content
stringlengths
2
11.3k
url
stringlengths
26
27
title
stringlengths
3
125
เดี๋ยวนี้ อะไรๆ ที่เกี่ยวกับ สุขภาพและร่างกาย ดูจะเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจกันมากขึ้นครับ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้เนื้อหาเข้ากับเว็บ ผมจะนำเสนอ Bioinformatics Toolbox 3.0 เป็นตัวช่วยสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางชีวภาพ ซึ่งเป็นชุดโปรแกรมเสริมของ MATLAB ซึ่งได้รับรางวัล Scientific Computing Products of the year 2005 หลายคนที่อยู่ในวงการวิทยาศาสตร์คงคุ้นเคยกับชุดโปรแกรม MATLAB กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เนื่องจากมีเครื่องมือสำคัญๆ ในการคำนวนทางคณิตศาสตร์สถิติ และวิทยาศาสตร์ จำนวนมาก โดยรวมๆแล้วชุดโปรแกรมเสริมนี้ สามารถวิเคราะห์โครงสร้างและสร้างแบบจำลองใหม่ๆ โดยเฉพาะ ด้านการวิจัยยารักษาโรค งานพันธุวิศวกรรม จีโนม และการวิเคราะห์โปรตีน ซึ่งหลักๆ จะใช้การวิเคราะห์ทางสถิติเป็นสำคัญ สามารถป้อนชุดข้อมูลได้จำนวนมาก และมีการคำนวนได้หลากหลาย โดยเฉพาะวิธี array-based comparative genomic hybridization ผมคิดว่า toolbox ตัวนี้น่าสนใจมากทีเดียว สนนราคา $1,000 ซึ่งหากมีการร่วมกันพัฒนาแบบ open source และได้รับการสนับสนุนอย่างถูกวิธีแล้ว ราคาอาจจะถูกลง และน่าใช้มากกว่านี้ครับ ดูอย่าง ศูนย์เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย ได้เริ่มแนวทางไว้เป็นตัวอย่าง ที่มา - MathWorks » Explorinex's blog 92 reads
https://jusci.net/node/516
Bioinformatics Toolbox
กระทรวงเกษตของฮ่องกง ได้แถลงข่าวยืนยันการพบสัตว์ปีกที่ติดเชื้อไข้หวัดนก (H5N1 bird flu) ?เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการได้ยืนยัน?ว่านกป่วยที่พบที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นนกที่ติดเชื้อไข้หวัดนกจริงๆ? เดี๋ยวนี้ อะไรๆ ก็ระบาดเร็วไปหมด ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 94 reads
https://jusci.net/node/517
ไข้หวัดนก?มันกลับมาอีกแล้ว !
ในยุคปัจจุบัน มนุษย์เรามีความหวาดกลัวภัยด้านการก่อการร้ายในด้านต่างๆ? ไม่ว่าจะเป็น การก่อการร้ายโดยใช้แก๊สซารีนของญี่ปุ่น หรือความหวาดกลัว เชื้อแอนแทร็กซ์ในปัจจุบัน ความหวาดกลัวดังกล่าวอาจจะกลายเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อนักวิจัยชาวอิตาลี Siro Trevisanato เชื่อวว่า ชาวฮิทไทท์ (Hittites) อาจจะเป็นชนชาติแรกของโลกที่เริ่มทำการก่อการร้ายชีวภาพ นักวิจัยชาวอิตาลีได้แสดงหลักฐานสนับสนุนความเชื่อของเขา โดยยกตัวอย่างที่ชาวฮิทไทท์ ได้ปล่อยแกะที่ติดเชื้อ ไปยังฝ่าย โฟนีเชียน (Phoenician) ในสงครามระหว่างสองอาณาจักร เมื่อก่อน คริสตศักราช 1325 ปี ซึ่งในสงครามครั้งนั้น มีโรคระบาดที่มีชื่อว่า กาฬโรคของฮิทไทท์ (Hittites Plague) ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 97 reads
https://jusci.net/node/518
จักวรรดิฮิทไทท์ อาจเป็นผู้เริ่มการก่อการร้ายชีวภาพ
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต (Toronto University) ประสบความสำเร็จในการทำแผนที่จีโนม (Genome) ของยีสต์ กว่า 70,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ในการพัฒนาเครื่องมือชนิดใหม่ ในการทำความเข้าใจ และทำนาย สภาพของเซลล์ หัวหน้าทีมวิจัย ซึ่งนำโดย Corey Nislow ได้ประสบความสำเร็จในการทำแผนที่จีโนม แบบ 3 มิติ ซึ่งสามารถนำข้อมูลที่ได้ ไปพัฒนาโปรแกรมของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถทำได้ว่า เซลล์จะมีพฤติกรรมอย่างไร ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าว จะทำงานได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น เมื่อาข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์มีปริมาณมากขึ้น ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับ ก็เช่น การทำนายการเกิดโรค ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ เป็นต้น ที่มา - Physorg
https://jusci.net/node/520
นักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จ ในการทำแผนที่จีโนมยีสต์
เมื่อไม่นานมานี้นะคะทาง HLT Lab ได้ทดลองสร้างระบบบริการภาษาแบบใหม่ผ่านทาง MSNใช้ชื่อว่า “ABDUL” ทดลองใช้งาน ง่ายๆ ค่ะเพิ่ม contact ในโปรแกรม MSN (Windows Live Messenger) ตรงช่อง InstantMassaging Address ให้เลือกใส่อีเมล ดังต่อไปนี้ - [email protected] (เต็มแล้ว) - [email protected] (เต็มแล้ว) - [email protected] (เต็มแล้ว) - [email protected] - [email protected] - พิมพ์ “help” คุยกับเขาครับ แล้วเขาจะบอกท่านถึงวิธีใช้ - พิมพ์ “faq” คุยกับเขา เขาจะบอกท่านถึงคำถามที่ได้รับบ่อยๆ สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ขออุบไว้ค่ะ ^^ อยากรู้ว่าอับดุลคุยสนุกแค่ไหน ต้องลองนะคะ ที่มา - NECTEC » chobits_nizzy's blog 78 reads
https://jusci.net/node/521
อับดุล
เนื่องจากเมื่อหลายวันที่ผ่านมา Host ที่เราเช่าอยู่เกิดปัญหา ตอนนี้ Host กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ข้อมุลบางส่วนยังมีปัญหาอยู่ ขออภัยด้วยครับ » admin's blog 88 reads
https://jusci.net/node/522
Resource ของเว็บมีปัญหาครับ
53 voted ตอนนี้เว็บกลับมาเป็นปกติแล้วครับ ข้อมูลต่างๆกลับมาเหมือนเดิมแล้ว » admin's blog 81 reads
https://jusci.net/node/523
เว็บกลับมาเป็นปกติแล้วครับ
หากให้นึกถึงวิธีป้องกันการเป็นโรคมะเร็งปอด หลายคนคงนึกถึงการงดสูบบุหรี่ หรือการอยู่ใกล้บุคคลที่สูบบุหรี่ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดจากสหรัฐ อาจจะทำให้เราต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงรสหรือเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง อาจมีโอกาสทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดได้ด้วย !! นักวิจัยชาวสหรัฐ ได้ทำการศึกษาข้อมูลสุขภาพและการควบคุมอาหารชาวสหรัฐ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 โดยครอบคลุมประชากรชายหญิง กว่า ครึ่งล้านคน ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง 50-70 ปี โดยแต่ละคนไม่เคยมีประวัติการเคยเป็นโรคมะเร็งชนิดใดๆ มาก่อน โดยจากการสำรวจพบว่า ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรุงรส (เช่นแฮมหรือเบคอน) กับผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน มีโอกาสสูงขึ้นเป็นอย่างมากที่จะเป็นโรคมะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่ทำการศึกษาด้วยกัน นักวิจัยยังคงไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างแน่ชัด ว่าเหตุใดพฤติกรรมการบริโภคดังกล่าวจึงมีผลต่อโรคมะเร็ง ซึ่งการวิจัยดังกล่าวยังไม่ได้ทำการวิจัยครอบคลุมไปถึง ความแตกต่างทางด้านพันธุกรรม เนื่องจากข้อมูลที่ได้ มาจากชาวอเมริกันผิวขาวเป็นส่วนมาก ถ้าเอานื้อสัตว์สีแดงแล้วมาฟอกให้ขาว มันจะยังมีผลต่อมะเร็งอีกหรือเปล่า ? ที่มา - EurekaAlert » Mr.JoH's blog 152 reads
https://jusci.net/node/524
บริโภคเนื้อแดงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด !
ยานอวกาศวอยเอเจอร์2 ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิทยศาสตร์อีกครั้ง หลังจากที่ยานได้เข้าสู่ขอบเขตชายแดนของระบบสุริยะ ยานวอยเอเจอร์2 ได้ถูกออกแบบมาให้สำรวจดาวพฤหัส, ดาวเสาร์ และดวงจันทร์บริวาร โดยในตอนแรกตัวยานคาดหมายว่าจะสามารถปฏิบัติภารกิจเพียงแค่ 5 ปี เท่านัน ปัจจุบัน ถึงแม้จะผ่านมากว่า 30 ปี แต่อุปกรณ์ส่วนใหญ่ก็ยังสามารถทำงานได้ดี และในตอนนี้ วอยเอเจอร์ได้เข้าถึงส่วนนอกของระบบสุริยะ ที่เรียกว่า Heliosheath ซึ่งในบริเวณนี้ ลมสุริยะระหว่างดวงดาวต่างๆ มีอยู่ในระดับปานกลาง นอกจากวอยเอเจอร์จะสร้างความประหลาดใจในการที่สามารถทำงานมาได้กว่า 30 ปีแล้ว อุปกรณ์ภายในยานยังสร้างความประหลาดใจอีกมากมาย เช่น อุณหภูมิของขอบนอกร้อนกว่าด้านในของระบบสุริยะ แต่ยังต่ำกว่าอุณหภูมิที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้หลายสิบเท่า หรือ การที่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าบีบอัดฟองของแก๊สจากดวงอาทิตย์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยานวอยเอเจอร์ 2 ยังสามารถตรวจเจอ และวัดแรงลมสุริยะ, อุณหภูมิ, และความหนาแน่น ในขณะที่ยานฝาแฝดรุ่นพี่อย่าง วอยเอเจอร์1 ทำได้แค่ตรวจเจอ แต่ไม่สามารถทำการวัดใดๆ ได้ ขณะนี้ยานวอยเอเจอร์2 ได้เดินทางมาแล้วกว่า 12 พันล้านกิโลเมตร จากโลก และเดินทางด้วยความเร็วกว่า 50,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่มา - EurekaAlert » Mr.JoH's blog 138 reads
https://jusci.net/node/525
วอยเอเจอร์2 สร้างความประหลาดใจให้นักวิทยาศาสตร์อีกครั้ง
องค์กรอนุรักษ์พลังงานระหว่างประเทศ (Conservation International) ได้นำเสนอวิธีใหม่ล่าสุด สำหรับการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือออนไลน์ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ วิธีการที่ทางองค์กรอนุรักษ์ระหว่างประเทศนำมาใช้ ก็คือการลดการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ของแต่ละคน โดยเปิดให้บริการเครื่องมือคำนวนปริมาณการก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ของแต่ละคน โดยเครื่องมือดังกล่าว สามารถคำนวนได้อย่างครอบคลุมถึงพฤติกรรมหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เราได้ทำลงไป ไม่ว่าจะเป็น การกิน, การเดินทาง, การใช้น้ำมัน,? การท่องเที่ยว ซึงจะคำนวนออกมาเป็นจำนวนตัน ที่เราได้ผลิดออกมาในแต่ละปี และยังคำนวนถึงเงินที่เราควรจะบริจาคเพื่อช่วยอนุรักษ์โลกของเราอีกด้วย หากใครสนใจทำแบบทดสอบ สามารถคลิกได้ ที่นี่? ที่มา - EurekAlert? » Mr.JoH's blog 98 reads
https://jusci.net/node/526
เครื่องมือสำหรับคำนวนการใช้คาร์บอนของคุณ? ง่ายๆด้วยตัวคุณเอง
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย เจอร์เจียเทค (Georgia Tech) ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย เอ็มเมอรี ( Emory University) ได้เสนอผลงานวิจัย ที่ให้ความหวังในการฟื้นฟูเซลล์ประสาท (Neuron) ที่เสียหาย โดยปกติ หากเกิดความเสียหายบริเวณสมองหรือไขสันหลัง เราจะไม่สามารถมีวิธีการใดๆ ในการฟื้นฟูเซลล์ประสาทของเดิม เนื่องจากระบบประสาทส่วนกลาง มีความสามารถต่ำในการสร้างใหม่ หรือรักษาตัวเอง วิธีการที่นักวิจัยใช้ในการทดลอง ก็คือ ใช้ ไบโอพอลิเมอร์ (Biopolymer) ที่สามารถย่อยสลายได้ ซึ่งมีหมู่ทางเคมีเลียนแบบตัวส่งสัญญาณของเซลล์ประสาท เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาท โดยสามารถทำการทวนสัญญาณ, ขยายสัญญาณ, มอดูเลทสัญญาณ ที่ส่งระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกันเอง หรือระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์ชนิดอื่นๆ ได้ ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 113 reads
https://jusci.net/node/527
ไบโอพอลิเมอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นประสาท
สาเหตุที่ทำให้ อัล กอร์ และ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกากาศ หรือ ไอพีซีซี ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาสันติภาพในปีนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการที่ออกมาชี้ใช้ชาวโลกเห็นถึงความสำคัญของภาวะที่โลกร้อนในปัจจุบัน ซึ่งปัจจัยที่ อัล กอร์ สามารถสรุปได้ว่าโลกของเราร้อนขึ้น ก็เนื่องมาจากการเก็บข้อมูลและแบบจำลองสภาพภูมิกาอาศที่สามารถทำนายการเกิดภาวะโลกร้อนได้ แต่งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย (Virginia University) ร่วมมือกับ UHA ได้ทำการเปรียบเทียบความถูกต้องของแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ จำนวน 22 แบบจำลอง และรวมถึงแบบจำลองที่ อัล กอร์ ใช้ในการทำนายสภาวะโลกร้อนด้วย พบว่าในแบบจำลองทั้งหลายเหล่านั้น ยังมีความน่าเคลือบแคลงในด้านความถูกต้องแม่นยำในการทำนายอยู่พอสมควร นักวิจัยได้ใช้การทำนายแนวโน้มของอุณหภูมิบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) และ แนวโน้มของอุณหภูมิในชั้นพื้นผิว ซึ่งแบบจำลองต่างๆ ต่างทำนายว่า อุณหภูมิในชั้นโทรโพสเฟียร์มีแนวโน้มที่จะสูงกว่า ซึ่งเมื่อนักวิจัยไปดูข้อมูลที่ได้จากการเก็บข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ พบว่า ไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิชั้นโทรโพสเฟียร์แต่อย่างไร โดยที่อุณหภูมิในชั้นนี้ มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าหรือเท่ากับอุณหภูมิชั้นพื้นผิวซะด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้ให้ผลที่แตกต่างจากการศึกษาก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในการศึกษาก่อนหน้านี้ ต่างระบุว่า ความแตกต่างของผลลัพธ์ระหว่างแบบจำลองต่างๆ เกิดจากความผิดพลาดของข้อมูลที่ใช้ป้อนเข้าไป ไม่ใช่ข้อผิดพลาดของแบบจำลอง สงสัยงานนี้ต้องดูกันยาวๆ ซะแล้ว ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 85 reads
https://jusci.net/node/528
แบบจำลองสภาพอากาศที่ใช้อยู่ อาจไม่ถูกต้องอย่างที่คิด
พานาโซนิคประกาศพัฒนา ทรานซิสเตอร์ที่มีส่วนกระกอบของ Galiium Nitride (GaN) ซึ่งมีค่า breakdown สูงกว่า 10000 โวลต์ ซึ่งค่า breakdown ดังกล่าวมากกว่าค่าสูงสุดที่เคยมีมากว่า 5 เท่า และสามารถนำไปประยุกต์กับงานที่ต้องใช้ความต่างศักย์สูงมากๆ หรือใช้กับสวิตซ์ที่สูญเสียพลังงานต่ำ » Mr.JoH's blog 121 reads
https://jusci.net/node/529
พานาโซนิคพัฒนาทรานซิสเตอร์ที่มีค่า Breakdown สูง
เป็นที่ทราบกันดีครับ ว่าแมวน้ำ เป็นอาหารจานหลัก ของวาฬเพชรฆาต คล้ายๆกับ ข้าวผัดกระเพรา แบบว่า ไม่รู้จะกินอะไร ตูกินแมวน้ำดีกว่าแต่แมวน้ำนั้นเป็นสัตว์ที่สามารถอยู่บนบกได้ ส่วนออก้านั้น อยู่ได้เช่นกัน แต่ถ้าได้อยู่แล้วก็คงกลับลงไปไม่ได้อีก แมวน้ำทั่วโลก จึงได้เปรียบเจ้าออก้า ตรงนี้ เพียงแค่ขึ้นมาบนบก ก็ปลอดภัยสบายใจจากเจ้าออก้า …ยกเ้ว้น เจ้าแมวน้ำในคาบสมุทรแอนตาร์กติก ครับ ที่ไม่สามารถข่มตาให้นอนหลับสนิทบนก้อนน้ำแข็งอันแสนปลอดภัยได้อีกแล้ว เพราะ วันดีคืนดี ก็อาจจะโดนเจ้าออก้างาบเอาได้เช่นกัน มีรายงานครับ ว่า พบว่า ออก้าในคาบสมุทรแอนตาร์กติก สามารถสร้างคลื่นเพื่อ ซัดเจ้าแมวน้ำที่นอนอยู่บนก้อนน้ำแข็งให้หล่นลงมาเป็นอาหารเที่ยงของมัน ซึ่งแม้ เจ้าออก้าจะพบได้อยู่ทั่วโลก แต่พฤติกรรมนี้พบเฉพาะ ออก้าในคาบสมุทรแอนตาร์กติิกเท่านั้น นับว่าเป็นฝันร้าย ของแมวน้ำที่นั่นจริงๆครับ ที่จริงเรื่อง การล่าแมวน้ำของออก้า ยังมีอีกนะครับ ที่อาร์เจนตินา เจ้าแมวน้ำ ในทศวรรษที่ 70 ระหว่างที่เจ้าแมวน้ำตัวหนึ่งกำลังนอนเล่นอยู่บนชายฝั่งสบายๆ ก็พบว่ามีวาฬเพชรฆาต ขึ้นมาเกยตื้นอยู่ใกล้ๆมัน สภาพร่อแร่ๆ เต็มที เจ้าแมวน้ำคงชอบใจ ที่เจ้าศัตรูตัวใหญ่ของมัน ต้องมาพลาดท่าโง่ๆแบบนี้ อยู่ในทะเลดีๆไม่ว่าย ดันขึ้นมาเกยหาด คงต้องตายอย่างแน่แท้ หลังจากแมวน้ำกำลังเรียกเพื่อนของมันมาดูวาฬโง่ “ฟั่บบบ!!!” วาฬโง่กลับ เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่เมื่อกี้ มีสถาพใกล้ตาย งาบเจ้าแมวน้ำ ลงทะเล ไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งๆที่ยังไม่ได้ เรียกเพื่อนมาดูเลย พฤติกรรมนี้พบได้เฉพาะบางกลุ่มของออก้าเท่านั้น และ ขึ้นกับกระแสน้ำที่ไหลด้วย เนื่องจากหาก พลาดพลั้ง เจ้าออก้าอาจจะต้องขึ้นไปเกยตื้นตายจริงๆ พฤติกรรมพวกนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าเกิดจากการสอนกันของออก้าที่อายุมากกว่า โดย เจ้าออก้าที่อายุมาก จะดัน ออก้าวัยรุ่นไปที่ชายฝั่ง เพื่อให้มันฝึกการ เกยตื้นไปงาบ และส่วนใหญ่เจ้าตัวที่อายุเยอะกว่าก็จะขึ้นไปเกยตื้นสาธิต วิธีการให้ดูด้วย ส่วนที่คาบสมุทรแอนตาร์กติกนั้น พบว่าบางครั้งหลังจากที่ เจ้าแมวน้ำถูกคลื่นซัดตกจากน้ำแข็งแล้ว เจ้าออก้า ก็จะผลักมันขึ้นไปใหม่ เพื่อให้ ออก้าเด็กๆ ได้ลองฝึกสร้างคลื่นอีกครั้ง (ที่จริงฝึกที่เมืองไทยก็ได้นะครับ เห็นว่า ชอบสร้างคลื่น<ใต้น้ำ>เหมือนกัน อิอิ) มันคือ โรงเรียนสอนวาฬเพชรฆาตดีๆนี่เอง ครับ อาจจะแปลมาแบบป้ำๆเป๋อๆ เพราะผมไม่เก่งอังกฤษ (แถมตัดออกบางส่วนด้วย) ใครอยากอ่านตัวเต็ม วิชาการๆหน่อย ก็อ่านได้ที่นี่ครับ วีดีโอ การล่าแมวน้ำของออก้า ดูให้สนุกนะครับ ที่มา - Nature » tarantura's blog 130 reads
https://jusci.net/node/530
ฝันร้ายของแมวน้ำในคาบสมุทรแอนตาร์กติก
