sysid
stringlengths 1
6
| title
stringlengths 8
870
| txt
stringlengths 0
257k
|
---|---|---|
690951 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2556 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้
สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือ
ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๖
ข้อ
๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖
เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕
และประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๖ ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ข้อ
๔ ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา
- ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๕
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๖
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๗
ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ
๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๒
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
รถยนต์ส่วนบุคคล
และรถยนต์สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ขนาด ๒ เพลา (ไม่เกิน ๔
ล้อ)
รถบรรทุกตู้
รถบรรทุกเล็ก รถประจำทางเล็ก ขนาด ๒ เพลา (ไม่เกิน ๔ ล้อ)
รถบรรทุกขนาดกลาง
๒ เพลา (เกิน ๔ ล้อขึ้นไป)
รถบรรทุกขนาดใหญ่
๓ เพลา
รถประจำทางขนาดกลาง
๒ เพลา
รถประจำทางขนาดใหญ่
๓ เพลา
รถเทรลเล่อร์และรถขนาดใหญ่พิเศษ
๓ เพลาขึ้นไป
บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
รถในขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์
หรือสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
รถในขบวนเสด็จพระราชดำเนินหรือขบวนเสด็จของพระบรมราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าขึ้นไป
รถในขบวนเสด็จของพระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า
รถในขบวนเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช
รถของผู้ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์
รถดับเพลิง
และรถพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบหรือให้ใช้เสียงสัญญาณไซเรน
เฉพาะในขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
รถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ใช้ในการปฏิบัติงานในทางพิเศษ
รถของกระทรวงกลาโหมที่ใช้ทำการเคลื่อนย้ายกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์
รถอื่นที่มีบัตรยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถีทิศทางขาออกนอกเมือง
ขึ้นที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ลงที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
ไม่เกิน ๔ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
เกิน ๔ ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
เกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
บางนา
กม.๖
(ขาออก)
บางแก้ว
บางนา
กม.
บางนา
กม.
บางพลี
๑
สุวรรณภูมิ
๑
เมืองใหม่บางพลี
บางเสาธง
บางพลีน้อย
บางสมัคร
บางปะกง
๑
ชลบุรี
๒๐
๒๐
๒๐
๒๐
๒๐
๒๐
๓๐
๔๐
๔๕
๖๐
๗๐
๕๐
๕๐
๕๐
๕๐
๕๐
๕๐
๖๐
๘๕
๙๕
๑๒๐
๑๔๕
๗๕
๗๕
๗๕
๗๕
๗๕
๗๕
๙๕
๑๓๐
๑๔๕
๑๘๐
๒๑๕
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางพลี
๑
สุวรรณภูมิ
๑
เมืองใหม่บางพลี
บางเสาธง
บางพลีน้อย
บางสมัคร
บางปะกง
๑
ชลบุรี
๒๐
๒๐
๒๐
๒๐
๓๕
๔๐
๕๐
๖๐
๕๐
๕๐
๕๐
๕๐
๗๐
๘๐
๑๐๐
๑๒๕
๗๕
๗๕
๗๕
๗๕
๑๐๕
๑๒๐
๑๕๕
๑๙๐
บางพลี
๒
สุวรรณภูมิ
เมืองใหม่บางพลี
บางเสาธง
บางพลีน้อย
บางสมัคร
บางประกง
๑
ชลบุรี
๒๐
๒๐
๒๐
๒๕
๓๕
๔๕
๕๕
๕๐
๕๐
๕๐
๕๕
๗๐
๙๐
๑๑๕
๗๕
๗๕
๗๕
๘๕
๑๐๕
๑๓๕
๑๗๕
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
ทิศทางขาออกนอกเมือง (ต่อ)
ขึ้นที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ลงที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
ไม่เกิน ๔ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
เกิน ๔ ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อเกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
สุวรรณภูมิ
๒
เมืองใหม่บางพลี
บางเสาธง
บางพลีน้อย
บางสมัคร
บางประกง
๑
ชลบุรี
๒๐
๒๐
๒๕
๓๐
๔๕
๕๕
๕๐
๕๐
๕๕
๖๕
๙๐
๑๑๕
๗๕
๗๕
๘๕
๑๐๐
๑๓๕
๑๗๐
บางบ่อ
บางพลีน้อย
บางสมัคร
บางประกง
๑
ชลบุรี
๒๐
๒๐
๒๐
๓๕
๕๐
๕๐
๕๐
๗๐
๗๕
๗๕
๗๕
๑๐๕
บางวัว
บางประกง
๑
ชลบุรี
๒๐
๒๐
๕๐
๕๐
๗๕
๗๕
บางประกง
๒
ชลบุรี
๒๐
๕๐
๗๕
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
ทิศทางขาเข้าเมือง
ขึ้นที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ลงที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
ไม่เกิน ๔ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
เกิน ๔ ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
เกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
ชลบุรี
บางประกง
๒
บางวัว
บางบ่อ
สุวรรณภูมิ
๒
บางพลี
๒
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๒๐
๓๕
๕๕
๕๕
๖๐
๗๐
๕๐
๕๐
๗๐
๑๑๕
๑๑๕
๑๒๕
๑๔๕
๗๕
๗๕
๑๐๕
๑๗๐
๑๗๕
๑๙๐
๒๑๕
บางประกง
๑
บางวัว
บางบ่อ
สุวรรณภูมิ
๒
บางพลี
๒
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๒๐
๔๕
๔๕
๕๐
๖๐
๕๐
๕๐
๙๐
๙๐
๑๐๐
๑๒๐
๗๕
๗๕
๑๓๕
๑๓๕
๑๕๕
๑๘๐
บางสมัคร
บางบ่อ
สุวรรณภูมิ
๒
บางพลี
๒
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๓๐
๓๕
๔๐
๔๕
๕๐
๖๕
๗๐
๘๐
๙๕
๗๕
๑๐๐
๑๐๕
๑๒๐
๑๔๕
บางพลีน้อย
บางบ่อ
สุวรรณภูมิ
๒
บางพลี
๒
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา
กม.๖
(ขาเข้า)
๒๐
๒๕
๒๕
๓๕
๔๐
๕๐
๕๕
๕๕
๗๐
๘๕
๗๕
๘๕
๘๕
๑๐๕
๑๓๐
บางเสาธง
สุวรรณภูมิ
๒
บางพลี
๒
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๒๐
๒๐
๓๐
๕๐
๕๐
๕๐
๖๐
๗๕
๗๕
๗๕
๙๕
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
ทิศทางขาเข้าเมือง (ต่อ)
ขึ้นที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ลงที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
ไม่เกิน ๔ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
เกิน ๔ ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่มีล้อ
เกิน ๑๐ ล้อ
(บาท/คัน)
เมืองใหม่บางพลี
สุวรรณภูมิ
๒
บางพลี
๒
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๒๐
๒๐
๒๐
๕๐
๕๐
๕๐
๕๐
๗๕
๗๕
๗๕
๗๕
สุวรรณภูมิ
๑
บางพลี
๒
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๒๐
๒๐
๕๐
๕๐
๕๐
๗๕
๗๕
๗๕
บางพลี
๑
วงแหวนรอบนอก
(บางแก้ว)
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๒๐
๕๐
๕๐
๗๕
๗๕
บางนา
กม. ๙-๓
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๕๐
๗๕
บางแก้ว
บางนา กม.๖ (ขาเข้า)
๒๐
๕๐
๗๕
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๖ กันยายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๐๓ ง/หน้า ๑๑/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ |
690949 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2556 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในคราวประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ได้พิจารณาตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกับบริษัทคู่สัญญา
ประกอบกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
จึงกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ข้อ
๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ
๔ ให้ทางพิเศษอุดรรัถยา
(ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๕
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๖
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๗
ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
ดังต่อไปนี้
(๑)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑ สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษอุดรรัถยา
(ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเมืองทองธานีถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเชียงราก
(๒)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒ สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษอุดรรัถยา
(ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเชียงรากถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางปะอิน
ข้อ
๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ณ สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๒
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
รถยนต์ส่วนบุคคล
และรถยนต์สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ขนาด ๒ เพลา (ไม่เกิน ๔
ล้อ)
รถบรรทุกตู้
รถบรรทุกเล็ก รถประจำทางเล็ก ขนาด ๒ เพลา (ไม่เกิน ๔ ล้อ)
รถบรรทุกขนาดกลาง
๒ เพลา (เกิน ๔ ล้อขึ้นไป)
รถบรรทุกขนาดใหญ่
๓ เพลา
รถประจำทางขนาดกลาง
๒ เพลา
รถประจำทางขนาดใหญ่
๓ เพลา
รถเทรลเล่อร์และรถขนาดใหญ่พิเศษ
๓ เพลาขึ้นไป
บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
รถในขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์
หรือสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
รถในขบวนเสด็จพระราชดำเนินหรือขบวนเสด็จของพระบรมราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าขึ้นไป
รถในขบวนเสด็จของพระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า
รถในขบวนเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช
รถของผู้ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์
รถดับเพลิง และรถพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบหรือให้ใช้เสียงสัญญาณไซเรน
เฉพาะในขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
รถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ใช้ในการปฏิบัติงานในทางพิเศษ
รถของกระทรวงกลาโหมที่ใช้ทำการเคลื่อนย้ายกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์
รถอื่นที่มีบัตรยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษ
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
๑
๒
๓
รถที่มีล้อไม่เกิน
๔ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน ๔
ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน
๑๐ ล้อ
๔๕
๑๐๐
๑๕๐
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษ
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
๑
๒
๓
รถที่มีล้อไม่เกิน
๔ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน ๔
ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน
๑๐ ล้อ
๑๐
๒๐
๓๐
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๕ กันยายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๐๓ ง/หน้า ๙/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ |
690947 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2556 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ
และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ)
และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่
และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือ
ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในคราวประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ได้พิจารณาตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกับบริษัทคู่สัญญา
ประกอบกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
จึงกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ
สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์) ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ
และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่
และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ข้อ
๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา -
ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ -
บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ
๔ ให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร
(ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ)
และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
ดังต่อไปนี้
(๑)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑ สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร
(ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ)
และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษรัชดาภิเษก ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระรามที่สาม
และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษคลองประปา ๒ ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอโศก ๑
(๒)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒ สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่) ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษแจ้งวัฒนะ
ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษรัชดาภิเษก
(๓)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๓
สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษทั้งตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
และบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒ (ขาออก)
หรือตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒ และบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
(ขาเข้า)
(๔)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๔ สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายพญาไท
- ศรีนครินทร์) ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอโศก ๓
ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษศรีนครินทร์ และตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระราม ๙ - ๑
(ศรีรัช) ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษศรีนครินทร์ และตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระราม
๙ - ๑ (ศรีรัช) ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอโศก ๔
ข้อ
๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ณ สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๒
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ
สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง-ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
รถยนต์ส่วนบุคคล
และรถยนต์สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ขนาด ๒ เพลา (ไม่เกิน ๔
ล้อ)
รถบรรทุกตู้
รถบรรทุกเล็ก รถประจำทางเล็ก ขนาด ๒ เพลา (ไม่เกิน ๔ ล้อ)
รถบรรทุกขนาดกลาง
๒ เพลา (เกิน ๔ ล้อขึ้นไป)
รถบรรทุกขนาดใหญ่
๓ เพลา
รถประจำทางขนาดกลาง
๒ เพลา
รถประจำทางขนาดใหญ่
๓ เพลา
รถเทรลเล่อร์และรถขนาดใหญ่พิเศษ
๓ เพลาขึ้นไป
บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ
สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง-ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
รถในขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์
หรือสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
รถในขบวนเสด็จพระราชดำเนินหรือขบวนเสด็จของพระบรมราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าขึ้นไป
รถในขบวนเสด็จของพระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า
รถในขบวนเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช
รถของผู้ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์
รถดับเพลิง
และรถพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ให้ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบหรือให้ใช้เสียงสัญญาณไซเรน
เฉพาะในขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
รถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ใช้ในการปฏิบัติงานในทางพิเศษ
รถของกระทรวงกลาโหมที่ใช้ทำการเคลื่อนย้ายกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์
รถอื่นที่มีบัตรยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง-ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษ
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
๑
๒
๓
รถที่มีล้อไม่เกิน
๔ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน ๔
ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน
๑๐ ล้อ
๕๐
๗๕
๑๑๐
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง-ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษ
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
๑
๒
๓
รถที่มีล้อไม่เกิน
๔ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน ๔
ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน
๑๐ ล้อ
๑๕
๒๐
๓๕
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๓
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ
สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง-ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
(ก) ขาออกนอกเมือง
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
(๑) ค่าผ่านทางพิเศษตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
(๒) ค่าผ่านทางพิเศษตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒
โดยมีส่วนลด ๕ บาท
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
(๓)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่ใช้ ๒ บัญชี
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
๑.
๒.
๓.
รถที่มีล้อไม่เกิน
๔ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน ๔
ล้อแต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน
๑๐ ล้อ
๕๐
๗๕
๑๑๐
๑๐
๑๕
๓๐
๖๐
๙๐
๑๔๐
(ข) ขาเข้าเมือง
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
(๑) ค่าผ่านทางพิเศษตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
(๒) ค่าผ่านทางพิเศษตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
โดยมีส่วนลด ๕ บาท
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
(๓)
ค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถที่ใช้ ๒ บัญชี
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
๑.
๒.
๓.
รถที่มีล้อไม่เกิน
๔ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน ๔
ล้อแต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน
๑๐ ล้อ
๑๕
๒๐
๓๕
๔๕
๗๐
๑๐๕
๖๐
๙๐
๑๔๐
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๔
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ
สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง-ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ลำดับที่
ประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ค่าผ่านทางพิเศษ
ครั้งหนึ่ง บาท/คัน
๑
๒
๓
รถที่มีล้อไม่เกิน
๔ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน ๔
ล้อ แต่ไม่เกิน ๑๐ ล้อ
รถที่มีล้อเกิน
๑๐ ล้อ
๒๕
๕๕
๗๕
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๕ กันยายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๐๓ ง/หน้า ๗/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ |
688299 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 5 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม
๘๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (แปดร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น
๘๕๐,๐๐๐ หน่วย (แปดแสนห้าหมื่นหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๗ ปี โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๑๐
มิถุนายน ๒๕๕๖
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๑๐ มิถุนายน
๒๕๖๓ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๓๙ ต่อปี
คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรโดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตรการคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี
๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลา
ดังนี้
๑๐.๑ ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖
๑๐.๒ ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๑๐ มิถุนายน
และ ๑๐ ธันวาคม
๑๐.๓ ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ
วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔ ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ บริษัท
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด
ขั้นตอน วิธีการ และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอน
วิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข
ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ
๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ มิถุนายน
๒๕๕๖
อุษมล/ผู้ตรวจ
๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๗๔ ง/หน้า ๕๕/๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ |
684700 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๒
ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ในการประชุมเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓
และครั้งที่ ๔
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(สามพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๓,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (สามล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท
(หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยพันธบัตรมีมูลค่ารุ่นละ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบอายุพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ อายุ (ปี)
ครั้งที่ ๒ ๕
ครั้งที่ ๓ ๑๐
ครั้งที่ ๔ ๗
โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ วันออกพันธบัตร
ครั้งที่ ๒ ๒๑
มีนาคม ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๓ ๒๑
มีนาคม ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๔ ๒๕
มีนาคม ๒๕๕๖
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ วันไถ่ถอนพันธบัตร
ครั้งที่ ๒ ๒๑
มีนาคม ๒๕๖๑
ครั้งที่ ๓ ๒๑
มีนาคม ๒๕๖๖
ครั้งที่ ๔ ๒๕
มีนาคม ๒๕๖๓
ทั้งนี้
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรมีอัตราดอกเบี้ยดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ อัตราดอกเบี้ย (ร้อยละ)
ครั้งที่ ๒ ๓.๔๕
ครั้งที่ ๓ ๓.๘๓
ครั้งที่ ๔ ๓.๖๑
โดยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร
และเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตรการคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี
๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริงเศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑ ดอกเบี้ยงวดแรกดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ วันที่
ครั้งที่ ๒ ๒๑
กันยายน ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๓ ๒๑
กันยายน ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๔ ๒๕
กันยายน ๒๕๕๖
๑๐.๒ ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๑ กันยายน และ
๒๑ มีนาคม
สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓
และทุก ๆ วันที่ ๒๕ กันยายน และ ๒๕ มีนาคม
สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔
๑๐.๓ ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ
วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔ ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ บริษัท
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ และ บริษัท ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด
ขั้นตอน วิธีการ และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอน
วิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด
สูญหาย หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ปัญญา ไชยานนท์
ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
ทำการแทน
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๗ เมษายน ๒๕๕๖
อุษมล/ผู้ตรวจ
๑๙ เมษายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๔๗ ง/หน้า ๒๖/๑๑ เมษายน ๒๕๕๖ |
684418 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้
สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี -
สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ นั้น
คณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖
เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๖
ข้อ ๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖
เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในข้อ ๘ แห่งประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖
เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
พลเอก
พฤณท์ สุวรรณทัต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๕ เมษายน ๒๕๕๖
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๒๔ เมษายน ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๔๓ ง/หน้า ๕/๓ เมษายน ๒๕๕๖ |
682246 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 1 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม
๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท
(หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.-
บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๕ ปี โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร
คือ วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร
คือ วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๔๖๙ ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตรการคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี
๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑ ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖
๑๐.๒ ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๔ มกราคม และ ๒๔
กรกฎาคม
๑๐.๓ ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔ ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด
ขั้นตอน วิธีการ และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด
สูญหาย หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๔ มีนาคม ๒๕๕๖
อุษมล/ผู้ตรวจ
๕ มีนาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๒๖ ง/หน้า ๒๓/๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ |
678892 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิ
เชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือ
ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๕[๑]
ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕ นั้น
คณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๕
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ นั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา
- ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ
๘ ของประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๕ ลงวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้
ข้อ ๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖
เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
พลเอก
พฤณท์ สุวรรณทัต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๑ มกราคม ๒๕๕๖
ณัฐพร/ผู้ตรวจ
๑๑ มกราคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๙๒ ง/หน้า ๑๓/๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ |
677080 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2555 ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕
ครั้งที่ ๒
และครั้งที่ ๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออก
๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท
(หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่
๒ และมูลค่า ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (ห้าร้อยล้านบาทถ้วน)
สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ โดยพันธบัตรทั้ง ๒
รุ่น มีมูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๑ ปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ และเมื่อครบ ๓
ปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓
โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๒๗
กันยายน ๒๕๕๕
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๗ กันยายน
๒๕๕๖ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ และวันที่ ๒๗
กันยายน ๒๕๕๘ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๒๔๘ ต่อปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒
และร้อยละ ๓.๔๘๕ ต่อปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่
๓ คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร
โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตรการคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี
๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑ ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖
๑๐.๒ ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๗ กันยายน และ
๒๗ มีนาคม
๑๐.๓ ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ
วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔ ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้
บมจ. ธนาคารกสิกรไทย
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ และธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด
ขั้นตอน วิธีการ และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ
๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๖ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
ชาญ/ผู้ตรวจ
๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๗๑ ง/หน้า ๒๘/๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ |
676202 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2555 ครั้งที่ 1/1 และครั้งที่ 1/2 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕
ครั้งที่ ๑/๑
และครั้งที่ ๑/๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑/๑ และครั้งที่ ๑/๒
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออก
๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองร้อยล้านบาทถ้วน) และ ๘๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (แปดร้อยล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๒๐๐,๐๐๐ หน่วย (สองแสนหน่วย) และ ๘๐๐,๐๐๐ หน่วย
(แปดแสนหน่วย) ตามลำดับ มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท
(หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๕ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๒๐
กันยายน ๒๕๕๕
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๐ กันยายน
๒๕๖๐ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตร กทพ.
พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑/๑ มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๙๕ ต่อปี และพันธบัตร กทพ. พ.ศ.
๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑/๒ มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๗๙๕ ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร
โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตรการคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี
๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑ ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖
๑๐.๒ ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๐ กันยายน และ
๒๐ มีนาคม
๑๐.๓ ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ
วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔ ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ บมจ.
ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑/๑ และ บมจ. ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑/๒
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด
ขั้นตอน วิธีการ และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
ชาญ/ผู้ตรวจ
๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๖๒ ง/หน้า ๔๙/๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ |
675940 | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
ในท้องที่อำเภอบางกรวย
จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน
เขตบางพลัด
เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน[๑]
ตามที่ได้ประกาศใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน
ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางพลัด
เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕๕
เพื่อสร้างทางพิเศษศรีรัช วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร นั้น
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยผู้เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การสร้างทางพิเศษสายดังกล่าวเป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน
เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
ซึ่งหากการเวนคืนเนิ่นช้าไปจะเป็นอุปสรรคอย่างมากแก่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ วรรคหนึ่ง
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ และมาตรา ๓๔
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายคณะรัฐมนตรีโดยมติเมื่อวันที่
๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ จึงกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอบางกรวย
จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ
และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน
ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางพลัด
เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕๕
เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน
เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครอง
หรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๓๐ ได้
ประกาศ
ณ วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ปริยานุช/จัดทำ
๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
ณัฐพร/ตรวจ
๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
ศิรวัชร์/ปรับปรุง
๒๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๕๘ ง/หน้า ๗/๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ |
667416 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงานและสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2555 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงานและ
สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๕[๑]
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ
ที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ
ของทางราชการ เพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นหรือรักษาสิทธิต่าง ๆ
อันเป็นการส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลโดยประชาชนมากยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ประกอบกับมาตรา ๗ (๑) (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่
วิธีการดำเนินงานและสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๔ ฉบับลงวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๒ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเรียกโดยย่อว่า
กทพ. ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า EXPRESSWAY AUTHORITY OF THAILAND เรียกโดยย่อว่า EXAT มีวัตถุประสงค์ตามที่พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ ดังนี้
๒.๑ สร้างหรือจัดให้มีทางพิเศษด้วยวิธีใด ๆ
ตลอดจนบำรุงและรักษาทางพิเศษ
๒.๒
ดำเนินงานหรือธุรกิจเกี่ยวกับทางพิเศษและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับทางพิเศษหรือที่เป็นประโยชน์แก่
กทพ.
โดยมีอำนาจหน้าที่กระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น
และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง หรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ
(๒) ก่อตั้งสิทธิหรือกระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร
(๓) เรียกเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หรือค่าบริการอื่น
ตลอดจนค่าธรรมเนียมการใช้ทรัพย์สิน การให้บริการและการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ในเขตทางพิเศษ
(๔) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้และการรักษาทางพิเศษ
ตลอดจนการใช้และการรักษาทรัพย์สิน การให้บริการ และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ในเขตทางพิเศษ
(๕) กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๖)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ กทพ.
(๗) จัดตั้งหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
กทพ.
(๘)
ลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
กทพ.
(๙) ให้สัมปทานในการสร้างหรือขยายทางพิเศษ ต่ออายุสัมปทาน โอนสัมปทาน
หรือเพิกถอนสัมปทาน
(๑๐) ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใด
ของ กทพ. แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการ
และคณะกรรมการเห็นว่า
รัฐวิสาหกิจนั้นสามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้ ให้ กทพ.
ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๑) ทำการค้าและให้บริการต่าง ๆ
เกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องใช้เกี่ยวกับทางพิเศษ
(๑๒) ให้เช่าหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ กทพ.
ตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ กทพ. โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะควบคู่ไปด้วย
(๑๓) วางแผน สำรวจ และออกแบบเกี่ยวกับการสร้างหรือขยายทางพิเศษ
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ
กทพ.
ข้อ ๓ กทพ.
มีโครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงานภายใน ดังต่อไปนี้
๓.๑ สายงานขึ้นตรงต่อผู้ว่าการ
๓.๑.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองตรวจสอบ ๑
- กองตรวจสอบ ๒
๓.๑.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองกลางและการประชุม
- กองประชาสัมพันธ์
- กองข้อมูลข่าวสาร
- กองพัฒนาธุรกิจและการตลาด
๓.๑.๓ กองวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมระบบทางพิเศษ
๓.๒ สายงานขึ้นตรงต่อผู้ช่วยผู้ว่าการ
- กองบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน
๓.๓ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
๓.๓.๑ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองการเจ้าหน้าที่
- กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน
- กองพัสดุ
๓.๓.๒ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย ๕ กอง
- กองการเงิน
- กองบัญชี
- กองงบประมาณ
- กองตรวจสอบรายได้
- กองกำกับดูแลกิจการและพัฒนามูลค่าองค์กร
๓.๔ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ
๓.๔.๑ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
- กองประเมินผล
๓.๔.๒ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองระบบงานคอมพิวเตอร์
- กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
๓.๕ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
๓.๕.๑ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒
๓.๕.๒ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองคดี
- กองนิติการ
๓.๖ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษา
๓.๖.๑ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
- กองก่อสร้างทั่วไป
๓.๖.๒ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองบำรุงรักษาทาง
- กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
- กองบำรุงรักษาอุปกรณ์
- กองไฟฟ้า เครื่องกลและยานพาหนะ
๓.๗ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
๓.๗.๑ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองจัดการจราจร
- กองกู้ภัยและสื่อสาร
๓.๗.๒ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
- กองบริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
๓.๗.๓ กองวางแผนปฏิบัติการ
ข้อ ๔ หน้าที่และความรับผิดชอบที่สำคัญของส่วนงาน
กทพ. มีดังต่อไปนี้
๔.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย
๔.๑.๑ กองตรวจสอบ ๑ มีหน้าที่ความรับผิดชอบวางแผนการตรวจสอบ และดำเนินการตรวจสอบ
การปฏิบัติงาน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานทั้งภายใน กทพ. เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามนโยบายและแผนงาน
และสนับสนุนให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายจัดการสามารถควบคุม
กำกับการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และประหยัด
รวมทั้งปฏิบัติงานในคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) เพื่อตรวจสอบการบริหารงานและการจัดการของ กทพ.
๔.๑.๒ กองตรวจสอบ ๒ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองตรวจสอบ ๑
๔.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย
๔.๒.๑ กองกลางและการประชุม มีหน้าที่ความรับผิดชอบงานสารบรรณของ กทพ.
งานประชุมของคณะกรรมการ กทพ. คณะกรรมการบริหารของ กทพ. ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับฝ่ายขึ้นไป
และการประชุมอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๒.๒ กองประชาสัมพันธ์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านงานประชาสัมพันธ์ งานสัมพันธ์ งานผลิตสื่อ
และให้บริการโสตทัศนูปกรณ์ เพื่อการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งงานส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชน
๔.๒.๓ กองข้อมูลข่าวสาร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นศูนย์กลางการบริการข้อมูลข่าวสารของ กทพ.
โดยดำเนินงาน ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT CALL CENTER) รับเรื่องร้องเรียนและข้อเสนอแนะ
บริการผู้ใช้ทางพิเศษและประชาชนในเชิงรุก ทางโทรศัพท์ ๑๕๔๓ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง และดำเนินงาน
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ. (EXAT PUBLIC INFORMATION CENTER) จัดข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้และประสานงานให้มีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการกำกับดูแลกิจการใน กทพ. (CORPORATE GOVERNANCE : CG) พร้อมกับทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของ
กทพ. ให้บริการห้องสมุดและศูนย์เอกสาร วิเคราะห์และพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร
รวมทั้งปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
๔.๒.๔ กองพัฒนาธุรกิจและการตลาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบ รับผิดชอบงานเกี่ยวกับการศึกษาความเหมาะสม การจัดให้มี
และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ของ กทพ.
การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับ กทพ.
รวมทั้งการบริหารจัดการงานตลาดเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้ทางพิเศษมากขึ้น
๔.๓ กองวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมระบบทางพิเศษ
มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับงานและการศึกษา
ค้นคว้าวิจัยและพัฒนา การตรวจสอบ ทดสอบ ควบคุมคุณภาพของระบบทางพิเศษ ได้แก่
การพัฒนามาตรฐานระบบการเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ ระบบการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ
ข้อกำหนดเกี่ยวกับงานระบบทางพิเศษ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากทางพิเศษ
ระบบควบคุมคุณภาพของทางพิเศษ และตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
รวมทั้งปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
๔.๔ กองบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบ
ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของ กทพ.
และความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกองค์กรเพื่อจัดลำดับความสำคัญและเสนอแนะแนวทางป้องกัน
ปรับปรุง แก้ไข กำหนดแผนและมาตรการลดหรือกระจายความเสี่ยง กำกับดูแลและติดตามศึกษาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานและจัดระบบควบคุมภายใน
รวมทั้งเป็นหน่วยงานกลางประสานงานด้านการควบคุมภายใน
๔.๕ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย
๔.๕.๑ กองการเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการสรรหา บรรจุแต่งตั้ง
งานทะเบียนประวัติ งานสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
งานสงเคราะห์ของพนักงานและลูกจ้าง งานพนักงานสัมพันธ์ รวมทั้งงานด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
๔.๕.๒ กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลและระบบงาน
รวมทั้งงานวางแผนและจัดอัตรากำลังให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ.
๔.๕.๓ กองพัสดุ มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบริหารงานพัสดุ
งานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๖ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย
๔.๖.๑ กองการเงิน มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านการเงิน
ด้านเงินกู้ ด้านการตรวจจ่าย และรับผิดชอบงานศูนย์บริการที่เดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) รวมทั้งดำเนินการบริหารงานศูนย์หักบัญชี
(Clearing House) ในการจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ
(Electronic Toll Collection : ETC)
๔.๖.๒ กองบัญชี มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการจัดทำ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
จัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหาร
๔.๖.๓ กองงบประมาณ มีหน้าที่ความรับผิดชอบกำหนดแผนงาน โครงการ จัดทำงบประมาณประจำปีให้มีประสิทธิภาพ
จัดทำคำของบประมาณ และรายงานเงินงบประมาณในส่วนที่ขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล
๔.๖.๔ กองตรวจสอบรายได้
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบรายได้ค่าผ่านทาง
และเสนอแนะเพื่อควบคุมการเก็บรายได้ของระบบทางพิเศษ รวมทั้งตรวจสอบรายได้อื่น ๆ นอกจากค่าผ่านทาง
๔.๖.๕ กองกำกับดูแลกิจการและพัฒนามูลค่าองค์กร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาระบบกำกับดูแลกิจการที่ดี และการดำเนินการเกี่ยวกับการแปลงสภาพและแปรรูปองค์กร
การนำระบบการบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐศาสตร์และระบบประเมินคุณภาพของรัฐวิสาหกิจมาใช้ในองค์กร
วิเคราะห์ข้อมูลด้านการจัดการและให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บริหารและคณะอนุกรรมการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพทางการจัดการขององค์กร
๔.๗ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย
๔.๗.๑ กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผน ศึกษา
วิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งทางด้านวิศวกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อให้ได้ระบบทางพิเศษที่มีประสิทธิภาพ
๔.๗.๒ กองประเมินผล
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการติดตามโครงการที่นำไปปฏิบัติ รวบรวมสถิติ วิเคราะห์และประเมินผลงานในการดำเนินงานของ
กทพ. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานของ กทพ.
เพื่อใช้สำหรับให้บริการช่วยงานด้านบริหาร
๔.๘ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย
๔.๘.๑ กองระบบงานคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาและบำรุงรักษาระบบงานคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ระบบงาน
ตรวจสอบ ประเมินผลระบบงานที่ออกแบบ
และปรับปรุงระบบงานให้เหมาะสมตามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ฝึกอบรมและให้คำแนะนำในการใช้ระบบงานต่าง
ๆ ที่พัฒนาเสร็จแล้วแก่ผู้ใช้ระบบงานจัดการและบำรุงรักษาฐานข้อมูลรวม
การจัดทำแผนงานหลักด้านระบบสารสนเทศ
๔.๘.๒ กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายสื่อสาร
ข้อมูล การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
ให้บริการประมวลผลข้อมูล ควบคุมและบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ควบคุมการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
จัดทำสำรองข้อมูลทั้งระบบ จัดฝึกอบรมความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ ควบคุม
ดูแลระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตในการให้บริการข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ
ทั้งภายนอกและภายในองค์กร
๔.๙ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย
๔.๙.๑ กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เพื่อก่อสร้างทางพิเศษ
๔.๙.๒ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษอุดรรัถยา
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ. ในการให้เช่าและใช้พื้นที่
ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษาและป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษ
รวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๙.๓ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่
กทพ. ในการให้เช่าและใช้พื้นที่
ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษาและป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษ
รวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๑๐ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย
๔.๑๐.๑ กองคดี มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านคดีที่ กทพ. เป็นคู่ความหรือผู้เสียหาย
การวางทรัพย์ และการระงับข้อพิพาทตามสัญญาต่าง ๆ
๔.๑๐.๒ กองนิติการ มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านสัญญา ด้านการร่างกฎหมายและด้านวินัย
รวมทั้งความรับผิดทางละเมิดของพนักงานและลูกจ้าง
๔.๑๑ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย
๔.๑๑.๑ กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานด้านการออกแบบรายละเอียดและควบคุมงานก่อสร้าง
ทั้งด้านเทคนิคและสัญญาตลอดจนประสานงานสาธารณูปโภคและงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
และจัดทำทางเข้า - ทางออก ในระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอันเนื่องมาจากการก่อสร้างของโครงการ
๔.๑๑.๒ กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองวิศวกรรมทางด่วน ๑
๔.๑๑.๓ กองก่อสร้างทั่วไป มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
ทั้งทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมอาคารต่าง ๆ
และงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมตามอาคารต่าง ๆ รวมทั้งในเขตทางพิเศษทั้งหมด
ตลอดจนงานเอกสารและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ
๔.๑๒ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย
๔.๑๒.๑ กองบำรุงรักษาทาง มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผน ตรวจสอบ
บำรุงรักษาและซ่อมแซมทางพิเศษ อันรวมถึงสะพานและไหล่ทาง
๔.๑๒.๒ กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคาร สถานที่
เรื่องความสะอาด การรักษาความปลอดภัย บำรุงรักษาต้นไม้ และสนามหญ้าในเขตทางพิเศษ
บริเวณอาคารต่าง ๆ และไหล่ทาง
๔.๑๒.๓ กองบำรุงรักษาอุปกรณ์ มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผน ตรวจสอบและซ่อมบำรุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระบบทางพิเศษทั้งหมด
ได้แก่ อุปกรณ์เก็บค่าผ่านทาง อุปกรณ์ควบคุมการจราจร และอุปกรณ์เครือข่าย
รวมทั้งงานซ่อมบำรุงอุปกรณ์เก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (ETC)
๔.๑๒.๔ กองไฟฟ้าเครื่องกลและยานพาหนะ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า รวมทั้งเครื่องกลและยานพาหนะ
๔.๑๓ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย
๔.๑๓.๑ กองจัดการจราจร มีหน้าที่ความรับผิดชอบอำนวยการให้ความสะดวกปลอดภัยเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
ตรวจสอบ ควบคุมการใช้ทางพิเศษให้ถูกต้องตามกฎหมาย ควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก
และประสานงานกับตำรวจทางด่วน และบริษัทที่ร่วมทุนกับ กทพ.
รวมทั้งปรับปรุงและแก้ปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๓.๒ กองกู้ภัยและสื่อสาร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบจัดบริการด้านการกู้ภัยในทางพิเศษ
การควบคุมความปลอดภัยในทางพิเศษ ให้ความช่วยเหลือผู้ใช้ทางบริการลากหรือยกรถเสีย
รถเกิดอุบัติเหตุลงจากทางพิเศษ งานด้านการสื่อสารจราจร
ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานในทางพิเศษ และควบคุมการดำเนินงานสื่อสารของศูนย์ควบคุมระบบทางพิเศษต่าง
ๆ รวมทั้งปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๔ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย
๔.๑๔.๑ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง และดำเนินงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษสายบางนา - อาจณรงค์
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๔.๒ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒ มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษศรีรัช
และทางพิเศษอุดรรัถยา
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๔.๓ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓ มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษบูรพาวิถีทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(ช่วงบางพลี - สุขสวัสดิ์) และโครงการเชื่อมต่อ
รวมทั้งทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ และหมายเลข ๙ และทางยกระดับอุตราภิมุข (ด่านรังสิต
และด่านอนุสรณ์สถาน)
ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๔.๔ กองบริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารและพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติและการให้บริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมทั้งประสานงานกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก กทพ.
๔.๑๕ กองวางแผนปฏิบัติการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานด้านศึกษาวิเคราะห์ พัฒนา วางแผน
และเสนอแนวทางการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของระบบงานทางพิเศษ ได้แก่ ระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบความปลอดภัยและการจราจร
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน ตรวจสอบ
รับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากระบบทางพิเศษภายหลังเปิดให้บริการ
และปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๕ สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของ
กทพ. คือ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ. อยู่ในสังกัดแผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
กองข้อมูลข่าวสาร สำนักผู้ว่าการ
ซึ่งเป็นสถานที่ติดต่อขอรับข้อมูลข่าวสารทั่วไปและคำแนะนำในการติดต่อกับ กทพ.
กับให้บริการข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ตั้งอยู่ที่อาคารศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ. หน้าอาคาร ๑ กทพ. สำนักงานใหญ่เลขที่
๒๓๘๐ ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ - ๒๕๗๙ -
๕๓๘๐ - ๙ ต่อ ๑๑๓๘ และดูรายละเอียดได้ที่ http://www.exat.co.th
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕
อัยยณัฐ
ถินอภัย
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๘ พฤษภาคม
๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๒๓ พฤษภาคม
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๘๑ ง/หน้า ๓๓/๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ |
665699 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2555 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้
สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี -
สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสีย
หรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๕[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในการประชุมครั้งที่
๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕
พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา
- ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๕
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๔ ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕
เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕
จารุพงศ์
เรืองสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕
๒. บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ทิศทางขาออกนอกเมือง
๔. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ทิศทางขาเข้าเมือง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๑ เมษายน ๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๑๙ เมษายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๖๔ ง/หน้า ๙/๕ เมษายน ๒๕๕๕ |
660042 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2554 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้
สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี -
สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถ
ที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในการประชุมครั้งที่
๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า
ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา
- ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๔
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๔ ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๕
เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
พลอากาศเอก
สุกำพล สุวรรณทัต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๔
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๑ มกราคม ๒๕๕๕
ณัฐพร/ผู้ตรวจ
๑๑ มกราคม ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๑๕๗ ง/หน้า ๑๒/๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ |
655270 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2554 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่าง
ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม
กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสีย
ค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๙
อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเก็บค่าผ่านทางของโครงการทางพิเศษสายบางพลี -
บางขุนเทียนในระบบปิด (เก็บตามระยะทาง)
และให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทาง และระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรของโครงการทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
(ตอนบางพลี - บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน) ในระบบปิด
พร้อมทั้งอนุมัติให้มีการเชื่อมต่อโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถีและถนนวงแหวนอุตสาหกรรมตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
โดยมีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถ ๔ ล้อ อัตราแรกเข้า ๒๐ บาท และเก็บเพิ่ม ๑ บาท
ต่อ ๑ กิโลเมตร และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๐
อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงาน
และบริหารโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗
สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ตอนบางพลี - บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ -
บางขุนเทียน) ซึ่งคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในคราวประชุม ครั้งที่ ๗/๒๕๕๔
เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔
ได้พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี -
สุขสวัสดิ์) ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี -
สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๔
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ข้อ ๔ ให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี -
สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ณ สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
พลอากาศเอก
สุกำพล สุวรรณทัต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี -
สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๔
๒. บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี -
สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๔
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม
กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสีย หรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๔
๔. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์)
และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม กับทางพิเศษ กาญจนาภิเษก (บางพลี
- สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๔
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๖ กันยายน
๒๕๕๔
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๑๐๕ ง/หน้า ๑/๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ |
652425 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงานและสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2554 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงานและสถานที่ติดต่อ
เพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ
ที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ
ของทางราชการ เพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นหรือรักษาสิทธิต่าง ๆ
อันเป็นการส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลโดยประชาชนมากยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ประกอบกับมาตรา ๗ (๑) (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒
ฉบับลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ข้อ ๒ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเรียกโดยย่อว่า
กทพ. ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า EXPRESSWAY
AUTHORITY OF THAILAND
เรียกโดยย่อว่า EXAT มีวัตถุประสงค์ตามที่พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ดังนี้
๒.๑ สร้างหรือจัดให้มีทางพิเศษด้วยวิธีใด ๆ
ตลอดจนบำรุงและรักษาทางพิเศษ
๒.๒
ดำเนินงานหรือธุรกิจเกี่ยวกับทางพิเศษและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับทางพิเศษหรือที่เป็นประโยชน์แก่
กทพ.
โดยมีอำนาจหน้าที่กระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นและอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง หรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ
(๒) ก่อตั้งสิทธิหรือกระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร
(๓) เรียกเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หรือค่าบริการอื่น ตลอดจนค่าธรรมเนียม
การใช้ทรัพย์สิน การให้บริการและการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในเขตทางพิเศษ
(๔) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้และการรักษาทางพิเศษตลอดจนการใช้และการรักษาทรัพย์สิน
การให้บริการ และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในเขตทางพิเศษ
(๕) กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๖)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ กทพ.
(๗)
จัดตั้งหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
กทพ.
(๘)
ลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
กทพ.
(๙) ให้สัมปทานในการสร้างหรือขยายทางพิเศษ ต่ออายุสัมปทาน
โอนสัมปทานหรือเพิกถอนสัมปทาน
(๑๐)
ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ กทพ.
แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการ
และคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้นสามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้
ให้ กทพ. ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๑) ทำการค้าและให้บริการต่าง ๆ
เกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องใช้เกี่ยวกับทางพิเศษ
(๑๒) ให้เช่าหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ กทพ.
ตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ กทพ. โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะควบคู่ไปด้วย
(๑๓) วางแผน สำรวจ และออกแบบเกี่ยวกับการสร้างหรือขยายทางพิเศษ
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ
กทพ.
ข้อ ๓ กทพ.
มีโครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงานภายใน ดังต่อไปนี้
๓.๑ สายงานขึ้นตรงต่อผู้ว่าการ
๓.๑.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองตรวจสอบ ๑
- กองตรวจสอบ ๒
๓.๑.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองกลางและการประชุม
- กองประชาสัมพันธ์
๓.๑.๓ สำนักบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน
๓.๑.๔ สำนักบริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
๓.๑.๕ สำนักข้อมูลข่าวสาร
๓.๑.๖ สำนักวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมระบบทางพิเศษ
๓.๑.๗ สำนักพัฒนาธุรกิจและการตลาด
๓.๒ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
๓.๒.๑ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองการเจ้าหน้าที่
- กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน
- กองพัสดุ
๓.๒.๒ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองการเงิน
- กองบัญชี
- กองงบประมาณ
- กองตรวจสอบรายได้
๓.๒.๓ สำนักพัฒนาการจัดการ
๓.๓ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ
๓.๓.๑ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
- กองประเมินผล
๓.๓.๒ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองระบบงานคอมพิวเตอร์
- กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
๓.๔ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
๓.๔.๑ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒
๓.๔.๒ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองคดี
- กองนิติการ
๓.๕ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษา
๓.๕.๑ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
- กองก่อสร้างทั่วไป
๓.๕.๒ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองบำรุงรักษาทาง
- กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
- กองบำรุงรักษาอุปกรณ์
- กองไฟฟ้า เครื่องกลและยานพาหนะ
๓.๖ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
๓.๖.๑ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองจัดการจราจร
- กองกู้ภัยและสื่อสาร
๓.๖.๒ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
๓.๖.๓ สำนักวางแผนปฏิบัติการ
ข้อ ๔ หน้าที่และความรับผิดชอบที่สำคัญของส่วนงาน
กทพ. มีดังต่อไปนี้
๔.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย
๔.๑.๑ กองตรวจสอบ ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบวางแผนการตรวจสอบและดำเนินการตรวจสอบ การปฏิบัติงาน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานทั้งภายใน
กทพ. เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามนโยบายและแผนงาน และสนับสนุนให้ฝ่ายบริหารและ
ฝ่ายจัดการสามารถควบคุม กำกับการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิผล ประสิทธิภาพ
และประหยัด รวมทั้งปฏิบัติงาน ในคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit
Committee) เพื่อตรวจสอบการบริหารงานและการจัดการของ กทพ.
