title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าเร่งให้ความช่วยเหลือกรณีเรือประมงขนาดใหญ่ล่มกลางทะเลจังหวัดเพชรบุรี | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
กรมเจ้าท่าเร่งให้ความช่วยเหลือกรณีเรือประมงขนาดใหญ่ล่มกลางทะเลจังหวัดเพชรบุรี
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องค้นหาและให้ความช่วยเหลือลูกเรือจากเรือประมง ก.โชคชัยสมบูรณ์ 1 ที่ล่มกลางทะเลจังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 โดยพบผู้เสียชีวิต 4 ราย
กรมเจ้าท่า (จท.) โดยสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ได้รับแจ้งจากศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือ จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 06.05 น. พบเรือประมงชื่อ ก.โชคชัยสมบูรณ์ 1 ขนาด 28.42 ตันกรอส ล่มกลางทะเลห่างจากชายฝั่ง 17 ไมล์ทะเล (31 กิโลเมตร) ไปทางทิศใต้พื้นที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มีลูกเรือสัญชาติไทยและสัญชาติเมียนมา รวม 9 คน โดยพบลูกเรือแล้วอยู่ในสภาพปลอดภัย 5 คน สูญหาย 4 คน
ในการนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ จท. เร่งติดตามค้นหาและให้ความช่วยเหลือผู้สูญหายโดยเร็ว ซึ่ง จท. ได้ประสานการช่วยเหลือกับ ศรชล. นำเรือตรวจการณ์เจ้าท่า 803 ออกค้นหาผู้สูญหายร่วมกับเรือ ต.268 และ ฮ.ปด.1 จากทัพเรือภาคที่ 1 เรือประมง ร.โชคสมบูรณ์ 111 และนักประดาน้ำจากมูลนิธิสว่างเพชร จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งการค้นหาและให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากสภาพคลื่นลมเริ่มแรงและเป็นเวลาพลบค่ำ โดยเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 พบผู้เสียชีวิต 4 ราย ซึ่ง จท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันนำศพขึ้นฝั่งเพื่อดำเนินการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39331 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตือนอย่าขึ้นราคาสินค้าหวังทุจริตโครงการ “คนละครึ่ง” / “เราชนะ” วอนเห็นใจผู้มีรายได้น้อย เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจร้านค้าที่กระทำผิด | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีเตือนอย่าขึ้นราคาสินค้าหวังทุจริตโครงการ “คนละครึ่ง” / “เราชนะ” วอนเห็นใจผู้มีรายได้น้อย เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจร้านค้าที่กระทำผิด
นายกรัฐมนตรีเตือนอย่าขึ้นราคาสินค้าหวังทุจริตโครงการ “คนละครึ่ง” / “เราชนะ” วอนเห็นใจผู้มีรายได้น้อย เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจร้านค้าที่กระทำผิด
วันนี้ (23 ก.พ. 64) เวลา 13.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ โดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนมกราคม 2564 อยู่ในอันดับที่ 83.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น การส่งออกรถยนต์ขยายตัว แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2564 คาดว่าจะดีขึ้นตามลำดับ จากมาตรการดูแลเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านโครงการต่าง ๆ รวมทั้งมาตรการทางด้านการเงินเพื่อแบ่งเบาภาระหนี้สินของผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย และประชาชน รวมถึงสินค้าเกษตรที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้น อาทิ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หัวมันสำปะหลัง ปาล์ม ยางแผ่นดิบ และไก่พันธุ์เนื้อ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตด้วย
นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่เร่งตรวจสอบการขึ้นราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผลและไม่มีความจำเป็น สุ่มเสี่ยงต่อความผิดทุจริตหากมีการขึ้นราคาสินค้าผิดปกติเพื่อหวังประโยชน์จากโครงการคนละครึ่ง ขอให้เห็นใจผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับความยากลำบาก ซึ่งได้ย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ตรวจสอบหากมีการทุจริตภายในโครงการใด ๆ ก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย รวมทั้งจะนำผู้กระทำผิด หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาลงโทษตามกฎหมาย ด้วย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแนวทางเกษตร BCG รวมทั้งการแก้ปัญหาการเผาอ้อย ซึ่งจะให้มีประชาสัมพันธ์การจัดการและการใช้ประโยชน์จาก กากน้ำตาล ใบอ้อย สร้างมูลค่าเพิ่มและตอบสนองต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังหยิบยกภาวะน้ำประปาเค็มที่เหตุจากน้ำทะเลหนุน และน้ำต้นทุนในการผลักดันระบบนิเวศมีไม่เพียงพอ เนื่องจากปริมาณของน้ำฝน จึงต้องมีนโยบายจัดทำประตูน้ำเพิ่มเติมในแม่น้ำสายสำคัญให้สามารถกักเก็บน้ำและระบายน้ำได้เมื่อมีปัญหา
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงพื้นที่ | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
ลงพื้นที่
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และลงพื้นที่ติดตามโครงการสำคัญกระทรวงเกษตรฯ ณ “แปลงใหญ่เมล่อนตำบลดอนตาเพชร”
เมื่อวันที่22กุมภาพันธ์2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีณห้องประชุมสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์อำเภอเมืองจังหวัดกาญจนบุรีโดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมโดยที่ประชุมได้มีการชี้แจงและหารืองานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้เกิดกาบูรณาการระหว่างหน่วยงานและขับเคลื่อนโครงการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
จากนั้นรองปลัดฯอำพันธุ์และหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อติดตามและเยี่ยมชมแปลงใหญ่เมล่อนตำบลดอนตาเพชรซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอพนมทวนจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อให้เป็นไปตามโครงการยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และการเชื่อมโยงตลาด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39335 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง จัด Market Sounding ฟังเสียงนักลงทุนเสนอ 2 เส้นทางนำร่อง ร่วมลงทุน พัฒนาระบบรางให้เต็มประสิทธิภาพ | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
กรมการขนส่งทางราง จัด Market Sounding ฟังเสียงนักลงทุนเสนอ 2 เส้นทางนำร่อง ร่วมลงทุน พัฒนาระบบรางให้เต็มประสิทธิภาพ
วันที่ 23 ก.พ.64 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Market Sounding) เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมให้บริการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทางราง
ภายใต้โครงการศึกษาการกำกับการใช้ประโยชน์รางและจัดทำกฎระเบียบเพื่อรองรับการขนส่งทางรางในเส้นทางหลักของประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีนายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ให้เกียรติเป็นประธาน พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ สมาคมธุรกิจการค้า และกลุ่มผู้ประกอบการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ พร้อมสื่อมวลชน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมอีเทอร์นิตี้ ชั้น G โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดยมี นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ให้เกียรติเป็นประธาน พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ สมาคมธุรกิจการค้า และกลุ่มผู้ประกอบการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ พร้อมสื่อมวลชน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมอีเทอร์นิตี้ ชั้น G โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีนโยบายที่จะส่งเสริมภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมให้บริการเดินรถในการประกอบกิจการการขนส่งทางรางมากขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากระบบรางที่ภาครัฐได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแล้วอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลระบบขนส่งทางรางทั่วประเทศ จึงได้เร่งดำเนินการศึกษาการกำกับการใช้ประโยชน์ราง และจัดทำกฎระเบียบเพื่อรองรับการขนส่งทางรางในเส้นทางหลักของประเทศและระหว่างประเทศ โดยงานประชุมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนให้บริการเดินรถ ทั้งการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าในเส้นทางที่มีศักยภาพ โดยใช้ช่วงเวลาที่นอกเหนือจากการใช้ทางของการรถไฟแห่งประเทศไทยมาเดินรถ และให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุน โดยจ่ายค่าเช่าใช้ทางให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์รางให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ทั้งนี้ ได้นำเสนอเส้นทางที่มีศักยภาพ สำหรับนำร่องจัดสรรเวลาการให้เดินรถ (Slot Allocation) ให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนได้ 2 เส้นทาง ได้แก่
1. โครงการนำร่องรถไฟโดยสาร : กรุงเทพฯ-ขอนแก่น รองรับผู้โดยสารจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน 2 เมืองหลัก คือ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดขอนแก่น ระยะทาง 450 กิโลเมตร โดยเพิ่มการให้บริการรถไฟโดยสาร รวม 6 ขบวน คาดว่าจะมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 2,000 - 2,220 คนต่อวัน และยังมีศักยภาพในการขยายตัวเพื่อรองรับการเดินทางในอนาคต
2. โครงการนำร่องขนส่งสินค้า : แหลมฉบัง-ท่าพระ ระยะทาง 501 กิโลเมตร ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ 60,000-100,000 ตู้ต่อปี เส้นทางศักยภาพในการขนส่งสินค้าเกษตร เช่น ข้าว น้ำตาล ยางพารา มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกทางทะเลหลักของประเทศ อีกทั้งในอนาคตถือเป็นเส้นทางรองรับความต้องการสินค้าประเภทแร่ หรือสินค้าจากจีนและ สปป.ลาวที่ส่งผ่านทางท่าเรือแหลมฉบังอีกด้วย
ทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าวมีความเหมาะสมทั้งในด้านความต้องการในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารในปัจจุบัน
และด้านศักยภาพในการขยายตัวของการขนส่งและผู้โดยสารในอนาคต
ทั้งนี้ ขร. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วม และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการร่วมให้บริการเดินรถในเส้นทางที่มีศักยภาพเหล่านี้ โดยมุ่งหวังจะช่วยยกระดับการให้บริการด้วยระบบรางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งเพิ่มความคุ้มค่าให้กับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและจะช่วยส่งเสริมขีดความสามารถของประเทศให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียนได้ในอนาคตต่อไป
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
กลุ่มประชาสัมพันธ์
กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
โทรศัพท์ 0 2164 2607
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. จับมือ สคช. ยกระดับมาตรฐานเกษตรกรไทยเป็นเกษตรกรมืออาชีพ พร้อมพัฒนาอาชีพ “ชลกร” ให้มีมาตรฐานระดับสากล | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
ศธ. จับมือ สคช. ยกระดับมาตรฐานเกษตรกรไทยเป็นเกษตรกรมืออาชีพ พร้อมพัฒนาอาชีพ “ชลกร” ให้มีมาตรฐานระดับสากล
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ในการส่งเสริมวิถีเกษตรก้าวไกลสำหรับกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต
เมื่อวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 13.00 น. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายนคร ศิลปอาชา ประธานกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ในฐานะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยามนุษย์ เป็นประธานการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร (สอก.) 4 ภาค ณ ห้องราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี นายณรงค์ ดูดิง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทั้ง 4 ภาค เข้าร่วม
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ในการส่งเสริมวิถีเกษตรก้าวไกลสำหรับกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต ที่จะมีส่วนช่วยพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมให้มีความพร้อม โดยได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐที่จะสามารถช่วยต่อยอดอาชีพได้ในอนาคต อีกทั้งเป็นแนวทางการต่อยอดความร่วมมือในการจัดทำมาตรฐานอาชีพที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต เพื่อรองรับกำลังคนมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
โดยกระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางที่จะยกระดับมาตรฐานบุคลากรด้านการเกษตรให้เป็นมืออาชีพ ตามนโยบายของ รมช.ศึกษาธิการ ที่ต้องการยกระดับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี เพื่อสร้างผู้ประกอบการภาคการเกษตรให้สอดคล้องกับสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะการเตรียมผลักดันและพัฒนาอาชีพ “ ชลกร” ให้มีมาตรฐานในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์การประเมินสมรรถนะของบุคลากรตามมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ ภายใต้เป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้มีอาชีพ มีรายได้ ช่วยแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ต้องการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นไปสู่ตัวผู้เรียนโดยตรง
ทั้งนี้ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ของหน่วยงานทั้ง 5 ฝ่าย ประกอบด้วย สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.), สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง, สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือ, สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ มีหัวใจสำคัญ คือ การร่วมมือกันยกระดับมาตรฐานอาชีพของบุคลากรผู้ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ที่เข้ามาศึกษาและฝึกอบรม พร้อมผลักดันให้มีการประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ รวมไปถึงการผลักดันให้มีการพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น Upskill และ Reskill จากเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการเกษตรตามมาตรฐานอาชีพ เพื่อสร้างโอกาสและพัฒนาขีดความสามารถในการเป็นเกษตรกรมืออาชีพต่อไป
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป/ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือนร่วมกับโรงเรียนชลประทานวิทยา จัดโครงการห้องเรียนพิเศษ เสริมฝันเยาวชนพร้อมป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมด้านการบิน | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
สถาบันการบินพลเรือนร่วมกับโรงเรียนชลประทานวิทยา จัดโครงการห้องเรียนพิเศษ เสริมฝันเยาวชนพร้อมป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมด้านการบิน
สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม โดยกองวิชาวิศวกรรมการบิน ร่วมกับ โรงเรียนชลประทานวิทยา จัดโครงการห้องเรียนพิเศษ เสริมฝันเยาวชนพร้อมป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมด้านการบิน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ณ สบพ. กรุงเทพฯ
โครงการห้องเรียนพิเศษอุตสาหกรรมการบินจัดขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์ตรงให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ และแผนการเรียนคณิตศาสตร์ - ภาษาอังกฤษ ได้มีโอกาสเรียนรู้พื้นฐานและทักษะทางด้านการบิน โดยเนื้อหาของหลักสูตร ประกอบด้วย
1. การเรียนรู้ประวัติศาสตร์การบิน
2. การปฏิบัติงานด้านอากาศยานต่าง ๆ
3. การเตรียมความพร้อม และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนที่สนใจศึกษาต่อทางด้านการบินได้ทำในสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันในอนาคต
นอกจากนี้ สบพ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน หน่วยงานต่าง ๆ ด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามนโยบายการแสดงความรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยตรงด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39332 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรูปแบบการทำงานเน้น “รับฟังเสียงประชาชน ยินดีรับข้อมูล” เน้นตรงความต้องการประชาชนให้มากที่สุด ย้ำทุกกระทรวงต้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีเผยรูปแบบการทำงานเน้น “รับฟังเสียงประชาชน ยินดีรับข้อมูล” เน้นตรงความต้องการประชาชนให้มากที่สุด ย้ำทุกกระทรวงต้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน
นายกรัฐมนตรีเผยรูปแบบการทำงานเน้น “รับฟังเสียงประชาชน ยินดีรับข้อมูล” เน้นตรงความต้องการประชาชนให้มากที่สุด ย้ำทุกกระทรวงต้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน
วันนี้ (23 ก.พ. 64) เวลา 13.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการบริหารราชการของคณะรัฐมนตรีและส่วนราชการต่าง ๆ เน้นให้ทุกกระทรวงติดตาม กำกับ ดูแลการทำงาน ทั้งงานตามภารกิจหลักและงานที่ได้รับมอบหมาย ด้วยบูรณาการงบประมาณและโครงการ โดยเน้นการสื่อสารสองทาง ทั้งบนลงล่าง (Top-Down) และแบบล่างขึ้นบน (Bottom-Up) นำความต้องการของประชาชนนำมาปรับแก้ไขให้เกิดความต่อเนื่องและความยั่งยืน
นายกรัฐมนตรียังแถลงว่า ได้สั่งการกระตุ้นส่วนราชการ ข้าราชการทุกคน ให้ติดตามประเมินผลการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องร้องเรียนที่เกิดจากการจัดทำโครงการจากงบประมาณจำนวนมากในแต่ละปี ต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นจะต้องมีความผิดชอบ ที่ผ่านมาต้องขอบคุณประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงข้าราชการ ที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิดให้นายกรัฐมนตรีทราบในหลายช่องทางทั้งช่องทางของรัฐและผ่านสื่อมวลชน มีข้อมูลสำคัญมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งนำไปแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เป็นการใช้อำนาจของประชาชนในบริหารราชการแผ่นดิน ควบคู่ไปกับรัฐบาล ให้ประชาชนเข้าถึงการร้องทุกข์ แจ้งความ เพื่อสามารถครอบคลุมทุกปัญหาได้เร็วมากขึ้น
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงช่องทางประชาสัมพันธ์การทำงานของรัฐบาล อาทิ PM PODCAST ซึ่งจะใช้แพลตฟอร์มนี้พูดคุยถึงความก้าวหน้าในการทำงานภาพรวม อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน ไฟฟ้า การคมนาคม และจะเพิ่มเติมการทำงานอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องน้ำ การดูแลผู้มีรายได้น้อย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงผลงานให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด ตามที่ได้มีการอภิปรายชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำให้ทุกกระทรวงเผยแพร่ข้อมูลถึงความคืบหน้าในการทำงาน โครงการที่กำลังดำเนินการ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วยเช่นกัน และขอขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาลที่ร่วมมือทำงานเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ให้มีการติดตามความเคลื่อนไหวในแอปพลิเคชัน Clubhouse เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงหากมีการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนด้วย
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39346 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 2/2564 | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
คณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 2/2564
รองปลัดเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 2/2564
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยจำกัดครั้งที่2/2564โดยมีนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานณห้องประชุมอก.1อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งที่ประชุมฯได้รับทราบและพิจารณาหารือการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี2563ครั้งที่38การสมัครสมาชิกรับข่าวและข้อมูลน้ำตาลทรายกับบริษัทCzarnikowขออนุมัติถอนเงินฝากประจำจากธนาคารไอซีบีซี(ไทย)จำกัด(มหาชน)ไปฝากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME)ความคืบหน้ากรณีเวียดนามประกาศเปิดการไต่สวนตอบโต้การทุ่มตลาด(Anti-Dumping : AD)ภาษีตอบโต้การอุดหนุน(Countervailing Duty : CVD)น้ำตาลทรายที่นำเข้าจากไทยรายงานการส่งออกน้ำตาลของไทยเดือนมกราคม2564รายงานการส่งมอบน้ำตาลทรายดิบงวดส่งมอบ1มีนาคม– 15พฤษภาคม2564ที่อนท.ส่งมอบให้กับผู้ซื้อต่างประเทศฤดูการผลิตปี2563/2564รายงานผลการทำราคาน้ำตาลทรายดิบส่งมอบให้อนท.ฤดูการผลิตปี2563/2564แนวโน้มราคาน้ำตาลทรายดิบ(Sugar#11)ภาวะตลาดเงินดอลล่าห์สหรัฐฯและการดำเนินงานของบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยจำกัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตอบชัดรัฐบาลทำหน้าที่บริหาร สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน เดินหน้าแก้ไขทุกปัญหาทั้งโครงการฯ ในพื้นที่ อ. จะนะ และกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่บางกลอย | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีตอบชัดรัฐบาลทำหน้าที่บริหาร สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน เดินหน้าแก้ไขทุกปัญหาทั้งโครงการฯ ในพื้นที่ อ. จะนะ และกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่บางกลอย
นายกรัฐมนตรีตอบชัดรัฐบาลทำหน้าที่บริหาร สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน เดินหน้าแก้ไขทุกปัญหาทั้งโครงการฯ ในพื้นที่ อ. จะนะ และกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่บางกลอย
วันนี้ (23 ก.พ. 64) เวลา 13.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยรัฐบาลทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ไม่มีอำนาจก้าวล่วงการตัดสินใจของศาล หรือองค์กรอิสระ หวังเพียงทุกคนทำหน้าที่ร่วมกัน เพื่อให้ประเทศสงบสุข ปลอดภัย มีเสถียรภาพ ได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังตอบคำถามสื่อมวลชน โดยยืนยันที่ผ่านมารัฐบาลมีความห่วงใยและดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ ในพื้นที่บางกลอย ไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างในอดีต พร้อมจัดหาที่อาศัย ที่ทำกิน ให้แก่ชาวบางกลอยเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินเอกสารทับซ้อน โดยให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยสุด สำหรับโครงการอุตสาหกรรมในพื้นที่ อ.จะนะ เป็นหนึ่งในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอ จ.สงขลา ที่จะต้องมีการทบทวน โดยขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยังยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อ.จะนะ จ.สงขลา
นายกรัฐมนตรียังเผยว่า ได้มีการประสานความร่วมมือกับเมียนมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย ทั้งแรงงานผิดกฎหมาย หรือการข้ามไปเพื่อเล่นการพนัน โดยได้เพิ่มมาตรการอย่างเข้มงวดตามพื้นที่ชายแดน พื้นที่ตอนใน และจัดกำลังตรวจสอบเฝ้าระวังโดยเฉพาะทางช่องทางธรรมชาติด้วย
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39350 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศยกย่องหน่วยงานในสังกัด 45 แห่ง องค์กรอิสระและภาคเอกชน 1,155 แห่ง เป็นองค์กรคุณธรรม ส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม ขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศยกย่องหน่วยงานในสังกัด 45 แห่ง องค์กรอิสระและภาคเอกชน 1,155 แห่ง เป็นองค์กรคุณธรรม ส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม ขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม
กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศยกย่องหน่วยงานในสังกัด 45 แห่ง องค์กรอิสระและภาคเอกชน 1,155 แห่ง เป็นองค์กรคุณธรรม
ส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม ขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรมอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา 10.00 น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
ประธานอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม เป็นประธานพิธีมอบเกียรติบัตรประกาศยกย่ององค์กรคุณธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา องค์กรอิสระภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม จำนวน ๖๑ หน่วยงาน
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การจัดงานในวันนี้ เพื่อยกระดับหน่วยงานให้เป็นองค์กรคุณธรรมภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๔) รวมถึงเป็นขวัญกำลังใจและแรงจูงใจในการพัฒนาส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม โดยเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ คือ “สังคมไทยเป็นสังคมคุณธรรม ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายได้นั้น ต้องเกิดจากการบูรณาการและความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่าย ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ก่อให้เกิดอุปสรรคในการทำงานอย่างมาก แต่ทุกภาคส่วนยังคงดำเนินงานจัดกิจกรรม
ในรูปแบบต่าง ๆ โดยปรับเปลี่ยนการทำงานในรูปแบบ New normal
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อว่า การจัดงานดังกล่าวสืบเนื่องจากมติคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๓ ประกาศยกย่อง ชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับหน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมินและเป็นแรงจูงใจในการพัฒนาส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรม ซึ่งเป็นภารกิจของกระทรวงวัฒนธรรมในการประกาศยกย่อง ๒ ส่วน ประกอบด้วย ๑. หน่วยงานภายในกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับเกียรติบัตรจากปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงวัฒนธรรม ตามระดับที่ประเมิน จำนวน ๔๕ แห่ง ประกอบด้วย ระดับต้นแบบ จำนวน ๗ แห่ง อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำนักงานใหญ่, ธนาคารออมสิน ระดับคุณธรรม จำนวน ๒๗ แห่ง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ, สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, สำนักงานเลขานุการ ก.ร. สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และระดับส่งเสริมคุณธรรม จำนวน ๑๑ แห่ง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการศึกษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๒. องค์กรอิสระภาครัฐและภาคเอกชน ได้รับเกียรติบัตรจากปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ตามระดับที่ประเมิน จำนวน ๑,๑๕๕ แห่ง ประกอบด้วย
ระดับคุณธรรมต้นแบบ จำนวน ๔ แห่ง ระดับคุณธรรม จำนวน ๓๙ แห่ง และระดับส่งเสริมคุณธรรม จำนวน ๙ แห่ง เพื่อเป็นการจุดประกายให้ทุกองค์กรเกิดการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่องค์กรคุณธรรมในระดับต่าง ๆ ที่สามารถเป็นแรงจูงใจและแบบอย่างให้กับหน่วยงานอื่น ๆ และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39339 |
รัฐบาลไทย-รองนายกฯ “อนุทิน” เป็นประธานพิธีลงนามรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย “ศรีรัช–เมืองทองธานี” ระยะทาง 3 กม. มูลค่า 4.2 พันล้าน คาดพร้อมเปิดให้บริการ ก.ย. 67 | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
รองนายกฯ “อนุทิน” เป็นประธานพิธีลงนามรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย “ศรีรัช–เมืองทองธานี” ระยะทาง 3 กม. มูลค่า 4.2 พันล้าน คาดพร้อมเปิดให้บริการ ก.ย. 67
รองนายกฯ “อนุทิน” เป็นประธานพิธีลงนามรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย “ศรีรัช–เมืองทองธานี” ระยะทาง 3 กม. มูลค่า 4.2 พันล้าน คาดพร้อมเปิดให้บริการ ก.ย. 67
วันนี้ (23 ก.พ. 64) เวลา 15.00 น. ณ อาคารสโมสรและหอประชุม ชั้น 3 กระทรวงคมนาคมถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนการออกแบบและก่อสร้างงานโยธา การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการการเดินรถไฟฟ้า และซ่อมบำรุงรักษา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ฉบับแก้ไข กรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระหว่างการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ระหว่างนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการ NBM โดยมีนายศักดิ์สยามชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีครั้งนี้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีพร้อมกล่าวว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ พร้อมผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งที่กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี อำนวยประโยชน์แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ให้สามารถดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของงานก่อสร้าง และงานระบบรถไฟฟ้า และเพื่อยกระดับโครงข่ายเส้นทางของระบบขนส่งมวลชนทางรางให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม รัฐบาลจึงได้อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การลงนามสัญญาร่วมลงทุนฯ ระหว่าง รฟม. และ NBM ผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพื่อเพิ่มศักยภาพการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างเสริมเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช–เมืองทองธานี มีวงเงินลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยผู้รับสัมปทานจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาครัฐได้รับสิทธิและผลตอบแทนที่ดีกว่าเงื่อนไขเดิม แนวเส้นทางส่วนต่อขยายมีจุดเริ่มต้นบนถนนแจ้งวัฒนะ เชื่อมต่อกับการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ สายหลัก ที่สถานีศรีรัช ก่อนเลี้ยวขวาวิ่งเข้าสู่พื้นที่เมืองทองธานีไปตามถนนแจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด 39 ขนานกับทางพิเศษอุดรรัถยา ผ่านวงเวียนเมืองทองธานี (สถานี MT-01) และวิ่งต่อไปยังจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี (สถานี MT-02) รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร มีรูปแบบเป็นโครงสร้างยกระดับ ประกอบด้วย 2 สถานี โดยจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 37 เดือน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2567 และเมื่อโครงการฯ ก่อสร้างแล้วเสร็จ จะมีปริมาณผู้โดยสารตามคาดการณ์ 13,785 คน/เที่ยว/วัน
…………………………
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก…………………………
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครูกัลยา เริ่ม "โครงการวิทย์พลังสิบ" สร้างโอกาสเด็กไทยเข้าถึงการเรียนวิทยาศาสตร์แนวใหม่ ลดเนื้อหา เพิ่มการปฏิบัติ สร้างความเท่าเทียมองค์ความรู้พื้นฐาน เพื่อการเรียนต่อ-ดำเนินชีวิต- | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
ครูกัลยา เริ่ม "โครงการวิทย์พลังสิบ" สร้างโอกาสเด็กไทยเข้าถึงการเรียนวิทยาศาสตร์แนวใหม่ ลดเนื้อหา เพิ่มการปฏิบัติ สร้างความเท่าเทียมองค์ความรู้พื้นฐาน เพื่อการเรียนต่อ-ดำเนินชีวิต-
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการระยะ 10 ปี
เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 13.00 น. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีรายละเอียดสรุป ดังนี้
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการระยะ 10 ปี ใช้งบประมาณทั้งหมด 9,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินโครงการทันทีในปีงบประมาณ 2564 โดยจะใช้งบประมาณ จำนวน 200 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาครูในการเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้เข้าถึงวิทยศาสตร์และคณิตศาสตร์อย่างทั่วถึง รวมทั้งเป็นการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์รูปแบบใหม่ลดเนื้อหาด้านวิชาการ และเน้นการเรียนแบบปฏิบัติมากขึ้น เพื่อให้เด็กนำไปใช้ชีวิตประจำวันได้จริง
เนื่องจากในอนาคตการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งยังมีบทบาทต่อวงการอุตสาหกรรม และการเกษตรอย่างก้าวกระโดด จึงริเริ่มโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบนี้ขึ้น โดยโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้คนไทยทั้งประเทศ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ได้ตั้งแต่เด็กเล็ก โดยการเพิ่มพลังวิทยาศาสตร์ จาก 10 คน เป็น 100 คน และจาก 100 คน เป็น 1,000 คน
นอกจากนี้ โครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มพลังความรู้ด้านวิทยาศาสตร์แบบต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้คนไทยได้มีพื้นฐานความคิดอย่างเป็นระบบ คิดแบบวิธีวิทยาศาสตร์ ดังนั้น จะมีการต่อยอดเพิ่มการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตั้งแต่ชั้น ป.4 – ม.6 โดยมีภาคีเครือข่ายจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย มาช่วยเติมเต็มการอบรมให้แก่ครูทั่วประเทศให้สอนในเรื่องนี้ได้ เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการเรียนรู้ของเด็กด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในอนาคต
“เบื้องต้นยังไม่สามารถดำเนินการได้ทั่วประเทศ เนื่องจากต้องมีการพัฒนาครู ซึ่งจะเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้มีครูที่เชี่ยวชาญเพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในรูปแบบใหม่ ที่วิชาเรียนจะน้อยลง เน้นการปฏิบัติมากขึ้น และเพิ่มเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน สามารถนำไปปรับใช้ในอนาคตทั้งการทำงาน และการใช้ชีวิต ที่ประชุม ครม. ขอให้พิจารณาดำเนินการทุกอย่างให้รอบคอบมากที่สุด” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป/ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียวของกระทรวงอุตสาหกรรม | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียวของกระทรวงอุตสาหกรรม
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียวของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางและบูรณาการการจัดทำแผนงาน โครงการ พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนา BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และคณะกรรมการขับเคลื่อน BCG Model ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก. 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชี้ความร่วมมือประชาชนช่วยควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้ดี | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. ชี้ความร่วมมือประชาชนช่วยควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้ดี
กระทรวงสาธารณสุข เผยความร่วมมือของประชาชนเป็นส่วนสำคัญ ช่วยควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้ดี เมื่อผ่อนปรนมาตรการเพิ่มเติม ให้ยึดมาตรการป้องกันตนเองต่อเนื่อง
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่95 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 52 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 41 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 2 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 85 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้อ 25,599 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่15 ธันวาคม 2563 - 23 กุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวน 21,362 ราย หายป่วยสะสม 20,362 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.88 ยังอยู่ระหว่างการรักษา 1,070 ราย เสียชีวิตสะสม 23 ราย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร ปทุมธานี กทม. ตาก อ่างทอง นครปฐม นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา
นพ.เฉวตสรรกล่าวต่อว่า การติดเชื้อระลอกใหม่ พบผู้ติดเชื้อสูงสุดใน จ.สมุทรสาคร ร้อยละ 78 โดยพบจากการค้นหาเชิงรุกกว่า 14,000 ราย สูงกว่าที่พบจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการเกือบ 3 เท่า กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งดำเนินการควบคุมโรค เมื่อพบผู้ติดเชื้อจะทำการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ตรวจหาเชื้ออย่างน้อย2 ครั้ง และเข้าสู่ระบบกักตัวจนครบ 14 วัน รวมทั้งค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง ทั้งในชุมชนพื้นที่ใกล้เคียง และตลาด
ซึ่งพบว่าประชาชนยังคงตื่นตัวและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และมีความปลอดภัยมากขึ้น
ในวันที่ 1 มีนาคม 2564 นี้ ภาครัฐจะมีการผ่อนปรนมาตรการเพิ่มขึ้นตามกลุ่มจังหวัดในพื้นที่เสี่ยง โดยพื้นที่สีเขียว 54 จังหวัด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ให้จำกัดจำนวนคนเข้ารับบริการ งดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 14 จังหวัด ร้านอาหารและสถานบันเทิงเปิดได้ไม่เกิน 24.00 น. งดกิจกรรมเต้นรำ ส่วนพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี ตาก และราชบุรี สถานบันเทิง เปิดได้ไม่เกิน 23.00 น. และพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดง) คือ จ.สมุทรสาคร ร้านอาหารเปิด นั่งรับประทานอาหารได้ไม่เกิน 21.00 น. งดดื่มสุรา สถานบันเทิง ผับ บาร์ ส่วนศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดไม่เกิน 21.00 น. โดยจำกัดจำนวนคน และ งดจัดกิจกรรม ส่วนสถานศึกษาทุกระดับ และสถาบันกวดวิชา อนุญาตให้เรียนออนไลน์เท่านั้น และห้ามเปิดสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ยิม ฟิตเนส
“การผ่อนปรนมาตรการเพื่อให้ภาคเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยกระทรวงสาธารณสุข ยังคงเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรค ซึ่งประชาชนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขอให้เคร่งครัดมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะและโหลดแอปพลิเคชันหมอชนะ เมื่อเข้าใช้บริการในสถานที่ต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดต่อไป” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
**************************23 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39353 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าพบ | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าพบ
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าพบ
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายยูริ ยาร์วียาโฮ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะและแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ พร้อมหารือในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย - ฟินแลนด์, บันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือด้าน Circular Economy และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ Smart Cities และ Startup Cooperation โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้มความสำเร็จในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour ขอบคุณทุกฝ่ายที่ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข นำไทยสู่ต้นแบบการจัดแข่งขันกีฬาระดับโลก | วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ปลื้มความสำเร็จในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour ขอบคุณทุกฝ่ายที่ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข นำไทยสู่ต้นแบบการจัดแข่งขันกีฬาระดับโลก
นายกฯ ปลื้มความสำเร็จในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour ขอบคุณทุกฝ่ายที่ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข นำไทยสู่ต้นแบบการจัดแข่งขันกีฬาระดับโลก
