txt
stringlengths
202
53.1k
# Twitter อาจเปิดให้ผู้ใช้ครอปภาพเอง ลดความลำเอียงจากอัลกอริทึมครอปภาพอัตโนมัติ เมื่อไม่นานมานี้ Colin Madlan นักศึกษาปริญญาเอกคนหนึ่งเผยว่าระบบครอปภาพของ Twitter และ Zoom มีความลำเอียง โดยอัลกอริทึมในการครอปภาพของ Twitter นั้นครอปภาพเขาให้แสดงเฉพาะเขา (ผู้ชายผิวขาว) และตัดภาพอาจารย์ที่เป็นคนผิวสีออกไป ล่าสุด Twitter ออกรายงานเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ โดยทางบริษัทระบุว่า machine learning ที่ใช้ครอปภาพอัตโนมัติที่ Twitter ใช้งานจะทำนายจากจุดเด่นที่คาดว่าคนจะมองก่อนเป็นสิ่งแรก โดยโมเดลของทางบริษัทได้ผ่านระบบทดสอบความลำเอียงมาแล้ว ซึ่งแม้ว่าทางบริษัทจะไม่พบความลำเอียงเชิงเชื้อชาติหรือเพศ แต่ทางบริษัทก็ยอมรับว่าต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติม ทาง Twitter จึงจะโอเพ่นซอร์สระบบวิเคราะห์ของทางบริษัทเพื่อให้ผู้อื่นทำการรีวิวและทำการทดสอบซ้ำได้ นอกจากอธิบายเรื่องระบบครอปภาพอัตโนมัติแล้ว Twitter เผยว่าทางบริษัทจะเริ่มพัฒนาระบบครอปภาพใหม่ที่จะลดการพึ่งพา machine learning ลง โดยอาจจะให้ผู้ใช้เลือกตำแหน่งในการครอปภาพได้มากขึ้น และพรีวิวก่อนที่จะทวีตจริง ๆ เพื่อให้จุดสนใจของภาพเป็นจุดเดียวกับที่ผู้โพสต์ภาพต้องการให้เห็น ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทจะทยอยมองหาทางเลือกที่เหมาะสมต่อไปว่าระบบครอปภาพที่ให้ผู้ใช้เลือกเองจะออกมาเป็นแบบไหน ที่มา - Twitter, TechCrunch
# ETDA ออกแนวปฎิบัติป้องกัน Ransomware สำหรับหน่วยงานรัฐ: backup สองชุด ไม่เชื่อมต่อเครือข่าย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ประกาศแนวปฏิบัติในการรับมือเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์เกี่ยวกับมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) สำหรับหน่วยงานรัฐ โดยกำหนดแนวทางไว้กว้างๆ เช่น จัดทำแนวทางรักษาความมั่นคงปลอดภัย สำรองข้อมูลสำคัญ 2 ชุดไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ แยกส่วนเครือข่าย จัดเก็บ log ไม่ว่าจะเป็น application log, firewall log, หรือ event log ในระบบปฎิบัติการ น่าสนใจว่าแนวปฎิบัตินี้แยกบริการที่สำคัญ ออกมาให้มีแนวทางเพิ่มเติม โดยระบุถึงแนวทางการติดตั้งซอฟต์แวร์ตรวจจับมัลแวร์, การอัพเดตซอฟต์แวร์ และยังมีแนวทางดำเนินการเมื่อพบความเสียหายจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ได้แก่ ตัดการเชื่อมต่อเครือข่าย, สำรองข้อมูลที่ยังใช้งานได้ออกไปยังอุปกรณ์ภายนอก แนวทางนี้คงเป็นแนวทางโดยกว้างๆ สำหรับหน่วยงานรัฐทั่วไป เงื่อนไขโดยทั่วไปไม่บีบรัดนัก เช่น ไม่กำหนดความถี่ขั้นต่ำในการสำรองข้อมูล หรือความถี่ในการทดสอบข้อมูลสำรอง สำหรับองค์กรที่กังวล ransomware แนวปฎิบัตินี้ก็นับได้ว่าเป็นแนวเบื้องต้นที่ควรทำตาม ที่มา - ETDA
# Tesla รายงานตัวเลขการผลิตและส่งมอบรถยนต์ ไตรมาส 3/2020 Tesla รายงานตัวเลขการผลิตและส่งมอบรถยนต์ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ Tesla จะรายงานก่อนเปิดเผยผลประกอบการทางการเงิน ที่จะรายงานช่วงปลายเดือนนี้ ไตรมาสที่ผ่านมา Tesla ผลิตรถยนต์ไปได้รวม 145,036 คัน ส่งมอบให้ลูกค้าไป 139,300 คัน แบ่งเป็น Model S และ X 16,992 คัน ส่วน Model 3 และ Y มีจำนวน 128,044 คัน จำนวนรถยนต์ที่ส่งมอบนั้น Tesla ระบุว่ามีระยะเวลาในการขายสั้นลง (days of sales วัดจากวันที่ผลิตรถเสร็จ จนถึงส่งมอบให้ลูกค้า) เนื่องจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการส่งมอบรถยนต์ ที่มา: Tesla
# ไมโครซอฟท์เปิดราคา Surface Pro X รุ่นอัพเดตซีพียู SQ2 ในไทย เริ่มต้น 49,900 บาท ไมโครซอฟท์ประเทศไทย เปิดราคาของ Surface Pro X รุ่นอัพเดตใหม่ที่ใช้ซีพียู Microsoft SQ2 แทนรุ่น SQ1 เดิม สำหรับลูกค้าทั่วไป นำมาขายรุ่นเดียวคือ 16GB/256GB ราคา 49,990 บาท สำหรับลูกค้าองค์กร นำมาขายสองรุ่นคือ 16GB/256GB ราคา 53,900 บาท และ 16GB/512GB ราคา 64,900 บาท เริ่มพรีออเดอร์แล้ววันนี้ผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ายต่างๆ สินค้าวางขายจริง 13 ตุลาคม 2563
# HP เปิดตัว Spectre x360 13 อัพเกรดเป็น Tiger Lake, เพิ่มรุ่น 14 ใช้จอสัดส่วน 3:2 แบรนด์พีซีทยอยเปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ใช้ Tiger Lake เช่น Dell, Lenovo คิวล่าสุดคือ HP ที่เปิดตัวโน้ตบุ๊กพรีเมียมจอพับได้ Spectre x360 ที่เดิมทีมีเฉพาะรุ่น 13" และ 15" แต่ปีนี้เพิ่มรุ่น 14" เข้ามาอีกรุ่นหนึ่งด้วย (รอบนี้อัพเดตเฉพาะ 13" ยังไม่อัพเดต 15") ดีไซน์ภายนอกของ Spectre x360 13/14 ยังเป็นดีไซน์เดิมคือ gem cut หรือตัดมุมสองข้าง ความแตกต่างสำคัญคือขนาดและสัดส่วนหน้าจอ โดยรุ่น 13" ยังเป็นจอสัดส่วน 16:9 เหมือนเดิม แต่รุ่น 14" เป็นจอสัดส่วน 3:2 ที่เพิ่มสัดส่วนแนวตั้งมากขึ้น (เลือกสั่งเป็นจอ OLED ได้ถ้าต้องการ) HP Spectre x360 13/14 รุ่นปลายปี 2020 ใช้หน่วยประมวลผล Intel Core 11th Gen Tiger Lake, จีพียู Iris Xe, ราคาเริ่มต้นเท่ากันที่ 1,199 ดอลลาร์ (ประมาณ 40,000 บาท) เริ่มวางขายเดือนตุลาคมนี้ HP ยังมี Spectre x360 รุ่นที่ใส่โมดูล 5G ในตัว กำหนดวางขายช่วงต้นปี 2021 ยังไม่ประกาศราคา และมีโน้ตบุ๊กรุ่นรองคือ HP Envy 13 และ HP Envy x360 13 ที่อัพเกรดเป็น Tiger Lake เปิดตัวมาพร้อมกันด้วย ที่มา - HP, Notebookcheck
# GitHub เพิ่มฟีเจอร์จำกัดคนส่ง Pull Request แบบจำกัดเวลา หลังโครงการโดนสแปมหวังเสื้อฟรีจาก Hacktoberfest GitHub เพิ่มฟีเจอร์จำกัดการเข้าร่วมโครงการ ทั้งการส่ง pull request, การคอมเมนต์, และการเปิด issue แบบจำกัดเวลา 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์, 1 เดือน, และ 6 เดือน หลังจากโครงการจำนวนมากถูกสแปมด้วย pull request คุณภาพต่ำเพื่อหวังเสื้อฟรีจากโครงการ Hacktoberfest ของ DigitalOcean Hacktoberfest เป็นโครงการแจกเสื้อฟรีให้กับโปรแกรมเมอร์เมื่อส่ง pull request ในเดือนตุลาคมได้ครบ 4 รายการ โดยโครงการมีมาแล้วหลายปี และปัญหาสแปมก็เกิดเรื่อยๆ แต่ในปีนี้กลับหนักหนาเป็นพิเศษเพราะมีช่อง YouTube ที่ชื่อว่า CodeWithHarry แนะนำโปรแกรมเมอร์ให้ส่ง pull request ไร้ประโยชน์ เช่น การใส่คำว่า "great project" หรือ "amazing project" ลงในเอกสาร วิดีโอนี้มีคนชมกว่า 150,000 ครั้ง แม้ว่าเขาจะคอมเมนต์ภายหลังว่าอย่าไปสแปมโครงการโอเพนซอร์สก็ตาม ที่มา - Joel.net, GitHub
# Google Maps นำทางด้วย AR เพิ่มการแชร์พิกัดให้เพื่อน, ระบุสถานที่สำคัญ, นำทางไปจุดรถสาธารณะ Google Maps มีฟีเจอร์ Live View หรือการนำทางด้วย AR ที่ช่วยให้เดินไม่หลงทิศมาระยะหนึ่งแล้ว ล่าสุดเพิ่มความสามารถใหม่ดังนี้ เพิ่มการใช้โหมดนำทาง AR ในแท็บขนส่งสาธารณะได้ คือสามารถนำทางไปหาจุดขนส่งสาธารณะได้ ช่วยให้หาประตูทางเข้าออกสถานีรถไฟได้ ระบุสถานที่สำคัญๆ ระหว่างใช้การนำทางด้วยโหมด Live View เพื่อให้เห็นภาพรวมชัดเจนขึ้นว่าเราเดินทางมาถึงจุดไหนแล้ว ฟีเจอร์แลนด์มาร์คเปิดใช้งานในบางเมือง มีกรุงเทพฯด้วย (อัมสเตอร์ดัม, กรุงเทพฯ, บาร์เซโลนา, เบอร์ลิน, บูดาเปสต์, ดูไบ, ฟลอเรนซ์, อิสตันบูล, กัวลาลัมเปอร์, เกียวโต, ลอนดอน, ลอสแองเจลิส, มาดริด, มิลาน, มิวนิก, นิวยอร์ก, โอซาก้า, ปารีส, ปราก, โรม, ซานฟรานซิสโก, ซิดนีย์, โตเกียว และ เวียนนา) นอกจากนี้ยังเพิ่มการแชร์พิกัดให้เพื่อน (Location Sharing) ระหว่างใช้งาน Live View รู้เรียลไทม์ว่าเพื่อนกำลังเดินทางมาถึงตรงไหนแล้ว จะได้เดินไปหาเพื่อนได้สะดวก ไม่หลงทิศ เริ่มเปิดใช้งานเฉพาะใน Pixel ก่อนจะขยายไปยัง Android และ iOS ที่รองรับ ARCore และ ARKit ต่อไป Google ระบุด้วยว่าการปักหมุดใน Live View จะมีความแม่นยำขึ้น แม้ต้องเจอถนนสูงชันและคดเคี้ยว ที่มา - Google
# PHP 8.0 ออกรุ่น RC1, ตัวจริงมาปลายเดือนพฤศจิกายน ใกล้ความจริงมาเรื่อยๆ กับ PHP 8.0 ที่มีกำหนดออกตัวจริงภายในปีนี้ ล่าสุดโครงการ PHP ออก PHP 8.0 Release Candidate 1 (RC1) มาแล้ว ของใหม่ใน PHP 8.0 มีหลายอย่าง เช่น Attributes, Union, ValueError, JSON อ่านรายละเอียดในข่าว PHP 8.0 Alpha 1 ตามกำหนดของโครงการ PHP วางแผนจะมีรุ่น RC ทั้งหมด 4 ตัว และออก PHP 8.0 ตัวจริง (GA) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2020 ที่มา - PHP ภาพโดย @realflowcontrol จาก @official_php
# สมาชิกกลุ่มต่อต้านการสวมหน้ากากใน Facebook เพิ่มขึ้น 1,800% นับจากเดือน ส.ค. ข้อมูลจาก CrowdTangle ตัววิเคราะห์โซเชียลมีเดีย ซึ่ง Facebook เป็นเจ้าของ พบว่า สมาชิกกลุ่มคนต่อต้านการใส่หน้ากากในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นับจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นมาคือเพิ่มขึ้น 1,800% จนถึงตอนนี้มีคนเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม anti-mask ต่างๆ ร่วม 43,000 รายแล้ว New York Times ยังค้นพบด้วยว่ามีถึง 29 กลุ่ม anti-mask ที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา และมีคนเข้าร่วมมากมายทั้งๆ ที่มีการประชาสัมพันธ์อย่างหนักว่าการใส่หน้ากากอนามัยช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ ตัวอย่างชื่อกลุ่มเหล่านี้ เช่น Mask off Michigan และ Mask Free America Coalition และยังพบด้วยว่ามีการแชร์ข้อมูลผิดในหลายรูปแบบ ทั้งมีม ทั้งเนื้อหาที่บอกว่าหน้ากากเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยบทความจากเว็บไซต์สื่ออนุรักษ์นิยมเช่น The Daily Wire, The Blaze และ Fox News เป็นบทความข่าวที่มีการแชร์กันมากที่สุดในเครือข่ายกลุ่มต่อต้านการสวมหน้ากาก Facebook ก่อนหน้านี้ Facebook ก็มีการแบนครั้งใหญ่ไปแล้ว และพยายามโปรโมทเนื้อหาจากแหล่งข่าวที่ถูกต้องอย่าง CDC แต่ก็ดูไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก ที่มา - New York Times
# ครบรอบสิบปี Facebook Groups เพิ่มฟีเจอร์สร้างแชท, เปลี่ยนโปรไฟล์ให้เข้ากับกลุ่ม ฯลฯ เนื่องจาก Facebook Groups ครบรอบสิบปี Facebook จึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หลายตัว เช่น แนะนำเนื้อหาจาก Public Groups อื่นๆ ให้ดูเพิ่ม แม้ไม่ได้เป็นสมาชิก และยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หลายตัว สำหรับผู้เข้าร่วมกลุ่มมีของใหม่คือ Chats สร้างแชทและเข้าร่วมการสนทนาแบบเรียลไทม์ภายในกลุ่ม, Prompts เป็นการสนทนาในรูปแบบการ์ดใหม่ เข้าไปแชร์รูปได้ ปัดขวาเพื่อดูรูปภาพคนอื่นๆ ที่เข้ามาแชร์ได้, Q&A สร้างการ์ดคำถามได้ (เหมือนสร้างคำถามใน Instagram Stories), จัดการโปรไฟล์และรูปให้เข้ากับกลุ่มที่เข้าร่วมได้ เช่น ใน Facebook ปกติเป็นรูปและคำอธิบายตัวเราแบบหนึ่ง ในกลุ่ม เราสามารถใช้รูปและคำอธิบายที่ต่างออกไปจากเดิมได้ ด้านฟีเจอร์ใหม่สำหรับแอดมินกลุ่มคือ Admin Assist หรือให้ Facebook เป็นผู้ช่วยดูแลกลุ่ม ตั้งคีย์เวิร์ดที่แอดมินจะบล็อกไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มได้, New Topics จัดระเบียบเนื้อหาตามหัวข้อด้วยแฮชแท็ก ปักหมุดไว้ด้านบนสุดได้, ใช้ Brand Collabs Manager เพื่อจัดการเนื้อหาสินค้าใน Public Group ได้ ที่มา - Facebook
# Apple Maps ยกเครื่องแผนที่ในอังกฤษ เพิ่ม Look Around อีก 3 เมือง แอปเปิลประกาศยกเครื่องแผนที่ใหม่ทั้งหมดสำหรับพื้นที่ประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์ โดยเป็นแผนที่ที่แอปเปิลพัฒนาและเก็บข้อมูลขึ้นมาเอง แบบเดียวกับของอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ Apple Maps ยังเพิ่มคุณสมบัติ Look Around สำหรับชมพื้นที่ของเมืองในมุมมองเดินถนนอีก 3 เมือง ได้แก่ ลอนดอน, เอดินบะระ และ ดับลิน ซึ่งแอปเปิลระบุว่าจะเพิ่มเมืองอื่น ๆ อีกในอนาคต ข้อมูลเส้นทางที่ Apple Maps เพิ่มเติมนอกจากนี้ยังมี เส้นทางจักรยาน, ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ และข้อมูลกล้องตรวจจับความเร็ว ที่มา: แอปเปิล
# Facebook จะแนะนำเนื้อหาจาก Public Groups อื่นๆ ให้ดูเพิ่ม แม้ไม่ได้เป็นสมาชิก Facebook ทดสอบฟีเจอร์ใหม่ Facebook Groups จากเดิมที่เราจะมองเห็นเนื้อหาจากกลุ่มที่เราเข้าร่วมเท่านั้น ต่อไปนี้เราจะมองเห็นเนื้อหาจากกลุ่มอื่นๆ ที่เป็น Public Groups และกำลังเป็นความนิยมในตอนนี้ได้ด้วย โดย Facebook จะแนะนำเนื้อหาจากกลุ่มดังกล่าวทั้งในหน้าฟีด และแท็บ Facebook Groups Facebook บอกว่า ผู้ใช้งานสามารถสำรวจเนื้อหาจากกลุ่มนั้นๆ ได้โดยที่ตัวเองยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่ม และเลือกที่จะเข้าร่วมได้ ตราบเท่าที่แอดมินกลุ่มเปิดสิทธิ์ให้เข้าร่วมได้ทันที Facebook ให้เหตุผลที่ทดสอบฟีเจอร์นี้ว่า จะช่วยให้ผู้คนได้พบกับมุมมองที่หลากหลายและมีส่วนร่วมในการพูดคุยกับคนอื่นที่มีภูมิหลังและประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ที่มา - Facebook
# VMware ยุบรวมตลาดบริการโซลูชันจากภายนอก เปลี่ยนชื่อเป็น VMware Marketplace แพลตฟอร์มใหญ่ๆ มักมีพื้นที่ marketplace ให้ผู้พัฒนาโซลูชันรายอื่น มานำเสนอโซลูชันของตัวเองให้กับลูกค้าบนแพลตฟอร์ม เพื่อความสะดวกของทุกฝ่าย VMware ในฐานะแพลตฟอร์มองค์กรรายใหญ่ก็มีพื้นที่ marketplace ถึง 2 แห่งคือ VMware Solution Exchange (VSX) และ VMware Cloud Marketplace ที่เปิดคนละช่วงเวลา และตอนแรกมีกลุ่มเป้าหมายต่างกัน แต่เมื่อตลาดลูกค้าทับซ้อนกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มสร้างความสับสน ทำให้ VMware ประกาศยุบทั้งสองเหลืออันเดียว เปลี่ยนชื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นเป็น VMware Marketplace VMware Marketplace แห่งนี้มีผู้ให้บริการโซลูชันประมาณ 2,500 ราย ส่วนในแง่การใช้งานคงไม่ต่างจากเดิมมากนัก (ใช้ระบบของ Cloud Marketplace เดิม) ที่มา - VMware
# Flutter 1.22 ออกแล้ว รองรับ iOS 14 และ Android 11 Flutter ออกเวอร์ชัน 1.22 ตามรอบการออกรุ่นเสถียรทุกไตรมาส ที่รอบนี้ดันมาตรงกับ OS รุ่นใหม่ทั้ง iOS 14 และ Android 11 พอดี ทำให้ Flutter 1.22 รองรับทั้งคู่มาพร้อมสรรพ iOS 14 วาดไอคอนใหม่ให้เข้าชุดกับฟอนต์ SF Symbols ตัวใหม่ของแอปเปิล, รองรับ App Clips หรือการแสดงแอพโดยไม่ต้องติดตั้ง Android 11 รองรับการแสดง notch ของ Android หลากหลายแบบ เช่น บากบน-ล่าง, กล้องเจาะรู หรือขอบด้านข้าง waterfall edges, จัดการแอนิเมชันตอนขยับคีย์บอร์ดให้ลื่นขึ้น ยกเครื่องระบบจัดการ "ปุ่ม" (button) ใหม่หมด มีระบบธีมที่ปรับแต่งปุ่มได้หลากหลายมากขึ้น ปรับปรุงด้านการจัดการภาษา internationalization (i18n) และ localization (l10n) ปลั๊กอิน Google Maps และ WebView เสถียรพร้อมใช้งานจริงแล้ว ที่มา - Flutter
# iPod nano รุ่นที่ 7 เข้าสู่สถานะ obsolete ทำให้ iPod nano ทุกรุ่นเข้าสถานะผลิตภัณฑ์เก่าแล้ว แอปเปิลอัพเดตรายการสินค้าที่เข้าสถานะผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าหรือเลิกการผลิต (Vintage and obsolete) ซึ่งจะยุติการสนับสนุน โดยคราวนี้มี iPod nano 7th Gen รวมเข้ามาด้วย ทำให้ iPod nano ทุกรุ่นเข้าสู่สถานะหยุดการสนับสนุนแล้ว iPod nano รุ่นที่ 7 เปิดตัวเมื่อปี 2012 และออกอัพเดตสีเพิ่มเติมในปี 2015 จากนั้นหยุดการจำหน่ายทั้งหมดในปี 2017 โดย iPod nano รุ่นที่ 7 เป็นหน้าจอสัมผัสที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีปุ่มโฮม นอกจาก iPod nano รุ่นที่ 7 แล้ว ยังมี iPod Touch รุ่นที่ 5 ก็เข้าสู่สถานะรุ่นเก่าหรือเลิกการผลิตแล้วเช่นกัน ที่มา: MacRumors
# อังกฤษรายงานการตรวจสอบซอฟต์แวร์ในอุปกรณ์ Huawei พบการจัดการเวอร์ชั่นสับสน, โค้ดมีช่องโหว่, ใช้ซอฟต์แวร์เก่า ศูนย์ตรวจสอบความปลอดภัยไซเบอร์หัวเว่ย (Huawei Cyber Security Evaluation Centre - HCSEC) เป็นศูนย์ที่หัวเว่ยตั้งขึ้นในอังกฤษเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบซอร์สโค้ดของอุปกรณ์เครือข่ายว่ามีความปลอดภัยจริง และทางศูนย์ก็เพิ่งออกรายงานออกมา โดยแสดงความกังวลต่อคุณภาพซอฟต์แวร์ที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอุปกรณ์หัวเว่ยหลายประการ เช่น เวอร์ชั่นซอฟต์แวร์สับสน ซอฟต์แวร์มีเวอร์ชั่นย่อยจำนวนมาก เฉพะสถานีฐาน 5G ในสหราชอาณาจักร ของ 4 ผู้ให้บริการมีทั้งหมด 5 เวอร์ชั่น การติดตามว่าไบนารีใดมาจากซอร์สโค้ดใดทำได้ยาก บางมีแพตช์ฟีเจอร์เฉพาะให้กับบางเครือข่าย ทางหัวเว่ยสัญญาว่าจะระบุให้ได้ว่าซอร์สโค้ดใดมาจากไบนารีใดภายในปีนี้ ซอร์สโค้ดมีคุณภาพแย่ ไม่ทำตามแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยของบริษัทเอง บางจุดมีช่องโหว่ระดับวิกฤติ ใช้ซอฟต์แวร์เก่าที่อยู่นอกการซัพพอร์ตสายหลัก (out-of-mainstream support) ทางหัวเว่ยเคยสัญญาว่าจะอัพเดตให้หรือกระทั่งเปลี่ยนบอร์ด แต่ตอนนี้ก็ยังอัพเกรดไปได้เพียง 17% HCSEC ส่งมอบรายงานให้กับรัฐบาลสหราชอาณาจักรและทางหัวเว่ยทันทีโดยไม่ได้มีการคัดกรองเอกสารจากบริษัทก่อน โดยศูนย์นี้ส่งมอบรายงานให้กับรัฐบาลมาตั้งแต่ปี 2014 แม้ว่าปีนี้รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะแบนอุปกรณ์ 5G จากหัวเว่ยไปแล้วแต่ศูนย์ก็ยังทำงานต่อไป ที่มา - Bloomberg, Gov.UK
# VMware อัพเดต vSphere รองรับชุดคำสั่งเข้ารหัสแรมของ AMD EPYC VMware ออกอัพเดต vSphere รุ่น 7.0U1 ที่ขยายขนาด VM ที่รองรับสูงสุดไปถึงซีพียู 768 คอร์ แรม 24TB และจำนวนเครื่องในคลัสเตอร์สูงสุดเป็น 96 เครื่อง แต่ฟีเจอร์หนึ่งที่เพิ่มมาคือการรองรับชุดคำสั่ง SEV-ES ของซีพียู AMD EPYC ทำให้สามารถเข้ารหัสแรมใน VM ได้ ชุดคำสั่ง SEV-ES ใส่มาใน AMD EPYC 2 และก่อนหน้านี้มีการใช้งานในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น Cloudflare และ Confidential VM ของ Google Cloud การที่ VMware รองรับชุดคำสั่งนี้ทำให้องค์กรที่ยังสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเองสามารถเข้ารหัสแรมได้ด้วย ทาง AMD ระบุว่ามีเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป EPYC 2 และได้รับรอง vSAN ReadyNodes จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Dell, HPE, Lenovo, และ Supermicro ที่มา - AMD
# Backup ที่ไม่มีจริง ตลาดหุ้นโตเกียวต้องปิดทำการทั้งวัน หลังฮาร์ดแวร์เสีย, ระบบสำรองไม่ทำงาน วันพฤหัสที่ 1 ตุลาคมนี้ ตลาดหุ้นโตเกียว (Tokyo Stock Exchange - TSE) ปิดทำการหนึ่งวันหลังช่วงเช้าที่พบฮาร์ดแวร์เสียหาย และไม่สามารถแก้ไขให้ทันตลาดเปิด