txt
stringlengths 202
53.1k
|
---|
# [ลือ] Apple โชว์อุปกรณ์เฮดเซต AR/VR ให้บอร์ดบริหารแล้ว
มีรายงานว่าที่ประชุมบอร์ดบริหารของแอปเปิลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้บริหารแอปเปิลได้สาธิตการทำงานของอุปกรณ์เฮดเซต Mixed Reality ที่ผสมผสานระหว่าง AR และ VR จึงช่วยยืนยันข่าวว่าแอปเปิลอาจเปิดตัวเฮดเซตดังกล่าวและวางขายเร็ว ๆ นี้
นักวิเคราะห์คาดกันว่าเฮดเซต Mixed Reality นี้ จะเป็นไลน์สินค้าตัวใหม่ที่สร้างรายได้สำคัญให้แอปเปิล ต่อจาก Apple Watch ที่เปิดตัวปี 2014 และวางขายในปี 2015
รายละเอียดการทำงานอุปกรณ์ จะใช้กล้องที่อยู่ด้านหน้า ในการแสดงผลภาพขึ้นมาที่หน้าจอของเฮดเซตแบบผสมผสาน อย่างไรก็ตามรายละเอียดเพิ่มเติมยังไม่มีออกมา โดยเฉพาะประเด็นสำคัญคือน้ำหนัก และราคา ที่ก่อนหน้านี้ลือว่าจะแพงมาก
แอปเปิลอาจเปิดตัวแพลตฟอร์มของเฮดเซตในงาน WWDC เดือนหน้า เพื่อสาธิตเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสำหรับนักพัฒนา หรืออาจเปิดตัวช่วงปลายปีในงาน iPhone เลย อย่างไรก็ตามตัวแทนแอปเปิลปฎิเสธที่จะให้ความเห็นต่อข่าวดังกล่าว
ที่มา: CNBC ภาพแว่น VR ทั่วไป จาก Pixabay |
# Gitee บริการฝากโค้ดจีน ล็อก public repository ทั้งหมด ระบุขอตรวจสอบเนื้อหาก่อน
Gitee บริการเก็บซอร์สโค้ดแบบเดียวกับ GitHub ประกาศล็อก repository สาธารณะให้กลายเป็นแบบปิดทั้งหมดชั่วคราว และขอตรวจสอบเนื้อหาใหม่หมดก่อนจะค่อยๆ เปิดมาทีละส่วนอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนเคยประกาศเลือก Gitee เป็นแพลตฟอร์มโอเพนซอร์สของรัฐบาล ตอนนี้มีผู้ใช้กว่า 8 ล้านคน และโครงการบนแพลตฟอร์มกว่า 20 ล้านโครงการ
เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วรัฐบาลจีนวางแนวทางกำกับเนื้อหาออนไลน์ ให้ตรวจสอบเนื้อหาให้เป็นไปตามมาตรฐานของรัฐบาล แม้ว่า Gitee จะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับเก็บซอร์สโค้ดแต่ที่จริงแล้วก็สามารถใช้พูดคุยเรื่องอื่นๆ ได้เช่นกัน เช่น การประท้วงแนวทางการทำงานแบบ 996 ของบริษัทจีนก็มีจุดเริ่มต้นใหญ่จากเหล่าโปรแกรมเมอร์ที่รวมตัวกันบน GitHub
ที่มา - South China Morning Post |
# สหรัฐฯ ประกาศนโยบายไม่ดำเนินคดีนักวิจัยทดสอบความปลอดภัยไซเบอร์
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศนโยบายการดำเนินคดีตามกฏหมายคอมพิวเตอร์สหรัฐฯ (Computer Fraud and Abuse Act - CFAA) ระบุว่าหากนักวิจัยทดสอบระบบในรูปแบบที่พยายามหลีกเลี่ยงการสร้างความเสียหาย และทำไปเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยโดยรวมแล้วจะไม่ดำเนินคดี
แนวนโยบายชุดนี้ยังระบุถึงประเภทคดีที่จะไม่ดำเนินคดีตาม CFAA เช่น ลูกจ้างใช้คอมพิวเตอร์เข้าเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวกับงาน, ผู้ใช้เว็บไซต์ไม่ทำตามข้อตกลงการใช้งาน (เช่น เว็บระบุให้ใช้ชื่อจริง),
อย่างไรก็ดีหากอัยการมีข้อสงสัยว่าแฮกเกอร์ใช้การวิจัยความปลอดภัยเป็นการบังหน้า ก็จะมีส่วนงานอาชญากรรมคอมพิวเตอร์มาพิจารณาคดีเป็นรายๆ ไปอีกชั้นหนึ่ง
ที่มา - Justive.gov |
# Stablegains สตาร์ตอัพรับฝากเงินดอลลาร์ไปรับดอกเบี้ยใน Anchor ประกาศคืนเงินตามมูลค่า UST ได้เท่าไหร่เท่านั้น
เหตุการณ์ UST หลุดการผูกค่ากับดอลลาร์สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างในวงการคริปโต หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบคือ Stablegains สตาร์ตอัพที่ให้บริการรับฝากเงินตามช่องทางธนาคารปกติ แต่รับดอกเบี้ยสูงตามวงการ DeFi
Stablegains เป็นสตาร์ตอัพที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน แนวทางการทำธุรกิจคือรับเงินฝากจากลูกค้ามาแปลงเป็น UST แล้วนำไปฝากใน Anchor รับดอกเบี้ย 20% จากนั้นหักค่าดำเนินการมาจ่ายลูกค้า 15% ทำให้ลูกค้าไม่ต้องสร้าง wallet สำหรับเงินคริปโตใดๆ แต่รับผลตอบแทนได้
หลัง UST หลุดการผูกค่า ทาง Stablegains ก็แก้ไขข้อความในหน้าอธิบายความเสี่ยงของ Stablecoin โดยลบข้อความสัญญาว่าลูกค้าจะได้รับเงินดอลลาร์เต็มจำนวนออกไป
ตอนนี้ Stablegains ประกาศว่าลูกค้าที่ต้องการเงินคืนต้องยอมรับมูลค่า UST เท่านั้น โดยอาจจะรับเงินคืนตามมูลค่า UST ในตลาดเป็นการโอนผ่านธนาคารหรือ USDC หรืออาจจะเปิด wallet มารับ UST เองก็ได้ แต่ก็ขึ้นกับ Terra ว่าจะปิดเปิดเชนตอนไหน
Stablegains เป็นสตาร์ตอัพน้องใหม่ที่ผ่านโครงการ YCombinator รุ่น W22 และเพิ่งได้รับเงินลงทุน 3 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ที่มา - Stablegains |
# Acer ออก Swift 3 OLED และ ConceptD 5 โน้ตบุ๊กหน้าจอ OLED
Acer เปิดตัวโน้ตบุ๊กใหม่ในกลุ่มบางเบา Swift, พับจอได้ Spin และโน้ตบุ๊กสำหรับกลุ่มโปร ConceptD หลายรุ่น
รุ่นที่น่าสนใจคือการออกโน้ตบุ๊กหน้าจอ OLED มาบ้างแล้ว (Asus ทำมาก่อนสักพักแล้ว แต่ของ Acer เพิ่งเริ่มทำ)
Acer Swift 3 OLED (SF314-71) ใช้หน้าจอ 14" สัดส่วน 16:10 WQXGA+ (2.8k) เป็นจอ OLED ที่ผ่านมาตรฐาน VESA DisplayHDR True Black 500 และมาตรฐานสี DCI-P3 100%, ใช้ซีพียู Intel Core 12th Gen รหัส H, จีพียู Iris Xe, ทัชแพดแบบกระจก, น้ำหนัก 1.4kg ราคาเริ่มต้น 899.99 ดอลลาร์
ConceptD 5 และ ConceptD 5 Pro ใช้หน้าจอ 16" เลือกใส่จอ OLED ความสว่าง 400-nit รองรับสี DCI-P3 100%, ใช้ซีพียู Intel Core 12th Gen สูงสุด Core i7-12700H, ใส่จีพียูได้สูงสุด GeForce RTX 3070 Ti (รุ่นปกติ) และ RTX A5500 (Pro) ราคาเริ่มต้น 2,499.99 ดอลลาร์
โน้ตบุ๊กตัวอื่นๆ ที่เปิดตัวพร้อมกัน (ไม่มีจอ OLED ให้เลือก) ได้แก่
Acer Spin 5 (SP514-51N) หน้าจอ 14" 16:10 WQXGA, ซีพียู 12th Gen Core, จีพียู Iris Xe, น้ำหนัก 1.3kg, ราคาเริ่มต้น 1,349.99 ดอลลาร์
Acer Spin 3 (SP314-55/N) หน้าจอ 14" FHD, ซีพียู 12th Gen Core, จีพียู Iris Xe ราคาเริ่มต้น 849.99 ดอลลาร์
นอกจากนี้ยังมีเดสก์ท็อป ConceptD อีก 2 รุ่น ได้แก่
ConceptD 500 เดสก์ท็อปทรงทาวเวอร์ขนาดกลาง (20L), ซีพียูใส่ได้สูงสุด 12th Gen Intel Core i9, จีพียู NVIDIA RTX A4000 หรือ GeForce RTX 3070, แรมสูงสุด 128GB, ราคาเริ่มต้น 1,199 ยูโร
ConceptD 100 เดสก์ท็อปทรงทาวเวอร์ขนาดเล็ก, ซีพียูใส่ได้สูงสุด 12th Gen Intel Core i5/i7, จีพียู NVIDIA T400/T1000, แรมสูงสุด 128GB, ราคาเริ่มต้น 999 ยูโร
ที่มา - Acer (Swift/Spin), Acer (ConceptD) |
# Vivo เปิดราคาไทย Vivo X80 5G ราคา 29,999 บาท, รุ่น Pro ราคา 39,999 บาท
Vivo เปิดราคาของสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงปี 2022 ในไทยคือ Vivo X80 5G ราคา 29,999 บาท และ Vivo X80 Pro 5G ราคา 39,999 บาท
พี่ใหญ่ Vivo X80 5G Pro ใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon 8 Gen 1, แบตเตอรี่ 4700 mAh รองรับ Wireless FlashCharge 50W และ FlashCharge 80W, กล้องหลัง 4 ตัว กล้องหลัก 50MP, Wide 48MP, Portrait 12MP, Periscope 8MP
ส่วน Vivo X80 5G รุ่นธรรมดา ใช้หน่วยประมวผล MediaTek Dimensity 9000, แบตเตอรี่ 4500 mAh รองรับเฉพาะ FlashCharge 80W, กล้องหลัก 50MP, Ultra-wide 12MP, Portrait 12MP
สเปกที่ทั้งสองรุ่นมีเหมือนกันคือ หน้าจอ 6.78" 2K WQHD อัตรารีเฟรช 120Hz และใช้กล้องหน้า 32MP เท่ากัน ใช้ชิปประมวลผลภาพ Vivo V1+ ที่บริษัทออกแบบเอง |
# HP เปิดตัว Spectre x360 ของปี 2022 มีขนาด 13.5" และ 16" เลือกจีพียู Intel Arc ได้ด้วย
HP เปิดตัวโน้ตบุ๊กพรีเมียมพับจอได้ Spectre x360 ใหม่ 2 ขนาดหน้าจอคือ 13.5" และ 16" ที่อัพเกรดมาใช้ซีพียู Intel 12th Gen Core ของปี 2022 และปรับดีไซน์ของตัวเครื่องใหม่ให้ขอบโค้งมนกว่าเดิม มาแทนดีไซน์ของปีก่อนๆ ที่เน้นขอบเหลี่ยมเน้นมุมตัดชัดเจน
HP ออก Spectre x360 รอบล่าสุดเมื่อปี 2020 โดยใช้ซีพียู Tiger Lake มีทั้งหมด 3 ขนาดหน้าจอคือ 13", 14" และ 16" ซึ่งรอบนี้จับรุ่น 13" และ 14" มารวมกันเป็นรุ่นเดียวคือ 13.5" แทนแล้ว
HP Spectre x360 13.5 ใช้หน้าจอขนาด 13.5" สัดส่วน 3:2 ทั้งหมด เลือกได้ทั้งจอ IPS 400 nits, IPS 1000 nits และ OLED 400 nits, ซีพียูเป็น Core i5-1235U หรือ i7-1255U, จีพียู Iris Xe, สตอเรจสูงสุด 2TB NVMe ราคาเริ่มต้น 1,249.99 ดอลลาร์
HP Spectre x360 16 เพิ่มขนาดหน้าจอเป็น 16" มีจอ 3 แบบให้เลือกเหมือนกัน, ซีพียูเป็น Core i7-12700H เลือกใส่จีพียูเป็น Intel Arc A370M ได้ ราคาเริ่มต้น 1,649.99 ดอลลาร์
Spectre x360 ทั้งสองรุ่นมีให้เลือก 3 สีคือ เงิน Natural Silver, ดำ Nightfall Black และน้ำเงิน Nocturne Blue
HP ยังออกโน้ตบุ๊กระดับรองในซีรีส์ Envy ของปี 2022 มาอีก 4 รุ่น ได้แก่
HP Envy x360 13.3 ซีพียู Intel ราคาเริ่มต้น 899.99 ดอลลาร์
HP Envy x360 15.6 ซีพียู Intel/AMD ราคาเริ่มต้น 899.99/849.99 ดอลลาร์
HP Envy 16 ซีพียู Intel + จีพียู Arc/GeForce RTX ราคาเริ่มต้น 1,399.99 ดอลลาร์
HP Envy 17.3 ซีพียู Intel + จีพียู Iris Xe ราคาเริ่มต้น 1,099.99 ดอลลาร์
ที่มา - HP, xda |
# Acer เปิดตัวมอนิเตอร์ SpatialLabs View แสดงภาพ stereoscopic 3D ลอยขึ้นมาแบบไม่ต้องใส่แว่น
หลายตนอาจลืมจอ 3 มิติแบบ stereoscopic ที่ดูแล้วภาพ "ลอย" ขึ้นมาจากจอ ล่าสุด Acer ปลุกเทคโนโลยีนี้กลับมาอีกครั้ง ด้วยการออกจอมอนิเตอร์แบรนด์ SpatialLabs ที่แสดงผลภาพ 3D แบบไม่ต้องใส่แว่น
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้แก่
Acer SpatialLabs View หน้าจอขนาด 15.6" 4K สำหรับผู้ใช้ตามบ้าน เน้นกลุ่มเกมเมอร์
Acer SpatialLabs View Pro หน้าจอขนาด 15.6" 4K สำหรับตลาดองค์กร
ทั้งสองตัวเป็นหน้าจอน้ำหนักเบา (1.5 กิโลกรัม) พกพานอกสถานที่สะดวก รองรับสี Adobe RGB 100% ความสว่าง 400 nit
นอกจากนี้ Acer ยังออกแอพพลิเคชัน stereoscopic 3D หลายตัวมาใช้ร่วมกัน เช่น SpatialLabs TrueGame ที่ใช้แปลงภาพจากเกมให้เป็น stereoscopic (ระบุว่ารองรับกว่า 50 เกมแต่ไม่มีรายชื่อเกม), SpatialLabs Go แปลงภาพ 2D เป็น stereoscopic 3D และ SpatialLabs Model Viewer สำหรับสร้าง-ดูโมเดลแบบ 3D
SpatialLabs View เริ่มวางขายช่วงกลางปีนี้ ราคา 1,099 ดอลลาร์ ส่วนรุ่น Pro ยังไม่ประกาศวันวางขายและราคา
ที่มา - Acer |
# เปิดที่มา DESTINY TOKEN โทเคนดิจิทัลภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส ๒ พร้อมเปิดจองซื้อวันที่ 23 พ.ค. นี้
DESTINY TOKEN เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Kubix บริษัท ICO Portal ที่ทำ End-to-End Tokenization Solution ในเครือ KBTG กับ GDH และ Broadcast Thai Television ถือเป็นมิติใหม่ในการระดมทุนเพื่อสร้างภาพยนตร์ และนอกจากผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนเป็นตัวเงิน ยังได้ประสบการณ์รับชมภาพยนตร์ใหม่ ๆ ด้วย
ว่าแต่จุดเริ่มต้นของ DESTINY TOKEN คืออะไร และโทเคนดิจิทัลนี้แตกต่างกับเหรียญสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ หรือไม่ รายละเอียดเรื่องผลตอบแทน จากการลงทุนมีอะไรบ้าง Blognone ขออาสาหาคำตอบมาให้ผู้อ่านได้รับรู้ไปด้วยกัน
จุดเริ่มต้นมาจากกระแสการระดมทุนดิจิทัล
ปัจจุบันการระดมทุนขององค์กรต่าง ๆ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือการขายหุ้นกู้ เพราะเริ่มมีแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถระดมทุนด้วยการออกโทเคนดิจิทัล ผ่านการจำหน่ายโทเคนเหล่านี้ให้กับบุคคลที่สนใจ และซึ่งข้อดีของโทเคนดิจิทัลคือการที่ผลตอบแทนที่องค์กรให้แก่ผู้ลงทุน สามารถเป็นมากกว่าเรื่องของตัวเงิน แต่ยังเป็นสิทธิประโยชน์ได้อีกด้วย จึงทำให้ความเป็น “นักลงทุน” และ “ลูกค้า” ขององค์กรหรือแบรนด์นั้นขยับเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกัน
Kubix คือหนึ่งในแพลตฟอร์มเหล่านั้น และมีการเข้าไปหารือกับทาง GDH และ Broadcast Thai Television เพื่อร่วมมือกันสร้างมิติใหม่ในการระดมทุนสร้างภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ ด้วยการออกโทเคนดิจิทัลในชื่อ DESTINY TOKEN ที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้ลงทุน และกลุ่มแฟนภาพยนตร์ไทย
ทำให้ DESTINY TOKEN ค่อนข้างแตกต่างกับโทเคนดิจิทัลอื่น ๆ ในตลาดที่เน้นเรื่องผลตอบแทนเป็นตัวเงินจากการลงทุน เพราะโทเคนดิจิทัลดังกล่าวยังให้สิทธิประโยชน์ที่แฟนภาพยนตร์เรื่องนี้หาไม่ได้ เช่น การได้ไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกับทีมงาน และนักแสดง
ส่องรายละเอียดของ DESTINY TOKEN
หากเจาะไปที่รายละเอียดของ DESTINY TOKEN จะพบว่า โครงการการระดมทุนนี้ได้รับการอนุมัติ และ Kubix เองได้ใบอนุญาต ICO Portal จาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. ดังนั้นมั่นใจเรื่องความปลอดภัยในการระดมทุนได้ และเริ่มขายในวันที่ 23 พ.ค. 2565 เป็นต้นไป
ส่วนการจำหน่าย DESTINY TOKEN จะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
I am Glad Token ราคา 5,559 บาท จำนวน 15,559 โทเคน
I am Delighted Token ราคา 155,559 บาท จำนวน 459 โทเคน
I am Happy Token ราคา 1,555,559 บาท จำนวน 69 โทเคน
รวม 16,087 โทเคน มูลค่าระดมทุนกว่า 265 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาลงทุนไม่เกิน 2 ปี โดยผู้ถือโทเคนทุกรูปแบบจะได้รับเงินผลตอบแทนพื้นฐานที่ 2.99% ต่อปี พร้อมสิทธิ์รับเงินต้นคืนและจะได้ผลตอบแทนพิเศษเพิ่มอีก 2.01% ต่อปี รวม 5% ต่อปี เมื่อภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส ๒ มีรายได้ Box Office ทั่วประเทศตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทเป็นต้นไป
อีกทั้งจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมายตามประเภทของโทเคนที่ถือด้วย เช่น สิทธิการร่วมชมภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส ๒ รอบพิเศษก่อนใคร การปรากฎชื่อในเครดิตท้ายภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส ๒ ในฐานะ Special Destiny Executive Producer รวมทั้งชุดของที่ระลึกคอลเลกชั่นสุดพิเศษ เป็นต้น
โทเคนดิจิทัล ไม่ใช่ สกุลเงินดิจิทัล
ญาณวิทย์ รักษ์ศรี Managing Director ของ Kubix ย้ำว่า โทเคนดิจิทัล ไม่ใช่ สกุลเงินดิจิทัล และ DESTINY TOKEN นั้นจะไม่ถูกลิสท์บนกระดานเทรด ดังนั้นการลงทุนใน DESTINY TOKEN จะไม่มีการติดดอยอย่างแน่นอน
“DESTINY TOKEN มีลักษณะที่ไกล้เคียงกับหุ้นกู้ โดยมีการกำหนดผลตอบแทนและระยะเวลาการลงทุนอย่างชัดเจน และไม่มีการขึ้นลงของราคา ทั้งยังมากับแนวคิด ROI+BOI หรือ Return of Investment และ Benefit of Investment ที่ให้ทั้งผลตอบแทน และประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้จากการลงทุน”
สำหรับคนที่สนใจลงทุนใน DESTINY TOKEN สามารถเข้าไปซื้อได้ที่แอปพลิเคชัน Kubix จากนั้นเปิดบัญชีผู้ใช้ และจองซื้อโทเคนดิจิทัลดังกล่าวได้ทันที โดยผู้ซื้อต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป, มีบัญชีธนาคารกสิกรไทย และแอปพลิเคชัน K PLUS พร้อมยืนยันตัวตนด้วยวิธี NDID ผ่าน K PLUS
อนาคตของ Kubix ที่ไม่หยุดแค่โทเคนดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม Kubix จะไม่ได้หยุดแค่ DESTINY TOKEN เพราะบริษัทอยู่ระหว่างวางแผนเพื่อเดินหน้าโครงการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัลผ่านการร่วมมือกับหลากหลายอุตสาหกรรม และคงจุดเด่นเรื่องการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทั้งตัวเงิน และประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้
“ที่เราเลือกเริ่มต้นด้วยภาพยนตร์เพราะภาพยนตร์เป็นสิ่งที่อยู่ไกล้ตัวคนไทยทุกคน ให้ทุกคนสามารถเอนจอยไปกับผลตอบแทนทั้งตัวเงินและสิทธิประโยชน์ของโปรเจคนี้ได้ ส่วนโปรเจคถัดไปคงยังบอกรายละเอียดไม่ได้ แต่จะมีทั้งความร่วมมือในระดับ SME จนถึงองค์กรต่าง ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม” ญาณวิทย์ เสริม
เห็นอย่างนี้แล้ว ใครอยากหาช่องทางการลงทุน และต้องการใกล้ชิดกับดารานักแสดงจากภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ DESTINY TOKEN คือคำตอบสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนอกจากจะได้ผลตอบแทน 2.99% ต่อปี พร้อมเงินต้นคืน ยังได้สิทธิ์กระทบไหล่ดารานักแสดง และมีชื่อปรากฎในภาพยนตร์ด้วย
ดาวน์โหลดแอปฯ Kubix เพื่อเปิดบัญชีเตรียมพร้อมลงทุน ที่ https://bit.ly/3G53ATi
หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DESTINY TOKEN ได้ที่ www.kubix.co
หากมีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับ DESTINY TOKEN หรือการเปิดบัญชี Kubix สามารถติดต่อ Kubix Call Center ที่ 02-844-8488
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน |
# Huawei เปิดตัวสมาร์ตโฟนจอพับได้ รุ่น Mate Xs 2 ราคาจำหน่าย 61,990 บาท
Huawei ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวสมาร์ตโฟนจอพับได้รุ่น Mate Xs 2 วางตำแหน่งเป็นสมาร์ตโฟนจอพับได้รุ่นเรือธง มีหน้าจอแสดงผลแบบ True-Chroma Display ขนาด 7.8 นิ้ว พร้อมกล้อง True-Chroma ที่มากับกล้องหลัง 3 ตัวความละเอียดสูงสุด 50 ล้านพิกเซล และแบตเตอรี่ความจุ 4,880 mAh
Huawei Mate Xs 2 จำหน่ายในประเทศไทยที่ราคา 61,990 บาท เปิดจองตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.-7 ก.ค. 2022 และจองได้ที่ร้านตัวแทนจำหน่าย รวมถึงช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ส่วนวันวางจำหน่ายจริง ทาง Huawei ประเทศไทยยังไม่แจ้งในข่าวประชาสัมพันธ์
นอกจากสมาร์ตโฟนพับได้ Huawei ประเทศไทย ยังประกาศเปิดตัว P50 สมาร์ตโฟนเรือธงอีกรุ่น ที่มากับหน้าจอ True-Chroma Display ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมระบบกล้อง True-Chroma Image Engine มีกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 50 ล้านพิกเซล รองรับเทคโนโลยีกันสั่นทั้ง AIS และ OIS ถ่ายวิดีโอได้ระดับ 4K
Huawei P50 จำหน่ายในประเทศไทยราคา 26,990 บาท และเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์แบบในการใช้งาน Hauwei จึงเปิดตัว Huawei WATCH GT 3 Pro นาฬิกาอัจฉริยะ, Huawei WATCH FIT 2 อุปกรณ์ Fitness Tracker และ Huawei FreeBuds SE หูฟังไร้สาย
อ้างอิง // ข่าวประชาสัมพันธ์ Huawei |
# Unity เลิกทำ C#/.NET เวอร์ชันของตัวเอง เริ่มทยอยย้ายกลับมา C# และ .NET สายหลัก
ผู้ที่เขียนเกมด้วยเอนจิน Unity คงทราบกันดีว่าต้องใช้ภาษา C# เนื่องจากรากเหง้าของ Unity เริ่มมาจาก .NET (จะให้เจาะจงคือ Mono ที่เป็น .NET เวอร์ชันโอเพนซอร์ส) อย่างไรก็ตาม แนวทางของ Unity คือการปรับแต่งคอมไพเลอร์ รันไทม์ และภาษา C# ในแบบของตัวเอง ที่แตกต่างจาก C#/.NET ของไมโครซอฟท์
ปัญหาของเรื่องนี้คือ ชุดเครื่องมือ แพ็กเกจ และไลบรารีต่างๆ ของโลก .NET จึงไม่สามารถทำงานร่วมกับ Unity ได้ดีเท่าที่ควร บวกกับภาษา C# เวอร์ชันใหม่ๆ ก็ต้องรอให้ Unity ตามซัพพอร์ต ซึ่งต้องใช้เวลานาน
ล่าสุด Unity ประกาศทิศทางว่าจะมุ่งหน้าเข้าสู่โลก .NET กระแสหลัก แทนการเลือกคัสตอมเทคโนโลยีเอง โดยประกาศชัดว่าอยากเลิกใช้รันไทม์ Mono .NET เปลี่ยนมาเป็น CoreCLR ของ .NET เวอร์ชันหลักในปัจจุบัน (.NET Core)
การเปลี่ยนแปลงจะเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป แผนการของปี 2022 คือการแยกส่วน Unity Editor ออกจาก Unity Runtime เพื่อย้ายเฉพาะส่วนรันไทม์เป็น .NET CoreCLR ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จในปี 2024
Unity บอกว่าจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทั้งไมโครซอฟท์และ JetBrains เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่น โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือนักพัฒนาสาย Unity ควรเข้าถึง .NET เวอร์ชันล่าสุดเสมอ
ที่มา - Unity |
# Acer ออกแท็บเล็ต Chromebook Tab 510 หน้าจอ 10", Chromebook 714 ซีพียู 12th Gen
Acer อัพเดต Chromebook รุ่นหลักของตัวเองใหม่เป็น Acer Chromebook 714 และรุ่นพับจอได้ Acer Chromebook Spin 714
Acer Chromebook 714 เป็นเวอร์ชันอัพเกรดของ Chromebook 713 ที่ออกเมื่อปี 2020 โดยเป็น Chromebook ขนาด 14" ที่ใช้ซีพียู Intel Core Gen 12th รุ่นใหม่ล่าสุด (ของเดิมเป็น Gen 10th) เลือกใส่ได้สูงสุดเป็น Core i7 และมีฟีเจอร์ quick charge ชาร์จแบตได้รวดเร็วกว่าเดิม
ของใหม่อื่นๆ คือเว็บแคมแบบ Full HD MIPI ภาพคมชัด ไมค์ตัดเสียงรบกวนสำหรับยุคประชุมออนไลน์, รองรับ Wi-Fi 6E และพอร์ต Thunderbolt 4 สองพอร์ต เลือกใส่ตัวสแกนลายนิ้วมือเพิ่มได้ ราคาเริ่มต้น 749.99 ดอลลาร์
นอกจากโน้ตบุ๊กสาย x86 แล้ว Acer ยังมี Chromebook Tab 510 แท็บเล็ต 10.1" พลัง Arm ใช้ซีพียู Snapdragon 7c Gen 2 มีรุ่นใส่ซิมรองรับ 4G LTE แบตเตอรี่อยู่ได้ 10 ชั่วโมง และมีปากกา USI stylus พร้อมช่องเก็บในตัว ราคาเริ่มต้น 399.99 ดอลลาร์
ที่มา - Acer |
# PyTorch รองรับ Apple Silicon เต็มตัว ฝึกปัญญาประดิษฐ์เร็วขึ้น 6-8 เท่า
PyTorch เฟรมเวิร์คปัญญาประดิษฐ์ประกาศเตรียมรองรับ API กราฟิก Metal ใน macOS ทำให้สามารถเร่งความเร็วด้วย Apple Silicon ได้เต็มรูปแบบ ทำให้การรันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ทั้งการฝึกโมเดลและการใช้งานโมเดลประสิทธิภาพดีขึ้นมาก การฝึกโมเดลเร็วขึ้น 6-8 เท่า ขณะที่การรันโมเดลประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า 20 เท่าตัวในบางกรณี
