title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ แจงประเด็นวัคซีนโควิด 19 ที่ควรรู้ | วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ แจงประเด็นวัคซีนโควิด 19 ที่ควรรู้
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแจงประเด็นวัคซีนโควิด 19 ที่ประชาชนควรรู้ การฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแจงประเด็นวัคซีนโควิด 19 ที่ประชาชนควรรู้ การฉีดวัคซีนโควิด 19เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค
บ่ายวันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แถลงข่าวประเด็นวัคซีนโควิด 19 ที่ประชาชนควรรู้ ว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ประมาณ 100 ล้านโดสเป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งประเทศไทย โดยยึดหลักความปลอดภัยและคุณภาพ มีเป้าหมายหลักคือ ลดการเจ็บป่วย ลดการเสียชีวิต และลดการแพร่เชื้อ ต้องฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อเพิ่มในอนาคต เนื่องจากเมื่อไม่ป่วยหรือป่วยแต่ไม่มีอาการ การแพร่เชื้อจะน้อยลง
นายแพทย์ทวีกล่าวต่อว่า เรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนที่พบคือ ปวด บวม แดง ร้อน เช่น วัคซีนแอสตราเซนเนกา พบปวด บวม แดง ร้อนประมาณร้อยละ 70 ส่วนใหญ่กินยาแก้ปวดหรือนอนพักก็หาย สำหรับผลข้างเคียงรุนแรงนั้น วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์พบ 11 รายใน 1 ล้านโดส บริษัทโมเดอร์นาพบ 3.7 รายในล้านโดส ถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่พบประมาณ 1 รายในล้านโดส แต่ต้องเก็บข้อมูลต่อไป ทั้งนี้ อาการรุนแรงที่เกิดขึ้นของวัคซีนทั้ง 2 ชนิด มักเกิดใน 15 นาทีหลังฉีด ดังนั้นจึงให้เฝ้าสังเกตอาการที่หน่วยบริการหลังฉีด30 นาที ส่วนของแอสตราเซนเนกายังไม่มีข้อมูล เนื่องจากอยู่ระหว่างเริ่มฉีด ขณะที่ซิโนแวคใช้รูปแบบเชื้อตายที่มีการใช้มานานเช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไข้สมองอักเสบ และโปลิโอชนิดฉีด พบว่าผลข้างเคียงต่ำ
จึงค่อนข้างมั่นใจว่าผลข้างเคียงน่าจะน้อย และระหว่างการขอข้อมูลผลจากการฉีดวัคซีนในอินโดนีเซีย จีน และเมียนมา ที่มีการฉีดไปแล้วประมาณ 4-5 ล้านโดส ส่วนกรณีเชื้อกลายพันธุ์ทำให้เกิดปัญหาการตอบสนองต่อวัคซีนลดลง ต้องติดตามข้อมูลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
*******************************2 กุมภาพันธ์ 2564
*********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38828 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถฯ ดีอีเอส ผลักดันมาตรการหนุนการแข่งขันทางการค้าอย่างเท่าเทียมเป็นธรรมให้กลุ่มผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย-ต่างประเทศ | วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564
อนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถฯ ดีอีเอส ผลักดันมาตรการหนุนการแข่งขันทางการค้าอย่างเท่าเทียมเป็นธรรมให้กลุ่มผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย-ต่างประเทศ
อนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถฯ ดีอีเอส ผลักดันมาตรการหนุนการแข่งขันทางการค้าอย่างเท่าเทียมเป็นธรรมให้กลุ่มผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย-ต่างประเทศ
เมื่อวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 2/ 2564 ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษาฯ โดยที่ประชุมร่วมพิจารณา เรื่อง ข้อมูลปัญหา อุปสรรคในการประกอบธุรกิจให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ และข้อเสนอแนะ มาตรการในการส่งเสริมธุรกิจให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ แยะประเด็นวิเคราะห์ตามประเภทธุรกิจบริการอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ กลุ่ม E-Commerce, Agency Model : ตัวกลางขายสินค้ามีรายได้ค่านายหน้า/ค่าใช้บริการแพลตฟอร์ม เช่น Shopee Lazada, กลุ่ม Agency ที่เป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของที่พักและผู้เข้าพัก มีรายได้ค่านายหน้า/ค่าใช้บริการแพลตฟอร์ม เช่น agoda Expedia และกลุ่ม Advertising-based ที่ให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้ เช่น บริการค้นหาข้อมูล (Search engine) สื่อ social network หรือ บริการ online streaming เช่น Google Facebook You Ture เป็นต้น ซึ่งวัตถุประสงค์ของคณะอนุฯ เพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการไทย และขจัดข้อจำกัดในการกำกับดูแลธุรกิจบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการต่างประเทศ รวมทั้งมีการแข่งขันทางการค้าที่เท่าเทียมและเป็นธรรมมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น และความเชื่อมั่นต่อการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น
********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38816 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์การจำหน่ายดอกป๊อปปี้ วันทหารผ่านศึก ปี 2564 | วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์การจำหน่ายดอกป๊อปปี้ วันทหารผ่านศึก ปี 2564
นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์การจำหน่ายดอกป๊อปปี้ วันทหารผ่านศึก ปี 2564
วันนี้ (2 ก.พ. 64) เวลา 08.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี คุณหญิงทรงสมร คชเสนี กรรมการจัดการและเหรัญญิก พร้อมคณะเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อมอบดอกป๊อปปี้ ดอกไม้ที่ระลึกเนื่องในวันทหารผ่านศึก ปี 2564 โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร และ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมสนทนาในครั้งนี้ด้วย
ประธานกรรมการมูลนิธิฯ กล่าวขอบคุณและพร้อมมอบกำลังใจแด่นายกรัฐมนตรีในการบริหารราชการช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งสร้างผลกระทบกับประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งปีนี้มูลนิธิฯ ได้เปิดให้มีการสั่งซื้อผ่านออนไลน์แทน โดยไม่มีการจัดจำหน่ายดอกป๊อปปี้ทั่วไป และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการและกระทรวงต่างๆ ในการนำดอกป๊อปปี้ไปจำหน่ายภายในหน่วยงานด้วย โดยรายได้ทั้งหมดจากการขายจะถูกนำไปเป็นทุนสำหรับการดำเนินงานช่วยเหลือแก่ครอบครัวทหารในด้านต่าง ๆ ด้วยเห็นว่าประเทศ คือ บ้าน และทหารทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติ และนายกรัฐมนตรีก็เป็นเหมือนคนที่ดูแลบ้านทั้งหมด เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุข ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้ดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องมายาวนานกว่า 53 ปี และได้รับความกรุณาจากนายกรัฐมนตรีทุกสมัยร่วมประชาสัมพันธ์การจำหน่ายดอกป๊อปปี้ด้วย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยัน รัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่เพื่อดูแลประชาชนคนไทยทั้ง 60 กว่าล้านคน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทุกคนได้รับความเดือดร้อน ต้องขอชื่นชมมูลนิธิฯ ที่ให้การดูแลครอบครัวทหารผ่านศึก ซึ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้พัฒนาความดูแลช่วยเหลือครอบครัวทหารในหลายรูปแบบด้วย ปัจจุบันทหารทำหน้าที่เพิ่มมากขึ้นในมิติต่างๆ เช่น การรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ ปกป้องทรัพยากรของประเทศทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ รวมถึงทั้งร่วมปฏิบัติหน้าที่ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ก็ถูกนำมาใช้ทั้งการฝึกปฏิบัติและภารกิจอื่น ๆ ด้วย จึงอยากให้ประชาชนร่วมให้กำลังใจการทำหน้าที่ของทหาร เพราะขวัญกำลังใจเป็นอำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมเดินหน้าเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ควบคู่กับวัฒนธรรมและจารีตประเพณี เพื่อขับเคลื่อนประเทศเติบโตไปด้วยกัน
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38808 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลงพื้นที่ติดตามระบบลงทะเบียน “ม33เรารักกัน”ออนไลน์วันแรก เผย แค่เที่ยงวัน ยอดพุ่งกว่า 5.6 ล้านคน มั่นใจข้อมูลไม่ตกหล่น | วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.สุชาติ ลงพื้นที่ติดตามระบบลงทะเบียน “ม33เรารักกัน”ออนไลน์วันแรก เผย แค่เที่ยงวัน ยอดพุ่งกว่า 5.6 ล้านคน มั่นใจข้อมูลไม่ตกหล่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่สำนักงานประกันสังคม ติดตามความคืบหน้าผลการลงทะเบียนออนไลน์โครงการ ม33เรารักกัน วันแรก เผย แค่เที่ยงวัน ยอดลงทะเบียนพุ่งกว่า 5.6 ล้านคน ด้าน สปส.จัดเจ้าหน้าที่บริการทางสายด่วน 1506 กด 1 มั่นใจระบบฐานข้อมูล
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 11.30 น. ที่สำนักงานประกันสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทะเบียนออนไลน์โครงการ ม33เรารักกัน ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ที่ได้เปิดลงทะเบียนในวันนี้เป็นวันแรก โดยเริ่มมาตั้งแต่เวลา 06.00 น.นั้นปรากฎว่า จนถึงเวลา 12.00 น. มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ใช้สิทธิ์ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์แล้วกว่า 5.6 ล้านคน โดยผู้มีสิทธิ์จะต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ก่อนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำหรับการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้คอยบริการข้อมูลทางโทรศัพท์กรณีผู้ประกันตนรายใดที่มีปัญหาติดขัดในการลงทะเบียนหรือจะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ ม33เรารักกัน สามารถโทรศัพท์มาได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการ ม33เรารักกัน คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท และได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มาติดตามความคืบหน้าผลการลงทะเบียนออนไลน์โครงการ ม33เรารักกัน ในวันนี้ซึ่งเป็นวันแรกที่สำนักงานประกันสังคม ข้อดีของโครงการ ม33เรารักกัน เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมมีระบบฐานข้อมูลความเป็นผู้ประกันตนของนายจ้างและลูกจ้างแต่ละคนในระบบอยู่แล้ว จึงเชื่อมั่นว่ากรณีข้อมูลตกหล่นจะไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด รมว.แรงงานยังเน้นย้ำให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีคุณสมบัติครบ คือ มีสัญชาติไทย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ ไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ 31 ธ.ค.63 รีบลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ เวลา 06.00 – 23.00 ไปจนถึงวันที่ 7 มีนาคม 2564 โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com และตรวจสอบการได้รับสิทธิ์ จากนั้น ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูลรวมทั้งประมวลผลคัดกรอง วันที่ 8-14 มี.ค.64 ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชั่น‘เป๋าตัง’วันที่ 15 – 21 มี.ค.64 ได้วงเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ครั้งละ 1,000 บาท รวมทั้งสิ้น 4,000 บาท ในวันที่ 22,29 มี.ค. และวันที่ 5,12 เม.ย.64 เริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. – 31 พ.ค.64 ส่วนการขอทบทวนสิทธิ วันที่ 15-28 มี.ค.64 ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถขอทบทวนสิทธิผ่าน www.ม33เรารักกัน.com วันที่ 29 มี.ค.- 4 เม.ย.64 ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูลรวมทั้งประมวลผลคัดกรอง วันที่ 5 – 11 เม.ย.64 ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชั่น‘เป๋าตัง’ วันที่ 12,19 เม.ย.64 ได้วงเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ครั้งละ 2,000 บาท เริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ้านธงฟ้าที่ใช้แอป “ถุงเงิน” โครงการคนละครึ่ง และโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.– 31 พ.ค.64
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39284 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณ ส.ส.ทุกฝ่าย ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมรับข้อเสนอแนะปรับใช้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน | วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ขอบคุณ ส.ส.ทุกฝ่าย ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมรับข้อเสนอแนะปรับใช้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณ ส.ส.ทุกฝ่าย ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมรับข้อเสนอแนะปรับใช้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
เมื่อวันที่ 21 ก.พ. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ขอบคุณสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 16-19 ก.พ. และลงมติวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างช่วยกันทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ข้อมูลต่างๆทั้งการอภิปรายและตอบอภิปราย ล้วนเกิดประโยชน์ต่อประชาชน โดย พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมรับข้อเสนอแนะไปปรับใช้ต่อไป
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังขอบคุณส่วนข้าราชการ ในการจัดเตรียมข้อมูลรองรับการอภิปราย ตลอดจนขอบคุณประชาชน ที่ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ด้วย โดยภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) นำข้อมูลข้อเสนอแนะจากฝ่ายค้านที่เป็นประโยชน์มาพิจารณาเพื่อปรับใช้ ซึ่งหลายเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ขณะที่หลายประเด็น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นในการทำงาน จึงไม่ได้มองแค่ว่า เป็นแนวความคิดของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่มองที่ประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เมื่อทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ก็ควรทำ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเข้าใจต่อทุกภาคส่วน ในประเด็นที่มียังมีข้อสงสัย ยังไม่ชัดเจน โดยสามารถสร้างความเข้าใจได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการสื่อสารปกติของทางราชการหรือสื่อออนไลน์ที่เข้าถึงประชาชนโดยง่าย และขอให้รัฐมนตรีทุกคน มุ่งมั่นตั้งใจทำงานต่อไป เร่งผลักดันนโยบาย แผนการ โครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติเป็นการด่วน ลดช่องโหว่ แก้ไขปัญหาและอุปสรรคเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมประสานความร่วมมือทำงานแบบบูรณาการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน
..........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39283 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งผลิตกำลังคนรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย กู้เรียนในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงาน | วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐบาลเร่งผลิตกำลังคนรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย กู้เรียนในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงาน
รัฐบาลเร่งผลิตกำลังคนรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย กู้เรียนในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงาน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญในการสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนโดยเฉพาะเด็กยากจนหรือเด็กด้อยโอกาส ให้เข้าถึงการศึกษา เพื่อผลิตกำลังคนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อป้อนกำลังคนในสาขาที่เป็นความต้องการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและวิชาชีพสาขาขาดแคลน ให้สอดคล้องกับแนวนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy)
กยศ. จึงได้สนองนโยบายรัฐบาล ด้วย “โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital)” ซึ่งดําเนินการระหว่างปีการศึกษา 2562 – 2566 สําหรับนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินในระดับปริญญาตรี เมื่อสําเร็จการศึกษาในสาขาวิชาที่กําหนดจะคิดดอกเบี้ยอัตราไม่เกิน ร้อยละ 0.5 ต่อปี และได้ส่วนลดเงินต้นร้อยละ 30 สําหรับนักเรียน/นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินในระดับอาชีวศึกษา เมื่อสําเร็จการศึกษา ในสาขาวิชาที่กําหนดจะคิดดอกเบี้ยอัตราไม่เกินร้อยละ 0.5 ต่อปี และได้ส่วนลดเงินต้นร้อยละ 50
โดย 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมแพทย์ครบวงจร รวมทั้ง 3 โครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ อุตสาหกรรมระบบราง อุตสาหกรรมพาณิชย์นาวีและอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยในปีการศึกษา 62 และ 63 มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการแล้ว 59,874 คนและ 65,217คน ตามลำดับ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ผ่านมา กยศ. ยังได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมในช่วงโควิด-19 เช่น
• ได้กำหนดลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้และปิดบัญชีสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2564
• ลดเบี้ยปรับ 80% เฉพาะผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างให้มีสถานะปกติสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2564
• ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมที่ไม่เคยผิดชำระหนี้และชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียวกันสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2564
• ลดอัตราเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% ถึง 30 มิถุนายน 2564
• พักชำระหนี้ให้แก่ผู้กู้ยืมที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 ปี (2563-2564
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2539 มีผู้กู้เงินกองทุนไปแล้ว 5,972,343 ราย เป็นเงินกู้ 655,146 ล้านบาท และสำหรับสถานะ กยศ. ณ สิ้นปี 2563 จากผู้กู้จำนวน 5.9 ล้านราย มีผู้กู้ปิดบัญชีไปแล้ว 1,343,496 ราย อยู่ระหว่างปลอดหนี้ 998,512 ราย และอยู่ในระหว่างชําระหนี้ 3,567,661 ราย และจากผู้ที่อยู่ระหว่างผ่อนชําระหนี้ 3.5 ล้านราย มีผู้กู้ยืมผิดนัดชําระหนี้ จํานวน 2,209,509 ราย คิดเป็นเงินต้นค้างชําระ จํานวน 78,506 ล้านบาท โดยในปีการศึกษา 2563 กยศ.ให้กู้ยืม 600,000 ราย จำนวนเงิน 33,000 ล้านบาท และกองทุนบริหารจัดการโดยไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2561 แล้ว
..................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39282 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าผลักดันกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ เพิ่มทางเลือกสร้างรายได้ให้เกษตรกร ย้ำประชาชนทุกครัวเรือนมีสิทธิปลูกได้ผ่านการรวมตัวเป็นวิสาหกิจจับมือรพ.สต.ขออนุญาต อย. | วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐบาลเดินหน้าผลักดันกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ เพิ่มทางเลือกสร้างรายได้ให้เกษตรกร ย้ำประชาชนทุกครัวเรือนมีสิทธิปลูกได้ผ่านการรวมตัวเป็นวิสาหกิจจับมือรพ.สต.ขออนุญาต อย.
รัฐบาลเดินหน้าผลักดันกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ เพิ่มทางเลือกสร้างรายได้ให้เกษตรกร ย้ำประชาชนทุกครัวเรือนมีสิทธิปลูกได้ผ่านการรวมตัวเป็นวิสาหกิจจับมือรพ.สต.ขออนุญาต อย. ด้านผู้ใช้เปิดกว้างให้ทั้งผู้ประกอบการ ประชาชน ใช้ประกอบอาหาร เครื่องดื่ม แต่ต้องม
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้กัญชาและกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร จนนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายและออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท5 พ.ศ. 2563 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา กำหนดให้ส่วนของพืชกัญชาและกัญชง เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ปลูก ผลิต หรือสกัดในประเทศไทย ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษนั้น ปรากฏว่ามีประชาชนทั้งเกษตรกร และผู้ประกอบการแขนงต่างๆ ให้ความสนใจขอรับคำแนะนำมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการอนุญาตเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ รัฐบาลย้ำว่าประชาชนทุกครัวเรือนมีสิทธิปลูกกัญชาได้เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นั่นคือ ทั้งการปลูก สกัด และผลิต จะต้องขออนุญาตจาก อย. ตามพ.ร.บ.ยาเสพติด ฉบับที่ 7 ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่จะขออนุญาตต้องเป็นหน่วยงานรัฐ สถาบันอุดมศึกษา วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ เภสัชกร แพทย์แผนไทย ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์จะต้องร่วมกับหน่วยงานรัฐเพื่อขออนุญาต ซึ่งการยื่นคำขออนุญาตปลูกนั้น สามารถยื่น ณ สถานที่ปลูกตั้งอยู่ โดยหากอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ยื่นที่ อย. หากอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)
“ประชาชนมีสิทธิ์ปลูกกัญชาได้ผ่านการรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชนและร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เช่นร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) เพื่อขออนุญาตปลูกกัญชาโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งเวลานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลักดันให้เริ่มความร่วมมือรูปแบบนี้แล้ว ใน 46 จังหวัด ครอบคลุมประชาชนประมาณ 2,500 ครัวเรือน รพ.สต. 251 แห่ง ปลูกกัญชาไปแล้ว 15,000 ต้น โดยรัฐบาลคาดหวังว่าตั้งแต่นี้ไปทั้งกัญชาและกัญชงจะเป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจหลัก ที่เป็นทางเลือกการสร้างรายได้และสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร และเป็นพื้นฐานสำคัญของการผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนของกัญชาและกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั้น ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก ใบซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล (CBD) เป็นส่วนประกอบ และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ไม่เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง ซึ่งแต่ละส่วนสามารถใช้ประโยชน์ทั้งทางการแพทย์ เช่นใช้ในตำรับยาแผนไทย ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อุตสาหกรรมยา อาหาร เครื่องสำอางตลอดจน เป็นเส้นใยใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของผู้สามารถใช้ประโยชน์นั้น ไม่ได้มีเพียงผู้ประกอบการเท่านั้นที่สามารถนำส่วนของกัญชา และกัญชงไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่ประชาชนทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่นการนำไปประกอบอาหารในครัวเรือน หรือประกอบอาหารและเครื่องดื่มเพื่อขายในร้านอาหาร เพียงแต่ต้องเป็นผลผลิตจากผู้ที่ได้รับอนุญาตปลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถระบุที่มาของส่วนกัญชาหรือกัญชงได้
ผู้สนใจสามารถตรวจสอบผู้ได้รับอนุญาตปลูกจากเว็บไซต์กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือที่ https://www.fda.moph.go.th/sites/Narcotics/Pages/Main.aspx
น.ส. ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อสร้างความเข้าใจของสังคมต่อพืชกัญชาและกัญชง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในธุรกิจนี้ ให้เข้าใจถึงข้อกฎหมายและการสนับสนุนของภาครัฐ ในวันที่ 22 ก.พ. 2564 สถาบันกัญชาทางการแพทย์ จะจัดงาน ก้าวต่อไป กัญชา กัญชง สู่พืชสมุนไพรเศรษฐกิจ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี เวลา 8.00 -14.00 น.
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข จะเป็นประธานในงาน เพื่อให้นโยบายกับผู้บริหารและข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การขับเคลื่อนการส่งเสริมกัญชาและกัญชง แต่ละหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย
.......................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39281 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลประชุมคณะกรรมการโฆษกกระทรวงหารือร่วมกันผลักดันแนวทางการประชาสัมพันธ์เชิงรุกสื่อสารสร้างความเข้าใจการทำงานของรัฐบาลถึงประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
โฆษกรัฐบาลประชุมคณะกรรมการโฆษกกระทรวงหารือร่วมกันผลักดันแนวทางการประชาสัมพันธ์เชิงรุกสื่อสารสร้างความเข้าใจการทำงานของรัฐบาลถึงประชาชน
โฆษกรัฐบาลประชุมคณะกรรมการโฆษกกระทรวงหารือร่วมกันผลักดันแนวทางการประชาสัมพันธ์เชิงรุกสื่อสารสร้างความเข้าใจการทำงานของรัฐบาลถึงประชาชน
วันนี้ ( 25 กุมภาพันธ์ 2564) 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโฆษกกระทรวง ครั้งที่ 1/2564 โดยในการประชุมประกอบด้วย นางสาวรัชดา ธนาดิเรก และ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการ และโฆษกประจำกระทรวงต่างๆ ในฐานะกรรมการเข้าร่วม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวทางการทำงานให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในชีวิตวิถีใหม่ New Normal และต้องเผยแพร่ข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ แพลตฟอร์มรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นโอกาสในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปสู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง และเพื่อให้ก้าวทันต่อยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ในโอกาสนี้ โฆษกรัฐบาลฯ เปิดเผยว่าที่ประชุมฯ ได้หารือเชิงสร้างสรรค์เพื่อบูรณาการการทำงานของรัฐบาลร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น มุ่งหวังประโยชน์ที่เกิดแก่ประชาชนเป็นสำคัญตามแนวทางที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้ความสำคัญ
ซึ่ง นายอนุชาฯ ได้แบ่งปันแนวทางการทำงานที่นายกรัฐมนตรีได้วางแนวทางไว้ ทั้งยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์เชิงรุก และเชิงรับ ความถี่ในการประชาสัมพันธ์ถึงประชาชนในข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนสนใจ ตลอดจนการนำเสนอข้อมูลด้านการพัฒนา ความก้าวหน้าที่รัฐบาลได้วางแนวทาง โครงการเพื่อประชาชน ตลอดจน นายกรัฐมนตรีได้ให้กำลังใจถึงผู้ทำงานทุกท่าน ขอให้ทุกท่านร่วมทำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อประโยชน์สู่ประชาชน ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีอุปสรรคปัญหาในการทำงาน นายอนุชาฯ ในฐานะโฆษกรัฐบาล พร้อมให้ความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีดในฟาร์มที่ได้มาตรฐาน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
เดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีดในฟาร์มที่ได้มาตรฐาน
‘รมช.ประภัตร’ ชื่นชมฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดชุติกาญน์ พร้อมเดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีดในฟาร์มที่ได้มาตรฐาน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดชุติกาญน์ ของคุณชุติกาญจน์ เจี้อยแจ้ว ประธานวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่จิ้งหรีดท่าชัย-ศรีสัชนาลัย ต.ท่าชัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ว่า เป็นฟาร์มที่ได้มาตรฐานสากล ด้านสุขอนามัยและการแปรรูปที่มีคุณภาพเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีดในประเทศไทยและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าต่างประเทศ ปัจจุบันมีสมาชิก 36 ราย เลี้ยงจิ้งหรีดในระบบโรงเรือนทั้งแบบปิดและแบบเปิดแปลงใหญ่ ผ่านการรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี สำหรับฟาร์มจิ้งหรีด (มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีด GAP) ปัจจุบันส่งออกตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐ เม็กซิโก สวิตเซอร์แลนด์ กลุ่มอียู ฯลฯ รูปแบบผงโปรตีนจากจิ้งหรีด 100% นำไปทำพาสต้า ส่วนลูกค้าในประเทศจะเน้นจำหน่ายออนไลน์ทั้งปลีก-ส่ง ทั้งผงโปรตีนจากจิ้งหรีด 100% ซึ่งนำไปเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ จิ้งหรีดอบกรอบปรุงรส ข้าวเกรียบ คุกกี้ และน้ำพริก มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 1.6 ล้านบาท หรือประมาณ 19.2 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสมาชิกของกลุ่มจะเน้นเลี้ยงจิ้งหรีดพันธุ์สะดิ้งเป็นหลัก ซึ่งแต่ละเดือนแม้ผลิตได้นับสิบตัน แต่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะผงโปรตีนจากจิ้งหรีดซึ่งส่งออก 90% มีจำหน่ายภายในประเทศเพียง 10% เท่านั้น
“จิ้งหรีดเป็นอาหารโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการของต่างประเทศมาก ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้มีการส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีดเพื่อส่งออก สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร เพราะใช้ระยะเวลาเลี้ยงสั้น และใช้น้ำน้อย อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าส่งออกสูง แต่ยังประสบกับปัญหาต้นทุนอาหารที่แพง ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์เข้ามาดูแลคิดค้นสูตรอาหารเพื่อลดต้นทุน และให้มีคุณภาพ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร และจะเดินหน้าส่งเสริมสนับสนุนให้พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่อื่นๆ หันมาเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริมในช่วงหน้าแล้ง ในรูปแบบฟาร์มที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนในการเลี้ยงสัตว์ปลอดจากโรค และได้สินค้าที่ปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค” นายประภัตร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39442 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. โต้ข่าวเท็จ ยืนยันห้ามนายจ้างใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงาน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
กสร. โต้ข่าวเท็จ ยืนยันห้ามนายจ้างใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงาน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวเกี่ยวกับประเด็น กฎหมายใหม่ สามารถจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงานได้ แบบไม่ผิดกฎหมาย ว่าเป็นข่าวเท็จ ยืนยันห้ามนายจ้าง ใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงาน
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวถึงกรณี มีผู้เผยแพร่ข่าวทาง Social Media เกี่ยวกับประเด็นกฎหมายใหม่ สามารถจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงานได้ แบบไม่ผิดกฎหมายว่า ประเด็นข่าวดังกล่าวเป็นข่าวเท็จ เนื่องจากไม่มีการแก้ไขกฎหมายให้สามารถจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทำงานได้ ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นในการต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ จึงได้มอบให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำมากำหนดเป็นนโยบายมิให้มีการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และแรงงานในกิจการประมงทะเล ไม่ให้มีการใช้แรงงานในรูปแบบที่เลวร้าย ซึ่งกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดห้ามไม่ให้นายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าทำงาน เป็นลูกจ้างในงานทั่วไป และอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าทำงานในงานประมงทะเล หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 400,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท จำคุกสูงสุดไม่เกิน 4 ปี ต่อลูกจ้าง 1 คน หรือทั้งปรับทั้งจำ สำหรับเด็กอายุ 15 ปี ถึง 18 ปี จ้างเข้าทำงานได้ โดยนายจ้างต้องแจ้งการจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เด็กเข้าทำงาน
อธิบดี กสร. กล่าวฝากเตือนนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากตรวจพบว่านายจ้าง สถานประกอบกิจการใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยจ้างแรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้าทำงาน จะดำเนินคดีกับนายจ้างรายนั้นทันที ทั้งนี้ หากมีผู้พบเห็นการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี สามารถแจ้งได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทร. สายด่วน 1506 กด 3 นอกจากนี้ ยังสามารถสอบถามข้อมูล ข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาด้านแรงงาน และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของกรม ได้ที่ www.labour.go.th หรือที่ช่อง Facebook , YouTube กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน “กสร.ชาแนล เปิดดูเมื่อไหร่ ก็มีเรื่องใหม่ให้ชม”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39407 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชน ช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันมาฆบูชา | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
ขสมก. จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชน ช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันมาฆบูชา
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชน ช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันมาฆบูชา เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชน ช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันมาฆบูชา เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2564
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า วันมาฆบูชา ประจำปี 2564 ตรงกับวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 26 - 28 กุมภาพันธ์ 2564 ขสมก. จึงจัดแผนเดินรถเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ในเส้นทางปกติ จัดรถออกวิ่ง เฉลี่ยวันละ 2,733 คัน จำนวน 21,299 เที่ยว
2. จัดเดินรถ AIRPORT BUS เชื่อมต่อท่าอากาศยาน จำนวน 5 เส้นทาง ดังนี้
- สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร เฉลี่ยวันละ 21 คัน
- สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เฉลี่ยวันละ 15 คัน
- สาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี เฉลี่ยวันละ 9 คัน
- สาย A4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 9 คัน
- สาย S1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 6 คัน
3. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ จำนวน 4 สถานี รวม 34 เส้นทาง ดังนี้
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (จตุจักร) จำนวน 12 เส้นทาง ได้แก่ 3, 16, 49, 77, 96, 134, 136, 138, 145, 509, 517 และ 536
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) จำนวน 6 เส้นทาง ได้แก่ 66, 79, 511, 515, 516 และ 556
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (เอกมัย) จำนวน 8 เส้นทาง ได้แก่ 2, 23, 25, 71, 72, 501, 508 และ 511
- สถานีรถไฟหัวลำโพง จำนวน 8 เส้นทาง ได้แก่ 4, 7, 21, 25, 34, 73, 73ก และ 501
ในส่วนของมาตรการความปลอดภัย เนื่องจากปัจจุบันกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กำลังประสบปัญหาการสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในชั้นบรรยากาศ และการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ขสมก. จึงกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหา ฝุ่นละออง PM 2.5 และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อลดผลกระทบและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
1. ตรวจวัดค่าไอเสียรถโดยสารเครื่องยนต์ดีเซล ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน กรณีตรวจพบรถโดยสารมีค่าไอเสียเกิน 35% จะส่งเข้าซ่อมบำรุงโดยทันที
2. ขอความร่วมมือบริษัทเหมาซ่อมบำรุงรักษารถโดยสาร ดำเนินการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หัวฉีด ไส้กรองไอเสีย ไส้กรองอากาศ และท่อพักไอเสีย รวมทั้งล้างทำความสะอาดท่อไอเสียของ รถโดยสารทุกคัน ก่อนรอบปกติ เพื่อลดการปล่อยฝุ่นละอองจากท่อไอเสีย
3. ล้างทำความสะอาดอู่จอดรถและรถโดยสาร เพื่อชะล้างฝุ่นละออง
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19
1. ด้านพนักงานประจำรถ
- ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้งก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร หากตรวจพบว่าพนักงานมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ และให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- กำชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร
- ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
2. ด้านรถโดยสารประจำทาง
- เพิ่มความถี่ในการล้างทำความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทำความสะอาดผ้าม่าน
- ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สำหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น
- กำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร
- ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สำหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
- ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” บริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการในการใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว
3. ด้านผู้ใช้บริการ
- ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร
- ล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น
- เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนรถโดยสาร เพื่อเช็กอินเมื่อขึ้นรถ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถ สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็กอิน - เช็กเอาท์โดยอัตโนมัติ เมื่อนำบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชำระค่าโดยสาร
- เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส COVID -19 และลงทะเบียน
- ควรนั่งบนเบาะที่กำหนด (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และยืนบนจุดที่กำหนด หรือยืนห่างกันอย่างน้อย 30 เซนติเมตร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
- ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
- ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต-เครดิตที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อไวรัส COVID -19
4. มาตรการความปลอดภัย
- การเตรียมความพร้อมของรถโดยสาร ขสมก. ได้ประสานบริษัทเหมาซ่อมตรวจเช็กรถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน พร้อมทั้งให้พนักงานขับรถโดยสารตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและอุปกรณ์ส่วนควบ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบเบรก ประตูเปิด-ปิดอัตโนมัติ และถังดับเพลิง เป็นต้น ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน
- การเตรียมความพร้อมของพนักงานประจำรถ ให้หัวหน้างานตรวจความพร้อมทางด้านร่างกายของพนักงานประจำรถ ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ตรวจใบอนุญาตขับขี่ก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง พร้อมทั้งกำชับพนักงานขับรถ เปิดประตูเมื่อรถจอดสนิท และปิดประตูก่อนนำรถออกจากป้าย ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด และให้ระมัดระวังผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน รวมถึงให้พนักงานเก็บค่าโดยสารช่วยดูแลอำนวยความสะดวกในการขึ้น-ลงรถแก่ผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งจัดพนักงานนายตรวจ สายตรวจพิเศษประจำจุด ณ ป้ายหยุดรถโดยสาร ที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลการขึ้น-ลงรถของผู้ใช้บริก
นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเดินรถ ช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันมาฆบูชา ได้แก่ ศูนย์วิทยุรัชดา สำนักงานใหญ่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ศูนย์วิทยุเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2564 และจัดเจ้าหน้าที่ Call Center 1348 ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเส้นทางเดินรถโดยสารอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39401 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมธนารักษ์นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ นำเสนอภาพรวมโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
อธิบดีกรมธนารักษ์นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ นำเสนอภาพรวมโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต
นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่พร้อมให้รายละเอียดการก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสารบนพื้นที่ชดเชยในพื้นที่โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต (เดิม)
วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2564) ณ บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ในปี 2535 กรุงเทพมหานคร ได้ทำสัญญาสัมปทานระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครกับบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ BTSC โดยมีเงื่อนไขให้กรุงเทพมหานครต้องจัดหาที่ดินบริเวณสวนลุมพินีให้ BTSC นำมาใช้เป็นอู่จอดสถานีใหญ่ ศูนย์ควบคุม แต่กรุงเทพมหานครไม่สามารถจัดหาพื้นที่สำหรับเป็นอู่จอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าตามสัญญาฯ ได้ เนื่องจากพื้นที่เดิมที่จัดเตรียมไว้บริเวณสวนลุมพินีมีปัญหามวลชน จึงได้ทำการศึกษาหาพื้นที่อื่นทดแทน ซึ่งผลการศึกษาปรากฏว่า พื้นที่บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุอยู่ในความครอบครองดูแลของกรมการขนส่งทางบก (ในขณะนั้นใช้ประโยชน์เป็นสถานีขนส่งผู้โดยสาร) เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด กรุงเทพมหานครจึงได้แจ้งความประสงค์ขอใช้ประโยชน์ต่อกรมธนารักษ์ และได้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และกรุงเทพมหานคร โดยมีความเห็นว่า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการสมควรใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุดังกล่าวร่วมกันระหว่างกรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด และกรมธนารักษ์ จึงได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงหลักการให้ใช้ที่ราชพัสดุเพื่อสร้างศูนย์ขนส่งระบบรถไฟฟ้าและรถยนต์โดยสารกรุงเทพมหานครตอนบน เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2536
นายยุทธนา กล่าวต่อว่า ในปี 2537 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2537 เห็นชอบให้นำที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 63-2-65 ไร่ มาพัฒนาจัดหาประโยชน์ตามแนวทางที่คณะทำงานพิจารณาดำเนินการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ได้กำหนดแนวทางการดำเนินการพัฒนาในลักษณะการจัดสรรพื้นที่ ใช้สอยอาคารเป็นที่ตั้งโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าของกรุงเทพมหานคร และสถานีขนส่งร่วมกัน โดยให้กรมการขนส่งทางบกส่งคืนพื้นที่ให้กรมธนารักษ์มาบริหารจัดการ และมีเงื่อนไขต้องสร้างสถานีขนส่งชั่วคราวที่บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 และสถานีขนส่งถาวรในบริเวณเดิมให้ บขส. กรมธนารักษ์จึงได้เปิดประมูลพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดย บริษัท ซันเอสเตท จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด (BKT)) เป็นผู้ชนะการประมูล ได้เสนอค่าธรรมเนียมการจัดประโยชน์ 550 ล้านบาท ก่อสร้างพื้นที่โครงการ 888,046 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่ชดเชย 112,000 ตารางเมตร (อาคารสถานีขนส่ง พื้นที่ใช้สอยราชการ) และพื้นที่พาณิชย์ 776,046 ตารางเมตร (อาคารสำนักงาน พื้นที่พาณิชย์ และที่จอดรถ)
สำหรับในปี 2539 กรมธนารักษ์จึงได้จัดทำสัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตกับบริษัทฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2539 แต่เนื่องจากในปี 2544 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยว่า สัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นที่ในที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2539 ระหว่างกรมธนารักษ์ และบริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด (BKT) ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลผูกพันในแง่สัญญาต่อกัน ทำให้สัญญาดังกล่าวหยุดชะงักไปชั่วคราว โดยกรมธนารักษ์ ต้องดำเนินโครงการดังกล่าวใหม่ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ต่อมาในปี 2556 ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยสถานะของสัญญาว่า เมื่อยังไม่บอกเลิกสัญญา BKT และกรมธนารักษ์ยังคงต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อไป กรมธนารักษ์จึงได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556
นายยุทธนากล่าวเพิ่มเติมอีกว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 เห็นชอบในหลักการแนวทางการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ตามข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ตามนัยมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 โดยการแก้ไขสัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ในที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2539 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนที่จะมีการลงนามผูกพันในสัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการฯ ต่อไปรวมทั้งให้รับความเห็นของหน่วยงานต่างๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ กรมธนารักษ์ได้แจ้งให้ BKT ดำเนินการออกแบบ Conceptual Design ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่าง BKT ดำเนินการออกแบบ Conceptual Design
และในปี 2562 ได้มีการประชุมหารือเพื่อแก้ปัญหา และขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมธนารักษ์ กรุงเทพมหานคร สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และ BKT เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งในการประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับรูปแบบทางยกระดับเข้าสู่โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุบริเวณที่กรมธนารักษ์อนุญาตให้กรุงเทพมหานครใช้ประโยชน์ชั่วคราวเพื่อเป็นที่จอดรถ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการยื่นคัดค้านการย้ายสถานีขนส่งหมอชิต 2 บนถนนกำแพงเพชร 2 กลับมาที่สถานีขนส่งหมอชิตเก่า บนถนนพหลโยธิน และคัดค้านการเวนคืนที่ดินบริเวณดังกล่าว
ทั้งนี้ ปี 2563 กรุงเทพมหานครได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2563 เพื่อเวนคืนที่ดินสำหรับสร้างและขยายทางยกระดับเชื่อมระหว่างอาคารอู่จอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้ากับถนนวิภาวดีรังสิต ระยะเวลาใช้บังคับมีกำหนด 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2567
และเมื่อเร็วๆ นี้ นายยุทธนา กล่าวด้วยว่า กรมธนารักษ์ได้จัดประชุมหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และ BKT เพื่อให้ได้ข้อยุติร่วมกันเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชดเชยในโครงการฯ และความจำเป็นในการก่อสร้างทางยกระดับสำหรับเข้า - ออก โครงการฯ กับถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งในที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก และ บขส. พิจารณารูปแบบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชดเชย 100,000 ตารางเมตร เพื่อเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสาร ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เมื่อได้ข้อยุติแล้วให้กรมธนารักษ์จัดประชุมหารือร่วมกันระหว่าง กรมธนารักษ์ กรมการขนส่งทางบก บขส. สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาเรื่องการใช้ประโยชน์พื้นที่ชดเชยเพื่อเป็นเพื่อเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสาร และความจำเป็นในการก่อสร้างทางยกระดับสำหรับเข้า - ออก โครงการฯ กับถนนวิภาวดีรังสิต ภายในต้นเดือนมีนาคม 2564 นายยุทธนากล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39403 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. “วราวุธ” ลงพื้นที่ชีวมณฑล จ.ระนอง ติดตามความสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนระดับโลก | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
รมว. “วราวุธ” ลงพื้นที่ชีวมณฑล จ.ระนอง ติดตามความสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนระดับโลก
รมว. “วราวุธ” ลงพื้นที่ชีวมณฑล จ.ระนอง ติดตามความสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนระดับโลก
วันนี้ 25 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 08.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารกระทรวงฯ เดินทางไปยังศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่3(จังหวัดระนอง) เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรป่าชายเลนและความหลากหลายทางชีวภาพ บริเวณพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง พร้อมทั้งรับฟังการบรรยายสรุปการจัดการป่าชายเลน ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง และพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsay sites) พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติแหลมสน ปากแม่น้ำกระบุรี ปากคลองกะเปอร์
ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2540 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้ป่าชายเลนและพื้นที่ชายฝั่งและจังหวัดระนองเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลภายใต้โปรแกรมมนุษย์และชีวมณฑลครอบคลุมพื้นที่ 189,431.25 ไร่โดยเป็นพื้นที่ป่าชายเลน ภูเขา แหล่งหญ้าทะเล พื้นที่ดินเลนงอกใหม่และที่ราบบริเวณชายฝั่ง พื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งนี้เป็นหนึ่งในจำนวน 672 แห่งใน 120 ประเทศ (2560) โดยหลักการของโปรแกรมมนุษย์และชีวมณฑลต้องการแสดงให้เห็นว่าเราสามารถอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ถ้ามนุษย์มีความรู้ความเข้าใจและเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและรู้จักใช้อย่างชาญฉลาดบนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยังยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิธีแถลงข่าว โครงการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกาย “ผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้” (Contemporary Southern Batik) ภายใต้แนวคิด Batik City | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิธีแถลงข่าว โครงการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกาย “ผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้” (Contemporary Southern Batik) ภายใต้แนวคิด Batik City
สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิธีแถลงข่าว โครงการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกาย “ผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้” (Contemporary Southern Batik) ภายใต้แนวคิด Batik City
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.30 น. สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิธีแถลงข่าว โครงการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกาย “ผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้” (Contemporary Southern Batik) ภายใต้แนวคิด Batik City โดยได้รับเกียรติจาก นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหาร ข้าราชการ ตลอดจนคณะกรรมการ เหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง นางแบบนายแบบ จาก The Face Thailand และแขกผู้มีเกียรติร่วมในงาน พร้อมกันนี้ยังมีพิธีลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย และสถาบันการศึกษาด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งมีความพร้อมในการส่งเสริมให้นักศึกษานำผ้าไทยมาใช้ในการออกแบบเครื่องแต่งกาย ภายใต้กิจกรรมดังกล่าว ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 1 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน
โดยในปีนี้โครงการประกวดออกการแบบเครื่องแต่งกาย "ผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้" CONTEMPORARY SOUTHERN BATIK ภายใต้แนวคิด BATIK CITY เปิดโอกาสให้นักออกแบบเครื่องแต่งกายรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพในการออกแบบ โดยนำผ้าไทยชายแดนใต้มาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยคณะกรรมการจะพิจารณาคัดเลือกภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้ 1.แนวคิดในการออกแบบ 2.ความคิดสร้างสรรค์และเอกลักษณ์ในการนำลายผ้ามาออกแบบ 3.เทคนิคที่ใช้ในการออกแบบ 4.การเลือกใช้วัสดุและโทนสี ซึ่งผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้ง 15 คน จะได้รับงบประมาณในการผลิตชุดต้นแบบ ส่งเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ เพื่อชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 160,000 บาทต่อไป โดยมีคุณศิริชัย อทหรานนท์ คุณธีระ ฉันทสวัสดิ์ คุณเอก ทองประเสริฐ และ คุณหิรัญกษฎิ์ ภัทรบริบูลย์กุล และคุณบัญชา ชูดวง แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังระดับประเทศลงพื้นที่พัฒนาลายผ้าร่วมกับชุมชนให้เกียรติเป็นที่ปรึกษาและคณะกรรมการตัดสินในครั้งนี้
ผู้ที่สนใจสามารถส่งแฟ้มผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 22 มีนาคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02 209 3753 หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ www.ocac.go.th และเพจเฟซบุ๊ก สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39426 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส รณรงค์กิจกรรม 5 ส ต่อเนื่อง ลดปัญหาการสิ้นเปลืองทรัพยากร สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในที่ทำงาน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
ดีอีเอส รณรงค์กิจกรรม 5 ส ต่อเนื่อง ลดปัญหาการสิ้นเปลืองทรัพยากร สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในที่ทำงาน
ดีอีเอส รณรงค์กิจกรรม 5 ส ต่อเนื่อง ลดปัญหาการสิ้นเปลืองทรัพยากร สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในที่ทำงาน
เมื่อวันที่25 กุมภาพันธ์ 2564นางคนึงนิจคชศิลาผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการตรวจสอบติดตามประเมินผลกิจกรรม5สครั้งที่1/2564ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยคณะกรรมการฯได้ติดตามและประเมินความพึงพอใจในหัวข้อหลักๆอาทิมีการเตรียมผู้แทนหน่วยงานทำหน้าที่เป็นผู้นำทางในการตรวจกิจกรรม5ส มีผู้แทนหน่วยงานร่วมการตรวจประเมินมีความพร้อมด้านบุคลากรสถานที่อุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกและความตรงต่อเวลาและมีความเป็นกัลยาณมิตรกของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ในการนี้มีเกณฑ์มาตรฐานอ้างอิงในการประเมินได้แค่สภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ถูกสุขลักษณะสะอาดสะดวกโต๊ะและเก้าอี้ทำงาน(รวมทั้งบนโต๊ะและรอบโต๊ะ)ตู้เก็บเอกสารตู้เก็บวัสดุ ห้องครัวอยู่ในสภาพดีสะอาดและพร้อมใช้งานอยู่เสมอมีการวางตำแหน่งอุปกรณ์อย่างเหมาะสมห้องประชุมพื้นที่ประชุมมีความเป็นสัดส่วนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมใช้งานและสะอาด
กระทรวงดิจิทัลฯจัดกิจกรรมครั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้บุคลากรดำเนินกิจกรรม5ส.จนเป็นปกติเชื่อว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยในเรื่องการทำงานเป็นทีมได้ดีฝึกให้ทุกคนร่วมกันใช้ความคิดปลูกจิตสำนึกมีการทำงานร่วมกันเกิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันซึ่งคุณสมบัติที่บุคลากรได้รับเหล่านี้จะส่งผลดีต่อองค์กรเป็นอย่างมากเช่นเมื่อสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานดีพนักงานไม่รู้สึกอึดอัดกับที่ทำงานขวัญกำลังใจในการทำงานก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนอกจากนี้กิจกรรม5ส.ยังช่วยลดปัญหาของหายและการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ทั้งยังเพิ่มพื้นที่การทำงานให้มากขึ้นหลังจากกำจัดสิ่งของไม่จำเป็นออกไปอีกด้วย
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39429 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการกิจการไปรษณีย์ ครั้งที่ 1/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการกิจการไปรษณีย์ ครั้งที่ 1/2564
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการกิจการไปรษณีย์ ครั้งที่ 1/2564
เมื่อวันที่25 กุมภาพันธ์ 2564นายภูเวียงประคำมินทร์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกิจการไปรษณีย์ครั้งที่1/2564ณห้องประชุม801ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยทีประชุมพิจารณาวาระสำคัญเรื่องรายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกิจการไปรษณีย์ด้านกฎหมาย หัวข้อสำคัญคือ 1)แก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกิจการไปรษณีย์ด้านกฎหมาย2)การมอบอำนาจให้ทำการแทนคณะกรรมการกิจการไปรษณีย์ในการดำเนินคดีปกครองและ3 )เสนอขอยกเลิกการให้บริการไปรษณีย์รับรองนอกจากนี้ที่ประชุมรับทราบรายงานการจัดตั้ง/ยุบเลิกที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตและการเป็นผู้รับดำเนินงานที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตประเภทร้านไปรษณีย์ไทยรอบ12เดือน(ตุลาคม2562 –กันยายน2563) สรุปรายงานผลการประชุมสภาบริหารวาระพิเศษของสหภาพสากลไปรษณีย์ สรุปรายงานผลการประชุมสภาบริหารของสหภาพสากลไปรษณีย์ ประจำปีค.ศ. 2020ครั้งที่2และสรุปรายงานผลการประชุมสภาบริหารของสหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิคประจำปี2563อีกด้วย
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39430 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. มอบหนังสืออนุญาตที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการ คทช. แก่ชุมชนเมืองระนอง | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.ทส. มอบหนังสืออนุญาตที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการ คทช. แก่ชุมชนเมืองระนอง
รมว.ทส. มอบหนังสืออนุญาตที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการ คทช. แก่ชุมชนเมืองระนอง
วันนี้ 25 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตจัดที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) และเงินอุดหนุนให้ชุมชนชายฝั่ง จำนวน 14 ชุมชน มอบหนังสือแสดงป่าชุมชน จำนวน 5 ชุมชน มอบเงินอุดหนุน(เงินกู้) โครงการสร้างเศรษฐกิจชุมชนจากป่าชุมชนจังหวัดระนอง จำนวน 9 ป่าชุมชนโดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสมเกียรติ ศรีษะเนตร ผู้ว่าราชจังหวัดระนอง นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ นางศุกร์ศิริ บุญญเศรษฐ์ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ ร่วมในพิธี ณ ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 6 จังหวัดระนอง
ในโอกาสนี้ นายวราวุธ ได้กล่าวว่า จากกรณีชาวบ้านกว่า 900 ครัวเรือน หลายพันคน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองหัวเขียว และป่าคลองเกาะสุย ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง รวม 3 แปลง เนื้อที่ประมาณ 484 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดระนองได้รับอนุญาตเดิมจากกรมป่าไม้และขณะนี้ใบอนุญาตหมดอายุนานแล้ว ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลและกระทรวงฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้น โดยมีอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานร่วม พร้อมตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยคณะทำงานฯ ได้เห็นควร ให้ดำเนินการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านที่ประชุมอนุกรรมการจัดที่ดินให้ความเห็นชอบแล้ว จึงได้ เร่งรัด ติดตาม ประสานการดำเนินการทุกขั้นตอน โดยเฉพาะในส่วน�ที่กระทรวงฯ เป็นผู้รับผิดชอบ และหากจำเป็นต้องประสานหน่วยงานอื่น ตนได้ย้ำให้เร่งปฏิบัติโดยทันที
สุดท้ายตนอยากให้พี่น้องประชาชนทั้ง 900 ครัวเรือน มั่นใจว่า รัฐบาลและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่�และเต็มกำลัง เราไม่เคย นิ่งนอนใจกับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ตนยังมั่นใจเสมอมาว่า หากเราสามารถสร้างสมดุลระหว่าง การใช้ประโยชน์และการสงวนรักษา “คนสามารถอยู่กับป่าได้” ซึ่งที่ผ่านมาพวกเราร่วมมือช่วยกันได้อย่างจริงจังและเข้มแข็งทำให้พื้นที่ป่าชายเลนของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 200,000 ไร่ �ซึ่งตนก็จะพยายามขับเคลื่อนและผลักดันให้งานด้านการอนุรักษ์ผืนป่าไม่ว่าจะเป็น ป่าบกหรือป่าชายเลน ร่วมกับพี่น้องประชาชน ให้ผืนป่าประเทศไทยสมบูรณ์และคงอยู่อย่างสมดุลและยั่งยืน สืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39435 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮรับวันหยุด! ขึ้นทางด่วนฟรี 3 เส้นทาง | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
เฮรับวันหยุด! ขึ้นทางด่วนฟรี 3 เส้นทาง
...
วันหยุดราชการเนื่องในวันมาฆบูชานี้
ใครมีแพลนเดินทางเข้า – ออก กทม.
และต้องใช้ทางด่วน เฮได้เลยครับ
.
เพราะวันที่ 26 ก.พ. 64 ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา
จะมีการยกเว้นค่าทางด่วนใน 3 เส้นทาง ได้แก่
- ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 19 ด่าน
- ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 31 ด่าน
- ทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน – ปากเกร็ด) จำนวน 10 ด่าน
.
เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในช่วงวันหยุด
ลดค่าใช้จ่ายและลดปัญหาจราจรติดขัดที่หน้าด่านเก็บเงิน
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39404 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แจงไทยไม่ได้เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมควบคุมโรคมีการป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ตรวจหาเชื้อไวรัสไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสัตว์ที่ขายในตลาดนัดจตุจักร | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. แจงไทยไม่ได้เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมควบคุมโรคมีการป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ตรวจหาเชื้อไวรัสไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสัตว์ที่ขายในตลาดนัดจตุจักร
สธ. แจงไทยไม่ได้เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมควบคุมโรคมีการควบคุม ป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ตรวจหาเชื้อไวรัสไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสัตว์ที่ขายในตลาดนัดจตุจักร
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีสื่อต่างประเทศรายงานข่าวตลาดนัดจตุจักรอาจเป็นต้นกำเนิดเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนอู่ฮั่นว่า กรมควบคุมโรค ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ และกรมปศุสัตว์ ดำเนินโครงการควบคุม ป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนฯ รวมถึงหารือแผนปฏิบัติการป้องกันกำจัดโรคระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในตลาดค้าสัตว์ป่า ซึ่งที่ผ่านมา ผลการตรวจหาเชื้อไวรัสฯ พบเชื้อไวรัสโคโรนาในสัตว์เลี้ยง แต่เป็นคนละสายพันธุ์กับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกจากนี้ กรณีนักวิจัยเก็บตัวอย่างตรวจสอบค้างคาวมงกุฎ (หรือค้างคาวเกือกม้าที่กล่าวถึงในข่าว) เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นการศึกษาร่วมกันระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติฯ และศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ รพ.จุฬาฯ โดยมีการศึกษาวิจัย เรื่องโรคจากค้างคาวที่เมืองไทยมานานเกือบ 20 ปี เบื้องต้นผลการวิจัย พบว่าค้างคาวเป็นแหล่งรังโรคของเชื้อไวรัสหลายชนิด ซึ่งเชื้อไวรัสโคโรนาที่พบในค้างคาวมงกุฎมีรหัสพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพียงร้อยละ 91 แต่เชื้อไวรัสที่พบนี้ ไม่มีข้อมูลการติดต่อระหว่างค้างคาวมาสู่คนแต่อย่างใด
ด้านกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการสำรวจสัตว์ที่มีการค้าในตลาดนัดจตุจักร และเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาเชื้อในสัตว์ทุกกลุ่ม ปรากฏว่า ไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนาในสัตว์ที่มีการค้าขายในตลาดนัดจตุจักร ดังนั้นข้อมูลที่กล่าวว่า ไทยอาจเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้น จึงไม่เป็นความจริง สำหรับประเด็นพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในค้างคาวเกือกม้า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทางตะวันออกของประเทศไทยนั้น เมื่อเดือน มิ.ย.63 คณะนักวิจัยของไทยได้ลงพื้นที่สำรวจกลุ่มค้างคาวมงกุฎ (ค้างคาวเกือกม้าที่กล่าวถึงในข่าว) ในหลายพื้นที่ รวมทั้งถ้ำหลายแห่งที่เป็นแหล่งเกาะนอนของค้างคาวมงกุฎยอดสั้นใหญ่ พบว่าไวรัสฯ ที่ตรวจพบในค้างคาวมีลักษณะทางพันธุกรรมคล้ายไวรัสโคโรนา 2019 เพียงร้อยละ 91 ซึ่งไม่สามารถก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ได้ นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการเชิงรุก โดยมีการสำรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในค้างคาว และลิ่นในธรรมชาติ รวมถึงสัตว์ชนิดอื่นที่อาจเป็นตัวกลางอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังการเกิดโรคอุบัติใหม่ฯ
ในส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่าจะมีหนังสือถึงสำนักข่าวต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อย้ำข้อมูลและคำชี้แจงของ สธ. กรมอุทยานแห่งชาติฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจะส่งข้อมูลแนวทางชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกทำความเข้าใจกับต่างชาติตามความเหมาะสมต่อไป
ขณะที่กรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร ชี้แจงว่าตลาดนัดจตุจักร ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้ามาจำหน่าย ส่วนตลาดค้าสัตว์ตามข่าว คือตลาดศรีสมรัตน์ เป็นตลาดเอกชนที่อยู่ในบริเวณข้างเคียงกับตลาดนัดจตุจักร ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ ร.ฟ.ท.เป็นตลาดจำหน่ายสัตว์เลี้ยง สัตว์ปีก ปลาสวยงาม ซึ่งสำนักงานเขตจตุจักร ได้ลงพื้นที่ตลาดศรีสมรัตน์ พบว่า มาตรการป้องกันโควิด-19 ยังไม่เป็นไปตามที่กำหนด จึงได้ขอความร่วมมือจัดระเบียบแผงค้าและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39412 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “วราวุธ" ตรวจเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ฯ บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง กำชับเน้นสร้างความประทับใจ และความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
“วราวุธ" ตรวจเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ฯ บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง กำชับเน้นสร้างความประทับใจ และความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว
“วราวุธ" ตรวจเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ฯ บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง กำชับเน้นสร้างความประทับใจ และความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 13.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางลงพื้นที่บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว อำเภอเมืองจังหวัดระนอง เพื่อตรวจเยี่ยม และให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน โดยมี นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดร.รุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ รองอธิบดีฯ นายสมเกียรติ ศรีษะเนตร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง นายบรรณรักษ์ เสริมทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ฯ เครือข่ายประชาชน ให้การต้อนรับฯ
นายวราวุธ กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติฯ แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นมรดกชิ้นสำคัญของพี่น้องประชาชน จึงมีความจำเป็นที่พวกเราทุกคน จะต้องดูแลอุทยานแห่งชาติและทรัพยากรเหล่านี้ให้คงความสวยงามเสมอ เน้นสร้างความประทับใจให้กับทุกคน และขอให้ดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ให้เกิดความประทับใจและตระหนัก
ในการช่วยอนุรักษ์พื้นที่ฯ สำหรับเครื่องแบบที่พวกเราทุกคนสวมใส่กันอยู่ในทุกวันนี้ ขอให้ตระหนักว่าเป็นเครื่องแบบของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีหน้าที่ในการดูแลความเดือดร้อนและช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ควบคู่กันไปกับทรัพยากรที่สำคัญของประเทศไทย ขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ มีความอดทน มีวินัย และมีความซื่อสัตย์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงาน"
โอกาสเดียวกันนี้ รมว.ทส. ได้มอบถุงดำรงชีพในการพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ แก่กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อส.อส.) จำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเลี้ยงผึ้งบ้านบางมัน กลุ่มกาแฟคั่วบดมือบ้านไร่ใน กลุ่มหัตถกรรมบ้านบางมัน 70 กลุ่มท่องเที่ยวเชิงนิเวศบ้านฝ่ายท่า กลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านแหลมนาว และมอบเสบียงอาหาร แก่ตัวแทนเจ้าหน้าที่ฯ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดระนอง
จากนั้นได้ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และร่วมปลูกต้นพญาไม้ เพื่อเป็นที่ระลึก บริเวณบ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมประชุมบอร์ดองค์การสะพานปลา ครั้งที่ 2/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมประชุมบอร์ดองค์การสะพานปลา ครั้งที่ 2/2564
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมในฐานะคณะกรรมการองค์การสะพานปลา ครั้งที่ 2/2564 โดยมี ดร.ประยูร ดำรงชิตานนท์ เป็นประธาน ณ ห้องประชุมองค์การสะพานปลา กทม. ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1) รับทราบสรุปรายงานสืบเนื่องคณะกรรมการองค์การสะพานปลา (ชุดเดิม)
2) การแต่งตั้งเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการองค์การสะพานปลา
3) การแต่งตั้งกรรมการองค์การสะพานปลาร่วมเป็นประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการและอนุกรรมการชุดย่อยขององค์การสะพานปลา (Committees)
4) การจัดทำแผนปฏิทินกำหนดการประชุมคณะกรรมการองค์การสะพานปลา ประจำปี 2564
5) ร่างข้อบังคับองค์การสะพานปลา ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการองค์การสะพานปลา
6) การมอบหมายกรรมการและการมอบอำนาจผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการและพนักงานองค์การสะพานปลาในการทำนิติกรรมรวมถึงดำเนินคดีกับบุคลภายนอก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39427 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย และคณะเข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย และคณะเข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย และคณะเข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นางสาวอิตเซล การินา เซน ชัน (Ms.Itzel Karina Chen Chan) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย และคณะเข้าเยี่ยมคารวะ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย และได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็น การส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมและศิลปะในระดับรัฐบาล ภาคเอกชนและประชาชน การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (ผ้าไหมไทย) การพัฒนาศักยภาพของศิลปินในสาขาต่างๆ และ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง ชั้น ๗ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 12 ปี ประกาศขายไตตนเอง เพื่อหาเงินมาใช้หนี้นอกระบบให้แม่ | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 12 ปี ประกาศขายไตตนเอง เพื่อหาเงินมาใช้หนี้นอกระบบให้แม่
พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 12 ปี ประกาศขายไตตนเอง เพื่อหาเงินมาใช้หนี้นอกระบบให้แม่
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 64เวลา 16.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยว่า จากกรณีเด็กหญิงวัย 12 ปี เป็นเด็กเรียนดีช่วยแม่เลี้ยงน้องวัย 3 ขวบ และช่วยแม่ทำงานทุกอย่าง ได้ประกาศขายไตตนเอง เพื่อหาเงินมาใช้หนี้นอกระบบให้แม่นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบในการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือกรณีดังกล่าว โดยการให้คำแนะนำปรึกษาให้กำลังใจ มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และนมสำหรับเด็กเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ทั้งนี้ล่าสุดได้มอบหมายให้นางราตรี แฉล้มวารี หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและวางแนวทางการในการช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าว
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า กรณีนี้จะมีพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เข้าไปทำงานกับครอบครัวทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ให้แม่คลายกังวล มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเอง มีความสามารถในการให้การอุปการะเลี้ยงดูเด็กได้ การช่วยเหลือระยะสั้น จะมีเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้า ได้แก่ เงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน กรณีที่ต้องช่วยเหลือต่อเนื่องจะให้การช่วยเหลือผ่านกองทุนคุ้มครองเด็ก เงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย และแนะนำการขึ้นทะเบียนรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดสำหรับน้องคนเล็ก พร้อมทั้งสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภค เช่น ของใช้ในชีวิตประจำวัน อาหาร เป็นต้น และพิจารณาเรื่องภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว พร้อมทั้งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือ หรือประนีประนอมหนี้สิน สำหรับการช่วยเหลือในระยะยาว จะมีพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงานลงเยี่ยมบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยจะแบ่งการช่วยเหลือดังนี้ ซึ่งผู้เป็นแม่ จะมีการพัฒนาอาชีพตามความถนัด และฝึกทักษะการบริหารการเงิน รายรับและรายจ่ายของครอบครัว และทักษะการเลี้ยงดูลูก ส่งเสริมเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ประสานโรงเรียนเพื่อให้ครูที่เด็กไว้ใจ หรืออาจเป็นครูประจำชั้นของเด็ก ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เพื่อช่วยดูแลเด็กทั้งสองคนร่วมกับแม่รวมถึงการจัดหาทุนการศึกษาและพัฒนาทักษะอื่น ๆ ให้แก่เด็กต่อไป
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่
ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39408 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ไปต่อไม่รอแล้วนะ ขับเคลื่อนแก้ปัญหาสวัสดิการ ปชช. | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
นฤมล ไปต่อไม่รอแล้วนะ ขับเคลื่อนแก้ปัญหาสวัสดิการ ปชช.
