sysid
stringlengths 1
6
| title
stringlengths 8
870
| txt
stringlengths 0
257k
|
---|---|---|
742978 | ประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดประเภทของเรือประมง พื้นที่ และระยะเวลาที่ห้ามทำการขนถ่ายสัตว์น้ำ พ.ศ. 2558 | ประกาศกรมประมง
ประกาศกรมประมง
เรื่อง
กำหนดประเภทของเรือประมง พื้นที่ และระยะเวลาที่ห้ามทำการขนถ่ายสัตว์น้ำ
พ.ศ. ๒๕๕๘
ด้วยปัจจุบันการทำการประมงในทะเลนอกน่านน้ำไทยบางประเภทมีการขนถ่ายสัตว์น้ำในทะเลโดยไม่มีการรายงานและการตรวจสอบควบคุม
บางกรณีเป็นการขนถ่ายสัตว์น้ำในทะเลหลวงบริเวณนอกพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การระหว่างประเทศหรือรัฐชายฝั่งอื่น
ทำให้ไม่สามารถควบคุม เฝ้าระวัง สืบค้น และตรวจสอบแหล่งที่มาของสัตว์น้ำได้
เพื่อประโยชน์ในการป้องกันการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และเป็นการเตรียมความพร้อมในการจัดระเบียบการทำการประมงให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๘๗ วรรคสี่ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
อธิบดีกรมประมงออกประกาศกำหนดประเภทของเรือประมง พื้นที่
และระยะเวลาที่ห้ามทำการขนถ่ายสัตว์น้ำไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
ห้ามมิให้เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือประมงไทยที่ทำการประมงในทะเลนอกน่านน้ำไทยทำการขนถ่ายสัตว์น้ำในทะเล
ไม่ว่าจะเป็นการขนถ่ายจากเรือประมงไปยังเรือประมง
หรือเป็นการขนถ่ายจากเรือประมงไปยังเรือประเภทอื่น
ข้อ
๒ ความในข้อ ๑ มิให้ใช้บังคับกับการขนถ่ายสัตว์น้ำในทะเลจากเรือประมงไทยที่ทำการประมงภายใต้มาตรการการอนุรักษ์และบริหารจัดการการประมงของรัฐชายฝั่งที่เรือประมงนั้นเข้าไปทำการประมง
หรือภายใต้การควบคุมดูแลขององค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
หรือในกรณีการขนถ่ายสัตว์น้ำในทะเลจากเรือประมงไทยที่มีผู้สังเกตการณ์ประจำอยู่ในเรือประมง
ทั้งนี้
ให้ถือปฏิบัติตามประกาศกรมประมงที่เกี่ยวข้องกับการขนถ่ายสัตว์น้ำในทะเลโดยอนุโลม
ข้อ
๓ [๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
วิมล จันทรโรทัย
อธิบดีกรมประมง
ปุณิกา/ปริยานุช/จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๔๗ ง/หน้า ๑๗/๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
742962 | ประกาศกรมประมง เรื่อง แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม พ.ศ. 2558 - 2562 และแผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย นโยบายแห่งชาติด้านการจัดการประมงทะเล พ.ศ. 2558 - 2562 | ประกาศกรมประมง
ประกาศกรมประมง
เรื่อง
แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย
ขาดการรายงาน
และไร้การควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒
และแผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย
นโยบายแห่งชาติด้านการจัดการประมงทะเล
พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒[๑]
ด้วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมประมง ร่วมกับศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย หรือ ศปมผ.
ได้จัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน
ยับยั้งและขจัดการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๘
- ๒๕๖๒ (Thailand National Plan of Action to Prevent, Deter and Eliminate Illegal, Unreported and Unregulated Fishing 2015 -
2019 หรือ NPOA-IUU) และแผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย
นโยบายแห่งชาติด้านการจัดการประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒ (Marine Fisheries Management Plan of Thailand หรือ FMP) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
เห็นชอบแผนปฏิบัติการระดับชาติและแผนบริหารจัดการทั้ง ๒ ฉบับ ตามที่แนบท้ายนี้แล้ว
จึงประกาศใช้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ
รวมทั้งบูรณาการในการปฏิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประสบผลสำเร็จในการป้องกัน
ยับยั้งและขจัดการทำการประมงผิดกฎหมาย
และเกิดความยั่งยืนของทรัพยากรประมงและการทำการประมงต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
วิมล จันทรโรทัย
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน
ยับยั้ง และขจัดการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๘
- ๒๕๖๒ Thailand National Plan of Action to Prevent, Deter and Eliminate Illegal, Unreported and Unregulated Fishing 2015 -
2019 (Thailand NPOA-IUU 2015 - 2019)
๒. แผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย
นโยบายแห่งชาติด้านการจัดการประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๒
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปุณิกา/ปริยานุช/จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๔๖ ง/หน้า ๑/๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
742113 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง
การอนุมัติพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
ไปเพื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ นั้น ในคราวประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่
๗๓/๒๕๕๘ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘
ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าวแล้ว
จึงประกาศมาตามความในมาตรา ๒๑
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/จัดทำ
๒๙ ธันวาคม
๒๕๕๘
วริญา/ตรวจ
๔ มกราคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๓๖ ง/หน้า ๑/๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
741322 | ประกาศกรมประมง เรื่อง หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น พ.ศ. 2558 | ประกาศกรมประมง
ประกาศกรมประมง
เรื่อง
หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ
การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู
และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากทรัพยากรสัตว์น้ำภายในที่จับสัตว์น้ำในเขตประมงน้ำจืดหรือเขตทะเลชายฝั่ง
ให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการประมงฉบับใหม่
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ (๒) แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ อธิบดีกรมประมงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมประมง
เรื่อง หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ
๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกระเบียบกรมประมง เรื่อง
การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ
๔ ในประกาศนี้
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น หมายความว่า
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่จัดตั้งขึ้น และได้ขึ้นทะเบียนตามประกาศนี้
ชุมชนประมงท้องถิ่น หมายความว่า
กลุ่มประชาชนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด
ที่รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประมงร่วมกันเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนกันหรือทำกิจกรรมร่วมกัน
มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมีระบบบริหารจัดการและการแสดงเจตนาแทนกลุ่มได้
หมู่บ้าน หมายความว่า
หมู่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะการปกครองท้องที่และให้หมายความรวมถึงชุมชนที่จัดตั้งขึ้นตามประกาศของทางราชการ
ตำบล หมายความว่า
ตำบลตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะการปกครองท้องที่
และให้หมายความรวมถึงแขวงในเขตกรุงเทพมหานคร
อำเภอ หมายความรวมถึง เขตในกรุงเทพมหานคร
จังหวัด หมายความรวมถึง กรุงเทพมหานคร
สำนักงานประมงจังหวัด หมายความรวมถึง
สำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ประมงจังหวัด หมายความรวมถึง
ผู้อำนวยการสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
ตามที่ได้รับมอบหมายจากประมงจังหวัด
ข้อ
๕ ให้อธิบดีกรมประมงรักษาการตามประกาศนี้
และให้มีอำนาจออกคำสั่ง เพื่อปฏิบัติการตามประกาศนี้
ให้กองตรวจราชการเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมข้อมูลและบริหารจัดการให้เป็นไปตามประกาศนี้
ข้อ
๖ ให้สำนักงานประมงจังหวัดเป็นหน่วยงานรับขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขึ้นทะเบียนตามวรรคหนึ่ง
ประมงจังหวัดอาจมอบหมายให้ประมงอำเภอเป็นผู้รับคำขอขึ้นทะเบียน
แล้วส่งคำขอนั้นให้สำนักงานประมงจังหวัดดำเนินการต่อไปก็ได้
ข้อ
๗ ให้ประมงจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้ขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
หรือเพิกถอนการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
ข้อ
๘ องค์กรซึ่งมีลักษณะเป็นนิติบุคคล
คณะบุคคล หรือองค์กรอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับการประมงในท้องถิ่นนั้น
และมีสมาชิกรวมกันไม่น้อยกว่าเจ็ดคนโดยบุคคลดังกล่าวต้องไม่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน
มีสิทธิขอขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
สมาชิกขององค์กรตามวรรคหนึ่ง
ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย เป็นผู้ประกอบอาชีพการประมงและมีภูมิลำเนาหรือประกอบอาชีพการประมงอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนประมงท้องถิ่นนั้น
ข้อ
๙ ให้กรรมการดำเนินงานขององค์กรที่ประสงค์จะขอขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยกว่าสามคนร่วมกันยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ณ สำนักงานประมงจังหวัดในเขตพื้นที่ที่องค์กรนั้นตั้งอยู่ ตามแบบคำขอขึ้นทะเบียนท้ายประกาศนี้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียน
(๒)
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล กรณีเป็นนิติบุคคล
(๓)
เอกสารแสดงประวัติโดยย่อขององค์กร การจัดตั้ง วันเดือนปีที่จัดตั้ง
วัตถุประสงค์ที่จัดตั้ง พร้อมด้วยระเบียบหรือข้อบังคับ
กรณีเป็นคณะบุคคลหรือองค์กรอื่น
(๔)
บัญชีรายชื่อคณะกรรมการดำเนินงานในปัจจุบัน
(๕)
บัญชีรายชื่อสมาชิก
กรณีองค์กรที่ประสงค์ขอขึ้นทะเบียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล
ให้ผู้แทนตามกฎหมาย ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง
การขอขึ้นทะเบียนตามวรรคหนึ่ง
ให้องค์กรหนึ่งมีสิทธิขอขึ้นทะเบียนได้เพียงหนึ่งจังหวัด
ข้อ
๑๐ เมื่อได้รับคำขอขึ้นทะเบียนแล้ว
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของคำขอขึ้นทะเบียน
เอกสารและหลักฐานต่าง ๆ
หากไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนให้แจ้งให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมคำขอขึ้นทะเบียนหรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนไม่แก้ไขเพิ่มเติมคำขอขึ้นทะเบียนหรือไม่จัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำขอขึ้นทะเบียนนั้นเป็นอันยกเลิกนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
และให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนทราบ
ข้อ
๑๑ ในกรณีที่คำขอขึ้นทะเบียนและเอกสารหรือหลักฐานถูกต้องและครบถ้วน
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบรับคำขอขึ้นทะเบียนให้แก่ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียน
และจัดทำความเห็นนำเสนอประมงจังหวัด
ข้อ
๑๒ เมื่อประมงจังหวัดได้รับคำขอขึ้นทะเบียนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
ให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาสิบห้าวันนับแต่วันได้รับคำขอขึ้นทะเบียนจากพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นและออกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนตามแบบที่กำหนดท้ายประกาศนี้
รวมทั้งมีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันอนุมัติให้ขึ้นทะเบียน
และทำ การประกาศหรือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ
กรณีไม่อนุมัติให้ขึ้นทะเบียน
ให้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง
พร้อมแสดงเหตุผล การยื่นคำอุทธรณ์ และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์ไว้ด้วย
ข้อ
๑๓ ให้ประมงจังหวัดพิจารณาเพิกถอนการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้นกับองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้
ดังต่อไปนี้
(๑)
ขาดคุณสมบัติตามข้อ ๘
(๒)
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นนั้นมิได้ดำเนินงานกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ขอขึ้นทะเบียนไว้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหกเดือนขึ้นไป
(๓)
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นนั้นแสดงความประสงค์ขอให้เพิกถอนการขึ้นทะเบียน
(๔)
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นนั้นได้กระทำการอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือกระทำการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐหรือกระทำการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการดังกล่าว
ให้ประมงจังหวัดมีหนังสือแจ้งคำสั่งเพิกถอนการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นให้องค์กรนั้นทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง
พร้อมแสดงเหตุผล การยื่นคำอุทธรณ์ และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์ไว้ด้วย
ข้อ
๑๔ การอุทธรณ์และการพิจารณาคำอุทธรณ์ตามข้อ
๑๒ วรรคสอง และข้อ ๑๓ วรรคสอง ให้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
ข้อ
๑๕ ให้สำนักงานประมงจังหวัดจัดทำข้อมูลการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นตามแบบที่กำหนดท้ายประกาศนี้
และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวทางระบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานให้เป็นปัจจุบัน
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
วิมล จันทรโรทัย
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบคำขอขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
๒. หนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
ปริญสินีย์/ตรวจ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๒๒ ง/หน้า ๑๖/๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
733307 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด พ.ศ. 2558
| ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด
พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๙ วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๕๕๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด
พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในประกาศนี้
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
หมายความว่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด
คณะกรรมการคัดเลือก
หมายความว่า คณะกรรมการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
หมายความว่า องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่ได้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านการประมงทะเลชายฝั่ง หมายความว่า องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพทำการประมงในเขตประมงทะเลชายฝั่งเป็นปกติ
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านการประมงทะเลนอกชายฝั่ง หมายความว่า
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพทำการประมงในเขตประมงทะเลนอกชายฝั่งเป็นปกติ
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านการประมงน้ำจืด หมายความว่า
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพทำการประมงในเขตประมงน้ำจืดเป็นปกติ
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หมายความว่า
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นปกติ
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านการแปรรูปสัตว์น้ำ หมายความว่า
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพการแปรรูปสัตว์น้ำเป็นปกติ
ข้อ ๔ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกขึ้นคณะหนึ่ง
เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมและนำเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ข้อ ๕ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสิบสามคน
ให้คัดเลือกจากบุคคลดังต่อไปนี้
(๑) ผู้แทนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในด้านการประมงทะเลชายฝั่ง
ด้านการประมงทะเลนอกชายฝั่ง ด้านการประมงน้ำจืด ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
หรือด้านการแปรรูปสัตว์น้ำ ด้านละไม่เกินสองคน
(๒)
ผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ดำเนินงานในด้านการประมงหรือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จำนวนไม่เกินสามคน
ในจังหวัดใดไม่มีผู้แทนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านหนึ่งด้านใด
ให้คัดเลือกผู้แทนตาม (๑) ด้านอื่นเพิ่มขึ้นได้ตามสัดส่วนของผู้แทนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านนั้น
ข้อ ๖ ให้จังหวัดประกาศรับสมัครบุคคลผู้ประสงค์เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก
ระยะเวลาการรับสมัคร
และแบบใบสมัครให้เป็นไปตามประกาศรับสมัครของจังหวัด
ข้อ ๗ ให้คัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้สมัครเท่านั้น
โดยผู้สมัครคนหนึ่งมีสิทธิสมัครเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านใดด้านหนึ่งตามที่กำหนดในข้อ
๕ (๑) และ (๒) ได้เพียงหนึ่งด้าน
กรณีไม่มีผู้มาสมัครด้านใดด้านหนึ่งหรือจำนวนผู้สมัครไม่ครบที่จะทำการคัดเลือก
ให้ขยายระยะเวลาการรับสมัครออกไปจนกว่าจะมีผู้สมัครครบจำนวนทุกด้าน
ข้อ ๘ ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ในวันสมัคร
(๓) มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ
และประสบการณ์ในด้านใดด้านหนึ่งตามที่กำหนดในข้อ ๕ (๑) และ (๒)
(๔)
เป็นผู้แทนขององค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นด้านใดด้านหนึ่งตามที่กำหนดในข้อ ๕ (๑)
โดยมีหนังสือรับรองจากองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นดังกล่าว
กรณีสมัครในฐานะผู้แทนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
(๕) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
(๖) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๗) ไม่เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นหรือกรรมการ
ที่ปรึกษาหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง
(๘) ไม่เป็นบุคคลซึ่งทางราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
หรือหน่วยงานของเอกชนไล่ออก ปลดออก หรือเลิกจ้างเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
เพราะประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงหรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ
(๙) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ผู้สมัครต้องรับรองตนเองว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน
พร้อมทั้งความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านที่ตนสมัคร
ข้อ ๙ ให้สำนักงานประมงจังหวัดเป็นหน่วยงานธุรการในการดำเนินงานเกี่ยวกับการรับสมัคร
การคัดเลือก และการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามประกาศนี้
ข้อ ๑๐ การส่งใบสมัคร
กระทำได้สองวิธีดังนี้
(๑) ยื่นใบสมัครโดยตรงที่สำนักงานประมงจังหวัด
(๒) ส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงสำนักงานประมงจังหวัด
ในกรณีส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ จะถือวันที่ไปรษณีย์ประทับตราเป็นสำคัญ
หากล่วงเลยระยะเวลาที่กำหนด ใบสมัครนั้นจะไม่ได้รับการพิจารณา
ข้อ ๑๑ ให้สำนักงานประมงจังหวัดตรวจสอบคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครตามข้อ
๘ และจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครด้านละหนึ่งบัญชีเสนอให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณา
กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครให้คณะกรรมการคัดเลือกเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ข้อ ๑๒ ให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อที่สำนักงานประมงจังหวัดเสนอให้เหลือจำนวนตามที่กำหนดในข้อ
๕ โดยการลงมติ ทั้งนี้
ในการประชุมเพื่อคัดเลือกจะต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
และการวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ ๑๓ การประชุมเพื่อพิจารณาคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้พิจารณาจากคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อดังต่อไปนี้ประกอบด้วย
คือ
(๑) วิสัยทัศน์
(๒) ประสบการณ์การทำงานในด้านที่สมัคร
(๓) ความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในงานด้านที่สมัคร
ในการประชุมตามวรรคหนึ่ง
คณะกรรมการคัดเลือกอาจเชิญผู้สมัครมาแสดงวิสัยทัศน์หรือชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาด้วยก็ได้
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่คณะกรรมการคัดเลือกทำการคัดเลือกจากบัญชีที่สำนักงานประมงจังหวัดเสนอแล้วได้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่ครบจำนวนหรือไม่ครบด้าน
ให้สำนักงานประมงจังหวัดรายงานจังหวัดเพื่อประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่
เฉพาะจำนวนที่ไม่ครบหรือด้านที่ไม่ครบ โดยนำหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๓
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๕ เมื่อคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้แล้ว
ให้คณะกรรมการคัดเลือกนำเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดออกคำสั่งแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต่อไป
ข้อ ๑๖ ในกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระตามมาตรา
๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
ให้ดำเนินการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างลง
โดยนำหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หากวาระที่เหลืออยู่นั้นไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
จังหวัดจะไม่แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นแทนก็ได้
ข้อ ๑๗ ในกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะพ้นตำแหน่งตามวาระ
ให้ดำเนินการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่าหกสิบวัน
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในประกาศนี้
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ปีติพงศ์
พึ่งบุญ ณ อยุธยา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๐ สิงหาคม
๒๕๕๘
วริญา/ผู้ตรวจ
๒๐ สิงหาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๑๘๘ ง/หน้า ๘/๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ |
733305 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ พ.ศ. 2558
| ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ในคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๕๕๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในประกาศนี้
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
หมายความว่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
คณะกรรมการคัดเลือก
หมายความว่า คณะกรรมการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
สมาคมในด้านการประมงทะเลชายฝั่ง หมายความว่า
สมาคมที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพทำการประมงในเขตประมงทะเลชายฝั่งเป็นปกติ
สมาคมในด้านการประมงทะเลนอกชายฝั่ง หมายความว่า สมาคมที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพทำการประมงในเขตประมงทะเลนอกชายฝั่งเป็นปกติ
สมาคมในด้านการประมงน้ำจืด
หมายความว่า
สมาคมที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพทำการประมงในเขตประมงน้ำจืดเป็นปกติ
สมาคมในด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หมายความว่า สมาคมที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นปกติ
สมาคมในด้านการแปรรูปสัตว์น้ำ
หมายความว่า สมาคมที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพการแปรรูปสัตว์น้ำเป็นปกติ
สมาคมในด้านการประมงนอกน่านน้ำไทย หมายความว่า
สมาคมที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบอาชีพทำการประมงนอกน่านน้ำไทยเป็นปกติ
ข้อ ๔ ให้มีคณะกรรมการคัดเลือกจำนวนไม่เกินสิบเอ็ดคน
เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมและนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงที่รับผิดชอบงานด้านการประมง เป็นประธานกรรมการ
รองอธิบดีกรมประมง จำนวนสามคน เป็นรองประธานกรรมการ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กรมประมง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประมง กรมประมง
ผู้อำนวยการกองพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการประมง กรมประมง
ผู้แทนกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวนหนึ่งคน
ผู้แทนกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวนหนึ่งคน ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์
จำนวนหนึ่งคน และให้ผู้อำนวยการกองแผนงาน กรมประมง เป็นกรรมการและเลขานุการ
ข้อ ๕ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสิบคน
ให้คัดเลือกจากบุคคลดังต่อไปนี้
(๑) ผู้แทนสมาคมในด้านการประมงทะเลชายฝั่ง
ด้านการประมงทะเลนอกชายฝั่ง ด้านการประมงน้ำจืด ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ด้านการแปรรูปสัตว์น้ำ และด้านการประมงนอกน่านน้ำไทย ด้านละหนึ่งคน
(๒)
ผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ดำเนินงานในองค์กรสาธารณประโยชน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จำนวนสองคน
(๓) นักวิชาการด้านการประมง จำนวนไม่เกินสองคน
ข้อ ๖ ให้คณะกรรมการคัดเลือกประกาศรับสมัครบุคคลผู้ประสงค์เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก
ระยะเวลาการรับสมัคร
และแบบใบสมัครให้เป็นไปตามประกาศรับสมัครของคณะกรรมการคัดเลือก
ข้อ ๗ ให้คัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้สมัครเท่านั้น
โดยผู้สมัครคนหนึ่งมีสิทธิสมัคร
เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านใดด้านหนึ่งตามที่กำหนดในข้อ ๕ (๑) (๒) และ (๓)
ได้เพียงหนึ่งด้าน
กรณีไม่มีผู้มาสมัครด้านใดด้านหนึ่งหรือจำนวนผู้สมัครไม่ครบที่จะทำการคัดเลือก
ให้ขยายระยะเวลาการรับสมัครออกไปจนกว่าจะมีผู้สมัครครบจำนวนทุกด้าน
ข้อ ๘ ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ในวันสมัคร
(๓) มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ
และประสบการณ์ในด้านใดด้านหนึ่งตามที่กำหนดในข้อ ๕ (๑) (๒) และ (๓)
(๔) เป็นผู้แทนของสมาคมด้านใดด้านหนึ่งตามที่กำหนดในข้อ ๕ (๑)
โดยมีหนังสือรับรองจากสมาคมดังกล่าว กรณีสมัครในฐานะผู้แทนสมาคม
(๕) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
(๖) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๗) ไม่เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นหรือกรรมการ ที่ปรึกษา
หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง
(๘) ไม่เป็นบุคคลซึ่งทางราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
หรือหน่วยงานของเอกชนไล่ออก ปลดออก หรือเลิกจ้างเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่
เพราะประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ
(๙) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ในการสมัครผู้สมัครต้องรับรองตนเองว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน
พร้อมทั้งความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในด้านที่ตนสมัคร
ข้อ ๙ ให้กรมประมงเป็นหน่วยงานธุรการในการดำเนินงานเกี่ยวกับการรับสมัคร
การคัดเลือกและการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามประกาศนี้
ข้อ ๑๐ การส่งใบสมัคร
กระทำได้สองวิธีดังนี้
(๑) ยื่นใบสมัครโดยตรงที่กรมประมง
(๒) ส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงกรมประมง
ในกรณีส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ จะถือวันที่ไปรษณีย์ประทับตราเป็นสำคัญ
หากล่วงเลยระยะเวลาที่กำหนด ใบสมัครนั้นจะไม่ได้รับการพิจารณา
ข้อ ๑๑ ให้กรมประมงตรวจสอบคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครตามข้อ
๘ และจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครด้านละหนึ่งบัญชีเสนอให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณา
กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครให้คณะกรรมการคัดเลือกเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ข้อ ๑๒ ให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิจากบัญชีรายชื่อที่กรมประมงนำเสนอให้เหลือจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละด้านดังนี้
(๑) ผู้แทนสมาคมตามข้อ ๕ (๑) ด้านละไม่เกินสองคน
(๒)
ผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ดำเนินงานในองค์กรสาธารณประโยชน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามข้อ
๕ (๒) จำนวนไม่เกินสามคน
(๓) นักวิชาการด้านการประมงตามข้อ ๕ (๓) จำนวนไม่เกินสามคน
ข้อ ๑๓ ในการประชุมเพื่อคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิจะต้องมีกรรมการคัดเลือกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมากกรรมการคนหนึ่งให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด
การลงคะแนนเพื่อคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิให้ใช้วิธีลงคะแนนลับ
การประชุมเพื่อคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง
คณะกรรมการคัดเลือกอาจเชิญผู้สมัครมาแสดงวิสัยทัศน์หรือชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาด้วยก็ได้
และให้พิจารณาจากคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อดังต่อไปนี้ด้วย คือ
(๑) วิสัยทัศน์
(๒) ประสบการณ์ทำงานและผลงาน
(๓) ความเชี่ยวชาญในงานด้านที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่คณะกรรมการคัดเลือกทำการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิจากบัญชีรายชื่อที่กรมประมงนำเสนอแล้วได้ผู้ทรงคุณวุฒิไม่ครบจำนวนหรือไม่ครบด้าน
ให้คณะกรรมการคัดเลือกประกาศรับสมัครบุคคลผู้ประสงค์เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม
ทั้งนี้
เฉพาะจำนวนที่ไม่ครบหรือด้านที่ไม่ครบ โดยนำหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๓
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๕ เมื่อคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิได้แล้ว ให้คณะกรรมการคัดเลือกรายงานผลการคัดเลือกไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เพื่อพิจารณาแต่งตั้งผู้สมควรเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามจำนวนที่กำหนดในข้อ ๕
ข้อ ๑๖ ในกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระตามมาตรา
๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ดำเนินการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างลง
โดยนำหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หากวาระที่เหลืออยู่นั้นไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
จะไม่แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นแทนก็ได้
ข้อ ๑๗ ในกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
ให้ดำเนินการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่าหกสิบวัน
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในประกาศนี้
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ปีติพงศ์
พึ่งบุญ ณ อยุธยา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๐ สิงหาคม
๒๕๕๘
วริญา/ผู้ตรวจ
๒๐ สิงหาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๑๘๘ ง/หน้า ๔/๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ |
314784 | ประกาศจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรื่อง กำหนดที่จับสัตว์น้ำประเภทที่รักษาพืชพันธุ์ | ประกาศจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ประกาศจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เรื่อง
กำหนดที่จับสัตว์น้ำประเภทที่รักษาพืชพันธุ์[๑]
ด้วยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า
ที่จับสัตว์น้ำในทะเลบริเวณตั้งแต่สะพานปลาหัวหิน ถึงแนวเขตหลังวัดไกลกังวล
ท้องที่ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เป็นแหล่งที่มีสัตว์น้ำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นสมควรประกาศกำหนดเป็นที่รักษาพืชพันธุ์
ทั้งนี้
เพื่อสงวนพื้นที่ไว้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแพร่ขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำบริเวณดังกล่าวให้คงความอุดมสมบูรณ์ตลอดไป
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๔๙๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตามหนังสือกรมประมง ที่ กษ ๐๕๒๘.๓/๑๙๓๗๘ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๒ จึงประกาศ ดังต่อไปนี้
๑. กำหนดให้บรรดาที่จับสัตว์น้ำ
ซึ่งมีชื่อและอาณาเขตตามบัญชีต่อท้ายประกาศนี้
ให้ประกาศกำหนดเป็นที่จับสัตว์น้ำประเภทที่รักษาพืชพันธุ์
ซึ่งทางราชการได้ปักหลักเขตไว้เป็นหลักฐาน
๒. ให้ใช้ประกาศนี้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวัน
นับแต่วันปิดประกาศตามความในมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
เป็นต้นไป และเมื่อประกาศนี้มีผลใช้บังคับแล้ว
ให้ยกเลิกประกาศอื่นที่มีข้อความขัดหรือแย้งกับประกาศนี้เสียทั้งสิ้น
ประกาศ ณ วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓
ประสงค์ พิทูรกิจจา
ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
บัญชีรายชื่อและอาณาเขตที่จับสัตว์น้ำประเภทที่รักษาพืชพันธุ์
ตามประกาศจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓
๒.
แผนที่แนบท้ายจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ชไมพร/แก้ไข
๓๐ เมษายน ๒๕๔๕
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๒๒ ง/หน้า ๒๘/๙ มีนาคม ๒๕๔๓ |
324511 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง ห้ามทำการประมงปลาฉลามวาฬ | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง
ห้ามทำการประมงปลาฉลามวาฬ[๑]
ด้วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาเห็นว่าในปัจจุบันได้มีผู้นำเครื่องมือประมงเข้าไปจับและทำอันตรายปลาฉลามวาฬ
(whale shark : Rhinocodon typus) ซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวโดยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาดำน้ำดูฉลามวาฬในบริเวณที่มีสัตว์น้ำชนิดนี้อยู่
อีกทั้งปลาฉลามวาฬที่พบในน่านน้ำมีจำนวนน้อย เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการทำอันตรายต่อสัตว์น้ำชนิดดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๗) แห่งพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงประกาศกำหนดดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ห้ามมิให้บุคคลใดจับ ดัก ล่อ ทำอันตรายหรือฆ่าปลาฉลามวาฬ ในทะเลท้องที่จังหวัดชายทะเลทุกจังหวัดโดยเด็ดขาด
ข้อ ๒
ความในประกาศนี้มิให้ใช้บังคับแก่การทำการประมงเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ
และได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประมง
ข้อ ๓
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวัน นับแต่วันปิดประกาศตามมาตรา
๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
ปองพล อดิเรกสาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สุรินทร์/พิมพ์/แก้ไข
๗/๐๕/๒๕๔๕
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๔๖ ง/หน้า ๓/๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๓ |
320741 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง ให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลมาจดทะเบียนและขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง
ให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลมาจดทะเบียน
และขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่[๑]
ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
ได้กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล ในพื้นที่ตั้งแต่ห้าสิบไร่ขึ้นไป
มาจดทะเบียนและขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
และกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลในพื้นที่น้อยกว่าห้าสิบไร่
มาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามความแห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้มีอาชีพในการประมง
การค้าสินค้าสัตว์น้ำ ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำและอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ มาจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ นั้น
แต่เนื่องจากในปัจจุบันปรากฏว่า
ได้มีการเลี้ยงกุ้งทะเลอย่างแพร่หลาย ทั้งในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล
และในเขตพื้นที่อื่น ในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เกรงว่าจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแหล่งน้ำธรรมชาติ
และพื้นที่การเกษตรอื่น จึงเห็นสมควรแก้ไขปรับปรุงประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าว
ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นโดยยกเลิกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๓๔
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕๐ วรรคสอง
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐ และตามความในพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้มีอาชีพในการประมง
การค้าสินค้าสัตว์น้ำ ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ
มาจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงประกาศให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลในพื้นที่ตั้งแต่ห้าสิบไร่ขึ้นไป
มาจดทะเบียนและขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลในพื้นที่น้อยกว่าห้าสิบไร่
มาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
สถานที่ยื่นคำขอจดทะเบียนและขออนุญาต
ให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล
ยื่นคำขอจดทะเบียนและขออนุญาตต่อนายอำเภอท้องที่
หรือปลัดอำเภอประจำกิ่งอำเภอท้องที่ ซึ่งพื้นที่เลี้ยงกุ้งทะเลตั้งอยู่
เว้นแต่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ
หรืออำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ หรืออำเภอเมืองฉะเชิงเทรา
จังหวัดฉะเชิงเทรา
ข้อ ๒
การจดทะเบียนผู้เลี้ยงกุ้งทะเล
ให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล
ยื่นคำขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมแนบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
(๑) คำขอจดทะเบียน (คำขอ ๖.๑)
(๒) หนังสือได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับอำเภอ
ซึ่งมีตัวแทนขององค์การบริหารส่วนตำบล หรือสภาตำบล
ซึ่งพื้นที่เลี้ยงกุ้งทะเลตั้งอยู่ เข้าร่วมพิจารณาด้วย
(๓) ในกรณีเป็นบุคคลธรรมดา ต้องแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
(๔) ในกรณีเป็นนิติบุคคล
ต้องแนบสำเนาหลักฐานการจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ของกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทหรือของหุ้นส่วนผู้จัดการ
แล้วแต่กรณี
(๕)
ต้องแนบสำเนาหลักฐานการมีสิทธิโดยชอบในพื้นที่เลี้ยงกุ้งทะเล ไม่ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นของเอกชนหรือของรัฐ
เช่น โฉนดที่ดิน น.ส. ๓ ก. น.ส. ๓ หรือหนังสือสัญญาเช่า หรือหนังสือยินยอมให้ใช้ที่ดิน
(๖) การจดทะเบียนผู้เลี้ยงกุ้งทะเล
จดทะเบียนครั้งแรกเพียงครั้งเดียว สำหรับผู้ที่เคยได้จดทะเบียน
ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ไว้แล้ว
ให้ถือว่าได้รับการจดทะเบียนตามประกาศฉบับนี้แล้ว
(๗) การจดทะเบียน ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด
ข้อ ๓
การขออนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตเลี้ยงกุ้งทะเล
สำหรับผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล
ในพื้นที่ตั้งแต่ห้าสิบไร่ขึ้นไป จะต้องยื่นคำขออนุญาตประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล
(คำขอ ๖.๒) ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว และใบอนุญาตหมดอายุ
ผู้รับอนุญาตจะต้องขอต่ออายุใบอนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นประจำทุกปี
โดยแนบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
(๑) คำขออนุญาตประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล (คำขอ ๖.๒)
(๒)
สำเนาใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล (อนุญาต ๖.๑)
(๓) หนังสือได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับอำเภอ
ซึ่งมีตัวแทนขององค์การบริหารส่วนตำบลหรือสภาตำบล
ซึ่งพื้นที่เลี้ยงกุ้งทะเลตั้งอยู่ เข้าร่วมพิจารณาด้วย
ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล (อนุญาต ๖)
ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ข้อ ๔
สำหรับผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ประสงค์จะยื่นคำขอจดทะเบียนผู้เลี้ยงกุ้งทะเล
(คำขอ ๖.๑) หรือคำขออนุญาตประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล (คำขอ ๖.๒) ตามข้อ ๒ หรือข้อ
๓ จะต้องดำเนินการจัดให้มีบ่อบำบัดน้ำทิ้ง หรือบ่อตกตะกอน ไม่น้อยกว่า ๓๐%
ของพื้นที่บ่อที่ใช้เลี้ยงโดยรวมคู คลองส่ง และระบายน้ำด้วย ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ข้อ ๕
สำหรับผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลบริเวณพื้นที่นอกเหนือจากข้อ ๔ และจังหวัดมิได้ประกาศห้ามเลี้ยงตามมาตรา
๙ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
ที่ประสงค์จะยื่นคำขอจดทะเบียนผู้เลี้ยงกุ้งทะเล (คำขอ ๖.๑) หรือคำขออนุญาตประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล
(คำขอ ๖.๒) ตามข้อ ๒ หรือข้อ ๓ จะต้องดำเนินการ ดังนี้
(ก) ผู้เลี้ยงกุ้งทะเลในพื้นที่ต่ำกว่า ๑๐ ไร่
จะต้องสร้างบ่อพักน้ำหรือบ่อตกตะกอนไม่น้อยกว่า ๕๐% ของพื้นที่บ่อที่ใช้เลี้ยง
โดยรวมคู คลองส่ง และระบายน้ำด้วย ทั้งนี้
เพื่อให้เพียงพอสามารถรองรับน้ำจากบ่อเลี้ยงในขณะเปิดจับกุ้งทะเล
ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
(ข) ผู้เลี้ยงกุ้งทะเลในพื้นที่เกินกว่า ๑๐ ไร่ ขึ้นไป
จะต้องสร้างบ่อพักน้ำหรือบ่อตกตะกอน ไม่น้อยกว่า ๓๐% ของพื้นที่บ่อที่ใช้เลี้ยง
โดยรวมคู คลองส่ง และระบายน้ำด้วย ในกรณีที่คำนวณพื้นที่บ่อพักน้ำจากพื้นที่บ่อที่ใช้เลี้ยง
๓๐% แล้วแต่ปรากฏว่าพื้นที่บ่อพักน้ำดังกล่าวน้อยกว่า ๕ ไร่
จะต้องสร้างบ่อพักน้ำไม่น้อยกว่า ๕ ไร่ ทั้งนี้ เพื่อให้เพียงพอสามารถรองรับน้ำจากบ่อเลี้ยงในขณะเปิดจับกุ้งทะเลให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ข้อ ๖
ผู้ที่ประสงค์จะประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล ต้องยื่นคำขออนุมัติแบบแปลนแผนผังการขุดสร้างบ่อเลี้ยงกุ้งทะเล
(คำขอ ๖.๓) แสดงการขุดบ่อเลี้ยง บ่อบำบัดน้ำทิ้ง หรือบ่อตกตะกอนไม่น้อยกว่า ๓๐%
ของพื้นที่บ่อที่ใช้เลี้ยง โดยรวมคู คลองส่ง และระบายน้ำด้วย
ข้อ ๗
ผู้ที่ประสงค์จะประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล ในเขตพื้นที่นอกเหนือจากข้อ ๖
และจังหวัดมิได้ประกาศห้ามเลี้ยงตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕ ต้องยื่นคำขออนุมัติแบบแปลนแผนผังการขุดสร้างบ่อเลี้ยงกุ้งทะเล (คำขอ
๖.๓) ตามรูปแบบที่กรมประมงกำหนด และต้องมีปริมาณบ่อพักน้ำหรือบ่อตกตะกอนเพียงพอในขณะเปิดจับกุ้งทะเลตามข้อ
๕ (ก) และ (ข)
ข้อ ๘
ผู้ยื่นคำขอตามข้อ ๖ และข้อ ๗ ต้องแนบหนังสือได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับอำเภอ
ซึ่งมีตัวแทนขององค์การบริหารส่วนตำบล หรือสภาตำบล ซึ่งพื้นที่เลี้ยงกุ้งทะเลตั้งอยู่
แล้วแต่กรณี ประกอบด้วย
เมื่อผู้ยื่นคำขอได้รับอนุมัติแล้ว จึงจะไปดำเนินการขุดสร้างบ่อเลี้ยงกุ้งทะเลหลังจากได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จึงจะมาขอจดทะเบียนหรือขออนุญาตเลี้ยงกุ้งทะเลตามข้อ ๒ หรือข้อ ๓ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๙
ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล ซึ่งได้รับการจดทะเบียน หรือได้รับอนุญาตแล้ว
จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังนี้
(๑) น้ำที่ปล่อยทิ้งจากบ่อเลี้ยงกุ้งต้องมีค่าบี. โอ. ดี. (Biochemical Oxygen Demand, B. O. D.) ไม่เกิน ๑๐ มิลลิกรัมต่อลิตร
(๒) ต้องไม่ทิ้ง ปล่อย
หรือไล่เลนจากพื้นที่เลี้ยงกุ้งลงในแหล่งน้ำธรรมชาติหรือที่สาธารณประโยชน์
(๓) ต้องไม่ปล่อยน้ำเค็ม หรือกระทำการใด ๆ
จนเป็นเหตุให้น้ำเค็มจากพื้นที่เลี้ยงกุ้งซึมหรือไหลลงสู่แหล่งน้ำจืดสาธารณะหรือพื้นที่การเกษตรอื่น
ข้อ ๑๐
ในกรณีผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขตามข้อ
๙ พนังงานเจ้าหน้าที่จะเพิกถอนการจดทะเบียน หรือการอนุญาตเสียก็ได้
ข้อ ๑๑
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ดังนี้
(๑) รับคำขอและตรวจสอบคำขอพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
(๒) ตรวจสอบความถูกต้องให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
(๓) เมื่อเห็นว่าคำขอเอกสารหลักฐานและเงื่อนไขถูกต้อง
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เสนอความเห็นในคำขอนั้น ๆ
ต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายพิจารณาอนุญาต
(๔) จัดทำทะเบียนผู้ได้รับการจดทะเบียนเลี้ยงกุ้งทะเล
และจัดทำทะเบียนผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล
ข้อ ๑๒
การจดทะเบียนและการอนุญาตให้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลดำเนินการ ดังนี้
(๑) การจดทะเบียนให้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเล
ให้ออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน (อนุญาต ๖.๑)
(๒)
การอนุญาตให้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลในพื้นที่ตั้งแต่ห้าสิบไร่ขึ้นไป ให้ออกใบอนุญาตให้ประกอบอาชีพในการประมง
การค้าสินค้าสัตว์น้ำ ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ หรืออุตสาหกรรมสัตว์น้ำ (อนุญาต ๖)
(๓) ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน (อนุญาต ๖.๑)
และใบอนุญาตให้ประกอบอาชีพในการประมงฯ (อนุญาต ๖) ทุกฉบับ
ต้องให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอประจำกิ่งอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่ง
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี เป็นผู้ลงลายมือชื่ออนุญาต
ข้อ ๑๓
ให้จังหวัด อำเภอ และองค์การบริหารส่วนตำบล หรือสภาตำบล แล้วแต่กรณี
ปิดประกาศประชาสัมพันธ์ ชี้แจงให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงกุ้งทะเลทราบและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
ข้อ ๑๔
ให้ใช้ประกาศนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑
ปองพล อดิเรกสาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พรพิมล/พิมพ์
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๕/ตอนพิเศษ ๑๓๐ ง/หน้า ๓/๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๑ |
325572 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง เงื่อนไขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยการอนุญาตให้ทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์ น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง
เงื่อนไขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ว่าด้วยการอนุญาตให้ทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์
น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์ตามพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ.๒๔๙๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ.๒๔๙๐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นสมควรที่จะกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ประชาชนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์
ไว้เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
การทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์ ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ และข้อบังคับ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ.๒๔๙๐
ข้อ ๒
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์ให้ถือปฏิบัติดังนี้
๒.๑ ให้จังหวัดประกาศเป็นที่อนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
โดยถือปฏิบัติตามกฎหมาย กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ และข้อบังคับ
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.๒๔๙๐
๒.๒ ที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์
ซึ่งจังหวัดยังมิได้ประกาศเป็นที่อนุญาตตามข้อ ๒.๑
ผู้ประสงค์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะต้องยื่นคำขอต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอในท้องที่
แล้วให้อำเภอหรือกิ่งอำเภอเสนอความเห็นรายงานจังหวัด เพื่อจังหวัดจะได้เสนอกรมประมงพิจารณาอนุญาตเป็นราย
ๆ ไป
๒.๓ การยื่นคำขอและการอนุญาตให้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์
ให้เป็นไปตามแบบหรือระเบียบที่กรมประมงกำหนด
ข้อ ๓[๑] ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้น ๓๐
วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
เจริญ คันธวงศ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข
๙ กันยายน ๒๕๔๕
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๗/ตอนที่ ๔๖/หน้า ๒๒๖๑/๒๒ มีนาคม ๒๕๓๓ |
301677 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง ระบุชื่อวัตถุเป็นวัตถุมีพิษตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง
ระบุชื่อวัตถุเป็นวัตถุมีพิษ
ตามพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๔๙๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้
ให้วัตถุที่ระบุชื่อในบัญชีท้ายประกาศนี้
เป็นวัตถุมีพิษตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๒
เจริญ คันธวงศ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
บัญชีวัตถุมีพิษ ท้ายประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ.
๒๕๓๒ เรื่อง ระบุชื่อวัตถุมีพิษตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๖/ตอนที่ ๑๒๒/หน้า ๕๔๙๙/๓ สิงหาคม ๒๕๓๒ |
301676 | ประกาศ เรื่อง เงื่อนไขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ว่าด้วยการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2531 | ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง
เงื่อนไขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐
ว่าด้วยการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖
วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กำหนดเงื่อนไขไว้ ดังต่อไปนี้
ก. บทบัญญัติทั่วไป
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศ
เรื่องเงื่อนไขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐ ว่าด้วยการทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำซึ่งประเทศไทยได้ตกลงกับประเทศอื่น
(ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๒๒
ข้อ ๒[๑] ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด
๓๐ วันนับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ เงื่อนไขฉบับนี้จะใช้บังคับต่อเมื่อความตกลงที่มีข้อกำหนดให้ชาวประมงในประเทศไทยไปทำการประมงในที่จังสัตว์น้ำ
ซึ่งอยู่ในบริเวณน่านน้ำตามข้อตกลงโดยชอบด้วยกฎหมาย ธรรมเนียมประเพณีสนธิสัญญาหรือโดยประการใด
ระหว่างรัฐบาลหรือเอกชนไทยกับรัฐบาล หรือเอกชนของประเทศอื่น มีผลใช้บังคับแล้ว
ข้อ ๔ อาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้ให้ใช้ได้เฉพาะเรือประมง
ซึ่งระบุชื่อไว้ในอาชญาบัตร และทำการประมงได้เฉพาะแต่ในประเทศ
หรือบริเวณที่ระบุไว้ในอาชญาบัตรเท่านั้น
ข้อ ๕ ให้อธิบดีกรมประมงมีอำนาจกำหนดชนิด
ขนาด จำนวนเรือประมง และเครื่องมือทำการประมงที่จะทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำตามที่ได้มีข้อตกลงไว้ในข้อ
๓
ข้อ ๖ ให้อธิบดีกรมประมงมีอำนาจกำหนดหมายเลขทะเบียน
อาชญาบัตรเพื่อประโยชน์ในการควบคุมการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำ
ตามที่ได้มีข้อตกลงไว้ในข้อ ๓
ข้อ ๗ ให้อธิบดีกรมประมงมีอำนาจกำหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควร
เพื่อให้ชาวประมงมายื่นคำขอรับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
ข้อ ๘ ให้อธิบดีกรมประมงมีอำนาจกำหนดให้ผู้ยื่นคำขอรับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้แนบหนังสือรับรองจากสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย
หรือสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยว่าผู้ขอรับอาชญาบัตรได้รับสิทธิทำการประมงตามที่ได้มีข้อตกลงไว้ในข้อ
๓ มาพร้อมกับคำขอรับอาชญาบัตรด้วย
ข้อ ๙ บุคคลที่ได้รับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
จะต้องปฏิบัติตามกฎ ประกาศหรือข้อกำหนดของรัฐบาลหรือเอกชนของประเทศอื่นที่ได้มีความตกลงทางการประมงกับรัฐบาลหรือเอกชนไทย
เกี่ยวกับการทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำตามความตกลงนั้น
ข. คุณสมบัติ
ข้อ ๑๐ ผู้ที่ประสงค์จะขอรับอาชญาบัตรเพื่อทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำซึ่งรัฐบาลหรือเอกชนไทยได้ทำความตกลงกับรัฐบาลหรือเอกชนของประเทศอื่น
ต้องเป็นบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นนิติบุคคล
นิติบุคคลนั้นต้องจดทะเบียนตามกฎหมายไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
ทั้งจะต้องไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย พ.ศ. ๒๔๘๒
ข้อ ๑๑ ผู้ยื่นคำขอต้องเป็นเจ้าของเรือประมง
หรือได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากเจ้าของเรือประมงและเรือประมงดังกล่าวต้องจดทะเบียนในประเทศไทย
พร้อมทั้งได้รับอนุญาตให้ใช้เรือจากกรมเจ้าท่าแล้ว
ข้อ ๑๒ ผู้ควบคุมเรือประมงและคนประจำเรือ
ต้องมีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กรมเจ้าท่าได้กำหนดไว้
ค. วิธีการ
ข้อ ๑๓ ผู้ยื่นคำขอรับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
ต้องยื่นคำขอรับอาชญาบัตรตามแบบ ๐๐๑ ท้ายเงื่อนไขฉบับนี้ พร้อมด้วยหลักฐานต่าง ๆ
ตามที่ระบุไว้ในแบบนั้น ต่ออธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามข้อ ๗ ในกรณีที่มีอาชญาบัตรฉบับเดิมสำหรับเครื่องมือชนิดนั้นก็ให้แนบไปด้วย
และถ้าผู้ยื่นคำขอประสงค์จะให้บุคคลใดในครอบครัวหรือลูกจ้างมีสิทธิใช้เครื่องมือนั้นด้วยก็ให้ระบุชื่อไว้ในคำขอนั้น
ข้อ ๑๔ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กำหนดตามข้อ ๗
แล้ว และมีจำนวนผู้มายื่นคำขอรับอาชญาบัตรไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ตามข้อ ๕
ให้อธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายออกอาชญาบัตรตามลำดับที่ยื่นคำขอ
หากผู้ยื่นคำขอรับอาชญาบัตรมีจำนวนเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามข้อ ๕ อธิบดีกรมประมงจะใช้วิธีการคัดเลือกตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ ๑๕ เมื่อพิจารณาเห็นสมควรอนุญาตให้ผู้ยื่นคำขอรับอาชญาบัตรรายใดเป็นผู้ได้รับอาชญาบัตรแล้ว
ให้อธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเรียกเก็บเงินอากรและออกอาชญาบัตรตามแบบ
๐๐๒ ท้ายเงื่อนไขฉบับนี้ให้
ในอาชญาบัตรนั้นต้องมีลายมือชื่อของ
อธิบดีกรมประมงพร้อมประทับตราเครื่องหมายของกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้อนุญาต
ข้อ ๑๖ เมื่อผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดประสงค์จะขอสลักหลังอาชญาบัตรเพื่อตัดทอน
หรือเพิ่มเติมบุคคลในครอบครัว หรือลูกจ้างให้เป็นผู้มีสิทธิทำการประมงโดยใช้เครื่องมือดังกล่าว
ให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีกรมประมงหรือประมงจังหวัด ณ
ท่าเทียบเรือตามที่ระบุไว้ในอาชญาบัตรนั้น และให้อธิบดีกรมประมงหรือประมงจังหวัดดังกล่าวมีอำนาจพิจารณาสลักหลังอาชญาบัตรเพื่อการนี้ได้
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่อาชญาบัตรซึ่งออกให้ตามเงื่อนไขฉบับนี้สูญหายหรือ
ชำรุดเสียหายในสาระสำคัญ
ให้ผู้รับอาชญาบัตรยื่นคำขอรับใบแทนอาชญาบัตรต่ออธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อได้สอบสวนเรียบร้อยแล้ว
ให้อธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวออกอาชญาบัตรให้ใหม่ โดยระบุข้อความอย่างเดียวกับอาชญาบัตรเดิม
แต่ให้เขียนคำว่า ใบแทน ด้วยหมึกสีแดง ไว้ตอนบน
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับใบแทนตามอัตราที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง
ข้อ ๑๘ เมื่อผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดประสงค์จะดัดแปลงเรือประมงหรือเครื่องมือทำการประมงซึ่งได้ระบุไว้ในอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้ให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
และให้อธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวมีอำนาจพิจารณาอนุญาตได้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๑๙ เมื่อผู้รับอาชญาบัตรประสงค์จะเปลี่ยนแปลงเครื่องมือทำการประมงให้แตกต่างไปจากที่ได้รับอนุญาตไว้
ให้ยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงนั้นโดยใช้แบบการยื่นคำขอรับอาชญาบัตรตามข้อ ๑๓
ข้อ ๒๐ ในกรณีที่เรือประมงซึ่งได้ระบุไว้ในอาชญาบัตรลำใดชำรุดหรือสูญหายจนกรมเจ้าท่าจำหน่ายออกจากทะเบียน
หรือไม่ออกใบอนุญาตให้ใช้เรือแล้ว ผู้นั้นมีสิทธิขอใช้เรือประมงลำใหม่ที่มีขนาดเรือและจำนวนเครื่องมือตามที่อธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเห็นสมควร
ข้อ ๒๑ ในกรณีที่ผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดประสงค์จะโอนอาชญาบัตรให้แก่ผู้อื่น
ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่ออธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
พร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่า ผู้รับโอนมีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขฉบับนี้
และพร้อมที่จะประกอบกิจการของผู้โอนต่อไปได้เมื่ออธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวพิจารณาคำขอพร้อมหลักฐานแล้ว
เห็นสมควรอนุญาตให้โอนอาชญาบัตรได้ ก็ให้ผู้โอนส่งมอบอาชญาบัตร
เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับโอนไว้ในอาชญาบัตรนั้น และส่งมอบให้ผู้รับโอนต่อไป
เมื่อผู้รับโอนได้รับอาชญาบัตรที่ระบุชื่อตนไว้แล้ว จึงจะมีสิทธิทำการประมงต่อไปได้เท่าบุคคลที่ตนแทน
ง.