วันนี้ (วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุญาตให้ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ และเป็นผู้แทนมอบเหรียญที่ระลึกแสดงความขอบคุณสำหรับการจัดการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ HSBC BWF World Tour in Bangkok 3 รายการติดต่อกัน ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีขอบคุณ พร้อมชื่นชมสมาคมฯ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ทำงานอย่างหนักเพื่อดำเนินการจัดการแข่งขันฯ จนประสบความสำเร็จ ภายใต้การดำเนินการตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องมีเอกสาร Fit To Fly ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ล่วงหน้า 72 ชั่วโมง และเมื่อมีผลเป็นลบจึงจะเดินทางเข้าประเทศไทยและเข้ารับการกักตัว หรือ Bubble Quarantine นอกจากนี้ยังมีแนวปฏิบัติที่เข้มงวดและรัดกุม จนได้รับการชื่นชมและนับเป็นต้นแบบของการจัดการแข่งขันกีฬาแบบ New Normal ที่ประสบผลสำเร็จ ในช่วงที่ทั่วโลกยังประสบกับสถานการณ์จากโรคโควิด-19 และจะเป็นแนวปฎิบัติในการจัดการแข่งขันระดับโลกในประเทศไทยในประเภทกีฬาอื่นๆต่อไป
นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญ และสนับสนุนการจัดการแข่งขันฯ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จนได้รับการชื่นชมจากทั้งประชาชนชาวไทยและทั่วโลก โดยมาตรฐานการจัดการแข่งขันฯ ในครั้งนี้ จะถูกนำไปเป็นแบบอย่างให้กับการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก โตเกียวเกมส์ ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ด้วย นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยืนยันว่าจะทำงานอย่างหนักเพื่อจัดการแข่งขันกีฬาที่มีคุณภาพและผลิตนักกีฬาทีมชาติสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป
***********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39326 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ กำชับ สปส. เตรียมพร้อมเปิดระบบและศูนย์ทบทวนสิทธิ์ “ม33เรารักกัน” | วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.สุชาติ กำชับ สปส. เตรียมพร้อมเปิดระบบและศูนย์ทบทวนสิทธิ์ “ม33เรารักกัน”
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กำชับ สำนักงานประกันสังคม เตรียมความพร้อมระบบลงเบียนออนไลน์และศูนย์ทบทวนสิทธิ์ ม33เรารักกัน ให้มีความพร้อม อำนวยความสะดวกรองรับผู้ประกันตนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ ม33เรารักกัน ว่า จากการที่คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบโครงการ ม33เรารักกัน เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท และได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้กำชับให้สำนักงานประกันสังคมเตรียมความพร้อมในทุกด้านในการช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด -19 ผ่านโครงการ ม33เรารักกัน โดยเฉพาะระบบการลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ที่จะเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้เป็นวันแรก ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 ไปจนถึงวันที่ 7 มีนาคม 2564 เพื่อให้ระบบมีความพร้อม สามารถอำนวยความสะดวกและรองรับปริมาณการลงทะเบียนของผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้เป็นจำนวนมาก
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ยังได้กำชับให้สำนักงานประกันสังคมเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งศูนย์ทบทวนสิทธิ์ ม33เรารักกัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถขอทบทวนสิทธิผ่าน www.ม33เรารักกัน.com ได้ โดยผู้มีสิทธิ์จะต้องมีคุณสมบัติ มีสัญชาติไทย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ ไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ 31 ธ.ค.63 ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com และตรวจสอบการได้รับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. – 7 มี.ค.64 ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูลรวมทั้งประมวลผลคัดกรอง วันที่ 8-14 มี.ค.64 ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชั่น‘เป๋าตัง’วันที่ 15 – 21 มี.ค.64 ได้วงเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ครั้งละ 1,000 บาท รวมทั้งสิ้น 4,000 บาท ในวันที่ 22,29 มี.ค. และวันที่ 5,12 เม.ย.64 เริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. – 31 พ.ค.64 ส่วนการขอทบทวนสิทธิ ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถขอทบทวนสิทธิผ่าน www.ม33เรารักกัน.com วันที่ 15-28 มี.ค.64 ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูลรวมทั้งประมวลผลคัดกรอง วันที่ 29 มี.ค.- 4 เม.ย.64 ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชั่น‘เป๋าตัง’วันที่ 15 – 21 มี.ค.64 ได้วงเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ วันที่ 5 – 11 เม.ย. 64 ได้วงเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ครั้งละ 2,000 บาท วันที่ 12,19 เม.ย.64 เริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ้านธงฟ้าที่ใช้แอป “ถุงเงิน” โครงการคนละครึ่ง และโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.– 31 พ.ค.64
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39277 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แจงวัคซีนที่ไทยจัดหามีคุณภาพ ผ่านเกณฑ์องค์การอนามัยโลก | วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แจงวัคซีนที่ไทยจัดหามีคุณภาพ ผ่านเกณฑ์องค์การอนามัยโลก
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยวัคซีนที่ประเทศไทยจัดหาในระยะแรก ทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค มีผลการศึกษาด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากล ผ่านข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก หลังการใช้ในวงกว้างไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรง
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยวัคซีนที่ประเทศไทยจัดหาในระยะแรก ทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคมีผลการศึกษาด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากล ผ่านข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก หลังการใช้ในวงกว้างไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรง
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยวัคซีนโควิด 19 ที่ประเทศไทยจัดหาในระยะแรก 2 ชนิด ทั้งจากแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคเป็นวัคซีนที่ผลิตด้วยกระบวนการที่มีการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด มีผลการศึกษาในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยเป็นไปตามหลักการสากล ผลการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีน ทั้งสองผ่านเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด (Target Product Profile) และเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานควบคุมกำกับในหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุดวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า ได้รับการรับรอง Emergency Use Listing (EUL) จากองค์การอนามัยโลกแล้วเช่นเดียวกับวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา
โดยวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ปัจจุบันมียอดจองสูงสุดกว่า 2,700 ล้านโด๊ส ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินใน 43 ประเทศทั่วโลก และเป็นวัคซีนส่วนใหญ่ที่COVAX Facility จะกระจายให้กับกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ ภายหลังการใช้วัคซีนในวงกว้าง ยังไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกเพื่อออกคำแนะนำการใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ไม่ได้ห้ามใช้วัคซีนในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ระบุว่ากลุ่มทดสอบอายุ 65 ปีขึ้นไป ยังมีจำนวนน้อย และพบการใช้วัคซีนมีประสิทธิผลในการลดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงได้ โดยแนะนำให้มีระยะห่างของการฉีดที่ 8-12 สัปดาห์ จะได้ประสิทธิภาพของวัคซีนดีที่สุด
สำหรับวัคซีนของซิโนแวค ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเชื้อตาย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ ผลการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ซึ่งมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อสูง พบลดอาการป่วยที่รุนแรง ส่วนการระงับการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ที่บราซิลตามที่เผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ เมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่าเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน จึงมีการอนุมัติให้ทดสอบวัคซีนต่อได้ ทั้งนี้ วัคซีนซิโนแวคได้รับการอนุมัติทะเบียนจากประเทศจีน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 ได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในอาเซอร์ไบจาน บราซิล ชิลี โคลัมเบีย อินโดนีเซีย ลาว เม็กซิโก ตุรกี และอุรุกวัย ซึ่งกลุ่มประเทศดังกล่าวได้ฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้วกว่า 2 ล้านโด๊ส โดยฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เป็นกลุ่มแรก ส่วนอินโดนีเซียได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนในผู้สูงอายุ และจากการใช้วัคซีนในวงกว้างยังไม่พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงเช่นกัน
ในส่วนของประเทศไทย ได้วางแผนการให้วัคซีนโควิด 19 กับประชากรกลุ่มเป้าหมายในระยะแรก ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน บุคคลที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วยโรคโควิด 19 โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ 1.ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต 2. เพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงจากการทำงาน และ 3.เพื่อให้คนไทยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและเกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
“การจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพื่อประชาชนไทยยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจะขยายการให้วัคซีนให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกคนที่ต้องการฉีดวัคซีนตามความสมัครใจ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงเจรจากับ COVAX Facility เป็นระยะ และหากบรรลุเงื่อนไข ข้อเสนอที่ประเทศจะได้ประโยชน์ ก็อาจมีการทำข้อตกลงการจัดหาวัคซีนผ่าน COVAX Facility ได้” นพ.นครกล่าว
************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39275 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เพิ่มสกิลเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบ คัดกรอง แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ | วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564
กรมการจัดหางาน เพิ่มสกิลเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบ คัดกรอง แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ
แรงงานไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ต้องไร้ประวัติอาชญากรรม ปลอดปัญหายาเสพติด
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในกลุ่มแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานไทย ประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งความเชื่อมั่นการจ้างแรงงานไทยของประเทศผู้รับแรงงาน และตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ จึงได้มอบหมายกรมการจัดหางาน ตรวจสอบ และคัดกรองคนที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยต่อสายตานานาประเทศ
นายสุชาติฯ กล่าวว่า กรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประสานความร่วมมือกองบัญชาการตำรวจสันติบาล และสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด เร่งฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสังเกตพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การพิจารณาและตรวจสอบหนังสือรับรองความประพฤติ เพื่อยกระดับความรู้และเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการคัดกรองแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ โดยวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 ได้มอบหมายนายสมชาย มรกตศรีวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ เรื่อง การพิจารณาหนังสือรับรองความประพฤติ (CID) และการป้องกัน แก้ไขปัญหายาเสพติดของแรงงานไทย แก่เจ้าหน้าที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ และกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน จำนวน 50 คน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“กรมการจัดหางาน มีภารกิจในการส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม ไม่ถูกหลอกลวง และไปทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยในปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562 -กันยายน 2563) มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศ จำนวน 58,673 คน สร้างรายได้ส่งเงินกลับเข้าประเทศปีละประมาณ 201,000 ล้านบาท” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39279 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำผู้เกี่ยวข้องตลาดพรพัฒน์ ขอให้สังเกตอาการตนเอง หากผิดปกติให้รีบพบแพทย์ | วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564
สธ. ย้ำผู้เกี่ยวข้องตลาดพรพัฒน์ ขอให้สังเกตอาการตนเอง หากผิดปกติให้รีบพบแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำผู้ขายและผู้ที่ไปซื้อสินค้าที่ตลาดพรพัฒน์ จ.ปทุมธานี แยกตัวสังเกตอาการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงหากผิดปกติให้รีบพบแพทย์ แนะประชาชนใช้บริการตลาดที่มีมาตรการควบคุมจำนวนคนเข้า-ออก ไม่แออัด เว้นระยะห่างระหว่างแผงขาย สวมหน้
กระทรวงสาธารณสุข ย้ำผู้ขายและผู้ที่ไปซื้อสินค้าที่ตลาดพรพัฒน์ จ.ปทุมธานี แยกตัวสังเกตอาการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงหากผิดปกติให้รีบพบแพทย์ แนะประชาชนใช้บริการตลาดที่มีมาตรการควบคุมจำนวนคนเข้า-ออก ไม่แออัด เว้นระยะห่างระหว่างแผงขาย สวมหน้ากาก 100 % ผู้ขายทำความสะอาดแผงกั้นบ่อย ๆ ลดความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ สำหรับผู้ติดเชื้อรักษาหายกลับบ้านได้แล้วร้อยละ 94
วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทย วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 82 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 27 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 44 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 11 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 59 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้อ 25,323 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 20 กุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวน 21,086 ราย หายป่วยสะสม 19,952 ราย คิดเป็นร้อยละ 94 ยังอยู่ระหว่าง การรักษา 1,111 ราย เสียชีวิตสะสม 23 ราย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ มี 6 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 42 ราย ปทุมธานี 25 ราย กทม. 6 ราย นครปฐม, อ่างทอง จังหวัดละ 2 ราย และสมุทรปราการ 1 ราย
นายแพทย์จักรรัฐกล่าวต่อว่า เบื้องต้นได้รับรายงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่4 สระบุรี ได้ดำเนินการคัดกรองเชิงรุกตั้งแต่วันที่ 9 – 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ตลาดพรพัฒน์และตลาดใกล้เคียง จังหวัดปทุมธานี กว่า 10,000 คน พบผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ 415 คน ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าคนไทยในตลาด และลูกจ้างแรงงานต่างด้าว พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกว่า 900 คน ติดตาม ได้แล้ว 300 กว่าคน อยู่ระหว่างติดตามอีก 500 กว่าคน จึงขอให้ผู้ที่ไปตลาดหรือผู้เกี่ยวข้องตลาดพรพัฒน์ ช่วงวันที่ 9-13 กุมภาพันธ์ 2564 หรือก่อนหน้านี้ 7 วัน แยกสังเกตอาการตนเอง ลดการพบปะผู้อื่น หลีกเลี่ยงเดินทางไปสถานที่มีคนจำนวนมาก สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน แยกสำรับอาหารและของใช้ส่วนตัว หมั่นล้างมือบ่อยๆ ถ้าไม่แน่ใจหรือมีอาการสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือโทรสายด่วน 1422 หรือพบแพทย์ใกล้บ้าน
นายแพทย์จักรรัฐกล่าวต่อไปว่า สำหรับประชาชน การไปตลาดแนะนำที่มีคนไม่หนาแน่น เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในตลาด ใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ สแกนไทยชนะก่อนเข้าตลาด เจ้าของตลาด ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรค มีการควบคุมจำนวนคนเข้า-ออก คัดกรองวัดไข้ก่อนเข้าตลาด จัดเส้นทางเดินทางเดียว ส่วนพ่อค้าแม่ค้าซึ่งต้องอยู่ในตลาดเป็นเวลานาน ขอให้สวมหน้ากากอย่างถูกวิธี ที่สำคัญขอให้ทำความสะอาดแผงกั้นระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายซึ่งเป็นจุดเสี่ยงสำคัญให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ
“ในการจัดการตลาด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด สำรวจตลาดสด ตลาดนัดที่มีความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ ให้สุ่มตรวจค้นหาเชิงรุก ร่วมกับกรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมควบคุมโรค และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเฉพาะตลาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีคนใช้บริการจำนวนมาก มีแรงงานต่างด้าวทำงานจำนวนมาก เพื่อแยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาต่อไป” นายแพทย์จักรรัฐกล่าว
**************************** 20 กุมภาพันธ์ 2564
********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39280 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล | วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล
นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล
วันนี้ (20 ก.พ. 64) เวลา 10.30 น. ณ อาคารรัฐสภา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยผลการลงมติฯ ดังนี้ (1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ลงมติ 481 เห็นด้วย 206 ไม่เห็นด้วย 272 และงดออกเสียง 3 (2) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้ลงมติ 482 เห็นด้วย 204 ไม่เห็นด้วย 274 และงดออกเสียง 4 (3) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ลงมติ 482 เห็นด้วย 201 ไม่เห็นด้วย 275 และงดออกเสียง 6 (4) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้ลงมติ 482 เห็นด้วย 207 ไม่เห็นด้วย 268 และงดออกเสียง 7 (5) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ลงมติ 480 เห็นด้วย 205 ไม่เห็นด้วย 272 และงดออกเสียง 3 (6) นายณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ลงมติ 480 เห็นด้วย 214 + 1 ไม่เห็นด้วย 258 และงดออกเสียง 8 (7) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ผู้ลงมติ 481 เห็นด้วย 212 ไม่เห็นด้วย 263 งดออกเสียง 5 และไม่ลงคะแนนเสียง 1 (8) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ลงมติ 482 เห็นด้วย 201 ไม่เห็นด้วย 268 งดออกเสียง 12 และไม่ลงคะแนนเสียง 1 (9) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ลงมติ 482 เห็นด้วย 206 ไม่เห็นด้วย 272 และงดออกเสียง 4 (10) ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ลงมติ 479 เห็นด้วย 199 ไม่เห็นด้วย 274 งดออกเสียง 5 และไม่ลงคะแนนเสียง 1
ทั้งนี้ ที่ประชุมสภา ฯ มีมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
..............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39276 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายอนุชา ย้ำชัด รัฐบาลไม่มีเอี่ยว ค่าคลื่นความถี่ อสมท. ชี้เป็นไปตามระเบียบและกระบวนการทางกฎหมาย | วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564
รมต.นร. นายอนุชา ย้ำชัด รัฐบาลไม่มีเอี่ยว ค่าคลื่นความถี่ อสมท. ชี้เป็นไปตามระเบียบและกระบวนการทางกฎหมาย
รมต.นร. นายอนุชา ย้ำชัด รัฐบาลไม่มีเอี่ยว ค่าคลื่นความถี่ อสมท. ชี้เป็นไปตามระเบียบและกระบวนการทางกฎหมาย
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีที่ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล อภิปรายพาดพิง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการใช้อำนาจแทรกแซงกรณีที่ กสทช. จ่ายค่าชดเชยค่าคลื่นความถี่ 2600 MHz ของ บมจ.อสมท. กับ บริษัท เพลย์เวิร์ค จำกัด ว่า ประเด็นปัญหาเกิดจากการที่ กสทช. เรียกคืนคลื่นความถี่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นอำนาจอิสระของ กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 60 ซึ่ง กสทช. เองได้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ แต่ต้องทดแทน ชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ที่ถูกเรียกคืนคลื่นความถี่ ซึ่งก็คือ บมจ.อสมท. และ บริษัท เพลย์เวิร์ค จำกัด ในฐานะคู่สัญญา โดยรัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจดังกล่าว ซึ่งหลักเกณฑ์การทดแทน ชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนเป็นการใช้อำนาจโดยชอบของ กสทช. ทั้งหมด
ส่วนการแต่งตั้งกรรมการต่างๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนดขึ้น ซึ่งองค์ประกอบก็เป็นไปตามประกาศหลักเกณฑ์เรียกคืนคลื่นความถี่ทุกประการ ในส่วนนี้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เป็นองค์กรอิสระ จะถูกผิดอย่างไร เป็นเรื่องของกรอบอำนาจหน้าที่ของ กสทช. รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายได้ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลจะเข้าไปกำกับหรือสั่งการในส่วนนี้ตามที่ถูกพาดพิง
นอกจากนี้ จากกรณีปัญหาดังกล่าว ทำให้เกิดการร้องเรียนกรณีการชดเชยค่าคลื่นความถี่โดย สหภาพแรงงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีความเป็นห่วงกรณีที่มีการแบ่งค่าชดเชยระหว่าง บมจ.อสมท. และ บริษัท เพลย์เวิร์ค จำกัด ในส่วนนี้รัฐบาลรวมถึงนายกรัฐมนตรีไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ รัฐบาลมีอำนาจเพียงเข้าไปติดตามดูว่ามีดำเนินการตามระเบียบและกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่เพียงเท่านั้น
...........................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39274 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. บรรลุเป้า “ค้ำฯ เติมทุน” 1 ล้านล้านบาท ฉลองก้าวสู่ปีที่ 30 | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
บสย. บรรลุเป้า “ค้ำฯ เติมทุน” 1 ล้านล้านบาท ฉลองก้าวสู่ปีที่ 30
บสย. เพื่อนแท้ SMEs ไทย ประกาศความสำเร็จประเดิมก้าวสู่ปีที่ 30 ด้วยผลงาน “ยอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมผ่านเส้นชัย 1 ล้านล้านบาท” ตอกย้ำบทบาทสำคัญสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ กลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. เริ่มต้นศักราชใหม่ ปี 2564 ด้วยผลงานความสำเร็จแรกแห่งปี “ค้ำฯ เติมทุน” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ เป็นผลสำเร็จ ด้วยยอดการค้ำประกันสินเชื่อสะสม ทะลุ 1 ล้านล้านบาท บันทึก ณ วันที่ 29 มกราคม 2564 ด้วยวงเงิน 1,000,493 ล้านบาท (หนึ่งล้านสี่ร้อยเก้าสิบสามล้านบาท) โดยบรรลุเป้าหมายเร็วกว่าแผนงานเดิม 2 ปี นับเดิมที่ บสย. ได้เคยมีประกาศไว้ในปี 2561 ตั้งเป้าครบล้านล้านบาทภายในปี 2566 ตอกย้ำความมุ่งมั่น ทุ่มเท พยายาม ด้วยความรับผิดชอบ ต่อบทบาทและการทำหน้าที่กลไกของรัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ส่งผ่านความช่วยเหลือครบทุกมิติ ทั้งการสร้างสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยเป็นมูลค่ามากกว่า 1.42 ล้านล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 560,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 1.11 ล้านตำแหน่ง รักษาการจ้างงานกว่า 7 ล้านตำแหน่ง เป็นเครื่องมือสำคัญสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้เพียง 2 ใน 3
ไฮไลท์สำคัญตลอดระยะเวลา 29 ปีที่ผ่านมา ของการทำหน้าที่ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง คือ การเป็นเครื่องมือของรัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญทุกมิติ ผ่านกลไกค้ำประกันสินเชื่อ นับตั้งแต่ บสย. จัดตั้งขึ้น ภายใต้ “พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ.2534” ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 400 ล้านบาท และเริ่มดำเนินกิจการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs แบบ Individual Guarantee สู่ปฐมบทการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกรัฐ ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นต้นมา โดยมียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ ปีแรก 168 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 140 ราย
ในปี 2543 รัฐบาลเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 4,000 ล้านบาท ส่งผลให้ บสย. สามารถสร้างยอดค้ำประกันสินเชื่อ ในปี 2544 พุ่งทะยานจากหลักร้อยล้าน สู่หลักพันล้าน ปิดยอดค้ำฯ ที่ 2,505 ล้านบาท จากนั้นรัฐบาลได้เพิ่มทุนจดทะเบียนให้ บสย. อีก 2 ครั้งในปี 2551 และปี 2552 ทำให้มีทุนจดทะเบียนรวม 6,839.94 ล้านบาท
ในปี 2552 บสย. ได้นำการเปลี่ยนแปลงมาเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจครั้งสำคัญ มีการปรับรูปแบบการค้ำประกันสินเชื่อจากการค้ำประกันแบบ Individual Guarantee เป็น Portfolio Guarantee Scheme เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจแก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ การปรับรูปแบบการค้ำประกันสินเชื่อครั้งใหม่ ส่งผลให้ยอดค้ำประกันสินเชื่อ เติบโตก้าวกระโดดจากหลักพันล้านบาท สู่หลักหมื่นล้านบาท โดยปิดยอดค้ำประกันสินเชื่อ ที่ 21,558 ล้านบาท จากนั้น ในปี 2553 ยอดค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นเท่าตัวที่ 42,585 ล้านบาท และมียอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมครบ 1 แสนล้านบาท ต่อเนื่องมาในปี 2556 ยอดค้ำประกันสินเชื่อ สะสมเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนล้านบาท และ ในปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท ตามลำดับ
ในปี 2560 มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) แก้ไขเพิ่มเติม” ขยายขอบเขตการค้ำประกันสินเชื่อให้ครอบคลุมธุรกรรมแฟ็คเตอร์ริ่ง เช่าซื้อ และลิสซิ่ง รวมถึงธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ และขยาย “นิยาม” ของสถาบันการเงิน ให้ บสย. สามารถค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม Non-Bank การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2561 บสย. มียอดค้ำประกันสะสมเพิ่มเป็น 7 แสนล้านบาท ในปีนั้น บสย. จึงประกาศตั้งเป้าช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ให้ครบ 1 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2566
นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ภายใต้การเข้ามาบริหารจัดการของ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร บสย. ได้ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ สู่การ Transform องค์กร สอดรับการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ปรับ Mind set การทำงานแบบเชิงรุก คิดใหม่ ทำใหม่ ปรับกระบวนการทำงานภายใน ควบคู่กับการบริหารวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ประกอบการ SMEs ทุกภาคส่วน ทั้งการท่องเที่ยว โรงแรม ธุรกิจบริการ ร้านอาหาร ในฐานะเครื่องมือของรัฐ บสย. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินมาตรการตามนโยบายรัฐบาลร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อผ่านกลไกการค้ำประกันกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้ประกอบการ SMEs และ รายย่อย กลุ่มอาชีพอิสระ เข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยผลดำเนินงาน สิ้นสุดปี 2563 บสย. สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อมากกว่า 166,000 ราย และมียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน 141,888 ล้านบาท ทุบสถิติในรอบ 29 ปีนับจากการก่อตั้ง บสย. อีกทั้งยังได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ อีกครั้ง ประเดิมผลงานแรกปี 2564 ประสบความสำเร็จ ณ วันที่ 29 มกราคม 2564 บสย. ได้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ด้วยยอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมครบ 1 ล้านล้านบาท สำเร็จ และเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ 2 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs 560,000 ราย หรือประมาณ 20% ของจำนวน SMEs ในประเทศ
ดร.รักษ์ กล่าวว่า เป็นการก้าวสู่ปีที่ 30 ของ บสย. ที่ท้าทาย จากความผันผวนทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ระลอกใหม่ โดยในปี 2563 พบว่าการจดทะเบียนเลิกกิจการ มีจำนวน 20,920 รายมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 91,859 ล้านบาท เกิดการเลิกจ้าง และลดเงินเดือน ขณะที่กลุ่มอาชีพอิสระ ขาดเงินหมุนเวียน และกลุ่ม SMEs เกิดใหม่ ต้องการเงินทุน และยังมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีปัญหาการค้างชำระ ต้องการพักชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และต้องการสินเชื่อ ต้นทุนต่ำ 1,000,493 ล้านบาท (หนึ่งล้านสี่ร้อยเก้าสิบสามล้านบาท)
“การค้ำประกันสินเชื่อ คือกลไกหลักเชื่อมโยงระหว่างเงินทุนกับผู้ประกอบการ SMEs ที่สำคัญมากโดย บสย. พร้อมเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่ในทุกมาตรการเพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อและแหล่งทุน” ดร.รักษ์ กล่าว
ภายใต้วิสัยทัศน์ (Vision) บสย. “เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสทางธุรกิจแห่งชาติให้แก่ SMEs เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน” และ ค่านิยมองค์กร (Corporate Values) T (True innovative financial-partner for SMEs) เป็นคู่คิดทางการเงิน C (Connectivity for business possibilities) เชื่อมโยง SMEs สู่โอกาสทางธุรกิจ G (Governance for sustainable growth) เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยผลดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ ณ 31 มกราคม 2564 อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 10,680 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 21,103 ราย และอนุมัติหนังสือค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน 30,133 ฉบับ โดยมี 3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดคือ 1.โครงการ บสย. SMEs ไทยสู้ภัย COVID-19 วงเงิน 3,900 ล้านบาท 2.โครงการ บสย. SMEs ดีแน่นอน วงเงิน 2,788 ล้านบาท และโครงการ บสย. Micro ไทยสู้ภัยโควิด 1,041 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38793 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK แต่งตั้งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
EXIM BANK แต่งตั้งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
EXIM BANK แต่งตั้งนางขวัญใจ เตชเสนสกุล และนายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
EXIM BANK แต่งตั้งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
EXIM BANK แต่งตั้งนางขวัญใจ เตชเสนสกุล และนายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แต่งตั้งนางขวัญใจ เตชเสนสกุล เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ดูแลสายงานกลยุทธ์ ครอบคลุมงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร การวิเคราะห์และจัดการข้อมูลผลการดำเนินงาน งานวิจัยธุรกิจเพื่อสนับสนุนงานด้านสินเชื่อและการตลาด โดยตอบสนองกลยุทธ์และเป้าหมายองค์กร การวางกลยุทธ์ด้านการตลาด การสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งดูแลการทำหน้าที่ของสำนักงานผู้แทนของ EXIM BANK ในต่างประเทศ พร้อมทั้งแต่งตั้งนายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ดูแลสายงานวิสาหกิจขนาดใหญ่ 2 ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนการส่งออกและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย โดยนำเสนอบริการแบบครบวงจร ตลอดจนสร้างเครือข่ายและเชี่ยวชาญในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
นางขวัญใจจบการศึกษาปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าร่วมงานกับ EXIM BANK ตั้งแต่ปี 2542 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ และผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยธุรกิจ ในปี 2550 และ 2554 ตามลำดับ ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ในปี 2559
นายอิทธิพลจบการศึกษาปริญญาโท สาขาการเงิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (นักเรียนทุน EXIM BANK) และปริญญาตรี สาขาการเงินการธนาคาร มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เข้าร่วมงานกับ EXIM BANK ตั้งแต่ปี 2540 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจ 1 และผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจ 1 ในปี 2556 และ 2559 ตามลำดับ ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลุ่มอุตสาหกรรม 4 ในปี 2562
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Appoints New Executive Vice Presidents
EXIM Thailand has announced the appointment of Mrs. Kwanjai Tachasanskul and Mr. Ittipol Lertsakthanakul as Executives Vice Presidents, taking effect from February 1, 2021.
Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) has appointed Mrs. Kwanjai Tachasanskul as Executive Vice President of Strategy function line to oversee the Bank’s corporate strategy and planning, performance analysis and management, business research to support loan provision and marketing in line with the corporate strategy and goal, marketing strategic planning, relationship with public and private entities both at home and abroad, and overseas representative offices. At the same time, the Bank has appointed Mr. Ittipol Lertsakthanakul as Executive Vice President of Corporate Finance 2 function line to supervise the Bank’s operations supporting export and domestic and international investment of Thai entrepreneurs with offering of full-fledged services and solutions and fostering of networks and expertise in target industries. The appointment of the two top executives shall take effect from February 1, 2021 onward.
Mrs. Kwanjai holds a Master of Arts in Economics from Thammasat University and a Bachelor of Science in Economics and Business Administration from Kasetsart University. Joining EXIM Thailand in 1999, she was appointed Vice President of Economic Department, and First Vice President of Business Research Department in 2007 and 2011, respectively, before taking up the position of Senior Vice President of Business Research Department in 2016.
Mr. Ittipol holds a Master of Science in Finance from Thammasat University (EXIM Thailand Scholarship) and a Bachelor of Business Administration in Finance and Banking from Assumption University. Joining EXIM Thailand in 1997, he was appointed Vice President of Business Promotion Department 1 and First Vice President of Corporate Business Department 1 in 2013 and 2016, respectively, before taking up the position of Senior Vice President of Corporate Business Department 4 in 2019.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
https://bit.ly/39z61P3
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38787 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กลาโหมย้ำ การปกครองบังคับบัญชาทางทหาร ต้องยึดแบบธรรมเนียมทหารและหลักกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาด" | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
"กลาโหมย้ำ การปกครองบังคับบัญชาทางทหาร ต้องยึดแบบธรรมเนียมทหารและหลักกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาด"
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า กห.ให้ความสำคัญกับการปกครองบังคับบัญชา และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพลในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง
โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา นรม.และรมว.กห.ได้ย้ำเป็นนโยบายสำคัญในการประชุมสภากลาโหม กับ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ถึงการปกครองบังคับบัญชาของทุกเหล่าทัพ ต้องดำรงความยุติธรรม และเป็นไปตามแบบธรรมเนียมทหาร ยึดระเบียบและหลักกฎหมาย บนพื้นฐานของหลักเมตตาธรรม มนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน โดยต้องไม่มีการใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ทั้งนี้ให้ผู้บังคับหน่วยทุกระดับถือปฏิบัติและกำกับดูแลตามสายการบังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด และต้องรับผิดชอบหากปล่อยปละละเลย
โฆษก กห. กล่าวเพิ่มเติม ถึงกรณีการบาดเจ็บและเสียชีวิตของกำลังพลจากการฝึกและการปกครองบังคับบัญชาที่ผ่านมาในทุกกรณีที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานของกองทัพ ได้ตั้งกรรมการสอบสวนจากหน่วยเหนือของทุกเหล่าทัพถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและดำรงความยุติธรรมกับทุกฝ่ายตามระเบียบและหลักกฎหมาย โดยสรุปภาพรวมความเสี่ยงหลักของเหตุเกิดจากทั้งปัญหาของกำลังพลทหาร รวมถึงผู้ฝึกหรือผู้ปกครอง โดยกำลังพลทหารบางรายมีปัญหาพื้นฐานเดิมส่วนตัวและด้านสุขภาพ ส่งผลต่อพฤติกรรมและความสามารถทางร่างกาย ซึ่งมีมาตรการดูแลเป็นพิเศษในทุกกรณี ในขณะที่ผู้ฝึกและผู้ปกครองบางราย ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่กำหนด ขาดสำนึกและความรับผิดชอบในการใช้อำนาจหน้าที่ มีการลงโทษไม่เป็นไปตามแบบธรรมเนียมทหารและขัดต่อหลักมนุษยธรรม ถือเป็นทั้งความผิดทางกฎหมายและความผิดทางวินัยร้ายแรง ซึ่งทุกเหล่าทัพ ได้ลงโทษทางวินัยผู้กระทำผิดในทุกราย หนักเบาตามมูลฐานความผิดจากผลการสอบสวน และหากมีความผิดตามกฎหมาย ต้องได้รับโทษทุกรายไม่มีละเว้น ทั้งนี้ กองทัพไม่ได้ละเลยในการแสดงความเสียใจและเยียวยากับครอบครัวกำลังพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพลภาพหรือเสียชีวิตจากเหตุที่เกิดขึ้นในทุกกรณี
เหล่านี้ ถือเป็นบทเรียนของการปกครองบังคับบัญชาทางทหาร ที่ กห.โดยทุกเหล่าทัพตระหนักและให้ความสำคัญร่วมกัน โดยไม่ต้องการให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นนี้ขึ้นอีก ทั้งนี้ได้ศึกษาและร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ปัญหาการปกครองบังคับบัญชาในทุกระดับชั้นให้รัดกุมมากขึ้น บนพื้นฐานของการใช้อำนาจหน้าที่อย่างถูกต้องตามแบบธรรมเนียมทหารและหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้ร่วมกันกวดขันการฝึกทหารใหม่ รวมทั้งการปกครองบังคับบัญชาระดับหมู่ หมวดและชุดปฏิบัติการใกล้ชิดมากขึ้นควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล พร้อมกันนี้ได้เปิดช่องทางการร้องเรียนกับกำลังพลทุกระดับตามแบบธรรมเนียมทหารหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะเดียวกันได้เปิดศูนย์รับเรื่องราวร้องเรียนร้องทุกข์ของ กห.และเหล่าทัพ ให้ประชาชน หรือครอบครัวกำลังพลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเข้าร้องเรียน เพื่อดำรงความยุติธรรมและความโปร่งใสขององค์กร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38762 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมพร้อมกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
เตรียมพร้อมกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.”
การลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มการออมการลงทุนใหม่ให้กับผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ ครั้งนี้เป็นการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม” รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี
กลับมาอีกครั้งกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่จะสร้างปรากฎการณ์และประสบการณ์การออมการลงทุนใหม่ให้กับผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ โดยในครั้งนี้ เป็นการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม” รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่าในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวันแรกของการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” ซึ่งผู้มีประสบการณ์ลงทุนผ่านวอลเล็ต สบม. จะทราบว่ามีสิทธิประโยชน์และความสะดวกมากมาย เช่น ซื้อง่ายผ่าน แอปพลิเคชันได้ตลอด 24 ชั่วโมง เปิดจำหน่ายก่อนการจำหน่ายผ่านธนาคาร เช็คดอกเบี้ยและรายละเอียดธุรกรรมต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทันที และขายได้พร้อมรับเงินทันทีผ่านวอลเล็ต สบม. หากผู้ลงทุนจำเป็น ต้องใช้เงินสดภายหลังการถือครองแล้ว 6 เดือน นอกจากนี้ ยังแยกวงเงินไม่นับรวมกับการจำหน่ายผ่านธนาคาร ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรายย่อยที่ไม่คุ้นเคยกับการซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้ทดลองลงทุนในสินทรัพย์มั่นคง ผลตอบแทนดี เริ่มต้นเพียง 100 บาท
จึงขอเชิญผู้สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง เปิดใช้งานและโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยท่านสามารถออมได้จนถึง 5,000,000 บาท สอบถามรายละเอียดการใช้งานวอลเล็ต สบม. ได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 หรือที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38765 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมดแล้ว !!!! “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” รอพบ “เราชนะ” ผ่าน 4 ธนาคารตัวแทน วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
หมดแล้ว !!!! “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” รอพบ “เราชนะ” ผ่าน 4 ธนาคารตัวแทน วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 นี้
การจำหน่ายในรอบนี้ได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากผลตอบแทนน่าสนใจ ประชาชนคุ้นเคยกับแอปพลิเคชันเป๋าตังมากขึ้น เป็นช่องทางการลงทุนที่สะดวกในยุคโควิด โดยจำหน่ายได้ครบ 5,000 ล้านบาท ภายใน 8 ชั่วโมง
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า การจำหน่ายในรอบนี้ได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากผลตอบแทนน่าสนใจ ประชาชนคุ้นเคยกับแอปพลิเคชันเป๋าตังมากขึ้น เป็นช่องทางการลงทุนที่สะดวกในยุคโควิด โดยจำหน่ายได้ครบ 5,000 ล้านบาท ภายใน 8 ชั่วโมง
พันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” มีผู้สนใจลงทุนถึงเกือบ 9,600 คน โดยมีผู้ลงทุนอายุตั้งแต่ 16 ปี จนถึงอายุ 94 ปี ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานตอนต้นจนถึงวัยก่อนเกษียณ โดยสิ่งที่น่าสนใจ คือ ผู้ลงทุนวัยหลังเกษียณให้ความสนใจลงทุนผ่านวอลเล็ต สบม. เพิ่มขึ้นคิดเป็นถึงเกือบ 1 ใน 4 ของจำนวนรายการทั้งหมด และจำนวนรายการผู้ลงทุนในต่างจังหวัดมากกว่ารอบที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรู้จักและเข้าถึงเป๋าตังของประชาชน นอกจากนี้ วงเงินซื้อเฉลี่ยต่อรายสูงขึ้นเป็นเกือบ 460,000 บาท แสดงถึงความมั่นใจในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ และแนวโน้มความสำคัญของการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มในอนาคต ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย ลดความเสี่ยงของประชาชนในภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี
สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” และพบกับพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ “เราชนะ” ที่จะจำหน่ายผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ บมจ. กรุงเทพ บมจ. กรุงไทย บมจ. กสิกรไทย และ บมจ. ไทยพาณิชย์ ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 โดยจะจำหน่ายรุ่น 5 ปี และ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 2.00 ต่อปี และร้อยละ 2.50 ต่อปี ตามลำดับ
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38795 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. โชว์ผลตรวจแรงงานก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี ไร้เงาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ย้ำมั่นใจเปิดบริการได้ตามแผนงาน ปี 2566 | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ธพส. โชว์ผลตรวจแรงงานก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี ไร้เงาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ย้ำมั่นใจเปิดบริการได้ตามแผนงาน ปี 2566
ธพส.จับมือ รพ.จุฬาภรณ์ ปฏิบัติการเชิงรุกตรวจคัดกรองคนงานก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี แจงผลตรวจไร้เงาผู้ติดเชื้อ พร้อมกำชับผู้รับจ้างก่อสร้างปฎิบัติตนตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ พร้อมเดินหน้าก่อสร้างศูนย์ราชการฯ
ธพส.จับมือ รพ.จุฬาภรณ์ ปฏิบัติการเชิงรุกตรวจคัดกรองคนงานก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี แจงผลตรวจไร้เงาผู้ติดเชื้อ พร้อมกำชับผู้รับจ้างก่อสร้างปฎิบัติตนตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ พร้อมเดินหน้าก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี เปิดบริการได้ตามแผนงานภายในปี 2566
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. เปิดเผยว่า ธพส. ให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันการเแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ เป็นอย่างมาก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 – 27 มกราคม ที่ผ่านมา ธพส. ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์จัดทีมแพทย์และพยาบาลตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ให้กับคนงานก่อสร้างของบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โซนซี และโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ภัทรมหาราชานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งมีแรงงานพักอาศัยรวมอยู่ที่พักเดียวกันเป็นจำนวนมากกว่า 1,500 คน จึงนับเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่กำหนดให้มีการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง หากมีการพบผู้ติดเชื้อจะได้มีการรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดได้อย่างทันท่วงที
สำหรับผลตรวจในครั้งนี้ ธพส. ได้รับรายงานจาก บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการฯ ว่าไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมาโครงการฯ มีความเข้มงวดในปฏิบัติการควบคุมดูแลสุขอนามัยของแรงงานเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ธพส. ได้เน้นย้ำทุกคนไม่ให้การ์ดตก โดยได้กำชับผู้รับจ้างให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
ปัจจุบัน โครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ โซนซี อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน มีความคืบหน้ากว่า 40% ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่คาดการณ์ไว้ และพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38776 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยจัดปฐมนิเทศข้าราชการ ประจำปี 2564 เน้นย้ำ “ต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มุ่งมั่นและทุ่มเทในการทำงาน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจมหาดไทยเพื่อประชาชน” | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
มหาดไทยจัดปฐมนิเทศข้าราชการ ประจำปี 2564 เน้นย้ำ “ต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มุ่งมั่นและทุ่มเทในการทำงาน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจมหาดไทยเพื่อประชาชน”
มหาดไทยจัดปฐมนิเทศข้าราชการ ประจำปี 2564 เน้นย้ำ “ต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มุ่งมั่นและทุ่มเทในการทำงาน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจมหาดไทยเพื่อประชาชน”
วันนี้ (1 ก.พ. 2564) เวลา 15.00 น. ณ ห้องจอมพล ชั้น 1 อาคารอำนวยการ วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วิทยาเขตปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการปฐมนิเทศข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ได้เรียนรู้ระเบียบแบบแผน วิธีการปฏิบัติราชการและเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ตลอดจนส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม โดยมีผู้เข้ารับการปฐมนิเทศ จำนวน 117 คน
นายสมคิด จันทมฤก กล่าวว่า สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย (สป.มท.) ได้ดำเนินการเลือกสรรบุคคลเข้าสู่ระบบราชการ ผ่านระบบคุณธรรมมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่น่าภาคภูมิใจของทุกท่านที่ได้ผ่านกระบวนการเลือกสรร โดย สป.มท. มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายของกระทรวงเป็นแผนการปฏิบัติงาน จัดสรรทรัพยากร และบริหารราชการทั่วไปของกระทรวงมหาดไทย การรักษาความมั่นคงภายใน การรักษาความสงบเรียบร้อยและอำนวยความเป็นธรรม และการส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารราชการส่วนภูมิภาค เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุนี้ข้าราชการของ สป.มท. ต้องเป็นผู้มีความรู้ ความรอบรู้ และเชี่ยวชาญในเรื่องระเบียบ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน มีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน หมั่นศึกษาหาความรู้รอบตัวอยู่เสมอ มีความมุ่งมั่นตั้งใจและทุ่มเทในการทำงาน ซึ่งในอนาคตทุกท่านที่ได้รับการบรรจุใหม่ในที่นี้ ก็จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของ สป.มท. ได้อย่างมีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติและประชาชนต่อไป
สำหรับการดำเนินโครงการปฐมนิเทศข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประกอบด้วย การบรรยายเกี่ยวกับบทบาท อำนาจหน้าที่ โครงสร้างกระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานจังหวัด ความรับผิดชอบของตำแหน่งหน้าที่ การสร้างประสิทธิภาพการทำงาน คุณธรรม จริยธรรมสำหรับการปฏิบัติตนในระบบราชการ และการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติตนจนเป็นวิถีชีวิต นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมการปฏิบัติงานสู่ความเป็นเลิศโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีความรู้ความสามารถที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่ข้าราชการบรรจุใหม่ในครั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38802 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายพื้นที่อนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองเก่า | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ขยายพื้นที่อนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองเก่า
...
ปัจจุบันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่
ในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์
รวมทั้งการท่องเที่ยวในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์
เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน
การจราจร วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
.
เดิมพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์มีเพียง 3 บริเวณ
คือ กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก
และบริเวณฝั่งธนบุรีตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์
.
แต่ล่าสุดพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ยังครอบคลุม
พื้นที่ต่อเนื่องบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก
ตั้งแต่แนวกึ่งกลางคลองรอบกรุง
(คลองบางลำพู และคลองโอ่งอ่าง)
แนวกึ่งกลางแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศเหนือและทิศใต้
และแนวคลองผดุงกรุงเกษมฝั่งตะวันออก
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์
และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2564
.
โดยมีมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
เช่น คลองผดุงกรุงเกษม วัดบางขุนพรหม (ธปท.)
และวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร
.
ดังนั้น ใครที่สนใจเรื่องราวของกรุงรัตนโกสินทร์
ที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
และเติบโตขึ้นตามการพัฒนาของเมือง
จะต้องไม่พลาดความรู้ที่เป็นประโยชน์นี้
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38771 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดเกณฑ์! แบ่งจังหวัดรับวันหยุดประจำภาค ปี 64 | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
เปิดเกณฑ์! แบ่งจังหวัดรับวันหยุดประจำภาค ปี 64
...
เป็นที่ฮือฮามาแล้วก่อนหน้านี้
หลังจากที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63
กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ แบบหยุดทั้งประเทศ
และวันหยุดราชการประจำภาค ประจำปี 2564 เป็นการเฉพาะ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในปีนี้
.
วันศุกร์ที่ 12 ก.พ. 64 (วันตรุษจีน)
วันจันทร์ที่ 12 เม.ย. 64 (เทศกาลสงกรานต์)
วันอังคารที่ 27 ก.ค. 64 (หยุดชดเชยวันเข้าพรรษา)
วันศุกร์ที่ 24 ก.ย. 64 (วันมหิดล)
.
ภาคเหนือ : วันศุกร์ที่ 26 มี.ค. 64 (ประเพณีไหว้พระธาตุ)
ภาคอีสาน : วันจันทร์ที่ 10 พ.ค. 64 (ประเพณีงานบุญบั้งไฟ)
ภาคใต้ : วันพุธที่ 6 ต.ค. 64 (ประเพณีสารทเดือนสิบ)
ภาคกลาง : วันพฤหัสบดีที่ 21 ต.ค. 64 (เทศกาลออกพรรษา)
.
สำหรับวันหยุดราชการประจำภาคนั้น
หลายคนสงสัยว่า หยุดเฉพาะภาคนั้นใช่ไหม?
และจังหวัดเราอยู่ภาคอะไรกันแน่?
.
เรื่องนี้ทีมงานไปสอบถามจากหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ความว่า
“วันหยุดประจำภาคไหน ก็ให้หยุดเฉพาะภาคนั้น”
และหยุดเฉพาะหน่วยงานของรัฐ โดยดูจากสถานที่ตั้ง
ของหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ โรงเรียน ว่าอยู่ในจังหวัดไหน
ก็ให้หยุดตามวันหยุดประจำภาคนั้น
เท่ากับว่า 1 คน จะมีวันหยุดประจำภาค 1 วัน
.
ส่วนภาคเอกชนและธนาคารให้พิจารณาตามความเหมาะสม
แต่รัฐบาลก็ขอความร่วมมือเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงกัน
.
ทีนี้จังหวัดไหนอยู่ภาคไหน ให้อ้างอิงจากประกาศ
คณะกรรมการนโยบายการบริหารจังหวัด
และกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ
ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 60
.
โดยหลักเกณฑ์วันหยุดประจำภาคกำหนดให้
.
1.ภาคกลาง (จังหวัดภาคกลาง+ตะวันออก) ประกอบด้วย
กทม. ชัยนาท อยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี
อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม
สมุทรปราการ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี
ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม
สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง
จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว
.
2.ภาคใต้ (จังหวัดภาคใต้+ภาคใต้ชายแดน) ประกอบด้วย
ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี
สงขลา กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล
นราธิวาส ปัตตานี ยะลา
.
3.ภาคอีสาน ประกอบด้วย
บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี
นครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์
ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ
นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ยโสธร
ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี
.
4.ภาคเหนือ ประกอบด้วย
เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน
เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ ตาก
พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์
กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร อุทัยธานี
.
อ่านประกาศ คกก. นโยบายการบริหารงานจังหวัดฯ คลิกhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/281/14.PDF
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38767 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทม. แจงกรณีแจ้งไทม์ไลน์สาขาร้านอาหารผิดพลาด ขอรับข้อคำแนะนำ ทบทวนกระบวนการจัดทำไทม์ไลน์ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและผู้ป่วยก่อนเผยแพร่ต่อสาธารณะ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
กทม. แจงกรณีแจ้งไทม์ไลน์สาขาร้านอาหารผิดพลาด ขอรับข้อคำแนะนำ ทบทวนกระบวนการจัดทำไทม์ไลน์ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและผู้ป่วยก่อนเผยแพร่ต่อสาธารณะ
กทม. แจงกรณีแจ้งไทม์ไลน์สาขาร้านอาหารผิดพลาด ขอรับข้อคำแนะนำ ทบทวนกระบวนการจัดทำไทม์ไลน์ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและผู้ป่วยก่อนเผยแพร่ต่อสาธารณะ ป้องกันไม่ให้เกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน
วันนี้ (1ก.พ.64) นางสาววรนุช สวยค้าข้าว ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์ สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 632 และรายที่ 660 ที่ระบุ กทม.แจ้งไทม์ไลน์สาขาร้านอาหารผิดพลาดว่า เจ้าหน้าที่จะใช้ข้อมูลจากสถานพยาบาล ประกอบกับการสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อฯ และจากข้อมูลการสอบสวนโรค แล้วจัดทำเป็นชุดข้อมูล เพื่อเสนอคณะทำงานพิจารณา แล้วจึงจัดทำเป็นไทม์ไลน์ เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการจัดทำไทม์ไลน์ต้องการความรวดเร็ว ประกอบกับในสถานการณ์ปัจจุบันพบว่ามีการติดเชื้อในกลุ่มคนที่มีกิจกรรมบางอย่างร่วมกันที่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เช่น ไม่สามารถมีระยะห่างระหว่างกัน หรือสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อให้การควบคุมและป้องกันโรคด้วยความรวดเร็ว จึงต้องจัดทีมผู้สอบถามข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางอาจไม่มีความชำนาญในพื้นที่ รวมทั้งไม่ทราบว่า ร้านอาหารดังกล่าวมีหลายสาขา จึงทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนของการรายงานสถานที่ จากข้อมูลที่ผู้ป่วยทั้ง 2 รายแจ้งว่าไปร้านโรงสีโภชนา เขตสาทร จึงรายงานเป็นร้านโรงสีโภชนา แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ในครั้งที่ 1 และร้านโรงสีโภชนา เขตปทุมวัน ในครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตามกรุงเทพมหานคร ขอรับข้อคำแนะนำ เพื่อทบทวนกระบวนการจัดทำไทม์ไลน์ โดยจะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และสอบถามกลับไปยังผู้ป่วยอีกครั้ง ก่อนเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนในครั้งต่อไป
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้เข้าไปตรวจสอบร้านอาหารโรงสีโภชนาทุกสาขา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ามีความปลอดภัยและไม่เป็นแหล่งแพร่เชื้อ โดยจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ในช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการเข้ารับบริการในสถานที่แห่งนั้นต่อไป
------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38779 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงทุนง่าย พันธบัตร "เราชนะ" เริ่มต้นแค่ 100 บ. | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ลงทุนง่าย พันธบัตร "เราชนะ" เริ่มต้นแค่ 100 บ.
...
กลับมาอีกครั้งกับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์
ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม
ที่เริ่มเปิดขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะ”
.
จัดจำหน่ายโดยกระทรวงการคลัง
ซึ่งเป็นแบบไร้ใบตราสาร (Scripless)
วงเงินทั้งสิ้น 60,000 ล้านบาท
เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงพันธบัตร
ที่มีความมั่นคงสูงได้มากขึ้น
โดยสามารถเลือกลงทุนตามความสะดวก
.
1. รุ่นเราชนะบนวอลเล็ต สบม.
วงเงินจำหน่าย 5,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 5ปี
อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได เฉลี่ย 2% ต่อปี
วงเงินซื้อขั้นต่ำ 100 - 5,000,000 บาท
สามารถโหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง
เพื่อลงทะเบียนและโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม.
เปิดจำหน่ายตั้งแต่บัดนี้ - 19 ก.พ. 64
2. รุ่นเราชนะ
วงเงินจำหน่าย 55,000 ล้านบาท
ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท แบบไม่จำกัดวงเงินซื้อ
จัดจำหน่ายผ่าน 4 ธนาคาร ได้แก่
ธ.กรุงไทย ธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 5 - 19 ก.พ. 64
แบ่งจำหน่ายเป็น 2 แบบ
.
สำหรับบุคคลธรรมดา
อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได รุ่นอายุ 5 ปี
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2% ต่อปี
และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.5% ต่อปี
.
สำหรับนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร รุ่นอายุ 15 ปี
อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.8% ต่อปี
.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
เกี่ยวกับเงื่อนไขการจำหน่ายพันธบัตร
ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง
หรือสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2265 8050, 0 2271 7999
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตอบข้อสงสัย ร้านค้าแบบไหนเข้าร่วม "เราชนะ" ได้
หนุน! ผลิต “ถั่งเช่าไหมไทย” สร้างรายได้เกษตรกร
เดินหน้าฉลุย ยอดสมาชิก กอช. แตะ 2.4 ล้านคน
ใครปลูก “ไม้มีค่า” ลงทะเบียนเลย ตัดขายแปรรูปได้
ขยายพื้นที่อนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองเก่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38794 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งบรรจุราชการ แก้ว่างงาน ช่วงโควิด | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
เร่งบรรจุราชการ แก้ว่างงาน ช่วงโควิด
...
จากการระบาดของโรคโควิด-19
ทำให้หลายคนต้องว่างงานจากหลายสาเหตุ
ขณะที่หน่วยงานภาครัฐยังมีตำแหน่งงานว่าง
ที่จะรองรับผู้สนใจทำงานราชการ
.
เรื่องนี้สำนักงาน ก.พ.จะเร่งดำเนินการ
ตามที่ ครม.เห็นชอบล่าสุด
โดยจะเพิ่มที่นั่งสอบภาค ก
รีบตรวจและประกาศผล ภายในเดือน ส.ค. 64
เร่งเรียกบรรจุคนที่สอบผ่านแล้วและขึ้นบัญชีอยู่
และจะรับสมัครด้วยวิธีอื่นที่มีในระเบียบ
เช่น ผู้พิการ ผู้มีความรู้ความชำนาญสูง ฯลฯ
.
นอกจากนี้ จะเพิ่มอัตราพนักงานราชการ
อีก 219,849 อัตรา รวมกับอัตราเกษียณ 1,308 อัตรา
รวมเป็น 221,157 อัตรา
โดยจะกระจายตำแหน่งว่างไปในพื้นที่ต่าง ๆ
และใช้วิธีการจ้างที่รวดเร็วมากขึ้น
.
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38770 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าฉลุย ยอดสมาชิก กอช. แตะ 2.4 ล้านคน | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
เดินหน้าฉลุย ยอดสมาชิก กอช. แตะ 2.4 ล้านคน
...
การส่งเสริมและสร้างวินัยการออม
ถือเป็น “วาระแห่งชาติ” เพื่อส่งเสริมให้คนทุกวัย
โดยเฉพาะผู้มีอาชีพอิสระเตรียมพร้อมทางการเงิน
เพื่อใช้ในวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ
.
ที่ผ่านมากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
เป็นกลไกส่งเสริมการออมในกลุ่มผู้ฝากรายย่อย
ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
.
นับจากปี 2559 จนถึงสิ้นปี 2563
กอช.มีสมาชิกเพิ่มขึ้นจาก 400,000 คน
เป็นมากกว่า 2,400,000 คน
.
อาชีพที่สนใจสมัครสูงสุด คือ
อาชีพเกษตรกร 48%
อาชีพอิสระ 31%
อาชีพค้าขาย 6%
.
น่าสนใจว่า กอช. ยังได้ร่วมกับโรงเรียนในสังกัด สพฐ.
เชิญชวนนักเรียนที่ต้องการวางแผนออมเงิน
ซึ่งมีคนสนใจสมัครเป็นสมาชิกถึง 6% ของสมาชิกทั้งหมด
และหลังจากเรียนจบแล้วก็สามารถออมเงินต่อได้
โดยนำเงินออมไปลดหย่อนภาษีเมื่อเข้าทำงานได้อีกด้วย
.
สำหรับในช่วงที่โรคโควิด -19 กำลังระบาด
สมาชิกบางรายอาจไม่สามารถส่งเงินออมต่อเนื่องได้
กอช. ยืนยันว่า สมาชิกภาพยังคงเดิม
แต่ควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เพื่อรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลงทุนง่าย พันธบัตร "เราชนะ" เริ่มต้นแค่ 100 บ.
ตอบข้อสงสัย ร้านค้าแบบไหนเข้าร่วม "เราชนะ" ได้
หนุน! ผลิต “ถั่งเช่าไหมไทย” สร้างรายได้เกษตรกร
ใครปลูก “ไม้มีค่า” ลงทะเบียนเลย ตัดขายแปรรูปได้
ขยายพื้นที่อนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองเก่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38773 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจำปี 2564 พร้อมตั้งศูนย์ปฏิบัติการทั่วประเทศ เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจำปี 2564 พร้อมตั้งศูนย์ปฏิบัติการทั่วประเทศ เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง
กระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจำปี 2564 พร้อมตั้งศูนย์ปฏิบัติการทั่วประเทศ เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง โดยน้อมนำศาสตร์พระราชามาเป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไข
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้งประจำปี 2564 พร้อมด้วย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สนามบินนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ในการนี้ได้มีการตรวจแถวชุดปฏิบัติการฝนหลวง 10 ชุด และคล้องพวงมาลัยให้กับนักบินที่ไปประจำการ ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภูมิภาคต่าง ๆ ประกอบด้วย ชุดปฏิบัติการของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร 7 ชุด ชุดปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ 1 ชุด ชุดปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพบก 1 ชุด และชุดอากาศยานปีกหมุน 1 ชุด เพื่อแสดงถึงความพร้อมของหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงทุกหน่วยที่จะออกปฏิบัติการฝนหลวง และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ พร้อมร่วมกันปล่อยขบวนคาราวานเครื่องบินฝนหลวงออกปฏิบัติการทั่วประเทศ
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2564 มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนน้ำ ในการอุปโภค - บริโภค และการเกษตร รวมถึงเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่าง ๆที่มีปริมาณน้ำน้อย ในขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มอบหมายให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในฐานะหน่วยงานดูแลบริหารจัดการน้ำในชั้นบรรยากาศ เร่งปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้รวดเร็วมากขึ้น จากปกติที่มีการเริ่มปฏิบัติการฝนหลวงในวันที่ 1 มีนาคมของทุกปี มาเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ในวันนี้ โดยได้น้อมนำศาสตร์ตำราฝนหลวงพระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้แก่เกษตรกรและผู้ใช้น้ำทั่วทั้งประเทศ รวมถึงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับระบบบริหาร จัดการน้ำของประเทศด้วย
ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2564 มีแผนปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้ง และสร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ การเติมน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำและเขื่อนต่างๆ ของประเทศ ป้องกันการเกิดไฟป่าและบรรเทาปัญหาหมอกควัน รวมทั้งสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐานซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำ 5 ภูมิภาค จำนวน 7 ศูนย์ ประกอบด้วย 1) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนบน ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดเชียงใหม่ ณ สนามบินกองบิน 41 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 2) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนล่าง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดพิษณุโลก ณ กองบิน 46 อ.เมือง จ.พิษณุโลก 3) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคกลาง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดนครสวรรค์ ณ สนามบินนครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 4) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดอุดรธานี ณ สนามบินกองบิน 23 อ.เมือง จ.อุดรธานี 5) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดบุรีรัมย์ ณ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ 6) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดระยอง ณ สนามบินอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง และ7) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ กองบังคับการกองบิน 7 อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ภายในงานได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด - 19 โดยมีการจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดลงทะเบียน และตรวจวัดอุณภูมิผู้เข้าร่วมงาน มีบริการเจลแอลกอฮอล์ประจำจุดต่าง ๆ มีการเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันโรค และกำหนดให้ผู้ร่วมงานสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดทั้งงานด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38784 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงข่าวปลอมระบาดซ้ำเติมโควิด แนะเสพสื่ออย่างมีสติ เช็กก่อนแชร์ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.ห่วงข่าวปลอมระบาดซ้ำเติมโควิด แนะเสพสื่ออย่างมีสติ เช็กก่อนแชร์
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขห่วงภาวะ Infodemic ข่าวปลอมระบาดในสื่อออนไลน์ แนะประชาชนเสพสื่ออย่างมีสติและระมัดระวัง เช็กก่อนแชร์ ตรวจสอบ และรับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขห่วงภาวะInfodemic ข่าวปลอมระบาดในสื่อออนไลน์ แนะประชาชนเสพสื่ออย่างมีสติและระมัดระวัง เช็กก่อนแชร์ ตรวจสอบ และรับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในสถานการณ์โรคโควิด 19 นอกจากการระบาดของเชื้อไวรัสที่ประชาชนยังต้องร่วมมือสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันโรคแล้ว ยังพบปัญหาการระบาดของข้อมูล (Infodemic) โดยเฉพาะการส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม (Fake News) ที่เกี่ยวกับโรคโควิด 19 เช่น การพบผู้ติดเชื้อในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน ล่าสุด มีการนำเสนอข่าวปลอมว่า จังหวัดเชียงใหม่มีผู้ติดเชื้อ โดยอ้างชื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพิงค์ เป็นผู้ให้ข้อมูลเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งกรณีดังกล่าวกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากจังหวัดเชียงใหม่ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมมาเป็นเวลา 19 วันแล้ว
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนเสพสื่อด้วยความระมัดระวัง มีสติและใช้วิจารณญาณทุกครั้งในการเสพข่าวต่างๆ โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียที่บางครั้งไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของข่าวได้ชัดเจนโดยก่อนจะเชื่อหรือส่งต่อข้อมูลขอให้พิจารณาความน่าเชื่อถือของบัญชีผู้ใช้งานที่เผยแพร่ข่าวนั้น พิจารณาเนื้อหาของข่าวอย่างละเอียด รอบคอบ โดยเปรียบเทียบเนื้อหากับข่าวจากแหล่งอื่นที่น่าเชื่อถือ หรือเรียกว่าเช็กก่อนแชร์ ไม่อ่านเฉพาะเพียงพาดหัวข่าว มีการตรวจสอบแหล่งข่าวที่ถูกอ้างถึง และสอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเข้าใจและสามารถยืนยันเนื้อหาที่ปรากฏในข่าวได้
"สิ่งสำคัญคือการเสพข่าวมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเครียดและผลเสียต่อสุขภาพจิตได้เช่นกันโดยขอให้ติดตามข่าวสารที่จำเป็น เสพข่าวอย่างมีสติ ลดเวลาการรับรู้ข่าวสารลง ระมัดระวังข่าวปลอม เลือกรับข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น หน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานด้านสาธารณสุข เป็นต้น" นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
************************* 1 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38790 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ถือปฏิบัติมาตรการตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 18 และคำสั่ง ศบค. ที่ 2/2564 โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกระดับ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ถือปฏิบัติมาตรการตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 18 และคำสั่ง ศบค. ที่ 2/2564 โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกระดับ
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ถือปฏิบัติมาตรการตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 18 และคำสั่ง ศบค. ที่ 2/2564 โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกระดับ
วันนี้ (1 ก.พ. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามประกาศใช้ ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 18) ลงวันที่ 29 ม.ค. 64 และคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 2/2564 เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวัง ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 29 ม.ค. 64 มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดพื้นที่สถานการณ์ เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ได้แก่ 1) พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวัง 2) การใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา 3) มาตรการควบคุมแบบบูรณาการที่จำเป็นสำหรับพื้นที่ 4) การเข้มงวดกับสถานที่หรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคแบบกลุ่มก้อน 5) มาตรการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว 6) มาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ 7) การดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคและการจัดระเบียบ โดยกำหนดเขตพื้นที่สถานการณ์ “พื้นที่ควบคุม” 20 จังหวัด “พื้นที่เฝ้าระวังสูง” 17 จังหวัด และ “พื้นที่เฝ้าระวัง” 35 จังหวัด
เพื่อให้เกิดการดำเนินงานเฝ้าระวังและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นไปตามข้อกำหนดฯ และคำสั่งฯ ดังกล่าว นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดถือปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ และคำสั่งฯ โดยเคร่งครัด และสร้างการรับรู้มาตรการต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ โดยในกรณีที่จังหวัดจะมีการปรับระดับของแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเสนอต่อศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ตรวจสอบ กลั่นกรอง เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในระดับเขตอำเภอที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบได้ และกรณีที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาจากข้อเท็จจริงและสถานการณ์ในพื้นที่แล้วเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะกำหนดข้อห้าม เงื่อนไข และมาตรการที่เข้มข้นกว่าข้อกำหนดฯ ให้เป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และเมื่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้มีมติให้ออกประกาศ คำสั่งแล้ว ให้ส่งประกาศหรือคำสั่งให้ ศบค.มท. เพื่อแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา รวมทั้งให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ทราบโดยทั่วกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38800 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำเลี่ยงจัดงานเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนสนิท ห่วงบรรยากาศพาไป ดื่มแล้วป้องกันตัวเองลดลง เสี่ยงติดโควิด | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.ย้ำเลี่ยงจัดงานเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนสนิท ห่วงบรรยากาศพาไป ดื่มแล้วป้องกันตัวเองลดลง เสี่ยงติดโควิด
กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์งานเลี้ยงโต๊ะแชร์ ที่ จ.มหาสารคาม ทำติดเชื้อ 18 ราย ชี้ความเสี่ยงจากการรับประทานอาหารร่วมกัน และนำมาติดคนในครอบครัว ย้ำหลายจังหวัดมีมาตรการผ่อนคลายนั่งดื่มในร้าน ยังต้องเข้มป้องกันตนเอง เลี่ยงจัดงานเลี้ยง เหตุบรรยากาศ
กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์งานเลี้ยงโต๊ะแชร์ ที่ จ.มหาสารคาม ทำติดเชื้อ 18 ราย ชี้ความเสี่ยงจากการรับประทานอาหารร่วมกัน และนำมาติดคนในครอบครัว ย้ำหลายจังหวัดมีมาตรการผ่อนคลายนั่งดื่มในร้าน ยังต้องเข้มป้องกันตนเอง เลี่ยงจัดงานเลี้ยง เหตุบรรยากาศพาไป ดื่มแล้วหย่อนการป้องกันตัวเอง
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 836 รายเป็นการติดเชื้อในประเทศ 832 ราย มาจาก 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 814 ราย กทม. 10 ราย มหาสารคาม 6 รายและราชบุรี 2 ราย ส่วนอีก 4 รายติดเชื้อมาจากต่างประเทศ รักษาหายเพิ่มขึ้น 899 ราย ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมในระลอกใหม่ (ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 1 กุมภาพันธ์ 2564) มีจำนวน 15,381 ราย หายสะสม 8,574 รายเสียชีวิตสะสม 17 ราย โดยผู้ติดเชื้อมาจาก จ.สมุทรสาครมากที่สุด 72% จังหวัดอื่นๆ 21% และ กทม. 7%
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า สถานการณ์ประเทศไทยภาพรวมยังมีผู้ติดเชื้อ 800 กว่ารายต่อวัน ส่วนใหญ่มาจากการค้นหาเชิงรุก สำหรับการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์ พบเกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารร่วมกัน ความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้ชิดบนโต๊ะอาหาร การถอดหน้ากาก และพูดคุยทำให้เกิดการฟุ้งกระจาย เช่น กรณีคลัสเตอร์งานเลี้ยงโต๊ะแชร์ จ.มหาสารคาม เริ่มต้นจากชายไทยอายุ 46 ปี เดินทางมา กทม.วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เดินทางกลับวันที่ 3 มกราคม 2564 แวะรับประทานอาหารกับมารดาและญาติที่ จ.นครราชสีมา ทำให้มี ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 8 ราย จากนั้นเดินทางกลับจ.มหาสารคาม เริ่มมีไข้วันที่ 10 มกราคม 2564 ระหว่างนี้ไปงานเลี้ยงหลายงาน ทำให้มีผู้สัมผัสรวม 110 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 78 ราย และเสี่ยงต่ำ 32 รายทำให้ขณะนี้พบการติดเชื้อรวม 18 ราย แบ่งเป็น ที่ จ.มหาสารคาม 16 ราย เป็นการติดในครอบครัวและผู้ร่วมงานเลี้ยงโต๊ะแชร์ 10 ราย และมีผู้สัมผัสที่รับเชื้อนำไปแพร่ให้คนในครอบครัวตัวเองอีกทอดรวม 6 ราย ส่วน จ.ราชบุรี พบติดเชื้อ 1 ราย เป็นเด็กหญิงอายุ 4 เดือน และขอนแก่น 1 ราย ซึ่งการติดเชื้อเชื่อมโยงจากผู้ที่ร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว
"การแพร่กระจายเชื้อในคนจำนวนมาก ส่วนใหญ่มาจากคนรู้จักสนิทชิดเชื้อ เนื่องจากโรคนี้แพร่ได้ตั้งแต่ยังไม่ปรากฏอาการ เพราะคิดว่ายังแข็งแรงจึงวางใจไม่ได้ป้องกันอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงต้องสวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด แม้มีมาตรการผ่อนคลายในหลายจังหวัด โดยเฉพาะงานเลี้ยงต่างๆ ควรงดไปก่อน เพราะบรรยากาศจะพาไป กรณีที่เกิดขึ้นก็ในร้านอาหารที่เปิดตามกำหนด อนุญาตดื่มสุราในร้านได้ ซึ่งการดื่มอาจทำให้พฤติกรรมการป้องกันตนเองย่อหย่อนไป จึงขอให้หลีกเลี่ยงรอให้สถานการณ์คลี่คลายมากกว่านี้" นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
*************************** 1 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38797 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. เปิดตัวแรง สามารถจำหน่ายได้สูงถึง 3,500 ล้านบาท ในครึ่งวันแรก | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
พันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. เปิดตัวแรง สามารถจำหน่ายได้สูงถึง 3,500 ล้านบาท ในครึ่งวันแรก
พันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะบนวอลเล็ต สบม.” จำหน่ายแล้ว 3,500 ล้านบาท จากวงเงิน 5,000 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง เปิดใช้งานและโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ได้ตั้งแต่บัดนี้
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า การจำหน่ายในรอบนี้ได้รับการตอบรับที่ดีตั้งแต่วันแรก โดยมีผู้ลงทะเบียนวอลเล็ต สบม. เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนจำหน่าย จึงขอเชิญผู้สนใจรีบดาวน์โหลดแอปพลิเคชันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปและสอบถามรายละเอียดการใช้งานวอลเล็ต สบม. ได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 หรือธนาคาร กรุงไทยทุกสาขา
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38786 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะสำหรับประชาชนทั่วไปวันแรก | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
การเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะสำหรับประชาชนทั่วไปวันแรก
ความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะวันแรกในวันที่ 29 มกราคม 2564 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ผ่านทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ซึ่ง ณ เวลา 18.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วมากกว่า 6.03 ล้านคน
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะวันแรกในวันที่ 29 มกราคม 2564 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ผ่านทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ซึ่ง ณ เวลา 18.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วมากกว่า 6.03 ล้านคน โดยประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วสามารถตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 และประชาชนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า (Facial Recognition) เพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน และใช้วงเงินสิทธิ์ในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
สำหรับประชาชนที่ “ลงทะเบียนไม่สำเร็จ” จะได้รับข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนให้ลงทะเบียนใหม่อีกครั้งไม่เกินวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาการกรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขรหัสหลังบัตรประชาชน (Laser ID) ชื่อ ชื่อกลาง (ถ้ามี) นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด ไม่ถูกต้อง โดยกรณีของผู้ที่ไม่มีชื่อกลางไม่ต้องกรอกข้อมูลลงในช่องดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จสามารถเข้าไปลงทะเบียนใหม่ได้ทันทีหลังจากได้รับ SMS แจ้งเตือน
ทั้งนี้ โครงการเราชนะไม่ได้จำกัดจำนวนผู้ได้รับวงเงินสิทธิ์ ท่านสามารถลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์ 2564 ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น.
