกินร้อยละ ๒๐ ขึ้นไปของจำนวนหุ้นทั้งหมด ข้อ ๔ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ การดำเนินการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๕ กรณีผู้ขอร่วมดำเนินงานประสงค์เข้าร่วมดำเนินงานกับ กนอ. เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ผู้ขอร่วมดำเนินงานดังกล่าวต้องเป็นผู้จัดหาที่ดิน พร้อมทั้งลงทุนและพัฒนาโครงการเพื่อขาย ให้เช่า หรือให้เช่าซื้อที่ดินนั้น ข้อ ๖ ให้ กนอ. เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้พื้นที่โครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมและประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการอนุญาตการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงานและการประกอบกิจการโรงงานภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กฎหมายบัญญัติ การดำเนินการให้เขตพื้นที่โครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามวรรคหนึ่ง จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินผู้ซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากผู้ขอร่วมดำเนินงานแล้วทุกราย ข้อ ๗ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามข้อบังคับนี้ ให้ กนอ. หรือผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นในนิคมอุตสาหกรรมตามที่กำหนดไว้ในหมวด ๒ และหมวด ๓ แล้วแต่กรณี กรณีตามวรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ร่วมดำเนินงานนำอสังหาริมทรัพย์ ส่วนควบและอุปกรณ์ซึ่งใช้เป็นระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไปใช้เป็นหลักประกันหนี้ หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันไม่ว่าในกรณีใด ๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. ข้อ ๘ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นตามความจำเป็นแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๙ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. ตามแบบที่ กนอ. กำหนด นอกจากนี้จะต้องจัดให้มีสถานที่ทำงาน ที่พัก และยานพาหนะรวมถึงสิ่งของที่จำเป็นอื่น ๆ ให้เหมาะสมและเพียงพอต่อการปฏิบัติงานของพนักงาน กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๑๐ กรณีผู้ร่วมดำเนินงานได้ทำสัญญาร่วมดำเนินงานโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม กนอ. แล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ร่วมดำเนินงานไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไข หรือสัญญา ในการร่วมดำเนินงานโดยครบถ้วน และไม่ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่ กนอ. กำหนด และ กนอ. เห็นว่าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไข หรือสัญญานั้นเป็นข้อสาระสำคัญ ให้ กนอ. เรียกค่าเสียหาย ถ้ามี หรือบอกเลิกสัญญาโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมนั้นได้ ทั้งนี้ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องโอนกรรมสิทธิ์บรรดาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนควบ และอุปกรณ์ ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้แก่ กนอ. เพื่อดำเนินงานนิคมอุตสาหกรรมต่อไปตามที่ตกลงไว้ในสัญญาร่วมดำเนินงาน ข้อ ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า ค่าเช่าซื้อ อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษา สิ่งอำนวยความสะดวก และค่าบริการต่างๆ ของผู้ร่วมดำเนินงานในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมและความจำเป็นในด้านธุรกิจโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ หมวด ๒ หลักเกณฑ์และเงื่อนไข กรณี กนอ. เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น ข้อ ๑๒ กรณี กนอ. เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นผู้ร่วมดำเนินงานสามารถใช้สิทธิเลือกชำระค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) กรณีชำระค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนเป็นเงินร้อยละ ๑๘ ของค่าพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ระบบถนน ระบบประปา ระบบระบายน้ำ ระบบป้องกันน้ำท่วมระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบกำจัดขยะ อาคารสำนักงาน เป็นต้น ให้แบ่งสัดส่วนการชำระ ดังนี้ (๑.๑) ชำระค่าบริหารโครงการ เป็นจำนวนเงินร้อยละ ๔๐ ของเงินค่าบริหารโครงการและค่ากองทุน (๑.๒) ชำระค่ากองทุน เป็นจำนวนเงินร้อยละ ๖๐ ของเงินค่าบริหารโครงการและค่ากองทุน ทั้งนี้ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องแบ่งชำระค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนเป็นรายปี ปีละเท่ากันภายในกำหนดเวลาห้าปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน หรือ (๒) กรณีชำระค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนตามจำนวนพื้นที่โครงการ ดังนี้ (๒.๑) ชำระค่าบริหารโครงการ (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๒๑,๖๐๐ บาท ต่อไร่ (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๑๐,๘๐๐ บาท ต่อไร่ (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๕,๔๐๐ บาทต่อไร่ (๒.๒) ชำระค่ากองทุน (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๓๒,๔๐๐ บาท ต่อไร่ (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท ต่อไร่ (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๒,๐๐๐ ไร่ ให้ชำระเงินจำนวน ๒๑,๖๐๐ บาทต่อไร่ ข้อ ๑๓ การชำระค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนตามข้อ ๑๒ (๒) ให้ผู้ร่วมดำเนินงานชำระเป็นงวด ดังนี้ (๑) ชำระเงินงวดที่ ๑ เป็นเงินร้อยละ ๕ ของค่าบริหารโครงการตามข้อ ๑๒ (๒.๑) และค่ากองทุนตามข้อ ๑๒ (๒.๒) แก่ กนอ. ในวันลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน (๒) ชำระเงินงวดที่ ๒ เป็นเงินร้อยละ ๕ ของค่าบริหารโครงการตามข้อ ๑๒ (๒.๑) และค่ากองทุนตามข้อ ๑๒ (๒.๒) เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่โครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้วภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. นอกจากนี้ ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องชำระเงินตามพื้นที่ขายที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. ซึ่งต้องชำระเงินค่าบริหารโครงการและค่ากองทุนในส่วนที่เหลือทั้งหมดภายใน ๗ ปี นับแต่วันลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน ข้อ ๑๔ ให้ผู้ร่วมดำเนินงานจัดหลักประกันการร่วมดำเนินงานมามอบไว้แก่ กนอ. เพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ (๑) โอนบรรดาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนควบ และอุปกรณ์ ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในนิคมอุตสาหกรรมให้แก่ กนอ. ทันที เมื่อได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาแล้วเสร็จตามโครงการแต่ละส่วน (๒) จัดให้มีหนังสือค้ำประกันของธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินอื่นตามที่ กนอ. เห็นชอบในวงเงินค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานซึ่งผู้ร่วมดำเนินงานได้เลือกชำระโดยวิธีใดวิธีหนึ่งตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๒ ในส่วนที่ยังชำระไม่ครบถ้วน หมวด ๓ หลักเกณฑ์และเงื่อนไข กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น ข้อ ๑๕ กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นตามความจำเป็น ผู้ร่วมดำเนินงานดังกล่าวต้องชำระค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานให้แก่ กนอ. ดังต่อไปนี้ (๑) ค่าบริหารโครงการ แบ่งการชำระออกเป็น ๒ ประเภท คือ (๑.๑) ค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงาน ให้ชำระตามพื้นที่โครงการในอัตรา ดังนี้ (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตราร้อยละ ๖๐ ของอัตราตามประกาศคณะกรรมการกำหนด โดยให้สิทธิชำระในอัตราดังกล่าวเฉพาะโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้รับการอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เท่านั้น ถ้าผู้ร่วมดำเนินงานได้รับอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานกับ กนอ. หลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ให้ชำระค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานในอัตราตามประกาศคณะกรรมการกำหนด (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๑,๐๐๐ บาท ต่อไร่ (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ขึ้นไป ชำระในอัตรา ๑๐๐ บาท ต่อไร่ กรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องดำเนินการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการแต่ละระบบให้แล้วเสร็จไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ของมูลค่างานแต่ละระบบ และเมื่อรวมการพัฒนาทุกระบบแล้วต้องเสร็จไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ของมูลค่างานรวมทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ร่วมดำเนินงานสามารถแบ่งการชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้กับ กนอ. ได้ตามจำนวน และระยะเวลาตามที่ได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. แต่ถ้าผู้ร่วมดำเนินงานไม่สามารถพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวได้ ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องชำระค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานในอัตราปกติตามประกาศคณะกรรมการกำหนด อัตราค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานตาม (๑.๑) ให้กำหนดเป็นอัตราผันแปร ซึ่งจะปรับเพิ่มขึ้นทุกรอบระยะสามปีในอัตราร้อยละ ๑๐ ของอัตราค่าธรรมเนียมและบริการร่วมดำเนินงานตามประกาศคณะกรรมการกำหนด (๑.๒) ค่ากำกับการบริการ ให้ชำระตามอัตราและเงื่อนไขที่กำหนด ดังนี้ (ก) พื้นที่โครงการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตราร้อยละ ๖๐ ของอัตราตามประกาศคณะกรรมการกำหนด โดยให้สิทธิชำระในอัตราดังกล่าวเป็นระยะเวลาห้าปีติดต่อกัน นับแต่ปีที่เริ่มชำระ ทั้งนี้ สำหรับโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมซึ่งได้รับการอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ (ข) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๑,๐๐๐ ไร่ แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ชำระในอัตรา ๒๐๐ บาท ต่อไร่ ต่อปี (ค) พื้นที่โครงการส่วนที่เกิน ๓,๐๐๐ ไร่ ขึ้นไป ชำระในอัตรา ๑๐๐ บาทต่อไร่ ต่อปี อัตราค่ากำกับการบริการตาม (๑.๒) ให้กำหนดเป็นอัตราผันแปร ซึ่งจะปรับเพิ่มขึ้นทุกรอบระยะสามปีในอัตราร้อยละ ๑๐ ของอัตราค่ากำกับการบริการตามประกาศคณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ ให้เริ่มชำระตั้งแต่ปีที่สองของสัญญาร่วมดำเนินงานเป็นต้นไป และต้องชำระภายในวันที่ ๓๐ เมษายนของทุกปีในอัตราที่คำนวณได้ในปีนั้น โดยถือปีที่ทำสัญญาร่วมดำเนินงานเป็นปีที่หนึ่ง กรณีตาม (ก) เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้าปีดังกล่าวแล้ว ให้ชำระค่ากำกับการบริการในอัตราและเงื่อนไขปกติตามประกาศคณะกรรมการกำหนด สำหรับโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับอนุมัติและทำสัญญาร่วมดำเนินงานหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ให้กำหนดอัตราค่ากำกับการบริการและวิธีการชำระในอัตราและวิธีการปกติตามประกาศคณะกรรมการกำหนด (๒) ค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุน ให้คำนวณตามพื้นที่ขายตามจำนวนของพื้นที่พัฒนาในแต่ละระยะในอัตราเริ่มต้นไร่ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ อัตราค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวจะกำหนดเป็นอัตราผันแปรและปรับเพิ่มขึ้นทุกรอบระยะเวลาสามปีในอัตราร้อยละสิบของอัตราค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนตามประกาศคณะกรรมการกำหนด ให้ยกเว้นและลดหย่อนค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนสำหรับพื้นที่ ดังต่อไปนี้ (๒.๑) พื้นที่ที่ได้รับยกเว้น (ก) พื้นที่ประกอบอุตสาหกรรมที่มีโรงงานประกอบกิจการอยู่แล้ว (ข) พื้นที่ขายที่ผู้ร่วมดำเนินงานได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกค้าแล้วก่อนวันที่ผู้ร่วมดำเนินงานทำสัญญาร่วมดำเนินงานกับ กนอ. (ค) พื้นที่ประกอบอุตสาหกรรมของบริษัทย่อย (๒.๒) พื้นที่ที่ได้รับการลดหย่อน (ก) พื้นที่ประกอบอุตสาหกรรมของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้รับการลดหย่อนร้อยละ ๕๐ ของอัตราที่กำหนด (ข) พื้นที่ประกอบอุตสาหกรรมของบริษัทร่วมทุน ได้รับการลดหย่อนร้อยละ ๒๕ ของอัตราที่กำหนด ข้อ ๑๖ การชำระค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนตามข้อ ๑๕ (๒) ให้ชำระ ดังนี้ (๑) ครั้งที่หนึ่ง ชำระในวันทำสัญญาร่วมดำเนินงานหรือวันทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเพื่อขยายการพัฒนาในแต่ละระยะในอัตราร้อยละ ๕ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนพื้นที่ขายแต่ละระยะ (๒) ครั้งที่สอง ชำระเมื่อมีการประกาศเขตนิคมอุตสาหกรรม ในอัตราร้อยละ ๕ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนของพื้นที่ขายแต่ละระยะที่ได้ประกาศเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม โดยให้ชำระภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. (๓) ครั้งต่อ ๆ ไป ชำระเงินในอัตราร้อยละ ๙๐ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนต่อไร่ ตามพื้นที่ขายที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินจาก กนอ. โดยให้ชำระภายในวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไป นับแต่เดือนที่ผู้ใช้ที่ดินได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดิน กรณีพื้นที่ขายเพิ่มขึ้น ให้ผู้ร่วมดำเนินงานชำระเงินค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนตามจำนวนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ กนอ. ภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. โดยไม่คิดดอกเบี้ย กรณีพื้นที่ขายลดลง ให้ กนอ. คืนเงินค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนจำนวนที่ลดลงให้แก่ผู้ร่วมดำเนินงานภายใน ๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก กนอ. โดยไม่คิดดอกเบี้ย ข้อ ๑๗ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดหลักประกันการร่วมดำเนินงานและส่งมอบหลักประกันสัญญาให้แก่ กนอ. รวมทั้งให้จัดให้มีกองทุนเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมด้วย ทั้งนี้ ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องชำระเงินให้แก่ กนอ. เพื่อนำเงินเข้าบัญชีกองทุน ดังนี้ (๑) กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นตามความจำเป็น จะต้องจัดให้มีกองทุนเป็นหลักประกันการร่วมดำเนินงานตามประกาศที่คณะกรรมการกำหนด หรือตามที่คณะกรรมการ กนอ. เห็นสมควร (๒) กรณีผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นตามความจำเป็นบางระบบ ต้องจัดให้มีกองทุนเป็นหลักประกันการร่วมดำเนินงาน โดยปรับลดวงเงินลงตามสัดส่วนของระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น ตามความจำเป็นที่ผู้ร่วมดำเนินงานให้บริการ หรือตามที่คณะกรรมการ กนอ. เห็นชอบ (๓) กรณีผู้ร่วมดำเนินงานไม่ได้เป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นตามความจำเป็น ให้เสนอคณะกรรมการ กนอ.พิจารณากำหนดวงเงินกองทุนตามแต่จะเห็นสมควร ทั้งนี้ จะพิจารณาตามความเหมาะสมของขนาดพื้นที่ประเภทอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นตามความจำเป็นที่จัดให้มีอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๘ ให้กำหนดเงินกองทุนของนิคมอุตสาหกรรมไว้สูงสุดที่จำนวนหกสิบล้านบาทแต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินเพิ่มที่เกิดจากการผิดนัดชำระเงินกองทุน และรายได้หรือผลประโยชน์อื่นใดอันเกิดจากเงินในบัญชีกองทุน ผู้ร่วมดำเนินงานต้องนำเงินสดเข้าบัญชีกองทุนตามวรรคหนึ่ง ตามสัดส่วนของพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินจาก กนอ. ภายในวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไป นับแต่เดือนที่ผู้ใช้ที่ดินได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดิน ทั้งนี้ หากมีดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินในบัญชีกองทุนให้สมทบเข้าในกองทุน เมื่อได้ชำระเงินครบถ้วนตามจำนวนที่คำนวณตามอัตราที่กำหนดในวรรคหนึ่งแล้ว เงินอันเกิดจากดอกเบี้ยของบัญชีกองทุนในส่วนเกินวงเงินกองทุน ผู้ร่วมดำเนินงานอาจนำไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่นตามความจำเป็นได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๑๙ ให้ผู้ร่วมดำเนินงานเปิดบัญชีกองทุนกับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นที่ กนอ. เห็นชอบ และให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. ในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุน โดย กนอ. เป็นผู้มีสิทธิใช้และสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกองทุน เพื่อนำไปใช้บำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ถ้าผู้ร่วมดำเนินงานไม่อาจดำเนินงานตามวัตถุประสงค์หรือตามสัญญาร่วมดำเนินงานได้ให้เงินในบัญชีกองทุนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. ในฐานะผู้ดูแลกองทุน ตลอดจนให้ กนอ. เป็นผู้มีสิทธิใช้และสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกองทุนเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการจัดให้มีกองทุน กรณีผู้ร่วมดำเนินงานประสงค์จะนำเงินในบัญชีกองทุนไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่นตามความจำเป็นตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด ซึ่งทำให้ยอดเงินในบัญชีกองทุนของนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานนั้นต่ำกว่าวงเงินกองทุนที่คำนวณได้ตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๘ ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องนำเงินมาทดแทนให้ครบถ้วนตามวงเงินกองทุนดังกล่าวภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ กนอ. สั่งจ่ายเงินออกจากบัญชีกองทุน ทั้งนี้ ผู้ร่วมดำเนินงานต้องนำหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่ กนอ. เห็นชอบในวงเงินเท่ากับจำนวนเงินที่ กนอ. สั่งจ่าย มาวางเป็นหลักประกันให้แก่ กนอ. ในวันที่ กนอ. สั่งจ่ายเงินยอดนั้นออกจากบัญชีกองทุน ข้อ ๒๐ ในวันทำสัญญาร่วมดำเนินงาน หรือวันทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเพื่อขยายการพัฒนาในแต่ละระยะ แล้วแต่กรณี ผู้ร่วมดำเนินงานต้องจัดให้มีหลักประกันสัญญาเป็นเงินสด หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ กนอ. เห็นชอบในจำนวนเท่ากับวงเงินค่ากำกับการบริการ และอีกจำนวนร้อยละ ๑๐ ของค่าประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการลงทุนของพื้นที่พัฒนาในแต่ละระยะ รวมทั้งอีกร้อยละ ๑๐ ของเงินกองทุนของพื้นที่พัฒนาในแต่ละระยะเพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาร่วมดำเนินงาน ผู้ร่วมดำเนินงานมีสิทธิขอลดวงเงินหลักประกันตามวรรคหนึ่งได้ เมื่อผู้ร่วมดำเนินงานได้ชำระเงินค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานและเงินกองทุนไปบางส่วน โดยรวมถึงยอดวงเงินค่าใช้จ่ายในการร่วมดำเนินงานแล้ว แต่ทั้งนี้ผู้ร่วมดำเนินงานยังคงต้องวางหลักประกันไว้ไม่น้อยกว่าสามเท่าของค่ากำกับการบริการต่อปีตลอดไป ประกาศ ณ วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วัชศักดิ์/จัดทำ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๑๖๖ ง/หน้า ๒๓/๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๐
461756
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดิน เพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. 2548
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดิน เพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๕ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๘” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “การจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกันภายในแนวเขตพื้นที่โครงการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะจำหน่ายไปเพื่อเป็นที่ประกอบอุตสาหกรรม การบริการ พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม การบริการ หรือพาณิชยกรรม “สิทธิในที่ดิน” หมายความว่า กรรมสิทธิ์ที่ดินและให้หมายความรวมถึงสิทธิครอบครองด้วย “พื้นที่สาธารณูปโภค” หมายความว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ระบบถนน ระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบระบายน้ำ เป็นต้น “บริการอื่น” หมายความว่า การให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นนอกเหนือจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต้องจัดให้มีในโครงการจัดสรรที่ดินที่กำหนดไว้ในโครงการที่ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามข้อบังคับนี้ “ใบอนุญาต” หมายความว่า ใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม “หนังสืออนุญาต” หมายความว่า หนังสืออนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน หรือหนังสืออนุญาตให้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการ และวิธีการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม และให้หมายความรวมถึงหนังสืออนุญาตให้ก่อภาระผูกพันแก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรด้วย “ผู้ขอจัดสรรที่ดิน” หมายความว่า เอกชนหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประสงค์จะจัดสรรที่ดินเพื่อจัดตั้งหรือขยายเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้จัดสรรที่ดิน” หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมและให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนใบอนุญาตด้วย “ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร” หมายความว่า ผู้ทำสัญญากับผู้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินจัดสรรและให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนสิทธิในที่ดินคนต่อไปด้วย “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ข้อ ๔ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ การกำกับ ดูแลการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๕ ให้ กนอ. กำกับ ดูแลการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้และกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) พิจารณากลั่นกรองเกี่ยวกับคำขออนุญาต การออกใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต หรือเพิกถอนการโอนใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมก่อนนำเสนอคณะกรรมการ (๒) ตรวจสอบการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามแผนผังโครงการ และวิธีการที่ได้รับอนุญาต (๓) พิจารณากลั่นกรองเกี่ยวกับการขออนุญาตแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผัง โครงการและวิธีการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม การขออนุญาตก่อภาระผูกพันแก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรก่อนนำเสนอคณะกรรมการ (๔) เรียกหรือเชิญให้บุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย ความเห็น แนะนำทางวิชาการหรือส่งเอกสารหรือข้อมูลการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมตามที่เห็นสมควร หมวด ๒ การขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๖ ผู้ใดจะทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ข้อ ๗ ผู้ใดประสงค์จะขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ยื่นคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินต่อ กนอ. พร้อมหลักฐานและรายละเอียด ดังต่อไปนี้ (๑) สำเนาโฉนดที่ดินหรือสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อผู้ขอจัดสรรที่ดินเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินและต้องเป็นที่ดินที่อยู่ภายในแนวเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้ว โดยที่ดินนั้นต้องปลอดจากบุริมสิทธิใด ๆ เว้นแต่บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (๒) ในกรณีที่ที่ดินที่ขอทำการจัดสรรที่ดินมีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือภาระการจำนอง ให้แสดงการบันทึกความยินยอมให้ทำการจัดสรรที่ดินของผู้ทรงบุริมสิทธิหรือผู้รับจำนองและจำนวนเงินที่ผู้ทรงบุริมสิทธิหรือผู้รับจำนองจะได้รับชำระหนี้จากที่ดินแปลงย่อยแต่ละแปลงและต้องระบุด้วยว่าที่ดินเป็นพื้นที่สาธารณูปโภค หรือที่ดินที่ใช้เพื่อบริการอื่น ไม่ต้องรับภาระหนี้บุริมสิทธิหรือจำนองดังกล่าว (๓) แผนผังแสดงจำนวนที่ดินแปลงย่อยที่จะขอจัดสรรและเนื้อที่โดยประมาณของแต่ละแปลง (๔) โครงการปรับปรุงที่ดินที่ขอจัดสรร การจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบกิจการหรือผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งบริการอื่น ตลอดจนการปรับปรุงอื่นตามความเหมาะสมกับลักษณะ และขนาดของนิคมอุตสาหกรรม และสภาพของท้องถิ่น โดยแสดงแผนผัง รายละเอียดและรายการก่อสร้าง ประมาณการค่าก่อสร้างและกำหนดเวลาที่จะจัดทำให้แล้วเสร็จ ในกรณีที่ได้มีการปรับปรุงที่ดินที่ขอจัดสรรหรือได้จัดทำระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่นแล้วเสร็จทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนขอทำการจัดสรรที่ดินให้แสดงแผนผังรายละเอียดและรายการก่อสร้างที่ได้จัดทำแล้วเสร็จนั้นด้วย แผนผังของระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นที่จะจัดให้มีทุกรายการจะต้องแสดงรายละเอียดของสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสภาพปัจจุบัน และสภาพหลังจากการปรับปรุงพัฒนาแล้ว รายละเอียดของสิ่งที่ต้องแสดงในแผนผังแต่ละรายการให้เป็นไปตามที่ กนอ. กำหนด โดยให้มุมด้านล่างข้างขวาของกระดาษแผนผังจะต้องแสดงดัชนีแผนผังที่ต่อกัน (ในกรณีที่ต้องแสดงแผนผังเกินกว่า ๑ แผ่น) ชื่อโครงการ ที่ตั้งของที่ดิน ชื่อและลายมือชื่อของผู้ออกแบบ และวิศวกรผู้คำนวณระบบต่าง ๆ พร้อมทั้งเลขทะเบียนใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรมและหรือสถาปัตยกรรมด้วย (๕) แผนงาน โครงการและการบำรุงรักษาสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก (๖) วิธีการจำหน่ายที่ดินจัดสรรและการชำระราคาหรือค่าตอบแทน (๗) ภาระผูกพันต่าง ๆ ที่บุคคลอื่นมีส่วนได้เสียเกี่ยวกับที่ดินที่ขอจัดสรรนั้น (๘) ที่ตั้งสำนักงานของผู้ขอจัดสรรที่ดิน (๙) หลักฐานการให้ความยินยอมหรือความเห็นชอบจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินที่จะขออนุญาตทำการจัดสรร ข้อ ๘ เมื่อ กนอ. ได้รับคำขอตามข้อ ๗ แล้ว ให้ตรวจสอบคำขอหากเห็นว่าไม่ครบถ้วนให้แจ้งผู้ขอจัดสรรที่ดินดำเนินการส่งหลักฐาน และรายละเอียดเพิ่มเติมให้ครบถ้วนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ในกรณีผู้ขอจัดสรรที่ดินไม่ดำเนินการยื่นหลักฐาน และรายละเอียดเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือได้ยื่นหลักฐานและรายละเอียดภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ กนอ. ตรวจสอบแล้วเห็นว่าหลักฐานและรายละเอียดยังไม่ครบถ้วน ให้สั่งไม่รับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินแล้วแจ้งคำสั่งดังกล่าวพร้อมส่งหลักฐานและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องคืนให้แก่ผู้ขอจัดสรรที่ดิน ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วเห็นว่าหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นพร้อมคำขออนุญาตตามวรรคหนึ่งหรือหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคสองครบถ้วน แล้วให้ กนอ. สั่งรับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินและแจ้งให้ผู้ขอจัดสรรที่ดินทราบ ข้อ ๙ เมื่อ กนอ. ได้มีคำสั่งรับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินแล้ว ให้ กนอ. พิจารณากลั่นกรองคำขอดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในห้าวันทำการนับแต่วันที่ กนอ. ได้สั่งรับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินและหลักฐานประกอบที่ถูกต้องและครบถ้วน หากเห็นสมควรอนุญาตให้นำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา เมื่อคณะกรรมการมีมติเห็นชอบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตพร้อมทั้งแจ้งผลการพิจารณาและจัดส่งสำเนาแผนผังโครงการ และวิธีการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมไปยังพนักงาน เจ้าหน้าที่แห่งท้องที่ซึ่งที่ดินจัดสรรนั้นตั้งอยู่เพื่อใช้ประกอบการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินต่อไป ข้อ ๑๐ ให้ กนอ. ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอจัดสรรที่ดินเมื่อผู้ขอจัดสรรที่ดินได้ดำเนินการดังต่อไปนี้ครบถ้วนแล้ว (๑) รังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขอจัดสรรพร้อมออกโฉนดที่ดินตามแผนผังโครงการและวิธีการจัดสรรที่ดิน (๒) ให้ที่ดินแปลงย่อยที่จัดเป็นพื้นที่สาธารณูปโภค ปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ ทั้งสิ้น (๓) ปรับปรุงที่ดินและจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ตามแผนผังโครงการและวิธีการจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม หรือได้ดำเนินการจัดให้มีการค้ำประกันการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกตามข้อ ๑๔ ข้อ ๑๑ เมื่อได้ออกใบอนุญาตให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดินแล้ว ให้ กนอ. ส่งสำเนาใบอนุญาตพร้อมทั้งแผนผังโครงการ และวิธีการจัดสรรที่ดินที่คณะกรรมการอนุญาตไปยังพนักงานเจ้าหน้าที่แห่งท้องที่ซึ่งที่ดินจัดสรรนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอให้จดแจ้งในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตว่าที่ดินนั้นอยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน รวมทั้งเมื่อได้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยแล้วก็ขอให้จดแจ้งไว้ในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่แบ่งแยกนั้นด้วย ข้อ ๑๒ ในกรณีที่ที่ดินจัดสรรมีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือการจำนองติดอยู่ เมื่อได้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยแล้วผู้ขอจัดสรรที่ดินจะต้องนำโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปดำเนินการให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดแจ้งบุริมสิทธิหรือการจำนองนั้นในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยทุกฉบับ พร้อมทั้งระบุจำนวนเงินที่ผู้ทรงบุริมสิทธิหรือผู้รับจำนองจะได้รับชำระหนี้จากที่ดินแปลงย่อยแต่ละแปลงในสารบัญสำหรับจดทะเบียนด้วย และให้ถือว่าที่ดินแปลงย่อยเป็นประกันหนี้บุริมสิทธิหรือหนี้จำนองตามจำนวนเงินที่ระบุไว้นั้น ให้ที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคปลอดจากบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และภาระการจำนอง ข้อ ๑๓ ถ้าผู้ขอจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมประสงค์จะขอจัดสรรที่ดินเพิ่มเติมหรือขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผัง โครงการหรือวิธีการจัดสรรที่ดินให้ยื่นคำขอพร้อมหลักฐานประกอบการพิจารณาต่อ กนอ. ทั้งนี้ ให้นำความตามข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับกับการดังกล่าวโดยอนุโลม หมวด ๓ การค้ำประกันการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๑๔ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรอนุญาตให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน และผู้นั้นยังมิได้จัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่น หรือการปรับปรุงที่ดิน หรือดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จตามแผนผังและโครงการ ผู้ขอจัดสรรที่ดินต้องนำหลักประกันเป็นเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ กนอ. เชื่อถือได้ตามจำนวนที่ กนอ. กำหนดมามอบไว้ต่อ กนอ. เพื่อค้ำประกันการจัดให้มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ถ้าผู้ขอจัดสรรที่ดินไม่จัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการ อื่นหรือปรับปรุงที่ดินไม่แล้วเสร็จตามแผนผัง โครงการ และกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตไว้ หรือมีกรณีที่เชื่อได้ว่าจะไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามที่ได้รับอนุญาต ให้ กนอ. ใช้สิทธิริบหลักประกันหรือเรียกร้องให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินผู้ค้ำประกันชำระเงินให้แก่ กนอ. ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาค้ำ ประกันภายในเวลาที่กำหนดเพื่อที่ กนอ. จะได้ใช้เงินนั้นในการดำเนินการจัดให้มีสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการอื่น หรือปรับปรุงที่ดินนั้นให้แล้วเสร็จตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาต หมวด ๔ การก่อภาระผูกพันแก่ที่ดินในโครงการ ข้อ ๑๕ ห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมกับบุคคลใดอันก่อให้เกิดภาระผูกพันใด ๆ แก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ข้อ ๑๖ การขอทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้ (๑) เมื่อได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน และได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นแปลงย่อยตามแผนผัง โครงการและวิธีการที่คณะกรรมการอนุญาตแล้ว ผู้จัดสรรที่ดินประสงค์จะทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินที่จัดสรรให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานต่อ กนอ. (๒) ให้ กนอ. พิจารณา ตรวจสอบ กลั่นกรองคำขอให้แล้วเสร็จภายในห้าวันทำการนับจากวันที่ กนอ. ได้รับคำขอพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา และเสนอผลการพิจารณาต่อคณะกรรมการ (๓) เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอนุญาตตามที่ผู้จัดสรรที่ดินมีคำขอแล้ว ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตแก่ผู้จัดสรรที่ดินโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องระบุชื่อโครงการจัดสรรที่ดิน เลขที่ใบอนุญาตทำการจัดสรรที่ดิน เลขที่โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ประเภทหรือลักษณะการใช้ที่ดิน ประเภทนิติกรรม ชื่อคู่กรณี ระยะเวลาในการก่อให้เกิดภาระผูกพัน และมติคณะกรรมการ ครั้งที่พร้อมวัน เดือน ปีที่มีมติไว้ในหนังสืออนุญาตด้วย (๔) ห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินอันเป็นพื้นที่สาธารณูปโภค (๕) การก่อภาระผูกพันในที่ดิน หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยการจำนอง วงเงินจำนองอย่างสูงต้องไม่เกินราคาประเมินแห่งทรัพย์สินที่จำนองนั้น สำหรับที่ดินให้ยึดถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ส่วนสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ขอจัดสรรที่ดินแสดงต้นทุนการก่อสร้างตามความเป็นจริง โดยแยกดังนี้ (๕.๑) กรณีที่ดินเปล่า วงเงินจำนองอย่างสูงต้องไม่เกินราคาประเมินที่ดินที่ใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดิน หรือราคาที่คณะกรรมการกำหนดหรือเห็นชอบ (๕.๒) กรณีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง วงเงินจำนองอย่างสูงต้องไม่เกินราคาประเมินที่ดินที่ใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินรวมกับราคาสิ่งปลูกสร้างตามราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างของ กนอ. หรือราคาที่คณะกรรมการกำหนดหรือเห็นชอบ (๕.๓) ราคาที่คณะกรรมการกำหนดหรือเห็นชอบ หมายถึง ราคาจากแหล่งข้อมูลที่สามารถนำมาประมวล เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาวงเงินที่จะอนุญาตให้จำนอง ดังต่อไปนี้ (ก) ราคาจำหน่ายของที่ดินที่ขอจำนองซึ่งแสดงไว้ในเอกสารโครงการ และวิธีการจัดสรรที่ดิน (ข) ราคาจำหน่ายของที่ดินที่ขอจำนอง ซึ่งปรากฏในเอกสารโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์โครงการจัดสรรที่ดิน (ค) ราคาที่ดินที่ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินได้ประเมินเพื่อเป็นฐานในการอนุมัติสินเชื่อ (ง) ราคาที่บริษัทประเมินกลางที่เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย และได้รับอนุญาตให้ประเมินค่าทรัพย์สินโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้รับรอง ในกรณีที่ราคาตาม (ก) – (ง) ไม่ใกล้เคียงหรือไม่สอดคล้องกัน ให้ กนอ. พิจารณาแต่งตั้งผู้แทนไปตรวจสอบ และพิจารณาใช้ราคาที่ดินโดยการเทียบเคียงกับที่ดินแปลงที่มีลักษณะและสภาพสาธารณูปโภคใกล้เคียงกัน (๖) ผู้รับจำนองต้องยินยอมเฉลี่ยหนี้และรับชำระหนี้เป็นรายโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงย่อย โดยถือว่าที่ดินแปลงย่อยแต่ละแปลงเป็นประกันหนี้จำนองเฉพาะส่วนตามวงเงินที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงย่อย และผู้รับจำนองยินยอมให้ผู้จำนอง ไถ่ถอนหรือปลอดจำนองเป็นรายโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงย่อยได้ (๗) ผู้จัดสรรที่ดินต้องจัดการให้ที่ดินแปลงย่อยปลอดภาระผูกพันก่อนจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมโอนที่ดินแก่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร (๘) ห้ามมิให้ทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้ซื้อที่ดินที่จัดสรรแล้ว เว้นแต่มีข้อตกลงยกเว้นไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย หรือมีหนังสือยินยอมจากผู้ซื้อที่ดินจัดสรรให้ทำนิติกรรมประเภทจำนองได้ (๙) เงื่อนไขอื่นๆ ตามที่ กนอ. เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่ผู้ซื้อที่ดินที่จัดสรร หมวด ๕ การดำเนินการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่น แก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๑๗ การให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่นแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนดหรือตามสัญญาหรือข้อตกลงที่ผู้จัดสรรที่ดินทำไว้กับ กนอ. หมวด ๖ การจัดการดูแล บำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๑๘ สาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาต เช่น ถนน ทางเท้า สวนสาธารณะ ต้องจดทะเบียนภาระจำยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร ให้ผู้จัดสรรที่ดิน หรือ กนอ. แล้วแต่กรณีมีหน้าที่บำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวตามวรรคหนึ่งให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป และจะกระทำการใดอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกมิได้ ทั้งนี้ ตามข้อตกลงหรือเงื่อนไขของสัญญาที่ผู้จัดสรรที่ดินทำไว้กับ กนอ. ข้อ ๑๙ ในกรณีที่ผู้จัดสรรที่ดินซึ่งมีหน้าที่ดูแล บำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกตามข้อ ๑๘ กระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผิดไปจากแผนผัง โครงการ หรือวิธีการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายสั่งให้ผู้จัดสรรที่ดินระงับการกระทำนั้น และจัดการดูแล บำรุงรักษาสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้น หรือดำเนินการตามแผนผัง โครงการ หรือวิธีการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการภายในระยะเวลาที่กำหนด หมวด ๗ การจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวก ข้อ ๒๐ การจัดเก็บเงินค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและจัดการสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่ กนอ. ประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ หมวด ๘ การยกเลิกการจัดสรรที่ดิน ข้อ ๒๑ ในกรณีที่ผู้จัดสรรที่ดินประสงค์จะยกเลิกการจัดสรรที่ดิน ให้ยื่นคำขอต่อ กนอ. ตามแบบที่ กนอ. กำหนด การขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กนอ. กำหนด ข้อ ๒๒ ให้ กนอ. ปิดประกาศคำขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานนิคมอุตสาหกรรม สำนักงานของผู้จัดสรรที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดหรือสำนักงานที่ดินสาขาบริเวณที่ดินที่ทำการจัดสรร ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล มีกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ปิดประกาศ และให้ผู้จัดสรรที่ดินประกาศในหนังสือพิมพ์ซึ่งแพร่หลายในท้องถิ่นนั้นไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรทราบ ข้อ ๒๓ ให้ผู้ซึ่งมีประโยชน์เกี่ยวข้องกับการจัดสรรที่ดินที่ประสงค์จะคัดค้านคำขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินยื่นคำคัดค้านต่อ กนอ. ภายในสามสิบวันนับแต่วันครบกำหนดปิดประกาศตามข้อ ๒๒ ถ้าไม่มีผู้ใดคัดค้านภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ กนอ. เสนอเรื่องให้คณะกรรมการสั่งยกเลิกการจัดสรรที่ดิน ในกรณีที่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรคัดค้าน ให้ กนอ. ยกเลิกเรื่องขอยกเลิกการจัดสรรที่ดิน แต่ถ้ามีผู้คัดค้านแต่มิใช่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ให้ กนอ. เสนอคำขอยกเลิกการจัดสรรที่ดินและคำคัดค้านให้คณะกรรมการพิจารณา คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด ข้อ ๒๔ เมื่อคณะกรรมการสั่งยกเลิกการจัดสรรที่ดินแล้ว ใบอนุญาตที่ได้ออกตามข้อบังคับนี้ให้เป็นอันยกเลิก บทเฉพาะกาล ข้อ ๒๕ บรรดาคำขออนุมัติหรืออนุญาตที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการหรือ กนอ. ในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตดำเนินการจัดสรรที่ดินหรือเปลี่ยนแปลงการจัดสรรที่ดินตามข้อบังคับนี้โดยอนุโลม ในกรณีที่คำขออนุมัติ อนุญาตดังกล่าว มีข้อแตกต่างไปจาก คำขออนุมัติ อนุญาตตามข้อบังคับนี้ ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ประสาน ตันประเสริฐ ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฐิติพงษ์/ผู้จัดทำ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๘๗ ง/หน้า ๓๔/๑๖ กันยายน ๒๕๔๘
316339
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 108 ว่าด้วยการดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ พ.ศ. 2545
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประไทย ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประไทย ฉบับที่ ๑๐๘ ว่าด้วย การดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยที่เป็นการสมควรให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการควบคุมการดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อของผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ตามมาตรา ๖ (๔) (๕) และมาตรา ๑๐ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๐๘ ว่าด้วย การดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ พ.ศ. ๒๕๔๕” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “กนอ.” หมายความว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการ กนอ. “สินค้าเหลว” หมายความว่า ของที่ใช้ในกระบวนการผลิตหรือเพื่อประโยชน์แก่กระบวนการผลิตซึ่งต้องขนส่งทางท่อ เช่น ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ สารระเหย สารกัดกร่อนต่าง ๆ วัตถุอันตราย และให้หมายความรวมถึงก๊าซธรรมชาติ และไอน้ำด้วย ทั้งนี้ ไม่รวมถึงน้ำประปา และน้ำดิบ “ระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ” หมายความว่า ระบบการลำเลียงสินค้าเหลวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยทางเส้นท่อตามอาณาบริเวณที่จัดไว้เพื่อระบบการลำเลียงดังกล่าว และให้หมายความรวมถึงโครงสร้าง เครือข่ายของท่อขนส่ง อาคารและอุปกรณ์ของระบบดังกล่าวด้วย “คำขอ” หมายความว่า คำขออนุญาตก่อสร้างระบบท่อขนส่งสินค้าเหลว ข้อ ๔ ผู้ประกอบกิจการซึ่งจะดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย ข้อ ๕ ผู้ขออนุญาตต้องยื่นคำขอต่อ กนอ. ตามแบบที่ กนอ. กำหนดพร้อมด้วยข้อมูลรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๕.๑ ข้อมูลโครงการ แสดงแผนที่ แผนผังการใช้พื้นที่ของโครงการ ผู้ขนส่ง ผู้รับการขนส่ง ชนิดของสินค้าเหลว ๕.๒ ข้อมูลแบบบ่งชี้อันตรายและการประเมินความเสี่ยงภัยของการขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ ๕.๓ ข้อมูลการจัดการความเสี่ยงภัยประกอบด้วย - มาตรการป้องกันและควบคุมเหตุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการขนส่ง - รายละเอียดของระบบหรืออุปกรณ์ป้องกัน เช่น ระบบดูดสุญญากาศ ระบบกักเก็บสาร เป็นต้น โดยให้แสดงถึงประสิทธิภาพของระบบดังกล่าวด้วย - มาตรการบรรเทา ระงับ และฟื้นฟูเหตุการณ์ หากเกิดเหตุรั่วไหลของสินค้าเหลว ในกรณีที่กิจการหรือโครงการของผู้ขออนุญาตได้รับความเห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมในเรื่องที่ผู้ขออนุญาตยื่นคำขอต่อ กนอ. ในข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าวในวรรคแรกแล้ว ให้ยกเว้นไม่ต้องทำรายงานในข้อนั้น ๆ โดยให้ยื่นรายงานฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมแทน ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ในการควบคุม กำกับ ดูแล และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ในการดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ กนอ. อาจจัดตั้งนิติบุคคลขึ้น หรือเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. ก็ได้ ทั้งนี้ การดำเนินการตามวรรคแรกต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กนอ.ก่อน ข้อ ๗ ให้ กนอ. ออกหนังสืออนุญาตตามแบบแนบท้ายข้อบังคับนี้ หรือแจ้งเหตุผลกรณีที่ยังไม่สามารถออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ยื่นคำขอ ภายใน ๑๕ วันทำการ ข้อ ๘ ผู้ขออนุญาตต้องปฏิบัติตามมาตรการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ท้ายใบอนุญาต หากผู้ขออนุญาตไม่ปฏิบัติตามมาตรการและเงื่อนไขดังกล่าว ให้ กนอ. สั่งแก้ไขให้เป็นไปตามมาตรการและเงื่อนไขที่กำหนด และถ้าผู้ขออนุญาตไม่ดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วันทำการ นับแต่วันที่ผู้ขออนุญาตได้รับแจ้งจาก กนอ. ให้ กนอ. เพิกถอนใบอนุญาตตามข้อบังคับนี้ ข้อ ๙ การดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อซึ่งผู้ขออนุญาตได้ดำเนินการไปแล้วก่อนวันที่ข้อบังคับฉบับนี้ใช้บังคับนั้น หากผู้ขออนุญาตมีข้อตกลงกับ กนอ. ตามสัญญาที่ทำไว้กับกนอ. หรือตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ท้ายใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมยอมรับที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขการใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. จะกำหนดในภายหน้า ให้ผู้ว่าการหรือผู้ที่ผู้ว่าการมอบหมายมีอำนาจสั่งให้ผู้ขออนุญาตปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ได้ การขออนุญาตดำเนินงานระบบท่อขนส่งสินค้าเหลวทางท่อซึ่งยื่นคำขออนุญาตไว้ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กนอ. ให้ถือว่าเป็นคำขออนุญาตตามข้อบังคับนี้ และให้ กนอ. เรียกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ต่อไป ข้อ ๑๐ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดในกรณีที่มีปัญหาต่าง ๆ ในการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ร้อยเอก ขจิต หัพนานนท์ ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย [เอกสารแนบท้าย] ๑. คำขออนุญาตดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ ๒. ใบอนุญาตดำเนินงานระบบขนส่งสินค้าเหลวทางท่อ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) พรพิมล/แก้ไข ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๕ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๔ ง/หน้า ๓๓/๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
316511
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 100 ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของพนักงาน พ.ศ. 2541
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๐๐ ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของพนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย หลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงออกข้อบังคับไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๐๐ ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของพนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๑๐ ว่าด้วยความรับผิดในทางแพ่ง พ.ศ. ๒๕๒๔ บรรดา ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ ให้ใช้ข้อบังคับนี้แทน ข้อ ๔ ในข้อบังคับนี้ “กนอ.” หมายความว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “คณะกรรมการสอบสวน” หมายความว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงาน ลูกจ้าง และผู้ว่าการ หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่นไม่ว่าจะแต่งตั้งในฐานะกรรมการหรือในฐานะอื่นใด ซึ่งได้แต่งตั้งให้ปฏิบัติงานให้แก่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้แต่งตั้ง” หมายความว่า ผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นเพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ “ความเสียหาย” หมายความว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิดอย่างใด ๆ ของพนักงาน แต่ไม่รวมถึงการออกคำสั่ง กฎ หรือระเบียบ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย หรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมาย ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ข้อ ๕ ให้ประธานกรรมการ กนอ. รักษาการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ กรณีพนักงานกระทำละเมิดต่อการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อ ๖ เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแก่ กนอ. ให้พนักงานที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาโดยไม่ชักช้า และให้มีการรายงานตามลำดับชั้นถึงผู้ว่าการเพื่อพิจารณาความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามีเหตุอันควรเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของพนักงาน กนอ. ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นคณะหนึ่งโดยไม่ชักช้าเพื่อพิจารณาเสนอความเห็นเกี่ยวกับผู้ต้องรับผิดและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ผู้นั้นจะต้องชดใช้ และกำหนดเวลาแล้วเสร็จการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนไว้ด้วย คณะกรรมการสอบสวนตามวรรคสอง ให้มีจำนวนไม่เกินห้าคน โดยแต่งตั้งจากพนักงานของ กนอ. หรือหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นตามสมควร ข้อ ๗ เมื่อพนักงานของ กนอ. ทำให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐแห่งอื่นให้พนักงานผู้ทำให้เกิดความเสียหายแจ้งต่อผู้บังคับบัญชา และให้มีการรายงานตามลำดับชั้นถึงผู้ว่าการ ในกรณีที่ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้นเป็นกรรมการที่ กนอ. แต่งตั้ง ก็ให้แจ้งต่อผู้ว่าการ และในกรณีที่ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายเป็นผู้ว่าการให้แจ้งต่อประธานกรรมการ กนอ. ข้อ ๘ เมื่อเกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐแห่งอื่น ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่ได้รับความเสียหายและผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งข้อบังคับนี้กำหนดให้เป็นผู้รับแจ้งตามข้อ ๗ แล้วแต่กรณีมีอำนาจร่วมกันในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นแก่หน่วยงานของรัฐมากกว่าหนึ่งแห่ง และหรือความเสียหายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ให้ผู้มีอำนาจของแต่ละส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณีร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ข้อ ๙ ในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ กนอ. หรือแก่หน่วยงานของรัฐแห่งอื่น ถ้าผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ ๖ หรือข้อ ๘ มิได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายในเวลาอันสมควร หรือแต่งตั้งไม่เหมาะสมให้ปลัดกระทรวง หรือรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา หรือกำกับดูแลหรือควบคุมการปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าวมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสอบสวนแทนผู้มีอำนาจแต่งตั้งได้ตามที่เห็นสมควร ข้อ ๑๐ ในการประชุมคณะกรรมการสอบสวนต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งคนใดขึ้นทำหน้าที่แทน มติของคณะกรรมการสอบสวนให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการที่ไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมอาจทำความเห็นแย้งมติที่ประชุมไว้ในความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนได้ ข้อ ๑๑ ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้คณะกรรมการสอบสวนมีอำนาจหน้าที่พิจารณาข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับการทำละเมิด โดยต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวงที่เกี่ยวข้อง รับฟังพยานบุคคล หรือพยานผู้เชี่ยวชาญและตรวจสอบเอกสาร วัตถุ หรือสถานที่ที่เกิดเหตุ ในการสอบสวนคณะกรรมการสอบสวนต้องให้โอกาสแก่ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เสียหายได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและโต้แย้งพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอและเป็นธรรม ข้อ ๑๒ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดให้เสนอความเห็นไปยังผู้แต่งตั้ง ถ้าผู้แต่งตั้งขอให้ทบทวนหรือสอบสวนเพิ่มเติม ให้คณะกรรมการสอบสวนรีบดำเนินการให้เสร็จภายในเวลาที่ผู้แต่งตั้งกำหนด ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนไม่สามารถดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ก็ให้ขอขยายเวลาการสอบสวนออกไปได้ตามที่ผู้แต่งตั้งเห็นสมควร แต่การขอขยายเวลานั้นต้องแสดงเหตุผลประกอบด้วย ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนต้องมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ชัดแจ้งและต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนด้วย ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนไม่ผูกมัดผู้แต่งตั้งหรือ กนอ. ในการที่จะมีความเห็นเป็นประการอื่น ข้อ ๑๓ เมื่อผู้แต่งตั้งได้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนแล้วให้วินิจฉัยสั่งการว่ามีผู้รับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใด แต่ยังไม่ต้องแจ้งการสั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ แล้วให้ส่งสำนวนการสอบสวนให้กระทรวงการคลังภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่วินิจฉัยสั่งการเพื่อตรวจสอบ เว้นแต่เป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนดว่าไม่ต้องรายงานให้ตรวจสอบ ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ให้ผู้แต่งตั้งสั่งการให้เตรียมเรื่องให้พร้อมสำหรับการออกคำสั่งให้พนักงานผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือดำเนินการฟ้องร้องคดีเพื่อมิให้ขาดอายุความสองปีนับแต่วันที่ผู้แต่งตั้งวินิจฉัยสั่งการ ข้อ ๑๔ เมื่อกระทรวงการคลังพิจารณาเสร็จแล้ว มีความเห็นอย่างใด ถ้าผู้แต่งตั้งเห็นด้วยกับความเห็นของกระทรวงการคลัง ก็ให้ผู้แต่งตั้งมีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังและแจ้งคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ในกรณีที่ผู้แต่งตั้งไม่เห็นด้วยกับความเห็นของกระทรวงการคลัง ให้ผู้แต่งตั้งส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมด้วยความเห็นกับความเห็นของกระทรวงการคลังไปยังคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดตามที่เห็นว่าถูกต้อง ในกรณีที่ผู้แต่งตั้งสั่งการตามความเห็นของกระทรวงการคลังหรือคณะกรรมการ กนอ. ก็ให้ดำเนินการเพื่อออกคำสั่งให้ชำระค่าสินไหมทดแทนหรือฟ้องคดีต่อศาลภายในอายุความหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้แต่งตั้งแจ้งคำสั่งให้ผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทราบ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ผู้แต่งตั้งวินิจฉัยสั่งการว่ามีผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามข้อ ๑๓ ข้อ ๑๕ ในกรณีที่ร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ ๘ ให้ผู้แต่งตั้งร่วมกันวินิจฉัยสั่งการและเสนอความเห็นทั้งหมดไปยังกระทรวงการคลังและเมื่อดำเนินการตามข้อ ๑๓ และข้อ ๑๔ แล้ว กระทรวงการคลังมีความเห็นอย่างใด ก็ให้สั่งการไปตามนั้น ถ้าผู้มีอำนาจแต่งตั้งร่วมกันยังมีความเห็นแตกต่างกันซึ่งหาข้อยุติไม่ได้ ก็เสนอให้คณะรัฐมนตรีวินิจฉัยชี้ขาด ข้อ ๑๖ ในกรณีที่ความเสียหายเกิดแก่เงิน ให้ใช้เป็นเงินแต่เพียงอย่างเดียวแต่ถ้าความเสียหายมิได้เกิดขึ้นแก่เงิน จะดำเนินการดังต่อไปนี้แทนการชำระเงินก็ได้ (๑) ชดใช้ทรัพย์สินที่มีลักษณะ คุณภาพ ปริมาณ อย่างเดียวกับทรัพย์สินที่สูญหาย หรือเสียหาย และใช้งานแทนได้เช่นเดียวกับทรัพย์สินที่สูญหายหรือเสียหาย โดยทำสัญญายินยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นทรัพย์สินดังกล่าว (๒) ซ่อมแซมหรือบูรณะทรัพย์สินที่ชำรุดเสียหายให้คงสภาพเดิม โดยทำสัญญาว่าจะจัดการให้ทรัพย์สินคงสภาพเหมือนเดิมภายในระยะเวลาไม่เกินหกเดือน (๓) ชดใช้ทรัพย์สินหรือซ่อมแซมหรือบูรณะทรัพย์สินอันที่ต่างไปจาก (๑) หรือ (๒) ต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน การชดใช้ค่าเสียหายเป็นทรัพย์สินหรือการซ่อมแซมหรือบูรณะทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ให้มีการตรวจรับตามข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของ กนอ. การทำสัญญาตามวรรคหนึ่งต้องจัดให้มีผู้ค้ำประกัน หรือวางหลักประกันตามระเบียบที่กำหนด ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พนักงานผู้ต้องรับผิดตาย ให้รีบดำเนินการตามข้อบังคับนี้โดยอนุโลมเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว อย่าให้ขาดอายุความมรดก ในกรณีที่ผู้แต่งตั้งเห็นว่าพนักงานต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ กนอ. หรือหน่วยงานของรัฐอื่น ให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องผู้จัดการมรดกหรือทายาทต่อไป ในกรณีของผู้แต่งตั้งร่วมกัน ถ้ามีความเห็นแตกต่างกัน ให้ดำเนินการไปพลางก่อนตามความเห็นของผู้แต่งตั้งสำหรับหน่วยงานของรัฐที่เสียหาย และถ้าได้ข้อยุติเป็นประการใดให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น ข้อ ๑๘ ในกรณีที่พนักงานต้องรับผิด และขอผ่อนชำระค่าสินไหมทดแทนไม่ว่าจะเกิดขึ้นในขั้นตอนใดให้ กนอ. หรือหน่วยงานของรัฐอื่นที่เสียหายกำหนดจำนวนเงินที่จะขอผ่อนชำระตามความเหมาะสม ในการผ่อนชำระต้องมีผู้ประกัน และในกรณีที่เห็นสมควรจะให้วางหลักประกันด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กำหนด แต่ถ้าพนักงานที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่สามารถชำระหนี้ได้ ให้หน่วยงานของรัฐอื่นที่เสียหายหรือ กนอ. พิจารณาผ่อนผันตามความเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด และต้องไม่ดำเนินคดีล้มละลายแก่ผู้นั้น แต่ถ้าการที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้นั้นเกิดจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงของพนักงานผู้นั้นหรือพนักงานผู้นั้นกระทำการใด ๆ อันเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงเพื่อให้ กนอ. หรือหน่วยงานของรัฐอื่นเสียหาย ไม่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนให้ กนอ. หรือหน่วยงานของรัฐที่เสียหายส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินคดีล้มละลาย ข้อ ๑๙ การประนีประนอมยอมความหลังจากคณะกรรมการสอบสวนได้มีมติแล้วให้ขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กนอ. ก่อน หมวด ๒ กรณีพนักงานของ กนอ. กระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ ๒๐ ในกรณีที่พนักงานทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอก ถ้าพนักงานผู้นั้นเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานผู้นั้นดำเนินการตามข้อ ๗ ข้อ ๒๑ ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกนั้นได้ดำเนินการตามข้อ ๗ แล้ว ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ ๖ ขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้นำข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนโดยอนุโลม ข้อ ๒๒ ผลในการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกนั้น มิได้เกิดจากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ให้รายงานถึงผู้มีอำนาจแต่งตั้ง และแจ้งให้พนักงานผู้ทำให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกทราบ เพื่อจะได้รับผิดต่อผู้เสียหายเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าผลในการสอบสวนปรากฏว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกนั้นเป็นการกระทำเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน ก็ให้คณะกรรมการสอบสวนรายงานต่อผู้มีอำนาจแต่งตั้ง เพื่อจะได้ดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อผู้เสียหายหรือต่อสู้คดีต่อไป ข้อ ๒๓ ในกรณีที่มีผู้เสียหายยื่นคำขอให้ กนอ. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ กนอ. รับคำขอนั้นไว้พิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าผู้เสียหายยื่นคำขอผิดหน่วยงานให้ กนอ. รีบส่งเรื่องไปยังหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดชอบต่อไป และแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยเร็ว เมื่อได้รับคำขอตามวรรคหนึ่งแล้ว และ กนอ. เห็นว่า ความเสียหายทีเกิดขึ้นนั้น มิได้เกิดจากกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน ซึ่ง กนอ. ไม่ต้องรับผิดก็ให้แจ้งต่อผู้เสียหายให้ดำเนินการเรียกร้องต่อพนักงานผู้ทำให้เกิดความเสียหายนั้นเอง แต่ถ้า กนอ. เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน ก็ให้ กนอ. ดำเนินการตกลงกับผู้เสียหายในเรื่องค่าสินไหมทดแทน ข้อ ๒๔ ในกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องคดีต่อศาลให้ กนอ. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายทีเกิดขึ้น ให้ กนอ. ประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อเตรียมตัวสู้คดีต่อไป ถ้า กนอ. เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่พนักงานผู้ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องร่วมรับผิดชอบ ให้ กนอ. ร้องขอต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นเรียกพนักงานผู้นั้นเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ข้อ ๒๕ ในกรณีที่ กนอ. ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอก ไม่ว่าจะมีการฟ้องคดีหรือไม่ก็ตาม กนอ. มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากพนักงานผู้นั้นได้ ถ้าปรากฏว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น พนักงานผู้นั้นมีส่วนผิดอยู่ด้วย หรือกระทำไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และให้นำข้อ ๑๗ และ ๑๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม การใช้สิทธิไล่เบี้ยตามวรรคหนึ่ง ให้ กนอ. ดำเนินการภายในกำหนดอายุความหนึ่งปี นับแต่วันที่ กนอ. ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย ข้อ ๒๖ ให้ผู้ว่าการวางระเบียบหรือออกคำสั่งใด ๆ เพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ และในกรณีที่มีปัญหาในการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ให้คณะกรรมการ กนอ. เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธิดาวรรณ/แก้ไข ๓๑ ก.ค. ๒๕๔๕ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๕/ตอนที่ ๗๖ ง/หน้า ๓๔/๒๒ กันยายน ๒๕๔๑
318774
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 97 ว่าด้วยกองทุนเพื่อบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในนิคมอุตสาหกรรมที่ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค
ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๙๗ ว่าด้วยกองทุนเพื่อบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกในนิคมอุตสาหกรรม ที่ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค โดยที่ต้องจัดให้มีกองทุนเพื่อบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการอื่น เพื่อให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และประกาศคณะกรรมการ กนอ. ที่ ๑/๒๕๓๙ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับการนิคมอุสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๙๗ ว่าด้วย กองทุนเพื่อบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภคสำหรับนิคมอุตสาหกรรมที่ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค” ข้อ[๑] ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “กนอ.” หมายความว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ร่วมดำเนินงาน” หมายความว่า เอกชนหรือหน่วยงานของรัฐที่เข้าร่วมดำเนินงานร่วมทุนในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมกับ กนอ. “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า นิคมอุตสาหกรรมที่ผู้ร่วมดำเนินงานเข้าร่วมดำเนินงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม โดยผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้จัดหาที่ดินลงทุน และพัฒนาเพื่อขาย ให้เช่า หรือให้เช่าซื้อที่ดินและให้บริการระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอื่น “ระบบสาธารณูปโภค” หมายความว่า ระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ผู้ร่วมดำเนินงานจัดให้มีตามข้อ ๗ ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ทั้งนี้ ให้รวมถึงงานภูมิสถาปัตย์หรือพื้นที่สีเขียวในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกรวมทั้งเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในขบวนการของระบบ และ/หรือใช้ในการบำรุงรักษาระบบข้างต้นด้วย “บำรุงรักษา” หมายความว่า การดำเนินการบำรุงรักษาให้ระบบสาธารณูปโภคสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่จัดให้มี และ/หรือ เพื่อการรักษา ส่งเสริมสภาพสิ่งแวดล้อม ภายในนิคมอุตสาหกรรม “ซ่อมแซม” หมายความว่า การดำเนินการซ่อมระบบสาธารณูปโภคที่ชำรุดเสียหายเพื่อให้สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่จัดให้มี และ/หรือ เพื่อการรักษาส่งเสริมสภาพสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรม “สร้างทดแทน” หมายความว่า การดำเนินการสร้าง หรือเปลี่ยนทดแทน หรือการจัดหาระบบสาธารณูปโภคใหม่ขึ้นทดแทนของเดิมที่ชำรุดเสียหาย และ/หรือ เพื่อเป็นการยกระดับสาธารณูปโภค “การป้องกัน” หมายความว่า การดำเนินการเพื่อป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาระบบสาธารณูปโภคที่เกิดจากเหตุสุดวิสัยและต้องเร่งรีบดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย “กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อบำรุงรักษาและสร้างทดแทนระบบสาธารณูปโภค สำหรับนิคมอุตสาหกรรมที่ผู้ร่วมดำเนินงานเป็นผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภค ข้อ ๔ เมื่อผู้ร่วมดำเนินงานชำระเงินตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแล้ว ให้ กนอ. นำฝากเข้าบัญชีกองทุน เพื่อเป็นหลักประกัน และประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ข้อ ๕ เงินเพิ่ม ที่เกิดจากการผิดนัดชำระให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินกองทุน ข้อ ๖ รายได้และผลประโยชน์อื่นใด อันเกิดจากยอดเงินในบัญชีกองทุนให้สมทบเข้าเป็นรายได้ของกองทุน ข้อ ๗ การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนทำได้ดังนี้ ๗.๑ เมื่อผู้ร่วมดำเนินงานรายนั้น ๆ ชำระเงินกองทุนครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ๗.๒ เป็นการเบิกเงินส่วนที่เกินจากวงเงินกองทุน เพื่อการบำรุงรักษาซ่อมแซม สร้างทดแทน และป้องกันระบบสาธารณูปโภค ๗.๓ เป็นการเบิกเงินส่วนที่เป็นวงเงินกองทุน เฉพาะการซ่อมแซมที่มีวงเงินครั้งละไม่ต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือเป็นการสร้างทดแทน และการป้องกันระบบสาธารณูปโภคเท่านั้น ข้อ ๘ ผู้ร่วมดำเนินงานสามารถขอนำเงินกองทุนไปใช้เพื่อบำรุงรักษาซ่อมแซม สร้างทดแทนและป้องกันระบบสาธารณูปโภค สำหรับนิคมอุตสาหกรรมนั้น โดยให้ กนอ. ดำเนินการ ดังนี้ ๘.๑ กรณีเบิกเงินส่วนที่เกินจากวงเงินกองทุน ให้ผู้ว่าการหรือผู้ที่ผู้ว่าการมอบหมายพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินให้กับผู้ร่วมดำเนินงานภายใน ๑๕ วัน นับจากวันที่ กนอ. ได้รับหนังสือขอเบิกเงินพร้อมหลักฐานที่ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องจ่าย หรือได้สำรองจ่ายไปแล้ว ๘.๒ กรณีเบิกเงินส่วนที่เป็นวงเงินกองทุน ให้ผู้ว่าการหรือผู้ที่ผู้ว่าการมอบหมายพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินให้กับผู้ร่วมดำเนินงานภายใน ๑๕ วัน นับจากวันที่ กนอ. ได้รับหนังสือขอเบิกเงินพร้อมหลักฐานที่ผู้ร่วมดำเนินงานจะต้องจ่าย หรือได้สำรองจ่ายไปแล้ว และหนังสือค้ำประกันจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย มีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๒ ปี ในวงเงินที่ กนอ. สั่งจ่าย ทั้งนี้ ให้แจ้งผู้ร่วมดำเนินงานต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้กับ กนอ. ภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ผู้ร่วมดำเนินงานได้รับเงินจาก กนอ. โดยไม่มีดอกเบี้ย หากผู้ร่วมดำเนินงานชำระเงินคืนช้ากว่ากำหนด ให้คิดค่าปรับในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ข้อ ๙ ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีบัญชี ให้ กนอ. นำส่งบัญชีรายได้ - ค่าใช้จ่าย และบัญชีงบดุลของกองทุน ต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเพื่อตรวจสอบรับรอง และส่งงบการเงินที่ได้รับรองแล้วให้ผู้ร่วมดำเนินงานด้วย ข้อ ๑๐ ให้ผู้ว่าการเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด ในกรณีที่มีปัญหาต่าง ๆ ในการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ ทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๕/ตอนที่ ๒๕ ง/หน้า ๓๙/ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๑
798031
พระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. 2561