- -
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมคณะทำงานเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการของรัฐ สร้างความเสมอภาคและได้รับความเป็นธรรม
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า สืบเนื่องจากขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ได้ยื่นข้อเสนอ ให้รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่เกิดขึ้น สำนักนายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหา โดยมีรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้น คณะอนุกรรมการประสานงานเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและขับเคลื่อนนโยบาย 9 ด้าน มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานเร่งรัดติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหา ด้านสวัสดิการของรัฐ มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานคณะทำงาน ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นรองประธาน ผู้แทนขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งการประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมหารือคณะทำงานเร่งรัดติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการของรัฐ หารือในเรื่อง การแก้ไขปัญหาการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น คณะทำงานชุดนี้ มีผู้แทนจากหลายกระทรวงเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สาธารณสุข ศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง ผู้แทนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นต้น
ที่ประชุมเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาชะลอการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่นไว้ก่อน ตลอดจนพิจารณาแนวทางเยียวยาผู้สูงอายุดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา เช่น การจัดทำ Big Data ของประชาชนทั่งประเทศ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการของประชาชนทั้งหมดร่วมเป็นคณะทำงาน ซึ่งจะมีการร่างคำสั่งแต่งตั้งเสนอคณะกรรมการในแต่ละลำดับ เพื่อเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายดำเนินการต่อไป
รมช.แรงงาน กล่าวต่ออีกว่า อีกประเด็นที่จะเร่งขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องคือ การพัฒนาทักษะคนพิการ ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดนี้ ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ หรือ กพร.ปช. หารือกันในประเด็นการจัดหางบประมาณจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่คนพิการ รวมไปถึงการจัดหางานให้แก่คนพิการด้วย คาดว่าจะมีการหารือในเร็วๆ นี้
“ผลการหารือในครั้งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาความเหลือมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นได้ ตนเองและคณะทำงานจะเร่งขับเคลื่อนงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39409 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จับมือ อสม. 1 ล้าน 5 หมื่น คน บอกต่อ “วัคซีนป้องกันโควิด 19” สร้างความมั่นใจ คืนรอยยิ้มประเทศไทย | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. จับมือ อสม. 1 ล้าน 5 หมื่น คน บอกต่อ “วัคซีนป้องกันโควิด 19” สร้างความมั่นใจ คืนรอยยิ้มประเทศไทย
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกล มอบภารกิจ อสม. พร้อมบอกต่อเรื่องฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ออกเคาะประตูบ้าน สำรวจคัดกรองกลุ่มเป้าหมายในชุมชน แนะนำขั้นตอนรับการฉีดวัคซีน เชิญชวนลงทะเบียน LINE Official Account “หมอพร้อม”
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกล มอบภารกิจ อสม. พร้อมบอกต่อเรื่องฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ออกเคาะประตูบ้าน สำรวจคัดกรองกลุ่มเป้าหมายในชุมชน แนะนำขั้นตอนรับการฉีดวัคซีน เชิญชวนลงทะเบียน LINE Official Account “หมอพร้อม” สร้างความมั่นใจ คืนรอยยิ้มประเทศไทย
วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2564) ณ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประชุมทางไกลผู้บริหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หัวหน้างานสุขภาพภาคประชาชน ประธานชมรม อสม.จังหวัด/อำเภอ ผู้แทนสาธารณสุขอำเภอ มอบหมายภารกิจ อสม.พร้อม บอกต่อเรื่องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 สร้างความมั่นใจประชาชน คืนรอยยิ้มประเทศไทย
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหาและจัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ให้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยตามความสมัครใจ ซึ่งขณะนี้วัคซีน 3 แสนโดสแรกถึงประเทศไทยแล้ว ทั้งจากบริษัทซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนกา ซึ่งจะทยอยส่งจนครบ 63 ล้านโดสและฉีดให้กับประชาชนภายในปี 2564 กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มอบหมายให้ อสม.กว่า 1 ล้าน 5 หมื่น คน ลงพื้นที่เคาะประตูบ้าน ให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชน รวมทั้งให้สำรวจกลุ่มเสี่ยง และคัดกรองกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับวัคซีนเป็นอันดับแรก ให้คำแนะนำความสำคัญที่ต้องได้รับวัคซีน ความปลอดภัย รวมถึงขั้นตอนการรับการฉีดวัคซีน พร้อมเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนผ่าน LINE Official Account “หมอพร้อม” ที่เป็นช่องทางการสื่อสาร ตลอดจนติดตามอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน ระบบนัดในการรับวัคซีน และการรายงานผลแก่เจ้าหน้าที่ โดยจะเริ่มฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป
“ที่ผ่านมา อสม.ถือเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมการระบาด สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เชื่อว่า พลังของ อสม.จะถูกนำมาใช้อีกครั้งในการเป็นกระบอกเสียง สร้างการรับรู้ และความเข้าใจเรื่องวัคซีน รวมถึงการสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข เป็นมดงานให้กับประเทศไทย ซึ่งต้องเสียสละทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ ในการปกป้องประเทศให้รอดพ้นจากโรคโควิด 19 ครั้งนี้” นายอนุทินกล่าว
ด้านนายแพทย์ธเรศ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19
ในระยะแรกที่มีวัคซีนจำกัด จะฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข กลุ่มบุคลากรด่านหน้า อสม. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เป็นต้น ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือดโรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิด โรคเบาหวาน โรคอ้วน ประชาชนและแรงงานกลุ่มเสี่ยง
************************** 25 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เปิด 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ กรอบวงเงินรวม 23,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นปีแรกต่ำสุด 1.75% ต่อปี ผ่อนชำระเงินงวดแบบขั้นบันได [ตัดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย] | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
ธอส. เปิด 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ กรอบวงเงินรวม 23,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นปีแรกต่ำสุด 1.75% ต่อปี ผ่อนชำระเงินงวดแบบขั้นบันได [ตัดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย]
ธอส.เตรียมกรอบวงเงินรวมอีก 23,000 ล้านบาท เปิดตัว 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มพนักงานที่ประกอบอาชีพประจำ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 25,000 บาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้นต่ำสุดเพียง 1.75% ต่อปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงินรวมอีก 23,000 ล้านบาท เปิดตัว 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มพนักงานที่ประกอบอาชีพประจำ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 25,000 บาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้นต่ำสุดเพียง 1.75% ต่อปี ให้ชำระเงินงวดแบบขั้นบันได ตัดชำระเงินต้นและตัดชำระดอกเบี้ยทุกเดือน ลูกค้าไม่ Payment Shock กู้ 1 ล้านบาท เงินงวดปีแรกเพียง 3,500 บาทต่อเดือน ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี พิเศษฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มพนักงานที่ประกอบอาชีพประจำ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 25,000 บาทขึ้นไป ให้ได้มีที่อยู่อาศัยเพื่อความมั่นคงในชีวิตของตนเองและครอบครัวได้ง่ายมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “Be Simple, Make it Simple” ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ได้เตรียมกรอบวงเงินอีก 23,000 ล้านบาท จัดทำ 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำในกลุ่ม Business Solution เพิ่มเติมจากการออก 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (Social Solution) กรอบวงเงิน 70,000 ล้านบาท ที่ออกไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ออกมาเพื่อให้ลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป สามารถผ่อนชำระด้วยเงินงวดที่ปรับขึ้นในจำนวนที่สอดคล้องกับรายได้แบบขั้นบันได และตัดชำระเงินต้นและตัดชำระดอกเบี้ย ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พิเศษ!! ลดภาระให้กับลูกค้าโดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม ซึ่งมีรายละเอียดของทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ ดังนี้
1.โครงการสินเชื่อบ้านอยู่เย็น เป็นสุข กรอบวงเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมกับวัตถุประสงค์ตามที่ธนาคารกำหนดสำหรับที่อยู่อาศัยที่มีระบบพลังงานทดแทน หรือระบบช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ช่วยลดความร้อนภายในที่อยู่อาศัย เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน (ECO House) อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น ปีที่ 1 เท่ากับ 1.75% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-3.40% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.45% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 2.73% ต่อปีเท่านั้น (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ 6.150%) กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,600 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564
2.โครงการสินเชื่อบ้าน D Plus กรอบวงเงิน 2,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ตั้งแต่ 2,500,000 บาท ขึ้นไปและซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านจัดสรรที่เข้าร่วมโครงการพิเศษที่ธนาคารจัดทำขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้า อาทิ โครงการ Fast Track โครงการ Smart Fast Track และโครงการ Regional Fast Track เป็นต้น อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น ปีที่ 1 เท่ากับ 1.99% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-3.40% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.45% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 2.81% ต่อปี กรณีกู้ 2,500,000 บาท ผ่อนชำระเริ่มต้น 10,300 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
3.โครงการสินเชื่อบ้าน สร้างสมใจ กรอบวงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นสมาชิกของของสมาคมไทยรับสร้างบ้าน สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน และบริษัท บิลค์ วัน กรุ๊ป จำกัด เพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซมอาคาร และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับวัตถุประสงค์ตามที่ธนาคารกำหนดโดย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น ปีที่ 1 เท่ากับ 2.80% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-3.05% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.65% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.13% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,200 บาทต่อเดือนยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
4.โครงการสินเชื่อบ้าน All Home กรอบวงเงิน 6,500 ล้านบาท สำหรับลูกค้ารายที่มีวัตถุประสงค์การกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ปีที่ 1 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-2.65% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.25% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.55% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,400 บาทต่อเดือน และอัตราดอกเบี้ย วงเงินกู้ 3 ล้านบาทขึ้นไป ปีที่ 1 เท่ากับ 3.00% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-2.90% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.40% ต่อปี เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.33% ต่อปี กรณีกู้ 3 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,500 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติ และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
5.โครงการสินเชื่อบ้าน Dream Homes by GHB กรอบวงเงิน 7,500 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ไม่มีการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย กับ ธอส. และสถาบันการเงินอื่น ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง หรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 4-5 เท่ากับ 4.15% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,500 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
“การออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อของ ธอส. ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดเป็นแบบขั้นบันได จะช่วยให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระได้โดยไม่ประสบปัญหาเงินงวดสูงขึ้นเกินกว่าความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต หรือ Payment Shock อาทิ โครงการสินเชื่อบ้านอยู่เย็น เป็นสุข อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 1.75% ต่อปี จะมีเงินงวดผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 3,600 บาท ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.40% ต่อปี โดย MRR ของธนาคารในปัจจุบันอยู่ที่ 6.150% อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 2 จึงเหลือเพียง 2.75% ต่อปี ชำระเงินงวดเดือนละ 4,400 บาท และปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.70% ต่อปี เงินงวดเดือนละ 4,900 บาท ซึ่งเป็นเงินงวดที่ปรับขึ้นในระดับที่สอดคล้องกับรายได้ของผู้กู้ และจำนวนเงินงวดที่ผ่อนชำระยังเพียงพอที่จะตัดทั้งเงินต้นและตัดดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสม ทำให้ลูกค้ามีโอกาสที่จะปิดบัญชีเงินกู้ได้ก่อนหรือภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญาเงินกู้ได้”นายฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อทั้ง 5 ประเภท มีส่วนสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง (Business Solution) ในปี 2564 ให้เป็นไปตามเป้าหมายจำนวน 75,474 ล้านบาท จากเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่รวม 215,641 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39428 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด ธ.ก.ส. อนุมัติเงินสนับสนุน 3 โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
บอร์ด ธ.ก.ส. อนุมัติเงินสนับสนุน 3 โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
คณะกรรมการ ธ.ก.ส.อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563/64 ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและกระตุ้นให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี ในอัตราไร่ละ 500 บาท
คณะกรรมการ ธ.ก.ส. อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563/64 ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและกระตุ้นให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน วงเงินกว่า 28,000 ล้านบาท โดยทยอยโอนเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง 25 ก.พ. – 30 เม.ย. 64 จำนวนกว่า 160,000 ราย จำนวนเงินกว่า 1,200 ล้านบาท และเห็นชอบขยายวงเงินเพิ่มเติมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ซึ่งจะนำเสนอ ครม. พิจารณาก่อนดำเนินการ
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ได้เห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี เพื่อที่จะมีโอกาสขายข้าวในราคาที่สูงและมีรายได้มากขึ้น
โดยสนับสนุนเงินให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 28,000 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกรจำนวน 4.56 ล้านครัวเรือน โดย ธ.ก.ส. จะทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2564 ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และกรณีที่เกษตรกรลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เมื่อเงินเข้าบัญชีของท่านแล้ว
นอกจากนี้ คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ได้เห็นชอบโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดยเป็นการปรับกรอบวงเงินจาก 19,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 4,504 ล้านบาท ประกอบด้วย วงเงินสินเชื่อ จำนวน 3,500 ล้านบาท วงเงินค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าว จำนวน 480 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จำนวน 524 ล้านบาท รวมเป็น 24,330 ล้านบาท เพื่อรองรับการชะลอปริมาณข้าวเปลือกเพิ่มเติม จำนวน 0.32 ล้านตันข้าวเปลือก รวมเป็น 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก พร้อมขยายระยะเวลาจัดทำสัญญากู้จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เป็น 31 มีนาคม 2564 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) โดยขอปรับกรอบวงเงินจากเดิม 46,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 3,839 ล้านบาท รวมเป็น 50,646 ล้านบาท โดยเป็นเงินชดเชยการประกันรายได้ให้เกษตรกร วงเงิน 3,755 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ วงเงิน 84 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ธ.ก.ส. จะดำเนินการเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39402 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ คุมเข้มมาตรการป้องกันโรคระบาด ‘ลัมปี สกิน’ ในโค กระบือ | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงเกษตรฯ คุมเข้มมาตรการป้องกันโรคระบาด ‘ลัมปี สกิน’ ในโค กระบือ
กระทรวงเกษตรฯ คุมเข้มมาตรการป้องกันโรคระบาด ‘ลัมปี สกิน’ ในโค กระบือตามแนวชายแดน หลังพบการระบาดในเมียนมาร์ พร้อมยกระดับคอกกักให้มีมาตรฐาน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือมาตรการควบคุมป้องกันโรคระบาด และผ่อนปรนการนำเข้าโคเนื้อ ร่วมกับผู้ประกอบการเจ้าของคอกกัก ผู้เลี้ยงโค เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาตาก อ.เมืองตาก จ.ตาก ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้ติดตามสถานการณ์โรคในสัตว์อย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้หน่วยงานของกรมปศุสัตว์ โดยปศุสัตว์จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอ และชุดเฉพาะกิจกรมปศุสัตว์ ในทุกพื้นที่ดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้รับรายงานว่าประเทศเมียนมามีการแจ้งพบการระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease) ในโค กระบือ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบในโค กระบือ โดยพบตุ่มเนื้อบนผิวหนังและเยื่อเมือกทั่วร่างกาย จะตกสะเก็ดและเป็นแผลหลุม สัตว์จะมีไข้หายใจลำบาก ในโคนมอาจพบน้ำนมลดอัตราป่วยมากกว่าร้อยละ 5
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น ตนในฐานะกำกับดูแลกรมปศุสัตว์ จึงสั่งการด่วนให้จัดประชุมหารือเพื่อหาแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยเบื้องต้น ที่ประชุมได้มีมติร่วมกันหากมีการผ่อนปรนนำเข้าโค กระบือ ดังนี้ 1.ให้ตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อตรวจสอบ และปฏิบัติตามข้อกำหนดของกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด 2.ระยะเวลากักที่ด่านกักกันสัตว์หรือสถานที่กักกันสัตว์เอกชนที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ เพื่อสังเกตอาการ 28 วัน และตรวจเลือดทุกตัวในวันที่ 14 3.ดำเนินการปรับปรุงระบบความปลอดภัยทางชีวภาพของคอกกักเช่น กำจัดบริเวณที่มีน้ำขังเพื่อลดแมลงและสัตว์พาหะ พ่นยาฆ่าเชื้อ มีบ่อจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อที่ทางเข้าออก และทำมุ้งรอบคอกกัก และ 5.วัวและกระบือทุกตัวต้องเข้าแพลตฟอร์ม e-Catt เพื่อติดตามผ่านระบบออนไลน์
“กระทรวงเกษตรฯ มีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน ซึ่งหากเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาได้มีการสั่งปิดด่านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการผ่อนปรนก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงโคเช่นกัน ดังนั้น ที่ประชุมจึงหารือร่วมกันในมาตรการป้องกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า และเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันโรคมากขึ้น โดยเตรียมเปิดด่านนำเข้าโค กระบือ ในวันที่ 18 มี.ค. 64 และให้กรมปศุสัตว์ตั้งด่านสกัดการลักลอบนำเข้าสัตว์อย่างเข้มงวด พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ให้ความรู้เรื่องมาตรการป้องกันแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ รวมทั้งตรวจสถานที่กักสัตว์เพื่อให้ได้มาตรฐาน” นายประภัตร กล่าว
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ มีภารกิจควบคุม ป้องกัน และกำจัดโรคระบาด ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เพื่อเป็นมาตรการในการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเข้มงวด โดยองค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) แจ้งพบการระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease) อย่างต่อเนื่องในปี 2562 ในภูมิภาคเอเชียหลายประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งกลุ่มประเทศดังกล่าวมีความสัมพันธ์ทางการค้าด้านปศุสัตว์กับประเทศไทย และจากการศึกษาของ OIE SRR พบว่า โค กระบือที่มาจากประเทศเมียนมาร์นั้น บางส่วนมีการนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ก่อนจะมีการส่งมายังประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศไทยจึงมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดสู่โคและกระบือ โดยได้รับเชื้อผ่านทางการนำเข้าเคลื่อนย้ายสัตว์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ตลอดจนแมลงพาหะจากประเทศกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว และยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจทางการค้า และผลผลิต หากมีการระบาดของโรคเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่พบรายงานการเกิดโรคลัมปี สกิม ซึ่งหากมีการระบาดของโรคดังกล่าวเกษตรกรบางรายประสบภาวะขาดทุนในการเลี้ยงโค และยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจทางการค้า และผลผลิต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39411 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาโคเนื้อตาก | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
‘รมช.ประภัตร’ เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาโคเนื้อตาก
‘รมช.ประภัตร’ เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาโคเนื้อตาก เกษตรกรขานรับโครงการโคขุนกู้วิกฤต โควิด 19
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาโคเนื้อตาก ณ ต.ตากตก อ.บ้านตาก จ.ตาก ว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่โคเนื้อในเขตปฏิรูปที่ดินมีเกษตรกรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลักคือเกษตรกรรม โดยปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักและเลี้ยงโคเนื้อเป็นอาชีพเสริม เกษตรกรสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากทรัพยากรดินและน้ำไม่เหมาะสมในการปลูกข้าว เกษตรกรอาศัยน้ำฝนเป็นหลักในการทำการเกษตร ทำให้ผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย และมีหนี้สิน และด้วยผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ทำให้มีอุปสรรคในการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น เกษตรกรมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้
ดังนั้น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาโคเนื้อตาก จึงมีแผนในการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพการเลี้ยงโคเนื้อลูกผสมพันธุ์ยุโรปให้แก่สมาชิก เพื่อจำหน่ายเป็นโคขุนซึ่งตลาดมีความต้องการสูง ประกอบกับกลุ่มฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ในการซื้อขายโคกลางน้ำกับผู้ประกอบการเครือข่าย และต้องการต่อยอดทำเกษตรสมัยใหม่ โดยใช้เครื่องจักรกลเทคโนโลยี เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ ยกระดับมาตรฐานและเพิ่มศักยภาพการเลี้ยงโคเนื้อและจัดการอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มศักยภาพและความเข้มแข็งในการบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตร ยกระดับสินค้า และสร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพผลผลิต และผลตอบแทนจากการผลิต การลดต้นทุนการผลิต รายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป สอดคล้องกับโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯ หรือ โคขุนกู้วิกฤติ โควิด19 ที่รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ 50,000 ล้านบาท ให้เกษตรกร 1 ล้าน ดอกเบี้ย 100 บาท เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อ เรื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาด เพิ่มศักยภาพการเลี้ยงโคเนื้อและโคขุนแก่สมาชิก เพื่อยกระดับสินค้าให้มีคุณภาพ และลดต้นทุนการผลิต
ทั้งนี้ แปลงใหญ่โคเนื้อดังกล่าว มีสมาชิกทั้งหมด 80 ราย มีวัวของสมาชิกทั้งหมดประมาณ 540 ตัว พื้นที่ 1,700 ไร่ แปลงหญ้าอาหารสัตว์สมาชิกแต่ละรายมีไม่น้อยกว่า 5 ไร่ รวมไม่น้อยกว่า 400 ไร่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39415 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงแผนกระจายวัคซีนโควิด 19 เตรียมพร้อมระบบรองรับแล้ว | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.แจงแผนกระจายวัคซีนโควิด 19 เตรียมพร้อมระบบรองรับแล้ว
กระทรวงสาธารณสุขพร้อมฉีดวัคซีนโควิด 19 ล็อตแรกที่มีจำนวนจำกัดในกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมาย 18 จังหวัด เตรียมพร้อมระบบรองรับแล้ว เบื้องต้นให้โรงพยาบาลนัดกลุ่มเสี่ยงมาฉีดวัคซีน จากนั้นใช้ระบบ "หมอพร้อม" ติดตามอาการและนัดหมายฉีดเข็มที่ 2
วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว การกระจายวัคซีนโควิด 19 และความพร้อมของสถานพยาบาลในการฉีดวัคซีน ว่า ขณะนี้วัคซีนของซิโนแวคอยู่ระหว่างการตรวจคุณภาพ (Lot Release) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อนำมาฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 และประชาชนที่มีโรคประจำตัวที่ติดเชื้อแล้วเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิตง่าย ในช่วงอายุ 18-59 ปี ในพื้นที่ ที่คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) กำหนด ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จำนวน 18 จังหวัดการขนส่งมีองค์การเภสัชกรรมร่วมกับบริษัท DKSH ดำเนินการด้วยระบบลูกโซ่ความเย็น ควบคุมอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถส่งวัคซีนไปถึงโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งทั่วประเทศภายใน 24 ชั่วโมง
นายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า เนื่องจากวัคซีนทยอยมาเป็นล็อต จึงไม่สามารถฉีดให้แก่กลุ่มเสี่ยงทั้งหมดคราวเดียวได้ การกำหนดว่าจะจัดสรรให้กลุ่มเสี่ยงใดและพื้นที่ใดก่อนขึ้นกับการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด โดยมีการจัดทำแผนการบริหารจัดการวัคซีนจังหวัด นำรายชื่อกลุ่มที่จะได้รับการฉีดวัคซีนเข้ามาในระบบ Line Official Account หมอพร้อม ซึ่งในกลุ่มจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนก่อนจะแสดงรายชื่อกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฉีดวัคซีนภายใน 1-2 วันนี้ อย่างไรก็ตาม ระยะแรกโรงพยาบาลจะติดต่อกลุ่มเป้าหมายให้รับวัคซีนตามความสมัครใจก่อน จากนั้นจะประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเสี่ยงลงทะเบียนเลือกวัน เวลา สถานที่ฉีดผ่านไลน์หมอพร้อมต่อไป แต่หากตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับวัคซีน แต่ไม่มีรายชื่อให้ติดต่อโรงพยาบาลที่รักษาและขอลงทะเบียนเพิ่มเติม สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าในไลน์หมอพร้อมได้ แต่จะยังไม่มีรายชื่อเป็นผู้ได้รับวัคซีน
นายแพทย์ธงชัยกล่าวต่อว่า สำหรับวัคซีนของแอสตราเซนเนกา คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาให้ฉีดในผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปเป็นหลัก จึงเข้ามาเติมเต็มการฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายระยะแรก โดยออกแบบให้มีการฉีดคนละวันกับวัคซีนของซิโนแวค โดยวัคซีนของซิโนแวคจะฉีดวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนของแอสตราเซนเนกาฉีดวันเสาร์และอาทิตย์ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายเป็นคนละกลุ่ม ทั้งนี้ สถานพยาบาลได้จัดสถานที่และระบบขั้นตอนการฉีดวัคซีน 8 ขั้นตอนตามที่กำหนดแล้ว โดยขอให้ผู้ที่มารับการฉีดวัคซีนใช้ไลน์ หมอพร้อม ในการติดตามอาการหลังรับการฉีดวัคซีน ซึ่งจะมีระบบในการแจ้งเตือนในการมารับวัคซีนเข็มที่สอง โดยของซิโนแวคจะฉีดห่างกัน 21 วัน ส่วนของแอสตราเซนเนกาฉีดห่างกัน 10-12 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจะมีการติดตามผ่าน อสม.และทางโทรศัพท์
“การบริหารจัดการวัคซีนมีการวางระบบเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด ตั้งแต่การขนส่งที่มีการติดตามวัดอุณหภูมิให้คงที่จนถึงตู้เย็นในโรงพยาบาล มีการทำข้อมูลว่าฉีดวัคซีนของอะไร ล็อตนัมเบอร์อะไร ทำให้ตรวจสอบได้ทั้งหมด” นายแพทย์ธงชัยกล่าว
*************************** 25 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39439 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เผย ตลาดแรงงาน EEC เปิดรับแรงงาน กว่าหมื่นอัตรา | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
ก.แรงงาน เผย ตลาดแรงงาน EEC เปิดรับแรงงาน กว่าหมื่นอัตรา
กระทรวงแรงงาน สำรวจความต้องการแรงงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) พบยังต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรม 11,682 อัตรา เพื่อทำงานในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมุ่งมั่นดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่เศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องด้านแรงงาน มีศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) เป็นองค์กรสำคัญในการขับเคลื่อนด้านแรงงาน เศรษฐกิจและสังคม ให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ ซึ่งจะนำมาสู่การจ้างงานจำนวนมาก โดยเฉพาะกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจากการสำรวจความต้องการแรงงานในพื้นที่ฯ พบต้องการแรงงานจำนวน 11,682 อัตรา แบ่งเป็นจังหวัดระยอง 8,083 อัตรา ฉะเชิงเทรา 1,807 อัตรา และชลบุรี 1,792 อัตรา
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ได้จัดหาตำแหน่งงานว่างในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 11,682 อัตรา โดยมีตำแหน่งงาน ดังนี้ 1.แรงงานด้านการประกอบอื่น ๆ 5,931 อัตรา 2.แรงงานด้านการผลิตอื่นๆ ; แรงงานทั่วไป 3,449 อัตรา 3.พนักงานบริการอื่น ๆ 196 อัตรา 4.ช่างประกอบยานยนต์ 161 อัตรา 5.ช่างเทคนิควิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 130 อัตรา 6.ช่างเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า 129 อัตรา 7.พนักงานคัดแยกไปรษณีย์ภัณฑ์ 100 อัตรา 8.พนักงานขับรถยนต์บรรทุกขนาดเล็กและรถตู้ 83 อัตรา 9.เจ้าหน้าที่คลังสินค้าอื่นๆ 90 อัตรา 10.พนักงานขับรถยนต์ 60 อัตรา และอื่นๆ (เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ,ยามรักษาการณ์ ,พนักงานรักษาความปลอดภัยที่จอดรถ ,ช่างเทคนิควิศวกรรมโลหะ ฯลฯ)
“สำหรับภารกิจของกรมการจัดหางานในศูนย์ EEC มีการให้บริการ 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. จัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (Fist S-curve) อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S- curve) และอุตสาหกรรมดั้งเดิม 2.ให้บริการแนะแนวอาชีพสำหรับนักเรียน และนักศึกษา เพื่อการตัดสินใจเลือกเรียนในสายอาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งทำให้มีโอกาสได้รับการจ้างงานสูง 3.ตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทำงานแก่ผู้บริหาร ช่างฝีมือ ผู้ชำนาญ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรม และกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียม รวมทั้งการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาการว่างงาน การวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังแรงงานคุณภาพเข้าสู่ตลาดแรงงาน ผู้สนใจสามารถเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ซึ่งตั้งอยู่ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการหางานทำ สามารถเข้าดูรายละเอียดตำแหน่งงานว่างได้ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th หรือขอรับคำปรึกษา แนะแนวอาชีพ และแนะนำการประกอบอาชีพอิสระ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39416 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยชะลอการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างรถไฟไทย-จีน 3-1 หลังศาลปกครองมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดีไว้ชั่วคราว | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยชะลอการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างรถไฟไทย-จีน 3-1 หลังศาลปกครองมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดีไว้ชั่วคราว
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง งานก่อสร้าง โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง งานก่อสร้าง งานสัญญาที่ 3-1 งานโยธาสำหรับช่วงแก่งคอย-กลางดง และช่วงปางอโศก-บันไดม้า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา) ว่า ตามที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง พิจารณาให้ บริษัท บีพีเอ็นพี จำกัด (กลุ่มบริษัท นภาก่อสร้างและพันธมิตรจากประเทศมาเลเซีย) มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการเข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าว ต่อมาทาง บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เทน เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ปจำกัด ซึ่งทำสัญญาร่วมค้าอันมีลักษณะเป็นกิจการร่วมค้ากับบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งของ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง
หลังจากได้พิจารณาแล้ว ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างรถไฟไทย-จีน 3-1 ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น เนื่องจากเห็นว่าการทุเลาบังคับคดีในครั้งนี้ไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐและไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งการรถไฟฯรับปฏิบัติตามศาลปกครองกลาง จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39417 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ร่วมบริจาคโลหิตในกิจกรรมจิตอาสาบริจาคโลหิตของกระทรวงวัฒนธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
ปลัดวธ.ร่วมบริจาคโลหิตในกิจกรรมจิตอาสาบริจาคโลหิตของกระทรวงวัฒนธรรม
ปลัดวธ.ร่วมบริจาคโลหิตในกิจกรรมจิตอาสาบริจาคโลหิตของกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมบริจาคโลหิตในกิจกรรมจิตอาสาบริจาคโลหิตของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตเป็นจำนวนมาก ณ ห้องแถลงข่าวชั้น ๑ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39419 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าทลายแหล่งขายยา “ทำแท้งเถื่อน” ออนไลน์ | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
เดินหน้าทลายแหล่งขายยา “ทำแท้งเถื่อน” ออนไลน์
...
ปัญหาท้องไม่พร้อม ส่งผลให้แม่วัยใส
ใช้สื่อออนไลน์โดยเฉพาะทวิตเตอร์
ค้นหาแหล่งขายยาทำแท้ง และนำไปใช้
ทำแท้งด้วยตนเอง ซึ่งเป็นอันตราย
ต่อชีวิตเป็นอย่างมาก
.
จากปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการอาหารและยา
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมมือกัน
ดำเนินการสืบสวน ค้นหาตัวผู้ลักลอบขายยา
ทำแท้งเถื่อน จนสามารถจับกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่
ได้ 5 ราย ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ กรุงเทพฯ
กาญจนบุรี นนทบุรี และสมุทรสาคร
.
แม้ว่า กฎหมายจะสามารถให้หญิงอายุครรภ์
ไม่เกิน 12 สัปดาห์ สามารถทำแท้งได้
แต่การทำแท้งได้นั้น ต้องทำอย่างถูกกฎหมาย
ภายใต้การดูแลของแพทย์
.
สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม
สามารถพูดคุย และปรึกษาปัญหาได้ที่
สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม
โทร. 1663 เพื่อหาทางออก
ที่ถูกต้องและปลอดภัย
.
หากประชาชนทราบเบาะแสการลักลอบผลิต
นำเข้า จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย
ก็สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1135
กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิด
เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก. ปคบ.)
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39421 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สปสช. แจงการโอนเงินสำหรับค่าบริการเดือน ม.ค. 64 เป็นเดือนแรกที่ปรับระบบการคำนวณใหม่ จึงโอนเงินล่าช้า แต่เดือนต่อไปคาดว่าจะโอนได้ไม่เกินวันที่ 15 ของเดือน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
สปสช. แจงการโอนเงินสำหรับค่าบริการเดือน ม.ค. 64 เป็นเดือนแรกที่ปรับระบบการคำนวณใหม่ จึงโอนเงินล่าช้า แต่เดือนต่อไปคาดว่าจะโอนได้ไม่เกินวันที่ 15 ของเดือน
สปสช. แจงการโอนเงินสำหรับค่าบริการเดือน ม.ค. 64 เป็นเดือนแรกที่ปรับระบบการคำนวณใหม่ จึงโอนเงินล่าช้า แต่เดือนต่อไปคาดว่าจะโอนได้ไม่เกินวันที่ 15 ของเดือน
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 นายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา สปสช. ชี้แจงกรณีวิจารณ์ สปสช.โอนเงินค่ารักษาพยาบาลให้แก่ รพ.และหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าล่าช้าว่า การโอนเงินในส่วนของงบประมาณผู้ป่วยในและกลุ่มโรคเฉพาะให้หน่วยบริการในแต่ละเดือนของ สปสช.นั้น จะกำหนดวันโอนเงินให้หน่วยบริการตามคู่มือการเบิกจ่ายฯ แต่ส่วนมาก สปสช.จะพยายามโอนก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม มีบางเดือนที่การโอนเงินล่าช้าบ้าง ทั้งนี้ในส่วนของรอบปกติเดือน ก.พ.64 นี้ สปสช.จะโอนงบประมาณส่วนนี้ให้หน่วยบริการตามกำหนดเดิม คือ 25 ก.พ.64 ซึ่งก็เป็นการโอนตรงเวลาตามรอบปกติ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางการโอนใหม่แต่อย่างใด เมื่อได้รับการทักท้วงจากหน่วยบริการในเดือน มี.ค.64 สปสช.จะพิจารณาโอนเงินในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์แทน ในส่วนของงบประมาณผู้ป่วยนอกและค่าบริการส่งต่อผู้ป่วยนั้น เนื่องจาก สปสช.ได้ทำการปรับระบบการคำนวณการจ่ายเงินผู้ป่วยนอก (Point OP) ใหม่ เพื่อรองรับนโยบายย้ายหน่วยบริการเกิดสิทธิทันที จึงทำให้การโอนเงินสำหรับค่าบริการเดือน ม.ค.64 ซึ่งเป็นเดือนแรกที่ปรับระบบการคำนวณใหม่ จึงมีการโอนเงินที่ล่าช้าไป แต่เดือนต่อไปคาดว่าจะโอนได้ไม่เกินวันที่ 15 ของเดือน
----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ เลข 2 หลัก ต่อเนื่อง 6 วัน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.เผยตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ เลข 2 หลัก ต่อเนื่อง 6 วัน
กระทรวงสาธารณสุข เผยตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ มีจำนวนต่ำกว่า 100 ราย ต่อเนื่อง 6 วัน ควบคุมสถานการณ์ได้ดี จากการสอบสวนโรครวดเร็ว ติดตามผู้สัมผัสได้ครอบคลุม สื่อสารให้ข้อมูลโดยไม่ปิดบัง ช่วยจำกัดการแพร่ระบาดวงกว้างได้
วันนี้ (25กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด19 ของประเทศไทย ว่าวันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 72 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล43 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 20 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 9 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 192 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้อ 25,764 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวน 21,527 ราย หายป่วยสะสม 20,557 ราย คิดเป็นร้อยละ 95.49 ยังอยู่ระหว่างการรักษา 947 ราย เสียชีวิตสะสม 23 ราย วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9 จังหวัด ได้แก่ จ.สมุทรสาคร กทม. ปทุมธานี นครนายก พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ตาก สมุทรสงคราม และสระบุรี
นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศไทยต่ำกว่า 100 ราย ต่อเนื่องมา 6 วันถือว่ามีแนวโน้มที่ดี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการป้องกันควบคุมโรคในแต่ละพื้นที่ สามารถบริหารจัดการ สถานการณ์ได้เป็นอย่างดี จากการสอบสวนโรคทำให้ติดตามค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง-ต่ำได้แม้จะมีการเดินทางข้ามจังหวัด รวมถึงสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ในการป้องกันตนเอง เช่น ในกรณีแม่ค้าติดเชื้อโควิด 19 ที่ จ.เพชรบุรี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกรณีตลาดใน จ.ปทุมธานี ภาครัฐสื่อสารสู่ประชาชน ทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือไม่ปิดบังข้อมูล ทำให้จำกัดวงแพร่ระบาด พบผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้สัมผัสเพียง 2-3 รายเท่านั้น
ส่วน จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่เกิดการระบาดระลอกสอง ขณะนี้การป้องกันควบคุมโรคเป็นไปตาม แผนที่กำหนด ไม่พบกลุ่มก้อนใหม่ หากสถานการณ์ดีขึ้น พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน สถานประกอบการ มีโอกาสที่จะได้รับการผ่อนคลายมาตรการ จึงขอให้ทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุข แนะนำอย่างเคร่งครัดและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
สำหรับวัคซีนโควิด 19 ที่มาถึงประเทศไทยแล้ว เมื่อมีความพร้อมจะจัดฉีดให้ประชาชนตามกลุ่มเป้าหมายและเมื่อฉีดครบทั้ง 2 เข็ม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะออกใบรับรองการฉีดครบสองเข็ม
เป็นเอกสารเพื่อใช้ประโยชน์อื่นต่อไป
*************************** 25 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39437 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจราคายางพาราปรับตัวทิศทางบวก ยึดแนวทางเศรษฐกิจ BCG แก้ปัญหารายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ พอใจราคายางพาราปรับตัวทิศทางบวก ยึดแนวทางเศรษฐกิจ BCG แก้ปัญหารายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน
นายกฯ พอใจราคายางพาราปรับตัวทิศทางบวก ยึดแนวทางเศรษฐกิจ BCG แก้ปัญหารายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน
วันที่ 25 ก.พ.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจสถานการณ์ยางพาราที่มีแนวโน้มราคาบวกอย่างต่อเนื่อง คาดว่าทั้งปีราคายางแผ่นดิบทรงตัวเฉลี่ยอยู่ที่ราคา 60 บาท/กก. จากปัจจัยสนับสนุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้แนวทางการใช้ยางพาราผลิตเป็นเสาหลักนำทางและแบริเออร์นั้น ทำให้มีความต้องการยางพาราและน้ำยางพาราเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อเม็ดเงินที่ถึงเกษตรกรชาวสวนยางพาราที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราคายางพารามีแนวโน้มอยู่ในทิศทางบวกตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากความต้องการใช้ยางพาราทั้งจากต่างประเทศมีเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน การกระตุ้นเศรษฐกิจหลังช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 สนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ในหลายมณฑลเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการนำเข้าล้อยางรถยนต์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยางพารามากยิ่งขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้ยางภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมถุงมือยางจากผู้ประกอบการเดิมและรายใหม่
เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 1 เท่าตัว จาก 4,000 ล้านชิ้น เป็น 8,000 ล้านชิ้น และที่สำคัญคือ การดำเนินนโยบายของรัฐบาล ทั้งการนำยางพารามาใช้ในด้านความปลอดภัยทางถนน แบริเออร์คอนกรีตหุ้มยางพารา (Rubber Fender Barriers) และเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post) ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางไว้ สามารถดึงยางออกจากระบบ ทำให้ราคายางพาราแผ่นดิบและน้ำยางพาราสามารถยืนอยู่เหนือ 60 บาท/กก. ได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่านายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายการเกษตร BCG แบบยั่งยืน ด้วยการเกษตรผสมผสาน ลดความเสี่ยงด้านผลผลิต รวมทั้งโครงการแปลงใหญ่ เน้นให้มีการรวมกลุ่มของเกษตรกร ให้ความรู้สนับสนุนเงินทุนเพิ่มศักยภาพการผลิตทั้งในรูปแบบต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีแทนการขายวัตถุดิบ ตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้กับเกษตรกรทุกชนิดอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39405 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดศักราชต้อนรับปีที่ 124 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย พบกับเนื้อหาภายในเล่มที่นำเสนอแบบทวีคูณความสุข | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
เปิดศักราชต้อนรับปีที่ 124 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย พบกับเนื้อหาภายในเล่มที่นำเสนอแบบทวีคูณความสุข
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เชิญชวนร่วมกิจกรรม "ทวีคูณความสุข...สนุกกับการเดินทาง"
∞∞ 1 วันก็เที่ยวได้กับการรถไฟฯ (เช้าไป – เย็นกลับ)
∞∞ ความสุข x 2 กับตู้รถไฟสุดพิเศษ
∞∞ สุขยกกำลัง 4 กับขบวนรถสุดพิเศษ มุ่งสู่ทุกทิศทั่วไทย
มาร่วม "ทวีคูณความสุข...สนุกกับการเดินทาง"แบบไม่รู้จบตลอดปีไปด้วยกัน
อ่านแบบ E-book ที่https://fliphtml5.com/bookcase/iwwt
ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ได้ที่https://drive.google.com/file/d/1gc_lNIs5qdU1L5S_BHH5MRZYMqNibjBy/view?usp=sharing
ติดต่อขอรับ “วารสารรถไฟสัมพันธ์” ได้ทุกสถานีทั่วประเทศ หรือ ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39424 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส-หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน ร่วมวางแนวปฏิบัติรับ กม.คุ้มครองข้อมูลฯ | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
ดีอีเอส-หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน ร่วมวางแนวปฏิบัติรับ กม.คุ้มครองข้อมูลฯ
ดีอีเอส-หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน ร่วมวางแนวปฏิบัติรับ กม.คุ้มครองข้อมูลฯ
เมื่อวันที่25กุมภาพันธ์ 2564 นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมประชุมหารือเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยร่วมหารือประเด็นสำคัญ1.เรื่องในทางปฏิบัติของภาคการเงินเช่นแนวทางปฏิบัติเก็บรวบรวมข้อมูลอ่อนไหว( Sensitive data)แนวทางปฏิบัติรองรับกรณีเก็บข้อมูลอ่อนไหวก่อนพ.ร.บ.มีผลใช้บังคับ การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ากลุ่มเปราะบางมาตรฐานการส่ง/โอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศแนวทางหรือตัวอย่างการเทียบBinding Corporate Rules (BCR)กับมาตรฐานGDPR แนวทางการตรวจสอบและรับรองBCRการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล( Security) หลักการและมาตรการที่สอดล้องตามมาตรฐานสากล2.ความเชื่อมโยงบทบาทหน้าที่ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินและสคส.เช่นการออกกฎหมายลำดับรองความร่วมมือในการกำกับและตรวจสอบเป็นต้น
ในการนี้ได้มีผู้แทนจากหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงิน และสมาคมภาคการเงินได้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)คปภ.)และสมาคมภาคการเงิน(สมาคมธนาคารไทยสมาคมประกันชีวิตไทยสมาคมประกันวินาศภัยไทยสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยและสมาคมบริษัทจัดการลงทุน) เข้าร่วมประชุมณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน แจงไทยมีวัคซีนโควิด 19 รวม 317,600 โดส จากซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
อนุทิน แจงไทยมีวัคซีนโควิด 19 รวม 317,600 โดส จากซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แจงไทยมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 รวม 317,600 โดส จาก ซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า เมื่อผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมฉีดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ยืนยันวัคซีนโควิด 19 ย้ำไทยไม่ล่าช้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แจงไทยมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19รวม317,600 โดสจาก ซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า เมื่อผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พร้อมฉีดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ยืนยันวัคซีนโควิด 19 ย้ำไทยไม่ล่าช้า มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 มากที่สุดในอาเซียน และไม่ปิดกั้นการขึ้นทะเบียนวัคซีนจากบริษัทอื่น
วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในประเทศแล้ว 317,600 โดสเป็นวัคซีนล็อตแรกจากซิโนแวค 200,000 โดส และในส่วนแอสตร้าเซนเนก้า 117,600 โดส ที่ได้มาก่อนกำหนดจากโรงงานการผลิตที่มีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วโลก โดยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขได้ใช้ความพยายามในการเจรจาให้ได้วัคซีนมา ซึ่งวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าล็อตนี้เป็นส่วนหนึ่งของ 61 ล้านโดส ที่ได้ทำสัญญาจองซื้อมีมาตรฐาน และผ่านการขึ้นทะเบียนจาก อย.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้เกิดความครอบคลุมการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และพื้นที่ควบคุม
นายอนุทินกล่าวต่อว่า เมื่อวัคซีนจากทั้ง 2 บริษัทผ่านการตรวจรับรองคุณภาพและรับรองรุ่นการผลิตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่สุด สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับผู้นำประเทศ จะมีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นผู้ตัดสินใจ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขไม่ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนโควิด 19 จากบริษัทอื่นๆ หากมีเอกสารที่ถูกต้อง มีแหล่งที่มาและแหล่งผลิตที่ได้รับมาตรฐาน ก็สามารถนำมาขึ้นทะเบียนกับอย.ได้
“วัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยไม่ได้ล่าช้าหรือมีอุปสรรคใดๆ วันนี้ไทยมีวัคซีนโควิด 19 อยู่ในมือมากที่สุดในอาเซียน หากนับจำนวนประชากรหรืออัตราส่วนประชากรประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกนี้ และขอให้มั่นใจในวัคซีนและกระบวนการฉีดว่ามีความปลอดภัยในทุกขั้นตอน มีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีน ควบคุมให้เกิดความเป็นธรรม ทั่วถึง เป็นไปตามหลักวิชาการทางการแพทย์ และอยู่ในกระบวนการสาธารณสุขที่แข็งแกร่งของประเทศไทยทุกประการ” นายอนุทินกล่าว
************************** 25 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39414 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เป็นประธานประชุม ศปถ. เน้นย้ำ "ต้องเสริมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทุกคนตระหนักและมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน" เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
มท.1 เป็นประธานประชุม ศปถ. เน้นย้ำ "ต้องเสริมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทุกคนตระหนักและมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน" เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน
มท.1 เป็นประธานประชุม ศปถ. เน้นย้ำ "ต้องเสริมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทุกคนตระหนักและมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน" เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (25 ก.พ. 64) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ถนนนครราชสีมา กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะกรรมการ ศปถ. เข้าร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ทุกจังหวัด
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดให้การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ในวันนี้ จะได้พิจารณาข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลที่ผ่านมาเพื่อได้ทราบว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยใด เช่น ปัจจัยด้านกายภาพ ปัจจัยด้านผู้ใช้รถใช้ถนน ปัจจัยด้านยานพาหนะ ปัจจัยด้านบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น ซึ่งจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงอยู่ จึงต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดมาตรการ แผนและกรอบการทำงานในการขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงเทศกาลสำคัญ เพื่อให้การสูญเสียลดลงได้
จากนั้น ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสำคัญของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ และพิจารณา (ร่าง) แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ภายใต้หัวข้อรณรงค์ "สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” ครอบคลุมทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง มุ่งเป้าลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ช่วง ได้แก่ 1) ช่วงรณรงค์และประชาสัมพันธ์ 15 มี.ค. – 2 เม.ย. 64 และ 2) ช่วงดำเนินการ แบ่งเป็น ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น 7 วัน 3 – 9 เม.ย. 64 ช่วงควบคุมเข้มข้น 10 – 16 เม.ย. 64 และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น 17 – 23 เม.ย. 64
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศปถ. ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรฐานการจัดตั้งด่านชุมชน โดยการบูรณาการร่วมกันของกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดตั้งด่านชุมชนในการตรวจสอบและอำนวยความสะดวกประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในชุมชนให้เกิดความปลอดภัย และป้องกันอุบัติเหตุบนถนนในชุมชน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เน้นย้ำว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ลดการเกิดอุบัติเหตุได้ คือ ต้องเสริมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทุกคนตระหนักและมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน เคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนต้องร่วมมือกันดูแลคนในชุมชน นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลดปัจจัยเสี่ยงทางกายภาพที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งถนนหนทาง จุดกลับรถ และเครื่องหมายจราจรต่าง ๆ โดยเฉพาะทางร่วมทางแยก และจุดตัดถนน ทั้งถนนสายหลักและถนนในท้องถิ่น รวมถึงการกำหนดหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ในการใช้รถใช้ถนนและลดอุบัติเหตุด้านต่าง ๆ ให้กับนักเรียน นักศึกษา อันจะทำให้เกิดการสร้างความตระหนักให้กับเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็นต้น
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกิดการสร้างการสัญจรปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ต้องใช้กลไกการดำเนินการในพื้นที่ (Area Approach) เป็นหลัก โดยให้กรุงเทพมหานคร จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง บูรณาการทุกหน่วยงานในการป้องกันและลดอุบัติเหตุ โดยนำข้อมูล และสถิติที่ผ่านมาในการกำหนดมาตรการและความเข้มข้นของแต่ละพื้นที่ รวมถึงการดำเนินการตามมาตรฐานด่านชุมชน รวมถึงการบูรณาการมาตรการทั้งประเพณีสงกรานต์ การสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการใช้รถใช้ถนน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และขอให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความตระหนักอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ เพื่อประเมิน วิเคราะห์ปัจจัย เพื่อใช้สะท้อนและปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของประชาชน ทั้งนี้ ต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดย ศปถ. จะสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานสามารถขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุไปสู่เป้าหมายเพื่อให้ประชาชนทุกคนปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39440 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.ประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ พชอ. และ พชข. ร่วมกับ สธ. กำหนดเป้าหมายดำเนินงาน ปี 2564-2565 พร้อมยกระดับการขับเคลื่อน พชอ. โดย พชจ. | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
มท.ประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ พชอ. และ พชข. ร่วมกับ สธ. กำหนดเป้าหมายดำเนินงาน ปี 2564-2565 พร้อมยกระดับการขับเคลื่อน พชอ. โดย พชจ.