แถมยังไม่สามารถเอาระบบสำรองขึ้นมาทำงานได้ จนต้องประกาศปิดทำการหนึ่งวันก่อนเวลาเปิดตลาดเช้านี้ ทาง TSE ไม่ระบุว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นใดเสียหายจนทำการซื้อขายไม่ได้เช่นนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การโจมตีไซเบอร์แต่อย่างใด พร้อมกับระบุว่าทาง TSE จะเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เพื่อเปิดทำการในวันศุกร์ ตลาดหุ้นนับเป็นโครงสร้างพื้นฐานอีกส่วนหนึ่งที่มีปัญหาแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบอย่างหนัก เมื่อเดือนก่อนตลาดหุ้นนิวซีแลนด์ก็โดน DDoS จนล่มไปถึงสามวัน ที่มา - FT, CNN ภาพหน้าจอซื้อขายหุ้นโดย PIX1861
# Microsoft อัพเดต Surface Pro X เพิ่มรุ่นซีพียูใหม่ Microsoft SQ2 แรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว Microsoft เปิดตัว Surface Pro X ที่ใช้ซีพียู Arm รุ่นพิเศษ พัฒนาจาก Snapdragon 8CX ร่วมกับ Qualcomm แล้วตั้งชื่อของตัวเองว่า Microsoft SQ1 ล่าสุด Microsoft ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่ม Pro X ใหม่ อัพเกรดซีพียูมาเป็น Microsoft SQ2 ในรุ่นบน ส่วนรุ่นล่างยังใช้ SQ1 อยู่ ทุกรุ่นยังคงดีไซน์เดิมไว้ มีให้เลือกด้วยกัน 4 รุ่นย่อย ดังนี้ ซีพียู SQ1, แรม 8GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 128GB แบบ SSD ราคา 999 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31,500 บาท) ซีพียู SQ1, แรม 8GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 256GB แบบ SSD ราคา 1,299 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 41,000 บาท) ซีพียู SQ2, แรม 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 256GB แบบ SSD ราคา 1,499 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 47,300 บาท) ซีพียู SQ2, แรม 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 512GB แบบ SSD ราคา 1,799 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 56,800 บาท) อย่างไรก็ตาม Microsoft ไม่ได้ให้รายละเอียดทางเทคนิคว่าซีพียู SQ2 ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไรบ้าง บอกเพียงแต่ว่าใช้จีพียู Adreno 690 ในขณะที่ SQ1 ใช้ Adreno 685 ซึ่งก็คงต้องรอสำนักข่าวต่างประเทศได้เครื่องมารีวิวเทียบกับรุ่นเดิม นอกจากนี้ยังเพิ่มสีใหม่ Platinum เฉพาะรุ่นที่ใช้ชิป SQ2 จากที่ก่อนหน้านี้มีแต่สีดำ อีกทั้งคีย์บอร์ดก็มีสีใหม่ 3 สีคือเทา, ฟ้า และแดง อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของ Surface Pro X ในขณะนี้ยังคงเป็นเรื่องแอพที่รันได้เฉพาะแอพแบบ 32 บิต แต่ Microsoft ก็พยายามแปลงแอพของตัวเองให้รันแบบเนทีฟได้ เช่น Teams, Skype, Edge และ Visual Studio Code แต่ในอนาคตจุดอ่อนนี้น่าจะค่อยๆ หายไป เพราะข่าวล่าสุดระบุว่า Microsoft ก็กำลังจะทดสอบการรองรับแอพ x64 บน Windows on ARM แล้ว Surface Pro X รุ่นใหม่จะเริ่มวางจำหน่ายในบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ ที่มา - AnandTech, The Verge ภาพโดย Microsoft
# Glassdoor เผยฟีเจอร์ใหม่ ให้คนหางาน, พนักงานรีวิวความหลากหลายในองค์กรได้ด้วย Glassdoor เว็บไซต์แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพนักงานบริษัทต่างๆ เผยฟีเจอร์ใหม่ให้พนักงานรีวิวความหลากหลายในองค์กร รวมถึงให้คะแนนได้ว่ามีการเลือกปฏิบัติจากเขื้อชาติ, เพศ, ศาสนาหรือไม่ โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้ามาสามอย่างคือ การจัดอันดับความหลากหลาย หรือ Diversity & Inclusion Rating สามารถให้คะแนนได้ตั้งแต่ 1-5, คนหางานและพนักงานสามารถแชร์ข้อมูลตัวเลขสถิติและข้อมูลเชื้อชาติ, เพศ, ศาสนาแบบไม่ระบุตัวตนได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มได้เห็นภาพรวมความหลากหลายในองค์กรได้ชัดเจนขึ้น, เพิ่มส่วนคำถามที่พบบ่อยหรือ Diversity FAQ Across Companies รวมคำถามสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลายในองค์กรที่คนหางานควรรู้ Glassdoor ยังเผยด้วยว่า ได้ร่วมกับ The Harris Poll ทำผลสำรวจความเห็นคนสหรัฐฯ ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า 76% ของผู้หางานและพนักงานมองเห็นว่าความหลากหลายในองค์กรเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินบริษัท และมีความต้องการอยากทำงานในบริษัท่ี่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายอย่างแท้จริง การสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้หางานและพนักงานผิวดำ (47%) และคนลาติน (49%) ลาออกจากงานหลังพบเห็นหรือเจอเหตุการณ์การเลือกปฏิบัติด้วยตัวเองในที่ทำงาน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่มากกว่าคนหางานและพนักงานผิวขาวอย่างมีนัยสำคัญ (38%) Glassdoor ยังเผยรายชื่อบริษัทที่มีคะแนน Diversity & Inclusion Rating สูงด้วยดังนี้ Salesforce: 4.6 Accenture: 4.2 Amazon: 4.1 Apple: 4.0 Deloitte: 4.0 Facebook: 4.2 Google: 4.4 McDonald’s: 3.7 Starbucks: 4.1 Target: 4.1 Uber: 3.6 Walmart: 3.7 ที่มา - Glassdoor
# Microsoft เปิดตัว Surface Laptop Go หน้าจอ 12.4 นิ้ว ซีพียู Intel Core i5 ทุกรุ่นย่อย Microsoft เดินหน้าขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Surface ของตนเองด้วยการเปิดตัว Surface Laptop Go นับเป็นรุ่นเล็กของ Surface Laptop จับตลาดผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการประหยัดงบ รวมถึงเข้ามาแข่งกับ Chromebook ด้วย Surface Laptop Go มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 12.4 นิ้ว ความละเอียด 1536x1024 พิกเซล อัตราส่วน 3:2 น้ำหนักเบาเพียง 1.1 กิโลกรัม และยังได้คีย์บอร์ดขนาดเต็ม ส่วนแบตเตอรี่เคลมว่าใช้งานทั่วไปได้ 13 ชั่วโมง แม้จะบอกว่าเป็นรุ่นเริ่มต้น แต่ซีพียูที่ให้มาในทุกรุ่นย่อยนั้นไม่ขี้เหร่แต่อย่างใด โดย Microsoft ได้เลือกใช้ Intel Core i5-1035G1 (Ice Lake) ไม่ใช่ Pentium Gold อย่างใน Surface Go 2 ที่อาจจะมีประสิทธิภาพต่ำไปนิด Surface Laptop Go จะมีให้เลือก 3 รุ่นย่อยด้วยกัน ดังนี้ Intel Core i5, แรม 4GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 64GB แบบ eMMC ราคา 549.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,400 บาท) Intel Core i5, แรม 8GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 128GB แบบ SSD ราคา 699.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22,000 บาท) Intel Core i5, แรม 8GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 256GB แบบ SSD ราคา 899.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 28,400 บาท) ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อยังคงให้มาน้อยตามสไตล์ Surface โดยมีเพียงพอร์ต USB-C และ USB-A อย่างละ 1 พอร์ต พร้อมช่องต่อหูฟังและ Surface Connect นอกจากนี้กล้องหน้าก็เป็นเพียงกล้องธรรมดา ไม่ใช่กล้องแบบอินฟราเรดที่รองรับการสแกนใบหน้าด้วย Windows Hello แต่ในรุ่นกลางและรุ่นท็อปนั้นมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังในปุ่มพาวเวอร์มาให้แทน Surface Laptop Go มีทั้งหมด 3 สีคือ Ice Blue, Sandstone และ Platinum โดยจะเริ่มวางขายในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ และเข้าตลาดยุโรปในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ส่วนประเทศไทยจะเริ่มวางขายพร้อมสิงคโปร์และมาเลเซียในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ ที่มา - The Verge, Windows Central ภาพโดย Microsoft
# Cisco เข้าซื้อ PortShift สตาร์ทอัพพัฒนาโซลูชั่นความปลอดภัยสำหรับ Kubernetes Cisco ประกาศเข้าซื้อกิจการ PortShift บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอลที่พัฒนาแพลตฟอร์มด้านความปลอดภัยบน Kubernetes เพื่อขยายพอร์ตของบริษัทในด้านโซลูชั่นความปลอดภัย PortShift เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ทางบริษัทเคยระดมทุนจาก Team8 ได้มูลค่าสูงสุดถึง 5.3 ล้านดอลลาร์ ผลิตภัณฑ์ของ PortShift คือเครื่องมืสำหรับการทำให้เห็นคอนฟิกในตัวคอนเทนเนอร์, จัดการช่องโหว่, จัดการคอนฟิก, การเข้ารหัส และอื่น ๆ ที่ครอบคลุมด้านความปลอดภัยของ Kuberntes ในหลายแง่มุม PortShift จะเข้ามาเติมเต็มพอร์ตของผลิตภัณฑ์ Cisco ในด้านความปลอดภัย โดยกลุ่มลุกค้าหลักของ PortShift จะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับ DevOps และโลกของการจัดการคอนเทนเนอร์ ที่มา - TechCrunch ภาพจาก PortShift
# Google สนับสนุน 1 พันล้านดอลลาร์ให้ผู้ผลิตเนื้อหาทำข่าวลง Google News Showcase Google ประกาศสนับสนุนเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ให้แก่ผู้ผลิตเนื้อหาข่าว เป็นการสนับสนุนระยะยาวให้มาผลิตเนื้อหาลงใน Google News Showcase ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถอ่านข่าวและเข้าใจเนื้อหาได้จบในแพลตฟอร์ม เริ่มเปิดใช้งานที่เยอรมนีและบราซิลก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป Google News Showcase ต่างจาก Google News ตรงที่ ผู้ผลิตสร้างเนื้อหามาเพื่อ Google News Showcase มีการแยกเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ ผู้ใช้งานปัดขวาเพื่ออ่านหน้าต่อๆ ไปได้ และมีการนำเสนอในรูปแบบไทม์ไลน์และบุลเลตให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ในอนาคตจะมีเนื้อหารูปแบบวิดีโอ, เสียง และบทบรรยายสรุปข่าวรายวัน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถอ่านได้จบบน Google News Showcase ไม่ต้องคลิกเพื่ออ่านเนื้อหาเต็มที่เว็บไซต์ต้นทาง ผู้ใช้งานสามารถหา Google News Showcase เจอได้ผ่านช่อง Google News บน Android และจะขยายการใช้งานไปยังอุปกรณ์ iOS และช่องทาง Search และ Discover ในระยะต่อไป โดย Google ระบุว่าได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักข่าว, ผู้ผลิตเนื้อหาใน News Showcase เกือบ 200 รายการ มีทั้งที่มาจากประเทศ เยอรมนี, บราซิล, อาร์เจนตินา, แคนาดา, สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และจะขยายไปจำนวนไปเรื่อยๆ ในอนาคต การทำข่าวลง Google News Showcase อาศัยการคิดสร้างเนื้อหาใหม่เพิ่มเติมจากการรายงานข่าวตามปกติ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Google ลงทุนในผู้ผลิตเนื้อหาและสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เป็นเม็ดเงินจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเคยมีผู้ผลิตเนื้อหาในเยอรมนีฟ้อง Google เรียกค่าลิขสิทธิ์เรื่องการนำเนื้อหาไปใช้ซ้ำในแพลตฟอร์มของตัวเอง แม้ Google จะชนะคดีในตอนนั้น แต่ก็ยังถูกวิจารณ์เรื่องการผูกขาดเนื้อหาอยู่เรื่อยๆ การลงทุนใน Google News Showcase อาจช่วยกอบกู้ภาพลักษณ์ของ Google ได้บ้าง ที่มา - Google, TechCrunch
# นักการเมืองหญิงสหรัฐเรียกร้อง SEC ตรวจสอบ Palantir เรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาล Alexandria Ocasio-Cortez (AOC) สส. หญิงไฟแรงร่วมกับ Jesús G. Garcia สส. อีกคนจากพรรคเดโมแครตยื่นเรื่องให้ SEC ตรวจสอบ Palantir บริษัทให้บริการซอฟต์แวร์ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่เน้นลูกค้าหน่วยงานรัฐ ที่เพิ่งยื่นเอกสารเตรียม IPO การตรวจสอบที่ AOC เรียกร้องไม่ใช่แค่เรื่องการเงิน แต่เป็นเรื่องของความโปร่งใส ธรรมาภิบาลและคอนเนคชันของบริษัท เนื่องจาก Palantir (ถูกกล่าวหาว่า) ใช้เทคโนโลยีติดตามและวิเคราะห์ข้อมูล (surveillance and data analytics) ช่วยเหลือหลายหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก เช่น CIA, รัฐบาลกาตาร์หรือกระทั่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็อาจถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการณ์ที่ละเมิดมนุษยธรรมหรือผิดกฎหมาย *ภาพจาก @PalantirTech นอกจากนี้ AOC ยังยกประเด็นเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการเก็บข้อมูลของประชาชนด้วยว่า Palantir มีความสามารถหรือมาตรฐานในการปกป้องข้อมูลเหล่านี้ในแง่ความปลอดภัยไซเบอร์แค่ไหน ที่มา - CNET Alexandria Ocasio-Cortez | ภาพจาก Shutterstock
# [ข่าวลือ] ปีนี้ไมโครซอฟท์จะออก Surface Laptop Go ขนาดหน้าจอ 12" ใกล้ถึงรอบอัพเดตฮาร์ดแวร์ Surface ของไมโครซอฟท์ช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี (ปีที่แล้วมี Surface Pro 7, Surface Laptop 3, Surface Pro X และคู่หูจอพับ Surface Duo/Neo) ล่าสุดมีข่าวลือว่า ไมโครซอฟท์จะออก Surface Laptop ตัวใหม่ แต่ไม่ใช่ Surface Laptop 4 กลายเป็นรุ่นราคาถูกคือ Surface Laptop Go ที่ใช้แบรนด์ "Go" ห้อยท้ายเหมือน Surface Go ที่เปิดตัวปี 2018 และออกรุ่นอัพเดตเป็น Surface Go 2 เมื่อกลางปีนี้ ตามข่าวบอกว่า Surface Laptop Go ใช้หน้าจอขนาด 12.54" ยังคงเป็นจอ PixelSense มีความละเอียด 1536x1024 (สัดส่วน 3:2 ตามแบบฉบับ Surface), ซีพียูเป็น Core i5-1035G1, แรม 4/8GB, สตอเรจ 64/128/256GB, แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 13 ชั่วโมง มีทั้งพอร์ต USB-A/C และ Surface Connect น้ำหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม ภาพ Surface Go 2 จาก @surface ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลราคาออกมา แต่คาดกันว่าเริ่มต้นที่ 699 ดอลลาร์ ซึ่งจะถูกกว่ารุ่นล่างสุดของ Surface Laptop 3 ที่เปิดตัวไว้ 999 ดอลลาร์อยู่พอสมควร ไมโครซอฟท์ยังมีข่าวลือของ Surface Pro X2 ที่ระบุว่าเป็นการเปลี่ยนย่อย เฉพาะซีพียูเท่านั้น ที่มา - Notebookcheck
# หัวหน้าฮาร์ดแวร์ Google บอกเรดาร์ Soli จะกลับมาแน่ในอนาคต หลังจากเป็นหนึ่งในโปรเจ็คที่ฟูมฟักมานาน ปีที่แล้ว Google ก็นำเรดาร์ Soli ออกสู่ผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคเป็นครั้งแรก แต่อาจจะด้วยปัญหา economies of scale ทำให้ต้นทุน Soli ค่อนข้างสูง จนส่งผลให้ Pixel 4 ราคากระโดดและก็ถูกนำออกไปใน Pixel 5 แต่การหายไปของ Soli ไม่ได้หมายถึงจุดจบของตัวผลิตภัณฑ์ Rick Osterloh หัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์ของ Google ให้สัมภาษณ์กับ The Verge ยืนยันว่า Soli และ Motion Sense จะกลับมาในฮาร์ดแวร์แน่ ๆ ในอนาคต เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้นทุนมันสูงเกินไปที่จะใส่เข้ามาในฮาร์ดแวร์ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม Osterloh ไม่ได้ระบุว่าจะกลับมาในฮาร์ดแวร์ชิ้นไหน แต่ก่อนหน้านี้ Google เพิ่งยื่นจดทะเบียนอุปกรณ์กับ FCC เป็น Thermostat ของ Nest ที่มาพร้อมกับ Soli ที่มา - The Verge
# Cyberpunk 2077 ปล่อยตัวอย่างใหม่ ให้คีอานู รีฟส์ มาแสดงนำ CD Projekt Red ปล่อยตัวโฆษณาตัวใหม่นำแสดงโดยคีอานู รีฟส์ ชื่อ “Cyberpunk 2077 — Seize the Day” ในตัวอย่าง คีอานู จะมาพูดถึงความเป็นอิสระในเกม ที่คุณจะสามารถเป็นอะไรก็ได้ใน Night City และถ้าไม่โดนจับ ก็ไม่นับว่าเป็นอาชญากร ก่อนหน้านี้มีข่าว CD Projekt Red ให้พนักงานต้องทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ หลังเคยพูดว่าจะพยายามไม่ให้พนักงานต้องทำงานเกินเวลาแบบหามรุ่งหามค่ำก่อนเกมออก (crunch) แต่ทีมงานจะได้ค่าตอบแทนเป็นส่วนแบ่ง 10% ของกำไร ซึ่งก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงพอสมควรในวงการเกม ว่าเหมาะสมหรือไม่ ส่วนตัวเกม Cyberpunk 2077 เตรียมวางจำหน่ายวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้โดยไม่น่าจะเลื่อนอีก และเราคงได้เห็นคลิปตัวอย่าง และโฆษณาต่างๆ ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเดือนนี้และเดือนหน้า ที่มา - Youtube - Cyberpunk 2077
# AIS ฉลองครบ 30 ปี สรุปตัวเลข ส่งเงินเข้ารัฐไทยทั้งหมด 9 แสนล้านบาท วันนี้ AIS ฉลองบริษัทอายุครบ 30 ปี (เริ่มนับอายุจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์มือถือ 1G 900MHz ที่ได้รับสัมปทานจาก TOT ในเดือนตุลาคม 1990) ประเด็นที่น่าสนใจคือ AIS สรุปตัวเลข "การส่งรายได้" ทั้งหมดให้หน่วยงานภาครัฐไทยตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ว่าอยู่ที่ประมาณ 9 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็น ส่วนแบ่งรายได้จากสัมปทาน 2.92 แสนล้านบาท มูลค่าทรัพย์สิน (เสาสัญญาณ อุปกรณ์เครือข่าย ฯลฯ) ที่ส่งมอบให้ภาครัฐหลังหมดสัมปทาน 2.02 แสนล้านบาท ภาษี 1.71 แสนล้านบาท ค่าธรรมเนียมการใช้งานคลื่น (เงินประมูลคลื่นยุค กสทช.) 2.03 แสนล้านบาท ค่าธรรมเนียมเลขหมาย (จ่ายให้ กสทช.) 4.7 หมื่นล้านบาท
# Cloudflare เปิดบริการจับสถิติเว็บแบบไม่ติดตามตัว Cloudflare เปิดบริการ analytics จับสถิติเว็บ โดยยังเน้นความเป็นส่วนตัว ไม่ติดตามผู้ใช้ด้วย cookie หรือไม่ติดตามแม้กระทั่งหมายเลขไอพี แนวทางของ Cloudflare อาศัยการนับการเข้าชม (visit) แทนที่จะนับผู้ใช้รวมที่ต้องติดตามจาก cookie หรือไอพี โดย visit นี้จะนับเมื่อการโหลดเว็บมีค่า HTTP referrer ไม่ตรงกับโดเมนเว็บที่กำลังเข้าเท่านั้น นอกจากนี้บริการจะมีความสามารถในการแยกทราฟิกที่เป็น bot ออกเพื่อให้ค่าตรงตามจริง บริการนี้มีวิธีการจับสถิติสองแบบ คือจับจากการโหลดเว็บผ่านเซิร์ฟเวอร์ของ Cloudflare เอง หรือใส่สคริปต์ลงไปในเว็บเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ระยะเวลาโหลดเว็บ, ความผิดปกติของสคริปต์, และอีเวนต์พิเศษอื่นๆ ที่สามารถส่งจากจาวาสคริปต์ได้ ทาง Cloudflare ระบุว่าจะเปิดบริการนี้ให้ทุกคนโดยไม่ต้องเป็นผู้ใช้ Cloudflare เอง แต่จะใช้ได้กับการจับสถิติแบบจาวาสคริปต์เท่านั้น ส่วนลูกค้าเสียเงินของ Cloudflare สามารถใช้งานได้ตั้งแต่วันนี้ ที่มา - Cloudflare
# Windows 10 เพิ่มปุ่มประชุม Skype จาก Taskbar, แอพ Your Phone สลับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ ไมโครซอฟท์ออก Windows 10 Insider Preview Build 20226 มีฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ 2 อย่างดังนี้ หน้าจอ Storage Settings เพิ่มการแจ้งเตือนล่วงหน้าหาก SSD มีความเสี่ยงที่จะพัง แอพ Your Phone เพิ่มหน้าจอสำหรับสลับอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมกับพีซีแล้ว กรณีที่มีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตหลายเครื่อง สามารถสลับไปมาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ใน Build ตัวก่อนหน้านี้คือ 20221 ไมโครซอฟท์ได้ผนวกฟีเจอร์ Meet Now ของ Skype ให้สามารถสั่งประชุมได้จาก Taskbar เลย เมื่อกดสร้างห้องประชุมแล้วจะเปิดเบราว์เซอร์ขึ้นมา เพื่อสร้างห้องประชุมผ่าน Skype โดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้แต่อย่างใด ที่มา - Microsoft (20226), Microsoft (20221)
# Nintendo แนะนำ อย่าปล่อยให้แบต Switch หมดนาน, ชาร์จอย่างน้อย 1 ครั้งทุกหกเดือน ฝ่ายบริการลูกค้าของ Nintendo ทวิตเป็นภาษาญี่ปุ่น เตือนว่าแบตเตอรี่ในเครื่อง Switch อาจจะชาร์จไม่เข้าได้หากทิ้งให้หมดไว้นานๆ และอย่าลืมชาร์จเครื่องอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกหกเดือน เพื่อเป็นการดูแลรักษาแบต แม้เป็นคำแนะนำที่ชาวเกมเมอร์น่าจะพอรู้อยู่แล้ว จากการใช้โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน แต่คุณพ่อคุณแม่ที่ซื้อเครื่องให้ลูกๆ ตัวน้อยก็อาจหลงลืมในจุดนี้ได้ โดยเฉพาะกับรุ่น Switch Lite ที่ไม่ได้มาพร้อม dock ที่จะชาร์จเครื่องอยู่ตลอดแบบรุ่นธรรมดา นอกจากนี้ยังอาจเป็นอีกวิธีเชิญชวนคนที่ไม่ได้จับเครื่องมานาน ให้กลับมาเล่นเกมอีกครั้งด้วย นอกจาก Animal Crossing: New Horizons ที่ทำสถิติขายดีแบบถล่มทลาย ปีนี้ Switch ยังมีเกม Exclusive อื่นๆ เช่น Pikmin 3 Deluxe ที่จะออกวันที่ 30 ตุลาคมนี้ และ Hyrule Warriors: Age of Calamity ในวันที่ 20 พฤศจิกายน อีกด้วย แฟนๆ Nintendo ตัวจริงจึงอาจจะไม่ต้องห่วงเรื่องลืมชาร์จเครื่องเท่าไร ที่มา - Gamespot
# CD Projekt RED จะแบ่งกำไร 10% ให้ทีมงาน ชดเชยกับการทำงานหนักกับ Cyberpunk หลังจาก Jason Schreier นักข่าวสายเกมจาก Bloomberg แฉว่าพนักงาน CDPR ถูกสั่งให้ทำงาน 6 วันเพื่อปั่น Cyberpunk ให้ทันวางจำหน่าย ซึ่งเป็นการผิดคำพูดของผู้บริหาร CDPR ที่เคยให้ไว้ว่าไม่เห็นด้วยกับการ crunching และจะไม่มีวันนำมาใช้งาน ล่าสุด Adam Badowski หนึ่งในหัวหน้าสตูดิโอและเป็นคนที่ส่งอีเมลหาพนักงานเรื่องการทำงาน 6 วัน (และที่ Schreier ได้มาแล้วนำมาแฉ) ยืนยันว่าทีมงานทุกคนจะได้รับค่าตอบแทนคืนจากทุกชั่วโมงที่ทีมงานลงแรงไป รวมถึงจะแบ่งรกำไร 10% จากที่ทำได้ในปี 2020 ให้กับทืมงานด้วย ที่มา - @AdamBadowski
# ไมโครซอฟท์ประกาศรองรับแอพ x64 บน Windows on ARM แล้ว เปิดทดสอบ พ.