๔.๑.๒ กองตรวจสอบ ๒ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองตรวจสอบ ๑
๔.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย
๔.๒.๑ กองกลางและการประชุม มีหน้าที่ความรับผิดชอบงานสารบรรณของกทพ.
งานประชุมของคณะกรรมการ กทพ. คณะกรรมการบริหารของ กทพ. ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับฝ่ายขึ้นไป
และการประชุมอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๒.๒ กองประชาสัมพันธ์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านงานประชาสัมพันธ์ งานสัมพันธ์ งานผลิตสื่อ
และให้บริการโสตทัศนูปกรณ์ เพื่อการประชาสัมพันธ์
๔.๓ สำนักบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบ
ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของ กทพ.
และความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกองค์กรเพื่อจัดลำดับความสำคัญและเสนอแนะแนวทางป้องกัน
ปรับปรุง แก้ไข กำหนดแผนและมาตรการลดหรือกระจายความเสี่ยงกำกับดูแลและติดตามศึกษาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานและจัดระบบควบคุมภายใน
รวมทั้งเป็นหน่วยงานกลางประสานงานด้านการควบคุมภายใน
๔.๔ สำนักบริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารและพัฒนางานระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติและการให้บริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
การจัดหาระบบและบริการ รวมถึงการดูแลบำรุงรักษา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมทั้งประสานงานกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก กทพ.
๔.๕ สำนักข้อมูลข่าวสาร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นศูนย์กลางการบริการข้อมูลข่าวสารของ กทพ. โดยดำเนินงาน
ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT CALL
CENTER) รับเรื่องร้องเรียนและข้อเสนอแนะบริการผู้ใช้ทางพิเศษและประชาชนในเชิงรุก
ทางโทรศัพท์ ๑๕๔๓ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง และดำเนินงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ. (EXAT
PUBLIC INFORMATION CENTER) จัดข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้และประสานงานให้มีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการกำกับดูแลกิจการใน กทพ. (CORPORATE GOVERNANCE
: CG) พร้อมกับทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของ
กทพ. ให้บริการห้องสมุดและศูนย์เอกสาร วิเคราะห์และพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร
รวมทั้งปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ได้มอบหมาย
๔.๖ สำนักวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมระบบทางพิเศษ
มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับงานและการศึกษา
ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาการตรวจสอบ ทดสอบ ควบคุมคุณภาพของระบบทางพิเศษ ได้แก่
การพัฒนามาตรฐานระบบการเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ ระบบการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ
ข้อกำหนดเกี่ยวกับงานระบบทางพิเศษผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากทางพิเศษ
ระบบควบคุมคุณภาพของทางพิเศษ และตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
รวมทั้งปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
๔.๗ สำนักพัฒนาธุรกิจและการตลาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบรับผิดชอบงานเกี่ยวกับการศึกษาความเหมาะสมการจัดให้มี
และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ของ กทพ.
การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ หรือเกี่ยวเนื่องกับ กทพ.
รวมทั้งการบริหารจัดการงานตลาดเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้ทางพิเศษมากขึ้น
๔.๘ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย
๔.๘.๑ กองการเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการสรรหา
บรรจุแต่งตั้ง งานทะเบียนประวัติ งานสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
งานสงเคราะห์ของพนักงานและลูกจ้าง
๔.๘.๒ กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน มีหน้าที่ความรับผิดชอบ
เกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลและระบบงาน
รวมทั้งงานวางแผนและจัดอัตรากำลังให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ.
๔.๘.๓ กองพัสดุ มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบริหารงานพัสดุ
งานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๙ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย
๔.๙.๑ กองการเงิน มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านการเงินด้านเงินกู้
ด้านการตรวจจ่าย และรับผิดชอบงานศูนย์บริการที่เดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop
Service) รวมทั้งดำเนินการบริหารงานศูนย์หักบัญชี (Clearing House) ในการจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (Electronic
Toll Collection : ETC)
๔.๙.๒ กองบัญชี มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการจัดทำ
วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
จัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหาร
๔.๙.๓ กองงบประมาณ มีหน้าที่ความรับผิดชอบกำหนดแผนงาน
โครงการจัดทำงบประมาณประจำปีให้มีประสิทธิภาพ จัดทำคำของบประมาณ
และรายงานเงินงบประมาณในส่วนที่ขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล
๔.๙.๔ กองตรวจสอบรายได้
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบรายได้ค่าผ่านทาง
และเสนอแนะเพื่อควบคุมการเก็บรายได้ของระบบทางพิเศษ รวมทั้งตรวจสอบรายได้อื่น ๆ
นอกจากค่าผ่านทาง
๔.๑๐ สำนักพัฒนาการจัดการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาทางการจัดการของ กทพ. แบบผสมผสาน เช่น
การพัฒนาระบบกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้
กทพ. มีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับการแปลงสภาพและแปรรูปองค์กร
การนำระบบการบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐศาสตร์และระบบประเมินคุณภาพของรัฐวิสาหกิจมาใช้ในองค์กร
วิเคราะห์ข้อมูลด้านการจัดการและให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บริหารและคณะอนุกรรมการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพทางการจัดการขององค์กร
๔.๑๑ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย
๔.๑๑.๑ กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผน
ศึกษา วิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งทางด้านวิศวกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและการเงิน
เพื่อให้ได้ระบบทางพิเศษที่มีประสิทธิภาพ
๔.๑๑.๒ กองประเมินผล
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการติดตามโครงการที่นำไปปฏิบัติ รวบรวมสถิติ
วิเคราะห์และประเมินผลงานในการดำเนินงานของ กทพ. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานของ
กทพ. เพื่อใช้สำหรับให้บริการช่วยงานด้านบริหาร
๔.๑๒ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย
๔.๑๒.๑ กองระบบงานคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาและบำรุงรักษาระบบงานคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ระบบงานตรวจสอบประเมินผลระบบงานที่ออกแบบ
และปรับปรุงระบบงานให้เหมาะสมตามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ฝึกอบรมและให้คำแนะนำในการใช้ระบบงานต่าง ๆ
ที่พัฒนาเสร็จแล้วแก่ผู้ใช้ระบบงานจัดการและบำรุงรักษาฐานข้อมูลรวม
การจัดทำแผนงานหลักด้านระบบสารสนเทศ
๔.๑๒.๒ กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายสื่อสาร
ข้อมูล การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
ให้บริการประมวลผลข้อมูล ควบคุมและบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
ควบคุมการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จัดทำสำรองข้อมูลทั้งระบบ
จัดฝึกอบรมความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ ควบคุม
ดูแลระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตในการให้บริการข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ
ทั้งภายนอกและภายในองค์กร
๔.๑๓ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย
๔.๑๓.๑ กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เพื่อก่อสร้างทางพิเศษ
๔.๑๓.๒ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษอุดรรัถยา
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ. ในการให้เช่าและใช้พื้นที่
ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษาและป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษ
รวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๑๓.๓ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ. ในการให้เช่าและใช้พื้นที่
ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษาและป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษ
รวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๑๔ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย
๔.๑๔.๑ กองคดี มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านคดีที่ กทพ. เป็นคู่ความหรือผู้เสียหาย
การวางทรัพย์ และการระงับข้อพิพาทตามสัญญาต่าง ๆ
๔.๑๔.๒ กองนิติการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านสัญญาด้านการร่างกฎหมายและด้านวินัย
รวมทั้งความรับผิดทางละเมิดของพนักงานและลูกจ้าง
๔.๑๕ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย
๔.๑๕.๑ กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานด้านการออกแบบรายละเอียดและควบคุมงานก่อสร้าง
ทั้งด้านเทคนิคและสัญญาตลอดจนประสานงานสาธารณูปโภคและงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
และจัดทำทางเข้า - ทางออก ในระหว่างการก่อสร้าง
รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอันเนื่องมาจากการก่อสร้างของโครงการ
๔.๑๕.๒ กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองวิศวกรรมทางด่วน ๑
๔.๑๕.๓ กองก่อสร้างทั่วไป
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
ทั้งทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมอาคารต่าง ๆ
และงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมตามอาคารต่าง ๆ รวมทั้งในเขตทางพิเศษทั้งหมด
ตลอดจนงานเอกสารและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ
๔.๑๖ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย
๔.๑๖.๑ กองบำรุงรักษาทาง มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการ
วางแผนตรวจสอบ บำรุงรักษาและซ่อมแซมทางพิเศษ อันรวมถึงสะพานและไหล่ทาง
๔.๑๖.๒ กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคาร สถานที่
เรื่องความสะอาด การรักษาความปลอดภัย บำรุงรักษาต้นไม้ และสนามหญ้าในเขตทางพิเศษ
บริเวณอาคารต่าง ๆ และไหล่ทาง
๔.๑๖.๓ กองบำรุงรักษาอุปกรณ์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผนตรวจสอบและซ่อมบำรุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระบบทางพิเศษทั้งหมด
ได้แก่ อุปกรณ์เก็บค่าผ่านทาง อุปกรณ์ควบคุมการจราจร และอุปกรณ์เครือข่าย
๔.๑๖.๔ กองไฟฟ้าเครื่องกลและยานพาหนะ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า รวมทั้งเครื่องกลและยานพาหนะ
๔.๑๗ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย
๔.๑๗.๑ กองจัดการจราจร มีหน้าที่ความรับผิดชอบอำนวยการให้ความสะดวก
ปลอดภัยเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ตรวจสอบ ควบคุมการใช้ทางพิเศษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก และประสานงานกับตำรวจทางด่วน และบริษัทที่ร่วมทุนกับ กทพ.
รวมทั้งปรับปรุงและแก้ปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๗.๒ กองกู้ภัยและสื่อสาร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบจัดบริการด้านการกู้ภัยในทางพิเศษ
การควบคุมความปลอดภัยในทางพิเศษ ให้ความช่วยเหลือผู้ใช้ทาง
บริการลากหรือยกรถเสียรถเกิดอุบัติเหตุลงจากทางพิเศษ งานด้านการสื่อสารจราจร
ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานในทางพิเศษ
และควบคุมการดำเนินงานสื่อสารของศูนย์ควบคุมระบบทางพิเศษต่าง ๆ รวมทั้งปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๘ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย
๔.๑๘.๑ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทาง ในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษสายบางนา - อาจณรงค์
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๘.๒ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษศรีรัช
และทางพิเศษอุดรรัถยา
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๘.๓ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษบูรพาวิถี
ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (ช่วงบางพลี - สุขสวัสดิ์) และโครงการเชื่อมต่อ รวมทั้งทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข
๗ และหมายเลข ๙ และทางยกระดับอุตราภิมุข (ด่านรังสิต และด่านอนุสรณ์สถาน)
ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๙ สำนักวางแผนปฏิบัติการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานด้านศึกษาวิเคราะห์ พัฒนา วางแผน
และเสนอแนวทางการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของระบบงานทางพิเศษ ได้แก่
ระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบความปลอดภัยและการจราจร
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน ตรวจสอบ
รับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากระบบทางพิเศษภายหลังเปิดให้บริการ
และปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๕ สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของ
กทพ. คือ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ. อยู่ในสังกัดแผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
สำนักข้อมูลข่าวสาร
ซึ่งเป็นสถานที่ติดต่อขอรับข้อมูลข่าวสารทั่วไปและคำแนะนำในการติดต่อกับ กทพ.
กับให้บริการข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลข่าวสารตามมาตรา
๙ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ตั้งอยู่ที่อาคารศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ. หน้าอาคาร ๑ กทพ. สำนักงานใหญ่เลขที่
๒๓๘๐ ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ - ๒๕๗๙ -
๕๓๘๐ - ๙ ต่อ ๑๑๓๘ และดูรายละเอียดได้ที่ http://www.exat.co.th
ประกาศ
ณ วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
มณเฑียร
กุลธำรง
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๙ สิงหาคม
๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๒๙ สิงหาคม
๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๘๖ ง/หน้า ๗๖/๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ |
650272 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2554 ครั้งที่ 2 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๔
ครั้งที่ ๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓)
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๒
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท
(หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๑๐ ปี นับแต่วันออกพันธบัตรเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร
คือ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร
คือ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยหรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๘๑ ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑ ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
๑๐.๒ ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม และ
๒๖ พฤศจิกายน
๑๐.๓ ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ
วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔ ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารฮ่องกงและเซี้ยงไฮ้แบงกิ้ง
- คอร์ปอเรชั่น จำกัด
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๔ ครั้งที่ ๒
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด
ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตรตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด
สูญหาย หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย จะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ
๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๐ มิถุนายน
๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๒๐ มิถุนายน
๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๖๕ ง/หน้า ๗๘/๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ |
647791 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้ สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี – สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2554 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้
สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี -
สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถ
ที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒
มีนาคม ๒๕๕๔ พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา
- ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๓ ฉบับลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
และให้ใช้ประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้แทน
ข้อ ๔ ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๔
เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
โสภณ ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี- สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๔
๒. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถีทิศทางขาออกนอกเมือง
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถีทิศทางขาเข้าเมือง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๑ เมษายน ๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๒๑ เมษายน ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๓๙ ง/หน้า ๕๐/๔ เมษายน ๒๕๕๔ |
645666 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้อง ของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้อง
ของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย[๑]
ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของราชการ
ประกาศ ณ วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
ได้วางหลักเกณฑ์การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของราชการ
โดยให้คำนึงถึงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยประกอบด้วย
ฉะนั้น เพื่อให้การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เป็นไปด้วยความเหมาะสมและสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการดังกล่าวข้างต้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ วรรค ๓ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จึงยกเลิกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ฉบับลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ และกำหนดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยดังนี้
๑. ค่าธรรมเนียมการทำสำเนาโดยการถ่ายเอกสาร
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะเรียกเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้
(๑) ขนาดกระดาษ
เอ ๔ หน้าละ
๑ บาท
(๒) ขนาดกระดาษ
เอฟ ๑๔ หน้าละ
๑ บาท
(๓) ขนาดกระดาษ
บี ๔ หน้าละ
๒ บาท
(๔) ขนาดกระดาษ
เอ ๓ หน้าละ
๓ บาท
(๕)
ขนาดกระดาษพิมพ์เขียว เอ ๒ หน้าละ
๘ บาท
(๖)
ขนาดกระดาษพิมพ์เขียว เอ ๑ หน้าละ
๑๕ บาท
(๗)
ขนาดกระดาษพิมพ์เขียว เอ ๐ หน้าละ
๓๐ บาท
๒. ค่าธรรมเนียมการให้คำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บในอัตราคำรับรองละ ๕ บาท
๓. ในกรณีที่ผู้ขอสำเนาหรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องเป็นผู้มีรายได้น้อย
ให้สำนักข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสาร
เป็นหน่วยงานในการพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียม
หรือลดอัตราค่าธรรมเนียมให้ตามควรแก่กรณีได้
ผู้ใดประสงค์จะขอสำเนาหรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้อง
สามารถยื่นความจำนงได้ที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
แผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สำนักข้อมูลข่าวสาร การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(จตุจักร)
หรือยื่นโดยตรงต่อหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
พันโท
ทวีสิน รักกตัญญู
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๘ มีนาคม ๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๘ มีนาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๒๒ ง/หน้า ๖๔/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ |
642318 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้ สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2553
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้
สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี -
สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถ
ที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๓[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติเมื่อวันที่
๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๓
ข้อ
๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๓ ฉบับลงวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
และให้ใช้ประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้แทน
ข้อ
๔ ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ
๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ
๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๔
เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๒๔
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
โสภณ ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๓
๒.
บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๓
๓.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี ทิศทางขาออกนอกเมือง
๔.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี ทิศทางขาเข้าเมือง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๓ มกราคม ๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๑๓ มกราคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๔๙ ง/หน้า ๔๓/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ |
638892 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2554 ครั้งที่ 1 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๔
ครั้งที่ ๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ
๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ
๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑
ข้อ
๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ
๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ
๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ
๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๔ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ
๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่
๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๓
ข้อ
๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๑
ตุลาคม ๒๕๕๗ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๒.๗๕ ต่อปี
คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรโดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ
๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๑ ตุลาคม และ ๒๑ เมษายน
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ
๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ
๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ
๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ
๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ
๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔
และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๐ พฤศจิกายน
๒๕๕๓
ณัฐวดี/ตรวจ
๑๐ พฤศจิกายน
๒๕๕๓
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๑๒๘ ง/หน้า ๓๒/๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ |
630013 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง แต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 1
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตร
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๑[๑]
เพื่อให้พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
ครั้งที่ ๑ สมบูรณ์ตามที่กำหนดในข้อ ๑๖ แห่งประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๑ ลงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๕๓
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จึงแต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ดังมีรายชื่อต่อไปนี้ เป็นพนักงานผู้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๑
๑. นายชาญชัย โยธาวงษ์
หรือ
๒. นายสมศักดิ์ แหลมทองสวัสดิ์
หรือ
๓. นายศักดิ์สิทธิ์ สถิตย์พนาพร
หรือ
๔. นายชลัท มกรารัตต์
หรือ
๕. นายยรรยง ดำรงศิริ
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓
ณรงค์
เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๖
มิถุนายน ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๑๖
มิถุนายน ๒๕๕๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๙๕/๓๐ มีนาคม ๒๕๕๓ |
630011 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 1
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๒
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ
๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ
๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๑
ข้อ
๓
พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ
๔
พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ
๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ
๖
พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ ๕ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ
๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
ข้อ
๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๕๐ ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร
โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ
๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตร
ตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๓
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ และ ๒๕ สิงหาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๑๑
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารออมสินเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๑
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ
๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ
ในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ
๑๔
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๕
กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ
๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ
๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่ เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ
๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔
และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๙๒/๓๐ มีนาคม ๒๕๕๓ |
628999 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 2
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓
ครั้งที่ ๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๒
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ
๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการบริหารและจัดการหนี้โดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ
๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒
ข้อ
๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ
๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ
๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ
๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๖ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ
๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่
๑๕ มีนาคม ๒๕๕๓
ข้อ
๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๑๕
มีนาคม ๒๕๕๙ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๖๙๕ ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ
๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๓
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๑๕ มีนาคม และ ๑๕ กันยายน
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ
๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ
ในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ
๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ
๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ
๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ
๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔
และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ
ณ วันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๕๘ ง/หน้า ๒๖/๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ |
627940 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2553 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.
๒๕๕๓[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในคราวประชุม
ครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๓ พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทยพ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๓
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
ฉบับลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ และให้ใช้ประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้แทน
ข้อ ๔ ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา ๒๒.๐๐. นาฬิกา ถึงวันที่ 1๙ เมษายน ๒๕๕๓
เวลา ๐๖.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
โสภณ ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๓
๒.
บัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๓
๓.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา
- ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี ทิศทางขาออกนอกเมือง
๔.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา
- ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี ทิศทางขาเข้าเมือง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/พิมพ์
๒๑
เมษายน ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๒๑
เมษายน ๒๕๕๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนพิเศษ ๔๓ ง/หน้า ๖/๕ เมษายน ๒๕๕๓ |
621763 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2552
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับ
ด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อ
ทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสีย
ค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.
๒๕๕๒[๑]
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่
๒๔ มกราคม ๒๕๔๙ อนุมัติให้มีการเชื่อมต่อโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถีและถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์
กับทางพิเศษบูรพาวิถีแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ และทางพิเศษบูรพาวิถี
และต่อมาคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๒
เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
ข้อ ๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
และทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๒ ฉบับลงวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ และให้ใช้ประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้แทน
ข้อ ๔
ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗
ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
ยกเว้นตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
โสภณ
ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
๒. บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถีทิศทางขาออกนอกเมือง
๔. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์กับทางพิเศษบูรพาวิถีทิศทางขาเข้าเมือง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๕
มกราคม ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๕
มกราคม ๒๕๕๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๑๘๗ ง/หน้า ๑๓/๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ |
606987 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 6
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๖[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๖
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๗ ปี นับแต่วันออกพันธบัตรเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๒๑
พฤษภาคม ๒๕๕๒
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๑ พฤษภาคม
๒๕๕๙ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๕๓
ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๑ พฤษภาคม และ ๒๑ พฤศจิกายน
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารออมสินเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๖
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์
จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๘๐ ง/หน้า ๖๖/๘ มิถุนายน ๒๕๕๒ |
601272 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง กำหนดสถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
กำหนดสถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษสายรามอินทรา -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร[๑]
ตามที่ได้มีประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง กำหนดสถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร
และทางพิเศษฉลองรัช เนื่องจากการเปิดใช้ทางพิเศษสายบางนา - อาจณรงค์ ฉบับลงวันที่
๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘
กำหนดสถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษสายบางนา -
อาจณรงค์ที่มาจากทางพิเศษบูรพาวิถีและจะเข้าใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานครหรือทางพิเศษฉลองรัชที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางนา
(กม.๖) ขาเข้า และด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางจาก แล้วแต่กรณี นั้น
เนื่องจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการก่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา
- วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ซึ่งเชื่อมต่อและผนวกเป็นเส้นทางเดียวกับทางพิเศษฉลองรัชแล้วเสร็จ
พร้อมเปิดใช้เพื่อการจราจรในวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๒
ฉะนั้น
เพื่อความเหมาะสมและเพื่อให้การกำหนดสถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
สอดคล้องกับข้อเท็จจริง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทยนี้เรียกว่า
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง กำหนดสถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
ข้อ ๒ ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทยนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง กำหนดสถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร
และทางพิเศษฉลองรัช เนื่องจากการเปิดใช้ทางพิเศษสายบางนา - อาจณรงค์ ฉบับลงวันที่
๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ ๔ ผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษสายบางนา
- อาจณรงค์ที่จะเข้าใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ณ
สถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษดังนี้
(ก)
ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางนา (กม.๖) ขาเข้า และ
(ข)
ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางจาก
ทั้งนี้
อัตราค่าผ่านทางพิเศษตาม (ก) และ (ข)
รวมแล้วไม่เกินอัตราที่ประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนด
ข้อ ๕ ผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษสายบางนา
- อาจณรงค์ที่จะเข้าใช้ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษสายรามอินทรา -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ณ
สถานที่จัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางนา (กม.๖) ขาเข้า
ตามอัตราที่ประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๙
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
สมชาย จารุเกษมรัตนะ
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๓๙/๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ |
600499 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 5
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๕
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๕ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๑๒
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๑๒
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๔๐
ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ และ ๑๒ สิงหาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารไทยธนาคาร
จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๕
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๓๙ ง/หน้า ๔๙/๑๓ มีนาคม ๒๕๕๒ |
600489 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) และทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2552
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) และทางยกระดับด้านทิศใต้
สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถ
ที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.
๒๕๕๒[๑]
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่
๒๘ กันยายน ๒๕๔๗ เห็นชอบในหลักการ
โครงการก่อสร้างทางเชื่อมเข้าอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิกับทางพิเศษบูรพาวิถีซึ่งปัจจุบันการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีและต่อมาคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่
๒/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) และทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีตามมาตรา
๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
และทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๒
ข้อ ๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.๒๕๕๑ ฉบับลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๔
ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
และทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗
ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ณ สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
โสภณ
ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) และทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.2552
๒. บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) และทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2552
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีและทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
ทิศทางขาออกนอกเมือง
๔. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถีและทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
ทิศทางขาเข้าเมือง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๖
มีนาคม ๒๕๕๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๓๙ ง/หน้า ๓๗/๑๓ มีนาคม ๒๕๕๒ |
599527 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครและทางพิเศษฉลองรัช เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2552
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
และทางพิเศษฉลองรัช
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้น
ค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๒[๑]
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗
อนุมัติในหลักการให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการทางพิเศษสายรามอินทรา -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถ ๔ ล้อ ในอัตรา ๔๐
บาท ตลอดสาย (รวมทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
และทางพิเศษฉลองรัช) ยกเว้นรถขาออกเมืองที่ด่าน กม. ๑๑
(ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุขาภิบาล ๕ - ๒) และด่านรามอินทรา
(ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษรามอินทรา ๑) เก็บค่าผ่านทางพิเศษ ๒๐ บาท
และต่อมาคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๑
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
ได้พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษสายรามอินทรา -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
และทางพิเศษฉลองรัช เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๒
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - อาจณรงค์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
ฉบับลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
ข้อ ๔ ให้ทางพิเศษสายรามอินทรา -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
ดังต่อไปนี้
(๑)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑ สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษสายรามอินทรา -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช
(๒)
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒ สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษสายรามอินทรา -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช
ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษรามอินทรา ๑ และด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุขาภิบาล ๕ - ๒
ข้อ ๘ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๑๑
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
โสภณ ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
๒.
บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
๓.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๒
๔.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๒
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๒ มีนาคม ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๓๒ ง/หน้า ๑๘/๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
599525 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. 2552
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๒[๑]
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๔ มกราคม ๒๕๔๙ อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเก็บค่าผ่านทางของทางพิเศษสายบางพลี
บางขุนเทียนในระบบปิด (เก็บตามระยะทาง)
และให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทาง
และระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรของโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ตอนบางพลี -
บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน) ในระบบปิด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
โดยมีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับรถ ๔ ล้อ อัตราแรกเข้า ๒๐ บาท และเก็บเพิ่ม ๑ บาท
ต่อ ๑ กิโลเมตร และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงาน
และบริหารโครงการทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗
สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ตอนบางพลี - บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ -
บางขุนเทียน) ซึ่งต่อมาคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในคราวประชุม ครั้งที่
๑๔/๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ ได้พิจารณากำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
๒๕๕๒
ข้อ ๒ ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๔ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕ ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖ ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๗ ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ
โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ณ
สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ ณ วันที่ ๑๑
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒
โสภณ ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
๒.
บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
๓.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
๔.
บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๒
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๒ มีนาคม ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๓๒ ง/หน้า ๑๖/๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
598624 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓
และครั้งที่ ๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
และวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออก ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓ และมูลค่า ๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เก้าร้อยล้านบาทถ้วน) สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๔ โดยพันธบัตรทั้ง ๒ รุ่นมีมูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๓ ปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓ และเมื่อครบ ๗
ปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๔ นับแต่วันออกพันธบัตรเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๒๖
มกราคม ๒๕๕๒ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓
และครั้งที่ ๔
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๖ มกราคม
๒๕๕๕ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓ และวันที่ ๒๖
มกราคม ๒๕๕๙ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๔
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๒๔
ต่อปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓ และร้อยละ
๓.๖๐ ต่อปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๔
คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง
เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม และ ๒๖ มกราคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ณรงค์ เขียดเดช
รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
ปฏิบัติการแทน
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๔ ง/หน้า ๖๑/๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
598278 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 26
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๖[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๖
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๔ ปี นับแต่วันออกพันธบัตรเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๑๔
สิงหาคม ๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๑๔ สิงหาคม
๒๕๕๕ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๕๖๔
ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ย ใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๑๔ สิงหาคม และ ๑๔ กุมภาพันธ์
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารไทยธนาคาร
จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๖
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ
ในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๘
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๒๐ ง/หน้า ๘๔/๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
594102 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑
และครั้งที่ ๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันเจ็ดร้อยล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น
๑,๗๐๐,๐๐๐ หน่วย
(หนึ่งล้านเจ็ดแสนหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท
(หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยมีมูลค่า ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑ และมูลค่า ๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดร้อยล้านบาทถ้วน) สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๒ ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๑๐ ปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑ และเมื่อครบ ๙
ปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๒
นับแต่วันออกพันธบัตรเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๑๗
พฤศจิกายน ๒๕๕๑ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑
และครั้งที่ ๒
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน
๒๕๖๑ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑ และวันที่ ๑๗
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๒
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๓๓
ต่อปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑ และร้อยละ
๔.๒๒ ต่อปี สำหรับพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๒
คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร
โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง
เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน และ ๑๗ พฤษภาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑ และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๒ ครั้งที่ ๒ โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๑๓
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๙๐ ง/หน้า ๑๐๑/๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑ |
592804 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน และสถานที่ติดต่อ
เพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๕๑[๑]
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ
ที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ
ของทางราชการ เพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นหรือรักษาสิทธิต่าง ๆ
อันเป็นการส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลโดยประชาชนมากยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ประกอบกับมาตรา ๗ (๑) (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
ฉบับลงวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเรียกโดยย่อว่า กทพ.
ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า EXPRESSWAY AUTHORITY
OF THAILAND เรียกโดยย่อว่า
EXAT มีวัตถุประสงค์ตามที่พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ ดังนี้
๒.๑ สร้างหรือจัดให้มีทางพิเศษด้วยวิธีใด ๆ
ตลอดจนบำรุงและรักษาทางพิเศษ
๒.๒ ดำเนินงานหรือธุรกิจเกี่ยวกับทางพิเศษ
และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับทางพิเศษหรือที่เป็นประโยชน์แก่ กทพ.
โดยมีอำนาจหน้าที่กระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น
และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง
หรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ
(๒) ก่อตั้งสิทธิหรือกระทำนิติกรรมใด ๆ
ทั้งในและนอกราชอาณาจักร
(๓) เรียกเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หรือค่าบริการอื่น
ตลอดจนค่าธรรมเนียมการใช้ทรัพย์สิน การให้บริการและการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ในเขตทางพิเศษ
(๔) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้และการรักษาทางพิเศษตลอดจนการใช้และการรักษาทรัพย์สิน
การให้บริการ และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในเขตทางพิเศษ
(๕) กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๖)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ กทพ.
(๗)
จัดตั้งหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
กทพ.
(๘)
ลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือ
เกี่ยวเนื่องกับกิจการของ กทพ.
(๙) ให้สัมปทานในการสร้างหรือขยายทางพิเศษ
ต่ออายุสัมปทาน โอนสัมปทานหรือเพิกถอนสัมปทาน
(๑๐)
ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใด ของ กทพ.
แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการ
และคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้นสามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้
ให้ กทพ. ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๑) ทำการค้าและให้บริการต่าง ๆ
เกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องใช้เกี่ยวกับทางพิเศษ
(๑๒) ให้เช่าหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ กทพ.
ตามความจำเป็น เพื่อประโยชน์แก่ กทพ. โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะควบคู่ไปด้วย
(๑๓) วางแผน สำรวจ
และออกแบบเกี่ยวกับการสร้างหรือขยายทางพิเศษ
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ
กทพ.
ข้อ ๓
กทพ.
มีโครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงานภายใน ดังต่อไปนี้
๓.๑ สายงานขึ้นตรงต่อผู้ว่าการ
๓.๑.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองตรวจสอบ ๑
- กองตรวจสอบ ๒
๓.๑.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองกลางและการประชุม
- กองประชาสัมพันธ์และการตลาด
๓.๒ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
๓.๒.๑ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองการเจ้าหน้าที่
- กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน
- กองพัสดุ
๓.๒.๒ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองการเงิน
- กองบัญชี
- กองงบประมาณ
- กองตรวจสอบรายได้
๓.๒.๓ สำนักพัฒนาการจัดการ
๓.๓ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ
๓.๓.๑ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
- กองประเมินผล
- กองออกแบบ
๓.๓.๒ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองระบบงานคอมพิวเตอร์
- กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
๓.๔
สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
๓.๔.๑ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒
๓.๔.๒ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองคดี
- กองนิติการ
๓.๕ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษา
๓.๕.๑ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
๓.๕.๒ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองบำรุงรักษาทาง
- กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
- กองบำรุงรักษาอุปกรณ์
- กองไฟฟ้า เครื่องกลและยานพาหนะ
๓.๖ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
๓.๖.๑ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองจัดการจราจร
- กองกู้ภัยและสื่อสาร
๓.๖.๒ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
๓.๖.๓ สำนักวางแผนปฏิบัติการ
ข้อ ๔
หน้าที่และความรับผิดชอบที่สำคัญของส่วนงาน
กทพ. มีดังต่อไปนี้
๔.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย
๔.๑.๑ กองตรวจสอบ ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบวางแผนการตรวจสอบและดำเนินการตรวจสอบ การปฏิบัติงาน
ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานทั้งภายใน กทพ.
เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามนโยบายและแผนงาน
และสนับสนุนให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายจัดการสามารถควบคุม
กำกับการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และประหยัด รวมทั้งปฏิบัติงาน
ในคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) เพื่อตรวจสอบการบริหารงาน
และการจัดการของ กทพ.
๔.๑.๒ กองตรวจสอบ ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองตรวจสอบ ๑
๔.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย
๔.๒.๑ กองกลางและการประชุม มีหน้าที่ความรับผิดชอบงานสารบรรณของ
กทพ. งานประชุมของคณะกรรมการ กทพ. คณะกรรมการบริหารของ กทพ. ผู้บริหารระดับสูง
ผู้บริหารระดับฝ่ายขึ้นไป และการประชุมอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๒.๒ กองประชาสัมพันธ์และการตลาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบงานข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ งานประชาสัมพันธ์และการตลาด
งานสัมพันธ์ งานให้บริการโสตทัศนูปกรณ์ และผลิตสื่อต่าง ๆ ในการประชาสัมพันธ์
งานห้องสมุดและศูนย์เอกสาร ตลอดจนดำเนินงาน
และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารตามที่กำหนดในกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ
๔.๓ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย
๔.๓.๑ กองการเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการสรรหา
บรรจุ แต่งตั้ง งานทะเบียนประวัติ งานสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
งานสงเคราะห์ของพนักงานและลูกจ้าง
๔.๓.๒ กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลและระบบงาน
รวมทั้งงานวางแผนและจัดอัตรากำลังให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ.
๔.๓.๓ กองพัสดุ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบริหารงานพัสดุ งานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๔ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย
๔.๔.๑ กองการเงิน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านการเงิน ด้านเงินกู้ ด้านการตรวจจ่าย
และรับผิดชอบงานศูนย์บริการที่เดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop
Service) รวมทั้งดำเนินการบริหารงานศูนย์หักบัญชี (Clearing
House) ในการจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (Electronic
Toll Collection : ETC)
๔.๔.๒ กองบัญชี
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการจัดทำ วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
จัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหาร รวมทั้งดำเนินการด้านผลิต ขาย ติดตาม
และควบคุมการใช้บัตรทางด่วน (TAG) ในระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ
(Electronic Toll Collection
: ETC) และบัตรผ่านทาง (คูปอง)
๔.๔.๓ กองงบประมาณ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบกำหนดแผนงาน โครงการจัดทำงบประมาณประจำปีให้มีประสิทธิภาพ
จัดทำคำของบประมาณ และรายงานเงินงบประมาณในส่วนที่ขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล
๔.๔.๔ กองตรวจสอบรายได้
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการ ตรวจสอบรายได้ค่าผ่านทาง
และเสนอแนะเพื่อควบคุมการเก็บรายได้ของระบบทางพิเศษ รวมทั้งตรวจสอบรายได้อื่น ๆ
นอกจากค่าผ่านทาง
๔.๕ สำนักพัฒนาการจัดการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์
และกำหนดกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงองค์กร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการแบบผสมผสานทั้งองค์กร
วิเคราะห์ข้อมูลและให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บริหารในการเชื่อมโยง
การบริหารจัดการทรัพยากรด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ
โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร
รวมถึงการดำเนินการเพื่อแปลงสภาพและแปรรูป กทพ.
๔.๖ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย
๔.๖.๑ กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผนศึกษา
วิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งทางด้านวิศวกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการเงิน
เพื่อให้ได้ระบบทางพิเศษที่มีประสิทธิภาพ
๔.๖.๒ กองประเมินผล
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการติดตามโครงการที่นำไปปฏิบัติ รวบรวมสถิติ
วิเคราะห์และประเมินผลงานในการดำเนินงานของ กทพ. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานของ
กทพ. เพื่อใช้สำหรับให้บริการช่วยงานด้านบริหาร
๔.๖.๓ กองออกแบบ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
ทั้งทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมอาคารต่าง ๆ
และงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมตามอาคารต่าง ๆ รวมตลอดในเขตทางพิเศษทั้งหมด
๔.๗ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย
๔.๗.๑ กองระบบงานคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาและบำรุงรักษาระบบงานคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ระบบงาน
ตรวจสอบประเมินผลระบบงานที่ออกแบบ และปรับปรุงระบบงานให้เหมาะสมตามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ฝึกอบรมและให้คำแนะนำในการใช้ระบบงานต่าง ๆ ที่พัฒนาเสร็จแล้วแก่ผู้ใช้ระบบงาน
จัดการและบำรุงรักษาฐานข้อมูลรวม การจัดทำแผนงานหลักด้านระบบสารสนเทศ
ตลอดจนบริหารจัดการฐานข้อมูลจัดเก็บค่าผ่านทางในระบบศูนย์กลาง (Central
System)
๔.๗.๒ กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายสื่อสาร
ข้อมูล การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
ให้บริการประมวลผลข้อมูล ควบคุมและบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
ควบคุมการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จัดทำสำรองข้อมูลทั้งระบบ
จัดฝึกอบรมความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ ควบคุม ดูแลระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
และอินทราเน็ตในการให้บริการข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กร
๔.๘ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย
๔.๘.๑ กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เพื่อก่อสร้างทางพิเศษ
๔.๘.๒ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ ช่วงพญาไท - ศรีนครินทร์) และทางพิเศษอุดรรัถยา
(ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุดแก่
กทพ. ในการให้เช่าและใช้พื้นที่
ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษาและป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษ
รวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๘.๓ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบ
ดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง -
ท่าเรือบางนา - ท่าเรือ และดาวคะนอง - ท่าเรือ) ทางพิเศษฉลองรัช
(ทางพิเศษสายรามอินทรา - อาจณรงค์) และทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ.
ในการให้เช่าและใช้พื้นที่
ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษาและป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษ
รวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๙ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย
๔.๙.๑ กองคดี มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านคดีที่
กทพ. เป็นคู่ความหรือผู้เสียหาย การวางทรัพย์ และการระงับข้อพิพาทตามสัญญาต่าง ๆ
๔.๙.๒ กองนิติการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านสัญญา ด้านการร่างกฎหมายและด้านวินัย
รวมทั้งความรับผิดทางละเมิดของพนักงานและลูกจ้าง
๔.๑๐ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย
๔.๑๐.๑ กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงาน ด้านการออกแบบรายละเอียดและควบคุมงานก่อสร้าง
ทั้งด้านเทคนิคและสัญญาตลอดจนประสานงานสาธารณูปโภคและงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
และจัดทำทางเข้า-ทางออก ในระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอันเนื่องมาจากการก่อสร้างของโครงการ
๔.๑๐.๒ กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองวิศวกรรมทางด่วน ๑
๔.๑๑ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย
๔.๑๑.๑ กองบำรุงรักษาทาง
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผนตรวจสอบ บำรุงรักษาและซ่อมแซมทางพิเศษ
อันรวมถึงสะพานและไหล่ทาง
๔.๑๑.๒ กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคาร สถานที่
เรื่องความสะอาด การรักษาความปลอดภัย บำรุงรักษาต้นไม้ และสนามหญ้าในเขตทางพิเศษ
บริเวณอาคารต่าง ๆ และไหล่ทาง
๔.๑๑.๓ กองบำรุงรักษาอุปกรณ์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผน
ตรวจสอบและซ่อมบำรุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระบบทางพิเศษทั้งหมด ได้แก่
อุปกรณ์เก็บค่าผ่านทาง อุปกรณ์ควบคุมการจราจร และอุปกรณ์เครือข่าย
๔.๑๑.๔ กองไฟฟ้าเครื่องกลและยานพาหนะ มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า
รวมทั้งเครื่องกลและยานพาหนะ
๔.๑๒ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย
๔.๑๒.๑ กองจัดการจราจร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบอำนวยการให้ความสะดวกปลอดภัยเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
ตรวจสอบ ควบคุมการใช้ทางพิเศษให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก
และประสานงานกับตำรวจทางด่วน และบริษัทที่ร่วมทุนกับ กทพ.
รวมทั้งปรับปรุงและแก้ปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๒.๒ กองกู้ภัยและสื่อสาร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบจัดบริการด้านการกู้ภัยในทางพิเศษ
การควบคุมความปลอดภัยในทางพิเศษ ให้ความช่วยเหลือผู้ใช้ทางบริการลากหรือยกรถเสีย
รถเกิดอุบัติเหตุลงจากทางพิเศษ งานด้านการสื่อสารจราจร
ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานในทางพิเศษ
และควบคุมการดำเนินงานสื่อสารของศูนย์ควบคุมระบบทางพิเศษต่าง ๆ
รวมทั้งปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๓ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย
๔.๑๓.๑ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทาง ในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
ทั้งนี้
เมื่อมีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษในทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
การกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง และดำเนินงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษสายบางนา - อาจณรงค์ ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษสายรามอินทรา วงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษดังกล่าวให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของกองจัดเก็บค่าผ่านทาง
๑ ด้วย
๔.๑๓.๒ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒
มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแล และควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง และดำเนินงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทาง ในทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๓.๓ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับ
ดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทางและดำเนินงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทาง ในทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี
รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษในทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษบูรพาวิถี
ทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ และโครงการเชื่อมต่อ รวมทั้งทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข
๗ และหมายเลข ๙ และทางยกระดับอุตราภิมุข (ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติถึงรังสิต)
ในกรณีที่ กทพ. ได้รับโอนจากกรมทางหลวงตามกฎหมายแล้ว
ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษดังกล่าว
๔.๑๔ สำนักวางแผนปฏิบัติการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานด้านศึกษา วิเคราะห์ พัฒนา วางแผน
และเสนอแนวทางการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของระบบงานทางพิเศษ ได้แก่
ระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบความปลอดภัยและการจราจร
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน ตรวจสอบ รับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากระบบทางพิเศษภายหลังเปิดให้บริการ
และปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๕
สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของ
กทพ. คือ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ. อยู่ในสังกัดแผนกสื่อประชาสัมพันธ์และศูนย์เอกสาร
กองประชาสัมพันธ์และการตลาดสำนักผู้ว่าการ
ซึ่งเป็นสถานที่ติดต่อขอรับข้อมูลข่าวสารทั่วไปและคำแนะนำในการติดต่อกับ กทพ.
กับให้บริการข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ตั้งอยู่ที่อาคาร ๒ ชั้น ๖ กทพ. สำนักงานใหญ่ เลขที่ ๒๓๘๐ ถนนพหลโยธิน
แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ - ๒๙๔๐ - ๑๒๑๐
และดูรายละเอียดได้ที่ http://www.exat.co.th
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ
ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๓
ธันวาคม ๒๕๕๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๘๔ ง/หน้า ๓๐/๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ |
590355 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขออนุญาตสร้าง ดัดแปลง ติดหรือตั้งป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายภายในระยะทางห้าสิบเมตรจากเขตทางพิเศษตามพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขออนุญาตสร้าง ดัดแปลง ติดหรือตั้งป้าย
หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายภายในระยะทางห้าสิบเมตรจากเขตทางพิเศษ
ตามพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐[๑]
การขออนุญาต
สร้าง ดัดแปลง ติดหรือตั้งป้าย หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย ภายในระยะทางห้าสิบเมตรจากเขตทางพิเศษ
ตามพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ผู้ขออนุญาตจะต้องไปยื่นคำขอต่อการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้ผู้ขออนุญาตไปยื่นคำขออนุญาตที่แผนกสอบสวนสิทธิ์
กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน เลขที่ ๒๓๘/๑ - ๖ อาคาร ๖ ถนนอโศก -
ดินแดง แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๒๐ ตามแบบที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนดพร้อมแนบเอกสารประกอบการขออนุญาตจำนวน
๑ ชุด ดังนี้
๑.
สำเนาใบอนุญาตให้สร้าง ดัดแปลง ติดหรือตั้งป้าย
หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรุงเทพมหานคร
หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่มีอำนาจในการออกใบอนุญาต
๒.
สำเนาแบบ รายการประกอบแบบและรายการคำนวณโครงสร้างป้าย
หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายที่ได้รับอนุญาตจากกรุงเทพมหานคร
หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่มีอำนาจในการออกใบอนุญาต
๓.