มท.ประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ พชอ. และ พชข. ร่วมกับ สธ. กำหนดเป้าหมายดำเนินงาน ปี 2564-2565 พร้อมยกระดับการขับเคลื่อน พชอ. โดย พชจ.
วันนี้ (25 ก.พ. 2564) เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับอำเภอ (พชอ.) คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับเขต (พชข.) รวมทั้งร่วมกันกำหนดเป้าหมายและทิศทางการขับเคลื่อน พชอ. และ พชข. ปี 2564-2565
นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ พ.ศ. 2561 กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่” ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่ปรึกษา ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ และปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธานกรรมการ ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์การแพร่-ระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) เป็นที่น่าชื่นชมว่าคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน “เฝ้าระวัง ควบคุมและป้องกัน” การแพร่ระบาดในระดับพื้นที่ด้วยกลไกการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) โดย ศบค.อำเภอ ร่วมกับ นายอำเภอ ในฐานะประธาน พชอ. ระดมสรรพกำลังและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน เฝ้าระวัง ควบคุมและป้องกัน COVID-19 ผ่านมาตรการต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จและสามารถสร้างสุขภาวะให้ชุมชนมีภูมิต้านทานที่เข้มแข็ง ปลอดภัยจากการแพร่ระบาด ฯ พร้อมกันนี้จากผลการดำเนินงานในประเด็นการขับเคลื่อน พชอ.ประจำปี 2563 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย นั้น พบว่า มีการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาตามบริบทของพื้นที่ จำนวน 1,026 ประเด็น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 983 ประเด็น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบรมวงศานุวงศ์ จำนวน 554 ประเด็น โครงการตามแนวพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 523 ประเด็น การดูแลเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มเปราะบาง จำนวน 468 ประเด็น การป้องกันอุบัติภัยทางถนน จำนวน 417 ประเด็น และการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน จำนวน 327 ประเด็น ซึ่งสิ่งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า กลไก พชอ. เป็นกลไกที่มีความสำคัญ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ และในระดับชาติด้วย
ด้าน นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผลการดําเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นั้น ได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ พ.ศ. 2561 ครบทุกอำเภอ ครอบคลุมทั้งประเทศ จํานวน 878 อําเภอ และ 50 เขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างมีสวนร่วมของ พชอ. ครบทุกอําเภอ อย่างน้อยอำเภอละ 2 ประเด็น พบว่า มีการดําเนินงานรวมทั้งสิ้น 2,706 โครงการ โดยมีประเด็นการขับเคลื่อน ดังนี้ 1. การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม จํานวน 554 อําเภอ 2. ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ยากไร้และผู้เปราะบาง จํานวน 502 อําเภอ 3. อุบัติเหตุ จํานวน 479 อําเภอ 4. อาหารปลอดภัย เกษตรปลอดสารเคมี จํานวน 264 อําเภอ 5. แม่และเด็ก พัฒนาการเด็ก และวัยรุ่น จํานวน 232 อําเภอ 6. โรคติดต่อ จำนวน 180 อำเภอ 7. โรคไม่ติดต่อ (Non-communicable diseases หรือ NCDs) จำนวน 170 อำเภอ และ 8. ยาเสพติด จำนวน 164 อำเภอ ซึ่งเป็นการบูรณาการและระดมทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และภารกิจ ภายใต้อํานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ในอำเภอ ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ตามความเหมาะสมกับสภาพข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาในพื้นที่
จากนั้น ที่ประชุมได้มีการหารือเสนอปรับเป้าหมายการดำเนินงาน พชอ. และ พชข. ปี 2564-2565 โดยกำหนดให้มีนโยบาย 7 ข้อสำคัญ ดังนี้ 1. โครงการพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. โครงการพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เช่น โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” 3. โครงการในพระบรมวงศานุวงศ์ 4. การดูแล เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้เปราะบาง 5. การดูแลประชาชนจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 6. การป้องกันอุบัติภัยทางถนน และ 7. การพัฒนาและแก้ปัญหาตามบริบทพื้นที่ ภายใต้การบูรณาการการดำเนินงานของ พชอ. และ พชข. ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นต้น พร้อมยกระดับการขับเคลื่อน พชอ. โดยจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด (พชจ.) ขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และให้มีการปรับเปลี่ยนอนุกรรมการ จากเดิม 3 คณะ คือ 1. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ 2. คณะอนุกรรมการการติดตามประเมินผลและเสริมพลังการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ และ 3. คณะอนุกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ โดยให้แต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ (พชอ./พชข.) เพียงคณะเดียว เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน และบูรณาการ ตลอดจนลดความซ้ำซ้อนในตัวบุคคลผู้ทำงานในแต่ละคณะด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39441 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 19 - 24 กุมภาพันธ์ 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 19 - 24 กุมภาพันธ์ 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 19 - 24 กุมภาพันธ์ 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 534 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.50 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 19 - 24 กุมภาพันธ์ 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 534 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.50 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 306 คดี ค่าปรับ 2.73 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 139 คดี ค่าปรับ 2.69 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 17 คดี ค่าปรับ 0.17 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 23 คดี ค่าปรับ 1.42 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 39 คดี ค่าปรับ 1.99 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 10 คดี ค่าปรับ 0.50 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 3,238.315 ลิตร ยาสูบ จำนวน 14,127 ซอง ไพ่ จำนวน 1,021 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 40,208.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จำนวน 159 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 24 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 11,969 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 223.84 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 6,742 คดี ค่าปรับ 61.27 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 3,586 คดี ค่าปรับ 80.11 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 274 คดี ค่าปรับ 3.26 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 501 คดี ค่าปรับ 37.74 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 43 คดี ค่าปรับ 1.79 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 575 คดี ค่าปรับ จำนวน 16.74 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 248 คดี ค่าปรับ 22.93 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 267,450.499 ลิตร ยาสูบ จำนวน 260,269 ซอง ไพ่ จำนวน 19,131 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,135,927.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 87,838 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,057 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39425 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ ส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น หนุนศักยภาพผู้ประกอบการไทยเข้าถึงแหล่งทุน | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
บีโอไอ ส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น หนุนศักยภาพผู้ประกอบการไทยเข้าถึงแหล่งทุน
บอร์ดบีโอไอหนุนบริษัทที่ได้ส่งเสริมจดทะเบียนในตลาด SET – mai โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีนิติบุคคลเพิ่ม หวังพัฒนาผู้ประกอบการไทยเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจประเทศโดยรวม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่าวันนี้ (10ก.พ.64) ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติอนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือ ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai)เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการไทย รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม
อีกร้อยละ100ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน)
ทั้งนี้ โครงการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอไปแล้ว แม้จะมีรายได้แล้วก็ตาม สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้ได้ แต่จะต้องมีสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลืออยู่ทั้งระยะเวลาและวงเงินที่ได้รับยกเว้น
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ไม่รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดSETหรือmaiอยู่แล้ว ก่อนวันที่มาตรการนี้มีผลใช้บังคับ โดยสามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายในวันทำการสุดท้ายของปี2565
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39034 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งมงกุฎไทย | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งมงกุฎไทย
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓
โดยในวันนี้ พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งให้เกียรติเป็นผู้เชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับข้าราชการสังกัด สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย จำนวน ๕๘๘ นาย ประกอบด้วย มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ๕๓ นาย มหาวชิรมงกุฎ ๑๒๙ นาย ปถมาภรณ์ช้างเผือก ๑๖๖ นาย และปถมาภรณ์มงกุฎไทย ๒๔๐ นาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-8,000 ล้านบาทสุดท้ายกับพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ “เราชนะ” | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
8,000 ล้านบาทสุดท้ายกับพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ “เราชนะ”
ขณะนี้วงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” คงเหลือเพียง 8,000 ล้านบาทสุดท้าย จากวงเงินรวม 55,000 ล้านบาท จึงขอให้ผู้สนใจรีบติดต่อสอบถามไปยังธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ขณะนี้วงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” คงเหลือเพียง 8,000 ล้านบาทสุดท้าย จากวงเงินรวม 55,000 ล้านบาท จึงขอให้ผู้สนใจรีบติดต่อสอบถามไปยังธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารกรุงไทยฯ ธนาคารกสิกรไทยฯ และธนาคารไทยพาณิชย์ฯ โดยกระทรวงการคลังจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะ” จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) เฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี และ 2.50 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งผู้ที่มีบัญชีพันธบัตร (Bond Book) แล้ว สามารถซื้อผ่าน Mobile Banking ที่ท่านมี Bond Book ได้ทันทีแบบไม่จำกัดวงเงิน ทั้งนี้ สบน. ห่วงใยในสุขภาพของประชาชนจึงขอให้ประชาชนใช้ช่องทางออนไลน์หรือสอบถามธนาคารตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งหนึ่ง
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39012 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำพาณิชย์ลดราคา! | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
จุรินทร์ นำพาณิชย์ลดราคา!
ช่วยประชาชน ตรุษจีน พร้อมตรวจราคาสินค้า ก่อนปล่อยคาราวานขายไข่ถูก และตั้งจุดหมูธงฟ้าราคาประหยัดทุกจังหวัด
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 10.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ผู้ประกอบการ ตรวจราคาสินค้าเพื่อดูแลผู้บริโภคช่วงเทศกาล ตรุษจีนโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน" ณ ตลาดเวิลด์มาร์เก็ต เขตทวีวัฒนา กทม. โดยบรรยากาศวันนี้ ตรวจราคาสินค้า หมู ไข่ ไก่ ส้ม ของไหว้ และน้ำมันปาล์ม จากนั้นได้นำปล่อยขบวนคาราวานไข่ราคาถูก-น้ำมันปาล์มลดราคา! ร่วมกับผู้บริหาร ปตท.-บางจาก-พีที และมอบนโยบายพาณิชย์จังหวัดด้วยการกำชับตรวจราคาสินค้าและการติดป้ายราคาเพื่อความเป็นธรรมต่อประชาชนทุกจังหวัด
นายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นช่วงที่กระทรวงพาณิชย์รณรงค์ให้ผู้ค้าขายสินค้าที่จำเป็นในช่วงตรุษจีนในราคาประหยัด เพื่อกำหนดราคาชี้นำตลาดในราคาพิเศษเพื่อลดค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนที่จำเป็นจะต้องทำพิธีไหว้บรรพบุรุษเนื่องในเทศกาลตรุษจีน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน 1.รถโมบายขายสินค้าสำคัญในราคาพิเศษเช่น ไข่ไก่ แผงละ 30 ฟอง 70 บาท เฉลี่ยฟองละ 2.33 บาท น้ำมันปาล์มขวดละ 42 บาทโดยเฉพาะยี่ห้อมรกตที่เข้าร่วมรายการ โดยรถโมบายจะกระจายไปทั่วกรุงเทพและปริมณฑลและต่างจังหวัด 2.ตลาดสดที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมีอยู่ด้วยกัน 20 ตลาดใหญ่และต่างจังหวัดมี 393 ตลาด กระจายทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขายไข่ไก่ แผงละ 70 บาทและหมูเนื้อแดงกิโลกรัมละ 130 บาทถือว่าถูกกว่าราคาตลาดทั่วไป 3.ตลาดสดยุติธรรมของกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศในกรุงเทพมีอยู่ด้วยกัน 20 ตลาดในส่วนภูมิภาคมีทั้งหมด 40 กว่าจังหวัด 70 กว่าตลาดด้วยกัน จะขายสินค้าที่จำเป็นเช่นหมูเนื้อแดง ไข่ไก่ ในราคาพิเศษและไก่จะขายในกิโลกรัมละ 70-80 บาท
" เมื่อเปรียบเทียบราคาของที่จำเป็นต่อการใช้ไหว้บรรพบุรุษปีนี้เทียบกับปีที่แล้ว ปีนี้ราคาต่ำลงมาเนื่องจากความต้องการลดลงและผลจากโควิดทำให้สินค้าต้องลดราคาลงมาบางส่วน ประกอบกับมาตรการกระทรวงพาณิชย์ที่ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ค้าและสมาคมตลาดสดไทย สมาคมการค้าตลาดการค้าส่งสินค้าเกษตรไทย และบริษัทโลจิสติกส์ เช่น นิ่มซี่เส็ง และแฟลช ทั้งนี้ จะช่วยลดภาระให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนทั่วประเทศโดยการลดราคาเริ่มตั้งแต่วันที่ 8-14 กุมภาพันธ์ และตนได้กำชับพาณิชย์จังหวัดทั่วทั้งประเทศให้ออกตรวจตลาดอยากให้ดำเนินการโดยเคร่งครัดอย่าให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภคหากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฏหมาย " นายจุรินทร์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39022 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” ถกเข้ม ตั้งคณะขับเคลื่อนพัฒนาทักษะฝีมือ หวังให้แรงงานได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
“บิ๊กป้อม” ถกเข้ม ตั้งคณะขับเคลื่อนพัฒนาทักษะฝีมือ หวังให้แรงงานได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม
รองนายกรัฐมนตรี “พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ประชุมคณะกรรมการ กพร.ปช. ครั้งที่ 3 กำหนดแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการบิน พร้อมพิจารณาร่างคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการอีก 4 คณะ หวังให้แรงงานทุกกลุ่มได้รับการพัฒนาทักษะฝีมืออย่างเท่า
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 3 โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน รวมทั้งหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยที่ประชุม ได้ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการบิน พร้อมทบทวนมติที่ประชุมของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 2 ในประเด็นการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด (กพร.ปจ.) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพและคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม 4 คณะ
พลเอก ประวิตร กล่าวว่า การดำเนินงานของ กพร.ปช. สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตรวมถึงการพัฒนาประเทศ โดยมีคนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนากำลังคนในทุกมิติตามวัตถุประสงค์นั้น ต้องอาศัยกลไกการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ที่จะขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางการพัฒนากำลังคน โดยที่ประชุมครั้งก่อน มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 4 คณะ จึงได้เชิญกรรมการทุกท่านเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ เพื่อพิจารณาและให้ความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลสูงสุด
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ เสนอแผนพัฒนากำลังคนอีก 1 กลุ่มคือการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการบิน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2565 – 2569) โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เนื่องจากระบบโลจิสติกส์เป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาประเทศ การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตจากภูมิภาคอื่นสู่ภูมิภาคเอเชียและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ทำให้ประเทศไทยได้เปรียบด้านสถานที่ตั้งและด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนจุดแข็งภายในประเทศ อาทิ สินค้าการเกษตร เช่น ยางพารา และข้าว เป็นต้น ที่สร้างมูลค่าการส่งออกสูง การส่งออกรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ และทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ซึ่งต้องอาศัยระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชน นับเป็นโอกาสสำคัญของไทยที่จะใช้ความได้เปรียบดังกล่าว ดังนั้น การพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์จึงมีความสำคัญและจำเป็นที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป
“การประชุมครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดแนวทางการผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ ส่งเสริมให้แรงงานไทยมีศักยภาพและทักษะอาชีพสูงขึ้น ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพิ่มสูงขึ้น และการดำเนินงานของ กพร.ปช. จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางการพัฒนาแรงงานให้เกิดผลสำเร็จ จึงขอให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงาน เช่นนี้ต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน” พลเอก ประวิตร กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน มอบนโยบายเนื่องในวันครบรอบ 67 ปี กองอาสารักษาดินแดน | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน มอบนโยบายเนื่องในวันครบรอบ 67 ปี กองอาสารักษาดินแดน
ผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน มอบนโยบายเนื่องในวันครบรอบ 67 ปี กองอาสารักษาดินแดน เน้นย้ำ น้อมนำพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศให้เกิดความยั่งยืน
วันนี้ (10 ก.พ. 64) นายกองใหญ่ อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พุทธศักราช 2497 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2497 จึงถือเป็น “วันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน” โดยในปีนี้ครบรอบ 67 ปี จึงได้มอบนโยบายให้ผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ได้น้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในคราวพระราชทานธงประจำกองอาสารักษาดินแดน มาเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งร่วมกับฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ตลอดจนประชาชนจิตอาสา ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยอย่างเข้มแข็งและจริงจัง ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาอธิปไตยของชาติ การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายใน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การป้องกันปราบปรามและการบำบัดรักษาผู้เสพยาเสพติด การปราบปรามการค้ามนุษย์ การป้องกันและปราบปรามการตัดไม้และทำลายทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งการปฏิบัติงานตามโครงการพระราชดำริเพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ประชาชน และความมั่นคงของประเทศชาติให้เกิดความยั่งยืน
ด้าน นายกองเอก ธนาคม จงจิระ หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กล่าวว่า ฝ่ายอำนวยการ กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน ได้มีการพิจารณามอบรางวัลให้แก่สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนและกองร้อยอาสารักษาดินแดนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ประจำปี 2563 ได้แก่
- ด้านการป้องกันและปราบปราม รางวัลที่ 1 สมาชิกโท ประเสริฐศรี พันทอง รางวัลที่ 2 นายหมู่ใหญ่ จรัญ คงเหลือ และสมาชิกเอก กิตติโชติ โพธินาม รางวัลที่ 3 นายหมู่ใหญ่ ธิติ จันทสิทธิ์ นายหมู่ใหญ่ ชัย ผิวเผือก และสมาชิกตรี วรยุทธ วงษ์ชาลี
- ด้านการพัฒนาฯ รางวัลที่ 1 นายหมู่ใหญ่ วรกรณ์ พินิจพงษ์ รางวัลที่ 2 นายหมู่ใหญ่ อับดอณ บ่ายศรี และนายหมู่โทไพศล อินทร์ทอง รางวัลที่ 3 นายหมู่ใหญ่ ประสาร แรกเลียง นายหมู่เอก พรโชคชัย สุขขี และสมาชิก อดิเรก สงคราม
- ประเภทกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัด รางวัลที่ 1 กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ 1 รางวัลที่ 2 กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดตรังที่ 1 และกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดหนองคายที่ 1
- ประเภทกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ รางวัลที่ 1 กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอหนองหญ้าปล้องที่ 8 จังหวัดเพชรบุรี รางวัลที่ 2 กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอเวียงสาที่ 5 จังหวัดน่าน กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอแม่แจ่มที่ 7 จังหวัดเชียงใหม่ กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอแก่งหางแมวที่ 10 จังหวัดจันทบุรี กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอเชียงคานที่ 5 จังหวัดเลย และกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอเพ็ญที่ 17 จังหวัดอุดรธานี
- ประเภทกองร้อยบังคับการและบริการ รางวัลที่ 1 กองร้อยบังคับการและบริการ กองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดสระบุรี รางวัลที่ 2 กองร้อยบังคับการและบริการ กองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดปัตตานี และกองร้อยบังคับการและบริการ กองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดยโสธร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39037 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มั่นใจ ! เลือกหน้ากากอนามัย มี มอก. | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
มั่นใจ ! เลือกหน้ากากอนามัย มี มอก.
...
หน้ากากอนามัย กลายเป็นปัจจัยที่ 5
ของมนุษย์ในยุค New Normal
จึงมีขายในตลาดหลายแบบ หลายราคา
.
เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
จึงต้องกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก.
เป็นเครื่องหมาย ให้ผู้ซื้อ ได้มั่นใจในคุณภาพ
.
หน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียว มอก.2424-2562
แบ่งตามการป้องกัน ได้ 3 ระดับ
ระดับ 1 สำหรับใช้งานทั่วไป
ระดับ 2 สำหรับการแพทย์ทั่วไป
ระดับ 3 สำหรับการแพทย์ผ่าตัด
.
โดยภายในเดือน ส.ค.64
ผู้ประกอบการ ที่จะ ผลิต
หรือ นำเข้า หน้ากากอนามัย
ต้องขอใบอนุญาต มอก. ก่อน
.
ยื่นขอออนไลน์ได้ที่
https://itisi.go.th/e-license/
ตลอด 24 ชั่วโมง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ! ใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี อมรมออนไลน์ได้แล้ว | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
เฮ! ใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี อมรมออนไลน์ได้แล้ว
...
มีข่าวดีมาบอกสำหรับผู้ขับขี่รถครับ
หากคุณเป็นผู้ขับรถยนต์ รถจักรยานยนต์
หรือรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
แล้วใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี
.
วันนี้ สามารถอบรมเพื่อต่อใบขับขี่ออนไลน์ได้แล้ว
ที่ www.dlt-elearning.com ของกรมการขนส่งทางบก
โดยสามารถนำผลการอบรมที่ผ่านเกณฑ์
มาดำเนินการต่อได้ที่ สนง.ขนส่ง ทั่วประเทศ
.
เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน
จากเดิมที่การอบรมทางออนไลน์
จะจำกัดเฉพาะผู้ที่ต้องการต่ออายุใบขับขี่
กรณีต่อล่วงหน้า หรือหมดอายุไม่ถึง 1 ปีเท่านั้น
.
ช่วยลดทั้งขั้นตอนและประหยัดเวลา
ไม่ต้องมาต่อคิวอบรมที่ สนง.ขนส่ง อีกต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้ง "พาลีปราบยา" เจาะเครือข่ายค้ายาเสพติด
มั่นใจ ! เลือกหน้ากากอนามัย มี มอก.
ขอความร่วมมือ...ตรุษจีนปีนี้ รวมญาติแบบ New Normal
“เราชนะ” เปิดให้กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนลงทะเบียน 15 ก.พ. นี้
คุมราคาสินค้าช่วงตรุษจีน ป้องกันฉวยโอกาสขึ้นราคา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39038 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ แถลงกรณีบ้านโป่งลึก-บางกลอย ตั้ง คกก. หาทางออก หวังทำความเข้าใจ ถอยคนละก้าว ทส.มาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เพิ่มปัญหาแน่นอน” | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.วราวุธ แถลงกรณีบ้านโป่งลึก-บางกลอย ตั้ง คกก. หาทางออก หวังทำความเข้าใจ ถอยคนละก้าว ทส.มาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เพิ่มปัญหาแน่นอน”
รมว.วราวุธ แถลงกรณีบ้านโป่งลึก-บางกลอย ตั้ง คกก. หาทางออก หวังทำความเข้าใจ ถอยคนละก้าว ทส.มาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เพิ่มปัญหาแน่นอน”
“รมว.วราวุธ แถลงกรณีบ้านโป่งลึก-บางกลอย ตั้ง คกก. หาทางออก หวังทำความเข้าใจ ถอยคนละก้าว ทส.มาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เพิ่มปัญหาแน่นอน”
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แถลงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา กรณีบ้านโป่งลึก-บางกลอย ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยนายวราวุธ กล่าวว่า “กระทรวงฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และขอยืนยันว่าทุกคนคือประชาชนคนไทยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางแก้ปัญหาขึ้นมาแล้ว และเชื่อมั่นว่าจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ โดยไม่ต้องใช้กฎหมายแต่จำเป็นต้องอาศัยการทำความเข้าใจ และการถอยกันคนละก้าว”
สำหรับพื้นที่ใจแผ่นดินนั้น เป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวในด้านความมั่นคง เนื่องจากอยู่ชิดแนวเขตชายแดนและอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว ย้ายลงมายังพื้นที่บ้านกลอย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดสรรที่ดินทำกินกว่า 1,300 ไร่ ไว้รองรับ นอกจากนั้น ส่วนราชการในพื้นที่ รวมถึงมูลนิธิต่าง ๆ ได้เข้าไปจัดการเรื่องระบบสาธารณูปโภค รวมไปถึงพัฒนาอาชีพและสร้างความเป็นอยู่อีกด้วย
ปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่ที่ย้ายถิ่นฐานลงมาอยู่บ้านบางกลอยนั้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จนถึงทุกวันนี้มีรายได้ครัวเรือนเกือบแสนบาทต่อเดือน “ผมขอเรียนว่า กว่า 90% ที่ทางภาครัฐได้เยียวยาและดูแลไปนั้น ผมถือว่า เราได้เดินทางมาไกลมากแล้ว แต่ก็ยังเหลืออีกส่วนหนึ่ง ที่เรายังต้องมาหากลไกเยียวยาพี่น้องประชาชน ให้ได้รับความพึงพอใจเช่นกัน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรามาเพื่อแก้ปัญหา มิได้เข้ามาเพื่อสร้างปัญหาเพิ่มเติมให้กับพี่น้องประชาชน และคณะกรรมการที่กระทรวงตั้งขึ้น จะได้เร่งศึกษาข้อมูล เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยังได้รับผลกระทบอยู่ให้เร็วที่สุดต่อไป” นายวราวุธ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39043 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งขับเคลื่อนการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
เร่งขับเคลื่อนการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่
กระทรวงเกษตรฯ เร่งขับเคลื่อนการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงการตลาด
นายอำพันธ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงการตลาด ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงาน 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมการข้าว กรมหม่อนไหม และการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีแปลงใหญ่ที่มีความพร้อมและแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่านระบบ CO-Farm แล้ว จำนวน 1,538 แปลง และจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนฯ แล้ว จำนวน 376 แปลง โดยที่ประชุมได้สั่งการให้หน่วยงานเร่งดำเนินการในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ 1) ให้หน่วยงานตรวจสอบความซ้ำซ้อนกิจกรรมของกลุ่มแปลงใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการ และรายงานให้ฝ่ายเลขาฯ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ทราบภายในวันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 2) มอบหมายกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโครงการในประเด็นคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้ทุกกรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่อย่างถูกต้องในทิศทางเดียวกัน และ 3) มอบหมายกรมส่งเสริมการเกษตรสนับสนุนทีมงานในระดับจังหวัด/อำเภอ พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างการรับรู้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดจัดประชุมชี้แจงการดำเนินโครงการฯ ผ่าน VDO Conference ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับภูมิภาค ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จะถึงนี้ โดยได้ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับภูมิภาคเข้ารับฟังการประชุมดังกล่าวอย่างพร้อมเพียงเพื่อการรับรู้ในทิศทางเดียวกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39032 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หารือเวที TOP EXECUTIVES ครั้งที่ 2/2564 เตรียมข้อมูล เพื่อรองรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ดีอีเอส หารือเวที TOP EXECUTIVES ครั้งที่ 2/2564 เตรียมข้อมูล เพื่อรองรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ดีอีเอส หารือเวที TOP EXECUTIVES ครั้งที่ 2/2564 เตรียมข้อมูล เพื่อรองรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เมื่อวันที่10กุมภาพันธ์ 2564 นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมTOP EXECUTIVESครั้งที่2/2564โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯร่วมหารือการเตรียมความพร้อมประเด็นที่เกี่ยวข้องบทบาทภารกิจของกระทรวงดิจิทัลฯตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์จันทรโอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่มอบหมายให้กระทรวงต่างๆเตรียมข้อมูลให้พร้อมเพื่อรองรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่16–19กุมภาพันธ์2564 ณห้องประชุมMDES 1ชั้น9กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
***********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ยืนยัน 21 กุมภาพันธ์ นี้ สอบแน่ | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
กสร. ยืนยัน 21 กุมภาพันธ์ นี้ สอบแน่
กสร. ประกาศกำหนดการสอบบรรจุข้าราชการใหม่แล้ว เป็นวันอาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 64 หลังมีการเลื่อนเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 โดยขอให้ผู้สมัครศึกษาระเบียบเกี่ยวกับการสอบตามประกาศ และตรวจสอบรายชื่อพร้อมที่นั่งสอบได้ทางเว็บไซต์ http://personnel.labour.go.th
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้มีประกาศเลื่อนการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งนักวิชาการแรงงานปฏิบัติการ ตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน และตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน ออกไปเนื่องจากการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และจะประกาศวันสอบใหม่ให้ทราบอีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย บัดนี้ สถานการณ์ดังกล่าวในหลายพื้นที่สามารถจำกัดและควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในขอบเขตได้ในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดเร่งรัดดำเนินการสรรหา การสอบคัดเลือก และการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการหรือปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา กรมจึงประกาศวันสอบเป็นวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.00 - 12.00 น. ณ อาคารศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ทั้งนี้ ขอให้ผู้สมัครศึกษาระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการสอบตามประกาศ และตรวจสอบรายชื่อพร้อมที่นั่งสอบได้ทางเว็บไซต์http://personnel.labour.go.th และ http://labour.jobthaigov.com และจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าสอบภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง (ภาค ค) โดยวิธีสอบสัมภาษณ์ ภายในวันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผยรัฐบาลหนุนวิจัยวัคซีนโควิด 19 ในไทย เพื่อความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศ | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
“อนุทิน” เผยรัฐบาลหนุนวิจัยวัคซีนโควิด 19 ในไทย เพื่อความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากเทคโนโลยีในไข่ไก่ฟัก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากเทคโนโลยีในไข่ไก่ฟัก เพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยยืนยันได้จัดหาวัคซีนให้คนไทยทุกคน เบื้องต้นทำสัญญาและออกใบสั่งซื้อ 63 ล้านโดส ขณะนี้รอการจัดส่ง
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ร่วมแถลงข่าว “องค์การเภสัชกรรม เดินหน้าศึกษาวิจัยทางคลินิกวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในมนุษย์ระยะที่ 1”โดยนายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการทุกวิถีทางที่จะจัดหาวัคซีนสำหรับคนไทยทุกคน โดยยึดหลักประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ปลอดภัยสูงสุด คุ้มค่ามากที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับประเทศไทย ได้เจรจาติดต่อกับผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลกทุกราย ทำให้เบื้องต้นได้จัดหาวัคซีนทั้งสิ้น 63 ล้านโดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อฉีดให้กับทุกคนและกลุ่มเสี่ยงที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยทำให้ประเทศไทยผ่านสามารถผ่านพ้นสถานการณ์การระบาดนี้ไปได้ด้วยดี
นายอนุทินกล่าวต่อว่า รัฐบาลไทยได้ทำสัญญาและออกใบสั่งซื้อวัคซีนเรียบร้อยแล้ว การจัดส่งก็เป็นไปตามเงื่อนไข ซึ่งแผนการฉีดวัคซีนในเดือนมิถุนายนนั้น เป็นการกำหนดไว้เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และเพื่อความมั่นใจได้จัดหาวัคซีนเร่งด่วนให้กับกลุ่มเสี่ยง โดยได้มาจากจีน 2 ล้านโดส ปลายเดือนกุมภาพันธ์ส่งล็อตแรก 2 แสนโดส, มีนาคม 8 แสนโดส และเมษายน 1 ล้านโดส หลังจากนั้นคาดว่าปลายเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนปีนี้ วัคซีนจากแอสตราเซนเนกาที่ผลิตในประเทศไทย เริ่มจะทยอยส่งออกมา และที่สั่งไปล็อตแรก 26 ล้านโดสจะทยอยออกมา ดูจากไทม์ไลน์จะมีความต่อเนื่องกันจึงไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด
สำหรับวัคซีนโรคโควิด 19 ภายใต้ความร่วมมือ อภ., สถาบันPATH สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งพัฒนาเพื่อให้มีวัคซีนคุณภาพดี, ม.มหิดล ที่ได้ร่วมกันพัฒนาตั้งแต่กลางปี 2563 ผลการทดสอบในสัตว์ทดลองพบว่ากระตุ้นภูมิคุ้นกันได้ผลดีและปลอดภัย ขั้นต่อไปคือเตรียมทำการศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ ระยะที่ 1 ในเดือนมีนาคมนี้ เมื่อมีการศึกษาวิจัยทางคลินิกครบทั้ง 3 ระยะแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการยื่นขอขึ้นทะเบียนกับ อย. และผลิตระดับอุตสาหกรรมในโรงงานผลิตวัคซีนของ อภ. ทำให้ไทยมีโรงงานผลิตวัคซีนโรคโควิด 19 เป็นแห่งที่ 2 ต่อจากโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ ช่วยให้มีวัคซีนเพียงพอที่จะดูแลคนไทย และเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้หรือหากเป็นไปได้ก็ดูแลทุกประเทศที่มีความต้องการวัคซีนโควิด 19 สร้างความมั่นคงด้านวัคซีน
“ขอให้ประชาชนไว้วางใจวัคซีนโควิด 19 ที่จะมาฉีดให้กับคนไทยไม่มีอิทธิพลทางการเมือง ไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขพยายามจัดหามาให้กับประชาชนเป็นไปตามกระบวนการ ตามกฎหมาย มีคณะกรรมการทางด้านวิชาการ และทางด้านการบริการสาธารณสุข คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดขอยืนยันอีกครั้งในฐานะผู้ดำเนินนโยบายว่า ในนามของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการดีๆ เช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการพัฒนาวิจัยวัคซีนโควิด 19 ให้กับทุกองค์กรให้ประสบความสำเร็จ เพื่อนำความมั่นคงและความเชื่อมั่นมายังประเทศไทย และทำให้ประชาชนไทยปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด 19 โดยเร็วที่สุด” นายอนุทินกล่าว
************************** 10 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39039 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็คสิทธิสวัสดิการสุขภาพฟรีผ่าน “กระเป๋าสุขภาพ” บนเป๋าตัง 24 ชั่วโมง จองฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ถึง31มี.ค.นี้ | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
เช็คสิทธิสวัสดิการสุขภาพฟรีผ่าน “กระเป๋าสุขภาพ” บนเป๋าตัง 24 ชั่วโมง จองฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ถึง31มี.ค.นี้
“สปสช.-กรุงไทย” ชวนคนไทยเช็คสิทธิสุขภาพผ่าน “กระเป๋าสุขภาพ หรือ Health Wallet” บนแอปฯ เป๋าตัง 24 ชั่วโมง รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ “ฟรี” ทั้งตรวจคัดกรองมะเร็ง และฉีดวัคซีนป้องกันโรครวมกว่า 16 บริการ พร้อมขยายบริการเปิดจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
“สปสช.-กรุงไทย” ชวนคนไทยเช็คสิทธิสุขภาพผ่าน “กระเป๋าสุขภาพ หรือ Health Wallet” บนแอปฯ เป๋าตัง 24 ชั่วโมง รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ “ฟรี” ทั้งตรวจคัดกรองมะเร็ง และฉีดวัคซีนป้องกันโรครวมกว่า 16 บริการ พร้อมขยายบริการเปิดจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป จนถึง 31 มีนาคมนี้ ชี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิด้านใดบ้างตามสวัสดิการภาครัฐ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และธนาคารกรุงไทย ร่วมเปิดโครงการจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล 2564 ผ่านกระเป๋าสุขภาพ (Health Wallet) บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยบริการ Health Wallet ถือเป็นทางเลือกใหม่ของการเข้ารับบริการสุขภาพในกองทุนบัตรทองที่ง่ายขึ้น ตามรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดการแพร่กระจายโรคโดยเฉพาะ COVID-19 ขณะเดียวกันยังเป็นการสนับสนุนยกระดับกองทุนบัตรทอง สู่หลักประกันสุขภาพแห่งชาติยุคใหม่ ที่เป็นนโยบายและความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการยกระดับบริการบัตรทองเป็น วีไอพี ด้วยการเพิ่มความสะดวกในการรับบริการให้กับประชาชน
นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในปี 2564 สปสช. ได้จัดเตรียมวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่จำนวน 6.4ล้านโดส เพื่อบริการฉีดให้กับประชากรกลุ่มเป้าหมาย 7 กลุ่มเสี่ยง และสำหรับหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะ จำนวน 3.5 แสนโดส โดยเปิดให้กลุ่มเสี่ยงจองสิทธิและนัดหมายฉีดวัคซีนล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์- 31 มีนาคม 2564 เพื่อเข้ารับบริการฉีดวัคซีนในระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2564 ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์สามารถขอลงทะเบียนและฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปี
สำหรับการลงทะเบียนจองสิทธิฉีดวัคซีนมี 4 ช่องทางหลัก คือ 1. สายด่วน สปสช. โทร. 1330 กด 1 หลังจากนั้นกด 8 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.00 น. (ทั่วประเทศ) 2. หน่วยบริการประจำหรือโรงพยาบาลในระบบบัตรทอง (ทั่วประเทศ) 3. Line @UCBKKสร้างสุข (เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองหรือพักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร) ให้บริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 08.30 – 18.00 น. และวันเสาร์อาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. และ 4. เปิดทางเลือกลงทะเบียนจองสิทธิและนัดฉีดวัคซีนเพิ่มเติมสำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ ผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯเป๋าตัง ซึ่งเป็น Digital Health Platform ที่ สปสช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทยพัฒนาขึ้น ในการจัดทำระบบการจองสิทธิและนัดหน่วยบริการฉีดวัคซีนล่วงหน้า นอกจากการลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวผ่านระบบ Hospital Portal เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นสวัสดิการที่รัฐมอบให้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยเป็นการขยายระบบบริการ Health Wallet ภายหลังจากที่มีการนำร่องระบบจองสิทธิฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลศิริราชและได้รับการตอบรับด้วยดีในปีที่ผ่านมา
นายแพทย์ โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดภาวะเจ็บป่วยและเสียชีวิต โดยเฉพาะในประชากร 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. หญิงมีครรภ์ 2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี 3. ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน) 4. ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 6. ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง 7. ผู้ป่วยโรคอ้วน มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป หรือดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ทั้งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ยังช่วยลดความสับสนในการคัดกรอง เนื่องจากอาการเริ่มต้นของโรคมีความคล้ายคลึงกัน ถือเป็นสิทธิประโยชน์ในการการป้องกันโรคและความร่วมมือในวันนี้จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารร่วมกับ สปสช. เปิดให้ประชาชนจองสิทธิการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรครวม 16 บริการ ผ่านกระเป๋าสุขภาพนั้น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เฉพาะหน่วยบริการในกรุงเทพฯ มีประชาชนจองสิทธิไปแล้วกว่า 150,000 สิทธิ อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่ยังไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิรับสวัสดิการด้านใดบ้าง ตามระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของภาครัฐ ซึ่งมีทั้งสิทธิการตรวจ คัดกรองโรคมะเร็งต่าง ๆ และการฉีดวัคซีนป้องกันโรค จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคนตรวจสอบสิทธิของตนเอง ซึ่งจะจำแนกตามกลุ่มอายุ โดยสามารถตรวจสอบสิทธิตนเองได้ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง กดยอมรับเงื่อนไขการเปิดใช้งานและการเข้าถึงสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตามที่ สปสช. กำหนด หลังจากนั้นสามารถตรวจสอบสิทธิผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตังได้ตลอด 24 ชั่วโมง
“ธนาคารได้เตรียมความพร้อมของระบบไว้รอบด้าน เพื่อให้การจองสิทธิฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ผ่านกระเป๋าสุขภาพมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยออกแบบระบบที่รองรับ Digital Journey อำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้รับบริการในการเช็คสิทธิ ทำการนัดหมาย ยืนยันตัวตนผู้มารับบริการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ผ่าน Online Dashboard ซึ่งแสดงผลแบบ interactive ประมวลผลแบบเรียลไทม์ ทำให้บริหารจัดการวัคซีนได้ทันที ผ่านช่องทางดิจิทัลเชื่อมโยงตั้งแต่ประชาชนผู้รับบริการ จนถึงหน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลสามารถเบิกเคลมได้อย่างรวดเร็ว ลดการทำงานซ้ำซ้อน มีระบบการจัดการตารางนัดหมายคนไข้ล่วงหน้าได้ รวมถึงติดตามประวัติการฉีดวัคซีนฯ ของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนพัฒนากระบวนการจองและฉีดวัคซีนฯ ให้แก่ประชาชนผ่านการจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ด้วย “กระเป๋าสุขภาพ” หรือ Health Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง เพื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลกว่า 1,600 แห่งทั่วประเทศ”
ทั้งนี้ จะมีบริการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลานัดหมาย โดยใช้ QR Health ID ยืนยันตัวตนแทนบัตรประชาชน รวมทั้งสามารถชำระค่าบริการส่วนเกินที่อยู่นอกเหนือสิทธิผ่าน Wallet ได้ทันที เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลาการรอที่โรงพยาบาล ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ช่วยลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ สำหรับกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ไม่สะดวกตรวจสอบสิทธิสุขภาพผ่านแอปฯ เป๋าตัง สามารถจองสิทธิและนัดหมายผ่านหน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเป็นประจำได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39033 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา หารือคณะอนุฯ ประชาสัมพันธ์ เตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปค เน้นสร้างการรับรู้บทบาทไทยในเวทีโลก หวังให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์จากการประชุม | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
รมต.อนุชา หารือคณะอนุฯ ประชาสัมพันธ์ เตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปค เน้นสร้างการรับรู้บทบาทไทยในเวทีโลก หวังให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์จากการประชุม
รมต.อนุชา หารือคณะอนุฯ ประชาสัมพันธ์ เตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปค เน้นสร้างการรับรู้บทบาทไทยในเวทีโลก หวังให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์จากการประชุม
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2564) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์เพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้และมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมี นายรณภพ ปัทมะดิษ ผู้แทนรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และ พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะอนุกรรมการและเลขานุการร่วม และคณะอนุกรรมการจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมประชุม
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค 2565 ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ถือเป็นวาระสำคัญของประเทศ โดยในวันนี้ได้มีการหารือทิศทางการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทุกภาคส่วน พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการสื่อสารทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเนื้อหาการประชาสัมพันธ์เป็นไปตามแนวทางที่คณะอนุกรรมการสารัตถะ ที่มี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีการกำหนดหัวข้อหลัก (Theme) ประเด็นสำคัญ (Priorities) และผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม (Deliverables) ที่ไทยจะผลักดันในการประชุมเอเปค 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์มีความเห็นร่วมกันให้มีการจัดตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์เอเปค 2565 เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเน้นการมีส่วนร่วมเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์จากการที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ในครั้งนี้
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยได้นำเสนอศักยภาพ รวมทั้งบทบาทในฐานะผู้ขับเคลื่อนความร่วมมือในกรอบเอเปคในช่วงเวลาที่ทั่วโลกล้วนประสบภาวะยากลำบาก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้ประโยชน์จากช่องทางประชาสัมพันธ์ที่มีอยู่เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39044 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรมปั้นสตาร์ทอัพดึงภาคเอกชนร่วมลงทุนตั้งเป้าปีนี้กว่า 500 ลบ. | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ก.อุตสาหกรรมปั้นสตาร์ทอัพดึงภาคเอกชนร่วมลงทุนตั้งเป้าปีนี้กว่า 500 ลบ.