ย. จุดอ่อนสำคัญของอุปกรณ์สาย Windows on ARM ในปัจจุบันคือ รองรับการรันแอพ x86 ผ่านอีมูเลเตอร์ แต่เฉพาะแบบ 32 บิตเท่านั้น ทำให้อุปกรณ์อย่าง Surface Pro X มีความน่าสนใจลดลงไปมาก เพราะแอพจำนวนมากยังไม่ซัพพอร์ต วันนี้ไมโครซอฟท์ประกาศสิ่งที่หลายคนรอคอยกันมานานคือ Windows 10 จะรองรับการรันแอพ x86-64 (x64) บน ARM แล้ว โดยจะเริ่มเปิดทดสอบในกลุ่ม Windows Insider ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ทยอยปรับแอพของตัวเองให้รันบน ARM64 ได้แบบเนทีฟ เช่น Microsoft Edge, Visual Studio Code และล่าสุดคือ Microsoft Teams ถึงแม้แนวทางเนทีฟให้ประสิทธิภาพดีกว่า แต่ก็คงไม่สามารถรองรับแอพได้ทุกตัว แนวทางอีมูเลเตอร์จึงเป็นทางออกที่ครอบคลุมกว่า ไมโครซอฟท์ยังประกาศว่า Acer, HP, Lenovo, Samsung จะออกสินค้าที่เป็น Windows 10 on ARM เพิ่มเติมด้วย (Samsung มีอยู่บ้างแล้ว เช่น Galaxy Book S) แต่ยังไม่ระบุข้อมูลว่าจะเปิดตัวเมื่อใด ที่มา - Microsoft ชิป SQ1 ของไมโครซอฟท์ที่ใช้ใน Surface Pro X
# Stadia เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ Crowd’s Choice ให้คนดูสตรีมโหวตได้ว่าจะทำอะไรในเกม Stadia เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ Crowd’s Choice สำหรับสตรีมเมอร์ที่เล่นบน Stadia และสตรีมสดผ่าน Youtube โดยระบบนี้จะให้คนดูเลือกโหวตได้ว่าจะให้ผู้เล่นทำอะไร เกมแรกที่จะมีระบบนี้ในวันที่ 1 ตุลาคม คือเกม Dead by Daylight ที่จะถูกเพิ่มเข้ามาฟรีใน Stadia Pro โดยจะให้คนดูช่วยโหวตว่าจะให้ผู้เล่นเข้าร่วมทีม “Killer” หรือ “Survivor” ส่วนเกมที่สองที่จะมีระบบนี้ ในวันที่ 6 ตุลาคม คือเกม Baldur’s Gate 3 เกม RPG จากค่าย Larian Studios ผู้สร้าง Divinity: Original Sin ที่จะให้คนดูโหวตเลือกตัวเลือกในบทสนทนา ไปจนถึงตัวละครที่จะผู้เล่นจะจีบ หรือจะผูกมิตร สร้างศัตรูกับตัวละครไหนก็ได้ (แต่ Baldur’s Gate ต้องซื้อแยก ไม่รวมใน Stadia Pro) นอกจาก Dead by Daylight แล้ว เกมที่จะถูกเพิ่มมาบน Stadia Pro ในเดือนนี้ มีเกม Human: Fall Flat, Superhot: Mind Control Delete, Lara Croft: Temple of Osiris, Celeste, และ Jotun ส่วนในไทย คงต้องร้องเพลงรอต่อไปเช่นเคย ที่มา - The Verge
# เปิดตัว Dyson Digital Slim เครื่องดูดฝุ่นไร้สายขนาดเล็ก ประสิทธิภาพใกล้เคียง V11 Dyson เปิดตัวเครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นใหม่ Dyson Digital Slim ที่มีขนาดเล็กลง 20% และเบาลงกว่า 30% จากรุ่นก่อนหน้าอย่าง V11 ขณะที่ด้ามจับก็สั้นลง 15% หัวแปรงลูกกลิ้งสำหรับดูดพรมก็เล็กและเบาลง 40% ในแง่ประสิทธิภาพ Dyson บอกว่าใกล้เคียงกับ V11 เพราะการออกแบบมอเตอร์และระบบดูดฝุ่นภายในไม่ต่างกัน ขณะที่ฐานแบตเตอรี่สามารถถอดได้ ใช้งานได้ 40 นาทีในโหมดประหยัดพลังงานและใช้งานได้ 5 นาทีโหมด Boost ใช้เวลาราว 3.5 ชั่วโมงในการชาร์จ Dyson Digital Slim วางขายแล้วที่ราคา 19,990 บาท ที่มา - อีเมลประชาสัมพันธ์
# Google แถม Bose QuietComfort 35 II ถ้าซื้อ Pixel 5, 4a 5G ใน UK, เยอรมัน, ฝรั่งเศส เล่นใหญ่ค่อนข้างมากสำหรับ Google ที่จะแถมหูฟังไร้สาย Noise Cancelling รุ่น Bose QuietComfort 35 II มูลค่า 341 ยูโร เมื่อพรีออเดอร์ Pixel 5 (613 ยูโร) และ Pixel 4a 5G (486 ยูโร) ในสหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, เยอรมันและฝรั่งเศส สำหรับ Pixel 5 ต้องจองระหว่าง 30 กันยายน - 19 ตุลาคม ส่วน Pixel 4a 5G ต้องจองระหว่าง 5 พฤศจิกายน - 18 พฤศจิกายน และหลังจองต้องรอ 14 วันถึงจะสามารถเคลมหูฟังได้ ที่มา - Android Authority
# เปิดตัว Google TV รีแบรนด์ใหม่ปี 2020 เป็นแอพบนสมาร์ททีวี สมาร์ทโฟน Chromecast ของใหม่ในงานแถลงข่าวกูเกิลเมื่อคืนนี้คือ Chromecast รุ่นใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Chromecast with Google TV จึงเกิดความสงสัยว่าตกลงแล้ว Google TV คืออะไรกันแน่ กูเกิลเคยใช้แบรนด์ Google TV มาแล้วครั้งหนึ่งตั้งแต่ปี 2010 โดยหมายถึงสมาร์ททีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android แต่ในปี 2014 มันก็ถูกรีแบรนด์ใหม่เป็น Android TV ซึ่งใช้งานต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แบรนด์ Google TV ฉบับกลับมาใหม่อีกครั้งปี 2020 (พร้อมโลโก้ใหม่) ถูกกูเกิลนิยามว่าเป็น "ประสบการณ์" (experience) ของการใช้งานทีวีและภาพยนตร์แบบข้ามแพลตฟอร์ม ใช้งานได้ทั้งบนสมาร์ททีวี (Android TV), สมาร์ทโฟน และ Chromecast Google TV บน Chromecast เรียกได้ว่าเป็นอินเทอร์เฟซใหม่ของ Chromecast ที่อัพเกรดขึ้นจากของเดิม (ที่ต้องควบคุมผ่าน Google Home บนมือถือเป็นหลัก) หน้าจอใหม่เหมือนกับยกหน้าจอของ Android TV มา เพิ่มฟีเจอร์สั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant Google TV บนสมาร์ทโฟน เป็นการรีแบรนด์แอพ Google Play Movies & TV ที่มีอยู่แล้ว โดยผู้ใช้ในสหรัฐจะเริ่มเห็นแอพใหม่กันในวันนี้ Google TV บนสมาร์ททีวี เราจะเห็นทีวีที่แปะตรา Google TV วางขายในปีหน้า ที่ระบุแบรนด์แล้วคือ Sony แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ากูเกิลจะทิ้งแบรนด์ Android TV ด้วยหรือไม่ (หรืออาจลดระดับอยู่ในฐานะ OS อย่างเดียว) อินเทอร์เฟซ Google TV บน Chromecast/สมาร์ททีวี อินเทอร์เฟซ Google TV บนสมาร์ทโฟน ที่มา - Google
# เทียบสเปก Pixel 5 vs Pixel 4a 5G ต่างกันอย่างไร ราคาถึงต่างกัน 200 ดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ กูเกิลเปิดตัวมือถือใหม่ 2 รุ่นพร้อมกันคือ Pixel 5 และ Pixel 4a 5G ที่ใช้ซีพียูตัวเดียวกันคือ Snapdragon 765G และมีกล้องคู่ 12MP + 16MP ultrawide เหมือนกัน แต่ราคาต่างกัน 200 ดอลลร์ (699 ดอลลาร์ vs 499 ดอลลาร์) สร้างความสับสนอยู่ไม่น้อยว่า 2 รุ่นนี้แตกต่างกันอย่างไร กูเกิลเองก็ดูเหมือนเข้าใจเรื่องนี้ และทำตารางเปรียบเทียบมาให้พร้อมสรรพ (รวมถึงเทียบกับ Pixel 4a ราคา 349 ดอลลาร์ ให้ด้วย) ความแตกต่างสำคัญระหว่าง Pixel 5 และ Pixel 4a 5G มีดังนี้ สิ่งที่ Pixel 5 มี กันน้ำ ชาร์จไร้สาย แรมเยอะกว่าคือ 8GB (4a 5G เป็นแรม 6GB) แบตเตอรี่ใหญ่กว่า 4080 mAh (4a 5G ใช้แบต 3885 mAh) ใช้หน้าจอ 90Hz Smooth Display โดยขนาดเล็กกว่า 4a 5G เล็กน้อย (6" vs 6.2") ในขณะที่ Pixel 4a 5G มีช่องเสียบหูฟัง 3.5mm ที่เป็นฟีเจอร์มาตรฐานของตระกูล a ที่ถูกกว่า (Pixel 5 ไม่มีช่องเสียบหูฟัง เหมือน Pixel รุ่นท็อปตัวอื่นๆ) สิ่งทั้งสองรุ่นที่มีเหมือนกันคือ ซีพียู Snapdragon 765G, รองรับ 5G, หน้าจอ OLED Full HD+, สตอเรจ 128GB, ชิปความปลอดภัย Titan M และกล้องคู่พร้อมฟีเจอร์กล้องทั้งหมด ที่มา - Google
# แอพโทรศัพท์กูเกิล เพิ่มฟีเจอร์ AI รอสาย Call Center แทนเรา เตือนเมื่อได้ยินเสียงพนักงาน เวลาโทรไปยังศูนย์บริการลูกค้าของหน่วยงานต่างๆ สิ่งที่ทุกคนต้องเจอคือการถือสายรอคิวจนกว่าพนักงานจะว่างมาคุยกับเรา ตรงนี้เป็นเรื่องเสียเวลามาก เพราะต้องถือสายรอไปเรื่อยๆ ไม่รู้เมื่อไร และไปทำอย่างอื่นในระหว่างนั้นก็ไม่ได้อีก กูเกิลอัพเดตแอพโทรศัพท์ Phone by Google ให้มีฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Hold for Me ให้แอพช่วยถือสายรอ และคอยฟังเสียงพนักงานบริการลูกค้าให้เรา (พร้อมขึ้นข้อความ caption แบบเรียลไทม์บนหน้าจอ) เมื่อถึงคิวของเราและแอพได้ยินเสียงพนักงาน ก็จะส่งเสียงแจ้งเตือน, สั่น, แจ้งเตือนบนหน้าจอให้เราทราบ ฟีเจอร์นี้ใช้พลัง AI ตัวเดียวกับ Google Duplex ช่วยแยกแยะเสียง กูเกิลบอกว่า Duplex สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเสียงพูดที่บันทึกไว้ และเสียงพูดของพนักงานจริงๆ ได้ เมื่อพนักงานรับสายแล้ว Duplex จะบอกพนักงานให้รอสักครู่ ระหว่างที่ไปตามเรามาคุยต่อ กูเกิลบอกว่า Hold for Me ใช้การประมวลผล AI ทั้งหมดอยู่ภายในเครื่อง (on device) ทำงานได้แม้ไม่ต่อเน็ต และไม่ต้องกลัวว่าจะมีข้อมูลส่วนตัวใดๆ ถูกส่งกลับไปยังกูเกิล ยกเว้นแต่เราอยากแชร์ข้อมูลกลับให้กูเกิลเพื่อปรับปรุงการทำงาน ฟีเจอร์นี้ผ่านการทดสอบร่วมกับศูนย์บริการลูกค้าของธุรกิจบางรายในสหรัฐแล้ว ที่ระบุชื่อคือ Dell และ United Airlines Hold for Me ยังรองรับเฉพาะเบอร์โทรศัพท์แบบโทรฟรี (toll-free) ในสหรัฐอเมริกา ยังเปิดพรีวิวให้เฉพาะ Pixel 5 และ 4a 5G เท่านั้น ที่มา - Google
# Google Photos ยกเครื่องตัวแต่งภาพ มี Portrait Light ปรับตำแหน่งแสงส่องหน้าได้ กูเกิลประกาศฟีเจอร์ใหม่ของ Google Photos คือ editor ตัวแต่งภาพเวอร์ชันใหม่ ที่ใช้ machine learning ช่วยปรับแต่งภาพให้อัตโนมัติ โหมด Suggestions ของเดิมมีปุ่ม Enhance ที่ปรับภาพให้สวยขึ้นอยู่แล้ว ของใหม่เพิ่มโหมดใหม่ๆ อย่าง Color Pop, Black & White Portrait เข้ามา และมือถือตระกูล Pixel จะได้โหมดใหม่เพิ่มอีกในอนาคต สำหรับคนที่อยากแต่งภาพเอง editor ตัวใหม่ปรับ UI ของโหมดแต่งภาพแบบ Adjust ให้สามารถปรับค่าต่างๆ เช่น Brightness, Contrast, Tint ได้ละเอียดขึ้น ง่ายขึ้น ส่วนมือถือใหม่ทั้ง Pixel 5 และ 4a 5G จะได้โหมดพิเศษคือ Portrait Light ที่ใช้ machine learning ช่วยปรับแสงที่ส่องลงบนใบหน้าได้ด้วย ใช้ได้กับภาพถ่ายจากกล้องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องถ่ายด้วยโหมด Portrait ด้วย (Pixel รุ่นเก่าจะได้อัพเดตตามในภายหลัง) ที่มา - Google
# Asana เข้าตลาดหุ้นแล้ว ราคาวันแรกเพิ่มขึ้น 37% Asana แพลตฟอร์มสำหรับบริหารการทำงานในองค์กร นำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กแล้วเมื่อคืนนี้ โดยราคาหุ้นในวันแรกปิดการซื้อขายที่ 28.80 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 37.1% จากราคาเริ่มต้น มูลค่ากิจการอยู่ที่ราว 5,300 ล้านดอลลาร์ การนำหุ้นเข้าซื้อขายของ Asana ใช้วิธีแบบ Direct Listing กล่าวคือไม่มีการเสนอขายหุ้นใหม่เพิ่มเติมหรือไอพีโอ แต่นำหุ้นทั้งหมดไปซื้อขายในตลาดทันที ซึ่ง Spotify และ Slack ก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน Asana มี Dustin Moskovitz ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ ข้อมูลจากไฟลิ่งระบุว่า Asana มีผู้ใช้งานแบบเสียเงิน 1.3 ล้านบัญชี และบัญชีเปิดใช้งานแบบฟรีอีก 3.2 ล้านบัญชี รายได้ 6 เดือน สิ้นสุด 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา 99.7 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 63% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ที่มา: Investor's Business Daily
# เปิดตัว Pixel 5 มีโหมดกล้องใหม่พร้อมเลนส์ไวด์, กันน้ำ ราคา 699 เหรียญ แทบไม่แตกต่างจากที่หลุดเท่าไหร่นักกับ Pixel 5 ด้วยหน้าจอ OLED 6 นิ้วแบบฟูลสกรีน มีรูกล้องซ้ายบน ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 90Hz ชิปเซ็ต Snapdragon 765G แรม LPDDR4x 8GB กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล f/1.7 มี OIS+EIS และเลนส์อัลตร้าไวด์ (สักที) 16 ล้านพิกเซล f/2.2 มุมกว้าง 107 องศา กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล f/2.0 มุมกว้าง 83 องศา แบตเตอรี่ขนาด 4,080 mAh ความจุ 128GB แน่นอนว่าซอฟต์แวร์กล้องใหม่ก็มีอย่างฟีเจอร์ HDR+ ใหม่, Night Sight in Portrait Mode และ Portrait Light ในหน้าปรับแต่งรูป เพื่อแต่งเอ็ฟเฟ็คแสงที่หน้า สามารถเลือกตำแหน่งและมุมของแสงได้อิสระ โดยแสงที่ตกกระทบหน้าจะแสดงผลพร้อมเงาให้แบบเรียลไทม์ด้วย ML ที่สำคัญคือฟีเจอร์นี้จะอยู่ใน Google Photos สามารถนำไปปรับแต่งรูปถ่ายเก่าก็ได้เช่นกัน ส่วนการถ่ายวิดีโอก็มีโหมดกันสั่นใหม่ 3 โหมดคือ Locked, Active และ Cinematic Pan นอกจากนี้ยังมีโหมดประหยัดแบตใหม่ในชื่อ Extreme Battery Saver สามารถเลือกได้ว่าจะเปิดใช้งานแอปไหน ส่วนแอปที่เหลือจะถูกปิดการใช้งาน Google บอกว่าช่วยให้ Pixel 5 ใช้งานได้นานขึ้นถึง 48 ชม. Pixel 5 รองรับนาโนซิม + eSim พร้อมรองรับการชาร์จไร้สายและฟีเจอร์ Reverse wireless charging กันน้ำ IPX8 รัน Android 11 และการันตีการอัพเดต OS และความปลอดภัยขั้นต่ำ 3 ปี ราคา 699 เหรียญ มี 2 สีคือสีดำ Just Black และสีเขียว Sorta Sage เริ่มวางขาย 15 ตุลาคมนี้ ที่มา - Google Blog
# กูเกิลเปิดตัว Pixel 4a 5G ซีพียู/กล้อง เท่า Pixel 5 ราคา 499 ดอลลาร์ กูเกิลเปิดตัวโทรศัพท์ Pixel 4a 5G ที่แม้ชื่อรุ่นจะคล้าย Pixel 4a ที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่กลับใช้ซีพียูและกล้องเหมือน Pixel 5 ที่ออกมาพร้อมกันวันนี้ โดยสเปคมีดังนี้ ซีพียู Snapdragon 765G 8 คอร์ แรม LPDDR4x 6 GB จอ OLED 6.2 นิ้ว FHD+ สตอเรจ 128GB กล้องหลังสองตัว เลนส์ปกติ 12.2 ล้านพิกเซลพร้อมระบบกันสั่น มุมภาพ 77 องศา, เลนส์มุมกว้าง 16 ล้านพิกเซลมุมภาพ 107 องศา กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล มุมภาพ 83 องศา มีรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร แบตเตอรี่ 3885mAh กูเกิลประกาศราคา 499 ดอลลาร์แต่ไม่บอกวันจำหน่าย เพียงแค่เปิดให้ลงชื่อแจ้งเตือนเท่านั้น ที่มา - Google Store
# กูเกิลเปิดตัว Nest Audio ลำโพงกูเกิลรุ่นใหม่เน้นคุณภาพเสียง ราคา 99.99 ดอลลาร์ กูเกิลเปิดตัวลำโพงอัจฉริยะ Nest Audio ที่เน้นคุณภาพเสียงเป็นหลักด้วยการใส่วูฟเฟอร์ 75 มิลลิเมตร และทวีตเตอร์สำหรับเสียงแหลม 19 มิลลิเมตร พร้อมไมโครโฟน 3 ตัวสำหรับจับเสียงจากระยะไกล กูเกิลระบุซีพียูภายในเป็น Cortex-A53 4 คอร์พร้อมชิปปัญญาประดิษฐ์ รองรับ Wi-Fi 2.4GHz และ 5GHz อแดปเตอร์ 20V จ่ายไฟ 30 วัตต์ เริ่มวางขายวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ราคา 99.99 ดอลลาร์ ที่มา - Google Store
# เปิดตัว Chromecast with Google TV มาพร้อมรีโมท ราคา 49.99 เหรียญ ตรงตามข่าวลือทุกอย่าง เมื่อ Google เปิดตัว Chromecast with Google TV มาพร้อมรีโมทที่มีปุ่ม Google Assistant, YouTube และ Netflix แยกต่างหาก มี 3 สีคือ Rocky Candy, Summer Melon และ Summer Blue ราคา 49.99 เหรียญ (ถูกกว่า Ultra) เริ่มจำหน่ายในสหรัฐก่อนและประเทศอื่นจะตามมาภายในปลายปี สำหรับ Google TV ดูไม่แตกต่างจาก Android TV แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Google จะจัดหมวดหมู่คู่นี้อย่างไร
# NVIDIA ประกาศเป็นพันธมิตรกับ VMware เตรียมพา AI ไปรันในองค์กร, สร้างชิปเฉพาะรัน ESXi NVIDIA ประกาศเป็นพันธมิตรกับ VMware โดยระบุเป้าหมายว่าจะสร้างแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ที่องค์กรสามารถใช้งานได้ง่าย แม้เป้าหมายจะดูกว้างๆ แต่ทั้งสองบริษัทก็ประกาศความร่วมมือที่ชัดเจน 2 ประการคือการซัพพอร์ตโมเดล AI จำนวนมากบนแพลตฟอร์มของ VMware และ NVDIA จะผลิตชิปสำหรับ Project Monterey NVIDIA จะซัพพอร์ตซอฟต์แวร์และโมเดลปัญญาประดิษฐ์ ที่อยู่ใน NVIDIA NGC ให้รันบน VMware vSphere, VMware Cloud Foundation, และ VMware Tanzu ได้ อีกด้านหนึ่ง NVIDIA ประกาศพัฒนาชิป BlueField-2 ที่เป็นชิป DPU สำหรับ Project Monterey ที่ทาง VMware จะใช้รัน ESXi ในอนาคต โดย BlueField-2 เป็นชิป Cortex-A72 แบบ 8 คอร์ มีส่วนประกอบพร้อมสำหรับการรัน ESXi เช่น รองรับเน็ตเวิร์คความเร็วสูง, มีวงจรเร่งความเร็วเข้ารหัส, วงจร SHA-2 สำหรับหาข้อมูลซ้ำในสตอเรจ เนื่องจาก Project Monterey ยังอยู่ในระดับพรีวิวตอนนี้ก็ยังไม่มีสินค้าขายจริง แต่ความร่วมมือเช่นนี้ก็คาดได้ว่าเมื่อมีฮาร์ดแวร์จริงจะมี BlueField-2 เป็นตัวเลือกให้ด้วย ที่มา - NVIDIA
# Cloudflare เริ่มส่งข้อมูลโปรโตคอลที่รองรับผ่าน DNS ใช้งานใน iOS 14 ได้แล้ว Cloudflare ประกาศรองรับ DNS เรคคอร์ด HTTPS เพื่อระบุว่าว่าเว็บรองรับโปรโตคอล HTTP/2 และ HTTP/3 หรือไม่ เปิดทางให้ไคลเอนต์สามารถเชื่อมต่อเข้าเว็บได้เร็วขึ้น โดยตอนนี้ Safari ใน iOS 14 สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ขึ้นมาทดสอบได้แล้ว โดยปกติแล้วหากผู้ใช้ไม่ได้ระบุโปรโตคอลด้วยตัวเอง เบราว์เซอร์จะพยายามเชื่อมต่อ HTTP ปกติก่อนเสมอ ขณะเดียวกันการเชื่อมต่อ HTTP/3 ก็ต้องอาศัยการประกาศค่าในฟิลด์ Alt-Svc ในค่าเฮดเดอร์ HTTP ก่อน แต่ในร่างมาตรฐาน IETF จะเปิดให้เบราว์เซอร์สามารถคิวรี DNS ได้ค่าเช่น example.com 3600 IN HTTPS 1 . alpn=”h3,h2” example.com 3600 IN HTTPS 1 . alpn=”h3,h2” ipv4hint=”192.0.2.1” ipv6hint=”2001:db8::1” ค่านี้จะบอกกับเบราว์เซอร์ว่าเซิร์ฟเวอร์รองรับ HTTP/2 และ HTTP/3 ทำให้เบราว์เซอร์เชื่อมต่อกับโปรโตคอลที่ดีที่สุดได้ทันที นอกจากนี้เรคคอร์ดแบบ HTTPS ยังรองรับการคืนค่า ipv4hint และ ipv6hint เพื่อบอกไอพีโดยไม่ต้องไปคิวรีเรคคอร์ด A หรือ AAAA อีกที หรือแม้แต่การเข้ารหัสชื่อโดเมนระหว่างการเชื่อมต่อหรือ ESNI ก็สามารถส่งกุญแจเข้ารหัสทางฟิลด์ echconfig ได้ ทำให้การคิวรี DNS ครั้งเดียวทำให้เบราว์เซอร์เชื่อมต่อได้ถูกโปรโตคอลพร้อมรับฟีเจอร์ป้องกันความเป็นส่วนตัวได้ทันที ผู้ใช้ Cloudflare สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีหากเปิดใช้ HTTP/3 ไว้ โดย Cloudflare จะสร้างเรคคอร์ด DNS ที่เกี่ยวข้องให้เอง ที่มา - Cloudflare
# Facebook ยกเครื่องแชทใน IG ใหม่ เปลี่ยนธีมสี, แชทหาเพื่อนใน Messenger ได้ ฯลฯ Facebook ประกาศรวบแชททั้ง Facebook Messenger และ Instagram เข้าไว้ด้วยกัน เปลี่ยนไอคอนตรง Direct Messages มุมขวาบนของ Instagram เป็นไอคอน Messenger และการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ ยกเครื่องประสบการณ์การแชทใน Instagram ใหม่ ดังนี้ สามารถเปลี่ยนธีมสีแชทได้, ใช้เซลฟี่สติกเกอร์ได้, Watch Together หรือดูวิดีโอ IGTV, Reels หรือคลิปอื่นๆ ไปพร้อมกันระหว่างคุยวิดีโอคอลได้, ปัดขวาเพื่อตอบแชท, เพิ่ม Vanish Mode หรือข้อความที่อ่านแล้วจะหายไปอัตโนมัติ หลังจากปิดหน้าจอ, ฟอร์เวิร์ดแชทไปหาเพื่อนได้ 5 คน, reply แชทได้ นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมได้ว่าใครสามารถแชทหาเราได้บ้าง และจากที่เคยประกาศก่อนหน้านี้คือ ผู้ใช้งานไม่ว่าใช้งานจาก Messenger หรือ Instagram สามารถเลือกได้ว่าจะแชทหาเพื่อนข้ามแพลตฟอร์มได้ เช่น เล่น Instagram อยู่ก็แชทหาเพื่อนที่ใช้ Messenger ได้ Facebook จะทยอยอัพเดตใหม่ในบางประเทศและจะเปิดใช้งานทั่วโลกต่อไป ที่มา - Instagram
# VMware ซื้อกิจการ SaltStack บริษัทซอฟต์แวร์อัตโนมัติ ผู้พัฒนา Salt VMware ประกาศข่าวการซื้อกิจการ SaltStack บริษัทด้านซอฟต์แวร์อัตโนมัติ (automation) โดยไม่เปิดเผยมูลค่า SaltStack ก่อตั้งเมื่อ 8 ปีก่อน โดยพัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน infrastructure automation ชื่อ SaltStack Enterprise ที่คอยจัดการตั้งแต่ระบบเซิร์ฟเวอร์ คลาวด์ เครือข่าย ฯลฯ ทั้งในเรื่องการสเกลเครื่องตามปริมาณงาน การแก้ไขคอนฟิกเครื่องให้เหมาะสม ซ่อมตัวเองอัตโนมัติถ้าระบบพัง (self-healing) และภายหลังก็ขยายมาจัดการด้านความปลอดภัย อุดช่องโหว่ให้อัตโนมัติ โดยใช้ชื่อว่า SaltStack SecOps VMware ให้เหตุผลของการซื้อ SaltStack ว่ายุทธศาสตร์ช่วงหลังของบริษัทหันมาเน้นเรื่องไฮบริดคลาวด์ หรือการจัดการคลาวด์หลายๆ ยี่ห้อผ่าน Tanzu อยู่แล้ว ปัจจุบันบริษัทมีซอฟต์แวร์สำหรับย้ายงานขึ้นคลาวด์ (HCX) และจัดการคลาวด์ข้ามค่าย (vRealize) การซื้อ SaltStack จึงเป็นการต่อยอดงานด้านจัดการคอนฟิกบน VM/container ให้ครบถ้วนกว่าเดิม ตอนนี้ vRealize รองรับเครื่องมือ automation หลายตัว เช่น Puppet, Ansible, Terraform ซึ่งจะยังใช้งานได้ต่อไป แต่บริษัทก็มองว่าเครื่องมือของ SaltStack ครบถ้วนมากกว่า (พัฒนาอยู่บน Salt เวอร์ชันโอเพนซอร์ส จึงตัดสินใจซื้อกิจการเข้ามาเติมเต็มโซลูชันของตัวเอง ที่มา - VMware Blog, VMware, SaltStack, The New Stack
# Red Hat ออก RHEL 7.9 เวอร์ชันสุดท้ายของสาย 7.x ยังซัพพอร์ตนานถึงปี 2024 Red Hat ออก Red Hat Enterprise Linux (RHEL) เวอร์ชัน 7.9 ซึ่งเป็นเวอร์ชันย่อย (minor release) ตัวสุดท้ายของสาย RHEL 7.x ปีที่แล้ว Red Hat ออก RHEL มาถึงเวอร์ชัน 7.7 ซึ่งเป็นเวอร์ชันสุดท้ายที่มีฟีเจอร์ใหม่ และตามออกอัพเดตย่อยแก้บั๊กต่างๆ มาถึง 7.9 เท่านั้น ถัดจากนี้ไป Red Hat จะออกแค่แพตช์ความปลอดภัยของช่องโหว่สำคัญๆ ระดับ Critical/Important เท่านั้น โดย RHEL 7.9 จะยังซัพพอร์ตนานอีก 4 ปี ไปจนถึงกลางปี 2024 RHEL 7.x ถือเป็นดิสโทรซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ตอนนี้ก็ถึงเวลาของสาย RHEL 8.x ที่เริ่มออกมาตั้งแต่ปี 2019 และเวอร์ชันล่าสุดในปัจจุบันคือ RHEL 8.2 ที่มา - Red Hat, ZDNet
# Xiaomi เปิดตัว Mi 10T Lite จอ 120Hz ชิป Snapdragon 750G เริ่มประมาณ 10,400 บาท นอกจาก Mi 10T / 10T Pro วันนี้ Xiaommi ยังเปิดตัว Mi 10T Lite มือถือระดับกลาง หน้าจอ 120Hz มาพร้อมชิป Snapdragon 750G เป็นรุ่นแรกของโลก มีกล้องหลัง 4 กล้อง ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K 30 fps เพิ่มรูหูฟังเข้ามาจากรุ่น 10T / 10T Pro และมีสเปกภายในดังนี้ หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz ชิพประมวลผล Snapdragon 750G แรม 6GB LPDDR4x หน่วยความจำภายใน 64GB (UFS 2.1) / 128GB (UFS 2.2) รัน Android 10 ครอบทับด้วย MIUI12 กล้องหลัก 64MP f/1.89 (Sony IMX682) กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP f/2.2 + กล้องมาโคร 2MP f/2.4 + depth sensor 2MP f/2.4 กล้องหน้า 16MP f/2.45 ลำโพงคู่สเตอริโอ มีรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร แบตเตอรี่ 4,820 mAh + ชาร์จเร็ว 33W รองรับ 5G Mi 10 Lite มีสามสี คือ Atlantic Blue, Rose Gold Beach และ Pearl Black วางจำหน่าย 13 ตุลาคม ในราคาดังนี้ รุ่นแรม 6GB หน่วยความจำภายใน 64GB ราคา 279 ยูโร (ราว 10,400 บาท) รุ่นแรม 6GB หน่วยความจำภายใน 128GB ราคา 329 ยูโร (ราว 12,200 บาท) ส่วนราคาและวันวางจำหน่ายในไทย ต้องติดตามต่อไป ที่มา - Xiaomi
# Xiaomi เปิดตัวมือถือตระกูล Mi 10T กล้อง 108MP หน้าจอ 144Hz ถ่ายวิดีโอ 8K ได้ เริ่ม 18,500 บาท Xiaomi เปิดตัว Mi 10T และ Mi 10T Pro อย่างเป็นทางการ โดยรุ่น 10T Pro มาพร้อมชิป Snapdragon 865 กล้องหลังหลัก 108MP ในขณะที่รุ่น 10T เป็นกล้องหลัก 64MP ทั้งสองรุ่นถ่ายวิดีโอ 8K แบบ มีสเปกภายในดังนี้ หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz หน้าจอรองรับ MEMC, HDR10 ชิปประมวลผล Snapdragon 865 แรม 8GB LPDDR5 หน่วยความจำภายใน 128GB / 256GB (แบบ UFS 3.1) รัน Android 10 ครอบทับด้วย MIUI12 กล้องหลัก 108MP f/1.69 (Samsung HX) มี OIS ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 8K กล้องอัลตร้าไวด์ 13MP f/2.4 + - กล้องมาโคร 5MP f/2.4 กล้องหน้า 20MP f/2.2 ลำโพงคู่สเตอริโอ สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มข้างเครื่อง แบตเตอรี่ 5,000 mAh + ชาร์จเร็ว 33W รองรับ 5G ส่วน Mi 10T เหมือนกับ Mi 10T Pro เกือบทุกประการ แต่เปลี่ยนกล้องหลังหลักเป็น กล้อง 64MP f/1.89 เซ็นเซอร์ SONY IMX686 กับมีสองแบบคือแรม 6GB กับ 8GB แต่หน่วยความจำภายในอยู่ที่ 128GB ทั้งสองแบบ Mi 10T Pro มีให้เลือก 3 สีคือ Aurora Blue, Lunar Silver และ Cosmic Black ส่วนรุ่น Mi 10T จะไม่มีสี Aurora Blue ยังไม่เปิดเผยวันวางจำหน่าย แต่ทั้งสองรุ่นมีราคาดังนี้ Mi 10T - รุ่นแรม 6GB หน่วยความจำภายใน 128GB ราคา 499 ยูโร (ราว 18,500 บาท) - รุ่นแรม 8GB หน่วยความจำภายใน 128GB ราคา 549 ยูโร (ราว 20,400 บาท) Mi 10T Pro - รุ่นแรม 8GB หน่วยความจำภายใน 128GB ราคา 599 ยูโร (ราว 22,200 บาท) - รุ่นแรม 8GB หน่วยความจำภายใน 256GB ราคา 649 ยูโร (ราว 25,000 บาท) ส่วนราคาและวันวางจำหน่ายในไทย ต้องติดตามต่อไป ที่มา - งานเปิดตัว Xiami Mi 10T Series, Xiaomi
# Pokemon Go เริ่มนำกฎเดิมกลับมาใช้ กระตุ้นคนออกไปเดินเล่นเกมหลังล็อกดาวน์ ช่วงล็อกดาวน์ Niantic ผู้สร้างเกม Pokemon Go ก็ปรับตัวด้วยการเปลี่ยนกฎการเล่นเกมใหม่ แม้อยู่บ้าน ก็สามารถหาไอเท็ม และจับโปเกมอนได้ เปิดให้ผู้เล่นเจอไอเท็มรอบตัวและโปเกมอนใกล้บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หลักการเดิมของเกมคือต้องเดินออกไปเพื่อจับและแข่งขันตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งตอนนี้มีแนวโน้มที่คนออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้นแล้ว ทางบริษัทจึงเริ่มนำกฎเดิมกลับมาใช้งาน มีผล 1 ตุลาคม กฎที่นำกลับมาใช้ เช่น Hatch Distance หรือระยะทางที่ต้องเดินเพื่อฟักไข่ จะกลับมาเป็นปกติ, การใช้ Incense หรือน้ำหอมเรียกโปเกมอนจะได้ผลดีต่อเมื่อเดินเล่นเท่านั้น, Buddy Pokémon จะสามารถมอบของขวัญให้เราได้ต่อเมื่อของๆ เราใกล้หมดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม กฎที่เคยใช้ช่วงล็อกดาวน์ก็จะยังอยู่ เช่น Stardust และ XP สามเท่าสำหรับการจับโปเกมอนตัวแรกของวัน, น้ำหอม Incense มีระยะเวลาคงอยู่ 60 นาที ที่มา - Pokemon Go
# [ลือ] พบข้อมูลเพิ่มเติมสนับสนุนว่า iPhone 12 อาจไม่ให้ทั้งหัวชาร์จและหูฟังมาในกล่อง ข่าวลือคราวนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ โดย iPhone 12 ที่คาดว่าแอปเปิลจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ มีข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมว่าแอปเปิลอาจไม่ให้ทั้งอะแดปเตอร์ชาร์จไฟ และหูฟัง EarPods มาในกล่อง ซึ่งแหล่งข้อมูลที่ใช้อ้างอิงมาจากโค้ดที่พบใน iOS 14.2 ที่มีสถานะทดสอบสำหรับนักพัฒนา ซึ่งเนื้อหาช่วงหนึ่งจากเดิมระบุว่าให้ใช้ หูฟังที่ให้มา (supplied headphones) ใน iOS 14.0 เหลือเพียงคำว่า หูฟัง (headphones) ข้อมูลนี้สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ขาประจำ Ming-Chi Kuo เคยระบุว่าแม้แอปเปิลจะไม่ให้หูฟัง EarPods แต่จะมีส่วนลดสำหรับการซื้อหูฟังไร้สาย AirPods มาแทน ก่อนหน้านี้แอปเปิลตัดสินใจหยุดให้อะแดปเตอร์สำหรับ Apple Watch รุ่นใหม่ไปแล้ว คงไม่แปลกนักถ้า iPhone 12 จะทำเช่นเดียวกัน แต่สำหรับหูฟังนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไป ที่มา: MacRumors
# โครงการ checkra1n เจลเบรกชิป Apple T2 สำเร็จ เปิดทางแก้ไข Touch Bar บนเครื่องแมค โครงการ checkra1n ที่เป็นโครงการเจลเบรกอุปกรณ์ของแอปเปิลนับแต่ iPhone 5s ขึ้นมา ประกาศออกรุ่น 0.11.0 beta ที่มีฟีเจอร์สำคัญคือการเจลเบรก bridgeOS บนชิป Apple T2 บนเครื่องแมคได้สำเร็จ เปิดทางให้นักพัฒนาภายนอกเข้าแก้ไข Touch Bar บนเครื่องแมคในอนาคต ชิป T2 เป็นชิปที่พัฒนาต่อมาจาก Apple A10 ใช้รัน bridgeOS มันสามารถทำงานแม้ตัวแมคจะปิดเครื่องอยู่ และตรวจสอบความถูกต้องของระบบปฎิบัติการก่อนบูตเครื่อง หากแก้ไขซอฟต์แวร์บนชิป T2 ได้สามารถดัดแปลงได้หลายอย่าง เช่น ทำธีมไอคอนบน Touch Bar ใหม่, ซ่อมเครื่องแมคด้วยตัวเอง, หรือโหลดระบบปฎิบัติการอื่นเพื่อบูต ตอนนี้ checkra1n ยังประกาศเพียงแต่เจลเบรกออกมาได้ แต่ยังไม่มี header ออกมาทำให้น่าจะใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะสามารถแก้ไขเครื่องได้จริง แต่สำหรับใครที่อยากลองต้องระวังว่าการเจลเบรกเครื่องแบบนี้มักสร้างช่องโหว่ที่ซอฟต์แวร์จากโรงงานพยายามป้องกันมาให้ และโดยทั่วไปหากคนร้ายเข้าถึงเครื่องที่เจลเบรกไว้ก็มักทำอะไรได้มากกว่าปกติเหมือนกัน ที่มา - Yalu JB
# ทวิตเตอร์เตรียมเพิ่มคำบรรยายคลิปเสียงใน iOS ก่อน Android รอปี 2021 จากประเด็นทวิตเตอร์ถูกวิจารณ์เรื่องไม่ใส่ closed captions หรือคำบรรยายในทวีตคลิปเสียง ขาดการเข้าถึงผู้พิการ ล่าสุด ทวิตเตอร์ออกมาบอกแล้วว่าจะเริ่มเปิดใช้งานการใส่คำบรรยายใน iOS ส่วน Android รอปี 2021 หลังจากถูกวิจารณ์ ทวิตเตอร์ก็ตั้งทีมขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลและพัฒนาฟีเจอร์เพื่อการเข้าถึงหรือ accessibility โดยเฉพาะ คือ Accessibility Center of Excellence (ACE) และ Experience Accessibility Team (EAT) อย่างไรก็ตาม ทวิตเตอร์ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าจะทยอยเปิดใช้งานแก่กลุ่มคนประเทศไหน และจะเริ่มใช้งานในภาษาอะไรบ้าง ที่มา - Engadget
# เทียบบริการคลาวด์เกมมิ่ง Luna, Stadia, Xbox Game Pass Ultimate, GeForce Now และ PS Now คลาวด์เกมมิ่งถูกคาดหมายว่าเป็นอนาคตของวงการเกมหลังยุคเกมแบบดิจิทัล ทำให้หลายเจ้าต่างกระโดดเข้ามาสมรภูมินี้ รายล่าสุดก็เป็น Amazon ที่เพิ่งเปิดตัว Luna บริการคลาวด์เกมของตัวเองที่เล่นผ่านเว็บแอปได้ ส่วน Microsoft ก็รวมบริการ xCloud มาใน Xbox Game Pass Ultimate และ GeForce Now ก็ออกจากเบต้าไปเมื่อต้นปีนี้ ส่วน PS Now ก็กำลังเร่งพัฒนาตามมา บริการเหล่านี้ มีโมเดลการจ่ายเงินและประเภทของเกมแตกต่างกันออกไป แม้บ้านเราจะยังใช้บริการส่วนใหญ่ไม่ได้ แต่วันนี้ผมจะลองเปรียบเทียบข้อมูลเบื้องต้นในปัจจุบันของแต่ละบริการ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจในอนาคตของผู้อ่าน หรืออาจจะเป็นข้อมูลในการเลือกฝั่งในการซื้อคอนโซล หรือพีซี เพื่อรองรับบริการเหล่านี้ในอนาคตก็ได้ Amazon Luna Amazon Luna ใช้โมเดลจ่ายเงินแบบเลือกช่อง (channel) ในแต่ละช่องจะมีเกมแตกต่างกันไป ในปัจจุบันมีช่องให้เลือกเพียงช่องเดียว คือ Luna+ (พลัสอีกแล้ว) ซึ่งมีเกมจากหลายค่ายรวมกัน ทั้งจากค่ายใหญ่และเกมอินดี้ เช่น Resident Evil 7, Control, Yooka-Laylee, GRID, และ Brothers: A Tale of Two Sons ในราคา 5.99 เหรียญต่อเดือน (ราว 190 บาท) มีจอยของตัวเองแยกขายในราคา 49.99 เหรียญ ที่ต่อตรงเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อลด latency แต่ก็รองรับจอย Xbox One, Dualshock 4, และเมาส์/คีย์บอร์ดด้วยเช่นกัน ส่วนอีกช่องที่จะมาเร็วๆ นี้ คือช่องของ Ubisoft ที่ยังไม่กำหนดราคา ทั้งสองช่องจะมีเกมรวมกันประมาณ 50 เกม แม้การเพิ่มเกมในอนาคตจะทำได้ไม่ยาก เพราะ Luna รันบนเซิร์ฟเวอร์ระบบปฏิบัติการ Windows และใช้จีพียู NVIDIA ที่เป็นมาตรฐานของวงการเกม แต่ก็ยังไม่แน่ว่า Amazon จะสามารถดีลกับนักพัฒนาเกมเจ้าอื่นนำเกมมาลง Luna ได้หรือไม่ ส่วนประเด็นเรื่องเกมเอ็กซ์คลูซีฟ แม้ Amazon จะมีสตูดิโอเกมเป็นของตัวเอง แต่เกมที่สร้างก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร Amazon Luna ยังไม่เปิดให้เลือกซื้อเกมเองเป็นรายเกม แถมแต่ละช่องก็มีเงื่อนไขต่างกันไป เช่นช่องของ Ubisoft สามารถเล่นเกมได้ทีละเครื่อง ในขณะที่ Luna+ เล่นพร้อมกันได้หลายเครื่องบนบัญชีเดียว การเล่นเกมของ Luna เล่นได้ทั้งบน PC, Mac, Fire TV, และ iOS (ผ่านแว็บแอป) มีฟีเจอร์เชื่อมต่อกับ Twitch ให้คนดูสามารถกดเล่นเกมที่กำลังรับชมสตรีมอยู่ได้ทันที แต่ยังไม่เปิดเผยว่าจะใช้งานได้เมื่อไร Luna รองรับการเล่นเกมที่ 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที และจะรองรับ 4K ในอนาคต ผู้ใช้ต้องมีอินเทอร์เน็ตระดับ 10Mbps สำหรับการเล่นเกม 1080p และ 35Mbps สำหรับ 4K สถานะปัจจุบัน คือเพิ่งเปิดให้เข้าร่วมทดลองแบบ Early Access ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว Google Stadia Stadia บริการคลาวด์เกมมิ่งจาก Google เปิดตัวช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยเป็นการสตรีมเกมจากเซิร์ฟเวอร์ของ Google ที่ใช้ฮาร์ดแวร์เฉพาะรันลินุกซ์ ผู้พัฒนาเกมจึงจำเป็นต้องพอร์ตเกมมาลงลินุกซ์ก่อน ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ผู้พัฒนาเกมอาจไม่อยากลงทุนเพิ่ม แถมเกมเวอร์ชั่น Stadia ยังเล่นออนไลน์เพื่อนบนเครื่องอื่นไม่ได้ Stadia มีรูปแบบการบริการทั้งแบบเช่าเครื่องฟรี แต่ต้องซื้อเกมแยกเอง เล่นได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p หรือจะจ่ายรายเดือนกับ Stadia Pro ในราคา 9.99 เหรียญ (ราว 320 บาท) เพื่อเล่นเกมที่ซื้อบนความละเอียด 4K และเลือกเก็บเกมฟรีที่เล่นได้แค่ตอนยังจ่ายค่าสมาชิกอยู่ และมีเกมมาเพิ่มทุกเดือนได้ (คล้ายเกมฟรีบน PS+) ในอนาคตจะสามารถกดเข้าเล่นเกมผ่านวิดีโอบน Youtube ที่ดูอยู่ได้ทันที และเปิดให้บริการแล้ว ใน 14 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันเกมบน Stadia มีประมาณ 88 เกม แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวจากฝั่งนักพัฒนาว่า Google ยังไม่กล้าทุ่มเงินซื้อเกมมาลงบนแพลตฟอร์ม แต่ก็กำลังพัฒนาเกมจากสตูดิโอของตัวเองอยู่ หากเล่นบนทีวีผ่าน Chromecast Ultra จะรองรับจอย Stadia Controller ที่ราคา 69 เหรียญ (ราว 2,190 บาท) เท่านั้น แต่บนมือถือ หรือเวอร์ชั่น Google Chrome บนพีซี จะรองรับจอย Xbox 360, Xbox One, Dualshock 4 ไปจนถึงจอย Pro ของเครื่อง Switch Xbox Game Pass Ultimate บริการเกมสตรีมมิ่งจากฝั่ง Microsoft ที่ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่าโปรเจกต์ xCloud ตอนนี้ถูกรวมอยู่ใน Xbox Game Pass Ultimate ราคา 14.99 เหรียญต่อเดือนแล้ว (ราว 475 บาท) โดยสมาชิกจะได้ทั้งเกมที่โหลดมาเล่นได้จาก Game Pass และบริการสตรีมมิ่งผ่านคลาวด์ ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วใน 22 ประเทศ ข้อจำกัดของ Game Pass Ultimate ตอนนี้ คือการเล่นเกมแบบสตรีมมิ่งยังทำได้แค่บนมือถือหรือแท็บเล็ตแอนดรอยด์เท่านั้น (บน PC จะตามมาในอนาคต) มีเกมที่รองรับประมาณ 150 เกม แม้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ปัจจุบันยังเป็น Xbox One S และรองรับความละเอียด 720p ที่รีเฟรชเรต 60Hz อยู่ แต่ Microsoft ก็มีแผนอัปเกรดเครื่องเป็น Xbox Series X ในปีหน้า และการใช้ฮาร์ดแวร์ของ Xbox ก็ได้เปรียบในด้านการนำเกมที่มีบนแพลตฟอร์มอยู่แล้วมาเพิ่มลงในบริการแบบคลาวด์ได้ทันที Game Pass Ultimate มีข้อได้เปรียบคือ Microsoft จะเพิ่มเกมที่เป็นเฟิร์สปาร์ตี้เข้ามาใน Game Pass Ultimate ตั้งแต่วันแรกที่วางจำหน่าย และเกมที่เพิ่มมาบน Game Pass Ultimate จะสามารถนำมาให้เล่นบนระบบสตรีมมิ่งได้เลย นักพัฒนาแค่ต้องเลือกจะว่าจะนำเกมลงระบบคลาวด์ด้วยหรือไม่ เมื่อบวกกับที่ Microsoft กำลังซื้อสตูดิโอเกมต่างๆ มาอยู่ในสังกัด เช่น Bethesda และดีลกับ EA ให้สมาชิกเล่นเกมจาก EA Play ได้โดยไม่เสียเงินเพิ่ม ทำให้ Game Pass และ xCloud มีจุดแข็งเรื่องจำนวนเกมดังๆ อย่างมากในระยะยาว GeForce Now GeForce Now เป็นบริการเล่นเกมผ่านคลาวด์ของ NVIDIA ที่ผู้เล่นจะสามารถเล่นเกมที่ตัวเองมีอยู่แล้ว โดยจะเชื่อมกับ Steam, Epic Games Store, Battle.net, และ Uplay เพื่อเพิ่มเกมที่ผู้เล่นมีลงในไลบรารีโดยอัตโนมัติ เล่นเกมได้ฟรีครั้งละ 1 ชั่วโมง (ตัดแล้วเข้าเล่นใหม่ได้) ถ้าจ่ายเงิน 4.99 เหรียญ (ราว 160 