การเร่งความเร็วใช้ Metal Performance Shaders (MPS) มาทำงานเบื้องหลัง ความได้เปรียบสำคัญของ Apple Silicon คือ unified memory ที่ใช้หน่วยความจำรวมกันทั้งกราฟิกและซีพียู ทำให้ไม่เสียเวลาโอนข้อมูลไปมา และสามารถประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่บนวงจรกราฟิกได้
เริ่มใช้งานได้ใน PyTorch 1.12 หรือหากต้องการทดสอบเลยก็สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่น nightly มาใช้งานได้เลย
ที่มา - PyTorch |
# ดีแทค-มูลนิธิชัยพัฒนา-เนคเทค ร่วมมือวิจัยเพาะ “เห็ดหลินจือ” ในฤดูหนาวเลขตัวเดียวสำเร็จด้วย 5G คลื่น 700 MHz
เทคโนโลยีเกาะติดศึกษาเชิงลึกการเติบโตสายพันธุ์เห็ดหลินจือ
นำ 5G เชื่อมต่อ IoT และ Machine Leaning สร้างความต่างเพิ่มความแม่นยำเพาะปลูก
แก้ปัญหาความยากจนเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่อากาศหนาวเย็น
ดีแทค ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา และเนคเทค สวทช. คิดค้นโครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะกรณีศึกษาเห็ดหลินจือ นำเทคโนโลยี 5G คลื่น 700 MHz พร้อม IoT และ Machine Leaning ตอบโจทย์เพาะเห็ดหลินจือในฤดูหนาวเลขตัวเดียวสำเร็จ พร้อมนำองค์ความรู้มาพัฒนาการทำเกษตรแม่นยำ เก็บดาต้าปัจจัยแวดล้อม ลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค สู่การควบคุมโรงเรือน ตั้งทุกค่า คำนวณเหมาะสมสภาพแวดล้อมเพาะปลูก ดึงธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติร่วมทดสอบและวิจัย เตรียมเผยแพร่องค์ความรู้ต่อเกษตรกรในพื้นที่หนาวเย็น ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
เห็ดหลินจือมีคุณภาพทางโภชนาการและยาสูงมาก โดยเห็ดหลินจืออบแห้งมีมูลค่าประมาณกิโลกรัมละ 2,000 บาท และสำหรับสปอร์เห็ดหลินจือมีมูลค่าสูงถึงประมาณกิโลกรัมละ 20,000 บาท สามารถเพาะได้ดีในอุณหภูมิ 25-28 องศาเซลเซียส แต่ไม่สามารถเติบโตได้ในฤดูหนาวเลขตัวเดียว ซึ่งภาคเหนือของไทยระหว่างเดือน พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิในฤดูหนาวอาจจะลดลงอยู่ที่ 7-10 องศาเซลเซียส ทำให้ไม่สามารถเพาะเห็ดหลินจือได้ ดังนั้น ถ้าคิดค้นวิธีการเพาะปลูกในอากาศหนาวดังกล่าวได้จะสามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาให้กับเกษตรกรไทย
ดีแทค-มูลนิธิชัยพัฒนา-เนคเทค จึงได้ร่วมมือทดลองเพาะเห็ดหลินจือในฤดูหนาว ในโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงของมูลนิธิชัยพัฒนา ต.โป่งน้ำร้อน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ด้วยเทคโนโลยี 5G และการนำเทคโนโลยี Machine Learning มาใช้ร่วมกับ IoT ซึ่งจะมีการเก็บดาต้าภาพถ่าย ขนาด รูปร่าง สี ตลอดช่วงการเจริญเติบโตด้วยระบบกล้องบันทึกภาพความละเอียดสูง รวบรวมเป็นฐานข้อมูลและใช้โปรแกรมวิเคราะห์ภาพ ที่จะพัฒนาการเพาะเห็ดหลินจือได้แม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งคาดการณ์สภาพแวดล้อม ปรับสภาพความเหมาะสม อากาศ อุณหภูมิ ความชื้น แสง และยังอัปเดตชุดข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถจัดการได้ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพื่อพัฒนาการเกษตรที่จะมีผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น พร้อมทั้งเป็นการสร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย
อนุตรา วรรณวิโรจน์ ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาเกษตรกรรมบนพื้นที่สูงของมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า “การพัฒนาการเกษตรในปัจจุบันจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง นำมาสู่แนวคิดแผนการพัฒนาโครงการฯ นำเทคโนโลยีเข้าในปรับใช้ในการเกษตรในหลากหลายมิติ เช่น การจัดการผลิตพืช การใช้พลังงาน และการตลาด เพื่อให้สอดรับกับความท้าทายทางการเกษตรในอนาคต โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมูลนิธิชัยพัฒนา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ตสรรพสิ่งหรือ IoT จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในโรงเรือนและนำมาซึ่งความต่อเนื่องของผลผลิต”
ประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทคโนโลยี บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เรานำความรู้ด้านเทคโนโลยี 5G ที่สร้างความแตกต่างและมีความแม่นยำสูงใช้ในการศึกษาเชิงลึกการเติบโตสายพันธุ์เห็ดหลินจือ โดยดีแทคมีส่วนร่วมออกแบบและวางแผนติดตั้งระบบเซนเซอร์ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมถึงการติดตั้งและดูแลเสาสัญญาณเพื่อขยายพื้นที่การสัญญาณเครือข่าย 5G บนคลื่นความถี่ 700 MHz นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนโครงสร้างระบบฐานข้อมูลบนคลาวด์ เพื่อเก็บข้อมูลปัจจัยเพาะปลูก ตลอดจนจัดทำแอปพลิเคชันแสดงผลภาพถ่ายหน้าจอมือถือ เพื่อให้สะดวกในการดูแลและบริหารจัดการ”
“ดีแทคนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ประโยชน์ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีความจำเป็นในการเพิ่มเติมองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาผลิตภาพทางการผลิต นอกจากนี้ ยังคาดหวังในผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรที่ยากจน โดยนำองค์ความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการเกษตรต่างๆ โดยเฉพาะการเพาะปลูกพืชผลในโรงเรือนที่มีมูลค่าสูงอย่างเห็ดหลินจือ ที่ตลาดมีความต้องการสูง เป็นการนำเทคโนโลยีมาตอบโจทย์คุณภาพชีวิต สร้างรายได้และกำไรให้เกษตรกร” นายประเทศ กล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวได้ดำเนินมาสู่โครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ กรณีศึกษาเห็ดหลินจือ ระยะที่ 3 พร้อมการนำเทคโนโลยี 5G สู่การควบคุมสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการเพาะเห็ดหลินจือในช่วงเดือนธันวาคม 2564 – กุมภาพันธ์ 2565 ส่งผลให้เห็ดหลินจือออกดอก และสามารถดักสปอร์ซึ่งเป็นผลผลิตหลักของตลาดได้สำเร็จ ถือเป็นการก้าวไปอีกขั้นของโครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะในการพิชิตโจทย์ความท้าทายอันเกิดจากธรรมชาติ
ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) กล่าวเสริมว่า จากผลการศึกษาในระยะที่ 1 และ 2 ทางคณะทำงานเห็นสมควรให้ทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการก่อน โดยเนคเทค ได้ติดตั้งอุปกรณ์เซนเซอร์ และระบบอัตโนมัติเพื่อการเกษตร ได้แก่ เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้น และความเข้มแสง โดยทำการรับ-ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไปยัง IoT Cloud Platform เพื่อติดตาม ควบคุมสั่งการระบบต่าง ๆ ภายในโรงเรือน ผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รวมถึงนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาใช้วิเคราะห์จำลองสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเห็ดหลินจือ และทดสอบปัจจัยต่างๆ ภายในตู้ควบคุมหรือ Growth Chamber ขนาด 100 ก้อน พบว่าเราได้ข้อมูลสำคัญที่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมตามความต้องการ และโรงเรือนขนาดเล็กขนาด 400-500 ก้อน เพื่อศึกษาปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสม และนำไปประยุกต์ใช้ในโรงเรือนเพาะเห็ดหลินจือขนาดใหญ่ ซึ่งจะขยายความรับผิดชอบนี้ให้แก่ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ หรือ National Biobank of Thailand ภายใต้กำกับดูแลของ สวทช. ที่มีองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ เข้าร่วมในการศึกษาวิจัยให้ได้ข้อมูลปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มผลผลิตของเห็ดหลินจือนอกฤดูกาลอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับปรับปรุงกระบวนการสู่การดำเนินงานโครงการในระยะที่ 3 ให้หมาะสมมากยิ่งขึ้น และการใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ เข้ามาช่วยสนับสนุน อย่างเช่น AI ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ ขยายผลไปสู่เกษตรกรเพื่อช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ในระยะยาว
“สำหรับโครงการความร่วมมือทางด้านวิจัยที่เกิดขึ้น ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญของการเตรียมพร้อมงานวิจัยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะแห่งอนาคต ภายใต้ความท้าทายในยุคดิจิทัล ที่ข้อมูลถือเป็นหัวใจ AI เป็นสมองช่วยคิดวิเคราะห์ เครือข่าย (Network) เป็นเส้นเลือดใหญ่ในการส่งผ่านข้อมูล ดังนั้น การได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างมูลนิธิชัยพัฒนาและดีแทคจะทำให้เกิดระบบนิเวศน์ของการใช้เทคโนโลยีที่ก่อประโยชน์ต่อคนหมู่มาก เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้สอดรับกับวิสัยทัศน์ของเนคเทคที่ต้องการเป็นฐานรากสำคัญด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงของประเทศ” |
# Acer เปิดตัวโน้ตบุ๊กธุรกิจ TravelMate P4 และ P2, ฝังชิปความปลอดภัย Microsoft Pluton
Acer ออกโน้ตบุ๊กธุรกิจซีรีส์ TravelMate P4 และ P2 ตามรอบซีพียูโน้ตบุ๊กของอินเทลและเอเอ็มดี ดังนี้
Acer TravelMate P4 โน้ตบุ๊กสายมาตรฐาน มีทั้งหน้าจอ 14" และ 16" เลือกได้ซีพียูอินเทล 12th Gen Core vPro หรือเอเอ็มดี Ryzen 7 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 1,099 ดอลลาร์
Acer TravelMate Spin P4 โน้ตบุ๊กจอสัมผัส พับจอเป็นแท็บเล็ตได้ มีให้เลือกขนาดหน้าจอ 14" ตัวเดียว ราคาเริ่มต้น 1,199 ดอลลาร์
Acer TravelMate P2 โน้ตบุ๊กธุรกิจราคาย่อมเยา มีหน้าจอ 14" และ 15.6" มีแต่ซีพียูอินเทล ราคาเริ่มต้น 899 ดอลลาร์
ประเด็นที่น่าสนใจคือ TravelMate P4 และ TravelMate Spin P4 รุ่นที่ใช้ซีพียู Ryzen Pro จะฝังชิปความปลอดภัย Pluton ที่ไมโครซอฟท์ออกแบบมาให้ด้วยเลย (ตามข่าวของเอเอ็มดีก่อนหน้านี้) ทำให้ TravelMate ถือเป็นโน้ตบุ๊กรุ่นแรกๆ ที่เริ่มนำ Pluton มาใช้งานจริงแล้ว (ก่อนหน้านี้มี Lenovo และ Dell บางรุ่นเริ่มฝังมาแล้วเช่นกัน)
ที่มา - Acer, Microsoft |
# Disney+ จะไม่ยิงโฆษณาใส่เด็กอายุ 3-5 ปี และจะไม่ทำ Targeting กับผู้ชมวัยเด็ก
สำนักข่าว TechCrunch ได้รับการยืนยันจาก Disney ว่า หากบริการ Disney+ เปิดตัวแพ็คเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาระหว่างรับชม ตัวแพ็คเกจจะไม่มีการยิงโฆษณาในรายการที่มีเนื้อหาเหมาะกับ Preschooler หรือเด็กวัย 3-5 ปี และจะไม่มีการทำ Targeting หรือโฆษณาที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนเด็ดขาด
นอกจากนี้ Disney ยังยืนยันว่า แพ็คเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาระหว่างรับชมจะจำกัดโฆษณาให้เฉลี่ยที่ 4 นาที/ชม. โดยแพ็คเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2022 ก่อนขยายไปในตลาดอื่น ๆ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า แพ็คเกจนี้มีราคาเท่าไร
ในทางกลับกัน หากแพ็คเกจราคาประหยัดเริ่มให้บริการ Disney จะมีการขึ้นราคาแพ็คเกจปัจจุบันที่ไม่มีโฆษณาขั้น ราคา 8 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน เพื่อเติบโตได้ตามเป้าหมาย ทั้งในมุมรายได้ และจำนวนผู้ใช้ โดยบริษัทตั้งเป้าจำนวนผู้ใช้ Disney+ ที่ 230-260 ล้านคน ภายในปี 2024
อ้างอิง // Engadget |
# ผลสำรวจชี้ สมาชิก Netflix ยกเลิกบริการมีจำนวนมากขึ้นเยอะในไตรมาส 1/2022
เว็บข่าวไอที The Information อ้างรายงานการสำรวจข้อมูลจากบริษัท Antenna ระบุว่าสมาชิก Netflix ยกเลิกบริการในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากเดิม
สถิติของ Antenna ระบุว่าการยกเลิกสมาชิกในไตรมาส 1/2022 มีจำนวน 3.6 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนๆ หน้าที่เฉลี่ยอยู่ราว 2.4-2.6 ล้านรายต่อไตรมาส
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ สัดส่วนของสมาชิกที่สมัครมานานๆ แล้วยกเลิก (สีเทาในชาร์ท) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย โดยสัดส่วนสมาชิกที่อยู่มานานเกิน 3 ปีแล้วยกเลิก เพิ่มสูงจาก 5% ในไตรมาส 1/2020 มาเป็น 10% ในไตรมาส 1/2021 และเพิ่มเป็น 13% ในไตรมาส 1/2022 ซึ่งถือเป็นสัญญาณไม่ดีนักสำหรับบริษัท
Antenna ประเมินว่าการยกเลิกสมาชิก Netflix มีผลมาจากทั้งสตรีมมิ่งคู่แข่งที่เพิ่มจำนวนขึ้น บริษัทหนังยักษ์ใหญ่ทั้ง NBCUniversal หรือ Disney ถอดหนังจาก Netflix ไปอยู่บนบริการสตรีมของตัวเอง ในขณะที่หนังหรือซีรีส์ออริจินัลของ Netflix ก็ไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่อง Netflix ขึ้นราคาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ที่มา - The Information via 9to5mac |
# Acer เพิ่มสินค้าตระกูลรักษ์สิ่งแวดล้อม Vero ครอบคลุมหน้าจอ และอุปกรณ์เสริม
Acer เพิ่มจำนวนสินค้าตระกูล Vero ที่เน้นเรื่องการรักษ์สิ่งแวดล้อม ไล่ตั้งแต่เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ AIO, มอนิเตอร์, เมาส์ และคีย์บอร์ด รวมถึง โปรเจคเตอร์ จากเดิมที่สินค้าในตระกูลนี้มีเพียงกลุ่มโน้ตบุ๊กเท่านั้น โดยทั้งหมดนี้จะวัสดุที่ย่อยสลาย และนำมาใช้ใหม่ได้ทั้งตัวอุปกรณ์ และบรรจุภัณฑ์
สำหรับคอมพิวเตอร์แบบ AIO จะมาในชื่อรุ่น Veriton Vero ใช้หน้าจอขนาด 24 นิ้วแบบ IPS มาพร้อมขาดตั้ง และสามารถติดตั้งตัวเครื่องกับกำแพงได้ ในรุ่นสูงสุดติดตั้งซีพียู Intel Core i9 Gen 12 การ์ดจอ GeForce MX550 แรมสูงสุด 64 GB ตัวเครื่องใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้งานใหม่ได้ 30% ส่วนบรรจุภัณฑ์สามารถรีไซเคิลได้ 100%
ส่วน Vero Monitor จะมี 2 รุ่นคือขนาด 23.8 นิ้ว และ 27 นิ้ว แบบ IPS ความละเอียด Full HD ทั้งคู่ใช้พลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้ในสัดส่วน 85% ของชิ้นส่วนในเครื่อง และใช้พลาสติกที่ถูกทิ้งในทะเลอีก 5% สามารถจ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยพอร์ต USB-C ที่หน้าจอ
ด้าน โปรเจคเตอร์ จะใช้ชื่อรุ่น Vero PD2325W ใช้พลาสติกที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ในสัดส่วน 50% ของชิ้นส่วนในเครื่อง และบรรจุภัณฑ์สามารถรีไซเคลิได้ 85% ใช้หลอดไฟ LED ที่มีอายุการใช้งาน 30,000 ชม. นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ด และเมาส์ ที่ทำจากพลาสติกที่นำกลับมาใช้งานใหม่ได้ในสัดส่วน 65% และพลาสติกถูกทิ้งจากทะเลอีก 30%
สุดท้าย Acer ยังเปิดตัวโน้ตบุ๊กตระกูล Vero ในชื่อ Aspire Vero มี 2 ขนาดคือ 14 และ 15 นิ้ว ใช้แทรคแพดแบบ OceanGlass ที่ทำจากพลาสติกถูกทิ้งในทะล ส่วนตัวเครื่องทำจากพลาสิกที่นำกลับมาใช้งานใหม่ได้ 30% มากับซีพียู Intel Gen 12 ใช้ Intel Iris Graphic และสามารถจ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อปิดเครื่องได้
สินค้าทั้งหมดจะทยอยจำหน่ายตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2022 และมีราคา รวมถึงช่วงเวลาวางจำหน่ายตามแต่ละภูมิภาคกำหนด
อ้างอิง // Acer |
# กูเกิลย้ายพนักงานออกจากรัสเซีย หลังถูกอายัดบัญชีจนจ่ายเงินเดือนไม่ได้
Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนระบุว่ากูเกิลกำลังโยกย้ายพนักงานในรัสเซียออกนอกประเทศจำนวนมาก และคาดว่าในอีกไม่นานนี้สำนักงานกูเกิลในรัสเซียจะไม่เหลือพนักงานอีกแล้ว
พนักงานจำนวนมากย้ายไปทำงานในสำนักงานดูไบ ส่วนพนักงานที่ไม่ต้องการย้ายก็ลาออกไป โดยกูเกิลปิดสำนักงานด้านวิศวกรรมในรัสเซียไปตั้งแต่ปี 2014 แต่ยังมีธุรกิจขายโฆษณาในรัสเซียอยู่
กูเกิลระบุว่าจะให้บริการออนไลน์ เช่น Search, Maps, YouTube, และ Gmail รัสเซียต่อไป
ที่มา - Wall Street Journal |
# เปิดตัวเกมยุทธการทหารภาคใหม่ Arma Reforger และ Arma 4 สองภาคพร้อมกัน
Bohemia Interactive เปิดตัว Arma Reforger เกมยุทธการทหารเสมือนจริงภาคใหม่ของแฟรนไชส์ Arma พร้อมจำหน่ายบน PC ผ่าน Steam ในรูปแบบ Early Access ราคา 499 บาท และ Xbox SERIES S|X นอกจากนี้ทางผู้พัฒนายังเปิดเผยรายละเอียดของ Arma 4 ภาคหลักใหม่จริง ๆ ของแฟรนไชส์นี้
สำหรับ Arma Reforger ตัวเกมจะดำเนินเนื้อเรื่องในช่วงสงครามเย็น และอยู่บนเกาะ Everon ที่มีขนาด 52 ตร.กม. พื้นที่เดียวกับตัวเกมภาคแรก Arma: Operation Flashpoint ที่สำคัญคือคงรายละเอียด และรูปแบบการเล่นที่สมจริงกว่าเกมยุทธการทหารอื่น ๆ ในตลาดเช่นเดิม
Bohemia Interactive ย้ำว่า Arma Reforger คือก้าวแรกของการไปสู่ Arma 4 รวมถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้กับแฟรนไชส์นี้ และเป็นแพลตฟอร์มเกมที่ผู้เล่นสามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระในอนาคต นอกจากนี้ยังเปิดเผยตัวอย่างของเกม Arma 4 ภาคต่อจากเกม Arma 3 ที่เปิดตัวเมื่อปี 2013
อ้างอิง // Kotaku |
# [ลือ] Naughty Dog กำลังรีเมค The Last of Us ภาคแรกลง PS5 วางขายปลายปี 2022
Jeff Grubb นักข่าวสายเกมของเว็บไซต์ VentureBeat ให้ข้อมูลผ่านพ็อดแคสต์ของเขาว่า เราจะได้เห็นการรีเมค The Last of Us ภาคแรกมาลง PS5 และวางจำหน่ายช่วงปลายปี 2022
เกม The Last of Us ภาคแรกวางขายในปี 2013 บนเครื่อง PS3 และถูกนำมารีมาสเตอร์ขายบน PS4 ในปี 2014 โดยเกมประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งเรื่องคะแนนวิจารณ์ (เฉลี่ย 95/100) และยอดขาย (ตัวเลขที่เปิดเผยล่าสุดคือ 17 ล้านชุด)
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาหลายรอบว่า สตูดิโอต้นสังกัด Naughty Dogs กำลังรีเมคเกมเก่าของตัวเองอยู่ ซึ่งข้อมูลล่าสุดคือ The Last of Us
ที่มา - VGC |
# Windows 11 Insider เพิ่มกล่องค้นหาเว็บบนเดสก์ท็อป ไมโครซอฟท์บอกเป็นการลองไอเดีย
ไมโครซอฟท์ออก Windows 11 Insider Preview Build 25120 ลงใน Dev Channel มีการเปลี่ยนแปลงน่าสนใจคือ ทดลองเพิ่มช่องค้นหาเว็บบนเดสก์ท็อป (สามารถปิดได้ถ้าไม่ต้องการ)
ไมโครซอฟท์อธิบายว่าฟีเจอร์เหล่านี้เป็นการทดลองคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ ซึ่งอาจไม่ต้องนำมาใช้จริงๆ ก็ได้ ขึ้นกับเสียงตอบรับจากกลุ่มผู้ทดสอบ ในกรณีนี้ไมโครซอฟท์ต้องการลองเพิ่ม interactive content บางอย่างลงบนเดสก์ท็อป จากในปัจจุบันที่ต้องดูในหน้า Widgets ของ Windows 11 เพียงอย่างเดียว
ที่มา - Microsoft |
# Battlefield 2042 ยกเลิกโหมด Breakthrough 128 คน ปรับเหลือ 64 คน หวังดึงแฟนๆ กลับมา
EA ออกแพตช์เวอร์ชัน 4.1 ให้เกม Battlefield 2042 ภาคล่าสุด การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือปิดการเล่นมัลติเพลเยอร์แบบ 128 คน ที่เคยเป็นจุดขายหนึ่งของเกมภาคนี้ โดยลดจำนวนผู้เล่นต่อแผนที่ลงมาเหลือ 64 คนแทน
การปิดโหมด 128 คนยังมีผลเฉพาะการเล่นโหมด Breakthrough เท่านั้น ส่วนโหมด Conquest จะยังมีอยู่เหมือนเดิม ด้วยเหตุผลว่าเหมาะกับเกมเพลย์แบบ Conquest มากกว่า
EA อธิบายว่าเกมโหมด Breakthrough เหมาะกับการเล่นแบบ 64 คนมากกว่า ผู้เล่นสามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ประสบการณ์ของผู้เล่นกลับมาดีขึ้นกว่าเดิม
Battlefield 2042 เป็นเกมที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จากปัญหาคุณภาพของเกม ที่ทั้งมีบั๊กเยอะ และขาดแคลนฟีเจอร์พื้นฐานหลายอย่าง ซึ่ง EA ก็พยายามปรับแก้มาเรื่อยๆ และแพตช์ล่าสุดเป็นความพยายามในการกู้ศรัทธาของแฟนๆ กลับคืนมา
ที่มา - Battlefield via IGN |
# Instagram ปรับสีโลโก้ให้สว่าง และดูนูนขึ้น ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ยังคงเดิม
Instagram มีการปรับสีโลโก้ให้สว่างขึ้นเล็กน้อย และมีความนูนกว่าเดิม โดยทางแพลตฟอร์มยังไม่มีการแจ้งรายละเอียดถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่สุดท้ายมีผู้ใช้จำนวนหนึ่งสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ และออกมาแสดงความไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพราะตัวโลโก้ดูมีสีสว่างจนเกินพอดี
อย่างไรก็ตามยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ไม่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ (ตัวผู้เขียนคือหนึ่งในนั้น) เนื่องจากรายะเอียดอื่น ๆ เช่น การออกแบบ หรือการวางสีแทบจะเหมือนกับโลโก้ก่อนหน้านี้ แตกต่างกับช่วงก่อนหน้า Meta ซื้อกิจการ Instagram ไปเมื่อปี 2012 และจัดการเปลี่ยนโลโก้จากที่คล้ายกล้องถ่ายภาพเป็นแบบปัจจุบัน
นับถึงสิ้นเดือน เม.ย. 2022 Instagram มีผู้ใช้งานอย่างน้อย 1,452 ล้านบัญชีทั่วโลก หรือเทียบเท่ากับ 18% ของจำนวนประชากรโลก
อ้างอิง // Distractify, Data Reportal
ภาพจาก Pexels |
# iTunes for Windows อัพเดตเวอร์ชัน 12.12.4 แก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย
แอปเปิลออกอัพเดต iTunes เวอร์ชัน 12.12.4 บน Windows โดยเป็นการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยหลายรายการ
รายละเอียดช่องโหว่ที่แอปเปิลระบุ ได้แก่ AppleGraphicsControl, ImageIO, Mobile Device Service และ WebKit ซึ่งผู้โจมตีอาจใช้ในการเข้าถึงอย่างไม่ถูกต้องได้
แอปเปิลไม่ได้ระบุว่าช่องโหว่ดังกล่าวมีการโจมตีแล้วหรือไม่ อย่างไรก็ตามผู้ที่ยังใช้ iTunes ก็ควรอัพเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันปัญหา โดยอัพเดตได้ผ่าน iTunes และ Microsoft Store
ที่มา: MacRumors |
# Cisco ไตรมาสล่าสุด Lockdown ในจีน และสถานการณ์ยูเครน มีผลกระทบรายได้
Cisco รายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่ 3 ตามปีการเงินบริษัท 2022 สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2022 มีรายได้รวม 12,835 ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันในปี 2021 และมีกำไรสุทธิตามบัญชี GAAP 3,044 ล้านดอลลาร์