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. ๒๕๖๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ และมาตรา ๓๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้กลไกการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดในเชิงบูรณาการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน และความสงบเรียบร้อยของสังคม ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. ๒๕๖๑” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “เด็ก” หมายความว่า เด็กตามกฎหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว “เยาวชน” หมายความว่า เยาวชนตามกฎหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว “สถานพินิจ” หมายความว่า สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน “ศูนย์ฝึกและอบรม” หมายความว่า ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน “สถานที่ควบคุม” หมายความว่า สถานที่ควบคุมของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน “การจำแนก” หมายความว่า การแยกและจัดประเภทเด็กและเยาวชนเพื่อกำหนดวิธีการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชน และการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาและความจำเป็นของเด็กและเยาวชน “สิ่งของต้องห้าม” หมายความว่า สิ่งของต้องห้ามนำเข้าสถานที่ควบคุมของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด “เจ้าพนักงานพินิจ” หมายความว่า ผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนด และอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้แต่งตั้งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีหน้าที่และอำนาจออกกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ คณะกรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด มาตรา ๕ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด” ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมคุมประพฤติ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ เป็นที่ประจักษ์ด้านการคุ้มครองเด็ก ด้านการศึกษา ด้านจิตวิทยา ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านสาธารณสุข และด้านสิทธิเด็ก ด้านละหนึ่งคน เป็นกรรมการ ให้อธิบดีเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้อธิบดีแต่งตั้งข้าราชการของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา ๖ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี (๓) ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (๔) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ไม่ติดยาเสพติดให้โทษ (๖) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกจริงหรือไม่ เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๗) ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ (๘) ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก ให้ออก หรือเลิกจ้างจากหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของเอกชนเพราะทุจริตต่อหน้าที่ ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ มาตรา ๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว เว้นแต่วาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหลืออยู่ไม่ถึงเก้าสิบวัน รัฐมนตรีจะไม่แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนก็ได้ และในการนี้ ให้คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่ เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ มาตรา ๘ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๖ (๔) รัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ มาตรา ๙ คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ (๑) เสนอนโยบายและแผนในการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ (๒) ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ ตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งให้คำแนะนำแก่อธิบดีในการออกระเบียบตามพระราชบัญญัตินี้ (๓) พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดตามที่คณะรัฐมนตรีขอให้พิจารณา (๔) พิจารณาให้ความเห็นชอบการกำหนดอาณาบริเวณภายนอกรอบสถานที่ควบคุมซึ่งเป็นที่สาธารณะเป็นเขตปลอดภัย (๕) กำหนดหรือเสนอแนะแนวทาง กลยุทธ์ และมาตรการในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด หรือการดำเนินการตามแผนการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ให้เป็นไปโดยมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล รวมทั้งแนวทางในการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนเพื่อมิให้กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก (๖) ให้คำปรึกษา แนะนำ และประสานหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การติดตามช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กหรือเยาวชนภายหลังปล่อย และการป้องกันการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน (๗) กำหนดมาตรฐานการดำเนินงานต่าง ๆ ของเจ้าพนักงานพินิจให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งให้ความเห็นชอบหลักสูตรการฝึกอบรมเจ้าพนักงานพินิจ (๘) พัฒนาหรือแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่าง ๆ อันเนื่องจากการใช้พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน (๙) ปฏิบัติการอื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น มาตรา ๑๐ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มาตรา ๑๑ คณะกรรมการจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้ การประชุมคณะอนุกรรมการให้นำความในมาตรา ๑๐ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๑๒ ให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการให้แก่คณะกรรมการ และประสานงานกับหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การติดตามช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กหรือเยาวชนภายหลังปล่อย และการป้องกันการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน รวมทั้งปฏิบัติงานอื่นใดตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมาย หมวด ๒ หน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานพินิจ มาตรา ๑๓ ให้อธิบดีมีหน้าที่และอำนาจกำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานพินิจในส่วนที่เกี่ยวแก่การงานและความรับผิดชอบ ตลอดจนเงื่อนไขที่จะปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจนั้น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๑๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ห้ามมิให้ใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงานพินิจ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ดังต่อไปนี้ (๑) เพื่อป้องกันการหลบหนี เมื่อนำตัวเยาวชนออกมานอกสถานที่ควบคุม หรือ (๒) เพื่อความปลอดภัยของเด็กหรือเยาวชนเองหรือบุคคลอื่น ในกรณีที่เกิดความไม่สงบในสถานที่ควบคุม การใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กและเยาวชนตาม (๑) และ (๒) ต้องให้ผู้อำนวยการเป็นผู้พิจารณาสั่งการ และต้องบันทึกความจำเป็นและเหตุผลที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการกับเด็กและเยาวชนไว้ด้วย ประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๕ ให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจประกาศกำหนดอาณาบริเวณภายนอกรอบสถานที่ควบคุมซึ่งเป็นที่สาธารณะเป็นเขตปลอดภัย พร้อมแสดงแผนที่ของอาณาบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในบริเวณนั้นประกอบด้วย ในกรณีที่มีพฤติการณ์และเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลหรือยานพาหนะใดอาจมีการส่งสิ่งของต้องห้าม หรือกระทำการผิดกฎหมายในบริเวณดังกล่าว ให้เจ้าพนักงานพินิจมีหน้าที่และอำนาจสั่งให้บุคคลหรือยานพาหนะออกนอกเขตปลอดภัยได้ มาตรา ๑๖ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสถานที่ควบคุม ให้เจ้าพนักงานพินิจมีหน้าที่และอำนาจตรวจค้นสิ่งของต้องห้าม ตรวจสอบจดหมาย เอกสาร พัสดุภัณฑ์ หรือสิ่งสื่อสารอื่น หรือสกัดกั้นการติดต่อสื่อสารทางโทรคมนาคมหรือทางใด ๆ ซึ่งมีถึงหรือมาจากเด็กหรือเยาวชน ยกเว้นการร้องทุกข์ ร้องเรียน หรือกรณีเป็นการสื่อสารระหว่างเด็กหรือเยาวชนกับที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๑๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ เจ้าพนักงานพินิจต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวเจ้าพนักงานพินิจ ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา ๑๘ ให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจัดให้เจ้าพนักงานพินิจเข้ารับการฝึกอบรมก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้มีการพัฒนาความรู้ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม และมีประสบการณ์ภาคปฏิบัติ รวมถึงการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะและความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ตามหลักสูตรการฝึกอบรมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ มาตรา ๑๙ ให้เจ้าพนักงานพินิจซึ่งผ่านการฝึกอบรมตามมาตรา ๑๘ เป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน และในการกำหนดให้ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ให้คำนึงถึงภาระหน้าที่และคุณภาพของงาน โดยเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนของผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระบวนการยุติธรรมด้วย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง หมวด ๓ สถานที่ควบคุม การจำแนก และมาตรฐานสถานที่ควบคุมเด็กและเยาวชน มาตรา ๒๐ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและฝึกอบรมพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชน อธิบดีอาจประกาศกำหนดให้จัดแบ่งอาณาเขตภายในสถานที่ควบคุมออกเป็นส่วน ๆ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับผลการจำแนกเด็กและเยาวชนแต่ละประเภทก็ได้ การจำแนกประเภทและรูปแบบของสถานที่ควบคุม ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๒๑ เพื่อให้การบริหารงานสถานที่ควบคุมทุกแห่งเป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน ให้อธิบดีวางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานในสถานที่ควบคุม การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานพินิจ การแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชน แนวทางการปฏิบัติตัวของเด็กและเยาวชนแต่ละประเภท และการอื่นอันจำเป็นตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๒ ให้ผู้อำนวยการจัดสิ่งดังต่อไปนี้ให้เด็กและเยาวชนอย่างเพียงพอ (๑) อาหารสะอาดและถูกหลักโภชนาการ (๒) น้ำสะอาดสำหรับการบริโภคและอุปโภค (๓) ยาสามัญประจำบ้านที่จำเป็น (๔) เสื้อผ้าที่เหมาะสมตามสภาพภูมิอากาศและสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น (๕) อุปกรณ์นันทนาการและการกีฬา (๖) อุปกรณ์ในการศึกษาขั้นพื้นฐานและการฝึกอบรม (๗) ที่หลับนอนที่เหมาะสมและถูกสุขลักษณะ (๘) สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่จำเป็น หมวด ๔ การรับตัว การจำแนก และการพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชน ส่วนที่ ๑ การรับตัวเด็กและเยาวชนเข้าสถานที่ควบคุม มาตรา ๒๓ ให้เจ้าพนักงานพินิจรับตัวเด็กและเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดไว้ในระหว่างการสอบสวน หรือการพิจารณาคดี หรือตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลไว้ควบคุมดูแลเพื่อแก้ไขบำบัดฟื้นฟูหรือฝึกอบรมในสถานที่ควบคุม เมื่อได้รับหมายควบคุมตัว มาตรา ๒๔ ในวันที่รับตัวเด็กและเยาวชนเข้าใหม่ในสถานที่ควบคุม ให้เจ้าพนักงานพินิจจัดทำข้อมูลการรับตัว สมุดประจำตัวเด็กและเยาวชน ชี้แจงสิทธิ หน้าที่ กฎ ระเบียบของสถานที่ควบคุม และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตนระหว่างอยู่ในสถานที่ควบคุมให้เด็กและเยาวชนทราบ รวมทั้งจัดให้มีบุคลากรทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและให้คำปรึกษาแก่เด็กและเยาวชน มาตรา ๒๕ ในกรณีที่เด็กหรือเยาวชนมีบุตรอายุต่ำกว่าสามปีติดมาระหว่างถูกควบคุมตัว หรือรับการฝึกอบรม หรือคลอดบุตรในระหว่างรับการควบคุมตัวหรือรับการฝึกอบรมนั้น หากมีความจำเป็น หรือปรากฏว่าไม่มีผู้ใดจะเลี้ยงดูเด็กซึ่งเป็นบุตรของเด็กหรือเยาวชนนั้น ผู้อำนวยการจะอนุญาตให้บุตรของเด็กหรือเยาวชนอยู่ในสถานที่ควบคุมได้เฉพาะกรณีจำเป็นและบุตรอายุต่ำกว่าสามปีก็ได้ หรือให้ส่งบุตรนั้นไปยังหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ให้การสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพหรือพัฒนาฟื้นฟูเด็ก เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ทั้งนี้ ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของบุตรของเด็กหรือเยาวชนเป็นสำคัญ ส่วนที่ ๒ การจำแนกเด็กและเยาวชนและการพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชน มาตรา ๒๖ เพื่อประโยชน์ในการดูแล แก้ไขบำบัดฟื้นฟู และพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชนให้กลับตนเป็นคนดี ให้จำแนกเด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุมตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๒๗ ให้ผู้อำนวยการจัดให้มีการจำแนกเด็กและเยาวชน เพื่อศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหา สาเหตุหรือปัจจัยแห่งการกระทำความผิดในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และจิตใจ รวมทั้งพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน เพื่อกำหนดวิธีการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชน การวางแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู และการรายงานข้อเท็จจริง พร้อมทั้งเสนอความเห็นเกี่ยวกับการลงโทษ หรือการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนที่เหมาะสมต่อศาล ในการจำแนกเด็กและเยาวชนที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เข้ารับการฝึกอบรมในศูนย์ฝึกและอบรม ให้ผู้อำนวยการดำเนินการให้สอดคล้องกับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลด้วย การจำแนกเด็กและเยาวชนตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ผู้อำนวยการรับฟังข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสหวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวประกอบด้วย มาตรา ๒๘ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุม ให้จัดกลุ่มเด็กและเยาวชนโดยให้คำนึงถึงประเภทของสถานที่ควบคุมที่ได้จำแนกไว้ ความเหมาะสมกับเด็กและเยาวชนแต่ละประเภท การควบคุมดูแล แก้ไขบำบัดฟื้นฟู และพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชน และการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด หมวด ๕ การแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและการฝึกอบรม มาตรา ๒๙ ให้สถานพินิจและศูนย์ฝึกและอบรมจัดทำแนวทางในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและการฝึกอบรมเด็กและเยาวชนให้เหมาะสมกับเพศ อายุ ศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี สภาวะสุขภาพทางกายและจิต บุคลิกลักษณะ ระดับสติปัญญา ระดับการศึกษา การประกอบอาชีพ สภาพครอบครัว ตลอดจนสภาพแวดล้อมของเด็กและเยาวชน และกำหนดวิธีการและเป้าหมายในการกลับคืนสู่ครอบครัวและสังคม โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ ในการจัดทำแนวทางในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและการฝึกอบรมเด็กและเยาวชนแต่ละราย ต้องมาจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำให้ทราบถึงสาเหตุของการกระทำผิด และปัจจัยที่ก่อให้เกิดการกระทำผิด เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนให้ตรงตามสภาพปัญหาและความจำเป็น และขจัดปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการกระทำผิด และสร้างปัจจัยเสริมที่จะช่วยให้กลับตนเป็นคนดี มาตรา ๓๐ ให้สถานพินิจจัดทำแนวทางการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนเป็นรายบุคคลที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาทักษะการปรับตัวและการดำเนินชีวิตของเด็กและเยาวชน สนับสนุนให้มีความพร้อมที่จะดำรงชีวิตในสังคม และเตรียมความพร้อมในการเข้ารับกิจกรรมแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่เหมาะสมในกรณีที่ต้องเข้ารับการฝึกอบรม มาตรา ๓๑ ให้ศูนย์ฝึกและอบรมจัดทำแนวทางการฝึกอบรม โดยกำหนดให้มีการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย และแจ้งแนวทางการฝึกอบรมให้เด็กและเยาวชน และบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลซึ่งเด็กและเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยทราบ ภายหลังการจัดทำแนวทางการฝึกอบรมแล้ว หากพบว่าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ให้ทำการปรับปรุงแนวทางดังกล่าวให้เหมาะสม และรายงานแนวทางที่ได้ปรับปรุงแล้วให้ศาลทราบ ให้มีการประเมินผลการฝึกอบรมตามแนวทางตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองเป็นระยะ หรือเมื่อการฝึกอบรมตามแนวทางดังกล่าวเสร็จสิ้น มาตรา ๓๒ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้สถานพินิจดำเนินการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนก่อนมีคำพิพากษา ให้มีการรับฟังความคิดเห็นของเด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้ปกครอง ประกอบในการจัดทำแนวทางการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูด้วย ให้เจ้าพนักงานพินิจจัดทำแนวทางการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู โดยวิเคราะห์สภาพปัญหาและสาเหตุการกระทำผิด กำหนดกิจกรรม และระยะเวลาที่ชัดเจนในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูในกรณีที่ศาลมิได้กำหนดระยะเวลาในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูไว้ มาตรา ๓๓ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เด็กและเยาวชนเข้ารับการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูแบบเช้ามาเย็นกลับ ให้ผู้อำนวยการสถานพินิจกำหนดเขตพื้นที่เฉพาะสำหรับเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ หรือดำเนินการในสถานที่อื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากอธิบดี และต้องจัดให้มีแนวทางการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเฉพาะราย มาตรา ๓๔ ศูนย์ฝึกและอบรมจะต้องจัดให้มีการศึกษาสายสามัญหรือการฝึกวิชาชีพ และการบำบัดฟื้นฟูพฤติกรรมและอารมณ์เด็กและเยาวชนที่เหมาะสมกับอายุ สภาพร่างกาย สภาพจิต วุฒิภาวะ ระยะเวลาการฝึกอบรม และประโยชน์ที่เด็กและเยาวชนจะได้รับในอนาคต ตามหลักสูตรการฝึกอบรมที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๓๕ ให้ศูนย์ฝึกและอบรมจัดทำแนวทางการฝึกอบรมเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนตามสภาพปัญหาและความจำเป็น โดยมีการกำหนดระยะเวลาที่สอดคล้องกับคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนในการกลับไปดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ทั้งนี้ แนวทางการฝึกอบรมต้องสอดคล้องกับภารกิจและลักษณะของศูนย์ฝึกและอบรมแต่ละแห่ง มาตรา ๓๖ ในการจัดทำแนวทางการฝึกอบรม ให้พิจารณาข้อมูล ดังต่อไปนี้ (๑) รายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน (๒) ระยะเวลาการฝึกอบรมตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล (๓) ผลการจำแนก (๔) ความสมัครใจ ความถนัด และความต้องการของเด็กและเยาวชน (๕) หลักสูตรการฝึกอบรมซึ่งสถานที่ควบคุมสามารถจัดได้ หมวด ๖ สิทธิ หน้าที่ ประโยชน์ และกิจการอื่น ๆ เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ส่วนที่ ๑ สิทธิของเด็กและเยาวชน มาตรา ๓๗ ให้สถานที่ควบคุมจัดให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ โดยต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งต้องมีการฝึกอบรมด้านคุณธรรมและจริยธรรม และการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ ให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างเท่าเทียมกัน ให้สถานที่ควบคุมจัดให้เด็กและเยาวชนได้รับความรู้เกี่ยวกับเพศวิถีศึกษาที่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชนแต่ละคน การกำหนดหลักสูตร หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมให้แก่เด็กและเยาวชน ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๓๘ ให้สถานที่ควบคุมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการศึกษาขั้นพื้นฐานและการฝึกอบรมให้แก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งต้องจัดหาบรรดาเครื่องอุปกรณ์ในการศึกษาขั้นพื้นฐานและการฝึกอบรมให้แก่เด็กและเยาวชน มาตรา ๓๙ ให้สถานที่ควบคุมจัดการกีฬา ดนตรี และนันทนาการ ให้แก่เด็กและเยาวชนที่เหมาะสมกับวัยและสภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละคน รวมทั้งจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาหรือการแสดงดนตรีของเด็กและเยาวชน ให้สถานที่ควบคุมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการและจัดหาบรรดาเครื่องอุปกรณ์ตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๔๐ ให้สถานที่ควบคุมจัดให้มีการสอนหลักคำสอนทางศาสนา ให้คำแนะนำทางจิตใจ หรือประกอบศาสนกิจในสถานที่ควบคุมให้แก่เด็กและเยาวชน มาตรา ๔๑ เด็กและเยาวชนมีสิทธิได้รับเงินรางวัลจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการฝึกวิชาชีพหรือฝึกงานฝีมือเด็กและเยาวชน หรือรางวัลจากการแสดงหรือบริการต่าง ๆ ของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ส่วนที่ ๒ สุขอนามัยของเด็กและเยาวชน มาตรา ๔๒ ในกรณีที่แพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานพินิจซึ่งผ่านการฝึกอบรมด้านการพยาบาล พบว่าเด็กหรือเยาวชนเจ็บป่วยซึ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ถ้าเป็นอาการเจ็บป่วยที่ง่ายต่อการติดเชื้อหรือเป็นโรคติดต่อ ให้จัดแยกเด็กหรือเยาวชนนั้นออกจากเด็กหรือเยาวชนอื่น โดยให้มีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดและรายงานผู้อำนวยการเพื่อดำเนินการให้ได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว หากแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานพินิจที่ผ่านการอบรมด้านการพยาบาล เห็นว่าเด็กหรือเยาวชนป่วยด้วยโรคที่ต้องการการบำบัดเฉพาะด้าน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต ให้เสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการเพื่อพิจารณาส่งตัวเด็กหรือเยาวชนดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาล หรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิตนอกสถานที่ควบคุมต่อไป และให้ผู้อำนวยการแจ้งให้บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ทราบ มาตรา ๔๓ ให้สถานที่ควบคุมจัดให้เด็กและเยาวชนได้รับอุปกรณ์ช่วยเกี่ยวกับสายตาและการได้ยิน การบริการทันตกรรม รวมถึงอุปกรณ์สำหรับผู้มีกายพิการ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ให้สถานที่ควบคุมจัดให้มีการตรวจสุขภาพเด็กและเยาวชนอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ให้บุตรของเด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุมได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเด็ก เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาตามความจำเป็น รวมทั้งการตรวจป้องกันโรค และการบริการด้านสุขอนามัย การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๔๔ ให้สถานที่ควบคุมจัดเตรียมให้เด็กและเยาวชนหญิงที่มีครรภ์ได้คลอดบุตรในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลนอกสถานที่ควบคุม ณ ท้องที่ที่สถานที่ควบคุมนั้นตั้งอยู่ เมื่อเด็กและเยาวชนหญิงคลอดบุตรแล้ว ให้เด็กและเยาวชนหญิงนั้นอยู่พักรักษาตัวต่อไปภายหลังการคลอดได้ไม่เกินเจ็ดวันนับแต่วันคลอด ในกรณีที่จำเป็นต้องพักรักษาตัวนานกว่านี้ ให้เสนอความเห็นของแพทย์เพื่อขออนุญาตต่อผู้อำนวยการ มาตรา ๔๕ ให้สถานที่ควบคุมจัดให้เด็กและเยาวชนหญิงผู้ตั้งครรภ์หรือผู้ให้นมบุตรได้รับคำแนะนำทางด้านสุขภาพและโภชนาการจากแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานพินิจซึ่งผ่านการฝึกอบรมด้านการพยาบาล และต้องจัดอาหารที่เพียงพอและในเวลาที่เหมาะสมให้แก่เด็กและเยาวชนหญิง ผู้ตั้งครรภ์ ทารก เด็กและมารดาผู้ให้นมบุตร และต้องไม่ขัดขวางเด็กและเยาวชนหญิงจากการให้นมบุตร เว้นแต่มีปัญหาด้านสุขภาพ ส่วนที่ ๓ การติดต่อเด็กและเยาวชน มาตรา ๔๖ เด็กและเยาวชนพึงได้รับการอนุญาตให้ติดต่อกับบุคคลภายนอกตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด และบุคคลภายนอกซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่ควบคุมเพื่อกิจธุระ เยี่ยมเด็กและเยาวชน หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่น จะต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับของสถานที่ควบคุมที่ประกาศไว้โดยเปิดเผย หากฝ่าฝืนให้เจ้าพนักงานพินิจมีหน้าที่และอำนาจสั่งให้ออกจากสถานที่ควบคุมได้ มาตรา ๔๗ ให้สถานที่ควบคุมจัดสถานที่ให้เด็กและเยาวชนได้พบและปรึกษากับที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความของตนเป็นการเฉพาะตัวตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ส่วนที่ ๔ ทรัพย์สินของเด็กและเยาวชน มาตรา ๔๘ ทรัพย์สินชนิดใดจะเป็นสิ่งของต้องห้าม หรือสิ่งของที่อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เก็บรักษาไว้ในสถานที่ควบคุม ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ระเบียบดังกล่าวเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ และให้ปิดประกาศรายชื่อสิ่งของต้องห้ามไว้ในสถานที่เปิดเผยหน้าสถานที่ควบคุมด้วย ทรัพย์สินที่เป็นสิ่งของอนุญาตให้เก็บรักษาไว้ในสถานที่ควบคุม หากมีปริมาณหรือจำนวนเกินกว่าที่อธิบดีอนุญาต หรือเป็นสิ่งของที่ไม่อนุญาตให้เก็บรักษาไว้ในสถานที่ควบคุมให้แจ้งให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมารับสิ่งของดังกล่าวคืนจากเจ้าพนักงานพินิจ หากไม่มีผู้มารับคืน สถานที่ควบคุมอาจจำหน่ายสิ่งของนั้นแล้วมอบเงินให้แก่เด็กและเยาวชนภายหลังหักค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายในวันที่เด็กและเยาวชนได้รับการปล่อยตัว แต่ถ้าสิ่งของนั้นเป็นของอันตรายหรือโสโครก ให้เจ้าพนักงานพินิจทำลายเสีย การจำหน่ายและการทำลายสิ่งของตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๔๙ ทรัพย์สินของเด็กและเยาวชนที่ได้รับการปล่อยตัวหรือหลบหนีไปซึ่งตกค้างอยู่ในสถานที่ควบคุม หากเด็กและเยาวชนไม่มารับคืนไปภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวหรือหลบหนี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หมวด ๗ การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยและการติดตามภายหลังปล่อยจากสถานที่ควบคุม มาตรา ๕๐ ให้สถานพินิจและศูนย์ฝึกและอบรมจัดให้มีแนวทางการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย โดยเริ่มเตรียมการตั้งแต่ได้รับตัวเด็กและเยาวชนไว้ในสถานที่ควบคุมเพื่อให้มีกระบวนการในการส่งเสริมและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนได้อย่างถูกวิธีและเหมาะสม เพื่อให้เด็กและเยาวชนแต่ละคนกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข รวมทั้งต้องให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการเรื่องส่วนตัว เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและชุมชน ทั้งนี้ ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๕๑ ในการจัดทำแนวทางการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย ให้เด็กและเยาวชน และบิดามารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือองค์การหรือชุมชนที่เด็กและเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย มีส่วนร่วมพิจารณาในเรื่อง ดังต่อไปนี้ (๑) การดำเนินชีวิตและการปฏิบัติตนของเด็กและเยาวชนภายหลังปล่อย (๒) การควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนของบิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือองค์การหรือชุมชนที่เด็กและเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย (๓) วิธีการและระยะเวลาที่สถานพินิจหรือศูนย์ฝึกและอบรมจะติดตามภายหลังปล่อยเพื่อการประคับประคองให้เด็กและเยาวชนสามารถดำรงตนอยู่ได้โดยไม่กลับไปกระทำผิดอีก มาตรา ๕๒ ในกรณีที่เด็กและเยาวชนพึงได้รับการสงเคราะห์หรือคุ้มครองสวัสดิภาพภายหลังปล่อย ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก หรือติดต่อให้หน่วยงานเครือข่ายความร่วมมือภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสงเคราะห์หรือคุ้มครองสวัสดิภาพ ทั้งนี้ เพื่อเตรียมการตั้งแต่ในช่วงเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย มาตรา ๕๓ ก่อนถึงกำหนดปล่อยตัวเด็กและเยาวชน ให้มีการเตรียมความพร้อม ดังต่อไปนี้ (๑) แนะแนวด้านการศึกษาและการประกอบอาชีพ (๒) เตรียมเด็กและเยาวชนให้พร้อมคืนสู่ครอบครัวและสังคม (๓) ประสานกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือผู้แทนองค์การหรือชุมชนที่เด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยให้พร้อมรับเด็กและเยาวชนเมื่อได้รับการปล่อยตัวโดยมีแผนการดูแลที่ชัดเจน (๔) ให้เด็กและเยาวชนกลับไปอยู่กับครอบครัวเป็นการชั่วคราว หรือทดลองไปทำงานภายนอกสถานที่ควบคุม เพื่อประเมินผลการกลับไปใช้ชีวิตในสังคม มาตรา ๕๔ ในการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย หากพบว่าเด็กและเยาวชนประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัย หรือไม่สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลในครอบครัว หรือไม่มีความปลอดภัยเมื่อกลับไปอยู่ในชุมชน หรืออยู่ในระหว่างการทดลองใช้ชีวิตในชุมชน หรืออยู่ในระหว่างการจัดหางานเพื่อประกอบอาชีพ หรือมีความจำเป็นอื่น ๆ ให้สถานพินิจหรือศูนย์ฝึกและอบรมจัดให้มีสถานที่เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือภายหลังปล่อย มาตรา ๕๕ ก่อนถึงกำหนดปล่อยตัวเด็กและเยาวชน ให้สถานพินิจหรือศูนย์ฝึกและ อบรมเตรียมความพร้อม ดังต่อไปนี้ (๑) จัดเตรียมผลการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนนำไปใช้ในการศึกษา หรือใช้เป็นหลักฐานในการสมัครงาน (๒) ติดต่อบิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือผู้แทนองค์การหรือชุมชนซึ่งเด็กและเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย เพื่อแจ้งวันครบกำหนดปล่อยตัวให้ทราบ (๓) เตรียมการสงเคราะห์ที่จำเป็น โดยต้องจัดให้หรือประสานกับหน่วยงานที่ให้การสงเคราะห์ เพื่อรับเด็กและเยาวชนไปให้การสงเคราะห์ต่อ รวมทั้งต้องให้คำแนะนำแก่เด็กและเยาวชนตามสมควร (๔) จัดส่งประวัติเด็กและเยาวชนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนประวัติของเด็กและเยาวชน มาตรา ๕๖ สถานพินิจหรือศูนย์ฝึกและอบรมต้องจัดให้มีการติดตามผลการปฏิบัติตัวของเด็กและเยาวชน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องในการกลับไปดำรงชีวิตในสังคม และการให้คำแนะนำหรือประสานกับหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบให้การช่วยเหลือต่อไป มาตรา ๕๗ ให้สถานพินิจหรือศูนย์ฝึกและอบรมประชุมจัดทำแนวทางการติดตามภายหลังปล่อยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ และพนักงานคุ้มครองเด็กในพื้นที่ รวมทั้งชุมชนหรือบุคคลที่เห็นสมควร เพื่อกำหนดวิธีการติดตามและการให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนภายหลังการปล่อยตัวให้ตรงตามสภาพปัญหาและความจำเป็นของเด็กและเยาวชน โดยแนวทางจะต้องได้รับการยินยอมจากเด็ก เยาวชน บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำแนวทางการติดตามภายหลังปล่อย ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด มาตรา ๕๘ ให้ผู้เข้าร่วมประชุมในการจัดทำแนวทางการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตามมาตรา ๕๑ หรือแนวทางการติดตามภายหลังปล่อยตามมาตรา ๕๗ ได้รับค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าที่พัก หรือค่าตอบแทนอย่างอื่น ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง มาตรา ๕๙ ให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจัดให้มีระบบสงเคราะห์ช่วยเหลือและติดตามเด็กและเยาวชนภายหลังปล่อย โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือองค์การพัฒนาเอกชน รวมทั้งชุมชนหรือบุคคลที่เห็นสมควร เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือและติดตามเด็กและเยาวชนให้ได้รับสวัสดิการและการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสม ตรงตามสภาพปัญหาและความจำเป็น หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสงเคราะห์ช่วยเหลือและติดตามเด็กและเยาวชนภายหลังปล่อย ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ส่วนกรณีการสงเคราะห์ช่วยเหลือภายหลังปล่อยที่มีค่าใช้จ่ายเป็นเงิน ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรขององค์การหรือองค์กรอื่น หรือบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ได้รับค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าที่พัก และค่าตอบแทนอย่างอื่น ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง หมวด ๘ บทกำหนดโทษ มาตรา ๖๐ ผู้ใดนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในสถานที่ควบคุมไม่ว่าด้วยวิธีใดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานพินิจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น สิ่งของต้องห้ามตามวรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น บทเฉพาะกาล มาตรา ๖๑ ในวาระเริ่มแรก ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๕ ให้คณะกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมคุมประพฤติ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นกรรมการ และให้อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นกรรมการและเลขานุการ ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัตินี้ แต่ต้องไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบันการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดยังขาดกลไกในการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนในเชิงบูรณาการ สมควรกำหนดแนวทางในการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูดังกล่าว เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นต้องจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลบางประการ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน โดยให้มีคณะกรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ตลอดจนกำหนดสิทธิ หน้าที่ และประโยชน์ที่เด็กและเยาวชนควรได้รับในระหว่างการควบคุมดูแลของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน การจำแนกประเภทเด็กและเยาวชน การกำหนดมาตรฐานการดำเนินงานของเจ้าพนักงานพินิจและสถานที่ควบคุม การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย และกำหนดให้มีระบบสงเคราะห์ช่วยเหลือและติดตามภายหลังปล่อยจากสถานที่ควบคุม รวมทั้งจัดให้มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชน และกำหนดโทษทางอาญาสำหรับการกระทำบางอย่าง เพื่อให้การแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พัชรภรณ์/จัดทำ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ พจนา/ตรวจ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๑๒ ก/หน้า ๓๒/๒ มีนาคม ๒๕๖๑
851989
กฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. 2563
กฎกระทรวง กำหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๕๖๓[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. ๒๕๖๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ เครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน ให้ใช้ได้เฉพาะเครื่องพันธนาการ ดังต่อไปนี้ (๑) สายรัดข้อมือ (๒) กุญแจมือ ข้อ ๒ สายรัดข้อมือมีชนิดเดียว คือ สายรัดข้อมือพลาสติกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด แบบตวัดรัดให้แน่นด้วยตัวเอง โดยใช้ปลายสายพลาสติกพันรอบข้อมือซ้ายและข้อมือขวา และต้องสอดปลายสายพลาสติกเข้ากับช่อง ๒ ช่องตรงกลางของอุปกรณ์ เมื่อปลายสายพลาสติกเข้าช่องแล้วจะไม่สามารถดึงสายรัดกลับออกมาอีกได้ โดยบริเวณฐานของสายรัดข้อมือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒ เซนติเมตร ส่วนสายรัดมีความกว้าง ๐.๗ เซนติเมตร และมีความยาวโดยรวมทั้งหมด ๘๕ เซนติเมตร ทั้งนี้ ตามแบบท้ายกฎกระทรวงนี้ ข้อ ๓ กุญแจมือมี ๒ แบบ ดังต่อไปนี้ (๑) กุญแจมือแบบที่ ๑ ได้แก่ กุญแจมือแบบห่วงทำด้วยโลหะมีฟันเฟืองโลหะเพื่อใช้ตวัดรัดข้อมือซ้ายและข้อมือขวาให้แน่น ระหว่างตัวห่วงโลหะทั้งสองข้างเชื่อมติดกันด้วยลูกโซ่โลหะที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน ๔.๗๕ มิลลิเมตร ยาวไม่น้อยกว่า ๓ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐ เซนติเมตร (๒) กุญแจมือแบบที่ ๒ ได้แก่ กุญแจมือแบบห่วงทำด้วยโลหะมีฟันเฟืองโลหะเพื่อใช้ตวัดรัดข้อมือซ้ายและข้อมือขวาให้แน่น ระหว่างตัวห่วงโลหะทั้งสองข้างเชื่อมติดกันด้วยบานพับโลหะที่มีจุดยึดติดกับตัวห่วงโลหะอย่างน้อยข้างละสองจุด ทั้งนี้ ตามแบบท้ายกฎกระทรวงนี้ ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม [เอกสารแนบท้าย] ๑. แบบเครื่องพันธนาการท้ายกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๕๖๓ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. ๒๕๖๑ บัญญัติให้ประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ พัชรภรณ์/จัดทำ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ สุภาทิพย์/ตรวจ ๕ มกราคม ๒๕๖๔ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๘ ก/หน้า ๓๒/๒๙ มกราคม ๒๕๖๓
834104
พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562
พระราชบัญญัติ การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “ดิจิทัล” หมายความว่า เทคโนโลยีที่ใช้วิธีการนำสัญลักษณ์ศูนย์และหนึ่ง หรือสัญลักษณ์อื่นมาแทนค่าสิ่งทั้งปวง เพื่อใช้สร้างหรือก่อให้เกิดระบบต่าง ๆ เพื่อให้มนุษย์ใช้ประโยชน์ “รัฐบาลดิจิทัล” หมายความว่า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารงานภาครัฐและการบริการสาธารณะ โดยปรับปรุงการบริหารจัดการและบูรณาการข้อมูลภาครัฐและการทำงานให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างมั่นคงปลอดภัยและมีธรรมาภิบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน ในการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐต่อสาธารณชน และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอัยการ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ และหน่วยงานอิสระของรัฐ “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) มาตรา ๔ เพื่อให้การบริหารงานภาครัฐและการจัดทำบริการสาธารณะเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อการให้บริการและการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มีการบริหารงานและการจัดทำบริการสาธารณะในรูปแบบและช่องทางดิจิทัลโดยมีการบริหารจัดการและการบูรณาการข้อมูลภาครัฐและการทำงานให้มีความสอดคล้องกันและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างมั่นคงปลอดภัยและมีธรรมาภิบาล โดยมุ่งหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการเข้าถึงของประชาชน และในการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐต่อสาธารณะและสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ (๑) การนำระบบดิจิทัลที่เหมาะสมมาใช้ในการบริหารและการให้บริการของหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและให้มีการใช้ระบบดิจิทัลอย่างคุ้มค่าและเต็มศักยภาพ (๒) การพัฒนามาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับระบบดิจิทัล และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็น ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างและพัฒนากระบวนการทำงานของหน่วยงานของรัฐให้มีความสอดคล้องและมีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมทั้งมีความมั่นคงปลอดภัยและน่าเชื่อถือ โดยมีการบูรณาการและสามารถทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพเกิดการพัฒนาการบริการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและนำไปสู่การบริหารราชการและการบริการประชาชนแบบบูรณาการ รวมทั้งให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก (๓) การสร้างและพัฒนาระบบความมั่นคงปลอดภัยในการใช้ระบบดิจิทัลและมาตรการปกป้องคุ้มครองข้อมูลที่อาจกระทบถึงความมั่นคงหรือความเป็นส่วนตัวของประชาชนที่มีความพร้อมใช้และน่าเชื่อถือ (๔) การเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะที่หน่วยงานของรัฐจัดทำและครอบครองในรูปแบบและช่องทางดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก มีส่วนร่วมและตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐ และสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาบริการและนวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในด้านต่าง ๆ (๕) การรักษาวินัยการเงินการคลังภาครัฐและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามการบริหารงานภาครัฐและการจัดทำบริการสาธารณะผ่านระบบดิจิทัล รวมทั้งพัฒนาให้มีกลไกการใช้ข้อมูลเพื่อลดความซ้ำซ้อนและเกิดความสอดคล้องกับแผนงานและโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐ มาตรา ๕ ให้มีแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเพื่อกำหนดกรอบและทิศทางการบริหารงานภาครัฐและการจัดทำบริการสาธารณะในรูปแบบของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาประเทศ มีการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ และมีกรอบการพัฒนาและแผนการดำเนินงานของประเทศโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๔ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ในแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลตามวรรคหนึ่ง อาจกำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกันจัดทำระบบบูรณาการข้อมูลดิจิทัลระหว่างกัน และกำหนดรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่ต้องเผยแพร่ข้อมูลที่ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐไว้ด้วยได้ เมื่อมีการประกาศใช้แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามแผนดังกล่าวและต้องจัดทำหรือปรับปรุงแผนปฏิบัติการหรือแผนงานของหน่วยงานของรัฐให้สอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล พร้อมทั้งส่งแผนปฏิบัติการหรือแผนงานดังกล่าวให้สำนักงานทราบด้วย มาตรา ๖ ให้มีคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ประกอบด้วย (๑) นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ (๒) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการ (๓) กรรมการอื่นจำนวนห้าคน ซึ่งมาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมอบหมายคณะละหนึ่งคน เป็นกรรมการ ทั้งนี้ ต้องเป็นผู้ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญอันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเป็นกรรมการและเลขานุการ และอาจแต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานในสำนักงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการได้ไม่เกินสองคน กรรมการตาม (๓) หากพ้นจากการเป็นกรรมการหรือต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการที่ตนได้รับมอบหมาย ให้พ้นจากการเป็นกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลด้วย ในกรณีที่มีเหตุไม่ว่าด้วยประการใด ๆ อันทำให้ไม่มีกรรมการตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ในตำแหน่งใด ให้คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เว้นแต่มีกรรมการไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด การปฏิบัติหน้าที่และการประชุมของคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด ในกรณีที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลยังมิได้กำหนดเกี่ยวกับการประชุมในเรื่องใด ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองในเรื่องนั้นมาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลโดยอนุโลม มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ (๑) เสนอแนะนโยบายและจัดทำแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลตามมาตรา ๕ ต่อคณะรัฐมนตรี (๒) จัดทำธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐเพื่อเป็นหลักการและแนวทางในการดำเนินการให้เป็นไปเพื่อพิจารณาอนุมัติตามพระราชบัญญัตินี้ (๓) กำหนดมาตรฐาน ข้อกำหนด และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบดิจิทัลเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๔ วรรคสอง และตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ (๔) กำหนดแนวทางการพัฒนาศักยภาพบุคลากรภาครัฐเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล (๕) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการจัดให้มีหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๔ และอาจเสนอต่อผู้รักษาการตามกฎหมายในการพิจารณายกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ค่าปรับ หรือค่าใช้จ่ายอื่นใด เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัตินี้ (๖) ให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และตามพระราชบัญญัตินี้ (๗) กำกับและติดตามให้หน่วยงานของรัฐมีการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รวมทั้งเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ เป้าหมาย และโครงการในแผนดังกล่าว (๘) กำกับและติดตามการดำเนินงานของศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลาง และศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ (๙) ออกระเบียบหรือประกาศเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ (๑๐) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย หรือตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือบุคคลใดเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลมอบหมาย แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลตาม (๑) และการกำหนดมาตรฐาน ข้อกำหนด และหลักเกณฑ์ตาม (๓) และระเบียบหรือประกาศตาม (๙) เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ มาตรา ๘ ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐตามมาตรา ๗ (๒) อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) การกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบในการบริหารจัดการข้อมูลของหน่วยงานของรัฐ รวมถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้ครอบครองหรือควบคุมข้อมูลดังกล่าวในทุกขั้นตอน (๒) การมีระบบบริหารและกระบวนการจัดการและคุ้มครองข้อมูลที่ครบถ้วน ตั้งแต่การจัดทำ การจัดเก็บ การจำแนกหมวดหมู่ การประมวลผลหรือใช้ข้อมูล การปกปิดหรือเปิดเผยข้อมูล การตรวจสอบ และการทำลาย (๓) การมีมาตรการในการควบคุมและพัฒนาคุณภาพข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องครบถ้วน พร้อมใช้งาน เป็นปัจจุบัน สามารถบูรณาการและมีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนกันได้ รวมทั้งมีการวัดผลการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อให้หน่วยงานของรัฐมีข้อมูลที่มีคุณภาพและต่อยอดนวัตกรรมจากการใช้ข้อมูลได้ (๔) การกำหนดนโยบายหรือกฎเกณฑ์การเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ชัดเจนและมีระบบบริหารจัดการ รวมทั้งมีมาตรการและหลักประกันในการคุ้มครองข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองให้มีความมั่นคงปลอดภัยและมิให้ข้อมูลส่วนบุคคลถูกละเมิด (๕) การจัดทำคำอธิบายชุดข้อมูลดิจิทัลของภาครัฐ เพื่อให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างของข้อมูล เนื้อหาสาระ รูปแบบการจัดเก็บ แหล่งข้อมูล และสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล มาตรา ๙ ให้ประธานกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล หรืออนุกรรมการและบุคคลซึ่งคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแต่งตั้งได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๑๐ ให้สำนักงานทำหน้าที่อำนวยการและสนับสนุนการปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลมอบหมาย รวมทั้งรับผิดชอบงานธุรการและวิชาการของคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และให้สำนักงานดำเนินการดังต่อไปนี้ด้วย (๑) จัดทำร่างแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลตามแนวทางที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนดและร่างมาตรฐาน ข้อกำหนด และหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๗ (๓) เสนอคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (๒) ประสานงาน แนะนำ และให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานของรัฐในการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลตามมาตรา ๗ (๑) และมาตรฐาน ข้อกำหนด และหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๗ (๓) และตามพระราชบัญญัตินี้ (๓) สำรวจเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และวิจัย เพื่อจัดทำตัวชี้วัด ดัชนีสนับสนุนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (๔) ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลตามมาตรา ๗ (๑) มาตรฐาน ข้อกำหนด และหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๗ (๓) และแผนปฏิบัติการหรือแผนงานของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๕ วรรคสาม เพื่อรายงานผลต่อคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (๕) สนับสนุนการเชื่อมโยงบริการดิจิทัลของหน่วยงานของรัฐให้เกิดบริการสาธารณะแบบเบ็ดเสร็จตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน (๖) ส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการทางวิชาการและความรู้เกี่ยวกับระบบดิจิทัลเพื่อยกระดับทักษะความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่และดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ (๗) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด มาตรา ๑๑ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานภาครัฐและการบริการประชาชนในรูปแบบและช่องทางดิจิทัล ในกรณีที่กฎหมาย กฎ หรือระเบียบใดกำหนดให้ผู้ขอรับอนุมัติ อนุญาต หรือใบอนุญาต หรือผู้ยื่นขอจดทะเบียนหรือจดแจ้ง หรือผู้แจ้ง ต้องใช้เอกสารหรือหลักฐานของทางราชการที่หน่วยงานของรัฐออกให้ เพื่อประกอบการพิจารณาหรือดำเนินการตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ ให้ผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต รับจดทะเบียน รับจดแจ้ง หรือรับแจ้งนั้น ดำเนินการให้หน่วยงานของรัฐที่ออกเอกสารหรือหลักฐานของราชการเช่นว่านั้น ส่งข้อมูลหรือสำเนาเอกสารหรือหลักฐานดังกล่าวผ่านช่องทางดิจิทัลมาเพื่อประกอบการพิจารณาหรือดำเนินการตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบดังกล่าว ในการนี้ ห้ามมิให้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำสำเนาดังกล่าวจากหน่วยงานของรัฐที่ขอเอกสาร เว้นแต่กฎหมาย กฎ หรือระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ในกรณีที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ถือว่าได้มีการยื่นเอกสารหรือหลักฐานมาแสดงตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐนั้นแล้ว มาตรา ๑๒ เพื่อให้การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๔ และเกิดการบูรณาการร่วมกัน ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐในระดับหน่วยงาน และดำเนินการดังต่อไปนี้ให้เป็นไปตามธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐตามมาตรา ๘ (๑) จัดทำข้อมูลตามภารกิจให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัล โดยเป็นข้อมูลที่มีความสมบูรณ์เชื่อถือได้ และสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน สามารถแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นและนำไปประมวลผลต่อไปได้ (๒) จัดทำกระบวนการหรือการดำเนินงานทางดิจิทัลเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและการให้บริการประชาชน กระบวนการหรือการดำเนินงานทางดิจิทัลนั้นต้องทำงานร่วมกันได้ตามมาตรฐาน ข้อกำหนด และหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด เพื่อให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นได้ โดยมุ่งเน้นถึงการอำนวยความสะดวกและการเข้าถึงของประชาชนที่เป็นไปตามมาตรฐานและมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐเป็นสำคัญ (๓) จัดให้มีระบบการชำระเงินทางดิจิทัลอีกช่องทางหนึ่ง กรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐสามารถเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ค่าปรับ หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดจากประชาชนจากการให้บริการของหน่วยงานของรัฐนั้น และอาจตกลงกับหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นให้จัดเก็บเงินดังกล่าวแทนได้ (๔) จัดให้มีระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชน ซึ่งมีมาตรฐานและแนวทางที่สอดคล้องกันตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด (๕) จัดให้มีมาตรการหรือระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการเข้าสู่บริการดิจิทัลของหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้มีความพร้อมใช้ น่าเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบได้ โดยอย่างน้อยต้องจัดให้มีระบบป้องกันหรือรับมือกับภัยคุกคามหรือความเสี่ยงทางไซเบอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (๖) จัดให้มีการพัฒนาทักษะบุคลากรภาครัฐให้มีความรู้ความสามารถในการดำเนินงานด้านการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล ให้เป็นไปตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (๗) ให้มีการทบทวนแผนปฏิบัติการหรือแผนงาน นโยบาย และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัลของหน่วยงานของรัฐ โดยต้องจัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานตามแผน นโยบาย และแนวปฏิบัติดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง การจัดทำข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลตาม (๑) ให้เป็นไปตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด กรณีหน่วยงานของรัฐจะจัดทำข้อมูลดิจิทัลตาม (๑) เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของหน่วยงานของตน หากมีหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นซึ่งมีหน้าที่และอำนาจรับผิดชอบในการจัดทำหรือรวบรวมข้อมูลดิจิทัลนั้นไว้เป็นข้อมูลหลักในเรื่องดังกล่าวแล้วไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวจัดให้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลนั้นระหว่างกันโดยไม่จำต้องจัดทำข้อมูลขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลอาจวางระเบียบในการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ ภายใต้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ มาตรา ๑๓ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการให้บริการประชาชน ให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลที่มีการจัดทำและครอบครองตามที่หน่วยงานของรัฐแห่งอื่นร้องขอ ที่จะเกิดการบูรณาการร่วมกัน มาตรา ๑๔ หน่วยงานของรัฐผู้รับข้อมูลดิจิทัลตามมาตรา ๑๓ ต้องใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ในหน้าที่และอำนาจของตนเท่านั้น และต้องดูแลรักษาข้อมูลให้มีความมั่นคงปลอดภัย ไม่มีการเปิดเผยหรือโอนข้อมูลไปยังบุคคลที่ไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูล มาตรา ๑๕ ให้มีศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลางทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลและทะเบียนดิจิทัลระหว่างหน่วยงานของรัฐ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการให้บริการประชาชนผ่านระบบดิจิทัล และดำเนินการในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบายและมาตรฐานเกี่ยวกับการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้ความเห็นชอบ (๒) ประสานและให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานของรัฐในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลระหว่างกัน รวมทั้งกำกับติดตามให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด (๓) จัดทำคำอธิบายชุดข้อมูลดิจิทัลของภาครัฐ และจัดเก็บบันทึกหลักฐานของการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัล (๔) เรื่องอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลมอบหมาย มาตรา ๑๖ ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลหรือมีข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในความครอบครอง หากหน่วยงานของรัฐประสงค์จะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน หน่วยงานของรัฐนั้นสามารถขอเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจากหน่วยงานของรัฐที่ครอบครองเพื่อนำมาวิเคราะห์หรือประมวลผลได้ มาตรา ๑๗ ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำข้อมูลที่ต้องเปิดเผยตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลต่อสาธารณะ โดยต้องให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างเสรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถนำไปเผยแพร่ ใช้ประโยชน์ หรือพัฒนาบริการและนวัตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ มาตรฐานและหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด ซึ่งต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูล มาตรา ๑๘ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชนและการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐผ่านระบบดิจิทัล ให้มีศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐในสำนักงานทำหน้าที่ในการประสานงานให้หน่วยงานของรัฐจัดส่งหรือเชื่อมโยงข้อมูลตามมาตรา ๑๗ และเปิดเผยแก่ประชาชน ให้คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนดประเภท รูปแบบ และมาตรฐานของข้อมูลที่เปิดเผยแก่ประชาชนโดยศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ ทั้งนี้ ต้องเป็นแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งสอดคล้องกับหลักการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นสากล มาตรา ๑๙ ในวาระเริ่มแรก ให้สำนักงานดำเนินการให้มีศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลางตามมาตรา ๑๕ เป็นการชั่วคราวแต่ไม่เกินสองปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมเกี่ยวกับหน่วยงานของรัฐที่จะมาดำเนินการเกี่ยวกับศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลาง ทั้งนี้ ในกรณีที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเห็นควรให้หน่วยงานของรัฐแห่งอื่นใดทำหน้าที่แทนสำนักงาน ให้เสนอแนวทางการดำเนินการ การโอนภารกิจ งบประมาณ ทรัพย์สินและหนี้สิน ภาระผูกพัน และบุคลากรไปยังหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นนั้นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา มาตรา ๒๐ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ปัจจุบันเทคโนโลยีได้มีความก้าวหน้าและเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตและการประกอบธุรกิจของประชาชน ซึ่งในการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐที่ผ่านมายังมิได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนได้อย่างเต็มที่ และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้มีการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน โดยให้มีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและการจัดทำบริการสาธารณะ และให้มีการบูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นระบบข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน สมควรให้มีกฎหมายในการขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และเพื่อยกระดับการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐให้อยู่ในระบบดิจิทัล อันจะนำไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่มีระบบการทำงานและข้อมูลเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานของรัฐอย่างมั่นคงปลอดภัย มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เปิดเผยและโปร่งใส รวมทั้งประชาชนได้รับความสะดวกในการรับบริการและสามารถตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปุณิกา/ธนบดี/จัดทำ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ปริญสินีย์/ตรวจ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๖๗ ก/หน้า ๕๗/๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒
735943
พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีที่ ๗๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “ทุนหมุนเวียน” หมายความว่า กองทุน กองทุนหมุนเวียน เงินทุน เงินทุนหมุนเวียน ทุน หรือทุนหมุนเวียน ที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจการที่อนุญาตให้นำรายรับสมทบทุนไว้ใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่คณะกรรมการประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน “คณะกรรมการบริหาร” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียน “ผู้บริหารทุนหมุนเวียน” หมายความว่า ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ หรือผู้ทำหน้าที่บริหารทุนหมุนเวียนที่เรียกชื่ออย่างอื่น “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของทุนหมุนเวียน “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของทุนหมุนเวียน “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ทุนหมุนเวียนใดที่มีกฎหมายกำหนดบทบัญญัติในเรื่องใดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ให้การดำเนินงานของทุนหมุนเวียนนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายมิได้บัญญัติไว้ให้นำบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับ มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน มาตรา ๗ ให้มีคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนคณะหนึ่ง ประกอบด้วย (๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ (๒) ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการ (๓) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ (๔) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสามคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการเงิน การคลัง เศรษฐศาสตร์ บริหาร หรือกฎหมาย ให้อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้อธิบดีกรมบัญชีกลางแต่งตั้งข้าราชการในกรมบัญชีกลาง จำนวนสองคน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา ๘ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเทียบเท่า หรือผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีตำแหน่งทางวิชาการไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ หรือผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานธุรกิจภาคเอกชน (๔) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) ไม่เคยถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากงาน เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (๗) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง (๘) ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม มาตรา ๙ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ มาตรา ๑๐ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๘ มาตรา ๑๑ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบายและแผนการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (๒) พิจารณากลั่นกรองการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน (๓) กำกับติดตามการบริหารทุนหมุนเวียน (๔) เสนอให้มีหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดสำหรับทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ตามความเหมาะสมต่อคณะรัฐมนตรี โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา (๕) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน (๖) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา (๗) ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลทุนหมุนเวียนและการจัดทำรายงานทางการเงินของทุนหมุนเวียน (๘) กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของคณะกรรมการบริหาร ผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงานและลูกจ้าง (๙) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการหรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย มาตรา ๑๒ การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมของคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่ง ในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มาตรา ๑๓ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย การประชุมของคณะอนุกรรมการ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม หมวด ๒ ทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล ส่วนที่ ๑ การขอจัดตั้ง มาตรา ๑๔ ให้หน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๑๕ ทุนหมุนเวียนที่หน่วยงานของรัฐขอจัดตั้งตามมาตรา ๑๔ จะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้ (๑) มีความจำเป็นต้องจัดตั้งตามนโยบายของรัฐบาล (๒) ไม่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกับภารกิจปกติของหน่วยงานของรัฐที่ขอจัดตั้ง และไม่ซ้ำซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐอื่นหรือทุนหมุนเวียนที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว (๓) ไม่เป็นการประกอบกิจการแข่งขันกับภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ หรือกิจกรรมที่เอกชนหรือรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ (๔) มีลักษณะอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ส่วนที่ ๒ การบริหาร มาตรา ๑๖ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลกำหนดโครงสร้างการบริหารทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่คณะกรรมการประกาศกำหนด มาตรา ๑๗ ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลจัดทำแผนการดำเนินงานประจำปี ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมา แผนการปฏิบัติงาน ประมาณการรายรับรายจ่ายประจำปี และประมาณการกระแสเงินสด ทั้งนี้ ตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารพิจารณาอนุมัติอย่างน้อยหกสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี และให้ส่งกระทรวงการคลังอย่างน้อยสามสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปีเพื่อใช้ประกอบการกำกับดูแล การบริหารทุนหมุนเวียนและติดตามการประเมินผลการดำเนินงาน ส่วนที่ ๓ คณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียน มาตรา ๑๘ ในแต่ละทุนหมุนเวียน ให้มีคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนคณะหนึ่งประกอบด้วย (๑) หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียน เป็นประธานกรรมการ (๒) ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล เป็นกรรมการ (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคนซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ การลงทุน กฎหมาย หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียนเป็นกรรมการและเลขานุการ มาตรา ๑๙ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารต้องไม่เป็นผู้ประกอบกิจการที่ขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๘ (๑) (๒) (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) และมาตรา ๙ มาใช้บังคับกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหาร มาตรา ๒๐ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ประธานกรรมการให้ออกโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๘ มาตรา ๒๑ คณะกรรมการบริหารมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบาย กำกับดูแลการบริหารจัดการ และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน (๒) กำหนดข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา ๑๑ (๘) (๓) พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานประจำปี (๔) แต่งตั้งผู้บริหารทุนหมุนเวียน มาตรา ๒๒ คณะกรรมการบริหารมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการบริหารมอบหมาย การประชุมของคณะกรรมการบริหารและคณะอนุกรรมการ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา ๒๓ ให้กรรมการบริหารและอนุกรรมการ ได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดตามผลการประเมินผลการดำเนินงาน ส่วนที่ ๔ ผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้าง มาตรา ๒๔ ให้คณะกรรมการบริหารแต่งตั้งผู้บริหารทุนหมุนเวียนทำหน้าที่บริหารทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน โดยให้คำนึงถึงลักษณะการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ความรับผิดชอบ ความประหยัด และความคุ้มค่า ทั้งนี้ ตามมาตรฐานที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา ๑๑ (๘) มาตรา ๒๕ ในกรณีที่ผู้บริหารทุนหมุนเวียนมิใช่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียน ให้การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และเงื่อนไขการจ้างเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการบริหารกำหนด มาตรา ๒๖ การกำหนดตำแหน่ง คุณสมบัติของตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน อำนาจหน้าที่ ระยะเวลาการจ้าง การประเมินผลการปฏิบัติงาน และการเลิกจ้างพนักงานและลูกจ้างให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ส่วนที่ ๕ การบัญชีและการตรวจสอบ มาตรา ๒๗ ให้คณะกรรมการบริหารวางและรักษาไว้ซึ่งระบบบัญชีที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถจัดทำรายงานการเงิน แสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลได้อย่างถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป มาตรา ๒๘ ให้คณะกรรมการบริหารจัดทำรายงานการเงินของทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ปีบัญชีของทุนหมุนเวียนให้เป็นไปตามปีงบประมาณ เว้นแต่คณะกรรมการบริหารจะประกาศกำหนดเป็นอย่างอื่นโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา ๒๙ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้ความเห็นชอบเป็นผู้สอบบัญชีของทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล และให้ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของทุนหมุนเวียนทุกรอบปีบัญชี ให้ผู้สอบบัญชีของทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลทำรายงานการสอบบัญชีเสนอต่อคณะกรรมการบริหารภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ให้คณะกรรมการบริหารนำส่งรายงานการเงินพร้อมด้วยรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อกระทรวงการคลังภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานจากผู้สอบบัญชี มาตรา ๓๐ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลจัดให้มีระบบการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของทุนหมุนเวียน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ส่วนที่ ๖ การประเมินผล มาตรา ๓๑ ให้กรมบัญชีกลางมีหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลเป็นประจำทุกปี โดยต้องประเมินในด้านต่อไปนี้ (๑) การเงิน (๒) การปฏิบัติการ (๓) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (๔) การบริหารจัดการทุนหมุนเวียน (๕) การปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหาร ผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้าง (๖) ด้านอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การประเมินผลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ให้กรมบัญชีกลางรายงานการประเมินผลทุนหมุนเวียนต่อคณะกรรมการภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของทุนหมุนเวียน มาตรา ๓๒ ในกรณีที่ทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลมีกฎหมายกำหนดระบบการประเมินผลการดำเนินงานไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ให้คณะกรรมการบริหารจัดทำรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานเสนอต่อกรมบัญชีกลางภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี หลักเกณฑ์การจัดทำรายงานของทุนหมุนเวียนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด มาตรา ๓๓ ให้กรมบัญชีกลางรวบรวมและจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียนทั้งหมดต่อคณะกรรมการ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาเพื่อทราบต่อไป หมวด ๓ ทุนหมุนเวียนที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล มาตรา ๓๔ ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่ ๑ การขอจัดตั้ง ของหมวด ๒ ทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล มาใช้บังคับกับทุนหมุนเวียนที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลด้วย มาตรา ๓๕ ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่ ๒ การบริหาร ส่วนที่ ๓ คณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียน ส่วนที่ ๔ ผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้าง ส่วนที่ ๕ การบัญชีและการตรวจสอบ และส่วนที่ ๖ การประเมินผล ของหมวด ๒ ทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล มาใช้บังคับกับทุนหมุนเวียนที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลซึ่งกฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะโดยอนุโลม มาตรา ๓๖ ในกรณีมีปัญหาในการปฏิบัติตามมาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕ ให้คณะกรรมการเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด หมวด ๔ การรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน มาตรา ๓๗ บทบัญญัติในหมวดนี้ให้ใช้บังคับกับการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลและทุนหมุนเวียนที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล มาตรา ๓๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ โดยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี มาตรา ๓๙ การรวมทุนหมุนเวียน ให้กระทำได้เมื่อทุนหมุนเวียนที่จะรวมกันนั้นมีวัตถุประสงค์เดียวกันหรือสามารถดำเนินการร่วมกันได้ และจะต้องไม่มีผลเป็นการขยายวัตถุประสงค์เกินกว่าวัตถุประสงค์เดิมของทุนหมุนเวียนที่นำมารวมกันนั้น การรวมทุนหมุนเวียนตามวรรคหนึ่ง อาจเป็นการรวมกับทุนหมุนเวียนใดทุนหมุนเวียนหนึ่งหรือรวมกันเป็นทุนหมุนเวียนใหม่ก็ได้ มาตรา ๔๐ การยุบเลิกทุนหมุนเวียน ให้กระทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) หมดความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งทุนหมุนเวียนนั้นแล้ว (๒) ทุนหมุนเวียนได้หยุดการดำเนินงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร (๓) มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดเป็นเวลาสามปีติดต่อกันและคณะกรรมการเห็นสมควรให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้น (๔) มีเหตุอื่นอันสมควรต้องยุบเลิกทุนหมุนเวียนตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด มาตรา ๔๑ ในการเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน ให้คณะกรรมการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนใด ให้ถือว่าเป็นการยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้นตามกฎหมาย เว้นแต่ในกรณีที่ทุนหมุนเวียนใดจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะ ให้ดำเนินการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้น มาตรา ๔๒ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รวมทุนหมุนเวียนใด ให้มีผลเป็นการโอนทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน สิทธิ หน้าที่ พนักงานและลูกจ้างของทุนหมุนเวียนเดิมไปเป็นของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่ เว้นแต่ในกรณีที่ทุนหมุนเวียนใดจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะ ให้ดำเนินการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อรวมทุนหมุนเวียนนั้น มาตรา ๔๓ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น การจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่รวมหรือยุบเลิกให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา ๔๔ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อยุบเลิกทุนหมุนเวียน ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนหรือที่เป็นผู้กำกับดูแลทุนหมุนเวียนแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อชำระบัญชีของทุนหมุนเวียน และให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในระหว่างการชำระบัญชี ให้ถือว่าทุนหมุนเวียนนั้นยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี ในกรณียุบเลิกทุนหมุนเวียน หากภายหลังจากการจัดการทรัพย์สินและหนี้สินตามวรรคหนึ่งเสร็จสิ้นแล้วมีเงินคงเหลือ ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินทั้งหมด บทเฉพาะกาล มาตรา ๔๕ ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับ ประกาศ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำกฎ ข้อบังคับ ประกาศ ระเบียบ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับทุนหมุนเวียนซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาใช้บังคับไปพลางก่อน เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะได้ออกข้อบังคับ ประกาศ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องดำเนินการภายในเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาตรา ๔๖ ให้กรรมการบริหารของทุนหมุนเวียน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบวาระการดำรงตำแหน่ง มาตรา ๔๗ ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างตามสัญญาจ้างซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดลง ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๔๓ มีบทบัญญัติที่ยังไม่ครอบคลุมการบริหารทุนหมุนเวียนทั้งกระบวนการ ประกอบกับปัจจุบันได้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียนขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นทุนในการใช้จ่ายบริหารกิจการของหน่วยงานของรัฐให้เกิดความคล่องตัวทางการเงิน โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินแต่การบริหารทุนหมุนเวียนยังขาดประสิทธิภาพและไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เพื่อให้การบริหารทุนหมุนเวียน มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังของรัฐ สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งกำกับและบริหารทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพและบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ นุสรา/ผู้ตรวจ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๙๒ ก/หน้า ๑/๒๕ กันยายน ๒๕๕๘
795730
พระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. 2561
พระราชกฤษฎีกา การกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกิน ของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๑๑ (๔) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ พระราชกฤษฎีกานี้ไม่ใช้บังคับกับ (๑) กองทุนการออมแห่งชาติ (๒) กองทุนเงินทดแทน (๓) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (๔) กองทุนประกันสังคม (๕) ทุนหมุนเวียนอื่นที่คณะกรรมการประกาศกำหนด มาตรา ๔ ในพระราชกฤษฎีกานี้ “จำนวนเงินสะสมสูงสุด” หมายความว่า จำนวนเงินที่ทุนหมุนเวียนพึงมีไว้ใช้จ่ายในการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์สำหรับช่วงระยะเวลาหนึ่ง มาตรา ๕ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดตามมาตรา ๖ และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามมาตรา ๘ ให้ทุนหมุนเวียนจัดทำข้อมูล เพื่อประกอบการคำนวณส่งให้แก่กรมบัญชีกลางตามระยะเวลาและหลักเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนด มาตรา ๖ การกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด ให้คำนวณโดยนำประมาณการรายจ่ายปีปัจจุบัน และประมาณการรายจ่ายประจำปีบัญชีย้อนหลังไปอีกสองปี รวมกันสามรอบปีบัญชี คูณด้วยร้อยละเฉลี่ย ของความสามารถในการจ่ายเงินสามรอบปีบัญชีที่ล่วงมาแล้ว ทุนหมุนเวียนใดเห็นว่าจำนวนเงินสะสมสูงสุดที่คำนวณตามวรรคหนึ่งจะไม่เพียงพอในการดำเนินงานจะขอกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดเพิ่มขึ้นก็ได้ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ มาตรา ๗ การคำนวณทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนที่ต้องนำส่งคลัง เป็นรายได้แผ่นดิน ให้คำนวณโดยนำเงินคงเหลือ ณ วันต้นปีบัญชีที่คำนวณ หักด้วยจำนวนเงินสะสมสูงสุดที่คำนวณได้ตามมาตรา ๖ เงินคงเหลือตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึง เงินฝากกระทรวงการคลัง เงินฝากธนาคาร และเงินที่นำไปลงทุนหาผลประโยชน์ด้วย มาตรา ๘ เมื่อได้ผลลัพธ์จากการคำนวณตามมาตรา ๗ แล้ว ให้กรมบัญชีกลางเสนอ คณะกรรมการเพื่อพิจารณาเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป มาตรา ๙ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๑ (๔) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้บัญญัติให้การกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ พรวิภา/จัดทำ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๑ ปริญสินีย์/ตรวจ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๔ ก/หน้า ๔/๒๖ มกราคม ๒๕๖๑
860633
ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เรื่อง ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เรื่อง ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านจากการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019[๑] โดยที่คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๓ เห็นชอบให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเป็นร้อยละศูนย์ต่อปี ให้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านซึ่งได้กู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านเป็นระยะเวลาสามเดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๒๓ และข้อ ๒๔ ของระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ ๒๕๕๙ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ข้อ ๒ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินตามความในข้อ ๖ วรรคหนึ่ง ของประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินและการชำระคืนเงินกู้ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นร้อยละศูนย์ต่อปี ให้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านซึ่งได้ทำสัญญากู้ยืมเงินไว้กับกรมการจัดหางานก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ถึง ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ข้อ ๓ ผู้รับงานไปทำที่บ้านตามข้อ ๒ ต้องไม่เป็นผู้ถูกบอกเลิกสัญญากู้ยืมเงินหรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ประกาศ ณ วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ สุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ชญานิศ/ธนบดี/จัดทำ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ สุภาทิพย์/ตรวจ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๑๓๖ ง/หน้า ๒๒/๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๓
797765
ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ยืม การทำสัญญากู้ยืม หลักประกัน การจ่ายเงินกู้ การชำระคืนเงินกู้ การเรียกคืนเงินกู้ และค่าปรับ พ.ศ. 2561
ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ยืม การทำสัญญากู้ยืม หลักประกัน การจ่ายเงินกู้ การชำระคืนเงินกู้ การเรียกคืนเงินกู้ และค่าปรับ พ.ศ. ๒๕๖๑[๑] โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ยืม การทำสัญญากู้ยืม หลักประกัน การจ่ายเงินกู้ การชำระคืนเงินกู้ การเรียกคืนเงินกู้ และค่าปรับ เพื่อให้การดำเนินการของกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ แห่งข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ยืม การทำสัญญากู้ยืม หลักประกัน การจ่ายเงินกู้ การชำระคืนเงินกู้ การเรียกคืนเงินกู้ และค่าปรับ พ.ศ. ๒๕๖๑” ข้อ ๒ สหกรณ์ออมทรัพย์ที่ประสงค์จะขอกู้เงินกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานจะต้องมีระยะเวลาดำเนินการมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งรอบปีบัญชี มีความเข้าใจและรับรองว่าจะนำเงินกองทุนไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน และให้ยื่นคำขอกู้ได้ ณ สถานที่ดังต่อไปนี้ (๑) สหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีที่ตั้งในกรุงเทพมหานครให้ยื่น ณ กลุ่มงานกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน กองสวัสดิการแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (๒) สหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีที่ตั้งในส่วนภูมิภาคให้ยื่น ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่สหกรณ์ออมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ข้อ ๓ การยื่นคำขอกู้เงินตามข้อ ๒ ให้ยื่นแบบคำขอกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานตามท้ายประกาศ พร้อมเอกสารดังต่อไปนี้ (๑) สำเนาใบสำคัญรับจดทะเบียนสหกรณ์ออมทรัพย์ (๒) สำเนาหนังสือวงเงินกู้ยืมหรือค้ำประกันประจำปีซึ่งนายทะเบียนสหกรณ์เห็นชอบ (๓) สำเนารายงานการประชุมของคณะกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีมติอนุมัติให้กู้เงินกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน (๔) โครงการขอกู้ (๕) สำเนางบดุลและงบกำไรขาดทุนประจำปีหนึ่งปีที่ล่วงมาแล้ว (๖) สำเนางบทดลอง หรือรายงานการเงินสามเดือนสุดท้ายก่อนยื่นคำขอกู้ (๗) สำเนาระเบียบว่าด้วยการให้เงินกู้แก่สมาชิกและการชำระหนี้พร้อมประกาศอัตราดอกเบี้ยฉบับที่สหกรณ์ใช้อยู่ในปัจจุบัน (๘) หนังสือรับรองรายชื่อพร้อมลายมือชื่อคณะกรรมการและผู้จัดการสหกรณ์ (๙) สำเนาสัญญากู้ยืมเงินจากแหล่งเงินกู้อื่น (ถ้ามี) (๑๐) ประมาณการรับ - จ่ายเงินล่วงหน้า (ตามระยะเวลาชำระคืนเงินกู้) (๑๑) ข้อบังคับสหกรณ์ออมทรัพย์ (๑๒) หนังสือมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจของสหกรณ์ออมทรัพย์ให้บุคคลใด ๆ ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของสหกรณ์ออมทรัพย์นั้น (๑๓) สำเนาเอกสารประเมินชั้นคุณภาพการควบคุมภายในของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์และข้อมูลการจัดขนาดตามเกณฑ์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ (๑๔) รายชื่อสมาชิกที่ขึ้นบัญชีขอกู้เงินที่มีข้อมูลเงินเดือนจำนวนเงินที่ขอกู้ จำนวนหนี้และเงินคงเหลือสำหรับการดำรงชีพรายเดือน และวัตถุประสงค์การกู้ของสมาชิกสหกรณ์ (๑๕) เอกสารอื่นตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการขอให้ส่งเพิ่มเติม ข้อ ๔ การพิจารณาอนุมัติเงินกู้ ให้พิจารณาโดยอาศัยหลักเกณฑ์ดังนี้ (๑) วัตถุประสงค์และความเป็นไปได้ของโครงการที่ขอกู้ (๒) ความสามารถในการบริหารจัดการของสหกรณ์ออมทรัพย์ผู้ขอกู้ (๓) ความสามารถในการชำระคืนของสหกรณ์ออมทรัพย์ผู้ขอกู้ (๔) หลักประกันในการกู้ (๕) ทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ออมทรัพย์ผู้ขอกู้ (๖) ทรัพย์สินและหนี้สินของสหกรณ์ออมทรัพย์ผู้ขอกู้ (๗) กรณีที่สหกรณ์ออมทรัพย์ประสงค์จะขอกู้เงินจากกองทุนในสัญญาใหม่เพิ่มเติมจะต้องชำระหนี้เงินกู้รวมทุกสัญญาที่มีหนี้อยู่เดิมมาแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละสี่สิบของวงเงินกู้ทุกสัญญารวมกัน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามดุลพินิจของคณะกรรมการ ข้อ ๕ การพิจารณาหลักประกันในการกู้ตามข้อ ๔ (๔) สหกรณ์ต้องให้คณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์ทั้งคณะ รวมทั้งผู้จัดการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการสหกรณ์ (ถ้ามี) เป็นผู้ค้ำประกันในฐานะส่วนตัว ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์ต้องจัดให้คณะกรรมการดำเนินการชุดใหม่ค้ำประกันเพิ่มเติม ข้อ ๖ การคิดดอกเบี้ยให้เป็นตามประกาศคณะกรรมการเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยโดยให้เริ่มคิดตั้งแต่วันถัดจากวันที่สหกรณ์ออมทรัพย์รับเงินกู้จนถึงวันที่ผู้ให้กู้ได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้น ข้อ ๗ การชำระคืนเงินกู้ให้มีระยะเวลาตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๘ สหกรณ์ออมทรัพย์ใดไม่ใช้เงินกู้คืนเมื่อครบกำหนดใช้คืนตามสัญญาจะต้องเสียค่าปรับในอัตราร้อยละห้าต่อปี สำหรับเงินต้นที่ค้างชำระนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ถึงกำหนดชำระจนถึงวันที่สหกรณ์ชำระเสร็จสิ้น ข้อ ๙ การคิดดอกเบี้ยตามข้อ ๖ และค่าปรับตามข้อ ๘ ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยหรือความจำเป็นเกิดขึ้น ถ้าเห็นเป็นการสมควรคณะกรรมการอาจพิจารณาให้ระงับการคิดดอกเบี้ยและหรือค่าปรับในระยะเวลาหนึ่งก็ได้ หรือผ่อนผันเลื่อนกำหนดเวลาการส่งใช้คืน ข้อ ๑๐ คณะกรรมการเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติเงินกู้ และอาจมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณาเงินกู้กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานอนุมัติเงินกู้ได้ภายในวงเงินที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๑ ก่อนการจ่ายเงินกู้ให้แก่สหกรณ์ให้กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานจัดทำสัญญากู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ตามแบบท้ายประกาศและหลักประกันในการกู้ไว้เป็นหลักฐาน ให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมอบหมายลงนามในสัญญาในฐานะผู้ให้กู้ และให้ผู้แทนสหกรณ์ออมทรัพย์ผู้กู้ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจของสหกรณ์ออมทรัพย์ตามข้อบังคับของสหกรณ์ออมทรัพย์นั้น เป็นผู้ลงนามในฐานะผู้กู้ ข้อ ๑๒ ในกรณีที่สหกรณ์ออมทรัพย์มีความจำเป็นอันมิใช่เกิดจากเหตุทุจริต ซึ่งทำให้ไม่สามารถส่งใช้คืนเงินกู้เมื่อถึงกำหนดใช้คืนตามสัญญาได้ ให้ยื่นคำร้องขอผ่อนผัน/ขยายเวลาชำระหนี้ได้ตามข้อเท็จจริงพร้อมเหตุผลและหลักฐานประกอบต่อคณะกรรมการก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระในแต่ละงวด เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถดำเนินการได้ก่อนถึงกำหนดชำระในแต่ละงวด ให้ชี้แจงเหตุผลประกอบการพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ให้คณะกรรมการพิจารณาอนุมัติผ่อนผันหรือขยายเวลาการส่งใช้คืนเงินกู้ และ/หรือลดอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับตามความสามารถในการส่งชำระหนี้ได้ ข้อ ๑๓ เมื่อได้รับการอนุมัติผ่อนผันหรือขยายเวลาชำระหนี้ ให้กองทุนจัดทำบันทึกต่อท้ายสัญญากู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานไว้เป็นหลักฐาน หากหลักประกันที่มีอยู่ไม่สมบูรณ์ให้จัดทำเพิ่มให้สมบูรณ์ ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ อนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ปุณิกา/จัดทำ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๓๘/๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