แผนผังบริเวณที่ขออนุญาตสร้าง ดัดแปลง ติดหรือตั้งป้าย
หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย
๔.
สำเนาใบรับรองการตรวจสอบอาคารที่ออกให้โดยกรุงเทพมหานคร
หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่มีอำนาจในการออกใบอนุญาต
๕.
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขออนุญาต
๖.
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลที่หน่วยงานซึ่งมีอำนาจรับรองออกให้ไม่เกิน
๖ เดือน ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้ขออนุญาต
๗.
หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ
ในกรณีที่มอบอำนาจให้ผู้อื่นขออนุญาตแทน
๘.
ภาพถ่ายป้าย หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย
กรณีที่เอกสารประกอบการขออนุญาตเป็นสำเนาเอกสารให้ลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องทุกหน้า
พร้อมนำต้นฉบับเอกสารไปแสดงเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ในกรณีที่ป้าย
หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายได้สร้าง ดัดแปลง
ติดหรือตั้งภายในระยะทางห้าสิบเมตรจากเขตทางพิเศษก่อนวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองป้าย
หรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายดำเนินการขออนุญาตจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติตามประกาศนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๗๓ ง/หน้า ๓๙/๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ |
586452 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.
๒๕๕๑[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในคราวประชุมครั้งที่
๗/๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ได้พิจารณาเห็นว่า
การบริหารจัดการทางพิเศษบูรพาวิถีที่เปิดให้บริการทั้งสายทางตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๓
ควรเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับทางพิเศษสายอื่นซึ่งรวมถึงการพิจารณาปรับอัตราค่าผ่านทางตามดัชนีราคาผู้บริโภค
เพื่อคงมูลค่าที่แท้จริงของอัตราค่าผ่านทางเดิม
จึงกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ฉบับลงวันที่
๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ ๔
ให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗
ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้
ข้อ ๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ณ สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สันติ
พร้อมพัฒน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
2551
๒. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
ทิศทางขาออกนอกเมือง
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษสำหรับผู้ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี
ทิศทางขาเข้าเมือง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๙
สิงหาคม ๒๕๕๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๔๒ ง/หน้า ๒๑/๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
586450 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสีย ค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสีย
ค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.
๒๕๕๑[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในคราวประชุมครั้งที่
๗/๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ได้พิจารณาตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมทุนระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกับบริษัทคู่สัญญา
ประกอบกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
จึงกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน -
ปากเกร็ด) ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ ฉบับลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อ ๔
ให้ทางพิเศษอุดรรัถยา
(ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗
ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมดังต่อไปนี้
(๑) บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเมืองทองธานี ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเชียงราก
(๒) บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒
สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเชียงรากถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางปะอิน
ข้อ ๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ณ สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สันติ
พร้อมพัฒน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน -
ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.2551
๒. บัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน -
ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้น
ค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข
1 ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน
- ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้น
ค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
๔. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข
2 ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางพิเศษสายบางปะอิน
- ปากเกร็ด) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้น
ค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๙
สิงหาคม ๒๕๕๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๔๒ ง/หน้า ๑๙/๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
586448 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสีย หรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ
และสายดาวคะนอง
- ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่
และสายพญาไท
- ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสีย
หรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ
พ.ศ.
๒๕๕๑[๑]
ด้วยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในคราวประชุมครั้งที่
๗/๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ได้พิจารณาตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมทุนระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกับบริษัทคู่สัญญา
ประกอบกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
จึงกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ
สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์) ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๔ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา -
ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ -
บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ ๒
ประกาศกระทรวงคมนาคมนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ
และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท
- ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ ฉบับลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อ ๔
ให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร
(ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ)
และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๕
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๖
ให้รถตามบัญชีประเภทของรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมนี้
เป็นรถที่ได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
ข้อ ๗
ค่าผ่านทางพิเศษไม่เกินอัตราค่าผ่านทางพิเศษท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
ดังต่อไปนี้
(๑) บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ
และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษรัชดาภิเษก ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระรามที่สาม
และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษคลองประปา ๒ ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอโศก ๑
(๒) บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒
สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษแจ้งวัฒนะ ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษรัชดาภิเษก
(๓) บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๓
สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษทั้งตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
และบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒ (ขาออก)
หรือตามบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๒ และบัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๑
(ขาเข้า)
(๔) บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข ๔
สำหรับผู้ใช้ทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
ตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอโศก ๓ ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษศรีนครินทร์
และตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระราม ๙ - ๑ (ศรีรัช)
ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษศรีนครินทร์ และตอนด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระราม ๙ - ๑
(ศรีรัช) ถึงด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอโศก ๔
ข้อ ๘
ผู้ใช้รถบนทางพิเศษต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ณ สถานที่จัดเก็บตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สันติ
พร้อมพัฒน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีประเภทของรถที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง -
ท่าเรือ สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
๒. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข
1 ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง
- ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
๓. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข
2 ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง
- ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
๔. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข
3 ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง
- ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์)
เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2551
๕. บัญชีอัตราค่าผ่านทางพิเศษหมายเลข
4 ท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง
- ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ
ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ.
2551
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๙
สิงหาคม ๒๕๕๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๔๒ ง/หน้า ๑๖/๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ |
583125 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ทางพิเศษหรือการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. 2551
| ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่
ทางพิเศษหรือการจราจรในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ และมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ ประกอบมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ทางพิเศษหรือการจราจรในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๑
ข้อ
๒[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ในประกาศนี้
ป้าย หมายความว่า
วัตถุที่แสดงหรือโฆษณาด้วยตัวอักษร ภาพหรือเครื่องหมายที่เขียนจารึก
หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น เพื่อสื่อความหมายหรือความเข้าใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
และให้หมายความรวมถึงป้ายตามกฎหมายควบคุมอาคารด้วย
ข้อ
๔ ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายดังต่อไปนี้
มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ทางพิเศษหรือการจราจรในเขตทางพิเศษ
(๑)
ไม่มีความมั่นคงแข็งแรง
และเห็นได้ว่ามีลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ทางพิเศษ
(๒)
ไม่ได้รับอนุญาตให้สร้าง ดัดแปลง ติดหรือตั้งหรือตรวจสอบตามกฎหมาย
ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องขออนุญาต สร้าง ดัดแปลง
ติดหรือตั้งหรือตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง
(๓)
ปิดหรือบดบังเครื่องหมายหรือสัญญาณจราจรในทางพิเศษ
(๔)
มีข้อความหรือรูปภาพอันเป็นการรบกวนสมาธิของผู้ขับขี่ หรือดึงดูดความสนใจหรือบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่
(๕)
มีข้อความหรือรูปภาพที่ขัดต่อศีลธรรมหรือกระทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ข้อ
๕ ความในข้อ ๔
ไม่ใช้บังคับกับป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
การติดตั้งในบริเวณหรือสถานที่ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนดหรือจัดไว้ให้
(๒)
ป้ายที่ไม่สูงกว่าระดับผิวทางพิเศษ
(๓)
ป้ายชื่อถนน ตรอก ซอย
(๔)
ป้ายของทางราชการที่ใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
(๕)
ป้ายตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
สันติ พร้อมพัฒน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปริยานุช/จัดทำ
๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๑๐๕ ง/หน้า ๑/๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๑ |
582245 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 25
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๕
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๕ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๕
มิถุนายน ๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๕ มิถุนายน
๒๕๕๖ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๘๕
ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๕ มิถุนายน และ ๕ ธันวาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๕
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ ในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่ เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๙๙ ง/หน้า ๙/๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๑ |
580526 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 23 และครั้งที่ 24
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๓
และครั้งที่ ๒๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
และวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๓ และครั้งที่ ๒๔
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๗๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันเจ็ดร้อยสิบแปดล้านบาทถ้วน)
แบ่งออกเป็น ๑,๗๑๘,๐๐๐ หน่วย
(หนึ่งล้านเจ็ดแสนหนึ่งหมื่นแปดพันหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐
บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยมีมูลค่ารุ่นละ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) และ ๗๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดร้อยสิบแปดล้านบาทถ้วน) ตามลำดับ
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบอายุพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อายุ
(ปี)
แห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๓ ๒
ครั้งที่ ๒๔ ๖
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๓๐ เมษายน
๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- วันไถ่ถอนพันธบัตร
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๓ ๓๐
เมษายน ๒๕๕๓
ครั้งที่ ๒๔ ๓๐
เมษายน ๒๕๕๗
ทั้งนี้
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อัตราดอกเบี้ย
(ร้อยละ)
แห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๓ ๓.๔๗๗๘
ครั้งที่ ๒๔ ๔.๔๒
โดยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรและเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตร
ถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๓๐ เมษายน และ ๓๐ ตุลาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒ ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารต่อไปนี้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตร
พันธบัตรการทางพิเศษ- ผู้จัดการจัดจำหน่าย
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๓ ธนาคารออมสิน
ครั้งที่ ๒๔ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ
ในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๘
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๘๖ ง/หน้า ๔๔/๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๑ |
575856 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 19
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๑๙[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๑๙
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๑๒ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๒๗
มีนาคม ๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๗ มีนาคม
๒๕๖๓ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๙๘
ต่อปี
คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรโดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๗ มีนาคม และ ๒๗ กันยายน
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๑๙
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงิน
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ ในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๔
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๙ เมษายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๖๖ ง/หน้า ๓๖/๒ เมษายน ๒๕๕๑ |
575852 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 16 ถึงครั้งที่ 18
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๑๖
ถึงครั้งที่ ๑๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๑๖ ถึงครั้งที่ ๑๘
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (สามพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๓,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (สามล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยมีมูลค่ารุ่นละ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบอายุพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อายุ
(ปี)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๖ ๖
ครั้งที่ ๑๗ ๘
ครั้งที่ ๑๘ ๑๐
โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออกและไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- วันออกพันธบัตร
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๖ ๒๔
มีนาคม ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๗ ๒๔
มีนาคม ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๘ ๒๕
มีนาคม ๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- วันไถ่ถอนพันธบัตร
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๖ ๒๔
มีนาคม ๒๕๕๗
ครั้งที่ ๑๗ ๒๔
มีนาคม ๒๕๕๙
ครั้งที่ ๑๘ ๒๕
มีนาคม ๒๕๖๑
ทั้งนี้หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อัตราดอกเบี้ย
(ร้อยละ)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๖ ๔.๐๐
ครั้งที่ ๑๗ ๔.๕๘
ครั้งที่ ๑๘ ๔.๘๑
โดยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรและเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริงเศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- ดอกเบี้ยงวดแรก ดอกเบี้ยทุกงวด ดอกเบี้ยงวดสุดท้าย
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ๖ เดือน ชำระพร้อมกับต้นเงิน
ครั้งที่ ๑๖ ๒๔
กันยายน ๕๑ ๒๔ มีนาคม และ ๒๔ กันยายน ณ วันไถ่ถอน
ครั้งที่ ๑๗ ๒๔
กันยายน ๕๑ ๒๔ มีนาคม และ ๒๔ กันยายน ณ วันไถ่ถอน
ครั้งที่ ๑๘ ๒๕
กันยายน ๕๑ ๒๕ มีนาคม และ ๒๕ กันยายน ณ วันไถ่ถอน
ทั้งนี้ ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยงวดแรกและดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก
ๆ ๖ เดือน ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารต่อไปนี้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตร
พันธบัตรการทางพิเศษ- ผู้จัดการจัดจำหน่าย
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๖ ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๑๗ ธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๑๘ ธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (มหาชน)
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๙ เมษายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๖๖ ง/หน้า ๓๒/๒ เมษายน ๒๕๕๑ |
575846 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 12 ถึงครั้งที่ 15
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๑๒
ถึงครั้งที่ ๑๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๑๒ ถึงครั้งที่ ๑๕
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๔,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (สี่พันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๔,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (สี่ล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยมีมูลค่ารุ่นละ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบอายุพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อายุ
(ปี)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๒ ๕
ครั้งที่ ๑๓ ๘
ครั้งที่ ๑๔ ๑๐
ครั้งที่ ๑๕ ๑๒
โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออกและไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๒๐
มีนาคม ๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- วันไถ่ถอนพันธบัตร
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๒ ๒๐
มีนาคม ๒๕๕๖
ครั้งที่ ๑๓ ๒๐
มีนาคม ๒๕๕๙
ครั้งที่ ๑๔ ๒๐
มีนาคม ๒๕๖๑
ครั้งที่ ๑๕ ๒๐
มีนาคม ๒๕๖๓
ทั้งนี้
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อัตราดอกเบี้ย
(ร้อยละ)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๒ ๓.๗๑๕
ครั้งที่ ๑๓ ๔.๕๘
ครั้งที่ ๑๔ ๔.๘๒
ครั้งที่ ๑๕ ๔.๙๗
โดยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรและเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตร
ถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๐ มีนาคม และ ๒๐ กันยายน
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารต่อไปนี้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตร
พันธบัตรการทางพิเศษ- ผู้จัดการจัดจำหน่าย
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๑๒ ธนาคารกสิกรไทย
จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๑๓ ธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๑๔ ธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๑๕ ธนาคารกสิกรไทย
จำกัด (มหาชน)
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงิน
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ
ในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๑๗
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๙ เมษายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๖๖ ง/หน้า ๒๘/๒ เมษายน ๒๕๕๑ |
575842 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 9 ถึงครั้งที่ 11
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๙
ถึงครั้งที่ ๑๑[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๙ ถึงครั้งที่ ๑๑
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๓,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (สามล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยมีมูลค่ารุ่นละ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบอายุพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อายุ
(ปี)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๙ ๓
ครั้งที่ ๑๐ ๗
ครั้งที่ ๑๑ ๙
โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออกและไม่มีการไถ่ถอน
ก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๑๓
มีนาคม ๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- วันไถ่ถอนพันธบัตร
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๙ ๑๓
มีนาคม ๒๕๕๔
ครั้งที่ ๑๐ ๑๓
มีนาคม ๒๕๕๘
ครั้งที่ ๑๑ ๑๓
มีนาคม ๒๕๖๐
ทั้งนี้
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อัตราดอกเบี้ย
(ร้อยละ)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๙ ๓.๒๘
ครั้งที่ ๑๐ ๔.๓๐
ครั้งที่ ๑๑ ๔.๗๐
โดยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรและเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตร
ถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๑๓ มีนาคม และ ๑๓ กันยายน
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒ ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารต่อไปนี้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตร
พันธบัตรการทางพิเศษ- ผู้จัดการจัดจำหน่าย
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๙ ธนาคารกสิกรไทย
จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๑๐ ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๑๑ ธนาคารกสิกรไทย
จำกัด (มหาชน)
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๙ เมษายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๖๖ ง/หน้า ๒๔/๒ เมษายน ๒๕๕๑ |
575840 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 5 ถึงครั้งที่ 8
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๕
ถึงครั้งที่ ๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๕
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๖
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๗ และ
พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๘
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๔,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สี่พันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๔,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (สี่ล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยมีมูลค่ารุ่นละ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบอายุพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อายุ
(ปี)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๕ ๓
ครั้งที่ ๖ ๗
ครั้งที่ ๗ ๙
ครั้งที่ ๘ ๑๒
โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๖ มีนาคม
๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- วันไถ่ถอนพันธบัตร
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๕ ๖
มีนาคม ๒๕๕๔
ครั้งที่ ๖ ๖
มีนาคม ๒๕๕๘
ครั้งที่ ๗ ๖
มีนาคม ๒๕๖๐
ครั้งที่ ๘ ๖
มีนาคม ๒๕๖๓
ทั้งนี้
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ- อัตราดอกเบี้ย
(ร้อยละ)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๕ ๓.๔๕๖๗
ครั้งที่ ๖ ๔.๕๔
ครั้งที่ ๗ ๔.๘๔
ครั้งที่ ๘ ๔.๙๕๘
โดยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรและเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตร
ถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๖ มีนาคม และ ๖ กันยายน
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารต่อไปนี้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตร
พันธบัตรการทางพิเศษ- ผู้จัดการจัดจำหน่าย
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่
๕ ธนาคารออมสิน
ครั้งที่
๖ บริษัท
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่
๗ บริษัท
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่
๘ บริษัท
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
จำกัด
(มหาชน)
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่นๆ
ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์
จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๔
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๙ เมษายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๖๖ ง/หน้า ๒๐/๒ เมษายน ๒๕๕๑ |
575710 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 20 ถึงครั้งที่ 22
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๐
ถึงครั้งที่ ๒๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ ๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ ๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒๐ ถึงครั้งที่ ๒๒
ข้อ ๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ ๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ ๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (สามพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๓,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (สามล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) โดยมีมูลค่ารุ่นละ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ ๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบอายุพันธบัตรดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ
- อายุ
(ปี)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๐ ๖
ครั้งที่ ๒๑ ๙
ครั้งที่ ๒๒ ๑๑
โดยเป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออกและไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ ๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่ ๓ เมษายน
๒๕๕๑
ข้อ ๘ วันไถ่ถอนพันธบัตรเป็นดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ
- วันไถ่ถอนพันธบัตร
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๐ ๓
เมษายน ๒๕๕๗
ครั้งที่ ๒๑ ๓
เมษายน ๒๕๖๐
ครั้งที่ ๒๒ ๓
เมษายน ๒๕๖๒
ทั้งนี้
หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยดังนี้
พันธบัตรการทางพิเศษ
- อัตราดอกเบี้ย
(ร้อยละ)
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๐ ๔.๑๔
ครั้งที่ ๒๑ ๔.๗๕๒
ครั้งที่ ๒๒ ๔.๙๖
โดยคำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรและเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ ๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๓ เมษายน และ ๓ ตุลาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒ ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารต่อไปนี้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตร
พันธบัตรการทางพิเศษ
- ผู้จัดการจัดจำหน่าย
แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑
ครั้งที่ ๒๐ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น
จำกัด
ครั้งที่ ๒๑ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
(ไทย) จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ ๒๒ ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน)
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ ๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตรตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรรและวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ ๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ ๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย หรือถูกทำลายด้วยประการใด
ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔ และ/หรือข้อ ๑๗
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/จัดทำ
๑๗ เมษายน ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๗๑ ง/หน้า ๒๒/๑๑ เมษายน ๒๕๕๑ |
573213 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๕๑[๑]
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ
ที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ
ของทางราชการ เพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นหรือรักษาสิทธิต่างๆ
อันเป็นการส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลโดยประชาชนมากยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ประกอบกับมาตรา ๗ (๑) (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จึงออกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงาน อำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อ เพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้ยกเลิกประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงานอำนาจหน้าที่ วิธีการดำเนินงาน
และสถานที่ติดต่อ เพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
ฉบับลงวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐
ข้อ ๒
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเรียกโดยย่อว่า กทพ.
ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า EXPRESSWAY AUTHORITY
OF THAILAND เรียกโดยย่อว่า
EXAT มีวัตถุประสงค์ตามที่พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ ดังนี้
๒.๑ สร้าง หรือจัดให้มีทางพิเศษด้วยวิธีใดๆ
ตลอดจนบำรุง และรักษาทางพิเศษ
๒.๒ ดำเนินงาน หรือธุรกิจเกี่ยวกับทางพิเศษ
และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับทางพิเศษหรือที่เป็นประโยชน์แก่ กทพ.
โดยมีอำนาจหน้าที่กระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น
และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง
หรือมีทรัพยสิทธิต่างๆ
(๒) ก่อตั้งสิทธิ หรือกระทำนิติกรรมใดๆ
ทั้งในและนอกราชอาณาจักร
(๓) เรียกเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หรือค่าบริการอื่น
ตลอดจนค่าธรรมเนียมการใช้ทรัพย์สิน การให้บริการ และการอำนวยความสะดวกต่างๆ
ในเขตทางพิเศษ
(๔) กำหนดมาตรการ เพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้
และการรักษาทางพิเศษตลอดจนการใช้และการรักษาทรัพย์สิน การให้บริการ
และการอำนวยความสะดวกต่างๆ ในเขตทางพิเศษ
(๕) กู้ หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๖) ออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
หรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ กทพ.
(๗) จัดตั้ง หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัด
หรือบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ
กทพ.
(๘) ลงทุน หรือเข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น
เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ กทพ.
(๙) ให้สัมปทานในการสร้าง หรือขยายทางพิเศษ
ต่ออายุสัมปทาน โอนสัมปทานหรือเพิกถอนสัมปทาน
(๑๐) ว่าจ้าง
หรือมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ กทพ.
แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการ
และคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้นสามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้ให้
กทพ. ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๑) ทำการค้า และให้บริการต่างๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์
และเครื่องใช้เกี่ยวกับทางพิเศษ
(๑๒) ให้เช่า หรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ กทพ.
ตามความจำเป็น เพื่อประโยชน์แก่ กทพ. โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะควบคู่ไปด้วย
(๑๓) วางแผน สำรวจ
และออกแบบเกี่ยวกับการสร้างหรือขยายทางพิเศษ
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ
กทพ.
ข้อ ๓
กทพ.
มีโครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงานภายใน ดังต่อไปนี้
๓.๑ สายงานขึ้นตรงต่อผู้ว่าการ
๓.๑.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองตรวจสอบ ๑
- กองตรวจสอบ ๒
๓.๑.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองกลางและการประชุม
- กองประชาสัมพันธ์และการตลาด
๓.๒ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
๓.๒.๑ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองการเจ้าหน้าที่
- กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน
- กองพัสดุ
๓.๒.๒ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองการเงิน
- กองบัญชี
- กองงบประมาณ
- กองตรวจสอบรายได้
๓.๒.๓ สำนักพัฒนาการจัดการ
๓.๓ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ
๓.๓.๑ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
- กองประเมินผล
- กองออกแบบ
๓.๓.๒ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองระบบงานคอมพิวเตอร์
- กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
๓.๔
สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
๓.๔.๑ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
- กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒
๓.๔.๒ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองคดี
- กองนิติการ
๓.๕ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษา
๓.๕.๑ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
- กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
๓.๕.๒ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย ๔ กอง
- กองบำรุงรักษาทาง
- กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
- กองบำรุงรักษาอุปกรณ์
- กองไฟฟ้า เครื่องกลและยานพาหนะ
๓.๖ สายงานรองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
๓.๖.๑ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย ๒ กอง
- กองจัดการจราจร
- กองกู้ภัยและสื่อสาร
๓.๖.๒ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย ๓ กอง
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒
- กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
๓.๖.๓ สำนักวางแผนปฏิบัติการ
ข้อ ๔
หน้าที่และความรับผิดชอบที่สำคัญของส่วนงาน
กทพ. มีดังต่อไปนี้
๔.๑ สำนักตรวจสอบ ประกอบด้วย
๔.๑.๑ กองตรวจสอบ ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบวางแผนการตรวจสอบ และดำเนินการตรวจสอบ การปฏิบัติงาน
ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานทั้งภายใน กทพ.
เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามนโยบายและแผนงาน
และสนับสนุนให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายจัดการสามารถควบคุม กำกับการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิผล
ประสิทธิภาพ และประหยัด รวมทั้งปฏิบัติงานในคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit
Committee) เพื่อตรวจสอบการบริหารงาน และการจัดการของ กทพ.
๔.๑.๒ กองตรวจสอบ ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองตรวจสอบ ๑
๔.๒ สำนักผู้ว่าการ ประกอบด้วย
๔.๒.๑ กองกลางและการประชุม
มีหน้าที่ความรับผิดชอบงานสารบรรณของ กทพ. งานประชุมของคณะกรรมการ กทพ.
คณะกรรมการบริหารของ กทพ. ผู้บริหารระดับสูงผู้บริหารระดับฝ่ายขึ้นไป
และการประชุมอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๒.๒ กองประชาสัมพันธ์และการตลาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบงานข่าวสารข้อมูลต่างๆ งานประชาสัมพันธ์และการตลาด
งานสัมพันธ์ งานให้บริการโสตทัศนูปกรณ์ และผลิตสื่อต่างๆ ในการประชาสัมพันธ์
งานห้องสมุดและศูนย์เอกสาร
ตลอดจนดำเนินงานและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารตามที่กำหนดในกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ
๔.๓ ฝ่ายบริหารทั่วไป ประกอบด้วย
๔.๓.๑ กองการเจ้าหน้าที่
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการสรรหา บรรจุแต่งตั้ง งานทะเบียนประวัติ
งานสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ต่างๆ งานสงเคราะห์ของพนักงาน และลูกจ้าง
๔.๓.๒ กองพัฒนาบุคคลและระบบงาน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบ เกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลและระบบงาน
รวมทั้งงานวางแผนและจัดอัตรากำลังให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ.
๔.๓.๓ กองพัสดุ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบริหารงานพัสดุ งานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย
๔.๔ ฝ่ายการเงินและบัญชี ประกอบด้วย
๔.๔.๑ กองการเงิน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านการเงิน ด้านเงินกู้ และด้านการตรวจจ่าย
๔.๔.๒ กองบัญชี
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการจัดทำ
วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
จัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหาร รวมทั้งดำเนินการด้านผลิต ขาย ติดตาม
และควบคุมการใช้บัตรทางด่วน (TAG) และบัตรผ่านทาง (คูปอง) ของ
กทพ.
๔.๔.๓ กองงบประมาณ มีหน้าที่ความรับผิดชอบกำหนดแผนงาน
โครงการจัดทำงบประมาณประจำปีให้มีประสิทธิภาพ จัดทำคำของบประมาณ
และรายงานเงินงบประมาณในส่วนที่ขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล
๔.๔.๔ กองตรวจสอบรายได้
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบรายได้ค่าผ่านทาง และเสนอแนะ
เพื่อควบคุมการเก็บรายได้ของระบบทางพิเศษ รวมทั้งตรวจสอบรายได้อื่นๆ
นอกจากค่าผ่านทาง
๔.๕ สำนักพัฒนาการจัดการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์
และกำหนดกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงองค์กร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการแบบผสมผสานทั้งองค์กร วิเคราะห์ข้อมูล และให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บริหารในการเชื่อมโยงการบริหารจัดการทรัพยากรด้านต่างๆ
เข้าด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร
รวมถึงการดำเนินการเพื่อแปลงสภาพและแปรรูป กทพ.
๔.๖ ฝ่ายนโยบายและแผน ประกอบด้วย
๔.๖.๑ กองวางแผนและวิเคราะห์โครงการ มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผนศึกษา
วิเคราะห์ความเหมาะสมทั้งทางด้านวิศวกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการเงิน
เพื่อให้ได้ระบบทางพิเศษที่มีประสิทธิภาพ
๔.๖.๒ กองประเมินผล
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการติดตามโครงการที่นำไปปฏิบัติ รวบรวมสถิติ
วิเคราะห์และประเมินผลงานในการดำเนินงานของ กทพ. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานของ
กทพ. เพื่อใช้สำหรับให้บริการช่วยงานด้านบริหาร
๔.๖.๓ กองออกแบบ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
ทั้งทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ และงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมตามอาคารต่างๆ
รวมตลอดในเขตทางพิเศษทั้งหมด
๔.๗ ฝ่ายสารสนเทศ ประกอบด้วย
๔.๗.๑ กองระบบงานคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาและบำรุงรักษาระบบงานคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ระบบงาน
ตรวจสอบประเมินผลระบบงานที่ออกแบบ และปรับปรุงระบบงานให้เหมาะสมตามเหตุการณ์
ที่เปลี่ยนแปลงฝึกอบรม และให้คำแนะนำในการใช้ระบบงานต่างๆ
ที่พัฒนาเสร็จแล้วแก่ผู้ใช้ระบบงาน จัดการและบำรุงรักษาฐานข้อมูลรวม
การจัดทำแผนงานหลักด้านระบบสารสนเทศ
๔.๗.๒ กองปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายสื่อสาร
ข้อมูล การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
ให้บริการประมวลผลข้อมูล ควบคุมและบำรุงรักษา เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
ควบคุมการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จัดทำสำรองข้อมูลทั้งระบบ จัดฝึกอบรมความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์
ควบคุม ดูแลระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
และอินทราเน็ตในการให้บริการข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กร
๔.๘ ฝ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดิน ประกอบด้วย
๔.๘.๑ กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เพื่อก่อสร้างทางพิเศษ
๔.๘.๒ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษศรีรัช
(ทางพิเศษแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ ช่วงพญาไท - ศรีนครินทร์) และทางพิเศษอุดรรัถยา
(ทางพิเศษสายบางปะอิน - ปากเกร็ด) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุดแก่
กทพ. ในการให้เช่าและใช้พื้นที่ ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษา
และป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษ รวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๘.๓ กองพัฒนาและรักษาเขตทาง ๒ มีหน้าที่ความรับผิดชอบ
ดำเนินการเกี่ยวกับงานพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง -
ท่าเรือ บางนา - ท่าเรือและดาวคะนอง - ท่าเรือ) ทางพิเศษฉลองรัช
(ทางพิเศษสายรามอินทรา - อาจณรงค์) และทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา -
ชลบุรี) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ กทพ.
ในการให้เช่าและใช้พื้นที่
ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับงานดูแลรักษาและป้องกันการบุกรุกเขตทางพิเศษรวมตลอดถึงทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
๔.๙ ฝ่ายกฎหมาย ประกอบด้วย
๔.๙.๑ กองคดี
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านคดีที่ กทพ. เป็นคู่ความหรือผู้เสียหาย
การวางทรัพย์ และการระงับข้อพิพาทตามสัญญาต่างๆ
๔.๙.๒ กองนิติการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการด้านสัญญา ด้านการร่างกฎหมายและด้านวินัย
รวมทั้งความรับผิดทางละเมิดของพนักงานและลูกจ้าง
๔.๑๐ ฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ ประกอบด้วย
๔.๑๐.๑ กองวิศวกรรมทางด่วน ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานด้านการออกแบบรายละเอียด และควบคุมงานก่อสร้าง
ทั้งด้านเทคนิคและสัญญาตลอดจนประสานงานสาธารณูปโภค และงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
และจัดทำทางเข้า - ทางออกในระหว่างการก่อสร้าง
รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอันเนื่องมาจากการก่อสร้างของโครงการ
๔.๑๐.๒ กองวิศวกรรมทางด่วน ๒
มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกองวิศวกรรมทางด่วน ๑
๔.๑๑ ฝ่ายบำรุงรักษา ประกอบด้วย
๔.๑๑.๑ กองบำรุงรักษาทาง
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผนตรวจสอบ บำรุงรักษาและซ่อมแซมทางพิเศษ
อันรวมถึงสะพานและไหล่ทาง
๔.๑๑.๒ กองบำรุงรักษาอาคารและความสะอาด
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคาร สถานที่
เรื่องความสะอาด การรักษาความปลอดภัยบำรุงรักษาต้นไม้ และสนามหญ้าในเขตทางพิเศษ
บริเวณอาคารต่างๆ และไหล่ทาง
๔.๑๑.๓ กองบำรุงรักษาอุปกรณ์
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการวางแผนตรวจสอบ
และซ่อมบำรุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระบบทางพิเศษทั้งหมด ได้แก่
อุปกรณ์เก็บค่าผ่านทางและอุปกรณ์ควบคุมการจราจร
ตลอดจนงานควบคุมดูแลฐานข้อมูลจัดเก็บค่าผ่านทางที่ศูนย์ควบคุมทางพิเศษฯ
๔.๑๑.๔ กองไฟฟ้าเครื่องกลและยานพาหนะ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า รวมทั้งเครื่องกลและยานพาหนะ
๔.๑๒ ฝ่ายควบคุมการจราจร ประกอบด้วย
๔.๑๒.๑ กองจัดการจราจร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบอำนวยการให้ความสะดวก ปลอดภัยเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
ตรวจสอบ ควบคุมการใช้ทางพิเศษให้ถูกต้องตามกฎหมาย ควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก
และประสานงานกับตำรวจทางด่วน และบริษัทที่ร่วมทุนกับ กทพ.
รวมทั้งปรับปรุงและแก้ปัญหาต่างๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๒.๒ กองกู้ภัยและสื่อสาร
มีหน้าที่ความรับผิดชอบจัดบริการด้านการกู้ภัยในทางพิเศษ การควบคุมความปลอดภัยในทางพิเศษ
ให้ความช่วยเหลือผู้ใช้ทางบริการลากหรือยกรถเสียรถเกิดอุบัติเหตุลงจากทางพิเศษ
งานด้านการสื่อสารจราจร ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานในทางพิเศษ
และควบคุมการดำเนินงานสื่อสารของศูนย์ควบคุมระบบทางพิเศษต่าง
ๆรวมทั้งปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ อันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๓ ฝ่ายจัดเก็บค่าผ่านทาง ประกอบด้วย
๔.๑๓.๑ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๑
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข เพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๓.๒ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๒
มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับ ดูแลและควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษศรีรัช
และทางพิเศษอุดรรัถยา รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข
เพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๓.๓ กองจัดเก็บค่าผ่านทาง ๓
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแล และควบคุมการจัดเก็บค่าผ่านทาง
และดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บค่าผ่านทางในทางพิเศษฉลองรัช
ทางพิเศษบูรพาวิถี และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และหมายเลข ๙ และทางยกระดับอุตราภิมุข
(ช่วงอนุสรณ์สถานถึงรังสิต) เมื่อ กทพ.
ได้รับโอนจากกรมทางหลวงตามกฎหมายแล้วรวมทั้งปรับปรุง แก้ไข
เพื่อลดผลกระทบกับประชาชนอันเกิดจากการให้บริการทางพิเศษ
๔.๑๔ สำนักวางแผนปฏิบัติการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบดำเนินงานด้านศึกษา วิเคราะห์ พัฒนา วางแผน
และเสนอแนวทางการปรับปรุง และแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของระบบงานทางพิเศษ ได้แก่
ระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบความปลอดภัยและการจราจร
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน ตรวจสอบ
รับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากระบบทางพิเศษภายหลังเปิดให้บริการ
และปฏิบัติงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๕
สถานที่ติดต่อ
เพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของ กทพ. คือ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ กทพ.