Chuck Robbins ซีอีโอ Cisco ระบุว่าแม้สถานการณ์ล็อกดาวน์ในจีน และสงครามในยูเครน ส่งผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาสที่ผ่านมา แต่พื้นฐานบริษัทยังแข็งแกร่ง ความต้องการสินค้ายังคงมี จึงมีความมั่นใจในระยะยาว
เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมในช่วงแถลงผลประกอบการว่าสถานการณ์ในยูเครน กระทบต่อรายได้ราว 200 ล้านดอลลาร์ ต้นทุนการขายเพิ่มขึ้น 5 ล้านดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น 62 ล้านดอลลาร์ ส่วนการล็อกดาวน์ในจีน กระทบต่อปัญหาชิ้นส่วนในการผลิตขาดแคลน
รายได้แยกตามกลุ่มธุรกิจหลักของ Cisco เป็นดังนี้ Secure, Agile Networks (สวิตช์, อุปกรณ์ในองค์กร) รายได้ 5,869 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4%, Internet for the Future (Optical Network, 5G, Silicon) 1,324 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6%, Collaboration 1,132 ล้านดอลลาร์ ลดลง 7% และ Services 3,387 ล้านดอลลาร์ ลดลง 8%
ที่มา: Cisco |
# Amazon อัพเดตแท็บเล็ต Fire 7 ใช้ USB-C ทำงานเร็วขึ้น 30%
Amazon ประกาศอัพเดตแท็บเล็ต Fire 7 รุ่นใหม่ ที่มีสเป็กดีขึ้น เปลี่ยนมาใช้ USB-C ยังคงเป็นรุ่นราคาถูกที่สุดในตระกูลแท็บเล็ต Amazon Fire
โดยการทำงาน Amazon บอกว่าเร็วขึ้น 30% เทียบกับ Fire 7 รุ่นปี 2019 แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 10 ชั่วโมง และระบุว่าทดสอบความทนทานดีกว่า iPad mini รุ่นล่าสุด 2 เท่าตัว
ราคาขายเริ่มต้นที่ 59.99 ดอลลาร์ แพงขึ้น 10 ดอลลาร์ จากรุ่นปี 2019 มีให้เลือก 3 สี คือ ดำ เดนิม และโรส พรีออเดอร์ได้ทาง www.amazon.com/fire7 เริ่มจัดส่ง 29 มิถุนายน เป็นต้นไป
ที่มา: ZDNet |
# Envoy ร่วมมือ Contour/Emissary พัฒนา Envoy Gateway รองรับ Gateway API ใน Kubernetes
ส่วนประกอบต่างๆ ใน Kubernetes นั้นที่ผ่านมามักมีการอิมพลีเมนต์จากหลายค่ายมาแข่งกัน เช่น Ingress ที่มีเว็บเซิร์ฟเวอร์หลายค่ายสร้างมาให้ถอดเปลี่ยนกันได้ แต่ใน Gateway API ที่กำลังพัฒนา โครงการใหญ่ 3 โครงการ คือ Envoy, Contour, และ Emissary ก็เตรียมร่วมมือกันพัฒนา Envoy Gateway ตัวเดียว
Gateway API จะเทียบเคียงกับ Ingress หรือ Load Balancer ที่ใช้งานกันอยู่ตอนนี้ แต่ปรับแต่งแยกส่วนกันได้มากขึ้น ตัว Gateway สามารถควบคุมนโยบายการเชื่อมต่อ ขณะที่แบ่งส่วนต่างๆ เป็น Route ให้ทีมพัฒนาแอปแต่ละส่วนควบคุมอิสระ โดยสามารถแยกกันคนละ namespace ในคลัสเตอร์ได้ ทำให้แบ่งสิทธิ์กันชัดเจน
ตอนนี้มีโครงการจำนวนมากกำลังอิมพลีเมนต์ Gateway API เช่น Kong, HAProxy, Istio, nginx ทาง VMware ระบุว่าหลังจากนี้จะโยกนักพัฒนาที่กำลังพัฒนา Gateway API บน Contour ไปร่วมมือกับ Envoy แทน
ตอนนี้ Gateway API ยังอยู่ในสถานะ alpha 4 ทำให้ผู้ใช้ Kubernetes น่าจะไม่เห็นการใช้งานเป็นวงกว้าง รวมถึงนโยบาย Kubernetes ในช่วงหลังจะปิด API เป็นค่าเริ่มต้นแม้จะเข้าสถานะ beta ทำให้อาจจะต้องรอกันอีกพักใหญ่กว่าจะเริ่มเห็นการใช้งานจริง ส่วน API เดิมอย่าง Ingress ตอนนี้ก็ไม่มีแผนที่จะถอดออกแต่อย่างใด ก็น่าจะใช้งานไปได้อีกนาน
ที่มา - Envoy, VMware |
# Dead by Daylight ออกภาคแยก Hooked on You เกมแนวจีบ Killer วางขายไตรมาส 3 ปีนี้
Dead by Daylight ประกาศออกเกมภาคแยก (Spin-off) ใช้ชื่อว่า Hooked on You: A Dead by Daylight Dating Sim เปลี่ยนจากเกมแนวสยองขวัญเอาตัวรอดสู่เกมจีบ Killer มี Killer 4 ตัวให้ผู้เล่นได้จีบคือ The Wraith, The Spirit, The Huntress และ The Trapper
ตัวเกมจะดำเนินในลักษณะ Visual Novel กล่าวคือ ผู้เล่นสามารถพูดคุย และเลือกคำตอบที่ตัวเองต้องการเพื่อกำหนดเนื้อเรื่อง และรูปแบบการจีบ Killer ข้างต้น ถือเป็นการเรียนรู้ประวัติ และลักษณะนิสัยของ Killer เหล่านี้มากขึ้น และเข้าใจเนื้อเรื่องของอาณาจักร Dead by Daylight ได้ดีกว่าเดิม
สำหรับเกม Hooked on You: A Dead by Daylight Dating Sim ยังไม่กำหนดวันวางจำหน่าย และราคา มีเพียงการแจ้งว่าจะขายบน Steam ในช่วงหน้าร้อนของปีนี้ (ปลายเดือน ก.ค.-ปลายปเดือน ก.ย.) ถูกพัฒนาโดยทีม Psyop ที่ก่อนหน้านี้เคยทำ I Love You, Colonel Sanders! A Finger Lickin’ Good Dating Simulator เกมจีบผู้พันธ์แซนเดอร์ของ KFC มาแล้ว
อ้างอิง // Game Informer |
# กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย เข้าถือหุ้นนินเทนโด 5%
Public Investment Fund (PIF) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign wealth fund) ของประเทศซาอุดีอาระเบีย เข้าถือหุ้นในนินเทนโด 5% ถือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 5 ของบริษัทแล้ว
PIF ถือเป็นกองทุนความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดกองหนึ่งของโลก และกระจายลงทุนในบริษัทจำนวนมากทั่วโลก ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือ เข้าลงทุนกับกองทุน SoftBank Vision Fund และการซื้อสโมสรฟุตบอล Newcastle United ของอังกฤษ
ช่วงหลัง บริษัทในเครือ PIF หันมาสนใจธุรกิจเกม ลงทุนในบริษัทเกมของสหรัฐหลายแห่ง, ซื้อลีกอีสปอร์ต ESL Gaming และเพิ่งซื้อหุ้นเกือบทั้งหมดของ SNK ไปเมื่อเดือนที่แล้ว
ภาพจาก PIF
ที่มา - Eurogamer |
# Final Fantasy XI ฉลองครบ 20 ปี ผู้กำกับยืนยันยังเปิดบริการต่อไป ไม่ปิดตามข่าวลือ
Yoji Fujito ผู้กำกับเกม Final Fantasy XI เกมออนไลน์ MMORPG ยุคแรกๆ ของ Square Enix ออกมาให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Famitsu ยืนยันว่า FFXI จะไม่ปิดบริการอย่างแน่นอน แม้ว่ามีข่าวลือในช่วงหลังออกมามากพอสมควร
FFXI เปิดบริการครั้งแรกในปี 2002 ปัจจุบันมีอายุครบ 20 ปีพอดี ช่วงนี้ Square Enix จึงมีกิจกรรมเฉลิมฉลองหลายอย่าง และมีการอัพเดตระบบอาวุธ Prime Weapons ในเกมให้ด้วย
ถึงแม้ช่วงหลังความสนใจของเกมเมอร์อาจไปอยู่ที่ FFXIV ที่ใหม่กว่าแทน แต่สุดท้ายแล้ว FFXI ก็ยังมีฐานแฟนๆ เหนียวแน่นอยู่ และถือเป็นเกมออนไลน์ที่เปิดมายาวนานที่สุดด้วย (แชมป์คือ Ultima Online ที่เปิดในปี 1997)
ที่มา - Siliconera via Eurogamer |
# หัวหน้าทีม Machine Learning แอปเปิลที่ลาออกเพราะต้องกลับเข้าออฟฟิศ ย้ายไป DeepMind
Bloomberg รายงานข่าวว่า Ian Goodfellow ผู้อำนวยการฝ่าย Machine Learning ของแอปเปิลที่เพิ่งลาออก ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะนโยบายของแอปเปิลให้กลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ ล่าสุดย้ายไปอยู่กับ DeepMind บริษัทลูกของ Alphabet แทนแล้ว
ตัวของ Goodfellow เองเคยเป็นนักวิจัยกับกูเกิลมาก่อนแล้วสองรอบ รอบแรกอยู่กับทีม Google Brain ก่อนย้ายไป OpenAI แล้วกลับมากับ Google Research จนถึงปี 2019 จึงย้ายไปอยู่กับแอปเปิล การกลับมารอบนี้ (ถึงแม้ไปอยู่กับ DeepMind ไม่ได้อยู่กับกูเกิลตรงๆ) ก็เป็นเหมือนการกลับบ้านเก่าของเขานั่นเอง
วันนี้แอปเปิลเพิ่งประกาศเลื่อนแผนการกลับออฟฟิศออกไป โดยอ้างว่าเป็นเพราะจำนวนผู้ป่วย COVID-19 กลับมาเพิ่มจำนวนขึ้น
ที่มา - Bloomberg |
# อวสานไข่ปลา? Instagram ทดสอบแสดง Stories สูงสุด 3 โพสต์ต่อคน แม้จะลงเยอะกว่านั้น
Phil Ricelle ผู้ใช้ Instagram จากบราซิล รายงานว่าเขาพบว่า Instagram กำลังทดสอบการแสดง Stories ของผู้ใช้งานแต่ละคนเพียงแค่ 3 โพสต์เท่านั้น แม้ผู้ใช้จะโพสต์มากกว่านั้นก็ตาม
Instagram ปัจจุบันให้ผู้ใช้งานแต่ละคนลงสตอรี่ได้มากที่สุด 100 โพสต์ ซึ่งในการทดสอบนี้ หากผู้ใช้งานต้องการดูสตอรี่ที่มากกว่า 3 โพสต์ที่ถูกเลือกมา จะต้องกด Show All เพื่อดูสตอรี่ที่เหลือ ไม่อย่างนั้นก็จะปัดไปที่สตอรี่คนถัดไปแทน
ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงนี้ น่าจะช่วยให้ผู้ใช้งานที่เจอคนลงสตอรี่ยาวเป็นชุดใหญ่ จะใช้เวลาได้น้อยลง ได้ดูเฉพาะโพสต์ที่ Instagram คัดมาแล้วว่าน่าจะสำคัญ เพื่อไปดูสตอรี่คนถัดไป
สถานะตอนนี้ยังเป็นการทดสอบ และไม่ชัดเจนว่า Instagram จะอัพเดตกับผู้ใช้ทุกคนหรือไม่
ที่มา: 9to5Mac |
# Tencent ไตรมาส 1 2022 รายได้ไม่เติบโต กำไรหาย 50% หนักที่สุดตั้งแต่ IPO ปี 2004
Tencent รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2022 มีรายได้รวม 1.35 แสนล้านหยวน หรือราว 6.92 แสนล้านบาท เท่ากับไตรมาส 1 ของปี 2021 ส่วนกำไรส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทยังลดลง 51% จากปีก่อน ถือเป็นอัตรากำไรที่ลดลงมากที่สุดตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อปี 2004
ไม่ใช่แค่รายได้ที่ลดลง เพราะมูลค่ากิจการของ Tencent ยังลดลงอย่างหนัก หรือจากช่วงสูงที่สุดในเดือน ก.พ. 2021 ที่ 7.3 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 32 ล้านล้านบาท ลงมาเหลือ 4.51 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 1.98 ล้านล้านบาท
หากเจาะไปที่แต่ละธุรกิจของ Tencent จะพบว่า ธุรกิจโฆษณามีรายได้ลดลง 18% ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้านี้ที่ลดลง 13% เนื่องจากมีคู่แข่งอย่าง TikTok เข้ามาแย่งเม็ดเงินโฆษณา นอกจากนี้บริษัทหลากหลายอุตสาหกรรมต่างควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโฆษณาตั้งแต่โรค COVID-19 ระบาดจนถึงตอนนี้
ส่วนธุรกิจเกมของ Tencent ตลาดในประเทศจีนจะมีรายได้ลดลง 1% ส่วนตลาดนอกประเทศจีนเติบโต 4% เนื่องจากทางการจีนเข้ามาเข้มงวดธุรกิจออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งเกมคือหนึ่งในนั้น เพราะมองว่ามอมเมาเยาวชน ทำให้ Tencent ต้องหันไปทำตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป
อ้างอิง // Reuters |
# กลุ่มผู้ซื้อ PlayStation 5 ในประเทศไทยจำนวนหนึ่งถูก Sony ยกเลิกคำสั่งซื้อ
ทีมงาน Blognone ได้ตรวจสอบข้อมูลภายในกลุ่มเฟสบุ๊ก PlayStation 5 Thailand Group ที่มีสมาชิกกว่า 92,500 บัญชี พบว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2022 มีสมาชิกกลุ่มรายหนึ่งโพสต์ว่าถูก Sony ประเทศไทย ยกเลิกคำสั่งซื้อ PlayStation 5 หลังสั่งซื้อสำเร็จในรอบขายที่ 17 บนเว็บไซต์ Sony ประเทศไทย วันที่ 13 พ.ค. 2022
ผู้ใช้ดังกล่าวสั่งซื้อ PlayStation 5 แบบมีช่องอ่านแผ่นราคา 16,990 บาท นอกจากนี้ยังมีสมาชิกอีกเกือบ 10 รายเข้ามาโพสต์ว่าถูก Sony ประเทศไทย ยกเลิกคำสั่งซื้อเช่นเดียวกัน โดยบางรายบอกว่า สั่งซื้อสำเร็จเวลา 11.20 น. และบางรายใช้บัญชีใหม่ที่พึ่งสมัครเข้ามาเพื่อซื้อ PlayStation 5 ในรอบนี้โดยเฉพาะ
ถึงตอนนี้ยังไม่มีคำตอบอย่างเป็นทางการจาก Sony ประเทศไทย ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด และอนาคตจะมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ โดยสมาชิกกลุ่มจำนวนหนึ่งมีการคาดเดากันว่า ทาง Sony อาจป้องกันการใช้บอตที่ใช้บัญชีสมัครใหม่เข้ามาสั่งซื้อ PlayStation 5 แต่สุดท้ายมาตรการดังกล่าวอาจกระทบไปถึงผู้บริโภคทั่วไปด้วย
ล่าสุดมีสมาชิกกลุ่มรายหนึ่งที่ประสบปัญหาดังกล่าวติดต่อไปยัง Call Center ของ Sony ประเทศไทย และเขาได้คำตอบว่า ระบบตรวจสอบพบว่าเขาซื้อซ้ำ ซึ่งตัวเขายอมรับว่าซื้อซ้ำจริง ๆ และเครื่องแรกซื้อสำเร็จในการจองรอบแรก แต่ให้คนที่บ้านไปแล้ว จึงต้องการซื้อเครื่องใหม่ ผ่านการใช้คนละบัญชี แต่ที่อยู่การจัดส่งที่เดียวกับครั้งก่อน
อ้างอิง // กลุ่มเฟสบุ๊ก PlayStation 5 Thailand Group เป็นกลุ่มล็อค ต้องกดได้รับการอนุมัติให้เข้าก่อน |
# [เพิ่งมี] แอพ Microsoft Teams เปิดให้ดาวน์โหลดจาก Microsoft Store แล้ว
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แอพอย่าง Microsoft Teams ที่ไมโครซอฟท์ดันสุดตัว ไม่มีให้ดาวน์โหลดบน Microsoft Store มาก่อน (ต้องดาวน์โหลดเป็นไฟล์จากหน้าเว็บมาติดตั้งเอง)
วันนี้ไมโครซอฟท์นำ Teams ขึ้น Store แล้ว ในแง่การใช้งานคงไม่มีอะไรต่างกัน แต่ข้อดีคือการอัพเดตอัตโนมัติผ่าน Store ได้โดยตรง
หากใช้ Windows 11 จะมีความสับสนเล็กน้อย เพราะ Windows 11 มีแอพชื่อ Chat ที่ให้เราแชทคุยกับเพื่อนหรือครอบครัวผ่าน Teams แบบ Personal ฝังมาให้เลย แต่ Teams ตัวบน Store นี้ใช้งานได้เฉพาะบัญชีแบบทำงานเท่านั้น
ที่มา - NeoWin |
# NASA ประกาศกรอบเวลาใหม่ของจรวด Artemis I ไปดวงจันทร์ ตั้งเป้ายิงเดือนสิงหาคม 2022
NASA ประกาศกรอบเวลาใหม่ของการยิงจรวดตามภารกิจ Artemis I ในโครงการ Artemis ที่จะส่งมนุษย์ไปลงผิวดวงจันทร์อีกครั้ง
โครงการ Artemis แบ่งออกเป็น 3 ภารกิจคือ I ซ้อมส่งจรวดที่ไม่มีมนุษย์ไปวนรอบดวงจันทร์ (2022), II ซ้อมส่งจรวดที่มีมนุษย์ไปวนรอบดวงจันทร์ (2024) และ III พามนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์จริงๆ
ภารกิจ Artemis I มีกำหนดต้องขึ้นอวกาศในปี 2022 นี้ แต่ถูกเลื่อนมาแล้วหลายครั้งจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยทางเทคนิคของจรวดใหม่ Space Launch System (SLS) ที่ยังไม่พร้อมดี
กรอบเวลาใหม่ที่ NASA ประกาศเป็นกรอบกว้างๆ ครอบคลุมระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ 26 กรกฎาคม 2022 ไปจนถึงสิ้นครึ่งแรกของปี 2023 ซึ่งมีช่วงวันที่เหมาะกับการยิงจรวด (launch opportunities) แตกต่างกันไป จากปัจจัย ตำแหน่งขอวงดวงจันทร์, ตำแหน่งในการรับแสงอาทิตย์ของแผงโซลาร์ของยาน Orion ที่ส่งขึ้นไปด้วย, ช่วงเวลาที่เหมาะสมของ Orion ในการกลับสู่โลก นี่ยังไม่รวมปัจจัยอื่นๆ ทั้งเรื่องสภาพอากาศ และข้อจำกัดเรื่องจำนวนครั้งในการยิงจรวดขึ้นใหม่หากยิงรอบแรกไม่สำเร็จ
Bill Nelson ผู้อำนวยการ NASA ให้กรอบเวลาคร่าวๆ ว่าจะพยายามยิงจรวดตามภารกิจ Artemis I ให้ได้ในเดือนสิงหาคม แต่ถ้าขัดข้องก็ต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ
ที่มา - NASA, Ars Technica |
# แก้รถติดแบบแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี แนะนำเกมเล่นเป็นชัชชาติ แก้รถติดด้วยการกระดิกเท้า
กระแสการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ใกล้จะถึงโค้งสุดท้าย ผู้สมัครแต่ละรายต่างมีจุดขายของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ผู้คนบนโลกออนไลน์ต่างให้คำนิยามว่า แข็งแกร่ง ล่าสุด jetamp นักพัฒนารายหนึ่งได้พัฒนาเกมเล่นบนเว็บไซต์ชื่อว่า Chatman หรือ ชัชแมน ที่ให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็น อ. ชัชชาติ วางเท้าเพื่อแก้ปัญหารถติด
สำหรับการเล่นเกม Chatman ผู้เล่นสามารถเข้าไปเล่นได้ที่ลิงก์นี้ https://jetamp.itch.io/chatman ส่วนวิธีการเล่น ตัวเกมจะให้ผู้เล่นขยับเมาส์ขึ้นลงเพื่อยกเท้าของ อ. ชัชชาติ เพื่อแก้รถติด แต่ต้องระวังไม่ให้วางเท้าแรงเกินไป เพราะโลกจะแตกแทน
อ้างอิงจากเว็บไซต์ส่วนตัวของ jetamp จะพบว่า มีอีก 3 เกมที่เปิดให้เล่นได้ผ่านหน้าบราวเซอร์ นอกจากนี้ยังมีเกมที่วางขายใน Steam ชื่อเกมว่า Swinging-Man เกมยิงใยขาวขุ่น?! (อ้างอิงจากคำนิยามบนเว็บไซต์) ใครอยากไปลองเล่น Chatman หรือเกมอื่น ๆ ของ jetamp สามารถกดได้ที่ลิงก์นี้ครับ https://itch.io/profile/jetamp
อ้างอิง // jetamp |
# นกโกรธ Angry Birds บุกโลก Minecraft ผ่าน Angry Birds DLC
สองเกมดังแห่งยุคสมัยกำลังมารวมกัน โดยนกโกรธ Angry Birds เข้ามาอยู่ในโลกของ Minecraft ผ่าน Angry Birds DLC
นอกจากตัวละครนกและหมู (แบบเหลี่ยมๆ) ยังมีฉากพัซเซิลที่เป็นเอกลักษณ์ของเกม Angry Birds และการใช้สลิงยิงนกเข้าไปถล่มฐานแบบที่ผู้เล่นคุ้นเคย
DLC นี้เป็นผลงานของ Oreville Studios ที่เคยทำ DLC ของ Minecraft มาแล้วหลายชุด ร่วมกับ Rovio เจ้าของเกม Angry Birds
ที่มา - Minecraft |
# สหรัฐฯ เตือนคนไอทีเกาหลีเหนือปลอมเป็นคนชาติอื่น รับงานไอที เขียนแอปมือถือ, แพลตฟอร์มคริปโต, ซัพพอร์ต
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (Department of Treasury) ออกประกาศแจ้งเตือนว่าเกาหลีเหนือกำลังส่งออกแรงงานไอทีนับพันคน รับงานบริษัทต่างชาติโดยปิดบังสัญชาติที่แท้จริงของคนทำงานเพื่อหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรสหรัฐฯ
แรงงานไอทีเหล่านี้มักมีฐานรับงานอยู่นอกเกาหลีเหนือ เช่น จีน, รัสเซีย, บางส่วนอยู่ในแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาศัยการปลอมแปลงเอกสารประจำตัวว่าเป็นคนจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังตั้งบริษัทนอกเกาหลีเหนือเพื่อบังหน้า
งานที่แรงงานไอทีจากเกาหลีเหนือรับงานมีหลากหลาย เช่น การพัฒนาแอปและเว็บ, สร้างแพลตฟอร์มเงินดิจิทัล, ให้บริการไอทีซัพพอร์ต, ทำกราฟิก/อนิเมชั่น, พัฒนาเกม, สร้างแพลตฟอร์มพนันออนไลน์, ระบบปัญญาประดิษฐ์, งานพัฒนาฮาร์ดแวร์และเฟิร์มแวร์ โดยเกาหลีเหนือลงทุนกับการพัฒนาบุคลากรไอทีอย่างหนัก คาดว่าในช่วงรัฐบาลคิมจองอึนมีนักเรียนด้านไอทีจบจากมหาวิทยาลัยในเกาหลีเหนือมาแล้วประมาณ 30,000 คน
แรงงานเหล่านี้รับงานที่ในลักษณะฟรีแลนซ์ที่ได้รายได้สูง บางคนอาจจะมีรายได้ถึงปีละ 300,000 ดอลลาร์หรือกว่าสิบล้านบาท บางทีมรับงานได้ปีละ 3 ล้านดอลลาร์หรือร้อยล้านบาทเลยทีเดียว
แม้ว่าแรงงานเหล่านี้จะทำงานจริง และดูไม่ได้มุ่งร้ายกับองค์กรที่ไปรับงานนัก แต่ประกาศก็เตือนว่าแรงงานเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้ให้รัฐบาลเกาหลีเหนือไปพัฒนาอาวุธ และการจ้างแรงานเหล่านี้เป็นการละเมิดการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ
ที่มา - Department of Treasury |
# Azure เปิดบริการ DNS Private Resolver ตั้งชื่อโดเมนใช้ภายใน
ไมโครซอฟท์เปิดบริการ Azure DNS Private Resolver สำหรับการตั้งชื่อโดเมนให้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ เป็นการภายในเครือข่ายเอง จากเดิมที่ลูกค้าองค์กรต่างๆ ที่ต้องการมีระบบโดเมนภายในจะต้องสร้างเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้บริการ DNS ด้วยตัวเอง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องใช้ชื่อโดเมนที่ Azure ตั้งมาให้อัตโนมัติ
บริการนี้ต้องใช้คู่กับ Azure Virtual Network เท่านั้น โดยเมื่อเปิดบริการ DNS Private Resolver และกำหนด suffix (ท้ายโดเมน เช่น .private.example.com เพื่อระบุว่าเป็นบริการภายใน) เมื่อมีการขอ resolve DNS ที่ตรงเงื่อนไขเซิร์ฟเวอร์ก็จะพยายาม resolve จาก zone ภายในก่อน ขณะที่โดเมนอื่นๆ จะใช้บริการ DNS สาธารณะตามปกติ แนวทางนี้ทำให้ชื่อเครื่องภายในองค์กรไม่หลุดออกไปภายนอก ขณะเดียวกันก็ลดความยุ่งยากในการจัดการ DNS เอง
ตอนนี้บริการยังจำกัดเฉพาะบางเขตเท่านั้น ล่าสุดแถบเอเชียยังไม่เปิดบริการนี้
ที่มา - Azure |
# เผยโฉม Outlook for Windows ตัวใหม่ หน้าตาสวยขึ้น แก้เอกสารร่วมกันได้จากในเมล
ไมโครซอฟท์เผยโฉมใหม่ของ Outlook for Windows เวอร์ชันยกเครื่องใหม่ให้ทันสมัย ตามวิสัยทัศน์ One Outlook
หน้าตาของ Outlook for Windows ตัวใหม่จะคล้ายกับ Outlook for Mac มากกว่า Outlook เวอร์ชันที่หลุดก่อนหน้านี้ที่คล้าย Mail for Windows มากกว่า
นอกจากเรื่องหน้าตาแล้ว ฟีเจอร์ใหม่ของ Outlook ตัวใหม่คือฝังเอนจิน Microsoft Loop สำหรับแก้เอกสารร่วมกันแบบเรียลไทม์ เราจึงสามารถฝังตารางจาก Loop แล้วแก้ข้อมูลในตารางนั้นๆ โดยซิงก์กับตารางที่แปะในแชทของ Microsoft Teams ได้ด้วย
ฟีเจอร์อื่นๆ คือสามารถพิมพ์ @files หรือ @documents เพื่ออ้างอิงถึงไฟล์บนคลาวด์ได้ เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ทำ @mention อ้างถึงชื่อผู้ร่วมงานได้มาก่อน
ฟีเจอร์เล็กๆ อีกอันคือ Pinning การปักหมุดอีเมลสำคัญๆ เอาไว้แจ้งเตือน ซึ่งแตกต่างจาก flag ของเดิม ตรงที่อีเมลที่ปักไว้จะถูกแสดงค้างไว้ด้านบนสุดของรายการอีเมล
Outlook ตัวใหม่ยังเชื่อมกับ Microsoft To Do เพิ่มหมวด My Day แสดงรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน รวมถึงแนะนำตารางว่างในปฏิทิน เพื่อให้ล็อคเวลาจัดการทำสิ่งเหล่านี้ด้วย
หน้าตาของแอพฝั่งปฏิทินก็ถูกปรับปรุงใหม่เช่นกัน มีมุมมองแบบบอร์ด (board view) สามารถปักรายการ Task, จดโน้ต, วางไฟล์สำคัญๆ ไว้แจ้งเตือนคู่ไปกับตารางนัดหมายได้
ผู้ที่สนใจทดสอบ Outlook ตัวใหม่ ต้องใช้ Outlook ตัวเดิมของ Office กดสมัครเข้า Beta Channel และจะมีปุ่มที่มุมขวาบนให้ทดสอบ New Outlook ซึ่งเปิด-ปิดสลับไปมาได้ตลอดเวลา ตอนนี้ยังทดสอบได้เฉพาะบัญชีองค์กรและการศึกษาเท่านั้น ยังไม่เปิดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
ที่มา - Microsoft |
# Netflix ปลดพนักงานในสหรัฐอเมริกา 150 คน เพื่อรัดเข็มขัด หลังผลประกอบการไม่ดี
เว็บไซต์สื่อบันเทิง Deadline รายงานว่า Netflix ได้ปลดพนักงาน 150 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย เนื่องจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดทำได้ไม่ดีนัก โดยเมื่อเดือน เม.ย. 2021 ทางบริษัทมีการปลดพนักงานสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ Tudum จำนวนหนึ่ง และปัจจุบัน Netlflix มีพนักงานทั้งหมดอยู่ราว 11,000 คน
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2022 Netflix มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 9.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเป็น 7,868 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 1,597 ล้านดอลลาร์ แต่มีจำนวนสมาชิกทั่วโลกลดลง 0.20 ล้านรายจากไตรมาสก่อนหน้านี้ เหลือ 221.64 ล้านราย เป็นตัวเลขที่ลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