บาท) เพื่อเป็นสมาชิกระดับ Founders จะสามารถเล่นเกมได้แบบต่อเนื่องไม่จำกัดเวลา บนเครื่องที่จีพียูรองรับ ray-tracing ให้พร้อมสรรพ GeForce Now จึงเปรียบเสมือนจ่ายเงินเช่าเครื่องคอมแรงๆ ไว้เล่นเกมผ่านคลาวด์ ข้อได้เปรียบของ GeForce Now คือรองรับเกมมากสุดในปัจจุบัน มากกว่า 2,000 เกม แม้ Activision Blizzard, Bethesda และ 2K Games จะถอนเกมของตัวเองออกไปจากบริการนี้แล้ว แต่ก็ยังได้รับการสนับสนุนจาก Epic Ubisoft, Bungie, และ Bundai Namco รวมถึงจะมี Cyberpunk 2077 ให้เล่นในวันวางจำหน่ายเลยด้วย ปัจจุบัน GeForce Now ใช้งานได้บน PC, Mac, Android, Nvidia Shield, Chromebooks บางรุ่น รองรับ Gamepad แบบบลูทูธบนแอนดรอยด์ รองรับ Dualshock 4, Logitech F310/F510 และจอย Xbox 360 / Xbox One บนพีซี (ผ่านสาย USB) รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 60fps และเปิดให้บริการแล้ว ในกว่า 80 ประเทศ (ยังไม่มีไทยอยู่ดี) PlayStation Now PlayStation Now บริการสตรีมมิ่งจาก Sony ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบันใช้งานได้ทั้งบน PS4 และ PC มีเกมให้เล่นได้กว่ามากกว่า 800 เกมโดยจะเป็นเกมตั้งแต่ PS2-PS4 ในราคา 9.99 เหรียญต่อเดือน (ราว 320 บาท มีทดลองใช้ฟรี 7 วัน) และหากเล่นบนเครื่อง PS4 จะสามารถดาวน์โหลดเกม PS2 กับ PS4 เก็บไว้เล่นบนเครื่องได้แบบออฟไลน์ด้วย จุดยืนหนึ่งที่ทำให้ PlayStation Now อาจจะดึงดูดใจน้อยกว่าคู่แข่ง คือ SONY ยืนยันว่าจะไม่นำเกมใหม่มาลง แน่นอน เพราะอยากให้การเปิดตัวของเกมเหล่านั้นยังพิเศษอยู่ ทำให้เกมที่เล่นได้อาจเก่าไปบ้าง และยังรองรับการเล่นเกมแบบ 720p เท่านั้น รวมถึงรองรับระบบเสียงแค่ Stereo ในยุคเปิดตัว มีข่าวว่า SONY ใช้ฮาร์ดแวร์ PS3 แบบคัสตอม 8 เครื่องต่อหนึ่งเมนบอร์ด แต่ปัจจุบันไม่มีข้อมูลฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ SONY ดูจะไม่ทำการตลาด PS Now เท่าที่ควร แม้เปิดมานานกว่าใคร แต่ปัจจุบันยังเปิดเพียงใน 12 ประเทศ แต่การมาถึงของ PlayStation 5 Digital Edition อาจทำให้ SONY เน้นบริการดิจิทัลมากขึ้น รวมถึง PS Now ด้วยเช่นกัน สรุป คลาวด์เกมมิ่ง เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่น่าจับตาในอนาคต ว่าจะเป็นเส้นทางที่วงการเกมมุ่งไปจริงหรือไม่ แต่จากการที่บริษัทยักษ์ที่ไม่เชี่ยวชาญในด้านเกมอย่าง Google และ Amazon โดดลงมาเล่นในสนามนี้ด้วย อาจแปลว่าบริษัทเหล่านั้นมองเห็นโอกาสในการเติบโตของคลาวด์เกมมิ่ง ถ้านับแค่ในด้านบริการ ฝั่ง Xbox ที่มี Game Pass Ultimate จ่ายทีเดียว ได้รวมทุกอย่าง น่าจะทำคะแนนนำอยู่ ในขณะที่ GeForce Now ที่ใช้โมเดลต่างออกไป เป็นเหมือนการเช่าเครื่องเล่นเกม หากมีเกมจำนวนมากที่ซื้อไว้แล้ว (เช่น บน Steam) ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน ส่วนในบ้านเรา แม้ยังไม่มีบริการคลาวด์เกมมิ่งรายใดเปิดให้ใช้งาน แต่ก็เริ่มกลายเป็นปัจจัยในการพิจารณาซื้อเครื่องคอนโซลยุคต่อไปแล้ว โดยเฉพาะเครื่องคอนโซลเน็กซ์เจ็นที่ไม่มีช่องใส่แผ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นชาวคอนโซลหรือพีซี ก็คงต้องอดใจรอบริการต่างๆ มาเปิดกันต่อไป และต้องมาลุ้นผลกันอีกครั้ง ว่าคลาวด์เกมมิ่งจะเล่นได้แค่ไหน บนอินเทอร์เน็ตในบ้านเรา
# ทีมพัฒนาเผยสถิติ Crusader Kings 3: มีผู้เล่นกินโป๊ป, เล่นรวมกันแล้วกว่า 25 ล้าน ชม. Crusader Kings 3 เกมวางแผน จำลองการปกครองยุคกลาง ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ก่อน Paradox Interactive จะออกแพทช์ 1.1 ที่มี patch note ความยาวกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันคำ พร้อมเปิดเผยสถิติผู้เล่นในเกมผ่านทาง Press Release Paradox Interactive เปิดเผยข้อมูลว่าผู้เล่นออกลูกออกหลานรวมกันแล้วกว่า 40,591,268 คน วางแผนลอบสังหารศัตรูสำเร็จกว่า 18,212,157 ครั้ง สังหารและกินนักโทษของตัวเองไปแล้วกว่า 1,543,790 คน และในยอดนั้นมีพระสันตะปาปารวมอยู่ด้วยด้วย โดยมีการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วกว่า 1,451,427 ครั้ง (คาดว่าหลายร้อยครั้งในนั้นน่าจะมาจากการพยายามกินพระสันตะปาปา) ตัวละครของผู้เล่นเครียดจนสติแตกแล้วกว่า 716,369 ครั้ง และมีการลูบหัวสัตว์เลี้ยงในเกมไปแล้วกว่า 370,305 ครั้ง โดยในเกมนี้มีระบบความเครียด เมื่อผู้เล่นทำกิจกรรมที่ขัดต่อนิสัยของตัวละคร เช่น บังคับให้ตัวละครที่มีนิสัย “รักคุณธรรม” จับศัตรูมาตัดหัวเล่น และจะเกิดผลเสียกับตัวละครกับผู้เล่น เมื่อมีค่าความเครียดถึงระดับหนึ่ง การลูบหัวสัตว์เลี้ยง จะช่วยลดค่าความเครียดได้ ส่วนสถิติเวลาการเล่นตอนนี้ มีผู้เล่นรวมกันกว่า 25 ล้านชั่วโมงแล้ว ส่วนตัวผู้เขียน เพิ่งเล่นไปได้ประมาณ 32.5 ชั่วโมง ที่มา - VG247
# แนะนำโปรโมชั่นบัตรเครดิต TMRW กับโปรโมชั่นเด็ด รับ Cashback คืนสูงสุด 15% เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ชอบใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต นอกจากเป็นการใช้เครดิตที่ยืดเวลาจ่ายออกไปได้นานนับเดือนแล้ว โปรโมชั่นบัตรเครดิตก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การจ่ายผ่านบัตรเครดิตเป็นเรื่องคุ้มค่ายิ่งกว่าการจ่ายเงินสดเสียอีก ในตอนนี้เองบัตรเครดิต TMRW ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่มีโปรโมชั่นไม่แพ้ใคร ทั้งโปรโมชั่น cashback และส่วนลดพิเศษ สำหรับโปรโมชั่น cashback สูงสุดถึง 3% ของบัตรเครดิต TMRW ก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง เพียงจ่ายบิลผ่านบัญชี TMRW Everyday เดือนละสองครั้ง และโอนเงินผ่านบัญชี TMRW Everyday อีกเดือนละสองครั้งก็สามารถรอรับเงินคืนในหมวดที่เลือกไว้ได้ถึง 3% หรือหากไม่เข้าหมวดก็ยังได้รับเงินคืน 1% ทุกหมวดต่อไป ไม่ต้องกลัวว่าการเลือกหมวดจะยุ่งยาก เพราะโปรโมชั่น cashback ของ บัตรเครดิต TMRW จัดหมวดการใช้จ่ายเป็นกลุ่มเพียง 8 หมวดใหญ่ๆ และเรายังเลือกได้ถึง 3 หมวดให้ตรงกับการใช้งานของเรา หากไม่ถูกใจก็ยังสามารถเปลี่ยนได้อีกเดือนละครั้ง สำหรับคนที่เริ่มใช้งานและยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกหมวดไหนดีทาง TMRW ก็เตรียมแบบสอบถามไว้ให้ทุกคนใช้โปรโมชั่นบัตรเครดิตนี้ได้คุ้มค่าที่สุด ด้วย TMRW Pay-sonality Quiz ที่ตอบแบบสอบถามง่ายๆ ไม่กี่คำถามก็ได้คำแนะนำว่าควรเลือกหมวดใดก่อน 15 on 15 ยังคงเป็นโปรโมชั่นบัตรเครดิต TMRW ที่ได้ใช้งานกันทุกคนอย่างแน่นอน เพราะสามารถได้รับ cashback จากการเติมเงิน MRT สายสีน้ำเงิน, การจ่ายผ่าน Rabbit LINE Pay หรือ Dolfin Wallet, ซื้อของใน Lazada หรือ Shopee, หรือกระทั่งเรียก Grab นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารดังที่ร่วมโปรโมชั่นบัตรเครดิตนี้อย่าง After You, Au Bon Pain, Dean & Deluca, KOI Thé, และ Krispy Kreme โดย cashback 15% จากร้านที่ร่วมรายการนี้จะได้รับ cashback สูงสุดเดือนละ 500 บาท และจะเริ่มใช้งานได้เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต TMRW สะสมตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไป นับเป็นโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่ใช้งานกันให้เต็มที่ได้ไม่ยาก วางแผนกันสักนิดก็มีโอกาสได้cashback คืนปีละ 6,000 บาทเลยทีเดียว WOW 1 Bath โปรโมชั่นบัตรเครดิต TMRW มอบให้ผู้ใช้บัตรอย่างต่อเนื่องเพียงแค่ใช้บัตร TMRW ครั้งละ 300 บาทขึ้นไปสองครั้งในช่วงเวลาที่กำหนดก็ได้รับสิทธิไปจ่าย 1 บาทผ่านแอป TMRW กันได้โดยหลังจากใช้จ่ายผ่านบัตร TMRW ครบจะได้รับ SMS เพื่อรับสิทธิ์ได้ที่ร้านที่ร่วมรายการ ได้แก่ Boba Hong Kong Milk Tea หรือ Boba Hojicha Soy Latte จากร้าน After You ● Brown Sugar Pearl with Milk จากร้าน Brown Café Large Fries จากร้าน Potato Corner Jasmine Green Tea Deerioca, Assam Black Tea Deerioca หรือ Royal No.9 Milk Tea จากร้าน The Alley เปิดบัญชีและสมัครบัตรเครดิต TMRW วันนี้โดยไม่ต้องไปสาขา รับโปรโมชั่นต้อนรับเพิ่มเติม นอกจากโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่ TMRW ที่มีต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่มีบัญชีTMRW ก็ยิ่งน่าสนใจเพราะมีโปรโมชั่นเพิ่มเติมสำหรับการเปิดบัญชีครั้งแรกให้สูงสุดถึง 800 บาท กระบวนการเปิดบัญชีมีเพียง 3 ขั้นตอน คือการสมัครในแอปพร้อมอัพโหลดเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเอกสารรายได้สำหรับสมัครบัตรเครดิตก็สามารถส่งในแอปได้ทันทีไม่ต้องพกสำเนาเอกสารไปธนาคาร จากนั้นหาตู้TMRW Koisk ที่มีกว่า 300 แห่งเพื่อยืนยันตัวตน เพียงเท่านี้ก็ใช้งานทั้งบัญชีTMRW ได้ทันทีและและรอบัตรเครดิต TMRW กันที่บ้านได้เลย สนใจเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกับ TMRW สามารถอ่านข้อมูลบนเว็บ https://www.tmrwbyuob.com/th/th/promotions.html เพื่อรับสิทธิกับโปรโมชั่นบัตรเครดิตของ TMRW กันให้เต็มที่ได้แล้ววันนี้
# ไมโครซอฟท์, RISE จัดแข่ง Hack the Future: Business Rebound Edition ด้วยโจทย์สร้างโซลูชั่นเพื่อธุรกิจรอดได้ในยุคโควิด ไมโครซอฟท์ประเทศไทย และ RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร จัดแข่ง Hack the Future: Business Rebound Edition ร่วมสร้างโซลูชั่นธุรกิจขนาดกลางและรายย่อยให้สามารถเอาชนะความท้าทายการทำธุรกิจในยุคโควิด - 19 โดยโจทย์การแข่งขันคือ แต่ละทีมจะต้องมีสมาชิกในทีม 3-5 คน หาโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาให้กับธุรกิจ จากสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญในสถานการณ์จริง แบ่งโจทย์ออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ การจัดสรรทรัพยากรและการจัดการการดำเนินงาน (Resource & Operation Management): สนับสนุนให้ผู้ประกอบการจัดการทรัพยากรได้ดีขึ้น เพื่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง วิถีการทำงานยุคใหม่โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย (Digitalization/New Way of Work): การเสริมประสิทธิภาพให้กับพนักงานขององค์กรระดับ SMB และพนักงานระดับปฏิบัติการส่วนหน้า การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า (New Experience for Customer): สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่และมอบมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าของธุรกิจ SMB เพื่อก่อให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในการแข่งขัน Hack the Future: Business Rebound Edition มีการคัดเลือกอย่างเข้มข้นตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ด้วยผู้เข้าร่วมแข่งขัน 14 ทีม ได้ทีมผู้ชนะในการแข่งขันมีทั้งหมด 3 ทีม และมีอีก 1 ทีมที่ได้รางวัลพิเศษ คือ ทีม Alto Tech: โซลูชัน IoT และคอมพิวเตอร์วิชั่นที่เหมาะกับธุรกิจที่พัก โรงแรม มีระบบจัดการการใช้พลังงานภายในอาคารโดยอัตโนมัติ พิจารณาจากการใช้งานจริง รับรู้ได้ว่าห้องใดมีคนใช้งานอยู่หรือไม่โดยไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาพัก และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยในส่วนของเจ้าของอาคาร ตัวบริการมีหลายโซลูชั่น หลักๆ คือเน้นประหยัดพลังงานในการเข้าพัก ลดค่าใช้จ่ายน้ำไฟ, ปรับปรุงและลดชั้นตอนการทำงานและลดการทำงานเอกสาร แสดงข้อมูลอย่างครอบคลุมด้วยแดชบอร์ดทั้งบนอุปกรณ์ POS, มือถือ,แท็บเล็ต ทีม Bizcuit: เน้นพัฒนาเทคโนโลยี การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing, NLP), คอมพิวเตอร์วิชั่น (Computer Vision), และเทคโนโลยีด้านประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริงเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ เน้นงานด้านการขายที่ต้องการสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง หรืองานพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า เทคโนโลยีของ Bizcuit ใช้งานได้ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งรีเทล, ประกัน, ร้านอาหาร, การเงิน, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ทีม Vii Vision Intelligence: บริการที่นำ AI มาสนับสนุนการทำงานของพนักงานในการดูแลและประสานงานกับลูกค้า โดยช่วยให้ธุรกิจลดภาระด้านกำลังคนและต้นทุนในการให้บริการ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีจดจำใบหน้าและระบบตรวจจับความหนาแน่นในพื้นที่ร้านค้า มาพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้เกิดความประทับใจและเพิ่ม loyalty มากขึ้น รวมถึงเก็บข้อมูลให้สามารถ take action กับความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที ทีม Vulcan (รางวัลพิเศษสำหรับการส่งเสริมความเท่าเทียมกันในสังคม): สร้างโซลูชันฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและแขกที่มาใช้บริการสามารถตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย อาการป่วย และเช็คอินเมื่อเข้าสู่สถานที่หรืออาคารได้โดยอัตโนมัติ สามารถตรวจจับได้ด้วยว่าแต่ละคนใส่หน้ากากอยู่หรือไม่ และยังสามารถรวบรวมข้อมูลตามเป็นเพศและช่วงอายุได้ด้วย ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้นควบคู่ไปพร้อมกับความปลอดภัยช่วงโรคระบาด ระบบ AI ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดนี้ ผ่านการฝึกโดยทีมงานที่ประกอบไปด้วยผู้ที่ความบกพร่องทางการได้ยินซึ่งเป็นการโชว์ให้เห็นว่าคนทุกคนในสังคมสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับสังคมได้ถ้ามีโอกาส นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ทีมที่ได้เลือกให้เป็นผู้ชนะล้วนแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งในปัญหาที่ธุรกิจต่างๆ และลูกค้าของพวกเขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และเราก็พร้อมที่จะร่วมทางกับพวกเขาเพื่อพิสูจน์ว่าแนวคิดและผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะสามารถพาธุรกิจและผู้ประกอบการทั่วภูมิภาคไปได้ไกลขนาดไหน ทีมผู้ชนะได้รับโอกาสให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับไมโครซอฟท์ในการพัฒนาและนำโซลูชั่นเหล่านี้ออกสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และยังเข้าไปแข่งต่อในโครงการ Microsoft for Startups เพื่อรับสิทธิ์งานคลาวด์ Azure มูลค่ารวมสูงสุดกว่า 3 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโซลูชั่นอย่างต่อเนื่อง
# พบฟีเจอร์จัดหมวดหมู่และแยกประเภทข้อความในไฟล์ apk ของ Android Messages XDA Developers งัดแงะไฟล์ apk ของ Android Messages พบฟีเจอร์ที่จัดหมวดหมู่และประเภทข้อความของตัวแอป โดยจะแสดงผลเป็นแท็บอยู่ด้านบนสุดใต้ช่องเสิร์ช (ดูรูปได้จากที่มา) ประเภทข้อความหรือแท็บที่พบมี All, Personal Transaction, OTP, Offer และ More อย่างไรก็ตาม XDA ระบุว่ายังไม่สามารถทำให้ฟีเจอร์นี้ใช้งานได้จาก apk ที่งัดแงะออกมา และก็ยังไม่มีอะไรยืนยันว่า Google จะปล่อยฟีเจอร์นี้ให้ใช้งานจริงในอนาคต ที่มา - XDA
# OnePlus 8 และ 8 Pro ปรับราคาใหม่ เหลือ 25,990 และ 31,990 บาท OnePlus 8 Series เตรียมปรับราคาใหม่ วันที่ 1 ตุลาคมนี้ จากราคาเปิดตัว OnePlus 8 ที่ 28,990 บาท เหลือ 25,990 บาท และ OnePlus 8 Pro จาก 34,990 บาท เหลือ 31,990 บาท มีจำหน่ายทาง AIS, JD Central, Lazada, Shopee และ Thisshop ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# HMD Global เผลอทวิตแผนอัปเดต Android 11 ของสมาร์ทโฟน Nokia ก่อนลบ ทวิตเตอร์ @HMDGlobal เผลอทวิตภาพแผนการอัปเดต Android 11 ของสมาร์ทโฟนแบรนด์ Nokia ก่อนจะลบ แต่เว็บไซต์ PhoneArena เซฟรูปภาพเก็บไว้ทัน และพบว่ามีรายละเอียดที่รุ่นที่จะได้รับการอัปเดต ดังนี้ Nokia 2.2, Nokia 5.3, Nokia 8.1, Nokia 8.3 5G: ไตรมาสที่สี่ ปี 2020 และต้นไตรมาสแรก ปี 2021 Nokia 1.3, Nokia 2.3, Nokia 2.4, Nokia 3.4, Nokia 4.2: ไตรมาสแรก ปี 2021 Nokia 3.2, Nokia 6.2, Nokia 7.2: ไตรมาสแรก และไตรมาสที่สอง ปี 2021 Nokia 1 Plus, Nokia 9 PureView: ไตรมาสที่สอง ปี 2021 การที่ HMD Global ลบทวิตนี้ออก อาจแปลว่าแผนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังได้ คงต้องติดตามข้อมูลอย่างเป็นทางการต่อไป ที่มา - PhoneArena
# ทีมงาน CD Projekt RED ต้องทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ก่อน Cyberpunk วางขาย ช่วงก่อนหน้านี้มีประเด็นสตูดิโอเกมหลายสตูดิโอถูกแฉว่าสั่งให้ทีมงานทำงานหามรุ่งหามค่ำ (crunching) เพื่อทำให้เกมเสร็จทันตามกำหนดเวลา ซึ่ง CD Projekt RED ก็เป็นหนึ่งในสตูดิโอที่ออกมาให้คำมั่นว่าจะหลีกเลี่ยงการทำงานแบบ crunching แต่ล่าสุด Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงทั้งทีมงานของ CD Projekt RED และอีเมลภายในที่ระบุว่า สตูดิโอเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจาก 5 วันเป็น 6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ทันกำหนดการวางจำหน่ายเกม Cyberpunk 2077 (ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน Adam Badowski หนึ่งในหัวหน้าทีมได้อีเมลหาทีมพัฒนาถึงความจำเป็นที่จำต้องเพิ่มการทำงานในวันหยุดอีก 1 วันเพราะบั๊คและปัญหาจำนวนมากในเกม ซึ่งทีมพัฒนาจะได้เงินค่าล่วงเวลาตามกฎหมาย (หลายสตูดิโอมีรายงานว่า crunch แล้วไม่ได้เงินเพิ่ม) พร้อมยอมรับว่าตัวเองกลืนน้ำลายและสวนทางกับแนวทางที่ตัวเองเคยพูดและเชื่อมั่นว่าการ crunch ไม่ใช่คำตอบ รวมถึงยินดีรับความไม่พอใจทั้งหมด (I take it upon myself to receive the full backlash for the decision) โดยเจ้าตัวบอกว่าได้พยายามหาทางออกทุกทางเท่าที่จะทำได้กับสถานการณ์ของการพัฒนาเกมตอนนี้แล้ว ที่มา - Bloomberg
# Google ประกาศผลประมูลเป็นตัวเลือกเสิร์ชในยุโรป Info.com ชนะทั้ง 31 ประเทศ Google ประกาศผลเสิร์ชเอนจิ้นผู้ชนะการประมูลเพื่อแสดงผลเป็นตัวเลือก default ใน Android ที่เปิดใช้งานใน 31 ประเทศยุโรปนอกเหนือจาก Google แก้ปัญหาการผูกขาด และเพื่อให้สอดคล้องกับกฎคณะกรรมาธิการยุโรปเกี่ยวกับ Android โดยผู้ใช้งานมีสิทธิ์เลือกเสิร์ชเอนจิ้นทางเลือกสี่ราย (รวม Google แล้ว) Info.com นำโด่ง ชนะประมูลในทุกประเทศ ส่วน GMX ชนะประมูลใน 16 ประเทศ, Bing จากไมโครซอฟท์ชนะประมูลใน 13 ประเทศ, Yandex ชนะประมูลใน 8 ประเทศ, PrivacyWall ชนะประมูลใน 22 ประเทศ ด้าน DuckDuckGo รอบนี้มีคะแนนประมูลน้อย ได้ชนะเพียง 4 