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38768 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย ผนึก 9 ประเทศอาเซียน ผลักดัน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ค้าขายไร้อุปสรรค | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ไทย ผนึก 9 ประเทศอาเซียน ผลักดัน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ค้าขายไร้อุปสรรค
รัฐมนตรีสุริยะฯเร่งผลักดันให้ 9 ประเทศในอาเซียน บรรลุข้อตกลงในการยอมรับมาตรฐานสินค้าของกันและกัน โดยเบื้องต้นเน้น 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยเป็นเจ้าตลาดอยู่ในขณะนี้ให้สามารถค้าขายในอาเซียนได้โดยไร้อุปสรรคทางการค้า
ไทย ผนึก 9 ประเทศอาเซียน ผลักดัน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ค้าขายไร้อุปสรรค
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะผู้แทนประเทศไทย เร่งผลักดันให้ 9 ประเทศในอาเซียน บรรลุข้อตกลงในการยอมรับมาตรฐานสินค้าของกันและกัน โดยเบื้องต้นเน้น 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยเป็นเจ้าตลาดอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ยาง และวัสดุก่อสร้าง ให้สามารถค้าขายในอาเซียนได้โดยไร้อุปสรรคทางการค้า
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทยได้เข้าร่วมทำงานกับสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศ ได้แก่ สิงค์โปร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบรูไนดารุสซาลาม เพื่อหารือมาตรการที่สำคัญ 3 มาตรการ ได้แก่ (1) การปรับมาตรฐานของประเทศสมาชิกอาเซียนให้สอดคล้องกันโดยอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ (2) การยอมรับร่วมในผลการตรวจสอบและรับรองที่ดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการทดสอบ หรือหน่วยรับรองที่ขึ้นบัญชีรายชื่อในอาเซียน และ (3) การปรับระบบด้านกฎระเบียบให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้ผู้ประกอบการภายในภูมิภาค และลดอุปสรรคอันเนื่องมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่เกิดจากมาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง ทำให้ 4 กลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพของไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ยาง และวัสดุก่อสร้าง สามารถค้าขายในกลุ่มประเทศอาเซียนได้โดยไม่ถูกตรวจสอบซ้ำ และไม่มีอุปสรรคทางการค้า
ทั้งนี้ ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความคืบหน้าแล้วดังนี้ 1) อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ได้ดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการยอมรับร่วมแล้ว ส่งผลให้สินค้าที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากห้องปฏิบัติการทดสอบ หรือ หน่วยรับรองจากประเทศไทย สามารถส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 9 ประเทศได้โดยไม่ถูกตรวจสอบซ้ำ 2) อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ได้ลงนามความตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์อาเซียนแล้ว เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 3) อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อลงนามความตกลงยอมรับร่วมสาขาวัสดุอาคารและสิ่งก่อสร้าง และ 4) อุตสาหกรรมยาง มีการปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกันโดยอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ ISO จำนวน 68 มาตรฐาน เพิ่มศักยภาพการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของอาเซียน ซึ่งส่งผลดีกับผลิตภัณฑ์ยางของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “การผลักดันให้ 9 ประเทศสมาชิกอาเซียน บรรลุข้อตกลงการยอมรับร่วมกันใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมตามข้างต้นได้นั้น ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยมีศักยภาพในอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมยาง หากศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ซึ่งเป็นสนามทดสอบแห่งแรกในอาเซียนก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมให้บริการ จะยิ่งเป็นการเสริมแกร่งอุตสาหกรรมด้านนี้เพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก อยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของอาเซียน หากสามารถลดอุปสรรคทางการค้าต่างๆ ได้ จะทำให้เราสามารถเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโดยเฉพาะอาเซียนได้อีกเป็นจำนวนมาก” นายวันชัยฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38778 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัยฯ สั่งด่วนกรมชลฯ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.เฉลิมชัยฯสั่งด่วนกรมชลฯ
รมว.เฉลิมชัยฯสั่งด่วนกรมชลฯ ระบายน้ำเพิ่มลดค่าความเค็มแม่น้ำเจ้าพระยาลดผลกระทบต่อการใช้น้ำ
ช่วยเกษตรกร/คนกรุง
รมว.เฉลิมชัยฯสั่งด่วนกรมชลฯ ระบายน้ำเพิ่มลดค่าความเค็มแม่น้ำเจ้าพระยาลดผลกระทบต่อการใช้น้ำ
ช่วยเกษตรกร/คนกรุง
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าจากรายงานของกรมชลประทานที่ได้ติดตามการตรวจวัดค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เมื่อวันที่30 มกราคม 2564ที่ผ่านมาช่วงเวลา20.00น.
มีค่าความเค็มอยู่ที่ 2.50กรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ปกติส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปาของการประปานครหลวงบริเวณสถานีสูบน้ำดิบสำแลจังหวัดปทุมธานีและการเพาะปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นของเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบกระทรวงเกษตรฯมีความห่วงใยเกษตรกรและการผลิตน้ำประปาในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล หลังน้ำทะเลหนุนสูง
ทำค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาพุ่งสูงขึ้นจึงสั่งการด่วนให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำเพิ่มมาไล่ความเค็มเพื่อลดผลกระทบต่อการใช้น้ำของเกษตรกรและประชาชน
“จากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลให้ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจึงมีความห่วงใยต่อพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรวมถึงประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่อาจจะได้รับผลกระทบจากค่าความเค็มที่เพิ่มขึ้นในน้ำดิบที่นำไปผลิตน้ำประปาของการประปานครหลวงทำให้บางช่วงเวลาน้ำประปามีรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไปดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงสั่งการให้กรมชลประทานเพิ่มการระบายน้ำจากทางตอนบนเพื่อเจือจางค่าความเค็มช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล”ดร.เฉลิมชัยฯกล่าว
ด้านนายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทานกล่าวเพิ่มเติมว่ากรมชลประทานได้เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนพระรามหกเดิมระบาย 20 ลบ.ม./วินาที เป็น 25 ลบ.ม./วินาทีตั้งแต่วานนี้(31 ม.ค.64)และจะทยอยปรับการระบายเพิ่มขึ้นเป็น 30 ลบ.ม./วินาที ไปจนถึงวันที่2 ก.พ.64เพื่อประหยัดน้ำต้นทุนพร้อมกันนี้ได้เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จาก 35 ลบ.ม./วินาที เป็น 45 ลบ.ม./วินาที ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.–2 ก.พ.64เพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้น้ำในพื้นที่ตอนบนทั้งนี้เพื่อให้การควบคุมค่าความเค็มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและมีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมจึงขอความร่วมมือประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าทุกแห่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงมาจนถึงปากอ่าวไทยให้งดการรับน้ำหรือสูบน้ำในระยะนี้
“ได้สั่งการให้โครงการชลประทานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ค่าความเค็มในแม่น้ำสายหลักต่างๆ อย่างใกล้ชิดรวมถึงวางแผนบริหารจัดการน้ำโดยใช้อาคารชลประทานควบคุมการรับน้ำเพื่อป้องกันความเค็มไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่การเกษตร ลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด” นายสัญญาฯกล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38780 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ประวิตรฯ ย้ำให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบคมนาคม พร้อมเห็นชอบการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทาง และการพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) รวมถึงโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
รองนายกรัฐมนตรี ประวิตรฯ ย้ำให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบคมนาคม พร้อมเห็นชอบการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทาง และการพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) รวมถึงโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3
รองนายกรัฐมนตรี ประวิตรฯ ย้ำให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบคมนาคม พร้อมเห็นชอบการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทาง และการพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) รวมถึงโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล
วันนี้ (1 ก.พ. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมด้วย
ที่ประชุม คจร. ได้เห็นชอบประเด็นต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ได้แก่ “การดำเนินโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย - ลำสาลี (บึงกุ่ม)” โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมทางวิศวกรรม ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง การเวนคืน ระยะเวลาดำเนินการ ความยากง่ายในการดำเนินการ ผลกระทบกับชุมชน และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกรอบวงเงินลงทุนและกรอบระยะเวลาดำเนินงานที่ชัดเจน โดยให้นำเสนอเสนอ คจร. ก่อนจะดำเนินการในระยะที่ 2 ต่อไป พร้อมนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางการปฏิรูปเส้นทางระบบรถโดยสารประจำทางในเขต กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่ง ทางบก (ขบ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บูรณาการร่วมกันในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง โดยในอนาคตอาจมีการพัฒนาโครงข่ายเส้นทางการเดินรถรองรับการขยายตัวของเมืองและเชื่อมต่อกับการขนส่งระบบอื่นตามความจำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเดินทาง และประโยชน์ของประชาชน เพื่อให้มีเส้นทางการเดินรถครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง ภายใต้การจัดการเดินรถเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Single Network) การบริหารจัดการระบบเดียวกัน (Single Management) และกำหนดค่าโดยสารเป็นอัตราเดียวกัน (Single Price) อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเห็นชอบการบรรจุโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 สายบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย - บ้านแพ้ว ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และเห็นชอบโครงการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนา ระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองอุดรธานี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแผนการพัฒนาและดำเนินงาน ติดตั้งระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของ กรมทางหลวง (ทล.) และการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายกับผู้หลีกเลี่ยงฝ่าฝืนไม่ชำระค่าธรรมเนียมผ่านทาง โดยมอบหมายให้สานักงานตารวจแห่งชาติ ร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมในการบูรณาการด้านการบังคับใช้ กฎหมาย และดาเนินมาตรการที่เข้มงวด และได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม โดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ทล. และ ขบ. บูรณาการร่วมกันในการศึกษาแนวทางและดำเนินมาตรการอื่นเพิ่มเติม รวมถึงดำเนินการ ออกกฎระเบียบหรือการแก้ไขกฎระเบียบที่จำเป็น
ในช่วงท้ายของการประชุม รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันเร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อช่วยพัฒนาระบบคมนาคม และแก้ไขปัญหาการขนส่งและจราจรให้เกิดการบูรณาการในการดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อน ใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถขับเคลื่อนแผนต่างๆ ให้ได้ตามเป้าหมายที่ได้กำหนด
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38798 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนเมียนมา เพิ่มความเข้มงวดพื้นที่ชายแดน สกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนเมียนมา เพิ่มความเข้มงวดพื้นที่ชายแดน สกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
กระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนเมียนมา เพิ่มความเข้มงวดพื้นที่ชายแดน สกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
วันนี้ (1 ก.พ. 64) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามสถานการณ์ของพื้นที่ จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านเมียนมาพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลการเดินทางเข้า-ออกในพื้นที่ชายแดนและดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการเฝ้าระวังป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดน รวมทั้งให้เป็นไปตามมาตรการและแนวทางปฏิบัติของการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเคร่งครัด รวมทั้งจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินการในการป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของพื้นที่ พร้อมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่อำเภอชายแดนเพิ่มการเฝ้าระวัง ติดตามข่าวสารและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนที่อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองมากขึ้น และการไม่อนุญาตให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดใช้ดินแดนประเทศไทยเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ได้สั่งการให้จังหวัดที่เป็นที่ตั้งของพื้นที่พักพิงผู้หนีภัยการสู้รบกับเมียนมา เพิ่มความเข้มงวดการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่พักพิง และติดตามความเคลื่อนไหวของผู้หนีภัยการสู้รบฯ ในพื้นที่พักพิงที่อาจเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมือง โดยให้รายงานข้อมูลสถานการณ์และผลดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงมหาดไทยทราบด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38801 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 ประสาน “บีโอไอ – กรมพัฒน์ – สพร.” จับมือ เชื่อมโยงข้อมูลออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
3 ประสาน “บีโอไอ – กรมพัฒน์ – สพร.” จับมือ เชื่อมโยงข้อมูลออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ
บีโอไอเร่งสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อเอื้อต่อการลงทุน จับมือกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เชื่อมโยงข้อมูลนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยอำนวยความสะดวกนักลงทุนต่างชาติเพื่อขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจในไทย
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอเปิดเผยว่าบีโอไอได้จับมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. ในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน เพื่อพัฒนาการให้บริการออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในประเทศไทยของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จากเดิมที่นักลงทุนต้องยื่นเอกสารขอให้บีโอไอทำหนังสือรับรองขอบข่ายธุรกิจ แล้วนำไปยื่นกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อออกหนังสือรับรองฯ โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยลดขั้นตอนการดำเนินการอันเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าว ตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ บีโอไอจะรับคำขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพร้อมจัดส่งข้อมูลการเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดย สพร. จะสนับสนุนการจัดทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัยสูงเพื่อรองรับกระบวนการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ตั้งแต่การออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การชำระเงิน ใบเสร็จรับเงิน และการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
“บีโอไอมีความมุ่งมั่นที่จะปรับลดขั้นตอนการดำเนินการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าว ซึ่งการร่วมมือระหว่างกันของทั้ง 3 หน่วยงานในครั้งนี้ จะทำให้การออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในประเทศไทย มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยนักลงทุนต่างชาติสามารถยื่นขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจในประเทศไทย” เลขาธิการบีโอไอ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38781 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
ก.เกษตรฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ดร.ทองเปลวกองจันทร์)เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติครั้งที่1/2564ณห้องประชุมตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาลโดยมีนายสุพัฒนพงษ์พันธ์มีเชาว์รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาในประเด็นต่างๆที่สำคัญดังนี้การลาออกและการแต่งตั้งผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ(สทบ.)การแต่งตั้งคณะทำงานสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2565การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการคณะต่างๆการปรับปรุงระเบียบฯเกี่ยวกับคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามวาระการดำรงตำแหน่งการคัดเลือกการแต่งตั้งการปฏิบัติงานวาระการดำรงตำแหน่งการคัดเลือกการแต่งตั้งการปฏิบัติงานการประเมินผลการปฏิบัติงานและการพ้นจากตำแหน่งของผอ.สทบ.รวมถึงการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการคัดเลือกสรรหาผอ.สทบ.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38799 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เผยเสนอของบประมาณปี 2565 เน้นสืบสาน รักษา ต่อยอด ปฏิบัติหน้าที่ยึดหลักธรรมาภิบาล พร้อมปรับแผนโครงการใช้ทุนวัฒนธรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชนบนฐานวัฒนธรรม | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.วธ.เผยเสนอของบประมาณปี 2565 เน้นสืบสาน รักษา ต่อยอด ปฏิบัติหน้าที่ยึดหลักธรรมาภิบาล พร้อมปรับแผนโครงการใช้ทุนวัฒนธรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชนบนฐานวัฒนธรรม
รมว.วธ.เผยเสนอของบประมาณปี 2565 เน้นสืบสาน รักษา ต่อยอด ปฏิบัติหน้าที่ยึดหลักธรรมาภิบาล พร้อมปรับแผนโครงการใช้ทุนวัฒนธรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชนบนฐานวัฒนธรรม
รมว.วธ.เผยเสนอของบประมาณปี2565 เน้นสืบสาน รักษา ต่อยอด ปฏิบัติหน้าที่ยึดหลักธรรมาภิบาล พร้อมปรับแผนโครงการใช้ทุนวัฒนธรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชนบนฐานวัฒนธรรมแบบบูรณาการภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 9 หน่วยงานสังกัดวธ.เสนอของบเพื่อขับเคลื่อนกว่า 375 โครงการ/กิจกรรม
นายอิทธพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้ประชุมผู้บริหารหน่วยงานและองค์การมหาชนสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ทั้ง 9 หน่วยงานเกี่ยวกับการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยมุ่งเน้นการสืบสาน รักษา ต่อยอดงานศิลปวัฒนธรรมและปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยหลักธรรมมาภิบาล โดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ปรับแผนงานโครงการเพื่อให้ทุนทางวัฒนธรรมสามารถเป็นกลไกขับเคลื่อนและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการ/กิจกรรมสำคัญที่ทั้ง 9 หน่วยงานของวธ.เสนอของบประมาณเพื่อขับเคลื่อนในปีงบประมาณพ.ศ.2565 มีทั้งหมดกว่า 375 โครงการ/กิจกรรมสำคัญ แต่ละหน่วยงานมีโครงการ/กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ 1.สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) โครงการการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (บวร ON Tour) โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยใช้มิติทางวัฒนธรรมและซอฟท์พาวเวอร์ (Soft Power) โครงการจัดทำและพัฒนาระบบศูนย์ข้อมูลใหญ่วธ. (M-Culture Big Data) เพื่อต่อยอดและพัฒนามูลค่าทางเศรษฐกิจ โครงการเสริมสร้างพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง 2. กรมการศาสนา โครงการส่งเสริมคุณธรรม งานอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนา โครงการบูรณะศาสนสถาน 3. กรมศิลปากร โครงการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพโรงละครแห่งชาติ โครงการอนุรักษ์และพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ โครงการอนุรักษ์และพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท โครงการอนุรักษ์และพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โครงการปรับปรุงและพัฒนานิทรรศการถาวร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป กรุงเทพฯ โครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์มรดกทางวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์การเรียนรู้อัลกุรอาน
4. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โครงการส่งเสริมการดำเนินงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โครงการส่งเสริมและเผยแพร่ค่านิยมและวัฒนธรรมความเป็นไทย โครงการสร้างรายได้แก่ศิลปิน นักแสดงพื้นบ้าน ชุมชนและเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรม 5. สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย โครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนสู่การเป็นเมืองแห่งศิลปะ (จ.เชียงราย จ.นครราชสีมาและจ.กระบี่) โครงการส่งเสริมและพัฒนาศิลปะสร้างสรรค์ เช่น กิจกรรมการพัฒนาการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทยร่วมสมัย โครงการส่งเสริมและพัฒนาศิลปสร้างสรรค์ อาทิ กิจกรรมศิลปินร่วมสมัย สู้ภัยโควิด ด้วยจิตสำนึก 6. สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม โครงการส่งเสริมเด็กไทยเล่นดนตรีคนละ 1 ชิ้น โครงการพัฒนาความร่วมมือและเชื่อมโยงด้านศิลปวัฒนธรรมกับประเทศอาเซียน 7. ศูนย์มานุษยวิทยา (องค์การมหาชน) กิจกรรมส่งเสริมการประโยชน์องค์ความรู้มานุษยวิทยาสู่สาธารณะ กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการจัดการข้อมูลวัฒนธรรมและการจัดการคลังข้อมูลชุมชน 8. หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน) มีโครงการสำคัญ เช่น โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมภาพยนตร์ไทยและโลก โครงการส่งเสริมการใช้ภาพยนตร์ให้เป็นสื่อการเรียนรู้ และ 9.ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) โครงการสมัชชาคุณธรรม โครงการครอบครัวคุณธรรมพลังบวก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38766 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สบน.-กรุงไทย” ปลื้ม ยอดขายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ตสบม.รุ่น “เราชนะ” ทะลุ 4 พันล้านบาท | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
“สบน.-กรุงไทย” ปลื้ม ยอดขายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ตสบม.รุ่น “เราชนะ” ทะลุ 4 พันล้านบาท
ยอดซื้อถล่มทลาย หลังเปิดให้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะ” ผ่านวอลเล็ต สบม.ในแอปฯเป๋าตังวันแรก ยังไม่สิ้นวัน ยอดทะลุกว่า 4,000 ล้านบาทแล้ว
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ประชาชนให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะ” ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตังจำนวนมาก ทุบทุกสถิติของการเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม.ที่ผ่านมา โดยยอดจองซื้อในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเปิดจำหน่ายเป็นวันแรก โดยมียอดจองซื้อเข้ามาถึงกว่า 1,300 ล้านบาท ภายใน 3 นาที สะท้อนการตอบรับจากประชาชนอย่างล้นหลาม และล่าสุดยอดจองซื้อทะลุกว่า 4,000 ล้านบาทแล้ว จากวงเงินทั้งหมด 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ พันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “เราชนะ” บนวอลเล็ต สบม. วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.00% ต่อปี จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ปีที่ 3-4 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี และปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.00% ต่อปี เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 8.30 น. ถึง 19 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 15.00 น. ซื้อง่ายผ่านแอปฯเป๋าตัง และหลังรับดอกเบี้ยงวดแรกสามารถขายต่อในตลาดรอง (Secondary Market) รับเงินได้ทันทีผ่านแอปฯ เป๋าตังเช่นกัน โดยลงทุนขั้นต่ำเพียง 100 บาท และลงทุนเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท จำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ช่วยให้ประชาชนทุกลุ่มสามารถเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรได้อย่างเท่าเทียม และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออมสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่
ทีม Marketing Strategy
โทร.0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38788 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เจ๋ง! ไทย Top 4 ของโลกประเทศที่คุมโควิดดีที่สุด | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
เจ๋ง! ไทย Top 4 ของโลกประเทศที่คุมโควิดดีที่สุด
...
เป็นข่าวที่น่าภูมิใจของคนไทย
สถาบันวิชาการออสเตรเลีย Lowy Institute
ได้จัดอันดับประเทศที่สามารถรับมือ
กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งหมด 98 ประเทศทั่วโลก
.
พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ของโลก
ที่สามารถรับมือ และควบคุมวิกฤต
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดีที่สุด
.
โดยพิจารณา 6หลักเกณฑ์ คือ
- จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม
- จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม
- จำนวนผู้ติดเชื้อต่อประชากร 1ล้านคน
- จำนวนผู้เสียชีวิตต่อประชากร 1ล้านคน
- การตรวจหาเชื้อต่อประชากร 1,000คน
ข้อมูลอ้างอิงhttps://bit.ly/2YlFLRY
.
นอกจาก ระบบสาธารณสุขของไทย
ที่มีประสิทธิภาพ จนเป็นที่ยอมรับ
ของนานาชาติแล้วนั้น
.
สิ่งที่สำคัญ คือ การที่ประชาชนทุกคน
ให้ความร่วมมือปฎิบัติตนตามคำแนะนำต่าง ๆ
จึงทำให้ ประเทศไทยสามารถ
ควบคุมได้การระบาดของโรคโควิด-19
ได้อย่างทันท่วงที
.
โปรดอย่าลืม ! ใส่หน้ากาก ล้างมือ
เว้นระยะห่าง และไม่ปกปิดข้อมูล นะครับ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38769 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแบ่งกลุ่มเป้าหมายฉีควัคซีนโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
การแบ่งกลุ่มเป้าหมายฉีควัคซีนโควิด-19
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลแบ่งกลุ่มเป้าหมายการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด จะฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า, ผู้มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน, ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย จากนั้นในระยะที่ 2 และ 3 จะฉีดให้ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก ผู้เดินทางระหว่างประเทศ และประชาชนทั่วไป โดยในอนาคตไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของอาเซียน จากการรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนอย่างเพียงพอ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38763 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด คปภ. ยกระดับโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุน การให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย ผ่านร่างประกาศ Insurance Regulatory Sandbox เตรียมประกาศใช้เต็มรูปแบบต่อไป | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
บอร์ด คปภ. ยกระดับโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุน การให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย ผ่านร่างประกาศ Insurance Regulatory Sandbox เตรียมประกาศใช้เต็มรูปแบบต่อไป
ที่ประชุม คกก.คปภ.ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2564 ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ มีมติเห็นชอบร่างประกาศ คปภ.เรื่องแนวทางการร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox)
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 ซึ่งมีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง แนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) พ.ศ… (ประกาศ Sandbox) ตามที่สำนักงาน คปภ. เสนอ ซึ่งร่างประกาศดังกล่าวจะสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมโครงการทดสอบได้รับการผ่อนคลายกฎระเบียบ สำหรับการเข้าทดสอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจประกันภัย และประชาชน รวมทั้งจะยกระดับประกาศ Sandbox เดิมที่เป็นระดับสำนักงานให้เป็นประกาศในระดับของบอร์ด คปภ. ซึ่งจะทำให้ขอบเขตการบังคับใช้กว้างขึ้น
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและกำลังมุ่งเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการ และกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตมนุษย์ รวมทั้งส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ภาคการผลิต ภาคการบริการและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ธุรกิจประกันภัยก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยง หรือรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ได้ สำนักงาน คปภ. จึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และการเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ แพลตฟอร์ม หรือโมเดลต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งกฎระเบียบการกำกับที่ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง (Digital Disruption) จึงได้ออกประกาศสำนักงาน คปภ. เรื่อง แนวทาง การเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) พ.ศ. 2562 และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) เพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการกำหนดเงื่อนไขหรือข้อตกลงระหว่างเข้าร่วมโครงการ
ปัจจุบันมีผู้เข้ามานำเสนอโครงการรวม 28 โครงการ โดยมีโครงการที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 9 โครงการ ซึ่งประกาศ Sandbox ที่ออกมามีข้อจำกัด เนื่องจากเป็นประกาศในระดับของสำนักงาน จึงสามารถอนุมัติโครงการเท่าที่อยู่ในกรอบอำนาจของนายทะเบียนเท่านั้น ส่วนโครงการที่เสนอเข้ามาขอทดสอบซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎกติกาที่อยู่ในอำนาจของบอร์ด คปภ. จำเป็นต้องนำไปขอความเห็นชอบจากบอร์ด คปภ. เป็นราย ๆ ไป ทำให้อาจไม่ทันต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมประกันภัยที่ต้องการเข้าทดสอบอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 12 กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย กำกับ ส่งเสริม และพัฒนาการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยสถานการณ์ปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการ ของผู้เอาประกันภัยได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการออกหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องของสำนักงาน คปภ. จะต้องสอดคล้องกับนโยบายและกรอบภารกิจตามที่บอร์ด คปภ. กำหนด แต่ปัจจุบันยังไม่มีประกาศ คปภ. กำหนดหลักการต่าง ๆ และขอบเขตการใช้ดุลพินิจของสำนักงาน คปภ. ในภารกิจดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกประกาศ คปภ. เรื่อง แนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) พ.ศ... เพื่อวางกรอบแนวทางให้สำนักงาน คปภ. นำไปออกหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในส่วนรายละเอียดตามกรอบ และเงื่อนไขตามที่บอร์ดคปภ. กำหนดต่อไป โดยจะนำไปใช้แทนประกาศของสำนักงาน คปภ. ที่ออกไปก่อนหน้านี้
สำหรับร่างประกาศ Sandbox ฉบับใหม่นี้ มีสาระที่สำคัญ ดังนี้
1. กำหนดกลุ่มผู้สมัคร และคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ไว้
2. กำหนดประเภทธุรกรรมที่สามารถเข้าทดสอบในโครงการฯ ไว้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่สำนักงาน คปภ. ประกาศกำหนด
3. กำหนดระยะเวลาการทดสอบไว้อย่างชัดเจน (ไม่เกินครั้งละ 1 ปี และขยายระยะเวลาการทดสอบได้ไม่เกินครั้งละ 1 ปี) และหากผลการทดสอบนวัตกรรมที่เข้าร่วมโครงการฯ ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทย และต่อผู้บริโภค รวมทั้งจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงประกาศที่อยู่ภายใต้อำนาจของบอร์ด คปภ. ให้สำนักงาน คปภ. เสนอต่อบอร์ด คปภ. เพื่อพิจารณาต่อไป
4. กำหนดให้สำนักงาน คปภ. จัดให้ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการมีมาตรการในการดูแลผู้เอาประกันภัย การบริหารจัดการความเสี่ยง การจัดส่งรายงาน และการปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
“ต้องขอกราบขอบพระคุณบอร์ด คปภ. ที่ได้กรุณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศ Sandbox ฉบับใหม่นี้ ซึ่งย่อมจะส่งผลให้การส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านประกันภัยในระดับขององค์กรกำกับดูแล ถูกยกระดับความสำคัญขึ้นมาให้ดีขึ้น เข้มข้นขึ้น และเป็นรูปธรรมขึ้น โดยผมคิดว่านับจากนี้ไป การนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ ไม่เพียงแค่เป็นเรื่องที่ธุรกิจประกันภัยของไทยควรจะกระทำ แต่เป็นสิ่งที่ธุรกิจประกันภัยของไทย “ต้อง” ทำ เพื่อให้ธุรกิจสามารถฝ่าฟันกับปัจจัยความเสี่ยงและความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในยุค New Normal เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำนักงาน คปภ. จะส่งเสริมอย่างจริงจังให้เกิดผลในทางปฏิบัติ สำหรับขั้นตอนจากนี้สำนักงาน คปภ. จะได้เสนอร่างประกาศ Sandbox นี้ ให้ประธานบอร์ด คปภ. ลงนามเพื่อให้มีผลบังคับต่อไป” เลขาธิการ คปภ.กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38789 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ “สุพัฒนพงษ์” นัดถก กทบ. ย้ำขับเคลื่อนงานตอบโจทย์ชุมชน เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
รองนายกฯ “สุพัฒนพงษ์” นัดถก กทบ. ย้ำขับเคลื่อนงานตอบโจทย์ชุมชน เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก
รองนายกฯ “สุพัฒนพงษ์” นัดถก กทบ. ย้ำขับเคลื่อนงานตอบโจทย์ชุมชน เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก
วันนี้(1กุมภาพันธ์2564)เวลา14.00น.ณห้องประชุม301ตึกบัญชาการ1ทำเนียบรัฐบาลนายสุพัฒนพงษ์พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ(กทบ.)เป็นประธานการประชุมกทบ.ครั้งที่1/2564โดยมีนายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะที่ปรึกษากทบ.นายธีรภัทรประยูรสิทธิปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนายนทีขลิบทองผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติชั่วคราวและคณะกรรมการร่วมประชุม
โดยที่ประชุมได้รับทราบการลาออกและสิ้นสุดสัญญาจ้างนายรักษ์พงษ์เซ่งเจริญในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติและแต่งตั้งผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติที่2/2564ลงวันที่29มกราคม2564โดยแต่งตั้งที่ปรึกษาคณะกรรมการนายนทีขลิบทองเป็นผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติชั่วคราว
นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2565การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติประจำเดือนมกราคม2564รวมถึงการรายงานผลการประชุมเรื่องการตรวจสอบบัญชีตามเงื่อนไขของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งรองนายกรัฐมนตรีกำชับให้สทบ.ประสานงานกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดระบบการบริหารงบประมาณองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมีระบบการตรวจสอบบัญชีที่เหมาะสมขณะที่ควรลดเงื่อนไขการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานเพื่อให้สทบ.ดำเนินโครงการได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น
ที่ประชุมยังได้พิจารณาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ4คณะเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของสทบ.ให้มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติประกอบด้วยคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติคณะอนุกรรมการตรวจสอบคณะอนุกรรมการพิจารณาด้านกฎหมายและคณะอนุกรรมการด้านเทคโนโลยีสารสมเทศและดิจิทัล โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการนำเสนอประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเพื่อพิจารณาลงนามแต่งตั้งต่อไป
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กองทุนหมู่บ้านเป็นส่วนสำคัญที่ใกล้ชิดประชาชนโดยเฉพาะในระดับชุมชนดังนั้นการดำเนินงานของสทบ.จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประเทศชาติโดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากและสามารถเป็นกำลังสำคัญในการทำโครงการนำร่องในเรื่องBio Circular Green (BCG) economyเช่นการจัดการขยะน้ำเสียและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อให้ชุมชนเป็นสังคมน่าอยู่อย่างยั่งยืนจึงขอให้ทุกฝ่ายตั้งใจทำหน้าที่เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
...............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38796 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กอช. หรือ ผู้ที่มีสิทธิสมัครสมาชิก สมัครบริการ “หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออมต่อเนื่อง” พร้อมรับของที่ระลึก “กระเป๋าผ้าร่มพับได้” | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
สมาชิก กอช. หรือ ผู้ที่มีสิทธิสมัครสมาชิก สมัครบริการ “หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออมต่อเนื่อง” พร้อมรับของที่ระลึก “กระเป๋าผ้าร่มพับได้”
กอช.ชวนสมาชิกหรือผู้มีสิทธิสมัครบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติรายเดือน เพื่อส่งเป็นเงินออมสะสมอย่างต่อเนื่อง อำนวยความสะดวกการออม พร้อมรับสิทธิเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ เพียงดำเนินการสมัครบริการได้ที่ ธ.ก.ส. ธอส. ธ.กรุงไทย และ ธ.ออมสิน ทุกสาขาทั่วประเทศ
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ชวนสมาชิก หรือผู้ที่มีสิทธิสมัครสมาชิกสมัครบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติรายเดือน (Direct Debit) เพื่อส่งเป็นเงินออมสะสมได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยอำนวยความสะดวกการออม พร้อมรับสิทธิเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ เพียงดำเนินการสมัครบริการได้ที่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ทุกสาขาทั่วประเทศ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จะได้รับกระเป๋าผ้าร่มพับได้ จัดส่งให้ถึงบ้าน
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า สมาชิก กอช. หรือ ผู้ที่มีสิทธิสมัครสมาชิก สมัครสมาชิก สมัครบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติรายเดือน (Direct Debit) ได้ที่ธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งระบบจะดำเนินการหักเงินจากบัญชีเงินฝากอัตโนมัติเพื่อส่งเป็นเงินออมสะสมสมาชิก กอช. เข้าในบัญชีกองทุน ทุกวันที่ 20 ของแต่ละเดือน ตามจำนวนเงินที่ผู้สมัครบริการตั้งแต่ 100 - 1,100 บาทต่อเดือน ทำให้สมาชิก กอช. ได้รับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุ รวมทั้งไม่ต้องกังวลว่าจะลืมส่งเงินออมสะสม และช่วยลดการเดินทางในสถานการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมสมัครบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติรายเดือน (Direct Debit) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จะได้รับของที่ระลึกจาก กอช. “กระเป๋าผ้าร่มพับได้” จัดส่งให้ถึงบ้าน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38782 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. เปิดระบบการกู้ยืมแบบใหม่ ปีการศึกษา 2564 หนุนสถานศึกษาเข้าเตรียมความพร้อม | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
กยศ. เปิดระบบการกู้ยืมแบบใหม่ ปีการศึกษา 2564 หนุนสถานศึกษาเข้าเตรียมความพร้อม
กยศ.แจ้งกำหนดการกู้ยืมปีการศึกษา 2564 เตรียมพร้อมใช้งานระบบการจัดการการให้กู้ยืมแบบใหม่ ซึ่งเป็นระบบงานหนึ่งของระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล พื่อเพิ่มโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเข้าถึงเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้มากยิ่งขึ้น
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แจ้งกำหนดการกู้ยืมปีการศึกษา 2564 เตรียมพร้อมใช้งานระบบการจัดการการให้กู้ยืมแบบใหม่ ซึ่งเป็นระบบงานหนึ่งของระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล (Digital Student Loan Fund System : DSL) เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเข้าถึงเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้มากยิ่งขึ้น โดยเปิดให้สถานศึกษาที่เข้าร่วมการดำเนินงานลงทะเบียนเข้าระบบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 นักเรียน นักศึกษาลงทะเบียนขอรหัสผ่านได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 และเริ่มขอกู้ยืมได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เปิดเผยว่า “กองทุนได้พัฒนาระบบการจัดการการให้กู้ยืม (Loan Origination System : LOS) ซึ่งเป็นระบบงานหนึ่งของระบบกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล (Digital Student Loan Fund System : DSL) เพื่อรองรับพันธกิจขององค์กรในการขยายโอกาสทางการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมสำหรับนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม 4 ลักษณะ ได้แก่ ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผู้ที่เรียนสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ผู้ที่เรียนสาขาวิชาขาดแคลนหรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และผู้ที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตและปริญญาโท โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม สถานศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การยื่นกู้ พิจารณาอนุมัติ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อมูล การนำเข้าข้อมูลและเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงิน โดยจะเริ่มใช้งานระบบใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป แทนที่ระบบ e-Studentloan ที่ใช้งานในปีการศึกษา 2563 เป็นปีสุดท้าย กองทุนจึงขอแจ้งให้สถานศึกษาที่เข้าร่วมการดำเนินงานกองทุนได้รับทราบกำหนดการให้กู้ยืม ปีการศึกษา 2564 และเตรียมเข้าใช้งานระบบใหม่ผ่านทางเว็บไซต์กองทุน www.studentloan.or.th ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 สำหรับนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมจะสามารถลงทะเบียนขอรหัสผ่านเข้าใช้งานระบบใหม่ได้ทั้งทางโมบายแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” หรือเว็บไซต์กองทุนตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 และเริ่มดำเนินการยื่นขอกู้ยืมได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 โดยกองทุนจะมีการจัดประชุมชี้แจงสถานศึกษาทุกแห่งผ่านระบบการประชุมออนไลน์ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2564 เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 ต่อไป
ทั้งนี้ กองทุนขอยืนยันว่ากองทุนมีเงินเพียงพอให้นักเรียน นักศึกษาทุกคนได้กู้ยืมอย่างแน่นอน ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองสบายใจได้ว่ากองทุนจะเป็นหลักประกันหนึ่งของครอบครัวในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้บุตรหลานของท่าน โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะไม่มีเงินส่งให้ลูกหลานได้เรียน” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38792 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตอบข้อสงสัย ร้านค้าแบบไหนเข้าร่วม "เราชนะ" ได้ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ตอบข้อสงสัย ร้านค้าแบบไหนเข้าร่วม "เราชนะ" ได้
...
