sysid
stringlengths 1
6
| title
stringlengths 8
870
| txt
stringlengths 0
257k
|
---|---|---|
413974 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2546 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี
(ฉบับที่ ๖)
พ.ศ. ๒๕๔๖
ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น
และแผ่นแถบที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
ในการนำเข้าสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ นั้น
บริษัท
Kawasaki
Steel Corporation ได้แจ้งว่า บริษัทฯ
ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อนิติบุคคลใหม่เป็นบริษัท JFE Steel
corporation ต่อ District Legal Affairs Bureau ของประเทศญี่ปุ่น แล้ว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ และมาตรา ๗๓ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒
คณะกรรมการออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่
๖) พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อ
๒ ให้แก้ไขข้อความว่า บริษัท Kawasaki
Steel Corporation ในข้อ ๒ (๑) ของประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น
และแผ่นแถบที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็น บริษัท JFE Steel corporation
ข้อ
๓[๑] ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
เป็นระยะเวลา ๕ ปี
ประกาศ ณ วันที่ ๒๔
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๗๐ ง/หน้า ๔๗/๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๖ |
391271 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถานสาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลาสาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวักและประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2546
| ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน
ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน
สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก
และประเทศโรมาเนีย
(ฉบับที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๔๖
ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๘
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
กำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก
และประเทศโรมาเนีย ไปแล้ว นั้น
บัดนี้
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดเมื่อวันที่ ๑๖
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
ว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อขจัดความเสียหายที่เกิดจากการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดดังกล่าว
แต่ให้ยกเว้นการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดกรณีนำเข้ามาเพื่อการส่งออก
รายละเอียดผลการพิจารณาของคณะกรรมการปรากฏในประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง
ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี
ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๖
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๔๙ มาตรา
๕๑ มาตรา ๕๓ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๗๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
คณะกรรมการออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน
สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
ประเทศยูเครน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก
และประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่
๕) พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อ ๒ ให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศที่ระบุตามประกาศในข้อ ๑
โดยมีรายละเอียดตามบัญชีรายละเอียดแนบท้ายประกาศนี้ ตามอัตราที่กำหนดดังนี้
(๑) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งผลิตจาก
- NKK
CORPORATION และ
NIPPON STEEL CORPORATIO
อัตราร้อยละ ๓๖.๒๕ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๓๖.๒๕
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
(๒) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐแอฟริกาใต้
ซึ่งผลิตจาก
-
ISCOR LIMITED และ
SALDANHA STEEL (PTY) LTD. อัตราร้อยละ ๑๒๘.๑๑ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๑๒๘.๑๑
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
(๓) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสหพันธรัฐรัสเซีย
ซึ่งผลิตจาก
-
NOVOLIPETSK IRON & STEEL CORPORATION อัตราร้อยละ
๒๔.๒๐ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๓๕.๑๗
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
(๔) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐคาซัคสถาน
ซึ่งผลิตจาก
-
OJSC ISPAT KARMET อัตราร้อยละ ๑๐๙.๒๕ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๑๐๙.๒๕ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
(๕) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอินเดีย
ซึ่งผลิตจาก
-
STEEL AUTHORITY OF INDIA
LIMITED, JINDAL
VIJAYANAGAR STEEL
LIMITED, ESSAR STEEL LIMITED และ ISPAT INDUSTRIES LIMITED อัตราร้อยละ
๒๖.๘๑
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- THE
TATA IRON AND STEEL COMPANY LIMITED อัตราร้อยละ
๓๑.๙๒
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๓๑.๙๒
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
(๖) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐเกาหลี
ซึ่งผลิตจาก
-
POHANG IRON AND STEEL CO.,LTD. อัตราร้อยละ ๑๓.๙๖ ของ
ราคา ซี.ไอ.เอฟ.
-
รายอื่น อัตราร้อยละ ๑๓.๙๖ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
(๗) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไต้หวัน
ซึ่งผลิตจาก
-
CHINA STEEL CORPORATION และ
YIEH LOONG
ENTERPRISE CO.,LTD.
อัตราร้อยละ ๓.๔๕
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๒๕.๑๕
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
(๘)
ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐเวเนซูเอลา ซึ่งผลิตจาก
-
SIDERURGICA DEL ORINOCO,SIDOR, C.A.
อัตราร้อยละ ๗๘.๔๔
ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
-
รายอื่น อัตราร้อยละ ๗๘.๔๔ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
(๙) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอาร์เจนตินา
ซึ่งผลิตจาก
-
SIDERAR S.A.I.C. อัตราร้อยละ ๓๗.๙๔ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๕๓.๐๙ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
(๑๐) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศยูเครน
ซึ่งผลิตจาก
-
IRON & STEEL WORKS NAMED AFTER ILYICH อัตราร้อยละ
๓๐.๔๕ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๖๗.๖๙ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
(๑๑) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย ซึ่งผลิตจาก
-
ISPAT ANNABA/S.P.A อัตราร้อยละ ๓๓.๒๖ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๓๓.๒๖ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
(๑๒) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งผลิตจาก
- PT KRAKATAU STEEL อัตราร้อยละ ๒๔.๔๘ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๒๔.๔๘ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
(๑๓) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐสโลวัก ซึ่งผลิตจาก
-
U.S. STEEL KOSICE, s.r.o. อัตราร้อยละ ๕๑.๙๕ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๕๑.๙๕ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
(๑๔) ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศโรมาเนีย ซึ่งผลิตจาก
-
COMBINATUL SIDERURGIC ISPAT SIDEX SA อัตราร้อยละ ๒๗.๙๕ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
- รายอื่น
อัตราร้อยละ ๒๗.๙๕ ของราคา
ซี.ไอ.เอฟ.
ข้อ ๓ อากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราว
ที่เรียกเก็บไว้แล้วในระหว่างที่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
ตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน
สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่
๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
ให้เรียกเก็บเป็นอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหากอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตามข้อ ๒
มีอัตราต่ำกว่าอากรชั่วคราวที่เรียกเก็บไว้เกิน
หรือให้คืนหลักประกันการชำระอากรชั่วคราว
เมื่อผู้นำเข้าได้ชำระอากรตอบโต้การทุ้มตลาดตามอัตราที่กำหนดไว้
ข้อ ๔ ให้คืนอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวที่เรียกเก็บไว้แล้วในระหว่างที่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
ตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย พ.ศ. ๒๕๔๕
ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนี้
๔.๑
เหล็กกล้าที่มีคาร์บอนตั้งแต่ร้อยละ ๐.๖
ขึ้นไป หรือเหล็กกล้าชั้นคุณภาพ JIS
G ๓๑๐๑:SS๕๔๐ JIS
G ๓๑๐๓:SB JIS G ๓๑๑๕:SPV
JIS G ๓๑๑๘:SGV JIS G ๓๑๒๖:SLA
JIS G ๓๑๓๔:SPFH JIS G ๔๐๕๑:S๔๘C ถึง S๕๘C
หรือมาตรฐานอื่น ๆ ที่เทียบเท่า ตามพิกัด ๗๒๐๘.๙๐ รหัสสถิติ ๐๙๐
๔.๒
เหล็กกล้าที่ผ่านการกัดล้างแล้ว เหล็กกล้าที่มีคาร์บอนตั้งแต่ร้อยละ ๐.๖ ขึ้นไป
หรือเหล็กกล้าชั้นคุณภาพ JIS G ๓๑๐๑:SS๕๔๐ JIS G ๓๑๐๓:SB
JIS G ๓๑๑๕:SPV JIS G ๓๑๑๘:SGV
JIS G ๓๑๒๖:SLA JIS G ๓๑๓๔:SPFH
JIS G ๔๐๕๑:S๔๘C ถึง S๕๘C
หรือมาตรฐานอื่น ๆ ที่เทียบเท่า ตามพิกัด ๗๒๑๑.๑๓ รหัสสถิติ ๐๐๐
พิกัด ๗๒๑๑.๑๔
รหัสสถิติ ๐๒๐ ๐๓๐ ๐๙๐ พิกัด ๗๒๑๑.๑๙
รหสัสถิติ ๐๒๐ ๐๓๐ ๐๙๐
ข้อ ๕
ให้คืนหลักประกันอากรที่กรมศุลกากรได้เรียกเก็บไว้แล้วตามมาตรา ๓๑
ในระหว่างวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ถึงวันที่ ๑๗
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๖ ความในข้อ ๒ ให้ยกเว้นกับกรณีดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อการค้าเพื่อการส่งออก ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(๒) ผู้ได้รับการส่งเสริมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
(๓) ผู้นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ทั้งนี้ ในการดำเนินการยกเว้นอากรตอบโต้การทุ่มตลาดให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
วิธีการ
และเงื่อนไขในการยกเว้นอากรขาเข้าเพื่อการส่งออกตามกฎหมายดังกล่าวแล้วแต่กรณีโดยอนุโลม
ข้อ ๗ [๑]ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
เป็นระยะเวลา ๕ ปี
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
อดิศัย
โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
บันทึกข้อความตกลงการจ่ายเงินรางวัลให้แก่นักมวยในการแข่งขันกีฬามวยบัญชีรายละเอียดแนบท้ายประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่
๒๒ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๔๖
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วิภา/ผู้จัดทำ
๖
กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๕๙
ง/หน้า ๙/๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖ |
660819 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2545
| ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน
สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน
สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
สาธารณรัฐสโลวัก
และประเทศโรมาเนีย
(ฉบับที่ ๓ )
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
ตามที่คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนภายใต้พระราชบัญญัติ
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีมติเมื่อวันที่
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ให้เรียกหลักประกันอากรตามมาตรา ๓๑
สำหรับสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย ในอัตราร้อยละ ๓๐
ของราคาซีไอเอฟ พร้อมทั้งได้แจ้งให้กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากรไปแล้ว นั้น
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้พิจารณามีมติเมื่อวันที่
๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ เห็นว่าเพื่อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมส่งออก จึงให้ยกเว้นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้าเหล็กดังกล่าวซึ่งนำเข้ามาเพื่อการส่งออกและให้คืนหลักประกันอากรที่กรมศุลกากรเรียกเก็บไว้แล้ว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๓๑ และมาตรา ๗๓ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติ การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ คณะกรรมการจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศฉบับที่
เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและ
ไม่เป็นม้วนที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๔๕
ข้อ ๒ ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้คืนหลักประกันอากรที่กรมศุลกากรได้เรียกเก็บไว้แล้วตามมาตรา
๓๑ สำหรับกรณีดังต่อไปนี้
๑) ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อการส่งออกที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อการค้าเพื่อการส่งออก ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
๒)
ผู้ได้รับการส่งเสริมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
๓) ผู้นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก ภายใต้กฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ทั้งนี้ ในการดำเนินการคืนหลักประกันอากรตามมาตรา ๓๑
ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยกเว้นหรือการคืนอากรขาเข้าเพื่อการส่งออกตามกฎหมายดังกล่าวแล้วแต่กรณีโดยอนุโลม
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
สุกัญญา/พิมพ์
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๒๘ ง/หน้า ๓๒/๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ |
660817 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วนแผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2545
| ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น
และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สหภาพยุโรป
ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี
(ฉบับที่
๔)
พ.ศ.
๒๕๔๕[๑]
ตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี
พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้กำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดการนำเข้าสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี
นั้น
คณะกรรมการพิจารณากรทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้พิจารณามีมติเมื่อวันที่
๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ เห็นว่า เพื่อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมส่งออกจึงให้ยกเว้นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้าเหล็กดังกล่าวซึ่งนำเข้ามาเพื่อการส่งออก
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๔๑ มาตรา
๔๒ และมาตรา ๗๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒คณะกรรมการจึงประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศฉบับนี้ เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และ แผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่
๔) พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ๒
ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔ ของประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ.
๒๕๔๕
ข้อ
๔ ความในข้อ ๒ ให้ยกเว้นกับกรณีดังต่อไปนี้
๑)
ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อการค้าเพื่อการส่งออก ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
๒)
ผู้ได้รับการส่งเสริมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
๓)
ผู้นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก ภายใต้กฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ทั้งนี้ ในการดำเนินการยกเว้นอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยกเว้นอากรขาเข้าเพื่อการส่งออกตามกฎหมายดังกล่าวแล้วแต่กรณีโดยอนุโลม
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
สุกัญญา/พิมพ์
๓๑
สิงหาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๒๖ ง/หน้า ๒๔/๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๕ |
660813 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
| ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วน
และไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐเกาหลี
ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
ประเทศยูเครน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย
(ฉบับที่
๒)
พ.ศ.
๒๕๔๕[๑]
ตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๔๕
ได้กำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย นั้น
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ได้พิจารณามีมติเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ เห็นว่า
เพื่อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมส่งออกจึงให้ยกเว้นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้าเหล็กดังกล่าวซึ่งนำเข้ามาเพื่อการส่งออก
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๔๑ มาตรา
๔๒ และมาตรา ๗๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้ เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๒
ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔
ของประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วน
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ สหพันธรัฐรัสเซีย
สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน สาธารณรัฐเวเนซูเอลา
สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ประเทศยูเครน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
สาธารณรัฐสโลวัก และประเทศโรมาเนีย พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ
๔ ความในข้อ ๒
ให้ยกเว้นกับกรณีดังต่อไปนี้
๑)
ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อการค้าเพื่อการส่งออก
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
๒)
ผู้ได้รับการส่งเสริมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
๓) ผู้นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเพื่อการส่งออก ภายใต้กฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ทั้งนี้
ในการดำเนินการยกเว้นอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการยกเว้นอากรขาเข้าเพื่อการส่งออกตามกฎหมายดังกล่าว
แล้วแต่กรณีโดยอนุโลม
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
วิภา/ผุ้จัดทำ
๓๑
สิงหาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๒๖ ง/หน้า ๑๘/๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๕ |
660811 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วนแผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2545
| ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น
และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สหภาพยุโรป
ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น
และแผ่นแถบ ที่มีแหล่ง กำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
เละสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
กำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี เป็นระยะเวลา ๔ เดือน นับแต่วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไป
นั้น
บัดนี้คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้พิจารณาคำขอของ
ผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่มีสัดส่วนมากพอสมควรให้ขยายเวลาการใช้มาตรการชั่วคราวออกไป
จึงมีมติเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
ให้ขยายเวลาการใช้มาตรการชั่วคราวออกไปอีก
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๑ มาตรา๔๒ (๒) และมาตรา ๗๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศฉบับนี้ เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่น แถบที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๒
ให้ขยายระยะเวลาการใช้มาตรการชั่วคราวตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น
และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ออกมาอีกเป็นระยะเวลา ๒
เดือน
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
วิภา/ผู้จัดทำ
๓๑
สิงหาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๑๖ ง/หน้า ๕๐/๒๘ พฤศจิกายน
๒๕๔๕ |
660807 | ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2545
| ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ
ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ
เรื่อง
ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
หน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน[๑]
พ.ศ.
๒๕๔๕
ด้วยคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ภายใต้พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
ได้มีคำวินิจฉัยเบื้องต้นกำหนดมาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H
ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. ๒๕๔๕
กรมการค้าต่างประเทศจึงได้ออกประกาศผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งออกตามความในข้อ ๑ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
เพื่อประกาศรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาผลการไต่สวน
ดังนี้
๑.
การเปิดการไต่สวน
เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๔๔
กรมการค้าต่างประเทศได้ออกประกาศเปิดการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนตามคำขอของบริษัท
เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ในฐานะอุตสาหกรรมภายในผู้ผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ในประเทศ
ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เมื่อวันที่ ๑๐
เมษายน ๒๕๔๔ และกรมการค้าต่างประเทศได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหาย
ตามหลักเกณฑ์ภายใต้พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ และสรุปผลการไต่สวนให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยผลเบื้องต้น เมื่อวันที่
๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕
๒.
สินค้าทุ่มตลาด
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H พิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๗๒๑๖.๓๓๐.๐๐๕
ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
๓.
ผู้มีส่วนได้เสีย
๓.๑
ผู้ผลิตและผู้ส่งออกในสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่
(๑) Laiwu
Steel Group, Ltd.
(๒) ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่น ๆ นอกจาก
(๑)
๓.๒ ผู้นำเข้าไทย ได้แก่
(๑) บริษัท โกศลโลหะกิจ จำกัด
(๒) บริษัท ริช สตีล จำกัด
(๓) บริษัท เอช - ไอบีมส์ จำกัด
(๔) ผู้นำเข้ารายอื่น ๆ นอกจาก (๑) - (๓)
๓.๓
อุตสาหกรรมภายในที่ผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ทั้งหมดในฐานะผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศ
คือ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด
๓.๔
รัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะรัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกสินค้าที่ถูกพิจารณา
๔. ผลการพิจารณาการทุ่มตลาด
คณะกรรมการได้พิจารณาให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจการตลาด
ดังนั้น ในการไต่สวนครั้งนี้คณะกรรมการพิจารณาว่า
การซื้อขายสินค้ารวมทั้งปัจจัยการผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H เป็นไปตามกลไกราคาตลาด
และการพิจารณาการทุ่มตลาดได้พิจารณาข้อมูลจากบริษัท Laiwu Steel Group, Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่ให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถามตามกระบวนการไต่สวน
โดยพิจารณาจากข้อมูลราคาขายในประเทศ และราคาส่งออกในช่วงระยะเวลาการไต่สวน คือ
วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓
๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๓
ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้ตรวจสอบแล้วสำหรับผู้ไม่ได้ให้ความร่วมมือหรือผู้ผลิตผู้ส่งออกรายอื่น
คณะกรรมการพิจารณาจากข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่
ในกรณีนี้คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่ามีการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H
จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้
๔.๑ บริษัท Laiwu Steel Group, Ltd.
(๑) มูลค่าปกติ
ในกรณีนี้มูลค่าปกติที่พิจารณาเป็นมูลค่าที่คำนวณขึ้น
(Constructed value) ตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๕ (๒) โดยคำนวณจากต้นทุนการผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดรวมกับจำนวนที่เหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการจัดการ
การขายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตลอดจนกำไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
และได้หักค่าภาระที่ปรับลดคือความแตกต่างของระดับการค้า
และความแตกต่างของเงินเดือนพนักงานขายแล้ว โดยพิจารณาแล้วเห็นว่า ราคาขายภายในประเทศตามที่บริษัทรายงานไม่ถือเป็นราคาในทางการค้าปกติที่จะนำมาพิจารณาหามูลค่าปกติได้เนื่องจากราคาดังกล่าวต่ำกว่าต้นทุนการผลิตรวมกับค่าใช้จ่ายในการจัดการ
การขายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๕ วรรค ๓ ของพระราชบัญญัติตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
(๒) ราคาส่งออก
คำนวณราคาส่งออกตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๔
ของพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ โดยใช้ข้อมูลการส่งออกสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่ได้รับตามแบบสอบถามในช่วงระยะเวลาการไต่สวนโดยคำนวณจากราคาส่งออก
ณ หน้าโรงงาน ซึ่งได้หักค่าขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ ค่าขนส่งภายในประเทศ
ค่าระวางและค่าขนถ่ายสินค้า ค่าทาสีกันสนิม ค่าการตรวจสอบสินค้า
และหักค่าภาระที่ปรับลดคือความแตกต่างทางกายภาพของสินค้าออกแล้วถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก
(๓) ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
คำนวณตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๘
ของพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ โดยเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติตาม (๑) และราคาส่งออก
ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตาม (๒) ซึ่งเป็นราคา ณ ระดับการค้าเดียวกันคือ ณ
หน้าโรงงานและในช่วงระยะเวลาเดียวกันคือ ช่วงระยะเวลาการไต่สวน
ปรากฏอัตราส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดในอัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคา C.I.F.
๔.๒ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายอื่น ๆ
ได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา
๒๗ ของพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งกรณีนี้ถือว่าระดับการให้ความร่วมมือของประเทศมีมาก จึงพิจารณาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดเท่ากับอัตราส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดของผู้ให้ความร่วมมือ
คือ บริษัท Laiwu Steel Group,
Ltd. คืออัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคา C.I.F.
๕. ผลการพิจารณาความเสียหาย
คณะกรรมการได้พิจารณาความเสียหายเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
ตามมาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๑
ของพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ โดยพิจารณาจากข้อมูลตามที่ได้รับตอบแบบสอบถามในช่วง ๓ ปี คือ พ.ศ. ๒๕๔๑ -
๒๕๔๓ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้ตรวจสอบแล้ว ทั้งจากอุตสาหกรรมภายในและผู้นำเข้า
ซึ่งปรากฏว่า มีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน ตามมาตรา ๑๙ (๑)
ดังนี้
๕.๑
ปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดและผลของการทุ่มตลาดที่มีต่อราคาสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
(๑) ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
ในช่วงระยะเวลาก่อนปี ๒๕๔๓
หรือก่อนระยะเวลาการไต่สวนนั้นแทบจะไม่มีการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H (H - Beam)
จากสาธารณรัฐประชาชนจีนเลย โดยมีการนำเข้าในปี ๒๕๔๑ เพียงเล็กน้อยซึ่งคิดเป็นร้อยละ
๒.๓ ของปริมาณการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมด ในปี ๒๕๔๓ สินค้าเหล็ก H - Beam
จากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เริ่มเข้ามาเจาะตลาดสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศไทย
โดยการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๗๑.๒๐ ของปริมาณการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมด
จึงถือได้ว่าปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดในช่วงระยะเวลาการไต่สวนนั้น
เกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำคือร้อยละ ๓ ของปริมาณการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมด
และได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยสินค้าทุ่มตลาดทั้งหมดนั้นมาจากผู้ผลิต/ผู้ส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ให้ความร่วมมือในการไต่สวน
คือ Laiwu Steel Group, Ltd.
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาข้อมูลส่วนแบ่งตลาดซึ่งคำนวณจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเปรียบเทียบกับปริมาณการบริโภคเหล็ก
H - Beam
ทั้งหมดภายในประเทศ
จะพบว่าส่วนแบ่งตลาดสินค้าทุ่มตลาดที่นำเข้าจากจีนนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
คือ จากร้อยละ ๐.๕๗ ในปี ๒๕๔๑ เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ ๑๗.๖๑ ในปี ๒๕๔๓
(๒)
ผลกระทบของการทุ่มตลาดที่มีต่อราคาสินค้าชนิดเดียวกัน
เมื่อเปรียบเทียบราคาขายสินค้าเหล็ก H Beam
ของอุตสาหกรรมภายใน กับราคาขายสินค้าเหล็ก H
- Beam ที่นำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยนำข้อมูลค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของผู้นำเข้ามาปรับกับราคาส่งออก
เพื่อให้เป็นระดับการค้าเดียวกัน คือ
ระดับการขายให้ผู้ซื้อภายในประเทศแล้วปรากฏว่าราคานำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาขายของอุตสาหกรรมภายใน
คือ มีการตัดราคา การกดราคา และการยับยั้งการขึ้นราคาของอุตสาหกรรมภายใน
๕.๒
ผลกระทบของการทุ่มตลาดที่มีต่ออุตสาหกรรมภายใน
(๑) ยอดจำหน่าย กำไร ผลผลิต ส่วนแบ่งตลาด
ความสามารถในการผลิต ผลตอบแทนการลงทุน หรืออัตราการใช้กำลังการผลิตมีปริมาณหรืออัตราลดลงหรือมีแนวโน้มที่จะลดลง
เมื่อพิจารณาถึงผลการดำเนินการของอุตสาหกรรมภายใน
โดยพิจารณาข้อมูลตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ พบว่าในปี ๒๕๔๓
ผลผลิตภายในประเทศอัตราการใช้กำลังการผลิต ยอดจำหน่ายสินค้าเหล็ก H Beam
และกำไรของอุตสาหกรรมภายในเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้
เนื่องจากปริมาณการใช้สินค้าดังกล่าวภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงขึ้นกว่าปี
๒๕๔๑ และ ๒๕๔๒
และเนื่องจากสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่งเริ่มเข้ามาเจาะตลาดภายในประเทศของไทยในปี
๒๕๔๓ นี้เท่านั้น ผลกระทบต่อการผลิตและการจำหน่ายจึงยังไม่มีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบปริมาณขายกับปริมาณการใช้สินค้าดังกล่าวภายในประเทศในปี
๒๕๔๓ เทียบกับปี ๒๕๔๒ แล้ว
พบว่ายอดจำหน่ายสินค้าชนิดเดียวกันของอุตสาหกรรมภายในเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๖๙.๕๓
ซึ่งเพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ
๙๕.๘๖ ซึ่งเมื่อพิจารณาส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายในพบว่าลดลงจากร้อยละ ๘๗
เหลือร้อยละ ๗๕ ในปี ๒๕๔๓
โดยสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายใน
ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายในลดลง
นอกจากนี้อุตสาหกรรมภายในยังมีความสามารถในการผลิตและผลตอบแทนการลงทุนลดต่ำลงด้วย
(๒) ผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศ
เมื่อพิจารณาข้อมูลราคารายไตรมาสตั้งแต่ปี
๒๕๔๑ ถึงปี ๒๕๔๓ พบว่าราคาสินค้าเหล็ก H
- Beam ที่ขายภายในประเทศของอุตสาหกรรมภายในมีแนวโน้มลดต่ำลงโดยเฉพาะในปี
๒๕๔๓ ซึ่งเป็นปีที่มีการนำเข้าสินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
(๓)
ผลกระทบและแนวโน้มที่จะเกิดต่อกระแสเงินสด สินค้าคงคลัง การจ้างงาน ค่าจ้างแรงงาน
อัตราการเจริญเติบโต ความสามารถในการเพิ่มทุนหรือการลงทุน
กระแสเงินสดของอุตสาหกรรมภายในและการจ้างแรงงานมีแนวโน้มลดต่ำลง
ส่วนค่าจ้างแรงงานนั้นเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยสำหรับสินค้าคงคลังมีแนวโน้มลดต่ำลง
ทั้งนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในสามารถขายสินค้าภายในประเทศได้เพิ่มขึ้น
อันเนื่องมาจากปริมาณการใช้สินค้าภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น
รวมทั้งสามารถส่งสินค้าออกได้เพิ่มสูงขึ้นด้วย
ซึ่งในที่นี้อาจกล่าวได้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมภายในนั้นเป็นผลกระทบทางด้านราคา
โดยอุตสาหกรรมภายในต้องลดราคาขายลง จึงสามารถขายสินค้าภายในประเทศได้เพิ่มสูงขึ้น
ทำให้ไม่เกิดผลกระทบต่อปริมาณการผลิต ปริมาณการจำหน่ายและสินค้าคงคลัง
การพิจารณาความสามารถในการเพิ่มทุนหรือลงทุนนั้น
อาจกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมภายในไม่มีความสามารถเพิ่มทุนหรือลงทุน
เพราะถึงแม้ว่ายอดการขาดทุนขาดทุนสะสมในปี ๒๕๔๓ จะลดต่ำลงกว่าปี ๒๕๔๒
ก็ตามแต่ก็ลดลงเพียงเล็กน้อยและยังถือว่ามียอดขาดทุนสะสมสูงมาก คือกว่า ๓,๐๐๐ ล้านบาท
การพิจารณาอัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมภายใน
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบปริมาณขายสินค้าเหล็ก H - Beam
กับแนวโน้มการใช้สินค้าดังกล่าวภายในประเทศ
ปรากฏว่าแม้อัตราการเจริญเติบโตของปริมาณขายสินค้าเหล็ก H - Beam
ของอุตสาหกรรมภายในจะเพิ่มสูงขึ้นแต่ก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้ภายในประเทศ
(๔)
ความสัมพันธ์ของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดกับส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดสินค้าเหล็ก H - Beam
จากสาธารณรัฐประชาชนจีน คิดเป็นอัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคาส่งออก C.I.F. ซึ่งการทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนส่งผลให้การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน
จากที่ไม่มีการนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเลย ในปี ๒๕๔๒
เป็นการนำเข้าซึ่งคิดเป็นร้อย ๗๑.๒๐ ของปริมาณนำเข้าทั้งหมดในปี ๒๕๔๓
๕.๓ การพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
(๑)
ปริมาณและราคาของสินค้าที่นำเข้าที่มิได้ขายในราคาที่มีการทุ่มตลาด
เมื่อพิจารณาถึงปริมาณนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันจากประเทศผู้ส่งออกอื่น
ๆ ที่สำคัญ คือ ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักร พบว่าในปี ๒๕๔๑
มีการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันจากประเทศญี่ปุ่นเป็นปริมาณมาก คิดเป็นร้อยละ ๗๕.๓๕
ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นสัดส่วนลดลง โดยในปี ๒๕๔๓
การนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นลดเหลือเพียงร้อยละ ๒๔.๘๗ ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด
ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือจากไม่มีการนำเข้าในปี
๒๕๔๒ เป็นนำเข้าถึงร้อยละ ๗๑.๒๐ ในปี ๒๕๔๓
ส่วนการนำเข้าจากสหราชอาณาจักรและไต้หวันมีสัดส่วนการนำเข้าเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ดี
เมื่อพิจารณาราคานำเข้าจากประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญอื่น ๆ
ข้างต้นพบว่าราคาสินค้าที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นต่ำกว่าราคาขายของอุตสาหกรรมภายในเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้พบว่ามีการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานแล้ว
โดยเป็นการนำเข้ามาเพื่อขายให้กับลูกค้าเดิมของประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนี้ก็ไม่มีหลักฐานแสดงว่ามีทุ่มตลาดสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นด้วย
และเมื่อพิจารณาราคานำเข้าเฉลี่ยจากประเทศญี่ปุ่นเปรียบเทียบกับราคาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ปรากฏว่า ราคานำเข้าเฉลี่ยจากประเทศญี่ปุ่นสูงกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน
ส่วนสินค้าจากสหราชอาณาจักร และไต้หวันมีราคานำเข้าเฉลี่ยสูงกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนมาก
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าปริมาณและราคาของสินค้านำเข้าจากประเทศผู้ส่งออกอื่น ๆ
ที่ไม่ได้นำเข้ามาในราคาทุ่มตลาดมิใช่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
(๒) ปริมาณการใช้สินค้าภายในประเทศ
เมื่อพิจารณาถึงความต้องการใช้สินค้าเหล็ก H - Beam
ภายในประเทศ พบว่าในปี ๒๕๔๓
ความต้องการใช้สินค้าภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
จึงไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายในลดต่ำลง
และกล่าวได้ว่ามิใช่เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในในเวลาเดียวกัน
(๓) ประสิทธิภาพในการผลิต
แม้ว่าต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมภายในจะสูงกว่าต้นทุนการผลิตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าอุตสาหกรรมภายในไม่มีประสิทธิภาพในการผลิต
เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ค่อนข้างทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น
การที่ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมภายในสูงนั้น
เป็นผลจากการที่อุตสาหกรรมภายในไม่ได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale)
จากการพิจารณาข้างต้นสรุปได้ว่า
มีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา ๑๙ (๑)
เนื่องจากปริมาณสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและสินค้าดังกล่าวได้เข้ามาตัดราคาสินค้าชนิดเดียวกันของอุตสาหกรรมภายใน
ทำให้อุตสาหกรรมภายในต้องใช้นโยบายทางด้านราคา
โดยลดราคาลงมาเพื่อแข่งขันกับสินค้าทุ่มตลาดแม้ต้นทุนจะเพิ่มสูงขึ้น
และแม้ว่าอุตสาหกรรมภายในจะมีปริมาณการผลิต อัตราการใช้กำลังการผลิต
ยอดจำหน่ายและกำไรเพิ่มสูงขึ้น
โดยมีสินค้าคงคลังลดต่ำลงแต่เป็นเพราะปริมาณการใช้สินค้าภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น
ประกอบกับการที่อุตสาหกรรมภายในได้ลดราคาลงมาแข่งขันกับสินค้าทุ่มตลาดทำให้อุตสาหกรรมภายในสามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น
แต่ก็เพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ในประเทศ
ในขณะที่อุตสาหกรรมมีส่วนแบ่งตลาด กระแสเงินสดและการจ้างงานลดต่ำลง
และมีความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนกับความเสียหายต่ออุตสาหกรรมในตามมาตรา
๒๑ ข้างต้น โดยได้พิจารณา จากปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งได้พิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ
ที่อาจก่อนให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในด้วยแล้ว
ซึ่งผลการพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ
พบว่ามิใช่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในในเวลาเดียวกัน
๖. ผลวินิจฉัยของคณะกรรมการ
คณะกรรมการได้พิจารณาข้อมูลและพยานหลักฐานที่ได้รับจากการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายแล้ว
และมีผลวินิจฉัยเบื้องต้นว่า การนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H จากสาธารณรัฐประชาชนจีน
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา ๑๙ (๑)
จึงมีความจำเป็นต้องป้องกันความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายใน
โดยกำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวโดยเรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือให้วางหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวในอัตราเท่ากับส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดที่พบ
ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๔๑ ดังนี้
๖.๑ บริษัท Laiwu Steel Group, Ltd. อัตราร้อยละ ๒๗.๘๑
ของราคา C.I.F.
๖.๒ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายอื่น ๆ
อัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคา C.I.F.
หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นรับคำขอข้อเท็จจริงที่ใช้ในการกำหนดมาตรการชั่วคราว
รวมทั้งการยื่นแสดงความคิดเห็นเป็นไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๓
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ธรรมนูญ เชี่ยวสกุล
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
วิภา/ผู้จัดทำ
๓๑
สิงหาคม ๒๕๕๔
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๗๗ ง/หน้า ๑๒/๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๕ |
660805 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2545
| ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H
ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
พ.ศ. ๒๕๔๕
ด้วยคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ภายใต้พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ มีคำวินิจฉัยเบื้องต้นเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ว่า บริษัท Laiwu Steel Group, Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H
จากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ส่งสินค้าเหล็กดังกล่าวเข้ามาทุ่มตลาดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมผู้ผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ในประเทศ
ซึ่งความเสียหายดังกล่าวเป็นความเสียหายอย่างสำคัญตามมาตรา ๑๙ (๑)
แห่งพระราชบัญญัตินี้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
คณะกรรมการกำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดการนำเข้าสินค้าดังกล่าว
รายละเอียดผลการพิจารณาของคณะกรรมการปรากฏในประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง
ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. ๒๕๔๕
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๗๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศฉบับนี้ เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ
๒ ให้เรียกเก็บอากรชั่วคราว
หรือให้วางหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวเป็นหนังสือค้ำประกันจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งดำเนินกิจการ
หรือมีสาขาดำเนินกิจการในประเทศไทย ในการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๗๒๑๖.๓๓๐.๐๐๕ ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งผลิตหรือส่งออกจาก บริษัท Laiwu Steel Group,Ltd. รวมทั้งผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่น
ในอัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
ข้อ
๓[๑]
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นสามวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป และให้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
วิภา/ผู้จัดทำ
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๖๖ ง/หน้า ๒๙/๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๕ |
339580 | ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 | ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ
ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ
เรื่อง
ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
หน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
ตามที่คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ได้มีประกาศคณะกรรมการ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕
กำหนดมาตรการชั่วคราวตอบโต้สินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยให้เรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวในการนำเข้าสินค้าดังกล่าว
ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ จนถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๕
รายละเอียดผลการพิจารณาตามประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง
ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
พ.ศ. ๒๕๔๕ นั้น
บัดนี้
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดเมื่อวันที่ ๒
ตุลาคม ๒๕๔๕ ว่า
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๑) จึงให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด
เพื่อขจัดความเสียหายที่เกิดจากการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดดังกล่าว
แต่ไม่มีเหตุต้องเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
ตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๔๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อ ๑ซึ่งกำหนดว่า
เมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดเกี่ยวกับการไต่สวนการทุ่มตลาด
ให้กรมการค้าต่างประเทศออกประกาศแสดงรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาผลการไต่สวนชั้นที่สุด
กรมการค้าต่างประเทศจึงออกประกาศผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนี้
๑. การเปิดการไต่สวน
เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๔๔
กรมการค้าต่างประเทศได้ออกประกาศเปิดการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำขอของบริษัท เหล็กสยามยามาโตะ
จำกัด ในฐานะอุตสาหกรรมภายในผู้ผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ทั้งนี้
เป็นไปตามมติคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน
๒๕๔๔ และกรมการค้าต่างประเทศได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ภายใต้พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีรายละเอียดดังนี้
๑.๑ สินค้าทุ่มตลาดเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H พิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่
๗๒๑๖.๓๓๐.๐๐๕ ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
๑.๒ ผู้มีส่วนได้เสีย
๑.๒.๑ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกในสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่
(๑) Laiwu
Steel Group, Ltd.
(๒) ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่น
ๆ นอกจาก (๑)
๑.๒.๒ ผู้นำเข้าไทย ได้แก่
(๑) บริษัท
โกศลโลหะกิจ จำกัด
(๒) บริษัท
ริช สตีล จำกัด
(๓) บริษัท
เอช - ไอบีมส์ จำกัด
(๔) ผู้นำเข้ารายอื่น
ๆ นอกจาก (๑) - (๓)
๑.๒.๓ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด
มีฐานะเป็นอุตสาหกรรมภายในที่ผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ซึ่งเป็นสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าทุ่มตลาด
๑.๒.๔ รัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะรัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาด
๒. คำวินิจฉัยเบื้องต้นและการกำหนดมาตรการชั่วคราว
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้พิจารณาข้อมูลและพยานหลักฐานที่ได้รับจากการไต่สวนการทุ่มตลาดเบื้องต้น
ซึ่งได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และมีคำวินิจฉัยเบื้องต้น เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม
๒๕๔๕ ว่า การนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H จากสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน
ตามมาตรา ๑๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ มีความจำเป็นต้องขจัดความเสียหายจากการนำเข้าสินค้าดังกล่าว
จึงกำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวโดยเรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวในการนำเข้าสินค้าดังกล่าว
ซึ่งผลิตหรือส่งออกโดย Laiwu Steel Group, Ltd. รวมทั้งผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่นในอัตราร้อยละ
๒๗.๘๑ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
๓. การยื่นคำขอข้อเท็จจริงและการยื่นแสดงความคิดเห็นในการกำหนดมาตรการชั่วคราว
ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๓
กำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นรับคำขอข้อเท็จจริงที่ใช้ในการกำหนดมาตรการชั่วคราว
รวมทั้งการยื่นแสดงความคิดเห็นได้เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๕ และวันที่ ๑๕ สิงหาคม
๒๕๔๕ กรมการค้าต่างประเทศได้แจ้งรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อันเป็นสาระสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐานในการกำหนดมาตรการชั่วคราวให้แก่
Laiwu Steel Group, Ltd. และบริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ตามลำดับ
เพื่อยื่นแสดงความคิดเห็น รวมทั้งได้แจ้งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย Laiwu
Steel Group, Ltd. และบริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ได้มีหนังสือแสดงความคิดเห็นแต่มิได้แจ้งความประสงค์ให้กรมการค้าต่างประเทศจัดให้พบกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง
เพื่อแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด
๔.
การแจ้งข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นพื้นฐานในการไต่สวนชั้นที่สุด
เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๕
กรมการค้าต่างประเทศได้แจ้งรายละเอียดข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาผลการไต่สวนชั้นที่สุด
ขอให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นข้อโต้แย้งชั้นที่สุดภายในวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๕
๕. การพิจารณาผลการไต่สวนชั้นที่สุด
กรมการค้าต่างประเทศได้รายงานผลการไต่สวนการทุ่มตลาดต่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๕ ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาผลการไต่สวน ดังนี้
๕.๑ ผลการไต่สวนการทุ่มตลาด คณะกรรมการได้พิจารณาให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด
ดังนั้น ในการไต่สวนครั้งนี้คณะกรรมการพิจารณาว่าการซื้อขายสินค้ารวมทั้งปัจจัยการผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H เป็นไปตามกลไกตลาดและการพิจารณาการทุ่มตลาดได้พิจารณาข้อมูลจาก Laiwu Steel
Group, Ltd.
ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่ให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถามตามกระบวนการไต่สวน
โดยพิจารณาจากข้อมูลในช่วงระยะเวลาการไต่สวน คือ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ - ๓๑
ธันวาคม ๒๕๔๓ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้ตรวจสอบแล้ว
รวมทั้งได้พิจารณาข้อคิดเห็นและข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่ได้รับแจ้งด้วย
สำหรับผู้ไม่ได้ให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถามตามกระบวนการไต่สวน ผู้ผลิต
หรือผู้ส่งออกรายอื่นคณะกรรมการพิจารณาจากข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่
ในกรณีนี้คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่ามีการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้
๕.๑.๑ Laiwu Steel Group, Ltd.
(๑) มูลค่าปกติ
ในกรณีนี้มูลค่าปกติที่พิจารณาเป็นมูลค่าที่คำนวณขึ้น
(Constructed value)
ตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๕ (๒)
โดยคำนวณจากต้นทุนการผลิตในประเทศแหล่งกำเนิดที่ได้ปรับแล้วรวมกับจำนวนที่เหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการจัดการ
และขายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตลอดจนกำไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
และได้หักค่าภาระที่ปรับลดคือความแตกต่างของระดับการค้า
และความแตกต่างของเงินเดือนพนักงานขายแล้ว และพิจารณาแล้วเห็นว่า
ราคาขายภายในประเทศตามที่บริษัทรายงานไม่ถือเป็นราคาในทางการค้าปกติที่จะนำมาพิจารณาหามูลค่าปกติได้
เนื่องจากราคาดังกล่าวต่ำกว่าต้นทุนการผลิตรวมกับค่าใช้จ่ายในการจัดการ
การขายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา ๑๕ วรรค ๓ ทั้งนี้
คณะกรรมการมิได้พิจารณาให้ตามข้อโต้แย้งของ Laiwu Steel Group, Ltd.
ซึ่งขอให้ใช้ต้นทุนจากแหล่งข้อมูลอื่นมิใช่ข้อมูลของบริษัท เนื่องจากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า
บริษัทได้ซื้อวัตถุดิบจากบริษัทในเครือในราคาต่ำ
จึงถือว่าราคาวัตถุดิบที่รายงานเป็นราคาโอนระหว่างบริษัทในเครือและไม่น่าเชื่อถือ
จึงได้พิจารณาใช้ข้อมูลต้นทุนของบริษัทตามที่รายงานโดยมีการปรับในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบ
และปรับเพิ่มในส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารโดยปันส่วนค่าใช้จ่ายให้กับในเครือบริษัททั้ง
๒๙ บริษัทย่อย มิใช่ปันส่วนเฉพาะ ๕ บริษัทตามที่บริษัทได้แจ้ง
เนื่องจากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล พบว่าบริษัทย่อย ๒๙ บริษัทมีส่วนเกี่ยวข้อในการผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายที่บริษัทได้โต้แย้งให้หักค่าภาระปรับลด
เนื่องจากค่าใช้จ่ายดังกล่าวเกิดขึ้นเฉพาะการขายภายในประเทศคณะกรรมการก็มิได้พิจารณาหักให้
เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าค่าใช้จ่ายบางรายการที่อยู่ภายใต้บัญชีของค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายได้แก่
ค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษา ค่าธรรมเนียมการให้บริการทางเทคนิค
การติดตั้งเครื่องปรับอากาศในแผนกการตลาด
และค่าธรรมเนียมการบำรุงรักษาของแผนกการตลาด ไม่ควรจะอยู่ภายใต้บัญชีดังกล่าว
และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งการขายภายในประเทศและการส่งออก
(๒) ราคาส่งออก
คำนวณราคาส่งออกตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา
๑๔ โดยใช้ข้อมูลการส่งออกสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่ได้รับตามแบบสอบถามในช่วงระยะเวลาการไต่สวน
โดยคำนวณจากราคาส่งออก ณ หน้าโรงงาน ซึ่งได้หักค่าขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ
ค่าขนส่งภายในประเทศ ค่าระวางและค่าขนถ่ายสินค้า ค่าทาสีกันสนิม
ค่าการตรวจสอบสินค้า
และหักค่าภาระที่ปรับลดคือความแตกต่างทางกายภาพของสินค้าออกแล้วถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก
(๓) ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
คำนวณตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา
๑๘ โดยเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปกติตาม (๑) และราคาส่งออก ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตาม
(๒) ซึ่งเป็นราคา ณ ระดับการค้าเดียวกันคือ ณ หน้าโรงงาน
และในช่วงระยะเวลาเดียวกันคือ
ช่วงระยะเวลาการไต่สวนปรากฏอัตราส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดในอัตราร้อยละ ๒๗.๘๑
ของราคา CIF
๕.๑.๒ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายอื่น ๆ
คณะกรรมการได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ในมาตรา
๒๗
ซึ่งกรณีนี้ถือว่าระดับการให้ความร่วมมือของประเทศมีมากจึงพิจารณาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดเท่ากับอัตราส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดของผู้ให้ความร่วมมือคือ
Laiwu Steel Group, Ltd. คือ อัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคา CIF
๕.๒ ผลการไต่สวนความเสียหาย
คณะกรรมการได้พิจารณาความเสียหายชั้นที่สุดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
ในมาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๑ โดยพิจารณาจากข้อมูลตามที่ได้รับตอบแบบสอบถามในช่วง ๓ ปี
คือ พ.ศ. ๒๕๔๑ - ๒๕๔๓
ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้ตรวจสอบแล้วทั้งจากอุตสาหกรรมภายในและผู้นำเข้า ซึ่งปรากฏว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายใน
ตามมาตรา ๑๙ (๑) ดังนี้
๕.๒.๑ ปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดและผลของการทุ่มตลาดที่มีต่อราคาสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายในประเทศ
(๑) ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
ในช่วงระยะเวลาก่อนปี
๒๕๔๓ หรือก่อนระยะเวลาการไต่สวนนั้นแทบจะไม่มีการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H จากสาธารณรัฐประชาชนจีนเลย โดยมีการนำเข้าในปี ๒๕๔๑
เพียงเล็กน้อยซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๒.๓ ของปริมาณการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมด
ในปี ๒๕๔๓ สินค้าเหล็กจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เริ่มเข้ามาเจาะตลาดสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศไทย
การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๗๑.๒๐
ของปริมาณการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมด
จึงถือได้ว่าปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดในช่วงระยะเวลาการไต่สวนนั้น
เกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำคือร้อยละ ๓ของปริมาณการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมด
และได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยสินค้าทุ่มตลาดทั้งหมดนั้นมาจากผู้ผลิต/ผู้ส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ให้ความร่วมมือในการไต่สวน
คือ Laiwu Steel Group, Ltd.
นอกจากนี้
เมื่อพิจารณาข้อมูลส่วนแบ่งตลาดซึ่งคำนวณจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเปรียบเทียบกับปริมาณการบริโภคทั้งหมดภายในประเทศ
พบว่าส่วนแบ่งตลาดสินค้าทุ่มตลาดที่นำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
คือ จากร้อยละ ๐.๕๗ ในปี ๒๕๔๑ เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ๑๗.๖๑ ในปี ๒๕๔๓
(๒)
ผลกระทบของการทุ่มตลาดที่มีต่อราคาสินค้าชนิดเดียวกัน
เมื่อเปรียบเทียบราคาขาย
ของอุตสาหกรรมภายในกับราคาขายที่นำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยนำข้อมูลค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของผู้นำเข้ามาปรับกับราคาส่งออก
เพื่อให้เป็นระดับการค้าเดียวกัน คือ ระดับการขายให้ผู้ซื้อภายในประเทศแล้วปรากฏว่าราคานำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาขายของอุตสาหกรรมภายในคือ
มีการตัดราคา การกดราคา และการยับยั้งการขึ้นราคาของอุตสาหกรรมภายใน
๕.๒.๒ ผลกระทบของการทุ่มตลาดที่มีต่ออุตสาหกรรมภายใน
(๑) ยอดจำหน่าย กำไร ผลผลิต ส่วนแบ่งตลาด
ความสามารถในการผลิต ผลตอบแทนการลงทุน
หรืออัตราการใช้กำลังการผลิตมีปริมาณหรืออัตราลดลงหรือมีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่อพิจารณาถึงผลการดำเนินการของอุตสาหกรรมภายใน
โดยพิจารณาข้อมูลตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ พบว่าในปี ๒๕๔๓
ผลผลิตภายในประเทศอัตราการใช้กำลังการผลิต ยอดจำหน่ายสินค้าและกำไรของอุตสาหกรรมภายในเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้
เนื่องจากปริมาณการใช้สินค้าดังกล่าวภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงขึ้นกว่าปี
๒๕๔๑ และ ๒๕๔๒
และเนื่องจากสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มเริ่มเข้ามาเจาะตลาดภายในประเทศของไทยในปี
๒๕๔๓ นี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบปริมาณขายกับปริมาณการใช้สินค้าดังกล่าวภายในประเทศในปี
๒๕๔๓ เทียบกับปี ๒๕๔๒
แล้วพบว่ายอดจำหน่ายสินค้าชนิดเดียวกันของอุตสาหกรรมภายในเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ
๖๙.๕๓ ซึ่งเพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ
๙๕.๘๖ ซึ่งเมื่อพิจารณาส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายในพบว่าลดลงจากร้อยละ ๘๗
เหลือร้อยละ ๗๕ ในปี ๒๕๔๓
โดยสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายใน
ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายในลดลง
นอกจากนี้อุตสาหกรรมภายในยังมีความสามารถในการผลิตและผลตอบแทนการลงทุนลดต่ำลงด้วย
(๒) ผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศ
เมื่อพิจารณาข้อมูลราคารายไตรมาสตั้งแต่ปี
๒๕๔๑ ถึงปี ๒๕๔๓
พบว่าราคาที่ขายภายในประเทศของอุตสาหกรรมภายในมีแนวโน้มลดต่ำลงโดยเฉพาะในปี ๒๕๔๓
ซึ่งเป็นปีที่มีการนำเข้าสินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
(๓) ผลกระทบและแนวโน้มที่จะเกิดต่อกระแสเงินสด
สินค้าคงคลัง การจ้างงาน ค่าจ้าง แรงงาน อัตราการเจริญเติบโต
ความสามารถในการเพิ่มทุนหรือการลงทุน
กระแสเงินสดของอุตสาหกรรมภายในและการจ้างแรงงานมีแนวโน้มลดต่ำลง
ส่วนค่าจ้างแรงงานนั้นเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยสำหรับสินค้าคงคลังมีแนวโน้มลดต่ำลง
ทั้งนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในสามารถขายสินค้าภายในประเทศได้เพิ่มขึ้น
อันเนื่องมาจากปริมาณการใช้สินค้าภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นรวมทั้งสามารถส่งสินค้าออกได้เพิ่มสูงขึ้นด้วยซึ่งในที่นี้อาจกล่าวได้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมภายในนั้นเป็นผลกระทบทางด้านราคาโดยอุตสาหกรรมภายในต้องลดราคาขายลง
จึงสามารถขายสินค้าภายในประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นทำให้ไม่เกิดผลกระทบต่อปริมาณการผลิต
ปริมาณการจำหน่ายและสินค้าคงคลัง
การพิจารณาความสามารถในการเพิ่มทุนหรือลงทุนนั้นกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมภายในไม่มีความสามารถเพิ่มทุนหรือลงทุนเพราะถึงแม้ว่ายอดการขาดทุนขาดทุนสะสมในปี
๒๕๔๓ จะลดต่ำลงกว่าปี ๒๕๔๒ ก็ตาม
แต่ก็ลดลงเพียงเล็กน้อยและยังถือว่ามียอดขาดทุนสะสมสูงมาก คือกว่า ๓,๐๐๐ ล้านบาท
การพิจารณาอัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมภายใน
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบปริมาณขายสินค้ากับแนวโน้มการใช้สินค้าดังกล่าวภายในประเทศปรากฏว่าแม้อัตราการเจริญเติบโตของปริมาณขายของอุตสาหกรรมภายในจะเพิ่มสูงขึ้นแต่ก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้ภายในประเทศ
(๔) ความสัมพันธ์ของปริมาณการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดกับส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด
ส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนคิดเป็นอัตราร้อยละ
๒๗.๘๑ ของราคาส่งออก CIF ซึ่งการทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนส่งผลให้การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน
จากที่ไม่มีการนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเลยในปี ๒๕๔๒
เป็นการนำเข้าสินค้าคิดเป็นร้อย ๗๑.๒๐ ของปริมาณนำเข้าทั้งหมดในปี ๒๕๔๓
๕.๒.๓ การพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ
ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
(๑) ปริมาณและราคาของสินค้าที่นำเข้าที่มิได้ขายในราคาที่มีการทุ่มตลาด
เมื่อพิจารณาถึงปริมาณนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันจากประเทศผู้ส่งออกอื่น
ๆ ที่สำคัญคือ ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักร พบว่าในปี
๒๕๔๑มีการนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันจากประเทศญี่ปุ่นเป็นปริมาณมากคิดเป็นร้อยละ
๗๕.๓๕ ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นสัดส่วนลดลงคือในปี ๒๕๔๓
การนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นลดเหลือเพียงร้อยละ ๒๔.๘๗ ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด
ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือ จากไม่มีการนำเข้าในปี
๒๕๔๒ เป็นนำเข้าถึงร้อยละ ๗๑.๒๐ ในปี ๒๕๔๓
ส่วนการนำเข้าจากสหราชอาณาจักรและไต้หวันมีสัดส่วนการนำเข้าเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาราคานำเข้าจากประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญอื่น
ๆ ข้างต้นพบว่า
ราคาสินค้าที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นต่ำกว่าราคาขายของอุตสาหกรรมภายในเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้พบว่ามีการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานแล้ว
โดยเป็นการนำเข้ามาเพื่อขายให้กับลูกค้าเดิมของประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนี้ก็ไม่มีหลักฐานแสดงว่ามีทุ่มตลาดสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นด้วย
และเมื่อพิจารณาราคานำเข้าเฉลี่ยจากประเทศญี่ปุ่นเปรียบเทียบกับราคาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ปรากฏว่าราคานำเข้าเฉลี่ยจากประเทศญี่ปุ่นสูงกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน
ส่วนสินค้าจากสหราชอาณาจักร
และไต้หวันมีราคานำเข้าเฉลี่ยสูงกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนมาก ดังนั้น
จึงกล่าวได้ว่าปริมาณและราคาของสินค้านำเข้าจากประเทศผู้ส่งออกอื่น ๆ
ที่ไม่ได้นำเข้ามาในราคาทุ่มตลาดมิใช่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
(๒) ปริมาณการใช้สินค้าภายในประเทศ
เมื่อพิจารณาถึงความต้องการใช้ภายในประเทศพบว่าในปี
๒๕๔๓ ความต้องการใช้สินค้าภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
จึงไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายในลดต่ำลงและกล่าวได้ว่ามิใช่เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในในเวลาเดียวกัน
(๓) ประสิทธิภาพในการผลิต
แม้ว่าต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมภายในจะสูงกว่าต้นทุนการผลิตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าอุตสาหกรรมภายในไม่มีประสิทธิภาพในการผลิต
เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ค่อนข้างทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น
การที่ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมภายในสูงนั้น
เป็นผลจากการที่อุตสาหกรรมภายในไม่ได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of
scale)
ทั้งนี้
คณะกรรมการได้พิจารณาข้อโต้แย้งของ Laiwu Steel Group, Ltd.
ในประเด็นที่แจ้งว่าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H เป็นสินค้า commodity
ซึ่งอุตสาหกรรมนี้เริ่มมีลักษณะถดถอยในตลาดโลกในช่วงปี ๒๕๔๓ - ๒๕๔๔
จึงถือเป็นสถานะปกติที่ราคาจะลดต่ำลง และเห็นว่าแม้ราคาตลาดโลกจะลดต่ำลง
แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ Laiwu Steel Group, Ltd.
ส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยในราคาทุ่มตลาด
นอกจากนี้เมื่อเทียบราคาสินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราคานำเข้าจากประเทศอื่น
พบว่าราคาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนต่ำกว่าประเทศอื่นมาก
จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่บริษัทจะกล่าวอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก
นอกจากนี้ในประเด็นที่
Laiwu Steel Group, Ltd. แจ้งว่า
บริษัทเชื่อว่าอุตสาหกรรมภายในของไทยมีความสามารถในการทำกำไรแม้ว่าในอัตราที่ลดต่ำลงก็ตาม
เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกไม่ใช่เกิดจากการทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
และการที่ไม่มีเหตุผลอธิบายในเรื่องกำไรสุทธิของอุตสาหกรรมภายในที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้นการพิจารณาว่าความเสียหายเกิดจากสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในความตกลงขององค์การการค้าโลกนั้น
คณะกรรมการเห็นว่า กำไรสุทธิของอุตสาหกรรมภายในที่เพิ่มสูงขึ้นในปี ๒๕๔๓
เป็นผลมาจากปริมาณขายภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ดีแม้ปริมาณขายในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นแต่ก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าปริมาณการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นมากและการที่สินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาตัดราคาของอุตสาหกรรมภายใน
ก็ทำให้อุตสาหกรรมภายในต้องลดราคาลงมาแข่งขันกับสินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนแม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้กำไรต่อหน่วยของอุตสาหกรรมภายในลดต่ำลง
ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง
จากการพิจารณาข้างต้นสรุปได้ว่า
มีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา ๑๙ (๑) เนื่องจาก
ก. ปริมาณของสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี
๒๕๔๓ และการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนในราคาต่ำ
ได้ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าชนิดเดียวกันภายในประเทศ
โดยเข้ามาตัดราคาสินค้าชนิดเดียวกันของอุตสาหกรรมภายใน
ทำให้อุตสาหกรรมภายในต้องลดราคาลงมาแข่งขันกับสินค้าทุ่มตลาด ก่อให้เกิดการกดราคาและการยับยั้งไม่ให้ราคาสินค้าชนิดเดียวกันเพิ่มสูงขึ้นแม้ต้นทุนจะเพิ่มสูงขึ้น
ข. การทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน
โดยพบว่าแม้อุตสาหกรรมภายในจะมีผลผลิต อัตราการใช้กำลังการผลิต
ความสามารถในการผลิต ค่าจ้างแรงงาน ยอดจำหน่าย และกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น
โดยสินค้าคงคลังมีแนวโน้มลดต่ำลง
แต่เป็นเพราะปริมาณการใช้สินค้าภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นและอุตสาหกรรมภายในลดราคาลงมาแข่งขันกับสินค้าทุ่มตลาด
อย่างไรก็ตามการที่ปริมาณขายของอุตสาหกรรมภายในเพิ่มขึ้นแต่ในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้สินค้าภายในประเทศนั้น
ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมภายในลดต่ำลง
ความสามารถในการทำกำไรลดลงโดยกำไรต่อหน่วยลดลงแต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเนื่องจากจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีผลตอบแทนการลงทุนลดลง กระแสเงินสดและการจ้างงานลดลง
ทั้งยังไม่มีความสามารถในการเพิ่มทุนหรือลงทุนด้วยเนื่องจากมียอดขาดทุนสะสมสูงมาก
ค.
มีความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าทุ่มตลาดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนกับความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๒๑ โดยได้พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งได้พิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ
ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในด้วยแล้ว
ซึ่งผลการพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ
พบว่ามิใช่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายในในเวลาเดียวกัน
๖. คำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๕
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่า
การนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H จากสาธารณรัฐประชาชนจีน
มีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อขจัดความเสียหายที่เกิดจากการนำเข้าสินค้าดังกล่าว
คณะกรรมการอาศัยอำนาจตามมาตรา ๔๙
กำหนดให้มีการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเท่ากับส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดที่พบ
ดังนี้
๖.๑ Laiwu Steel Group, Ltd. อัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคา CIF
๖.๒ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายอื่น ๆ อัตราร้อยละ ๒๗.๘๑
ของราคา CIF
ทั้งนี้ ไม่มีเหตุให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
และให้คืนอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวที่เรียกเก็บไว้แล้ว
หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นรับคำขอรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นพื้นฐานในการกำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๓
ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ราเชนทร์ พจนสุนทร
ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์
รักษาราชการแทน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
พรพิมล/จัดทำ
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๐๕ ง/หน้า ๑๑/๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
339582 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น
และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕ แล้ว นั้น
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้พิจารณาเมื่อวันที่
๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนในบัญชีรายละเอียดแนบท้าย
จึงมีมติให้แก้ไขประกาศคณะกรรมการดังกล่าวข้างต้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๗๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศฉบับนี้เรียกว่า
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ
๒ ให้แก้ไขรายละเอียดพิกัด ๗๒๒๐.๒๐
รหัสสถิติ ๐๓๒ ๐๓๓ ๐๓๔ ๐๓๖ ๐๓๗ ๐๓๘ ๐๓๙ ๐๕๔ ๐๕๕ และ ๐๕๖
ที่ระบุในบัญชีรายละเอียดแนบท้ายหน้า ๕/๕ ของประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
เรื่อง การตอบโต้การ ทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น
และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิด จากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
โดยให้ใช้บัญชีรายละเอียดแนบท้ายประกาศนี้แทน
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีรายละเอียดแนบท้ายประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น
และแผ่นแถบที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วิภา/ผู้จัดทำ
๓๑
สิงหาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๐๕ ง/หน้า ๒๘/๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
339606 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H
ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕
ตามที่คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ได้มีประกาศคณะกรรมการ เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว Hที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๔๕กำหนดมาตรการชั่วคราวตอบโต้สินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยให้เรียกเก็บอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวในการนำเข้าสินค้าดังกล่าว
ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ จนถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม .ศ. ๒๕๔๕ นั้น
บัดนี้
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดเมื่อวันที่ ๒
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ว่ามีการทุ่มตลาดและมีความเสียหายตามมาตรา ๑๙ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ จึงให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อขจัดความเสียหายที่เกิดจากการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดดังกล่าว
แต่ไม่มีเหตุต้องเรียกเก็บอากรการตอบโต้การทุ่มตลาดตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
รายละเอียด
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการปรากฏในประกาศกรมการค้าต่างประเทศ
เรื่อง ลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๙ มาตรา ๕๑มาตรา ๕๗ และมาตรา
๗๓(๑) แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปเป็นกำหนดไม่เกิน
๕ ปี
ข้อ ๓ ให้ยกเลิก
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๔ กำหนดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๗๒๑๖.๓๓๐.๐๐๕ ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งผลิตหรือส่งออกโดย Laiwu Steel Group,Ltd.
รวมทั้งผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่นในอัตราร้อยละ ๒๗.๘๑ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
ข้อ ๕ ในกรณีผู้นำเข้าซึ่งชำระอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวในการนำเข้าสินค้าตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ให้ขอคืนอากรชั่วคราวหรือหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวที่ชำระหรือวางไว้แล้วได้ตั้งแต่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้
ประกาศ ณ วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
วิภา/ผู้จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๗๙ ง/หน้า ๑๒/๙ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
340002 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรปไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. 2545 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป
ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
ด้วยคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ภายใต้พระราชบัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ ได้มีคำวินิจฉัยเบื้องต้นเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕
ว่าผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ
จากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี
ได้ส่งสินค้าเข้ามาทุ่มตลาด
และก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมผู้ผลิตสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ ในประเทศ
ซึ่งความเสียหายดังกล่าวเป็นความเสียหายอย่างสำคัญตามมาตรา ๑๙ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ และเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาด
คณะกรรมการกำหนดให้ใช้มาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดการนำเข้าสินค้าดังกล่าว
รายละเอียดผลการไต่สวนปรากฏในประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง ผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน
แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน
และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๒๕๔๕
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๗๓ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา
๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการจึงออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศฉบับนี้เรียกว่า
"ประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๕๔๕"
ข้อ ๒
ให้เรียกเก็บอากรชั่วคราว
หรือให้วางหลักประกันการชำระอากรชั่วคราวเป็นหนังสือค้ำประกันจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งดำเนินกิจการ
หรือมีสาขาดำเนินกิจการในประเทศไทย
สำหรับการนำเข้าสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ ตามบัญชีรายละเอียดแนบท้ายประกาศนี้
ในอัตราดังนี้
๑)
สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผลิตหรือส่งออกจาก- บริษัท
Sumitomo Metal Industries,Ltd. และบริษัท Sumitomo Metal (Naoetsu),Ltd.
ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๑๘.๖๗ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ
- บริษัท
Kawasaki Steel Corporation. ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๒๔.๑๘ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- บริษัท
Nisshin Steel Co.,Ltd. ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๔๓.๕๙ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- บริษัท
Nippon Kinzoku co.,Ltd. ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๔๕.๙๘ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
-
ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่น ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๕๒.๐๓ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
๒)
สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสหภาพยุโรป ซึ่งผลิตหรือส่งออกจาก
- บริษัท
Thyssen Krupp Nirosta GMBH และบริษัท Thyssen KruppAcciai Speciali Terni Spa ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ
๒๕.๕๗ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- บริษัท
Avesta Polarit Stainless Oy และบริษัท Avesta Polarit AB.(Nyby and Avesta KBR)
ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๑๐.๐๒ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
- บริษัท
Acerinox, S.A. ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๕๑.๑๒ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
-
ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่น ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๕๑.๑๒
ของราคาซี.ไอ.เอฟ.
๓)
สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไต้หวัน ซึ่งผลิตหรือส่งออกจาก
- บริษัท Chia
Far Industrial Factory ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๗.๗๗ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ.
-
ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกรายอื่น ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๖๐.๑๙
ของราคาซี.ไอ.เอฟ.