ประเทศเท่านั้น ข้อเสนอใหม่จะมาแทนที่รายการปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม Info.com เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท System1 บริษัทเทคโนโลยีโฆษณาในแคลิฟอร์เนีย มีบริการเสิร์ชเอนจิ้นในเครือหลายตัว เช่น HowStuffWorks, CarsGenius และ Mapquest ที่มา - Android Police, Android
# Lenovo เปิดตัว ThinkBook 15 Gen 2 พร้อมหูฟัง True Wireless มีช่องเก็บใต้คีย์บอร์ด Lenovo เปิดตัว ThinkBook 15 Gen 2 โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมหูฟัง True Wireless และช่องเก็บหูฟังที่อยู่ใต้คีย์บอร์ด มีรุ่น Intel Core Gen 11th และรุ่น Ryzen 4000 มีตัวเลือกทั้งการ์ดจอออนบอร์ด และ GeForce MX450 หน้าจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD แพแนลมีทั้งแบบ TN และ IPS ให้เลือก มีตัวเลือกทัชสกรีน หน้าจอกางราบไปกับโต๊ะได้ ตัวเครื่องใส่แรม DDR4 แบบ dual-channel ได้สูงสุด 40GB เลือกฮาร์ดดิสก์ได้ตั้งแต่แบบจานหมุน 1TB ความเร็ว 7,200rpm ไปจนถึง M.2 PCIe Gen3 และ Gen4 ความจุ 1TB มีพอร์ต Thunderbolt 4 หนึ่งพอร์ต, USB-C 3.2 หนึ่งพอร์ต, USB 3.2 Type-A สองพอร์ต,พอร์ต HDMI, การ์ดรีดเดอร์แบบ 4-in-1, มีพอร์ต Ethernet รองรับ Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 วางจำหน่ายเดือนตุลาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 549 เหรียญ (ราว 17,400 บาท) ที่มา - Tom’s Guide
# Lenovo เปิดตัว ThinkBook 14s Yoga โน้ตบุ๊ก 2-in-1 รุ่นแรกในตระกูล Thinkbook Lenovo เปิดตัว ThinkBook 14s Yoga โน้ตบุ๊กแบบ 2-in-1 รุ่นแรกในตระกูล Thinkbook หน้าจอ 14 นิ้วแบบทัชสกรีน ความละเอียด FHD รองรับสีมาตรฐาน sRGB 100% และรองรับ Dolby Vision ตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม สี Abyss Blue มีที่เก็บปากกาในตัว ซีพียูสูงสุด Intel Core i7 11th Gen แรม DDR4 ใส่ได้สูงสุด 40 GB มี SSD PCIe NVMe 1TB มีช่องให้ใส่เพิ่มได้อีก 1TB มีพอร์ต Thunderbolt 4 พอร์ต USB-C 3.1 หนึ่งพอร์ต USB-A 3.1 สองพอร์ต พอร์ต HDMI 1.4b รูเสียบหูฟังพร้อมไมค์แบบคอมโบ และช่องอ่าน microSD card วางจำหน่ายเดือนพฤศจิกายนนี้ ราคา 879 เหรียญ (ราว 27,890 บาท) ที่มา - NotebookCheck
# Lenovo เปิดตัว ThinkBook 13s Gen 2 มาพร้อมซีพียู Intel Core 11th Gen และ Ryzen 4000 Lenovo เปิดตัว ThinkBook 13s Gen 2 หน้าจอ IPS 13.3 นิ้ว แบบ WQXGA ความละเอียด 2560x1600 พิกเซล อัตราส่วน 16:10 รองรับ Dolby Vision ซีพียู Intel Core 11th Gen และ AMD Ryzen 4000 แรมสูงสุด 8GB SSD สูงสุด 1TB แบตเตอรี่ 61Wh รองรับการชาร์จที่ 65W ตัวเครื่องมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4.0, USB 3.2 Gen1 Type-A สองพอร์ต,พอร์ต HDMI 2.0b หนึ่งพอร์ต และรูเสียบหูฟังพร้อมไมค์แบบคอมโบ รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.1 วางจำหน่ายเดือนตุลาคมนี้ รุ่น Intel Core 11th Gen ราคา 829 เหรียญสหรัฐ (ราว 26,500 บาท) รุ่น AMD Ryzen 4000 ราคา 729 เหรียญ (ราว 23,100 บาท) วางจำหน่ายด้วย ที่มา - Notebookcheck
# Godfall เปิดราคาที่ 69.99 เหรียญ วางขาย 12 พฤศจิกายนนี้ Godfall เกมแรกที่เปิดตัวบน PlayStation 5 ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ประกาศราคาวางจำหน่ายแล้วที่ 69.99 เหรียญตามแนวทางการตั้งราคาเกมบนคอนโซลยุคใหม่ พร้อมเผยเทรลเลอร์ล่าสุดออกมา ราคา 69.99 เหรียญเป็น Standard Edition นอกจากนี้ยังมี Deluxe Edtion ซึ่งจะได้ภาคเสริม (expansion) ที่จะออกในปีหน้าด้วยที่ 89.99 เหรียญและ Ascended Edition ที่จะได้สกินและธีมต่าง ๆ เพิ่มมาที่ 99.99 เหรียญ เนื้อเรื่องของ Godfall จะได้รับแรงบันดาลใจมากจากหนังสือนิยายแนวไฮแฟนตาซีชุด The Stormlight Archive เป็นเกมแอคชัน RPG มุมมองบุคคลที่สามแบบ looter-slasher พัฒนาโดยสตูดิโอ Counterplay Games เป็นสตูดิโอเล็ก ๆ ที่เคยร่วมงานกับสตูดิโอใหญ่ช่วยทำเกมอย่าง God of War, Horizon Zero Dawn, Diablo III, Titanfall 2, Destiny 2, Evolve, Call of Duty, Overwatch และ Ratchet & Clank วางจำหน่าย 12 พฤศจิกายนนี้บน PlayStation 5 และ Epic Games Store ที่มา - Gameinformer
# Amazon เปิดตัว Amazon One เครื่องตรวจสอบตัวตนลูกค้าด้วยฝ่ามือก่อนเข้าร้านหรือสถานที่ เดิมการยืนยันตัวตนก่อนเข้า Amazon Go คือการใช้ QR Code บนแอป Amazon Go ที่เชื่อมกับบัญชี Amazon แตะสแกนก่อนเข้าร้าน ล่าสุด Amazon เปิดตัวโซลูชันใหม่สำหรับการยืนยันหรือระบุตัวตนก่อนเข้าร้านค้าหรือสถานที่ต่าง ๆ ชื่อว่า Amazon One Amazon One จะมีช่องสำหรับเสียบบัตรเครดิตและเครื่องสแกนฝ่ามือ (โดยไม่ต้องสัมผัส แค่เอาฝ่ามือไปอังเหนือเซ็นเซอร์) ที่อาศัย computer vision ในการอ่านและตรวจจับลายมือเพื่อแยกแยะบุคคลในเวลาแค่ราว 1 วินาที ระบบจะผูกตัวตนเข้ากับบัตรเครดิตที่เสียบไว้ให้ โ Amazon จะเริ่มนำ Amazon One มาใช้กับร้าน Amazon Go ก่อน โดยมีเป้าหมายถัดไปคือขยายการใช้งาน Amazon One ออกไปยังลูกค้าภายนอก ทั้งที่เป็นร้านค้าปลีกและสถานที่อย่างตึกออฟฟิศ ที่มา - Amazon
# Google Meet ยืดเวลาใช้ฟรี ไม่จำกัดเวลาคอลไปจนถึงมีนาคม 2021 เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่โรค COVID-19 คนต้องทำงานที่บ้านและพึ่งพาการประชุมออนไลน์เป็นช่องทางสำคัญ Google Meet จึงเปิดให้ใช้งานโทรวิดีโอคอลแบบไม่จำกัดเวลาแก่ผู้ใช้งานฟรี ซึ่งจะหมดช่วงในวันนี้ (30 กันยายน) ล่าสุด Google ออกมาประกาศยืดเวลาให้ใช้งานคอลไม่จำกัดไปจนถึง 31 มีนาคม 2021 Google ระบุว่าต้องการช่วยเหลือคนที่ยังต้องใช้ Google Meet เพราะแม้จะเป็นช่วงหยุดยาวแต่การเดินทางน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการโทรพูดคุยกับครอบครัว, การจัดงานแต่งงานออนไลน์​ เป็นต้น ที่มา - Google
# เปิดตัว Accounts Center ศูนย์จัดการล็อกอินทั้ง FB, IG, Messenger และ Facebook Pay Facebook เปิดตัว Accounts Center ทางเลือกช่องทางจัดการการตั้งค่า, ข้อมูล, การโพสต์รวมถึงบัญชี Facebook Pay ทั้งบน Facebook, Messenger และ Instagram จะเริ่มเปิดทดสอบการใช้งานในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ หน้าตา Accounts Center จะเหมือนกันไม่ว่าจะเข้าใช้งานจากแอปพลิเคชั่นไหน ผู้ใช้งานจะมองเห็นเมนูการจัดการโพสต์ของตัวเอง การใช้งาน Single Sign On หรือการลงชื่อครั้งเดียวก็จะช่วยให้ผู้ใช้จัดการบัญชีตัวเองผ่านช่องทาง Accounts Center ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้ามกัน การกู้คืนบัญชี ในปลายปีนี้ Facebook ระบุว่าจะเพิ่ม Facebook Pay ไปยัง Accounts Center ในสหรัฐ ผู้ใช้งานสามารถป้อนข้อมูลการชำระเงินครั้งเดียวบน Facebook จากนั้นก็ใช้ Facebook Pay ซื้อสินค้าบน Facebook และ Instagram ได้ง่าย Facebook บอกว่า ในการใช้ Accounts Center ไม่จำเป็นต้องซิงค์โปรไฟล์ระหว่าง Facebook กับ Instagram คือสามารถใช้ชื่อและรูปโปรไฟล์ต่างกันได้ และสามารถจัดการโปรไฟล์ผ่าน Accounts Center ได้เช่นกัน ที่มา - Facebook
# NASA อนุมัติ SpaceX ให้เดินหน้าภารกิจ Crew-1 กำหนดยิง 31 ตุลาคมนี้ นาซ่าประกาศอนุมัติให้ SpaceX นำส่งนักบินอวกาศ 4 คนขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติโดยกำหนดวันยิงจรวดวันที่ 31 ตุลาคมนี้ โดยภารกิจ Crew-1 จะนำนักบินอวกาศ 4 คนขึ้นไปประจำการบนสถานีอวกาศนานาชาติเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยนาซ่าวางแผนใช้จรวด Falcon 9 โดยจะให้ลงจอดบนโดรน Of Course I Still Love You และหลังจากจบภารกิจแล้ว ยาน Dragon จะลงจอดในน้ำเหมือนเดิม ที่น่าสนใจคือปลายปีนี้จะมีภารกิจ SpaceX-21 ที่เป็นภารกิจขนสัมภาระด้วยยาน Cargo Dragon ทำให้มีช่วงเวลาหนึ่งที่สถานีอวกาศนานาชาติมียานของ SpaceX จอดอยู่สองลำพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีภารกิจ Starliner ของ Boeing ที่มีกำหนดเชื่อมกับสถานีอวกาศนานาชาติปลายปีเหมือนกัน Starliner จะขึ้นสู่อวกาศหลัง Cargo Dragon กลับสู่โลก และถึงตอนนั้นยาน Crew Dragon ต้องย้ายจุดจอดเพื่อเคลียร์ zenith port ให้ยาน Starliner ภารกิจของ Crew-1 จะมีการติดตั้งเสาอากาศและแผงโซลาร์เซลล์ใหม่ให้สถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา - YouTube: NASA แผนภาพการขึ้นเทียบสถานีอวกาศนานาชาติ แผนภาพการลงจอด
# ThinkPad X1 Fold โน้ตบุ๊กจอพับได้รุ่นแรกของโลก เริ่มขายแล้ว ราคาประมาณ 80,000 บาท Lenovo เปิดตัว ThinkPad X1 Fold จอพับได้มาตั้งแต่ต้นปี เวลาผ่านมาเกือบ 9 เดือนเต็มก็ได้เวลาวางขายจริง สเปกอย่างละเอียดของ ThinkPad X1 Fold มีดังนี้ หน้าจอ 13.3" พับแล้วเหลือข้างละ 9.6" ความละเอียด QXGA 2048x1536 สัดส่วน 4:3 รองรับ Dolby Vision หน่วยประมวลผล Intel Core "Lakefield" แบบไฮบริด 4+1 คอร์ จีพียู Intel UHD Gen 11, แรม 8GB LPDDR4X, สตอเรจ SSD NVMe สูงสุด 1TB แบตเตอรี่ 50 Whr อยู่ได้ 8.5 ชั่วโมง USB 3.2 2 พอร์ต, ช่องเสียบซิมการ์ด รองรับ 5G น้ำหนัก 999 กรัม อุปกรณ์เสริม มีคีย์บอร์ด Lenovo Fold Mini Keyboard และปากกา Lenovo Mod Pen Lenovo เปิดราคาของ ThinkPad X1 Fold เริ่มต้นที่ 2,499 ดอลลาร์ (ประมาณ 80,000 บาท) เปิดรับออเดอร์แล้ว สินค้าจะส่งมอบในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ที่มา - Lenovo
# [Apptopia] Discord มียอดดาวน์โหลดสูงเป็นประวัติการณ์เพราะ Among Us Apptopia บริษัทวิจัยข้อมูลแอปมือถือเปิดเผยยอดดาวน์โหลดของแอป Discord ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าช่วงวิกฤติ COVID แรก ๆ ด้วยซ้ำซึ่งสาเหตุก็หนีไม่พ้นเกมที่กำลังเป็นที่นิยมอย่าง Among Us ยอดดาวน์โหลด Discord บนสมาร์ทโฟนทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ และทำลายสถิติแทบทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา โดยยอดดาวน์โหลดต่อวันล่าสุดที่ Apptopia เก็บได้อยู่ที่ราว 800,000 ครั้ง (ช่วงโควิดต้นปีอยู่ที่ราว 450,000 ครั้งเท่านั้น) ซึ่งสอดคล้องกับความนิยมของ Among Us ที่เพิ่มขึ้นที่ยอดดาวน์โหลด ณ ตอนนี้อยู่ที่ราว 3.6 - 3.7 ล้านครั้ง ที่มา - Apptopia
# VMware อัพเดตบริการบนคลาวด์ รัน Tanzu (Kubernetes) ได้บน AWS, Oracle, Azure VMware ประกาศอัพเกรดบริการคลาวด์บน AWS, Oracle Cloud, และ Azure ให้รองรับบริการ Kubernetes ของบริษัทเองที่ชื่อว่า Tanzu ได้ ทำให้ไม่ว่าลูกค้าจะใช้คลาวด์เจ้าใดก็ใช้ Kubernetes แบบเดียวกันทั้งหมด บริการนี้จะเปิดบริการทันทีบน VMware Cloud on AWS ก่อน ส่วน Oracle Cloud VMware Solution ก็เปิดให้ทดสอบในสถานะพรีวิวเช่นกัน สุดท้ายคือ Azure นั้นจะเปิดพรีวิวเร็วๆ นี้ ที่หายไปคือ Google Cloud ที่เพิ่งรองรับ VMware เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทาง VMware เพิ่งจัดกลุ่มไลเซนส์เอาไว้ 4 แบบ ได้แก่ Tanzu Basic สำหรับรันใน vSphere แบบ on-premise เท่านั้น, Tanzu Standard รันบนคลาวด์ได้, Tanzu Advanced เพิ่มฟีเจอร์ด้าน DevOps/DevSecOps, Tanzu Enterpise สำหรับใช้งานครบชุดทุกฟีเจอร์ การใช้งานบนคลาวด์ในการประกาศครั้งนี้ก็น่าจะทำให้ผู้สนใจทดลองใช้งานกันได้ ที่มา - VMware
# เปิดตัว ThinkPad X1 Nano น้ำหนักเบาเพียง 907 กรัม, ซีพียู Tiger Lake, จอ 13" 2K Lenovo เปิดตัว ThinkPad X1 Nano โน้ตบุ๊กตระกูล ThinkPad ที่น้ำหนักเบาที่สุดที่เคยทำมา 907 กรัม ด้วยสโลแกน "carry the power, not the weight" ThinkPad X1 Nano ใช้ซีพียู Intel Core 11th Gen "Tiger Lake" ใส่ได้สูงสุดถึง Core i7, จีพียู Iris Xe, ผ่านมาตรฐาน Intel Evo เรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ และความเร็วในการปลุกเครื่องให้ตื่น, ใส่แรมได้สูงสุด 16GB, สตอเรจ SSD PCIe ขนาดสูงสุด 1TB หน้าจอ 13" Dolby Vision 2K สัดส่วน 16:10 รองรับสี sRGB 100%, ระบบเสียง Dolby Atmos , แบตเตอรี่ 48 Whr ใช้ได้นาน 17.3 ชั่วโมง, พอร์ต Thunderbolt 4 x2, Wi-Fi 6 สามารถเลือกใส่ซิม 4G/5G เพิ่มได้, ระบบปฏิบัติการเลือกได้ทั้ง Windows 10 และลินุกซ์ เริ่มวางขายจริงในไตรมาส 4 ยังไม่ระบุวัน ราคาเริ่มต้น 1,399 ดอลลาร์ (ประมาณ 45,000 บาท) ที่มา - Lenovo
# รีวิว ASUS ROG Phone 3 มือถือเกมมิ่งเรือธง สเปกสุดทุกด้าน แถมพัดลมระบายความร้อน มือถือเกมมิ่งเป็นเทรนด์ที่มาแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้ แม้ Snapdragon เองก็ยังผลิตชิปรุ่นกลางที่มีตัว G คือเพิ่มประสิทธิภาพกราฟฟิกออกมาตอบโจทย์ตลาด แต่ยังไงชิปที่เล่นเกมได้ดีที่สุด ก็ยังเป็นรุ่นท็อปอยู่ดี ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะมารีวิว ASUS ROG Phone 3 เกมมิ่งโฟนที่จัดเต็มทั้งชิป Snapdragon 865+ หน้าจอ 144Hz แรม 12GB หน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.1 ถึง 512GB และแบต 6,000 mAH สเปก ROG Phone 3 จอ AMOLED ขนาด 6.59 นิ้ว ความละเอียด 1820 x 2340 พิกเซล อัตรารีเฟรชเรทหน้าจอ 144Hz, แพแนล 10 bit รองรับ HDR10+, กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 6 ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย ROG UI ชิป Qualcomm Snapdragon 865+ จิพียู Adreno 650 แรม 12GB หน่วยความจำภายใน 512GB ไม่รองรับ micro SD กล้องหลัง 3 กล้อง กล้องหลัก 64MP f/1.8 + อัลตร้าไวด์ 13MP f/2.4 + มาโคร 5MP f/2.0 กล้องหน้า 24MP f/2.0 พอร์ท USB Type-C แบตเตอรี่ความจุ 6,000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W ไม่รองรับชาร์จไร้สาย ไม่มีเรตติ้ง IP ว่าผ่านการทดสอบกันน้ำหรือกันฝุ่น แกะกล่อง นอกจากหัวชาร์จ 30W กับสายชาร์จและตัวแปลงหูฟังเป็น USB-C แล้ว ROG Phone 3 ยังแถมเคสฝาหลังพลาสติกกับพัดลมระบายความร้อน Aeroactive Cooler มาให้ด้วย โดยสามารถเสียบได้ที่พอร์ตด้านข้างของตัวเครื่อง ที่ตอนแรกดูเผินๆ อาจเหมือนไม่มี ต้องแกะที่อุดรูที่เป็นยางออกก่อน หน้าตา ตัวเครื่องหน้าจอขนาด 6.59 นิ้ว ค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนักพอประมาณ ปุ่มเปิดปิดที่มีขอบสีแดง กับปุ่มปรับเสียงอยู่ด้านขวา มีพอร์ต USB-C ด้านล่าง และมีพอร์ตสำหรับชาร์จหรือเสียบพัดลมขณะเล่นเกมอยู่ด้านซ้าย มีจุกยางปิดมาให้ มีลำโพงคู่หันออกด้านหน้าทั้งสองลำโพง ด้านหลังเป็นลาย ROG เช่นเคย พร้อมไฟ RGB ปรับแต่งได้ในแอป Game Genie ไฟ RGB ในภาพอาจมองเห็นได้ยากเล็กน้อย ตอนใช้งานจริงมองเห็นชัดเจน ประสิทธิภาพทั่วไป หน้าจอ 144Hz พร้อม touch sampling 240Hz ทำให้รู้สึกถึงความลื่นได้ตั้งแต่หน้าโฮม ซึ่งจะรันบน Android 10 ที่ครอบทับด้วย ROG UI ในตีมตั้งต้นที่มาแบบเกมเมอร์จ๋าพอสมควร (ซึ่งก็ตรงตามเป้าหมายหลักของ ROG) แต่ถ้าอยากให้ดูเรียบง่ายหน่อย ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นตีมอื่นได้ โดยมีตีมแบบ Classic มาให้ ตัวเกมไม่ได้มีมาให้ในเครื่อง ผู้เขียนโหลดเพิ่มมาเองเพื่อทดสอบ ในด้านประสิทธิภาพ ROG Phone 3 ทำคะแนน single-core บน Geekbench 5 ได้ 980 ส่วน multi-core ได้ 3207 คะแนน ซึ่งเทียบกับ OnePlus 8 Pro ที่ได้ 885 และ 3217 คะแนนตามลำดับ ประสิทธิภาพ single-core ชนะไป 100 คะแนน ส่วน multi-core แพ้ไป 10 คะแนนเท่านั้น ในด้านการเล่นเกม การเล่นเกมไม่พบปัญหาการกระตุกหรือค้าง เพราะใส่สเปกมาแบบจัดเต็ม แรงที่สุดของฝั่งแอนดรอยด์แล้ว ทดสอบกับทั้ง PUBG, COD:Mobile, Asphalt และ ROG ก็เล่นได้ลื่นๆ สบายๆ แต่เล่นไปนานๆ แบบไม่ใส่พัดลม จะรู้สึกอุ่นๆ ในมือเหมือนกัน ลำโพงคู่ด้านหน้าของ ROG Phone 3 ก็มีมิติแยกเสียงที่ดี สามารถระบุทิศของศัตรูใน PUBG ได้แบบสบายๆ ไม่ต้องใช้หูฟังก็ยังได้ ส่วนหน้าจอ 144Hz กับ touch sampling rate ที่ 240Hz ก็ทำให้การควบคุมและการยิงในเกมทำได้ลื่นไหล ไม่มีการดีเลย์ ผู้เขียนไม่พบอาการเครื่องอืดเพราะความร้อน แต่ถ้าจะเล่นนานๆ หรืออยากชาร์จไปเล่นไป แนะนำว่าใส่พัดลมที่แถมมาด้วย น่าจะดีกว่า เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องความร้อนแล้ว ยังมีรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรกับพอร์ต USB-C ให้ชาร์จได้โดยไม่เกะกะมือด้วย พร้อมไฟ RGB ที่ด้านหลัง และที่คำว่า Republic of Gamers เช่นเคย (ถูกต้องตามกฎหมายเกมเมอร์ทุกประการ) ฟีเจอร์เสริมอื่นๆ เช่นเคยกับมือถือตระกูล ROG ที่มาพร้อมกับแอป Game Genie ที่ใช้แสดงสถานะ อุณหภูมิของเครื่อง เปิดเกม รวมทั้งการเปิดปิด X Mode หรือโหมดเร่งความเร็วเครื่องสำหรับการเล่นเกม เมื่อเปิดเครื่องจะเร่งความเร็วซีพียู และจีพียูให้เต็มที่มากขึ้น แต่ก็จะกินแบตกว่าเดิม และเครื่องร้อนมากกว่าปกติ และหากใช้ตีมแบบเกมมิ่ง หน้าตาของตีมก็จะเปลี่ยนไปทั้งเครื่อง (มีแสง) นอกจากนี้หากเสียบพัดลม Aeroactive Cooler ไว้ ก็สามารถตั้งความเร็วพัดลม รวมถึงตั้งค่าโหมดและสีต่างๆ ของไฟ RGB ได้ในนี้เช่นกัน Air Triggers หรือปุ่มตรงขอบเครื่องก็กลับมาเช่นกัน คราวนี้มีข้างละ 2 ปุ่ม ด้านในและด้านนอก ตั้งค่าได้โดยการเลื่อนจอด้านซ้ายเข้ามาขณะเล่นเกม เพื่อเปิด Game Genie กดที่ Air Triggers ลากปุ่มที่เราต้องการจะกดไปไว้ที่ตำแหน่งบนจอ พร้อมทั้งบันทึกโปรไฟล์ตำแหน่งการวางในเกมต่างๆ เก็บไว้ได้ ประสิทธิภาพกล้อง แม้ว่าจุดประสงค์หลักของคนที่ซื้อ ROG Phone น่าจะเป็นการเล่นเกม แต่ประสิทธิภาพกล้องโดยรวมของ ROG Phone 3 ที่มีกล้องหลัก 64MP เซ็นเซอร์ Sony IMX686 พร้อมกล้องอัลตร้าไวด์ และกล้องมาโคร ก็ไม่ได้ด้อยจนน่าเกลียด แม้คอนทราสต์อาจจะแปลกๆ เล็กน้อย แต่คุณภาพภาพอยู่ในระดับที่พอใช้ ภาพถ่ายจากกล้องหลัก กล้องอัลตร้าไวด์ กล้องมาโคร สรุป ROG Phone 3 เป็นมือถือเกมมิ่งที่ตอบโจทย์แบบครบครัน ให้สเปกมาแบบจัดเต็มทุกด้าน ทั้งจอ ซีพียู แรม หน่วยความจำ และแบต นอกจากจะเป็นมือถือเกมมิ่งแล้ว ยังเป็นมือถือแอนดรอยด์ระดับเรือธงที่ใช้งานได้ดีหากไม่ติดในเรื่องน้ำหนักที่อาจมากกว่ามือถือเรือธงทั่วไป (แต่ก็ได้แบตที่มากกว่าเรือธงแทบทุกรุ่นแน่นอน) อีกข้อติเล็กน้อยคือ ROG ตัดรูหูฟังที่เคยมีใน ROG Phone 2 ออกไปแล้ว ไม่มีเรตติ้งกันน้ำกันฝุ่น และถ้าเล่นเกมเป็นระยะเวลานาน เครื่องจะค่อนข้างร้อน แต่ข้อด้อยนี้ ROG ก็กลบด้วยการแถมพัดลม Aeroactive Cooler มาให้ในกล่องแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งจะช่วยระบายความร้อน และมีรูหูฟังมาในตัว ROG Phone 3 วางจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ในราคา 