อยู่ในสังกัดแผนกสื่อประชาสัมพันธ์และศูนย์เอกสาร กองประชาสัมพันธ์และการตลาด
สำนักผู้ว่าการ ซึ่งเป็นสถานที่ติดต่อขอรับข้อมูลข่าวสารทั่วไป
และคำแนะนำในการติดต่อกับ กทพ. กับให้บริการข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ตั้งอยู่ที่อาคาร ๒ ชั้น ๖
กทพ. สำนักงานใหญ่ เลขที่ ๒๓๘๐ ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
๑๐๙๐๐ โทร. ๐ - ๒๙๔๐ - ๑๒๑๐ และดูรายละเอียดได้ที่ http://www.exat.co.th
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ
ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๑๗
มีนาคม ๒๕๕๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๕๒ ง/หน้า ๒๔/๑๒ มีนาคม ๒๕๕๑ |
572319 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 4
| ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ
๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ
๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๔
ข้อ
๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ
๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ
๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ
๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๔ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ
๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่
๓๑ มกราคม ๒๕๕๑
ข้อ
๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๓๑
มกราคม ๒๕๕๕ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๖๕ ต่อปี
คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตรโดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ
๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไปชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๓๑ มกราคม และ ๓๑ กรกฎาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้ายชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๔
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ
๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์
จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ
๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ
๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ
๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่ เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ
๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔
และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๓๖ ง/หน้า ๓๓/๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ |
571088 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 3 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๓[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ
๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จะทำการกู้เงินเพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ
๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๓
ข้อ
๓
พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ข้อ
๔
พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ
๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)
ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ
๖
พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ ๗ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ
๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่
๒๘ มกราคม ๒๕๕๑
ข้อ
๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๘
มกราคม ๒๕๕๘ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๔.๔๙ ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน
และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ
๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไป ชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๘ มกราคม และ ๒๘ กรกฎาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๑๑
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๑ ครั้งที่ ๓
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรและการจัดการอื่น
ๆ ที่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ
๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร
ตลอดจนขั้นตอนวิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตรในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์ จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ
๑๔
การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
จะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๕
กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ
๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ
๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ
๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔
และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๔
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๒๔ ง/หน้า ๓๖/๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ |
571084 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 2 | ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การออกพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๐ (๖) ประกอบกับมาตรา ๕๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๗
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ และวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
จึงขอประกาศให้ทราบว่า
ข้อ
๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำการกู้เงิน
เพื่อการลงทุนโดยวิธีการออกจำหน่ายพันธบัตร
ข้อ
๒ พันธบัตรนี้มีชื่อเรียกว่า พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒
ข้อ
๓ พันธบัตรนี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันต้นเงิน
และดอกเบี้ย
ข้อ
๔ พันธบัตรนี้เป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ข้อ
๕ พันธบัตรนี้มีมูลค่าที่ออกรวม ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันล้านบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหน่วยละ ๑,๐๐๐.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ซึ่งจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป
โดยไม่จำกัดประเภทบุคคลและสัญชาติ
ข้อ
๖ พันธบัตรนี้มีกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรเมื่อครบ
๓ ปี นับแต่วันออกพันธบัตร เป็นการไถ่ถอนครั้งเดียวเต็มตามจำนวนที่ออก
และไม่มีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
ข้อ
๗ วันออกจำหน่ายพันธบัตร คือ วันที่
๒๔ มกราคม ๒๕๕๑
ข้อ
๘ วันไถ่ถอนพันธบัตร คือ วันที่ ๒๔
มกราคม ๒๕๕๔ หากวันดังกล่าวตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ ให้เลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนเป็นวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ
๙ พันธบัตรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
๓.๗๔๔ ต่อปี คำนวณจากมูลค่าของพันธบัตร โดยเริ่มคำนวณจากวันออกพันธบัตรถึงวันก่อนวันไถ่ถอนพันธบัตร
การคำนวณดอกเบี้ยใช้หลักเกณฑ์ หนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน และนับวันตามจำนวนวันที่เกิดขึ้นจริง
เศษของ ๑ สตางค์ให้ปัดทิ้ง
ข้อ
๑๐ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตามกำหนดเวลาดังนี้
๑๐.๑
ดอกเบี้ยงวดแรก ชำระในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑
๑๐.๒
ดอกเบี้ยงวดต่อไป ชำระทุก ๆ ๖ เดือน ทุก ๆ วันที่ ๒๔ มกราคม และ ๒๔ กรกฎาคม
๑๐.๓
ดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ชำระพร้อมกับต้นเงินของพันธบัตร ณ วันไถ่ถอนพันธบัตร
๑๐.๔
ถ้าวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยดังที่ระบุใน ๑๐.๑ และ ๑๐.๒
ตรงกับวันหยุดทำการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หรือวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ก็ให้เลื่อนไปชำระในวันเปิดทำการถัดไป
ข้อ ๑๑ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบหมายให้
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้จัดการจัดจำหน่าย
และประกันการจำหน่ายพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ครั้งที่ ๒
โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียน และตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นนายทะเบียน
และตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตร และการจัดการอื่น ๆ ที่จำเป็น
เพื่อผลประโยชน์ในการนี้
ข้อ
๑๓ รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการ
และกำหนดการเปิดให้จองซื้อพันธบัตร ตลอดจนขั้นตอน วิธีการจัดสรร
และวิธีการชำระเงินคืนแก่ผู้จองซื้อพันธบัตร
ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิในการจัดสรรให้จองซื้อพันธบัตร
หรือได้รับจัดสรรในการจองซื้อพันธบัตรไม่เต็มตามความประสงค์
จะประกาศในหนังสือชี้ชวนซื้อพันธบัตร
ข้อ
๑๔ การโอนกรรมสิทธิ์
หรือการจำนำพันธบัตรจะต้องนำพันธบัตรไปจดทะเบียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายทะเบียน และตัวแทนการจ่ายเงินพันธบัตรนี้ การโอนกรรมสิทธิ์
หรือการจำนำพันธบัตร
หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและพิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ
๑๕ กรรมสิทธิ์ในพันธบัตรนี้ให้ถือตามการจดทะเบียนที่นายทะเบียนเป็นสำคัญ
ข้อ
๑๖ พันธบัตรนี้ไม่สมบูรณ์
เว้นแต่พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ได้แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรฉบับนี้แล้ว
ข้อ
๑๗ ในกรณีที่พันธบัตรชำรุด สูญหาย
หรือถูกทำลายด้วยประการใด ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกพันธบัตรให้ใหม่
เมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรได้ปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ
๑๘ การดำเนินการตามข้อ ๑๔
และ/หรือข้อ ๑๗ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
เพื่อการนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๒๔ ง/หน้า ๓๓/๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ |
842235 | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทยว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560 (ฉบับ Update ล่าสุด) | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๖๐
โดยที่ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นระเบียบที่วางแนวทางในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
และมีบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบัน ประกอบกับได้มีพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๕๘ ออกใช้บังคับ ดังนั้น จึงสมควรปรับปรุงระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๕ เพื่อให้การปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างเหมาะสม
และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ประกอบมาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และข้อ ๒๐ ของระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
และระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๔ บรรดาระเบียบ
คำสั่ง ประกาศ
หรือหลักปฏิบัติอื่นใดของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้
หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๕ ในระเบียบนี้
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หน่วยงานในสังกัด หมายความว่า
หน่วยงานภายในของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตั้งแต่ระดับฝ่าย สำนัก กอง และแผนก
หรือเทียบเท่า
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร[๒] หมายความว่า
กองกำกับดูแลกิจการที่ดี สำนักผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า
สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริง ข้อมูลหรือสิ่งใด ๆ ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะทำได้โดยจากสภาพของสิ่งนั้นเอง
หรือผ่านวิธีการใด ๆ และไม่ว่าจะได้จัดทำไว้ในรูปของเอกสาร แฟ้ม รายงาน หนังสือ
แผนผัง แผนที่ ภาพวาด ภาพถ่าย ฟิล์ม การบันทึกภาพ หรือเสียง การบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือวิธีการอื่นใดที่ทำให้สิ่งที่บันทึกไว้ปรากฏได้
ข้อมูลข่าวสารลับ หมายความว่า
ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๑๕ ที่มีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยและอยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐหรือที่เกี่ยวกับเอกชน
ซึ่งมีการกำหนดให้มีชั้นความลับเป็น ชั้นลับ ชั้นลับมาก หรือชั้นลับที่สุด
ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐและประโยชน์แห่งรัฐประกอบกัน
ข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารทั้งปวงของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๖ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจออกประกาศ หรือคำสั่ง เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ในกรณีที่มีปัญหาหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ให้ผู้ว่าการวินิจฉัยชี้ขาด คำวินิจฉัยนั้นให้เป็นที่สุด
หมวด
๑
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ
๗[๓] ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการทุกฝ่ายทุกสำนัก ยกเว้น
สำนักตรวจสอบภายใน เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการกองทุกกองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้สังกัดฝ่ายหรือสำนัก
เป็นกรรมการ โดยให้ผู้อำนวยการกองกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นกรรมการและเลขานุการ
ข้อ ๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์
และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ในส่วนที่เกี่ยวกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(๒) พิจารณาเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖
และพิจารณาตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(๓) พิจารณาข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (เอกสารประวัติศาสตร์)
ในการส่งไปยังหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
(๔) ให้คำแนะนำหรือความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงและเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
(๕)
ให้คำแนะนำหรือความเห็นกรณีมีปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ
และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(๖) แจ้งให้หน่วยงานในสังกัดให้ความร่วมมือเพื่อดำเนินการใด ๆ
ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(๗) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน (แล้วแต่กรณี)
เพื่อช่วยปฏิบัติงานในเรื่องใด ๆ ที่สอดคล้องและสนับสนุนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ ตามความเหมาะสมพร้อมทั้งมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้แก่คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร
(๘) ดำเนินงานเรื่องอื่นใดตามที่ผู้ว่าการมอบหมาย
ข้อ ๙ การประชุมคณะกรรมการต้องมีการประชุมไม่น้อยกว่าปีละหนึ่งครั้งและมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด
จึงเป็นองค์ประชุม
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่ได้อยู่ในที่ประชุม
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานในที่ประชุม
และถ้ากรรมการท่านใดไม่สามารถมาประชุมได้ให้มอบหมายพนักงานในสังกัดตั้งแต่ระดับ ๗
ขึ้นไปเข้าร่วมประชุมแทน โดยให้ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับกรรมการผู้ที่มอบหมายทุกประการ
กรณีกรรมการหรือผู้แทนกรรมการท่านใดไม่เข้าร่วมการประชุมโดยไม่แจ้งเหตุให้ทราบให้ถือว่ากรรมการท่านนั้นขาดการประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการ หรือผู้แทนกรรมการหนึ่งคนให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ ๑๐ มติของคณะกรรมการทุกเรื่องจะสามารถนำไปดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้จัดส่งรายงานการประชุมให้ผู้ว่าการทราบแล้ว
หมวด
๒
การจัดระบบข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๑๑ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารจัดแยกประเภทและจัดทำดรรชนีข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยมีรายละเอียดเพียงพอที่ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารได้เอง
ข้อ ๑๒ ให้หน่วยงานในสังกัด
จัดแยกประเภทข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครอง หรือควบคุมดูแล
โดยให้แยกประเภทข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ดังนี้
(๑) ข้อมูลข่าวสารที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา ๗
(๒) ข้อมูลข่าวสารที่จัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ตามมาตรา ๙
(๓) ข้อมูลข่าวสารอื่น ตามมาตรา ๑๑
การจัดแยกประเภทข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง
ให้คำนึงถึงลักษณะของข้อมูลข่าวสารตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการด้วยว่า
เป็นข้อมูลข่าวสารที่จะเปิดเผยมิได้ตามมาตรา ๑๔ หรือเป็นข้อมูลข่าวสารที่อาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยตามมาตรา
๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือไม่ด้วย
ให้หน่วยงานในสังกัดส่งข้อมูลข่าวสารตาม (๑) และ (๒)
ไปยังหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๑๓ ในการดำเนินงานตามข้อ
๑๒ ให้หน่วยงานในสังกัดจัดให้มีเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมดูแลตรวจสอบ ติดตาม
และประสานงานในการดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และทันสมัยอยู่เสมอ
หมวด
๓
วิธีการปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารลับ
ข้อ ๑๔ การปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารลับมิให้รั่วไหล
และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารลับของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ให้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ และกฎหมาย
หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดทำระเบียบ คำสั่ง ประกาศ
หรือหลักปฏิบัติอื่นใดให้สอดคล้องกับระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๔ และกฎหมาย หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ตามความเหมาะสม
หมวด
๔
การขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาต
ข้อ ๑๕ ผู้ใดประสงค์เข้าตรวจดูหรือขอสำเนาหรือสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร
ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือตามแบบท้ายระเบียบนี้ต่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือยื่นต่อหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข่าวสารนั้น
ในกรณีการขอข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานในสังกัดโดยตรง ให้หน่วยงานในสังกัดที่ให้ข้อมูลข่าวสารแจ้งการขอข้อมูลข่าวสารให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารทราบด้วย
เพื่อรวบรวมและจัดทำรายงานประจำปี
รายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี
และกระทรวงคมนาคม ทราบต่อไป
ให้เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับคำขอตรวจสอบว่าข้อมูลข่าวสารตามคำขอนั้น
เป็นข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือของหน่วยงานในสังกัดอื่นและให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
ให้เสนอเรื่องต่อบุคคลตามข้อ ๑๖ (๑) เพื่อพิจารณา
(๒) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดให้ประสานงานไปยังหน่วยงานดังกล่าว
เพื่อดำเนินการให้บุคคลผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๖ (๒) เพื่อพิจารณา
ข้อ ๑๖ ให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตให้ตรวจดูหรือให้ทำสำเนาข้อมูลข่าวสาร
(๑)[๔] ผู้อำนวยกองกำกับดูแลกิจการที่ดี
หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย สำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้ผู้อำนวยการกองกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
(๒) หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด
หรือผู้ซึ่งหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดมอบหมายสำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดตน
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้ผู้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการกอง หรือเทียบเท่าขึ้นไปของหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
(๓) คณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร สำหรับข้อมูลข่าวสารทุกประเภท
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจตาม (๑) และ (๒)
ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าข้อมูลข่าวสารใดเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้หรือไม่
ให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารตาม (๓) เพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๖ (๑)
หรือ (๒) มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัด จัดส่งข้อมูลข่าวสารให้แก่ผู้ยื่นคำขอตรวจดูหรือรับสำเนาข้อมูลข่าวสารนั้นได้ที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือที่หน่วยงานในสังกัดที่ครอบครอง หรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
ภายในวันที่มีคำสั่งอนุญาต
หากกรณีที่ข้อมูลข่าวสารมีจำนวนมากหรือไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวัน
จะต้องแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ
รวมทั้งแจ้งกำหนดวันที่จะดำเนินการแล้วเสร็จให้ผู้ยื่นคำขอทราบด้วย
ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดใด หากหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารร้องขอ
ให้หน่วยงานในสังกัดนั้น จัดส่งข้อมูลข่าวสารหรือสำเนาข้อมูลข่าวสารให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารโดยเร็ว
หรือแจ้งตอบภายในห้าวันนับตั้งแต่ได้รับการร้องขอจากหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
ว่าจะจัดส่งข้อมูลข่าวสารตามที่ร้องขอ เพื่อให้ผู้ยื่นคำขอตรวจดูหรือรับสำเนาข้อมูลข่าวสารนั้นได้เมื่อใด
ข้อ ๑๘ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๖
มีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้แจ้งคำสั่งพร้อมเหตุผลให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
และแจ้งให้ทราบถึงสิทธิและกำหนดเวลาในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ทราบด้วย
ข้อ ๑๙ ข้อมูลข่าวสารใดหากมีกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ
คำสั่ง
หรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาตไว้เป็นพิเศษให้ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบ
ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
หมวด
๕
การบริการข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๐ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
มีหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารตามระเบียบนี้ และประสานงานกับหน่วยงานในสังกัด
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ รวมทั้งมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการดังนี้
(๑) รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ทันสมัย
และที่เปิดเผยได้ไว้เพื่อจำหน่ายหรือจ่ายแจก
(๒) อำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำแก่ผู้ยืนคำขอ
(๓)
ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ให้แจ้งผู้ยื่นคำขอทราบพร้อมเหตุผล
(๔) ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้ข้อมูลข่าวสาร
(๕) กำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการขอข้อมูลข่าวสาร
ข้อ
๒๑[๕] เมื่อมีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทน
และให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอผู้อำนวยการกองกำกับดูแลกิจการที่ดีหรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
กรณีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานในสังกัด
ให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทน
และให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด หรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
ในกรณีการขอข้อมูลข่าวสารทางโทรศัพท์ โทรสาร
หรือวิธีการอื่นใดนอกจากการติดต่อด้วยตนเองตามวรรคแรกและวรรคสอง
ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัด
เป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้ และให้หมายเหตุไว้ด้วยว่าเป็นการขอโดยวิธีใด
แล้วนำเสนอผู้มีอำนาจตามวรรคแรกหรือวรรคสองพิจารณาดำเนินการต่อไป
ข้อ ๒๒ ในการดำเนินการตามข้อ ๒๑
ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารและหน่วยงานในสังกัด จัดเก็บสถิติผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารทุกกรณี
และให้หน่วยงานในสังกัดจัดส่งสถิติดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารภายในเดือนตุลาคมของทุกปี
และให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารรวบรวมสถิติของผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารทั้งหมด
รายงานต่อ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และกระทรวงคมนาคม ต่อไป
ข้อ ๒๓ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัด ดำเนินการในการให้ข้อมูลข่าวสารดังนี้
(๑) ให้ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ แก่ผู้ยื่นคำขอ
โดยแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอมาลงนามเพื่อรับเอกสารที่ร้องขอโดยเร็ว
(๒) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารใดที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัด ไม่สามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาได้ว่าจะเปิดเผยได้หรือไม่
ให้ส่งข้อมูลข่าวสารนั้นเสนอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร
เพื่อพิจาณาวินิจฉัยว่าสามารถเปิดเผยได้หรือไม่
(๓)
อำนวยความสะดวกและหรือประสานงานกับหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องเพื่อขอข้อมูลข่าวสาร
ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารอยู่ที่หน่วยงานนั้น
ข้อ ๒๔ ให้หน่วยงานในสังกัดที่เป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสาร
หรือครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสาร
จะต้องปฏิบัติและให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลข่าวสารกับหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๒๕ ในกรณีผู้ยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารประสงค์ให้รับรองสำเนาถูกต้องของข้อมูลข่าวสารให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัดที่เป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสาร ตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป
เป็นผู้ลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
ข้อ ๒๖ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
การยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการลดอัตราค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร
ให้เป็นไปตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร หรือหน่วยงานในสังกัด
เมื่อรับคำขอ และค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยไว้แล้ว
ให้นำส่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้แก่ฝ่ายการเงินและบัญชีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ฝ่ายการเงินและบัญชีกำหนด
หมวด
๖
สถานที่บริการข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๗ ให้ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
เป็นศูนย์กลางการรับเรื่องและให้บริการข้อมูลข่าวสารโดยเป็นสถานที่ติดต่อสอบถาม
และรับคำขอจากผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๘ ให้แผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
ที่เป็นหน่วยงานดูแลศูนย์ข้อมูลข่าวสารมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) แนะนำ กำกับ ดูแล
การให้บริการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
(๒) ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน
หรือบัตรแสดงตนที่ทางราชการออกให้ของผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสาร
ให้ตรงกับการกรอกข้อความในแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
(๓) จัดให้มีแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร สำหรับผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารโดยจัดบริการไว้ที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๒๙ การใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ระเบียบฉบับนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
หรือจนกว่าจะสามารถดำเนินการตามระเบียบนี้ได้
ประกาศ ณ วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ณรงค์ เขียดเดช
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑[๖]
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ปุณิกา/อัญชลี/จัดทำ
๓
กรกฎาคม ๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๙
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พัชรภรณ์/เพิ่มเติม
๓
กันยายน ๒๕๖๒
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๗๓ ง/หน้า ๑/๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐
[๒] ข้อ ๕ บทนิยามคำว่า
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑
[๓] ข้อ ๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑
[๔] ข้อ ๑๖
(๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑
[๕] ข้อ ๒๑
วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑
[๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๘๒ ง/หน้า ๑/๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ |
819243 | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561
| ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่
๒)
พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่
วิธีการดำเนินงาน และสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ประกอบกับมาตรา ๒๕ และ ๒๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และข้อ ๒๐ แห่งระเบียบ ว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร ในข้อ ๕ ของระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า กองกำกับดูแลกิจการที่ดี
สำนักผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗ ของระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ
๗ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการทุกฝ่ายทุกสำนัก ยกเว้น
สำนักตรวจสอบภายใน เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการกองทุกกองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้สังกัดฝ่ายหรือสำนัก
เป็นกรรมการ โดยให้ผู้อำนวยการกองกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นกรรมการและเลขานุการ
ข้อ ๕ ให้ยกเลิกความใน (๑) ของข้อ ๑๖ แห่งระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทยว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๑) ผู้อำนวยกองกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย
สำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้ผู้อำนวยการกองกำกับดูแลกิจการที่ดี
เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
ข้อ ๖ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่ง ของข้อ ๒๑ แห่งระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทยว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ
๒๑ เมื่อมีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทน
และให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอผู้อำนวยการกองกำกับดูแลกิจการที่ดีหรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
สุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ
รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พัชรภรณ์/ธนบดี/จัดทำ
๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๘๒ ง/หน้า ๑/๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ |
780698 | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560 | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๐
โดยที่ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นระเบียบที่วางแนวทางในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
และมีบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบัน ประกอบกับได้มีพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๕๘ ออกใช้บังคับ ดังนั้น จึงสมควรปรับปรุงระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๕ เพื่อให้การปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างเหมาะสม
และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ประกอบมาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๕๐ และข้อ ๒๐ ของระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
และระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๔ บรรดาระเบียบ
คำสั่ง ประกาศ
หรือหลักปฏิบัติอื่นใดของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้
หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๕ ในระเบียบนี้
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หน่วยงานในสังกัด หมายความว่า
หน่วยงานภายในของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตั้งแต่ระดับฝ่าย สำนัก กอง และแผนก
หรือเทียบเท่า
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า กองข้อมูลข่าวสาร สำนักผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า
สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริง ข้อมูลหรือสิ่งใด ๆ ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะทำได้โดยจากสภาพของสิ่งนั้นเอง
หรือผ่านวิธีการใด ๆ และไม่ว่าจะได้จัดทำไว้ในรูปของเอกสาร แฟ้ม รายงาน หนังสือ
แผนผัง แผนที่ ภาพวาด ภาพถ่าย ฟิล์ม การบันทึกภาพ หรือเสียง การบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือวิธีการอื่นใดที่ทำให้สิ่งที่บันทึกไว้ปรากฏได้
ข้อมูลข่าวสารลับ หมายความว่า
ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๑๕ ที่มีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยและอยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐหรือที่เกี่ยวกับเอกชน
ซึ่งมีการกำหนดให้มีชั้นความลับเป็น ชั้นลับ ชั้นลับมาก หรือชั้นลับที่สุด
ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐและประโยชน์แห่งรัฐประกอบกัน
ข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารทั้งปวงของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๖ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจออกประกาศ หรือคำสั่ง เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ในกรณีที่มีปัญหาหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ให้ผู้ว่าการวินิจฉัยชี้ขาด คำวินิจฉัยนั้นให้เป็นที่สุด
หมวด ๑
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๗ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง
เรียกว่า คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการทุกฝ่ายทุกสำนัก ยกเว้น
สำนักตรวจสอบภายใน เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการกองทุกกองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้สังกัดฝ่ายหรือสำนัก
เป็นกรรมการ โดยให้ผู้อำนวยการกองข้อมูลข่าวสาร เป็นกรรมการและเลขานุการ
ข้อ ๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์
และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ในส่วนที่เกี่ยวกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(๒) พิจารณาเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖
และพิจารณาตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(๓) พิจารณาข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (เอกสารประวัติศาสตร์)
ในการส่งไปยังหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
(๔) ให้คำแนะนำหรือความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงและเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
(๕)
ให้คำแนะนำหรือความเห็นกรณีมีปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ
และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(๖) แจ้งให้หน่วยงานในสังกัดให้ความร่วมมือเพื่อดำเนินการใด ๆ
ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(๗) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน (แล้วแต่กรณี)
เพื่อช่วยปฏิบัติงานในเรื่องใด ๆ ที่สอดคล้องและสนับสนุนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ตามความเหมาะสมพร้อมทั้งมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้แก่คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร
(๘) ดำเนินงานเรื่องอื่นใดตามที่ผู้ว่าการมอบหมาย
ข้อ ๙ การประชุมคณะกรรมการต้องมีการประชุมไม่น้อยกว่าปีละหนึ่งครั้งและมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด
จึงเป็นองค์ประชุม
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่ได้อยู่ในที่ประชุม
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานในที่ประชุม
และถ้ากรรมการท่านใดไม่สามารถมาประชุมได้ให้มอบหมายพนักงานในสังกัดตั้งแต่ระดับ ๗
ขึ้นไปเข้าร่วมประชุมแทน
โดยให้ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับกรรมการผู้ที่มอบหมายทุกประการ
กรณีกรรมการหรือผู้แทนกรรมการท่านใดไม่เข้าร่วมการประชุมโดยไม่แจ้งเหตุให้ทราบให้ถือว่ากรรมการท่านนั้นขาดการประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการ หรือผู้แทนกรรมการหนึ่งคนให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน
ถ้าคะแนนเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ ๑๐ มติของคณะกรรมการทุกเรื่องจะสามารถนำไปดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้จัดส่งรายงานการประชุมให้ผู้ว่าการทราบแล้ว
หมวด ๒
การจัดระบบข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๑๑ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารจัดแยกประเภทและจัดทำดรรชนีข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยมีรายละเอียดเพียงพอที่ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารได้เอง
ข้อ ๑๒
ให้หน่วยงานในสังกัด จัดแยกประเภทข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครอง หรือควบคุมดูแล
โดยให้แยกประเภทข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ดังนี้
(๑) ข้อมูลข่าวสารที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา ๗
(๒) ข้อมูลข่าวสารที่จัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ตามมาตรา ๙
(๓) ข้อมูลข่าวสารอื่น ตามมาตรา ๑๑
การจัดแยกประเภทข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง
ให้คำนึงถึงลักษณะของข้อมูลข่าวสารตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการด้วยว่า
เป็นข้อมูลข่าวสารที่จะเปิดเผยมิได้ตามมาตรา ๑๔ หรือเป็นข้อมูลข่าวสารที่อาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยตามมาตรา
๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือไม่ด้วย
ให้หน่วยงานในสังกัดส่งข้อมูลข่าวสารตาม (๑) และ (๒)
ไปยังหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๑๓ ในการดำเนินงานตามข้อ
๑๒ ให้หน่วยงานในสังกัดจัดให้มีเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมดูแลตรวจสอบ ติดตาม
และประสานงานในการดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และทันสมัยอยู่เสมอ
หมวด ๓
วิธีการปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารลับ
ข้อ ๑๔ การปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารลับมิให้รั่วไหล
และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารลับของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ให้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ และกฎหมาย
หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดทำระเบียบ คำสั่ง ประกาศ
หรือหลักปฏิบัติอื่นใดให้สอดคล้องกับระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๔ และกฎหมาย หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ตามความเหมาะสม
หมวด ๔
การขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาต
ข้อ ๑๕ ผู้ใดประสงค์เข้าตรวจดูหรือขอสำเนาหรือสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร
ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือตามแบบท้ายระเบียบนี้ต่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือยื่นต่อหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข่าวสารนั้น
ในกรณีการขอข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานในสังกัดโดยตรง ให้หน่วยงานในสังกัดที่ให้ข้อมูลข่าวสารแจ้งการขอข้อมูลข่าวสารให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารทราบด้วย
เพื่อรวบรวมและจัดทำรายงานประจำปี
รายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี
และกระทรวงคมนาคม ทราบต่อไป
ให้เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับคำขอตรวจสอบว่าข้อมูลข่าวสารตามคำขอนั้น
เป็นข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือของหน่วยงานในสังกัดอื่นและให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
ให้เสนอเรื่องต่อบุคคลตามข้อ ๑๖ (๑) เพื่อพิจารณา
(๒) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดให้ประสานงานไปยังหน่วยงานดังกล่าว
เพื่อดำเนินการให้บุคคลผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๖ (๒) เพื่อพิจารณา
ข้อ ๑๖ ให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตให้ตรวจดูหรือให้ทำสำเนาข้อมูลข่าวสาร
(๑) ผู้อำนวยการกองข้อมูลข่าวสาร หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย
สำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้ผู้อำนวยการกองข้อมูลข่าวสาร เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
(๒) หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด
หรือผู้ซึ่งหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดมอบหมายสำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดตน
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้ผู้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการกอง
หรือเทียบเท่าขึ้นไปของหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
(๓) คณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร สำหรับข้อมูลข่าวสารทุกประเภท
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจตาม (๑) และ (๒)
ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าข้อมูลข่าวสารใดเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้หรือไม่
ให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารตาม (๓) เพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๖ (๑)
หรือ (๒) มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัด จัดส่งข้อมูลข่าวสารให้แก่ผู้ยื่นคำขอตรวจดูหรือรับสำเนาข้อมูลข่าวสารนั้นได้ที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือที่หน่วยงานในสังกัดที่ครอบครอง หรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
ภายในวันที่มีคำสั่งอนุญาต
หากกรณีที่ข้อมูลข่าวสารมีจำนวนมากหรือไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวัน
จะต้องแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ
รวมทั้งแจ้งกำหนดวันที่จะดำเนินการแล้วเสร็จให้ผู้ยื่นคำขอทราบด้วย
ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดใด หากหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารร้องขอ
ให้หน่วยงานในสังกัดนั้น จัดส่งข้อมูลข่าวสารหรือสำเนาข้อมูลข่าวสารให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารโดยเร็ว
หรือแจ้งตอบภายในห้าวันนับตั้งแต่ได้รับการร้องขอจากหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
ว่าจะจัดส่งข้อมูลข่าวสารตามที่ร้องขอ
เพื่อให้ผู้ยื่นคำขอตรวจดูหรือรับสำเนาข้อมูลข่าวสารนั้นได้เมื่อใด
ข้อ ๑๘ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๖
มีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้แจ้งคำสั่งพร้อมเหตุผลให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
และแจ้งให้ทราบถึงสิทธิและกำหนดเวลาในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา
๑๘ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ทราบด้วย
ข้อ ๑๙ ข้อมูลข่าวสารใดหากมีกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ
คำสั่ง
หรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาตไว้เป็นพิเศษให้ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบ
ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
หมวด ๕
การบริการข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๐ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
มีหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารตามระเบียบนี้ และประสานงานกับหน่วยงานในสังกัด
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ รวมทั้งมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการดังนี้
(๑) รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ทันสมัย
และที่เปิดเผยได้ไว้เพื่อจำหน่ายหรือจ่ายแจก
(๒) อำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำแก่ผู้ยืนคำขอ
(๓)
ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ให้แจ้งผู้ยื่นคำขอทราบพร้อมเหตุผล
(๔)
ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้ข้อมูลข่าวสาร
(๕) กำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการขอข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๑ เมื่อมีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทน
และให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอผู้อำนวยการข้อมูลข่าวสาร หรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
กรณีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานในสังกัด
ให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทน
และให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด หรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
ในกรณีการขอข้อมูลข่าวสารทางโทรศัพท์ โทรสาร
หรือวิธีการอื่นใดนอกจากการติดต่อด้วยตนเองตามวรรคแรกและวรรคสอง
ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัด
เป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้ และให้หมายเหตุไว้ด้วยว่าเป็นการขอโดยวิธีใด
แล้วนำเสนอผู้มีอำนาจตามวรรคแรกหรือวรรคสองพิจารณาดำเนินการต่อไป
ข้อ ๒๒ ในการดำเนินการตามข้อ ๒๑
ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารและหน่วยงานในสังกัด จัดเก็บสถิติผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารทุกกรณี
และให้หน่วยงานในสังกัดจัดส่งสถิติดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารภายในเดือนตุลาคมของทุกปี
และให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารรวบรวมสถิติของผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารทั้งหมด
รายงานต่อ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และกระทรวงคมนาคม ต่อไป
ข้อ ๒๓ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัด ดำเนินการในการให้ข้อมูลข่าวสารดังนี้
(๑)
ให้ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ แก่ผู้ยื่นคำขอ โดยแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอมาลงนามเพื่อรับเอกสารที่ร้องขอโดยเร็ว
(๒) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารใดที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัด ไม่สามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาได้ว่าจะเปิดเผยได้หรือไม่
ให้ส่งข้อมูลข่าวสารนั้นเสนอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร
เพื่อพิจาณาวินิจฉัยว่าสามารถเปิดเผยได้หรือไม่
(๓)
อำนวยความสะดวกและหรือประสานงานกับหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องเพื่อขอข้อมูลข่าวสาร
ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารอยู่ที่หน่วยงานนั้น
ข้อ ๒๔ ให้หน่วยงานในสังกัดที่เป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสาร
หรือครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสาร
จะต้องปฏิบัติและให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลข่าวสารกับหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๒๕ ในกรณีผู้ยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารประสงค์ให้รับรองสำเนาถูกต้องของข้อมูลข่าวสารให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัดที่เป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสาร ตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป
เป็นผู้ลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
ข้อ ๒๖ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
การยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการลดอัตราค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร
ให้เป็นไปตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร หรือหน่วยงานในสังกัด
เมื่อรับคำขอ และค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยไว้แล้ว
ให้นำส่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้แก่ฝ่ายการเงินและบัญชีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ฝ่ายการเงินและบัญชีกำหนด
หมวด ๖
สถานที่บริการข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๗ ให้ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
เป็นศูนย์กลางการรับเรื่องและให้บริการข้อมูลข่าวสารโดยเป็นสถานที่ติดต่อสอบถาม
และรับคำขอจากผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๘ ให้แผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
ที่เป็นหน่วยงานดูแลศูนย์ข้อมูลข่าวสารมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) แนะนำ กำกับ ดูแล
การให้บริการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
(๒) ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน
หรือบัตรแสดงตนที่ทางราชการออกให้ของผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสาร
ให้ตรงกับการกรอกข้อความในแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
(๓) จัดให้มีแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
สำหรับผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารโดยจัดบริการไว้ที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๒๙ การใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ระเบียบฉบับนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
หรือจนกว่าจะสามารถดำเนินการตามระเบียบนี้ได้
ประกาศ
ณ วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ณรงค์ เขียดเดช
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปุณิกา/อัญชลี/จัดทำ
๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๙ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๗๓ ง/หน้า ๑/๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ |
700438 | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๕
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง โครงสร้างและการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่
วิธีการดำเนินงานและสถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๕ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร ในข้อ ๔ ของระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า กองข้อมูลข่าวสาร สำนักผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๔ ให้แก้ไขความในข้อ
๖ ของระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการทุกฝ่ายทุกสำนัก
เป็นกรรมการ โดยให้ผู้อำนวยการกองข้อมูลข่าวสาร เป็นกรรมการและเลขานุการ
และให้หัวหน้าแผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
หัวหน้าแผนกพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ข้อ ๕ ให้แก้ไขความในข้อ
๑๕ (๑) ของระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๕ ให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตให้ตรวจดูหรือให้ทำสำเนาข้อมูลข่าวสาร
(๑) ผู้อำนวยการกองข้อมูลข่าวสาร หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย
สำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้ผู้อำนวยการกองข้อมูลข่าวสารเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
ข้อ ๖ ให้แก้ไขความในข้อ ๒๐ วรรคหนึ่ง
ของระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทยว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๒๐ เมื่อมีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทน
และให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอผู้อำนวยการกองข้อมูลข่าวสารหรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕
อัยยณัฐ
ถินอภัย
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๗ มกราคม ๒๕๕๗
โชติกานต์/ผู้ตรวจ
๗ มกราคม ๒๕๕๗
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๙๐ ง/หน้า ๔/๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ |
676300 | ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. 2555 | ระเบียบ
ระเบียบ
เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๕
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบันของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา
๒๙ และมาตรา ๓๔
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่ ๒๔
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิก
(๑) ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๒๔
(๒) ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๕
(๓) ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๒๗
(๔) ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๔๘
(๕) ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๖)
พ.ศ. ๒๕๔๘
(๖) ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๗)
พ.ศ. ๒๕๕๒
ข้อ ๔ ห้ามมิให้รถดังต่อไปนี้เดินในทางพิเศษ
(๑) รถจักรยาน
(๒) ล้อเลื่อน ตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน
(๓) รถจักรยานยนต์
(๔) รถสามล้อ
(๕) รถแทรกเตอร์และรถบดถนน ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
(๖) รถฝึกหัดขับหรือรถทดลองเครื่อง
(๗) รถที่ใช้เฉพาะเพื่อการโฆษณา
(๘) รถที่มีขนาดความสูงของตัวรถหรือความสูงของสิ่งของที่บรรทุก
เมื่อวัดจากพื้นทางเกิน ๔.๐๐ เมตร
หรือมีขนาดความกว้างของตัวรถรวมทั้งสิ่งของที่บรรทุกเกิน ๒.๕๐ เมตร หรือมีรัศมีวงเลี้ยวเกิน
๑๒.๐๐ เมตร
(๙) รถซึ่งบรรทุกคนในกระบะท้าย
โดยไม่จัดให้มีหลังคาปกปิดมิดชิดและที่นั่งสองแถวมั่นคงแข็งแรง
อันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน
(๑๐) รถซึ่งบรรทุกสัตว์ หรือสิ่งของในกระบะท้าย หรือส่วนท้ายรถ
โดยไม่จัดให้มีสิ่งป้องกันไม่ให้สัตว์หรือสิ่งของที่บรรทุกตกหล่น รั่วไหล
หรือปลิวไปจากรถอันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
ข้อ ๕ เว้นแต่กรณีตามข้อ
๖ ห้ามมิให้รถที่มีน้ำหนักลงเพลาหรือรถที่มีน้ำหนักรถ รวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดดังต่อไปนี้เดินในทางพิเศษ
(๑) รถชนิดรถเดี่ยว (SINGLE UNIT)
(ก) รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๔ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางเดี่ยว
มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒ เกิน ๖,๘๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๘,๕๐๐ กิโลกรัม
(ข) รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางคู่
มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒ เกิน ๙,๑๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๒,๐๐๐ กิโลกรัม
(ค) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓
เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๑๐๐ กิโลกรัม
หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๒,๒๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน
๑๕,๓๐๐ กิโลกรัม
(ง) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓
เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๘,๒๐๐ กิโลกรัม
หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๖,๔๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๑,๐๐๐ กิโลกรัม
(จ) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่ ๓ ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๖,๘๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๐,๕๐๐
กิโลกรัม
(ฉ) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่ ๓ ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๙,๑๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๔,๐๐๐
กิโลกรัม
(ช) รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยวและชนิดเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓
และเพลาที่ ๔ เกินเพลาละ ๖,๑๐๐ กิโลกรัม
หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๒,๒๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๘,๘๐๐ กิโลกรัม
(ซ) รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยวและชนิดเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔
เกินเพลาละ ๘,๒๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน
๑๖,๔๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๕,๒๐๐ กิโลกรัม
(๒) รถชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน
(๑)
(ข) ตัวรถกึ่งพ่วงชนิดไม่เกิน ๒ เพลา มีน้ำหนักลงเพลาดังนี้
๑. ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๒ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกิน ๖,๘๐๐ กิโลกรัม
๒. ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๔ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกิน ๙,๑๐๐ กิโลกรัม
๓. ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว
ยาง ๔ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๑๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๒,๒๐๐ กิโลกรัม
๔. ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่
ยาง ๘ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๘,๒๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๖,๔๐๐ กิโลกรัม
๕. ชนิดสามเพลา (TRIDEM AXLE) ใช้ยางคู่
ยาง ๑๒ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๙,๕๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN)
กับศูนย์กลางของเพลาที่ ๑ ของตัวรถกึ่งพ่วงน้อยกว่า ๘ เมตร
(๓) รถชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่า
ที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน (๒)
(ข) ตัวรถพ่วงชนิดไม่เกิน ๒ เพลา มีน้ำหนักลงเพลาดังนี้
๑. ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๔ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๘๐๐ กิโลกรัม
๒. ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๘ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๙,๑๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างศูนย์กลางเพลาหน้ากับศูนย์กลางเพลาหลังน้อยกว่า ๔.๓๐ เมตร
ข้อ ๖ ห้ามมิให้รถที่มีน้ำหนักลงเพลาหรือรถที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดดังต่อไปนี้เดินในทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี - สุขสวัสดิ์)
(๑) รถชนิดรถเดี่ยว (SINGLE UNIT)
(ก) รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๔ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางเดี่ยว
มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒ เกิน ๗,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๙,๕๐๐ กิโลกรัม
(ข) รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางคู่
มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒ เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๕,๐๐๐ กิโลกรัม
(ค) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓
เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน
๑๘,๐๐๐ กิโลกรัม
(ง) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓
เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๕,๐๐๐ กิโลกรัม
(จ) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่ ๓ ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๗,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๘,๐๐๐
กิโลกรัม
(ฉ) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่ ๓ ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๑,๐๐๐
กิโลกรัม
(ช) รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓
เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) เพลาคู่ท้ายเพลาใดเพลาหนึ่งใช้ยางเดี่ยว
อีกเพลาหนึ่งใช้ยางคู่ มีน้ำหนัก ลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๖,๕๐๐
กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๑,๕๐๐ กิโลกรัม
(ซ) รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยวและชนิดเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๓,๐๐๐
กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๓,๐๐๐ กิโลกรัม
(ฌ) รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยว และชนิดเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๒๐,๐๐๐
กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๓๐,๐๐๐ กิโลกรัม
(๒) รถชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน
(๑)
(ข) ตัวรถกึ่งพ่วง มีน้ำหนักลงเพลาดังนี้
๑. ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๒ เส้น มีน้ำหนักลงเพลา เกิน ๗,๐๐๐ กิโลกรัม
๒. ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๔ เส้น มีน้ำหนักลงเพลา เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม
๓. ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว
ยาง ๔ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม
๔. ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่
ยาง ๘ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม
๕. ชนิดสามเพลา (TRIDEM AXLE) ใช้ยางคู่
ยาง ๑๒ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๘,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๒๕,๕๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN)
กับศูนย์กลางของเพลาที่ ๑ ของตัวรถกึ่งพ่วงน้อยกว่า ๘ เมตร
(๓) รถชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน
(๒)
(ข) ตัวรถพ่วงชนิดไม่เกิน ๒ เพลา มีน้ำหนักลงเพลาดังนี้
๑. ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๔ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๗,๐๐๐ กิโลกรัม
๒. ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๘ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างศูนย์กลางเพลาหน้ากับศูนย์กลางเพลาหลังน้อยกว่า ๔.๓๐ เมตร
ข้อ ๗ รถชนิดรถลากจูงและรถพ่วง
(FULL TRAILER) ต้องประกอบด้วยรถลากจูง ๑ คัน และตัวรถพ่วง
๑ คัน เท่านั้น จะพ่วงรถอื่นใดอีกไม่ได้
ผู้ขับขี่รถชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER) หรือรถพ่วง (FULL TRAILER) ต้องจัดให้มีการยึดตู้คอนเทนเนอร์ให้ติดแน่นกับตัวรถ
ข้อ ๘ ห้ามมิให้หยุดหรือจอดรถในทางพิเศษ
เว้นแต่บริเวณที่มีป้ายอนุญาตให้จอดรถชั่วคราว หรือในกรณีที่รถขัดข้องหรือเกิดอุบัติเหตุ
ในกรณีที่รถขัดข้องหรือเกิดอุบัติเหตุ
ผู้ขับรถต้องแจ้งให้ศูนย์ควบคุมทางพิเศษทราบทันที
ข้อ ๙ ห้ามมิให้กลับรถหรือถอยหลังรถในทางพิเศษ
ข้อ ๑๐ ระเบียบนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
รถเจ้าพนักงานตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่
และรถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
มณเฑียร
กุลธำรง
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๑๙ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๖๕ ง/หน้า ๑/๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ |
645746 | ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2553
| ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๓
โดยที่กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้
ประกอบกับข้อ ๔ ของประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดู
ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๑
กำหนดให้หน่วยงานของรัฐจะกำหนดระเบียบปฏิบัติในการให้ประชาชนเข้าตรวจดูข้อมูลข่าวสารเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือความปลอดภัยก็ได้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ประกอบมาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงออกระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓
ข้อ ๒[๑]
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ บรรดาระเบียบ
คำสั่ง ประกาศ หรือหลักปฏิบัติอื่นใดของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้
หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๔ ในระเบียบนี้
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
หน่วยงานในสังกัด หมายความว่า
หน่วยงานภายในของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตั้งแต่ระดับฝ่าย สำนัก กอง และแผนก
หรือเทียบเท่า
หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า สำนักข้อมูลข่าวสารการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า
สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริง ข้อมูลหรือสิ่งใด ๆ ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะทำได้โดยจากสภาพของสิ่งนั้นเอง
หรือผ่านวิธีการใด ๆ และไม่ว่าจะได้จัดทำไว้ในรูปของเอกสาร แฟ้ม รายงาน หนังสือ
แผนผัง แผนที่ ภาพวาด ภาพถ่าย ฟิล์ม การบันทึกภาพ หรือเสียง
การบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือวิธีการอื่นใดที่ทำให้สิ่งที่บันทึกไว้ปรากฏได้
ข้อมูลข่าวสารลับ หมายความว่า
ข้อมูลข่าวสารตามคำนิยามที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๔
ข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารทั้งปวงของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร หมายความว่า
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการรักษาการตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจออกประกาศ หรือคำสั่ง เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ในกรณีที่มีปัญหาหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ให้ผู้ว่าการวินิจฉัยชี้ขาด
คำวินิจฉัยนั้นให้เป็นที่สุด
หมวด ๑
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ข้อ ๖ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง
เรียกว่า คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ประกอบด้วย รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการทุกฝ่ายทุกสำนัก เป็นกรรมการ
โดยให้ผู้อำนวยการสำนักข้อมูลข่าวสาร เป็นกรรมการและเลขานุการ
และให้หัวหน้าแผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
หัวหน้าแผนกพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ข้อ ๗ ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์
และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(๒) พิจารณาเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖
และพิจารณาตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(๓) พิจารณาข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (เอกสารประวัติศาสตร์)
ในการส่งไปยังหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากรหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
(๔)
ให้คำแนะนำหรือความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงและเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
(๕)
ให้คำแนะนำหรือความเห็นกรณีมีปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ
และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(๖) แจ้งให้หน่วยงานในสังกัดให้ความร่วมมือเพื่อดำเนินการใด ๆ
ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(๗) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน (แล้วแต่กรณี)
เพื่อช่วยปฏิบัติงานในเรื่องใด ๆ ที่สอดคล้องและสนับสนุนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔
ตามความเหมาะสมพร้อมทั้งมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้แก่คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร
(๘) ดำเนินงานเรื่องอื่นใดตามที่ผู้ว่าการมอบหมาย
ข้อ ๘ การประชุมคณะกรรมการต้องมีการประชุมไม่น้อยกว่าปีละสองครั้ง
และมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด จึงเป็นองค์ประชุม
ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่ได้อยู่ในที่ประชุม
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานในที่ประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการหนึ่งคนให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ ๙ มติของคณะกรรมการทุกเรื่องต้องรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
จึงจะดำเนินการตามมตินั้นได้
หมวด ๒
การจัดระบบข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๑๐ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารจัดแยกประเภทและจัดทำดรรชนีข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยมีรายละเอียดเพียงพอที่ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารได้เอง
ข้อ ๑๑ ให้หน่วยงานในสังกัด
จัดแยกประเภทข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแล
โดยให้แยกประเภทข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ดังนี้
(๑) ข้อมูลข่าวสารที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา ๗
(๒) ข้อมูลข่าวสารที่จัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ตามมาตรา ๙
(๓) ข้อมูลข่าวสารอื่น ตามมาตรา ๑๑
การจัดแยกประเภทข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง
ให้คำนึงถึงลักษณะของข้อมูลข่าวสารตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการด้วยว่าเป็นข้อมูลข่าวสารที่จะเปิดเผยมิได้ตามมาตรา
๑๔ หรือเป็นข้อมูลข่าวสารที่อาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือไม่ด้วย
ให้หน่วยงานในสังกัดจัดส่งข้อมูลข่าวสารตาม (๑) และ (๒)
ไปยังหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๑๒ ในการดำเนินงานตามข้อ ๑๑
ให้หน่วยงานในสังกัดจัดให้มีเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมดูแลตรวจสอบ ติดตาม
และประสานงานในการดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและทันสมัยอยู่เสมอ
หมวด ๓
วิธีการปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารลับ
ข้อ ๑๓ การปฏิบัติต่อข้อมูลข่าวสารลับมิให้รั่วไหล
และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารลับของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ให้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ และกฎหมาย
หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดทำระเบียบ คำสั่ง ประกาศ
หรือหลักปฏิบัติอื่นใดให้สอดคล้องกับระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๔ และกฎหมาย หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ตามความเหมาะสม
หมวด ๔
การขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาต
ข้อ ๑๔ ผู้ใดประสงค์จะเข้าตรวจดูหรือขอสำเนาหรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร
ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือตามแบบท้ายระเบียบนี้ต่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือยื่นต่อหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
ในกรณีการขอข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานในสังกัดโดยตรง
ให้หน่วยงานในสังกัดที่ให้ข้อมูลข่าวสาร
แจ้งการขอข้อมูลข่าวสารให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารทราบด้วย
เพื่อรวบรวมและจัดทำรายงานประจำปี
รายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และกระทรวงคมนาคม ทราบต่อไป
ให้เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับคำขอตรวจสอบว่าข้อมูลข่าวสารตามคำขอนั้น
เป็นข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือของหน่วยงานในสังกัดอื่นและให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร ให้เสนอเรื่องต่อบุคคลตามข้อ
๑๕ (๑) เพื่อพิจารณา
(๒) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดให้ประสานงานไปยังหน่วยงานดังกล่าว
เพื่อดำเนินการให้บุคคลผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๕ (๒) เพื่อพิจารณา
ข้อ ๑๕ ให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตให้ตรวจดูหรือให้ทำสำเนาข้อมูลข่าวสาร
(๑) ผู้อำนวยการสำนักข้อมูลข่าวสาร หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย
สำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้ผู้อำนวยการสำนักข้อมูลข่าวสาร เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
(๒) หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด หรือผู้ซึ่งหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดมอบหมายสำหรับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดตน
เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารลับหรือเป็นข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕
แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้ผู้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการกอง
หรือเทียบเท่าขึ้นไปของหน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
(๓) คณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร สำหรับข้อมูลข่าวสารทุกประเภท
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจตาม (๑) และ (๒)
ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าข้อมูลข่าวสารใดเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้หรือไม่
ให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารตาม (๓)
เพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ข้อ ๑๖ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๕ (๑)
หรือ (๒) มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ ให้ผู้ยื่นคำขอตรวจดูหรือรับสำเนาข้อมูลข่าวสารนั้นได้ที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารหรือที่หน่วยงานในสังกัดที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้น
ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารอยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานในสังกัดใด
หากหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารร้องขอ ให้หน่วยงานในสังกัดนั้น
จัดส่งข้อมูลข่าวสารหรือสำเนาข้อมูลข่าวสารให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
เพื่อให้ผู้ยื่นคำขอตรวจดูหรือรับสำเนาข้อมูลข่าวสารนั้น
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจอนุญาตตามข้อ ๑๕
มีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้แจ้งคำสั่งพร้อมเหตุผลให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
และแจ้งให้ทราบถึงสิทธิและกำหนดเวลาในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๑๘ ข้อมูลข่าวสารใดหากมีกฎหมาย
ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง
หรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการขอข้อมูลข่าวสารและการอนุญาตไว้เป็นพิเศษให้ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบ
ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
หมวด ๕
การบริการข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๑๙ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
มีหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารตามระเบียบนี้และประสานงานกับหน่วยงานในสังกัด
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ รวมทั้งมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการดังนี้
(๑) รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ทันสมัย
และที่เปิดเผยได้ไว้เพื่อจำหน่ายหรือจ่ายแจก
(๒) อำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำแก่ผู้ยื่นคำขอ
(๓)
ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ให้แจ้งผู้ยื่นคำขอทราบพร้อมเหตุผล
(๔) ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้ข้อมูลข่าวสาร
(๕) กำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการขอข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๐ เมื่อมีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าว
ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทน
และให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอผู้อำนวยการสำนักข้อมูลข่าวสารหรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
กรณีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองที่หน่วยงานในสังกัด
ให้ผู้ยื่นคำขอกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
หากผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์จะกรอกแบบดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดเป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารแทนและให้ผู้ยื่นคำขอลงนามก่อนนำเสนอหัวหน้าหน่วยงานในสังกัด
หรือผู้ได้รับมอบหมายพิจารณาดำเนินการต่อไป
ในกรณีการขอข้อมูลข่าวสารทางโทรศัพท์ โทรสาร
หรือวิธีการอื่นใดนอกจากการติดต่อด้วยตนเองตามวรรคแรกและวรรคสอง
ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัด
เป็นผู้ดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารตามแบบท้ายระเบียบนี้
และให้หมายเหตุไว้ด้วยว่าเป็นการขอโดยวิธีใด
แล้วนำเสนอผู้มีอำนาจตามวรรคแรกหรือวรรคสองพิจารณาดำเนินการต่อไป
ข้อ ๒๑ ในการดำเนินการตามข้อ ๒๐
ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารและหน่วยงานในสังกัด
จัดเก็บสถิติผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารทุกกรณี
และให้หน่วยงานในสังกัดจัดส่งสถิติดังกล่าวพร้อมสำเนาแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารภายในเดือนกันยายนของทุกปี
และให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารรวบรวมสถิติของผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารทั้งหมด
รายงานต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และกระทรวงคมนาคม ต่อไป
ข้อ ๒๒ ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัด ดำเนินการในการให้ข้อมูลข่าวสารดังนี้
(๑) ให้ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ แก่ผู้ยื่นคำขอ
โดยแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอมาลงนามเพื่อรับเอกสารที่ร้องขอโดยเร็ว
(๒) ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารใดที่หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัดไม่สามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาได้ว่าจะเปิดเผยได้หรือไม่
ให้ส่งข้อมูลข่าวสารนั้นเสนอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่าสามารถเปิดเผยได้หรือไม่
(๓)
อำนวยความสะดวกและหรือประสานงานกับหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องเพื่อขอข้อมูลข่าวสาร
ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารอยู่ที่หน่วยงานนั้น
ข้อ ๒๓ ให้หน่วยงานในสังกัดที่เป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสาร
หรือครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสาร
จะต้องปฏิบัติและให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลข่าวสารกับหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๒๔ ในกรณีผู้ยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารประสงค์ให้รับรองสำเนาถูกต้องของข้อมูลข่าวสารให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร
หรือหน่วยงานในสังกัดที่เป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสาร
ตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป เป็นผู้ลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
ข้อ ๒๕ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
การยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือการลดอัตราค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร
ให้เป็นไปตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้หน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร หรือหน่วยงานในสังกัด
เมื่อรับคำขอ และค่าธรรมเนียมการขอสำเนา
หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องตามประกาศการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขอสำเนา หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยไว้แล้ว
ให้นำส่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้แก่ฝ่ายการเงินและบัญชี
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ฝ่ายการเงินและบัญชีกำหนด
หมวด ๖
สถานที่บริการข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๖ ให้ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
เป็นศูนย์กลางการรับเรื่องและให้บริการข้อมูลข่าวสารโดยเป็นสถานที่ติดต่อสอบถาม
และรับคำขอจากผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสาร
ข้อ ๒๗ ให้แผนกวิเคราะห์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
ที่เป็นหน่วยงานดูแลศูนย์ข้อมูลข่าวสารมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) แนะนำ กำกับ ดูแล การให้บริการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและดำเนินการกรอกแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
(๒) ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรแสดงตนที่ทางราชการออกให้ของผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสาร
ให้ตรงกับการกรอกข้อความในแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
(๓) จัดให้มีแบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสาร
สำหรับผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารโดยจัดบริการไว้ที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๒๘ การใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ระเบียบฉบับนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
หรือจนกว่าจะสามารถดำเนินการตามระเบียบนี้ได้
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
พันโท
ทวีสิน รักกตัญญู
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบการขอใช้บริการข้อมูลข่าวสารของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๘ มีนาคม ๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๘ มีนาคม ๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนพิเศษ ๒๒ ง/หน้า ๑๔/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ |
599429 | ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 7) พ.ศ. 2552
| ระเบียบ
เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
(แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๗)
พ.ศ. ๒๕๕๒
ตามที่ได้มีระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๒๔
กำหนดห้ามมิให้รถที่มีน้ำหนักลงเพลาหรือรถที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดเดินในทางพิเศษนั้น
ปัจจุบันการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์
เชื่อมต่อกับทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ตอนบางพลี
บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน)
แล้วเสร็จโดยเปิดใช้เพื่อการจราจรแล้วเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ จึงเห็นควรกำหนดน้ำหนักรถบรรทุกที่เดินในทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์ ให้สอดคล้องกับประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ
ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินและผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทาน เรื่อง
ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหาย
เดินบนทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงสัมปทาน ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๔๘
ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบมาตรา
๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๔
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ตามคำสั่งกระทรวงคมนาคม ที่ ๗๖/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙
จึงออกระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
(แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๒
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔
แห่งระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๒๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔ เว้นแต่กรณีตามข้อ ๔/๑
ห้ามมิให้รถที่มีน้ำหนักลงเพลาหรือรถที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดดังต่อไปนี้เดินในทางพิเศษ
(๑)
รถชนิดรถเดี่ยว (SINGLE UNIT)
(ก)
รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๔ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒
เกิน ๖,๘๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๘,๕๐๐
กิโลกรัม
(ข)
รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒ เกิน
๙,๑๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๒,๐๐๐
กิโลกรัม
(ค)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๑๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๒,๒๐๐
กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๕,๓๐๐ กิโลกรัม
(ง)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๘,๒๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๖,๔๐๐
กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๑,๐๐๐ กิโลกรัม
(จ)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒ เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่
๓ ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๖,๘๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๐,๕๐๐ กิโลกรัม
(ฉ)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒ เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่
๓ ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๙,๑๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๔,๐๐๐ กิโลกรัม
(ช)
รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒ เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยวและชนิดเพลาที่
๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว
มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔ เกินเพลาละ ๖,๑๐๐
กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๒,๒๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๘,๘๐๐ กิโลกรัม
(ซ)
รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒
เป็นเพลาหน้าใช้ยางเดี่ยวและชนิดเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔
เกินเพลาละ ๘,๒๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน
๑๖,๔๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๕,๒๐๐ กิโลกรัม
(๒)
รถชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุก
เกินกว่าที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน (๑)
(ข)
ตัวรถกึ่งพ่วงชนิดไม่เกิน ๒ เพลา มีน้ำหนักลงเพลา ดังนี้
๑.
ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๒ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกิน ๖,๘๐๐
กิโลกรัม
๒.
ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๔ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกิน ๙,๑๐๐
กิโลกรัม
๓.
ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว ยาง ๔ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๑๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๒,๒๐๐ กิโลกรัม
๔.
ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ยาง ๘ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๘,๒๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๖,๔๐๐ กิโลกรัม
๕.
ชนิดสามเพลา (TRIDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ยาง ๑๒ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๙,๕๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN)
กับศูนย์กลางของเพลาที่ ๑ ของตัวรถกึ่งพ่วงน้อยกว่า ๘ เมตร
(๓)
รถชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน
(๒)
(ข)
ตัวรถพ่วงชนิดไม่เกิน ๒ เพลา มีน้ำหนักลงเพลา ดังนี้
๑.
ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๔ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๘๐๐ กิโลกรัม
๒.
ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๘ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๙,๑๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างศูนย์กลางเพลาหน้ากับศูนย์กลางเพลาหลังน้อยกว่า ๔.๓๐ เมตร
ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔/๑
แห่งระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๒๔
ข้อ ๔/๑ ห้ามมิให้รถที่มีน้ำหนักลงเพลาหรือรถที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดดังต่อไปนี้เดินในทางพิเศษสายบางพลี
- สุขสวัสดิ์
(๑)
รถชนิดรถเดี่ยว (SINGLE UNIT)
(ก)
รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๔ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒
เกิน ๗,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๙,๕๐๐
กิโลกรัม
(ข)
รถที่มี ๒ เพลา ๔ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๒ เกิน
๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๕,๐๐๐
กิโลกรัม
(ค)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๓,๐๐๐
กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๘,๐๐๐ กิโลกรัม
(ง)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัมหรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๒๐,๐๐๐
กิโลกรัม หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๕,๐๐๐ กิโลกรัม
(จ)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๖ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒ เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่
๓ ใช้ยางเดี่ยว มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๗,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑๘,๐๐๐ กิโลกรัม
(ฉ)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒ เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยวและเพลาที่
๓ ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาที่ ๓ เกิน ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๑,๐๐๐ กิโลกรัม
(ช)
รถที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๒ และเพลาที่ ๓ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) เพลาคู่ท้ายเพลาใดเพลาหนึ่งใช้ยางเดี่ยวอีกเพลาหนึ่งใช้ยางคู่
มีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๖,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๑,๕๐๐ กิโลกรัม
(ซ)
รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๘ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒ เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยวและชนิดเพลาที่
๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๒๓,๐๐๐ กิโลกรัม
(ฌ)
รถที่มี ๔ เพลา ๘ ล้อ ยาง ๑๒ เส้น ชนิดเพลาที่ ๑ และเพลาที่ ๒ เป็นเพลาหน้า ใช้ยางเดี่ยว
และชนิดเพลาที่ ๓ และเพลาที่ ๔ เป็นเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๐,๐๐๐
กิโลกรัม หรือมีน้ำหนักลงเพลาคู่ท้ายเกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๓๐,๐๐๐ กิโลกรัม
(๒)
รถชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง (SEMI - TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน
(๑)
(ข)
ตัวรถกึ่งพ่วง มีน้ำหนักลงเพลา ดังนี้
๑.
ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๒ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกิน ๗,๐๐๐
กิโลกรัม
๒.
ชนิดเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๔ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกิน ๑๑,๐๐๐
กิโลกรัม
๓.
ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางเดี่ยว ยาง ๔ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๖,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัม
๔.
ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ยาง ๘ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม
๕.
ชนิดสามเพลา (TRIDEM AXLE) ใช้ยางคู่ ยาง ๑๒ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๘,๕๐๐ กิโลกรัม
หรือน้ำหนักลงเพลารวมเกิน ๒๕,๕๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างสลักพ่วง (KING PIN)
กับศูนย์กลางของเพลาที่ ๑ ของตัวรถกึ่งพ่วงน้อยกว่า ๘ เมตร
(๓)
รถชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER)
(ก)
ตัวรถลากจูงมีน้ำหนักลงเพลาหรือน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนดไว้สำหรับรถแต่ละประเภทใน
(๒)
(ข)
ตัวรถพ่วงชนิดไม่เกิน ๒ เพลา มีน้ำหนักลงเพลา ดังนี้
๑.
ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางเดี่ยว ยาง ๔ เส้น มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ
๗,๐๐๐ กิโลกรัม
๒.
ชนิดเพลาหน้าและเพลาท้ายเป็นเพลาเดี่ยวใช้ยางคู่ ยาง ๘ เส้น
มีน้ำหนักลงเพลาเกินเพลาละ ๑๑,๐๐๐ กิโลกรัม
และระยะห่างระหว่างศูนย์กลางเพลาหน้ากับศูนย์กลางเพลาหลังน้อยกว่า ๔.๓๐ เมตร
ข้อ ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔/๒
แห่งระเบียบเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๒๔
ข้อ ๔/๒ รถชนิดรถลากจูงและรถพ่วง (FULL TRAILER) ต้องประกอบด้วยรถลากจูง ๑ คัน และตัวรถพ่วง
๑ คัน เท่านั้น จะพ่วงรถอื่นใดอีกไม่ได้
ผู้ขับขี่รถชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง
(SEMI - TRAILER) หรือรถพ่วง (FULL TRAILER) ต้องจัดให้มีการยึดตู้คอนเทนเนอร์ให้ติดแน่นกับตัวรถ
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
สมชาย จารุเกษมรัตนะ
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ปริยานุช/จัดทำ
๕ มีนาคม ๒๕๕๒
โชติกานต์/ปรับปรุง
๒๕ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนพิเศษ ๓๑ ง/หน้า ๑๔/๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ |
824937 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ ว่าด้วยการกาหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทางในทางพิเศษฉลองรัช พ.ศ. 2561 (ฉบับ Update ล่าสุด) | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ
กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทาง
ในทางพิเศษฉลองรัช
พ.ศ. ๒๕๖๑[๑]
ด้วยการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีโครงการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนทางพิเศษฉลองรัชโดยการเปิดช่องจราจรเดินรถสวนทางฝั่งขาเข้าเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วน
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการจราจรในทางพิเศษฉลองรัช จึงจำเป็นต้องออกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษเพื่อจัดการจราจรบนทางพิเศษดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ (๑) และ (๗)
แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบมาตรา ๔๒
และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่ ๒๔
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ
กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทางในทางพิเศษฉลองรัช พ.ศ. ๒๕๖๑
ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓[๒] ทางพิเศษฉลองรัช
ฝั่งขาออกเมือง ตั้งแต่ กม. ๑๒+๑๐๐ ถึง กม. ๖+๔๐๐
กำหนดให้ช่องทางเดินรถด้านขวาที่ชิดเกาะกลางถนน ๑ ช่องจราจร
เป็นช่องทางเดินรถสวนทางฝั่งขาเข้าเมืองและห้ามรถทุกชนิดเดินในช่องทางเดินรถสวนทางดังกล่าว
ตั้งแต่เวลา ๐๖.๓๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๙.๔๕ นาฬิกา ยกเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๔ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดให้มีอุปกรณ์และป้ายจราจรเพื่อควบคุมการเปิดช่องทางเดินรถสวนทาง
ทั้งนี้
เพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการจราจรในทางพิเศษ
ข้อ ๕ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
รถเจ้าพนักงานตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่
และรถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ดำเกิง ปานขา
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ
กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทางในทางพิเศษฉลองรัช (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑[๓]
ข้อ
๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓
กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
พัชรภรณ์/จัดทำ
๑๘
ธันวาคม ๒๕๖๑
ปวันวิทย์/เพิ่มเติม
๘
มกราคม ๒๕๖๒
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ
๑๙๙ ง/หน้า ๓๑/๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
[๒] ข้อ ๓
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ
กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทางในทางพิเศษฉลองรัช (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑
[๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๑๑ ง/หน้า ๕๓/๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ |
811912 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทาง ในทางพิเศษฉลองรัช (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ
กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทาง
ในทางพิเศษฉลองรัช
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๖๑[๑]
ด้วยการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีโครงการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนทางพิเศษฉลองรัชโดยการเปิดช่องจราจรเดินรถสวนทางฝั่งขาเข้าเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วน
ดังนั้น
เพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการจราจรในทางพิเศษฉลองรัช จึงจำเป็นต้องออกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษเพื่อจัดการจราจรบนทางพิเศษดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๓๙ (๑) และ (๗) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา
๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่ ๒๔
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ
กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทางในทางพิเศษฉลองรัช (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๖๑
ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓
กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓
แห่งข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ว่าด้วยการกำหนดช่องทางเดินรถและการห้ามเดินรถ
กรณีที่มีการเปิดช่องทางเดินรถสวนทางในทางพิเศษฉลองรัช พ.ศ. ๒๕๖๑ ลงวันที่ ๑๖
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓
ทางพิเศษฉลองรัช ฝั่งขาออกเมือง ตั้งแต่ กม. ๑๒+๑๐๐ ถึง กม. ๖+๔๐๐
กำหนดให้ช่องทางเดินรถด้านขวาที่ชิดเกาะกลางถนน ๑ ช่องจราจร
เป็นช่องทางเดินรถสวนทางฝั่งขาเข้าเมืองและห้ามรถทุกชนิดเดินในช่องทางเดินรถสวนทางดังกล่าว
ตั้งแต่เวลา ๐๖.๓๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๙.๔๕ นาฬิกา ยกเว้นวันหยุดราชการ
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.
๒๕๖๑
ดำเกิง ปานขำ
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ปวันวิทย์/จัดทำ
๑ ตุลาคม
๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๑๑ ง/หน้า ๕๓/๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ |
756976 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ พ.ศ. 2559 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง
การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบันและเพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการจราจรในทางพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒
ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่
๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๙
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๔ วัตถุอันตรายที่ต้องมีการควบคุมการขนส่งในทางพิเศษตามข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษฉบับนี้
หมายถึง วัตถุอันตรายที่ออกตามความในมาตรา ๔
และเป็นวัตถุอันตรายที่มีการควบคุมตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.
๒๕๓๕ และทำการขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
เฉพาะที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้ายข้อบังคับฉบับนี้
ข้อ ๕ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยการขนส่งวัตถุอันตรายทางบกเดินในทางพิเศษ
ข้อ
๖ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ไม่แจ้งเส้นทาง
วันเวลา
และประเภทของวัตถุอันตรายที่จะบรรทุกให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยทราบล่วงหน้า
เดินในทางพิเศษ
ข้อ
๗ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษศรีรัช
ช่วงตั้งแต่ทางแยกต่างระดับพญาไท ถึงถนนงามวงศ์วาน ตลอดเวลา
ข้อ ๘ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๐๕.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา
๑๕.๐๐ - ๒๑.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน เว้นแต่รถบรรทุกน้ำมันให้เป็นไปตามข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๙
ข้อ ๙ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร เกินชั่วโมงละ ๖๐ กิโลเมตร และในทางพิเศษบูรพาวิถี
ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เกินชั่วโมงละ ๗๐
กิโลเมตร
ข้อ
๑๐ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ใช้ในราชการตำรวจ
หรือราชการทหาร
และรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ดำเกิง ปานขำ
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีแนบท้าย
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๙
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วริญา/ปริยานุช/จัดทำ
๒๓ สิงหาคม
๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๘๓ ง/หน้า ๙/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ |
756974 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานครทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. 2559 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง
การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช
ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอก
กรุงเทพมหานคร
ระหว่างเวลาที่กำหนด
พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบัน
และเพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการจราจรในทางพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓
แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่
๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช
ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร
ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๙
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่
๑๐ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษอุดรรัถยา ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๔ ห้ามรถบรรทุก
๖ ล้อ เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช
ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ นาฬิกา
ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๕ ห้ามรถบรรทุกตั้งแต่
๑๐ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช
ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา ๑๕.๐๐ - ๒๑.๐๐ นาฬิกา ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๖ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถบรรทุกของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
รถเจ้าพนักงานตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่
และรถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ดำเกิง ปานขำ
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
วริญา/ปริยานุช/จัดทำ
๒๓ สิงหาคม
๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๘๓ ง/หน้า ๗/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ |
756972 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานครทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. 2559 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง
การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
ระหว่างเวลาที่กำหนด
พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่
๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช
และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๕
ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบันและเพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการจราจรในทางพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒
ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่
๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖
ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๙
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลาที่กำหนด
พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ
๔ การกำหนดห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง
(น้ำมันใส) ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไปเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
ให้เป็นไปตามลักษณะหรือชนิดของรถ ดังต่อไปนี้
๔.๑
ห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันใส) ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป
เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๒๒.๐๐ นาฬิกา
ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
๔.๒
ห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันใส) ชนิดกึ่งพ่วง เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา
๐๕.๐๐ - ๒๒.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน
๔.๓
ห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันใส) ชนิดพ่วงสองตอน
เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช -
วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๐๕.๐๐ - ๒๒.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน
ข้อ ๕ ห้ามรถบรรทุกน้ำมันอุตสาหกรรม
(น้ำมันเตา) ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ - ๒๒.๐๐ นาฬิกา ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ
๖ ห้ามรถบรรทุกน้ำมันประเภทอื่น เช่น
น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันพืช น้ำยาเคมี น้ำมันดิบ
เป็นต้น ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช
ทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา
๐๖.๐๐ - ๑๐.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา ๑๕.๐๐ - ๒๑.๐๐ นาฬิกา
ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๗ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
รถเจ้าพนักงานตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่
และรถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ดำเกิง ปานขำ
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
วริญา/ปริยานุช/จัดทำ
๒๓ สิงหาคม
๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๘๓ ง/หน้า ๕/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ |
698750 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนด เดินในทางพิเศษ พ.ศ. 2556 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง
การห้ามรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
ที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนด
เดินในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๖
เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการจราจรในทางพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ ตามประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่
๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับ ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
ที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กำหนด เดินในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๖
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ห้ามรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
ที่มีน้ำหนักรถไม่เกิน ๑,๖๐๐ กิโลกรัม ที่มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกิน ๔,๐๐๐ กิโลกรัม เดินในทางพิเศษ
ข้อ ๔ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
รถเจ้าพนักงานตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ และรถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
สินธพ สิริสิงห
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒ ธันวาคม ๒๕๕๖
อังศุมาลี/ผู้ตรวจ
๒ ธันวาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนพิเศษ ๑๖๖ ง/หน้า ๖๑/๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ |
676364 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ พ.ศ. 2555 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง
การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๕๕
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง
การห้ามรถยนต์บรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๘
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับ พนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง
การห้ามรถยนต์บรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบัน
และเพื่อความปลอดภัยและสะดวก ต่อการจราจรในทางพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๔
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่ ๒๔
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง
การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิก
(๑) ข้อบังคับพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถยนต์บรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๔๘
(๒) ข้อบังคับพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง
การห้ามรถยนต์บรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐
ข้อ ๔ วัตถุอันตรายที่ต้องมีการควบคุมการขนส่งในทางพิเศษตามข้อบังคับ
เจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษฉบับนี้ หมายถึง วัตถุอันตรายที่ออกตามความในมาตรา ๔
และเป็นวัตถุอันตรายที่มีการควบคุมตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.
๒๕๓๕ และทำการขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
เฉพาะที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้ายข้อบังคับฉบับนี้
ข้อ ๕ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒ และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วย
การขนส่งวัตถุอันตรายทางบกเดินในทางพิเศษ
ข้อ ๖ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ไม่แจ้งเส้นทาง
วันเวลา และประเภทของวัตถุอันตรายที่จะบรรทุกให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยทราบล่วงหน้า
เดินในทางพิเศษ
ข้อ ๗ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษศรีรัช
ช่วงตั้งแต่ทางแยกต่างระดับพญาไทถึงถนนงามวงศ์วาน ตลอดเวลา
ข้อ ๘ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลา ๐๕.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา
และระหว่างเวลา ๑๕.๐๐ - ๒๑.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน
เว้นแต่รถบรรทุกน้ำมันให้เป็นไปตามข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง
การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๙ ห้ามรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช เกินชั่วโมงละ ๖๐ กิโลเมตร
และในทางพิเศษบูรพาวิถี ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี -
สุขสวัสดิ์) เกินชั่วโมงละ ๗๐ กิโลเมตร
ข้อ ๑๐ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ใช้ในราชการตำรวจหรือราชการทหาร
และรถซึ่งบรรทุกวัตถุอันตรายที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
มณเฑียร
กุลธำรง
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
[เอกสารแนบท้าย]
๑. บัญชีแนบท้ายข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุกวัตถุอันตรายเดินในทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๑๙ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๖๕ ง/หน้า ๕๖/๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ |
676362 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุก 6 ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. 2555 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง
การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช
ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษอุดรรัถยา
ระหว่างเวลาที่กำหนด
พ.ศ. ๒๕๕๕
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง
การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ สายดาวคะนอง -
ท่าเรือ สายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ สายพญาไท - ศรีนครินทร์ สายรามอินทรา - อาจณรงค์ และสายบางปะอิน
- ปากเกร็ด ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้สอดคล้องกับการดำเนินการในปัจจุบัน
และเพื่อความปลอดภัยและสะดวกแก่การจราจรในทางพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา
๒๙ และมาตรา ๓๔
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ ลงวันที่ ๒๔
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ
รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช
ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถบรรทุก ๖ ล้อ รถบรรทุกตั้งแต่ ๑๐ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ สายดาวคะนอง -
ท่าเรือ สายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ สายพญาไท - ศรีนครินทร์ สายรามอินทรา - อาจณรงค์ และสายบางปะอิน
- ปากเกร็ด ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๔ ห้ามรถบรรทุก ๖
ล้อ เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา
ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ นาฬิกา
ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๕ ห้ามรถบรรทุกตั้งแต่
๑๐ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช
และทางพิเศษอุดรรัถยา ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา ๑๕.๐๐ -
๒๑.๐๐ นาฬิกา ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๖ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถบรรทุกของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
รถเจ้าพนักงานตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่
และรถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
มณเฑียร
กุลธำรง
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๑๙ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๖๕ ง/หน้า ๕๔/๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ |
676356 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. 2555 | ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง
การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช
และทางพิเศษฉลองรัช
ระหว่างเวลาที่กำหนด
พ.ศ. ๒๕๕๕
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง
การห้ามรถยนต์บรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษ สายดินแดง
- ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ สายดาวคะนอง - ท่าเรือ สายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่
สายพญาไท - ศรีนครินทร์ และสายรามอินทรา - อาจณรงค์ ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๔๒
ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบัน
และเพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการจราจรในทางพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓๙ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ประกอบมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา
๒๙ และมาตรา ๓๔
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร
ในทางพิเศษ ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
ลงวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า
ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ เรื่อง การห้ามรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่
๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช
ระหว่างเวลาที่กำหนด พ.ศ. ๒๕๕๕
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อบังคับพนักงานจราจรในทางพิเศษ
เรื่อง การห้ามรถยนต์บรรทุกน้ำมันตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วงเดินในทางพิเศษ
สายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ สายดาวคะนอง - ท่าเรือ สายแจ้งวัฒนะ -
บางโคล่ สายพญาไท - ศรีนครินทร์ และสายรามอินทรา - อาจณรงค์ ระหว่างเวลาที่กำหนด
พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๔ การกำหนดห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง
(น้ำมันใส) ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช
และทางพิเศษฉลองรัช ให้เป็นไปตามลักษณะหรือชนิดของรถ ดังต่อไปนี้
๔.๑ ห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันใส) ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป
เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ -
๒๒.๐๐ นาฬิกา ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
๔.๒ ห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันใส) ชนิดกึ่งพ่วง
เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลา ๐๕.๐๐ -
๒๒.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน
๔.๓ ห้ามรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันใส) ชนิดพ่วงสองตอน
เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลา ๐๕.๐๐ -
๒๒.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน
ข้อ ๕ ห้ามรถบรรทุกน้ำมันอุตสาหกรรม
(น้ำมันเตา) ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป และรถพ่วง เดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร
ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๐๙.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา
๑๖.๐๐ - ๒๒.๐๐ นาฬิกา ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๖ ห้ามรถบรรทุกน้ำมันประเภทอื่น
เช่น น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันพืช น้ำยาเคมี น้ำมันดิบ เป็นต้น ตั้งแต่ ๖ ล้อขึ้นไป
และรถพ่วงเดินในทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช
ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐ - ๑๐.๐๐ นาฬิกา และระหว่างเวลา ๑๕.๐๐ - ๒๑.๐๐ นาฬิกา
ทุกวันเว้นวันหยุดราชการ
ข้อ ๗ ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับแก่รถของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
รถเจ้าพนักงานตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่
และรถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
มณเฑียร
กุลธำรง
รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรในทางพิเศษ
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
ปณตภร/ผู้ตรวจ
๑๙ พฤศจิกายน
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๑๖๕ ง/หน้า ๕๒/๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ |
301899 | พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๒๑
เป็นปีที่ ๓๓
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มาตรา ๔
พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว
เฉพาะในฐานะดังต่อไปนี้
(๑) บุคคลในคณะผู้แทนทางทูต
(๒) บุคคลในคณะผู้แทนทางกงสุล
(๓)
ผู้แทนของประเทศสมาชิกและพนักงานขององค์การสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษ
(๔)
คนรับใช้ส่วนตัวซึ่งเดินทางจากต่างประเทศเพื่อมาทำงานประจำอยู่กับบุคคลใน
(๑) หรือ (๒) หรือ (๓)
(๕) บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจตามความตกลงที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
(๖)
บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษาวัฒนธรรม ศิลป
การกีฬา หรือกิจการอื่น ทั้งนี้
ตามที่จะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
(๗) บุคคลซึ่งรัฐบาลอนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา ๕
ในพระราชบัญญัตินี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ทำงาน หมายความว่า
การทำงานโดยใช้กำลังกายหรือความรู้ด้วยประสงค์ค่าจ้างหรือประโยชน์อื่นใดหรือไม่ก็ตาม
ใบอนุญาต หมายความว่า ใบอนุญาตทำงาน
ผู้รับใบอนุญาต หมายความว่า คนต่างด้าวซึ่งได้รับใบอนุญาต
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียนการทำงานของคนต่างด้าว
อธิบดี หมายความว่า อธิบดีกรมแรงงาน
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒ งานใดที่ห้ามคนต่างด้าวทำในท้องที่ใด เมื่อใด
โดยห้ามเด็ดขาด หรือห้ามโดยมีเงื่อนไขอย่างใดเพียงใดให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๗
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐
งานใดที่มิได้ห้ามไว้ในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๖
คนต่างด้าวจะทำได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
เว้นแต่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วนมีระยะการทำงานไม่เกินสิบห้าวัน
แต่คนต่างด้าวนั้นจะทำงานนั้นได้เมื่อได้มีหนังสือแจ้งให้อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบ
ตามแบบที่อธิบดีกำหนด
มาตรา ๘
ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
บุคคลใดประสงค์จะให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในกิจการของตนในราชอาณาจักรจะยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวนั้นต่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายก็ได้
อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
จะออกใบอนุญาตให้แก่คนต่างด้าวตามวรรคหนึ่งได้ต่อเมื่อคนต่างด้าวนั้นเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว
มาตรา ๙
ในการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานตามมาตรา ๗ และมาตรา ๘
อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดเพื่อให้คนต่างด้าวปฏิบัติก็ได้
ในกรณีเช่นนั้น ต้องให้คนต่างด้าวให้คำรับรองก่อนว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นได้
และถ้าเป็นกรณีตามมาตรา ๘
คนต่างด้าวนั้นต้องให้คำรับรองก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
มาตรา ๑๐
คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร
ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือตามกฎหมายอื่น
ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คนต่างด้าวนั้นเข้ามาในราชอาณาจักร
แต่ถ้าคนต่างด้าวนั้นอยู่ในราชอาณาจักรแล้ว ระยะเวลาสามสิบวัน
ให้นับแต่วันที่ทราบการได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือตามกฎหมายอื่น
ในระหว่างรอรับใบอนุญาต ให้ผู้ยื่นคำขอทำงานไปพลางก่อนได้
เมื่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายได้รับคำขอแล้วให้ออกใบอนุญาตให้โดยมิชักช้า
มาตรา ๑๑
คนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๗ ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(๑) มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
หรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยมิใช่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว
หรือผู้เดินทางผ่าน
(๒) ไม่เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ
หรือต้องห้ามตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๒
คนต่างด้าวดังต่อไปนี้จะทำงานใดได้เฉพาะที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในประกาศดังกล่าวรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดไว้ก็ได้ตามที่เห็นสมควร
(๑)
คนต่างด้าวที่ถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
ซึ่งได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
(๒)
คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และอยู่ในระหว่างรอการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร
(๓)
คนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือตามกฎหมายอื่น
(๔)
คนต่างด้าวโดยผลของการถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗
ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือตามกฎหมายอื่น
คนต่างด้าวจะทำงานใดที่รัฐมนตรีกำหนดตามวรรคหนึ่งได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
มาตรา ๑๓
ใบอนุญาตที่ออกให้ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันออกเว้นแต่
(๑) ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวตามมาตรา
๑๐ ให้มีอายุเท่าระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานตามกฎหมายนั้น ๆ
(๒) ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๒
ให้มีอายุตามที่อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายกำหนดแต่ไม่ให้เกินหนึ่งปีนับแต่วันออก
(๓)
ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ให้มีอายุเท่าระยะเวลาที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรในขณะออกใบอนุญาต
(๔)
ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนให้มีอายุสามสิบวันนับแต่วันออก
มาตรา ๑๔
ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๐ ได้รับการขยายระยะเวลาการทำงานตามกฎหมายนั้น
ๆ
ให้ผู้รับใบอนุญาตแจ้งต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการขยายระยะเวลาและให้นายทะเบียนจดแจ้งการขยายระยะเวลานั้นลงในใบอนุญาต
มาตรา ๑๕
ก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุและผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะทำงานนั้นต่อไปให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตต่อนายทะเบียน
ในกรณีเช่นนี้
ให้ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานไปพลางก่อนได้จนกว่านายทะเบียนจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุ
การต่ออายุใบอนุญาตให้ต่อได้ครั้งละหนึ่งปี
เว้นแต่
(๑) การต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ (๓)
ให้ต่ออายุได้อีกไม่เกินระยะเวลาที่ผู้รับใบอนุญาตนั้น
ได้รับการขยายระยะเวลาให้อยู่ในราชอาณาจักร
(๒) การต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ (๔)
ให้ต่ออายุได้อีกครั้งละสามสิบวันเว้นแต่คนต่างด้าวนั้นได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไปโดยมีกำหนดเวลาที่แน่นอนเกินสามสิบวัน
ให้ต่ออายุใบอนุญาตได้เท่าระยะเวลาที่รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
แต่ไม่เกินหนึ่งปี
มาตรา ๑๖
รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดแบบ หลักเกณฑ์และวิธีการในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตตามมาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๒
(๒) การขอต่ออายุใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๑๕
(๓)
การขอรับใบแทนและการออกใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๙
(๔)
การขออนุญาตและการอนุญาตให้เปลี่ยนการทำงานหรือเปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงานตามมาตรา
๒๑
(๕) การออกบัตรประจำตัวตามมาตรา ๓๑
มาตรา ๑๗
ในกรณีที่ไม่ออกใบอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามมาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒
หรือไม่ให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๑๕
หรือไม่อนุญาตให้ทำงานอื่นหรือเปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงานตามมาตรา ๒๑
ผู้ขอมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
หรือนายทะเบียน แล้วแต่กรณี ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งไม่อนุญาต
เมื่อได้รับอุทธรณ์แล้ว ให้ผู้รับอุทธรณ์นำส่งคณะกรรมการภายในสิบห้าวัน
ให้คณะกรรมการพิจารณาเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีภายในสิบห้าวันและให้รัฐมนตรีวินิจฉัยคำอุทธรณ์ภายในสามสิบวัน
คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
ในกรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๑๕ ที่กล่าวในวรรคหนึ่ง ผู้อุทธรณ์มีสิทธิทำงานไปพลางก่อนได้
จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรี
มาตรา ๑๘
ผู้รับใบอนุญาตต้องมีใบอนุญาตอยู่กับตัวหรืออยู่ ณ ที่ทำงานในระหว่างทำงาน
เพื่อแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียนได้เสมอ
มาตรา ๑๙
ถ้าใบอนุญาตชำรุดในสาระสำคัญหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบการชำรุดหรือสูญหาย
มาตรา ๒๐
ในกรณีที่คนต่างด้าวเลิกทำงานตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ส่งมอบใบอนุญาตคืนให้แก่นายทะเบียนในท้องที่จังหวัดที่ตั้งสถานที่ทำงานภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันที่เลิกทำงานนั้น
มาตรา ๒๑
ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตทำงานอื่นใดนอกจากงานที่ระบุไว้ในใบอนุญาตหรือเปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงานให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
มาตรา ๒๒
ห้ามมิให้บุคคลใดรับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงานหรือรับคนต่างด้าวเข้าทำงานที่มีลักษณะหรือเงื่อนไขในการทำงานแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต
มาตรา ๒๓
บุคคลใดรับคนต่างด้าวเข้าทำงานหรือให้คนต่างด้าวย้ายไปทำงานในท้องที่อื่นนอกจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาต
หรือมีคนต่างด้าวออกจากงาน
ให้บุคคลนั้นแจ้งต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานหรือวันที่คนต่างด้าวนั้นย้ายหรือออกจากงาน
แล้วแต่กรณี
การแจ้งตามวรรคหนึ่งให้ทำตามแบบที่อธิบดีกำหนด
มาตรา ๒๔
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว
ประกอบด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยมอบหมายเป็นประธาน
ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกรมการปกครอง
ผู้แทนกรมตำรวจ ผู้แทนกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ* ผู้แทนกรมอัยการ
ผู้แทนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า* ผู้แทนกรมการค้าภายใน
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และกรรมการอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกินสามคนเป็นกรรมการ และผู้แทนกรมแรงงานเป็นกรรมการและเลขานุการ
มาตรา ๒๕
กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา ๒๖
กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงคราวออกตามวาระเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) รัฐมนตรีให้ออก
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม
ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น
มาตรา ๒๗
คณะกรรมการมีหน้าที่วินิจฉัย ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่รัฐมนตรีดังต่อไปนี้
(๑) การออกพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๔ (๖)
และมาตรา ๖
(๒) การกำหนดงานที่รัฐมนตรีจะประกาศตามมาตรา
๑๒
(๓) การออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๖
(๔) การพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งตามมาตรา ๑๗
(๕) เรื่องอื่น ๆ ที่รัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๒๘
การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
จึงเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม
หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการซึ่งมาประชุมเลือกกรรมการด้วยกันคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
มติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๒๙
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อให้ทำกิจการหรือพิจารณาเรื่องใดอันอยู่ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของคณะกรรมการ
ให้นำความในมาตรา
๒๘ มาใช้บังคับแก่การประชุมคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา ๓๐
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย นายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
(๑) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริงรวมทั้งให้ส่งเอกสารหรือหลักฐาน
(๒)
เข้าไปในสถานที่ใดที่มีเหตุอันสมควรสงสัยว่ามีคนต่างด้าวทำงานในระหว่างเวลาที่เชื่อได้ว่ามีการทำงาน
เพื่อตรวจสอบให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ในการนี้ให้มีอำนาจสอบถามข้อเท็จจริง
หรือเรียกเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ
จากบุคคลที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในสถานที่ดังกล่าวได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม
(๒) ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ดังกล่าว
หรือบุคคลผู้รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในสถานที่ดังกล่าวอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๓๑
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัว
ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ
มาตรา ๓๒
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย นายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓
คนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา ๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔
คนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยฝ่าฝืนมาตรา ๗ หรือฝ่าฝืนเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา
๙ หรือทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา
๑๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๕
คนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยฝ่าฝืนมาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๓๖
ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๑๙
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๓๗
คนต่างด้าวผู้ใดทำงานเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้วโดยมิได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุหรือได้ยื่นคำขอแล้วแต่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๑๕
และคนต่างด้าวผู้นั้นมิได้อุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนหรือได้อุทธรณ์แล้วแต่รัฐมนตรีมีคำวินิจฉัยไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๑๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๘
ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๙
ผู้ใดรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยฝ่าฝืนมาตรา ๒๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๐
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๓ หรือมาตรา ๔๒ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๔๑
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือสอบถามหรือหนังสือเรียกหรือไม่ยอมให้ข้อเท็จจริงหรือไม่ส่งเอกสาร
หรือหลักฐาน หรือขัดขวาง
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย หรือนายทะเบียน
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๓๐
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามพันบาท
มาตรา ๔๒
บุคคลใดมีคนต่างด้าวทำงานในธุรกิจของตนก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๑๕ ใช้บังคับและยังมิได้แจ้งรายการเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่ทำงานอยู่กับตนตามข้อ
๓๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวจนถึงวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้บุคคลนั้นแจ้งรายการดังกล่าวตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในสี่สิบห้าวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๔๓
ใบอนุญาตที่ออกให้ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ใช้ได้ต่อไปตราบเท่าที่ใบอนุญาตยังไม่สิ้นอายุ
และผู้รับใบอนุญาตยังทำงานที่ได้รับอนุญาตนั้น
มาตรา ๔๔
คนต่างด้าวซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ใช้บังคับ และได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่ออธิบดี
หรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายตามข้อ ๓๔ วรรคหนึ่ง
แห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว
และอธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายได้ออกใบอนุญาตแล้วแต่คนต่างด้าวผู้นั้นยังมิได้ไปรับใบอนุญาตและยังคงทำงานอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ไปรับใบอนุญาตภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ
หากไม่ไปขอรับใบอนุญาตภายในกำหนดเวลาดังกล่าว
ให้ถือว่าใบอนุญาตนั้นสิ้นผลเมื่อครบกำหนดเวลาเช่นว่านั้น
มาตรา ๔๕
คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๒
ซึ่งทำงานใดอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ทำงานนั้นต่อไปได้จนกว่าจะมีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๒
เมื่อมีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา
๑๒ แล้ว ในกรณีที่งานที่คนต่างด้าวดังกล่าวทำอยู่เป็นงานที่รัฐมนตรีได้ประกาศให้ทำได้
ให้ทำงานนั้นได้ต่อไปแต่ต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ประกาศของรัฐมนตรีดังกล่าวใช้บังคับ
ในกรณีที่งานที่คนต่างด้าวดังกล่าวทำอยู่นั้น
มิใช่เป็นงานที่รัฐมนตรีได้ประกาศให้ทำได้
ให้ทำงานนั้นต่อไปได้อีกหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๔๖
บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และประกาศหรือคำสั่งของรัฐมนตรีหรืออธิบดี
หรือใบอนุญาตซึ่งได้ออกหรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒
ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับได้ต่อไปและให้ถือเสมือนเป็นพระราชกฤษฎีกา
กฎกระทรวง
และประกาศหรือคำสั่งของรัฐมนตรีหรืออธิบดีหรือใบอนุญาตที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่
ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก เกรียงศักดิ์
ชมะนันทน์
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม[๒]
(๑)
ใบอนุญาต
ฉบับละ ๑๐,๐๐๐ บาท
(๒)
การต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือ
การขยายระยะเวลาทำงาน
ครั้งละ ๑๐,๐๐๐ บาท
(๓)
ใบแทนใบอนุญาต
ฉบับละ ๓,๐๐๐ บาท
(๔)
การอนุญาตให้ทำงานอื่นหรือ
เปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงาน
ครั้งละ ๕,๐๐๐ บาท
(๕)
ค่ายื่นคำขอ
ฉบับละ ๑๐๐ บาท
ในการออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมจะกำหนดค่าธรรมเนียมให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงสาขาอาชีพของคนต่างด้าวได้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่
๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มีหลักการใช้บังคับเฉพาะคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเท่านั้น
ส่วนคนต่างด้าวบางประเภทที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่มีหลักฐานการได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
เช่น ญวนอพยพ เป็นต้น ไม่อยู่ในข่ายบังคับของกฎหมายนี้
และปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ได้มาประกอบอาชีพหรือทำงานอยู่ในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ
โดยเสรี ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นผู้มีอภิสิทธิ์เหนือคนต่างด้าวอื่น ๆ
ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่โดยถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
จึงจำต้องเพิ่มบทบัญญัติเพื่อใช้บังคับแก่คนต่างด้าวเหล่านี้ด้วย
นอกจากนี้ถ้อยคำในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ หลายแห่งไม่ชัดแจ้ง
ทำให้เป็นปัญหาขัดข้องในทางปฏิบัติอยู่หลายเรื่อง
เนื่องจากได้ออกมาใช้บังคับโดยกระทันหันตามภาวะความจำเป็นในสมัยนั้น
จึงจำต้องแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ให้เหมาะสมกับภาวะการณ์ในปัจจุบัน
สุนันทา/แก้ไข
๑๗/๑๒/๔๔
A+B (C)
พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔[๓]
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่อัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและค่าของเงินตราที่เปลี่ยนแปลงไปสมควรปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พรพิมล/แก้ไข
๑๑ มี.ค. ๒๕๔๔
A+B (C)
ฐาปนี จัดทำ
๓ มี.ค. ๔๖
*พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕[๔]
มาตรา
๑๙
ในพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้แก้ไขคำว่า
ผู้แทนกรมประชาสงเคราะห์ เป็น ผู้แทนกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และคำว่า
ผู้แทนกรมทะเบียนการค้า เป็น ผู้แทนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้บัญญัติให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่โดยมีภารกิจใหม่
ซึ่งได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม นั้นแล้ว
และเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้โอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
รัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่
โดยให้มีการแก้ไขบทบัญญัติต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ที่โอนไปด้วย ฉะนั้น
เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนส่วนราชการ
เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมายโอนอำนาจหน้าที่ว่าตามกฎหมายใดได้มีการโอนภารกิจของส่วนราชการหรือผู้รับผิดชอบตามกฎหมายนั้นไปเป็นของหน่วยงานใดหรือผู้ใดแล้ว
โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ รัฐมนตรี
ผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการให้ตรงกับการโอนอำนาจหน้าที่
และเพิ่มผู้แทนส่วนราชการในคณะกรรมการให้ตรงตามภารกิจที่มีการตัดโอนจากส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่รวมทั้งตัดส่วนราชการเดิมที่มีการยุบเลิกแล้ว
ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
สุนันทา/นวพร/พัลลภ จัดทำ
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๖
สุมลรัตน์/แก้ไข
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗
วาทินี/ปรับปรุง
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๙
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๕/ตอนที่ ๗๓/ ฉบับพิเศษ หน้า ๑๔/๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑
[๒] อัตราค่าธรรมเนียม
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๘/ตอนที่ ๘๗ ก/หน้า๑/๓๐ กันยายน ๒๕๔๔
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๐๒ ก/หน้า ๖๖/๘ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
572291 | พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551
| พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
(๒)
พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๔
พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวเฉพาะในฐานะ
ดังต่อไปนี้
(๑)
บุคคลในคณะผู้แทนทางทูต
(๒)
บุคคลในคณะผู้แทนทางกงสุล
(๓)
ผู้แทนของประเทศสมาชิกและพนักงานขององค์การสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษ
(๔)
คนรับใช้ส่วนตัวซึ่งเดินทางจากต่างประเทศเพื่อมาทำงานประจำอยู่กับบุคคลตาม (๑)
หรือ (๒) หรือ (๓)
(๕)
บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจตามความตกลงที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
(๖)
บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษา วัฒนธรรม
ศิลปะการกีฬา หรือกิจการอื่น ทั้งนี้
ตามที่จะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
(๗)
บุคคลซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใดโดยจะกำหนดเงื่อนไขไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้
มาตรา ๕
ในพระราชบัญญัตินี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ทำงาน หมายความว่า
การทำงานโดยใช้กำลังกายหรือความรู้ด้วยประสงค์ค่าจ้างหรือประโยชน์อื่นใดหรือไม่ก็ตาม
ใบอนุญาต หมายความว่า ใบอนุญาตทำงาน
ผู้รับใบอนุญาต หมายความว่า
คนต่างด้าวซึ่งได้รับใบอนุญาต
ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๙
มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ (๑) และ (๒) และมาตรา ๑๔
ให้ทำงานที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา ๑๕
กองทุน หมายความว่า
กองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
คณะกรรมการกองทุน หมายความว่า
คณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หมายความว่า
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การทำงานของคนต่างด้าว
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า อธิบดี
และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามข้อเสนอแนะของอธิบดีเพื่อออกใบอนุญาตและปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้
อธิบดี หมายความว่า อธิบดีกรมการจัดหางาน
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้
ยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การทำงานของคนต่างด้าว
ส่วนที่ ๑
บททั่วไป
มาตรา ๗
งานใดที่คนต่างด้าวอาจทำได้ในท้องที่ใด เมื่อใด
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยคำนึงถึงความมั่นคงของชาติ
โอกาสในการประกอบอาชีพของคนไทยและความต้องการแรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้
จะกำหนดให้แตกต่างกันระหว่างคนต่างด้าวทั่วไปกับคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔
ก็ได้
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับการทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา
๑๒
มาตรา ๘
เพื่อประโยชน์ในการจำกัดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งมิใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานบางประเภทหรือบางลักษณะในราชอาณาจักร
รัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจ้างคนต่างด้าวซึ่งมิใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานตามประเภทหรือลักษณะที่กำหนดในราชอาณาจักรก็ได้
ผู้ใดประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวตามวรรคหนึ่ง
ให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามแบบที่อธิบดีกำหนดและชำระค่าธรรมเนียมก่อนทำสัญญาจ้างไม่น้อยกว่าสามวันทำการ
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติในวรรคสอง
ต้องเสียเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่าของค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระ
ส่วนที่ ๒
ใบอนุญาตทำงาน
มาตรา ๙
ห้ามมิให้คนต่างด้าวทำงานใดนอกจากงานตามมาตรา ๗
และได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน เว้นแต่คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วนที่มีระยะเวลาทำงานไม่เกินสิบห้าวัน
แต่คนต่างด้าวจะทำงานนั้นได้เมื่อได้มีหนังสือแจ้งให้นายทะเบียนทราบ
ในการออกใบอนุญาต
นายทะเบียนจะกำหนดเงื่อนไขให้คนต่างด้าวต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
ใบอนุญาต
การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการแจ้งตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
อธิบดีจะวางระเบียบเพื่อกำหนดแนวทางในการกำหนดเงื่อนไขตามวรรคสอง
ให้นายทะเบียนต้องปฏิบัติก็ได้
มาตรา ๑๐
คนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๙