แมลงสาบซอมบี้ !!!!! เราทุกคนต่างเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับซอมบี้ผีเดินได้ กันมาไม่มากก็น้อย เพราะมีทั้งเกมส์ทั้งหนัง มาให้เราบริโภคกันอย่างต่อเนื่อง แต่ใครจะรู้ว่า แท้จริงแล้ว แมลงสาบในบ้านที่คุณทั้งเกลียดทั้งกลัว นั้นก็สามารถเป็นซอมบี้ได้เช่นกัน… Emerald cockroach wasp หรือต่อล่ากะจั๊วะมรกต (ชื่อนี้ ผมแต่งเองนะครับ อย่าเชื่อ ใครมีความรู้ก็ช่วยบอกด้วยแล้วกันครับ ว่ามันชื่อไทยคืออะไร) เป็นสัตว์ที่ทำให้เจ้าแมลงสาบกลายเป็นซอมบี้ ครับ ไม่ใช่ T ไวรัส เหมือนใน resident evil เจ้าต่อตัวนี้ มีวงจรในการวางไข่ในตัวแมลงสาบ เพื่อให้ลูกๆของมันเมื่อเกิดมาแล้วจะไม่ต้องอดๆ อยากๆ แต่ปัญหาของมันคือ มันตัวเล็กกว่าเจ้าแมลงสาบ มันจึงไม่สามารถใช้ความสามารถของตัวเองในการลากเจ้าแมลงสาบกลับรังของมันได้ ธรรมชาติจึงพัฒนาให้พิษของเจ้าตัวต่อนี้ ไม่ทำให้แมลงสาบตาย แต่ทำให้ แมลงสาบกลายเป็นซอมบี้ คือไม่ตาย ไม่ได้เป็นอัมพาต แต่ไม่สามารถจะเดินได้ด้วยตัวเอง(ซึ่งต่างจากพิษของต่อชนิดอื่นที่จะทำให้เป็นอัมพาต) แล้วมันก็บังคับหนวดของเจ้าแมลงสาบให้เจ้าแมลงสาบเดินตามมันกลับรังไปต้อยๆ คล้ายจูงหมากลับบ้าน ฉันใดฉันนั้น ที่จริงวงจรชีวิตของต่อตัวนี้เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์รู้มาตั้งแต่ ทศวรรษที่ 40 แล้ว แต่ว่า ยังไม่รู้ว่ากลไกของพิษที่มันฉีดเข้าไปในแมลงสาบ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการตีพิมพ์ลงใน Journal of Experimental Biology ว่ามีการทดลองออกมาแล้ว พบว่า พิษของเจ้าตัวต่อ นั้นไปมีผล บล็อกการทำงานของสารสื่อประสาทที่ชื่อ Octopamine ซึ่งเกี่ยวข้องกับ กลไกเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน เช่น การเดิน พอมีการบล็อกเจ้าสารสื่อประสาทตัวนี้ ก็ทำให้ไม่สามารถ ?เริ่ม? การเดินได้ ซึ่งเมื่อฉีดสารที่ทำให้เกิดการบล็อก Octopamine ก็จะทำให้แมลงสาบเกิดอาการเหมือนกับการโดนพิษของตัวต่อ และเมื่อฉีดสารกระตุ้น Octopamine ไปในแมลงสาบที่ถูกพิษของตัวต่อ แมลงสาบก็หายดี กลับมาเดินได้ดังเดิม เป็นการยืนยันผลการทดลอง วีดีโอ ของการล่าของตัวต่อครับ สนุกดี พอเห็นอย่างนี้แล้วเชื่อว่าหลายคนอยากเลี้ยงเจ้าต่อตัวนี้ไว้ที่บ้าน แต่เสียใจด้วยครับ เพราะเจ้าต่อตัวนี้ พบในแถบ แอฟริกา อินเดีย และหมู่เกาะแปซิฟิก เท่านั้น (ทำไมมันข้าม ASEAN ไปหว่า) ที่มา - Rosenberg, L. A., Glusman, J. G. & Libersat, F. J. Exp. Biol. 210, 4411-4417 ( 2007) » tarantura's blog 327 reads
https://jusci.net/node/531
แมลงสาบซอมบี้อี้อี้อี้
48 voted Does it rain less on the weekend? เป็นเวลากว่า ทศวรรษมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันเรื่อง วันสุดสัปดาห์จะมีฝนตกน้อยกว่าวันทำงานจริงรึเปล่า ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระ สัปดาห์นั้นเป็นเรื่องที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองฟ้าฝนจะมารับรู้ได้ยังไง แต่นักวิทยาศาสตร์ฝ่ายสนับสนุนก็ได้อธิบายว่า ในช่วงวันทำงานนั้นโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆจะปล่อยมลภาวะและฝุ่นละอองขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศมาก ฝุ่นละอองที่ลอยขึ้นไปนั้นทำให้เกิดการรวมตัวของละอองน้ำบนชั้นบรรยากาศเกิดเป็นหยดน้ำที่หนักขึ้น จนหนักพอที่จะตกลงมาเป็นฝนได้ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ฝ่ายค้านก็ได้อธิบายว่า แม้ฝุ่นละอองบนชั้นบรรยากาศจะทำให้เกิดการรวมตัวของละอองน้ำได้ แต่ฝุ่นละอองที่มากเกินไปก็ทำให้เกิดการรวมตัวของหยดน้ำแบบกระจายตัว ทำให้หยดน้ำมีขนาดเล็กกว่าปกติและไม่หนักพอที่จะทำให้เกิดฝน เพราะฉะนั้นหักลบกลบหนี้กันแล้ว ก็จะไม่ได้ทำให้เกิดฝนตกมากกว่าปกติในช่วงวันทำงาน นาย Ari Laaksonen และ David Schultz สองหน่อแห่งกรมอุตินิยมวิทยา ของฟินแลนด์ และเพื่อนร่วมงาน รู้สึกทนไม่ไหวและอยากให้ทุกฝ่ายเกิดสมานฉันท์ จึงบอกว่า วิธีทางเดียวที่จะตอบคำถามนี้ได้ ก็คือ เลือกตั้งใหม่ เอ๊ย! เก็บข้อมูลครับ ทีมของแกจึงไล่เก็บข้อมูลไปทั่วทั้งสองร้อยสถานีอุติฯ ของสหรัฐ(อยู่ฟินแลนด์ไหงแกไปเก็บข้อมูลของเมกาซะยังงั้น) ตั้งแต่ปี 1951 ถึงปี 1992 แล้วแกก็พบว่าในแต่ละวันของรอบสัปดาห์ของอเมริกานั้น มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (=ไม่แตกต่างกันนั่นเอง) นอกจากนั้น ยังพบว่าแม้แต่ในแต่ละวันของรอบสัปดาห์ของแต่ละสถานีอุตุฯ ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันเช่นกัน โดยสรุปแล้ว คือ ไม่ว่าจะระดับประเทศ หรือระดับท้องถิ่น ฟ้าฝนก็ไม่ได้เลือกวันมามาก มากน้อย เหมือนลอริเอะ ซอฟต์แคร์ ทอม เบลล์ นักอุตุนิยมวิทยา จากนาซ่า ก็ทำการศึกษาแบบเดียวกับ นาย Ari และ David แต่แกเหนือชั้นกว่าด้วยการดูข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมร่วมด้วย และพบว่า ใน southeastern ของอเมริกา ฝนตกในแต่ละวันของสัปดาห์ไม่แตกต่างกัน จนถึงทศวรรษที่ 1980s (1980-1989) ซึ่งหลังจากนั้น ก็พบว่าเริ่มเห็นวงจรฝนตกมากขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งผลของ นายทอม เบลล์ ก็ไม่ได้ขัดกับ นาย Ariและ David เพราะการศึกษาของนาย Ariก็เก็บข้อมูลถึงแค่ปี 1992 เท่านั้น) และจากข้อมูลล่าสุดพบว่า ในช่วงกลางสัปดาห์ของ sountheastของอเมริกา นั้นมีฝนตกมากที่สุด และ ช่วงวันอาทิตย์นั้นมีฝนตกน้อยที่สุด “เรายังรู้อะไรไม่มากพอที่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้” เบลล์กล่าว แต่ก็คาดเดาว่าน่าจะเกิดจากสารกำเนิดพลังงาน และเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน สรุปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก นักวิทยาศาสตร์คงยังต้องถกเถียงกันต่อไป อีกน้านนานล่ะครับ จาก Nature » tarantura's blog 92 reads
https://jusci.net/node/532
ผมสงสัยว่า ทำไมฝนไม่ค่อยตกวันเสาร์อาทิตย์
ผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกรนาดา (University of Granada) และความร่วมมือจาก Andalusian School of Public Health ประเทศสเปน ได้ทำการสำรวจประชากรชาวสเปน พบผลการสำรวจที่น่าตกตะลึง 100 % ของชาวสเปนที่ได้สำรวจ จะต้องมีสารประกอบของยาฆ่าแมลงอย่างน้อย 1 ชนิด ปะปนอยู่ ซึ่งสารประกอบของยาฆ่าแมลงดังกล่าว ยังคงมีผลร้ายแรงต่อร่างกายของคน โดยไม่ได้เจือจางลงแต่อย่างไร นักวิจัยได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จากสองพื้นที่ที่แตกต่างกัน โดยพื้นที่แรกจะเป็นบริเวณเมืองใหญ๋ ส่วนอีกพื้นที่จะเป็นบริเวณกึ่งชนบท แล้วหาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อการสำรวจดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิต, กิจกรรม หรือ ที่อยู่อาศัย โดยใช้ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 387 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญทั้งชายและหญิง ทางนักวิจัยยังไม่ได้สรุปแน่ชัดถึงสาเหตุดังกล่าว แต่ได้ให้เหตุผลไว้กว้างๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับ ห่วงโซ่อาหาร, ลักษณะการบริโภค หรือแม้กระทั่ง ช่วงอายุของผู้สำรวจ เมืองไทยน่าจะมีการสำรวจอะไรทำนองนี้บ้างนะ ที่มา - Eurekalert » Mr.JoH's blog 128 reads
https://jusci.net/node/533
ตะลึง ! ร่างกายคนเรามียาฆ่าแมลงอย่างน้อย 1 ชนิด แฝงอยู่
จำนวนประชากรของสัตว์และตลาดหุ้น ล้วนแต่ยากที่จะทำการพยากรณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ทั้งสองอย่างนี้มักจะถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ และความเป็นอิสระของแต่ละระบบ การประมาณจำนวนประชากรของสัตว์อย่างละเอียด เพิ่งได้รับการพัฒนาขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งคงเทียบไม่ได้กับการคาดการณ์ตลาดหุ้น ซึ่งข้อมูลที่บันทึกของตลาดหุ้นนั้น ทำได้ละเอียดกว่าประชากรของสัตว์มากๆ แต่เทคนิคใหม่ที่นักวิจัยได้ทำการพัฒนาขึ้นมา ที่มีชื่อเรียกว่า “Dewdrop Regression” สามารถทำนายประชากรของปลาได้อย่างแม่นยำ โดยอาศัยข้อมูลย้อนหลังของปลาเพียงแค่ 3% เมื่อเทียบกับวิธีการแบบอื่น คำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ แบบจำลองดังกล่าวสามารถใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือเปล่า ? จากข้อมูลเวลากว่า 40 ปี และข้อมูลของปลาต่างสายพันธ์กว่า 23 ชนิด โดยวิธีดั้งเดิมสามารถทำนายได้น้อยกว่า 10% แต่เมื่อใช้วิธีดังกล่าว สามารถทำนายได้ถึง 60% ที่มา - Sciencedaily » Mr.JoH's blog 156 reads
https://jusci.net/node/534
แบบจำลองวิเคราะห์ตลาดหุ้น สามารถนำมาใช้กับระบบนิเวศได้ด้วย !!
สถาบันวิจัยด้านอวกาศของเกาหลีใต้ (Korea Aerospace Research Institute) ได้ยืนยันว่า สถานีภาคพื้นดินที่ใช้ในการติดต่อกับดาวเทียม Arirang 1 ได้ขาดการติดต่อกับตัวดาวเทียม ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2007 ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ไม่สามารถทำการติตต่อกับดาวเทียมไว้สองประเด็น อย่างแรกก็คือ ปัญหาทางด้านกลไกของตัวดาวเทียมเอง และ อย่างที่สองก็คือ ความผิดพลาดในการจัดตำแหน่งของดาวเทียม ซึ่งส่งผลต่อการผลิดพลังงานของโซลาร์เซลล์ เกาหลีใต้ได้เริ่มบุกเบิกทางด้านอวกาศ โดยทำการส่งดาวเทียมเพื่อการพานิชย์จำนวนสามดวง ตั้งแต่ปี 1999 และดาวเทียมดางด้านการทหารในปี 2006 โดยดาวเทียม Arirang 1 ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อ 2 ธันวาคม 1999 มีภารกิจหลักในการถ่ายภาพพื้นผิวโลกความละเอียดสูง ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 107 reads
https://jusci.net/node/535
เกาหลีใต้ขาดการติดต่อกับดาวเทียมดวงแรกของตัวเอง
ทีมนักชีววิทยา จากมหาวิทยาลัย Darmounth ได้ทำการแยกสำรวจ พื้นที่จำนวน 3 แห่ง ของทะเลสาบ Baiyangdian ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดสำหรับภาคเหนือของจีน โดยพื้นที่สำรวจทั้ง 3 ห่างจากแหล่งที่เป็นมลภาวะ เช่น โรงงานถ่านหิน, พื้นที่เกษตรกรรม, โรงงานอุตสาหกรรม ผลจากการสำรวจ พบว่าพื้นที่ทั้ง 3 มีปลาที่มีการปนเปื้อนของสารปรอทและสารหนู ในอัตราที่สูงกว่าค่าที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งน่าเป็นห่วงประชากรในบริเวณพื้นที่ทะเลสาบ Baiyangdian เพราะทะเลสาบแห่งนี้ เป็นแหล่งอาหารและน้ำดื่มที่สำคัญในบริเวณนี้ ผมว่าประเทศจีน ให้ความสำคัญระหว่างสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม พอๆ กันเลยนะ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 86 reads
https://jusci.net/node/536
นักวิจัยเตือน จีนมีสารหนูและปรอทปนเปื้อนในระบบนิเวศมากเกินไป
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Wake Forest ได้รายงานผลการศึกษา การใช้โปรตีน เคราติน (Keratin) มีความสามารถในการเร่ง การสร้างเส้นประสาท และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเส้นประสาทที่เสียหาย เมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน วิธีการปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาเซลล์ประสาทที่เสียหายมีอยู่หลายวิธี เช่น ใช้การผ่าตัดเอาเส้นประสาทจากส่วนอื่นของร่างกายมาตัดต่อ, การเย็บเส้นประสาทสองจุดเข้าด้วยกัน, หรือการใช้ท่อเล็กๆ ในการนำทางให้เส้นประสาททำการเชื่อมต่อกันเอง แต่วิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้มีความสมบูรณ์ไปซะทีเดียว วิธีการเย็บเส้นประสาท ก็ได้ผลไม่ค่อยดี, วิธีการตัดต่อเส้นประสาท ถึงแม้จะให้ผลที่ดี แต่ส่งผลต่อร่างกายส่วนอื่น และไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน, ส่วนวิธีการใช้ท่อเล็กๆ ก็ไม่สามารถใช้กับเส้นประสาทที่ขาดห่างกันเกินกว่า 3-4 เซนติเมตรได้ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามใช้หลายวิธีในการกระตุ้นเส้นประสาท ซึ่งน่าจะรวมถึง การใช้ ไบโอพอลิเมอร์ แต่ทีมของนักวิทยาศาสตร์ชุดนี้ ถือว่าเป็นทีมแรก ที่ใช้ เคราตินในการกระตุ้นการสร้างเส้นประสาท ในการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเก็บ เส้นผมของมนุษย์จากร้านตัดผมในบริเวณนั้น แล้วนำเส้นผมที่ได้มาผ่านกระบวนการทางเคมี เพื่อที่จะทำการแยกเคราตินออกมาจากเส้นผม เมื่อแยกเคราตินออกจากเส้นผมได้แล้ว ก็จะนำมาผ่านกระบวนการใหได้เคราตินบริสุทธิ์และทำให้อยู่ในรูปของเจล ซึ่งจากผลการศึกษา พบว่า เคราตินที่ใช้ สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของ ชวานน์เซลล์ (Schwann Cells) ซึ่งทำให้การสร้างเส้นประสาทสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น จากผลการทดลอง พบว่าสัตว์ที่ใช้ในการทดลอง มีอัตราการเจริญเติบโตของเส้นประสาทดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อทำการเปรียบเทียบกับวิธีเดิมๆ โดยกลุ่มของสัตว์ที่ใช้ทดลอง มีอัตตราการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาทดีขึ้น ถึง 100 % เมื่อเทียบกับวิธีการใช้ท่อเล็กๆ ซึ่งได้ผลเพียง 50 % เท่านั้น อีกหน่อยคงจะมีโครงการ “บริจากผมเพื่อช่วยผู้ป่วยที่เซลล์ประสาทขาดหาย” ที่มา - Eurekalert » Mr.JoH's blog 132 reads
https://jusci.net/node/537
มาสร้างเส้นประสาทจากเส้นผมกันเถอะ
มหกรรมการประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7 (Thailand ICT Contest Festival 2008) ที่จัดระหว่างวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ ได้ประกาศผลรางวัลอย่างเป็นทางการแล้วครับ สำหรับรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลในแต่ละสาขา สามารถดูได้ ตามนี้ การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมแห่งประเทศไทย หรือ NSC ที่นี่ การประกวดโครงงานนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ หรือ YSC ที่นี่ การแข่งขันประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ YECC ทีนี่ การแข่งขันสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วย RFIDแห่งประเทศไทย หรือ NRIC ที่นี่ ยินดีกับผู้ได้รับรางวัลทุกคนนะครับ ส่วนผมปีหน้าคงต้องพยายามใหม่ » Mr.JoH's blog 84 reads
https://jusci.net/node/538
ผลการแข่งขันในงาน Thailand ICT Contest Festival 2008
65 voted งานวิจัยชิ้นล่าสุด โดยความร่วมมือของ ศูนย์พัฒนาพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU’s Center for Developmental Genetics) กับ มหาวิทยาลัย W?rzburg ได้ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งกับความเชื่อดั้งเดิม ที่เชื่อกันว่า การรับรู้สีสันและการรับรู้การเคลื่อนไหวของวัตถุ ในระบบการมองเห็นของคนเรา ทำงานสัมพันธ์กัน นักวิจัยได้ทำการทดสอบความเชื่อดังกล่าว โดยเปรียบเทียบแมลงวันผลไม้ทีมีความบกพร่องในการรับรู้สี กับแมลงวันผลมไม้ที่ปกติ แล้วดูความสามารถในการตอบสนองของวัตุที่เคลื่อนไหว ซึ่งจากผลการทดลอง พบว่าแมลงวันทั้งสองชนิด มีความสามารถในการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวในระดับเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การรับรู้สีสัน ไม่มีผลต่อการตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 144 reads
https://jusci.net/node/539
งานวิจัยชิ้นใหม่ แย้งความเชื่อเกี่ยวกับการมองเห็นในคน
ข่าวดีสำรับคุณผู้หญิง (หรือชายที่มีใจรัก) ครับ นักวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก (UC—San Diego) ได้ทำการปล่อยซอฟต์แวร์ สำหรับเอาใจคุณผู้หญิงที่มีใจรักในการแต่งหน้าโดยเฉพาะ หมดยุคสำหรับการลองว่าลิปสติกสีไหนเหมาะกับใบหน้า, ต้องทารองพื้นสีอะไรจึงจะดูดี, ไม่ต้องทดลองกันจนหน้าพังอีกต่อไป ซอฟต์แวร์ดังกล่าวอนุญาติให้ผู้ใช้งาน สามารถอัพโหลดรูปหน้าของผู้ใช้งานที่ต้องการลงบนเว็บ โดยมีเครื่องสำอางค์ กว่า 4000 ชนิดให้เลือกทดลองเสริมแต่งได้อย่างจุใจ นอกจานี้ยังสามารถเปลี่ยนสีผมและทรงผมได้อย่างง่ายดาย โดยผ่านการคลิกเมาส์เพียงไม่กี่ครั้ง อัลกลิทึ่มสำคัญที่ทำให้ซอฟต์แวร์ตัวนี้ ต่างจากซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่เคยมีมา ก็คือ อัลกอลิทึ่ม สำหรับการแยก การใช้กรอส กับการไม่ใช้กรอส ออกจากกัน ซึ่งอัลกอลิทึ่มดังกล่าว ยังมีประโยชน์กับการนำไปประยุกต์กับแอพลิเคชั่นอื่นๆ เช่น ระบบจดจำใบหน้า เป็นต้น ลิงค์วีดีโอสาธิตการใช้งาน ที่นี่ สนใจทดลองใช้งาน ที่นี่ ป.ล. ผมไม่แน่ใจว่า Gross ในบทความจะหมายถึงลิปกรอสหรือเปล่านะครับ ใครรู้ช่วยทักท้วงด้วย ที่มา - EurekaAlert » Mr.JoH's blog 97 reads
https://jusci.net/node/540
มาแต่งหน้าผ่านเว็บกันเถอะ !!