เป็นที่แน่ชัดแล้วเกี่ยวกับรายละเอียดเงื่อนไข
ผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ
ตามโครงการเราชนะที่ผ่านมติ ครม. เรียบร้อยแล้ว
.
ย้ำว่าท่านไม่สามารถเบิกเป็นเงินสดได้
แต่สามารถนำเงินไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ
กับร้านค้าที่ร่วมโครงการ และมีแอปฯ ถุงเงิน
.
ในส่วนของร้านค้าที่จะร่วมโครงการนั้น
ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการจะต้องไม่ใช่นิติบุคคล
มีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งและตรวจสอบได้
เช่น ร้านตัดผม ร้านซักรีด ร้านค้ากองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ
รวมถึงร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าคนละครึ่ง
.
ที่พิเศษกว่าคือ สามารถใช้สิทธิในภาคบริการต่าง ๆ
โดยเฉพาะขนส่งสาธารณะและขนส่งส่วนบุคคล
ทั้งรถไฟในเขตเมือง รถเมล์ ขสมก. รถไฟฟ้า
รถตู้บริการ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถแท็กซี่ ฯลฯ
.
ร้านค้าหรือผู้ประกอบการที่สนใจ
สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ที่
เว็บไซต์ www.เราชนะ .com
ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. - 31 มี.ค. 64
.
หลังจากสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว
จะต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน"
เพื่อรับค่าสินค้าและบริการ
.
ข่าวดีสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ท่านสามารถใช้สิทธิเพื่อซื้อสินค้าและบริการ
กับร้านค้าที่ร่วมโครงการ
ได้ทั้งร้านค้าคนละครึ่ง ร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าเราชนะ
โดยร้านค้าจะใช้แอปฯ ถุงเงิน เพื่อสแกนรับชำระเงินครับ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38775 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘เฉลิมชัย’ รับกำลังใจจากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรัฐ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
‘เฉลิมชัย’ รับกำลังใจจากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรัฐ
‘เฉลิมชัย’ รับกำลังใจจากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรัฐ ยืนยัน มุ่งมั่นแก้ปัญหาให้จบในยุคนี้ พร้อมเร่งรัดติดตามจ่ายค่าชดเชยเร่งด่วน
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนรับมอบดอกไม้จากตัวแทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานในหลายจังหวัด ซึ่งเดินทางมายังบริเวณหน้ากระทรวงเกษตรฯ จำนวนกว่า 300 คน อาทิ จ.สุรินทร์ (5 โครงการ และโครงการฝายราษีไศล) จ.อุดรธานี (โครงการฝายห้วยหลวง และโครงการฝายกุมภวาปี) จ.อุบลราชธานี (5 โครงการ) และ จ.ชัยภูมิ (โครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร) นำโดย นายศักดา กาญจเสน ประธานกลุ่มสมัชชาเกษตรกรอีสาน และเครือข่าย เพื่อแสดงความขอบคุณที่ รมว.เกษตรฯ มีความมุ่งมั่น และมีนโยบายแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องเกษตรกร พร้อมกันนี้ เลขานุการ รมว.เกษตรฯ ได้ประชุมร่วมกับตัวแทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบเพื่อรับฟังข้อเสนอเพิ่มเติม และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรฯ
นายธนา กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรโดยที่ผ่านมาปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขหลายเรื่อง ซึ่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ครั้งที่ 1/2564 เห็นชอบรายชื่อราษฎรผู้มีสิทธิ์ได้รับค่าทดแทน 82 แปลง เนื้อที่ 422 ไร่เศษ จำนวนเงิน 52.78 ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบรายชื่อผู้ครอบครองที่ดินและมีสิทธิ์ได้รับค่าขนย้าย 22 แปลง เนื้อที่ 206 ไร่เศษ จำนวนเงิน 9.29 ล้านบาท และให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชย ต่อไป นับเป็นความสำเร็จในการช่วยเหลือราษฎรในโครงการฝายหัวนา จ.ศรีสะเกษ ที่ได้ต่อสู้เรียกร้องมานาน 29 ปี
ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายราษีไศล ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้จ่ายค่าชดเชยพื้นที่ที่ได้รับกระทบจากโครงการฝายราศีไศล ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด โดยพิจารณาจาก 1) ผลการพิจารณาเห็นชอบการพิจารณาอุทธรณ์การทำประโยชน์ในลักษณะท้องถิ่นที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่1 ก.พ. 2543 ตามหลักเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2559 ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล และ 2) ผลการพิจารณาเห็นชอบการพิจารณาอุทธรณ์การทำประโยชน์ในลักษณะท้องถิ่นถูกต้องตามหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่1 ก.พ. 2543 ประกอบผลการประชุมร่วมระหว่างตัวแทนคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลกับคณะทำงานพิจารณาคำร้องคัดค้านประกาศอำเภอ (ระดับอุทธรณ์) ทั้ง 3 จังหวัด เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2552 ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราศีไศล ซึ่งการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการราษีไศลดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จะดำเนินการชดเชยจากกรอบงบประมาณเหลือจ่าย ซึ่งจะดำเนินการหลังตรวจสอบพิสูจน์สิทธิการครอบครองและทำประโยชน์ของผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนแล้วต่อไป
“กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้นโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ เน้นย้ำทุกครั้งว่า ทำได้ ให้ทำทันที เพื่อให้จบในยุคนี้ และยืนยันที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มที่ ในส่วนของโครงการต่างๆ ที่เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนและนำเสนอเพิ่มเติมนั้น ที่ประชุมจะนำเรียนให้ รมว.เกษตรฯ ได้รับทราบ และจะเร่งรัดติดตามเพื่อช่วยเหลือเยียวยาต่อไป”นายธนา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38783 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ใครปลูก “ไม้มีค่า” ลงทะเบียนเลย ตัดขายแปรรูปได้ | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ใครปลูก “ไม้มีค่า” ลงทะเบียนเลย ตัดขายแปรรูปได้
...
กฎหมายป่าไม้กำหนดให้ผู้ที่ปลูกไม้มีค่าในที่ดินตัวเอง
สามารถตัด ซื้อขาย แปรรูป เคลื่อนย้าย ส่งออกได้
เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ได้ปรับแก้กฎหมายเก่า
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง
.
ไม้มีค่าอย่างไม้สัก ยาง ชิงชัน เก็ดแดง เก็ดดำ
เก็ดเขาควาย อีเม่ง พะยุงแกลบ กระพี้ แดงจีน
ชะยุง กระซิก กระซิบ พะยูง หมากพลูตั๊กแตน
กระพี้เขาควาย อีเฒ่า ฯลฯ
.
ถ้าปลูกในที่ดินของตัวเอง คือ ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ
เช่น โฉนดที่ดิน นส.3 นส.3ก หรือ สค.1
ก็สามารถทำไม้ ตัด แปรรูป ส่งออก หรืออื่น ๆ ได้
แต่ถ้าขึ้นอยู่ในป่า ถือเป็น “ไม้หวงห้าม”
.
ดังนั้น ใครที่ปลูกไม่มีค่าในที่ดินของตัวเอง
แนะนำให้ลงทะเบียนกับกรมป่าไม้
ที่นี่http://etree.forest.go.th
เวลาทำไม้ เจ้าหน้าที่จะได้ทราบชัดเจน
ไม่สับสนกับไม้ที่ลักลอบตัดจากป่า
.
ใครสนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
กรมป่าไม้ 02 561 4292 ต่อ 5502
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38772 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา นำทีมรายงานผลปฏิรูปประเทศ ต่อ สว. ชูผลงานเด่นรัฐบาล 12 ด้าน เตรียมเดินหน้า 62 กิจกรรม Big Rock เพื่อการปฏิรูปอย่างยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
รมต.อนุชา นำทีมรายงานผลปฏิรูปประเทศ ต่อ สว. ชูผลงานเด่นรัฐบาล 12 ด้าน เตรียมเดินหน้า 62 กิจกรรม Big Rock เพื่อการปฏิรูปอย่างยั่งยืน
รมต.อนุชา นำทีมรายงานผลปฏิรูปประเทศ ต่อ สว. ชูผลงานเด่นรัฐบาล 12 ด้าน เตรียมเดินหน้า 62 กิจกรรม Big Rock เพื่อการปฏิรูปอย่างยั่งยืน
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2564) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นผู้ชี้แจงรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ราย 3 เดือน (เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563) ซึ่งเป็นการสรุปผลการดำเนินงานตามเรื่องและประเด็นของการปฏิรูปประเทศ 12 ด้าน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความคืบหน้าแผนการปฏิรูปประเทศทั้ง 12 ด้าน มีการกำหนดเรื่องและประเด็นการปฏิรูป จำนวนทั้งสิ้น 173 เรื่อง โดยมีการจัดระดับความสำเร็จเป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย 1) ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนฯ จำนวน 17 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 10 2) ดำเนินการสำเร็จมากกว่า ร้อยละ 75 ของแผนฯ จำนวน 70 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 40 3) ดำเนินการได้ร้อยละ 50-75 ของแผนฯ จำนวน 62 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 36 4) ดำเนินการได้น้อยกว่าร้อยละ 50 ของแผนฯ จำนวน 24 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 14
สำหรับตัวอย่างความคืบหน้าของประเด็นปฏิรูปประเทศที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ประกอบด้วย
1. ด้านการเมือง เช่น การเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อการปฏิรูปประเทศ
2. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การบริการภาครัฐที่สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ชีวิตประชาชน จากระบบ Biz Portal
3. ด้านกฎหมาย เช่น มีกลไกให้การออกกฎหมายเป็นกฎหมายที่ดี รวมทั้งมีกลไกการทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้แล้ว
4. ด้านกระบวนการยุติธรรม เช่น การพัฒนากลไกช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
5. ด้านเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร บริหารจัดการผลิตภัณฑ์เกษตรตามแผนที่ (Zoning by Agri-Map)
6. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การบบริหารจัดการขยะในทะเลและชายฝั่ง โดยนโยบายประชารัฐขจัดขยะทะเล
7. ด้านสาธารณสุข เช่น ระบบสุขภาพปฐมภูมิ (คลินิกหมอครอบครัว)
8. ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การปฏิรูปแนวทางการกำกับดูแลสื่อออนไลน์ โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม
9. ด้านสังคม เช่น การปฏิรูปการออม สวัสดิการ และการลงทุนเพื่อสังคม
10. ด้านพลังงาน เช่น การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าในกลุ่มอุตสาหกรรม
11. ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เช่น จัดทำและบูรณาการโครงข่ายฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของทุกหน่วยงานผ่านระบบสารสนเทศ
12. ด้านการศึกษา เช่น การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยมีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานะกฎหมายภายใต้แผนฯ ทั้ง 12 แผน จำนวน 216 ฉบับ มีกฎหมายที่แล้วเสร็จ จำนวน 50 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 23 ของกฎหมายที่เสนอทั้งหมด ส่วนการดำเนินงานในระยะต่อไปของห้วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2564 มุ่งเน้นให้ความสำคัญที่กิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) จำนวน 62 กิจกรรม ซึ่งเป็นไปตามการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 โดยกำหนดให้มีจำนวน 13 ด้าน เพื่อให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
.............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38791 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุน! ผลิต “ถั่งเช่าไหมไทย” สร้างรายได้เกษตรกร | วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
หนุน! ผลิต “ถั่งเช่าไหมไทย” สร้างรายได้เกษตรกร
...
“ถั่งเช่า” อาหารเสริมยอดนิยมของคนรักสุขภาพ
ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน ซึ่งมีราคาแพง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมหม่อนไหม
จึงได้ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาใน จ.เชียงใหม่
ศึกษาวิจัยจนได้อนุสิทธิบัตรถั่งเช่าไหมไทย เมื่อปี 2558
.
“ถั่งเช่าไหมไทย” เป็น เห็ดที่โตบนตัวดักแด้ไหมไทย
มีสารสำคัญ เช่น อะดีโนซีน คอร์ไดเซปิน
ที่ช่วยบำรุงร่างกาย กระตุ้นภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระ
กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ป้องกันรังสี UVB จากแสงแดด
.
ผลงานนี้ผ่านการทดสอบความเป็นพิษ
จากคณะแพทย์ เภสัช และเกษตร ของ ม.เชียงใหม่ แล้ว
มีความปลอดภัย และถูกหลักวิชาการ
ขณะนี้พร้อมถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร
เพื่อนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมได้
.
ปัจจุบันถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ จ.น่าน
และโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริฯ
บ้านขุนแตะ จ.เชียงใหม่
.
ผู้สนใจสอบถามได้ที่ สำนักวิจัยและพัฒนาหม่อนไหม
โทร 0 2558 7924-6 ต่อ 404
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38774 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’เผย ต่างด้าว 3 สัญชาติ ลงทะเบียนออนไลน์ทะลุ 6 แสนคน พร้อมเร่งดำเนินคดีแรงงานเถื่อนตามกฎหมาย | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
‘จับกัง1’เผย ต่างด้าว 3 สัญชาติ ลงทะเบียนออนไลน์ทะลุ 6 แสนคน พร้อมเร่งดำเนินคดีแรงงานเถื่อนตามกฎหมาย
รมว.แรงงาน เผย ยอดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตามมติ ครม. วันที่ 29 ธ.ค.63 หลังปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์เมื่อเที่ยงคืนวันที่ 13 ก.พ.64 ปรากฏว่า ตั้งแต่ 15 ม.ค. 64 เป็นต้นมา มีแรงงานต่างด้าวยื่นบัญชีรายชื่อแล้ว ทั้งสิ้น 654,864 คน ต้องเข้าตรวจ
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 11.00 น. ที่ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงผลการยื่นคำขออนุญาตทำงานของคนต่างด้าวต่อนายทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ตาม มติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ตามที่ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ทำงานอย่างถูกต้อง และมีการหลบหนีเนื่องจากเกรงกลัวความผิด และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งในกลุ่มคนไทยและคนต่างด้าวเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรให้มีการกำหนดมาตรการตรวจสอบ คัดกรองโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพื่อควบคุม ยับยั้ง ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวและให้แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรือผิดกฎหมายเข้าสู่ระบบการทำงานที่ถูกต้องแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทำให้นายจ้างสถานประกอบการสามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาคต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งทำให้เกิดความมั่นคงของระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย (Big Data) ว่ามีอยู่จำนวนเท่าใด ทำงานอยู่กับใคร ประเภทกิจการอะไร และอยู่ที่ไหนบ้าง ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตาม มติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 เห็นชอบ ผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ นั้น
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ผลการยื่นคำขออนุญาตทำงานของคนต่างด้าวต่อนายทะเบียนโดยผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม -13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปรากฏว่า มีคนต่างด้าว 3 สัญชาติ กลุ่มแรกคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง นายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อฯ จำนวน 133,910 ราย เป็นคนต่างด้าว 596,502 คน แยกเป็น กัมพูชา 180,476 คน ลาว 63,482 คน และเมียนมา 352,544 คน กลุ่มสองคนต่างด้าวที่ไม่มีนายจ้าง 58,362 คน แยกเป็น กัมพูชา 23,203 คน ลาว 3,626 คน และเมียนมา 31,533 คน รวมทั้งสองกลุ่มจำนวน 654,864 คน แยกเป็น กัมพูชา 203,679 คน ลาว 67,108 คน และเมียนมา 384,077 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ก.พ.64 เวลา 23.59 น.) จังหวัดที่อนุมัติบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 120,163 คน ชลบุรี 47,326 คน ปทุมธานี 38,994 คน สมุทรปราการ 37,621 คน และสมุทรสาคร 28,953 คน ประเภทกิจการที่อนุมัติบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว 5 อันดับแรก ได้แก่ กิจการก่อสร้าง คน 148,332 คน เกษตรและปศุสัตว์ 117,430 คน จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม 49,702 คน การให้บริการต่างๆ 45,118 คน และกิจการต่อเนื่องการเกษตร 39,025 คน
สำหรับขั้นตอนต่อไปดำเนินการ ดังนี้ กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้างเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 (สธ.) และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (ตม.) ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค (สธ.) ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 จากนั้น สธ. ส่งผลการตรวจโรค และ ตม.ส่งข้อมูลการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ให้กกจ.ออกใบอนุญาตทำงานต่อไป นายจ้างชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7 -11 หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th แนบใบรับรองแพทย์และหลักฐานการชำระเงิน และพิมพ์ใบรับคำขออนุญาตทำงานเพื่อไปจัดทำทะเบียนประวัติ ภายในวันที่ 16 มิ.ย. 64 นายจ้างพาคนต่างด้าวไปทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) และรับบัตรสีชมพู ณ สถานที่กรมการปกครอง/กรุงเทพฯ กำหนด ภายใน 30 ธ.ค.64
กรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง เข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 (สธ.) และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (ตม.) ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค (สธ.) ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 คนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโรค ทำทะเบียนประวัติ (ทร. 38/1) ณ สถานที่กรมการปกครอง/กรุงเทพฯ กำหนดภายในวันที่ 16 มิ.ย. 64 นายจ้างที่ประสงค์จ้างคนต่างด้าวที่จัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) เข้าทำงาน ยื่นบัญชีรายชื่อแทนคนต่างด้าว ผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th ชำระค่าคำขอใบอนุญาตฯ ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-11 หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขอรับใบอนุญาตฯ ผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์ หลักฐานการชำระเงิน และพิมพ์ใบรับคำขออนุญาตทำงาน เพื่อไปจัดทำทะเบียนประวัติ ภายใน 13 ก.ย. 64 นายจ้างพาคนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนที่ไม่มีสัญชาติไทย ณ สถานที่กรมการปกครอง/กรุงเทพฯ กำหนดภายใน 28 ก.พ.2565 กรณีคนต่างด้าวทำงานประมงทะเลไปทำหนังสือคนประจำเรือ ณ ที่กรมประมงกำหนด
ทั้งนี้ ภายหลังจากวันนี้แล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังกับคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง และลักลอบทำงานผิดกฎหมาย ซึ่งจะต้องดำเนินการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงดำเนินคดีกับนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39094 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุนวิจัยวัคซีนโควิด-19 ในไทย | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
หนุนวิจัยวัคซีนโควิด-19 ในไทย
...
นอกจากการสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19
จากบริษัทในต่างประเทศแล้ว
รัฐบาลยังคงสนับสนุนการวิจัย
และพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19
ภายในประเทศด้วยเช่นกัน
.
ล่าสุด องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เดินหน้า
ศึกษาวิจัยทางคลินิกวัคซีนป้องกัน
โรคโควิด-19 ในมนุษย์ระยะที่ 1
ภายในเดือนมี.ค.นี้ หลังจากที่
ผลการทดลองในสัตว์ พบว่า
สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ที่ได้ผลดีและปลอดภัย
.
โดยเมื่อทำการศึกษาวิจัย
ทางคลินิกครบทั้ง 3 ระยะแล้ว
ขั้นตอนต่อไป คือ การยื่นขอขึ้นทะเบียนกับ อย.
และผลิตระดับอุตสาหกรรมของ อภ.
ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีโรงงาน
ผลิตวัคซีนโรคโควิด-19 เป็นแห่งที่ 2
และจะเป็นฐานการผลิตวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำของอาเซียน
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อนุมัติ ! 2.8 หมื่นล้าน บรรเทาภาระเกษตรกร
เพิ่มงบ 5% หนุนอาหารกลางวันนักเรียน
เคาะแล้ว! ประกันรายได้ชาวสวนปาล์ม ปี 64
หนุนใช้ e – อั่งเปา แทนเงินสดต้อนรับตรุษจีน
เปิดขั้นตอนลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39095 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติ ! 2.8 หมื่นล้าน บรรเทาภาระเกษตรกร | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
อนุมัติ ! 2.8 หมื่นล้าน บรรเทาภาระเกษตรกร
...
โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ
และพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกร
ผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2563/64
มีขึ้นช่วงปลายปี 63
เพื่อช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร
.
โดยเมื่อวันที่ 3 พ.ย.63
ครม.อนุมัติให้ ธ.ก.ส.
จ่ายให้เกษตรกร ไร่ละ 500 บาท
ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
รวมแล้วมีกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน
.
ด้วยสถานการณ์ของโรคโควิด-19
ครม.วันที่ 9 ก.พ. 64 จึงอนุมัติงบเพิ่มอีก
28,046.81 ล้านบาท สมทบให้เกษตรกร
โดยจ่ายอีก ไร่ละ 500 บาท
ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
.
รวมเป็นวงเงิน 56,093.63 ล้านบาท
เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ต้นทุนการผลิต
และความเดือดร้อนในการดำรงชีพ
ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39097 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เข้มคุมโควิด 19 ปทุมธานีและตาก ย้ำมาตรการกักตัว 14 วัน ช่วยสกัดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.เข้มคุมโควิด 19 ปทุมธานีและตาก ย้ำมาตรการกักตัว 14 วัน ช่วยสกัดสายพันธุ์แอฟริกาใต้
กระทรวงสาธารณสุขเข้มควบคุมโรคโควิด 19 จ.ปทุมธานีและตาก เผยตรวจเชิงรุกตลาดพรพัฒน์ จ.ปทุมธานี 5 วันพบติดเชื้อ 175 ราย กระจายไปอีก 8 จังหวัด เหตุค้าขายในตลาดหลายแห่งและเยี่ยมญาติ ส่วน จ.ตากพบติดเชื้อ 112 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา
กระทรวงสาธารณสุขเข้มควบคุมโรคโควิด 19 จ.ปทุมธานีและตาก เผยตรวจเชิงรุกตลาดพรพัฒน์ จ.ปทุมธานี 5 วันพบติดเชื้อ 175 ราย กระจายไปอีก 8 จังหวัด เหตุค้าขายในตลาดหลายแห่งและเยี่ยมญาติ ส่วน จ.ตากพบติดเชื้อ 112 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา ล่าสุดพบคนไทยกลับจากแทนซาเนียติดโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ย้ำเข้าระบบกักกันโรค 14 วัน และตรวจทางห้องปฏิบัติการ ช่วยป้องกันเชื้อทุกสายพันธุ์แพร่ระบาดวันนี้หายป่วยกลับบ้านได้เกือบ 1,000 ราย
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 166 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 49 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 89 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 28 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 931 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ ผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 14 กุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวน 20,334 ราย หายป่วยสะสม 17,934 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 2,380 ราย และเสียชีวิตสะสม 20 ราย โดยสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวัง คือ ปทุมธานีและตาก
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า การพบการติดเชื้อใน จ.ปทุมธานี เกี่ยวข้องกับการตลาดพรพัฒน์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีได้สั่งปิดตลาดแล้ว จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกระหว่างวันที่ 9-13 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวนรวม 1,333 ราย พบติดเชื้อสะสม 175 ราย คิดเป็นร้อยละ 13.13 แบ่งเป็นคนไทย 111 ราย และต่างด้าว 64 ราย โดยขณะนี้ยังมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ป่วยรายแรกพบว่า มีการค้าขายที่ จ.สมุทรสาครและมาค้าขายที่ตลาดแห่งนี้ด้วย ซึ่งการค้าขายในตลาดหลายแห่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปจุดต่างๆ ได้ ทั้งนี้ จากการสอบสวนโรคพบว่า จุดที่มีการติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่บริเวณกลางตลาด ซึ่งหลังคาค่อนข้างเตี้ย อากาศถ่ายเทไม่สะดวก มีการรับประทานอาหารร่วมกัน และเวลาอากาศร้อนก็อาจละเลย ไม่สวมหน้ากากด้วย ดังนั้น ตลาดต้องจัดจุดลงทะเบียน เข้มการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และจัดระบบการระบายอากาศที่ดี
“ขณะนี้ยังพบผู้เกี่ยวข้องกับตลาดพรพัฒน์เชื่อมโยงไปจังหวัดอื่นๆ จากการไปเยี่ยมญาติและค้าขาย ทำให้โรคกระจายไปเพิ่มเติม ได้แก่ นครนายก 7 ราย, เพชรบุรี 3 ราย, สระบุรี และกทม. จังหวัดละ 2 ราย, พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง นครราชสีมา และแพร่จังหวัดละ 1 ราย กรณี จ.นครราชสีมา พบเด็กอายุ 7 ปี ติดเชื้อจากแม่ที่ทำงานในตลาดพรพัฒน์ ดังนั้น ผู้ใดที่เคยสัมผัสกับผู้เกี่ยวข้องของตลาดพรพัฒน์ช่วงวันที่ 9-13 กุมภาพันธ์ 2564 หรือก่อนหน้านี้ 7 วัน ถ้าไม่แน่ใจหรือมีอาการสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือโทรสายด่วน 1422 เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในชุมชนได้” นายแพทย์โอภาสกล่าว
สำหรับกรณี อ.แม่สอด จ.ตาก จากการสอบสวนโรคตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม - 14 กุมภาพันธ์ 2564 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค และตรวจคัดกรองเชิงรุกในตลาดสีมอย ตลาดพาเจริญ ชุมชนอันซอร โรงงาน และซุ้มเลี้ยงไก่ชน พบผู้ติดเชื้อรวม 112 ราย เชื่อมโยงกับชาวเมียนมาร้อยละ 89.29 ที่เหลือเป็นคนไทยร้อยละ 10.71 ทางจังหวัดได้ดำเนินการปิดพื้นที่บางส่วน และค้นหาเชิงรุกในชุมชนเพิ่มเติม ขอย้ำในพื้นที่ที่มีการระบาด การสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ 100 เปอร์เซ็นต์เป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งการเว้นระยะห่าง และหากได้การแจ้งเตือนของเจ้าหน้าที่ขอให้ติดต่อเพื่อรับคำแนะนำการปฏิบัติตัวหรือตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อควบคุมโรคได้รวดเร็วขึ้น
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเชื้อโควิด 19 กลายพันธุ์มีความสำคัญใน 3 ประเด็น คือ 1.ทำให้เชื้อระบาดง่ายขึ้น เช่น สายพันธุ์อังกฤษ 2.ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง เช่น สายพันธุ์แอฟริกาใต้ และ 3. ทำให้โรครุนแรงขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่พบ สำหรับประเทศไทยตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ จี เหมือนกับทั่วโลก ส่วนไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อื่นๆ มีโอกาสพบเจอได้ เช่นก่อนหน้านี้พบสายพันธุ์อังกฤษในครอบครัวชาวอังกฤษที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ตรวจพบเชื้อและเข้าระบบกักตัวรักษาทำให้เชื้อไม่แพร่สู่ชุมชน ล่าสุด สายพันธุ์แอฟริกาใต้ (South African Variant) รายแรกของประเทศไทย เป็นชายไทยอายุ 41 ปี ทำงานรับซื้อพลอยอยู่ที่แทนซาเนีย 2 เดือน วันที่ 29 มกราคม เดินทางมาต่อเครื่องเอธิโอเปียและเดินทางมาไทย จากการตรวจคัดกรองพบว่าสบายดี จึงเข้ารับการกักกันใน State Quarantine โดยวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ตรวจพบเชื้อจึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และไม่แพร่เชื้อสู่ชุมชนภายนอก
“เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้มาจากทวีปแอฟริกา จึงมีการเก็บตัวอย่างส่งไปถอดรหัสพันธุกรรม ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย พบว่าเป็นสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ทีมสอบสวนโรคจึงลงไปตรวจสอบสถานกักกันโรคและโรงพยาบาล พบว่าเจ้าหน้าที่ใส่เครื่องป้องกันอย่างดี และเก็บตัวอย่างส่งตรวจพบเป็นลบทุกคน สำหรับสายพันธุ์แอฟริกาใต้ส่วนใหญ่พบการระบาดในทวีปแอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา ส่วนในเอเชียยังไม่มี จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีผลกับประเทศไทย ดังนั้น การคัดกรองผู้เดินทางจากประเทศที่พบสายพันธุ์นี้ โดยนำเข้าสู่การกักกัน เก็บตัวอย่างทันทีที่ถึงประเทศไทย คัดกรองผู้ที่มีอาการและประวัติเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลทันที และตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทำให้เชื้อไม่ว่าสายพันธุ์ใดก็ไม่กระจายติดในชุมชนได้” นายแพทย์โอภาสกล่าว
**************************14 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39098 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หนุนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น พร้อมดันอุตสาหกรรมในกลุ่ม BCG และการแพทย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ หนุนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น พร้อมดันอุตสาหกรรมในกลุ่ม BCG และการแพทย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
นายกฯ หนุนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น พร้อมดันอุตสาหกรรมในกลุ่ม BCG และการแพทย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งยังจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าเงื่อนไขยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกร้อยละ 100 ของเงินทุน ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน
สำหรับการลงทุนในปี 2563 ที่ผ่านมา มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,717 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 481,150 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 230,740 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48 ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าลงทุน 50,300 ล้านบาท 2) การเกษตรและแปรรูปอาหาร 41,140 ล้านบาท 3) ยานยนต์และชิ้นส่วน 37,780 ล้านบาท 4) ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 36,020 ล้านบาท และ 5) เทคโนโลยีชีวภาพ 30,060 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ที่มีคำขอรับการส่งเสริมในอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจำนวน 83 โครงการ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ร้อยละ 177 ขณะที่มูลค่าลงทุนรวม 22,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 165
ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน 907 โครงการ มูลค่าลงทุน 213,162 ล้านบาท โดยประเทศญี่ปุ่นยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุด จำนวน 211 โครงการ มูลค่าลงทุน 75,946 ล้านบาท ตามด้วยประเทศจีน มูลค่าลงทุน 31,465 ล้านบาท และสหรัฐฯ มูลค่าลงทุน 24,555 ล้านบาท ขณะที่คำขอรับการส่งเสริมในพื้นที่ EEC มีจำนวน 453 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 208,720 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค บริการพื้นฐานและการขนส่ง เป็นต้น ส่วนคำขอรับการส่งเสริมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) มีจำนวน 17 โครงการ มูลค่าลงทุน 12,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 423 ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนไทยมีศักยภาพ เช่น การผลิตถุงมือทางการแพทย์ และการผลิตอาหาร เป็นต้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยถึงทิศทางการส่งเสริมการลงทุนในปี 2564 ว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบแนวทาง เน้นขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในกลุ่ม BCG การแพทย์ อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล เพื่อการปรับโครงสร้างของภาคการผลิตและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งยังยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศและส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการผลิตและบริการหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายด้วย///
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39093 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มงบ 5% หนุนอาหารกลางวันนักเรียน | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
เพิ่มงบ 5% หนุนอาหารกลางวันนักเรียน
...
เด็กเล็ก เป็นวัยที่ร่างกายและสติปัญญา
กำลังเจริญเติบโตอย่างมาก
จึงต้องการอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
.
ขณะที่ปัจจุบันต้นทุน ค่าวัตถุดิบ ในการทำอาหาร
เพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
ครม. จึงเห็นชอบเพิ่มงบประมาณค่าอาหารกลางวัน 5%
สำหรับเด็กชั้น อ.1 – ป.6 ทั้งหมด 51,637 โรงเรียน
ครอบคุลมนักเรียน 6,147,469 คน
รวมเป็นเงิน 25,436 ล้านบาท
.
โดยให้ทุกหน่วยที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
ใช้อัตราค่าอาหารเป็นมาตรฐานเดียวกัน
แบ่งเป็น โรงเรียนในสังกัด ศธ.อว. กทม.