นอกจากนี้ Netflix ยังปรับลดประมาณการจำนวนสมาชิกของไตรมาส 2 ปี 2022 ว่าจะลดลงอีกประมาณ 2 ล้านราย จากเดิมตั้งไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านราย โดยปัจจัยที่ทำให้สมาชิกลดลงมีทั้งการหยุดบริการในรัสเซีย, การแข่งขันกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงอื่น ๆ และการระบาดของโรค COVID-19 ที่ลดลงทำให้ผู้คนหันมาใช้ชีวิตกันปกติ
มากกว่ามาตรการรัดเข็มขัด Netflix ยังเตรียมเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ให้กับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มหากผู้ใช้มีการแชร์พาสเวิร์ดให้ผู้อื่นเพื่อรับชมในบัญชีเดียวกัน รวมถึงการให้บริการรับชมแบบมีโฆษณา ซึ่งทั้งหมดนี้จะเริ่มในช่วงปลายปี 2022
อ้างอิง // Deadline
ภาพสำนักงาน Netflix |
# Heroku แจ้งลูกค้าโทเค็นอื่นๆ นอกจาก GitHub อาจถูกขโมยไปด้วย ควรรีเซ็ตทั้งหมด
เหตุการณ์ Heroku ถูกคนร้ายเข้าถึงฐานข้อมูลในช่วงเดือนเมษายน จนกระทั่งโทเค็น GitHub รั่วไหลยังไม่จบง่ายๆ โดยวันนี้บริษัทส่งอีเมลแจ้งลูกค้าว่าอาจจะมีข้อมูลอื่นๆ รั่วไหลเพิ่มเติม
ข้อมูลที่คนร้ายอาจจะได้ไปคือ pipeline-level config vars ซึ่งอาจจะมีโทเค็นของบริการอื่นๆ นอกเหนือจาก GitHub ผู้ใช้ Heroku ที่เก็บข้อมูลควรรีบรีเซ็ตโทเค็นเหล่านี้ทั้งหมด
ทาง Heroku ระบุว่าตรวจสอบพบว่าคนร้ายเข้าถึงฐานข้อมูล pipeline นี้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมาจึงนำมาแจ้งลูกค้า และคาดว่ากระบวนการสอบสวนจะเสร็จสิ้นในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้
ที่มา - YCombinator, Heroku Status |
# Sony เตรียมจำหน่ายหน้ากาก PlayStation 5 อีก 3 สีใหม่ ในเดือน มิ.ย. 2022
Sony เปิดตัว PS5 Console Covers หรือ หน้ากากของเครื่อง PlayStation 5 อีก 3 สีใหม่ประกอบด้วยสี Nova Pink, Starlight Blue และ Galactic Purple โดยจะจำหน่ายตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2022 เป็นต้นไปในพื้นที่ต่าง ๆ
ช่วงปลายปี 2021 ทาง Sony ได้เปิดตัวหน้ากากของเครื่อง PlayStation 5 มา 2 สี คือสี Black กับ Cosmic Red และจำหน่ายมาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2022 โดยราคาหน้ากากดังกล่าวในประเทศไทยอยู่ที่ชุดละ 1,890 บาท
สำหรับวิธีการติดตั้งหน้ากากดังกล่าว Sony แจ้งว่า เจ้าของเครื่อง PlayStation 5 สามารถถอดหน้ากากสีขาวอันเดิมออก และสวมหน้ากากสีใหม่ที่ซื้อมาได้ทันที นอกจากนี้การเปิดตัวหน้ากากสีใหม่ยังมาพร้อมกับจอยอีก 3 สีใหม่ที่มีสีเหมือนกับหน้ากากเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ Sony รายงานว่า ยอดขาย PlayStation 5 ในปีงบประมาณล่าสุด (สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2022) ทำได้ 11.5 ล้านเครื่อง พลาดเป้าจากที่ตั้งไว้ 13.8 ล้านเครื่อง เนื่องจากปัญหาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขาดแคลน ส่วนยอดขายรวมตั้งแต่เปิดตัวอยู่ที่ 19.3 ล้านเครื่อง
อ้างอิง // Engadget
ภาพจาก PlayStation Blog |
# Elon Musk บอกดีลซื้อ Twitter ไปต่อไม่ได้ ถ้า Twitter ไม่พิสูจน์เรื่องจำนวนบัญชีบอต
ข่าวนี้เป็นเรื่องต่อเนื่องของดีล Elon Musk ซื้อ Twitter ที่ล่าสุด Musk บอกว่าเขาอาจซื้อกิจการด้วยมูลค่าที่ลดลงจากราคา 44,000 ล้านดอลลาร์ ที่เสนอตอนแรก เนื่องจากต้องการตรวจสอบจำนวนบัญชีที่เป็นบอตใหม่ หลังจาก Twitter ยื่นเอกสารต่อ SEC ระบุว่าบัญชีบอตมีน้อยกว่า 5% ของบัญชีประเภท mDAUs ทั้งหมด
ข้อมูลเพิ่มเติม: การนับจำนวนผู้ใช้งานของ Twitter จะสนใจเฉพาะผู้ใช้งานที่สร้างรายได้ ซึ่งเรียกว่า mDAUs หรือ monetizable Daily Active Users ที่นับเฉพาะผู้ใช้งานที่ล็อกอิน และ Twitter สามารถแสดงโฆษณาได้ จึงอาจแตกต่างจากวิธีคำนวณของแพลตฟอร์มอื่น
เริ่มจาก Parag Agrawal ซีอีโอ Twitter ได้ทวีตชุดใหญ่อธิบายหลักการตัดสินใจว่าบัญชีผู้ใช้งานนั้นเป็นสแปมหรือไม่ บอกว่าการสรุปว่าบัญชีนั้นเป็นสแปมหรือไม่ ไม่สามารถทำได้ตรง ๆ แบบ binary (ใช่/ไม่ใช่) เพราะหลายบัญชีใช้งาน เป็นการทำงานผสมกันทั้งคนจริงและใช้ระบบอัตโนมัติช่วย สูตรที่ใช้แยกแยะวันนี้ อาจใช้ไม่ได้ในวันถัดไป Twitter เองมีการแบนบัญชีน่าสงสัยมากกว่าครึ่งล้านทุกวัน ซึ่งบัญชีเหล่านี้ต้องพิสูจน์ว่าเป็นคนจริง ๆ
เขาอธิบายต่อว่า กระบวนการตรวจสอบนั้น ส่วนหนึ่งมีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น IP, หมายเลขโทรศัพท์, พิกัด, ค่าเบราว์เซอร์ ซึ่งช่วยแยกบัญชีจริงและสแปมออกได้มาก แต่เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคลจึงไม่สามารถลงรายละเอียดได้ เขายอมรับว่าวิธีการดังกล่าวไม่สมบูรณ์แบบ แต่ Twitter ยังปรับปรุงการทำงานนี้ตลอด จริงเป็นที่มาของตัวเลขน้อยกว่า 5% ของ mDAUs ซึ่งเป็นตัวเลขประเมินเบื้องต้นเท่านั้น
Elon Musk ตอบ Agrawal ทางทวิตเตอร์ว่าการชี้แจงแบบนี้ 💩 จากนั้นทวีตต่อว่า ผู้ซื้อโฆษณาจะทราบได้อย่างไรว่าเงินที่จ่าย ไปถึงคนดูตรงไหน และเรื่องนี้เป็นพื้นฐานสำคัญต่อโครงสร้างรายได้ Twitter ด้วย
ต่อมา Musk ทวีตว่าจากการตรวจสอบเขาพบว่าบัญชีบอต (ปลอม/สแปม) มีมากกว่า 20% ของบัญชีทั้งหมด สูงกว่าที่ Twitter ระบุมากกว่า 4 เท่าตัว ซึ่งราคาที่เขาเสนอซื้อคิดจากตัวเลขที่ Twitter ตอนแรก ซีอีโอเองก็ปฏิเสธที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเลขน้อยกว่า 5% มีที่มาอย่างไร ดีลนี้จึงไม่สามารถไปต่อได้ หากไม่มีการพิสูจน์เรื่องดังกล่าว
เขายังทวีตเรียกร้องให้ SEC ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย เนื่องจาก Twitter ระบุในเอกสารที่ยื่นว่ามีน้อยกว่า 5%
หลัง Musk ทวีตประเด็นดังกล่าว Twitter ก็ได้ยื่นเอกสารต่อ SEC ระบุว่า บริษัทได้ตอบรับข้อเสนอซื้อกิจการ 44,000 ล้านดอลลาร์ ของ Elon Musk และเตรียมเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติดีลนี้
ที่มา: CNBC |
# Apple พรีวิวฟีเจอร์สำหรับผู้พิการ ระบบตรวจจับประตู, ขยายจอ Apple Watch, Live Captions
แอปเปิลเปิดตัว พรีวิวฟีเจอร์สำหรับผู้พิการหลายรายการ เพื่อช่วยในการนำทาง สุขภาพ การติดต่อสื่อสาร และอื่น ๆ โดยเป็นการทำงานร่วมกันทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ Machine Learning บนแพลตฟอร์มของแอปเปิล
ฟีเจอร์คือ Door Detection สำหรับผู้มีปัญหาทางสายตาหรือการมองเห็น อาศัยการทำงานของเซ็นเซอร์ LiDAR ในกล้อง iPhone, iPad โดยจะทำงานในแอป Magnifier ตรวจจับประตู และให้เสียงคำอธิบายร่วมกับการเตือนผ่าน haptics
ความสามารถถัดมาคือการ Mirror หน้าจอ Apple Watch มาไว้ใน iPhone สำหรับผู้มีปัญหาการเคลื่อนไหว เพื่อให้กดปุ่มสั่งการกับ Apple Watch ที่คอยตรวจจับค่าต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมทั้งสั่งงานเสียงได้เหมือนใช้งานกับ Apple Watch
สุดท้ายคือ Live Captions ฟีเจอร์สำหรับผู้มีปัญหาการได้ยิน รองรับบน iPhone, iPad และ Mac โดยทำได้ทั้งการแปลงเสียงที่ได้ยินเป็นข้อความ และโต้ตอบได้ด้วยการพิมพ์ข้อความ และแปลงกลับเป็นเสียงสำหรับคู่สนทนา
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น เช่น Buddy Controller ให้เพื่อนช่วยเล่นเกม โดยรวมตัวควบคุมสองอันเป็นหนึ่ง, Siri Pause Time แก้ไขเวลาที่ Siri จะรอคำสั่งตอบสนอง, Voice Control Spelling Mode ใช้คำสั่งเสียงแบบสะกดทีละตัวอักษร,
คุณสมบัติเหล่านี้จะมีอัพเดตผ่านซอฟต์แวร์ภายในปีนี้
ที่มา: แอปเปิล |
# ทรูมูฟเอช ไตรมาส 1/2565 ผู้ใช้งานเพิ่มเป็น 32.6 ล้านราย - TrueID รายได้โต 86%
กลุ่มทรู รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2565 มีรายได้รวม 35,138 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน มี EBITDA หรือส่วนกำไรก่อนหักรายการดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา 14,074 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 1,617.1 ล้านบาท สาเหตุหลักเป็นการขาดทุนทางบัญชี เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มสูงขึ้น
ทรูมูฟ เอช มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 32.6 ล้านราย มีผู้ใช้งาน 5G เพิ่มเป็น 2.6 ล้านราย ส่วนธุรกิจทรูออนไลน์ มีผู้ใช้งานบรอดแบนด์เพิ่มเป็น 4.7 ล้านราย
ทรูไอดี มีจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 ล้านราย รายได้จากธุรกิจนี้เติบโต 86% จำนวนการชมคอนเทนต์วิดีโอบนแพลตฟอร์มเพิ่มเป็นเฉลี่ยกว่า 459 ล้านครั้งต่อเดือน และมีการซื้อคอนเทนต์มากกว่า 7.6 แสนครั้ง ลูกค้ากล่องทรูไอดีเพิ่มเป็น 3.2 ล้านกล่อง
ที่มา: ทรู (pdf) |
# Sea ไตรมาส 1/2022 รายได้รวมโต 64% - Garena มีผู้เล่นลดลง ผลจาก Post-Covid
Sea Limited บริษัทแม่ของ Garena และ Shopee รายงานผลประการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2022 มีรายได้รวมทั้งกลุ่มบริษัทตามบัญชี GAAP 2,899.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 64.4% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และขาดทุนสุทธิ 580.1 ล้านดอลลาร์
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (Shopee) มีรายได้เพิ่มขึ้น 64.4% เป็น 1,499.6 ล้านดอลลาร์ มูลค่าการขายสุทธิ (GMV) เพิ่มขึ้น 39% เป็น 17.4 พันล้านดอลลาร์ จำนวนคำสั่งซื้อเพิ่มเป็น 1.9 พันล้านออเดอร์
ธุรกิจสื่อบันเทิง (Garena) รายได้เพิ่มขึ้น 45.3% เป็น 1,135.2 ล้านดอลลาร์ จำนวนผู้เล่นรวมลดลง 5% เป็น 615.9 ล้านคน เป็นผู้เล่นที่เสียเงิน 61.4 ล้านคน โดย Free Fire ยังคงเป็นเกมเด่นทำเงินของบริษัท
Forrest Li ซีอีโอ Sea กล่าวว่า Shopee และ SeaMoney ยังเป็นธุรกิจที่เติบโตและขยายส่วนแบ่งตลาดต่อเนื่อง ส่วน Garena ได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากยุคหลังโควิดที่มีการเปิดเมือง แต่เห็นทิศทางที่ดีของ engagement ที่เพิ่มขึ้นใน Free Fire
ที่มา: Sea (pdf) |
# Apple เลื่อนแผน ให้พนักงานกลับเข้าสำนักงานอีกครั้ง ให้เหตุผลผู้ป่วยโควิด 19 เพิ่มสูงขึ้น
แอปเปิลได้ทำหนังสือแจ้งภายในบริษัท เลื่อนแผนการกลับเข้ามาทำงานในสำนักงานแบบไฮบริดออกไปก่อน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนเปลี่ยนผ่าน ตอนนี้กำหนดให้เข้าสำนักงานที่ 2 วันต่อสัปดาห์ ระบุว่าพนักงานสามารถเลือกกลับไปทำงานแบบรีโมทเต็มเวลาได้ หากไม่สะดวกใจที่จะเข้าสำนักงานตอนนี้
เหตุผลที่แอปเปิลระบุถึงการตัดสินใจดังกล่าว คือจำนวนผู้ป่วยโควิด และอัตราผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้แอปเปิลยังกำหนดให้พนักงานที่เข้าสำนักงาน ต้องใส่มาสก์ตลอดเวลา เมื่ออยู่ในพื้นที่ใช้งานร่วม เช่น ห้องประชุม ทางเดิน และลิฟต์ คำแนะนำนี้ยังมีผลกับพนักงาน Apple Store ด้วย
ก่อนหน้านี้มีพนักงานแอปเปิลจำนวนหนึ่งได้เรียกร้องให้แอปเปิลทบทวนนโยบายการกลับเข้าทำงานในสำนักงาน และยังมีข่าวว่าหัวหน้าทีม Machine Learning ลาออก ซึ่งอาจเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าวด้วย
ที่มา: The Verge |
# Google Cloud ประกาศโครงการดูแลความปลอดภัยซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สครบวงจร
Google Cloud เปิดโครงการ Assured Open Source Software (Assured OSS) ดูแลความปลอดภัยซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้จากซอร์สโค้ดจนถึงแพ็กเกจพร้อมติดตั้ง โดยคาดว่าช่วงแรกจะเริ่มกับแพ็กเกจบางส่วนของจาวาและไพธอนก่อน
ซอฟต์แวร์ที่เข้าโครงการนี้จะถูกสแกนหาและวิเคราะห์ช่องโหว่, รัน fuzz-test เพื่อหาบั๊ก กระบวนการคอมไพล์เป็นแพ็กเกจต้องรันบน Cloud Build จากนั้นแพ็กเกจที่ได้จะถูกเซ็นดิจิทัลโดยกูเกิลและแจกจ่ายผ่านบริการ Artifact Registry
กูเกิลเปิดโครงการ OSS-Fuzz มาตั้งแต่ปี 2016 เพื่อนำโค้ดจากโครงการโอเพนซอร์สมารัน fuzz-test หาช่องโหว่ แต่ไม่ได้ดูแลโครงสร้างการคอมไพล์หรือการแจกจ่ายซอฟต์แวร์ Assured OSS จึงเป็นส่วนเสริมที่โครงการโอเพนซอร์สปล่อยให้กูเกิลดูแลจนออกมาเป็นแพ็กเกจพร้อมใช้งาน
ที่มา - Google Cloud Blog, The Register |
# กูเกิลเปิดตัวสำนักงาน Bay View เน้นรักษาสิ่งแวดล้อม
กูเกิลประกาศเปิดใช้งานสำนักงาน Bay View เป็นแคมปัสล่าสุดในเมือง Mountain View ที่มีสำนักงานของกูเกิลตั้งอยู่จำนวนมาก โดยชูจุดเด่นว่าเป็นสำนักงานที่รักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานเน้นไฟฟ้าเป็นหลักแม้แต่เตาครัว เพื่อให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนได้
ระบบหมุนเวียนน้ำมีทั้งการรองน้ำฝนไว้ใช้ และการบำบัดน้ำกลับมาใช้งาน ทำให้โดยรวมการนับว่ามีการผลิตน้ำมากกว่าที่ใช้ (net water positive) ตามมาตรฐาน Living Building Challenge ส่วนหลังคาเป็นโซลาร์เซลล์แบบเกล็ดมังกร (dragonscale solar skin) อัตราการผลิตไฟฟ้ารวม 40% ของที่อาคารใช้งานทั้งปี
พื้นที่ใช้สอยโดยรวม 1.1 ล้านตารางฟุต หรือประมาณ 100,000 ตารางเมตร กระจายเป็น 3 อาคาร สองอาคารเป็นสำนักงาน มีศูนย์จัดงานประชุม และที่พักระยะสั้นสำหรับพนักงาน
ที่มา - Google Blog |
# นักวิจัยแก้เฟิร์มแวร์ Bluetooth ไอโฟนสำเร็จ แทรก Find My ของคนร้ายเข้าเครื่องเหยื่อรายงานตำแหน่งไม่รู้ตัว
ทีมวิจัยจาก Secure Mobile Networking Lab, TU Darmstad ในเยอรมนีรายงานถึงการสำรวจช่องโหว่ะดับฮาร์ดแวร์ของไอโฟน ที่เฟิร์มแวร์ส่วนใหญ่จะถูกตรวจสอบความถูกต้องด้วยลายเซ็นดิจิทัล แต่ชิป Bluetooth กลับไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องเฟิร์มแวร์ เปิดทางให้แฮกเกอร์แก้ไขและใส่โค้ดมุ่งร้ายลงไป
ชิป Bluetooth เป็นหนึ่งในวงจรที่ทำงานบนไอโฟนโดยปิดไม่ได้ เรียกว่า low power mode (LPM) โหมดนี้มีไว้สำหรับการทำงานของ Find My ที่สามารถหาโทรศัพท์หายได้แม้ปิดเครื่อง หรือ NFC ที่สามารถจ่ายเงินได้เสมอ
ทีมวิจัยดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ออกมาจากชิปโดยการยิงคำสั่ง HCI จากไอโฟนที่ถูก jailbreak ไว้ก่อนแล้ว จากนั้นสามารถแก้ไขแรมได้สำเร็จเพื่อรันโค้ดที่ต้องการได้ ความลับต่างๆ เช่น กุญแจเข้ารหัสจะอยู่ในชิป Secure Element ที่แยกออกไปทำให้ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในเมื่อรันโค้ดที่ต้องการได้ คนร้ายก็อาจจะแทรกโปรแกรมที่ทำให้ไอโฟนของเหยื่อกลายเป็น AirTag ของคนร้ายโดยเหยื่อไม่รู้ตัว เปิดทางให้คนร้ายติดตามเหยื่อได้ตลอดเวลาด้วยโทรศัพท์ของเหยื่อเอง
การโจมตีแบบนี้มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เพราะต้องแก้ไขเฟิร์มแวร์จากโทรศัพท์ที่ถูก jailbreak แล้ว นอกจากนี้ระบบ Find My เองก็มีระบบป้องกันการใช้ AirTag ติดตามตัวอยู่แล้ว แต่ชิปตัวอื่นๆ ในไอโฟนก็มีการป้องก้นเอาไว้ ทำให้มองได้ว่าเป็นจุดอ่อนที่แอปเปิลออกแบบไว้ปลอดภัยไม่เท่ากัน
ที่มา - ArXiv: Evil Never Sleeps, ArsTechnica |
# ไมโครซอฟท์เปิดตัวอุปกรณ์เสริม เมาส์ ปุ่มกด จอยสติ๊ก สำหรับคนพิการ แยกชิ้น-ประกอบได้ตามสภาพร่างกาย
ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทที่โดดเด่นในแง่อุปกรณ์เสริมสำหรับผู้พิการ เริ่มตั้งแต่ Xbox Adaptive Controller ในปี 2018 ตามด้วย Surface Adaptive Kit ในปี 2021
ปีนี้ไมโครซอฟท์เปิดตัว Microsoft Adaptive Accessories ชุดอุปกรณ์เสริม เมาส์ จอยสติ๊ก และปุ่มกดหลากหลายรูปแบบ ให้เลือกประกอบและปรับแต่งตามความเหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคน หากยังไม่พอใจสามารถพิมพ์ 3D print ชิ้นส่วนมาประกอบเองได้อย่างอิสระด้วย
อุปกรณ์เสริมเหล่านี้จะวางจำหน่ายจริงช่วงปลายปีนี้ ยังไม่ประกาศราคา
ที่มา - Microsoft Blog |
# Apex Legends Mobile เวอร์ชันมือถือ เปิดให้เล่นทั่วโลกแล้ววันนี้ ยังมีแต่ Android
EA เริ่มเปิดบริการเกม Apex Legends Mobile เวอร์ชันมือถือแล้ววันนี้ (17 พฤษภาคม) หลังเปิดทดสอบมาได้สักระยะหนึ่ง ตอนนี้ยังมีเฉพาะเวอร์ชัน Android เท่านั้น (Google Play) ยังไม่มีของ iOS
Apex Legends Mobile เป็นการดัดแปลงเกม Apex Legends เวอร์ชันเต็มบนพีซี-คอนโซลให้เหมาะกับการเล่นบนสมาร์ทโฟน (สองเวอร์ชันเล่นแยกกัน) โดยยังคงตัวละครที่แฟนๆ คุ้นเคย
เกมเวอร์ชันมือถือเป็นผลงานร่วมกันระหว่าง Respawn Entertainment ที่ทำเกมภาคหลัก และ Lightspeed & Quantum Studios สตูดิโอเกมจากจีนที่เคยมีผลงานทำเกม PUBG Mobile มาก่อน
ที่มา - Apex Legends |
# NCC Group สาธิตดึงสัญญาณ Bluetooth ไปสตาร์ตรถ Tesla ได้สำเร็จ
NCC Group แจ้งเตือนช่องโหว่ร้ายแรงปานกลางในแอป Tesla ที่สามารถปลดล็อกและสตาร์ตรถได้เมื่อโทรศัพท์ผู้ใช้หรือกุญแจไร้สายอยู่ใกล้รถ โดยการโจมตีใช้ relay attack ดึงสัญญาณเชื่อมต่อรถกับโทรศัพท์แม้จะอยู่ไกลกัน โดยการโจมตีแบบนี้อาจจะใช้กับการปลดล็อกอุปกรณ์อื่นๆ ที่อาศัยการประมาณระยะห่างของโทรศัพท์กับอุปกรณ์ด้วยความแรงสัญญาณได้เหมือนกัน
รถรุ่นใหม่ๆ, คอมพิวเตอร์, หรือประตูดิจิทัลหลายรุ่นมีฟีเจอร์ปลดล็อกได้เอง เมื่ออุปกรณ์ Bluetooth เช่นโทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้ โดยผู้ใช้ไม่ต้องเปิดแอปหรือกดอะไรเลย โดยตัวอุปกรณ์ที่ล็อกอยู่เช่นรถยนต์นั้นจะวัดความแรงสัญญาณตอบกลับจากโทรศัพท์ว่าแรงพอหรือไม่ หากแรงพอก็จะถือว่าอยู่ในระยะใกล้และปลดล็อก
ทาง NCC Group สร้างอุปกรณ์พิเศษสำหรับส่งต่อสัญญาณไปมา โดยอุปกรณ์นี้เพิ่มระยะเวลาเชื่อมต่อเพียง 8ms เท่านั้น ขณะที่ช่วงเวลาที่ยอมรับได้สำหรับการเชื่อมต่อ Bluetooth Low Energy นั้นอยู่ที่ 30ms ข้อจำกัดของการโจมตีแบบนี้คือคนร้ายต้องมีอุปกรณ์ดักสัญญาณวางไว้ใกล้ๆ กับเจ้าของรถพร้อมกับอุปกรณ์รับสัญญาณอีกชิ้นอยู่ใกล้รถเพื่อส่งต่อสัญญาณ ทีมงานทดสอบการโจมตีกับ Tesla Model 3 โดยวาง iPhone ห่างจากตัวรถไป 25 เมตร พ้นรัศมีปลดล็อก แล้วใช้อุปกรณ์ส่งต่อสัญญาณมายังตัวรถ
การโจมตีแบบนี้อาจจะค่อนข้างจำกัด แต่ทาง NCC ก็ระบุว่าพอลดความเสี่ยงได้ เช่น ตัวแอปอาจจะไม่ตอบแพ็กเก็ตยืนยันเจ้าของรถหากโทรศัพท์ไม่มีความเคลื่อนไหว (แปลว่าเจ้าของรถไม่ได้กำลังเดินทางมายังรถ) ตัวรถอาจจะจำกัดเวลาหน่วงที่แอปตอบกลับแพ็กเก็ตให้สั้นลง ทำให้ relay ได้ยากขึ้น รวมไปถึงการวัดระยะห่างด้วยเทคโนโลยีอื่น เช่น Ultra Wide Band ตัวผู้ใช้เองอาจจะเลือกเปิดฟีเจอร์ PIN to Drive เพื่อปลดล็อกรถ
ทาง NCC Group แจ้งการโจมตีนี้ให้กับทั้ง Tesla และ Bluetooth SIG ทาง Bluetooth SIG ระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาแนวทางยืนยันระยะห่างระหว่างอุปกรณ์ให้ดีขึ้น
ที่มา - NCC Group
_Tesla Model Y | ภาพโดย Tesla_ |
# Renault ประกาศแยกบริษัททำรถยนต์ไฟฟ้า จ้างงานเพิ่ม 10,000 ตำแหน่ง เสริมแกร่งตลาดยุโรป
Renault แจ้งอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะแยกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าออกไปจัดตั้งบริษัทใหม่ภายในปี 2023 พร้อมกับจัดจ้างพนักงานใหม่กว่า 10,000 ตำแหน่ง และทำโมเดลธุรกิจให้เหมาะสมกับการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงมีการร่วมกับพาร์ตเนอร์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างเทคโนโลยี และบริการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า
Renault ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมรายล่าสุดที่แยกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยก่อนหน้านี้มี Volvo ที่แยก Polestar ออกมา และ Ford, GM รวมถึง Nissan บริษัทที่ Renault ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 15% ต่างดำเนินการแยกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่
เป้าหมายในการแยกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ของ Renault คือการยกระดับการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย Renualt ต้องการจำหน่ายแต่รถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030 เพื่อตอบโจทย์ตลาดยุโรปที่เข้มงวดกับเรื่องการปล่อยมลพิษ
อย่างไรก็ตาม การแยกบริษัทระหว่างทำตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน กับรถยนต์ไฟฟ้า อาจทำได้ไม่เต็มที่อย่างที่หลายบริษัทคาดหวัง โดยนักวิเคราะห์มองว่า รถยนต์ไฟฟ้า กับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในต่างใช้ชิ้นส่วนร่วมกันถึง 80% ดังนั้นถึงจะแยกบริษัทกัน แต่การสั่งชิ้นส่วนมาใช้งานด้วยกันน่าจะคุ้มค่ากว่า
อ้างอิง // Electrek, Renault
ภาพจาก Renault |
# Take-Two ไตรมาส 1/2022 รายได้ยังเติบโตต่อเนื่อง 11% จากปีก่อน รอปิดดีล Zynga
Take-Two Interactive บริษัทแม่ของ 2K และ Rockstar เผยผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2022 ออกมาดี รายได้ 930 ล้านดอลลาร์ เติบโต 11% จากปีก่อน หากคิดรายได้ตลอดปีงบประมาณ 2022 (นับถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2022) รายได้เติบโต 4% เป็น 3.5 พันล้านดอลลาร์
สิ่งที่น่าสนใจคือ Take-Two ไม่ได้ออกเกมใหม่สักเท่าไรในไตรมาส 1/2022 (มีแค่ GTA V Next-gen และ Tiny Tina’s Wonderlands ที่ออกมา 25 มีนาคม ก่อนสิ้นไตรมาส) แต่กลับเป็นเกมเก่าๆ ที่เราคุ้นชื่อกันอย่าง NBA 2K22, GTA V, GTA Online, Read Dead Redemption 2, Red Dead Online รวมถึงเกมมือถือในเครือ เช่น Top Eleven, Two Dots ช่วยกันทำผลงานดันรายได้เติบโต
Take-Two ยังเปิดเผยตัวเลขยอดขายเกมดังหลายเกม ได้แก่
GTA ยอดขายรวมทั้งซีรีส์ 375 ล้านชุด นับเฉพาะ GTA V ขายได้ 165 ล้านชุด เพิ่มจากไตรมาสก่อนอีก 5 ล้านชุด
Read Dead ยอดขายทั้งซีรีส์ 67 ล้านชุด นับเฉพาะ Red Dead Redemption 2 ขายได้ 44 ล้านชุด
NBA 2K ยอดขายทั้งซีรีส์ 123 ล้านชุด
Borderlands ยอดขายทั้งซีรีส์ 75 ล้านชุด นับเฉพาะ Borderlands 3 ขายได้ 15 ล้านชุด, Borderlands 2 ขายได้ 26 ล้านชุด ยังเป็นสถิติสูงสุดของค่าย 2K