32,900 บาท
# ASUS ประเทศไทยเปิดตัว ROG Phone 3 เริ่ม 24,990 บาท จอ 144Hz แบต 6,000 mAh ASUS เปิดตัวเกมมิ่งสมาร์ทโฟน ROG Phone 3 ในไทยอย่างเป็นทางการ มาพร้อมสเปกแบบจัดเต็ม ชิป Snapdragon 865+ แรม 12GB หน่วยความจำภายใน 512GB หน้าจอ AMOLED ความละเอียด 1080 x 2340 รีเฟรชเรต 144Hz touch sampling rate 240Hz รองรับ HDR10+ กล้องหลัก 64MP f/1.8 + อัลตร้าไวด์ 13MP f/2.4 + มาโคร 5MP f/2.0 กล้องหน้า 24MP f/2.0 แบบเจาะรู แบตเตอรี่ 6,000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W ไม่รองรับชาร์จไร้สาย รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.1 และ 5G แต่ไม่มี IP เรทติ้ง และตัดรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออก มาพร้อมหัวแปลงหูฟังในกล่อง และสามารถเสียบหูฟังกับตัวพัดลม Aeroactive Cooler ที่แถมมาด้วยได้ นอกจากนี้ยังมีรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition ที่ใช้ชิป Snapdragon 865 แรม 8 GB และหน่วยความจำภายใน 256 GB นอกจากนี้เหมือน ROG Phone 3 ทั่วไปทุกประการ ทั้งสองรุ่นเตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ROG Phone 3 ราคา 32,990 บาท และ ROG Phone 3 Strix Edition ราคา 24,990 บาท ที่มา - Live เปิดตัว ASUS ROG Phone III
# VMware เปิด Project Monterey ย้าย ESXi ไปรันบนการ์ดเน็ตเวิร์ค เปิดทางใช้เซิร์ฟเวอร์แบบ bare metal VMware เปิดตัว Project Monterey เป็นการย้ายบริการของตัว ESXi จากซีพียูหลักออกไปสู่การ์ดเน็ตเวิร์ค หรือ DPU เปิดทางให้ตัวซีพียูสามารถรันแอปพลิเคชั่นได้เต็มประสิทธิภาพ โดยบริการแบบนี้เรามักเห็นในบริการคลาวด์ที่เรียกเป็นเซิร์ฟเวอร์แบบ bare metal ที่ตัวแอปพลิเคชั่นจะได้ประสิทธิภาพเต็ม การย้าย ESXi ออกจากซีพียูหลัก ทำให้ VMware สามารถย้ายโหลดอื่นๆ เช่น NSX สำหรับเน็ตเวิร์ค และ VSAN สำหรับสตอเรจ รวมถึงการจัดการเครื่องออกไปจากซีพียู ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบปฎิบัติการทั้งวินโดวส์และลินุกซ์ลงบนเครื่องแบบ bare metal หรือจะแบ่งเครื่องเป็น virtual machine เหมือนเดิมก็สามารถติดตั้ง ESXi ลงไปในซีพียูหลักได้ แนวทางเดียวกันของบริการ bare metal ของ AWS เป็นการย้ายระบบจัดการเครื่องออกไปยังชิป Nitro เปิดทางให้ซอฟต์แวร์หลักสามารถจัดการเครื่องได้ ซึ่งสมัย AWS เปิดตัวบริการนี้ก็ทำให้สามารถติดตั้ง ESXi บนเครื่องของ AWS ได้ เนื่องจากตัว ESXi ยังอยู่ในความควบคุมของผู้ดูแลศูนย์ข้อมูล ทำให้สามารถควบคุมทราฟิกเน็ตเวิร์คได้เต็มที่ เช่น การแยกวงเน็ตเวิร์คไม่ให้เกี่ยวข้องกันผ่านทางการควบคุม NSX ที่รันอยู่บนการ์ดเน็ตเวิร์ค ตอนนี้ Project Monterey ยังอยู่ในขั้น Technology Preview โดยมีบริษัทผู้ผลิตประกาศร่วมแล้วหลายราย ทั้ง Intel, NVIDIA, Dell, HPE, และ Lenovo ที่มา - VMware
# PlayStation ออกรายงาน เล่นเกมแบบคลาวด์สตรีมมิ่งโดยเฉลี่ยทำโลกร้อนมากกว่าโหลดดิจิทัล Sony Interactive Entertainment (SIE) ออกรายงานครบรอบ 1 ปีหลังเข้าร่วมโครงการ Playing for the Planet ของ United Nations ที่รณรงค์ให้วงการเกมตั้งแต่กระบวนการพัฒนาไปจนถึงกระบวนการผลิต ที่ต้องใช้กระบวนการที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โซนี่บอกว่าที่ผ่านมา PS4 ช่วยลดการใช้พลังงานได้เทียบเท่ากับปริมาณคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ที่ราว 17.5 ล้านตัน ปัจจัยหลัก ๆ มาจากการใช้พลังงานของคอนโซลที่มีประสิทธิภาพขึ้น, rest mode ใช้พลังงานลดลงและการปรับปรุงระบบสถาปัตยกรรมชิป นอกจากนี่โซนี่ยังพูดถึงรายงานวิชาการที่ว่าด้วยคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ในอุตสาหกรรมเกม ที่บริษัทนำเสนอในงาน COP25 ของ UN เมื่อปลายปีที่แล้ว ประเด็นที่น่าสนใจคือโซนี่พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วการดาวน์โหลดเกมบน PS4 เทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนที่ราว 47 กรัมต่อ ชม. ซึ่งน้อยกว่าการเล่นด้วยแผ่นที่อยู่ที่ 55 กรัม ต่อ ชม. ส่วนการเล่นบนพีซีผ่านการดาวน์โหลดอยู่ที่ 90 กรัมต่อชม. ขณะที่การเล่นเกมผ่านคลาวด์สตรีมมิ่งเทียบเท่าการปล่อยคาร์บอนที่ราว 149 กรัมต่อ ชม. แต่หากเล่นติดต่อกันเกิน 8 ชม. คลาวด์เกมมิ่งกลับใช้พลังงานเทียบเท่าการปล่อยคาร์บอนโดยเฉลี่ยน้อยที่สุด โซนี่ระบุว่าจากการประมาณการโดยเฉลี่ยแล้ว การเล่นบนคอนโซลมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับเกมที่เล่น วิธีการเล่นไปจนถึงสถานที่ของตัวเครื่องด้วย ที่มา - SIE Blog
# Craig Federighi อธิบายเบื้องหลังการทำงานของ Scribble บน iPadOS14 Scribble เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ชูโรงของ iPadOS 14 ระบบปฏิบัติสำหรับบน iPad ซึ่งผู้ใช้งานสามารถใช้ Apple Pencil เขียนลายมือในช่อง input ของแอปหรือเว็บ และระบบจะแปลงเป็นตัวหนังสือให้ โดย Popular Mechanics ได้สัมภาษณ์ Craig Federighi รองประธานฝ่ายวิศวกรรมอาวุโสของแอปเปิล ทำให้เห็นแนวทางการออกแบบ Scribble ในการอ่านลายมือที่น่าสนใจ โดยการทำงานของ Scribble นั้น เป็นการประมวลผลจบที่ระดับอุปกรณ์ ชุดข้อมูลที่ใช้เรียนรู้จึงต้องเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้ว วิธีการของแอปเปิลคือใช้กลุ่มตัวอย่างคนจากทั่วโลก ให้แต่ละคนเขียนข้อความ ทั้งแบบเขียนเร็ว เขียนช้า เขียนเอียง ในหลายรูปแบบ โดยนอกจากแอปเปิลจะนำข้อมูลมารู้จำจากตัวอักษรแล้ว ยังศึกษาจังหวะการเขียนแต่ละตัวอักษรด้วย เพราะจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่าผู้เขียนกำลังเขียนตัวอะไร ผลคือ Scribble สามารถวิเคราะห์ตัวอักษรได้รวดเร็ว แม้แต่ระหว่างที่เรายังเขียนข้อความไม่เสร็จ ปัจจุบัน Scribble รองรับภาษาอังกฤษ, จีนตัวเต็ม และจีนตัวย่อ ที่มา: Popular Mechanics ผ่าน MacRumors
# ผลทดสอบ Xbox Series X กับเกมเก่า Xbox One รันสบายๆ 4K 60 FPS เฟรมเรตไม่ตก ไมโครซอฟท์ส่ง Xbox Series X (รุ่นทดสอบ ยังไม่ใช่รุ่นวางขายจริง) ให้กับสื่อต่างประเทศสายเกมและฮาร์ดแวร์หลายรายทดสอบ โดยไม่มีเกมของ Xbox Series X มาให้ด้วย การทดสอบจึงมุ่งไปที่การเล่นเกมเก่าของ Xbox One ว่ามีประสิทธิภาพสูงขึ้นแค่ไหน และมีปัญหาเรื่อง backward compatibility หรือไม่ ผลการทดสอบออกมาตามคาดว่า เกมคุณภาพระดับ 4K ที่เดิมรันได้บน Xbox One X แบบมีปัญหาเฟรมเรตตก สามารถรันที่ความละเอียด 4K แบบ 60 FPS นิ่งๆ ได้สบายบน Xbox Series X อย่างไม่มีปัญหา รายละเอียดของการรันเกมเดียวกันบน Xbox One X เทียบกับ Xbox Series X ย่อมมีความแตกต่างกันในแต่ละเกม เกมที่ใหม่หน่อยอย่าง Call of Duty 2019 อาจไม่เห็นความแตกต่างมากนัก แต่เกมเก่าสักหน่อยอย่าง Dead or Alive 6, Hitman, Sekiro, Rise of the Tomb Raider ที่ทำเฟรมเรตได้ระดับ 30 FPS สามารถรันที่ 60 FPS ได้สบายๆ บน Series X ในกรณีที่เป็นเกมเก่ามากๆ ข้ามรุ่นหลายเจน เช่น การนำเกมจาก Xbox 360 มารัน ย่อมเจอปัญหามากกว่าเกมจาก Xbox One เพราะไมโครซอฟท์ใช้ AI ช่วยแปลงกราฟิกเดิม (เช่น จาก SDR ให้รองรับ HDR) ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วก็อาจได้ผลลัพธ์แปลกๆ อยู่บ้าง Geoff Keighley ผู้จัดงาน The Game Awards ทดสอบการเล่นเกมแบบเก่าจัดจริงๆ คือนำแผ่นเกม Blinx จาก Xbox รุ่นแรกมาลองใส่ดู พบว่ายังไม่สามารถเล่นได้ แต่ไมโครซอฟท์รับทราบปัญหาแล้ว และรับปากว่าจะนำไปแก้ไข ประเด็นเรื่อง SSD ที่ช่วยให้เซฟ-โหลดเกมได้เร็วขึ้น เว็บไซต์ Eurogamer ลองกับเกม FFXV และพบว่าการโหลดที่ใช้เวลาราว 1 นาที สามารถลดเหลือเพียง 12-14 วินาที ช่วยให้ประสบการณ์ดีขึ้นมาก, The Verge ทดสอบการโหลดเกมประมาณ 10 เกมก็ได้ผลคล้ายกัน เวลาการโหลดฉากของบางเกม (เช่น Warframe) สามารถลดลงไปได้ราว 3 เท่าเลยทีเดียว ส่วนฟีเจอร์ Quick Resume ที่สามารถสลับเกมไปมาได้ ก็ถือเป็นของใหม่ในคอนโซลยุคใหม่ The Verge ลองเล่นเกมทีเดียว 5 เกมแล้วสลับไปมาได้อย่างไม่มีปัญหา (ใช้เวลาโหลดกลับประมาณ 5 วินาที) แถมรีบูตเครื่องแล้ว เกมที่เล่นไว้ยังสามารถ resume ได้เช่นเดิมด้วย อาจมีข้อจำกัดแค่เกมออนไลน์บางเกม (เช่น Sea of Thieves) ที่ยังไม่ซัพพอร์ตฟีเจอร์นี้ The Verge สรุปว่าการใช้ Xbox Series X เหมือนกับการอัพเกรดมือถือใหม่ ทุกอย่างเร็วขึ้น ลื่นขึ้น ถึงแม้ยังมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ของแอพ-เกมอยู่บ้าง แต่ปัญหาเหล่านี้ก็น่าจะค่อยๆ ถูกแก้ไขในเวลาไม่นาน ที่มา - Eurogamer, The Verge, IGN, IGN
# รีวิว Galaxy Tab S7+ เมื่อแอนดรอยด์มีแท็บเล็ตที่พอจะสู้ iPad Pro ได้บ้างแล้ว ซัมซุงค่อนข้างได้รับคนชมในเรื่องการทำแท็บเล็ตระดับท็อปมาตั้งแต่ช่วง Galaxy Tab S5e และ S6 ว่าเป็นตัวเลือกแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ดีที่สุดที่พอจะสู้กับฝั่ง iPad ได้อยู่บ้าง แต่ก็ยังถือว่าตามหลัง ไม่ว่าจะในแง่ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เอง แต่ปีนี้ด้วยการมาของ Galaxy S7+ อาจบอกได้ว่าซัมซุงทำให้แท็บเล็ตแอนดรอยด์สู้กับ iPad (โดยเฉพาะ Pro) ได้สมน้ำสมเนื้อยิ่งขึ้น จากการปรับปรุงฮาร์ดแวร์ที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้น รวมถึงซอฟต์แวร์ที่สมบูรณ์ขึ้น ถ้าไม่นับความเป็นอีโคซิสเต็มแอนดรอยด์ในภาพรวมที่ยังด้อยเมื่ออยู่บนแท็บเล็ต ดีไซน์และฮาร์ดแวร์ ฮาร์ดแวร์ภายนอกเป็นส่วนที่ผมชอบและประทับใจที่สุดของ Galaxy Tab S7+ แล้วก็ว่าได้ (หรือเพราะมันถอดแบบมาจาก iPad Pro?) จากวัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม งานประกอบที่พรีเมียม ขอบคม เป็นแท็บเล็ตที่ผมรู้สึกว่ามองก็สวย มาอยู่ในมือก็รู้สึกดี หน้าจอเป็นอีกจุดที่ชอบ (เรื่องนี้ยังไงก็ต้องยอมซัมซุง) ด้วยแพแนล OLED ขนาด 12.4 นิ้ว ที่ให้สีสันสวยสดและคมเหมือนทีวี เมื่อรวมเข้ากับรีเฟรชเรท 120Hz มันเลยเป็นหนึ่งในประสบการณ์การใช้งานหน้าจอที่ดีที่สุดที่ส่วนตัวเคยมี รอบนี้เหมือนซัมซุงพยายามผลักดันการใช้งาน Tab S7+ เป็นแบบกึ่งแล็บท็อปเป็นหลัก เลยเลือกขยับกล้องหน้ามาอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง (ถ้าถือแนวตั้ง และตรงกลางด้านบนถ้าถือแนวนอน) ขณะที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็ใส่เข้ามาใต้หน้าจอเหมือนสมาร์ทโฟนแล้ว อยู่ที่ด้านล่างตรงกลางจอ ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ค่อยถนัดมากนักด้วยความใหญ่ของเครื่อง แต่เมื่อวางเครื่องแนวนอน การสแกนลายนิ้วมือด้านขวาของจอให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติในการยื่นมือไปแตะมากกว่า การใช้งาน ด้วยสเปคของ Tab S7+ ที่จัดมาให้สุดทั้งชิปเซ็ต Snapdragon 865+ และแรมถึง 8GB ในภาพรวมแทบไม่เจอปัญหาอะไร แม้กระทั่งทดสอบเปลี่ยนแอปเร็ว ๆ เปิด Chrome แท็บเยอะ ๆ ก็ไม่กระตุก การเปิดให้งาน 2 แอปพร้อมกันก็ทำได้สบาย ประกอบกับการใช้งานส่วนใหญ่เป็นแอปประเภท productivity เลยยังไม่เจอปัญหาของการเปิดแอปบนแท็บเล็ตมากนัก อีกหนึ่งจุดที่ทำให้คิดว่า Tab S7+ สู้กับ iPad Pro ได้คือการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen ที่ปรับปรุงใหม่ในสเปคเดียวกับ Note 20 Ultra ที่ latency 9ms (ใช้งานจริงแยกแทบไม่ออกหรอกว่าหน่วงมากหน่วงน้อย) พอมาอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ รีเฟรชเรท 120Hz ประกอบกับแอป Samsung Note ที่ส่วนตัวคิดว่าเป็นแอปจดโน้ตที่ดีที่สุดแล้ว ทั้งในแง่ฟังก์ชันและการทำงานร่วมกับแอปอื่น แม้แต่แอป Noteshelf ที่แถมมาให้ก็ดูมีฟังก์ชันพื้นฐานสำหรับเลคเชอร์ให้ครบครัน ไม่ต้องไปหาโหลดแอปแยก จุดนี้เลยกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สุดของแท็บเล็ตเครื่องนี้แล้ว (ไม่ได้มีโอกาสใช้ iPad Pro ในระดับอุปกรณ์ติดตัว เลยไม่แน่ใจ functionality ของการใช้แอปจดโน้ต การขีดเขียนและ impart/export PDF บน iPad Pro และเปรียบเทียบไม่ได้ว่าดีหรือแตกต่างกับประสบการณ์บน Tab S7+ มากน้อยแค่ไหน) ลำโพง Tab S7+ มี 4 ตัวเช่นเดิม รองรับ Dolby Atmos และได้ AKG ปรับจูนมาให้ ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่าไม่ได้รู้สึกประทับใจลำโพงของซัมซุงเท่าไหร่นัก (ออกไปทางเฉย ๆ ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฎ) แต่รอบนี้ต้องยอมรับว่าลำโพง Tab S7+ ทำดีมาก ๆ นอกจากเรื่องความดังของลำโพงที่เป็นจุดเด่นอยู่แล้ว คุณภาพเสียงของ Tab S7+ ถือว่าดีมากสำหรับแท็บเล็ต ไม่ว่าจะเวลาฟังเพลงที่เสียงสูงกลางต่ำก็ออกมาครบ เบสอาจไม่แน่นเท่าพวกหูฟังหรือลำโพงแต่ก็ชัด เวลาดูหนังก็ให้ความรู้สึกว่าเสียงมีความ surround เหมือนเสียงออกมาตรง ๆ ผ่านหน้าจอมากกว่าที่จะแยกแบบซ้ายขวา ทำให้คิดว่าการไม่แถมหูฟังมาให้ในกล่องของ Tab S7+ เป็นอะไรที่พอให้อภัยได้มาก ๆ อย่างไรก็ตามปัญหาในเชิงซอฟต์แวร์ของ Tab S7+ หลัก ๆ จะอยู่ที่ Samsung DeX ที่ซัมซุงพยายามขายและผลักดันมาหลายปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนของที่ยังไม่สมบูรณ์ดีนัก มีแอปหลายแอปที่ยังใช้ในโหมด DeX ไม่ได้เช่นที่เจอเองอย่าง 1Password เป็นต้น หรือการแสดงผลของบางแอปที่ไม่ได้ถูกปรับแต่งมาให้เหมาะกับการแสดงผลแบบเดสก์ท็อป ด้วยความที่เครื่องรีวิวนี้ทางซัมซุงไม่ได้มีเคสพร้อมคีย์บอร์ดและแทร็กแพ็ดติดมาให้ทดสอบด้วย ผมเลยไม่ได้มีโอกาสใช้โหมด DeX แบบเต็มความสามารถของมันมากนัก แต่หากไม่นับกรณีที่แอปบางแอปใช้งานไม่ได้แล้ว การใช้งานรวม ๆ โดยทั่วไปหากเป็นแอปของ Google, Microsoft หรือของซัมซุงเองก็ค่อนข้างไม่มีอะไรติดขัด ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 575 กรัม ไม่หนักไปไม่เบาไป พอดีกับการนอนอ่านหนังสือหรือดูหนัง แบตเตอรี่ Galaxy Tab S7+ ให้แบตเตอรี่มามหาศาลถึง 10,900mAh ซึ่งเหลือ ๆ ต่อการใช้งานทั้งวัน แม้จะนั่งดูหนังฟังเพลงทั้งวันก็ตาม แต่ปัญหาคิดว่าอยู่ที่หัวชาร์จที่แถมมาให้ เพราะจ่ายไฟแค่ 15W (สงสัยกะให้ใช้กลางวันแล้วชาร์จทิ้งไว้กลางคืน) แต่ตัวเครื่องรองรับชาร์จเร็วถึง 45W ก็ต้องไปพึ่งสายชาร์จเครื่องอื่นแทน สรุป หากมองในแง่ความเป็นแท็บเล็ตแอนดรอยด์ Galaxy Tab S7+ น่าจะดีที่สุดที่เคยมีมาแล้ว โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์ หน้าจอ ระบบเสียงและฟังก์ชันเกี่ยวกับปากกา (อาจจะดีกว่า iPad Pro ด้วยซ้ำไปในแง่การใช้เสพความบันเทิง) แต่หากเทียบการใช้งานด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะฟังก์ชันที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ Tab S7+ ก็ยังคงสู้ iPad ไม่ได้ โดยเฉพาะโหมด DeX (เหมือนเดิม) และอย่างที่กล่าวไปว่าส่วนตัวชอบฟังก์ชัน S Pen กับ Samsung Note มากกว่าใน iPad มาก ๆ แต่ด้วยโจทย์ของ Tab S7+ (หรือแม้แต่ Tab S7 ที่เล็กกว่านิดเดียว) ที่ทำมาเพื่อชนกับ iPad Pro สำหรับการใช้งานกึ่งแท็บเล็ตกึ่งแล็บท็อปเป็นหลัก ซึ่งส่วนตัวคิดว่าแอบใหญ่ไปมาก ๆ สำหรับคนที่อยากได้แท็บเล็ตมาเพื่ออ่านและเขียนเป็นหลัก จึงแอบเสียดายที่ซัมซุงไม่ทำแท็บเล็ตระดับท็อปในไซส์ที่เล็กลงมา (แบบ iPad mini) และราคาเข้าถึงได้มากกว่า ครั้นจะขยับลงไป Tab A ฟังก์ชันและฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็ยังห่างกันเกินไปในระดับที่ไป iPad mini น่าจะคุ้มค่ากว่ามาก เลยคิดว่าถ้าซัมซุงจะจริงจังกับตลาดแท็บเล็ตและต้องการแย่งส่วนแบ่งมาจากแอปเปิล ก็ยังพอเหลือพื้นที่ให้เล่นอยู่เหมือนกัน
# Adobe เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Lightroom เกรดสีได้เหมือน Premiere Pro Adobe เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Lightroom อย่าง Lightroom Classic และ Camera Raw ให้สามารถทำการเกรดสีได้เหมือน Premiere Pro จากคลิปวิดีโอสาธิตจะเห็นได้ว่า มีการเพิ่มแผงไล่สีเข้ามาในขั้นตอนการปรับแต่งรูปภาพ โดยมีสามวงล้อสีที่ช่วยปรับได้ทั้งสี แสง เงา และมีแถบเครื่องมือให้สามารถควบคุมความสว่างและเบรนด์เข้าหากันได้ Adobe ไม่ได้ระบุว่าจะเพิ่มฟีเจอร์เกรดสีเข้ามาเมื่อไร คาดว่าจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Adobe Max 20 ตุลาคมนี้ ที่มา - The Verge
# ซีอีโอ RISC-V บอกความนิยมเพิ่มสูงมากในปีนี้ แม้แต่ NVIDIA ก็ยังสนับสนุน สถาปัตยกรรมซีพียู RISC-V ที่ริเริ่มโดยมหาวิทยาลัย Berkley ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ (เช่น Western Digital หรือ Alibaba) โดยเฉพาะเมื่อ NVIDIA ซื้อ Arm ทำให้หลายคนเริ่มไม่มั่นใจในอนาคตของสถาปัตยกรรม ARM ว่าจะเปิดกว้างต่อไปหรือไม่ ตัวเลือกที่เด่นชัดจึงเป็น RISC-V ที่มีแนวทางเปิดกว้าง ไม่เก็บค่าไลเซนส์ใดๆ เว็บไซต์ VentureBeat สัมภาษณ์ Calista Redmond ซีอีโอของ RISC-V International ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่หวังผลกำไร และตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลการพัฒนา RISC-V ในภาพรวม (ตัวองค์กรจดทะเบียนในสวิตเซอร์แลนด์) ประเด็นที่น่าสนใจ ความสนใจใน RISC-V เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เพิ่มมากเป็นพิเศษหลังข่าว NVIDIA ซื้อ Arm โดยสมาชิกของกลุ่ม RISC-V เพิ่มจำนวนขึ้น 50% ในปี 2020 องค์กรหลายแห่งที่สนับสนุน RISC-V ก็สนับสนุนสถาปัตยกรรมอื่นด้วย เช่น NVIDIA เองก็เป็นบอร์ดของ RISC-V International หรือ Intel/Qualcomm ต่างก็ลงทุนใน SiFive บริษัทที่ทำซีพียู RISC-V โครงการสำคัญที่ช่วยผลักดัน RISC-V คือ European Processor Initiative (EPI) ของสหภาพยุโรป ที่ต้องการใช้ RISC-V เป็นตัวเร่งการประมวลผล AI RISC-V เริ่มต้นจากการเป็นซีพียูสำหรับอุปกรณ์ฝังตัว แต่ปัจจุบันก็เริ่มขยายไปยังงานอื่นๆ เช่น คลาวด์ (Alibaba), AI (EPI) หรือพีซี (SiFive) จีนเป็นภูมิภาคที่สนใจ RISC-V สูง นอกจาก Alibaba แล้วยังมี Huawei และ ZTE ให้ความสนใจ และมหาวิทยาลัย Berkley ก็มีความร่วมมือด้านนี้กับมหาวิทยาลัย Tsinghua ในจีนเช่นกัน คลิปแนะนำ RISC-V โดย Calista Redmond ซีอีโอของ RISC-V International ที่มา - VentureBeat
# NVIDIA ออกไดรเวอร์จำกัดความเร็ว แก้ปัญหา RTX 3080 ทำเกมแครช หลัง NVIDIA มีปัญหาการ์ดจอตัวเกือบท็อป RTX 3080 ทำเกมแครชโดยยังระบุสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ ล่าสุด NVIDIA ออกไดรเวอร์เวอร์ชั่น 456.55 โดยมีข้อความระบุว่า “ปรับปรุงด้านความสเถียรในการเล่นเกมบางเกม บนจีพียูซีรีส์ RTX 30” เว็บไซต์ Tested จึงได้นำการ์ดจอ RTX 3080 รุ่นทดสอบของ EVGA ที่แครชขณะเล่น Horizon