เมืองพัทยา และ ตชด. จำนวน 200 วัน
และโรงเรียนในสังกัด พม.จำนวน 252 วัน
เริ่มดำเนินการในเทอมที่ 2/2564
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39096 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลย้ำ ไทยไม่ได้สิทธิ์รับวัคซีนฟรีจากโครงการโคแวกซ์ (COVAX) การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
โฆษกรัฐบาลย้ำ ไทยไม่ได้สิทธิ์รับวัคซีนฟรีจากโครงการโคแวกซ์ (COVAX) การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
โฆษกรัฐบาลย้ำ ไทยไม่ได้สิทธิ์รับวัคซีนฟรีจากโครงการโคแวกซ์ (COVAX) การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
วันนี้ (วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวว่าไทยตกขบวนรับวัคซีนฟรีจากโครงการโคแวกซ์ หรือ COVAX (ย่อมาจาก Covid-19 Vaccines Global Access Facility หรือโครงการเพื่อการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ระดับโลก) ว่าโครงการ COVAX นั้นเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (Coalition for Epidemic Preparedness Innovations: CEPI), องค์กรกาวี (Gavi, the Vaccine Alliance) และองค์การอนามัยโลก ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมตั้งแต่ช่วงต้นของโครงการแล้ว แต่เนื่องจากกรอบการจัดสรรวัคซีนและข้อตกลงการจองวัคซีนที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลกในช่วงเวลานั้น เป็นช่วงต้นของการพัฒนาวัคซีนทั้งสิ้น ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าทำการจองไปแล้ว จะยังไม่ทราบว่าวัคซีนที่จองไปแล้วนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ การตัดสินใจของรัฐบาลเป็นการตัดสินใจอย่างรอบคอบท่ามกลางข้อจำกัดและบริบทหลายด้าน ผ่านคณะทำงานที่กระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งขึ้น ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในและนอกกระทรวง ทั้งด้านวิชาการ กฎหมาย การเงิน เพื่อร่วมกันพิจารณาเงื่อนไขของการทำข้อตกลงสั่งจองวัคซีน จึงเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานระหว่างผลประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพราะอาจจะไม่ได้รับวัคซีนหากการพัฒนาไม่สำเร็จ ล่าช้า และจำเป็นต้องเสียเงินค่าจองล่วงหน้า
นอกจากนี้ หากประเทศในอาเซียนที่จัดอยู่ในระดับที่มีรายได้ปานกลางจนถึงระดับสูง อย่างเช่น ไทย บรูไน สิงคโปร์ และมาเลเซีย จะไม่เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือให้ได้รับวัคซีนฟรี หรือให้ซื้อได้ในราคาถูกจากโครงการ COVAX เนื่องจากรายได้ของไทยอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ มี 6 ประเทศในอาเซียนที่ได้รับวัคซีนฟรี ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ประเทศไทยหากต้องการเข้าร่วมโครงการการจัดซื้อจัดหาวัคซีนผ่าน COVAX จะต้องจ่ายเงินซื้อวัคซีนเองด้วยงบประมาณที่สูงและมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก โดยเป็นการจ่ายเงินจองล่วงหน้าไปก่อนแต่ไม่ทราบแหล่งที่มาของผู้ผลิต และไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่ชัดสำหรับการรับวัคซีนด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงข้อจำกัดที่มีทั้งหมดในการเข้าร่วมโครงการ COVAX แล้ว การที่ประเทศไทยทำความตกลงซื้อวัคซีนโควิด-19 จากผู้ผลิตโดยตรงจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ เนื่องจากมีความยืดหยุ่นกว่า สามารถต่อรองราคาและเงื่อนไขได้โดยตรงกับผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนไทยเป็นหลัก รัฐบาลไม่ปิดกั้นการเจรจากับที่ใดหาก COVAX ปรับเงื่อนไขรวมถึงข้อเสนอต่างๆ ซึ่งหากไทยเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็ยังสามารถทำข้อตกลงผ่าน COVAX ได้ในอนาคต
..
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39092 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เข้าถึง “เราชนะ” ลงทะเบียน 15-25 ก.พ. | วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เข้าถึง “เราชนะ” ลงทะเบียน 15-25 ก.พ.
รัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เข้าถึง “เราชนะ” ลงทะเบียน 15-25 ก.พ.
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง จะเปิดให้ประชาชน กลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต
ไม่มีสมาร์ทโฟน และผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ลงทะเบียนรับสิทธิ์ตามโครงการเราชนะ ในวันที่ 15 ก.พ.-25 ก.พ. ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือหน่วยบริการเคลื่อนที่ธนาคารกรุงไทย โดยประชาชนต้องนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดไปใช้ในการลงทะเบียนด้วย และให้ชื่อ/เบอร์โทรศัพท์ผู้ที่ติดต่อได้ หากตรวจสอบแล้วเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ จะได้รับวงเงินเข้าบัตรประชาชนเป็นรายสัปดาห์งวดแรกจะได้รับวันที่5มี.ค. จำนวน4,000บาททยอยจ่ายจนครบ 7,000 บาท การใช้เงินสามารถใช้จ่ายผ่าน "บัตรประชาชน" สำหรับการซื้อสินค้าหรือชำระบริการในร้านที่ร่วมโครงการ
และเพื่อให้กลุ่มที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงเข้าถึงสิทธิ์ดังกล่าวให้มากที่สุด นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางกระทรวงการคลังจะทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนาคารกรุงไทยสาขาในพื้นที่ และอาสาสมัครระดับหมู่บ้านทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนให้แก่ประชาชนกลุ่มนี้ โดยธนาคารจัดหน่วยเคลื่อนที่รับลงทะเบียน มากไปกว่านั้น กรณีผู้ป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สามารถให้ผู้ดูแล หรือคนในครอบครัว ช่วยลงทะเบียนให้ในชื่อของผู้ป่วยนั้น ซึ่งข้อมูลคนพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้จากฐานข้อมูลกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ปัจจุบัน มีจำนวน 45,336 คน
สำหรับผู้พิการที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯจะบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ โดยพร้อมอำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำกับผู้พิการเพื่อให้สามารถได้รับสิทธิ์ ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานับแต่วันเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำร่วมกับอพม.(อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) แก่ผู้สูงอายุและผู้พิการที่มีสมาร์ทโฟน และหากประชาชนมีข้อสอบถาม หรือต้องการความช่วยเหลือทางสังคม สามารถโทรได้ที่ สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง
...
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39091 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน สั่งเข้มงวดสถานศึกษา ย้ำ ”ครูต่างชาติ” ต้องมีใบอนุญาตทำงาน | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
กระทรวงแรงงาน สั่งเข้มงวดสถานศึกษา ย้ำ ”ครูต่างชาติ” ต้องมีใบอนุญาตทำงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งเข้ม กรมการจัดหางาน ตรวจสอบครูชาวต่างชาติไม่มีใบอนุญาตทำงาน พร้อมสร้างการรับรู้ ตั้งเป้าสถานศึกษารัฐ-เอกชน ทราบแนวปฏิบัติ การขอใบอนุญาตทำงาน ให้ครูต่างชาติ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน ตรวจสอบครูต่างชาติในโรงเรียนและสถานศึกษาทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยให้สำนักงานจัดหางานจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 เป็นหน้าด่านประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ขั้นตอนการขออนุญาตทำงานกฎ ระเบียบ และโทษหากไม่ปฏิบัติตาม พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบครูต่างชาติในตำแหน่งครูผู้สอนและการขอรับใบอนุญาตทำงาน (work permit) ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อรายงานผลการตรวจสอบให้ทราบ
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สร้างการรับรู้แก่สถานศึกษาภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายได้ถูกต้อง รวมทั้งตรวจสอบและควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ
จากผลการตรวจสอบโรงเรียน และสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ จำนวน 922 แห่ง พบว่ามีครูต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย จำนวน 6,129 คน โดยสัญชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ฟิลิปปินส์ 2,667 คน 2. อังกฤษ 558 คน 3. สหรัฐอเมริกา 465 คน 4. จีน 237 คน 5.แอฟริกาใต้ 160 คน และอื่นๆ 2,042 คน และพบสถานศึกษาและครูต่างชาติกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
1. ครูต่างชาติกระทำความผิดข้อหาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จำนวน 8 คน
2. ครูต่างชาติกระทำความผิดข้อหาไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบถึงผู้เป็นนายจ้าง สถานที่ทำงานของนายจ้าง และลักษณะงานหลักที่ทำภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เข้าทำงานและต้องแจ้งทุกครั้งที่เปลี่ยนนายจ้าง จำนวน 3 คน
3. โรงเรียนและสถานศึกษากระทำความผิดข้อหารับคนต่างด้าวทำงานโดยที่คนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จำนวน 1 แห่ง
4. โรงเรียนและสถานศึกษากระทำความผิดข้อหาไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบถึงชื่อและสัญชาติของคนต่างด้าว และลักษณะงานที่ให้ทำภายใน 15 วัน นับแต่วันที่จ้างและไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบ เมื่อคนต่างด้าวนั้นออกจากงานภายใน 15 วัน นับแต่วันที่คนต่างด้าวออกจากงาน จำนวน 20 แห่ง (ข้อมูลจากกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2563 - 25 มกราคม 2564)
“ สำหรับคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงานในตำแหน่งครูผู้สอนในสถานศึกษา ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง (NON-IMMIGRANT VISA) ไม่ใช่เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางผ่าน (TOURIST/TRANSIT VISA) โดยยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานพร้อมเอกสารการประกอบวิชาชีพครูและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด ที่เป็นที่ตั้งสถานศึกษา ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบครูชาวต่างชาติทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ในโรงเรียนหรือสถานศึกษา ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันกลับประเทศ ส่วนโรงเรียนหรือสถานศึกษาจะถูกดำเนินคดีในข้อหารับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และถ้ายังพบกระทำผิดซ้ำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @)Service_Workpermit และสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามภาษาอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร แนะนำวิธีการทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39159 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าขานรับนโยบายรัฐบาลสนับสนุนผู้ให้บริการด้านขนส่งสาธารณะทางน้ำ เข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
กรมเจ้าท่าขานรับนโยบายรัฐบาลสนับสนุนผู้ให้บริการด้านขนส่งสาธารณะทางน้ำ เข้าร่วมโครงการ “เราชนะ”
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม สนับสนุนผู้ให้บริการด้านขนส่งสาธารณะทางน้ำลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” ในฐานะร้านค้า ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 31 มีนาคม 2564
เพื่อเพิ่มช่องทางและโอกาสในการประกอบอาชีพ และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า จท. ได้สนับสนุนและให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ด้วยการผลักดันผู้ให้บริการด้านขนส่งสาธารณะทางน้ำเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และเพิ่มช่องทางการชำระค่าโดยสาร จากการหารือแนวทางการเข้าร่วมโครงการฯ ร่วมกับธนาคารกรุงไทยและผู้ให้บริการด้านขนส่งสาธารณะทางน้ำ อาทิ เรือด่วนเจ้าพระยา เรือโดยสารไฟฟ้า เรือโดยสารในคลองแสนแสบ เรือบริการนักท่องเที่ยว เรือข้ามฟาก ได้มีมติให้ธนาคารกรุงไทยเร่งสร้างความเชื่อมั่นในการเข้าร่วมโครงการฯ และหาแนวทาง การลดขั้นตอนให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการ โดยบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จะเปิดให้ทดลองใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน “เราชนะ” ระหว่างวันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ 2564 และจะเปิดให้ใช้บริการจริงในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564
ทั้งนี้ ผู้ให้บริการด้านขนส่งสาธารณะทางน้ำสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์ http://www.xn--b3c4a2a6ch6f.com/ ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 31 มีนาคม 2564 โดยต้องปรับตัวและหารือร่วมกับธนาคารกรุงไทย เพื่อให้การใช้งานแอปพลิเคชัน “เราชนะ” มีความสะดวก รวดเร็ว เป็นการเพิ่มช่องทางการชำระค่าโดยสาร รวมทั้งบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน สำหรับการให้บริการได้เน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ไม่เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนด พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่าง (Social distancing) รักษาความสะอาดภายในตัวเรือ เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการสวมใส่หน้ากากอนามัย ตลอดการเดินทาง ประชาชนที่พบเห็นการกระทำผิดหรือการให้บริการเรือที่ไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน จท. โทร. 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
#กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39163 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และการทบทวนสิทธิ์ของผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
ความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และการทบทวนสิทธิ์ของผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ
ความคืบหน้าของการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยในสองวันแรกมีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 218,344 คน (ข้อมูล ณ เวลา 17.00 น.)
ความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และการทบทวนสิทธิ์ของผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตนเองไม่สำเร็จเนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกต้อง โดยในสองวันแรกมีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 218,344 คน (ข้อมูล ณ เวลา 17.00 น.) ทั้งนี้ ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าวที่สนใจและประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ต้องนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ไปลงทะเบียนที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) ด้วยตนเอง ไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อยืนยันตัวตน อันจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทะเบียนเอง และป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิ์ โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อขอคัดกรองคุณสมบัติได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2564 และไม่มีการจำกัดจำนวนสิทธิ์
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยได้จัดระบบการลงทะเบียนโครงการฯ ที่สาขาจำนวน 1,023 แห่งทั่วประเทศและจุดบริการเคลื่อนที่จำนวน 871 จุดทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่มีความประสงค์จะลงทะเบียน โดยแต่ละสาขาหรือจุดบริการจะแจกบัตรคิวลงทะเบียนตามจำนวนประชาชนที่สามารถรองรับได้สูงสุดในแต่ละวัน ส่วนประชาชนที่เข้ามาติดต่อขอลงทะเบียนที่เกินจากจำนวนนั้น ธนาคารจะแจกบัตรคิวและนัดหมายเพื่อให้มาลงทะเบียนในวันหลัง โดยจะระบุวันและเวลาที่แน่นอน นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทยดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแจ้งข่าวสารของโครงการฯ ให้ประชาชนรับทราบโดยทั่วกัน
สำหรับประชาชนในกลุ่มผู้มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และกลุ่มที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ตรวจสอบสถานะแล้วพบว่าไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ สามารถยื่นขอทบทวนสิทธิ์ ทางเว็บไซต์ดังกล่าวได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 8 มีนาคม 2564 โดยผู้ที่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ระหว่างวันที่ 8 – 21 กุมภาพันธ์ 2564 จะทราบผลการทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 4 มีนาคม 2564 และผู้ที่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – 8 มีนาคม 2564 จะทราบผลการทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 19 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ เนื่องจากมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2562 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 (แบบฯ) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของกรมสรรพากรภายใน 7 วัน นับแต่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ แต่ต้องไม่เกินวันที่ 8 มีนาคม 2564 อย่างไรก็ดี ผู้ที่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ระหว่างวันที่ 8 – 9 กุมภาพันธ์ 2564 จะต้องยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 โดยผู้ที่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์เนื่องจากมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2562 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดและยื่นแบบฯ แล้ว จะสามารถทราบผลการคัดกรองได้ในวันที่ 19 มีนาคม 2564
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังพบว่ามีประชาชนหรือร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ โฆษกกระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือร้านค้า ผู้ให้บริการรายย่อยและประชาชนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประสานขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าวแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) หรือแอปพลิเคชันของร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อย ตลอดจนการจ่ายเงินให้กับร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยทันที และอาจดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ร้านค้าโครงการธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ร้านค้าในโครงการคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการ/ร้านค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ถูกระงับใช้เครื่อง EDC หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” สามารถติดต่อและให้ข้อมูลได้ที่สาขาของธนาคารกรุงไทยหรือส่งข้อมูล รวมถึงชื่อสถานประกอบการ ชื่อและนามสกุลของเจ้าของสถานประกอบการ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ถ้ามี) หมายเลขประจำตัวประชาชนของเจ้าของสถานประกอบการ และหมายเลขเครื่อง EDC (ถ้ามี) และหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้ มาที่ [email protected] โดยเร็วเพื่อให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39169 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกประกาศข่าวดี เดือนมีนาคม 2564 ไทยสามารถทดลองฉีดวัคซีนที่พัฒนาได้เองในมนุษย์ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกประกาศข่าวดี เดือนมีนาคม 2564 ไทยสามารถทดลองฉีดวัคซีนที่พัฒนาได้เองในมนุษย์
นายกประกาศข่าวดี เดือนมีนาคม 2564 ไทยสามารถทดลองฉีดวัคซีนที่พัฒนาได้เองในมนุษย์
วันนี้ (17 ก.พ. 64) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงข่าวที่น่ายินดีคือไทยสามารถทดลองฉีดวัคซีนที่พัฒนาได้เอง เฟส 1 ในมนุษย์โดยจะเริ่มฉีดในเดือนมีนาคม 2564 เป็นการพัฒนาวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมมือกับสถาบันวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม โดยจะพัฒนาคู่ขนานไปกับวัคซีน mRNA ของคณะแพทย์ศาสตร์จุฬา และวัคซีนที่ใช้โปรตีนเป็นฐานของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการผลิตวัคซีนด้วยการนำเชื้อตายไวรัสมาเพาะในไข่ไก่ฟัก มีความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ผลข้างเคียงน้อย เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตวัคซีนมากว่า 10 ปีแล้ว รวมถึงการใช้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เก็บดูแลง่าย สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส โดยตั้งเป้าที่จะผลิตให้ได้ 25-30 ล้านโดสต่อปี หรืออาจจะถึง 60 ล้านโดสต่อปี
จุดเริ่มต้นในการวิจัยพัฒนาวัคซีนของประเทศไทย มาจากการประสานกับสถาบัน PATH ของสหรัฐได้นำไวรัสต้นกำเนิดที่ตัดแต่งพันธุ์กรรมมาจากไวรัสนิวคาสเซิล ซึ่งไม่ก่อให้เกิดไวรัสโควิด-19 มาทำให้เกิดหนามแหลมหรือเอสโปรตีน หลังจากนั้นนำไวรัสดังกล่าวมาเพิ่มจำนวนในไข่ไก่ฟักที่ศูนย์ผลิตวัคซีนที่จังหวัดสระบุรี เมื่อได้จำนวนที่มากพอก็จะมาทำให้ไวรัสตายเพื่อนำมาทำเป็นวัคซีน ถือเป็นแนวทางทางอนาคตของไทยที่ได้วางแผนไว้ แบ่งออกเป็น 3 เฟส ดังนี้ เฟส 1 เริ่มในเดือนมีนาคม เฟส 2 เริ่มในเดือนเมษาถึงพฤษภาคม และเฟส 3 เริ่มในช่วงปลายปี 2564 โดยหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนและประสบผลสำเร็จ ภายในปี 2564-2565 ก็จะสามารถจดทะเบียนได้
ซึ่งนายกรัฐมนตรีชื่นชมคณะทำงานด้านวัคซีนของไทยที่จะส่งผลให้เกิดรายได้ในอนาคต ทั้งนี้ เป็นการเดินหน้า ไทยจะเป็นแหล่งในการรักษาพยาบาล และมีสุขภาพที่ดี รัฐบาลได้ดำเนินการคิดแนวทางอย่างรอบคอบเป็นระบบ อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณในคำแนะนำของทุกท่านด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39189 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom) กับนายแชฟคต มาห์มูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
รมว.วธ.ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom) กับนายแชฟคต มาห์มูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
รมว.วธ.ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom) กับนายแชฟคต มาห์มูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๒.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom) กับ นายแชฟคต มาห์มูด (H.E. Mr. Shaftqat Mahmood) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน โดยมี นายอะศิม อิฟติคัร อะห์มัด (H.E. Mr. Asim Iftikar Ahmad) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายมูหมัดลูตฟี อุเซ็ง อุปทูตรักษาการ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39182 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับข้อเสนอจากองค์กรด้านสตรีและเด็ก เพื่อต่อต้านฉากข่มขืนในละคร พร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
พม. รับข้อเสนอจากองค์กรด้านสตรีและเด็ก เพื่อต่อต้านฉากข่มขืนในละคร พร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
พม. รับข้อเสนอจากองค์กรด้านสตรีและเด็ก เพื่อต่อต้านฉากข่มขืนในละคร พร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
วันนี้ (17 ก.พ. 64) เวลา 10.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยนางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว รับหนังสือข้อเสนอ จากตัวแทนมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และภาคีเครือข่ายกว่า 30 คน เพื่อต่อต้านฉากข่มขืนในละคร และสร้างกติการ่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ณ บริเวณชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายอนุกูล กล่าวว่า จากกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ฉากข่มขืนในละครเรื่องหนึ่ง ซึ่งกำลังออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ในขณะนี้ และมีหลายประเด็นที่อาจมีผลกระทบและเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะเป็นการผลิตซ้ำการข่มขืน การใช้ความรุนแรง การแสดงท่าทีหรือใช้คำพูดตีตราและการถ่ายคลิปในลักษณะเหยียด การตั้งคำถามและการกล่าวโทษผู้ถูกข่มขืน ซึ่งในวันนี้ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว ได้มาแสดงจุดยืนและข้อเรียกร้องเสนอกระทรวง พม. คือ 1. ขอให้กระทรวง พม. เชิญผู้ผลิตละคร และสถานีโทรทัศน์ ทีวีดิจิตอล รวมไปถึงช่องสื่อออนไลน์ที่มีละคร และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มาทำความเข้าใจเพื่อยุติเนื้อหาละครที่ไม่สร้างสรรค์และยังสร้างทัศนคติที่ผิดๆเกี่ยวกับการข่มขืน และการคุกคามทางเพศ โดยเปิดพื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน มีหลักเกณฑ์ นำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริง 2.ในการรณรงค์เพื่อทำความเข้าใจต่อประชาชน ผู้บริโภคให้เข้าใจเรื่องการคุกคามทางเพศ การข่มขืนในความหมายที่ถูกต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวง พม. ต้องเร่งดำเนินการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดจนการมีกลไกติดตามเฝ้าระวังเพื่อจัดการให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง 3.ขอแสดงจุดยืนต่อต้านฉากข่มขืนในละครทุกรูปแบบและขอเรียกร้องให้บริษัท สินค้าที่สนับสนุนเป็นสปอนเซอร์ละครทีวีดังกล่าว พิจารณาทบทวนการสนับสนุนและโปรดมีจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนละครที่มีฉากข่มขืนทุกกรณี และ 4.ขอเรียกร้องต่อประชาชน ในฐานะผู้บริโภคสื่อ ให้ช่วยกันแสดงออกทุกรูปแบบในการไม่สนับสนุนต่อต้าน วิพากษ์วิจารณ์ละครที่มีฉากข่มขืน รวมถึงบรรดารายการที่เข้าข่ายทำลายความเสมอภาคระหว่างเพศ
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า ภายหลังจากรับหนังสือข้อเรียกร้องดังกล่าว ได้มีการหารือร่วมกัน โดยกระทรวง พม.ได้เตรียมแนวทางที่จะขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีกลไกทางด้านกฎหมายอยู่แล้ว รวมทั้งคณะอนุกรรมการรณรงค์การสื่อสารความเท่าเทียมระหว่างเพศ โดยมีอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นประธาน ร่วมกับกสทช. กรมประชาสัมพันธ์ รวมทั้งภาคีเครือเครือข่าย ที่จะมีการประชุมในสัปดาห์หน้า โดยจะนำประเด็นอื่นๆ ทางสังคมที่เกี่ยวข้องในลักษณะเดียวกันเข้าร่วมหารือในที่ประชุมด้วย สำหรับเรื่องความรุนแรงของครอบครัวและความเท่าเทียมระหว่างเพศนั้น ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ทุกหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ต้องให้ความสำคัญ รวมทั้งภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ต้องหารือช่วยกันกำหนดรูปแบบการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนไปพร้อมกันให้สังคมรับรู้ สร้างความตระหนักในเรื่องของการคุ้มครองเด็กและสตรี ความรุนแรงในครอบครัว การไม่เหยียดเรื่องเพศ ความเท่าเทียมความเสมอภาคระหว่างเพศ
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น คณะอนุกรรมการรณรงค์การสื่อสารความเท่าเทียมระหว่างเพศ ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ สทพ.)โดยมีรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน สามารถกำหนดมาตรการกลไกการขับเคลื่อนและนำไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำหรับกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น จะต้องให้ผู้เกี่ยวข้องมาทำความเข้าใจกฎหมายและและแนวทางร่วมกันว่าเจตนาของผู้จัดทำละครเป็นอย่างไร ซึ่งเราจะได้ชี้แนะทางกฎหมาย รวมถึงการดำเนินการต่อการนำเสนอละคร ซึ่งต้องมาคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง โดยต้องอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดของคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว นอกจากนี้ ปัจจุบัน สื่อโซเชียลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและหลากหลายมาก ทำให้สังคมและประชาชนอาจจะขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งเราจะต้องมากำหนดการรณรงค์สร้างความตระหนักรับรู้อย่างรอบด้านให้กับประชาชนมากขึ้น โดยภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกันในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้รู้ถึงข้อห้ามข้อปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความตื่นตัว เกิดความเข้าใจและรับรู้สิทธิมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคม หรือประสบปัญหาต่างๆ สามารถแจ้งมาที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39191 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยไทยมีวัคซีน 63 ล้านโดส ที่จะฉีดเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
สธ.เผยไทยมีวัคซีน 63 ล้านโดส ที่จะฉีดเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ
กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยสั่งซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 63 ล้านโดส ที่จะฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันระดับประเทศ ส่วนกระบวนการจัดหา เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าตรวจสอบได้ วางแผนการฉีดให้แล้วเสร็จใน ภายในปี 2564
วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2564) ที่รัฐสภา กทม. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวเรื่องความคืบหน้าการบริหารการจัดการวัคซีนโควิด19ของประเทศไทย โดย นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนจัดหาวัคซีนตั้งแต่เมษายน 2563 คำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยเป็นอันดับแรกโดยรัฐบาลไทยได้จองและเตรียมให้บริการฉีดวัคซีนให้ประชาชนถึง 63 ล้านโดส จากแอสตราเซเนก้า 61ล้านโดสและซิโนแวค 2 ล้านโดส เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ วางแผนการฉีดให้แล้วเสร็จ ภายในปี 2564 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและสามารถทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้
“ขณะนี้ประเทศไทยควบคุมโรคได้ดี จากความร่วมมือของภาครัฐและประชาชน ทำให้อัตราการเสียชีวิตและการแพร่กระจายโรคต่ำกว่าหลายประเทศ และวัคซีนถือเป็นอีกเครื่องมือที่เข้ามาช่วยควบคุมโรค การกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ ขอเชิญชวนประชาชนรับการฉีดวัคซีน เสริมกับมาตรการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ สแกนไทยชนะ เพื่อช่วยกันลดการแพร่เชื้อต่อไป” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนโควิด19 ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย โดยมอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขวางแผนการฉีดวัคซีนตั้งแต่ปี 2563 เป้าหมายสำคัญ คือ 1.ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต ซึ่งวัคซีนของแอสตราเซเนก้าและซิโนแวค ได้ผ่านการพิสูจน์เรียบร้อยแล้วว่าช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิตของประชาชน 2.เพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงจากการทำงาน และ3.เพื่อให้คนไทยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและเกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจฟื้นฟูการท่องเที่ยวของประเทศไทย ตั้งเป้าฉีดให้ครอบคลุมคนไทยมากที่สุด เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศและจะไม่เกิดการระบาดของโรคต่อไป
ทั้งนี้ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการฉีด มี3 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ที่มีวัคซีนปริมาณจำกัด ซึ่งไทยจะได้รับวัคซีนเชื้อตายจากประเทศจีน ภายในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อผ่านการควบคุมคุณภาพและตรวจสอบความปลอดภัยจาก อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว จะฉีดให้กับคนไทยทันที โดยกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มบุคคลเสี่ยง ได้แก่ ประชาชนผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเมื่อติดเชื้อแล้วอาจมีอาการป่วยและตายสูง,กลุ่มคนในพื้นที่เสี่ยงได้แก่ จ.สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวม 5 จังหวัด และกลุ่มอาชีพเสี่ยงได้แก่ บุคลากรทางสาธารณสุข หรืออาชีพที่ต้องพบปะกับชาวต่างชาติ เช่น ผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ผู้ที่ต้องพบปะคนหมู่มาก คนที่ต้องเดินทางระหว่างประเทศโดย จะฉีดให้ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน โดย 2 ล้านโดสแรก จะฉีดระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ส่วนระยะที่ 2 เมื่อมีวัคซีนมากขึ้น และระยะที่ 3 เมื่อมีวัคซีนอย่างกว้างขวางจะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ หากได้วัคซีนเข้ามาตามแผนที่วางไว้ ได้กำหนดการฉีด 10 ล้านโดสต่อเดือน จะเริ่มฉีดตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นที่โรงพยาบาลศูนย์ /โรงพยาบาลทั่วไป /โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชน/โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลรัฐอื่นๆ ทำให้กระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศครบถ้วนภายในปี 2564 โดยมีคณะกรรมการฯ ดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดเก็บ กระจาย จัดฉีด และการติดตามผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน มีการซักซ้อมการดำเนินงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีพบการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิต จะมีการเยียวยาตามมาตรา41 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักวิชาการทางการแพทย์สาธารณสุขและหลักสากล
ด้าน นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการวางแผนจัดหาวัคซีนโควิด19 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ได้เจรจาขอข้อมูลกับผู้ผลิตประเทศต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยตั้งเป้าต้องได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตด้วย เพื่อรับมือกับการระบาดในเวลานี้และในอนาคต โดยเดือนกรกฎาคม 2563 บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ได้แสวงหาพันธมิตรผู้ร่วมผลิตวัคซีนโควิด 19 ในเทคโนโลยีไวรัสเวคเตอร์ มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นHub การผลิตวัคซีนกว่า 60 แห่ง โดยแอสตร้าเซนเนก้า ได้ประเมินและคัดเลือก 25 บริษัทเป็นผู้ร่วมผลิต หนึ่งในนั้นคือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เนื่องจากประเมินศักยภาพแล้วมีมาตรฐานเหมาะสมที่จะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องสนับสนุนพัฒนาศักยภาพเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อให้พร้อมรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เร็วที่สุดเพื่อผลิตวัคซีน และมีการเจรจาจองซื้อวัคซีนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
“ถ้าจองซื้อวัคซีนกับบริษัทอื่น เป็นการซื้ออย่างเดียว แต่การจองซื้อกับแอสตร้าเซนเนก้า เราได้ศักยภาพการผลิตวัคซีนระดับโลกไว้กับเราด้วย ไม่ว่าจะอยู่กับภาครัฐหรือเอกชนไม่สำคัญ เพราะอยู่ในประเทศไทย ที่สำคัญแอสตร้าเซนเนก้ามีความมั่นใจอย่างมาก ได้เริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่เดือนตุลาคม” นพ.นครกล่าว
นพ.นครกล่าวว่า ส่วนการจองซื้อวัคซีนกับแอสตร้าเซนเนก้าและโครงการโคแวกซ์มีความแตกต่างกัน เนื่องจากค่าจองของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นส่วนหนึ่งของราคาวัคซีน แต่การจองกับโคแวกซ์เงินที่เรียกว่าUPFRONT PAYMENT เป็นค่าบริหารจัดการ ค่าวัคซีนจะกำหนดเมื่อทราบว่าได้วัคซีนของบริษัทใด และต้องจ่ายตามราคาที่ผู้ผลิตกำหนด ทั้งนี้ ราคาวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ระบุว่าประเทศไทยซื้อแพงกว่าในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดสนั้น ความจริงคือราคาอ้างอิงในเว็บไซต์ยูนิเซฟ ข้อมูลราคาจากบางแหล่ง เป็นราคาที่ไม่รวมเงินสนับสนุนวิจัย ที่ได้มีการสนับสนุนไปก่อนหน้า นอกจากนี้ ในแต่ละแหล่งผลิต ราคาต้นทุนวัตถุดิบมีความแตกต่างกันตามช่วงเวลา หากเป็นวัตถุดิบตั้งแต่ปีที่แล้วราคาถูกกว่า แต่ช่วงปลายปี 2563 มีความต้องการผลิตวัคซีนสูง ทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น จึงเกิดความต่างเรื่องของราคา แต่อยู่บนหลักการไม่มีกำไรไม่มีขาดทุน
สำหรับข่าวบริษัทอินเดียเสนอขายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแต่เราไม่ซื้อ เป็นข่าวเท็จทางโซเชียลมีเดีย ข้อเท็จจริงคือเป็นการเสนอความร่วมมือวิจัยวัคซีนกับไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอสตร้าเซนเนก้า ส่วนโคแวกซ์ไทยยังเดินหน้าเจรจาเข้าร่วม ให้ได้เงื่อนไขที่เหมาะสมกับไทย ส่วนประเด็นการใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในผู้สูงอายุ ยึดตามความเห็นขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าวัคซีนใช้กับผู้ที่มีอายุ65 ปีขึ้นไปได้