ในสภาวะที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงอย่างในปัจจุบัน ทำให้การใช้พลังงานทางเลือกเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งแหล่งพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ก็คงหนีไม่พ้นพลังงานชีวภาพ อย่างไรก็ตาม มีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการนำพลังงานชีวภาพ มาใช้กันแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เหตุผลหลักๆ ของฝ่ายที่คัดค้าน ก็คือ เรื่องการใช้พลังงานทั้งหมด ในวงจรของการปลูกและผลิตเชือ้เพลิงชีวภาพ และปัญหาเรื่อง ปริมาณอาหารที่จะเพียงพอหรือไม่ หากเรานำมาใช้ผลิตเป็นพลังงาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานบริษัทเนสท์เล่ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ในประเทศสวิซเซอร์แลนด์ ถึงปัญหาดังกล่าว โดยให้สัมภาษณ์ว่า “ถ้าหากเราคาดหวังจะใช้เชื้อเพลิงชีวภาพทดแทนน้ำมัน ให้ได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ก็จะไม่มีอะไรเหลือให้เราทานอีกต่อไป” คำพูดของประธานบริษัทเนสท์เล่ สอดคล้องกับคำพูดของ Jean Ziegler ผู้เชี่ยวชาญอิสระของ UN ที่ระบุว่า ควรจะชะลอการพัฒนาต่างๆที่เกี่ยวของ กับเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปก่อน เพราะอาจทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างน่ากลัว ถ้าให้มองอย่างเป็นกลาง ผมมองว่า การนำผลิตผลที่เหลือกจาการบริโภค มาผลิดเชื้อเพลิงชีวภาพไม่ใช่เรือ่งเสียหาย แต่การตั้งใจนำอาหารมาผลิดเป็นเชื้อเพลิง นี่สิที่เป็นเรื่องน่ากลัว ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 127 reads
https://jusci.net/node/541
เนสท์เล่เตือน เชื้อเพลิงชีวภาพอาจเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์
คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ ได้พบกับฝูงปลาวาฬหัวทุย ที่กำลังลอยแอ้งแม้งนอนอยู่บนผิวน้ำโดย บังเอิญ โดยพวกมันต่างลอยน้ำตั้งฉากกับพื้น หัวชี้ขึ้นฟ้า ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ค้นพบการนอนแบบนี้ของปลาวาฬเลยทีเดียว การค้นพบครั้งนี้ก็ทำให้คณะนักวิจัยนั้นเสียวไปตามๆกัน เพราะหากพวกมันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความโกรธและโจมตีเรือล่ะก็ พวกเขาคงได้เป็นอาหารมื้อต่อไปของพวกมันแน่ โชคดีที่ถึงแม้ พวกเขาจะทำให้ปลาวาฬตื่นแต่พวกมันก็รีบว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ทำอันตรายเรือ โดยก่อนหน้านี้ คณะวิจัยได้ติดตามปลาวาฬหัวทุยกลุ่มหนึ่งโดยใช้เครื่องส่งสัญญาณและพบว่าพวกมันใช้เวลาประมาณ7% ของวัน อยู่นิ่งๆที่ระดับน้ำไม่ลึกนัก ไม่มีใครทราบว่ามันทำอะไร แต่นักวิจัยได้บอกว่า นั่นแหละ คือเวลาที่พวกมันกำลังหลับอยู่ ทั้งปลาวาฬและปลาโลมานั้น เคยถูกค้นพบว่ามันสามารถพักผ่อนสมองของมันทีละซีกได้ และเปิดตาข้างนึงทิ้งไว้ ซึ่งคาดว่าเกิดจากการที่มันต้องขึ้นมาหายใจ และคอยระวังสัตว์ที่จะมาล่ามันเป็นอาหาร แต่การศึกษาชิ้นนี้ก็มีข้อจำกัดคือ ต้องทำในบ่อเลี้ยงที่ซึ่งจะสามารถวัด คลื่นสมองของปลาวาฬและปลาโลมาได้โดยง่าย และการศึกษานี้ก็ไม่ได้ศึกษาได้ปลาวาฬที่มีขนาดใหญ่ แต่จากการค้นพบโดยบังเอิญของ คณะวิจัยนั้น ทำให้เราได้รู้ว่า แท้จริงแล้วปลาวาฬหัวทุย ก็สามารถนอนเป็นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการลอยอยู่ที่ผิวน้ำ หรือ ที่ความลึกระดับ10เมตร การนอนของมันนั้นใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระหว่างที่มันนอนนั้น มันจะไม่หายใจหรือขยับเลย แต่คณะวิจัยนั้นไม่ทราบว่า ระหว่างที่ปลาวาฬหัวทุยนอนนั้น มันหลับ หรือเปิดตาข้างนึงอยู่ เนื่องจากตาของมันอยู่ใต้น้ำ แต่เนื่องจากว่า พวกมันไม่มีการตอบสนองเลย ระหว่างที่เรือแล่นผ่านพวกมันไป จึงคาดว่าพวกมันน่าจะปิดตาทั้งสองข้าง ซึ่งถ้าปลาวาฬหัวทุยนั้น ใช้เวลานอน 7% จริง มันก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้เวลานอนน้อยที่สุดในโลก โดยเอาชนะเจ้ายีราฟคอยาว ที่ใช้เวลานอน8% ซึ่งจะตรงข้ามกับเจ้า beluga (ปลาวาฬชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กสุดในหมู่ปลาวาฬฟันซี่ แต่ก็ใหญ่กว่าปลาโลมา) และปลาวาฬสีเทา ซึ่งใช้เวลานอนถึง 32% และ 41% ตามลำดับ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ปลาวาฬหัวทุยนั้น จะมีการนอนแบบสองแบบสลับกัน คือทั้งที่พักสมองทีละซีก ซึ่งจะใช้ตอนที่มันอยู่ใต้น้ำ และนอนหลับเต็มที่เมื่อมันลอยอยู่ผิวน้ำ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาต่อไป ซึ่งการจะรู้ได้นั้น ก็ต้องอาศัยการวัดคลื่นสมองขณะที่ปลาวาฬอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งก็ยังไม่มีเทคโนโลยีรองรับในขณะนี้ และการจะรู้ได้ว่า พวกมันหลับตาหรือเปิดตา ก็ต้องให้คนว่ายลงไปดู แม้ปลาวาฬหัวทุยนั้น จะเป็นสัตว์ที่ไม่ดุร้ายต่อมนุษย์ แต่อาหารหลักที่พวกมันกินนั้นคือ ปลาหมึกยักษ์ใต้ทะเล คุณจะเป็นอาสาสมัครดำไปถ่ายให้รึเปล่า เค้ารับสมัครอยู่นะ Video ที่ไปเจอปลาวาฬหลับนอน http://www.nature.com/news/2008/080221/multimedia/news.2008.613.mov ที่มา http://www.nature.com/news/2008/080221/full/news.2008.613.html » tarantura's blog 115 reads
https://jusci.net/node/542
sleep whales, sleep well
17 voted ข่าวดีสำหรับคุณผู้หญิง แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับคุณผู้ชาย เมื่อชุดสำหรับตรวจ DNA พิสูจน์ความเป็นพ่อลูก ได้ถูกวางจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปในสหรัฐอเมริกา ยกเว้นในนิวยอร์ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สำหรับชุดตรวจ DNA ราคา 30 ดอลลาร์ จะประกอบด้วย อุปกรณ์เก็บตัวอย่างน้ำลาย, ซองสำหรับส่งกลับ และ แบบฟอร์มสำหรับเซ็นต์ยินยอม โดยผู้ใช้งานจะต้องทำการส่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ที่ห้องแล็บ, จ่ายเงินค่าตรวจจำนวน 119 ดอลลาร์ แล้วนั่งรอผลตรวจ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-5 วันทำการ โดยผลการตรวจ สามารถรับได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางจดหมาย, อีเมล, หรือแม้กระทั่งเว็บเซอร์วิส ! ชุดตรวจ DNA ดังกล่าว ได้ทดลองจำหน่ายในบางรัฐตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลตอบรับที่ได้ ถล่มทลายเกินคาด ร้านขายยาหลายๆ ร้าน ขายหมดไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถซื้อมาใช้ได้ โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากเภสัชกรหรือแพทย์ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ดังกล่าว ยังไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันในชั้นศาลได้ การตรวจพิสูจน์อย่างละเอียด (ซึ่งแพงกว่าและแม่นยำกว่า) ยังคงมีความจำเป็นต่อไป ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 51 reads
https://jusci.net/node/543
เป็นพ่อลูกกันหรือไม่ ? พิสูจน์ง่ายๆ ด้วยราคา 30 ดอลลาร์
เข้ามาเจิม Login or register to post comments 31 reads
https://jusci.net/node/551
เจิมฟอรัม
ยานพาหนะไร้คนขับ จากสถาบันวิจัย Fraunhofer Institute for Intelligence Analysis and Information System, IAIS. ประเทศเยอรมันนี แม้ว่าจะไม่ได้แชมป์ในการแข่งขัน DARPA Urban Challenge 2007 แต่หลักการทำงานของรถคันนี้ มีการติดตั้ง 3D Laser scanner ไว้ที่หลังคารถ เพื่อเก็บข้อมูลที่จำเป็นมาจำแนกเป็น ถนน ทางเท้า ที่จอดรถ บ้านเรือน และสิ่งกีดขวางต่างๆ เพื่อให้ขับขี่ไปตามท้องถนนได้อย่างปลอดภัย ตัวรถสามารถทำความเร็วได้ถึง 36 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคนขับ แม้ว่าราคาเซนเซอร์ยังสูงอยู่หากจะนำมาติดตั้งในรถยนต์ส่วนตัว แต่ทีมวิจัยเชื่อว่า สามารถพัฒนาให้ระบบมีราคาต่ำลงได้ โดยที่ยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยไว้เช่นเดิม เชื่อว่าอีกไม่นาน เราไม่ต้องขับรถเองอีกแล้วครับ สำหรับเจ้าตัวนี้สามารถไปชมได้ที่งาน Hannover Musse ในระหว่างวันที่ 21-25 เมษายนนี้ครับ ที่มา - Fraunhofer.DE » Explorinex's blog 106 reads
https://jusci.net/node/576
The Spirit of Berlin
ประเทศเกาหลีใต้เตรียมติดตั้งกังหันพลังงานคลื่นใต้ทะเล ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ถึงเครื่องละ 1 เมกะวัตต์ โดยเป็นการลงทุนร่วม ระหว่าง Lunar Energy จากประเทศอังกฤษกับ Korean Midland Power Co ซึ่งได้บรรลุข้อตกลงเป็นที่เรียบร้อย เมื่อ 11 มีนาคมที่ผ่านมา สำหรับแผนการดำเนินโครงการนี้ จะติดตั้งกังหันผลิตไฟฟ้าจำนวน 300 เครื่อง เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า 300 เมกะวัตต์ ที่บริเวณวานโดเฮียงกาน (Wando Hoenggan) นอกชายฝั่งของเกาหลีใต้ ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มผลิตได้กลางเดือนธันวาคม ค.ศ.2015 โดยการประกอบชิ้นส่วนและติดตั้งเป็นหน้าที่ของ Hyundai Samho Heavy Industries (HSHI) ซึ่งมี Rotech Engineering เป็นผู้ออกแบบและผลิตชิ้นส่วน ชุดกังหันประกอบด้วยใบกังหัน (Turbine) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 11.5 เมตร อยู่ภายในท่อนำกระแสน้ำ (Water duct) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร ความยาว 19.2 เมตร เมื่อทำการติดตั้งรวมกับชุดกำเนิดไฟฟ้าแล้วมีน้ำหนักรวมถึง 2,500 ตัน ซึ่งทาง Rotech Eng. ระบุว่าสามารถนำไปติดตั้งได้กับกระแสน้ำทุกแห่งของโลก ที่มา - LunarEnergy.co.UK » Explorinex's blog 234 reads
https://jusci.net/node/581
โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากคลื่นใต้ทะเล นอกชายฝั่งเกาหลีใต้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอลบามา เบอร์มิงแฮม (University of Alabama at Birmingham) ประสบความสำเร็จในการสร้าง นาโนมอเตอร์ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้โดยการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิ ระหว่างจุดสองจุด นาโนมอเตอร์ดังกล่าว ประกอบไปด้วย คาร์บอนนาโนทิวบ์ ที่ล้อมด้วยนาโนทิวบ์ขนาดสั้นกว่า ซึ่งมีพฤติกรรมหมุนรอบแกนของคาร์บอนนาโนทิวบ์ ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือ ถอยหลังได้ นักวิจัย สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ ได้โดยการให้อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ระหว่างจุดสองจุดของนาโนทิวบ์ที่ยาวกว่า นาโนทิวบ์ที่สั้นกว่า ก็จะเคลื่อนที่จากอุณภูมิสูง ไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่า ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรก ที่เราสามารถสร้างนาโนมอเตอร์ ที่ใช้ควากแตกต่างของอุณหภูมิ เป็นตัวขับเคลื่อน สำหรับการนำไปประยุกต์ใช้งาน ก็เช่น ทางการแพทย์ หรือการสร้างวัสดุชนิดใหม่ ที่มา - Physorg ขอโทษด้วยครับ ชื่อมหาวิทยาลัยในข่าว ไม่ใช่หมาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮมครับ แต่เป็น มหาวิทยาลัยบาเซโลนา ประเทศสเปนครับ » Mr.JoH's blog 147 reads
https://jusci.net/node/582
นาโนมอเตอร์อุณหภูมิ ตัวแรกของโลก **แก้ไขข้อผิดพลาดครับ**
สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองคนไหน ที่มีลูกๆ หลานๆ น้ำหนักเกินมาตรฐาน หากลองทำตามงานวิจัยชิ้นล่าสุดจาก มหาวิทยาลัยไอโอวา (Iowa State University) ก็คงจะช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินดังกล่าวลงได้บ้าง งานวิจัยชิ้นดังกล่าว ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับเด็กแต่ละคนดังนี้ เด็กผู้ชาย ควรเดินอย่างน้อยวันละ 11,000 ก้าว เด็กผู้หญิง ควรเดินอย่างน้อยวันละ 13,000 ก้าว ไม่ควรให้เด็กอยู่หน้าจอ เกินวันละ 2 ชั่วโมง จากผลการวัดดัชนีมวลกาย (ฺBody Mass Index : BMI) ในกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 709 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 7 ถึง 12 ปี ได้ข้อสรุปว่า เด็กที่ไม่ได้ออกกำลังกาย หรือเด็กที่อยู่หน้าจอทีวีเกินจากที่กำหนด มีโอกาสที่จะมีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน มากกว่าเด็กที่ปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ 3 ถึง 4 เท่า น่าจะมีการศึกษาสำหรับผู้ใหญ่ที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ด้วยนะ ที่มา - ScienceDaily » Mr.JoH's blog 94 reads
https://jusci.net/node/583
วิธีลดน้ำหนักให้บุตรหลานของท่าน ง่ายๆ แต่ใช้ได้จริง
4 <a href="/drupalit/count-vote/58
https://jusci.net/node/584
นาซ่ายืดอายุโครงการ แคสสินี-ฮอยเกนส์ ออกไปอีก 2 ปี
6 <span id="vote-tex
https://jusci.net/node/585
กระสวยอวกาศโซยุซ ลงจอดเลยจากจุดที่กำหนด
ใน
https://jusci.net/node/586
เก็บไฮโดรเจนด้วยซิลิคอนนาโนทิวบ์
เกาหลีใต้ เริ่มทำการฝึกสุนัขดมกลิ่น ที่ได้รับการโคลนนิ่งมาเมื่อปีกลาย และพร้อมที่จะออกปฏิบัติการได้ภายในปีนี้ Toppy ซึ่งมีชื่อมาจาก (Tomorrow’s puppy) ได้รับการผ่านการทดสอบในเบื้องต้น นั่นก็คือ การทดสอบด้านพฤติกรรม และการทดสอบคุณภาพของสายพันธ์ และสามารถเริ่มปฏิบัติงานได้ภายในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ หากผ่านการทดสอบขั้นที่สอง ผู้รับผิดชอบในโครงการนี้ คือ Lee Byung-Chun ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการ โคลนนิ่งสุนัขเป็นตัวแรกของโลก หวังว่าคงไม่เป็นงานหลอกลวงเหมือนของ ดร.หวาง นะครับ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 119 reads
https://jusci.net/node/587
สุนัขโคลนนิ่งของเกาหลีใต้ พร้อมปฏิบัติการแล้ว
ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ผสมกับกระแสโลกร้อนที่กำลังมาแรง ทำให้พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งถูกมองกันว่าเป็นพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน และเหมาะสมกับภาวะโลกร้อน ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บทความเรื่อง "Sustainability of Uranium Mining and Milling: Quantifying Resources and Eco-Efficiency" ได้นำเสนอพลังงานนิวเคลียร์ในแง่มุมที่แตกต่าง โดยระบุถึง "มูลค่า" ที่ต้องจ่าย สำหรับการจัดหายูเรเนียมคุณภาพสูงในการใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของสิ่งแวดล้อมที่ต้องเสียหาย, การใช้น้ำและพลังงาน, รวมถึงการใช้สารเคมี ในการทำเหมือง, ผลกระทบทางสังคม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมูลค่าที่ต้องนำมาคิดทั้งสิ้น สำหรับเมืองไทย คงไม่ต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาพูดถึง เพราะยังไงคงไม่มีหวังที่จะได้สร้างอยู่แล้ว ที่มา - ScienceDaily
https://jusci.net/node/588
พลังงานนิวเคลียร์ อาจไม่ดีอย่างที่คิด ?