794571
ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ
ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ[๑] อาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า “หน่วยงานของรัฐ” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ให้กำหนดหน่วยงานดังต่อไปนี้เป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ (๑) การกีฬาแห่งประเทศไทย (๒) การยางแห่งประเทศไทย (๓) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (๔) สถาบันพระปกเกล้า (๕) สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (๖) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (๗) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (๘) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (๙) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (๑๐) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (๑๑) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (๑๒) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (๑๓) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ปุณิกา/อัญชลี/จัดทำ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑ นุสรา/ตรวจ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๔ ง/หน้า ๑๒/๘ มกราคม ๒๕๖๑
794565
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ มาตรา ๑๔ วรรคสอง และมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ การขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนให้กระทำได้แต่โดยกฎหมาย และทุนหมุนเวียนที่ขอจัดตั้งต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในมาตรา ๑๕ ข้อ ๒ การจัดตั้งทุนหมุนเวียนต้องคำนึงถึงหลักการ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นกิจการที่หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตามหน้าที่เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อช่วยเหลือในการครองชีพ หรือเพื่อให้บริการแก่ประชาชนและไม่สามารถใช้วิธีการดำเนินงานภายใต้ระบบงบประมาณปกติ (๒) เป็นกิจการที่ก่อให้เกิดรายได้จากการดำเนินงานกลับเข้าสมทบเป็นรายรับของทุนหมุนเวียน โดยมิได้มีรายรับมาจากเงินงบประมาณแต่เพียงอย่างเดียว และมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน (๓) ต้องมีความพร้อมที่จะดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียนที่ได้จัดตั้งขึ้น (๔) ต้องไม่ขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณเป็นทุนประเดิมและเงินสมทบ เพื่อนำไปฝากสถาบันการเงินให้ได้ดอกผลมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนแต่เพียงอย่างเดียว ข้อ ๓ ให้หน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนจัดทำรายละเอียดข้อมูลตามที่กรมบัญชีกลางกำหนด ส่งให้แก่กรมบัญชีกลางพิจารณาตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลเพื่อเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการพิจารณาต่อไป กรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดข้อมูล หรือจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ให้ดำเนินการจัดส่งให้กรมบัญชีกลางภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง กรณีที่กรมบัญชีกลางตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าทุนหมุนเวียนที่ขอจัดตั้งไม่เป็นไปตามลักษณะที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๑๕ ให้แจ้งหน่วยงานของรัฐที่ขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนทราบ พร้อมทั้งส่งเรื่องคืน ข้อ ๔ เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามที่หน่วยงานของรัฐเสนอ ให้คณะกรรมการเสนอผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ พร้อมทั้งแจ้งผลการพิจารณาให้หน่วยงานของรัฐทราบเพื่อดำเนินการต่อไป ข้อ ๕ เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามที่คณะกรรมการเสนอแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้มีผลเป็นการจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปุณิกา/อัญชลี/จัดทำ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑ นุสรา/ตรวจ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๔ ง/หน้า ๒/๘ มกราคม ๒๕๖๑
791970
ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน
ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน[๑] โดยที่เป็นการสมควรกำหนดนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน หลักเกณฑ์การจัดทำรายงานทางการเงิน มาตรฐานเกี่ยวกับการเงิน การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ รวมถึงมาตรฐานเกี่ยวกับการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ (๑) (๗) (๘) และ (๙) มาตรา ๑๗ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ และมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ “การจัดซื้อจัดจ้าง” หมายความว่า การจัดซื้อจัดจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ “การบริหารพัสดุ” หมายความว่า การบริหารพัสดุตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ “การตรวจสอบภายใน” หมายความว่า กิจกรรมการให้ความเชื่อมั่นและการให้คำปรึกษาอย่างเที่ยงธรรมและเป็นอิสระ ซึ่งจัดให้มีขึ้นเพื่อเพิ่มคุณค่าและปรับปรุงการปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียนให้ดีขึ้น การตรวจสอบภายในจะช่วยให้ทุนหมุนเวียนบรรลุถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ด้วยการประเมินและปรับปรุงประสิทธิผลของกระบวนการบริหารความเสี่ยง การควบคุมและการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ ข้อ ๒ ทุนหมุนเวียนใดมีความจำเป็นต้องปฏิบัตินอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ให้ขออนุมัติต่อคณะกรรมการก่อน ส่วนที่ ๑ มาตรฐานการเงิน ข้อ ๓ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนนำเงินของทุนหมุนเวียนฝากกระทรวงการคลัง โดยให้เปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หรือสำนักงานคลังจังหวัด แล้วแต่กรณี ชื่อ “บัญชี ...(ชื่อทุนหมุนเวียน)...” เพื่อฝากเงินของทุนหมุนเวียนและห้ามมิให้นำเงินไปใช้จ่ายก่อนส่งเข้าบัญชีเงินฝาก ในกรณีที่มีความจำเป็น หน่วยงานของรัฐตามวรรคหนึ่งอาจขอเปิดบัญชีเงินฝากไว้ ณ ธนาคารพาณิชย์ ในชื่อบัญชีเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง เพื่อไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ข้อ ๔ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนนำเงินที่ทุนหมุนเวียนได้รับส่งเข้าบัญชีเงินฝากของทุนหมุนเวียนภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน ข้อ ๕ ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียนจัดทำ แผนการดำ เนินงานประจำ ปี ตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมา แผนการปฏิบัติงานประมาณการรายรับประจำปี ประมาณการรายจ่ายประจำปี และประมาณการกระแสเงินสด เสนอต่อคณะกรรมการบริหารพิจารณาอนุมัติอย่างน้อยหกสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี และให้ส่งกระทรวงการคลังอย่างน้อยสามสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนการใช้จ่ายเงิน การปรับปรุงหรือแก้ไขแผนการดำเนินงานประจำปีที่ได้รับอนุมัติตามวรรคหนึ่ง ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร และต้องส่งให้กระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาอนุมัติ ข้อ ๖ การนำเงินทุนหมุนเวียนไปดำเนินการเพื่อหาผลประโยชน์ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด และได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหาร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และให้กระทำได้ในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ (๒) ซื้อพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือรัฐวิสาหกิจ (๓) ซื้อตราสารแห่งหนี้โดยมีกระทรวงการคลังรับรอง หรืออาวัล หรือค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย (๔) การดำเนินการเพื่อหาผลประโยชน์อื่นที่นอกเหนือจาก (๑) (๒) และ (๓) ให้กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการดำเนินงานตามวรรคหนึ่งให้คณะกรรมการเพื่อทราบเป็นระยะ ส่วนที่ ๒ มาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ข้อ ๗ การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ข้อ ๘ ในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนแต่ละขั้นตอนต้องดำเนินการโดยเปิดเผย โปร่งใส วางตัวเป็นกลาง และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีมาตรการในการป้องกันการสมยอมในการเสนอราคา การเป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือการเป็นผู้กระทำการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงคุณภาพ ความต้องการของผู้ใช้ ประสิทธิภาพในการใช้งาน ความสามารถในการติดตามผลการปฏิบัติงานและราคาที่เหมาะสม โดยถือประโยชน์ของทางราชการและทุนหมุนเวียนเป็นสำคัญ ส่วนที่ ๓ มาตรฐานการบัญชีและการรายงานทางการเงิน ข้อ ๙ ให้คณะกรรมการบริหารวางและรักษาไว้ซึ่งระบบบัญชีที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถจัดทำรายงานทางการเงิน แสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนได้อย่างถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป ข้อ ๑๐ ให้ทุนหมุนเวียนมีหน้าที่จัดทำและส่งข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินงาน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนด ข้อ ๑๑ ให้คณะกรรมการบริหารจัดทำรายงานทางการเงินของทุนหมุนเวียนส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ปีบัญชีของทุนหมุนเวียนให้เป็นไปตามปีงบประมาณ เว้นแต่คณะกรรมการบริหารจะประกาศกำหนดเป็นอย่างอื่นโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ให้คณะกรรมการบริหารนำส่งรายงานทางการเงินพร้อมด้วยรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อกระทรวงการคลังภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานจากผู้สอบบัญชี ส่วนที่ ๔ มาตรฐานการตรวจสอบภายใน ข้อ ๑๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนและคณะกรรมการบริหารจัดให้มีระบบการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของทุนหมุนเวียน ตามมาตรฐานการตรวจสอบภายในและจริยธรรมการปฏิบัติงานตรวจสอบภายในของส่วนราชการ หรือมาตรฐานสากลการปฏิบัติงานวิชาชีพการตรวจสอบภายใน การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนอาจจัดให้มีหน่วยตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน หรือมอบหมายให้หน่วยตรวจสอบภายในของหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่ตรวจสอบภายในการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนก็ได้ ข้อ ๑๓ คณะกรรมการบริหารอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบ เพื่อกำกับดูแล ติดตามการดำเนินงานตรวจสอบภายใน ภายใต้มาตรฐานการตรวจสอบภายในที่หน่วยงานของรัฐกำหนด คณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ประธานอนุกรรมการซึ่งแต่งตั้งจากกรรมการคนใดคนหนึ่งในคณะกรรมการบริหาร และอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่าสองคน และให้หัวหน้าหน่วยตรวจสอบภายในเป็นเลขานุการ ข้อ ๑๔ ให้คณะกรรมการบริหารจัดให้มีกฎบัตรว่าด้วยการตรวจสอบภายใน ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยวัตถุประสงค์ อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ การรายงาน และมาตรฐานคุณธรรมและจริยธรรมในการปฏิบัติงานตรวจสอบภายใน ตลอดจนขอบเขตการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบภายใน ทั้งนี้ ต้องกำหนดให้สอดคล้องกับกฎ ระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง บทเฉพาะกาล ข้อ ๑๕ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนดำเนินการตามข้อ ๓ ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ข้อ ๑๖ บรรดาทุนหมุนเวียนใดที่ได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้นำเงินของทุนหมุนเวียนฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับให้หน่วยงานของรัฐที่มีทุนหมุนเวียนนั้นดำเนินการนำเงินของทุนหมุนเวียนกลับมาฝากไว้กับกระทรวงการคลังโดยเข้าบัญชีเงินฝากตามข้อ ๓ วรรคหนึ่ง ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ เว้นแต่กรณีที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์นั้นมีกำหนดห้วงเวลาการฝากถอนไว้อย่างแน่นอน ให้นำกลับมาฝากเข้าบัญชีตามข้อ ๓ วรรคหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการฝากถอนดังกล่าว ข้อ ๑๗ กรณีที่ทุนหมุนเวียนใดมีการนำเงินไปหาผลประโยชน์ไว้ก่อนประกาศนี้ใช้บังคับ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจัดหาผลประโยชน์นั้นแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อ ๖ ของประกาศนี้ เว้นแต่จะได้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน พิมพ์มาดา/อัญชลี/จัดทำ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๙๒ ง/หน้า ๓๖/๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
789742
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แนวปฏิบัติการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน และการจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่รวมหรือยุบเลิก
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แนวปฏิบัติการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน และการจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่รวมหรือยุบเลิก[๑] โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้มีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน และการจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่รวมหรือยุบเลิก อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ และมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐ จึงประกาศแนวปฏิบัติการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน และการจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่รวมหรือยุบเลิก ไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ “ทุนหมุนเวียน” หมายถึง กองทุน กองทุนหมุนเวียน เงินทุน เงินทุนหมุนเวียน ทุน หรือทุนหมุนเวียน ที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจการที่อนุญาตให้นำรายรับสมทบทุนไว้ใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน “หน่วยงานของรัฐ” หมายถึง กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่คณะกรรมการประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี “คณะกรรมการ” หมายถึง คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน “ผู้บริหารทุนหมุนเวียน” หมายถึง ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ หรือผู้ทำหน้าที่บริหารทุนหมุนเวียนที่เรียกชื่ออย่างอื่น “พนักงาน” หมายถึง บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาจ้าง ซึ่งได้รับเงินค่าจ้างจากทุนหมุนเวียนเพื่อปฏิบัติภารกิจของทุนหมุนเวียนที่มีลักษณะเป็นงานประจำ โดยมีกำหนดเวลาการจ้างไม่เกินคราวละ ๔ ปี และอาจมีการต่อสัญญาจ้างต่อเนื่องได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น “ลูกจ้าง” หมายถึง บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาจ้าง ซึ่งได้รับเงินค่าจ้างจากทุนหมุนเวียนเพื่อปฏิบัติภารกิจของทุนหมุนเวียนที่มีลักษณะเป็นงานชั่วคราว โดยมีกำหนดเวลาการจ้างเป็นรายปี ข้อ ๒ กรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่อาจปฏิบัติตามประกาศนี้ได้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง ข้อ ๓ ทุนหมุนเวียนใดที่มีกฎหมายบัญญัติในเรื่องการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน และการจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่รวมหรือยุบเลิกไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ให้การดำเนินการเป็นไปตามที่กฎหมายนั้นกำหนด ส่วนที่ ๑ การรวมทุนหมุนเวียน ข้อ ๔ การรวมทุนหมุนเวียน ให้กระทำได้เมื่อทุนหมุนเวียนที่จะรวมกันนั้นมีวัตถุประสงค์เดียวกัน หรือสามารถดำเนินการร่วมกันได้ และจะต้องไม่มีผลเป็นการขยายวัตถุประสงค์เกินกว่าวัตถุประสงค์เดิมของทุนหมุนเวียนที่นำมารวมกันนั้น การรวมทุนหมุนเวียนตามวรรคหนึ่ง อาจเป็นการรวมกับทุนหมุนเวียนใดทุนหมุนเวียนหนึ่ง หรือรวมกันเป็นทุนหมุนเวียนใหม่ก็ได้ ข้อ ๕ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รวมทุนหมุนเวียนใด ให้มีผลเป็นการโอนทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน สิทธิ หน้าที่ พนักงานและลูกจ้างของทุนหมุนเวียนเดิมไปเป็นของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่ เว้นแต่ในกรณีที่ทุนหมุนเวียนใดจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะ ให้ดำเนินการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อรวมทุนหมุนเวียนนั้น ข้อ ๖ ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนเดิมที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รวมทุนหมุนเวียนไปเป็นของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียน ดำเนินการปิดบัญชีและจัดทำรายงานทางการเงินของทุนหมุนเวียน ณ วันสุดท้ายก่อนวันที่กำหนดให้รวมทุนหมุนเวียนตามข้อ ๕ ส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ปิดบัญชี ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนเดิมที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รวมทุนหมุนเวียนไปเป็นของทุนหมุนเวียนใหม่ ดำเนินการปิดบัญชีและจัดทำรายงานทางการเงินของทุนหมุนเวียน ณ วันสุดท้ายก่อนวันที่กำหนดให้รวมทุนหมุนเวียนตามข้อ ๕ ส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ปิดบัญชี ข้อ ๗ ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่แต่งตั้งคณะกรรมการรวมทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินการรวมทุนหมุนเวียนตามมติคณะรัฐมนตรีประกอบด้วย หัวหน้าหน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่ เป็นประธาน ผู้แทนหน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนเดิม ผู้แทนสำนักงบประมาณผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ ให้คณะกรรมการรวมทุนหมุนเวียนจัดให้มีการประชุมภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดให้ปิดบัญชีและจัดทำรายงานทางการเงินส่งผู้สอบบัญชี เพื่อจัดทำแผนการโอนและรับโอนทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน สิทธิ หน้าที่ พนักงานและลูกจ้างของทุนหมุนเวียนเดิมไปเป็นของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่โดยเร็ว ข้อ ๘ กรณีรวมกันเป็นทุนหมุนเวียนใหม่ ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนใหม่แจ้งกรมบัญชีกลางเพื่อให้ดำเนินการดังนี้ (๑) กำหนดรหัสหน่วยเบิกจ่ายของทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการปฏิบัติงานในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบอื่นที่กรมบัญชีกลางกำหนด (๒) เปิดบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง เพื่อรับโอนเงินและรองรับการรับจ่ายเงินของทุนหมุนเวียน ข้อ ๙ ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนเดิมโอนเงินฝากกระทรวงการคลังและหรือเงินฝากธนาคารไปยังบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่ ข้อ ๑๐ ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนเดิมดำเนินการเกี่ยวกับผู้บริหารทุนหมุนเวียนพนักงาน และลูกจ้างดังนี้ (๑) ให้สัญญาจ้างผู้บริหารทุนหมุนเวียนสิ้นสุดลง ณ วันสุดท้ายก่อนวันที่กำหนดให้รวมทุนหมุนเวียนตามข้อ ๕ และให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียนได้รับสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการเลิกจ้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง (๒) ให้โอนพนักงานและลูกจ้างไปเป็นพนักงานและลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่ (๓) กรณีที่พนักงานหรือลูกจ้างประสงค์จะลาออกก่อนวันที่กำหนดให้รวมทุนหมุนเวียนตามข้อ ๕ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่รับโอนพนักงานและลูกจ้างของทุนหมุนเวียนเดิม โดยให้ได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง หรือสิทธิประโยชน์ตามสัญญาจ้างเดิมต่อไปจนกว่าสัญญาจ้างนั้นจะสิ้นสุดลง ในกรณีที่สัญญาจ้างสิ้นสุดลงตามวรรคสอง หากหน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่เห็นว่าพนักงานหรือลูกจ้างที่รับโอนมาจากทุนหมุนเวียนเดิมนั้นยังมีความจำเป็นต่อการดำเนินการของทุนหมุนเวียนก็ให้เจรจาในเรื่องการจ้างตามที่เห็นสมควร ข้อ ๑๑ ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่จัดทำรายงานผลการดำเนินการรวมทุนหมุนเวียนตามแผนการรวมทุนหมุนเวียน ส่งให้กระทรวงเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังทราบเป็นรายไตรมาสนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รวมทุนหมุนเวียน จนกว่าการรวมทุนหมุนเวียนจะแล้วเสร็จ ข้อ ๑๒ เมื่อการรวมทุนหมุนเวียนเสร็จสิ้นแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการดังนี้ (๑) ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนที่คงอยู่ภายหลังการรวมทุนหมุนเวียนหรือของทุนหมุนเวียนใหม่จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินการรวมทุนหมุนเวียนและส่งให้กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่การรวมทุนหมุนเวียนเสร็จสิ้น (๒) ให้หน่วยงานของรัฐของทุนหมุนเวียนเดิมแจ้งปิดบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง และรหัสหน่วยเบิกจ่ายของทุนหมุนเวียนต่อกรมบัญชีกลางภายในสามสิบวันนับแต่วันที่การรวมทุนหมุนเวียนเสร็จสิ้น ส่วนที่ ๒ การยุบเลิกทุนหมุนเวียน ข้อ ๑๓ การยุบเลิกทุนหมุนเวียน ให้กระทำได้ในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) หมดความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งทุนหมุนเวียนนั้นแล้ว (๒) ทุนหมุนเวียนได้หยุดการดำเนินงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร (๓) มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดเป็นเวลาสามปีติดต่อกัน และคณะกรรมการเห็นสมควรให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้น (๔) มีเหตุอื่นอันสมควรต้องยุบเลิกทุนหมุนเวียนตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๑๔ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนใด ให้ถือว่าเป็นการยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้นตามกฎหมาย เว้นแต่ในกรณีที่ทุนหมุนเวียนใดจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะให้ดำเนินการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้น ข้อ ๑๕ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าจ้าง หรือสิทธิประโยชน์จนถึงวันสุดท้ายก่อนวันที่กำหนดให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียน ให้กับผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้าง ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง กรณีที่สัญญาจ้างไม่ได้กำหนดไว้ การจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่ยุบเลิก ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณากำหนดโดยคำนึงถึงฐานะทางการเงินของทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ ต้องไม่เกินหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานโดยอนุโลม เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น กรณีที่มีความจำเป็นต้องจ้างพนักงานหรือลูกจ้างเพื่อช่วยปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียนภายหลังจากวันที่กำหนดให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาจ่ายเงินจากทุนหมุนเวียนเป็นค่าตอบแทนได้เท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ ต้องไม่เกินกว่าอัตราค่าจ้างที่พนักงานหรือลูกจ้างนั้นได้รับอยู่ก่อนวันยุบเลิกทุนหมุนเวียน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการชำระบัญชีทุนหมุนเวียน ข้อ ๑๖ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการปิดบัญชีและจัดทำรายงานทางการเงินของทุนหมุนเวียน ณ วันที่กำหนดให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนตามข้อ ๑๔ ส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ยุบเลิกทุนหมุนเวียน ข้อ ๑๗ ให้หน่วยงานของรัฐแต่งตั้งคณะกรรมการชำระบัญชีทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินการชำระบัญชีของทุนหมุนเวียนโดยเร็ว ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานของรัฐ ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนกระทรวงการคลัง ให้คณะกรรมการชำระบัญชีทุนหมุนเวียนจัดให้มีการประชุมภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดให้ปิดบัญชีและจัดทำรายงานทางการเงินส่งผู้สอบบัญชี เพื่อดำเนินการชำระสะสางการงาน และบัญชีสินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของทุนหมุนเวียน ข้อ ๑๘ เพื่อประโยชน์ในการชำระบัญชี ให้คณะกรรมการชำระบัญชีทุนหมุนเวียนดำเนินการชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ทั้งนี้ ไม่เกินสองปีนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้น เว้นแต่ยังคงมีทรัพย์สิน สิทธิเรียกร้อง หนี้สินหรือภาระผูกพันใด ๆ ให้คณะกรรมการชำระบัญชีทุนหมุนเวียนโอนให้แก่หน่วยงานของรัฐเพื่อดำเนินการต่อไป ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำ รายงานผลการดำเนินการชำระบัญชีทุนหมุนเวียนที่ยุบเลิกส่งให้กระทรวงเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังทราบเป็นรายไตรมาสนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียน จนกว่าการชำระบัญชีทุนหมุนเวียนที่ยุบเลิกจะแล้วเสร็จ ข้อ ๑๙ เมื่อการชำระบัญชีทุนหมุนเวียนเสร็จสิ้นแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการดังนี้ (๑) จัดส่งรายงานทางการเงินภายหลังการชำระบัญชีให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและรับรองภายในสามสิบวันนับแต่วันที่การชำระบัญชีทุนหมุนเวียนเสร็จสิ้น (๒) จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินการยุบเลิกทุนหมุนเวียนและส่งให้กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่การชำระบัญชีทุนหมุนเวียนเสร็จสิ้น (๓) แจ้งปิดบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังและรหัสหน่วยเบิกจ่ายของทุนหมุนเวียนต่อกรมบัญชีกลางภายในสามสิบวันนับแต่วันที่การชำระบัญชีทุนหมุนเวียนเสร็จสิ้น บทเฉพาะกาล ข้อ ๒๐ การรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนใดที่ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ หรือแนวทางเกี่ยวกับการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้นจนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งต้องดำเนินการภายในเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปุณิกา/อัญชลี/จัดทำ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๖๘ ง/หน้า ๓/๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
781597
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2560
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงแก้ไขระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรขอเงินช่วยเหลือหรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน และหลักเกณฑ์การเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุนให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๘ (๓) มาตรา ๓๔/๑ และมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จึงกำหนดระเบียบไว้ดังนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๖๐” ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๓๗ (๒) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๙ (๓) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๔ (๔) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๔ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ ในระเบียบนี้ “พลังงาน” หมายความว่า ความสามารถในการทำงานซึ่งมีอยู่ในตัวของสิ่งที่อาจให้งานได้ ได้แก่ พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสิ้นเปลือง และให้หมายความรวมถึง สิ่งที่อาจให้งานได้ เช่น เชื้อเพลิง ความร้อน และไฟฟ้า เป็นต้น “พลังงานหมุนเวียน” หมายความรวมถึง พลังงานที่ได้จากไม้ ฟืน แกลบ กากอ้อย ชีวมวล น้ำ แสงอาทิตย์ ความร้อนใต้พิภพ ลม และคลื่น เป็นต้น “กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน “คณะอนุกรรมการ” หมายความว่า คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานแต่งตั้งตามมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ “เลขานุการคณะกรรมการ” หมายความว่า เลขานุการคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน “พระราชบัญญัติ” หมายความว่า พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ “สำนักงานบริหารกองทุน” หมายความว่า สำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ได้รับมอบจากกระทรวงพลังงานให้บริหารจัดการเงินกองทุนตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ “องค์กรเอกชน” หมายความว่า องค์กรเอกชนตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ “เจ้าของโครงการ” หมายความว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชนที่ประสงค์รับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อดำเนินโครงการด้านอนุรักษ์พลังงาน “ผู้ขอรับการสนับสนุน” หมายความว่า เจ้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการยื่นคำขอรับการสนับสนุนเงินกองทุน “ผู้ได้รับการสนับสนุน” หมายความว่า เจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติการสนับสนุนเงินกองทุน “ผู้ร่วมโครงการ” หมายความว่า ผู้ที่ต้องการร่วมโครงการกับเจ้าของโครงการ โดยขอความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและการเงินจากกองทุนผ่านเจ้าของโครงการ “อนุรักษ์พลังงาน” หมายความว่า ผลิตและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด “การสนับสนุน” หมายความว่า การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนให้แก่ผู้ได้รับการสนับสนุน “การสนับสนุนวงเงินรวมเป็นรูปแบบเงินก้อน (Block grant)” หมายความว่า การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนแก่ผู้ได้รับการสนับสนุนเพื่อนำไปจ่ายให้แก่ผู้ร่วมโครงการแต่ละราย “เงินหมุนเวียน” หมายความว่า เงินหมุนเวียนสำหรับลงทุน และหรือดำเนินงานในการอนุรักษ์พลังงาน หรือเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีเงื่อนไขที่ต้องชำระคืนตามที่คณะกรรมการกำหนด “เงินช่วยเหลือและเงินอุดหนุน” หมายความว่า เงินให้เปล่าสำหรับการลงทุนและดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน หรือเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน “แผนพลังงาน” หมายความว่า แผนอนุรักษ์พลังงาน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอนุมัติ “แผนการปฏิบัติงาน” หมายความว่า แผนดำเนินงานต่าง ๆ ของเจ้าของโครงการและผู้ร่วมโครงการในการดำเนินโครงการ “แผนการใช้จ่ายเงิน” หมายความว่า แผนแสดงรายละเอียดการใช้จ่ายเงินสำหรับเจ้าของโครงการและผู้ร่วมโครงการเพื่อดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติงาน “แผนการเบิกจ่ายเงิน” หมายความว่า แผนแสดงรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินสำหรับสำนักงานบริหารกองทุน เพื่อรายงานกระทรวงการคลังและใช้ประกอบการเบิกจ่ายเงินกองทุน “วันสิ้นสุดโครงการ” หมายความว่า วันสุดท้ายของการดำเนินโครงการที่ระบุไว้ ในสัญญาหรือหนังสือยืนยัน “วันปิดโครงการ” หมายความว่า วันสุดท้ายที่สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนได้ “วันปิดบัญชี” หมายความว่า วันสุดท้ายที่สามารถคืนเงินคงเหลือ (ถ้ามี) และดอกผลเข้ากองทุนแล้วเสร็จ “การเปลี่ยนแปลง” หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินงาน หรือจำนวนเงินของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุน “ระบบอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ระบบการจัดทำและรับส่งข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนการบริหารเงินสำหรับเจ้าของโครงการ ผู้ขอรับการสนับสนุน และหรือผู้ได้รับการสนับสนุน และการรายงาน และติดตามประเมินผลโครงการผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๕ ในกรณีมีความจำเป็นต้องปฏิบัตินอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง ยกเว้นการปฏิบัติตามหมวด ๒ และหมวด ๗ ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ หากผู้หนึ่งผู้ใดไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบนี้ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อกองทุน ผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้น โดยให้คณะกรรมการพิจารณาสั่งการตามควรแก่กรณี ข้อ ๖ ให้ประธานคณะกรรมการ เป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และมีอำนาจออกประกาศ คำสั่งต่าง ๆ เพื่อการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการตีความตามระเบียบนี้ ให้คณะกรรมการเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด หมวด ๑ การบริหารกองทุน ข้อ ๗ ให้มีสำนักงานบริหารกองทุนเป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้ง และมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินงานต่าง ๆ ในภารกิจที่เกี่ยวกับกองทุน ข้อ ๘ ให้สำนักงานบริหารกองทุนจัดทำโครงสร้างการบริหารกองทุน เพื่อรองรับการดำเนินงานต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อขออนุมัติต่อคณะกรรมการ และส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณา ให้ความเห็นชอบ ข้อ ๙ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน หรือบุคคลภายนอกที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการทุนหมุนเวียนและด้านส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทำหน้าที่บริหารงานของกองทุน ในกรณีที่ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนมิใช่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน ให้การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ระยะเวลาและเงื่อนไขในการจ้าง ตลอดจนค่าตอบแทนของผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุน เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ้างที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง หมวด ๒ การสนับสนุนเงินจากกองทุน ส่วน ๑ การจัดทำคำขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ข้อ ๑๐ การขอรับการสนับสนุนจากกองทุน ให้ดำเนินการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ใช้บังคับเมื่อคณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๑๑ กรณีที่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ขัดข้องไม่สามารถใช้งานได้ หรือกรณีจำเป็นต้องใช้เอกสารกระดาษแทนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ให้ใช้รูปแบบตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๒ โครงการที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุน จะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินกองทุนตามมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติ หรือโครงการที่มีสิทธิขอรับการส่งเสริมและช่วยเหลือจากกองทุน ตามมาตรา ๔๐ ของพระราชบัญญัติ และเป็นไปตามยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุนประจำปีที่ประกาศกำหนดในข้อ ๑๘ ข้อ ๑๓ เจ้าของโครงการที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ให้ยื่นคำขอต่อสำนักงานบริหารกองทุนตามแบบคำขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนตามที่คณะกรรมการกำหนดตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอนุมัติ ทั้งนี้ ให้หมายรวมถึงมาตรา ๒๕ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติ ข้อ ๑๔ ให้เจ้าของโครงการตรวจสอบความถูกต้องของคำขอให้เป็นไปตามแบบที่คณะกรรมการกำหนดก่อนการจัดส่งเอกสารด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับสำนักงานบริหารกองทุน โดยให้วันที่ได้จัดส่งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นวันที่ยื่นคำขอ และให้เจ้าของโครงการจัดพิมพ์ใบรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้ส่งแล้วเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ข้อ ๑๕ เจ้าของโครงการต้องยินยอมและอำนวยความสะดวกให้สำนักงานบริหารกองทุนหรือผู้ที่คณะกรรมการมอบให้เข้าไปสำรวจ ตรวจสอบปัจจัยความพร้อมในการดำเนินงานโครงการได้ ส่วน ๒ การรับคำขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ข้อ ๑๖ ให้สำนักงานบริหารกองทุน ตรวจสอบคำขอและคุณสมบัติของผู้ขอรับการสนับสนุน หากเห็นว่าคำขอไม่เป็นไปตามแบบที่ประกาศ ให้แจ้งผู้ขอรับการสนับสนุนแก้ไขคำขอให้ถูกต้อง หรือให้ส่งเอกสารเพิ่มเติม หรือแจ้งการขาดคุณสมบัติตามที่ประกาศ แล้วแต่กรณี ภายใน ๑๐ วัน นับแต่วันที่ยื่นคำขอ กรณีสำนักงานบริหารกองทุนเห็นว่าคำขอถูกต้อง ให้รวบรวมนำเสนอคณะกรรมการ และให้สำนักงานบริหารกองทุน แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขอรับการสนับสนุนทราบเป็นหนังสือภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการมีมติ ข้อ ๑๗ ในการตรวจสอบคำขอ ให้สำนักงานบริหารกองทุน สามารถแจ้งให้ผู้ขอรับการสนับสนุนมาชี้แจง หรือส่งเอกสารอื่นเพิ่มเติมตามระยะเวลาที่กำหนดได้ ในกรณีที่สำนักงานบริหารกองทุน เห็นว่าจำเป็นต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบสถานที่ดำเนินโครงการ ผู้ขอรับการสนับสนุนต้องให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ส่วน ๓ การพิจารณาและการอนุมัติการสนับสนุนเงินจากกองทุน ข้อ ๑๘ โครงการที่จะได้รับการพิจารณาต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติ หรือเป็นโครงการที่มีสิทธิขอรับการส่งเสริมและช่วยเหลือจากกองทุน หรือมีลักษณะในการอนุรักษ์พลังงานตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติ หรือเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงานในโครงการลักษณะใดลักษณะหนึ่ง และต้องสอดคล้องกับแผนพลังงาน และเป็นไปตามแนวทางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอนุมัติ ให้สำนักงานบริหารกองทุนมีหน้าที่ประกาศยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุนประจำปี เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วรรคหนึ่ง ข้อ ๑๙ ในกรณีที่มีความจำเป็นคณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน และให้หมายรวมถึงเงินสมทบเพื่อดำเนินโครงการด้วย โดยพิจารณาความพร้อมของเจ้าของโครงการ ผู้ร่วมโครงการ ความเหมาะสมของโครงการ ความซ้ำซ้อนของโครงการ ระยะเวลาดำเนินการ ความเหมาะสมของเทคโนโลยี ผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ความพร้อมของพื้นที่ กรอบวงเงินที่เหมาะสม แผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงิน ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุนประจำปี เพื่อเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ ส่วน ๔ การบริหารโครงการที่ได้รับการสนับสนุน ข้อ ๒๐ ผู้ได้รับการสนับสนุนที่ได้รับแจ้งตามข้อ ๑๖ วรรคสอง จะต้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการ และมาจัดทำสัญญาหรือหนังสือยืนยัน ภายใน ๓๐ วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งมติจากสำนักงานบริหารกองทุน ทั้งนี้ รูปแบบสัญญาหรือหนังสือยืนยันเป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๑ เมื่อได้รับแจ้งตามความในข้อ ๑๖ ผู้ได้รับการสนับสนุนที่เป็นองค์กรเอกชนจะต้องจัดทำสัญญา และผู้ได้รับการสนับสนุนที่เป็นส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ จะต้องจัดทำหนังสือยืนยัน ข้อ ๒๒ เมื่อผู้ได้รับการสนับสนุนดำเนินการลงนามในสัญญาหรือหนังสือยืนยันตามข้อ ๒๐ วรรคสอง ผู้ได้รับการสนับสนุนจะต้องเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันภายในระยะเวลา ๙๐ วัน นับตั้งแต่วันเริ่มต้นโครงการ หากไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ ให้ถือว่าโครงการที่อนุมัตินั้นเป็นอันยกเลิก ระยะเวลาโครงการ ให้ถือวันที่ ๑ ตุลาคม เป็นวันเริ่มต้นโครงการ จนถึงวันสิ้นสุดโครงการตามที่คณะกรรมการอนุมัติ ยกเว้นโครงการที่ได้รับอนุมัติให้เริ่มต้นระหว่างปีงบประมาณ ให้ถือวันที่ ๑ มีนาคม เป็นวันเริ่มต้นโครงการ จนถึงวันสิ้นสุดโครงการตามที่คณะกรรมการอนุมัติ สำหรับโครงการที่สนับสนุนวงเงินรวมเป็นรูปแบบเงินก้อน (Block grant) ให้ก่อหนี้ผูกพันภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดเป็นรายโครงการไป หากไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้โครงการที่อนุมัตินั้นเป็นอันยกเลิก ทั้งนี้ ผู้ได้รับการสนับสนุนที่ถูกยกเลิกโครงการจะเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ไม่ได้ ข้อ ๒๓ กรณีเกิดมีเหตุจำเป็นที่ผู้ได้รับการสนับสนุนไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายใน ๙๐ วัน สามารถขยายได้อีก ๔๕ วัน โดยต้องทำหนังสือแจ้งสำนักงานบริหารกองทุน และให้สำนักงานบริหารกองทุนรายงานคณะอนุกรรมการเพื่อทราบ ข้อ ๒๔ กรณีผู้ได้รับการสนับสนุนพบเหตุที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินงานหรือจำนวนเงินของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนหลังการก่อหนี้ผูกพันแล้ว ให้ผู้ได้รับการสนับสนุนแจ้งสำนักงานบริหารกองทุนภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ทราบเหตุ พร้อมทั้งต้องทำหนังสือขอเปลี่ยนแปลงต่อสำนักงานบริหารกองทุนไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ ยกเว้นได้รับการอนุมัติจากคณะอนุกรรมการเป็นกรณีพิเศษ กรณีการเปลี่ยนแปลงโครงการที่มีผลกระทบต่อเป้าหมาย ผลผลิต และระยะเวลา โดยเพิ่มวงเงิน ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการก่อน จึงเปลี่ยนแปลงได้ กรณีการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อเป้าหมาย ผลผลิต และระยะเวลา แต่ไม่เพิ่มวงเงิน ต้องได้รับอนุมัติจากคณะอนุกรรมการก่อน จึงเปลี่ยนแปลงได้ กรณีการเปลี่ยนแปลงที่นอกเหนือจากวรรคสองและวรรคสาม ต้องได้รับอนุมัติจากเลขานุการคณะกรรมการก่อนจึงเปลี่ยนแปลงได้ ข้อ ๒๕ ให้ผู้ได้รับการสนับสนุน จัดให้มีระบบการรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายเงิน เพื่อจัดทำรายงานส่งสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อพิจารณารวบรวมข้อมูล ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ ที่สำนักงานบริหารกองทุนกำหนดดังนี้ (๑) รายงานผลการใช้จ่ายเงิน หรือตามที่ได้ตกลงกับคณะกรรมการตามแผนการใช้จ่ายเงิน โดยระบุปัญหา อุปสรรคและแนวทางแก้ไข โดยให้จัดส่ง ภายในวันที่ ๕ ของเดือนถัดไป (๒) รายงานความคืบหน้าของโครงการเป็นรายไตรมาส โดยระบุปัญหา อุปสรรคและแนวทางแก้ไข (๓) รายงานผลการปฏิบัติงานที่แสดงผลสำเร็จของโครงการตามที่ได้รับการสนับสนุน โดยจัดส่งให้สำนักงานบริหารกองทุน ภายใน ๖๐ วันนับแต่วันสิ้นสุดโครงการ ข้อ ๒๖ กรณีที่ผู้ได้รับการสนับสนุนไม่จัดทำรายงานผลความคืบหน้าโครงการ และหรือปฏิบัติไม่เป็นไปตามแผนที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนได้ ให้สำนักงานบริหารกองทุนสั่งชะลอการสนับสนุนเงินกองทุนเป็นการชั่วคราวตามความเหมาะสม จนกว่าผู้ได้รับการสนับสนุนจะรายงานผลหรือดำเนินการตามแผน ทั้งนี้ ให้สำนักงานบริหารกองทุนรายงานให้คณะกรรมการทราบในโอกาสแรกและให้นำผลการดำเนินงานดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาการสนับสนุนเงินกองทุนในปีถัดไป การสั่งชะลอการสนับสนุนเงินกองทุนเป็นการชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง ให้สำนักงานบริหารกองทุนมีหนังสือแจ้งผู้ได้รับการสนับสนุนภายใน ๕ วัน นับแต่วันที่เกินกำหนดส่งรายงาน หรือวันที่ทราบการไม่ปฏิบัติตามแผน โดยสำนักงานบริหารกองทุนสามารถแนะนำให้ผู้ได้รับการสนับสนุนดำเนินการจัดส่งรายงานหรือปฏิบัติให้เป็นตามแผนที่ได้รับอนุมัติ และเมื่อผู้ได้รับการสนับสนุนดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้สำนักงานบริหารกองทุนพิจารณา สั่งยุติการชะลอ และรายงานคณะกรรมการทราบ การสั่งยุติการชะลอการสนับสนุนเงินกองทุนเป็นการชั่วคราว ให้สำนักงานบริหารกองทุนมีหนังสือแจ้งผู้ได้รับการสนับสนุนภายใน ๕ วัน นับแต่วันที่มีการสั่งยุติการชะลอ หมวด ๓ การบริหารจัดการเงินกองทุน ข้อ ๒๗ เงินกองทุนให้จ่ายตามวัตถุประสงค์เพื่อกิจการตามนัยมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติและตามมติคณะกรรมการ โดยให้เลขานุการคณะกรรมการ แจ้งมติคณะกรรมการให้สำนักงานบริหารกองทุนทราบเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามข้อ ๒๐ ข้อ ๒๘ รายจ่ายเงินกองทุน ประกอบด้วย (๑) รายจ่ายตามโครงการที่คณะกรรมการอนุมัติ ตามนัยมาตรา ๒๕ (๑) (๒) (๓) ของพระราชบัญญัติ (๒) รายจ่ายตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานบริหารกองทุน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการอนุมัติ ตามนัยมาตรา ๒๕ (๔) ของพระราชบัญญัติ ข้อ ๒๙ ให้สำนักงานบริหารกองทุนจัดทำแผนการเบิกจ่ายเงินประจำปี ซึ่งประกอบด้วยรายจ่ายตามโครงการที่คณะกรรมการอนุมัติ และรายจ่ายตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานบริหารกองทุน รวมทั้งประมาณการกระแสเงินสด เสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติอย่างน้อย ๖๐ วัน ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม และส่งให้กระทรวงการคลังอย่างน้อย ๓๐ วัน ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม เพื่อใช้ประกอบการกำกับดูแลการบริหารทุนหมุนเวียนและติดตามการประเมินผลการดำเนินงาน กรณีมีการเปลี่ยนแปลงแผนการเบิกจ่ายต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการที่ได้รับมอบให้ปฏิบัติ หรือเลขานุการคณะกรรมการ และรายงานให้กรมบัญชีกลางทราบทุกครั้ง ข้อ ๓๐ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๒๘ (๑) ของระเบียบนี้ ให้สำนักงานบริหารกองทุนและผู้ได้รับการสนับสนุนใช้จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันตามโครงการได้ ภายในวงเงินและระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติ รายจ่ายที่กำหนดไว้สำหรับโครงการใด ให้ใช้สำหรับโครงการนั้น จะโอนหรือนำไปใช้ในโครงการอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ข้อ ๓๑ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๒๘ (๒) ของระเบียบนี้ ให้สำนักงานบริหารกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ การเปลี่ยนแปลงรายการตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีดังกล่าวที่ไม่เพิ่มวงเงิน ต้องได้รับอนุมัติจากคณะอนุกรรมการก่อน จึงเปลี่ยนแปลงได้ การใช้จ่ายตามวรรคหนึ่งกรณีที่มีการก่อหนี้ผูกพัน แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้น ๆ ให้สามารถขยายเวลาการเบิกจ่ายต่อไปได้อีก ๙๐ วัน นับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา ข้อ ๓๒ ในกรณีมีเหตุจำเป็นที่คณะกรรมการไม่สามารถพิจารณาอนุมัติแผนการเบิกจ่ายเงินประจำปีตามข้อ ๒๙ ให้สำนักงานบริหารกองทุน ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ผ่านมาไปพลางก่อน โดยให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่อยู่ระหว่างรอการอนุมัติ ข้อ ๓๓ เพื่อให้การบริหารกองทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับรายจ่ายตามข้อ ๒๘ (๒) คณะกรรมการอาจกำหนดให้สำนักงานบริหารกองทุนสามารถมีเงินสำหรับทดรองจ่าย เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนได้ตามความจำเป็น ทั้งนี้ ภายในวงเงินที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๓๔ การพัสดุ ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ ข้อ ๓๕ วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเงินที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ถือปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการ กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง ข้อ ๓๖ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือบุคคลที่กระทรวงพลังงานมอบหมาย เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติการจ่ายเงินกองทุนตามที่คณะกรรมการอนุมัติ หมวด ๔ การรับและการเก็บรักษาเงินกองทุน ข้อ ๓๗ ให้สำนักงานบริหารกองทุนเปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ชื่อบัญชี “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” เพื่อรับเงินและจ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ข้อ ๓๘ เพื่อความคล่องตัวให้สำนักงานบริหารกองทุนสามารถเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ชื่อบัญชี “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และทุกสิ้นเดือนให้สำนักงานบริหารกองทุนนำเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารในส่วนที่เกินวงเงินที่กำหนดข้างต้น ส่งเข้าบัญชีกองทุนตามข้อ ๓๗ ข้อ ๓๙ บรรดาเงินที่เป็นรายรับตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติ ให้นำฝากเข้าบัญชีกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามข้อ ๓๘ ข้อ ๔๐ ให้หน่วยงานที่รับเงินจากผู้ส่งเงินเข้ากองทุนตามพระราชบัญญัติ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ และมาตรา ๔๒ นำเงินที่ได้รับฝากเข้าบัญชีกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานตามข้อ ๓๘ ภายใน ๒ วันทำการนับแต่วันที่รับชำระเงิน และส่งสำเนาใบฝากเงิน (Pay - in Slip) พร้อมใบส่งเงินและรายละเอียดตามแบบที่แต่ละหน่วยงานที่รับเงินกำหนด ให้สำนักงานบริหารกองทุน ภายใน ๕ วันทำการ นับแต่วันที่นำเงินฝากเข้าบัญชีดังกล่าว หมวด ๕ การเบิกจ่ายเงินกองทุน ข้อ ๔๑ สำนักงานบริหารกองทุนต้องเบิกจ่ายเงินให้ผู้ได้รับการสนับสนุนตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการ ข้อ ๔๒ ผู้ได้รับการสนับสนุนต้องเปิดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์กับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ตามชื่อบัญชีที่สำนักงานบริหารกองทุนกำหนด โดยแยกเป็นรายโครงการ และแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝากให้สำนักงานบริหารกองทุนทราบเพื่อโอนเงินเข้าบัญชี ข้อ ๔๓ ผู้ได้รับการสนับสนุนต้องยื่นหนังสือขอเบิกเงินกับสำนักงานบริหารกองทุนทุกครั้งที่ต้องการขอเบิกเงินตามงวดแต่ละงวดของแผนการใช้จ่ายเงินและหรือตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยมีเอกสารประกอบดังนี้ (๑) หนังสือแจ้งมติอนุมัติเงินกองทุนของสำนักงานบริหารกองทุน (๒) สัญญาหรือหนังสือยืนยันรับการสนับสนุนของผู้ได้รับการสนับสนุน (๓) แผนการใช้จ่ายเงิน (ตลอดทั้งโครงการโดยแบ่งเป็นงวด ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นโครงการ) (๔) หลักฐานที่แสดงความพร้อมของโครงการและความพร้อมของการใช้จ่ายเงิน ยกเว้นงวดแรกของแต่ละโครงการ (๕) ชื่อบัญชีและเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคาร ตามข้อ ๔๒ (๖) อื่น ๆ ที่สำนักงานบริหารกองทุนประกาศกำหนดหรือขอเพิ่มเติม ข้อ ๔๔ ให้ผู้ได้รับการสนับสนุน เบิกจ่ายเงินกองทุนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และสามารถดำเนินการเบิกจ่ายต่อไปได้อีก ๙๐ วัน นับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา หรือหนังสือยืนยัน แล้วแต่กรณี หากไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามวรรคหนึ่ง ให้ขออนุมัติต่อคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ข้อ ๔๕ วิธีการรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน ทรัพย์สินและการบัญชี รวมทั้งการพัสดุ ให้ถือปฏิบัติตามกฎ ระเบียบของผู้ได้รับการสนับสนุน แต่ถ้าผู้ได้รับการสนับสนุนไม่มีกฎ ระเบียบดังกล่าว ให้ใช้กฎ ระเบียบราชการโดยอนุโลม ทั้งนี้ ในการปฏิบัติภารกิจตามพระราชบัญญัติ หากผู้ได้รับการสนับสนุนมอบหมายให้องค์กร นิติบุคคล หรือสถาบันการศึกษาดำเนินการแทน วิธีการรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน ทรัพย์สินและการบัญชี รวมทั้งการพัสดุให้ถือปฏิบัติตามกฎ ระเบียบของผู้ดำเนินการแทน แต่ถ้าผู้ดำเนินการแทนไม่มีกฎ ระเบียบดังกล่าว ให้ใช้กฎ ระเบียบราชการโดยอนุโลม ข้อ ๔๖ ผู้ได้รับการสนับสนุนต้องจัดทำรายงานการรับจ่ายเงินของโครงการส่งสำนักงานบริหารกองทุน เป็นรายเดือนจนกว่าจะเสร็จสิ้นโครงการ ผู้ได้รับการสนับสนุน ต้องเก็บเอกสารหลักฐานทางการเงินไว้เพื่อการตรวจสอบ ข้อ ๔๗ กรณีผู้ได้รับการสนับสนุนไม่ได้ดำเนินการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่กำหนดในข้อ ๔๓ (๓) ให้ผู้ได้รับการสนับสนุนส่งเงินคืนสำนักงานบริหารกองทุนภายใน ๓๐ วันนับจากวันที่ได้รับเงิน ยกเว้นมีเหตุจำเป็นให้ผู้ได้รับการสนับสนุนเสนอสำนักงานบริหารกองทุนพิจารณาอนุมัติ ข้อ ๔๘ ผู้ได้รับการสนับสนุนจะต้องใช้จ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการตามที่ได้รับอนุมัติ หรือเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือหนังสือยืนยัน ในกรณีที่นำเงินที่ได้รับการสนับสนุนไปใช้จ่ายนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ ให้สำนักงานบริหารกองทุนแจ้งผู้ได้รับการสนับสนุนดังกล่าวชดใช้เงินส่วนนั้นคืน พร้อมดอกผลและเบี้ยปรับ (ถ้ามี) ให้แก่กองทุนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือ และรายงานคณะอนุกรรมการเพื่อสั่งการตามควรแก่กรณี ข้อ ๔๙ เมื่อการดำเนินโครงการของผู้ได้รับการสนับสนุนเสร็จสิ้น หรือกรณีที่มีการยุติหรือยกเลิกโครงการ ให้ผู้ได้รับการสนับสนุนปิดโครงการและปิดบัญชี พร้อมส่งเงินคงเหลือ และดอกผลทั้งหมด (ถ้ามี) คืนสำนักงานบริหารกองทุน ภายใน ๓๐ วันนับจากวันปิดโครงการ กรณีผู้ได้รับการสนับสนุนไม่อาจส่งเงินคืนกองทุนได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็น โดยต้องยื่นขอขยายระยะเวลาการคืนเงินกองทุนต่อสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการพิจารณา ทั้งนี้ ระหว่างที่ยังไม่สามารถส่งเงินคืนกองทุน ผู้ได้รับการสนับสนุนจะไม่มีสิทธิยื่นขอรับการสนับสนุนใหม่ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นให้รายงานสำนักงานบริหารกองทุน เพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ หมวด ๖ การบัญชี ข้อ ๕๐ ให้สำนักงานบริหารกองทุนจัดทำบัญชีกองทุนให้ถูกต้องเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป ข้อ ๕๑ ให้สำนักงานบริหารกองทุนนำข้อมูลเกี่ยวกับการบัญชีของกองทุนเข้าระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ตามที่กรมบัญชีกลางกำหนด ข้อ ๕๒ สำนักงานบริหารกองทุนต้องจัดทำงบการเงินเพื่อส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือบุคคลภายนอก ซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีกองทุนภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณทุกปี เพื่อให้ทำการตรวจสอบและรับรองบัญชีและการเงิน ทุกประเภทของกองทุน ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้สอบบัญชีตามวรรคหนึ่ง จัดทำรายงานผลการตรวจสอบและรับรองบัญชีและการเงินของกองทุนเสนอต่อคณะกรรมการภายใน ๑๕๐ วันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ รายงานผลการตรวจสอบบัญชีและการเงินตามวรรคสอง ให้รัฐมนตรีเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อทราบ และจัดให้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ข้อ ๕๓ ให้สำนักงานบริหารกองทุนส่งรายงานผลการตรวจสอบบัญชีและการเงินให้กรมบัญชีกลางภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการตรวจสอบและรับรองจากผู้สอบบัญชี ข้อ ๕๔ ให้คณะกรรมการจัดให้มีการตรวจสอบภายในที่ดี โดยอย่างน้อยให้ผู้ตรวจสอบภายในรายงานปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของกองทุน พร้อมข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการเป็นรายไตรมาส ข้อ ๕๕ ทรัพย์สินใด ๆ ที่เกิดจากการสนับสนุนเงินของกองทุน เพื่อดำเนินโครงการด้านอนุรักษ์พลังงาน ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ที่ได้รับการสนับสนุนที่ใช้ทรัพย์สินนั้น ข้อ ๕๖ ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากการสนับสนุนของกองทุนให้ถือเป็นทรัพย์สินตามเงื่อนไขของสัญญาหรือหนังสือยืนยัน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แนวทางที่คณะกรรมการกำหนด หมวด ๗ การตรวจสอบ ติดตามประเมินผล และรายงาน ข้อ ๕๗ ให้มีคณะอนุกรรมการทำหน้าที่ติดตามประเมินผลสำเร็จของโครงการ และจัดทำรายงานแจ้งให้คณะกรรมการทราบเป็นระยะ ข้อ ๕๘ ให้สำนักงานบริหารกองทุนจัดให้มีระบบการตรวจสอบ การติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายเงินกองทุนของผู้ได้รับการสนับสนุน ให้เป็นไปตามโครงการและหรือตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการอนุมัติ และรายงานให้คณะกรรมการทราบทุกไตรมาส ข้อ ๕๙ ให้สำนักงานบริหารกองทุนมีหน้าที่ติดตามและเร่งรัดให้ผู้ได้รับการสนับสนุนดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงิน รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานการเบิกจ่ายเงิน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการดำเนินงานแก่ผู้ได้รับการสนับสนุน โดยรายงานผลการปฏิบัติงานและรายงานผลการใช้เงินตามข้อ ๒๕ ต่อคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการที่ได้รับมอบให้ปฏิบัติเพื่อทราบทุกไตรมาส บทเฉพาะกาล ข้อ ๖๐ การดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่คณะกรรมการมีมติอนุมัติการสนับสนุนเงินกองทุนก่อนวันเริ่มต้นงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน พ.ศ. ๒๕๓๗ พ.ศ. ๒๕๓๙ และ พ.ศ. ๒๕๔๔ และระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. ๒๕๕๓ จนกว่าจะแล้วเสร็จ ยกเว้นข้อ ๒๒ ข้อ ๒๓ ข้อ ๒๔ ข้อ ๒๕ และข้อ ๒๖ ให้ปฏิบัติตามระเบียบนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภวรรณตรี/จัดทำ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ชวัลพร/ตรวจ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๘๕ ง/หน้า ๑๘/๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐
757318
ระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2559
ระเบียบกรมการจัดหางาน ระเบียบกรมการจัดหางาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๙[๑] เพื่อให้การบริหารจัดการและการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์มากยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔๕ ประกอบกับข้อ ๑๐ (๒) (ข) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงานและการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ กรมการจัดหางานโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกรมการจัดหางาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๙” ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิก (๑) ระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๔๖ (๒) ระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๔ ในระเบียบนี้ “กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน “งานที่รับไปทำที่บ้าน” หมายความว่า งานที่ผู้จ้างงานมอบให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านเพื่อไปผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อมหรือแปรรูปสิ่งของตามที่ได้ตกลงในบ้านของตนเองหรือสถานที่ที่มิใช่สถานประกอบกิจการของผู้จ้างงาน “ผู้รับงานไปทำที่บ้าน” หมายความว่า บุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งตกลงกับผู้จ้างงานเพื่อรับทำงานอันเป็นงานที่รับไปทำที่บ้าน “ผู้จ้างงาน” หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการซึ่งตกลงจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านให้ทำงานที่รับไปทำที่บ้าน ไม่ว่าตกลงมอบงานโดยตนเองหรือโดยผ่านตัวแทนหรือกระทำในลักษณะผู้รับเหมาช่วงก็ตาม “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน “คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน “ผู้บริหารกองทุน” หมายความว่า ผู้บริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมการจัดหางาน “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของกองทุน “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของกองทุน ข้อ ๕ ให้อธิบดีเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และมีอำนาจตีความ วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๖ วิธีปฏิบัติอื่นใดที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยการนั้นโดยอนุโลม ข้อ ๗ ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติตามข้อกำหนดในระเบียบนี้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง ข้อ ๘ กองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านกู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการผลิตหรือขยายการผลิต เพื่อสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับผู้รับงานไปทำที่บ้าน ข้อ ๙ กองทุนประกอบด้วย (๑) เงินที่ได้รับจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี (๒) เงินที่มีผู้บริจาคให้ (๓) ดอกผลของเงินกองทุน (๔) เงินที่ได้รับคืนจากผู้กู้ (๕) เงินรายได้อื่น หมวด ๒ คณะกรรมการ ข้อ ๑๐ ให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านคณะหนึ่ง ประกอบด้วย (๑) อธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นประธานกรรมการ (๒) ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนกรมการจัดหางาน เป็นกรรมการ (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคนซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์การลงทุน กฎหมาย หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้บริหารกองทุน เป็นกรรมการและเลขานุการ ข้อ ๑๑ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) ไม่เคยถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากงาน เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (๖) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง (๗) ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการดำเนินงานของกองทุนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ข้อ ๑๒ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ข้อ ๑๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ประธานกรรมการให้ออกโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๑๑ ข้อ ๑๔ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบาย กำกับดูแลการบริหารจัดการ และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน (๒) กำหนดข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้บริหารกองทุน พนักงาน และลูกจ้างให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด (๓) พิจารณาจัดสรรเงิน และอนุมัติเงินให้กู้ยืม (๔) พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานประจำปี (๕) แต่งตั้งผู้บริหารกองทุน ข้อ ๑๕ การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมของคณะกรรมการถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่ง ในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด ข้อ ๑๖ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย การประชุมของคณะอนุกรรมการ ให้นำบทบัญญัติข้อ ๑๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๑๗ ให้กรรมการและอนุกรรมการ ได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนดตามผลการประเมินผลการดำเนินงาน หมวด ๓ การบริหาร ข้อ ๑๘ ให้กรมการจัดหางานกำหนดโครงสร้างการบริหารกองทุนเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนประกาศกำหนด ข้อ ๑๙ ให้ผู้บริหารกองทุนจัดทำแผนการดำเนินงานประจำปี ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมา แผนการปฏิบัติงาน ประมาณการรายรับรายจ่ายประจำปี และประมาณการกระแสเงินสด ทั้งนี้ ตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติอย่างน้อยหกสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี และให้ส่งกระทรวงการคลังอย่างน้อยสามสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปีเพื่อใช้ประกอบการกำกับดูแล การบริหารกองทุนและติดตามการประเมินผลการดำเนินงาน หมวด ๔ ผู้บริหารกองทุน พนักงาน และลูกจ้าง ข้อ ๒๐ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้บริหารกองทุนทำหน้าที่บริหารกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน โดยให้คำนึงถึงลักษณะการดำเนินงานของกองทุน ความรับผิดชอบ ความประหยัด และความคุ้มค่า ทั้งนี้ ตามมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด ข้อ ๒๑ ในกรณีที่ผู้บริหารกองทุนมิใช่เจ้าหน้าที่ในกรมการจัดหางานให้การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และเงื่อนไขการจ้างเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนดให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด ข้อ ๒๒ การกำหนดตำแหน่ง คุณสมบัติของตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน อำนาจหน้าที่ ระยะเวลาการจ้าง การประเมินผลการปฏิบัติงาน และการเลิกจ้างพนักงานและลูกจ้าง ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนดให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด หมวด ๕ การกู้ยืมเงินกองทุน ข้อ ๒๓ การให้กู้ยืม การทำสัญญากู้ยืม รวมถึงกำหนดหลักประกัน การจ่ายเงินกู้ การชำระคืนเงินกู้ และการเรียกคืนเงินกู้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๒๔ อัตราดอกเบี้ยหรือค่าตอบแทนอื่น รวมถึงค่าปรับ ในการกู้ยืมเงินให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด หมวด ๖ การเงิน การบัญชี การพัสดุ และการตรวจสอบ ข้อ ๒๕ ให้กรมการจัดหางานเปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หรือสำนักงานคลังจังหวัด แล้วแต่กรณี ชื่อ “บัญชีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน” เพื่อฝากเงินของกองทุนที่ได้รับจากหน่วยงานในราชการส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาค และห้ามมิให้นำเงินไปใช้จ่ายก่อนส่งเข้าบัญชีเงินฝาก ในกรณีที่มีความจำเป็น กรมการจัดหางานอาจขอเปิดบัญชีเงินฝากไว้ ณ ธนาคารของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ ในชื่อบัญชีเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง เพื่อไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ข้อ ๒๖ ให้กรมการจัดหางานนำเงินที่ได้รับส่งเข้าบัญชีของกองทุนที่เปิดไว้ที่กรมบัญชีกลาง หรือสำนักงานคลังจังหวัด แล้วแต่กรณี ภายในสามวันทำการนับแต่วันที่รับเงิน ข้อ ๒๗ การจ่ายเงินจากกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่อกิจการตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นเงินกู้ยืมให้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้าน (๒) เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน ข้อ ๒๘ ให้อธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้อนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนภายใต้กรอบประมาณการรายจ่ายประจำปีที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง เมื่อได้รับอนุมัติตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้บริหารกองทุนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บริหารกองทุนมีอำนาจสั่งจ่ายและเบิกเงินของกองทุน ข้อ ๒๙ การตัดหนี้สูญ ให้กรมการจัดหางานขออนุมัติจากคณะกรรมการและขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นราย ๆ ไป ข้อ ๓๐ ให้คณะกรรมการวางและรักษาไว้ซึ่งระบบบัญชีที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถจัดทำรายงานทางการเงิน แสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของกองทุนได้อย่างถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป ข้อ ๓๑ ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานการเงินของกองทุนส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ปีบัญชีของกองทุนให้เป็นไปตามปีงบประมาณ เว้นแต่คณะกรรมการจะประกาศกำหนดเป็นอย่างอื่นโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ข้อ ๓๒ ให้กองทุนมีการบันทึกรายการบัญชีในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ตามรูปแบบและเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางกำหนด ข้อ ๓๓ ให้กรมการจัดหางานจัดให้มีระบบตรวจสอบภายในเพื่อการตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของกองทุนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด บทเฉพาะกาล ข้อ ๓๔ บรรดาหลักเกณฑ์และวิธีการที่ออกตามระเบียบกรมการจัดหางาน ว่าด้วยกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ยังคงใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะได้มีหลักเกณฑ์และวิธีการที่ออกตามระเบียบนี้ใช้บังคับ ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ อารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน ปริยานุช/จัดทำ ๕ กันยายน ๒๕๕๙ ปุณิกา/ตรวจ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๙๗ ง/หน้า ๑/๒ กันยายน ๒๕๕๙
860807
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้การบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จึงกำหนดข้อบังคับไว้ ดังนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๓” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ข้อ ๑๐ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน” ประกอบด้วย อธิบดี เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือผู้ตรวจราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานที่ได้รับมอบหมาย และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคนเป็นกรรมการ และผู้บริหารทุนหมุนเวียน เป็นกรรมการและเลขานุการ” ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๕ แห่งข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ข้อ ๑๕ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบาย กำกับดูแลการบริหารจัดการ และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๒) กำหนดข้อบังคับว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการพัสดุ รวมทั้งแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องภายใต้มาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด (๓) กำหนดข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้าง ให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด (๔) พิจารณาจัดสรรเงิน และอนุมัติเงินให้กู้ยืม (๕) พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานประจำปี (๖) แต่งตั้งผู้บริหารทุนหมุนเวียน (๗) ออกระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ ตามข้อบังคับนี้หรือตามที่กฎหมายอื่นกำหนด (๘) ปฏิบัติการอื่นตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้” ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ อภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ชญานิศ/ธนบดี/จัดทำ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ สุภาทิพย์/ตรวจ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๑๓๙ ง/หน้า ๒๓/๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๓
816369
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ว่าด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู พ.ศ. 2561
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ว่าด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยที่มีการจัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ต่อมามีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น เพื่อให้การบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงเห็นสมควรกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จึงกำหนดข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูว่าด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๖๑” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “เงินทุนหมุนเวียน” หมายความว่า เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู “ข้าราชการครู” หมายความว่า ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา ๓๘ ก. ข. และ ค. (๑) “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู “ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินทุนหมุนเวียน ข้อ ๔ ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๕ วิธีปฏิบัติอื่นใดที่มิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยการนั้นโดยอนุโลม ข้อ ๖ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปฏิบัตินอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง ข้อ ๗ ให้จัดตั้งเงินทุนหมุนเวียน ชื่อว่า “เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู” อยู่ในสำนักงาน ก.ค.ศ. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ข้อ ๘ เงินทุนหมุนเวียน ประกอบด้วยเงินและทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ (๑) เงินที่ได้รับจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี (๒) เงินที่ได้รับจากแหล่งเงินทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ (๓) เงินที่ได้รับชำระคืนจากผู้กู้ยืม (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (๕) ดอกผลที่ได้รับจากการฝากเงินทุนหมุนเวียน (๖) รายรับอื่น ๆ ข้อ ๙ เงินทุนหมุนเวียนให้ใช้จ่ายเพื่อกิจการ ดังต่อไปนี้ (๑) จ่ายให้ข้าราชการครูที่ได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงินตามวัตถุประสงค์ของเงินทุนหมุนเวียน (๒) จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารและการจัดการเกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน การใช้จ่ายเงินตาม (๑) และ (๒) ให้จ่ายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด หมวด ๒ คณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียน ข้อ ๑๐ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู” ประกอบด้วย (๑) ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ (๒) ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ และเลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นกรรมการ (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคน ซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ การลงทุน กฎหมาย หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้อำนวยการ เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้เลขาธิการ ก.ค.ศ. มอบหมายเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ค.ศ. จำนวนไม่เกิน ๒ คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ข้อ ๑๑ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) ไม่เป็นผู้ประกอบกิจการที่ขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์ของเงินทุนหมุนเวียน (๔) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำ โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) ไม่เป็นบุคคลซึ่งเคยถูกทางราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นใดไล่ออก ปลดออก ให้ออกจากงาน หรือเลิกจ้างเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (๗) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือกรรมการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง (๘) ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการดำเนินงานของเงินทุนหมุนเวียนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ข้อ ๑๒ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างมีวาระอยู่ในตำแหน่งเท่ากับระยะเวลาที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ข้อ ๑๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ประธานกรรมการให้ออกโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๑๑ ข้อ ๑๔ การประชุมของคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมของคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่ง ในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด ข้อ ๑๕ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบาย กำกับดูแลการบริหารจัดการ และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเงินทุนหมุนเวียน (๒) พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานประจำปีของเงินทุนหมุนเวียน (๓) พิจารณาจัดสรรเงินให้กู้ยืม การผ่อนผันการชำระหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการประนอมหนี้ (๔) กำหนดข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้อำนวยการ พนักงานทุนหมุนเวียน และลูกจ้างทุนหมุนเวียนให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด (๕) กำหนดระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการตลอดจนแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้ (๖) พิจารณาตีความและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ (๗) พิจารณาและกำหนดมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู (๘) กำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเงินทุนหมุนเวียน (๙) แต่งตั้งผู้อำนวยการ (๑๐) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย (๑๑) ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หรือตามกฎหมายอื่น ข้อ ๑๖ ให้คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ ที่คณะกรรมการแต่งตั้งได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่น ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนดตามผลการประเมินผลการดำเนินงาน หมวด ๓ การบริหารจัดการ ข้อ ๑๗ ให้มีสำนักบริหารเงินทุนหมุนเวียน อยู่ในสำนักงาน ก.ค.ศ. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นสำนักงานเลขานุการ รับผิดชอบงานธุรการ และสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการ (๒) เสนอแนะนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานโครงการของเงินทุนหมุนเวียน (๓) จัดทำงบประมาณรายรับรายจ่ายประจำปี และแผนการดำเนินงานของเงินทุนหมุนเวียน (๔) ดำเนินการเกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน (๕) ดำเนินการด้านกฎหมายและคดีของเงินทุนหมุนเวียน (๖) เสนอแนะในการออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้อำนวยการ พนักงานทุนหมุนเวียนและลูกจ้างทุนหมุนเวียน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด (๗) เสนอแนะในการออกระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้ (๘) กำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเงินทุนหมุนเวียน (๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามข้อบังคับนี้ หรือตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ข้อ ๑๘ ให้สำนักบริหารเงินทุนหมุนเวียน มีโครงสร้างและอัตรากำลังตามที่คณะกรรมการพิจารณาอนุมัติโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ข้อ ๑๙ ให้มีผู้อำนวยการคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตั้งจากข้าราชการสังกัดสำนักงาน ก.ค.ศ. หรือบุคคลภายนอกที่ได้รับการสรรหาตามข้อ ๒๑ ทำหน้าที่บริหารเงินทุนหมุนเวียนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเงินทุนหมุนเวียน เป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานทุนหมุนเวียนและลูกจ้างทุนหมุนเวียนรวมทั้งปฏิบัติงานอื่นตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ข้อ ๒๐ ผู้อำนวยการที่มาจากการสรรหา ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่น้อยกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ และไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นผู้ซึ่งมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เหมาะสมกับกิจการของเงินทุนหมุนเวียน (๔) ไม่เป็นบุคคลซึ่งเคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากงาน เพราะทุจริตต่อหน้าที่ (๕) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือกรรมการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง (๖) ไม่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินงานของเงินทุนหมุนเวียนไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม (๗) ไม่เป็น หรือไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๘) ไม่เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ (๙) ไม่เป็นผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การมหาชนในวันที่มีการแต่งตั้ง (๑๐) ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐหรือผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชนในวันที่มีการแต่งตั้ง ทั้งนี้ คุณสมบัติอื่นของผู้อำนวยการให้เป็นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๒๑ ในการสรรหาบุคคลภายนอกเป็นผู้อำนวยการ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สรรหาคณะหนึ่งจำนวนไม่เกินห้าคน ทำหน้าที่สรรหาผู้ที่มีความเหมาะสมในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน และเสนอรายชื่อให้คณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้ง ผู้อำนวยการที่แต่งตั้งจากบุคคลภายนอกไม่มีฐานะเป็นพนักงานทุนหมุนเวียนหรือลูกจ้างทุนหมุนเวียน และต้องเป็นผู้มีความสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้เงินทุนหมุนเวียนได้เต็มเวลา ข้อ ๒๒ ผู้อำนวยการที่แต่งตั้งจากบุคคลภายนอก ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ข้อ ๒๓ การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง เงื่อนไขในการจ้าง การประเมินผลการปฏิบัติงาน ค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้อำนวยการที่ได้รับการสรรหาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ้างที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง การทำสัญญาจ้างผู้อำนวยการ ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในสัญญาจ้าง แบบสัญญาจ้างให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๔ สำหรับผู้อำนวยการที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจได้รับค่าตอบแทนตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ข้อ ๒๕ เมื่อผู้อำนวยการต้องพ้นจากตำแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้คณะกรรมการดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการขึ้นใหม่แทนผู้ซึ่งต้องพ้นจากตำแหน่ง ให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ผู้อำนวยการนั้นพ้นจากตำแหน่ง กรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรให้ผู้อำนวยการที่แต่งตั้งจากบุคคลภายนอก ซึ่งมีผลการทำงานดีมีประสิทธิภาพและการว่าจ้างต่อไปจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่เงินทุนหมุนเวียน ให้คณะกรรมการพิจารณาโดยไม่ต้องดำเนินการสรรหาก็ได้ ทั้งนี้ จะจ้างเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้ หมวด ๔ การให้กู้ยืม การจ่าย การชำระคืน และการเรียกคืนเงินกู้ยืม ข้อ ๒๖ การให้กู้ยืม อัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ การทำสัญญากู้ยืม หลักประกัน การจ่ายเงินกู้ การชำระคืนเงินกู้ การเรียกคืนเงินกู้ การผ่อนผันการชำระหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และการประนอมหนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด บทเฉพาะกาล ข้อ ๒๗ ในระหว่างที่ยังมิได้กำหนดระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการตามข้อบังคับนี้ ให้นำระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการ ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งใช้บังคับอยู่เดิมมาใช้บังคับไปพลางก่อน เท่าที่ไม่ขัด หรือแย้งกับข้อบังคับนี้ การใดที่ได้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังไว้ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป จนกว่าจะได้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังใหม่ ข้อ ๒๘ การกู้ยืมเงินและค้าประกันเงินทุนหมุนเวียนซึ่งดำเนินการก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาเดิม การใดที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ก็ให้ดำเนินการต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ และให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับนี้ ข้อ ๒๙ การใดที่เคยดำเนินการได้ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อนวันใช้ข้อบังคับนี้ และมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้จะดำเนินการต่อไปได้ประการใด ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ การุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ประธานคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ปวันวิทย์/จัดทำ ๓ มกราคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๕๓ ง/หน้า ๒๗/๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑
804137
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ว่าด้วยการเงิน การพัสดุของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ พ.ศ. 2561
ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่น เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุก หรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหายเดินบนทางหลวงท้องถิ่น ในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖๑ แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่น โดยอนุมัติผู้ว่าราชการจังหวัดระยองจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่น เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุก หรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหายเดินบนทางหลวงท้องถิ่น ในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง” ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่น เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุก หรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหายเดินบนทางหลวงท้องถิ่น ในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง ฉบับลงวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ข้อ ๔ ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่นฉบับนี้ไม่ใช้บังคับบนสะพานหรือถนนที่ติดตั้งป้ายบังคับ “จำกัดน้ำหนัก” กำหนดไว้โดยเฉพาะเป็นอย่างอื่น ข้อ ๕ ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุก หรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหายเดินบนทางหลวงท้องถิ่น ในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง ตามข้อกำหนดดังนี้ หมวด ๑ ข้อกำหนดน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุก หรือน้ำหนักลงเพลาของยานพาหนะ ที่ใช้เดินบนทางหลวงท้องถิ่นในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง ส่วนที่ ๑ ยานพาหนะชนิดรถเดี่ยว (SINGLE UNIT) ข้อ ๖ ยานพาหนะที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๔ เส้น ชนิดเพลาท้าย (เพลาที่ ๒) ใช้ยางเดี่ยว ต้องมีน้ำหนักลงเพลาท้าย (เพลาที่ ๒) ไม่เกิน ๗,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะ รวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๙,๕๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๗ ยานพาหนะที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาท้าย (เพลาที่ ๒) ใช้ยางคู่ (๑) ยานพาหนะประเภทที่ใช้สำหรับขนส่งผู้โดยสาร ต้องมีน้ำหนักลงเพลาท้าย (เพลาที่ ๒) ไม่เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม (๒) ยานพาหนะชนิดอื่น ๆ ต้องมีน้ำหนักลงเพลาท้าย (เพลาที่ ๒) ไม่เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๘ ยานพาหนะที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว (๑) ยานพาหนะประเภทที่ใช้สำหรับขนส่งผู้โดยสาร ต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) ไม่เกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม (๒) ยานพาหนะชนิดอื่น ๆ ต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) ไม่เกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๑๘,๐๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๙ ยานพาหนะที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) เพลาคู่ท้ายเพลาใดเพลาหนึ่งใช้ยางเดี่ยวอีกเพลาหนึ่งใช้ยางคู่ (๑) ยานพาหนะประเภทที่ใช้สำหรับขนส่งผู้โดยสาร ต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายไม่เกิน ๑๖,๕๐๐ กิโลกรัม (๒) ยานพาหนะชนิดอื่น ๆ ต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายไม่เกิน ๑๖,๕๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๒๑,๕๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๑๐ ยานพาหนะที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนิดเพลาท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๒๕,๐๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๑๑ ยานพาหนะที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาหน้า (เพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒) เป็นเพลาเลี้ยวใช้ยางเดี่ยว และเพลาท้าย (เพลาที่ ๓) ใช้ยางคู่ (๑) ยานพาหนะประเภทที่ใช้สำหรับขนส่งผู้โดยสาร ต้องมีน้ำหนักลงเพลาท้าย (เพลาที่ ๓) ไม่เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม (๒) ยานพาหนะชนิดอื่น ๆ ต้องมีน้ำหนักลงเพลาท้าย (เพลาที่ ๓) ไม่เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๒๑,๐๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๑๒ ยานพาหนะที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาหน้า (เพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒) เป็นเพลาเลี้ยว และเพลาท้าย (เพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว ต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายไม่เกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๒๓,๐๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๑๓ ยานพาหนะที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาหน้า (เพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒) เป็นเพลาเลี้ยวใช้ยางเดี่ยว และเพลาท้าย (เพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ กิโลกรัม ส่วนที่ ๒ ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER) ข้อ ๑๔ ตัวรถลากจูงเมื่อประกอบกับตัวรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER) แล้วต้องมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ สำหรับยานพาหนะแต่ละประเภทในข้อ ๖ ข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ ตัวรถกึ่งพ่วงต้องมีน้ำหนักลงเพลาดังนี้ (๑) ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว น้ำหนักลงเพลาไม่เกิน ๗,๐๐๐ กิโลกรัม (๒) ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ น้ำหนักลงเพลาไม่เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม (๓) ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว น้ำหนักลงเพลารวมไม่เกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม (๔) ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ น้ำหนักลงเพลารวมไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม (๕) ชนิดสามเพลา (TRIDEM AXLE) ใช้ยางคู่ น้ำหนักลงเพลารวมไม่เกิน ๒๕,๕๐๐ กิโลกรัม และระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN) กับศูนย์กลางของเพลาที่ ๑ ของตัวรถกึ่งพ่วงต้องไม่น้อยกว่า ๘ เมตร ข้อ ๑๕ ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER) ประเภทตัวรถลากจูง มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนิดเพลาท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ และตัวรถกึ่งพ่วงเป็นชนิดสามเพลา (TRIDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ตัวรถลากจูงและรถกึ่งพ่วงต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกดังนี้ (๑) ตัวรถลากจูง และตัวรถกึ่งพ่วงที่มีระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN) ตั้งแต่ ๔.๕ เมตร ขึ้นไปแต่ไม่ถึง ๖ เมตร ต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๔๕,๐๐๐ กิโลกรัม (๒) ตัวรถลากจูง และตัวรถกึ่งพ่วงที่มีระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN) ตั้งแต่ ๖ เมตร ขึ้นไปแต่ไม่ถึง ๗ เมตร ต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๔๗,๐๐๐ กิโลกรัม (๓) ตัวรถลากจูง และตัวรถกึ่งพ่วงที่มีระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN) ตั้งแต่ ๗ เมตร ขึ้นไปแต่ไม่ถึง ๘ เมตร ต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๔๙,๐๐๐ กิโลกรัม (๔) ตัวรถลากจูง และตัวรถกึ่งพ่วงที่มีระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN) ตั้งแต่ ๘ เมตร ขึ้นไป ต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๕๐,๕๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๑๖ ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER) ประเภทตัวรถลากจูง มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาหน้า (เพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒) เป็นเพลาเลี้ยวใช้ยางเดี่ยว และเพลาท้าย (เพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ตัวรถกึ่งพ่วงเป็นชนิดสามเพลา (TRIDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ตัวรถลากจูงและรถกึ่งพ่วงต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๕๐,๕๐๐ กิโลกรัม ส่วนที่ ๓ ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER) ข้อ ๑๗ ตัวรถลากจูงต้องมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ สำหรับยานพาหนะแต่ละประเภทในข้อ ๖ ข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ ตัวรถพ่วงต้องมีน้ำหนักลงเพลาดังนี้ (๑) ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว น้ำหนักลงเพลาไม่เกินเพลาละ ๗,๐๐๐ กิโลกรัม (๒) ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ น้ำหนักลงเพลาไม่เกินเพลาละ ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม และระยะห่างระหว่างศูนย์กลางเพลาหน้ากับศูนย์กลางเพลาหลัง ต้องไม่น้อยกว่า ๔.๓๐ เมตร ตัวรถลากจูงและตัวรถพ่วงตามวรรคหนึ่ง และวรรคสอง (๒) ต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๕๐,๕๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๑๘ ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER) ประเภทตัวรถลากจูงมี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนิดเพลาท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ และตัวรถพ่วงมี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาหน้าใช้ยางคู่ เพลาท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ตัวรถลากจูงต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้าย ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๒๕,๐๐๐ กิโลกรัม ตัวรถพ่วงต้องมีน้ำหนักลงเพลาหน้าไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้าย ไม่เกิน ๑๘,๐๐๐ กิโลกรัม ตัวรถพ่วงเมื่อนำมาต่อพ่วงกับตัวรถลากจูงต้องมีระยะห่างระหว่างกึ่งกลางเพลาคู่ท้ายของรถลากจูงถึงกึ่งกลางเพลาคู่ท้ายของรถพ่วงไม่น้อยกว่า ๙.๗๕ เมตร ตัวรถลากจูง และตัวรถพ่วงตามวรรคหนึ่งต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๕๐,๕๐๐ กิโลกรัม ข้อ ๑๙ ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER) ประเภทตัวรถลากจูง มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาหน้า (เพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒) เป็นเพลาเลี้ยวใช้ยางเดี่ยว และเพลาท้าย (เพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ และตัวรถพ่วงมี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาหน้าใช้ยางคู่ เพลาท้าย (เพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓) เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ตัวรถลากจูงต้องมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ กิโลกรัม ตัวรถพ่วงต้องมีน้ำหนักลงเพลาหน้าไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายไม่เกิน ๑๘,๐๐๐ กิโลกรัม ตัวรถพ่วงเมื่อนำมาต่อพ่วงกับตัวรถลากจูงต้องมีระยะห่างระหว่างกึ่งกลางเพลาคู่ท้ายของรถลากจูงถึงกึ่งกลางเพลาคู่ท้ายของรถพ่วงไม่น้อยกว่า ๙.๗๕ เมตร ตัวรถลากจูง และตัวรถพ่วงตามวรรคหนึ่งต้องมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๕๐,๕๐๐ กิโลกรัม ให้ตัวรถลากจูงและตัวรถพ่วงตามวรรคหนึ่ง เมื่อเดินบนสะพานต้องเว้นระยะห่างจากรถพ่วง (FULL TRAILER) ที่เดินรถอยู่ข้างหน้าไม่น้อยกว่า ๒๐๐ เมตร ข้อ ๒๐ ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและตัวรถพ่วง (FULL TRAILER) ต้องประกอบด้วย รถลากจูง ๑ คัน และตัวรถพ่วง ๑ คันเท่านั้น จะพ่วงยานพาหนะอื่นใดอีกไม่ได้ หมวด ๒ ข้อกำหนดอื่น ข้อ ๒๑ ห้ามมิให้ยานพาหนะดังต่อไปนี้เดินบนทางหลวงท้องถิ่นในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง (๑) ยานพาหนะที่มีลักษณะของเพลา หรือล้อ หรือยาง แตกต่างจากที่กำหนดไว้ในหมวด ๑ (๒) ยานพาหนะที่ขนส่งสิ่งของจำนวนหนึ่งหน่วยต่อเที่ยว ซึ่งโดยสภาพของสิ่งนั้นไม่อาจแยกจากกันได้ เว้นแต่จะทำลายหรือทำให้เปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพ เช่น เครื่องจักรหนัก ชิ้นส่วนโครงสร้างคอนกรีต หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยเป็นการขนส่งเฉพาะกาลและยานพาหนะนั้นมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุก หรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่กำหนดไว้ในหมวด ๑ (๓) ยานพาหนะที่ติดตั้ง เครื่องจักร เครื่องกล และมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่กำหนดไว้ในหมวด ๑ (๔) ยานพาหนะที่โดยสภาพมีลักษณะเป็นเครื่องจักร เครื่องกล เช่น รถขุด รถตัก และมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุก หรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่กำหนดไว้ในหมวด ๑ (๕) ยานพาหนะชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วงที่ประกอบด้วยรถกึ่งพ่วงมากกว่า ๑ คันขึ้นไป ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่นในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง ในการอนุญาตผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่นในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขและมาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาทางหลวง ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑ พัชรี ยืนหยัดชัย นายกเทศมนตรีตำบลชุมแสง ในฐานะผู้อำนวยการทางหลวงท้องถิ่น ในเขตความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลชุมแสง ปุณิกา/จัดทำ ๗ กันยายน ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๑๑ ง/หน้า ๒๖/๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑
797771
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการพัสดุ พ.ศ. 2561
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๖๑[๑] โดยที่เป็นการสมควรกำหนดข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการพัสดุ เพื่อให้การดำเนินการของกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๕ (๒) แห่งข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานจึงกำหนดข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๖๑” ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน “ประธานกรรมการ” หมายความว่า ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน “สหกรณ์ออมทรัพย์” หมายความว่า สหกรณ์ประเภทออมทรัพย์หรือสหกรณ์ประเภทเครดิตยูเนี่ยนตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในสถานประกอบกิจการ “ผู้บริหารทุนหมุนเวียน” หมายความว่า ผู้ซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่บริหารกองทุน “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน “ปีบัญชี” หมายความว่า ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคมของปีหนึ่ง ถึงวันที่ ๓๐ กันยายนของปีถัดไป และให้ใช้ พ.ศ. ของปีถัดไปเป็นชื่อของปีบัญชีนั้น หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๔ ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียน รับผิดชอบในการบริหารกองทุนให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้ ข้อ ๕ ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียนจัดทำแผนการดำเนินงานประจำปี ตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมา แผนการปฏิบัติงาน ประมาณการรายรับประจำปี ประมาณการรายจ่ายประจำปี และประมาณการกระแสเงินสด เสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติอย่างน้อยหกสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี และให้ส่งกระทรวงการคลังอย่างน้อยสามสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนการใช้จ่ายเงิน การปรับปรุงหรือแก้ไขแผนการดำเนินงานประจำปีที่ได้รับอนุมัติตามวรรคหนึ่ง ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และต้องส่งให้กระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาอนุมัติ ข้อ ๖ ให้หน่วยงานตรวจสอบภายใน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของกองทุน ตามมาตรฐานการตรวจสอบภายในและจริยธรรมการปฏิบัติงาน ตรวจสอบภายในของส่วนราชการ หรือมาตรฐานสากลการปฏิบัติงานวิชาชีพการตรวจสอบภายใน หมวด ๒ การเงิน ข้อ ๗ ให้เปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังเรียกว่า “บัญชีกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน” เพื่อฝากเงินของกองทุน และห้ามมิให้นำเงินไปใช้จ่ายก่อนส่งเข้าบัญชีเงินฝาก ในกรณีที่มีความจำเป็น กองทุนอาจขอเปิดบัญชีเงินฝากไว้ ณ ธนาคารของรัฐ หรือธนาคารพาณิชย์ ในชื่อบัญชีเช่นเดียวกับวรรคหนึ่งเพื่อไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ข้อ ๘ การรับเงินทุกประเภท ยกเว้นเงินงบประมาณแผ่นดิน จะต้องออกใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐาน แบบของใบเสร็จรับเงินต้องเป็นไปตามที่กองทุนกำหนด โดยมีเลขที่ใบเสร็จรับเงินเรียงลำดับไว้ทุกฉบับ และมีทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงิน และหลักฐานการยกเลิกใบเสร็จรับเงินที่สามารถให้ตรวจสอบได้ ข้อ ๙ ให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนำเงินที่ได้รับชำระคืนจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ดอกผลของเงินกองทุน และค่าปรับกรณีที่สหกรณ์ออมทรัพย์ไม่คืนเงินกู้เมื่อครบกำหนดใช้คืนตามสัญญาส่งเข้าบัญชีกองทุนตามข้อ ๗ ภายในสามวันทำการนับแต่วันที่รับเงิน ข้อ ๑๐ ให้กองทุนนำเงินที่ได้รับส่งเข้าบัญชีกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานที่เปิดไว้ที่กรมบัญชีกลางภายในสามวันทำการนับแต่วันที่รับเงิน ข้อ ๑๑ ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเป็นผู้อนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนภายใต้กรอบประมาณการรายจ่ายประจำปีที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง เมื่อได้รับอนุมัติตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียนหรือผู้ซึ่งผู้บริหารทุนหมุนเวียนมอบหมายมีอำนาจสั่งจ่ายและเบิกเงินของกองทุน หมวด ๓ การบัญชี ข้อ ๑๒ ให้มีระบบบัญชีที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถจัดทำรายงานทางการเงิน แสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของกองทุนได้อย่างถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป ข้อ ๑๓ ให้จัดทำรายงานการรับ - จ่ายเงินกองทุนประจำเดือนเสนอคณะกรรมการและอธิบดีเพื่อทราบ ข้อ ๑๔ ให้มีการบันทึกรายการบัญชีในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ตามรูปแบบและเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางกำหนด ข้อ ๑๕ ให้จัดเก็บหลักฐานที่ใช้ในการลงบัญชีให้เป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ และเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่าสิบปี ข้อ ๑๖ การปิดบัญชีให้กระทำปีละครั้งตามรอบปีบัญชี และจัดทำรายงานการเงินพร้อมรายละเอียดประกอบเสนอคณะกรรมการพิจารณาก่อนนำส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นสุดปีบัญชี เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองแล้ว ให้คณะกรรมการนำส่งรายงานการเงินพร้อมด้วยรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อกระทรวงการคลังภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานจากผู้สอบบัญชี ข้อ ๑๗ การตัดหนี้สูญ ให้กองทุนขออนุมัติจากคณะกรรมการโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังเป็นราย ๆ ไป หมวด ๔ การพัสดุ ข้อ ๑๘ การพัสดุให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง บทเฉพาะกาล ข้อ ๑๙ บรรดาแบบเอกสาร คำสั่ง การอนุมัติ หรือการดำเนินการอื่นใดที่ใช้บังคับหรือในการปฏิบัติงานอยู่ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้ใช้บังคับต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ จนกว่าจะมี คำสั่ง หรือหลักเกณฑ์ในเรื่องนั้นตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ อนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ปุณิกา/จัดทำ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๔๔/๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
789025
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. 2560
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ เห็นชอบให้จัดตั้งกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานตามโครงการจัดตั้งกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานในลักษณะของเงินทุนหมุนเวียนให้ผู้ใช้แรงงานหรือลูกจ้างผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการส่งเสริมให้ลูกจ้างออมทรัพย์และบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนทางการเงิน ประกอบกับมีประกาศการใช้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น เพื่อให้การขอจัดตั้งและการดำเนินงานทุนหมุนเวียนเป็นมาตรฐานเดียวกัน และให้การบริหารงานกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ เห็นสมควรกำหนดให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จึงกำหนดข้อบังคับไว้ ดังนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๐” ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน “สหกรณ์ออมทรัพย์” หมายความว่า สหกรณ์ประเภทออมทรัพย์หรือสหกรณ์ประเภทเครดิตยูเนียนตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในสถานประกอบกิจการ “ผู้ใช้แรงงาน” หมายความว่า ลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ “ผู้บริหารทุนหมุนเวียน” หมายความว่า ผู้ซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่บริหารกองทุน “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔ ให้อธิบดีรักษาการตามข้อบังคับนี้ และมีอำนาจตีความและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๕ วิธีปฏิบัติอื่นใดที่มิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยการนั้นโดยอนุโลม ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปฏิบัตินอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง ข้อ ๖ กองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการพัฒนารายได้แก่ผู้ใช้แรงงานและเพื่อการออมทรัพย์และปลดเปลื้องหนี้สินของผู้ใช้แรงงานโดยผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ ข้อ ๗ กองทุน ประกอบด้วย (๑) เงินที่ได้รับจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี (๒) เงินที่ได้รับชำระคืนจากสหกรณ์ออมทรัพย์ (๓) เงินที่มีผู้บริจาคให้ (๔) ดอกผลของเงินกองทุน (๕) เงินค่าปรับ (๖) เงินรายได้อื่น ข้อ ๘ เงินกองทุน ให้ใช้จ่ายเพื่อกิจการ ดังต่อไปนี้ (๑) ให้สหกรณ์ออมทรัพย์กู้เพื่อวัตถุประสงค์ตามข้อ ๖ (๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน ข้อ ๙ ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนดโครงสร้างการบริหารงานกองทุนเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนประกาศกำหนด หมวด ๒ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ข้อ ๑๐ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน” ประกอบด้วย อธิบดี เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณรองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคนเป็นกรรมการและผู้บริหารทุนหมุนเวียน เป็นกรรมการและเลขานุการ ให้อธิบดีมีอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการได้ตามความจำเป็น แต่ไม่เกินสองคน การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง ให้ประธานกรรมการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์การลงทุน กฎหมาย หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๑๑ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่เป็นผู้ประกอบกิจการที่ขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์ของกองทุน และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) ไม่เคยถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากงาน เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (๖) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง (๗) ไม่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ข้อ ๑๒ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ข้อ ๑๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ประธานกรรมการให้ออกโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๑๑ ข้อ ๑๔ การประชุมของคณะกรรมการอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้งหรือเท่าที่จำเป็นโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ และต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมของคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งเสียงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการผู้ใดมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องที่พิจารณา ผู้นั้นไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในวาระที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๑๕ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบาย กำกับดูแลการบริหารจัดการ และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๒) กำหนดข้อบังคับว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการพัสดุ รวมทั้งแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องภายใต้มาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด (๓) กำหนดข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้าง ให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนด (๔) กำหนดข้อบังคับ ว่าด้วยการติดตามหนี้ และการบังคับคดี (๕) พิจารณาจัดสรรเงิน และอนุมัติเงินให้กู้ยืม (๖) พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานประจำปี (๗) แต่งตั้งผู้บริหารทุนหมุนเวียน (๘) ปฏิบัติการอื่นตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ ข้อ ๑๖ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย การประชุมของคณะอนุกรรมการ ให้นำข้อ ๑๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๑๗ ให้คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนกำหนดตามผลการประเมินผลการดำเนินงาน หมวด ๓ การให้กู้ยืม และการชำระหนี้ ข้อ ๑๘ สหกรณ์ที่ประสงค์จะกู้เงินกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานจะต้องมีระยะเวลาดำเนินการมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งรอบปีบัญชี ข้อ ๑๙ การให้กู้ยืม การทำสัญญากู้ยืม หลักประกัน การจ่ายเงินกู้ การชำระคืนเงินกู้ และการเรียกคืนเงินกู้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๒๐ อัตราดอกเบี้ย และค่าปรับ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด หมวด ๔ การติดตามประเมินผล ข้อ ๒๑ ให้ผู้บริหารทุนหมุนเวียนติดตามประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนตามที่คณะกรรมการกำหนด บทเฉพาะกาล ข้อ ๒๒ บรรดาประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะกรรมการซึ่งออกตามระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าด้วยกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ จนกว่าจะมีข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะกรรมการซึ่งออกตามข้อบังคับนี้ใช้บังคับ บรรดาสัญญากู้ยืมเงินกองทุน สัญญาค้ำประกันที่มีผลผูกพันก่อนวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้ถือเป็นสัญญากู้ยืมเงินกองทุน สัญญาค้ำประกันตามข้อบังคับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ สุเมธ มโหสถ ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน พิมพ์มาดา/ภวรรณตรี/จัดทำ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ วิชพงษ์/ตรวจ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๖๒ ง/หน้า ๓๒/๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐
757216
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีว่าด้วยการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พ.ศ. 2559
ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ว่าด้วยการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พ.ศ. ๒๕๕๙[๑] โดยที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้มีการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อเป็นทุนประเดิมให้กรมการพัฒนาชุมชนจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙ ให้ควบรวมกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กรมการพัฒนาชุมชน เข้าเป็นทุนหมุนเวียนเดียวกัน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการของกองทุนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมควรกำหนดให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ และมติคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังจึงวางข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ว่าด้วยการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พ.ศ. ๒๕๕๙” ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในข้อบังคับนี้ “กองทุน” หมายความว่า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ “คณะกรรมการบริหาร” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี “ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี “สมาชิก” หมายความว่า สมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี “จังหวัด” หมายความรวมถึงกรุงเทพมหานคร “ปีงบประมาณ” หมายความว่า ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคมของปีหนึ่งถึงวันที่ ๓๐ กันยายนของปีถัดไป และให้ใช้ปี พ.ศ. ที่ถัดไปนั้นเป็นชื่อสำหรับปีงบประมาณนั้น ข้อ ๔ ให้ประธานกรรมการรักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกประกาศ หรือข้อกำหนด รวมทั้งวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ หมวด ๑ การบริหารกองทุน ส่วนที่ ๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ข้อ ๕ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำ ในการสร้างโอกาสให้สตรีเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ หรือเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจให้แก่สตรีและองค์กรของสตรี (๒) เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อการส่งเสริมบทบาทและพัฒนาศักยภาพสตรีและเครือข่ายสตรี ในการเฝ้าระวังดูแลและแก้ไขปัญหาของสตรี การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี นำไปสู่การสร้างสวัสดิภาพ หรือสวัสดิการเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของสตรีและผู้ด้อยโอกาสอื่น ๆ ในสังคม (๓) เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อการส่งเสริม สนับสนุนการจัดกิจกรรมในการพัฒนาบทบาทสตรี การสร้างภาวะผู้นำ การพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านสังคมให้แก่สตรีและองค์กรของสตรี (๔) เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการอื่น ๆ ที่เป็นการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสตรีตามที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นสมควร ข้อ ๖ กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ (๑) เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้ (๒) เงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี (๓) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙ เรื่อง ขออนุมัติควบรวมทุนหมุนเวียน (กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี) (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ (๕) เงินที่ได้รับจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ (๖) เงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนหรือที่กองทุน ได้รับตามกฎหมายอื่น (๗) ดอกผลหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ข้อ ๗ ให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เรียกโดยย่อว่า “คกส.” ประกอบด้วย (๑) อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานกรรมการ (๒) รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นรองประธานกรรมการ (๓) ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ (๔) ผู้แทนสำนักงบประมาณ เป็นกรรมการ (๕) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จำนวนสามคน จากผู้ที่มีความรู้ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ การลงทุน ด้านกฎหมาย ด้านการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาองค์กรสตรี หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับกองทุน เป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการ ข้อ ๘ ให้นำความในมาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มาใช้บังคับกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารโดยอนุโลม ข้อ ๙ ให้คณะกรรมการบริหาร มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ และแนวทางในการบริหารกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ (๒) พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานประจำปี (๓) กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ ตลอดจนการกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของบุคลากรกองทุน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (๔) กำกับดูแลการบริหารจัดการ และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๕) แต่งตั้งผู้อำนวยการ (๖) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน เพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการบริหารมอบหมาย ข้อ ๑๐ ให้สำนักงานจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้งหรือเท่าที่จำเป็นโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหาร และให้นำความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มาใช้บังคับกับการประชุมคณะกรรมการบริหารโดยอนุโลม ข้อ ๑๑ ให้คณะกรรมการบริหารแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีระดับจังหวัด และคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและติดตามการดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอำเภอ เพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการบริหารมอบหมาย ให้กรรมการและอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ส่วนที่ ๓ สำนักงาน ข้อ ๑๒ ให้กองทุนมีสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เรียกโดยย่อว่า “สกส.” โดยมีโครงสร้างการบริหารงาน กรอบอัตรากำลัง และเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน ตามที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๑๓ ให้สำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการบริหาร (๒) ดำเนินงานต่าง ๆ ของกองทุน (๓) ศึกษา รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทุน (๔) เผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทุน (๕) ดำเนินการและประสานงานกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุน (๖) ส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาบุคลากร และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานกองทุน (๗) รวบรวมและจัดทำระบบฐานข้อมูลการดำเนินงานกองทุน (๘) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการบริหารมอบหมาย ให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด เป็นสำนักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีระดับจังหวัด และสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นสำนักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกรุงเทพมหานคร ให้สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ เป็นสำนักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและติดตามการดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอำเภอ ข้อ ๑๔ ให้มีผู้อำนวยการคนหนึ่ง ซึ่งคณะกรรมการบริหารแต่งตั้ง ทำหน้าที่บริหารสำนักงานและบริหารกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ หมวด ๒ สมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ข้อ ๑๕ ให้สตรีที่ประสงค์จะขอรับการช่วยเหลือ การส่งเสริม และการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาศักยภาพสตรี เครือข่ายสตรี และองค์กรสตรี ต้องขอขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุน ข้อ ๑๖ สมาชิก มีสองประเภท ดังต่อไปนี้ (๑) สมาชิกประเภทบุคคลธรรมดา (๒) สมาชิกประเภทองค์กรสตรี หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นสมาชิก การขอขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิก และการพ้นจากการเป็นสมาชิกให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการบริหารกำหนด หมวด ๓ การรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงิน ข้อ ๑๗ ให้กรมการพัฒนาชุมชนเปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และสำนักงานคลังจังหวัด แล้วแต่กรณี ชื่อบัญชี “บัญชีกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” เพื่อรับ - จ่ายเงินกองทุน และห้ามมิให้นำเงินไปใช้จ่ายก่อนส่งเข้าบัญชีเงินฝาก เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ให้กรมการพัฒนาชุมชนเปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจภายในวงเงินและเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ข้อ ๑๘ ให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารไว้ที่ธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ชื่อบัญชี “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (จังหวัด)” เพื่อรับ - จ่ายเงินของกองทุน ในการดำเนินงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือ การส่งเสริมและการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาศักยภาพสตรี เครือข่ายสตรี และองค์กรสตรี และทุกสิ้นเดือนให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนำเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารส่งเข้าบัญชีเงินฝากของกองทุนที่เปิดไว้ที่สำนักงานคลังจังหวัด ข้อ ๑๙ การใช้จ่ายเงินของกองทุนให้เป็นไปเพื่อกิจการ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนหรือแหล่งเงินทุนตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๒) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารกองทุน การจ่ายเงินตาม (๑) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ข้อ ๒๐ ให้ผู้อำนวยการจัดทำแผนการดำเนินงานประจำปี ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมา แผนการปฏิบัติงาน ประมาณการรายรับรายจ่ายประจำปี และประมาณการกระแสเงินสด เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารพิจารณาอนุมัติอย่างน้อยหกสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี และให้ส่งกระทรวงการคลังอย่างน้อยสามสิบวันก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีของทุกปี เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนการใช้จ่ายเงิน ข้อ ๒๑ ให้ผู้อำนวยการหรือผู้ซึ่งผู้อำนวยการมอบหมายเป็นผู้อนุมัติและสั่งจ่ายเงินของกองทุนตามแผนการดำเนินงานและประมาณการรายจ่ายประจำปีที่ได้รับอนุมัติตามข้อ ๒๐ ข้อ ๒๒ การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงินหรือการปฏิบัติอื่นใดที่มิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยการนั้นโดยอนุโลม หากไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง หมวด ๔ การบัญชี การตรวจสอบ และการรายงานผล ข้อ ๒๓ ให้คณะกรรมการบริหารจัดให้มีระบบบัญชีที่เหมาะสมตามหลักบัญชีที่รับรองโดยทั่วไปเพื่อให้สามารถจัดทำรายงานทางการเงิน แสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนได้อย่างถูกต้อง การปิดบัญชีให้กระทำปีละครั้ง โดยถือปีงบประมาณเป็นรอบปีบัญชี ข้อ ๒๔ ให้คณะกรรมการบริหารจัดทำรายงานการเงินของกองทุนส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้ความเห็นชอบเป็นผู้สอบบัญชีของกองทุนภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ให้ผู้สอบบัญชีของกองทุนทำรายงานการสอบบัญชีเสนอต่อคณะกรรมการบริหารภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ข้อ ๒๕ ให้คณะกรรมการบริหารนำส่งรายงานการเงินพร้อมด้วยรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อกระทรวงการคลังภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานจากผู้สอบบัญชี ข้อ ๒๖ ให้กรมการพัฒนาชุมชนจัดให้มีระบบการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบการดำเนินการต่าง ๆ ของกองทุน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๒๗ ให้กรมการพัฒนาชุมชนส่งรายงานทางการเงินของกองทุนตามรูปแบบ วิธีการ และกำหนดเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนด หมวด ๕ การประเมินผล ข้อ ๒๘ ให้คณะกรรมการบริหารจัดให้มีระบบการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่คณะกรรมการกำหนด พร้อมกับจัดให้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานระหว่าง คณะกรรมการบริหาร ผู้อำนวยการ พนักงาน และลูกจ้าง ตามลำดับ เพื่อใช้กำกับการปฏิบัติงาน หมวด ๖ บทเฉพาะกาล ข้อ ๒๙ ในระหว่างที่ยังไม่มีมาตรฐาน หลักเกณฑ์หรือแนวทางดำเนินงานที่คณะกรรมการประกาศกำหนดตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือที่คณะกรรมการบริหารกำหนดให้เป็นไปตามข้อคับนี้ ให้นำกฎ ข้อบังคับ ประกาศ ระเบียบ ของทางราชการ ซึ่งใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มาบังคับใช้ไปพลางก่อนได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้ง จนกว่าคณะกรรมการจะได้ออกมาตรฐาน หลักเกณฑ์และแนวทางในเรื่องดังกล่าว ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ อภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ปริยานุช/จัดทำ ๕ กันยายน ๒๕๕๙ ปุณิกา/ตรวจ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๙๔ ง/หน้า ๓๓/๑ กันยายน ๒๕๕๙
641824
พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นปีที่ ๖๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” หมายความว่า จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ “ฝ่ายพลเรือน” หมายความว่า หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ฝ่ายทหาร ฝ่ายอัยการ หรือฝ่ายตุลาการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ฝ่ายอัยการ หรือฝ่ายตุลาการ “เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาตรา ๔ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดทำนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้คณะรัฐมนตรีนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อทราบ แล้วให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทบทวนและปรับปรุงนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกรอบระยะเวลาสามปีหรือในกรณีที่มีความจำเป็นคณะรัฐมนตรีจะกำหนดระยะเวลาให้เร็วกว่านั้นก็ได้ นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาและด้านความมั่นคงและเพื่อให้ได้นโยบายที่มาจากความต้องการและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน ศาสนา วัฒนธรรม อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ในการจัดทำนโยบายตามวรรคหนึ่ง และการทบทวนและปรับปรุงตามวรรคสาม ต้องนำความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนไปใช้ในการจัดทำ การทบทวนและปรับปรุงด้วย นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามวรรคสี่ ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดทำหรือปรับปรุง ต้องให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาให้ความเห็นและสภาความมั่นคงแห่งชาติต้องนำความเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาจัดทำหรือปรับปรุงด้วย มาตรา ๕ ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรปรับปรุงแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานและดำเนินการที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๗ (๒) และแผนการดำเนินการตามมาตรา ๑๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาตามมาตรา ๔ มาตรา ๖ ให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกโดยย่อว่า “กพต.” ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่ง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผู้แทนภาคประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้จังหวัดละหนึ่งคน ซึ่งได้รับการคัดเลือกโดยสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกรรมการ ผู้แทนภาคประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปี และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว ให้เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ และรองเลขาธิการคนหนึ่งซึ่งเลขาธิการมอบหมายเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา ๗ ให้ กพต. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) พิจารณาให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ ศอ.บต. เสนอ (๒) พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการ และการจัดตั้งงบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๓) พิจารณาให้ความเห็นชอบในการกำหนดเขตพัฒนาพิเศษและกรอบแนวทางการบริหารและการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษที่ ศอ.บต. เสนอ (๔) พิจารณาเสนอแนะหน่วยงานของรัฐให้จัดทำแผนพัฒนา แผนงาน และโครงการพร้อมด้วยงบประมาณในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๕) กำกับ เร่งรัด ติดตาม แก้ไขกฎระเบียบ และลดขั้นตอนการปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (๖) เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรี (๗) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือหรือปฏิบัติงานได้ตามความเหมาะสม (๘) ปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กพต. หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย การประชุมของ กพต. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กพต. กำหนด มาตรา ๘ ให้มีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกโดยย่อว่า “ศอ.บต.” เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง มีฐานะเป็นนิติบุคคล และอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การบริหารราชการของ ศอ.บต. ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในพระราชบัญญัตินี้หรือคณะรัฐมนตรีมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน มาตรา ๙ ให้ ศอ.บต. มีอำนาจหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังต่อไปนี้ (๑) จัดทำยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาให้ความเห็นก่อนเสนอ กพต. ให้ความเห็นชอบ (๒) จัดทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๓) เสนอแนะและบูรณาการ แผนงาน และโครงการในด้านการพัฒนาของกระทรวง ทบวง กรมและหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่ดำเนินการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการตาม (๒) (๔) ดำเนินการตามแผนงานและโครงการต่อเนื่องจากแผนงานและโครงการที่หน่วยงานของรัฐไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งหากไม่ดำเนินการจะส่งผลเสียต่อการแก้ไขปัญหาตามยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๕) กำกับ เร่งรัด และติดตามการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐฝ่ายพลเรือนให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการตาม (๒) (๖) คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและอำนวยความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยการรับเรื่องราวร้องทุกข์ให้ความช่วยเหลือ และประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตรวจสอบและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (๗) ให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามระเบียบที่ กพต. กำหนด ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิประโยชน์ที่ผู้นั้นได้รับตามกฎหมายอื่น (๘) เสนอแนะมาตรการสร้างขวัญและกำลังใจสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรี (๙) เสนอแนะหรือแนะนำต่อหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับลักษณะอันพึงประสงค์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งดำเนินการให้มีการพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบูรณาการการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐฝ่ายพลเรือนเพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชน (๑๐) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๑) ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาแก่คนไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (๑๒) ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๓) ประชาสัมพันธ์นโยบาย และการดำเนินงานของ ศอ.บต. และรัฐบาล รวมทั้งเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีแก่คนไทยทั้งในและต่างประเทศ (๑๔) ร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ ความเข้าใจอันดีและประสานงานในโครงการ ความร่วมมือ ความช่วยเหลือ และการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับต่างประเทศ ทั้งนี้ ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแนวทางหรือนโยบายที่กระทรวงการต่างประเทศได้กำหนดไว้ (๑๕) ส่งเสริมแนวคิดด้านพหุวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมแห่งชาติ รวมถึงการลดการผูกขาดทางวัฒนธรรมหรือการขจัดการเลือกปฏิบัติทางวัฒนธรรมโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย (๑๖) ปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ศอ.บต. หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ศอ.บต. อาจวางระเบียบเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง ศอ.บต. กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตาม (๑) ให้ใช้ได้เป็นเวลาสามปี แผนปฏิบัติการตาม (๒) เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานและโครงการ และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการนั้น ในการจัดทำแผนปฏิบัติการตาม (๒) ให้ ศอ.บต. หารือกับหัวหน้าหน่วยงานที่กำกับดูแลยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงด้วย เพื่อให้แผนปฏิบัติการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านความมั่นคงตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาตรา ๑๐ ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศอ.บต. โดยความเห็นชอบของ กพต. อาจกำหนดให้เขตพื้นที่ใดในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและกำหนดกรอบแนวทางการบริหารและการพัฒนาในเขตพื้นที่นั้นได้ กรอบแนวทางการบริหารและการพัฒนาตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญครอบคลุมในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรม การศึกษา สาธารณสุข ทรัพยากร เทคโนโลยี การต่างประเทศ การปฏิบัติการเชิงจิตวิทยา การบริหารจัดการ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อนโยบายตามมาตรา ๔ และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่ กพต. ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อ กพต. ให้ความเห็นชอบกรอบแนวทางการบริหารและการพัฒนาตามวรรคหนึ่งแล้วให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นแนวทางในการจัดทำคำเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีและให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยไม่ชักช้า มาตรา ๑๑ ให้ ศอ.บต. จัดทำสรุปสถานการณ์ ปัญหา และอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีทุกหนึ่งปี และให้คณะรัฐมนตรีเสนอรัฐสภาเพื่อทราบ มาตรา ๑๒ ในกรณีที่ข้อเท็จจริงปรากฏแก่เลขาธิการหรือโดยการเสนอของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนผู้ใดมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจนเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนหรือความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน ให้เลขาธิการมีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นออกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้แจ้งหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดทราบพร้อมด้วยเหตุผล เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากพื้นที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ไปรายงานตัวยังหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่วันที่รับทราบคำสั่ง ในการนี้ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าสังกัดดังกล่าวดำเนินการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหน้าที่หรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว และในกรณีที่มีมูลความผิดทางวินัยให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นต่อไป และเมื่อดำเนินการได้ผลประการใดแล้ว ให้แจ้งให้เลขาธิการทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยหรือวันที่ได้มีคำวินิจฉัยว่าไม่มีความผิดทางวินัย เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากพื้นที่ตามวรรคหนึ่ง มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของเลขาธิการต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องกระทำภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับทราบคำสั่ง การสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐออกจากพื้นที่และการกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและระยะเวลา ที่ กพต. ประกาศกำหนด ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนหรือซึ่งเป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้ใดมีพฤติกรรมหรือกระทำการตามวรรคหนึ่ง ให้เลขาธิการส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นหรือผู้ที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน มาตรา ๑๓ ในกรณีที่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดานหรือญาติสนิทของบุคคลดังกล่าวร้องเรียนว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนคดีอาญา เลขาธิการอาจให้พนักงานสอบสวนหรือหัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมาชี้แจง หากเห็นว่าผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนคดีอาญาจริง ให้เลขาธิการแจ้งหัวหน้าของพนักงานสอบสวนนั้นพิจารณาดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป มาตรา ๑๔ ให้มีเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีฐานะเทียบเท่าปลัดกระทรวง รับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของ ศอ.บต. และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างซึ่งปฏิบัติงานใน ศอ.บต. ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยจะให้มีรองเลขาธิการตามจำนวนที่นายกรัฐมนตรีกำหนดเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติงานตามที่เลขาธิการมอบหมายก็ได้ ให้เลขาธิการและรองเลขาธิการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเลขาธิการและรองเลขาธิการ และให้เลขาธิการและรองเลขาธิการพ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๑๕ ให้เลขาธิการมีอำนาจอนุมัติให้เลื่อนเงินเดือนประจำปีเป็นกรณีพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกเหนือจากการอนุมัติของผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๑๖ ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้รองเลขาธิการเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองเลขาธิการหลายคน ให้รองเลขาธิการที่เลขาธิการมอบหมายเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าเลขาธิการมิได้มอบหมายให้รองเลขาธิการผู้ใดรักษาราชการแทนให้รองเลขาธิการที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้รักษาราชการแทน ในกรณีที่ไม่มีผู้รักษาราชการแทนตามความในวรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองปลัดกระทรวงเป็นผู้รักษาราชการแทน มาตรา ๑๗ ศอ.บต. โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีมีอำนาจจัดแบ่งส่วนงานภายใน ศอ.บต. และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนงานดังกล่าว ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความคล่องตัวและความเหมาะสมกับภารกิจของ ศอ.บต. เป็นสำคัญ โดยทำเป็นประกาศของ ศอ.บต. และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้หน่วยงานของรัฐฝ่ายพลเรือนจัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานภายในตามวรรคหนึ่งตามจำนวนที่เลขาธิการร้องขอโดยเร็ว และให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลหรือองค์กรอื่นที่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกันของหน่วยงานของรัฐนั้นจัดให้หน่วยงานของรัฐที่จัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานภายในของ ศอ.บต. มีอัตรากำลังทดแทนเท่าจำนวนอัตรากำลังที่จัดส่งไป มาตรา ๑๘ เพื่อประโยชน์แห่งความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการบริหารราชการนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง อธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่า จะมอบอำนาจให้เลขาธิการเป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนก็ได้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เลขาธิการจะมอบอำนาจของตนและอำนาจที่เลขาธิการได้รับมอบตามวรรคหนึ่งให้แก่รองเลขาธิการหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นก็ได้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด คณะรัฐมนตรีจะกำหนดให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง อธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดีขึ้นไป ต้องมอบอำนาจเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่กำหนดให้เลขาธิการ เพื่อปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ได้ มาตรา ๑๙ ให้มีสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วยสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนไม่เกินสี่สิบเก้าคน ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดละหนึ่งคน (๒) ผู้แทนกำนันและผู้ใหญ่บ้านจังหวัดละหนึ่งคน (๓) ผู้แทนกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและอิหม่ามประจำมัสยิดจังหวัดละหนึ่งคน ผู้แทนเจ้าอาวาสในพระพุทธศาสนาจังหวัดละหนึ่งคน และผู้แทนศาสนาอื่นจำนวนหนึ่งคน (๔) ผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดละหนึ่งคน (๕) ผู้แทนผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติจังหวัดละหนึ่งคน ผู้แทนสถาบันศึกษาปอเนาะตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะจำนวนหนึ่งคน และผู้แทนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาจำนวนหนึ่งคน (๖) ผู้แทนกลุ่มสตรีจังหวัดละหนึ่งคน (๗) ผู้แทนหอการค้าจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีในด้านเศรษฐกิจ พาณิชย์ อุตสาหกรรม แรงงาน หรือเกษตรกรรมจังหวัดละหนึ่งคน (๘) ผู้แทนสื่อมวลชนในกิจการหนังสือพิมพ์ กิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์จำนวนหนึ่งคน (๙) ผู้ทรงคุณวุฒิอื่นซึ่งมิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐจำนวนไม่เกินห้าคน การแต่งตั้งสมาชิกตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) ให้แต่งตั้งจากบุคคลซึ่งได้มาจากการเลือกกันเองหรือในแต่ละกลุ่มอาจเลือกบุคคลอื่นที่เห็นสมควรเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นผู้แทนสมาชิกในประเภทของตนได้ หลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกตามวรรคหนึ่ง ค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายอื่น ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ศอ.บต. กำหนดโดยความเห็นชอบของ กพต. ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ในการได้มาซึ่งสมาชิกให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของหญิงและชายประกอบด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการตามวรรคสาม เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ ให้เลขาธิการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกตามวรรคหนึ่งเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สมาชิกตามวรรคหนึ่งเลือกกันเองเป็นประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้หนึ่งคน รองประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้สองคน และเลขานุการสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้หนึ่งคน สมาชิกตามวรรคหนึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือนับแต่วันที่สมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้พ้นจากตำแหน่งตามวาระ แล้วแต่กรณี ในกรณีที่มีเหตุใด ๆ ทำให้การเลือกสมาชิกตามวรรคหนึ่งมีจำนวนไม่ถึงสี่สิบเก้าคนแต่มีจำนวนไม่น้อยกว่าสี่สิบคน ให้ถือว่าสมาชิกจำนวนนั้นประกอบเป็นสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ต้องดำเนินการให้มีสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ครบจำนวนตามวรรคหนึ่งโดยเร็ว และให้สมาชิกที่ได้รับแต่งตั้งในภายหลังนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของสมาชิกซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว มาตรา ๒๐ สมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) เป็นผู้มีความประพฤติตามหลักการของศาสนาและมีจริยธรรมเป็นที่ประจักษ์ (๓) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ไม่ติดยาเสพติดให้โทษ (๕) ไม่เป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล (๖) ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (๗) ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต มาตรา ๒๑ ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และยังมิได้มีการเลือกสมาชิกแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ ให้ดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งสมาชิกตามมาตรา ๑๙ แทนสมาชิกที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว และให้สมาชิกที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของสมาชิกซึ่งตนแทน เว้นแต่วาระที่เหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันจะไม่ดำเนินการเพื่อแต่งตั้งสมาชิกขึ้นใหม่แทนก็ได้ มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๙ สมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีมติให้พ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ (๒) ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้าของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ (๑) (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) มาตรา ๒๓ สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) ให้ความเห็นในนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดทำหรือปรับปรุงเพื่อเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณา (๒) ให้คำปรึกษา เสนอแนะ ร่วมมือ และประสานงานกับ ศอ.บต. ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ (๓) ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ของ ศอ.บต. แล้วรายงานต่อเลขาธิการ และนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ (๔) ให้ความเห็นในเรื่องที่นายกรัฐมนตรี หรือเลขาธิการเห็นว่า สมควรได้รับฟังความคิดเห็นของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อประกอบการพิจารณาในการบริหาร การพัฒนา และการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๕) แสวงหาข้อเท็จจริง ข้อมูลข่าวสาร หรือข้อคิดเห็นจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ (๖) เสนอความเห็นต่อเลขาธิการเพื่อประกอบการพิจารณาในการสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนออกไปจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามมาตรา ๑๒ และหากมีกรณีฉุกเฉินหรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเสนอความเห็นไปก่อนก็ได้ แล้วรายงานให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทราบโดยเร็ว (๗) พิจารณาเรื่องร้องเรียนของประชาชนที่เกี่ยวกับปัญหาความไม่เป็นธรรมหรือได้รับความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อการนี้อาจเชิญเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นหรือให้จัดส่งเอกสารหรือข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาได้ตามความจำเป็น (๘) แต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือหรือปฏิบัติงานได้ตามความเหมาะสม (๙) ออกระเบียบเกี่ยวกับการประชุมและระเบียบอื่นที่จำเป็นในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ มาตรา ๒๔ ให้นโยบายเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๖/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามมาตรา ๔ จนกว่าจะได้จัดทำนโยบายขึ้นใหม่หรือปรับปรุงตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๕ ให้ถือว่ายุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. ๒๕๕๐ - พ.ศ. ๒๕๕๔) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านการพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามมาตรา ๙ (๑) จนกว่าศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้จะจัดทำยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๖ ในระหว่างที่ยังมิได้แต่งตั้งประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และยังมิได้มีการคัดเลือกผู้แทนภาคประชาชนโดยสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่งที่เหลืออยู่ตามมาตรา ๖ และปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการแต่งตั้งประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และผู้แทนภาคประชาชนซึ่งได้รับการคัดเลือกโดยสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาตรา ๒๗ ให้สภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๗/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ทำหน้าที่สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ มิให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๐ มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาตรา ๒๘ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างและอัตรากำลัง เฉพาะของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ มาเป็นของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๙ ให้โอนงบประมาณและหนี้สินของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับภารกิจของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ มาเป็นของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๓๐ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีการแต่งตั้งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีการแต่งตั้งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๓๑ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเชื่อมโยงสัมพันธ์กับต่างประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งมีสถานการณ์ความไม่สงบในบางพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชนและการพัฒนาของประเทศ จึงสมควรกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้มีหน่วยปฏิบัติงานหลักที่สามารถดำเนินการบูรณาการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นระบบ มีเอกภาพทั้งในเรื่องนโยบายยุทธศาสตร์ การบังคับบัญชา และการปฏิบัติ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๕ มกราคม ๒๕๕๔ ณัฐวดี/ตรวจ ๕ มกราคม ๒๕๕๔ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนที่ ๘๐ ก/หน้า ๑/๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓
822130
ประกาศศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่อง การแบ่งส่วนงานศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2561
ประกาศศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่อง การแบ่งส่วนงานศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๖๑[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี ออกประกาศ เรื่อง การแบ่งส่วนงาน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่อง แบ่งส่วนงานศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๒ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดแบ่งกลุ่มภารกิจการปฏิบัติงานภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้ง บริบททางสังคมและประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลบนฐานความเท่าเทียมของประชาชนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมทั้ง สอดรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการและบูรณาการการปฏิบัติด้านการพัฒนาทั้งปวงของทุกภาคส่วนให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสูงสุดต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อก้าวสู่สังคมสันติสุข ดังต่อไปนี้ (๑) กลุ่มภารกิจการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ การจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้บนหลักการยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์ การให้ข้อเสนอแนะและบูรณาการแผนงานและโครงการในด้านการพัฒนาของกระทรวง ทบวง กรมและหน่วยงานอื่นของรัฐที่จะดำเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การอำนวยการและการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพัฒนาระบบประสานงานเพื่อเชื่อมต่อระบบราชการแบบไร้รอยต่อ โดยการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนราชการในพื้นที่จังหวัด/อำเภอ/ตำบล/หมู่บ้าน/ชุมชน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนราชการระดับภูมิภาคและกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐระดับประเทศ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกระดับและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การสร้างและประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในฐานะภาคีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อความร่วมมือพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การบริหารจัดการงบประมาณของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เท่าทันต่อสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีความเป็นพลวัตและเอื้อประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้สูงสุด การบริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ดีเพื่อนำไปสู่การสร้างความร่วมมือและตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย และประสานงานโครงการความร่วมมือ ความช่วยเหลือและการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) กลุ่มภารกิจประสานและเร่งรัดการพัฒนาพิเศษ ได้แก่ การเร่งรัดขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐฝ่ายพลเรือนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทำหน้าที่ประสานเร่งรัด กำกับ ติดตามและประเมินผลความสำเร็จของยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการของรัฐฝ่ายพลเรือนตามแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง ความสอดคล้องต่อนโยบายยุทธศาสตร์ ข้อสั่งการ แนวทางการบริหารของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กอ.รมน. ภาค ๔ ส่วนหน้า เป็นต้น เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมทั้ง ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของพื้นที่ที่ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๓) กลุ่มภารกิจบูรณาการและขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาและงานพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคง ได้แก่ การบริหารจัดการงานพัฒนาเศรษฐกิจทั้งกระบวนการ ประกอบด้วย ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำเพื่อนำไปสู่การสร้างอาชีพและรายได้ของประชาชนที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต การพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีตามอัตภาพของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มุ่งเน้นความสอดคล้องสมดุลระหว่างการดำเนินชีวิตของประชาชนกับแนวทางของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การส่งเสริมและพัฒนาสังคมเพื่อเป็นสังคมเปี่ยมสุข ประชาชนมีความสุขตามอัตภาพ มีวิถีชีวิตสอดคล้องกับแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครอบคลุมถึงการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถดูแลและช่วยเหลือตนเอง ครอบครัวและสังคม การบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความสมดุลตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การกำหนดเขตพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม การส่งเสริมกิจการศาสนาและพหุวัฒนธรรม การเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นทั้งในเชิงวัฒนธรรมและการสร้างมูลค่าเพื่อการท่องเที่ยวของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของสมาชิกอนุภูมิภาคและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศความร่วมมืออื่น ๆ โดยใช้กรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศที่นำอัตลักษณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นจุดเชื่อมต่องานกิจการมวลชนงานสังคมจิตวิทยา งานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและอำนวยความเป็นธรรมแก่ประชาชน (๔) กลุ่มภารกิจการบริหารและอำนวยการ ได้แก่ การบริหารราชการทั่วไปภายในส่วนราชการ งานช่วยอำนวยการผู้บริหาร งานอำนวยการหน่วยงาน การประสานงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนงานบริหารของหน่วยงาน อาทิ งานการเงิน การบัญชี การคลัง งานพัสดุ งานบริหารทั่วไปและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กร การเสนอแนะมาตรการสร้างขวัญและกำลังใจ เสนอแนะหรือแนะนำต่อหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับลักษณะอันพึงประสงค์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพัฒนาระบบบริหารราชการ งานวินัยและนิติการภายในหน่วยงานการกำกับและตรวจสอบการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนให้ทำงานเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนโดยสูงสุด งานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ งานพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่ายพลเรือนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ งานป้องกันและปราบปรามการทุจริตตลอดจนงานกิจการพิเศษอื่น ๆ เช่น การดำเนินการตามแผนงานและโครงการต่อเนื่องจากแผนงานและโครงการที่หน่วยงานของรัฐไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ งานตามนโยบายของรัฐบาล คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๓ เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำหนดในข้อ ๒ ทุกประการ จึงให้กำหนดโครงสร้างการบริหารเป็น ดังต่อไปนี้ (๑) การบริหารราชการภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วยเลขาธิการตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้มีรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (บริหารสูง) จำนวนเท่ากับกลุ่มภารกิจที่กำหนดตามข้อ ๒ ให้มีผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (บริหารต้น) ทำหน้าที่ช่วยวิเคราะห์ กลั่นกรองและสนับสนุนการปฏิบัติงานภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และให้มีผู้อำนวยการส่วนงานภายในที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ประสาน ดำเนินการและบูรณาการระดับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามภารกิจการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) การพัฒนาระบบประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการให้เป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักวิชาการและแนวทางการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน - อนาคต เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานแก่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ที่ปรึกษาประจำศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (วิชาการทรงคุณวุฒิ) และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการพัฒนา (เชี่ยวชาญ) (๓) การพัฒนาระบบการประสานงาน การกำกับ เร่งรัดและติดตามแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมของทุกส่วนราชการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด การแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด/อำเภอ/ตำบล/หมู่บ้าน/ชุมชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการบูรณาการความร่วมมือการตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเชื่อมต่อกับกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ของทุกส่วนราชการส่วนราชการระดับภูมิภาค รวมทั้ง หน่วยงานระดับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เป็นระบบราชการไร้รอยต่อ ข้อ ๔ ให้แบ่งส่วนราชการภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังต่อไปนี้ (๑) กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (๒) กลุ่มตรวจสอบภายใน (๓) ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (๔) กลุ่มประสานงานคณะรัฐมนตรีและราชการส่วนกลาง (๕) สำนักงานเลขาธิการ (๖) กองบริหารยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๗) กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน (๘) กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง (๙) สถาบันพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๐) กองประสานและเร่งรัดการพัฒนาพื้นที่พิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๑) กองประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริและกิจการพิเศษ ข้อ ๕ ในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีกลุ่มงานพัฒนาระบบบริหาร มีผู้อำนวยการกลุ่ม เป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในกลุ่มงานตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นสมควร เพื่อทำหน้าที่หลักเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการบริหารส่วนราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและคุ้มค่า โดยรับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) ให้คำปรึกษาแก่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) ติดตาม ประเมินผลและจัดทำรายงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการภายใน (๓) การจัดทำรายงานควบคุมภายใน ตามระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ว่าด้วยกำหนดมาตรฐานการควบคุมภายใน พ.ศ. ๒๕๔๔ (๔) วิเคราะห์และพัฒนาระบบดัชนีวัดผลการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำมาใช้ในการติดตาม ประเมินผลความสำเร็จของการพัฒนาของกระทรวง ทบวง กรม (๕) ศึกษา วิเคราะห์และจัดทำแนวทางการมอบอำนาจของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง อธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่จะมอบให้แก่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด (๖) ประสานและดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการโดยร่วมมือกับหน่วยงานกลางต่าง ๆ และหน่วยงานภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๗) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๖ ในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีกลุ่มงานตรวจสอบภายใน มีผู้อำนวยการกลุ่ม เป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว – ลูกจ้างเหมาบริการภายในกลุ่มงานตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นสมควร เพื่อทำหน้าที่หลักเกี่ยวกับการตรวจสอบการดำเนินงานภายในส่วนราชการและสนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) การสอบทานและการตรวจสอบการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบภายในจริยธรรมการปฏิบัติงานตรวจสอบภายในของส่วนราชการ ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการตรวจสอบภายในของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ ระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจสอบภายใน พ.ศ. ๒๕๔๖ และแนวทางการประกันคุณภาพงานตรวจสอบภายในภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) การสอบทานและการตรวจสอบความถูกต้องและเชื่อถือได้ของข้อมูลทางการเงินและบัญชี ผลการดำเนินงานกระบวนการทำงาน ระบบการดูแลรักษาและความปลอดภัยของทรัพย์สิน และการปฏิบัติงานตามมาตรฐานกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งทางราชการ (๓) ติดตามผลการตรวจสอบ เสนอแนะ และให้คำปรึกษาแก่หน่วยรับตรวจ เพื่อให้การปรับปรุงแก้ไขของหน่วยตรวจรับเป็นไปตามข้อเสนอแนะ (๔) ให้คำปรึกษา แนะนำ และให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับระบบควบคุมภายใน แก่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยรับตรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้องให้เกิดการบริหารงานอย่างมีคุณภาพและปรับปรุงการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง (๕) ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะด้านมาตรฐานการควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยงและกำกับติดตามการปฏิบัติงานด้านการควบคุมภายในของทุกหน่วยงานภายในองค์กร (๖) มีสิทธิในการเข้าถึงบุคคล ข้อมูล เอกสารหลักฐานและทรัพย์สิน การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึง สอบถาม การสังเกตการณ์ และการขอคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตรวจสอบ (๗) มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติงาน การรายงาน การเสนอความเห็นชอบในการตรวจสอบโดยปราศจากการแทรกแซงของบุคคลใด ๆ และมิควรให้เป็นคณะกรรมการในคณะใด ๆ ของส่วนราชการหรือหน่วยงานในสังกัด อันมีผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการปฏิบัติงานและการเสนอความเห็น (๘) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๗ ในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต มีผู้อำนวยการศูนย์ เป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในศูนย์ตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควรเพื่อทำหน้าที่หลักในการบูรณาการและขับเคลื่อนแผนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและการส่งเสริม คุ้มครองจริยธรรมในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) เสนอแนะมาตรการ/แนวทาง เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการแก่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ และนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง (๒) ประสาน เร่งรัด และกำกับให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการ (๓) ดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนการทุจริต การปฏิบัติ หรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ในส่วนราชการ (๔) คุ้มครองจริยธรรมตามประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน (๕) ประสานงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบและการคุ้มครองจริยธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๖) ติดตาม ประเมินผล และจัดทำรายงานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการและการคุ้มครองจริยธรรม เสนอหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๗) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๘ ในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีกลุ่มประสานงานคณะรัฐมนตรีและราชการส่วนกลาง มีผู้อำนวยการกลุ่ม เป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในกลุ่มตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควร เพื่อทำหน้าที่หลักในการเป็นหน่วยประสานงานส่วนกลางประจำในเขตกรุงเทพมหานครของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลไกการประสานงานในระดับส่วนกลางที่สำคัญ ได้แก่ การประสานงานคณะรัฐมนตรี คณะรัฐบาล หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรม ตลอดจนหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีสถานที่ตั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารและประสานงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระดับพื้นที่และส่วนกลางให้มีความเป็นเอกภาพต่อการบริหารราชการแผ่นดิน รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อ ๙ สำนักงานเลขาธิการ มีผู้อำนวยการสำนักงาน เป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว – ลูกจ้างเหมาบริการภายในสำนักงานตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควร มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในหน่วยงาน ได้แก่ การจัดทำแผนกำลังคนจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับภารกิจและยุทธศาสตร์ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความขาดแคลนของบุคลากร ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ แผนกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การจัดระบบงานและพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์การประเมินผลการปฏิบัติงานและระบบสมรรถนะ การจัดสวัสดิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากร งานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ บำเหน็จความชอบและสิทธิประโยชน์ และเสนอแนะ หรือแนะนำหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับลักษณะอันพึงประสงค์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะสั่งให้ไปปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) การประสานนโยบายและแผนงาน ตลอดจน สนับสนุน ควบคุม กำกับ ดูแล ติดตาม และประเมินผลการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องตามนโยบายของรัฐ (๓) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารและการจัดการด้านสวัสดิการบุคลากรของข้าราชการพนักงานราชการและลูกจ้างทุกประเภทของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๔) ดำเนินการเกี่ยวกับงานสารบรรณ งานอำนวยการและเลขานุการผู้บริหาร งานบริหารทั่วไปงานอาคารและสถานที่ การกำกับดูแลยานพาหนะและงานรักษาความปลอดภัย (๕) ดำเนินการเกี่ยวกับงานอำนวยการและเลขานุการผู้บริหารและที่ปรึกษาข้าราชการประจำฝ่ายพลเรือนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๖) ดำเนินการเกี่ยวกับงานอำนวยการ เช่น งานพิธี งานรัฐพิธี การบริหารงานทั่วไปการประสานราชการ (๗) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารการเงิน การบัญชี ทั้งเงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณและเงินกองทุนต่าง ๆ (๘) การบริหารพัสดุของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๙) ดำเนินการเกี่ยวกับวินัยและพิทักษ์ระบบคุณธรรม งานด้านกฎหมาย งานนิติกรรมและสัญญา การตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ทำความเห็นเบื้องต้นประกอบการวินิจฉัยอุธรณ์คำสั่งทางปกครองที่อยู่ในอำนาจของเลขาธิการ ศอ.บต. งานเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่งและอาญา งานคดีปกครองและงานคดีอื่นที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน รวมถึงให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามกฎหมาย (๑๐) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๑๐ กองบริหารยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้อำนวยการกองเป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในกองตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควร มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) ศึกษาวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งปวงของกระทรวง/ทบวง/กรม/หน่วยงานอื่นของรัฐ แผนยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้ง ยุทธศาสตร์ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เฉพาะของหน่วยงาน/พื้นที่ที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้การสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง และการพัฒนาที่สอดรับกับการพัฒนาของประเทศ (๒) ทำหน้าที่บริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ ผ่านกระบวนการประสานความร่วมมือทางนโยบายยุทธศาสตร์และแผนของกระทรวง ทบวง กรมและส่วนราชการอื่น ๆ ที่มีแผนปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่สอดคล้อง สอดประสานและส่งต่องานกันอย่างต่อเนื่อง (๓) พัฒนาระบบศูนย์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจรวมด้านการพัฒนาของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (Big Data) รวมทั้ง ให้มีการวิเคราะห์ระบบข้อมูลเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาที่เป็นไปในทิศทางสร้างประโยชน์ของประชาชน ตลอดจน ข้อมูลเพื่อใช้ในการเร่งรัด ติดตาม และประเมินผลปฏิบัติงานของกระทรวง ทบวง กรมและส่วนราชการทุกหน่วยที่มีแผนปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ (๔) จัดทำกรอบและแนวทางการบูรณาการแผนงาน โครงการและงบประมาณของกระทรวง ทบวง กรมและส่วนราชการอื่น ๆ ที่มีแผนปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง จัดทำและประสานแผนการปฏิบัติงานของกระทรวงกรมและส่วนราชการอื่น ๆ ที่มีแผนปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้พิจารณาสั่งการการปฏิบัติด้านการพัฒนาทั้งปวงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเป็นเอกภาพ เกิดผลเป็นรูปธรรม ตรวจสอบได้เป็นระยะ (๕) จัดทำรายงานสรุปภาพรวมของการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามรายไตรมาสเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี และหรือรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กำกับการปฏิบัติราชการ รวมทั้ง จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับสรุปสถานการณ์ ปัญหาและอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ (๖) เสนอแนะนโยบายในการตั้งและจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี การกำหนดกรอบวงเงินและหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และดำเนินการประสาน ติดตาม ควบคุม วิเคราะห์และประเมินผลการจัดทำงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปตามแผนงานและโครงการที่กำหนดไว้ (๗) ดำเนินการเกี่ยวกับงานอำนวยการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการและคณะทำงานอื่นใดที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนงานพัฒนาให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ (๘) กำหนดแนวทาง นโยบายและแผนพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง ส่งเสริม ประสานงาน และแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคี ไตรภาคีและพหุภาคี (๙) ดำเนินการทางยุทธศาสตร์การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีและการต่างประเทศในฐานะที่เป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือของกลุ่มเป้าหมายและมิตรประเทศที่มีนัยต่อการเร่งรัดการสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง จัดทำกลยุทธ์ การประสานงานและสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาคีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategy Partnership) แก้ไขข่าวร้ายรายวันให้เป็นข่าวดี เพื่อนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สามารถเผยแพร่ไปยังประชาชนทุกกลุ่มทั้งในระดับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภูมิภาคและประเทศไทย รวมทั้ง สากลประเทศ และให้ประเมินผลทางยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีความทันสมัยเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป (๑๐) การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้แก่ การพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์และเครือข่าย ความมั่นคงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้ง ให้คำปรึกษาแนะนำหรือฝึกอบรมการใช้คอมพิวเตอร์และการใช้โปรแกรม พัฒนาระบบเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการบริหารของผู้บริหาร ทุกระดับ ให้ครอบคลุมอำนาจหน้าที่ที่ผู้บริหารรับผิดชอบทั้งในภารกิจประจำและภารกิจพิเศษ และงานตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (๑๑) งานวิเทศสัมพันธ์ งานสารนิเทศสัมพันธ์ งานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ งานประสานความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ โดยบูรณาการทำงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (๑๒) ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๓) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๑๑ กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน มีผู้อำนวยการกองเป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในกองตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควร โดยให้มีภารกิจครอบคลุมงานพัฒนาที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม งานท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต การศึกษา ศาสนาและพหุวัฒนธรรม การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมทุกกลุ่มประเภท อาทิ คนไข้ในพระราชดำริ กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบฯ เป็นต้น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การกีฬาและนันทนาการ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) ศึกษา ประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์ด้านการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การจัดทำนโยบายและพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง เสนอแนะและจัดทำเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเป็นกรอบการพัฒนาของทุกส่วนราชการ (๒) ศึกษา วิเคราะห์โครงการด้านการพัฒนาของราชการฝ่ายพลเรือนและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาไปสู่ประชาชนโดยเร็ว (๓) ส่งเสริม สนับสนุน และจัดทำโครงการและกิจกรรมเพื่อดำเนินการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ มุ่งเน้นการจัดทำโครงการในลักษณะบูรณาการ ดำเนินการต่อยอด/ขยายผลและหรือดำเนินการในส่วนที่ยังไม่มีการดำเนินการจากหน่วยงานอื่น และหรือการดำเนินการอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐฝ่ายพลเรือนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ (๔) เป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่ (OSOS) โดยให้มีการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับระบบการทำงานของกระทรวง กรมและส่วนราชการอื่น ผ่านผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามกรอบกระทรวง กรมและส่วนราชการอื่น ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกันและเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้รับบริการ (๕) ให้คำปรึกษา เสนอแนะแนวทางการบูรณาการความร่วมมือ เสนอแนะมาตรการทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (๖) พัฒนากรอบและเนื้อหาของข้อมูลบุคคล กลุ่ม องค์กรและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเพื่อประสิทธิภาพและเอกภาพในการบริหารจัดการด้านการพัฒนา นำไปสู่การสนับสนุนระบบศูนย์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจรวมด้านการพัฒนาของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (Big Data) (๗) ติดตามและประเมินผลการดำเนินการด้านการพัฒนาเชิงประเด็นโดยร่วมมือกับหน่วยงานภายในที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของพื้นที่ (๘) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๑๒ กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง มีผู้อำนวยการกองเป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในกองตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควร โดยให้มีภารกิจโดยครอบคลุมงานพัฒนาที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การอำนวยความเป็นธรรม ความยุติธรรม การมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาสังคม ภาคประชาชน การพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้การแก้ไขปัญหาภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ การส่งเสริมกระบวนการต่อสู้ทางความคิดด้วยการเสริมสร้างความเข้าใจที่ดี การสร้างความร่วมมือและการให้โอกาสเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาพื้นที่ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ศึกษา ประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์ด้านกิจการทั้งภายในและภายนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงทางด้านสังคมจิตวิทยาและที่เกี่ยวเนื่อง (๒) เสนอแนะ จัดทำนโยบายและพัฒนายุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมจิตวิทยาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเสริมสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๓) ติดตามและประเมินผลการดำเนินการด้านการเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมจิตวิทยาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเสริมสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข (๔) ศึกษา วิเคราะห์โครงการด้านการพัฒนาของราชการฝ่ายพลเรือนที่สนับสนุนงานด้านความมั่นคง ให้คำปรึกษา เสนอแนะมาตรการทางวิชาการที่เสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมจิตวิทยาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเสริมสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (๕) ส่งเสริม สนับสนุน และหรือจัดทำโครงการ กิจกรรมเพื่อการสร้างความมั่นคงทางสังคมจิตวิทยาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การสร้างความรัก ความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขให้กับทุกภาคส่วนที่มีศักยภาพการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง ดำเนินการอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐฝ่ายพลเรือนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ (๖) อำนวยความเป็นธรรมช่วยเหลือผู้ได้ผลกระทบจากกระบวนการยุติธรรมและเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพัฒนาระบบงานยุติธรรม เร่งรัดติดตาม สนับสนุน และประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความเป็นธรรมและความยุติธรรมแก่ประชาชนให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ให้ความช่วยเหลือรวมทั้งตรวจสอบและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายพลเรือน (๗) ส่งเสริมกระบวนการต่อสู้ทางความคิดให้กับทุกภาคส่วนเพื่อให้เห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและเป็นพลเมืองของสังคมไทยที่สนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคต (๘) พัฒนากรอบและเนื้อหาของข้อมูลบุคคล กลุ่ม องค์กรและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมจิตวิทยาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเสริมสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นำไปสู่การสนับสนุนระบบศูนย์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจรวมด้านการพัฒนาของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (Big Data) (๙) การสร้างและพัฒนาระบบการทำงานแบบเครือข่ายทั้งในภาคประชาชน องค์กรภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกลุ่มแกนนำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๐) ติดตามและประเมินผลการดำเนินการด้านการพัฒนาเสริมความมั่นคงเชิงประเด็นโดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของพื้นที่ (๑๑) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๑๓ สถาบันพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้อำนวยการสถาบันเป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในสถาบันตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควร มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ศึกษา ประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์ด้านการพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ภูมิภาคใต้ชายแดน) (๒) จัดทำและบริหารแผนแม่บทการพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาบุคลากรให้กับส่วนราชการทุกแห่งที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่ายพลเรือนปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใช้ในการพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือน ในความรับผิดชอบของส่วนราชการนั้น ๆ (๓) เสนอแนะ จัดทำนโยบายและพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๔) ดำเนินการพัฒนาบุคลากรในหลักสูตรหลักด้านการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ในบริบทของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลักการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และอื่น ๆ โดยให้มุ่งเน้นการพัฒนาผู้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง (๕) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ และหรือจัดทำโครงการกิจกรรมเพื่อดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ มุ่งเน้นการต่อยอด หรือดำเนินการในส่วนที่ยังไม่มีการดำเนินการจากหน่วยงานอื่น (๖) ศึกษา ทดลองและวิจัยเพื่อพัฒนาแนวทางการพัฒนาบุคลากร การจัดทำหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานการพัฒนาผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (๗) ส่งเสริมการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีผลงานโดดเด่น เป็นประจักษ์ รวมทั้ง เสนอแนะมาตรการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทิ บำเหน็จความชอบและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เป็นต้น และเสนอแนะ หรือแนะนำหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับลักษณะอันพึงประสงค์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๘) ประสาน กำกับ อำนวยการ และสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาบุคลากรตามหลักสูตรและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด (๙) พัฒนาและสนับสนุนเทคโนโลยีและสื่อเพื่อการพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๑๐) สร้าง พัฒนาและบริหารจัดการความรู้ที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๑) ติดตามและประเมินผลการดำเนินการด้านการพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเสนอแนะข้อมูลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันกิจกรรมหรือโครงการที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๑๒) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๑๔ กองประสานและเร่งรัดการพัฒนาพื้นที่พิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้อำนวยการกองเป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในกองตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควร มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นกลไกประสาน เร่งรัดและติดตามงานระดับพื้นที่ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รับผิดชอบตั้งแต่จังหวัด/อำเภอ/ตำบล/หมู่บ้าน/ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ เพื่อให้เกิดการนำนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (๒) ให้ความเห็นและหรือข้อเสนอแนะแก่ส่วนราชการในจังหวัดที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบูรณาการแผนงาน โครงการทรัพยากรและงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๓) ตรวจและติดตาม และหรือร่วมตรวจและติดตามกับกระทรวง ทบวง กรมและหน่วยงานของรัฐตลอดจน งานนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการของฝ่ายพลเรือนทุกมิติการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง ให้รายงานผลการตรวจติดตามดังกล่าวเสนอต่อนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนากระบวนการทำงานตามข้อมูลระบบการติดตามให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน (๔) ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ โดยร่วมกับส่วนราชการระดับภูมิภาคจังหวัด/อำเภอ/ตำบล/หมู่บ้าน/ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ ตลอดจน องค์กรเอกชนภาคประชาชนและภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านทรัพยากรของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น บัณฑิตอาสา เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือเยียวยา นักประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ที่จะเป็นแกนนำในการสร้างเครือข่ายสันติสุขอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่ (๕) ประสานและสร้างกลไกการติดตามภาคประชาชนเพื่อร่วมกำกับ เร่งรัด ติดตามงานพัฒนาของรัฐทั้งปวงในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัด รวมทั้งบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้กลไกการทำงานเป็นเครือข่ายองค์กรของภาคประชาชนร่วมตรวจสอบการทำงานของรัฐอย่างแท้จริง (๖) จัดทำรายงานที่มีเนื้อหาการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามขอบเขตพื้นที่ และหรือประเด็นที่ได้รับมอบหมายเป็นรายเดือนและรายไตรมาส เพื่อนำไปสู่การมีข้อสั่งการใดใดจากผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาดำเนินการ (๗) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๑๕ กองประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและกิจการพิเศษ มีผู้อำนวยการกองเป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติราชการของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว - ลูกจ้างเหมาบริการภายในกองตามที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควรมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) การประสาน เร่งรัด กำกับและดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปตามแนวพระราชดำริและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน (๒) รับสนองดำเนินโครงการตามพระราชดำริที่มีรับสั่งมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำเนินการเป็นการเฉพาะ และให้จัดทำรายงานเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อให้มีพระบรมราชวินิจฉัยฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง เป็นศูนย์ประสาน การขับเคลื่อนงานโครงการตามพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๓) ประสานรวบรวมข้อมูลจากส่วนงานภายในทั้งหมดของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ สังเคราะห์ สนับสนุนข้อมูลและสารสนเทศที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของผู้บริหาร ตลอดจน จัดทำข้อหารือ ประเด็นซักถามและการให้ข้อมูลแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีการสอบถามมายังศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๔) ดำเนินงานศึกษาวิจัยทางวิชาการและหรือประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรวิชาการทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยและหรือสนับสนุน การศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้และการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง ดำเนินการตามภารกิจพิเศษตามนโยบายเฉพาะเรื่อง รวมทั้ง การประสานพัฒนาข้อเสนอเชิงวิชาการและการขับเคลื่อนการพัฒนาบนฐานการวิจัยและวิชาการเพื่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีทิศทางและลดความเสี่ยงผลกระทบเชิงลบที่นำไปสู่ความขัดแย้งของทุกภาคส่วน (๕) จัดทำรายงานข้อเสนอทางวิชาการที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการปฏิบัติงานใดใดของกระทรวง กรมและส่วนราชการอื่นของรัฐให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น (๖) ปฏิบัติราชการทั่วไปของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมิได้กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการใดในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ (๗) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๑๖ ให้ส่วนงานภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความจำเป็นและต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อทางราชการและประชาชนอย่างสูงสุด เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจพิจารณากำหนดตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการกอง (อำนวยการต้น หรือ วิชาการเชี่ยวชาญ) และกำหนดโครงสร้างการบริหารราชการเป็นการภายในได้ โดยคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รักษาราชการแทน เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิมพ์มาดา/ธนบดี/จัดทำ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๓๑๓ ง/หน้า ๔๔/๗ ธันวาคม ๒๕๖๑
701471
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการขอรับและการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้ายพ.ศ. 2556
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการขอรับและการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัย สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๕๖[๑] เพื่อให้การสนับสนุนการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจดำเนินการต่อไป ประกอบกับมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการมาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้าย และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหน่วยงานเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจึงออกประกาศไว้ ดังนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการขอรับและการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๕๖” ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในประกาศนี้ “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภัยก่อการร้ายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ข้อ ๔ ผู้ประกอบการที่เอาประกันภัยทรัพย์สินที่มีสิทธิขอรับเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยในอัตราร้อยละ ๐.๓ ถึงร้อยละ ๒ สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินที่มีความคุ้มครองภัยก่อการร้ายต้องมีลักษณะดังนี้ (๑) เป็นผู้ประกอบการที่เอาประกันภัยทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และ ๔ อำเภอ ของจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา) ตามกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้ายหรือกรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองภัยก่อการร้าย (๒) กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้าย หรือกรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองภัยก่อการร้าย มีระยะเวลาประกันภัยเริ่มต้น ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ (๓) จ่ายเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ข้อ ๕ การชดเชยเงินส่วนต่างเบี้ยประกันภัย มีระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ข้อ ๖ ส่วนต่างเบี้ยประกันภัยที่ได้รับการชดเชยไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม ข้อ ๗ การขอรับเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัย ให้ทำตามแบบ กร.๑ ท้ายประกาศนี้ และให้ยื่นคำขอพร้อมเอกสารหลักฐานตามที่ระบุไว้ในคำขอต่อสำนักงาน หรือสำนักงานจังหวัด ให้สำนักงานหรือสำนักงานจังหวัดตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบคำขอตามวรรคหนึ่ง ถ้าเห็นว่าครบถ้วนถูกต้อง ให้ส่งคำขอและเอกสารดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ในประกาศนี้ ข้อ ๘ ในการพิจารณา เมื่อคณะกรรมการเห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัย ให้ส่งเรื่องต่อศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินดังกล่าว ดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้ผู้ประกอบการที่เอาประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าวต่อไป ข้อ ๙ กรณีมีการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินคุ้มครองภัยก่อการร้ายหรือกรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองภัยก่อการร้าย ไม่ว่าผู้เอาประกันภัยหรือบริษัทประกันภัยเป็นผู้บอกเลิก ให้บริษัทคืนเบี้ยประกันภัยตามเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยผ่านสำนักงานและให้สำนักงานมีสิทธิหักเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยโดยจ่ายคืนให้กับทางราชการตามอัตราส่วนสำหรับระยะเวลาที่เหลืออยู่ ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ [เอกสารแนบท้าย] ๑. คำขอรับเงินชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัย สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินที่มีความคุ้มครองภัยก่อการร้าย (แบบ กร.๑) (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ อุษมล/ผู้ตรวจ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๑/ตอนพิเศษ ๑๙ ง/หน้า ๑๐/๒๘ มกราคม ๒๕๕๗
654143
ประกาศศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่อง แบ่งส่วนงานศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2554
ประกาศศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่อง แบ่งส่วนงานศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๔[๑] ด้วยพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ อาศัยอำนาจตามความมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงกำหนดโครงสร้างการบริหาร อัตรากำลัง และอำนาจหน้าที่ของส่วนงานภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ดังนี้ ข้อ ๑ การจัดแบ่งกลุ่มภารกิจของ ศอ.บต. ตามที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ ดังนี้ ๑.๑ กลุ่มภารกิจด้านอำนวยการและบริหาร ได้แก่ งานบริหารงานทั่วไป อำนวยการและประสานราชการ งานการเงิน การบัญชี การคลัง งานการเจ้าหน้าที่ งานการพัฒนาระบบบริหาร งานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ งานพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศ งานตรวจสอบภายใน งานประชาสัมพันธ์ งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร งานยุทธศาสตร์และงบประมาณ ๑.๒ กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ งานเศรษฐกิจการเกษตร/อุตสาหกรรม/พาณิชย์การค้า/บริการและการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน งานด้านชายแดนและการค้าต่างประเทศ งานประสานองค์กรภาคเอกชน/องค์กรพัฒนาเอกชน งานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ งานพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน งานเยาวชน สตรีและผู้ด้อยโอกาส งานพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัย งานช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบ งานส่งเสริมการลงทุน (BOI) และงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๓ กลุ่มภารกิจด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ได้แก่ งานส่งเสริมและสนับสนุนจัดการศึกษาทุกระดับ งานศาสนา งานวัฒนธรรมและกีฬา งานส่งเสริมแนวความคิดด้านพหุวัฒนธรรม และงานกิจการฮัจญ์ ๑.๔ กลุ่มภารกิจด้านอำนวยความเป็นธรรม ได้แก่ งานพัฒนาระบบยุติธรรม งานรับเรื่องราวร้องทุกข์ งานคุ้มครองสิทธิ งานนิติการ และงานติดตามคดี ข้อ ๒ หลักโครงสร้างองค์กร แบ่งเป็น ๓ ส่วน ดังนี้ ๒.๑ ส่วนผู้บริหาร ประกอบด้วย เลขาธิการ จำนวน ๑ ตำแหน่ง และรองเลขาธิการ จำนวน ๔ ตำแหน่ง (ด้านอำนวยการและบริหาร ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และด้านอำนวยความเป็นธรรม) ๒.๒ ส่วนผู้เชื่อมประสาน ได้แก่ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) และผู้ช่วยเลขาธิการ ๒.๓ ส่วนผู้ปฏิบัติ ได้แก่ ภารกิจ สำนัก สำนักงาน และกลุ่มงานต่าง ๆ ข้อ ๓ อัตรากำลังข้าราชการผู้ที่ปฏิบัติงานประจำศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีผลบังคับใช้และจำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติงานใน ศอ.บต. สามารถใช้อัตรากำลังผู้ปฏิบัติงานประจำใน ศอ.บต. ทั้ง ๑๙๕ ตำแหน่งได้ โดยข้าราชการดังกล่าวยังคงสังกัดอยู่ที่ส่วนราชการเดิมตามที่ ก.พ. กำหนดไว้ เพื่อให้มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนผู้ปฏิบัติงาน และเชื่อมต่อการทำงานที่เกี่ยวข้องระหว่างส่วนราชการกับการปฏิบัติงานประจำใน ศอ.บต. ข้อ ๔ ให้แบ่งส่วนราชการ อัตรากำลัง และอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอัตรากำลัง ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของแต่ละสำนักและกลุ่มงาน ดังนี้ ๔.๑ สำนักบริหารกลาง กำหนดให้ตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานเป็นอำนวยการระดับสูง อัตรากำลังรวม ๓๔ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๑ สำนักงาน ๓ กลุ่มงาน ดังนี้ (๑) สำนักงานเลขานุการสภาที่ปรึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการประชุมของสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งมวลและให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของสภาที่ปรึกษาในทุกรูปแบบ รวมทั้งประมวลผลแนวทางปฏิบัติและมติที่ประชุมของสภาที่ปรึกษาแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ และให้การสนับสนุนที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดและอำเภอ (๒) กลุ่มงานอำนวยการและประสานราชการ มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานสารบรรณ งานธุรการ การรับ - ส่ง ไปรษณียภัณฑ์ งานธุรการ งานการประชุม งานการเงินและพัสดุ การสื่อสารทุกระบบ และโครงการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการรับแจ้งเหตุจากประชาชนในกรณีมีเหตุขัดข้อง การปรับปรุงซ่อมแซมและแก้ไขระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดเบื้องต้น ตลอดจนงานนโยบายพิเศษอื่น ๆ รวมทั้งเป็นส่วนประสานราชการกับส่วนกลาง (๓) กลุ่มงานบริหารงานบุคคล มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารบุคคลภาครัฐ เกี่ยวกับการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีกรณีพิเศษแก่ข้าราชการ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเลือกสรร/ขอสนับสนุนอัตรากำลังข้าราชการให้มาช่วยราชการ การสนับสนุนส่งเสริมข้าราชการที่มีผลงานดีเด่นให้ได้รับตำแหน่งสูงขึ้น เป็นกรณีพิเศษ ดำเนินการแก้ไขปัญหาทางสังคมจิตวิทยาที่เกิดจากข้าราชการ ด้วยมาตรการทางการปกครอง เสนอแนะให้มีการโยกย้ายข้าราชการที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมออกนอกเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การลงโทษทางวินัยและอาญา และส่งเสริมคัดเลือกข้าราชการ และผู้นำท้องถิ่นดีเด่นประจำปี (๔) กลุ่มงานวิเทศสัมพันธ์ มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิม ขยายความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนกับประเทศมุสลิม การประสานดำเนินงานแก้ไขปัญหาบุคคล ๒ สัญชาติ และการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การแก้ไขปัญหาการจ้างงานและแรงงานไทยที่เข้าไปรับจ้างทำงานในประเทศมาเลเซียส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของส่วนราชการ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาค และท้องถิ่นชายแดนไทย - มาเลเซีย ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานและบุคลากรที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ ๔.๒ สำนักนโยบายและแผน กำหนดให้ตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานเป็นอำนวยการระดับสูง อัตรากำลังรวม ๑๐ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๒ กลุ่มงาน ดังนี้ (๑) กลุ่มงานประสานนโยบายและติดตามประเมินผล มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การวิเคราะห์นโยบาย การแปลงนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่การปฏิบัติ การควบคุม กำกับ ดูแลให้เกิดเอกภาพตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การวิเคราะห์จัดทำงบประมาณประจำปีของ ศอ.บต. การประเมินผลการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ การติดตามและจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล งานวิจัย และประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เสนอต่อผู้บริหารระดับสูงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเป็นระยะ (๒) กลุ่มงานยุทธศาสตร์พัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการประสานงานและจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การนำนโยบายของรัฐบาลด้านความมั่นคง นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ลงสู่การปฏิบัติ รวมทั้งประสานให้องค์กรปกครองท้องถิ่นในพื้นที่สนับสนุนงบประมาณและการบริหารงานเพื่อเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๔.๓ สำนักงานบริหารงานยุติธรรม กำหนดให้ตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานเป็นอำนวยการระดับสูง อัตรากำลังรวม ๔๒ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ ๔.๓.๑ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ มี ๒ กลุ่มงาน ดังนี้ (๑) กลุ่มงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ มีหน้าที่รับผิดชอบ - สนับสนุนบทบาทฝ่ายปกครอง ในการอำนวยความเป็นธรรม และส่งเสริมระบบงานยุติธรรม เพื่ออำนวยความเป็นธรรม โดยใช้กลไกคณะกรรมการที่ปรึกษางานรับเรื่องราวร้องทุกข์ เป็นองค์กรหลักในการดำเนินการ - แก้ไขปัญหาสังคมจิตวิทยาในพื้นที่ โดยการรับเรื่องราวร้องเรียน ร้องทุกข์ ทุกประเภททั้งทางด้านเอกสาร เช่น จดหมาย จดหมายอิเลคทรอนิคส์ (E-mail) การร้องเรียนด้วยตนเองของราษฎร การร้องเรียนร้องทุกข์ที่หน่วยงานอื่น ๆ ส่งมาเพื่อพิจารณาดำเนินการ การแจ้งเหตุร้าย หรือร้องเรียน ร้องทุกข์ผ่านระบบข้อความสั้น SMS โดยมุ่งเน้นการดำเนินการต่อการประพฤติปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และการไม่เข้าใจ เข้าถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่ โดยการสืบสวน และติดตามแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการร้องเรียน ร้องทุกข์ พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนกว่าการดำเนินการตามข้อร้องเรียน ร้องทุกข์นั้นเสร็จสิ้นหรือยุติ แจ้งรายงานให้ผู้ร้องทราบ ในการนี้เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติงานไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างสันติสุข ในพื้นที่หรือมีมลทินมัวหมอง ประสานกับสำนักบริหารกลาง ศอ.บต. เพื่อดำเนินมาตรการต่อข้าราชการที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม โดยใช้มาตรการโยกย้ายออกนอกพื้นที่ การเสนอส่วนราชการต้นสังกัดเพื่อดำเนินการทางวินัย รวมทั้งการดำเนินคดีทางอาญาเมื่อมีมูลความผิด (๒) กลุ่มงานให้คำปรึกษาทางกฎหมาย มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดให้มีทนายความ หรือผู้มีความรู้ด้านกฎหมาย คอยให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ประชาชนที่มาประสานขอคำปรึกษา ณ ศอ.บต. ๔.๓.๒ ส่วนงานอำนวยความยุติธรรม มี ๔ กลุ่มงาน ดังนี้ (๑) กลุ่มงานประสานงานยุติธรรม มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานนำแนวทางสันติวิธี/ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และยุติธรรมทางเลือก มาใช้ในการปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการประสานและกำกับดูแลการดำเนินงานในการอำนวยความยุติธรรมตามภารกิจของกระทรวงยุติธรรมกับยุติธรรมจังหวัด เครือข่ายยุติธรรมชุมชน และหน่วยงานในกรอบยุติธรรม เพื่อระงับข้อพิพาทและอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง (๒) กลุ่มงานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย มีหน้าที่รับผิดชอบในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์เหยื่อ พยาน และผู้ได้รับผลกระทบในคดีอาญาและจากเหตุการณ์ความไม่สงบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามกฎหมายและทางราชการกำหนด รวมทั้งการคุ้มครองพยานด้วย (๓) กลุ่มงานคดีพิเศษและติดตามคดี มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันและดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรม การติดตามคดีที่ประชาชนร้องทุกข์/ร้องเรียนหรือได้รับมอบหมายซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ (๔) กลุ่มงานพัฒนาระบบงานยุติธรรม มีหน้าที่รับผิดชอบในการประสานการพัฒนาระบบงานยุติธรรมให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา และวิถีชีวิตของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพัฒนาระบบข้อมูลและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้สามารถสนับสนุนการพัฒนาระบบงานยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔.๔ สำนักพัฒนาบุคลากร กำหนดให้ตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานเป็นอำนวยการระดับสูง อัตรากำลังรวม ๒๑ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๒ กลุ่มงาน คือ (๑) กลุ่มงานยุทธศาสตร์พัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่รับผิดชอบ เกี่ยวกับการอบรมปฐมนิเทศข้าราชการ พนักงานของรัฐ พนักงานส่วนท้องถิ่น พนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่บรรจุมาใหม่เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นรวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่เมื่อเข้ามารับราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งแรก รวมทั้งให้รับรู้และเตรียมตัวรับสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ (๒) กลุ่มงานพัฒนาประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่รับผิดชอบวางแผนพัฒนาบุคลากรภาครัฐและท้องถิ่นรวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีความเข้าใจในยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา แนวคิดสันติวิธีสมานฉันท์และการทำงานบูรณาการร่วมกัน ระหว่างฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจ ผู้ปกครองท้องที่ ผู้นำศาสนา องค์กรภาคเอกชน ๔.๕ สำนักประสานนโยบายสังคมจิตวิทยา กำหนดให้ตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานเป็นอำนวยการระดับสูง อัตรากำลังรวม ๓๔ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๓ กลุ่มงาน คือ (๑) กลุ่มงานวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษา วิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ การพัฒนาความสัมพันธ์และเสริมสร้างความเข้าใจอันดี และขจัดเงื่อนไขความหวาดระแวงระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งส่งเสริมพลังความร่วมมือจากประชาชนในการแจ้งเบาะแสและข่าวสารการก่อความไม่สงบเรียบร้อย งานการข่าวมวลชน (๒) กลุ่มงานประชาสัมพันธ์และพัฒนาสัมพันธ์ มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินการจิตวิทยามวลชนในพื้นที่โดยรูปแบบการสร้างความรู้ความเข้าใจโดยการสร้างทีมประชาสัมพันธ์จิตวิทยาเคลื่อนที่ให้ประชาชนได้เข้าใจภาครัฐ โดยการจัดโครงการบริการประชาชน การดำเนินการสร้างความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนเพื่อความเข้าใจอันดีและถูกต้อง การวางแผนกำหนดรูปแบบ และแผนงานประชาสัมพันธ์ การควบคุม กำกับ ดูแลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโทรทัศน์วิทยุเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจภาครัฐไปในทิศทางที่ถูกต้องและให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ งานผลิตเอกสารเป็นรูปเล่ม เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๓) กลุ่มงานสังคมจิตวิทยามวลชน มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังมวลชนจัดตั้งทั้งในและนอกรูปแบบและประสานการใช้กำลังภาคประชาชน ทุกรูปแบบ ให้มีส่วนร่วมในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของหมู่บ้านชุมชน และสนับสนุนหน่วยงานราชการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชรบ./อรบ./อส./ทสปช. (๔) กลุ่มงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ มีหน้าที่รับผิดชอบช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเยี่ยมเยียนปลอบขวัญและให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง บรรเทาความโกรธแค้น ความกดดัน ตลอดจนสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว ชุมชน เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีระหว่างราชการกับประชาชน ๔.๖ สำนักประสานนโยบายการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม และการกีฬา กำหนดให้ตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานเป็นอำนวยการระดับสูง อัตรากำลังรวม ๒๘ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๓ กลุ่มงาน คือ (๑) กลุ่มงานพัฒนาการศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบ ส่งเสริมและประสานการศึกษา กับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และการศึกษาพิเศษ เน้นการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ และดำเนินงานนโยบายพิเศษที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย (๒) กลุ่มงานศาสนาและวัฒนธรรม มีหน้าที่รับผิดชอบการส่งเสริมและสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องตามหลักศาสนา ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านศาสนาต่าง ๆ ในพื้นที่ ตลอดจนการประสานการดำเนินงานด้านกิจการฮัจญ์กับกรมการศาสนา และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งการประสานการปฏิบัติกับผู้ประกอบการกิจการฮัจญ์ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจญ์ ให้การสนับสนุนการปฐมนิเทศ การอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ร่วมกับกรมการศาสนา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การประสานการดำเนินงานด้านวัฒนธรรมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ และส่งเสริมอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ศิลปินพื้นบ้าน รวมทั้งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศเพื่อนบ้านชายแดนภาคใต้ (๓) กลุ่มงานพัฒนาการกีฬา มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หันมาสนใจในการเล่นกีฬา สนับสนุนให้มีการแข่งขันกีฬาระหว่าง จังหวัดชายแดนภาคใต้ และส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถด้านกีฬา ได้มีการพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศในระดับชาติ ๔.๗ สำนักประสานนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กำหนดให้ตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยงานเป็นอำนวยการระดับสูง อัตรากำลังรวม ๒๘ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๓ กลุ่มงาน คือ (๑) กลุ่มงานประสานการพัฒนาเศรษฐกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมประสานแผนงาน/โครงการและอำนวยความสะดวกตลอดจนช่วยเหลือสนับสนุนในการปฏิบัติงานของหน่วยราชการ/เอกชน ในด้านการส่งเสริมด้านการลงทุนของภาคเอกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) กลุ่มงานประสานการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมประสานการพัฒนาวิสาหกิจ ชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เสริมในการยกฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นภายใต้ปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (๓) กลุ่มงานพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเสริมสร้างสมรรถนะเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนและสตรีให้มีศักยภาพพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง รวมทั้งบูรณาการเร่งรัดการทำงานของหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ การประสานสงเคราะห์ช่วยเหลือ ฟื้นฟูสมรรถภาพ พัฒนา และคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้สูงอายุ สตรี คนไร้ที่พึ่ง ผู้ต้องขัง และผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่น ๆ รวมทั้งเป็นศูนย์ข้อมูลผู้ด้อยโอกาส ทุกประเภทของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของสถาบันครอบครัว การส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ครอบครัวอบอุ่น การดำเนินการต่อกลุ่มเป้าหมายพิเศษ คือ สตรี เยาวชน และเด็กเพื่อการปลูกฝังแนวคิดค่านิยม ที่ถูกต้องตามแนวทางสันติวิธีและสอดคล้องกับเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความรู้ที่ถูกต้อง มีศักยภาพและความมั่นคงในการดำรงชีวิต ให้ครอบครัวมีส่วนในการเฝ้าระวังและเตือนภัยทางสังคม ตลอดจนส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างชาย - หญิง ความเข้มแข็งของครอบครัว ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ ปณตภร/ผู้ตรวจ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๙๕ ง/หน้า ๓๔/๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔
690873
ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ อำนวยความเป็นธรรมและช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2556
ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ อำนวยความเป็นธรรมและช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเสียหายและ ผู้ได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษในด้านเศรษฐกิจ สังคม ศาสนาและวัฒนธรรม อีกทั้งมีสถานการณ์ความไม่สงบ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชนและการพัฒนาของประเทศ และโดยที่พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ กำหนดให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มีอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพอำนวยความเป็นธรรมและช่วยเหลือประชาชน ประกอบกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้กำหนดให้ช่วยเหลือเยียวยา ฟื้นฟู ผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความยั่งยืน ดังนั้น อาศัยอำนาจตามมาตรา ๙ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ อำนวยความเป็นธรรมและช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖” ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ข้อ ๓ ในระเบียบ “ผู้ได้รับความเสียหาย” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกาย หรือจิตใจ หรือทรัพย์สินเนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่นอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ผู้ได้รับผลกระทบ” หมายความว่า ทายาทของผู้ได้รับความเสียหายอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อ ๔ การช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบตามระเบียบนี้ ไม่ตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ผู้นั้นได้รับตามกฎหมายอื่น หรือตามมติคณะรัฐมนตรี ข้อ ๕ การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งการดำเนินงานต่าง ๆ ตามระเบียบนี้ ให้ใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ ศอ.บต. ข้อ ๖ ในการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบนี้ ให้ ศอ.บต. ดำเนินการโดยกำหนดยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ งบประมาณและหน่วยงานในการช่วยเหลือที่เป็นระบบเปิดมีความคล่องตัวในการบูรณาการ ทั้งหน่วยงานของรัฐและภาคประชาสังคม รวมทั้งมีระบบสารสนเทศเพื่อให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล นำไปสู่การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อ ๗ หลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ ให้ดำเนินการช่วยเหลือสิ่งของหรือจ่ายเป็นเงิน โดยคำนึงถึงสภาพและเหตุการณ์ตามความเหมาะสม ดังนี้ (๑) ค่าช่วยเหลือในการรักษาพยาบาล รวมทั้งการส่งต่อเพื่อฟื้นฟูผู้พิการหรือฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ และการติดตามเยี่ยมเยียน ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงด้านการรักษาพยาบาล (๒) ค่าจัดการศพผู้เสียชีวิต (๓) ค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัย (๔) ค่าการประกอบอาชีพ (๕) ค่าช่วยเหลือการขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ อัตราค่าช่วยเหลือ ตาม (๑) - (๕) ให้เป็นไปตามรายการท้ายระเบียบนี้ ข้อ ๘ กรณีที่มีเหตุผลจำเป็นต้องช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามระเบียบนี้ ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการ ศอ.บต. ข้อ ๙ ให้เลขาธิการ ศอ.บต. มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างน้อยต้องประกอบด้วย ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ด้านการศาสนาหรือสังคมสงเคราะห์ และด้านประชาสังคมที่มีประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์หรือผู้ที่เลขาธิการ ศอ.บต. มอบหมาย เพื่อดำเนินการตามระเบียบนี้ตามสมควร โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือการทำงานของคณะกรรมการ ค่าตอบแทนของคณะกรรมการ หรืออนุกรรมการให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ ๑๐ ในกรณีที่ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้ได้รับผลกระทบ ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ หรืออนุกรรมการ ให้มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อเลขาธิการ ศอ.บต. ภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของเลขาธิการ ศอ.บต. ให้เป็นที่สุด ข้อ ๑๑ ในการดำเนินการตามระเบียบนี้ ให้ ศอ.บต. จัดทำข้อสรุปผลการดำเนินการปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบเสนอต่อ กพต. ทุกปี ข้อ ๑๒ ให้เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ [เอกสารแนบท้าย] ๑. รายการท้ายระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ อำนวยความเป็นธรรมและช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ โชติกานต์/ผู้ตรวจ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๐๒ ง/หน้า ๑/๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
664843
ระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555
ระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ จากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕[๑] โดยที่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเชื่อมโยงสัมพันธ์กับต่างประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งมีสถานการณ์ความไม่สงบซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชน และการพัฒนาของประเทศและโดยที่พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ กำหนดให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มีอำนาจหน้าที่ให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้กำหนด ดังนั้น เพื่อให้ผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบได้รับความช่วยเหลือเยียวยาตามยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๙ (๗) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ วางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕” ข้อ ๒ ระเบียบนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป และให้นำระเบียบนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ข้อ ๓ ในระเบียบนี้ “ผู้ได้รับความเสียหาย” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต หรือร่างกาย หรือจิตใจ การบังคับบุคคลให้สูญหาย รวมถึงทรัพย์สินจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ผู้ได้รับผลกระทบ” หมายความว่า ทายาทของผู้เสียหาย หรือบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ผู้ทุพพลภาพ” หมายความว่า การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะ หรือของร่างกาย หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจจนไม่สามารถทำงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการแพทย์กำหนด “ทายาท” หมายความว่า ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” หมายความว่า การจับกุม คุมขัง ลักพา หรือกระทำการด้วยประการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นการลิดรอนเสรีภาพในร่างกายซึ่งมีมูลน่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับคำสั่งไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายจากหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีลักษณะปกปิดชะตากรรมหรือที่อยู่ของบุคคลนั้นจนเป็นเหตุให้สิทธิตามกฎหมายไม่ได้รับการคุ้มครอง “จังหวัดชายแดนภาคใต้” หมายความว่า จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ “ศอ.บต.” หมายถึง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “เลขาธิการ” หมายถึง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อ ๔ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบตามระเบียบนี้ไม่ตัดสิทธิประโยชน์ที่ผู้นั้นได้รับตามกฎหมายอื่น หรือตามมติคณะรัฐมนตรี ข้อ ๕ การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งการดำเนินงานต่าง ๆ ตามระเบียบนี้ ให้ใช้เงินจากกองทุนสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อ ๖ ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบนี้ ให้ ศอ.บต. ดำเนินการให้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ งบประมาณและหน่วยงานในการช่วยเหลือเยียวยาที่เป็นระบบเปิด มีความคล่องตัวในการบูรณาการทั้งหน่วยงานของรัฐและภาคประชาสังคม รวมทั้งมีระบบสารสนเทศ เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยา มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล นำไปสู่การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อ ๗ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ หมายถึง (๑) ค่าช่วยเหลือเยียวยาในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย หรือผู้ทุพพลภาพ (๒) ค่าช่วยเหลือเยียวยากรณีการบังคับบุคคลให้สูญหาย (๓) ค่าช่วยเหลือเยียวยาในการรักษาพยาบาล รวมทั้งการส่งต่อเพื่อฟื้นฟูผู้พิการ หรือฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ และการติดตามเยี่ยมเยียน (๔) ค่าช่วยเหลือเยียวยาการขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (๕) ค่าช่วยเหลือเยียวยาแก่บุคคล ผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ต้องขัง กรณีผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวหรือผู้ถูกคุมขัง ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และผลการดำเนินงานพบว่าเจ้าพนักงาน ปล่อยตัวโดยไม่มีความผิด หรือพนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง หรือพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้อง (๖) ค่าช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ทางด้านกฎหมาย การฟ้องร้อง การดำเนินคดี หรือการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมีดังต่อไปนี้ ก. ค่าใช้จ่ายในการวางเงินประกันการปล่อยตัวชั่วคราว ข. ค่าใช้จ่ายในการจ้างทนายความว่าความในคดี ค. ค่าใช้จ่ายในการชำระค่าธรรมเนียมขึ้นศาล และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ง. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน หรือการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หรือการตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงอื่น ๆ จ. ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงความเป็นธรรม ได้แก่ค่าใช้จ่ายทั้งปวงที่เกิดขึ้นเพื่อการขอความเป็นธรรม อาทิ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าที่พัก ค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นและเหมาะสม ฉ. ค่าใช้จ่ายเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือให้ได้รับความปลอดภัยจากการก่ออาชญากรรม หรือการป้องกันการถูกปองร้ายเพราะได้ร้องขอความเป็นธรรม หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ หรือเพราะได้แจ้งข้อมูลข่าวสาร หรือช่วยเหลือปกป้องสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้เสียหาย หรือผู้ได้รับผลกระทบ (๗) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกิดจากการกระทำผิดทางอาญา การกระทำโดยมิชอบทางการปกครองหรือการละเมิดที่มีผลกระทบอื่นต่อการประกอบอาชีพด้านการศึกษาหรือการดำรงชีวิตอื่น รวมถึง ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องให้การเยียวยาเป็นการเฉพาะหรือต้องเยียวยาทางจิตใจหรือจิตวิญญาณ อาทิ ค่าใช้จ่ายให้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียหรือประกอบศาสนกิจตามหลักศาสนา (๘) ค่าช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายด้านทรัพย์สิน (๙) ค่าช่วยเหลือเยียวยาอื่น ๆ ตามที่ กพต. กำหนด อัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาตาม (๑) - (๘) ให้เป็นไปตามรายการท้ายของ กพต. ข้อ ๘ ให้เลขาธิการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการ หรืออนุกรรมการ เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ คณะกรรมการ หรืออนุกรรมการ อย่างน้อยต้องประกอบด้วย ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ด้านศาสนาหรือสังคมสงเคราะห์หรือสิทธิมนุษยชน และด้านประชาสังคมที่มีประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ ด้านละหนึ่งคน ค่าตอบแทนของคณะกรรมการ หรืออนุกรรมการให้เป็นไปตามระเบียบที่ กพต. กำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ข้อ ๙ ในกรณีที่ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้ได้รับผลกระทบ ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ หรืออนุกรรมการ ให้มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อเลขาธิการภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของเลขาธิการให้เป็นที่สุด การยื่นอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้ยื่น ณ ที่ทำการ ศอ.บต. หรือที่ทำการปกครองจังหวัด หรือที่ทำการปกครองอำเภอ หรือที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ต่อเลขาธิการตามวรรคหนึ่งแล้ว การพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นไปตามแนวทางที่เลขาธิการกำหนด ข้อ ๑๐ ให้จัดตั้งกองทุนสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับโอนจากสำนักนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยรายรับของกองทุนได้มาจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากเงินงบประมาณแผ่นดิน เงินอุดหนุนและเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ โดยไม่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์หรือเงื่อนไขของกองทุน หรือเงินอื่นที่กองทุนได้รับโดยชอบไม่ว่ากรณีใดตามระเบียบกองทุน ในระหว่างที่กองทุนยังไม่แล้วเสร็จให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีจากงบเงินอุดหนุนไปพลางก่อน ข้อ ๑๑ ในการดำเนินการตามระเบียบนี้ ให้ ศอ.บต. จัดทำข้อสรุปผลการดำเนินการปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบเสนอต่อ กพต. ทุกปี ข้อ ๑๒ ให้เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ ประธานกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ [เอกสารแนบท้าย] ๑. รายการท้ายคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยอัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ปณตภร/ผู้ตรวจ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๕๑ ง/หน้า ๕/๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
644777
ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่น พ.ศ. 2554
ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิก สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่น พ.ศ. ๒๕๕๔ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ศอ.บต. โดยความเห็นชอบของ กพต. จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่น พ.ศ. ๒๕๕๔” ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในระเบียบนี้ “การคัดเลือก” หมายความว่า การเลือกกันเองหรือเลือกบุคคลอื่นเป็นผู้แทนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ “สมาชิกสภาที่ปรึกษา” หมายความว่า สมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือเลขาธิการแต่งตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการคัดเลือก “ผู้มีสิทธิคัดเลือก” หมายความว่า ผู้มีสิทธิในการคัดเลือก “ผู้สมัคร” หมายความว่า ผู้มีสิทธิคัดเลือกซึ่งสมัครเข้ารับการคัดเลือก ข้อ ๔ ให้เลขาธิการรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจตีความ วินิจฉัยปัญหา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ หมวด ๑ หลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาที่ปรึกษา ส่วนที่ ๑ การคัดเลือกผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อ ๕ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ในวันลงคะแนนเป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ข้อ ๖ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่างลงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการคัดเลือกโดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง ข้อ ๗ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือกตามแบบ สปต. ๒ ประกาศการสมัครตามแบบ สปต. ๓ และประกาศกำหนดวัน เวลา และสถานที่ลงคะแนนตามแบบ สปต. ๔ และปิดไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด และสถานที่อื่นที่เห็นสมควรภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขาธิการ ข้อ ๘ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการมีจำนวนไม่เกินเจ็ดคนเพื่อทำหน้าที่ดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบนี้และตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย ข้อ ๙ การประชุมและการวินิจฉัยของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการที่มีอยู่ แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามคนจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่มาปฏิบัติหน้าที่หรือมาแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่เหลืออยู่เลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นไปตามเสียงข้างมากของกรรมการที่อยู่ในที่ประชุม ถ้าจำนวนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด ข้อ ๑๐ ผู้มีสิทธิลงคะแนนต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือก ข้อ ๑๑ ผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้ใดเห็นว่าบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือกไม่ถูกต้อง ให้มีสิทธิยื่นคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนวันลงคะแนนไม่น้อยกว่าสามวัน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ในกรณีสั่งยกคำร้องต้องแจ้งให้ผู้ยื่นคำร้องทราบพร้อมเหตุผลก่อนวันลงคะแนนด้วย ข้อ ๑๒ ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามสำหรับสมาชิกสภาที่ปรึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือก ผู้สมัครให้มีสิทธิสมัครสำหรับการคัดเลือกสมาชิกสภาที่ปรึกษาเพียงประเภทเดียว ข้อ ๑๓ ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครตามแบบ สปต. ๓/๑ ด้วยตนเองต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตามระยะเวลาและสถานที่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศกำหนด พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งรับรองความถูกต้อง ข้อ ๑๔ เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับใบสมัครของผู้สมัครรายใดแล้ว หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือก ให้ออกใบรับใบสมัครแก่ผู้สมัครรายนั้น ข้อ ๑๕ ให้กำหนดหมายเลขผู้สมัครเรียงตามลำดับก่อนหลังในการมายื่นใบสมัคร ถ้ามีผู้สมัครมาพร้อมกันหลายคนและไม่อาจตกลงกันได้ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างผู้สมัครที่มาพร้อมกันตามวิธีการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด ในกรณีที่ผู้สมัครมาถึงสถานที่รับสมัครและได้ลงชื่อแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ก่อนเวลา ๐๘.๓๐ นาฬิกา ให้ถือว่ามาพร้อมกัน เมื่อกำหนดหมายเลขผู้สมัครแล้ว หากมีเหตุให้ผู้สมัครรายใดเป็นผู้ไม่มีสิทธิสมัคร ให้คงลำดับหมายเลขผู้สมัครทุกรายไว้ โดยไม่ต้องเลื่อนลำดับหมายเลขผู้สมัคร ข้อ ๑๖ เมื่อเสร็จสิ้นการรับสมัคร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัครตามแบบ สปต. ๓/๒ และปิดไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด และสถานที่อื่นที่เห็นสมควร เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศรายชื่อผู้สมัครแล้ว ผู้สมัครจะถอนการสมัครมิได้ ผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครซึ่งต่อมาได้พ้นจากตำแหน่งตามข้อ ๕ หรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสำหรับสมาชิกสภาที่ปรึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ย่อมไม่มีสิทธิสมัครหรือได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อ ๑๗ เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัครตามแบบ สปต. ๓/๒ แล้ว ในกรณีที่มีผู้สมัครคนเดียว ผู้สมัครจะได้รับคัดเลือกต่อเมื่อได้คะแนนคัดเลือกไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิคัดเลือก ในกรณีที่ผู้สมัครได้คะแนนคัดเลือกน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิคัดเลือก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการคัดเลือกใหม่ ในกรณีที่ไม่มีผู้สมัครหรือกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามสำหรับสมาชิกสภาที่ปรึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสิทธิสมัครในการคัดเลือกใหม่ ข้อ ๑๘ ผู้สมัครผู้ใดไม่มีชื่อในประกาศตามข้อ ๑๖ ให้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภายในสามวันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อผู้สมัคร ในการนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คำวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นที่สุด ข้อ ๑๙ ผู้มีสิทธิคัดเลือกที่เห็นว่าผู้สมัครรายใดไม่มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือกมีสิทธิยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนวันลงคะแนนไม่น้อยกว่าเจ็ดวันเพื่อให้ถอนชื่อผู้ไม่มีสิทธิสมัครรายนั้น และให้นำความในข้อ ๑๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อ ๒๐ ให้เปิดการลงคะแนนตามระยะเวลาและสถานที่ลงคะแนนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนดในประกาศตามข้อ ๗ ซึ่งต้องคำนึงถึงจำนวนผู้มีสิทธิคัดเลือกและความสะดวกในการเดินทางมายังสถานที่ลงคะแนนด้วย เมื่อถึงเวลาเริ่มต้นการลงคะแนน ให้คณะกรรมการนำหีบบัตรมาแสดงให้ผู้มีสิทธิคัดเลือกซึ่งอยู่ ณ สถานที่ลงคะแนนเห็นว่าเป็นหีบเปล่า เสร็จแล้วให้ปิดหีบบัตร ในกรณีหีบบัตรเป็นหีบกระดาษให้ปิดเทปกาวผนึกรอยต่อภายนอกหีบบัตร และใส่กุญแจหรืออุปกรณ์อื่นแทนกุญแจ เสร็จแล้วเปิดช่องหย่อนบัตรลงคะแนน แล้วจึงเริ่มดำเนินการลงคะแนนต่อไป ข้อ ๒๑ การใช้สิทธิลงคะแนน ให้ผู้มีสิทธิคัดเลือกที่ประสงค์จะลงคะแนนแสดงตนต่อกรรมการ โดยแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าคณะกรรมการเห็นว่าถูกต้อง ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนนั้นลงชื่อและรับบัตรลงคะแนนไปลงคะแนน ในกรณีที่ผู้มีสิทธิลงคะแนนไม่สามารถลงคะแนนด้วยตนเองได้ ให้กรรมการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกได้ตามที่เห็นสมควร ข้อ ๒๒ บัตรลงคะแนนให้เป็นไปตามแบบพิมพ์ท้ายระเบียบนี้ ในกรณีที่มีหมายเลขผู้สมัครเกินสามสิบเลขหมาย ให้เพิ่มหมายเลขผู้สมัครในตอนต่อ ๆ ไป ตอนละไม่เกินสามสิบเลขหมาย ข้อ ๒๓ ในกรณีมีผู้ทักท้วงหรือกรรมการสงสัยว่าผู้มาแสดงตนไม่ใช่ผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือกในแบบ สปต. ๒ ให้คณะกรรมการสอบสวน วินิจฉัย และบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ข้อ ๒๔ การลงคะแนน ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนทำเครื่องหมายกากบาท (x) ลงในช่องทำเครื่องหมายให้ตรงกับหมายเลขผู้สมัครที่ต้องการเลือกเพียงหมายเลขเดียว ข้อ ๒๕ การนับคะแนน ให้กระทำ ณ สถานที่ลงคะแนน เมื่อปิดการลงคะแนนแล้วให้เปิดหีบบัตร และให้นับคะแนนโดยเปิดเผยต่อเนื่องจนแล้วเสร็จ ห้ามมิให้เลื่อนหรือประวิงเวลา เว้นแต่มีเหตุตามข้อ ๒๗ ข้อ ๒๖ บัตรลงคะแนนที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นบัตรเสีย (๑) บัตรปลอม (๒) บัตรที่มิได้ทำเครื่องหมายลงคะแนน (๓) บัตรที่ไม่อาจทราบได้ว่าลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรายใด (๔) บัตรที่ทำเครื่องหมายอื่นนอกจากเครื่องหมายกากบาท (๕) บัตรที่ทำเครื่องหมายลงคะแนนนอก “ช่องทำเครื่องหมาย” (๖) บัตรที่มีเครื่องสังเกต หรือข้อความอื่นใดนอกจากที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ข้อ ๒๗ ในวันลงคะแนน ถ้าการลงคะแนนหรือการนับคะแนนไม่สามารถกระทำได้อันเนื่องมาจากเกิดสาธารณภัย เหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอย่างอื่นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ให้คณะกรรมการประกาศงดการลงคะแนนหรือการนับคะแนนตามแบบ สปต. ๖ แล้วรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อรายงานให้เลขาธิการทราบโดยด่วน ข้อ ๒๘ เมื่อเสร็จสิ้นการนับคะแนน ให้คณะกรรมการตรวจสอบความถูกต้องของการนับคะแนน และประกาศผลคะแนนตามแบบ สปต. ๕ ปิดไว้ ณ สถานที่ลงคะแนน แล้วรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ข้อ ๒๙ เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดรวมคะแนนเสร็จสิ้นแล้ว หากมีผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคนได้รับคะแนนสูงสุดเท่ากัน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนเท่ากันนั้นจับสลากตามวิธีการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นสมควร และประกาศผลการคัดเลือกให้ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดหรือผู้ที่จับสลากได้ข้อความว่า “ได้รับคัดเลือก” หรือผู้สมัครคนเดียวตามข้อ ๑๗ เป็นผู้ได้รับคัดเลือกตามแบบ สปต. ๗ ปิดไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด และสถานที่อื่นที่เห็นสมควร และรายงานต่อเลขาธิการ ข้อ ๓๐ ผู้ใดเห็นว่าการคัดเลือกเป็นไปโดยไม่ชอบ ให้ทำคำร้องคัดค้านเป็นหนังสือยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างช้าภายในสามวันนับแต่วันประกาศผลการคัดเลือก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยและดำเนินการตามที่เห็นสมควร คำวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นที่สุด ข้อ ๓๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำลายบัตรลงคะแนนและเอกสารที่เก็บอยู่ในหีบบัตรได้ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาคัดค้านการคัดเลือกตามข้อ ๓๐ แล้วไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ในกรณีที่มีการคัดค้านการคัดเลือกหรือฟ้องคดี ให้เก็บรักษาหีบบัตรไว้จนกว่าจะถึงที่สุด ส่วนที่ ๒ การคัดเลือกผู้แทนกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ข้อ ๓๒ ผู้ดำรงตำแหน่งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านในวันลงคะแนนเป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนกำนันและผู้ใหญ่บ้านเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ข้อ ๓๓ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนกำนันและผู้ใหญ่บ้านว่างลง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการคัดเลือกโดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๓ การคัดเลือกผู้แทนกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและอิหม่ามประจำมัสยิด ข้อ ๓๔ ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหรืออิหม่ามประจำมัสยิดที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามในวันลงคะแนนเป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและอิหม่ามประจำมัสยิดเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา อิหม่ามประจำมัสยิดที่ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ให้มีชื่อในบัญชีรายชื่อเพียงชื่อเดียว ข้อ ๓๕ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและอิหม่ามประจำมัสยิดว่างลง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการคัดเลือกโดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๔ การคัดเลือกผู้แทนเจ้าอาวาส ข้อ ๓๖ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ในเขตจังหวัดในวันลงคะแนนเป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนเจ้าอาวาสเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ข้อ ๓๗ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนเจ้าอาวาสว่างลง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการประชุมผู้มีสิทธิคัดเลือกตามข้อ ๓๖ เพื่อให้มีการคัดเลือกเจ้าอาวาสรูปหนึ่งเป็นผู้แทนของเจ้าอาวาสของจังหวัดภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง เมื่อถึงกำหนดเวลาประชุม ไม่ว่าจะมีผู้มีสิทธิคัดเลือกเข้าประชุมจำนวนเท่าใด ให้ถือเป็นองค์ประชุม การคัดเลือกและการลงมติให้เป็นตามที่ที่ประชุมกำหนด ในกรณีไม่อาจเลือกเจ้าอาวาส ที่ประชุมจะเลือกภิกษุหรือบุคคลอื่นเป็นผู้แทนของเจ้าอาวาสก็ได้ ส่วนที่ ๕ การคัดเลือกผู้แทนศาสนาอื่น ข้อ ๓๘ ผู้ที่เป็นผู้ปกครองดูแลศาสนสถานของศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ศาสนาซิกข์ หรือศาสนาอื่น ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนตามระเบียบกรมศาสนา ว่าด้วยองค์การศาสนาต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๑๒ ในวันลงคะแนนเป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนศาสนาอื่นเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ข้อ ๓๙ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนศาสนาอื่นว่างลง ให้เลขาธิการจัดให้มีการคัดเลือกภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง ข้อ ๔๐ ให้เลขาธิการประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือกตามข้อ ๓๙ ตามแบบ สปต. ๒ และปิดไว้ ณ สถานที่ที่เห็นสมควรก่อนวันเลือกกันเองตามข้อ ๔๑ ไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ข้อ ๔๑ ให้เลขาธิการเรียกประชุมผู้มีสิทธิคัดเลือกเพื่อให้มีการเลือกกันเอง เมื่อถึงกำหนดเวลาประชุมไม่ว่าจะมีผู้มีสิทธิคัดเลือกเข้าประชุมจำนวนเท่าใด ให้ถือเป็นองค์ประชุม การคัดเลือกและการลงมติให้เป็นตามที่ที่ประชุมกำหนด ส่วนที่ ๖ การคัดเลือกผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ข้อ ๔๒ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ว่างลง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศตามแบบ สปต. ๑ ให้ผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่ประสงค์จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษามาลงทะเบียน ตามระยะเวลาและสถานที่ที่กำหนด ผู้มีสิทธิลงทะเบียนตามวรรคหนึ่งจะต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรภาคเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่และได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่ามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในด้านใดด้านหนึ่งมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี แบบลงทะเบียนและหนังสือรับรอง ให้เป็นไปตามแบบ สปต. ๑/๑ และแบบ สปต. ๑/๒ ตามลำดับ ข้อ ๔๓ ผู้ลงทะเบียนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบแล้วเห็นว่าเป็นบุคคลตามข้อ ๔๒ เป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่เพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือกตามวรรคหนึ่งตามแบบ สปต. ๒ และปิดไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด และสถานที่อื่นที่เห็นสมควรก่อนวันรับสมัคร ข้อ ๔๔ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการคัดเลือกผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่โดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง โดยให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๗ การคัดเลือกผู้แทนผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา ข้อ ๔๕ ผู้ที่เป็นผู้สอนหรือบุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติในวันลงคะแนน เป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ข้อ ๔๖ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาว่างลง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการคัดเลือกผู้แทนผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา โดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๘ การคัดเลือกผู้แทนสถาบันศึกษาปอเนาะ ข้อ ๔๗ ผู้ที่เป็นโต๊ะครูตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะในวันลงคะแนนเป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนสถาบันศึกษาปอเนาะเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ข้อ ๔๘ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนสถาบันศึกษาปอเนาะว่างลงให้เลขาธิการจัดให้มีการคัดเลือกโดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๙ การคัดเลือกผู้แทนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ข้อ ๔๙ ผู้ที่เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนในวันลงคะแนนเป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ข้อ ๕๐ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาว่างลง ให้เลขาธิการจัดให้มีการคัดเลือกโดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๑๐ การคัดเลือกผู้แทนกลุ่มสตรี ข้อ ๕๑ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนกลุ่มสตรีว่างลง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศตามแบบ สปต. ๑ ให้ผู้แทนกลุ่มสตรีที่ประสงค์จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษามาลงทะเบียนตามระยะเวลาและสถานที่ที่กำหนด สตรีที่เป็นประธานหรือหัวหน้ากลุ่มสตรีซึ่งมีการจัดตั้งและดำเนินกิจกรรมอยู่ในจังหวัดและมีจำนวนสมาชิกไม่น้อยกว่ายี่สิบคน ซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายหรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรภาคเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกิจการสตรีและได้จดทะเบียนตามกฎหมาย มีสิทธิลงทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิลงทะเบียนตามวรรคหนึ่งจะต้องแสดงหลักฐานการจดทะเบียนหรือหนังสือรับรองจากหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรภาคเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกิจการสตรีและได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แบบลงทะเบียนและหนังสือรับรอง ให้เป็นไปตามแบบ สปต. ๑/๓ และแบบ สปต. ๑/๔ ตามลำดับ ข้อ ๕๒ ผู้ลงทะเบียนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบแล้วเห็นว่าเป็นบุคคลตามข้อ ๕๒ เป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนกลุ่มสตรีเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือกตามวรรคหนึ่งตามแบบ สปต. ๒ และปิดไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด และสถานที่อื่นที่เห็นสมควรก่อนวันรับสมัคร ข้อ ๕๓ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการคัดเลือกผู้แทนกลุ่มสตรีโดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ส่วนที่ ๑๑ การคัดเลือกผู้แทนหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ข้อ ๕๔ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดว่างลง ให้เลขาธิการแจ้งให้หอการค้าจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดจัดให้มีการประชุมสมาชิกสามัญของแต่ละหน่วยเพื่อเลือกบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีในด้านเศรษฐกิจ พาณิชย์ อุตสาหกรรม แรงงาน และเกษตรกรรม ด้านละหนึ่งคน และส่งรายชื่อบุคคลที่ได้รับเลือกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขาธิการ ผู้ที่ได้รับเลือกตามวรรคหนึ่งจะเป็นสมาชิกหรือไม่เป็นสมาชิกของหอการค้าจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดก็ได้ ข้อ ๕๕ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดให้มีการประชุมผู้ที่ได้รับเลือกตามข้อ ๕๔ เพื่อให้มีการคัดเลือกให้ได้ผู้แทนของจังหวัดภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับรายชื่อ การคัดเลือกและการลงมติให้เป็นไปตามมติที่ประชุม ส่วนที่ ๑๒ การคัดเลือกผู้แทนสื่อมวลชน ข้อ ๕๖ เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาประเภทผู้แทนสื่อมวลชนว่างลง ให้เลขาธิการประกาศตามแบบ สปต. ๑ ให้ผู้ประกอบอาชีพในกิจการหนังสือพิมพ์ กิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันลงคะแนนที่ประสงค์จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนสื่อมวลชนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษามาลงทะเบียนตามกำหนดระยะเวลาและสถานที่ที่กำหนด ผู้มีสิทธิลงทะเบียนตามวรรคหนึ่งจะต้องเป็นสมาชิกสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกิจการหนังสือพิมพ์ กิจการกระจายเสียง หรือกิจการโทรทัศน์ และต้องแสดงหลักฐานการเป็นสมาชิกสมาคมดังกล่าวในการลงทะเบียนด้วย แบบลงทะเบียน ให้เป็นไปตามแบบ สปต. ๑/๕ ข้อ ๕๗ ผู้ลงทะเบียนที่เลขาธิการตรวจสอบแล้วเห็นว่าเป็นบุคคลตามข้อ ๕๖ เป็นผู้มีสิทธิคัดเลือกผู้แทนสื่อมวลชนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา ให้เลขาธิการประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือกตามวรรคหนึ่งตามแบบ สปต. ๒ และปิดไว้ ณ สถานที่ที่เห็นสมควรก่อนวันรับสมัคร ข้อ ๕๘ ให้เลขาธิการจัดให้มีการคัดเลือกผู้แทนสื่อมวลชนโดยวิธีลงคะแนนลับภายในกำหนดเวลาสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้นำความในส่วนที่ ๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม หมวด ๒ ค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่น ข้อ ๕๙ ประธานสภาและสมาชิกสภาที่ปรึกษาให้ได้รับค่าตอบแทนสำหรับการประชุมแบบเหมาจ่ายเป็นรายเดือนดังนี้ (๑) ประธานสภา เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท (๒) รองประธานสภาและเลขานุการสภาที่ปรึกษา เดือนละ ๙,๐๐๐ บาท (๓) สมาชิกสภาที่ปรึกษา เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท ในกรณีที่เดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ประธานสภา รองประธานสภา เลขานุการสภาที่ปรึกษา หรือสมาชิกสภาที่ปรึกษาผู้ใดไม่เคยเข้าประชุมในการประชุมทุกครั้งของเดือนนั้นให้งดจ่ายค่าตอบแทน ข้อ ๖๐ ให้สมาชิกสภาที่ปรึกษามีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาประชุมตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเทียบเท่าข้าราชการพลเรือนตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับต้น ข้อ ๖๑ ค่าอาหารกลางวัน ค่าอาหารว่าง และค่าเครื่องดื่มในการประชุมสภาที่ปรึกษาและการประชุมคณะกรรมการหรือคณะทำงานที่สภาที่ปรึกษาแต่งตั้งเพื่อช่วยเหลือหรือปฏิบัติงานให้เป็นไปตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด หมวด ๓ แบบพิมพ์ที่ใช้ในการคัดเลือก ข้อ ๖๒ แบบพิมพ์ที่ใช้ในการคัดเลือก มีดังนี้ (๑) สปต. ๑ ประกาศการลงทะเบียนผู้ประสงค์จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา (๒) สปต. ๑/๑ แบบลงทะเบียนผู้ประสงค์จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคมภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ตามมาตรา ๑๙ (๔) (๓) สปต. ๑/๒ หนังสือรับรองผลงานผู้ลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจด้านการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ตามมาตรา ๑๙ (๔) (๔) สปต. ๑/๓ แบบลงทะเบียนผู้จะใช้สิทธิเลือกผู้แทนกลุ่มสตรีตามมาตรา ๑๙ (๖) (๕) สปต. ๑/๔ หนังสือรับรองผู้ลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนกลุ่มสตรีตามมาตรา ๑๙ (๖) (๖) สปต. ๑/๕ แบบลงทะเบียนผู้จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนสื่อมวลชนตามมาตรา ๑๙ (๘) (๗) สปต. ๒ ประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือก (๘) สปต. ๓ ประกาศการสมัครเข้ารับการคัดเลือก (๙) สปต. ๓/๑ ใบสมัครเข้ารับการคัดเลือก (๑๐) สปต. ๓/๒ ประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือก (๑๑) สปต. ๔ ประกาศการลงคะแนนคัดเลือกผู้แทนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา (๑๒) สปต. ๕ ผลการนับคะแนน (๑๓) สปต. ๖ ประกาศคณะกรรมการ เรื่อง งดการลงคะแนน/นับคะแนน (๑๔) สปต. ๗ ประกาศผลการคัดเลือก (๑๕) บัตรลงคะแนน หมวด ๔ บทเฉพาะกาล ข้อ ๖๓ ในวาระเริ่มแรก ให้จัดให้มีการคัดเลือกโดยนำความในหมวด ๑ และหมวด ๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ [เอกสารแนบท้าย] ๑. ประกาศการลงทะเบียนผู้ประสงค์จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา (สปต. ๑) ๒. แบบลงทะเบียนผู้ประสงค์จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคมภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ตามมาตรา ๑๙ (๔) (สปต. ๑/๑) ๓. หนังสือรับรองผลงานผู้ลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจด้านการพัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ตามมาตรา ๑๙ (๔) (สปต. ๑/๒) ๔. แบบลงทะเบียนผู้จะใช้สิทธิเลือกผู้แทนกลุ่มสตรีตามมาตรา ๑๙ (๖) (สปต. ๑/๓) ๕. หนังสือรับรองผู้ลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนกลุ่มสตรีตามมาตรา ๑๙ (๖) (สปต. ๑/๔) ๖. แบบลงทะเบียนผู้จะใช้สิทธิคัดเลือกผู้แทนสื่อมวลชนตามมาตรา ๑๙ (๘) (สปต. ๑/๕) ๗. ประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิคัดเลือก (สปต. ๒) ๘. ประกาศการสมัครเข้ารับการคัดเลือก (สปต. ๓) ๙. ใบสมัครเข้ารับการคัดเลือก (สปต. ๓/๑) ๑๐. ประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือก (สปต. ๓/๒) ๑๑. ประกาศการลงคะแนนคัดเลือกผู้แทนเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา (สปต. ๔) ๑๒. ผลการนับคะแนน (สปต. ๕) ๑๓. ประกาศคณะกรรมการ เรื่อง งดการลงคะแนน/นับคะแนน (สปต. ๖) ๑๔. ประกาศผลการคัดเลือก (สปต. ๗) ๑๕. บัตรลงคะแนน (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณัฐวดี/ตรวจ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๒๑ ง/หน้า ๑/๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
832744
พระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2550 (ฉบับ Update ล่าสุด)
พระราชบัญญัติ การบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “สถาบันอุดมศึกษา”[๒] หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงอื่นที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา แต่ไม่รวมถึงสถานศึกษาของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ “สภาสถาบันอุดมศึกษา” หมายความว่า สภามหาวิทยาลัยหรือสภาสถาบันอุดมศึกษา แล้วแต่กรณี ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษานั้น “ส่วนราชการ” หมายความว่า คณะ สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ทั้งนี้ ที่ได้รับการจัดตั้งให้เป็นส่วนราชการในสถาบันอุดมศึกษา “ส่วนงานภายใน” หมายความว่า คณะ สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือส่วนงานภายในที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ทั้งนี้ ที่ได้รับการจัดตั้งให้เป็นส่วนงานภายในและมิใช่ส่วนราชการ มาตรา ๔ นอกจากการตั้งส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาแล้ว เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินภารกิจตามวัตถุประสงค์ของสถาบันอุดมศึกษา สภาสถาบันอุดมศึกษาอาจมีมติให้จัดตั้งส่วนงานภายในที่ดำเนินงานจากรายได้ของสถาบันอุดมศึกษาได้ โดยทำเป็นประกาศของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อประโยชน์ในการรักษามาตรฐานและคุณภาพในการจัดตั้งส่วนงานภายในคณะกรรมการการอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขให้สภาสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติก็ได้[๓] มาตรา ๕ การบริหารและการดำเนินงานของส่วนงานภายในที่จัดตั้งตามมาตรา ๔ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษา มาตรา ๖ ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษากำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการมีสิทธิหรือหน้าที่อย่างใด ให้หัวหน้าส่วนงานภายในมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกัน เว้นแต่ข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษาที่ออกตามมาตรา ๕ จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มาตรา ๗ ให้บรรดาคณะ สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือส่วนงานภายในที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะที่สภาสถาบันอุดมศึกษาได้อนุมัติให้จัดตั้งขึ้นเป็นส่วนงานภายในหรือเป็นส่วนงานในกำกับของสถาบันอุดมศึกษาอยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘[๔] ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายภาครัฐโดยให้ระงับหรือชะลอการจัดตั้งส่วนราชการใหม่ที่มีผลเป็นการเพิ่มงบประมาณหรืออัตรากำลังข้าราชการ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการมีความจำเป็นต้องผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้ทันต่อความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของสังคมสมควรให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการจัดตั้งส่วนงานภายในที่มีฐานะเทียบเท่าคณะเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ จะต้องมีความพร้อมด้านบุคลากรและสามารถดำเนินงานจากรายได้ของสถาบันอุดมศึกษานั้นเอง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒[๕] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้การบริหารส่วนงานภายในสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปัทมา/แก้ไข วศิน/ตรวจ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓ ภัทรวีร์/ปรับปรุง ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ วิวรรธน์/เพิ่มเติม ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ พิวัฒน์/วิชพงษ์/ตรวจ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๖๑ ก/หน้า ๕/๒๗ กันยายน ๒๕๕๐ [๒] มาตรา ๓ นิยามคำว่า “สถาบันอุดมศึกษา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๓] มาตรา ๔ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๔] มาตรา ๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๗ ก/หน้า ๙๙/๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒
832180
พระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
พระราชบัญญัติ การบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “สถาบันอุดมศึกษา” ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน ““สถาบันอุดมศึกษา” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงอื่นที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา แต่ไม่รวมถึงสถานศึกษาของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ” มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “เพื่อประโยชน์ในการรักษามาตรฐานและคุณภาพในการจัดตั้งส่วนงานภายในคณะกรรมการการอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขให้สภาสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติก็ได้” มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๘ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้” ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้การบริหารส่วนงานภายในสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วิวรรธน์/จัดทำ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ พิวัฒน์/วิชพงษ์/ตรวจ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๗ ก/หน้า ๙๙/๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒
563831
พระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “สถาบันอุดมศึกษา” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่น ๆ ที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา แต่ไม่รวมถึงสถานศึกษาของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ “สภาสถาบันอุดมศึกษา” หมายความว่า สภามหาวิทยาลัยหรือสภาสถาบันอุดมศึกษา แล้วแต่กรณี ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษานั้น “ส่วนราชการ” หมายความว่า คณะ สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ทั้งนี้ ที่ได้รับการจัดตั้งให้เป็นส่วนราชการในสถาบันอุดมศึกษา “ส่วนงานภายใน” หมายความว่า คณะ สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือส่วนงานภายในที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ทั้งนี้ ที่ได้รับการจัดตั้งให้เป็นส่วนงานภายในและมิใช่ส่วนราชการ มาตรา ๔ นอกจากการตั้งส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาแล้ว เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินภารกิจตามวัตถุประสงค์ของสถาบันอุดมศึกษา สภาสถาบันอุดมศึกษาอาจมีมติให้จัดตั้งส่วนงานภายในที่ดำเนินงานจากรายได้ของสถาบันอุดมศึกษาได้ โดยทำเป็นประกาศของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อประโยชน์ในการรักษามาตรฐานและคุณภาพในการจัดตั้งส่วนงานภายในคณะกรรมการการอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขให้สภาสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติก็ได้ มาตรา ๕ การบริหารและการดำเนินงานของส่วนงานภายในที่จัดตั้งตามมาตรา ๔ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษา มาตรา ๖ ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษากำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการมีสิทธิหรือหน้าที่อย่างใด ให้หัวหน้าส่วนงานภายในมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกัน เว้นแต่ข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษาที่ออกตามมาตรา ๕ จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มาตรา ๗ ให้บรรดาคณะ สถาบัน สำนัก ศูนย์ หรือส่วนงานภายในที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะที่สภาสถาบันอุดมศึกษาได้อนุมัติให้จัดตั้งขึ้นเป็นส่วนงานภายในหรือเป็นส่วนงานในกำกับของสถาบันอุดมศึกษาอยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายภาครัฐโดยให้ระงับหรือชะลอการจัดตั้งส่วนราชการใหม่ที่มีผลเป็นการเพิ่มงบประมาณหรืออัตรากำลังข้าราชการ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการมีความจำเป็นต้องผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้ทันต่อความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของสังคมสมควรให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการจัดตั้งส่วนงานภายในที่มีฐานะเทียบเท่าคณะเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ จะต้องมีความพร้อมด้านบุคลากรและสามารถดำเนินงานจากรายได้ของสถาบันอุดมศึกษานั้นเอง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปัทมา/แก้ไข วศิน/ตรวจ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓ ภัทรวีร์/ปรับปรุง ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๖๑ ก/หน้า ๕/๒๗ กันยายน ๒๕๕๐
572682
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 (ฉบับ Update ล่าสุด)
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัติตั๋วเงินคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๗ (๒) พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๐ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๗ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐ (๓) พระราชบัญญัติกู้เงินเพื่อการป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๔) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๕) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากรัฐบาลต่างประเทศเพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร พ.ศ. ๒๕๒๔ (๖) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังปรับโครงสร้างเงินกู้ต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๘ (๗) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “หนี้สาธารณะ”[๒] หมายความว่า หนี้ที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจกู้ หรือหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ โดยกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน และหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย “การบริหารหนี้สาธารณะ” หมายความว่า การก่อหนี้โดยการกู้หรือการค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ “ธุรกิจบริหารสินทรัพย์”[๓] หมายความว่า ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์ “ธุรกิจประกันสินเชื่อ”[๔] หมายความว่า ธุรกิจการให้การค้ำประกันสินเชื่อแก่บุคคลเพื่อให้ได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน “การค้ำประกัน” หมายความรวมถึงการอาวัลตั๋วเงินด้วย “ตราสารหนี้” หมายความว่า ตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน พันธบัตรและตราสารอื่นที่มีผลก่อให้เกิดหนี้ตามที่คณะกรรมการกำหนด และให้หมายความรวมถึงตราสารหนี้ที่ออกในระบบไร้ใบตราสารด้วย “ตั๋วเงินคลัง” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก โดยมีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หมายความว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “พันธบัตร” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรมหรือส่วนราชการที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ศาล และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ “หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ” หมายความว่า หน่วยงานอื่นของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า (ก) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ (ข) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ (ค) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจตาม (ก) หรือ (ข) หรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) และ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ โดยให้คำนวณเฉพาะทุนตามสัดส่วนที่เป็นของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น “สถาบันการเงินภาครัฐ” หมายความว่า สถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ประกาศและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ บททั่วไป มาตรา ๖ การบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจในการกู้เงินหรือค้ำประกันในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ผู้เดียว โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๘ หน่วยงานของรัฐนอกจากกระทรวงการคลังจะกู้เงินหรือค้ำประกันมิได้ เว้นแต่มีกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ มาตรา ๙ รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่นิติบุคคล หากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อใช้ดำเนินกิจการ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดมีอำนาจกู้ให้ได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี แต่ถ้าเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนรัฐวิสาหกิจนั้นจะต้องเสนอแผนงานลงทุนให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน ทั้งนี้ หากเป็นการกู้เงินเกินห้าสิบล้านบาท จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีด้วย เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามมาตรานี้ ให้จ่ายแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๑๐ การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง กระทรวงการคลังจะกู้จากหรือผ่านบุคคลอื่นใดที่มิใช่เป็นผู้ให้กู้โดยตรงไม่ได้ เว้นแต่การกู้เงินโดยการออกตราสารหนี้ กระทรวงการคลังจะจำหน่ายตราสารหนี้ผ่านผู้จัดจำหน่ายก็ได้ การกู้เงินโดยวิธีการออกตราสารหนี้ ให้ออกได้ตามจำนวนเงิน ระยะเวลา และวิธีการออกตราสารหนี้ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา ๑๑ การออกตราสารหนี้ในประเทศ รัฐมนตรีอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลอื่นจัดจำหน่ายก็ได้ ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง การออกตราสารหนี้ การซื้อขายตราสารหนี้ การโอนตราสารหนี้ การใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน โดยส่งมอบหรือไม่ต้องส่งมอบใบตราสาร การบังคับหลักประกัน การมอบหมายให้บุคคลจัดจำหน่าย ให้เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ โดยมิให้นำบทบัญญัติว่าด้วยจำนำแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ เว้นแต่กฎกระทรวงจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มาตรา ๑๒ ให้รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจลงนามในสัญญากู้ หนังสือหรือสัญญาค้ำประกัน หรือตราสารหนี้ แต่ในกรณีที่เป็นการมอบหมายให้มีอำนาจลงนามในตราสารหนี้ต้องประกาศการมอบหมายนั้นในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๓ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ให้จ่ายจากเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เว้นแต่ในกรณีของตั๋วเงินคลังหรือเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังอนุญาตให้จ่ายจากเงินคงคลัง จะจ่ายจากเงินคงคลังก็ได้ มาตรา ๑๔[๕] ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม แปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระ ขยายหรือย่นระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุ ซื้อคืน หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาล หรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๕ เพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังอาจชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐได้ และเมื่อกระทรวงการคลังได้ชำระหนี้แล้ว ให้หน่วยงานดังกล่าวเป็นหนี้กระทรวงการคลังตามจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังได้ชำระ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๑๖ ในการกู้เงินแต่ละครั้ง ให้กระทรวงการคลังประกาศแหล่งเงินกู้ สกุลเงินกู้ จำนวนเงินกู้ การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ค่าส่วนลด ระยะเวลาการชำระเงินต้นคืน วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ เงื่อนไข วิธีการและสาระสำคัญอื่นใดตามที่จำเป็นในราชกิจจานุเบกษาภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญากู้หรือออกตราสารหนี้ แล้วแต่กรณี ภายในหกสิบวันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปีให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยรายงานดังกล่าวต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงินและการค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม และเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายนตามลำดับ มาตรา ๑๗ ภายในหกสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ให้กระทรวงการคลังรายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วให้รัฐสภาทราบ โดยรายงานดังกล่าวอย่างน้อยต้องระบุรายละเอียดของการกู้เงินและการค้ำประกัน รวมถึงผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ มาตรา ๑๘ การคำนวณเงินตราต่างประเทศสกุลใดเป็นเงินบาท ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ทำสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน หรือออกตราสารหนี้ แต่ในรายงานตามมาตรา ๑๖ วรรคสอง ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคมหรือเดือนกันยายน แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๙ ในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดกู้เงินโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นหรือกฎหมายอื่นใด โดยมิใช่เป็นการกู้เงินจากกระทรวงการคลัง ห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐเข้ารับผิดชอบหรือค้ำประกันหนี้นั้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการกู้เงินของหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐด้วยโดยอนุโลม หมวด ๒ หนี้ที่รัฐบาลกู้ มาตรา ๒๐[๖] ให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (๑) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (๑/๑)[๗] บริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง (๒) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (๓) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ (๔) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ (๕) พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการกู้เงินตาม (๒) ถึง (๕) ให้นำไปใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงินหรือตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๒๑[๘] การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณใด ให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทไม่เกินวงเงิน (๑) ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และ (๒) ร้อยละแปดสิบของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้ภายในปีงบประมาณนั้น ๆ เว้นแต่ในกรณีที่มีการอนุมัติให้เบิกเงินงบประมาณรายจ่ายได้ภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณใด รัฐมนตรีอาจขยายเวลากู้เงินตามวรรคหนึ่งออกไปภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณนั้นได้ ทั้งนี้ การกู้เงินดังกล่าวต้องไม่เกินงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับอนุมัติให้เบิกได้ภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณนั้น ให้รัฐมนตรีประกาศวงเงินกู้ในส่วนที่มีการขยายเวลากู้เงินภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณตามวรรคสองในราชกิจจานุเบกษาด้วย มาตรา ๒๑/๑[๙] การกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง ให้กระทรวงการคลังกู้ได้เป็นเงินบาทด้วยวิธีการออกตั๋วเงินคลังเป็นครั้งคราวเมื่อมีความจำเป็นต้องรักษาสภาพคล่องของเงินคงคลังให้เพียงพอกับการเบิกจ่าย ตั๋วเงินคลังเพื่อกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ต้องมีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันและต้องแยกออกจากตั๋วเงินคลังที่กู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ในขณะใดขณะหนึ่ง กระทรวงการคลังจะมีหนี้คงค้างจากการกู้เงินตามมาตรานี้ได้ไม่เกินร้อยละสามของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ให้กระทรวงการคลังรายงานยอดตั๋วเงินคลังคงค้าง ณ วันสิ้นปีงบประมาณรวมไปกับรายงานตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๒๒ การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กระทำได้เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศ หรือจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้กำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้เงินอย่างชัดเจนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๓ ในการกู้เงินตามมาตรา ๒๒ ถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีอาจกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศก็ได้ มาตรา ๒๔ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทำได้เฉพาะเพื่อเป็นการประหยัด ลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน หรือกระจายภาระการชำระหนี้ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการดังต่อไปนี้ (๑) กู้เงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้ของกระทรวงการคลังไม่เกินจำนวนเงินกู้ที่ยังค้างชำระ หรือ (๒) กู้เงินเพื่อชำระหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันไม่เกินจำนวนเงินที่ยังมีภาระการค้ำประกันอยู่ เงินกู้ตาม (๒) ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ หรือมาตรา ๒๒ แล้วแต่กรณี การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง หากเป็นการกู้เงินรายใหม่เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ที่เป็นเงินบาท ให้กู้เป็นเงินบาทเท่านั้น การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการกู้เงินที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกินสิบสองเดือนให้รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๒๔/๑[๑๐] ในกรณีที่หนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวนเงินมาก และกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่สมควรกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวในคราวเดียวกัน กระทรวงการคลังอาจทยอยกู้เงินเป็นการล่วงหน้าได้ไม่เกินสิบสองเดือนก่อนวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๒๕[๑๑] ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีความจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับโครงการหรือแผนงานที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และหากกระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และนำมาให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อจะเป็นการประหยัดและทำให้การบริหารหนี้สาธารณะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง การกู้ตามวรรคหนึ่งให้นับรวมในวงเงินดังต่อไปนี้ (๑) ถ้ากู้เป็นเงินตราต่างประเทศ ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๒ (๒) ถ้ากู้เป็นเงินบาท ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๘ มาตรา ๒๕/๑[๑๒] การกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้กระทำโดยการออกตราสารหนี้ตามความจำเป็นในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งต้องรวมถึงอายุและวงเงินของตราสารหนี้ที่จะใช้ในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๒๖ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนตามมาตรา ๑๕ หรือการให้กู้ต่อตามมาตรา ๒๕ ได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๓ หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน มาตรา ๒๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐโดยจะค้ำประกันเต็มจำนวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๘ ในปีงบประมาณหนึ่งกระทรวงการคลังจะค้ำประกันได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม มาตรา ๒๙ หลักเกณฑ์ และกรอบวงเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกัน หรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐใด ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด กระทรวงการคลังจะค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจใดที่มิได้ประกอบกิจการอันเป็นสาธารณูปโภคและมีผลประกอบการขาดทุนติดต่อกันเกินสามปีไม่ได้ ทั้งนี้ เว้นแต่คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ยุบเลิกรัฐวิสาหกิจนั้น และเป็นการค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจนั้นในระหว่างการดำเนินการเพื่อยุบเลิก มาตรา ๓๐ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๔ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๑ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ” ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคนหนึ่งซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคน เป็นกรรมการ[๑๓] ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกำหนดเป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง ให้พิจารณาแต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทางด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ การงบประมาณหรือกฎหมาย และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยกเว้นคณาจารย์ประจำในสถาบันอุดมศึกษา (๓) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๔) ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๒ ให้กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ในระหว่างที่ยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรานี้ ให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดเท่าที่เหลืออยู่ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินงานต่อไปได้โดยจะต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน[๑๔] มาตรา ๓๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือไม่สุจริตหรือบกพร่องต่อหน้าที่ หรือหย่อนความสามารถ (๔) เป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๗) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม มาตรา ๓๔ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มาตรา ๓๕[๑๕] ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) รายงานสถานะของหนี้สาธารณะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายหลังการเข้ารับหน้าที่ (๒) เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากมีการปรับเปลี่ยนแผนระหว่างปีโดยไม่เกินวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ (๓) จัดทำหลักเกณฑ์ในการกู้เงิน การค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วให้หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐยึดถือเป็นหลักปฏิบัติต่อไป (๔) เสนอคำแนะนำในการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๕/๑ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๓๐ (๕) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญให้เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย (๖) ดำเนินการอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย มาตรา ๓๖ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทั่วไปของคณะกรรมการ และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑)[๑๖] ศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างหนี้สาธารณะ การบริหารหนี้สาธารณะ ความต้องการเงินของภาครัฐ รวมทั้งหนี้เงินกู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันและให้รายงานหนี้เงินกู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันด้วย เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ (๒) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตลอดจนการจัดการกู้เงินเพื่อสำรองเงินคงคลัง การเบิกจ่ายเงินกู้และการชำระหนี้ (๓) ให้คำปรึกษา แนะนำ และส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ติดตามการปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ผูกพันกับแหล่งเงินกู้ และประเมินผลการดำเนินงานที่ใช้จ่ายเงินกู้ (๕) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการ (๖) ปฏิบัติการอื่นตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้สำนักงานมีอำนาจเรียกให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องได้[๑๗] หมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ[๑๘] มาตรา ๓๖/๑[๑๙] ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกระทรวงการคลังเรียกว่า “กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ และการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ โดยให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ ที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ มาตรา ๓๖/๒[๒๐] กองทุนมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น มาตรา ๓๖/๓[๒๑] กิจการของกองทุนไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน มาตรา ๓๖/๔[๒๒] กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินดังต่อไปนี้ (๑) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการดำเนินการของกองทุน (๕) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้กองทุน (๖) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน เงินและทรัพย์สินของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๓๖/๕[๒๓] เงินและทรัพย์สินของกองทุนตามมาตรา ๓๖/๔ ให้นำเข้าบัญชีดังต่อไปนี้ (๑) บัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๑) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว (๒) บัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๒) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๓๖/๖[๒๔] เงินในบัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ดังต่อไปนี้ (๑) ชำระเงินต้นของหนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการกู้เงินตามมาตรา ๒๔/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๗[๒๕] เงินในบัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ดังต่อไปนี้ (๑) ไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ออกตามมาตรา ๒๕/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการออกตราสารหนี้ตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๘[๒๖] ในระหว่างที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินของกองทุนไปใช้จ่ายตามมาตรา ๓๖/๖ และมาตรา ๓๖/๗ เงินของกองทุนอาจนำไปลงทุนได้ดังต่อไปนี้ (๑)[๒๗] กรณีการลงทุนในประเทศให้นำไปลงทุนได้ดังนี้ (ก) ตราสารหนี้ที่ออกหรือค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง (ข) ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ค) ตราสารหนี้อื่นที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (ง) ทำธุรกรรมซื้อโดยมีสัญญาจะขายคืนซึ่งตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (จ) เงินฝากหรือบัตรเงินฝากของสถาบันการเงินภาครัฐ หรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๒) กรณีการลงทุนในต่างประเทศ ให้นำไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกเป็นเงินตราสกุลหลักและออกหรือค้ำประกันโดยรัฐบาลต่างประเทศ สถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ การลงทุนตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงความมั่นคง ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เหมาะสมโดยให้สามารถทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการกองทุนกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการลงทุน รวมทั้งรายชื่อเงินตราสกุลหลักและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มาตรา ๓๖/๙[๒๘] (ยกเลิก) มาตรา ๓๖/๑๐[๒๙] ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา ๓๖/๑๑[๓๐] คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) กำกับดูแลการบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๒) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการนำเงินของกองทุนไปลงทุน และการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน (๓) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเก็บรักษาและจ่ายเงินของกองทุน (๔) กำกับดูแลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนในการจัดการเงินของกองทุน (๕) ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน (๖) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทนผู้จัดการกองทุน (๗) ออกข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งเกี่ยวกับการบริหารกิจการของกองทุน ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุน การบริหารงานบุคคล การจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน การบัญชี และการตรวจสอบภายใน (๗/๑)[๓๑] แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนมอบหมาย (๘) ปฏิบัติงานอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๓๖/๑๒[๓๒] ให้นำมาตรา ๓๔ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกองทุนและคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งโดยอนุโลม และให้กรรมการในคณะกรรมการกองทุนและอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๓๖/๑๓[๓๓] ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้จัดการกองทุนและมีหน้าที่ดำเนินกิจการของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนและตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด คณะกรรมการกองทุนอาจแต่งตั้งผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อช่วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุนด้วยก็ได้ มาตรา ๓๖/๑๔[๓๔] ในกิจการของกองทุนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนกองทุน เพื่อการนี้ ผู้จัดการกองทุนอาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๕[๓๕] ผู้จัดการกองทุนและผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนอาจได้รับค่าตอบแทนหรือประโยชน์อื่นตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี โดยให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุน มาตรา ๓๖/๑๖[๓๖] ผู้จัดการกองทุนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนอาจว่าจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อทำหน้าที่บริหารเงินและทรัพย์สินของกองทุนก็ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกรวมทั้งคุณสมบัติของผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๗[๓๗] ให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของกองทุนเป็นรายไตรมาสต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อรายงานต่อรัฐมนตรี ภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันสิ้นสุดแต่ละไตรมาส เมื่อสิ้นปีให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงินของกองทุน และงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อเสนอรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป มาตรา ๓๖/๑๘[๓๘] ปีบัญชีของกองทุนให้ถือตามปีงบประมาณ มาตรา ๓๖/๑๙[๓๙] การบัญชีของกองทุนให้จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี หรือมาตรฐานการบัญชีอื่นที่รับรองโดยทั่วไปที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด โดยต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับกิจการของกองทุนและรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการกองทุนทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง มาตรา ๓๖/๒๐[๔๐] ให้กองทุนจัดทำงบการเงินส่งผู้สอบบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของกองทุนแล้วทำรายงานผลการสอบบัญชีเสนอต่อรัฐมนตรีทุกปี บทเฉพาะกาล มาตรา ๓๗ พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อการกู้เงิน การให้กู้เงิน การค้ำประกัน และการปรับโครงสร้างหนี้ที่กระทรวงการคลังกระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพ แต่โดยที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการก่อหนี้ การค้ำประกันและการปรับโครงสร้างหนี้ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศและกระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ สมควรปรับปรุงกฎหมายเหล่านั้นให้เป็นระบบและมีเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารหนี้สาธารณะมีอยู่หลายหน่วยงาน สมควรให้มีหน่วยงานกลางเพียงหน่วยงานเดียวเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปอย่างมีระบบ มีประสิทธิภาพ และควบคุมดูแลการก่อหนี้โดยรวมเพื่อให้ภาระหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑[๔๑] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในการบริหารหนี้สาธารณะจำเป็นต้องมีกลไกที่เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบัน ยังมีข้อจำกัดในการดำเนินการบางประการ จึงสมควรให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยการย่นระยะเวลาชำระหนี้ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระ และการกู้เงินเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทเพื่อนำมาให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อได้ นอกจากนั้น ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้มีความต่อเนื่อง มีความจำเป็นที่จะต้องมีตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังออกในปริมาณเพียงพอต่อการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ จึงจำเป็นต้องกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศด้วย สำหรับเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระและการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ สมควรบริหารจัดการโดยกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมทั้งสมควรแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐[๔๒] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๑๓ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้จนกว่าจะครบวาระ มาตรา ๑๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่สมควรกำหนดขอบเขตของนิยามคำว่าหนี้สาธารณะให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อโดยกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน และหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ อำนาจหน้าที่ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ รวมทั้งแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ และหลักเกณฑ์การลงทุนของกองทุนเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑[๔๓] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรเพิ่มเติมอำนาจกระทรวงการคลังในการกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง เพื่อให้การบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสมควรกำหนดให้อำนาจแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการขยายระยะเวลาการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ออกไปภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณ สำหรับกรณีที่มีการอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการเงินคงคลัง ตลอดจนการวางแผนการกู้เงินของรัฐบาลในภาพรวม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ นุสรา/ปรับปรุง ๑ เมษายน ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๑๒ ก/หน้า ๑/๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ [๒] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “หนี้สาธารณะ” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๓] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ธุรกิจบริหารสินทรัพย์” เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๔] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ธุรกิจประกันสินเชื่อ” เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๕] มาตรา ๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๖] มาตรา ๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๗] มาตรา ๒๐ (๑/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ [๘] มาตรา ๒๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ [๙] มาตรา ๒๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ [๑๐] มาตรา ๒๔/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๑] มาตรา ๒๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๒] มาตรา ๒๕/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๓] มาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๔] มาตรา ๓๒ วรรคห้า เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๕] มาตรา ๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๖] มาตรา ๓๖ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๗] มาตรา ๓๖ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๘] หมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๓๖/๑ ถึง มาตรา ๓๖/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๙] มาตรา ๓๖/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๐] มาตรา ๓๖/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๑] มาตรา ๓๖/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๒] มาตรา ๓๖/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๓] มาตรา ๓๖/๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๔] มาตรา ๓๖/๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๕] มาตรา ๓๖/๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๖] มาตรา ๓๖/๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๗] มาตรา ๓๖/๘ วรรคหนึ่ง (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๒๘] มาตรา ๓๖/๙ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๒๙] มาตรา ๓๖/๑๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๐] มาตรา ๓๖/๑๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๑] มาตรา ๓๖/๑๑ (๗/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๓๒] มาตรา ๓๖/๑๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๓๓] มาตรา ๓๖/๑๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๔] มาตรา ๓๖/๑๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๕] มาตรา ๓๖/๑๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๖] มาตรา ๓๖/๑๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๗] มาตรา ๓๖/๑๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๘] มาตรา ๓๖/๑๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๙] มาตรา ๓๖/๑๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๔๐] มาตรา ๓๖/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๔๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔๐ ก/หน้า ๑/๑ มีนาคม ๒๕๕๑ [๔๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๓๑ ก/หน้า ๓๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ [๔๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๑๙ ก/หน้า ๑/๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑
800175
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2561
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑/๑) ของมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ “(๑/๑) บริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง” มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๑ การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณใด ให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทไม่เกินวงเงิน (๑) ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และ (๒) ร้อยละแปดสิบของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้ภายในปีงบประมาณนั้น ๆ เว้นแต่ในกรณีที่มีการอนุมัติให้เบิกเงินงบประมาณรายจ่ายได้ภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณใด รัฐมนตรีอาจขยายเวลากู้เงินตามวรรคหนึ่งออกไปภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณนั้นได้ ทั้งนี้ การกู้เงินดังกล่าวต้องไม่เกินงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับอนุมัติให้เบิกได้ภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณนั้น ให้รัฐมนตรีประกาศวงเงินกู้ในส่วนที่มีการขยายเวลากู้เงินภายหลังจากวันสิ้นปีงบประมาณตามวรรคสองในราชกิจจานุเบกษาด้วย” มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ “มาตรา ๒๑/๑ การกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง ให้กระทรวงการคลังกู้ได้เป็นเงินบาทด้วยวิธีการออกตั๋วเงินคลังเป็นครั้งคราวเมื่อมีความจำเป็นต้องรักษาสภาพคล่องของเงินคงคลังให้เพียงพอกับการเบิกจ่าย ตั๋วเงินคลังเพื่อกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ต้องมีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันและต้องแยกออกจากตั๋วเงินคลังที่กู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ในขณะใดขณะหนึ่ง กระทรวงการคลังจะมีหนี้คงค้างจากการกู้เงินตามมาตรานี้ได้ไม่เกินร้อยละสามของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ให้กระทรวงการคลังรายงานยอดตั๋วเงินคลังคงค้าง ณ วันสิ้นปีงบประมาณรวมไปกับรายงานตามมาตรา ๑๗” ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรเพิ่มเติมอำนาจกระทรวงการคลังในการกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง เพื่อให้การบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสมควรกำหนดให้อำนาจแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการขยายระยะเวลาการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ออกไปภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณ สำหรับกรณีที่มีการอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการเงินคงคลัง ตลอดจนการวางแผนการกู้เงินของรัฐบาลในภาพรวม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พิมพ์มาดา/จัดทำ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ นุสรา/ตรวจ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๑๙ ก/หน้า ๑/๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑
800712
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 (ฉบับ Update ณ วันที่ 27/12/2560)
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัติตั๋วเงินคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๗ (๒) พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๐ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๗ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐ (๓) พระราชบัญญัติกู้เงินเพื่อการป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๔) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๕) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากรัฐบาลต่างประเทศเพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร พ.ศ. ๒๕๒๔ (๖) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังปรับโครงสร้างเงินกู้ต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๘ (๗) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “หนี้สาธารณะ”[๒] หมายความว่า หนี้ที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจกู้ หรือหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ โดยกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน และหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย “การบริหารหนี้สาธารณะ” หมายความว่า การก่อหนี้โดยการกู้หรือการค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ “ธุรกิจบริหารสินทรัพย์”[๓] หมายความว่า ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์ “ธุรกิจประกันสินเชื่อ”[๔] หมายความว่า ธุรกิจการให้การค้ำประกันสินเชื่อแก่บุคคลเพื่อให้ได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน “การค้ำประกัน” หมายความรวมถึงการอาวัลตั๋วเงินด้วย “ตราสารหนี้” หมายความว่า ตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน พันธบัตรและตราสารอื่นที่มีผลก่อให้เกิดหนี้ตามที่คณะกรรมการกำหนด และให้หมายความรวมถึงตราสารหนี้ที่ออกในระบบไร้ใบตราสารด้วย “ตั๋วเงินคลัง” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก โดยมีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หมายความว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “พันธบัตร” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรมหรือส่วนราชการที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ศาล และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ “หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ” หมายความว่า หน่วยงานอื่นของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า (ก) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ (ข) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ (ค) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจตาม (ก) หรือ (ข) หรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) และ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ โดยให้คำนวณเฉพาะทุนตามสัดส่วนที่เป็นของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น “สถาบันการเงินภาครัฐ” หมายความว่า สถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ประกาศและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ บททั่วไป มาตรา ๖ การบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจในการกู้เงินหรือค้ำประกันในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ผู้เดียว โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๘ หน่วยงานของรัฐนอกจากกระทรวงการคลังจะกู้เงินหรือค้ำประกันมิได้ เว้นแต่มีกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ มาตรา ๙ รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่นิติบุคคล หากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อใช้ดำเนินกิจการ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดมีอำนาจกู้ให้ได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี แต่ถ้าเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนรัฐวิสาหกิจนั้นจะต้องเสนอแผนงานลงทุนให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน ทั้งนี้ หากเป็นการกู้เงินเกินห้าสิบล้านบาท จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีด้วย เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามมาตรานี้ ให้จ่ายแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๑๐ การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง กระทรวงการคลังจะกู้จากหรือผ่านบุคคลอื่นใดที่มิใช่เป็นผู้ให้กู้โดยตรงไม่ได้ เว้นแต่การกู้เงินโดยการออกตราสารหนี้ กระทรวงการคลังจะจำหน่ายตราสารหนี้ผ่านผู้จัดจำหน่ายก็ได้ การกู้เงินโดยวิธีการออกตราสารหนี้ ให้ออกได้ตามจำนวนเงิน ระยะเวลา และวิธีการออกตราสารหนี้ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา ๑๑ การออกตราสารหนี้ในประเทศ รัฐมนตรีอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลอื่นจัดจำหน่ายก็ได้ ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง การออกตราสารหนี้ การซื้อขายตราสารหนี้ การโอนตราสารหนี้ การใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน โดยส่งมอบหรือไม่ต้องส่งมอบใบตราสาร การบังคับหลักประกัน การมอบหมายให้บุคคลจัดจำหน่าย ให้เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ โดยมิให้นำบทบัญญัติว่าด้วยจำนำแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ เว้นแต่กฎกระทรวงจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มาตรา ๑๒ ให้รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจลงนามในสัญญากู้ หนังสือหรือสัญญาค้ำประกัน หรือตราสารหนี้ แต่ในกรณีที่เป็นการมอบหมายให้มีอำนาจลงนามในตราสารหนี้ต้องประกาศการมอบหมายนั้นในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๓ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ให้จ่ายจากเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เว้นแต่ในกรณีของตั๋วเงินคลังหรือเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังอนุญาตให้จ่ายจากเงินคงคลัง จะจ่ายจากเงินคงคลังก็ได้ มาตรา ๑๔[๕] ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม แปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระ ขยายหรือย่นระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุ ซื้อคืน หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาล หรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๕ เพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังอาจชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐได้ และเมื่อกระทรวงการคลังได้ชำระหนี้แล้ว ให้หน่วยงานดังกล่าวเป็นหนี้กระทรวงการคลังตามจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังได้ชำระ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๑๖ ในการกู้เงินแต่ละครั้ง ให้กระทรวงการคลังประกาศแหล่งเงินกู้ สกุลเงินกู้ จำนวนเงินกู้ การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ค่าส่วนลด ระยะเวลาการชำระเงินต้นคืน วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ เงื่อนไข วิธีการและสาระสำคัญอื่นใดตามที่จำเป็นในราชกิจจานุเบกษาภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญากู้หรือออกตราสารหนี้ แล้วแต่กรณี ภายในหกสิบวันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปีให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยรายงานดังกล่าวต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงินและการค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม และเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายนตามลำดับ มาตรา ๑๗ ภายในหกสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ให้กระทรวงการคลังรายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วให้รัฐสภาทราบ โดยรายงานดังกล่าวอย่างน้อยต้องระบุรายละเอียดของการกู้เงินและการค้ำประกัน รวมถึงผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ มาตรา ๑๘ การคำนวณเงินตราต่างประเทศสกุลใดเป็นเงินบาท ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ทำสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน หรือออกตราสารหนี้ แต่ในรายงานตามมาตรา ๑๖ วรรคสอง ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคมหรือเดือนกันยายน แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๙ ในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดกู้เงินโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นหรือกฎหมายอื่นใด โดยมิใช่เป็นการกู้เงินจากกระทรวงการคลัง ห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐเข้ารับผิดชอบหรือค้ำประกันหนี้นั้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการกู้เงินของหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐด้วยโดยอนุโลม หมวด ๒ หนี้ที่รัฐบาลกู้ มาตรา ๒๐[๖] ให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (๑) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (๒) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (๓) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ (๔) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ (๕) พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการกู้เงินตาม (๒) ถึง (๕) ให้นำไปใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงินหรือตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๒๑ การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทไม่เกินวงเงิน (๑) ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และ (๒) ร้อยละแปดสิบของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น มาตรา ๒๒ การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กระทำได้เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศ หรือจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้กำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้เงินอย่างชัดเจนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๓ ในการกู้เงินตามมาตรา ๒๒ ถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีอาจกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศก็ได้ มาตรา ๒๔ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทำได้เฉพาะเพื่อเป็นการประหยัด ลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน หรือกระจายภาระการชำระหนี้ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการดังต่อไปนี้ (๑) กู้เงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้ของกระทรวงการคลังไม่เกินจำนวนเงินกู้ที่ยังค้างชำระ หรือ (๒) กู้เงินเพื่อชำระหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันไม่เกินจำนวนเงินที่ยังมีภาระการค้ำประกันอยู่ เงินกู้ตาม (๒) ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ หรือมาตรา ๒๒ แล้วแต่กรณี การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง หากเป็นการกู้เงินรายใหม่เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ที่เป็นเงินบาท ให้กู้เป็นเงินบาทเท่านั้น การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการกู้เงินที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกินสิบสองเดือนให้รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๒๔/๑[๗] ในกรณีที่หนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวนเงินมาก และกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่สมควรกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวในคราวเดียวกัน กระทรวงการคลังอาจทยอยกู้เงินเป็นการล่วงหน้าได้ไม่เกินสิบสองเดือนก่อนวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๒๕[๘] ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีความจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับโครงการหรือแผนงานที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และหากกระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และนำมาให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อจะเป็นการประหยัดและทำให้การบริหารหนี้สาธารณะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง การกู้ตามวรรคหนึ่งให้นับรวมในวงเงินดังต่อไปนี้ (๑) ถ้ากู้เป็นเงินตราต่างประเทศ ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๒ (๒) ถ้ากู้เป็นเงินบาท ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๘ มาตรา ๒๕/๑[๙] การกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้กระทำโดยการออกตราสารหนี้ตามความจำเป็นในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งต้องรวมถึงอายุและวงเงินของตราสารหนี้ที่จะใช้ในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๒๖ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนตามมาตรา ๑๕ หรือการให้กู้ต่อตามมาตรา ๒๕ ได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๓ หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน มาตรา ๒๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐโดยจะค้ำประกันเต็มจำนวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๘ ในปีงบประมาณหนึ่งกระทรวงการคลังจะค้ำประกันได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม มาตรา ๒๙ หลักเกณฑ์ และกรอบวงเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกัน หรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐใด ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด กระทรวงการคลังจะค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจใดที่มิได้ประกอบกิจการอันเป็นสาธารณูปโภคและมีผลประกอบการขาดทุนติดต่อกันเกินสามปีไม่ได้ ทั้งนี้ เว้นแต่คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ยุบเลิกรัฐวิสาหกิจนั้น และเป็นการค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจนั้นในระหว่างการดำเนินการเพื่อยุบเลิก มาตรา ๓๐ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๔ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๑ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ” ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคนหนึ่งซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคน เป็นกรรมการ[๑๐] ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกำหนดเป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง ให้พิจารณาแต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทางด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ การงบประมาณหรือกฎหมาย และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยกเว้นคณาจารย์ประจำในสถาบันอุดมศึกษา (๓) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๔) ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๒ ให้กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ในระหว่างที่ยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรานี้ ให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดเท่าที่เหลืออยู่ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินงานต่อไปได้โดยจะต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน[๑๑] มาตรา ๓๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือไม่สุจริตหรือบกพร่องต่อหน้าที่ หรือหย่อนความสามารถ (๔) เป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๗) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม มาตรา ๓๔ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มาตรา ๓๕[๑๒] ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) รายงานสถานะของหนี้สาธารณะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายหลังการเข้ารับหน้าที่ (๒) เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากมีการปรับเปลี่ยนแผนระหว่างปีโดยไม่เกินวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ (๓) จัดทำหลักเกณฑ์ในการกู้เงิน การค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วให้หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐยึดถือเป็นหลักปฏิบัติต่อไป (๔) เสนอคำแนะนำในการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๕/๑ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๓๐ (๕) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญให้เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย (๖) ดำเนินการอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย มาตรา ๓๖ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทั่วไปของคณะกรรมการ และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑)[๑๓] ศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างหนี้สาธารณะ การบริหารหนี้สาธารณะ ความต้องการเงินของภาครัฐ รวมทั้งหนี้เงินกู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันและให้รายงานหนี้เงินกู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันด้วย เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ (๒) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตลอดจนการจัดการกู้เงินเพื่อสำรองเงินคงคลัง