๔)
สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐเกาหลี ให้เรียกเก็บในอัตราร้อยละ ๕๑.๕๔
ของราคา ซี.ไอ.เอฟ
ข้อ ๓
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นสามวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
และให้มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๔ เดือน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด
และการอุดหนุน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีรายละเอียดแนบท้ายท้ายประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วนแผ่น และแผ่นแถบ
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรปไต้หวัน และสาธารณรัฐเกาหลี พ.ศ. ๒๕๔๕
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๗๒ ง/หน้า ๑๒/๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ |
316697 | ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง การทบทวนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศโปแลนด์ พ.ศ. 2545 | ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ
ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ
เรื่อง
การทบทวนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษตอบโต้การทุ่มตลาด
สินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H
ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศโปแลนด์
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
ตามที่คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษซึ่งสินค้านำเข้าเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๓๙
มีคำวินิจฉัยการไต่สวนการทุ่มตลาดชั้นที่สุดว่าการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศโปแลนด์ มีการทุ่มตลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จึงได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์
ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศโปแลนด์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๐ ลงวันที่๒๖ พฤษภาคม
๒๕๔๐ กำหนดให้สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำเข้าอัตราร้อยละ
๒๗.๗๘ ของราคา ซี.ไอ.เอฟ. นั้น
เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๔ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด
ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมผู้ผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว H ในประเทศได้ยื่นคำขอให้ทบทวนเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดรูปตัว
H ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศโปแลนด์ตามอัตราดังกล่าวต่อไปอีก เมื่อครบกำหนด ๕ ปี
โดยอ้างว่าหากยุติการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจะทำให้มีการทุ่มตลาดต่อไปหรือทำให้การทุ่มตลาดฟื้นคืนมาอีก
คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้พิจารณา
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๕
เห็นว่ามีมูลเพียงพอและให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการทบทวนตามข้อ ๑๕
ของประกาศกระทรวงพาณิชย์
ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษซึ่งสินค้านำเข้าเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๓๙
กรมการค้าต่างประเทศจึงขอประกาศให้ทราบว่า
จะเริ่มกระบวนการทบทวนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษกรณีนี้นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ดังนั้นขอให้ผู้มีส่วนได้เสียซึ่งประสงค์จะแสดงความคิดเห็น ข้อโต้แย้ง
สามารถแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร
รวมทั้งขอดูรายละเอียดคำขอให้มีการทบทวนและผลการพิจารณาของคณะกรรมการได้ ณ
สำนักปกป้องและรักษาผลประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ถนนสนามบินน้ำ -นนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ๑๑๐๐๐ โทร. ๐ -
๒๕๔๗ - ๕๐๘๓ โทรสาร๐ - ๒๕๔๗ - ๔๗๔๑
ภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ธรรมนูญ เชี่ยวสกุล
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
วิภา/ผู้จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๔๕ ง/หน้า ๑๐/๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๕ |
316193 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาความเสียหายเพื่อให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราว พ.ศ. 2545 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาความเสียหายเพื่อให้เรียกเก็บอากรตอบโต้
การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราว
พ.ศ. ๒๕๔๕
เพื่อขจัดความเสียหายที่เกิดจากการจำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๕๑ วรรค ๑
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาความเสียหายเพื่อให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราวไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ประกาศฉบับนี้ เรียกว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาความเสียหายเพื่อให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
ตั้งแต่มีการใช้มาตรการชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๒[๑] ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
วินิจฉัยเบื้องต้นว่า
มีความเสียหายอย่างสำคัญที่เกิดขึ้นแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา ๑๙ (๑)
และมีการใช้มาตรการชั่วคราวมาก่อนแล้วตามมาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒
เพื่อขจัดความเสียหายให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้ตั้งแต่วันที่มาตรการชั่วคราวมีผลบังคับใช้
หากมีการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
ข้อ ๔ ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน
วินิจฉัยเบื้องต้นว่ามีความเสียหายอย่างสำคัญที่อาจเกิดขึ้นแก่อุตสาหกรรมภายในตามมาตรา
๑๙ (๒) และมีการใช้มาตรการชั่วคราวมาก่อนแล้วตามมาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ เพื่อขจัดความเสียหายให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้
ตั้งแต่วันที่มาตรการชั่วคราวมีผลบังคับใช้
หากมีข้อเท็จจริงในช่วงระยะเวลาดังกล่าวว่า
๔.๑
มีการนำเข้าสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนหนุน และ
๔.๒ ราคาสินค้าที่นำเข้านั้นมีผลให้เกิดการกดหรือลดราคาของสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดภายใน
ข้อ ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามประกาศฉบับนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
วิภา/จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
จุฑามาศ/ปรับปรุง
๗ มกราคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๔ ง/หน้า ๑๗/๑๖ มกราคม ๒๕๔๕ |
323443 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2544
| ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
(ฉบับที่ ๖)
พ.ศ. ๒๕๔๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง และมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมแก่ภาระในการดำเนินงานไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศฉบับนี้ให้เรียกว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๔
ข้อ ๒ ให้ผู้ยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารอันเป็นรายละเอียดในการไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
หรือการทบทวนมาตรการต่างๆ ชำระค่าธรรมเนียมในอัตราดังต่อไปนี้
(๑) การทำสำเนาโดยเครื่องถ่ายเอกสาร
(ก) ขนาดกระดาษ เอ ๔ หน้าละ
๑ บาท
(ข) ขนาดกระดาษ บี ๔ หน้าละ
๒ บาท
(ค) ขนาดกระดาษ เอ ๓ หน้าละ
๓ บาท
(๒) การบันทึกข้อมูลโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แผ่นละ ๑๐๐ บาท
ข้อ ๓ หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอและการชำระค่าธรรมเนียม
ให้เป็นไปตามที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
อดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
วิภา/ผู้จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๘/ตอนพิเศษ ๓๐ ง/หน้า ๔/๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ |
315521 | ระกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๓[๑]
ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๔๒
กำหนดแบบคำขอให้ดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนให้อุตสาหกรรมภายในยื่นต่อกรมการค้าต่างประเทศเพื่อขอให้คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
นั้น
บัดนี้
เห็นสมควรแก้ไขปรับปรุงคำขอดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕
วรรคสอง และมาตรา ๓๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดแบบคำขอให้ดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้ให้เรียกว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓
ข้อ ๒
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคบตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกแบบคำขอให้ดำเนินการพิจารณาตอบโต้ทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา
๓๓ วรรคหนึ่ง ที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๔๒
และใช้แบบคำขอท้ายประกาศนี้แทน
ประกาศ ณ วัน ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.
๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
[เอกสารแนบท้าย]
๑.ข้อมูลทั่วไป
๒.
รายละเอียดของสินค้า
๓.
ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตและ/หรือผู้ส่งออกและผู้นำเข้า
๔.
มูลค่าปกติ
๕.
ราคาส่งออก
๖.
ส่วนเหลือการทุ่มตลาด
๗.
การอุดหนุน
๘.
การประเมินความเสียหายของอุตสาหรกรรมภายใน
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วิภา/ผู้จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๗๙ ง/หน้า ๑/๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๓ |
315520 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
(ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๔๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง และมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคำขอข้อเท็จจริงที่ใช้ในการกำหนดมาตรการชั่วคราว
การกำหนดอากร หรือทบทวนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศฉบับนี้ให้เรียกว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๓
ข้อ ๒
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
เมื่อได้มีประกาศกำหนดมาตรการชั่วคราว
การกำหนดอากรหรือการทบทวนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ถ้าผู้ยื่นคำขอให้ไต่สวนการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนผู้นำเข้า หรือผู้ส่งออกสินค้าทุ่มตลาดหรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากต่างประเทศประสงค์ที่จะทราบรายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการกำหนดมาตรการชั่วคราวการกำหนดอากร
หรือการทบทวนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน
ก็ให้ยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่มีการประกาศดังกล่าว
พร้อมหลักฐานประกอบคำขอ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นนิติบุคคลภายในประเทศ
ให้แนบสำเนาหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท
ซึ่งรับรองไว้ก่อนหน้าวันยื่นคำขอไม่เกินหนึ่งเดือน ทั้งนี้ ต้องรับรองความถูกต้องของสำเนาโดยผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลตามที่ได้จดทะเบียนการเป็นนิติบุคคลไว้
แล้วแต่กรณี
พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวของผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลที่ลงชื่อในคำขอ
(๒) ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นนิติบุคคลในต่างประเทศ
ให้แนบหลักฐานรับรองการเป็นนิติบุคคลซึ่งรับรองความถูกต้องโดยโนตารีพับบลิค
หรือสถานกงสุลไทยหรือสถานเอกอัครราชทูตไทย
หรือสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศประจำประเทศนั้นๆ
พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวของผู้มีอำนาจกระทำการแทนที่ลงชื่อในคำขอ
(๓) ในกรณีที่ได้มีการมอบอำนาจให้ดำเนินการตาม (๑) หรือ (๒)
ก็ให้แนบหนังสือมอบอำนาจ
สำเนาบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวของผู้รับมอบอำนาจ
ข้อ ๔
ภายใต้บังคับของมาตรา ๒๖
ให้กรมการค้าต่างประเทศแจ้งรายละเอียดแก่ผู้ยื่นคำขอตามรายละเอียดในข้อ ๓
ภายในเวลาอันควร
ข้อ ๕
ให้บุคคลตามข้อ ๓ ที่ประสงค์จะแสดงความคิดเห็นต่อการประกาศกำหนดมาตรการชั่วคราวยื่นแสดงความคิดเห็นต่อกรมการค้าต่างประเทศภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่มีประกาศกำหนดมาตรการชั่วคราว
และถ้าจะให้กรมการค้าต่างประเทศจัดให้พบกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อแสดงความคิดเห็น
ก็ให้แสดงความประสงค์พร้อมกันด้วย
ประการ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
วิภา/ผู้จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๗๙ ง/หน้า ๓/๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๓ |
315519 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2543 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
(ฉบับที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๔๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง และมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายได้ตามความเหมาะสมแก่ภาระในการดำเนินงานไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศฉบับนี้ให้เรียกว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
ข้อ ๒
ให้ผู้ยื่นแบบคำขอดังต่อไปนี้ชำระค่าธรรมเนียมเมื่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนได้รับคำขอแล้ว
(๑) แบบคำขอให้พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา๓๓
วรรคหนึ่ง (แบบ ปร. ๑)
(๒)
แบบคำขอให้พิจารณาทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา
๕๖ (แบบ ปร. ๒)
(๓)
แบบคำขอให้พิจารณาทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา
๔๘ ประกอบมาตรา ๕๖ (แบบ ปร. ๒ ก)
(๔)
แบบคำขอให้พิจารณาทบทวนเพื่อเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนต่อไปมาตรา
๕๗ (แบบ ปร. ๓)
(๕) แบบคำขอให้พิจารณาทบทวนเพื่อบังคับใช้ความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนต่อไป
ตามมาตรา ๔๘ ประกอบมาตรา ๕๗ (แบบ ปร. ๓ ก)
(๖)
แบบคำขอให้พิจารณาทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนสำหรับผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตรายใหม่ตามมาตรา
๕๘ (แบบ ปร. ๔)
(๗)
แบบคำขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา ๕๙(แบบ ปร. ๕)
ข้อ ๓
ให้ผู้ยื่นขอชำระค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้
(๑) การรับคำขอตามข้อ ๒ (๑) ถึง ข้อ ๒ (๖)
ชำระค่าธรรมเนียมคำขอละ๑๐,๐๐๐ บาท
(๒) การรับคำขอตามข้อ ๒ (๗) ชำระค่าธรรมเนียมคำขอละ ๕,๐๐๐
บาท ต่างประเทศประกาศกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
วิภา/ผู้จัดทำ
๖ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๗๙ ง/หน้า ๖/๒๕ กันยายน ๒๕๔๓ |
309455 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. 2542 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
พ.ศ. ๒๕๔๒
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง มาตรา ๓๓ วรรคสาม มาตรา
๔๘ มาตรา ๖๐และมาตรา ๗๐
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศพ.ศ. ๒๕๔๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอให้พิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
การทบทวนและการขอคืนอากร การทบทวนความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดและการอุดหนุนไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้ให้เรียกว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
การยื่นคำขอให้ดำเนินการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา ๓๓
วรรคหนึ่ง คำขอให้พิจารณาทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตลาดตามมาตรา
๕๖
คำขอให้พิจารณาทบทวนเพื่อเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนต่อไปตามมาตรา
๕๗
คำขอให้พิจารณาทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนสำหรับผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตรายใหม่ตามมาตรา
๕๘ คำขอคืนอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา ๕๙ คำขอให้พิจารณาทบทวนความจำเป็นในการใช้บังคับความตกลงเพื่อระงับการการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนตามมาตรา
๔๘ ประกอบมาตรา ๕๖
และคำขอให้พิจารณาทบทวนเพื่อบังคับใช้ความตกลงเพื่อระงับการทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนต่อไปตามมาตรา
๔๘ ประกอบมาตรา ๕๗ ให้ใช้แบบคำขอท้ายประกาศนี้
ข้อ ๔
ผู้ยื่นคำขอจะต้องแสดงรายละเอียดข้อมูลข่าวสารลงในคำขอตามแบบ
ที่กำหนดไว้ตามข้อ ๓ โดยครบถ้วนสมบูรณ์
และต้องเสนอพยานหลักฐานข้อมูลรายละเอียดตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอนั้นด้วย
ข้อ ๕
ในการพิจารณาเสียงสนับสนุนหรือเสียคัดค้านคำขอตามมาตรา ๓๓
วรรคสองหากปรากฏว่าอุตสาหกรรมที่ยื่นคำขอเป็นอุตสาหกรรมรายย่อยซึ่งมีผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมากการพิจารณาเสียงสนับสนุนหรือเสียงคัดค้านจะดำเนินการโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามหลักสถิติก็ได้
ข้อ ๖
คำขอตามข้อ ๓ จะถือได้ว่าได้รับไว้โดยสมบูรณ์เมื่อกรมการค้าต่างประเทศได้ตรวจสอบคำขอแล้ว
ปรากฏว่าแสดงรายละเอียดข้อมูลข่าวสารโดยครบถ้วน
และได้เสนอพยานหลักฐานรายละเอียดตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอโดยถูกต้องแล้ว
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรว่าการกระทรวงพาณิชย์
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
[๑] |
309390 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์
ประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคสอง และมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจำกัดจำนวนผู้ส่งออกจากต่างประเทศ
ผู้ผลิตในต่างประเทศ
ผู้ผลิตในต่างประเทศหรือผู้นำเข้าซึ่งสินค้าที่ถูกพิจารณา หรือประเภทของสินค้าที่ถูกพิจารณาให้เหลือจำนวนที่เหมาะสม เพื่อหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้เรียกว่า
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๒
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในกรณีที่มีผู้ส่งออกจากต่างประเทศ
ผู้ผลิตในต่างประเทศหรือผู้นำเข้าสินค้าที่ถูกพิจารณาหรือประเภทของสินค้าที่ถูกพิจารณามีจำนวนมากจนไม่อาจนำข้อมูลดังกล่าวทั้งหมดมาพิจารณาหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดของผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตสินค้าที่ถูกพิจารณาแต่ละรายได้อาจจำกัดจำนวนผู้ส่งออก
ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือประเภทสินค้าที่ถูกพิจารณาให้เหลือเพียงจำนวนที่เหมาะสมโดยการสุ่มตัวอย่าง
เพื่อพิจารณาหาส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดก็ได้การสุ่มตัวอย่างตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์หนึ่งกฎเกณฑ์ใด
ดังนี้
(๑)
อาศัยหลักสถิติโดยใช้ข้อมูลที่กรมการค้าต่างประเทศมีอยู่ในการสุ่มตัวอย่าง
(๒) ใช้ปริมาณการส่งออกจากประเทศผู้ส่งออกหรือประเทศแหล่งกำเนิดที่มีสัดส่วนมากที่สุด
ในประการที่จำทำให้การไต่สวนเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
ศุภชัย พานิชภักดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
วิภา/ผู้จัดทำ
๕ กันยายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๖/ตอนพิเศษ ๕๙ ง/หน้า ๔/๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ |
793221 | พระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การถวายความปลอดภัย
พ.ศ. ๒๕๖๐
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ
วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
เป็นปีที่ ๒
ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการถวายความปลอดภัย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย
พ.ศ. ๒๕๕๗
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การถวายความปลอดภัย หมายความว่า
การรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท
พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และให้หมายความรวมถึงการรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ผู้แทนพระองค์ซึ่งเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และบุคคลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
รับเป็นพระราชอาคันตุกะ
ความปลอดภัย หมายความว่า
การรักษาความปลอดภัยและการถวายพระเกียรติต่อพระองค์
หรือบุคคลที่ต้องมีการถวายความปลอดภัย การรักษาความปลอดภัยของพระราชฐาน ที่ประทับหรือที่พัก
การรักษาความปลอดภัยในขณะที่เสด็จไปหรือไปยังที่ใด รวมตลอดถึงการรักษาความปลอดภัยของยานพาหนะ
และสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้อง
ส่วนราชการในพระองค์ หมายความว่า
ส่วนราชการในพระองค์ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์
หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า กระทรวง
ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
มาตรา ๕ ให้ส่วนราชการในพระองค์มีหน้าที่วางแผนการถวายความปลอดภัย
ตลอดจนการอำนวยการ ประสานงาน ควบคุม
และปฏิบัติงานในการถวายความปลอดภัย โดยมีราชเลขานุการในพระองค์ของพระมหากษัตริย์เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชประสงค์
ในกรณีที่มีการกำหนดแผนการถวายความปลอดภัยตามวรรคหนึ่งและมีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐแห่งใด
ให้แผนการถวายความปลอดภัยนั้นมีผลตามกฎหมายที่หน่วยงานของรัฐแห่งนั้นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามด้วย
มาตรา ๖ ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งมีหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยหรือร่วมมือในการถวายความปลอดภัย
การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามที่ราชเลขานุการในพระองค์ของพระมหากษัตริย์กำหนด
มาตรา ๗ เพื่อประโยชน์ในการถวายความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพและมีแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกัน
ให้ราชเลขานุการในพระองค์ของพระมหากษัตริย์มีอำนาจกำหนดระเบียบหรือออกประกาศเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การปฏิบัติหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยเพื่อใช้บังคับกับส่วนราชการในพระองค์และหน่วยงานของรัฐ
มาตรา ๘ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ
และประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการออกระเบียบ
ประกาศ หรือกำหนดแนวปฏิบัติเป็นอย่างอื่นตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๙ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์
กำหนดให้มีส่วนราชการในพระองค์เพื่อปฏิบัติภารกิจขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการถวายความปลอดภัยให้สอดคล้องกับการกำหนดหน้าที่ส่วนราชการในพระองค์และกำหนดหลักเกณฑ์ในการถวายความปลอดภัยให้สามารถดำเนินการถวายพระเกียรติในการปฏิบัติภารกิจได้ตามพระราชประสงค์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พัชรภรณ์/อัญชลี/จัดทำ
๒๑ ธันวาคม
๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๒๕ ธันวาคม
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๒๖ ก/หน้า ๑/๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ |
717111 | พระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2557 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การถวายความปลอดภัย
พ.ศ. ๒๕๕๗
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ
วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗
เป็นปีที่ ๖๙
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์
พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๗
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิก
(๑)
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่
๓๖ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสถาบันพระมหากษัตริย์ ลงวันที่ ๓๐
กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
(๒)
พระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ พ.ศ.
๒๕๔๙
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การถวายความปลอดภัย หมายความว่า
การรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท
พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป
และให้หมายความรวมถึงการรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ผู้แทนพระองค์ซึ่งเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และบุคคลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
รับเป็นพระราชอาคันตุกะ
ความปลอดภัย หมายความว่า
ความปลอดภัยต่อพระองค์หรือร่างกาย ความปลอดภัยของพระราชฐาน ที่ประทับหรือที่พัก
ความปลอดภัยของยานพาหนะ และความปลอดภัยของเอกสารและอุปกรณ์การสื่อสาร
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการการถวายความปลอดภัย
หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า
ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ
หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
มาตรา ๕ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับแก่หน่วยงานของรัฐทั้งปวงเพื่อการถวายความปลอดภัยไม่ว่าหน่วยงานนั้นจะมีกฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยไว้เป็นการเฉพาะหรือไม่ก็ตาม
เว้นแต่หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
ให้ถือว่าการดำเนินการเพื่อการถวายความปลอดภัยตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการดำเนินการตามมาตรา
๔ (๗) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๖ กำลังทหารจากกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก
กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกำลังตำรวจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
มีหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยตามที่สมุหราชองครักษ์กำหนด
ในกรณีเป็นการถวายความปลอดภัยที่เป็นหน้าที่ของสำนักพระราชวัง
ให้เลขาธิการพระราชวังเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการ
มาตรา ๗ เมื่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท
พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ผู้แทนพระองค์ซึ่งเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และบุคคลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
รับเป็นพระราชอาคันตุกะ จะเสด็จไปหรือไปยังสถานที่ใด
ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องแจ้งรายละเอียดพิธีการ
และมีหน้าที่อำนวยความสะดวกตามที่สมุหราชองครักษ์หรือเลขาธิการพระราชวังกำหนดและต้องปฏิบัติตามระเบียบ
ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือคำแนะนำของกรมราชองครักษ์หรือระเบียบสำนักพระราชวัง
แล้วแต่กรณี
ในกรณีเป็นการถวายความปลอดภัยในต่างประเทศ ให้กรมราชองครักษ์และกระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่ร่วมสำรวจสถานที่และปฏิบัติการอื่นตามความเหมาะสมตามที่สมุหราชองครักษ์กำหนดเพื่อวางแผนและประสานการปฏิบัติการถวายความปลอดภัยร่วมกับประเทศนั้น
มาตรา ๘ ให้สมุหราชองครักษ์โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกระเบียบ
ข้อบังคับ หรือประกาศกรมราชองครักษ์ เพื่อการถวายความปลอดภัย หรือการขอให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือหรืออำนวยความสะดวกในการถวายความปลอดภัย
เพื่อประโยชน์ในการถวายความปลอดภัย
สมุหราชองครักษ์จะกำหนดหลักปฏิบัติว่าด้วยการถวายความปลอดภัยเพื่อใช้แก่หน่วยงานตามมาตรา
๕ ก็ได้
มาตรา ๙ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการการถวายความปลอดภัย ประกอบด้วย
สมุหราชองครักษ์ เป็นประธานกรรมการ ราชเลขาธิการ เลขาธิการพระราชวัง รองเลขาธิการพระราชวังปฏิบัติหน้าที่ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก
ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
หัวหน้าสำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
ผู้บัญชาการหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ และผู้อำนวยการสำนักงานราชองครักษ์ประจำ
เป็นกรรมการ
ให้เสนาธิการกรมราชองครักษ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ
มาตรา ๑๐ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดแนวทาง มาตรการ
และอำนวยการการถวายความปลอดภัยให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัตินี้ และระเบียบ
ข้อบังคับ หรือประกาศกรมราชองครักษ์ตามมาตรา ๘
(๒) พิจารณาระเบียบ ข้อบังคับ
และประกาศเกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยที่จะออกตามความในมาตรา ๘
(๓) พิจารณาข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประเมินสถานการณ์เพื่อประโยชน์ในการถวายความปลอดภัย
(๔) พิจารณาปัญหาและอุปสรรคในการถวายความปลอดภัยเพื่อเสนอความเห็นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(๕) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานตามที่สมุหราชองครักษ์เสนอเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
(๖) เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ให้ข้อมูลหรือข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ
(๗) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ
เกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยตามที่สมุหราชองครักษ์หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอำนาจดำเนินการพิจารณาทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะกรรมการ
และคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา ๑๑ ให้พระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์
พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์
และพระราชอาคันตุกะ พ.ศ. ๒๕๔๙ และบรรดาระเบียบ ข้อบังคับ
และประกาศที่เกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะมีระเบียบ
ข้อบังคับ หรือประกาศตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๑๒ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ฉบับที่ ๓๖ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสถาบันพระมหากษัตริย์ ลงวันที่
๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ กำหนดให้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์
พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์
และพระราชอาคันตุกะ พ.ศ. ๒๕๔๖
เป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี
พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์
และพระราชอาคันตุกะ พ.ศ. ๒๕๔๙
แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงมีรูปแบบของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
จึงทำให้การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการถวายความปลอดภัยของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่เป็นเอกภาพ
ดังนั้น
เพื่อให้การถวายความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท
พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ผู้แทนพระองค์ซึ่งเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และพระราชอาคันตุกะมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานของรัฐในการถวายความปลอดภัยอย่างเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๗
จุฑามาศ/ผู้ตรวจ
๑๗ พฤศจิกายน
๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๑/ตอนที่ ๗๗ ก/หน้า ๑/๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ |
724128 | พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ
วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
เป็นปีที่ ๗๐
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
ผู้ทวงถามหนี้ หมายความว่า
เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อ
ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเป็นปกติธุระตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน และเจ้าหนี้อื่นซึ่งมีสิทธิรับชำระหนี้อันเกิดจากการกระทำที่เป็นทางการค้าปกติ
หรือเป็นปกติธุระของเจ้าหนี้ ทั้งนี้
ไม่ว่าหนี้ดังกล่าวจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม และให้หมายความรวมถึง
ผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ดังกล่าว ผู้รับมอบอำนาจช่วงในการทวงถามหนี้
ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ด้วย
ผู้ให้สินเชื่อ หมายความว่า
(๑) บุคคลซึ่งให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ หรือ
(๒) บุคคลซึ่งรับซื้อหรือรับโอนสินเชื่อต่อไปทุกทอด
สินเชื่อ หมายความว่า
สินเชื่อที่ให้แก่บุคคลธรรมดาโดยการให้กู้ยืมเงิน การให้บริการบัตรเครดิต การให้เช่าซื้อ
การให้เช่าแบบลิสซิ่ง และสินเชื่อในรูปแบบอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน
ลูกหนี้ หมายความว่า
ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา และให้หมายความรวมถึง ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาด้วย
ธุรกิจทวงถามหนี้ หมายความว่า
การรับจ้างทวงถามหนี้ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อมเป็นปกติธุระ แต่ไม่รวมถึงการทวงถามหนี้ของทนายความซึ่งกระทำแทนลูกความของตน
ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ติดต่อลูกหนี้ หมายความว่า ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของลูกหนี้ และให้หมายความรวมถึง
หมายเลขโทรศัพท์และโทรสาร และสถานที่ติดต่อโดยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์
หรือโดยสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น ที่สามารถติดต่อกับลูกหนี้ได้ด้วย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
นายทะเบียน หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งให้เป็นผู้มีหน้าที่รับจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งตามการเสนอแนะของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของตน
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การทวงถามหนี้
มาตรา ๕ บุคคลใดจะประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต้องจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต่อนายทะเบียน
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
บุคคลซึ่งจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามวรรคหนึ่งแล้ว ต้องประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๖ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้เป็นทนายความหรือสำนักงานทนายความ
ให้คณะกรรมการสภาทนายความตามกฎหมายว่าด้วยทนายความทำหน้าที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนโดยต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงและประกาศตามมาตรา
๕
ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้เป็นทนายความหรือสำนักงานทนายความ
ให้คณะกรรมการสภาทนายความตามกฎหมายว่าด้วยทนายความมีอำนาจสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา
๓๗ ที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการตามมาตรา ๒๗
ให้สภานายกพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยทนายความมีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนที่เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามมาตรา
๓๑ หรือคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการตามมาตรา ๓๘
คำวินิจฉัยของสภานายกพิเศษให้เป็นที่สุด ทั้งนี้ ให้นำระยะเวลาในการอุทธรณ์ และการวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา
๓๑ และมาตรา ๓๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ให้คณะกรรมการสภาทนายความมีอำนาจออกข้อบังคับในส่วนที่เกี่ยวข้องได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้
ข้อบังคับนั้นเมื่อได้รับความเห็นชอบจากสภานายกพิเศษตามกระบวนการในกฎหมายว่าด้วยทนายความ
และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการสภาทนายความและสภานายกพิเศษรายงานการดำเนินการของตนตามมาตรา
๖
ให้คณะกรรมการเพื่อทราบเป็นประจำทุกสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ
ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าการดำเนินการของคณะกรรมการสภาทนายความหรือสภานายกพิเศษตามมาตรา
๖ ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการแจ้งให้คณะกรรมการสภาทนายความ หรือสภานายกพิเศษเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๘ ห้ามผู้ทวงถามหนี้ติดต่อกับบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้เพื่อการทวงถามหนี้
เว้นแต่บุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการดังกล่าว
การติดต่อกับบุคคลอื่นนอกจากบุคคลตามวรรคหนึ่ง
ให้กระทำได้เพื่อวัตถุประสงค์ในการสอบถามหรือยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ติดต่อลูกหนี้
หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้เท่านั้น โดยผู้ทวงถามหนี้ต้องปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งให้ทราบชื่อตัว ชื่อสกุล
และแสดงเจตนาว่าต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ติดต่อลูกหนี้หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้
(๒) ห้ามแจ้งถึงความเป็นหนี้ของลูกหนี้
เว้นแต่ในกรณีที่บุคคลอื่นนั้นเป็นสามี ภริยา บุพการี หรือผู้สืบสันดานของลูกหนี้
และบุคคลอื่นดังกล่าวได้สอบถามผู้ทวงถามหนี้ถึงสาเหตุของการติดต่อให้ผู้ทวงถามหนี้ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ได้เท่าที่จำเป็น
และตามความเหมาะสม
(๓) ห้ามใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์
หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมายในหนังสือ หรือในสื่ออื่นใดที่ใช้ในการติดต่อสอบถาม
ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการติดต่อเพื่อทวงถามหนี้ของลูกหนี้
(๔)
ห้ามติดต่อหรือแสดงตนที่ทำให้เข้าใจผิดเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ติดต่อลูกหนี้
หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้
มาตรา ๙ การทวงถามหนี้ ให้ผู้ทวงถามหนี้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) สถานที่ติดต่อ ในกรณีที่ติดต่อโดยบุคคลหรือทางไปรษณีย์
ให้ติดต่อตามสถานที่ที่ลูกหนี้ หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้ได้แจ้งให้เป็นสถานที่ติดต่อ
ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวไม่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า หรือสถานที่ที่ได้แจ้งไว้ไม่สามารถติดต่อได้
โดยผู้ทวงถามหนี้ได้พยายามติดต่อตามสมควรแล้ว ให้ติดต่อตามภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่
หรือสถานที่ทำงานของบุคคลดังกล่าว หรือสถานที่อื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒) เวลาในการติดต่อ การติดต่อโดยบุคคล โทรศัพท์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์
หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์
ให้ติดต่อได้ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา และในวันหยุดราชการ
เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา หากไม่สามารถติดต่อตามเวลาดังกล่าวได้ หรือช่วงเวลาดังกล่าวไม่เหมาะสม
ให้ติดต่อได้ในช่วงเวลาอื่นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๓) จำนวนครั้งที่ติดต่อ ในช่วงเวลาตาม (๒)
ให้ติดต่อตามจำนวนครั้งที่เหมาะสม และคณะกรรมการอาจประกาศกำหนดจำนวนครั้งด้วยก็ได้
(๔) ในกรณีที่เป็นผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้
ผู้รับมอบอำนาจช่วงในการทวงถามหนี้ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
หรือผู้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ให้ผู้ทวงถามหนี้แจ้งให้ทราบถึงชื่อตัวและชื่อสกุล
หรือชื่อหน่วยงานของตนและของเจ้าหนี้ และจำนวนหนี้
และถ้าผู้รับมอบอำนาจดังกล่าวทวงถามหนี้ต่อหน้า
ให้แสดงหลักฐานการมอบอำนาจให้ทวงถามหนี้ด้วย
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่ผู้ทวงถามหนี้ขอรับชำระหนี้
ผู้ทวงถามหนี้ต้องแสดงหลักฐานการรับมอบอำนาจให้รับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ต่อลูกหนี้ หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้ด้วย
และเมื่อลูกหนี้ได้ชำระหนี้แก่ผู้ทวงถามหนี้แล้ว
ให้ผู้ทวงถามหนี้ออกหลักฐานการชำระหนี้แก่ลูกหนี้ด้วย
หากลูกหนี้ได้ชำระหนี้แก่ผู้ทวงถามหนี้โดยสุจริต
ให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้โดยชอบ
ทั้งนี้
ไม่ว่าผู้ทวงถามหนี้จะได้รับมอบอำนาจให้รับชำระหนี้จากเจ้าหนี้หรือไม่ก็ตาม
มาตรา ๑๑ ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะดังต่อไปนี้
(๑) การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง
หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง
หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น
(๒) การใช้วาจาหรือภาษาที่เป็นการดูหมิ่นลูกหนี้หรือผู้อื่น
(๓)
การแจ้งหรือเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้
เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๘ วรรคสอง (๒)
(๔) การติดต่อลูกหนี้โดยไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก โทรสาร
หรือสิ่งอื่นใดที่สื่อให้ทราบว่าเป็นการทวงถามหนี้อย่างชัดเจน
เว้นแต่กรณีการบอกกล่าวบังคับจำนองด้วยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์ ซึ่งเจ้าหนี้ไม่สามารถติดต่อลูกหนี้โดยวิธีการอื่น
หรือกรณีอื่นใดตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๕) การใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์
หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมายในการติดต่อลูกหนี้ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการติดต่อเพื่อการทวงถามหนี้
เว้นแต่ชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้ไม่ได้สื่อให้ทราบได้ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๖)
การทวงถามหนี้ที่ไม่เหมาะสมในลักษณะอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ความใน (๕)
มิให้นำมาใช้บังคับกับการทวงถามหนี้เป็นหนังสือเพื่อจะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล
มาตรา ๑๒ ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะที่เป็นเท็จ
หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด ดังต่อไปนี้
(๑) การแสดงหรือการใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์
หรือเครื่องแบบที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศาล เจ้าหน้าที่ของรัฐ
หรือหน่วยงานของรัฐ
(๒) การแสดงหรือมีข้อความที่ทำให้เชื่อว่าการทวงถามหนี้เป็นการกระทำโดยทนายความสำนักงานทนายความ
หรือสำนักงานกฎหมาย
(๓) การแสดงหรือมีข้อความที่ทำให้เชื่อว่าจะถูกดำเนินคดี
หรือจะถูกยึดหรืออายัดทรัพย์หรือเงินเดือน
(๔)
การติดต่อหรือการแสดงตนให้เชื่อว่าผู้ทวงถามหนี้ดำเนินการให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิต
หรือรับจ้างบริษัทข้อมูลเครดิต
มาตรา ๑๓ ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมดังต่อไปนี้
(๑) การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ
เกินกว่าอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(๒)
การเสนอหรือจูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คทั้งที่รู้อยู่ว่าลูกหนี้อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้
มาตรา ๑๔ ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการดังต่อไปนี้
(๑) ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๒) ทวงถามหนี้หรือสนับสนุนการทวงถามหนี้ซึ่งมิใช่ของตน
เว้นแต่ในกรณีที่เป็นหนี้ของสามี ภริยา บุพการี หรือผู้สืบสันดานของตน
หรือในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นมีอำนาจกระทำได้ตามกฎหมาย
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระทรวง
ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค
ราชการส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
หมวด ๒
การกำกับดูแลและตรวจสอบ
มาตรา ๑๕
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการคนที่สอง
ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายกสภาทนายความ
เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งจำนวนไม่เกินห้าคน เป็นกรรมการ
ให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นกรรมการและเลขานุการ
และให้คณะกรรมการแต่งตั้งข้าราชการของกรมการปกครองสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ในด้านการเงินการธนาคาร ด้านกฎหมาย
หรือด้านการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างน้อยด้านละหนึ่งคน
โดยมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้
แต่จะแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้ ทั้งนี้
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น
ให้แต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรพัฒนาภาคเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
มาตรา ๑๖ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของผู้ทวงถามหนี้
อำนาจหน้าที่ดังกล่าวให้รวมถึง
(๑) ออกประกาศหรือคำสั่งเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
(๒) ออกข้อบังคับกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนของคณะกรรมการตามมาตรา
๒๗ และกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว
(๓) พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครอง และคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามมาตรา
๓๘
(๔) กำหนดหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบและระยะเวลาการชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบตามมาตรา
๔๕
(๕) เสนอแนะ หรือให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ตลอดจนเสนอแนะคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการในกรณีมีปัญหาหรืออุปสรรคเกี่ยวกับการประสานงานในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๘ (๓)
คณะกรรมการเปรียบเทียบ กรมการปกครอง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ที่ทำการปกครองจังหวัด และกองบัญชาการตำรวจนครบาล
(๖) เสนอแนะคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการในการคุ้มครอง หรือช่วยเหลือลูกหนี้ในด้านอื่น
(๗) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่มีกฎหมายกำหนด หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อบังคับและประกาศของคณะกรรมการนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๑๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีสัญชาติไทยและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๒) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
(๓) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๔)
เป็นผู้อยู่ระหว่างถูกสั่งให้พักราชการหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
(๕) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจเพราะกระทำผิดวินัย หรือเคยถูกไล่ออก ปลดออก
หรือให้ออกจากหน่วยงานของเอกชนเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
(๖) เป็นกรรมการ ผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ให้สินเชื่อ หรือเป็นผู้ให้สินเชื่อ หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
มาตรา ๑๘ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๕
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ออกเพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่มีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือหย่อนความสามารถ
(๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๗
มาตรา ๑๙ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
ให้คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดที่เหลืออยู่จนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
เว้นแต่วาระของกรรมการจะเหลือน้อยกว่าเก้าสิบวัน
และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง
ให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
มาตรา ๒๐ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
จึงจะเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมคณะกรรมการ
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการทำหน้าที่แทนตามลำดับ
ถ้ารองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๒๑ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา
หรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้
การประชุมคณะอนุกรรมการ ให้นำมาตรา ๒๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๒ ในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๑
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอย่างน้อยคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา หรือปฏิบัติการเกี่ยวกับการกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของผู้ให้สินเชื่อซึ่งเป็นนิติบุคคล
ทั้งนี้
คณะอนุกรรมการดังกล่าวอย่างน้อยต้องประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย
และผู้แทนสมาคมธนาคารไทยเป็นอนุกรรมการ
โดยมีข้าราชการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
และเป็นผู้ช่วยเลขานุการจำนวนสองคน
มาตรา ๒๓ ในกรณีที่ลูกหนี้หรือบุคคลอื่นได้รับการปฏิบัติจากผู้ทวงถามหนี้ที่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัตินี้
ให้ลูกหนี้หรือบุคคลอื่นนั้นมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ เพื่อวินิจฉัยสั่งการได้
การร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
มาตรา ๒๔ ในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัตินี้
คณะกรรมการ คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ และคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา
๒๘ (๓) มีอำนาจสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง
หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้มาเพื่อประกอบการพิจารณาได้
มาตรา ๒๕ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้กรมการปกครองรับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการได้มอบหมาย
ให้กรมการปกครองมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการตามมาตรา ๒๗
(๒) ติดตามสอดส่องพฤติการณ์ของผู้ทวงถามหนี้ หรือกำกับดูแลการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๓)
ประสานกับหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลหรือตรวจสอบผู้ทวงถามหนี้
หรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้
(๔) รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และอบรมวิธีการทวงถามหนี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม
(๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการได้มอบหมาย
มาตรา ๒๖ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังรับผิดชอบในงานธุรการของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๒
และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะอนุกรรมการดังกล่าวได้มอบหมาย
ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังมีอำนาจหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการตามมาตรา
๒๗
รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการทวงถามหนี้ของผู้ให้สินเชื่อซึ่งเป็นนิติบุคคล ดังต่อไปนี้
(๑) ติดตามสอดส่องพฤติการณ์ของผู้ทวงถามหนี้หรือกำกับดูแลการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๒)
ประสานกับหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลหรือตรวจสอบผู้ทวงถามหนี้หรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้
(๓) รณรงค์ ประชาสัมพันธ์
และอบรมวิธีการทวงถามหนี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม
(๔) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่งได้มอบหมาย
มาตรา ๒๗ ในจังหวัดหนึ่ง
ให้มีคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ
อัยการจังหวัด ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกในพื้นที่ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
คลังจังหวัด ประธานสภาทนายความจังหวัด เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
และผู้แทนองค์กรพัฒนาภาคเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง
เป็นกรรมการ
ให้ปลัดจังหวัดเป็นกรรมการและเลขานุการ
และให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดแต่งตั้งข้าราชการของที่ทำการปกครองจังหวัดสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ในกรุงเทพมหานคร
ให้มีคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด
ผู้แทนมณฑลทหารบกที่ ๑๑ ผู้แทนสภาทนายความ
และผู้แทนองค์กรพัฒนาภาคเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแต่งตั้ง
เป็นกรรมการ
ให้ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล
เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแต่งตั้งข้าราชการตำรวจของกองบัญชาการตำรวจนครบาลสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
มาตรา ๒๘ ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗
มีอำนาจหน้าที่ภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนตามพระราชบัญญัตินี้
(๒) สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามมาตรา ๓๗
(๓)
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการตามมาตรา
๒๗ มอบหมาย
(๔) รายงานการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งปัญหา อุปสรรค
และข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการทุกสามเดือน
(๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
การประชุมคณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ และคณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่ง (๓)
ให้นำมาตรา ๒๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ที่ทำการปกครองจังหวัด และกองบัญชาการตำรวจนครบาล
รับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด และคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานครตามลำดับ
และให้มีอำนาจหน้าที่ภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นสำนักงานทะเบียนรับจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๒)
รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด
หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี
(๓) ติดตามสอดส่องพฤติการณ์ของผู้ทวงถามหนี้ หรือกำกับดูแลการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๔)
ประสานกับหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลหรือตรวจสอบผู้ทวงถามหนี้
หรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้
(๕) รณรงค์ ประชาสัมพันธ์
และอบรมวิธีการทวงถามหนี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม
(๖) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการ
และคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี มอบหมาย
มาตรา ๓๐ เพื่อประโยชน์ในการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้
ให้ที่ว่าการอำเภอ และสถานีตำรวจเป็นสถานที่รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้ได้ด้วย
รวมทั้งให้หัวหน้าหน่วยงานดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงและเอกสารเพื่อส่งเรื่องต่อไปยังที่ทำการปกครองจังหวัด
หรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๓๑ ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามมาตรา
๕ ให้ผู้ที่ยื่นขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันได้รับอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นที่สุด
มาตรา ๓๒ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้ทวงถามหนี้หรือกรรมการ ผู้จัดการ
ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือพนักงานของผู้ทวงถามหนี้
ในกรณีผู้ทวงถามหนี้เป็นนิติบุคคล มาให้ถ้อยคำ แสดงข้อมูล หรือส่งสมุดบัญชี เอกสาร
ดวงตรา หรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการสินทรัพย์ และหนี้สินของผู้ทวงถามหนี้ และบุคคลดังกล่าวข้างต้น
มาตรา ๓๓ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ในการปฏิบัติหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง
บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด
หมวด ๓
บทกำหนดโทษ
ส่วนที่ ๑
โทษทางปกครอง
มาตรา ๓๔ ในกรณีที่ปรากฏแก่คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗
ว่าผู้ทวงถามหนี้ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘ วรรคสอง (๑) หรือ (๔) มาตรา ๙
มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๑ (๖) หรือมาตรา ๑๓ (๑) ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗
มีอำนาจสั่งให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากผู้ทวงถามหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง
ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ พิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๓๕ ในการพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง
ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ คำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติกรรมที่กระทำผิด
ในกรณีที่ผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่ยอมชำระค่าปรับทางปกครอง ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
และในกรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับตามคำสั่ง
หรือมีแต่ไม่สามารถดำเนินการบังคับทางปกครองได้ ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗
มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับชำระค่าปรับ ในการนี้ ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคำสั่งให้ชำระค่าปรับนั้นชอบด้วยกฎหมาย
ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษา และบังคับให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าปรับได้
มาตรา ๓๖ ในกรณีที่ผู้ทวงถามหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลต้องรับโทษปรับทางปกครอง
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือไม่สั่งการ
หรือการกระทำการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำของกรรมการ ผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการแทนนิติบุคคลนั้น
บุคคลดังกล่าวต้องรับโทษปรับทางปกครองตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๓๗ ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗
มีอำนาจสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ได้
เมื่อปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๑) เคยถูกลงโทษปรับทางปกครอง และถูกลงโทษซ้ำอีกจากการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน
(๒) กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติที่มีโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๓๘ ผู้ทวงถามหนี้มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองตามมาตรา
๓๔ วรรคสอง หรือผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา
๓๗ ต่อคณะกรรมการได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
คณะกรรมการต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันได้รับอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
ส่วนที่ ๒
โทษอาญา
มาตรา ๓๙ บุคคลใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕
มาตรา ๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๘ วรรคสอง (๒) หรือ (๓) มาตรา ๑๑ (๒)
(๓) (๔) หรือ (๕) หรือมาตรา ๑๓ (๒) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๐ บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๒ (๒) (๓) หรือ (๔)
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๑ บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑ (๑) หรือมาตรา ๑๒
(๑) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๒ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๔
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๓ บุคคลใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา ๒๔
หรือขัดขวาง หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา ๓๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษอาญาตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือไม่สั่งการ
หรือการกระทำการ หรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำของกรรมการ ผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการแทนนิติบุคคลนั้น
บุคคลดังกล่าวต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๔๕ บรรดาความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา
๔๑ และมาตรา ๔๒
ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
คณะกรรมการเปรียบเทียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด
และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว
ให้ถือว่าคดีนั้นเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
และให้คณะกรรมการเปรียบเทียบแจ้งให้คณะกรรมการทราบโดยเร็ว
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๔๖ บุคคลใดประกอบธุรกิจทวงถามหนี้หรือกิจการอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันตามพระราชบัญญัตินี้อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หากประสงค์จะประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต่อไป ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนตามมาตรา ๕
วรรคหนึ่ง หรือตามมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ในระหว่างการยื่นคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง
ให้บุคคลนั้นประกอบธุรกิจดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจะได้รับแจ้งการไม่รับจดทะเบียนจากนายทะเบียน
มาตรา ๔๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา
๑๕ วรรคหนึ่ง ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ในวาระเริ่มแรกที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา
๑๕ วรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการคนที่สอง
ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและนายกสภาทนายความ เป็นกรรมการ
ให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นกรรมการและเลขานุการ
และให้อธิบดีกรมการปกครองแต่งตั้งข้าราชการของกรมการปกครองสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ทั้งนี้ เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การทวงถามหนี้ในปัจจุบันมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อลูกหนี้
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถ้อยคำที่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างรุนแรง
การคุกคามโดยขู่เข็ญ การใช้กำลังประทุษร้าย หรือการทำให้เสียชื่อเสียง
รวมถึงการให้ข้อมูลเท็จ และการสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่บุคคลอื่น
ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการทวงถามหนี้
และการควบคุมการทวงถามหนี้ไว้เป็นการเฉพาะ สมควรมีกฎหมายในเรื่องดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘
กฤษดายุทธ/ผู้ตรวจ
๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๑๖ ก/หน้า ๑/๖ มีนาคม ๒๕๕๘ |
743750 | กฎกระทรวงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
การจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ บุคคลใดจะประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามแบบ
ทน. ๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้ ต่อนายทะเบียน พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีที่เป็นบุคคลธรรมดา
(ก)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ข)
สำเนาทะเบียนบ้าน
หรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือหลักฐานการได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
(ค)
สำเนาใบอนุญาตประกอบธุรกิจหรือสำเนาหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ในกรณีที่เป็นคนต่างด้าว
(ง)
แผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่ตั้งของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(จ)
หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
หรือหนังสือแสดงความยินยอมให้ใช้เป็นสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ในกรณีที่สถานที่นั้นเป็นของผู้อื่น
(ฉ)
รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ขนาด ๔ x ๖ เซนติเมตร
ของผู้ขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน
จำนวนหนึ่งรูป
(๒)
กรณีที่เป็นนิติบุคคล
(ก)
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งแสดงรายการเกี่ยวกับชื่อ วัตถุประสงค์
ที่ตั้งสำนักงาน และผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคล โดยทำขึ้นไว้ไม่เกินสามเดือน
(ข)
สำเนาใบอนุญาตประกอบธุรกิจหรือสำเนาหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ในกรณีที่เป็นนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย
(ค) หนังสือแต่งตั้งผู้แทนนิติบุคคลซึ่งต้องเป็นกรรมการหรือบุคคลซึ่งมีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคล
(ง)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
หรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของผู้แทนนิติบุคคล
(จ)
สำเนาทะเบียนบ้าน
หรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือหลักฐานการได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองของผู้แทนนิติบุคคล
(ฉ)
แผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่ตั้งของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(ช)
หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
หรือหนังสือแสดงความยินยอมให้ใช้เป็นสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ในกรณีที่สถานที่นั้นเป็นของผู้อื่น
(ซ)
รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ขนาด ๔ x ๖ เซนติเมตร
ของผู้แทนนิติบุคคลที่ขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน
จำนวนหนึ่งรูป
ข้อ
๒ ทนายความหรือสำนักงานทนายความใดจะประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามแบบที่คณะกรรมการสภาทนายความกำหนด
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก)
สำเนาบัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความ หรือสำเนาใบอนุญาตให้เป็นทนายความ
(ข)
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนสำนักงานทนายความที่จดทะเบียนกับสภาทนายความ
หรือสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งแสดงรายการเกี่ยวกับชื่อ วัตถุประสงค์ ที่ตั้งสำนักงาน
และผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคล โดยทำขึ้นไว้ไม่เกินสามเดือน ในกรณีที่เป็นสำนักงานทนายความ
(ค)
แผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่ตั้งของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(ง)
หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
หรือหนังสือแสดงความยินยอมให้ใช้เป็นสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ในกรณีที่สถานที่นั้นเป็นของผู้อื่น
(จ)
รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก สวมครุยเนติบัณฑิตยสภา ขนาด ๔ x ๖
เซนติเมตร ของผู้ขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน
จำนวนหนึ่งรูป
(ฉ)
เอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่คณะกรรมการสภาทนายความกำหนด
ข้อ ๓ การยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ให้ยื่นคำขอ ดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีที่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียน ณ
สำนักงานทะเบียนที่สถานประกอบธุรกิจหรือสำนักงานแห่งใหญ่ของผู้ยื่นคำขอตั้งอยู่
และให้ยื่นคำขอได้เพียงแห่งเดียวสำหรับผู้ประกอบธุรกิจแต่ละราย
โดยในเขตกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขอที่สำนักงานทะเบียน กองบัญชาการตำรวจนครบาล
ในจังหวัดอื่นให้ยื่นคำขอที่สำนักงานทะเบียน ที่ทำการปกครองจังหวัด
(๒)
กรณีที่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นทนายความหรือสำนักงานทนายความ ให้ยื่นคำขอต่อคณะกรรมการสภาทนายความซึ่งทำหน้าที่นายทะเบียน
ณ สภาทนายความ
ข้อ
๔ เมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้พร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ แล้ว
ให้ตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของคำขอ หากคำขอดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน
ให้นายทะเบียนแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันยื่นคำขอ
พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไข
หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนไม่ดำเนินการแก้ไข ให้นายทะเบียนคืนคำขอแก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียน
ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าเอกสารและหลักฐานในการขอจดทะเบียนถูกต้องและครบถ้วนให้รับจดทะเบียนและออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามแบบ
ทน. ๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ ให้แก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ
๕ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อที่ใช้ในการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ หรือผู้แทนนิติบุคคล
ให้ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนตามแบบ ทน. ๑/๑
ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานประกอบการเปลี่ยนแปลงต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนพร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานตามวรรคหนึ่งแล้ว หากเห็นว่ารายการที่แสดงในคำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนพร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานถูกต้องและครบถ้วน
ให้ออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ฉบับใหม่ตามแบบ ทน. ๒
ท้ายกฎกระทรวงนี้ ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ
๖ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนของทนายความหรือสำนักงานทนายความเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ให้ทนายความหรือสำนักงานทนายความที่ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนตามแบบที่คณะกรรมการสภาทนายความกำหนดภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
ข้อ
๗ ในกรณีที่หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้สูญหายหรือถูกทำลายในสาระสำคัญ
ให้ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ยื่นคำขอรับใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามแบบ ทน. ๑/๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้
ต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบถึงการสูญหายหรือถูกทำลายดังกล่าว
โดยให้นายทะเบียนออกใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ไว้เป็นหลักฐาน
ใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามวรรคหนึ่งให้ใช้แบบ ทน. ๒
ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยมีคำว่า ใบแทน กำกับไว้ที่ด้านบน
ข้อ ๘ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ให้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือให้นายทะเบียนทราบภายในเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันที่จะเลิกประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
และให้นายทะเบียนจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ (แบบ ทน.๑)
๒. คำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียน (แบบ
ทน.๑/๑)
๓.
คำขอรับใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ (แบบ ทน.๑/๒)
๔.
หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ (แบบ ทน.๒)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘ บัญญัติว่า
บุคคลใดจะประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต้องจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต่อนายทะเบียน
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
กัญฑรัตน์/ปริยานุช/จัดทำ
๑๕ มกราคม ๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๑๕ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๔ ก/หน้า ๑/๑๓ มกราคม ๒๕๕๙ |
750123 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ | ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
เรื่อง
กำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ วรรคสอง และมาตรา ๑๖ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ข้อ
๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ในประกาศนี้
ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ หมายความถึง
ผู้รับจ้างทวงถามหนี้ที่ได้จดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้แล้วตามกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้
ข้อ
๔ เมื่อได้จดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้แล้ว
ให้ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้จัดให้มีป้ายชื่อติดไว้ที่หน้าสถานที่ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้โดยเปิดเผยและมองเห็นได้ง่าย
ป้ายชื่อที่ใช้ในการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ให้เขียนข้อความเป็นอักษรไทย
แต่จะมีอักษรต่างประเทศกำกับไว้ท้ายหรือใต้ชื่ออักษรไทยด้วยก็ได้
โดยป้ายชื่อต้องมีคำว่า สำนักงานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ ประกอบกับชื่อที่ได้จดทะเบียน
และจะต้อง
(๑)
ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย หรือพระนามของพระราชินีหรือองค์รัชทายาท
(๒)
ไม่ซ้ำหรือพ้องกับชื่อสำนักงานอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้นั้น
(๓)
ไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย
ข้อ
๕ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑)
ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้อย่างเคร่งครัดและตั้งอยู่บนความซื่อสัตย์
สุจริต และมีความรอบคอบระมัดระวังภายใต้หลักการจริยธรรมและการจัดการที่ดี
(๒)
หนี้ที่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ไปทวงถามนั้นจะต้องเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระแล้ว
(๓)
แจ้งข้อมูลหรือเผยแพร่เอกสารใด ๆ
ที่จำเป็นเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้ทวงถามหนี้ต่อลูกหนี้หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้
รวมทั้งแจ้งสิทธิในการร้องเรียน ค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้
เบี้ยปรับกรณีผิดนัดชำระหนี้แก่ลูกหนี้ที่ตนรับจ้างทวงถามหนี้อย่างเท่าเทียมกัน
(๔)
ให้คำแนะนำโดยไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง
หรือปกปิดข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้
(๕)
จัดทำบัญชีรายชื่อพร้อมตำแหน่งของพนักงานของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ให้เป็นปัจจุบัน และจัดให้มีระบบงานที่แสดงให้เห็นได้ว่ามีการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนภายในสำนักงาน
และส่งให้นายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันจดทะเบียน
กรณีมีการเปลี่ยนแปลงให้ส่งรายการที่มีการเปลี่ยนแปลงให้นายทะเบียนภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
(๖)
จัดทำบัตรประจำตัวพนักงานทวงถามหนี้โดยต้องระบุชื่อ ชื่อสกุล หมายเลขประจำตัวประชาชน รูปถ่าย ลายมือชื่อ
สำนักงานที่สังกัดและให้มีติดตัวอยู่ในขณะกระทำการทวงถามหนี้ เพื่อใช้แสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ลูกหนี้หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้ หรือบุคคลตามมาตรา ๘ วรรคสอง
(๒) แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
(๗)
ในการกำหนดค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้
ให้ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้กำหนดให้สอดคล้องและไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประกาศกำหนด
และให้ปิดประกาศไว้โดยเปิดเผย ณ สำนักงานของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(๘)
อบรมและกำกับดูแลให้พนักงานทวงถามหนี้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้และหลักเกณฑ์ที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว
(๙)
ดำเนินการอื่นใดตามที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประกาศกำหนด
ข้อ
๖ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต้องเก็บรักษาความลับของลูกหนี้
และไม่แจ้งหรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้
ข้อ
๗ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต้องเก็บสำเนาหลักฐานการรับเงินจากลูกหนี้หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้ไว้
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้
ข้อ
๘ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต้องจัดระบบช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนให้ลูกหนี้หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้อย่างน้อยสองช่องทาง
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประธานกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ชวัลพร/ปริยานุช/จัดทำ
๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๑๖ มิถุนายน
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๙๙ ง/หน้า ๖/๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ |
745889 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
กำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบท้ายประกาศนี้
ข้อ
๓ การขอมีบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ยื่นคำขอตามแบบท้ายประกาศนี้พร้อมรูปถ่ายจำนวนสองใบที่ถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือนก่อนวันยื่นคำขอมีบัตรประจำตัว
ขนาด ๒.๕ x ๓.๐ เซนติเมตร ครึ่งตัว
หน้าตรง ไม่สวมหมวกและแว่นตาสีเข้ม แต่งเครื่องแบบปฏิบัติราชการ
เครื่องแบบพิธีการหรือเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ตนสังกัด
ข้อ
๔ ผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
(๑)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่สำหรับปลัดกระทรวงมหาดไทย
ปลัดกระทรวงการคลัง
(๒)
ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่สำหรับผู้ซึ่งแต่งตั้งจากข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงการคลัง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ข้อ
๕ บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ใช้ได้ห้าปีนับแต่วันออกบัตร
ในกรณีที่บุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่พ้นจากตำแหน่งหรือสังกัดตามที่ระบุไว้ในคำสั่งกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
ให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
และให้ส่งคืนบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่แก่ผู้ออกบัตร
โดยยื่นต่อผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่พ้นจากการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ.
๒๕๕๘
๒. คำขอมีบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๒๙ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๑๔ ง/หน้า ๕/๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ |
741326 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบและระยะเวลาการชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
เรื่อง
กำหนดหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบและระยะเวลาการชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบ
ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๖ (๔) และมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
เรื่อง
กำหนดหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบและระยะเวลาการชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ
๒ ในประกาศนี้
คณะกรรมการเปรียบเทียบ หมายความถึง
คณะกรรมการเปรียบเทียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งตามมาตรา ๔๕
แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
ผู้ต้องหา หมายความว่า
ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้และถูกพนักงานสอบสวนส่งตัวมาเพื่อให้คณะกรรมการเปรียบเทียบทำการเปรียบเทียบ
ผู้ถูกร้องเรียน หมายความว่า
ผู้ที่ถูกร้องเรียนว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้และคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานครพิจารณาแล้วส่งตัวมาเพื่อให้คณะกรรมการเปรียบเทียบทำการเปรียบเทียบ
ข้อ
๓ บรรดาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้ที่เกิดขึ้น
อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครหรือในเขตจังหวัดใด
ให้ทำการเปรียบเทียบและชำระค่าปรับที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลหรือที่ทำการปกครองจังหวัดนั้น
แล้วแต่กรณี
ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลหรือที่ทำการปกครองจังหวัด
จัดหาสถานที่และบุคลากรเพื่อช่วยงานด้านธุรการของคณะกรรมการเปรียบเทียบ
ข้อ
๔ เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้รับเรื่องขอให้พิจารณาเปรียบเทียบจากพนักงานสอบสวนจากคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี ให้พิจารณาเปรียบเทียบให้แล้วเสร็จโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้
ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันก่อนคดีนั้นจะขาดอายุความ
ข้อ
๕ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบ
เปรียบเทียบคดีหรือเรื่องร้องเรียนที่ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียน แล้วแต่กรณี
รับสารภาพและยินยอมให้เปรียบเทียบเท่านั้น
ข้อ
๖ การพิจารณาเปรียบเทียบ
ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบพิจารณาจากเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
สรุปผลการสอบสวนในเบื้องต้นของพนักงานสอบสวนหรือสรุปรายงานการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี
(๒)
บันทึกการจับกุม
(๓)
บันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาหรือผู้ร้องเรียน แล้วแต่กรณี
(๔)
บันทึกคำให้การของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียน แล้วแต่กรณี
(๕)
พยานหลักฐานอื่นใดที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา
ข้อ
๗ ในการเปรียบเทียบ
ให้ทำเป็นบันทึกเปรียบเทียบตามแบบที่กำหนดท้ายประกาศนี้
ข้อ
๘ บันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาหรือผู้ร้องเรียน
บันทึกคำให้การของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียน
และบันทึกการเปรียบเทียบให้ใช้ตามแบบที่กำหนดท้ายประกาศนี้
ข้อ
๙ กรณีเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา
๓๙ มาตรา ๔๐ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
ให้พนักงานสอบสวนหรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี ส่งตัวผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียนพร้อมเอกสารและพยานหลักฐานตามข้อ ๖
ไปให้คณะกรรมการเปรียบเทียบเพื่อทำการเปรียบเทียบ
ข้อ
๑๐ ในการพิจารณาเปรียบเทียบหากคณะกรรมการเปรียบเทียบต้องการพยานหลักฐานเพิ่มเติมคณะกรรมการเปรียบเทียบอาจสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวให้ได้
ข้อ
๑๑ ในการเปรียบเทียบให้กำหนดเงินค่าปรับที่ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียน
แล้วแต่กรณี จะพึงชำระโดยคำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติกรรมที่กระทำผิดและข้อเท็จจริง
ดังต่อไปนี้
(๑)
ความผิดเกิดขึ้นโดยความจงใจหรือเกิดจากความประมาทเลินเล่อ
(๒)
พฤติการณ์แห่งความผิดเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้
กฎกระทรวง ประกาศ หรือคำสั่งอันเป็นสาระสำคัญ
(๓)
ระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น
(๔)
ความถี่ของการกระทำความผิด
(๕)
ประวัติการถูกลงโทษปรับทางปกครอง โทษทางอาญาของผู้กระทำผิด
ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดระยะเวลาให้ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียนนำเงินค่าปรับมาชำระแต่ไม่เกินสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการเปรียบเทียบปรับ
ข้อ
๑๒ เมื่อผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียนชำระเงินค่าปรับภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดแล้ว
ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบออกใบเสร็จรับเงิน
โดยให้ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียนลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญที่ตอนล่างของใบเสร็จรับเงินและที่สำเนาใบเสร็จรับเงินนั้นด้วย
เพื่อแสดงว่าผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียนได้รับทราบและตรวจความถูกต้องแล้ว
พร้อมทั้งส่งมอบใบเสร็จรับเงินต้นฉบับให้แก่ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียนรับไป
การชำระค่าปรับ
จะชำระผ่านผู้ประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้
เมื่อผู้ต้องหาหรือผู้ถูกร้องเรียนได้ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว
ให้ถือว่าคดีนั้นเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ข้อ
๑๓ คดีใดที่คณะกรรมการเปรียบเทียบดำเนินการเปรียบเทียบแล้วไม่เป็นผลหรือพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความผิดที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้หรือเห็นว่าไม่ควรเปรียบเทียบ
ให้ส่งเรื่องไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประธานกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
[เอกสารแนบท้าย]
๑. กรมการปกครอง
บันทึกคำให้การของผู้เสียหาย/ผู้กล่าวหา/ผู้ร้องเรียน (ปท.๐๑)
๒.
กรมการปกครอง บันทึกคำให้การของผู้ต้องหา/ผู้ถูกร้องเรียน (ปท.๐๒)
๓.
กรมการปกครอง บันทึกการเปรียบเทียบ (ปท.๐๓)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
ปริญสินีย์/ตรวจ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๒๒ ง/หน้า ๒๔/๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
741324 | ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่ออำนวยความสะดวกในการร้องเรียนและการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้ | ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเพื่ออำนวยความสะดวกในการร้องเรียนและการรับเรื่องร้องเรียน
เกี่ยวกับการทวงถามหนี้[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๓ วรรคสอง และมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘ คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้ให้เรียกว่า ประกาศคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเพื่ออำนวยความสะดวกในการร้องเรียนและการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้
ข้อ
๒ ในประกาศนี้
ผู้ร้องเรียน หมายความว่า
ลูกหนี้หรือบุคคลอื่นที่ได้รับการปฏิบัติจากผู้ทวงถามหนี้ที่เป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้ที่ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนตามประกาศนี้
เจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องร้องเรียน หมายความว่า
ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับผิดชอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนตามกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้
ข้อ
๓ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้
ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้เป็นผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาด
หมวด ๑
การยื่นเรื่องร้องเรียน
ส่วนที่ ๑
สถานที่รับเรื่องร้องเรียน
ข้อ
๔ การร้องเรียนต่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด
หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี อาจยื่น ณ
สถานที่ ดังต่อไปนี้ได้
(๑)
ที่ทำการปกครองจังหวัด
(๒)
ที่ว่าการอำเภอ
(๓)
สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง
(๔)
กองบัญชาการตำรวจนครบาล
(๕)
สถานีตำรวจ
(๖)
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ส่วนที่ ๒
วิธีการยื่นเรื่องร้องเรียน
ข้อ
๕ ผู้ใดประสงค์จะร้องเรียนให้ยื่นเรื่องร้องเรียนเป็นหนังสือ
หรือร้องเรียนด้วยวาจาตามวิธีการที่กำหนดในประกาศนี้
ข้อ
๖ การร้องเรียนจะกระทำด้วยตนเอง
หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นซึ่งบรรลุนิติภาวะร้องเรียนแทนก็ได้
ในกรณีที่มีการมอบอำนาจให้ร้องเรียนแทน
ให้แนบหนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจมาด้วย
ข้อ
๗ การร้องเรียนเป็นหนังสือให้ลงลายมือชื่อผู้ร้องเรียนและมีสาระสำคัญ
ดังต่อไปนี้
(๑)
วัน เดือน ปี ที่ยื่นเรื่องร้องเรียน
(๒)
ชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องเรียน
(๓)
ชื่อและที่อยู่ของผู้ถูกร้องเรียน
(๔)
รายละเอียดข้อเท็จจริงของเรื่องร้องเรียน พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
(๕)
ความประสงค์ หรือเหตุผลในการร้องเรียน
ข้อ
๘ กรณีร้องเรียนด้วยวาจา
ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องร้องเรียนจัดทำหนังสือร้องเรียนโดยมีรายละเอียดตามที่กำหนดในข้อ
๗ แล้วอ่านให้ผู้ร้องเรียนฟังและให้ผู้ร้องเรียนลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าว
หมวด ๒
การรับเรื่องร้องเรียน
ส่วนที่ ๑
การตรวจเรื่องร้องเรียน
ข้อ
๙ เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องร้องเรียนได้รับหนังสือร้องเรียนที่มีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดในข้อ
๗ แล้ว ให้บันทึกเรื่องร้องเรียนตามแบบ รทน.๑ ท้ายประกาศนี้
และออกใบรับเรื่องร้องเรียนให้แก่ผู้ร้องเรียนไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งบันทึกเรื่องร้องเรียนลงในสารบบการรับเรื่องร้องเรียนตามแบบ
รทน. ๒ ท้ายประกาศนี้
ข้อ
๑๐ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องร้องเรียนเห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
ยังมีข้อบกพร่องเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วนเพียงพอ
ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องร้องเรียนแจ้งให้ผู้ร้องเรียนทราบเพื่อยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมได้
หรือเป็นกรณีขาดรายละเอียดข้อเท็จจริงที่ควรมี
ให้แจ้งผู้ร้องเรียนทราบเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
หรืออาจบันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ผู้ร้องเรียน โดยนำความในข้อ ๘ มาบังคับใช้โดยอนุโลม
ข้อ
๑๑ เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องร้องเรียนได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว
ให้ส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวให้พนักงานเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
ข้อ
๑๒ หากเรื่องร้องเรียนตามข้อ ๑๑
อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี ให้ที่ทำการปกครองจังหวัด หรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วแต่กรณี
ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบนั้น เป็นผู้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป
ส่วนที่ ๒
การส่งเรื่องร้องเรียน
ข้อ
๑๓ ในกรณีที่เรื่องร้องเรียนตามข้อ
๑๑
ไม่อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด
หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเสนอต่อหัวหน้าหน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนเพื่อพิจารณาส่งเรื่องร้องเรียนไปยังคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด
หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานครที่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนนั้นโดยด่วน
และแจ้งให้ผู้ร้องเรียนทราบ
ข้อ
๑๔ ในกรณีกรมการปกครอง ที่ว่าการอำเภอ
สถานีตำรวจ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นสถานที่รับเรื่องร้องเรียน
ให้หน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวรวบรวมข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
แล้วส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังที่ทำการปกครองจังหวัดหรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล
แล้วแต่กรณี ที่มีอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียนนั้น
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประธานกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบบันทึกเรื่องร้องเรียนตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘ (รทน. ๑)
๒. สารบบการรับเรื่องร้องเรียนตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘ (รทน.