หน้าที่ของผู้รับอาชญาบัตร
ข้อ ๒๒ ผู้รับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในอาชญาบัตรทุกประการ หากผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขแม้เพียงข้อหนึ่งข้อใด
ให้อธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายมีอำนาจพิจารณาเพิกถอนอาชญาบัตรนั้นได้
อาชญาบัตรที่ถูกเพิกถอนแล้วให้เรียกเก็บทันที
และให้แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบด้วย
ข้อ ๒๓ ในกรณีที่ผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดตาย
ให้ทายาทหรือผู้รับพินัยกรรม หรือผู้จัดการมรดกแจ้งต่ออธิบดีกรมประมงหรือประมงจังหวัดที่ใกล้เคียงโดยเร็ว
แต่ต้องไม่ช้ากว่า ๖๐ วัน เพื่อแสดงเจตนาว่า
ประสงค์จะประกอบกิจการต่อไปหรือจะโอนอาชญาบัตร หากพ้นกำหนดนี้แล้วให้นำความในข้อ
๒๒ มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
ข้อ ๒๔ อาชญาบัตรที่ออกให้ตามเงื่อนไขฉบับนี้ให้สิ้นอายุลงในวันที่
๓๑ มีนาคม ของทุกปี
การขอต่ออายุอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่อธิบดีกรมประมงกำหนด แต่ทั้งนี้ จะต่ออายุอาชญาบัตรให้แก่ผู้ซึ่งเคยถูกเพิกถอนอาชญาบัตรมาแล้วยังไม่ครบสามปีนับแต่วันที่ถูกเพิกถอนอาชญาบัตร
หาได้ไม่
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๑
ประยุทธ์ ศิริพานิชย์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๕/ตอนที่ ๒๖/หน้า ๓๐/๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ |
301675 | ประกาศ เรื่อง เงื่อนไขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490ว่าด้วยการทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำซึ่งประเทศไทยได้ตกลงกับประเทศอื่น (ฉบับที่ 1) พ.ศ.2522 | ประกาศ
ประกาศ
เรื่อง
เงื่อนไขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. 2490
ว่าด้วยการทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำ
ซึ่งประเทศไทยได้ตกลงกับประเทศอื่น
(ฉบับที่
1) พ.ศ. 2522
----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 16 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรแบะสหกรณ์กำหนดเงื่อนไขไว้ ดังต่อไปนี้
ก. บทบัญญัติทั่วไป
----------
ข้อ 1
อาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
หมายถึง
อาชญาบัตรสำหรับใช้กับเรือประมงและเครื่อง
มือในพิกัดทำการประมงเฉพาะในที่จับสัตว์น้ำ
ซึ่งประเทศไทยได้ทำความตกลงทางการประมงกับประเทศ
อื่น
ข้อ 2
เงื่อนไขฉบับนี้จะใช้บังคับต่อเมื่อความตกลงที่มีข้อกำหนดให้ชาวประมงในประเทศไทยไปทำ
การประมงในที่จับสัตว์น้ำ
ซึ่งอยู่ในบริเวณน่านน้ำตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของประเทศ
อื่นมีผลใช้บังคับแล้ว
ข้อ 3
อาญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้ให้ใช้ได้เฉพาะเรือประมงซึ่งระบุไว้ในอาชญาบัตรและทำการ
ประมงได้เฉพาะแต่ในบริเวณที่ระบุไว้ในอาชญาบัตรเท่านั้น
ข้อ 4 อาชญาบัตรซึ่งออกให้ตามเงื่อนไขฉบับอื่น หรือกฎกระทรวงอื่น แก่บุคคลที่ได้รับ
อาชญาบัตรสำหรับเรือที่ระบุชื่อไว้ในอาชญาบัตรตามข้อ 3 เป็นอันสิ้นสุดลง
ข้อ 5
บุคคลใดประสงค์จะไปทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำซึ่งประเทศไทยได้ทำความตกลง
กับประเทศอื่น
ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขฉบับนี้
ข้อ 6
ให้อธิบดีมีอำนาจกำหนด
ชนิด ขนาด จำนวนเรือประมงและเครื่องมือทำการประมง
ที่จะทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำซึ่งประเทศไทยได้ทำความตกลงกับประเทศอื่น
ข้อ 7 ให้อธิบดีมีอำนาจ
กำหนดหมายเลขทะเบียนอาชญาบัตรเพื่อประโยชน์ในการควบคุมการ
ประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำที่ได้ทำความตกลงกับประเทศอื่น
ข้อ 8
ให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควร เพื่อให้ชาวประมงมายื่นคำขอรับ
อาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
ข้อ 9
บุคคลที่ได้รับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้ จะต้องปฏิบัติตามกฎ
ประกาศ หรือข้อ
กำหนดของประเทศได้มีความตกลงทางการประมงกับประเทศไทย เกี่ยวกับการทำการประมงในบริเวณที่จับ
สัตว์น้ำตามความตกลงนั้น
ข. คุณสมบัติ
------
ข้อ 10
ผู้ที่ประสงค์จะขอรับอาชญาบัตรเพื่อทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำซึ่งประเทศไทยได้ทำความ
ตกลงกับประเทศอื่น
ต้องเป็นบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นนิติบุคคล
นิติบุคคลนั้นต้องจดทะเบียนตามกฎหมายไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ใน
ประเทศไทย
ทั้งจะต้องไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย
พ.ศ. 2482
ข้อ 11
ผู้ยื่นคำขอต้องเป็นเจ้าของเรือประมง หรือได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากเจ้าของเรือ
ประมงตามข้อ 10
เรือประมงดังกล่าวต้องจดทะเบียนในประเทศไทย และได้รับอนุญาตให้ใช้เรือจาก
กรมเจ้าท่าแล้ว
ข้อ 12
ผู้ควบคุมเรือประมงและประจำเรือ
ต้องมีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กรม
เจ้าท่าได้กำหนดไว้
ค. วิธีการ
-----
ข้อ 13
ผู้ยื่นคำขอรับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้ ต้องยื่นคำขอรับอาชญาบัตรตามแบบ 001
ท้ายเงื่อนไขฉบับนี้
พร้อมด้วยหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในแบบนั้น ต่ออธิบดีกรมประมง
ภายใน
ระยะเวลาที่อธิบดีกำหนดตามข้อ 8
ในกรณีที่มีอาชญาบัตรฉบับเดิมสำหรับเครื่องมือชนิดนั้นก็ให้แนบไปด้วย
และถ้าผู้ยื่นคำขอประสงค์จะให้บุคคลใดในครอบครัวหรือลูกจ้างมีสิทธิให้เครื่องมือนั้นด้วยก็ให้ระบุชื่อไว้ใน
คำขอนั้น
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอรายใดเป็นผู้ที่ได้รับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับอื่นหรือกฎกระทรวงอื่นอยู่แล้ว
ต้องส่งมอบคืออาชญาบัตรเพื่อออกให้ตามเงื่อนไขหรือกฎกระทรวงดังกล่าวมาพร้อมกับคำขอรับอาชญาบัตร
ตามเงื่อนไขฉบับนี้ด้วย
ข้อ 14
เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อธิบดีได้กำหนดตามข้อ 8 แล้วและมีจำนวนผู้มายื่นคำขอรับ
อาชญาบัตรไม่เกินจำนวนที่อธิบดีกำหนดไว้ตามข้อ 6
ให้อธิบดีออกอาญาบัตรตามลำดับที่ยื่นคำขอ หากผู้ยื่นคำขอ
รับอาชญาบัตรมีจำนวนเกินกว่าที่อธิบดีกำหนดไว้ตามข้อ 6 ให้อธิบดีคัดเลือกตามวิธีการที่เห็นสมควร
ข้อ 15
เมื่อพิจารณาเห็นสมควรอนุญาตให้ผู้ยื่นคำขอรับอาชญาบัตรรายใดเป็นผู้ได้รับอาชญาบัตร
แล้ว
ให้อธิบดีเรียกเก็บเงินอากรและเรียกเก็บอาชญาบัตรฉบับอื่นเก็บรักษาไว้ก่อนส่งมอบอาชญาบัตรฉบับ
นี้ด้วย
ข้อ 16
เมื่อชำระเงินอากรตามจำนวนที่เรียกเก็บตามข้อ 15 แล้วให้ออกอาชญาบัตรตามแบบ
002
ท้ายเงื่อนไขฉบับนี้
ให้แก่ผู้นั้นได้
ในอาญาบัตรนั้นต้องมีลายมือชื่อของอธิบดีเป็นผู้อนุญาตพร้อมทั้งประทับตราเครื่องหมายของกรม
ประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วย
ข้อ 17
เมื่อผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดประสงค์จะขอสลักหลังอาชญาบัตรเพื่อตัดทอน หรือเพิ่มเติม
บุคคลในครอบครัว
หรือลูกจ้างให้เป็นผู้มีสิทธิทำการประมงโดยใช้เครื่องมือดังกล่าว ให้ยื่นคำขอต่อ
ประมงจังหวัด ณ ท่าเทียบเรือตามที่ระบุไว้ในอาชญาบัตรนั้น
และให้ประมงจังหวัดมีอำนาจพิจารณาสลักหลัง
อาชญาบัตรเพื่อการดังกล่าวได้
ข้อ 18
ในกรณีที่อาชญาบัตรซึ่งออกให้ตามเงื่อนไขฉบับนี้สูญหายหรือชำรุดเสียหายในสาระสำคัญ
ให้ผู้รับอาชญาบัตรยื่นคำขอรับมอบแทนอาชญาบัตรต่ออธิบดี เมื่อได้สอบสวนเรียบร้อยแล้ว ให้อธิบดีออก
อาชญาบัตรใหม่
โดยระบุข้อความอย่างเดียวกับอาชญาบัตรเดิม แต่ให้เขียนคำว่า
`ใบแทน' ด้วย
หมึกสีแดงไว้ตอนบน
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับใบแทนตามอัตราที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง
ข้อ 19
เมื่อผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดประสงค์จะดัดแปลงเรือประมงหรือเครื่องมือทำการประมงซึ่งได้
ระบุไว้ในอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้ให้ยื่นคำขอต่อประมงจังหวัด
ณ ท่าเทียบเรือตามที่ระบุไว้ใน
อาชญาบัตรนั้น
และให้ประมงจังหวัดมีอำนาจพิจารณาอนุญาตได้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ 20
เมื่อผู้รับอาญาบัตรประสงค์จะเปลี่ยนแปลงเครื่องมือทำการประมงให้แตกต่างไปจากที่ได้
รับอนุญาตไว้
ให้ยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงนั้นโดยใช้แบบการยื่นคำขอรับอายาบัตรตามข้อ 13
ข้อ 21
ในกรณีที่เรือประมงตามข้อ 13
ลำใดชำรุดหรือสูญหายจนกรมเจ้าท่าจำหน่ายออกจาก
ทะเบียน
หรือไม่ออกใบอนุญาตให้ใช้เรือแล้ว ผู้มีสิทธิขอใช้เรือประมงลำใหม่ที่มีขนาดเรือและ
จำนวนเครื่องมือไม่มากไปกว่าเดิมได้
ข้อ 22
ในกรณีที่ผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดประสงค์จะโอนอาชญาบัตรให้แก่ผู้อื่น ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือ
ต่ออธิบดีพร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่า
ผู้รับโอนมีคุณสมบัตรถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขฉบับนี้และพร้อมที่จะ
ประกอบกิจการของผู้โอนต่อไปได้
เมื่ออธิบดีพิจารณาคำขอพร้อมหลักฐานแล้ว
ถ้าเห็นสมควรให้โอน
อาชญาบัตรได้
ก็ให้ผู้โอนส่งมอบอาชญาบัตรเพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับโอนไว้ในอาชญาบัตรนั้น
และส่งมอบให้ผู้รับโอนต่อไป เมื่อผู้รับโอนได้รับอาชญาบัตรที่ระบุชื่อตนไว้แล้ว จึงจะมีสิทธิทำการ
ประมงต่อไปได้
ผู้โอนขาดสิทธิการทำการประมงในบริเวณที่จับสัตว์น้ำซึ่งระบุไว้ในอาชญาบัตรที่โอนนับแต่วันที่โอน
แต่ไม่ตัดสิทธิผู้นั้นจะขออาชญาบัตรเพื่อทำการประมงในบริเวณอื่นนอกนากที่ระบุไว้ในอาชญาบัตรนั้น
ง. หน้าที่ของผู้รับอาชญาบัตร
------------------
ข้อ 23
ผู้รับอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้
ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในอาชญาบัตรทุก
ประการ
หากผู้รับอาชญาบัตรผู้ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขแม้เพียงข้อหนึ่งข้อใด ให้อธิบดีมีอำนาจพิจารณาเพิกถอน
อาชญาบัตรนั้นได้
อาชญาบัตรที่ถูกเพิกถอนแล้ว
ให้เรียกเก็บทันที่และให้แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
ทราบด้วย
ข้อ 24
กรณีที่ผู้รับอาญาบัตรผู้ใด
ตาย ให้ทายาทหรือผู้รับพินัยกรรม หรือผู้จัดการมรดกแจ้งต่อ
อธิบดีภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ผู้รับนั้นตาย ว่าประสงค์จะประกอบกิจการต่อไปหรือจะโอน
อาชญาบัตร
และให้นำความในข้อ 22
มาใช้บังคับ
โดยอนุโลมแก่การนั้น
ข้อ 25
อาชญาบัตรที่ออกให้ตามเงื่อนไขฉบับนี้ สิ้นอายุลงในวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี
การขอต่ออายุอาชญาบัตรตามเงื่อนไขฉบับนี้ ต้องยื่นคำขอต่ออายุอาชญาบัตรต่ออธิบดีภายในเวลา
ไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ก่อนอาชญาบัตรนั้นสิ้นอายุ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่อธิบดีกำหนดและจำไม่
ต่ออายุอาชญาบัตรให้แก่ผู้ซึ่งเคยถูกเพิกถอนอาชญาบัตรมาแล้วยังไม่ครบสามปีนับแต่วันที่ถูกเพิกถอน
อาชญาบัตร
ให้ไว้ ณ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2522<
อาภรณ์ ศรีพิพัฒน์
รัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ รักษาราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เงื่อนไขที่ผู้รับอาชญาบัตรจะต้องปฏิบัติตาม
ข้อ 1
ผู้รับอาชญาบัตรต้องเขียนหมายเลขทะเบียนอาชญาบัตร ด้วยสีขาวบนพื้นสีดำ ณ จุดที่
เหมาะสมบนบริเวณกราบส่วนหน้าของเรือด้านขวาด้านซ้าย และส่วนท้ายของเรือ อักษรดังกล่าวจะต้อง
มีขนาดส่วนสูงไม่น้อยกว่า 50 ซม. ส่วนกว้างไม่น้อยกว่า 15 ซม. และต้องดำเนินการให้เสร็จก่อน
ออกทำการประมง
ข้อ 2
ผู้รับอาชญาบัตรต้องติดใบอาชญาบัตร ณ จุดที่สามารถเห็นได้ชัด หรือใกล้เคียงกับใบ
อนุญาตใช้เรือ
ข้อ 3 ผู้รับอาชญาบัตรต้องให้ความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของต่างประเทศที่อยู่บนเรือตามเงื่อนไข
และข้อตกลง
ซึ่งประเทศไทยได้ทำความตกลงกับประเทศอื่น เฉพาะแต่ในบริเวณน่าน้ำ
ตามความตกลงดังกล่าว
ข้อ 4
ผู้รับอาชญาบัตรต้องระมัดระวังตักเตือนผู้ควบคุมเรือประมงและลูกเรือ ไม่ให้ละเมิดกฎ
หมายของรัฐชายฝั่งในบริเวณน่าน้ำที่ทำความตกลงกับประเทศนั้น ๆ และหากบุคคลดังกล่าวละเมิดกฎ
หมายของรัฐชายฝั่งด้วยประการใด ๆ แล้ว
ผู้รับอาญาบัตรนั้นต้องรับผิดชอบในทุกกรณีและต้องออกค่าปรับ
ค่าใช้จ่าย
และค่าทดแทน
หรือค่าใช้จ่ายอื่นทั้งสิ้นแทนบุคคลดังกล่าว
ข้อ 5
ผู้รับอาชญาบัตรต้องจัดให้มีการจดแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการทำการประมงลงในสมุดปูมประจำ
เรือ
โดยให้ผู้ควบคุมเรือรับผิดชอบร่วมกับผู้รับอาชญาบัตรในการจดแจ้งข้อมูลดังกล่าวให้ครบถ้วนและถูก
ต้องตามความเป็นจริงทุกประการ พร้อมที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ.
2490
และของประเทศที่ได้ทำความตกลงเพื่อการนี้ตรวจสอบได้เสมอทุกขณะ
ข้อ 6
ผู้รับอาชญาบัตรต้องนำผลผลิตทางการประมง หรือขนถ่ายสัตว์น้ำ ณ ที่ซึ่งกำหนดไว้ใน
อาชญาบัตรนี้เท่านั้น
ข้อ 7 ผู้รับอาชญาบัตรต้องส่งแบบฟอร์มรายละเอียดเกี่ยวกับเรือและลูกเรือตามแบบที่กรมประมง
กำหนด
ให้แก่ประมงจังหวัด
หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย ณ จังหวัดที่เรือนั้นเทียบเท่าอยู่ภายในสิบสอง
ชั่วโมงก่อนออกเรือทำการประมงทุกครั้ง
และต้องได้รับหนังสือจากประมงจังหวัด หรือผู้ซึ่งได้รับมอบ
หมายดังกล่าวว่า
ผู้รับอาชญาบัตรนั้นได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กรมประมงกำหนด จึงจะออก
เรือไปทำการประมงได้
ข้อ 8
ผู้รับอาชญาบัตรต้องแจ้งให้ประมงจังหวัด หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายทราบภายในหกชั่วโมง
นับแต่เรือเข้าเทียบท่าในประเทศไทยเพื่อขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำ และต้องแจ้งก้อนทำการขนถ่ายสินค้าสัตว์
น้ำลงจากเรือพร้อมกับต้องยื่นสมุดปูมแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำการประมงตามข้อ
5 ด้วย
ข้อ 9
ผู้รับอาชญาบัตรต้องทำการประมงในบริเวณเท่าที่กำหนดไว้ในอาชญาบัตรนี้เท่านั้น จะ
ทำการประมงในบริเวณอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ในใบอาชญาบัตรนี้ไม่ได้
คำเตือน
1
อาชญาบัตรนี้สิ้นอายุในวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี
2
หากผู้รับอาชญาบัตรประสงค์จะขอรับอาชญาบัตรใหม่จะต้องยื่นคำขอต่ออายุไม่น้อยกว่าสามสิบ
วัน
ก่อนอาชญาบัตรนี้สิ้นอายุ
3
หากผู้รับอาชญาบัตรฝ่าฝืนเงื่อนไข
ข้อหนึ่งข้อใดในอาชญาบัตรนี้จะถูกเพิกถอนอาชญาบัตร และ
ผู้รับอาชญาบัตรนั้นสิ้นสิทธิที่จะขออนุญาตการทำการประมงตามเงื่อนไขรัฐมนตรีฉบับนี้เป็นเวลาสามปี นับ
แต่วันที่ถูกเพิกถอนอาชญาบัตร |
301674 | ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่อง ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองปลาปิรันยา (Piranha) หรือปลาคาริบี (Caribe) นำปลาดังกล่าวไปส่งมอบแก่เจ้าพนักงานกรมประมง | ประกาศกระทรวงเกษตร
ประกาศกระทรวงเกษตร
เรื่อง
ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองปลาปิรันยา (Piranha) หรือปลาคาริบี
(Caribe) นำปลาดังกล่าวไปส่งมอบแก่เจ้าพนักงานกรมประมง[๑]
โดยที่มาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
พ.ศ. ๒๕๑๓ บัญญัติว่า
มาตรา ๕๓ ห้ามมิให้บุคคลใดมีไว้ในความรอบครองซึ่งสัตว์น้ำชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่ระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกา
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
บุคคลใดมีสัตว์น้ำดังกล่าวไว้ในความครอบครองในวันที่พระราชกฤษฎีกาออกตามความในวรรคหนึ่งเริ่มใช้บังคับ
โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศให้นำสัตว์น้ำนั้นส่งมอบต่อเจ้าพนักงานกรมประมง
กระทรวงเกษตร ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศ
ในการนี้ให้กรมประมงคิดราคาสัตว์น้ำดังกล่าวตามสมควรให้แก่ผู้นำส่งมอบ และบัดนี้ได้มีพระราชกฤษฎีการะบุสัตว์น้ำบางชนิดที่ห้ามมิให้มีไว้ในครอบครองนำเข้ามาในราชอาณาจักร
หรือนำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ พ.ศ. ๒๕๑๓ ประกาศใช้บังคับแล้ว และตามมาตรา ๓
แห่งพระราชกฤษฎีกานี้บัญญัติว่า
มาตรา ๓ ปลาน้ำจืดที่มีชีวิตในสกุลเซราซาลมัส
(Serasalmus) และไข่ของปลาดังกล่าวเป็นสัตว์น้ำที่ห้ามมิให้มีไว้ในครอบครอง
นำเข้ามาในราชอาณาจักร หรือนำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ และปลาปิรันยา (Piranha) หรือปลาคาริบี
(Caribe) เป็นปลาที่อยู่ในสกุลเซราซาลมัส (Serasalmus)
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๔๙๐ พ.ศ. ๒๕๑๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรจึงประกาศให้บุคคลผู้มีปลา ปิรันยา (Piranha) หรือปลา คาริบี (Caribe) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเซราซาลมัส (Serasalmus) ไว้ในความครอบครอง
โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ นำปลาดังกล่าวไปส่งมอบแก่เจ้าพนักงานกรมประมง
กระทรวงเกษตร ภายในเจ็ดวันนับแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๓
หม่อมราชวงศ์จักรทอง ทองใหญ่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
พรพิมล/พิมพ์
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๘๗/ตอนที่ ๒๗/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๔/๓๐ มีนาคม ๒๕๑๓ |
799197 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 907/2559 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 (ฉบับ Update ล่าสุด) | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๙๐๗/๒๕๕๙
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
อาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า
พนักงานเจ้าหน้าที่ ในมาตรา ๕
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่
๑๑๙๔/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ
๒ ให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัดกรมประมงผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑) อธิบดีกรมประมง รองอธิบดีกรมประมง ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ตรวจราชการกรม
ผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการศูนย์เขต ผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าศูนย์ หัวหน้าหน่วย
หัวหน้าด่านซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๒) นักวิชาการประมง นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร นักวิชาการสถิติ
นักวิชาการเผยแพร่ นักเดินเรือ นิติกร เศรษฐกร นายช่างกลเรือ เจ้าพนักงานประมง
เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานสถิติ เจ้าพนักงานสื่อสาร เจ้าพนักงานเดินเรือ
นายช่างเครื่องกล และลูกจ้างประจำกองตรวจการประมงผู้ดำรงตำแหน่งนายท้ายเรือ
นายท้ายเรือกลชายทะเล ช่างเครื่องยนต์ ช่างเครื่องเรือ
ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙
มาตรา ๑๑ มาตรา ๖๔ มาตรา ๗๘ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๒ มาตรา ๙๕ มาตรา
๙๖ มาตรา ๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๔ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๒/๑)[๑]
นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๑๐/๑ ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๓) ประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าฝ่าย
หัวหน้าประมงเขตพื้นที่นักวิชาการประมง เจ้าพนักงานประมง
ซึ่งสังกัดสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๖๔ มาตรา ๗๘ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา
๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๔) ประมงจังหวัด หัวหน้ากลุ่ม
ประมงอำเภอ นักวิชาการประมง เจ้าพนักงานประมง ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค
กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๖๔ มาตรา ๗๘ มาตรา
๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕
มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๔/๑)[๒]
ประมงจังหวัด หัวหน้ากลุ่ม ประมงอำเภอ ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค กรมประมง
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐/๑ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๕) หัวหน้าฝ่าย นักจัดการงานทั่วไป เจ้าพนักงานธุรการ
และลูกจ้างประจำผู้ดำรงตำแหน่งนายท้ายเรือ นายท้ายเรือกลชายทะเล ช่างเครื่องเรือ
ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค กรมประมงให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙
มาตรา ๑๑ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา
๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ข้อ
๓ ให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑) ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๖๒
มาตรา ๖๓ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๒) นายอำเภอ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๓๑ มาตรา ๗๙ มาตรา
๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ข้อ
๔[๓] คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๗
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑๓๑๑/๒๕๖๐ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม (ฉบับที่
๒)[๔]
ทั้งนี้
คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
พิมพ์มาดา/จัดทำ
๒๗ กุมภาพันธ์
๒๕๖๑
พจนา/ตรวจ
๒๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๑
[๑] ข้อ ๒ (๒/๑)
เพิ่มโดยคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑๓๑๑/๒๕๖๐ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม (ฉบับที่
๒)
[๒] ข้อ ๒ (๔/๑)
เพิ่มโดยคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑๓๑๑/๒๕๖๐ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม (ฉบับที่
๒)
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๒๖๐ ง/หน้า ๓๘/๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๓ ง/หน้า ๓๔/๕ มกราคม ๒๕๖๑ |
801926 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 8/2561 เรื่อง ยกเลิกบทบัญญัติบางประการในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๘/๒๕๖๑
เรื่อง
ยกเลิกบทบัญญัติบางประการในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่าด้วย
การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย
ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม
ตามที่ได้มีการบังคับใช้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย
ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ไปแล้วจำนวนหลายฉบับ จนทำให้สภาพปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้รับการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
จนสามารถปฏิรูประบบการบริหารจัดการเรือที่ใช้ทำการประมง การขนถ่ายสัตว์น้ำ
การเก็บรักษาสัตว์น้ำ
ตลอดจนการปรังปรุงมาตรการในการควบคุมและเฝ้าระวังการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
จนกระทั่งในปัจจุบันได้มีการนำหลักเกณฑ์วิธีการในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย
ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ตามที่กำหนดไว้ในบรรดาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหลายประการไปบัญญัติไว้ในพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการเฉพาะแล้ว ดังนั้น
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีเอกภาพและไม่เกิดความสับสนแก่ผู้ที่จะอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับใด
จึงสมควรยกเลิกบทบัญญัติในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ
เพื่อมิให้มีความซ้ำซ้อนกับบทบัญญัติที่ได้นำไปกำหนดไว้แล้วในกฎหมายว่าด้วยการประมง
เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้และการตีความกฎหมาย
อีกทั้งยังเป็นการปฏิรูปกฎหมายของประเทศให้มีเอกภาพและมีเพียงเท่าที่จำเป็นตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๖๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๔๔
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
จึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกข้อ
๖ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙ ข้อ ๒๐ ข้อ ๒๑ และข้อ
๒๒ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ลงวันที่ ๒๙
เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๔
ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๒๔/๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมเพิ่มเติม
ลงวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อ
๒ (๒) ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๒/๒๕๕๘ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม
เพิ่มเติมครั้งที่ ๒ ลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
ข้อ ๔ บรรดาความผิดตามข้อ ๖ (๒) ประกอบข้อ ๑๘ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๐/๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย
ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ลงวันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
ใช้บังคับและอยู่ระหว่างการดำเนินคดีหรือการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลให้ดำเนินคดีนั้นตามกฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับต่อไป
จนกว่าการดำเนินคดีหรือการบังคับคดีนั้นจะถึงที่สุด
ข้อ ๕ ในกรณีที่เห็นสมควร
นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้
ข้อ ๖[๑] คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเษกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๔ เมษายน
พุทธศักราช ๒๕๖๑
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ปวันวิทย์/จัดทำ
๑
มิถุนายน ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๙๓ ง/หน้า ๑๓/๒๔ เมษายน ๒๕๖๑ |
794493 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 1311/2560 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)
| คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๑๓๑๑/๒๕๖๐
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม (ฉบับที่
๒)
อาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า
พนักงานเจ้าหน้าที่ ในมาตรา ๕
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกคำสั่งไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๒/๑)
ในข้อ ๒ ของคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๙๐๗/๒๕๕๙ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
(๒/๑) นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๑๐/๑ ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
ข้อ
๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔/๑)
ในข้อ ๒ ของคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๙๐๗/๒๕๕๙ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
(๔/๑) ประมงจังหวัด หัวหน้ากลุ่ม ประมงอำเภอ
ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๑๐/๑ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ทั้งนี้
คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
สั่ง ณ
วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ลักษณ์ วจนานวัช
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ภวรรณตรี/จัดทำ
๑๑
มกราคม ๒๕๖๑
พิมพ์มาดา/ตรวจ
๑๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๓ ง/หน้า ๓๔/๕ มกราคม
๒๕๖๑ |
792169 | คำสั่งจังหวัดสตูล ที่ 1837/2560 เรื่อง ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดจังหวัดสตูล | คำสั่งจังหวัดสตูล
ที่
๑๘๓๗/๒๕๖๐
เรื่อง
ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดจังหวัดสตูล[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ เห็นชอบ
เรื่อง การแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด
ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่
๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มอบหมายให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด
ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีเพื่อระงับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามความในมาตรา ๔ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ ที่ใช้ความเค็มในพื้นที่น้ำจืด
เนื่องจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ น้ำจืดเป็นเหตุให้เกิดภาวะมลพิษทั้งทางน้ำและมลพิษในดิน
เกิดสภาวะขาดความสมดุลตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และก่อให้เกิดผลเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและของประชาชน
อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๗/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๕๙ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล
ที่ ๖๕/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ เรื่อง
ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดจังหวัดสตูล
ข้อ ๒ ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด
ดังต่อไปนี้
๒.๑ ท้องที่เขตอำเภอเมืองสตูล ได้แก่
๑) ตำบลเกตรี
๒) ตำบลบ้านควน
๓) ตำบลฉลุง
๔) หมู่ที่ ๑, หมู่ที่ ๒, หมู่ที่ ๓, หมู่ที่ ๔, หมู่ที่ ๕ และหมู่ที่ ๗ ตำบลควนโพธิ์
๕) หมู่ที่ ๖ และหมู่ที่ ๗ ตำบลคลองขุด
๖) หมู่ที่ ๑ และหมู่ที่ ๒ ตำบลควนขัน
๒.๒ ท้องที่เขตอำเภอท่าแพ ได้แก่
๑) ตำบลแป-ระ
๒) หมู่ที่ ๑ และหมู่ที่ ๕ ตำบลท่าเรือ
๓) หมู่ที่ ๒, หมู่ที่ ๓, หมู่ที่ ๔, หมู่ที่ ๘, หมู่ที่ ๙ และหมู่ที่ ๑๐ ตำบลท่าแพ
๒.๓ ท้องที่เขตอำเภอละงู ได้แก่
๑) ตำบลเขาขาว
๒) ตำบลน้ำผุด
๒.๔ ท้องที่เขตอำเภอทุ่งหว้า ได้แก่
๑) ตำบลป่าแก่บ่อหิน
๒) หมู่ที่ ๓, หมู่ที่ ๘ และหมู่ที่ ๙ ตำบลนาทอน
๓) หมู่ที่ ๖, หมู่ที่ ๗, หมู่ที่ ๙
และหมู่ที่ ๑๐ ตำบลทุ่งหว้า
๒.๕ ท้องที่เขตอำเภอควนโดน
๒.๖ ท้องที่เขตอำเภอควนกาหลง
๒.๗ ท้องที่เขตอำเภอมะนัง
ทั้งนี้ ในระหว่างที่มีคำสั่งระงับดังกล่าวข้างต้น
หากอยู่ระหว่างช่วงของการเพาะเลี้ยงให้ดำเนินการได้ในแต่ละช่วงและจับสัตว์น้ำให้แล้วเสร็จภายใน
๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
โดยให้ยกเว้นการเลี้ยงสัตว์น้ำในโรงเพาะฟักสัตว์น้ำ
และบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของทางราชการ และสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
โดยไม่ให้มีการขยายพื้นที่และต้องจัดให้มีระบบการบำบัดและควบคุมการปล่อยน้ำทิ้ง
ตลอดจนมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ภัทรพนธ์ รัตนพิเชฏฐชัย
ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล
พิมพ์มาดา/อัญชลี/จัดทำ
๖
ธันวาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๙๕ ง/หน้า ๓๑/๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ |
779802 | คำสั่งกรมเจ้าท่า ที่ 370/2560 เรื่อง การต่อ ดัดแปลง เปลี่ยนประเภท หรือทำลายเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง | คำสั่งกรมเจ้าท่า
คำสั่งกรมเจ้าท่า
ที่ ๓๗๐/๒๕๖๐
เรื่อง การต่อ ดัดแปลง
เปลี่ยนประเภท หรือทำลายเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปตามข้อ
๑๓ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๒๒/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุมเพิ่มเติม
ครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดต่อ ดัดแปลง เปลี่ยนประเภท
หรือทำลายเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
เว้นแต่จะมีหนังสือรับรองจากกรมเจ้าท่า
และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน อธิบดีกรมเจ้าท่าจึงออกคำสั่งไว้ดังนี้
ข้อ
๑
การต่อเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
(๑)
ให้ผู้ที่ประสงค์จะต่อเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมงยื่นคำขอหนังสือรับรอง ณ
สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา หรือสำนักมาตรฐานเรือ
(๒) เมื่อได้รับคำขอตาม (๑) แล้ว ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาหรือผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือรวบรวมรายชื่อผู้ยื่นคำขอโดยทำเป็นหนังสือผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของกรมเจ้าท่า
แจ้งผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือภายในหนึ่งวันทำการ
และให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือทำหนังสือสอบถามกรมประมงว่าสามารถให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการต่อเรือได้หรือไม่
ผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (สรอ.) ภายในหนึ่งวันทำการเพื่อให้กรมประมงพิจารณา
ว่าสามารถให้ดำเนินการต่อเรือดังกล่าวได้หรือไม่ก่อนแจ้งให้กรมเจ้าท่าทราบภายในสามวันทำการหลังจากได้รับหนังสือสอบถามจากกรมเจ้าท่า
(๓)
เมื่อได้รับแจ้งจากกรมประมงแล้วให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือแจ้งต่อไปยังสำนักมาตรฐานเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาที่เกี่ยวข้องผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของกรมเจ้าท่าภายในหนึ่งวันทำการ
และให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือหรือผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาดำเนินการดังนี้
(๓.๑) จัดทำหนังสือรับรองว่าสามารถดำเนินการต่อเรือได้
มอบให้แก่ผู้ยื่นคำขอภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าสามารถให้ดำเนินการต่อเรือได้
(๓.๒) จัดทำหนังสือแจ้งผู้ยื่นคำขอว่าไม่สามารถให้ดำเนินการต่อเรือได้ภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าไม่สามารถให้ดำเนินการต่อเรือได้
(๔) เมื่อเจ้าของเรือได้รับหนังสือรับรองตาม
(๓.๑) แล้วจึงจะสามารถดำเนินการต่อเรือได้ และเมื่อเจ้าของเรือจะเริ่มดำเนินการต่อเรือต้องแจ้งแผนกำหนดการต่อเรือจนกระทั่งการต่อเรือแล้วเสร็จต่อกรมเจ้าท่า
ในกรณีที่เป็นการต่อเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมงซึ่งมีขนาดความยาวตลอดลำตั้งแต่
๒๔ เมตร ขึ้นไป ให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับสำหรับการตรวจเรือ (ฉบับที่ ๓๗)
พ.ศ. ๒๕๕๓
ในการตรวจสอบการต่อเรือในแต่ละขั้นตอนได้แก่
การวางกระดูกงู การติดตั้งเครื่องยนต์และการทดลองเรือเมื่อเรือต่อแล้วเสร็จ
ให้เจ้าของเรือยื่นหนังสือเชิญเจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่าโดยสำนักมาตรฐานเรือ
หรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา แล้วแต่กรณี
และเจ้าหน้าที่ของกรมประมงหรือประมงจังหวัดเป็นผู้ร่วมตรวจสอบ พร้อมทั้งให้บันทึกภาพการดัดแปลงเรือในแต่ละขั้นตอนไว้เป็นหลักฐาน
(๕) เมื่อได้ดำเนินการต่อเรือเสร็จสิ้นแล้ว
ให้เจ้าของเรือยื่นคำขอเพื่อขอให้ตรวจเรือและขอจดทะเบียนเรือ ณ กรมเจ้าท่า
หรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาต่อไป และให้นายทะเบียนเรือหมายเหตุชื่อเจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่าและกรมประมง
ที่ทำการตรวจสอบการต่อเรือร่วมกันไว้ในทะเบียนเรือหรือใบอนุญาตใช้เรือไว้ด้วย
(๖)
การต่อเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมงที่มิได้มุ่งหมายเพื่อการจดทะเบียนเรือไทย ให้ผู้ต่อเรือแจ้งต่อกรมเจ้าท่าและกรมประมงภายใน ๑๕ วัน
นับแต่มีการว่าจ้างให้ต่อเรือ โดยแสดงหลักฐานการว่าจ้างสัญญาต่อเรือและรายชื่อประเทศที่เรือนั้นประสงค์จะจดทะเบียน
และเมื่อเรือดังกล่าวได้จดทะเบียนแล้วเสร็จให้แจ้งต่อกรมเจ้าท่าและกรมประมงภายใน
๑๕ วัน โดยแนบสำเนาหนังสือหรือเอกสารการจดทะเบียนเรือมาด้วย
(๗) กรณีที่ต่อเรือในต่างประเทศ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตาม (๕)
และ (๖) แต่ผู้ยื่นคำขอต้องส่งมอบหลักฐานการต่อเรือในขั้นตอนของการวางกระดูกงู
การติดตั้งเครื่องยนต์ การทดลองเรือเป็นภาพถ่าย หรือวีดีทัศน์
และหนังสือรับรองการต่อเรือจากอู่หรือผู้ต่อเรือ และให้นายทะเบียนเรือหมายเหตุในใบทะเบียนเรือและใบอนุญาตใช้เรือระบุ
วันที่ต่อเรือ ชื่ออู่หรือผู้ต่อเรือและประเทศที่ต่อเรือด้วย
ข้อ
๒
การดัดแปลงเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
(๑) การดัดแปลงเรือ หมายความว่า การดำเนินการเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับเรือแล้วมีผลทำให้รายการสำคัญของเรือ ได้แก่ ความยาวตลอดลำ
ความยาวฉาก ความกว้าง ความลึก ตันกรอส ตันเนต
อย่างหนึ่งอย่างใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
(๒)
ให้ผู้ที่ประสงค์จะดัดแปลงเรือสามารถยื่นคำขอหนังสือรับรอง ณ สำนักมาตรฐานเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา
(๓) เมื่อได้รับคำขอตาม (๒) แล้ว ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือหรือผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขารวบรวมรายชื่อผู้ยื่นคำขอ
โดยทำเป็นหนังสือผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของกรมเจ้าท่าแจ้งผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือภายในหนึ่งวันทำการ
และให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือทำหนังสือสอบถามกรมประมงว่าสามารถให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการดัดแปลงเรือได้หรือไม่
ผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (สรอ.) ภายในหนึ่งวันทำการ
เพื่อให้กรมประมงพิจารณาว่าสามารถให้ดำเนินการดัดแปลงเรือได้หรือไม่ ก่อนแจ้งให้กรมเจ้าท่าทราบภายในสามวันทำการหลังจากได้รับหนังสือสอบถามจากกรมเจ้าท่า
(๔) เมื่อได้รับหนังสือแจ้งจากกรมประมงแล้ว
ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ แจ้งต่อไปยังสำนักมาตรฐานเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาที่เกี่ยวข้องผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของกรมเจ้าท่าภายในหนึ่งวันทำการ
และให้ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาหรือผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือดำเนินการดังนี้
(๔.๑) จัดทำหนังสือรับรองว่าสามารถดำเนินการดัดแปลงเรือได้
มอบให้แก่ผู้ยื่นคำขอภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าสามารถให้ดำเนินการดัดแปลงเรือได้
(๔.๒) จัดทำหนังสือแจ้งผู้ยื่นคำขอว่าไม่สามารถให้ดำเนินการดัดแปลงเรือได้ภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าไม่สามารถให้ดำเนินการดัดแปลงเรือได้
(๕)
เมื่อเจ้าของเรือได้รับหนังสือรับรองให้สามารถดำเนินการดัดแปลงเรือได้แล้ว จึงจะสามารถดำเนินการดัดแปลงเรือได้
และเมื่อเจ้าของเรือจะเริ่มดำเนินการดัดแปลงเรือต้องแจ้งแผนกำหนดการดัดแปลงเรือจนกระทั่งเรือแล้วเสร็จต่อกรมเจ้าท่า
ในกรณีที่เป็นการดัดแปลงเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมงซึ่งมีขนาดความยาวตลอดลำตั้งแต่
๒๔ เมตร ขึ้นไป ให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับสำหรับการตรวจเรือ (ฉบับที่ ๓๗)
พ.ศ. ๒๕๕๓
(๖) ในการตรวจสอบการดัดแปลงเรือจนกระทั่งการดัดแปลงเรือแล้วเสร็จ
ให้เจ้าของเรือยื่นหนังสือเชิญเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าโดยสำนักมาตรฐานเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา
แล้วแต่กรณี และเจ้าหน้าที่ของกรมประมงหรือประมงจังหวัด เพื่อตรวจสอบทั้งในขั้นตอนการเริ่มการดัดแปลงเรือ
ระหว่างการดัดแปลงเรือ และการทดลองเรือเมื่อดัดแปลงเรือแล้วเสร็จ
พร้อมทั้งให้บันทึกภาพการดัดแปลงเรือในแต่ละขั้นตอนไว้เป็นหลักฐาน
(๗) เมื่อได้ดัดแปลงเรือเสร็จสิ้นแล้ว
ให้เจ้าของเรือยื่นคำขอเพื่อขอให้ตรวจเรือและขอจดทะเบียนการดัดแปลงเรือ
ณ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา หรือกรมเจ้าท่า ต่อไป และให้นายทะเบียนหมายเหตุชื่อเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าและกรมประมงที่ทำการตรวจสอบการดัดแปลงเรือไว้ในทะเบียนเรือหรือใบอนุญาตใช้เรือไว้ด้วย
(๘) การดัดแปลงเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมงที่มิได้มุ่งหมายเพื่อขอรับใบอนุญาตใช้เรือหรือขอจดทะเบียนเรือไทย
ให้ดำเนินการตามข้อ ๒ ตามคำสั่งฉบับนี้ด้วย
ข้อ
๓
การเปลี่ยนประเภทเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
(๑) การเปลี่ยนประเภทเรือเข้า หมายความว่า
เป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทเรือให้เป็นเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
(๒) การเปลี่ยนประเภทเรือออก หมายความว่า
เป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทเรือให้เป็นเรือประเภทอื่นที่มิใช่เรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
(๓)
การยื่นขอเปลี่ยนประเภทเรือต้องระบุว่าเป็นการเปลี่ยนประเภทเรือเข้าหรือเป็นการเปลี่ยนประเภทเรือออก
โดยให้เจ้าของเรือสามารถยื่นคำขอหนังสือรับรองได้ ณ
สำนักมาตรฐานเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา
(๔) เมื่อได้รับคำขอตาม (๓) แล้ว ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือ
หรือผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาต้องรวบรวมรายชื่อผู้ยื่นคำขอ
โดยทำเป็นหนังสือผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
เสนอต่อผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือภายในหนึ่งวันทำการ จากนั้นผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือทำหนังสือสอบถามกรมประมงว่าสามารถให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้หรือไม่
ผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (สรอ.)
ภายในหนึ่งวันทำการ
เพื่อให้กรมประมงพิจารณาว่าสามารถให้ดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้หรือไม่
ก่อนแจ้งให้กรมเจ้าท่าทราบภายในสามวันทำการหลังจากได้รับหนังสือสอบถามจากกรมเจ้าท่า
(๕) เมื่อได้รับหนังสือแจ้งจากกรมประมงแล้ว
ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือแจ้งต่อไปยังสำนักมาตรฐานเรือ
หรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของกรมเจ้าท่าภายในหนึ่งวันทำการ
และให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือ หรือผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาดำเนินการดังนี้
(๕.๑) จัดทำหนังสือรับรองว่าสามารถดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้
มอบให้แก่ผู้ยื่นคำขอภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าสามารถให้ดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้
(๕.๒)
จัดทำหนังสือแจ้งผู้ยื่นคำขอว่าไม่สามารถให้ดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้ภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าไม่สามารถให้ดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้
(๖)
เมื่อเจ้าของเรือได้รับหนังสือรับรองให้สามารถดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้แล้วจึงจะสามารถดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือได้
และเมื่อเจ้าของเรือจะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือ ต้องแจ้งแผนกำหนดการเปลี่ยนประเภทเรือจนกระทั่งเรือแล้วเสร็จต่อกรมเจ้าท่า
กรณีที่เป็นการเปลี่ยนประเภทเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
เป็นเรือที่มีขนาดความยาวตลอดลำตั้งแต่ ๒๔ เมตร ขึ้นไป
ให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับสำหรับการตรวจเรือ (ฉบับที่
๓๗) พ.ศ. ๒๕๕๓
(๗) ในการตรวจสอบการเปลี่ยนประเภทเรือจนกระทั่งดำเนินการเปลี่ยนประเภทเรือแล้วเสร็จ
ให้เจ้าของเรือยื่นหนังสือเพื่อเชิญเจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่า
โดยสำนักมาตรฐานเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา แล้วแต่กรณี
และเจ้าหน้าที่ของกรมประมงหรือประมงจังหวัด เพื่อตรวจสอบ พร้อมทั้งให้บันทึกภาพการเปลี่ยนประเภทเรือไว้เป็นหลักฐาน
(๘) เมื่อได้เปลี่ยนประเภทเรือเสร็จแล้ว
ให้เจ้าของเรือหรือผู้แทนยื่นคำขอเพื่อขอให้ตรวจเรือและขอเปลี่ยนแปลงประเภทเรือ ณ
สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา หรือกรมเจ้าท่า
ต่อไปและให้หมายเหตุชื่อเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าและกรมประมงที่ทำการตรวจสอบไว้ในทะเบียนเรือหรือใบอนุญาตใช้เรือไว้ด้วย
(๙)
กรณีการเปลี่ยนประเภทเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมงที่มิได้มุ่งหมายเพื่อจดทะเบียนเรือไทย
ให้ดำเนินการตามข้อ ๓ ตามคำสั่งนี้ด้วย
ข้อ
๔
การทำลายเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
(๑) ให้ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำขอหนังสือรับรองให้ทำลายเรือประมงตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
ยื่นคำขอ ณ สำนักมาตรฐานทะเบียนเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา
(๒) เมื่อได้รับคำขอตาม (๑) แล้ว
ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือหรือผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขารวบรวมรายชื่อผู้ยื่นคำขอโดยทำเป็นหนังสือผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของกรมเจ้าท่า
แจ้งผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือภายในหนึ่งวันทำการ และให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือทำหนังสือสอบถามกรมประมงว่าสามารถให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการทำลายเรือได้หรือไม่
ผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (สรอ.) ภายในหนึ่งวันทำการเพื่อให้กรมประมงพิจารณา
ว่าสามารถให้ดำเนินการทำลายเรือได้หรือไม่ ก่อนแจ้งให้กรมเจ้าท่าทราบภายในสามวันทำการหลังจากได้รับหนังสือสอบถามจากกรมเจ้าท่า
(๓) เมื่อได้รับหนังสือแจ้งจากกรมประมงแล้ว ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ แจ้งต่อไปยังสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของกรมเจ้าท่าภายในหนึ่งวันทำการ
และให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือหรือผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาดำเนินการดังนี้
(๓.๑) จัดทำหนังสือรับรองว่าสามารถดำเนินการทำลายเรือได้
มอบให้แก่ผู้ยื่นคำขอภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าสามารถให้ดำเนินการทำลายเรือได้
(๓.๒)
จัดทำหนังสือแจ้งผู้ยื่นคำขอว่าไม่สามารถให้ดำเนินการทำลายเรือได้ภายในสามวันทำการ
ในกรณีที่กรมประมงแจ้งว่าไม่สามารถให้ดำเนินการทำลายเรือได้
(๔)
เมื่อเจ้าของเรือได้รับหนังสือรับรองให้สามารถดำเนินการทำลายเรือได้แล้วจึงจะสามารถดำเนินการทำลายเรือได้
และเมื่อเจ้าของเรือจะเริ่มดำเนินการทำลายเรือต้องแจ้งแผนกำหนดการทำลายเรือ
จนกระทั่งทำลายเรือแล้วเสร็จและระบุรายละเอียดวิธีการทำลายเรือด้วย
(๔.๑) กรณีเป็นเรือไม้ ให้ระบุว่าทำการรื้อเอาไม้ไปใช้ในกิจการอย่างใด
หรือเอาเรือไปจมทำปะการังเทียม
หรือลากเรือขึ้นฝั่งเพื่อนำไปยุบหรือเพื่อนำวัสดุไปใช้ประโยชน์ในทางใด
(๔.๒)
กรณีเป็นเรือที่ต่อด้วยวัสดุเหล็กหากจะทำลายเรือโดยการยุบเป็นเศษเหล็ก ให้ดำเนินการได้เฉพาะที่อู่ต่อเรือที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมเจ้าท่าเท่านั้น
โดยให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสภาวะสิ่งแวดล้อมข้างเคียงด้วย
(๕) ให้เจ้าของเรือยื่นหนังสือเชิญเจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่า
โดยสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือหรือสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาแล้วแต่กรณีและเจ้าหน้าที่กรมประมงหรือประมงจังหวัด
เพื่อร่วมทำการตรวจสอบการทำลายเรือจนกระทั่งทำลายเรือแล้วเสร็จ
พร้อมทั้งให้บันทึกภาพการทำลายไว้เป็นหลักฐาน
(๖)
ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายควบคุมและกำกับดูแลการทำลายเรือในกรณีต่าง
ๆ ด้วยความระมัดระวังและติดตามสถานะของการดำเนินการดังกล่าวเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้
เพื่อให้มีความแน่ชัดว่าเรือลำดังกล่าวได้ดำเนินการตามที่ร้องขอจริง
(๗) ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายควบคุมทำการบันทึกหลักฐานเป็นภาพถ่ายหรือเอกสารอื่น
ๆ ที่สามารถยืนยันกระบวนการทำลายเรือตามที่มีการยื่นคำขอจริงจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
และหลังจากนั้นให้รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบ
ก่อนส่งสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานต่อไป
(๘) กรณีการนำเรือไปทำลายที่ต่างประเทศ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ตามข้อ ๔ (๔) (๕) (๖) และ (๗)
แต่ผู้ยื่นคำขอต้องส่งมอบหลักฐานการแจ้งออกจากน่านน้ำไทย หนังสือรับรองการเดินเรือที่จะทำลายจากประเทศไทยไปยังประเทศที่ดำเนินการทำลายเรือ
พร้อมหลักฐานประกอบเพิ่มเติมที่ให้มั่นใจได้ว่าเรือลำดังกล่าวได้มีการทำลายเรือตามที่ยื่นคำขอจริงให้แก่สำนักมาตรฐานทะเบียนเรือเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๓
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ศรศักดิ์ แสนสมบัติ
อธิบดีกรมเจ้าท่า
อัญชลี/จัดทำ
๑๙ มิถุนายน
๒๕๖๐
พิมพ์มาดา/ตรวจ
๑๙ กรกฎาคม
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๖๔ ง/หน้า ๖๘/๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ |
761793 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 907/2559 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๙๐๗/๒๕๕๙
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
อาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า
พนักงานเจ้าหน้าที่ ในมาตรา ๕
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่
๑๑๙๔/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ
๒ ให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัดกรมประมงผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑) อธิบดีกรมประมง รองอธิบดีกรมประมง ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ตรวจราชการกรม
ผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการศูนย์เขต ผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าศูนย์ หัวหน้าหน่วย
หัวหน้าด่านซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๒) นักวิชาการประมง นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร นักวิชาการสถิติ
นักวิชาการเผยแพร่ นักเดินเรือ นิติกร เศรษฐกร นายช่างกลเรือ เจ้าพนักงานประมง
เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานสถิติ เจ้าพนักงานสื่อสาร เจ้าพนักงานเดินเรือ
นายช่างเครื่องกล และลูกจ้างประจำกองตรวจการประมงผู้ดำรงตำแหน่งนายท้ายเรือ
นายท้ายเรือกลชายทะเล ช่างเครื่องยนต์ ช่างเครื่องเรือ
ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙
มาตรา ๑๑ มาตรา ๖๔ มาตรา ๗๘ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๒ มาตรา ๙๕ มาตรา
๙๖ มาตรา ๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๔ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๓) ประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าฝ่าย
หัวหน้าประมงเขตพื้นที่นักวิชาการประมง เจ้าพนักงานประมง
ซึ่งสังกัดสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๖๔ มาตรา ๗๘ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา
๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๔) ประมงจังหวัด หัวหน้ากลุ่ม
ประมงอำเภอ นักวิชาการประมง เจ้าพนักงานประมง ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค
กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๖๔ มาตรา ๗๘ มาตรา
๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕
มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๕) หัวหน้าฝ่าย นักจัดการงานทั่วไป เจ้าพนักงานธุรการ
และลูกจ้างประจำผู้ดำรงตำแหน่งนายท้ายเรือ นายท้ายเรือกลชายทะเล ช่างเครื่องเรือ
ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค กรมประมงให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙
มาตรา ๑๑ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา
๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ข้อ
๓ ให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑) ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๖๒
มาตรา ๖๓ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๒) นายอำเภอ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๓๑ มาตรา ๗๙ มาตรา
๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ข้อ
๔[๑] คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๗
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปริยานุช/จัดทำ
๒๒ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
วิศนี/ตรวจ
๒๒ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๒๖๐ ง/หน้า ๓๘/๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ |
743511 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 17/2559 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๑๗/๒๕๕๙
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘
อาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า
พนักงานเจ้าหน้าที่ ในมาตรา ๕
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิก
(๑)
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๕๘๒/๒๕๓๗ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
(๒)
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๔๗๕/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ข้อ
๒
ให้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑)
กองทัพเรือ และศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.)
(๑.๑)
ผู้บัญชาการทหารเรือ รองผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
เสนาธิการทหารเรือ
(๑.๒)
ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้บัญชาการทัพเรือภาค ผู้บัญชาการกองเรือ
ผู้บังคับหมวดเรือ ผู้บังคับหมู่เรือ ผู้บังคับการเรือ ผู้ควบคุมเรือ
(๑.๓)
นายทหารเรือชั้นสัญญาบัตร ที่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากผู้อำนวยการ ศรชล.