ก.อุตฯ เร่งเครื่องเศรษฐกิจเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในด้านเทคโนโลยีเชิงลึก เพิ่มทักษะในการประกอบการ วิเคราะห์ตลาด พร้อมนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้โครงการสตาร์ทอัพ คอนเน็คท์ เสริมโอกาสในการประกอบธุรกิจผ่านการร่วมลงทุน
กรุงเทพฯ 9 กุมภาพันธ์ 2564 – กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหรรม (กสอ.) เร่งเครื่องเศรษฐกิจเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในด้านเทคโนโลยีเชิงลึก เพื่อให้มีทักษะในการประกอบการ การวิเคราะห์ความต้องการตลาด และการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจับคู่ธุรกิจ กับกลุ่มนักลงทุน ภายใต้โครงการสตาร์ทอัพ คอนเน็คท์ เสริมโอกาสในการประกอบธุรกิจผ่านการร่วมลงทุน ผ่านการดำเนินงานหลัก 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย การขยายเครือข่ายสตาร์ทอัพ การขยายเครือข่ายเงินทุน การขยายเครือข่ายตลาด และ การขยายเครือข่ายนานาชาติ โดยคาดว่าจะสามารถต่อยอดความสำเร็จขยายมูลค่าการร่วมลงทุนได้กว่า 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่สามารถเชื่อมโยงเงินลงทุนได้กว่า 350 ล้านบาท
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ ตามแนวนโยบายนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการดำเนินธุรกิจ จึงได้สั่งการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดสําหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ STARTUP CONNECT ขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดและรับการสนับสนุนจากนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีเชิงลึก ซึ่งปีที่ผ่านมาในระยะนำร่อง ได้คัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจำนวน 6 ราย นำเสนอโมเดลธุรกิจต่อนักลงทุนและบริษัทร่วมลงทุน โดยบริษัท อีซีจี-รีเซิร์ช จำกัด หนึ่งในนักลงทุนมีความสนใจและร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ รวมมูลค่ากว่า 350 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ามูลค่าการร่วมลงทุนของนักลงทุนในปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 500 ล้านบาท ผ่านการดำเนินงาน 4 ขั้นตอนหลัก ประกอบด้วย
• ขยายเครือข่ายสตาร์ทอัพ เพื่อเฟ้นหาผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ต่อยอดพัฒนาทักษะให้มีความพร้อมในการนำเสนอโมเดลธุรกิจกิจกับนักลงทุน
• ขยายเครือข่ายเงินทุน โดยการสร้างเครือข่ายบริษัทเอกชนที่สนใจลงทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ได้รับการส่งเสริมจาก กสอ. เพื่อสร้างความมั่นใจในการร่วมดำเนินธุรกิจ
• ขยายเครือข่ายตลาด ผ่านกระบวนการทดลองการทำการตลาดในประเทศ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถบรรลุความต้องการของผู้บริโภค
ทั้งยังช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมั่นคง
• ขยายเครือข่ายนานาชาติ เป็นขั้นตอนสุดท้ายเมื่อผู้ประกอบการมีความพร้อมเพียงพอในการต่อยอดไปยังตลาดนานาชาติ ที่มีมูลค่าตลาดที่สูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการจากต่างประเทศ ทั้งยังเป็นการการันตีให้กับนักลงทุนถึงคุณภาพของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมจาก กสอ.
นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การขยายผลการดำเนินงาน โครงการ STARTUP CONNECT ในปี 2564 มีผู้ประกอบการผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจำนวน 25 ราย จากผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 500 ราย โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างเข้มข้น อาทิ การศึกษาความต้องการของลูกค้า เพื่อการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ (Customer Development) การประเมินศักยภาพตลาดกลยุทธ์และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและการขยายตลาด (Market Strategy) การประเมินศักยภาพเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับแผนการตลาดและการเติบโตของธุรกิจ (Technology Roadmap) รวมทั้งการวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมเพียงพอที่จะสามารถเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับหน่วยงานเครือข่ายและ Big Brother ของกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ สมาพันธ์ SMEs สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) อีกทั้งได้มีโอกาสนำเสนอแผนธุรกิจต่อนักลงทุน (Venture capital: VC) เพื่อให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ได้มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจต่อไป
อย่างไรก็ดี นอกจากโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักแล้วของการดำเนินการในปีนี้แล้ว เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างมูลค่า
การร่วมลงทุนของนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 500 ล้านบาท ช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศและก่อให้เกิดการพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเชิงลึกที่มีศักยภาพต่อไป นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4564 www.dip.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การตลาดแนวใหม่มอบ “ฟรุ้ทบอร์ด” เดินหน้ากลยุทธ์ระบบ “สั่งซื้อล่วงหน้า”(Pre-Order) | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
“เฉลิมชัย” ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การตลาดแนวใหม่มอบ “ฟรุ้ทบอร์ด” เดินหน้ากลยุทธ์ระบบ “สั่งซื้อล่วงหน้า”(Pre-Order)
“เฉลิมชัย” ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การตลาดแนวใหม่มอบ “ฟรุ้ทบอร์ด” เดินหน้ากลยุทธ์ระบบ “สั่งซื้อล่วงหน้า”(Pre-Order) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ระดมทีมอีคอมเมิร์ซกระทรวงเกษตรฯผนึก “พาณิชย์” จับมือไปรษณีย์ไทย1,300 สาขาช่วยขายผลไม้พร้อมขนส่งทั่วไทย
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (10 ก.พ.) ถึงความก้าวหน้าโครงการ “สั่งซื้อผลไม้ล่วงหน้า(Pre-order)” ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ทบอร์ด-Fruit Board) ได้มอบนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” เป็นนโยบายหลักในการเพิ่มช่องทางตลาดให้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบตลาดออนไลน์ ตลาดออฟไลน์ โมเดิร์นเทรด (Modern Trade) รถโมบาย ตลาดสด ตลาดชุมชน คาราวานสินค้า เกษตรพันธะสัญญา และเคาน์เตอร์ เทรด จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจผู้ซื้อกับผู้ขาย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจและการค้า โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ภายใต้โมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” เพื่อพัฒนาการตลาดของผลไม้และแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ออกมาในเวลาพร้อมกันดังนั้นเพื่อให้เกิดมิติใหม่ของการแก้ไขปัญหานี้ ฟรุ้ทบอร์ดจึงมีมติมอบหมายให้คณะอนุกรรมการ อีคอมเมิร์ซของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์นำกลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ตามนโยบายของประธานฟรุ้ทบอร์ดมาใช้ในการทำงานเชิงรุกภายใต้ระบบ “สั่งซื้อล่วงหน้า” (Pre-order) โดยขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทำงานแบบบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดระบบโครงสร้างการตลาดแบบครบวงจรจากเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ถึงผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มออนไลน์ด้วยบริการโลจิสติกส์และการจ่ายเงินออนไลน์ (E-payment) โดยร่วมมือกับบริษัทไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่นและทุกภาคีภาคส่วน
นอกจากนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดทำปฏิทินผลไม้ เพื่อประชาสัมพันธ์ไปยังผู้บริโภคล่วงหน้าว่าจะมีผลไม้ออกมาในช่วงเวลาใดบ้างของปี ทั้งนี้ ฟรุ้ทบอร์ดได้เห็นชอบโครงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี 2564 งบประมาณ 492 ล้านบาท และมอบหมายกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์นำเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบแล้วเพื่อสนับสนุนแผนงาน (1) การกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตและการเชื่อมโยงการจำหน่ายช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก (2) การเพิ่มช่องการจำหน่าย (3) การรวบรวมรับซื้อผลผลิตเพื่อส่งออก (4) การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์และรณรงค์การบริโภคผลไม้” ซึ่งเป็นมาตรการบริหารจัดการผลไม้ในฤดูกาลผลิตปีนี้โดยเน้นการทำงานเชิงรุกล่วงหน้าซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์การทำงานต่อเนื่องจากฤดูกาลผลิตปีที่แล้วเพื่อรับมือกับผลกระทบจากโควิด19ระลอกใหม่และรับมือกับผลผลิตผลไม้ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้กว่า24%จากรายงานการคาดการณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
นายกฤชฐา โภคาสถิตย์ ประธานคณะอนุกรรมการ E- commerce ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การบริหารจัดการระบบห่วงโซ่ผลไม้ (Supply Chain) ตั้งแต่การคัดเลือกสวนผลไม้ที่มีคุณภาพเข้าร่วมโครงการ การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ช่องทางการสั่งซื้อล่วงหน้าแบบ pre-order ระบบการขายที่สะดวก มีการทำโปรโมชั่นที่โดนใจ โดยประชาสัมพันธ์ไปยังผู้บริโภคอย่างทั่วถึง ตลอดจนระบบการตรวจสอบย้อนกลับและการรับประกันคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคซึ่งถือเป็นระบบนิเวศน์ผลไม้ไทย(Thai Fruit eco-system )ที่ทำให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์สามารถมีช่องทางในจำหน่ายผลิตผลและผลิตภัณฑ์แปรรูปล่วงหน้าส่งถึงผู้บริโภคโดยตรง ผ่านช่องทาง Online Platform และผู้บริโภคมีช่องทางในการเข้าถึงผลไม้คุณภาพดีตามฤดูกาลจากสวนผลไม้ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายและการชำระเงินที่สะดวกสบาย น่าเชื่อถือ ซึ่งนับเป็นอีกช่องทางสำคัญที่จะช่วยระบายผลไม้ในช่วงที่ผลผลิตออกมาล้นตลาด ยิ่งกว่านั้นผู้บริโภคเองก็จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้คือได้บริโภคผลไม้ที่มีคุณภาพรวมทั้งเกษตรกรชาวสวนผลไม้จะสามารถทราบได้ล่วงหน้าว่ามีความต้องการผลไม้อะไรบ้างในราคาเท่าไหร่ และในช่วงเวลาใด หวังว่าการริเริ่มดำเนินการระบบสั่งซื้อผลไม้ล่วงหน้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในครั้งนี้จะเป็นอีกกลไกในการเพิ่มโอกาสการขายให้กับชาวสวนผลไม้และสหกรณ์ผลไม้
ทางด้านนายพีระ อุดมกิจสกุล ซีอีโอ.บริษัทไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่นซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทไปรษณีย์ไทยกล่าวว่า บริษัทไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่นมีความยินดีที่ได้มีส่วนในความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ.ภายใต้การบริหารจัดการของฟรุ้ทบอร์ดและพร้อมบริการขนส่งผลไม้โดยคิดค่าบริการในอัตราพิเศษตั้งแต่วันที่ 15ก.พ.นี้และบริษัทไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่นยังมีสาขาทั่วประเทศถึง 1,300 แห่งที่พร้อมเป็นจุดบริการและช่วยส่งเสริมการขายผลไม้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39024 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ รับมอบผลิตภัณฑ์นมยูเอชที “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” จากบริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และส่งต่อให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ปลัดเกษตรฯ รับมอบผลิตภัณฑ์นมยูเอชที “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” จากบริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และส่งต่อให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข
ปลัดเกษตรฯ รับมอบผลิตภัณฑ์นมยูเอชที “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” จากบริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และส่งต่อให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในการควบคุมป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนรับมอบผลิตภัณฑ์นมยูเอชที “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” จากบริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความประสงค์ขอบริจาคนมยูเอชที รสช็อคโกแลต ขนาด 180 มิลลิลิตร จำนวน 845 ลัง (30,420 กล่อง) เพื่อมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำไปใช้ประโยชน์ในโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่เห็นสมควร
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการประสานงานการส่งมอบนมยูเอชทีโฟร์โมสต์ฯ ที่ได้รับมอบในวันนี้ ส่งมอบต่อให้แก่ผู้แทนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในการควบคุมป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่เฝ้าระวัง 4 จังหวัด ได้แก่ 1) จังหวัดสมุทรสาครจำนวน 10,000 กล่อง 2) จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 8,000 กล่อง 3)จังหวัดชลบุรีจำนวน 8,000 กล่อง และ 4) จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 4,000 กล่อง เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจที่ได้ปฏิบัติงานอย่างหนักด้วยความเสียสละและความทุ่มเท
"ในวันนี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทฟรีสแลนด์ คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้บริจาคนมยูเอชทีเพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำไปใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกว้างขวางในพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศไทย จนเป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในการควบคุมป้องกันและเฝ้าระวังโรคในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ มีความสำคัญและสมควรที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่และให้กำลังใจในการปฏิบัติงาน ในโอกาสนี้ จึงขอแสดงความขอบคุณผู้บริหารบริษัทฟรีสแลนด์ คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และขอส่งกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขทั่วประเทศให้สามารถปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็งทั้งกำลังกายและกำลังใจ เพื่อความปลอดภัยและปราศจากโรคโควิด-19 ของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ" ดร.ทองเปลว กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. ส่งเสริมคุณธรรมฯ เห็นชอบการขยายเวลาแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559-2564) ต่ออีก 1 ปี พร้อมอนุมัติแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
คกก. ส่งเสริมคุณธรรมฯ เห็นชอบการขยายเวลาแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559-2564) ต่ออีก 1 ปี พร้อมอนุมัติแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2
คกก. ส่งเสริมคุณธรรมฯ เห็นชอบการขยายเวลาแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559-2564) ต่ออีก 1 ปี พร้อมอนุมัติแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570)
วันนี้ (10 ก.พ. 64) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมาตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมได้รับทราบผลการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรม ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 - 2564) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้แก่ 1. ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรม ประจำปี 2563 ซึ่งได้มีการพัฒนาระบบกลไกการบริหาร จัดการดำเนินการส่งเสริมคุณธรรมภายในหน่วยงาน มีการขยายเครือข่ายความร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมคุณธรรมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินการที่คาดหวังไว้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทุกหน่วยงานได้แสดงออกถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผ่านกิจกรรม “ตู้ปันสุข” และปรับเปลี่ยนการทำงานใหม่แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและหัวใจบริการประชาชน สอดคล้องกับคุณธรรม 4 ประการ ได้แก่ “พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา” ทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับและเป็นแบบอย่างให้กับนานาชาติ โดยประธานในที่ประชุมได้กล่าวว่า คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ยังได้มีข้อเสนอแนะให้เพิ่ม “กตัญญู” เป็นคุณธรรมพื้นฐานนอกเหนือจาก 4 ประการดังกล่าวที่ได้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2559 2. การส่งเสริมและพัฒนาชุมชน องค์กร อำเภอ จังหวัดคุณธรรม โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วน ทุกพื้นที่ด้วยกลไก “บวร” และ “ประชารัฐ” ส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักธรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และธำรงรักษาไว้ซึ่งวิวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม ส่งผลให้เกิดชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรมในทุกพื้นที่ของประเทศ
ที่ประชุมได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานตามแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 - 2564) ต่อไปอีก 1 ปี ถึงปี 2565 เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับ การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) พร้อมเห็นชอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) ซึ่งมีกรอบแนวคิดที่เชื่อมโยงและสอดคล้องกับสถานการณ์คุณธรรมในปัจจุบัน รวมถึงแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับที่ 2 ได้แก่ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมคุณธรรม แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคง แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด 19 พ.ศ. 2564 - 2565 และแผนระดับที่ 3 ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านวิชาการการส่งเสริมคุณธรรมในสังคมไทยดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการด้านวิชาการส่งเสริมคุณธรรมในสังคมไทย นำผลการศึกษาวิจัยประชากรอายุ 13 ปีขึ้นไปที่มีการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนทางศาสนา 5 ศาสนา (ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์) ศึกษา วิเคราะห์ นำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการดำเนินงานด้านศาสนา เสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 ถึง 2564) ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ เป้าหมายที่ 5 สถาบันทางสังคมมีความเข้มแข็งและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันทางศาสนา ชุมชน สื่อมวลชน และภาคเอกชน เพื่อประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) ต่อไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39036 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กป้อม’ กำชับทุกหน่วย เร่งฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ จากผลกระทบโควิด-19 สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมทางสังคม | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
‘บิ๊กป้อม’ กำชับทุกหน่วย เร่งฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ จากผลกระทบโควิด-19 สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมทางสังคม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ (คนช.) กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบจากผลกระทบโควิด-19 ได้รับการเยียวยา ส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำ พัฒนาทักษะฝีมือฯ
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงานพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ (คนช.) ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้
วย โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล ให้ความสำคัญกับการพัฒนาส่งเสริม และคุ้มครองให้แรงงานทุกคนมีความมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันทางสังคม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี กระทรวงแรงงาน ได้จัดประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ (คนช.) ครั้งที่ 1/2564 ขึ้นในวันนี้ เพื่อให้คณะกรรมการทุกท่านได้รับทราบสถานการณ์แรงงานนอกระบบ รวมถึงผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปี 2563 ซึ่งมีแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิประโยชน์ถึง 8.3 ล้านคน สำหรับเรื่องสำคัญที่ได้ร่วมกันพิจารณาในวันนี้คือ 1) การดำเนินงานตามข้อเรียกร้องของเครือข่ายแรงงานนอกระบบ 14 ข้อ สามารถดำเนินการได้สำเร็จ 8 ข้อ อาทิ การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน การจ้างงาน workfare เพื่อการจ้างงาน แรงงานนอกระบบที่ทำงานบริการสาธารณะการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ (Co-Payment) การจัดสรรโควตาให้แก่แรงงานนอกระบบในการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐ การยกระดับทักษะฝีมือและส่งเสริมการประกอบธุรกิจของแรงงานนอกระบบ ซึ่งการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ (คนช.) ในวันนี้ เป็นการประชุมครั้งที่ 1/2564 เพื่อให้คณะกรรมการทุกท่านได้รับทราบสถานการณ์ปัจจุบันของแรงงานนอกระบบ ผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ.2560 – 2564 ความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ. … ความคืบหน้าการดำเนินงานฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติหารด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ.2563 – 2565 (ร่าง) แผนปฏิบัติการ (Action Plan) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ภายใต้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ.2563 – 2565 และปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อประสานและขับเคลื่อนนโยบายการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบอีกด้วย
พล.อ.ประวิตรยังได้กำชับให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบจากผลกระทบโควิด-19 ให้ได้รับการเยียวยา ส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำ พัฒนาทักษะฝีมือ เสริมสร้างหลักประกันทางสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความเสมอภาคทางสังคม เพราะแรงงานนอกระบบ จำนวนกว่า 20.4 ล้านคน ถือเป็นกำลังแรงงานประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นผู้มีงานทำ ส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ต้องทำงานหนัก รวมทั้งต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ เช่น ได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานที่ต่ำ การมีงานทำที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดหลักประกันทางสังคม ไม่มีความปลอดภัยอาชีวอนามัยในการทำงาน ดังนั้น สิ่งที่ท้าทายรัฐบาลอยู่ในวันนี้ คือ การหาวิธีแก้ไขปัญหา และการบริหารจัดการกับกลุ่มแรงงานนอกระบบที่มีจำนวนมาก ให้มีอาชีพ มีงานทำ มีทักษะฝีมือ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนให้มีหลักประกันทางสังคมและความมั่นคงในชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เข้าถึงโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ที่เห็นชอบร่วมกันต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภาเห็นชอบ! จุรินทร์ นำพาณิชย์ ชู ความสำเร็จ RCEP " | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐสภาเห็นชอบ! จุรินทร์ นำพาณิชย์ ชู ความสำเร็จ RCEP "
รัฐสภาโหวตเห็นชอบให้สัตยาบันความตกลง คาดมีผลบังคับใช้ปีนี้
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 วันนี้ที่ประชุมรัฐสภาได้โหวตเห็นชอบให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP(Regional Comprehensive Economic Partnership Agreement ) ด้วยคะแนนเสียง 526 เสียง โดยก่อนหน้านี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมการประชุมรัฐสภา โดยการประชุมครั้งนี้ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอข้อมูล รวมถึงเหตุผลความจำเป็น และประโยชน์ที่ไทยจะ ได้รับในการให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ของไทยต่อรัฐสภา
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในนามคณะรัฐมนตรีตนขอเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันการเข้าเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรือที่เรียกว่าอาร์เซป โดยข้อตกลง RCEP นั้นถือเป็นการต่อยอด FTA ระหว่างอาเซียน +1 กับประเทศต่างๆ เช่น อาเซียน + จีน,อาเซียน + ญี่ปุ่น,อาเซียน + เกาหลี ,อาเซียน + ออสเตรเลีย,อาเซียน + นิวซีแลนด์ และอาเซียน + อินเดีย รวมกันจะกลายมาเป็น RCEP ซึ่ง RCEP นี้ถือเป็น FTA ฉบับที่ 14 ของประเทศไทยถ้ามีผลบังคับใช้ในอนาคต
เริ่มแรกได้มีการเจรจามาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีมีประเด็นสำคัญ 20 ประเด็นเรียกว่า 20 ข้อบท และช่วงระยะเวลา 8-9 ปีที่ผ่านมา สามารถดำเนินการบรรลุข้อตกลงได้เพียง 7 ประเด็นยังค้างอยู่ 13 ประเด็น จนกระทั่งปีที่แล้วในช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนและตนได้เข้าไปทำหน้าที่เป็นประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนในการเข้าร่วมประชุมเพื่อดำเนินการให้บรรลุข้อตกลง RCEP อย่างที่ค้างคามา สุดท้ายปีที่แล้วเราสามารถดำเนินการให้ที่ประชุม RCEP บรรลุข้อตกลงได้ทั้ง 20 ข้อบทหรือ 20 ประเด็น แล้วนำมาซึ่งการลงนามที่ทำเนียบรัฐบาลกับท่านนายกรัฐมนตรีร่วมกับประเทศอื่นๆอีก 14 ประเทศ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563
โดยประเทศที่เข้าร่วมลงนามมีทั้งหมด 15 ประเทศ ผลของการบรรลุข้อตกลง RCEP และการลงนามนี้ RCEP จะกลายเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมี GDP รวมกันถึง 1 ใน 3 ของโลก และประชากรในกลุ่มประเทศ RCEP 15 ประเทศนี้ มีด้วยกัน 2,200 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรโลก มูลค่าการค้าของไทยกับประเทศอาเซียนคิดเป็น 2 ใน 3 ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยทั้งหมด ตกเป็นมูลค่าการค้า 8.5 ล้านล้านบาท ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับถ้าข้อตกลง RCEP มีผลบังคับใช้ เราจะได้รับประโยชน์ทั้งในเรื่องของการค้าสินค้าและบริการ สำหรับสินค้าจะประกอบไปด้วย สินค้าทางด้านเกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม
สำหรับสินค้าเกษตรที่จะได้รับประโยชน์ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง สินค้าประมง เป็นต้น สำหรับอาหาร เช่น ผัก ผลไม้สดและแปรรูป สินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า กระดาษ พลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องแต่งกาย และมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น สำหรับภาคบริการ เช่นธุรกิจก่อสร้างที่ปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในเรื่องนี้รวมทั้งธุรกิจในเรื่องของการค้าปลีก
และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ และธุรกิจดิจิตอลคอนเทนท์ เช่น ภาพยนตร์ บันเทิง อนิเมชั่น เป็นต้น
หลังที่ประชุมรัฐสภาถ้าให้ความเห็นชอบหน่วยงานของรัฐยังมีภารกิจอีก 4 เรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการก่อนส่งเรื่องไปให้สัตยาบันกับเลขาธิการอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา ประกอบด้วย
1.เรื่องที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมศุลกากรต้องมีการปรับพิกัดอัตราศุลกากรจาก HS 2012 ให้เป็น HS 2017 รวมทั้งต้องออกประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรภายใต้ความตกลง RCEP
2.เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการของกรมศุลกากรให้สอดคล้องกับข้อตกลง RCEP
3.เกี่ยวข้องกับกรมการค้าต่างประเทศ ต้องไปหารือกับกลุ่มประเทศสมาชิกในเรื่องแนวปฏิบัติของการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือที่เรียกกันว่าใบ C/O และปรับแนวปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อตกลง
4.สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมจะต้องออกประกาศกระทรวงฯเรื่องเงื่อนไขการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะนำเข้ามาผลิตรถยนต์ 125 รายการ
ซึ่งเป็นภารกิจ 4 เรื่องที่หน่วยงานของรัฐจะต้องไปดำเนินการหลังจากที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบ
" หลังการดำเนินการ 4 เรื่องจบ ประเทศไทยจะได้ดำเนินการยื่นการให้สัตยาบันต่อเลขาธิการอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา และถือว่าจบกระบวนการให้สัตยาบันของประเทศไทย ภายหลังจากที่ประเทศต่างๆให้สัตยาบันแล้วจะมีผลบังคับใช้เมื่อไหร่นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องให้สัตยาบันครบทั้ง 15 ประเทศ ถ้าในกลุ่มของประเทศอาเซียนมี 6 ประเทศ และกลุ่มนอกประเทศอาเซียนให้สัตยาบัน 3 ประเทศรวมกับ อาเซียน 6 ประเทศ เป็น 9 ประเทศก็ถือว่าให้ข้อตกลง RCEP มีผลบังคับใช้ได้ " นายจุรินทร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรัฐสภาวันนี้ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้อภิปรายสอบถามซึ่งนายจุรินทร์ได้ตอบคำถามจนสิ้นสงสัย จากนั้นประธานรัฐสภาได้ให้สมาชิกลงคะแนนผ่านความเห็นชอบให้สัตยาบันความตกลง RCEP คาดว่าจะมีผลใช้บังคับปีนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนต่อไป สำหรับความตกลง RCEP ยังช่วยให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ของไทยสามารถลดต้นทุนและวางแผนธุรกิจได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รวมทั้งยังได้ประโยชน์จากกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเดียวกัน มีกฎระเบียบทางการค้าและพิธีการศุลกากรที่ โปร่งใส ชัดเจน ลดขั้นตอนและความซับซ้อนจากเดิม ซึ่งช่วยสร้างสภาวะแวดล้อมการค้าที่โปร่งใสมากขึ้น นอกจากนี้ RCEP ยังกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์ รวมถึงคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออนไลน์ ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับการค้าออนไลน์ และทำให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคได้ประโยชน์ จากความตกลง RCEP มากขึ้น
ด้านรายงานกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า สำหรับในปี 2563 การค้าของไทยกว่าครึ่งพึ่งพาตลาด RCEP โดยการค้ารวมระหว่างไทยกับสมาชิก RCEP มี มูลค่า 2.52 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.87 ล้านล้านบาท (57.5% ของการค้ารวมของไทย) โดยไทยส่งออก ไป RCEP มูลค่า 1.23 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.83 ล้านล้านบาท (53.3% ของการส่งออกไทย) สินค้า ส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ามันสำเร็จรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรมส่งความสุขก้าวสู่ปีฉลูทอง เฉลิมฉลองอวยพรตรุษจีน สานสัมพันธ์ ๒ วัฒนธรรมไทย - จีน | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงวัฒนธรรมส่งความสุขก้าวสู่ปีฉลูทอง เฉลิมฉลองอวยพรตรุษจีน สานสัมพันธ์ ๒ วัฒนธรรมไทย - จีน
กระทรวงวัฒนธรรมส่งความสุขก้าวสู่ปีฉลูทอง เฉลิมฉลองอวยพรตรุษจีน สานสัมพันธ์ ๒ วัฒนธรรมไทย - จีน
“เนื่องในโอกาสวันตรุษจีน ๒๕๖๔ ปีฉลูทอง กระทรวงวัฒนธรรมขออวยพรให้พี่น้องชาวจีน และชาวไทยเชื้อสายจีนมีพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สิน เงินทอง คิดสิ่งใดขอให้สมความปรารถนาทุกประการ” 金牛年春节来临之际,我代表泰王国文化部向中国人和泰国华人祝福,祝大家身体健康,恭喜发
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดขอรับส่งเสริมบีโอไอปี 2563 กว่า 4.8 แสนล้านบาท อุตฯ การแพทย์มาแรง โตร้อยละ 165 หนุนไทยฝ่าวิกฤตโควิด | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ยอดขอรับส่งเสริมบีโอไอปี 2563 กว่า 4.8 แสนล้านบาท อุตฯ การแพทย์มาแรง โตร้อยละ 165 หนุนไทยฝ่าวิกฤตโควิด
บีโอไอสรุปสถานการณ์การลงทุนปี 2563 ตัวเลขขอรับการส่งเสริมรวมกว่า 4.8 แสนล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์น่าจับตา มีมูลค่าลงทุนสูงกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท โตขึ้นร้อยละ 165 เมื่อเทียบกับปี 2562
ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ญี่ปุ่นครองแชมป์ยื่นขอรับส่งเสริมสูงสุดทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าลงทุน
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยการลงทุนในปี2563ที่ผ่านมา มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน จำนวน1,717โครงการ มูลค่าลงทุนรวม481,150ล้านบาทสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น230,740ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ48ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น โดย5อันดับแรก ได้แก่1) เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าลงทุน50,300ล้านบาท2) การเกษตร และแปรรูปอาหาร41,140ล้านบาท3) ยานยนต์ และชิ้นส่วน37,780ล้านบาท4) ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์36,020ล้านบาท และ5) เทคโนโลยีชีวภาพ30,060ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ที่น่าจับตา ซึ่งคำขอรับการส่งเสริมตลอดปีมีอัตราเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าลงทุน โดยมีจำนวน 83 โครงการ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ร้อยละ177ขณะที่มูลค่าลงทุนรวม 22,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 165“สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส แม้ในภาพรวมการลงทุนจะชะลอตัว แต่ก็มีบางธุรกิจที่สามารถขยายตัวจากวิกฤตครั้งนี้ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งคำขอรับการส่งเสริมตลอดปี มีอัตราเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าลงทุน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในช่วงปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ สอดรับกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะกิจการในกลุ่มของหน้ากากอนามัย และถุงมือยางทางการแพทย์”เลขาธิการบีโอไอกล่าว
ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน907โครงการ มูลค่าลงทุน213,162ล้านบาท โดยประเทศญี่ปุ่นยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุดทั้งจำนวนโครงการ และมูลค่าลงทุน จำนวน211โครงการ มูลค่าลงทุน75,946ล้านบาท ตามด้วยประเทศจีน มูลค่าลงทุน31,465ล้านบาท และสหรัฐฯ มูลค่าลงทุน24,555ล้านบาท โดยจุดแข็งของไทยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มเอเชียคือ การมีจุดแข็งด้านอุตสาหกรรมสนับสนุน วัตถุดิบและชิ้นส่วน ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจBusiness Conditions of Japanese Companies in Asia and OceaniaของJETROปี2562ที่พบว่า บริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทย ใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศไทยในระดับสูงกว่าบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม
สำหรับคำขอรับการส่งเสริมในพื้นที่EECมีจำนวน453โครงการ มูลค่าลงทุนรวม208,720ล้านบาท แบ่งเป็น จังหวัดชลบุรี226โครงการ มูลค่าลงทุน67,190ล้านบาท จังหวัดระยอง175โครงการ มูลค่าลงทุน115,870ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา52โครงการ มูลค่าลงทุน25,660ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค บริการพื้นฐานและการขนส่ง เป็นต้นส่วนคำขอรับการส่งเสริมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) มีจำนวน17โครงการ มูลค่าลงทุน12,340ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ423ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยมีศักยภาพ เช่น การผลิตถุงมือทางการแพทย์ และการผลิตอาหาร เป็นต้นอย่างไรก็ดี ในปี2563มีสัญญาณที่ดีจากการลงทุนที่เป็นกิจการSMEsโดยมีจำนวน67โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ20มูลค่าลงทุน2,490ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์จากผ้า หรือเส้นใยชนิดต่างๆ เช่น หน้ากากอนามัย เป็นต้น ซึ่งมีความต้องการสูงขึ้นมาก ประกอบกับบีโอไอให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมการแพทย์เป็นพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ในภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19
ทิศทางการส่งเสริมการลงทุนในปี2564บีโอไอมีแนวทางส่งเสริมในกิจการที่ไทยมีศักยภาพ มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต พร้อมกับยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างของภาคการผลิตและบริการ เช่น อุตสาหกรรมในกลุ่มBCGการแพทย์ อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ
****************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้ง "พาลีปราบยา" เจาะเครือข่ายค้ายาเสพติด | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ตั้ง "พาลีปราบยา" เจาะเครือข่ายค้ายาเสพติด
...