๒)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
ปริญสินีย์/ตรวจ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๒๒ ง/หน้า ๒๑/๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
778263 | คำสั่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ที่ 2/2560 เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
| คำสั่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
คำสั่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ที่ ๒/๒๕๖๐
เรื่อง
การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการทวงถามหนี้[๑]
ด้วยในคราวประชุมคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๐
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ดังนั้น
เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๑
แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ดังนี้
๑. องค์ประกอบ
(๑) รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานอนุกรรมการ
หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน
(๒) ผู้แทนปลัดกระทรวงการคลัง อนุกรรมการ
(๓) ผู้แทนปลัดกระทรวงกลาโหม อนุกรรมการ
(๔) ผู้แทนปลัดกระทรวงพาณิชย์ อนุกรรมการ
(๕) ผู้แทนปลัดกระทรวงยุติธรรม อนุกรรมการ
(๖) ผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อนุกรรมการ
(๗) ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อนุกรรมการ
(๘) ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค อนุกรรมการ
(๙) ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อนุกรรมการ
(๑๐) ผู้แทนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อนุกรรมการ
(๑๑) ผู้แทนนายกสภาทนายความ อนุกรรมการ
(๑๒) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร อนุกรรมการ
ซึ่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้แต่งตั้งหรือผู้แทน
(๑๓) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย อนุกรรมการ
ซึ่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้แต่งตั้งหรือผู้แทน
(๑๔) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองผู้บริโภค อนุกรรมการ
ซึ่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้แต่งตั้งหรือผู้แทน
(๑๕) รองอธิบดีกรมการปกครอง อนุกรรมการ
ฝ่ายบริหารงานส่วนภูมิภาค
(๑๖) ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ อนุกรรมการ
กรมการปกครอง และเลขานุการ
(๑๗) ผู้อำนวยการส่วนอำนวยความเป็นธรรม อนุกรรมการและ
สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ผู้ช่วยเลขานุการ
(๑๘) หัวหน้ากลุ่มงานกำกับการทวงถามหนี้ อนุกรรมการและ
ส่วนอำนวยความเป็นธรรม สำนักการสอบสวน ผู้ช่วยเลขานุการ
และนิติการ
กรมการปกครอง
๒.
ให้คณะอนุกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
(๑) กลั่นกรองร่างกฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ
หลักเกณฑ์ หรือการอื่นใดซึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
(๒)
พิจารณาให้ความเห็นปัญหาข้อกฎหมายและตอบข้อหารือ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้
(๓)
จัดทำร่างคำวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองและคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามมาตรา
๓๘
(๔)
เชิญเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม
ชี้แจงให้ข้อมูลหรือส่งเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะอนุกรรมการ
(๕)
ดำเนินการอื่นใดตามที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้มอบหมาย
(๖)
รายงานผลการดำเนินการตาม (๑) (๒) (๓) และ (๕) ให้คณะกรรมการกำกับ
การทวงถามหนี้ทราบหรือพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๐
เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประธานกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ปุณิกา/ภวรรณตรี/จัดทำ
๗ มิถุนายน
๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๑ กันยายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๔๑ ง/หน้า ๑๔๘/๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ |
775809 | คำสั่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ที่ 1/2560 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของผู้ให้สินเชื่อซึ่งเป็นนิติบุคคล
| คำสั่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
คำสั่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ที่ ๑/๒๕๖๐
เรื่อง
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของผู้ให้สินเชื่อซึ่งเป็นนิติบุคคล[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๖ (๑) มาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
และมติคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๗
พฤศจิกายน ๒๕๕๘
จึงให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของผู้ให้สินเชื่อซึ่งเป็นนิติบุคคล
โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
๑.
องค์ประกอบ
(๑) ผู้อำนวยการสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงิน ประธานอนุกรรมการ
ภาคประชาชน
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง
(๒) ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย อนุกรรมการ
(๓) ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด อนุกรรมการ
(๔) ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อนุกรรมการ
(๕) ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย อนุกรรมการ
(๖) ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย อนุกรรมการ
(๗) ผู้อำนวยการส่วนอำนวยการปฏิบัติการ อนุกรรมการ
แก้ไขปัญหาหนี้สิน
ภาคประชาชน และเลขานุการ
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงิน
ภาคประชาชน
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง
(๘) ผู้แทนสำนักกฎหมาย
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ช่วยเลขานุการ
กระทรวงการคลัง
ที่ผู้อำนวยการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังมอบหมาย
จำนวน ๑ คน
(๙)
ผู้แทนสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน ผู้ช่วยเลขานุการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง
ที่ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมอบหมาย
จำนวน
๑ คน
๒.
ให้คณะอนุกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
(๑)
พิจารณา
หรือปฏิบัติการเกี่ยวกับการกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของผู้ให้สินเชื่อซึ่งเป็นนิติบุคคล
(๒)
ติดตาม ตรวจสอบ กำกับดูแล ผู้ให้สินเชื่อซึ่งเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
ให้ปฏิบัติการทวงถามหนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
(๓)
พิจารณา ศึกษา วิเคราะห์ เสนอแนะนโยบาย มาตรการ การออกประกาศ
หรือแนวทางปฏิบัติต่อคณะกรรมการ
(๔)
รายงานผลการดำเนินงาน ปัญหา หรืออุปสรรคต่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
(๕)
ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้มอบหมาย
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๙
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประธานกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ภวรรณตรี/จัดทำ
๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐
วริญา/ตรวจ
๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๓๑ ง/หน้า ๒๙๗/๒๗ เมษายน ๒๕๖๐ |
745901 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1083/2558 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
ที่ ๑๐๘๓/๒๕๕๘
เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงแต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังต่อไปนี้
๑.
คณะกรรมการเปรียบเทียบกรุงเทพมหานคร
ประกอบด้วย
(๑)
อธิบดีกรมการปกครอง หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมการปกครองมอบหมาย
(๒)
พนักงานสอบสวนที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมาย
(๓)
พนักงานอัยการที่อัยการสูงสุดมอบหมาย
๒.
คณะกรรมการเปรียบเทียบจังหวัด
ประกอบด้วย
(๑)
ปลัดจังหวัด หรือผู้ซึ่งปลัดจังหวัดมอบหมาย
(๒)
พนักงานสอบสวนที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมอบหมาย
(๓)
พนักงานอัยการที่อัยการจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำการอัยการจังหวัดมอบหมาย
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๒๙ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๑๔ ง/หน้า ๑๕๖/๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ |
745899 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1082/2558 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
ที่ ๑๐๘๒/๒๕๕๘
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
โดยคำแนะนำของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘
เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ออกคำสั่งแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งต่อไปนี้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘
(๑)
กระทรวงมหาดไทย
(ก)
ราชการบริหารส่วนกลาง
๑)
ปลัดกระทรวงมหาดไทย
๒)
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย
๓)
ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
๔)
ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
๕)
ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย
๖)
อธิบดีกรมการปกครอง
๗)
รองอธิบดีกรมการปกครอง
๘)
ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง
๙)
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย กรมการปกครอง
๑๐)
ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการกอง และผู้อำนวยการส่วน กรมการปกครอง
๑๑)
หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าฝ่าย หัวหน้างาน เจ้าพนักงานปกครอง นิติกร กรมการปกครอง
(ข)
ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
๑)
ผู้ว่าราชการจังหวัด
๒)
รองผู้ว่าราชการจังหวัด
๓)
ปลัดจังหวัด
๔)
นายอำเภอ
๕)
ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ
๖)
จ่าจังหวัด
๗)
ป้องกันจังหวัด
๘)
เจ้าพนักงานปกครอง นิติกร ที่ทำการปกครองจังหวัด
๙)
ปลัดอำเภอ
๑๐)
กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
(๒)
กระทรวงการคลัง
(ก)
สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
๑)
ปลัดกระทรวงการคลัง
๒)
รองปลัดกระทรวงการคลัง
๓)
ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง
๔)
ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรผู้ทรงคุณวุฒิ)
๕)
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
๖)
นิติกรชำนาญการพิเศษ
(ข)
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
๑)
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
๒)
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง
๓)
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน
๔)
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
๕)
รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
๖)
ผู้อำนวยการสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
๗)
ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย
๘)
ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับมอบหมายดูแลเกี่ยวกับการกำกับการทวงถามหนี้
๙)
ข้าราชการในตำแหน่งเศรษฐกรและนิติกรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการกำกับการทวงถามหนี้
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
(๓)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
(ก)
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
กำกับการบริหารราชการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
(ข)
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
๑)
ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
๒)
รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
๓)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
๔)
ผู้บังคับการปราบปราม
๕)
รองผู้บังคับการปราบปราม
๖)
ผู้กำกับการ ๑ ถึง ๖ และผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม
๗)
รองผู้กำกับการ ๑ ถึง ๖ และรองผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม
๘)
สารวัตรกองกำกับการ ๑ ถึง ๖ และสารวัตร กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ
กองบังคับการปราบปราม
๙)
รองสารวัตรกองกำกับการ ๑ ถึง ๖ และรองสารวัตร กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ
กองบังคับการปราบปราม
๑๐)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ ถึงพนักงานสอบสวนกลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม
๑๑)
พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ ถึงพนักงานสอบสวนกองกำกับการ ๑ ถึง ๖
กองบังคับการปราบปราม
๑๒)
ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๑๓)
รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๑๔)
ผู้กำกับการ ๕ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๑๕)
รองผู้กำกับการ ๕
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๑๖)
สารวัตรกองกำกับการ ๕ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๑๗)
รองสารวัตรกองกำกับการ ๕
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๑๘)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ ถึงพนักงานสอบสวนกลุ่มงานสอบสวน
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๑๙)
พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ ถึงพนักงานสอบสวนกองกำกับการ ๕
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
๒๐)
ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
๒๑)
รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
๒๒)
ผู้กำกับการ ๑ ถึง ๒
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
๒๓)
รองผู้กำกับการ ๑ ถึง ๒
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
๒๔)
สารวัตรกองกำกับการ ๑ ถึง ๒ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
๒๕)
รองสารวัตรกองกำกับการ ๑ ถึง ๒ กองบังคับการปราบปราม
การกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
๒๖)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ ถึงพนักงานสอบสวนกลุ่มงานสอบสวน
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
๒๗)
พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ ถึงพนักงานสอบสวนกองกำกับการ ๑ ถึง ๒
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
(ค)
กองบัญชาการตำรวจนครบาล
๑)
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
๒)
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
๓)
ผู้บังคับการตำรวจนครบาล ๑ ถึง ๙
๔)
ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล
๕)
ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ
๖)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
๗)
รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล ๑ ถึง ๙
๘)
รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล
๙)
รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
๑๐)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ
๑๑)
ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุกสถานี
๑๒)
ผู้กำกับการ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีความรับผิดชอบ
ในงานด้านป้องกันปราบปราม งานด้านสืบสวน และพนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ
๑๓)
รองผู้กำกับการ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีความรับผิดชอบ
ในงานด้านป้องกันปราบปราม งานด้านสืบสวน และพนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ
๑๔)
สารวัตร ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีความรับผิดชอบ
ในงานด้านป้องกันปราบปราม งานด้านสืบสวน และพนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ
๑๕)
รองสารวัตร ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีความรับผิดชอบ
ในงานด้านป้องกันปราบปราม งานด้านสืบสวน และพนักงานสอบสวน
(ง)
ตำรวจภูธรภาค ๑ ถึง ๙ และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้
๑)
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๑ ถึง ๙ และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้
๒)
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๑ ถึง ๙ และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้
๓)
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด
๔)
ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน
๕)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
๖)
รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด
๗)
รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน
๘)
พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ
๙)
ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรทุกสถานี
๑๐)
ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด
๑๑)
ผู้กำกับการ ในกองบังคับการสืบสวนสอบสวน
ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวนหรือป้องกันปราบปราม
๑๒)
พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ
๑๓)
รองผู้กำกับการ ในสถานีตำรวจภูธรทุกสถานี
ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวนหรือป้องกันปราบปราม
๑๔)
รองผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด
๑๕)
รองผู้กำกับการ ในกองบังคับการสืบสวนสอบสวน
ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวนหรือป้องกันปราบปราม
๑๖)
พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ
๑๗)
สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรทุกสถานี
๑๘)
สารวัตรสถานีตำรวจภูธรทุกสถานี
๑๙)
สารวัตร ในสถานีตำรวจภูธรทุกสถานี ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวน
หรือป้องกันปราบปราม
๒๐)
สารวัตรสืบสวนกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด
๒๑)
สารวัตร ในกองบังคับการสืบสวนสอบสวน
ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวนหรือป้องกันปราบปราม
๒๒)
พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ
๒๓)
รองสารวัตร ในสถานีตำรวจภูธรทุกสถานี
ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวนหรือป้องกันปราบปราม
๒๔)
รองสารวัตร ในกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสืบสวนหรือป้องกันปราบปราม
๒๕)
รองสารวัตรสืบสวนกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด
๒๖)
พนักงานสอบสวน
ข้อ
๒ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามข้อ ๑
มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
และระเบียบที่เกี่ยวข้องภายในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ
ข้อ
๓ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามข้อ ๑
ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
อย่างระมัดระวังและเท่าที่จำเป็นตามพฤติการณ์แห่งกรณี
โดยไม่ละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๒๙ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๑๔ ง/หน้า ๑๔๙/๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ |
745897 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1081/2558 เรื่อง แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 | คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
คำสั่งกระทรวงมหาดไทย
ที่ ๑๐๘๑/๒๕๕๘
เรื่อง
แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่ง
ดังต่อไปนี้เป็นนายทะเบียน
๑.
ผู้ว่าราชการจังหวัด ในเขตจังหวัด
๒.
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ในเขตกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๒๙ กุมภาพันธ์
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๑๔ ง/หน้า ๑๔๘/๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ |
749821 | ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ พ.ศ. 2559 | ข้อบังคับสภาทนายความ
ข้อบังคับสภาทนายความ
ว่าด้วยการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๙[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบกฎกระทรวงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒ ข้อ ๓ (๒) คณะกรรมการสภาทนายความออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ทนายความ
หรือสำนักงานทนายความใดจะประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนตามแบบ ทคน.
๑ ท้ายข้อบังคับนี้ต่อนายทะเบียนสภาทนายความ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(๑)
ทนายความ
(ก)
สำเนาบัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความ หรือสำเนาใบอนุญาตให้เป็นทนายความ
(ข)
สำเนาทะเบียนบ้าน
(ค)
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนสำนักงานทนายความ
(ง)
แผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่ตั้งของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(จ)
หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
หรือหนังสือแสดงความยินยอมให้ใช้เป็นสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ในกรณีที่สถานที่นั้นเป็นของผู้อื่น
(ฉ)
รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก สวมครุยเนติบัณฑิตยสภา ขนาด ๔x๖ เซนติเมตร
ของผู้ขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือนจำนวน ๒
รูป
(ช)
เอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่คณะกรรมการสภาทนายความกำหนด
(๒)
สำนักงานทนายความที่ได้จดทะเบียนสำนักงานไว้กับสภาทนายความที่เป็นคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ
หรือนิติบุคคล
(ก)
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนสำนักงานทนายความ
สำเนาหนังสือรับรองหรือหลักฐานซึ่งแสดงรายการเกี่ยวกับชื่อ วัตถุประสงค์ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
ที่ตั้งสำนักงานและกรรมการที่เป็นทนายความผู้มีอำนาจลงนามผูกพันคณะบุคคล
หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคลโดยทำขึ้นไว้ไม่เกินสามเดือน
(ข)
หนังสือแต่งตั้งผู้แทนคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล
ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนต้องเป็นทนายความลงนามผูกพันคณะบุคคล
หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล
(ค)
สำเนาบัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความ
หรือสำเนาใบอนุญาตให้เป็นทนายความของผู้แทนคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ
หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคล
(ง)
สำเนาทะเบียนบ้านของผู้แทนคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล
(จ)
แผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่ตั้งสำนักงานทนายความที่ใช้เป็นสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(ฉ)
หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของอาคาร
หรือสถานที่สำนักงานทนายความที่ใช้เป็นสถานประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
หรือหนังสือแสดงความยินยอมให้ใช้อาคารหรือสถานที่
ในกรณีที่อาคารหรือสถานที่นั้นเป็นของผู้อื่น
(ช)
รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก สวมครุยเนติบัณฑิตยสภา ขนาด ๔ x ๖
เซนติเมตร ของผู้แทนคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ
หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคลที่ขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน
จำนวน ๒ รูป
ข้อ
๒ การยื่นคำขอจดทะเบียนของทนายความ
หรือสำนักงานทนายความ คณะบุคคลห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคล
ในการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ให้ยื่นคำขอ ดังนี้
(ก)
ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนสภาทนายความ ณ สำนักงานทะเบียนทนายความ
สภาทนายความ
(ข)
ในเขตศาลจังหวัดอื่น ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนสภาทนายความ ตาม (ก) หรือจะยื่นผ่านประธานสภาทนายความจังหวัดในเขตที่ทนายความ
หรือสำนักงานทนายความนั้นตั้งอยู่ก็ได้โดยให้ประธานสภาทนายความจังหวัดรับไว้และส่งต่อให้นายทะเบียนสภาทนายความโดยไม่ชักช้า
(ค)
ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ที่เป็นทนายความ
หรือสำนักงานทนายความสามารถยื่นคำขอต่อนายทะเบียนสภาทนายความ
โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
ข้อ
๓ เมื่อนายทะเบียนสภาทนายความ
ได้รับคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้พร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑
แล้ว ให้ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของคำขอ
หากคำขอดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้นายทะเบียนสภาทนายความ
แจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนทราบภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันยื่นคำขอ
พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไข หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว
ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนไม่ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง ให้นายทะเบียนสภาทนายความ
คืนคำขอแก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียน
ในกรณีนายทะเบียนสภาทนายความเห็นว่าเอกสารและหลักฐานในการขอจดทะเบียนถูกต้องและครบถ้วน
ให้รับจดทะเบียนและออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามแบบ
ทคน. ๒ ท้ายข้อบังคับนี้ ให้แก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ
๔ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนของทนายความ
หรือสำนักงานทนายความเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ ให้ทนายความ
หรือสำนักงานทนายความที่ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนต่อนายทะเบียนสภาทนายความภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงตามแบบ
ทคน. ๑/๑ ท้ายข้อบังคับนี้
เมื่อนายทะเบียนสภาทนายความ
ได้รับคำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนพร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานตามวรรคหนึ่งแล้ว
หากเห็นว่ารายการที่แสดงในคำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียน พร้อมทั้งเอกสารและหลักฐานถูกต้องและครบถ้วน
ให้ออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่ทนายความ หรือสำนักงานทนายความ
ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้เป็นหลักฐานฉบับใหม่ตามแบบ ทคน. ๒ ท้ายข้อบังคับนี้
ข้อ
๕ ในกรณีที่หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้สูญหายถูกทำลาย
หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ทนายความ หรือสำนักงานทนายความ ยื่นคำขอจดทะเบียนตามแบบ
ทคน. ๑/๒
ท้ายข้อบังคับนี้ต่อนายทะเบียนสภาทนายความภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบถึงการสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดดังกล่าว โดยให้นายทะเบียนสภาทนายความ
ออกใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่ทนายความ หรือสำนักงานทนายความ
ไว้เป็นหลักฐาน
ใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามวรรคหนึ่งให้ใช้แบบ
ทคน. ๒ โดยมีคำว่า ใบแทน กำกับไว้ที่ด้านบน
ข้อ
๖ ในกรณีทนายความ
หรือสำนักงานทนายความประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ให้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือให้นายทะเบียนสภาทนายความทราบภายในเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันที่จะเลิกประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
และให้นายทะเบียนสภาทนายความ จำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๔
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
เดชอุดม ไกรฤทธิ์
นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(แบบ ทคน. ๑)
๒.
คำขอเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียน (แบบ ทคน. ๑/๑)
๓.
คำขอรับใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ (แบบ ทคน. ๑/๒)
๔. หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(แบบ ทคน. ๒)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วิศนี/ปริยานุช/จัดทำ
๒๙ เมษายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๙๓ ง/หน้า ๓๘/๒๒ เมษายน ๒๕๕๙ |
741328 | ข้อบังคับคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดและคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2558 | ข้อบังคับคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ข้อบังคับคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนของ
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดและคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ประจำกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๖ (๒) และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ออกข้อบังคับว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัดและคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๘
ข้อ
๒ ในข้อบังคับนี้
ผู้ถูกร้องเรียน หมายความว่า
ผู้ที่ถูกร้องเรียนว่ากระทำการทวงถามหนี้ที่เป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ หมายความถึง
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด
หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี
ข้อ
๓ ให้ประธานกรรมการกำกับการทวงถามหนี้รักษาการตามข้อบังคับนี้
และให้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
หมวด ๑
บททั่วไป
ข้อ
๔ การเสนอเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่สำหรับกรุงเทพมหานครให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้เสนอเรื่อง
ในจังหวัดอื่นให้ที่ทำการปกครองจังหวัดเป็นผู้เสนอเรื่อง โดยให้ดำเนินการรวบรวมตรวจสอบเอกสารหลักฐานสรุปเรื่องแล้วทำความเห็นเสนอคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่เพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ข้อ
๕ ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่อาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่มอบหมายก็ได้
ข้อ
๖ ให้เลขานุการมีหน้าที่ดำเนินการตามข้อบังคับนี้หรือตามที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่มอบหมาย
ตลอดจนดำเนินงานด้านธุรการของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
เลขานุการจะมอบหมายให้ผู้ช่วยเลขานุการดำเนินการแทนก็ได้
หมวด ๒
การพิจารณาเรื่องร้องเรียน
ส่วนที่ ๑
การพิจารณาเบื้องต้น
ข้อ
๗ ให้เลขานุการมีหน้าที่รวบรวมความเห็น
คำร้อง คำชี้แจงและเอกสารทั้งปวงที่จำเป็นต่อการพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่แล้วทำบันทึกสรุปข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพร้อมทั้งเสนอความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพิจารณาวินิจฉัยต่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่
ข้อ
๘ เมื่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่เห็นว่าข้อร้องเรียนมีมูลให้มีมติรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณา
แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไม่ควรรับไว้พิจารณาให้มีมติไม่รับเรื่องร้องเรียนนั้น
พร้อมทั้งแจ้งเหตุผลให้ผู้ร้องเรียนทราบโดยไม่ชักช้าหากคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่พิจารณาเห็นว่าเรื่องร้องเรียนนั้นเกี่ยวกับความผิดที่มีโทษทางปกครองให้พิจารณาดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในส่วนที่
๒ และหากมีโทษทางอาญาให้พิจารณาดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในส่วนที่ ๓
ส่วนที่ ๒
เรื่องร้องเรียนที่มีโทษทางปกครอง
ข้อ
๙ กรณีที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่พิจารณาเห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเป็นความผิดที่มีโทษทางปกครอง
ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่แจ้งข้อร้องเรียนให้ผู้ถูกร้องเรียนทราบ
เพื่อให้ผู้ถูกร้องเรียนยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นหนังสือพร้อมทั้งพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่กำหนด
การพิจารณาของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
การพิจารณาต้องเปิดโอกาสให้คู่กรณีได้ชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานเป็นหนังสือ
ได้ตามสมควรแก่กรณี ทั้งนี้
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่อาจเรียกคู่กรณีมาชี้แจงด้วยวาจาประกอบหนังสือชี้แจงดังกล่าวได้
ข้อ
๑๐ ในกรณีที่ผู้ถูกร้องเรียนมิได้จัดทำคำชี้แจงพร้อมทั้งพยานหลักฐานยื่นต่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
ข้อ
๑๑ ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตามความเหมาะสมในเรื่องนั้น
ๆ โดยไม่ต้องผูกพันอยู่กับคำขอหรือพยานหลักฐานของคู่กรณี
ข้อ
๑๒ ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่พิจารณาจากพยานหลักฐานที่เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่การพิสูจน์ข้อเท็จจริง
โดยมีอำนาจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑)
แสวงหาพยานหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
(๒)
รับฟังพยานหลักฐาน คำชี้แจง หรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
เว้นแต่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่จำเป็นฟุ่มเฟือยหรือเพื่อประวิงเวลา
(๓)
ขอให้ผู้ครอบครองเอกสารส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(๔)
ออกไปตรวจสถานที่หรือมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดออกไปตรวจสถานที่
ข้อ
๑๓ ถ้าผู้ร้องเรียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ให้มาให้ถ้อยคำหรือแสดงพยานหลักฐานแล้ว
ไม่ดำเนินการตามที่แจ้งนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่จะมีมติให้จำหน่ายเรื่องร้องเรียนนั้นเสียก็ได้เว้นแต่มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องเรียนนั้นมีความผิด
ข้อ
๑๔ ในกรณีดังต่อไปนี้
คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่จะสั่งให้จำหน่ายเรื่องร้องเรียนเสียก็ได้
(๑)
เมื่อผู้ร้องเรียนขอถอนเรื่องร้องเรียน
(๒)
การเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่พิจารณามิได้เป็นไปตามขั้นตอนในข้อบังคับนี้
(๓)
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่เห็นว่าการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป
ข้อ
๑๕ การแจ้งข้อร้องเรียน
กำหนดวันนัดพิจารณา คำสั่งลงโทษปรับทางปกครองหรือการแจ้งอย่างอื่นตามข้อบังคับนี้ให้ทำเป็นหนังสือ
ส่วนที่ ๓
เรื่องร้องเรียนที่มีโทษทางอาญา
ข้อ
๑๖ ในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนที่มีโทษทางอาญา
ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่นำหลักเกณฑ์ ในส่วนที่ ๒
ว่าด้วยการพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่มีโทษทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๑๗ เมื่อคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่พิจารณาเห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญาและผู้ถูกร้องเรียนไม่ควรได้รับโทษถึงจำคุกและเป็นความผิดที่สามารถเปรียบเทียบได้ตามที่กฎหมายกำหนด
ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ส่งเรื่องร้องเรียนนั้นไปยังคณะกรรมการเปรียบเทียบตามมาตรา
๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อพิจารณาเปรียบเทียบต่อไป
หากเป็นกรณีความผิดที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ตามที่กฎหมายกำหนด
ให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินคดี
หมวด ๓
การกำหนดค่าปรับทางปกครอง
ข้อ
๑๘ ในการกำหนดค่าปรับทางปกครองคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำท้องที่ต้องคำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติกรรมที่กระทำผิดและคำนึงถึงข้อเท็จจริง
ดังต่อไปนี้ ประกอบด้วย
(๑)
ความผิดเกิดขึ้นโดยความจงใจหรือเกิดจากความประมาทเลินเล่อ
(๒)
พฤติการณ์แห่งความผิดเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ กฎกระทรวง
ประกาศหรือคำสั่งอันเป็นสาระสำคัญ
(๓)
ระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น
(๔)
ความถี่ของการกระทำความผิด
(๕)
ประวัติการถูกลงโทษปรับทางปกครอง โทษทางอาญา ของผู้กระทำผิด
ข้อ
๑๙ ในการพิจารณาวินิจฉัย
การทำคำวินิจฉัย การอุทธรณ์
และการขอพิจารณาใหม่เกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนที่มีโทษทางปกครอง
หากข้อบังคับนี้หรือกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้มิได้กำหนดไว้
ให้นำกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประธานกรรมการกำกับการทวงถามหนี้
ปริยานุช/จัดทำ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
ปริญสินีย์/ตรวจ
๒๔ ธันวาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๓๒๒ ง/หน้า ๒๗/๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ |
315610 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รังสิต กรมพระชัยนาทนเรนทร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๘๑
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๘๓
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ใบสำคัญประจำตัว หมายความว่า
หนังสือประจำตัวของคนต่างด้าว ซึ่งนายทะเบียนได้ออกให้ตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
เจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
เจ้าบ้าน
หมายความถึงบุคคลซึ่งครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า
หรือในฐานะอย่างอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่เจ้าบ้านไม่อยู่ควบคุมบ้านเอง
แต่ได้มอบหมายให้บุคคลใดควบคุมอยู่
ในระหว่างที่ควบคุมอยู่นั้นให้ถือว่าผู้ควบคุมเท่านั้นเป็นเจ้าบ้าน
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
คนต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่สิบสองปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่อยู่ในราชอาณาจักร
ต้องมีใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๖
การขอใบสำคัญประจำตัวให้ทำเป็นเรื่องราวพร้อมด้วยรูปถ่ายสามรูปยื่นต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นมีภูมิลำเนา
ตามแบบพิมพ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗
คนต่างด้าวที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองแล้ว
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือวันที่รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมือง แล้วแต่กรณี
เฉพาะในกรณีหลังให้แจ้งด้วยว่าได้นำคนต่างด้าวอายุต่ำกว่าสิบสองปีมาด้วยกี่คน
ถ้ามี เพื่อนายทะเบียนจะได้จดลงไว้ในใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๘
คนสัญชาติไทยผู้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยเหตุใด
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวจากนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนอยู่ภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย
มาตรา ๙
เมื่อนายทะเบียนได้ตรวจเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัวเห็นเป็นการถูกต้องแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้
ใบสำคัญประจำตัวให้มีลักษณะ
ขนาด และรายการตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งอย่างน้อยให้มีรายการแสดงชื่อ
วันเดือนปีเกิด อาชีพ สัญชาติ และที่อยู่ พร้อมด้วยรูปถ่ายของคนต่างด้าวนั้น
และลงลายมือชื่อนายทะเบียนไว้ด้วย
มาตรา ๑๐
ใบสำคัญประจำตัวนั้น ให้มีกำหนดอายุดังนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง หนึ่งปี
๒.
ชนิดที่สอง ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ ในการขอใบสำคัญประจำตัว
ผู้ขอจะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดก็ได้
มาตรา ๑๑[๒] ในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินปีละสี่ร้อยบาท
ในการออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหาย
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินสองร้อยบาท
มาตรา ๑๒[๓] คนต่างด้าวคนใดย้ายภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
ให้นำใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เดิม
เพื่อจดข้อความลงไว้ในใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของผู้นั้นก่อนที่จะย้ายไป
และให้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่เข้าไปอยู่ใหม่ภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่วันไปถึง
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าสามสิบวันนับแต่วันแจ้งย้ายไป
ในกรณีที่คนต่างด้าวออกนอกเขตจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ไปชั่วคราวเกินเจ็ดวัน
ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนเข้าไปอยู่ชั่วคราวภายในสี่สิบแปดชั่วโมง
นับแต่วันที่ไปถึง การแจ้งในกรณีนี้จะไปแจ้งด้วยตนเองหรือแจ้งเป็นหนังสือตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงก็ได้
ในกรณีที่คนต่างด้าวตาย
ให้เจ้าบ้านแห่งบ้านที่คนต่างด้าวนั้นตายแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นตาย
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย
มาตรา ๑๓
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ใดหมดอายุหรือชำรุดในส่วนสำคัญหรือสูญหาย
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หมดอายุหรือทราบว่าชำรุดหรือสูญหาย
เพื่อขอต่ออายุหรือขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวใหม่ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๔
ผู้มีใบสำคัญประจำตัว ถ้าได้มีการเปลี่ยนแปลงสัญชาติ หรือเปลี่ยนอาชีพ
ชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล
ให้นำใบสำคัญประจำตัวแจ้งต่อนายทะเบียนที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้น แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๕
ผู้ใดเป็นผู้อนุบาลคนต่างด้าวซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามความในพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวนั้น
มาตรา ๑๖
พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่คนต่างด้าว ดังต่อไปนี้
๑.
ผู้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างในรัฐบาลไทย
โดยมีหนังสือสัญญาต่อกันตลอดเวลาที่หนังสือสัญญานั้นมีผลบังคับ
๒.
ผู้ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศได้แจ้งแก่รัฐบาลว่า เข้ามาในราชการ
และครอบครัวของบุคคลที่กล่าวนี้ ตลอดเวลาที่ผู้นั้นอยู่เพื่อปฏิบัติราชการ
๓.
ผู้ถือเอกสารเดินทางซึ่งออกให้โดยองค์การสหประชาชาติและเอกสารนั้นยังสมบูรณ์อยู่
๔.
บุคคลที่ไม่นับเป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
คนต่างด้าวซึ่งได้รับความยกเว้นดังกล่าวข้างต้น
ถ้าประสงค์จะขอรับใบสำคัญประจำตัว ก็ให้ส่งรูปถ่ายของตนต่อนายทะเบียน
และให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้ ในกรณีเช่นว่านี้คนต่างด้าวนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและไม่จำต้องปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่ว่าด้วยใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๑๗
คนต่างด้าวซึ่งต้องมีใบสำคัญประจำตัว
ต้องมีใบสำคัญประจำตัวติดตัวหรือเก็บไว้ในลักษณะซึ่งจะแสดงต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้เสมอในเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเรียกร้องให้แสดง
มาตรา ๑๘
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ต้องเนรเทศออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
หรือของผู้ที่ต้องถูกส่งกลับตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หรือของผู้ออกไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ออกไปชั่วคราวโดยได้รับอนุญาตให้กลับนั้น
ให้เป็นอันเพิกถอนและให้คนต่างด้าวนั้นส่งใบสำคัญประจำตัวคืนนายทะเบียน
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่ตาย
ให้ผู้ครอบครองหรือผู้พบส่งคืนนายทะเบียน
มาตรา ๑๙
ในเขตหรือกรณีใด
ซึ่งรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ก็ให้รัฐมนตรีมีอำนาจที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีพิเศษเฉพาะรายบุคคล
รัฐมนตรีจะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
ตามแต่จะเห็นสมควร
มาตรา ๒๐[๔] ผู้ใดไม่มีใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา
๕ หรือไม่ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่หมดอายุแล้วตามความในมาตรา ๑๓
หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๗ มีความผิดต้องระวางโทษปรับเป็นรายปี
ปีละไม่เกินห้าร้อยบาทตลอดเวลาที่ไม่ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว
เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี
มาตรา ๒๑[๕] ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๒๒[๖]
ผู้ใดละเลยไม่ขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวที่ชำรุดหรือสูญหายตามความในมาตรา ๑๓
หรือไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๑๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๒๓
ผู้ใดมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวตามความในมาตรา
๑๕ และผู้นั้นละเลยไม่ปฏิบัติ มีความผิดต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐
หรือมาตรา ๒๒ แล้วแต่กรณี
ผู้ไร้ความสามารถหรือผู้เยาว์ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ไม่ต้องรับอาญาในความผิดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
เฉพาะในกรณีที่มีผู้อนุบาลหรือผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
มาตรา ๒๔
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่มีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุของใบสำคัญประจำตัวนั้น
มาตรา ๒๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕[๗]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๗
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวซึ่งมีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุใบสำคัญประจำตัวนั้น
เว้นแต่ผู้ใดถือใบสำคัญประจำตัวชนิดที่ ๒ ตามความในมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ผู้นั้นต้องนำเงินค่าธรรมเนียมไปชำระเพิ่มเติมให้ครบจำนวนสำหรับระยะปีต่อไปที่ยังเหลืออยู่ภายหลังวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
และให้นำความในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
มาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวนี้
มาตรา ๘
ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หากกำหนดโทษปรับอย่างเดียว
ให้อธิบดีกรมตำรวจหรือผู้แทนมีอำนาจสั่งเปรียบเทียบได้
มาตรา ๙
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๗[๘]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่คนต่างด้าวไม่สนใจในเรื่องแจ้งย้ายต่อนายทะเบียนคนต่างด้าวตามที่กฎหมายได้ระบุไว้
เป็นเหตุให้การควบคุมไม่รัดกุมและได้ผลเพียงพอตามความมุ่งหมายของทางราชการ
ในระยะเวลาที่กฎหมายเดิมได้บัญญัติไว้ให้แจ้งย้ายภายในกำหนด ๗ วันนั้น
เห็นว่าเป็นระยะห่างเกินไปกว่าที่จะติดตามตัวได้ทันท่วงทีเมื่อจำเป็น
จึงให้กำหนดแจ้งย้ายหรือแจ้งให้ทราบภายในกำหนด ๔๘ ชั่วโมง
นับแต่วันที่ไปถึงท้องที่ใหม่
วศิน/แก้ไข
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๒/หน้า ๙๘๔/๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๓
[๒] มาตรา ๑๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๓] มาตรา ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๔๙๗
[๔] มาตรา ๒๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๕] มาตรา ๒๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๖] มาตรา ๒๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๗] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๗/หน้า ๖๑/๒๙ มกราคม ๒๔๙๕
[๘] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๑/ตอนที่ ๖๔/หน้า ๑๔๙๖/๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ |
301542 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2497 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๔๙๗
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๔๙๗
เป็นปีที่ ๙
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๗
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๒
คนต่างด้าวคนใดย้ายภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ ให้นำใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เดิม
เพื่อจดข้อความลงไว้ในใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของผู้นั้นก่อนที่จะย้ายไป
และให้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่เข้าไปอยู่ใหม่ภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่วันไปถึง
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าสามสิบวันนับแต่วันแจ้งย้ายไป
ในกรณีที่คนต่างด้าวออกนอกเขตจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ไปชั่วคราวเกินเจ็ดวัน
ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนเข้าไปอยู่ชั่วคราวภายในสี่สิบแปดชั่วโมง
นับแต่วันที่ไปถึง การแจ้งในกรณีนี้จะไปแจ้งด้วยตนเองหรือแจ้งเป็นหนังสือตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงก็ได้
ในกรณีที่คนต่างด้าวตาย
ให้เจ้าบ้านแห่งบ้านที่คนต่างด้าวนั้นตายแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นตาย
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
คือ
โดยที่คนต่างด้าวไม่สนใจในเรื่องแจ้งย้ายต่อนายทะเบียนคนต่างด้าวตามที่กฎหมายได้ระบุไว้
เป็นเหตุให้การควบคุมไม่รัดกุมและได้ผลเพียงพอตามความมุ่งหมายของทางราชการ
ในระยะเวลาที่กฎหมายเดิมได้บัญญัติไว้ให้แจ้งย้ายภายในกำหนด ๗ วันนั้น
เห็นว่าเป็นระยะห่างเกินไปกว่าที่จะติดตามตัวได้ทันท่วงทีเมื่อจำเป็น
จึงให้กำหนดแจ้งย้ายหรือแจ้งให้ทราบภายในกำหนด ๔๘ ชั่วโมง
นับแต่วันที่ไปถึงท้องที่ใหม่
วันทิตา/แก้ไข
วศิน/ตรวจ
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๑/ตอนที่ ๖๔/หน้า ๑๔๙๖/๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ |
313528 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 (Update ณ วันที่ 29/01/2495) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รังสิต กรมพระชัยนาทนเรนทร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๘๑
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๘๓
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ใบสำคัญประจำตัว หมายความว่า
หนังสือประจำตัวของคนต่างด้าว ซึ่งนายทะเบียนได้ออกให้ตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
เจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
เจ้าบ้าน
หมายความถึงบุคคลซึ่งครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า
หรือในฐานะอย่างอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่เจ้าบ้านไม่อยู่ควบคุมบ้านเอง
แต่ได้มอบหมายให้บุคคลใดควบคุมอยู่
ในระหว่างที่ควบคุมอยู่นั้นให้ถือว่าผู้ควบคุมเท่านั้นเป็นเจ้าบ้าน
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
คนต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่สิบสองปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่อยู่ในราชอาณาจักร
ต้องมีใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๖
การขอใบสำคัญประจำตัวให้ทำเป็นเรื่องราวพร้อมด้วยรูปถ่ายสามรูปยื่นต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นมีภูมิลำเนา
ตามแบบพิมพ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗
คนต่างด้าวที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองแล้ว
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือวันที่รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมือง แล้วแต่กรณี
เฉพาะในกรณีหลังให้แจ้งด้วยว่าได้นำคนต่างด้าวอายุต่ำกว่าสิบสองปีมาด้วยกี่คน
ถ้ามี เพื่อนายทะเบียนจะได้จดลงไว้ในใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๘
คนสัญชาติไทยผู้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยเหตุใด
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวจากนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนอยู่ภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย
มาตรา ๙
เมื่อนายทะเบียนได้ตรวจเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัวเห็นเป็นการถูกต้องแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้
ใบสำคัญประจำตัวให้มีลักษณะ
ขนาด และรายการตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งอย่างน้อยให้มีรายการแสดงชื่อ
วันเดือนปีเกิด อาชีพ สัญชาติ และที่อยู่ พร้อมด้วยรูปถ่ายของคนต่างด้าวนั้น
และลงลายมือชื่อนายทะเบียนไว้ด้วย
มาตรา ๑๐
ใบสำคัญประจำตัวนั้น ให้มีกำหนดอายุดังนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง หนึ่งปี
๒.
ชนิดที่สอง ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ ในการขอใบสำคัญประจำตัว
ผู้ขอจะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดก็ได้
มาตรา ๑๑[๒] ในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินปีละสี่ร้อยบาท
ในการออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหาย
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินสองร้อยบาท
มาตรา ๑๒
คนต่างด้าวคนใดย้ายภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
ให้นำใบสำคัญประจำตัวแจ้งต่อนายทะเบียนที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เดิม
เพื่อจดข้อความลงไว้ในใบสำคัญประจำตัวของผู้นั้นก่อนที่จะย้ายไป
และให้แจ้งต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่เข้าไปอยู่ใหม่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันไปถึง
ในกรณีที่คนต่างด้าวออกนอกเขตจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ไปชั่วคราวเกินสิบห้าวัน
ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนไปอยู่ชั่วคราวภายในสองวันนับแต่วันที่ครบกำหนดสิบห้าวันนั้น
ในกรณีที่คนต่างด้าวตาย
ให้เจ้าบ้านแห่งบ้านที่คนต่างด้าวนั้นตายแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นตาย
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย
มาตรา ๑๓
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ใดหมดอายุหรือชำรุดในส่วนสำคัญหรือสูญหาย
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หมดอายุหรือทราบว่าชำรุดหรือสูญหาย
เพื่อขอต่ออายุหรือขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวใหม่ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๔
ผู้มีใบสำคัญประจำตัว ถ้าได้มีการเปลี่ยนแปลงสัญชาติ หรือเปลี่ยนอาชีพ
ชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล
ให้นำใบสำคัญประจำตัวแจ้งต่อนายทะเบียนที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้น แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๕
ผู้ใดเป็นผู้อนุบาลคนต่างด้าวซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ
หรือเป็นผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามความในพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวนั้น
มาตรา ๑๖
พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่คนต่างด้าว ดังต่อไปนี้
๑.
ผู้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างในรัฐบาลไทย
โดยมีหนังสือสัญญาต่อกันตลอดเวลาที่หนังสือสัญญานั้นมีผลบังคับ
๒.
ผู้ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศได้แจ้งแก่รัฐบาลว่า เข้ามาในราชการ
และครอบครัวของบุคคลที่กล่าวนี้ ตลอดเวลาที่ผู้นั้นอยู่เพื่อปฏิบัติราชการ
๓.
ผู้ถือเอกสารเดินทางซึ่งออกให้โดยองค์การสหประชาชาติและเอกสารนั้นยังสมบูรณ์อยู่
๔.
บุคคลที่ไม่นับเป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
คนต่างด้าวซึ่งได้รับความยกเว้นดังกล่าวข้างต้น
ถ้าประสงค์จะขอรับใบสำคัญประจำตัว ก็ให้ส่งรูปถ่ายของตนต่อนายทะเบียน
และให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้
ในกรณีเช่นว่านี้คนต่างด้าวนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและไม่จำต้องปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่ว่าด้วยใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๑๗
คนต่างด้าวซึ่งต้องมีใบสำคัญประจำตัว
ต้องมีใบสำคัญประจำตัวติดตัวหรือเก็บไว้ในลักษณะซึ่งจะแสดงต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้เสมอในเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเรียกร้องให้แสดง
มาตรา ๑๘
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ต้องเนรเทศออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
หรือของผู้ที่ต้องถูกส่งกลับตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หรือของผู้ออกไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ออกไปชั่วคราวโดยได้รับอนุญาตให้กลับนั้น
ให้เป็นอันเพิกถอนและให้คนต่างด้าวนั้นส่งใบสำคัญประจำตัวคืนนายทะเบียน
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่ตาย
ให้ผู้ครอบครองหรือผู้พบส่งคืนนายทะเบียน
มาตรา ๑๙
ในเขตหรือกรณีใด
ซึ่งรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม
หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้รัฐมนตรีมีอำนาจที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นได้
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีพิเศษเฉพาะรายบุคคล
รัฐมนตรีจะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
ตามแต่จะเห็นสมควร
มาตรา ๒๐[๓] ผู้ใดไม่มีใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา
๕ หรือไม่ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่หมดอายุแล้วตามความในมาตรา ๑๓
หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๗ มีความผิดต้องระวางโทษปรับเป็นรายปี
ปีละไม่เกินห้าร้อยบาทตลอดเวลาที่ไม่ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว
เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี
มาตรา ๒๑[๔] ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๒๒[๕]
ผู้ใดละเลยไม่ขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวที่ชำรุดหรือสูญหายตามความในมาตรา ๑๓
หรือไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๑๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๒๓
ผู้ใดมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวตามความในมาตรา
๑๕ และผู้นั้นละเลยไม่ปฏิบัติ มีความผิดต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐ หรือมาตรา
๒๒ แล้วแต่กรณี
ผู้ไร้ความสามารถหรือผู้เยาว์ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ไม่ต้องรับอาญาในความผิดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
เฉพาะในกรณีที่มีผู้อนุบาลหรือผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
มาตรา ๒๔
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่มีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุของใบสำคัญประจำตัวนั้น
มาตรา ๒๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕[๖]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๗ ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวซึ่งมีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุใบสำคัญประจำตัวนั้น
เว้นแต่ผู้ใดถือใบสำคัญประจำตัวชนิดที่ ๒ ตามความในมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ผู้นั้นต้องนำเงินค่าธรรมเนียมไปชำระเพิ่มเติมให้ครบจำนวนสำหรับระยะปีต่อไปที่ยังเหลืออยู่ภายหลังวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
และให้นำความในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
มาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวนี้
มาตรา
๘ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
หากกำหนดโทษปรับอย่างเดียว ให้อธิบดีกรมตำรวจหรือผู้แทนมีอำนาจสั่งเปรียบเทียบได้
มาตรา
๙
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
วศิน/แก้ไข
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๒/หน้า ๙๘๔/๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๓
[๒] มาตรา ๑๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๓] มาตรา ๒๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๔] มาตรา ๒๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๕] มาตรา ๒๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๗/หน้า ๖๑/๒๙ มกราคม ๒๔๙๕ |
301541 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2495 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๔๙๕
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ มกราคม
พ.ศ. ๒๔๙๕
เป็นปีที่ ๗
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๑
ในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง
แต่ไม่เกินปีละสี่ร้อยบาท
ในการออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหาย
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินสองร้อยบาท
มาตรา ๔
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๐
ผู้ใดไม่มีใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา ๕
หรือไม่ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่หมดอายุแล้วตามความในมาตรา ๑๓
หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๗ มีความผิดต้องระวางโทษปรับเป็นรายปี
ปีละไม่เกินห้าร้อยบาทตลอดเวลาที่ไม่ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว
เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี
มาตรา ๕
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๑
ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๘ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๖
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๒
ผู้ใดละเลยไม่ขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวที่ชำรุดหรือสูญหายตามความในมาตรา ๑๓
หรือไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๑๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๗
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวซึ่งมีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุใบสำคัญประจำตัวนั้น
เว้นแต่ผู้ใดถือใบสำคัญประจำตัวชนิดที่ ๒ ตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
ผู้นั้นต้องนำเงินค่าธรรมเนียมไปชำระเพิ่มเติมให้ครบจำนวนสำหรับระยะปีต่อไปที่ยังเหลืออยู่ภายหลังวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
และให้นำความในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
มาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวนี้
มาตรา ๘
ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หากกำหนดโทษปรับอย่างเดียว ให้อธิบดีกรมตำรวจหรือผู้แทนมีอำนาจสั่งเปรียบเทียบได้
มาตรา ๙
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
วันทิตา/แก้ไข
วศิน/ตรวจ
๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๗/หน้า ๖๑/๒๙ มกราคม ๒๔๙๕ |
301540 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2493 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รังสิต กรมพระชัยนาทนเรนทร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๘๑
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๘๓
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ใบสำคัญประจำตัว หมายความว่า
หนังสือประจำตัวของคนต่างด้าว ซึ่งนายทะเบียนได้ออกให้ตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
เจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
เจ้าบ้าน หมายความถึงบุคคลซึ่งครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ
ผู้เช่า หรือในฐานะอย่างอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่เจ้าบ้านไม่อยู่ควบคุมบ้านเอง
แต่ได้มอบหมายให้บุคคลใดควบคุมอยู่ ในระหว่างที่ควบคุมอยู่นั้นให้ถือว่าผู้ควบคุมเท่านั้นเป็นเจ้าบ้าน
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
คนต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่สิบสองปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่อยู่ในราชอาณาจักร ต้องมีใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๖
การขอใบสำคัญประจำตัวให้ทำเป็นเรื่องราวพร้อมด้วยรูปถ่ายสามรูปยื่นต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นมีภูมิลำเนา
ตามแบบพิมพ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗
คนต่างด้าวที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองแล้ว
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือวันที่รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมือง แล้วแต่กรณี
เฉพาะในกรณีหลังให้แจ้งด้วยว่าได้นำคนต่างด้าวอายุต่ำกว่าสิบสองปีมาด้วยกี่คน
ถ้ามี เพื่อนายทะเบียนจะได้จดลงไว้ในใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๘
คนสัญชาติไทยผู้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยเหตุใด
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวจากนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนอยู่ภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย
มาตรา ๙
เมื่อนายทะเบียนได้ตรวจเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัวเห็นเป็นการถูกต้องแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้
ใบสำคัญประจำตัวให้มีลักษณะ
ขนาด และรายการตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งอย่างน้อยให้มีรายการแสดงชื่อ
วันเดือนปีเกิด อาชีพ สัญชาติ และที่อยู่ พร้อมด้วยรูปถ่ายของคนต่างด้าวนั้น
และลงลายมือชื่อนายทะเบียนไว้ด้วย
มาตรา ๑๐
ใบสำคัญประจำตัวนั้น ให้มีกำหนดอายุดังนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง หนึ่งปี
๒.
ชนิดที่สอง ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ ในการขอใบสำคัญประจำตัว
ผู้ขอจะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดก็ได้
มาตรา ๑๑
ในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง
แต่ชนิดที่หนึ่งไม่เกินสี่สิบบาท ชนิดที่สองไม่เกินหนึ่งร้อยหกสิบบาท
ในการออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหาย
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินยี่สิบบาท
มาตรา ๑๒
คนต่างด้าวคนใดย้ายภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
ให้นำใบสำคัญประจำตัวแจ้งต่อนายทะเบียนที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เดิม
เพื่อจดข้อความลงไว้ในใบสำคัญประจำตัวของผู้นั้นก่อนที่จะย้ายไป
และให้แจ้งต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่เข้าไปอยู่ใหม่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันไปถึง
ในกรณีที่คนต่างด้าวออกนอกเขตจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ไปชั่วคราวเกินสิบห้าวัน
ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนไปอยู่ชั่วคราวภายในสองวันนับแต่วันที่ครบกำหนดสิบห้าวันนั้น
ในกรณีที่คนต่างด้าวตาย
ให้เจ้าบ้านแห่งบ้านที่คนต่างด้าวนั้นตายแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นตาย
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย
มาตรา ๑๓
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ใดหมดอายุหรือชำรุดในส่วนสำคัญหรือสูญหาย
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หมดอายุหรือทราบว่าชำรุดหรือสูญหาย
เพื่อขอต่ออายุหรือขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวใหม่ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๔
ผู้มีใบสำคัญประจำตัว ถ้าได้มีการเปลี่ยนแปลงสัญชาติ หรือเปลี่ยนอาชีพ
ชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล
ให้นำใบสำคัญประจำตัวแจ้งต่อนายทะเบียนที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้น แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๕
ผู้ใดเป็นผู้อนุบาลคนต่างด้าวซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามความในพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวนั้น
มาตรา ๑๖
พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่คนต่างด้าว ดังต่อไปนี้
๑.
ผู้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างในรัฐบาลไทย
โดยมีหนังสือสัญญาต่อกันตลอดเวลาที่หนังสือสัญญานั้นมีผลบังคับ
๒.
ผู้ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศได้แจ้งแก่รัฐบาลว่า เข้ามาในราชการ
และครอบครัวของบุคคลที่กล่าวนี้ ตลอดเวลาที่ผู้นั้นอยู่เพื่อปฏิบัติราชการ
๓.
ผู้ถือเอกสารเดินทางซึ่งออกให้โดยองค์การสหประชาชาติและเอกสารนั้นยังสมบูรณ์อยู่
๔.
บุคคลที่ไม่นับเป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
คนต่างด้าวซึ่งได้รับความยกเว้นดังกล่าวข้างต้น
ถ้าประสงค์จะขอรับใบสำคัญประจำตัว ก็ให้ส่งรูปถ่ายของตนต่อนายทะเบียน
และให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้
ในกรณีเช่นว่านี้คนต่างด้าวนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและไม่จำต้องปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่ว่าด้วยใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๑๗
คนต่างด้าวซึ่งต้องมีใบสำคัญประจำตัว
ต้องมีใบสำคัญประจำตัวติดตัวหรือเก็บไว้ในลักษณะซึ่งจะแสดงต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้เสมอในเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเรียกร้องให้แสดง
มาตรา ๑๘
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ต้องเนรเทศออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
หรือของผู้ที่ต้องถูกส่งกลับตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หรือของผู้ออกไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ออกไปชั่วคราวโดยได้รับอนุญาตให้กลับนั้น
ให้เป็นอันเพิกถอนและให้คนต่างด้าวนั้นส่งใบสำคัญประจำตัวคืนนายทะเบียน
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่ตาย
ให้ผู้ครอบครองหรือผู้พบส่งคืนนายทะเบียน
มาตรา ๑๙
ในเขตหรือกรณีใด
ซึ่งรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม
หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้รัฐมนตรีมีอำนาจที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นได้
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีพิเศษเฉพาะรายบุคคล
รัฐมนตรีจะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
ตามแต่จะเห็นสมควร
มาตรา ๒๐
ผู้ใดไม่มีใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา ๕
หรือไม่ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่หมดอายุแล้วตามความในมาตรา ๑๓ หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา
๗ มีความผิดต้องระวางโทษปรับเป็นรายปี
ปีละไม่เกินหนึ่งร้อยบาทตลอดเวลาที่ไม่ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว
เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี
มาตรา ๒๑
ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท
มาตรา ๒๒
ผู้ใดละเลยไม่ขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวที่ชำรุดหรือสูญหายตามความในมาตรา ๑๓
หรือไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๑๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองร้อยบาท
มาตรา ๒๓
ผู้ใดมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวตามความในมาตรา
๑๕ และผู้นั้นละเลยไม่ปฏิบัติ มีความผิดต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐
หรือมาตรา ๒๒ แล้วแต่กรณี
ผู้ไร้ความสามารถหรือผู้เยาว์ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ไม่ต้องรับอาญาในความผิดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
เฉพาะในกรณีที่มีผู้อนุบาลหรือผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
มาตรา ๒๔
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่มีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุของใบสำคัญประจำตัวนั้น
มาตรา ๒๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
วันทิตา/แก้ไข
วศิน/ตรวจ
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๒/หน้า ๙๘๔/๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ |
301539 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2483 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๔)
พุทธศักราช ๒๔๘๓
---------------
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร
ลงวันที่ ๔ สิงหาคม
พุทธศักราช ๒๔๘๐)
อาทิตย์ทิพอาภา
พล.อ.เจ้าพระยา"พิชเยนทรโยธิน
ตราไว้ ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม
พุทธศักราช ๒๔๘๓
เป็นปีที่ ๗
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ
ทะเบียนคนต่างด้าว
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๘๓
มาตรา
๒
ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา
๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๕ ในเขตต์ใดหรือกรณีใด
ซึ่งรัฐมนตรีผู้มีหน้าที่รักษาการณ์ตาม
พระราชบัญญัตินี้
เห็นเป็นการสมควรที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือการปฏิบัติการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้รัฐมนตรีมีอำนาจที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นได้
โดยประกาศในราช
กิจจานุเบกษา
และประกาศนี้รัฐมนตรีจะเพิกถอนเสียก็ได้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีพิเศษเฉพาะรายบุคคล
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ให้ก็ได้
ตามแต่จะ
เห็นสมควร
มาตรา
๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รักษาการให้เป็น
ไปตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
-----------------------------------------
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๘๓ นี้
มีหลักการแก้ไขพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่
๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ เพื่อให้
อำนาจรัฐมนตรีผู้มีหน้าที่รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม
หรือการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติได้ตามทที่เห็นสมควร ทั้งนี้เพราะมีกรณีบางอย่าง
ซึ่งเป็นการสมควรที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ
บางอย่างในท้องที่หรือบางกรณี นอกจากที่บัญญัติไว้แล้ว
หากจะระบุยกเว้นไว้ในกฎหมาย
เสมอไป ก็ไม่เหมาะสมในทางปฏิบัติ
และจะต้องแก้กฎหมายกันเรื่อยไป
[รก. ๒๔๘๓/-/๓๖๑/๓๖ กันยายน ๒๔๘๓]
สุรินทร์
/ พิมพ์ /๕/๐๒/๒๕๔๕
A+B (C) |
314426 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2481 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓)
พุทธศักราช ๒๔๘๑
---------------
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร
ลงวันที่ ๔ สิงหาคม
พุทธศักราช ๒๔๘๐)
อาทิตย์ทิพอาภา
พล.อ.เจ้าพระยา"พิชเยนทรโยธิน
ตราไว้ ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม
พุทธศักราช ๒๔๘๑
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ
ทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ บางมาตรา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
มาตรา
๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา
๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๘
คนต่างด้าวที่ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวจะต้องส่งรูปถ่าย
ของตนตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงต่อตนพนักงานเจ้าหน้าที่
และภายใต้บังคับมาตรา ๑๒
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบสำคัญประจำตัว มีกำหนดอายุ
กำหนดการต่ออายุ และกำหนดการ
ออกใบสำคัญประจำตัวใหม่ ตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตาม
เกณฑ์และวิธีการในกฎกระทรวง
เว้นแต่การออกใบสำคัญประจำตัวของผู้ซึ่งได้รับการยกเว้น
ตามความในมาตรา ๙ หรือผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต ผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
หรือผู้ที่เป็นภริยาอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ที่มีใบสำคัญประจำตัวแล้วนั้น
ไม่ต้องเรียกเก็บ
ค่าธรรมเนียม
ส่วนใบสำคัญประจำตัว
ซึ่งได้ออกก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้ ก็ให้ออก
กฎกระทรวงกำหนดอายุ กำหนดการต่ออายุ และกำหนดการออกใบสำคัญประจำตัวใหม่
ได้เช่นเดียวกัน
มาตรา
๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๒
ในกรณีที่ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของผู้ใดหมดอายุหรือ
สูญหาย ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายในกำหนด ๑๕ วัน
นับแต่วันที่หมดอายุหรือทราบว่า
สูญหาย เพื่อขอต่ออายุหรือขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่
แล้วแต่กรณี และให้เรียกเก็บค่า
ธรรมเนียมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงสำหรับการต่ออายุหรือการออกใบสำคัญประจำตัวใหม่
แล้วแต่กรณี
มาตรา
๕ ในกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง รัฐมนตรีผู้มีหน้าที่รักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมให้ก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร
มาตรา
๖ การกำหนดโทษตามมาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖
และมาตรา ๑๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
นั้น ไม่กระทบต่ออำนาจการ
เนรเทศตามกฎหมายเนรเทศ ร.ศ. ๑๓๑
มาตรา
๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รักษาการให้เป็น
ไปตามพระราชบัญญัตินี้
และมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราช
บัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
-----------------------------------------
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ มาตรา ๘ และ
มาตรา ๑๒
ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ยกเลิก มีข้อความดั่งต่อไปนี้
มาตรา ๘ คนต่างด้าวที่ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว
จะต้องส่งรูปถ่ายของตน
ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
และภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๒ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบสำคัญประจำตัว
โดยไม่ต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
มาตรา ๑๒
ในกรณีที่ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของผู้ใดสูญหาย ให้แจ้ง
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในกำหนด ๗ วัน
นับแต่วันที่ทราบว่าสูญหายเพื่อขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม ๑ บาท
[รก. ๒๔๘๒/-/๑๒๒/๑ เมษายน ๒๔๘๒]
สุรินทร์
/ พิมพ์ /
๕/๐๒/๒๕๔๕
A+B (C) |
327186 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2481 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่๒)
พุทธศักราช ๒๔๘๑
---------------
ในพระปรมาภิธัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"อานันทมหิดล
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร
ลงวันที่ ๔ สิงหาคม
พุทธศักราช ๒๔๘๐)
อาทิตย์ทิพอาภา
พล.อ.เจ้าพระยา"พิชเยนทรโยธิน
ตราไว้ ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม
พุทธศักราช ๒๔๘๑
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ
ทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ บางมาตรา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดั่งต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๘๑
มาตรา
๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา
๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๗ หญิงซึ่งมีสัญชาติเป็นไทย
ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรส
กับคนต่างด้าว
ให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นที่ตนอยู่ภายในกำหนด
สามสิบวันนับแต่วันสมรส แต่ถ้าหญิงนั้นมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดจะไม่ขอรับใบสำคัญประจำตัว
ก็ได้
มาตรา
๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รักษาการให้เป็น
ไปตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
-----------------------------------------
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ มาตรา ๗
ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ยกเลิกมีความดั่งต่อไปนี้
มาตรา ๗ หญิงซึ่งมีสัญชาติเป็นไทย
ถ้าต้องสละสัญชาติไทย เพราะ
สมรสกับคนต่างด้าว
ให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นที่ตนอยู่
ภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันสมรส
[รก. ๒๔๘๑/-/๑๐๕๖/๒๐ มีนาคม ๒๔๘๑]
สุรินทร์
/ พิมพ์ /๕/๐๒/๒๕๔๕
A+B (C) |
314422 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙
---------------
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร
ลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘)
อาทิตย์ทิพอาภา
พล.อ. เจ้าพระยาพิชเยนทร โยธิน
ตราไว้ ณ วันที่ ๒๕
มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๐
เป็นปีที่ ๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า สมควรจัดการทะเบียนเกี่ยวแก่คนต่างด้าว
เพื่อให้เป็นระเบียบขึ้น
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
มาตรา
๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ภายหลัง ๙๐
วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๓ ในพระราชบัญญัตินี้
(๑) คนต่างด้าว หมายความถึงบุคคลผู้มิได้มีสัญชาติเป็นไทยตามกฎหมาย
(๒) ใบสำคัญประจำตัว หมายความถึงหนังสือประจำตัวคนต่างด้าว ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกให้
มาตรา
๔ คนต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่ ๑๒
ปีบริบูรณ์ขึ้นไปซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรสยามก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้ ให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวจากพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นที่ตนอยู่ภายในกำหนด
๙๐ วัน
นับแต่วันใช้พระราชบัญญัตินี้
และให้แจ้งด้วยว่า
มีคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์อยู่ในปกครองของตนกี่คน หากจะพึงมี
มาตรา
๕
คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรสยามภายหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้
ให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตราก่อนภายในกำหนด ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองได้ และให้แจ้งด้วยว่า ได้นำบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์
เข้ามาด้วยกี่คน
หากจะพึงมี
มาตรา
๖ คนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์ ซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรสยาม
ก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้
หรือซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรสยามภายหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้ก็ดี เมื่อมีอายุครบ
๑๒ ปีบริบูรณ์
ให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวโดยนัยเดียวกันภายในกำหนด ๙๐ วัน นับแต่วันมีอายุครบ
๑๒ ปีบริบูรณ์แล้ว
มาตรา
๗ หญิงซึ่งมีสัญชาติเป็นไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทย เพราะสมรส
กับคนต่างด้าว
ให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวจากพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นที่ตนอยู่ภายใน
กำหนด ๓๐ วัน
นับแต่วันสมรส
มาตรา
๘
คนต่างด้าวที่ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว จะต้องส่งรูปถ่ายของตนตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๒ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบสำคัญประจำตัว โดยไม่ต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
มาตรา
๙
พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่คนต่างด้าว
๑. ผู้เข้ามาในราชอาณาจักรสยามในการทูต หรือการกงสุล และครอบครัว
หรือผู้เข้ามาเป็นข้าราชการในรัฐบาลสยาม โดยมีสัญญาต่อกัน และครอบครัวของบุคคลเหล่านั้น
๒.