การเบิกจ่ายเงินกู้และการชำระหนี้ (๓) ให้คำปรึกษา แนะนำ และส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ติดตามการปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ผูกพันกับแหล่งเงินกู้ และประเมินผลการดำเนินงานที่ใช้จ่ายเงินกู้ (๕) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการ (๖) ปฏิบัติการอื่นตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้สำนักงานมีอำนาจเรียกให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องได้[๑๔] หมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ[๑๕] มาตรา ๓๖/๑[๑๖] ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกระทรวงการคลังเรียกว่า “กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ และการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ โดยให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ ที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ มาตรา ๓๖/๒[๑๗] กองทุนมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น มาตรา ๓๖/๓[๑๘] กิจการของกองทุนไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน มาตรา ๓๖/๔[๑๙] กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินดังต่อไปนี้ (๑) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการดำเนินการของกองทุน (๕) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้กองทุน (๖) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน เงินและทรัพย์สินของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๓๖/๕[๒๐] เงินและทรัพย์สินของกองทุนตามมาตรา ๓๖/๔ ให้นำเข้าบัญชีดังต่อไปนี้ (๑) บัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๑) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว (๒) บัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๒) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๓๖/๖[๒๑] เงินในบัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ดังต่อไปนี้ (๑) ชำระเงินต้นของหนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการกู้เงินตามมาตรา ๒๔/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๗[๒๒] เงินในบัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ดังต่อไปนี้ (๑) ไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ออกตามมาตรา ๒๕/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการออกตราสารหนี้ตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๘[๒๓] ในระหว่างที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินของกองทุนไปใช้จ่ายตามมาตรา ๓๖/๖ และมาตรา ๓๖/๗ เงินของกองทุนอาจนำไปลงทุนได้ดังต่อไปนี้ (๑)[๒๔] กรณีการลงทุนในประเทศให้นำไปลงทุนได้ดังนี้ (ก) ตราสารหนี้ที่ออกหรือค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง (ข) ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ค) ตราสารหนี้อื่นที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (ง) ทำธุรกรรมซื้อโดยมีสัญญาจะขายคืนซึ่งตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (จ) เงินฝากหรือบัตรเงินฝากของสถาบันการเงินภาครัฐ หรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๒) กรณีการลงทุนในต่างประเทศ ให้นำไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกเป็นเงินตราสกุลหลักและออกหรือค้ำประกันโดยรัฐบาลต่างประเทศ สถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ การลงทุนตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงความมั่นคง ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เหมาะสมโดยให้สามารถทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการกองทุนกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการลงทุน รวมทั้งรายชื่อเงินตราสกุลหลักและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มาตรา ๓๖/๙[๒๕] (ยกเลิก) มาตรา ๓๖/๑๐[๒๖] ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา ๓๖/๑๑[๒๗] คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) กำกับดูแลการบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๒) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการนำเงินของกองทุนไปลงทุน และการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน (๓) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเก็บรักษาและจ่ายเงินของกองทุน (๔) กำกับดูแลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนในการจัดการเงินของกองทุน (๕) ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน (๖) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทนผู้จัดการกองทุน (๗) ออกข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งเกี่ยวกับการบริหารกิจการของกองทุน ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุน การบริหารงานบุคคล การจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน การบัญชี และการตรวจสอบภายใน (๗/๑)[๒๘] แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนมอบหมาย (๘) ปฏิบัติงานอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๓๖/๑๒[๒๙] ให้นำมาตรา ๓๔ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกองทุนและคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งโดยอนุโลม และให้กรรมการในคณะกรรมการกองทุนและอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๓๖/๑๓[๓๐] ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้จัดการกองทุนและมีหน้าที่ดำเนินกิจการของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนและตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด คณะกรรมการกองทุนอาจแต่งตั้งผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อช่วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุนด้วยก็ได้ มาตรา ๓๖/๑๔[๓๑] ในกิจการของกองทุนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนกองทุน เพื่อการนี้ ผู้จัดการกองทุนอาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๕[๓๒] ผู้จัดการกองทุนและผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนอาจได้รับค่าตอบแทนหรือประโยชน์อื่นตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี โดยให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุน มาตรา ๓๖/๑๖[๓๓] ผู้จัดการกองทุนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนอาจว่าจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อทำหน้าที่บริหารเงินและทรัพย์สินของกองทุนก็ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกรวมทั้งคุณสมบัติของผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๗[๓๔] ให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของกองทุนเป็นรายไตรมาสต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อรายงานต่อรัฐมนตรี ภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันสิ้นสุดแต่ละไตรมาส เมื่อสิ้นปีให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงินของกองทุน และงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อเสนอรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป มาตรา ๓๖/๑๘[๓๕] ปีบัญชีของกองทุนให้ถือตามปีงบประมาณ มาตรา ๓๖/๑๙[๓๖] การบัญชีของกองทุนให้จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี หรือมาตรฐานการบัญชีอื่นที่รับรองโดยทั่วไปที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด โดยต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับกิจการของกองทุนและรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการกองทุนทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง มาตรา ๓๖/๒๐[๓๗] ให้กองทุนจัดทำงบการเงินส่งผู้สอบบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของกองทุนแล้วทำรายงานผลการสอบบัญชีเสนอต่อรัฐมนตรีทุกปี บทเฉพาะกาล มาตรา ๓๗ พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อการกู้เงิน การให้กู้เงิน การค้ำประกัน และการปรับโครงสร้างหนี้ที่กระทรวงการคลังกระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพ แต่โดยที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการก่อหนี้ การค้ำประกันและการปรับโครงสร้างหนี้ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศและกระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ สมควรปรับปรุงกฎหมายเหล่านั้นให้เป็นระบบและมีเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารหนี้สาธารณะมีอยู่หลายหน่วยงาน สมควรให้มีหน่วยงานกลางเพียงหน่วยงานเดียวเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปอย่างมีระบบ มีประสิทธิภาพ และควบคุมดูแลการก่อหนี้โดยรวมเพื่อให้ภาระหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑[๓๘] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในการบริหารหนี้สาธารณะจำเป็นต้องมีกลไกที่เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบัน ยังมีข้อจำกัดในการดำเนินการบางประการ จึงสมควรให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยการย่นระยะเวลาชำระหนี้ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระ และการกู้เงินเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทเพื่อนำมาให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อได้ นอกจากนั้น ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้มีความต่อเนื่อง มีความจำเป็นที่จะต้องมีตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังออกในปริมาณเพียงพอต่อการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ จึงจำเป็นต้องกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศด้วย สำหรับเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระและการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ สมควรบริหารจัดการโดยกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมทั้งสมควรแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐[๓๙] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๑๓ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้จนกว่าจะครบวาระ มาตรา ๑๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่สมควรกำหนดขอบเขตของนิยามคำว่าหนี้สาธารณะให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อโดยกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน และหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ อำนาจหน้าที่ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ รวมทั้งแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศและหลักเกณฑ์การลงทุนของกองทุนเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ศรตม์/ปรับปรุง มีนาคม ๒๕๕๖ อุดมลักษณ์/ตรวจ มิถุนายน ๒๕๕๖ ปวันวิทย์/เพิ่มเติม ๓ มกราคม ๒๕๖๑ ปริญสินีย์/ตรวจ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๑๒ ก/หน้า ๑/๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ [๒] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “หนี้สาธารณะ” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๓] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ธุรกิจบริหารสินทรัพย์” เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๔] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ธุรกิจประกันสินเชื่อ” เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๕] มาตรา ๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๖] มาตรา ๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๗] มาตรา ๒๔/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๘] มาตรา ๒๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๙] มาตรา ๒๕/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๐] มาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๑] มาตรา ๓๒ วรรคห้า เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๒] มาตรา ๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๓] มาตรา ๓๖ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๔] มาตรา ๓๖ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๑๕] หมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๓๖/๑ ถึง มาตรา ๓๖/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๖] มาตรา ๓๖/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๗] มาตรา ๓๖/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๘] มาตรา ๓๖/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๙] มาตรา ๓๖/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๐] มาตรา ๓๖/๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๑] มาตรา ๓๖/๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๒] มาตรา ๓๖/๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๓] มาตรา ๓๖/๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๔] มาตรา ๓๖/๘ วรรคหนึ่ง (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๒๕] มาตรา ๓๖/๙ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๒๖] มาตรา ๓๖/๑๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๗] มาตรา ๓๖/๑๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๘] มาตรา ๓๖/๑๑ (๗/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๒๙] มาตรา ๓๖/๑๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ [๓๐] มาตรา ๓๖/๑๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๑] มาตรา ๓๖/๑๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๒] มาตรา ๓๖/๑๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๓] มาตรา ๓๖/๑๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๔] มาตรา ๓๖/๑๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๕] มาตรา ๓๖/๑๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๖] มาตรา ๓๖/๑๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๗] มาตรา ๓๖/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓๘] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔๐ ก/หน้า ๑/๑ มีนาคม ๒๕๕๑ [๓๙] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๓๑ ก/หน้า ๓๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๐
793762
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “หนี้สาธารณะ” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““หนี้สาธารณะ” หมายความว่า หนี้ที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจกู้ หรือหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ โดยกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน และหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย” มาตรา ๔ ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “ธุรกิจบริหารสินทรัพย์” และคำว่า “ธุรกิจประกันสินเชื่อ” ระหว่างบทนิยามคำว่า “การบริหารหนี้สาธารณะ” และคำว่า “การค้ำประกัน” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ““ธุรกิจบริหารสินทรัพย์” หมายความว่า ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์ “ธุรกิจประกันสินเชื่อ” หมายความว่า ธุรกิจการให้การค้ำประกันสินเชื่อแก่บุคคลเพื่อให้ได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน” มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๑ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ” ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคนหนึ่งซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคน เป็นกรรมการ” มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคห้าของมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ “ในระหว่างที่ยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรานี้ ให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดเท่าที่เหลืออยู่ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินงานต่อไปได้โดยจะต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน” มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความใน (๑) ของมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๑) ศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างหนี้สาธารณะ การบริหารหนี้สาธารณะ ความต้องการเงินของภาครัฐ รวมทั้งหนี้เงินกู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันและให้รายงานหนี้เงินกู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อ ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันด้วย เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ” มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ “เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้สำนักงานมีอำนาจเรียกให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องได้” มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความใน (๑) ของวรรคหนึ่งของมาตรา ๓๖/๘ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๑) กรณีการลงทุนในประเทศให้นำไปลงทุนได้ดังนี้ (ก) ตราสารหนี้ที่ออกหรือค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง (ข) ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ค) ตราสารหนี้อื่นที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (ง) ทำธุรกรรมซื้อโดยมีสัญญาจะขายคืนซึ่งตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (จ) เงินฝากหรือบัตรเงินฝากของสถาบันการเงินภาครัฐ หรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด” มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกมาตรา ๓๖/๙ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๗/๑) ของมาตรา ๓๖/๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ “(๗/๑) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนมอบหมาย” มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๖/๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๖/๑๒ ให้นำมาตรา ๓๔ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกองทุนและคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งโดยอนุโลม และให้กรรมการในคณะกรรมการกองทุนและอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด” มาตรา ๑๓ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้จนกว่าจะครบวาระ มาตรา ๑๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่สมควรกำหนดขอบเขตของนิยามคำว่าหนี้สาธารณะให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ หรือธุรกิจประกันสินเชื่อโดยกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน และหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ อำนาจหน้าที่ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ รวมทั้งแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศและหลักเกณฑ์การลงทุนของกองทุนเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปวันวิทย์/อัญชลี/จัดทำ ๓ มกราคม ๒๕๖๑ ปริญสินีย์/ตรวจ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๓๑ ก/หน้า ๓๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๐
794691
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 (ฉบับ Update ณ วันที่ 01/03/2551)
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัติตั๋วเงินคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๗ (๒) พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๐ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๗ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐ (๓) พระราชบัญญัติกู้เงินเพื่อการป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๔) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๕) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากรัฐบาลต่างประเทศเพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร พ.ศ. ๒๕๒๔ (๖) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังปรับโครงสร้างเงินกู้ต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๘ (๗) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “หนี้สาธารณะ” หมายความว่า หนี้ที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจกู้ หรือหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยกระทรวงการคลังมิได้ค้ำประกัน “การบริหารหนี้สาธารณะ” หมายความว่า การก่อหนี้โดยการกู้หรือการค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ “การค้ำประกัน” หมายความรวมถึงการอาวัลตั๋วเงินด้วย “ตราสารหนี้” หมายความว่า ตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน พันธบัตรและตราสารอื่นที่มีผลก่อให้เกิดหนี้ตามที่คณะกรรมการกำหนด และให้หมายความรวมถึงตราสารหนี้ที่ออกในระบบไร้ใบตราสารด้วย “ตั๋วเงินคลัง” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก โดยมีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หมายความว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “พันธบัตร” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรมหรือส่วนราชการที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ศาล และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ “หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ” หมายความว่า หน่วยงานอื่นของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า (ก) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ (ข) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ (ค) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจตาม (ก) หรือ (ข) หรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) และ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ โดยให้คำนวณเฉพาะทุนตามสัดส่วนที่เป็นของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น “สถาบันการเงินภาครัฐ” หมายความว่า สถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ประกาศและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ บททั่วไป มาตรา ๖ การบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจในการกู้เงินหรือค้ำประกันในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ผู้เดียว โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๘ หน่วยงานของรัฐนอกจากกระทรวงการคลังจะกู้เงินหรือค้ำประกันมิได้ เว้นแต่มีกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ มาตรา ๙ รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่นิติบุคคล หากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อใช้ดำเนินกิจการ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดมีอำนาจกู้ให้ได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี แต่ถ้าเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนรัฐวิสาหกิจนั้นจะต้องเสนอแผนงานลงทุนให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน ทั้งนี้ หากเป็นการกู้เงินเกินห้าสิบล้านบาท จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีด้วย เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามมาตรานี้ ให้จ่ายแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๑๐ การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง กระทรวงการคลังจะกู้จากหรือผ่านบุคคลอื่นใดที่มิใช่เป็นผู้ให้กู้โดยตรงไม่ได้ เว้นแต่การกู้เงินโดยการออกตราสารหนี้ กระทรวงการคลังจะจำหน่ายตราสารหนี้ผ่านผู้จัดจำหน่ายก็ได้ การกู้เงินโดยวิธีการออกตราสารหนี้ ให้ออกได้ตามจำนวนเงิน ระยะเวลา และวิธีการออกตราสารหนี้ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา ๑๑ การออกตราสารหนี้ในประเทศ รัฐมนตรีอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลอื่นจัดจำหน่ายก็ได้ ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง การออกตราสารหนี้ การซื้อขายตราสารหนี้ การโอนตราสารหนี้ การใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน โดยส่งมอบหรือไม่ต้องส่งมอบใบตราสาร การบังคับหลักประกัน การมอบหมายให้บุคคลจัดจำหน่าย ให้เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ โดยมิให้นำบทบัญญัติว่าด้วยจำนำแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ เว้นแต่กฎกระทรวงจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มาตรา ๑๒ ให้รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจลงนามในสัญญากู้ หนังสือหรือสัญญาค้ำประกัน หรือตราสารหนี้ แต่ในกรณีที่เป็นการมอบหมายให้มีอำนาจลงนามในตราสารหนี้ต้องประกาศการมอบหมายนั้นในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๓ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ให้จ่ายจากเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เว้นแต่ในกรณีของตั๋วเงินคลังหรือเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังอนุญาตให้จ่ายจากเงินคงคลัง จะจ่ายจากเงินคงคลังก็ได้ มาตรา ๑๔[๒] ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม แปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระ ขยายหรือย่นระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุ ซื้อคืน หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาล หรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๕ เพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังอาจชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐได้ และเมื่อกระทรวงการคลังได้ชำระหนี้แล้ว ให้หน่วยงานดังกล่าวเป็นหนี้กระทรวงการคลังตามจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังได้ชำระ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๑๖ ในการกู้เงินแต่ละครั้ง ให้กระทรวงการคลังประกาศแหล่งเงินกู้ สกุลเงินกู้ จำนวนเงินกู้ การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ค่าส่วนลด ระยะเวลาการชำระเงินต้นคืน วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ เงื่อนไข วิธีการและสาระสำคัญอื่นใดตามที่จำเป็นในราชกิจจานุเบกษาภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญากู้หรือออกตราสารหนี้ แล้วแต่กรณี ภายในหกสิบวันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปีให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยรายงานดังกล่าวต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงินและการค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม และเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายนตามลำดับ มาตรา ๑๗ ภายในหกสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ให้กระทรวงการคลังรายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วให้รัฐสภาทราบ โดยรายงานดังกล่าวอย่างน้อยต้องระบุรายละเอียดของการกู้เงินและการค้ำประกัน รวมถึงผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ มาตรา ๑๘ การคำนวณเงินตราต่างประเทศสกุลใดเป็นเงินบาท ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ทำสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน หรือออกตราสารหนี้ แต่ในรายงานตามมาตรา ๑๖ วรรคสอง ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคมหรือเดือนกันยายน แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๙ ในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดกู้เงินโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นหรือกฎหมายอื่นใด โดยมิใช่เป็นการกู้เงินจากกระทรวงการคลัง ห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐเข้ารับผิดชอบหรือค้ำประกันหนี้นั้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการกู้เงินของหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐด้วยโดยอนุโลม หมวด ๒ หนี้ที่รัฐบาลกู้ มาตรา ๒๐[๓] ให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (๑) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (๒) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (๓) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ (๔) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ (๕) พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการกู้เงินตาม (๒) ถึง (๕) ให้นำไปใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงินหรือตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๒๑ การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทไม่เกินวงเงิน (๑) ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และ (๒) ร้อยละแปดสิบของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น มาตรา ๒๒ การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กระทำได้เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศ หรือจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้กำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้เงินอย่างชัดเจนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๓ ในการกู้เงินตามมาตรา ๒๒ ถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีอาจกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศก็ได้ มาตรา ๒๔ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทำได้เฉพาะเพื่อเป็นการประหยัด ลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน หรือกระจายภาระการชำระหนี้ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการดังต่อไปนี้ (๑) กู้เงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้ของกระทรวงการคลังไม่เกินจำนวนเงินกู้ที่ยังค้างชำระ หรือ (๒) กู้เงินเพื่อชำระหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันไม่เกินจำนวนเงินที่ยังมีภาระการค้ำประกันอยู่ เงินกู้ตาม (๒) ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ หรือมาตรา ๒๒ แล้วแต่กรณี การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง หากเป็นการกู้เงินรายใหม่เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ที่เป็นเงินบาท ให้กู้เป็นเงินบาทเท่านั้น การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการกู้เงินที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกินสิบสองเดือนให้รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๒๔/๑[๔] ในกรณีที่หนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวนเงินมาก และกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่สมควรกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวในคราวเดียวกัน กระทรวงการคลังอาจทยอยกู้เงินเป็นการล่วงหน้าได้ไม่เกินสิบสองเดือนก่อนวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๒๕[๕] ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีความจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับโครงการหรือแผนงานที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และหากกระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และนำมาให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อจะเป็นการประหยัดและทำให้การบริหารหนี้สาธารณะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง การกู้ตามวรรคหนึ่งให้นับรวมในวงเงินดังต่อไปนี้ (๑) ถ้ากู้เป็นเงินตราต่างประเทศ ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๒ (๒) ถ้ากู้เป็นเงินบาท ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๘ มาตรา ๒๕/๑[๖] การกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้กระทำโดยการออกตราสารหนี้ตามความจำเป็นในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งต้องรวมถึงอายุและวงเงินของตราสารหนี้ที่จะใช้ในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๒๖ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนตามมาตรา ๑๕ หรือการให้กู้ต่อตามมาตรา ๒๕ ได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๓ หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน มาตรา ๒๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐโดยจะค้ำประกันเต็มจำนวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๘ ในปีงบประมาณหนึ่งกระทรวงการคลังจะค้ำประกันได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม มาตรา ๒๙ หลักเกณฑ์ และกรอบวงเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกัน หรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐใด ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด กระทรวงการคลังจะค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจใดที่มิได้ประกอบกิจการอันเป็นสาธารณูปโภคและมีผลประกอบการขาดทุนติดต่อกันเกินสามปีไม่ได้ ทั้งนี้ เว้นแต่คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ยุบเลิกรัฐวิสาหกิจนั้น และเป็นการค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจนั้นในระหว่างการดำเนินการเพื่อยุบเลิก มาตรา ๓๐ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๔ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๑ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ” ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคนหนึ่งซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคนเป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกำหนดเป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง ให้พิจารณาแต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทางด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ การงบประมาณหรือกฎหมาย และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยกเว้นคณาจารย์ประจำในสถาบันอุดมศึกษา (๓) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๔) ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๒ ให้กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ มาตรา ๓๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือไม่สุจริตหรือบกพร่องต่อหน้าที่ หรือหย่อนความสามารถ (๔) เป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๗) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม มาตรา ๓๔ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มาตรา ๓๕[๗] ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) รายงานสถานะของหนี้สาธารณะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายหลังการเข้ารับหน้าที่ (๒) เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากมีการปรับเปลี่ยนแผนระหว่างปีโดยไม่เกินวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ (๓) จัดทำหลักเกณฑ์ในการกู้เงิน การค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วให้หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐยึดถือเป็นหลักปฏิบัติต่อไป (๔) เสนอคำแนะนำในการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๕/๑ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๓๐ (๕) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญให้เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย (๖) ดำเนินการอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย มาตรา ๓๖ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทั่วไปของคณะกรรมการ และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างหนี้สาธารณะ ตลอดจนหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินและสถาบันการเงินภาครัฐที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน รวมถึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการประมาณการความต้องการเงินของภาครัฐและการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ (๒) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตลอดจนการจัดการกู้เงินเพื่อสำรองเงินคงคลัง การเบิกจ่ายเงินกู้และการชำระหนี้ (๓) ให้คำปรึกษา แนะนำ และส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ติดตามการปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ผูกพันกับแหล่งเงินกู้ และประเมินผลการดำเนินงานที่ใช้จ่ายเงินกู้ (๕) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการ (๖) ปฏิบัติการอื่นตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมาย หมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ[๘] มาตรา ๓๖/๑[๙] ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกระทรวงการคลังเรียกว่า “กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ และการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ โดยให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ ที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ มาตรา ๓๖/๒[๑๐] กองทุนมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น มาตรา ๓๖/๓[๑๑] กิจการของกองทุนไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน มาตรา ๓๖/๔[๑๒] กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินดังต่อไปนี้ (๑) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการดำเนินการของกองทุน (๕) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้กองทุน (๖) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน เงินและทรัพย์สินของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๓๖/๕[๑๓] เงินและทรัพย์สินของกองทุนตามมาตรา ๓๖/๔ ให้นำเข้าบัญชีดังต่อไปนี้ (๑) บัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๑) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว (๒) บัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๒) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๓๖/๖[๑๔] เงินในบัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ดังต่อไปนี้ (๑) ชำระเงินต้นของหนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการกู้เงินตามมาตรา ๒๔/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๗[๑๕] เงินในบัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ดังต่อไปนี้ (๑) ไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ออกตามมาตรา ๒๕/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการออกตราสารหนี้ตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๘[๑๖] ในระหว่างที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินของกองทุนไปใช้จ่ายตามมาตรา ๓๖/๖ และมาตรา ๓๖/๗ เงินของกองทุนอาจนำไปลงทุนได้ดังต่อไปนี้ (๑) กรณีการลงทุนในประเทศ (ก) ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกหรือค้ำประกันโดยกระทรวงการคลังหรือตราสารหนี้อื่นที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (ข) ทำธุรกรรมซื้อโดยมีสัญญาจะขายคืนซึ่งตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (๒) กรณีการลงทุนในต่างประเทศ ให้นำไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกเป็นเงินตราสกุลหลักและออกหรือค้ำประกันโดยรัฐบาลต่างประเทศ สถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ การลงทุนตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงความมั่นคง ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เหมาะสมโดยให้สามารถทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการกองทุนกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการลงทุน รวมทั้งรายชื่อเงินตราสกุลหลักและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มาตรา ๓๖/๙[๑๗] ในระหว่างที่ยังมิได้นำเงินของกองทุนไปลงทุนตามมาตรา ๓๖/๘ ให้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารพาณิชย์ที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๐[๑๘] ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา ๓๖/๑๑[๑๙] คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) กำกับดูแลการบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๒) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการนำเงินของกองทุนไปลงทุน และการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน (๓) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเก็บรักษาและจ่ายเงินของกองทุน (๔) กำกับดูแลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนในการจัดการเงินของกองทุน (๕) ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน (๖) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทนผู้จัดการกองทุน (๗) ออกข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งเกี่ยวกับการบริหารกิจการของกองทุน ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุน การบริหารงานบุคคล การจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน การบัญชี และการตรวจสอบภายใน (๘) ปฏิบัติงานอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๓๖/๑๒[๒๐] ให้นำมาตรา ๓๔ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกองทุนโดยอนุโลม และให้กรรมการในคณะกรรมการกองทุนได้รับเบี้ยประชุมหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๓๖/๑๓[๒๑] ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้จัดการกองทุนและมีหน้าที่ดำเนินกิจการของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนและตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด คณะกรรมการกองทุนอาจแต่งตั้งผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อช่วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุนด้วยก็ได้ มาตรา ๓๖/๑๔[๒๒] ในกิจการของกองทุนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนกองทุน เพื่อการนี้ ผู้จัดการกองทุนอาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๕[๒๓] ผู้จัดการกองทุนและผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนอาจได้รับค่าตอบแทนหรือประโยชน์อื่นตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี โดยให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุน มาตรา ๓๖/๑๖[๒๔] ผู้จัดการกองทุนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนอาจว่าจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อทำหน้าที่บริหารเงินและทรัพย์สินของกองทุนก็ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกรวมทั้งคุณสมบัติของผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๗[๒๕] ให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของกองทุนเป็นรายไตรมาสต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อรายงานต่อรัฐมนตรี ภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันสิ้นสุดแต่ละไตรมาส เมื่อสิ้นปีให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงินของกองทุน และงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อเสนอรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป มาตรา ๓๖/๑๘[๒๖] ปีบัญชีของกองทุนให้ถือตามปีงบประมาณ มาตรา ๓๖/๑๙[๒๗] การบัญชีของกองทุนให้จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี หรือมาตรฐานการบัญชีอื่นที่รับรองโดยทั่วไปที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด โดยต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับกิจการของกองทุนและรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการกองทุนทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง มาตรา ๓๖/๒๐[๒๘] ให้กองทุนจัดทำงบการเงินส่งผู้สอบบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของกองทุนแล้วทำรายงานผลการสอบบัญชีเสนอต่อรัฐมนตรีทุกปี บทเฉพาะกาล มาตรา ๓๗ พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อการกู้เงิน การให้กู้เงิน การค้ำประกัน และการปรับโครงสร้างหนี้ที่กระทรวงการคลังกระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพ แต่โดยที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการก่อหนี้ การค้ำประกันและการปรับโครงสร้างหนี้ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศและกระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ สมควรปรับปรุงกฎหมายเหล่านั้นให้เป็นระบบและมีเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารหนี้สาธารณะมีอยู่หลายหน่วยงาน สมควรให้มีหน่วยงานกลางเพียงหน่วยงานเดียวเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปอย่างมีระบบ มีประสิทธิภาพ และควบคุมดูแลการก่อหนี้โดยรวมเพื่อให้ภาระหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑[๒๙] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในการบริหารหนี้สาธารณะจำเป็นต้องมีกลไกที่เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบัน ยังมีข้อจำกัดในการดำเนินการบางประการ จึงสมควรให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยการย่นระยะเวลาชำระหนี้ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระ และการกู้เงินเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทเพื่อนำมาให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อได้ นอกจากนั้น ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้มีความต่อเนื่อง มีความจำเป็นที่จะต้องมีตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังออกในปริมาณเพียงพอต่อการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ จึงจำเป็นต้องกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศด้วย สำหรับเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระและการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ สมควรบริหารจัดการโดยกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมทั้งสมควรแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ศรตม์/ปรับปรุง มีนาคม ๒๕๕๖ อุดมลักษณ์/ตรวจ มิถุนายน ๒๕๕๖ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๑๒ ก/หน้า ๑/๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ [๒] มาตรา ๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓] มาตรา ๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๔] มาตรา ๒๔/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๕] มาตรา ๒๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๖] มาตรา ๒๕/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๗] มาตรา ๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๘] หมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๓๖/๑ ถึง มาตรา ๓๖/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๙] มาตรา ๓๖/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๐] มาตรา ๓๖/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๑] มาตรา ๓๖/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๒] มาตรา ๓๖/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๓] มาตรา ๓๖/๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๔] มาตรา ๓๖/๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๕] มาตรา ๓๖/๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๖] มาตรา ๓๖/๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๗] มาตรา ๓๖/๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๘] มาตรา ๓๖/๑๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๙] มาตรา ๓๖/๑๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๐] มาตรา ๓๖/๑๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๑] มาตรา ๓๖/๑๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๒] มาตรา ๓๖/๑๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๓] มาตรา ๓๖/๑๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๔] มาตรา ๓๖/๑๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๕] มาตรา ๓๖/๑๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๖] มาตรา ๓๖/๑๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๗] มาตรา ๓๖/๑๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๘] มาตรา ๓๖/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๒๙] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔๐ ก/หน้า ๑/๑ มีนาคม ๒๕๕๑
572592
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๔ ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม แปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระ ขยายหรือย่นระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุ ซื้อคืน หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาล หรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๐ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (๑) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (๒) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (๓) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ (๔) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ (๕) พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการกู้เงินตาม (๒) ถึง (๕) ให้นำไปใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงินหรือตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง” มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ “มาตรา ๒๔/๑ ในกรณีที่หนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวนเงินมาก และกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่สมควรกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวในคราวเดียวกัน กระทรวงการคลังอาจทยอยกู้เงินเป็นการล่วงหน้าได้ไม่เกินสิบสองเดือนก่อนวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๕ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีความจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับโครงการหรือแผนงานที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และหากกระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และนำมาให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อจะเป็นการประหยัดและทำให้การบริหารหนี้สาธารณะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง การกู้ตามวรรคหนึ่งให้นับรวมในวงเงิน ดังต่อไปนี้ (๑) ถ้ากู้เป็นเงินตราต่างประเทศ ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๒ (๒) ถ้ากู้เป็นเงินบาท ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๘” มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ “มาตรา ๒๕/๑ การกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้กระทำโดยการออกตราสารหนี้ตามความจำเป็นในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่ง ต้องรวมถึงอายุและวงเงินของตราสารหนี้ที่จะใช้ในการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ เงินที่ได้รับจากการกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นำส่งเข้ากองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๕ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) รายงานสถานะของหนี้สาธารณะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายหลังการเข้ารับหน้าที่ (๒) เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติหากมีการปรับเปลี่ยนแผนระหว่างปีโดยไม่เกินวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ (๓) จัดทำหลักเกณฑ์ในการกู้เงิน การค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วให้หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติต่อไป (๔) เสนอคำแนะนำในการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๕/๑ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๓๐ (๕) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญให้เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย (๖) ดำเนินการอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย” มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๓๖/๑ ถึงมาตรา ๓๖/๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ “หมวด ๕ กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ มาตรา ๓๖/๑ ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกระทรวงการคลังเรียกว่า “กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ และการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ โดยให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ ที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ มาตรา ๓๖/๒ กองทุนมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น มาตรา ๓๖/๓ กิจการของกองทุนไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน มาตรา ๓๖/๔ กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ (๑) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) เงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการดำเนินการของกองทุน (๕) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้กองทุน (๖) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน เงินและทรัพย์สินของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๓๖/๕ เงินและทรัพย์สินของกองทุนตามมาตรา ๓๖/๔ ให้นำเข้าบัญชี ดังต่อไปนี้ (๑) บัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๑) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว (๒) บัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อรับเงินตามมาตรา ๓๖/๔ (๒) รวมทั้งเงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๓๖/๔ (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ที่กองทุนได้รับจากการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ หรือเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๓๖/๖ เงินในบัญชีปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ ดังต่อไปนี้ (๑) ชำระเงินต้นของหนี้สาธารณะซึ่งจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรา ๒๔/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการกู้เงินตามมาตรา ๒๔/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๗ เงินในบัญชีพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้จ่ายได้ ดังต่อไปนี้ (๑) ไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ออกตามมาตรา ๒๕/๑ (๒) ชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการออกตราสารหนี้ตามมาตรา ๒๕/๑ (๓) ชำระค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด (๔) ชำระค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๘ ในระหว่างที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินของกองทุนไปใช้จ่ายตามมาตรา ๓๖/๖ และมาตรา ๓๖/๗ เงินของกองทุนอาจนำไปลงทุนได้ ดังต่อไปนี้ (๑) กรณีการลงทุนในประเทศ (ก) ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกหรือค้ำประกันโดยกระทรวงการคลังหรือตราสารหนี้อื่นที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (ข) ทำธุรกรรมซื้อโดยมีสัญญาจะขายคืนซึ่งตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (๒) กรณีการลงทุนในต่างประเทศ ให้นำไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกเป็นเงินตราสกุลหลักและออกหรือค้ำประกันโดยรัฐบาลต่างประเทศ สถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ การลงทุนตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงความมั่นคง ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เหมาะสมโดยให้สามารถทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการกองทุนกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการลงทุน รวมทั้งรายชื่อเงินตราสกุลหลักและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มาตรา ๓๖/๙ ในระหว่างที่ยังมิได้นำเงินของกองทุนไปลงทุนตามมาตรา ๓๖/๘ ให้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารพาณิชย์ที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๐ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ” ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกองทุนแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา ๓๖/๑๑ คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) กำกับดูแลการบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน (๒) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการนำเงินของกองทุนไปลงทุน และการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน (๓) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเก็บรักษาและจ่ายเงินของกองทุน (๔) กำกับดูแลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนและผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนในการจัดการเงินของกองทุน (๕) ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน (๖) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทนผู้จัดการกองทุน (๗) ออกข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งเกี่ยวกับการบริหารกิจการของกองทุน ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุน การบริหารงานบุคคล การจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน การบัญชีและการตรวจสอบภายใน (๘) ปฏิบัติงานอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๓๖/๑๒ ให้นำมาตรา ๓๔ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกองทุนโดยอนุโลม และให้กรรมการในคณะกรรมการกองทุนได้รับเบี้ยประชุมหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๓๖/๑๓ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้จัดการกองทุนและมีหน้าที่ดำเนินกิจการของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนและตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด คณะกรรมการกองทุนอาจแต่งตั้งผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อช่วยการปฏิบัติงานของผู้จัดการกองทุนด้วยก็ได้ มาตรา ๓๖/๑๔ ในกิจการของกองทุนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนกองทุน เพื่อการนี้ ผู้จัดการกองทุนอาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๕ ผู้จัดการกองทุนและผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนอาจได้รับค่าตอบแทนหรือประโยชน์อื่นตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีโดยให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุน มาตรา ๓๖/๑๖ ผู้จัดการกองทุนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนอาจว่าจ้างผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อทำหน้าที่บริหารเงินและทรัพย์สินของกองทุนก็ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือก รวมทั้งคุณสมบัติของผู้บริหารสินทรัพย์ของกองทุน ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด มาตรา ๓๖/๑๗ ให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของกองทุนเป็นรายไตรมาสต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อรายงานต่อรัฐมนตรี ภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันสิ้นสุดแต่ละไตรมาส เมื่อสิ้นปี ให้กองทุนรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงินของกองทุนและงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อเสนอรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป มาตรา ๓๖/๑๘ ปีบัญชีของกองทุนให้ถือตามปีงบประมาณ มาตรา ๓๖/๑๙ การบัญชีของกองทุนให้จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี หรือมาตรฐานการบัญชีอื่นที่รับรองโดยทั่วไปที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับกิจการของกองทุนและรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการกองทุนทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง มาตรา ๓๖/๒๐ ให้กองทุนจัดทำงบการเงินส่งผู้สอบบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของกองทุน แล้วทำรายงานผลการสอบบัญชีเสนอต่อรัฐมนตรีทุกปี” ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในการบริหารหนี้สาธารณะจำเป็นต้องมีกลไกที่เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบัน ยังมีข้อจำกัดในการดำเนินการบางประการ จึงสมควรให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะโดยการย่นระยะเวลาชำระหนี้ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระ และการกู้เงินเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทเพื่อนำมาให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อได้ นอกจากนั้น ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้มีความต่อเนื่อง มีความจำเป็นที่จะต้องมีตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังออกในปริมาณเพียงพอต่อการสร้างอัตราดอกเบี้ยสำหรับใช้อ้างอิงในตลาดตราสารหนี้ จึงจำเป็นต้องกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศด้วย สำหรับเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่หนี้ครบกำหนดชำระและการกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ สมควรบริหารจัดการโดยกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมทั้งสมควรแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปริยานุช/จัดทำ ๔ มีนาคม ๒๕๕๑ วศิน/แก้ไข ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๒ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔๐ ก/หน้า ๑/๑ มีนาคม ๒๕๕๑
454117
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548
พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัติตั๋วเงินคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๗ (๒) พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๐ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พระราชบัญญัติกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๗ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐ (๓) พระราชบัญญัติกู้เงินเพื่อการป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๔) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๙ (๕) พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากรัฐบาลต่างประเทศเพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร พ.ศ. ๒๕๒๔ (๖) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังปรับโครงสร้างเงินกู้ต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๘ (๗) พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “หนี้สาธารณะ” หมายความว่า หนี้ที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจกู้ หรือหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยกระทรวงการคลังมิได้ค้ำประกัน “การบริหารหนี้สาธารณะ” หมายความว่า การก่อหนี้โดยการกู้หรือการค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ “การค้ำประกัน” หมายความรวมถึงการอาวัลตั๋วเงินด้วย “ตราสารหนี้” หมายความว่า ตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน พันธบัตรและตราสารอื่นที่มีผลก่อให้เกิดหนี้ตามที่คณะกรรมการกำหนด และให้หมายความรวมถึงตราสารหนี้ที่ออกในระบบไร้ใบตราสารด้วย “ตั๋วเงินคลัง” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกโดยมีอายุนับแต่วันที่ออกไม่เกินสิบสองเดือน “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หมายความว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “พันธบัตร” หมายความว่า เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุนับแต่วันที่ออกตั้งแต่สิบสองเดือนขึ้นไป “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรมหรือส่วนราชการที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ศาล และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ “หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ” หมายความว่า หน่วยงานอื่นของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หมายความว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้ง “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า (ก) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ (ข) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ (ค) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจตาม (ก) หรือ (ข) หรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) และ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ โดยให้คำนวณเฉพาะทุนตามสัดส่วนที่เป็นของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น “สถาบันการเงินภาครัฐ” หมายความว่า สถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ประกาศและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ บททั่วไป มาตรา ๖ การบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจในการกู้เงินหรือค้ำประกันในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ผู้เดียว โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๘ หน่วยงานของรัฐนอกจากกระทรวงการคลังจะกู้เงินหรือค้ำประกันมิได้ เว้นแต่มีกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ มาตรา ๙ รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่นิติบุคคล หากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อใช้ดำเนินกิจการให้กระทรวงเจ้าสังกัดมีอำนาจกู้ให้ได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี แต่ถ้าเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนรัฐวิสาหกิจนั้นจะต้องเสนอแผนงานลงทุนให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน ทั้งนี้ หากเป็นการกู้เงินเกินห้าสิบล้านบาท จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีด้วย เงินที่ได้รับจากการกู้ตามมาตรานี้ ให้จ่ายแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๑๐ การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง กระทรวงการคลังจะกู้จากหรือผ่านบุคคลอื่นใดที่มิใช่เป็นผู้ให้กู้โดยตรงไม่ได้ เว้นแต่การกู้เงินโดยการออกตราสารหนี้ กระทรวงการคลังจะจำหน่ายตราสารหนี้ผ่านผู้จัดจำหน่ายก็ได้ การกู้เงินโดยวิธีการออกตราสารหนี้ ให้ออกได้ตามจำนวนเงิน ระยะเวลาและวิธีการออกตราสารหนี้ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา ๑๑ การออกตราสารหนี้ในประเทศ รัฐมนตรีอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลอื่นจัดจำหน่ายก็ได้ ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง การออกตราสารหนี้ การซื้อขายตราสารหนี้ การโอนตราสารหนี้ การใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน โดยส่งมอบหรือไม่ต้องส่งมอบใบตราสาร การบังคับหลักประกัน การมอบหมายให้บุคคลจัดจำหน่าย ให้เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ โดยมิให้นำบทบัญญัติว่าด้วยจำนำแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ เว้นแต่กฎกระทรวงจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มาตรา ๑๒ ให้รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจลงนามในสัญญากู้ หนังสือหรือสัญญาค้ำประกัน หรือตราสารหนี้ แต่ในกรณีที่เป็นการมอบหมายให้มีอำนาจลงนามในตราสารหนี้ต้องประกาศการมอบหมายนั้นในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๓ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ให้จ่ายจากเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เว้นแต่ในกรณีของตั๋วเงินคลังหรือเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังอนุญาตให้จ่ายจากเงินคงคลัง จะจ่ายจากเงินคงคลังก็ได้ มาตรา ๑๔ ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ โดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม แปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุ ซื้อคืน หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาล หรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๕ เพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังอาจชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐได้ และเมื่อกระทรวงการคลังได้ชำระหนี้แล้ว ให้หน่วยงานดังกล่าวเป็นหนี้กระทรวงการคลังตามจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังได้ชำระ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว มาตรา ๑๖ ในการกู้เงินแต่ละครั้ง ให้กระทรวงการคลังประกาศแหล่งเงินกู้ สกุลเงินกู้ จำนวนเงินกู้ การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ค่าส่วนลด ระยะเวลาการชำระเงินต้นคืน วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ เงื่อนไข วิธีการและสาระสำคัญอื่นใดตามที่จำเป็นในราชกิจจานุเบกษาภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญากู้หรือออกตราสารหนี้ แล้วแต่กรณี ภายในหกสิบวันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปีให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยรายงานดังกล่าวต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงินและการค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม และเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายนตามลำดับ มาตรา ๑๗ ภายในหกสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ให้กระทรวงการคลังรายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วให้รัฐสภาทราบ โดยรายงานดังกล่าวอย่างน้อยต้องระบุรายละเอียดของการกู้เงินและการค้ำประกัน รวมถึงผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ มาตรา ๑๘ การคำนวณเงินตราต่างประเทศสกุลใดเป็นเงินบาท ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ทำสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน หรือออกตราสารหนี้ แต่ในรายงานตามมาตรา ๑๖ วรรคสอง ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคมหรือเดือนกันยายน แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๙ ในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดกู้เงินโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นหรือกฎหมายอื่นใด โดยมิใช่เป็นการกู้เงินจากกระทรวงการคลัง ห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐเข้ารับผิดชอบหรือค้ำประกันหนี้นั้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการกู้เงินของหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐด้วยโดยอนุโลม หมวด ๒ หนี้ที่รัฐบาลกู้ มาตรา ๒๐ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (๑) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (๒) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (๓) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ (๔) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการกู้เงินตาม (๒) ถึง (๔) ให้นำไปใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน หรือตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๒๑ การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทไม่เกินวงเงิน (๑) ร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และ (๒) ร้อยละแปดสิบของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น มาตรา ๒๒ การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กระทำได้เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศหรือจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้กำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้เงินอย่างชัดเจนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๓ ในการกู้เงินตามมาตรา ๒๒ ถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีอาจกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศก็ได้ มาตรา ๒๔ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ให้กระทำได้เฉพาะเพื่อเป็นการประหยัด ลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน หรือกระจายภาระการชำระหนี้ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) กู้เงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้ของกระทรวงการคลังไม่เกินจำนวนเงินกู้ที่ยังค้างชำระ หรือ (๒) กู้เงินเพื่อชำระหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันไม่เกินจำนวนเงินที่ยังมีภาระการค้ำประกันอยู่ เงินกู้ตาม (๒) ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๑ หรือมาตรา ๒๒ แล้วแต่กรณี การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง หากเป็นการกู้เงินรายใหม่เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ที่เป็นเงินบาทให้กู้เป็นเงินบาทเท่านั้น การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการกู้เงินที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกินสิบสองเดือนให้รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๒๕ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐมีความจำเป็นต้องใช้เงินตราต่างประเทศ สำหรับโครงการหรือแผนงานที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และหากกระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และนำมาให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อจะเป็นการประหยัดและทำให้การบริหารหนี้สาธารณะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเป็นเงินตราต่างประเทศเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้นับรวมในวงเงินตามมาตรา ๒๒ มาตรา ๒๖ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนตามมาตรา ๑๕ หรือการให้กู้ต่อตามมาตรา ๒๕ ได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๓ หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน มาตรา ๒๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ โดยจะค้ำประกันเต็มจำนวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๘ ในปีงบประมาณหนึ่ง กระทรวงการคลังจะค้ำประกันได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม มาตรา ๒๙ หลักเกณฑ์ และกรอบวงเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐใด ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด กระทรวงการคลังจะค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจที่มิได้ประกอบกิจการอันเป็นสาธารณูปโภคและมีผลประกอบการขาดทุนติดต่อกันเกินสามปีไม่ได้ ทั้งนี้ เว้นแต่คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ยุบเลิกรัฐวิสาหกิจนั้น และเป็นการค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจนั้นในระหว่างการดำเนินการเพื่อยุบเลิก มาตรา ๓๐ กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หมวด ๔ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๑ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ” ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคนหนึ่งซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อธิบดีกรมบัญชีกลางและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคนเป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการและเลขานุการ และบุคคลอื่นไม่เกินสองคนซึ่งคณะกรรมการกำหนดเป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง ให้พิจารณาแต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทางด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ การงบประมาณหรือกฎหมายและต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยกเว้นคณาจารย์ประจำในสถาบันอุดมศึกษา (๓) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๔) ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา ๓๒ ให้กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ มาตรา ๓๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือไม่สุจริตหรือบกพร่องต่อหน้าที่ หรือหย่อนความสามารถ (๔) เป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๗) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม มาตรา ๓๔ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มาตรา ๓๕ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) รายงานสถานะของหนี้สาธารณะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายหลังการเข้ารับหน้าที่ (๒) เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณและการปรับเปลี่ยนแผนดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ (๓) จัดทำหลักเกณฑ์ในการกู้เงิน การค้ำประกัน การชำระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะรวมถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและจัดการตราสารหนี้ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐยึดถือเป็นหลักปฏิบัติต่อไป (๔) เสนอคำแนะนำในการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๖ และมาตรา ๓๐ (๕) ดำเนินการอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย มาตรา ๓๖ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทั่วไปของคณะกรรมการ และให้มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) ศึกษา วิเคราะห์โครงสร้างหนี้สาธารณะ ตลอดจนหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินและสถาบันการเงินภาครัฐที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน รวมถึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการประมาณการความต้องการเงินของภาครัฐและการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ (๒) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตลอดจนการจัดการกู้เงินเพื่อสำรองเงินคงคลัง การเบิกจ่ายเงินกู้และการชำระหนี้ (๓) ให้คำปรึกษา แนะนำ และส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นของรัฐมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ติดตามการปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ผูกพันกับแหล่งเงินกู้ และประเมินผลการดำเนินงานที่ใช้จ่ายเงินกู้ (๕) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการ (๖) ปฏิบัติการอื่นตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมาย บทเฉพาะกาล มาตรา ๓๗ พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อการกู้เงิน การให้กู้เงิน การค้ำประกัน และการปรับโครงสร้างหนี้ที่กระทรวงการคลังกระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพ แต่โดยที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการก่อหนี้ การค้ำประกันและการปรับโครงสร้างหนี้ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศและกระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ สมควรปรับปรุงกฎหมายเหล่านั้นให้เป็นระบบและมีเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารหนี้สาธารณะมีอยู่หลายหน่วยงาน สมควรให้มีหน่วยงานกลางเพียงหน่วยงานเดียวเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการบริหารหนี้สาธารณะให้เป็นไปอย่างมีระบบ มีประสิทธิภาพ และควบคุมดูแลการก่อหนี้โดยรวมเพื่อให้ภาระหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ มยุรี/พิมพ์ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ วชิระ/พงษ์พิลัย/ตรวจ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ วาทินี/โสรศ/ปรับปรุง ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๙ วศิน/แก้ไข ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๒ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๑๒ ก/หน้า ๑/๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
649196
กฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนของกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2554