ปัญหายาเสพติด เป็นอีกปัญหาสำคัญ
ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
และปราบปรามมาอย่างต่อเนื่อง
แต่เพื่อค้นหาบุคคล
หรือเครือข่ายค้ายาเสพติดให้ได้มากขึ้น
.
"พาลีปราบยา" หรือคณะทำงานภาครัฐ
จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้ทีมงาน 16 คณะ
.
โดยกระทรวงยุติธรรมจะทำงานร่วมกับ
ธนาคาร และสถาบันการเงินต่าง ๆ
เพื่อประสานข้อมูลทางการเงินและธุรกรรม
จนนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้บงการ
หรือผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ได้ในที่สุด
.
ตั้งเป้าหมายยึดทรัพย์จากเดิมปีละ 600 ล้านบาท
เป็น 6,000 ล้านบาท
.
สำหรับประชาชนสามารถแจ้งเบาะได้ที่
1. สายด่วน 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง
2. แจ้งด้วยตนเอง/ส่งหนังสือร้องเรียน
ถึงสำนักงาน ป.ป.ส. ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
3. เว็บไซต์ ป.ป.ส.https://1386.oncb.go.th
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลายื่นขอทำบัตรประชาชนใหม่ | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ขยายเวลายื่นขอทำบัตรประชาชนใหม่
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประชาชนควรรักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมนุมชน ที่มีการรวมตัว หรือที่แออัดหนาแน่น และอยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการติดและแพร่กระจายเชื้อ รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยได้ขยายกำหนดเวลาสำหรับการขอทำบัตรประชาชนครั้งแรก การขอทำบัตรประชาชนใหม่ในกรณีที่บัตรเก่าหมดอายุ และการขอเปลี่ยนบัตรประชาชน สำหรับกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัดทั่วประเทศ จากเดิมที่กำหนดว่าจะต้องดำเนินการภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย.2564 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39010 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ดบีโอไอ หนุนคนไทยและต่างประเทศลงทุนในไทยมากที่สุด หวังขยับ GDP เพิ่มสูงขึ้นโดยเร็ว | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ประชุมบอร์ดบีโอไอ หนุนคนไทยและต่างประเทศลงทุนในไทยมากที่สุด หวังขยับ GDP เพิ่มสูงขึ้นโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรี ประชุมบอร์ดบีโอไอ หนุนคนไทยและต่างประเทศลงทุนในไทยมากที่สุด หวังขยับ GDP เพิ่มสูงขึ้นโดยเร็ว
วันนี้ (10 ก.พ.64) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมมีการพิจารณาในประเด็นสำคัญ อาทิ การปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัล มาตรการส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) การส่งเสริมการลงทุนแก่เอกชนผู้ร่วมลงทุนโครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จังหวัดนครพนม เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า มาตรการของบีโอไอที่ผ่านสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการปรับรูปแบบเศรษฐกิจของประเทศให้เข้าสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งต้องการเพิ่มการลงทุนในประเทศให้มากที่สุด ทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เพื่อปรับ GDP สูงขึ้นโดยเร็ว แม้นว่า ปัจจุบันจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ พอสมควร แต่ขอบีโอไอติดตามความก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่น ๆ มาประกอบในการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านเศรษฐกิจด้วย เชื่อมั่นทุกคนว่าจะช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ไปได้เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติต่อไป
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนะให้ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา รวมทั้งดึง StartUp และ SMEs ของไทยที่มีความรู้ความสามารถและทำธุรกิจเรื่องของเทคโลยีดิจิทัลเข้ามาร่วมทำงานและพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลและแรงงานที่มีทักษะสูงเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือ ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการไทย รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกร้อยละ 100 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ทั้งนี้ โครงการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอไปแล้ว แม้จะมีรายได้แล้วก็ตาม สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้ได้ แต่จะต้องมีสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลืออยู่ทั้งระยะเวลาและวงเงินที่ได้รับยกเว้น อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ไม่รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด SET หรือ mai อยู่แล้ว ก่อนวันที่มาตรการนี้มีผลใช้บังคับ โดยสามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2565
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินงาน | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
มอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินงาน
รมว.เกษตรฯ มอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินงานแก่อธิบดีกรมประมงและประมงจังหวัด
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินงานแก่อธิบดีกรมประมงและประมงจังหวัด ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งเน้นให้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ โดยต้องประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้และความเข้าใจต่อประชาชน และให้เปรียบเสมือนประชาชนเป็นคนในครอบครัว อีกทั้งต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมุ่งดำเนินการในเรื่องการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อให้มีปริมาณสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น ถือเป็นการช่วยลดภาระให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39030 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564” | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564”
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564”
“ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39045 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564” | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564”
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564”
“ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39046 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะสำหรับประชาชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษและการยื่นขอทบทวนสิทธิ์ของประชาชนที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
การเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะสำหรับประชาชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษและการยื่นขอทบทวนสิทธิ์ของประชาชนที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ
การเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะสำหรับประชาชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ สามารถลงทะเบียนได้ระหว่างวันที่ 15 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ณ สาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) หรือจุดบริการเคลื่อนที่รับลงทะเบียน
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายละเอียดการเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับประชาชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนเองหรือเดินทางไปใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ที่ได้รับผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ เป็นต้น โดยประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถลงทะเบียนได้ระหว่างวันที่ 15 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ณ สาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) หรือจุดบริการเคลื่อนที่รับลงทะเบียน ซึ่งกระทรวงการคลังได้ขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการร่วมกับธนาคารกรุงไทยในการให้มีจุดบริการเคลื่อนที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงพื้นที่รับลงทะเบียนให้แก่บุคคลกลุ่มดังกล่าว
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า สำหรับประชาชนในกลุ่มดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยในเบื้องต้นประชาชนกลุ่มดังกล่าว ต้องนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ไปใช้ประกอบการลงทะเบียนขอรับสิทธิ์โครงการฯ โดยต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยการเสียบบัตรประจำตัวประชาชน (Dip Chip) ผ่านเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture หรือ EDC) พร้อมกำหนดรหัส (PIN Code) ได้ที่สาขาของธนาคารกรุงไทย หรือจุดบริการที่ธนาคารกรุงไทยกำหนด ทั้งนี้ ประชาชนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้รับอนุมัติวงเงินสิทธิ์จะได้รับวงเงินสิทธิ์สนับสนุนเป็นรายสัปดาห์ จำนวนไม่เกิน 3,500 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยสามารถใช้จ่ายวงเงินผ่านบัตรประจำตัวประชาชน สำหรับการซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการจากร้านค้าในโครงการธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ร้านค้าในโครงการคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ และผู้ประกอบการ/ร้านค้า/บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยวงเงินที่ได้รับจากโครงการฯ สามารถสะสมได้ แต่จะสามารถใช้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
สำหรับกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com แล้วพบว่า “ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ” สามารถยื่นขอทบทวนสิทธิ์ผ่านทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติเรื่องเงินได้พึงประเมิน และมีความประสงค์ให้ตรวจสอบข้อมูลเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2563 ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินวันที่ 8 มีนาคม 2564 สำหรับผู้ที่ได้ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 8 – 9 กุมภาพันธ์ 2564 จะต้องยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังพบว่ามีประชาชนหรือร้านค้าที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีการประสานขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าวแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้าตลอดจนระงับการจ่ายเงินให้กับร้านค้าทันที รวมถึงระงับการใช้แอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ด้วย และจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอความร่วมมือประชาชนรักษาสิทธิ์ของตนเอง และขอให้ร้านค้าและประชาชนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ สำหรับประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ สามารถแจ้งเบาะแสรวมถึงส่งหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ถึง “คณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการฯ” ทางไปรษณีย์มาได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระราม 6แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail Account) [email protected]
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39031 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไทยสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยเมียนมาร์ ตามหลักการ ASEAN พร้อมใช้แอปพลิเคชัน เพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์รัฐบาลให้เข้าถึงกลุ่มคนเพิ่มขึ้น | วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันไทยสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยเมียนมาร์ ตามหลักการ ASEAN พร้อมใช้แอปพลิเคชัน เพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์รัฐบาลให้เข้าถึงกลุ่มคนเพิ่มขึ้น
นายกรัฐมนตรียืนยันไทยสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยเมียนมาร์ ตามหลักการ ASEAN พร้อมใช้แอปพลิเคชัน เพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์รัฐบาลให้เข้าถึงกลุ่มคนเพิ่มขึ้น
วันนี้ (10 ก.พ. 64) เวลา 11.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมได้พิจารณาหารือร่วมกับภาคเอกชน อาทิ TDRI สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถึงการปรับหลักเกณฑ์และโครงสร้างการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมปรับกฎหมาย กฎกติกา เพื่อส่งเสริมด้านดิจิทัล ให้ประเทศไทยได้รับสิทธิประโยชน์เมื่อเกิดการลงทุนระหว่างประเทศ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นเป็นการตัดสินใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการออกคำสั่ง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าประเทศไทยสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศเมียนมาร์ตามหลักการของ ASEAN ที่สำคัญคือ การรักษาความสัมพันธ์อันดีงามของทั้งสองประเทศและไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าชายแดนด้วย
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงการชะลอเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหารือเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของการลงทุนสัมปทาน ซึ่งรัฐบาลยึดผลประโยชน์ของประชาชนมาก่อนเสมอ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเผยถึงการเพิ่มช่องทางใหม่ ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายรัฐบาล และพูดคุยกับประชาชน ให้สามารถเข้าถึงประชาชนในทุกกลุ่มวัยมากขึ้น เช่น แอปพลิเคชัน TikTok หรือ PM PODCAST เพื่อสื่อสารวิสัยทัศน์การทำงานของรัฐบาล พร้อมรับฟังปัญหาและประเด็นอื่นๆ จากประชาชนด้วย
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินกิจกรรม Big Rock พร้อมเห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่ เตรียมนำเสนอ ครม. พิจารณา | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินกิจกรรม Big Rock พร้อมเห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่ เตรียมนำเสนอ ครม. พิจารณา
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินกิจกรรม Big Rock พร้อมเห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่ เตรียมนำเสนอ ครม. พิจารณา
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 1/2564 ที่มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ณ ทำเนียบรัฐบาล ได้มีมติรับทราบและเห็นชอบในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้
คณะกรรมการฯ รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2563 และรายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศประจำปี 2563 โดยรายงานดังกล่าวระบุความก้าวหน้าปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการ จึงเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในทุกระดับและทุกพื้นที่เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติได้ตามที่กำหนด รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินการดำเนินงานของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการฯ จึงได้มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. (สำนักงานฯ) เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ มีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) โดยนายกรัฐมนตรี มีบัญชามอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (คจพ.) โดยมีกลไกเชิงปฏิบัติ 3 ระดับ ได้แก่ 1) กลไกระดับอำนวยการ (ระดับจังหวัด) 2) กลไกอำนวยการปฏิบัติการ (ระดับอำเภอ) และ 3) กลไกระดับปฏิบัติการ (ระดับท้องถิ่น) โดย ศจพ. ทุกระดับจะใช้ข้อมูลจากระบบ TPMAP เป็นข้อมูลหลักในการดำเนินการการขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ รวมถึงการพัฒนาคนทุกช่วงวัย ในทั้ง 4 แนวทางการขับเคลื่อน ได้แก่ 1) เติมเต็มข้อมูลในระบบ TPMAP ให้ครอบคลุมประเด็นการพัฒนาทุกมิติและทุกพื้นที่ในประเทศ 2) ร่วมแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในระดับบุคคล/ครัวเรือน 3) ร่วมแก้ไขปัญหาและพัฒนาคนอย่างยั่งยืน และ 4) ร่วมติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการชี้เป้าและจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการมีส่วนร่วมและทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการของทุกภาคีพัฒนาโดยเฉพาะในระดับท้องที่ ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญของการพัฒนาคนทุกช่วงวัยและการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องสำคัญ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้
(1) แผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบหลักการแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ทั้ง 62 กิจกรรม โดยองค์ประกอบของแผนขับเคลื่อนฯ ประกอบด้วย หน่วยงานร่วมดำเนินการ เป้าหมายย่อย ระยะเวลาที่แล้วเสร็จ และโครงการ/การดำเนินงานที่ส่งผลต่อเป้าหมายของกิจกรรม Big Rock รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินกิจกรรม Big Rock เพื่อการบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้กิจกรรม Big Rock สามารถได้รับการขับเคลื่อน ติดตาม และประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย 1) การจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/การดำเนินงานรองรับกิจกรรม Big Rock 2) เร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานร่วมดำเนินการ และ 3) การติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ผ่านระบบ eMENSCR โดยมอบหมายให้ สำนักงานฯ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ มอบหมายสำนักงานฯ นำเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติทั้งในส่วนของหลักการแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock และแนวทางการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินกิจกรรม Big Rock ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
(2) การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่ คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่ ตามที่สำนักงานฯ เสนอ โดยมีแนวทางการขับเคลื่อนฯ 3 แนวทาง ประกอบด้วย 1) แผนในระดับพื้นที่ต้องตอบสนองต่อเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและความต้องการของพื้นที่ โดยจะต้องสามารถถ่ายระดับเป้าหมายจากยุทธศาสตร์ชาติตามหลักความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (Causal Relationship : XYZ) โดยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาทำความเข้าใจเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 เพื่อให้เข้าใจและตระหนักถึงทิศทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องการบรรลุในแต่ละห้วง 5 ปี ของการพัฒนา 2) การจัดทำโครงการ/การดำเนินงานในระดับพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในระดับพื้นที่ให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 และวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 รวมทั้งนโยบาย หลักเกณฑ์ และแนวทางในการจัดทำโครงการตามที่ ก.บ.ภ. และ ก.น.จ. กำหนด และ 3) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ โดยใช้ระบบ eMENSCR เป็นระบบหลักในการดำเนินการสำหรับการนำเข้าโครงการ/การดำเนินงานและแผนในระดับพื้นที่ เพื่อหน่วยงานของรัฐใช้ข้อมูลจากระบบ eMENSCR ในการพิจารณาจัดทำโครงการ/การดำเนินงานบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อให้เป็นไปตามหลักการวงจรนโยบายสาธารณะ (Policy Cycle) ต่อไป โดยที่ประชุมได้มอบหมายสำนักงานฯ นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป รวมทั้งดำเนินการชี้แจงและสร้างความเข้าใจให้กับหน่วยงานในระดับพื้นที่เพื่อให้การแปลงยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 ต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติสามารถเป็นไปได้อย่างบูรณาการ สอดรับโจทย์การพัฒนาประเทศพร้อมทั้งตอบสนองความต้องการในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม
(3) การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ คณะกรรมการฯ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ตามที่สำนักงานฯ เสนอ โดยแนวทางการดำเนินการใช้หลักการความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (XYZ) และวงจรนโยบายสาธารณะ (Policy Cycle) ซึ่งทุกกระบวนการจะต้องเป็นการดำเนินงานที่มีข้อมูลสนับสนุน (data driven) และอยู่บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ (evidence base) ประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ 1) การจัดทำและพัฒนาข้อมูลสถิติ สถานการณ์ งานวิจัย และอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ รวมทั้ง นำเข้าข้อมูลดังกล่าวเสร็จในระบบฐานข้อมูลเปิดภาครัฐ เพื่อสนับสนุนการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ (Open-D) 2) การจัดทำโครงการ/การดำเนินงาน โดยใช้ข้อมูล สถิติ สถานการณ์ งานวิจัย มาประกอบในการจัดทำโครงการ/การดำเนินงาน และใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณที่สอดคล้องและเหมาะสมต่อไป 3) การจัดทำแผนระดับที่ 3 ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 และคู่มือแนวทางการจัดทำแผนและการเสนอแผนระดับที่ 3 ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน...ต่อคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด และ 4) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ (eMENSCR) ให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2562 เพื่อให้การดำเนินการแปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในห้วงระยะเวลาที่เหลือของยุทธศาสตร์ชาติสามารถเป็นการดำเนินการบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ มอบหมายสำนักงานฯ นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39446 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เผยสถิติใช้บริการจัดหางาน ปี64 | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
กรมการจัดหางาน เผยสถิติใช้บริการจัดหางาน ปี64
พบคนไทยใช้บริการจัดหางานกับหน่วยงานรัฐเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2564 ( ตุลาคม 2563 – มกราคม 2564) พบผู้ใช้บริการจัดหางาน ณ สำนักงานฯ และผ่านเว็บไซต์ smartjob ของกรมการจัดหางาน เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน (ปีงบประมาณ 2563 ตุลาคม 2562 – มกราคม 2563) ดังนี้ ผู้ลงทะเบียนสมัครงาน 67,017 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 56 นายจ้าง/สถานประกอบการประกาศตำแหน่งงานว่าง 111,451 อัตรา เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 26 และผู้สมัครงานได้รับการบรรจุงาน 107,492 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 33 โดยในเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนสมัครงาน 14,156 คน นายจ้าง/สถานประกอบการประกาศตำแหน่งงานว่าง 29,175 อัตรา และผู้สมัครงานได้รับการบรรจุงาน 22,887 คน
นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า กรมการจัดหางานมีการประชาสัมพันธ์ช่องทางการให้บริการจัดหางานของกรมฯ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อให้ประชาชนที่ประสงค์จะหางานทำ ผู้ต้องการเปลี่ยนงาน นายจ้าง/สถานประกอบการที่ประสงค์รับคนเข้าทำงาน ทราบข้อมูลข่าวสารและสามารถเข้าถึงบริการของกรมการจัดหางาน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด และมีช่องทางการให้บริการหลากหลาย ทั้งผ่านทางระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com ที่เน้นความสะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การให้บริการ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ที่มีเจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการจัดหางานและให้คำปรึกษาด้านการประกอบอาชีพ ซึ่งจากข้อมูลเปรียบเทียบการให้บริการในปีที่ผ่านมา พบว่าประชาชนมีการใช้บริการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์กับกรมการจัดหางานเพิ่มมากขึ้น
“กรมการจัดหางานมีภารกิจในการส่งเสริมการมีงานทำ เพื่อให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ที่เหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เล็งเห็นผลกระทบต่อประเทศในหลายด้าน รวมทั้งปัญหาการจ้างงานในประเทศ ได้เน้นย้ำ กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง ถึงความสำคัญของการให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการหางานทำ นายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความประสงค์จะรับคนเข้าทำงาน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39444 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยดัชนีอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2564 | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยดัชนีอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2564
เริ่มต้นปี 64 อก. เผยดัชนีอุตฯ ม.ค. ขยายตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ ธ.ค.63 ร้อยละ 6.03 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 29 เดือน
กระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เผยดัชนีอุตสาหกรรมเดือนมกราคม2564ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนธันวาคม2563ร้อยละ6.03โดยระดับการผลิตอยู่ที่101.82และอัตราการใช้กำลังการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับร้อยละ66.41สะท้อนภาพเศรษฐกิจเดือนแรกปี2564มีแนวโน้มการขยายตัวดีขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐและการบริหารจัดการโควิด-19ซึ่งเกิดความเชื่อมั่นในการผลิตส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหักทองและรายการพิเศษในเดือนม.ค.64ขยายตัวร้อยละ8.22โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่2และขยายตัวสูงที่สุดในรอบ29เดือน
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)เดือนมกราคม2564ดัชนีเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม2563อยู่ที่ระดับ101.82และอัตราการใช้กำลังการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับร้อยละ66.41ทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนแรกของปี2564กลับมามีแนวโน้มขยายตัวเนื่องจากความเชื่อมั่นในการจัดหาและบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19ที่ล็อตแรกได้จัดส่งถึงประเทศไทยแล้วเมื่อวานนี้(24ก.พ.64)และจะเริ่มฉีดเข็มแรกโดยเร็วที่สุดตามแผนการกระจายวัคซีนโควิด-19ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเช่นโครงการคนละครึ่งช้อปดีมีคืนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเราชนะและโครงการเรารักกันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นายทองชัยชวลิตพิเชฐผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)กล่าวว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมกราคม2564หดตัวร้อยละ2.80จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่ในช่วงกลางเดือนธันวาคม2563ส่งผลต่อเนื่องมายังเดือนมกราคม2564ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวการจับจ่ายใช้สอยรวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศลดลงทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวในระยะสั้น
นายทองชัยกล่าวต่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยจะปรับตัวดีขึ้นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการกระจายวัคซีนโควิค-19ทั้งในและต่างประเทศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจำนวนการแพร่ระบาดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องรวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกทั้งรัฐบาลได้ผ่อนคลายกิจกรรมในพื้นที่ควบคุมอาทิเช่นร้านอาหารเปิดบริการได้ตามปกติสถานบันเทิงศูนย์การค้าห้างสรรพสินค้าสถานศึกษาสถาบันกวดวิชาและสถานที่ออกกำลังกาย
เป็นต้นสำหรับในมุมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19ในหลายประเทศทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการผลิตและการบริโภคส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหักทองและรายการพิเศษเดือนมกราคม2564ขยายตัวร้อยละ8.22โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่2และเป็นการขยายตัวสูงที่สุดในรอบ29เดือนซึ่งจากที่กล่าวมาสะท้อนให้เห็นสภาวะเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ
อุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวดีในเดือนมกราคม2564เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนได้แก่
เม็ดพลาสติกขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ10.86จากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นเช่นชิ้นส่วนยานยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกทั้งจากสถานการณ์โควิด-19ที่หลายสถานประกอบการมีนโยบายให้พนักงานwork from homeประกอบกับการลดการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆจึงส่งผลให้กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ถุงอาหารขวดและเครื่องใช้ในครัวเรือนขยายตัวมากกว่าปีก่อน
เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐานขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ9.44จากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่นยานยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าและบรรจุภัณฑ์อาหารนอกจากนี้สถานการณ์ราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากจีนมีการนำเข้าสินค้าเหล็กเพิ่มสูงขึ้นมากจนเกิดภาวะขาดแคลนสินค้า(Short Supply)ผู้ผลิตจึงเร่งผลิตเพื่อขายทำกำไรในช่วงนี้
เฟอร์นิเจอร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ23.63จากเฟอร์นิเจอร์ทำด้วยไม้เป็นหลักจากการส่งออกไปสหรัฐอเมริการวมถึงสามารถกลับมาส่งสินค้าได้ตามปกติหลังมีปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในช่วงก่อนหน้า
อาหารสัตว์สำเร็จรูปขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ9.21จากอาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูปและอาหารปลาเป็นหลักโดยเพิ่มขึ้นจากการผลิตอาหารแมวเพื่อส่งออกไปสหรัฐอเมริกาเนื่องจากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาเลิกการผลิตและหันมาสั่งซื้อสินค้าจากไทยเพื่อจำหน่ายแทน
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ5.74จากสินค้าPrinterเป็นหลักซึ่งผู้ผลิตได้รับคำสั่งซื้อต่อเนื่องในช่วงสถานการณ์โควิด-19เนื่องจากผู้ผลิตจากอินโดนีเซียจีนและฟิลิปปินส์ไม่สามารถผลิตและส่งมอบสินค้าได้รวมถึงความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการทำงานwork from home
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทปษ. อลงกรณ์ ลงพื้นที่ จ. นครศรีธรรมราช ชูตลาดนำการผลิต | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
ทปษ. อลงกรณ์ ลงพื้นที่ จ. นครศรีธรรมราช ชูตลาดนำการผลิต
ทปษ. อลงกรณ์ ลงพื้นที่ จ. นครศรีธรรมราช ชูตลาดนำการผลิต พัฒนามาตรฐานเตรียมความพร้อมสู่เมือง Rubber Valley
วันนี้ (25 ธันวาคม 2564) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าดูงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดนครศรีธรรมราช มอบนโยบายการขับเคลื่อนยางพาราสู่การเป็น Rubber Valley เน้นตลาดนำการผลิต พัฒนามาตรฐาน พร้อมเข้าชมสหกรณ์นิคมทุ่งสง จำกัด โรงงาน GMP รายแรกของนครศรีธรรมราช
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การบริหารจัดการยางพารา สินค้าเกษตรที่สำคัญของประเทศไทย มีเกษตรกรผู้ปลูกยางจำนวน 1.83 ล้านราย ครอบคลุมพื้นที่ 18.286 ล้านไร่ ภาครัฐมีความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ออกนโยบายตลาดนำการผลิต ซึ่งตลาดเป็นส่วนสำคัญที่จะเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ประกอบไปด้วย ตลาดกลางยางพาราของ กยท. 7 แห่ง ตลาดซื้อขายออนไลน์ ตลาดยางพาราท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับตลาดกลางยางพาราจังหวัดนครศรีธรรมราช มีปริมาณยางเข้าสู่ตลาดประมาณ 17,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าการซื้อ-ขายประมาณ 1,000 ล้านบาท ระบบการให้บริการตลาด มี 2 รูปแบบ คือ ตลาดข้อตกลงส่งมอบจริง และตลาดข้อตกลงส่งมอบจริงแบบจับคู่คำสั่งซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ประเทศไทย การพัฒนาระบบให้ทันสมัยและตอบโจทย์ให้กับผู้มาใช้บริการเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ต้องสามารถการตรวจสอบย้อนกลับได้ ผ่านระบบ ISO ทำให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่น พร้อมกับการพัฒนาเกษตรกรให้ผลิตผลผลิตที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด
นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเมืองยางพาราหลักของประเทศไทย เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกยางพารา ทำให้ผลผลิตที่ออกสู่ตลาดในปริมาณที่มากและได้คุณภาพที่ดี ซึ่งจากข้อมูลพบว่ามีเกษตรกรปลูกยางจำนวน 187,228 ราย พื้นที่ 1,864,230 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 262 กก./ไร่/ปี นอกจากนี้ยังมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษาที่สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมการผลิต ระบบขนส่งสินค้า การตั้งโรงงานผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา ก้าวสู่อุตสาหกรรมยางพารา ซึ่งเป็นที่มาของการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่เพื่อนำไปสู่การเป็น Rubber Valley ศูนย์กลางยางพาราของประเทศไทย
ในช่วงสาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เดินทางเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของ สหกรณ์นิคมทุ่งสง จำกัด ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจแปรรูปยางโรงรมยางจำนวน 2 โรง และ โรงงานผลิตยางแผ่นรมควันอัดก้อน 1 โรง โดยสามารถรองรับปริมาณน้ำยางจากสมาชิกได้ประมาณ 13,000 กก./วัน ซึ่งโรงงานของสหกรณ์นิคมทุ่งสง จำกัด ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิตยางแผ่นรมควัน : GMP เป็นโรงแรกของจังหวัดนครศรีธรรมราช และในส่วนของโรงงานผลิตยางแผ่นรมควันอัดก้อนได้ผ่านการรับรอง ISO 9001: 2015 ซึ่งขณะนี้โรงงานยางอัดก้อนสหกรณ์นิคมทุ่งสง ได้ผลิตยางอัดก้อนและรับจ้างอัดก้อนให้กับ กยท.และบริษัทต่างๆ สามารถส่งออกยางทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมมูลมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39449 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. มนัญญา ร่วมงานวันสหกรณ์แห่งชาติ ปี 2564 | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
รมช. มนัญญา ร่วมงานวันสหกรณ์แห่งชาติ ปี 2564
รมช. มนัญญา ร่วมงานวันสหกรณ์แห่งชาติ ปี 2564 ขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ก้าวสู่การเป็น Smart Coop สร้างความเข้มแข็งให้สมาชิกและชุมชน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมงานวันสหกรณ์แห่งชาติ และได้ทำการอ่านสารนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ว่านับเป็นระยะเวลากว่า 105 ปี ที่ระบบสหกรณ์มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานราก ทั้งในภาคการเกษตร การผลิต การบริการ อีกทั้งมีส่วนสำคัญในการยกระดับรายได้ คุณภาพชีวิต และความสุขของสมาชิกและคนในชุมชน โดยมีนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมพิธีสงฆ์และวางพานพุ่มถวายสักการะพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งสหกรณ์ไทย เนื่องในงานวันสหกรณ์แห่งชาติ ปี 2564 ณ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เทเวศร์
รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับระบบสหกรณ์ ในฐานะที่เป็นกลไกพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ มีส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สมาชิกสหกรณ์และคนในชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่น สหกรณ์ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับการผลิต การค้า และการบริการ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในท้องถิ่น และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ และเชื่อมั่นว่าสหกรณ์จะสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจ สามารถบริหารงานให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ โดยส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และภูมิปัญญา อันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้งสร้างและส่งเสริมผู้นำรุ่นใหม่ ก้าวสู่การเป็น Smart Coop ซึ่งจะทำให้สมาชิกสหกรณ์มีความมั่นคงในอาชีพ สหกรณ์เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพพึ่งพาตนเองได้ และชุมชนมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
“ทิศทางการขับเคลื่อนระบบสหกรณ์สิ่งสำคัญคือผลประโยชน์สามารถกลับคืนสู่สมาชิก โดยได้ทำความเข้าใจกับสหกรณ์ทุกประเภท ในเรื่องของการออกกฎระเบียบใหม่ เพื่อให้การดำเนินงานของสหกรณ์มีความเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการจัดหาโรงสี โรงอบ เพื่อให้เกิดการชะลอข้าวแก่เกษตรกร เกษตรกรสามารถขายข้าวเอง ทำให้ไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ นอกจากนี้ ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินนโยบายสำคัญ ได้แก่ โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน โครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และมุ่งหวังให้ระบบสหกรณ์จะช่วยสนับสนุน กระจายสินค้าเกษตรให้สามารถขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีแนวคิดสหกรณ์กัญชา โดยเป็นตลาดกลางของกัญญา จะทำให้สามารถควบคุมการผลิตได้โดยไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ” รมช.มนัญญา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39448 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ดันเกษตรกรเลี้ยงควายไทย สร้างมูลค่าหลักล้าน | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
‘รมช.ประภัตร’ ดันเกษตรกรเลี้ยงควายไทย สร้างมูลค่าหลักล้าน
ดันเกษตรกรเลี้ยงควายไทย สร้างมูลค่าหลักล้าน
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมคณะเยี่ยมชมก.เจริญฟาร์มพัฒนาสายพันธุ์ควายไทยของนายกลบัววังโปร่งนายกอบต.นครป่าหมากกลุ่มอนุรักษ์กระบือไทยต.นครป่าหมากอ.บางกระทุ่มจ.พิษณุโลกโดยฟาร์มแห่งนี้มีการส่งเสริมเลี้ยงควายไทยที่มีน้ำหนักมากกว่า1ตันหรือ1,000กิโลกรัมเนื่องจากมีความสวยงามและยังสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงเพราะแต่ละตัวมีมูลค่ากว่าหลักแสนจนถึงหลักล้าน
ทั้งนี้รมช.เกษตรฯต้องการส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาควายไทยเพื่อเป็นการกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาเห็นความสำคัญต่อการผลิตควายคุณภาพทั้งการจัดการเลี้ยงดูในระบบที่ได้มาตรฐานการปรับปรุงพันธุ์กระบือและร่วมกันอนุรักษ์ควายไทยมากขึ้นตลอดจนเลี้ยงเป็นอาชีพเสริมเพื่อเป็นการสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มของควายไทยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39450 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)
ก.เกษตรฯ ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การส่งเสริม สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม ระหว่างภาครัฐและเอกชน 18 ภาคี
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)เรื่องการส่งเสริมสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมโดยมีรองนายกรัฐมนตรี(นายจุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์)เป็นประธานซึ่งมีภาครัฐและภาคเอกชน18แห่งได้แก่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมกระทรวงพาณิชย์กระทรวงมหาดไทยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรธนาคารออมสินบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัดองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน)บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการบริษัทกลุ่มเซ็นทรัลจำกัดสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยบริษัททรูคอร์ปอเรชั่นจำกัดและบริษัทไทยเบฟเวอเรจจำกัด(มหาชน)เข้าร่วมบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)ณห้องประชุมวายุภักษ์3ชั้น4โรงแรมเซ็นทราบายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นตอร์แจ้งวัฒนะโดยมีเจตจำนงที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดความยั่งยืนโดยร่วมกันผลักดันในระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดการดำเนินงานแบบบูรณาการที่มีประสิทธิภาพทุกฝ่ายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39451 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร - เวียนเทียน น้อมนำหลักธรรมคำสอนทางศาสนา ประพฤติปฏิบัติ นำสู่สังคมสงบสุข ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องใน “วันมาฆบูชา” | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร - เวียนเทียน น้อมนำหลักธรรมคำสอนทางศาสนา ประพฤติปฏิบัติ นำสู่สังคมสงบสุข ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องใน “วันมาฆบูชา”
กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร - เวียนเทียน น้อมนำหลักธรรมคำสอนทางศาสนา
ประพฤติปฏิบัติ นำสู่สังคมสงบสุข ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องใน “วันมาฆบูชา” ในรูปแบบ New Normal
วันศุกร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔เวลา ๐๗.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร และเวียนเทียน เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชาพุทธศักราช ๒๕๖๔ ณ วัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานครพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา และพุทธศาสนิกชนเข้าร่วม
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่า ในส่วนกลาง กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ คณะสงฆ์วัดสระเกศ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร และเวียนเทียนเนื่องในวันมาฆบูชา บริเวณพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โดยมีการถ่ายทอดสดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ผ่านFacebookกรมการศาสนาและในส่วนภูมิภาค จัดกิจกรรมฯ ตามบริบทของแต่ละพื้นที่โดยปฏิบัติตามมาตรการและคำแนะนำของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเคร่งครัด โดยจัดกิจกรรมเวียนเทียนออนไลน์ ผ่านทางไลน์ แอพลิเคชั่น (Line Application) วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือทางhttps://เวียนเทียนออนไลน์มาฆบูชา2564.comเพื่อให้พุทธศาสนิกชนร่วมบำเพ็ญความดี ร่วมกันทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ลด ละ เลิกอบายมุข ตามหลักคำสอนสำคัญและเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา คือ ละเว้นความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
วันมาฆบูชาปีนี้ ตรงกับวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ ๑. เป็นวันเพ็ญเดือนมาฆมาส ๒. เป็นวันที่พระสงฆ์ จำนวน ๑,๒๕๐รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกันโดย มิได้นัดหมาย ๓. ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็น เอหิภิกขุ คือ ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า ๔. ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ การประจวบพร้อมกันด้วยเหตุการณ์ทั้ง ๔ นี้ จึงเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต คือการประชุม ซึ่งประกอบด้วยองค์ ๔ ในวันดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ เป็นการวางหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาไว้ ๓ประการ คือ ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯติดตามงานพัฒนาแหล่งน้ำ พื้นที่ชลประทานเพิ่มล้านกว่าไร่ ก.เกษตรลุยโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ทั่วประเทศ | วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯติดตามงานพัฒนาแหล่งน้ำ พื้นที่ชลประทานเพิ่มล้านกว่าไร่ ก.เกษตรลุยโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ทั่วประเทศ