ซึ่งจัดตั้งโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐
และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๐ และวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑
ให้ปฏิบัติหน้าที่ใน ศรชล. ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๘๒ มาตรา
๘๗ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๔ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
(๒)
กระทรวงมหาดไทย
(๒.๑)
อธิบดีกรมการปกครอง รองอธิบดีกรมการปกครอง ผู้ตรวจราชการกรม
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ผู้อำนวยการส่วนกำกับและตรวจสอบ ผู้อำนวยการส่วนการสอบสวนคดีอาญา เจ้าพนักงานปกครองและนิติกรระดับชำนาญการขึ้นไป
ซึ่งสังกัดสำนักการสอบสวนและนิติการ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๑๑ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
(๒.๒)
รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด จ่าจังหวัด ป้องกันจังหวัด ปลัดอำเภอ
ผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ปลัดอำเภอ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑
มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๓)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ข้าราชการตำรวจผู้มียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรี
หรือผู้ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรขึ้นไป ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา
๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๔)
กรมเจ้าท่า
(๔.๑)
อธิบดีกรมเจ้าท่า รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือ
ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย
ผู้อำนวยการกองมาตรฐานคนประจำเรือ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐๒ มาตรา
๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
(๔.๒)
ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา
เจ้าพนักงานตรวจท่า เจ้าพนักงานตรวจเรือ นักวิชาการขนส่ง เจ้าพนักงานขนส่ง
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๕)
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
(๕.๑)
อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนักงาน ผู้อำนวยการกอง
เลขานุการกรม ผู้อำนวยการศูนย์ ผู้อำนวยการส่วน
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
(๕.๒) นักวิชาการประมง เจ้าพนักงานประมง นักวิชาการป่าไม้
เจ้าพนักงานป่าไม้
นิติกร นักจัดการงานทั่วไป นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักวิชาการเงินและบัญชี
นักวิชาการพัสดุ นักประชาสัมพันธ์ นักทรัพยากรบุคคล นายสัตวแพทย์ นักเดินเรือ
เจ้าพนักงานเดินเรือ นายช่างเครื่องกล เจ้าพนักงานสื่อสาร นายช่างไฟฟ้า
เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
(๖)
กรมศุลกากร
(๖.๑)
อธิบดีกรมศุลกากร ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี
ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร
ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร รองอธิบดีกรมศุลกากร
ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรกรุงเทพ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสินค้าลาดกระบัง
ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ ๑ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ ๒
ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ ๓ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ ๔
ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕
(๖.๒) นักวิชาการศุลกากร เจ้าพนักงานศุลกากร นิติกร
ศุลการักษ์ นายเรือ ต้นกล ช่างเครื่องเรือ นายช่างเครื่องกล
นายท้ายเรือกลชายทะเล ช่างเครื่องเรือกลชายทะเล นายท้ายเรือกลลำน้ำ
พนักงานขับเครื่องจักรกลขนาดหนัก เจ้าพนักงานเดินเรือ
ซึ่งสังกัดสำนักงานศุลกากรที่มีการนำเข้าส่งออก และนำผ่านสินค้าสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๗)
สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
แรงงานจังหวัด
ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทวิชาการ
ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงานขึ้นไป ซึ่งปฏิบัติงานอยู่หรือได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงานแรงงานจังหวัด
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕
ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๘)
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
(๘.๑)
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ผู้ตรวจราชการกรม ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองแรงงาน
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคุ้มครองแรงงาน ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทวิชาการ
ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงานขึ้นไป
ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๐๒
มาตรา ๑๐๕
(๘.๒)
สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทวิชาการ
ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงานขึ้นไป ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลางที่ปฏิบัติงานอยู่
ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๑๑ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๙)
กรมการจัดหางาน
(๙.๑) อธิบดีกรมการจัดหางาน รองอธิบดีกรมการจัดหางาน
ผู้ตรวจราชการกรม
ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ผู้อำนวยการกองนิติการ
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการจัดระบบแรงงานต่างด้าว
นักวิชาการแรงงานที่ปฏิบัติงานในเขตกรุงเทพมหานคร
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕
(๙.๒)
จัดหางานจังหวัด นักวิชาการแรงงาน เจ้าพนักงานแรงงาน ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๑๑ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๑๐)
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
นักวิชาการพัฒนาฝีมือแรงงาน
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕
ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๑๑)
สำนักงานประกันสังคม
นักวิชาการแรงงาน
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๕
ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ข้อ
๓[๑]
คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๘
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กัญฑรัตน์/ปริยานุช/จัดทำ
๑๓ มกราคม ๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๒๗ เมษายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๖ ง/หน้า ๑๖/๑๑ มกราคม ๒๕๕๙ |
743509 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 1194/2558 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๑๑๙๔/๒๕๕๘
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
อาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า
พนักงานเจ้าหน้าที่ ในมาตรา ๕
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิก
(๑)
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๒๕๘/๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
(๒)
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๔๐๘/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐
(๓)
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๔๕๘/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
(๔)
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑๖๖/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ข้อ
๒ ให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัดกรมประมงผู้ดำรงตำแหน่ง
ดังต่อไปนี้ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑)
อธิบดีกรมประมง รองอธิบดีกรมประมง ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ตรวจราชการกรม ผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ ผู้อำนวยการสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการศูนย์ ผู้อำนวยการส่วน หัวหน้ากลุ่มตรวจสอบภายใน
หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหาร หัวหน้าศูนย์
หัวหน้าสถานี หัวหน้าหน่วย หัวหน้าด่าน หัวหน้าสถานีวิทยุประมงชายฝั่ง ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๒)
นักวิชาการประมง นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร นักวิชาการสถิติ นักวิชาการเผยแพร่ นักเดินเรือ นิติกร เศรษฐกร นายช่างกลเรือ
เจ้าพนักงานประมง เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานสถิติ เจ้าพนักงานสื่อสาร
เจ้าพนักงานเดินเรือ นายช่างเครื่องกล และลูกจ้างประจำกองบริหารจัดการด้านการประมง
ผู้ดำรงตำแหน่ง นายท้ายเรือ นายท้ายเรือกลชายทะเล ช่างเครื่องเรือ
ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง กรมประมง ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙
มาตรา ๑๑ มาตรา ๖๔ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา ๙๒ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา
๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๔ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๓) ประมงจังหวัด หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าฝ่าย ประมงอำเภอ
นักวิชาการประมง นักจัดการงานทั่วไป เจ้าพนักงานประมง เจ้าพนักงานธุรการ
เจ้าพนักงานสถิติ นายช่างเครื่องกล และลูกจ้างประจำ ผู้ดำรงตำแหน่ง นายท้ายเรือ
นายท้ายเรือกลชายทะเล ช่างเครื่องเรือ ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค กรมประมง
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๕ มาตรา ๘๗ มาตรา
๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๙ มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐
ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ข้อ
๓ ให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยผู้ดำรงตำแหน่ง
ดังต่อไปนี้ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑)
ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๖๒ มาตรา ๖๓ มาตรา
๑๐๒ มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๒)
นายอำเภอ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๓๑ มาตรา ๗๙ มาตรา ๑๐๒
มาตรา ๑๐๓ มาตรา ๑๐๕ มาตรา ๑๒๐ ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ข้อ
๔[๑] คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๓๐
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กัญฑรัตน์/ปริยานุช/จัดทำ
๑๓ มกราคม ๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๒๗ เมษายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๖ ง/หน้า ๑๔/๑๑ มกราคม ๒๕๕๙ |
697409 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 655/2556 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๖๕๕/๒๕๕๖
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐[๑]
โดยที่เป็นการสมควรแต่งตั้งข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นบางตำแหน่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นในสังกัดราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
ผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้
๑. เมืองพัทยา
(๑) นายกเมืองพัทยา
(๒) ปลัดเมืองพัทยา
(๓) รองปลัดเมืองพัทยา
(๔) ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม
(๕) เจ้าพนักงานประมง สำนักงานเมืองพัทยา สาขาเกาะล้าน
๒. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ยกเว้นกรุงเทพมหานคร
(๑) ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(๒) นักวิชาการประมง
(๓) เจ้าพนักงานประมง
(๔) เจ้าหน้าที่ประมง
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๕๖
มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ
วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ยุคล ลิ้มแหลมทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๖
อุษมล/ผู้ตรวจ
๖ พฤศจิกายน
๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๔๘ ง/หน้า ๘๘/๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ |
628979 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 166/2553 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490
| คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๑๖๖/๒๕๕๓
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐[๑]
โดยที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดชื่อและประเภทของตำแหน่งข้าราชการในสายงานต่าง ๆ ขึ้นใหม่
ประกอบกับกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕
และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙
ให้แบ่งส่วนราชการกรมประมงและกำหนดชื่อหน่วยงานภายในใหม่
จึงสมควรปรับปรุงการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการประมงเสียใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จึงออกคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๓๗๒/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ข้อ
๒ แต่งตั้ง
(๑)
อธิบดีกรมประมง รองอธิบดีกรมประมง ผู้ตรวจราชการกรม
ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการด้านการประมง
ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการประมง ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงทะเล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด
ผู้อำนวยการกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานคุณภาพสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
ผู้อำนวยการกองประมงต่างประเทศ ผู้อำนวยการกองแผนงาน ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ
ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๔๙๐ ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๒)
ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ภายในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ
(๓)
ประมงจังหวัด ประมงอำเภอ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ภายในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๗
มาตรา ๑๘ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ มาตรา ๓๑ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๐ มาตรา
๔๑ มาตรา ๕๔ และมาตรา ๕๕
(๔)
นักวิชาการประมง นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร นักวิชาการสถิติ นักวิชาการเผยแพร่ นักเดินเรือ
นิติกร เศรษฐกร นายช่างกลเรือ เจ้าพนักงานประมง เจ้าพนักงานธุรการ
เจ้าพนักงานสถิติ เจ้าพนักงานสื่อสาร เจ้าพนักงานเดินเรือ นายช่างเครื่องกล
และลูกจ้างประจำสำนักบริหารจัดการด้านการประมง ผู้ดำรงตำแหน่งนายท้ายเรือกลชายทะเล
นายท้ายเรือกลลำน้ำ ช่างเครื่องเรือจักรยนต์ ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๕๑ มาตรา ๕๒ มาตรา ๕๖
มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด
(๕)
นักวิชาการประมง นักจัดการงานทั่วไป เจ้าพนักงานประมง เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานสถิติ
นายช่างเครื่องกล และลูกจ้างประจำ ผู้ดำรงตำแหน่งนายท้ายเรือกลชายทะเล นายท้ายเรือกลลำน้ำ
ช่างเครื่องเรือจักรยนต์ ซึ่งสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาคประจำจังหวัด
อำเภอหรือกิ่งอำเภอ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๕๑
มาตรา ๕๒ มาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ภายในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๕
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ธีระ วงศ์สมุทร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๖๗ ง/หน้า ๓๗/๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ |
619581 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 475/2552 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490
| คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๔๗๕/๒๕๕๒
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐[๑]
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงการแต่งตั้งข้าราชการบางตำแหน่งของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการประมงเสียใหม่
เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกคำสั่ง
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่
๓๗๗/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ข้อ ๒ แต่งตั้งข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ
ในสังกัดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
อธิบดีทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการกอง เลขานุการกรม ผู้อำนวยการศูนย์
และผู้อำนวยการส่วน เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๕๖
มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ เฉพาะในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นทะเล
(๒)
ข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่ง นักวิชาการประมง เจ้าพนักงานประมง นักวิชาการป่าไม้
เจ้าพนักงานป่าไม้ นักเดินเรือ เจ้าพนักงานเดินเรือ นายช่างกลเรือ นายช่างเครื่องกล เจ้าพนักงานสื่อสาร
และเจ้าพนักงานธุรการ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๕๖ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
เฉพาะในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นทะเล
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๙
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ธีระ วงศ์สมุทร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๖๔ ง/หน้า ๙๘/๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ |
458164 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 458/2547 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490
| คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ ๔๕๘/๒๕๔๗
เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐[๑]
โดยที่เป็นการสมควรให้มีการปรับปรุงการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา
๕๔ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของกรมประมงในปัจจุบัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงออกคำสั่งไว้
ดังนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิก
(๑) คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑๒๐/๒๕๒๖ ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๖ เรื่อง
ให้ประมงจังหวัดซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
อยู่ในท้องที่จังหวัดที่มีด่านศุลกากรตั้งอยู่เป็นผู้อนุญาตเฉพาะกรณีการอนุญาตนำสัตว์น้ำเข้ามาในราชอาณาจักร
(๒) คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๒๘๖/๒๕๓๐ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๐ เรื่อง
ให้นักวิชาการประมงซึ่งปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยงานกักกันสัตว์น้ำ ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอนุญาตตามมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๔๙๐ (ฉบับที่ ๒)
ข้อ
๒ แต่งตั้งให้ข้าราชการสังกัดกรมประมง
ดังต่อไปนี้ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ. ๒๔๙๐ เฉพาะภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ
(๑) ประมงจังหวัด ในจังหวัดที่มีด่านศุลกากรตั้งอยู่
(๒) หัวหน้าด่านตรวจสัตว์น้ำ
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๕ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๔๗
เนวิน ชิดชอบ
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ฐิติพงษ์/ผู้จัดทำ
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๑๗ ง/หน้า ๖๙/๓ มีนาคม ๒๕๔๘ |
752729 | ระเบียบกรมประมง เรื่อง กำหนดแบบ วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำหรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ พ.ศ. 2558 (ฉบับ Update ล่าสุด) | ระเบียบกรมประมง
ระเบียบกรมประมง
เรื่อง กำหนดแบบ
วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
พ.ศ. ๒๕๕๘
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙๓ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ อธิบดีกรมประมงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ในระเบียบนี้
ใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หมายความว่า
เอกสารเพื่อรับรองว่าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นได้มาจากการทำการประมงโดยชอบด้วยกฎหมาย
ใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ หมายความว่า เอกสารเพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นใช้วัตถุดิบสัตว์น้ำนำเข้าที่จับโดยเรือประมงที่มิใช่เรือประมงไทยและได้มาจากการทำการประมงโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ
๒ ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
ต้องเป็นสถานประกอบการที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่กรมประมงรับรอง
กรณีส่งออกไปสหภาพยุโรปต้องเป็นสถานประกอบการในบัญชีรายชื่อที่สหภาพยุโรปประกาศรับรอง
ข้อ
๓ ให้ผู้ประสงค์จะขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
ยื่นคำขอต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย พร้อมเอกสารและหลักฐานตามแบบคำขอแนบท้ายระเบียบนี้
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งให้ยื่น
ณ กองตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง กรมประมง
หรือศูนย์วิจัยและตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำสงขลา จังหวัดสงขลา
ก่อนการส่งออกไม่น้อยกว่า ๓ วันทำการ
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับสมุดบันทึกการทำการประมง
ทะเบียนเรือ ใบอนุญาตทำการประมง ระบบติดตามเรือประมง
หรือเอกสารอื่นใดที่จำเป็นสำหรับการสืบค้นความชอบด้วยกฎหมายของสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำจากเอกสารหรือระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อตรวจสอบก่อนออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำให้แน่ใจว่าสัตว์น้ำ
หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นไม่ได้มาจากการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย[๑]
ข้อ
๔ กรณีที่คำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
และเอกสารหรือหลักฐานประกอบการยื่นคำขอถูกต้องและครบถ้วน
ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายลงนามในใบรับรองการจับสัตว์น้ำหรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
ข้อ
๕ กรณีที่คำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ เอกสารหรือหลักฐานประกอบการยื่นคำขอไม่ถูกต้อง
หรือไม่ครบถ้วน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งผู้ยื่นคำขอดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมคำขอ
หรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
กรณีที่ผู้ยื่นคำขอไม่แก้ไขเพิ่มเติมคำขอ
หรือไม่จัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำขอนั้นเป็นอันยกเลิกนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
ข้อ ๖[๒] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวัน
นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
วิมล จันทรโรทัย
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
(Catch Certificate)
๒. แบบคำขอใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
(Processing Statement)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ระเบียบกรมประมง เรื่อง
กำหนดแบบ วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙[๓]
ข้อ
๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
วริญา/จัดทำ
๒๓ พฤษภาคม
๒๕๕๙
[๑] ข้อ ๓ วรรคสาม เพิ่มโดยระเบียบกรมประมง
เรื่อง กำหนดแบบ วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙
[๒] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๕๑ ง/หน้า ๓/๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๐๗ ง/หน้า ๓/๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ |
801666 | ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการขายทอดตลาดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งยึดไว้ พ.ศ. 2561 | ระเบียบกรมประมง
ว่าด้วยการขายทอดตลาดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งยึดไว้
พ.ศ. ๒๕๖๑
เนื่องจากสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งยึดไว้
โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๐๕ (๒)
นั้น มีลักษณะเป็นทรัพย์สินที่เป็นของเสียง่าย
หรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงต่อความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายจนเกินส่วนของทรัพย์สิน
ตามมาตรา ๑๓๒๗ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งตามมาตรา ๑๓๒๗ วรรคสอง
กำหนดให้สามารถขายทอดตลาดและเก็บเงินไว้แทนตัวทรัพย์สินเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการนำสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งยึดไว้ออกขายทอดตลาด
กรมประมงจึงวางแนวทางปฏิบัติไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกรมประมง
ว่าด้วยการขายทอดตลาดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งยึดไว้
พ.ศ. ๒๕๖๑
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะกรณีการขายทอดตลาดสัตว์น้ำ
หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำอันเนื่องมาจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำการร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดในทะเลตามพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ข้อ ๔ ในระเบียบนี้
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ผู้สั่งให้ขายทอดตลาด หมายความว่า ประมงจังหวัด
หรือผู้อำนวยการกองกฎหมาย แล้วแต่กรณี
ขายทอดตลาด หมายความว่า
การขายทอดตลาดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ตามมาตรา ๑๐๕ วรรคสอง
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการขายทอดตลาด
ข้อ ๕ กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ใช้อำนาจตามความในมาตรา
๑๐๕ (๒) แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในการสั่งยึดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีไว้หรือได้มาจากการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยให้เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือดูแลและเก็บรักษาไว้ในเรือ หรือในที่อื่นใดเพื่อรักษาสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำให้อยู่ในสภาพเดิมและให้เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้ว
หากเจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือประสงค์จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำดังกล่าวออกขายทอดตลาด
ให้ยื่นคำร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ที่สั่งยึดสัตว์น้ำ
หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นไว้ ตามแบบ ขส. ๑ ท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๖ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำร้องขอตามข้อ
๕ แล้ว ให้รายงานไปยังสำนักงานประมงจังหวัดท้องที่เกิดเหตุโดยไม่ชักช้า
กรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องทุกข์กล่าวโทษที่สถานีตำรวจนครบาล
ให้รายงานไปยังกองกฎหมายกรมประมง
หรือสำนักงานประมงจังหวัดในเขตท้องที่ที่สัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นถูกยึดไว้
ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงความสะดวกและประสิทธิภาพในการขายทอดตลาดเป็นสำคัญ
เมื่อสำนักงานประมงจังหวัดหรือกองกฎหมาย กรมประมง แล้วแต่กรณี
ได้รับเรื่องแล้วให้ดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่ชักช้า
ข้อ ๗ ให้บุคคลดังต่อไปนี้มีอำนาจสั่งขายทอดตลาดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งยึดไว้ออกขายทอดตลาด
(๑) ประมงจังหวัด ในกรณีการกระทำความผิดมีการร้องทุกข์ภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ
(๒) ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมประมง
ในกรณีการกระทำความผิดมีการร้องทุกข์ภายในเขตกรุงเทพมหานคร
ข้อ ๘ ในการดำเนินการนำสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งยึดไว้ออกขายทอดตลาด
ให้กระทำผ่านคณะกรรมการ
ซึ่งประกอบไปด้วยข้าราชการประเภทวิชาการไม่ต่ำกว่าระดับชำนาญการ
หรือประเภททั่วไปไม่ต่ำกว่าระดับชำนาญงาน
เป็นประธานกรรมการและข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการขึ้นไป
หรือประเภททั่วไประดับปฏิบัติงานขึ้นไปเป็นกรรมการอีกไม่น้อยกว่าสองคน ทั้งนี้ คณะกรรมการมีจำนวนไม่น้อยกว่าสามคน
คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้แบบ ขส. ๒
ท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๙ วิธีการขายทอดตลาด
ให้สำนักงานประมงจังหวัดหรือกองกฎหมาย กรมประมง แล้วแต่กรณี
ประกาศการขายทอดตลาด โดยระบุประเภท ชนิด ลักษณะ ขนาด จำนวนหรือปริมาณสภาพแสดงรายละเอียดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่จะขาย
สถานที่เก็บรักษา และสถานที่ที่จะดำเนินการขายทอดตลาด รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ
ซึ่งเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้น
ตลอดจนเงื่อนไขเกี่ยวกับการขายทอดตลาด โดยประกาศล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕
วันและดำเนินการขายให้เสร็จสิ้น ภายใน ๑๐ วันทำการ
หรือภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรตามสภาพของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้น
ประกาศการขายทอดตลาดตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้แบบ ขส. ๓ ท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๑๐ ให้ปิดประกาศการขายทอดตลาดไว้โดยเปิดเผย
ณ สถานที่ที่จะดำเนินการขายทอดตลาด หรือประกาศการขายทอดตลาดในเว็บไซต์ของหน่วยงาน
ข้อ ๑๑ การขายทอดตลาด
ให้คณะกรรมการกำหนดราคาเริ่มต้นของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่จะขายทอดตลาด
โดยคำนึงถึงสภาพและราคาในขณะที่จะดำเนินการขายทอดตลาด
การกำหนดราคาเริ่มต้นตามวรรคหนึ่ง
ให้คณะกรรมการสืบราคาปัจจุบันจากสำนักงานสะพานปลาหรือสำนักงานท่าเทียบเรือประมงขององค์การสะพานปลาในพื้นที่หรือพื้นที่ใกล้เคียง
หากไม่มีหน่วยงานหรือมีหน่วยงานแต่ไม่มีข้อมูลให้สอบถามจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
ในกรณีที่ไม่สามารถหาข้อมูลดังกล่าวได้ให้สืบราคาจากท้องตลาด
ข้อ ๑๒ ห้ามมิให้คณะกรรมการ
และเจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือผู้ร้องขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นออกขายทอดตลาดเป็นผู้เข้าสู้ราคา
หรือใช้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาด
ข้อ ๑๓ การเสนอสู้ราคาในการขายทอดตลาดให้เป็นไปตามอัตราเพิ่มราคาตามที่คณะกรรมการกำหนดและให้คณะกรรมการแจ้งให้ผู้สู้ราคาทราบก่อนขายทอดตลาด
ข้อ ๑๔ การขายทอดตลาดย่อมบริบูรณ์
เมื่อคณะกรรมการแสดงความตกลงด้วยวิธีเคาะไม้หรือแสดงกิริยาอย่างหนึ่งอย่างใดตามจารีตประเพณีในการขายทอดตลาด
แล้วให้ทำสัญญาขายทอดตลาดถ้าผู้ซื้อไม่จ่ายเงินหรือไม่วางมัดจำ
หรือวางเงินมัดจำไว้แล้วแต่ไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนดเวลาให้คณะกรรมการริบเงินมัดจำ
(ถ้ามี)
แล้วนำสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นออกขายทอดตลาดใหม่โดยแจ้งให้ผู้ซื้อเดิมทราบกำหนดวันและเวลาขายด้วย
เมื่อขายได้เงินเท่าใดให้หักค่าใช้จ่าย ถ้าเหลือเงินสุทธิไม่คุ้มราคาขายทอดตลาด
ครั้งก่อนให้เรียกชำระเงินส่วนที่ยังขาดจากผู้ซื้อเดิมนั้น
สัญญาขายทอดตลาดตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้แบบ ขส. ๔ ท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๑๕ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่าไม่มีผู้เข้าสู้ราคา
หรือมีผู้เสนอราคาต่ำกว่าราคาที่กำหนดตามข้อ ๑๑
หรือการสู้ราคาอาจไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่เป็นไปตามประกาศนี้หรือประกาศการขายทอดตลาด
ให้คณะกรรมการมีอำนาจเพิกถอนการขายทอดตลาด หรือเลื่อนการขายทอดตลาดออกไปก่อน
แล้วรายงานให้ผู้สั่งให้ขายทอดตลาดทราบ เพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๑๖ การชำระเงิน
(๑) เมื่อตกลงขายผู้ซื้อจะต้องชำระเงินทันที
หรือวางเงินมัดจำไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ ของราคาสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ต้องซื้อ
และชำระเงินส่วนที่เหลือภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันทำสัญญาเว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นให้ขออนุญาตผู้สั่งให้ขายทอดตลาดเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาออกไปตามที่เห็นสมควรแต่ไม่เกิน
๓๐ วัน
(๒)
กรณีผู้ซื้อวางเงินมัดจำไว้แล้วไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนดตามสัญญา
ให้ริบเงินมัดจำที่ผู้ซื้อวางไว้แล้ว
และให้ถือว่าเงินมัดจำนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากการขายทอดตลาดสิ่งของของผู้ต้องชดใช้เงินให้นำไปชำระค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดและหนี้ที่ผู้ต้องชดใช้เงินต้องชำระ
(๓) การชำระราคาสิ่งของที่ขายทอดตลาดต้องชำระเป็นเงินสด
หรือชำระด้วยเช็คธนาคารแห่งประเทศไทยหรือเช็คที่มีธนาคารค้ำประกันหรือเช็คที่ธนาคารสั่งจ่าย
ข้อ ๑๗ การรับเงินจากการขายทอดตลาด ให้ออกใบเสร็จรับเงินตามระเบียบของทางราชการและเก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมบัญชีรายละเอียดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้น
ข้อ ๑๘ การโอนและการส่งมอบสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
ให้คณะกรรมการส่งมอบเมื่อผู้ซื้อชำระเงินครบถ้วน
กรณีผู้ซื้อต้องการรับมอบสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำไปก่อนมีการชำระราคาครบถ้วนเนื่องจากสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำอาจมีการเน่าเสีย
ให้มีการวางประกันไว้เต็มมูลค่าของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ประมูลได้นั้น
ข้อ ๑๙ ให้คณะกรรมการบันทึกเหตุการณ์ขายทอดตลาด
และรายงานผลการขายทอดตลาดต่อผู้สั่งให้ขายทอดตลาดให้รับทราบภายใน ๗ วันทำการ
นับแต่วันขายทอดตลาดแล้วเสร็จ
รายงานผลการขายทอดตลาดตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้แบบ ขส. ๕ ท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๒๐ เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
ให้หักค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาด และเก็บรักษาเงินนั้นไว้ตามระเบียบของทางราชการ
ข้อ ๒๑ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอาจคัดค้านการขายทอดตลาด
โดยยื่นคำร้องต่อผู้สั่งให้ขายทอดตลาดภายในเวลา ๑๕ วัน
นับแต่การขายทอดตลาดเสร็จสิ้น
เมื่อได้รับคำร้องแล้วให้ผู้สั่งให้ขายทอดตลาดพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร
และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคำร้องทราบต่อไป
ข้อ ๒๒ ในกรณีที่สัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นมีสภาพเน่าเสีย
และคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าไม่อาจขายได้ราคาหรือได้ราคาแต่ไม่คุ้มค่าต่อการขายทอดตลาด
ให้มีหนังสือสอบถามไปยังเจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือผู้ยื่นคำร้องขอให้นำสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นออกขายทอดตลาดว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร
หากเจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือประสงค์จะยกสัตว์น้ำ
หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำให้ราชการให้รายงานเสนอต่อผู้สั่งให้ขายทอดตลาดเพื่อพิจารณาสั่งการให้นำไปมอบให้แก่หน่วยงานหรือบุคคลใดหรือนำไปทำลาย
หรือดำเนินการอื่นใดตามที่เห็นสมควรต่อไป
ข้อ ๒๓ ในกรณีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการขายทอดตลาด
และคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ดำเนินการเปรียบเทียบตามมาตรา ๑๗๐
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยผู้ต้องหายินยอมยกสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำให้แก่ทางราชการแล้ว
ผู้สั่งให้ขายทอดตลาดอาจพิจารณาสั่งให้งดการขายทอดตลาดที่ยังไม่บริบูรณ์ได้
ข้อ ๒๔ ในกรณีที่ขายทอดตลาดแล้วเสร็จ
และต่อมาคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ดำเนินการเปรียบเทียบตามมาตรา ๑๗๐
แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยผู้ต้องหายินยอมยกสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำให้แก่ทางราชการ
หรือกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของกลาง
ให้สำนักงานประมงจังหวัดหรือกองกฎหมาย กรมประมง แล้วแต่กรณี นำเงินที่เก็บรักษาไว้ตามข้อ
๒๐ ส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามระเบียบของทางราชการ
ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง
หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดไม่ริบสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของกลางให้สำนักงานประมงจังหวัดหรือกองกฎหมาย
กรมประมง แล้วแต่กรณี นำเงินที่เก็บรักษาไว้ตามข้อ ๒๐ ส่งคืนให้แก่เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือผู้ยื่นคำร้องขอให้นำสัตว์น้ำ
หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นออกขายทอดตลาด
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
อดิศร พร้อมเทพ
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำร้องขอให้ดำเนินการขายทอดตลาด (แบบ ขส. ๑)
๒. คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขายทอดตลาด (แบบ ขส. ๒)
๓. ประกาศขายทอดตลาดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งยึดไว้
(แบบ ขส. ๓)
๔. บัญชีรายชื่อสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งยึดไว้
๕. สัญญาขายทอดตลาด (แบบ ขส. ๔)
๖. รายงานผลการขายทอดตลาด (แบบ ขส. ๕)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
พรวิภา/จัดทำ
๒๐ เมษายน ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๙๑ ง/หน้า ๑/๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ |
750432 | ระเบียบกรมประมง เรื่อง กำหนดแบบ วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 | ระเบียบกรมประมง
ระเบียบกรมประมง
เรื่อง กำหนดแบบ
วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๙
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙๓ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ อธิบดีกรมประมงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๓
วรรคสาม แห่งระเบียบกรมประมง เรื่อง กำหนดแบบวิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ พ.ศ. ๒๕๕๘
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับสมุดบันทึกการทำการประมง
ทะเบียนเรือ ใบอนุญาตทำการประมง ระบบติดตามเรือประมง
หรือเอกสารอื่นใดที่จำเป็นสำหรับการสืบค้นความชอบด้วยกฎหมายของสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำจากเอกสารหรือระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อตรวจสอบก่อนออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำให้แน่ใจว่าสัตว์น้ำ
หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นไม่ได้มาจากการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ
๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๔
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
อดิศร พร้อมเทพ
อธิบดีกรมประมง
ปริยานุช/จัดทำ
๑๓ พฤษภาคม
๒๕๕๙
วริญา/ตรวจ
๒๓ พฤษภาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๐๗ ง/หน้า ๓/๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ |
750430 | ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการขอหนังสือรับรองการได้มาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การตรวจรับรองชนิด ลักษณะ คุณภาพหรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำใด การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ สัตว์น้ำ หรือปัจจัยการผลิต พ.ศ. 2559 | ระเบียบกรมประมง
ระเบียบกรมประมง
ว่าด้วยการขอหนังสือรับรองการได้มาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
การตรวจรับรองชนิด ลักษณะ
คุณภาพหรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำใด
การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ สัตว์น้ำ หรือปัจจัยการผลิต
พ.ศ. ๒๕๕๙
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗๕ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ อธิบดีกรมประมงออกระเบียบ กำหนดขั้นตอน
วิธีปฏิบัติในการขอหนังสือรับรองการได้มาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
การตรวจรับรองชนิด ลักษณะ คุณภาพหรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำใด การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดิน
น้ำ สัตว์น้ำ หรือปัจจัยการผลิต เป็นการเฉพาะรายไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ในระเบียบนี้
หนังสือรับรอง หมายความว่า
หนังสือที่กรมประมงออกให้เพื่อรับรองว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้มาตรฐานสินค้าเกษตรที่คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานสินค้าเกษตรประกาศกำหนด
ข้อ
๒ ผู้ใดประสงค์จะขอรับหนังสือรับรอง
หรือขอให้มีการตรวจรับรองชนิด ลักษณะคุณภาพหรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำใด
การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ สัตว์น้ำ
หรือปัจจัยการผลิตเป็นการเฉพาะรายให้ยื่นคำขอตามแบบท้ายประกาศนี้
พร้อมกับแนบเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้
๒.๑
กรณีเป็นบุคคลธรรมดา
(๑)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
(๒)
สำเนาทะเบียนบ้าน
๒.๒
กรณีเป็นนิติบุคคล
(๑)
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนซึ่งมีอายุไม่เกิน ๙๐ วัน
นับแต่วันที่ออกหนังสือรับรอง
(๒)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท
หรือของหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือผู้แทนอื่นใดของนิติบุคคลนั้น แล้วแต่กรณี
๒.๓
กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นมายื่นคำขอหรือดำเนินการแทนบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลให้แนบหนังสือมอบอำนาจมาพร้อมกับคำขอ
และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ
ข้อ
๓ สถานที่ในการยื่นคำขอ
ให้ผู้ประกอบกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ประสงค์จะขอรับหนังสือรับรอง
หรือขอให้มีการตรวจรับรองชนิด ลักษณะ คุณภาพหรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำใด
การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ สัตว์น้ำ หรือปัจจัยการผลิต เป็นการเฉพาะราย
ยื่นคำขอตามข้อ ๒ พร้อมทั้งตัวอย่างที่จะขอให้มีการตรวจสอบรับรอง ณ ศูนย์ ฯ สถาบัน
สถานี ทางวิชาการของกรมประมง
ที่ประจำอยู่ทั่วประเทศตามชนิดและประเภทที่จะขอให้มีการตรวจรับรอง
ข้อ
๔ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอแล้ว
ให้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคำขอและเอกสารหลักฐานตามคำขอพร้อมทั้งตัวอย่างที่จะขอให้มีการตรวจสอบ
และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน ๓ วันทำการ
เมื่อมีการตรวจสอบ
หรือวิเคราะห์ แล้วเสร็จ
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำเสนอเพื่อออกหนังสือรับรองตามรูปแบบที่แต่ละหน่วยงานกำหนด
ข้อ
๕[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๖
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙
อดิศร พร้อมเทพ
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบคำขอหนังสือรับรองหรือขอให้มีการตรวจรับรองชนิด
ลักษณะ คุณภาพหรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำใด การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ
สัตว์น้ำ หรือปัจจัยการผลิต เป็นการเฉพาะราย
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๑๓ พฤษภาคม
๒๕๕๙
วริญา/ตรวจ
๒๓ พฤษภาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๐๗ ง/หน้า ๑/๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ |
748393 | ระเบียบกรมประมง เรื่อง การปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการค้น พ.ศ. 2559
| ระเบียบกรมประมง
ระเบียบกรมประมง
เรื่อง
การปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการค้น
พ.ศ. ๒๕๕๙
เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการค้น
ตามมาตรา ๑๐๒ (๕) แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเพื่อถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐๒ วรรคสี่ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ อธิบดีกรมประมงวางระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกรมประมง
เรื่อง การปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการค้น พ.ศ. ๒๕๕๙
ข้อ
๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้อธิบดีกรมประมงรักษาการตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจออกคำสั่งหรือประกาศ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
หรือมิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้เสนอเรื่องต่ออธิบดีกรมประมงเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
และคำวินิจฉัยของอธิบดีกรมประมงให้เป็นที่สุด
ข้อ
๔ ในระเบียบนี้
(๑)
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
(๒)
หมายค้น หมายความว่า
หนังสือบงการที่ศาลออกตามเหตุของบทบัญญัติกฎหมายเพื่อค้นหาบุคคลหรือสิ่งของในที่รโหฐาน
(๓)
ที่รโหฐาน หมายความว่า ที่ต่าง ๆ
ซึ่งมิใช่ที่สาธารณสถาน
(๔)
สาธารณสถาน หมายความว่า สถานที่ใด ๆ
ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้
(๕)
ศาล หมายความว่า
ศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการค้น
หมวด ๑
บททั่วไป
ข้อ
๕ เหตุที่จะออกหมายค้นได้มีดังต่อไปนี้
(๑)
เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณา
(๒)
เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยผิดกฎหมาย
หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำผิด
(๓)
เพื่อพบและช่วยบุคคลซึ่งได้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(๔)
เพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายให้จับ
(๕)
เพื่อพบและยึดสิ่งของตามคำพิพากษาหรือตามคำสั่งศาล
ในกรณีที่จะพบหรือจะยึดโดยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว
ข้อ
๖ ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอให้ออกหมายค้นซึ่งออกเพื่อพบหรือจับบุคคล
เว้นแต่จะมีหมายจับบุคคลนั้นด้วย
และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจะจัดการตามหมายค้นนั้นต้องมีทั้งหมายค้นและหมายจับ
ข้อ
๗ การปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการค้น
นอกจากต้องถือปฏิบัติตามระเบียบนี้แล้ว จะต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
และข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือหมายอาญา
พ.ศ. ๒๕๔๘ ด้วย
หมวด ๒
การร้องขอหมายค้น
ข้อ
๘ การร้องขอให้ออกหมายค้น
ให้ร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการค้น
ข้อ
๙ พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งร้องขอให้ศาลออกหมายค้น
จะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนหรือสอบสวนคดีที่ร้องขอออกหมายนั้น
และต้องพร้อมที่จะมาให้ผู้พิพากษาสอบถามก่อนออกหมายได้ทันที
และต้องเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทวิชาการหรือประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงาน
นายทหารเรือผู้มียศตั้งแต่ชั้นสัญญาบัตร หรือข้าราชการตำรวจผู้มียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
ข้อ
๑๐ คำร้องขอให้ศาลออกหมายค้น
ต้องมีรายละเอียดและเอกสารประกอบดังต่อไปนี้
(๑)
ต้องระบุลักษณะและสิ่งของที่ต้องการหาและยึด หรือชื่อตัว ชื่อสกุล รูปพรรณ
อายุของบุคคลที่ต้องการหา และสถานที่ที่จะค้น ระบุบ้านเลขที่ ชื่อตัว ชื่อสกุล และสถานะของเจ้าของหรือผู้ครอบครองเท่าที่ทราบ
หากไม่สามารถระบุบ้านเลขที่ที่จะค้นได้
ให้ทำแผนที่ของสถานที่ที่จะค้นและบริเวณใกล้เคียงแทน
(๒)
ต้องระบุเหตุที่จะออกหมายค้น ตามข้อ ๔
พร้อมสำเนาเอกสารซึ่งสนับสนุนเหตุแห่งการออกหมายค้น
(๓)
แนบแบบพิมพ์หมายค้นที่กรอกข้อความครบถ้วนแล้วพร้อมสำเนา
รวมทั้งเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น บันทึกคำร้องทุกข์
หนังสือมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ เป็นต้น มาท้ายคำร้อง
ข้อ
๑๑ ให้ผู้ร้องขอหรือเจ้าพนักงานผู้รับมอบหมายจากผู้ร้องขอนำคำร้องพร้อมเอกสารประกอบตามข้อ
๑๐ ใส่ซองปิดผนึกประทับตรา ลับ ยื่นต่อศาลที่ขอให้ออกหมายนั้น
ข้อ
๑๒ กรณีขอออกหมายนอกเวลาทำการปกติ
ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับการร้องขอในเวลาปกติตามข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑
และหากมีเหตุจำเป็นกรณีผู้พิพากษาที่เป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณาสั่งไม่อาจมาอยู่ที่ศาลได้
ผู้ร้องขออาจนำคำร้องไปยื่นต่อผู้พิพากษานั้นโดยตรงก็ได้
โดยติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ศาลที่ประจำอยู่ที่ศาลนั้น
เพื่อทราบถึงสถานที่ที่จะนำคำร้องไปยื่น
ข้อ
๑๓ การร้องขอให้ออกหมายค้น ผู้ร้องขอต้องเสนอพยานหลักฐานที่น่าเชื่อว่าบุคคลหรือสิ่งของที่ค้นหาอยู่ในสถานที่ที่จะค้น
และ
(๑)
กรณีค้นหาสิ่งของ
(๑.๑)
สิ่งของนั้นจะเป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณา
(๑.๒)
สิ่งของนั้นมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยผิดกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำความผิด
หรือ
(๑.๓)
เป็นสิ่งของซึ่งต้องยึดหรือริบตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล
ในกรณีที่จะพบหรือจะยึดโดยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว
(๒)
กรณีค้นหาบุคคล
(๒.๑)
บุคคลนั้นถูกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือ
(๒.๒)
มีหมายให้จับบุคคลนั้น
ข้อ
๑๔ การเสนอพยานหลักฐานต่อผู้พิพากษา
ให้ผู้ร้องขอสาบานหรือปฏิญาณตนและแถลงด้วยตนเอง
รวมทั้งตอบคำถามของผู้พิพากษาเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนสอบสวนหรือพยานหลักฐานที่สนับสนุนถึงเหตุแห่งการขอออกหมายนั้น
ผู้รู้เห็นเหตุการณ์หรือทราบข้อมูลอันเป็นเหตุแห่งการออกหมายค้นควรมาเบิกความต่อผู้พิพากษาด้วยตนเอง
ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวไม่สามารถมาเบิกความต่อผู้พิพากษาได้
ผู้ร้องขออาจใช้บันทึกถ้อยคำของบุคคลดังกล่าวที่ได้สาบานตนว่าจะให้ถ้อยคำตามความเป็นจริง
และได้กระทำต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่
ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้นได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าได้มีการให้ถ้อยคำตรงตามบันทึก
เสนอเป็นพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของผู้ร้องขอก็ได้
ข้อ
๑๕ พยานหลักฐานที่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุสมควรในการออกหมายค้น
ให้รวมถึง
(๑)
ข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนสอบสวน เช่น บันทึกการสอบสวน บันทึกถ้อยคำของสายลับ หรือข้อมูลที่ได้จากการรายงานของแหล่งข่าวของพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือการหาข่าวจากผู้กระทำความผิดที่ทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
และข้อมูลที่ได้จากรายงานการเฝ้าสังเกตการณ์ของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
เป็นต้น
(๒)
ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์
หรือที่ได้จากการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี เช่น
เครื่องมือตรวจพิสูจน์ของกลาง เครื่องมือตรวจพิสูจน์ทางพันธุกรรม เป็นต้น
(๓)
ข้อมูลที่ได้จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ข้อมูลที่ได้จากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
หรืออินเตอร์เน็ต เป็นต้น
(๔)
ข้อมูลที่ได้จากหนังสือของพนักงานอัยการเรื่องขอให้จัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหา (อ.ก.
๒๙)
ข้อ
๑๖ พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจะทำการค้นนอกเขตศาลจะร้องขอให้ออกหมายค้นต่อศาลได้ต่อเมื่อเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งและการร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจจะเกิดความล่าช้าเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการปฏิบัติหน้าที่
เช่น ผู้จะถูกออกหมายจับกำลังจะหลบหนี
หรือสิ่งของที่ต้องการจะหาหรือยึดกำลังจะถูกโยกย้ายหรือถูกทำลาย
ข้อ
๑๗ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ร้องขอตามข้อ ๑๖
ต้องเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทอำนวยการตั้งแต่ระดับสูงหรือตำแหน่งประเภทวิชาการตั้งแต่ระดับเชี่ยวชาญ
นายทหารเรือผู้มียศตั้งแต่พลเรือตรี หรือข้าราชการตำรวจผู้มียศตั้งแต่พลตำรวจตรีขึ้นไป
ข้อ
๑๘ ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนและมีเหตุอันควรซึ่งผู้ร้องขอหมายค้นไม่อาจไปพบผู้พิพากษาได้
ผู้ร้องขออาจร้องขอต่อผู้พิพากษาทางโทรศัพท์ โทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์
หรือสื่อสารสนเทศประเภทอื่นที่เหมาะสม เพื่อขอให้ศาลออกหมายค้นก็ได้
ข้อ
๑๙ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ร้องขอตามข้อ ๑๘
ต้องเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทอำนวยการตั้งแต่ระดับต้น หรือตำแหน่งประเภทวิชาการตั้งแต่ระดับชำนาญการพิเศษ
หรือตำแหน่งประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับอาวุโส นายทหารเรือผู้มียศตั้งแต่นาวาเอก
หรือข้าราชการตำรวจผู้มียศตั้งแต่พันตำรวจเอกขึ้นไป
ข้อ
๒๐ การร้องขอตามข้อ ๑๘
หากสามารถทำให้ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือได้ ให้ผู้ร้องขอทำคำร้องพร้อมแสดงเหตุแห่งความจำเป็นเร่งด่วนและเหตุที่ไม่อาจไปพบผู้พิพากษาได้
ข้อมูลและพยานหลักฐาน รวมทั้งเอกสารต่าง ๆ ตามข้อ ๑๐
จัดส่งมาให้ผู้พิพากษาทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์
หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทนั้น โดยระบุรหัสประจำหน่วย หมายเลขโทรศัพท์
โทรสาร รหัสสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นสำหรับติดต่อผู้ร้องขอ
แล้วให้ผู้ร้องขอโทรศัพท์มายังผู้พิพากษาเพื่อตอบข้อซักถามและจดบันทึกถ้อยคำของผู้ร้องขอ
กรณีไม่สามารถทำให้ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือได้
ให้ผู้ร้องขอให้ถ้อยคำต่อผู้พิพากษาเพื่อจดบันทึกถ้อยคำของผู้ร้องขอไว้เป็นหลักฐาน
หมวด ๓
การค้น
ข้อ
๒๑ ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล
เว้นแต่พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้ค้นและในกรณี ดังต่อไปนี้
(๑)
เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐาน
หรือมีเสียงหรือพฤติการณ์อื่นใดอันแสดงได้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นในที่รโหฐานนั้น
(๒)
เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน
(๓)
เมื่อบุคคลที่ได้กระทำความผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไป หรือมีเหตุอันแน่นแฟ้นควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น
(๔)
เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิด
หรือได้ใช้หรือมีไว้เพี่อจะใช้ในการกระทำความผิด
หรืออาจเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกระทำความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนั้น
ประกอบกับทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน
(๕)
เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน
และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๗๘
การใช้อำนาจตาม
(๔)
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ค้นส่งมอบสำเนาบันทึกการตรวจค้นและบัญชีทรัพย์สินที่ได้จากการตรวจค้น
รวมทั้งจัดทำบันทึกแสดงเหตุผลที่ทำให้สามารถเข้าค้นได้เป็นหนังสือให้ไว้แก่ผู้ครอบครองสถานที่ที่ถูกตรวจค้น
แต่ถ้าไม่มีผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้น
ให้ส่งมอบหนังสือดังกล่าวแก่บุคคลเช่นว่านั้นในทันทีที่กระทำได้
และรีบรายงานเหตุผลและผลการตรวจค้นเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป
ข้อ
๒๒ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ทำการค้นในที่รโหฐาน
สั่งให้เจ้าของหรือคนอยู่ในนั้นหรือผู้รักษาสถานที่ซึ่งจะค้น
ให้ยอมเข้าไปโดยมิหวงห้าม
อีกทั้งให้ความสะดวกตามสมควรทุกประการในอันที่จะจัดการตามหมาย ทั้งนี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแสดงหมาย
หรือถ้าค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายก็ให้แสดงนามและตำแหน่ง
ถ้าบุคคลดังกล่าวในวรรคหนึ่งมิยอมให้เข้าไป
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไป ในกรณีจำเป็นจะเปิดหรือทำลายประตูบ้าน
ประตูเรือน หน้าต่าง รั้วหรือสิ่งกีดขวางอย่างอื่นทำนองเดียวกันนั้นก็ได้
ข้อ
๒๓ การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก
หรือในระหว่างเวลาทำการในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ มีข้อยกเว้นดังนี้
(๑)
เมื่อลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้
(๒)
ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้
(๓)
การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญจะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้
แต่ต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากศาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ
๒๔ ในกรณีที่ค้นโดยมีหมาย
พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีชื่อในหมายค้นซึ่งต้องเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทวิชาการหรือประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงาน
นายทหารเรือผู้มียศตั้งแต่ชั้นสัญญาบัตร หรือข้าราชการตำรวจผู้มียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไปเท่านั้น
มีอำนาจเป็นหัวหน้าไปจัดการให้เป็นไปตามหมายนั้น
ข้อ
๒๕ การค้นในที่รโหฐานนั้นจะค้นได้แต่เฉพาะเพื่อหาตัวคนหรือสิ่งของที่ต้องการค้นเท่านั้น
แต่มีข้อยกเว้นดังนี้
(๑)
ในกรณีที่ค้นหาสิ่งของโดยไม่จำกัดสิ่ง พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ค้นมีอำนาจยึดสิ่งของใด
ๆ ซึ่งน่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อเป็นประโยชน์หรือยันผู้ต้องหาหรือจำเลย
(๒)
พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งทำการค้นมีอำนาจจับบุคคลหรือสิ่งของอื่นในที่ค้นนั้นได้
เมื่อมีหมายอีกต่างหาก หรือในกรณีความผิดซึ่งหน้า
ข้อ
๒๖ ในการค้นนั้น
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องพยายามมิให้มีการเสียหายและกระจัดกระจายเท่าที่ทำได้
ข้อ
๒๗ ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลซึ่งอยู่ในที่ซึ่งค้นหรือจะถูกค้น
จะขัดขวางถึงกับทำให้การค้นไร้ผล
พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ค้นมีอำนาจเอาตัวผู้นั้นควบคุมไว้หรือให้อยู่ในความดูแลของพนักงานเจ้าหน้าที่ในขณะที่ทำการค้นเท่าที่จำเป็น
เพื่อมิให้ขัดขวางถึงกับทำให้การค้นนั้นไร้ผล
ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นได้เอาสิ่งของที่ต้องการพบซุกซ่อนในร่างกาย
พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ค้นมีอำนาจค้นตัวผู้นั้น และยึดสิ่งของต่าง ๆ
ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ และการค้นนั้นจักต้องกระทำโดยสุภาพ
ถ้าค้นผู้หญิงต้องให้หญิงอื่นเป็นผู้ค้น
ข้อ
๒๘ สิ่งของซึ่งยึดได้ในการค้น
ให้ห่อหรือบรรจุหีบห่อตีตราไว้ หรือให้ทำเครื่องหมายไว้เป็นสำคัญ
ข้อ
๒๙ การค้นในที่รโหฐานนั้น
ก่อนลงมือค้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ค้นแสดงความบริสุทธิ์เสียก่อน
และเท่าที่สามารถจะทำได้ให้ค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น
หรือถ้าหาบุคคลเช่นกล่าวนั้นไม่ได้
ก็ให้ค้นต่อหน้าบุคคลอื่นอย่างน้อยสองคนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ขอร้องมาเป็นพยาน
การค้นที่อยู่หรือสำนักงานของผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งถูกควบคุมหรือขังอยู่ให้ทำต่อหน้าผู้นั้น
ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหรือไม่ติดใจมากำกับจะตั้งผู้แทนหรือให้พยานมากำกับก็ได้
ถ้าผู้แทนหรือพยานไม่มีให้ค้นต่อหน้าบุคคลในครอบครัวหรือต่อหน้าพยานดังกล่าวในวรรคก่อน
สิ่งของใดที่ยึดได้ต้องให้ผู้ครอบครองสถานที่
บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา จำเลย ผู้แทนหรือพยานดูเพื่อให้รับรองว่าถูกต้อง
ถ้าบุคคลเช่นกล่าวนั้นรับรองหรือไม่ยอมรับรองก็ให้บันทึกไว้
ข้อ
๓๐ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ค้นบันทึกรายละเอียดแห่งการค้น
และสิ่งของที่ค้นได้นั้นต้องมีบัญชีรายละเอียดไว้
บันทึกการค้นและบัญชีสิ่งของนั้นให้อ่านให้ผู้ครอบครองสถานที่
บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา จำเลย ผู้แทนหรือพยานฟัง แล้วแต่กรณี
แล้วให้ผู้นั้นลงลายมือรับรองไว้
ข้อ
๓๑ พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ค้นโดยมีหมาย
ต้องรีบส่งบันทึกและบัญชีดังกล่าวในข้อก่อนพร้อมด้วยสิ่งของที่ยึดมา ถ้าพอจะส่งได้
ไปยังผู้ออกหมายหรือเจ้าพนักงานอื่นตามที่กำหนดไว้ในหมาย
ในกรณีที่ค้นโดยไม่มีหมายโดยพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นซึ่งไม่ใช่พนักงานสอบสวน
ให้ส่งบันทึก บัญชี และสิ่งของไปยังพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ใดซึ่งต้องการสิ่งเหล่านั้น
ข้อ
๓๒ ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน
เว้นแต่พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิดหรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด
ข้อ
๓๓ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดการตามหมายค้นแล้ว
ให้บันทึกรายละเอียดในการจัดการนั้นว่าจัดการตามหมายได้หรือไม่
แล้วให้ส่งบันทึกไปยังศาลที่ออกหมายโดยเร็วแต่ต้องไม่ช้ากว่า ๑๕ วัน นับแต่วันจัดการตามหมาย
ข้อ
๓๔ เมื่อมีเหตุที่จะเพิกถอนหมายค้น
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องรายงานหรือแจ้งให้ศาลที่ออกหมายทราบโดยเร็ว
เพื่อให้ผู้พิพากษาไต่สวนและมีคำสั่งเป็นการด่วน
เมื่อผู้พิพากษามีคำสั่งให้เพิกถอนหมายค้นแล้ว
บุคคลที่เกี่ยวข้องอาจร้องขอให้ผู้พิพากษาออกหลักฐานการเพิกถอนหมายค้นนั้นให้ก็ได้
ข้อ
๓๕ บันทึกการตรวจค้นและบัญชีทรัพย์สินที่ได้จากการตรวจค้น
ให้ใช้ตามแบบที่กำหนดท้ายระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
วิมล จันทรโรทัย
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บันทึกการตรวจค้น
๒. บัญชีทรัพย์สินที่ได้จากการตรวจค้น
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๔ เมษายน ๒๕๕๙
ชวัลพร/ตรวจ
๔ เมษายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๗๓ ง/หน้า ๑/๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ |
743040 | ระเบียบกรมประมง เรื่อง กำหนดแบบ วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ พ.ศ. 2558
| ระเบียบกรมประมง
ระเบียบกรมประมง
เรื่อง กำหนดแบบ
วิธีการยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
พ.ศ. ๒๕๕๘
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙๓ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ อธิบดีกรมประมงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ในระเบียบนี้
ใบรับรองการจับสัตว์น้ำ หมายความว่า
เอกสารเพื่อรับรองว่าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นได้มาจากการทำการประมงโดยชอบด้วยกฎหมาย
ใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ หมายความว่า เอกสารเพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นใช้วัตถุดิบสัตว์น้ำนำเข้าที่จับโดยเรือประมงที่มิใช่เรือประมงไทยและได้มาจากการทำการประมงโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ
๒ ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
ต้องเป็นสถานประกอบการที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่กรมประมงรับรอง
กรณีส่งออกไปสหภาพยุโรปต้องเป็นสถานประกอบการในบัญชีรายชื่อที่สหภาพยุโรปประกาศรับรอง
ข้อ
๓ ให้ผู้ประสงค์จะขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
ยื่นคำขอต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย พร้อมเอกสารและหลักฐานตามแบบคำขอแนบท้ายระเบียบนี้
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งให้ยื่น
ณ กองตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง กรมประมง
หรือศูนย์วิจัยและตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำสงขลา จังหวัดสงขลา
ก่อนการส่งออกไม่น้อยกว่า ๓ วันทำการ
ข้อ
๔ กรณีที่คำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
และเอกสารหรือหลักฐานประกอบการยื่นคำขอถูกต้องและครบถ้วน
ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายลงนามในใบรับรองการจับสัตว์น้ำหรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
ข้อ
๕ กรณีที่คำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
หรือใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
เอกสารหรือหลักฐานประกอบการยื่นคำขอไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งผู้ยื่นคำขอดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมคำขอ
หรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
กรณีที่ผู้ยื่นคำขอไม่แก้ไขเพิ่มเติมคำขอ
หรือไม่จัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำขอนั้นเป็นอันยกเลิกนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
ข้อ
๖[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวัน
นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
วิมล จันทรโรทัย
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบคำขอใบรับรองการจับสัตว์น้ำ
(Catch Certificate)
๒. แบบคำขอใบรับรองการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำหรือการแปรรูปสัตว์น้ำ
(Processing Statement)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปุณิกา/ปริยานุช/จัดทำ
๘ มกราคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๕๑ ง/หน้า ๓/๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
730717 | ระเบียบกรมประมง เรื่อง การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น พ.ศ. 2558
| ระเบียบกรมประมง
ระเบียบกรมประมง
เรื่อง
การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ
การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู
และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากทรัพยากรสัตว์น้ำภายในที่จับสัตว์น้ำในเขตประมงน้ำจืดหรือเขตประมงทะเลชายฝั่ง
รวมทั้งช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานโครงการหรือกิจกรรมของชุมชนในเรื่องดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๕๕๘ อธิบดีกรมประมงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบกรมประมง เรื่อง การขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในระเบียบนี้
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น หมายความว่า องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่จัดตั้งขึ้น
และได้ขึ้นทะเบียนตามระเบียบนี้
ชุมชนประมงท้องถิ่น หมายความว่า
กลุ่มประชาชนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด
ที่รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประมงร่วมกันเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนกันหรือทำกิจกรรมร่วมกัน
มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมีระบบบริหารจัดการและการแสดงเจตนาแทนกลุ่มได้
หมู่บ้าน หมายความว่า
หมู่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะการปกครองท้องที่ และให้หมายความรวมถึงชุมชนที่จัดตั้งขึ้นตามประกาศของทางราชการ
ตำบล หมายความว่า
ตำบลตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะการปกครองท้องที่
และให้หมายความรวมถึงแขวงในเขตกรุงเทพมหานคร
อำเภอ หมายความรวมถึง
เขตในกรุงเทพมหานคร
จังหวัด หมายความรวมถึง
กรุงเทพมหานคร
สำนักงานประมงจังหวัด หมายความรวมถึง สำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ประมงจังหวัด หมายความรวมถึง ผู้อำนวยการสำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
ตามที่ได้รับมอบหมายจากประมงจังหวัด
ข้อ ๔ ให้อธิบดีกรมประมงรักษาการตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจออกคำสั่งหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามระเบียบนี้
ให้กองตรวจราชการเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมข้อมูลและบริหารจัดการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ข้อ ๕ ให้สำนักงานประมงจังหวัดเป็นหน่วยงานรับขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขึ้นทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ประมงจังหวัดอาจมอบหมายให้ประมงอำเภอเป็นผู้รับคำขอขึ้นทะเบียน
แล้วส่งคำขอนั้นให้สำนักงานประมงจังหวัดดำเนินการต่อไปก็ได้
ข้อ ๖ ให้ประมงจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้ขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
หรือเพิกถอนการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
ข้อ ๗ องค์กรซึ่งมีลักษณะเป็นนิติบุคคล คณะบุคคล
หรือองค์กรอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับการประมงในท้องถิ่นนั้น
และมีสมาชิกรวมกันไม่น้อยกว่าสามสิบคนมีสิทธิขอขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
สมาชิกขององค์กรตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย
เป็นผู้ประกอบอาชีพการประมงและมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนประมงท้องถิ่นนั้น
ข้อ ๘ ให้กรรมการดำเนินงานขององค์กรที่ประสงค์จะขอขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยกว่าสามคนร่วมกันยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ณ สำนักงานประมงจังหวัดในเขตพื้นที่ที่องค์กรนั้นตั้งอยู่
ตามแบบคำขอขึ้นทะเบียนท้ายระเบียบนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียน
(๒) สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล กรณีเป็นนิติบุคคล
(๓) เอกสารแสดงประวัติโดยย่อขององค์กร การจัดตั้ง
วันเดือนปีที่จัดตั้ง วัตถุประสงค์ที่จัดตั้ง พร้อมด้วยระเบียบหรือข้อบังคับ กรณีเป็นคณะบุคคลหรือองค์กรอื่น
(๔) บัญชีรายชื่อคณะกรรมการดำเนินงานในปัจจุบัน
(๕) บัญชีรายชื่อสมาชิก
กรณีองค์กรที่ประสงค์ขอขึ้นทะเบียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล
ให้ผู้แทนตามกฎหมาย
ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง
การขอขึ้นทะเบียนตามวรรคหนึ่ง
ให้องค์กรหนึ่งมีสิทธิขอขึ้นทะเบียนได้เพียงหนึ่งจังหวัด
ข้อ ๙ เมื่อได้รับคำขอขึ้นทะเบียนแล้ว
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของคำขอขึ้นทะเบียนเอกสารและหลักฐานต่าง
ๆ หากไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนให้แจ้งให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมคำขอขึ้นทะเบียนหรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนไม่แก้ไขเพิ่มเติมคำขอขึ้นทะเบียนหรือไม่จัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำขอขึ้นทะเบียนนั้นเป็นอันยกเลิกนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
และให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนทราบ
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่คำขอขึ้นทะเบียนและเอกสารหรือหลักฐานถูกต้องและครบถ้วนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบรับคำขอขึ้นทะเบียนให้แก่ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียน
และจัดทำความเห็นนำเสนอประมงจังหวัด
ข้อ ๑๑ เมื่อประมงจังหวัดได้รับคำขอขึ้นทะเบียนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
ให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาสิบห้าวันนับแต่วันได้รับคำขอขึ้นทะเบียนจากพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นและออกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนตามแบบที่กำหนดท้ายระเบียบนี้
รวมทั้งมีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันอนุมัติให้ขึ้นทะเบียน
และทำการประกาศหรือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ
กรณีไม่อนุมัติให้ขึ้นทะเบียน ให้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง พร้อมแสดงเหตุผล
การยื่นคำอุทธรณ์ และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์ไว้ด้วย
ข้อ ๑๒ ให้ประมงจังหวัดพิจารณาเพิกถอนการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้นกับองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้
ดังต่อไปนี้
(๑) ขาดคุณสมบัติตามข้อ ๗
(๒)
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นนั้นมิได้ดำเนินงานกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ขอขึ้นทะเบียนไว้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหกเดือนขึ้นไป
(๓) องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นนั้นแสดงความประสงค์ขอให้เพิกถอนการขึ้นทะเบียน
(๔)
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นนั้นได้กระทำการอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือกระทำการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐหรือกระทำการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการดังกล่าว
ให้ประมงจังหวัดมีหนังสือแจ้งคำสั่งเพิกถอนการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นให้องค์กรนั้นทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง
พร้อมแสดงเหตุผล การยื่นคำอุทธรณ์ และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์ไว้ด้วย
ข้อ ๑๓ การอุทธรณ์และการพิจารณาคำอุทธรณ์ตามข้อ ๑๑
วรรคสอง และข้อ ๑๒ วรรคสอง ให้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
ข้อ ๑๔ ให้สำนักงานประมงจังหวัดจัดทำข้อมูลการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นตามแบบที่กำหนดท้ายระเบียบนี้
และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวทางระบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานให้เป็นปัจจุบัน
ประกาศ
ณ วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
จุมพล สงวนสิน
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบคำขอขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
๒. รายชื่อคณะกรรมการดำเนินงานขององค์กร.............