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีลำแสงซินโครตอน ทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศ ได้ค้นพบภาพวาดพระพุทธเจ้าที่วาดด้วยสีน้ำมัน ซึ่งอาจจะเป็นการเปลี่ยนโฉมประวัติศาสตร์ ของบรรดาภาพที่วาดด้วยสีน้ำมันทั้งหมดเลยทีเดียว ประวัิติภาพวาดสีน้ำมันในยุโรป คาดกันว่าเริ่มต้นประมาณศตวรรษที่ 15 แต่ผลจาการศึกษา ณ ถ้ำบามิยัน (Bamiyan cave)โดยทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ นำโดย ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศษ, อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ได้พบสีน้ำมันแห้ง ปะปนอยุ่ตามตัวอย่างที่พวกเขาได้ศึกษา ซึ่งภาพวาดดังกล่าว คาดว่ามีอายุประมาณศตรวรรษที่ 7 โดยเป็นภาพวาดสีน้ำมัน ที่แสดงภาพพระพุทธเจ้าในจีวรสีสันสดใส นั่งขัดสมาธิใต้ต้นโพธิ์ และมีสัตว์ประหลาดรายล้อมอยู่โดยรอบ (ในข่าวไม่ได้บอกละเอียดว่าคือภาพสัตว์อะไร)และได้พบภาพวาดลักษณะนี้จากถ้ำ 12 ถ้ำ จากถ้ำทั้งหมด 50 ถ้ำ จากผลการวิเคราะห์ทางโครงสร้าง นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุได้ถึงส่วนผสมของวัสดุ ที่ใช้ในการวาด ซึ่งน่าจะประกอบไปด้วย ยางสน, ส่วนประกอบของโปรตีน, กาวที่ทำจากหนังสัตว์, น้ำมันที่ได้จากเมล็ดของวอลนัทหรือดอกป็อปปี้ และยังพบส่วนผสมปูนขาว ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมากในสมัยนั้น รูปภาพดังกล่าว ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนและเก่าแ่ก่ที่สุด ในการนำน้ำมันจากเมล็ดพืชมาใช้ในงานศิลปะ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นชาวโรมันและชาวอียิปต์ จะมีการใช้น้ำมันจากเมล็ดพืช แต่ก็เป็นแค่การนำมาใช้ในการผสมยาและเครื่องสำอางเท่านั้น มีการสันนิษฐานกันว่า ภาพวาดดังกล่าว อาจจะถูกวาดโดยศิลปินที่เดินทางอยู่ในเส้นทางสายไหม แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาเรื่องราวดังกล่าว ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ด้วยเหตุผลทางการเมือง งานวิจัยดังกล่าว ได้ถูกนำเสนอตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในงานประชุมวิทยาศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น แต่เพิ่งถูกตีพิมพ์เมื่อวานนี้ ถ้าใครยังจำกันได้ ถ้ำบามิยัน ถือถ้ำที่มีรูปแกะสลักของพระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งถูกทำลายลงไปในสมัยรัฐบาลตาลีบัน รายละเอียดเพิ่มเติม พระพุทธรูปแห่งบาิมิยัน ที่มา - Physorg Mr.JoH's blog Login or register to post comments 0 Up Down 660 reads
https://jusci.net/node/589
ตะลึง ! พบภาพพระพุทธเจ้าวาดด้วยสีน้ำมัน ในอัฟกานิสถาน
PETA (People for Ethical Treatment of Animal) ซึ่งเป็นองค์à¸�รà¸�ิทัà¸�ษ์สิทธิของสัตว์ต่างๆ ได้ยื่นข้อเสนอล่อใจà¹�à¸�่นัà¸�วิทยาศาสตร์ จำนวน 1 ล้านเหรียà¸�สหรัà¸� สำหรับผู้ที่ประสบความสà¸
https://jusci.net/node/590
ทำเนื้อสัตว์เทียมได้ เอาไปเลย 1 ล้านเหรีย�
หลายคนในที่นี้ อาจจะเคยได้ยินกันมาว่า สัตว์ในปัจจุบัน ที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับเจ้าทีเร็กซ์มากที่สุด น่าจะเป็นสัตว์เลื้อยคลาน อย่างพวกจระเข้หรือกิ้งก่า แต่ผลจากการวิเคราะห์โมเลกุลครั้งล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ อาจทำให้ความเชื่อนี้ถูกสั่นคลอน ทีมนักวิจัย ได้ทำการวิเคราะห์เปปไทด์และกรดอะมิโน ที่ได้จากคอลลาเจนบริเวณกระดูกข้อต่อของเจ้าทีเร็กซ์ ผลที่ได้จากการวิเคราห์ก็คือ เจ้าทีเร็กซ์ มีบรรพบุรุษที่น่าจะอยู่ระหว่าง จระเข้, ไก่, และนกกระจอกเทศ แต่มีแนวโน้มที่จะมีความใกล้ชิดกับสัตว์ปีก มากกว่าสัตว์เลื้อยคลาน โปรตีนของเจ้าทีเร็กซ์ ที่ได้นำมาศึกษา ได้มาจาก ซากฟอสซิลกระดูกโคนขา ที่ถูกค้นพบในปี 2003 โดยมีเนื้อเยื่อบางๆ ติดอยู่กับกระดูกบริเวณนั้น ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 164 reads
https://jusci.net/node/591
สืบจากซาก : ทีเร็กซ์อาจเป็นญาติกับไก่
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาล้ยบราวน์ (Brown University) ได้ทำการทดลอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความหลากหลายทางชีวภาพ มีผลต่อความสามารถในการผลิต ของระบบนิเวศ มากกว่าที่เราคิดกัน ผลการทดลองที่ได้จากระบบนิเวศวิทยาเทียม (Artificial ecosystems) ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า จะให้ผลผลิตต่างๆ ที่ได้จากพืชสูงกว่า เช่น ชีวมวล (Biomass) ในทางกลับกัน การสูญพันธุ์ของพืชในระบบหนึ่งๆ ส่งผลลบเป็นอย่างมากต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะความสามามารถในการดูดซึมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเกี่ยวพันกับสภาวะโลกร้อน โดยทีมนักวิจัยได้กล่าวว่า “เราไม่เพียงแต่ปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สู่ชั้นบรรยากาศ แต่เรายังไปรบกวนความสามารถของระบบนิเวศ ในการดูดซึมและกักเก็บแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์” การทดลองดังกล่าว ได้เก็บข้อมูลการทดลองตั้งแต่ ปี 2002 จนถึงปัจจุบัน โดยทดลองบริเวณทุ่งหญ้ากว้าง ณ เทือกเขาแอนดีส ประเทศอาร์เจนตินา โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 90 จุด ในแต่ละจุดมีหญ้าต่างกัน 3 ชนิด และไม้พุ่มเตี้ย 3 ชนิด หลังจากนั้นก็ทำการลดจำนวนพืชในแต่ละจุดลง แล้วทำการวัดความสามารถในการผลิตในบริเวณนั้นๆ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 356 reads
https://jusci.net/node/592
ความหลากหลายทางชีวภาพ มีผลต่อความสามารถในการผลิตของระบบนิเวศ
แพทย์28% (5 votes)พยาบาล17% (3 votes)ทันตะแพทย์22% (4 votes)เภสัช11% (2 votes)นวดแผนโบราณ22% (4 votes)Total votes: 18 » 125 reads
https://jusci.net/node/593
วิทยาศาสตร์สุขภาพ
หนังสือพิมพ์ The Guardian ได้รายงานถึงผลกระทบ ของสินค้าที่บรรจุหีบห่อโดยใช้พลาสติกชีวภาพ ซึ่งในปัจจุึบันเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในซุปเปอร์มาเก็ต อาจสร้างปัญหาให้กับธรรมชาติ และก่อให้เกิดวิกฤติทางด้านอาหาร จากผลการศึกษาพบกว่า พลาสติกชีวภาพส่วนใหญ่ต้องการอุนหภูมิที่สูงมากในการย่อยสลาย, ไม่สามารถรีไซเคิล นอกจากนี้ยังต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก ในการปลูกพืชที่นำมาเป็นวัสดุในการผลิตพลาสติกชีวภาพ และผลกระทบที่ตามมาก็คือ ภาวะการขาดแคลนอาหาร เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 248 reads
https://jusci.net/node/594
พลาสติกชีวภาพ ไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
60 voted นายแพทย์ Gaddum Duemani Reddy นักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ได้ใช้เทคนิคใหม่ โดยประยุกต์การใช้แสงเลเซอร์ที่มีความเร็วสูง ร่วมกับ กล้องจุลทรรศน์แบบพิเศษ ในการดูเนื้อเยื่อในมุมมองต่างๆ ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะใช้เทคนิคดังกล่าว ในการดูเซลล์ประสาทโดยภาพที่เห็นเป็นแบบสามมิติ กล้องจุลทรรศน์โดยทั่วไป ภาพที่ได้จะเป็นแบบสองมิติเท่านั้น หากต้องการที่จะมองภาพในหลายๆ ระนาบ ก็ต้องใช้การปรับวัตถุที่กำลังมองอยู่ หรือไม่ก็ใช้การย้ายเลนส์ใกล้วัตถุในมุมต่างๆ ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่ไม่สะดวก และต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งไม่เพียงพอกับการดูกระบวนการที่เกิดขึ้นในเซลล์ ที่มักจะเกิดอยู่ในระดับมิลลิวินาที เพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว นายแพทย์ Gaddum ได้พัฒนา แสงเลเซอร์ที่มีความไวสูง ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ในระนาบสามมิติ แล้วก็ทำการปรับปรุง ให้สามารถใช้งานกับกล้องจุลทรรศน์โฟตอนได้ ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถเห็นการทำงานของเซลล์ประสาดได้ในสามมิติ อย่างไรก็ตาม เทคนิคดังกล่าวยังต้องได้รับการปรับปรุงอีกพอสมควร เนื่องจากในปัจจุบัน ยังสามารถใช้งานได้กับเซลล์ประสาทแบบเดี่ยวเท่านั้น ซึ่งในอนาคต ทางผู้พัฒนาต้องการพัฒนา ให้สามารถใช้งานได้กับกลุ่มของเซลล์ประสาท ซึ่งทำให้เราสามารถเห็นการตอบสนอง ระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกันในแบบสามมิติ เทคนิคดังกล่าว ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Nature Neuroscience ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 261 reads
https://jusci.net/node/595
ดูเซลล์ประสาทแบบสามมิติ
สิงคโปร์ประกาศตัวเลขล่าสุด ของจำนวนผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ภายในปี 2007 ซึ่งมีจำนวนถึง 422 คน ซึ่งมากสุดนับตั้งเริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 1985 จากจำนวนผู้ป่วยดังกล่าว 93 เปอร์เซ็นต์ เป็นเพศชาย และกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธุ์ เมื่อสิ้นปีที่แล้ว สิงคโปร์มีจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ ทั้งหมด 3,482 คน โดยผู้ป่วยจำนวนดังกล่าว ได้เสียชีวิตไปประมาณ 1,000 คน จากปัญหาดังกล่าว รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ ได้ยื่นเรื่องดังกล่าวต่อรัฐสภา โดยเรียกร้องให้มีการ ปรับปรุงกฏหมายให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อของโรคเอดส์ กฏหมายที่มีอยู่เดิมของสิงคโปร์ ได้มีบทลงโทษแก่ผู้ที่ติดเชื้อ แต่ไม่ยอมบอกคู่นอนของตนได้รับรู้ รวมถึงผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคด้วย กฏหมายที่จะได้รับการปรับปรุงใหม่ มีการเพิ่มบทบัญญัติให้เข้มงวดมากขึ้น เช่น ต้องมีการระมัดระวังอย่างเหมาะสม (รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัย และการตรวจเลือด) เพื่อที่จะป้องกันผู้ที่มีเพศสัมพันธุ์ด้วย, ต้องมีการแจ้งคู่นอนให้ทราบ ถึงความเสี่ยงที่จะติดโรคจากการมีเพศสัมพันธุ์ รวมถึงต้องให้คู่นอนตอบตกลงในการยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ถ้าคู่นอนตอบตกลง การมีเพศสัมพันธุ์ในครั้งนั้นก็จะถูกต้องตามกฏหมาย ใครที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมายดังกล่าว มีโทษปรับสูงสุดถึง 50,000 เหรียญสิงคโปร์ และโทษจำคุก 10 ปี ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 100 reads
https://jusci.net/node/596
สิงคโปร์พบผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นักวิทยาศาสตร์ จาก City of Hope ร่วมมือกับ หน่วยงานสาธารณสุขของแคลิฟอร์เนีย ได้ทำการพัฒนาวิธีวิเคราะห์ที่ได้ผลอย่างรวดเร็ว สำหรับการตรวจสอบสารพิษ โบทูลินัม (Botulinum) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นสารพิษที่อันตรายที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จักกันมา และยังเป็นสารพิษที่คาดกันว่าจะถูกนำมาใช้ในการก่อการร้ายทางชีวภาพอีกด้วย โบทูลินัม เป็นสารพิษที่ได้มาจากเชื้อแบคทีเรีย Chostridium ซึ่งสารพิษดังกล่าว จะออกฤทธิ์ยับยังกระแสประสาท ทำให้เกิดอัมพาตทั่วทั้งตัว และในที่สุดก็ทำให้ถึงแก่ความตาย โบทูลินัม สามารถเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว, จากบาดแผลติดเชื้อ ซึ่งข้อมูลจาศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด ได้ระบุว่า โบทูลินัม เป็นหนึ่งในหกสารพิษ ที่มีโอกาสนำมาใช้ในการก่อการร้ายทางชีิวภาพมากทีุ่สุด ทั้งนี้เนื่องจากสามารถผลิตและขนย้ายได้ง่าย โดยโบทูลินัมเพียง 1 กรัม ก็สามารถทำให้มีผู้เสียชีวิตได้มากกว่า 1 ล้านคน วิธีการทดสอบแบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ใช้เวลาในการตรวจสอบน้อยกว่าวิธีเดิมๆ และยังมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่าอีกด้วย ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้มากมาย เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตอาหาร, เพิ่มความเร็วและปรับปรุงการวินิจฉัยโรค และสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวิจัย นั่นก็คือ การป้องกันการจู่โจมจากการก่อการร้าย กระบวนการวิเคราะห์ดังกล่าว ประกอบด้วยทรงกลมคล้ายๆ ลูกปัดที่มีขนาดเล็กมากๆ ร่วมกับการใช้สารเคมีที่มีความไวแสงสูง ที่สามารถเรืองแสงได้ภายในรังสีอุลตราไวโอเล็ต โดยทรงกลมดังกล่าว จะถูกเคลือบด้วย Antibody และผสมกับ ตัวอย่างที่ต้องการทดสอบซึ่งถูกทำให้กลายเป็นของเหลว ซึ่ง Antibody ดังกล่าว จะทำปฏิิกิริยา และทำให้เกิดการเรืองแสงภายใต้รังสีอุลตราไวโอเล็ต วิธีการดังกล่าว สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการตรวจโรคระบาดอื่นๆ ซึ่งทางนักวิจัยพยายามที่จะพัฒนาให้สามารถดังกล่าวให้เพิ่มมากขึ้น ที่มา - EurekaAlert » Mr.JoH's blog 191 reads
https://jusci.net/node/597
วิธีการใหม่สำหรับตรวจสอบสารพิษ
เชื่อว่าหลายคนในที่นี้คงจะเคยดูการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน คอปเตอ์ฺไม้ไผ่ ถือเป็นอุปกรณ์ทีเด็ด ที่มักจะโผล่มาเกือบทุกตอน ใครที่เคยดูก็คงอยากจ
https://jusci.net/node/598
คอปเตอร์ไม้ไผ่ของโดราเอมอน อาจจะมีให้ใช้งานจริง ในเร็วๆ นี้
ในปัจจุบัน ปริมาณà¹�บนวิดธ์à¸�ว่า 70 % ของระบบอินเตอร์เน็ต ได้ถูà¸�ใช้ไปโดยเครือข่าย P2P ซึ่งนำมาสู่ปัà¸�หาขัดà¹�ย้ง ระหว่างผู้ใช้à¸
https://jusci.net/node/599
ซอฟต์�วร์สำหรับเร่งความเร็ว P2P
นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัย LOS ALAMOS, กระทรวงพลังงานสหรัฐ และสถาบันวิจัยจีโนม ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการถอดรหัสพันธุกรรมส่วนสำคัญ ของเชื้อรา Tricoderma reesei ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า เชื้อราดังกล่าว สามารถย่อยสลายเส้นใยของพืชให้กลายเป็นน้ำตาลได้อย่างไร การค้นพบดังกล่าว สามารถนำไปเพิ่มประสิทธิภาพ ของการเปลี่ยนเซลลูโลสของพืชชนิดต่างๆ เช่น ข้าวโพด ไปสู่เอทานอล ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เชื้อราดังกล่าว ใช้เอนไซม์ในการย่อยเส้นใยของพืช แล้วเปลี่ยนเส้นใยดังกล่าว ให้กลายเป็นน้ำตาล Monosaccharide โดยใช้น้ำตาลที่ได้จากการย่อยมาเป็นอาหาร การถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อรา T.reesei ถือเป็นก้าวที่สำคัญ ในกระบวนการผลิตพลังงานและสารเคมี ข้อมูลที่ได้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถเข้าใจว่า เชื้อราดังกล่าวย่อยเซลลูโลสอย่างไร, เข้าใจถึงกระบวนการในการผลิตเอนไซม์ที่จำเป็น ซึ่งทำให้สามารถนำไปปรับปรุงคุณสมบัติ ให้ดียึ่งขึ้น รวมไปถึงการลดต้นทุน ในการเปลี่ยนชีวมวล ไปสู่เชื้อเพลิงหรือสารเคมี ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 130 reads
https://jusci.net/node/600
เปลี่ยนเชื้อราให้เป็นเชื้อเพลิง
กาฬโรค ถือเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่มนุษย์เราเคยรู้จักกันมา ตลอดอารยธรรมอันยาวนานของมนุษย์ กาฬโรคได้คร่าชีวิตผู้คนรวมกันแล้วกว่า 200 ล้านคน โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่เลือกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าใครก็ตามที่ติดโรคดังกล่าว ก็สามารถล้มหายตายจากได้ทั้งสิ้น กาฬโรค เป็นโรคระบาดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Yersinia pestis ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ ได้สงสัยมานาน ว่าทำไมเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว ถึงได้ีมีพิษสงในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รุนแรงขนาดนี้ งานวิจัยชิ้นล่าสุดของศาสตราจารย์ Brubaker จากมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) ที่ได้ัรับการตีพิมพ์ในวารสาร Microbiology ฉบับเดือนพฤษภาคม ได้อธิบายกลไก การทำให้เกิดกาฬโรคของเชื้อ Y.pestis อย่างละเอียด Y.pestis ต้องการแคลเซียม และอุณหภูมิในร่างกายของมนุษย์ ในการเจริญเติบโต เมื่ออยู่ในสภาวะที่ขาดแคลเซียม มันก็จะสร้างกรดอะมิโนที่เชื่อ aspartic ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อมันอยู่ในร่างกายมนุษย์ จำนวนกรด aspartic ที่มันผลิตออกมา ก็จะมีมากเกินกว่าร่างกายของผู้ติดเชื้อจะรับไหว ซึ่งจะทำให้ร่างกายผู้ติดเชื้อขาดสมดุลย์ของกรดอะมิโน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ที่มา - EurekAlert Mr.JoH's blog Login or register to post comments 61 reads
https://jusci.net/node/602
ทำไมเชื้อกาฬโรคถึงร้ายแรง ?