ผู้เข้ามาในราชอาณาจักรสยามเกี่ยวแก่ราชการของรัฐบาลต่างประเทศ และรัฐบาลนั้นได้แจ้งแก่รัฐบาลสยามตามระเบียบแล้ว
๓. ผู้รับอนุญาตให้อยู่ชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
แต่ถ้าคนต่างด้าวซึ่งได้รับความยกเว้นดังกล่าวแล้ว ขอรับใบสำคัญประจำตัว
เมื่อคนต่างด้าวนั้นได้ส่งรูปถ่ายของตนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแล้ว ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้ไป
มาตรา
๑๐ การเกิดของคนต่างด้าวให้นำบทบัญญัติมาตรา
๑๗ (ก) มาตรา
๑๘ และมาตรา ๒๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
และให้บิดาของทารกนั้นแสดงใบสำคัญประจำตัวของตนเพื่อให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่จดข้อความเกี่ยวแก่ทารกนั้นในใบสำคัญประจำตัวของบิดาทารกนั้น ถ้าบิดาไม่อยู่หรือไม่ปรากฏ เป็นหน้าที่ของมารดาในทำนองเดียวกัน และให้จดข้อความลงไว้ในใบสำคัญประจำตัวของมารดา
การย้ายที่อยู่ของคนต่างด้าว ให้นำใบสำคัญประจำตัวแสดงต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่เพื่อจดข้อความลงในใบสำคัญประจำตัวของผู้นั้น และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๕
มาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล
พุทธศักราช ๒๔๗๙ มาใช้
บังคับโดยอนุโลม
การตายของคนต่างด้าวให้นำบทบัญญัติมาตรา
๑๗ ("ข") แห่งพระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้นำใบสำคัญประจำตัวของผู้นั้นคืนพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา
๑๑
คนต่างด้าวผู้ใดได้เปลี่ยนสัญชาติจากที่ปรากฏในใบสำคัญประจำตัว
ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งนำใบสำคัญประจำตัวไปแสดงภายในกำหนด
๓๐ วัน
นับแต่วันเปลี่ยน
มาตรา
๑๒
ในกรณีที่ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของผู้ใดศูนย์หาย ให้
แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในกำหนด ๗ วัน นับแต่วันที่ทราบว่าศูนย์หาย
เพื่อขอรับใบสำคัญ
ประจำตัวใหม่
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม ๑ บาท
มาตรา
๑๓
คนต่างด้าวผู้จะต้องปฏิบัติตามความในพระราชบัญญัตินี้
ถ้าเป็นผู้เยาว์หรือเสมือนไร้ความสามารถหรือไร้ความสามารถให้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง
ผู้แทนโดยชอบธรรม
ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์แล้วแต่กรณีเป็นผู้กระทำแทน
มาตรา
๑๔
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ที่ต้องเนรเทศออกนอกราชอาณาจักร
สยามตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
หรือของผู้ที่ต้องส่งตัวกลับตามกฎหมายว่าด้วย
คนเข้าเมืองนั้นเป็นอันเพิกถอน
และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดใบสำคัญประจำตัวของผู้นั้นเสีย
มาตรา
๑๕
ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๔ มาตรา ๕ มาตรา ๖
มาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัตินี้
ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองร้อยบาท
มาตรา
๑๖
ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติ
นี้
ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินร้อยบาท
มาตรา
๑๗
ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และ
มาตรา๑๒ แห่งพระราชบัญญัตินี้
หรือกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัตินี้
ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบสองบาท
มาตรา
๑๘
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รักษาการให้เป็น
ไปตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
นายทะเบียนกำหนดแบบใบสำคัญประจำตัว กำหนดระยะเวลาที่ให้เปลี่ยนรูปถ่าย ใบสำคัญ
และวางระเบียบเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พ.อ. พหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรี
[รก. ๒๔๘๐/-/๗๕๖/๕ กรกฎาคม ๒๔๘๐]
สุรินทร์
/ พิมพ์ / ๕/๐๒/๒๕๔๕
A+B (C) |
301538 | พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 (Update ณ วันที่ 29/01/2495) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รังสิต กรมพระชัยนาทนเรนทร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓
เป็นปีที่ ๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๘๑
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๘๓
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ใบสำคัญประจำตัว หมายความว่า
หนังสือประจำตัวของคนต่างด้าว ซึ่งนายทะเบียนได้ออกให้ตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
เจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
เจ้าบ้าน
หมายความถึงบุคคลซึ่งครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า
หรือในฐานะอย่างอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่เจ้าบ้านไม่อยู่ควบคุมบ้านเอง
แต่ได้มอบหมายให้บุคคลใดควบคุมอยู่
ในระหว่างที่ควบคุมอยู่นั้นให้ถือว่าผู้ควบคุมเท่านั้นเป็นเจ้าบ้าน
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
คนต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่สิบสองปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่อยู่ในราชอาณาจักร
ต้องมีใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๖
การขอใบสำคัญประจำตัวให้ทำเป็นเรื่องราวพร้อมด้วยรูปถ่ายสามรูปยื่นต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นมีภูมิลำเนา
ตามแบบพิมพ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๗
คนต่างด้าวที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองแล้ว
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีอายุสิบสองปีบริบูรณ์
หรือวันที่รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมือง แล้วแต่กรณี
เฉพาะในกรณีหลังให้แจ้งด้วยว่าได้นำคนต่างด้าวอายุต่ำกว่าสิบสองปีมาด้วยกี่คน
ถ้ามี เพื่อนายทะเบียนจะได้จดลงไว้ในใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๘
คนสัญชาติไทยผู้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยเหตุใด
ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวจากนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนอยู่ภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย
มาตรา ๙
เมื่อนายทะเบียนได้ตรวจเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัวเห็นเป็นการถูกต้องแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้
ใบสำคัญประจำตัวให้มีลักษณะ
ขนาด และรายการตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งอย่างน้อยให้มีรายการแสดงชื่อ
วันเดือนปีเกิด อาชีพ สัญชาติ และที่อยู่ พร้อมด้วยรูปถ่ายของคนต่างด้าวนั้น
และลงลายมือชื่อนายทะเบียนไว้ด้วย
มาตรา ๑๐
ใบสำคัญประจำตัวนั้น ให้มีกำหนดอายุดังนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง หนึ่งปี
๒.
ชนิดที่สอง ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ ในการขอใบสำคัญประจำตัว
ผู้ขอจะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดก็ได้
มาตรา ๑๑[๒] ในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินปีละสี่ร้อยบาท
ในการออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหาย
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินสองร้อยบาท
มาตรา ๑๒
คนต่างด้าวคนใดย้ายภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
ให้นำใบสำคัญประจำตัวแจ้งต่อนายทะเบียนที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เดิม
เพื่อจดข้อความลงไว้ในใบสำคัญประจำตัวของผู้นั้นก่อนที่จะย้ายไป
และให้แจ้งต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่เข้าไปอยู่ใหม่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันไปถึง
ในกรณีที่คนต่างด้าวออกนอกเขตจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ไปชั่วคราวเกินสิบห้าวัน
ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนไปอยู่ชั่วคราวภายในสองวันนับแต่วันที่ครบกำหนดสิบห้าวันนั้น
ในกรณีที่คนต่างด้าวตาย
ให้เจ้าบ้านแห่งบ้านที่คนต่างด้าวนั้นตายแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่คนต่างด้าวนั้นตาย
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย
มาตรา ๑๓
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ใดหมดอายุหรือชำรุดในส่วนสำคัญหรือสูญหาย
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หมดอายุหรือทราบว่าชำรุดหรือสูญหาย
เพื่อขอต่ออายุหรือขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวใหม่ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๔
ผู้มีใบสำคัญประจำตัว ถ้าได้มีการเปลี่ยนแปลงสัญชาติ หรือเปลี่ยนอาชีพ
ชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล
ให้นำใบสำคัญประจำตัวแจ้งต่อนายทะเบียนที่ตนมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้น แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๕
ผู้ใดเป็นผู้อนุบาลคนต่างด้าวซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ
หรือเป็นผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามความในพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวนั้น
มาตรา ๑๖
พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่คนต่างด้าว ดังต่อไปนี้
๑.
ผู้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างในรัฐบาลไทย
โดยมีหนังสือสัญญาต่อกันตลอดเวลาที่หนังสือสัญญานั้นมีผลบังคับ
๒.
ผู้ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศได้แจ้งแก่รัฐบาลว่า เข้ามาในราชการ
และครอบครัวของบุคคลที่กล่าวนี้ ตลอดเวลาที่ผู้นั้นอยู่เพื่อปฏิบัติราชการ
๓.
ผู้ถือเอกสารเดินทางซึ่งออกให้โดยองค์การสหประชาชาติและเอกสารนั้นยังสมบูรณ์อยู่
๔.
บุคคลที่ไม่นับเป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
คนต่างด้าวซึ่งได้รับความยกเว้นดังกล่าวข้างต้น
ถ้าประสงค์จะขอรับใบสำคัญประจำตัว ก็ให้ส่งรูปถ่ายของตนต่อนายทะเบียน
และให้นายทะเบียนออกใบสำคัญประจำตัวให้
ในกรณีเช่นว่านี้คนต่างด้าวนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและไม่จำต้องปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่ว่าด้วยใบสำคัญประจำตัว
มาตรา ๑๗
คนต่างด้าวซึ่งต้องมีใบสำคัญประจำตัว
ต้องมีใบสำคัญประจำตัวติดตัวหรือเก็บไว้ในลักษณะซึ่งจะแสดงต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้เสมอในเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเรียกร้องให้แสดง
มาตรา ๑๘
ใบสำคัญประจำตัวของผู้ต้องเนรเทศออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
หรือของผู้ที่ต้องถูกส่งกลับตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หรือของผู้ออกไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ออกไปชั่วคราวโดยได้รับอนุญาตให้กลับนั้น
ให้เป็นอันเพิกถอนและให้คนต่างด้าวนั้นส่งใบสำคัญประจำตัวคืนนายทะเบียน
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่ตาย
ให้ผู้ครอบครองหรือผู้พบส่งคืนนายทะเบียน
มาตรา ๑๙
ในเขตหรือกรณีใด
ซึ่งรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม
หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ก็ให้รัฐมนตรีมีอำนาจที่จะผ่อนผันหรือยกเว้นได้
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีพิเศษเฉพาะรายบุคคล
รัฐมนตรีจะผ่อนผันหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
ตามแต่จะเห็นสมควร
มาตรา ๒๐[๓] ผู้ใดไม่มีใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา
๕ หรือไม่ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่หมดอายุแล้วตามความในมาตรา ๑๓
หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๗ มีความผิดต้องระวางโทษปรับเป็นรายปี
ปีละไม่เกินห้าร้อยบาทตลอดเวลาที่ไม่ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว
เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี
มาตรา ๒๑[๔] ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๒๒[๕]
ผู้ใดละเลยไม่ขอใบแทนใบสำคัญประจำตัวที่ชำรุดหรือสูญหายตามความในมาตรา ๑๓
หรือไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๑๘
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๒๓
ผู้ใดมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อคนต่างด้าวตามความในมาตรา
๑๕ และผู้นั้นละเลยไม่ปฏิบัติ มีความผิดต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐ หรือมาตรา
๒๒ แล้วแต่กรณี
ผู้ไร้ความสามารถหรือผู้เยาว์ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบหกปีบริบูรณ์
ไม่ต้องรับอาญาในความผิดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
เฉพาะในกรณีที่มีผู้อนุบาลหรือผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
มาตรา ๒๔
ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวที่มีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุของใบสำคัญประจำตัวนั้น
มาตรา ๒๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕[๖]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๗ ใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวซึ่งมีอยู่แล้วก่อนวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ใช้ได้ต่อไปจนหมดอายุใบสำคัญประจำตัวนั้น
เว้นแต่ผู้ใดถือใบสำคัญประจำตัวชนิดที่ ๒ ตามความในมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ผู้นั้นต้องนำเงินค่าธรรมเนียมไปชำระเพิ่มเติมให้ครบจำนวนสำหรับระยะปีต่อไปที่ยังเหลืออยู่ภายหลังวันใช้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
และให้นำความในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
มาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวนี้
มาตรา
๘ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
หากกำหนดโทษปรับอย่างเดียว ให้อธิบดีกรมตำรวจหรือผู้แทนมีอำนาจสั่งเปรียบเทียบได้
มาตรา
๙
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
วศิน/แก้ไข
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๒/หน้า ๙๘๔/๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๓
[๒] มาตรา ๑๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๓] มาตรา ๒๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๔] มาตรา ๒๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๕] มาตรา ๒๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕
[๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๗/หน้า ๖๑/๒๙ มกราคม ๒๔๙๕ |
582620 | กฎกระทรวง (พ.ศ. 2493) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 (ฉบับ Update ล่าสุด) | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎไว้
ดังต่อไปนี้
ลักษณะของใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและรูปถ่าย
ข้อ ๑
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามความในมาตรา ๙ นั้น ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง
๑๐ ซ.ม. ยาว ๑๕ ซ.ม. ปิดรูปถ่ายของผู้ถือ มีลายมือชื่อของนายทะเบียนคาบต่อ
กับมีลักษณะ ขนาด และรายการตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๒
รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา ๖ นั้น
ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงในขณะนั้น
ให้มีขนาดกว้าง ๔ ซ.ม. ยาว ๖ ซ.ม. จำนวน ๓ รูป
ข้อ ๓
รูปถ่ายที่ปิดในใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามความในข้อ ๒ นั้น
ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ผู้นั้น
การส่งรูปใหม่มาเปลี่ยนนี้ให้ส่งมอบรูปถ่ายใหม่รวม ๓ รูป
พร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ตามแบบ ท.ต. ๖
ท้ายกฎกระทรวงนี้
การยื่นเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัว
ข้อ ๔
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวสำหรับตนเอง หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า
๑๒ ปีบริบูรณ์ซึ่งอยู่ในปกครอง หรือนำเข้ามาตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๗
หรือสำหรับคนต่างด้าว ซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นผู้ปกครอง
หรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์ ตามความในมาตรา
๑๕ ให้ยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ และ ๓ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ข้อ ๕
ผู้ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนสัญชาติ เปลี่ยนชื่อตัว เปลี่ยนชื่อรอง
ตลอดชื่อสกุลได้แล้ว หรือผู้ประสงค์จะเปลี่ยนอาชีพ ตามความในมาตรา ๑๔ นั้น ให้ยื่นเรื่องราวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ตามแบบ ท.ต. ๔ และ ๕ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวและ
การออกใบสำคัญแทน
ข้อ ๖[๒] การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา
๑๓ ให้ยื่นคำร้องตามแบบ ท.ต. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ข้อ ๗
การขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย ตามความในมาตรา
๑๓ นั้น ให้ยื่นคำร้องตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้ พร้อมด้วยรูปถ่าย ๓ รูป ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
กรณียกเว้น
ข้อ ๘ คนต่างด้าวในกรณีดังต่อไปนี้
ย่อมได้สิทธิยกเว้นตามความในมาตรา ๑๙
ไม่ต้องรับใบสำคัญประจำตัวและไม่ต้องต่ออายุใบสำคัญประจำตัว คือ
๑.
ผู้ที่อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย
๒.
ผู้มีร่างกายพิการเดินไม่ได้ หรือเป็นใบ้ หรือตาบอดทั้งสองข้าง
๓.
ผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ซึ่งนายแพทย์โรคจิตได้ตรวจและรับรองแล้ว
แต่เมื่อเหตุที่ได้รับยกเว้นล่วงพ้นไปแล้ว
ให้ขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวเสียภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่เหตุนั้นได้ล่วงพ้นไป
ข้อ ๙
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวที่ถูกเพิกถอนและต้องส่งคืนนายทะเบียนตามความในมาตรา
๑๘ นั้น ให้เป็นอันเพิกถอนตลอดเวลาที่คนต่างด้าวผู้นั้นยังคงอยู่นอกประเทศ
หากกลับเข้ามาในประเทศอีก ก็ให้ยื่นเรื่องราวขอคืนได้
แต่การออกไปนอกประเทศแล้วกลับเข้ามาอีก
โดยนำหลักฐานการออกและการเข้ามาแสดง
ให้ผ่อนผันยกเว้นเงินค่าธรรมเนียมให้ตลอดเวลาที่อยู่นอกประเทศ
อัตราค่าธรรมเนียม
ข้อ ๑๐[๓] ค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา
๑๑ นอกจากผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน หรือยกเว้น ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้เรียกเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้
ก.
คนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบสำคัญประจำตัว หรือคนต่างด้าวซึ่งใบสำคัญประจำตัวขาดต่ออายุ
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัว หรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
แล้วแต่กรณี เป็นเงิน ๔๐๐ บาท
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวสำหรับปีต่อ ๆ ไปในอัตรา ดังต่อไปนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสองร้อยบาท
๒.
ชนิดที่สอง เป็นเงินแปดร้อยบาท
ข.
คนต่างด้าวซึ่งมีใบสำคัญประจำตัว และได้ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวถูกต้องแล้ว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวในอัตรา ดังต่อไปนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสองร้อยบาท
๒.
ชนิดที่สอง เป็นเงินแปดร้อยบาท
วรรคสอง[๔] (ยกเลิก)
ข้อ ๑๑[๕] การออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหายตามความในมาตรา
๑๑ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งร้อยบาท
ข้อ
๑๒[๖] ค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัว การต่ออายุใบสำคัญประจำตัวหรือการออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหายนั้นให้ชำระเป็นเงินสด
โดยให้นายทะเบียนออกใบเสร็จรับเงินให้ตามแบบ ท.ต. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
บ. เทพหัสดิน
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒.
คำร้องแจ้งเรื่องเด็กต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์ ที่นำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓.
คำร้องของผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
ขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้ผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์
ผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔.
คำร้องขอเปลี่ยนอาชีพเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล (แบบ ท.ต. ๔)
๕.
คำร้องขอเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖.
คำร้องขอส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุด หรือสูญหาย (แบบ ท.ต. ๗)
๘.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๘)
๙.
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
๑๐.[๗] ใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมคนต่างด้าว
ในราชการกรมตำรวจ (แบบ ท.ต. ๙)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวง ฉบับที่
๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๘]
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔
(พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๙]
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้
คือโดยที่การเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมคนต่างด้าวตามอัตรา ซึ่งกำหนดไว้ในกฎกระทรวงฯ
พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕ ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓ นั้น เมื่อเทียบเคียงกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วนับว่าเก็บในอัตราสูงมาก
สมควรลดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรับใบสำคัญประจำตัว การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว และการขอรับใบแทนใบสำคัญประจำตัวฉบับเดิมที่ชำรุด
หรือสูญหายเสียใหม่ โดยเรียกเก็บในอัตราพอสมควร เพื่อให้คนต่างด้าวจำนวนมากได้มีโอกาสและสามารถชำระค่าธรรมเนียมได้โดยไม่พยายามหลีกเลี่ยง
หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ในการนี้จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บจากคนต่างด้าวขึ้นใหม่
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕
(พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๑๐]
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไข วิธีการชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
การต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ฯลฯ ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ซึ่งกำหนดให้ชำระโดยการปิดแสตมป์อากรให้เป็นการชำระโดยเงินสด
โดยให้นายทะเบียนออกใบเสร็จรับเงินให้
เพื่อให้เกิดความสะดวกในการชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๔ ธันวาคม ๒๔๙๓
[๒] ข้อ ๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๓] ข้อ ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
[๔] ข้อ ๑๐ วรรคสอง ยกเลิกโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๕] ข้อ ๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๖]
ข้อ ๑๒ เพิ่มโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๗] ใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมคนต่างด้าว ในราชการกรมตำรวจ (แบบ ท.ต. ๙) เพิ่มโดยกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
[๘] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๑๑/หน้า ๑๓๒/๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕
[๙] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๕/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๒ มกราคม ๒๔๙๙
[๑๐] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๓/ตอนที่ ๔๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๖/๑๒ มีนาคม ๒๕๒๙ |
583402 | กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 (ฉบับ Update ล่าสุด) | กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้อธิบดีกรมตำรวจเป็นนายทะเบียนมีหน้าที่ควบคุมการทะเบียนคนต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร
ข้อ ๒[๒] ให้สารวัตรสถานีตำรวจนครบาลประจำท้องที่
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับเขตจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี และให้ผู้บังคับกองหรือหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอประจำท้องที่
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับในเขตจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
ข้อ ๓
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒
ปีบริบูรณ์ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ หรือ ๓ ท้ายกฎนี้
แล้วแต่กรณี ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ข้อ ๔ ภายใต้บังคับแห่งข้อ
๕ ในท้องถิ่นใดที่ได้ใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
แล้ว ให้นายทะเบียนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช
๒๔๗๙ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งในกรณีตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้ และให้ถือว่าการแจ้งตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล
พุทธศักราช ๒๔๗๙ เป็นการแจ้งตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้ด้วย
เมื่อได้แสดงใบสำคัญประจำตัวตามที่พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ บังคับไว้ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๕
ผู้ใดจะแจ้งการเกิด การตาย การย้ายที่อยู่ แจ้งชื่อบุตร
หรือแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ ให้แจ้งรายการตามแบบต่อไปนี้ ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เว้นแต่การแจ้งการตายในท้องถิ่นที่ไม่มีเทศบาลนอกจากจังหวัดพระนครและธนบุรีจะแจ้งต่อกำนันท้องที่ก็ได้
(ก) การเกิด การตาย
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในเขตนั้น
(ข) การย้ายที่อยู่
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในจังหวัดพระนครและธนบุรี
(ค) การแจ้งชื่อบุตรให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๔
การแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๕ ท้ายกฎนี้
ข้อ ๖
ใบสำคัญประจำตัว ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง ๑๐ เซนติเมตร ยาว ๑๔ เซนติเมตร
ติดรูปถ่ายของผู้ถือประทับตราพนักงานเจ้าหน้าที่คาบต่อ
และมีข้อความในใบสำคัญประจำตัวตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๗[๓] รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ นั้น ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงขณะนั้น
และให้มีขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๖ เซนติเมตร ๓ รูป
ข้อ ๘
รูปถ่ายในใบสำคัญประจำตัวจะต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี
นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวสำหรับผู้นั้นและให้ส่งมอบรูปถ่ายพร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นตามแบบ
ท.ต. ๖ ท้ายกฎนี้ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดการปิดให้ใหม่
ข้อ ๙
ในกรณีที่ใบสำคัญประจำตัวสูญหาย การขอรับใหม่ ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้
ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยรูปถ่าย
กฎให้ไว้ ณ วันที่ ๙ กันยายน
พุทธศักราช ๒๔๘๐
ศรีเสนา
สั่งราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒. ใบแจ้งความคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์
ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์
หรือผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือผู้ไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔. ใบแจ้งชื่อบุตรของคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๔)
๕. ใบแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖. คำร้องเรื่องส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหาย (แบบ ท.ต.
๗)
๘. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๔]
ข้อ
๒ ใบสำคัญประจำตัวนั้น กำหนดอายุเป็น
๒ ชนิด ดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง ใช้ได้หนึ่งปี
(ข)
ชนิดที่สอง ใช้ได้ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้
ข้อ
๓ ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว
จะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๔ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัวดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสี่บาท
(ข)
ชนิดที่สอง เป็นเงินสิบหกบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรดวงละสี่บาทที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้
และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวันเดือนปีในเวลานั้น
ข้อ
๕ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
จะขอต่ออายุเป็นใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๖ การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามชนิดใบสำคัญประจำตัวที่ขอต่ออายุ
และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔ แห่งกฎนี้
ข้อ
๗
ใบสำคัญประจำตัวซึ่งได้ออกให้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ หรือซึ่งยังมิได้กำหนดอายุตามกฎกระทรวงนี้
ให้มีอายุใช้ได้ต่อไปอีกหกสิบวัน นับแต่วันประกาศใช้กฎกระทรวงนี้
ใบสำคัญประจำตัวที่กล่าวนี้
เมื่อหมดอายุจะต้องขอต่ออายุใหม่ และในกรณีเช่นนี้ให้นำความในข้อ ๔ ข้อ ๕ และ ข้อ
๖ แห่งกฎนี้มาใช้บังคับ
ข้อ
๘ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้
ข้อ
๙ การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหายนั้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งบาท และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔
แห่งกฎนี้โดยอนุโลม
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว (แบบ ท.ต. ๘)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๓
(พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙[๕]
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๔/-/หน้า ๑๐๘๒/๑๓ กันยายน ๒๔๘๐
[๒] ข้อ ๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
[๓] ข้อ ๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
[๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๖/-/หน้า ๔๖๒/๒๔ เมษายน ๒๔๘๒
[๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๑๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑ เมษายน ๒๔๙๓ |
583404 | กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2481 (ฉบับ Update ล่าสุด) | กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙
และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗
แห่งกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗ รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
นั้น ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงขณะนั้น
และให้มีขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๖ เซนติเมตร ๓ รูป
ข้อ
๒ ใบสำคัญประจำตัวนั้น กำหนดอายุเป็น
๒ ชนิด ดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง ใช้ได้หนึ่งปี
(ข)
ชนิดที่สอง ใช้ได้ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้
ข้อ
๓ ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว
จะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๔[๒] ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัวดังนี้
(ก)
ชนิดที่ ๑ เป็นเงินยี่สิบบาท
(ข)
ชนิดที่ ๒ เป็นเงินแปดสิบบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้ และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวันเดือนปีในเวลานั้น
ข้อ
๕ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
จะขอต่ออายุเป็นใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๖ การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามชนิดใบสำคัญประจำตัวที่ขอต่ออายุ
และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔ แห่งกฎนี้
ข้อ
๗
ใบสำคัญประจำตัวซึ่งได้ออกให้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ หรือซึ่งยังมิได้กำหนดอายุตามกฎกระทรวงนี้
ให้มีอายุใช้ได้ต่อไปอีกหกสิบวัน นับแต่วันประกาศใช้กฎกระทรวงนี้
ใบสำคัญประจำตัวที่กล่าวนี้
เมื่อหมดอายุจะต้องขอต่ออายุใหม่ และในกรณีเช่นนี้ให้นำความในข้อ ๔ ข้อ ๕ และ ข้อ
๖ แห่งกฎนี้มาใช้บังคับ
ข้อ
๘ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้
ข้อ
๙[๓] การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหายนั้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมห้าบาท และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔ แห่งกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม
กฎให้ไว้ ณ วันที่
๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๒
พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว (แบบ ท.ต. ๘)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่
๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๔]
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช
๒๔๘๑[๕]
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๖/-/หน้า ๔๖๒/๒๔ เมษายน ๒๔๘๒
[๒] ข้อ ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
[๓] ข้อ ๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
[๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๓/ตอนที่ ๗๗/หน้า ๖๔๖/๓ ธันวาคม ๒๔๘๙
[๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๓๑/หน้า ๕๔๖/๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๓ |
318596 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2529) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๖ แห่งกฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา ๑๓ ให้ยื่นคำร้องตามแบบ ท.ต. ๘
ท้ายกฎกระทรวงนี้ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกวรรคสองของข้อ ๑๐
แห่งกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๔๙๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑
แห่งกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๔๙๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๑
การออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหายตามความในมาตรา
๑๑ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งร้อยบาท
ข้อ
๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๑๒
แห่งกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๔๙๓
ข้อ ๑๒
ค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัว การต่ออายุใบสำคัญประจำตัวหรือการออกใบแทนใบสำคัญประจำตัวในกรณีใบสำคัญประจำตัวชำรุดหรือสูญหายนั้นให้ชำระเป็นเงินสด
โดยให้นายทะเบียนออกใบเสร็จรับเงินให้ตามแบบ ท.ต. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๘
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๙
พลเอก สิทธิ จิรโรจน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมคนต่างด้าว ในราชการกรมตำรวจ (แบบ ท.ต. ๙)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไข วิธีการชำระค่าธรรมเนียม สำหรับการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว การต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
ฯลฯ ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ซึ่งกำหนดให้ชำระโดยการปิดแสตมป์อากรให้เป็นการชำระโดยเงินสด
โดยให้นายทะเบียนออกใบเสร็จรับเงินให้ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๓/ตอนที่ ๔๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๖/๑๒ มีนาคม ๒๕๒๙ |
591921 | กฎกระทรวง (พ.ศ. 2493) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 (ฉบับ Update ณ วันที่ 12/01/2499) (ฉบับที่ 4)
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎไว้
ดังต่อไปนี้
ลักษณะของใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและรูปถ่าย
ข้อ ๑
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามความในมาตรา ๙ นั้น ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง
๑๐ ซ.ม. ยาว ๑๕ ซ.ม. ปิดรูปถ่ายของผู้ถือ มีลายมือชื่อของนายทะเบียนคาบต่อ
กับมีลักษณะ ขนาด และรายการตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๒
รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา ๖ นั้น
ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงในขณะนั้น
ให้มีขนาดกว้าง ๔ ซ.ม. ยาว ๖ ซ.ม. จำนวน ๓ รูป
ข้อ ๓
รูปถ่ายที่ปิดในใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามความในข้อ ๒ นั้น
ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ผู้นั้น
การส่งรูปใหม่มาเปลี่ยนนี้ให้ส่งมอบรูปถ่ายใหม่รวม ๓ รูป
พร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ตามแบบ ท.ต. ๖
ท้ายกฎกระทรวงนี้
การยื่นเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัว
ข้อ ๔
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวสำหรับตนเอง หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า
๑๒ ปีบริบูรณ์ซึ่งอยู่ในปกครอง หรือนำเข้ามาตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๗
หรือสำหรับคนต่างด้าว ซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นผู้ปกครอง
หรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์ ตามความในมาตรา
๑๕ ให้ยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ และ ๓ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ข้อ ๕
ผู้ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนสัญชาติ เปลี่ยนชื่อตัว เปลี่ยนชื่อรอง
ตลอดชื่อสกุลได้แล้ว หรือผู้ประสงค์จะเปลี่ยนอาชีพ ตามความในมาตรา ๑๔ นั้น ให้ยื่นเรื่องราวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ตามแบบ ท.ต. ๔ และ ๕ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวและ
การออกใบสำคัญแทน
ข้อ ๖
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ตามความในมาตรา ๑๓ นั้น ให้ยื่นคำร้องตามแบบ
ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้ ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนั้นให้ปิดแสตมป์อากร ในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับการต่ออายุ
และจะขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวชนิดที่หนึ่ง หรือชนิดที่สองก็ได้
ข้อ ๗
การขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย ตามความในมาตรา
๑๓ นั้น ให้ยื่นคำร้องตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้ พร้อมด้วยรูปถ่าย ๓ รูป ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
กรณียกเว้น
ข้อ ๘ คนต่างด้าวในกรณีดังต่อไปนี้
ย่อมได้สิทธิยกเว้นตามความในมาตรา ๑๙
ไม่ต้องรับใบสำคัญประจำตัวและไม่ต้องต่ออายุใบสำคัญประจำตัว คือ
๑.
ผู้ที่อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย
๒.
ผู้มีร่างกายพิการเดินไม่ได้ หรือเป็นใบ้ หรือตาบอดทั้งสองข้าง
๓.
ผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ซึ่งนายแพทย์โรคจิตได้ตรวจและรับรองแล้ว
แต่เมื่อเหตุที่ได้รับยกเว้นล่วงพ้นไปแล้ว
ให้ขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวเสียภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่เหตุนั้นได้ล่วงพ้นไป
ข้อ ๙
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวที่ถูกเพิกถอนและต้องส่งคืนนายทะเบียนตามความในมาตรา
๑๘ นั้น ให้เป็นอันเพิกถอนตลอดเวลาที่คนต่างด้าวผู้นั้นยังคงอยู่นอกประเทศ
หากกลับเข้ามาในประเทศอีก ก็ให้ยื่นเรื่องราวขอคืนได้
แต่การออกไปนอกประเทศแล้วกลับเข้ามาอีก
โดยนำหลักฐานการออกและการเข้ามาแสดง
ให้ผ่อนผันยกเว้นเงินค่าธรรมเนียมให้ตลอดเวลาที่อยู่นอกประเทศ
อัตราค่าธรรมเนียม
ข้อ ๑๐[๒] ค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา
๑๑ นอกจากผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน หรือยกเว้น ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้เรียกเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้
ก.
คนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบสำคัญประจำตัว หรือคนต่างด้าวซึ่งใบสำคัญประจำตัวขาดต่ออายุ
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัว หรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
แล้วแต่กรณี เป็นเงิน ๔๐๐ บาท
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวสำหรับปีต่อ ๆ ไปในอัตรา ดังต่อไปนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสองร้อยบาท
๒.
ชนิดที่สอง เป็นเงินแปดร้อยบาท
ข.
คนต่างด้าวซึ่งมีใบสำคัญประจำตัว และได้ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวถูกต้องแล้ว ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวในอัตรา
ดังต่อไปนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสองร้อยบาท
๒.
ชนิดที่สอง เป็นเงินแปดร้อยบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้และให้นายทะเบียนปรุแสตมป์อากร
พร้อมด้วยลงวัน เดือน ปี ในเวลานั้นด้วย
ข้อ ๑๑[๓] การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุด
หรือสูญหาย ตามความในมาตรา ๑๑ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งร้อยบาท ในการเสียค่าธรรมเนียมตามข้อนี้
ให้นำความในข้อ ๑๐ วรรคท้ายมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
บ. เทพหัสดิน
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒.
คำร้องแจ้งเรื่องเด็กต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์ ที่นำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓.
คำร้องของผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
ขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้ผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์
ผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔.
คำร้องขอเปลี่ยนอาชีพเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล (แบบ ท.ต. ๔)
๕.
คำร้องขอเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖.
คำร้องขอส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุด หรือสูญหาย (แบบ ท.ต. ๗)
๘.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๘)
๙.
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวง ฉบับที่
๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๔]
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๕]
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือโดยที่การเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมคนต่างด้าวตามอัตรา
ซึ่งกำหนดไว้ในกฎกระทรวงฯ พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๔๙๕ ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ นั้น เมื่อเทียบเคียงกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วนับว่าเก็บในอัตราสูงมาก
สมควรลดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรับใบสำคัญประจำตัว การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว และการขอรับใบแทนใบสำคัญประจำตัวฉบับเดิมที่ชำรุด
หรือสูญหายเสียใหม่ โดยเรียกเก็บในอัตราพอสมควร เพื่อให้คนต่างด้าวจำนวนมากได้มีโอกาสและสามารถชำระค่าธรรมเนียมได้โดยไม่พยายามหลีกเลี่ยง
หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ในการนี้จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บจากคนต่างด้าวขึ้นใหม่
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๔ ธันวาคม ๒๔๙๓
[๒] ข้อ ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๓] ข้อ ๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๑๑/หน้า ๑๓๒/๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕
[๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๕/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๒ มกราคม ๒๔๙๙ |
326521 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐ แห่งกฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐
ค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัวหรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวตามความในมาตรา
๑๑ นอกจากผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน หรือยกเว้น ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้เรียกเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้
ก.
คนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบสำคัญประจำตัว หรือคนต่างด้าวซึ่งใบสำคัญประจำตัวขาดต่ออายุ
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัว หรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
แล้วแต่กรณี เป็นเงิน ๔๐๐ บาท
และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวสำหรับปีต่อ ๆ ไปในอัตรา ดังต่อไปนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสองร้อยบาท
๒.
ชนิดที่สอง เป็นเงินแปดร้อยบาท
ข.
คนต่างด้าวซึ่งมีใบสำคัญประจำตัว และได้ต่ออายุใบสำคัญประจำตัวถูกต้องแล้ว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวในอัตรา ดังต่อไปนี้
๑.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสองร้อยบาท
๒.
ชนิดที่สอง เป็นเงินแปดร้อยบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้และให้นายทะเบียนปรุแสตมป์อากร
พร้อมด้วยลงวัน เดือน ปี ในเวลานั้นด้วย
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑
แห่งกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๔๙๓ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๑
การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุด หรือสูญหาย ตามความในมาตรา
๑๑ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งร้อยบาท ในการเสียค่าธรรมเนียมตามข้อนี้ ให้นำความในข้อ
๑๐ วรรคท้ายมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้
คือโดยที่การเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมคนต่างด้าวตามอัตรา
ซึ่งกำหนดไว้ในกฎกระทรวงฯ พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๔๙๕ ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ นั้น
เมื่อเทียบเคียงกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วนับว่าเก็บในอัตราสูงมาก
สมควรลดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรับใบสำคัญประจำตัว การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
และการขอรับใบแทนใบสำคัญประจำตัวฉบับเดิมที่ชำรุด หรือสูญหายเสียใหม่
โดยเรียกเก็บในอัตราพอสมควร
เพื่อให้คนต่างด้าวจำนวนมากได้มีโอกาสและสามารถชำระค่าธรรมเนียมได้โดยไม่พยายามหลีกเลี่ยง
หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ในการนี้จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บจากคนต่างด้าวขึ้นใหม่
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๕/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๒ มกราคม ๒๔๙๙ |
301547 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๔๙๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ในกรณีที่แจ้งย้ายภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ชั่วคราวเป็นหนังสือ
ให้ทำตามแบบที่กำหนดไว้ท้ายกฎกระทรวงนี้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๗
พลเรือโท สุนาวินวิวัฒ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบคำร้องแจ้งย้ายภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ชั่วคราว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗
มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๑/ตอนที่ ๗๔/หน้า ๑๗๒๑/๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ |
591919 | กฎกระทรวง (พ.ศ. 2493) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 (ฉบับ Update ณ วันที่ 19/02/2495) (ฉบับที่ 2)
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎไว้
ดังต่อไปนี้
ลักษณะของใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและรูปถ่าย
ข้อ ๑
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามความในมาตรา ๙ นั้น ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง
๑๐ ซ.ม. ยาว ๑๕ ซ.ม. ปิดรูปถ่ายของผู้ถือ มีลายมือชื่อของนายทะเบียนคาบต่อ
กับมีลักษณะ ขนาด และรายการตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๒
รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา ๖ นั้น
ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงในขณะนั้น
ให้มีขนาดกว้าง ๔ ซ.ม. ยาว ๖ ซ.ม. จำนวน ๓ รูป
ข้อ ๓
รูปถ่ายที่ปิดในใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามความในข้อ ๒ นั้น
ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ผู้นั้น
การส่งรูปใหม่มาเปลี่ยนนี้ให้ส่งมอบรูปถ่ายใหม่รวม ๓ รูป
พร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ตามแบบ ท.ต. ๖
ท้ายกฎกระทรวงนี้
การยื่นเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัว
ข้อ ๔
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวสำหรับตนเอง หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า
๑๒ ปีบริบูรณ์ซึ่งอยู่ในปกครอง หรือนำเข้ามาตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๗
หรือสำหรับคนต่างด้าว ซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นผู้ปกครอง
หรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์ ตามความในมาตรา
๑๕ ให้ยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ และ ๓ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ข้อ ๕
ผู้ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนสัญชาติ เปลี่ยนชื่อตัว เปลี่ยนชื่อรอง
ตลอดชื่อสกุลได้แล้ว หรือผู้ประสงค์จะเปลี่ยนอาชีพ ตามความในมาตรา ๑๔ นั้น ให้ยื่นเรื่องราวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ตามแบบ ท.ต. ๔ และ ๕ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวและ
การออกใบสำคัญแทน
ข้อ ๖
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ตามความในมาตรา ๑๓ นั้น ให้ยื่นคำร้องตามแบบ
ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้ ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนั้นให้ปิดแสตมป์อากร ในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับการต่ออายุ
และจะขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวชนิดที่หนึ่ง หรือชนิดที่สองก็ได้
ข้อ ๗
การขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย ตามความในมาตรา
๑๓ นั้น ให้ยื่นคำร้องตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้ พร้อมด้วยรูปถ่าย ๓ รูป ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
กรณียกเว้น
ข้อ ๘ คนต่างด้าวในกรณีดังต่อไปนี้
ย่อมได้สิทธิยกเว้นตามความในมาตรา ๑๙
ไม่ต้องรับใบสำคัญประจำตัวและไม่ต้องต่ออายุใบสำคัญประจำตัว คือ
๑.
ผู้ที่อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย
๒.
ผู้มีร่างกายพิการเดินไม่ได้ หรือเป็นใบ้ หรือตาบอดทั้งสองข้าง
๓.
ผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ซึ่งนายแพทย์โรคจิตได้ตรวจและรับรองแล้ว
แต่เมื่อเหตุที่ได้รับยกเว้นล่วงพ้นไปแล้ว
ให้ขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวเสียภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่เหตุนั้นได้ล่วงพ้นไป
ข้อ ๙
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวที่ถูกเพิกถอนและต้องส่งคืนนายทะเบียนตามความในมาตรา
๑๘ นั้น ให้เป็นอันเพิกถอนตลอดเวลาที่คนต่างด้าวผู้นั้นยังคงอยู่นอกประเทศ
หากกลับเข้ามาในประเทศอีก ก็ให้ยื่นเรื่องราวขอคืนได้
แต่การออกไปนอกประเทศแล้วกลับเข้ามาอีก
โดยนำหลักฐานการออกและการเข้ามาแสดง
ให้ผ่อนผันยกเว้นเงินค่าธรรมเนียมให้ตลอดเวลาที่อยู่นอกประเทศ
อัตราค่าธรรมเนียม
ข้อ ๑๐[๒] การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัว
หรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ตามความในมาตรา ๑๑ นั้น
ให้เรียกเก็บแต่ผู้ได้รับใบสำคัญประจำตัวแล้วทุกคนนอกจากผู้ได้รับการยกเว้นตามพระราชบัญญัตินี้
ในอัตราดังนี้
ก.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสี่ร้อยบาท
ข.
ชนิดที่สอง เป็นเงินหนึ่งพันแปดร้อยบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้ให้
และให้นายทะเบียนขีดฆ่าแสตมป์อากร พร้อมด้วยลง วัน เดือน ปี ในเวลานั้นด้วย
ข้อ ๑๑[๓] การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย
ตามความในวรรคท้ายแห่งมาตรา ๑๑ นั้น ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสองร้อยบาท การเสียค่าธรรมเนียมในข้อนี้นั้น
ให้ปิดแสตมป์อากร ดังกล่าวในข้อ ๑๐ วรรคท้าย
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
บ. เทพหัสดิน
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒.
คำร้องแจ้งเรื่องเด็กต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์ ที่นำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓.
คำร้องของผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
ขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้ผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์
ผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔.
คำร้องขอเปลี่ยนอาชีพเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล (แบบ ท.ต. ๔)
๕.
คำร้องขอเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖.
คำร้องขอส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุด หรือสูญหาย (แบบ ท.ต. ๗)
๘.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๘)
๙.
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวง ฉบับที่
๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๔]
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๔ ธันวาคม ๒๔๙๓
[๒] ข้อ ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๓] ข้อ ๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
[๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๑๑/หน้า ๑๓๒/๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ |
301546 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2495) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐ แห่งกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัว
หรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ตามความในมาตรา ๑๑ นั้น
ให้เรียกเก็บแต่ผู้ได้รับใบสำคัญประจำตัวแล้วทุกคนนอกจากผู้ได้รับการยกเว้นตามพระราชบัญญัตินี้
ในอัตราดังนี้
ก.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสี่ร้อยบาท
ข.
ชนิดที่สอง เป็นเงินหนึ่งพันแปดร้อยบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้ให้
และให้นายทะเบียนขีดฆ่าแสตมป์อากร พร้อมด้วยลง วัน เดือน ปี ในเวลานั้นด้วย
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑ แห่งกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๑
การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย
ตามความในวรรคท้ายแห่งมาตรา ๑๑ นั้น ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสองร้อยบาท
การเสียค่าธรรมเนียมในข้อนี้นั้น ให้ปิดแสตมป์อากร ดังกล่าวในข้อ ๑๐ วรรคท้าย
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๕
พล ต.ท. ผ. ศรียานนท์
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๖ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๑๑/หน้า ๑๓๒/๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ |
591928 | กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 (ฉบับ Update ณ วันที่ 01/04/2493) (ฉบับที่ 3)
| กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้อธิบดีกรมตำรวจเป็นนายทะเบียนมีหน้าที่ควบคุมการทะเบียนคนต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร
ข้อ ๒[๒] ให้สารวัตรสถานีตำรวจนครบาลประจำท้องที่
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับเขตจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
และให้ผู้บังคับกองหรือหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอประจำท้องที่
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับในเขตจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
ข้อ ๓
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒
ปีบริบูรณ์ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ หรือ ๓ ท้ายกฎนี้
แล้วแต่กรณี ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ข้อ ๔ ภายใต้บังคับแห่งข้อ
๕ ในท้องถิ่นใดที่ได้ใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
แล้ว ให้นายทะเบียนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช
๒๔๗๙ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งในกรณีตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้ และให้ถือว่าการแจ้งตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล
พุทธศักราช ๒๔๗๙ เป็นการแจ้งตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้ด้วย
เมื่อได้แสดงใบสำคัญประจำตัวตามที่พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ บังคับไว้ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๕
ผู้ใดจะแจ้งการเกิด การตาย การย้ายที่อยู่ แจ้งชื่อบุตร หรือแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ
ให้แจ้งรายการตามแบบต่อไปนี้ ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เว้นแต่การแจ้งการตายในท้องถิ่นที่ไม่มีเทศบาลนอกจากจังหวัดพระนครและธนบุรีจะแจ้งต่อกำนันท้องที่ก็ได้
(ก) การเกิด การตาย
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในเขตนั้น
(ข) การย้ายที่อยู่
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในจังหวัดพระนครและธนบุรี
(ค) การแจ้งชื่อบุตรให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๔
การแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๕ ท้ายกฎนี้
ข้อ ๖
ใบสำคัญประจำตัว ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง ๑๐ เซนติเมตร ยาว ๑๔ เซนติเมตร
ติดรูปถ่ายของผู้ถือประทับตราพนักงานเจ้าหน้าที่คาบต่อ
และมีข้อความในใบสำคัญประจำตัวตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๗[๓]
รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ นั้น ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง
ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงขณะนั้น และให้มีขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๖
เซนติเมตร ๓ รูป
ข้อ ๘
รูปถ่ายในใบสำคัญประจำตัวจักต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวสำหรับผู้นั้นและให้ส่งมอบรูปถ่ายพร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นตามแบบ
ท.ต. ๖ ท้ายกฎนี้เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดการปิดให้ใหม่
ข้อ ๙
ในกรณีที่ใบสำคัญประจำตัวสูญหาย การขอรับใหม่ ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้
ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยรูปถ่าย
กฎให้ไว้ ณ วันที่ ๙ กันยายน
พุทธศักราช ๒๔๘๐
ศรีเสนา
สั่งราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒. ใบแจ้งความคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์
ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์
หรือผู้เสมือนไร้ความสามารถหรือผู้ไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔. ใบแจ้งชื่อบุตรของคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๔)
๕. ใบแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖. คำร้องเรื่องส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหาย (แบบ ท.ต.
๗)
๘. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๔]
ข้อ ๒
ใบสำคัญประจำตัวนั้น กำหนดอายุเป็น ๒ ชนิด ดังนี้
(ก) ชนิดที่หนึ่ง ใช้ได้หนึ่งปี
(ข) ชนิดที่สอง ใช้ได้ห้าปี
ทั้งนี้นับแต่วันที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้
ข้อ ๓
ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว จะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ
๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ ๔
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญ ประจำตัวดังนี้
(ก) ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินยี่สิบบาท
(ข) ชนิดที่สอง เป็นเงินสิบหกบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรดวงละสี่บาทที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้
และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวันเดือนปีในเวลานั้น
ข้อ ๕
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
จะขอต่ออายุเป็นใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ ๖
การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามชนิดใบสำคัญประจำตัวที่ขอต่ออายุ
และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔ แห่งกฎนี้
ข้อ ๗
ใบสำคัญประจำตัวซึ่งได้ออกให้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ หรือซึ่งยังมิได้กำหนดอายุตามกฎกระทรวงนี้
ให้มีอายุใช้ได้ต่อไปอีกหกสิบวัน นับแต่วันประกาศใช้กฎกระทรวงนี้
ใบสำคัญประจำตัวที่กล่าวนี้
เมื่อหมดอายุจะต้องขอต่ออายุใหม่ และในกรณีเช่นนี้ให้นำความในข้อ ๔ ข้อ ๕ และ ข้อ
๖ แห่งกฎนี้มาใช้บังคับ
ข้อ ๘
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้
ข้อ ๙
การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่ศูนย์หายนั้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งบาท และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔
แห่งกฎนี้โดยอนุโลม
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว (แบบ ท.ต. ๘)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวง ฉบับที่
๓ (พ.ศ. ๒๔๙๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙[๕]
สุกัญญา/แก้ไข
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑
สุนันทา/ตรวจ
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑
สุนันทา/จัดทำ
๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ศิรวัชร์/ปรับปรุง
๗ มิถุนายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๕๔/หน้า ๑๐๘๒/๑๓ กันยายน ๒๔๘๐
[๒] ข้อ ๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
[๓] ข้อ ๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช
๒๔๘๑
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๕๖/ตอนที่ -/หน้า ๔๖๒/๒๔ เมษายน ๒๔๘๒
[๕] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๑๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑ เมษายน ๒๔๙๓ |
318595 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2493) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2481 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙
และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช
๒๔๘๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑.
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔
แห่งกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ ลงวันที่
๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๒ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัวดังนี้
(ก) ชนิดที่ ๑ เป็นเงินยี่สิบบาท
(ข) ชนิดที่ ๒ เป็นเงินแปดสิบบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้ และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวันเดือนปีในเวลานั้น
ข้อ ๒.
ให้ยกเลิกความในข้อ ๙
แห่งกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ ลงวันที่ ๒๐
เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๙ การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหายนั้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมห้าบาท และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔
แห่งกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
ม. พรหมโยธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๖ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๓๑/หน้า ๕๔๖/๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๓ |
301545 | กฎกระทรวง (พ.ศ. 2493) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎไว้
ดังต่อไปนี้
ลักษณะของใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและรูปถ่าย
ข้อ ๑
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามความในมาตรา ๙ นั้น ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง
๑๐ ซ.ม. ยาว ๑๕ ซ.ม. ปิดรูปถ่ายของผู้ถือ มีลายมือชื่อของนายทะเบียนคาบต่อ
กับมีลักษณะ ขนาด และรายการตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๒
รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา ๖ นั้น
ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงในขณะนั้น
ให้มีขนาดกว้าง ๔ ซ.ม. ยาว ๖ ซ.ม. จำนวน ๓ รูป
ข้อ ๓
รูปถ่ายที่ปิดในใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามความในข้อ ๒ นั้น
ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวให้ผู้นั้น
การส่งรูปใหม่มาเปลี่ยนนี้ให้ส่งมอบรูปถ่ายใหม่รวม ๓ รูป
พร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ตามแบบ ท.ต. ๖
ท้ายกฎกระทรวงนี้
การยื่นเรื่องราวขอใบสำคัญประจำตัว
ข้อ ๔
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวสำหรับตนเอง หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า
๑๒ ปีบริบูรณ์ซึ่งอยู่ในปกครอง หรือนำเข้ามาตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๗
หรือสำหรับคนต่างด้าว ซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นผู้ปกครอง
หรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคนต่างด้าวที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์ ตามความในมาตรา
๑๕ ให้ยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ และ ๓ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ข้อ ๕
ผู้ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนสัญชาติ เปลี่ยนชื่อตัว เปลี่ยนชื่อรอง
ตลอดชื่อสกุลได้แล้ว หรือผู้ประสงค์จะเปลี่ยนอาชีพ ตามความในมาตรา ๑๔ นั้น ให้ยื่นเรื่องราวต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
ตามแบบ ท.ต. ๔ และ ๕ ท้ายกฎนี้ แล้วแต่กรณี
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวและ
การออกใบสำคัญแทน
ข้อ ๖
การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ตามความในมาตรา ๑๓ นั้น ให้ยื่นคำร้องตามแบบ
ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้ ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนั้นให้ปิดแสตมป์อากร ในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับการต่ออายุ
และจะขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวชนิดที่หนึ่ง หรือชนิดที่สองก็ได้
ข้อ ๗
การขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย ตามความในมาตรา
๑๓ นั้น ให้ยื่นคำร้องตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้ พร้อมด้วยรูปถ่าย ๓ รูป ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่
กรณียกเว้น
ข้อ ๘ คนต่างด้าวในกรณีดังต่อไปนี้
ย่อมได้สิทธิยกเว้นตามความในมาตรา ๑๙
ไม่ต้องรับใบสำคัญประจำตัวและไม่ต้องต่ออายุใบสำคัญประจำตัว คือ
๑.
ผู้ที่อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย
๒.
ผู้มีร่างกายพิการเดินไม่ได้ หรือเป็นใบ้ หรือตาบอดทั้งสองข้าง
๓.
ผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ซึ่งนายแพทย์โรคจิตได้ตรวจและรับรองแล้ว
แต่เมื่อเหตุที่ได้รับยกเว้นล่วงพ้นไปแล้ว
ให้ขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวเสียภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่เหตุนั้นได้ล่วงพ้นไป
ข้อ ๙
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวที่ถูกเพิกถอนและต้องส่งคืนนายทะเบียนตามความในมาตรา
๑๘ นั้น ให้เป็นอันเพิกถอนตลอดเวลาที่คนต่างด้าวผู้นั้นยังคงอยู่นอกประเทศ
หากกลับเข้ามาในประเทศอีก ก็ให้ยื่นเรื่องราวขอคืนได้
แต่การออกไปนอกประเทศแล้วกลับเข้ามาอีก
โดยนำหลักฐานการออกและการเข้ามาแสดง
ให้ผ่อนผันยกเว้นเงินค่าธรรมเนียมให้ตลอดเวลาที่อยู่นอกประเทศ
อัตราค่าธรรมเนียม
ข้อ ๑๐
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัว
หรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว ตามความในมาตรา ๑๑ นั้น
ให้เรียกเก็บแต่ผู้ได้รับใบสำคัญประจำตัวแล้วทุกคน
นอกจากผู้ได้รับการยกเว้นตามพระราชบัญญัตินี้ ในอัตราดังนี้
ก.
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินยี่สิบบาท
ข.
ชนิดที่สอง เป็นเงินแปดสิบบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรที่ใบสำคัญประจำตัว
ในหน้าซึ่งกำหนดไว้ให้ปิดรูปถ่าย
และให้นายทะเบียนขีดฆ่าแสตมป์อากรพร้อมด้วยลงวันเดือนปีในเวลานั้นด้วย
ข้อ ๑๑
การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหายตามความในวรรคท้ายแห่งมาตรา
๑๑ นั้น ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมยี่สิบบาท การเสียค่าธรรมเนียมในข้อนี้นั้น
ให้ปิดแสตมป์อากรโดยวิธีที่กล่าวในข้อ ๑๐ วรรคท้าย
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
บ. เทพหัสดิน
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒.
คำร้องแจ้งเรื่องเด็กต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์ ที่นำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓.
คำร้องของผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม
ขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้ผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า ๑๖ ปีบริบูรณ์
ผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔.
คำร้องขอเปลี่ยนอาชีพเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อรอง หรือชื่อสกุล (แบบ ท.ต. ๔)
๕.
คำร้องขอเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖.
คำร้องขอส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗.
คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุด หรือสูญหาย (แบบ ท.ต. ๗)
๘.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๘)
๙.
ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ดลธี/ผู้จัดทำ
๖ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๔ ธันวาคม ๒๔๙๓ |
301544 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2493) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๔๙๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความในข้อ ๒
แห่งกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ ลงวันที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒
ให้สารวัตรสถานีตำรวจนครบาลประจำท้องที่ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
สำหรับเขตจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี และให้ผู้บังคับกองหรือหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอประจำท้องที่
เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
สำหรับในเขตจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
ม. พรหมโยธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๖ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๑๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑ เมษายน ๒๔๙๓ |
591931 | กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2481 (ฉบับ Update ณ วันที่ 03/12/2489) (ฉบับที่ 2)
| กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙
และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗
แห่งกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗ รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
นั้น ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงขณะนั้น
และให้มีขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๖ เซนติเมตร ๓ รูป
ข้อ
๒ ใบสำคัญประจำตัวนั้น กำหนดอายุเป็น
๒ ชนิด ดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง ใช้ได้หนึ่งปี
(ข)
ชนิดที่สอง ใช้ได้ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้
ข้อ
๓ ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว
จะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๔[๒] ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินแปดบาท
(ข)
ชนิดที่สอง เป็นเงินสามสิบสองบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียเงินค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรราคาดวงละสี่บาทที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้ และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวัน
เดือน ปีในเวลานั้น
ข้อ
๕ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
จะขอต่ออายุเป็นใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๖ การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามชนิดใบสำคัญประจำตัวที่ขอต่ออายุ
และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔ แห่งกฎนี้
ข้อ
๗
ใบสำคัญประจำตัวซึ่งได้ออกให้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ หรือซึ่งยังมิได้กำหนดอายุตามกฎกระทรวงนี้
ให้มีอายุใช้ได้ต่อไปอีกหกสิบวัน นับแต่วันประกาศใช้กฎกระทรวงนี้
ใบสำคัญประจำตัวที่กล่าวนี้
เมื่อหมดอายุจะต้องขอต่ออายุใหม่ และในกรณีเช่นนี้ให้นำความในข้อ ๔ ข้อ ๕ และ ข้อ
๖ แห่งกฎนี้มาใช้บังคับ
ข้อ
๘ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้
ข้อ
๙ การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหายนั้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งบาท และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔
แห่งกฎนี้โดยอนุโลม
กฎให้ไว้ ณ วันที่
๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๒
พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว (แบบ ท.ต. ๘)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่
๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๓]
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๖/-/หน้า ๔๖๒/๒๔ เมษายน ๒๔๘๒
[๒] ข้อ ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
[๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๓/ตอนที่ ๗๗/หน้า ๖๔๖/๓ ธันวาคม ๒๔๘๙ |
326634 | กฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ 2) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2481 | กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
(ฉบับที่ ๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียน
คนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓)
พุทธศักราช ๒๔๘๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ แห่งกฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน
๒๔๘๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญดังนี้
(ก) ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินแปดบาท
(ข) ชนิดที่สอง เป็นเงินสามสิบสองบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียเงินค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรราคาดวงละสี่บาทที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้
และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวัน เดือน ปีในเวลานั้น
ข้อ ๒
ให้ใช้กฎนี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๐ เป็นต้นไป
กฎให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
ช. เชวงศักดิ์สงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๖ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๓/ตอนที่ ๗๗/หน้า ๖๔๖/๓ ธันวาคม ๒๔๘๙ |
591926 | กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 (ฉบับ Update ณ วันที่ 24/04/2482) (ฉบับที่ 2)
| กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้อธิบดีกรมตำรวจเป็นนายทะเบียนมีหน้าที่ควบคุมการทะเบียนคนต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร
ข้อ ๒
ให้นายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตท้องที่อำเภอนั้น ๆ
ข้อ ๓
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒
ปีบริบูรณ์ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ หรือ ๓ ท้ายกฎนี้
แล้วแต่กรณี ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ข้อ ๔
ภายใต้บังคับแห่งข้อ ๕
ในท้องถิ่นใดที่ได้ใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
แล้ว ให้นายทะเบียนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช
๒๔๗๙ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งในกรณีตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้
และให้ถือว่าการแจ้งตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
เป็นการแจ้งตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้ด้วย
เมื่อได้แสดงใบสำคัญประจำตัวตามที่พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ บังคับไว้ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๕
ผู้ใดจะแจ้งการเกิด การตาย การย้ายที่อยู่ แจ้งชื่อบุตร
หรือแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ ให้แจ้งรายการตามแบบต่อไปนี้ ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เว้นแต่การแจ้งการตายในท้องถิ่นที่ไม่มีเทศบาลนอกจากจังหวัดพระนครและธนบุรีจะแจ้งต่อกำนันท้องที่ก็ได้
(ก) การเกิด การตาย
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในเขตนั้น
(ข) การย้ายที่อยู่
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในจังหวัดพระนครและธนบุรี
(ค) การแจ้งชื่อบุตรให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๔
การแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๕ ท้ายกฎนี้
ข้อ ๖
ใบสำคัญประจำตัว ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง ๑๐ เซนติเมตร ยาว ๑๔ เซนติเมตร
ติดรูปถ่ายของผู้ถือประทับตราพนักงานเจ้าหน้าที่คาบต่อ
และมีข้อความในใบสำคัญประจำตัวตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๗[๒] รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ นั้น ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงขณะนั้น
และให้มีขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๖ เซนติเมตร ๓ รูป
ข้อ ๘
รูปถ่ายในใบสำคัญประจำตัวจะต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี
นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวสำหรับผู้นั้นและให้ส่งมอบรูปถ่ายพร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นตามแบบ
ท.ต. ๖ ท้ายกฎนี้ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดการปิดให้ใหม่
ข้อ ๙
ในกรณีที่ใบสำคัญประจำตัวสูญหาย การขอรับใหม่ ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้
ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยรูปถ่าย
กฎให้ไว้ ณ วันที่ ๙ กันยายน
พุทธศักราช ๒๔๘๐
ศรีเสนา
สั่งราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒. ใบแจ้งความคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์
ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์
หรือผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือผู้ไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔. ใบแจ้งชื่อบุตรของคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๔)
๕. ใบแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖. คำร้องเรื่องส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหาย (แบบ ท.ต.
๗)
๘. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๓]
ข้อ
๒ ใบสำคัญประจำตัวนั้น กำหนดอายุเป็น
๒ ชนิด ดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง ใช้ได้หนึ่งปี
(ข)
ชนิดที่สอง ใช้ได้ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้
ข้อ
๓ ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว
จะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๔ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัวดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสี่บาท
(ข)
ชนิดที่สอง เป็นเงินสิบหกบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรดวงละสี่บาทที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้
และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวันเดือนปีในเวลานั้น
ข้อ
๕ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
จะขอต่ออายุเป็นใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๖ การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามชนิดใบสำคัญประจำตัวที่ขอต่ออายุ
และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔ แห่งกฎนี้
ข้อ
๗ ใบสำคัญประจำตัวซึ่งได้ออกให้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ หรือซึ่งยังมิได้กำหนดอายุตามกฎกระทรวงนี้
ให้มีอายุใช้ได้ต่อไปอีกหกสิบวัน นับแต่วันประกาศใช้กฎกระทรวงนี้
ใบสำคัญประจำตัวที่กล่าวนี้
เมื่อหมดอายุจะต้องขอต่ออายุใหม่ และในกรณีเช่นนี้ให้นำความในข้อ ๔ ข้อ ๕ และ ข้อ
๖ แห่งกฎนี้มาใช้บังคับ
ข้อ
๘ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้
ข้อ
๙ การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหายนั้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งบาท และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔
แห่งกฎนี้โดยอนุโลม
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว (แบบ ท.ต. ๘)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๔/-/หน้า ๑๐๘๒/๑๓ กันยายน ๒๔๘๐
[๒] ข้อ ๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
[๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๖/-/หน้า ๔๖๒/๒๔ เมษายน ๒๔๘๒ |
338576 | กฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2481
| กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙
และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ และมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗
แห่งกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗ รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
นั้น ต้องเป็นรูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวกเห็นได้ชัดเจนเหมือนตัวจริงขณะนั้น
และให้มีขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๖ เซนติเมตร ๓ รูป
ข้อ
๒ ใบสำคัญประจำตัวนั้น กำหนดอายุเป็น
๒ ชนิด ดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง ใช้ได้หนึ่งปี
(ข)
ชนิดที่สอง ใช้ได้ห้าปี
ทั้งนี้
นับแต่วันที่ออกใบสำคัญประจำตัวให้
ข้อ
๓ ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัว
จะขอรับใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๔ ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัวดังนี้
(ก)
ชนิดที่หนึ่ง เป็นเงินสี่บาท
(ข)
ชนิดที่สอง เป็นเงินสิบหกบาท
ให้ผู้ร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวเสียค่าธรรมเนียมโดยปิดแสตมป์อากรดวงละสี่บาทที่ใบสำคัญประจำตัวในหน้าซึ่งกำหนดไว้สำหรับปิดรูปถ่าย
ในเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้
และต้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประทับตราฆ่าแสตมป์อากรและลงวันเดือนปีในเวลานั้น
ข้อ
๕ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
จะขอต่ออายุเป็นใบสำคัญประจำตัวชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่กล่าวในข้อ ๒ แห่งกฎนี้ก็ได้
ข้อ
๖ การต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามชนิดใบสำคัญประจำตัวที่ขอต่ออายุ
และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔ แห่งกฎนี้
ข้อ
๗
ใบสำคัญประจำตัวซึ่งได้ออกให้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑ หรือซึ่งยังมิได้กำหนดอายุตามกฎกระทรวงนี้
ให้มีอายุใช้ได้ต่อไปอีกหกสิบวัน นับแต่วันประกาศใช้กฎกระทรวงนี้
ใบสำคัญประจำตัวที่กล่าวนี้
เมื่อหมดอายุจะต้องขอต่ออายุใหม่ และในกรณีเช่นนี้ให้นำความในข้อ ๔ ข้อ ๕ และ ข้อ
๖ แห่งกฎนี้มาใช้บังคับ
ข้อ
๘ การขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๘ ท้ายกฎนี้
ข้อ
๙ การออกใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหายนั้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหนึ่งบาท และการเสียค่าธรรมเนียมให้ปฏิบัติตามความในข้อ ๔
แห่งกฎนี้โดยอนุโลม
กฎให้ไว้ ณ วันที่
๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๒
พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัว (แบบ ท.ต. ๘)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ดลธี/ผู้จัดทำ
๖ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๖/-/หน้า ๔๖๒/๒๔ เมษายน ๒๔๘๒ |
301543 | กฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2479 | กฎกระทรวงมหาดไทย
กฎกระทรวงมหาดไทย
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้อธิบดีกรมตำรวจเป็นนายทะเบียนมีหน้าที่ควบคุมการทะเบียนคนต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร
ข้อ ๒
ให้นายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตท้องที่อำเภอนั้น ๆ
ข้อ ๓
ผู้ใดจะขอรับใบสำคัญประจำตัว หรือแจ้งเรื่องคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒
ปีบริบูรณ์ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๑, ๒ หรือ ๓ ท้ายกฎนี้
แล้วแต่กรณี ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ข้อ ๔
ภายใต้บังคับแห่งข้อ ๕
ในท้องถิ่นใดที่ได้ใช้พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
แล้ว ให้นายทะเบียนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช
๒๔๗๙ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งในกรณีตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้
และให้ถือว่าการแจ้งตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
เป็นการแจ้งตามข้อ ๕ แห่งกฎนี้ด้วย
เมื่อได้แสดงใบสำคัญประจำตัวตามที่พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช
๒๔๗๙ บังคับไว้ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๕
ผู้ใดจะแจ้งการเกิด การตาย การย้ายที่อยู่ แจ้งชื่อบุตร
หรือแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ ให้แจ้งรายการตามแบบต่อไปนี้ ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เว้นแต่การแจ้งการตายในท้องถิ่นที่ไม่มีเทศบาลนอกจากจังหวัดพระนครและธนบุรีจะแจ้งต่อกำนันท้องที่ก็ได้
(ก) การเกิด การตาย
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในเขตนั้น
(ข) การย้ายที่อยู่
ให้แจ้งตามแบบของกรมการอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในจังหวัดพระนครและธนบุรี
(ค) การแจ้งชื่อบุตรให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๔
การแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติให้แจ้งตามแบบ ท.ต. ๕ ท้ายกฎนี้
ข้อ ๖
ใบสำคัญประจำตัว ให้ทำเป็นเล่มขนาดกว้าง ๑๐ เซนติเมตร ยาว ๑๔ เซนติเมตร
ติดรูปถ่ายของผู้ถือประทับตราพนักงานเจ้าหน้าที่คาบต่อ
และมีข้อความในใบสำคัญประจำตัวตามแบบท้ายกฎนี้
ข้อ ๗
รูปถ่ายของคนต่างด้าวที่จะต้องส่งตามความในมาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙ นั้น
ต้องเป็นรูปถ่ายหน้าตรงครึ่งตัว ไม่สวมหมวก ให้เห็นชัดเจนเหมือนตัวจริงขณะนั้น
และให้มีขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๖ เซนติเมตร ๔ รูป
ข้อ ๘
รูปถ่ายในใบสำคัญประจำตัวจะต้องเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ ๕ ปี
นับแต่วันออกใบสำคัญประจำตัวสำหรับผู้นั้นและให้ส่งมอบรูปถ่ายพร้อมด้วยใบสำคัญประจำตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นตามแบบ
ท.ต. ๖ ท้ายกฎนี้ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดการปิดให้ใหม่
ข้อ ๙
ในกรณีที่ใบสำคัญประจำตัวสูญหาย การขอรับใหม่ ให้ทำตามแบบ ท.ต. ๗ ท้ายกฎนี้
ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยรูปถ่าย
กฎให้ไว้ ณ วันที่ ๙ กันยายน
พุทธศักราช ๒๔๘๐
ศรีเสนา
สั่งราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๑)
๒. ใบแจ้งความคนต่างด้าวอายุต่ำกว่า ๑๒ ปีบริบูรณ์
ซึ่งมีอยู่ในปกครองหรือนำเข้ามา (แบบ ท.ต. ๒)
๓. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์
หรือผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือผู้ไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต. ๓)
๔. ใบแจ้งชื่อบุตรของคนต่างด้าว (แบบ ท.ต. ๔)
๕. ใบแจ้งการเปลี่ยนสัญชาติ (แบบ ท.ต. ๕)
๖. คำร้องเรื่องส่งมอบรูปถ่ายใหม่ (แบบ ท.ต. ๖)
๗. คำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวใหม่แทนใบที่สูญหาย (แบบ ท.ต.