๓. รายชื่อสมาชิกขององค์กร..............
๔. หนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนชุมชนประมงท้องถิ่น
๕. ข้อมูลการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น
จังหวัด ............
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘
นุสรา/ผู้ตรวจ
๒๗ กรกฎาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๑๕๔ ง/หน้า ๗/๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ |
306587 | ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการขอมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า ซึ่งสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำบางชนิด พ.ศ.2535 | ระเบียบกรมประมง
ระเบียบกรมประมง
ว่าด้วยการขอมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า
ซึ่งสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำบางชนิด
พ.ศ. ๒๕๓๕[๑]
โดยที่พระราชกฤษฎีการะบุสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำบางชนิดที่ห้ามมิให้มีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ กำหนดให้บุคคลที่ประสงค์จะมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำบางชนิดเพื่อการค้า
ต้องมายื่นคำขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น
เพื่อให้การปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการรับแจ้งการมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งหินปะการัง
กัลปังหา เต่าทะเล และกระ รวมทั้งการควบคุมให้การค้าสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีไว้ในครอบครองดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
อธิบดีกรมประมงจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกรมประมงว่าด้วยการขอมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า
ซึ่งสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำบางชนิด พ.ศ. ๒๕๓๕
ข้อ ๒
ระเบียบนี้ให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
บุคคลใดมีหินปะการัง กัลปังหา เต่าทะเล และกระ และผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นจากสัตว์น้ำดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อการค้าอยู่ก่อนหรือภายในวันที่
๖ ตุลาคม ๒๕๓๕ ถ้าประสงค์จะมีสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อการค้าต่อไป
จะต้องยื่นคำขออนุญาตตามแบบท้ายระเบียบนี้ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายในกำหนดเวลา
๓๐ วัน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๖
ตุลาคม จนถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ในเวลาราชการ
ข้อ ๔
สำหรับสถานที่ที่ยื่นคำขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
๑. กรณีสถานที่ประกอบการค้าอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร
ให้ยื่นคำขอ ณ ที่ฝ่ายควบคุมการประมง กองอนุรักษ์ทรัพยากรประมง กรมประมง
๒. กรณีสถานที่ประกอบการค้าตั้งอยู่ในต่างจังหวัด
ให้ยื่นคำขอ ณ สำนักงานประมงจังหวัด ในเขตท้องที่ซึ่งสถานที่ประกอบการค้าตั้งอยู่
ข้อ ๕
ในกรณีผู้ยื่นคำขอเป็นบุคคลธรรมดาต้องแนบสำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาทะเบียนบ้าน
ถ้าเป็นนิติบุคคลต้องแนบหลักฐานการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
ข้อ ๖
ให้ประมงจังหวัด ผู้รับคำขอแจ้งการมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
เสนอจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการออกไปตรวจสอบพร้อมทั้งบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำดังกล่าวมีชนิด
จำนวน ปริมาณ หรือน้ำหนักถูกต้องตรงตามรายการที่ปรากฏในคำขอหรือไม่
เสร็จแล้วให้รายงานให้กรมประมงทราบ
ข้อ ๗
ผู้แจ้งการมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำดังกล่าวจะต้องแจ้งรายการจำหน่ายและยอดคงเหลือ
ให้ประมงจังหวัดผู้รับแจ้งทราบเป็นประจำทุก ๆ
เดือนนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนรับแจ้ง ทั้งนี้ จนกว่าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นจะถูกจำหน่าย
จ่ายโอน หมดสิ้นแล้ว
ข้อ ๘
เมื่อประมงจังหวัดได้รับแจ้งตามข้อ ๗ แล้ว ให้รายงานให้กรมประมงทราบภายใน ๗
วัน ทำการ
ข้อ ๙
ให้ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์ทรัพยากรประมง รักษาการตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
บังอร สายสิทธิ์
รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน
อธิบดีกรมประมง
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำขอมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า ซึ่งสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
พรพิมล/พิมพ์
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๙/ตอนที่ ๑๐๐/หน้า ๓๕/๒๓ กันยายน ๒๕๓๕ |
301678 | ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 241 | ประกาศของคณะปฏิวัติ
ประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่
241
-------------------
โดยที่คณะปฏิวัติพิจารณาเห็นว่า ตามที่ได้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับ
ที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2515
ให้แยกอำเภอบางอำเภอออกจากการปก
ครองของจังหวัดอุบลราชธานี มาจัดตั้งเป็นจังหวัดยโสธร
ซึ่งในท้องที่อำเภอ
เหล่านี้เคยได้รับการยกเว้นการเก็บเงินอากรตามพระราชกฤษฎีกา
ยกเว้นการ
เก็บเงินอากรตามพระราชกฤษฎีกา
ยกเว้นการเก็บเงินอากรตามพระราชบัญญัติการ
ประมง พ.ศ.2490 พ.ศ.2491 มาก่อน
และจังหวัดกาฬสินธุ์ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ
พ.ศ.2490
ก็ยังมิได้รับการยกเว้นอากรการประมงตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงเห็นสมควรยกเว้นการเก็บเงินอากรในท้องที่ 2
จังหวัดดังกล่าวด้วย อาศัย
อำนาจตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490
หัวหน้าคณะปฏิวัติ
จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยก
เว้นการเก็บเงินอากรทุกประเภทเกี่ยวกับการทำการประมง
ในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดยโสธร
ข้อ 2
ให้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับพระ
ราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในมาตรา 37
แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490
ข้อ 3
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามประกาศของ
คณะปฏิวัติฉบับนี้
ข้อ 4
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวัน
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2515
จอมพล ถ. กิตติขจร
หัวหน้าคณะปฏิวัติ |
857327 | พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 | พระราชกำหนด
การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๓
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๒
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า
พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๓
มาตรา ๒[๑] พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชกำหนดนี้
กองทุน
หมายความว่า กองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้
คณะกรรมการกำกับกองทุน หมายความว่า คณะกรรมการกำกับกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๔ เพื่อบรรเทาผลกระทบอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ และเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยรวม
ให้ดำเนินการเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้
ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันดำเนินการให้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง
พระราชกำหนดนี้ไม่กระทบหน้าที่และอำนาจในการกำกับดูแลการรักษาเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับตลาดทุนตามที่มีกฎหมายกำหนด
เว้นแต่ที่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นเป็นการเฉพาะในพระราชกำหนดนี้
การดำเนินการตามพระราชกำหนดนี้ให้มีระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
เว้นแต่คณะรัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐจะมีมติให้ขยายระยะเวลาออกไปอีกก็ได้
มาตรา ๕ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้
ให้รัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้ถือเป็นที่สุด
และให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยนั้น
มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
หมวด ๑
กองทุน
มาตรา ๗ ให้จัดตั้งกองทุนรวมขึ้นกองทุนหนึ่ง
เรียกว่า กองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพและสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน
ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ด้วยวิธีการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ออกใหม่
มาตรา ๘
ให้กองทุนเป็นนิติบุคคล และให้ถือว่าเป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งและดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ในระยะเริ่มแรกให้กองทุนมีวงเงินไม่เกินสี่แสนล้านบาท
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๗ และมาตรา ๑๘
ในระยะเริ่มแรกให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนแต่ผู้เดียว
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจซื้อหน่วยลงทุนภายในวงเงินไม่เกินสี่แสนล้านบาทภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับกองทุนกำหนด
การดำเนินกิจการกองทุน
การบริหารและการจัดการกองทุน ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เว้นแต่ที่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นเป็นการเฉพาะในพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๙
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการกำกับกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้
ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นรองประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านตลาดทุนด้านตลาดตราสารหนี้ หรือด้านกฎหมาย จำนวนไม่เกินสามคน
เป็นกรรมการ ให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งเป็นเลขานุการ
วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
และการประชุมของคณะกรรมการ ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๐
ให้คณะกรรมการกำกับกองทุนมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดนโยบาย แนวทางการดำเนินงาน และกรอบการลงทุน
รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงของการลงทุนของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา
๗
(๒)
แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์เพื่อดำเนินการจัดการกองทุนโดยต้องเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(๓) กำกับดูแลการดำเนินงานของคณะกรรมการลงทุน
รวมทั้งการลงทุนและการดำเนินการของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา
๗ และตามโครงการจัดการกองทุน
(๔)
กระทำการอย่างอื่นที่เกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องในการปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการกำกับกองทุน
ให้คณะกรรมการกำกับกองทุนรายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีเป็นประจำทุกปี
มาตรา ๑๑
กรอบการลงทุนตามมาตรา ๑๐ (๑) อย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) ประเภท คุณสมบัติ กรอบการกำหนดราคาหรืออัตราผลตอบแทน
และอายุของตราสารหนี้ที่จะลงทุน
(๒)
วัตถุประสงค์และข้อจำกัดในการนำเงินไปใช้
(๓) สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ของกองทุนเมื่อเทียบกับแหล่งเงินทุนอื่นของผู้ออกตราสารหนี้ในคราวเดียวกัน
ซึ่งจะต้องไม่เกินร้อยละห้าสิบของยอดตราสารหนี้ที่จะครบกำหนด เว้นแต่ได้รับผ่อนผันจากคณะกรรมการกำกับกองทุน
(๔)
หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขอื่น ซึ่งต้องไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือสร้างขั้นตอนเกินความจำเป็น
ในกรณีที่ผู้ออกตราสารหนี้ระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้เสนอขายต่อประชาชนหรือบุคคลใด
ๆ และมีการให้หลักประกันแก่ผู้ถือตราสารหนี้
ตราสารหนี้ที่กองทุนซื้อต้องได้รับหลักประกันไม่ด้อยกว่าหลักประกันที่ผู้ออกตราสารหนี้ให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้อื่นในคราวเดียวกัน ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับกองทุนกำหนด
มาตรา ๑๒
ให้มีคณะกรรมการลงทุน ประกอบด้วย รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมาย
เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ผู้แทนกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านตลาดทุนหรือด้านการเงินการธนาคาร
จำนวนไม่เกินสองคนเป็นกรรมการ
ให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งเป็นเลขานุการ
วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและการประชุมของคณะกรรมการลงทุน
ให้เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
มาตรา ๑๓
ให้คณะกรรมการลงทุนมีหน้าที่และอำนาจคัดเลือกตราสารหนี้ภาคเอกชนที่เป็นไปตามมาตรา
๑๑ และมาตรา ๑๔ รวมถึงปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการกำกับกองทุน
ให้คณะกรรมการลงทุนรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการกำกับกองทุนอย่างน้อยทุกสามเดือน
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
คณะกรรมการลงทุนอาจแต่งตั้งที่ปรึกษาเพื่อให้คำแนะนำแก่คณะกรรมการลงทุนได้ โดยค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการจ้างที่ปรึกษา
ถือเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุน
มาตรา ๑๔ ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่กองทุนจะลงทุนได้
ต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นตราสารหนี้ที่ออกใหม่เพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้เดิมที่ครบกำหนด
(๒)
ผู้ออกตราสารหนี้นั้นมีแหล่งเงินทุนอื่นที่มิใช่กองทุนไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของยอดตราสารหนี้ที่จะครบกำหนด
เว้นแต่ได้รับผ่อนผันจากคณะกรรมการกำกับกองทุน
(๓)
เป็นตราสารหนี้ที่ผู้ออกมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับลงทุนได้
แต่ไม่รวมถึงตราสารหนี้ที่ออกเสนอขายให้แก่กองทุน ประชาชน หรือบุคคลใด ๆ ในคราวเดียวกันที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับต่ำกว่าลงทุนได้ ทั้งนี้
การจัดอันดับดังกล่าวได้กระทำโดยองค์กรที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๔)
ผู้ออกตราสารหนี้เป็นบริษัทที่จดทะเบียนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจ
สถาบันการเงิน หรือบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจของสถาบันการเงิน
มาตรา ๑๕
ให้กรรมการในคณะกรรมการกำกับกองทุนและคณะกรรมการลงทุนได้รับค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยถือเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุน
มาตรา ๑๖
การแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์เพื่อดำเนินการจัดการกองทุนตามมาตรา ๑๐ (๒) การแต่งตั้งที่ปรึกษาตามมาตรา ๑๓ วรรคสาม
และการซื้อหรือขายหน่วยลงทุนหรือตราสารหนี้ตามพระราชกำหนดนี้
ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำกับกองทุนกำหนด
โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
มาตรา ๑๗ ในเวลาใด ๆ เมื่อเห็นเป็นการสมควรเพื่อประโยชน์ของรัฐหรือเมื่อหมดความจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนแต่เพียงผู้เดียว
คณะกรรมการกำกับกองทุนจะมีมติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยขายหน่วยลงทุนที่ถืออยู่หรือให้กองทุนขายหน่วยลงทุนให้แก่บุคคลอื่นตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำกับกองทุนกำหนดก็ได้
มาตรา ๑๘ ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาตามมาตรา ๔ วรรคสี่
ให้คณะกรรมการกำกับกองทุนพิจารณาเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดวิธีและขั้นตอนการยุติดำเนินการเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว
โดยจะขายคืนหน่วยลงทุนหรือขายหน่วยลงทุนให้บุคคลอื่นเพื่อดำเนินการกองทุนนั้นต่อไปหรือด้วยวิธีการอื่นก็ได้
และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วให้ดำเนินการไปตามนั้น
ในกรณีที่ยังมีการดำเนินการกองทุนนั้นต่อไปภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้กองทุนแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทราบ
และให้ถือว่ากองทุนได้รับการจัดตั้งโดยชอบตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว ส่วนการดำเนินการต่อไปให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กรณีใดที่ไม่อาจดำเนินการได้ ให้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนกำหนด
หมวด ๒
การซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรอง
มาตรา ๑๙
ในกรณีที่ตลาดตราสารหนี้ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างร้ายแรงอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ และมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินโดยรวม
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจซื้อขายตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มิใช่ตราสารหนี้ที่ออกใหม่
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมอบหมายให้บุคคลใดทำหน้าที่ในการบริหารจัดการการซื้อขายตราสารหนี้ตามวรรคหนึ่งแทนธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
การมอบหมายดังกล่าวให้ดำเนินการตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
หมวด ๓
การชดเชยความเสียหายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๐
ในการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทยตามพระราชกำหนดนี้ ถ้ามีกำไรเกิดขึ้น
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ให้กระทรวงการคลังชดเชยความเสียหายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยในวงเงินไม่เกินสี่หมื่นล้านบาท
มาตรา ๒๑ ให้มีคณะกรรมการพิจารณาผลดำเนินการ มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการคำนวณกำไร
หรือความเสียหาย และวงเงินชดเชย และวินิจฉัยจำนวนผลกำไรหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว
ประกอบด้วย อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธานกรรมการ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณคนหนึ่งซึ่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมอบหมาย
เป็นรองประธานกรรมการ
รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมาย
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการ
ให้กรมบัญชีกลางแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดคนหนึ่ง เป็นเลขานุการ และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่ง
เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
เมื่อคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งวินิจฉัยจำนวนผลกำไรหรือความเสียหายแล้ว
ให้แจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกระทรวงการคลัง
แล้วแต่กรณี เพื่อดำเนินการตามมาตรา ๒๐ โดยเร็วต่อไป
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ระบาดอย่างฉับพลันและรุนแรงทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
จนกระทั่งองค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้เป็นการระบาดใหญ่
ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ที่เป็นทั้งช่องทางการระดมทุนอย่างสำคัญในการประกอบธุรกิจ
การลงทุน และการออม ของประชาชน
การระบาดนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดคาดการณ์ได้ชัดเจนว่าจะยุติลงเมื่อใด เป็นผลให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างรุนแรงและฉับพลัน
ผู้ประกอบการซึ่งระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ต้องประสบปัญหาขาดสภาพคล่องกะทันหัน
ไม่สามารถไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดและที่ใกล้จะครบกำหนดซึ่งมีมูลค่านับแสนล้านบาทได้
สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มสูงมากที่จะทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่กระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศและต่อประชาชนโดยรวม
จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
พัชรภรณ์/จัดทำ
๒๐ เมษายน
๒๕๖๓
ภาณุรุจ/ตรวจ
๒๐
เมษายน ๒๕๖๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๓๐ ก/หน้า ๑๒/๑๙
เมษายน ๒๕๖๓ |
662132 | พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. 2555 | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ
วันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เป็นปีที่ ๖๗
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พระราชกำหนดนี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕
มาตรา ๒[๑] พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชกำหนดนี้
อุทกภัย หมายความว่า
อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔
และในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
สถาบันการเงิน หมายความว่า
ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินและธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
มาตรา ๔ ให้มีการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้
ภายในวงเงินจำนวนไม่เกินสามแสนล้านบาท
โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินร่วมกันดำเนินการดังกล่าว
มาตรา ๕ นอกเหนือจากการให้กู้ยืมเงินตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินเป็นการเฉพาะคราวเพื่อให้สถาบันการเงินนำไปใช้ในการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
อัตราดอกเบี้ยในการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงิน
ให้คิดเท่ากับร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่งต่อปี
การให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงิน
นอกจากจะให้กู้ยืมโดยทำสัญญากู้ยืมแล้ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจให้กู้ยืมโดยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินผู้กู้เป็นผู้ออกก็ได้
การจัดสรรวงเงินในการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงิน
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
มาตรา ๖ เงินที่สถาบันการเงินได้รับจัดสรรตามมาตรา
๘ วรรคหนึ่ง ต้องนำไปใช้ในการให้กู้ยืมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
(๑) บุคคลธรรมดาที่มีภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน
สถานที่ประกอบอาชีพหรือสถานประกอบธุรกิจหรือการค้าของตนอยู่ในเขตพื้นที่อุทกภัย
(๒) ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อยู่ในเขตพื้นที่อุทกภัย
มาตรา ๗ การให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
สถาบันการเงินต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑)
วงเงินที่ให้กู้ยืมต้องเป็นเงินในส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินในสัดส่วนไม่เกินร้อยละเจ็ดสิบของวงเงินดังกล่าว
และสถาบันการเงินออกเงินสมทบในส่วนที่เหลือจนเต็มวงเงินที่ให้กู้ยืม
(๒) สถาบันการเงินต้องคิดอัตราดอกเบี้ยในการให้กู้ยืมเงินตาม (๑)
ไม่เกินร้อยละสามต่อปี
มาตรา ๘ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดจำนวนวงเงินที่จะจัดสรรให้แก่สถาบันการเงินแต่ละแห่งในการกู้ยืมเงิน
สถาบันการเงินที่ได้รับการจัดสรรเงินตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นคำขอกู้ยืมเงินต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
มาตรา ๙ ในกรณีที่สถาบันการเงินได้รับชำระคืนต้นเงินกู้จากผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
ให้ดำเนินการส่งคืนต้นเงินกู้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินต้องชำระคืนเงินที่ได้กู้ยืมตามพระราชกำหนดนี้ภายในเวลาห้าปีนับแต่ได้รับเงินกู้จากธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่ต้องไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
มาตรา ๑๐ การยื่นคำขอกู้ยืมเงินตามมาตรา ๘ วรรคสอง
และการชำระคืนเงินกู้ตามมาตรา ๙ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
มาตรา ๑๑ มิให้นำบทบัญญัติมาตรา
๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ มาใช้บังคับกับการให้กู้ยืมเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๑๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๔
ได้เกิดวิกฤตการณ์อุทกภัยอย่างร้ายแรงในหลายพื้นที่ของประเทศไทยซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง
รัฐบาลมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องบูรณะและฟื้นฟูประเทศ
เยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชน
รวมทั้งดำเนินการวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ
โดยการจัดให้มีการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น นอกจากนี้
ผลจากการเกิดความเสียหายนั้นยังทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมเริ่มถดถอยและอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของสาธารณะ
จึงจำเป็นต้องมีมาตรการฟื้นฟูประเทศ ทั้งการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย
การป้องกันภัยพิบัติที่ใกล้จะถึงและการสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบอาชีพของประชาชนและผู้ลงทุน
ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวจะต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนหลายแนวทาง
และในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อเยียวยาสภาพความเป็นอยู่
สถานประกอบการ การประกอบธุรกิจกิจการ และทรัพย์สินต่าง ๆ
ให้กลับคืนสู่สภาพหรือภาวะปกติดังเดิม
แต่โดยที่ประชาชนและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประสบอุทกภัยมีจำนวนมาก
และมีความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเป็นพิเศษ
สมควรกำหนดให้มีการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่บุคคลดังกล่าวเป็นการเฉพาะโดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินเป็นการเฉพาะคราว
เพื่อให้สถาบันการเงินนำไปใช้ในการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยต่อไปในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
อันเป็นการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศและสร้างเสถียรภาพให้แก่เศรษฐกิจโดยรวม
หากการดำเนินการดังกล่าวล่าช้า
ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจจะเพิ่มมากขึ้นจนกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๗ มกราคม ๒๕๕๕
ชาญ/ผู้ตรวจ
๓๑ มกราคม ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนที่ ๑๐ ก/หน้า ๑๑/๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ |
668163 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. 44/2555 เรื่อง การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 (ฉบับที่ 2) | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง.
๔๔/๒๕๕๕
เรื่อง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔
(ฉบับที่ ๒)
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่านสถาบันการเงินต่าง ๆ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น
จึงเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. ๑๒/๒๕๕๕ เรื่อง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔
ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๑๐
แห่งพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับสถาบันการเงินตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง. ๑๒/๒๕๕๕ เรื่อง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔
ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
๔. เนื้อหา
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒
ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. ๑๒/๒๕๕๕ เรื่อง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔
ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒ ผู้ที่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังนี้
(๑) เป็นบุคคลธรรมดาที่มีภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน
สถานที่ประกอบอาชีพ หรือสถานประกอบธุรกิจหรือการค้าของตนอยู่ในเขตพื้นที่อุทกภัย
(๒)
เป็นผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อยู่ในเขตพื้นที่อุทกภัย
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ
๖ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. ๑๒/๒๕๕๕ เรื่อง การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี
พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖ ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยแต่ละรายจะได้รับความช่วยเหลือเป็นระยะเวลาไม่เกิน
๕ ปี นับจากวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากสถาบันการเงิน
โดยได้รับวงเงินช่วยเหลือ ดังนี้
(๑) ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท
(๒) บุคคลธรรมดา ไม่เกิน ๓ ล้านบาท
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ
๑๐ (๖) ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. ๑๒/๒๕๕๕ เรื่อง การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี
พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๒
ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. ๑๒/๒๕๕๕ เรื่อง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่
๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๒ สถาบันการเงินต้องตรวจสอบว่า
(๑) ผู้ที่ขอรับความช่วยเหลือตามประกาศนี้
ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔
และอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอย่างแท้จริง
(๒) สถาบันการเงินได้พิจารณาแล้วว่า วงเงิน สัดส่วน ระยะเวลา
และอัตราดอกเบี้ยที่ให้กู้ยืมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยแต่ละรายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
ข้อ ๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๗
ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. ๑๒/๒๕๕๕ เรื่อง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔
ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๗ เมื่อสถาบันการเงินมีเจตนาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งประกาศนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บเบี้ยปรับจากสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี
ตามจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติและตามระยะเวลาตั้งแต่วันที่มีการเบิกเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยจนถึงวันที่มีการชำระหนี้หรือตามระยะเวลาที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ
แล้วแต่กรณี
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ประสาร
ไตรรัตน์วรกุล
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๗ มิถุนายน
๒๕๕๕
ชาญ/ผู้ตรวจ
๘ มิถุนายน
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๘๗ ง/หน้า ๕๐/๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ |
664306 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง. 12/2555 เรื่อง การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง.
๑๒/๒๕๕๕
เรื่อง
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เนื่องจากในปี ๒๕๕๔
ได้มีอุทกภัยอย่างร้ายแรงในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทย
ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมากแก่อาคาร ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ
และทรัพย์สินต่าง ๆ ของประชาชน ตลอดจนผลผลิตและการประกอบการในภาคการเกษตรกรรม
พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมหยุดชะงักหรือชะลอตัวลง
อันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรง
จึงได้มีการออกพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งนี้
เพื่อเป็นการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบ
ตลอดจนช่วยฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัยดังกล่าว
โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจเฉพาะคราวในการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงิน
เพื่อให้สถาบันการเงินนำไปใช้ในการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยต่อไปในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
จึงจำเป็นต้องออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์
และวิธีการในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
สถาบันการเงินตามประกาศนี้
๔. เนื้อหา
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
ธปท. หมายความว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทย
อุทกภัย หมายความว่า
อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔
และในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
สถาบันการเงิน หมายความว่า
ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินและธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการประเภทต่าง ๆ ที่มีจำนวนการจ้างงานและมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินอยู่ภายในเกณฑ์ตามตาราง
ดังนี้
ประเภท
วิสาหกิจขนาดกลาง
วิสาหกิจขนาดย่อม
จำนวนการจ้างงาน
(คน)
มูลค่าสินทรัพย์
ถาวรไม่รวมที่ดิน
(ล้านบาท)
จำนวนการจ้างงาน
(คน)
มูลค่าสินทรัพย์ถาวร
ไม่รวมที่ดิน
(ล้านบาท)
กิจการผลิตสินค้า
(รวมรับจ้างทำของ)
กิจการให้บริการ
กิจการค้าส่ง
กิจการค้าปลีก
ไม่เกิน ๒๐๐
ไม่เกิน ๒๐๐
ไม่เกิน ๕๐
ไม่เกิน ๓๐
ไม่เกิน ๒๐๐
ไม่เกิน ๒๐๐
ไม่เกิน ๑๐๐
ไม่เกิน ๖๐
ไม่เกิน ๕๐
ไม่เกิน ๕๐
ไม่เกิน ๒๕
ไม่เกิน ๑๕
ไม่เกิน ๕๐
ไม่เกิน ๕๐
ไม่เกิน ๕๐
ไม่เกิน ๓๐
ผู้อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือ
ข้อ ๒ ผู้ที่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่สถาบันการเงินได้ตรวจสอบแล้วและรับรองว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจริง
และมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใดดังนี้
(๑) เป็นบุคคลธรรมดาที่มีภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน
สถานที่ประกอบอาชีพหรือสถานประกอบธุรกิจหรือการค้าของตนอยู่ในเขตพื้นที่อุทกภัย
(๒) เป็นผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อยู่ในเขตพื้นที่อุทกภัย
วิธีการให้ความช่วยเหลือ
ข้อ ๓ ธปท.
จะให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงิน
ที่ประสงค์จะนำไปให้กู้ยืมต่อแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
โดยวิธีการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินเป็นผู้ออก
วงเงิน สัดส่วน
และระยะเวลาให้ความช่วยเหลือ
ข้อ ๔ วงเงินตามโครงการทั้งสิ้น
๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นเงินที่ ธปท. ให้กู้ยืมแก่สถาบันการเงินไม่เกิน ๒๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และเป็นเงินของสถาบันการเงินไม่ต่ำกว่า ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท (โดยมีสัดส่วนเท่ากับ ๗๐ : ๓๐)
ข้อ ๕ ธปท.
จะเป็นผู้จัดสรรวงเงินให้ความช่วยเหลือสำหรับสถาบันการเงินแต่ละรายเพื่อนำไปให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
โดยมีหลักเกณฑ์พิจารณาจากความต้องการใช้วงเงินของผู้ที่ได้รับความเสียหายและการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งส่วนที่มีอยู่เดิมและที่จะให้สินเชื่อเพิ่มและส่วนที่จะให้สินเชื่อใหม่
ทั้งนี้ จนกว่าวงเงินของ
ธปท.ตามโครงการนี้จะถูกจัดสรรเต็มจำนวนแล้วหรือจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
แล้วแต่สิ่งใดจะเกิดขึ้นก่อน
ข้อ ๖ ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยแต่ละรายจะได้รับความช่วยเหลือเป็นระยะเวลาไม่เกิน
๕ ปี นับจากวันที่ ธปท. รับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากสถาบันการเงิน
โดยได้รับวงเงินช่วยเหลือ ดังนี้
(๑) ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท
(๒) บุคคลธรรมดา ไม่เกิน ๑ ล้านบาท
ข้อ ๗ สถาบันการเงินจะต้องยื่นคำขอกู้ยืมเงินต่อ
ธปท. ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
ข้อ ๘ การให้กู้ยืมแก่สถาบันการเงินตามประกาศนี้
สถาบันการเงินจะต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ ธปท. มีกำหนดชำระไม่เกินวันที่ ๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๑
อัตราดอกเบี้ย
ข้อ ๙ อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ
ต้องเป็นไปตามอัตราในตารางดังนี้
ธปท. เรียกเก็บจากสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินเรียกเก็บจาก
ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
ร้อยละ ๐.๐๑
ต่อปี
ไม่เกินร้อยละ
๓ ต่อปี
หลักเกณฑ์การขอรับความช่วยเหลือ
ข้อ ๑๐ สถาบันการเงินที่ประสงค์จะกู้ยืมเงินตามประกาศนี้
ต้องปฏิบัติและยินยอมรับพันธะหน้าที่ ดังนี้
(๑) ทำหนังสือยืนยันตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ (เอกสารแนบ ๑)
(๒) เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
สำหรับจำนวนเงินที่ให้สินเชื่อไม่เกินอัตราที่กำหนดในข้อ ๙
(๓) ยินยอมให้ ธปท. หักเงินจากบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท.
เพื่อชำระหนี้อันเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ ธปท. ให้กู้ยืมเงินตามประกาศนี้
โดยในวันที่มีการชำระหนี้ สถาบันการเงินต้องดำรงเงินฝากไว้ที่ ธปท.
ให้มีจำนวนเพียงพอที่ ธปท. จะหักชำระหนี้ได้
และในกรณีที่เงินในบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินไม่มีหรือมีไม่พอหักชำระหนี้ดังกล่าว
ให้ ธปท. จำหน่ายทรัพย์สินอย่างอื่นของสถาบันการเงินที่มีอยู่ที่ ธปท.
และดำเนินการอื่นใดตามที่ ธปท.
เห็นสมควรเพื่อให้ได้เงินมาชำระหนี้ตลอดจนยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของ ธปท.
เข้าไปตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินตามประกาศนี้ ณ
สำนักงานของสถาบันการเงิน
รวมทั้งดำเนินการให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของ
ธปท. เข้าไปตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือตามประกาศนี้ ณ สำนักงาน
หรือที่อยู่อาศัยของผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยได้ด้วย
(๔) จัดให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่ขอรับความช่วยเหลือตามประกาศนี้รับรู้ข้อกำหนดแห่งประกาศนี้
(๕)
เมื่อสถาบันการเงินประสงค์จะชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินของสถาบันการเงินถึงกำหนดใช้เงิน
สถาบันการเงินต้องทำหนังสือขอชำระหนี้ตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ (เอกสารแนบ ๒)
(๖)
ให้สถาบันการเงินส่งรายงานรายละเอียดยอดคงค้างของตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับพร้อมรายชื่อผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
(เอกสารแนบ ๓) ให้ ธปท. ทุกสิ้นเดือน
วิธีปฏิบัติในการขอกู้ยืมเงิน
ข้อ ๑๑ ในการขอกู้ยืมเงินแต่ละครั้ง
สถาบันการเงินต้องดำเนินการ ดังนี้
(๑) ทำหนังสือความตกลงเพื่อกู้ยืมเงินตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
(เอกสารแนบ ๔)
(๒) ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะดังนี้
ก. เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ (เอกสารแนบ ๕)
ข. จำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินต้องไม่เกินสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือตามข้อ
๔ ของจำนวนเงินที่สถาบันการเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
ค. เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีวันถึงกำหนดใช้เงินไม่เกิน ๕ ปี
นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑
ง. เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยตามข้อ ๙
(๓)
ส่งรายละเอียดผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่สมควรได้รับความช่วยเหลือตามประกาศนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับ
(เอกสารแนบ ๖)
ข้อ ๑๒ สถาบันการเงินต้องตรวจสอบและรับรองว่า
(๑) ผู้ที่ขอรับความช่วยเหลือตามประกาศนี้
ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔
และอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอย่างแท้จริง
(๒) สถาบันการเงินได้พิจารณาแล้วว่า วงเงิน สัดส่วน ระยะเวลา
และอัตราดอกเบี้ยที่ให้กู้ยืมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยแต่ละรายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
การรับและการคืนเงินกู้ยืม
การเรียกเก็บดอกเบี้ยและเงินเบี้ยปรับ
ข้อ ๑๓ เมื่อ ธปท.
พิจารณาอนุมัติการกู้ยืมเงิน ธปท. จะนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่
ธปท. ตามจำนวนเงินที่สถาบันการเงินได้รับอนุมัติในแต่ละครั้ง และเมื่อ ธปท. ได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว
ให้ถือว่าสถาบันการเงินได้รับเงินกู้ยืมจาก ธปท. แล้ว
ข้อ ๑๔ ธปท.
จะเรียกเก็บดอกเบี้ยสำหรับยอดตั๋วสัญญาใช้เงินคงค้างปีละ ๒ งวด คือ
งวดสิ้นเดือนมิถุนายน และงวดสิ้นเดือนธันวาคม ในวันทำการแรกของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๕ เมื่อสถาบันการเงินได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงิน
สถาบันการเงินต้องรีบชำระหนี้ให้ ธปท. ตามสัดส่วนที่ได้รับชำระ
โดยต้องทำหนังสือขอชำระหนี้ตามแบบที่แนบ (เอกสารแนบ ๒)
ข้อ ๑๖ ในวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินหรือวันที่มีการขอชำระหนี้
หรือวันที่ ธปท. เรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนด หรือวันที่ ธปท.
เรียกเก็บดอกเบี้ยประจำงวด ธปท. จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท.
ตามจำนวนหนี้ที่ถึงกำหนดใช้เงิน หรือจำนวนหนี้ที่ขอชำระหรือจำนวนหนี้ที่ ธปท.
เรียกให้ชำระก่อนกำหนด รวมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ (ถ้ามี) หรือจำนวนดอกเบี้ยประจำงวด
แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่วันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตรงกับวันหยุดทำการ
ให้สถาบันการเงินชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินในวันทำการถัดไป โดย ธปท.
จะเรียกเก็บดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ (ถ้ามี) สำหรับวันหยุดดังกล่าวจนถึงวันที่สถาบันการเงินชำระหนี้
ข้อ ๑๗ เมื่อสถาบันการเงินฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งประกาศนี้
ธปท. จะเรียกเก็บเบี้ยปรับจากสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี
ตามจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติและตามระยะเวลาตั้งแต่วันที่มีการเบิกเงินจาก
ธปท. จนถึงวันที่มีการชำระหนี้หรือตามระยะเวลาที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ แล้วแต่กรณี
ถ้าสาเหตุที่สถาบันการเงินต้องเสียเบี้ยปรับเกิดขึ้นเพราะความผิดของผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
สถาบันการเงินจะไล่เบี้ยจากผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
ได้ไม่เกินจำนวนเงินเบี้ยปรับที่ ธปท. เรียกเก็บจากสถาบันการเงิน และถ้า ธปท.
คืนเบี้ยปรับให้แก่สถาบันการเงินเป็นจำนวนเงินเท่าใด สถาบันการเงินต้องคืนเบี้ยปรับตามจำนวนเงินดังกล่าวให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยด้วย
ข้อ ๑๘ ธปท.
อาจพิจารณางด ลด หรือคืนเบี้ยปรับสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้
ตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ ๑๙ เมื่อ ธปท.
ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงินแล้วหากปรากฏในภายหลังว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งประกาศนี้
ธปท. สงวนสิทธิที่จะเรียกเก็บเบี้ยปรับสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติดังกล่าว
ข้อ ๒๐ ธปท.
สงวนสิทธิที่จะไม่ให้กู้ยืมเงิน ลดจำนวนเงินที่จะให้กู้ยืม
หรือเรียกให้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนวันถึงกำหนดใช้เงิน
เมื่อมีกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
(๑) เมื่อ ธปท.
เห็นว่าสถาบันการเงินปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินนั้น
ๆ
(๒) เมื่อมีการจำหน่ายทรัพย์สินของสถาบันการเงินตามข้อ ๑๐ (๓)
(๓) เมื่อ ธปท.
เห็นว่าสถาบันการเงินหรือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
ฝ่าฝืนหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามประกาศนี้
หรือมีพฤติการณ์ในทำนองไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประกาศนี้
(๔) มีเหตุไม่สมควรประการอื่น
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕
ประสาร
ไตรรัตน์วรกุล
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบหนังสือยืนยัน (เอกสารแนบ ๑)
๒. แบบหนังสือขอชำระหนี้ (เอกสารแนบ ๒)
๓. แบบรายงานยอดตั๋วสัญญาใช้เงินคงค้างประจำเดือน (เอกสารแนบ ๓)
๔. แบบหนังสือความตกลงเพื่อกู้ยืมเงิน (เอกสารแนบ ๔)
๕. แบบตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงิน (เอกสารแนบ ๕)
๖.
แบบรายละเอียดผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ
(เอกสารแนบ ๖)
๗. แบบหนังสือมอบอำนาจ (เอกสารแนบ ๗)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๖ มีนาคม ๒๕๕๕
ณัฐพร/ผู้ตรวจ
๖ มีนาคม ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๔๓ ง/หน้า ๑๖/๑ มีนาคม ๒๕๕๕ |
663521 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 และพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. 2555 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง
การอนุมัติพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕
และพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับ
ความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ
พ.ศ. ๒๕๕๕ และพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕ รวม ๒ ฉบับ ไปเพื่อรัฐสภาพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น
ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๑๒ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑๓ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๒
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕
และพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
พ.ศ. ๒๕๕๕ รวม ๒ ฉบับ และในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๐ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ)
วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนด รวม ๒ ฉบับ
ดังกล่าวแล้ว
จึงประกาศมาตามความในมาตรา ๑๘๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕
ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนที่ ๒๐ ก/หน้า ๑๒/๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ |
857325 | พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | พระราชกำหนด
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๒
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า
พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๓ ในพระราชกำหนดนี้
ผู้ประกอบวิสาหกิจ
หมายความว่า ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หมายความว่า
วิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกินห้าร้อยล้านบาท
และไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
สถาบันการเงิน
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินซึ่งประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ
คณะกรรมการ
หมายความว่า คณะกรรมการกำกับการจ่ายเงินชดเชย
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา
๔
เพื่อบรรเทาผลกระทบอันเกิดจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือจากมาตรการที่รัฐกำหนดให้ประชาชนต้องปฏิบัติอันเป็นการระงับ
ยับยั้ง และแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสดังกล่าว
ให้ดำเนินการช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้
ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย
ร่วมกันดำเนินการให้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง
มาตรา
๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
หมวด ๑
มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติม
มาตรา
๖
นอกเหนือจากการให้กู้ยืมเงินตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินเป็นการเฉพาะคราวภายในวงเงินไม่เกินห้าแสนล้านบาท
เพื่อให้สถาบันการเงินให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจตามที่กำหนดในพระราชกำหนดนี้
อัตราดอกเบี้ยในการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินตามวรรคหนึ่ง
ให้คิดในอัตราร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่งต่อปี
การให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินตามวรรคหนึ่ง
อาจทำโดยวิธีการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินผู้กู้เป็นผู้ออกก็ได้
มิให้นำบทบัญญัติมาตรา
๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช
๒๔๘๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.