BioShock ยอดขายทั้งซีรีส์ 39 ล้านชุด
Civilization ยอดขายทั้งซีรีส์ 62 ล้านชุด
Kerbal Space Program ยอดขาย 5 ล้านชุด
The Outer Worlds ยอดขาย 4 ล้านชุด
Two Dots เกมพัซเซิลมือถือ ยอดดาวน์โหลด 115 ล้าน ผู้เล่นต่อวัน 1 ล้านคน
Top Eleven เกมวางแผนฟุตบอลบนมือถือ ยอดผู้ลงทะเบียน 250 ล้านคน
ภาพรวมธุรกิจของ Take-Two ยังมีสัดส่วนรายได้มาจากคอนโซลเป็นหลัก 71% ตามด้วยพีซี 17% และมือถือ 12% แต่สัดส่วนรายได้จากมือถือก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการซื้อกิจการ ซึ่ง Take-Two ยังมีดีลสำคัญคือ การซื้อกิจการ Zynga ที่ประกาศไว้เมื่อเดือนมกราคม 2022 และรอการโหวตอนุมัติของผู้ถือหุ้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้
ที่มา - Take-Two |
# อะไรก็ขึ้นราคา Verizon เพิ่มค่าธรรมเนียม "เศรษฐกิจ" ลูกค้าจ่ายเพิ่มอีก 2.20 ดอลลาร์/เดือน
ปัญหาของแพง เงินเฟ้อ สินค้าขึ้นราคา ระบาดไปทุกหย่อมหญ้า ล่าสุด Verizon โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นราคากับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเพิ่มค่า "ปรับตามเศรษฐกิจ" (economic adjustment charge) เข้ามาในบิลรายเดือน
ลูกค้ารายย่อยของ Verizon จะต้องจ่ายเพิ่มอีก 1.35 ดอลลาร์ต่อเดือน (คิดตามจำนวนเบอร์ voice line) ส่วนลูกค้าธุรกิจจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 0.98-2.20 ดอลลาร์ต่อเดือน ขึ้นกับขนาดแพ็กเกจ
ตัวแทนของ Verizon ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าบริษัทได้รับแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจ เลยต้องเพิ่มค่าธรรมเนียมส่วนนี้เข้ามาจากแพ็กเกจปกติ ส่วนโฆษกของ Verizon ให้ข้อมูลกับ The Verge ว่าเป็นการปรับราคาตามรอบปกติอยู่แล้ว
ภาพจาก Verizon
ที่มา - Bloomberg via Android Central, The Verge |
# Apple อัพเดต iOS 15.5 และ iPadOS 15.5 ปรับปรุง Podcasts, Universal Control และแก้ไขความปลอดภัย
แอปเปิลออกอัพเดตใหญ่ ระบบปฏิบัติการ iOS 15.5 และ iPadOS 15.5 รวมทั้งระบบปฏิบัติการอื่นในเครือทั้งหมดวันนี้ หลังจากที่ออกเวอร์ชันทดสอบสำหรับนักพัฒนามาหลายสัปดาห์ก่อนหน้า
สำหรับ iOS 15.5 ฟีเจอร์เด่นที่สำคัญได้แก่ แอป Podcasts สามารถจัดการตอนที่จะเซฟไว้ในเครื่อง ลบอัตโนมัติเมื่อเล่นจบ เพื่อประหยัดพื้นที่, รองรับการลิงก์ไปสมัครบัญชีภายนอกเพื่อจ่ายเงิน เมื่อใช้แอปประเภท Reader เป็นทางเลือกไม่ต้องตัดเงินผ่าน App Store, แอป Photos เพิ่มการกำหนด Sensitive Locations หรือพื้นที่ซึ่งไม่ต้องการให้แสดงผลในหน้า Memories นอกจากนี้ยังอัพเดตแก้ไขความปลอดภัย 25 รายการ
ส่วน iPadOS 15.5 อัพเดตฟีเจอร์ Universal Control ที่ใช้งานข้ามเครื่องกับ Mac โดยออกจากสถานะทดสอบเบต้าแล้ว
ระบบปฏิบัติการที่มีอัพเดตเช่นกัน มีรายละเอียดดังนี้
macOS Monterey 12.4 อัพเดต Podcasts, Universal Control เช่นเดียวกับ iOS, iPadOS
macOS Big Sur 11.6.6 และ อัพเดตความปลอดภัย macOS Catalina 2022-004 สำหรับ Mac ที่อัพเกรดไป Monterey ไม่ได้
watchOS 8.6 เพิ่มอีโมจิชุดใหม่ และรองรับ ECG ในเม็กซิโก
tvOS 15.5 อัพเดตรายการทั่วไป
HomePod 15.5 อัพเดตรายการทั่วไป
Studio Display เฟิร์มแวร์ 15.5 ปรับปรุงการทำงานเว็บแคม และการแสดงผลภาพ
ที่มา: MacRumors [1], [2], [3], [4], [5], [6] |
# Alibaba Cloud เปิดตัวศูนย์ข้อมูลในไทยแล้ว
Alibaba Cloud เปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในไทย โดยผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO27001 และ ISO20000 รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย รวมถึงกฎระเบียบด้านการเงินที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ปัจจุบัน Alibaba Cloud มีบริการหลายอย่างให้กับลูกค้าในไทย เช่น Elastic Compute, Database, Storage, Networking, Content Delivery และแอพพลิเคชันระดับองค์กร |
# Spotify เปิดทดสอบให้ศิลปินแสดงผลงาน NFT ของตัวเองบนหน้าโปรไฟล์
Spotify อยู่ระหว่างทดสอบให้ศิลปินต่าง ๆ ในระบบโปรโมทผลงาน NFT ของตัวเองบนหน้าโปรไฟล์ได้ โดยการทดสอบนี้มีเพียงผู้ใช้โทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในสหรัฐอเมริกาบางรายที่เข้าถึง ถือเป็นอีกครั้งที่แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่เกาะกระแส NFT เพราะก่อนหน้านี้มี Instagram และอื่น ๆ เพิ่ม NFT เข้ามาในระบบ
การทดสอบครั้งนี้ ผู้ใช้ที่เข้าถึงการทดสอบสามารถเข้าถึง NFT ของศิลปินต่าง ๆ ด้วยการเข้าที่หน้าโปรไฟล์ของศิลปิน และเมื่อกด See More ที่ NFT เหล่านั้น ระบบจะเชื่อมต่อไปยังลิงก์ของ OpenSea เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อ NFT ได้ โดยเบื้องต้น Spotify จะไม่เก็บค่านายหน้าเมื่อเกิดการซื้อขาย
ปัจจุบัน Spotify ไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มการฟังเพลง แต่พยายามปรับตัวเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเชื่อมต่อศิลปินกับแฟนคลับมากขึ้น เช่น การเปิดให้ศิลปินสามารถจำหน่ายสินค้า และบัตรคอนเสิร์ตได้ผ่าน Spotify ซึ่งการมี NFT เข้ามาเพิ่มเติมจะช่วยให้ศิลปินทุกรายมีกิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อทำร่วมกับแฟนคลับมากขึ้น
อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาด NFT ในปัจจุบันเริ่มชะลอตัวสวนทางกับแพลตฟอร์มชั้นนำต่างเพิ่ม NFT เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น โดยสำนักข่าว Wall Street Journal รายงานว่า ปััจจุบันภาพรวมการซื้อขาย NFT ลดลงถึง 92% เมื่อเทียบกับช่วงสูงสุดเมื่อเดือน ก.ย. 2021
อ้างอิง // Engadget
ภาพจาก Spotify |
# TeamViewer โซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดค่าใช้จ่าย ให้กับธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม
TeamViewer โปรแกรมที่สายงาน IT Support รู้จักกันเป็นอย่างดี ในขณะที่บางคนอาจจะคุ้นเคยกับ TeamViewer ในฐานะสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อทีมฟุตบอลระดับโลกอย่าง สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United F.C.) แต่อันที่จริงแล้ว TeamViewer ยังมีโซลูชันอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการเชื่อมต่อเพื่อแก้ปัญหาจากระยะไกล ที่ช่วยให้ธุรกิจ และอุตสาหกรรมทุกระดับสามารถพัฒนากระบวนการทำงานของธุรกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้วยประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ ทำให้ TeamViewer เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อเพื่อเข้าถึง ควบคุม จัดการ ตรวจสอบ และซ่อมแซมอุปกรณ์ทุกชนิดจากระยะไกล ตั้งแต่เครื่องเดสก์ทอป แล็ปท็อป เซิร์ฟเวอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเครื่องจักรอุตสาหกรรมและหุ่นยนต์ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั่วโลก โดยในแต่ละปีมีอุปกรณ์ที่ใช้งาน TeamViewer มากกว่า 320 ล้านอุปกรณ์ด้วยกัน
เรามาดูตัวอย่างขององค์กรธุรกิจที่นำโซลูชันของ TeamViewer ไปใช้งาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจได้อย่างมากมาย
San Juan University : มหาวิทยาลัยในเมือง ซานฮวน (San Juan) ประเทศอาร์เจนตินา เลือกใช้ TeamViewer เป็นโซลูชันการสื่อสาร เพื่อให้บริการ การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ช่องทางการสื่อสารที่ทำให้ บุคลากรทางการแพทย์ อาจาร์ยมหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานด้านการศึกษา หน่วยงานเทศบาลท้องถิ่น และผู้ป่วย สามารถเชื่อมต่อเพื่อให้คำปรึกษาทางการแพทย์ไปยังท้องถิ่นที่ห่างไกล
มีการส่งผ่านข้อมูลระยะไกลจากอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายชิ้น อาทิ เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiograms) อุปกรณ์วัดออกซิเจนในกระแสเลือด (Oximetry) และ เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกติดตัว (Holter) โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการประจำอยู่ในท้องถิ่น เพื่อจัดการส่งข้อมูลจากระยะไกลไปยังทีมแพทย์ที่อยู่ในเมือง ผ่านการเชื่อมต่อโดย TeamViewer ทำให้แพทย์สามารถประเมินอาการ และทำการตัดสินใจในการรักษา โดยมีเคส Telemedicine ที่ประสบความสำเร็จผ่านการเชื่อมต่อของ TeamVierwer แล้วกว่า 250 เคส
Trimble : บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้นำด้านการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับการเกษตร และมีผลิตภัณฑ์จอภาพอัจฉริยะ Trimble TMX 2050 ที่ติดตั้งใช้งานในรถเครื่องจักรทางการเกษตร เพื่อจัดการการทำกสิกรรมในพื้นที่ไร่ขนาดใหญ่ได้อย่างแม่นยำ
Trimble ได้เลือกใช้ TeamViewer เพื่อให้ลูกค้า และผู้ที่ใช้งานจอภาพ Trimble TMX 2050 สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาทางเทคนิคจากระยะไกลแบบเรียลไทม์ โดยที่เจ้าหน้าที่ฝ่าย Technical Support ของ Trimble ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาลูกค้า และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างครบถ้วนเพื่อการติดสินใจแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้จากระยะไกล
Audi : แบรนด์รถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี เลือกใช้โซลูชัน TeamViewer Frontline ที่เป็นเครื่องมือในการสร้างคู่มือ แบบที่มองเห็นภาพเสมือนจริงในรูปแบบ AR (Augmented Reality) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใน แผนกรับประกันคุณภาพ (Quality Assurance) ได้มองเห็นภาพที่ชัดเจนของจุดต่าง ๆ ในรถยนต์ที่ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างถูกต้อง
ซึ่งการสร้างคู่มือตรวจสอบคุณภาพในแบบ AR นั้นก็ทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม และเจ้าหน้าที่ฝ่าย Quality Assurance สามารถมองเห็นเนื้อหาแบบภาพเสมือนจริงของชิ้นส่วนรถยนต์ที่ต้องตรวจสอบ ผ่านทางอุปกรณ์แว่นตาอัจฉริยะ Microsoft HoloLens
การเข้าถึงและการสนับสนุนจากระยะไกล (Remote Access and Support)
สิ่งที่ทำให้ TeamViewer แตกต่างจากโปรแกรมเชื่อมต่อระยะไกลอื่น ๆ ก็คือความสเถียรและความปลอดภัยในการใช้งาน โดยการเชื่อมต่อจะถูกเข้ารหัสแบบ End-to-end 256-bit AES และยังมีคุณสมบัติการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น (Two-factor Authentication หรือ 2FA) ให้ใช้งานอีกด้วย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่หลากหลายตั้งแต่ คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ ไปจนถึงอุปกรณ์มือถือ โดยสามารถนำไปใช้งานตั้งแต่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ปลายทาง (Remote Support) หรือการเชื่อมต่อในรูปแบบเข้าใช้งานเพื่อควบคุมอุปกรณ์ปลายทาง (Remote Access) ได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย
องค์กรขนาดใหญ่ก็สามารถใช้งานได้ง่าย
TeamViewer Tensor แพลตฟอร์มระบบคลาวด์สำหรับการใช้งานในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ โดยมีความแตกต่างจากเวอร์ชัน TeamViewer ปกติคือ Tensor จะเป็นการเข้าถึงการเชื่อมต่อในรูปแบบ SaaS ผ่านระบบคลาวด์ (Software-as-a-Service หรือ การให้บริการในด้านซอฟต์แวร์) มีจุดเด่นตรงที่ สามารถติดตั้งโปรแกรมลงในเครื่องปลายทางที่เราต้องการเข้าถึงจากระยะไกลได้ง่าย และขยายจำนวนเครื่องปลายทางได้อย่างรวดเร็ว
และนอกจากนี้แล้ว TeamViewer Tensor เองก็ยังมีความสามารถในการสื่อสารผ่านวิดีโอคอล เพื่อขอความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากระยะไกลได้ และยังสามารถเชื่อมต่อ และทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อื่น ๆ ที่องค์กรใช้งานอยู่ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Intune, Dynamics 365, Active Directory, MobileIron, Amazon WorkSpaces, Zendesk, ServiceNow, Jira, Freshworks, Freshdesk, IBM MaaS360 และ Salesforce เป็นต้น
เพิ่มประสิทธิภาพการสนับสนุนระยะไกลด้วย AR
TeamViewer Assist AR เป็นส่วนเสริมสำหรับการขอความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากระยะไกล ด้วย เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ที่เปิดโอกาสให้พนักงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์เกิดปัญหา หรือเจ้าหน้าที่ในไลน์การผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่เครื่องจักรการผลิตเกิดปัญหา ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ หรือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระยะไกล ในรูปแบบการสื่อสารแบบวิดีโอคอลผ่าน แท็บเล็ต/สมาร์ทโฟน แบบเรียลไทม์ที่มีประสิทธิภาพ ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ปัญหาทางเทคนิคได้อย่างรวดเร็ว
เหล่านี้เป็นโซลูชันส่วนนึงของ TeamViewer เท่านั้น ยังมีโซลูชันอื่น ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถนำไปใช้งานได้อีกมากมาย อาทิ TeamViewer Frontline โปรแกรมที่ใช้งานกับอุปกรณ์สวมใส่เพื่อใช้งาน AR สำหรับขบวนการผลิตต่างๆ TeamViewer Remote Management โปรแกรมช่วยจัดการและตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบ TeamViewer Meeting โปรแกรมสำหรับการประชุมทางไกล หรือ TeamViewer Classroom สำหรับจัดการเรียนการสอนระยะไกล เป็นต้น
ในส่วนของประเทศไทยทาง บริษัท ไทยแวร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายรายแรกอย่างเป็นทางการ (Thailand Official Distributor) จาก บริษัท TeamViewer AG ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) โดยได้รับความไว้วางใจจากองค์กรภาครัฐ และเอกชนมากมาย ทำให้ TeamViewer ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หากท่านใดสนใจสั่งซื้อ โปรแกรม TeamViewer หรือต้องการสอบถามการใช้งานเพิ่มเติม สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ไทยแวร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ได้ที่
Tel : 02-635-0455 กด 1
Website : https://www.teamviewer.in.th/
Facebook : https://www.facebook.com/ThaiwareShop
LINE : @thaiware.shop
Email : [email protected] |
# กรณีศึกษา เมืองไมอามีออกเหรียญ $MIA ของเมือง ไม่รู้จะใช้ทำอะไร ราคาลดลงแล้ว 10 เท่า
ความสนใจในเงินคริปโตทำให้เราเห็นการใช้งานในระดับประเทศ อย่างกรณีของเอลซัลวาดอร์ที่ใช้ Bitcoin ส่วนในระดับท้องถิ่นก็มีหลายเมืองทั่วโลกให้ความสนใจเช่นกัน
เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 เมืองไมอามีในสหรัฐอเมริกาเริ่มออกเหรียญ MiamiCoin ($MIA) ของตัวเอง โดยเป็นการผลักดันของนายกเทศมนตรี Francis Suarez
เบื้องหลังเหรียญ MiamiCoin คือเทศบาลเมืองไปจับมือกับบริษัทเอกชนชื่อ CityCoins Inc. ปั๊มเหรียญขึ้นมาจากโปรโตคอล Stacks (เหรียญ $STX ที่ขี่อยู่บน Bitcoin อีกที) นักขุด STX สามารถแลกเหรียญ STX เป็น CityCoins ได้ โดยจะถูกหักมูลค่า 30% ไว้เป็นกองทุนเงินคริปโต STX ของเมือง ส่วนอีก 70% จะเปลี่ยนเป็นเหรียญของเมืองนั้นๆ (เช่น $MIA) ที่ยังไม่ระบุว่าเอาไปทำอะไรได้มากนัก
เมื่อต้นปีนี้ นายกเทศมนตรี Francis Suarez ประกาศว่าได้รับเหรียญ $MIA เป็นมูลค่า 5.25 ล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของเมือง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดเดากันได้ มูลค่าของเหรียญ $MIA (ที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร) ลดลงจากจุดสูงุสดประมาณเหรียญละ 0.05 ดอลลาร์ มาเหลือที่ 0.004601 ดอลลาร์ ณ เวลาที่เขียนข่าว (ลดลงมาแล้ว 10 เท่า)
เว็บไซต์ข่าว Quartz ที่ตามเรื่องนี้ ได้สัมภาษณ์ Patrick Stanley ตัวแทนของบริษัท CityCoins และได้รับคำตอบว่าเหรียญ $MIA จะมีรูปแบบใช้งานหลายอย่างในอนาคต เช่น ใช้ทำธุรกรรมในท้องถิ่น ซึ่งตอนนี้ CityCoins กำลังเริ่มโปรแกรม accelerator เชิญบริษัทสตาร์ตอัพเข้ามาคิดค้นรูปแบบการใช้งานเหรียญกันอยู่
ราคาเหรียญ $MIA จาก CoinMarketCap
ที่มา - Quartz |
# กูเกิลเปิดให้ใช้บริการ G Suite Legacy ฟรีต่อหากเป็นการใช้งานส่วนตัว
หลังจากประกาศยกเลิกบริการ G Suite Legacy ที่เป็นบริการฟรีโดยให้ย้ายไปใช้แพลนเสียเงินภายในวันที่ 1 กรกฎาคมแทนนั้น กูเกิลได้เปิดทางเลือกให้ใช้งานต่อได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหากเราแจ้งว่าเป็นการใช้งานส่วนตัว ไม่ได้นำไปใช้ในเชิงธุรกิจ
ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @NeighborGeek ระบุว่าผู้ที่ใช้งาน G Suite Legacy อยู่สามารถเลือกใช้งานต่อได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้หากเป็นการใช้งานส่วนตัว ทางเลือกนี้ปรากฏขึ้นมาในหน้าจอสำหรับทำการย้ายแพลนที่อยู่ใน Admin Console ซึ่งจะทยอยปรากฏให้ผู้ใช้เป็นบางส่วนก่อน สำหรับผู้ที่ยังไม่พบตัวเลือกนี้อาจจะต้องรออีกซักพัก
สำหรับผู้ใช้ G Suite Legacy เดิมที่เปลี่ยนไปใช้แพลนที่เสียเงินหลังจากวันที่ 19 มกราคมและไม่ได้ใช้งาน G Suite ในเชิงธุรกิจนั้น สามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นแพลนที่ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ด้วยการติดต่อ Support จากใน Admin Console (รายละเอียดสามารถดูได้ใน Google Space Admin Help)
ที่มา - Twitter ของ @NeighborGeek |
# แย่งตัวกันหนัก ไมโครซอฟท์ขึ้นเงินเดือนพนักงานทั่วโลก เพิ่มงบประมาณเงินเดือนให้ 2 เท่า
Satya Nadella ส่งอีเมลภายในถึงพนักงานไมโครซอฟท์ ระบุว่าเพิ่มงบประมาณสำหรับขึ้นเงินเดือนพนักงานเป็นเกือบ 2 เท่าตัว หลังเจอสถานการณ์ว่าบริษัทไอทีแย่งตัวพนักงานกันเพิ่มขึ้น
Nadella ให้ข้อมูลว่าการเพิ่มเงินเดือนจะอิงตามฝีมือและผลงาน (merit-based) ซึ่งแตกต่างกันตามแต่ละประเทศ โดยไมโครซอฟท์จะเน้นการขึ้นเงินเดือนให้ประเทศที่มีความต้องการพนักงานสูง และเน้นเพิ่มให้พนักงานระดับล่าง-กลาง (early to mid-career) เป็นหลัก
ส่วนพนักงานระดับอาวุโส จะเพิ่มโควต้าการแจกหุ้นพนักงานในสัดส่วนที่มากขึ้นด้วย
เมื่อต้นปีนี้เราเห็นข่าว Amazon ปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานใหม่ และ Apple เองก็ต้องแจกหุ้นพนักงานเพิ่ม เพื่อดึงตัวพนักงาน แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานไอทียังมีการแข่งขันที่สูงมาก
ที่มา - GeekWire, ภาพจาก Microsoft |
# Apple ให้ผู้พัฒนาแอปขึ้นราคาค่า subscription ได้ โดยผู้ใช้ไม่ต้องยอมรับ opt-in แต่มีเงื่อนไข
แอปเปิลประกาศการเปลี่ยนสำหรับนักพัฒนา ในระบบสมัครสมาชิกแบบต่ออายุอัตโนมัติ (auto-renewable subscription) จากเดิมที่หากค่าสมาชิกรายเดือนหรือรายปี มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น ผู้สมัครใช้งานต้องกดยอมรับทุกครั้ง (opt-in) ซึ่งพบปัญหาว่าผู้ใช้งานไม่ได้กดยอมรับหรือปฏิเสธ ทำให้การสมัครสมาชิกต้องยกเลิกไปแบบไม่ตั้งใจ
โดยเงื่อนไขใหม่นี้ แอปเปิลกำหนดว่าเมื่อแอปมีการปรับราคาค่าสมาชิก ให้ระบบแจ้งเตือน ส่งอีเมล แสดงข้อความถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้ใช้งานไม่ต้องกด opt-in ก็สามารถใช้งานต่อได้เลยในราคาใหม่นี้
ราคาที่ปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้อง opt-in ใหม่นี้ มีข้อกำหนดคือ ปรับขึ้นไม่เกิน 5 ดอลลาร์ต่อเดือนหรือไม่เกิน 50% ของราคาเดิมต่อเดือน หรือ 50 ดอลลาร์ต่อปี หรือ 50% ราคาต่อปี และมีการปรับราคาขึ้นไม่เกิน 1 ครั้งต่อปี หากไม่อยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องให้ผู้ใช้งานกดยอมรับก่อนเท่านั้น
ที่มา: แอปเปิล |
# Elon Musk เผย อาจเจรจาซื้อกิจการ Twitter ใหม่ ด้วยมูลค่าที่ลดลง
Elon Musk เข้าร่วมงานสัมมนา All-In Summit และมีช่วงหนึ่ง พูดถึงดีลซื้อกิจการ Twitter ซึ่งบอกเป็นนัยว่าอาจมีการตกลงราคาที่จะซื้อใหม่ โดย Musk บอกว่า ดีลใหม่ในราคาที่ลดลงนั้นใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้
ก่อนหน้านี้ Musk ประกาศจะซื้อกิจการ Twitter ที่มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 54.20 ดอลลาร์ต่อหุ้น จนกระทั่งดีลได้รับการอนุมัติจากบอร์ดบริหาร แต่ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาบอกว่าขอหยุดพักดีลนี้ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบข้อมูลจำนวนบัญชีบอตบนแพลตฟอร์ม โดย Musk ประเมินว่าบัญชีบอตมีอย่างน้อย 20% ของทั้งหมด แต่ Twitter ระบุว่ามีน้อยกว่า 5%
ผลจากข่าวดังกล่าวทำให้ราคาหุ้น Twitter ปรับลดลงมาก ล่าสุดอยู่ที่ 37.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ที่มา: CNBC |
# Fall Guys เปลี่ยนเป็นเกม Free-to-Play และเตรียมลง Nintendo Switch, Xbox, PS5 21 มิถุนายนนี้
Mediatonic ผู้พัฒนาเกม Fall Guys: Ultimate Knockout ประกาศว่าเกมจะเปลี่ยนเป็น Free-to-Play และขยายสู่แพลตฟอร์มเพิ่มเติมได้แก่ Nintendo Switch, Xbox, PS5 และ Epic Games Store ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2022 เป็นต้นไป
โดยในทุกแพลตฟอร์มเวอร์ชันของ Fall Guys จะรองรับการเล่นข้ามแพลตฟอร์ม Cross-play และรองรับสถานะการเล่นล่าสุด Cross-progression ผ่านระบบบัญชีของ Epic
สำหรับความละเอียดการแสดงผล บน Switch จะรองรับ 30FPS/720p ที่โหมดพกพา และ 30FPS/1080p เวลาต่อจอ ส่วนบน Xbox สูงสุดที่ 60FPS/4K สำหรับ Series X
ในอัพเดตนี้ซึ่งเรียกว่า Fall Guys: Free For All จะมาพร้อมด่านใหม่ และระบบเหรียญในเกมแบบใหม่ สำหรับผู้เล่นที่เคยซื้อเกมนี้ไปแล้วจะได้รับชุดคอสตูม Legacy Pack และ Free For All season pass เป็นการตอบแทนที่สนับสนุนเกมนี้มาก่อนหน้า