Sevim Ertan และ Zengshe Liu นักเคมีจากสถาบันวิจัย Agricultural Research Services (ARS) ได้ทำการพัฒนาไฮโดรเจล (Hydrogel) ที่สร้างจากน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ โดยสามารถนำมาใช้แทนโพลิเมอร์ที่สร้างจาก polyacrylic และ polyacrylamide น้ำมันถั่วเหลือง ได้รับความสนใจในการนำมาเป็นวัตถุดิบ ก็เนื่องมาจาก คุณสมบัติทางเคมี, และความว่องไวในการเจริญเิติบโตของถั่วเหลือง ซึ่งสหรัฐสามารถผลิตน้ำมันถั่วเหลือง ได้ถึง 38% ของปริมาณน้ำมันถั่วเหลืองทั้งโลก นักเคมีทั้งสอง เริ่มทำการสำรวจความเป็นไปได้ในการนำน้ำมันถั่วเหลือง มาผลิตเป็นไฮโดรเจล ตั้งแต่ปี 1999 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าจำพวกเมล็ดถั่วเหลือง โดยกระบวนการผลิดจะแบ่งออกเป็นสองขั้นตอนใหญ่ๆ นั่นก็คือ การเปิดห่วงโซ่ของโพลิเมอร์ และกระบวนการแยกสลายด้วยน้ำ (hydrolysis) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ไฮโดรเจลที่อ่อนนุ่มแต่ทนทาน ต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสภาวะความเป็นกรด ในการทดสอบความสามารถในการดูดน้ำของไฮโดรเจล พบว่า ไฮโดรเจลที่ได้ มีความสามารถในการดูดน้ำต่ำกว่า โพลิเมอร์ที่ผลิตจากปิโตรเลียม แต่การทดสอบนี้ก็ยังเป็นแค่การทดสอบในเบื้องต้น ซึ่งต้องรอการพิสูจน์เพิ่มเติมต่อไป ข้อมูลเพิ่มเิติมรื่อง Hydrogel ที่มา - ScienceDaily » Mr.JoH's blog 124 reads
https://jusci.net/node/603
โพลีเมอร์จากถั่วเหลือง
ใครมีความสามารถเรื่องโลโก้ขอความกรุณาหน่อยนะครับ ฝีมือทางศิลปะผมห่วยมาก ‹ เจิมฟอรัม Login or register to post comments 79 reads
https://jusci.net/node/604
โลโก้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย McGill ได้ทำการศึกษาว่าการให้นมแน่แก่เด็กทารก มีผลต่อการพัฒนาการของตัวเด็กอย่างไร ซึ่งผลกจากกลุ่มตัวอย่างเป็นจำนวนมาก ก็พบความสัมพันธุ์ ระหว่างการพัฒนาการทางด้านสติปัญญา กับระยะเวลาที่ลูกมีโอกาสได้ดูดนมจากแม่ จากผลการศึกษาดังจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 14,000 คน เป็นเวลากว่า 6 ปี ทำให้ ดร. Michael Kramer ได้้ข้อสรุปที่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน ว่า ยิ่งแม่ให้ลูกดูดนมเป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เด็กฉลาดขึ้นเท่าั้นั้น วิธีการประเมินผล ที่ทีมวิจัยกลุ่มนี้ใช้ ก็ได้แก่ การทำข้อสอบวัดไอคิว และการให้คะแนนความสามารถด้านการเขียน, อ่าน, คณิตศาสตร์ จากบรรดาอาจารย์ที่ทำการสอน ซึ่งจากผลลัพธ์ได้ แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ดูดนมแม่เป็นระยะเวลานานกว่า ก็จะมีสติปัญญาที่สูงกว่าเด็กทั่วไป ที่มา - EurekAlert Mr.JoH's blog Login or register to post comments 64 reads
https://jusci.net/node/605
เพิ่มความฉลาด โดยการดูดนมจากเต้า
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย UCLA และมหาวิทยาลัย Washington ได้พบว่า สิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่น แมลง, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, และสัตว์เลื้อยคลาน มีโอกาสเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ อันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่า ในปัจจุบันสัตว์จำพวกดังกล่าว ได้ปรับตัวให้อยู่ในสภาพอากาศของพื้นที่แถบนี้ได้เป็นอย่างดี ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงขึ้น ซึ่งส่งผลเสียในการเพิ่มจำนวนประชากร นอกจากการเพิ่มจำนวนประชากรลดลง อาจมีการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์กลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นการอพยพขึ้นไปทางเหนือ เพื่อหาอากาศที่อบอุ่นกว่า ส่วนพวกที่ปรับตัวไม่ได้ ก็อาจะต้องสูญพันธุ์ไป ซึ่งผลกระทบดังกล่าว ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ที่มา - EurekAlert Mr.JoH's blog Login or register to post comments 87 reads
https://jusci.net/node/606
สัตว์เขตร้อนอาจสูญพันธุ์ เพราะปัญหาโลกร้อน
โครงการ Masdar initiative ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซส MIT ประเทศสหรัฐอเมริกา กับบริษัท Abu Dhabi Future Energy จากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต UAE ได้ร่วมกันลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ปราศจากการผลิตคาร์บอน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่ง ของปรากฏการณ์เรือนกระจก โดยใช้งบประมาณกว่า 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีพื้นที่เมืองรวม 7 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ชานกรุงอาบู ดาบี เมืองหลวงของ UAE ประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย ร้านค้าและโรงงานขนาดเล็ก ซึ่งสามารถรองรับประชากรได้ประมาณ 50,000 คน แหล่งพลังงานหลักของเมือง มาจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ถึง 82% เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า จากแสงและความร้อน แหล่งพลังงานอีก 17% มาจากการเผาขยะโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่าแบบเดิมถึง 10 เท่า อีก 1% มาจากพลังงานลม นอกจากการใช้พลังงานทางเลือกแล้ว เมืองยังได้รับการวางผังเมืองของถนนไปในแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อการระบายความร้อนและการได้รับแสงสว่างของอาคารต่างๆ โดยใช้พลังงานน้อยที่สุด ทั้งนี้ยังมีการจัดการเรื่องการขนส่งของเมือง โดยได้ห้ามพาหนะที่ใช้น้ำมันเข้ามาในเมือง แต่ให้ใช้รถรางไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่อื่นๆของกรุงอาบู ดาบี และภายในเมือง มีการใช้รถครอบครัวขนาดเล็กที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทน การสร้างเมืองนี้ขึ้นมานั้น ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนางานวิจัยด้านพลังงานทดแทน โดยเป็นการนำเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาขึ้นมาใช้งานจริง เพื่อลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน ที่มา - NewScientist.COM » Explorinex's blog 106 reads
https://jusci.net/node/607
เมืองไร้ก๊าซคาร์บอนกลางทะเลทราย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (University of Queensland) ได้พัฒนาวิธีการวัด รูปแบบของการหายใจของเด็กทารกขึ้นมาใหม่ และสามารถนำไปใช้กับผู้ใหญ่ไ้ด้ด้วย นักศึกษาระดับปริญญาเอก Philip Terrill ได้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ซึ่งอยู่บนพื้นฐาน ของทฤษฏีความยุ่งเหยิง (Chaos Theory) โดยข้อมูลที่จะนำมาใ้ช้ในการคำนวน จะได้มาจกอุปกรณ์การวัด ซึ่งติดตั้งอยู่รอบหน้าอกของเด็กทารกที่ทำการวัด วิธีการสังเกตการนอนหลับในปัจจุบัน จะต้องให้เด็กอยู่ในห้องที่กำหนด โดยมีอุปกร์พิเศษ, มีพยาบาล, หมอ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ ในการสังเกต การพัฒนาแบบจำลองดังกล่าว สามารถช่วยให้มีการพัฒนา ระบบสังเกตการนอนหลับแบบอัตโนมัติ ซึ่งน่าจะมีราคาถูกและสะดวกกว่าิวิธีการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่มา - EurekAlet Mr.JoH's blog Login or register to post comments 54 reads
https://jusci.net/node/608
คณิตศาสตร์ช่วยสังเกตการนอนหลับ
58 voted ผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลสาบ (Limnologist) จากมหาวิทยาลัยไอโอว่า (Iowa State University) ได้นำเสนองานวิจัยทีว่า หนองน้ำ, บ่อน้ำ ที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก มีส่วนช่วยในการดูดซับคาร์บอน พอๆ กับมหาสมุทรขนาดใหญ่ ศาสตราจารย์ John Downing หัวหน้าทีมวิจัย ได้ค้นพบว่า การสร้างบ่อน้ำในบริเวณพื้นที่เกษตรกรรม ในสหรัฐอเมริกา มีส่วนช่วยในการดูดซับคาร์บอนมากกว่าที่คิดกันเอาไว้ โดยสามารถดูดซับได้มากกว่าต้นไม้ ตั้งแต่ 20 ถึง 50 เท่า นักวิจัยประมาณว่า มีหนองน้ำกว่า 304 ล้านแห่งทั่วโลก โดยครอบคลุมพื้นที่กว่า 4 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งมากเป็นสองเท่าจากที่เคยคิดกันไว้ ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าว ทำให้สามารถประมาณได้ว่า อัตราการดูดซับคาร์บอนของพื้นที่ดังกล่าว มีความสามารถ พอๆ กับมหาสมุทรขนาดใหญ่ เลยทีเดียว ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 95 reads
https://jusci.net/node/609
หนองน้ำมีส่วนช่วยโลกร้อนมากกว่าที่เราคิด
78 voted นักวิจัยจากเยอรมัน ประสบความสำเร็จ ในการคิดค้นกระบวนการสร้างไฮโดรเจนจากกรดฟอร์มิก (Formic acid) ที่อุณหภูมิห้อง กรดฟอร์มิก เป็นกรดอินทรีย์ที่มีโครงสร้างโมเลกุลไม่ซับซ้อนมากนัก ตามมธรรมชาติสามารถพบได้จากสัตว์จำพวก มดและผึ้ง มีสูตรโมเลกุลคือ CH2O2 การเปลี่ยนกรดฟอร์มิกให้กลายมาเป็นพลังงาน ของนักวิจัยดังกล่าว ทำได้โดยการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม ก็จะได้เป็นไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ และการใช้ตัวดูดซับคาร์บอน ก็เพียงพอที่จะทำให้เราได้ไฮโดรเจนบริศุทธิ์ออกมา ซึ่งการใช้กรดฟอร์มิกมีข้อดีหลายอย่าง ก็คือ สามารถจัดเก้บได้ง่าย, ไม่เป็นพิษ, และสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ง่าย ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 300 reads
https://jusci.net/node/610
พลังงานจากกรดฟอร์มิก
ในภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงอยู่ในปัจจุบัน อาจจะมีข้อดีที่แอบแฝงอยู่ในตัวของมันเอง เมื่อนักวิจัยจากสหรัฐพบว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้มลภาวะที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกลดปริมาณลง Chris Knittel นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ทำการศึกษาข้อมูล ราคาน้ำมันย้อนหลังไปหลายสิบปี และพบความสัมพันธ์ของราคาน้ำมัน กับพฤติกรรมของผู้ใช้รถ พบว่าการซื้อรถที่กินน้ำมันอย่างพวก SUV หรือ รถกระบะ จะลดลง 13% ทุกๆ 1 เหรียญของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และในทิศทางเดียวกัน ก็ทำให้ปริมาณการซื้อรถที่มีประสิทธิภาพในการใ้ช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น 17% เช่นเดียวกัน ข้อมูลของ Knittels ที่นำเสนอ ได้รับการยอมรับจากนักเศรษฐศาสตร์เป็นจำนวนมาก โดยมีนักเศรษฐศาสตร์อีกคน Kenneth Small ได้นำเสนอข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า ทุก 1 เหรียญของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่ลดจำนวนน้ำมันที่ต้องใช้ลงถึง 14% ซึ่งหมายความว่า ปริมาณการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลง คิดเป็นปริมาณถึง 2% ของปริมาณแก๊สทั้งหมด ที่สหรัฐปล่อยออกมาในปี 2006 ที่มา EurekAlert » Mr.JoH's blog 101 reads
https://jusci.net/node/611
ราคาน้ำมันที่พุ่งสูง มีส่วนช่วยให้มลภาวะลดลง
ข่าวดีสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มีลูกหลานเเหลนโหลน ชอบเล่นเกม หากลูกหลานของท่าน เป็นเซียนเกมชั้นอ๋อง รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์อาจจะตกอยู่กับลูกหลานของท่านโดยไม่รู้ตัว สำหรับผู้ที่เล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ คงจะเคยใช้เวลาข้ามวันข้ามคืน ในการเล่นเกมที่โปรดปรานให้จบหมดทุกด่าน จบแบบธรรมดาไม่พอ ต้องจบแบบเก็บได้ครบทุกไอเท็ม อีกต่างหาก นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (Washington University) เล็งเห็นประโยชน์ของเหล่าบรรดาเกมเมอร์เหล่านี้ ก็เลยพัฒนาเกมที่มีส่วนช่วยในการวิจัยขึ้นมา เกมส์ดัีงกล่าวมีชื่อว่า Foldit ก่อนที่เล่นเกมนี้แล้วได้รางวัลโนเบล ก็ต้องอธิบายหลักการในเบื้องต้นก่อน เนื่องจากในร่างกายของมนุษย์เรา ประกอบไปด้วยโปรตีน และโปรตีน ก็สามารถมีูรูปแบบต่างๆ ได้มากกว่า 100,000 รูปแบบ รวมถึงมีความไวต่อปฏิกิริยาเคมีที่ไม่เหมือนกัน เรารู้รหัสพันธุกรรมบางส่วนของโปรตีน แต่เราไม่รู้ว่ามันจะโค้งงอเปลี่ยนรูปร่างซับซ้อนได้อย่างไร ซึ่งรูปร่างของโปรตีน ถือเป็นส่วนสำคัญมากในทางชีววิทยา ถ้าหากมีคนนึกออก เคยมีโครงการอย่าง Rosetta@Home ซึ่งอาศัยคอมพิวเตอร์ของอาสาสมัครในการประมวลผล แต่ด้วยยอดสมาชิกในปัจจุบัน ที่มีประมาณ 200,000 คน ก็ยังไม่พอกับความต้องการดังกล่าว เกม Foldit กับ โปรแกรม Rosetta ก็อาศัยรากฐานเดียวกัน แต่ในขณะที่ Rosetta@Home อาศัยเวลาว่างจากการประมวลผลมาช่วยในการคำนวณ แต่ Foldit อาศัยพลังสมองจากคนที่ว่างพอจะมาเล่นเกม ซึ่งเกมดังกล่าวไม่ต้องการอะไรมาก นอกจากความสามารถในการแก้ปัญหารูปร่าง 3 มิติเท่านั้น ปัจจุบันนี้ มีผู้ที่เล่นเกมส์นี้้แล้วกว่า 1,000 คน และในอนาคต อาจมีการจัดแข่งขันระหว่างเกมเมอร์ กับ กลุ่มนักวิจัยที่ทำเรื่องโปรตีน โดยวางแผนไว้ว่า จะมีการจัด 2 ปี ครั้ง สำหรับผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุด ก็จะมีการใส่ชื่อลงไปในผลงานที่ตีพิมพ์ทางด้านวิทยาศาสตร์ และสำหรับผู้ที่ชนะในการออกแบบโปรตีน ทางทีมวิจัยก็อาจนำการออกแบบนั้น มาสร้างเป็นโปรตีนที่ใช้งานได้จริง ซึ่งถ้าหากสามารถนำไปแก้ปัญหาโรคระบาดที่ร้ายแรงในปัจจุบัน (เอดส์,มาลาเรีย) เหล่าเกมเมอร์ก็อาจมีสิทธิคว้ารางวัลโนเบลอีกด้วย ดีจัง จะได้มีข้ออ้างในการเล่นเกม ข้อมูลเพิ่มเติม Foldit เว็บไซท์ของเกม (ขณะที่เขียนข่าวยังไม่สามารถเข้าได้) Rosetta@Home ที่มา - EurekAlert Mr.JoH's blog Login or register to post comments 71 reads
https://jusci.net/node/612
เล่นเกมคอมพิวเตอร์เก่งๆ มีสิทธิได้รางวัลโนเบล
การเข้ารหัสเชิงควอนตัม (Quantum Cryptography) ได้รับการเชื่อมั่นว่า เป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด ในการปกป้องข้อมูลจากผู้ที่ไม่หวังดี แต่ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Linköping ประเทศสวีเดน ได้พบช่องโหว่ของทฤษฏีดังกล่าว ซึ่งนำมาสู่ความเสี่ยง ในการขโมยข้อมูลที่สำคัญๆ อย่างเช่น ธุรกรรมทางการเงิน ในการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ จะมีการเข้ารหัสของข้อมูลที่ส่ง ด้วยกุญแจสาธารณะ โดยผ่านช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัย ซึ่งในระหว่างการส่งข้อมูลผ่านตัวกลาง ก็มีโอกาสที่กุญแจดังกล่าว อาจถูกทำซ้ำโดยการดักข้อมูลที่ตัวกลางระหว่างทาง วิธีการที่ดีที่สุดที่ทำให้กุญแจนั้นปลอดภัย ก็คือการเพิ่มจำนวนบิตของการเข้ารหัสให้มากขึ้น เพื่อที่ให้การถอดรหัสสามาถทำได้ยากขึ้น เทคโนโลยีเข้ารหัสเชิงควอนตัม เป็นที่คาดคะเนว่า สามารถทำให้เกิดความปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในปัจจุบันมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ที่ใช้เทคนิคดังกล่าวในการส่งข้อมูล เนื่องจากต้องอาศัยฮาร์ดแวร์เฉพาะ เช่น ลำแสงเลเซอร์ที่สามารถยิงอนุภาคโฟตอน ผ่านทางใยแก้วนำแสง เหตุผลที่ทำให้การเข้ารหัสเชิงควอนตัม ได้รับการเชื่อมั่นว่ามีความปลอดภัยสูง ก็เนื่องมาจาก คุณสมบัติทางกลศาสตร์ควอนตัม ที่ว่าอนุภาค ไม่สามารถทำการวัดหรือปรับเปลี่ยน โดยไม่ก่อให้เกิดการรบกวน ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าว หากมีใคร ที่จะพยายามคัดลอกข้อมูลที่เข้ารหัสเชิงควอนตัม ก็จะก่อให้เกิดสัญญาณรบกวนอย่างมหาศาล ซึ่งทำให้ไม่สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้งานได้เลย Jan-Åke Larsson นักวิจัยจากภาควิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัย Linköping ได้ทำการพิสูจน์ว่า การเข้ารหัสเชิงควอนตัมไม่ได้ปลอดภัย 100% โดยมีความเป็นไปได้ทางทฤษฏี ที่ผู้ไม่ได้รับอนุญาติ สามารถดักจับข้อมูลได้ โดยที่ไม่ถูกตรวจพบ ถ้าหากเขาสามารถ จัดการระหว่าง กลศาสตร์ควอนตัม และ การติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางปกติ โดยใช้การเข้ารหัสเชิงควอนตัม ที่มา - ScienceDaily » Mr.JoH's blog 109 reads
https://jusci.net/node/613
การเข้ารหัสควอนตัม สามารถถูกถอดได้
71 voted นักวิจัยจากโรมาเีนียและตุรกี ได้ทำการพัฒนากระบวนการที่ง่าย แต่ทรงประสิทธภาพ ในการนำแผงวงจรของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มาแปรสภาพให้เป็นเชื้อเพลิง, พลาสติก และผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการใช้งาน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่ไม่สามารถใช้งานได้ นับเป็นปัญหาใหญ่ สำหรับกวงการสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน เนื่องจากแแผงวงจร ประกอบไปด้วยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โลหะหนัก ในงานวิจัยของ Cronelia Vasile ได้นำแผงวงจรจากคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้แล้ว มาผ่านความร้อนสูง และใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา และใช้กระบวนการทางเคมี ซึ่งจากกระบวนการดังกล่าว ทำให้สามารถ นำสารพิษออกจากอุปกรณ์เหล่านั้นได้เกือบหมด และผลลัพธ์ที่ได้อีกอย่างก็คือ น้ำมัน ซึ่งมีความปลอดภัยพอที่จะนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือนำไปเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่น เช่น พลาสติก ที่มา - ScienceDaily » Mr.JoH's blog 159 reads
https://jusci.net/node/614
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เก่าอย่าทิ้ง สามารถมาเติมเป็นน้ำมันได้
ถ้าหากลองให้คนทั่วไป จินตนาการถึงภาพนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ หลายคนคงจะนึกถึงภาพชายวัยกลางคน ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ในมือชอล์คเขียนสมการที่คนธรรมดาดูแล้วไม่มีวันเข้าใจ พูดจาติดๆ ขัดๆ สื่อสารกัีบคนไม่ค่อยรู้เรื่อง ภาพลักษณ์ดังกล่าวของนักคณิตศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาในสาขานี้อย่างสำคัญ ดร. Heather Mendick หัวหน้าทีมวิจัย ได้ทำการสำรวจ จากประชาชนในอังกฤษและเวลส์ พบว่า ความนิยมในการเลือกเรียนทางด้านคณิตศาสตร์ ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าทศวรรษแล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว ก็เนื่องมาจาก การมองนักคณิตศาสตร์ในภาพลบจาคนส่วนใหญ่ โดยนักวิจัยได้แนะนำว่า หนทางเดียวที่จะทำให้มีคนเลือกเรียนสาขาีนี้มากขึ้น ก็คือ การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ในแง่บวกของนักคณิตศาสตร์ ให้คนทั่วไปได้รับรู้มากขึ้น ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 79 reads
https://jusci.net/node/615
กีกคณิตศาสตร์ ส่งผลให้คนเลือกเรียนคณิตศาสตร์น้อยลง
ระบบหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Water Recovery System) ถือเป็นหนึ่งในสองขององค์ประกอบที่สำคัญ ในการสนับสนุนการดำรงชีวิตของนักบินอวกาศบนสถานี ซึ่งตามกำหนดการ ระบบหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ จะถูกขนส่งโดยกระสวยอวกาศเอนเดเวอร์ ในปลายปีนี้ หลังจากได้ติดตั้งระบบสร้างออกซิเจนเมื่อปลายปีที่แล้ว การติดตั้งระบบดังกล่าว สามารถช่วยลดภาระการขนส่ง น้ำและออกซิเจน จากโลกไปยังสถานี ได้ถึง 6,800 กิโลกรัมต่อปี โดยระบบดังกล่าว ใช้กระบวนการกรองและกระบวนการทางเคมีเป็นหลัก ซึ่งสามารถผลิตน้ำที่ปลอดภัยเพียงพอสำหรับการบริโภค ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 115 reads