๒๕๕๑ มาใช้บังคับแก่การให้กู้ยืมเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๗
ให้สถาบันการเงินยื่นคำขอกู้ยืมเงินต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ภายในหกเดือนนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือต่อไปและยังมีวงเงินเหลืออยู่
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปอีกคราวละไม่เกินหกเดือนก็ได้แต่ไม่เกินสองคราว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ในการให้กู้ยืมเงินตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้สถาบันการเงินผู้กู้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ต้องไม่มีลักษณะเป็นการสร้างภาระโดยไม่จำเป็นในการยื่นคำขอ หรือกำหนดให้ผู้เกี่ยวข้องต้องขออนุญาตใด
ๆ
มาตรา ๘
เงินที่สถาบันการเงินได้รับตามมาตรา ๗ ต้องนำไปใช้ให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
มาตรา ๙
การให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจตามมาตรา ๘ สถาบันการเงินต้องดำเนินการตามเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
(๑)
วงเงินที่ให้กู้ยืมต้องเป็นการให้สินเชื่อเพิ่มเติมจากยอดหนี้เดิมไม่เกินร้อยละยี่สิบของยอดหนี้คงค้าง
ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
แต่ไม่รวมถึงยอดหนี้คงค้างของวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
วงเงินสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ
และวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิต ทั้งนี้
วงเงินที่ให้กู้ยืมดังกล่าวต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินสินเชื่อที่มีอยู่เดิม
(๒) คิดอัตราดอกเบี้ยในส่วนสินเชื่อเพิ่มเติมตาม (๑)
สำหรับระยะเวลาสองปีแรกในอัตราไม่เกินร้อยละสองต่อปี
โดยไม่เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้เป็นระยะเวลาหกเดือนแรกนับแต่วันที่ผู้ประกอบวิสาหกิจได้รับสินเชื่อเพิ่มเติม
ดอกเบี้ยที่ไม่เรียกเก็บตาม
(๒) ให้สถาบันการเงินได้รับการชดเชยพร้อมกับกำหนดการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายตามมาตรา
๑๑ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ในการให้กู้ยืมเงินตามวรรคหนึ่ง
ให้สถาบันการเงินได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุด
และการจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ อันเนื่องมาจากการให้กู้ยืมเงินตามมาตรการในพระราชกำหนดนี้
มาตรา
๑๐ ให้สถาบันการเงินชำระคืนเงินที่ได้กู้ยืมตามพระราชกำหนดนี้พร้อมดอกเบี้ยแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับเงินกู้
มาตรา ๑๑
ในกรณีที่สถาบันการเงินได้รับความเสียหายจากการให้กู้ยืมเงินตามมาตรา ๙
ให้สถาบันการเงินที่ได้รับความเสียหายได้รับชดเชยความเสียหายตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า
(๑)
ร้อยละเจ็ดสิบของจำนวนเงินที่สถาบันการเงินต้องกันสำรองเพิ่มเติมจากยอดหนี้รวมของลูกหนี้คูณด้วยอัตราส่วนของยอดหนี้ใหม่ตามพระราชกำหนดนี้กับยอดหนี้รวม
สำหรับผู้ประกอบวิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกินห้าสิบล้านบาท
ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
(๒)
ร้อยละหกสิบของจำนวนเงินที่สถาบันการเงินต้องกันสำรองเพิ่มเติมจากยอดหนี้รวมของลูกหนี้คูณด้วยอัตราส่วนของยอดหนี้ใหม่ตามพระราชกำหนดนี้กับยอดหนี้รวม
สำหรับผู้ประกอบวิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อเกินห้าสิบล้านบาทขึ้นไป
ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
วิธีการคำนวณความเสียหายและความเสียหายที่พึงได้รับการชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
เมื่อครบสองปีหกเดือนนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการคำนวณเงินชดเชยตามมาตรา
๙ วรรคสองและมาตรานี้ แล้วเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อดำเนินการต่อไป
มาตรา
๑๒
ให้มีคณะกรรมการกำกับการจ่ายเงินชดเชย ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่งซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมาย
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เป็นกรรมการ และให้พนักงานที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมาย เป็นเลขานุการ
ให้คณะกรรมการสิ้นสุดลง
เมื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการเสร็จสิ้นแล้ว
มาตรา
๑๓ ให้คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ
ดังต่อไปนี้
(๑)
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินชดเชยให้แก่สถาบันการเงินตามมาตรา ๙
วรรคสอง และมาตรา ๑๑
(๒) ตรวจสอบการคำนวณเงินชดเชยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา
๙ วรรคสอง และมาตรา ๑๑
(๓)
แจ้งให้กระทรวงการคลังทราบถึงจำนวนเงินชดเชยและสถาบันการเงินที่ได้รับเงินชดเชย
สถาบันการเงินใดมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเสียหาย
จำนวนความเสียหาย หรือค่าชดเชยให้เสนอข้อโต้แย้งนั้นต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการได้รับเงินชดเชย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
มาตรา
๑๔ เมื่อได้รับแจ้งตามมาตรา ๑๓ (๓)
แล้วให้กระทรวงการคลังเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
และเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเป็นประการใด ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการไปตามนั้น
ในกรณีที่ต้องมีการจ่ายเงินชดเชย
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจ่ายให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อมิให้เป็นภาระแก่สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องเกินสมควร
หมวด ๒
การชะลอการชำระหนี้
มาตรา
๑๕
เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบอันเกิดจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้สถาบันการเงินชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบวิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทหรือลูกหนี้อื่นได้
การชะลอการชำระหนี้ตามวรรคหนึ่ง
มิให้ถือว่าเจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้หรือลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชะลอการชำระหนี้
ระยะเวลาการชะลอการชำระหนี้และวิธีการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ชะลอไว้
ให้เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง
และมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ
โดยการให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่องรวมถึงการชะลอการชำระหนี้เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบวิสาหกิจที่คาดว่าจะลดลงอย่างรุนแรงจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ซึ่งมาตรการดังกล่าวต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน
เพื่อป้องกันมิให้ภาคธุรกิจเกิดสภาวะการขาดสภาพคล่องหรือผิดนัดชำระหนี้และอาจส่งผลกับฐานะทางการเงินและการทำหน้าที่ด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน
อันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจของประเทศซึ่งจะทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงและยากต่อการแก้ไขในภายหลัง
จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
พัชรภรณ์/จัดทำ
๒๐ เมษายน ๒๕๖๓
ภาณุรุจ/ตรวจ
๒๐ เมษายน ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๓๐ ก/หน้า ๖/๑๙ เมษายน ๒๕๖๓ |
860419 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกส1. 3/2563 เรื่อง การชะลอการชำระหนี้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกส๑. ๓/๒๕๖๓
เรื่อง
การชะลอการชำระหนี้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019[๑]
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
สืบเนื่องจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ได้ขยายวงกว้าง
ยืดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประกอบกับผลกระทบจากมาตรการที่รัฐกำหนดให้ประชาชนต้องปฏิบัติอันเป็นการระงับ
ยับยั้ง หรือแก้ปัญหาอันเกิดจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ
โดยเฉพาะผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน โดยจำเป็นต้องมีมาตรการครอบคลุมทั้งการลดภาระหนี้
การเสริมสภาพคล่อง การส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตลอดจนการชะลอการชำระหนี้ของธุรกิจให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ที่คาดว่าจะลดลงอย่างรุนแรงจากผลการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 จึงได้มีการตราพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อป้องกันมิให้เกิดสภาวะการขาดสภาพคล่องของภาคธุรกิจและการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจในวงกว้าง
โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้สถาบันการเงินชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบวิสาหกิจ
เพื่อให้ผู้ประกอบวิสาหกิจไม่ต้องมีภาระในการชำระหนี้แก่สถาบันการเงินในช่วงเวลาหนึ่ง
โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการดำเนินงานของสถาบันการเงินด้วย จึงจำเป็นต้องออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการชะลอหนี้เพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๕ แห่งพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ. ๒๕๖๓
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับสถาบันการเงินตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ. ๒๕๖๓
๔.
เนื้อหา
๔.๑
คำจำกัดความ
ในประกาศนี้
พระราชกำหนด
หมายความว่า พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ. ๒๕๖๓
ผู้ประกอบวิสาหกิจ
หมายความว่า ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งเป็นวิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน
กลุ่มธุรกิจ
หมายความว่า บุคคลหลายคนที่ฐานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนเสมือนว่าการให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นการให้สินเชื่อแก่บุคคลเดียวกันเป็นสำคัญ
เช่น บริษัทแม่ บริษัทลูก บริษัทร่วม ผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้น
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ (Single Lending Limit)
สถาบันการเงิน
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
และสถาบันการเงินเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินซึ่งประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ
๔.๒
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชะลอการชำระหนี้
๔.๒.๑
ให้สถาบันการเงินชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบวิสาหกิจเป็นระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันถัดจากวันที่ลงในประกาศนี้
โดยไม่ต้องมีข้อตกลงหรือทำสัญญาใด ๆ กับผู้ประกอบวิสาหกิจ ทั้งนี้ สถาบันการเงินยังคงคิดดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาที่ชะลอการชำระหนี้ก็ได้
การชะลอการชำระหนี้ตามวรรคหนึ่ง
ไม่กระทบสิทธิของสถาบันการเงินในการใช้สิทธิเรียกร้องในทางคดีกับผู้ประกอบวิสาหกิจรายที่เลิกกิจการ
หรือรายที่มีพฤติการณ์ทุจริตเพื่อให้ได้เงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
๔.๒.๒
ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับการชะลอการชำระหนี้ตามข้อ ๔.๒.๑ ต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งมีสถานประกอบการและประกอบธุรกิจในประเทศไทย
(๒)
มีวงเงินสินเชื่อรวมทั้งกลุ่มธุรกิจของผู้ประกอบวิสาหกิจที่มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน
๑๐๐ ล้านบาท ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ แต่ไม่รวมถึงวงเงินตามภาระผูกพัน
วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ วงเงินสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ
และวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิต
(๓)
ไม่เป็นลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ สินทรัพย์จัดชั้นสูญ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรอง
ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
๔.๒.๓
หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้รับการชะลอการชำระหนี้ ได้แก่ หนี้ที่มียอดหนี้คงค้างกับสถาบันการเงินในวันที่พระราชกำหนดมีผลใช้บังคับ
๔.๒.๔
การชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามข้อ ๔.๒.๑ มิให้ถือว่าเจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้
หรือลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ดังที่บัญญัติตามพระราชกำหนด จึงไม่ถือเป็นเหตุแห่งการผิดเงื่อนไขการชำระหนี้ตามสัญญา
และไม่ถือเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่จะต้องรายงานวันที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ
๔.๒.๕
สถาบันการเงินต้องรับชำระหนี้จากผู้ประกอบวิสาหกิจรายที่ประสงค์จะชำระหนี้ในช่วงเวลาการชะลอการชำระหนี้ตามข้อ
๔.๒.๑ โดยจัดให้มีช่องทางตามสมควรเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบวิสาหกิจสามารถชำระหนี้ได้
๔.๒.๖ สถาบันการเงินต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับการชะลอการชำระหนี้
ตามข้อ ๔.๒.๑ แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจอย่างครบถ้วนเพียงพอโดยเร็วที่สุด
โดยอย่างน้อยต้องมีข้อมูล ดังต่อไปนี้
(๑)
สิทธิที่จะได้รับการชะลอการชำระหนี้
(๒)
แนวทางการชะลอการชำระหนี้
(๓)
ภาระหน้าที่ในการชำระหนี้
(๔)
แนวทางการสละสิทธิที่จะได้รับการชะลอการชำระหนี้
(๕)
การคิดดอกเบี้ยบนเงินต้นที่ได้รับการชะลอการชำระหนี้ หากสถาบันการเงินยังคงคิดดอกเบี้ยบนยอดหนี้คงค้างอย่างต่อเนื่อง
(๖)
วิธีการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่คิดคำนวณในช่วงชะลอการชำระหนี้ซึ่งอาจต้องชำระภายหลังจากที่พ้นระยะเวลาการชะลอการชำระหนี้ตามประกาศนี้
สถาบันการเงินอาจให้ข้อมูลแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจตามวรรคหนึ่งด้วยวิธีการแจ้งให้ผู้ประกอบวิสาหกิจรับทราบโดยตรง
หรืออาจเผยแพร่ในเว็บไซต์ของสถาบันการเงิน หรือช่องทางอื่น
๔.๓
วิธีการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ชะลอไว้
ในการเรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่คิดคำนวณในช่วงชะลอการชำระหนี้ตามข้อ
๔.๒.๑ ให้สถาบันการเงินใช้วิธีที่จะไม่สร้างภาระกับผู้ประกอบวิสาหกิจมากจนเกินไป
โดยไม่ให้เรียกเก็บเป็นเงินก้อนในครั้งเดียวเมื่อสิ้นระยะเวลาชะลอการชำระหนี้ ทั้งนี้ สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยดังกล่าวภายหลังจากที่พ้นระยะเวลาการชะลอการชำระหนี้ตามข้อ
๔.๒.๑ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลายวิธีการรวมกันตามที่ได้ตกลงกับลูกหนี้
ได้แก่ การเฉลี่ยเงินต้นและดอกเบี้ยไปเรียกเก็บตามงวดชำระหนี้ที่เหลือของสัญญา
หรือเฉลี่ยในงวดท้าย ๆ ของสัญญา หรือเรียกเก็บทั้งหมดในงวดสุดท้ายของสัญญา
หรือขยายระยะเวลาการชำระหนี้ตามสัญญาออกไป โดยขอให้สถาบันการเงินคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบวิสาหกิจ
รวมทั้งระยะเวลาชำระหนี้ที่เหลืออยู่ของสัญญาสินเชื่อเป็นสำคัญ
๕.
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓
วิรไท สันติประภพ
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
พัชรภรณ์/จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๖๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๙๔ ง/หน้า ๑๘/๒๓ เมษายน ๒๕๖๓ |
860328 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกส1. 5/2563 เรื่อง การชะลอการชำระหนี้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ฉบับที่ 2) | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกส๑. ๕/๒๕๖๓
เรื่อง การชะลอการชำระหนี้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ฉบับที่ ๒)[๑]
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการชะลอการชำระหนี้ ระยะเวลาการชะลอการชำระหนี้ และวิธีการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ชะลอไว้
เพื่อให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อป้องกันมิให้เกิดสภาวะการขาดสภาพคล่องของภาคธุรกิจและการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจในวงกว้าง
โดยให้ผู้ประกอบวิสาหกิจไม่ต้องมีภาระในการชำระหนี้แก่สถาบันการเงินในช่วงเวลาหนึ่งและไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการดำเนินงานของสถาบันการเงินด้วย
อย่างไรก็ดี
ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการชะลอการชำระหนี้เพิ่มเติม
โดยกำหนดให้การชะลอการชำระหนี้ตามมาตรการข้างต้นสอดคล้องกับประเพณีปฏิบัติในการให้สินเชื่อบางประเภทของสถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น
และกำหนดเพิ่มเติมให้การชะลอการชำระหนี้ดังกล่าวไม่รวมถึงกรณีที่ผู้ประกอบวิสาหกิจเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๕ แห่งพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับสถาบันการเงินตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
๔.
เนื้อหา
๔.๑
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔.๒.๑
ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกส๑. ๓/๒๕๖๓ เรื่อง การชะลอการชำระหนี้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
๔.๒.๑ ให้สถาบันการเงินชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบวิสาหกิจเป็นระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันถัดจากวันที่ลงในประกาศนี้
โดยไม่ต้องมีข้อตกลงหรือทำสัญญาใด ๆ กับผู้ประกอบวิสาหกิจ ทั้งนี้
สถาบันการเงินยังคงคิดดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาที่ชะลอการชำระหนี้ก็ได้
การชะลอการชำระหนี้ตามวรรคหนึ่ง
ไม่กระทบสิทธิของสถาบันการเงินในการใช้สิทธิเรียกร้องในทางคดีกับผู้ประกอบวิสาหกิจรายที่เลิกกิจการ
หรือรายที่มีพฤติการณ์ทุจริตเพื่อให้ได้เงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
และไม่กระทบการใช้สิทธิของสถาบันการเงินในการนำเงินที่ผู้ซื้อสินค้าหรือลูกหนี้ทางการค้าชำระค่าสินค้าผ่านสถาบันการเงินไปหักชำระหนี้ที่มีอยู่ที่สถาบันการเงินตามข้อสัญญาของสินเชื่อหมุนเวียน
อันได้แก่ สินเชื่อเพื่อการส่งออก (Packing Credit) สินเชื่อแก่ผู้จัดจำหน่ายรถ (Floor Plan) สินเชื่อจากธุรกรรมแฟ็กตอริ่ง
หรือสินเชื่อที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีเงื่อนไขในสัญญาให้สิทธิแก่สถาบันการเงินในลักษณะเดียวกับสินเชื่อดังกล่าว
๔.๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔) ของข้อ ๔.๒.๒
ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่
สกส๑. ๓/๒๕๖๓ เรื่อง
การชะลอการชำระหนี้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๓
(๔)
ไม่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓
วิรไท สันติประภพ
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ชญานิศ/จัดทำ
๑๐ มิถุนายน
๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๑๐ มิถุนายน
๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๑๓๔ ง/หน้า ๓๗/๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ |
301886 | พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.
๒๕๑๖
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่
๒๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน
จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ได้โดยฉับพลันไม่จำต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช ๒๕๑๕
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(๑) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง
การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
(๒)
การผลิตหรือการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น
(๓) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น หรือการดำเนินกิจการที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น
(ก) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขการดำเนินกิจการโรงงาน
(ข)
กำหนดวันเวลาในการเปิดและปิดและเงื่อนไขในการดำเนินกิจการของโรงมหรสพ โรงภาพยนตร์
สถานบริการ ภัตตาคาร หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ
(ค) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะ
ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะที่ใช้ในกิจการสาธารณะหรือยานพาหนะส่วนบุคคล
(ง) การใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร
ในการโฆษณาและในสถานที่อื่นๆ
(๔) การปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง
ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือคณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นปฏิบัติการแทนได้
โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
คำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งได้สั่งการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลทั่วไป
และคำสั่งมอบหมายของนายกรัฐมนตรีตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๓ แล้ว
ให้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
และเมื่อได้มีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชกำหนดนี้
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
มาตรา ๕
ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๖
ให้บุคคลและกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๓ วรรคสอง
และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๕
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ให้บุคคลตามมาตรา ๖ มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ
หรือสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารใด ๆ ได้
มาตรา ๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีซึ่งสั่งตามมาตรา ๓
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่สั่งตามมาตรา
๗
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐[๒] (ยกเลิก)
มาตรา ๑๑ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา
ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน
จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้โดยฉับพลัน
ไม่จำต้องให้กระทรวงทบวง กรมต่างๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗[๓]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
มีกำหนดระยะเวลาให้ใช้บังคับได้เพียงหนึ่งปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม
๒๕๑๗ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘[๔]
มาตรา ๒
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
มีกำหนดเวลาใช้บังคับได้เพียงสองปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘
แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกหนึ่งปี
แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมของรัฐสภา
และเรื่องนี้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙[๕]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่กำหนดเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายโดยพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ จะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๙
แต่เนื่องจากขณะนี้ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในราชอาณาจักรยังคงมีอยู่ สมควรขยายเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่ง
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๐[๖]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
กำหนดเวลาการใช้บังคับไว้เพียงหนึ่งปี ซึ่งต่อมาได้มีการขยายเวลาการใช้บังคับรวม ๓
ครั้ง ๆ ละหนึ่งปี บัดนี้กำหนดเวลาการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐
แต่โดยที่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีอยู่และมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายนี้ต่อไปอีกโดยไม่อาจกำหนดระยะเวลาไว้ได้
ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้บังคับกฎหมายนี้ได้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่นเดียวกับกฎหมายอื่นทั่ว
ๆ ไป สมควรยกเลิกมาตรา ๑๐ แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B
(C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๗๖/ฉบับพิเศษ/หน้า ๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๖
[๒]
มาตรา ๑๐ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๐
[๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๒๒๑/หน้า ๕๒๗/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๗
[๔]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๒/ตอนที่ ๒๖๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
[๕]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๑๕๖/ฉบับพิเศษ หน้า ๔๙/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๙
[๖]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๔/ตอนที่ ๑๓๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๖ ธันวาคม ๒๕๒๐ |
301885 | พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2520 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกัน
ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ.
๒๕๒๐
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐
เป็นปีที่
๓๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๐
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกมาตรา ๑๐ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
กำหนดเวลาการใช้บังคับไว้เพียงหนึ่งปี ซึ่งต่อมาได้มีการขยายเวลาการใช้บังคับรวม ๓
ครั้ง ๆ ละหนึ่งปี บัดนี้กำหนดเวลาการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐
แต่โดยที่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีอยู่และมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายนี้ต่อไปอีกโดยไม่อาจกำหนดระยะเวลาไว้ได้
ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้บังคับกฎหมายนี้ได้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่นเดียวกับกฎหมายอื่นทั่ว
ๆ ไป สมควรยกเลิกมาตรา ๑๐ แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๔/ตอนที่ ๑๓๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๖ ธันวาคม ๒๕๒๐ |
318185 | พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 (Update ณ วันที่ 24/12/2519) | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.
๒๕๑๖
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่
๒๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน
จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ได้โดยฉับพลันไม่จำต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช ๒๕๑๕
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(๑) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง
การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
(๒)
การผลิตหรือการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น
(๓) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น หรือการดำเนินกิจการที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น
(ก) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขการดำเนินกิจการโรงงาน
(ข)
กำหนดวันเวลาในการเปิดและปิดและเงื่อนไขในการดำเนินกิจการของโรงมหรสพ โรงภาพยนตร์
สถานบริการ ภัตตาคาร หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ
(ค) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะ
ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะที่ใช้ในกิจการสาธารณะหรือยานพาหนะส่วนบุคคล
(ง) การใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร
ในการโฆษณาและในสถานที่อื่นๆ
(๔) การปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง
ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือคณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นปฏิบัติการแทนได้
โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
คำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งได้สั่งการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลทั่วไป
และคำสั่งมอบหมายของนายกรัฐมนตรีตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๓ แล้ว
ให้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
และเมื่อได้มีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชกำหนดนี้
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
มาตรา ๕
ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๖
ให้บุคคลและกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๓ วรรคสอง
และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๕
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ให้บุคคลตามมาตรา ๖ มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ
หรือสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารใด ๆ ได้
มาตรา ๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีซึ่งสั่งตามมาตรา ๓
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่สั่งตามมาตรา
๗
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐[๒] พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดสี่ปี
มาตรา ๑๑ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา
ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้โดยฉับพลัน
ไม่จำต้องให้กระทรวงทบวง กรมต่างๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗[๓]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดระยะเวลาให้ใช้บังคับได้เพียงหนึ่งปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖
ธันวาคม ๒๕๑๗ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘[๔]
มาตรา ๒
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดเวลาใช้บังคับได้เพียงสองปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม
๒๕๑๘ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกหนึ่งปี
แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมของรัฐสภา
และเรื่องนี้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙[๕]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่กำหนดเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายโดยพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ จะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๙
แต่เนื่องจากขณะนี้ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในราชอาณาจักรยังคงมีอยู่ สมควรขยายเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่ง
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B
(C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๗๖/ฉบับพิเศษ/หน้า ๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๖
[๒]
มาตรา ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙
[๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๒๒๑/หน้า ๕๒๗/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๗
[๔]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๒/ตอนที่ ๒๖๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
[๕]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๑๕๖/ฉบับพิเศษ หน้า ๔๙/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ |
301884 | พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2519 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกัน
ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.
๒๕๑๙
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
เป็นปีที่
๓๑ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๐
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดสี่ปี
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ธานินทร์
กรัยวิเชียร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่กำหนดเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายโดยพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ จะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๙
แต่เนื่องจากขณะนี้ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในราชอาณาจักรยังคงมีอยู่
สมควรขยายเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่ง
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๗
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๑๕๖/ฉบับพิเศษ หน้า ๔๙/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ |
300350 | พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 (Update ณ วันที่ 23/12/2518) | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.
๒๕๑๖
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่
๒๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน
จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ได้โดยฉับพลันไม่จำต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช ๒๕๑๕
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(๑) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง
การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
(๒)
การผลิตหรือการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น
(๓) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น หรือการดำเนินกิจการที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น
(ก) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขการดำเนินกิจการโรงงาน
(ข)
กำหนดวันเวลาในการเปิดและปิดและเงื่อนไขในการดำเนินกิจการของโรงมหรสพ โรงภาพยนตร์
สถานบริการ ภัตตาคาร หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ
(ค) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะ
ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะที่ใช้ในกิจการสาธารณะหรือยานพาหนะส่วนบุคคล
(ง) การใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร
ในการโฆษณาและในสถานที่อื่นๆ
(๔) การปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง
ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือคณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นปฏิบัติการแทนได้
โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
คำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งได้สั่งการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลทั่วไป
และคำสั่งมอบหมายของนายกรัฐมนตรีตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๓ แล้ว
ให้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
และเมื่อได้มีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชกำหนดนี้
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
มาตรา ๕
ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๖
ให้บุคคลและกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๓ วรรคสอง
และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๕
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ให้บุคคลตามมาตรา ๖ มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ
หรือสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารใด ๆ ได้
มาตรา ๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีซึ่งสั่งตามมาตรา ๓
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่สั่งตามมาตรา
๗
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐[๒] พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดสามปี
มาตรา ๑๑ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา
ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้โดยฉับพลัน
ไม่จำต้องให้กระทรวงทบวง กรมต่างๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗[๓]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดระยะเวลาให้ใช้บังคับได้เพียงหนึ่งปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖
ธันวาคม ๒๕๑๗ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘[๔]
มาตรา ๒
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
มีกำหนดเวลาใช้บังคับได้เพียงสองปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘
แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกหนึ่งปี
แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมของรัฐสภา
และเรื่องนี้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B
(C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๗๖/ฉบับพิเศษ/หน้า ๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๖
[๒]
มาตรา ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘
[๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๒๒๑/หน้า ๕๒๗/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๗
[๔]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๒/ตอนที่ ๒๖๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ |
301883 | พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2518 | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.
๒๕๑๘
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
เป็นปีที่
๓๐ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๙๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๒[๑] พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๐
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดสามปี
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์
ปราโมช
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
มีกำหนดเวลาใช้บังคับได้เพียงสองปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘
แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกหนึ่งปี
แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมของรัฐสภา
และเรื่องนี้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๗
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๒/ตอนที่ ๒๖๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ |
318184 | พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 (Update ณ วันที่ 24/12/2517) | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.
๒๕๑๖
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่
๒๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน
จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ได้โดยฉับพลันไม่จำต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช ๒๕๑๕
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(๑) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง
การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
(๒)
การผลิตหรือการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น
(๓) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น หรือการดำเนินกิจการที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น
(ก) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขการดำเนินกิจการโรงงาน
(ข)
กำหนดวันเวลาในการเปิดและปิดและเงื่อนไขในการดำเนินกิจการของโรงมหรสพ โรงภาพยนตร์
สถานบริการ ภัตตาคาร หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ
(ค) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะ
ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะที่ใช้ในกิจการสาธารณะหรือยานพาหนะส่วนบุคคล
(ง) การใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร
ในการโฆษณาและในสถานที่อื่นๆ
(๔) การปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง
ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือคณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นปฏิบัติการแทนได้
โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
คำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งได้สั่งการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลทั่วไป
และคำสั่งมอบหมายของนายกรัฐมนตรีตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๓ แล้ว
ให้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
และเมื่อได้มีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชกำหนดนี้
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
มาตรา ๕
ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๖
ให้บุคคลและกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๓ วรรคสอง
และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๕
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗
ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ให้บุคคลตามมาตรา ๖ มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ
หรือสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารใด ๆ ได้
มาตรา ๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีซึ่งสั่งตามมาตรา ๓
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่สั่งตามมาตรา ๗
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐[๒] พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดสองปี
มาตรา ๑๑
ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา
ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้โดยฉับพลัน
ไม่จำต้องให้กระทรวงทบวง กรมต่างๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗[๓]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดระยะเวลาให้ใช้บังคับได้เพียงหนึ่งปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖
ธันวาคม ๒๕๑๗ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B
(C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๗๖/ฉบับพิเศษ/หน้า ๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๖
[๒]
มาตรา ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗
[๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๒๒๑/หน้า ๕๒๗/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๗ |
301882 | พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 พ.ศ.2517 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกัน
ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
พ.ศ.
๒๕๑๗
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗
เป็นปีที่
๒๙ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๐ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดสองปี
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา
ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดระยะเวลาให้ใช้บังคับได้เพียงหนึ่งปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖
ธันวาคม ๒๕๑๗ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง
สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๒๒๑/หน้า ๕๒๗/๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๗ |
301881 | พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.
๒๕๑๖
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่
๒๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน
จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ได้โดยฉับพลันไม่จำต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช ๒๕๑๕
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(๑) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง
การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
(๒)
การผลิตหรือการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น
(๓) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น หรือการดำเนินกิจการที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น
(ก) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขการดำเนินกิจการโรงงาน
(ข)
กำหนดวันเวลาในการเปิดและปิดและเงื่อนไขในการดำเนินกิจการของโรงมหรสพ โรงภาพยนตร์
สถานบริการ ภัตตาคาร หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ
(ค) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะ
ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะที่ใช้ในกิจการสาธารณะหรือยานพาหนะส่วนบุคคล
(ง) การใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร
ในการโฆษณาและในสถานที่อื่นๆ
(๔) การปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง
ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือคณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นปฏิบัติการแทนได้
โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
คำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งได้สั่งการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลทั่วไป
และคำสั่งมอบหมายของนายกรัฐมนตรีตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๓ แล้ว
ให้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
และเมื่อได้มีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชกำหนดนี้
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
มาตรา ๕
ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๖
ให้บุคคลและกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๓ วรรคสอง
และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๕
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗
ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ให้บุคคลตามมาตรา ๖ มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ
หรือสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารใด ๆ ได้
มาตรา ๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีซึ่งสั่งตามมาตรา ๓
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่สั่งตามมาตรา ๗
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดหนึ่งปี
มาตรา ๑๑
ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา
ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ
และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้โดยฉับพลัน
ไม่จำต้องให้กระทรวงทบวง กรมต่างๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พรพิมล/แก้ไข
๑๑
ก.ย ๒๕๔๔
A+B
(C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๓
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๗๖/ฉบับพิเศษ/หน้า ๑/๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๖ |
604652 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ล่าสุด) | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๕๑
กำหนดให้มีการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ
เพื่อคำนวณเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีที่มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิต
โดยกรมธุรกิจพลังงานมีหน้าที่แจ้งจำนวนเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
ดังนั้น เพื่อให้การคำนวณเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างถูกต้อง
ครบถ้วน อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ข้อ ๗
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจึงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของผู้ค้าน้ำมันประกอบด้วย
น้ำมันคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมัน น้ำมันคงเหลือสุทธิในสถานีบริการน้ำมันที่ผู้ค้าดำเนินการเอง
และน้ำมันที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
ข้อ ๔
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมันให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้ในถังของแต่ละคลังน้ำมัน
ณ อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์ หักด้วย
ปริมาณสำรองตามกฎหมาย ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รอการส่งออก
และปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีไว้ใช้ในกิจการของตนเอง
ข้อ ๕
ปริมาณสำรองตามกฎหมายตามข้อ ๔ ให้คำนวณดังนี้
(๑)
ให้แบ่งปริมาณสำรองตามกฎหมายของน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันเบนซินพื้นฐาน ชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ออกเป็นสองส่วนตามสัดส่วนของน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลือกับน้ำมันพื้นฐานคงเหลือ
(๒)[๒]
ให้นับปริมาณน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ เป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหลังจากหักปริมาณสำรองตามกฎหมายที่คำนวณตาม
(๑) ออกแล้ว
(๓)[๓]
ปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายที่ใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อจ่ายเงินชดเชยในการปรับลดภาษีสรรพสามิต
จะนำไปใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อนำส่งเงินเข้ากองทุน เมื่อมีการประกาศราคาขายปลีกใหม่ในปริมาณเดียวกัน
ข้อ ๖
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของสถานีบริการน้ำมัน
ให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้
ณ อุณหภูมิขณะตรวจวัด บวกด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
หักด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ข้อ ๗
น้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง ตามข้อ ๓ และข้อ ๖ ได้แก่
(๑)
น้ำมันเชื้อเพลิงในเรือบรรทุกน้ำมันที่รอ
หรืออยู่ระหว่างสูบถ่ายขึ้นเก็บในคลังน้ำมันใดก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัดและสูบถ่ายแล้วเสร็จภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่งหรือใบขนสินค้าขาเข้ากรณีนำเข้ามาในราชอาณาจักร
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันนั้น
(๒)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันทางท่อ รถขนส่ง รถไฟ หรือ เรือบรรทุกน้ำมันก่อนเวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัด
และถึงหรือส่งมอบให้คลังน้ำมันปลายทางภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันปลายทาง
(๓)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัดโดยยานพาหนะขนส่งเพื่อส่งให้สถานีบริการน้ำมัน
และถึงหรือส่งมอบให้สถานีบริการน้ำมันภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือของสถานีบริการนั้น
(๔)
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตาม (๑) (๒) (๓)
ให้ใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าว
ยกเว้นกรณีขนส่งโดยเรือบรรทุกน้ำมัน ให้ใช้ปริมาณที่สูบถ่ายขึ้นถังแล้ว ณ
อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการน้ำมันมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างการขนส่ง
ให้จัดส่งเอกสารใบกำกับการขนส่งไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เมตตา บันเทิงสุข
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๒[๔]
ข้อ
๒
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๒[๕]
ขอ
๒ ประกาศนี้ใหใชบังคับตั้งแตวันที่
๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เปนตนไป
ขอ ๓ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของผูคาน้ำมันประกอบดวย น้ำมันคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมัน น้ำมันคงเหลือสุทธิในสถานีบริการน้ำมันที่ผูคาดําเนินการเอง และน้ำมันที่อยูระหวางการขนสง
ข้อ
๔ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมันให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้ในถังของแต่ละคลังน้ำมัน
ณ อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
หักด้วยปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมาย ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รอการส่งออก
และปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีไว้ใช้ในกิจการของตนเอง
ข้อ
๕ ปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายตาม ข้อ
๔ ให้คำนวณดังนี้
(๑)
ให้แบ่งปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ออกเป็นสองส่วนตามสัดส่วนของน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลือกับน้ำมันพื้นฐานคงเหลือ
(๒)
ให้นับปริมาณน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕
เป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหลังจากหักปริมาณสำรองตามกฎหมายที่คำนวณตาม
(๑) ออกแล้ว แต่สำหรับน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ให้นับเป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิทั้งจำนวน
ข้อ
๖
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของสถานีบริการน้ำมัน
ให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้
ณ อุณหภูมิขณะตรวจวัด บวกด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
หักด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ข้อ
๗
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง ตามข้อ ๓ และข้อ ๖ ได้แก่
(๑)
น้ำมันเชื้อเพลิงในเรือบรรทุกน้ำมันที่รอ
หรืออยู่ระหว่างสูบถ่ายขึ้นเก็บในคลังน้ำมันใดก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจ
และสูบถ่ายแล้วเสร็จภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่งหรือใบขนสินค้าขาเข้ากรณีนำเข้ามาในราชอาณาจักร
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมัน
(๒)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันทางท่อ รถขนส่ง รถไฟ หรือเรือบรรทุกน้ำมัน
ก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัด
และถึงหรือส่งมอบให้คลังน้ำมันปลายทางภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันปลายทาง
(๓)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัดโดยยานพาหนะขนส่งเพื่อส่งให้สถานีบริการน้ำมัน
และถึงหรือส่งมอบให้สถานีบริการน้ำมันภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือของสถานีบริการนั้น
(๔)
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตาม (๑) (๒) (๓)
ให้ใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าว ยกเว้นกรณีขนส่งโดยเรือบรรทุกน้ำมัน
ให้ใช้ปริมาณที่สูบถ่ายขึ้นถึงแล้ว ณ อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖
องศาฟาเรนไฮต์
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการน้ำมันมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างการขนส่ง
ให้จัดส่งเอกสารใบกำกับการขนส่งไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานภายในเจ็ดวันทำการ นับแต่วันที่มีการตรวจวัด
อุรารักษ์/จัดทำ
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๒
อภิญญา/ปรับปรุง
๕ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๐ ง/หน้า ๗๒/๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
[๒] ข้อ ๕ (๒)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒
[๓] ข้อ ๕ (๓)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๔ ง/หน้า ๒๗/๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
[๕] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๑๙ ง/หน้า ๕๘/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ |
809318 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดแบบและรายการข้อมูลปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ใช้ไป และที่จำหน่ายในแต่ละเดือน พ.ศ. 2561 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
กำหนดแบบและรายการข้อมูลปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
ที่ใช้ไป
และที่จำหน่ายในแต่ละเดือน
พ.ศ. ๒๕๖๑
เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๒๒/๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง กำหนดแบบและรายการข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือน พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่
๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ
๓ ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ แจ้งปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) ที่ใช้ไป และที่จำหน่ายในแต่ละเดือน ตามแบบและรายการที่กำหนดไว้ท้ายประกาศนี้
ดังนี้
(๑) แบบแจ้งปริมาณที่ใช้ไป (โอน) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) ให้โรงบรรจุก๊าซ ให้ใช้ แบบ ธพ.ธ ๒๑๘ (๑)
(๒) แบบแจ้งปริมาณการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้สถานีบริการ ให้ใช้ แบบ ธพ.ธ ๒๑๘ (๒)
(๓) แบบแจ้งปริมาณการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) ให้โรงงานอุตสาหกรรม ให้ใช้ แบบ ธพ.ธ ๒๑๘ (๓)
ข้อ
๔ การส่งแบบและรายการข้อมูลตามข้อ ๓
ให้ส่งจำนวน ๑ ชุด
ไปยังกรมธุรกิจพลังงานโดยยื่นด้วยตนเองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
หรือส่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ในกรณีส่งแบบและรายการข้อมูลทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
ให้ถือวันประทับตราไปรษณีย์ต้นทางเป็นวันที่ยื่นรายงานข้อมูลต่อกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑
วิฑูรย์
กุลเจริญวิรัตน์
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบแจ้งปริมาณที่ใช้ไป (โอน) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้
โรงบรรจุก๊าซ (แบบ ธพ.ธ ๒๑๘(๑))
๒.
แบบแจ้งปริมาณการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้ สถานีบริการ (แบบ
ธพ.ธ ๒๑๘(๒))
๓. แบบแจ้งปริมาณการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้ โรงงานอุตสาหกรรม (แบบ ธพ.ธ ๒๑๘(๓))
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
พิมพ์มาดา/จัดทำ
๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๘๓ ง/หน้า ๔๕/๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ |
681818 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 พ.ศ. 2556 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติงานตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
ประกอบกับข้อ ๒๗/๑ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗ พ.ศ. ๒๕๕๖
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ข้อ ๔ แต่งตั้งให้ข้าราชการดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามข้อ ๒๗/๑ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
(๑) ข้าราชการพลเรือนสามัญประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงานขึ้นไป
และประเภทวิชาการตั้งแต่ระดับปฏิบัติการขึ้นไป ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
กรมธุรกิจพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ
(๒) ข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรที่มียศร้อยตำรวจตรีขึ้นไป
ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ข้อ ๕ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ ๔
มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามความในข้อ ๒๗/๑
แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับเดียวกัน ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด
และในการปฏิบัติการตามหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกให้ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๖ บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบแนบท้ายประกาศนี้
อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่กรณี
ข้อ ๗ รูปถ่ายที่ติดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้ใช้รูปถ่ายที่ถ่ายไม่เกินหกเดือนก่อนวันยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ขนาด ๒.๕ เซนติเมตร คูณ ๓ เซนติเมตร หน้าตรงไม่สวมหมวก
ข้อ ๘ บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอายุตามที่กำหนดไว้ในบัตรแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ออกบัตร
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๙ บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗ ที่ได้ออกก่อนประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
ให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าบัตรจะหมดอายุ
ข้อ ๑๐ ผู้ที่ได้ยื่นคำขอทำบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนที่ประกาศฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับแต่คำขอทำบัตรยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
หากต้องมีการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามข้อ ๕
ให้แสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีรูปถ่ายของตนปรากฏบนบัตรต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
แทนบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗
จนกว่าจะได้รับบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศฉบับนี้
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖
วีระพล
จิรประดิษฐกุล
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามแบบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ พ.ศ.
๒๕๕๖ แบบ ๑ กระดาษ
๒. แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามแบบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ พ.ศ.
๒๕๕๖ แบบ ๒ อิเล็กทรอนิกส์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๙ กุมภาพันธ์
๒๕๕๖
อุษมล/ผู้ตรวจ
๒๗ กุมภาพันธ์
๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๒๒ ง/หน้า ๒๑/๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ |
669055 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม พ.ศ. 2547 พ.ศ. 2555 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ มอบหมายให้
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน
การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม
พ.ศ. ๒๕๔๗
พ.ศ. ๒๕๕๕
ตามที่ได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด
เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนการขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม พ.ศ. ๒๕๔๗ นั้น
บัดนี้ เห็นสมควรยกเลิกประกาศดังกล่าว
เนื่องจากปัจจุบันกรมธุรกิจพลังงานได้มีการกำหนดระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการยื่นขออนุญาตมอบหมายให้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน
การขอรับเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ การปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม
และการสั่งพักใช้หรือเพิกถอนการอนุญาตมอบหมายให้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนไว้ในฉบับเดียวกันแล้ว
โดยที่ระเบียบดังกล่าวมีเนื้อหาครอบคลุมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๗ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน
การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม พ.ศ. ๒๕๔๗ พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนการขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
วีระพล
จิรประดิษฐกุล
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ มิถุนายน
๒๕๕๕
ณัฐพร/ผู้ตรวจ
๒๕ มิถุนายน
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๙๔ ง/หน้า ๙/๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ |
723988 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 พ.ศ. 2554
| ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๔/๒๕๔๗
พ.ศ. ๒๕๕๔
เพื่อให้การปฏิบัติงานตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
และผู้บรรจุก๊าซตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗
เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ ประกอบกับข้อ ๑๗ วรรคสี่ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๔/๒๕๔๗ พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๔/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๙
ข้อ
๓[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๔ แต่งตั้งให้ข้าราชการดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามข้อ ๑๗ วรรคสี่ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑)
ข้าราชการพลเรือนสามัญประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงานขึ้นไป และประเภทวิชาการตั้งแต่ระดับปฏิบัติการขึ้นไปในสังกัดกรมธุรกิจพลังงาน
และกรมโรงงานอุตสาหกรรม
(๒)
ข้าราชการพลเรือนสามัญประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับชำนาญงานขึ้นไป
และประเภทวิชาการตั้งแต่ระดับปฏิบัติการขึ้นไปในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
กระทรวงพลังงานที่ปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค
(๓)
ข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรที่มียศร้อยตำรวจตรีขึ้นไป
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือรองหัวหน้าชุดปฏิบัติการตามหน้าที่งานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง
ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ข้อ
๕ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามข้อ ๔ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
และผู้บรรจุก๊าซให้ถูกต้องตามความในข้อ ๑๗ วรรคสาม แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๔/๒๕๔๗ ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด และในการปฏิบัติการตามหน้าที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกให้ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ข้อ
๖
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบแนบท้ายประกาศนี้
อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี
ข้อ
๗
รูปถ่ายที่ติดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้ใช้รูปถ่ายที่ถ่ายไม่เกินหกเดือนก่อนวันยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ขนาด ๒.๕ เซนติเมตร คูณ ๓ เซนติเมตร หน้าตรง ไม่สวมหมวก
ข้อ
๘
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอายุตามที่กำหนดไว้ในบัตรแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ออกบัตร
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔
วีระพล จิรประดิษฐกุล
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามแบบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ พ.ศ. ๒๕๕๔ แบบ ๑ กระดาษ
๒.แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามแบบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ พ.ศ. ๒๕๕๔ แบบ
๒ อิเล็กทรอนิกส์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
อภิญญา/ปรับปรุง
๘ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๕๐ ง/หน้า ๑๐๐/๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ |
656696 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. 2554 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๙/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๖
สิงหาคม ๒๕๕๔ กำหนดให้มีการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือของผู้ค้าน้ำมัน
เพื่อคำนวณจำนวนเงินชดเชยผลขาดทุนในกรณีที่มีการประกาศปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามนโยบายของรัฐจากการลดหรือยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว
โดยกรมธุรกิจพลังงาน มีหน้าที่แจ้งจำนวนเงินชดเชยต่อผู้ค้าน้ำมัน ดังนั้น
เพื่อให้การคำนวณเงินชดเชยเป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน
อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ข้อ ๗ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
จึงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๗
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของผู้ค้าน้ำมันประกอบด้วย
น้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมัน
น้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในสถานีบริการน้ำมัน
และน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
ข้อ ๔ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมัน
ให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้ในถังของแต่ละคลังน้ำมัน
ณ อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
บวกด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่งและหักด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รอการส่งออก และปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีไว้ใช้ในกิจการของตนเอง
ข้อ ๕ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในสถานีบริการน้ำมัน
ให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้
ณ อุณหภูมิขณะตรวจวัด บวกด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
และหักด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ข้อ ๖ น้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
ตามข้อ ๔ และข้อ ๕ ได้แก่
(๑) น้ำมันเชื้อเพลิงในเรือบรรทุกน้ำมันที่รอสูบถ่าย
หรืออยู่ระหว่างสูบถ่ายขึ้นเก็บในคลังน้ำมันใดก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัด และสูบถ่ายแล้วเสร็จภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
หรือใบขนสินค้าขาเข้ากรณีนำเข้ามาในราชอาณาจักร
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันนั้น
(๒) น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันทางท่อขนส่งน้ำมัน รถขนส่ง
รถไฟ หรือเรือบรรทุกน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัด
และถึงหรือส่งมอบให้คลังน้ำมันปลายทางภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในคลังน้ำมันปลายทาง
(๓) น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัด โดยรถขนส่งเพื่อส่งให้สถานีบริการน้ำมัน
และถึงหรือส่งมอบให้สถานีบริการน้ำมันภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
และใบเสร็จรับเงิน หรือใบแจ้งหนี้ หรือใบกำกับภาษี
ให้นับเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือของสถานีบริการนั้น
(๔) ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตาม (๑) (๒) (๓)
ให้ใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าว
ยกเว้นกรณีขนส่งโดยเรือบรรทุกน้ำมัน ให้ใช้ปริมาณที่สูบถ่ายขึ้นถังแล้ว ณ
อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการน้ำมันมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างการขนส่ง
ให้จัดส่งเอกสารใบกำกับการขนส่ง ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี
แล้วแต่กรณี ไปยังกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
ภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่มีการตรวจวัด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
วีระพล
จิรประดิษฐกุล
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๙ พฤศจิกายน
๒๕๕๔
ชาญ/ผู้ตรวจ
๑๖ พฤศจิกายน
๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๑๓๐ ง/หน้า ๒๗/๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ |
653583 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดแบบและรายการข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือน พ.ศ. 2554 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
กำหนดแบบและรายการข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
ที่ซื้อหรือได้มา
ที่ใช้ไป ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือน
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๒๑ (๓) ข้อ ๒๒ (๕) ข้อ ๒๒/๑ (๒) และ ข้อ ๒๒/๒
ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน จึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
กำหนดแบบและรายการข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือน พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ แจ้งปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG)
ที่โอนไปหรือจำหน่ายไปในแต่ละเดือน
โดยใช้แบบแจ้งปริมาณการโอนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้โรงบรรจุก๊าซ
ตามแบบ ธพ.ธ ๒๑๘ (๑) แบบแจ้งปริมาณการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้สถานีบริการ ตามแบบ ธพ.ธ ๒๑๘ (๒)
และแบบแจ้งปริมาณการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้โรงงานอุตสาหกรรม
ตามแบบ ธพ.ธ ๒๑๘ (๓) ที่กำหนดไว้ท้ายประกาศนี้
ข้อ ๔ ให้ผู้บรรจุก๊าซ
เจ้าของสถานีบริการ
และเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงสถานประกอบการทุกประเภทที่มีการเก็บรักษาและใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG)
จากถังเก็บและจ่ายก๊าซ (Bulk) แจ้งปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) ที่รับโอน ซื้อ ใช้ไป จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือน
โดยใช้แบบแจ้งปริมาณการรับโอน ซื้อ จำหน่าย และคงเหลือก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สำหรับโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการ ตามแบบ ธพ.ธ ๒๑๙ (๑)
และแบบแจ้งปริมาณการซื้อ ใช้ไปและคงเหลือก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ตามแบบ ธพ.ธ ๒๑๙ (๒) ที่กำหนดไว้ท้ายประกาศนี้
ข้อ ๕ การส่งแบบและรายการข้อมูลตามข้อ
๓ และ ข้อ ๔ ให้ส่งจำนวน ๑ ชุด
โดยยื่นด้วยตนเองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังกรมธุรกิจพลังงาน ภายในวันที่ ๑๕
ของเดือนถัดไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
วีระพล
จิรประดิษฐกุล
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบแจ้งปริมาณการโอนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้ โรงบรรจุก๊าซ ชื่อผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.๒๕๔๓ ................................... ประจำงวดเดือน
.พ.ศ.
..... .(ธพ.ธ ๒๑๘(๑))
๒. แบบแจ้งปริมาณการโอนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้ สถานีบริการ ชื่อผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.๒๕๔๓ ................................... ประจำงวดเดือน
.พ.ศ.
..... .(ธพ.ธ ๒๑๘(๒))
๓. แบบแจ้งปริมาณการโอนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้ โรงงานอุตสาหกรรม ชื่อผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.๒๕๔๓ ................................... ประจำงวดเดือน
.พ.ศ.
..... .(ธพ.ธ ๒๑๘(๓))
๔. แบบแจ้งปริมาณการรับโอน ซื้อ จำหน่าย
และคงเหลือก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) สำหรับ โรงบรรจุก๊าซ
และสถานีบริการ ชื่อ (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน/.........)
............................................................... ประเภทประกอบการ
ประจำงวดเดือน
.พ.ศ.
....... (ธพ.ธ ๒๑๙(๑))
๕. แบบแจ้งปริมาณการซื้อ ใช้ไป และคงเหลือก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) สำหรับ โรงงานอุตสาหกรรม ชื่อ (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน/.........)
............................................................... ประเภทประกอบการ
ประจำงวดเดือน
.พ.ศ.