ที่มา: Polygon |
# เหรียญ DEI หลุดการผูกค่ากับดอลลาร์ ลงไปถึง 0.5 ดอลลาร์
เหรียญ DEI ที่เป็น stablecoin ผูกมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐฯ ของ Deus Finance เริ่มหลุดมูลค่าที่ผูกไว้และลดลงเรื่อยๆ จนถึง 0.5 ดอลลาร์ ก่อนจะกลับขึ้นมาเป็น 0.7 ดอลลาร์ต่อ DEI ณ เวลาที่เขียนข่าว
ขณะที่ราคาเริ่มหลุดมูลค่าที่ผูกไว้ ทาง Deus ตัดสินใจปิดกระบวนการไถ่ถอน DEI เป็นเหรียญอื่นๆ ชั่วคราว โดยตัว DEI เป็น algorithmic stablecoin ที่ไม่ได้มีเงินดอลลาร์หนุนมูลค่าเต็ม
แม้จะเป็น stablecoin แต่ราคาของ DEI ที่ผ่านมาก็ไม่นิ่งนัก ราคาบางกระดานซื้อขายแกว่งไปมาค่อนข้างกว้าง บางกระดานก่อนหน้านี้เคยลงไปถึง 0.8 ดอลลาร์มาก่อนแล้ว
ที่มา - CoinDesk
ราคา DEI ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาจาก Coinmarketcap |
# DigitalOcean ขึ้นราคาบริการแทบทุกตัว ออกเครื่องรุ่นเล็กสุดเพิ่มเติม
DigitalOcean บริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในหมู่บริษัทขนาดเล็กและโปรเจคนักพัฒนาประกาศปรับราคาค่าบริการใหม่ โดยบริการหลักๆ หลายตัวขึ้นราคาประมาณ 20% แต่เซิร์ฟเวอร์บางรุ่นก็อาจจะขึ้นราคาน้อยกว่านั้น ยกเว้นบริการสตอเรจ Spaces ที่ยังราคาเท่าเดิม
เครื่องรุ่นเล็กยอดนิยม 1vCPU RAM 1GB SSD 25GB ราคาปรับจาก 5 ดอลลาร์เป็น 6 ดอลลาร์ เครื่องแบบซีพียูพรีเมียมรุ่นเล็กปรับจาก 6 ดอลลาร์เป็น 7 ดอลลาร์ ขณะที่เครื่องรุ่นใหญ่ 8vCPU RAM 16GB นั้นปรับราคาจาก 96 ดอลลาร์เป็น 112 ดอลลาร์ และค่าบริการ load balancer เพิ่มจาก 10 ดอลลาร์เป็น 12 ดอลลาร์
แม้ว่าจะปรับราคาขึ้น แต่ DigitalOcean ก็เพิ่มเครื่อง 1vCPU RAM 512MB SSD 10GB มาเพิ่มให้มีราคาเริ่มต้น 4 ดอลลาร์ นับเป็นการกลับไปให้บริการเครื่องแรม 512MB อีกครั้งหลังจากเพิ่มขนาดเครื่องมาตั้งแต่ปี 2018
ราคาใหม่จะมีผลวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
ที่มา - DigitalOcean |
# ผู้กำกับ Doctor Strange เผย ทีมผลิตทำงานผ่าน Zoom กันเกือบหมด
ภาพยนตร์ Doctor Strange in the Multiverse of Madness เข้าฉายมาได้เกือบครึ่งเดือน ขณะนี้กวาดรายได้ทั่วโลกไปแล้วกว่า 688 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เป็นผลงานที่ทีมงานทำงานกันผ่าน Zoom เยอะมาก
Sam Raimi ผู้กำกับ Doctor Strange ภาคล่าสุดได้เปิดเผยว่าเขาทำงานกับทีมผลิตหนังโดยการประชุมผ่าน Zoom เกือบตลอด เช่น storyboard artist ก็ฉายงานขึ้นมาในที่ประชุม หรือนักตัดต่อก็เปิดคลิปที่ตัดมาแล้วให้ทุกคนได้ดู ซึ่ง Raimi บอกว่าการสื่อสารในทีมนั้นดีมาก และเขายังระบุว่าข้อดีอีกอย่างคือเขาสามารถคุยกับทีมงานหลักสิบหรือหลักร้อยคนได้พร้อมๆ กัน ทำให้การทำงานของเขาง่ายขึ้นมาก
ผู้กำกับอีกคนอย่าง Mohamed Diab ที่กำกับซีรีส์ Moon Knight ก็ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Axios ว่าเขาไม่เคยพบทีมตัดต่อจริงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดการผลิตซีรีส์เรื่องนี้ และแม้จะทำงานกันผ่าน Zoom แต่ Diab ก็บอกว่า Moon Knight เป็นเรื่องที่ถ่ายซ่อมน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างหนังของ Marvel เลยทีเดียว
ที่มา - Axios |
# Sony เผยรายชื่อเกมเล่นฟรีเหมาจ่ายชุดแรกของ PlayStation Plus แบบใหม่
Sony เปิดเผยรายชื่อเกมฟรีชุดแรกของ PlayStation Plus เวอร์ชันยกเครื่องใหม่ ที่เป็นคู่แข่งของ Xbox Game Pass โดยสมาชิกที่จะได้สิทธิเล่นเกมฟรีแบบเหมาจ่าย (PS4/PS5) ต้องจ่ายแพ็กเกจกลาง PlayStation Plus Extra (ราคาไทยเดือนละ 320 บาท ปีละ 2,000 บาท)
เกมเหมาจ่ายของ PlayStation Plus Extra มีทั้งเกมของ Sony เอง (PlayStation Studios) ที่มีเกมเก่าดังๆ มากันครบ เช่น Death Stranding, Ghost Of Tsushima, Days Gone, Returnal, Spider-Man: Miles Morales แต่ยังไม่มีเกมใหม่ของปีนี้อย่าง Horizon Forbidden West หรือค่อนข้างใหม่อย่าง The Last of Us Part II ตามนโยบายของ Sony ที่ยืนยันว่าไม่มีเกมใหม่)
ส่วนเกมของค่ายอื่นๆ (Third Party) ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น Assassin’s Creed Valhalla (Ubisoft), Guardians of the Galaxy (Square Enix), NBA 2K22 (2K), Red Dead Redemption 2 (Rockstar) เป็นต้น รายชื่อเกมทั้งหมดดูได้จากลิงก์ต้นฉบับ
หากจ่ายแพ็กเกจใหญ่ PlayStation Plus Deluxe (ราคาไทยเดือนละ 370 บาท ปีละ 2,300 บาท) จะได้เล่นเกมเก่าคลาสสิกเพิ่มเติม และในประเทศที่มี PS Now เดิมจะได้เล่นเกมเก่า PS3 แบบสตรีมจากคลาวด์ด้วย (ประเทศไทยไม่มี)
เกมเก่าตอนนี้มีทั้งเกม PS1 เช่น Hot Shots Golf, Syphon Filter, I.Q., Tekken 2 และเกมเวอร์ชันรีมาสเตอร์ลง PS4 เช่น Jak and Daxter, Siren, Wild Arms 3, Bioshock Remastered เป็นต้น
ช่วงแรกแม้เกมอาจยังดูน้อยเมื่อเทียบกับฝั่ง Xbox แต่ Sony ก็บอกว่าจะทยอยเพิ่มเกมเข้ามาให้เรื่อยๆ โดยจำนวนเกมที่เคยประกาศไว้คือ 400 เกม
ที่มา - PlayStation Blog |
# Luna Foundation เปิดข้อมูลการใช้เงินสำรองสู้ค่าเงิน จาก 80,394 BTC เหลือ 313 BTC
Luna Foundation Guard (LFG) ออกมาแถลงรายละเอียดการใช้เงินคริปโตที่สำรองไว้เพื่อสู้ค่าเงิน UST ตามที่ถูกตั้งคำถามก่อนหน้านี้
ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2022 ก่อนเหตุการณ์ค่าเงิน UST หลุดจากที่ตรึงไว้ เงินคริปโตที่ Luna Foundation Guard ถือครองไว้มีดังนี้
80,394 $BTC
39,914 $BNB
26,281,671 $USDT
23,555,590 $USDC
1,973,554 $AVAX
697,344 $UST
1,691,261 $LUNA
ณ ปัจจุบัน 16 พฤษภาคม 2022 ที่แถลงข้อมูล Luna Foundation Guard เหลือเงินคริปโตดังนี้
313 $BTC
39,914 $BNB
1,973,554 $AVAX
1,847,079,725 $UST
222,713,007 $LUNA (of which 221,021,746 is currently staked with validators)
รายการใช้เงินคริปโตที่สำคัญคือ รอบแรกเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2022 ที่เหรียญ UST เริ่มมีมูลค่าลดลง กองทุนสำรองได้ใช้เงินเพื่อต่อสู้ค่าเงิน ดังนี้
เงิน USDT และ USDC ที่เป็นเหรียญ stablecoin ถูกใช้ไปทั้งหมด (มูลค่ารวมกันประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ แลกได้เป็น UST จำนวน 50,200,071 เหรียญ
เงิน BTC จำนวน 52,819 เหรียญ (มูลค่า ณ ปัจจุบันประมาณ 1.577 พันล้านดอลลาร์) ถูกใช้ไปเทรดกลับมาเป็น UST จำนวน 1.515 พันล้านเหรียญ เพื่อเพิ่มปริมาณ UST ในระบบ
ถัดจากนั้น ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2022 เมื่อเหรียญ UST มีมูลค่าตกลงอีกครั้ง เหลือ 0.75 ดอลลาร์ต่อเหรียญ
เงิน BTC จำนวน 33,206 เหรียญ (มูลค่า ณ ปัจจุบันประมาณ 991 ล้านดอลลาร์) ใช้เทรดเป็น UST จำนวน 1.164 พันล้านเหรียญ
และรอบสุดท้าย วันที่ 12 พฤษภาคม 2022 ทาง LFG แลก UST ปริมาณ 883 ล้านเหรียญ เป็น LUNA ได้ 221 ล้านเหรียญ เพื่อใช้เพิ่มมูลค่าของ Luna ป้องกันการโจมตีเชนด้วยจำนวนเหรียญที่มากกว่า (governance attack) ที่ทำให้ต้องหยุดเชนชั่วคราวรอบแรก
LFG ได้เปิดหน้าเว็บแสดงเงินคริปโตคงเหลือ เพื่อให้สาธารณะตรวจสอบได้ โดยระบุว่าจะนำทรัพย์สินที่เหลืออยู่ (Bitcoin เหลือ 313 BTC หรือราว 9.2 ล้านดอลลาร์) มาชดเชยให้กับผู้ถือ UST ที่เหลืออยู่ ตามแผนที่เคยประกาศไว้ และยึดหลักผู้ถือน้อยกว่าจะได้รับเงินคืนก่อน (smallest holders first)
หลัง LFG ประกาศข่าวเงินสำรองที่เหลืออยู่ มูลค่าของ UST ปรับตัวลดลงจากราว 0.14 ดอลลาร์ เหลือ 0.08 ดอลลาร์
ที่มา - Coindesk |
# รีวิว Surface Duo 2 เทียบ Surface Duo (และ Pixel 3)
หลังจากไมโครซอฟท์ออก Surface Duo มาโดยชูจุดเด่นการทำงานแบบมัลติทาสก์ ผมที่รู้สึกว่าสมาร์ทโฟนมีปัญหากับการทำงานรูปแบบนี้ก็สั่งมาใช้งานตั้งแต่รุ่นแรก เมื่อไมโครซอฟท์ออก Surface Duo 2 ที่แก้จุดอ่อนในรุ่นแรกออกไปหลายอย่างและมีโปรโมชั่นที่รับได้ก็ถือโอกาสเปลี่ยนรุ่นตามมาได้ระยะหนึ่ง เลยขอมาเล่าส่วนที่เปลี่ยนไปในรุ่นที่สองว่าดีขึ้นจริงไหมเป็นอย่างไรกันบ้าง
TL;DR
เปลี่ยนจาก Duo 1 -> Duo 2 แล้วชีวิตดีขึ้น แก้ข้อเสียไปมาก ใช้งานได้สะดวกและครบขึ้น กล้องคุณภาพสู้เรือธงอื่นไม่ได้แต่ดีขึ้นมากจนไม่ต้องพกเครื่องสำรองไว้ถ่ายภาพ ปากกาเร็วและดีเทียบชั้น Apple หน้าจอลื่นขึ้นมี HDR แต่สีสองจอไม่เท่ากัน Glance Bar มีข้อจำกัดสูงมากจนไม่ค่อยมีประโยชน์ แบตใหญ่ขึ้นแต่ไม่อึดขึ้น
ถ้าตามสเปคเลยส่วนที่ต่างก็จะเป็น
หน้าจอใหญ่ขึ้นเล็กน้อยแม้ขนาดเครื่องจะแคบลงเล็กน้อย โดยทำขอบด้านบน/ล่างเล็กลง
จอขยายจากฝั่งละ 5.6” 1350×1800 มาเป็น 5.8” 1344×1892 รวมสองฝั่ง 8.3” 2688×1892 ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
สามารถแสดงสีแบบ HDR แล้ว 100% SRGB, DCI-P3
อัตรารีเฟรชจอภาพจาก 60Hz เป็น 90Hz
เพิ่มจอโค้งในขอบด้านในที่ติดกัน ทำให้เวลาพับเครื่องแล้วยังสามารถแสดงผลด้านนอกได้ด้วย
เครื่องสูงเท่าเดิม แคบลงเล็กน้อย หนาขึ้นเล็กน้อย
แบตเตอรี่ เพิ่มจาก 3577mAh เป็น 4449mAh
ชาร์จเร็ว เพิ่มจาก 18W เป็น 23W
CPU เพิ่มจาก Qualcomm Snapdragon 855 เป็น Snapdragon 888
RAM เพิ่มจาก 6GB LPDDR4 เป็น 8GB LPDDR5
จากมีกล้องเดียวในความหนาเครื่อง 4.8mm ก็มาเพิ่มกล้องปูดอีก 3 ตัว เป็นกล้องหน้า 1 กล้องหลัง ultra-wide 16MP, wide 12MP, tele 12MP
เพิ่ม 5G และ Wi-Fi6 (ที่ผมลองคือใช้ 5G และ VoLTE บน Truemove-H ได้)
เพิ่ม dual-standby SIM + eSIM พร้อมกัน
เพิ่ม NFC
มาที่ความเห็นส่วนตัวจากที่ใช้มาราว 1 สัปดาห์ด้วยตัวเครื่องสีขาว (สีขาวใช้กลางแดดเครื่องยังร้อนเร็วมาก สีดำน่าจะหนักกว่านั้นเลยเอาสีขาว) + Pen Cover สีขาว + Slim Pen 2 ครับ การใช้งานทั่วไปไหลลื่นขึ้นมากจากชิปเรือธงที่ใหม่ขึ้นมา 2 รุ่น การมี NFC ก็ทำให้สะดวกขึ้นมากเวลาจะใช้กุญแจ FIDO เช่น Yubikey ไม่นับว่าทำให้เช็คยอดเงินในบัตร Suica ได้ (เพราะคงยังไม่มีโอกาสได้ใช้เร็วๆ นี้ 😢)
ตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อยอาจจะถือว่าเป็นข้อดีบางส่วน เพราะใน Duo 1 มีคนพอร์ตชาร์จแตกหักกันเยอะพอสมควรจากความที่มันบางมาก และ Duo 1 เองบางจนหัวชาร์จแม่เหล็กที่เสียบคาไว้จะหนากว่าตัวเครื่อง แม้ bumper ของจอขวาจะช่วยยกขอบขึ้นมาเล็กน้อยแต่พอร์ตชาร์จมันอยู่อีกข้างนึง เวลาวางก็จะหวั่นใจกับแรงกดตัวหัวแม่เหล็กอยู่บ้าง
หนาขึ้นมานิดนึง | ใกล้ - Duo 1, ไกล - Duo 2
ตัวไหนก็ไม่ได้เรียบจนแนบ | ขวา - bumper ปูดของ Duo 1, ซ้าย - กล้องปูดของ Duo 2
ในส่วนของพอร์ตชาร์จถูกย้ายจากริมซ้ายของจอขวามาไว้กลางหน้าจอขวาแล้ว ส่วนช่องใส่ซิมเองก็ย้ายจากขอบขวาจอขวามาไว้กลางขอบล่างจอซ้ายทำให้ถูก Pen Cover ปิดช่องซิมไว้ทั้งหมดเลย การเปลี่ยนซิมต้องเลื่อน Pen Cover ออกก่อน ซึ่งเลื่อนออกได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์แต่ถ้าเลื่อนบ่อยก็น่ากังวลว่าจะทำให้ช่องหลวม
พอร์ตชาร์จ | บน - Duo 1, ล่าง - Duo 2
Bumper
ของ Duo 1 ที่แถมมาเป็น bumper สองชั้นครับ ใช้แถบกาวติดกับเครื่อง ด้านติดเครื่องเป็นพลาสติกแล้วมียางหนาๆ หุ้มอีกที ซึ่งยางนี่มันเหนียว เวลาเอาเครื่องใส่กระเป๋ากางเกงจะฝืดน่ารำคาญพอควรเลย
หนำซ้าใช้ๆ ไปยางมันหลุดจากพลาสติกต้องคอยเอากาวสองหน้าแปะ น่าเบื่อมาก
ของ Duo 2 ผมไม่ได้สั่ง bumper ตัวปกติมาแต่เป็น Pen Cover แทน ในฝั่งจอขวาน่าจะเหมือนกับ bumper ตัวปกตินะครับ (ไม่แน่ใจ) แต่รอบนี้ไม่มียางเป็นแค่พลาสติกชั้นเดียว ใส่กระเป๋าลื่นสะดวกครับ
ข้อเสียคือมันไม่หนาแล้ว พอร์ตแม่เหล็กที่เสียบคาไว้มันก็จะทำให้วางเครื่องราบลงไปไม่ได้
และข้อดีมากๆ ของ Pen Cover ไม่ใช่การที่มันยึดปากกาเข้าที่ได้แน่นมากแต่คือมันชาร์จปากกาได้ในตัว (เข้าใจว่าเป็นข้อจำกัดในการจัดสรรที่ภายในเครื่องเลยต้องแยกมาไว้ที่ปก) ทำให้ไม่ต้องเอาปากกามาใส่แท่นชาร์จทิ้งไว้แล้วหยิบก่อนออกจากบ้านหรือเดินมาหยิบเวลาจะใช้อีกแล้ว
กล้อง
ความประทับใจแรกที่น่าจะเป็น pain ของผู้ใช้ Surface Duo รุ่นแรกหลายคนคือกล้องครับ ดีขึ้นมากๆ เพราะของเก่าคือถ้าอยากถ่ายสวยต้องพก Pixel 3 ไปด้วยเท่านั้นเลย ตอนนี้พอโอเคแล้วแม้จะสู้ Pixel 3 ไม่ได้ โดยจะมีขัดใจที่กล้อง ultra-wide ดันใส่ความละเอียดสูงกว่าตัวอื่นจนต้องใช้แสงมาก noise สูงกว่ากว่ากล้องอื่น รวมถึงแอปกล้องติดเครื่องถ่ายวิดีโอด้วย ultra-wide ไม่ได้
การที่กล้องหลักย้ายไปอยู่ข้างหลังแล้วส่งผลให้แฟลชถูกย้ายไปข้างหลังด้วย ได้ผลพลอยได้คือใส่ gesture กดปุ่ม power สองครั้งตอนพับเครื่องอยู่เพื่อเปิดไฟฉายได้ ใช้งานสะดวกขึ้น จากรุ่นเก่าไฟฉายเก่าใช้ยากมากและต้องน่าจะมีคนเผลอเปิดไฟฉายตอนกางใช้สองจออยู่เหมือนผมอีกแน่ๆ
กล้องหน้ามีเสียดายเล็กน้อย
ย้ายจากมุมขวาบนมาไว้กลางจอขวา ทำให้เอากล้องใหญ่ๆ ใส่ไว้ให้ปูดไปข้างหลังไม่ได้ คุณภาพเลยแทบไม่ต่างจากเดิม
แต่การย้ายก็ทำให้ภาพตอนประชุมออกมาดีขึ้น มุมสายตาไม่เอนมากเท่าเดิมเวลามองจอซ้ายครับ (แต่ก็ยังห่างนะ)
ดูภาพต้นฉบับได้ที่นี่
ภาพถ่ายภายนอกอาคารตอนแดดเปรี้ยงๆ
กล้องหน้า
Wide
Ultra Wide
Tele
ภาพในอาคาร อันนี้มี Pixel 3 กับ Duo 1 มาให้เทียบด้วยครับ ดูภาพต้นฉบับได้ที่นี่
Pixel 3
Surface Duo 1
Surface Duo 2 - front
Surface Duo 2 - wide
Surface Duo 2 - ultra wide
Surface Duo 2 - tele
หน้าจอ
หน้าจอใหม่ ใหญ่ขึ้น เล่นวิดีโอ HDR ได้แล้ว มีโค้งตรงกลาง ลื่นขึ้นจาก 90Hz
เรื่องขนาดนี่ผมไม่รู้สึกอะไรมากครับ
ช่องว่างระหว่าง 2 จอแคบลงครับด้วยการปรับมาใช้จอโค้งทำให้ขอบหน้าจอมันใกล้ขอบเครื่องเข้าไปอีก
ขอบโค้งด้านในมีข้อเสียแค่เล็กน้อยคือพอมันโค้งลงไปตรงกลางทำให้มานเป็นร่องที่ค่อนข้างกว้าง เวลาลากนิ้วข้ามจอมันจะสะดุดร่อง แต่ด้วยความที่บริเวณขอบของร่องมันยังเป็นส่วนของหน้าจออยู่ทำให้ตอนที่นิ้วตกร่องนี่นิ้วเราจึงโดนส่วนหน้าจอทั้งสองจอได้พร้อมกัน
เทียบกับของเดิมที่แม้สองจอจะเรียบเป็นระนาบเดียวกันและมีร่องที่แคบกว่ามากแต่ส่วนที่เป็นหน้าจอจริงๆ กลับอยู่ห่างจากกันพอสมควร เมื่อลากนิ้วผ่านช้าๆ อาจมีจังหวะที่นิ้วออกจากหน้าจอแรกและยังไปไม่ถึงหน้าจอที่สองทำให้ระบบคิดว่านิ้วเราไม่ได้สัมผัสหน้าจอแล้วได้
เครื่องแรกคือ Duo 1 เครื่องหลังคือ Duo 2 ครับ
แต่จอภาพใน Duo 2 มีคนเจอว่าจอสองข้างอุณหภูมิสีไม่เท่ากันเยอะมากรวมถึงผมด้วยทั้งที่รุ่นเก่าแทบไม่มีคนเจอ แต่การใช้งานจริงก็ไม่ได้ขัดใจเท่าไหร่ครับ ส่วนมากสองจอเปิดใช้งานกันคนละอย่างเลยไม่รู้สึก แต่น่าจะมีคนไม่โอเคกับเรื่องนี้พอสมควรเลย แต่ใน Duo 1 ก็มีคนเจอปัญหาเครื่องตัดสินใจเปิดหน้าจอไม่ถูก เช่น
พับเป็นโทรศัพท์จอเดียว ดันติดสองจอ ซึ่งอันนี้ผมยังไม่เจอบน Duo 2
พับเป็นโทรศัพท์จอเดียว ดันติดจอที่หันไปข้างหลัง โดยเฉพาะโหมดกล้องที่ไม่มีให้ double tap to activate อีกจอ ต้องหมุนไปๆ มาๆ ไม่ก็พับเป็นสองจอก่อนแล้วค่อยพับใหม่ อันนี้เค้าแก้ปัญหาโดยตั้ง default มาเป็นติดหน้าจอขวาเสมอ จะสลับให้ double tap อีกจอ แต่ยังสามารถตั้งเป็นแบบเดิมได้ แต่ผมเข็ดครับ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้จอซ้ายแล้วนี่ เราไม่ได้ต้องใช้กล้องที่จอขวาเพื่อถ่ายภาพแล้ว ซึ่ง Duo 1 ยังคงไม่มีตัวเลือกนี้แม้จะได้อัปเดตจนฟีเจอร์เหมือนกันเกือบหมดแล้วก็ตาม
ใช้สองจออยู่ อีกจอดันดับ ต้องเปลี่ยนระนาบเครื่องให้ติดทั้งสองจอก่อนแล้วค่อยเอนมาใหม่ อันนี้ผมยังไม่เจอบน Duo 2 อีกเช่นกัน
เทียบความรำคาญของเก่าที่ทำงานสะดุด กับของใหม่ที่สีไม่เท่ากัน ผมเลือกของใหม่ครับ 😂
เรื่องพับเครื่องเพื่อใช้หน้าจอเดียวได้ไม่แนบกันเนื่องจากตัวใหม่มีกล้องปูด อันนี้ของเดิมถ้าใส่ bumper มันจะนูนขึ้นมาเล็กน้อยอยู่แล้วครับ กับเวลาออกข้างนอกแล้วผมจะเอาปากกาแปะออกไปด้วย หนากว่ากล้องอยู่แล้ว
จะเป็นขัดใจตอนวางราบเพื่อเขียนมากกว่าเพราะกล้องมันอยู่แต่ด้านบน ถ้าเราเขียนที่มุมขวาล่างเนี่ยจอมันจะกระดกได้เอา อันนี้ติดลบเล็กน้อย
Glance Bar
ส่วนของ Glance Bar ที่อยู่ตรงจอโค้งเวลาพับเครื่องใช้งานได้ไม่กี่อย่างเท่านั้น
ขึ้นปริมาณแบต เฉพาะตอนเสียบชาร์จหรือถอดเท่านั้น ระหว่างชาร์จไม่เห็น
ขึ้นระดับเสียงเวลากดปรับเสียงตอนฟังเพลงอยู่
ขึ้น animation สายเรียกเข้า (รวมถึงสายเรียกเข้าผ่านแอป) โดยไม่ขึ้นชื่อหรือเบอร์
เวลาการแจ้งเตือนเข้าหรือกดปุ่ม power จะขึ้นนาฬิกาและจำนวน notification เฉพาะของ
สายเข้าไม่ได้รับ
SMS ที่ยังไม่ได้อ่าน
จำนวนการเตือนจากแอป Microsoft Teams
ยังไม่มีการใช้งานอื่นใดให้ใช้ รวมถึงไม่ขึ้นการเตือนของแอปอื่นไม่ว่าจำนวนหรือไอคอนก็ตาม แค่ Glance Bar จะติดขึ้นมาแสดงเวลาหรือการเตือนที่อยู่ในรายการข้างต้นเท่านั้น ดูประโยชน์น้อยเกินไปหน่อย
ปากกา
จากการไปลอง Surface Slim Pen 2 บน Surface Duo 2 เทียบกับ Apple Pencil 2 บน iPad Air (ของคนอื่น) มา พบว่าถ้านับการเขียนอย่างเดียวตอนนี้ผมพลิกให้ฝั่ง Surface ชนะแล้วครับ หลังจากบ่นมานาน
แต่ทั้งนี้บนหน้าเว็บระบุไว้ชัดเจนว่า Surface Slim Pen 2 ไม่รองรับ zero-force inking (เขียนได้โดยไม่ต้องออกแรงกดเลย น่าจะคล้าย Apple Pencil แต่ Apple Pencil นี่จริงๆ มันเริ่มเขียนติดตั้งแต่ก่อนดินสอโดนหน้าจอเสียอีก), tilt (ดูการเอียงปากกา มีก็ดีแต่ใช้จดๆ วาดๆ แบบผมไม่ได้มีผลอะไร) และ tactile signal (สั่นตัวปากกาเวลาเขียน จำลองความรู้สึกเขียนบนพื้นผิวต่างๆ) เมื่อใช้กับ Surface Duo 2 นะครับ น่าเสียดายเหมือนกัน
การใช้ Slim Pen 1 และ 2 บน Duo 1 นั้นไม่ต่างกันในเรื่องของความเร็ว แต่ต่างที่หมึกออกไม่ตรงหัวคนละแบบ (ดูในคลิป) ตัว Slim Pen 1 นั้นจะออกมาระหว่างจุดที่สัมผัสกับมือ (ถ้าตั้งปากกาตรงจะออกตรง แต่ตอนเขียนผมเอนไงครับ) ส่วน Slim Pen 2 นั้นกลับออกเลยจุดสัมผัสไปอีก
ส่วนการใช้ Slim Pen ทั้ง 1 และ 2 บน Duo 2 นั้นเร็วขึ้นมากแบบรู้สึกได้ และหมึกออกมาตรงกับตำแหน่งสัมผัสกับหน้าจอทั้ง 2 รุ่นครับ
ทั้งนี้ Slim Pen 1 ไม่สามารถใช้ปุ่มด้านท้ายปากกาเพื่อสั่งงานตัวเครื่อง Duo 1 และ 2 ได้นะครับ ส่วน Slim Pen 2 สามารถสั่งงานได้ทั้ง Duo 1 และ 2 เลย
เครื่องแรกคือ Duo 1 นะครับ ปากกาที่หัวทู่กว่าคือ Slim Pen 1 ส่วนที่แหลมๆ คือ Slim Pen 2
แบตเตอรี่
เพิ่มแบตจาก ~3,500mAh มาเป็น ~4,500mAh ผมก็หวังว่าแบตมันจะอึดขึ้นนะครับ แต่จากการทดสอบพบว่าไม่ต่างกันนัก แม้ว่าซีพียูจะใหม่จะเป็นกระบวนการผลิตแบบ 5nm และเครื่องจะร้อนน้อยลงแล้วก็ตาม
จากการใช้แอปวัดกระแสไฟฟ้า (ซึ่งมันไม่แม่นยำครับ เข้าใจในเรื่องนี้แต่มันชี้ได้ระดับนึงและสอดคล้องกับการลดของแบตอยู่) พบว่าขณะเปิดจอเครื่องไว้เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร Duo 1 จะใช้พลังงาน ~180mA แต่ Duo 2 กลับพุ่งไปอยู่ที่ ~320mA เลยทีเดียว แม้จะเปิด power saver mode ที่ลดหน้าจอจาก 90Hz ลงมาที่ 60Hz เท่ากันแล้วหรือเปิด airplane mode ช่วยแล้วก็ตามก็ยังไม่สามารถลดลงมาใกล้เคียง Duo 1 ได้
การใช้งานจริงไม่แย่อะไรครับ อึดเท่าๆ เดิม ผิดหวังเล็กน้อยเพราะอยากให้มันอึดขึ้นมาอีก ใช้งานเบาแบตลด ~15% ต่อชั่วโมง ถ้าทำอะไรหนักๆ ก็อาจจะทะลุ 20% ต่อชั่วโมงได้แต่เครื่องร้อนแน่นอน
อื่นๆ
ซอฟต์แวร์เสถียรขึ้นมากขณะที่ตอนนี้ตัว Duo 1 เองก็ได้อัปเดตจนเกือบเท่ากับ Duo 2 แล้ว ใช้ App บน Phone Link เปิดหลายแอปเต็มไปหมดบนคอมก็ได้
หนึ่งในเรื่องน่าหงุดหงิดคือ Microsoft Launcher ที่บน Duo ไม่เหมือนบน Android อื่นๆ เพราะมีฟังก์ชันเพิ่มให้จริง แต่การปรับแต่งถูกกวาดทิ้งเรียบ ตั้งจำนวนไอคอนที่อยากเป็นไม่ได้ backup ไม่ได้ ตั้ง gesture ไม่ได้ วาง icon/widget คร่อม grid ก็ไม่ได้ (Microsoft Launcher ทั่วไปตั้งให้วางที่ครึ่ง grid ได้)
ส่วน gesture ของระบบ Android ที่หายไป (เทียบกับ Pixel) คือการรูดซ้าย/ขวาบน navigation bar ส่วนนึงเพราะมันเป็น gesture ใช้โยนแอปข้ามจอเมื่อโยนใส่อีกจอนึง แต่อย่างน้อยก็น่าจะใส่กับการลากไปข้างที่ไม่มีจอไว้ให้หน่อยนะ |
# OpenSea ยกเครื่องระบบป้องกันภาพโดนขโมยมาทำ NFT และวิธียืนยันตัวตนผู้ใช้
OpenSea เว็บไซต์ซื้อขาย NFT รายใหญ่ของโลก ประกาศปรับปรุงระบบการตรวจสอบไฟล์ภาพที่ถูกทำสำเนาหรือดัดแปลงอย่างไม่ถูกต้องเพื่อมาทำ NFT (copyminting) รวมถึงระบบยืนยันตัวตนของผู้ใช้ที่ดีกว่าเดิม
ฝั่งการป้องกัน copyminting ใช้ทั้งซอฟต์แวร์ image recognition ไล่ตรวจภาพทั้งหมดในระบบ และเช็คได้ว่าเป็นภาพที่กลับด้าน หมุน หรือดัดแปลงแบบอื่นๆ กับใช้แรงคนช่วยตรวจสอบว่าถูกต้องแค่ไหน การตรวจสอบจะมีผลกับทั้งภาพเก่าในระบบ และภาพใหม่ที่ถูกส่งเข้ามา
ฝั่งการยืนยันตัวตน verification ปรับปรุงกระบวนการยืนยันตัวตนใหม่มาเป็นระบบคำเชิญ (invite-based account) จากหน้าบัญชีเลย เบื้องต้นจะเชิญเจ้าของบัญชีที่มีมูลค่าอย่างน้อย 100 ETH เข้ามายืนยันตัวตนก่อน และจะค่อยๆ ขยายในภายหลัง กระบวนการยืนยันตัวตนยังทำได้เร็วขึ้น (การันตีภายใน 7 วัน) เมื่อยืนยันตัวตนแล้ว ภาพในครอบครองจะมีสัญลักษณ์ verification ติดมาด้วย เพื่อบอกว่าเจ้าของบัญชียืนยันตัวตนแล้ว
ที่มา - OpenSea, OpenSea |
# กูเกิลเปิดตัว LaMDA 2 ปัญญาประดิษฐ์สนทนาเวอร์ชันใหม่ เตรียมเปิดเว็บให้ลองคุยโดยตรง
ในงาน Google I/O สัปดาห์ที่ผ่านมา กูเกิลเปิดตัว LaMDA 2 ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการสนทนา (conversation AI) เวอร์ชันอัพเกรดจาก LaMDA (Language Models for Dialog Applications) รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2021
กูเกิลบอกว่า LaMDA 2 มีพารามิเตอร์มากกว่า 137 พันล้านรายการ เทรนด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ 1.56 ล้านล้านคำ ได้โมเดลที่พัฒนาขึ้นจากเดิมใน 3 ด้านคือ