https://jusci.net/node/616
สถานีอวกาศนานาชาติ ติดตั้งระบบนำน้ำกลับมาใช้ใหม่
ดาวเทียมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ใช้คลื่นวิทยุเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งในสมัยก่อนอาจจะเพียงพอในการรับส่งข้อมูล แต่สำหรับปัจจุบัน ปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเดาวเทียม เพิ่มมากขึ้น ทำให้การใช้คลื่นวิทยุ อาจไม่เพียงพอกับความต้องการอีกต่อไป ดาวเทียมสัญชาติเยอรมัน TerraSAR-X ได้ทำการทดลองส่งข้อมูลผ่านไดโอดเลเซอร์ กับดาวเทียมของสหรัฐ NFIRE ด้วยระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร ซึ่งผลการทดสอบนับว่าดีเยี่ยม เนื่องจากสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าการใช้คลื่นวิทยุนับร้อยเท่า ซึ่งเทียบได้กับการดาวน์โหลดข้อมูลจำนวน 400 แผ่นดีวีดี ภายในเวลา 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังไม่พบความผิดพลาดในการสื่อสารแม้แต่นิดเดียว ความสำเร็จในการทดลองดังกล่าว อาจเป็นการเปิดศักราชใหม่ ให้กับการสื่อสารผ่านดาวเทียม ซึ่งนำไปสู่ความสามารถใหม่ๆ ที่ดาวเทียมสื่อสารแบบเดิม ไม่สามารถทำได้ เช่น การส่งภาพที่ได้จากการสำรวจโดยดาวเทียมแบบเรียลไทม์ ซึ่งการใช้คลื่นวิทยุในปัจจุบันไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก bandwidth ในการสื่อสารไม่เพียงพอ ข้อดีอื่นๆ ก็เช่น การส่งข้อมูลมีความแม่นยำกว่า เนื่องจากเลเซอร์ สามารถโฟกัส ไปยังจุดที่ต้องการจะส่งได้อย่างแม่นยำ สำหรับอุปกรณ์ส่งข้อมูลผ่านเลเซอร์ที่อยู่บนดาวเทียมดังกล่าว ได้รับการพัฒนาโดย Fraunhofer Institute of Laser Technology (ILT) ร่วมมือกับ Tesat GmbH & Co. KG โดยได้รับทุนสนับสนุน จากศูนย์วิจัยอวกาศ ของประเทศเยอรมัน โดยอุปกรณ์ดังกล่าว ต้อถูกพัฒนา ให้ทนต่อความสั่นสะเทือนและความเร่ง ในขณะที่อยู่บนดาวเทียม นอกจากนี้ยังต้องทนต่อความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างสุดขั้ว โดยมีขนาดใหญ่กว่ากล่องไม้ขีดไฟเพียงเล็กน้อย ที่มา - EureakAlert
https://jusci.net/node/617
ดาวเทียมสื่อสารที่ใช้แสงเลเซอร์ในการส่งข้อมูล
นักดาราฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา สเตท (North Carolina) ได้ค้นพบซูปเปอร์โนวา (Supernova) ที่มีอายุน้อยที่สุดในกาแล็กซีทางช้างเผือก การค้นพบดังกล่าว ช่วเบิกทางให้นักดาราศาสตร์เข้าใจการระเบิดของดวงดาวได้ดียิ่งขึ้น ดร.สตีเฟน เรย์โนลด์ (Dr.Stephen Reynolds) และลูกทีม ได้ทำการวิเคราะห์ภาพถ่ายของเทหวัตถุ ที่มีชื่อว่า G1.9+0.3 ที่ถูกถ่ายไว้ในปี 2007 โดยดาวเทียมรังสีเอ็กส์จันทรา (Chandra X-Ray Observatory) นำมาเปรียบเทียบกับภาพที่เคยถูกถ่ายไว้ในปี 1985 โดยเครือข่ายกล้องวิทยุขนาดยักษ์ VLA (Very Large Array radio Telescope) ไม่เพียงภาพถ่ายจากดาวเทียมจันทราเท่านั้น ที่ยืนยันการค้นพบดังกล่าว บรรดานักวิทยาศาสตร์หลายคน ได้พบว่า ซูปเปอร์โนวาดังกล่าว มีขนาดเพิ่มขึ้น 16% ภายในเวลาเพียง 22 ปี ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ ที่ช่วยยืนยันการค้นพบดังกล่าว บทความดังกล่าว ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal Letters สำหรับหลายคนที่สงสัยว่าซูปเปอรโนวาคืออะไร ? ซูปเปอร์โนวา คือการระเบิดของดวงดาวที่หมดสิ้นอายุขัย โดยจะเกิดการสว่างวาบขึ้นมาเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป ในระหว่างการระเบิด ก็จะมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างมหาศาล นอกจากพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา ดวงดาวที่ระเบิด ยังมีการปลดปล่อยมวลสารของดาวดังกล่าวออกมาอีกด้วย ซึ่งหลังจากการระเบิด ก็จะกลายเป็นแหล่งให้กำเนิดดวงดาวดวงใหม่ต่อไปเป็นวัฏจักร อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ข้อมูลเพิ่มเติมแบบเต็มๆ อ่านได้ที่ วิกิ ที่มา - Physorg Mr.JoH's blog Login or register to post comments 123 reads
https://jusci.net/node/619
ซูเปอร์โนวาที่อายุน้อยที่สุดในทางช้างเผือก
วิศวกรจาก MIT พัฒนาวัสดุ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเซลล์เชื้อเพลิงได้มากกว่า 50% ซึ่งอาจทำให้เซลล์เชื้อเพลิงได้รับความนิยมในท้องตลาดมากขึ้น พอลลา ที แฮมมอนด์ (Paula T. Hammond) หัวหน้าทีมวิจัย ได้ทำการพัมนาวัสดุ ที่มีประสิทธิภาพต่อราคาสูง, สามารถปรับแต่งได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งวัสดุดังกล่าว สามารถนำไปใช้ร่วมกับระบบเซลล์ไฟฟ้าเคมี ชนิดอื่นๆ เช่น แบตเตอรี เซลล์เชื้อเพลิงมีหลักการทำงานคล้ายกับแบตเตอรี โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญสองส่วน คือ อิเล็กโทรด ซึ่งประกอบไปด้วยขั้วแคโทดและแอโนด และ สารอิเล็กโตรไลท์ ซึ่งอยู่ระหว่างขั้วทั้งสอง ปฏิกิริยาเคมีระหว่างขั้วทั้งสอง จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอิเล็กโทรไลท์ ส่วนที่ทำให้เซลล์เชื้อเพลิงต่างไปจากแบตเตอรี ก็คือ แบตเตอรีจะได้พลังงานจากระบบปิดในตัวมันเอง ในขณะที่เซลล์เชื้อเพลิง จะได้พลังงานจากไฮโดรเจน ทีมวิจัย ได้ให้ความสนใจในการพัฒนาวัสดุให้ใช้กับ การเปลี่ยนเมทานอลให้เป็นเซลล์เชื้อเพลิงโดยตรง (Direct Methanol Fuel Cells) ซึ่งในปัจจุบัน วัสดุที่ใช้อยู่ในท้องตลาด ยังมีประสิทธิภาพที่ต่ำ และมีราคาแพง โดยการใช้เทคนิคที่เรียกว่า layer-by-layer assembly ทำให้นักวิจัย สามารถสร้างวัสดุที่เป็นแผ่นฟิล์มบางเพียงไม่กี่นาโนเมตร ซึ่งฟิล์มดังกล่าว สามารถให้พลังงานไฟฟ้าออกมา มากกว่าวัสดุทั่วไปในท้องตลาดกว่า 50% ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 120 reads
https://jusci.net/node/620
MIT พัฒนาวัสดุเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเซลล์เชื้อเพลิง
นักฟิสิกส์จากเยอรมัน ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพของโซลาร์เซลล์ชนิดฟีล์มบาง จากเดิม 21.9% เพิ่มขึ้นเป็น 23.2% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งงานวิจัยดังกล่าว ได้ถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ San Diego Bram Hoex นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย Eindhoven University ร่วมมือกับ Fraunhofer Institute ได้ทำการเพิ่มประสิทธิภาพของโซลาร์เซลล์ โดยการเพิ่ม ฟีล์มอลูมิเนียมออกไซด์ที่มีความหนาประมาณ 30 นาโนเมตร ลงบนชั้นของผลึกซิลิคอนของโซลาร์เซลล์ โซลาร์เซลล์ ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก ในฐานนะที่เป็นพลังงานสะอาด และสามารถใช้ได้ไม่มีวันหมด (เท่าที่ดวงอาทิตย์ยังส่องแสง) แต่อุปสรรคสำคัญของแหล่งพลังงานชนิดนี้ ก็คือ ประสิทธิภาพที่ได้ จากการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเป็นพลังานไฟฟ้า อยู่ในระดับที่ต่ำมาก (มีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ย 10-20%) การพัฒนาโซลาร์เซลล์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงถือเป็นก้าวสำคัญ ที่ทำให้สามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้เร็วยิ่งขึ้น ที่มา Physorg » Mr.JoH's blog 271 reads
https://jusci.net/node/621
โซลาเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบัน
รัฐสภาเกาหลีใต้ ได้ให้ความเห็นชอบกฏหมายฉบับใหม่ โดยหวังจะควบคุมและจัดระเบียบ การวิจัยในเรื่องโคลนนิ่งให้รัดกุมยิ่งขึ้น หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง ดร.หวาง ได้สร้างความอับอายไปทั่วโลก โดยการปลอมแปลงผลการวิจัย หลังจากที่กฏหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ การทำโคลนนิ่งข้ามสายพันธุ์ เช่น การนำเซลล์ที่มีดีเอ็นเอของมนุษย์ นำไปใส่ในไข่ของสัตว์ จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป หากมีผุ้ใดฝ่าฝืน จะมีบทลงโทษโดยการจำคุกถึง 3 ปี Park Se-Pill ผุ้เชี่ยวชาญด้านการโคลนนิ่งของเกาหลีใต้ แสดงความไม่เห็นด้วยกับกฏหมายดังกล่าว เนื่องจากในการโคลนนิ่งมนุษย์ การใช้ไข่ของสัตว์มีความจำเป็น เนื่องจากไข่ของมนุษย์นำมาทดลองได้อย่างยากลำบาก และยังกล่าวอีกว่า กฏหมายที่ออกมา ทำให้การวิจัยดังกล่าวของเกาหลีใต้หยุดอยู่กับที่ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ กำลังจะก้าวต่อไป นอกจากนี้ กฏหมายใหม่ยังอนุญาต ให้นักวิจัยสามารถใช้สเต็มเซลล์ ที่ได้จากตัวอ่อนของมนุษย์ในการทำวิจัยเพื่อใช้ในการรักษาโรคทั่วไป จากเดิมที่กฏหมายเก่า อนุญาตให้ทำได้เฉพาะโรคที่ไม่มีทางรักษาเท่านั้น ของอย่างนี้ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 210 reads
https://jusci.net/node/622
เกาหลีใต้คุมเข้มการโคลนนิ่งมากขึ้น
Guenter Verheugen รองประธานคณะกรรมการสภาพยุโรป ได้ออกมาคัดค้าน ถึงกระแสความไม่แน่ใจ ในการใช้พลังงานชีวภาพของสหภาพยุโรป “มันไม่มีเหตุผล ที่เราจะนำอาหารของคนและสัตว์ มาผลิตเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ” หนังสือพิมพ์ Bild am Sonntang ถอดคำให้สัมภาษณ์ของ Verheugen เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา Verheugen เน้นย้ำไปถึงการวิจัยและพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นถัดไป ซึ่งไม่ควรใช้วัสดุ ที่มนุษย์และสัตว์ใช้บริโภค นอกจากจะเป็นการแย่งอาหารแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการทำลายป่า เพื่อใช้พื้นที่ในการปลูกพืชพลังงาน แต่ีควรได้มาจากวัสดุที่เหลือใช้จากการเกษตรเช่น ฟางข้าว เป็นต้น 27 ประเทศจากสหภาพยุโรป ต้องการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพให้ได้อย่างน้อย 10% ภายในปี 2020 แต่โครงการดังกล่าว กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ึถึงความเหมาะสม เนื่องจากราคาอาหารโลกได้พุ่งสูงขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคนจนทั่วโลก ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 169 reads
https://jusci.net/node/623
สหภาพยุโรปแถลง : พลังงานชีวภาพไม่ได้แย่งอาหารคนจน
สำหรับใครที่เล่น Twitter ตอนนี้สามารถรับข่าวของ Jusci ผ่านทาง Twitter ได้แล้วนะครับ โดยใช้คำสั่ง follow jusci หรือเข้าไปที่หน้าเว็บของ Jusci แล้วกด follow ก็ได้ครับ สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าเจ้า Twitter คืออะไร Twitter จัดเป็น Social Network ประเภทหนึ่งครับ โดยมีคอนเซปท์ง่ายๆ ว่า What are you doing ? ซึ่งตอนนี้ในเมืองไทยก็มีคนใช้งานอยู่พอสมควร รายละเอียดเพิ่มเติม : Twitter ใครสนใจสมัคร คลิกเข้าไปเลยครับ ทวิตเตอร์ ข้อมูล Twitter เป็นภาษาไทย » Mr.JoH's blog 117 reads
https://jusci.net/node/624
Jusci on Twitter
สภาผู้แทนราษฏรของอังกฤษ ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 366 ต่อ 176 คัดค้านญัตติที่สั่งห้าม การนำตัวอ่อนของคนไปฝากไว้ในสัตว์ในงานวิจัย ซึ่งมติดังกล่าวทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์กันมาก โดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาคริสต์ โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าว เป็นเรื่องผิดจริยธรรม เป็นที่น่าสังเกตว่า ลูกชายคนเล็กของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กอร์ดอน บราวน์ ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งโรคดังกล่าวในอนาคต อาจมีหนทางรักษาได้โดยการใช้เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) กอร์ดอน บราวน์ ได้เขียนบทความที่แสดงการสนับสนุนการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ลงในหนังสือพิมพ์ Observer ซึ่งน่าสนใจมาก มีข้อความดังนี้ (ไม่ขอแปลนะครับ) “I believe that we owe it to ourselves and future generations to introduce these measures and in particular to give our unequivocal backing, within the right framework of rules and standards, to stem cell research,” อย่างไรก็ตาม มีรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีของ บราวน์ถึง 3 คน ที่ลงมติเห็นชอบกับญัตติดังกล่าว ซึ่งรวมถึง รัฐมนตรีกลาโหม Des Browne พระราชบัญญัติดังกล่าว ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงของอังกฤษ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ประกาศใช้เป็นกฏหมาย ในขณะที่เกาหลีใต้สั่งห้าม อังกฤษกลับอนุญาต ซะงั้น ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 141 reads
https://jusci.net/node/626
อังกฤษอนุญาตให้ใช้ตัวอ่อนผสมระหว่างคนกับสัตว์ในงานวิจัย
นักวิจัยจากสหรัฐ ได้ทำการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิตขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยการปรับเปลี่ยนกลไกพันธุกรรมของแบคทีเรียชนิดหนึ่ง งานวิจัยชิ้นนี้ ยังเป็นการเปิดประตู ไปสู่การประยุกต์ใช้งานต่างๆ มากมาย เช่น การเก็บข้อมูล หรือเครื่องมือที่ใช้ในการปรับแต่งยีน ทีมนักวิจัย โดยความร่วมมือของ ภาควิชาชีววิทยาและภาควิชาคณิตศาสตร์ ของ Davidson College, North Carolina และ Missouri Western State ได้ทำการเพิ่มยีนให้กับแบคทีเรีย Escherichia ทำให้คอมพิวเตอร์ที่ได้จากแบคทีเรียชนิดนี้ สามารถแก้ปริศนาคลาสสิกของคณิตศาสตร์ ที่มีชื่อว่า burnt pancake ได้ ปัญหา burnt pancake จะเป็นกลุ่มของแพนเค้กขนาดต่างๆ วางซ้อนกันอยู่ โดยจะมีด้านที่สุกและด้านที่ไหม้อยู่ เป้าหมายของปัญหาดังกล่าว คือ จัดเรียงให้แพนเค้กชิ้นที่ใหญ่สุดอยู่ด้านล่าง โดยด้านที่ไหม้ต้องคว่ำอยู่ โดยพลิกแพนเค้กให้น้อยที่สุด ข้อดีของคอมพิวเตอร์ที่สร้างจากแบคทีเรีย ที่เหนือกว่าคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ ก็คือ ในหลอดการทดลอง 1 หลอด สามารถบรรจุแบคทีเรียที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมได้หลายล้านตัว ซึ่งแต่ละตัวสามารถทำงานร่วมกันแบบขนานได้ นอกจากนี้ยังประหยัดเนื้อที่และมีราคาที่ต่ำ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 224 reads
https://jusci.net/node/627
คอมพิวเตอร์ที่สร้างจากสิ่งมีชีวิต
ไทเทเนียมถือเป็นวัสดุในฝันสำหรับวิศวกร เนื่องจากความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบาเมื่อเทียบกับวัสดุทั่วไป แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การใช้ไทเทเนียม ไม่นิยมใช้งานกันทั่วไป เพราะราคาที่แพงมากนั่นเอง สถานะการณ์นี้อาจเปลี่ยนไป เมื่อนักวิจัยจาก Oak Ridge National Laboratory ได้พัฒนากระบวนการที่เรียกว่า non-melt consolidation ที่สามารถช่วยลดต้นทุนในการผลิตไทเทเนียมจากผงแร่ได้ถึง 50% ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกร สามารถนำไทเทเนียมมาประยุกต์ใช้ได้มากขึ้น เช่น การทำตัวหยุดของเครื่องจักร, การผลิตข้อต่อเทียม หรือแม้กระทั่ง การผลิตเกราะสำหร้ับยานพาหนะที่ใช้ในทางทหาร Bill Peter นักวิจัยจาก ORNL ได้กล่าวว่า วิธีการใหม่นี้ จะช่วยลดการใช้พลังงาน, ลดเศษเหลือจากกระบวนการผลิต และสามารถนำไปผลิตเป็น โลหะผสมชนิดใหม่ หรือวัสดุประกอบทีี่จำเป็นสำหรับงานทางวิศวกรรม ที่มา - ScienceDaily » Mr.JoH's blog 134 reads
https://jusci.net/node/628
วิธีการใหม่สำหรับการผลิตไทเทนียมในราคาถูก
34 voted นักวิทยาศาสตร์ จากภาควิชาเคมีและชีวเคมีมหาวิทยาลัยมอนทานา สเตท (Montana State University)ได้ตีพิมพ์งานวิจัย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผู้คนที่ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับธาตุเหล็ก งานวิจัยดังกล่าว ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Proceedings of National Academy of Science โดยเป็นผลงานร่วมกันระหว่าง Martin Lawrence และ Anoop Sendamarai ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ โปรตีน Steap3 โปรตีนตัวนี้มีความสำคัญ ในการควบคุมการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกาย จากผลการศึกษา การทำแผนที่สามมิติของโครงสร้างอะตอม ที่มาประกอบเป็นโปรตีน Steap3 ทำให้เภสัชกรมีความหวังในการออกแบบยา ที่ใช้ควบคุมระดับของธาตุเหล็กในกระแสเลือด ธาตุเหล็กมีความจำเป็น สำหรับการทำงานหลายอย่างในกระแสเลือด เป็นพาหนะในการบรรทุกออกซิเจน, ขนส่งอิเล็กตรอนภายในเซลล์ และเป็นกลไกสำคัญสำหรับระบบเอนไซม์ในร่างกาย หากร่างกายขาดธาตุเหล็ก ก็จะส่งผลให้เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งจากการประมาณการ โรคโลหิตจางส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านคนทั่วโลก และยังส่งผลกระทบไปต่อการพัฒนาร่างกายและระบบภูมิคุ้มกัน ในทางกลับกัน ถ้าหากร่างกายได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป จะทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า hemochromatosis ซึ่งจะทำให้มีการปล่อยอนุมูลอิสระออกมาทำร้ายร่างกาย ซึ่งโรคดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้น 1 ใน 300 คน โดยเฉพาะบุคคลที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวยุโรปตอนเหนือ ในปัจจุบัน เรายังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัด ว่าทำไมบางคนถึงมีปริมาณธาตุเหล็ก มากหรือน้อยเกินไป เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงบทบาทของโปรตีน Steap3 นักวิจัยต้องนำตัวอย่างที่ได้มาทำให้บริสุทธิ์ และทำให้อยู่ในรูปของผลึก โครงสร้างผลึกที่ได้ จะนำมาทำเป็นเป็นโครงร่างแผนที่ ซึ่งจากแผนที่ที่ได้ ทำให้บริษัทยา สามารถออกแบบยารักษาอาการดังกล่าวได้ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 65 reads
https://jusci.net/node/629
นักวิจัยทำแผนที่การขนส่งธาตุเหล็กของโปรตีน
นักวิทยาศาสตร์ จาก Laboratory of Intelligent System ได้แสดงหุ่นยนต์ ในงานประชุมของ IEEE โดยหุ่นยนต์ดังกล่าว มีน้ำหนักประมาณ 7 กรัม และสามารถกระโดดได้ไกล 1.4 เมตร ซึ่งกระโดดได้ไกลเป็น 27 เท่า ของขนาดร่างกายของมันเอง ซึ่งถือว่ามากสุด เมื่อเทียบกับบรรดาหุ่นยนต์ที่กระโดดได้ทั้งหมด หุ่นยนต์ตัวนี้ ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับขนาดเล็ก สามารถนไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย เช่น งานสำรวจพื้นที่อันตราย, งานสำรวจพื้นที่ที่เข้าถึงลำบาก หรือแม้กระทั่งงานกู้ภัย แมลงที่สามารถกระโดดได้ เช่น เห็บ, เหา, ตั๊กแตน ใช้วิธีการสะสมความยืดหยุ่น (นึกถึงเวลาเราดึงสายยางไปจนสุด) แล้วปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีการนี้ ทำให้พวกมันสามารถกระโดดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเร่งที่สูง หุ่นยนต์ตัวนี้ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกัน โดยการใช้สปริงสองตัวติดอยู่กับมอเตอร์ และเพื่อให้การกระโดดมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต้องมีการปรับแต่งขาของหุ่นยนต์ ให้มีแรงและมุม ที่เหมาะสมสำหรับการกระโดด แบตเตอรีของหุ่นยนต์ตัวนี้ มีมากพอที่จะกระโดดได้ถึง 320 ครั้ง โดยมีช่วงเวลาห่างกันครั้งละ 3 วินาที ที่มา - EureakAlert » Mr.JoH's blog 157 reads