....... (ธพ.ธ ๒๑๙(๒))
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๙๐ ง/หน้า ๖๘/๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ |
724026 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. 2551 (ฉบับ Update ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552)
| ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๕๑
กำหนดให้มีการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ
เพื่อคำนวณเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีที่มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิต
โดยกรมธุรกิจพลังงานมีหน้าที่แจ้งจำนวนเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
ดังนั้น เพื่อให้การคำนวณเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างถูกต้อง
ครบถ้วน อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ข้อ ๗
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจึงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๕
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของผู้ค้าน้ำมันประกอบด้วย
น้ำมันคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมัน น้ำมันคงเหลือสุทธิในสถานีบริการน้ำมันที่ผู้ค้าดำเนินการเอง
และน้ำมันที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
ข้อ ๔ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมันให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้ในถังของแต่ละคลังน้ำมัน
ณ อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์ หักด้วย
ปริมาณสำรองตามกฎหมาย ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รอการส่งออก
และปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีไว้ใช้ในกิจการของตนเอง
ข้อ ๕ ปริมาณสำรองตามกฎหมายตามข้อ ๔
ให้คำนวณดังนี้
(๑)
ให้แบ่งปริมาณสำรองตามกฎหมายของน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันเบนซินพื้นฐาน ชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ออกเป็นสองส่วนตามสัดส่วนของน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลือกับน้ำมันพื้นฐานคงเหลือ
(๒)[๒]
ให้นับปริมาณน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ เป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหลังจากหักปริมาณสำรองตามกฎหมายที่คำนวณตาม
(๑) ออกแล้ว
(๓)[๓]
ปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายที่ใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อจ่ายเงินชดเชยในการปรับลดภาษีสรรพสามิต
จะนำไปใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อนำส่งเงินเข้ากองทุน เมื่อมีการประกาศราคาขายปลีกใหม่ในปริมาณเดียวกัน
ข้อ ๖ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของสถานีบริการน้ำมัน
ให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้
ณ อุณหภูมิขณะตรวจวัด บวกด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
หักด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ข้อ ๗ น้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
ตามข้อ ๓ และข้อ ๖ ได้แก่
(๑)
น้ำมันเชื้อเพลิงในเรือบรรทุกน้ำมันที่รอ
หรืออยู่ระหว่างสูบถ่ายขึ้นเก็บในคลังน้ำมันใดก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัดและสูบถ่ายแล้วเสร็จภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่งหรือใบขนสินค้าขาเข้ากรณีนำเข้ามาในราชอาณาจักร
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันนั้น
(๒)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันทางท่อ รถขนส่ง รถไฟ หรือ เรือบรรทุกน้ำมันก่อนเวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัด
และถึงหรือส่งมอบให้คลังน้ำมันปลายทางภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันปลายทาง
(๓)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัดโดยยานพาหนะขนส่งเพื่อส่งให้สถานีบริการน้ำมัน
และถึงหรือส่งมอบให้สถานีบริการน้ำมันภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือของสถานีบริการนั้น
(๔)
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตาม (๑) (๒) (๓)
ให้ใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าว
ยกเว้นกรณีขนส่งโดยเรือบรรทุกน้ำมัน ให้ใช้ปริมาณที่สูบถ่ายขึ้นถังแล้ว ณ
อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการน้ำมันมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างการขนส่ง
ให้จัดส่งเอกสารใบกำกับการขนส่งไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เมตตา บันเทิงสุข
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๒[๔]
อุรารักษ์/จัดทำ
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๒
อภิญญา/ปรับปรุง
๕ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๐ ง/หน้า ๗๒/๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
[๒] ข้อ ๕ (๒)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒
[๓] ข้อ ๕ (๓)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๔ ง/หน้า ๒๗/๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
724002 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทิ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552
| ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทิ
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๒[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๒/๒๕๕๒
กำหนดให้มีการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ
เพื่อคำนวณจำนวนเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ในกรณีที่มีการประกาศปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันตามนโยบายของรัฐจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
โดยกรมธุรกิจพลังงานมีหน้าที่แจ้งจำนวนเงินชดเชยต่อผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
ดังนั้น เพื่อให้การคำนวณเงินชดเชยเป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน
อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ข้อ ๖ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
จึงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๒
ขอ
๒ ประกาศนี้ใหใช้บังคับตั้งแตวันที่
๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ขอ ๓ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของผูคาน้ำมันประกอบด้วย น้ำมันคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมัน น้ำมันคงเหลือสุทธิในสถานีบริการน้ำมันที่ผู้ค้าดำเนินการเอง
และน้ำมันที่อยูระหวางการขนสง
ข้อ
๔
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมันให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้ในถังของแต่ละคลังน้ำมัน
ณ อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
หักด้วยปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมาย ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รอการส่งออก
และปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีไว้ใช้ในกิจการของตนเอง
ข้อ
๕ ปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายตาม ข้อ
๔ ให้คำนวณดังนี้
(๑)
ให้แบ่งปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ออกเป็นสองส่วนตามสัดส่วนของน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลือกับน้ำมันพื้นฐานคงเหลือ
(๒)
ให้นับปริมาณน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕
เป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหลังจากหักปริมาณสำรองตามกฎหมายที่คำนวณตาม
(๑) ออกแล้ว แต่สำหรับน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ให้นับเป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิทั้งจำนวน
ข้อ
๖
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของสถานีบริการน้ำมัน
ให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้
ณ อุณหภูมิขณะตรวจวัด บวกด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
หักด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ข้อ
๗
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง ตามข้อ ๓ และข้อ ๖ ได้แก่
(๑)
น้ำมันเชื้อเพลิงในเรือบรรทุกน้ำมันที่รอ
หรืออยู่ระหว่างสูบถ่ายขึ้นเก็บในคลังน้ำมันใดก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจ
และสูบถ่ายแล้วเสร็จภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่งหรือใบขนสินค้าขาเข้ากรณีนำเข้ามาในราชอาณาจักร
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมัน
(๒)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันทางท่อ รถขนส่ง รถไฟ หรือเรือบรรทุกน้ำมัน
ก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัด
และถึงหรือส่งมอบให้คลังน้ำมันปลายทางภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันปลายทาง
(๓)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัดโดยยานพาหนะขนส่งเพื่อส่งให้สถานีบริการน้ำมัน
และถึงหรือส่งมอบให้สถานีบริการน้ำมันภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือของสถานีบริการนั้น
(๔)
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตาม (๑) (๒) (๓)
ให้ใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าว
ยกเว้นกรณีขนส่งโดยเรือบรรทุกน้ำมัน ให้ใช้ปริมาณที่สูบถ่ายขึ้นถึงแล้ว ณ
อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการน้ำมันมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างการขนส่ง
ให้จัดส่งเอกสารใบกำกับการขนส่งไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานภายในเจ็ดวันทำการ นับแต่วันที่มีการตรวจวัด
ประกาศ ณ วันที่ ๑๓
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
พีระพล สาครินทร์
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
อภิญญา/ปรับปรุง
๕ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๑๙ ง/หน้า ๕๘/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ |
604650 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552
| ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๒[๑]
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิเป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๑/๒๕๕๒ และเพื่อให้การคำนวณเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างถูกต้อง
อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๕๑ ข้อ ๗ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๒
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ (๒) และ (๓)
ของประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. ๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑
และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
(๒) ให้นับปริมาณน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน
๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ เป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหลังจากหักปริมาณสำรองตามกฎหมายที่คำนวณตาม
(๑) ออกแล้ว
(๓)
ปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายที่ใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อจ่ายเงินชดเชยในการปรับลดภาษีสรรพสามิต
จะนำไปใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อนำส่งเงินเข้ากองทุน เมื่อมีการประกาศราคาขายปลีกใหม่ในปริมาณเดียวกัน
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
เมตตา บันเทิงสุข
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
อุรารักษ์/ตรวจ
๓๑ มีนาคม ๒๕๕๒
อภิญญา/ปรับปรุง
๕ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๔ ง/หน้า ๒๗/๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
604648 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. 2551
| ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๕๑
กำหนดให้มีการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ
เพื่อคำนวณเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีที่มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิต
โดยกรมธุรกิจพลังงานมีหน้าที่แจ้งจำนวนเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
ดังนั้น เพื่อให้การคำนวณเงินชดเชยและเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างถูกต้อง
ครบถ้วน อาศัยอำนาจตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ข้อ ๗
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจึงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๕
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของผู้ค้าน้ำมันประกอบด้วย
น้ำมันคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมัน น้ำมันคงเหลือสุทธิในสถานีบริการน้ำมันที่ผู้ค้าดำเนินการเอง
และน้ำมันที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
ข้อ ๔ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิในคลังน้ำมันให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้ในถังของแต่ละคลังน้ำมัน
ณ อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์ หักด้วย
ปริมาณสำรองตามกฎหมาย ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รอการส่งออก
และปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีไว้ใช้ในกิจการของตนเอง
ข้อ ๕ ปริมาณสำรองตามกฎหมายตามข้อ ๔
ให้คำนวณดังนี้
(๑)
ให้แบ่งปริมาณสำรองตามกฎหมายของน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันเบนซินพื้นฐาน ชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ออกเป็นสองส่วนตามสัดส่วนของน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลือกับน้ำมันพื้นฐานคงเหลือ
(๒)
ให้นับปริมาณน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี
๒๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕ เป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหลังจากหักปริมาณสำรองตามกฎหมายที่คำนวณตาม
(๑) ออกแล้ว แต่สำหรับน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒
และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน ให้นับเป็นปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิทั้งจำนวน
(๓)
ปริมาณน้ำมันสำรองตามกฎหมายที่ใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อจ่ายเงินชดเชยในการปรับลดภาษีสรรพสามิต
จะนำไปใช้หักในการคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
เพื่อนำส่งเงินเข้ากองทุน เมื่อมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตในปริมาณเดียวกัน
ข้อ ๖ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิของสถานีบริการน้ำมัน
ให้คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแต่ละชนิดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดได้
ณ อุณหภูมิขณะตรวจวัด บวกด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
หักด้วยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากผู้อื่น
ข้อ ๗ น้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง
ตามข้อ ๓ และข้อ ๖ ได้แก่
(๑)
น้ำมันเชื้อเพลิงในเรือบรรทุกน้ำมันที่รอ
หรืออยู่ระหว่างสูบถ่ายขึ้นเก็บในคลังน้ำมันใดก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัดและสูบถ่ายแล้วเสร็จภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่งหรือใบขนสินค้าขาเข้ากรณีนำเข้ามาในราชอาณาจักร
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันนั้น
(๒)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันทางท่อ รถขนส่ง รถไฟ หรือ
เรือบรรทุกน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่เข้าตรวจวัด
และถึงหรือส่งมอบให้คลังน้ำมันปลายทางภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันปลายทาง
(๓)
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายจากคลังน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่เข้าตรวจวัดโดยยานพาหนะขนส่งเพื่อส่งให้สถานีบริการน้ำมัน
และถึงหรือส่งมอบให้สถานีบริการน้ำมันภายหลังเวลาดังกล่าวโดยมีเอกสารใบกำกับการขนส่ง
ให้นับเป็นน้ำมันคงเหลือของสถานีบริการนั้น
(๔)
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตาม (๑) (๒) (๓)
ให้ใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ระบุในเอกสารดังกล่าว
ยกเว้นกรณีขนส่งโดยเรือบรรทุกน้ำมัน ให้ใช้ปริมาณที่สูบถ่ายขึ้นถังแล้ว ณ
อุณหภูมิที่ ๓๐ องศาเซลเซียส หรือที่ ๘๖ องศาฟาเรนไฮต์
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการน้ำมันมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างการขนส่ง
ให้จัดส่งเอกสารใบกำกับการขนส่งไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เมตตา บันเทิงสุข
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
อุรารักษ์/ตรวจ
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๒
อภิญญา/ปรับปรุง
๕ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๐ ง/หน้า ๗๒/๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
669422 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมัน ตามมาตรา 7 รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม พ.ศ. 2547 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ มอบหมายให้
ผู้ค้ำน้ำมันตามมาตรา
๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด
เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนการขอรับและการแสดง
เครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
และการปิดผนึก
ลิ้นถังก๊าซหุงต้ม
พ.ศ. ๒๕๔๗
เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มจัดให้มีการบรรจุก๊าซหุงต้ม
โดยสามารถมอบหมายให้ผู้ค้ำน้ำมันตามมาตรา ๗ รายอื่น
หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้ และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกท้องที่มีการใช้ถังก๊าซหุงต้มซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
และเพื่อให้การบรรจุก๊าซต้องทำการปิดผนึกลิ้น (VALVE) ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ
และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวผู้บรรจุก๊าซแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (SEAL) ถังก๊าซหุงต้ม
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๖ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๒/๒๕๔๖
เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไข และป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
จึงออกประกาศกำหนดระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน
การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
และการปิดผนึกลิ้นถึงก๊าซหุงต้ม ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ข้อ ๒ ให้ยกเลิก
(๑) ประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง
ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน
การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ และการปิดผนึกลิ้นถึงก๊าซหุงต้ม
ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
(๒) ประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง
ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้ำน้ำมันตามมาตรา ๗ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน
การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
และการปิดผนึกลิ้นถึงก๊าซหุงต้ม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
ข้อ ๓ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ ซึ่งขาย
หรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มสามารถมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการบรรจุก๊าซตามกฎหมายว่าด้วยการบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว
เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนได้
ข้อ ๔ กรณีมีการมอบหมายตามข้อ
๓ ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ ขอรับหนังสืออนุญาตให้มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน
ก่อนดำเนินการบรรจุก๊าซแทน โดยยื่นคำขอพร้อมเอกสารประกอบต่อกรมธุรกิจพลังงาน
ตามแบบ นพ.ก ๑ แนบท้ายประกาศฉบับนี้
ข้อ ๕ กรมธุรกิจพลังงานจะออกหนังสืออนุญาตให้มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ ตามแบบ นพ.ก ๓ ที่แนบท้ายประกาศฉบับนี้
ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ รายอื่น
หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดที่ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แสดงหนังสืออนุญาตตามวรรคหนึ่งไว้ในสถานประกอบการที่ใช้บรรจุก๊าซโดยเปิดเผยเห็นได้ชัดเจน
ข้อ ๖ หนังสืออนุญาตตามข้อ
๕ วรรคหนึ่งมีอายุ ๓ ปี นับแต่วันที่ออกให้
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
ที่ประสงค์จะต่ออายุหนังสืออนุญาตต้องยื่นคำขอต่ออายุหนังสืออนุญาตภายในสามสิบวันก่อนวันที่หนังสืออนุญาตเดิมหมดอายุ
พร้อมเอกสารประกอบต่อกรมธุรกิจพลังงานตามแบบ นพ.ก ๑ ที่แนบท้ายประกาศฉบับนี้
และเมื่อได้ยื่นคำขอต่ออายุหนังสืออนุญาตแล้วให้ดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะได้รับแจ้งการไม่อนุญาต
ข้อ ๗ ให้ผู้บรรจุก๊าซทั้งผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
และผู้บรรจุก๊าซอื่นที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ ตามข้อ ๕ ยื่นคำขอรับเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ
โดยอาจมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ ซึ่งผู้บรรจุก๊าซเป็นตัวแทนค้าต่างตามที่แจ้งต่อกรมธุรกิจพลังงานยื่นคำขอฯ แทน
พร้อมเอกสารประกอบต่อกรมธุรกิจพลังงาน ก่อนดำเนินการบรรจุก๊าซตามแบบ นพ.ก ๕
ที่แนบท้ายประกาศฉบับนี้
สำหรับผู้บรรจุก๊าซตามวรรคแรก
ให้จัดทำเครื่องหมายประจำตัวที่ได้รับไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นให้แล้วเสร็จ
พร้อมปิดผนึกลิ้นถึงก๊าซหุงต้มก่อนออกจำหน่าย
เครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซให้เป็นไปตามแบบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ซึ่งประกอบด้วยสัญลักษณ์ ธพ และหมายเลขประจำตัวในกรอบสี่เหลี่ยม ดังนี้ (ดูข้อมูลจากภาพข้อมูลกฎหมาย)
ข้อ ๘ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับชื่อ
สถานที่ตั้ง ตัวแทนค้าต่าง
หรือการยกเลิกการมอบหมายให้ผู้เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนจากที่ได้รับหนังสืออนุญาตตามข้อ
๕ ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แจ้งการเปลี่ยนแปลงหรือการยกเลิกดังกล่าวต่อกรมธุรกิจพลังงานตามแบบ
นพ.ก ๔ ที่แนบท้ายประกาศฉบับนี้ ภายในกำหนดสามสิบวัน นับแต่วันเปลี่ยนแปลง
หรือยกเลิก
กรณีหนังสืออนุญาตให้มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ รายอื่น
หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
ที่ได้รับตามข้อ ๕ ชำรุด หรือสูญหาย ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
ยื่นขอใบแทนหนังสืออนุญาตแทนฉบับเดิมต่อกรมธุรกิจพลังงานตามแบบ นพ.ก ๑
ท้ายประกาศนี้ พร้อมส่งคืนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือหลักฐานการแจ้งความสูญหาย
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๙ ในการดำเนินการบรรจุก๊าซ
ผู้บรรจุก๊าซต้องปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้มให้แน่นหนาด้วยอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นที่ไม่ฉีกขาก
หรือหลุดออกได้โดยง่าย และต้องแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซตามข้อ ๗
วรรคสามไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นให้ติดแน่น
โดยเครื่องหมายประจำตัวที่แสดงต้องมีขนาดที่เห็นได้ชัดเจน
ข้อ ๑๐ ผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ จะต้องไม่กระทำการที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อกำหนด ดังต่อไปนี้
(๑)
บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มโดยรู้ว่าปริมาณของก๊าซไม่ถูกต้องตามที่แสดงไว้ข้างถัง
อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ. ๒๕๔๒
(๒) บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มที่ไม่ได้มาตรฐานตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ว่าด้วยถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(๓)
บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่าผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใดที่ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
ที่กรมธุรกิจพลังงานออกหนังสืออนุญาตตามข้อ ๕ ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ ๙
อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้ หรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย
หรือข้อกำหนดตามที่ระบุในข้อ ๑๐ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะพิจารณาสั่งพักใช้
หรือเพิกถอนการอนุญาตตามควรแก่กรณี
กรณีที่กรมธุรกิจพลังงานเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
กรมธุรกิจพลังงานจะไม่ออกหนังสืออนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนระหว่างผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ และผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนนั้น จนกว่าระยะเวลาได้ล่วงพ้น ๑ ปีไปแล้ว
ข้อ ๑๒
ให้หนังสืออนุญาตให้มอบหมายให้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนซึ่งผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
ได้รับตามประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่องระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖
มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด
เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนการขอรับ
และการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม
ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังคงใช้ได้ต่อไปจนกว่าหนังสืออนุญาตนั้นจะหมดอายุ
หรือถูกสั่งพักใช้ หรือเพิกถอนการอนุญาตตามประกาศฉบับนี้
ให้เครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซที่ได้รับตามประกาศกรมทะเบียนการค้า
เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖ มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๖ รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน การขอรับ
และการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซและการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม
ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังคงใช้ได้ต่อไป ดังนี้
(๑) สัญลักษณ์ ทค ให้ใช้ได้จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๗
(๒) หมายเลขประจำตัวใช้ได้ตลอดไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๓ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
นายวิโรจน์
คลังบุญครอง
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำขอรับหนังสืออนุญาต ต่ออายุหนังสืออนุญาต รับใบแทนหนังสืออนุญาต
ให้มอบหมายให้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน (แบบ นพ.ก ๑)
๒. หนังสือยืนยันการมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ รายอื่น
หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน (แบบ นพ.ก ๒)
๓. หนังสืออนุญาตให้มอบหมายให้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน (แบบ นพ. ก ๓)
๔. แบบแจ้งเปลี่ยนแปลง ชื่อ สถานที่ตั้ง ตัวแทนค้าต่าง
และยกเลิกผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน (แบบ นพ. ก ๔)
๕. คำขอรับเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ (แบบ นพ. ก ๕)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
อภิญญา/ปรับปรุง
๕ กันยายน ๒๕๕๗
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๑/ตอนพิเศษ ๙ ง/หน้า ๙/๒๓ มกราคม ๒๕๔๗ |
450469 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546
| ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๒/๒๕๔๖[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติงานตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ และผู้บรรจุก๊าซให้เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๒/๒๕๔๖ ด้วยความเรียบร้อย
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ ประกอบด้วยความในข้อ ๑๖ วรรคสี่
แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๒/๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๙
ธันวาคม ๒๕๔๖ ออกประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๒/๒๕๔๖
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๖
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเรื่อง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๖
ข้อ ๔
ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป
ข้อ ๕ ให้ข้าราชการดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามความในข้อ ๑๖ วรรคสี่ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๒/๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑)
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตั้งแต่ระดับ ๓
ขึ้นไปในสังกัดกรมธุรกิจพลังงานสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และกรมโรงงานอุตสาหกรรม
(๒)
ข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรที่มียศร้อยตำรวจตรีขึ้นไป
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้า หรือรองหัวหน้าชุดปฏิบัติการตามหน้าที่งานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง
ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ข้อ ๖ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ ๕
มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ และผู้บรรจุก๊าซให้ถูกต้องตามความในข้อ ๑๖
วรรคสาม แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๒/๒๕๔๖
ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด และในการปฏิบัติการตามหน้าที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกให้ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๗
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบแนบท้ายประกาศฉบับนี้
ข้อ ๘
รูปถ่ายที่ติดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้ใช้รูปถ่ายที่ถ่ายไม่เกินหกเดือนก่อนวันยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ขนาด ๒.๕
เซนติเมตร คูณ ๓ เซนติเมตร หน้าตรงไม่สวมหมวก
ข้อ ๙
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอายุตามที่กำหนดไว้ในบัตรแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ออกบัตร
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๗
วิโรจน์ คลังบุญครอง
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามแบบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๒/๑๕๔๖
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
มยุรี/พิมพ์
๗ มกราคม ๒๕๔๘
ธัญกมล/ศุภสรณ์/ตรวจ
๒๖ มกราคม ๒๕๔๘
อภิญญา/ปรับปรุง
๕ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๑/ตอนพิเศษ ๑๐๗ ง/หน้า ๓/๒๘ กันยายน ๒๕๔๗ |
707026 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2546 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๔๖[๑]
อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๑๖ วรรคสี่ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไข
และป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
จึงออกประกาศกำหนดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่สำหรับตรวจสอบการปิดผนึกลิ้น
การแสดงเครื่องหมายประจำตัวไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกประกาศกรมทะเบียนการค้า
เรื่อง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒
ข้อ
๒
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ข้อ
๓
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบแนบท้ายประกาศฉบับนี้
ข้อ
๔
รูปถ่ายที่ติดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้ใช้รูปถ่ายที่ถ่ายไม่เกินหกเดือน ก่อนวันยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ขนาด ๒.๕ คูณ ๓ เซนติเมตร หน้าตรงไม่สวมหมวก
ข้อ
๕
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีอายุตามที่กำหนดไว้ในบัตรแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ออกบัตร
ประกาศ ณ วันที่ ๙
กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
วิโรจน์
คลังบุญครอง
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามแบบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๖
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
อภิญญา/ปรับปรุง
๔ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๑๑๐ ง/หน้า ๔/๒๔ กันยายน ๒๕๔๖ |
707022 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2546 | ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๔๖
อาศัยอำนาจตามความใน
ข้อ ๑๖ วรรคสี่ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑
ให้ยกเลิกประกาศกรมทะเบียนการค้าเรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๒
ข้อ
๒
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป[๑]
ข้อ
๓ ให้ข้าราชการดังต่อไปนี้
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามความในข้อที่ ๑๖ วรรคสี่ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
(๑) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตั้งแต่ระดับ ๓
ขึ้นไปในสังกัดกรมธุรกิจพลังงานสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และกรมโรงงานอุตสาหกรรม
(๒) ข้าราชการตำรวจชั้นสารวัตรขึ้นไป
ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือรองหัวหน้าชุดปฏิบัติงานปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ข้อ
๔ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ ๑
มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันและผู้บรรจุก๊าซให้ถูกต้องตามความในข้อ
๑๖ วรรคสาม แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
ข้อ
๕ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศฉบับนี้มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร
และต่างจังหวัด ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกให้ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๙
กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
วิโรจน์ คลังบุญครอง
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามแบบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๖
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
สุภาพร/พิมพ์
๒๐ มกราคม ๒๕๔๖
สุนันทา/อรดา/ตรวจ
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
อภิญญา/ปรับปรุง
๔ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๑๑๐ ง/หน้า ๕/๒๔ กันยายน ๒๕๔๖ |
326248 | ประกาศคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดราคานำเข้าและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซหุงต้มที่นำเข้ามาใช้ในราชอาณาจักร | ประกาศคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ
ประกาศคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ
เรื่อง
การกำหนดราคานำเข้าและอัตราเงินชดเชยสำหรับ
ก๊าซหุงต้มที่นำเข้ามาใช้ในราชอาณาจักร[๑]
อาศัยอำนาจตามข้อ ๗ และข้อ ๑๑ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๕/๒๕๒๓ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๓
คณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ให้กำหนด
(๑) ราคานำเข้าโดยไม่รวมภาษีอากรสำหรับก๊าซหุงต้ม
ที่นำเข้ามาใช้ในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
ได้แก่ราคาประกาศที่ประเทศสิงคโปร์ คือ ๐.๗๗๕ เหรียญสหรัฐต่ออเมริกันแกลลอน
ที่อุณหภูมิ ๖๐ องศาฟาเรนไฮท์
(๒) อัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซหุงต้ม
ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ กิโลกรัมละ ๐.๙๒ บาท
ประกาศ ณ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๓
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
ประธานคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ
เพ็ญพร/ผู้จัดทำ
๘ ตุลาคม ๒๕๔๕
อภิญญา/ปรับปรุง
๔ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๗/ตอน ๙๖/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๕/๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๓ |
327551 | ประกาศคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณมูลค่านำเข้าของน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิง | ประกาศคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ
ประกาศคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ
เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณมูลค่า
นำเข้าของน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๓ (๑) (ก) และ (ข)
แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ สร. ๕/๒๕๒๓ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๓
คณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติจึงออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการคำนวณมูลค่านำเข้าของน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อประโยชน์ในการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
(๑) ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับสำหรับน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้นำเข้าได้นำเข้าตามชนิด
ปริมาณและราคาตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๗๒/๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๑๐๕/๒๕๒๒ ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๒
และใช้บังคับสำหรับน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ ปตท. นำเข้า ตามชนิด
ปริมาณและราคาที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ปตท. หรือผู้ที่คณะกรรมการ ปตท.
มอบหมาย
(๒) มูลค่าที่นำเข้าแต่ละคราว
ให้ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายตามรายการ ดังต่อไปนี้
๒.๑ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิง
ได้แก่
๒.๑.๑ มูลค่าของน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่สั่งซื้อ
โดยคำนวณเป็นเงินบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามที่จ่ายจริง
แต่ต้องไม่เกินอัตราราคาขายแลกเปลี่ยนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ณ
วันที่จ่ายเงินชำระหนี้ผ่านธนาคารพาณิชย์
ในกรณีที่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการแลกเปลี่ยนน้ำมันดิบกับน้ำมันสำเร็จรูปหรือจ้างกลั่น
ให้ถือตามราคา
ปริมาณและชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ที่ทำการแลกเปลี่ยนหรือจ้างกลั่นได้รับตามที่ระบุไว้ในสัญญาแลกเปลี่ยนหรือสัญญาจ้างกลั่น
แล้วแต่กรณี
๒.๑.๒ ค่าเบี้ยประกันภัย (Insurance)
๒.๒ ค่าขนส่งระหว่างประเทศ (Freight)
๒.๓ ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าเฉพาะที่เป็นค่าบรรทุกเรือลำเลียง
(Barging) ค่าน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูญหายระหว่างขนส่ง (Ocean Lose)
ค่าเสียเวลาเรือในการขนถ่าย (Demurrage) ค่าตรวจสอบชนิด
คุณภาพและปริมาณน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิง (Survey) ค่าธรรมเนียมศุลกากร (Custom
Fee) ค่าล่วงเวลา (Knockdoor) และค่าตรวจนอกสถานที่ของศุลกากร
ทั้งนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ ๐.๕ ของราคา CIF ของมูลค่าน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิง
๒.๔ ค่าภาษีอากร
๒.๕ เงินที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี)
ทั้งนี้
ภายใต้เงื่อนไขที่ได้มีการกำหนดไว้ในการอนุมัตินำเข้าแต่ละคราวหรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๓
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
ประธานคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ
เพ็ญพร/ผู้จัดทำ
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๕
อภิญญา/ปรับปรุง
๔ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๗/ตอนที่ ๙๖/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๓/๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๓ |
320606 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2518 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง
การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกัน
ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๑๘[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอขอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ นั้น ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๔/๒๕๑๙
(สามัญสมัยแรก) วันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๑๙ และในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่
๑/๒๕๑๙ (สามัญสมัยแรก) วันพุธที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๙ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติ
จึงประกาศมาตามความในมาตรา ๑๙๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ พฤษภคม พ.ศ. ๒๕๑๙
หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี
อภิญญา/ปรับปรุง
๔ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๘๐/หน้า ๙๖/๑ มิถุนายน ๒๕๑๙ |
306915 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง
การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกัน
ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ นั้น สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ประชุมปรึกษาในการประชุมครั้งที่ ๕
วันศุกร์ที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ลงมติอนุมัติ
จึงประกาศมาตามความในมาตรา ๑๕
แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๑๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๗
สัญญา ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
อภิญญา/ปรับปรุง
๔ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๑/ตอนที่ ๒๕/หน้า ๑๐๑/๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ |
604714 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ update ล่าสุด) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่
๒/๒๕๕๑
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชน
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในค่าครองชีพจากปัญหาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลก
โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง เป็นระยะเวลา ๖ เดือน
นับตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
การปรับลดหรือเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตในแต่ละครั้ง จะทำให้มีการขาดทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลด
หรือมีกำไรในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับเพิ่ม
ซึ่งในกรณีที่ขาดทุนจะทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการลดปริมาณการจำหน่ายหรืองดการจำหน่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน
ทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
จึงต้องมีการจ่ายชดเชยผลขาดทุน
ในกรณีกลับกันกำไรส่วนเกินที่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้รับเป็นกำไรส่วนเกินที่มิควรได้
จึงจำเป็นต้องกำหนดให้มีการส่งกำไรดังกล่าวเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องจ่ายผลขาดทุนในตอนแรกมีโอกาสได้รับเงินคืนจากช่วงการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
ทำให้การจ่ายเงินชดเชยครั้งนี้ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแต่อย่างใด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่
๑ และชนิดที่ ๒ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕
ซึ่งมีลักษณะและคุณภาพตามที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า
ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยซื้อ นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือได้มาไม่ว่าด้วยประการใดเพื่อจำหน่าย
และให้หมายความรวมถึงผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สามหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
หรือมีขนาดของถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงความจุเกินสองแสนลิตรขึ้นไป แต่ทั้งนี้
ไม่รวมถึงผู้ได้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
สถานีบริการ หมายความว่า
สถานที่สำหรับจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนโดยวิธีเติมหรือใส่ลงในที่บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงของยานพาหนะ
โดยใช้มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยมาตราชั่งตวงวัด ที่ติดตั้งไว้เป็นประจำ
ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓
เจ้าของสถานีบริการ หมายความว่า
ผู้มีกรรมสิทธิ์ในสถานีบริการและในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการเป็นนิติบุคคลให้ถือว่ากรรมการผู้จัดการ
ผู้จัดการหรือบุคคลใดที่รับผิดชอบการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นเป็นเจ้าของสถานีบริการด้วย
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงพนักงานหรือลูกจ้างที่จัดการดูแลสถานีบริการด้วย
ภาษีสรรพสามิต หมายความว่า
อัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐
ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕
น้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี
๕ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน ที่ประกาศโดยกระทรวงการคลัง
ประกาศราคาขายปลีก หมายความว่า
ประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานตามข้อ ๙
ส่วนต่างราคา หมายความว่า
ส่วนต่างของราคาขายปลีกเดิมและราคาใหม่ตามประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
สถาบัน หมายความว่า
สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
กองทุน หมายความว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานราชการของกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีนี้
ข้อ ๒
เมื่อมีการประกาศลดภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ทำให้เกิดส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
ในเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ คูณด้วยส่วนต่างราคา
ข้อ ๓[๒]
เมื่อการเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ทำให้เกิดส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการส่งเงินเข้ากองทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
ในเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับ
คูณด้วยส่วนต่างราคา
ถ้าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายใดที่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ
๒ ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ หรือปิดคลังน้ำมัน
หรือสถานีบริการ หรือกระทำการใด ๆ ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหรือคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งได้
ให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนในจำนวนเงินที่คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ตรวจวัดได้เมื่อวันที่
๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ คูณด้วยส่วนต่างราคาตามประกาศราคาขายปลีกตามวรรคหนึ่ง
เว้นแต่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากส่วนต่างราคาในการลดภาษีสรรพสามิตเมื่อวันที่
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิตามวรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงน้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ผู้ค้าน้ำมันที่ได้รับเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับน้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ ๑ และชนิดที่
๒ และน้ำมันดีเซลพื้นฐานไปทั้งจำนวนแต่ยังมีปริมาณน้ำมันดังกล่าวเหลืออยู่ในวันที่
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ให้แจ้งปริมาณคงเหลือต่อกรมธุรกิจพลังงานภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่การเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลใช้บังคับเพื่อคำนวณเงินที่ต้องจ่ายคืนกองทุนตามอัตราเงินชดเชยที่ได้รับไป
ข้อ ๔
ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ในการรับและจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๕
เมื่อมีประกาศลดภาษีสรรพสามิตตามข้อ
๒ ให้
(๑) ผู้ค้าน้ำมันปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร ที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร
รวมทั้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายจากคลังน้ำมัน
เพื่อส่งไปให้แก่เจ้าของสถานีบริการก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ และส่งมอบให้แก่เจ้าของสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น
(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
(๒) เจ้าของสถานีบริการ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๑
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ค้าน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๕๑ และมาถึงสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว
รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น (ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานอย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓) กรมธุรกิจพลังงาน
แจ้งเป็นหนังสือภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแล้วของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
คูณด้วยส่วนต่างราคาพร้อมกับส่งสำเนาหนังสือให้สถาบันทราบ
และให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการดังกล่าวนำหนังสือของกรมธุรกิจพลังงานไปขอรับเงินชดเชยจากสถาบัน
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ลงในหนังสือดังกล่าว หากพ้นกำหนดระยะเวลานี้แล้ว
ให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นไม่ประสงค์จะขอรับเงินชดเชย
ข้อ ๖[๓]
เมื่อมีประกาศราคาขายปลีกจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตตามข้อ
๓ ให้
(๑) ผู้ค้าน้ำมันปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐
นาฬิกาของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข) ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
รวมทั้งตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
ที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร
รวมทั้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายจากคลังน้ำมัน
เพื่อส่งไปให้แก่เจ้าของสถานีบริการก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
และส่งมอบให้แก่เจ้าของสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าวรวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น
(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
(๒) เจ้าของสถานีบริการปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
รวมทั้งตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง ที่ซื้อหรือได้จากผู้ค้าน้ำมันก่อนเวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
และมาถึงสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว
รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น (ถ้ามี)
ต่อกรมธุรกิจพลังงานกระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
(๓)
กรมธุรกิจพลังงานแจ้งเป็นหนังสือภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบจำนวนเงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแล้วของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดคูณด้วยส่วนต่างราคา
พร้อมกับส่งสำเนาหนังสือให้สถาบันทราบ
และให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการดังกล่าวนำหนังสือของกรมธุรกิจพลังงานไปจ่ายเงินเข้ากองทุนต่อสถาบัน
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ลงในหนังสือดังกล่าว
ข้อ ๗
การคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิตามข้อ
๕ และข้อ ๖ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ข้อ ๘
ในกรณีที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
หากผู้มีหน้าที่ต้องส่งเงินไม่ส่งเงินให้สถาบัน
ส่งเงินให้สถาบันไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือไม่ส่งเงินคืนสถาบันภายในเวลาที่กำหนด
ให้กรมธุรกิจพลังงานส่งเรื่องให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินให้สถาบันหรือส่งขาดหรือไม่ส่งเงินคืนสถาบัน
หรือส่งเงินเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีตามวรรคหนึ่งหรือไม่
ให้จ่ายเงินเพิ่มอีกในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว ทั้งนี้
นับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดส่งและให้ถือว่าเงินเพิ่มนี้เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
ข้อ ๙
เมื่อมีประกาศลดภาษีสรรพสามิตตามข้อ
๒ หรือเพิ่มภาษีสรรพสามิตตามข้อ ๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประกาศราคาขายปลีกใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามภาษีสรรพสามิตและภาษีอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกำหนดเวลาที่ราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
รับทราบและปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับนี้
ประกาศราคาขายปลีกใหม่ตามวรรคหนึ่ง
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานอาจประกาศในคราวเดียวหรือหลายคราวก็ได้[๔]
ข้อ ๑๐
เมื่อมีประกาศราคาขายปลีกใหม่ตามข้อ
๙ ให้
(๑) กระทรวงพลังงาน ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) สั่งให้กรมธุรกิจพลังงาน
สำนักงานพลังงานภูมิภาค
และพลังงานจังหวัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
คลังน้ำมันและสถานีบริการในกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดที่รับผิดชอบ ตั้งแต่เวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข) สั่งให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค และพลังงานจังหวัด
มีหน้าที่รวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นส่งให้กรมธุรกิจพลังงานอย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๒) กระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติดังต่อไปนี้
สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบและสั่งการให้นายอำเภอท้องที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการในจังหวัดที่รับผิดชอบ ร่วมกับสำนักงานพลังงานภูมิภาคพลังงานจังหวัด
สำนักงานการค้าภายในจังหวัด กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๓) กระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
สั่งให้กรมการค้าภายในส่งเจ้าหน้าที่สำนักชั่งตวงวัด
ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ สถานีบริการในเขตกรุงเทพมหานคร
ร่วมกับตำรวจนครบาลท้องที่ กรมธุรกิจพลังงาน ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
และส่งผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน ตามแบบที่กำหนด
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข) สั่งให้สำนักงานการค้าภายในจังหวัด ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่รับผิดชอบ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
นายอำเภอท้องที่ สำนักงานพลังงานภูมิภาค และพลังงานจังหวัด ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐
นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๔) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลท้องที่
ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ สถานีบริการ ร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน
สำนักชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน ในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับและส่งผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน ตามแบบที่กำหนด
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข) สั่งให้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่รับผิดชอบร่วมกับนายอำเภอท้องที่
สำนักงานพลังงานภูมิภาค พลังงานจังหวัด และสำนักงานการค้าภายในจังหวัด ตั้งแต่เวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
ข้อ ๑๑
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
พิจารณาวินิจฉัยและให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๑๒
คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
สั่ง
ณ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สมัคร
สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๕๒ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๕]
อุรารักษ์/ผู้จัดทำ
๓๐
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๒๐ ง/หน้า ๓๖/๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑
[๒] ข้อ ๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๕๒ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓] ข้อ ๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๕๒ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๔] ข้อ ๙ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๒ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๕ ง/หน้า ๔๖/๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ |
707077 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ Update ล่าสุด) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น
โดยที่รัฐบาลมีนโยบายให้โอนงานที่กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียน
ให้ฝ่ายเลขานุการเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการ
และกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น ทำหน้าที่รับผิดชอบเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับโอนจากกระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ นอกจากนี้
รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงให้แก่ชาวประมง
โดยให้ตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๒ ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง[๒] หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา
น้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
น้ำมันดิบสังเคราะห์ที่ใช้หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้น
และให้หมายความรวมถึงก๊าซ ยางมะตอย และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย
ก๊าซ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่
โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์[๓] หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่
เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โดยมีลักษณะและคุณภาพตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
คลังก๊าซ[๔] หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่ง
โดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุรวมกันทุกถังตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ถังก๊าซหุงต้ม หมายความว่า ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐
กิโลกรัม แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โรงกลั่น[๕] หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึง
(๑)
โรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
(๒)
จุดจำหน่ายของสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในราชอาณาจักร
สถานีบริการ หมายความว่า สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชน
แต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ
และร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
โรงงานอุตสาหกรรม[๖] หมายความว่า
สถานประกอบการที่มีการเก็บรักษาก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบสำหรับกระบวนการผลิต
โดยมีการเก็บรักษาและใช้ก๊าซจากถังเก็บและจ่ายก๊าซตามประกาศกระทรวงพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายหรือกฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
แต่ไม่หมายความรวมถึงโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ
โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น หมายความว่า ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ราคาขายปลีก หมายความว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
หรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ แล้วแต่กรณี
ค่าการตลาด หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน
และของผู้ค้าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ สั่งนำเข้า
หรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย
ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
ภาษี หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ
ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราภาษีสูงสุด หมายความว่า อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
อัตราภาษีต่ำสุด หมายความว่า อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
ผู้บรรจุก๊าซ[๗] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
เจ้าของสถานีบริการ หมายความรวมถึง
ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
คณะอนุกรรมการ หมายความว่า คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน หมายความรวมถึง ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายด้วย
สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
ข้อ ๓ ให้ตั้งกองทุนเรียกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่น ๆ
ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา
และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ
ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔)[๘]
กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
ก๊าซที่จำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
และก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
(๕) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗)
พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ ๕
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามอำนาจหน้าที่ในข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ ๖ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน
มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้ และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ
๔ ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ ๗ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ
ดังนี้
-
ค่าจ้างชั่วคราว
-
ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
- ครุภัณฑ์
-
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
ข้อ ๘[๙]
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ให้หมายความรวมถึงกรณีที่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่น ได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตมาใช้ในกิจการของตนเองด้วย
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้
ตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๙ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๙/๑[๑๐] ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ
มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่สถาบันตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการประกาศกำหนด
ข้อ ๑๐[๑๑]
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๑๒[๑๒] ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงิน และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้
การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ตามข้อ ๑๓ และ การส่งออกก๊าซ ตามข้อ ๑๓/๑
ข้อ ๑๓
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
(๑) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวส่งเงินเข้ากองทุน
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๓)
ในกรณีที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมิได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับเงินชดเชยตาม
(๒)
ไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตาม
(๑) (๒)
และ (๓)
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ
๑๓/๑[๑๓]
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับการส่งออกก๊าซ
(๑) ถ้าเป็นก๊าซที่ไม่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้ส่งออกส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าเป็นก๊าซที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุน
และการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๔
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย ถ้าได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว
ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๕ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีก
ให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒) สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด
โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๑) แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๒)
ข้อ ๑๖
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนด
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า
และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวัน
นับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำ
เดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่
๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่
๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓ ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑
ถึงวันสิ้นเดือน ภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๗
เพื่อให้มีก๊าซสำหรับประชาชนใช้ในการหุงต้มอย่างพอเพียง
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้ม
ต้องจัดให้มีการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้ม
และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกอำเภอที่มีการใช้ถังหุงต้มซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
ในการบรรจุก๊าซหรือจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวอาจมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓ รายอื่น
หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้
โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การยื่นขออนุญาต การเปลี่ยนแปลง
การยกเลิก และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
หรือผู้บรรจุก๊าซซึ่งดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ
และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของกรมธุรกิจพลังงานในการขอรับเครื่องหมายประจำตัว
การปิดผนึกลิ้น การแสดงเครื่องหมายประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กำหนดไว้ข้างต้น
วรรคสี่[๑๔]
(ยกเลิก)
วรรคห้า[๑๕]
(ยกเลิก)
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในวรรคสาม
ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคสองได้ทุกราย
และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งของผู้ถูกเพิกถอนทราบ
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้เฉพาะรายที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของตนและแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ
ข้อ ๑๘
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายหรือมีไว้จำหน่าย
ซึ่งก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว โดยไม่มีอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นหรือเครื่องหมายประจำตัวตามที่กำหนดในข้อ
๑๗ วรรคสาม
ข้อ ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่ผู้บรรจุก๊าซ หรือฝาก
หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้บรรจุก๊าซมีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๐[๑๖] ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการและโรงงานอุตสาหกรรม
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๑[๑๗] ผู้บรรจุก๊าซต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซ หรือรับฝาก หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ
ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ
๑๗ วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
(๓) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการ และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๒[๑๘] เจ้าของสถานีบริการต้องปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒)
ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
(๓) ไม่บรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มเพื่อขายหรือจำหน่ายให้ผู้อื่น
(๔) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้โรงงานอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๕)
แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป ที่จำหน่าย
และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน
ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ รายการ
และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๒/๑[๑๙]
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป ที่จำหน่าย
และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน
ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ รายการ
และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ
๒๒/๒[๒๐] ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา
ที่ใช้ไป ที่จำหน่ายและคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการและระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๓
ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ
ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อ ๒๔
ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี) ทั้งนี้ตามระเบียบที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด
ข้อ ๒๕[๒๑] ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น
หรือในกรณีที่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น ทั้งนี้
ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง และก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน
และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุน และการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพสามิตหรืออธิบดีกรมศุลกากรกำหนด แล้วแต่กรณี
ข้อ ๒๖[๒๒]
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนด ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่าตนมีกรณีดังกล่าว
ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด
หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน
จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หรือแก่สถาบันสำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หรือกรมธุรกิจพลังงานหรือสถาบันสำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ
เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมธุรกิจพลังงานหรือสถาบัน
แล้วแต่กรณี
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร
หรือสถาบัน แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม (๒) แล้ว
ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
ให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมธุรกิจพลังงาน แล้วแต่กรณี
ดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม
(๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม (๑) และ (๒) นั้น หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ ๒๗ เงินที่ส่งเข้ากองทุน
และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้
แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒๗/๑[๒๓]
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
กรมธุรกิจพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ
หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพลังงานจังหวัด
สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือตำรวจภูธรจังหวัด
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่าง
ๆ แต่ละจังหวัด
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) เข้าไปในสำนักงาน โรงกลั่น สถานที่เก็บ สถานที่ใช้ สถานที่บรรจุ
สถานีบริการ และสถานที่จำหน่ายก๊าซของผู้ค้าน้ำมัน ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
(๒) สั่งให้ผู้ค้าน้ำมัน ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
แสดงบัญชีปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ ที่จำหน่ายและคงเหลือ
รวมทั้งเอกสารและหลักฐาน
(๓) เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งบัญชี เอกสาร
และหลักฐานใด ๆ มาให้ ณ ที่ทำการของพนักงานเจ้าหน้าที่
ผู้ค้าน้ำมัน
ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ต้องให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตามวรรคสองตามสมควร
ข้อ ๒๘
การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ ของคำสั่งนี้
หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ผู้อำนวยการรับไว้พิจารณา
ข้อ ๒๙
บรรดาระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑
ของคำสั่งนี้
ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้
ระเบียบและประกาศดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับการส่งเงินเข้ากองทุน
การขอรับเงินชดเชย
และการจ่ายเงินจากกองทุนทั้งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามหรือในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ ๓๐
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๓๑ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔
ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๒๔]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ได้พิจารณาเรื่อง ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ
และได้มีมติให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม ๒๕๔๗
เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวดังกล่าว
ข้อ ๓ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นไป
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๒๕]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่
๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒
เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันและให้มีการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม
๒๕๕๒ เห็นชอบให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติ
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๒๖]
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔
(ครั้งที่ ๑๓๖) เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔
เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นนํ้ามัน
และการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าและการจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG)
รายอื่นมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากการนำเข้าและการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ได้ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อรองรับนโยบายและหลักการดังกล่าว
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๕ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๒๗]
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๔
(ครั้งที่ ๑๓๘) เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เกี่ยวกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) โดยให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
กิโลกรัมละ ๑ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อให้การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว
ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมเป็นไปตามนโยบายดังกล่าว
ปณตภร/ผู้จัดทำ
๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๒๕ ง/หน้า ๑๑๒/๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘
[๒] ข้อ ๒ นิยามคำว่า น้ำมันเชื้อเพลิง แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓] ข้อ ๒ นิยามคำว่า ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๔] ข้อ ๒ นิยามคำว่า คลังก๊าซ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๕] ข้อ ๒ นิยามคำว่า โรงกลั่น แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๖] ข้อ ๒ นิยามคำว่า โรงงานอุตสาหกรรม เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๗] ข้อ ๒ นิยามคำว่า ผู้บรรจุก๊าซ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๘] ข้อ ๔ (๔)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๙] ข้อ ๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๕ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๐] ข้อ ๙/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๑] ข้อ ๑๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๒] ข้อ ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๓] ข้อ ๑๓/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๔] ข้อ ๑๗ วรรคสี่
ยกเลิกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๕] ข้อ ๑๗ วรรคห้า
ยกเลิกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๖] ข้อ ๒๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๗] ข้อ ๒๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๘] ข้อ ๒๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๙] ข้อ ๒๒/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๐] ข้อ ๒๒/๒ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๑] ข้อ ๒๕
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๕ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๒] ข้อ ๒๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๓] ข้อ ๒๗/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๔/ตอนพิเศษ ๒ ง/หน้า ๕๓/๘ มกราคม ๒๕๕๐
[๒๕] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๒๙ ง/หน้า ๑๐/๕ มีนาคม ๒๕๕๓
[๒๖] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๘/ตอนพิเศษ ๗๖ ง/หน้า ๓๔/๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔
[๒๗] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๔ ง/หน้า ๓๔/๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ |
723949 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 10/2523 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ Update ล่าสุด) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑๐/๒๕๒๓
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการ
ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงมาตรการในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้เกิดการประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิก
(๑) คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๗/๒๕๒๒ เรื่อง
มาตรการประหยัดไฟฟ้า ลงวันที่ ๑๔
สิงหาคม ๒๕๒๒
(๒) คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๓/๒๕๒๓ เรื่อง
มาตรการประหยัดไฟฟ้า ลงวันที่ ๘
เมษายน ๒๕๒๓
(๓) คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๒๓ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อการประหยัดไฟฟ้า
ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๒๓
(๔) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗/๒๕๒๓
เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและ
ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๓
(๕) คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๒๓ เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงมาตรการประหยัดไฟฟ้าสำหรับสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย
จังหวัดสงขลา (ช่อง ๑๐ หาดใหญ่) ลงวันที่ ๑๖
กันยายน ๒๕๒๓
ข้อ ๒[๒]
ห้ามมิให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิงภายในเขตกรุงเทพมหานครและนอกเขตเทศบาลทั่วราชอาณาจักร
จะเปิดบริการหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในวันอาทิตย์ได้ตลอดวัน
เฉพาะชนิดน้ำมันดีเซล
ข้อ ๓[๓] ในวันอื่นนอกจากวันอาทิตย์
ให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิงภายในกรุงเทพมหานครและเขตเทศบาลทั่วราชอาณาจักร
เปิดบริการหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงได้เฉพาะในระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ นาฬิกา ถึง
๑๘.๐๐ นาฬิกา
ในวันอื่นนอกจากวันอาทิตย์ให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนอกเขตกรุงเทพมหานครและนอกเขตเทศบาลทั่วราชอาณาจักร
เปิดบริการหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดได้ เว้นแต่ในระหว่างเวลา ๑๘.๐๐
นาฬิกา ถึง ๐๖.๐๐ นาฬิกา ของวันใหม่ ให้จำหน่ายได้เฉพาะชนิดน้ำมันดีเซล
ข้อ ๔
ห้ามใช้ไฟฟ้าในการโฆษณาป้ายสินค้าหรือบริการ
ยกเว้นการโฆษณาป้ายชื่อร้านหรือป้ายชื่อภาพยนตร์
ให้ใช้ไฟฟ้าโฆษณาได้ร้านหรือโรงภาพยนตร์ละไม่เกินหนึ่งป้าย สำหรับป้ายชื่อร้านให้ใช้ไฟฟ้าได้ระหว่างเวลา
๑๘.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๑.๐๐ นาฬิกา และสำหรับป้ายชื่อภาพยนตร์ ให้ใช้ไฟฟ้าเฉพาะระหว่างเวลาที่กำหนดให้ฉายภาพยนตร์ได้เท่านั้น
ข้อ ๕
ให้สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการเปิดทำการได้เฉพาะระหว่างเวลา
ดังต่อไปนี้
(๑)[๔] (ยกเลิก)
(๒) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา
หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่าย และบริการโดยมีที่สำหรับพักผ่อนหลับนอน
หรือมีบริการนวดให้แก่ลูกค้า ให้เปิดได้ในวันธรรมดาระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ถึง
๒๒.๐๐ นาฬิกา และในวันหยุดราชการระหว่างเวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๒.๐๐ นาฬิกา
(๓) สถานอาบน้ำ นวด หรืออบตัว ซึ่งมีผู้บริการให้แก่ลูกค้า
ให้เปิดได้ในวันธรรมดาระหว่างเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๔.๐๐ นาฬิกา
และในวันหยุดราชการระหว่างเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๔.๐๐ นาฬิกา
สถานอาบน้ำ นวด หรืออบตัว
ซึ่งมีผู้บริการให้แก่ลูกค้าแห่งใดเป็นร้านตัดผลหรือดัดผมด้วย ให้เปิดเฉพาะที่เกี่ยวกับการตัดผมหรือดัดผมได้ระหว่างเวลา
๐๘.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๐.๐๐ นาฬิกา
(๔)[๕] (ยกเลิก)
ระยะเวลาเปิดและปิดทำการในข้อนี้
มิให้ใช้บังคับแก่สถานบริการในระหว่างเทศกาลขึ้นปีใหม่ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม
ถึงวันที่ ๑ มกราคม ของทุกปี
ข้อ ๖ ให้สถานีวิทยุโทรทัศน์งดการส่งวิทยุโทรทัศน์ระหว่างเวลา
๑๘.๓๐ นาฬิกา ถึง ๒๐.๐๐ นาฬิกา เว้นแต่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย
จังหวัดสงขลา (ช่อง ๑๐ หาดใหญ่) ให้งดการส่งวิทยุโทรทัศน์ตามกำหนดเวลาดังนี้
(๑) ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์
ให้งดการส่งวิทยุโทรทัศน์ระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ถึง ๑๗.๓๐ นาฬิกา
(๒) สำหรับวันเสาร์และวันอาทิตย์
ให้งดการส่งวิทยุโทรทัศน์ระหว่างเวลา ๐๙.๐๐ นาฬิกา ถึง ๑๐.๓๐ นาฬิกา
ข้อ ๗
ให้คณะกรรมการเฉพาะกิจในภาวะฝนแล้งตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๕/๒๕๒๓ มีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อให้ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมและกิจการที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าในช่วงเวลาระหว่าง
๑๘.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๑.๐๐ นาฬิกา ปฏิบัติเกี่ยวกับระยะเวลาในการดำเนินกิจการ ทั้งนี้
เพื่อประโยชน์ในการประหยัดการใช้ไฟฟ้า
ข้อ ๘
คำสั่งนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป เว้นแต่ความในข้อ
๒ และข้อ ๓ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป
และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๗/๒๕๒๓ ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๓
ให้คงมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๓
สั่ง ณ วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2523
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๒/๒๕๒๓ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๖]
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑/๒๕๒๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๗]
ข้อ ๒ คำสั่งนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป
อภิญญา/ปรับปรุง
๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๗/ตอนที่ ๑๘๕/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒ ธันวาคม ๒๕๒๓
[๒]
ข้อ ๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๒/๒๕๒๓ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓]
ข้อ ๓
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๒/๒๕๒๓ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๔] ข้อ ๕ (๑)
ยกเลิกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑/๒๕๒๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๕]
ข้อ ๕ (๔)
ยกเลิกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑/๒๕๒๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๗/ตอน ๑๙๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๗/๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๓
[๗] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๘/ตอน ๑๒๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๕/๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๔ |
723982 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ สลร. 1/2517 เรื่อง การใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ Update ล่าสุด) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ สลร. ๑/๒๕๑๗
เรื่อง
การใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกัน
การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งกำหนดมาตรการ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑
ให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในกิจการตามที่กล่าวในข้อนี้ ปฏิบัติดังนี้
(๑)[๑]
ห้ามใช้ไฟฟ้าในการโฆษณาสินค้าก่อนเวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกา และหลังเวลา ๒๒.๐๐ นาฬิกา
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การใช้ไฟฟ้าในการโฆษณาป้ายชื่อร้านไม่เกินหนึ่งป้าย
และป้ายชื่อภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ ไม่เกินหนึ่งป้าย
(๒)[๒]
(ยกเลิก)
(๓)
ห้ามสถานบริการตามความในมาตรา ๓ (๓) แห่งพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
ซึ่งมีความหมายว่า สถานอาบน้ำ นวด หรืออบตัว ซึ่งมีหญิงบริการให้แก่ลูกค้าชาย
เปิดบริการในวันธรรมดาก่อนเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา เฉพาะวันหยุดราชการ ให้เปิดได้ตามปกติ
ถ้าสถานบริการนั้นเป็นร้านตัดผมด้วย
ให้เปิดดำเนินการได้ระหว่างเวลา ๘.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๐.๐๐ นาฬิกา ตามกฎกระทรวง
(พ.ศ.๒๕๐๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
ข้อ
๒ ให้ปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ทั่วพระราชอาณาจักร
ข้อ
๓
ให้คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจาดวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒
มกราคม ๒๕๑๗
สัญญา ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ สลร. ๑๘/๒๕๑๗ เรื่อง
การใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๓]
ข้อ ๔
ให้คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ สลร. ๔๙/๒๕๑๗ เรื่อง
การใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๔]
ข้อ ๓ ให้คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
อภิญญา/ปรับปรุง
๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ข้อ ๑ (๑)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ สลร.๔๙/๒๕๑๗ เรื่อง
การใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒] ข้อ ๑ (๒) ยกเลิกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ สลร.๔๙/๒๕๑๗ เรื่อง
การใช้มาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๑/ตอน ๒๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๕/๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๑/ตอน ๑๔๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๖ กันยายน ๒๕๑๗ |
724061 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 5/2523 เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ Update ล่าสุด) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๕/๒๕๒๓
เรื่อง
การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
และสมควรโอนอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายเงินชดเชยการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งเดิมกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและของผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังและของปลัดกระทรวงการคลัง แล้วแต่กรณี
รวมทั้งกำหนดให้อำนาจแก่คณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ
ในการกำหนดราคานำเข้าของน้ำมันเชื้อเพลิงบางชนิดด้วย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิก
(๑)
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๐๒๐๑/๙ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒
(๒)
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๘๗/๒๕๒๒ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๒
(๓)
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ สร. ๐๒๐๑/๕๔ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๒
(๔)
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๒๓ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๒
(๕)
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๒๓ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
ข้อ
๒ ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามข้อ ๓ แห่งคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน
น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา และน้ำมันที่คล้ายกัน
หรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
และหมายความรวมถึงก๊าซหุงต้มและยางมะตอยด้วย
ปตท. หมายความว่า การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด หมายความว่า
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักรที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดตามข้อผูกพันในสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมัน
ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับบริษัทโรงกลั่นน้ำมันไทย จำกัด
หรือสัญญาอื่นในลักษณะเดียวกัน (ถ้ามี)
ข้อ
๓ ให้จัดตั้งกองทุน เรียกว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑)
เงินทุนตามข้อ ๔
(๒)
เงินที่ผู้มีหน้าที่ส่งเข้ากองทุนตามข้อ ๙
(๓)
เงินที่โอนมาตามข้อ ๕
(๔)
เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕)
เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๖)
เงินอื่น ๆ
ข้อ
๔
ให้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๐๒๐๑/๙ ลงวันที่
๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ และคำสั่งที่แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งดังกล่าว
เป็นเงินกองทุนตามคำสั่งนี้
ข้อ
๕ เงินที่ค้างจ่ายในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
เงินที่เหลือจากการจ่ายชดเชยให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับจากกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑๗๘/๒๕๒๐ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๐
(๒)
เงินที่เหลือจากการจ่ายชดเชยให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับจากกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
(เงินตราต่างประเทศ) ที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๖/๒๕๒๑ ลงวันที่
๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๑
(๓)
เงินค่าเช่าโรงกลั่นน้ำมันประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ และพ.ศ. ๒๕๒๒
ที่ได้รับจากบริษัทซัมมิทอินดัสเตรียล จำกัด (ปานามา)
ตามสัญญาเช่าโรงกลั่นน้ำมันที่ ๒ ของกระทรวงกลาโหม
(๔)
เงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ และพ.ศ. ๒๕๒๒
ที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับจากบริษัทโรงกลั่นน้ำมันไทย จำกัด ตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมัน
และจากบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด
ตามสัญญาประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมและเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม
(๕)
เงินกำไรและส่วนลดที่ได้จากการซื้อขายเชงลีระยะยาว
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ลงวันที่ ๑๔
มกราคม ๒๕๒๒
ข้อ
๖
ในกรณีที่น้ำมันเชื้อเพลิงผลิตในโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
ให้ราคาขายส่งโดยยังไม่รวมภาษีอากร ณ โรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
ที่คณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียม ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๒/๒๕๒๓ ลงวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ได้กำหนดไว้แล้ว ในวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ
เป็นราคาขายส่งโดยยังไม่รวมภาษีอากร ณ โรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร ตามคำสั่งนี้
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้คณะกรรมการเปลี่ยนแปลงราคาขายส่ง โดยยังไม่รวมภาษีอากร ณ โรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้กำหนดไว้แล้วทุกครั้งให้สอดคล้องกันด้วย
เพื่อประโยชน์ในการกำหนดราคาขายส่งโดยยังไม่รวมภาษีอากร
ณ โรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักรตามข้อนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้คณะกรรมการทราบโดยไม่ชักช้า
ข้อ
๗[๒] เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ในกรณีที่มีการนำน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ให้คณะกรรมการกำหนดราคาสำหรับน้ำมันดังกล่าวด้วย
สำหรับก๊าซหุงต้ม
ให้คณะกรรมการกำหนดราคาตามวรรคหนึ่ง และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๒๓
ข้อ
๘
ในกรณีที่คณะกรรมการได้กำหนดราคาขายส่งสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตในโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักรตามข้อ
๖ ให้ถือราคาที่คณะกรรมการกำหนดเป็นราคาขายส่ง ณ
โรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักรโดยยังไม่รวมภาษีอากร
ข้อ
๙[๓] ในกรณีที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดตามข้อ
๖ สูงกว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด
หรือในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดราคาสำหรับน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ
๗ แล้ว ถ้าราคานำเข้าต่ำกว่าราคาขายส่ง ให้
(๑)
ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒)
ผู้นำน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ทั้งนี้
ในอัตราต่อหน่วยของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายหรือน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
แล้วแต่กรณี ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
เงินที่ส่งตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือเป็นรายจ่ายตามประมวลรัษฎากร
ข้อ
๑๐ ในการส่งเงินเข้ากองทุนตามข้อ ๙
ให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายจากโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ต้องส่งให้แก่ผู้รับชำระภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันซึ่งทำในราชอาณาจักรพร้อมกับการขำระภาษีนั้น
(๒)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพี่อใช้ในราชอาณาจักร
ต้องส่งให้แก่ผู้รับชำระอากรขาเข้า พร้อมกับการชำระอากรนั้น
ข้อ
๑๑[๔]
ในกรณีที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดตามข้อ ๖
ต่ำกว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด
หรือในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดราคาสำหรับน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ
๗ แล้ว ถ้าราคานำเข้าสูงกว่าราคาขายส่ง
ให้ปลัดกระทรวงการคลังหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังมอบหมายสั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่
(๑)
ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
เพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒)
ผู้นำน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรตามปริมาณน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ทั้งนี้
ในอัตราต่อหน่วยของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายหรือน้ำมันดิบที่ใช้แทนน้ำมันเตาหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
แล้วแต่กรณี ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
เงินที่ได้รับตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ
๑๒
ในกรณีที่น้ำมันเตาที่ผลิตและจำหน่ายหรือนำเข้ามีลักษณะแตกต่างไปจากน้ำมันเตาที่ประกาศราคาตามข้อ
๖
ให้คณะกรรมการคำนวณปรับอัตราเงินที่ต้องส่งหรือชดเชยให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันเตาที่กำหนดตามข้อ
๖ ด้วย
ข้อ
๑๓ ให้ปลัดกระทรวงการคลัง
หรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังมอบหมายสั่งจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนให้แก่
(๑)
ในการนำเข้า
(ก)
สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าตามชนิด ปริมาณ
และราคาที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๗๒/๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ และคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๕/๒๕๒๒
ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นจำนวนไม่เกินส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่นำเข้าแต่ละคราวที่คำนวณตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดหักด้วยมูลค่าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดโดยรวมภาษีอากรและเงินที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้
โดยต้องมีหลักฐานเอกสารประกอบการพิจารณาดังต่อไปนี้ด้วย
(๑)
สำเนาเอกสารอนุมัติซื้อน้ำมัน หรือน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ซึ่งมีอำนาจอนุมัติซื้อ
(๒)
สำเนาเอกสารซื้อขายน้ำมันดิบ หรือน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓)
สำเนาใบทวงหนี้ หรือสำเนาเอกสารการชำระหนี้
(ข)
สำหรับน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ ปตท. นำเข้าตามชนิด ปริมาณ
และราคาที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ปตท. หรือ ผู้ที่คณะกรรมการ ปตท. มอบหมาย
เป็นจำนวนไม่เกินส่วนต่าง ระหว่างมูลค่าที่นำเข้าแต่ละคราวที่คำนวณตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด หักด้วยมูลค่าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด โดยรวมภาษีอากร
และเงินที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ โดยต้องมีหลักฐานเอกสารประกอบการพิจารณาดังต่อไปนี้ด้วย
(ค)[๕]
สำหรับน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย
ที่นำเข้าโดยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นจำนวนไม่เกินส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่นำเข้าแต่ละคราวที่คำนวณตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดสำหรับ (ข)
หักด้วยมูลค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากน้ำมันดิบนั้นหรือมูลค่าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
แล้วแต่กรณี ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด
โดยรวมภาษีอากรและเงินที่ส่งเข้ากองทุนในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้
โดยต้องมีหลักฐานเอกสารประกอบการพิจารณาดังต่อไปนี้ด้วย คือ
(๑)
สำเนาเอกสารการอนุมัติหรือนำเข้าซึ่งน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้มีอำนาจอนุมัติซื้อ
(๒)
สำเนาเอกสารซื้อขาย
(๓)
สำเนาใบทวงหนี้หรือเอกสารการชำระหนี้
(๔)
สำเนาใบสำคัญเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
(๕)
หนังสือรับรองว่าเอกสารตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔) เป็นสำเนาของต้นฉบับที่แท้จริง
และเกี่ยวข้องกับการขอรับเงินชดเชยแต่ละรายการ
ในกรณีที่ปรากฏว่าได้มีการนำน้ำมันดิบไปใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใดโดยตรง
มูลค่าน้ำมันดิบที่จะนำไปหักตามวรรคหนึ่งนั้น ให้ถือตามราคาที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดนั้น
โดยไม่รวมภาษีอากรและเงินที่ส่งเข้ากองทุนในช่วงเวลาเดียวกัน
(๑)
ในการนำเข้า
(ก)
สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าตามชนิด ปริมาณ
และราคาที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๗๒/๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ และคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๕/๒๕๒๒
ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นจำนวนไม่เกินส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่นำเข้าแต่ละคราวที่คำนวณตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด หักด้วยมูลค่าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดโดยรวมภาษีอากรและเงินที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้
โดยต้องมีหลักฐานเอกสารประกอบการพิจารณาดังต่อไปนี้ด้วย
(๑)
สำเนาเอกสารอนุมัติซื้อน้ำมัน หรือน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ซึ่งมีอำนาจอนุมัติซื้อ
(๒)
สำเนาเอกสารซื้อขายน้ำมันดิบ หรือน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓)
สำเนาใบทวงหนี้ หรือสำเนาเอกสารการชำระหนี้
(ข)
สำหรับน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ ปตท. นำเข้าตามชนิด ปริมาณ
และราคาที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ปตท. หรือผู้ที่คณะกรรมการ ปตท. มอบหมาย
เป็นจำนวนไม่เกินส่วนต่าง ระหว่างมูลค่าที่นำเข้าแต่ละคราวที่คำนวณตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด หักด้วยมูลค่าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด โดยรวมภาษีอากร
และเงินที่ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้
โดยต้องมีหลักฐานเอกสารประกอบการพิจารณาดังต่อไปนี้ด้วย คือ
(๑)
สำเนาเอกสารแสดงการอนุมัติซื้อน้ำมัน หรือน้ำมันเชื้อเพลิงของคณะกรรมการ ปตท.