Zero Dawn บ่อยครั้ง มาทดสอบกับไดรเวอร์ใหม่นี้ พบว่าสัญญาณนาฬิากาสูงสุดนั้นลดลงเหลือเพียง 1980MHz ถึง 1995MHz (แต่ยังถึง 2010MHz ได้ในหน้าเมนู) จากเดิมที่สัญญาณนาฬิกาไปถึง 2025MHz ผลการทดสอบไดรเวอร์ใหม่ที่ลดสัญญาณนาฬิกานี้เมื่อเทียบกับการทดสอบเบนช์มาร์คเกม HZD ความละเอียด 1440p บนไดรเวอร์เวอร์ชั่นเก่า ที่รันเกมได้ 129 เฟรมต่อวินาที ไดรเวอร์ใหม่จะรันเกมได้ที่ 127-128 เฟรมต่อวินาที ถือว่าประสิทธิภาพลดลงไม่มากนัก การทดสอบนี้เป็นเพียงการทดสอบในสถานการณ์จำเพาะกับเกมเกมเดียวเท่านั้น คงต้องติดตามข้อมูลกันต่อว่าการใช้ไดรเวอร์ปรับลดความเร็วสัญญาณนาฬิกาบูสต์ของจีพียูตระกูล RTX 30 ลง (เล็กน้อย) จะเวิร์คกับทุกคนหรือไม่ และจะมีเสียงตอบรับจากผู้ใช้อย่างไรต่อไป ที่มา - Tested
# อินเทลออกสเปก oneAPI เวอร์ชัน 1.0 คู่แข่งของ CUDA ที่ใช้ประมวลผลข้ามซีพียู-จีพียู ในแผนการใหญ่ของอินเทลเรื่องจีพียู Xe นอกจากเรื่องประสิทธิภาพต้องต่อกรกับคู่แข่งให้ได้แล้ว ยุทธศาสตร์สำคัญอีกข้อคือการสร้าง ecosystem ขนาดใหญ่พอที่นักพัฒนาให้ความสนใจ ทำซอฟต์แวร์ให้รองรับ ฝั่งของฮาร์ดแวร์ อินเทลเลือกใช้แนวทางสถาปัตยกรรมเดียว ครอบคลุมตั้งแต่จีพียูออนบอร์ด (ที่เริ่มใช้ใน Tiger Lake) ไปจนถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้นักพัฒนาเขียนโค้ดครั้งเดียวพอ ในฝั่งซอฟต์แวร์ อินเทลเริ่มพัฒนา oneAPI สำหรับการประมวลผลบนหน่วยประมวลผลหลายประเภท (ซีพียู/จีพียู/FPGA) ซึ่งเทียบได้กับ CUDA ของ NVIDIA และ ROCm ของ AMD โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2018 หลังจากค่อยๆ พัฒนา oneAPI มาสองปี เมื่อวานนี้ อินเทลประกาศออกสเปก oneAPI 1.0 ถือเป็นหลักหมายสำคัญของอินเทลในการบุกตลาดนี้ พื้นฐานของมันใช้ภาษา Data Parallel C++ (DPC++) ซึ่งแตกแขนงมากจาก ISO C++ และครอบคลุมการใช้งานหลากหลายชนิด เช่น Math, Deep Learning, Machine Learning, Video Analytics รวมถึง API ควบคุมฮาร์ดแวร์ระดับล่าง ที่เรียกว่า Level Zero API ตัว oneAPI เป็นมาตรฐานเปิด ซอฟต์แวร์เป็นโอเพนซอร์ส และถูกออกแบบมาให้ใช้กับสถาปัตยกรรมได้หลากหลาย (ไม่ใช่แค่ x86 แต่รวมถึงซีพียู ARM หรือ POWER และจีพียู NVIDIA ได้ด้วย) แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่ง่ายนัก ที่บริษัทอื่นจะสนใจเข้าร่วม หรือซอฟต์แวร์ชื่อดังจะหันมารองรับ (ซึ่งเป็นปัญหาที่ AMD เจอมานานแล้ว ดังที่เห็นในกรณี TensorFlow กว่าจะรองรับ ROCm อย่างเป็นทางการ) ตอนนี้รายชื่อหน่วยงานที่สนับสนุน oneAPI ยังเน้นไปที่กลุ่มมหาวิทยาลัยเป็นหลัก มีบริษัทไอทีเข้าร่วมเพียงบางราย เช่น HPE, Lenovo, GE, SAP, SUSE และอินเทลก็เข้าไปร่วมพัฒนาโครงการอย่าง TensorFlow หรือ Pytorch ให้รองรับ oneAPI บ้างแล้ว ที่มา - Intel, Phoronix
# Amazon Luna ใช้จีพียู T4 ของ NVIDIA บน EC2 G4, OS รัน Windows, บน iOS เป็น PWA หลังเปิดตัวบริการคลาวด์เกมมิ่ง Luna ไปเมื่อวันก่อน ตอนนี้มีข้อมูลเชิงเทคนิคจากทีมพัฒนา Luna ออกมาแล้ว OS ที่เซิร์ฟเวอร์เป็น Windows ดังนั้นเกมส่วนใหญ่จะนำมาเล่นบน Luna ได้ทันที่ ไม่ต้องพอร์ท (เหมือน Stadia ที่ใช้ Linux + Vulkan) Luna รันบน instance EC2 G4 ใช้จีพียู NVIDIA T4 ที่เล่นบน iOS ได้เพราะเป็น PWA ผ่าน Safari ใช้โปรโตคอล WebRTC เหมือนบนแอป ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อ และหากแอปเปิลปลดล็อคเรื่องการสตรีมเกมผ่าน App Store ก็พร้อมย้ายไปทันที ตัวบริการรองรับถึงความละเอียด 4K แต่ก็ขึ้นอยู่กับเกมและนักพัฒนาว่ารองรับได้และจะทำหรือไม่ หลังหมดช่วง early-access จำนวนเกมบนช่อง Luna+ จะเพิ่มเป็นราว ๆ 100 เกม (จากตอนนี้ 50), ราคาอาจเพิ่มขึ้น และตัวเลือกเกมอาจจะสลับสับเปลี่ยนวนกันไป มากกว่าจะอยู่ในรูปแบบของการเพิ่มจำนวนเกมทั้งหมด ตอนนี้หากผู้ใช้งานเลิกเล่น Luna จะไม่สามารถเอาเซฟเกมติดไปด้วยได้ แต่ทีมงานก็กำลังพิจาณาความเป็นไปได้อยู่ ยังไม่มีแผนจะใช้โมเดลแบบ Stadia ที่ซื้อเกมแยก รองรับคอนโทรลเลอร์สูงสุด 4 ตัว ที่มา - ArsTechnica
# Amazon ขยายบริการ Personal Shopper สไตลล์ลิสต์ช่วยเลือกช้อปเสื้อผ้าไปยังกลุ่มผู้ชายด้วย Amazon ขยายบริการ Personal Shopper by Prime Wardrobe หรือผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นที่ก่อนหน้านี้ เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ขยายเป็นเจาะกลุ่มผู้ชายด้วย ในราคาเดือนละ 4.99 ดอลลาร์ หรือราว 159 บาท โดยมีสไตล์ลิสต์คอยเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับลูกค้ามาให้ จากแบรนด์ Scotch & Soda, Original Penguin, Adidas, Lacoste, Carhartt, Levi’s, Amazon Essentials, Goodthreads เป็นต้น Amazon จะจัดส่งเสื้อผ้าที่เหมาะกับผู้ใช้งานมาให้ทุกเดือนเพื่อนำไปทดลองใส่ที่บ้าน หากไม่ชอบก็สามารถส่งคืนได้ ถ้าชอบก็ทำการซื้อต่อไป บริการ Personal Shopper มีเฉพาะในมือถือที่เป็นสมาชิก Prime ปกติ Amazon มีบริการ Prime Wardrobe อยู่แล้ว คือให้ลูกค้าเลือกเสื้อผ้าไปลองใส่ก่อนได้ ลองแล้วไม่พอใจค่อยส่งคืน บริการ Personal Shopper ก็เป็นการให้สไตล์ลิสต์มาช่วยเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับเรา ในแต่ละเดือนลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนความต้องการหรือสไตล์เสื้อผ้าที่อยากใส่ได้ เลือกไปลองใส่ได้สูงสุด 8 ชิ้น และมีเวลาให้ตัดสินใจซื้อ 7 วัน ภาพจาก Personal Shopper by Prime Wardrobe ที่มา - TechCrunch
# Google Meet บน G Suite เวอร์ชั่นแอป iOS, Android รองรับการตัดเสียงรบกวนรอบข้าง Google Meet บน G Suite รองรับการตัดเสียงรอบข้างบนอุปกรณ์มือถือทั้ง iOS และ Android ไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนก็ใช้งานได้ เพราะ Google ใช้พลัง AI ในการตัดเสียงรบกวน สามารถตัดเสียงอื่นๆ ที่ไม่สำคัญได้เช่น เสียงแป้นพิมพ์, เสียงปิดประตู แต่เสียงจากทีวี หรือเสียงคนพูดพร้อมกันนั้น ระบบยังไม่สามารถตัดออกได้ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนสามารถใช้งานได้ในเว็บไซต์อยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ได้ถูกตั้งเป็นค่าตั้งต้น ผู้ใช้งานต้องเข้าไปเปิดการใช้งานที่เมนูตั้งค่าก่อนจะกดคอล และยังไม่ได้เปิดใช้งานทั่วโลก เฉพาะผู้ใช้งานใน ออสเตรเลีย, บราซิล, อินเดีย, ญี่ปุ่น, นิวซีแลนด์, แอฟริกาใต้, ยูเออี Google ระบุด้วยว่าฟีเจอร์ใหม่นี้มีให้บริการสำหรับลูกค้า G Suite Enterprise, G Suite Enterprise for Education แต่ไม่รวม G Suite Basic, G Suite Business, G Suite for Education และ G Suite for Nonprofits ที่มา - Google, PhoneArena
# McAfee เตรียมกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ ขายหุ้น IPO ในชื่อย่อ MCFE บริษัทซอฟต์แวร์ความปลอดภัย McAfee ยื่นเอกสารต่อ ก.ล.ต. สหรัฐ เพื่อเตรียมขายหุ้น IPO กลับสู่ตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง โดยจะขายในตลาด Nasdaq และใช้ตัวย่อว่า "MCFE" McAfee เคยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วครั้งหนึ่ง จนโดนอินเทลซื้อกิจการในปี 2010 เลยออกจากตลาดหลักทรัพย์ไป แต่อินเทลก็ขายหุ้น 51% ของบริษัทออกในปี 2016 ให้กับบริษัทลงทุน TPG Capital ทำให้ McAfee กลายเป็นบริษัทอิสระ (ที่อินเทลถือหุ้นอยู่ 49%) และเตรียมกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง McAfee เคยมีข่าวว่าจะขายหุ้น IPO ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่สุดท้ายก็เลื่อนมาเป็นปีนี้ บริษัทมีรายได้ในปี 2019 ที่ 2.64 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 9.4% จากปีก่อน แต่ผลประกอบการยังขาดทุนที่ 236 ล้านดอลลาร์ ที่มา - McAfee, Reuters
# Android 12 จะเปิดให้ใช้สโตร์อื่นง่ายขึ้น, Google Play บังคับจ่ายเงินผ่านกูเกิลเข้มงวดขึ้น วันนี้ คดีระหว่าง Apple vs Epic เริ่มไต่สวนในชั้นศาลตามนัดหมาย ฝั่งของกูเกิลก็ออกมาประกาศนโยบายของ Android และ Google Play Store ในประเด็นเรื่องการผูกขาด จำนวน 5 ข้อดังนี้ Android 12 จะเปิดให้ติดตั้งสโตร์ทางเลือกได้ง่ายขึ้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการดีไซน์ และกูเกิลจะออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในระยะถัดไป แต่แอพที่จัดจำหน่ายผ่าน Google Play จะถูกบังคับให้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าดิจิทัล (in-app purchase) ผ่านระบบของกูเกิลอย่างเข้มงวดขึ้น กูเกิลบอกว่านโยบายข้อนี้มีอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ใช้ข้อความไม่ชัดเจนนัก จึงปรับถ้อยคำในเงื่อนไขให้ชัดเจนขึ้น โดยกูเกิลให้เวลา 1 ปีในการปรับตัว (ถึง 30 กันยายน 2021) นโยบายนี้จะมีผลกับแอพของกูเกิลเองด้วย กูเกิลจะโปรโมทแอพบน Google Play อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นแอพของกูเกิลเองหรือคู่แข่งก็ตาม โดยใช้อัลกอริทึมเดียวกันทั้งหมด นักพัฒนาแอพ สามารถสื่อสารกับผู้ใช้งานถึงช่องทางการจ่ายเงินอื่นได้อย่างอิสระในช่องทางอื่นๆ ภายนอกแอพ เช่น ประกาศผ่านหน้าเว็บ อีเมล หรือโซเชียล ว่ามีวิธีการจ่ายเงินที่ราคาถูกกว่าผ่าน Google Play (เรียกง่ายๆ ว่าทำได้ทุกทางยกเว้นโฆษณาในแอพเองว่ามีวิธีจ่ายเงินอื่น) เปิดกว้างต่อแอพหรือบริการใหม่ๆ โดยกูเกิลยกตัวอย่างว่า อนุญาตให้ไมโครซอฟท์เผยแพร่แอพ Xbox Game Pass ผ่าน Google Play ซึ่งนำเสนอวิธีการเล่นแบบผ่านสตรีมมิ่ง แม้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Stadia ก็ตาม ที่มา - Android Developers Blog
# Microsoft 365, Outlook, Teams, Azure AD มีปัญหาระบบล็อกอินทั่วโลก ช่วงเช้าวันนี้ มีบริการคลาวด์ของไมโครซอฟท์ใช้งานไม่ได้ดังนี้ Microsoft 365 ตั้งแต่ Office.com, Outlook.com, Microsoft Teams, Power Platform, Dynamics 365 โดยไมโครซอฟท์แจ้งว่าผู้ใช้ที่ล็อกอินไปแล้ว (และเซสชันยังค้างอยู่) ยังสามารถใช้งานต่อได้ แต่ผู้ใช้ใหม่จะล็อกอินไม่ได้ Azure มีปัญหาที่บริการล็อกอิน Azure AD ล่มทั่วโลกเช่นกัน แต่บริการอื่นของ Azure ยังใช้งานได้ตามปกติ ไมโครซอฟท์รายงานปัญหานี้ผ่านโซเชียลของ Microsoft 365 และ Azure แล้ว ขณะที่เขียนข่าวนี้ ระบบทั้งสองตัวยังไม่สามารถใช้งานได้ หน้าจอแสดงสถานะของ Microsoft 365 ที่มา - The Register
# Apple ซื้อกิจการ Scout FM แอปสร้างสถานีวิทยุจำลองจากรายการ Podcast มีรายงานว่า แอปเปิลได้เข้าซื้อกิจการ Scout FM แอปพอดคาสต์ไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยตัวแทนของแอปเปิลก็ได้ยืนยันการเข้าซื้อกิจการนี้ Scout FM เป็นแอปสร้างสถานีวิทยุจำลอง โดยรวมพอดคาสต์หลาย ๆ รายการเข้าไว้ด้วยกัน และเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานเพื่อค้นหาและแนะนำพอดคาสต์ที่น่าสนใจ บริการของ Scout FM ออกแบบมาเพื่อทำงานบนลำโพงอัจฉริยะเช่น Echo เป็นหลัก แต่ก็มีแอปใน iOS และ Android ด้วย ข้อมูลระบุว่า Scout FM เป็นแอปยอดนิยมตัวหนึ่งของผู้ใช้งาน CarPlay จึงน่าจะเป็นเหตุผลหลักให้แอปเปิลซื้อกิจการ เพื่อนำฟีเจอร์นี้มารวมกับบริการพอดคาสต์ ตลอดจนบริการด้านคอนเทนต์อื่น ๆ ในอนาคต ที่มา: MacRumors
# เครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ถูก Ransomware โจมตี ต้องปิดระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด Universal Health Services (UHS) เครือโรงพยาบาลในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรถูก ransomware โจมตีจนทำให้ไม่สามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ ได้อีก และตอนนี้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดต้องกลับไปใช้ระบบแมนนวล กรอกเอกสารผ่านกระดาษและส่งผลจากห้องปฏิบัติการทางโทรศัพท์ และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ได้ ทาง UHS ออกแถลงยอมรับว่าปิดระบบไอทีทั้งหมดจากปัญหาความมั่นคงปลอดภัยของระบบไอที และกำลังใช้กระบวนการสำรองในการทำงาน โดยยืนยันว่าคนไข้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิผลและปลอดภับ และไม่มีข้อมูลพนักงานหรือข้อมูลคนไข้หลุดออกไปแต่อย่างใด กระทู้ใน Reddit มีผู้ใช้ที่อ้างว่าทำงานในโรงพยาบาลในเครือ UHS หลายคนมายืนยันว่าถูกสั่งห้ามไม่ให้เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใช้งาน ผู้ใช้คนหนึ่งระบุว่าอยู่ๆ คอมพิวเตอร์ก็ปิดตัวลงไปเองและไม่สามารถเปิดกลับขึ้นมาได้ แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุกับ BleepingComputer ว่าไฟล์ที่เข้ารหัสแล้วมีนามสกุล .ryk ทำให้คาดว่าเป็น Ryuk ransomware ที่มา - BleepingComputer, ThreatPost แผนที่โรงพยาบาลในเครือ UHS ทั่วสหรัฐฯ
# Eric S. Raymond เชื่อสุดท้ายไมโครซอฟท์จะใช้ลินุกซ์เป็นเคอร์เนลหลัก กลับข้างวินโดวส์กลายเป็นอีมูเลเตอร์ ไมโครซอฟท์ทุ่มเทกับการพัฒนาและซัพพอร์ตลินุกซ์อย่างมากในช่วงหลังนับเป็นแนวทางที่หลายคนแสดงความประหลาดใจ ตั้งแต่การปล่อย VSCode บนลินุกซ์, การรองรับเคอร์เนลลินุกซ์ผ่าน WSL, เปิดให้ลินุกซ์รองรับ exFAT, พัฒนา Edge บนลินุกซ์, และล่าสุด WSL ก็เตรียมรองรับแอป GUI สัปดาห์ที่แล้ว Eric S. Raymond (ESR) นักวิชาการคอมพิวเตอร์ผู้สนับสนุนโอเพนซอร์สมายาวนานก็ออกมาวิเคราะห์ว่าสุดท้ายแล้วไมโครซอฟท์จะหันมาใช้เคอร์เนลลินุกซ์เป็นหลักแทน และเปลี่ยนเคอร์เนลวินโดวส์ให้เป็นเพียงอีมูเลเตอร์ที่มีไว้รองรับแอปพลิเคชั่นเก่าเท่านั้น ESR ให้เหตุผลว่าระบบปฎิบัติการเดสก์ทอปกำลังลดควมสำคัญลงไปเรื่อยๆ และแนวโน้มยอดขายพีซีที่ลดลงจะทำให้วินโดวส์กลายเป็นโครงการสร้างค่าใช้จ่ายของไมโครซอฟท์แทนที่จะทำกำไร ธุรกิจที่ทำเงินจริงๆ คือบริการอย่าง Azure มากกว่า เขายกตัวอย่างโครงการ Proton ของ Valve ที่สร้างอีมูเลเตอร์เพื่อให้เกมบนวินโดวส์รันบนลินุกซ์ได้ โดยเกมนั้นต้องทดสอบหนักกว่าแอปพลิเคชั่นด้านธุรกิจมาก และหากพอร์ตมาจริงๆ ก็น่าจะรันแอปพลิเคชั่นจำนวนมากได้แล้ว บทวิเคราะห์ของ ESR ดูจะเป็นการสนองความฝันว่าเมื่อใดลินุกซ์จึงจะชนะในตลาดเดสก์ทอป โดย ESR ระบุว่าชัยชนะของลินุกซ์ไม่ได้มาจากการไปเบียดตลาดจากวินโดวส์แต่เป็นการอยู่ร่วมกัน และเขามองว่าแนวทางนี้อาจจะเป็นแนวทางเดียวที่เป็นไปได้ ( Perhaps this is always how it had to be.) ที่มา - Armed and Dangerous
# Dell เปิดตัว XPS 13 (9310) อัพเกรดมาใช้ซีพียู Tiger Lake คงดีไซน์ขอบจอบางเหมือนเดิม เมื่อต้นปี Dell เปิดตัวโน้ตบุ๊กเรือธง XPS 13 รุ่นปี 2020 ที่ใช้ซีพียู Intel Core 10th Gen (รหัสรุ่นคือ 9300) หลัง Intel เปิดตัว Core 11th Gen Tiger Lake ไปเมื่อต้นเดือนกันยายนนี้ ทำให้ Dell ตามอัพเดต XPS 13 ด้วย หน้าตาภายนอกยังใช้ดีไซน์ขอบจอบางเหมือนเดิมทุกประการ เปลี่ยนรหัสรุ่นมาเป็น 9310 ให้เห็นความแตกต่างของฮาร์ดแวร์ภายใน เปลี่ยนซีพียูเป็น Tiger Lake (Gen 11) ที่มาพร้อมจีพียู Iris Xe เลือกได้ตั้งแต่ Core i3-1115G4 จนถึง i7-1185G7 อัพเกรดแรม LPDDR4x จากเดิมใช้บัสความเร็ว 3733MHz มาเป็น 4267MHz ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์เท่าเดิม สีเงินพร้อมสั่งซื้อแล้ว ส่วนสีขาวจะตามมาในเร็วๆ นี้ ที่มา - MSPoweruser
# Xiaomi เปิดตัวทีวี 82 นิ้ว มีทั้ง 4K และ 8K 120Hz mini-LED ราคาเริ่มราว 46,600 บาท หลังมีข่าวหลุดช่วงกลางเดือนว่า Xiaomi เตรียมวางขายทีวี 82 นิ้ว 2 รุ่น วันนี้ทีวีสองรุ่นนั้น เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยทีวีตระกูล Mi TV Master เน้นตลาดพรีเมียม รุ่นแรกเป็นรุ่นความละเอียด 4K หน้าจอ 120Hz รองรับมาตรฐาน DCI-P3 ถึง 93% ความสว่างสูงสุด 1,000 nits มีโซนแบคไลท์ 240 โซน มาพร้อมระบบ MEMC (Motion Estimation Motion Compensation) หรือระบบคาดเดาและเพิ่มเฟรมอัตโนมัติ ทำให้วิดีโอ 30fps ดูสมูธขึ้นได้ Mi TV Master 82 นิ้ว รุ่น 4K จะใช้ชิป MediaTek 9650 แรม 4GB หน่วยความจำภายใน 64GB รันระบบปฏิบัติการ MIUI for TV 3.0 รองรับ Dolby Vision มีพอร์ต HDMI 2.1 ยังไม่มีข้อมูลวันวางจำหน่าย แต่เปิดราคาในจีนอยู่ที่ 9,999 หยวน (ราว 46,600 บาท) ถ้าเทียบแล้วคือไม่ถึง 1 ใน 3 ของราคา SONY MASTER Series Z9F ขนาด 75 นิ้ว ความละเอียด 4K ที่มีราคา 159,990 บาท อีกรุ่นคือรุ่น Mi TV Master 82 นิ้ว 8K “Extreme Anniversary Edition” เป็นทีวี mini-LED ความสว่างสูงสุดถึง 2,000 nits รีเฟรชเรต 120Hz มี MEMC เหมือนรุ่น 4K แต่จะรองรับมาตรฐานสี DCI-P3 ที่ 98% ใช้แพแนล 10-bit แสดงสีได้ถึง 1.07 พันล้านสี มีโซนแบคไลท์ 960 โซน รุ่น 8K Extreme Anniversary Edition ใช้ชิป Novatek 72685 รองรับการเชื่อมต่อ 5G มีแรม 4GB และหน่วยความจำภายใน 256GB มีพอร์ต USB 3.0 และ HDMI 2.1 วางจำหน่าย 21 ตุลาคมนี้ในประเทศจีน ที่ราคา 49,999 หยวน (ราว 232,800 บาท) ที่มา - Notebookcheck
# AWS ปล่อยฟีเจอร์เตือนค่าใช้จ่ายผิดปกติ เตือนได้แม้ค่าใช้จ่ายค่อยๆ ขึ้น AWS เปิดฟีเจอร์ Cost Anomaly Detection สำหรับเตือนเมื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติให้ลูกค้าทั่วไปใช้งานแบบพรีวิว โดยสามารถติดตามค่าใช้จ่ายทั้งในบัญชีเดียวกัน, ตามกลุ่มบัญชี, แยกประเภทบริการ, และแยกตามแท็กของบริการที่ใช้งาน บริการนี้ไม่ได้ใช้เงื่อนไขตรงไปตรงมา เช่น การตั้งเพดานค่าใช้จ่ายหรือความเปลี่ยนแปลงรายวัน แต่ AWS ใช้อัลกอริทึมแบบ machine learning เพื่อตรวจจับแนวโน้มค่าใช้จ่าย โดยผู้ใช้สามารถกำหนดได้ว่าความผิดปกติเกินระดับใดจะแจ้งเตือน และจะให้บริการแจ้งเตือนบ่อยเพียงใด นอกจากการใช้ machine learning ในการตรวจจับความผิดปกติแล้ว เมื่อมีการแจ้งเตือนบริการจะระบุต้นเหตุว่าเกิดค่าใช้จ่ายจากส่วนใด พร้อมลิงก์ไปยังบริการ Cost Explorer เพื่อตรวจสอบปัญหาต่อไป ปัญหาค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด (bill shock) เป็นปัญหาสำคัญของบริการคลาวด์ที่คิดค่าบริการตามจริงและสามารถขยายบริการได้แทบไม่จำกัด การตั้งค่าให้ระบบขยายตัวอัตโนมัติหรือการเปิดบริการราคาแพงบางตัว เช่นเซิร์ฟเวอร์พร้อมชิปกราฟิกขนาดใหญ่ อาจจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงมากภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ที่ผ่านมาผู้ให้บริการคลาวด์พยายามออกบริการควบคุมค่าใช้จ่าย Azure นั้นถึงกับออกบริการควบคุมค่าใช้จ่ายที่สามารถจัดการค่าใช้จ่ายบน AWS ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีโซลูชั่นจากผู้ผลิตภายนอกอีกจำนวนมาก ที่มา - AWS