Quality คุณภาพของการสนทนา สอดคล้องกับสามัญสำนึกมากขึ้น ตอบคำถามอย่างเจาะจงมากขึ้น บทสนทนาน่าสนใจขึ้น
Safety จำกัดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้หรือเกิดความเอนเอียงบางด้าน (เช่น ความรุนแรง การเหยียด)
Groundedness สร้างบทสนทนาที่อิงกับข้อเท็จจริง ไม่ขัดแย้งกับข้อมูลที่ยืนยันได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ
เพื่อโชว์ความสามารถของ LaMDA 2 กูเกิลจึงเปิดเว็บไซต์ AI Test Kitchen ให้เข้ามาสนทนากับ LaMDA 2 ได้จริงๆ (ตอนนี้มีแต่หน้าเว็บและเดโม แต่ยังคุยไม่ได้) โดยเราสามารถพิมพ์คุยกับ LaMDA 2 ได้ 3 รูปแบบคือ
Imagine It ให้ AI เล่าและบรรยายถึงสถานที่ต่างๆ เช่น จุดที่ลึกที่สุดในมหาสมุทรเป็นอย่างไร มีสัตว์ทะเลไหม อุณหภูมิเท่าไร
List It ให้ AI ย่อยขั้นตอนการทำงานต่างๆ ออกมาเป็นรายการสั้นๆ เช่น ถามว่าถ้าต้องทำสวนผักต้องทำอย่างไร จะได้คำตอบว่าต้องเริ่มจากเลือกสวน เตรียมดิน หว่านเมล็ด รดน้ำ เป็นต้น
Talk It บทสนทนาแบบดั้งเดิม ถามตอบเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งจุดขายคือ LaMDA จะให้คำตอบที่น่าสนใจหรือตลกขบขันเหมือนการคุยกับมนุษย์จริงๆ
ที่มา - Google, Google |
# Ming-Chi Kuo บอก AirPods และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของแอปเปิลจะใช้ USB-C เช่นเดียวกันกับ iPhone 15
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ขาประจำ ซึ่งมักให้ข้อมูลสินค้าใหม่ของแอปเปิลอยู่บ่อยครั้ง ระบุว่านอกจากข่าวลือที่ว่า iPhone 15 ที่จะเปลี่ยนไปใช้ USB-C แล้วอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของแอปเปิล ได้แก่ AirPods, Magic Keyboard, Magic Trackpad, Magic Mouse และ MagSafe Battery Pack สำหรับไอโฟน ที่ยังใช้ Lightning อยู่ จะเปลี่ยนมาใช้ USB-C เช่นเดียวกัน
Kuo ยังระบุอีกว่าแผนการของแอปเปิลที่จะตัดพอร์ตชาร์จของไอโฟนออกในปี 2021 ให้เหลือแค่ชาร์จไร้สายอย่างเดียวนั้นจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากข้อจำกัดของระบบไร้สาย และ MagSafe ecosystem ที่ยังไม่แข็งแรงมากนัก จึงกลายเป็นข่าวลือที่ว่าแอปเปิลจะเปลี่ยนมาใช้ USB-C แทน Lightning
ที่มา - 9to5Mac |
# ชวนสาย IT ร่วมงาน Clicknext นำพาซอฟต์แวร์ไทยไปในสู่ระดับโลก
Clicknext เป็นบริษัทเทคโนโลยี ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชั่น ทำธุรกิจในรูปแบบ B2B เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กร จุดเด่นคือ นำเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาและฟูมฟักเข้าไปช่วยให้ลูกค้าเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
โปรดักส์หลักๆ ของบริษัทคือ บริการ Software Service Provider ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการเว็บไซต์ บริการ SMS บริการแชทบ็อท รวมถึงระบบ CRM และงานหลังบ้าน ให้ลูกค้าองค์กรนำเทคโนโลยีไปใช้ สร้างรายได้ให้มากขึ้น
หรือหากองค์กรไหนต้องการซอฟต์แวร์ที่ไปแก้ปัญหาที่มีเฉพาะตัว ทาง Clicknext ก็มีการบริการลักษณะ Software House พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป็นโปรเจ็คๆ ด้วย
จุดเด่นของบริษัทคือ พัฒนาซอฟต์แวร์ต่อเนื่อง และยกระดับให้มันช่วยลูกค้าได้จริงๆ เน้นประเมินจากผลลัพธ์ของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ได้เน้นที่ยอดขาย หรือจำนวนลูกค้าที่บริษัทมี
ความตั้งใจของบริษัทคือ อยากขยายกิจการ และนำซอฟต์แวร์ของ Clicknext ออกสู่สายตาต่างชาติ ตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าในอาเซียน โดยตอนนี้ Clicknext มีออฟฟิศสามที่แล้ว คือบางแสน กรุงเทพ และ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย
ตัวอย่างกลุ่มลุกค้าของ Clicknext มีทั้งภาคธนาคาร การเงิน ลูกค้าประกันรายใหญ่ๆ ดังนั้น ที่นี่ จึงเป็นบริษัทที่กำลังโต มีความท้าทายในแง่การทำงาน และมีเป้าหมายใหญ่ไกลกว่าการเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ในประเทศ
วิธีการทำงานในแบบ Clicknext
คุณศุภยศ ศิริจำรูญวิทย์ (วิน) Managing Director เล่าการทำงานในแบบของ Clicknext ให้ Blognone Workplace ฟังว่า ที่ Clicknext ใช้วิธีแบ่งทีมแบบ Business Unit แต่ละยูนิต โฟกัสในหน่วยธุรกิจที่เรารับผิดชอบ
นอกจากนี้ยังเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มันเป็น cutting-edge technology อย่างบล็อคเชน AI ทีมงานยังได้เรียนรู้จากงานหลายๆ ประเภท สามารถ rotate ไปสู่หน่วยธุรกิจใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา
ศุภยศ ศิริจำรูญวิทย์ (วิน), Managing Director
เมื่อมาเจาะที่ทีม Developer คุณวินเล่ารายละเอียดให้เราฟังว่า ที่บริษัทมีเรื่องมาตรฐาน ISO 29110 และ ISO 27001 ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูล ในทีมจะเป็นที่รู้กันว่าการโค้ดดิ้งต้องได้มาตรฐานและต้องปลอดภัย
ในทีมนักพัฒนายังมีการแบ่งงานตามมาตรฐานซอฟต์แวร์ ซึ่งบริษัทพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อให้นักพัฒนาทำงานได้ง่าย ราบรื่น ทั้งรูปแบบ Waterfall ก็ดี Agile ก็ดี เรานำมาปรับๆ ใช้ให้เหมาะกับลักษณะงานในแต่ละโครงการ
คุณพิเชษฐ์ พิทักษ์วศิน (แม็ค) Project Manager ของ Clicknext ที่ดูแลทั้ง 2 BU ให้ภาพรวมเพิ่มเติมว่า ที่ Clicknext มีการทำงานแบบ 2 BU คืองานด้านโปรดักส์และงานด้านโปรเจกต์ งานโปรเจกต์คืองานที่พูดคุยความต้องการกับลูกค้าโดยตรง ส่วนงานโปรดักส์คือทีมงานที่พัฒนาโปรดักส์หลังบ้าน
งานที่เป็นโปรเจกต์ทีมนักพัฒนาก็จะมีโอกาสได้ไปพูดคุยกับลูกค้า หาความต้องการและโซลูชันที่ตอบโจทย์ ขณะที่โปรดักส์ แม้จะไม่ได้คุยกับลูกค้า แต่ก็จะได้โอกาสให้การทำวิจัยการตลาด (market research) หรือฟีดแบ็คจากลูกค้า เพื่อพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์/บริการที่มีให้ดีขึ้น
คุณพิเชษฐ์ พิทักษ์วศิน (แม็ค), Project Manager
จุดเด่นหนึ่งของ Clicknext ในการทำงาน คือการให้อิสระในการแสดงความคิดเห็นของน้องๆ ในทีมแบบเต็มที่ และไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะเรื่องเทคโนโลยี อย่างเช่นเรื่องการตลาด ถ้าน้องๆ พอมีไอเดียก็สามารถบอกทีมเพื่อแนะนำแลกเปลี่ยนกันได้
ในการพัฒนาคน ก็จะมีการ rotate ตำแหน่งงานข้าม BU ได้ เป็นความพยายามจะผสมผสานกันระหว่างคนทำงานโปรดักส์กับโปรเจกต์ เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสและเรียนรู้ทั้งวิธีการทำงานและทักษะที่แตกต่างกันได้ครบทั้งหมด มีโอกาสทำสิ่งใหม่ๆ ได้โอกาสเป็นเจ้าของโปรเจกต์ด้วยตัวเอง และพัฒนาโปรดักส์ให้ตรงตามความต้องการลูกค้าแบบเข้าเป้ามากขึ้น
ดังนั้น การทำงานเดิมๆ หรือทำงานด้วยวิธีแบบเดิมไปนานๆ จึงไม่ใช่คัลเจอร์ของ Clicknext อย่างแน่นอน
Clicknext เปิดกว้างทางจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์
เทคโนโลยีที่ Clicknext ทำเป็นโซลูชั่นให้บริการลูกค้า ไม่ได้จำกัดแค่เพียงโซลูชั่นเพื่อธุรกิจ แต่ยังมีเทคโนโลยีล้ำๆ อย่างระบบการ Virtual ด้วยหรือถ้าจะใช้ศัพท์ร่วมสมัยก็คงหนีไม่พ้นคำว่า Metaverse
คุณพงษ์สิทธิ์ ผ่องเวหา (เดียร์) Project Manager ในทีม Interactive ที่รับผิดชอบงาน virtual เล่าว่าที่มาที่ไปของการตั้งทีมนี้ คือการมองเห็นโอกาสจากเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ที่สามารถนำเสนอประสบการณ์ใช้งานแบบใหม่ให้กับ end-users ได้
คุณพงษ์สิทธิ์ ผ่องเวหา (เดียร์), Project Manager
ตัวอย่างโปรเจกต์ที่น่าสนใจให้ฟังว่า มีงานหนึ่งทำร่วมกับกรมศิลปากร นำโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์มาสร้างเป็นโมเดลสามมิติ มาแมทช์กับ AR และ Image Processing เพื่อนำมาไว้ในพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง
หรือระบบ Virtual Travel ที่บริษัทมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ AOT บริษัทท่าอากาศยานไทย ในการสร้างระบบท่องเที่ยวเสมือนจริง ซึ่งเป็นเทรนด์มาแรงช่วงโควิด-19
ดังนั้นที่นี่จึงเป็นเหมือนสนามประลอง ที่คนทำงานได้เข้ามาสร้างซอฟต์แวร์ใช้งานจริงกับลูกค้า เราเปิดกว้างเรื่องความคิด จินตนาการ ให้สามารถสร้างสรรค์งานได้เต็มที่ ไม่มีถูกไม่มีผิด
ทำงานที่ Clicknext ได้อะไร
ที่บริษัทคลิกเน็กซ์ ที่นี่เขาจัดเต็มเรื่องสวัสดิการณ์ให้พนักงานแบบไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็น
- การปรับเงินเดือนประจำปี (ที่มีการพิจารณาถึง 2 ครั้ง!)
- โบนัสประจำปี ตามผลงาน
- ขนมฟรี กิน ดื่ม แบบไม่อั้น
- กินเลี้ยงสังสรรค์ยกทีม
- ทริปท่องเที่ยวประจำปี
- เงินช้อปปิ้งสำหรับซื้อเครื่องแต่งกาย
- สวัสดิการเงินกู้สำหรับพนักงาน
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- เงินช่วยเหลือในกรณีต่างๆ อาทิ งานเเต่งงาน,รับขวัญบุตร,งานฌาปนกิจ
และสิ่งที่เราผลักดันมากที่สุดคือเรื่องของการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะ ซึ่งเรามีเงินสนับสนุนที่ให้พนักงานสามารถนำไปใช้ในการสมัครคอร์สอบรมเพื่อพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มที่
ตัวอย่างเช่น คอร์สอบรมในเรื่องของ การเขียนโปรแกรม, ดาต้าเบส หรือการนำวิทยากรภายนอกมาร่วมแชร์ความรู้ Workshop เป็นต้น
ที่นี่เรามองพนักงานเป็นพาร์ทเนอร์ระยะยาว ไม่ใช่แค่คนที่มาทำงานให้เรา เรากล้าให้พนักงานรับผิดชอบในงานที่ใหญ่กว่าตัวเอง เพราะมันจะดีต่อทั้งตัวพนักงานในระยะยาว
ถ้าใครมีความเชื่อว่า จะสามารถสร้างซอฟต์แวร์ โดยคนไทย ให้ไปถึงระดับโลกได้ ก็อยากจะขอเชิญชวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้มาสมัครงานกันที่ Clicknext เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจนี้
แอบกระซิบด้วยว่าออฟฟิศของ Clicknext อยู่ตึก Phayathai Plaza ติดบีทีเอสพญาไท เรียกได้ว่าเกยบีทีเอสเลยทีเดียว สะดวกสำหรับพนักงานมากๆ ด้วย
เสียงจากคนทำงาน Clicknext
คุณกฤตนัญ มั่นมี (บิ๊ก) Developer หนึ่งในคนทำงาน Clicknext พูดถึงความประทับใจที่ได้ทำงานที่นี่ว่า
เนื่องจากเป็นงานแรกที่ได้ทำ และรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ไม่รู้ว่าจะหาได้จากบริษัทอื่นหรือไม่
ที่นี่มีวัฒนธรรมของการรับฟัง ไม่ใช่การสั่งงานแล้วจบ หากเรามีความคิดเห็นต่าง เราก็สามารถเสนอ และเราถูกรับฟังแม้เราจะยังเพิ่งเคยทำงานที่แรกก็ตาม
คุณกฤตนัญ มั่นมี (บิ๊ก) Developer
ตอนแรกคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่เครียด งานเครียด เพราะงานต้องแข่งกับเวลา ซึ่งจากการที่ได้เข้ามาทำงานจริงๆ ก็ยังมีความเครียดและความยากในงาน แต่ที่นี่ให้ความรู้สึกว่า อย่ากดดันตัวเองมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
ในแง่การเรียนรู้ อยู่ที่นี่เราได้ประสบการณ์เพิ่มเยอะมากแม้จะเพิ่งเริ่มงานได้สิบเดือน ได้จับงานใหญ่ งานที่อิมแพค ทำงานร่วมกับรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก
ต้องการคนแบบไหน
ที่ Clicknext มองว่าการได้คนเก่งมาก อาจไม่สำคัญเท่าคนที่อยากจะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ และอาจไม่สำคัญเท่าคนที่อยากเอาชนะในสิ่งที่ตัวเองทำตลอดเวลา
ดังนั้น ดีเอ็นเอคนที่ Clicknext ต้องการคือคนที่กระหาย อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ และอยากโตไปด้วยกัน ไม่ใช่โตเพียงคนเดียว
สรุป
สำหรับใครที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ ได้จับงานจริง ได้สร้างผลงานจากเทคโนโลยียุคใหม่อย่างแว่น VR เทคโนโลยี Interactive, 3D Printing ไปจนถึงมีส่วนช่วยผลักดันและพัฒนาให้ซอฟต์แวร์ไทยไปสู่ระดับโลก ก็ขอให้ลองสมัครงานเข้ามาที่ Clicknext เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่จะนำเทคโนโลยีไทย ไปสู่ระดับสากล
หากสนใจสามารถดูตำแหน่งที่เปิดและสมัครได้ที่ https://jobs.blognone.com/company/clicknext |
# SoftBank ขาดทุนเป็นประวัติการณ์ หลังกองทุน Vision Fund ขาดทุนยับ 1 ล้านล้านบาท
SoftBank Group รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2022 ซึ่งเป็นการปิดปีงบประมาณ FY 21 ด้วยพอดี ถึงแม้รายได้เพิ่มเป็น 6.2 ล้านล้านเยน (ประมาณ 1.67 ล้านล้านบาท) แต่กลับขาดทุนเป็นประวัติการณ์ 1.46 ล้านล้านเยน (ราว 4 แสนล้านบาท)
เหตุผลสำคัญมาจากกองทุน SoftBank Vision Fund ที่ขาดทุนยับเยิน 3.73 ล้านล้านเยน (ราว 1 ล้านล้านบาท) จากสภาพตลาดหุ้นทั่วโลกที่ตกหนักตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา เลยลากให้ธุรกิจทั้งเครือ (ที่ส่วนอื่นมีกำไรขั้นต้น 3.26 ล้านล้านเยน ราว 8.8 แสนล้านบาท) ขาดทุนตามไปด้วย
หากแยกข้อมูลตามกองทุน ปัจจุบัน Vision Fund มีการลงทุนทั้งหมด 2 กองย่อย ได้แก่
SoftBank Vision Fund 1 (SVF1) ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก มูลค่ากองทุนหายไป 2.77 ล้านล้านเยน จากมูลค่าหุ้นของบริษัทที่ไปลงทุนอย่าง Coupang, DiDi, Grab ลดลงมาก
SoftBank Vision Fund 2 (SVF2) กองใหม่ที่ตั้งปี 2019 เน้นลงทุนในสตาร์ตอัพขนาดเล็กลงมา แต่มีจำนวนบริษัทมากกว่ากองแรก มูลค่ากองทุนหายไป 0.27 ล้านล้านเยน
Masayoshi Son ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง SoftBank ยอมรับว่าเขาต้องปรับยุทธศาสตร์การลงทุนมาเป็น "เชิงรับ" (defense) ต้องลดจำนวนการลงทุนใหม่ๆ ลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง หรืออาจเหลือเพียง 1/4 ด้วยซ้ำ
Son ยืนยันว่าฐานะทางการเงินของบริษัทยังแข็งแกร่ง มีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด (NAV หรือ net asset value) ราว 18.5 ล้านล้านเยน (ประมาณ 5 ล้านล้านบาท) และมีอัตราส่วนหนี้ต่อมูลค่า (LTV หรือ loan to value) ที่ 20.4% ซึ่งบริษัทรักษาสัดส่วนหนี้ให้ไม่เกิน 25% มาโดยตลอดช่วง 3 ปีหลัง
Son ยังชี้ว่าโอกาสพลิกฟื้นสำคัญของ SoftBank คือการนำ Arm ขายหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq หลังจากดีล NVIDIA ล่ม ซึ่งเขายืนยันว่ายังจะเดินหน้าตามแผน IPO เช่นเดิม แม้สภาพตลาดหุ้นช่วงนี้ไม่สดใสนักก็ตาม
ที่มา - SoftBank, Financial Times, TechCrunch |
# David Marcus อดีตหัวหน้าโครงการ Libra เปิดบริษัทใหม่ Lightspark ทำเรื่อง Bitcoin, Lightning
David Marcus อดีตหัวหน้าทีม Facebook Messenger และหัวหน้าโครงการ Libra ที่ลาออกจาก Meta เมื่อปลายปีที่แล้ว เปิดตัวบริษัทใหม่ Lightspark ทำด้าน Bitcoin โดยเฉพาะ
ข้อมูลของ Lightspark ยังมีแค่ว่าจะขยายความสามารถของ Bitcoin โดยพูดถึงการใช้งาน Lightning Network แต่ยังไม่บอกรายละเอียดเพิ่มเติม
Lightspark ระบุว่าได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนหลายราย นำโดย Andressen-Horowitz และ Paradigm ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนที่เน้นสายคริปโตทั้งคู่ |
# Ikea เตรียมจำหน่าย Solar Cell ในตลาดสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2022
Ikea ประกาศความร่วมมือกับ SunPower บริษัทผู้ให้บริการ Solar Cell และพลังงานทางเลือกแบบครบวงจรในสหรัฐอเมริกา เพื่อจำหน่าย Solar Cell ให้กับผู้บริโภคทั่วไปภายใต้ชื่อ Home Solar with Ikea ในตลาดสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2022 โดยจะเริ่มเฉพาะบางพื้นที่ของรัฐแคลิฟอร์เนียก่อน
Ikea ยังไม่แจ้งถึงรายละเอียดในการซื้อ ติดตั้ง และราคาของ Home Solar with Ikea โดยหากอ้างอิงจากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา ราคาเฉลี่ยในการติดตั้ง Solar Cell จะอยู่ราว 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.16 แสนบาท
ปัจจุบัน Ikea จำหน่าย Solar Cell ใน 11 ตลาดทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือสหราชอาณาจักร นอกจากนี้เมื่อปลายปี 2021 Ikea ยังขายไฟฟ้าที่ได้จากการผลิตด้วยพลังงานสะอาด เช่น พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ให้กับลูกค้าในสวีเดน โดยลูกค้าสามารถควบคุมการซื้อได้ผ่านแอปพลิเคชัน
Solar Cell กำลังเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา มูลค่าตลาด Solar Cell ของสหรัฐอเมริกาปี 2020 อยู่ที่ 9,100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.15 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนในประเทศไทย Solar Cell เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น โดยปี 2021 SCG คาดการณ์มูลค่าตลาดนี้ในไทยที่ 8,200 ล้านบาท
อ้างอิง // IKEA, Business Insider
*ภาพจาก SunPower |
# Linux Foundation เสนอแผน 10 ข้อเพิ่มความปลอดภัยโอเพนซอร์ส ป้องกัน Supply Chain Attack
มูลนิธิด้านโอเพนซอร์ส 2 แห่งคือ Linux Foundation และ Open Source Software Security Foundation (OpenSSF) ประกาศแผน 10 ข้อเพื่อยกระดับความปลอดภัยของวงการโอเพนซอร์ส และป้องกันปัญหา supply chain attack ในอนาคต
มาตรการบางข้อที่น่าสนได้แก่ การทำแดชบอร์ดประเมินความเสี่ยงโครงการโอเพนซอร์ส Top 10,000 (ปัจจุบันมีอยู่บ้างแล้วในชื่อ LFX), ตรวจสอบโค้ดของโครงการ Top 200 อย่างน้อยปีละครั้ง, ส่งเสริมการใช้ลายเซ็นดิจิทัล sign รับรองเมื่อออกซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่, ส่งเสริมการใช้ภาษาใหม่ๆ ที่เป็น memory safety (เช่น Rust, Go, Java) แทนภาษา C/C++ (รายงานฉบับเต็ม)
ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อจะต้องใช้งบประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ในการจ้างคนมาทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ตอนนี้มีบริษัทใหญ่ๆ คือ Amazon, Ericsson, Google, Intel, Microsoft, VMWare ช่วยออกเงินมาให้แล้ว 30 ล้านดอลลาร์
ที่มา - OpenSSF |
# Cloudflare เปิดบริการ Pub/Sub กระจายข้อมูล รองรับมาตรฐาน MQTT
Cloudflare เปิดบริการส่งข้อมูลแบบ Pub/Sub โดยใช้โปรโตคอล MQTT ที่ได้รับความนิยมสูงในอุปกรณ์ IoT อยู่แล้ว
การส่งข้อมูลในรูปแบบ "ข้อความ" (messaging) เป็นรูปแบบที่จำเป็นต่องานจำนวนมาก บริการรูปแบบนี้สามารถใช้ส่งข้อมูลแบบจุดต่อจุด หรือกระจายข้อมูลออกไปยังบริการอื่นหลายๆ บริการที่ต้องการข้อมูล บริการที่ใช้งานมากๆ เช่น IoT สำหรับเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม, บริการทางการเงิน (ส่งคำสั่งซื้อขาย, การโอนเงิน, ราคาหุ้น ฯลฯ)
ทาง Cloudflare ระบุว่าบริการ Pub/Sub นี้จะครอบคลุมมาตรฐาน MQTT v5.0 ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนราคาค่าบริการตอนนี้ยังไม่เปิดเผย (ปกติบริการแบบนี้มักคิดตามจำนวนข้อความ และขนาดรวมข้อมูล) แต่สัญญาว่าจะมีแพ็กเกจฟรีให้ใช้งานได้ง่าย
ที่มา - Cloudflare |
# เงินหายไปไหน? Luna Foundation ถูกตั้งคำถาม Bitcoin 2 พันล้านดอลลาร์ที่ใช้ตรึงมูลค่า UST
เมื่อต้นปีนี้ โครงการ Terra/Luna ตั้งมูลนิธิ Luna Foundation Guard (LFG) ในสิงคโปร์ เพื่อซื้อ Bitcoin มาค้ำประกันมูลค่าของเหรียญ UST โดยมูลค่า Bitcoin ที่ระบุว่ามีในครอบครองคือ 70,736 BTC หรือคิดเป็นเงินประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ (ในจำนวนนี้มี Bitcoin ที่กู้มาเป็นมูลค่า 750 ล้านดอลลาร์)
ข้ามเวลามาสามเดือน เราเห็นมูลค่าของ UST หลุดต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ที่ตรึงไว้ แม้ว่า LFG ประกาศนำเงินสำรองนี้ไปต่อสู้กับค่าเงินที่ลดลงในช่วงแรกก็ตาม (ก่อนยอมแพ้ไป) แสดงให้เห็นว่าโมเดลการใช้ Bitcoin มาค้ำประกันนั้นไม่ได้ผล
คำถามสำคัญที่ตามมาคือเงิน 70,736 BTC ถูกใช้ไปอย่างไร ข้อมูลจากบัญชีที่อยู่ Bitcoin ของ LFG ตอนนี้ไม่เหลือเหรียญใดๆ อยู่แล้ว (มูลค่าเป็น 0) แปลว่าเงินต้องไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถูกใช้ต่อสู้ค่าเงินจริงๆ หรือไม่ และอย่างไร ซึ่ง LFG ไม่เคยออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้อย่างโปร่งใส
เว็บไซต์ The Block และนักวิจัยคริปโตหลายคนที่ติดตามเรื่องนี้ได้สอบถามไปยัง LFG และยังไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด
ข้อมูลจากหน้าเว็บ LFG ระบุว่ามีคณะกรรมการ 6 คน โดยสองคนแรกคือ Do Kwon และ Nicholas Platias มาจาก Terraform Labs บริษัทเบื้องหลัง Terra/Luna ส่วนที่เหลือมาจากบริษัทลงทุนสายคริปโต
อัพเดต Luna Foundation แถลงรายละเอียดการใช้เงินสำรองแล้วเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2022
ที่มา - The Block |
# Netflix อาจทำคอนเทนต์ถ่ายทอดสด แต่เป็นรายการเรียลลิตี้ กับงานอีเวนต์การแสดง
ที่ผ่านมาคอนเทนต์บน Netflix ไม่เคยมีรายการสด แต่ล่าสุดมีรายงานว่า Netflix กำลังพัฒนาคอนเทนต์ประเภทดังกล่าวแล้ว ซึ่งไม่ใช่การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา แต่เป็นรายการเรียลลิตี้
Deadline อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง บอกว่าคอนเทนต์รายการสดที่ Netflix กำลังทำมีสองแบบ อย่างแรกคือเรียลลิตี้รายการประกวดความสามารถ เช่นร้องหรือเต้น คนดูสามารถโหวตหาผู้ชนะได้ ส่วนอีกรูปแบบคือถ่ายทอดสดอีเวนต์ เช่น Netflix ปกติจะจัดเทศกาลงานทอล์กโชว์แบบ Stand-up comedy ทุกปี ก็อาจมีการถ่ายทอดสดงานนี้ออกมา
รายงานบอกว่า Netflix ยังไม่มีแผนสำหรับการถ่ายทอดสดกีฬาตอนนี้ แม้ว่าแพลตฟอร์มจะมีคอนเทนต์เด่นอย่างสารคดี F1 Drive to Survive ก็ตาม
ที่มา: Deadline |
# กูเกิลสแกนซอร์สโค้ดซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สยอดนิยม เปิดฐานข้อมูลให้ใช้ฟรีใน BigQuery
เมื่อปีที่แล้ว กูเกิลมีโครงการชื่อ Open Source Insights สแกนซอร์สโค้ดในโครงการโอเพนซอร์สยอดนิยมจำนวนมาก (เช่น npm, PyPI, Go, Maven, Cargo) เพื่อมาวิเคราะห์หาความเชื่อมโยงในแง่มุมต่างๆ