หรือของผู้ที่คณะกรรมการ ปตท. มอบหมาย หรือของผู้มีอำนาจอนุมัติซื้อ
(๒)
สำเนาเอกสารซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนน้ำมันดิบ หรือน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓)
สำเนาในทวงหนี้ หรือสำเนาเอกสารการชำระหนี้
(๒)
ในกรณีที่ ปตท. ขายน้ำมันดิบ น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา ที่ได้รับเงินชดเชยตาม (๑) (ก)
หรือ (ข) ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
หรือชายน้ำมันดีเซลที่ได้รับเงินชดเชยตาม (๑) (ก) หรือ (ข)
ให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้งนี้
ในอัตราต่อหน่วยของน้ำมันดิบ น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา ที่ขายตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ข้อ
๑๔ ในการขอรับเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายจากโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันซึ่งทำในราชอาณาจักร
พร้อมกับการชำระอากรนั้น
(๒)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ให้ยื่นราบการแจ้งชนิดและปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้า
พร้อมกับการชำระอากรนั้น
(๓)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ ๑๓ (๑) (ก)
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด
(๔)[๖]
ถ้าเป็นน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ ๑๓ (๑) (ข) หรือ (ค)
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณของน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด
(๕)
ถ้าเป็นน้ำมันดิบ น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา
ที่ขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
หรือน้ำมันดีเซลที่ขายให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามข้อ ๑๓ (๒)
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันดิบ น้ำมันเตา หรือน้ำมันดีเซลดังกล่าวต่อกระทรวงการคลัง
ข้อ
๑๕ ในการส่งเงินตามข้อ ๙
หรือการสั่งจ่ายเงินชดเชยตามข้อ ๑๑
ให้ถือปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้มีหน้าที่ชำระภาษีหรืออากรต้องชำระภาษีหรืออากรเป็นหลักฐานในการคำนวณ
ส่วนการสั่งจ่ายเงินชดเชยตามข้อ ๑๓ ให้ถือปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันเตาหรือน้ำมันดีเซล
ที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณี
ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานในการคำนวณ
ข้อ
๑๖
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้แก่ธนาคารเนื่องจากการกู้เงินมาทดรองเงินชดเชยให้จ่ายจากกองทุนได้เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ
ข้อ
๑๗
ในกรณีที่ยังมีผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินจากกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑๗๘/๒๕๒๐ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๐ อยู่
ให้ปลัดกระทรวงการคลังหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังมอบหมายมีอำนาจจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ผู้มีสิทธิตามหลักฐานที่ได้รับจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในคำสั่งดังกล่าว
ข้อ
๑๘[๗] ให้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ แห่งคำสั่งนี้ใช้บังคับอยู่ต่อไป สำหรับกรณีที่มีการผลิตและจำหน่ายหรือนำเข้าซึ่งน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิงในราชอาณาจักรก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีตามข้อ ๑๓ (๑)
ให้ใช้บังคับแก่ ปตท.
และผู้นำเข้าที่ได้นำน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ
ข้อ
๑๙ ข้อ ๑๓ (๒)
ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ ปตท. ขายน้ำมันดิบ น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา
ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย แต่ต้องไม่ก่อนวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๒๒
ข้อ
๒๐
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติการตามคำสั่งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหรือกระทรวงการคลัง แล้วแต่กรณี
นำเรื่องเสนอให้คณะกรรมการปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาวินิจฉัย
และให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๓
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๖/๒๕๒๓ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง[๘]
อภิญญา/ปรับปรุง
๑๕ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๗/ตอน ๙๖/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๓
[๒] ข้อ ๗
วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๒๓ เรื่อง
การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓] ข้อ ๙
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๒๓ เรื่อง
การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๔] ข้อ ๑๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๒๓ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๕] ข้อ ๑๓ (๑)
(ค) เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๒๓ เรื่อง
การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๖] ข้อ ๑๔ (๔)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๒๓ เรื่อง
การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๗] ข้อ ๑๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๒๓ เรื่อง
การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๘] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๗/ตอน ๑๓๓/หน้า ๑๙๓/๒๖ สิงหาคม ๒๕๒๓ |
661450 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๕๕
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๘)
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เกี่ยวกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) โดยให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
กิโลกรัมละ ๑ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
เพื่อให้การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน
และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมเป็นไปตามนโยบายดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ (๑) และ (๓)
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘
ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำ มันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ให้หมายความรวมถึงกรณีที่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตมาใช้ในกิจการของตนเองด้วย
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้ ตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๕
ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๕ ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น
หรือในกรณีที่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น ทั้งนี้
ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง และก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน
และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุน และการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพสามิตหรืออธิบดีกรมศุลกากรกำหนด แล้วแต่กรณี
สั่ง ณ
วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๔ ง/หน้า ๓๔/๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ |
707075 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ Update ณ วันที่ 08/07/2554) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น
โดยที่รัฐบาลมีนโยบายให้โอนงานที่กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียน
ให้ฝ่ายเลขานุการเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการ
และกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น ทำหน้าที่รับผิดชอบเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับโอนจากกระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ นอกจากนี้
รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงให้แก่ชาวประมง
โดยให้ตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๒ ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง[๒] หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา
น้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
น้ำมันดิบสังเคราะห์ที่ใช้หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้น
และให้หมายความรวมถึงก๊าซ ยางมะตอย และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย
ก๊าซ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่
โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์[๓] หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่
เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โดยมีลักษณะและคุณภาพตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
คลังก๊าซ[๔] หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่ง
โดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุรวมกันทุกถังตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ถังก๊าซหุงต้ม หมายความว่า ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐
กิโลกรัม แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โรงกลั่น[๕] หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึง
(๑)
โรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
(๒)
จุดจำหน่ายของสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในราชอาณาจักร
สถานีบริการ หมายความว่า สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชน
แต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ
และร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
โรงงานอุตสาหกรรม[๖] หมายความว่า
สถานประกอบการที่มีการเก็บรักษาก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบสำหรับกระบวนการผลิต
โดยมีการเก็บรักษาและใช้ก๊าซจากถังเก็บและจ่ายก๊าซตามประกาศกระทรวงพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายหรือกฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
แต่ไม่หมายความรวมถึงโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ
โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น หมายความว่า ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ราคาขายปลีก หมายความว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
หรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ แล้วแต่กรณี
ค่าการตลาด หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน
และของผู้ค้าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ สั่งนำเข้า
หรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย
ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
ภาษี หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ
ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราภาษีสูงสุด หมายความว่า อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
อัตราภาษีต่ำสุด หมายความว่า อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
ผู้บรรจุก๊าซ[๗] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
เจ้าของสถานีบริการ หมายความรวมถึง
ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
คณะอนุกรรมการ หมายความว่า คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน หมายความรวมถึง ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายด้วย
สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
ข้อ ๓ ให้ตั้งกองทุนเรียกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่น ๆ
ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา
และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ
ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔)[๘]
กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
ก๊าซที่จำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
และก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
(๕) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗)
พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ ๕
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามอำนาจหน้าที่ในข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ ๖ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน
มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้ และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ
๔ ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ ๗ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ
ดังนี้
-
ค่าจ้างชั่วคราว
-
ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
- ครุภัณฑ์
-
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
ข้อ ๘
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้
ตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๙
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๙/๑[๙] ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ
มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่สถาบันตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการประกาศกำหนด
ข้อ ๑๐[๑๐]
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๑๒[๑๑] ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงิน และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้
การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงตามวรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ตามข้อ ๑๓ และ การส่งออกก๊าซ ตามข้อ ๑๓/๑
ข้อ ๑๓
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
(๑) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวส่งเงินเข้ากองทุน
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๓)
ในกรณีที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมิได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับเงินชดเชยตาม
(๒)
ไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตาม
(๑) (๒)
และ (๓)
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ
๑๓/๑[๑๒]
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับการส่งออกก๊าซ
(๑) ถ้าเป็นก๊าซที่ไม่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้ส่งออกส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าเป็นก๊าซที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุน
และการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๔
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
ถ้าได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว
ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว
ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๕
ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีก
ให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒)
สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด
โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๑)
แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๒)
ข้อ ๑๖
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนด
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า
และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวัน นับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำ
เดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่
๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่
๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓ ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑
ถึงวันสิ้นเดือน ภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๗ เพื่อให้มีก๊าซสำหรับประชาชนใช้ในการหุงต้มอย่างพอเพียง
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้ม
ต้องจัดให้มีการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้ม
และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกอำเภอที่มีการใช้ถังหุงต้มซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
ในการบรรจุก๊าซหรือจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวอาจมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้
โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การยื่นขออนุญาต การเปลี่ยนแปลง
การยกเลิก และการดำเนินการอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
หรือผู้บรรจุก๊าซซึ่งดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ
และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของกรมธุรกิจพลังงานในการขอรับเครื่องหมายประจำตัว
การปิดผนึกลิ้น การแสดงเครื่องหมายประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กำหนดไว้ข้างต้น
วรรคสี่[๑๓]
(ยกเลิก)
วรรคห้า[๑๔]
(ยกเลิก)
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในวรรคสาม
ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคสองได้ทุกราย
และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งของผู้ถูกเพิกถอนทราบ
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้เฉพาะรายที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของตนและแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ
ข้อ ๑๘
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายหรือมีไว้จำหน่าย
ซึ่งก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว
โดยไม่มีอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นหรือเครื่องหมายประจำตัวตามที่กำหนดในข้อ ๑๗ วรรคสาม
ข้อ ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่ผู้บรรจุก๊าซ หรือฝาก หรือกระทำด้วยวิธีการใด
ๆ ให้ผู้บรรจุก๊าซมีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๐[๑๕] ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการและโรงงานอุตสาหกรรม
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๑[๑๖] ผู้บรรจุก๊าซต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซ หรือรับฝาก หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ
ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒)
ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
(๓) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการ และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๒[๑๗] เจ้าของสถานีบริการต้องปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
(๓) ไม่บรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มเพื่อขายหรือจำหน่ายให้ผู้อื่น
(๔) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้โรงงานอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๕)
แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป ที่จำหน่าย
และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน
ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ รายการ
และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๒/๑[๑๘] เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการ และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ
๒๒/๒[๑๙] ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ
ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่ายและคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการและระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๓
ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ
ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อ ๒๔
ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ตามระเบียบที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด
ข้อ ๒๕ ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่นหรือกรณีผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น
ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ ๒๖[๒๐]
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนด ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่าตนมีกรณีดังกล่าว
ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด
หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน
จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หรือแก่สถาบันสำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หรือกรมธุรกิจพลังงานหรือสถาบันสำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ
เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมธุรกิจพลังงานหรือสถาบัน
แล้วแต่กรณี
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร
หรือสถาบัน แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม (๒) แล้ว
ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
ให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมธุรกิจพลังงาน แล้วแต่กรณี
ดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม
(๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม (๑) และ (๒) นั้น หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ ๒๗ เงินที่ส่งเข้ากองทุน
และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้
แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒๗/๑[๒๑]
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
กรมธุรกิจพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ
หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพลังงานจังหวัด
สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือตำรวจภูธรจังหวัด
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ แต่ละจังหวัด
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) เข้าไปในสำนักงาน โรงกลั่น สถานที่เก็บ สถานที่ใช้ สถานที่บรรจุ
สถานีบริการ และสถานที่จำหน่ายก๊าซของผู้ค้าน้ำมัน ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
(๒) สั่งให้ผู้ค้าน้ำมัน ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว แสดงบัญชีปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา
ที่ใช้ ที่จำหน่ายและคงเหลือ รวมทั้งเอกสารและหลักฐาน
(๓) เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งบัญชี เอกสาร
และหลักฐานใด ๆ มาให้ ณ ที่ทำการของพนักงานเจ้าหน้าที่
ผู้ค้าน้ำมัน
ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม
หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ต้องให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตามวรรคสองตามสมควร
ข้อ ๒๘
การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ ของคำสั่งนี้
หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ผู้อำนวยการรับไว้พิจารณา
ข้อ ๒๙
บรรดาระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑
ของคำสั่งนี้
ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้
ระเบียบและประกาศดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับการส่งเงินเข้ากองทุน
การขอรับเงินชดเชย
และการจ่ายเงินจากกองทุนทั้งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามหรือในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ ๓๐
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๓๑ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔
ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๒๒]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ได้พิจารณาเรื่อง ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ
และได้มีมติให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม ๒๕๔๗
เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวดังกล่าว
ข้อ ๓ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นไป
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๒๓]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่
๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒
เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันและให้มีการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม
๒๕๕๒ เห็นชอบให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติ
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๒๔]
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔
(ครั้งที่ ๑๓๖) เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔
เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นนํ้ามัน
และการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าและการจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG)
รายอื่นมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากการนำเข้าและการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ได้ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อรองรับนโยบายและหลักการดังกล่าว
ปณตภร/ผู้จัดทำ
๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๒๕ ง/หน้า ๑๑๒/๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘
[๒] ข้อ ๒ นิยามคำว่า น้ำมันเชื้อเพลิง แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓] ข้อ ๒ นิยามคำว่า ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๔] ข้อ ๒ นิยามคำว่า คลังก๊าซ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๕] ข้อ ๒ นิยามคำว่า โรงกลั่น แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๖] ข้อ ๒ นิยามคำว่า โรงงานอุตสาหกรรม เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๗] ข้อ ๒ นิยามคำว่า ผู้บรรจุก๊าซ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๘] ข้อ ๔ (๔)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๙] ข้อ ๙/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๐] ข้อ ๑๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๑] ข้อ ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๒] ข้อ ๑๓/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๓] ข้อ ๑๗ วรรคสี่
ยกเลิกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๔] ข้อ ๑๗ วรรคห้า
ยกเลิกโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๕] ข้อ ๒๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๖] ข้อ ๒๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๗] ข้อ ๒๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๘] ข้อ ๒๒/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๑๙] ข้อ ๒๒/๒ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๐] ข้อ ๒๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๑] ข้อ ๒๗/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๒๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๔/ตอนพิเศษ ๒ ง/หน้า ๕๓/๘ มกราคม ๒๕๕๐
[๒๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๒๙ ง/หน้า ๑๐/๕ มีนาคม ๒๕๕๓
[๒๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๘/ตอนพิเศษ ๗๖ ง/หน้า ๓๔/๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ |
654305 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 9/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๙/๒๕๕๔
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชน
โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ซึ่งมาตรการหนึ่งคือการลดหรือยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว
โดยปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ทำให้เกิดการขาดทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลด
ซึ่งอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันลดปริมาณการจำหน่ายหรืองดการจำหน่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน
ส่งผลให้อาจเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ (๑)
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๕๒ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ข้อ ๒ ในคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า
น้ำมันเบนซินออกเทน ๙๑ น้ำมันเบนซินออกเทน ๙๕ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
ซึ่งมีลักษณะและคุณภาพตามที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด ตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๐ และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
สถานีบริการ หมายความว่า
สถานที่สำหรับจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนโดยวิธีเติมหรือใส่ลงในที่บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงของยานพาหนะ
โดยใช้มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยมาตราชั่งตวงวัด
ที่ติดตั้งไว้เป็นประจำ ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓
เจ้าของสถานีบริการ หมายความว่า
ผู้มีกรรมสิทธิ์ในสถานีบริการ
และในกรณีที่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในสถานีบริการเป็นนิติบุคคลให้ถือว่ากรรมการผู้จัดการ
ผู้จัดการ
หรือบุคคลที่รับผิดชอบการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นเป็นเจ้าของสถานีบริการด้วย
ประกาศราคาขายปลีก หมายความว่า
ประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานตามข้อ ๓
อัตราเงินชดเชย หมายความว่า
อัตราชดเชยตามประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
สถาบัน หมายความว่า
สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
กองทุน หมายความว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ของกระทรวงพลังงาน
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีนี้
ข้อ ๓ เมื่อมีประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนตามนโยบายรัฐบาลในการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชน
ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประกาศราคาขายปลีกใหม่ อัตราเงินชดเชย และภาษีอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำหนดเวลาที่ราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และผู้ค้าน้ำมันรับทราบและปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ข้อ ๔ เมื่อมีการประกาศราคาขายปลีกตามข้อ ๓
ให้ผู้ค้าน้ำมันได้รับเงินชดเชยจากกองทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
ในเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับ
คูณด้วยอัตราเงินชดเชยตามประกาศราคาขายปลีก
ข้อ ๕ ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๖ เมื่อมีประกาศราคาขายปลีกตามข้อ ๓ ให้
(๑) ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิงหรือสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับ
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ตรวจสอบผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
และลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัด
(ค) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
ที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร
รวมทั้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายจากคลังน้ำมัน
เพื่อส่งไปให้แก่เจ้าของสถานีบริการก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับ
และส่งมอบให้แก่เจ้าของสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว
หรือมาถึงสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว
รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น (ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่มีการตรวจวัด
ทั้งนี้ กรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่ ณ
สถานีบริการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ให้พนักงานหรือลูกจ้างที่จัดการดูแลสถานีบริการมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้แทนเจ้าของสถานีบริการได้
(๒) กรมธุรกิจพลังงาน
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันทราบจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุน
ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้ส่งเงินเข้ากองทุนแต่ละชนิดแล้วคูณด้วยอัตราเงินชดเชย
พร้อมกับส่งสำเนาหนังสือให้สถาบันทราบ และให้ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวนำหนังสือของกรมธุรกิจพลังงานไปขอรับเงินชดเชยจากสถาบัน
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว
ข้อ ๗ การคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิตามข้อ
๔ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ข้อ ๘ เมื่อมีประกาศราคาขายปลีกตามข้อ ๓ ให้
(๑) กระทรวงพลังงาน ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) สั่งให้กรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานพลังงานจังหวัด
ส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
คลังน้ำมันและสถานีบริการทุกแห่งในกรุงเทพมหานครและในจังหวัดที่รับผิดชอบ
ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข) สั่งให้สำนักงานพลังงานจังหวัด
รวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือจากทุกสายตรวจ
นำเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อนำส่งให้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๒) กระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติดังต่อไปนี้
สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบ
สั่งการให้นายอำเภอท้องที่ส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในท้องที่
และผู้บริหารท้องถิ่น ส่งพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับมอบหมาย ไปร่วมตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการในพื้นที่จังหวัดที่รับผิดชอบ ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
และรวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือดังกล่าว
นำส่งสำนักงานพลังงานจังหวัด กระทรวงพลังงาน อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๓) กระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
สั่งให้สำนักงานการค้าภายในจังหวัด
ส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปร่วมตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการในจังหวัดที่รับผิดชอบ ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
และรวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือดังกล่าวนำส่งสำนักงานพลังงานจังหวัด
กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๔) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการ ร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน ในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐
นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข) สั่งให้ตำรวจภูธรจังหวัด ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปร่วมตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่รับผิดชอบ ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
และรวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือดังกล่าวนำส่งสำนักงานพลังงานจังหวัด
กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
ข้อ ๙ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่อย่างน้อย ๒ คน
ที่เข้าตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือตามข้อ ๘
ลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดในแบบตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
พิจารณาวินิจฉัยและให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๑๑ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป
สั่ง ณ
วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๕ กันยายน
๒๕๕๔
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๙๗ ง/หน้า ๕๖/๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ |
651477 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๕๔
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔
เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๖)
เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔
เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นนํ้ามัน
และการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าและการจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) รายอื่นมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากการนำเข้าและการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) ได้ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อรองรับนโยบายและหลักการดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ (๑) และ (๓)
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า คลังก๊าซ ในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
คลังก๊าซ หมายความว่า สถานที่
พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่ง
โดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุรวมกันทุกถังตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ข้อ ๒
ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า โรงงานอุตสาหกรรม ระหว่างคำว่า สถานีบริการ และคำว่า
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร ในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
โรงงานอุตสาหกรรม หมายความว่า
สถานประกอบการที่มีการเก็บรักษาก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบสำหรับกระบวนการผลิต
โดยมีการเก็บรักษาและใช้ก๊าซจากถังเก็บและจ่ายก๊าซตามประกาศกระทรวงพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายหรือกฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
แต่ไม่หมายความรวมถึงโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า ผู้บรรจุก๊าซ ในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ผู้บรรจุก๊าซ หมายความว่า
ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความใน
(๔) ของข้อ ๔ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๔) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
ก๊าซที่จำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร และก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
ข้อ ๕
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๙/๑ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๙/๑
ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ
มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งแก่สถาบันตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการประกาศกำหนด
ข้อ ๖
ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๗ ให้ยกเลิกวรรคสี่และวรรคห้าของข้อ
๑๗ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๘
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๐ ข้อ ๒๑ และข้อ ๒๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๐
ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการและโรงงานอุตสาหกรรม
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๑
ผู้บรรจุก๊าซต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซ หรือรับฝาก หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ
ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗ วรรคสอง
หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒)
ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
(๓) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการ และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๒
เจ้าของสถานีบริการต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒)
ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
(๓) ไม่บรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มเพื่อขายหรือจำหน่ายให้ผู้อื่น
(๔) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้โรงงานอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๕) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการ และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๙
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๒๒/๑ และข้อ ๒๒/๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่
๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒๒/๑
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่าย และคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการ และระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๒๒/๒
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ที่จำหน่ายก๊าซ ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ไป
ที่จำหน่ายและคงเหลือในแต่ละเดือนต่อกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลให้เป็นไปตามแบบ
รายการและระยะเวลาที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
ข้อ ๑๐
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒๖ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๖
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนด ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่าตนมีกรณีดังกล่าว
ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด
หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน
จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หรือแก่สถาบันสำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หรือกรมธุรกิจพลังงานหรือสถาบันสำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่จำหน่ายก๊าซ
เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร
หรือกรมธุรกิจพลังงานหรือสถาบัน แล้วแต่กรณี
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร
หรือสถาบัน แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม (๒) แล้ว
ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
ให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมธุรกิจพลังงาน แล้วแต่กรณี
ดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม (๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม (๑) และ (๒) นั้น
หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ ๑๑
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๒๗/๑ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒๗/๑
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
กรมธุรกิจพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ
หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพลังงานจังหวัด สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือตำรวจภูธรจังหวัด เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่าง
ๆ แต่ละจังหวัด
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) เข้าไปในสำนักงาน โรงกลั่น สถานที่เก็บ สถานที่ใช้ สถานที่บรรจุ
สถานีบริการ และสถานที่จำหน่ายก๊าซของผู้ค้าน้ำมัน ผู้บรรจุก๊าซ
เจ้าของสถานีบริการ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม
หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
(๒) สั่งให้ผู้ค้าน้ำมัน ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
แสดงบัญชีปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มา ที่ใช้ ที่จำหน่ายและคงเหลือ
รวมทั้งเอกสารและหลักฐาน
(๓) เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งบัญชี เอกสาร
และหลักฐานใด ๆ มาให้ ณ ที่ทำการของพนักงานเจ้าหน้าที่
ผู้ค้าน้ำมัน ผู้บรรจุก๊าซ เจ้าของสถานีบริการ
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ต้องให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตามวรรคสองตามสมควร
ข้อ ๑๒[๑]
คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ
วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒ สิงหาคม ๒๕๕๔
ณัฐวดี
ดำรง/ตรวจ
๒ สิงหาคม ๒๕๕๔
ปณตภร/ปรับปรุง
๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๗๖ ง/หน้า ๓๔/๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ |
707073 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ Update ณ วันที่ 05/03/2553) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น
โดยที่รัฐบาลมีนโยบายให้โอนงานที่กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียน
ให้ฝ่ายเลขานุการเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการ
และกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น ทำหน้าที่รับผิดชอบเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับโอนจากกระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ นอกจากนี้
รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงให้แก่ชาวประมง
โดยให้ตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๒ ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง[๒] หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา
น้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
น้ำมันดิบสังเคราะห์ที่ใช้หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้น
และให้หมายความรวมถึงก๊าซ ยางมะตอย และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย
ก๊าซ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่
โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์[๓] หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่
เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โดยมีลักษณะและคุณภาพตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
คลังก๊าซ หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่งโดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ถังก๊าซหุงต้ม หมายความว่า ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐
กิโลกรัม แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โรงกลั่น[๔] หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึง
(๑)
โรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
(๒) จุดจำหน่ายของสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในราชอาณาจักร
สถานีบริการ หมายความว่า สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชน
แต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ และร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ
โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น หมายความว่า ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ราคาขายปลีก หมายความว่า
ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
หรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ แล้วแต่กรณี
ค่าการตลาด หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ
ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน
และของผู้ค้าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ สั่งนำเข้า
หรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
ภาษี หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ
ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราภาษีสูงสุด หมายความว่า อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
อัตราภาษีต่ำสุด หมายความว่า อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
ผู้บรรจุก๊าซ หมายความว่า
ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการบรรจุก๊าซ
เจ้าของสถานีบริการ หมายความรวมถึง
ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
คณะอนุกรรมการ หมายความว่า คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน หมายความรวมถึง ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายด้วย
สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
ข้อ ๓ ให้ตั้งกองทุนเรียกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่น ๆ
ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา
และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ
ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
และก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายให้แก่ประชาชน
(๕) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗)
พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ ๕ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามอำนาจหน้าที่ในข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ ๖ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน
มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้ และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ
๔ ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ ๗ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ
ดังนี้
-
ค่าจ้างชั่วคราว
-
ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
- ครุภัณฑ์
-
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
ข้อ ๘
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้
ตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๙ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๐
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๑๒[๕] ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงิน และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้
การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงตามวรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ตามข้อ ๑๓ และ การส่งออกก๊าซ ตามข้อ ๑๓/๑
ข้อ ๑๓
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
(๑) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวส่งเงินเข้ากองทุน
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๓)
ในกรณีที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมิได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับเงินชดเชยตาม
(๒)
ไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน ไม่ว่าผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตาม
(๑) (๒)
และ (๓)
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ
๑๓/๑[๖]
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับการส่งออกก๊าซ
(๑) ถ้าเป็นก๊าซที่ไม่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้ส่งออกส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าเป็นก๊าซที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุน
และการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๔
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
ถ้าได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๕ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีก
ให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒) สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด
โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๑)
แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๒)
ข้อ ๑๖
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนด
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวัน
นับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำ
เดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่
๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่
๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓ ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑
ถึงวันสิ้นเดือน ภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๗
เพื่อให้มีก๊าซสำหรับประชาชนใช้ในการหุงต้มอย่างพอเพียง
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้ม
ต้องจัดให้มีการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้ม
และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกอำเภอที่มีการใช้ถังหุงต้มซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
ในการบรรจุก๊าซหรือจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวอาจมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้
โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การยื่นขออนุญาต การเปลี่ยนแปลง
การยกเลิก และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
หรือผู้บรรจุก๊าซซึ่งดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ
และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของกรมธุรกิจพลังงานในการขอรับเครื่องหมายประจำตัว
การปิดผนึกลิ้น การแสดงเครื่องหมายประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กำหนดไว้ข้างต้น
เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
และผู้บรรจุก๊าซให้เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสาม
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในกรมธุรกิจพลังงาน
สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ แต่ละจังหวัด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองและผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ต้องยินยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามวรรคสี่เข้าไปในสถานที่บรรจุก๊าซ
เก็บรักษาก๊าซ หรือจำหน่ายก๊าซเพื่อทำการตรวจสอบการปฏิบัติตามที่กำหนดในวรรคสาม
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในวรรคสาม
ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคสองได้ทุกราย
และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งของผู้ถูกเพิกถอนทราบ
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้เฉพาะรายที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของตนและแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ
ข้อ ๑๘
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายหรือมีไว้จำหน่าย
ซึ่งก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว โดยไม่มีอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นหรือเครื่องหมายประจำตัวตามที่กำหนดในข้อ
๑๗ วรรคสาม
ข้อ ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่ผู้บรรจุก๊าซ หรือฝาก
หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้บรรจุก๊าซมีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๐ ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๑ ผู้บรรจุก๊าซต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซหรือรับฝากหรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ
ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ
๑๗ วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
ข้อ ๒๒ เจ้าของสถานีบริการต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒)
ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
(๓) ไม่บรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้ม เพื่อขายหรือจำหน่ายก๊าซให้ผู้อื่น
ข้อ ๒๓ ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ
ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อ ๒๔
ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ตามระเบียบที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด
ข้อ ๒๕ ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่นหรือกรณีผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น
ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ ๒๖
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่า ตนมีกรณีดังกล่าว
ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด
หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต
สำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม
(๒) แล้ว ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม
(๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม (๑) หรือ (๒) นั้น
หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ ๒๗ เงินที่ส่งเข้ากองทุน
และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้
แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒๘ การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ผู้อำนวยการรับไว้พิจารณา
ข้อ ๒๙
บรรดาระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑
ของคำสั่งนี้ ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้
ระเบียบและประกาศดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับการส่งเงินเข้ากองทุน
การขอรับเงินชดเชย และการจ่ายเงินจากกองทุนทั้งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามหรือในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ ๓๐
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๓๑ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔
ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๗]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ได้พิจารณาเรื่อง
ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ
และได้มีมติให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม ๒๕๔๗
เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวดังกล่าว
ข้อ ๓ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นไป
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๘]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่
๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันและให้มีการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม
๒๕๕๒ เห็นชอบให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติ
ปณตภร/ผู้จัดทำ
๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๒๕ ง/หน้า ๑๑๒/๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘
[๒] ข้อ ๒ นิยามคำว่า น้ำมันเชื้อเพลิง แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓] ข้อ ๒ นิยามคำว่า ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๔] ข้อ ๒ นิยามคำว่า โรงกลั่น แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๕๓ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๕] ข้อ ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๖] ข้อ ๑๓/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๗] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๔/ตอนพิเศษ ๒ ง/หน้า ๕๓/๘ มกราคม ๒๕๕๐
[๘] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๒๙ ง/หน้า ๑๐/๕ มีนาคม ๒๕๕๓ |
624966 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2553 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๕๓
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่
๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒
เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันและให้มีการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม
๒๕๕๒ เห็นชอบให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า น้ำมันเชื้อเพลิง ในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน
น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา
น้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
น้ำมันดิบสังเคราะห์ที่ใช้หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้น
และให้หมายความรวมถึงก๊าซ ยางมะตอย และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย
ข้อ ๒
ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์
ระหว่างบทนิยามคำว่า ก๊าซ และคำว่า คลังก๊าซ ในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่
เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โดยมีลักษณะและคุณภาพตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า โรงกลั่น
ในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
โรงกลั่น หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึง
(๑)
โรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
(๒)
จุดจำหน่ายของสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ในราชอาณาจักร
ข้อ ๔[๑]
คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๗ มีนาคม ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๑๗ มีนาคม ๒๕๕๓
ปณตภร/ปรับปรุง
๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๒๙ ง/หน้า ๑๐/๕ มีนาคม ๒๕๕๓ |
611077 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๕๒
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชน
โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ ซึ่งมาตรการหนึ่งคือการลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี ๕ โดยการลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันตามนโยบายของรัฐ
ทำให้เกิดการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลด
ซึ่งอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการลดปริมาณการจำหน่ายหรืองดการจำหน่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน
ส่งผลให้อาจเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยผลขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี ๕ ซึ่งมีลักษณะและคุณภาพตามที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๐ และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
สถานีบริการ หมายความว่า
สถานที่สำหรับจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนโดยวิธีเติมหรือใส่ลงในที่บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงของยานพาหนะ
โดยใช้มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยมาตราชั่งตวงวัด
ที่ติดตั้งไว้เป็นประจำ ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓
เจ้าของสถานีบริการ หมายความว่า
ผู้มีกรรมสิทธิ์ในสถานีบริการและในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการเป็นนิติบุคคลให้ถือว่ากรรมการผู้จัดการ
ผู้จัดการหรือบุคคลใดที่รับผิดชอบการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นเป็นเจ้าของสถานีบริการด้วย
ประกาศราคาขายปลีก หมายความว่า
ประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานตามข้อ ๒
อัตราเงินชดเชย หมายความว่า
อัตราชดเชยตามประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
กองทุน หมายความว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า ข้าราชการ ลูกจ้าง
พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐของกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีนี้
ข้อ ๒ เมื่อมีประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานตามนโยบายรัฐบาลในการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชน
ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประกาศราคาขายปลีกใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและภาษีอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำหนดเวลาที่ราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
รับทราบและปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับนี้
ข้อ ๓ เมื่อมีการประกาศราคาขายปลีกตามข้อ ๒
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
ในเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับ
คูณด้วยอัตราเงินชดเชยตามประกาศราคาขายปลีก
ข้อ ๔ ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๕ เมื่อมีประกาศราคาขายปลีกตามข้อ ๒ ให้
(๑)
ผู้ค้าน้ำมัน หรือเจ้าของสถานีบริการ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง หรือสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับ
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ตรวจสอบผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือ
และลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัด
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
ที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร
รวมทั้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายจากคลังน้ำมัน
เพื่อส่งไปให้แก่เจ้าของสถานีบริการก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับและส่งมอบให้แก่เจ้าของสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว
หรือมาถึงสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น
(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่มีการตรวจวัด
ทั้งนี้
กรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่ ณ
สถานีบริการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ให้พนักงานหรือลูกจ้างที่จัดการดูแลสถานีบริการมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้แทนเจ้าของสถานีบริการได้
(๒)
กรมธุรกิจพลังงาน
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุน
ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดแล้ว
คูณด้วยอัตราเงินชดเชยพร้อมกับส่งสำเนาหนังสือให้สถาบันทราบและให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการดังกล่าวนำหนังสือของกรมธุรกิจพลังงานไปขอรับเงินชดเชยจากสถาบัน
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว
ข้อ ๖ การคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิตามข้อ
๓ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ข้อ ๗ เมื่อมีประกาศราคาขายปลีก ตามข้อ ๒ ให้
(๑)
กระทรวงพลังงาน ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
สั่งให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานพลังงานจังหวัด
ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร
และในจังหวัดที่รับผิดชอบ ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข)
สั่งให้สำนักงานพลังงานจังหวัด
มีหน้าที่รวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นนำเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด
เพื่อนำส่งให้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๒)
กระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติดังต่อไปนี้
สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบและสั่งการให้นายอำเภอท้องที่ส่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในท้องที่
ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการในจังหวัดที่รับผิดชอบร่วมกับสำนักงานพลังงานจังหวัด
สำนักงานการค้าภายในจังหวัด กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐
นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับและรวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือดังกล่าว
นำส่งกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
(๓)
กระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
สั่งให้กรมการค้าภายในส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการในเขตกรุงเทพมหานคร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมธุรกิจพลังงาน
ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
และส่งผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือตามแบบที่กำหนด
ไปยังกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข)
สั่งให้สำนักงานการค้าภายในจังหวัด
ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่รับผิดชอบ ร่วมกับเจ้าหน้าที่
กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด อำเภอท้องที่ และสำนักงานพลังงานจังหวัด ตั้งแต่เวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๔)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน และกรมการค้าภายใน ในเขตกรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
และส่งผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือตามแบบที่กำหนด ไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข)
สั่งให้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่รับผิดชอบร่วมกับนายอำเภอท้องที่
สำนักงานพลังงานจังหวัด และสำนักงานการค้าภายในจังหวัด ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
ข้อ ๘ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือตามข้อ
๗ ลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดในแบบตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือ
ข้อ ๙ ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
พิจารณาวินิจฉัยและให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๑๐ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๐
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๐
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒
อภิญญา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๑๒ ง/หน้า ๔/๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ |
597828 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๕๒
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชน
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในค่าครองชีพจากปัญหาน้ำมันแพง โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นระยะเวลา
๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนั้น
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อประชาชนในการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิง
จึงต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาบรรเทาผลกระทบดังกล่าว
เพื่อให้ราคาขายปลีกทยอยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๕๑ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓ เมื่อการเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ทำให้เกิดส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการส่งเงินเข้ากองทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
ในเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานมีผลใช้บังคับ
คูณด้วยส่วนต่างราคา
ถ้าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายใดที่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ
๒ ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ หรือปิดคลังน้ำมัน
หรือสถานีบริการ หรือกระทำการใด ๆ ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหรือคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งได้
ให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนในจำนวนเงินที่คำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ตรวจวัดได้เมื่อวันที่
๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ คูณด้วยส่วนต่างราคาตามประกาศราคาขายปลีกตามวรรคหนึ่ง
เว้นแต่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากส่วนต่างราคาในการลดภาษีสรรพสามิตเมื่อวันที่
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิตามวรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงน้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ผู้ค้าน้ำมันที่ได้รับเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับน้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ ๑ และชนิดที่
๒ และน้ำมันดีเซลพื้นฐานไปทั้งจำนวนแต่ยังมีปริมาณน้ำมันดังกล่าวเหลืออยู่ในวันที่
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้แจ้งปริมาณคงเหลือต่อกรมธุรกิจพลังงานภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่การเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลใช้บังคับเพื่อคำนวณเงินที่ต้องจ่ายคืนกองทุนตามอัตราเงินชดเชยที่ได้รับไป
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๖
ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๕๑ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖ เมื่อมีประกาศราคาขายปลีกจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตตามข้อ
๓ ให้
(๑)
ผู้ค้าน้ำมันปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐
นาฬิกาของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
รวมทั้งตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร ที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร
รวมทั้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายจากคลังน้ำมัน
เพื่อส่งไปให้แก่เจ้าของสถานีบริการก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
และส่งมอบให้แก่เจ้าของสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าวรวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น
(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
(๒)
เจ้าของสถานีบริการปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
รวมทั้งตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ค้าน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ และมาถึงสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว
รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น (ถ้ามี)
ต่อกรมธุรกิจพลังงานกระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
(๓)
กรมธุรกิจพลังงานแจ้งเป็นหนังสือภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลใช้บังคับ
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบจำนวนเงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแล้วของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดคูณด้วยส่วนต่างราคา
พร้อมกับส่งสำเนาหนังสือให้สถาบันทราบ และให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการดังกล่าวนำหนังสือของกรมธุรกิจพลังงานไปจ่ายเงินเข้ากองทุนต่อสถาบัน
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ลงในหนังสือดังกล่าว
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ ๙
ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๕๑ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ประกาศราคาขายปลีกใหม่ตามวรรคหนึ่ง
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานอาจประกาศในคราวเดียวหรือหลายคราวก็ได้
ข้อ ๔ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๘
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๘
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
อุรารักษ์/ตรวจ
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๒
อภิญญา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๕ ง/หน้า ๔๖/๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ |
584500 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๕๑
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชน
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในค่าครองชีพจากปัญหาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลก
โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง เป็นระยะเวลา ๖ เดือน
นับตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
การปรับลดหรือเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตในแต่ละครั้ง จะทำให้มีการขาดทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลด
หรือมีกำไรในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับเพิ่ม
ซึ่งในกรณีที่ขาดทุนจะทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการลดปริมาณการจำหน่ายหรืองดการจำหน่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน
ทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
จึงต้องมีการจ่ายชดเชยผลขาดทุน
ในกรณีกลับกันกำไรส่วนเกินที่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้รับเป็นกำไรส่วนเกินที่มิควรได้
จึงจำเป็นต้องกำหนดให้มีการส่งกำไรดังกล่าวเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องจ่ายผลขาดทุนในตอนแรกมีโอกาสได้รับเงินคืนจากช่วงการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
ทำให้การจ่ายเงินชดเชยครั้งนี้ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแต่อย่างใด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี
๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕
น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕ น้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๕
ซึ่งมีลักษณะและคุณภาพตามที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า
ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยซื้อ นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือได้มาไม่ว่าด้วยประการใดเพื่อจำหน่าย
และให้หมายความรวมถึงผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สามหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
หรือมีขนาดของถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงความจุเกินสองแสนลิตรขึ้นไป แต่ทั้งนี้
ไม่รวมถึงผู้ได้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
สถานีบริการ หมายความว่า
สถานที่สำหรับจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนโดยวิธีเติมหรือใส่ลงในที่บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงของยานพาหนะ
โดยใช้มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยมาตราชั่งตวงวัด ที่ติดตั้งไว้เป็นประจำ
ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓
เจ้าของสถานีบริการ หมายความว่า
ผู้มีกรรมสิทธิ์ในสถานีบริการและในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการเป็นนิติบุคคลให้ถือว่ากรรมการผู้จัดการ
ผู้จัดการหรือบุคคลใดที่รับผิดชอบการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นเป็นเจ้าของสถานีบริการด้วย
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงพนักงานหรือลูกจ้างที่จัดการดูแลสถานีบริการด้วย
ภาษีสรรพสามิต หมายความว่า
อัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐ ออกเทน ๙๑ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๑๐
ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๒๐ ออกเทน ๙๕ น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี ๘๕
น้ำมันเบนซินพื้นฐานชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี
๕ และน้ำมันดีเซลพื้นฐาน ที่ประกาศโดยกระทรวงการคลัง
ประกาศราคาขายปลีก หมายความว่า
ประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานตามข้อ ๙
ส่วนต่างราคา หมายความว่า
ส่วนต่างของราคาขายปลีกเดิมและราคาใหม่ตามประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
กองทุน หมายความว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า ข้าราชการ ลูกจ้าง
และพนักงานราชการของกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีนี้
ข้อ ๒ เมื่อมีการประกาศลดภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ทำให้เกิดส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
ในเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ คูณด้วยส่วนต่างราคา
ข้อ ๓ เมื่อมีการประกาศเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงใช้บังคับตั้งแต่วันที่๑
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ทำให้เกิดส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการส่งเงินเข้ากองทุนในปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิ
ในเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ คูณด้วยส่วนต่างราคา
ถ้าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ
๒ ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือ หรือปิดคลังน้ำมัน หรือสถานีบริการ
หรือกระทำการใด ๆ
ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือหรือคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งได้
ให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนในจำนวนเงินเดียวกันกับที่ได้รับเงินชดเชยไปแล้วตามข้อ
๒ แต่ถ้ายังไม่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ ๒ ก็ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ข้อ ๔ ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ในการรับและจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๕ เมื่อมีประกาศลดภาษีสรรพสามิตตามข้อ ๒ ให้
(๑)
ผู้ค้าน้ำมันปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร ที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร
รวมทั้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายจากคลังน้ำมัน
เพื่อส่งไปให้แก่เจ้าของสถานีบริการก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ และส่งมอบให้แก่เจ้าของสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น
(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
(๒)
เจ้าของสถานีบริการ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๑
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ค้าน้ำมันก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๕๑ และมาถึงสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น
(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานอย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓)
กรมธุรกิจพลังงาน แจ้งเป็นหนังสือภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๕๑
ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแล้วของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
คูณด้วยส่วนต่างราคาพร้อมกับส่งสำเนาหนังสือให้สถาบันทราบ
และให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการดังกล่าวนำหนังสือของกรมธุรกิจพลังงานไปขอรับเงินชดเชยจากสถาบัน
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ลงในหนังสือดังกล่าว หากพ้นกำหนดระยะเวลานี้แล้ว
ให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นไม่ประสงค์จะขอรับเงินชดเชย
ข้อ ๖ เมื่อมีประกาศเพิ่มภาษีสรรพสามิตตามข้อ ๓
ให้
(๑)
ผู้ค้าน้ำมันปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐
นาฬิกา ของวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
รวมทั้งตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง
ที่ซื้อหรือได้จากผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในราชอาณาจักร
ที่สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร
รวมทั้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายจากคลังน้ำมัน
เพื่อส่งไปให้แก่เจ้าของสถานีบริการก่อนเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๓๑ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๒ และส่งมอบให้แก่เจ้าของสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น
(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
(๒)
เจ้าของสถานีบริการ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
หยุดขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๓๑ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๒ จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือแล้ว
เว้นแต่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะมีเหตุผลสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น
(ข)
ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
รวมทั้งตรวจสอบและลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในแบบตรวจสอบ
(ค)
แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง ที่ซื้อหรือได้จากผู้ค้าน้ำมันก่อนเวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
และมาถึงสถานีบริการภายหลังเวลาดังกล่าว
รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝากจากผู้อื่น (ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานอย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
(๓)
กรมธุรกิจพลังงาน แจ้งเป็นหนังสือภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๒ ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบจำนวนเงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุน
ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแล้วของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดคูณด้วยส่วนต่างราคา
พร้อมกับส่งสำเนาหนังสือให้สถาบันทราบ
และให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการดังกล่าวนำหนังสือของกรมธุรกิจพลังงานไปจ่ายเงินเข้ากองทุนต่อสถาบันภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ลงในหนังสือดังกล่าว
ข้อ ๗ การคำนวณปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิตามข้อ
๕ และข้อ ๖ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ข้อ ๘ ในกรณีที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
หากผู้มีหน้าที่ต้องส่งเงินไม่ส่งเงินให้สถาบัน
ส่งเงินให้สถาบันไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือไม่ส่งเงินคืนสถาบันภายในเวลาที่กำหนด
ให้กรมธุรกิจพลังงานส่งเรื่องให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินให้สถาบันหรือส่งขาดหรือไม่ส่งเงินคืนสถาบัน
หรือส่งเงินเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีตามวรรคหนึ่งหรือไม่
ให้จ่ายเงินเพิ่มอีกในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว ทั้งนี้
นับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดส่งและให้ถือว่าเงินเพิ่มนี้เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
ข้อ ๙ เมื่อมีประกาศลดภาษีสรรพสามิตตามข้อ ๒
หรือเพิ่มภาษีสรรพสามิตตามข้อ ๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประกาศราคาขายปลีกใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามภาษีสรรพสามิตและภาษีอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกำหนดเวลาที่ราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
รับทราบและปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับนี้
ข้อ ๑๐ เมื่อมีประกาศราคาขายปลีกใหม่ตามข้อ ๙ ให้
(๑)
กระทรวงพลังงาน ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
สั่งให้กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานพลังงานภูมิภาค
และพลังงานจังหวัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
คลังน้ำมันและสถานีบริการในกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดที่รับผิดชอบ ตั้งแต่เวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข)
สั่งให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค และพลังงานจังหวัด
มีหน้าที่รวบรวมผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่ได้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นส่งให้กรมธุรกิจพลังงานอย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๒)
กระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติดังต่อไปนี้
สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบและสั่งการให้นายอำเภอท้องที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการในจังหวัดที่รับผิดชอบ ร่วมกับสำนักงานพลังงานภูมิภาคพลังงานจังหวัด
สำนักงานการค้าภายในจังหวัด กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๓)
กระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
สั่งให้กรมการค้าภายในส่งเจ้าหน้าที่สำนักชั่งตวงวัด ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ
ณ สถานีบริการในเขตกรุงเทพมหานคร ร่วมกับตำรวจนครบาลท้องที่ กรมธุรกิจพลังงาน
ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
และส่งผลการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือไปยังกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน
ตามแบบที่กำหนด
อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข)
สั่งให้สำนักงานการค้าภายในจังหวัด
ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่รับผิดชอบ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
นายอำเภอท้องที่ สำนักงานพลังงานภูมิภาค และพลังงานจังหวัด ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐
นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(๔)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลท้องที่ ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการ ร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน สำนักชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน
ในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับและส่งผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือไปยังกรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน ตามแบบที่กำหนด อย่างช้าไม่เกินสามวันทำการนับแต่วันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
(ข)
สั่งให้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ
สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่รับผิดชอบร่วมกับนายอำเภอท้องที่
สำนักงานพลังงานภูมิภาค พลังงานจังหวัด และสำนักงานการค้าภายในจังหวัด ตั้งแต่เวลา
๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ใช้บังคับ
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
พิจารณาวินิจฉัยและให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๑๒ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๒
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๒
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
อุรารักษ์/ตรวจ
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๒
อภิญญา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๒๐ ง/หน้า ๓๖/๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ |
707058 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับ Update ณ วันที่ 08/01/2550) | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น
โดยที่รัฐบาลมีนโยบายให้โอนงานที่กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียน
ให้ฝ่ายเลขานุการเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการ
และกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น ทำหน้าที่รับผิดชอบเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับโอนจากกระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ นอกจากนี้
รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงให้แก่ชาวประมง
โดยให้ตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๒ ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล
น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย
ก๊าซ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่
โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
คลังก๊าซ หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ
อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่งโดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ถังก๊าซหุงต้ม หมายความว่า ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐
กิโลกรัม
แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โรงกลั่น หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร
และให้หมายความรวมถึงโรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลายด้วย
สถานีบริการ หมายความว่า สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชน
แต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ
และร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ
โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น หมายความว่า ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ราคาขายปลีก หมายความว่า
ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
หรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ แล้วแต่กรณี
ค่าการตลาด หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ
ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน
และของผู้ค้าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ สั่งนำเข้า
หรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย
ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
ภาษี หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ
ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราภาษีสูงสุด หมายความว่า อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
อัตราภาษีต่ำสุด หมายความว่า อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
ผู้บรรจุก๊าซ หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการบรรจุก๊าซ
เจ้าของสถานีบริการ หมายความรวมถึง
ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
คณะอนุกรรมการ หมายความว่า คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน หมายความรวมถึง ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายด้วย
สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
ข้อ ๓ ให้ตั้งกองทุนเรียกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่น ๆ
ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา
และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ
ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔)
กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
และก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายให้แก่ประชาชน
(๕) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗)
พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ ๕
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามอำนาจหน้าที่ในข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ ๖ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน
มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้ และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ
๔ ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ ๗ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ
ดังนี้
-
ค่าจ้างชั่วคราว
-
ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
- ครุภัณฑ์
-
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
ข้อ ๘
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้
ตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๙
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๑๒[๒]
ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงิน และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงตามวรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ตามข้อ ๑๓ และ การส่งออกก๊าซ ตามข้อ ๑๓/๑
ข้อ ๑๓ ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
(๑) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวส่งเงินเข้ากองทุน
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๓)
ในกรณีที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมิได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับเงินชดเชยตาม
(๒) ไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตาม
(๑) (๒)
และ (๓) ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ
๑๓/๑[๓]
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับการส่งออกก๊าซ
(๑) ถ้าเป็นก๊าซที่ไม่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้ส่งออกส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าเป็นก๊าซที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุน
และการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๔
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน ไม่ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
ถ้าได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว
ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว
ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๕
ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีก
ให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒)
สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด
โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๑)
แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๒)
ข้อ ๑๖
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนด
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า
และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวัน
นับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำ
เดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่
๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่
๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓ ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑
ถึงวันสิ้นเดือน ภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๗
เพื่อให้มีก๊าซสำหรับประชาชนใช้ในการหุงต้มอย่างพอเพียง ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้ม
ต้องจัดให้มีการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้ม
และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกอำเภอที่มีการใช้ถังหุงต้มซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
ในการบรรจุก๊าซหรือจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวอาจมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้
โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การยื่นขออนุญาต การเปลี่ยนแปลง
การยกเลิก และการดำเนินการอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
หรือผู้บรรจุก๊าซซึ่งดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ
และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของกรมธุรกิจพลังงานในการขอรับเครื่องหมายประจำตัว
การปิดผนึกลิ้น การแสดงเครื่องหมายประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กำหนดไว้ข้างต้น
เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
และผู้บรรจุก๊าซให้เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสาม
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในกรมธุรกิจพลังงาน
สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ แต่ละจังหวัด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองและผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ต้องยินยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามวรรคสี่เข้าไปในสถานที่บรรจุก๊าซ
เก็บรักษาก๊าซ หรือจำหน่ายก๊าซเพื่อทำการตรวจสอบการปฏิบัติตามที่กำหนดในวรรคสาม
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในวรรคสาม
ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคสองได้ทุกราย
และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งของผู้ถูกเพิกถอนทราบ
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้เฉพาะรายที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของตนและแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ
ข้อ ๑๘ ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายหรือมีไว้จำหน่าย
ซึ่งก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว
โดยไม่มีอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นหรือเครื่องหมายประจำตัวตามที่กำหนดในข้อ ๑๗ วรรคสาม
ข้อ ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่ผู้บรรจุก๊าซ หรือฝาก
หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้บรรจุก๊าซมีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๐ ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๑ ผู้บรรจุก๊าซต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซหรือรับฝากหรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ
ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ
๑๗ วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
ข้อ ๒๒ เจ้าของสถานีบริการต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๓
ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒)
ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
(๓) ไม่บรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้ม เพื่อขายหรือจำหน่ายก๊าซให้ผู้อื่น
ข้อ ๒๓
ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ
ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อ ๒๔ ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ตามระเบียบที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด
ข้อ ๒๕ ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่นหรือกรณีผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น
ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ ๒๖ ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่า ตนมีกรณีดังกล่าว
ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต
สำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
และผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม
(๒) แล้ว
ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม
(๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม (๑) หรือ (๒) นั้น
หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ ๒๗ เงินที่ส่งเข้ากองทุน
และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้
แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒๘
การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ ของคำสั่งนี้
หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ผู้อำนวยการรับไว้พิจารณา
ข้อ ๒๙ บรรดาระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้
ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้
ระเบียบและประกาศดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับการส่งเงินเข้ากองทุน
การขอรับเงินชดเชย
และการจ่ายเงินจากกองทุนทั้งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามหรือในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ ๓๐
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๓๑ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔
ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๔]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ได้พิจารณาเรื่อง
ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ
และได้มีมติให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม ๒๕๔๗ เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวดังกล่าว
ข้อ ๓ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นไป
ปณตภร/ผู้จัดทำ
๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๒๕ ง/หน้า ๑๑๒/๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘
[๒] ข้อ ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๓] ข้อ ๑๓/๑ เพิ่มโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๙/๒๕๔๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
[๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๔/ตอนพิเศษ ๒ ง/หน้า ๕๓/๘ มกราคม ๒๕๕๐ |
523893 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 9/2549 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๙/๒๕๔๙
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
โดยที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ได้พิจารณาเรื่อง
ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ และได้มีมติให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม ๒๕๔๗ เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวดังกล่าว
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๒
ของคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม ๒๕๔๗ และให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๒ ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงิน และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้
การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงตามวรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ตามข้อ ๑๓ และ การส่งออกก๊าซ ตามข้อ ๑๓/๑
ข้อ
๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๑๓/๑
ของคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๓
ธันวาคม ๒๕๔๗
ข้อ ๑๓/๑ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับการส่งออกก๊าซ
(๑) ถ้าเป็นก๊าซที่ไม่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้ส่งออกส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าเป็นก๊าซที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่ส่งออกในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุน
และการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี
ข้อ
๓ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๗
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
โสรศ/ผู้จัดทำ
๑๙ มกราคม ๒๕๕๐
ปณตภร/ปรับปรุง
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๒ ง/หน้า ๕๓/๘ มกราคม ๒๕๕๐ |
522825 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 8/2549 เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๘/๒๕๔๙
เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ[๑]
ตามที่
ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๘ เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ
ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ นั้น โดยที่ปัจจุบันราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้ปรับตัวสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
ทำให้ประชาชนได้มีความเข้าใจถึงความจำเป็นของการใช้น้ำมันอย่างประหยัด ประกอบกับเพื่อบรรเทาปัญหาความไม่สะดวกและความเดือดร้อนของประชาชนที่มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางในเวลากลางคืน
ดังนั้น คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ จึงได้มีมติให้ยกเลิกมาตรการจำกัดเวลาการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ และมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกข้อ ๒ แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๒/๒๕๔๘ เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ลงวันที่ ๑๕
กรกฎาคม ๒๕๔๘
ข้อ
๒ ให้คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๔ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๔๙
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๙ มกราคม ๒๕๕๐
อภิญญา/ปรับปรุง
๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๓๖ ง/หน้า ๔๖/๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ |
502048 | คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 3/2549 เรื่อง ผ่อนผันมาตรการประหยัดพลังงาน
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓/๒๕๔๙
เรื่อง ผ่อนผันมาตรการประหยัดพลังงาน[๑]
โดยที่เป็นการสมควรผ่อนผันการจำกัดเวลาเปิด
ปิดสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ขบวนยานพาหนะของสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีต่างประเทศที่เสด็จฯ มาร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติ
๖๐ ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
๑.