https://jusci.net/node/630
หุ่นยนต์แมลงที่สามารถกระโดดได้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (Queensland University) ได้พัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานวิจัยหรืองานด้านการแพทย์ โดยเฉพาะการตรวจโรค Krassen Dimitrov จาก Australian Institute for Bioengineering & Nanotechnology ได้ทำการพัฒนาบาร์โคดเรืองแสง (Fluorescent Barcodes) ที่มีชื่อเรียกว่า nanostring ซึ่งโดดเด่นด้านความไวและความแม่นยำ มากกว่าวิธีเดิมๆ ที่ใช้กันอยู่ ระบบ nanostring สามารถนับจำนวนของโมลกุลทางชีวภาพได้อย่างแม่นยำ ทำให้เราสามารถได้ข้อมูล ที่มีความถูกต้องและแม่นยำสูง สำหรับ gene expression ข้อมูลที่ได้จะมีข้อดีกว่าการทำ gene expression แบบอื่น เช่น การทำ microarray ที่มีความแม่นยำน้อยกว่า ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 706 reads
https://jusci.net/node/631
นาโนบาร์โคดเรืองแสง
StatoiHydro บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของนอร์เวย์ ได้ประกาศที่จะสร้างกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ลอยอยู่บนทุ่นนอกชายฝั่งของนอร์เวย์ในปีหน้า กังหันลมนอกชายฝั่งทะเลไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ต้องยึดติดกับรากฐานใต้ทะเลทั้งสิ้น แต่กังหันลมที่บริษัท StatoiHydro ทำการพัฒนาขึ้น จะติดตั้งโดยยึดตัวกังหันไว้กับทุ่นลอยบนทะเล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล กังหันลมแบบทุ่นลอย ได้เปรียบกังหันลมแบบเดิมอยู่หลายอย่าง มันสามารถนำไปติดตั้งห่างไกลจากชายฝั่งได้มากขึ้น ซึ่งโดยมากมักมีกระแสลมแรงกว่าบริเวณชายฝั่ง และข้อดีที่สำคัญก็คือ สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก บริษัท StatoiHydro ลงทุนในโครงการนี้ด้วยเงินกว่า 80 ล้านดอลลาร์ โดยมีชื่อเรียกโครงการว่า Hywind และจะเริ่มติดตั้งบริเวณทะเลเหนือ ห่างจากชายฝั่งของเกาะ Karmoey ประมาณ 10 กิโลเมตร ในช่วงครึ่งหลังของปี 2009 กังหันลมดังกล่าว สามมารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 2.3 เมกะวัตต์ มีความสูง 65 เมตรจากยอดคลื่น โครงการนี้จะใช้เวลาทดสอบ 2 ปี หลังทำการติดตั้ง ถ้าหากมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจก็น่าจะมีการดำเนินการต่อ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 148 reads
https://jusci.net/node/632
บริษัทพลังงานของนอร์เวย์ทดสอบกังหันลมแบบทุ่นลอย
ข่าวสั้นๆ ครับ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารสุขของบังคลาเทศ รายงานถึงผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดนกรายแรกของประเทศ โดยบอกแค่ว่าผู้ป่วยเป็นเด็ก ติดเชื้อตั้งแต่เดือนมกราคม แต่ไม่ได้บอกอายุ หรือรายละเอียดอื่นๆ แต่เด็กคนดังกล่าวได้รับการรักษาแล้ว ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 73 reads
https://jusci.net/node/633
บังคลาเทศพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนก
ครีมกันแดดที่นักท่องเที่ยวใช้กันทั่วไปตามชายหาด อาจเป็นสาหตุสำคัญในปรากฏการณ์ ปะการังฟอกสี ผลจากการศึกษาของคณะกรรมการสหภาพยุโรป นักวิจัยที่นำโดย Roberto Danovaro จากมหาวิทยาลัยปิซ่า (University of Pisa) ได้ทำการทดลองโดยใช้ครีมกันแดดต่างกันสามยี่ห้อ ควบคุมปริมาณให้เหมาะสม แล้วนำไปทดสอบกับน้ำทะเลรอบๆ แนวปะการัง ซึ่งสถานที่ทดสอบได้แก่ เม็กซิโก, อินโดนีเซีย, ไทย และอียิปต์ จากการทดลอง พบว่าครีมกันแดดแม้มีปริมาณน้อย แต่ก็ทำให้ปะการังผลิตเมือกเหนียวออกมาภายในเวลา 18 ถึง 96 ชั่วโมง และภายในเวลา 96 ชั่วโมง ปะการังที่ทดสอบก็ฟอกสีทั้งหมด จากการประมาณ ในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวประมาณ 78 ล้านคน ที่ท่องเที่ยวแนวปะการัง และมีปริมาณครีัมกันแดดที่ถูกปล่อยออกมาบริเวณแนวปะการังประมาณ 4,000 ถึง 6,000 ตัน และสารเคมีในครีมกันแดดประมาณ 25% จะถูกละลายออกมาภายใน 20 นาที หลังจากสัมผัสน้ำทะเล ความสำคัญของแนวปะการัง นอกจากความสวยงามที่เป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ยังเป็นแหล่งรวมผลิตผลและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งหากแนวปะการังเสื่อมโทรม ก็ย่อมหมายถึงความเสื่อมโทรมของท้องทะเลบริเวณนั้นๆ ด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปะการังฟอกสี ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 223 reads
https://jusci.net/node/634
ครีมกันแดดเป็นภัยคุกคามต่อปะการัง
ยานสำรวจดาวอังคารของนาซ่า “ฟินิกซ์” ได้ลงจอดเป็นผลสำเร็จ บริเวณขั้วเหนือของดาวอังคาร เมื่อเช้าวันนี้ (เวลาประเทศไทย) การลงจอดครั้งนี้ แตกต่างจากการลงจอดของยานสำรวจดาวอังคารลำอื่นๆ เนื่องจากเจ้าฟินิกซ์ ใช้จรวจดขับดันและร่มชูชีพในการชะลอความเร็ว (ไม่ได้ตกกระแทกโดยใช้ถุงลมเหมือนเมื่อก่อน) ซึ่งทำให้การลงจอดครั้งนี้นุ่มนวลมาก ทีมนักวิทยาศาสตร์ใน JPL (Jet Plopulsion Laboratory) ต่างเป็นกังวลในการลงจอดครั้งนี้ เพราะว่าภารกิจไปดาวอังคารส่วนใหญ่ มักประสบความล้มเหลวเกินครึ่ง ฟินิกซ์จัดสร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 420 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ได้ได้เข้าใจ สภาพบริเวณพื้นที่แถบขั้วเหนือของดาวอังคาร ว่ามีปัจจัยเอื้อต่อการดำรงชีวิต ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหรือไม่ โดยภารกิจหลักหลักของยานก็คือ ขุดเจาะตัวอย่างน้ำแข็งมาวิเคราะห์หาองค์ประกอบของสารอินทรีย์ ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถประเมินได้ว่า เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ฟินิกซ์ประกอบด้วยอุปกรณ์สำหรับวิเคราะห์หาสารอินทรีย์, อุปกรณ์ทางอุตุนิยมวิทยา สำหรับการวิเคราะห์สภาพอากาศ และอุปกรณ์สำคัญ ก็คือ แขนกลความยาว 2.35 เมตร ซึ่งใช้สำหรับเก็บกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 160 reads
https://jusci.net/node/635
ยานสำรวจ "ฟินิกซ์" ลงจอดบนดาวอังคารแล้ว
39 voted ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า (Osaka University) ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ใชัแสง ในการควบคุมจังหวะการเต้นของเซลล์หัวใจ งานวิจัยชิ้นนี้ ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Optics Express การทำงานของเครื่องมือดังกล่าว ทำได้โดยการปล่อยแสงเลเซอร์ ที่มีพลังงานสูงผ่านเซลล์หัวใจในช่วงเวลาอันสั้น ทำให้เซลล์ปล่อยประจุของแคลเซียมออกมาภายในเซลล์ ปฏิกิริยาดังกล่าว ทำให้เซลล์เกิดการหดตัวอย่างรุนแรง ทำให้สามารถกระตุ้นหัวใจได้ อย่างไรก็ตาม เครื่องมือดังกล่าวอยู่ในระดับการทดลองในห้องวิจัยเท่านั้น เนื่องจากการใช้แสงเลเซอร์นานเกินไปเพียง 1 ในล้านล้านวินาที ก็ทำให้หัวใจเสียหายถาวรได้ ซึ่งปัญหาตรงนี้ยังเป็นข้อจำกัดที่สำคัญ สำหรับการนำไปประยุกต์ใช้งานจริง ที่มา - e! Science News » Mr.JoH's blog 40 reads
https://jusci.net/node/636
ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยแสง
75 voted นักชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) ได้แสดงให้เห็นว่า พลังงานชีวภาพบางชนิด ให้ผลกระทบที่ตรงกันข้ามกับจุดประสงค์เดิมของมัน ซึ่งงานวิจัยนี้ ได้รับการตีพิมพ์ในนิยสาร Conservation Biology งานวิจัยชิ้นนี้ ได้ศึกษาปัจจัยที่เป็นผลกระทบหลายๆ ด้าน เปรียบเทียบพลังงานที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิง เทียบกับพลังงานที่เชื้อเพลิงชนิดนั้นให้ออกมา, ผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน, และผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร โดยอยู่บนฐานที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพไปผสมกับเชื้อเพลิงปกติ ซึ่งผลจากการศึกษา นักวิจัยสรุปได้ว่า เอทานอลที่ได้มาจากข้าวโพด ถือเป็นตัวเลือกที่แย่ที่สุด นักวิจัยได้ให้เหตุผลว่า ข้าวโพดต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมากในการเติบโตแและการเปลี่ยนเป็นเอทานอล ในขณะที่พลังงานที่ได้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ในขณะที่ธัญพืชหรือสาหร่าย ใช้พลังงานในการผลิตที่น้อยกว่า แต่การจะเปลี่ยนทิศทางการผลิตไปใช้พืชเหล่านี้ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ อันเนื่องมาจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยี เพื่อที่ให้การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพทำอย่างถูกทาง นักวิจัยก็เลยแนะนำนโยบายที่ควรนำมาประกอบการตัดสินใจ ดังนี้ ประมวลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเฉพาะเชื้อเพลิงชีวภาพ ที่สามารถผลิตได้อย่างยั่งยืน เลือกชนิดของพืชที่ให้ประสิทธิภาพสูง เลือกพืชที่ใช้พื้นที่ในการเพราะปลูกน้อย ส่งเสริมการปรับปรุงคุณภาพของดินที่เสื่อมโทรม ห้ามขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม (ในที่นี้คงหมาถึงการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อนำมาปลูกพืช) ส่งเสริมพืชที่ใช้ปุ๋ย, ยาฆ่าแมลง ในการปลูกน้อย ส่งเสริมการปลูกพืชท้องถิ่น ห้ามพืชต่างถิ่น ส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียน ส่งเสริมการอนุรักษ์ดิน ส่งเสริมเฉพาะพลังงานชีวภาพ ที่ปล่อยคาร์บอนออกมาน้อย จริงๆ แนวทางทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่คนปลูกมักจะละเลยต่างหาก ที่มา - ScienceDaily » Mr.JoH's blog 98 reads
https://jusci.net/node/637
เชื้อเพลิงชีวภาพบางชนิดอาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
นักวิทยาศาสตร์ เริ่มปล่อยแขนกลของยานสำรวจดาวอังคาร “ฟีนิกซ์” ออกมาสำรวจพืนผิวแล้ว หลังจากที่ล่าช้าไปหนึ่งวัน เนื่องมาจากปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณวิทยุ ปัญหาเกิดขึ้นมาจาก ดาวเทียมทวนสัญญาณ ที๋โคจรอยู่รอบดาวอังคาร อยู่ในช่วงที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าพอดี เมื่อตอนที่คำสั่งถูกส่งออกไป ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 146 reads
https://jusci.net/node/638
ฟิีนิกซ์ปล่อยแแขนกลออกมาสำรวจดาวอังคารแล้ว
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง การศึกษาการหมุนของหญ้าหนวดฤาษี สามารถชนะใจกรรมการ คว้ารางวัลระดับโลก ในการแข่งขันงาน Intel ISEF 2008 ที่เมืองแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โครงงงานดังกล่าว เป็นการศึกษากลไกการหมุนของหญ้าหนวดฤาษี โดยการนำไปแช่น้ำแล้วสังเกตุด้วยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ส่วนกลางของเมล็ดจากเดิมที่มีลักษณะเป็นเกลียวจะเปลี่ยนเป็นรูปเส้นตรงเมื่อโดนน้ำ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการหมุน อุณหภูมิที่ต่างกันก็ทำให้ทิศทางการหมุนที่ต่างกัน โดยถ้าอุณหภูมิต่ำเมล็ดจะหมุนทวนเข็มนาฬิกา แต่ถ้าอุณหภูมิสูงเมล็ดก็จะหมุนตามเข็มนาฬิกา ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าว อาจสามารถนำไปประยุกต์เป็นเครื่องมือใช้วัดความชื้นของผลิตผลทางการเกษตรได้ สำหรับชื่อของเด็กไทยที่สร้างชื่อระดับโลก ได้แก่ น.ส.อลิสรา ศรีนิลทา ปัจจุบันเป็นน้องใหม่ของคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, น.ส.ปราถนา ชุนหคาม และนายจักพงษ์ บุญตันจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นน้องใหม่ของคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้ ยังมีโครงงานที่ได้รับรางวัลพิเศษ จากซิกมาไซ (Sigma Xi) ซึ่งเป็นสมาคมการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลก นั่นก็คือ โครงงานไม้อัดยุคใหม่จากวัชพืช จากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย โดยมีสมาชิกในทีมได้แก่ ด.ช.ภีมเดช ประสิทธิ์วรเวทย์, ด.ช.มนภาศ ประสิทธิ์วรเวทย์ และ ด.ช.ธณวรกฤต บางเขียว ผมเคยมีโอกาสพูดคุย กับกลุ่มนักเรียนที่ทำโครงงานไม้อัดยุคใหม่จากวัชพืชในงาน YSC พบว่าการนำเสนอและการตอบคำถามทำได้ดีมากเลยครับ ที่มา – ผู้จัดการออนไลน์, Intel ISEF, NECTEC » Mr.JoH's blog 234 reads
https://jusci.net/node/639
เด็กไทยเจ๋ง คว้ารางวัลจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลก
32 voted รายงานผลการวิจัยจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก นำทีมวิจัยโดนนายแอนดรูว์ ชวาทซ์ (Andrew Schwartz) ศึกษาระบบประสาทการควบคุมกล้ามเนื้อ โดยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยที่มีปัญหากระดูกสันหลังได้ โดยงานวิจัยดังกล่าว ทำการทดลองโดยให้ลิงนั่งบนเก้าอี้ ซึ่งมัดแขนไว้ในท่าที่สบาย เพื่อป้องกันมิให้มีการเคลื่อนไหว จากนั้นทำการต่อเซนเซอร์ตรวจคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็ก จากส่วนของสมองซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อแขนของลิง กับคอมพิวเตอร์ที่ซึ่งควบคุมการทำงานของแขนกลอีกทีหนึ่ง โดยใช้เวลา 3 วันในการฝึกฝนลิงให้สามารถควบคุมแขนหุ่นยนต์ได้ พบว่าลิงสามารถบังคับแขนกลเพื่อให้ได้ตามที่ต้องการ โดยทดลองให้หยิบอาหารได้แก่ มาชเมโลว์ แอปเปิ้ล หรือผลส้ม มาป้อนให้ตัวเองได้ตามต้องการโดยใช้แขนหุ่นยนต์แทนแขนตัวเอง ถือเป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีในการช่วยผู้พิการ และผู้ป่วยซึ่งมีระบบประสาทสั่งการที่สมบูรณ์ แต่ขาดอวัยวะหรือกล้ามเนื้อพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้กลับมามีชีวิตที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง สามารถช่วยเหลือตนเอง ควบคุมแขนหุ่นยนต์ตามการสั่งงานของระบบประสาท ได้เสมือนเป็นอวัยวะของตน ที่มา - PCWorld.COM » Explorinex's blog 59 reads
https://jusci.net/node/640
ลิงสามารถควบคุมแขนหุ่นยนต์ผ่านสมองได้
Trevor Worthy สมาชิกหนึ่งในสี่คนของทีมนักวิจัยนานาชาติ ได้ทำการวัดอายุ กระดูกหนูแปซิฟิก (Pacific rat ) และรอยกัดแทะของเมล็ดพืช ุด้วยคาร์บอน-14 แล้วได้ผลสรุปออกมาว่า มนุษย์เราเพิ่งจะมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะนิวซีแลนด์เมื่อประมาณ ค.ศ. 1280 - 1300 ไม่ใช่ 200 ปีก่อนคริสศักราชตามที่เชื่อกันมา Worthy จาก School of Earth and Environmental Science ได้กล่าวว่า ผลการวัดอายุด้วยคาร์บอน ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับงานวิจัยก่อนหน้า ซึ่งได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Nature ในปี 1996 ที่กล่าวว่า มนุษย์ได้ค้นพบนิวซีแลนด์ตั้งแต่เมื่อ 2000 ปีก่อน ไม่มีหลักฐานทางด้านนิเวศน์วิทยา หรือทางด้านโบราณคดี ที่มาสนับสนุนการปรากฏของหนูแปซิฟิกหรือมนุษย์ จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ. 1280 -1300 นอกจานี้ความน่าเชื่อถือของการวัดอายุด้วยคาร์บอนในงานวิจัยครั้งแรก ก็ยังเป็นที่สงสัยถึงความถูกต้อง สำหรับคนที่สงสัยว่าเจ้าหนูแปซิฟิก มันไปเกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้ยังไง ก็ต้องอธิบายว่า หนูแปซิฟิก (Pacific rat) มีชื่อเรียกอีกย่างว่า Polynesisa rat ซึ่งก็คือหนูที่เราพบเห็นตามบ้านทั่วไปนั่นเอง เนื่องจากหนูชนิดนี้มีถิ่นอาศัยอยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไม่สามารถว่ายน้ำได้เป็นระยะทางไกลๆ ทำให้การว่ายน้ำจากพื้นทวีปไปยังนิวซีแลนด์จึงเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะติดไปกับเรือของมนุษย์ที่ทำการย้ายถิ่นฐาน การวัดอายุกระดูกหนูที่ได้ จึงเป็นหลักฐานสำคัญว่า เริ่มมีมนุษย์มาถึงนิวซีแลนด์เมื่อใด ที่มา - Physorg
https://jusci.net/node/641
มนุษย์อาจตั้งถิ่นฐานบนนิวซีแลนด์ช้ากว่าที่คิดกันไว้
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Granada ได้ออกแบบวิธีประเมินผลกระต่อสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ทิ้งขยะวิธีใหม่ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกสภาพพื้นที่ในโลก จากงานวิจัยดังกล่าว ทำให้สามารถสร้างเครื่องมือ ซึ่งสามารถ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทิ้งขยะ กับผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมหลายๆ อย่าง ของธรรมชาติ ออกมาเป็นค่าต่างๆ หลายค่า เช่น Environmental Risk Index, Environmental Value Index เป็นต้น ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 94 reads
https://jusci.net/node/642
นักวิจัยจากสเปนพัฒนาวิธีการจัดการพื้นที่ทิ้่งขยะแบบใหม่
ในการสำรวจข้อมูลความคิดเห็นงานวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ คนส่วนมากมักถูกจูงใจด้วยข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องเดียวกัน อาจจะไม่สามารถใช้ได้กับคนอีกหลายประเภท ทีมนักวิจัยจากมหาิวิทยาลัย Wisconsin-Madison ใช้เวลากว่าสองปี ในการศึกษาทัศนะคติของประชาชน ต่อการทำวิจัยด้านสเต็มเซลล์ ซึ่งจากงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับหลายๆ คน ไม่มีความสำคัญต่อทัศนคติในสาขานี้เลย Dietram Scheufele หัวหน้าทีมวิจัย ได้กล่าวว่า ต่อให้เอาข้อมูลชุดเดียวกัน ไปให้แต่ละกลุ่มคนดู บางกลุ่มอาจจะมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป แต่สำหรับบางกลุ่ม ต่อให้มีข้อมูลมากขนาดไหน ก็ยังคงมีทัศนคติเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทางทีมนักวิจัยได้นำทัศนคติของประชาชน ที่มีต่องานวิจัยที่เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง เช่น นาโนเทคโนโลยี หรืองานวิจัยทางด้านสเต็มเซลล์ พบว่าหลายครั้งที่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ กลับมีความสำคัญน้อยกว่าปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น ความเชื่อทางศาสนา หรือแม้กระทั่งคำโต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์ที่มืชื่อเสียง ในกรณีของสเต็มเซลล์ ความเชื่อทางศาสนาถือเป็นกุญแจสำคัญเลยทีเดียว หากบุคคลใดที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทในชีวิตเป็นอย่างมาก ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ก็แทบจะไม่มีผลกระทอบต่อทัศนคติเลย แต่สำหรับคนที่ไม่เคร่งศาสนามาก ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจค่อนข้างสูง ผลสรุปจากการวิจัย ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่า ข้อมูลที่มากขึ้น ไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติของคนได้เสมอไป คนส่วนมากยังยึดติดกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งประเด็นความเชื่อทางศาสนาถือเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ในการสื่อสารกับบุคคลเหล่านี้ ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 145 reads