กฎกระทรวง กฎกระทรวง กำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม การชำระหนี้แทนของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๔[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ เมื่อกระทรวงการคลังกู้เงินมาชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐแล้ว ให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บดอกเบี้ยจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐในอัตราและเงื่อนไขเดียวกับที่กระทรวงการคลังกู้มาจากแหล่งเงินกู้ ข้อ ๒ ให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐในอัตราร้อยละ ๐.๕๐ ของวงเงินที่ได้ชำระหนี้แทน รัฐมนตรีอาจอนุมัติให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนในกรณีต่อไปนี้ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งหรือไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมก็ได้ (๑) โครงการหรือแผนงานของรัฐวิสาหกิจตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้รัฐวิสาหกิจเป็นผู้รับผิดชอบหรือดำเนินการ (๒) โครงการหรือแผนงานของรัฐวิสาหกิจในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยส่วนรวม แต่ไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนเชิงพาณิชย์ (๓) โครงการหรือแผนงานสนับสนุนสินเชื่อของสถาบันการเงินภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้สถาบันการเงินภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบหรือดำเนินการ ให้รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐที่ได้รับการอนุมัติเสียค่าธรรมเนียมต่ำกว่าอัตราที่กำหนด หรือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนตามวรรคสอง บันทึกจำนวนเงินที่เป็นส่วนต่างของค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนที่ชำระจริง และค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนอันพึงต้องชำระตามอัตราที่กำหนดในวรรคหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินอุดหนุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการดำเนินงาน ข้อ ๓ ค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนตามข้อ ๒ ให้เรียกเก็บเป็นเงินสกุลที่ได้ชำระหนี้แทน ข้อ ๔ ในการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ ให้กระทรวงการคลังจัดทำสัญญาตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อคู่สัญญา (๒) จำนวนเงินและสกุลเงินที่ชำระหนี้แทน และค่าใช้จ่ายอื่นใดตามมาตรา ๑๕ (๓) อัตราดอกเบี้ย (๔) วิธีการชำระเงิน (๕) ดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดชำระหนี้ (๖) ค่าใช้จ่ายในการบริหารหนี้สาธารณะที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังจากการชำระหนี้แทนซึ่งรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐต้องรับผิดชอบ (๗) เหตุแห่งการบอกเลิกสัญญา ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติให้กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณัฐวดี/ตรวจ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๑๔/๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔
584536
กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2551
กฎกระทรวง กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในกฎกระทรวงนี้ “ผู้กู้ต่อ” หมายความว่า หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ ข้อ ๒ โครงการหรือแผนงานของผู้กู้ต่อที่กระทรวงการคลังจะให้กู้ต่อได้จะต้องเป็นโครงการหรือแผนงานตามมาตรา ๒๕ ข้อ ๓ เมื่อกระทรวงการคลังได้กู้เงินมาเพื่อให้กู้ต่อแล้ว ให้จัดทำสัญญากู้กับผู้กู้ต่อให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สัญญากู้ต่อให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อคู่สัญญา (๒) วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ (๓) จำนวนเงินและสกุลเงินที่กู้ (๔) วิธีการและเงื่อนไขในการเบิกถอนเงินกู้ (๕) อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ต่อ (๖) จำนวนเงิน ระยะเวลา และวิธีการในการชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ต่อ (๗) ดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดชำระหนี้ (๘) เหตุแห่งการบอกเลิกสัญญา ข้อ ๔ ในการเบิกถอนเงินกู้ ผู้กู้ต่อต้องมีหนังสือแจ้งไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขอเบิกถอนเงินกู้ เว้นแต่ในกรณีที่กระทรวงการคลังตกลงให้ผู้กู้ต่อเบิกถอนเงินจากแหล่งเงินกู้โดยตรง ให้ผู้กู้ต่อรายงานการเบิกถอนเงินกู้นั้นไปยังกระทรวงการคลังภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ได้เบิกถอนเงินกู้ ข้อ ๕ ในกรณีที่กระทรวงการคลังตกลงให้ผู้กู้ต่อชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย หรือค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องแก่แหล่งเงินกู้โดยตรง ให้ผู้กู้ต่อรายงานการชำระเงินดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลังพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานการชำระเงินภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ได้ชำระเงินให้แก่แหล่งเงินกู้ ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ในการติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ของผู้กู้ต่อ ให้ผู้กู้ต่อรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการหรือแผนงานที่ใช้เงินกู้ต่อกระทรวงการคลังตามที่รัฐมนตรีกำหนด ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติว่า ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีความจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับโครงการหรือแผนงานที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และหากกระทรวงการคลังเป็นผู้กู้ และนำมาให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อจะเป็นการประหยัดและทำให้การบริหารหนี้สาธารณะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวกู้ต่อได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ ปริยานุช/จัดทำ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๐ ก/หน้า ๒๔/๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๑
584532
กฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2551
กฎกระทรวง กฎกระทรวง กำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บดอกเบี้ยการให้กู้ต่อจากหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ผู้กู้ต่อในอัตราและเงื่อนไขเดียวกับที่กระทรวงการคลังกู้มาจากแหล่งเงินกู้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงินมาให้กู้ต่อ ข้อ ๒ ให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อจากหน่วยงานของรัฐหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อท้ายกฎกระทรวงนี้ รัฐมนตรีจะอนุมัติให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อในกรณีดังต่อไปนี้ต่ำกว่าอัตราตามบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อท้ายกฎกระทรวงนี้หรือไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมก็ได้ (๑) โครงการหรือแผนงานของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้รับผิดชอบและดำเนินการ (๒) โครงการหรือแผนงานของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ ในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยส่วนรวม แต่ไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนในเชิงพาณิชย์ (๓) โครงการหรือแผนงานลงทุนใหม่ของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ ตามยุทธศาสตร์ของแผนการบริหารราชการแผ่นดิน (๔) โครงการหรือแผนงานสนับสนุนสินเชื่อของสถาบันการเงินภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้สถาบันการเงินภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบและดำเนินการ ให้หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ ที่เสียค่าธรรมเนียมต่ำกว่าอัตราตามบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อท้ายกฎกระทรวงนี้หรือไม่เสียค่าธรรมเนียมตามวรรคสอง บันทึกจำนวนเงินที่เป็นส่วนต่างของค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อที่ชำระจริง และค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่ออันพึงต้องชำระตามอัตราในบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อท้ายกฎกระทรวงนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการดำเนินงาน ข้อ ๓ ภายใต้บังคับข้อ ๔ ให้สำนักงานประเมินระดับความน่าเชื่อถืออย่างน้อยทุกรอบสิบสองเดือน เพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ โดยพิจารณาจาก (๑) ความเสี่ยงทางเครดิต ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรม ความเสี่ยงด้านธุรกิจ และความเสี่ยงทางการเงิน รวมทั้งแผนการดำเนินงานในอนาคตและโครงสร้างของวงเงินกู้ยืม และ (๒) ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน กับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่เป็นอัตราอ้างอิง ในกรณีที่ไม่สามารถหาส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตาม (๒) ได้ ให้พิจารณาระดับความน่าเชื่อถือเฉพาะความเสี่ยงทางเครดิตตาม (๑) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินระดับความน่าเชื่อถือตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประกาศกำหนด ข้อ ๔ ในกรณีที่สำนักงานได้ประเมินระดับความน่าเชื่อถือเพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ สำนักงานจะใช้ผลการประเมินดังกล่าวเป็นผลการประเมินระดับความน่าเชื่อถือเพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อก็ได้ ข้อ ๕ เมื่อสำนักงานได้ประเมินระดับความน่าเชื่อถือของรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐที่กระทรวงการคลังให้กู้ต่อตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามข้อ ๓ หรือใช้ผลการประเมินระดับความน่าเชื่อถือเพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐนั้นตามข้อ ๔ แล้วแต่กรณี แล้ว ให้แจ้งผลการประเมินให้รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐนั้นทราบ ข้อ ๖ ค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อตามข้อ ๒ ให้เรียกเก็บเป็นเงินสกุลตามที่ได้ให้กู้ต่อและจะเรียกเก็บปีละหนึ่งครั้งหรือปีละสองครั้งก็ได้ ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [เอกสารแนบท้าย] ๑. บัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. บัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อของรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติให้กระทรวงการคลังมีอำนาจในการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ ปริยานุช/จัดทำ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๐ ก/หน้า ๒๐/๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๑
584526
กฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ของกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2551
กฎกระทรวง กฎกระทรวง กำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันท้ายกฎกระทรวงนี้ รัฐมนตรีจะอนุมัติให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ในกรณีดังต่อไปนี้ ต่ำกว่าอัตราตามบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันท้ายกฎกระทรวงนี้ หรือไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมก็ได้ (๑) โครงการหรือแผนงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้รับผิดชอบและดำเนินการ (๒) โครงการหรือแผนงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยส่วนรวม แต่ไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนในเชิงพาณิชย์ (๓) โครงการหรือแผนงานลงทุนใหม่ของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจตามยุทธศาสตร์ของแผนการบริหารราชการแผ่นดิน (๔) โครงการหรือแผนงานสนับสนุนสินเชื่อของสถาบันการเงินภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้สถาบันการเงินภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบและดำเนินการ ให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ที่เสียค่าธรรมเนียมต่ำกว่าอัตราตามบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันท้ายกฎกระทรวงนี้หรือไม่เสียค่าธรรมเนียมตามวรรคสอง บันทึกจำนวนเงินที่เป็นส่วนต่างของค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่ชำระจริง และค่าธรรมเนียมการค้ำประกันอันพึงต้องชำระตามอัตราในบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันท้ายกฎกระทรวงนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการดำเนินงาน ข้อ ๒ ภายใต้บังคับข้อ ๓ ให้สำนักงานประเมินระดับความน่าเชื่อถืออย่างน้อยทุกรอบสิบสองเดือน เพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ โดยพิจารณาจาก (๑) ความเสี่ยงทางเครดิต ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรม ความเสี่ยงด้านธุรกิจ และความเสี่ยงทางการเงิน รวมทั้งแผนการดำเนินงานในอนาคตและโครงสร้างของวงเงินกู้ยืม และ (๒) ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน กับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่เป็นอัตราอ้างอิง ในกรณีที่ไม่สามารถหาส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตาม (๒) ได้ ให้พิจารณาระดับความน่าเชื่อถือเฉพาะความเสี่ยงทางเครดิตตาม (๑) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินระดับความน่าเชื่อถือตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประกาศกำหนด ข้อ ๓ ในกรณีที่สำนักงานได้ประเมินระดับความน่าเชื่อถือเพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ สำนักงานจะใช้ผลการประเมินดังกล่าวเป็นผลการประเมินระดับความน่าเชื่อถือเพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันก็ได้ ข้อ ๔ เมื่อสำนักงานได้ประเมินระดับความน่าเชื่อถือของรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐที่กระทรวงการคลังค้ำประกันตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามข้อ ๒ หรือใช้ผลการประเมินระดับความน่าเชื่อถือเพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อจากรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐนั้นตามข้อ ๓ แล้วแต่กรณี แล้ว ให้แจ้งผลการประเมินให้รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐนั้นทราบ ข้อ ๕ ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามข้อ ๑ ให้เรียกเก็บเป็นเงินสกุลตามที่ได้ค้ำประกันและจะเรียกเก็บปีละหนึ่งครั้งหรือปีละสองครั้งก็ได้ ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [เอกสารแนบท้าย] ๑. บัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของหน่วยงานของรัฐ ๒. บัญชีอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติให้กระทรวงการคลังมีอำนาจในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ ปริยานุช/จัดทำ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๐ ก/หน้า ๑๖/๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๑
560062
กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออก การซื้อขาย การโอน และการใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน พ.ศ. 2550
กฎกระทรวง กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออก การซื้อขาย การโอน และการใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน พ.ศ. ๒๕๕๐[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ หมวด ๑ การออกตราสารหนี้ ข้อ ๑ กระทรวงการคลังจะออกตราสารหนี้ ดังต่อไปนี้ (๑) ตั๋วเงินคลัง (๒) พันธบัตร (๓) ตั๋วสัญญาใช้เงิน การออกตราสารหนี้ตามวรรคหนึ่งจะมีใบตราสารหรือไร้ใบตราสารก็ได้ ข้อ ๒ ตราสารหนี้ประเภทมีใบตราสารให้เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวงนี้ ข้อ ๓ กระทรวงการคลังอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือนิติบุคคลอื่นเป็นนายทะเบียนก็ได้ ข้อ ๔ ให้นายทะเบียนมีหน้าที่จัดทำทะเบียนตราสารหนี้ให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบันและเก็บรักษาทะเบียนตราสารหนี้ด้วย ทะเบียนตราสารหนี้ตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องแสดงชื่อผู้ทรงตราสารหนี้และรายละเอียดที่จำเป็นเกี่ยวกับตราสารหนี้ ข้อ ๕ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือนิติบุคคลที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนดเป็นผู้รับฝากตราสารหนี้ประเภทไร้ใบตราสาร ข้อ ๖ ผู้ทรงตราสารหนี้ประเภทมีใบตราสารซึ่งประสงค์จะเปลี่ยนเป็นประเภทไร้ใบตราสารให้แจ้งต่อผู้รับฝากตราสารหนี้พร้อมทั้งส่งมอบใบตราสารด้วย ผู้รับฝากตราสารหนี้ต้องแจ้งการเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้และส่งมอบใบตราสารนั้นต่อนายทะเบียน ข้อ ๗ ผู้ทรงตราสารหนี้ประเภทไร้ใบตราสารซึ่งประสงค์จะเปลี่ยนเป็นประเภทมีใบตราสารให้แจ้งต่อผู้รับฝากตราสารหนี้ที่ตนฝากตราสารหนี้ไว้ ผู้รับฝากตราสารหนี้ต้องแจ้งการเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ไปยังนายทะเบียน เพื่อให้นายทะเบียนออกใบตราสารให้แก่ผู้ทรงตราสารหนี้นั้น ข้อ ๘ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นตัวแทนของกระทรวงการคลังในการจ่ายเงินสำหรับตั๋วเงินคลังและพันธบัตร หมวด ๒ การซื้อขายตราสารหนี้ ข้อ ๙ กระทรวงการคลังอาจมอบหมายให้นิติบุคคลอื่นนอกจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้ก็ได้ ในกรณีที่กระทรวงการคลังมอบหมายให้นิติบุคคลอื่นเป็นผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้ต้องคำนึงถึงความสามารถในการกระจายตราสารหนี้และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ ข้อ ๑๐ นิติบุคคลผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้ตามข้อ ๙ ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้ง และ (๒) มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ ส่วนที่ ๑ ตั๋วเงินคลัง ข้อ ๑๑ การจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังให้กระทำโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนหรือวิธีการเสนอซื้อ ทั้งนี้ วิธีการเสนอซื้อจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนในคราวเดียวกัน ข้อ ๑๒ ในการจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังตามข้อ ๑๑ ให้กระทรวงการคลังออกประกาศ โดยมีรายละเอียดอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) วงเงินและอายุของตั๋วเงินคลัง (๒) สัดส่วนการจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนหรือวิธีการเสนอซื้อ (๓) วิธีการและเงื่อนไขในการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนหรือการเสนอซื้อและการจัดสรรตั๋วเงินคลัง (๔) เบี้ยปรับหรือการเลิกสัญญาในกรณีที่ชำระเงินค่าตั๋วเงินคลังล่าช้าหรือไม่ชำระ (ถ้ามี) ข้อ ๑๓ การจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้มีสิทธิเสนอประมูล ได้แก่ ธนาคาร สถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งให้เป็นผู้ค้าหลัก และนิติบุคคลที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด (๒) ผู้มีสิทธิเสนอประมูลตาม (๑) ที่ประสงค์จะเสนอประมูลต้องส่งคำเสนอตามแบบที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนดไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) ภายใต้บังคับข้อ ๑๖ ให้กระทรวงการคลังจัดสรรตั๋วเงินคลังให้แก่ผู้เสนอประมูลที่เสนออัตราผลตอบแทนต่ำสุดก่อน แล้วจึงจัดสรรให้แก่ผู้เสนอประมูลที่เสนออัตราผลตอบแทนสูงขึ้นไปตามลำดับ โดยไม่เกินวงเงินที่กำหนดในวันประมูลนั้น ๆ และแจ้งผลให้ผู้เสนอประมูลทราบในวันประมูลนั้น ในกรณีที่มีผู้เสนออัตราผลตอบแทนต่ำสุดหลายราย และจำนวนที่ขอประมูลเมื่อรวมกันแล้วเกินวงเงินที่กำหนดไว้ ให้จัดสรรตั๋วเงินคลังแก่บุคคลดังกล่าวเฉลี่ยตามสัดส่วนจำนวนที่ผู้เสนอประมูลได้เสนอขอประมูล หากมีเศษเหลือ ให้จัดสรรให้แก่ผู้ที่เสนอประมูลเป็นรายแรกก่อน (๔) ผู้เสนอประมูลที่ได้รับการจัดสรรตั๋วเงินคลังจะต้องชำระเงินค่าตั๋วเงินคลังที่ได้รับการจัดสรร โดยยินยอมให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหักเงินจากบัญชีเงินฝากที่มีอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือโอนเงินเข้าบัญชี “กระแสรายวันงานจัดการตราสารหนี้” ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการบริการบาทเนต ข้อ ๑๔ การจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังโดยวิธีการเสนอซื้อมีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้มีสิทธิเสนอซื้อ ได้แก่ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด (๒) ผู้มีสิทธิเสนอซื้อตาม (๑) ที่ประสงค์จะเสนอซื้อต้องยื่นคำเสนอต่อสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งให้เป็นผู้ค้าหลัก หรือหน่วยงานอื่นที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด โดยระบุจำนวนที่ขอซื้อและคำรับรองว่าจะยอมรับอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยของผู้ที่ประมูลได้ในวันที่มีการประมูลอัตราผลตอบแทนในคราวเดียวกันนั้น ทั้งนี้ ตามแบบที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด (๓) เมื่อได้รับคำเสนอแล้ว ให้สถาบันการเงินหรือหน่วยงานอื่นตาม (๒) ส่งคำเสนอนั้นไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) ให้กระทรวงการคลังจัดสรรตั๋วเงินคลังให้แก่ผู้เสนอซื้อตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด (๕) ผู้เสนอซื้อที่ได้รับการจัดสรรตั๋วเงินคลังจะต้องชำระเงินค่าตั๋วเงินคลังที่ได้รับการจัดสรรให้แก่สถาบันการเงินหรือหน่วยงานอื่นตาม (๒) ซึ่งตนได้ยื่นคำเสนอซื้อ โดยสถาบันการเงินหรือหน่วยงานอื่นนั้นจะต้องรับผิดชอบในการชำระเงินต่อธนาคารแห่งประเทศไทย โดยยินยอมให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหักเงินจากบัญชีเงินฝากที่มีอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือโอนเงินเข้าบัญชี “กระแสรายวันงานจัดการตราสารหนี้” ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการบริการบาทเนต ข้อ ๑๕ คำ เสนอประมูลอัตราผลตอบแทนหรือคำ เสนอซื้อ ให้ส่งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้บริการธุรกรรมประมูลตราสารหนี้ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในกรณีที่มีเหตุขัดข้องทำให้ไม่สามารถส่งคำเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนหรือคำเสนอซื้อด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามวรรคหนึ่งได้ ให้ส่งคำเสนอไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยตามแบบและวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ข้อ ๑๖ กระทรวงการคลังอาจไม่พิจารณาจัดสรรตั๋วเงินคลังให้แก่ผู้เสนอประมูลอัตราผลตอบแทนรายหนึ่งรายใดหรือทุกราย สำหรับจำนวนที่ขอประมูลทั้งหมดหรือบางส่วนในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) มีการเสนออัตราผลตอบแทนบิดเบือนราคาตลาดอย่างมีนัยสำคัญ (๒) มีการเสนออัตราผลตอบแทนสูงเกินกว่าที่กระทรวงการคลังจะรับได้อันเนื่องมาจากเกิดความผันผวนทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมในประเทศหรือต่างประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อตลาดการเงิน ในกรณีที่ไม่มีผู้ได้รับการจัดสรรตั๋วเงินคลังในการจัดจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังประกาศยกเลิกการจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังในส่วนนั้นหรือครั้งนั้น ข้อ ๑๗ เมื่อได้ประกาศยกเลิกการจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังตามข้อ ๑๖ วรรคสอง หรือการจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังไม่เต็มตามวงเงินที่ประกาศกำหนดตามข้อ ๑๒ กระทรวงการคลังจะนำวงเงินที่ยกเลิกหรือวงเงินที่เหลือนั้นไปรวมกับวงเงินการจัดจำหน่ายตั๋วเงินคลังในงวดต่อ ๆ ไปก็ได้ ข้อ ๑๘ ในการใช้เงินตามตั๋วเงินคลัง ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยโอนเงินให้แก่ผู้ทรงตั๋วเงินคลังตามที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน โดยในกรณีที่เป็นตั๋วเงินคลังประเภทมีใบตราสาร การโอนเงินจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับคืนใบตราสารแล้ว ส่วนที่ ๒ พันธบัตร ข้อ ๑๙ การจัดจำหน่ายพันธบัตรให้กระทำโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน วิธีการเสนอซื้อ หรือวิธีการจำหน่ายโดยตรง ทั้งนี้ วิธีการเสนอซื้อจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการจัดจำหน่ายพันธบัตรโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนในคราวเดียวกัน ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารหนี้สาธารณะจะใช้วิธีการจำหน่ายโดยเฉพาะเจาะจงหรือวิธีการตกลงราคาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนดเป็นครั้งคราวก็ได้ ข้อ ๒๐ ให้นำความในข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๕ ข้อ ๑๖ และข้อ ๑๗ มาใช้กับการจัดจำหน่ายพันธบัตรโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนและวิธีการเสนอซื้อโดยอนุโลม ข้อ ๒๑ การจัดจำหน่ายพันธบัตรโดยวิธีการจำหน่ายโดยตรงมีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) ให้กระทรวงการคลังจัดทำหนังสือเชิญชวนเผยแพร่เป็นการทั่วไป ซึ่งอย่างน้อยต้องกำหนดเกี่ยวกับวงเงิน อายุของพันธบัตร อัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขการโอนสิทธิ ข้อจำกัดการใช้พันธบัตรเป็นหลักประกัน และเงื่อนไขการขายคืนพันธบัตร (๒) ผู้มีสิทธิซื้อ ได้แก่ บุคคลธรรมดา นิติบุคคลที่ไม่มุ่งแสวงหากำไร หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด (๓) ผู้มีสิทธิซื้อตาม (๒) ที่ประสงค์จะซื้อพันธบัตรต้องส่งคำเสนอโดยระบุจำนวนที่ขอซื้อตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนดไปยังผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้ (๔) ให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจำหน่ายพันธบัตรโดยคำนึงถึงการกระจายการถือพันธบัตร ความเป็นธรรม และความโปร่งใส ในกรณีที่จัดจำหน่ายพันธบัตรได้ไม่เต็มตามวงเงินที่กำหนดไว้ในหนังสือเชิญชวนตาม (๑) กระทรวงการคลังจะนำวงเงินที่เหลือนั้นไปรวมกับวงเงินในการจัดจำหน่ายพันธบัตรในงวดต่อ ๆ ไปก็ได้ ข้อ ๒๒ ในการชำระดอกเบี้ยของพันธบัตร ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยโอนเงินให้แก่ผู้ทรงพันธบัตรหรือบุคคลอื่นตามคำร้องขอของผู้ทรงพันธบัตร ทั้งนี้ ตามที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ข้อ ๒๓ ให้นำความในข้อ ๑๘ มาใช้กับการใช้เงินตามพันธบัตรโดยอนุโลม ส่วนที่ ๓ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ข้อ ๒๔ การออกและการจัดจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงินให้กระทำโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน เว้นแต่ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารหนี้สาธารณะจะใช้วิธีการตกลงราคาก็ได้ ข้อ ๒๕ การออกและการจัดจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงินโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนมีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) ให้กระทรวงการคลังส่งหนังสือเชิญเข้าประมูลไปยังสถาบันการเงินหรือนิติบุคคลที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด ทั้งนี้ ตามที่กระทรวงการคลังเห็นสมควร โดยหนังสือเชิญเข้าประมูลอย่างน้อยต้องกำหนดเกี่ยวกับวงเงิน อายุของตั๋วสัญญาใช้เงิน เงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้เงินตามตั๋วก่อนครบกำหนดเวลาใช้เงิน และเงื่อนไขอื่นที่จำเป็นต่อการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน (๒) ผู้มีสิทธิเสนอประมูลตาม (๑) ที่ประสงค์จะเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนต้องส่งคำเสนอโดยระบุอัตราผลตอบแทนตามแบบและหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด (๓) ให้กระทรวงการคลังออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้เสนอประมูลที่เสนออัตราผลตอบแทนต่ำสุด ทั้งนี้ ให้นำข้อ ๑๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม (๔) การชำระเงินค่าตั๋วสัญญาใช้เงินให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด หมวด ๓ การโอนตราสารหนี้ ข้อ ๒๖ การโอนตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรประเภทที่มีใบตราสาร ให้ผู้โอนและผู้รับโอนยื่นหนังสือขอโอนสิทธิต่อนายทะเบียนตามแบบที่นายทะเบียนกำหนด โดยแนบตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรที่จะโอนด้วย เมื่อนายทะเบียนได้ตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ให้บันทึกการโอนและลงลายมือชื่อในตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรนั้น และส่งมอบให้แก่ผู้รับโอน รวมทั้งบันทึกการโอนในทะเบียนตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรด้วย ข้อ ๒๗ การโอนตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรประเภทไร้ใบตราสาร ให้ผู้ฝากตราสารหนี้ซึ่งเป็นผู้โอนแจ้งไปยังผู้รับฝากตราสารหนี้นั้นตามแบบหรือวิธีการที่ผู้รับฝากตราสารหนี้กำหนด การโอนตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรตามวรรคหนึ่ง ให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้รับฝากตราสารหนี้ได้บันทึกในบัญชีของผู้ฝากตราสารหนี้ซึ่งเป็นผู้รับโอนแล้ว ข้อ ๒๘ การโอนตั๋วสัญญาใช้เงินให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด ๔ การใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกันและการบังคับหลักประกัน ข้อ ๒๙ ให้นำบทบัญญัติลักษณะ ๑๓ ในบรรพ ๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกับการใช้ตราสารหนี้ประเภทมีใบตราสารเป็นหลักประกันโดยวิธีจำนำโดยอนุโลม ทั้งนี้ เว้นแต่ที่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วในหมวดนี้ ข้อ ๓๐ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๗๔๘ (๑) (๒) และ (๓) มาตรา ๗๕๔ วรรคสอง มาตรา ๗๕๕ มาตรา ๗๕๖ มาตรา ๗๕๘ มาตรา ๗๖๑ มาตรา ๗๖๗ มาตรา ๗๖๘ และมาตรา ๗๖๙ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้บังคับกับการใช้ตราสารหนี้ประเภทไร้ใบตราสารเป็นหลักประกัน โดยอนุโลม ข้อ ๓๑ วิธีการใช้ตราสารหนี้ประเภทไร้ใบตราสารเป็นหลักประกันและการถอนประกันตราสารหนี้ดังกล่าว ให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อ ๓๒ และข้อ ๓๓ เว้นแต่ในกรณีที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้รับฝากตราสารหนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ข้อ ๓๒ ในการใช้ตราสารหนี้ประเภทไร้ใบตราสารเป็นหลักประกัน ให้ผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกันแจ้งต่อผู้รับฝากตราสารหนี้ตามแบบที่ผู้รับฝากตราสารหนี้กำหนด การใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกันตามวรรคหนึ่ง ให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้รับฝากตราสารหนี้ได้บันทึกการใช้ตราสารหนี้นั้นเป็นหลักประกันในบัญชีของผู้รับหลักประกันแล้ว เมื่อผู้รับหลักประกันร้องขอ ให้ผู้รับฝากตราสารหนี้ออกหลักฐานเพื่อยืนยันการใช้ตราสารหนี้นั้นเป็นหลักประกันให้แก่ผู้รับหลักประกัน ข้อ ๓๓ การถอนประกันตราสารหนี้ประเภทไร้ใบตราสาร ให้ผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกันแจ้งต่อผู้รับฝากตราสารหนี้ตามแบบที่ผู้รับฝากตราสารหนี้กำหนด เมื่อผู้รับฝากตราสารหนี้ได้ตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ให้บันทึกการถอนประกันตราสารหนี้นั้น ในบัญชีของผู้รับหลักประกัน ข้อ ๓๔ การบังคับหลักประกันให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) ในกรณีที่ตราสารหนี้ถึงกำหนดชำระ ให้ผู้รับหลักประกันเรียกเก็บเงินตามตราสารหนี้ในวันถึงกำหนด โดยไม่ต้องบอกกล่าวแก่ผู้ให้หลักประกัน (๒) ในกรณีที่ตราสารหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ให้ผู้รับหลักประกันบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้ให้หลักประกันเพื่อให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันควร หากผู้ให้หลักประกันไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าวผู้รับหลักประกันจะนำตราสารหนี้ที่วางหลักประกันไปขายทอดตลาดหรือขายในตลาดซื้อขายตราสารหนี้ ที่ทำการซื้อขายโดยทั่วไปก็ได้ ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [เอกสารแนบท้าย] ๑. แบบตั๋วเงินคลัง ๒. แบบพันธบัตร ๓. แบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติให้การออกตราสารหนี้ การซื้อขายตราสารหนี้ การโอนตราสารหนี้ การใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน การบังคับหลักประกัน และการมอบหมายให้บุคคลจัดจำหน่าย ให้เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ โสรศ/จัดทำ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๐ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๓๕ ก/หน้า ๑๗/๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐
490927
กฎกระทรวงว่าด้วยการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2549
กฎกระทรวง กฎกระทรวง ว่าด้วยการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ การทำธุรกรรมทางการเงินอื่นตามมาตรา ๑๔ ได้แก่ การทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับสัญญา ดังต่อไปนี้ (๑) สัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้า (foreign exchange forward contract) (๒) สัญญาซื้อขายอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า (forward rate agreement) (๓) สัญญาซื้อขายเงินตราหรืออัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (futures contract) (๔) สัญญาให้สิทธิที่จะซื้อหรือขายอัตราดอกเบี้ย (interest rate options) (๕) สัญญาให้สิทธิที่จะซื้อหรือขายเงินตรา (currency options) ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติให้กระทรวงการคลังมีอำนาจปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ โดยดำเนินการกู้เงินรายใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม แปลงหนี้ ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุ ซื้อคืน หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาล หรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ นันทนา/จัดทำ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ศิรวัชร์/ปรับปรุง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนที่ ๔๙ ก/หน้า ๖/๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙
720889
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินสำหรับโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 2 (ฉบับ Update ล่าสุด)
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินสำหรับโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ และสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประกอบกับมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ จึงได้ดำเนินการกู้เงิน โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ๑. ผู้ให้กู้ : ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ๒. วัตถุประสงค์ในการกู้ : เพื่อนำมาใช้ในโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ และสร้างอนาคตประเทศ ๓. รายละเอียดเงื่อนไข : ๓.๑ วงเงินกู้รวม จำนวน ๒๖,๙๗๓.๐๐ ล้านบาท (สองหมื่นหกพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสามล้านบาทถ้วน) ๓.๒ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา เฉลี่ย ๗ วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ๔ แห่ง (FDR) ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย) บวกด้วย Spread โดยปรับอัตราดอกเบี้ยทุกงวด ๖ เดือน หากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมีการเปลี่ยนแปลง การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน แล้วนับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง โดยดอกเบี้ยงวดแรกมีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงบวก Spread เฉลี่ย ร้อยละ ๑.๖๓๑ ต่อปี ๓.๓[๒] กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้ นับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยจะเบิกที่อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดก่อน โดยจะแจ้งให้ผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ๓.๔ การชำระดอกเบี้ย กระทรวงการคลังจะชำระดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ให้กู้ ทุกงวด ๖ เดือน ในวันที่ ๑ เมษายน และวันที่ ๑ ตุลาคม ของทุกปี โดยจะชำระดอกเบี้ยงวดแรก ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ และชำระดอกเบี้ยงวดสุดท้ายพร้อมต้นเงินกู้ ณ วันสิ้นสุดสัญญาเงินกู้ การชำระดอกเบี้ยงวดแรก กระทรวงการคลังจะใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เฉลี่ย ๗ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๔ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับอัตราดอกเบี้ยในงวดต่อ ๆ ไป จะใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เฉลี่ย ๗ วัน ก่อน ๒ วันทำการ ก่อนวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยเพื่อใช้คำนวณดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลา ๖ เดือน ถัดมา ๓.๕ การชำระต้นเงิน กระทรวงการคลังจะชำระคืนต้นเงินกู้ทั้งจำนวน ณ วันสิ้นสุดสัญญากู้ยืมเงิน คือ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๓.๖ การชำระหนี้ก่อนกำหนด กระทรวงการคลังสามารถชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนดได้ทั้งจำนวนหรือบางส่วนโดยจะทยอยคืนหนี้เงินกู้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดก่อน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้ผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑ เดือน ๓.๗ หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดราชการหรือวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลังจะชำระหนี้ในวันเปิดทำการถัดไป โดยไม่นับวันหยุดราชการหรือวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเข้ารวมเพื่อคำนวณดอกเบี้ยในงวดที่ถึงกำหนดชำระ ยกเว้นการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันก่อนวันชำระหนี้ ๓.๘ ไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การขยายระยะเวลาการเบิกเงินกู้สำหรับโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒[๓] ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ อุษมล/ผู้ตรวจ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ภีราพร/เพิ่มเติม ๑๗ พฤศจิกยน ๒๕๕๗ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๘๖ ง/หน้า ๑๙/๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [๒] ข้อ ๓ ๓.๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การขยายระยะเวลาการเบิกเงินกู้สำหรับโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ [๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๑/ตอนพิเศษ ๒๐๗ ง/หน้า ๑๐/๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗
859241
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 (ฉบับ Update ล่าสุด)
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ และอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ ประกอบมาตรา ๒๐ (๑) และมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยวิธีการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) จากธนาคารออมสิน วงเงินกู้รวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท (สามหมื่นล้านบาทถ้วน) ๒. อายุเงินกู้ ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑ ครบกำหนดชำระต้นเงินกู้ทั้งจำนวน ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ ๓. อัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ ระยะ ๖ เดือน (BIBOR ๖M) ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นฐานในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลบด้วยส่วนต่าง (Spread) เฉลี่ยร้อยละ ๐.๑๕๒๖๗ ต่อปี ๔.[๒] การเบิกเงินกู้ กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้ นับตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ โดยจะแจ้งผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเบิกเงินกู้เป็นงวดเรียงลำดับจากวงเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดก่อน และเมื่อเบิกเงินกู้ครบจำนวนของวงเงินดังกล่าวแล้ว จึงจะเริ่มเบิกรับเงินกู้ในวงเงินกู้ลำดับถัดไป ๕. การชำระดอกเบี้ย ตลอดเวลาที่สัญญายังมีอายุอยู่ให้แบ่งชำระดอกเบี้ยปีละสองงวด คือ วันที่ ๒๕ มกราคม และ ๒๕ กรกฎาคม ของทุกปี โดยจะชำระดอกเบี้ยงวดแรก ในวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และชำระดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ พร้อมต้นเงินกู้ ณ วันสิ้นสุดตามสัญญากู้ยืมเงิน หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป โดยไม่นับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว เข้ารวมเพื่อคำนวณดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชำระ ยกเว้นการชำระหนี้งวดสุดท้าย ให้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันก่อนวันชำระหนี้ ทั้งนี้ ในการคำนวณดอกเบี้ย ให้ถือว่าหนึ่งปีมี ๓๖๕ (สามร้อยหกสิบห้า) วัน นับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง ๖. การชำระต้นเงินกู้ กระทรวงการคลังสามารถชำระหนี้คืนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ก่อนครบกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ได้ โดยจะทยอยคืนต้นเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดก่อน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้สถาบันการเงิน (ผู้ให้กู้) ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ โดยกระทรวงการคลังจะชำระดอกเบี้ยคงค้างของต้นเงินกู้ที่ค้างชำระ พร้อมกับการชำระต้นเงินกู้ก่อนกำหนดนั้น ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคงค้างให้คำนวณนับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังชำระคืนดอกเบี้ยครั้งล่าสุดจนถึงวันก่อนวันที่กระทรวงการคลังชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนกำหนด โดยหากวันครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้คราวใดตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนไปชำระคืนในวันทำการถัดไป ๗. ไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ จุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาการเบิกเงินกู้สำหรับการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑[๓] ข้อ ๒ รายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินอื่นเป็นไปตามประกาศเดิมทุกประการ ปวันวิทย์/จัดทำ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๑ วิวรรธน์/เพิ่มเติม ๓ กันยายน ๒๕๖๑ นุสรา/ตรวจ ๔ กันยายน ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๖๑ ง/หน้า ๙/๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ [๒] ข้อ ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาการเบิกเงินกู้สำหรับการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ [๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๗๖ ง/หน้า ๖/๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑
828251
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการกู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้มาเพื่อให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการกู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ และอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๑๔ มาตรา ๒๐ (๓) และมาตรา ๒๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้มาเพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขของการกู้เงิน ดังต่อไปนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินระยะสั้น เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้มาเพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยวิธีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ ๗ เดือน วงเงินรวม ๙,๒๘๑,๑๐๐,๕๓๘.๙๒ บาท (เก้าพันสองร้อยแปดสิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนห้าร้อยสามสิบแปดบาทเก้าสิบสองสตางค์) จากธนาคารออมสิน ๑.๑ ชำระคืนต้นเงินกู้ที่ครบกำหนดของสัญญากู้ยืมเงินเลขที่ ๑๒/๒๕๕๙ และชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนครบกำหนดของสัญญากู้ยืมเงินเลขที่ ๗/๒๕๖๐ และ ๘/๒๕๖๐ ให้กับธนาคารออมสินและธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น วงเงิน ๗,๒๕๐,๑๐๐,๕๓๘.๙๒ บาท (เจ็ดพันสองร้อยห้าสิบล้านหนึ่งแสนห้าร้อยสามสิบแปดบาทเก้าสิบสองสตางค์) ๑.๒ ชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนครบกำหนดของสัญญากู้ยืมเงินเลขที่ ๑/๒๕๖๐ ให้กับธนาคารออมสิน สำหรับโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน ๓ แห่งวงเงิน ๒,๐๓๑,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท (สองพันสามสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) ๒. เบิกเงินกู้ทั้งจำนวน ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ๓. อายุเงินกู้ ๗ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ครบกำหนดในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ๔. อัตราดอกเบี้ยตามข้อ ๑.๑ - ๑.๒ เท่ากับ อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๑.๖๕ ต่อปี(หนึ่งจุดหกห้า) ต่อปี ๕. การชำระดอกเบี้ย กระทรวงการคลังจะชำระพร้อมต้นเงินกู้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินในวันที่ไถ่ถอนหากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยก็ให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป โดยให้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันก่อนวันชำระหนี้ ๖. การชำระคืนต้นเงินกู้ กระทรวงการคลังสามารถชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนครบกำหนดได้ทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้สถาบันการเงินทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการโดยกระทรวงการคลังจะชำระดอกเบี้ยคงค้างของต้นเงินกู้ที่ค้างชำระ พร้อมกับการชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนกำหนดนั้น ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคงค้างให้คำนวณนับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังชำระคืนดอกเบี้ยครั้งล่าสุดจนถึงวันก่อนวันที่กระทรวงการคลังชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนกำหนด โดยหากวันครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เลื่อนไปชำระคืนในวันทำการถัดไปการคำนวณดอกเบี้ยให้ถือว่าหนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน นับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง ๗. ไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิไลภรณ์/ธนบดี/จัดทำ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนพิเศษ ๔๖ ง/หน้า ๗/๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
828209
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกเงินกู้เพื่อให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 5
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกเงินกู้เพื่อให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๕[๑] ด้วยกระทรวงการคลังได้มีการขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกเงินกู้เพื่อให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๕ สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ทำให้รายละเอียดและเงื่อนไขที่ระบุในข้อ ๔ ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๕ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ข้อ ๑ การกู้เงินตามประกาศดังกล่าว กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้ สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ นับตั้งแต่วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๒ โดยจะแจ้งผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ข้อ ๒ รายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินอื่น เป็นไปตามประกาศเดิมทุกประการ ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิไลภรณ์/ธนบดี/จัดทำ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนพิเศษ ๔๕ ง/หน้า ๓/๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
828207
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกเงินกู้เพื่อให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 4
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกเงินกู้เพื่อให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๔[๑] ด้วยกระทรวงการคลังได้มีการขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกเงินกู้เพื่อให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๔ สำหรับโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทยทำให้รายละเอียดและเงื่อนไขที่ระบุในข้อ ๔ ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๑ มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ข้อ ๑ การกู้เงินตามประกาศดังกล่าว กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้ สำหรับโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) นับตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒ โดยจะแจ้งผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ข้อ ๒ รายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินอื่น เป็นไปตามประกาศเดิมทุกประการ ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิไลภรณ์/ธนบดี/จัดทำ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนพิเศษ ๔๕ ง/หน้า ๒/๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
825908
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑[๑] เพื่ออนุวัติตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๒๐ (๓) และมาตรา ๒๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ ซึ่งมีเงื่อนไขและสาระสำคัญดังนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ วงเงิน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้ ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลนี้เป็นการเพิ่มปริมาณ (Re - open) พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB326A) ทำให้วงเงินรวมของพันธบัตรรัฐบาลรุ่นนี้เป็น ๑๗๓,๔๔๖ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรรัฐบาลนี้มีอายุคงเหลือ ๑๓.๖๐ ปี โดยจะไถ่ถอนครั้งเดียวทั้งจำนวนในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๗๕ และไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด หากวันไถ่ถอนตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนวันไถ่ถอนเป็นวันทำการถัดไป ๑.๓ พันธบัตรรัฐบาลนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๗๗๕ ต่อปี ชำระปีละ ๒ ครั้ง ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน และ ๒๕ ธันวาคม ของทุกปี สำหรับดอกเบี้ยงวดสุดท้ายจะชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตรรัฐบาล หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป ๒. วิธีการจัดจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล มีดังนี้ ๒.๑ วิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน (Competitive Bidding: CB) ซึ่งผู้ที่ได้รับการจัดสรรพันธบัตรรัฐบาล ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และบริษัทประกันชีวิต ๒.๒ วิธีการเสนอซื้อ (Non Competitive Bidding: NCB) ในวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของวงเงินจำหน่ายโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน ซึ่งผู้ที่ได้รับการจัดสรรพันธบัตรรัฐบาลได้แก่ สหกรณ์ ๓. การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลตามนัยข้อ ๒ ดำเนินการเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จำนวน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียดผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ ดังนี้ วันนที่จำหน่าย วันที่ชำระเงิน วิธีการ จำหน่าย วงเงินจำหน่าย (ล้านบาท) จำนวนเงิน ที่ได้รับ (บาท) ส่วนเพิ่ม/ ส่วนลด (บาท) ดอกเบี้ยจ่าย รับล่วงหน้า (บาท) อัตรา ผลตอบแทน เฉลี่ย (ร้อยละต่อปี) ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ CB ๑๗,๔๐๐.๐๐ ๑๘,๘๕๗,๕๓๓,๙๗๙.๔๒ ๑,๔๕๗,๕๓๓,๙๗๙.๔๒ ๒๗๑,๗๓๗,๘๘๘.๐๐ ๓.๑๕๓๘ NCB ๖๐๐.๐๐ ๖๕๐,๒๕๘,๕๗๔.๐๐ ๕๐,๒๕๘,๕๗๔.๐๐ ๙,๓๗๐,๒๗๒.๐๐ รวม ๑๘,๐๐๐.๐๐ ๑๙,๕๐๗,๗๙๒,๕๕๓.๔๒ ๑,๕๐๗,๗๙๒,๕๕๓.๔๒ ๒๘๑,๑๐๘,๑๖๐.๐๐ ๔. กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดจำหน่าย นายทะเบียน และตัวแทนรับจ่ายเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล โดยกำหนดค่าธรรมเนียมในการจัดการในอัตราไม่เกินร้อยละ ๐.๐๕ ของราคาพันธบัตรรัฐบาลที่จำหน่ายได้ ดอกเบี้ยที่จ่ายและเงินต้นพันธบัตรที่จ่ายคืน ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิมพ์มาดา/ธนบดี/จัดทำ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนพิเศษ ๑๕ ง/หน้า ๕/๑๖ มกราคม ๒๕๖๒
825906
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 วงเงินที่ 1 และ 2
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ วงเงินที่ ๑ และ ๒[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ และอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ ประกอบมาตรา ๒๐ (๔) และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย วงเงินกู้รวม ๖,๙๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หกพันเก้าร้อยสี่สิบล้านบาทถ้วน) โดยวิธีการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดังนี้ ๑.๑ วงเงินที่ ๑ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ วงเงิน ๔๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบล้านบาทถ้วน) ๑.๒ วงเงินที่ ๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต วงเงิน ๖,๔๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หกพันสี่ร้อยเจ็ดสิบล้านบาทถ้วน) ๒. อายุเงินกู้ ๒ ปี ๔ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ทั้งจำนวน ในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ๓. อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ลบส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ ๐.๑๐๒๑ (ศูนย์จุดหนึ่งศูนย์สองหนึ่ง) ต่อปี อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง หมายความว่า อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (BIBOR) ระยะ ๖ (หก) เดือน ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ๔. การเบิกเงินกู้ กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้ดังนี้ ๔.๑ วงเงินที่ ๑ นับตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ๔.๒ วงเงินที่ ๒ นับตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ โดยจะแจ้งผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ๕. การชำระดอกเบี้ย กำหนดชำระดอกเบี้ยแบ่งเป็นปีละสองงวด คือวันที่ ๒๐ มีนาคม และ ๒๐ กันยายน ของทุกปี โดยจะชำระดอกเบี้ยงวดแรก ในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ และชำระดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔ พร้อมต้นเงินกู้ ณ วันสิ้นสุดตามสัญญากู้ยืมเงิน หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป โดยไม่นับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว เข้ารวมเพื่อคำนวณดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชำระ ยกเว้นการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันก่อนวันชำระหนี้ ทั้งนี้ ในการคำนวณดอกเบี้ย ให้ถือว่าหนึ่งปีมี ๓๖๕ (สามร้อยหกสิบห้า) วัน นับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง ๖. การชำระต้นเงินกู้ กระทรวงการคลังสามารถชำระหนี้คืนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนครบกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้สถาบันการเงิน (ผู้ให้กู้) ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ โดยกระทรวงการคลังจะชำระดอกเบี้ยคงค้างของต้นเงินกู้ที่ค้างชำระ พร้อมกับการชำระต้นเงินกู้ก่อนกำหนดนั้น ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคงค้างให้คำนวณนับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังชำระคืนดอกเบี้ยครั้งล่าสุดจนถึงวันก่อนวันที่กระทรวงการคลังชำระคืนต้นเงินก่อนกำหนดโดยหากวันครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เลื่อนชำระคืนในวันทำการถัดไป ๗. ไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิมพ์มาดา/ธนบดี/จัดทำ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนพิเศษ ๑๕ ง/หน้า ๓/๑๖ มกราคม ๒๕๖๒
820627
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออก การซื้อขาย การโอน และการใช้ตราสารหนี้เป็นหลักประกัน พ.ศ. ๒๕๕๐ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่ากระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๒๐ (๑) และมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) โดยมีสาระสำคัญและเงื่อนไขของการกู้เงินดังนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยวิธีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุเงินกู้ ๓ ปี ให้กับธนาคารออมสิน เป็นจำนวนเงิน ๘,๕๑๐.๗๖ ล้านบาท (แปดพันห้าร้อยสิบล้านเจ็ดแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ๒. เบิกเงินกู้ทั้งจำนวนในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ๓. อายุเงินกู้ ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ครบกำหนดในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ ๔. อัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ ระยะ ๖ เดือน (BIBOR ๖M) ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นฐานในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลบด้วยส่วนต่าง (Spread) เฉลี่ยร้อยละ ๐.๑๑๑๐๐ ต่อปี โดยปรับอัตราดอกเบี้ยทุกงวด ๖ เดือน หากอัตราดอกเบี้ย BIBOR ๖M มีการเปลี่ยนแปลง โดยอัตราดอกเบี้ยงวดแรกจะใช้อัตราดอกเบี้ย BIBOR ๖M ณ วันเบิกเงินกู้ สำหรับการใช้อัตราดอกเบี้ยในงวดต่อ ๆ ไป จะใช้อัตราดอกเบี้ย BIBOR ๖M ณ วันครบกำหนดชำระดอกเบี้ย เพื่อใช้คำนวณดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลา ๖ เดือนถัดไปการคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน แล้วนับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง ชำระดอกเบี้ยงวดแรกในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ และชำระดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ ๕. การชำระดอกเบี้ย ตลอดเวลาที่สัญญายังมีอายุอยู่ให้แบ่งชำระดอกเบี้ยปีละสองงวดคือวันที่ ๒๗ มีนาคม และ ๒๗ กันยายน ของทุกปี สำหรับดอกเบี้ยงวดสุดท้ายจะชำระพร้อมต้นเงินกู้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินในวันที่ไถ่ถอน หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป โดยไม่นับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเข้ารวมเพื่อคำนวณดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชาระ ยกเว้นการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันก่อนวันชำระหนี้ ๖. การชำระคืนต้นเงินกู้ กระทรวงการคลังสามารถชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนครบกำหนดได้ทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้สถาบันการเงินทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ โดยกระทรวงการคลังจะชำระดอกเบี้ยคงค้างของต้นเงินกู้ที่ค้างชำระพร้อมกับการชำระต้นเงินกู้ก่อนกำหนดนั้น ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคงค้างให้คำนวณนับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังชำระคืนดอกเบี้ยครั้งล่าสุดจนถึงวันก่อนวันที่กระทรวงการคลังชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนกำหนด โดยหากวันครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยก็ให้เลื่อนไปชำระคืนในวันทำการถัดไป ๗. ไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปวันวิทย์/จัดทำ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๙๕ ง/หน้า ๖/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
820625
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาเบิกเงินกุ้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายระยะเวลาการเบิกเงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐[๑] ด้วยกระทรวงการคลังได้มีการขยายระยะเวลาการเบิกเงินกู้ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทำให้รายละเอียดและเงื่อนไขที่ระบุในข้อ ๔ ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ข้อ ๑ การกู้เงินตามประกาศดังกล่าว การเบิกเงินกู้ กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้นับตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๐ จนถึงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ โดยจะแจ้งผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ข้อ ๒ รายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินอื่น เป็นไปตามประกาศเดิมทุกประการ ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปวันวิทย์/จัดทำ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๙๕ ง/หน้า ๕/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
820623
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 12
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๒[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ ประกอบมาตรา ๒๐ (๔) และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดาเนินการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย วงเงินกู้รวม ๓,๙๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามพันเก้าร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน) โดยวิธีการทาสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) กับธนาคารออมสินดังนี้ ๑.๑ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น วงเงิน ๒,๕๓๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองพันห้าร้อยสามสิบเก้าล้านบาทถ้วน) ๑.๒ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร วงเงิน ๑,๔๒๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) ๒. อายุเงินกู้ ๒ ปี ๘ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๑ ครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ทั้งจำนวน ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ๓. อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ลบส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ ๐.๑๐๕ (ศูนย์จุดหนึ่งศูนย์ห้า) ต่อปีอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง หมายความว่า อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (BIBOR) ระยะ ๖ (หก) เดือน ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ๔. การเบิกเงินกู้ กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้ นับตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ โดยจะแจ้งผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ๕. การชำระดอกเบี้ย กำหนดชำระดอกเบี้ยแบ่งเป็นปีละสองงวด คือวันที่ ๒๘ พฤษภาคมและ ๒๘ พฤศจิกายน ของทุกปี โดยจะชำระดอกเบี้ยงวดแรก ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และชำระดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ พร้อมต้นเงินกู้ ณ วันสิ้นสุดตามสัญญากู้ยืมเงิน หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป โดยไม่นับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเข้ารวมเพื่อคำนวณดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชาระ ยกเว้นการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันก่อนวันชำระหนี้ ทั้งนี้ ในการคำนวณดอกเบี้ย ให้ถือว่าหนึ่งปีมี ๓๖๕ (สามร้อยหกสิบห้า) วันนับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง ๖. การชำระต้นเงินกู้ กระทรวงการคลังสามารถชำระหนี้คืนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนครบกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้สถาบันการเงิน (ผู้ให้กู้) ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ โดยกระทรวงการคลังจะชำระดอกเบี้ยคงค้างของต้นเงินกู้ที่ค้างชำระ พร้อมกับการชำระต้นเงินกู้ก่อนกำหนดนั้น ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคงค้างให้คำนวณนับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังชำระคืนดอกเบี้ยครั้งล่าสุดจนถึงวันก่อนวันที่กระทรวงการคลังชำระคืนต้นเงินก่อนกำหนด โดยหากวันครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนชำระคืนในวันทำการถัดไป ๗. ไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปวันวิทย์/จัดทำ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๙๕ ง/หน้า ๓/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
820621
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 11
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๑[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่ากระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑และอาศัยอำนาจตาม ความใน มาตรา ๗ ประกอบ มาตรา ๒๐ (๔ ) และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ดาเนินการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หกพันล้านบาทถ้วน) โดยวิธีการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) กับธนาคารออมสิน ๒. อายุเงินกู้ ๒ ปี ๖ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ทั้งจำนวน ในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔ ๓. อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ลบส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ ๐.๑๒๑ (ศูนย์จุดหนึ่งสองหนึ่ง) ต่อปี อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง หมายความว่า อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (BIBOR) ระยะ ๖ (หก) เดือน ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ๔. การเบิกเงินกู้ กระทรวงการคลังจะทยอยเบิกเงินกู้ นับตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ โดยจะแจ้งผู้ให้กู้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเบิกเงินกู้เป็นงวดเรียงลำดับจากวงเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดก่อนและเมื่อเบิกเงินกู้ครบจำนวนของวงเงินดังกล่าวแล้วจึงจะเริ่มเบิกรับเงินกู้ในวงเงินลำดับถัดไป ๕. การชำระดอกเบี้ย กำหนดชำระดอกเบี้ยแบ่งเป็นปีละสองงวด คือวันที่ ๒๗ มีนาคมและ ๒๗ กันยายน ของทุกปี โดยจะชำระดอกเบี้ยงวดแรก ในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ และชำระดอกเบี้ยงวดสุดท้ายในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔ พร้อมต้นเงินกู้ ณ วันสิ้นสุดตามสัญญากู้ยืมเงิน หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป โดยไม่นับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเข้ารวมเพื่อคำนวณดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชาระ ยกเว้นการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันก่อนวันชำระหนี้ ทั้งนี้ ในการคำนวณดอกเบี้ย ให้ถือว่าหนึ่งปีมี ๓๖๕ (สามร้อยหกสิบห้า) วันนับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง ๖. การชำระต้นเงินกู้ กระทรวงการคลังสามารถชำระหนี้คืนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนครบกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ได้ โดยจะทยอยคืนต้นเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดก่อน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้สถาบันการเงิน (ผู้ให้กู้) ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒ วันทำการโดยกระทรวงการคลังจะชำระดอกเบี้ยคงค้างของต้นเงินกู้ที่ค้างชำระ พร้อมกับการชำระต้นเงินกู้ก่อนกำหนดนั้น ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคงค้างให้คำนวณนับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังชำระคืนดอกเบี้ยครั้งล่าสุดจนถึงวันก่อนวันที่กระทรวงการคลังชำระคืนต้นเงินก่อนกำหนด โดยหากวันครบกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้ตรงกับวันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เลื่อนชำระคืนในวันทำการถัดไป ๗. ไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปวันวิทย์/จัดทำ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๙๕ ง/หน้า ๑/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
819148
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 งวดประมูลวันที่ 10 ตุลาคม 2561
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ งวดประมูลวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑[๑] เพื่ออนุวัติตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๑๔ มาตรา ๒๐ (๓) และมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐบาลที่ครบกำหนด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ งวดประมูลวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีเงื่อนไขและสาระสำคัญดังนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ งวดประมูลวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ วงเงิน ๑๙,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้ ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลนี้เป็นการเพิ่มปริมาณ (Re - open) พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB326A) ทำให้วงเงินรวมของพันธบัตรรัฐบาลรุ่นนี้เป็น ๑๕๕,๔๔๖ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรรัฐบาลนี้มีอายุคงเหลือ ๑๓.๗๑ ปี โดยจะไถ่ถอนครั้งเดียวทั้งจำนวนในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๗๕ และไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด หากวันไถ่ถอนตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนวันไถ่ถอนเป็นวันทำการถัดไป ๑.๓ พันธบัตรรัฐบาลนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๗๗๕ ต่อปี ชำระปีละ ๒ ครั้ง ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน และ ๒๕ ธันวาคม ของทุกปี สำหรับดอกเบี้ยงวดสุดท้ายจะชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตรรัฐบาล หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนไปชำระในวันทำการถัดไป ๒. วิธีการจัดจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล มีดังนี้ ๒.๑ วิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน (Competitive Bidding: CB) ซึ่งผู้ที่ได้รับการจัดสรรพันธบัตรรัฐบาล ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทประกันชีวิต ๒.๒ วิธีการเสนอซื้อ (Non Competitive Bidding: NCB) ในวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของวงเงินจำหน่ายโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน ซึ่งผู้ที่ได้รับการจัดสรรพันธบัตรรัฐบาลได้แก่ สหกรณ์ ๓. การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลตามนัยข้อ ๒ ดำเนินการเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๙,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียดผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลดังนี้ วันที่จำหน่าย วันที่ชำระเงิน วิธีการ จำหน่าย วงเงิน จำหน่าย (ล้านบาท) จำนวนเงิน ที่ได้รับ (บาท) ส่วนเพิ่ม/ ส่วนลด (บาท) ดอกเบี้ยจ่าย รับล่วงหน้า (บาท) อัตรา ผลตอบแทน เฉลี่ย (ร้อยละต่อปี) ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ CB ๑๘,๗๕๐ ๑๙,๘๔๔,๙๙๑,๖๘๔.๔๐ ๘๘๓,๖๑๗,๔๙๖.๙๐ ๒๑๑,๓๗๔,๑๘๗.๕๐ ๓.๓๔๒๗ NCB ๒๕๐ ๒๖๔,๕๙๙,๕๙๐.๐๐ ๑๑,๗๘๑,๒๖๗.๕๐ ๒,๘๑๘,๓๒๒.๕๐ รวม ๑๙,๐๐๐ ๒๐,๑๐๙,๕๙๑,๒๗๔.๔๐ ๘๙๕,๓๙๘,๗๖๔.๔๐ ๒๑๔,๑๙๒,๕๑๐.๐๐ ๔. กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดจำหน่าย นายทะเบียนและตัวแทนรับจ่ายเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล โดยกำหนดค่าธรรมเนียมในการจัดการในอัตราไม่เกินร้อยละ ๐.๐๕ ของราคาพันธบัตรรัฐบาลที่จำหน่ายได้ ดอกเบี้ยที่จ่ายและเงินต้นพันธบัตรที่จ่ายคืน ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พัชรภรณ์/ธนบดี/จัดทำ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๘๒ ง/หน้า ๒๓/๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
819146
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 13 งวดประมูลวันที่ 12 กันยายน 2561
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๓ งวดประมูลวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑[๑] เพื่ออนุวัติตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๑๔ มาตรา ๒๐ (๓) และมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐบาลที่ครบกำหนด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๓ งวดประมูลวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีเงื่อนไขและสาระสำคัญดังนี้ ๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๓ งวดประมูลวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลนี้เป็นการเพิ่มปริมาณ (Re - open) พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ (LB28DA) ทำให้วงเงินรวมของพันธบัตรรัฐบาลรุ่นนี้เป็น ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรรัฐบาลนี้มีอายุคงเหลือ ๑๐.๒๗ ปี โดยจะไถ่ถอนครั้งเดียวทั้งจำนวนในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๗๑ และไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด หากวันไถ่ถอนตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนวันไถ่ถอนเป็นวันทำการถัดไป ๑.๓ พันธบัตรรัฐบาลนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๘๗๕ ต่อปี ชำระปีละ ๒ ครั้งในวันที่ ๑๗ มิถุนายน และ ๑๗ ธันวาคม ของทุกปี สำหรับดอกเบี้ยงวดสุดท้ายจะชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตรรัฐบาล หากวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทยให้เลื่อนไปชาระในวันทำการถัดไป ๒. วิธีการจัดจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล มีดังนี้ ๒.๑ วิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน (Competitive Bidding: CB) ซึ่งผู้ที่ได้รับการจัดสรรพันธบัตรรัฐบาล ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ ๒.๒ วิธีการเสนอซื้อ (Non Competitive Bidding: NCB) ในวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของวงเงินจำหน่ายโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน ซึ่งไม่มีผู้ที่ได้รับการจัดสรรพันธบัตรรัฐบาล ๓. การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลตามนัยข้อ ๒ ดำเนินการเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียดผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลดังนี้ วันที่จำหน่าย วันที่ชำระเงิน วิธีการจำหน่าย วงเงินจำหน่าย(ล้านบาท) จำนวนเงิน ที่ได้รับ (บาท) ส่วนเพิ่ม/ ส่วนลด (บาท) ดอกเบี้ยจ่าย รับล่วงหน้า (บาท) อัตรา ผลตอบแทน เฉลี่ย (ร้อยละต่อปี) ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑ CB ๒๐,๐๐๐ ๒๐,๑๖๒,๑๑๕,๗๕๘.๘๔ ๖๒,๘๖๙,๑๕๘.๘๔ ๙๙,๒๔๖,๖๐๐.๐๐ ๒.๘๓๙๓ NCB รวม ๒๐,๐๐๐ ๒๐,๑๖๒,๑๑๕,๗๕๘.๘๔ ๖๒,๘๖๙,๑๕๘.๘๔ ๙๙,๒๔๖,๖๐๐.๐๐ ๔. กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดจำหน่าย นายทะเบียนและตัวแทนรับจ่ายเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล โดยกำหนดค่าธรรมเนียมในการจัดการในอัตราไม่เกินร้อยละ ๐.๐๕ ของราคาพันธบัตรรัฐบาลที่จำหน่ายได้ ดอกเบี้ยที่จ่ายและเงินต้นพันธบัตรที่จ่ายคืน ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พัชรภรณ์/ธนบดี/จัดทำ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๘๒ ง/หน้า ๒๑/๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
819144
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 2
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒[๑] เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ตามมติเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยวิธีการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ โดยมีเงื่อนไขและสาระสำคัญดังนี้ ๑. การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ ได้ดำเนินการจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ - ๑๐ กันยายน ๒๕๖๑ โดยจำหน่ายให้แก่ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่เป็นบุคคลธรรมดา มูลนิธิ สถาบันอื่นที่จัดตั้งขึ้นซึ่งมีวัตถุประสงค์ไม่แสวงหากำไร ส่วนราชการสังกัดรัฐบาลกลาง วัด สถาบันการเงินอื่น และส่วนราชการสังกัดรัฐบาลท้องถิ่นโดยทำรายการซื้อพันธบัตรผ่านเคาน์เตอร์ทุกสาขา เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (เครื่อง ATM) ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ Mobile Application ของธนาคารผู้จัดจำหน่าย ๔ แห่ง ประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและจัดการอื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการนี้ ตามระเบียบและวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ๒. ผลการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ วงเงินรวม ๖๒,๔๕๘,๕๙๔,๐๐๐ บาท แบ่งเป็น ๒ รุ่นอายุดังนี้ ๒.๑ พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นอายุ ๕ ปี จำนวน ๑๓,๗๒๔,๙๕๕,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ร้อยละ ๒.๑๕ ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ๒.๒ พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นอายุ ๑๐ ปี จำนวน ๔๘,๗๓๓,๖๓๙,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๗๑ ๓. พันธบัตรออมทรัพย์ข้างต้นมีการจ่ายดอกเบี้ยปีละ ๒ งวด คือ ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม และ ๑๐ พฤศจิกายน ของทุกปี จนกว่าพันธบัตรจะครบกำหนด การคำนวณดอกเบี้ยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน และนับตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของหนึ่งสตางค์ให้ปัดทิ้ง หากวันครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยตรงกับวันหยุดธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เลื่อนไปจ่ายในวันทำการถัดไปโดยไม่คำนวณดอกเบี้ยเพิ่มให้เว้นแต่ดอกเบี้ยงวดสุดท้าย (งวดไถ่ถอน) จะคำนวณดอกเบี้ยเพิ่มตามจำนวนวันที่เลื่อนออกไป ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจ่ายดอกเบี้ยโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) ให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตามรายชื่อและข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (กรณีพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร) หรือตามรายชื่อทางทะเบียน (กรณีพันธบัตรแบบมีใบตราสาร) ณ สิ้นวันทำการสุดท้ายของธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนถึงช่วงระยะเวลา ๓๐ วัน ก่อนวันกำหนดจ่ายดอกเบี้ย ๔. การจ่ายคืนเงินต้นพันธบัตรจะดำเนินการในวันครบกำหนดไถ่ถอน หากวันครบกำหนดไถ่ถอนตรงกับวันหยุดของธนาคารแห่งประเทศไทย จะเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันทำการถัดไป กรณีพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจ่ายคืนเงินต้นพันธบัตรโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) ให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามรายชื่อและข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด กรณีพันธบัตรแบบมีใบตราสาร (Scrip) การจ่ายคืนเงินต้นพันธบัตร จะกระทำได้ต่อเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับคืนใบพันธบัตร ๕. การจำหน่ายพันธบัตรในครั้งนี้ ๕.๑ ธนาคารผู้จัดจำหน่ายคิดค่าธรรมเนียมในการจำหน่ายพันธบัตรในอัตราร้อยละ ๐.๐๓ ของวงเงินที่จำหน่ายได้ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ Custodian แล้ว) ซึ่งคิดเป็นค่าธรรมเนียมการจำหน่ายพันธบัตรรวมทั้งสิ้น ๑๘,๗๘๗,๕๗๘.๒๐ บาท ทั้งนี้ ธนาคารผู้จัดจำหน่ายจะจ่ายค่าธรรมเนียมการฝากพันธบัตรให้กับบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นการนำฝากพันธบัตรออมทรัพย์ซึ่งเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) โดยคำนวณ ตามมูลค่าพันธบัตรคงเหลือล้านละ ๑.๐๐ บาทต่อเดือน ยกเว้น เมื่อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นอายุ ๕ ปี หรือรุ่นอายุ ๑๐ ปี มีวงเงินจำหน่ายรวมของธนาคารผู้จัดจำหน่ายทั้ง ๔ แห่ง ได้ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ขึ้นไป บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด จะคิดอัตราค่าธรรมเนียมการฝากพันธบัตรตามมูลค่าพันธบัตรคงเหลือของรุ่นอายุ ๕ ปี หรือรุ่นอายุ ๑๐ ปี ล้านละ ๐.๖๐ บาทต่อเดือนโดยราคาที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าพันธบัตรคงเหลือให้ใช้ตามราคาตราของพันธบัตร ๕.๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะนายทะเบียน และตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ ได้คิดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังนี้ (๑) ค่าธรรมเนียมในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินเกี่ยวกับพันธบัตรในอัตราร้อยละ ๐.๐๕ ของดอกเบี้ยที่จ่ายและเงินต้นพันธบัตรที่จ่ายคืน (๒) ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์แบบพิมพ์พันธบัตรตามที่จ่ายจริง ประกาศ ณ วันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ นรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พัชรภรณ์/ธนบดี/จัดทำ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๘๒ ง/หน้า ๑๘/๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