“เราจัดซื้ออย่างโปร่งใสมีคณะกรรมการตรวจสอบ พิจารณาเงื่อนไขสัญญาต่างๆ โดยหน่วยงานกำกับกฎหมายของประเทศ ไม่ได้ปกปิด และขอให้มั่นใจศักยภาพว่าประเทศไทยไม่แพ้ใครในโลก สามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพระดับโลกได้ เราไม่ต้องมีวัคซีนหลากหลายชนิด ขอให้มีมากพอครอบคลุมประชากร และจัดบริการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพ” นพ.นคร กล่าว
**************************17 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39198 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ แจงแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรชาวสวนตกต่ำ ประสานงานพาณิชย์จังหวัดหาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่ม พร้อมลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรวิเคราะห์การปลูกผัก ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีก | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
ก.เกษตรฯ แจงแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรชาวสวนตกต่ำ ประสานงานพาณิชย์จังหวัดหาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่ม พร้อมลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรวิเคราะห์การปลูกผัก ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรชาวสวนตกต่ำ ประสานงานพาณิชย์จังหวัดหาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่ม พร้อมลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรวิเคราะห์การปลูกผัก ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีก
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีที่มีการเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรชาวสวนซึ่งประสบปัญหาพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ไม่มีผู้รับซื้อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่า สำนักงานเกษตร จ.เพชรบูรณ์ ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเกษตรกรในพื้นที่ พบว่า จ.เพชรบูรณ์ มีพื้นที่ปลูกผัก 64,474 ไร่ และ อ.หนองไผ่ มีพื้นที่ปลูกผัก 2,655 ไร่ เกษตรกร 402 ราย สำหรับราคาพืชผักในช่วงนี้ เกษตรกรมีการปลูกจำหน่าย แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสฯ จึงทำให้พ่อค้าคนกลางลดจำนวนการซื้อลง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้ประสานงานกับพาณิชย์จังหวัดหาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มเติม พร้อมลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรวิเคราะห์การปลูกผัก เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ด้านกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน ชี้แจง สนง.พณ.เพชรบูรณ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าผลผลิตมะเขือเปราะจะออกสู่ตลาดช่วงเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2564 ประมาณ 27% ของผลผลิตทั้งหมด สำหรับ อ.หนองไผ่ มีผลผลิตประมาณ 1,354 ตัน ด้านภาวะการค้า ปัจจุบันราคารับซื้อมะเขือเปราะ ตลาดกลางผัก จ.เพชรบูรณ์ และตลาดสี่มุมเมือง จ.ปทุมธานี ปรับสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อน อยู่ที่ กก.ละ 4 - 7 บาท อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นกรมการค้าภายในได้ประสานห้างท้องถิ่น จ.เพชรบูรณ์ และ จ.พะเยา จัดพื้นที่ให้เกษตรกรนำผลผลิตมาวางจำหน่าย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และจะประสานห้างค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ เพื่อเข้าไปช่วยเชื่อมโยงต่อไป พร้อมมอบหมายให้ สนง.พณ.เพชรบูรณ์ ประสานตลาดกลางผัก จ.เพชรบูรณ์ (ตลาดสันติสุข) อ.หล่มสักจัดพื้นที่ให้แก่เกษตรกรที่จะนำผลผลิตไปวางจำหน่าย รวมทั้งประสานหน่วยงานราชการที่มีความต้องการบริโภค เช่น เรือนจำ โรงพยาบาล รับซื้อมะเขือจากเกษตรกรโดยตรง เพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารเพิ่มมากขึ้น
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39184 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แจงรัฐบาลใช้มาตรการทางเศรษฐกิจช่วยเหลือประชาชนจำนวนหลายล้านคน พร้อมปรับแก้ไข เร่งอำนวยความสะดวกให้ทุกกลุ่ม | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ แจงรัฐบาลใช้มาตรการทางเศรษฐกิจช่วยเหลือประชาชนจำนวนหลายล้านคน พร้อมปรับแก้ไข เร่งอำนวยความสะดวกให้ทุกกลุ่ม
นายกฯ แจงรัฐบาลใช้มาตรการทางเศรษฐกิจช่วยเหลือประชาชนจำนวนหลายล้านคน พร้อมปรับแก้ไข เร่งอำนวยความสะดวกให้ทุกกลุ่ม
วันนี้ (17 ก.พ. 64) เวลา 17.35 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เกี่ยวกับประเด็นมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า รัฐบาลได้หาแนวปฏิบัติที่ดีและเหมาะสมตามสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้ระหว่างสถานการณ์ โดยมีบุคลากรทางสาธารณสุขเป็นส่วนสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหา ประเทศไทยเป็นแบบอย่างที่ดี มีทั้ง อสม. กำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครอื่น ๆ เข้ามาช่วย ทุกคนล้วนเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือกัน ซึ่งการกล่าวหาว่าการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ล้มเหลวอาจทำให้บุคลากรเหล่านี้เสียกำลังใจ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของรัฐบาลส่วนใหญ่แล้วเกิดผลดีแก่ประเทศ แม้ว่าอาจพบปัญหาและอุปสรรคบ้าง แต่รัฐบาลได้หาแนวทางและมาตรการเสริมเพื่อช่วยเหลือตามความเหมาะสม ขอให้เข้าใจว่าทุกอย่างล้วนเกิดปัญหาในเบื้องต้น เนื่องจากรัฐบาลต้องใช้มาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจกับประชาชนจำนวนหลายล้านคน เมื่อทำในระบบออนไลน์ไม่ได้ จึงต้องทำในระบบ Manual ซึ่งภาครัฐได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น การออกบัตรคิว การกำหนดระยะเวลาให้ลงทะเบียนได้เพียงพอ
ทั้งนี้ ภาพที่มีการวิจารณ์ว่ามีประชาชนรอเข้ารับการลงทะเบียนไทยชนะจำนวนมากนั้น เป็นภาพในช่วงของการเปิดรับลงทะเบียนในวันแรก ๆ ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก ซึ่งทางหน่วยงานได้รับทราบปัญหาและจัดระเบียบคิวเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลขอยืนยันว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ รัฐบาลรับทราบทุกความเดือดร้อนของประชาชนและจะเร่งดำเนินการช่วยเหลือให้ได้โดยเร็วที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39194 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การประเมินสถานะของหน่วยงานในการเป็นระบบราชการ ๔.๐ (PMQA 4.0)” ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การประเมินสถานะของหน่วยงานในการเป็นระบบราชการ ๔.๐ (PMQA 4.0)” ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การประเมินสถานะของหน่วยงานในการเป็นระบบราชการ ๔.๐ (PMQA 4.0)” ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การประเมินสถานะของหน่วยงานในการเป็นระบบราชการ ๔.๐ (PMQA 4.0)” ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วิทยากร และผู้เข้ารับการอบรม เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39168 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ระบุว่าตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 9 - 12 กุมภาพันธ์ 2564 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลประชาธิปัตย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอธัญบุรี ได้บูรณาการร่วมกันในการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 บริเวณตลาดสุชาติและอาคารพาณิชย์โดยรอบอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ตรวจพนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 (ปฏิบัติหน้าที่ขับรถโดยสารกะบ่าย) เพศชาย จำนวน 1 คน มีที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณตลาดสุชาติ โดยขณะเข้ารับการตรวจ พนักงานไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้แจ้งผลการตรวจแก่พนักงานขับรถโดยสารคนดังกล่าวว่าได้รับการติดเชื้อ จึงให้ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
ทั้งนี้ หลังจากทราบผล ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวจากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 1 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังต่อไปนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดปทุมธานี
2. ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันที่ 1 - 12 กุมภาพันธ์ 2564 พนักงานผู้ติดเชื้อไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 พนักงานได้มาปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 34 หมายเลข 1 - 40063 ผลการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย อยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส รวมทั้งมีการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่ และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งรถออกจากอู่รังสิต เวลา 13.45 น. ถึงหัวลำโพง เวลา 15.00 น. และกลับถึงอู่รังสิต เวลา 19.28 น. ปรากฏว่าพนักงานมีอาการไข้ ปวดหัว และปวดเมื่อยร่างกาย นายท่าจึงให้ไปพบแพทย์ที่คลินิกเรือนแพทย์ และกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
3. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 34 หมายเลข 1 - 40063 ในช่วงกะบ่าย ซึ่งเป็นกะสุดท้ายของแต่ละวัน จึงไม่มีพนักงานขับรถคนใดนำรถไปขับต่อ อีกทั้งเมื่อพนักงานขับรถนำรถกลับเข้าอู่เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในแต่วัน จะมีการฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารทันทีด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% จึงมั่นใจได้ว่ารถโดยสารขององค์การมีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้พักการใช้งานรถโดยสารคันดังกล่าว เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถ อู่จอดรถ และท่าปล่อยรถโดยสาร
4. ขสมก. ได้ตรวจสอบว่าพนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่กับพนักงานเก็บค่าโดยสารคนใดบ้าง ซึ่งขณะนี้ได้ให้พนักงานเก็บค่าโดยสารดังกล่าวหยุดงานไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 แล้ว หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน
#กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39164 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สสปท. จัดสัมมนาออนไลน์ฟรี New Normal New Me ปลุก Safety ให้ Action | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
สสปท. จัดสัมมนาออนไลน์ฟรี New Normal New Me ปลุก Safety ให้ Action
รมช.แรงงาน ชวนสถานประกอบกิจการร่วมพัฒนาศักยภาพด้านความปลอดภัยในการทำงาน ผ่านระบบออนไลน์รองรับวิถีใหม่ ฟรี มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพขององค์กรสู่การปฏิบัติจริง
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย และอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. ได้กำหนดจัดสัมมนาในรูปแบบออนไลน์ขึ้น ระหว่างวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2564 ภายใต้แนวคิด มุ่งสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยเชิงป้องกัน สู่ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และความผาสุกที่ยั่งยืน ปี 2564 (Forward Culture of Prevention for Safety Thailand 2021) โดยยังคงรูปแบบจัดสัมมนาผ่านทาง Facebook Live (Facebook Fan page : สสปท-TOSH) เพื่อเปิดโอกาสให้สถานประกอบกิจการได้มีโอกาสเข้ารับฟังความรู้ นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้เข้าสัมมนาจะได้รับความรู้ในหัวข้อที่หลากหลาย เช่น การสอบสวนอุบัติเหตุขั้นเทพ ความปลอดภัย ทำไมต้องมี และ New Normal New Me ปลุก Safety ให้ Action ผู้เข้าสัมมนาสามารถเลือกหัวข้อได้ตามความสนใจ ตอบโจทย์กับชีวิตวิถีใหม่ในการทำงานได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ กระตุ้นจิตสำนึกและพัฒนาศักยภาพด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และยังสามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน รวมถึงขยายผลเนื้อหาที่ได้จากการเข้าสัมมนาให้แก่ผู้ปฏิบัติงานหรือเพื่อนร่วมรับทราบต่อไป
รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการจัดสัมมนาหัวข้อ “Safety for Creation ป้องกันโควิด ฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคเหนือ” ระหว่างวันที่ 21-22 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เข้าร่วมฟังบรรยายตลอด 2 วัน รวมจำนวนกว่า 1,100 คน สะท้อนให้เห็นว่า นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
สำหรับสถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องความปลอดภัยฯ และต้องการรับทราบข้อมูลการสัมมนาหรือกิจกรรมต่าง ๆ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.tosh.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2448 9111 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
“นโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นแนวทางในการป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดอันตรายเนื่องจากการทำงาน ซึ่งถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้างที่จะต้องให้ความร่วมมือในการตรวจตรา และเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมในการทำงานให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจและสุขภาพอนามัยตามมาตรฐานที่กำหนด” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39162 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ลงพื้นที่ตลาด จ.ปทุมธานี ติดตามการควบคุมโควิด 19 | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
อนุทิน ลงพื้นที่ตลาด จ.ปทุมธานี ติดตามการควบคุมโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยตลาดพรพัฒน์และตลาดสุชาติ แนวโน้มควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี เร่งค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงรอบๆ ส่งรถเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานและรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยตลาดพรพัฒน์และตลาดสุชาติ แนวโน้มควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี เร่งค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงรอบๆ ส่งรถเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานและรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน เตรียมโรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนามใน จ.ปทุมธานีและใกล้เคียงเกือบ 1,000 เตียงรองรับ
วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ จ.ปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารส่วนท้องถิ่น ติดตามการดำเนินงานควบคุมโรคโควิด 19 จ.ปทุมธานี โดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมโรคโควิด 19 ของจังหวัดปทุมธานี ที่ตลาดพรพัฒน์และตลาดสุชาติ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรค ได้ทำงานร่วมกันหลายหน่วยงานภายใต้การควบคุมกำกับของนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น สามารถควบคุมการระบาดได้ และเร่งค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ เช่น ตลาด ชุมชนโดยรอบ จ. ปทุมธานี เพื่อนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการแยกตัวและรับการรักษาต่อไปซึ่งมีความพร้อมทั้งแพทย์ ยา โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ทั้งในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง รองรับผู้ติดเชื้อรวมเกือบ 1,000 เตียง
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า กรมควบคุมโรคได้ส่งรถเก็บตัวอย่างตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 10 คันพร้อมรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน 1 คันทำการค้นหาเชิงรุกไปแล้ว 2,399 ราย พบผู้ติดเชื้อ 244 ราย(ข้อมูลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564) สำหรับตลาดที่พบผู้ติดเชื้อ ได้สั่งปิดพร้อมให้กรมอนามัยร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ทำความสะอาดตลาด ฆ่าเชื้อในบริเวณโดยรอบตลาด ตั้งแต่เริ่มพบผู้ติดเชื้อ และประสานกับเจ้าของตลาด เพื่อให้ความรู้ ในการจัดการตลาดตามมาตรฐานตลาดสด ทั้งการจัดการพื้นที่ ผู้จำหน่าย และผู้ซื้อ/ผู้บริโภค
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
************************** 17 กุมภาพันธ์ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39178 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำจุดยืนพร้อมปฏิรูปกองทัพเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในประเทศและภูมิภาค | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำจุดยืนพร้อมปฏิรูปกองทัพเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในประเทศและภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีย้ำจุดยืนพร้อมปฏิรูปกองทัพเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในประเทศและภูมิภาค
วันนี้ (17 ก.พ.64) เวลา 10.05 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีการปฏิรูปกองทัพ ดังนี้
การปฏิรูปกองทัพได้กำหนดการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม และกำลังพลให้มีขนาดที่เหมาะสม ให้มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น สอดคล้องกับการบริหารราชการยุคใหม่ และสถานการณ์ความมั่นคง ทั้งเรื่องความร่วมมือการรักษาความสงบเรียบร้อยในภูมิภาคด้วย และการสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติ UN มีลูกหลานของเราไปทำงานที่ซูดาน จึงขอให้เข้าใจการเตรียมกำลังความพร้อมของกองทัพ
ในส่วนของยุทโธปกรณ์ ได้กำหนดแผนงานโครงการซ่อม วัสดุอุปกรณ์ เพื่อดำรงสภาพความพร้อมรบ เสริมสร้างความทันสมัย เพราในวันนี้อาวุธต่างๆ มีการพัฒนาขึ้น สถานการณ์รอบโลกก็มีการจัดซื้อจัดหาอาวุธอยู่อย่างต่อเนื่อง เราไม่ได้แข่งขันแต่ต้องการป้องกันตัวเอง และร่วมมือกับประเทศอื่นได้ เนื่องจากอาวุธบางอย่างต้องใช้เวลาในการจัดหาจัดซื้อ ใช้เวลาในการผลิต จึงใช้เวลาหลายปี จึงต้องจ่ายเงินเป็นงวดโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธที่มีราคาสูง จึงขอให้ทำความเข้าใจและกระทรวงกลาโหมก็เป็นเพียงหน่วยงานภายใต้รัฐบาลที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณอย่างเป็นระบบ
การจัดซื้อจัดจ้างมีขั้นตอนการพิจารณาการจัดซื้อจัดจ้างการบริหารพัสดุภาครัฐ ตามระบบระเบียบ มีกระบวนการเริ่มโดยคณะกรรมาธิการพิจารณาผล พิจารณาความต้องการภายในกองทัพ ผ่านการอนุมัติของปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้กำหนดนโยบาย และย้ำเตือนความโปร่งใส ยืนยันนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่ได้มีส่วนในการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่รับเงินทุจริต
ส่วนกรณีการดำเนินการจัดสวัสดิการของกองทัพเป็นไปตามกฎระเบียบ ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ ไม่มีการอนุมัติผ่านกองทัพบก กองทัพบกไม่ใช่เจ้าของจึงไม่มีการใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจ เป็นการดำเนินการเพียงเน้นการบริการกำลังพลและครอบครัว เป็นการดูแลข้าราชการชั้นผู้น้อยตามสัดส่วน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39172 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ระบุ!!! ตั้งแต่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ตามรูปแบบที่แพทยสภากำหนด เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินการ ด้านใบอนุญาตขับรถ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
กรมการขนส่งทางบก ระบุ!!! ตั้งแต่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ตามรูปแบบที่แพทยสภากำหนด เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินการ ด้านใบอนุญาตขับรถ
ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ครอบคลุมทั้งการขอใหม่ การเปลี่ยนชนิด การต่ออายุ และการเปลี่ยนประเภท
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตขับรถและการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. 2563 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป นั้น กำหนดให้การขอรับและต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ต้องมีเอกสารใบรับรองแพทย์ประกอบการดำเนินการ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวเป็นระเบียบเรียบร้อย กรมการขนส่งทางบกจึงออกระเบียบกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถและบัตรประจำตัวคนขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2564 และระเบียบกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการต่ออายุใบอนุญาตผู้ประจำรถ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ผู้ที่ต้องการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตผู้ประจำรถ ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ทุกชนิดทุกประเภท ต้องมีเอกสารใบรับรองแพทย์ เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินการทุกครั้ง ประกอบด้วย การขอใหม่ กรณีไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตผู้ประจำรถมาก่อน การเปลี่ยนชนิด การต่ออายุ และการเปลี่ยนประเภท โดยใบรับรองแพทย์นั้นต้องเป็นไปตามแบบมาตรฐานของแพทยสภา มีสองส่วนคือ ส่วนที่ผู้ขอรับรองสุขภาพตนเองและส่วนของแพทย์ตรวจรับรอง ซึ่งจะต้องแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นไม่มีโรคประจำตัวหรือสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถตามที่แพทยสภากำหนด
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า การต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตผู้ประจำรถ ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก เดิมจะไม่มีการกำหนดให้ใช้เอกสารใบรับรองแพทย์ แต่ด้วยข้อเท็จจริงสมรรถภาพของร่างกายของผู้ขับรถมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มมากขึ้นและอาจมีโรคประจำตัว หรืออาจมีเหตุให้สมรรถภาพของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถขับรถได้ จึงจำเป็นต้องกำหนดให้ผู้ขับรถเข้ารับการตรวจรับรองจากแพทย์ก่อนเบื้องต้น และจะมีการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายที่จำเป็นต่อการขับรถเมื่อมาติดต่อที่สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ประกอบด้วย การทดสอบการมองเห็นสี การทดสอบสายตาทางลึก การทดสอบสายตาทางกว้าง และการทดสอบปฏิกิริยา สำหรับใบรับรองแพทย์ตามแบบที่แพทยสภารับรอง โดยผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตผู้ประจำรถ สามารถแจ้งวัตถุประสงค์ในการขอรับใบรับรองแพทย์ เพื่อให้แพทย์ออกใบรับรองแพทย์ให้ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์การนำไปใช้และเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด ส่วนในอนาคตจะมีการกำหนดสภาวะโรคที่ต้องห้ามในการขอรับใบอนุญาตขับรถเพิ่มเติมหรือไม่นั้น กรมการขนส่งทางบกจะประสานความร่วมมือกับแพทยสภาอย่างใกล้ชิดต่อไป
#กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เน้นย้ำเรื่องการระงับสัมปทานเหมืองแร่อัครา เป็นไปเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อม | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ เน้นย้ำเรื่องการระงับสัมปทานเหมืองแร่อัครา เป็นไปเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อม
นายกฯ เน้นย้ำเรื่องการระงับสัมปทานเหมืองแร่อัครา เป็นไปเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (17 ก.พ.64) เวลา 10.10 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีระงับสัมปทานเหมืองแร่อัครา ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าข้อพิพาทนี้เริ่มต้นที่บริษัทแม่ในต่างประเทศและใช้ช่องทางตามกฎหมายระหว่างประเทศในการฟ้องร้องรัฐบาลไทย เพราะเห็นว่าบริษัทลูกในประเทศไทยไม่ได้รับความเป็นธรรมมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งรัฐบาลไทยก็ดำเนินการต่อสู้ในสิ่งที่รัฐบาลไทยและประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน อาทิ เรื่องผลกระทบด้านสุขภาพ การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการใช้พื้นที่ ที่ผ่านมานั้นเป็นการต่อสู้ตามกติกาของกฎหมายสากลซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ รัฐบาลก็จำเป็นต้องแต่งตั้งทนายขึ้นมาต่อสู้ในเวทีสากลให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปดำเนินการต่อสู้คดี และก็ต้องมีงบประมาณที่ใช้ในการจ้างทนายที่ปรึกษาทางกฎหมายระหว่างประเทศเพราะเป็นเวทีระหว่างประเทศที่เป็นพันธะสัญญาระหว่างกันที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งคือการนำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการ สิ่งสำคัญที่อาจจะกระทบกระเทือนต่อการพิจารณาคดีก็คือ การนำเรื่องที่อยู่ในชั้นศาลหรืออนุญาโตตุลาการนำมาพูดภายนอก และฝ่ายค้านได้นำมาอภิปรายให้ข่าวกับสื่อหลายครั้ง ซึ่งผลปรากฏว่าการอภิปรายและการให้ข่าวเป็นการคาดการณ์เอาเองทั้งสิ้น เป็นการนำตัวเลขกับข้อมูลที่เป็นข้อเสนอหรือคำให้การของแต่ละฝ่ายซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นทางการและยังไม่ได้ข้อยุติ เรื่องยังคงอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายรวมทั้งขั้นตอนของการเจรจาหารือกันของคู่พิพาทก็เป็นไปตามที่อนุญาโตตุลาการแนะนำ ไม่สามารถที่จะไปชี้นำได้
ส่วนเรื่องการใช้อำนาจตามมาตรา 44 นายกรัฐมนตรียืนยันว่าคำสั่งมาตรา 44 นั้นไม่ใช่การปิดเหมือง แต่เป็นเรื่องของการระงับการต่อสัมปทาน ซึ่งมีคำสั่งไปถึงเหมืองทุกประเภทในประเทศไทย ในการต่ออาชญาบัตรทำเหมืองแร่ จนกว่าจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากข้อเรียกร้องหรือข้อสงสัยที่ประชาชนเรียกร้องมาตั้งแต่ปี 2550 ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อยุติอย่างชัดเจนแต่ก็มีหลักฐานจากโรงเรียน ครู และประชาชนบริเวณดังกล่าว ว่ามีผลกระทบจากสารพิษ ซึ่งก็จำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัดเจนเกิดขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้ปิดเหมืองอัคราแต่เพียงแห่งเดียว การต่ออาชญาบัตรให้สัมปทานจำเป็นต้องแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว และบริษัทใดที่เข้ามาแก้ปัญหาได้ตามนั้น ก็สามารถเปิดได้ตามปกติ นายกรัฐมนตรียังขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงประโยชน์ของชาติประโยชน์ ของประชาชน ขณะนี้ได้มีพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ออกมาแล้ว ทำให้สามารถผลิตและถลุงแร่ได้เอง รวมทั้งสามารถส่งออกต่างประเทศได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าในการมูลค่าให้กับประเทศในเรื่องของจัดเก็บภาษีต่าง ๆ มากขึ้น และถ้าเป็นไปได้หากมีการสำรวจพบแร่ ไทยก็จะเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตแร่ทองคำกฎหมายใหม่นี้สามารถทำให้เกิดการถลุงแร่ต่าง ๆ นอกเหนือจากแร่ทองคำ ในประเทศไทยได้
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาหลายอย่างต้องแก้ปัญหาทางต้นทาง กลางทาง และปลายทางทั้งนี้วัตถุประสงค์หลักคือต้องการให้ประเทศชาติได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ประชาชนมีงานทำ กรณีการขอสำรวจแร่เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น แต่ในการขอดำเนินการก็ต้องมีการพิจารณาอนุญาต ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้นำหลักการในเรื่องของสิทธิในการประกอบการธุรกิจมาพิจารณาร่วมด้วย มีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และประชาชน ตามหลักการ เคารพ คุ้มครอง และเยียวยา ขณะนี้บริษัทเริ่มมีการปรับเปลี่ยน พื้นที่ใดที่ประชาชนไม่ต้องการให้เกิดการทำเหมืองแร่ ก็มีการหลีกเลี่ยงการทำเหมืองแร่ จึงขอให้คำนึงถึงว่า จะสามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าได้อย่างไร ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันคุ้มค่าหรือไม่ และจะแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างไรในการทำงานทั้งระบบ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบในฐานะเป็นนายกมนตรี และไม่ได้แก้ปัญหาด้วยด้วยอำนาจหรือคำสั่ง มีการหารือปรึกษาจากฝ่ายกฎหมายและฝ่ายราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกหน่วยราชการ จำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างเดินทางไปสู่ความเรียบร้อยให้ได้โดยเร็วโดยคำนึงถึงสุขภาพประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39173 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำการจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อความสงบสุขของประเทศ ดำเนินการอย่างคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ย้ำการจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อความสงบสุขของประเทศ ดำเนินการอย่างคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
นายกฯ ย้ำการจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อความสงบสุขของประเทศ ดำเนินการอย่างคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
วันนี้ (17 ก.พ. 64) เวลา 10.25 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำว่า การขับเคลื่อนประเทศต้องมีการกำหนดทิศทางในหลายด้าน การมีเรือดำน้ำเป็นการสร้างความมั่นใจว่าไทยมีศักยภาพที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยประเทศไทยมีพื้นที่ติดทะเลกว่า 3,000 กิโลเมตร ในสถานการณ์ปกติ เรือดำน้ำจะทำหน้าที่ป้องกันและรักษาทรัพยากรทางทะเล ซึ่งไทยไม่เคยมีอุปกรณ์สำรวจท้องทะเลในระดับลึก โดยเฉพาะทะเลฝั่งอันดามัน นอกจากนี้ เรือดำน้ำยังทำหน้าที่เฝ้าระวังในพื้นที่ทะเลทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเล การประมงนอกน่านน้ำ ตรวจตราด้านความมั่นคงทางทะเล กระบวนการค้ามนุษย์ และผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2563 มีเรือรบจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสันนิษฐานว่าเข้ามาค้นหาผู้อพยพชาวโรฮิงญาในฝั่งทะเลอันดามันของไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ดี การมีเรือดำน้ำยังเป็นการสะท้อนอำนาจทางทะเลของกองทัพเรือไทย ซึ่งแม้ว่าประเทศจะสงบแต่การกระทบกันก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงอีกว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นการจัดซื้อแบบผ่อนชำระ และเป็นรายการผูกพันงบประมาณที่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาแล้ว โดยเป็นรายจ่ายในปี 2560 จำนวน 1 ลำ ผูกพันงบประมาณผ่อนชำระจำนวน 7 ปี และรายจ่ายในปี 2563 จำนวน 2 ลำ ผูกพันงบประมาณผ่อนชำระจำนวน 8 ปี กรณีไม่ซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ประเทศไทยก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับให้ทางจีน แต่จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของไทย เพราะรัฐบาลได้มีการเจรจาด้วยวิธีรัฐบาล G to G เรียกข้อเอกสารผูกพันระหว่างรัฐบาลว่าข้อตกลงไม่ใช่สัญญา ซึ่งเจรจาในหลักการ 3 ลำมาโดยตลอด ทำให้ได้ราคาลดลง มีการให้อาวุธยุทโธปกรครบถ้วน ไม่เช่นนั้นราคาก็จะสูงขึ้น โดยการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 กองทัพเรือได้มีการเจรจาต่อรองในงบประมาณที่คุ้มค่าที่สุด มีการขอให้การรับประกันถึง 2 ปี ซึ่งปกติจะให้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น การฝึกอบรมให้สามารถทำการรบได้จริง และการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมต่าง ๆ มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท โดยไม่มีการเพิ่มวงเงิน ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลประโยชน์ทางทะเลกับราคาที่ซื้อมา พบว่าผลประโยชน์ทางทะเล 24 ล้านล้านบาท ในขณะที่ราคาลงทุนเรือดำน้ำคิดเป็นร้อยละ 0.093 เท่านั้น ซึ่งมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและตอบสนองยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ยามศึกเรารบ ยามสงบเราต้องเตรียมพร้อม ทั้งขวัญกำลังใจ คน และเครื่องมือ ปัจจุบันความรุนแรงของอาวุธมีมากขึ้น เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องพัฒนามากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับเรือดำน้ำในทันที แต่ต้องรอการก่อสร้างถึง 6 ปี และต้องส่งคนไปเรียนรู้การก่อสร้าง การใช้งานต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำนี้เพื่อความสงบสุขของประเทศ ทุกคนต้องเสียสละทั้งคนที่ต้องไปเรียนรู้และคนที่ต้องลงไปอยู่ในเรือดำน้ำ พร้อมขอให้ทุกคนภูมิใจในความเป็นชาติของเรา ความเข้มแข็งของเรา อธิปไตยของเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครอยากทำลาย
ปัจจุบัน ในอาเซียนมีเรือดำน้ำทั้งหมด 18 ลำ ประกอบด้วย เวียดนาม 6 ลำ, อินโดนีเซีย 5 ลำ (กำลังซื้อเพิ่มเติม 4 ลำ), สิงคโปร์ 4 ลำ (กำลังซื้อเพิ่มเติม 4 ลำ), มาเลเซีย 2 ลำ และเมียนมา 1 ลำ (กำลังซื้อเพิ่มเติม 4 ลำ) ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์ของไทยช่วง 2481-2484 ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยมีเรือดำน้ำ 4 ลำ โดยปัจจุบันเรือดำน้ำเหล่านั้นปลดประจำการไปตั้งแต่ปี 2494 นับเป็นเวลากว่า 69 ปีแล้วที่กองทัพเรือไทยไม่มีเรือดำน้ำประจำการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39175 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินเปิดให้กู้สินเชื่อ “SMEs มีที่ มีเงิน” ช่วยธุรกิจท่องเที่ยว ตามมติ ครม.วงเงิน 10,000 ลบ. ปีแรกดอกเบี้ยต่ำ 0.10% ลงทะเบียนยื่นกู้ทาง www.gsb.or.th เริ่ม 18 ก.พ.2564 | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
ออมสินเปิดให้กู้สินเชื่อ “SMEs มีที่ มีเงิน” ช่วยธุรกิจท่องเที่ยว ตามมติ ครม.วงเงิน 10,000 ลบ. ปีแรกดอกเบี้ยต่ำ 0.10% ลงทะเบียนยื่นกู้ทาง www.gsb.or.th เริ่ม 18 ก.พ.2564
ธ.ออมสินจัดทำโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว วงเงินโครงการ 10,000 ลบ. เริ่มเปิดรับลงทะเบียนขอกู้ทางเว็บไซต์ www.gsb.or.th ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.2564 จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจท่องเที่ยวยังคงได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักหลังจากการท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติม เพื่อเยียวยาและเพิ่มสภาพคล่องสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยมอบหมายธนาคารออมสิน จัดทำโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท เริ่มเปิดรับลงทะเบียนขอกู้ทางเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด
โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สามารถใช้ที่ดินเปล่า หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นหลักประกันการขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อนำเงินกู้ไปใช้เสริมสภาพคล่องให้กิจการ หรือเพื่อไถ่ถอนที่ดินซึ่งทำสัญญาขายฝากกับเอกชนไว้ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2563 โดยธนาคารฯ ให้วงเงินสินเชื่อต่อราย ไม่เกิน 70% ของราคาประเมินที่ดินราชการ ระยะเวลากู้ 3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษตามนโยบายรัฐบาล ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 0.10% ต่อปี ปีที่ 2 = 0.99% ต่อปี และปีที่ 3 = 5.99% ต่อปี กรณีบุคคลธรรมดาจำนวนเงินให้กู้ 1-10 ล้านบาท นิติบุคคลจำนวนเงินให้กู้ 1-50 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเงื่อนไขการขอสินเชื่อได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th
“สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน ของธนาคารออมสิน เริ่มเปิดให้กู้ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2563 มีแนวคิดเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนที่ขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจ หรือมีความเสี่ยงสูญเสียที่ดินติดสัญญาขายฝากอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากที่ได้เตรียมวงเงินโครงการเริ่มแรก 5,000 ล้านบาท ต้องขยายเพิ่มเติมเป็น 10,000 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทะเบียนขอกู้จนเต็มวงเงินในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับวงเงินใหม่ 10,000 ล้านบาทนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล โดยธนาคารจะพิจารณาให้กู้จากคุณภาพของหลักประกัน และคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าว.