https://jusci.net/node/643
ความเชื่อมีผลต่อการตัดสินใจมากว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
วิศวกรเคมีจาก MIT ได้สร้างตัวตรวจจับอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความไวมากที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมา สำหรับการตรวจจับแก๊สพิษ โดยเฉพาะแก๊สพิษทำลายระบบประสาท อย่างเช่นแก๊สพิษซาริน เทคโนโลยีดังกล่าว ใช้พลังงานต่ำ, ราคาถูก สามารถพกพาได้สะดวก สามารถติดตั้งเป็นตัวตรวจจับตามอาคาร นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับแก๊สพิษอื่นๆ ได้อีก เช่น แก๊สมัสตาร์ด, แอมโมเนีย, แก๊สพิษ VX ตัวตรวจจับดังกล่าว สามารถตรวจจับโมเลกุลของแก๊สพิษซาิรินได้ในระดับ 1 เฟมโตโมล (ประมาณ 1 ล้านโมเมกุล) หรือคิดเป็นความเข้มข้นประมาณ 25 ใน ล้านล้าน ส่วน แก๊สพิษซาริน ได้ถูกนำมาใช้ในการก่อการร้ายในสถานีรถไฟใต้ดินของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1995 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 12 คน และบาดเ็จ็บอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งตัวตรวจจับที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมานี้ สามารถตรวจจับได้ไวกว่าปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย นักวิจัยสร้างตัวตรวจจับความไวยิ่งยวด โดยการนำท่อคาร์บอนนาโน มาเรียงผ่านไมโครอิเล็กโทรด แต่ละท่อประกอบไปด้วยโครงข่ายของคาร์บอนอะตอมหนึ่งชั้น ม้วนเป็นทรงกระบอกยาว โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 ใน 50,000 ของเส้นผมมนุษย์ เปรียบเหมือนเส้นลวดในระดับโมเลกุล โดยกินพลังงานเพียงแค่ 0.0003 วัตต์ ซึ่งแต่ละตัวสามารถทำงานโดยใช้แบตเตอรีเพียงก้อนเดียวตลอดอายุการใช้งานของมัน เมื่อมีโมเลกุลของแก๊สเป้าหมายมากระทบ คุณสมบัิติการนำไฟฟ้าก็จะเปลี่ยนไป ซึ่งสามารถระบุชนิดได้โดยคุณสมบัติของการนำไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 162 reads
https://jusci.net/node/644
ตรวจจับแก๊สพิษด้วยท่อคาร์บอนนาโน
ยานสำรวจดาวอังคาร “ฟีนิกซ์” เตรียมพิสูจน์ข้อสงสัย เกี่วกับดินจากดาวอังคารที่ขุดได้ เพื่อค้นหาสัญญาณบ่งบอก ถึงปัจจัยที่เอื้อต่อการเกิดและดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต หลังจากที่ขุดตัวอย่างดินมาได้จำนวนหนึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดินที่ได้จากการขุด จะต้องถูกนำมาผ่านกระบวนการทดสอบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการอบที่อุณหภูมิกว่า 1,800 องศา, การวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมีต่างๆ เพื่อค้นหาน้ำ หรือแร่ธาตุชนิดใดๆ ก็ตาม ที่สนับสนุนการเกิดหรือดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะร่องรอยของ คาร์บอน, ไฮโดรเจน, ออกซิเจน และ ไนโตรเจน โดยในช่วงเวลาเดียวกัน นักวิทยศาสตร์ วางแผนให้ ฟินิกซ์ ขุดตัวอย่างดินอย่างน้อยสองตัวอย่าง มาวิเคราะห์เพิ่มเติม ภายในสัปดาห์หน้า ถึงแม้บนพื้นผิวของดาวอังคาร จะไม่ปรากฏร่องรอยของน้ำอยู่เลยก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เชื่อมั่นว่า เมื่อตอนที่ดาวอังคารยังอุ่นและเปียกชื้นมากกว่านี้ น่าจะเคยมีน้ำอยู่มาก่อน แต่ปัจจุบันน่าจะอยู่ในรุปของน้ำแข็ง ภายใต้ชั้นดินที่ลึกลงไป ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 115 reads
https://jusci.net/node/645
ฟีนิกซ์เตรียมวิเคราะห์ดินที่ขุดได้
ความหวังที่จะได้ใชัพลังงานสะอาดไม่มีวันหมด อย่างเช่นพลังงานแสงอาทิตย์เริ่มใกล้เคียงความเป็นจริง เมื่อบริษัท Bosch ได้ประกาศที่จะลงทุนในบริษัท Ersol ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศเยอรมันนี Bosch จะจ่ายเงินจำนวน 500 ล้านยูโร สำหรับการถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Ersol และคาดว่าจะต้องใช้เงินกว่า และถ้าหากบริษัทสนใจที่จะเข้าควบคุมกิจการทั้งหมดของบริษัท Ersol คาดว่าจะต้องใช้เงินทั้งหมด กว่า 1.1 พันล้านยูโร นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันสำหรับการลงทุนในครั้งนี้ โดยชื่นชมบริษัท Bosch ที่กล้าลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าว และถือเป็นสิ่งแสดงการเจริญเติบโต ของกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันเยอรมันนี ถือเป็นประเทศผู้นำด้านพลังงานจากแสงอาทิตย์ของยุโรป มีบริษัทจำนวนมากในประเทศที่ลงทุนในพลังงานดังกล่าว แต่กลับมีสัดส่วนการใช้งานเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ของพลังงานที่ผลิตได้ทั้งหมด ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 139 reads
https://jusci.net/node/646
หนทางอันสดใสของพลังงานแสงอาทิตย์
นักวิจัยจากสวีเดนและญี่ปุ่น ได้ร่วมกันพัฒนากระดาษชนิดใหม่ ที่ทนทานต่อการฉีกขาด ซึ่งมีความเหนียวพอๆ กับเหล็กหล่อ วัสดุชนิดใหม่นี้มีชื่อเรียกว่า ” cellulose nanopaper” ซึ่งสร้างจากอนุภาคที่มีขนาดเล็กของเซลลูโลส ซึ่งอาจนำไปสู่การประยุกต์ใช้งานในด้านอื่นๆ งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ACS’ Biomacromolecules นักวิจัยใช้เซลลูโลสที่ได้มาจากพืช ซึ่งมีความแข็งแรงสูง สามารถแก้ไขปัญหาที่เปิดขึ้นกับวัสดุชนิดอื่น ซึ่งไม่ทนต่อแรงดึงเท่าที่ควร ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป นักวิจัยเลยแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการเพิ่มสารเคมีบางอย่างลงไป ซึ่งสารเคมีนี้จะไปเพิ่มคุณสมบัติให้กับกระดาษนาโน ทำให้สามารถทนต่อแรงดึงได้มากกว่ากระดาษทั่วไป และยังมีความเหนียวมากกว่าเหล็กหล่ออีกด้วย ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 122 reads
https://jusci.net/node/648
โคตรแห่งกระดาษแม้แต่เหล็กหล่อยังอาย
ความเร็วปกติของแสงในสุญญากาศมีค่าประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่การเปลี่ยนตัวกลางในการเดินทางของแสง นักฟิสิกส์สามารถทำให้แสงมีความเร็วลดลง และอาจจะสร้างมาตรวัดการแทรกสอด ที่มีความไวสูงขึ้นมาได้ Stefania Residori, Umberto Bortolozzo นักฟิสิกส์จาก Institut Non Lineaire de Nice และ Jean-Pierre Huignard นักฟิสิกส์ จาก Thales Research and Technology ได้ประสบความสำเร็จในการใช้ผลึกเหลวช่วยลดความเร็วของแสง โดยสามารถลดความเร็วให้เหลืออยู่เพียง 0.2 มิลลิเมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าช้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา งานวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ใน Physical Review Letters กุญแจสำคัญที่ทำให้นักวิจัยประสบความสำเร็จ คือการใช้คุณสมบัติการกระจายแสง ร่วมกับการผสมคลื่นโฟตอนสองตัว เมื่อนักวิจัยเล็งลำแสงสองชนิดที่ต่างกัน อันแรกเป็นแสงที่มีความเข้มต่ำ อีกอันเป็นลำแสงที่มีความเข้มสูง ไปยังหลอดที่มีผลึกเหลวอยู่ ซึ่งผลึกเหลวจะประพฤติตัวเสมือนเป็นภาพสามมิติ และจะแบ่งลำแสงใหญ่ๆ ออกเป็นลำแสงย่อยๆ กระจายออกไปหลายทิศทาง ลำแสงที่หักเหแต่ละอันจะมีความหน่งที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเส้นทางการเดินของแสงในผลึกเหลว นักวิจัยได้ลองใช้เทคนิคดังกล่าวในการสร้างภาพหน่วง โดยกำหนดภาพขนาด 1 ตารางเซนติเมตร บนลำแสงที่ความเข้มน้อย เ็ป็นระยะเวลา 180 มิลลิวินาที และฉายภาพบนลำแสงที่มีความเข้มสูง ลำแสงผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นว่า ภาพมีระยะเวลาหน่วงจากปกติถึง 82 มิลลิวินาที ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 141 reads
https://jusci.net/node/649
เมื่อวันที่หอยทากเดินทางเร็วกว่าแสง
91 voted ภายในปีนี้ CUER (Cambridge University Eco Racing) ได้ออกแบบและสร้าง รถพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถวิ่งได้อย่างถูกฏหมายตามท้องถนนทั่วไป (ที่ไม่ใช่สนามทดลอง) เป็นคันแรกของประเทศอังกฤษ CUER ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในเดือน มกราคม ปี 2007 โดยเป็นแหล่งรวมนักศึกษาจำนวนกว่า 40 คน ซึ่งมาจากหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็น วิศวกร, ผู้พิพากษา, นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ กลุ่มของนักศึกษาเหล่านี้ ได้รับการสนับสนุนจาก ศาสตราจารย์ Peter Guthie ในวันที่ 8 มิถุนายน 2008 CUER ได้เริ่มใช้รถพลังงานแสงอาทิตย์ ออกเดินทางเป็นครั้งแรก โดยมีระยะทางที่ใช้เดินทางประมาณ 934 ไมล์ ซึ่งรับผิดชอบโดยกลุ่มของ CUER เอง ซึ่งเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 50 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง ในระหว่างการเดินทางที่ยาวนานหลายสัปดาห์ กลุ่มของนักศึกษาวางแผนที่จะให้การศึกษาแต่สาธารณชน ในเรื่องระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน โดยการแสดงภาพวีดีโอของรถ ภายในศูนย์วิจัยที่ใช้ทดสอบ และแสดงภาพให้เห็นถึงความสนใจต่อผู้คนที่มีต่อรถคันนี้ นอกจากจะวิ่งภายในอังกฤษแล้ว ภายในเดือน มกราคมปีหน้า ทาง CUER ยังมีโครงการนำรถไปวิ่งในทวีปแอฟริกา โดยมีชื่อโครงการว่า Zero Rally Africa ซึ่งจะผ่าน แซมเบีย และแอฟริกาใต้ และจะพัฒนารถคันที่สองให้เสร็จทันการแข่งขัน World Solar Challenge ซึ่งจะจัดที่ประเทศออสเตรเลีย ในเดือนตุลาคม 2009 การแข่งขันดังกล่าว กำหนดให้ออกแบบและสร้างรถพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางกว่า 1,850 ไมล์ ข้ามพรหมแดนออสเตรเลีย โดยใช้แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานเพียงอย่างเดียว สำหรับผู็ที่สนใจโครงการ CUER สามารถติดตามอ่านได้ที่ บล็อก ของ CUER ครับ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 416 reads
https://jusci.net/node/650
CUER ขับรถพลังงานแสงอาทิตย์ข้ามประเทศอังกฤษ
ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ใช้การขนส่งโดยรถบรรทุก ถ้าหากเราสามารถทำให้รถบรรทุกสามารถประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อราคาของสินค้าในท้องตลาดโดยรวมด้วย นักวิจัยจาก Georgia Tech Research Institue (GTRI) ได้พัฒนาระบบที่ช่วยทำให้รถขนาดใหญ่ๆ เล่นรถบรรทุก, รถพ่วง สามารถประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น 8% ถึง 12% ซึ่งถ้าหากมีการติดตั้งอุปกร์ดังกล่าวบนรถบรรทุกทุกคันในสหรัฐ คาดว่าสามารถช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า 1.6 ล้านแกลลอนต่อปี Robert Englar นักวจัยจาก GTRI ได้ทำการพัฒนา อุปกรณ์ที่ใช้้ควบคุมการไหลของอากาศรอบๆ รถบรรทุก ซึ่งได้พัฒนามาตั้งแต่ปี 1990 โดยได้เเก็บรวบรวมข้อมูลจากบรรดาบริษัทรถบรรทุก เพื่อที่จะนำมาพัฒนาเป็นอุปกรณ์ดังกล่าว แรงต้านอากาศ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับยานพาหนะที่มีหน้าตัดขนาดใหญ่ อย่างเช่นพวกรถบรรทุก แรงต้านอากาศจะเป็นตัวขัดขวางทำให้วิ่งได้ช้าลง, ต้องใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นเพื่อเอาชนะแรงต้านอากาศ สำหรับรถยนต์ทั่วไป การออกแบบรูปร่างให้เพรียวลมก็ถือเป็นการลดแรงต้านอากาศรูปแบบหนึ่ง แต่สำหรับรถบรรทุก รูปร่างดังกล่าวไม่สามารถทำได้ เนื่องด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ที่ใช้ในการขนส่งสินค้า นักวิจัยได้ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเพิ่ม active flow control system เข้าไปบริเวณท้ายรถบรรทุก ระบบดังกล่าวจะประกอบไปด้วย อุปกรณ์ที่จะเป่าอากาศจากช่องที่มีส่วนโค้งตามหลักอุณหพลศาสตร์ ที่อยู่บนส่วนหลังของรถบรรทุก ซึ่งจะช่วยลดการไหลของอากาศที่แยกจากกัน ซึ่งจะถูกดูดออกทางท้ายรถ จากผลการทดสอบ พบว่ารถบรรทุกที่ติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว สามารถช่วยลดแรงต้านอากาศได้ถึง 31% ซึ่งถ้ามองในแ่งของการประหยัดเชื้อเพลิง ก็จะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงได้มากสุดถึง 12% แต่เนื่องจากเครื่องอัดอากาศต้องใช้พลังงานบางส่วน ทำให้ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงโดยรวม ลดลงเหลือ 8% ถึง 9% อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้จริงก็ต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เช่น ถ้าหากให้เครื่องอัดอากาศที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ก็น่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้ ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 38 reads
https://jusci.net/node/651
เทคโนโลยีประหยัดน้ำมันสำหรับรถบรรทุก
นักวิจัยทางด้านวัสดุ จาก National Institute of Standards and Technology ได้ทำการพัฒนาที่ทำให้ง่ายขึ้น ในการผลิตควอนตัมดอท (Quantum dots) คุณภาพสูง สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งเหมาะสำหรับงานวิจัยทางชีวะ โดยการใช้เครื่องไมโครเวฟที่มีอยู่ตามห้องปฏิบัติการ กระบวนการดังกล่าวสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้น ในกระบวนการแบบเดิมๆ ในการสร้างควอนตัมดอท ทำให้ได้ควอนตัมดอทที่มีความเสถียรและสว่างมากขึ้น ควอนตัมดอท คือ คริสตัลที่ถูกออกแบบให้เล็กในระดับนาโน โดยใช้องค์ประกอบของสารกึ่งตัวนำ ชื่อของควอนตัมดอทได้มาจาก ปริมาณที่น้อยมากจนสามารถทำให้เกิดภาวะเรืองแสง ได้ในรูปร่างและสีที่แตกต่างกัน ควอนตัมดอทมักจะถูกนำไปใช้ติดกับโปรตีนบางชนิดด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่นักวิจัยนิยมใช้งานกันมาก โดยเฉพาะงานวิจัยเกี่ยวกับการตรวจหามะเร็ง, ติดตาม biomarker และเซลล์ การสร้างควอนตัมดอทคุณภาพสูงสำหรับงานวิจัยทางชีวะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากองค์ประกอบของสารกึ่งตัวนำมักจะมีส่วนผสมของแคดเมียมและซีเลเนียม ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้เป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้ต้องห่อหุ้มสารดังกล่าวด้วยเปลือกของสังกะสีหรือกำมะถัน และการที่จะทำให้มันสามารถละลายน้ำได้ นักวิทยาศาสตร์ต้องทำการแนบ สารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลสั้น ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ลิแกน (ligand) เข้าไปในอะตอมของสังกะสี ซึ่งการเพิ่มเข้าไปของลิแกน อาจทำให้คอวนตัมดอทไม่เรืองแสงกับโปรตีนบางชนิด เพื่อที่ทำให้กระบวนการผลิตสามารถทำได้ง่ายขึ้น ทางนักวิจัยจาก NIST ได้ใช้การช่วยเหลือจากไมโครเวฟ การใช้คลื่นไมโครเวฟสามารถช่วยลดสารเคมีและอุณหภูมิที่ใช้ในการเกิด ปฏิกริยาได้มากกว่าครึ่ง สำหรับกระบวนการที่ใช้ในทางการค้าทั่วไป ที่มา - EurekAlert » Mr.JoH's blog 129 reads
https://jusci.net/node/653
สร้างควอนตัมดอทด้วยไมโครเวฟ
จีนกลายเป็นประเทศที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างสหรัฐ โดยมากกว่าถึง 14% และถือเป็นปริมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยเพิ่มขึ้นทั่วโลก จากรายงานล่าสุดในการประชุมของยูเอ็นว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่กรุงบอร์น ประเทศเยอรมันนี จีนปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาคิดเป็นเปอร์เซ็นทั้งหมดกว่า 24% ตามมาด้วยสหรัฐ 21% สหภาพยุโรป 12% อินเดีย 8% และรัสเซีย 6% การผลิตปูนและอิฐที่ใช้ในการก่อสร้าง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำมีการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นในจีน ซึ่งปัจจุบัน จีนกลายเป็นผู้ผลิตปูนแลอิฐอันดับหนึ่งของโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 51% ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 123 reads
https://jusci.net/node/655
จีนปล่อย CO2 เป็นอันดับหนึ่งของโลก
นักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันเป็นครั้งแรก ว่าสารพันธุกรรมตั้งต้นของสิ่งมีชีวิต ซึ่งพบอยู่ในชิ้นส่วนของอุกาบาต มาจากนอกโลก การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าโมเลกุลของดีเอ็นเอและอาเอ็นเอ เริ่มต้นมาจากดาวดวงอื่น การค้นพบครั้งนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Earth and Planetary Science Letters นักวิจัยทั้งจากยุโรปและสหรัฐ ต่างมีหลักฐานในการสนับสนุนงานวิจัยชิ้นนี้ โดยเฉพาะโมเลกุลของ ยูเรซิล (Uracil) และแซนทิน (Xanthine) ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นโมเลกุลตั้งต้น ในการสร้างดีเอ็นเอและอาเอ็นเอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ นิวคลีโอเบส (Nucleobases) โดยที่ทั้ืงสองโมเลกุล ถูกค้นพบในขิ้นส่วนของอุกาบาตที่ชื่อ Murchison ซึ่งตกที่ออสเตรเลียเมื่อปี 1969 จากการทดสอบ นักวิทยาศาสตร์พบโมเลกุลของคาร์บอนหนัก ซึ่งจะพบได้เฉพาะในอวกาศเท่านั้น ซึ่งต่างจากบนโลกที่จะมีเพียงคาร์บอนขนาดเบาเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (Imperial College) ได้รายงานว่า ยังมีหลักฐานอื่นๆ ที่สามารถอธิบายการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ในระยะเริ่มต้นได้ โดยในช่วง 3.8 ถึง 4.5 พันล้านปีที่แล้ว เป็นช่วงที่มีอุกาบาตตกลงมาบนโลกมาก ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับสิ่งมีชีวิตเริ่มต้นขึ้นบนโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตในระยะแรก สามารถรับนิวคลีโอเบสจากอุกาบาต มาใช้เป็นรหัสพันธุกรรม และส่งผ่านความสามารถต่างๆ ไปยังรุ่นถัดไปได้ งานวิจัยชิ้นนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญ ในการนำไปสู่ความเข้าใจการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิต ข้อมูลเพิ่มเติม ยูเรซิน, แซนทิน ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 338 reads
https://jusci.net/node/657
สารตั้งต้นของสิ่งมีชีวิตอาจมาจากอวกาศ
บริษัทผู้ผลิตรถยนตร์จากญี่ปุ่น ต่างแข่งขันกันรถยนตร์ ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีราคาไม่สูงจนเกินไป ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีรถยนตร์ที่ใช้พลังงานต่างชนิดออกมา อย่างมากมาย เช่น รถยนตร์ไฮบริด, รถยนตร์ไฟฟ้า และรถยนตร์ที่ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง ฮอนด้า บริษัทผลิตรถยตร์ชั้นนำของญี่ปุ่น วางแผนที่จะสร้างเครือข่ายของตัวแทนจำหน่าย รถยนตร์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ในสหรัฐ รถยนตร์พลังเซลล์เชื้อเพลิง ที่จะเข้าไปตีตลาดสหรัฐ คือรุ่น 200 FCX Charity ซึ่่งมีสัญญาในการผลิต เป็นระยะเวลา 3 ปี สำหรับรถรุ่น FCX Charity มีประสิทธิภาพ ในการใช้เชื้อเพลิงสูงกว่ารถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง 3เท่า สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 4 คน และวิ่งได้เป็นระยะทางไกลกว่าเดิม 30% ที่มา - Physorg » Mr.JoH's blog 117 reads
https://jusci.net/node/658
ฮอนด้าเริ่มผลิตรถยนต์พลังเซลล์เชื้อเพลิงรุ่นถัดไป