๗)
๘. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ดลธี/ผู้จัดทำ
๖ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๔/-/หน้า ๑๐๘๒/๑๓ กันยายน ๒๔๘๐ |
689941 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๕ ประกอบมาตรา ๔ บทนิยามคำว่า นายทะเบียน แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิก
(๑) ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ ลงวันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
(๒) ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ ลงวันที่ ๒๕
ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๗
ข้อ ๒ ให้แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งต่อไปนี้เป็นนายทะเบียนและมีอำนาจหน้าที่ตามท้องที่ที่กำหนด
ดังนี้
(๑) ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เป็นนายทะเบียนมีอำนาจหน้าที่ทั่วราชอาณาจักร
(๒) ส่วนกลาง
ให้ผู้กำกับการที่ทำหน้าที่หัวหน้าสถานีตำรวจนครบาล เป็นนายทะเบียนมีอำนาจหน้าที่ในเขตท้องที่ของตน
(๓) ส่วนภูมิภาค
(ก) ให้ผู้กำกับการ สารวัตรใหญ่ หรือสารวัตร
ที่ทำหน้าที่หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรเป็นนายทะเบียนมีอำนาจหน้าที่ในเขตท้องที่ของตน
(ข) ให้กำนันและผู้ใหญ่บ้าน เป็นนายทะเบียนเฉพาะเรื่องรับแจ้ง
การย้าย และตาย ตามความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๔๙๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๗
และมีอำนาจหน้าที่เฉพาะในเขตท้องที่ของตน ทั้งนี้
ไม่เป็นการกระทบอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนตาม (ก)
ข้อ ๓[๑] ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖
จารุพงศ์
เรืองสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๕ สิงหาคม ๒๕๕๖
อุษมล/ผู้ตรวจ
๗ สิงหาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๙๐ ง/หน้า ๓๐/๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ |
683277 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นและการลดหย่อนค่าธรรมเนียมให้แก่คนต่างด้าวที่ได้รับการกำหนดสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทย | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
การยกเว้นและการลดหย่อนค่าธรรมเนียมให้แก่คนต่างด้าว
ที่ได้รับการกำหนดสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ของบุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
ด้วยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓
อนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ประเภทไร้สัญชาตินอกกำหนดคนต่างด้าว ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ๔ ประเภท ได้แก่ ๑.
ประเภทที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและอาศัยอยู่มานาน ๒.
ประเภทกลุ่มเด็กและบุคคลทั้งที่กำลังเรียนอยู่ในสถานศึกษาและจบการศึกษาแล้วแต่ไม่มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย
๓. ประเภทคนต่างด้าวที่ถูกบุพการีทอดทิ้งหรือไม่ปรากฏบิดาและมารดา (คนไร้รากเหง้า)
๔. ประเภทบุคคลที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศ ตามมาตรา ๑๗
แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ และกระทรวงมหาดไทยมีประกาศลงวันที่ ๒๖
กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง ให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่บุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและอาศัยอยู่มานาน
ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
เนื่องจากมีอัตราค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
ค่าธรรมเนียมใบสำคัญถิ่นที่อยู่ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
และค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
หรือการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ แต่ผู้ที่ได้รับการกำหนดสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ ดังกล่าวข้างต้น ส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะยากจน
สมควรได้รับการยกเว้นและลดหย่อนค่าธรรมเนียม
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗ มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงประกาศให้บุคคลตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่
๒๖ กันยายน ๒๕๕๕
ดังกล่าวข้างต้นได้รับการยกเว้นและลดหย่อนค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อมีถิ่นที่อยู่
ค่าธรรมเนียมใบสำคัญถิ่นที่อยู่ค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
และค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
ในเขตท้องที่ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ บุคคลประเภท (ก)
กลุ่มเด็กและบุคคลทั้งที่กำลังเรียนอยู่ในสถานศึกษาและจบการศึกษาแล้วแต่ไม่มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย
และ (ข) คนต่างด้าวที่ถูกบุพการีทอดทิ้งหรือไม่ปรากฏบิดาและมารดา (คนไร้รากเหง้า)
ให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม และลดหย่อนค่าธรรมเนียม คือ
(๑) ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อมีถิ่นที่อยู่
และค่าธรรมเนียมใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
(๒) ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
และลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
เป็นอัตราปีละหนึ่งร้อยบาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓
ข้อ ๒ บุคคลประเภท (ก)
บุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและอาศัยอยู่มานาน ที่มิได้มีเชื้อสายไทย และ
(ข) บุคคลที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศ
ให้ได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียม คือ
(๑) ให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อมีถิ่นที่อยู่
เป็นอัตราคนละหนึ่งร้อยบาท และลดหย่อนค่าธรรมเนียมใบสำคัญถิ่นที่อยู่
เป็นอัตราฉบับละห้าร้อยบาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
(๒) ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
และลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
เป็นอัตราปีละหนึ่งร้อยบาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖
จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๓๑ ง/หน้า ๒๓/๘ มีนาคม ๒๕๕๖ |
580522 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ชาวมอแกนที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักร
| ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
การยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ชาวมอแกนที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เห็นชอบให้สถานะคนต่างด้าวชาวมอแกนเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ประเภทไร้สัญชาตินอกกำหนดคนต่างด้าว ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๗ และมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบกับมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
จึงประกาศให้ชาวมอแกนที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรและมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อมีถิ่นที่อยู่ ใบสำคัญถิ่นที่อยู่
และใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในกรณีที่ผู้ขอใบสำคัญถิ่นที่อยู่เป็นคู่สมรสหรือบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลกลุ่มนี้
ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร
และขอรับหรือได้รับใบสำคัญถิ่นที่อยู่แล้ว ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
และยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ.
๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
ในเขตท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันซึ่งเป็นพื้นที่ประสบภัยธรณีพิบัติ ๖
จังหวัด ต่อไปนี้
๑.
จังหวัดกระบี่
๒.
จังหวัดตรัง
๓.
จังหวัดพังงา
๔.
จังหวัดภูเก็ต
๕.
จังหวัดระนอง
๖.
จังหวัดสตูล
ทั้งนี้
ให้ใช้บังคับนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ ณ วันที่ ๑๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
ร้อยตำรวจเอก
เฉลิม อยู่บำรุง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้ประกาศฉบับนี้ คือ โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘
กันยายน ๒๕๕๐ เห็นชอบในการให้สถานะคนต่างด้าว
เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายประเภทไร้สัญชาตินอกกำหนดคนต่างด้าว ตามมาตรา ๑๗
แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ แก่ชาวมอแกนที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักร
ซึ่งชาวมอแกนส่วนใหญ่เป็นชาวเลที่มีฐานะยากจน
และอาศัยอยู่ในพื้นที่ประสบภัยธรณีพิบัติ ๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่
จังหวัดตรัง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสตูล
สมควรได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมในเขตท้องที่จังหวัดดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกประกาศนี้
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๘๖ ง/หน้า ๒๖/๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๑ |
606474 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ชาวเขาที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักร
| ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
การยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ชาวเขาที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยที่ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๘
เห็นชอบให้สถานะคนต่างด้าวแก่ชาวเขาที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อมีถิ่นที่อยู่ และค่าธรรมเนียมใบสำคัญที่อยู่ในราชอาณาจักรกับยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗ และมาตรา ๖๐
แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ กับมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓ กระทรวงมหาดไทย จึงประกาศให้ชาวเขาที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรและมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อมีถิ่นที่อยู่
ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญถิ่นที่อยู่
ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในกรณีที่ผู้ขอใบสำคัญถิ่นที่อยู่เป็นคู่สมรสหรือบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลกลุ่มนี้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร
และขอรับหรือได้รับใบสำคัญถิ่นที่อยู่แล้วตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๒๙)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
กับให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวบางส่วน ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔
(พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ เหลือปีละ
๑๐๐ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น ในพื้นที่ ๒๐ จังหวัดต่อไปนี้
๑. จังหวัดกาญจนบุรี
๒. จังหวัดกำแพงเพชร
๓. จังหวัดเชียงราย
๔. จังหวัดเชียงใหม่
๕. จังหวัดตาก
๖. จังหวัดน่าน
๗. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
๘. จังหวัดพิษณุโลก
๙. จังหวัดเพชรบุรี
๑๐. จังหวัดเพชรบูรณ์
๑๑. จังหวัดแพร่
๑๒. จังหวัดพะเยา
๑๓. จังหวัดแม่ฮ่องสอน
๑๔. จังหวัดราชบุรี
๑๕. จังหวัดลำปาง
๑๖. จังหวัดลำพูน
๑๗ จังหวัดเลย
๑๘. จังหวัดสุโขทัย
๑๙. จังหวัดสุพรรณบุรี
๒๐. จังหวัดอุทัยธานี
ทั้งนี้
ให้ใช้บังคับนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๐
เสนาะ เทียนทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๔/ตอนพิเศษ ๑๓ ง/หน้า ๑/๑ มีนาคม ๒๕๔๐ |
318598 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวให้แก่คนต่างด้าวบางกรณี | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้แก่คนต่างด้าวบางกรณี[๑]
ด้วยกระทรวงมหาดไทยเห็นสมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ให้แก่คนต่างด้าวบางกรณี เพื่อให้คนต่างด้าวเหล่านั้นได้มีโอกาสปฏิบัติการให้เป็นที่ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๙๓
จึงประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมย้อนหลังในการรับและต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
ดังต่อไปนี้
๑. คนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและมีหลักฐานการเข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย
โดยได้รับใบสำคัญแสดงรูปพรรณ (ต.ม. ๙) หรือใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (ต.ม. ๑๑)
หรือมีชื่ออยู่ในใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของบิดามารดาหรือผู้ปกครองแล้ว
แต่ยังมิได้ขอรับใบสำคัญประจำตัวถึงวันประกาศนี้เป็นระยะเวลา ๓ ปีขึ้นไป
คงให้ชำระค่าธรรมเนียมในการรับและต่ออายุใบสำคัญประจำตัวเป็นจำนวนเงินเพียง ๖๐๐
บาท ส่วนจำนวนนอกจากนั้นเป็นอันได้รับการยกเว้น
๒. คนต่างด้าวซึ่งได้รับใบสำคัญประจำตัวถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
แต่ขาดต่ออายุใบสำคัญประจำตัวถึงวันประกาศนี้เป็นระยะเวลา ๓ ปีขึ้นไป
ไม่ว่าใบสำคัญประจำตัวนั้นเป็นใบสำคัญประจำตัวชนิดที่หนึ่งหรือชนิดที่สองก็ตาม
คงให้ชำระค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบสำคัญประจำตัวเป็นจำนวนเงินเพียง ๖๐๐ บาท
ส่วนจำนวนนอกจากนั้นเป็นอันได้รับการยกเว้น
๓. ให้คนต่างด้าวยื่นคำร้องขอรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวและขอยกเว้นค่าธรรมเนียม
ภายในกำหนด ๑๒๐ วันนับแต่วันประกาศนี้
ต่อนายทะเบียนคนต่างด้าวท้องที่ที่มีภูมิลำเนาและหรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
ส่วนคนต่างด้าวซึ่งไม่ขอรับใบสำคัญประจำตัวหรือขาดต่ออายุใบสำคัญประจำตัวยังไม่ถึง
๓ ปีนั้น ไม่ได้รับการยกเว้น
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๑
พลเอก ป. จารุเสถียร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘๕/ตอนที่ ๕๔/หน้า ๑๗๕๓/๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๑ |
301549 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญประจำตัวให้แก่คนต่างด้าว ซึ่งถูกสั่งเนรเทศฐานไม่รับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญประจำตัวให้แก่คนต่างด้าว
ซึ่งถูกสั่งเนรเทศฐานไม่รับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว[๑]
ด้วยกระทรวงมหาดไทยเห็นสมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวแก่คนต่างด้าวซึ่งได้ถูกสั่งเนรเทศฐานกระทำความผิดไม่รับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวมาแล้ว
เพื่อให้คนต่างด้าวเหล่านั้นได้มีโอกาสปฏิบัติการให้เป็นที่ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๙๓ มาตรา ๑๙
จึงประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมใบสำคัญประจำตัว ดังต่อไปนี้
๑. คนต่างด้าวซึ่งได้กระทำความผิดฐานไม่รับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
และได้ถูกสั่งเนรเทศมาแล้วไม่ถึง ๓ ปี
ให้ชำระค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่ค้างอยู่เพียง ๔๐๐ บาท
ส่วนจำนวนนอกนั้นเป็นอันได้รับการยกเว้น
๒. คนต่างด้าวซึ่งได้กระทำความผิดฐานไม่รับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
และได้ถูกสั่งเนรเทศมาแล้ว ๓ ปีขึ้นไป
ให้ชำระค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่ค้างอยู่เพียง ๒๐๐ บาท
ส่วนจำนวนนอกจากนั้นให้ได้รับการยกเว้น
๓. คนต่างด้าวซึ่งได้กระทำความรับผิดฐานไม่รับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวหากมีอายุ
๖๐ ปีขึ้นไปในวันประกาศนี้
ให้ชำระค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวที่ค้างอยู่เพียง ๒๐๐ บาท
ส่วนจำนวนนอกจากนั้นเป็นอันได้รับการยกเว้น
๔. ค่าธรรมเนียมใบสำคัญประจำตัวดังกล่าวในข้อ
๑, ๒, ๓ ให้ชำระต่อนายทะเบียนท้องที่ซึ่งคนต่างด้าวถูกควบคุมตัวอยู่หรือต่อนายทะเบียนคนต่างด้าวในจังหวัดพระนครธนบุรี
๕. เมื่อคนต่างด้าวได้ชำระค่าธรรมเนียมในการรับหรือต่ออายุใบสำคัญประจำตัวตามนัยดังกล่าวข้างต้นถูกต้องแล้ว
ให้กรมตำรวจเสนอเพิกถอนคำสั่งเนรเทศคนต่างด้าวผู้นั้นต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๑
พลเอก ป. จารุเสถียร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘๕/ตอนที่ ๕๔/หน้า ๑๗๕๑/๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๑ |
314425 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2493
| ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๔๙๓[๑]
อาศัยความตามมาตรา
๔ และ ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งนายทะเบียนเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย
ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๙๓ ดังต่อไปนี้
เฉพาะในส่วนภูมิภาค
ให้หัวหน้ากิ่งสถานีตำรวจภูธรอำเภอ กำนันและผู้ใหญ่บ้าน
เป็นนายทะเบียนรับแจ้งการย้าย และตาย ตามความในมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๗
และมีอำนาจหน้าที่เฉพาะในเขตท้องที่ของตน
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕
ตุลาคม ๒๔๙๗
พล.ร.ท.
สุนาวินวิวัฒ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๑/ตอนที่ ๗๔/หน้า ๒๕๖๔/๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ |
644004 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อธิบดีกรมตำราจสั่งเปรียบเทียบความผิดตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. 2495
| ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
อธิบดีกรมตำราจสั่งเปรียบเทียบความผิด
ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕[๑]
ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๘๑ มาตรา ๘ ซึ่งมีความว่า ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
หากกำหนดโทษปรับอย่างเดียว ให้อธิบดีกรมตำรวจหรือผู้แทนมีอำนาจสั่งเปรียบเทียบได้ นั้น บัดนี้ อธิบดีกรมตำรวจได้มีคำสั่งที่ ๕/๒๔๙๕ ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์
๒๔๙๕ สั่งการเปรียบเทียบไว้ ดังต่อไปนี้
๑.
ในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ให้ผู้กำกับการตำรวจนครบาลขึ้นไปเปรียบเทียบได้
๒.
ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
ให้พนักงานสอบสวนผู้เป็นหัวหน้าในท้องที่หรือผู้รักษาการแทนเปรียบเทียบได้
จึงประกาศให้ทราบทั่วกัน
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓
กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕
พล.ต.ท. ผ. ศรียานนท์
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๙/ตอนที่ ๒๔/หน้า ๙๒๒/๘ เมษายน ๒๔๙๕ |
318597 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2493 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
แต่งตั้งนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๔๙๓[๑]
อาศัยความตามมาตรา ๔, ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งนายทะเบียน ดังต่อไปนี้
๑. ให้อธิบดีกรมตำรวจเป็นนายทะเบียน
มีอำนาจหน้าที่ทั่วราชอาณาจักร
๒. ในเขตจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
ให้สารวัตรสถานีตำรวจนครบาลประจำท้องที่เป็นนายทะเบียน
มีอำนาจหน้าที่ในเขตท้องที่ของตน
๓. ในเขตจังหวัดอื่น
นอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ให้ผู้บังคับกองตำรวจภูธรอำเภอหรือหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเป็นนายทะเบียน
มีอำนาจหน้าที่ในเขตท้องที่ของตน
ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๙๓
บ. เทพหัสดิน
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗/ตอนที่ ๖๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๔ ธันวาคม ๒๔๙๓ |
643994 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ยกเว้นค่าธรรมเนียมและการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว ในบางกรณี
| ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมและการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย
การทะเบียนคนต่างด้าว
ในบางกรณี[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๔)
พุทธศักราช ๒๔๘๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช
๒๔๘๑ ให้แก่บุคคล และในกรณีดังต่อไปนี้
๑.
ผู้อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย
๒.
ผู้มีกายพิการเดินไม่ได้ หรือเป็นใบ้ หรือตาบอดทั้งสองข้าง
๓.
ผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ซึ่งนายแพทย์โรคจิตได้ตรวจและรับรองแล้ว
ทั้งนี้
ให้ยกเว้นไม่ต้องขอรับใบสำคัญประจำตัวตลอดเวลาที่มีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวนี้
แต่เมื่อเหตุที่ได้รับยกเว้นล่วงพ้นไปแล้ว
ให้ขอรับใบสำคัญประจำตัวหรือขอต่ออายุใบสำคัญประจำตัวเสียภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เหตุนั้นได้ล่วงพ้นไป
แล้วแต่กรณี
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙
มกราคม ๒๔๘๖
พล.ต.ท. อ. อดุลเดชจรัส
ลงชื่อแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๙/หน้า ๖๕๘/๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ |
314424 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ให้ยกเว้นการปฏิบัติและผ่อนผันค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว ในบางกรณี | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
ให้ยกเว้นการปฏิบัติและผ่อนผันค่าธรรมเนียม
ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
ในบางกรณี[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช
๒๔๘๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงประกาศให้ยกเว้นการปฏิบัติและผ่อนผันค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว
พุทธศักราช ๒๔๗๙ และที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมต่อมา ให้แก่บุคคลและในกรณี ดังต่อไปนี้
๑.
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้ซึ่งมีเชื้อชาติไทย แต่มีสัญชาติฝรั่งเศส
ซึ่งมีถิ่นที่อยู่หรือได้อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรแล้วก็ดี
หรือซึ่งได้อพยพมาจากดินแดนสิบสองจุไทรหัวพันทั้งห้าทั้งหก แคว้นหลวงพระบาง
แคว้นเวียงจันทร์ ท่าแขก แคว้นสุวรรณเขตต์ จำปาศักดิ์ และแคว้นกำภูชา ในวันประกาศ หรือภายหลังวันประกาศนี้ก็ดี
ให้ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าวที่กล่าวแล้ว
๒.
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนตลอดพุทธศักราช ๒๔๘๔ ผู้ซึ่งมีเชื้อชาติญวน
แต่มีสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งมีถิ่นที่อยู่หรือได้อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรแล้วก็ดี
หรือซึ่งได้อพยพเข้ามาในวันประกาศหรือภายหลังวันประกาศนี้ก็ดี
ให้ผ่อนผันไม่ต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการออกและการต่ออายุใบสำคัญประจำตัว
การยกเว้นและผ่อนผันดังกล่าวแล้วในหมายเลข
๑ และ ๒ นั้น ไม่ว่าบุคคลนั้น ๆ
จะมีหนังสือสำคัญสำหรับตัวเป็นคนในบังคับอารักขาของฝรั่งเศสหรือไม่ก็ดี
เป็นอันยกเว้นและผ่อนผันดังกล่าวแล้ว
ประกาศมา ณ วันที่
๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๓
พล.ต.ต.
อดุลเดชจรัส
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดลธี/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๔
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๗/-/หน้า ๙๔๒/๒๔ ธันวาคม ๒๔๘๓ |
643980 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ยกเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าวในบางกรณี
| ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
ยกเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ
การทะเบียนคนต่างด้าว
ในบางกรณี[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๑
ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๔)
พุทธศักราช ๒๔๘๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประกาศยกเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช ๒๔๗๙
และที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมต่อมา ให้แก่บุคคลเชื้อชาติไทยที่ได้เข้ามาในราชอาณาจักร
ดังต่อไปนี้
๑.
บุคคลผู้มีเชื้อชาติไทยซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในแคว้นสหรัฐไทยใหญ่ แคว้นกะเหรี่ยง
และแคว้นทวาย มอญ
๒.
ได้อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
จากดินแดนที่กล่าวแล้วหรือทางด้านที่ติดต่อกับประเทศพม่า
หรือเป็นผู้ซึ่งได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยก่อนวันประกาศนี้
และไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีหนังสือสำคัญสำหรับตัวว่าเป็นคนในบังคับอังกฤษหรือไม่
ประกาศ ณ วันที่ ๒
กุมภาพันธ์ ๒๔๗๕
พล.ต.ต. อ. อดุลเดชจรัส
ลงนามแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เอกฤทธิ์/ผู้จัดทำ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๙/ตอนที่ ๑๕/หน้า ๔๔๕/๑๐ มีนาคม ๒๔๗๕ |
572446 | พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔
เป็นปีที่ ๔๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙
(๒)
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๓๔ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การทะเบียนราษฎร
หมายความว่า งานทะเบียนต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
หมายความว่า ข้อมูลตัวบุคคลเกี่ยวกับ ชื่อ ชื่อสกุล เพศ วันเดือนปีเกิดและตาย
สัญชาติ ศาสนา ภูมิลำเนา สถานะการสมรส วุฒิการศึกษา ชื่อบิดามารดาหรือผู้รับบุตรบุญธรรม
ชื่อคู่สมรส และชื่อบุตร และข้อมูลอื่นที่จำเป็นเพื่อการดำเนินงานทะเบียนต่าง ๆ
ในพระราชบัญญัตินี้
เลขประจำตัว
หมายความว่า เลขประจำตัวประชาชนที่นายทะเบียนออกให้แก่บุคคลแต่ละคน
บ้าน หมายความว่า
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครอง
และให้หมายความรวมถึงแพ หรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่ประจำ
หรือสถานที่ หรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำได้ด้วย
ทะเบียนบ้าน
หมายความว่า ทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้านซึ่งแสดงเลขประจำบ้าน
และรายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้าน
ทะเบียนคนเกิด
หมายความว่า ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนเกิด
ทะเบียนคนตาย
หมายความว่า ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนตาย
ทะเบียนบ้านกลาง
หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้จัดทำขึ้นสำหรับลงรายการบุคคลที่ไม่อาจมีชื่อในทะเบียนบ้าน
เจ้าบ้าน หมายความว่า
ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า หรือในฐานะอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่ไม่ปรากฏเจ้าบ้าน หรือเจ้าบ้านไม่อยู่ ตาย สูญหาย
สาบสูญ
หรือไม่สามารถปฏิบัติกิจการได้ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่ดูแลบ้านในขณะนั้นเป็นเจ้าบ้าน
ผู้อยู่ในบ้าน
หมายความว่า ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
อำเภอ
ให้หมายความรวมถึงกิ่งอำเภอ
ท้องถิ่น
หมายความว่า กรุงเทพมหานคร เทศบาล เมืองพัทยา
และหน่วยการปกครองท้องถิ่นอื่นที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางโดยอนุมัติรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนสาขา
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนเฉพาะกิจ และนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายทะเบียนหรือผู้ช่วยนายทะเบียน
นายทะเบียนผู้รับแจ้ง
หมายความว่า นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น
และผู้ซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางได้กำหนดให้มีหน้าที่เกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การตาย การย้ายที่อยู่ การสร้างบ้านใหม่ การรื้อบ้าน และการกำหนดเลขประจำบ้าน
โดยได้กำหนดขอบเขตหน้าที่ดังกล่าวไว้
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหรือยกเว้นการปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การแจ้งการตาย การแจ้งการย้ายที่อยู่ การสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร
การจัดทำทะเบียนประวัติ
การจัดทำบัตรประจำตัวหรือการอื่นใดอันเกี่ยวกับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายที่เกี่ยวด้วยสัญชาติได้
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งจะกำหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ไว้ด้วยก็ได้[๒]
มาตรา ๖ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจ
หรือคัดสำเนารายการ หรือให้นายทะเบียนคัดและรับรองซึ่งสำเนาทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิด หรือทะเบียนคนตาย ได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือรายการทะเบียนราษฎรอื่นที่จัดทำตามพระราชบัญญัตินี้สำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยด้วยโดยอนุโลม[๓]
เมื่อได้รับคำขอตามวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้วให้นายทะเบียนดำเนินการโดยเร็ว[๔]
มาตรา ๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงนั้น
กฎกระทรวง
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
สำนักทะเบียนและนายทะเบียน
มาตรา ๘[๕] ภายใต้บังคับมาตรา ๘/๑
ให้มีสำนักทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
(๑)
สำนักทะเบียนกลาง มีผู้อำนวยการทะเบียนกลาง รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักร
(๒)
สำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร มีนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
และผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานคร
(๓)
สำนักทะเบียนจังหวัด
มีนายทะเบียนจังหวัดและผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัดเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตจังหวัด
(๔)
สำนักทะเบียนอำเภอ
มีนายทะเบียนอำเภอและผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตอำเภอ
(๕)
สำนักทะเบียนท้องถิ่น มีนายทะเบียนท้องถิ่นและผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตปกครองท้องถิ่นนั้น
ๆ
มาตรา ๘/๑[๖]
การจัดตั้งสำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา ๘ (๔) และ
(๕) ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศ
โดยคำนึงถึงสภาพแห่งความพร้อมและความสะดวกในการให้บริการประชาชน
รวมตลอดถึงการไม่ซ้ำซ้อนและการประหยัด
สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา
๘ (๔) และ (๕) ที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้วนั้น เมื่อคำนึงถึงสภาพตามวรรคหนึ่งแล้ว
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะยุบหรือควบรวมเข้าด้วยกันก็ได้
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของสำนักทะเบียนที่จัดตั้งตามวรรคหนึ่งหรือควบรวมตามวรรคสอง
ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
มาตรา ๘/๒[๗]
ให้มีนายทะเบียนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
(๑)
อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
มีอำนาจออกระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ
รวมทั้งกำหนดแบบพิมพ์เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
และแต่งตั้งรองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
(๒)
ปลัดกรุงเทพมหานครเป็นนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
(๓)
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด
(๔)
นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี
เป็นนายทะเบียนอำเภอ และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
(๕)
ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต ปลัดเมืองพัทยา
หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
เป็นนายทะเบียนท้องถิ่น และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตาม (๑)
จะมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการทะเบียนกลาง หรือจะมอบอำนาจให้ข้าราชการสังกัดกรมการปกครองปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดด้วยก็ได้[๘]
นายทะเบียนกรุงเทพมหานครตาม
(๒) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งไม่ต่ำกว่าระดับกองในสำนักปลัดกรุงเทพมหานครปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนกรุงเทพมหานครก็ได้
นายทะเบียนจังหวัดตาม
(๓) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือปลัดจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนจังหวัดก็ได้
นายทะเบียนอำเภอตาม
(๔) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
หรือปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนอำเภอก็ได้
นายทะเบียนท้องถิ่นตาม
(๕) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น รองปลัดเทศบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต
รองปลัดเมืองพัทยา
หรือรองหรือผู้ช่วยหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น แล้วแต่กรณี
ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนท้องถิ่นก็ได้
มาตรา ๙ ในกรณีจำเป็นต้องมีสำนักทะเบียนสาขา
หรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดตั้งและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบการปฏิบัติงาน การทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนสาขาหรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่ของสำนักทะเบียนดังกล่าว
และให้นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต
ปลัดเมืองพัทยา หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น แล้วแต่กรณี แต่งตั้งนายทะเบียนและผู้ช่วยนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนดังกล่าวในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ
มาตรา ๑๐ เพื่อความถูกต้องของการทะเบียนราษฎร
ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกเจ้าบ้าน หรือบุคคลใด
ๆ มาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้แสดงหลักฐานต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น และเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยให้มีอำนาจเข้าไปสอบถามผู้อยู่ในบ้านใด
ๆ ได้ ตามอำนาจหน้าที่ แต่ต้องแจ้งให้เจ้าบ้านทราบก่อน ทั้งนี้
ให้กระทำได้ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ในการเข้าไปสอบถามตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่า
การดำเนินการแจ้ง การรับแจ้ง การบันทึก
หรือการลงรายการเพื่อดำเนินการจัดทำหลักฐานทะเบียนต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
ได้ดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอำพราง
หรือโดยมีรายการข้อความผิดจากความเป็นจริง ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งไม่รับแจ้ง
จำหน่ายรายการทะเบียน เพิกถอนหลักฐานทะเบียน
และดำเนินการแก้ไขข้อความรายการทะเบียนให้ถูกต้อง แล้วแต่กรณี
การดำเนินการตามวรรคสาม
รวมตลอดทั้งวิธีการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงและการอุทธรณ์ของผู้ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของนายทะเบียน
รวมถึงการพิจารณาคำอุทธรณ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้
ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนไว้ก่อนที่จะรับฟังคำชี้แจงหรือการโต้แย้งได้[๙]
มาตรา ๑๑ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้นายทะเบียนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๒
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
มาตรา ๑๒
เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร การตรวจสอบพิสูจน์ตัวบุคคลและประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้สำนักทะเบียนกลางดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และปรับปรุงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้ตรงต่อความเป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บข้อมูลและใช้ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับข้อมูลของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เข้ามาหรืออาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
จัดส่งข้อมูลที่มีอยู่ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางร้องขอ[๑๐]
มาตรา ๑๓
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา ๑๒
ไม่รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลของบุคคล ดังต่อไปนี้
(๑)
รายได้
(๒)
ประวัติอาชญากรรม
(๓)
การชำระหรือไม่ชำระภาษีอากร
(๔)
ข้อมูลที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือ
(๕)
ข้อมูลที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องแจ้ง
มาตรา ๑๔ บุคคลผู้มีหน้าที่แจ้งการต่าง ๆ
ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ เจ้าของประวัติซึ่งปรากฏในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา
๑๒ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีเจ้าของประวัติเป็นผู้เยาว์
ผู้อนุบาลในกรณีเจ้าของประวัติเป็นคนไร้ความสามารถหรือทายาทเจ้าของประวัติ
หรือผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลดังกล่าวข้างต้น
อาจขอให้นายทะเบียนดำเนินการได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ ดังนี้
(๑)
คัดและรับรองเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ตามมาตรา ๑๒
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๒)
แก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามความเป็นจริง
เมื่อได้รับคำขอตาม (๒) ให้นายทะเบียนมีคำสั่งโดยเร็ว
คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับคำขอหรือไม่ดำเนินการตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้คู่กรณียื่นอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
หรือผู้อำนวยการทะเบียนกลาง แล้วแต่กรณี
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับทราบคำสั่งจากนายทะเบียน[๑๑]
เงื่อนไข
หลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร และการอุทธรณ์ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๕
ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐอาจขอให้นายทะเบียนจัดส่งสำเนาเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรได้ ทั้งนี้ เฉพาะเพื่อการอันจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ
หรือหน่วยงานของรัฐนั้น
หากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีความประสงค์จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจอนุญาตให้เชื่อมโยงได้เฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่ปรากฏภายในทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย
หรือทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยเท่านั้น[๑๒]
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินในเรื่องการให้บริการแก่ประชาชน
หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงในราชอาณาจักร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะอนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียนอื่นนอกจากทะเบียนตามวรรคสองเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ก็ได้ ทั้งนี้ การพิจารณาอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด[๑๓]
ห้ามมิให้ส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ
หรือพนักงานสอบสวนที่ได้ข้อมูลใดตามมาตรานี้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจหรือในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของทางราชการหรือตามวัตถุประสงค์ที่ร้องขอ[๑๔]
มาตรา ๑๖ ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดเลขประจำตัวแก่ผู้มีสัญชาติไทยหรือคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
และบุคคลที่ได้จดทะเบียนคนเกิด ณ สถานทูตไทย หรือสถานกงสุลไทยตามมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่ง คนละหนึ่งเลขโดยไม่ซ้ำกัน ทั้งนี้
หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดเลขประจำตัวให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องแยกระหว่างผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยด้วย[๑๕]
การยกเว้นการให้เลขประจำตัวแก่บุคคล
ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๗
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรต้องถือเป็นความลับ และให้นายทะเบียนเป็นผู้เก็บรักษาและใช้เพื่อการปฏิบัติตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อความหรือตัวเลขนั้นแก่บุคคลใด ๆ
ซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแก่สาธารณชน เว้นแต่ผู้มีส่วนได้เสียขอทราบเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวของผู้ที่ตนจะมีนิติสัมพันธ์ด้วย
หรือเมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การสถิติ
หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ
หรือการดำเนินคดีและการพิจารณาคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
และไม่ว่าในกรณีใดจะนำข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรไปใช้เป็นหลักฐานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลมิได้
หมวด ๓
คนเกิด คนตาย
มาตรา ๑๘ เมื่อมีคนเกิดให้แจ้งการเกิด ดังต่อไปนี้
(๑)
คนเกิดในบ้าน
ให้เจ้าบ้านหรือบิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่คนเกิดในบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด
(๒)
คนเกิดนอกบ้าน ให้บิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนเกิดนอกบ้านหรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด ในกรณีจำเป็นไม่อาจแจ้งได้ตามกำหนด
ให้แจ้งภายหลังได้แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันเกิด
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อคนเกิดด้วย
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
การแจ้งตามวรรคหนึ่งจะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่อื่นก็ได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง[๑๖]
มาตรา ๑๙[๑๗] ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้งให้นำตัวเด็กไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งปฏิบัติงานในท้องที่ที่พบเด็กนั้นโดยเร็ว
เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้บันทึกการรับตัวเด็กไว้
ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรับเด็กไว้
ให้นำตัวเด็กพร้อมบันทึกการรับตัวเด็กส่งให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเขตท้องที่
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้หรือได้รับตัวเด็กจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแล้ว
ให้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้
ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
บันทึกการรับตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นสองฉบับและเก็บไว้ที่เจ้าหน้าที่ผู้รับตัวเด็กหนึ่งฉบับและส่งมอบให้กับนายทะเบียนผู้รับแจ้งหนึ่งฉบับ
โดยให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการบุคคลของผู้ที่พบเด็ก พฤติการณ์
สถานที่และวันเวลาที่พบเด็ก สภาพทางกายภาพโดยทั่วไปของเด็ก
เอกสารที่ติดตัวมากับเด็ก และประวัติของเด็กเท่าที่ทราบ และในกรณีที่ไม่อาจทราบสัญชาติของเด็กให้บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ด้วย
มาตรา ๑๙/๑[๑๘]
เด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งซึ่งอยู่ในการอุปการะของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนที่จดทะเบียนตามกฎหมายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ถ้าเด็กยังไม่ได้แจ้งการเกิดและไม่มีรายการบุคคลในทะเบียนบ้านให้หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่หน่วยงานนั้นตั้งอยู่
และให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง
ทั้งนี้ ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๙/๒[๑๙] เมื่อได้รับแจ้งการเกิดตามมาตรา
๑๙ หรือมาตรา ๑๙/๑ แล้ว ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
แล้วดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๒๐
ทั้งนี้ ให้ผู้พบเด็ก ผู้รับเด็กไว้
และผู้แจ้งการเกิดให้ความร่วมมือกับนายทะเบียนผู้รับแจ้งในการดำเนินการพิสูจน์ตามที่นายทะเบียนผู้รับแจ้งร้องขอในกรณีที่ไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนประวัติและออกเอกสารแสดงตนให้เด็กไว้เป็นหลักฐาน
เว้นแต่เด็กนั้นมีอายุครบห้าปีแล้วให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นออกบัตรประจำตัวให้แทน
ตามระเบียบและภายในระยะเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ผู้ซึ่งได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตนตามวรรคหนึ่ง
ถ้ามีหลักฐานแสดงว่าได้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
และมีคุณสมบัติอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนด
ให้ผู้นั้นมีสิทธิยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทยได้ และเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องมีสถานะถูกต้องตามเงื่อนไขและมีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าว
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศให้ผู้นั้นมีสัญชาติไทย ทั้งนี้
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้อง
และให้ถือว่าผู้นั้นมีสัญชาติไทยตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีมีประกาศ
ระยะเวลาสิบปีตามวรรคสองให้นับแต่วันที่จัดทำทะเบียนประวัติหรือออกเอกสารแสดงตน
เว้นแต่จะมีหลักฐานอันชัดแจ้งแสดงว่าได้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรมาก่อนหน้านั้นตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ก็ให้นับแต่วันที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรตามที่ปรากฏจากหลักฐาน
ผู้ซึ่งได้รับสัญชาติไทยตามวรรคสอง
ถ้าภายหลังปรากฏหลักฐานว่ามีกรณีไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข หรือขาดคุณสมบัติ
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศเพิกถอนการให้สัญชาตินั้นโดยพลัน
ให้นำความในมาตรานี้มาใช้บังคับกับบุคคลที่เคยอยู่ในการอุปการะของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนตามมาตรา
๑๙/๑ แต่หน่วยงานดังกล่าวได้อนุญาตให้บุคคลอื่นรับไปอุปการะ
และบุคคลที่มิได้แจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๙ หรือมาตรา ๑๙/๑ ซึ่งได้ยื่นคำร้องตามมาตรา
๑๙/๓ หรือขอเพิ่มชื่อตามมาตรา ๓๗
แต่ไม่อาจพิสูจน์สถานการณ์เกิดและสัญชาติได้ด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๙/๓[๒๐] ผู้ซึ่งเจ้าบ้านหรือบิดามารดามิได้แจ้งการเกิดให้ตามมาตรา
๑๘
เมื่อมีอายุครบสิบห้าปีแล้วอาจร้องขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อแจ้งการเกิดได้ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และให้นำความในมาตรา ๑๙/๒ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บุคคลตามวรรคหนึ่งที่อายุยังไม่ครบสิบห้าปี
ให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองแจ้งแทน แต่สำหรับกรณีของบิดามารดา
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการให้ต่อเมื่อได้เสียค่าธรรมเนียมการแจ้งเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว
มาตรา ๒๐[๒๑] เมื่อมีการแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ มาตรา
๑๙ มาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๑๙/๓ ทั้งกรณีของเด็กที่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรับแจ้งการเกิดและออกสูติบัตรเป็นหลักฐานแก่ผู้แจ้งโดยมีข้อเท็จจริงเท่าที่สามารถจะทราบได้
สำหรับการแจ้งการเกิดของเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกสูติบัตรให้ตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
โดยให้ระบุสถานะการเกิดไว้ด้วย
มาตรา ๒๐/๑[๒๒]
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มบุคคลใดหรือให้กลุ่มบุคคลใดแปลงสัญชาติเป็นไทยได้
หรือกรณีมีเหตุจำเป็นอื่น และบุคคลดังกล่าวจำเป็นต้องมีหนังสือรับรองการเกิด
ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวยื่นคำขอหนังสือรับรองการเกิดตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๑ เมื่อมีคนตายให้แจ้งการตาย ดังต่อไปนี้
(๑)
คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง
นับแต่เวลาตาย ในกรณีไม่มีเจ้าบ้าน
ให้ผู้พบศพแจ้งภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาพบศพ
(๒)
คนตายนอกบ้าน
ให้บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพ
แล้วแต่กรณี หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
ในกรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจก็ได้
กำหนดเวลาให้แจ้งตาม
(๑) และ (๒) ถ้าในท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร
แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้แจ้งด้วย
ให้นำความในวรรคสามของมาตรา
๑๘ มาใช้บังคับกับการแจ้งตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม[๒๓]
แบบพิมพ์แจ้งการตายตามวรรคสาม อย่างน้อยต้องระบุวิธีการและสถานที่จัดการศพไว้ด้วย
และในกรณีที่ผู้แจ้งได้แจ้งถึงวิธีการและสถานที่จัดการศพ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งระบุไว้ในหลักฐานการรับแจ้งด้วย[๒๔]
มาตรา ๒๒ เมื่อมีการแจ้งตามมาตรา ๒๑
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกมรณบัตรเป็นหลักฐานให้แก่ผู้แจ้ง
เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๒๕
มาตรา ๒๓ เมื่อมีคนเกิดหรือคนตาย
ผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาลต้องออกหนังสือรับรองการเกิดหรือการตายตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งตามมาตรา
๑๘ หรือมาตรา ๒๑
มาตรา ๒๔[๒๕] ผู้ใดประสงค์จะเก็บ ฝัง เผา ทำลาย
หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีการตายแตกต่างจากที่ได้แจ้งไว้ตามมาตรา
๒๑ หรือยังมิได้แจ้งตามมาตรา ๒๑ ให้แจ้งให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เก็บ ฝัง
เผา ทำลาย หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีการตาย และในกรณีที่ประสงค์จะเก็บศพไว้เป็นการถาวร
ให้แจ้งให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการตาย
มาตรา ๒๕
ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าคนตายด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือตายโดยผิดธรรมชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรีบแจ้งต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
และให้รอการออกมรณบัตรไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานดังกล่าว
มาตรา ๒๖ ให้นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี จัดทำทะเบียนคนเกิดทะเบียนคนตาย
จากสูติบัตรและมรณบัตรตามแบบพิมพ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๗ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทะเบียนคนเกิด
ทะเบียนคนตาย
หรือสูติบัตรและมรณบัตรให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๘[๒๖] ให้กงสุลไทยหรือข้าราชการสถานทูตไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียน
มีหน้าที่รับจดทะเบียนคนเกิด คนตาย และการทะเบียนราษฎรอื่นที่มีขึ้นนอกราชอาณาจักรสำหรับผู้มีสัญชาติไทย
คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และคนต่างด้าวหรือคนไร้สัญชาติที่ถือเอกสารการเดินทางที่รัฐบาลไทยเป็นผู้ออกให้
หลักฐานการจดทะเบียนคนเกิดและคนตายดังกล่าวให้ใช้เป็นสูติบัตรและมรณบัตรได้
ถ้าในที่ซึ่งมีการเกิดหรือการตายตามวรรคหนึ่ง
ไม่มีสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยประจำอยู่ให้ใช้หลักฐานการเกิดหรือการตายที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศนั้น
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้รับรองคำแปลว่าถูกต้องเป็นหลักฐานสูติบัตรและมรณบัตรได้
การจดทะเบียนคนเกิดและคนตายตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
การปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรอื่นตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตกลงกัน
หมวด ๔
การย้ายที่อยู่
มาตรา ๒๙ ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านใด
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นอยู่และมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่นั้น
มาตรา ๓๐[๒๗] เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้านเพื่อเปลี่ยนภูมิลำเนา
ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่บุคคลในทะเบียนบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้าน
แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ย้ายที่อยู่ที่จะแจ้งย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งด้วยตนเอง
โดยจะต้องแจ้งว่าจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านใด
หรือจะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ตนจะไปอยู่ใหม่ก็ได้ ในกรณีที่ยังไม่ทราบว่าจะย้ายไปอยู่บ้านใด
หรือยังมิได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แจ้งการย้ายที่อยู่
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการของผู้นั้นไว้ในทะเบียนบ้านกลาง
และเมื่อผู้ย้ายได้แจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนแล้ว
ให้หน้าที่ในการแจ้งย้ายบุคคลออกของเจ้าบ้านเป็นอันพับไป
ผู้ย้ายที่อยู่ที่จะแจ้งย้ายด้วยตนเองดังกล่าวต้องเป็นผู้มีอายุครบสิบห้าปีแล้ว
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับผู้ย้ายที่อยู่เพื่อไปศึกษาหรือไปรับราชการในต่างประเทศ
หรือไปทำธุรกิจหรือปฏิบัติงานชั่วคราวในต่างประเทศ แต่ไม่ห้ามบุคคลดังกล่าวที่จะแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิมเพื่อไปอยู่ที่อยู่ใหม่หรือไปอยู่ในทะเบียนบ้านกลางเป็นการชั่วคราว
เมื่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งการย้ายเข้าได้ดำเนินการย้ายบุคคลนั้นเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านใด
โดยมีหนังสือยินยอมของเจ้าบ้านนั้นแล้ว
เจ้าบ้านดังกล่าวไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งตามมาตรา ๓๐/๑ อีก
มาตรา ๓๐/๑[๒๘] ภายใต้บังคับมาตรา ๓๐ วรรคสาม
เจ้าบ้านใดมีผู้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านโดยมีเจตนาจะถือเป็นภูมิลำเนา
ให้แจ้งให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งทราบเพื่อเพิ่มชื่อบุคคลนั้นเข้าในทะเบียนบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้ย้ายได้เข้าอยู่ในบ้าน
เมื่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งได้รับแจ้งแล้ว ถ้าผู้ย้ายเข้ายังมิได้ย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
เพื่อย้ายบุคคลนั้นออกจากทะเบียนบ้านเดิม
และให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งแจ้งให้เจ้าบ้านที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมทราบ
เพื่อนำทะเบียนบ้านของตนมาให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งปรับปรุงทะเบียนบ้านให้ถูกต้องต่อไป
มาตรา ๓๐/๒[๒๙] การแจ้งตามมาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๐/๑
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และในกรณีที่เป็นการแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่ใหม่โดยไม่ต้องแจ้งย้ายออก
จะกำหนดให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมด้วยก็ได้
มาตรา ๓๑ ในการแจ้งการย้ายที่อยู่เข้าในบ้านใด
ถ้านายทะเบียนผู้รับแจ้งเห็นว่ามีผู้ย้ายเข้าอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคราวเดียวหรือหลายคราว
และเมื่อได้ตรวจสภาพบ้านแล้วเห็นว่า
การย้ายเข้าอยู่ในบ้านจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยสาธารณสุข
นายทะเบียนผู้รับแจ้งมีอำนาจไม่รับแจ้งการย้ายเข้าอยู่ในบ้านได้
มาตรา ๓๒[๓๐] (ยกเลิก)
มาตรา ๓๓
เมื่อผู้อยู่ในบ้านใดออกจากบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่นเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
และเจ้าบ้านไม่ทราบว่าผู้นั้นไปอยู่ที่ใด
ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสามสิบวันนับแต่วันครบหนึ่งร้อยแปดสิบวันโดยระบุว่าไม่ทราบที่อยู่
และให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการผู้นั้นในทะเบียนบ้านกลาง
ในกรณีที่ศาลออกหมายจับผู้ใดตามคำร้องขอของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้รับแจ้งจากศาลให้จับกุมผู้ใดตามหมายจับที่ศาลออกเอง
ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมาภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ศาลออกหมายจับ
ให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจแจ้งให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางทราบ
และให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางดำเนินการให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งย้ายผู้นั้นออกจากทะเบียนบ้าน
และเพิ่มชื่อและรายการของผู้นั้นไว้ในทะเบียนบ้านกลาง และให้หมายเหตุไว้ในรายการของบุคคลนั้นว่าอยู่ในระหว่างการติดตามตัวตามหมายจับด้วย
การหมายเหตุดังกล่าวมิให้ถือว่าเป็นการจัดเก็บข้อมูลตามมาตรา ๑๓ (๒)[๓๑]
ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลางตามวรรคสอง
ถ้าผู้นั้นประสงค์จะย้ายออกจากทะเบียนบ้านกลาง
ผู้นั้นต้องมาแสดงตนต่อนายทะเบียนที่จัดทำทะเบียนบ้านกลางนั้นพร้อมทั้งหลักฐานอันแสดงว่าหมายจับนั้นได้ถูกเพิกถอนหรือได้มีการปฏิบัติตามหมายจับนั้นเสร็จสิ้นแล้ว[๓๒]
การแจ้ง
ยื่น หรือส่งหนังสือหรือเอกสารให้ผู้ถูกออกหมายจับ หรือผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลางตามวรรคสอง ถ้าได้แจ้ง ยื่น
หรือส่งหนังสือหรือเอกสารให้บุคคลนั้น หรือปิดหมายไว้ ณ ภูมิลำเนา หรือที่อยู่ที่ปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรที่ปรากฏครั้งสุดท้ายก่อนย้ายมาในทะเบียนบ้านกลาง
ให้ถือว่าได้แจ้ง ยื่น ส่ง หรือปิดโดยชอบด้วยกฎหมายและผู้นั้นได้รับทราบแล้ว[๓๓]
หมวด ๕
ทะเบียนบ้าน
มาตรา ๓๔[๓๔] ให้ทุกบ้านมีเลขประจำบ้าน
บ้านใดยังไม่มีเลขประจำบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อขอเลขประจำบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันสร้างบ้านเสร็จ
เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเจ้าบ้านอาจขอให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งกำหนดเลขประจำบ้านและออกทะเบียนบ้านชั่วคราวให้ก่อนที่บ้านจะสร้างเสร็จก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งระบุไว้ในทะเบียนบ้านชั่วคราวว่าอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งกำหนดเลขประจำบ้านให้แก่ผู้แจ้งซึ่งมีบ้านอยู่ในเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นภายในเจ็ดวัน
ถ้ามีบ้านอยู่นอกเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นให้กำหนดเลขประจำบ้านภายในสามสิบวัน ทั้งนี้ นับแต่วันที่ได้รับคำขอ
เมื่อได้รับเลขประจำบ้านแล้วให้ติดไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้ง
การกำหนดเลขประจำบ้านตามวรรคหนึ่งและการจัดทำทะเบียนบ้านตามมาตรา
๓๖
มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของประชาชน
ผู้ใดจะอ้างการกำหนดเลขประจำบ้านหรือการจัดทำทะเบียนบ้านเพื่อแสดงว่าตนมีสิทธิในที่ดินหรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินมิได้
ให้นำความในมาตรานี้มาใช้บังคับกับเจ้าของอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโรงงาน
คลังสินค้า
หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยตามที่กำหนดในกฎกระทรวงด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๓๕ ถ้ามีบ้านอยู่หลายหลังในบริเวณเดียวกัน
ให้กำหนดเลขประจำบ้านเพียงเลขเดียว
แต่ถ้าเจ้าบ้านประสงค์จะกำหนดเลขประจำบ้านเพิ่มขึ้นอีกให้ยื่นขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
บ้านที่ปลูกเป็นตึกแถว
ห้องแถว หรืออาคารชุด ให้กำหนดเลขประจำบ้านทุกห้องหรือทุกห้องชุด
โดยถือว่าห้องหรือห้องชุดหนึ่ง ๆ เป็นบ้านหลังหนึ่ง
มาตรา ๓๖[๓๕] ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งจัดทำทะเบียนบ้านไว้ทุกบ้านที่มีเลขประจำบ้านสำหรับผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
และจัดทำทะเบียนอาคารสำหรับอาคารที่ได้รับเลขประจำอาคารตามมาตรา ๓๔ วรรคห้า
ทะเบียนบ้านตามวรรคหนึ่งที่ออกให้แก่แพหรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือสถานที่หรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำ
ให้ระบุสภาพของบ้านนั้นไว้ในทะเบียนบ้านด้วย
ทะเบียนอาคารตามวรรคหนึ่งให้ระบุสภาพของอาคารและวัตถุประสงค์ของอาคารนั้นไว้ในทะเบียนตามรายการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ในการจัดทำทะเบียนบ้านหรือทะเบียนอาคารตามวรรคหนึ่ง
ถ้าผู้ขอมิได้แสดงหลักฐานการได้รับอนุญาตก่อสร้าง
หรือหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือหลักฐานการมีสิทธิครอบครองในที่ดิน
ให้นายทะเบียนระบุไว้ในทะเบียนว่าเป็นทะเบียนชั่วคราว
การจัดทำทะเบียนบ้านและทะเบียนอาคารให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๗
การเพิ่มชื่อและรายการของบุคคลลงในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนบ้านกลาง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๘[๓๖]
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และบุตรของบุคคลดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักร
ในกรณีผู้มีรายการในทะเบียนบ้านพ้นจากการได้รับอนุญาตหรือผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
ให้นายทะเบียนจำหน่ายรายการทะเบียนของผู้นั้นโดยเร็ว
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
รายการและการบันทึกรายการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา
๓๘/๑[๓๗] ให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีหน้าที่ต้องเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือจัดทำทะเบียนประวัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวงไปแจ้งต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นภายในเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวงเพื่อให้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือจัดทำทะเบียนประวัติ
และเมื่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นได้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือจัดทำทะเบียนประวัติให้บุคคลนั้นแล้ว
ให้ออกบัตรประจำตัวให้ เว้นแต่ผู้นั้นอายุยังไม่ครบห้าปีให้ออกเอกสารแสดงตนให้ไปพลางก่อน
ทั้งนี้
ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๘/๒[๓๘] ให้บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่รับอุปการะดูแลเด็กที่มีเอกสารแสดงตนตามมาตรา ๑๙/๒ และมาตรา ๓๘/๑
ยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวแทนเด็กภายในหกสิบวันนับแต่วันที่เด็กมีอายุครบห้าปี
มาตรา ๓๘/๓[๓๙] บัตรประจำตัวตามมาตรา ๑๙/๒ มาตรา ๓๘/๑
และมาตรา ๓๘/๒ มีอายุสิบปี และให้ผู้ถือบัตรมีหน้าที่ยื่นคำขอต่ออายุบัตรประจำตัวภายในหกสิบวันนับแต่วันที่บัตรหมดอายุ
เว้นแต่ผู้นั้นจะมีอายุครบเจ็ดสิบปี
ในกรณีเช่นนั้นให้บัตรประจำตัวที่มีอยู่มีอายุตลอดชีวิต แต่ไม่เป็นการห้ามที่บุคคลนั้นจะขอมีบัตรใหม่ตามวรรคสอง
ในกรณีที่บัตรประจำตัวสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ หรือมีการแก้ไขชื่อตัว
ชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิดในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ
ให้ผู้ถือบัตรประจำตัวขอมีบัตรประจำตัวใหม่ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่บัตรประจำตัวสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ
หรือนับแต่มีการแก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิดในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ
แล้วแต่กรณี
การขอมีบัตรประจำตัวของเด็กที่มีอายุไม่ถึงสิบห้าปี
ให้เป็นหน้าที่ของบิดา มารดา ผู้ปกครอง
หรือบุคคลที่รับอุปการะดูแลเด็กคนนั้นเป็นผู้ยื่นคำขอมีบัตร
หลักเกณฑ์และวิธีการในการขอมีบัตรประจำตัว
แบบและลักษณะของบัตรประจำตัว และรายการในบัตรประจำตัว
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๙ ให้นายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านเก็บรักษา เมื่อมีการเพิ่ม เปลี่ยนแปลง
หรือจำหน่ายรายการในทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านนำสำเนาทะเบียนบ้านไปให้นายทะเบียนบันทึกรายการให้ถูกต้องตรงกับต้นฉบับทุกครั้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการเพิ่มเปลี่ยนแปลง
หรือจำหน่ายรายการ แล้วแต่กรณี[๔๐]
ถ้าสำเนาทะเบียนบ้านชำรุดจนใช้การไม่ได้หรือสูญหาย
ให้เจ้าบ้านขอรับสำเนาทะเบียนบ้านใหม่ได้
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้อำนวยการทะเบียนกลางเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีสำเนาทะเบียนบ้านต่อไปในเขตสำนักทะเบียนใด
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางมีอำนาจยกเลิกการใช้สำเนาทะเบียนบ้านในเขตสำนักทะเบียนนั้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔๐
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนบ้านหรือสำเนาทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๑[๔๑]
ผู้ใดรื้อบ้านที่มีเลขประจำบ้านโดยไม่ประสงค์จะปลูกบ้านใหม่ในที่ดินบริเวณนั้นอีกต่อไปหรือรื้อเพื่อไปปลูกสร้างบ้านในที่อื่น
ให้แจ้งการรื้อบ้านต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รื้อบ้านเสร็จเพื่อจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้าน
บ้านที่รื้อถอนโดยไม่แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้านและแจ้งย้ายผู้มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้นไปไว้ในทะเบียนบ้านกลางตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๒ การย้ายบ้านซึ่งเคลื่อนย้ายได้
หรือการย้ายแพหรือเรือหรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่ประจำไปอยู่หรือจอด ณ
ที่อื่น ถ้าอยู่หรือจอดเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
เจ้าบ้านต้องแจ้งการย้ายออกและย้ายเข้าต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่หรือจอดใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันครบกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
หมวด ๖
การสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
มาตรา ๔๓ เพื่อประโยชน์ของการทะเบียนราษฎร
ให้มีการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรบางท้องที่หรือทั่วราชอาณาจักรได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๔๔ เมื่อได้ตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา
๔๓ แล้ว ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายเป็นหนังสือมีอำนาจเข้าไปในบ้านในเขตท้องที่ที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรเท่าที่จำเป็นในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ให้เจ้าบ้านชี้แจงตอบคำถามตามความจริงและให้ลงลายมือชื่อในรายการสำรวจตรวจสอบเพื่อรับรองข้อความในรายการที่สำรวจตรวจสอบนั้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ หรือบัตรประจำตัวประชาชน
พร้อมด้วยหนังสือหลักฐานแห่งการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แก่เจ้าบ้านก่อนเข้าไปสำรวจตรวจสอบ
มาตรา ๔๕
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางรวบรวมรายงานยอดจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรที่มีอยู่ในวันที่
๓๑ ธันวาคม ของปีที่ล่วงมา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
การประกาศยอดจำนวนราษฎรตามความในวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
หมวด ๗
การมอบหมายให้แจ้งแทน
มาตรา ๔๖[๔๒] ผู้ใดมีหน้าที่ต้องแจ้งหรือปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ถ้าผู้นั้นได้มอบหมายให้บุคคลอื่นไปแจ้งหรือปฏิบัติแทนและผู้ได้รับมอบหมายได้แจ้งหรือปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว
ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่นั้นได้แจ้งหรือปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว
หมวด ๘
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๗[๔๓] ผู้ใด
(๑) ไม่มาตามที่นายทะเบียนเรียก
ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงหลักฐานหรือไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปสอบถามในบ้านตามมาตรา
๑๐
(๒)
ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๒๓
(๓)
ไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปในบ้านเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
ไม่ยอมชี้แจงหรือตอบคำถาม หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อตามมาตรา ๔๔
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นมีอำนาจปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งพันบาท
โดยให้คำนึงถึงความร้ายแรงของพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดด้วย
ค่าปรับทางปกครองที่นายทะเบียนท้องถิ่นสั่งปรับตามวรรคสอง
ให้ตกเป็นรายได้ของท้องถิ่นที่นายทะเบียนท้องถิ่นนั้นสังกัดอยู่
มาตรา ๔๘[๔๔] (ยกเลิก)
มาตรา ๔๘/๑[๔๕] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๕ วรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นกระทำความผิด
หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย
มาตรา ๔๙[๔๖]
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๕๐ ผู้ใด ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ
หรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง
หรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี
หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีผู้กระทำผิดตามวรรคหนึ่งเป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๕๑[๔๗]
การแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง มาตรา
๒๑ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๔ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๐/๑ มาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๔ วรรคหนึ่งหรือวรรคห้า มาตรา ๓๘/๑ มาตรา
๓๘/๒ มาตรา ๓๘/๓ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๑
และมาตรา ๔๒
ให้กระทำได้เมื่อผู้แจ้งหรือผู้ขอได้เสียค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้ว
กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันในแต่ละกรณีและตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไปก็ได้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม[๔๘]
๑. การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามมาตรา
๕
กรณีทำบัตรครั้งแรกหรือบัตรเดิมหมดอายุ
ฉบับละ ๑๐๐ บาท
กรณีบัตรเดิมสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
กรณีเปลี่ยนบัตรเนื่องจากการแก้ไขรายการผู้ถือบัตร
ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๒. การขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียน
หรือบัตรประจำตัวตามมาตรา
๖ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๓. การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา
๑๔ (๑) ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๔.[๔๙] การแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายตามมาตรา
๒๑ วรรคสี่
หรือการแจ้งการย้ายที่อยู่ตามมาตรา
๓๐/๒ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๕. การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๖.[๕๐] การแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา
ตามมาตรา
๑๙/๓ วรรคสอง หรือมาตรา ๕๑ ครั้งละ
๑,๐๐๐ บาท
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้วไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
สมควรปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑[๕๑]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๒๖ ให้สำนักทะเบียนอำเภอ
และสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ดำเนินการอยู่แล้วในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เป็นสำนักทะเบียนอำเภอและสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่จัดตั้งตามมาตรา ๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๒๗ บรรดากฎกระทรวง
ระเบียบหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้
จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๒๘
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรเพื่อให้นายทะเบียนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อำนวยความเป็นธรรมและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้น
และกำหนดวิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินการในการแจ้งการเกิด การออกสูติบัตร
การออกหนังสือรับรองการเกิด
และการจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าว
รวมทั้งสมควรปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐[๕๒]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน
คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘
พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง
เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๖ ดังนั้น
เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๒[๕๓]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๒๔ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ
หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ใช้อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง
ประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
การดำเนินการออกกฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ
หรือคำสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้
ในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของตน
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรในเรื่องต่าง
ๆ เพื่อให้นายทะเบียนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอำนวยความเป็นธรรมและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้น
และเพื่อรองรับการจัดการประชากรของประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาชิกในประชาคมอาเซียนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และกำหนดสิทธิในการยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทยของเด็กและบุคคลตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑
มาตรา ๑๙/๓ และมาตรา ๓๗
ซึ่งจะเป็นมาตรการในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเด็กที่ไร้รากเหง้าที่ไร้รัฐและไร้สัญชาติในประเทศไทยให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและหลักสิทธิมนุษยชน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พิไลภรณ์/เพิ่มเติม
๑๘
เมษายน ๒๕๖๒
นุสรา/ตรวจ
๒๒
เมษายน ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๙๗/๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
[๒] มาตรา
๕ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๓] มาตรา
๖ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๔] มาตรา
๖ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๕] มาตรา
๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๖] มาตรา
๘/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๗] มาตรา
๘/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๘] มาตรา
๘/๒ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๙] มาตรา
๑๐ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๐] มาตรา
๑๒ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๑] มาตรา
๑๔ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๒] มาตรา
๑๕ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๓] มาตรา
๑๕ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๑๔] มาตรา
๑๕ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๕] มาตรา
๑๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๑๖] มาตรา
๑๘ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๗] มาตรา
๑๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๘] มาตรา
๑๙/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๙] มาตรา
๑๙/๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๐] มาตรา
๑๙/๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๑] มาตรา
๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๒] มาตรา
๒๐/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๓] มาตรา
๒๑ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๔] มาตรา
๒๑ วรรคห้า เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๕] มาตรา
๒๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๖] มาตรา
๒๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๗] มาตรา
๓๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๘] มาตรา
๓๐/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๒๙] มาตรา
๓๐/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๐] มาตรา
๓๒ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๑] มาตรา
๓๓ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๒] มาตรา
๓๓ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๓] มาตรา
๓๓ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๔] มาตรา
๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๕] มาตรา
๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๖] มาตรา
๓๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๓๗] มาตรา
๓๘/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๘] มาตรา
๓๘/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๓๙] มาตรา
๓๘/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๐] มาตรา
๓๙ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๒
[๔๑] มาตรา
๔๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๔๒] มาตรา
๔๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๓] มาตรา
๔๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๔] มาตรา
๔๘ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๕] มาตรา
๔๘/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
[๔๖] มาตรา ๔๙
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
[๔๗] มาตรา
๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๔๘]
อัตราค่าธรรมเนียม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๑
[๔๙] อัตราค่าธรรมเนียม
๔. แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๐] อัตราค่าธรรมเนียม
๖. เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
[๕๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๑๓/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
[๕๒]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
[๕๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๔๙ ก/หน้า ๓๓/๑๔ เมษายน ๒๕๖๒ |
831131 | พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 | พระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๖๒
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒
เป็นปีที่ ๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา
๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๘ และมาตรา ๔๑
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้
เพื่อให้การทะเบียนราษฎรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอันจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความเป็นธรรมการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
การรักษาความสงบเรียบร้อย และการคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของประชาชน
ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา
๘/๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตาม (๑)
จะมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการทะเบียนกลาง หรือจะมอบอำนาจให้ข้าราชการสังกัดกรมการปกครองปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดด้วยก็ได้
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา
๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินในเรื่องการให้บริการแก่ประชาชน
หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงในราชอาณาจักร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะอนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียนอื่นนอกจากทะเบียนตามวรรคสองเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ก็ได้ ทั้งนี้ การพิจารณาอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด
มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา
๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๑๖ ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดเลขประจำตัวแก่ผู้มีสัญชาติไทยหรือคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
และบุคคลที่ได้จดทะเบียนคนเกิด ณ สถานทูตไทย หรือสถานกงสุลไทยตามมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่ง คนละหนึ่งเลขโดยไม่ซ้ำกัน ทั้งนี้
หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดเลขประจำตัวให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องแยกระหว่างผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยด้วย
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๙/๒ และมาตรา ๑๙/๓
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๙/๒ เมื่อได้รับแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๙
หรือมาตรา ๑๙/๑ แล้ว ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
แล้วดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๒๐ ทั้งนี้
ให้ผู้พบเด็ก ผู้รับเด็กไว้
และผู้แจ้งการเกิดให้ความร่วมมือกับนายทะเบียนผู้รับแจ้งในการดำเนินการพิสูจน์ตามที่นายทะเบียนผู้รับแจ้งร้องขอ ในกรณีที่ไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนประวัติและออกเอกสารแสดงตนให้เด็กไว้เป็นหลักฐาน
เว้นแต่เด็กนั้นมีอายุครบห้าปีแล้วให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นออกบัตรประจำตัวให้แทน
ตามระเบียบและภายในระยะเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ผู้ซึ่งได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตนตามวรรคหนึ่ง
ถ้ามีหลักฐานแสดงว่าได้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
และมีคุณสมบัติอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนด ให้ผู้นั้นมีสิทธิยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทยได้
และเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องมีสถานะถูกต้องตามเงื่อนไขและมีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าว
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศให้ผู้นั้นมีสัญชาติไทย ทั้งนี้
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้อง และให้ถือว่าผู้นั้นมีสัญชาติไทยตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีมีประกาศ
ระยะเวลาสิบปีตามวรรคสองให้นับแต่วันที่จัดทำทะเบียนประวัติหรือออกเอกสารแสดงตน
เว้นแต่จะมีหลักฐานอันชัดแจ้งแสดงว่าได้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรมาก่อนหน้านั้นตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ก็ให้นับแต่วันที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรตามที่ปรากฏจากหลักฐาน
ผู้ซึ่งได้รับสัญชาติไทยตามวรรคสอง
ถ้าภายหลังปรากฏหลักฐานว่ามีกรณีไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข
หรือขาดคุณสมบัติ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศเพิกถอนการให้สัญชาตินั้นโดยพลัน
ให้นำความในมาตรานี้มาใช้บังคับกับบุคคลที่เคยอยู่ในการอุปการะของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนตามมาตรา
๑๙/๑ แต่หน่วยงานดังกล่าวได้อนุญาตให้บุคคลอื่นรับไปอุปการะ
และบุคคลที่มิได้แจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๙ หรือมาตรา ๑๙/๑ ซึ่งได้ยื่นคำร้องตามมาตรา
๑๙/๓ หรือขอเพิ่มชื่อตามมาตรา ๓๗ แต่ไม่อาจพิสูจน์สถานการณ์เกิดและสัญชาติได้ด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๙/๓ ผู้ซึ่งเจ้าบ้านหรือบิดามารดามิได้แจ้งการเกิดให้ตามมาตรา
๑๘
เมื่อมีอายุครบสิบห้าปีแล้วอาจร้องขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อแจ้งการเกิดได้ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และให้นำความในมาตรา ๑๙/๒ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บุคคลตามวรรคหนึ่งที่อายุยังไม่ครบสิบห้าปี
ให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองแจ้งแทน แต่สำหรับกรณีของบิดามารดา
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการให้ต่อเมื่อได้เสียค่าธรรมเนียมการแจ้งเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว
มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคห้าของมาตรา
๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
แบบพิมพ์แจ้งการตายตามวรรคสาม
อย่างน้อยต้องระบุวิธีการและสถานที่จัดการศพไว้ด้วย
และในกรณีที่ผู้แจ้งได้แจ้งถึงวิธีการและสถานที่จัดการศพ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งระบุไว้ในหลักฐานการรับแจ้งด้วย
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๔
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๒๔ ผู้ใดประสงค์จะเก็บ ฝัง เผา ทำลาย
หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีการตายแตกต่างจากที่ได้แจ้งไว้ตามมาตรา
๒๑ หรือยังมิได้แจ้งตามมาตรา ๒๑ ให้แจ้งให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เก็บ ฝัง
เผา ทำลาย หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีการตาย และในกรณีที่ประสงค์จะเก็บศพไว้เป็นการถาวร
ให้แจ้งให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการตาย
มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๘ ให้กงสุลไทยหรือข้าราชการสถานทูตไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียน มีหน้าที่รับจดทะเบียนคนเกิด
คนตาย และการทะเบียนราษฎรอื่นที่มีขึ้นนอกราชอาณาจักรสำหรับผู้มีสัญชาติไทย
คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และคนต่างด้าวหรือคนไร้สัญชาติที่ถือเอกสารการเดินทางที่รัฐบาลไทยเป็นผู้ออกให้ หลักฐานการจดทะเบียนคนเกิดและคนตายดังกล่าวให้ใช้เป็นสูติบัตรและมรณบัตรได้
ถ้าในที่ซึ่งมีการเกิดหรือการตายตามวรรคหนึ่ง
ไม่มีสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยประจำอยู่ให้ใช้หลักฐานการเกิดหรือการตายที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศนั้น
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้รับรองคำแปลว่าถูกต้องเป็นหลักฐานสูติบัตรและมรณบัตรได้
การจดทะเบียนคนเกิดและคนตายตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
การปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรอื่นตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตกลงกัน
มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๐
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๐ เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้านเพื่อเปลี่ยนภูมิลำเนา
ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่บุคคลในทะเบียนบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้าน
แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ย้ายที่อยู่ที่จะแจ้งย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งด้วยตนเอง
โดยจะต้องแจ้งว่าจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านใด
หรือจะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ตนจะไปอยู่ใหม่ก็ได้ ในกรณีที่ยังไม่ทราบว่าจะย้ายไปอยู่บ้านใด
หรือยังมิได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แจ้งการย้ายที่อยู่
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการของผู้นั้นไว้ในทะเบียนบ้านกลาง
และเมื่อผู้ย้ายได้แจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนแล้ว
ให้หน้าที่ในการแจ้งย้ายบุคคลออกของเจ้าบ้านเป็นอันพับไป
ผู้ย้ายที่อยู่ที่จะแจ้งย้ายด้วยตนเองดังกล่าวต้องเป็นผู้มีอายุครบสิบห้าปีแล้ว
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับผู้ย้ายที่อยู่เพื่อไปศึกษาหรือไปรับราชการในต่างประเทศ หรือไปทำธุรกิจหรือปฏิบัติงานชั่วคราวในต่างประเทศ
แต่ไม่ห้ามบุคคลดังกล่าวที่จะแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิมเพื่อไปอยู่ที่อยู่ใหม่หรือไปอยู่ในทะเบียนบ้านกลางเป็นการชั่วคราว
เมื่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งการย้ายเข้าได้ดำเนินการย้ายบุคคลนั้นเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านใด
โดยมีหนังสือยินยอมของเจ้าบ้านนั้นแล้ว
เจ้าบ้านดังกล่าวไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งตามมาตรา ๓๐/๑ อีก
มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๐/๑
และมาตรา ๓๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๓๐/๑ ภายใต้บังคับมาตรา ๓๐ วรรคสาม
เจ้าบ้านใดมีผู้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านโดยมีเจตนาจะถือเป็นภูมิลำเนา
ให้แจ้งให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งทราบเพื่อเพิ่มชื่อบุคคลนั้นเข้าในทะเบียนบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้ย้ายได้เข้าอยู่ในบ้าน
เมื่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งได้รับแจ้งแล้ว ถ้าผู้ย้ายเข้ายังมิได้ย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
เพื่อย้ายบุคคลนั้นออกจากทะเบียนบ้านเดิม
และให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งแจ้งให้เจ้าบ้านที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมทราบ
เพื่อนำทะเบียนบ้านของตนมาให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งปรับปรุงทะเบียนบ้านให้ถูกต้องต่อไป
มาตรา ๓๐/๒ การแจ้งตามมาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๐/๑
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และในกรณีที่เป็นการแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่ใหม่โดยไม่ต้องแจ้งย้ายออก
จะกำหนดให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมด้วยก็ได้
มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกมาตรา ๓๒
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๑๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสอง
วรรคสาม และวรรคสี่ของมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๓๔
ในกรณีที่ศาลออกหมายจับผู้ใดตามคำร้องขอของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้รับแจ้งจากศาลให้จับกุมผู้ใดตามหมายจับที่ศาลออกเอง
ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมาภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ศาลออกหมายจับ
ให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจแจ้งให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางทราบ
และให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางดำเนินการให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งย้ายผู้นั้นออกจากทะเบียนบ้าน
และเพิ่มชื่อและรายการของผู้นั้นไว้ในทะเบียนบ้านกลาง และให้หมายเหตุไว้ในรายการของบุคคลนั้นว่าอยู่ในระหว่างการติดตามตัวตามหมายจับด้วย
การหมายเหตุดังกล่าวมิให้ถือว่าเป็นการจัดเก็บข้อมูลตามมาตรา ๑๓ (๒)
ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลางตามวรรคสอง
ถ้าผู้นั้นประสงค์จะย้ายออกจากทะเบียนบ้านกลาง
ผู้นั้นต้องมาแสดงตนต่อนายทะเบียนที่จัดทำทะเบียนบ้านกลางนั้นพร้อมทั้งหลักฐานอันแสดงว่าหมายจับนั้นได้ถูกเพิกถอนหรือได้มีการปฏิบัติตามหมายจับนั้นเสร็จสิ้นแล้ว
การแจ้ง
ยื่น หรือส่งหนังสือหรือเอกสารให้ผู้ถูกออกหมายจับ หรือผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลางตามวรรคสอง ถ้าได้แจ้ง ยื่น
หรือส่งหนังสือหรือเอกสารให้บุคคลนั้น หรือปิดหมายไว้ ณ ภูมิลำเนา หรือที่อยู่ที่ปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรที่ปรากฏครั้งสุดท้ายก่อนย้ายมาในทะเบียนบ้านกลาง
ให้ถือว่าได้แจ้ง ยื่น ส่ง หรือปิดโดยชอบด้วยกฎหมายและผู้นั้นได้รับทราบแล้ว
มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๔
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๔ ให้ทุกบ้านมีเลขประจำบ้าน
บ้านใดยังไม่มีเลขประจำบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อขอเลขประจำบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันสร้างบ้านเสร็จ
เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเจ้าบ้านอาจขอให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งกำหนดเลขประจำบ้านและออกทะเบียนบ้านชั่วคราวให้ก่อนที่บ้านจะสร้างเสร็จก็ได้
ในกรณีเช่นนี้ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งระบุไว้ในทะเบียนบ้านชั่วคราวว่าอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งกำหนดเลขประจำบ้านให้แก่ผู้แจ้งซึ่งมีบ้านอยู่ในเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นภายในเจ็ดวัน
ถ้ามีบ้านอยู่นอกเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นให้กำหนดเลขประจำบ้านภายในสามสิบวัน ทั้งนี้ นับแต่วันที่ได้รับคำขอ
เมื่อได้รับเลขประจำบ้านแล้วให้ติดไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้ง
การกำหนดเลขประจำบ้านตามวรรคหนึ่งและการจัดทำทะเบียนบ้านตามมาตรา
๓๖
มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของประชาชน
ผู้ใดจะอ้างการกำหนดเลขประจำบ้านหรือการจัดทำทะเบียนบ้านเพื่อแสดงว่าตนมีสิทธิในที่ดินหรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินมิได้
ให้นำความในมาตรานี้มาใช้บังคับกับเจ้าของอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโรงงาน
คลังสินค้า
หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยตามที่กำหนดในกฎกระทรวงด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๖
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๖ ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งจัดทำทะเบียนบ้านไว้ทุกบ้านที่มีเลขประจำบ้านสำหรับผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
และจัดทำทะเบียนอาคารสำหรับอาคารที่ได้รับเลขประจำอาคารตามมาตรา ๓๔
วรรคห้า
ทะเบียนบ้านตามวรรคหนึ่งที่ออกให้แก่แพหรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือสถานที่หรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำ
ให้ระบุสภาพของบ้านนั้นไว้ในทะเบียนบ้านด้วย
ทะเบียนอาคารตามวรรคหนึ่งให้ระบุสภาพของอาคารและวัตถุประสงค์ของอาคารนั้นไว้ในทะเบียนตามรายการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ในการจัดทำทะเบียนบ้านหรือทะเบียนอาคารตามวรรคหนึ่ง
ถ้าผู้ขอมิได้แสดงหลักฐานการได้รับอนุญาตก่อสร้าง
หรือหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือหลักฐานการมีสิทธิครอบครองในที่ดิน
ให้นายทะเบียนระบุไว้ในทะเบียนว่าเป็นทะเบียนชั่วคราว
การจัดทำทะเบียนบ้านและทะเบียนอาคารให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา
๓๘/๑ มาตรา ๓๘/๒ และมาตรา ๓๘/๓ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๓๔
มาตรา
๓๘/๑ ให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีหน้าที่ต้องเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือจัดทำทะเบียนประวัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวงไปแจ้งต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นภายในเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวงเพื่อให้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือจัดทำทะเบียนประวัติ
และเมื่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นได้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือจัดทำทะเบียนประวัติให้บุคคลนั้นแล้ว
ให้ออกบัตรประจำตัวให้ เว้นแต่ผู้นั้นอายุยังไม่ครบห้าปีให้ออกเอกสารแสดงตนให้ไปพลางก่อน
ทั้งนี้
ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๘/๒ ให้บิดา
มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่รับอุปการะดูแลเด็กที่มีเอกสารแสดงตนตามมาตรา ๑๙/๒ และมาตรา ๓๘/๑
ยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวแทนเด็กภายในหกสิบวันนับแต่วันที่เด็กมีอายุครบห้าปี
มาตรา ๓๘/๓ บัตรประจำตัวตามมาตรา ๑๙/๒ มาตรา ๓๘/๑
และมาตรา ๓๘/๒ มีอายุสิบปี และให้ผู้ถือบัตรมีหน้าที่ยื่นคำขอต่ออายุบัตรประจำตัวภายในหกสิบวันนับแต่วันที่บัตรหมดอายุ
เว้นแต่ผู้นั้นจะมีอายุครบเจ็ดสิบปี
ในกรณีเช่นนั้นให้บัตรประจำตัวที่มีอยู่มีอายุตลอดชีวิต แต่ไม่เป็นการห้ามที่บุคคลนั้นจะขอมีบัตรใหม่ตามวรรคสอง
ในกรณีที่บัตรประจำตัวสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ หรือมีการแก้ไขชื่อตัว
ชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิดในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ
ให้ผู้ถือบัตรประจำตัวขอมีบัตรประจำตัวใหม่ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่บัตรประจำตัวสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ
หรือนับแต่มีการแก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุล
หรือวันเดือนปีเกิดในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ แล้วแต่กรณี
การขอมีบัตรประจำตัวของเด็กที่มีอายุไม่ถึงสิบห้าปี
ให้เป็นหน้าที่ของบิดา มารดา ผู้ปกครอง
หรือบุคคลที่รับอุปการะดูแลเด็กคนนั้นเป็นผู้ยื่นคำขอมีบัตร
หลักเกณฑ์และวิธีการในการขอมีบัตรประจำตัว
แบบและลักษณะของบัตรประจำตัว และรายการในบัตรประจำตัว
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๗ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา
๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๙ ให้นายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านเก็บรักษา เมื่อมีการเพิ่ม เปลี่ยนแปลง
หรือจำหน่ายรายการในทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านนำสำเนาทะเบียนบ้านไปให้นายทะเบียนบันทึกรายการให้ถูกต้องตรงกับต้นฉบับทุกครั้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการเพิ่มเปลี่ยนแปลง
หรือจำหน่ายรายการ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๔๖ ผู้ใดมีหน้าที่ต้องแจ้งหรือปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ถ้าผู้นั้นได้มอบหมายให้บุคคลอื่นไปแจ้งหรือปฏิบัติแทนและผู้ได้รับมอบหมายได้แจ้งหรือปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว
ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่นั้นได้แจ้งหรือปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว
มาตรา ๑๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๔๗ ผู้ใด
(๑) ไม่มาตามที่นายทะเบียนเรียก
ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงหลักฐานหรือไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปสอบถามในบ้านตามมาตรา
๑๐
(๒)
ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๒๓
(๓) ไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปในบ้านเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
ไม่ยอมชี้แจงหรือตอบคำถาม หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อตามมาตรา ๔๔
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นมีอำนาจปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งพันบาท
โดยให้คำนึงถึงความร้ายแรงของพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดด้วย
ค่าปรับทางปกครองที่นายทะเบียนท้องถิ่นสั่งปรับตามวรรคสอง
ให้ตกเป็นรายได้ของท้องถิ่นที่นายทะเบียนท้องถิ่นนั้นสังกัดอยู่
มาตรา ๒๐ ให้ยกเลิกมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา
๕๑ การแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๑๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๔ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๐/๑ มาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง
มาตรา ๓๔ วรรคหนึ่งหรือวรรคห้า มาตรา ๓๘/๑
มาตรา ๓๘/๒ มาตรา ๓๘/๓ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๑
และมาตรา ๔๒
ให้กระทำได้เมื่อผู้แจ้งหรือผู้ขอได้เสียค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้ว
กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันในแต่ละกรณีและตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไปก็ได้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๒ ให้ยกเลิกความใน
๔. ของอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
๔.
การแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายตามมาตรา
๒๑ วรรคสี่
หรือการแจ้งการย้ายที่อยู่ตามมาตรา
๓๐/๒ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
มาตรา ๒๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ๖.
ของอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๑
๖.
การแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา
ตามมาตรา
๑๙/๓ วรรคสอง หรือมาตรา ๕๑ ครั้งละ
๑,๐๐๐ บาท
มาตรา ๒๔ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ
หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ใช้อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง
ประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
การดำเนินการออกกฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ
หรือคำสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของตน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรในเรื่องต่าง ๆ
เพื่อให้นายทะเบียนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอำนวยความเป็นธรรมและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้น
และเพื่อรองรับการจัดการประชากรของประเทศไทย
ซึ่งเป็นสมาชิกในประชาคมอาเซียนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และกำหนดสิทธิในการยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทยของเด็กและบุคคลตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑
มาตรา ๑๙/๓ และมาตรา ๓๗
ซึ่งจะเป็นมาตรการในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเด็กที่ไร้รากเหง้าที่ไร้รัฐและไร้สัญชาติในประเทศไทยให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและหลักสิทธิมนุษยชน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พิไลภรณ์/จัดทำ
๑๘
เมษายน ๒๕๖๒
นุสรา/ตรวจ
๒๒ เมษายน
๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๔๙ ก/หน้า ๓๓/๑๔ เมษายน ๒๕๖๒ |
831437 | พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (ฉบับ Update ณ วันที่ 11/02/2560) | พระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔
เป็นปีที่ ๔๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙
(๒)
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๓๔ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การทะเบียนราษฎร
หมายความว่า งานทะเบียนต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
หมายความว่า ข้อมูลตัวบุคคลเกี่ยวกับ ชื่อ ชื่อสกุล เพศ วันเดือนปีเกิดและตาย
สัญชาติ ศาสนา ภูมิลำเนา สถานะการสมรส วุฒิการศึกษา ชื่อบิดามารดาหรือผู้รับบุตรบุญธรรม
ชื่อคู่สมรส และชื่อบุตร และข้อมูลอื่นที่จำเป็นเพื่อการดำเนินงานทะเบียนต่าง ๆ
ในพระราชบัญญัตินี้
เลขประจำตัว
หมายความว่า เลขประจำตัวประชาชนที่นายทะเบียนออกให้แก่บุคคลแต่ละคน
บ้าน หมายความว่า
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครอง
และให้หมายความรวมถึงแพ หรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่ประจำ
หรือสถานที่ หรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำได้ด้วย
ทะเบียนบ้าน
หมายความว่า ทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้านซึ่งแสดงเลขประจำบ้าน
และรายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้าน
ทะเบียนคนเกิด
หมายความว่า ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนเกิด
ทะเบียนคนตาย
หมายความว่า ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนตาย
ทะเบียนบ้านกลาง
หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้จัดทำขึ้นสำหรับลงรายการบุคคลที่ไม่อาจมีชื่อในทะเบียนบ้าน
เจ้าบ้าน หมายความว่า
ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า หรือในฐานะอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่ไม่ปรากฏเจ้าบ้าน หรือเจ้าบ้านไม่อยู่ ตาย สูญหาย
สาบสูญ
หรือไม่สามารถปฏิบัติกิจการได้ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่ดูแลบ้านในขณะนั้นเป็นเจ้าบ้าน
ผู้อยู่ในบ้าน
หมายความว่า ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
อำเภอ
ให้หมายความรวมถึงกิ่งอำเภอ
ท้องถิ่น
หมายความว่า กรุงเทพมหานคร เทศบาล เมืองพัทยา
และหน่วยการปกครองท้องถิ่นอื่นที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางโดยอนุมัติรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนสาขา
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนเฉพาะกิจ และนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายทะเบียนหรือผู้ช่วยนายทะเบียน
นายทะเบียนผู้รับแจ้ง
หมายความว่า นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น
และผู้ซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางได้กำหนดให้มีหน้าที่เกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การตาย การย้ายที่อยู่ การสร้างบ้านใหม่ การรื้อบ้าน และการกำหนดเลขประจำบ้าน
โดยได้กำหนดขอบเขตหน้าที่ดังกล่าวไว้
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหรือยกเว้นการปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การแจ้งการตาย การแจ้งการย้ายที่อยู่ การสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร
การจัดทำทะเบียนประวัติ
การจัดทำบัตรประจำตัวหรือการอื่นใดอันเกี่ยวกับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายที่เกี่ยวด้วยสัญชาติได้
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งจะกำหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ไว้ด้วยก็ได้[๒]
มาตรา ๖ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจ
หรือคัดสำเนารายการ หรือให้นายทะเบียนคัดและรับรองซึ่งสำเนาทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิด หรือทะเบียนคนตาย ได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือรายการทะเบียนราษฎรอื่นที่จัดทำตามพระราชบัญญัตินี้สำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยด้วยโดยอนุโลม[๓]
เมื่อได้รับคำขอตามวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้วให้นายทะเบียนดำเนินการโดยเร็ว[๔]
มาตรา ๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงนั้น
กฎกระทรวง
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
สำนักทะเบียนและนายทะเบียน
มาตรา ๘[๕] ภายใต้บังคับมาตรา ๘/๑
ให้มีสำนักทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
(๑)
สำนักทะเบียนกลาง มีผู้อำนวยการทะเบียนกลาง รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักร
(๒)
สำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร มีนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
และผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานคร
(๓)
สำนักทะเบียนจังหวัด
มีนายทะเบียนจังหวัดและผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัดเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตจังหวัด
(๔)
สำนักทะเบียนอำเภอ
มีนายทะเบียนอำเภอและผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตอำเภอ
(๕)
สำนักทะเบียนท้องถิ่น มีนายทะเบียนท้องถิ่นและผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตปกครองท้องถิ่นนั้น
ๆ
มาตรา ๘/๑[๖]
การจัดตั้งสำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา ๘ (๔) และ
(๕) ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศ
โดยคำนึงถึงสภาพแห่งความพร้อมและความสะดวกในการให้บริการประชาชน
รวมตลอดถึงการไม่ซ้ำซ้อนและการประหยัด
สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา
๘ (๔) และ (๕) ที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้วนั้น เมื่อคำนึงถึงสภาพตามวรรคหนึ่งแล้ว
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะยุบหรือควบรวมเข้าด้วยกันก็ได้
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของสำนักทะเบียนที่จัดตั้งตามวรรคหนึ่งหรือควบรวมตามวรรคสอง
ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
มาตรา ๘/๒[๗]
ให้มีนายทะเบียนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
(๑)
อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
มีอำนาจออกระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ
รวมทั้งกำหนดแบบพิมพ์เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
และแต่งตั้งรองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
(๒)
ปลัดกรุงเทพมหานครเป็นนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
(๓)
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด
(๔)
นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี
เป็นนายทะเบียนอำเภอ และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
(๕)
ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต ปลัดเมืองพัทยา
หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
เป็นนายทะเบียนท้องถิ่น และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตาม
(๑) จะมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
หรือจะมอบหมายให้ข้าราชการสังกัดกรมการปกครองช่วยเหลือในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดด้วยก็ได้
นายทะเบียนกรุงเทพมหานครตาม
(๒) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งไม่ต่ำกว่าระดับกองในสำนักปลัดกรุงเทพมหานครปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนกรุงเทพมหานครก็ได้
นายทะเบียนจังหวัดตาม
(๓) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือปลัดจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนจังหวัดก็ได้
นายทะเบียนอำเภอตาม
(๔) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
หรือปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนอำเภอก็ได้
นายทะเบียนท้องถิ่นตาม
(๕) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น รองปลัดเทศบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต
รองปลัดเมืองพัทยา หรือรองหรือผู้ช่วยหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น
แล้วแต่กรณี ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนท้องถิ่นก็ได้
มาตรา ๙ ในกรณีจำเป็นต้องมีสำนักทะเบียนสาขา
หรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดตั้งและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบการปฏิบัติงาน
การทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนสาขาหรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่ของสำนักทะเบียนดังกล่าว
และให้นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต
ปลัดเมืองพัทยา หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น แล้วแต่กรณี
แต่งตั้งนายทะเบียนและผู้ช่วยนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนดังกล่าวในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ
มาตรา ๑๐ เพื่อความถูกต้องของการทะเบียนราษฎร
ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกเจ้าบ้าน หรือบุคคลใด
ๆ มาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้แสดงหลักฐานต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น และเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยให้มีอำนาจเข้าไปสอบถามผู้อยู่ในบ้านใด
ๆ ได้ ตามอำนาจหน้าที่ แต่ต้องแจ้งให้เจ้าบ้านทราบก่อน ทั้งนี้
ให้กระทำได้ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ในการเข้าไปสอบถามตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่า
การดำเนินการแจ้ง การรับแจ้ง การบันทึก
หรือการลงรายการเพื่อดำเนินการจัดทำหลักฐานทะเบียนต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
ได้ดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอำพราง
หรือโดยมีรายการข้อความผิดจากความเป็นจริง ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งไม่รับแจ้ง
จำหน่ายรายการทะเบียน เพิกถอนหลักฐานทะเบียน
และดำเนินการแก้ไขข้อความรายการทะเบียนให้ถูกต้อง แล้วแต่กรณี
การดำเนินการตามวรรคสาม
รวมตลอดทั้งวิธีการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงและการอุทธรณ์ของผู้ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของนายทะเบียน
รวมถึงการพิจารณาคำอุทธรณ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้
ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนไว้ก่อนที่จะรับฟังคำชี้แจงหรือการโต้แย้งได้[๘]
มาตรา ๑๑ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้นายทะเบียนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๒
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
มาตรา ๑๒
เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร
การตรวจสอบพิสูจน์ตัวบุคคลและประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้สำนักทะเบียนกลางดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และปรับปรุงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้ตรงต่อความเป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บข้อมูลและใช้ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับข้อมูลของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เข้ามาหรืออาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
จัดส่งข้อมูลที่มีอยู่ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางร้องขอ[๙]
มาตรา ๑๓
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา ๑๒ ไม่รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลของบุคคล
ดังต่อไปนี้
(๑)
รายได้
(๒)
ประวัติอาชญากรรม
(๓)
การชำระหรือไม่ชำระภาษีอากร
(๔)
ข้อมูลที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือ
(๕)
ข้อมูลที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องแจ้ง
มาตรา ๑๔ บุคคลผู้มีหน้าที่แจ้งการต่าง ๆ
ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ เจ้าของประวัติซึ่งปรากฏในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา
๑๒ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีเจ้าของประวัติเป็นผู้เยาว์
ผู้อนุบาลในกรณีเจ้าของประวัติเป็นคนไร้ความสามารถหรือทายาทเจ้าของประวัติ
หรือผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลดังกล่าวข้างต้น
อาจขอให้นายทะเบียนดำเนินการได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ ดังนี้
(๑)
คัดและรับรองเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ตามมาตรา ๑๒
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๒)
แก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามความเป็นจริง
เมื่อได้รับคำขอตาม (๒) ให้นายทะเบียนมีคำสั่งโดยเร็ว
คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับคำขอหรือไม่ดำเนินการตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้คู่กรณียื่นอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
หรือผู้อำนวยการทะเบียนกลาง แล้วแต่กรณี ภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับทราบคำสั่งจากนายทะเบียน[๑๐]
เงื่อนไข
หลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร และการอุทธรณ์ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๕
ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐอาจขอให้นายทะเบียนจัดส่งสำเนาเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรได้ ทั้งนี้
เฉพาะเพื่อการอันจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐนั้น
หากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีความประสงค์จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจอนุญาตให้เชื่อมโยงได้เฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่ปรากฏภายในทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย
หรือทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยเท่านั้น[๑๑]
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในราชอาณาจักรคณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางยินยอมให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียนอื่นนอกจากทะเบียนตามวรรคสองเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้[๑๒]
ห้ามมิให้ส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ หรือพนักงานสอบสวนที่ได้ข้อมูลใดตามมาตรานี้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจหรือในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของทางราชการหรือตามวัตถุประสงค์ที่ร้องขอ[๑๓]
มาตรา ๑๖
ในการดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดเลขประจำตัวแก่บุคคลที่อยู่ในราชอาณาจักรคนละหนึ่งเลขโดยไม่ซ้ำกัน
การยกเว้นการให้เลขประจำตัวแก่บุคคล
ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๗
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรต้องถือเป็นความลับ
และให้นายทะเบียนเป็นผู้เก็บรักษาและใช้เพื่อการปฏิบัติตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อความหรือตัวเลขนั้นแก่บุคคลใด ๆ
ซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแก่สาธารณชน
เว้นแต่ผู้มีส่วนได้เสียขอทราบเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวของผู้ที่ตนจะมีนิติสัมพันธ์ด้วย
หรือเมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การสถิติ
หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือการดำเนินคดีและการพิจารณาคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
และไม่ว่าในกรณีใดจะนำข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรไปใช้เป็นหลักฐานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลมิได้
หมวด ๓
คนเกิด คนตาย
มาตรา ๑๘ เมื่อมีคนเกิดให้แจ้งการเกิด ดังต่อไปนี้
(๑)
คนเกิดในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือบิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่คนเกิดในบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด
(๒)
คนเกิดนอกบ้าน
ให้บิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนเกิดนอกบ้านหรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด ในกรณีจำเป็นไม่อาจแจ้งได้ตามกำหนด
ให้แจ้งภายหลังได้แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันเกิด
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อคนเกิดด้วย
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
การแจ้งตามวรรคหนึ่งจะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่อื่นก็ได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง[๑๔]
มาตรา ๑๙[๑๕]
ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้งให้นำตัวเด็กไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งปฏิบัติงานในท้องที่ที่พบเด็กนั้นโดยเร็ว
เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้บันทึกการรับตัวเด็กไว้
ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรับเด็กไว้ ให้นำตัวเด็กพร้อมบันทึกการรับตัวเด็กส่งให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเขตท้องที่
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้หรือได้รับตัวเด็กจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแล้ว
ให้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
บันทึกการรับตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นสองฉบับและเก็บไว้ที่เจ้าหน้าที่ผู้รับตัวเด็กหนึ่งฉบับและส่งมอบให้กับนายทะเบียนผู้รับแจ้งหนึ่งฉบับ
โดยให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการบุคคลของผู้ที่พบเด็ก พฤติการณ์ สถานที่และวันเวลาที่พบเด็ก
สภาพทางกายภาพโดยทั่วไปของเด็ก เอกสารที่ติดตัวมากับเด็ก
และประวัติของเด็กเท่าที่ทราบ
และในกรณีที่ไม่อาจทราบสัญชาติของเด็กให้บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ด้วย
มาตรา ๑๙/๑[๑๖]
เด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งซึ่งอยู่ในการอุปการะของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนที่จดทะเบียนตามกฎหมายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ถ้าเด็กยังไม่ได้แจ้งการเกิดและไม่มีรายการบุคคลในทะเบียนบ้านให้หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่หน่วยงานนั้นตั้งอยู่
และให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง
ทั้งนี้ ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๙/๒[๑๗]
การพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กตามมาตรา ๑๙ และมาตรา ๑๙/๑
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีที่ไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติได้
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนประวัติและออกเอกสารแสดงตนให้เด็กไว้เป็นหลักฐาน
ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๙/๓[๑๘] ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งเจ้าบ้านหรือบิดามารดามิได้แจ้งการเกิดให้ตามมาตรา
๑๘
อาจร้องขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อแจ้งการเกิดได้ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดและให้นำความในมาตรา
๑๙/๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองแจ้งแทนได้
แต่สำหรับกรณีของบิดามารดาให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการให้ต่อเมื่อได้ชำระค่าปรับตามที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเปรียบเทียบตามมาตรา
๔๗ (๒) และมาตรา ๕๑ แล้ว
มาตรา ๒๐[๑๙] เมื่อมีการแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ มาตรา
๑๙ มาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๑๙/๓
ทั้งกรณีของเด็กที่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรับแจ้งการเกิดและออกสูติบัตรเป็นหลักฐานแก่ผู้แจ้งโดยมีข้อเท็จจริงเท่าที่สามารถจะทราบได้
สำหรับการแจ้งการเกิดของเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกสูติบัตรให้ตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
โดยให้ระบุสถานะการเกิดไว้ด้วย
มาตรา ๒๐/๑[๒๐]
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มบุคคลใดหรือให้กลุ่มบุคคลใดแปลงสัญชาติเป็นไทยได้
หรือกรณีมีเหตุจำเป็นอื่น และบุคคลดังกล่าวจำเป็นต้องมีหนังสือรับรองการเกิด
ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวยื่นคำขอหนังสือรับรองการเกิดตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๑ เมื่อมีคนตายให้แจ้งการตาย ดังต่อไปนี้
(๑)
คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง
นับแต่เวลาตาย ในกรณีไม่มีเจ้าบ้าน
ให้ผู้พบศพแจ้งภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาพบศพ
(๒)
คนตายนอกบ้าน
ให้บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพ
แล้วแต่กรณี หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
ในกรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจก็ได้
กำหนดเวลาให้แจ้งตาม
(๑) และ (๒) ถ้าในท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร
แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้แจ้งด้วย
ให้นำความในวรรคสามของมาตรา
๑๘ มาใช้บังคับกับการแจ้งตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม[๒๑]
มาตรา ๒๒ เมื่อมีการแจ้งตามมาตรา ๒๑
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกมรณบัตรเป็นหลักฐานให้แก่ผู้แจ้ง
เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๒๕
มาตรา ๒๓ เมื่อมีคนเกิดหรือคนตาย
ผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาลต้องออกหนังสือรับรองการเกิดหรือการตายตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งตามมาตรา
๑๘ หรือมาตรา ๒๑
มาตรา ๒๔ ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บ ฝัง เผา ทำลาย
หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีการตาย
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
เมื่อได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ห้ามมิให้เก็บ ฝัง เผา ทำลาย หรือย้ายศพผิดไปจากสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตนั้น
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องย้ายศพ
เพื่อความปลอดภัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน
ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจกระทำได้
มาตรา ๒๕
ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าคนตายด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือตายโดยผิดธรรมชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรีบแจ้งต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
และให้รอการออกมรณบัตรไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานดังกล่าว
มาตรา ๒๖ ให้นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี จัดทำทะเบียนคนเกิดทะเบียนคนตาย
จากสูติบัตรและมรณบัตรตามแบบพิมพ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๗ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทะเบียนคนเกิด
ทะเบียนคนตาย
หรือสูติบัตรและมรณบัตรให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๘ ให้กงสุลไทยหรือข้าราชการสถานทูตไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียน
มีหน้าที่รับจดทะเบียนคนเกิดและคนตายที่มีขึ้นนอกราชอาณาจักรสำหรับคนสัญชาติไทยและคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หลักฐานการจดทะเบียนดังกล่าวให้ใช้เป็นสูติบัตรและมรณบัตรได้
ถ้าในที่ซึ่งมีการเกิดหรือการตายตามวรรคหนึ่ง
ไม่มีกงสุลไทยหรือสถานทูตไทยประจำอยู่
ให้ใช้หลักฐานการเกิดหรือการตายที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศนั้น
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แปลและรับรองว่าถูกต้องเป็นหลักฐานสูติบัตรและมรณบัตรได้
การจดทะเบียนคนเกิดและคนตายตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๔
การย้ายที่อยู่
มาตรา ๒๙ ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านใด
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นอยู่และมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่นั้น
มาตรา ๓๐
ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายที่อยู่ต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ดังต่อไปนี้
(๑)
เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้าน ให้แจ้งการย้ายออกภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้อยู่ในบ้านย้ายออก
(๒)
เมื่อมีผู้ย้ายที่อยู่เข้าอยู่ในบ้าน ให้แจ้งการย้ายเข้าภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันที่ย้ายเข้าอยู่ในบ้าน
นอกจากกรณีตาม
(๑) และ (๒) ผู้ย้ายที่อยู่จะเป็นผู้แจ้งการย้ายออกและย้ายเข้า
โดยไปแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่ใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันย้ายออกก็ได้
โดยให้นำสำเนาทะเบียนบ้านพร้อมด้วยคำยินยอมเป็นหนังสือของเจ้าบ้านที่เข้าไปอยู่ใหม่แสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
การแจ้งย้ายตามมาตรานี้
ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ใบแจ้งย้ายที่อยู่ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ให้นำความในวรรคสามของมาตรา
๑๘ มาใช้บังคับกับการแจ้งตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม[๒๒]
มาตรา ๓๑ ในการแจ้งการย้ายที่อยู่เข้าในบ้านใด
ถ้านายทะเบียนผู้รับแจ้งเห็นว่ามีผู้ย้ายเข้าอยู่เป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นคราวเดียวหรือหลายคราว และเมื่อได้ตรวจสภาพบ้านแล้วเห็นว่า
การย้ายเข้าอยู่ในบ้านจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยสาธารณสุข
นายทะเบียนผู้รับแจ้งมีอำนาจไม่รับแจ้งการย้ายเข้าอยู่ในบ้านได้
มาตรา ๓๒ การแจ้งย้ายผู้ใดเข้าอยู่ในบ้านตามมาตรา
๓๐ (๒) เจ้าบ้านต้องนำหลักฐานการย้ายออกของผู้นั้นตามมาตรา ๓๐ (๑)
ไปแสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งด้วย
ทั้งนี้ มิให้นำความในมาตรานี้มาใช้แก่กรณีดำเนินการย้ายตามมาตรา ๓๐
วรรคสอง และกรณีผู้ย้ายเข้ามาจากต่างประเทศโดยมีหลักฐาน
มาตรา ๓๓
เมื่อผู้อยู่ในบ้านใดออกจากบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่นเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
และเจ้าบ้านไม่ทราบว่าผู้นั้นไปอยู่ที่ใด
ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสามสิบวันนับแต่วันครบหนึ่งร้อยแปดสิบวันโดยระบุว่าไม่ทราบที่อยู่
และให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการผู้นั้นในทะเบียนบ้านกลาง
หมวด ๕
ทะเบียนบ้าน
มาตรา ๓๔ ให้ทุกบ้านมีเลขประจำบ้าน
บ้านใดยังไม่มีเลขประจำบ้าน
ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อขอเลขประจำบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันสร้างบ้านเสร็จ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งกำหนดเลขประจำบ้านให้แก่ผู้แจ้งซึ่งมีบ้านอยู่ในเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นภายในเจ็ดวัน
ถ้ามีบ้านอยู่นอกเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นให้กำหนดเลขประจำบ้านภายในสามสิบวัน
ให้เจ้าบ้านติดเลขประจำบ้านไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้ง
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะกำหนดให้มีทะเบียนบ้านชั่วคราวตามระเบียบ
เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบทางทะเบียนก็ได้
มาตรา ๓๕ ถ้ามีบ้านอยู่หลายหลังในบริเวณเดียวกัน
ให้กำหนดเลขประจำบ้านเพียงเลขเดียว
แต่ถ้าเจ้าบ้านประสงค์จะกำหนดเลขประจำบ้านเพิ่มขึ้นอีกให้ยื่นขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
บ้านที่ปลูกเป็นตึกแถว
ห้องแถว หรืออาคารชุด ให้กำหนดเลขประจำบ้านทุกห้องหรือทุกห้องชุด
โดยถือว่าห้องหรือห้องชุดหนึ่ง ๆ เป็นบ้านหลังหนึ่ง
มาตรา ๓๖
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านไว้ทุกบ้านสำหรับผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร[๒๓]
การจัดทำทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๗
การเพิ่มชื่อและรายการของบุคคลลงในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนบ้านกลาง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๘[๒๔]
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และบุตรของบุคคลดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักร ในกรณีผู้มีรายการในทะเบียนบ้านพ้นจากการได้รับอนุญาตหรือผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
ให้นายทะเบียนจำหน่ายรายการทะเบียนของผู้นั้นโดยเร็ว
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
รายการและการบันทึกรายการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๙ ให้นายทะเบียนอำเภอ
และนายทะเบียนท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านเก็บรักษา เมื่อมีการเพิ่ม
เปลี่ยนแปลง หรือจำหน่ายรายการในทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านนำสำเนาทะเบียนบ้านไปให้นายทะเบียนบันทึกรายการให้ถูกต้องตรงกับต้นฉบับทุกครั้ง
ถ้าสำเนาทะเบียนบ้านชำรุดจนใช้การไม่ได้หรือสูญหาย
ให้เจ้าบ้านขอรับสำเนาทะเบียนบ้านใหม่ได้
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้อำนวยการทะเบียนกลางเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีสำเนาทะเบียนบ้านต่อไปในเขตสำนักทะเบียนใด
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางมีอำนาจยกเลิกการใช้สำเนาทะเบียนบ้านในเขตสำนักทะเบียนนั้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔๐
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนบ้านหรือสำเนาทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๑[๒๕]
ผู้ใดรื้อบ้านที่มีเลขประจำบ้านโดยไม่ประสงค์จะปลูกบ้านใหม่ในที่ดินบริเวณนั้นอีกต่อไปหรือรื้อเพื่อไปปลูกสร้างบ้านในที่อื่น
ให้แจ้งการรื้อบ้านต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รื้อบ้านเสร็จเพื่อจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้าน
บ้านที่รื้อถอนโดยไม่แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้านและแจ้งย้ายผู้มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้นไปไว้ในทะเบียนบ้านกลางตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๒ การย้ายบ้านซึ่งเคลื่อนย้ายได้ หรือการย้ายแพหรือเรือหรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่ประจำไปอยู่หรือจอด
ณ ที่อื่น ถ้าอยู่หรือจอดเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
เจ้าบ้านต้องแจ้งการย้ายออกและย้ายเข้าต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่หรือจอดใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันครบกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
หมวด ๖
การสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
มาตรา ๔๓ เพื่อประโยชน์ของการทะเบียนราษฎร
ให้มีการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรบางท้องที่หรือทั่วราชอาณาจักรได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๔๔
เมื่อได้ตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๔๓ แล้ว ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายเป็นหนังสือมีอำนาจเข้าไปในบ้านในเขตท้องที่ที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรเท่าที่จำเป็นในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ให้เจ้าบ้านชี้แจงตอบคำถามตามความจริงและให้ลงลายมือชื่อในรายการสำรวจตรวจสอบเพื่อรับรองข้อความในรายการที่สำรวจตรวจสอบนั้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ หรือบัตรประจำตัวประชาชน
พร้อมด้วยหนังสือหลักฐานแห่งการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แก่เจ้าบ้านก่อนเข้าไปสำรวจตรวจสอบ
มาตรา ๔๕ ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางรวบรวมรายงานยอดจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรที่มีอยู่ในวันที่
๓๑ ธันวาคม ของปีที่ล่วงมา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
การประกาศยอดจำนวนราษฎรตามความในวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
หมวด ๗
การมอบหมายให้แจ้งแทน
มาตรา ๔๖ ในกรณีการแจ้งตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๒๑ มาตรา
๓๐ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒
ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งได้มอบหมายให้ผู้ใดไปแจ้งแทนและเมื่อผู้ได้รับมอบหมายได้แจ้งต่อผู้มีหน้าที่รับแจ้งตามมาตรานั้น
ๆ แล้ว ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่นั้นได้แจ้งแล้ว
การปฏิบัติตามมาตรา
๓๙ วรรคหนึ่งหรือวรรคสองของเจ้าบ้านว่าด้วยเรื่องสำเนาทะเบียนบ้าน
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๘
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๗ ผู้ใด
(๑)
ไม่มาตามที่นายทะเบียนเรียก ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงหลักฐาน หรือไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปสอบถามในบ้านตามมาตรา
๑๐
(๒)[๒๖]
ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๓
มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒
(๓)
ฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ หรือ
(๔) ไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปในบ้านเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
ไม่ยอมชี้แจงหรือตอบคำถาม หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อตามมาตรา ๔๔
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๔๘
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๕
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๔๘/๑[๒๗] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๕ วรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นกระทำความผิด
หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย
มาตรา ๔๙[๒๘] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา
๑๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๕๐ ผู้ใด ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ
หรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง
หรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี
หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีผู้กระทำผิดตามวรรคหนึ่งเป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๕๑
ความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนอำเภอ
หรือนายทะเบียนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม[๒๙]
๑. การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามมาตรา
๕
กรณีทำบัตรครั้งแรกหรือบัตรเดิมหมดอายุ
ฉบับละ ๑๐๐ บาท
กรณีบัตรเดิมสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
กรณีเปลี่ยนบัตรเนื่องจากการแก้ไขรายการผู้ถือบัตร
ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๒. การขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียน
หรือบัตรประจำตัวตามมาตรา
๖ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๓. การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา
๑๔ (๑) ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๔. การแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายตามมาตรา
๒๑ วรรคสี่ หรือการแจ้ง
การย้ายที่อยู่ตามมาตรา
๓๐ วรรคสอง หรือวรรคสี่ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๕. การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง ฉบับละ
๑๐๐ บาท
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้วไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
สมควรปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑[๓๐]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๒๖ ให้สำนักทะเบียนอำเภอ
และสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ดำเนินการอยู่แล้วในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เป็นสำนักทะเบียนอำเภอและสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่จัดตั้งตามมาตรา ๘/๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๒๗ บรรดากฎกระทรวง
ระเบียบหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้
จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๒๘
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรเพื่อให้นายทะเบียนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อำนวยความเป็นธรรมและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้น และกำหนดวิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินการในการแจ้งการเกิด
การออกสูติบัตร การออกหนังสือรับรองการเกิด
และการจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าว
รวมทั้งสมควรปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐[๓๑]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖
และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘
พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง
เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๖ ดังนั้น เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วศิน/แก้ไข
๒๐
พฤศจิกายน ๒๕๕๖
วริญา/เพิ่มเติม
๑๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
วิชพงษ์/ตรวจ
๒๐ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๙๗/๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
[๒] มาตรา
๕ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๓] มาตรา
๖ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๔] มาตรา
๖ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๕] มาตรา
๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๖] มาตรา
๘/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๗] มาตรา
๘/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๘] มาตรา
๑๐ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๙] มาตรา
๑๒ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๐] มาตรา
๑๔ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๑] มาตรา
๑๕ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๒] มาตรา
๑๕ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๓] มาตรา
๑๕ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๔] มาตรา
๑๘ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๕] มาตรา
๑๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๖] มาตรา
๑๙/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๗] มาตรา
๑๙/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๘] มาตรา
๑๙/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๙] มาตรา
๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๐] มาตรา
๒๐/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๑] มาตรา
๒๑ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๒] มาตรา
๓๐ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๓] มาตรา
๓๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๑
[๒๔] มาตรา
๓๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๕] มาตรา
๔๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๖] มาตรา
๔๗ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๗] มาตรา
๔๘/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
[๒๘] มาตรา
๔๙
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
[๒๙] อัตราค่าธรรมเนียม
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๓๐]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๑๓/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
[๓๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ |
768963 | พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. 2560 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐
เป็นปีที่ ๒
ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตราแห่งประมวลกฎหมาย
พระราชบัญญัติและพระราชกำหนด จำนวนเจ็ดสิบหกฉบับ ดังต่อไปนี้
และให้ใช้ความตามที่ปรากฏในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้แทนตามลำดับ
(๑) มาตรา ๑๒ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พุทธศักราช
๒๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒) มาตรา ๓๕ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๒๕
และมาตรา ๙๐/๕ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๓) มาตรา ๖๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๔) มาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ
(ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๕) มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๓๕
(๖) มาตรา ๒๘/๔ แห่งพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๖
(๗) มาตรา ๓๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔
(๘) มาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. ๒๕๑๐
(๙) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
(๑๐) มาตรา ๗๒/๕ แห่งพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปุ๋ย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐
(๑๑) มาตรา ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๒) มาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๓) มาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๔) มาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๑๕) มาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๖) มาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๗) มาตรา ๓๒
แห่งพระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๔
(๑๘) มาตรา ๒๓ แห่งพระราชกำหนดควบคุมสินค้าตามชายแดน พ.ศ. ๒๕๒๔
(๑๙) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
(๒๐) มาตรา ๑๕
แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๗ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
(๒๑) มาตรา ๙๒
แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
(๒๒) มาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
(๒๓) มาตรา ๑๐๑ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
(๒๔) มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒๕) มาตรา ๔๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
และมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
(๒๖) มาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๗) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๘) มาตรา ๑๑๑
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒๙) มาตรา ๘๗/๒ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๐) มาตรา ๖๓ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๓๑) มาตรา ๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๒) มาตรา ๑๐๘ แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓๓) มาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๓๗
(๓๔) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
(๓๕) มาตรา ๘๙
แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙
(๓๖) มาตรา ๑๓ แห่งพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. ๒๕๕๐
(๓๗) มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒
(๓๘) มาตรา ๖๑
แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒
(๓๙) มาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๐) มาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๑) มาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๒) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๓) มาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒
(๔๔) มาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๕) มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๖) มาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๗) มาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๘) มาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
(๔๙) มาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.
๒๕๔๓
(๕๐) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓
(๕๑) มาตรา ๘๖ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๔๓
(๕๒) มาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๓) มาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๔) มาตรา ๔๖
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔
(๕๕) มาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
(๕๖) มาตรา ๑๓๕ แห่งพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๗) มาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๘) มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๔๖
(๕๙) มาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๗
(๖๐) มาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ. ๒๕๔๘
(๖๑) มาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ. ๒๕๔๘
(๖๒) มาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๓) มาตรา ๑๔๑ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๔) มาตรา ๑๕๓ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๕) มาตรา ๘๐ แห่งพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖๖) มาตรา ๕๔
แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
(๖๗) มาตรา ๑๓๒ และมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.
๒๕๕๑
(๖๘) มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๖๙) มาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๖
แห่งพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๐) มาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๑) มาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๒) มาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๓) มาตรา ๘๕ แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๔) มาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
(๗๕) มาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓
(๗๖) มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
บัญชีท้ายพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๐
๑. พระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า
พุทธศักราช ๒๔๗๔
มาตรา ๑๒ จัตวา ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒. ประมวลรัษฎากร
มาตรา ๓๕ ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๒ ทวิ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
มาตรา ๙๐/๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามหมวดนี้เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓. พระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑
มาตรา ๖๒ ตรี ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖๒ ทวิ เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๒ ทวิ ด้วย
๔. พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗
มาตรา ๑๑๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕. พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
มาตรา ๒๕ ในกรณีที่บริษัทจำกัดใดกระทำความผิดตามมาตรา
๗ ถึงมาตรา ๒๔ ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทจำกัดนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัดนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทจำกัดนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
๖. พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙
มาตรา ๒๘/๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗. พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐
มาตรา ๓๙ ทวิ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๘. พระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
พ.ศ. ๒๕๑๐
มาตรา ๓๓ ผู้ใดมิใช่ในกิจการของ
อผศ. หรือโดยมิได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก อผศ.
ใช้ชื่อหรือถ้อยคำในประการที่น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นกิจการของ อผศ. หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
อผศ. ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นิติบุคคลใดมิใช่กระทรวง
ทบวง กรม หรือโดยมิได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก อผศ. ใช้คำว่า อผศ. ทหารผ่านศึก ผ่านศึก นอกประจำการ หรือคำว่าทหาร เป็นชื่อหรือประกอบชื่อของนิติบุคคลนั้น
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิดผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
๙. พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.
๒๕๑๔
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิด
ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๐. พระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๗๒/๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
เว้นแต่กรณีตามมาตรา ๗๒/๒ ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๑.
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๘๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๒.
พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๘๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๓. พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๓๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๔ .
พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๗๑ นิติบุคคลอาคารชุดใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๓๘/๑ มาตรา ๓๘/๒ และมาตรา ๓๘/๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ในกรณีที่นิติบุคคลอาคารชุดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้น
หรือในกรณีที่ผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลอาคารชุดนั้นกระทำความผิด
ผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งด้วย
๑๕. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๖. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๗๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๗. พระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๒๔
มาตรา ๓๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๓๐
หรือมาตรา ๓๑ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๘. พระราชกำหนดควบคุมสินค้าตามชายแดน พ.ศ.
๒๕๒๔
มาตรา ๒๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๑๙. พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๐. พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ. ๒๕๒๗
มาตรา ๑๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลซึ่งปรากฏพยานหลักฐานว่ามีพฤติกรรมเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลด้วย
๒๑. พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๙๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๒. พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.
๒๕๓๐
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่คณะกรรมการกองทุนกระทำความผิดตามมาตรา
๓๔ ถ้าการกระทำความผิดของคณะกรรมการกองทุนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้คณะกรรมการกองทุนนั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๓. พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
มาตรา ๑๐๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๔. พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา
๕ หรือมาตรา ๘ เป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๒๕. พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๔๘/๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา
๑๕ วรรคสี่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นกระทำความผิด
หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
ๆ ด้วย
มาตรา ๔๙ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๗
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๖. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
๒๕๓๕
มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๗. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๘. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๑๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๒๙. พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๘๗/๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
ผู้เชี่ยวชาญ บุคลากรเฉพาะ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๐. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๑. พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๑๔ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิดตามมาตรา
๒๓ มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๖ หรือมาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งหรือให้ทำคำชี้แจงตามมาตรา
๔๕ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิดผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๒. พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๐๘ ในกรณีที่บริษัทใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๓
มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งหรือให้ทำคำชี้แจงตามมาตรา ๔๙
หรือไม่หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวตามมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวของบริษัทนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๓. พระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๓๙ ในกรณีที่สภากระทำความผิดและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของสภานั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการผู้ใดมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สภานั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
๓๔. พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๕. พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๘๙ ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนรายใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๘๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งแสนบาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ถ้าการกระทำความผิดของผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดการกองทุนนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๖. พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๔๑
มาตรา ๑๓ บริษัทบริหารสินทรัพย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๔/๑ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ หรือมาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือคำสั่งหรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๔/๑
วรรคสอง มาตรา ๕ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑/๑ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๑๒
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาทตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ใดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำความผิดของบริษัทบริหารสินทรัพย์นั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทบริหารสินทรัพย์นั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บริษัทบริหารสินทรัพย์นั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๗. พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๓๘. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๖๑ นิติบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๗
มาตรา ๘ หรือมาตรา ๙ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งของนิติบุคคลเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓๙. พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๘๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๐. พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๖๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๑. พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๘๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๒. พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
และสำหรับนิติบุคคลต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบเท่าของอัตราโทษปรับสำหรับความผิดนั้นด้วย
๔๓. พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๔๒
มาตรา ๗๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๔. พระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๗๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
และสำหรับนิติบุคคลต้องระวางโทษปรับไม่เกินสิบเท่าของอัตราโทษปรับสำหรับความผิดนั้นด้วย
๔๕. พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๔๓ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๖. พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๔๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๗. พระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๕๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๘. พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๖๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๔๙. พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๐. พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.
๒๕๔๓
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๑. พระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๘๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๒. พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๓. พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๗๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๔. พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๔๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๕. พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.
๒๕๔๕
มาตรา ๖๔ ในกรณีที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๗ มาตรา ๒๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙
หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ถ้าการกระทำความผิดของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการผู้ใด
หรือในกรณีที่กรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้นกระทำความผิด
กรรมการผู้นั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
๕๖. พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๖
มาตรา ๑๓๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๖
มาตรา ๑๒๗ มาตรา ๑๒๘ มาตรา ๑๒๙ มาตรา ๑๓๐ มาตรา ๑๓๑ มาตรา ๑๓๓ หรือมาตรา ๑๓๘
เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ หรือทั้งจำทั้งปรับ
๕๗. พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.
๒๕๔๖
มาตรา ๑๑๕ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๗๔ หรือมาตรา ๗๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดกระทำความผิดตามมาตรา ๗๔ หรือมาตรา
๗๕ ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการสภาสถาบัน
อธิการบดี หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๘. พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
พ.ศ. ๒๕๔๖
มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๕๙. พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๗๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๐. พระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ.
๒๕๔๘
มาตรา ๓๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๑. พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ
พ.ศ. ๒๕๔๘
มาตรา ๗๗ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามมาตรา
๗๐ หรือมาตรา ๗๑ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๒. พระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ.
๒๕๕๐
มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับอนุญาตตามมาตรา
๓๓ ซึ่งเป็นนิติบุคคลกระทำความผิด ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๓. พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.
๒๕๕๐
มาตรา ๑๔๑ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๔. พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๑๕๓ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลกระทำความผิดและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๕. พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๘๐ ผู้ใดให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในการตรวจสอบหรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งเป็นทรัสตี
ถ้าการกระทำความผิดของทรัสตีนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของทรัสตีนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ทรัสตีนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๖๖. พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๗. พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๑๓๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๑
หรือมาตรา ๑๒๓ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของนิติบุคคล
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๙
ในกรณีที่สถาบันการเงินกระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๒ มาตรา ๑๒๔ มาตรา ๑๒๕
หรือมาตรา ๑๒๘
ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันการเงินนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๑๓๙ ในกรณีที่สถาบันการเงินใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๓๖ มาตรา ๕๐ มาตรา ๖๖ มาตรา ๘๐ มาตรา ๙๓ มาตรา ๙๔ หรือมาตรา ๙๕ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ ข้อกำหนด หลักเกณฑ์
หรือคำสั่งที่กำหนดตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๓ มาตรา
๓๖ มาตรา ๕๐ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๑ มาตรา ๘๐ มาตรา ๙๐ หรือมาตรา ๙๕ ถ้าการกระทำความผิดของสถาบันการเงินนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการ
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
๖๘. พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๖๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลและถูกลงโทษ
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๖๙. พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๖๕ ผู้ใดนอกจากสถาบันการเงิน ใช้ข้อความ เครื่องหมาย
หรือสัญลักษณ์ เพื่อแสดงว่าธุรกิจของตนเป็นสถาบันการเงินที่เงินฝากได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
มาตรา ๖๖ สถาบันการเงินใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งด้วย
๗๐. พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา
๔๘ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๑. พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๗๖ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๒. พระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๕๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๓. พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.