นายกฯติดตามงานพัฒนาแหล่งน้ำ พื้นที่ชลประทานเพิ่มล้านกว่าไร่ ก.เกษตรลุยโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ทั่วประเทศ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามความคืบหน้าการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อภาคการเกษตรที่จะได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศที่แปรปรวนมากขึ้นในแต่ละปี ทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม ระบบชลประทานจึงเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถเพาะปลูกในพื้นที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้กำหนดแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 ถึง 2580) ที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพและเพิ่มปริมาณผลผลิตทางการเกษตร ลดความเสียหายของพื้นที่ เกษตรกรจะได้มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานความก้าวหน้าว่า ในปี 2562 มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2561 ถึง 1.06 ล้านไร่ กระทรวงฯได้ดำเนินการก่อสร้างแหล่งน้ำทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก สร้างระบบส่งน้ำเพื่อชุมชน/ชนบท และที่สำคัญ ได้สนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านแหล่งน้ำทั้งหมด 3,522โครงการ ทั่วประเทศ เก็บกักน้ำรวมเกือบ 7พันล้าน ลูกบาศก์เมตร สร้างพื้นที่ชลประทาน 3.4 ล้านไร่ มีครัวเรือนได้รับประโยชน์ 6 แสนครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 4.912 ล้านไร่ โครงการฯที่แล้วเสร็จในปี 2563 มี 24 โครงการ เพิ่มการเก็บกักน้ำได้ 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นพื้นที่ชลประทาน 2,400 ไร่ พื้นที่รับประโยชน์ 5,700 ไร่ และโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดจะแล้วเสร็จปี 2564-2567 อีก 69 โครงการ เพื่อการเก็บกักน้ำ 337 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นพื้นที่ชลประทาน 146,000 ไร่ พื้นที่รับประโยชน์ 2แสนกว่าไร่
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ในภาพรวมของภาคการเกษตรแม้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 รัฐบาลมองเห็นโอกาสเติบโตอีกมาก จึงมีนโยบายให้การสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่สนใจทำการเกษตรในการเข้าถึงแหล่งที่ดินทำกิน การขยายโครงข่ายแหล่งน้ำ และการสนับสนุนนวัตกรรมทางการเกษตรและพัฒนาทักษะทางธุรกิจ เพื่อยกระดับภาคเกษตรกรรมตามหลักคิดเกษตรทฤษฎีใหม่สู่การพัฒนาอย่างยังยืน ซึ่งขณะนี้ กระทรวงเกษตรฯกำลังขับเคลื่อนโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ผ่านโครงการ 1 ตำบล 1 เกษตรทฤษฎีใหม่ เป้าหมายพัฒนาพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่ จำนวน 4,009 ตำบล 75 จังหวัด คิดเป็นพื้นที่ 1.9 แสนไร่ โดยเปิดรับสมัครเกษตรกร ถึง 31 มี.ค.นี้ จำนวนทั้งหมด 32,000 คน ทั่วประเทศ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว20,583 คน ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการฝึกอบรมความรู้เศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ อีกทั้งกรมพัฒนาที่ดิน จะไปขุดบ่อเก็บน้ำให้ ช่วยปรับปรุงดิน และสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น พืช สัตว์ สัตว์น้ำ เกษตรกรที่สนใจ สมัครที่ สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://ntag.moac.go.th/
-----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39445 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย รัฐบาลเร่งช่วยลูกจ้างแมรีกอท บางปูทุกมิติ ล่าสุด บริษัทฯ โอนเงินชดเชยและช่วยพิเศษรวมกว่า 470 ล้านบาท ให้ครบทุกคนแล้ว | วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564
รมว.สุชาติ เผย รัฐบาลเร่งช่วยลูกจ้างแมรีกอท บางปูทุกมิติ ล่าสุด บริษัทฯ โอนเงินชดเชยและช่วยพิเศษรวมกว่า 470 ล้านบาท ให้ครบทุกคนแล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการการจ่ายเงินค่าชดเชยและเงินช่วยเหลือพิเศษกรณี บริษัท แมรีกอท จิวเวลรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ยุติการดำเนินกิจการที่สาขาบางปู และย้ายไปสาขาพระนครศรีอยุธยา รัฐบาลเร่งติดตามช่วยเหลือแรงงานทุกมิติ
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงความคืบหน้าการจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย และเงินช่วยเหลือพิเศษกรณี บริษัท แมรีกอท จิวเวลรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ยุติการดำเนินกิจการที่สำนักงานสาขาบางปู และขอความร่วมมือลูกจ้างทั้งหมดย้ายไปปฏิบัติงานที่สำนักงานแห่งใหม่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานทำงานเชิงรุก เข้าไปติดตามผลการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างในยามวิกฤต เพื่อติดตามเงินชดเชยทั้งที่นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมและดำเนินการในทุกมิติ
นายสุชาติยังกล่าวอีกว่า จากการติดตามการจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย และเงินช่วยเหลือพิเศษล่าสุดได้รับแจ้งจากนางสาวกรรณิกา ฯ รองหัวหน้าแผนกทรัพยากรมนุษย์ ของบริษัท แมรีกอท จิวเวลรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ที่บริษัทได้มอบหมายให้ดำเนินการ ในวันที่ 30 ม.ค.64 ว่าบริษัทได้จ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมายและเงินช่วยเหลือพิเศษ โดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของชื่อลูกจ้างทุกคนเรียบร้อยแล้ว รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 470,628,497 บาท และขณะนี้ลูกจ้างสามารถถอนเงินดังกล่าวได้แล้ว
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ของนางสาวโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานซึ่งได้รับมอบหมายจากนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้เข้าไปช่วยเหลือดูแลพูดคุยกับลูกจ้างและนายจ้างในสถานประกอบการ โดยนายจ้างยืนยันว่าไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้างแต่ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างทั้งหมดย้ายไปปฏิบัติงานที่สำนักงานแห่งใหม่ จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากบริษัทสาขาบางปูได้รับผลกระทบมียอดสั่งซื้อสินค้าลดลง จึงต้องปรับแผนธุรกิจไปยุบรวมกับสำนักงานที่พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีลูกจ้างที่ประสงค์จะย้ายไปทำงานที่ใหม่จำนวน 101 คน สำหรับลูกจ้างที่ไม่ประสงค์จะย้ายไปจำนวน 1,610 คน บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เงินโบนัสประจำปี ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินช่วยเหลือพิเศษนอกเหนือกฎหมาย รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 470 ล้านบาท ในส่วนของกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ จะเข้าไปตรวจสอบเพื่อจ่ายเยียวยาสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการเตรียมตำแหน่งงานว่างรอบรับกว่า 1,000 อัตรา นอกจากนี้ ฝ่ายบุคคลของบริษัทแจ้งว่า มีสถานประกอบการที่ดำเนินกิจการลักษณะเดียวกันแสดงความประสงค์ที่จะรับลูกจ้างของบริษัทแมรีกอทฯ ด้วย เนื่องจากลูกจ้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือในการผลิตจิวเวลรี่ ขณะที่ลูกจ้างที่ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานที่ใหม่ กล่าวว่า ทำงานกับบริษัทแห่งนี้มานานหลายปี และมีแผนอยู่แล้วที่จะขอเกษียณที่นี่ ซึ่งเป็นช่วงพอดีที่บริษัทมีแผนย้ายไปประกอบกิจการที่แห่งใหม่ สิ่งที่บริษัทให้มาถือว่าคุ้มค่ามากพอแล้วเพราะเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและคิดว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปใช้ดำเนินชีวิตต่อที่บ้านเกิด และลูกจ้างบางส่วนที่ไม่ประสงค์ย้ายไปที่แห่งใหม่บริษัทยังได้ฝึกอบรมอาชีพให้เพื่อนำความรู้ไปต่อยอดในการประกอบอาชีพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38760 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำผ่อนคลายมาตรการ 1 ก.พ. ยังต้องเข้มป้องกันโควิด ไม่ใช้ชีวิตบนความเสี่ยง | วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564
สธ.ย้ำผ่อนคลายมาตรการ 1 ก.พ. ยังต้องเข้มป้องกันโควิด ไม่ใช้ชีวิตบนความเสี่ยง
กระทรวงสาธารณสุข แจงไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้ออาจปรับเปลี่ยนได้ตามหลักฐาน หลังสอบสวนเข้มตรวจทานข้อมูลให้ตรงกัน ระบุกินอาหารร่วมกันนานๆ ปาร์ตี้ สังสรรค์ คนในครอบครัว สถานที่อากาศไม่ถ่ายเท จุดสำคัญการติดเชื้อ ย้ำผ่อนคลายมาตรการ 1 ก.พ. ยังต้องเข้มมาตรการป้องก
กระทรวงสาธารณสุข แจงไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้ออาจปรับเปลี่ยนได้ตามหลักฐาน หลังสอบสวนเข้มตรวจทานข้อมูลให้ตรงกัน ระบุกินอาหารร่วมกันนานๆ ปาร์ตี้ สังสรรค์ คนในครอบครัว สถานที่อากาศไม่ถ่ายเท จุดสำคัญการติดเชื้อ ย้ำผ่อนคลายมาตรการ 1 ก.พ. ยังต้องเข้มมาตรการป้องกันโรค เลือกใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่มีความเสี่ยง ช่วยลดแพร่โรค กำชับจังหวัดชายแดนใต้เข้มเฝ้าระวังลักลอบข้ามแดนจากมาเลเซีย
วันนี้ (31 มกราคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 829 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 822 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 7 ราย ทำให้ผู้ติดเชื้อระลอกใหม่ (วันที่ 15 ธันวาคม 2563–31 มกราคม 2564) มีจำนวน 14,545 ราย ทั้งนี้ ในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 700-800 ราย เกินกว่า 96% อยู่ใน จ.สมุทรสาคร มาจากการค้นหาเชิงรุกที่ตั้งเป้าตรวจอย่างน้อยวันละ 1 หมื่นราย และจะนำข้อมูลผลการตรวจเชื้อไปปรับมาตรการควบคุมโรคต่อไป ส่วนจังหวัดอื่นๆ ควบคุมสถานการณ์ได้ดีและรวดเร็ว เมื่อพบผู้ติดเชื้อมีการสอบสวนโรคและกักกันผู้สัมผัส ทำให้ไม่มีการแพร่ระบาดเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ประเทศเพื่อนบ้านยังคงพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนใต้ยังต้องเฝ้าระวังการลักลอบเข้าประเทศอย่างเข้มงวด เนื่องจากมาเลเซียยังมีการระบาดสูงและมีมาตรการล็อกดาวน์ ให้คนต่างชาติกลับประเทศ ขณะนี้ยังพบผู้ลักลอบเข้ามาทางพรมแดนธรรมชาติ เช่นกรณีหญิงอายุ31 ปี ทำงานสถานบันเทิงในมาเลเซีย เดินทางข้ามพรมแดนธรรมชาติมากับหญิงไทยอีก 2 คน นั่งรถจากสุไหงโกลกถึงหาดใหญ่ และเช่ารถตู้มาสถานีขนส่งหมอชิต กทม. ต่อมาไปตรวจรักษาที่ รพ.สมุทรปราการ แล้วพบเชื้อโควิด 19 จึงขอให้ผู้ที่มีญาติทำงานอยู่ในต่างประเทศและผู้ที่จะเดินทางกลับเข้าประเทศ เข้ามาตามระบบเพื่อรับการกักกัน หากติดเชื้อจะได้รับการดูแลรักษาเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อสู่ชุมชน และไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
"การสอบสวนโรคเราไม่ได้เชื่อไทม์ไลน์ที่ผู้ป่วยให้ทั้งหมด เนื่องจากมีการให้ข้อมูลจริงและไม่จริง หรือบางครั้งจำไม่ได้ ต้องเอาหลักฐานต่างๆ มาประกอบกัน ไทม์ไลน์กับจุดเชื่อมโยงจึงไม่สามารถบอกได้ในวันเดียว ต้องมีการสอบทานว่าให้ข้อมูลตรงกันครบถ้วนหรือไม่ กว่าจะได้ข้อมูลก็ใช้เวลาเช่นกัน และบางกรณีไทม์ไลน์อาจเปลี่ยนแปลงจากหลักฐานที่ไม่สอดคล้องกันก็ไม่ต้องกังวล เนื่องจากวัตถุประสงค์ของไทม์ไลน์ คือ ต้องการให้เห็นว่าผู้ติดเชื้อไปตรงไหนบ้าง เพื่อแจ้งประชาชนที่อยู่จุดเดียวกันมารับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนโรคเพื่อไม่ให้โรคแพร่ระบาด เช่น กรณีลักลอบเดินทางมาจากมาเลเซียมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าสวมหน้ากากตลอดตามที่ให้ข้อมูล ทำให้ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ หรือกรณีสมุทรปราการที่ติดเชื้อในบริษัท 21 ราย ก็ใช้เวลาสอบทานข้อมูลจนถึงได้ไทม์ไลน์และจุดเชื่อมโยง" นายแพทย์โอภาสกล่าว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า กรณี จ.สมุทรปราการพบว่าเกี่ยวเนื่องกับ2 เหตุการณ์ คือ บริษัทพนักงานหญิงเมียนมาอายุ 19 ปีติดเชื้อคนแรก จากการตรวจคนในบริษัท 281 คน พบติดเชื้อ 18 คน เป็นเมียนมา 15 คน คนไทย 2 คน และกัมพูชา 1 คน นอกจากนี้ ยังไปตรวจเชิงรุกในชุมชนตลาดโต้รุ่งพบผู้ติดเชื้ออีก 2 คน เนื่องจากเป็นชุมชนแออัด มีคนกว่า 2 พันคนจึงลงไปตรวจหาเชื้ออีกครั้ง ถือว่าควบคุมได้รวดเร็ว ติดตามผู้สัมผัสได้ ส่วนกรณีไอคอนสยามเป็นการติดเชื้อในพนักงานร้านอาหารจากการมีกิจกรรมงานเลี้ยงในกลุ่ม โดยตรวจพนักงานกว่าร้อยคนพบการติดเชื้อ7 ราย และได้ปิดสถานที่ ทำความสะอาดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ส่วนไทม์ไลน์ที่มีการออกมาเพิ่มนั้น เป็นการทำไทม์ไลน์อย่างละเอียดของผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบ 7 ราย ถือเป็นกรณีเดิมไม่ใช่กรณีใหม่ สำหรับกรณีกลุ่มเสี่ยงสูง แม้ว่าผลตรวจ 2 ครั้งไม่พบเชื้อ ก็จะต้องกักตัวอยู่ที่บ้านจนครบ 14 วัน และปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้คนในชุมชนปลอดภัย
“การติดเชื้อไม่ได้ติดได้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเดินผ่านแล้วติด เราไม่พบการติดเชื้อจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์แล้วติดเชื้อ จุดสำคัญการติดเชื้อ คือจากการไม่สวมหน้ากาก ไม่เว้นระยะห่าง นั่งใกล้ชิดกัน อยู่ในสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท บริเวณจุดสัมผัสในห้องน้ำ การรับประทานอาหารร่วมกันนานๆ งานปาร์ตี้สังสรรค์ คนในบ้านที่อยู่ใกล้ชิดร่วมกัน เพื่อนร่วมงาน สถานบันเทิง ดังนั้น ประชาชนอย่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง หรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยง โดยเราสามารถเลือกการใช้ชีวิตได้ เช่น เลือกซื้อของกับคนที่ป้องกันใส่หน้ากาก สถานบันเทิงที่กลับมาเปิดดื่มสุราได้ ต้องเลือกร้านที่พนักงานใส่หน้ากาก อากาศถ่ายเทสะดวก และเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ จังหวัดพื้นที่สีเขียวใช้ชีวิตได้ตามปกติ แบบ New Normal คือ ต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ก็จะปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งสแกนไทยชนะ ลงทะเบียนหมอชนะ เพื่อช่วยให้การสอบสวนโรคสะดวก ควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว” นายแพทย์โอภาสกล่าว
********************** 31 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38761 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.มอบโอวาทแก่ข้าราชการบรรจุใหม่ให้ยึดหลัก 4 ประการ สืบสาน รักษา ต่อยอดงานวัฒนธรรม-ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหลักธรรมาภิบาล | วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564
รมว.วธ.มอบโอวาทแก่ข้าราชการบรรจุใหม่ให้ยึดหลัก 4 ประการ สืบสาน รักษา ต่อยอดงานวัฒนธรรม-ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหลักธรรมาภิบาล
รมว.วธ.มอบโอวาทแก่ข้าราชการบรรจุใหม่ให้ยึดหลัก 4 ประการ สืบสาน รักษา ต่อยอดงานวัฒนธรรม-ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหลักธรรมาภิบาลทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต พร้อมบูรณาความร่วมมือกับทุกภาคส่วน
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้ให้โอวาทแก่ข้าราชการใหม่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ในการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพการเป็นข้าราชการที่ดีรุ่นที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Video Conference ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม โดยได้แสดงความยินดีกับข้าราชการใหม่ทุกคน เพราะถือเป็นบุคคลสำคัญในการเข้ามาช่วยกันขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมให้เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและวธ. และขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมให้มีการรักษา สืบทอดและพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการนำนโยบายหลักของวธ. 4 ประการคือ "สืบสาน รักษา ต่อยอดงานศิลปวัฒนธรรมและปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยหลักธรรมาภิบาล"มาเป็นหลักในการปฏิบัติงาน รวมทั้งขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชนและเครือข่ายทางวัฒนธรรมเพื่อนำวัฒนธรรมมาสร้างคนดี สังคมดี พร้อมกันนี้ขอให้ทุกคนร่วมกันส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ได้ฝากให้ข้าราชการใหม่สังกัดวธ.ให้พัฒนาตนเองและแสวงหาความรู้ใหม่ๆทั้งด้านวัฒนธรรมและด้านอื่นๆอยู่เสมอ รวมทั้งจะต้องเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนาทักษะในเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการติดตามข้อมูลและข่าวสารสถานการณ์ของสังคมไทยและโลก เพื่อจะได้นำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการทำงานด้านวัฒนธรรมและปรับตัวในการดำเนินชีวิตด้วย
ทั้งนี้ การอบรมดังกล่าวเป็นไปตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ให้ข้าราชการระหว่างยังทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการและให้ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ได้รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการ การปลูกฝังอุดมการณ์ของการเป็นข้าราชการที่ดีและการพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ การฝึกอบรมครั้งนี้เป็นการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ แต่ยังคงเนื้อหาสาระของหลักสูตรตามที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด โดยเชิญผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญจากหน่วยงานสังกัดวธ. หน่วยงานรัฐ เอกชน มาเป็นวิทยากร มีข้าราชการบรรจุใหม่เข้ารับอบรม 107 คน ประกอบด้วยสำนักงานปลัด วธ. 15 คน กรมศิลปากร 73 คน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม 1 คน กรมการศาสนา 12 คน และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 6 คน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 25-29 มกราคม 2564
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38757 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพย์ฯ ถก คลัง เล็ง มาตรการภาษี จูงใจผู้ประกอบการลดขยะพลาสติก แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม | วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564
กระทรวงทรัพย์ฯ ถก คลัง เล็ง มาตรการภาษี จูงใจผู้ประกอบการลดขยะพลาสติก แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพย์ฯ ถก คลัง เล็ง มาตรการภาษี จูงใจผู้ประกอบการลดขยะพลาสติก แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อความสุขของประชาชนและสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีการบริหารจัดการอย่างบูรณาการหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เริ่มนโยบายลดการใช้ถุงพลาสติก โดยขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ งดบริการถุงพลาสติก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการและประชาชนเป็นอย่างดี ทำให้เห็นว่าแนวโน้มการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาถุงพลาสติกเป็นไปในทิศทางที่ดี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า หลายประเทศทั่วโลกต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ ก่อให้เกิดความร่วมมือจากประชาชน สำหรับประเทศไทยขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ในระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลัง ถึงมาตรการทางภาษี เพื่อส่งเสริมเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงการก่อขยะพลาสติก อันจะเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังมีเป้าหมายงดการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ ให้ได้ภายในปี 2569 จากเดิมที่ตั้งเป้าจะงดการนำเข้าเศษพลาสติกภายในปี 2570 ซึ่งจะทำให้ขยะพลาสติกในประเทศถูกบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยระหว่างนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีกระบวนการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทิ้งขยะของประชาชน เพื่อการบริหารจัดการที่ดี เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลขอบคุณประชาชนที่ช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกและหันมาใช้ถุงผ้าทดแทนในชีวิตประจำวัน พร้อมขอความร่วมมือในการคัดแยกขยะ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการบริหารจัดการขยะ ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณขยะพลาสติกอยู่ประมาณ 1.6 ล้านตันต่อปี สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ประมาณ 2 แสนตัน ทั้งนี้ หากมีการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถนำขยะพลาสติกกลับใช้ใหม่ได้มากกว่า 2 แสนตัน แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใช้บริการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่มากขึ้น แต่การคัดแยกขยะ ก็จะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38758 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยึดหลักการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นธรรม สำหรับทุกกลุ่ม แบ่งฉีดเป็น 3 ระยะตามมาตรฐานสากล | วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรี ยึดหลักการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นธรรม สำหรับทุกกลุ่ม แบ่งฉีดเป็น 3 ระยะตามมาตรฐานสากล
นายกรัฐมนตรี ยึดหลักการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นธรรม สำหรับทุกกลุ่ม แบ่งฉีดเป็น 3 ระยะตามมาตรฐานสากล
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบแนวทางเกี่ยวกับการบริหารวัคซีนโควิด-19 ยึดหลักให้มีการกระจายวัคซีนอย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติจะบริหารแผนการฉีดวัคซีน และกระทรวงสาธารณสุขจะติดตามประเมินผลการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทยคนแรกได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นายกรัฐมนตรียังวอนให้คนไทย “ตั้งการ์ดสูง” และยังต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ไปในสถานที่เสี่ยงและสถานที่แออัด
ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 2/2564 ได้มีการรายงานลำดับกลุ่มเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด ดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้มีโรคประจำตัว 6 โรคกำหนด คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย
ระยะที่ 2 ช่วงที่มีวัคซีนเพิ่มขึ้น ขยายพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยกำหนดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่นอกเหนือจากด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสซื้อโควิด 19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก และผู้เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศ และระยะที่ 3 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณเพียงพอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนปฏิบัติงานในทุกมิติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแผนปฏิบัติการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแต่ละกลุ่มในรายละเอียด รวมทั้งการขนย้าย การขนส่งและการจัดเก็บวัคซีนเพื่อรักษาประสิทธิภาพวัคซีน ขณะเดียวกันได้มอบให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์ สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย
อนึ่ง รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ภายในประเทศ โดยกลุ่มที่ก้าวหน้ามากที่สุดมี 3 ชนิด คือ ชนิด mRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์ ชนิด Protein subunit (Plant-based) ของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชนิด DNA โดยบริษัทไบโอเนท เอเชีย อยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือ หรือพัฒนาศักยภาพการขยายขนาดการผลิต เพื่อผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในอาสาสมัคร
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38756 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนหางานต่างประเทศ เฮ! กระทรวงแรงงาน ประกาศยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ | วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564
คนหางานต่างประเทศ เฮ! กระทรวงแรงงาน ประกาศยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์
กระทรวงแรงงาน ยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ หลังประเมินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ของรัฐกาตาร์มีประสิทธิภาพ
ประกอบกับประเทศอ่าวอาหรับ 4 ประเทศ (ชาอุดีอาระเบีย บาห์เรน อียิปต์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) มีมติยุติการคว่ำบาตรรัฐกาตาร์แล้ว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา แจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการนำเข้าแรงงานไทยไปยังรัฐกาตาร์ และจากการประเมินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ของรัฐกาตาร์ที่มีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาด้านกฎระเบียบ และกฎหมายที่ดีขึ้น รวมทั้งเอื้อประโยชน์แก่แรงงานต่างชาติ ตลอดจนขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ตลาดแรงงานในรัฐกาตาร์มีความต้องการแรงงานไทยที่มีทักษะฝีมือ สำหรับโครงการขนาดใหญ่จำนวนมาก เพื่อเร่งสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รองรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2022
“ กระทรวงแรงงาน ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนและคนหางานที่มีความต้องการเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์ทราบทั่วกัน เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานไทยได้เดินทางไปทำงานในต่างประเทศตามนโยบายส่งเสริมแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศของรัฐบาล โดยการนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และความต้องการของตลาดแรงงานในรัฐกาตาร์ โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กรมการจัดหางานกำหนด ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมีภารกิจในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีค่าตอบแทนที่ดีและได้รับการดูแลตามสิทธิที่พึงมีตามกฎหมาย โดยยึดหลักความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ ซึ่งกรมการจัดหางานได้กำหนดมาตรการการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ โดยกำหนดให้คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ทุกประเทศและทุกวิธีการเดินทางในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD-19) ลงนามในหนังสือรับทราบและยินยอมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD-19) และจัดทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
“กรมการจัดหางานมีการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 เนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่กลุ่มประเทศอาหรับตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐกาตาร์ จนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ การจ้างงานภาคก่อสร้างชะลอตัว และความต้องการแรงงานต่างชาติลดลง รวมทั้งปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำให้เกิดมาตรการระงับการเข้าประเทศชั่วคราวสำหรับผู้ที่เดินทางจากประเทศไทย ซึ่งล่าสุดจากการประชุมสุดยอดอ่าวอาหรับ (GCC-Summit) เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564 ณ เมืองอัล - อูลา (AL-Ula) ประเทศซาอุดีอาระเบีย ผลการประชุมมีมติให้ยุติมาตรการคว่ำบาตรต่อรัฐกาตาร์ รวมทั้งมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการนำแรงงานไทยไปยังรัฐกาตาร์ตามมาตรการผ่อนคลายการนำเข้าแรงงานต่างชาติ ทำให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานพิจารณาให้ยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39089 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำ DMHTT เป็นโซเชียลวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันโควิด 19 | วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. ย้ำ DMHTT เป็นโซเชียลวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค DMHTT เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ตรวจวัดอุณหภูมิ และสแกนไทยชนะ/ หมอชนะ สร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ด้วยตนเอง เป็นวัคซีนสังคม สอดคล้องกับผลสำรวจ ดีดีซีโพลล์ ล่าสุด
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคDMHTT เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ตรวจวัดอุณหภูมิ และสแกนไทยชนะ/ หมอชนะ สร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ด้วยตนเอง เป็นวัคซีนสังคม สอดคล้องกับผลสำรวจ ดีดีซีโพลล์ ล่าสุด ประชาชนมีการสวมหน้ากากในช่วงที่ไม่มีอาการและการเว้นระยะห่างเพิ่มขึ้น ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 แม้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ เจ็บป่วย และเสียชีวิต ร้อยละ 69.8
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ภาพรวมสถานการณ์โรคโควิด19 ขณะนี้มีแนวโน้มดีขึ้น สามารถจำกัดวงการแพร่ระบาดได้ ยังคงค้นหาเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบผู้ติดเชื้อลดลง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนไทยและกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในประเทศไทยทุกคน ซึ่งการจัดหาและการฉีดวัคซีนเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ ผลสำรวจ การรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนเรื่องโรคโควิด 19 หรือดีดีซีโพลล์ของกรมควบคุมโรค ออนไลน์ล่าสุดครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 26 มกราคม – 8 กุมภาพันธ์ 2564 มีผู้ตอบแบบสอบถาม 2,879 คน พบว่า ประชาชนมีการสวมหน้ากากในช่วงที่ไม่มีอาการและการเว้นระยะห่างเพิ่มขึ้น มีผู้ที่อยากฉีดวัคซีนแม้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ เจ็บป่วย และเสียชีวิตร้อยละ 69.8 โดยผู้ที่ไม่ต้องการฉีดหรือไม่แน่ใจว่าจะฉีด ส่วนหนึ่งคิดว่าสามารถดูแลป้องกันตนเองได้ ซึ่งมาตรการ DMHTT คือ การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย 100% ล้างมือบ่อยๆ ตรวจวัดอุณหภูมิ และสแกนไทยชนะ/ หมอชนะ นับเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ด้วยตนเอง เป็นวัคซีนสังคมหรือโซเชียลวัคซีน ที่จะช่วยทุกคนปลอดภัยจากโรคโควิด 19 และเป็นจุดแข็งของระบบการควบคุมป้องกันโรคของประเทศไทย จึงขอย้ำให้ประชาชนใช้ชีวิตแบบ New Normal แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว
นอกจากนี้ ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดต้องเร่งสื่อสารให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงให้เข้าใจถึงประโยชน์ของการได้รับวัคซีน ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการเสียชีวิต ที่สำคัญคือลดการแพร่กระจายเชื้อ ลดการระบาดของโรค รวมทั้งวัคซีนที่ประเทศไทยได้จัดหาสำหรับคนไทยเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูง และมีประสิทธิผลในระดับที่องค์การอนามัยโลกยอมรับ มีขั้นตอนการให้บริการวัคซีนที่เป็นระบบ ได้มาตรฐาน ต้องรอสังเกตอาการ30 นาที และมีการติดตามผลทาง Line OA หมอพร้อม
************************** 13 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39087 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพลวาเลนไทน์ปี”64 ในสถานการณ์โควิด-19 ร้อยละ 70.13 มอบความรักพ่อแม่ รองลงมาคนรัก ของขวัญอยากให้ดอกกุหลาบ/พวงมาลัย-หน้ากากอนามัย- | วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564
วธ.เผยผลโพลวาเลนไทน์ปี”64 ในสถานการณ์โควิด-19 ร้อยละ 70.13 มอบความรักพ่อแม่ รองลงมาคนรัก ของขวัญอยากให้ดอกกุหลาบ/พวงมาลัย-หน้ากากอนามัย-
วธ.เผยผลโพลวาเลนไทน์ปี”64 ในสถานการณ์โควิด-19 ร้อยละ 70.13 มอบความรักพ่อแม่ รองลงมาคนรัก ของขวัญอยากให้ดอกกุหลาบ/พวงมาลัย-หน้ากากอนามัย-
วธ.เผยผลโพลวาเลนไทน์ปี”64 ในสถานการณ์โควิด-19 ร้อยละ 70.13 มอบความรักพ่อแม่ รองลงมาคนรักของขวัญอยากให้ดอกกุหลาบ/พวงมาลัย-หน้ากากอนามัย-บอกรักด้วยคำพูด-แอลกอฮอล์เจล/สเปรย์ วางแผนใช้เวลาอยู่กับครอบครัวดูภาพยนตร์-ละคร ทำบุญตักบาตร ทำอาหารด้วยกัน ซื้อของขวัญให้คนรัก
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิตสำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชนและประชาชนที่มีต่อ“วันแห่งความรักในสถานการณ์โควิด-19”(14 กุมภาวันวาเลนไทน์)จากกลุ่มตัวอย่างทุกอาชีพ 4,403 คนครอบคลุมทั่วประเทศ โดยผลสำรวจพบว่า เด็ก เยาวชนและประชาชนร้อยละ 48.29 ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์พอๆกับทุกปีที่ผ่านมา รองลงมาร้อยละ 25.03 ไม่ได้ให้ความสำคัญ ร้อยละ 11.49 ให้ความสำคัญน้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา ร้อยละ 8.31 ให้ความสำคัญมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาและร้อยละ 6.88 ให้ความสำคัญมากที่สุด ส่วนบุคคลที่ผู้ตอบแบบสอบถามอยากมอบความรักหรือส่งความรู้สึกที่ดีหรือให้สิ่งของในวันวาเลนไทน์มากที่สุดพบว่าร้อยละ70.13 คือพ่อแม่/ผู้ปกครอง รองลงมา ร้อยละ 38.50 คนรัก/แฟน ร้อยละ 38.00 เพื่อน ร้อยละ 27.69 ครูอาจารย์/ผู้มีพระคุณ ร้อยละ 22.44 บุตร/หลาน ร้อยละ 22.44 สามี/ภรรยา ร้อยละ 17.53 ญาติ ร้อยละ 15.60 เพื่อนร่วมงาน ร้อยละ 10.02 เจ้านาย/ผู้บังคับบัญชา ร้อยละ 6.65 ลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชา ร้อยละ 6.54 ศิลปินดารา นักแสดงและคนดัง เช่น ณเดช ญาญ่า วง BTS NCT และร้อยละ 2.63 อื่นๆคือ ตัวเราเอง เด็กด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันผลสำรวจครั้งนี้ได้สอบถามถึงสิ่งที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยากมอบให้แฟน/คนรัก/พ่อแม่/ครอบครัวมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ปีนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ ร้อยละ 44.47 ดอกกุหลาบ/พวงมาลัย ร้อยละ 39.02 หน้ากากอนามัย ร้อยละ 29.46 บอกรักด้วยคำพูด ร้อยละ 29.21 แอลกอฮอล์เจล/สเปรย์และร้อยละ 23.12 บอกรักผ่านสื่อโซเซียล ส่วนช่องทางในการสื่อสารในวันวาเลนไทน์นอกจากบอกรักแฟนด้วยตนเองแล้ว ยังใช้ช่องทางในการสื่อสารอื่นๆ 5 อันดับแรก ได้แก่ ร้อยละ 65.25 ไลน์ ร้อยละ 56.01 โทรศัพท์ ร้อยละ 38.84 ช่องทางแชทของเฟซบุ๊ก ร้อยละ 20.12 ข้อความและร้อยละ 20.03 อินสตาแกรม
นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงกิจกรรมที่จะทำเพื่อฉลองวันวาเลนไทน์กับคนรักในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 มีกิจกรรม ได้แก่ ดูภาพยนตร์ ละคร ซีรี่ย์ ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัว ,ซื้อของขวัญเพื่อมอบให้แก่คนที่เรารัก, ทำบุญตักบาตรกับคนรัก/คนในครอบครัว,ทำอาหารรับประทานร่วมกันกับคนรักที่บ้านและบอกรักผ่านสื่อโซเซียลมีเดีย ส่วนเรื่องที่อยากให้เกิดขึ้นในวันวาเลนไทน์ปีนี้มากที่สุดคือ การแสดงความรัก ความห่วงใยต่อพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครู อาจารย์และเพื่อนๆด้วยความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน,อยากให้ครอบครัวได้มีเวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น,อยากให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น,อยากให้ทุกคนแสดงความห่วงใยและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในช่วงสถานการณ์โควิด-19และได้รับของขวัญจากคนที่รัก
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ผลสำรวจสอบถามถึงผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ต่อวันวาเลนไทน์พบว่า ร้อยละ 56.69 เห็นว่าไม่มีผลกระทบ รองลงมาร้อยละ 32.55 มีผลกระทบและร้อยละ10.77 ไม่แน่ใจ ขณะเดียวกันเมื่อสอบถามหากเกิดผลกระทบเกิดด้านใดต่อตัวเองมากที่สุดพบว่า ร้อยละ 49.67 กิจวัตรประจำวันที่เคยทำประจำเปลี่ยนไปจากเดิม รองลงมาร้อยละ 20.28 ความสัมพันธ์ในความรักน้อยลง ร้อยละ 16.43 โควิดก็กลัวแฟนคนรักก็อยากเจอและร้อยละ 13.61 ความเอาใจใส่ มีเวลาให้กันน้อยลง ส่วนวิธีป้องกันตัวเองเพื่อให้เหมาะสมและปลอดภัยจากสถานการณ์โควิด-19 ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ห่างกันสักพักให้รักเรายังเท่าเดิม 2.ให้กำลังใจกันเสมอถ้าอีกฝ่ายอยู่ในความเครียด 3.อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อคนที่คุณรัก 4. Social Distancing และ5.แชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรักห่วงใย นอกจากนี้ ผลสำรวจสอบถามเรื่องภาครัฐและวธ.ควรจัดกิจกรรมใดบ้างเพื่อสร้างค่านิยมที่ดีในวันวาเลนไทน์ในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า ไม่ควรจัดเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ดีขึ้น หากจัดกิจกรรมควรมีกิจกรรม เช่น การรณรงค์บอกรักผ่านสื่อออนไลน์ เกมออนไลน์ที่ส่งเสริมและความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมวันแห่งความรักหรือการแสดงความรักอย่างถูกวิธี
----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39090 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนผู้มีปัญหาบัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล รับข้อเสนอไกล่เกลี่ย บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด | วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐบาลเชิญชวนผู้มีปัญหาบัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล รับข้อเสนอไกล่เกลี่ย บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด
รองโฆษกรัฐบาลเผยรัฐบาลเชิญชวนผู้มีปัญหาบัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล รับข้อเสนอไกล่เกลี่ย บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด
วันที่13ก.พ.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยปัญหาปากท้องของประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด-19จึงได้ทยอยออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพต่างๆขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการยสนับสนุนให้ประชาชนรักษาวินัยการเงินที่อาจเกิดปัญหาได้ในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมมีนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือประชาชนเต็มที่โดยเฉพาะการดูแลไม่ให้เกิดปัญหาข้อมูลเครดิตการผิดนัดชำระจนกระทบต่อการประกอบอาชีพในระยะยาว
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับกรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรมประสานความร่วมมือกับผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อกว่า22แห่งจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งรัฐบาลขอเชิญชวนให้ผู้กำลังประสบปัญหาเข้าร่วม
ทั้งนี้มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมีข้อเสนอผ่อนปรนสำหรับลูกหนี้3กลุ่มกลุ่มที่1กลุ่มลูกหนี้NPLที่มีคำพิพากษาและเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีแล้วมีข้อเสนอให้ชำระเฉพาะเงินต้นไม่มีดอกเบี้ยโดยมีการวางกรอบการชำระหนี้ไว้3ระยะคือภายใน3เดือนภายใน3ปีและภายใน5ปีหากชำระได้ตามแผนก็จะยกดอกเบี้ยให้ลูกหนี้
กลุ่มที่2ลูกหนี้NPLที่ยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือถูกฟ้องแล้วเมื่อสมัครเข้าร่วมมหกรรมฯจะมีการรับเรื่องเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ของศาลพร้อมกันนี้ยังมีข้อเสนอผ่อนชำระระยะยาวเช่นภายใน10ปีเป็นต้น
กลุ่มที่3กลุ่มที่ขาดสภาพคล้องชั่วคราวค้างชำระเกิน3เดือนโดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะช่วยแปรสภาพหนี้เป็นระยะยาวคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลง
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าประชาชนที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้สามารถเข้าร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ฯด้วยการลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ระหว่างวันที่14ก.พ.ถึง14เม.ย.ทางเว็บไซต์ของสำนักงานศาลยุติธรรมกรมบังคับคดี ธนาคารแห่งประเทศไทยและศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน(ศคง.)ซึ่งภายหลังการลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับภายใน1สัปดาห์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร1213
“รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเข้าร่วมโครงการเพื่อเปิดให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้พร้อมยื่นข้อเสนอเพื่อหาทางออกร่วมกันระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงินแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนในช่วงสถานการณ์ของโรคโควิด-19ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างโดยเฉพาะมหกรรมไกล่เกลี่ยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ถูกบังคับคดียึดทรัพย์ขายทอดตลาดจะสามารถไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้แทนการยึดทรัพย์ได้น.ส.ไตรศุลีกล่าว
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าจะมีมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ฯธนาคารแห่งประเทศไทยมีหลายมาตรการที่ช่วยดูแลเครดิตให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็น'ทางด่วนแก้หนี้'สำหรับประชาชนและธุรกิจที่เป็นลูกหนี้ที่กำลังเดือดร้อนโดยจะช่วยรับเรื่องและเป็นตัวกลางในการส่งข้อมูลติดต่อหรือเจรจากับผู้ให้บริการทางการเงินในกรณีจำเป็น และมีช่องทาง'คลินิกแก้หนี้'เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระและเป็นNPLกับผู้ให้บริการเพียงรายเดียวหรือหลายรายรวมทั้งหนี้ที่อยู่ในกระบวนการของศาลและมีคำพิพากษาแล้ว
_________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39088 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามการทำงาน มอบกำลังใจทีมแพทย์ สาธารณสุข ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจ โควิด-19 ควบคุมได้ | วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีติดตามการทำงาน มอบกำลังใจทีมแพทย์ สาธารณสุข ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจ โควิด-19 ควบคุมได้
โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีติดตามการทำงาน มอบกำลังใจทีมแพทย์ สาธารณสุข ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจ โควิด-19 ควบคุมได้
วันนี้(13ก.พ.64)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตีเผยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19ทั้งการแพทย์สาธารณสุขการดูแลคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศการยับยั้งการกระทำผิดกฎหมายรวมทั้งเตรียมพร้อมวัคซีนเพื่อคนไทย โดยการรายงานของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19ล่าสุดพบว่า สถานที่ควบคุมโรคแห่งรัฐ(State Quarantine)ทั้งหมด579แห่งแบ่งเป็นState Quarantine (SQ) 152แห่งยังคงมีห้องรับได้14,119ห้องและLocal Quarantine (LQ)จำนวน427แห่งพร้อมใช้งาน195แห่ง/เตรียมพร้อม232แห่งสามารถรองรับ10,257คน โรงพยาบาลสนามจัดตั้งแล้วใน6จังหวัดได้แก่จ.ปทุมธานีจ.อ่างทองจ.สมุทรสาครจ.จันทบุรีจ.ชลบุรีและจ.ระยองปัจจุบันเปิดให้บริการ3,092เตียงFactory Quarantine (FQ)ในจ.สมุทรสาคร2,389เตียง และช่วยคนไทยในต่างประเทศกลับประเทศไทยแล้วในช่วง4 เมษายน2563 - 8 ก.พ. 2564จำนวน 167,617คนทั้งจากเที่ยวบินและจากด่านชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ
ด้านการยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศมีการจัดตั้งจุดตรวจควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19โดยเหล่าทัพและตำรวจทั่วประเทศ1,522จุดรวมทั้งจัดชุดสายตรวจคัดกรองบุคคลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19อย่างต่อเนื่องขณะที่การดำเนินการป้องกันและสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยกระทรวงมหาดไทยตั้งจุดตรวจและจุดสกัดจำนวน127จุดตรวจคัดกรองบุคคลจำนวน9,882คน
สำหรับความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด–19คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีแผนการกระจายวัคซีน63ล้านโดส โดย2ล้านโดสให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดและอีก61ล้านโดสจะกระจายไปยังจังหวัดที่พบผู้ป่วยโดยวางแผนฉีดวัคซีน10ล้านโดสต่อเดือนมีโรงพยาบาลรัฐและเอกชนให้บริการกว่า1,000แห่งและอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายไปให้บริการณรพ.สตด้วยซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้วัคซีนได้ภายในเดือนก.พ. 2564
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่านายกรัฐมนตรีมอบกำลังใจแก่ผู้ปฎิบัติหน้าที่ทุกหน่วยงานพร้อมย้ำว่าเมื่อทราบปัญหาแล้วต้องเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว และพร้อมเข้าร่วมแก้ปัญหาของทุกหน่วยงาน ด้วยความมั่นใจว่าโควิด-19สามารถควบคุมได้เพราะคนไทยร่วมมือกันด้วยดีตามแนวทาง“รวมไทยสร้างชาติฝ่าวิกฤตโควิด-19“
——————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39086 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 กุมภาพันธ์ 2564 | วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต
คนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก
อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตาจังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559
4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ พัดลมหม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 พ.ศ. ….