ต้องมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยมิใช่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางผ่าน
และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๑
ผู้ใดประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรเข้ามาทำงานในกิจการของตนในราชอาณาจักร
จะยื่นคำขอรับใบอนุญาตและชำระค่าธรรมเนียมแทนคนต่างด้าวนั้นก็ได้
การขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๒
ในการอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือกฎหมายอื่น
ให้ผู้อนุญาตตามกฎหมายดังกล่าวมีหนังสือแจ้งการอนุญาตนั้นต่อนายทะเบียนพร้อมด้วยรายละเอียดที่อธิบดีกำหนดโดยเร็ว
เมื่อได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง
ให้นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้คนต่างด้าวนั้นภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ในระหว่างรอรับใบอนุญาตตามวรรคสอง
ให้คนต่างด้าวนั้นทำงานไปพลางก่อนได้โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๒๔
จนถึงวันที่นายทะเบียนแจ้งให้มารับใบอนุญาต
มาตรา ๑๓
คนต่างด้าวซึ่งไม่อาจขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๙ เพราะเหตุดังต่อไปนี้อาจขอรับใบอนุญาตต่อนายทะเบียนเพื่อทำงานตามประเภทที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
โดยคำนึงถึงความมั่นคงของชาติและผลกระทบต่อสังคม
(๑)
ถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศและได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ
ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
(๒)
เข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
แต่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
(๓)
ถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
หรือตามกฎหมายอื่น
(๔)
เกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗
ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
(๕)
เกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
ประกาศตามวรรคหนึ่ง
คณะรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดไว้ด้วยก็ได้
การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๔
คนต่างด้าวซึ่งมีภูมิลำเนาและเป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย
ถ้าได้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมีเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
อาจได้รับอนุญาตให้ทำงานบางประเภทหรือลักษณะงานในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวในช่วงระยะเวลาหรือตามฤดูกาลที่กำหนดได้ ทั้งนี้ เฉพาะการทำงานภายในท้องที่ที่อยู่ติดกับชายแดนหรือท้องที่ต่อเนื่องกับท้องที่ดังกล่าว
คนต่างด้าวซึ่งประสงค์จะทำงานตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานชั่วคราวพร้อมกับแสดงเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางต่อนายทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในการออกใบอนุญาต
ให้นายทะเบียนระบุท้องที่หรือสถานที่ที่อนุญาตให้ทำงาน ระยะเวลาที่อนุญาตให้ทำงาน
ประเภทหรือลักษณะงาน และนายจ้างที่คนต่างด้าวนั้นจะไปทำงานด้วย ทั้งนี้
ตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ความในมาตรานี้จะใช้บังคับกับท้องที่ใด
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติใด เพื่อทำงานประเภทหรือลักษณะใด
ในช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาลใด โดยมีเงื่อนไขอย่างใด
ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๕
ลูกจ้างซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ (๑) และ (๒)
และมาตรา ๑๔ เฉพาะงานที่กำหนดในกฎกระทรวง
ต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นประกันค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างนั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
โดยให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างจากลูกจ้างนั้นและนำส่งเข้ากองทุน
จำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน
การหักเงินค่าจ้าง และการนำส่งเงินค่าจ้างเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ กำหนดเวลา และอัตราตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ทั้งนี้
จำนวนและอัตราดังกล่าวจะกำหนดให้แตกต่างกันสำหรับลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวแต่ละสัญชาติก็ได้
โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างแต่ละสัญชาติกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับลูกจ้างซึ่งมีหลักฐานใบรับตามมาตรา
๑๖ วรรคหนึ่งแสดงว่าได้จ่ายเงินเข้ากองทุนครบถ้วนแล้ว หรือมีหนังสือรับรองตามมาตรา
๑๖ วรรคสอง
และลูกจ้างซึ่งปรากฏตามหลักฐานของนายทะเบียนว่าได้จ่ายเงินเข้ากองทุนครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้
เฉพาะลูกจ้างซึ่งยังไม่เคยได้รับเงินคืนตามมาตรา ๑๘
หรือยังไม่เคยถูกส่งกลับตามมาตรา ๒๐
มาตรา ๑๖
เมื่อนายจ้างนำส่งเงินค่าจ้างของลูกจ้างผู้ใดเข้ากองทุนแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบรับให้แก่นายจ้าง
โดยในใบรับนั้นอย่างน้อยต้องระบุชื่อและเลขประจำตัวของลูกจ้างซึ่งถูกหักค่าจ้าง
จำนวนเงินที่นำส่ง และจำนวนเงินค้างส่ง และให้นายจ้างมอบใบรับให้แก่ลูกจ้างนั้นไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อลูกจ้างถูกหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนครบถ้วนแล้ว
ให้นายทะเบียนออกหนังสือรับรองให้แก่ลูกจ้างนั้นเพื่อเป็นหลักฐาน
ในกรณีที่หนังสือรับรองตามวรรคสอง
สูญหายหรือเสียหาย ลูกจ้างมีสิทธิขอรับใบแทนจากนายทะเบียน
การออกใบรับตามวรรคหนึ่ง
การออกหนังสือรับรองตามวรรคสอง และการออกใบแทนตามวรรคสาม ให้เป็นไปตามแบบ
หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๗
นายจ้างซึ่งไม่นำส่งเงินค่าจ้างตามมาตรา ๑๕ เข้ากองทุน
หรือนำส่งไม่ครบถ้วนต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของเงินค่าจ้างที่ไม่ได้นำส่งหรือนำส่งไม่ครบ
มาตรา ๑๘
ลูกจ้างซึ่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยค่าใช้จ่ายของตนเองมีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างของตนที่ถูกหักและนำส่งเข้ากองทุนคืน
โดยยื่นคำร้องขอคืนต่อนายทะเบียน ณ
ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ตนจะต้องผ่านเพื่อกลับออกไปนอกราชอาณาจักร หรือมีหนังสือแจ้งการขอคืนไปยังนายทะเบียน
การขอคืนเงินค่าจ้างตามวรรคหนึ่ง
ลูกจ้างต้องแนบหลักฐานตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง ในกรณียังส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบถ้วน
หรือหลักฐานตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ในกรณีส่งเงินเข้ากองทุนครบถ้วนแล้ว
ให้นายทะเบียนมีหน้าที่คืนเงินค่าจ้างตามวรรคหนึ่งให้แก่ลูกจ้างภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องหรือหนังสือแจ้งการขอคืน
แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่นายทะเบียนคืนเงินค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว
ให้นายทะเบียนคืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ครบกำหนดสามสิบวันดังกล่าวจนถึงวันที่นายทะเบียนคืนเงินค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง
การคืนเงินค่าจ้างและดอกเบี้ยตามมาตรานี้จะคืนเป็นเงินสด
หรือเช็คระบุชื่อลูกจ้าง หรือโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของลูกจ้างก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด
มาตรา ๑๙
ลูกจ้างซึ่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยค่าใช้จ่ายของตนเอง
ถ้ามิได้ขอรับเงินค่าจ้างของตนที่ถูกหักและนำส่งเข้ากองทุนคืนตามมาตรา ๑๘
ภายในสองปีนับแต่วันที่กลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ให้เป็นอันหมดสิทธิที่จะได้รับเงินนั้นคืน และให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุน
ในกรณีที่ลูกจ้างตามวรรคหนึ่งกลับเข้ามาในราชอาณาจักรและกลับเข้าทำงานตามใบอนุญาตเดิมที่ยังไม่สิ้นอายุ
หรือได้ทำงานตามใบอนุญาตใหม่อันเป็นงานที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา ๑๕
แล้วแต่กรณี ภายในสองปีนับแต่วันที่กลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ลูกจ้างนั้นไม่ต้องถูกหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนอีก
เว้นแต่เงินค่าจ้างที่ลูกจ้างนั้นเคยถูกหักและนำส่งเข้ากองทุนยังไม่ครบถ้วน
ให้นายจ้างหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างนั้นและนำส่งเข้ากองทุนจนกว่าจะครบถ้วน
มาตรา ๒๐
เมื่อมีกรณีที่จะต้องส่งลูกจ้างกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ให้กองทุนจ่ายเงินของกองทุนเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างนั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรยังส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบถ้วน
ให้กองทุนจ่ายเงินของกองทุนสมทบในส่วนที่ขาด
เว้นแต่ลูกจ้างนั้นเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามความต้องการของนายจ้าง
นายจ้างนั้นต้องรับผิดชอบในเงินจำนวนที่ลูกจ้างยังส่งเข้ากองทุนไม่ครบถ้วน
และให้กองทุนเรียกเก็บเงินส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นจากนายจ้าง
มาตรา ๒๑
ใบอนุญาตที่ออกให้ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้มีอายุไม่เกินสองปีนับแต่วันออก
เว้นแต่ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๒ ให้มีอายุเท่าระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานตามกฎหมายนั้น
ๆ
อายุใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งไม่มีผลเป็นการขยายระยะเวลาอยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
มาตรา ๒๒
ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๒
ได้รับการขยายระยะเวลาทำงานตามกฎหมายนั้น ๆ ให้ผู้อนุญาตตามกฎหมายดังกล่าวมีหนังสือแจ้งการขยายระยะเวลาทำงานนั้นต่อนายทะเบียนตามแบบที่อธิบดีกำหนดโดยเร็ว
และให้นายทะเบียนจดแจ้งการขยายระยะเวลานั้นลงในใบอนุญาต
มาตรา ๒๓
ก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุและผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะทำงานนั้นต่อไป
ให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตต่อนายทะเบียน
เมื่อได้ยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานไปพลางก่อนได้จนกว่านายทะเบียนจะมีคำสั่งไม่ต่ออายุใบอนุญาต
การต่ออายุใบอนุญาตให้ต่อได้ครั้งละไม่เกินสองปี
โดยให้กระทำเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันการตั้งถิ่นฐานของคนต่างด้าวในราชอาณาจักร
และกรณีคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ (๑) และ (๒)
ระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานติดต่อกันรวมแล้วต้องไม่เกินสี่ปี
เว้นแต่คณะรัฐมนตรีจะกำหนดเป็นอย่างอื่นเป็นคราว ๆ ไป
การขอต่ออายุและการต่ออายุใบอนุญาต
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๔
ผู้รับใบอนุญาตต้องมีใบอนุญาตอยู่กับตัวหรืออยู่ ณ
สถานที่ทำงานในระหว่างเวลาทำงานเพื่อแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียนได้เสมอ
มาตรา ๒๕
ถ้าใบอนุญาตสูญหายหรือเสียหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบการสูญหายหรือเสียหาย
การขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาต
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๖
ผู้รับใบอนุญาตต้องทำงานตามประเภทหรือลักษณะงาน และกับนายจ้าง ณ
ท้องที่หรือสถานที่และเงื่อนไขตามที่ได้รับอนุญาต
ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดประสงค์จะเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน หรือเงื่อนไข ต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
การขออนุญาตและการอนุญาต
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๗
ห้ามมิให้บุคคลใดรับคนต่างด้าวเข้าทำงาน เว้นแต่คนต่างด้าวซึ่งมีใบอนุญาตทำงานกับตนเพื่อทำงานตามประเภทหรือลักษณะงานที่ระบุไว้ในใบอนุญาต
ณ ท้องที่หรือสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาต
มาตรา ๒๘
ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการอนุญาต
ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
หมวด ๒
กองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
มาตรา ๒๙
ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นในกรมการจัดหางาน เรียกว่า กองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งลูกจ้าง คนต่างด้าว
และผู้ถูกสั่งเนรเทศกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัตินี้
กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๓๐
ให้กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้
(๑)
เงินเพิ่มตามมาตรา ๘ วรรคสาม
(๒)
เงินที่นายจ้างนำส่งเข้ากองทุนตามมาตรา ๑๕
(๓)
เงินเพิ่มตามมาตรา ๑๗
(๔)
เงินที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง
(๕)
เงินที่เรียกเก็บจากนายจ้างตามมาตรา ๒๐ วรรคสอง
(๖)
เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
(๗)
เงินค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บได้ตามพระราชบัญญัตินี้ตามที่กระทรวงการคลังอนุญาตให้นำไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
(๘)
ดอกผลของกองทุน
(๙)
เงินอุดหนุนจากรัฐบาลตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง
เงินและทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
ให้นำส่งเข้ากองทุนโดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา ๓๑
เงินของกองทุนให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งลูกจ้างกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัตินี้
(๒)
คืนให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา ๑๘ และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดังกล่าว
(๓)
เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
(๔)
เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งผู้ถูกสั่งเนรเทศกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
(๕)
เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นต่อการบริหารกองทุนซึ่งต้องไม่เกินร้อยละสิบของดอกผลของกองทุน
(๖)
เงินของกองทุนตามมาตรา ๓๐ (๗)
และดอกผลของเงินดังกล่าวให้ใช้เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในกรณีที่เงินของกองทุนไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่ง
ให้รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่กองทุนเป็นคราว ๆ ตามความจำเป็น
มาตรา ๓๒
ให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรประกอบด้วย
ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นรองประธานกรรมการ
ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ
ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนกรมการปกครอง
ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ผู้แทนกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินเจ็ดคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจากผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านแรงงาน
การเงิน การอุตสาหกรรม และกฎหมาย เป็นกรรมการ
ให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวเป็นกรรมการและเลขานุการ
คณะกรรมการกองทุนอาจแต่งตั้งข้าราชการกรมการจัดหางานเป็นผู้ช่วยเลขานุการได้ไม่เกินสองคน
มาตรา ๓๓
กรรมการกองทุนผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี
กรรมการกองทุนผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา ๓๔
นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการกองทุนผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ออกเพราะบกพร่องหรือทุจริตต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือหย่อนความสามารถ
(๖)
ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
มาตรา ๓๕
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอำนาจดำเนินการพิจารณาทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับกับการแต่งตั้งกรรมการกองทุน
ผู้ทรงคุณวุฒิ และการประชุมของคณะกรรมการกองทุนโดยอนุโลม
มาตรา ๓๖
ให้คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนมอบหมาย
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอำนาจดำเนินการพิจารณาทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับกับการแต่งตั้งอนุกรรมการกองทุนและการประชุมของคณะอนุกรรมการกองทุนโดยอนุโลม
มาตรา ๓๗
ให้คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
กำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินของกองทุนในแต่ละปีตามวัตถุประสงค์ของกองทุน
(๒)
กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการส่งลูกจ้าง คนต่างด้าว
หรือผู้ถูกสั่งเนรเทศแต่ละสัญชาติกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
(๓)
พิจารณาจัดสรรเงินของกองทุนเพื่อใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของกองทุนและตามแนวทางและลำดับความสำคัญตาม
(๑)
(๔)
พิจารณาจัดสรรเงินของกองทุนให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับทดรองใช้จ่ายในการส่งลูกจ้าง
คนต่างด้าว หรือผู้ถูกสั่งเนรเทศกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
(๕)
ออกระเบียบเกี่ยวกับการรับเงิน การใช้จ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน
การจัดหาผลประโยชน์ และการตรวจสอบภายในของกองทุน
(๖)
ออกระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินของกองทุนให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการส่งลูกจ้าง
คนต่างด้าว หรือผู้ถูกสั่งเนรเทศกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และการเบิกจ่ายเงินทดรองตาม (๔)
ข้อกำหนด
ผลการพิจารณา และระเบียบตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ระเบียบตาม
(๕) และ (๖) เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๓๘
ให้กรมการจัดหางานจัดทำบัญชีของกองทุนให้เป็นไปตามระบบการบัญชีที่กระทรวงการคลังได้วางไว้
มาตรา ๓๙
ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้สอบบัญชีอิสระที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้ความเห็นชอบเป็นผู้สอบบัญชีของกองทุน
มาตรา ๔๐
ให้ผู้สอบบัญชีรายงานผลการสอบบัญชีต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
และให้กรมการจัดหางานเผยแพร่งบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ
หมวด ๓
คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว
มาตรา ๔๑
ให้มีคณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงาน
เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อัยการสูงสุด
ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม
ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผู้แทนองค์กรนายจ้างและผู้แทนองค์กรลูกจ้างฝ่ายละไม่เกินสามคน และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินสี่คนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจากผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านแรงงาน
การอุตสาหกรรม และกฎหมาย เป็นกรรมการ
ให้อธิบดีเป็นกรรมการและเลขานุการ
และผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
การได้มา
วาระการดำรงตำแหน่ง
และการพ้นจากตำแหน่งของผู้แทนองค์กรนายจ้างและผู้แทนองค์กรลูกจ้าง
และวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔๒
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
เสนอนโยบายการทำงานของคนต่างด้าวต่อคณะรัฐมนตรี
(๒)
เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในการออกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ
และประกาศตามพระราชบัญญัตินี้
(๓)
ติดตาม ดูแล และประสานการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของคนต่างด้าวตามนโยบายการทำงานของคนต่างด้าวที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
(๔)
กำกับการดำเนินงานของกรมการจัดหางานในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามนโยบายการทำงานของคนต่างด้าวที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
(๕)
ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๔๓
การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ในการประชุมของคณะกรรมการ
ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการซึ่งมาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
มติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๔๔
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
ให้นำความในมาตรา
๔๓ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
หมวด ๔
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การทำงานของคนต่างด้าว
มาตรา ๔๕
ให้มีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การทำงานของคนต่างด้าว ประกอบด้วย
ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผู้แทนองค์กรนายจ้างและผู้แทนองค์กรลูกจ้างฝ่ายละหนึ่งคน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกินสามคน
เป็นกรรมการ
ให้อธิบดีแต่งตั้งข้าราชการของกรมการจัดหางานคนหนึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการ
และอีกสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
การได้มา
วาระการดำรงตำแหน่ง
และการพ้นจากตำแหน่งของผู้แทนองค์กรนายจ้างและผู้แทนองค์กรลูกจ้าง และวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔๖
ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่ออกใบอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามมาตรา ๙ มาตรา
๑๑ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๒๖ หรือไม่ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๒๓
หรือเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา ๒๘ ผู้ขอรับใบอนุญาต ผู้ขออนุญาต ผู้รับใบอนุญาต
หรือผู้ถูกเพิกถอนใบอนุญาต แล้วแต่กรณี
มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งดังกล่าว
ให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์พร้อมทั้งเหตุผลในการมีคำสั่งไม่ออกใบอนุญาต
ไม่อนุญาต ไม่ต่ออายุใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต
ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์
และให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยคำอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
ในกรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๒๓
ผู้อุทธรณ์มีสิทธิทำงานไปพลางก่อนได้จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
มาตรา ๔๗
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคำสั่งทางปกครองและคณะกรรมการที่มีอำนาจดำเนินการพิจารณาทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับกับการทำคำสั่งทางปกครองและการประชุมของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยอนุโลม
หมวด ๕
การกำกับดูแล
มาตรา ๔๘
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อธิบดี นายทะเบียน
และพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ ดังต่อไปนี้
(๑)
มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริงรวมทั้งให้ส่งเอกสารหรือหลักฐาน
(๒)
เข้าไปในสถานที่ใดในระหว่างเวลาที่มีหรือเชื่อได้ว่ามีการทำงานในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อตรวจสอบให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
โดยต้องมีหมายของศาล
เว้นแต่เป็นการเข้าไปในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงเวลาพระอาทิตย์ตก ในการนี้
ให้มีอำนาจสอบถามข้อเท็จจริงหรือเรียกเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ จากบุคคลที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ดังกล่าวได้
มาตรา ๔๙
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัวตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง
มาตรา ๕๐
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อธิบดี
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบคนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้
และสั่งให้ไปรายงานตัวยังสถานีตำรวจพร้อมกับพนักงานเจ้าหน้าที่
แต่คนต่างด้าวผู้นั้นไม่ยินยอมหรือจะหลบหนี
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับคนต่างด้าวนั้นโดยไม่ต้องมีหมายจับและให้นำตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนโดยทันที ในการนี้ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๘๑ มาตรา
๘๑/๑ มาตรา ๘๒ มาตรา ๘๓ มาตรา ๘๔ มาตรา ๘๕ และมาตรา ๘๖
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาใช้บังคับกับการจับตามมาตรานี้โดยอนุโลม
เพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือพนักงานสอบสวนในการสอบสวน
รัฐมนตรีจะแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความรู้ความชำนาญในการสอบสวนร่วมเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ได้ ในกรณีเช่นนี้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ช่วยเหลือพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนในคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ได้
การดำเนินการเกี่ยวกับการจับกุมตามวรรคสอง
และการร่วมกันสอบสวนตามวรรคสาม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติร่วมกันกำหนด
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๕๑
คนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่คนต่างด้าวซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามวรรคหนึ่งยินยอมเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรภายในเวลาที่พนักงานสอบสวนกำหนดซึ่งต้องไม่ช้ากว่าสามสิบวัน
พนักงานสอบสวนจะเปรียบเทียบปรับและดำเนินการให้คนต่างด้าวนั้นเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรก็ได้
มาตรา ๕๒
ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดทำงานอันเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๙
มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๒๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา ๕๓
ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่แจ้งต่อนายทะเบียนตามมาตรา ๒๒
หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา ๕๔
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
และถ้าคนต่างด้าวนั้นไม่มีใบอนุญาต
ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน
มาตรา ๕๕
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือสอบถามหรือหนังสือเรียกหรือไม่ยอมให้ข้อเท็จจริงหรือไม่ส่งเอกสารหรือหลักฐานแก่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา
๔๘ ทั้งนี้ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา ๕๖
ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ นอกจากความผิดตามมาตรา ๕๑
ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนและคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้เปรียบเทียบและผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันแล้ว
ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๕๗
ให้ออกกฎกระทรวงกำหนดงานที่คนต่างด้าวอาจทำได้ตามมาตรา ๗
ให้แล้วเสร็จภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎกระทรวงตามมาตรา
๗ ให้นายทะเบียนอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานใด ๆ ได้
เว้นแต่งานที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
มาตรา ๕๘
คนต่างด้าวผู้ใดได้รับใบอนุญาตหรือได้รับการผ่อนผันให้ทำงานตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๔ อยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้ถือว่าได้รับใบอนุญาตหรือได้รับอนุญาตให้ทำงานตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตหรือการผ่อนผันนั้น
ใบอนุญาตที่ออกให้ตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
ให้ใช้ได้ต่อไปตราบเท่าที่ใบอนุญาตยังไม่สิ้นอายุ
และผู้รับใบอนุญาตยังทำงานที่ได้รับอนุญาตนั้น
มาตรา ๕๙
บรรดาคำขอและคำอุทธรณ์ที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๔ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ถือว่าเป็นคำขอหรือคำอุทธรณ์ที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖๐
บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ มติคณะรัฐมนตรี
หรือคำสั่งของรัฐมนตรีหรืออธิบดี
ซึ่งได้ออกหรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๕๒๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๔ และยังมีผลใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
และให้ถือเสมือนเป็นพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ มติคณะรัฐมนตรี
หรือคำสั่งของรัฐมนตรีหรืออธิบดีที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก
สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
(๑) ใบอนุญาต ฉบับละ ๒๐,๐๐๐ บาท
(๒) การต่ออายุใบอนุญาต ครั้งละ ๒๐,๐๐๐ บาท
(๓) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ ๓,๐๐๐ บาท
(๔) การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือ
เพิ่มลักษณะงาน นายจ้าง
หรือท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
ที่ได้รับอนุญาต
หรือเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ ๕,๐๐๐ บาท
(๕) การจ้างคนต่างด้าวซึ่งมิใช่
ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการ รายละ ๑๐,๐๐๐ บาท
(๖) ค่ายื่นคำขอ ฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท
ในการออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม
จะกำหนดค่าธรรมเนียมให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงสาขาอาชีพหรือสาขาอาชีพและท้องที่ทำงานของคนต่างด้าวก็ได้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ ไม่สอดคล้องกับลักษณะการเคลื่อนย้ายแรงงานในระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน
และโดยที่แรงงานต่างด้าวเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ
กรณีจึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการทำงานของคนต่างด้าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
อังศุมาลี/ผู้จัดทำ
๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖
อุดมลักษณ์/ผู้ตรวจ
๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๗ ก/หน้า ๒๔/๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ |
315501 | พระราชบัญญัติ การทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทำงานของคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๔
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑
กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๒
เป็นปีที่ ๕๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว
พระราชบัญญัตินี้มีทบบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา
๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๕๒๑ และให้ใช้อัตราค่าธรรมเนียมต่อไปนี้แทน
อัตราค่าธรรมเนียม
(๑)
ใบอนุญาต ฉบับละ
๑๐,๐๐๐ บาท
(๒)
การต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือ
การขายระยะเวลาทำงาน ครั้งละ ๑๐,๐๐๐ บาท
(๓)
ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ ๓,๐๐๐ บาท
(๔)
การอนุญาตให้ทำงานอื่นหรือ
เปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงาน ครั้ง
ละ ๕,๐๐๐ บาท
(๕)
ค่ายื่นคำขอ ฉบับละ ๕๐๐ บาท
ในการออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมจะกำหนดค่าธรรมเนียมให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงสาขาอาชีพของคนต่างด้าวได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่อัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและค่าของเงินตราที่เปลี่ยนแปลงไปสมควรปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พรพิมล/แก้ไข
๑๑ มีนาคม ๒๕๔๔
A+B
(C)
อมราลักษณ์/แก้ไข
๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๗
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] รก. ๒๕๔๔/๘๗ก/๑/๓๐ กันยายน ๒๕๔๔ |
301898 | พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๘
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑
เป็นปีที่ ๓๓
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า
พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒
ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มาตรา ๔
พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว
เฉพาะในฐานะดังต่อไปนี้
(๑) บุคคลในคณะผู้แทนทางทูต
(๒) บุคคลในคณะผู้แทนทางกงสุล
(๓)
ผู้แทนของประเทศสมาชิกและพนักงานขององค์การสหประชาชาติ
และทบวงการชำนัญพิเศษ
(๔)
คนรับใช้ส่วนตัวซึ่งเดินทางจากต่างประเทศเพื่อมาทำงานประจำอยู่กับบุคคลใน (๑) หรือ
(๒) หรือ (๓)
(๕)
บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจตามความตกลงที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
(๖)
บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษาวัฒนธรรม ศิลป
การกีฬา หรือกิจการอื่น ทั้งนี้
ตามที่จะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
(๗)
บุคคลซึ่งรัฐบาลอนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา ๕ ในพระราชบัญญัตินี้
คนต่างด้าว หมายความว่า
บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ทำงาน หมายความว่า
การทำงานโดยใช้กำลังกายหรือความรู้ด้วยประสงค์ค่าจ้างหรือประโยชน์อื่นใดหรือไม่ก็ตาม
ใบอนุญาต หมายความว่า ใบอนุญาตทำงาน
ผู้รับใบอนุญาต หมายความว่า
คนต่างด้าวซึ่งได้รับใบอนุญาต
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
นายทะเบียน หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียนการทำงานของคนต่างด้าว
อธิบดี หมายความว่า อธิบดีกรมแรงงาน
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒
งานใดที่ห้ามคนต่างด้าวทำในท้องที่ใด เมื่อใด โดยห้ามเด็ดขาด
หรือห้ามโดยมีเงื่อนไขอย่างใดเพียงใดให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐
งานใดที่มิได้ห้ามไว้ในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๖
คนต่างด้าวจะทำได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
เว้นแต่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วนมีระยะการทำงานไม่เกินสิบห้าวัน
แต่คนต่างด้าวนั้นจะทำงานนั้นได้เมื่อได้มีหนังสือแจ้งให้อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายทราบ
ตามแบบที่อธิบดีกำหนด
มาตรา ๘ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง บุคคลใดประสงค์จะให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในกิจการของตนในราชอาณาจักรจะยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวนั้นต่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายก็ได้
อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
จะออกใบอนุญาตให้แก่คนต่างด้าวตามวรรคหนึ่งได้ต่อเมื่อคนต่างด้าวนั้นเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว
มาตรา ๙ ในการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานตามมาตรา ๗
และมาตรา ๘
อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดเพื่อให้คนต่างด้าวปฏิบัติก็ได้
ในกรณีเช่นนั้น ต้องให้คนต่างด้าว
ให้คำรับรองก่อนว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นได้ และ ถ้าเป็นกรณีตามมาตรา ๘
คนต่างด้าวนั้นต้องให้คำรับรองก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
มาตรา ๑๐
คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร
ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือตามกฎหมายอื่น
ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คนต่างด้าวนั้นเข้ามาในราชอาณาจักร
แต่ถ้าคนต่างด้าวนั้นอยู่ในราชอาณาจักรแล้ว ระยะเวลาสามสิบวัน
ให้นับแต่วันที่ทราบการได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือตามกฎหมายอื่น
ในระหว่างรอรับใบอนุญาต ให้ผู้ยื่นคำขอทำงานไปพลางก่อนได้
เมื่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายได้รับคำขอแล้วให้ออกใบอนุญาตให้โดยมิชักช้า
มาตรา ๑๑ คนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๗
ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(๑) มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
หรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยมิใช่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว
หรือผู้เดินทางผ่าน
(๒) ไม่เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ
หรือต้องห้ามตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๒ คนต่างด้าวดังต่อไปนี้จะทำงานใดได้เฉพาะที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในประกาศดังกล่าวรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดไว้ก็ได้ตามที่เห็นสมควร
(๑)
คนต่างด้าวที่ถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
ซึ่งได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ
ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
(๒)
คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และอยู่ในระหว่างรอการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร
(๓)
คนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือตามกฎหมายอื่น
(๔)
คนต่างด้าวโดยผลของการถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือตามกฎหมายอื่น
คนต่างด้าวจะทำงานใดที่รัฐมนตรีกำหนดตามวรรคหนึ่งได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
มาตรา ๑๓ ใบอนุญาตที่ออกให้ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันออกเว้นแต่
(๑)
ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๐
ให้มีอายุเท่าระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานตามกฎหมายนั้น ๆ
(๒)
ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๒ ให้มีอายุตามที่อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายกำหนดแต่ไม่ให้เกินหนึ่งปีนับแต่วันออก
(๓)
ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ให้มีอายุเท่าระยะเวลาที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรในขณะออกใบอนุญาต
(๔)
ใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนให้มีอายุสามสิบวันนับแต่วันออก
มาตรา ๑๔ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๐
ได้รับการขยายระยะเวลาการทำงานตามกฎหมายนั้น ๆ
ให้ผู้รับใบอนุญาตแจ้งต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการขยายระยะเวลาและให้นายทะเบียนจดแจ้งการขยายระยะเวลานั้นลงในใบอนุญาต
มาตรา ๑๕
ก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุและผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะทำงานนั้นต่อไปให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตต่อนายทะเบียน
ในกรณีเช่นนี้
ให้ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานไปพลางก่อนได้จนกว่านายทะเบียนจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุ
การต่ออายุใบอนุญาตให้ต่อได้ครั้งละหนึ่งปี
เว้นแต่
(๑) การต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ (๓)
ให้ต่ออายุได้อีกไม่เกินระยะเวลาที่ผู้รับใบอนุญาตนั้น ได้รับการขยายระยะเวลาให้อยู่ในราชอาณาจักร
(๒) การต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ (๔)
ให้ต่ออายุได้อีกครั้งละสามสิบวันเว้นแต่คนต่างด้าวนั้นได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองต่อไปโดยมีกำหนดเวลาที่แน่นอนเกินสามสิบวัน
ให้ต่ออายุใบอนุญาตได้เท่าระยะเวลาที่รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรแต่ไม่เกินหนึ่งปี
มาตรา ๑๖
รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดแบบหลักเกณฑ์และวิธีการในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตตามมาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๒
(๒) การขอต่ออายุใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๑๕
(๓)
การขอรับใบแทนและการออกใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๙
(๔)
การขออนุญาตและการอนุญาตให้เปลี่ยนการทำงานหรือเปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงานตามมาตรา
๒๑
(๕) การออกบัตรประจำตัวตามมาตรา ๓๑
มาตรา ๑๗
ในกรณีที่ไม่ออกใบอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามมาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒
หรือไม่ให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๑๕
หรือไม่อนุญาตให้ทำงานอื่นหรือเปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงานตามมาตรา ๒๑
ผู้ขอมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่ออธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย
หรือนายทะเบียน แล้วแต่กรณี ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งไม่อนุญาต
เมื่อได้รับอุทธรณ์แล้ว ให้ผู้รับอุทธรณ์นำส่งคณะกรรมการภายในสิบห้าวัน
ให้คณะกรรมการพิจารณาเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีภายในสิบห้าวันและให้รัฐมนตรีวินิจฉัยคำอุทธรณ์ภายในสามสิบวัน
คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
ในกรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๑๕ ที่กล่าวในวรรคหนึ่ง ผู้อุทธรณ์มีสิทธิทำงานไปพลางก่อนได้
จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรี
มาตรา ๑๘
ผู้รับใบอนุญาตต้องมีใบอนุญาตอยู่กับตัวหรืออยู่ ณ ที่ทำงานในระหว่างทำงาน
เพื่อแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียนได้เสมอ
มาตรา ๑๙ ถ้าใบอนุญาตชำรุดในสาระสำคัญหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบการชำรุดหรือสูญหาย
มาตรา ๒๐
ในกรณีที่คนต่างด้าวเลิกทำงานตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ส่งมอบใบอนุญาตคืนให้แก่นายทะเบียนในท้องที่จังหวัดที่ตั้งสถานที่ทำงานภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันที่เลิกทำงานนั้น
มาตรา ๒๑
ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตทำงานอื่นใดนอกจากงานที่ระบุไว้ในใบอนุญาตหรือเปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงานให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
มาตรา ๒๒
ห้ามมิให้บุคคลใดรับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงานหรือ
รับคนต่างด้าวเข้าทำงานที่มีลักษณะหรือเงื่อนไขในการทำงานแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต
มาตรา ๒๓
บุคคลใดรับคนต่างด้าวเข้าทำงานหรือให้คนต่างด้าวย้ายไปทำงานในท้องที่อื่นนอกจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาต
หรือมีคนต่างด้าวออกจากงาน
ให้บุคคลนั้นแจ้งต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานหรือวันที่คนต่างด้าวนั้นย้ายหรือออกจากงาน
แล้วแต่กรณี
การแจ้งตามวรรคหนึ่งให้ทำตามแบบที่อธิบดีกำหนด
มาตรา ๒๔ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า
คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว
ประกอบด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยมอบหมายเป็นประธาน
ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกรมการปกครอง
ผู้แทนกรมตำรวจ ผู้แทนกรมประชาสงเคราะห์ ผู้แทนกรมอัยการ ผู้แทนกรม
ทะเบียนการค้า ผู้แทนกรมการค้าภายใน
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และกรรมการอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่เกินสามคนเป็นกรรมการ
และผู้แทนกรมแรงงานเป็นกรรมการและเลขานุการ
มาตรา ๒๕ กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา ๒๖
กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงคราวออกตามวาระเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) รัฐมนตรีให้ออก
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม
ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น
มาตรา ๒๗ คณะกรรมการมีหน้าที่วินิจฉัย
ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่รัฐมนตรีดังต่อไปนี้
(๑) การออกพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๔ (๖)
และมาตรา ๖
(๒)
การกำหนดงานที่รัฐมนตรีจะประกาศตามมาตรา ๑๒
(๓) การออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๖
(๔) การพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งตามมาตรา ๑๗
(๕) เรื่องอื่น ๆ ที่รัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๒๘ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
จึงเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม
หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการซึ่งมาประชุมเลือกกรรมการด้วยกันคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
มติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๒๙
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อให้ทำกิจการหรือพิจารณาเรื่องใดอันอยู่ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของคณะกรรมการ
ให้นำความในมาตรา ๒๘
มาใช้บังคับแก่การประชุมคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา ๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
อธิบดีหรือเจ้าพนักงาน ซึ่งอธิบดีมอบหมาย นายทะเบียน
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
(๑)
มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งให้ส่งเอกสารหรือหลักฐาน
(๒)
เข้าไปในสถานที่ใดที่มีเหตุอันสมควรสงสัยว่ามีคนต่างด้าวทำงานในระหว่างเวลาที่เชื่อได้ว่ามีการทำงาน
เพื่อตรวจสอบให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ในการนี้ให้มีอำนาจสอบถามข้อเท็จจริง
หรือเรียกเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ จากบุคคลที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในสถานที่ดังกล่าวได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม (๒)
ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ดังกล่าว
หรือบุคคลผู้รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในสถานที่ดังกล่าวอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๓๑
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัว
ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ
มาตรา ๓๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย นายทะเบียน
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓
คนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา ๖
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔ คนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยฝ่าฝืนมาตรา ๗
หรือฝ่าฝืนเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๙
หรือทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๑๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๕ คนต่างด้าวผู้ใดทำงานโดยฝ่าฝืนมาตรา ๑๐
หรือมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๓๖ ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๔
หรือมาตรา ๑๙
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๓๗
คนต่างด้าวผู้ใดทำงานเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว
โดยมิได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุหรือได้ยื่นคำขอแล้ว
แต่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา ๑๕
และคนต่างด้าวผู้นั้นมิได้อุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนหรือได้อุทธรณ์แล้วแต่รัฐมนตรีมีคำวินิจฉัยไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา
๑๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๘ ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินสองพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๙
ผู้ใดรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยฝ่าฝืนมาตรา ๒๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๐ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๓ หรือมาตรา ๔๒ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๔๑
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือสอบถามหรือหนังสือเรียกหรือไม่ยอมให้ข้อเท็จจริงหรือไม่ส่งเอกสาร
หรือหลักฐาน หรือขัดขวาง
หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่อธิบดีหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมาย หรือนายทะเบียน
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๓๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามพันบาท
มาตรา ๔๒
บุคคลใดมีคนต่างด้าวทำงานในธุรกิจของตนก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๑๕ ใช้บังคับและยังมิได้แจ้งรายการเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่ทำงานอยู่กับตนตามข้อ
๓๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวจนถึงวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้บุคคลนั้นแจ้งรายการดังกล่าวตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๔๓ ใบอนุญาตที่ออกให้ตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
ให้ใช้ได้ต่อไปตราบเท่าที่ใบอนุญาตยังไม่สิ้นอายุ
และผู้รับใบอนุญาตยังทำงานที่ได้รับอนุญาตนั้น
มาตรา ๔๔
คนต่างด้าวซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ใช้บังคับ
และได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่ออธิบดี หรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายตามข้อ ๓๔
วรรคหนึ่ง แห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว และอธิบดีหรือ เจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายได้ออกใบอนุญาตแล้วแต่คนต่างด้าวผู้นั้นยังมิได้ไปรับใบอนุญาตและยังคงทำงานอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ไปรับใบอนุญาตภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ
หากไม่ไปขอรับใบอนุญาตภายในกำหนดเวลาดังกล่าว
ให้ถือว่าใบอนุญาตนั้นสิ้นผลเมื่อครบกำหนดเวลาเช่นว่านั้น
มาตรา ๔๕ คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๒
ซึ่งทำงานใดอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ทำงานนั้นต่อไปได้จนกว่าจะมีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๒
เมื่อมีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๒ แล้ว
ในกรณีที่งานที่คนต่างด้าวดังกล่าวทำอยู่เป็นงานที่รัฐมนตรีได้ประกาศให้ทำได้ ให้ทำงานนั้นได้ต่อไปแต่ต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ประกาศของรัฐมนตรีดังกล่าวใช้บังคับ
ในกรณีที่งานที่คนต่างด้าวดังกล่าวทำอยู่นั้นมิใช่เป็นงานที่รัฐมนตรีได้ประกาศให้ทำได้
ให้ทำงานนั้นต่อไปได้อีกหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๔๖ บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
และประกาศหรือคำสั่งของรัฐมนตรีหรืออธิบดี
หรือใบอนุญาตซึ่งได้ออกหรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒
ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับได้ต่อไปและให้ถือเสมือนเป็นพระราชกฤษฎีกา
กฎกระทรวง
และประกาศหรือคำสั่งของรัฐมนตรีหรืออธิบดีหรือใบอนุญาตที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔๗
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ออกกฎกระทรวงกำหนด
ค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นค่าธรรมเนียม
และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
(๑) ใบอนุญาตปี ๑,๐๐๐
บาท
(๒) การต่ออายุใบอนุญาตหรือการขยายระยะ
เวลาการทำงานปีละ ๑,๐๐๐
บาท
(๓) ใบแทนใบอนุญาต ๓๐๐
บาท
(๔) การอนุญาตให้ทำงานอื่นหรือ
เปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงาน ๕๐๐
บาท
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
มีหลักการใช้บังคับเฉพาะคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเท่านั้น ส่วนคนต่างด้าวบางประเภทที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่มีหลักฐานการได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
เช่น ญวนอพยพ เป็นต้น ไม่อยู่ในข่ายบังคับของกฎหมายนี้
และปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ได้มาประกอบอาชีพหรือทำงานอยู่ในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ
โดยเสรี ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นผู้มีอภิสิทธิ์เหนือคนต่างด้าวอื่น ๆ
ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่โดยถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
จึงจำต้องเพิ่มบทบัญญัติเพื่อใช้บังคับแก่คนต่างด้าวเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ถ้อยคำ ในประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๒๒ หลายแห่งไม่ชัดแจ้งทำให้เป็นปัญหาขัดข้องในทางปฏิบัติอยู่หลายเรื่อง
เนื่องจากได้ออกมาใช้บังคับโดยกระทันหันตามภาวะความจำเป็นในสมัยนั้น
จึงจำต้องแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ให้เหมาะสมกับภาวะการณ์ในปัจจุบัน
สุนันทา/แก้ไข
๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔
A+B
(C)
อมราลักษณ์/แก้ไข
๒๐
ธันวาคม ๒๕๔๗
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑]
รก.๒๕๒๑/๗๓/๑๔พ/๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑ |
497684 | พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. 2522 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๑
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
มาตรา ๓
ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๑๖
(๒)
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๑๙
(๓)
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๒๐
มาตรา ๔
ให้กำหนดงานในอาชีพหรือวิชาชีพตามที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกานี้
เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำเพื่อเป็นการค้าหรือหารายได้โดยเด็ดขาดในทุกท้องที่ในราชอาณาจักร
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกา
กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑)[๒] งานกรรมกร ยกเว้นงานกรรมกรในเรือประมงตาม
(๒)
งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำตาม (๑)
ไม่ใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งชาติอื่น
และคนต่างด้าวที่ได้รับการกำหนดสถานะให้เป็นคนเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
(๒)[๓] งานกสิกรรม งานเลี้ยงสัตว์ งานป่าไม้
หรืองานประมง ยกเว้นงานที่ใช้ความชำนาญงานเฉพาะสาขา งานควบคุมดูแลฟาร์ม
หรืองานกรรมกรในเรือประมงทางทะเล
(๓) งานก่ออิฐ
งานช่างไม้ หรืองานก่อสร้างอื่น
(๔)
งานแกะสลักไม้
(๕)
งานขับขี่ยานยนต์
หรืองานขับขี่ยานพาหนะที่ไม่ใช้เครื่องจักรหรือเครื่องกลยกเว้นงานขับขี่เครื่องบินระหว่างประเทศ
(๖) งานขายของหน้าร้าน
(๗)
งานขายทอดตลาด
(๘) งานควบคุม
ตรวจสอบ หรือให้บริการทางบัญชี ยกเว้นงานตรวจสอบภายในเป็นครั้งคราว
(๙)
งานเจียระไน หรือขัดเพชรหรือพลอย
(๑๐) งานตัดผม
งานดัดผม หรืองานเสริมสวย
(๑๑)
งานทอผ้าด้วยมือ
(๑๒)
งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ปอ ฟาง หรือเยื่อไม้ไผ่
(๑๓)
งานทำกระดาษสาด้วยมือ
(๑๔)
งานทำเครื่องเขิน
(๑๕)
งานทำเครื่องดนตรีไทย
(๑๖)
งานทำเครื่องถม
(๑๗)
งานทำเครื่องทอง เครื่องเงิน หรือเครื่องนาก
(๑๘)
งานทำเครื่องลงหิน
(๑๙)
งานทำตุ๊กตาไทย
(๒๐)
งานทำที่นอนหรือผ้าห่มนวม
(๒๑) งานทำบาตร
(๒๒)
งานทำผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมด้วยมือ
(๒๓)
งานทำพระพุทธรูป
(๒๔) งานทำมีด
(๒๕)
งานทำร่มกระดาษหรือผ้า
(๒๖)
งานทำรองเท้า
(๒๗)
งานทำหมวก
(๒๘)
งานนายหน้า หรืองานตัวแทน
ยกเว้นงานนายหน้าหรืองานตัวแทนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
(๒๙)
งานในวิชาชีพวิศวกรรม สาขาวิศวกรรมโยธา ที่เกี่ยวกับงานออกแบบและคำนวณ
จัดระบบ วิจัย วางโครงการทดสอบ ควบคุมการก่อสร้าง หรือให้คำแนะนำ ทั้งนี้ ไม่รวมงานที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษ
(๓๐)
งานในวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับงานออกแบบ เขียนแบบ ประมาณราคา
อำนวยการก่อสร้าง หรือให้คำแนะนำ
(๓๑)
งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย
(๓๒)
งานปั้นหรือทำเครื่องปั้นดินเผา
(๓๓)
งานมวนบุหรี่ด้วยมือ
(๓๔)
งานมัคคุเทศก์ หรืองานจัดนำเที่ยว
(๓๕)
งานเร่ขายสินค้า
(๓๖)
งานเรียงตัวพิมพ์อักษรไทยด้วยมือ
(๓๗)
งานสาวหรือบิดเกลียวไหมด้วยมือ
(๓๘)
งานเสมียนพนักงานหรืองานเลขานุการ
(๓๙)[๔] งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี ยกเว้น
(ก)
งานปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการ
(ข)
งานว่าต่างแก้ต่างในชั้นอนุญาโตตุลาการ
ถ้ากฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทที่พิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการนั้นมิใช่กฎหมายไทย
หรือเป็นกรณีที่ไม่ต้องขอบังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นในราชอาณาจักรไทย
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
แทนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒
ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ในการนี้จำเป็นต้องกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำใหม่
ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
และโดยที่พระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าการกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ขึ้น
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖[๕]
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากในปัจจุบันมีการขาดแคลนแรงงานไทยในการประกอบการประมงทางทะเล ดังนั้น
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวสมควรกำหนดยกเว้นให้คนต่างด้าวสามารถทำงานอาชีพเป็นกรรมกรในเรือประมงเฉพาะการประมงทางทะเลได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓[๖]
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากปัจจุบันการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการระงับข้อพิพาททางการพาณิชย์ระหว่างประเทศกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ดังนั้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมกระบวนการอนุญาโตตุลาการในประเทศไทย
สมควรกำหนดยกเว้นให้คนต่างด้าวสามารถปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการรวมถึงว่าต่างแก้ต่างในชั้นอนุญาโตตุลาการได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๘[๗]
เหตุผล :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานไทยซึ่งทำงานอาชีพกรรมกรเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สมควรกำหนดยกเว้นให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลต่างประเทศ
และคนต่างด้าวที่ได้รับการกำหนดสถานะให้เป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ได้แก่ ชาวเวียดนามอพยพ อดีตทหารจีน คณะชาติและจีนฮ่ออพยพพลเรือน
อดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา ไทยลื้อ ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกงกัมพูชา
ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย จีนฮ่ออิสระ เนปาลอพยพ ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า
ชาวเขาที่อพยพเข้ามาก่อนวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวลาวภูเขาที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศไทย
บุคคลบนพื้นที่สูง ชุมชนบนพื้นที่สูง
และม้งในที่พักสงฆ์ถ้ำกระบอกสามารถทำงานในอาชีพกรรมกรได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
สุนันทา/ผู้จัดทำ
๑๐ เมษายน ๒๕๔๙
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๖ / ตอนที่ ๘๐ / หน้า ๗๕ ฉบับพิเศษ / วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๒
[๒]
บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๘
[๓]
บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒
(๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖
[๔] บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
พ.ศ. ๒๕๒๒ (๓๙)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๑๐/ตอนที่ ๑๘๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๔/๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๖
[๖] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๑๗/ตอนที่ ๑๐๕ ก/หน้า ๒๒/๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๓
[๗] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๒/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๔/๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ |
457709 | พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2548
| พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๔๘
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒
เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘
เป็นปีที่ ๖๐
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.