มิให้นำความในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘
เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศมาใช้บังคับแก่สถานีบริการตามที่กำหนดในข้อ
๒
๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกันกำหนดสถานีบริการน้ำมันที่ผ่อนผัน
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ขบวนยานพาหนะของสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีต่างประเทศที่เสด็จฯ
มาร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติ ๖๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในช่วงวันที่ ๑๐ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยให้กำหนดชื่อสถานที่ตั้งของสถานีบริการ
และช่วงเวลาที่ผ่อนผันได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
๓.
ให้สถานีบริการตามข้อ ๒ บริการน้ำมันให้แก่ยานพาหนะที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกแก่สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีต่างประเทศที่เสด็จฯ
มาร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติ ๖๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เท่านั้น
สั่ง ณ วันที่ ๘ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๔๙
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
นันทนา/ผู้จัดทำ
๘ สิงหาคม ๒๕๔๙
อภิญญา/ปรับปรุง
๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๘๔ ง/หน้า ๑๕/๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ |
488766 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2549 เรื่อง ผ่อนผันมาตรการประหยัดพลังงาน
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๔๙
เรื่อง ผ่อนผันมาตรการประหยัดพลังงาน[๑]
โดยที่เป็นการสมควรผ่อนผันการจำกัดเวลาการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว
เพื่อส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
มิให้นำความในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม
๒๕๔๘ เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศมาใช้บังคับ
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
สั่ง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๙
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
นันทนา/ผู้จัดทำ
๓ พฤษภาคม ๒๕๔๙
อภิญญา/ปรับปรุง
๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๕๗ ง/หน้า ๒๐/๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ |
476392 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 9/2548 เรื่อง ผ่อนผันมาตรการประหยัดพลังงาน
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๙/๒๕๔๘
เรื่อง ผ่อนผันมาตรการประหยัดพลังงาน[๑]
โดยที่เป็นการสมควรผ่อนผันการจำกัดเวลาการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราวเพื่อส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจ
และการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
มิให้นำความในข้อ ๒ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม
๒๕๔๘ เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศมาใช้บังคับ
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ถึง วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙
สั่ง ณ วันที่ ๒๗ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๔๘
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
พชร/ผู้จัดทำ
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
อภิญญา/ปรับปรุง
๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๒ ง/หน้า ๑๘/๒๖ มกราคม ๒๕๔๙ |
460417 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2548 เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๔๘
เรื่อง กำหนดมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ[๑]
ในปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก
และมีแนวโน้มว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย
ดังนั้นเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงเป็นการสมควรกำหนดมาตรการเพื่อให้เกิดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าอย่างประหยัด
ประกอบกับคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เห็นชอบมาตรการบังคับเพื่อแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ
จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๓/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗
เรื่อง กำหนดมาตรการประหยัดพลังงาน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓ และมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๓/๒๕๔๗
เรื่อง กำหนดมาตรการประหยัดพลังงานลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗
ข้อ
๒ ห้ามมิให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดระหว่างเวลา ๒๒.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๕.๐๐ นาฬิกา ทั้งนี้ให้ยกเว้น
๑)
สถานีบริการ NGV และสถานีบริการ
LPG และสถานีบริการอากาศยานสามารถเปิดจำหน่ายน้ำมันได้ตลอด ๒๔
ชั่วโมง
๒)
สถานีบริการน้ำมันที่ตั้งอยู่บริเวณถนนเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าและคนโดยสารในเวลากลางคืน
ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนพหลโยธิน ถนนมิตรภาพ ถนนสุขุมวิท ถนนเพชรเกษมและทางหลวงหมายเลข
๓๒ ๔๑ ๔๒ ๒๒๖ และ ๓๔๐ ในถนนช่วงที่อยู่นอกเขตกรุงเทพมหานครเมืองพัทยา และเทศบาล
ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงพลังงานพิจารณาปรับเพิ่มหรือลดการยกเว้น ได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์
๓)
สถานีบริการน้ำมันที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นทางหลักอื่น
ๆ นอกเหนือจากที่กำหนดตาม ข้อ ๒) มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการผ่อนผันให้เปิดจำหน่ายเฉพาะน้ำมันดีเซลได้ตลอด
๒๔ ชั่วโมง ในกรณีที่เห็นว่าเป็นสถานีบริการซึ่งเป็นจุดจอดรถหรือจุดแวะพักเชื่อมกับเส้นทางหลัก
๔)
ให้กรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำกับดูแล
และควบคุมให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนดใน ข้อ ๒) และ ข้อ ๓)
ข้อ
๓ ให้ใช้ไฟฟ้าในการโฆษณาป้ายสินค้าหรือบริการ
หรือประดับสถานที่ทำธุรกิจป้ายชื่อร้าน และป้ายชื่อโรงภาพยนตร์ ได้เฉพาะในช่วงเวลา
๑๙.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๒๒.๐๐ นาฬิกา ทั้งนี้
ป้ายดังกล่าวต้องมีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ ๓๒ ตารางเมตรขึ้นไป สูงกว่าพื้นไม่น้อยกว่า ๔
เมตร ใช้ไฟส่องสว่างอย่างต่ำ ๑,๐๐๐ วัตต์
ทั้งนี้
การกำกับดูแลและควบคุมข้างต้น ในเขตกรุงเทพมหานครให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ส่วนในต่างจังหวัดให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด
ข้อ
๔ คำสั่งนี้ในข้อ ๒ ให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่
๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นไปสำหรับในข้อ ๓ ให้มีผลบังคับตั้งแต่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.
๒๕๔๘ เป็นต้นไป
สั่ง
ณ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
พันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ชัชสรัญ/ผู้จัดทำ
๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๘
อภิญญา/ปรับปรุง
๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๖๖ ง/หน้า ๓/๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๘ |
459058 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น
โดยที่รัฐบาลมีนโยบายให้โอนงานที่กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียน
ให้ฝ่ายเลขานุการเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการ
และกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น ทำหน้าที่รับผิดชอบเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับโอนจากกระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ นอกจากนี้
รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงให้แก่ชาวประมง
โดยให้ตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
และกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ ๒ ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล
น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย
ก๊าซ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่
โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
คลังก๊าซ หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ
อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่งโดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ถังก๊าซหุงต้ม หมายความว่า ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐
กิโลกรัม
แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โรงกลั่น หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร
และให้หมายความรวมถึงโรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลายด้วย
สถานีบริการ หมายความว่า สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชน
แต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ
และร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ
โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า หมายความว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น หมายความว่า ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ราคาขายปลีก หมายความว่า
ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
หรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ แล้วแต่กรณี
ค่าการตลาด หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ
ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน
และของผู้ค้าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ สั่งนำเข้า
หรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย
ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
ภาษี หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ
ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราภาษีสูงสุด หมายความว่า อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
อัตราภาษีต่ำสุด หมายความว่า อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
ผู้บรรจุก๊าซ หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการบรรจุก๊าซ
เจ้าของสถานีบริการ หมายความรวมถึง
ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
คณะอนุกรรมการ หมายความว่า คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน หมายความรวมถึง ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายด้วย
สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
ข้อ ๓ ให้ตั้งกองทุนเรียกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่น ๆ
ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา
และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ
ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔)
กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
และก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายให้แก่ประชาชน
(๕) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗)
พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ ๕
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามอำนาจหน้าที่ในข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ ๖ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน
มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนี้ และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ
๔ ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ ๗ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ
ดังนี้
-
ค่าจ้างชั่วคราว
-
ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
- ครุภัณฑ์
-
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
ข้อ ๘
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้
ตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๙
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี)
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๒ ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงิน
และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงตามวรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
ข้อ ๑๓
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร
(๑) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวส่งเงินเข้ากองทุน
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้อำนวยการทำหน้าที่สั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายหรือจำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๓)
ในกรณีที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมิได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับเงินชดเชยตาม
(๒)
ไปขายหรือจำหน่ายต่อให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตาม
(๑) (๒)
และ (๓)
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
ถ้าได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว
ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๕
ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีก ให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒)
สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด
โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๑)
แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๒)
ข้อ ๑๖
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนด
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวัน
นับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำ
เดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่
๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่
๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓ ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑
ถึงวันสิ้นเดือน ภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๗
เพื่อให้มีก๊าซสำหรับประชาชนใช้ในการหุงต้มอย่างพอเพียง
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้ม ต้องจัดให้มีการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้ม
และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกอำเภอที่มีการใช้ถังหุงต้มซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
ในการบรรจุก๊าซหรือจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวอาจมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้
โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การยื่นขออนุญาต การเปลี่ยนแปลง
การยกเลิก และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
หรือผู้บรรจุก๊าซซึ่งดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ
และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของกรมธุรกิจพลังงานในการขอรับเครื่องหมายประจำตัว
การปิดผนึกลิ้น การแสดงเครื่องหมายประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กำหนดไว้ข้างต้น
เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
และผู้บรรจุก๊าซให้เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสาม
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในกรมธุรกิจพลังงาน
สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ แต่ละจังหวัด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองและผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ต้องยินยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามวรรคสี่เข้าไปในสถานที่บรรจุก๊าซ
เก็บรักษาก๊าซ หรือจำหน่ายก๊าซเพื่อทำการตรวจสอบการปฏิบัติตามที่กำหนดในวรรคสาม
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในวรรคสาม
ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคสองได้ทุกราย
และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งของผู้ถูกเพิกถอนทราบ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้เฉพาะรายที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของตนและแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ
ข้อ ๑๘
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายหรือมีไว้จำหน่าย
ซึ่งก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว
โดยไม่มีอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นหรือเครื่องหมายประจำตัวตามที่กำหนดในข้อ ๑๗ วรรคสาม
ข้อ ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่ผู้บรรจุก๊าซ หรือฝาก
หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้บรรจุก๊าซมีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๐ ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ ๒๑ ผู้บรรจุก๊าซต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซหรือรับฝากหรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ
ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๗
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ
๑๗ วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
ข้อ ๒๒ เจ้าของสถานีบริการต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
(๓) ไม่บรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้ม เพื่อขายหรือจำหน่ายก๊าซให้ผู้อื่น
ข้อ ๒๓
ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ
ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อ ๒๔
ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี) ทั้งนี้ตามระเบียบที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด
ข้อ ๒๕ ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่นหรือกรณีผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น
ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ ๒๖
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่า ตนมีกรณีดังกล่าว
ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด
หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต
สำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
และผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือตามจำนวนที่ขาด หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม
(๒) แล้ว
ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม
(๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม (๑) หรือ (๒) นั้น
หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ ๒๗ เงินที่ส่งเข้ากองทุน
และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้
แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒๘
การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ ของคำสั่งนี้
หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ผู้อำนวยการรับไว้พิจารณา
ข้อ ๒๙
บรรดาระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑
ของคำสั่งนี้ ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้
ระเบียบและประกาศดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับการส่งเงินเข้ากองทุน
การขอรับเงินชดเชย
และการจ่ายเงินจากกองทุนทั้งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามหรือในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ ๓๐
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๓๑ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔
ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ยงยุทธ/ตรวจ
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘
ปณตภร/ปรับปรุง
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๒๕ ง/หน้า ๑๑๒/๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘ |
724004 | ระเบียบกรมสรรพสามิต ว่าด้วยการส่งเงิน การขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การขอรับเงินชดเชยและการขอรับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2548
| ระเบียบกรมสรรพสามิต
ระเบียบกรมสรรพสามิต
ว่าด้วยการส่งเงิน การขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
การขอรับเงินชดเชยและการขอรับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๘[๑]
เพื่ออนุวัติตามความในข้อ
๔ (๔) ข้อ ๘ วรรคสอง ข้อ ๑๐ วรรคสอง ข้อ ๑๒ วรรคสองและข้อ ๒๕ วรรคสอง แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ประกอบกับเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่
๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘ กรมสรรพสามิตจึงวางระเบียบการปฏิบัติในการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
การขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การขอรับเงินชดเชยและการขอรับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกรมสรรพสามิต
ว่าด้วยการส่งเงิน การขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การขอรับเงินชดเชยและการขอรับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ
๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘ แห่งระเบียบกรมสรรพสามิต
ว่าด้วยการส่งเงิน การขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การขอรับเงินชดเชยและการขอรับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกรมสรรพสามิต ว่าด้วยการส่งเงิน การขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
การขอรับเงินชดเชยและการขอรับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๔๖
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘ ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงปฏิบัติ
ดังนี้
(๑)
กรณีที่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงนำน้ำมันเชื้อเพลิงออกจากโรงกลั่น
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุน ตามชนิดและปริมาณที่นำออกจากโรงกลั่น
(๒)
กรณีที่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงนำน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งได้ส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วมาผลิตใหม่
โดยการผสมสารเติมแต่ง (ADDITIVE)
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนเฉพาะในส่วนของปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
สุริยน วรวิทยานนท์
รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพสามิต
ชัชสรัญ/ผู้จัดทำ
๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๘
อภิญญา/ปรับปรุง
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอน ๘๖ ง/หน้า ๒๔/๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ |
446328 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 3/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการประหยัดพลังงาน
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓/๒๕๔๗
เรื่อง
กำหนดมาตรการประหยัดพลังงาน[๑]
โดยที่ปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก
และมีแนวโน้มว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งมีผลทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
จึงเป็นการสมควรกำหนดมาตรการเพื่อให้เกิดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าอย่างประหยัด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ และมาตรา
๕ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ห้ามมิให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดระหว่างเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๕.๐๐
นาฬิกา ยกเว้น ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ LPG) และก๊าซธรรมชาติอัด (ก๊าซ CNG หรือก๊าซ
NGV)
ข้อ ๒ ให้ใช้ไฟฟ้าในการโฆษณาป้ายสินค้าหรือบริการ
ป้ายชื่อร้าน ป้ายโรงภาพยนตร์และไฟส่องอาคาร ได้เฉพาะในช่วงเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ถึง เวลา ๒๒.๐๐ นาฬิกา
ทั้งนี้ ป้ายสินค้าหรือบริการ
ป้ายชื่อร้าน และป้ายโรงภาพยนตร์ตามวรรคหนึ่ง หมายถึง ป้ายที่มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่
๓๒ ตารางเมตรขึ้นไป
ข้อ ๓ การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่นๆ
ที่จำเป็นเพื่อการตรวจสอบการปฏิบัติตามคำสั่งนี้
สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ส่วนในต่างจังหวัดให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด
ข้อ ๔ เพื่อมิให้กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีอำนาจยกเว้นหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามคำสั่งนี้ได้ตามความจำเป็น
ข้อ ๕ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๓
กันยายน พ.ศ.
๒๕๔๗
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
รองนายกรัฐมนตรี
ปฏิบัติราชการแทน
นายกรัฐมนตรี
มยุรี/พิมพ์
๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
ธัญกมล/ศุภสรณ์/ตรวจ
๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๗
อภิญญา/ปรับปรุง
๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๑/ตอนพิเศษ ๙๙ ง/หน้า ๑๗๒/๘ กันยายน ๒๕๔๗ |
435661 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒/๒๕๔๖
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ
การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ด้วยรัฐบาลได้มีนโยบายให้โอนงานที่กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียน
ให้ฝ่ายเลขานุการเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบกับ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
ได้มีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
โดยให้แยกงานพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงออก
และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก ๑ ชุด
เพื่อทำหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อ
๒ ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน
น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล
น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย
ก๊าซ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่
โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
คลังก๊าซ หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถังเก็บก๊าซ
อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่งโดยมีถังก๊าซที่มีขนาดความจุตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ถังก๊าซหุงต้ม หมายความว่า
ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐ กิโลกรัม
แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โรงกลั่น หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักร
และให้หมายความรวมถึงโรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลายด้วย
สถานีบริการ หมายความว่า
สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชน
แต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ
และร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร หมายความว่า
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า หมายความว่า
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น หมายความว่า
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ราคาขายปลีก หมายความว่า
ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
หรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ แล้วแต่กรณี
ค่าการตลาด หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆ
ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ
ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน
และของผู้ค้าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า
ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ
สั่งนำเข้าหรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย
ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
ภาษี หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่นๆ ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราภาษีสูงสุด หมายความว่า
อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
อัตราภาษีต่ำสุด หมายความว่า
อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
ผู้บรรจุก๊าซ หมายความว่า
ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการบรรจุก๊าซ
เจ้าของสถานีบริการ หมายความรวมถึง
ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
คณะอนุกรรมการ หมายความว่า
คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน หมายความรวมถึง
ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายด้วย
ข้อ
๓ ให้จัดตั้งกองทุนเรียกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.
๒๕๔๐ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราวๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่นๆ
ข้อ
๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา
และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ
ณ คลังก๊าซ ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ
คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
และก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายให้แก่ประชาชน
(๕) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗) พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ
๕
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามอำนาจหน้าที่ในข้อ
๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ
๖
ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน
มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินกองทุนตามคำสั่งนี้ และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔
ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้
โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ
๗
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ
๔ ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ
ดังนี้
-
ค่าจ้างชั่วคราว
-
ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
-
ค่าครุภัณฑ์
-
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ
เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ
เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
ข้อ
๘ ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี)
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ
๙
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี)
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ
๑๐
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ปลัดกระทรวงพลังงานสั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๑๑
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนำเข้า
ให้ปลัดกระทรวงพลังงานสั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๑๒
ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุนไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ไดรับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงิน และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากรแล้วแต่กรณี
ข้อ
๑๓
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
ถ้าได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้
ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ
๑๔
ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีกให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒) สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด
โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๑) แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๒)
ข้อ
๑๕
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กรมธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงาน สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนด ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า
และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา
และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวันนับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา
จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำเดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา
และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา
และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่ ๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓ ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา
และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑ ถึงวันสิ้นเดือน ภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ
๑๖
เพื่อให้ก๊าซสำหรับประชาชนใช้ในการหุงต้มอย่างพอเพียง ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มต้องจัดให้มีการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้มและจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกอำเภอที่มีการใช้ถังหุงต้ม
ซึ่งแสดงเครื่องหมายการค้าของตน
ในการบรรจุก๊าซหรือจำหน่ายตามวรรคหนึ่ง
ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้
โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ การยื่นขออนุญาต
การเปลี่ยนแปลง การยกเลิกและการดำเนินการอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
หรือผู้บรรจุก๊าซซึ่งดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve)
ถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่บรรจุก๊าซและต้องมีเครื่องหมายประจำตัวแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น
(Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของกรมธุรกิจพลังงานในการขอรับเครื่องหมายประจำตัว
การปิดผนึกลิ้น การแสดงเครื่องหมายประจำตัวและการดำเนินการอื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กำหนดไว้ข้างต้น
เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
และผู้บรรจุก๊าซให้เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสาม
ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในกรมธุรกิจพลังงาน
สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่นๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
รวมทั้ง กำหนดการออกบัตรประจำตัวและการดำเนินการอื่นๆ
ที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบในท้องที่จังหวัดต่างๆ แต่ละจังหวัด
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองและผู้จำหน่ายก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ต้องยินยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามวรรคสี่เข้าไปในสถานที่บรรจุก๊าซ
เก็บรักษาก๊าซ หรือจำหน่ายก๊าซเพื่อทำการตรวจสอบการปฏิบัติตามที่กำหนดในวรรคสาม
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการแทนผู้ค้าน้ำมันตามวรรคสองปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในวรรคสาม
ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตตามวรรคสองได้ทุกราย
และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งของผู้ถูกเพิกถอนทราบ
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้เฉพาะรายที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดของตนและแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ
ข้อ
๑๗ ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายหรือมีไว้จำหน่าย
ซึ่งก๊าซที่บรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้มแล้วโดยไม่มีอุปกรณ์ปิดผนึกลิ้นหรือเครื่องหมายประจำตัวตามที่กำหนดในข้อ
๑๖ วรรคสาม
ข้อ
๑๘
ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่ผู้บรรจุก๊าซ
หรือฝากหรือกระทำด้วยวิธีการใดๆ ให้ผู้บรรจุก๊าซมีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๖
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ
๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่สถานีบริการ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
ข้อ
๒๐ ผู้บรรจุก๊าซต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซหรือรับฝากหรือกระทำด้วยวิธีการใดๆ
ให้มีก๊าซอยู่ในครอบครอง
ยกเว้นก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๖
วรรคสอง หรือก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่นำก๊าซที่ได้มาจากการเป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทนผู้ค้าน้ำมันตามข้อ
๑๖ วรรคสอง ไปขายหรือจำหน่าย หรือใช้ในการอื่นก่อนนำไปบรรจุใส่ถังก๊าซหุงต้ม
ข้อ
๒๑ เจ้าของสถานีบริการต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ยกเว้นก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มแล้ว
(๒) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
ข้อ
๒๒ ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะหรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ
ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น
ข้อ
๒๓
ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี) ทั้งนี้ตามระเบียบที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด
ข้อ
๒๔ ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่นหรือกรณีผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงกลั่น
ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ
๒๕
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
หรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้นั้นเห็นเองว่า ตนมีกรณีดังกล่าว
ให้ผู้นั้นส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือตามจำนวนที่ขาด
หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุน จนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิต
สำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือแก่กรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และผู้ซึ่งขายหรือจำน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
แล้วแต่กรณี
(๒) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
หรือกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
เป็นผู้ตรวจพบว่ามีกรณีดังกล่าว ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด
หรือตามจำนวนที่ต้องคืนเข้ากองทุน
พร้อมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหกต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
นับแต่วันที่ครบกำหนดส่งเงินเข้ากองทุนจนกว่าจะครบแก่กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณีภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากพ้นกำหนดระยะเวลาตาม
(๒) แล้ว
ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ได้ส่งเงินพร้อมทั้งเงินเพิ่มหรือส่งไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง
ให้กรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากร
แล้วแต่กรณีดำเนินการให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ให้ถือว่าเงินเพิ่มตาม
(๑) และ (๒) เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย และในการคำนวณระยะเวลาเพื่อการคำนวณเงินเพิ่มตาม
(๑) หรือ (๒)
นั้น หากมีเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ
๒๖ เงินที่ส่งเข้ากองทุน
และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้
แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ
๒๗ การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ปลัดกระทรวงพลังงานรับไว้พิจารณา
ข้อ
๒๘
บรรดาระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑
ของคำสั่งนี้ ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ใช้บังคับ
ทั้งนี้
ระเบียบและประกาศดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับการส่งเงินเข้ากองทุน
การขอรับเงินชดเชย และการจ่ายเงินจากกองทุนทั้งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามหรือในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ
๑ ของคำสั่งนี้ ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ
๒๙
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่ง
ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ
๓๐ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๙
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
พันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ญาณี/พิมพ์
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗
ศุภสรณ์/ทรงยศ/ตรวจ
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๗
อภิญญา/ปรับปรุง
๗ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๑/ตอนพิเศษ ๑๒ ง/หน้า ๔๘/๓๐ มกราคม ๒๕๔๗ |
318729 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2540 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑/๒๕๔๐
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
โดยที่มาตรการต่าง ๆ
ที่ได้กำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงหลังการยกเลิกควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วนั้น
ปรากฏว่ามาตรการบางอย่างมีความไม่เหมาะสมกับภาวะการณ์ในปัจจุบัน
สมควรยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมและสมควรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมขึ้นใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่กำหนดมาตรการดังกล่าวเสียใหม่ประกอบกับคำสั่งดังกล่าวมีอยู่หลายฉบับสมควรรวบรวมประมวลไว้เป็นฉบับเดียวกันเพื่อสะดวกในการใช้บังคับ
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิก
(๑) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑๑/๒๕๓๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑๕
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑๓/๒๕๓๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑๓
กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๔
(๓) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑๕/๒๕๓๔ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๓๐
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
(๔) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑/๒๕๓๕ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๓๕
(๕) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๖/๒๕๓๕ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๑๒
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๖) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๗/๒๕๓๕ เรื่อง
มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรี
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๗) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑/๒๕๓๖ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๕
มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๖
(๘) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑/๒๕๓๘ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๕
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
(๙) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑/๒๕๓๙ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๒๔
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๙
(๑๐) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๓๙ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๙
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
ข้อ ๒
ในคำสั่งนี้
กองทุน หมายความว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนี้
น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด
น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกันหรือน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน
และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย
ก๊าซ หมายความว่า
ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่
โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทน หรือบิวทีลีนส์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่
คลังก๊าซ หมายความว่า สถานที่ พร้อมด้วยถึงเก็บก๊าซ
อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้เก็บก๊าซเพื่อการขายส่งโดยมีถังเก็บก๊าซที่มีขนาดความจุตั้งแต่สองพันลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ถังก๊าซหุงต้ม หมายความว่า
ภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซที่มีขนาดบรรจุก๊าซไม่เกินถังละ ๕๐ กิโลกรัม
แต่ไม่หมายความถึงภาชนะที่ใช้บรรจุก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
โรงกลั่น หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง สถานที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในราชอาณาจักรและให้หมายความรวมถึงโรงแยกก๊าซในราชอาณาจักรที่ผลิตและจำหน่ายก๊าซเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและสารละลายด้วย
สถานีบริการ หมายความว่า
สถานที่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะให้แก่ประชาชนแต่ไม่หมายความรวมถึงสถานีบริการที่เป็นของกระทรวง
ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราอาณาจักร หมายความว่า
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่าย ณ โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า หมายความว่า
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
เพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น หมายความว่า
ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นที่จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๒๑
ราคาขายปลีก หมายความว่า
ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดโดยประกาศของคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดหรือประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดแล้วแต่กรณี
ค่าการตลาด หมายความว่า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งรวมผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจของเจ้าของสถานีบริการ
ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมัน และของผู้ค่าน้ำมันซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
หรือจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี
ผู้ค้าน้ำมัน หมายความว่า
ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ สั่งนำเข้า หรือได้มาด้วยประการอื่นใดเพื่อจำหน่าย
ซึ่งมีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่สองหมื่นเมตริกตันขึ้นไป
ภาษี หมายความว่า ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ ที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราภาษีสูงสุด หมายความว่า
อัตราภาษีสูงสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
อัตราภาษีต่ำสุด หมายความว่า
อัตราภาษีต่ำสุดของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด ที่กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บได้
ผู้บรรจุก๊าซ หมายความว่า
ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นผู้บรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยการบรรจุก๊าซ
เจ้าของสถานีบริการ หมายความว่า
ผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นเจ้าของสถานีบริการโดยให้ถือว่าผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าของสถานีบริการแต่ละแห่ง
และในกรณีที่เจ้าของสถานีบริการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ได้
ให้หมายความรวมถึงผู้ครอบครองหรือจัดการดูแลสถานีบริการด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ปลัดกระทรวงการคลัง หมายความรวมถึง
ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังมอบหมายด้วย
ข้อ ๓
ให้จัดตั้งกองทุนเรียกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยเงินดังต่อไปนี้
(๑) เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
๑๑/๒๕๓๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงลงวันที่
๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒) เงินที่โอนมาจากกองทุนอื่น (ถ้ามี)
(๓) เงินที่ส่งเข้ากองทุนตามคำสั่งนี้
(๔) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นคราว ๆ (ถ้ามี)
(๕) เงินอื่น ๆ
ข้อ ๔ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา
และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
ที่ทำในราชอาณาจักร ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(๒) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
(๓)
กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลัง
ก๊าซ ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(๔)
กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
และก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายให้แก่ประชาชน
(๕)กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนหรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(๖) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
(๗)
พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(๘)
กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
(๙) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ ๕
ให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีอำนาจลงนามในประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ตามอำนาจหน้าที่ในข้อ ๔
(๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) ของคำสั่งนี้
ข้อ ๖
ให้ปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้จัดการกองทุน มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายเงินกองทุนตามคำสั่งนี้
และตามที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔ ของคำสั่งนี้ ทั้งนี้ โดยให้มีอำนาจกำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ตามที่เห็นสมควรด้วย
ข้อ ๗
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีรายจ่าย ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๔
ของคำสั่งนี้
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ตามหมวดรายจ่ายภายในวงเงินประมาณการจ่ายประจำปีที่คณะกรรมการอนุมัติ ดังนี้
- ค่าจ้างชั่วคราว
- ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
- ค่าครุภัณฑ์
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ
(๓) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(๔) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ
เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วยและมีประสิทธิภาพ
(๕) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ
ข้อ ๘
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถ้ามี) ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ข้อ ๙
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
ให้ผู้นำน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักรส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
เพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) ทั้งนี้
ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๐
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร
ให้ปลัดกระทรวงการคลังสั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ณ
โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่กรมสรรพสามิตพร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑
ในกรณีที่คณะกรรมการกำหนดให้มีการกระจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้า
ให้ปลักกระทรวงการคลังสั่งจ่ายเงินกองทุนชดเชยให้แก่ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักรในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
การขอรับเงินชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื่อเพลิงนั้น
(ถ้ามี) และให้นำข้อ ๙ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๒ ในกรณีที่มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ให้ผู้ส่งออกได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกขอคืนได้
(๒)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนไม่ให้ผู้ส่งออกได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้วให้ผู้ส่งออกส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ส่งออกนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน การขอคืนเงิน
และการส่งเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากรแล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๓
ในกรณีที่มีการขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นส่งเงินคืนกองทุน
ไม่ว่าผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะเป็นผู้ได้รับเงินชดเชยหรือไม่
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
และส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ผู้ขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินคืนจากกองทุน
ทั้งนี้
ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวกันที่ใช้บังคับในวันปล่อยเรือเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การส่งเงินคืนกองทุนและการขอเงินคืนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่
กรมศุลกากรกำหนด
ข้อ ๑๔
ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นควรให้มีการกำหนดราคาขายปลีกให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
สั่งให้กรมการค้าภายในนำเสนอให้คณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดพิจารณากำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในกรุงเทพมหานคร
(๒)
สั่งให้กรมการค้าภายในประสานงานกับคณะกรรมการสวนจังหวัดกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดพิจารณาการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในจังหวัด
โดยคำนึงถึงอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสมด้วย
ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๑) แต่ในกรณีที่คณะกรรมการให้กำหนดราคาขายปลีกเฉพาะในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ปฏิบัติตามความใน
(๒)
ข้อ ๑๕
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ให้กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ สั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลตามแบบที่กำหนด
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งแผนการผลิต สั่ง นำเข้า
และจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน
(๒) แจ้งปริมาณ ราคา
และสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าภายในสามวัน นับแต่วันนำเข้า
(๓) แจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อหรือได้มา
จำหน่ายและคงเหลือเป็นประจำ เดือนละ ๓ ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(ก) ครั้งที่ ๑ สำหรับการซื้อหรือได้มา
และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๑๓ ของเดือนเดียวกัน
(ข) ครั้งที่ ๒ สำหรับการซื้อหรือได้มา
และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๑๑ ถึงวันที่ ๒๐ ของเดือน ภายในวันที่ ๒๓
ของเดือนเดียวกัน
(ค) ครั้งที่ ๓ สำหรับการซื้อหรือได้มา
และจำหน่ายระหว่างวันที่ ๒๑ ถึงวันสิ้นเดือนภายในวันที่ ๓ ของเดือนถัดไป
ข้อ ๑๖
เพื่อให้มีก๊าซสำหรับประชาชนใช้หุงต้มอย่างพอเพียงในราคาขายปลีกที่ทางราชการกำหนด
ให้ปลัดประทรวงการคลังสั่งจ่ายเงินจากกองทุนชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้ม
ตามปริมาณที่กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบและรับรองว่าเป็นปริมาณที่ผู้ค้าน้ำมันได้บรรจุในถังก๊าซหุงต้มเพื่อขายหรือจำหน่ายและที่ผู้ค้าน้ำมันได้ขายหรือจำหน่ายให้แก่ผู้บรรจุก๊าซเพื่อขายหรือจำหน่าย
ทั้งนี้ ในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ข้อ ๑๗
ในการขอรับเงินชดเชยตามข้อ ๑๖ ให้ผู้ค้าน้ำมันปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) จัดทำบัญชีรับจ่ายก๊าซเพื่อให้กรมทะเบียนการค้า
กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบได้ในระหว่างทำการของผู้ค้าน้ำมัน
(๒) แจ้งปริมาณก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจาก
(ก) โรงกลั่น
(ข) การนำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(ค) อื่น ๆ
(๓) แจ้งปริมาณก๊าซที่ขายหรือจำหน่ายเพื่อบรรจุในถังก๊าซหุงต้มให้แก่
(ก) ตนเอง ในกรณีที่เป็นผู้บรรจุก๊าซด้วย
(ข) ผู้บรรจุก๊าซรายอื่น
(๔) แจ้งปริมาณก๊าซที่ขายหรือจำหน่ายเพื่อการอื่นนอกจาก (๓)
ให้แก่
(ก) ผู้ค้าน้ำมันรายอื่น
(ข)
ผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงในการประกอบอุตสาหกรรม รวมทั้งผู้ประกอบกิจการโรงงาน
ภัตตาคาร สถานพยาบาล และโรงเรียน หรือกิจการอื่นใดที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงด้วย
(ค) สถานีบริการ
(๕)
ยื่นคำขอรับเงินชดเชยพร้อมกับคำรับรองของผู้บรรจุก๊าซการแจ้งปริมาณก๊าซตาม (๒) (๓)
และ (๔) และการยื่นคำขอรับเงินชดเชยพร้อมกับคำรับรองตาม (๕) ให้ทำตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนดและรับรองว่าถูกต้องตามความเป็นจริง
และส่งไปยังกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์เดือนละครั้ง อย่างช้าภายในวันที่ ๑๐
ของเดือนถัดไป
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันซื้อหรือรับก๊าซจากโรงกลั่น
หรือจากการนำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร และบรรจุก๊าซดังกล่าวในถังก๊าซหุงต้มเพื่อขายหรือจำหน่าย
ไม่ต้องทำคำรับรองสำหรับก๊าซส่วนที่นำไปบรรจุในถังก๊าซหุงต้มเพื่อขายหรือจำหน่ายนั้น
ข้อ ๑๘
ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๖ ขายหรือจำหน่ายก๊าซให้แก่
(๑) ผู้บรรจุก๊าซ
(๒) สถานีบริการ
ข้อ ๑๙ ผู้บรรจุถังก๊าซต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๖
(๒) บรรจุก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๖
ในถังก๊าซหุงต้ม จะขายหรือจำหน่ายก๊าซนั้น
หรือนำก๊าซนั้นไปใช้ในการอื่นก่อนบรรจุในถังก๊าซหุงต้มมิได้
(๓) ทำคำรับรองตามข้อ ๑๗ วรรคสอง
มอบให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๖ ซึ่งเป็นผู้ขายหรือจำหน่ายก๊าซ พร้อมกับการรับมอบก๊าซนั้น
ข้อ ๒๐ เจ้าของสถานีบริการต้อง
(๑) ไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามข้อ ๑๖
(๒) ไม่ขายหรือจำหน่ายก๊าซเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะในวันและเวลาที่ทางราชการกำหนดห้ามสำหรับขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
ข้อ ๒๑
ห้ามิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
หรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใด ๆ
ทั้งสิ้น
ข้อ ๒๒
ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่งให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี) ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมทรัพยากรธรณีกำหนด
ข้อ ๒๓
ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๒๑ ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบหรือผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดินในโรงกลั่น
ยกเว้นที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค่าน้ำมันซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนแต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว
ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื่อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการ
ส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรม
ศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ ๒๔
ในกรณีที่ต้องส่งเงินกองทุนตามคำสั่งนี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุน
ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง หรือไม่ส่งเงินคืนกองทุนภายในเวลาที่กำหนดให้กรมสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
ณ โรงกลั่นและจำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและผู้ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง
และกรมศุลกากรสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้ซึ่งขายหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เรื่อเพื่อให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
แล้วแต่กรณี เป็นผู้ดำเนินการใหมีการดำเนินคดีตามกฏหมายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเร็ว
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งหรือส่งภายหลังระยะเวลาที่กำหนด
ไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ให้เสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสามต่อเดือนของจำนวนเงินดังกล่าว
ทั้งนี้ นับแต่วันที่ครบกำหนดส่ง และให้ถือว่าเงินเพิ่มนี้เป็นเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนด้วย
ในการคำนวณระยะเวลาตามวรรคสอง
เศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดิน
ข้อ ๒๕
เงินที่ส่งเข้ากองทุน และเงินชดเชยที่ได้รับจากกองทุนตามคำสั่งนี้ ให้ถือเป็นรายจ่ายหรือเงินได้
แล้วแต่กรณี ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒๖
การขอรับเงินชดเชยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ยกเลิกโดยคำสั่งนี้หากมิได้กระทำภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับห้ามมิให้ปลัดกระทรวงการคลังรับไว้พิจารณา
ข้อ ๒๗
บรรดาคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกเลิกตามข้อ ๑ แห่งคำสั่งนี้รวมทั้งระเบียบและประกาศที่ออกตามคำสั่งดังกล่าว
ให้ใช้บังคับต่อไปสำหรับกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว
รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยและการจ่ายเงินจากกองทุนตามคำสั่งนั้น
ก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับด้วย
ข้อ ๒๘
ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
ข้อ ๒๙
คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
นายกรัฐมนตรี
อภิญญา/ปรับปรุง
๖ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๔/ตอนพิเศษ ๘๔ ง/หน้า ๓๒/๒๒ กันยายน ๒๕๔๐ |
301897 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 10/2534 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑๐/๒๕๓๔
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกัน
ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
ตามที่ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๗/๒๕๓๔
เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ห้ามใช้ไฟฟ้าในการโฆษณาสินค้าหรือบริการ เว้นแต่ได้รับอนุญาตนั้น
โดยที่ปัจจุบันปรากฏว่าภาวะสงครามในตะวันออกกลางได้สิ้นสุดลงแล้ว
และการจัดหาน้ำมันในประเทศได้เข้าสู่ภาวะปกติ
ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๖/๒๕๓๔ เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรี
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๑๖ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๗/๒๕๓๔ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
ข้อ ๒
คำสั่งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
ไพจิตร เอื้อทวีกุล
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรี
อภิญญา/ปรับปรุง
๓ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๑๒๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๖/๙ กรกฎาคม ๒๕๓๔ |
301896 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2534 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง | คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๔/๒๕๓๔
เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกัน
ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง[๑]
โดยที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้พิจารณาเห็นสมควรให้ก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติต้องเสียภาษีสรรพสามิตและส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
แล้วแต่กรณี เพื่อให้ก๊าซมีต้นทุนเท่ากับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักร
และเพื่อให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันขายให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบหรือที่ผู้นำเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมสารละลายได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนหรือได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
เพราะผู้ซื้อหรือนำเข้ามิได้นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง ในการนี้จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓/๒๕๒๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖ และคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๓/๒๕๓๔ เรื่อง
มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรีเพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๔
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒/๒๕๓๒
เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๒
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของข้อ ๔ ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓/๒๕๒๙ เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๒๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๕) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชย
สำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ
๒๗ ทวิ และข้อ ๒๗ ตรี ของ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๓/๒๕๒๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙
ข้อ ๒๗ ทวิ ในกรณีที่มีการซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติ
ให้ผู้ซื้อได้มาซึ่งก๊าซนั้นส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนในอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
การส่งเงินเข้ากองทุนหรือการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นรายการแจ้งชนิดและปริมาณก๊าซดังกล่าวแก่ผู้รับชำระค่าภาคหลวงก๊าซพร้อมกับการชำระค่าภาคหลวงสำหรับก๊าซ
(ถ้ามี) ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กรมทรัพยากรธรณีกำหนด
ข้อ ๒๗ ตรี ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๒๑
ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ซึ่งนำน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นไปใช้เป็นวัตถุดิบหรือผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมหรือสารละลาย
ยกเว้นที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง
(๑)
ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
แต่ถ้ามีการส่งเงินเข้ากองทุนแล้ว ให้ขอคืนได้
(๒) ถ้าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุน
ไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันซึ่งขายหรือผู้ซึ่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นได้รับเงินชดเชย
แต่ถ้ามีการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนแล้ว ให้ส่งเงินคืนกองทุน
การขอรับยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน
การขอคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนและการส่งเงินคืนกองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตหรือระเบียบของกรมศุลกากร แล้วแต่กรณี
ข้อ ๔ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นไป ยกเว้นข้อ ๓ ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อ ๒๗ ตรี
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙
สั่ง ณ วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๔
กร ทัพพะรังสี
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
จารุวรรณ/พิมพ์
๑๗ กันยายน ๒๕๔๕
อภิญญา/ปรับปรุง
๓๐ กันยายน ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๑๓/หน้า ๒๕/๒๔ มกราคม ๒๕๓๔ |
724081 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 3/2534 เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรี เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516
| คำสั่งนายกรัฐมนตรี
คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓/๒๕๓๔
เรื่อง
มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการ
แทนนายกรัฐมนตรีเพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดแก้ไข
และป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖[๑]
อาศัยอำนาจตามมาตรา
๓ วรรคสอง แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๑๖ นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี)
เป็นผู้ปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรี
ในการดำเนินการของผู้รับมอบหมายนี้
ให้รายงานผลการปฏิบัติงานต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๗
มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๔
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี
อภิญญา/ผู้จัดทำ
๑ ตุลาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๘/หน้า ๑๕/๑๗ มกราคม ๒๕๓๔ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.