๒๕๕๑
มาตรา ๘๕ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษอาญาตามส่วนนี้เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๔. พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๑๒๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๕. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน
พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๔๘ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล
ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย
๗๖. พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๕๔
มาตรา ๖๒ ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนรายใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๕๗
วรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองล้านบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ
หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนนั้น
หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนนั้นกระทำความผิด
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๕๔ เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล
โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวทำนองเดียวกัน
คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๔
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๘ พระราชบัญญัติสถานบริการ
พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๒๘/๔ และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗๒/๕ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ วรรคสอง
เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๖ ดังนั้น เพื่อแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ชวัลพร/ปริยานุช/จัดทำ
๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑/๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ |
769965 | พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (ฉบับ Update ณ วันที่ 25/02/2551) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔
เป็นปีที่ ๔๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙
(๒)
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๓๔ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
การทะเบียนราษฎร
หมายความว่า งานทะเบียนต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
หมายความว่า ข้อมูลตัวบุคคลเกี่ยวกับ ชื่อ ชื่อสกุล เพศ วันเดือนปีเกิดและตาย
สัญชาติ ศาสนา ภูมิลำเนา สถานะการสมรส วุฒิการศึกษา ชื่อบิดามารดาหรือผู้รับบุตรบุญธรรม
ชื่อคู่สมรส และชื่อบุตร และข้อมูลอื่นที่จำเป็นเพื่อการดำเนินงานทะเบียนต่าง ๆ
ในพระราชบัญญัตินี้
เลขประจำตัว
หมายความว่า เลขประจำตัวประชาชนที่นายทะเบียนออกให้แก่บุคคลแต่ละคน
บ้าน
หมายความว่า โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครอง
และให้หมายความรวมถึงแพ หรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่ประจำ
หรือสถานที่ หรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำได้ด้วย
ทะเบียนบ้าน
หมายความว่า ทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้านซึ่งแสดงเลขประจำบ้าน
และรายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้าน
ทะเบียนคนเกิด
หมายความว่า ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนเกิด
ทะเบียนคนตาย
หมายความว่า ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนตาย
ทะเบียนบ้านกลาง
หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้จัดทำขึ้นสำหรับลงรายการบุคคลที่ไม่อาจมีชื่อในทะเบียนบ้าน
เจ้าบ้าน
หมายความว่า ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า
หรือในฐานะอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่ไม่ปรากฏเจ้าบ้าน
หรือเจ้าบ้านไม่อยู่ ตาย สูญหาย สาบสูญ
หรือไม่สามารถปฏิบัติกิจการได้ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่ดูแลบ้านในขณะนั้นเป็นเจ้าบ้าน
ผู้อยู่ในบ้าน
หมายความว่า ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
อำเภอ
ให้หมายความรวมถึงกิ่งอำเภอ
ท้องถิ่น
หมายความว่า กรุงเทพมหานคร เทศบาล เมืองพัทยา
และหน่วยการปกครองท้องถิ่นอื่นที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางโดยอนุมัติรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน
หมายความว่า นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนสาขา นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนเฉพาะกิจ และนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายทะเบียนหรือผู้ช่วยนายทะเบียน
นายทะเบียนผู้รับแจ้ง
หมายความว่า นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น
และผู้ซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางได้กำหนดให้มีหน้าที่เกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การตาย การย้ายที่อยู่ การสร้างบ้านใหม่ การรื้อบ้าน และการกำหนดเลขประจำบ้าน
โดยได้กำหนดขอบเขตหน้าที่ดังกล่าวไว้
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหรือยกเว้นการปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การแจ้งการตาย การแจ้งการย้ายที่อยู่ การสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร
การจัดทำทะเบียนประวัติ
การจัดทำบัตรประจำตัวหรือการอื่นใดอันเกี่ยวกับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายที่เกี่ยวด้วยสัญชาติได้
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งจะกำหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ไว้ด้วยก็ได้[๒]
มาตรา ๖
ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจ หรือคัดสำเนารายการ
หรือให้นายทะเบียนคัดและรับรองซึ่งสำเนาทะเบียนบ้าน ทะเบียนคนเกิด
หรือทะเบียนคนตาย ได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือรายการทะเบียนราษฎรอื่นที่จัดทำตามพระราชบัญญัตินี้สำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยด้วยโดยอนุโลม[๓]
เมื่อได้รับคำขอตามวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้วให้นายทะเบียนดำเนินการโดยเร็ว[๔]
มาตรา ๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงนั้น
กฎกระทรวง
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
สำนักทะเบียนและนายทะเบียน
มาตรา ๘[๕] ภายใต้บังคับมาตรา ๘/๑
ให้มีสำนักทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
(๑)
สำนักทะเบียนกลาง มีผู้อำนวยการทะเบียนกลาง รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักร
(๒)
สำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร มีนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
และผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานคร
(๓)
สำนักทะเบียนจังหวัด
มีนายทะเบียนจังหวัดและผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัดเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตจังหวัด
(๔)
สำนักทะเบียนอำเภอ
มีนายทะเบียนอำเภอและผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตอำเภอ
(๕)
สำนักทะเบียนท้องถิ่น มีนายทะเบียนท้องถิ่นและผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตปกครองท้องถิ่นนั้น
ๆ
มาตรา ๘/๑[๖]
การจัดตั้งสำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา ๘ (๔) และ
(๕) ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศ
โดยคำนึงถึงสภาพแห่งความพร้อมและความสะดวกในการให้บริการประชาชน
รวมตลอดถึงการไม่ซ้ำซ้อนและการประหยัด
สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา
๘ (๔) และ (๕) ที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้วนั้น เมื่อคำนึงถึงสภาพตามวรรคหนึ่งแล้ว
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะยุบหรือควบรวมเข้าด้วยกันก็ได้
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของสำนักทะเบียนที่จัดตั้งตามวรรคหนึ่งหรือควบรวมตามวรรคสอง
ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
มาตรา ๘/๒[๗]
ให้มีนายทะเบียนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
(๑)
อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
มีอำนาจออกระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ
รวมทั้งกำหนดแบบพิมพ์เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
และแต่งตั้งรองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
(๒)
ปลัดกรุงเทพมหานครเป็นนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
(๓)
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด
(๔)
นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี
เป็นนายทะเบียนอำเภอ และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
(๕)
ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต ปลัดเมืองพัทยา
หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
เป็นนายทะเบียนท้องถิ่น และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตาม
(๑) จะมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
หรือจะมอบหมายให้ข้าราชการสังกัดกรมการปกครองช่วยเหลือในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดด้วยก็ได้
นายทะเบียนกรุงเทพมหานครตาม
(๒) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งไม่ต่ำกว่าระดับกองในสำนักปลัดกรุงเทพมหานครปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนกรุงเทพมหานครก็ได้
นายทะเบียนจังหวัดตาม
(๓) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือปลัดจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนจังหวัดก็ได้
นายทะเบียนอำเภอตาม
(๔) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
หรือปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนอำเภอก็ได้
นายทะเบียนท้องถิ่นตาม
(๕) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น รองปลัดเทศบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต
รองปลัดเมืองพัทยา หรือรองหรือผู้ช่วยหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น
แล้วแต่กรณี ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนท้องถิ่นก็ได้
มาตรา ๙
ในกรณีจำเป็นต้องมีสำนักทะเบียนสาขา
หรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดตั้งและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบการปฏิบัติงาน
การทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนสาขาหรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่ของสำนักทะเบียนดังกล่าว
และให้นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต
ปลัดเมืองพัทยา หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น แล้วแต่กรณี
แต่งตั้งนายทะเบียนและผู้ช่วยนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนดังกล่าวในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ
มาตรา ๑๐
เพื่อความถูกต้องของการทะเบียนราษฎร ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกเจ้าบ้าน
หรือบุคคลใด ๆ มาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้แสดงหลักฐานต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น และเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยให้มีอำนาจเข้าไปสอบถามผู้อยู่ในบ้านใด
ๆ ได้ ตามอำนาจหน้าที่ แต่ต้องแจ้งให้เจ้าบ้านทราบก่อน ทั้งนี้
ให้กระทำได้ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ในการเข้าไปสอบถามตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่า
การดำเนินการแจ้ง การรับแจ้ง การบันทึก
หรือการลงรายการเพื่อดำเนินการจัดทำหลักฐานทะเบียนต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
ได้ดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอำพราง
หรือโดยมีรายการข้อความผิดจากความเป็นจริง ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งไม่รับแจ้ง
จำหน่ายรายการทะเบียน เพิกถอนหลักฐานทะเบียน
และดำเนินการแก้ไขข้อความรายการทะเบียนให้ถูกต้อง แล้วแต่กรณี
การดำเนินการตามวรรคสาม
รวมตลอดทั้งวิธีการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงและการอุทธรณ์ของผู้ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของนายทะเบียน
รวมถึงการพิจารณาคำอุทธรณ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้
ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนไว้ก่อนที่จะรับฟังคำชี้แจงหรือการโต้แย้งได้[๘]
มาตรา ๑๑
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๒
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
มาตรา ๑๒
เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร
การตรวจสอบพิสูจน์ตัวบุคคลและประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้สำนักทะเบียนกลางดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และปรับปรุงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้ตรงต่อความเป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บข้อมูลและใช้ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับข้อมูลของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เข้ามาหรืออาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
จัดส่งข้อมูลที่มีอยู่ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางร้องขอ[๙]
มาตรา ๑๓
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา ๑๒ ไม่รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลของบุคคล
ดังต่อไปนี้
(๑)
รายได้
(๒)
ประวัติอาชญากรรม
(๓)
การชำระหรือไม่ชำระภาษีอากร
(๔)
ข้อมูลที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือ
(๕)
ข้อมูลที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องแจ้ง
มาตรา ๑๔
บุคคลผู้มีหน้าที่แจ้งการต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
เจ้าของประวัติซึ่งปรากฏในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา ๑๒
หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีเจ้าของประวัติเป็นผู้เยาว์
ผู้อนุบาลในกรณีเจ้าของประวัติเป็นคนไร้ความสามารถหรือทายาทเจ้าของประวัติ
หรือผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลดังกล่าวข้างต้น
อาจขอให้นายทะเบียนดำเนินการได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ ดังนี้
(๑)
คัดและรับรองเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ตามมาตรา ๑๒
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๒)
แก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามความเป็นจริง
เมื่อได้รับคำขอตาม
(๒) ให้นายทะเบียนมีคำสั่งโดยเร็ว
คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับคำขอหรือไม่ดำเนินการตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้คู่กรณียื่นอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
หรือผู้อำนวยการทะเบียนกลาง แล้วแต่กรณี ภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับทราบคำสั่งจากนายทะเบียน[๑๐]
เงื่อนไข
หลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร และการอุทธรณ์ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๕
ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐอาจขอให้นายทะเบียนจัดส่งสำเนาเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรได้ ทั้งนี้
เฉพาะเพื่อการอันจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐนั้น
หากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีความประสงค์จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจอนุญาตให้เชื่อมโยงได้เฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่ปรากฏภายในทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย
หรือทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยเท่านั้น[๑๑]
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในราชอาณาจักรคณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางยินยอมให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียนอื่นนอกจากทะเบียนตามวรรคสองเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้[๑๒]
ห้ามมิให้ส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ หรือพนักงานสอบสวนที่ได้ข้อมูลใดตามมาตรานี้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจหรือในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของทางราชการหรือตามวัตถุประสงค์ที่ร้องขอ[๑๓]
มาตรา ๑๖
ในการดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดเลขประจำตัวแก่บุคคลที่อยู่ในราชอาณาจักรคนละหนึ่งเลขโดยไม่ซ้ำกัน
การยกเว้นการให้เลขประจำตัวแก่บุคคล
ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๗
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรต้องถือเป็นความลับ
และให้นายทะเบียนเป็นผู้เก็บรักษาและใช้เพื่อการปฏิบัติตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อความหรือตัวเลขนั้นแก่บุคคลใด ๆ
ซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแก่สาธารณชน
เว้นแต่ผู้มีส่วนได้เสียขอทราบเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวของผู้ที่ตนจะมีนิติสัมพันธ์ด้วย
หรือเมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การสถิติ
หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือการดำเนินคดีและการพิจารณาคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
และไม่ว่าในกรณีใดจะนำข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรไปใช้เป็นหลักฐานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลมิได้
หมวด ๓
คนเกิด คนตาย
มาตรา ๑๘
เมื่อมีคนเกิดให้แจ้งการเกิด ดังต่อไปนี้
(๑)
คนเกิดในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือบิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่คนเกิดในบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด
(๒)
คนเกิดนอกบ้าน
ให้บิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนเกิดนอกบ้านหรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด ในกรณีจำเป็นไม่อาจแจ้งได้ตามกำหนด
ให้แจ้งภายหลังได้แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันเกิด
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อคนเกิดด้วย
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
การแจ้งตามวรรคหนึ่งจะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่อื่นก็ได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง[๑๔]
มาตรา ๑๙[๑๕]
ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้งให้นำตัวเด็กไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งปฏิบัติงานในท้องที่ที่พบเด็กนั้นโดยเร็ว
เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้บันทึกการรับตัวเด็กไว้
ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรับเด็กไว้ ให้นำตัวเด็กพร้อมบันทึกการรับตัวเด็กส่งให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเขตท้องที่
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้หรือได้รับตัวเด็กจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแล้ว
ให้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
บันทึกการรับตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นสองฉบับและเก็บไว้ที่เจ้าหน้าที่ผู้รับตัวเด็กหนึ่งฉบับและส่งมอบให้กับนายทะเบียนผู้รับแจ้งหนึ่งฉบับ
โดยให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการบุคคลของผู้ที่พบเด็ก พฤติการณ์ สถานที่และวันเวลาที่พบเด็ก
สภาพทางกายภาพโดยทั่วไปของเด็ก เอกสารที่ติดตัวมากับเด็ก
และประวัติของเด็กเท่าที่ทราบ
และในกรณีที่ไม่อาจทราบสัญชาติของเด็กให้บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ด้วย
มาตรา ๑๙/๑[๑๖]
เด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งซึ่งอยู่ในการอุปการะของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนที่จดทะเบียนตามกฎหมายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ถ้าเด็กยังไม่ได้แจ้งการเกิดและไม่มีรายการบุคคลในทะเบียนบ้านให้หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่หน่วยงานนั้นตั้งอยู่
และให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง
ทั้งนี้ ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๙/๒[๑๗]
การพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กตามมาตรา ๑๙ และมาตรา ๑๙/๑
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีที่ไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติได้
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนประวัติและออกเอกสารแสดงตนให้เด็กไว้เป็นหลักฐาน
ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๙/๓[๑๘] ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งเจ้าบ้านหรือบิดามารดามิได้แจ้งการเกิดให้ตามมาตรา
๑๘
อาจร้องขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อแจ้งการเกิดได้ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดและให้นำความในมาตรา
๑๙/๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองแจ้งแทนได้
แต่สำหรับกรณีของบิดามารดาให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการให้ต่อเมื่อได้ชำระค่าปรับตามที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเปรียบเทียบตามมาตรา
๔๗ (๒) และมาตรา ๕๑ แล้ว
มาตรา ๒๐[๑๙] เมื่อมีการแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ มาตรา
๑๙ มาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๑๙/๓
ทั้งกรณีของเด็กที่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรับแจ้งการเกิดและออกสูติบัตรเป็นหลักฐานแก่ผู้แจ้งโดยมีข้อเท็จจริงเท่าที่สามารถจะทราบได้
สำหรับการแจ้งการเกิดของเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกสูติบัตรให้ตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
โดยให้ระบุสถานะการเกิดไว้ด้วย
มาตรา ๒๐/๑[๒๐]
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มบุคคลใดหรือให้กลุ่มบุคคลใดแปลงสัญชาติเป็นไทยได้
หรือกรณีมีเหตุจำเป็นอื่น และบุคคลดังกล่าวจำเป็นต้องมีหนังสือรับรองการเกิด
ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวยื่นคำขอหนังสือรับรองการเกิดตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๑
เมื่อมีคนตายให้แจ้งการตาย ดังต่อไปนี้
(๑)
คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง
นับแต่เวลาตาย ในกรณีไม่มีเจ้าบ้าน
ให้ผู้พบศพแจ้งภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาพบศพ
(๒)
คนตายนอกบ้าน
ให้บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพ
แล้วแต่กรณี หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
ในกรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจก็ได้
กำหนดเวลาให้แจ้งตาม
(๑) และ (๒) ถ้าในท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร
แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้แจ้งด้วย
ให้นำความในวรรคสามของมาตรา
๑๘ มาใช้บังคับกับการแจ้งตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม[๒๑]
มาตรา ๒๒
เมื่อมีการแจ้งตามมาตรา ๒๑
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกมรณบัตรเป็นหลักฐานให้แก่ผู้แจ้ง
เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๒๕
มาตรา ๒๓
เมื่อมีคนเกิดหรือคนตาย
ผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาลต้องออกหนังสือรับรองการเกิดหรือการตายตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งตามมาตรา
๑๘ หรือมาตรา ๒๑
มาตรา ๒๔
ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บ ฝัง เผา ทำลาย
หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีการตาย
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
เมื่อได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ห้ามมิให้เก็บ ฝัง เผา ทำลาย หรือย้ายศพผิดไปจากสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตนั้น
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องย้ายศพ
เพื่อความปลอดภัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน
ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจกระทำได้
มาตรา ๒๕
ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าคนตายด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือตายโดยผิดธรรมชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรีบแจ้งต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
และให้รอการออกมรณบัตรไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานดังกล่าว
มาตรา ๒๖
ให้นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
จัดทำทะเบียนคนเกิดทะเบียนคนตาย
จากสูติบัตรและมรณบัตรตามแบบพิมพ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๗
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย
หรือสูติบัตรและมรณบัตรให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๘
ให้กงสุลไทยหรือข้าราชการสถานทูตไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียน
มีหน้าที่รับจดทะเบียนคนเกิดและคนตายที่มีขึ้นนอกราชอาณาจักรสำหรับคนสัญชาติไทยและคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หลักฐานการจดทะเบียนดังกล่าวให้ใช้เป็นสูติบัตรและมรณบัตรได้
ถ้าในที่ซึ่งมีการเกิดหรือการตายตามวรรคหนึ่ง
ไม่มีกงสุลไทยหรือสถานทูตไทยประจำอยู่
ให้ใช้หลักฐานการเกิดหรือการตายที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศนั้น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แปลและรับรองว่าถูกต้องเป็นหลักฐานสูติบัตรและมรณบัตรได้
การจดทะเบียนคนเกิดและคนตายตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๔
การย้ายที่อยู่
มาตรา ๒๙
ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านใด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นอยู่และมีภูมิลำเนาอยู่
ณ ที่นั้น
มาตรา ๓๐
ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายที่อยู่ต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ดังต่อไปนี้
(๑)
เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้าน
ให้แจ้งการย้ายออกภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้อยู่ในบ้านย้ายออก
(๒)
เมื่อมีผู้ย้ายที่อยู่เข้าอยู่ในบ้าน ให้แจ้งการย้ายเข้าภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันที่ย้ายเข้าอยู่ในบ้าน
นอกจากกรณีตาม
(๑) และ (๒) ผู้ย้ายที่อยู่จะเป็นผู้แจ้งการย้ายออกและย้ายเข้า
โดยไปแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่ใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันย้ายออกก็ได้
โดยให้นำสำเนาทะเบียนบ้านพร้อมด้วยคำยินยอมเป็นหนังสือของเจ้าบ้านที่เข้าไปอยู่ใหม่แสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
การแจ้งย้ายตามมาตรานี้
ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ใบแจ้งย้ายที่อยู่ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ให้นำความในวรรคสามของมาตรา
๑๘ มาใช้บังคับกับการแจ้งตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม[๒๒]
มาตรา ๓๑
ในการแจ้งการย้ายที่อยู่เข้าในบ้านใด
ถ้านายทะเบียนผู้รับแจ้งเห็นว่ามีผู้ย้ายเข้าอยู่เป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นคราวเดียวหรือหลายคราว และเมื่อได้ตรวจสภาพบ้านแล้วเห็นว่า
การย้ายเข้าอยู่ในบ้านจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยสาธารณสุข
นายทะเบียนผู้รับแจ้งมีอำนาจไม่รับแจ้งการย้ายเข้าอยู่ในบ้านได้
มาตรา ๓๒
การแจ้งย้ายผู้ใดเข้าอยู่ในบ้านตามมาตรา ๓๐ (๒)
เจ้าบ้านต้องนำหลักฐานการย้ายออกของผู้นั้นตามมาตรา ๓๐ (๑)
ไปแสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งด้วย
ทั้งนี้ มิให้นำความในมาตรานี้มาใช้แก่กรณีดำเนินการย้ายตามมาตรา ๓๐
วรรคสอง และกรณีผู้ย้ายเข้ามาจากต่างประเทศโดยมีหลักฐาน
มาตรา ๓๓
เมื่อผู้อยู่ในบ้านใดออกจากบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่นเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
และเจ้าบ้านไม่ทราบว่าผู้นั้นไปอยู่ที่ใด ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสามสิบวันนับแต่วันครบหนึ่งร้อยแปดสิบวันโดยระบุว่าไม่ทราบที่อยู่
และให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการผู้นั้นในทะเบียนบ้านกลาง
หมวด ๕
ทะเบียนบ้าน
มาตรา ๓๔
ให้ทุกบ้านมีเลขประจำบ้าน บ้านใดยังไม่มีเลขประจำบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อขอเลขประจำบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันสร้างบ้านเสร็จ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งกำหนดเลขประจำบ้านให้แก่ผู้แจ้งซึ่งมีบ้านอยู่ในเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นภายในเจ็ดวัน
ถ้ามีบ้านอยู่นอกเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นให้กำหนดเลขประจำบ้านภายในสามสิบวัน
ให้เจ้าบ้านติดเลขประจำบ้านไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้ง
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะกำหนดให้มีทะเบียนบ้านชั่วคราวตามระเบียบ
เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบทางทะเบียนก็ได้
มาตรา ๓๕
ถ้ามีบ้านอยู่หลายหลังในบริเวณเดียวกัน ให้กำหนดเลขประจำบ้านเพียงเลขเดียว
แต่ถ้าเจ้าบ้านประสงค์จะกำหนดเลขประจำบ้านเพิ่มขึ้นอีกให้ยื่นขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
บ้านที่ปลูกเป็นตึกแถว
ห้องแถว หรืออาคารชุด ให้กำหนดเลขประจำบ้านทุกห้องหรือทุกห้องชุด
โดยถือว่าห้องหรือห้องชุดหนึ่ง ๆ เป็นบ้านหลังหนึ่ง
มาตรา ๓๖
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านไว้ทุกบ้านสำหรับผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร[๒๓]
การจัดทำทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๗
การเพิ่มชื่อและรายการของบุคคลลงในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนบ้านกลาง ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๘[๒๔]
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และบุตรของบุคคลดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักร
ในกรณีผู้มีรายการในทะเบียนบ้านพ้นจากการได้รับอนุญาตหรือผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
ให้นายทะเบียนจำหน่ายรายการทะเบียนของผู้นั้นโดยเร็ว
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
รายการและการบันทึกรายการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๙
ให้นายทะเบียนอำเภอ
และนายทะเบียนท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านเก็บรักษา เมื่อมีการเพิ่ม
เปลี่ยนแปลง
หรือจำหน่ายรายการในทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านนำสำเนาทะเบียนบ้านไปให้นายทะเบียนบันทึกรายการให้ถูกต้องตรงกับต้นฉบับทุกครั้ง
ถ้าสำเนาทะเบียนบ้านชำรุดจนใช้การไม่ได้หรือสูญหาย
ให้เจ้าบ้านขอรับสำเนาทะเบียนบ้านใหม่ได้
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้อำนวยการทะเบียนกลางเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีสำเนาทะเบียนบ้านต่อไปในเขตสำนักทะเบียนใด
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางมีอำนาจยกเลิกการใช้สำเนาทะเบียนบ้านในเขตสำนักทะเบียนนั้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔๐
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนบ้านหรือสำเนาทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๑[๒๕]
ผู้ใดรื้อบ้านที่มีเลขประจำบ้านโดยไม่ประสงค์จะปลูกบ้านใหม่ในที่ดินบริเวณนั้นอีกต่อไปหรือรื้อเพื่อไปปลูกสร้างบ้านในที่อื่น
ให้แจ้งการรื้อบ้านต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รื้อบ้านเสร็จเพื่อจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้าน
บ้านที่รื้อถอนโดยไม่แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้านและแจ้งย้ายผู้มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้นไปไว้ในทะเบียนบ้านกลางตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๒
การย้ายบ้านซึ่งเคลื่อนย้ายได้
หรือการย้ายแพหรือเรือหรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่ประจำไปอยู่หรือจอด ณ
ที่อื่น ถ้าอยู่หรือจอดเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
เจ้าบ้านต้องแจ้งการย้ายออกและย้ายเข้าต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่หรือจอดใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันครบกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
หมวด ๖
การสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
มาตรา ๔๓
เพื่อประโยชน์ของการทะเบียนราษฎร ให้มีการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรบางท้องที่หรือทั่วราชอาณาจักรได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๔๔
เมื่อได้ตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๔๓ แล้ว
ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายเป็นหนังสือมีอำนาจเข้าไปในบ้านในเขตท้องที่ที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรเท่าที่จำเป็นในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ให้เจ้าบ้านชี้แจงตอบคำถามตามความจริงและให้ลงลายมือชื่อในรายการสำรวจตรวจสอบเพื่อรับรองข้อความในรายการที่สำรวจตรวจสอบนั้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ หรือบัตรประจำตัวประชาชน
พร้อมด้วยหนังสือหลักฐานแห่งการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แก่เจ้าบ้านก่อนเข้าไปสำรวจตรวจสอบ
มาตรา ๔๕
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางรวบรวมรายงานยอดจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรที่มีอยู่ในวันที่
๓๑ ธันวาคม ของปีที่ล่วงมา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
การประกาศยอดจำนวนราษฎรตามความในวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
หมวด ๗
การมอบหมายให้แจ้งแทน
มาตรา ๔๖
ในกรณีการแจ้งตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๒๑ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔
มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒
ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งได้มอบหมายให้ผู้ใดไปแจ้งแทนและเมื่อผู้ได้รับมอบหมายได้แจ้งต่อผู้มีหน้าที่รับแจ้งตามมาตรานั้น
ๆ แล้ว ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่นั้นได้แจ้งแล้ว
การปฏิบัติตามมาตรา
๓๙ วรรคหนึ่งหรือวรรคสองของเจ้าบ้านว่าด้วยเรื่องสำเนาทะเบียนบ้าน ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๘
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๗
ผู้ใด
(๑)
ไม่มาตามที่นายทะเบียนเรียก ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงหลักฐาน
หรือไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปสอบถามในบ้านตามมาตรา ๑๐
(๒)[๒๖]
ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๓
มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒
(๓)
ฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ หรือ
(๔)
ไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปในบ้านเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
ไม่ยอมชี้แจงหรือตอบคำถาม หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อตามมาตรา ๔๔
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๔๘
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๕
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๔๘/๑[๒๗] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๕ วรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐกระทำผิดตามมาตรานี้
ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นกับการกระทำความผิดนั้นและได้จัดการตามสมควรเพื่อมิให้เกิดการกระทำความผิดนั้นแล้ว
มาตรา ๔๙
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้เป็นนิติบุคคล
กรรมการหรือผู้จัดการหรือผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น
หรือได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว
มาตรา ๕๐
ผู้ใด ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง
หรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี
หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีผู้กระทำผิดตามวรรคหนึ่งเป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๕๑
ความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนอำเภอ
หรือนายทะเบียนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม[๒๘]
๑. การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามมาตรา
๕
กรณีทำบัตรครั้งแรกหรือบัตรเดิมหมดอายุ
ฉบับละ ๑๐๐ บาท
กรณีบัตรเดิมสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
กรณีเปลี่ยนบัตรเนื่องจากการแก้ไขรายการผู้ถือบัตร
ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๒. การขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียน
หรือบัตรประจำตัวตามมาตรา
๖ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๓. การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา
๑๔ (๑) ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๔. การแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายตามมาตรา
๒๑ วรรคสี่ หรือการแจ้ง
การย้ายที่อยู่ตามมาตรา
๓๐ วรรคสอง หรือวรรคสี่ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๕. การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง ฉบับละ
๑๐๐ บาท
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้วไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
สมควรปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑[๒๙]
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๒๖
ให้สำนักทะเบียนอำเภอ
และสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ดำเนินการอยู่แล้วในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เป็นสำนักทะเบียนอำเภอและสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่จัดตั้งตามมาตรา ๘/๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๗
บรรดากฎกระทรวง ระเบียบหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้
จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๘
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรเพื่อให้นายทะเบียนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อำนวยความเป็นธรรมและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้น
และกำหนดวิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินการในการแจ้งการเกิด การออกสูติบัตร
การออกหนังสือรับรองการเกิด และการจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าว
รวมทั้งสมควรปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วศิน/แก้ไข
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๙๗/๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
[๒] มาตรา ๕ วรรคสอง
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๓] มาตรา ๖ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๔] มาตรา ๖ วรรคสาม
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๕] มาตรา ๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๖] มาตรา ๘/๑
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๗] มาตรา ๘/๒
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๘] มาตรา ๑๐ วรรคสี่
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๙] มาตรา ๑๒ วรรคสอง
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๐] มาตรา ๑๔ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๑] มาตรา ๑๕ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๒] มาตรา ๑๕ วรรคสาม
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๓] มาตรา ๑๕ วรรคสี่
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๔] มาตรา ๑๘ วรรคสาม
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๕] มาตรา ๑๙
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๖] มาตรา ๑๙/๑
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๗] มาตรา ๑๙/๒
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๘] มาตรา ๑๙/๓
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๑๙] มาตรา ๒๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๐] มาตรา ๒๐/๑
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๑] มาตรา ๒๑ วรรคสี่
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๒] มาตรา ๓๐ วรรคสี่
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๓] มาตรา ๓๖
วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๔] มาตรา ๓๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๕] มาตรา ๔๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๖] มาตรา ๔๗ (๒)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๗] มาตรา ๔๘/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๘] อัตราค่าธรรมเนียม
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
[๒๙] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๑๓/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ |
572444 | พระราชบัญญัติการทะเบียนนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่
๒)
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งจะกำหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือรายการทะเบียนราษฎรอื่นที่จัดทำตามพระราชบัญญัตินี้สำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
เมื่อได้รับคำขอตามวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้วให้นายทะเบียนดำเนินการโดยเร็ว
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๘ ภายใต้บังคับมาตรา
๘/๑ ให้มีสำนักทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนี้
(๑)
สำนักทะเบียนกลาง มีผู้อำนวยการทะเบียนกลาง รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักร
(๒)
สำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร มีนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
และผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานคร
(๓)
สำนักทะเบียนจังหวัด
มีนายทะเบียนจังหวัดและผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัดเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตจังหวัด
(๔)
สำนักทะเบียนอำเภอ มีนายทะเบียนอำเภอและผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตอำเภอ
(๕)
สำนักทะเบียนท้องถิ่น
มีนายทะเบียนท้องถิ่นและผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นเป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตปกครองท้องถิ่นนั้น ๆ
มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๘/๑
และมาตรา ๘/๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๘/๑ การจัดตั้งสำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา
๘ (๔) และ (๕) ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศ
โดยคำนึงถึงสภาพแห่งความพร้อมและความสะดวกในการให้บริการประชาชน
รวมตลอดถึงการไม่ซ้ำซ้อนและการประหยัด
สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นตามมาตรา
๘ (๔) และ (๕) ที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้วนั้น เมื่อคำนึงถึงสภาพตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะยุบหรือควบรวมเข้าด้วยกันก็ได้
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของสำนักทะเบียนที่จัดตั้งตามวรรคหนึ่งหรือควบรวมตามวรรคสอง
ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
มาตรา ๘/๒ ให้มีนายทะเบียนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ดังนี้
(๑)
อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
มีอำนาจออกระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ
รวมทั้งกำหนดแบบพิมพ์เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
และแต่งตั้งรองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
(๒)
ปลัดกรุงเทพมหานครเป็นนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
(๓)
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด
(๔)
นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี
เป็นนายทะเบียนอำเภอ และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
(๕)
ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต ปลัดเมืองพัทยา หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี เป็นนายทะเบียนท้องถิ่น
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตาม
(๑) จะมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
หรือจะมอบหมายให้ข้าราชการสังกัดกรมการปกครองช่วยเหลือในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดด้วยก็ได้
นายทะเบียนกรุงเทพมหานครตาม
(๒) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งไม่ต่ำกว่าระดับกองในสำนักปลัดกรุงเทพมหานครปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนกรุงเทพมหานครก็ได้
นายทะเบียนจังหวัดตาม
(๓) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือปลัดจังหวัด
ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนจังหวัดก็ได้
นายทะเบียนอำเภอตาม
(๔) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
หรือปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนอำเภอก็ได้
นายทะเบียนท้องถิ่นตาม
(๕) จะมอบอำนาจให้ผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น รองปลัดเทศบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต
รองปลัดเมืองพัทยา หรือรองหรือผู้ช่วยหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น
แล้วแต่กรณี ปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนท้องถิ่นก็ได้
มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของมาตรา
๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
การดำเนินการตามวรรคสาม
รวมตลอดทั้งวิธีการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงและการอุทธรณ์ของผู้ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของนายทะเบียน
รวมถึงการพิจารณาคำอุทธรณ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้
ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนไว้ก่อนที่จะรับฟังคำชี้แจงหรือการโต้แย้งได้
มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา
๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บข้อมูลและใช้ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับข้อมูลของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เข้ามาหรืออาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
จัดส่งข้อมูลที่มีอยู่ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางร้องขอ
มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
เมื่อได้รับคำขอตาม (๒) ให้นายทะเบียนมีคำสั่งโดยเร็ว
คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับคำขอหรือไม่ดำเนินการตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้คู่กรณียื่นอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
หรือผู้อำนวยการทะเบียนกลาง แล้วแต่กรณี
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับทราบคำสั่งจากนายทะเบียน
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
หากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีความประสงค์จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจอนุญาตให้เชื่อมโยงได้เฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่ปรากฏภายในทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย หรือทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยเท่านั้น
มาตรา ๑๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามและวรรคสี่ของมาตรา
๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในราชอาณาจักรคณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางยินยอมให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียนอื่นนอกจากทะเบียนตามวรรคสองเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
ห้ามมิให้ส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ
หรือพนักงานสอบสวนที่ได้ข้อมูลใดตามมาตรานี้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจหรือในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของทางราชการหรือตามวัตถุประสงค์ที่ร้องขอ
มาตรา ๑๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
การแจ้งตามวรรคหนึ่งจะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่อื่นก็ได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๙ ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้งให้นำตัวเด็กไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งปฏิบัติงานในท้องที่ที่พบเด็กนั้นโดยเร็ว
เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้บันทึกการรับตัวเด็กไว้
ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรับเด็กไว้
ให้นำตัวเด็กพร้อมบันทึกการรับตัวเด็กส่งให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเขตท้องที่
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้หรือได้รับตัวเด็กจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแล้ว
ให้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้
ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
บันทึกการรับตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นสองฉบับและเก็บไว้ที่เจ้าหน้าที่ผู้รับตัวเด็กหนึ่งฉบับและส่งมอบให้กับนายทะเบียนผู้รับแจ้งหนึ่งฉบับ
โดยให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการบุคคลของผู้ที่พบเด็ก พฤติการณ์
สถานที่และวันเวลาที่พบเด็ก สภาพทางกายภาพโดยทั่วไปของเด็ก
เอกสารที่ติดตัวมากับเด็ก และประวัติของเด็กเท่าที่ทราบ
และในกรณีที่ไม่อาจทราบสัญชาติของเด็กให้บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ด้วย
มาตรา ๑๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๙/๑ มาตรา
๑๙/๒ และมาตรา ๑๙/๓ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๑๙/๑ เด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งซึ่งอยู่ในการอุปการะของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนที่จดทะเบียนตามกฎหมายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ถ้าเด็กยังไม่ได้แจ้งการเกิดและไม่มีรายการบุคคลในทะเบียนบ้านให้หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่หน่วยงานนั้นตั้งอยู่
และให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้
ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๙/๒ การพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กตามมาตรา
๑๙ และมาตรา ๑๙/๑ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีที่ไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติได้
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนประวัติและออกเอกสารแสดงตนให้เด็กไว้เป็นหลักฐาน
ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๙/๓ ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งเจ้าบ้านหรือบิดามารดามิได้แจ้งการเกิดให้ตามมาตรา
๑๘ อาจร้องขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อแจ้งการเกิดได้ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดและให้นำความในมาตรา
๑๙/๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองแจ้งแทนได้ แต่สำหรับกรณีของบิดามารดาให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งดำเนินการให้ต่อเมื่อได้ชำระค่าปรับตามที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเปรียบเทียบตามมาตรา
๔๗ (๒) และมาตรา ๕๑ แล้ว
มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๐
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๐ เมื่อมีการแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙
มาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๑๙/๓ ทั้งกรณีของเด็กที่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรับแจ้งการเกิดและออกสูติบัตรเป็นหลักฐานแก่ผู้แจ้งโดยมีข้อเท็จจริงเท่าที่สามารถจะทราบได้
สำหรับการแจ้งการเกิดของเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกสูติบัตรให้ตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
โดยให้ระบุสถานะการเกิดไว้ด้วย
มาตรา ๑๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๐/๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒๐/๑ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มบุคคลใดหรือให้กลุ่มบุคคลใดแปลงสัญชาติเป็นไทยได้
หรือกรณีมีเหตุจำเป็นอื่น และบุคคลดังกล่าวจำเป็นต้องมีหนังสือรับรองการเกิด
ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวยื่นคำขอหนังสือรับรองการเกิดตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๑๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของมาตรา
๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ให้นำความในวรรคสามของมาตรา ๑๘
มาใช้บังคับกับการแจ้งตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของมาตรา
๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ให้นำความในวรรคสามของมาตรา ๑๘
มาใช้บังคับกับการแจ้งตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๐ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๓๖
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๖ ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านไว้ทุกบ้านสำหรับผู้มีสัญชาติไทยและคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
มาตรา ๒๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๘
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๘ ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และบุตรของบุคคลดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักร
ในกรณีผู้มีรายการในทะเบียนบ้านพ้นจากการได้รับอนุญาตหรือผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
ให้นายทะเบียนจำหน่ายรายการทะเบียนของผู้นั้นโดยเร็ว
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีทะเบียนประวัติสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
รายการและการบันทึกรายการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๔๑ ผู้ใดรื้อบ้านที่มีเลขประจำบ้านโดยไม่ประสงค์จะปลูกบ้านใหม่ในที่ดินบริเวณนั้นอีกต่อไปหรือรื้อเพื่อไปปลูกสร้างบ้านในที่อื่น
ให้แจ้งการรื้อบ้านต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รื้อบ้านเสร็จเพื่อจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้าน
บ้านที่รื้อถอนโดยไม่แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้านและแจ้งย้ายผู้มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้นไปไว้ในทะเบียนบ้านกลางตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๓ ให้ยกเลิกความใน (๒) ของมาตรา ๔๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๒) ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ มาตรา ๓๐
มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒
มาตรา ๒๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๘/๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๔๘/๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา
๑๕ วรรคสี่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐกระทำผิดตามมาตรานี้
ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นกับการกระทำความผิดนั้นและได้จัดการตามสมควรเพื่อมิให้เกิดการกระทำความผิดนั้นแล้ว
มาตรา ๒๕ ให้ยกเลิกอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้อัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา ๒๖ ให้สำนักทะเบียนอำเภอ
และสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ดำเนินการอยู่แล้วในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เป็นสำนักทะเบียนอำเภอและสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่จัดตั้งตามมาตรา ๘/๑
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๗ บรรดากฎกระทรวง
ระเบียบหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง
ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๘ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
๑. การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามมาตรา
๕
กรณีทำบัตรครั้งแรกหรือบัตรเดิมหมดอายุ
ฉบับละ ๑๐๐ บาท
กรณีบัตรเดิมสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
กรณีเปลี่ยนบัตรเนื่องจากการแก้ไขรายการผู้ถือบัตร
ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๒. การขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียน
หรือบัตรประจำตัวตามมาตรา
๖ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๓. การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา
๑๔ (๑) ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๔. การแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายตามมาตรา
๒๑ วรรคสี่ หรือการแจ้ง
การย้ายที่อยู่ตามมาตรา
๓๐ วรรคสอง หรือวรรคสี่ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๕. การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง ฉบับละ
๑๐๐ บาท
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรเพื่อให้นายทะเบียนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อำนวยความเป็นธรรมและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้น
และกำหนดวิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินการในการแจ้งการเกิด การออกสูติบัตร
การออกหนังสือรับรองการเกิด
และการจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าว รวมทั้งสมควรปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วิภา/แก้ไข
วศิน/ตรวจ
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๑๓/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ |
301551 | พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔
เป็นปีที่ ๔๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๓๔
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙
(๒)
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๓๔ ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
การทะเบียนราษฎร หมายความว่า งานทะเบียนต่าง ๆ
ตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร หมายความว่า
ข้อมูลตัวบุคคลเกี่ยวกับ ชื่อ ชื่อสกุล เพศ วันเดือนปีเกิดและตาย สัญชาติ ศาสนา
ภูมิลำเนา สถานะการสมรส วุฒิการศึกษา ชื่อบิดามารดาหรือผู้รับบุตรบุญธรรม
ชื่อคู่สมรส และชื่อบุตร และข้อมูลอื่นที่จำเป็นเพื่อการดำเนินงานทะเบียนต่าง ๆ
ในพระราชบัญญัตินี้
เลขประจำตัว หมายความว่า
เลขประจำตัวประชาชนที่นายทะเบียนออกให้แก่บุคคลแต่ละคน
บ้าน หมายความว่า
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครอง และให้หมายความรวมถึงแพ
หรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่ประจำ หรือสถานที่
หรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำได้ด้วย
ทะเบียนบ้าน หมายความว่า
ทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้านซึ่งแสดงเลขประจำบ้าน และรายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้าน
ทะเบียนคนเกิด หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนเกิด
ทะเบียนคนตาย หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนตาย
ทะเบียนบ้านกลาง หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้จัดทำขึ้นสำหรับลงรายการบุคคลที่ไม่อาจมีชื่อในทะเบียนบ้าน
เจ้าบ้าน หมายความว่า
ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า หรือในฐานะอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่ไม่ปรากฏเจ้าบ้าน
หรือเจ้าบ้านไม่อยู่ ตาย สูญหาย สาบสูญ หรือไม่สามารถปฏิบัติกิจการได้ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่ดูแลบ้านในขณะนั้นเป็นเจ้าบ้าน
ผู้อยู่ในบ้าน หมายความว่า
ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
อำเภอ ให้หมายความรวมถึงกิ่งอำเภอ
ท้องถิ่น หมายความว่า กรุงเทพมหานคร เทศบาล
เมืองพัทยา
และหน่วยการปกครองท้องถิ่นอื่นที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางโดยอนุมัติรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนสาขา
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนเฉพาะกิจ และนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายทะเบียนหรือผู้ช่วยนายทะเบียน
นายทะเบียนผู้รับแจ้ง หมายความว่า นายทะเบียนอำเภอ
นายทะเบียนท้องถิ่น
และผู้ซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางได้กำหนดให้มีหน้าที่เกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การตาย การย้ายที่อยู่ การสร้างบ้านใหม่ การรื้อบ้าน และการกำหนดเลขประจำบ้าน
โดยได้กำหนดขอบเขตหน้าที่ดังกล่าวไว้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหรือยกเว้นการปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งการเกิด
การแจ้งการตาย การแจ้งการย้ายที่อยู่ การสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร
การจัดทำทะเบียนประวัติ
การจัดทำบัตรประจำตัวหรือการอื่นใดอันเกี่ยวกับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายที่เกี่ยวด้วยสัญชาติได้
มาตรา ๖ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจ
หรือคัดสำเนารายการ หรือให้นายทะเบียนคัดและรับรองซึ่งสำเนาทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิด หรือทะเบียนคนตาย ได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ
เมื่อได้รับคำขอตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนดำเนินการโดยเร็ว
มาตรา ๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้
ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงนั้น
กฎกระทรวง
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
สำนักทะเบียนและนายทะเบียน
มาตรา ๘
ให้มีสำนักทะเบียนและนายทะเบียนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ดังนี้
(๑)
สำนักทะเบียนกลาง มีผู้อำนวยการทะเบียนกลาง รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลาง
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักร
ให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
มีอำนาจออกระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ
รวมทั้งกำหนดแบบพิมพ์เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
และแต่งตั้งรองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง และผู้ช่วยผู้อำนวยการทะเบียนกลาง
(๒)
สำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร มีนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
และผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานคร
ให้ปลัดกรุงเทพมหานครเป็นนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
และอาจมอบอำนาจให้หัวหน้าส่วนราชการซึ่งไม่ต่ำกว่าระดับกองในสำนักปลัดกรุงเทพมหานครปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนกรุงเทพมหานครได้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
(๓)
สำนักทะเบียนจังหวัด มีนายทะเบียนจังหวัด และผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด
เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนจังหวัด
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตจังหวัด
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด
และอาจมอบอำนาจให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือปลัดจังหวัดปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนจังหวัดได้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนจังหวัด
(๔)
สำนักทะเบียนอำเภอ มีนายทะเบียนอำเภอ และผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตอำเภอยกเว้นในเขตท้องถิ่นตาม
(๕)
ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอเป็นนายทะเบียนอำเภอ
และอาจมอบอำนาจให้ปลัดอำเภอคนใดคนหนึ่งปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนอำเภอได้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอ
(๕)
สำนักทะเบียนท้องถิ่น มีนายทะเบียนท้องถิ่น และผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น
เป็นนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่น
มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรในเขตปกครองท้องถิ่นนั้น ๆ
ให้ปลัดเทศบาล
ผู้อำนวยการเขต ปลัดเมืองพัทยา หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่น เป็นนายทะเบียนท้องถิ่น
และอาจมอบอำนาจให้รองปลัดเทศบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต รองปลัดเมืองพัทยา
หรือรองหรือผู้ช่วยหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้นปฏิบัติราชการแทนนายทะเบียนท้องถิ่นได้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น
ให้นำความในมาตรา
๓๙ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๙
ในกรณีจำเป็นต้องมีสำนักทะเบียนสาขา
หรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดตั้งและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบการปฏิบัติงาน
การทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนสาขาหรือสำนักทะเบียนเฉพาะกิจในเขตท้องที่ของสำนักทะเบียนดังกล่าว
และให้นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการเขต
ปลัดเมืองพัทยา หรือหัวหน้าผู้บริหารของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้น แล้วแต่กรณี
แต่งตั้งนายทะเบียนและผู้ช่วยนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนดังกล่าวในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ
มาตรา ๑๐
เพื่อความถูกต้องของการทะเบียนราษฎร ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกเจ้าบ้าน
หรือบุคคลใด ๆ มาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้แสดงหลักฐานต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น
และเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยให้มีอำนาจเข้าไปสอบถามผู้อยู่ในบ้านใด ๆ ได้
ตามอำนาจหน้าที่ แต่ต้องแจ้งให้เจ้าบ้านทราบก่อน ทั้งนี้
ให้กระทำได้ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ในการเข้าไปสอบถามตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่า
การดำเนินการแจ้ง การรับแจ้ง การบันทึก
หรือการลงรายการเพื่อดำเนินการจัดทำหลักฐานทะเบียนต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
ได้ดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอำพราง หรือโดยมีรายการข้อความผิดจากความเป็นจริง
ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งไม่รับแจ้ง จำหน่ายรายการทะเบียน เพิกถอนหลักฐานทะเบียน
และดำเนินการแก้ไขข้อความรายการทะเบียนให้ถูกต้อง แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๑
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้นายทะเบียนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๒
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
มาตรา ๑๒
เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร
การตรวจสอบพิสูจน์ตัวบุคคลและประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ให้สำนักทะเบียนกลางดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และปรับปรุงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้ตรงต่อความเป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๓
การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา ๑๒
ไม่รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลของบุคคล ดังต่อไปนี้
(๑)
รายได้
(๒)
ประวัติอาชญากรรม
(๓)
การชำระหรือไม่ชำระภาษีอากร
(๔)
ข้อมูลที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือ
(๕)
ข้อมูลที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องแจ้ง
มาตรา ๑๔
บุคคลผู้มีหน้าที่แจ้งการต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
เจ้าของประวัติซึ่งปรากฏในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา ๑๒ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีเจ้าของประวัติเป็นผู้เยาว์
ผู้อนุบาลในกรณีเจ้าของประวัติเป็นคนไร้ความสามารถหรือทายาทเจ้าของประวัติ
หรือผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลดังกล่าวข้างต้น
อาจขอให้นายทะเบียนดำเนินการได้ที่สำนักทะเบียนในวันเวลาราชการ ดังนี้
(๑)
คัดและรับรองเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ตามมาตรา ๑๒
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๒)
แก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามความเป็นจริง
เมื่อได้รับคำขอตาม
(๒) ให้นายทะเบียนมีคำสั่งโดยเร็ว คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับคำขอ
หรือไม่ดำเนินการตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วนให้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับทราบคำสั่งจากนายทะเบียนกลาง
เงื่อนไข
หลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร และการอุทธรณ์ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๕
ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐอาจขอให้นายทะเบียนจัดส่งสำเนาเอกสารข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรได้
ทั้งนี้
เฉพาะเพื่อการอันจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐนั้น
หากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีความประสงค์จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
นายทะเบียนอาจอนุญาตให้เชื่อมโยงได้เฉพาะข้อมูลที่ปรากฏภายในทะเบียนบ้าน
ทะเบียนคนเกิดหรือทะเบียนคนตายเท่านั้น
มาตรา ๑๖
ในการดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดเลขประจำตัวแก่บุคคลที่อยู่ในราชอาณาจักรคนละหนึ่งเลขโดยไม่ซ้ำกัน
การยกเว้นการให้เลขประจำตัวแก่บุคคล
ให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๗
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรต้องถือเป็นความลับ
และให้นายทะเบียนเป็นผู้เก็บรักษาและใช้เพื่อการปฏิบัติตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อความหรือตัวเลขนั้นแก่บุคคลใด ๆ
ซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแก่สาธารณชน
เว้นแต่ผู้มีส่วนได้เสียขอทราบเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวของผู้ที่ตนจะมีนิติสัมพันธ์ด้วย
หรือเมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การสถิติ
หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ
หรือการดำเนินคดีและการพิจารณาคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
และไม่ว่าในกรณีใดจะนำข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรไปใช้เป็นหลักฐานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลมิได้
หมวด ๓
คนเกิด คนตาย
มาตรา ๑๘
เมื่อมีคนเกิดให้แจ้งการเกิด ดังต่อไปนี้
(๑)
คนเกิดในบ้าน
ให้เจ้าบ้านหรือบิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่คนเกิดในบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด
(๒)
คนเกิดนอกบ้าน ให้บิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนเกิดนอกบ้านหรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเกิด ในกรณีจำเป็นไม่อาจแจ้งได้ตามกำหนด
ให้แจ้งภายหลังได้แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันเกิด
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อคนเกิดด้วย
มาตรา ๑๙
ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กอ่อนซึ่งถูกทอดทิ้ง ให้นำเด็กนั้นไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์แห่งท้องที่ที่ตนพบเด็กนั้นโดยเร็ว
ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรับเด็กไว้ ให้บันทึกการรับตัวเด็กตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดแล้วนำเด็กส่งเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์
เมื่อเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้แจ้งการมีคนเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
มาตรา ๒๐
เมื่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งได้รับแจ้งการมีคนเกิดตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙
แล้ว ให้ออกสูติบัตรเป็นหลักฐานแก่ผู้แจ้ง
สำหรับการแจ้งการเกิดของเด็กตามมาตรา
๑๙ ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรับแจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
โดยมีข้อเท็จจริงเท่าที่สามารถจะทราบได้
มาตรา ๒๑
เมื่อมีคนตายให้แจ้งการตาย ดังต่อไปนี้
(๑)
คนตายในบ้าน
ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง
นับแต่เวลาตาย ในกรณีไม่มีเจ้าบ้าน
ให้ผู้พบศพแจ้งภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาพบศพ
(๒)
คนตายนอกบ้าน ให้บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพ
แล้วแต่กรณี หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
ในกรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจก็ได้
กำหนดเวลาให้แจ้งตาม
(๑) และ (๒) ถ้าในท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก ผู้อำนวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร
แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ
การแจ้งตาม
(๑) และ (๒) ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้แจ้งด้วย
มาตรา ๒๒
เมื่อมีการแจ้งตามมาตรา ๒๑ ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกมรณบัตรเป็นหลักฐานให้แก่ผู้แจ้ง
เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๒๕
มาตรา ๒๓
เมื่อมีคนเกิดหรือคนตาย
ผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาลต้องออกหนังสือรับรองการเกิดหรือการตายตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งตามมาตรา
๑๘ หรือมาตรา ๒๑
มาตรา ๒๔
ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บ ฝัง เผา ทำลาย
หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีการตาย
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
เมื่อได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ห้ามมิให้เก็บ ฝัง เผา ทำลาย หรือย้ายศพผิดไปจากสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตนั้น
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องย้ายศพ
เพื่อความปลอดภัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน
ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจกระทำได้
มาตรา ๒๕
ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าคนตายด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือตายโดยผิดธรรมชาติ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรีบแจ้งต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่ออันตรายหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
และให้รอการออกมรณบัตรไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานดังกล่าว
มาตรา ๒๖
ให้นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี จัดทำทะเบียนคนเกิดทะเบียนคนตาย
จากสูติบัตรและมรณบัตรตามแบบพิมพ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๗
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย
หรือสูติบัตรและมรณบัตรให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๒๘
ให้กงสุลไทยหรือข้าราชการสถานทูตไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียน
มีหน้าที่รับจดทะเบียนคนเกิดและคนตายที่มีขึ้นนอกราชอาณาจักรสำหรับคนสัญชาติไทยและคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หลักฐานการจดทะเบียนดังกล่าวให้ใช้เป็นสูติบัตรและมรณบัตรได้
ถ้าในที่ซึ่งมีการเกิดหรือการตายตามวรรคหนึ่ง
ไม่มีกงสุลไทยหรือสถานทูตไทยประจำอยู่
ให้ใช้หลักฐานการเกิดหรือการตายที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศนั้น
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แปลและรับรองว่าถูกต้องเป็นหลักฐานสูติบัตรและมรณบัตรได้
การจดทะเบียนคนเกิดและคนตายตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๔
การย้ายที่อยู่
มาตรา ๒๙
ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านใด
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นอยู่และมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่นั้น
มาตรา ๓๐
ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายที่อยู่ต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ดังต่อไปนี้
(๑)
เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้าน
ให้แจ้งการย้ายออกภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้อยู่ในบ้านย้ายออก
(๒)
เมื่อมีผู้ย้ายที่อยู่เข้าอยู่ในบ้าน ให้แจ้งการย้ายเข้าภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันที่ย้ายเข้าอยู่ในบ้าน
นอกจากกรณีตาม
(๑) และ (๒) ผู้ย้ายที่อยู่จะเป็นผู้แจ้งการย้ายออกและย้ายเข้า
โดยไปแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่ใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันย้ายออกก็ได้
โดยให้นำสำเนาทะเบียนบ้านพร้อมด้วยคำยินยอมเป็นหนังสือของเจ้าบ้านที่เข้าไปอยู่ใหม่แสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
การแจ้งย้ายตามมาตรานี้
ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ใบแจ้งย้ายที่อยู่ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๑
ในการแจ้งการย้ายที่อยู่เข้าในบ้านใด ถ้านายทะเบียนผู้รับแจ้งเห็นว่ามีผู้ย้ายเข้าอยู่เป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นคราวเดียวหรือหลายคราว และเมื่อได้ตรวจสภาพบ้านแล้วเห็นว่า
การย้ายเข้าอยู่ในบ้านจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยสาธารณสุข
นายทะเบียนผู้รับแจ้งมีอำนาจไม่รับแจ้งการย้ายเข้าอยู่ในบ้านได้
มาตรา ๓๒
การแจ้งย้ายผู้ใดเข้าอยู่ในบ้านตามมาตรา ๓๐ (๒)
เจ้าบ้านต้องนำหลักฐานการย้ายออกของผู้นั้นตามมาตรา ๓๐ (๑)
ไปแสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งด้วย
ทั้งนี้ มิให้นำความในมาตรานี้มาใช้แก่กรณีดำเนินการย้ายตามมาตรา ๓๐
วรรคสอง และกรณีผู้ย้ายเข้ามาจากต่างประเทศโดยมีหลักฐาน
มาตรา ๓๓
เมื่อผู้อยู่ในบ้านใดออกจากบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่นเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
และเจ้าบ้านไม่ทราบว่าผู้นั้นไปอยู่ที่ใด
ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสามสิบวันนับแต่วันครบหนึ่งร้อยแปดสิบวันโดยระบุว่าไม่ทราบที่อยู่
และให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการผู้นั้นในทะเบียนบ้านกลาง
หมวด ๕
ทะเบียนบ้าน
มาตรา ๓๔
ให้ทุกบ้านมีเลขประจำบ้าน บ้านใดยังไม่มีเลขประจำบ้าน
ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อขอเลขประจำบ้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันสร้างบ้านเสร็จ
ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งกำหนดเลขประจำบ้านให้แก่ผู้แจ้งซึ่งมีบ้านอยู่ในเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นภายในเจ็ดวัน
ถ้ามีบ้านอยู่นอกเขตสำนักทะเบียนท้องถิ่นให้กำหนดเลขประจำบ้านภายในสามสิบวัน
ให้เจ้าบ้านติดเลขประจำบ้านไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้ง
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะกำหนดให้มีทะเบียนบ้านชั่วคราวตามระเบียบ
เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบทางทะเบียนก็ได้
มาตรา ๓๕
ถ้ามีบ้านอยู่หลายหลังในบริเวณเดียวกัน ให้กำหนดเลขประจำบ้านเพียงเลขเดียว
แต่ถ้าเจ้าบ้านประสงค์จะกำหนดเลขประจำบ้านเพิ่มขึ้นอีกให้ยื่นขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
บ้านที่ปลูกเป็นตึกแถว
ห้องแถว หรืออาคารชุด ให้กำหนดเลขประจำบ้านทุกห้องหรือทุกห้องชุด
โดยถือว่าห้องหรือห้องชุดหนึ่ง ๆ เป็นบ้านหลังหนึ่ง
มาตรา ๓๖
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านไว้ทุกบ้าน
การจัดทำทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๗
การเพิ่มชื่อและรายการของบุคคลลงในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนบ้านกลาง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๓๘
ให้มีทะเบียนบ้านสำหรับบุคคลที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรือเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่างหากจากทะเบียนบ้าน ตามมาตรา ๓๖
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางมีอำนาจออกระเบียบกำหนดแบบพิมพ์ทะเบียนบ้านสำหรับบุคคลดังกล่าวและแบบพิมพ์อื่น
ๆ
มาตรา ๓๙
ให้นายทะเบียนอำเภอ
และนายทะเบียนท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านเก็บรักษา เมื่อมีการเพิ่ม
เปลี่ยนแปลง หรือจำหน่ายรายการในทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านนำสำเนาทะเบียนบ้านไปให้นายทะเบียนบันทึกรายการให้ถูกต้องตรงกับต้นฉบับทุกครั้ง
ถ้าสำเนาทะเบียนบ้านชำรุดจนใช้การไม่ได้หรือสูญหาย
ให้เจ้าบ้านขอรับสำเนาทะเบียนบ้านใหม่ได้
และเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้อำนวยการทะเบียนกลางเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีสำเนาทะเบียนบ้านต่อไปในเขตสำนักทะเบียนใด
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางมีอำนาจยกเลิกการใช้สำเนาทะเบียนบ้านในเขตสำนักทะเบียนนั้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔๐
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนบ้านหรือสำเนาทะเบียนบ้านให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
มาตรา ๔๑
ผู้ใดรื้อบ้านซึ่งมีเลขประจำบ้านโดยผู้นั้นไม่ประสงค์จะปลูกบ้านในที่ดินนั้นอีกต่อไป
หรือรื้อเพื่อไปปลูกในที่อื่น
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในสิบห้าวันนับแต่วันรื้อเสร็จ
มาตรา ๔๒
การย้ายบ้านซึ่งเคลื่อนย้ายได้
หรือการย้ายแพหรือเรือหรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่ประจำไปอยู่หรือจอด ณ
ที่อื่น ถ้าอยู่หรือจอดเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
เจ้าบ้านต้องแจ้งการย้ายออกและย้ายเข้าต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ไปอยู่หรือจอดใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันครบกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
หมวด ๖
การสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
มาตรา ๔๓
เพื่อประโยชน์ของการทะเบียนราษฎร
ให้มีการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรบางท้องที่หรือทั่วราชอาณาจักรได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๔๔
เมื่อได้ตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๔๓ แล้ว ให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายเป็นหนังสือมีอำนาจเข้าไปในบ้านในเขตท้องที่ที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรเท่าที่จำเป็นในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
ให้เจ้าบ้านชี้แจงตอบคำถามตามความจริงและให้ลงลายมือชื่อในรายการสำรวจตรวจสอบเพื่อรับรองข้อความในรายการที่สำรวจตรวจสอบนั้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนแสดงบัตรประจำตัวข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ หรือบัตรประจำตัวประชาชน
พร้อมด้วยหนังสือหลักฐานแห่งการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แก่เจ้าบ้านก่อนเข้าไปสำรวจตรวจสอบ
มาตรา ๔๕
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางรวบรวมรายงานยอดจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรที่มีอยู่ในวันที่
๓๑ ธันวาคม ของปีที่ล่วงมา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
การประกาศยอดจำนวนราษฎรตามความในวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
หมวด ๗
การมอบหมายให้แจ้งแทน
มาตรา ๔๖
ในกรณีการแจ้งตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๒๑ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔
มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒
ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งได้มอบหมายให้ผู้ใดไปแจ้งแทนและเมื่อผู้ได้รับมอบหมายได้แจ้งต่อผู้มีหน้าที่รับแจ้งตามมาตรานั้น
ๆ แล้ว ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่นั้นได้แจ้งแล้ว
การปฏิบัติตามมาตรา
๓๙ วรรคหนึ่งหรือวรรคสองของเจ้าบ้านว่าด้วยเรื่องสำเนาทะเบียนบ้าน
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๘
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๗
ผู้ใด
(๑)
ไม่มาตามที่นายทะเบียนเรียก ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงหลักฐาน หรือไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปสอบถามในบ้านตามมาตรา
๑๐
(๒)
ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔
มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒
(๓)
ฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ หรือ
(๔)
ไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปในบ้านเพื่อสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
ไม่ยอมชี้แจงหรือตอบคำถาม หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อตามมาตรา ๔๔
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๔๘
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๕
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๔๙
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้เป็นนิติบุคคล
กรรมการหรือผู้จัดการหรือผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลนั้น
ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น
หรือได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว
มาตรา ๕๐
ผู้ใด ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง
หรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี
หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีผู้กระทำผิดตามวรรคหนึ่งเป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๕๑
ความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนอำเภอ
หรือนายทะเบียนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
๑. การขอคัดและรับรองสำเนารายการใน
ทะเบียนบ้านตามมาตรา
๖ ฉบับละ ๑๐ บาท
๒. การขอคัดและรับรองสำเนารายการข้อมูล
ทะเบียนประวัติ
ตามมาตรา ๑๔ (๑) ฉบับละ ๒๐ บาท
๓. การแจ้งย้ายตามมาตรา
๓๐ วรรคสอง ฉบับละ ๑๐ บาท
๔. การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา
๓๙
วรรคสอง ฉบับละ ๑๐ บาท
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้วไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
สมควรปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วิภา/แก้ไข
วศิน/ตรวจ
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๓/ฉบับพิเศษ หน้า ๙๗/๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ |
301550 | พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๔๙๙
----------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๗
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๙
เป็นปีที่ ๑๑
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๔๙๙
มาตรา
๒* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา
นุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติในมาตรา ๘
และมาตรา ๑๑ ถึงมาตรา ๓๕
จะใช้บังคับ
เมื่อใด ให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา
*[รก.๒๔๙๙/๑๖/๑๐๑/๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙]
มาตรา
๓
เมื่อได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๒ แล้ว ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชบัญญัติสำหรับทำบาญชีคนในพระราชอาณาจักร (ร.ศ. ๑๒๘)
(๒)
พระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด
คนตาย คนย้ายตำบล พระพุทธศักราช ๒๔๖๑
(๓)
พระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด
คนตาย คนย้ายตำบล (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๗๙ และ
(๔)
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๗๙
ส่วนบรรดากฎหมาย กฎ
และข้อบังคับอื่น
ซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราช
บัญญัตินี้
ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้บังคับ
มาตรา
๔ ในพระราชบัญญัตินี้
(๑) บ้าน หมายความว่า
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่
ประจำซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครอง และให้หมายความรวมตลอดถึงแพ
หรือเรือ ซึ่งจอดประจำและ
ใช้เป็นที่อยู่ประจำด้วย
(๒) ทะเบียนบ้าน หมายความว่า ทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้าน
ซึ่งแสดง
รายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้าน
(๓)
ทะเบียนคน หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งแสดงรายการของคนแต่ละคน
(๔)
ทะเบียนคนเกิด หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนเกิด
(๕)
ทะเบียนคนตาย หมายความว่า
ทะเบียนซึ่งแสดงรายการคนตาย
(๖) เจ้าบ้าน หมายความว่า ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านในฐานะเป็น
เจ้าของ
ผู้เช่าหรือในฐานะอื่นใดก็ตาม
ในกรณีที่ไม่ปรากฏเจ้าบ้าน หรือเจ้าบ้านไม่อยู่ ตาย สูญหาย หรือไม่สามารถ
ปฏิบัติกิจการได้ให้ถือว่าผู้ดูแล หรือผู้อยู่ในบ้านขณะนั้น
เป็นเจ้าบ้าน
(๗)
ผู้อยู่ในบ้าน หมายความว่า
คนที่อยู่ประจำในบ้านนั้น
(๘)
คนเกิด หมายความว่า
ทารกขณะคลอดแล้วมีชีวิตอยู่
(๙)
คนตาย หมายความว่า คนที่สิ้นชีวิต
(๑๐) ลูกตายในท้อง หมายความว่า
ลูกที่อยู่ในครรภ์มารดาเป็นเวลาเกินกว่ายี่สิบแปดสัปดาห์และคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิต
(๑๑)
ศพ หมายความว่า ร่างกายของคนตาย
(๑๒) นายทะเบียนผู้รับแจ้ง ในเขตเทศบาล หมายความว่า นายทะเบียน
ท้องถิ่น นอกเขตเทศบาล หมายความว่า นายทะเบียนตำบล
(๑๓)
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๕ ให้มีผู้อำนวยการทะเบียน รองผู้อำนวยการทะเบียน และนาย
ทะเบียน คือ นายทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น และนายทะเบียน
ตำบลรวมทั้งผู้ช่วยนายทะเบียนดังกล่าว
เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีที่นายทะเบียนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้ช่วยนายทะเบียนเป็น
ผู้ทำการแทน
มาตรา
๖ เพื่อความถูกต้องแห่งการทะเบียนให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียก
เจ้าบ้านหรือบุคคลใดๆ มาชี้แจงข้อเท็จจริง
หรือให้แสดงหลักฐานต่างๆ ได้ตามความจำเป็น และ
มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ
หรือสอบถามในบ้านใดๆ
ได้ตามอำนาจหน้าที่เมื่อมีเหตุสงสัยตามควร
แต่ต้องแจ้งให้เจ้าบ้านทราบก่อน ทั้งนี้ ให้กระทำได้ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์
ตก
มาตรา
๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้ถือว่า
ผู้อำนวยการทะเบียน รองผู้อำนวยการ
ทะเบียน นายทะเบียน
ผู้ช่วยนายทะเบียน
และบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากนายทะเบียน ให้มี
หน้าที่สำรวจตรวจสอบ มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา
๘
ผู้มีส่วนได้เสียจะขอตรวจดูทะเบียนและคัดสำเนารายการได้ที่สำนัก
ทะเบียนระหว่างเวลาทำงานโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่ถ้าให้ผู้อำนวยการทะเบียน หรือ
นายทะเบียนคัดและรับรองสำเนานั้นด้วย
ต้องเสียค่าธรรมเนียมห้าบาท เว้นแต่จะได้รับยกเว้น
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา
๙
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการทะเบียน และ
รองผู้อำนวยการทะเบียน
กับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนนายทะเบียนและผู้ช่วยนายทะเบียน
ภายในเขตท้องที่ของตน เว้นแต่นายทะเบียนท้องถิ่นและผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นให้นายกเทศมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนแล้วรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ
มาตรา
๑๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราช
บัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงจัดตั้งสำนักทะเบียนและกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติ
การตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
คนเกิด คนตาย ลูกตายในท้อง
----------
มาตรา
๑๑ เมื่อมีคนเกิด ให้แจ้งดังต่อไปนี้
(ก) คนเกิดในบ้าน
ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่เกิด
ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันเกิด
(ข) คนเกิดนอกบ้าน
ให้มารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่เกิด
หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้ในโอกาสแรก ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันเกิด ในกรณีจำเป็นไม่
อาจแจ้งได้ตามกำหนด ให้แจ้งภายหลังได้
แต่ต้องไม่เกินสิบห้าวัน นับแต่วันที่อาจแจ้งได้
มาตรา
๑๒ ผู้ใดพบคนเกิดใหม่ซึ่งถูกทิ้งไว้
ให้แจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครอง
ตำรวจ หรือนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ตนพบนั้น
โดยมิชักช้า
มาตรา
๑๓
เมื่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งการมีคนเกิดแล้วให้ออกสูติบัตรเป็น
หลักฐาน
มาตรา
๑๔ เมื่อมีคนตาย ให้แจ้งดังต่อไปนี้
(ก) คนตายในบ้าน
ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคน
ตาย ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับแต่เวลาตาย
ในกรณีที่ไม่มีเจ้าบ้าน
ให้ผู้พบศพแจ้ง ตามความในวรรคก่อน นับแต่เวลาพบศพ
(ข) คนตายนอกบ้าน ให้บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียน
ผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ตายหรือพบศพ แล้วแต่กรณี
หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้ในโอกาสแรก
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับแต่เวลาตายหรือพบศพ
ในกรณีเช่นนี้ จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครอง
หรือตำรวจ ที่สะดวกกว่าก็ได้
กำหนดเวลาให้แจ้งตาม (ก)
และ (ข)
ถ้าในท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก
รัฐมนตรีอาจขยายเวลาออกไป โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้
แต่กำหนดเวลาทั้งหมดต้องไม่เกินเจ็ดสิบสองชั่วโมง
มาตรา
๑๕ เมื่อมีลูกตายในท้อง
ให้แจ้งดั่งต่อไปนี้
(ก) ลูกตายในท้องในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่
ที่ลูกตายในท้องนั้น ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับแต่เวลาคลอด
(ข) ลูกตายในท้องนอกบ้าน
ให้มารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่
ที่ลูกตายในท้องนั้น
หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้ในโอกาสแรก
ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับแต่เวลา
คลอด
ในกรณีเช่นนี้
จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ที่สะดวกกว่าก็ได้
กำหนดเวลาให้แจ้งตาม
(ก) และ (ข) ให้นำความในมาตรา ๑๔ วรรคท้ายมาใช้
บังคับโดยอนุโลม
มาตรา
๑๖ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๐
เมื่อมีการแจ้งตามมาตรา ๑๔ หรือ
มาตรา ๑๕ ให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งออกมรณบัตรหรือบัตรลูกตายในท้อง
เป็นหลักฐาน แล้วแต่
กรณี
มาตรา
๑๗
ผู้ใดได้กระทำการรักษาพยาบาลหรือทำคลอดเนื่องด้วยอาชีพของ
ตน
เมื่อมีคนตายหรือลูกตายในท้องต้องออกหนังสือรับรองตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง
ให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งตามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๑๕
แล้วแต่กรณี
มาตรา
๑๘
บิดาต้องแจ้งชื่อตัวของบุตรต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในหกเดือน
นับแต่วันเกิด
หน้าที่แจ้งดังกล่าวนี้ ถ้าไม่ปรากฏบิดา หรือบิดาไม่อาจแจ้งได้ ให้เป็นหน้าที่ของมารดา
และถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่อาจแจ้งได้ ก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองเด็กนั้น
มาตรา
๑๙ ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บ ฝัง
เผา หรือย้ายศพไปจากสถานที่หรือบ้าน
ที่ตายก่อนได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
เมื่อได้รับอนุญาตเช่นว่านั้นแล้ว ห้ามมิให้เก็บ ฝัง เผา หรือย้ายศพผิดไปจาก
สถานที่ที่ระบุไว้ในอนุญาตนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตใหม่
ในกรณีที่มีความจำเป็น
ต้องย้ายศพเพื่อความปลอดภัยหรือสวัสดิภาพของ
ประชาชน ก็ให้ทำได้
ทั้งนี้ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา
๒๐ ถ้ามีเหตุควรสงสัยว่าคนตาย หรือลูกตายในท้อง ตายด้วยโรค
ติดต่ออันตรายหรือตายโดยผิดธรรมชาติให้นายทะเบียนผู้รับแจ้งรีบแจ้งต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่
ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่ออันตราย
หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ และให้รอการ
ออกมรณบัตร
หรือบัตรลูกตายในท้องไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานดั่ง
กล่าว
มาตรา
๒๑ ให้นายทะเบียนอำเภอ
นายทะเบียนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี จัดทำ
ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตายจากสูติบัตรและมรณบัตร
โดยใช้สมุดทะเบียนตามแบบที่กำหนด
ในกฎกระทรวง
มาตรา
๒๒ ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย
หรือสูติบัตรและมรณบัตรซึ่งได้
ลงทะเบียนแล้ว และบัตรลูกตายในท้อง เป็นหนังสือราชการ ผู้ใดจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการ
มิได้
เว้นแต่นายทะเบียนจะเป็นผู้แก้โดยได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด
มาตรา
๒๓ ให้กงสุลไทย
หรือข้าราชการสถานทูตไทยซึ่งกระทรวงการต่าง
ประเทศแต่งตั้งเป็นนายทะเบียน
มีหน้าที่รับจดทะเบียนสำหรับผู้มีสัญชาติไทย ในกรณีคนเกิด
คนตาย
และลูกตายในท้อง นอกราชอาณาจักร
หมวด ๒
การย้ายที่อยู่
--------
มาตรา
๒๔ การย้ายที่อยู่
เจ้าบ้านต้องแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งดังต่อไปนี้
(ก)
ผู้อยู่ในบ้าน ย้ายที่อยู่ออกจากบ้านใด ให้แจ้งไม่เกินสิบห้าวัน นับแต่วันย้าย
ออก
(ข)
ผู้ใดย้ายที่อยู่เข้ามาอยู่บ้านใด ให้แจ้งภายในสิบห้าวัน นับแต่วันย้ายเข้า
มาตรา
๒๕
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การย้ายออกของผู้อยู่ในบ้าน
เจ้าบ้านจะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันก่อนการย้ายออกก็ได้
ถ้าผู้อยู่ในบ้านมิได้ย้ายออกดังแจ้งไว้ตามความในวรรคก่อน ให้เจ้าบ้านแจ้งให้
นายทะเบียนผู้รับแจ้งทราบ ภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันที่แจ้งว่าจะย้าย
มาตรา
๒๖
การแจ้งย้ายผู้ใดเข้ามาอยู่ในบ้าน
ตามมาตรา ๒๔ (ข) เจ้าบ้านต้อง
นำหลักฐานการย้ายออกของผู้นั้นตามมาตรา ๒๔
(ก) ไปแสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งด้วย
ทั้งนี้ไม่บังคับแก่กรณีผู้ย้ายเข้ามาจากต่างประเทศโดยมีหลักฐาน
มาตรา
๒๗
ผู้ใดออกจากบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนไปเกินสามสิบวัน และ
เข้าอยู่ในบ้านอื่น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
ผู้นั้นย้ายที่อยู่
หมวด ๓
ทะเบียนบ้าน และทะเบียนคน
-----------
มาตรา
๒๘
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น จัดทำทะเบียนบ้าน
ในหน้าที่ของตนไว้ทุกบ้าน
มาตรา
๒๙ ในเขตเทศบาล
ให้นายทะเบียนท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้
เจ้าบ้านเก็บรักษาไว้
เมื่อมีการแจ้งคนเกิดตามมาตรา
๑๑ การแจ้งคนตายตามมาตรา ๑๔ หรือ
การแจ้งย้ายตามมาตรา ๒๔
ให้เจ้าบ้านหรือผู้แทนนำไปให้นายทะเบียนท้องถิ่นลงรายการใน
สำเนาทะเบียนบ้านให้ถูกต้องตรงกับต้นฉบับทุกครั้ง
ถ้าสำเนาทะเบียนบ้านชำรุดจนใช้การไม่ได้หรือสูญหายให้เจ้าบ้านขอรับสำเนา
ทะเบียนบ้านใหม่จากนายทะเบียนท้องถิ่นภายในเจ็ดวัน นับแต่วันรู้หรือควรจะได้รู้ถึงการชำรุด
หรือสูญหายนั้น โดยเสียค่าธรรมเนียมห้าบาท
เว้นแต่การชำรุดหรือสูญหายนั้นเกิดจากเหตุ
สุดวิสัย ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียม
มาตรา
๓๐ บทบัญญัติตามมาตรา ๒๙ จะใช้บังคับในเขตท้องที่ใด นอกเขตเทศบาลให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา
ในกรณีเช่นนี้ นายทะเบียนท้องถิ่น ให้หมายถึงนายทะเบียนอำเภอ
มาตรา
๓๑
ห้ามมิให้ผู้ใดแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในสำเนาทะเบียนบ้าน เว้น
แต่นายทะเบียนผู้มีหน้าที่จัดทำทะเบียนบ้านในเขตนั้น
มาตรา
๓๒
ให้ทุกบ้านมีเลขหมายประจำบ้านไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ง่ายโดยชัดแจ้ง
บ้านใดยังไม่มีเลขหมายประจำบ้านให้เจ้าบ้านร้องขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
เพื่อกำหนดเลข
หมายประจำบ้านให้
เมื่อมีการร้องขอตามความในวรรคก่อน
ให้นายทะเบียนผู้มีหน้าที่กำหนดเลข
หมายประจำบ้านให้แก่ผู้ร้องขอ ถ้าในเขตเทศบาล ภายในกำหนดเจ็ดวัน ถ้านอกเขตเทศบาล
ภายในกำหนดสามสิบวัน นับแต่วันร้องขอ
มาตรา
๓๓ ผู้ใดรื้อบ้าน
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันรื้อเสร็จ
มาตรา
๓๔ ผู้ใดสร้างบ้านใหม่
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันสร้างเสร็จ
มาตรา
๓๕ ให้นายทะเบียนจังหวัดจัดทำทะเบียนคนทุกคนที่มีชื่ออยู่ใน
ทะเบียนบ้านของแต่ละจังหวัดขึ้น เมื่อมีคนเกิด หรือคนตาย
ให้นายทะเบียนจังหวัดเพิ่มหรือ
แก้ทะเบียนคนให้ถูกต้องทุกราย
หมวด ๔
การสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร
------------
มาตรา ๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งการทะเบียนราษฎร ให้มีการสำรวจตรวจสอบ
ทะเบียนราษฎรบางท้องที่ หรือทั่วราชอาณาจักรได้
การสำรวจตรวจสอบบัญชีทะเบียนราษฎร
ดั่งกล่าวในวรรคก่อน ให้ประกาศโดย
พระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๓๗
เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการสำรวจตรวจสอบทะเบียน
ราษฎรตามความใน มาตรา
๓๖ แล้ว เจ้าบ้านหรือผู้แทนภายในเขตท้องที่ที่ประกาศจะต้องยอม
ให้นายทะเบียนหรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบหมายเข้าไปในบ้านเพื่อสำรวจตรวจสอบในระหว่าง
เวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
และจะต้องชี้แจงตอบคำถามตามความจริง
ให้เจ้าบ้าน หรือผู้แทน ลงลายมือชื่อในรายการสำรวจตรวจสอบ เพื่อรับรอง
ข้อความในรายการที่สำรวจตรวจสอบนั้น
มาตรา ๓๘
ให้นายทะเบียน
หรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบหมาย แสดงบัตร
หรือหนังสือหลักฐานแห่งการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือผู้แทน ก่อนเข้าไปสำรวจตรวจสอบ
หมวด ๕
บทเบ็ดเสร็จ
---------
มาตรา ๓๙
ในกรณีการแจ้งตามมาตรา ๑๑
มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา
๑๘ มาตรา ๒๔ มาตรา
๒๙ วรรค ๒ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔
ถ้าผู้มีหน้าที่ต้อง
แจ้งมอบหมายให้ผู้ใดไปแจ้งแทน
และเมื่อผู้ได้รับมอบหมายได้แจ้งต่อผู้มีหน้าที่รับแจ้งตาม
มาตรา นั้น ๆ แล้ว ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่นั้นได้แจ้งแล้ว
หมวด ๖
บทลงโทษ
---------
มาตรา
๔๐ ผู้ใด
(๑) ไม่มาตามที่นายทะเบียนเรียก ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริง หรือแสดงหลักฐาน หรือไม่ยอมให้นายทะเบียนเข้าไปตรวจสอบในบ้าน
ตามมาตรา ๖
(๒) ไม่ยอมให้นายทะเบียน หรือบุคคลที่นายทะเบียนมอบหมายเข้าไปใน
บ้านเพื่อสำรวจตรวจสอบ ไม่ยอมชี้แจงตอบคำถาม
หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ตามมาตรา ๓๗
(๓) ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๗
มาตรา ๑๘ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ วรรค ๒ มาตรา ๒๙ วรรค ๒ มาตรา
๓๒ มาตรา ๓๓ หรือ
มาตรา ๓๔ หรือ
(๔)
ฝ่าฝืนมาตรา ๑๙
มีความผิด
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองร้อยบาท
บทเฉพาะกาล
----------
มาตรา ๔๑
ผู้ใดกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนสำมะโนครัวอยู่
แล้วก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้บังคับเมื่อได้แก้ไขให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว
เป็นอันพ้นความผิดนั้น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
-----------------------------+
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เดิมกฎหมายว่าด้วยการ
ทะเบียนราษฎรมีอยู่หลายฉบับ คือ
ก.