https://www.gsb.or.th/news/gsb-pr-06/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39170 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เกษตรฯ” จับมือ “พาณิชย์” ผนึกจีนขยายความร่วมมือพัฒนามาตรฐานคุณภาพผลไม้ไทย | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
“เกษตรฯ” จับมือ “พาณิชย์” ผนึกจีนขยายความร่วมมือพัฒนามาตรฐานคุณภาพผลไม้ไทย
“เกษตรฯ” จับมือ “พาณิชย์” ผนึกจีนขยายความร่วมมือพัฒนามาตรฐานคุณภาพผลไม้ไทย ดันส่งออกปี 64 เพิ่ม ตั้งเป้าทะลุ 7 หมื่นล้านบาท
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (17 ก.พ.) ว่า ภายใต้นโยบายทำงานเชิงรุกยุคโควิดเพื่อขยายการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดโลกของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ จะจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาคุณภาพผลไม้เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มขึ้นในการส่งออกผลไม้ไทยไปจีน โดยจะมีการประชุมร่วมกันกับผู้แทนกระทรวงเกษตรฯ และอัครราชฑูตที่ปรึกษาด้านพาณิชย์ของจีนรวมทั้งหอการค้าไทย-จีนและผู้แทนภาคเอกชนของ 2 ฝ่าย ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
“ปีที่แล้วเราสามารถส่งออกผลไม้ไปจีนเป็นมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท แม้จะเผชิญกับวิกฤติการณ์โควิด19 ซึ่งปัจจัยความสำเร็จที่ผ่านมาคือการทำงานภายใต้โมเดล “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ และการพัฒนาระบบผลิตจนถึงผู้บริโภคด้วยนโยบาย “เกษตรปลอดภัย อาหารปลอดภัย” สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้วยมาตรฐาน GAP GMP ฯลฯ และในการขยายความร่วมมือกับจีนครั้งนี้จะสามารถส่งออกผลไม้ไปจีนได้ไม่น้อยกว่า 7 หมื่นล้านบาท” นายอลงกรณ์ กล่าว
สำหรับประเด็นการหารือจะครอบคลุมตั้งแต่ การพัฒนามาตรฐานและคุณภาพผลไม้ไทย ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) จากฟาร์มถึงผู้บริโภค การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การขนส่งโลจิสติกส์ (Logistics Management) การส่งเสริมการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ (O2O model) การพัฒนาการอำนวยความสะดวก (Facilitation) บริเวณด่านส่งออก 4 ด่านได้แก่ ด่านโมฮ่าน ด่านโหยวอี้กวน ด่านตงชิงและด่านผิงเสียง รวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและผู้ประกอบการ (Entrepreneurship Development)
ประเทศไทยและประเทศจีนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานผูกพันเสมือนพี่น้องกันและได้พัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีพิธีลงนามความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานสอดคล้องกับกฎระเบียบและข้อบังคับการนำเข้าของสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างหอการค้าไทย-จีน และ บริษัท ซี ซี ไอ ซี (ประเทศไทย)จำกัด โดยมี นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานหอการค้าไทยจีน Mr.Liu Hua Lyu กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท CCIC (Thailand) Mr.Wang Li Ping อัครราชฑูตที่ปรึกษาด้านพาณิชย์ Mr.Wang Hong Wei Chairman Bank of China นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ดร.วีระพงศ์ มาลัย ผอ.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นายชาคริต เทียบเธียรรัตน์ กรรมการผู้อำนวย Central Lab Thai นายณรงศักดิ์ ชื่นสุขุม ผู้จัดการใหญ่บริษัท NC Coconut จำกัด ตัวแทนผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ไทย ร่วมด้วย แขกผู้มีเกียรติฝ่ายไทย และจีน โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นสักขีพยาน ณ หอประชุมใหญ่ (กวางหวาถัง) หอการค้าไทยจีน อาคาร ไทย ซี-ซี สาทรใต้ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39177 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลควบคุมและเฝ้าระวังภัยความมั่นคงตามชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันจะดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ และนายทุน ที่ลักลอบนำแรงงานต่างประเทศเข้ามา | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลควบคุมและเฝ้าระวังภัยความมั่นคงตามชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันจะดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ และนายทุน ที่ลักลอบนำแรงงานต่างประเทศเข้ามา
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลควบคุมและเฝ้าระวังภัยความมั่นคงตามชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันจะดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ และนายทุน ที่ลักลอบนำแรงงานต่างประเทศเข้ามาบริเวณชายแดนตามขั้นตอน
วันนี้ (17 ก.พ. 64) เวลา 17.45 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เกี่ยวกับประเด็นการควบคุมและเฝ้าระวังภัยความมั่นคงตามชายแดน ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการควบคุมและเฝ้าระวังความมั่นคงว่า จำเป็นต้องสร้างเครือข่ายประชาชนให้มากขึ้นเพื่อเป็นพลังทางสังคม ปัญหาทางด้านความมั่นคงที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาซึ่งปรากฎผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ช่วยให้เจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลในชั้นต้น แต่จำเป็นต้องพิสูจน์ทราบในรายละเอียดต่อไป ซึ่งวันนี้ได้เปิดช่องทางให้มีการแจ้งเรื่องภัยความมั่นคงต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง ทำให้ได้รับข้อมูลมากขึ้นและมีการจับกุมแล้วหลายคดี ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนทั้งหมด บางครั้งจึงไม่สามารถสื่อสารออกไปได้เพราะกำลังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวน ในส่วนของนายทุนก็สามารถดำเนินการจับกุมนายทุนรายใหญ่ได้เมื่อสองวันที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลและรายละเอียดจะตามมาภายหลังเมื่อข้อมูลมีความชัดเจนมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า เมื่อข้อมูลด้านความมั่นคงได้ส่งต่อมาถึงผู้บัญชาโดยตรงระดับบน จะไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์อย่างแน่นอน พร้อมปฏิเสธเรื่องการเคยชินกับการทุจริต และขอให้ระมัดระวังเรื่องการบิดเบือนข้อมูลในการอภิปรายในสภา พร้อมชี้แจงความโปร่งใสผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งเน้นย้ำว่า ขณะนี้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเฝ้าระวังความมั่นคงตามชายแดนอย่างเชิงรุก มีการบริหารอย่างยั่งยืนตามแนวทางที่เรียกว่า Bubble and Seal มีโรงพยาบาลสนาม และการเฝ้าระวังต่าง ๆ อย่างครอบคลุม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39195 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือนเปิดอบรมหลักสูตร ICAO : CORSIA VERIFICATION ในรูปแบบ Virtual Classroom | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
สถาบันการบินพลเรือนเปิดอบรมหลักสูตร ICAO : CORSIA VERIFICATION ในรูปแบบ Virtual Classroom
สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม เปิดอบรมหลักสูตร ICAO : CORSIA VERIFICATION หัวข้อ “The Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation (CORSIA) Verification”
สำหรับหน่วยงานในอุตสาหกรรมการบิน หน่วยงานที่กำกับดูแลสิ่งแวดล้อมเฉพาะทางด้านการตรวจสอบปริมาณการปล่อยคาร์บอน ในโครงการชดเชยและลดคาร์บอนสำหรับการบินระหว่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ - วันที่ 5 มีนาคม 2564 และฝึกอบรมวันที่ 16 - 19 มีนาคม 2564 ในรูปแบบ Virtual Classroom ผ่านโปรแกรม Zoom
การฝึกอบรมหลักสูตร ICAO : CORSIA VERIFICATION มีเนื้อหาของบทเรียน ประกอบด้วยการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับวิธีการการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Use Monitoring Methods: FUMMs) และเครื่องมือประมาณการคาร์บอนไดออกไซด์ (ICAO CORSIA CO2 Estimation and Reporting Tool: CERT) ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ ICAO ได้แก่ การสังเกตการณ์ (Monitoring), การรายงาน (Reporting), และการตรวจประเมิน (Verification) โดยการเรียนการสอนของหลักสูตรเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยวิทยากรจาก ICAO เมื่อจบการฝึกอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรจาก ICAO เพื่อการันตีว่าผู้เข้าฝึกอบรมสามารถเขียนส่งรายงาน พร้อมระบุขอบเขตของการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นไปอย่างครบถ้วนและถูกต้อง ก่อนนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้ารับการตรวจประเมินองค์กรของตนเอง
การฝึกอบรมจัดขึ้นในรูปแบบ Virtual Classroom ผ่านโปรแกรม Zoom สามารถรองรับทุกอุปกรณ์ สามารถติดตั้งและใช้ประชุมใน Smart Phone, Tablet, Notebook หรือ Computer ได้ทุกรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการ Social Distancing ลดความเสี่ยงในการเพิ่มจำนวนผู้ติดต่อโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้สนใจสามารถกรอกใบสมัครได้ที่ https://itrain.catc.or.th และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2272 5741 ต่อ 8571 หรือ 08 6628 1611 E-mail: [email protected]
#กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39166 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกชี้แจงชัดเจนการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องแต่งกายทหาร และกรณีกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน เป็นไปตามระเบียบวิธีทางราชการ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกชี้แจงชัดเจนการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องแต่งกายทหาร และกรณีกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน เป็นไปตามระเบียบวิธีทางราชการ
นายกชี้แจงชัดเจนการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องแต่งกายทหาร และกรณีกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน เป็นไปตามระเบียบวิธีทางราชการ
วันนี้ (17 ก.พ.64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยได้กล่าวชี้แจงต่อกรณีการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องแต่งกายทหาร และกรณีกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืนดังนี้
นายกรัฐมนตรีชี้แจงทางราชการต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของรัฐและสอดคล้องกับหลักการในเรื่องความคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึงตรวจสอบได้ โดยการจัดซื้อจัดจ้างของราชการจะมีเงื่อนไขที่ผู้ขายจะต้องปฏิบัติ ซึ่งแตกต่างจากการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เช่น การเสนอราคา การวางหลักประกัน การเสนอราคา การวางหลักประกันสัญญา การค้ำประกันการชำรุดเสียหาย การจัดส่งพัสดุตามระยะเวลาการส่งมอบ และการปรับเมื่อไม่ปฏิบัติตามสัญญา 0.2% ของวงเงินตามสัญญา ในการจัดทำคุณลักษณะเฉพาะ กองทัพได้กำหนดขั้นตอนการจัดทำคุณลักษณะเฉพาะ หรือ สเป็ก ให้เหมาะสมกับการใช้งานทางทหาร ซึ่งจะมีลักษณะของวัสดุที่มีความคงทน แตกต่างจากท้องตลาดโดยทั่วไป สำหรับที่มาของราคากลางนั้น เป็นการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งกำหนดวิธีการหาราคากลางเพื่อเป็นฐานสำหรับเปรียบเทียบราคาที่มีการเสนอราคาในการจัดซื้อจัดจ้าง (เช่น ใช้ราคามาตรฐานที่กำหนด การสืบราคา ราคาที่เคยจัดซื้อครั้งหลังสุดภายใน 2 ปีงบประมาณที่ผ่านมา เป็นต้น) ในกรณีของการจ้างผลิดเครื่องแต่งกาย ได้ใช้วิธีสืบราคา โดยเป็นการนำคุณลักษณะเฉพาะ หรือ สเป็กดังกล่าว ไปสืบราคาจากผู้ประกอบการที่มีขีดความสามารถในการผลิตได้ตรงวัตถุประสงค์ของทางราชการ เครื่องแต่งกายที่ได้มาเป็นการจ้างผลิตเป็นการเฉพาะซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีขีดความสามารถในการผลิตได้ครั้งละจำนวนมาก ๆ ทันเวลา และจะต้องมีคุณภาพ รวมถึงมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมือนกันทั้งกองทัพ ไม่สามารถหาซื้อตามท้องตลาดโดยทั่วไป
ส่วนกรณีกล้องหน่วยทหารราบและหน่วยรบพิเศษมีความจำเป็นต้องใช้กล้องดังกล่าว ในภารกิจลาดตระเวนและเฝ้าตรวจในเวลากลางคืน โดยเฉพาะหน่วยที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศตามแนวชายแดน ตลอดจนการเฝ้าตรวจ และค้นหาการลักลอบขนยาเสพติด และการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จึงทำให้กองทัพบกมีความต้องการใช้งานกล้องที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งส่วนนี้เป็นภารกิจที่เสริมเข้ามาจากเดิมที่โดยปกติแล้วหน่วยรบพิเศษมีภารกิจที่อันตรายสูงสุดและคนจำนวนน้อย กองทัพบกจึงมีความต้องการใช้กล้องที่มีประสิทธิภาพสูง โดยในปี 2561 ก่อนการจัดซื้อจัดจ้าง กองทัพบกได้สืบหากล้องที่มีคุณลักษณะหรือสเป็กตรงตามความต้องการของหน่วยดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงได้เชิญผู้ประกอบการนำกล้องดังกล่าวมาทำการทดสอบทดลองใช้งานกับหน่วยต่าง ๆ ซึ่งกล้องดังกล่าวสามารถตอบสนองต่อการปฎิบัติภารกิจดังที่กล่าวมาแล้ว กองทัพบกจึงได้นำคุณสมบัติและขีดความสามารถของกล้องดังกล่าวมาจัดทำเป็นคุณลักษณะเฉพาะเพื่อการจัดหา ตามการพิจารณาของคณะกรรมการ ทั้งนี้ กองทัพบกได้จัดซื้อด้วยโดยวิธี E – Bidding ซึ่งหน่วยงานได้นำไปใช้งานแล้ว สามารถตอบสนองการใช้งานได้ตามต้องการ
การจัดหาในปีงบประมาณ 2563 หน่วยงานได้ยืนยันความต้องการในการใช้งานกล้องแบบเดิมเพื่อให้ครบตามจำนวนความต้องการ ประกอบกับกองทัพบกได้ตรวจสอบการแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายจากบริษัทผู้ผลิตแล้ว ทราบว่ามีเพียงรายเดียว จึงทำให้กองทัพบกต้องดำเนินการจัดหาโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งราคาที่จัดซื้อครั้งนี้เท่ากับราคาที่เคยจัดซื้อในปีงบประมาณ 2561 และ 2562
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39171 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" รมว.ทส. เปิดงานครบ 1 ปี โครงการ Care the Whale @ รัชดา พร้อมชวนทุกภาคส่วนหาทางออกสู้วิกฤต โลกร้อน | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
"วราวุธ" รมว.ทส. เปิดงานครบ 1 ปี โครงการ Care the Whale @ รัชดา พร้อมชวนทุกภาคส่วนหาทางออกสู้วิกฤต โลกร้อน
"วราวุธ" รมว.ทส. เปิดงานครบ 1 ปี โครงการ Care the Whale @ รัชดา พร้อมชวนทุกภาคส่วนหาทางออกสู้วิกฤต โลกร้อน
วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2564) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน Climate Care Forum #1 “Survive Climate Tipping Point ในโอกาสครบ 1 ปี โครงการ Care the Whale พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Survive Climate Tipping Point”โดยภายในงานมีการเสวนาเรื่อง “ขยะล่องหน : ถอดบทเรียน สู้โลกร้อน” จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มาร่วมหาทางออก จากการถอดบทเรียนการบริหารจัดการขยะในบริบทภาคส่วนต่างๆ ไปจนถึงการสร้างนวัตกรรมทางออกให้แก่ขยะอาหารและขยะแฟชั่น รวมถึงร่วมอัพเดตปรากฎการณ์ปัญหาโลกร้อนและนโยบายจัดการสิ่งแวดล้อมของโลกและในประเทศไทย ณ หอประชุม ศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารบี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และผ่านทาง facebook Live : SET Thailand, SET Social Impact, Care the Whale โดยโอกาสนี้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
รมว.ทส. ชวนทุกภาคส่วนหาทางออกร่วมกันในการดึงกราฟอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นการชะลอเวลา "นาฬิกาโลกร้อน" หริอ Climate Clck ที่เหลือเวลาให้พวกเราเพียง 6 ปีกว่าๆ ซึ่งเป้าหมายที่เป็นการทำงานร่วมกันในเวทีโลก โดยประเทศไทยได้เข้าสู่ระยะที่ 2 ในการลดก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า "Nationally Determined Contribution" หรือ NDC ที่ร้อยละ 20 - 25 จากกรณีปกติ ภายในปี 2030 โดยมุ่งเน้น
การลดก๊าซเรือนกระจกในสาขาพลังงาน คมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และการใช้ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการของเสีย ตลอดจนขณะนี้กำลังผลักดัน "พระราชบัญญัติกรเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ "
ให้เป็นอีกกลไกหลักในการยกระดับความเป็นสากลด้านสิ่งแวดล้อม และเอื้อต่อการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญของการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา คือ ความร่วมมือกันที่เข้มแข็งจากทุกภาคส่วน
ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาคประชาชน
โครงการ Care the Whale ถ.รัชดาภิเษก เป็นโครงการพื้นที่ต้นแบบการเรียนรู้งานบริหารจัดการขยะ ขยายสู่ความร่วมมือนอกย่าน หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับพันธมิตรและเครือข่ายกว่า 30 องค์กร ร่วมลดก๊าซเรือนกระจกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาของโครงการฯ ได้ 4,268,495.04 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (Kg.CO2e) เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่อายุ 10 ปี จำนวน 474,277 ต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39187 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board)
Egg Board เร่งแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ตกต่ำจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เร่งผลักดันการส่งออกและเสนอขอใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมได้มีการรายงานสถานการณ์การผลิตไข่ไก่ในปัจจุบัน และข้อร้องเรียนการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ตกต่ำจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดและราคาตกต่ำโดยการผลักดันการส่งออก ตามข้อเสนอของสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ (กรมปศุสัตว์) แจ้งมติต่อกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดำเนินการเสนอขอใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตามระเบียบกองทุนรวมฯ ต่อไปโดยด่วน
ทั้งนี้ สถานการณ์การผลิตไข่ไก่ในปัจจุบันมี แผนการเลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) ในปี 2563 จำนวน 3,800 ตัว นำเข้าเลี้ยงแล้ว 100% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63) และปี 2564 จำนวน 3,800 ตัว ยังไม่มีการนำเข้าเลี้ยง (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.พ. 64) แผนการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) ปี 2563 จำนวน 440,000 ตัว นำเข้าเลี้ยงแล้ว 439,168 ตัว (99.8%) (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63) และในปี 2564 จำนวน 440,000 ตัว นำเข้าเลี้ยงแล้ว 74,270 ตัว (16.9%) (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.พ. 64) จำนวนไก่ไข่ยืนกรง ปัจจุบัน 51,127,140 ตัว ประมาณการผลิต 42,435,526 ฟองต่อวัน (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 64) การส่งออกไข่ไก่สด ปี 2563 (ม.ค. - ธ.ค.) จำนวน 221.29 ล้านฟอง ลดลงจากช่วงเดียวกันในปี 2562 ร้อยละ 18.45 ตลาดหลัก คือ ฮ่องกง คิดเป็นร้อยละ 49 รองลงมา คือ สิงคโปร์ ร้อยละ 48 ราคา ณ วันที่ 15 ก.พ. 64 ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ฟองละ 2.50 บาท ลูกไก่ไข่ตัวละ 28 บาท ไก่ไข่รุ่นตัวละ 150 บาท ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ ปี 2563 (ม.ค. - ธ.ค.) เฉลี่ยฟองละ 2.58 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 1.9 และปี 2564 (ม.ค. - มี.ค.) ประมาณการต้นทุน ไตรมาสที่ 1 เฉลี่ยฟองละ 2.66 บาท โดยคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาอาหารสัตว์ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ของกรมปศุสัตว์ มีมาตรการผลักดันการส่งออกไข่ไก่และปลดไก่ไข่ชดเชย เดือน ธ.ค. 2563 – 11 ก.พ. 2564 เป้าหมายเพื่อลดปริมาณไข่ไก่ส่วนเกินในตลาดภายในประเทศ 65 ล้านฟอง ส่งออกแล้ว 16,787,581 ฟอง ปลดไก่ไข่ชดเชยแล้ว 894,267 ตัว เทียบเท่าส่งออก 45,470,305 ฟอง รวมดำเนินการแล้ว 62,257,886 ฟอง คิดเป็นร้อยละ 95.78
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการ Egg Board เรื่อง หลักเกณฑ์ มาตรการ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการข้อร้องเรียนด้านการกระจายพันธุ์ไก่ไข่ และการปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการรณรงค์เพิ่มการบริโภคไข่ไก่ โดยเพิ่มผู้แทนจาก 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ทั้งนี้ จะนำมติดังกล่าวเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนามต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39180 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กองตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๒ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39183 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แจง การออกคำสั่ง คสช. มาตรา 44 เพื่อบริหารจัดการโครงการ สัญญาที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง 3 ช่วงให้เกิดเอกภาพ อำนวยความสะดวกการเดินทางให้ประชาชน | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ แจง การออกคำสั่ง คสช. มาตรา 44 เพื่อบริหารจัดการโครงการ สัญญาที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง 3 ช่วงให้เกิดเอกภาพ อำนวยความสะดวกการเดินทางให้ประชาชน
นายกฯ แจง การออกคำสั่ง คสช. มาตรา 44 เพื่อบริหารจัดการโครงการ สัญญาที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง 3 ช่วงให้เกิดเอกภาพ อำนวยความสะดวกการเดินทางให้ประชาชน ให้กำหนดอัตราค่าโดยสารเหมาะสมเป็นธรรม
วันนี้ (17 ก.พ.64) เวลา 20.40 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถึงกรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า เป็นการดำเนินการ 3 ช่วง โดยช่วงแรกเป็นเส้นทางสายหลัก คือสายสุขุมวิทและสายสีลม เป็นช่วงที่ทำสัญญาให้กับเอกชนไว้ตั้งแต่ปี 2535 มีระยะเวลาสัญญา 30 ปี จะสิ้นสุดในปี 2572 และช่วงต่อไปเป็นเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 2 เดิม รฟม. เป็นผู้ก่อสร้าง ต่อมามติคณะรัฐมนตรีปี 2561 เห็นชอบให้โอนช่วงดังกล่าวมาให้ กทม. รับมาบริหารจัดการแทน รวมถึงรับภาระหนี้ต่าง ๆ มาจาก รฟม. ด้วย ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีสัญญาการดำเนินงานที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง อาจทำให้เกิดปัญหาการบูรณาการ การบริหารจัดการโครงการ และการบริหารจัดการสัญญา ที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ หากต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายร่วมทุนภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจทำให้การดำเนินงานล่าช้าออกไปอีก 2-3 ปี โดยรัฐบาลไม่อยากให้เกิดปัญหาการเดินรถที่อาจจะเกิดความไม่ต่อเนื่องดังเช่นบางโครงการในอดีต นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จึงได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่ง คสช. เพื่อให้เกิดการบูรณาการการบริหารจัดการโครงการ และสัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการสายสีเขียวทั้ง 3 ช่วง ให้เกิดเอกภาพ สามารถเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน อำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางของประชาชน และให้กำหนดอัตราค่าโดยสารให้เหมาะสมและเป็นธรรม ไม่เป็นภาระประชาชน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ ในเรื่องราคาค่าโดยสารดังที่กล่าวมา เพราะขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือ และ กทม. ได้ชะลอการดำเนินการแล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในการดำเนินงานนั้น อำนาจตามมาตรา 44 ให้ตั้งคณะกรรมการมาดูเรื่องนี้ และมีองค์ประกอบของคณะกรรมการแนวเดียวกับองค์ประกอบคณะกรรมการตามกฎหมายร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน ทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์จากค่าโดยสาร รวมถึงหลักเกณฑ์อื่นเพื่อประโยชน์ในการรวมโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 และให้ดำเนินการเจรจากับผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อให้เกิดการบูรณาการการบริหารจัดการโครงการ สามารถเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน อำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางของประชาชนผู้โดยสาร และมีอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรม ไม่เป็นภาระประชาชน หากมีผลการเจรจาจนได้ข้อยุติและได้ร่างสัญญาร่วมลงทุนฉบับแก้ไขแล้ว ก็ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน ในส่วนของการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนแล้ว สำหรับขั้นตอนอื่นๆ หลังจากนี้ ก็ให้หน่วยงานดำเนินการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชนต่อไป
นายกรัฐมนตรีชี้แจงด้วยว่า ในคำสั่ง คสช. ดังกล่าว ไม่ได้ระบุหรือบังคับให้มีการขยายสัมปทานกับเอกชนรายเดิมออกไปอีก 40 ปี อย่างที่กล่าวหาในขณะนี้ และการที่กล่าวหาว่ารัฐเอื้อเอกชนรายเดิม ทำไมจึงเจรจากับเอกชนรายเดิมนั้นต้องย้อนกลับไปดูสัญญาสัมปทานเดิม โครงการสายหลักที่ทำไว้เมื่อปี 2535 กำหนดว่า หาก กทม. จะให้มีการดำเนินการสายทางเพิ่มเติมในระหว่างอายุของสัญญาหรือขยายเส้นทางของระบบ บริษัทมีสิทธิเป็นรายแรกที่จะเจรจากับ กทม. ก่อน ดังนั้น หากไม่เจรจากับเอกชนรายเดิมก่อน รัฐอาจถูกเอกชนฟ้องร้องในภายหลังว่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ในคำสั่ง คสช. ให้นำประกาศคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต เรื่องแนวทางและวิธีการในการดำเนินโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แบบของข้อตกลงคุณธรรม การคัดเลือกผู้สังเกตการณ์ มาใช้กับการดำเนินงานตามคำสั่ง คสช. ฉบับนี้ด้วย รวมถึงเรื่องค่าโดยสาร ซึ่งตามกฎหมายแล้วอยู่ในอำนาจของผู้ว่า กทม. ส่วนผลการดำเนินการ ตามคำสั่ง คสช. ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียดว่า เจรจาแล้วได้ผลอย่างไร ทั้งในส่วนของค่าโดยสารและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน พร้อมยืนยันว่า ผลการดำเนินการตามคำสั่ง คสช. ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพราะยังอยู่ในระหว่างการเจรจรา ดังนั้น ขออย่าพูดกันเกินเลยว่าให้ขึ้นราคาแล้วเท่านั้นเท่านี้ อย่าเพิ่งจินตนาการกันไป
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงในส่วนของข้อกฎหมายที่มีการอ้างว่าขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 56 นั้น ได้มีการปรึกษาฝ่ายกฎหมายแล้ว หากเข้าสู่กระบวนการก็แล้วแต่ศาลจะพิจารณา โดยคำสั่ง คสช. นั้น ระบุไว้ว่าให้กำหนดค่าโดยสารในอัตราที่เหมาะสม ระบุไว้ด้วยว่ารักษาวินัยการเงินการคลังโดยให้มีคณะกรรมการมาสังเกตการณ์ตามข้อตกลงคุณธรรมด้วย ไม่ผูกขาดเพราะสัญญาสัมปทานเดิม ให้เจรจากับรายเดิมก่อน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39199 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชี้แจงที่มาของหนี้สาธารณะและยืนยันการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลเป็นไปอย่างรอบคอบ พร้อมยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ ชี้แจงที่มาของหนี้สาธารณะและยืนยันการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลเป็นไปอย่างรอบคอบ พร้อมยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
นายกฯ ชี้แจงที่มาของหนี้สาธารณะและยืนยันการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลเป็นไปอย่างรอบคอบ พร้อมยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
วันนี้ (17 ก.พ.64) เวลา 10.35 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีหนี้สาธารณะ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาหนี้สาธารณะ มีทั้งหนี้ที่เกิดจากโครงการในอดีตที่ล้มเหลว ทำให้รัฐบาลต้องมารับช่วงผ่อนชำระต่อ อาทิ โครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลชดใช้ไปแล้วกว่า 705,018 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2563 เหลือหนี้อยู่ 288,401 ล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ยอีกกว่า 83.08 ล้านบาท รวมถึงต้องตั้งงบประมาณชดใช้อีกปีละ 23,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 12 ปี และหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาธรกว่า 20,000 ล้านบาท โดยการเคหะชดเชยไปแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญและได้จัดสรรงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือประชากรทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) ผ่านกลไกธนาคารของรัฐตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ นอกจากนี้ ยังจัดสรรงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งสองระลอก ตามพระราชบัญญัติเงินกู้เป็นจำนวนกว่า 1 ล้านล้านบาท รวมไปถึง การทยอยแก้ปัญหาให้กับประชาชนด้วยการออกโครงการใหม่ต่างๆ อาทิ โครงการเราชนะที่มีวงเงิน 210,200 ล้านบาท โครงการสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และโครงการการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19
นายกรัฐมนตรีขอให้มั่นใจการพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณอย่างเหมาะสมและพิจารณาอย่างรอบคอบของรัฐบาลในแต่ละด้าน รวมทั้ง ยึดถือความมั่นคง ผลประโยชน์ของประเทศชาติและมีประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยพยายามทำทุกอย่างให้สุจริต โปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39176 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยัน ศบค. ทำงานเป็นขั้นตอน มีระเบียบปฏิบัติ ไม่เคยรวมศูนย์อำนาจ | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรียืนยัน ศบค. ทำงานเป็นขั้นตอน มีระเบียบปฏิบัติ ไม่เคยรวมศูนย์อำนาจ
นายกรัฐมนตรียืนยัน ศบค. ทำงานเป็นขั้นตอน มีระเบียบปฏิบัติ ไม่เคยรวมศูนย์อำนาจ
วันนี้ (17 ก.พ.64) เวลา 17.25 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่รวบอำนาจ และแทรกแซงการทำงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยโรคโควิด-19 เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป็นภัยคุมคามบ้านเมืองในหลายมิติ จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาในทันที ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการรับรู้ที่ผิดพลาด โดยหลายเรื่องมีความเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวงที่รับผิดชอบกฎหมายที่ต่างกัน รัฐบาลจึงเปิดให้มีเวทีกลาง ในระดับส่วนกลาง ระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงให้มีความรับผิดชอบในระดับพื้นที่ที่มีความรุนแรงแตกต่างกันไป ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สุขและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่มีข้อจำกัด แต่หากเราหันหน้ามาหารือร่วมกันก็จะสามารถแก้ปัญหาในทิศทางเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีการผ่อนการควบคุมในบางกรณี แต่ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานหลักของ ศบค. ที่ออกไป ซึ่งมีการบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน และการทำงานของ ศบค. ไม่มีการรวมศูนย์อำนาจ เป็นการทำงานไปในทิศทางเดียวกันบูรณาการร่วมกัน คำสั่งเกิดจากการสังเคราะห์มาจากหน่วยงานย่อยมาผ่าน ศบค. ใหญ่ และนำไปผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมีการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างกระแสปลุกปั่น บิดเบือนสร้างข่าวปลอม ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นเจ้าหน้าที่รัฐบาลทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39193 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ โต้กรณีกิจการหินและสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ กำหนดระยะเวลาตามระเบียบสัญญาชัดเจน ยึดหลักพิจารณาเพื่อประโยชน์สูงสุด | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกฯ โต้กรณีกิจการหินและสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ กำหนดระยะเวลาตามระเบียบสัญญาชัดเจน ยึดหลักพิจารณาเพื่อประโยชน์สูงสุด
นายกฯ โต้กรณีกิจการหินและสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ กำหนดระยะเวลาตามระเบียบสัญญาชัดเจน ยึดหลักพิจารณาเพื่อประโยชน์สูงสุด
วันนี้ (17 ก.พ.64) เวลา 10.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีกิจการหินและสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับผู้ประกอบการมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยจะทำสัญญากันแบบปีต่อปี ซึ่งในสัญญาได้ระบุเงื่อนไขการส่งมอบ การบอกเลิกสัญญา รวมถึงค่าปรับจากการขาดประโยชน์ไว้ ซึ่งในปีแรก ผู้ประกอบการไม่สามารถผลิตได้ตามสัญญานับเป็นจำนวน 1 ล้านตันเศษ หรือคิดเป็นมูลค่าของการขาดประโยชน์เป็นเงินประมาณ 40 ล้านบาท กองทัพเรือจึงได้มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการให้ชำระค่าขาดประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งผู้ประกอบการได้ยินยอมจ่ายค่าขาดประโยชน์จำนวนดังกล่าวในลักษณะผ่อนชำระ โดยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ผู้ประกอบการได้ชำระเงินงวดแรกจำนวน 5 ล้านบาท และได้ทำหนังสือยอมรับสภาพหนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข สำหรับจำนวนที่เหลืออีก 35 ล้านบาทเศษ ได้ขอผ่อนชำระจำนวน 34 เดือน เดือนละ 1 ล้านบาทเศษ
ในส่วนของประเด็นของกองทัพเรือ นายกรัฐมนตรีเผยว่า แม้ผู้ประกอบการจะมีผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ผู้ประกอบการได้แสดงเจตนารมณ์ในเรื่องของการเพิ่มกำลังการผลิตให้เต็มประสิทธิภาพมาโดยตลอด เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการเพิ่มเครื่องจักรและเพิ่มกำลังการผลิตอื่น ๆ มีการสำรวจ ขยายเขต และขอเพิ่มปริมาณหิน ขอต่ออายุประทานบัตร ชำระค่าธรรมเนียม ค่าภาษีอากรต่าง ๆ ค่าภาคหลวงแร่ และเงินกองทุนต่าง ๆ โดยใช้ค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการเอง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องใช้เงินทุน ระยะเวลา ความต่อเนื่อง และมีหลายขั้นตอน รวมทั้งที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้พยายามปรับปรุงเหมืองและโรงโม่มาโดยตลอด จากสภาพเหมืองหินเดิมที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานกฎระเบียบของกระทรวงอุตสาหกรรม และ พ.ร.บ. แร่ พ.ศ. 2560 ซึ่งขอให้ทุกฝ่ายศึกษาความแตกต่างของ พ.ร.บ. แร่ ดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ หากไม่ดำเนินการอาจถูกสั่งปิดเหมืองและถูกถอนประทานบัตร ส่งผลกระทบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกองทัพเรือ ในฐานะผู้ถือประทานบัตรและผู้ใช้ประโยชน์จากหินที่ผลิตได้อย่างมาก ซึ่งปัจจุบันมีการก่อสร้างและขยายท่าเรือ สนามบินอย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวเสริมว่า หากพิจารณาในภาพรวมจะเห็นว่า การทำสัญญาในปีที่ 2 ให้กับผู้ประกอบการ จะทำให้กองทัพเรือยังคงได้ประโยชน์สูงสุดเมื่อเปรียบเทียบหากต้องฟ้องร้องดำเนินคดี โดยในวันทำสัญญาปีที่ 2 ผู้ประกอบการได้ชำระหนี้งวดแรกจำนวน 5 ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือ และในส่วนที่เหลือได้มีการผ่อนชำระมาโดยตลอด ทั้งนี้ หากเกิดกรณีที่มีการดำเนินการผิดเงื่อนไขในสัญญาเกิดขึ้นในระหว่างการผ่อนชำระ กองทัพเรือจะฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการประเมินในเบื้องต้น ประมาณการว่า ผู้ประกอบการมีจำนวนทรัพย์สินและทุนที่ใช้ดำเนินการทำเหมืองหิน ตลอดจนเครื่องมือ เครื่องจักรต่าง ๆ เพียงพอในการชดใช้ค่าเสียหายให้กับกองทัพเรือได้ จึงขอให้เข้าใจถึงการทำงานของกองทัพเรือที่ต้องดำเนินการในหลายขั้นตอนเพื่อพิจารณาแต่ละประเด็นให้ได้ประโยชน์สูงสุดด้วย ยืนยันว่าทุกอย่างดำเนินการตามสัญญาที่ระบุไว้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39174 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ต่อยอด CEOWORLD จัดอันดับไทยติดอันดับ 5 ประเทศยอดเยี่ยมในโลกที่มีอิทธิพลด้านมรดกวัฒนธรรม | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
วธ.ต่อยอด CEOWORLD จัดอันดับไทยติดอันดับ 5 ประเทศยอดเยี่ยมในโลกที่มีอิทธิพลด้านมรดกวัฒนธรรม
วธ.ต่อยอด CEOWORLD จัดอันดับไทยติดอันดับ 5 ประเทศยอดเยี่ยมในโลกที่มีอิทธิพลด้านมรดกวัฒนธรรม
รุกส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-งานประเพณีท้องถิ่น
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่นิตยสาร CEOWORLD จัดอันดับประเทศยอดเยี่ยมในโลกที่มีอิทธิพลด้านมรดกทางวัฒนธรรมในปีค.ศ.2021 โดยอันดับ 1 คือ อิตาลี รองลงมากรีซ สเปน อินเดียและประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 โดยนิตยสาร CEOWORLD ซึ่งเป็นนิตยสารด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติได้วิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูล 9 ด้าน ได้แก่ สถาปัตยกรรม มรดกงานศิลป์ แฟชั่น อาหาร ดนตรี วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและการเข้าถึงทางวัฒนธรรมจาก 165 ประเทศ ซึ่งผลการจัดอันดับดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศไทยและแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นด้านมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทยทั้งการมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นมรดกโลก ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร รวมทั้งมีประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นอันงดงามของแต่ละภูมิภาคล้วนเป็นสิ่งที่จูงใจให้ชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)จะดำเนินการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ “BCG” หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและภารกิจของวธ.ในเรื่องการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ดนตรี ศิลปะ หัตถกรรม สื่อ และกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมเทศกาล ประเพณี ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม ชุมชนท่องเที่ยวและกิจกรรมทางวัฒนธรรมในทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งการดำเนินการใช้หลักการบวร(บ้าน วัด โรงเรียน/หน่วยงานราชการ)เป็นพลังขับเคลื่อนโดยนำหลักธรรมทางศาสนา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามมาใช้การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของชุมชน
นอกจากนี้ จะจัดทำระบบศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านวัฒนธรรม(M-Culture Big Data)เพื่อเผยแพร่ความรู้และความหลากหลายทางวัฒนธรรมไปสู่ประชาชน จะได้นำความรู้เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการต่อยอดพัฒนาสินค้าและบริการของชุมชนที่เกี่ยวข้องด้านวัฒนธรรม ทำให้ประชาชนและชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและการจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39165 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำไม่เคยทุจริต ยืนยัน 3 ป ไม่รับเงิน | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำไม่เคยทุจริต ยืนยัน 3 ป ไม่รับเงิน
นายกรัฐมนตรีย้ำไม่เคยทุจริต ยืนยัน 3 ป ไม่รับเงิน
วันนี้ (17 ก.พ. 64) เวลา 17.45 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เกี่ยวกับการกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีกระทำการทุจริต ซึ่งนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า กรณีการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 รอบใหม่ ในช่วงแรกรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ดีในระดับหนึ่ง ถึงแม้อาจพบปัญหาและอุปสรรคบ้าง เช่น ปัญหาการลับลอบเข้าประเทศ การทุจริตหรือการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่าตนเอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่เคยเรียกรับเงินแต่อย่างใด และส่วนตัวเป็นคนที่รังเกียจคนกระทำผิดกฎหมาย รังเกียจเงินชั่วๆ ที่ได้มาจากการกระทำความผิด และรังเกียจลูกน้องเลวๆ และหากพบว่ามีการทุจริตดังข้อวิจารณ์ ขอให้ใช้ข้อเท็จจริงในการชี้แจงเพื่อนำไปตรวจสอบ พร้อมชี้แจงต่อสู้ตามกระบวนการกฎหมาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39197 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 | วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 วงเงินรวม 8,800 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ จากสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย โดยจะจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาตลาดอ้างอิงให้แก่เกษตรกร แบบเดียวกับโครงการใน ปี 62 - 63 คือ เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จะได้รับการประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน ราคา กก. ละ 4 บ. ไม่เกิน 25 ไร่/ครัวเรือน ในพื้นที่ที่ให้ผลผลิตแล้ว 3 ปีขึ้นไป เริ่มเดือนม.ค. – ก.ย. 64 สำหรับโครงการในปีการผลิตที่ผ่านมา รัฐบาลได้จ่ายเงินประกันรายได้ให้แก่ชาวสวนปาล์มไปแล้วกว่า 378,900 ครัวเรือนทั่วประเทศ คิดเป็นวงเงินกว่า 7,200 ล้านบาท
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39179 |