ประเด็นหนึ่งที่ถูกจับตามองอย่างมากในโลกโอเพนซอร์สคือ supply chain security ช่องโหว่ความปลอดภัยในแพ็กเกจยอดนิยม ที่อาจส่งผลสะเทือนต่อซอฟต์แวร์จำนวนมาก (เช่น กรณีของ log4j) การสแกนซอร์สโค้ดย่อมเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้โอกาสค้นพบช่องโหว่มากขึ้น
ล่าสุด กูเกิลเปิดฐานข้อมูล Open Source Insights เข้ามาให้ใช้ฟรีในบริการ BigQuery แล้ว (ถือเป็นฐานข้อมูลสาธารณะ Public Data) ผู้ที่สนใจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลความเชื่อมโยงในแง่มุมต่างๆ ทั้งเรื่องความปลอดภัยและเรื่องอื่นๆ ได้
ตัวอย่างคิวรีของกูเกิลคือหาไลเซนส์ยอดนิยมของโอเพนซอร์สแต่ละโครงการ ซึ่งได้คำตอบออกมาต่างกัน เช่น Maven นิยม Apache 2.0 หรือ npm นิยม MIT เป็นต้น
ที่มา - Google |
# "Hey Google" ไม่จำเป็นอีกต่อไป Nest Hub Max ใช้วิธีสแกนหน้าแล้วพูดสั่งได้เลย
หน้าจออัจฉริยะ Nest Hub Max เพิ่มทางเลือกของคนที่ขี้เกียจพูดคำว่า "Hey Google" หรือ "Ok Google" ทุกครั้งก่อนสั่งงาน โดยเปิดให้สแกนใบหน้าของเราเก็บไว้ได้ เมื่อเราอยู่ในรัศมีของกล้อง Nest Hub Max ก็สามารถพูดประโยคสั่งงานได้โดยตรงเลย
ฟีเจอร์นี้เรียกว่า Look and Talk ต้องใช้การแยกแยะใบหน้า (Face Match) คู่กับการแยกแยะเสียง (Voice Match) พร้อมกัน กูเกิลบอกว่าฟีเจอร์นี้เป็นทางเลือกแบบ opt-in และวิดีโอที่ถ่ายใบหน้าของเราจะถูกเก็บในเครื่องเท่านั้น ไม่ส่งกลับเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลแต่อย่างใด
เบื้องหลังการทำงานของมันต้องใช้โมเดล machine learning รวม 6 ตัวจับสัญญาณต่างๆ 100 ชนิด ทั้งจากกล้องและไมโครโฟน เพื่อมาวิเคราะห์แง่มุมต่างๆ เช่น ทิศทางของศีรษะ ทิศทางของนัยน์ตา การขยับปาก ระยะความใกล้ (proximity) กูเกิลบอกว่าผู้ใช้ต้องจ้องมองจอตรงๆ และถ้าเดินผ่านเฉยๆ ก็จะไม่นับเป็น Look and Talk
ตอนนี้ Look and Talk ยังเปิดให้ใช้เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ที่มา - Google |
# Dead Space ภาค Remake ประกาศวันวางจำหน่าย 27 ม.ค. 2023
EA ประกาศวันวางจำหน่าย Dead Space ภาค Remake อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ม.ค. 2023 เล่นได้ในเครื่อง PlayStation 5, Xbox Series X|S และ PC ถือเป็นการประกาศวันวางจำหน่ายครั้งแรกนับตั้งแต่แถลงข่าวเปิดตัวโปรเจคนี้เมื่อเดือน ก.ค. 2021
Dead Space ภาค Remake ใช้ Frostbite Engine ในการพัฒนา มีการออกแบบแสงเงา และปั้นโมเดลศัตรูใหม่ทั้งหมด ทั้งยังออกแบบการตัดชิ้นส่วนของศัตรูให้สมจริงยิ่งขึ้น โดย Dead Space ภาค Remake เป็นการนำ Dead Space ภาคแรกที่จำหน่ายเมื่อปี 2008 มาทำใหม่
อ้างอิง // Engadget |
# Peloton เตรียมจำหน่ายเครื่องกรรเชียงบก ต่อยอดจักรยาน และลู่วิ่งไฟฟ้า
Peloton ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออกกำลังกาย และจำหน่ายจักรยานออกกำลังกาย กับลู่วิ่งไฟฟ้า เผยโฉมเครื่องกรรเชียงบก (Rowing Machine) ที่มากับการออกแบบด้วยสีดำ-แดง และติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลขนาดใหญ่เหมือนกับสินค้าอื่น ๆ แต่ยังไม่แจ้งรายละเอียด วันวางจำหน่าย รวมถึงราคา
การเปิดตัวเครื่องกรรเชียงบกดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Peloton (ไตรมาส 3 สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2022) ที่ยังมีผลงานไม่ดีนัก เช่น จำนวนผู้ใช้เครื่องออกกำลังกาย และเสียเงินสมัครสมาชิกลดลง 53% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเหลือ 1.9 แสนบัญชี จากจำนวนผู้ใช้ทั้งหมด 7 ล้านบัญชี
ส่วนรายได้ของ Peloton ในไตรมาสดังกล่าวลดลง 24% เหลือ 964.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 33,500 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 757.1 ล้านดอลลาร์ หรือราว 26,300 ล้านบาท มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึง 8,704% เนื่องจากผู้หลักในสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับไปใช้บริการฟิตเนส และไม่อยากออกกำลังกายคนเดียวที่บ้าน
นับตั้งแต่โรค COVID-19 ระบาด Peloton มีฐานลูกค้าใหม่เข้ามาจำนวนมาก เพราะผู้ใช้โหยหาการออกกำลังกาย แต่หลังผ่านมา 1 ปี กลับมีข่าวร้าย เช่น หน้าจอขนาดใหญ่ของเครื่องปั่นจักรยานหลุดหล่นลงมาจนผู้ใช้บาดเจ็บ และการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการระบาด แต่ Peloton ไม่สามารถปรับตัวจนรายได้ลดลงต่อเนื่อง
โมเดลธุรกิจ Peloton แบ่งได้ 2 ขาคร่าว ๆ คือ
ขายขาดเครื่องออกกำลังกายที่ปัจจุบันมี จักรยานออกกำลังกาย 2 รุ่น กับ ลู่วิ่งไฟฟ้า 1 รุ่น ราคาเริ่มต้น 1,195-2,345 ดอลลาร์ หรือราว 41,500-81,400 บาท
ขายบริการสมาชิก ราคาตั้งแต่ 12.99-39 ดอลลาร์/เดือน หรือราว 450-1,350 บาท เพื่อเข้าถึงข้อมูลการฝึก และร่วมคลาสต่าง ๆ ของ Peloton ได้
อ้างอิง // Peloton |
# แก้ปัญหาอ่านแชทไม่ทัน กูเกิลใช้ AI ช่วยสรุปประเด็นให้ใน Google Chat/Spaces
หลายคนอาจเคยประสบปัญหาข้อความแชทเยอะเกินไปจนอ่านไม่ไหว แต่จะไม่อ่านก็ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องงาน
กูเกิลแก้ปัญหานี้ด้วยการให้ machine learning อ่านแชททั้งหมดให้เรา และสรุปเป็น summary สั้นๆ ประมาณ 2-3 บรรทัด (TL;DR) ที่ด้านบนของข้อความแชท เพื่อให้เราอ่านก่อนเป็นไอเดียว่าคนอื่นคุยเรื่องอะไรกัน
ฟีเจอร์นี้ใช้เอนจินสรุปข้อความตัวเดียวกับ Google Docs ใช้มาก่อนหน้านี้ และจะใช้ได้กับบริการแชทองค์กร Google Chat กับ Google Spaces
ที่มา - Google |
# กูเกิลเปิดตัว AlloyDB ฐานข้อมูลคลาวด์ เข้ากันได้กับ PostgreSQL 100% แต่เร็วกว่า 4 เท่า
Google Cloud เปิดตัวบริการใหม่ที่สำคัญในงาน I/O 2022 ปีนี้คือ ฐานข้อมูล AlloyDB ที่เข้ากันได้กับ PostgreSQL 100% (อิงอยู่บน PostgreSQL 14 เวอร์ชันล่าสุด) แต่สถาปัตยกรรมข้างหลังออกแบบใหม่หมด มีความเร็วอ่านเขียนทั่วไปเพิ่มขึ้นจาก PostgreSQL 4 เท่า และถ้าเป็นการคิวรีข้อมูลมาวิเคราะห์จะเร็วขึ้นสูงสุด 100 เท่า
เราสามารถเรียก AlloyDB ว่าเป็นคู่แข่งของ Amazon Aurora ที่ AWS นำ MySQL/PostgreSQL มาปรับแต่งเพิ่มเติม (แต่ฝั่งกูเกิลมีเฉพาะ PostgreSQL) ซึ่งกูเกิลก็ชูว่า AlloyDB เร็วกว่า Aurora PostgreSQL 2 เท่าด้วยเช่นกัน
ฟีเจอร์อื่นของ AlloyDB คือฟีเจอร์ด้านวิเคราะห์ข้อมูล และใช้ machine learning ช่วยจัดการฐานข้อมูล ทั้งการแบ็คอัพ แพตช์ สเกล และ replication ให้อัตโนมัติ กูเกิลการันตี SLA ที่ 99.99% ซึ่งน้อยกว่าฐานข้อมูล Cloud Spanner หนี่งหลัก (99.999%) แต่ก็มีโจทย์การใช้งานและราคาที่ต่างกัน
สถาปัตยกรรมเบื้องหลัง AlloyDB คือการแยกส่วน compute และ storage ออกจากกัน ในฐานข้อมูล relational database แบบดั้งเดิม เซิร์ฟเวอร์เครื่องเดียวมีทั้งส่วน compute/storage รวมกัน ทำงานจบในตัว และขยายด้วยวิธี scale up เพิ่มเครื่องให้ใหญ่ขึ้น ซีพียูแรงขึ้น สตอเรจมากขึ้น ซึ่งไม่ค่อยยืดหยุ่นนัก
ฐานข้อมูลยุคถัดมาที่เริ่มมีคลาวด์ เปลี่ยนมาใช้วิธี scale out เพิ่มจำนวนเครื่องแทน ข้อดีคือแก้ปัญหาเรื่องปริมาณพื้นที่สตอเรจให้ยืดหยุ่นกว่าเดิม แต่ยังเจอข้อจำกัดเรื่องการวางแผนพื้นที่สตอเรจให้เหมาะสม ต้องบาลานซ์ระหว่างพื้นที่เยอะเกินความต้องการ กับพื้นที่หรือ I/O ไม่เพียงพอในจังหวะโหลดหนักๆ (spike หรือ hotspot)
AlloyDB แก้ปัญหาข้างต้นด้วยการแยกส่วน compute และ storage จากกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองส่วนสามารถสเกลแบบคลัสเตอร์ได้ และใช้แคชมาคั่นกลางในหลายจุดเพื่อรองรับโหลดแต่ละประเภท
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ AlloyDB คือแก้ปัญหาเรื่อง read-only replica หรือการทำซ้ำฐานข้อมูลให้อ่านได้อย่างเดียว (แก้ปัญหาฐานข้อมูลเดียวรองรับโหลดการอ่านไม่ไหว ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องการซิงก์ข้อมูลระหว่าง replica ตามมา) ด้วยการสร้าง multiple read-only replica instances ขึ้นมาหลายๆ ชุด โดยไม่ต้องทำสำเนาฐานข้อมูลจริงๆ
เหตุผลเป็นเพราะ AlloyDB แยกตัวข้อมูลที่เก็บจริง (storage layer) กระจายอยู่หลายๆ โซนของคลาวด์อยู่แล้ว ดังนั้นก็แค่สร้าง replica instance ขึ้นมาหลายๆ ตัว ซึ่งอาจเรียกข้อมูลจริงที่อยู่คนละแห่งกันได้เลย
สถาปัตยกรรมส่วน storage layer ของ AlloyDB (กรอบสีฟ้าในภาพ) แยกได้เป็น 3 ส่วนย่อยคือ
log storage สำหรับเขียน write-ahead log (WAL) แบบรวดเร็วมาก
log processing service (LPS) เพื่อประมวลผล WAL และสร้างบล็อคสำหรับเก็บข้อมูล
block storage พื้นที่เก็บข้อมูลจริงๆ โดยมีฟีเจอร์ sharding, แยกเก็บตาม region ของคลาวด์ เพื่อป้องกันปัญหาสตอเรจพังทั้งโซน
จากภาพ เริ่มจาก primary database instance เขียนการเปลี่ยนแปลงของฐานข้อมูล (INSERT/DELETE/UPDATE) เป็น WAL log ส่งเข้ามาที่ log processing service (LPS) ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจริงๆ ที่เก็บใน block storage อีกที
จากนั้น บล็อคข้อมูลสามารถถูกส่งให้ replica instance อื่นๆ ได้โดยตรง เมื่อนำมาประกอบเข้ากับ WAL log ที่ส่งมาจาก primary instance เราก็จะได้ replica instance ที่สามารถทำงานได้เหมือนกันทันที โดยไม่ต้องสร้างสำเนาข้อมูลขึ้นมาทั้งก้อน
กูเกิลอธิบายว่า สถาปัตยกรรมนี้แยกส่วน compute/storage จากกันอย่างสิ้นเชิง ในการประมวลผล log (LPS) สามารถ scale-out ต่างหากได้โดยไม่ต้องยุ่งกับการสำเนาข้อมูล ฝั่งการเก็บข้อมูลบล็อค ก็สามารถกระจายความเสี่ยงข้อมูลพังทั้งโซน (zonal failure) โดยสำเนาบล็อคทั้งหมดข้ามโซนของคลาวด์ได้
การแยก compute/storage ด้วยกันยังช่วยแก้ปัญหาคอขวด IO และไม่จำเป็นต้องทำจุด checkpoint ของฐานข้อมูลทั้งก้อน เลเยอร์ของ compute ทำหน้าที่แค่คิวรีงานตามสั่งอย่างเดียว ส่วนเลเยอร์ storage ก็เก็บข้อมูลอย่างเดียว การสั่งแบ็คอัพ ทำที่เลเยอร์ storage ไม่กระทบทรัพยากรที่ใช้ในเลเยอร์ของ compute
รายละเอียดทางเทคนิคเพิ่มเติมอ่านได้จาก Google Cloud
กูเกิลเน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการย้ายจากฐานข้อมูลแบบเดิมๆ (เช่น Oracle) มายัง AlloyDB ที่เป็นฐานข้อมูลโอเพนซอร์ส แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และออกบริการช่วยย้ายข้อมูล Oracle to PostgreSQL มาให้พร้อมกัน
ส่วนวิธีคิดเงินของ AlloyDB แยกคิด 3 ส่วน (ตัวอย่างราคาเขต us-central1) คือ
CPU/memory ($0.06608 / vCPU hour + $0.0112 / GB hour)
Storage ($0.0004109 per GB)
Networking (ingress ฟรี, egress ข้ามเขต $0.02/GB)
ที่มา - Google |
# ผู้สร้าง Terra เสนอรีเซ็ตบล็อกเชน นำมูลค่า UST ที่เหลือมาจัดสรรใหม่ให้ผู้ถือ UST/Luna
Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra ออกมาเสนอแผนการพลิกฟื้นโลกแห่ง Terra หลังต้องปิดเชนรอบที่สองไปเมื่อวานนี้
Kwon ยอมรับว่ามูลค่าของเหรียญ Luna แทบเป็นศูนย์ไปแล้ว (essentially zero) ส่วน UST ยังมีมูลค่าคงเหลืออยู่หลายพันล้านดอลลาร์ (several billion dollars) อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าต่อให้สภาพการซื้อขายกลับมาเป็นปกติ ผู้ถือ Luna ก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว ecosystem ตรงนี้หายไปหมด ส่วนความเชื่อมั่นใน UST ก็สูญหายไปเช่นกัน
ข้อเสนอของเขาจึงเป็นการ "รีเซ็ต" เครือข่าย Terra ใหม่ทั้งหมด ให้มีจำนวนเหรียญที่ 1 พันล้านเหรียญ แล้วแบ่งกันด้วยสัดส่วนดังนี้
400 ล้านเหรียญ แบ่งให้ผู้ถือ Luna คำนวณจากสัดส่วนการถือครองก่อนเหตุการณ์ค่าเงิน UST หลุดจาก 1 ดอลลาร์ โดย Terraform Labs ยอมไม่ถือเหรียญส่วนนี้ มอบให้ชุมชนทั้งหมด
400 ล้านเหรียญ แบ่งให้ผู้ถือ UST คำนวณจากช่วงเวลาตอนอัพเกรดเครือข่าย
100 ล้านเหรียญ แบ่งให้ผู้ถือ Luna ในจังหวะสุดท้ายก่อนหยุดเชน เพื่อตอบแทนคนที่เข้ามาซื้อ จากความพยายามช่วยให้เครือข่ายกลับมาเสถียร
100 ล้านเหรียญ สำรองเป็น Community Pool สำหรับใช้งานในอนาคต
Kwon ให้เหตุผลว่าผู้ถือ UST ในฐานะ "เจ้าหนี้" ของเครือข่ายควรได้รับการชดเชยในสัดส่วนที่เยอะ และต้องการใช้เหรียญชุดใหม่ตอบแทนชุมชนผู้ยังถือครองเหรียญต่อไป แม้โดนโจมตีค่าเงินก็ตาม เพื่อรักษาชุมชนไว้ให้กลับมาเติบโตอีกครั้งในอนาคต เขาเรียกร้องให้ชุมชน Terra รีบตัดสินใจหาข้อยุติในเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่อกลับมาฟื้นฟูเครือข่ายใหม่อีกครั้ง
ส่วนความเห็นของชุมชน Terra/Luna ก็หลากหลาย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ใครสนใจตามไปอ่านกันจากท้ายโพสต์ของ Kwon
ที่มา - Terra |
# Google Meet เพิ่มฟีเจอร์จัดไฟเสมือน ย้ายตำแหน่งดวงไฟได้เอง, ใช้ AI แก้หน้ามืด ย้อนแสง
Google Meet ประกาศฟีเจอร์ด้าน AI หลายอย่างที่ช่วยให้คุณภาพของภาพและเสียงออกมาดีกว่าเดิม แม้อยู่ในสภาพแสงน้อย หรือใช้เว็บแคมคุณภาพต่ำก็ตาม
อย่างแรกคือ Portrait Restore ปรับคุณภาพของวิดีโอให้ดีขึ้น จากตัวอย่างจะเห็นว่าผู้ประชุมนั่งแบบย้อนแสง หน้ามืด ก็กลับมาสว่างขึ้นจากเดิมมาก กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นบนคลาวด์ ไม่กระทบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ฝั่งผู้ใช้
อย่างที่สองคือ Portrait Light ฟีเจอร์จัดไฟถ่ายภาพเสมือนว่ามีไฟสตูดิโอสำหรับถ่ายพอร์เทรตจริงๆ เน้นแสงหรือเงาของแต่ละฝั่งได้ เราสามารถลากนิ้วเพื่อขยับตำแหน่งของดวงไฟได้เลย ลักษณะคล้ายกับฟีเจอร์ถ่ายพอร์เทรตของกล้องมือถือหลายๆ ตัว (แต่อันนี้ทำกับวิดีโอแบบเรียลไทม์)
De-reverberation ฟีเจอร์ช่วยลดเสียงสะท้อน หากเราไปนั่งประชุมในครัว ห้องใต้ดิน หรือห้องใหญ่ๆ ว่างๆ ที่อาจเกิดเสียงสะท้อนได้ง่าย
ที่มา - Google |
# กระดานซื้อขายคริปโตในไทย ประกาศหยุดซื้อขาย LUNA จากปัญหาเชน Terra
จากที่เครือข่ายบล็อกเชน Terra ที่ใช้เหรียญ LUNA ระงับการทำงานเป็นรอบที่ 2 จึงส่งผลต่อการทำธุรกรรมทั้งหมดเชนดังกล่าว รวมทั้งการซื้อขายเหรียญ LUNA และ UST ด้วย โดยกระดานซื้อขายคริปโตในประเทศไทยต่างประกาศหยุดการซื้อขายดังนี้
Bitkub ปิดการซื้อขาย LUNA ชั่วคราว ตั้งแต่ 13 พ.ค. 2565 8:50น. จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
Zipmex ระงับการซื้อขาย LUNA ตั้งแต่ 13 พ.ค. 2565 16:00น. และ LUNA ที่เหลืออยู่จะถูกแปลงเป็น USDT
Satang ระงับการซื้อขาย LUNA ตั้งแต่ 13 พ.ค. 2565 18:00น.
Bitazza หยุดการซื้อขาย LUNA และ UST จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
ส่วน Binance ที่ปิดการถอน LUNA และ UST ชั่วคราวก่อนหน้านี้ ประกาศกลับมาให้บริการฝากถอนและซื้อขาย LUNA กับ UST ตามปกติทั้งหมด ตั้งแต่ 21:00น. เป็นต้นไป
ที่มา: Bitkub, Zipmex, Satang, Bitazza, Binance |
# พี่รับมาแพงเหมือนกัน Samsung เตรียมขึ้นราคาผลิตชิปในปีนี้ สูงสุดถึง 20%
Bloomberg รายงานว่า Samsung เริ่มแจ้งลูกค้าว่าจะขึ้นราคาชิปราว 15-20% ขึ้นกับผลิตภัณฑ์ชิปที่จ้างผลิต โดยคาดว่าค่าผลิตชิปจะขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุว่า Samsung เริ่มปรับนโยบายจากการคงราคาชิปในปีที่แล้ว เนื่องมาจากปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลถึงการผลิตชิป ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลก, ต้นทุนในการผลิตชิปที่สูงขึ้น และวัตถุดิบต้นน้ำที่ใช้ในการผลิตชิปขาดแคลน ซึ่งการขึ้นราคานี้น่าจะส่งผลถึงบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นลูกค้าที่จ้าง Samsung ผลิตชิปที่อาจต้องปรับราคาสินค้าของตัวเองขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีรายงานว่า TSMC จะปรับขึ้นราคาผลิตชิปด้วยเช่นกัน โดยของ TSMC จะมีผลในปี 2023
ที่มา - Bloomberg, Engadget
ภาพจาก Wikimedia |
# กูเกิลปรับ Android ให้สลับอุปกรณ์กับหูฟังไร้สายอัตโนมัติ, รองรับมาตรฐาน LE Audio
กูเกิลประกาศแนวทางปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานหูฟังไร้สายบน Android สองเรื่อง
อย่างแรกคือการสลับอุปกรณ์อัตโนมัติ เช่น จากสมาร์ทโฟนย้ายไปใช้แท็บเล็ต ตอนนี้ระบุว่าจะเริ่มจากหูฟังไร้สาย 3 แบรนด์คือ Sony, JBL, Pixel ของกูเกิลเอง โดยจะออกอัพเดตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และจะร่วมมือกับ Qualcomm ทำให้หูฟังแบรนด์อื่นๆ ที่ใช้ชิป Qualcomm รองรับฟีเจอร์นี้ด้วย
อย่างที่สองคือ กูเกิลร่วมมือกับ Qualcomm รองรับมาตรฐาน LE Audio ที่ใช้ codec ใหม่ LC3 ให้คุณภาพเสียงดีขึ้น, อัตราหน่วง (latency) น้อยลง และสามารถกระจายสัญญาณเสียงให้หลายคนพร้อมกันได้ ตอนนี้มีระบุชื่อพาร์ทเนอร์แล้วคือ Samsung, OnePlus, Sony
ที่มา - Google |
# กูเกิลชวนนักพัฒนา Android ใช้ Baseline Profiles ช่วยแอพเริ่มทำงานเร็วขึ้น 30% โดยไม่ต้องแก้โค้ด
ในโลกของการพัฒนาแอพบน Android ก่อนการรันแอพจริงๆ จะเกิดการคอมไพล์โค้ด 2 รอบ รอบแรกคือคอมไพเลอร์แปลงโค้ด Java/Kotlin เป็น dex bytecode ไว้ล่วงหน้าก่อนทำแพ็กเกจแอพ จากนั้นเมื่อติดตั้งในเครื่องแล้ว รันไทม์ ART จะแปลง bytecode เป็น machine code อีกครั้ง
ปัญหาคือการปรับแต่งประสิทธิภาพของ ART อาจไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะในการรันครั้งแรกที่ต้องใช้เวลามาก ทำให้มีเทคนิคที่เรียกว่า profile สอน ART ว่าคลาสหรือเมธอดไหนที่ใช้บ่อย เพื่อให้ ART สามารถแปลงโค้ดรอไว้ก่อนระหว่างที่เครื่องไม่ถูกใช้งาน ปัญหาถัดมาคือตัว profile อาจยังไม่ดีและมีประสิทธิภาพมากพอ
ในยุค Android 9 เป็นต้นมา กูเกิลดึงข้อมูล profile ที่สร้างโดย ART จากเครื่องจำนวนมากกลับไปวิเคราะห์ และทำเป็น Cloud Profiles ตรงกลางเอาไว้รอบน Play Store หลังจากนั้นถ้ามีเครื่องใหม่ๆ ขอติดตั้งแอพ กูเกิลจะส่งไฟล์แอพพร้อม Cloud Profiles ที่ปรับแต่งมาเหมาะสมแล้วไปให้
ปัญหาของแนวคิด Cloud Profiles คือช่วงแรกๆ ที่แอพออกใหม่หรืออัพเดตใหม่ ยังไม่มี profile มากพอ ผู้ใช้กลุ่มแรกๆ จึงต้องใช้แอพแบบที่ไม่มี Cloud Profiles คอยช่วยเหลือ
กูเกิลแก้ปัญหานี้ด้วย Baseline Profiles ที่ใช้ปลั๊กอิน Android Gradle ช่วยสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตอนคอมไพล์ครั้งแรก และจะถูกมัดรวมไปกับไฟล์ APK ขึ้น Play Store เพื่อส่งให้ผู้ใช้งานกลุ่มแรกๆ ได้เลย ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการไม่มี Cloud Profiles ในช่วงแรกได้
Baseline Profiles มีใช้งานมาสักระยะแล้ว (ย้อนกลับไปใช้ได้ถึง Android 7 ด้วยซ้ำ) แต่กูเกิลเพิ่งเริ่มใช้งาน Baseline Profiles อย่างจริงจังบน Play Store เมื่อไม่นานมานี้ ผลคือการมี Baseline Profiles ช่วยให้แอพเริ่มทำงาน (startup time) ได้เร็วขึ้นถึง 30-40% เทียบกับการติดตั้งแบบไม่มี profile ช่วยเหลือ
ในงาน Google I/O 22 กูเกิลแจ้งว่า Baseline Profiles เข้าสถานะ stable แล้ว และชวนนักพัฒนามาใช้งาน โดยชูจุดเด่นว่าแอพสามารถทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดใดๆ ขอเพียงเพิ่ม Baseline Profiles เข้าไปเท่านั้น
อีกข่าวที่เกี่ยวข้องกันอยู่บ้างคือ กูเกิลประกาศว่าจะอัพเดต ART นอกรอบการอัพเดต OS แล้ว มีผลกับ Android 12 ขึ้นไป ผลคือผู้ใช้งานจะได้ ART ที่ใหม่ขี้น ประสิทธิภาพดีขึ้น แก้บั๊กได้รวดเร็วเพราะไม่ต้องรอรอบอัพเดต
ที่มา - Google |
# Stardew Valley ยอดขายทะลุ 20 ล้านชุด แถมยอดขายดีขึ้นด้วยอัตราเร่งกว่าเดิม
Eric Barone หรือนามแฝง ConcernedApe ประกาศยอดขายเกม Stardew Valley ว่าทะลุ 20 ล้านชุดแล้ว ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับเกมอินดี้ที่พัฒนาโดยบุคคลคนเดียวแทบทั้งเกม หากแยกยอดขายตามแพลตฟอร์ม 13 ล้านชุดมาจากพีซี
ย้อนรอยยอดขาย Stardew Valley
26 กุมภาพันธ์ 2016 - เกมวางขายบนพีซี หลังจากนั้น 2 เดือนแรกทำยอดขายได้ 1 ล้านชุด
มกราคม 2020 (4 ปีต่อมา) - 10 ล้านชุด
กันยายน 2021 - 15 ล้านชุด
พฤษภาคม 2022 - 20 ล้านชุด
Barone ยอมรับว่าเขามีนับยอดขายเกมผิดไปบ้าง (นับน้อยกว่าขายได้) และเพิ่งมานับส่วนที่ขาดรวมเข้ามาในภายหลัง แต่ก็บอกว่ายอดขายต่อวันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งในมุมของนักพัฒนาก็ดีใจ และไม่เคยนึกเลยว่าจะมาถึงจุดนี้
Barone ยังเล่าถึงเกมใหม่ Haunted Chocolatier ว่าเขาใช้เวลาสร้างเกมนี้เป็นหลัก แต่ถ้าอยากพักเบรก เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ก็จะกลับมาพัฒนา Stardew Valley ต่อ
ที่มา - PC Gamer |
# Elon Musk แจ้งหยุดพักดีลซื้อ Twitter ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบข้อมูลจำนวนบัญชีบอต
Elon Musk ทวีตข้อความว่าดีลซื้อกิจการ Twitter ตอนนี้ถูกพักไว้ชั่วคราว เนื่องจากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อมูลวิธีคำนวณหาจำนวนบัญชีสแปมและบัญชีปลอม
ก่อนหน้านี้ Twitter ส่งรายงานไปยัง SEC เกี่ยวกับจำนวนบัญชีผู้ใช้งาน และบอกว่าจำนวนบัญชีสแปมและบัญชีปลอม มีจำนวนน้อยกว่า 5% ของบัญชีทั้งหมด
Elon Musk เคยบอกก่อนหน้านี้ว่าภารกิจหนึ่งที่เขาจะทำหลังซื้อ Twitter คือการกำจัดบัญชีบอตเหล่านี้ จึงเป็นไปได้ว่าตัวเลขต่ำกว่า 5% ที่ Twitter ระบุ อาจไม่ตรงกับที่เขาคิด
อัพเดต: 2 ชั่วโมงหลังจากทวีตดังกล่าว เมื่อผู้คนพากันคิดว่าหรือดีลจะล้ม Elon Musk เลยทวีตต่ออีกข้อความว่า เขายังยืนยันที่จะซื้อกิจการ Twitter
ที่มา: Bloomberg |
Subsets and Splits
No saved queries yet
Save your SQL queries to embed, download, and access them later. Queries will appear here once saved.