พระราชบัญญัติสำหรับทำบาญชีคนในพระราชอาณาจักร (ร.ศ. ๑๒๘)
ข. พระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัว
และการจดทะเบียนคนเกิด
คนตาย คนย้าย ตำบล พระพุทธศักราช ๒๔๖๐
ค. พระราชบัญญัติ การตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัว และการจดทะเบียนคน
เกิด
คนตายคนย้ายตำบล (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๗๙
ง.
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๗๙
และยังมีกฎหมายอื่น ๆ
อีก เช่น กฎหมายปกครองท้องที่
และกฎหมายอาญา
เป็นต้น กฎหมายแต่ละฉบับยังมีกฎข้อบังคับ และระเบียบการวางไว้ให้ถือปฏิบัติอีกมาก
ล้วน
แยกเขตและอำนาจหน้าที่ไว้อย่างสับสน เช่นใช้ เฉพาะเขตเทศบาล ใช้เฉพาะมณฑลกรุงเทพฯ ใช้เฉพาะหัวเมือง
นอกมณฑลกรุงเทพฯ
และนอกเขตเทศบาล เป็นต้น นับว่าเป็นการยากทั้งแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ
และแก่ราษฎรผู้จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
จึงสมควรรวบรวมและปรับปรุงยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นเสียใหม่ ให้รวมวิธีปฏิบัติในการ
ทำทะเบียนราษฎรไว้เสียในที่แห่งเดียวกัน
ปรียนันท์/แก้ไข
๑/ ๓
/ ๔๕
A+B (C) |
314429 | พระราชกฤษฎีกา ให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499 บังคับในทุกเขตท้องที่นอกเขตเทศบาล พ.ศ. 2519 | พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
ให้ใช้บทบัญญัติมาตรา
๒๙ แห่งพระราชบัญญัติ
การทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๔๙๙
บังคับในทุกเขตท้องที่นอกเขตเทศบาล
พ.ศ.
๒๕๑๙
--------------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๙
เป็นปีที่ ๓๑
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรให้ใช้บทบัญญัติมาตรา
๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการ
ทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙ บังคับในทุกเขตท้องที่นอกเขตเทศบาล
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๙๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย และมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๔๙๙ จึงทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ
มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙
บังคับในทุกเขตท้องที่
นอกเขตเทศบาล พ.ศ. ๒๕๑๙"
มาตรา
๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๓ ให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียน
ราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙ บังคับในทุกเขตท้องที่นอกเขตเทศบาล
มาตรา
๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
หม่อมราชวงศ์เสนีย์
ปราโมช
นายกรัฐมนตรี
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่สมควรให้นายทะเบียน
ท้องถิ่นมอบสำเนาทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านที่อยู่ในทุกเขตท้องที่นอกเขตเทศบาลเก็บรักษาไว้
เช่นเดียวกับเจ้าบ้านที่อยู่ในเขตเทศบาล
เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบความถูกต้องของ
ทะเบียนบ้านที่ทางราชการเก็บรักษาไว้และในการนำไปแสดงเพื่อเป็นหลักฐาน
จึงจำเป็นต้อง
ตราพระราชกฤษฎีกานี้ขึ้น
[รก.๒๕๑๙/๙๐/๑พ/๙ กรกฎาคม ๒๕๑๙]
จารุวรรณ/พิมพ์
๑๘
ตุลาคม ๒๕๔๕
A+B
(C) |
314428 | พระราชกฤษฎีกา ให้ใช้บทบัญญัติในมาตรา 8 และมาตรา 11 ถึงมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499 พ.ศ. 2500
| เนเธกเนเธเธเนเธญเธเธชเธฒเธฃเธเธตเนเธเธธเธเธเนเธญเธเธเธฒเธฃ
The document that you would like to see is not found. |
849927 | กฎกระทรวงกำหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2562 | กฎกระทรวง
กำหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย
พ.ศ. ๒๕๖๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และมาตรา ๓๔ วรรคห้า
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ อาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย
ตามมาตรา ๓๔ วรรคห้า
ได้แก่
(๑)
อาคารที่ใช้ประโยชน์เพื่อการพาณิชยกรรม หรือการบริการธุรกิจ
(๒) อาคารที่ใช้ประโยชน์เพื่อการบริการสาธารณะ
หรือการชุมนุมโดยทั่วไปเพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา
การสังคม การนันทนาการ การสาธารณสุข หรือการคมนาคมขนส่ง
(๓)
อาคารที่ใช้ประโยชน์เพื่อการประกอบกิจการ หรือใช้เป็นสำนักงานหรือที่ทำการของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชน
(๔)
คลังสินค้า หรืออาคารที่ใช้เป็นที่เก็บสินค้าหรือสิ่งของ
(๕)
โรงงาน หรืออาคารที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการประกอบอุตสาหกรรม
(๖)
โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่อื่นใดที่สร้างด้วยวัสดุถาวร และมีพื้นที่ภายในที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปใช้สอยหรือใช้ประโยชน์ได้
โดยจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม
ข้อ ๒ ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่มาตรา ๓๔ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติให้อาคารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโรงงาน คลังสินค้า
หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยที่ต้องกำหนดเลขประจำอาคารและจัดทำทะเบียนอาคารให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
พรวิภา/จัดทำ
๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ภาณุรุจ/ตรวจ
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๑ ก/หน้า ๒๑/๗ มกราคม ๒๕๖๓ |
849925 | กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา พ.ศ. 2562 | กฎกระทรวง
กำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา
พ.ศ. ๒๕๖๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ และมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การแจ้งการเกิดตามมาตรา
๑๘ วรรคหนึ่ง การแจ้งการเกิดโดยบิดามารดาตามมาตรา ๑๙/๓ วรรคสอง การแจ้งการตายตามมาตรา
๒๑ วรรคหนึ่ง การแจ้งการเปลี่ยนแปลงการจัดการศพตามมาตรา
๒๔ การแจ้งการย้ายที่อยู่ตามมาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๐/๑ และมาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง การแจ้งเพื่อขอเลขประจำบ้านและการแจ้งเพื่อขอเลขประจำอาคารตามมาตรา
๓๔ วรรคหนึ่งหรือวรรคห้า การแจ้งเพื่อให้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือจัดทำทะเบียนประวัติของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามมาตรา ๓๘/๑ การขอมีบัตรประจำตัวแทนเด็กตามมาตรา
๓๘/๒ การขอต่ออายุบัตรประจำตัวและการขอมีบัตรประจำตัวใหม่ตามมาตรา
๓๘/๓ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง การขอปรับปรุงรายการในทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคหนึ่ง การแจ้งการรื้อบ้านตามมาตรา ๔๑ และการแจ้งการย้ายบ้านซึ่งเคลื่อนย้ายได้หรือการย้ายแพหรือเรือหรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่ประจำตามมาตรา ๔๒ ซึ่งผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอได้แจ้งหรือขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งหรือนายทะเบียนเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมาย
ให้กำหนดค่าธรรมเนียม ดังต่อไปนี้
(๑) การแจ้งหรือขอที่พ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายไม่เกินหกเดือน ครั้งละ ๓๐ บาท
(๒)
การแจ้งหรือขอที่พ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี
ครั้งละ
๕๐ บาท
(๓)
การแจ้งหรือขอที่พ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายเกินหนึ่งปี
คิดค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก
(๒) เป็นรายเดือน เดือนละ ๑๐ บาท
แต่เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียมตาม
(๒) แล้วต้องไม่เกิน ๕๐๐ บาท
เศษของเดือน
ถ้าเกินสิบห้าวันให้นับเป็นหนึ่งเดือน
ข้อ
๒ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามข้อ
๑ สำหรับกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
การแจ้งหรือขอในเขตประสบภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติ
(๒) ผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอเป็นผู้พิการทางกายเดินไม่ได้
เป็นใบ้ ตาบอดทั้งสองข้าง หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(๓)
ผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอเป็นคนไร้ที่พึ่งซึ่งได้รับความคุ้มครองและอยู่ในสถานคุ้มครองของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(๔)
ผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอเป็นผู้ป่วยที่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาเกินกว่าหนึ่งเดือน
(๕)
ผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอเป็นผู้อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย
(๖)
เหตุจำเป็นอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ข้อ
๓ บรรดาการแจ้งหรือขอตามข้อ ๑
ที่พ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมตามข้อ
๑
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
พลเอก
อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
บัญญัติให้การแจ้งหรือขอดำเนินการเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กำหนดในกฎหมายนี้ให้กระทำได้เมื่อผู้แจ้งหรือผู้ขอได้เสียค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้ว
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
พรวิภา/จัดทำ
๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ภาณุรุจ/จัดทำ
๑๒ กุมภาพันธ์
๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๑ ก/หน้า ๑๘/๗ มกราคม ๒๕๖๓ |
849921 | กฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 | กฎกระทรวง
กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๖๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ และมาตรา ๓๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม
พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ
๒ คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยในกฎกระทรวงนี้
หมายถึง
(๑) คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว แล้วแต่กรณี และบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
(๒)
คนต่างด้าวซึ่งได้รับการผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
(๓) คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
(๔) คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ข้อ
๓ เมื่อมีคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยเกิดหรือตาย
ให้บุคคลตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ มาตรา ๑๙/๑ มาตรา ๑๙/๓ หรือมาตรา ๒๑ แจ้งการเกิดหรือการตาย
แล้วแต่กรณี
ข้อ
๔ ให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยดังต่อไปนี้
ปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มชื่อและรายการบุคคลในทะเบียนบ้าน
การสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร การจัดทำทะเบียนประวัติการแจ้งการย้ายที่อยู่
และการจัดทำบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
(๑)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๑)
(๒)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๒) ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนดให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านตามมาตรา
๓๘ วรรคหนึ่ง
(๓)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๓) ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือน
ข้อ ๕ การยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อและรายการบุคคลในทะเบียนบ้านของบุคคลตามข้อ
๔ (๑)
ให้ยื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
การยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อและรายการบุคคลในทะเบียนบ้านของบุคคลตามข้อ
๔ (๒)
ให้ยื่นภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศให้ยื่นขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน
การยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อและรายการบุคคลในทะเบียนบ้านของบุคคลตามข้อ
๔ (๓)
ให้ยื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับวีซ่าหรือได้รับอนุญาตต่อวีซ่าให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นเวลาตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป
ข้อ ๖ ให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยดังต่อไปนี้
ปฏิบัติเกี่ยวกับการสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร
การจัดทำทะเบียนประวัติ การแจ้งการย้ายที่อยู่ และการจัดทำบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
(๑)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๒) ที่นอกจากข้อ ๔ (๒)
(๒)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๔) ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนดให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีทะเบียนประวัติตามมาตรา
๓๘ วรรคสอง
ข้อ ๗ การยื่นคำร้องขอจัดทำทะเบียนประวัติของบุคคลตามข้อ
๖ (๑) ให้ยื่นภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยหรือประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีผ่อนผันให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ
๒ (๒) พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ มีผลบังคับใช้
ข้อ ๘ คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๓)
ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นเวลาน้อยกว่าหกเดือน
หากมีความประสงค์จะปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรตามข้อ ๔ ให้ร้องขอต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการให้ได้
ข้อ ๙ ให้กำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ดังต่อไปนี้
(๑)
การออกบัตรประจำตัวให้กับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
(ก)
กรณีทำบัตรครั้งแรกสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่
สิบห้าปีบริบูรณ์หรือกรณีบัตรเดิมหมดอายุ
ฉบับละ
๖๐ บาท
(ข)
กรณีบัตรเดิมสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุด ฉบับละ
๖๐ บาท
(ค)
กรณีเปลี่ยนบัตรเนื่องจากการแก้ไขรายการ
ผู้ถือบัตร
ฉบับละ
๖๐ บาท
(๒)
การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการทะเบียนหรือบัตรประจำตัวตามมาตรา
๖ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๓)
การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามมาตรา
๑๔ (๑) ฉบับละ ๒๐ บาท
(๔)
การแจ้งการเกิดต่างท้องที่ตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายต่างท้องที่ตามมาตรา
๒๑ วรรคสี่
หรือการแจ้งการย้ายที่อยู่ตามมาตรา
๓๐/๒ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๕)
การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง ฉบับละ
๓๐ บาท
ข้อ ๑๐ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยกรณีทำบัตรครั้งแรกสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์
ข้อ ๑๑ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ
๙ (๒) และข้อ ๙ (๓) เพื่อใช้ในการดังต่อไปนี้
(๑)
การศึกษา
(๒)
การศาสนา
(๓)
การขอรับการสงเคราะห์จากทางราชการ
(๔) การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ
พระราชกฤษฎีกา หรือมติคณะรัฐมนตรี
ข้อ
๑๒ ในกรณีที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศให้เขตท้องที่ใดเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๙ (๑) และข้อ ๙ (๔) เฉพาะการแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
และการแจ้งการตายตามมาตรา ๒๑ วรรคสี่และค่าธรรมเนียมตามข้อ ๙ (๕) ภายในกำหนดเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ข้อ
๑๓ คำร้องที่นายทะเบียนได้รับไว้ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับและยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ให้ถือเป็นคำร้องตามกฎกระทรวงนี้
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
พลเอก
อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงการกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร
รวมทั้งกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
พรวิภา/จัดทำ
๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ภาณรุจ/ตรวจ
๑๒ กุมภาพันธ์
๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๑ ก/หน้า ๑๓/๗ มกราคม ๒๕๖๓ |
849909 | กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 | กฎกระทรวง
กำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๖๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๕๑
ข้อ
๒ ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎรสำหรับคนสัญชาติไทย ดังต่อไปนี้
(๑) การขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการ
ทะเบียนตามมาตรา ๖ ฉบับละ ๑๐ บาท
(๒)
การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ตามมาตรา ๑๔ (๑) ฉบับละ
๒๐ บาท
(๓)
การแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายตามมาตรา ๒๑ วรรคสี่
หรือการแจ้งการย้ายที่อยู่ตามมาตรา ๓๐/๒ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๔) การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง ฉบับละ
๓๐
บาท
ข้อ
๓ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับคนสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๑) และข้อ ๒ (๒) เพื่อใช้ในการดังต่อไปนี้
(๑)
การศึกษา
(๒)
การศาสนา
(๓)
การเข้ารับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร
(๔)
การขอรับการสงเคราะห์จากทางราชการ
(๕) การจัดที่ดินเพื่ออยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
(๖)
การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา
หรือมติคณะรัฐมนตรี
ข้อ
๔ ในกรณีที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศให้เขตท้องที่ใดเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับคนสัญชาติไทยตามข้อ
๒ (๓) เฉพาะการแจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม และการแจ้งการตายตามมาตรา ๒๑ วรรคสี่ และค่าธรรมเนียมตามข้อ ๒ (๔) ภายในกำหนดเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
พลเอก
อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร
เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
พรวิภา/จัดทำ
๖ กุมภาพันธ์
๒๕๖๓
ภาณุรุจ/ตรวจ
๑๒ กุมภาพันธ์
๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนที่ ๑ ก/หน้า ๑๐/๗ มกราคม ๒๕๖๓ |
689148 | กฎกระทรวงการแก้ไขเพิ่มเติม ลบ หรือทำให้ทันสมัย ซึ่งข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร และการอุทธรณ์ พ.ศ. 2556 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
การแก้ไขเพิ่มเติม
ลบ หรือทำให้ทันสมัย
ซึ่งข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
และการอุทธรณ์
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๔ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในกฎกระทรวงนี้
นายทะเบียนจังหวัด หมายความรวมถึงนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
หมวด ๑
การแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ข้อ ๒
ผู้จะยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรได้ต้องเป็น
(๑) เจ้าของประวัติ
(๒) ผู้แทนโดยชอบธรรม ในกรณีเจ้าของประวัติเป็นผู้เยาว์
(๓) ผู้อนุบาล ในกรณีเจ้าของประวัติเป็นคนไร้ความสามารถ
(๔) ผู้พิทักษ์
ในกรณีเจ้าของประวัติเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถที่ศาลสั่งให้ผู้พิทักษ์เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนคนเสมือนไร้ความสามารถนั้น
(๕) ทายาทเจ้าของประวัติ ในกรณีเจ้าของประวัติตาย
(๖) ผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลตาม (๑) - (๕) หรือ
(๗) ผู้มีหน้าที่แจ้งการต่าง ๆ
ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลที่กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ต้องแจ้ง
ข้อ ๓
การขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ
ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้ทำได้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดและตาย
สถานะการสมรส ชื่อคู่สมรส ศาสนา วุฒิการศึกษา
หรือข้อมูลอื่นที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ เฉพาะเมื่อมีเอกสารของทางราชการหรือสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องมาแสดงประกอบ
เว้นแต่เป็นกรณีการขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับศาสนา
ให้เป็นไปตามที่เจ้าของประวัติแสดงความจำนง
เอกสารของทางราชการตามวรรคหนึ่ง
ให้หมายความรวมถึงเอกสารของหน่วยงานของรัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีคำรับรองของกงสุลไทยหรือของเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับรองเอกสารของประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศที่ออกเอกสารนั้น
ข้อ ๔ บุคคลตามข้อ ๒
ซึ่งประสงค์จะขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามข้อ
๓ ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียน โดยจะยื่นที่สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นก็ได้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานดังต่อไปนี้
(๑)
บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวอื่นที่ทางราชการออกให้ซึ่งมีรูปถ่ายและเลขประจำตัวประชาชนของผู้ยื่นคำขอ
(๒)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวอื่นที่ทางราชการออกให้ซึ่งมีรูปถ่ายและเลขประจำตัวประชาชนของเจ้าของประวัติ
ในกรณีที่เจ้าของประวัติมิได้เป็นผู้ยื่นคำขอ
(๓)
เอกสารการทะเบียนราษฎรที่ผู้ยื่นคำขอประสงค์จะให้แก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัย
(๔) หลักฐานการเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก
ในกรณีที่เจ้าของประวัติเป็นผู้เยาว์และผู้ยื่นคำขอไม่ใช่บิดาหรือมารดาของผู้เยาว์นั้น
(๕) คำสั่งศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์
ในกรณีที่เจ้าของประวัติเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (ถ้ามี)
(๖) หนังสือมอบอำนาจกรณีเป็นผู้รับมอบอำนาจตามข้อ ๒ (๖)
(๗) เอกสารของทางราชการหรือสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๓
ข้อ ๕
เมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๔
แล้วให้ตรวจสอบความถูกต้องของคำขอและความครบถ้วนของเอกสารและหลักฐานประกอบคำขอให้แล้วเสร็จและออกใบรับให้ผู้ยื่นคำขอไว้เป็นหลักฐานภายในวันเดียวกับที่ได้รับคำขอ
ในกรณีที่คำขอที่ยื่นไว้ไม่ถูกต้อง
ให้เป็นหน้าที่ของนายทะเบียนที่จะแนะนำให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขให้ถูกต้อง
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีเอกสารหรือหลักฐานตามข้อ ๔ ไม่ครบถ้วน
ให้นายทะเบียนรับคำขอและออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นคำขอ
และแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอนำเอกสารหรือหลักฐานมายื่นเพิ่มเติมให้ครบถ้วนในใบรับดังกล่าวให้ระบุรายการเอกสารหรือหลักฐานที่จะต้องนำมายื่นเพิ่มเติมไว้ให้ชัดเจนด้วย
เมื่อได้รับคำขอถูกต้องและมีเอกสารและหลักฐานครบถ้วนแล้ว
ให้นายทะเบียนส่งเรื่องให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอถูกต้องและมีเอกสารและหลักฐานครบถ้วน
ในการพิจารณาคำขอ
ให้นายทะเบียนสอบสวนผู้ยื่นคำขอหรือบุคคลอื่นซึ่งสามารถให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ขอดำเนินการ
พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารและหลักฐานอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
ในกรณีที่เอกสารหรือหลักฐานประกอบคำขอมิใช่เอกสารหรือหลักฐานฉบับจริงให้นายทะเบียนทำเรื่องขอตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหรือหลักฐานนั้นไปยังส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ออกเอกสารและหลักฐานดังกล่าว
ในกรณีเช่นนี้
ระยะเวลาสิบห้าวันตามวรรคสามมิให้นับระยะเวลาระหว่างการขอตรวจสอบความถูกต้องดังกล่าวรวมด้วย
ข้อ ๖
เมื่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเห็นว่าข้อมูลที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยเป็นข้อมูลที่แท้จริง
ให้ดำเนินการตามคำขอโดยเร็ว
โดยดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลในเอกสารการทะเบียนราษฎรและฐานข้อมูลการทะเบียนในระบบคอมพิวเตอร์ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และถ้าเอกสารการทะเบียนราษฎรนั้นออกให้หรือจัดเก็บไว้ที่สำนักทะเบียนอื่นซึ่งไม่ใช่สำนักทะเบียนที่รับคำขอดังกล่าว
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นแจ้งสำนักทะเบียนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลในเอกสารการทะเบียนราษฎรตามคำขอ
ในกรณีที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นพิจารณาเห็นว่าไม่อาจดำเนินการตามคำขอได้ทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่งโดยให้ระบุเหตุผล
พร้อมทั้งแจ้งสิทธิอุทธรณ์ตามข้อ ๗ ให้ผู้ยื่นคำขอทราบด้วย
แต่ในกรณีที่อาจทำได้บางส่วน
ถ้าผู้ยื่นคำขอแจ้งเป็นหนังสือให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมหรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลในส่วนที่ดำเนินการได้
ก็ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นดำเนินการไปตามความประสงค์นั้น
เมื่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นดำเนินการตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วนแล้วให้แจ้งให้นายทะเบียนจังหวัดทราบตามแบบรายงานที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
และให้นายทะเบียนจังหวัดมีหน้าที่กำกับดูแลให้การดำเนินการของนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเป็นไปโดยถูกต้อง
ข้อ ๗
ในกรณีที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นมีคำสั่งไม่ดำเนินการตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วน
ผู้ยื่นคำขอมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นได้โดยยื่นเป็นหนังสือต่อนายทะเบียนจังหวัดภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
หนังสืออุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งจะยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นก็ได้ในกรณีเช่นนี้
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นส่งหนังสืออุทธรณ์ให้นายทะเบียนจังหวัดภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออุทธรณ์
ข้อ ๘
ให้นายทะเบียนจังหวัดพิจารณาคำอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์
ในกรณีที่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ก็ให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งและแจ้งนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นให้ดำเนินการตามคำขอโดยเร็วโดยปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ
๖ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เห็นว่าคำสั่งของนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นชอบแล้ว
ให้สั่งยกอุทธรณ์
ให้นายทะเบียนจังหวัดแจ้งคำสั่งตามวรรคหนึ่งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่งและในกรณีที่มีคำสั่งยกอุทธรณ์
ให้แจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบถึงสิทธิและระยะเวลาในการฟ้องคดีต่อศาลปกครองไว้ด้วย
คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายทะเบียนจังหวัดให้เป็นที่สุด
ข้อ ๙
ในการแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
เอกสารการทะเบียนราษฎรและฐานข้อมูลการทะเบียนในระบบคอมพิวเตอร์ ตามกฎกระทรวงนี้
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้แก้ไขเพิ่มเติม ลงชื่อ ตำแหน่ง
และวันเดือนปีในการแก้ไขเพิ่มเติมกำกับไว้ด้วย ทั้งนี้
ตามวิธีการที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
หมวด ๒
การลบข้อมูลในทะเบียนประวัติราษฎร
ข้อ ๑๐ การขอลบข้อมูลใด
ๆ
ในทะเบียนประวัติราษฎรให้กระทำได้แต่เฉพาะเมื่อมีหลักฐานแสดงว่าข้อมูลนั้นไม่เป็นความจริง
โดยให้นำความในข้อ ๒ ข้อ ๔ และข้อ ๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑
เมื่อได้รับคำขอและมีเอกสารและหลักฐานครบถ้วนแล้ว
ให้นายทะเบียนส่งเรื่องให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นพิจารณาทำความเห็นเสนอต่อนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอและมีเอกสารและหลักฐานถูกต้อง
และให้นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางพิจารณาคำขอให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น
ในกรณีที่นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางพิจารณาคำขอ เอกสารและหลักฐานแล้วเห็นว่าข้อมูลที่ขอลบเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง
ให้ดำเนินการลบข้อมูลในฐานข้อมูลการทะเบียนในระบบคอมพิวเตอร์ตามคำขอและแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบพร้อมทั้งแจ้งให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องลบข้อมูลตามคำขอเฉพาะในเอกสารการทะเบียนราษฎรที่เกี่ยวข้อง
โดยให้นำข้อ ๖ วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางเห็นว่าไม่อาจลบข้อมูลให้ตามคำขอได้ให้แจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง
พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบถึงสิทธิและระยะเวลาในการอุทธรณ์ไว้ด้วย
ผู้ยื่นคำขอลบข้อมูลผู้ใดไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางตามวรรคสาม
ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อผู้อำนวยการทะเบียนกลางได้ และให้นำความในข้อ ๗ และข้อ ๘
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามข้อนี้
นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางให้หมายถึงนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ข้อ ๑๒
เมื่อได้มีการลบข้อมูลใด ๆ ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรแล้ว
ให้นายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนกลางบันทึกการดำเนินการดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖
จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๔ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติให้การแก้ไขเพิ่มเติม ลบ
หรือทำให้ทันสมัยซึ่งข้อมูลใด ๆ ในข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร และการอุทธรณ์
ให้เป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๑ กรกฎาคม
๒๕๕๖
เอกฤทธิ์/ผู้ตรวจ
๑๒ กรกฎาคม
๒๕๕๖
ปริญสินีย์/ปรับปรุง
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนที่ ๖๑ ก/หน้า ๑๙/๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ |
586062 | กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งการเกิดหรือการตายต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่น พ.ศ. 2551
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งการเกิดหรือการตายต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่น
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๘ วรรคสาม และมาตรา ๒๑
วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในกรณีผู้มีหน้าที่แจ้งการเกิดตามมาตรา ๑๘
(๑) หรือ (๒)
ยังมิได้แจ้งการเกิดและคนซึ่งเกิดนั้นมีภูมิลำเนาปัจจุบันอยู่ต่างท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่เกิดบิดา
มารดา ผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าว
แล้วแต่กรณี จะแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ณ
สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่บิดา
มารดาหรือผู้ปกครองของคนซึ่งเกิดนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านก็ได้
การแจ้งการเกิดตามวรรคหนึ่ง
ผู้แจ้งการเกิดต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการเกิดของคนซึ่งจะแจ้งการเกิดที่ออกให้โดยโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่คนนั้นเกิด
และพยานบุคคลไม่น้อยกว่าสองคนซึ่งสามารถยืนยันความเป็นบิดาหรือมารดาของคนดังกล่าวได้
ในกรณีไม่มีหนังสือรับรองการเกิด
ผู้แจ้งการเกิดอาจใช้ผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจสารพันธุกรรม
ที่ตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานของรัฐหรือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์ความเป็นบิดาหรือมารดาและบุตรแทนได้
ข้อ ๒ ในกรณีผู้มีหน้าที่แจ้งการตายตามมาตรา ๒๑
(๑) หรือ (๒) ยังมิได้แจ้งการตายแต่มีการย้ายศพไปอยู่ต่างท้องที่สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่มีการตายหรือพบศพเจ้าบ้านของบ้านที่มีการตาย
บุคคลที่ไปกับผู้ตายขณะตาย ผู้พบศพ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าว
แล้วแต่กรณี จะแจ้งการตายต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ณ สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นแห่งท้องที่ที่ศพอยู่
หรือท้องที่ที่มีการจัดการศพโดยการเผา ฝัง หรือทำลายก็ได้
การแจ้งการตายตามวรรคหนึ่ง
ผู้แจ้งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการตายของผู้ตายซึ่งออกให้โดยโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่บุคคลนั้นตาย
และพยานบุคคลไม่น้อยกว่าสองคนซึ่งสามารถยืนยันตัวบุคคลของผู้ตายได้
ในกรณีไม่มีหนังสือรับรองการตาย
ผู้แจ้งการตายอาจใช้ผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจสารพันธุกรรม
ที่ตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานของรัฐหรือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการแจ้งแทนได้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๘ วรรคสาม และมาตรา ๒๑ วรรคสี่
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
กำหนดให้ผู้มีหน้าที่แจ้งการเกิดหรือการตายสามารถแจ้งการเกิดหรือการตายต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่อื่นได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑
นนทพล/ปรับปรุง
๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๖ ก/หน้า ๓๕/๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
586060 | กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กซึ่งถูกทอดทิ้ง เด็กเร่ร่อน หรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้ง พ.ศ. 2551
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กซึ่งถูกทอดทิ้ง
เด็กเร่ร่อน
หรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้ง
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และมาตรา ๑๙/๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ในกฎกระทรวงนี้
เด็ก หมายความถึง
เด็กตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก
เด็กเร่ร่อน หมายความถึง
เด็กเร่ร่อนตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก
เด็กไร้เดียงสา หมายความว่า
เด็กที่มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปีบริบูรณ์
หรือเด็กที่ปราศจากความรู้ผิดรู้ชอบตามปรกติสามัญอันเนื่องมาจากพัฒนาการทางร่างกายของเด็กเทียบเท่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปีบริบูรณ์
เด็กที่ไม่ปรากฏบุพการี หมายความว่า
เด็กที่ไม่สามารถสืบหาบิดามารดาหรือญาติทางสายโลหิตโดยตรงขึ้นไป
และให้หมายความรวมถึงเด็กที่บิดามารดาเสียชีวิต
ผู้ปกครอง หมายความถึง
ผู้ปกครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก
นายอำเภอ หมายความรวมถึง
ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ และผู้อำนวยการเขต
ข้อ
๒ เมื่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นได้รับแจ้งการเกิดเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้ง
หรือเด็กเร่ร่อน หรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการี หรือบุพการีทอดทิ้ง แล้วแต่กรณี
ให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้งให้แก่ผู้แจ้งการเกิดตามแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
พร้อมทั้งเรียกตรวจหลักฐานจากผู้แจ้งและสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กที่แจ้งการเกิด
ดังนี้
(๑)
พยานหลักฐาน ได้แก่
(ก)
บันทึกการรับตัวเด็กที่จัดทำขึ้นโดยพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งเป็นผู้รับตัวเด็กไว้
สำหรับเด็กแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้ง
(ข)
หลักฐานการรับตัวเด็กของหน่วยงานที่รับตัวเด็กไว้ดูแลหรืออุปการะ
(ค)
รูปถ่ายของเด็กขนาด ๒ นิ้ว จำนวน ๒ รูป
(ง)
หลักฐานทะเบียนราษฎรของผู้ปกครองของเด็ก (ถ้ามี)
(จ)
หลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็กทั้งพยานเอกสารและวัตถุพยาน (ถ้ามี) เช่น
หนังสือรับรองการเกิดของสถานพยาบาล สำเนาทะเบียนนักเรียน จดหมาย
รูปถ่ายของบุคคลในครอบครัว เป็นต้น
(๒)
พยานบุคคล ได้แก่
(ก)
ผู้แจ้งการเกิด
(ข)
เด็กที่ขอแจ้งการเกิดกรณีเด็กที่มีอายุตั้งแต่เจ็ดปีบริบูรณ์ขึ้นไป
(ค)
บุพการี หรือผู้ปกครองของเด็ก (ถ้ามี)
(ง)
ผู้รู้เห็นการเกิดของเด็กหรือสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการเกิดของเด็ก (ถ้ามี)
(จ)
บุคคลที่เด็กเคยอาศัยอยู่หรือเคยทำงานด้วย (ถ้ามี)
ข้อ
๓
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นตรวจสอบความถูกต้องของพยานเอกสาร
และความครบถ้วนสมบูรณ์ของประเด็นการสอบสวนพยานบุคคล
แล้วรวบรวมหลักฐานพร้อมเสนอความเห็นไปยังนายอำเภอแห่งท้องที่ที่สำนักทะเบียนนั้นตั้งอยู่ภายในระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการเกิด
โดยให้สรุปความเห็นพร้อมระบุเหตุผลประกอบว่าเด็กที่ขอแจ้งการเกิดเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรหรือไม่
และเป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือไม่ได้สัญชาติไทย
หรือไม่สามารถยืนยันสถานะการเกิดและสัญชาติของเด็ก ทั้งนี้
ให้นายอำเภอพิจารณาและแจ้งผลให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งความเห็น
ข้อ
๔
การพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กที่แจ้งการเกิดตามข้อ ๒
ให้คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ความมั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
รวมถึงหลักเกณฑ์การได้สัญชาติไทยหรือไม่ได้สัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
โดยให้นายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น และนายอำเภอ
พิจารณาปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็ก
และความเป็นไปได้ในการแสวงหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรงประกอบด้วย
ข้อ
๕
หากนายอำเภอมีความเห็นว่าไม่สามารถยืนยันสถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กได้
ให้แจ้งนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนประวัติและออกเอกสารแสดงตนให้เด็กไว้เป็นหลักฐานตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดตามมาตรา
๑๙/๒
พร้อมทั้งให้แจ้งความเห็นของนายอำเภอให้ผู้แจ้งการเกิดทราบเป็นหนังสือภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งความเห็นของนายอำเภอ
โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยเหตุผลของความเห็น รวมถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ
ข้อกฎหมายที่อ้างอิง และข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ ทั้งนี้ ให้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์
การยื่นคำอุทธรณ์ ระยะเวลาการอุทธรณ์ และสิทธิในการยื่นเรื่องต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อขอพิสูจน์สถานะการเกิด
และสัญชาติของเด็กอีกครั้งหนึ่งด้วย
การอุทธรณ์คำสั่งของนายอำเภอต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วย
ข้อ
๖
ให้นายอำเภอพิจารณาคำอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้า แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์
ในกรณีที่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้แก้ไขคำสั่งและแจ้งนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นทราบภายในสามวันนับแต่วันที่แก้ไขคำสั่ง ทั้งนี้ ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนราษฎรและหลักฐานทะเบียนราษฎรของเด็กที่แจ้งการเกิดให้ถูกต้องตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ในกรณีที่นายอำเภอไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องและรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี ภายในสามวันนับแต่วันที่การพิจารณาคำอุทธรณ์เป็นที่ยุติ
และให้นายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครพิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานจากนายอำเภอ
เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นไม่อาจพิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
ให้นายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครมีหนังสือแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าว
ในการนี้
ให้ขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้ไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลา
การพิจารณาของนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครตามวรรคสองอาจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเฉพาะกิจซึ่งประกอบด้วยผู้มีความรู้ความสามารถทางด้านการสังคมสงเคราะห์
สังคมวิทยา มานุษยวิทยา การพินิจคุ้มครองเด็ก และด้านอื่น ๆ
ร่วมเป็นกรรมการหรือคณะทำงาน เพื่อเสนอความเห็นหรือให้คำปรึกษาแก่นายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครด้วยก็ได้
ข้อ
๗
เมื่อนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครพิจารณาเห็นว่าหลักฐานของผู้แจ้งการเกิดสามารถยืนยันสถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กที่แจ้งเกิดได้
ให้แจ้งนายอำเภอและนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นทราบภายในสามวันนับแต่วันที่การพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นที่ยุติ ทั้งนี้
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนราษฎรและหลักฐานทะเบียนราษฎรของเด็กที่แจ้งการเกิดให้เป็นไปตามความเห็นของนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
หากนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครเห็นด้วยกับความเห็นหรือคำสั่งของนายอำเภอตามข้อ
๕
ให้แจ้งนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นหนังสือให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี โดยให้ระบุเหตุผลซึ่งอย่างน้อยประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
และข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ รวมถึงสิทธิในการยื่นคำฟ้องและระยะเวลาการยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองไว้ในหนังสือแจ้งด้วย
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
พลตำรวจเอก
โกวิท วัฒนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๙/๒
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
ได้กำหนดให้การพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้ง
เด็กเร่ร่อน และเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้ง เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑
ปริญสินีย์/ปรับปรุง
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๖ ก/หน้า ๓๐/๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
586058 | กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริง การอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียน พ.ศ. 2551
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริง
การอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียน
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ และมาตรา ๑๐ วรรคสี่
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ในกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าการดำเนินการแจ้ง การรับแจ้ง การบันทึก
หรือการลงรายการเพื่อจัดทำหลักฐานทะเบียนราษฎรใดดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ระเบียบ หรือโดยอำพรางข้อเท็จจริง หรือมีรายการข้อความผิดจากความเป็นจริง
เมื่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการดำเนินการเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรในลักษณะดังกล่าวจริง
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นสั่งระงับการเคลื่อนไหวรายการทะเบียนราษฎรกรณีนั้นไว้ก่อน
ข้อ ๒
ในกรณีที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นมีคำสั่งตามข้อ ๑ แล้ว
ให้แจ้งคำสั่งให้คู่กรณีทราบภายในสามวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง
เพื่อให้คู่กรณีมีโอกาสโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงของตนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
การแจ้งคำสั่งตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นหนังสือ
โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
(๑)
ข้อเท็จจริงหรือเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่ามีการกระทำโดยมิชอบ
(๒)
ข้อกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(๓)
ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ
(๔)
สิทธิในการแต่งตั้งบุคคลอื่นให้ดำเนินการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงแทน
(๕)
สิทธิในการขอดูเอกสารที่จำเป็นสำหรับการโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันสิทธิของตน
ข้อ ๓
การโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงตามข้อ ๒
คู่กรณีต้องชี้แจงเหตุผลหรือแสดงพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่าการสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนนั้นเป็นไปโดยไม่ถูกต้องโดยอาจทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐาน
หรือจะโต้แย้งหรือชี้แจงด้วยวาจาก็ได้โดยให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นบันทึกคำชี้แจงไว้และให้คู่กรณีลงลายมือชื่อเป็นหลักฐาน
ข้อ ๔
ถ้าคู่กรณีไม่โต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงภายในกำหนดเวลาตามข้อ ๒
โดยไม่มีเหตุอันสมควร
หรือโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริงแต่ไม่ชี้แจงเหตุผลหรือแสดงพยานหลักฐาน
หรือชี้แจงเหตุผลหรือแสดงพยานหลักฐานแล้วแต่รับฟังไม่ได้
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นสั่งไม่รับแจ้ง จำหน่ายรายการทะเบียน
หรือสั่งเพิกถอนหลักฐานทะเบียนกรณีดังกล่าว
ข้อ ๕
ในกรณีที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อ ๑
แล้วปรากฏพยานหลักฐานชัดว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมาย
หรือปรากฏหลักฐานทางทะเบียนซึ่งเชื่อได้ว่าการมีชื่อและรายการในเอกสารการทะเบียนราษฎรของผู้ใดเป็นการแอบอ้างใช้ชื่อหรือรายการบุคคลของผู้อื่น
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นสั่งไม่รับแจ้ง จำหน่ายรายการทะเบียน
หรือเพิกถอนหลักฐานทะเบียนดังกล่าวโดยเร็ว
และดำเนินการแก้ไขข้อความหรือปรับปรุงรายการทะเบียนให้ถูกต้อง
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นแจ้งคำสั่งตามข้อ
๑ หรือคำสั่งตามข้อ ๔
ให้คู่กรณีทราบเป็นหนังสือภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่งโดยให้ระบุเหตุผลซึ่งอย่างน้อยประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ
ข้อกฎหมายที่อ้างอิง และข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจสิทธิในการอุทธรณ์
การยื่นคำอุทธรณ์ และระยะเวลาการอุทธรณ์ไว้ด้วย
การอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วย
ข้อ ๖
ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นพิจารณาคำอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้า
แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์
ในกรณีที่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือแก้ไขรายการทะเบียนราษฎรและหลักฐานทะเบียนราษฎรของคู่กรณีให้ถูกต้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวด้วย
ในกรณีที่นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ให้รายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี ภายในสามวันนับแต่วันที่การพิจารณาคำอุทธรณ์เป็นที่ยุติ
เพื่อพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานจากนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น
เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นไม่อาจพิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
ให้นายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร มีหนังสือแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าว
ในการนี้
ให้ขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้ไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลา
ข้อ ๗
ในกรณีที่นายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครเห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์
ให้แจ้งนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นทราบภายในสามวันนับแต่วันที่การพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นที่ยุติ
เพื่อให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือแก้ไขรายการทะเบียนราษฎรหรือหลักฐานทะเบียนราษฎรของคู่กรณีให้เป็นไปตามความเห็นของนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครโดยเร็ว
ในกรณีที่นายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานครไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้แจ้งนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นหนังสือให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียนจังหวัดหรือนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
แล้วแต่กรณี โดยให้ระบุเหตุผลซึ่งอย่างน้อยประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ
ข้อกฎหมายที่อ้างอิง และข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ
รวมถึงสิทธิในการยื่นคำฟ้องและระยะเวลาการยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองไว้ในหนังสือแจ้งด้วย
ข้อ ๘
หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการอุทธรณ์ในส่วนที่ไม่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
พลตำรวจเอก
โกวิท วัฒนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
กำหนดให้การโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริง
การอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนกรณีมีคำสั่งไม่รับแจ้ง จำหน่ายรายการทะเบียน
เพิกถอนหลักฐานทะเบียนราษฎร
หรือดำเนินการแก้ไขข้อความรายการทะเบียนที่เกิดจากการดำเนินการซึ่งปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่าการดำเนินการแจ้ง
การรับแจ้ง การบันทึก หรือการลงรายการเพื่อดำเนินการจัดทำทะเบียนต่าง ๆ
ดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอำพราง
หรือโดยมีรายการข้อความผิดจากความเป็นจริง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑
ปริญสินีย์/ปรับปรุง
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๖ ก/หน้า ๒๖/๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
586056 | กฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. 2551
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร
และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้คนต่างด้าวปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๔๘
ข้อ ๒
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยในกฎกระทรวงนี้ หมายถึง
(๑)
คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว
แล้วแต่กรณี
และบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
(๒)
คนต่างด้าวซึ่งได้รับการผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
(๓)
คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
(๔)
คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ข้อ ๓
เมื่อมีคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยเกิดหรือตาย ให้บุคคลตามมาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙
มาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๒๑ แจ้งการเกิดหรือการตาย แล้วแต่กรณี
ข้อ ๔
ให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยดังต่อไปนี้
ปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มชื่อและรายการบุคคลในทะเบียนบ้าน การแจ้งการย้ายที่อยู่
การสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร และการจัดทำทะเบียนประวัติ
(๑)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๑)
(๒)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๒)
ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนดให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านตามมาตรา
๓๘ วรรคหนึ่ง
ข้อ ๕
ให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยดังต่อไปนี้
ปฏิบัติเกี่ยวกับการสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร
การจัดทำทะเบียนประวัติ และการแจ้งการย้ายที่อยู่
(๑)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๒) ที่นอกจากข้อ ๔ (๒)
(๒)
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๔)
ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนดให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีทะเบียนประวัติตามมาตรา
๓๘ วรรคสอง
ข้อ ๖
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๓)
หากมีความประสงค์จะปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรตามข้อ ๔ ให้ร้องขอต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการให้ได้
ข้อ ๗
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๑) และ (๒)
ที่มีชื่อและรายการบุคคลในเอกสารการทะเบียนราษฎรและมีอายุตั้งแต่ห้าปีบริบูรณ์แต่ไม่เกินเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ต้องมีบัตรประจำตัว
โดยให้ยื่นคำขอมีบัตรต่อนายทะเบียนภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่
(๑)
วันที่อายุครบห้าปีบริบูรณ์
(๒)
วันที่นายทะเบียนเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน
(๓)
วันที่บัตรเดิมหมดอายุ
(๔)
วันที่บัตรสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุด หรือ
(๕)
วันที่แก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุล หรือชื่อตัวและชื่อสกุล
หรือวันเดือนปีเกิดในทะเบียนบ้าน
ข้อ ๘
บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยมีอายุใช้ได้สิบปีนับแต่วันที่ออกบัตร
สำหรับบัตรที่ยังไม่หมดอายุในวันที่ผู้ถือบัตรมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ให้ใช้ต่อไปได้ตลอดชีวิต
กรณีผู้ถือบัตรประจำตัวตามข้อ
๗ พ้นจากสถานะการเป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามข้อ ๒ (๑) หรือ (๒) ให้บัตรนั้นหมดอายุในวันที่ผู้ถือบัตรพ้นจากสถานะดังกล่าวและให้ผู้นั้นส่งมอบบัตรคืนนายทะเบียนภายในสิบวันนับแต่วันที่พ้นสถานะ
ข้อ ๙
บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่นายทะเบียนออกให้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
ให้ถือเป็นบัตรที่ออกตามกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๑๐
กรณีมีเหตุจำเป็น
ผู้อำนวยการทะเบียนกลางโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอาจกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยกลุ่มอื่นมีบัตรประจำตัวตามข้อ
๗ ได้ โดยให้นำความในข้อ ๘ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑
ให้กำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ดังต่อไปนี้
(๑)
การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามมาตรา ๕
(ก) กรณีทำบัตรครั้งแรกสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่
สิบห้าปีบริบูรณ์หรือกรณีบัตรเดิมหมดอายุ ฉบับละ
๖๐ บาท
(ข) กรณีบัตรเดิมสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุด ฉบับละ
๖๐ บาท
(ค) กรณีเปลี่ยนบัตรเนื่องจากการแก้ไขรายการ
ผู้ถือบัตร ฉบับละ
๖๐ บาท
(๒) การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการทะเบียนหรือบัตรประจำตัวตามมาตรา ๖ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๓) การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ตามมาตรา ๑๔ (๑) ฉบับละ
๒๐ บาท
(๔) การแจ้งการเกิดต่างท้องที่ตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายต่างท้องที่ตามมาตรา ๒๑ วรรคสี่
การแจ้งการย้ายที่อยู่ปลายทางตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง
หรือ
การแจ้งการย้ายที่อยู่ต่างท้องที่ตามมาตรา ๓๐
วรรคสี่ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๕) การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง ฉบับละ
๒๐ บาท
ข้อ ๑๒
ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ดังต่อไปนี้
(๑)
การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยกรณีทำบัตรครั้งแรกสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์
(๒)
การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยกรณีบัตรเดิมสูญหาย ถูกทำลาย
หรือชำรุดในสาระสำคัญในเขตท้องที่ที่ประสบสาธารณภัยตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนดและได้ขอมีบัตรภายในกำหนดเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
(๓)
การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนหรือบัตรประจำตัวตามมาตรา ๖
เพื่อใช้ในการดังต่อไปนี้
(ก)
การศึกษาทั่วไป
(ข)
การขอรับการสงเคราะห์จากทางราชการ
(ค)
การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา หรือมติคณะรัฐมนตรี
(๔)
การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง
ในเขตท้องที่ที่ประสบสาธารณภัยตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนดและได้ขอรับสำเนาทะเบียนบ้านภายในกำหนดเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
พลตำรวจเอก
โกวิท วัฒนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
โดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
ซึ่งได้บัญญัติให้กำหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บจากคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยในการปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรไว้ในกฎกระทรวง
ทำให้กฎกระทรวงกำหนดให้คนต่างด้าวปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๔๘
ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมใหม่สมควรปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดให้คนต่างด้าวปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรฯ
เพื่อกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรและกำหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บจากการดำเนินการอันเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑
ปริญสินีย์/ปรับปรุง
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๖ ก/หน้า ๒๑/๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
586054 | กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2551
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๕๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๖
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๒
ให้กำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรสำหรับคนสัญชาติไทย
ดังต่อไปนี้
(๑) การขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนารายการ
ทะเบียนตามมาตรา ๖ ฉบับละ
๑๐ บาท
(๒) การขอคัดสำเนา
หรือคัดและรับรองสำเนา
รายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
ตามมาตรา ๑๔ (๑) ฉบับละ
๒๐ บาท
(๓)
การแจ้งการเกิดต่างท้องที่ตามมาตรา ๑๘ วรรคสาม
การแจ้งการตายต่างท้องที่ตามมาตรา
๒๑ วรรคสี่
การแจ้งการย้ายที่อยู่ปลายทางตามมาตรา
๓๐
วรรคสอง หรือการแจ้งการย้ายที่อยู่ต่างท้องที่ตาม
มาตรา ๓๐ วรรคสี่ ฉบับละ
๒๐ บาท
(๔)
การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง ฉบับละ
๒๐ บาท
ข้อ ๓
ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรสำหรับคนสัญชาติไทย
ดังต่อไปนี้
(๑)
การขอคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนตามมาตรา ๖ เพื่อใช้ในการดังต่อไปนี้
(ก)
การศึกษาทั่วไป
(ข)
การเข้ารับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร
(ค)
การขอรับการสงเคราะห์จากทางราชการ
(ง)
การจัดที่ดินเพื่ออยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
(จ)
การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา หรือมติคณะรัฐมนตรี
(๒)
การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง
ในเขตท้องที่ที่ประสบสาธารณภัยตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนดและได้ขอรับสำเนาทะเบียนบ้านภายในกำหนดเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
พลตำรวจเอก
โกวิท วัฒนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้ยกเลิกอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้อัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ แทน
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑
ปริญสินีย์/ปรับปรุง
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๙๖ ก/หน้า ๑๘/๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
558932 | กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร พ.ศ. 2550
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
พ.ศ. ๒๕๕๐[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ และมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้สำนักทะเบียนกลางจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากสูติบัตร
ทะเบียนคนเกิด มรณบัตร ทะเบียนคนตาย ทะเบียนบ้าน ทะเบียนบ้านกลาง ใบแจ้งการย้ายที่อยู่
ทะเบียนที่เกี่ยวด้วยสถานภาพการสมรส ทะเบียนที่เกี่ยวด้วยบุตร ทะเบียนที่เกี่ยวด้วยชื่อบุคคล
และเอกสารการทะเบียนอื่น ๆ ที่ยื่นไว้ต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
หรือกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชนและในกรณีของผู้ไม่มีสัญชาติไทยให้จัดเก็บข้อมูลจากทะเบียนประวัติด้วย
ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรที่ไม่อาจจัดเก็บจากทะเบียนและเอกสารตามวรรคหนึ่งได้จะจัดเก็บจากส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่จัดเก็บโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายก็ได้
แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐนั้น
ข้อ
๒ การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้จัดเก็บไว้ในรูปของเอกสาร
ภาพถ่าย ฟิล์ม แผ่นบันทึกข้อมูล ระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบอื่นตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ข้อ
๓ ในกรณีที่ผู้ใดประสงค์จะให้นายทะเบียนจัดเก็บข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับตนอันมิใช่เป็นข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามข้อ
๑ และนายทะเบียนเห็นว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการทะเบียนราษฎร ให้นายทะเบียนจัดเก็บข้อมูลนั้นตามที่ผู้นั้นแสดงเจตนาได้
ข้อ
๔ เมื่อสำนักทะเบียนได้จัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากเอกสารหลักฐานตามข้อ
๑ ไว้ในฟิล์ม แผ่นบันทึกข้อมูล ระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบอื่น และพ้นระยะเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดแล้ว
สำนักทะเบียนจะทำลายเอกสารหลักฐานเหล่านั้นก็ได้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
อารีย์ วงศ์อารยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้
คือ โดยที่มาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติให้สำนักทะเบียนกลางดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร
การตรวจพิสูจน์ตัวบุคคลและประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐
นนทฟพล/ปรับปรุง
๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๓๑ ก/หน้า ๗๐/๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐ |
462712 | กฎกระทรวงกำหนดให้คนต่างด้าวปฎิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2548 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดให้คนต่างด้าวปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร
พ.ศ.
๒๕๔๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔
ข้อ ๒
ในกฎกระทรวงนี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ข้อ ๓
ให้คนต่างด้าวดังต่อไปนี้
ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรเกี่ยวกับการแจ้งการเกิด การแจ้งการตาย
การแจ้งการย้ายที่อยู่ การเพิ่มหรือจำหน่ายรายการบุคคลในทะเบียนบ้าน
การสำรวจตรวจสอบหรือแก้ไขปรับปรุงรายการทะเบียนราษฎร การจัดทำทะเบียนประวัติ
การจัดทำบัตรประจำตัว และการอื่นใดอันเกี่ยวกับคนต่างด้าว
(๑) คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมาย
ว่าด้วยคนเข้าเมืองและมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
(๒) คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
(๓) คนต่างด้าวกลุ่มอื่นตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ข้อ ๔
คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
หากมีความประสงค์จะปฏิบัติตามข้อ ๓ อาจร้องขอต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการก็ได้
ข้อ ๕
หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดทำทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวสำหรับคนต่างด้าว
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘
พลอากาศเอก
คงศักดิ์ วันทนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๓๔
ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายที่เกี่ยวด้วยสัญชาติที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรไว้เพียงบางประเภทซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
สมควรปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยประเภทอื่นต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรเพิ่มขึ้น
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
สุกัญญา/พิมพ์
๒๑
กรกฎาคม ๒๕๔๙
สุนันทา/ฐิติพงษ์/ตรวจ
A+B
๒๖
กรกฎาคม ๒๕๔๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๒/ตอนที่ ๙๑ ก/หน้า ๔/๗ ตุลาคม ๒๕๔๘ |
462398 | กฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2547 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ๒๕๔๗[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ มาตรา ๗ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑
ให้สำนักทะเบียนกลางจัดให้มีระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรของทุกสำนักทะเบียนไว้ประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร
สำนักทะเบียนจังหวัด และสำนักทะเบียนอำเภอทุกแห่ง
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในท้องถิ่นใด
สำนักทะเบียนกลางอาจจัดให้มีระบบคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่งประจำสำนักทะเบียนท้องถิ่นนั้นก็ได้
ข้อ
๒ ให้สำนักทะเบียนกลางจัดให้มีเครื่องบริการประชาชนอเนกประสงค์ที่ปฏิบัติงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์
เพื่อให้บริการประชาชนเกี่ยวกับการคัดและรับรองรายการในทะเบียนบ้าน
การบันทึกรายการสำเนาทะเบียนบ้านให้ตรงกับต้นฉบับ
หรือการดำเนินการอื่นใดตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางเห็นสมควร
ในการนี้ให้ถือว่าการให้บริการด้านการทะเบียนราษฎรโดยเครื่องบริการประชาชนอเนกประสงค์ดังกล่าวเป็นการปฏิบัติงานของสำนักทะเบียนและนายทะเบียน
ในการให้บริการด้วยเครื่องบริการประชาชนอเนกประสงค์ตามวรรคหนึ่ง
ถ้าสำนักทะเบียนกลางได้จัดให้บริการในวันเวลาอย่างใด
ให้ถือว่าการให้บริการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติงานของสำนักทะเบียนและนายทะเบียนในวันเวลาราชการ
สถานที่ให้บริการ
วิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียม
และการลงนามรับรองเอกสารด้วยเครื่องบริการประชาชนอเนกประสงค์ตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ข้อ
๓
ให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักทะเบียนและนายทะเบียน
ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอมีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักทะเบียนอำเภอ
รวมทั้งกำกับดูแลการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักทะเบียนท้องถิ่นด้วย
ข้อ
๔
ในกรณีที่นายทะเบียนตรวจพบหรือได้รับแจ้งว่ารายการในทะเบียนบ้านไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือหลักฐานตามกฎหมาย
ให้ดำเนินการแก้ไขรายการดังกล่าวให้ถูกต้อง
และแจ้งให้เจ้าบ้านทราบเพื่อนำสำเนาทะเบียนบ้านไปบันทึกรายการให้ตรงกับต้นฉบับโดยเร็ว
การแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนดำเนินการตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๘
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗
โภคิน พลกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่ได้มีการวางระบบคอมพิวเตอร์ด้านการทะเบียนราษฎรไว้ทุกสำนักทะเบียนทั่วประเทศ
เพื่อเป็นการรองรับการบูรณาการและการปฏิรูประบบการทะเบียนแห่งชาติและให้การบริการประชาชนและหน่วยงานต่าง
ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติงานและให้บริการประชาชนให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานด้านการทะเบียนราษฎร จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริญสินีย์/ผู้จัดทำ
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
นนทพล/ปรับปรุง
๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๑/ตอนที่ ๗๙/หน้า ๑๖/๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๗ |
325843 | กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2545 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร
พ.ศ.
๒๕๔๕
------------------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.
๒๕๓๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราช
บัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
ข้อ ๒
ให้กำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร ดังต่อไปนี้
(๑)
การขอคัดและรับรองสำเนารายการในทะเบียนบ้าน
ตามมาตรา ๖ ฉบับละ
๑๐ บาท
(๒)
การขอคัดและรับรองสำเนารายการข้อมูลทะเบียน
ประวัติราษฎรตามมาตรา ๑๔ (๑) ฉบับละ
๒๐ บาท
(๓) การแจ้งย้ายตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง
(ก)
สำหรับการแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทางอัตโนมัติ
ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ฉบับละ
๑๐ บาท
(ข) สำหรับการแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทางที่ไม่ผ่าน
ระบบคอมพิวเตอร์ ฉบับละ
๕ บาท
(๔) การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง
(ก)
สำหรับสำเนาทะเบียนบ้านแบบสมุดพกที่คัดด้วย
ระบบคอมพิวเตอร์ ฉบับละ
๑๐ บาท
(ข) สำหรับสำเนาทะเบียนบ้านแบบที่ไม่ได้คัดด้วย
ระบบคอมพิวเตอร์ ฉบับละ
๕ บาท
ข้อ ๓
ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอรับสำเนาทะเบียนบ้านตามมาตรา ๓๙
วรรคสอง
ในเขตท้องที่ที่ประสบภัยธรรมชาติตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
และได้ขอรับสำเนาทะเบียนบ้านภายในกำหนดเวลาที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางประกาศกำหนด
ข้อ ๔
ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ผู้มีส่วนได้เสียซึ่งขอให้นายทะเบียนคัดและ
รับรองสำเนารายการในทะเบียนบ้านตามมาตรา ๖
เพื่อใช้ในการดังต่อไปนี้
(๑) การศึกษาทั่วไป
(๒) การเข้ารับราชการทหาร
(๓) การขอรับการสงเคราะห์จากทางราชการ
(๔) การจัดที่ดินเพื่ออยู่อาศัยของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ
หรือการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
(๕) การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ร้อยตำรวจเอก ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงอัตรา
ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
และสอดคล้องกับการนำเทคโนโลยี
สารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์มาใช้กับการปฏิบัติงานของสำนักทะเบียน
จึงจำเป็นต้องออกกฎ
กระทรวงนี้
[รก.๒๕๔๕/๗๕ก/๑/๘ สิงหาคม ๒๕๔๕]
เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข
๑๖/๑๐/๔๕
B+A(c) |
301554 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕)
ออกตามในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร
พ.ศ. ๒๕๓๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้ยกเว้นไม่ต้องกำหนดเลขประจำตัวแก่บุคคลต่อไปนี้
(๑) สมเด็จพระบรมราชินี
(๒) พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป
ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕
พลตำรวจเอก เภา สารสิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔
บัญญัติให้การยกเว้นการให้เลขประจำตัวแก่บุคคลให้กำหนดโดยกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริญสินีย์/ปรับปรุง
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๙/ตอนที่ ๙๓/หน้า ๒๔/๑๑ กันยายน ๒๕๓๕ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.