เศรษฐกิจ - สังคม
5. เรื่อง โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ
6. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565)
7. เรื่อง สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชนไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
8. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาตร์ชาติ ประจำปี 2563 และรายงาน สรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2563
9. เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2562/2563
10. เรื่อง (ร่าง) นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. 2560 – 2580
11. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร
12. เรื่อง แนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าสำรวจและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ
13. เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 3 กลุ่มสาขาอาชีพ 13 สาขาอาชีพ
14. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2564
15. เรื่อง มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม
16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 6/2564
ต่างประเทศ
17. เรื่อง การจัดทำประกาศ (Declaration) เกี่ยวกับสถานะอาวุธนิวเคลียร์สำหรับสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons – TPNW)
18. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการ ท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ด้านแผนงานนโยบายและเทคโนโลยีการจราจร
19. เรื่อง เอกสารถ้อยแถลงเพื่อดำเนินงาน (Statement of Undertaking : SoU) ของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Nitric Acid Climate Action Group : NACAG)
20. เรื่อง ข้อความสาร (message) สำหรับการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 5 ผ่านระบบออนไลน์
แต่งตั้ง
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
22. เรื่อง การเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
23. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงพลังงาน
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ รง. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในกรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการเข้าทำงานหรือดำเนินการอย่างอื่นแทนการรับคนพิการเข้าทำงานปฏิบัติไม่ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดในมาตรา 33 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการฯ โดยขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจาก ภายในสี่สิบห้าวัน เป็น ภายในเก้าสิบวัน โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างและเจ้าของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติได้เห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐรับคนพิการเข้าทำงานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงกำหนดจำนวนที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงาน มาตรา 34 บัญญัติให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่มิได้รับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และมาตรา 35 บัญญัติให้ในกรณีที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงาน และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตราดังกล่าว นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐนั้นอาจให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงานหรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการก็ได้
2. ต่อมาได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2554 ซึ่งข้อ 3 ของกฎกระทรวงดังกล่าวกำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไปรับคนพิการที่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดในอัตราส่วนลูกจ้างที่มิใช่คนพิการทุกหนึ่งร้อยคนต่อคนพิการหนึ่งคน และข้อ 6 กำหนดให้ในกรณีที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการผู้ใดได้รับคนพิการเข้าทำงานตามที่กำหนดในข้อ 3 หรือได้ดำเนินการตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม แต่ปฏิบัติไม่ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา 33 หรือมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามจำนวนวันที่ไม่ได้ปฏิบัติให้ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เว้นแต่ได้มีการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ไม่ได้ปฏิบัติให้ครบตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
3. โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อนายจ้างและเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการเข้าทำงานหรือดำเนินการอย่างอื่นแทนการรับคนพิการเข้าทำงาน แต่ปฏิบัติไม่ครบตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เว้นแต่ได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดภายในสี่สิบห้าวันตามข้อ 2. ดังนั้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างและเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการเข้าทำงานฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้มีระยะเวลาในการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด รง. จึงเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงในข้อ 2. ในส่วนที่เป็นข้อยกเว้นเกี่ยวกับระยะเวลาที่นายจ้างและเจ้าของสถานประกอบการต้องดำเนินการ จาก ภายในสี่สิบห้าวัน เป็น ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ดำเนินการไม่ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564
4. ในคราวประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 เห็นชอบตามหลักการในร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3.
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำไปรวมพิจารณากับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (4 เมษายน 2560) ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในคราวเดียวกัน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ สธ. เสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่ สธ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. แก้ไขความหมายของคำนิยาม “ผู้อนุญาต” จากเดิม หมายความว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมาย เป็น “ผู้อนุญาต หมายความว่า อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย”
2. กำหนดให้เพิ่มคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามทั่วไป และคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเฉพาะของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงเพิ่ม “คณะกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ” และกำหนดหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และวิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง
3. กำหนดให้เพิ่มกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้องค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมีองค์ประกอบเท่าที่เหลืออยู่ กรณียังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนคนเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ
4. แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการคัดค้านการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยส่วนบุคคล หรือของชุมชน
5. แก้ไขเพิ่มเติมการนำตำรับยาแผนไทยของชาติ หรือตำรับยาแผนไทยของชุมชนไปขออนุญาตตามกฎหมายอื่น เช่น การนำไปขอจดแจ้ง การแจ้งรายละเอียด หรือการขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มเติม จากเดิมที่กำหนดไว้เฉพาะการขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาตผลิตยาตามกฎหมายว่าด้วยยา จะต้องยื่นคำขอรับอนุญาตการใช้ประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542
6. กำหนดบทเฉพาะกาล เนื่องจากมีการแก้ไขเพิ่มเติมหลักการบางประการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ให้สามารถใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ทส. เสนอว่า
1. ได้ดำเนินการประกาศเขตพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยออกเป็นประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559 ซึ่งมีผลใช้บังคับ 5 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2559 และจะสิ้นสุดอายุการใช้บังคับในวันที่ 31 มีนาคม 2564
2. เนื่องจากการจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ทส. จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการให้มีผลใช้บังคับได้ทันภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามข้อ 1. ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จึงได้ยกร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559 ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการขยายระยะเวลาการใช้บังคับได้ทัน จะทำให้การใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงฯ เกิดช่องว่างของการใช้บังคับกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมดังกล่าว
3. ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 และให้ ทส. นำร่างประกาศฯ ตามข้อ 2. เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559 ออกไปอีก 2 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไป
4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างประกาศ
เป็นการออกประกาศเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 5 โดยยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 เนื่องจากการควบคุมมาตรฐานของพัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร มีการกำหนดไว้เป็นการเฉพาะตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 แล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดความซ้ำซ้อนของกฎหมาย รวมทั้งเป็นการลดภาระและอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของประชาชนด้วย
เศรษฐกิจ - สังคม
5. เรื่อง โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ ศธ. ดำเนินโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระยะเวลา 10 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2573) และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการดังกล่าว จำนวน 9,619.88 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพผู้เรียน ตลอดจนเป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้เรียนที่มีความสนใจพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในทุกพื้นที่ นำไปสู่การสร้างและพัฒนาบุคคลให้เป็นกำลังสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันกับนานาประเทศในอนาคต ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
2. ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ศธ. ปรับแผนค่าใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของ สพฐ. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการด้านบุคลากรและการพัฒนาโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ
สาระสำคัญของเรื่อง
ศธ. รายงานว่า
1. ปัจจุบันประเทศไทยขาดแคลนกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นบุคลากรที่สำคัญในการพัฒนาประเทศและเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันกับนานาประเทศ ประกอบกับนักเรียนที่ต้องการทำงานเกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมมีน้อย* ดังนั้น ครูและบุคลากรทางการศึกษามีส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพทางด้านวิทยาศาสตร์ศึกษาและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพนักเรียนให้มีความรู้ ความสามารถ และเต็มศักยภาพ อย่างไรก็ตาม การศึกษาของไทยยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับกระบวนการสอนของครู เช่น ความเข้าใจในเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง ทักษะกระบวนการจัดการเรียนรู้และวิธีการสอนที่เน้นเนื้อหาคำตอบมากกว่ากระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่คำตอบ เป็นต้น รวมถึงหลักสูตรที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ นักเรียน จึงไม่ได้รับการพัฒนาสมรรถนะเท่าที่ควร ส่งผลให้นักเรียนขาดทักษะการคิดขั้นสูง เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ และไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ หลายโรงเรียนยังขาดความพร้อมทาง ด้านห้องเรียน วัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์ ปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องเร่งพัฒนาต่อคุณภาพการศึกษาของไทยให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างเร่งด่วน
______________________
* ข้อมูล “วิทยาศาสตร์ของนักเรียนกับนักเรียนในภูมิภาคเอเชีย” เดือนตุลาคม 2560 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. ศธ. โดยความร่วมมือระหว่าง สพฐ. สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์และเครือข่ายมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดทำโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ (โครงการฯ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะนักเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี [ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6) และระดับมัธยมศึกษา (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6)] ผ่านกระบวนการของหลักสูตรและเครือข่ายการพัฒนาศักยภาพ มหาวิทยาลัย โรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียน ระยะเวลาดำเนินงาน 10 ปี (ปีการศึกษา 2564 – 2573) โดยมีเป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และงบประมาณสรุปได้ ดังนี้
2.1 เป้าหมาย
(1) หลักสูตรวิทยาศาสตร์พลังสิบมีมาตรฐานและคุณภาพสามารถเป็นต้นแบบในการจัดการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยปรับรายวิชาเพิ่มเติมเน้นสมรรถนะผู้เรียนเป็นฐาน เพื่อเน้นบูรณาการความรู้ ลดความซ้ำซ้อนในการจัดรายวิชา เน้นทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้และ สร้างกระบวนการคิดได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมทักษะการคิดแก้ปัญหาและการคิดอย่างสร้างสรรค์
(2) พัฒนาโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีคุณภาพ และมีศักยภาพเป็นโรงเรียนศูนย์ฝึกอบรมด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี (โรงเรียนศูนย์ฝึกอบรมฯ) จำนวน 200 โรงเรียน (แบ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 100 โรงเรียน และโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 100 โรงเรียน) เพื่อให้บริการทางวิชาการแก่โรงเรียนเครือข่าย อีกจำนวน 2,000 โรงเรียน (แบ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 1,000 โรงเรียน และโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 1,000 โรงเรียน) (อัตราส่วนโรงเรียนศูนย์ฝึกอบรมฯ : โรงเรียนเครือข่าย คือ 1 : 10) รวมจำนวนโรงเรียนในโครงการทั้งสิ้น 2,200 โรงเรียน
(3) พัฒนาครูในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยการฝึกอบรมและพัฒนาตนเองทางความรู้ ทักษะ และประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง มากกว่า 10,000 คน/ปี รวมถึงพัฒนาศักยภาพบุคลากรโครงการฯ ด้วย
(4) พัฒนานักเรียนที่มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ มากกว่า 100,000 คน/ปี/ระดับชั้น
(5) ให้นิสิต/นักศึกษา ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในโรงเรียนที่ร่วมโครงการฯ ให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวโครงการฯ
2.2 แผนการดำเนินงาน
ปีการศึกษา
การดำเนินการที่สำคัญ เช่น
1. การเตรียมความพร้อมของโครงการ (ปีการศึกษา 2563 - 2564)
2563 - 2564
- การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและหลักสูตร เช่น จัดทำมาตรฐานและหลักสูตร จัดทำเกณฑ์การคัดเลือกโรงเรียนศูนย์ฯ
2. การดำเนินการระยะที่ 1 (ปีการศึกษา 2564 - 2567)
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากญาติผู้เสียหาย กรณีชาย วัย ๒๕ ปี ถูกกลุ่มคนทำร้ายร่างกายผิดตัว พร้อมเร่งเยียวยาผู้เสียหายและติดตามความคืบหน้าการดำเน | วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากญาติผู้เสียหาย กรณีชาย วัย ๒๕ ปี ถูกกลุ่มคนทำร้ายร่างกายผิดตัว พร้อมเร่งเยียวยาผู้เสียหายและติดตามความคืบหน้าการดำเน
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากญาติผู้เสียหาย กรณีชาย วัย ๒๕ ปี ถูกกลุ่มคนทำร้ายร่างกายผิดตัว พร้อมเร่งเยียวยาผู้เสียหายและติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดี ด้านญาติรู้สึกสบายใจหลังทราบความคืบหน้าคดี
เมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. ที่กระทรวงยุติธรรม พ่อนายเอ (นามสมมุติ) วัย ๒๕ ปี เดินทางเข้าร้องเรียนที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม โดยมีว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รับเรื่อง กรณีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันอังคารที่ ๘ กุมภสพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๘.๔๐ น. นายเอ (นามสมมุติ) ถูกกลุ่มวัยรุ่นประมาณ ๓ - ๔ คนทำร้ายร่างกายใช้อาวุธมีดแทงได้รับบาดเจ็บบริเวณหลังด้านขวา เหตุเกิดบริเวณตลาดนัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี นอกจากนี้ผู้ก่อเหตุยังใช้อาวุธปืนยิงใส่รถเก๋งได้รับความเสียหายด้วย โดยหลังเกิดเหตุนายเอได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสายไหม แพทย์วินิจฉัยว่ามีเลือดคั่งในปอด และต้องรักษาตัวในห้องไอซียู ๒ วัน กระทั่งล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว ส่วนทางญาติได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.คลองห้าตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่จนถึงขณะนี้คดียังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร อีกทั้งพ่อผู้บาดเจ็บยืนยันว่า ลูกชายไม่เคยรู้จักกับกลุ่มผู้ก่อเหตุมาก่อนจึงเชื่อว่าเป็นการทำร้ายร่างกายผิดตัว และทราบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุค่อนข้างมีอิทธิพล โดยทำธุรกิจปล่อยเงินกู้รายใหญ่ในจังหวัดปทุมธานี ทำให้ครอบครัวรู้สึกกังวลในความไม่ปลอดภัย
หลังจากรับเรื่อง ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้โทรศัพท์ไปสอบถามความคืบหน้าคดีจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดี ส่วนเเนวทางความช่วยเหลือได้มอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรมเยียวยาค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับคดี ทั้งค่ารักษาพยาบาลตามจริง และเงินเยียวยาผู้เสียหายในคดีอาญา นอกจากนี้จะส่งเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ลงพื้นที่ไปดูแลเรื่องผู้มีอิทธิพลที่มาข่มขู่ผู้เสียหายด้วย
ทั้งนี้ นายธนกฤต ยังฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนที่ได้รับเดือดร้อนลักษณะนี้ สามารถเข้ามาร้องเรียนได้ที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม (แห่งใหม่) ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายอย่างเร่งด่วน
ด้านพ่อผู้บาดเจ็บ ได้กล่าวขอบคุณศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข และรมว.ยุติธรรม รวมถึงว่าที่ร้อยตรีธนกฤต ที่มารับเรื่องด้วยตัวเอง ทำให้ได้รับความช่วยเหลือรวดเร็วขึ้น และรู้สึกสบายใจที่ได้ทราบความคืบหน้าของคดี จากตอนแรกกังวลเรื่องขั้นตอนการดำเนินคดี และการเเจ้งข้อกล่าวหาของตำรวจที่มีการดำเนินคดีเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่ไม่มีข้อหาพยายามฆ่า โดยตนไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่ามีศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ที่สามารถจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้เสียหายได้ จึงอยากฝากขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้
********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39118 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮง เฮง เฮง!!! มีบ้านรับตรุษจีน ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ขายได้ถึง 126 รายการ เกือบ 150 ล้านบาท ราคาต่ำสุดเพียง 75,000 บาทเท่านั้น | วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
เฮง เฮง เฮง!!! มีบ้านรับตรุษจีน ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ขายได้ถึง 126 รายการ เกือบ 150 ล้านบาท ราคาต่ำสุดเพียง 75,000 บาทเท่านั้น
ผลการประมูลขายทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองออนไลน์ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ครั้งนี้ มีลูกค้าแห่ซื้อทรัพย์ทั่วประเทศถึง 126 รายการ มูลค่า 149.38 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการประมูลขายทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองออนไลน์ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ครั้งนี้ มีลูกค้าแห่ซื้อทรัพย์ทั่วประเทศถึง 126 รายการ มูลค่า 149.38 ล้านบาท แบ่งเป็น ทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 67 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 59 รายการ ทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกที่สุด คือ ห้องชุด บ้านสวนติวานนท์ เนื้อที่ 32.40 ตารางเมตร อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ปิดประมูลในราคา 75,000 บาท เท่านั้น พิเศษ!!! ฉลองตรุษจีนให้ส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 30 เมษายน 2564
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการจัดงานประมูลขายทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองออนไลน์ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA วานนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2564) ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. ว่า ธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ทั่วประเทศได้ 126 รายการ มูลค่าที่จำหน่ายได้รวม 149.38 ล้านบาท แบ่งเป็น ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 67 รายการ มูลค่า 79.69 ล้านบาท และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 59 รายการ มูลค่า 69.69 ล้านบาท โดยทรัพย์ที่ประมูลขายได้ ในราคาสูงสุดที่ 6,390,000 บาท คือ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 66.3 ตารางวา ในโครงการเพอร์เฟคเพลสแจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ส่วนทรัพย์ ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกที่สุด คือ ห้องชุดขนาด 32.40 ตารางเมตร ในโครงการบ้านสวนติวานนท์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ปิดประมูลในราคาเพียง 75,000 บาทเท่านั้น ขณะที่ในส่วนภูมิภาคมีทรัพย์ที่ขายได้ในหลายจังหวัด อาทิ ทรัพย์ใหม่ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาด 65 ตารางวา โครงการรัตนะ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ปิดประมูลในราคา 1,820,000 บาท และทรัพย์ใหม่ ประเภททาวน์เฮ้าส์ 1 ชั้น ขนาด 29 ตารางวา โครงการรุ่งเรือง 6(บ้านคชา) อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี ปิดประมูลในราคาเพียง 880,000 บาท
“โดยหลังจากนี้ผู้ชนะการประมูลจะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขายภายใน 3 วันทำการ นับถัดจากวันที่ประมูล Online และในโอกาสเทศกาลตรุษจีน ธอส. ยังมอบอั่งเปาให้กับผู้ชนะการประมูลเป็นส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 นอกจากนี้ ยังลดภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าเพิ่มเติม โดยเปิดให้ลูกค้าเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์หรือสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดได้อีกด้วย”นายฉัตรชัย กล่าว
สำหรับในปี 2564 ธนาคารยังประมูลขายทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองออนไลน์ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เป็นประจำทุกเดือนตลอดทั้งปีนี้ ซึ่งเดือนแห่งความรักนี้ ธนาคารยังมีกำหนดจัดงานประมูลออนไลน์อีกครั้งในมหกรรมตลาดนัดบ้านมือสอง โดยนำทรัพย์ที่น่าสนใจในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มาเปิดประมูลพร้อมส่วนลดพิเศษในวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเพื่อรอเข้าร่วมประมูลออนไลน์กับ ธอส. ในครั้งต่อไปได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 หรือฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39099 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมาชิก กอช. ดาวน์โหลดใบแจ้งยอดเงินออมสมาชิกประจำปี ผ่านช่องทางออนไลน์ของ กอช.” | วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
“สมาชิก กอช. ดาวน์โหลดใบแจ้งยอดเงินออมสมาชิกประจำปี ผ่านช่องทางออนไลน์ของ กอช.”
กอช.ให้สมาชิกสามารถดาวน์โหลดใบแจ้งยอดเงินออมสมาชิกแบบออนไลน์ (Statement) ประจำปี ได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ ไลน์ “@Nsf.th” แอปพลิเคชัน “กอช.” และเว็บไซต์ “www.nsf.or.th” เพื่อรู้ยอดรวมเงินออมสะสม และใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอลดหย่อนภาษีประจำปี
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ให้สมาชิกสามารถดาวน์โหลดใบแจ้งยอดเงินออมสมาชิกแบบออนไลน์ (Statement) ประจำปี ได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ ไลน์ “@Nsf.th” แอปพลิเคชัน “กอช.” และเว็บไซต์ “www.nsf.or.th” เพื่อรู้ยอดรวมเงินออมสะสม และใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอลดหย่อนภาษีประจำปี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. เปิดให้สมาชิกดาวน์โหลดใบแจ้งยอดเงินออมแบบออนไลน์ (Statement) ประจำปี 2563 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิก กอช. ได้ 3 ช่องทางออนไลน์ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ผ่านช่องทางไลน์ “@Nsf.th”, แอปพลิเคชัน “กอช.” และ เว็บไซต์ “www.nsf.or.th” เข้าไปที่เมนู E-statement ที่หน้าหลัก จากนั้นกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก เลือกเมนู E-statement และดำเนินการตามขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม กอช. ได้มีการจัดส่งใบแจ้งยอดเงินออมประจำปี ให้สมาชิกถึงบ้าน และใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอลดหย่อนภาษีประจำปี ตามเงินออมสะสมของสมาชิก ทั้งนี้ สมาชิกสามารถติดตามและส่งเงินออมสะสมได้ได้ที่แอปพลิเคชัน กอช. ได้ทุกวัน หรือ ขอรับสมุดเงินออมสะสมได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผชช.โรคอุบัติใหม่ฯ เผยโควิด19ป้องกันการกลายพันธุ์ ได้ด้วยใส่หน้ากาก /เว้นระยะห่าง การล้างมือและการใช้วัคซีน | วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
ผชช.โรคอุบัติใหม่ฯ เผยโควิด19ป้องกันการกลายพันธุ์ ได้ด้วยใส่หน้ากาก /เว้นระยะห่าง การล้างมือและการใช้วัคซีน
ผู้เชี่ยวชาญโรคอุบัติใหม่ฯ รพ.จุฬาลงกรณ์ เผยไทยเฝ้าระวังไวรัสโควิด 19 กลายพันธุ์ 3 สายพันธุ์ พบทำให้ติดเชื้อง่าย การตอบสนองต่อวัคซีนลดลง
ผู้เชี่ยวชาญโรคอุบัติใหม่ฯ รพ.จุฬาลงกรณ์ เผยไทยเฝ้าระวังไวรัสโควิด 19 กลายพันธุ์ 3 สายพันธุ์พบทำให้ติดเชื้อง่าย การตอบสนองต่อวัคซีนลดลง การป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ คือ การทำให้หยุดระบาด และการยับยั้งไม่ให้ไวรัสอยู่ในคน ด้วยการล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และการใช้วัคซีน
วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2664) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แถลงข่าวถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด 19 ว่า เชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติแต่หากอยู่ในมนุษย์บางคนหรือสัตว์อาจกลายพันธุ์เร็วกว่าปกติ และการระบาดในที่ต่างๆ ทั่วโลกอาจทำให้เกิดสายพันธุ์เฉพาะถิ่นขึ้นมา ซึ่งที่ต้องเฝ้าระวังมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ 1. สายพันธุ์ B.1.1.7 หรือสายพันธุ์อังกฤษทำให้ไวรัสจับกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น แบ่งตัวได้ดีขึ้น และอาจเพิ่มอัตราการป่วยหรือเสียชีวิตเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น 2. สายพันธุ์ B.1.351 หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ทำให้ไวรัสจับกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น และลดการตอบสนองของวัคซีนหลายชนิด ซึ่งหลายประเทศทดสอบพบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง แต่ยังไม่มีข้อมูลว่ารุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น และ 3. สายพันธุ์ P.1 หรือสายพันธุ์บราซิล คล้ายกับสายพันธุ์แอฟริกาใต้
สำหรับประเทศไทย การระบาดระลอกแรกพบว่า ไวรัสมีการเปลี่ยนสายพันธุ์โดยสามารถตรวจได้หลากหลาย ส่วนระลอกใหม่ขณะนี้ยังเป็นเชื้อจากเมียนมาและยังไม่มีการกลายพันธุ์ ตอนนี้มีการติดตามทุก 2 เดือนยังไม่พบการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่เพิ่งเริ่มเมื่อธันวาคม 2563 ยังไม่ยาวนานพอที่จะเห็นการกลายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการเฝ้าระวังในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นแหล่งระบาดของสายพันธุ์แอฟริกาใต้ อังกฤษ และบราซิล เพื่อไม่ให้คนไทยติดเชื้อและเกิดผลกระทบต่อการให้วัคซีน โดยได้หารือการเพิ่มการกักตัวผู้เดินทางมาจากประเทศในทวีปแอฟริกาจาก 14 วัน เป็น 21 วัน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศบค. ส่วนการรักษาของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดในแต่ละสายพันธุ์ยังไม่มีความแตกต่างกัน
“การป้องกันไม่ให้เชื้อกลายพันธุ์ คือ การทำให้เชื้อไม่เข้าสู่ร่างกาย ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ และเว้นระยะห่าง เพื่อยับยั้งกระบวนการไม่ให้ไวรัสอยู่ในคน และการใช้วัคซีน” ผศ.นพ.โอภาสกล่าว
สำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่เดินทางมาจากแทนซาเนีย เอกซเรย์พบว่าปอดอักเสบ จึงย้ายมารักษาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลังรับยาต้านไวรัส ขณะนี้คนไข้อาการดีขึ้น การใช้ออกซิเจนเพื่อรักษาลดลง และอาการดีขึ้นเป็นลำดับ
************************** 15 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุฯ เพิ่มขีดความสามารถฯ ดีอีเอส เร่งออกมาตรการสนับสนุนที่ไม่ใช่ภาษี ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ | วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
อนุฯ เพิ่มขีดความสามารถฯ ดีอีเอส เร่งออกมาตรการสนับสนุนที่ไม่ใช่ภาษี ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์
อนุฯ เพิ่มขีดความสามารถฯ ดีอีเอส เร่งออกมาตรการสนับสนุนที่ไม่ใช่ภาษี ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อวันที่15กุมภาพันธ์ 2564นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ครั้งที่3/ 2564 ณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอมาตรการสนับสนุนสำหรับผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องมาตรการสนับสนุนที่ไม่ใช่ภาษี(Non tax measures) สำหรับกลุ่ม e-servicesทั่วไปและกลุ่มธุรกิจe-commerceซึ่งแนวทางในการสนับสนุนของกลุ่ม e-servicesทั่วไปที่ประชุมเลือกเรื่องที่สำคัญขึ้นมาพิจารณาก่อนไม่เกิน10เรื่อง อาทิ การอำนวยความสะดวกด้านใบอนุญาตทำงานวีซ่าและการพักอาศัยสำหรับdigital talent การพัฒนาตลาดนวัตกรรมดิจิทัลผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐการเสริมสร้างVCและdigital startupให้เข้มแข็ง ทั้งนี้เพื่อมุ่งเสริมสร้างe-services eco–systemของไทยให้เข้มแข็งเอื้อในการทำธุรกิจeฝ-servicesรวมทั้งดึงดูดธุรกรรมธุรกิจและการลงทุนที่เกี่ยวข้องเข้ามาในประเทศไทย ส่วนมาตรการสนับสนุนกลุ่มe-commerceที่ประชุมได้พิจารณาการจัดทำมาตรการสนับสนุนกลุ่มe-commerce platformและadvertising based platformขึ้นมาพิจารณาก่อนเนื่องจากมีความเร่งด่วน อาทิการทำData lakeของ e-commerce,การเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานกำกับดูแลe-commerce และการส่งเสริมe-commerce ไทย,กระบวนการที่สนับสนุนพิธีการศุลกากรในการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าของ e-commerceในประเทศและการจัดทำSandbox เป็นต้น
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39125 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลายปม! ไทยตกขบวนวัคซีน COVAX จริงหรือ? | วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564
คลายปม! ไทยตกขบวนวัคซีน COVAX จริงหรือ?
...
จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า
ไทยตกขบวนรับวัคซีนฟรีจากโครงการโคแวกซ์ (COVAX)
หรือโครงการเพื่อการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ระดับโลก
.
เรื่องนี้โฆษกรัฐบาลออกมาชี้แจงว่า
โครงการโคแวกซ์เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือ
ของกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือ
ด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด
จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19
ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกัน
.
1. ประเทศไทยได้ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วม
ตั้งแต่ช่วงต้นของโครงการแล้ว
แม้วัคซีนจะอยู่ในระหว่างการพัฒนาก็ตาม
.
2. ประเทศไทยถูกจัดเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง
หากเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์จะต้องจ่ายเงินจำนวนมาก
เช่นเดียวกับสิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย
โดยจะไม่รับวัคซีนฟรี เหมือนกับกัมพูชา สปป.ลาว
อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
.
3. คณะทำงานจัดหาวัคซีนของไทยพิจารณาวิธีการ
บนผลประโยชน์ของประเทศและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
หากต้องจ่ายเงินจองล่วงหน้าแต่ไม่ทราบแหล่งที่มา
และไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่ชัดในการรับวัคซีน
ย่อมเกิดความเสี่ยงค่อนข้างมาก
.
ดังนั้น การที่ประเทศไทยทำความตกลง
ซื้อวัคซีนโควิด-19 จากผู้ผลิตโดยตรง
จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ
เนื่องจากมีความยืดหยุ่นกว่า
สามารถต่อรองราคาและเงื่อนไขได้โดยตรงกับผู้ผลิต
.
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นการเจรจากับที่ใด
หรือหากโคแวกซ์ปรับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์
ก็ยังสามารถทำข้อตกลงร่วมกันได้ในอนาคต
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผู้พิการ ผู้สูงอายุ “เราชนะ” รับลงทะเบียนถึงบ้าน
อนุมัติ 188.95 ล้าน ชดเชยดอกเบี้ยผู้เก็บข้าว
ประมูลของ “ยึดทรัพย์ยาเสพติด” เงินนี้ไปไหน
ไขข้อข้องใจการหาวัคซีน Covid-19
อนุมัติ ! 2.8 หมื่นล้าน บรรเทาภาระเกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39123 |