๒๕๔๘
มาตรา ๒[๑]
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกความใน (๑) ของบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
พ.ศ. ๒๕๒๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๑)
งานกรรมกร ยกเว้นงานกรรมกรในเรือประมงตาม (๒)
งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำตาม (๑)
ไม่ใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งชาติอื่น
และคนต่างด้าวที่ได้รับการกำหนดสถานะให้เป็นคนเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานไทยซึ่งทำงานอาชีพกรรมกรเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
สมควรกำหนดยกเว้นให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลต่างประเทศ
และคนต่างด้าวที่ได้รับการกำหนดสถานะให้เป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ได้แก่ ชาวเวียดนามอพยพ อดีตทหารจีน คณะชาติและจีนฮ่ออพยพพลเรือน
อดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา ไทยลื้อ ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกงกัมพูชา
ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย จีนฮ่ออิสระ เนปาลอพยพ ผู้ผลัดถิ่นสัญชาติพม่า
ชาวเขาที่อพยพเข้ามาก่อนวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๘
ผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวลาวภูเขาที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศไทย บุคคลบนพื้นที่สูง
ชุมชนบนพื้นที่สูง และม้งในที่พักสงฆ์ถ้ำกระบอกสามารถทำงานในอาชีพกรรมกรได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
สุกัญญา/ผู้จัดทำ
๑๐ เมษายน ๒๕๔๙
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๔/๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ |
457707 | พระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2548
| พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจ
บางประการในราชอาณาจักร ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่ง
พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๘
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘
เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๔ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๐
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
พระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘
มาตรา ๒[๑]
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๕) ของมาตรา ๔
แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ.
๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘
(๕)
เพื่อทำงานระหว่างการท่องเที่ยวภายใต้กรอบของบันทึกความเข้าใจหรือบันทึกความตกลงที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ : -
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลต่างประเทศเพื่อให้บุคคลของประเทศคู่ภาคีเข้ามาทำงานระหว่างท่องเที่ยวได้เป็นการชั่วคราว
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ.
๒๕๒๒ เพื่อกำหนดให้คนต่างด้าวดังกล่าวไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
วชิระ/จัดทำ
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] รก.๒๕๔๘/๓๘ก/๑/๑๐
พฤษภาคม ๒๕๔๘ |
312285 | พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543
| พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๓
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๕
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
เป็นปีที่ ๕๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพบางประเภทที่ห้ามคนต่างด้าวทำเสียใหม่เพื่อส่งเสริมกระบวนการอนุญาโตตุลาการในราชอาณาจักร
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๔๓
มาตรา ๒[๑]
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกความใน (๓๙)
ของบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๓๙)
งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี ยกเว้น
(ก)
งานปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการ
(ข)
งานว่าต่างแก้ต่างในชั้นอนุญาโตตุลาการ
ถ้ากฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทที่พิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการนั้นมิใช่กฎหมายไทย
หรือเป็นกรณีที่ไม่ต้องขอบังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นในราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากปัจจุบันการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการระงับข้อพิพาททางการพาณิชย์ระหว่างประเทศกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ดังนั้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมกระบวนการอนุญาโตตุลาการในประเทศไทย
สมควรกำหนดยกเว้นให้คนต่างด้าวสามารถปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการรวมถึงว่าต่างแก้ต่างในชั้นอนุญาโตตุลาการได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
สุกัญญา/ผู้จัดทำ
๑๐ เมษายน ๒๕๔๙
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๑๐๕ ก/หน้า ๒๒/๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ |
323091 | พระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักรไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 | พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการ
ในราชอาณาจักรไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติ
การทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๘
--------------
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘
เป็นปีที่ ๔๐
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีการว่าด้วยการกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภาระกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๔ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
"พระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าว
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักรไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘"
มาตรา
๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔)
ของมาตรา ๔
แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๒
"(๔)
เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดประชุม
การจัดสัมมานาหรือการจัดนิทรรศการหรือเพื่อแสดงความเห็นหรือสาธิตในการประชุมสัมมนา
หรือนิทรรศการ ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ร่วมจัดหรือได้รับทราบ
และมีกำหนดเวลาไม่เกินสามสิบวัน"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีการฉบับนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบัน
ปรากฏว่ามีคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดประชุม การจัดสัมมนา
หรือการจัดนิทรรศการ หรือเพื่อแสดงความเห็นหรือสาธิตในการประชุม สัมมนา
หรือนิทรรศการอยู่เป็นประจำ
ซึ่งนอกจากจะนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาใช้จ่ายในราชอาณาจักรแล้ว
ยังนำวิชาการและเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่อีกด้วย
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาทางวิชาการและเทคโนโลยีของประเทศ
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ.
๒๕๒๒ เพื่อกำหนดให้คนต่างด้าวดังกล่าวไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
[รก.๒๕๒๘/๙๖/๕๑พ/๒๖กรกฎาคม๒๕๒๘]
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ |
301900 | พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2536
| พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดงานในอาชีพและวิชาที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๓๖
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๖
เป็นปีที่ ๔๘
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพบางประเภทที่ห้ามคนต่างด้าวทำเสียใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๓๖
มาตรา ๒[๑]
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกความใน (๑) และ (๒)
ของบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๑)
งานกรรมกร ยกเว้นงานกรรมกรในเรือประมงตาม (๒)
(๒)
งานกสิกรรม งานเลี้ยงสัตว์ งานป่าไม้ หรืองานประมง ยกเว้นงานที่ใช้ความชำนาญงานเฉพาะสาขา
งานควบคุมดูแลฟาร์ม หรืองานกรรมกรในเรือประมงเฉพาะการประมงทางทะเล
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากในปัจจุบันมีการขาดแคลนแรงงานไทยในการประกอบการประมงทางทะเล ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
สมควรกำหนดยกเว้นให้คนต่างด้าวสามารถทำงานอาชีพเป็นกรรมกรในเรือประมงเฉพาะการประมงทางทะเลได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
สุกัญญา/ผู้จัดทำ
๑๐ เมษายน ๒๕๔๙
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๐/ตอน ที่๑๘๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๔/๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ |
328303 | พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. 2522
| พระราชกฤษฎีกา
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๑
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒[๑]
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิก
(๑)
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๑๖
(๒)
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๑๙
(๓)
พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๒๐
มาตรา ๔
ให้กำหนดงานในอาชีพหรือวิชาชีพตามที่ระบุในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกานี้
เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำเพื่อเป็นการค้าหรือหารายได้โดยเด็ดขาดในทุกท้องที่ในราชอาณาจักร
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกา
กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑) งานกรรมกร
(๒)
งานกสิกรรม งานเลี้ยงสัตว์ งานป่าไม้ หรืองานประมง
ยกเว้นงานที่ใช้ความชำนาญงานเฉพาะสาขา หรืองานควบคุมดูแลฟาร์ม
(๓) งานก่ออิฐ
งานช่างไม้ หรืองานก่อสร้างอื่น
(๔)
งานแกะสลักไม้
(๕) งานขับขี่ยานยนต์
หรืองานขับขี่ยานพาหนะที่ไม่ใช้เครื่องจักรหรือเครื่องกล
ยกเว้นงานบขี่เครื่องบินระหว่างประเทศ
(๖)
งานขายของหน้าร้าน
(๗) งานขายทอดตลาด
(๘) งานควบคุม ตรวจสอบ หรือให้บริการทางบัญชี
ยกเว้นงานตรวจสอบภายในเป็นครั้งคราว
(๙)
งานเจียระไน หรือขัดเพชรหรือพลอย
(๑๐) งานตัดผม
งานดัดผม หรืองานเสริมสวย
(๑๑)
งานทอผ้าด้วยมือ
(๑๒)
งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ปอ ฟาง หรือเยื่อไม้ไผ่
(๑๓)
งานทำกระดาษสาด้วยมือ
(๑๔)
งานทำเครื่องเขิน
(๑๕)
งานทำเครื่องดนตรีไทย
(๑๖)
งานทำเครื่องถม
(๑๗)
งานทำเครื่องทอง เครื่องเงิน หรือเครื่องนาก
(๑๘)
งานทำเครื่องลงหิน
(๑๙)
งานทำตุ๊กตาไทย
(๒๐)
งานทำที่นอนหรือผ้าห่มนวม
(๒๑)
งานทำบาตร
(๒๒)
งานทำผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมด้วยมือ
(๒๓)
งานทำพระพุทธรูป
(๒๔) งานทำมีด
(๒๕)
งานทำร่มกระดาษหรือผ้า
(๒๖)
งานทำรองเท้า
(๒๗)
งานทำหมวก
(๒๘)
งานนายหน้า หรืองานตัวแทน
ยกเว้นงานนายหน้าหรืองานตัวแทนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
(๒๙)
งานในวิชาชีพวิศวกรรม สาขาวิศวกรรมโยธา ที่เกี่ยวกับงานออกแบบและคำนวณ
จัดระบบ วิจัย วางโครงการทดสอบ ควบคุมการก่อสร้าง หรือให้คำแนะนำ ทั้งนี้ ไม่รวมงานที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษ
(๓๐)
งานในวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับงานออกแบบ เขียนแบบ ประมาณราคา
อำนวยการก่อสร้าง หรือให้คำแนะนำ
(๓๑)
งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย
(๓๒)
งานปั้นหรือทำเครื่องปั้นดินเผา
(๓๓)
งานมวนบุหรี่ด้วยมือ
(๓๔)
งานมัคคุเทศก์ หรืองานจัดนำเที่ยว
(๓๕) งานเร่ขายสินค้า
(๓๖)
งานเรียงตัวพิมพ์อักษรไทยด้วยมือ
(๓๗)
งานสาวหรือบิดเกลียวไหมด้วยมือ
(๓๘)
งานเสมียนพนักงานหรืองานเลขานุการ
(๓๙)
งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
แทนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
ในการนี้จำเป็นต้องกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำใหม่
ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
และโดยที่พระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าการกำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ขึ้น
สุกัญญา/ผู้จัดทำ
๑๐ เมษายน ๒๕๔๙
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๖/ตอนที่
๘๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๗๕/๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๒ |
318730 | พระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 พ.ศ.2522 | ตราพระบรมราชโองการ
ตราพระบรมราชโองการ
พระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการ
ในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติ
การทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑
พ.ศ. ๒๕๒๒
----------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๐
เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่าโดยที่เห็นเป็นการสมควรกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักร
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๕๙
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๔ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้
ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า `พระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการในราชอาณาจักรไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ. ๒๕๒๒'
มาตรา
๒
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
มาตรา
๓
ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการ
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๕
พ.ศ. ๒๕๑๗
มาตรา
๔
คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจในราชอาณาจักรในลักษณะดังต่อไปนี้
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑ ทั้งนี้
เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจที่ผู้นั้นได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร
คือ
(๑)
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลในการพัฒนาการศึกษาของชาติ รวมทั้งการฝึกอบรมครูและอาจารย์
และการสอนนักศึกษาหรือนิสิตในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยของรัฐ
(๒)
เพื่อให้ความช่วยเหลือในการฝึกสอนการกีฬาให้แก่นักกีฬาตามข้อตกลงกับองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย
หรือเพื่อเข้าร่วมในการแข่งขันกีฬาในราชอาณาจักรเป็นเวลาไม่เกินสามสิบวันหรือ
(๓) เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนาธรรมหรือศิลปะ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
มาตรา
๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจบางประการ
ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๓๒๒ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เสียใหม่
และสมควรกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจในการกีฬาในราชอาณาจักรไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๒๑
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ขึ้น
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๒๘ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๖ / ตอนที่ ๗๔ / ฉบับพิเศษ หน้า ๙๑ / ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๒ |
702107 | กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. 2553 (ฉบับ Update ล่าสุด) | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน
เพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน
การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน
พ.ศ. ๒๕๕๓
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง และมาตรา ๑๖ วรรคสี่
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑[๑]
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ ลูกจ้างซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา
๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ (๑) หรือ (๒) และมาตรา ๑๔ เฉพาะงานดังต่อไปนี้
ต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นประกันค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างนั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
(๑)
งานรับใช้ในบ้าน
(๒)
งานกรรมกร
ข้อ ๓[๒] ให้ลูกจ้างตามข้อ ๒
ส่งเงินเข้ากองทุนในอัตราคนละ ๑,๐๐๐ บาท
ข้อ ๔[๓] ให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนดตามข้อ
๓ โดยเฉลี่ยเป็นจำนวนเท่ากันทุกเดือนติดต่อกันเป็นเวลาสี่เดือน
และนำส่งเงินที่หักไว้นั้นเข้ากองทุนภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไปจนครบอัตราดังกล่าว
ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันเป็นหนังสือให้หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้อยกว่ากำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
ให้นายจ้างนำส่งเงินที่หักไว้นั้นเข้ากองทุนภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไปจนครบอัตราดังกล่าว
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนนายจ้างก่อนที่ลูกจ้างจะส่งเงินเข้ากองทุนครบอัตราที่กำหนดตามข้อ
๓
ให้นายจ้างใหม่มีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในส่วนที่ยังขาดอยู่และนำส่งเข้ากองทุนให้ครบถ้วน
โดยให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
การหักเงินตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
ข้อ
๕ ในการนำส่งเงินเข้ากองทุน
ให้นายจ้างยื่นเงินพร้อมด้วยแบบแสดงรายการนำส่งเงินที่อธิบดีประกาศกำหนด ณ
สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน
หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานที่ทำงานของลูกจ้างหรือสำนักงานของนายจ้าง
แล้วแต่กรณี หรือสถานที่อื่นที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๒)
ธนาคารพาณิชย์ ที่ทำการไปรษณีย์ ศูนย์บริการชำระเงิน
หรือสถานที่อื่นที่มีข้อตกลงกับกรมการจัดหางานให้เป็นสถานที่นำส่งเงินเข้ากองทุน ทั้งนี้ ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
ข้อ
๖ เมื่อได้รับเงินที่นายจ้างนำส่งเข้ากองทุนแล้ว
ให้นายทะเบียนออกใบรับตามแบบ ตท. ๑๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้
ให้แก่นายจ้างเพื่อนำไปมอบให้แก่ลูกจ้างไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ
๗
เมื่อลูกจ้างถูกหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนครบถ้วนแล้วให้นายทะเบียนออกหนังสือรับรองตามแบบ
ตท. ๑๓ ท้ายกฎกระทรวงนี้ ให้แก่ลูกจ้าง
และเก็บสำเนาหนังสือรับรองดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานด้วย
ข้อ
๘ ในกรณีที่หนังสือรับรองตามข้อ ๗
เสียหายหรือสูญหาย ให้ลูกจ้างยื่นคำขอรับใบแทนหนังสือรับรองตามแบบ ตท. ๑๔
ท้ายกฎกระทรวงนี้ ต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่ออกหนังสือรับรอง
พร้อมด้วยหลักฐานและเอกสาร ดังต่อไปนี้
(๑)
รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก และไม่ใส่แว่นตาสีเข้ม ขนาด ๔ × ๕.๕
เซนติเมตร ของผู้ยื่นคำขอ ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวนสองรูป
(๒)
หนังสือรับรองฉบับที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่หนังสือรับรองสูญหาย แล้วแต่กรณี
ใบแทนหนังสือรับรองให้ใช้แบบหนังสือรับรอง
และเขียนหรือประทับตราความว่า ใบแทน ด้วยอักษรสีแดงไว้ด้านบนของหนังสือรับรอง
โดยระบุวัน เดือน ปีที่ออกใบแทน พร้อมทั้งลงลายมือชื่อนายทะเบียนกำกับไว้ด้วย
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๐
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
เฉลิมชัย ศรีอ่อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบใบรับเงินค่าจ้างของลูกจ้างที่นายจ้างนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
(แบบ ตท. ๑๒)
๒. หนังสือรับรอง (แบบ ตท. ๑๓)
๓. คำขอรับใบแทนหนังสือรับรอง ตามมาตรา ๑๖ (แบบ
ตท. ๑๔)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง
และมาตรา ๑๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติให้งานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ กำหนดเวลา และอัตราในการส่งเงินเข้ากองทุน ตลอดจนแบบ
หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรอง
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔[๔]
ข้อ ๑
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ (๑) หรือ (๒)
และมาตรา ๑๔ เฉพาะงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกรต้องส่งเงินเข้ากองทุน
เพื่อเป็นประกันค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างนั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
โดยให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนแต่ปรากฏว่าระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนคาบเกี่ยวกับระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน
ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอันกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้าง และอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่ยื่นต่อใบอนุญาตทำงาน
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สมควรกำหนดให้เริ่มหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุน ตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕[๕]
ข้อ ๑
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔
ขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งได้รับใบอนุญาตทำงาน
เฉพาะงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกร เพื่อนำส่งเข้ากองทุน โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่
๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป แต่เนื่องจากยังมีลูกจ้างที่อยู่ระหว่างดำเนินการพิสูจน์สัญชาติเพื่อปรับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรี
ประกอบกับวิกฤตการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงเดือนธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๕๔ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายเป็นอย่างมากทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคม
และทรัพย์สินของประชาชน
การหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนในระยะเวลาที่กำหนดไว้จะก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอันกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้างและอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทำงานอีกต่อไป
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้าง
สมควรกำหนดให้เริ่มหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุน ตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖[๖]
ข้อ ๑
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕
กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้าง
ซึ่งได้รับใบอนุญาตทำงานเฉพาะงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกร ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป เพื่อนำเงินดังกล่าวส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
แต่เนื่องจากการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
จะก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอันกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้างและอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทำงานอีกต่อไป
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ
สมควรขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุน
เป็นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป นอกจากนี้
ได้กำหนดให้ลูกจ้างทุกสัญชาติ ซึ่งทำงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกรส่งเงินเข้ากองทุน
โดยปรับลดจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนให้เท่ากันทุกสัญชาติ
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันและเกิดความเสมอภาคแก่ลูกจ้าง
และแก้ไขระยะเวลาการเฉลี่ยจำนวนเงินที่นายจ้างต้องหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างส่งเข้ากองทุน
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นายจ้างที่มีหน้าที่หักเงินค่าจ้างดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๔ ตุลาคม ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๔ ตุลาคม ๒๕๕๓
ณัฐพร/ปรับปรุง
๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๓๐
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนที่ ๕๙ ก/หน้า ๑/๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
[๒] ข้อ ๓
แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖
[๓] ข้อ ๔
แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๒ ก/หน้า ๑๒/๑๔ มกราคม ๒๕๕๔
[๕] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนที่ ๘๐ ก/หน้า ๔๒/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
[๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนที่ ๑๑๘ ก/หน้า ๔๖/๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ |
781018 | กฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2554 (ฉบับ Update ล่าสุด) | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ มาตรา ๙ วรรคสาม มาตรา ๑๑ วรรคสอง มาตรา
๑๓ วรรคสาม มาตรา ๑๔ วรรคสาม มาตรา ๒๓ วรรคสี่ มาตรา ๒๕ วรรคสอง และมาตรา ๒๖ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
หมวด ๑
การขอรับใบอนุญาต
การขอต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๙
และการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๑ คนต่างด้าวซึ่งประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
๙ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีที่เป็นการทำงานกับนายจ้างซึ่งมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(ก) สำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
หรือสำเนาใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวและสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(ข) สำเนาหลักฐานการอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร
(ค) สำเนาเอกสารรับรองวุฒิการศึกษา
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งเคยเป็นนายจ้างระบุรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของงานและระยะเวลาการทำงานที่ผู้ยื่นคำขอเคยทำงานด้วย
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างแสดงว่าผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์เหมาะสมกับงานที่ขอรับใบอนุญาต
(ง) สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ในกรณีที่เป็นการประกอบวิชาชีพที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(จ)
หนังสือรับรองการจ้างของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างโดยระบุเหตุผลที่ไม่จ้างบุคคลสัญชาติไทยทำงานพร้อมทั้งหลักฐานประกอบเหตุผลดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด
(ฉ)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างหรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล
(ช)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบและไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา
๑๐
(ซ) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตรซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
(๒) กรณีที่เป็นการทำงานกับนายจ้างซึ่งมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร
(ก) เอกสารและหลักฐานตาม (๑) (ก) (ข) (ค) (ง) (ช) และ (ซ)
(ข) สำเนาสัญญาจ้างเหมา สำเนาสัญญาซื้อขาย
หรือสำเนาเอกสารอื่นที่แสดงว่าผู้ยื่นคำขอมีความจำเป็นต้องเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร
(๓) กรณีที่เป็นการทำงานโดยไม่มีนายจ้าง
(ก) เอกสารและหลักฐานตาม (๑) (ก) (ข) (ง) (ช) และ (ซ)
(ข)
สำเนาเอกสารรับรองวุฒิการศึกษาหรือสำเนาเอกสารที่แสดงว่าผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์เหมาะสมกับงานที่ขอรับใบอนุญาต
(ค) สำเนาสัญญาจ้างเหมา สำเนาสัญญาซื้อขาย หรือสำเนาเอกสารอื่นที่แสดงว่าผู้ยื่นคำขอมีความจำเป็นต้องเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร
(ง)
สำเนาใบอนุญาตประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ในกรณีที่เป็นงานที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ข้อ ๒ คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งชาติอื่นและประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
๙ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
(๒) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ) (ฉ) (ช) และ (ซ)
(๓) แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานที่ทำงาน
ข้อ ๓ ผู้ประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรเข้ามาทำงานในกิจการของตนในราชอาณาจักร
จะยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวก็ได้ โดยให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีที่เป็นการยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๓ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑)
(ก) (ค) (ง) (จ) (ฉ) และ (ซ)
(๒) กรณีที่เป็นการยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวตามข้อ ๒
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑)
(จ) (ฉ) (ซ) และข้อ ๒ (๑) และ (๓)
ข้อ ๔ ในกรณีที่ใบอนุญาตเสียหายหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามแบบ ตท. ๒ หรือ ตท. ๔
ท้ายกฎกระทรวงนี้ แล้วแต่กรณี พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาตที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย
(๒) เอกสารตามข้อ ๑ (๑) (ซ)
ข้อ ๕ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(จ) (ฉ) และ (ช)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ฉ) (ช) และข้อ ๑ (๒) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๓) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ฉ) (ช) และข้อ ๑ (๓) (ข) (ค) (ง)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ) (ฉ)
(ช) และข้อ ๒ (๑)
ข้อ ๖ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ค) (ง) และ (จ)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ค) (ง) และข้อ ๑ (๒) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๓) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ค) (ง) และข้อ ๑ (๓) (ข) (ค) (ง)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ)
และข้อ ๒ (๑)
ข้อ ๗ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) (๒) หรือ (๓)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (๒) หรือ (๓) แล้วแต่กรณี
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๒
ข้อ ๘ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
และ (จ)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
และข้อ ๑ (๒) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๓) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
และข้อ ๑ (๓) (ข) (ค) (ง)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ)
และข้อ ๒ (๑) (๓)
ข้อ ๙ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) (๒) หรือ (๓)
ให้ยื่นคำขอ ตามแบบ ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ
๑ (๑) (ก) และ (ข)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) และข้อ
๒ (๑)
หมวด ๒
การขอรับใบอนุญาต
การขอต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓
และการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๑๐ คนต่างด้าวซึ่งถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศและได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ
ณ ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
และประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาหนังสือของส่วนราชการที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอเป็นคนต่างด้าวที่ถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
ซึ่งได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ
ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
(๒) สำเนาหลักฐานแสดงสถานที่อยู่ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๓) สำเนาเอกสารรับรองวุฒิการศึกษา
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งเคยเป็นนายจ้างระบุรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของงานและระยะเวลาการทำงานที่ผู้ยื่นคำขอเคยทำงานด้วย
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างแสดงว่าผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์เหมาะสมกับงานที่ขอรับใบอนุญาต
(๔)
สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพในกรณีที่เป็นการประกอบวิชาชีพที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(๕)
หนังสือรับรองการจ้างของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างโดยระบุเหตุผลที่ไม่จ้างบุคคลสัญชาติไทยทำงานพร้อมทั้งหลักฐานประกอบเหตุผลดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๖)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้าง
หรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา
หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล
(๗)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม
ที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบและไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา
๑๐
(๘) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
(๙) แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานที่ทำงาน
ข้อ ๑๑ คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีคนต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) สำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
หรือสำเนาเอกสารทะเบียนประวัติหรือสำเนาเอกสารรับรองรายการทะเบียนประวัติจากสำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
(ข)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมจากสถานพยาบาลที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นโรคต้องห้ามตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด
(ค) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๖) (๘) และ (๙)
(๒) กรณีคนต่างด้าวอื่นนอกจาก (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗
ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) สำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
สำเนาบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน
หรือสำเนาหลักฐานการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรระหว่างรอการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร
(ข) สำเนาทะเบียนบ้าน
(ค)
สำเนาหนังสืออนุญาตให้ออกนอกเขตที่พักอาศัยหรือเขตพื้นที่ออกบัตรเป็นการชั่วคราวของนายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
กรณีที่เป็นการขออนุญาตทำงานนอกเขตที่พักอาศัยหรือเขตพื้นที่ออกบัตรเป็นการชั่วคราว
(ง) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙)
ข้อ ๑๒ คนต่างด้าวซึ่งถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือตามกฎหมายอื่น
และประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว
(๒) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙)
ข้อ ๑๓ คนต่างด้าวซึ่งเกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
หรือตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติและประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือสำเนาบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน
(๒) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) และข้อ
๑๑ (๒) (ข) (ค)
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ใบอนุญาตเสียหายหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามแบบ ตท. ๗ หรือ ตท. ๘
ท้ายกฎกระทรวงนี้ แล้วแต่กรณี พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาตที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย
(๒) เอกสารตามข้อ ๑๐ (๘)
ข้อ ๑๕ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑) ๒) (๕)
(๖) และ (๗)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ
๑๐ (๕) (๖) และข้อ ๑๑ (๑) (ก) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๖) (๗) และข้อ ๑๑ (๒) (ก) (ข)
(ค)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๕)
(๖) (๗) และข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๖)
(๗) ข้อ ๑๑ (๒) (ข) (ค) และข้อ ๑๓ (๑)
ข้อ ๑๖ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑) (๓)
(๔) และ (๕)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) และข้อ ๑๑ (๑) (ก)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔)
(๕) และข้อ ๑๑ (๒) (ก)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔)
(๕) และข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำ ขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔)
(๕) และข้อ ๑๓ (๑)
ข้อ ๑๗ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ
๑๑ (๑)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๑ (๒)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๒
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๓
ข้อ ๑๘ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑) (๒)
(๕) และ (๙)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(ก)
สำเนาหนังสืออนุญาตให้คนต่างด้าวออกนอกเขตจังหวัดที่ได้ทำทะเบียนประวัติ ในกรณีที่เป็นการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานนอกเขตจังหวัดที่ได้ทำทะเบียนประวัติไว้
(ข) แผนที่แสดงสถานที่ตั้งของสถานที่ทำงานที่ขอเปลี่ยนหรือเพิ่ม
(ค) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๙) และข้อ ๑๑ (๒) (ก) (ข) (ค)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๕)
(๙) และข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๕)
(๙) และข้อ ๑๓ (๑)
ข้อ ๑๙ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๑ (๑) (ก)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๑ (๒) (ก)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๓ (๑)
หมวด ๓
การขอรับใบอนุญาต
การขอต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๔
และการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๒๐ คนต่างด้าวซึ่งมีภูมิลำเนาและเป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยซึ่งจะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
๑๔ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
(๒) สำเนาหลักฐานการอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร
(๓) สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ในกรณีที่เป็นการประกอบวิชาชีพที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(๔)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างหรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา
หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล
(๕)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม
ที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบและไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา
๑๐
(๖) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
(๗) แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานที่ทำงาน
ข้อ ๒๑ ในกรณีที่ใบอนุญาตเสียหายหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามแบบ ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาตที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย
(๒) เอกสารตามข้อ ๒๐ (๖)
ข้อ ๒๒ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐ (๑) และ (๒)
ข้อ ๒๓ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงานให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐ (๑) (๒) และ (๔)
ข้อ ๒๔ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้างให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐
ข้อ ๒๕ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐ (๑) (๒) และ (๗)
ข้อ ๒๖ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐
(๑) และ (๒)
หมวด ๔
การแจ้งการทำงาน
ข้อ ๒๗ คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
เพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วนที่มีระยะเวลาทำงานไม่เกินสิบห้าวัน
ให้แจ้งการทำงานตามแบบ ตท. ๑๐ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
(๒) สำเนาหลักฐานการอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร
(๓)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างหรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้
ในกรณีที่เป็นการทำงานกับนายจ้างซึ่งมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(๔) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
หมวด ๕
การออกใบอนุญาต
การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต
และการเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๒๘ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอรับใบอนุญาตตามข้อ
๑ ข้อ ๒ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ หรือข้อ ๒๐
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานครบถ้วนแล้ว
ให้ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ยื่นคำขอและให้เสนอคำขอรับใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานดังกล่าวต่อนายทะเบียนเพื่อพิจารณา
ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาไปยังผู้ขอรับใบอนุญาตภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่ไม่อนุญาต ให้แสดงเหตุผลไว้ในคำขอและหนังสือแจ้งผลการพิจารณาด้วย
ข้อ ๒๙ ในกรณีที่เป็นการยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวตามข้อ
๓ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอรับใบอนุญาตพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๓
ครบถ้วนแล้ว ให้ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ยื่นคำขอ
โดยให้แจ้งไปด้วยว่าคนต่างด้าวนั้นต้องยื่นเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
(๑) กรณีคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑)
(ก) (ข) และ (ช)
(๒) กรณีคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข)
(ช) และข้อ ๒ (๑)
เมื่อคนต่างด้าวได้ยื่นเอกสารและหลักฐานเพิ่มเติมตามวรรคหนึ่งครบถ้วนแล้ว
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เสนอคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวและเอกสารและหลักฐานตามวรรคหนึ่งต่อนายทะเบียนเพื่อพิจารณา
ให้นำความในข้อ ๒๘ วรรคสอง
มาใช้บังคับกับการพิจารณาคำขอรับใบอนุญาตตามข้อนี้ โดยอนุโลม
ข้อ ๓๐ ให้นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้แก่คนต่างด้าวซึ่งขอรับใบอนุญาต
เมื่อบุคคลนั้นได้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต
(๒)
ยื่นสำเนาเอกสารหรือหลักฐานแสดงว่านายจ้างได้ชำระค่าธรรมเนียมการจ้างคนต่างด้าวซึ่งไม่ใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามประเภทหรือลักษณะที่กำหนดในประกาศที่ออกตามมาตรา
๘ ในกรณีที่คนต่างด้าวซึ่งขอรับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามที่กำหนดในประกาศนั้น
ใบอนุญาตให้เป็นไปตามแบบ
ตท. ๑๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้ เว้นแต่ใบอนุญาตที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามแบบ
ตท. ๑๑/๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้
และใบอนุญาตที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว
และกัมพูชา ที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำงาน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๓
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๑/๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้[๒]
ใบอนุญาตตามมาตรา
๑๔ ให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้[๓]
ข้อ ๓๑ ให้นำความในข้อ
๒๘ และข้อ ๓๐ มาใช้บังคับกับการต่ออายุใบอนุญาต โดยอนุโลม
ข้อ ๓๒ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามข้อ
๔ ข้อ ๑๔ หรือข้อ ๒๑ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานครบถ้วนแล้ว
ให้ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ยื่นคำขอและให้เสนอนายทะเบียนเพื่อพิจารณา
ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาไปยังผู้ขอรับใบแทนใบอนุญาตภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่ไม่ออกใบแทนใบอนุญาต ให้แสดงเหตุผลไว้ในคำขอและหนังสือแจ้งผลการพิจารณาด้วย
ใบแทนใบอนุญาตให้ใช้แบบใบอนุญาต และเขียนหรือประทับตราความว่า ใบแทน ด้วยอักษรสีแดงไว้ในใบอนุญาต โดยระบุวัน
เดือน ปีที่ออกใบแทน พร้อมทั้งลงลายมือชื่อนายทะเบียนกำกับไว้ด้วย
ข้อ ๓๓ ให้นำความในข้อ
๒๘ มาใช้บังคับกับการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน ตามข้อ ๖ ข้อ ๑๖
หรือข้อ ๒๓ การขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้างตามข้อ ๗ ข้อ ๑๗ หรือข้อ ๒๔ การเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานตามข้อ
๘ ข้อ ๑๘ หรือข้อ ๒๕ หรือการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตตามข้อ ๙
ข้อ ๑๙ หรือข้อ ๒๖ แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ข้อ ๓๔ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
หรือนายจ้างเป็นคนต่างด้าวซึ่งไม่ใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามประเภทหรือลักษณะงานซึ่งกำหนดในประกาศที่ออกตามมาตรา
๘ ให้นายทะเบียนดำเนินการแก้ไขหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน หรือเงื่อนไข แล้วแต่กรณี
เมื่อผู้รับอนุญาตได้ชำระค่าธรรมเนียมการอนุญาตและยื่นเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงว่านายจ้างได้ชำระค่าธรรมเนียมการจ้างแล้ว
ข้อ ๓๕ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับเอกสารหรือหลักฐานที่แนบมาพร้อมคำขอตามกฎกระทรวงนี้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียนมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา
ข้อ ๓๖ การยื่นคำขอหรือการแจ้งตามกฎกระทรวงนี้
ให้กระทำ ณ ท้องที่อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ทำงานของผู้ยื่นคำขอ ดังต่อไปนี้
(๑) ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นหรือแจ้ง ณ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
(๒) ในจังหวัดอื่น ให้ยื่นหรือแจ้ง ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด
(๓) สถานที่อื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
การยื่นคำขอหรือการแจ้งตามวรรคหนึ่ง
อธิบดีอาจประกาศให้ยื่นหรือแจ้งด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือด้วยวิธีการอื่นใดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนก็ได้[๔]
ข้อ ๓๗ ในการรับใบอนุญาตหรือใบแทนใบอนุญาต
คนต่างด้าวซึ่งขอรับใบอนุญาตจะต้องมารับใบอนุญาตด้วยตนเอง
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เฉลิมชัย
ศรีอ่อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำขอรับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา ๙ (แบบ ตท. ๑)
๒. คำขอเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งชาติอื่น
(แบบ ตท. ๒)
๓. คำขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๑ (แบบ ตท. ๓)
๔. คำขอรับใบแทนใบอนุญาตทำงานตามมาตรา ๒๕ (แบบ ตท. ๔)
๕. คำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานตามมาตรา ๒๓ (แบบ ตท. ๕)
๖. คำขออนุญาตเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน นายจ้าง ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
และเงื่อนไข ตามมาตรา ๒๖ (แบบ ตท. ๖)
๗. คำขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ (แบบ ตท. ๗)
๘. คำขออนุญาตทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา
ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(แบบ ตท. ๘)
๙. คำขอรับใบอนุญาตทำงานสำหรับคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๔ (แบบ ตท. ๙)
๑๐. แบบแจ้งการเข้ามาเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วนตามมาตรา ๙ (แบบ
ตท. ๑๐)
๑๑. แบบใบอนุญาตทำงาน
๑๒. แบบใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๔
๑๓.[๕]
แบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (แบบ ตท. ๑๑/๑)
๑๔.[๖]
แบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (แบบ ตท. ๑๑/๒)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๙ วรรคสาม มาตรา ๑๑
วรรคสอง มาตรา ๑๓ วรรคสาม มาตรา ๑๔ วรรคสาม มาตรา ๒๓ วรรคสี่ มาตรา ๒๕ วรรคสอง
และมาตรา ๒๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติให้ใบอนุญาตทำงาน การขอและการออกใบอนุญาตทำงาน
การขอและการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การขอรับและการออกใบแทนใบอนุญาตทำงาน
รวมทั้งการขออนุญาตเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน หรือเงื่อนไข
สำหรับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะทำงานในราชอาณาจักร
ตลอดจนการแจ้งการเข้ามาในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วน
เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
กฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐[๗]
ข้อ
๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๖ บรรดาใบอนุญาตที่ออกให้ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๔ ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตนั้นจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรเพิ่มแบบใบอนุญาตทำงานเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยกำหนดแบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์
ตลอดจนกำหนดวิธีการยื่นคำขอรับใบอนุญาตและการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวเพิ่มเติมโดยให้อธิบดีประกาศให้ยื่นหรือแจ้งด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือด้วยวิธีการอื่นใดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเมื่อมีความพร้อม
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๔ มิถุนายน
๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๑๔ มิถุนายน
๒๕๕๔
ชวัลพร/เพิ่มเติม
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๔๘ ก/หน้า ๔๔/๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๔
[๒] ข้อ ๓๐ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
[๓] ข้อ ๓๐ วรรคสาม
เพิ่มโดยกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
[๔] ข้อ ๓๖ วรรคสอง
เพิ่มโดยกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
[๕] แบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (แบบ ตท. ๑๑/๑)
เพิ่มโดยกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
[๖] แบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (แบบ ตท. ๑๑/๒)
เพิ่มโดยกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
[๗] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๔๓ ก/หน้า ๑/๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ |
775609 | กฎกระทรวงกำหนดเวลาการหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดเวลาการหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้า
กองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๖๐[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๒ ในระหว่างวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.
๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ มิให้นำความในข้อ ๔ วรรคสี่
แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับหนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน
การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖
มาใช้บังคับแก่การหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ทั้งนี้ ให้เริ่มหักเงินตั้งแต่วันที่
๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ
หากนายจ้างรายใดหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนยังไม่ครบตามอัตราที่กำหนดตามข้อ
๓ แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ
หนังสือรับรองและใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖
ให้นายจ้างรายนั้นยังคงมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในส่วนที่ยังขาดอยู่และนำส่งเข้ากองทุนให้ครบถ้วน
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙
เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ตั้งแต่วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
แต่เนื่องจากการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างตามกฎกระทรวงดังกล่าวก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับลูกจ้างเพิ่มขึ้น
อันอาจส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้าง
และอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทำงาน
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ
สมควรกำหนดเวลาการหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรเสียใหม่
เพื่อเป็นการชะลอการหักเงินค่าจ้างกรณีดังกล่าวเป็นการชั่วคราว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ภวรรณตรี/จัดทำ
๒๗ เมษายน ๒๕๖๐
วริญา/ตรวจ
๒๗ เมษายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๔๖ ก/หน้า ๒๒/๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ |
774774 | กฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๖๐[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙ วรรคสาม มาตรา ๑๑ วรรคสอง มาตรา ๑๓ วรรคสาม มาตรา ๑๔ วรรคสาม
มาตรา ๒๓ วรรคสี่ มาตรา ๒๕ วรรคสอง และมาตรา ๒๖ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๒ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของข้อ ๓๐
แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ใบอนุญาตให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้
เว้นแต่ใบอนุญาตที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๑/๑
ท้ายกฎกระทรวงนี้ และใบอนุญาตที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา
ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำงาน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๓
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๑/๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้
ข้อ
๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ
๓๐ แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๔
ใบอนุญาตตามมาตรา ๑๔ ให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้
ข้อ
๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ
๓๖ แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๔
การยื่นคำขอหรือการแจ้งตามวรรคหนึ่ง
อธิบดีอาจประกาศให้ยื่นหรือแจ้งด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือด้วยวิธีการอื่นใดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนก็ได้
ข้อ
๕ ให้เพิ่มแบบ
ตท. ๑๑/๑ และแบบ ตท. ๑๑/๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้เป็นแบบ ตท. ๑๑/๑ และแบบ ตท.
๑๑/๒ ท้ายกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ
๖ บรรดาใบอนุญาตที่ออกให้ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๔ ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตนั้นจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒
เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (แบบ ตท. ๑๑/๑)
๒. แบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์
(แบบ ตท. ๑๑/๒)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรเพิ่มแบบใบอนุญาตทำงานเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยกำหนดแบบใบอนุญาตทำงานที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์
ตลอดจนกำหนดวิธีการยื่นคำขอรับใบอนุญาตและการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวเพิ่มเติมโดยให้อธิบดีประกาศให้ยื่นหรือแจ้งด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือด้วยวิธีการอื่นใดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเมื่อมีความพร้อม
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ชวัลพร/ภวรรณตรี/จัดทำ
๒๕ เมษายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๔๓ ก/หน้า ๑/๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ |
770745 | กฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์หรือพยานในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2560
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว
ซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์หรือพยานในความผิด
ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๑
พ.ศ. ๒๕๖๐[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๖
ข้อ ๒ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวดังต่อไปนี้
ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(๑)
คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
(๒)
คนต่างด้าวซึ่งเป็นพยานที่สืบพยานก่อนการฟ้องคดีหรือระหว่างการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๑
(๓) ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวตาม (๑) หรือ (๒)
ที่มีอายุไม่น้อยกว่าสิบห้าปี แต่ไม่เกินสิบแปดปี
(๔)
คนต่างด้าวตาม (๓) ซึ่งต่อมามีอายุเกินสิบแปดปี
และได้ดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำงานและปรับปรุงแก้ไขทะเบียนประวัติให้เป็นปัจจุบันภายในสามสิบวันก่อนมีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
หรือพยานในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑
รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าว
เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย และจูงใจให้คนต่างด้าวให้ความร่วมมือในการเป็นพยานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/จัดทำ
๘ มีนาคม ๒๕๖๐
พรวิภา/ตรวจ
๘ มีนาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๒๕ ก/หน้า ๑๐/๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ |
763121 | กฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2559
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๙
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑[๑] กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว
ดังต่อไปนี้
(๑)
คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
โดยได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
และได้รับการจัดทำทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
รวมถึงบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักร
เว้นแต่คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และสัญชาติอื่น ซึ่งมีประกาศที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวกำหนดประเภทงานให้ทำได้ไว้เป็นการเฉพาะ
(๒)
คนต่างด้าวซึ่งนายอำเภอมีหนังสือรับรองว่าอยู่ระหว่างการพิสูจน์สัญชาติไทยตามกฎหมาย
ว่าด้วยสัญชาติเพื่อการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
การยกเว้นค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว
สำหรับคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
โดยได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
รวมถึงบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักร
และคนต่างด้าวซึ่งนายอำเภอมีหนังสือรับรองว่าอยู่ระหว่างการพิสูจน์สัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติเพื่อการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
โดยให้เรียกเก็บเฉพาะค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ
เพื่อส่งเสริมนโยบายในการจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของคนต่างด้าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วิศนี/ปริยานุช/จัดทำ
๗ ธันวาคม ๒๕๕๙
ปริญสินีย์/ตรวจ
๓๐ ธันวาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๑๐๐ ก/หน้า ๘/๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ |
727281 | กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2558 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๕
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
ข้อ ๒
ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานและการจ้างคนต่างด้าว พ.ศ.
๒๕๕๒
ข้อ ๓ ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวสำหรับอาชีพรับจ้างทำงานในบ้านและอาชีพกรรมกร
ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาต
(ก) ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน
ฉบับละ
๒๒๕ บาท
(ข)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน
ฉบับละ
๔๕๐ บาท
(ค)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี
ฉบับละ
๙๐๐ บาท
(ง)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๒)
การต่ออายุใบอนุญาต
(ก)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๒๒๕
บาท
(ข)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน
ครั้งละ
๔๕๐
บาท
(ค)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี
ครั้งละ
๙๐๐
บาท
(ง)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๓)
ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๒๐๐ บาท
(๔)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน ครั้งละ
๙๐๐
บาท
(๕)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๙๐๐
บาท
(๖)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน
ครั้งละ
๙๐๐
บาท
(๗)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขในการอนุญาต ครั้งละ ๑๕๐
บาท
ข้อ ๔ ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวสำหรับสาขาอาชีพอื่น
นอกจากสาขาอาชีพตามข้อ ๓ ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาต
(ก)
ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน ฉบับละ
๗๕๐ บาท
(ข)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน
ฉบับละ
๑,๕๐๐ บาท
(ค)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี
ฉบับละ
๓,๐๐๐ บาท
(ง)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๒)
การต่ออายุใบอนุญาต
(ก)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๗๕๐
บาท
(ข)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน
ครั้งละ
๑,๕๐๐ บาท
(ค)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี
ครั้งละ
๓,๐๐๐ บาท
(ง)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๓)
ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๕๐๐ บาท
(๔)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน ครั้งละ
๑,๐๐๐ บาท
(๕)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๓,๐๐๐ บาท
(๖)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน
ครั้งละ
๑,๐๐๐ บาท
(๗)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ
๑๕๐
บาท
ข้อ ๕ ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ
ฉบับละ ๑๐๐ บาท
ข้อ ๖ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานสำหรับสาขาอาชีพรับจ้างทำงานในบ้านและอาชีพกรรมกรในทุกกิจการ
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก
สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวและยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานสำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานในสาขาอาชีพรับจ้างทำงานในบ้านและอาชีพกรรมกรในทุกกิจการ
เพื่อจูงใจให้คนต่างด้าวที่อยู่นอกระบบการจ้างงานเข้าสู่ระบบการจ้างงานโดยถูกต้องตามกฎหมายและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๔ พฤษภาคม
๒๕๕๘
ปุณิกา/ผู้ตรวจ
๒๐ พฤษภาคม
๒๕๕๘
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๑ พฤษภาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๓๙ ก/หน้า ๔/๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ |
727277 | กฎกระทรวงกำหนดระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2558 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้า
กองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๘[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา
๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในระหว่างวันที่
๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙ มิให้นำความในข้อ ๔
วรรคสี่ แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับหนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖
มาใช้บังคับแก่การหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
ทั้งนี้
ให้เริ่มหักเงินตั้งแต่วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ
หากนายจ้างรายใดหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนยังไม่ครบตามอัตราที่กำหนดตามข้อ
๓ แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ
หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้นายจ้างรายนั้นยังคงมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในส่วนที่ยังขาดอยู่และนำส่งเข้ากองทุนให้ครบถ้วน
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก
สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖
กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้าง ซึ่งได้รับใบอนุญาตทำงานเฉพาะงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกร
ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
เพื่อนำเงินดังกล่าวส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
แต่เนื่องจากการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
อันกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้างและอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทำงานอีกต่อไป
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ
สมควรกำหนดระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๔ พฤษภาคม
๒๕๕๘
ปุณิกา/ผู้ตรวจ
๒๐ พฤษภาคม
๒๕๕๘
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๒๑ พฤษภาคม
๒๕๕๘
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๓๙ ก/หน้า ๑/๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ |
699755 | กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน
เพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน
การออกใบรับ
หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง และมาตรา
๑๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓
แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓ ให้ลูกจ้างตามข้อ ๒ ส่งเงินเข้ากองทุนในอัตราคนละ
๑,๐๐๐ บาท
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔
แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔ ให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนดตามข้อ
๓ โดยเฉลี่ยเป็นจำนวนเท่ากันทุกเดือนติดต่อกันเป็นเวลาสี่เดือน
และนำส่งเงินที่หักไว้นั้นเข้ากองทุนภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไปจนครบอัตราดังกล่าว
ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันเป็นหนังสือให้หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้อยกว่ากำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
ให้นายจ้างนำส่งเงินที่หักไว้นั้นเข้ากองทุนภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไปจนครบอัตราดังกล่าว
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนนายจ้างก่อนที่ลูกจ้างจะส่งเงินเข้ากองทุนครบอัตราที่กำหนดตามข้อ
๓ ให้นายจ้างใหม่มีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในส่วนที่ยังขาดอยู่และนำส่งเข้ากองทุนให้ครบถ้วน
โดยให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
การหักเงินตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ร้อยตำรวจเอก
เฉลิม อยู่บำรุง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕
กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้าง ซึ่งได้รับใบอนุญาตทำงานเฉพาะงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกร
ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป เพื่อนำเงินดังกล่าวส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
แต่เนื่องจากการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
จะก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอันกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้างและอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทำงานอีกต่อไป
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ
สมควรขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุน
เป็นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป นอกจากนี้
ได้กำหนดให้ลูกจ้างทุกสัญชาติ ซึ่งทำงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกรส่งเงินเข้ากองทุน
โดยปรับลดจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนให้เท่ากันทุกสัญชาติ
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันและเกิดความเสมอภาคแก่ลูกจ้าง
และแก้ไขระยะเวลาการเฉลี่ยจำนวนเงินที่นายจ้างต้องหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างส่งเข้ากองทุน
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นายจ้างที่มีหน้าที่หักเงินค่าจ้างดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๗ ธันวาคม
๒๕๕๖
ณัฐพร/ผู้ตรวจ
๑๘ ธันวาคม
๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนที่ ๑๑๘ ก/หน้า ๔๖/๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ |
696218 | กฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ พ.ศ. 2556 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๖[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา
๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำ
ได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๑
ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้เสียหายจากการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์
ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ร้อยตำรวจเอก
เฉลิม อยู่บำรุง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับผู้เสียหายจากการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔
กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษได้
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ การรักษาพยาบาล
การบำบัดฟื้นฟูทางร่างกายและจิตใจหรือการเรียกร้องสิทธิของผู้เสียหาย
และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดประเภทงานให้คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ทำได้ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๕
กำหนดให้งานกรรมกรและงานรับใช้ในบ้านเป็นงานที่คนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
อาจขออนุญาตทำได้อันเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
ประกอบกับเพื่อเป็นการผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
พ.ศ. ๒๕๕๑ อยู่ในราชอาณาจักร และอนุญาตให้ทำงานได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
สมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานให้แก่คนต่างด้าวดังกล่าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖
ชาญ/ผู้ตรวจ
๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๐/ตอนที่ ๙๒ ก/หน้า ๑/๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ |
672351 | กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน เพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2555
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน
เพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน
การออกใบรับ
หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๕[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง และมาตรา
๑๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของข้อ
๔ แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ
หนังสือรับรองและใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
การหักเงินตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
ให้ไว้
ณ วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เผดิมชัย
สะสมทรัพย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔
ขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งได้รับใบอนุญาตทำงาน
เฉพาะงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกร เพื่อนำส่งเข้ากองทุน โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่
๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
แต่เนื่องจากยังมีลูกจ้างที่อยู่ระหว่างดำเนินการพิสูจน์สัญชาติเพื่อปรับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรี
ประกอบกับวิกฤตการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงเดือนธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๕๔ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายเป็นอย่างมากทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคม
และทรัพย์สินของประชาชน
การหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนในระยะเวลาที่กำหนดไว้จะก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอันกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้างและอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทำงานอีกต่อไป
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้าง
สมควรกำหนดให้เริ่มหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุน ตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๔ สิงหาคม
๒๕๕๕
ชาญ/ผู้ตรวจ
๓๑ สิงหาคม
๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๙/ตอนที่ ๘๐ ก/หน้า ๔๒/๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ |
650041 | กฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2554 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ มาตรา ๙ วรรคสาม มาตรา ๑๑ วรรคสอง มาตรา
๑๓ วรรคสาม มาตรา ๑๔ วรรคสาม มาตรา ๒๓ วรรคสี่ มาตรา ๒๕ วรรคสอง และมาตรา ๒๖ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
หมวด ๑
การขอรับใบอนุญาต
การขอต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๙
และการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๑ คนต่างด้าวซึ่งประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
๙ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีที่เป็นการทำงานกับนายจ้างซึ่งมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(ก) สำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
หรือสำเนาใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวและสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(ข) สำเนาหลักฐานการอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร
(ค) สำเนาเอกสารรับรองวุฒิการศึกษา
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งเคยเป็นนายจ้างระบุรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของงานและระยะเวลาการทำงานที่ผู้ยื่นคำขอเคยทำงานด้วย
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างแสดงว่าผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์เหมาะสมกับงานที่ขอรับใบอนุญาต
(ง) สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ในกรณีที่เป็นการประกอบวิชาชีพที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(จ)
หนังสือรับรองการจ้างของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างโดยระบุเหตุผลที่ไม่จ้างบุคคลสัญชาติไทยทำงานพร้อมทั้งหลักฐานประกอบเหตุผลดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด
(ฉ)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างหรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล
(ช)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบและไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา
๑๐
(ซ) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตรซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
(๒) กรณีที่เป็นการทำงานกับนายจ้างซึ่งมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร
(ก) เอกสารและหลักฐานตาม (๑) (ก) (ข) (ค) (ง) (ช) และ (ซ)
(ข) สำเนาสัญญาจ้างเหมา สำเนาสัญญาซื้อขาย
หรือสำเนาเอกสารอื่นที่แสดงว่าผู้ยื่นคำขอมีความจำเป็นต้องเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร
(๓) กรณีที่เป็นการทำงานโดยไม่มีนายจ้าง
(ก) เอกสารและหลักฐานตาม (๑) (ก) (ข) (ง) (ช) และ (ซ)
(ข)
สำเนาเอกสารรับรองวุฒิการศึกษาหรือสำเนาเอกสารที่แสดงว่าผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์เหมาะสมกับงานที่ขอรับใบอนุญาต
(ค) สำเนาสัญญาจ้างเหมา สำเนาสัญญาซื้อขาย หรือสำเนาเอกสารอื่นที่แสดงว่าผู้ยื่นคำขอมีความจำเป็นต้องเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร
(ง)
สำเนาใบอนุญาตประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ในกรณีที่เป็นงานที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ข้อ ๒ คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งชาติอื่นและประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
๙ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
(๒) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ) (ฉ) (ช) และ (ซ)
(๓) แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานที่ทำงาน
ข้อ ๓ ผู้ประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรเข้ามาทำงานในกิจการของตนในราชอาณาจักร
จะยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวก็ได้ โดยให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีที่เป็นการยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๓ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑)
(ก) (ค) (ง) (จ) (ฉ) และ (ซ)
(๒) กรณีที่เป็นการยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวตามข้อ ๒
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑)
(จ) (ฉ) (ซ) และข้อ ๒ (๑) และ (๓)
ข้อ ๔ ในกรณีที่ใบอนุญาตเสียหายหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามแบบ ตท. ๒ หรือ ตท. ๔
ท้ายกฎกระทรวงนี้ แล้วแต่กรณี พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาตที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย
(๒) เอกสารตามข้อ ๑ (๑) (ซ)
ข้อ ๕ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(จ) (ฉ) และ (ช)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ฉ) (ช) และข้อ ๑ (๒) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๓) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ฉ) (ช) และข้อ ๑ (๓) (ข) (ค) (ง)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ) (ฉ)
(ช) และข้อ ๒ (๑)
ข้อ ๖ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ค) (ง) และ (จ)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ค) (ง) และข้อ ๑ (๒) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๓) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
(ค) (ง) และข้อ ๑ (๓) (ข) (ค) (ง)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ)
และข้อ ๒ (๑)
ข้อ ๗ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) (๒) หรือ (๓)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (๒) หรือ (๓) แล้วแต่กรณี
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๒
ข้อ ๘ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
และ (จ)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
และข้อ ๑ (๒) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๓) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ก) (ข)
และข้อ ๑ (๓) (ข) (ค) (ง)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) (จ)
และข้อ ๒ (๑) (๓)
ข้อ ๙ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) (๒) หรือ (๓)
ให้ยื่นคำขอ ตามแบบ ตท. ๖ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ
๑ (๑) (ก) และ (ข)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท.
๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข) และข้อ
๒ (๑)
หมวด ๒
การขอรับใบอนุญาต
การขอต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓
และการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๑๐ คนต่างด้าวซึ่งถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศและได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ
ณ ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
และประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาหนังสือของส่วนราชการที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอเป็นคนต่างด้าวที่ถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ
ซึ่งได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ
ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
(๒) สำเนาหลักฐานแสดงสถานที่อยู่ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๓) สำเนาเอกสารรับรองวุฒิการศึกษา
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งเคยเป็นนายจ้างระบุรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของงานและระยะเวลาการทำงานที่ผู้ยื่นคำขอเคยทำงานด้วย
หรือหนังสือรับรองของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างแสดงว่าผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์เหมาะสมกับงานที่ขอรับใบอนุญาต
(๔)
สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพในกรณีที่เป็นการประกอบวิชาชีพที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(๕)
หนังสือรับรองการจ้างของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างโดยระบุเหตุผลที่ไม่จ้างบุคคลสัญชาติไทยทำงานพร้อมทั้งหลักฐานประกอบเหตุผลดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๖)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้าง
หรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา
หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล
(๗)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม
ที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบและไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา
๑๐
(๘) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
(๙) แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานที่ทำงาน
ข้อ ๑๑ คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
และประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีคนต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) สำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
หรือสำเนาเอกสารทะเบียนประวัติหรือสำเนาเอกสารรับรองรายการทะเบียนประวัติจากสำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
(ข)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมจากสถานพยาบาลที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นโรคต้องห้ามตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด
(ค) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๖) (๘) และ (๙)
(๒) กรณีคนต่างด้าวอื่นนอกจาก (๑) ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗
ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) สำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
สำเนาบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน
หรือสำเนาหลักฐานการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรระหว่างรอการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร
(ข) สำเนาทะเบียนบ้าน
(ค)
สำเนาหนังสืออนุญาตให้ออกนอกเขตที่พักอาศัยหรือเขตพื้นที่ออกบัตรเป็นการชั่วคราวของนายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
กรณีที่เป็นการขออนุญาตทำงานนอกเขตที่พักอาศัยหรือเขตพื้นที่ออกบัตรเป็นการชั่วคราว
(ง) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙)
ข้อ ๑๒ คนต่างด้าวซึ่งถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือตามกฎหมายอื่น
และประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑)
สำเนาใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว
(๒) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙)
ข้อ ๑๓ คนต่างด้าวซึ่งเกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
หรือตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติและประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือสำเนาบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน
(๒) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) และข้อ
๑๑ (๒) (ข) (ค)
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ใบอนุญาตเสียหายหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามแบบ ตท. ๗ หรือ ตท. ๘
ท้ายกฎกระทรวงนี้ แล้วแต่กรณี พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาตที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย
(๒) เอกสารตามข้อ ๑๐ (๘)
ข้อ ๑๕ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑) ๒) (๕)
(๖) และ (๗)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ
๑๐ (๕) (๖) และข้อ ๑๑ (๑) (ก) (ข)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๖) (๗) และข้อ ๑๑ (๒) (ก) (ข)
(ค)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๕)
(๖) (๗) และข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๖)
(๗) ข้อ ๑๑ (๒) (ข) (ค) และข้อ ๑๓ (๑)
ข้อ ๑๖ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑) (๓)
(๔) และ (๕)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) และข้อ ๑๑ (๑) (ก)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒) ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔)
(๕) และข้อ ๑๑ (๒) (ก)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔)
(๕) และข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำ ขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๓) (๔)
(๕) และข้อ ๑๓ (๑)
ข้อ ๑๗ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ
๑๑ (๑)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๑ (๒)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๒
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๓
ข้อ ๑๘ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑) (๒)
(๕) และ (๙)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(ก)
สำเนาหนังสืออนุญาตให้คนต่างด้าวออกนอกเขตจังหวัดที่ได้ทำทะเบียนประวัติ ในกรณีที่เป็นการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานนอกเขตจังหวัดที่ได้ทำทะเบียนประวัติไว้
(ข) แผนที่แสดงสถานที่ตั้งของสถานที่ทำงานที่ขอเปลี่ยนหรือเพิ่ม
(ค) เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๕) (๙) และข้อ ๑๑ (๒) (ก) (ข) (ค)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๕)
(๙) และข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๒) (๕)
(๙) และข้อ ๑๓ (๑)
ข้อ ๑๙ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๐ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๐ (๑)
(๒) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๑)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๘ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๑ (๑) (ก)
(๓) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๑ (๒)
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๑ (๒) (ก)
(๔) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๒ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๒ (๑)
(๕) กรณีผู้รับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามข้อ ๑๓ ให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๗ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑๓ (๑)
หมวด ๓
การขอรับใบอนุญาต
การขอต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๔
และการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๒๐ คนต่างด้าวซึ่งมีภูมิลำเนาและเป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยซึ่งจะขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
๑๔ ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
(๒) สำเนาหลักฐานการอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร
(๓) สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ในกรณีที่เป็นการประกอบวิชาชีพที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(๔) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างหรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา
หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล
(๕)
ใบรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม
ที่รับรองว่าผู้ยื่นคำขอไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบและไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา
๑๐
(๖) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
(๗) แผนที่แสดงที่ตั้งของสถานที่ทำงาน
ข้อ ๒๑ ในกรณีที่ใบอนุญาตเสียหายหรือสูญหาย
ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามแบบ ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้
พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาตที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย
(๒) เอกสารตามข้อ ๒๐ (๖)
ข้อ ๒๒ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐ (๑) และ (๒)
ข้อ ๒๓ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงานให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐ (๑) (๒) และ (๔)
ข้อ ๒๔ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้างให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐
ข้อ ๒๕ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานให้ยื่นคำขอตามแบบ
ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐ (๑) (๒) และ (๗)
ข้อ ๒๖ ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ให้ยื่นคำขอตามแบบ ตท. ๙ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยใบอนุญาตและเอกสารตามข้อ ๒๐
(๑) และ (๒)
หมวด ๔
การแจ้งการทำงาน
ข้อ ๒๗ คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
เพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วนที่มีระยะเวลาทำงานไม่เกินสิบห้าวัน
ให้แจ้งการทำงานตามแบบ ตท. ๑๐ ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของผู้ยื่นคำขอ
(๒) สำเนาหลักฐานการอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร
(๓)
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างหรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือสำเนาใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ในกรณีที่นายจ้างเป็นบุคคลธรรมดา
หรือสำเนาเอกสารรับรองของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแสดงว่ากิจการของผู้ซึ่งจะเป็นนายจ้างได้จดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย
โดยแสดงประเภทกิจการด้วย ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้
ในกรณีที่เป็นการทำงานกับนายจ้างซึ่งมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(๔) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาสีเข้ม ขนาด ๓ x ๔ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๓ รูป
หมวด ๕
การออกใบอนุญาต
การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต
และการเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
นายจ้าง ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน
หรือเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต
ข้อ ๒๘ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอรับใบอนุญาตตามข้อ
๑ ข้อ ๒ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ หรือข้อ ๒๐ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานครบถ้วนแล้ว
ให้ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ยื่นคำขอและให้เสนอคำขอรับใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานดังกล่าวต่อนายทะเบียนเพื่อพิจารณา
ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาไปยังผู้ขอรับใบอนุญาตภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่ไม่อนุญาต ให้แสดงเหตุผลไว้ในคำขอและหนังสือแจ้งผลการพิจารณาด้วย
ข้อ ๒๙ ในกรณีที่เป็นการยื่นคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวตามข้อ
๓ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอรับใบอนุญาตพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๓
ครบถ้วนแล้ว ให้ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ยื่นคำขอ
โดยให้แจ้งไปด้วยว่าคนต่างด้าวนั้นต้องยื่นเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
(๑) กรณีคนต่างด้าวตามข้อ ๑ (๑) ให้ยื่นเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑)
(ก) (ข) และ (ช)
(๒) กรณีคนต่างด้าวตามข้อ ๒ ให้ยื่นเอกสารและหลักฐานตามข้อ ๑ (๑) (ข)
(ช) และข้อ ๒ (๑)
เมื่อคนต่างด้าวได้ยื่นเอกสารและหลักฐานเพิ่มเติมตามวรรคหนึ่งครบถ้วนแล้ว
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เสนอคำขอรับใบอนุญาตแทนคนต่างด้าวและเอกสารและหลักฐานตามวรรคหนึ่งต่อนายทะเบียนเพื่อพิจารณา
ให้นำความในข้อ ๒๘ วรรคสอง
มาใช้บังคับกับการพิจารณาคำขอรับใบอนุญาตตามข้อนี้ โดยอนุโลม
ข้อ ๓๐ ให้นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้แก่คนต่างด้าวซึ่งขอรับใบอนุญาต
เมื่อบุคคลนั้นได้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต
(๒) ยื่นสำเนาเอกสารหรือหลักฐานแสดงว่านายจ้างได้ชำระค่าธรรมเนียมการจ้างคนต่างด้าวซึ่งไม่ใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามประเภทหรือลักษณะที่กำหนดในประกาศที่ออกตามมาตรา
๘ ในกรณีที่คนต่างด้าวซึ่งขอรับใบอนุญาตเป็นคนต่างด้าวตามที่กำหนดในประกาศนั้น
ใบอนุญาตให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๑ ท้ายกฎกระทรวงนี้ เว้นแต่ใบอนุญาตตามมาตรา
๑๔ ให้เป็นไปตามแบบ ตท. ๑๕ ท้ายกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๓๑ ให้นำความในข้อ
๒๘ และข้อ ๓๐ มาใช้บังคับกับการต่ออายุใบอนุญาต โดยอนุโลม
ข้อ ๓๒ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอรับใบแทนใบอนุญาตตามข้อ
๔ ข้อ ๑๔ หรือข้อ ๒๑ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานครบถ้วนแล้ว
ให้ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ยื่นคำขอและให้เสนอนายทะเบียนเพื่อพิจารณา
ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาไปยังผู้ขอรับใบแทนใบอนุญาตภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่ไม่ออกใบแทนใบอนุญาต ให้แสดงเหตุผลไว้ในคำขอและหนังสือแจ้งผลการพิจารณาด้วย
ใบแทนใบอนุญาตให้ใช้แบบใบอนุญาต และเขียนหรือประทับตราความว่า ใบแทน ด้วยอักษรสีแดงไว้ในใบอนุญาต โดยระบุวัน
เดือน ปีที่ออกใบแทน พร้อมทั้งลงลายมือชื่อนายทะเบียนกำกับไว้ด้วย
ข้อ ๓๓ ให้นำความในข้อ
๒๘ มาใช้บังคับกับการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน ตามข้อ ๖ ข้อ ๑๖
หรือข้อ ๒๓ การขอเปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้างตามข้อ ๗ ข้อ ๑๗ หรือข้อ ๒๔ การเปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่หรือสถานที่ทำงานตามข้อ
๘ ข้อ ๑๘ หรือข้อ ๒๕ หรือการขอเปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตตามข้อ ๙ ข้อ
๑๙ หรือข้อ ๒๖ แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ข้อ ๓๔ ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งขอเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน
หรือนายจ้างเป็นคนต่างด้าวซึ่งไม่ใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามประเภทหรือลักษณะงานซึ่งกำหนดในประกาศที่ออกตามมาตรา
๘ ให้นายทะเบียนดำเนินการแก้ไขหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน หรือเงื่อนไข แล้วแต่กรณี
เมื่อผู้รับอนุญาตได้ชำระค่าธรรมเนียมการอนุญาตและยื่นเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงว่านายจ้างได้ชำระค่าธรรมเนียมการจ้างแล้ว
ข้อ ๓๕ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับเอกสารหรือหลักฐานที่แนบมาพร้อมคำขอตามกฎกระทรวงนี้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียนมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา
ข้อ ๓๖ การยื่นคำขอหรือการแจ้งตามกฎกระทรวงนี้
ให้กระทำ ณ ท้องที่อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ทำงานของผู้ยื่นคำขอ ดังต่อไปนี้
(๑) ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นหรือแจ้ง ณ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
(๒) ในจังหวัดอื่น ให้ยื่นหรือแจ้ง ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด
(๓) สถานที่อื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
ข้อ ๓๗ ในการรับใบอนุญาตหรือใบแทนใบอนุญาต
คนต่างด้าวซึ่งขอรับใบอนุญาตจะต้องมารับใบอนุญาตด้วยตนเอง
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เฉลิมชัย
ศรีอ่อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑. คำขอรับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา ๙ (แบบ ตท. ๑)
๒. คำขอเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งชาติอื่น
(แบบ ตท. ๒)
๓. คำขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๑ (แบบ ตท. ๓)
๔. คำขอรับใบแทนใบอนุญาตทำงานตามมาตรา ๒๕ (แบบ ตท. ๔)
๕. คำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานตามมาตรา ๒๓ (แบบ ตท. ๕)
๖. คำขออนุญาตเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน และเงื่อนไข ตามมาตรา ๒๖ (แบบ ตท. ๖)
๗. คำขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ (แบบ ตท. ๗)
๘. คำขออนุญาตทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา
ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(แบบ ตท. ๘)
๙. คำขอรับใบอนุญาตทำงานสำหรับคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๔ (แบบ ตท. ๙)
๑๐. แบบแจ้งการเข้ามาเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วนตามมาตรา ๙ (แบบ
ตท. ๑๐)
๑๑. แบบใบอนุญาตทำงาน
๑๒. แบบใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๔
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๙ วรรคสาม มาตรา ๑๑
วรรคสอง มาตรา ๑๓ วรรคสาม มาตรา ๑๔ วรรคสาม มาตรา ๒๓ วรรคสี่ มาตรา ๒๕ วรรคสอง
และมาตรา ๒๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติให้ใบอนุญาตทำงาน การขอและการออกใบอนุญาตทำงาน
การขอและการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การขอรับและการออกใบแทนใบอนุญาตทำงาน
รวมทั้งการขออนุญาตเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน หรือเงื่อนไข
สำหรับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะทำงานในราชอาณาจักร
ตลอดจนการแจ้งการเข้ามาในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวเพื่อทำงานอันจำเป็นและเร่งด่วน
เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๔ มิถุนายน
๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๑๔ มิถุนายน
๒๕๕๔
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๔๘ ก/หน้า ๔๔/๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ |
642516 | กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน เพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน
เพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน
การออกใบรับ
หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง และมาตรา
๑๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
ข้อ ๒
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ ๔ แห่งกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
การหักเงินตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เป็นต้นไป
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เฉลิมชัย ศรีอ่อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. ๒๕๕๓
กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ (๑) หรือ (๒)
และมาตรา ๑๔ เฉพาะงานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกรต้องส่งเงินเข้ากองทุน เพื่อเป็นประกันค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างนั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
โดยให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนแต่ปรากฏว่าระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนคาบเกี่ยวกับระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน
ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอันกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้าง
และอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่ยื่นต่อใบอนุญาตทำงาน
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สมควรกำหนดให้เริ่มหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุน ตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
ณัฐวดี/ตรวจ
๑๘ มกราคม ๒๕๕๔
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๓๐
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๒ ก/หน้า ๑๒/๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ |
636594 | กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ. 2553 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุน
เพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน
การออกใบรับ หนังสือรับรอง
และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน
พ.ศ. ๒๕๕๓
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง และมาตรา ๑๖ วรรคสี่
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑[๑]
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๒ ลูกจ้างซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา
๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ (๑) หรือ (๒) และมาตรา ๑๔ เฉพาะงานดังต่อไปนี้
ต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นประกันค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างนั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
(๑)
งานรับใช้ในบ้าน
(๒)
งานกรรมกร
ข้อ
๓ ให้ลูกจ้างตามข้อ ๒
ส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตรา ดังต่อไปนี้
(๑) ลูกจ้างสัญชาติพม่า คนละ
๒,๔๐๐ บาท
(๒) ลูกจ้างสัญชาติลาว คนละ
๒,๔๐๐ บาท
(๓) ลูกจ้างสัญชาติกัมพูชา คนละ
๒,๑๐๐ บาท
ข้อ
๔
ให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนด
ตามข้อ ๓ โดยเฉลี่ยเป็นจำนวนเท่ากันทุกเดือนติดต่อกันเป็นเวลาหกเดือน
และนำส่งเงินที่หักไว้นั้นเข้ากองทุนภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไปจนครบอัตราดังกล่าว
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนนายจ้างก่อนที่ลูกจ้างจะส่งเงินเข้ากองทุนครบอัตราที่กำหนดตามข้อ
๓
ให้นายจ้างใหม่มีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในส่วนที่ยังขาดอยู่และนำส่งเข้ากองทุนให้ครบถ้วนโดยให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ
๕ ในการนำส่งเงินเข้ากองทุน
ให้นายจ้างยื่นเงินพร้อมด้วยแบบแสดงรายการนำส่งเงินที่อธิบดีประกาศกำหนด ณ
สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานที่ทำงานของลูกจ้างหรือสำนักงานของนายจ้าง
แล้วแต่กรณี หรือสถานที่อื่นที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๒)
ธนาคารพาณิชย์ ที่ทำการไปรษณีย์ ศูนย์บริการชำระเงิน
หรือสถานที่อื่นที่มีข้อตกลงกับกรมการจัดหางานให้เป็นสถานที่นำส่งเงินเข้ากองทุน ทั้งนี้ ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
ข้อ
๖
เมื่อได้รับเงินที่นายจ้างนำส่งเข้ากองทุนแล้ว ให้นายทะเบียนออกใบรับตามแบบ
ตท. ๑๒ ท้ายกฎกระทรวงนี้ ให้แก่นายจ้างเพื่อนำไปมอบให้แก่ลูกจ้างไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ
๗
เมื่อลูกจ้างถูกหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนครบถ้วนแล้วให้นายทะเบียนออกหนังสือรับรองตามแบบ
ตท. ๑๓ ท้ายกฎกระทรวงนี้ ให้แก่ลูกจ้าง
และเก็บสำเนาหนังสือรับรองดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานด้วย
ข้อ
๘ ในกรณีที่หนังสือรับรองตามข้อ ๗
เสียหายหรือสูญหาย ให้ลูกจ้างยื่นคำขอรับใบแทนหนังสือรับรองตามแบบ ตท. ๑๔
ท้ายกฎกระทรวงนี้ ต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่ออกหนังสือรับรอง
พร้อมด้วยหลักฐานและเอกสาร ดังต่อไปนี้
(๑)
รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก และไม่ใส่แว่นตาสีเข้ม ขนาด ๔ × ๕.๕
เซนติเมตร ของผู้ยื่นคำขอ ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวนสองรูป
(๒)
หนังสือรับรองฉบับที่เสียหายหรือหลักฐานการรับแจ้งความของเจ้าพนักงานตำรวจ
ในกรณีที่หนังสือรับรองสูญหาย แล้วแต่กรณี
ใบแทนหนังสือรับรองให้ใช้แบบหนังสือรับรอง
และเขียนหรือประทับตราความว่า ใบแทน
ด้วยอักษรสีแดงไว้ด้านบนของหนังสือรับรอง โดยระบุวัน เดือน ปีที่ออกใบแทน
พร้อมทั้งลงลายมือชื่อนายทะเบียนกำกับไว้ด้วย
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๐
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
เฉลิมชัย ศรีอ่อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบใบรับเงินค่าจ้างของลูกจ้างที่นายจ้างนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
(แบบ ตท. ๑๒)
๒. หนังสือรับรอง (แบบ ตท. ๑๓)
๓. คำขอรับใบแทนหนังสือรับรอง ตามมาตรา ๑๖
(แบบ ตท. ๑๔)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง
และมาตรา ๑๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติให้งานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร
รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ กำหนดเวลา และอัตราในการส่งเงินเข้ากองทุน ตลอดจนแบบ
หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรอง
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๔ ตุลาคม ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๔ ตุลาคม ๒๕๕๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๗/ตอนที่ ๕๙ ก/หน้า ๑/๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ |
621313 | กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานและการจ้างคนต่างด้าว พ.ศ. 2552
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานและการจ้างคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวสำหรับสาขาอาชีพรับจ้างทำงานโดยใช้กำลังกายเป็นหลักหรือรับจ้างทำงานในบ้าน
ในแต่ละท้องที่จังหวัด ดังต่อไปนี้
(๑)
ในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชุมพร จังหวัดเชียงราย
จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตราด จังหวัดตาก จังหวัดนครพนม จังหวัดนราธิวาส
จังหวัดน่าน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปัตตานี จังหวัดพะเยา
จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดยะลา
จังหวัดระนอง จังหวัดราชบุรี จังหวัดเลย จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล
จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุตรดิตถ์
จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ
(ก) ใบอนุญาต
๑)
ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน ฉบับละ
๒๒๕ บาท
๒)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ฉบับละ
๔๕๐ บาท
๓)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ฉบับละ
๙๐๐ บาท
๔) ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี
ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ข) การต่ออายุใบอนุญาต
๑)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๒๒๕ บาท
๒)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ครั้งละ
๔๕๐ บาท
๓)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ครั้งละ
๙๐๐ บาท
๔)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ค) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๒๐๐ บาท
(ง)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(จ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ฉ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ช)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ
๑๕๐ บาท
(๒) ในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์
จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตรัง
จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดพังงา จังหวัดพัทลุง
จังหวัดพิจิตร จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดแพร่ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดยโสธร
จังหวัดระยอง จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดลำปาง จังหวัดลำพูน จังหวัดสกลนคร
จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุโขทัย
จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดอุทัยธานี
(ก) ใบอนุญาต
๑)
ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน ฉบับละ
๒๕๐ บาท
๒) ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ฉบับละ
๕๐๐ บาท
๓)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ฉบับละ
๑,๐๐๐ บาท
๔)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ข) การต่ออายุใบอนุญาต
๑)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๒๕๐ บาท
๒)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ครั้งละ
๕๐๐ บาท
๓)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ครั้งละ
๑,๐๐๐ บาท
๔)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ค) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๒๐๐ บาท
(ง)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(จ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ฉ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ช)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ
๑๕๐ บาท
(๓) ในท้องที่จังหวัดกระบี่
จังหวัดชัยนาท จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครนายก จังหวัดนครศรีธรรมราช
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี
จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง
(ก) ใบอนุญาต
๑)
ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน ฉบับละ
๓๐๐ บาท
๒)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ฉบับละ
๖๐๐ บาท
๓)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ฉบับละ
๑,๒๐๐ บาท
๔)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ข) การต่ออายุใบอนุญาต
๑)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๓๐๐ บาท
๒)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ครั้งละ
๖๐๐ บาท
๓)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ครั้งละ
๑,๒๐๐ บาท
๔)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ค) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๒๐๐ บาท
(ง) การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน
ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(จ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ฉ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ช)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ
๑๕๐ บาท
(๔) ในท้องที่กรุงเทพมหานคร
จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ
และจังหวัดสมุทรสาคร
(ก) ใบอนุญาต
๑)
ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน ฉบับละ
๔๕๐ บาท
๒)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ฉบับละ
๙๐๐ บาท
๓) ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ฉบับละ
๑,๘๐๐ บาท
๔)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ข) การต่ออายุใบอนุญาต
๑)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๔๕๐ บาท
๒) การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
๓)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ครั้งละ
๑,๘๐๐ บาท
๔)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
๑) ๒) หรือ ๓)
(ค) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๒๐๐ บาท
(ง)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(จ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ฉ)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ช)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ
๑๕๐ บาท
ข้อ ๒
ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวสำหรับสาขาอาชีพรับจ้างทำงานโดยใช้กำลังกายเป็นหลักในกิจการประมง
กิจการต่อเนื่องจากกิจการประมง หรือกิจการเกษตรหรือปศุสัตว์
ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาต
(ก)
ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน ฉบับละ
๒๒๕ บาท
(ข)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ฉบับละ
๔๕๐ บาท
(ค)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ฉบับละ
๙๐๐ บาท
(ง)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๒) การต่ออายุใบอนุญาต
(ก)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๒๒๕ บาท
(ข)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ครั้งละ
๔๕๐ บาท
(ค)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(ง)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๓) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๒๐๐ บาท
(๔)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(๕)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(๖)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน ครั้งละ
๙๐๐ บาท
(๗)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ
๑๕๐ บาท
ข้อ ๓
ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวสำหรับสาขาอาชีพอื่นนอกจากสาขาอาชีพตามข้อ
๑ และข้อ ๒ ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้
(๑) ใบอนุญาต
(ก)
ใบอนุญาตที่มีอายุไม่เกินสามเดือน ฉบับละ
๗๕๐ บาท
(ข)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ฉบับละ
๑,๕๐๐ บาท
(ค)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ฉบับละ
๓,๐๐๐ บาท
(ง)
ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๒) การต่ออายุใบอนุญาต
(ก)
การต่ออายุใบอนุญาตไม่เกินสามเดือน ครั้งละ
๗๕๐ บาท
(ข) การต่ออายุใบอนุญาตเกินสามเดือน
แต่ไม่เกินหกเดือน ครั้งละ
๑,๕๐๐ บาท
(ค)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหกเดือน
แต่ไม่เกินหนึ่งปี ครั้งละ
๓,๐๐๐ บาท
(ง)
การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้ชำระค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
(๓) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ
๕๐๐ บาท
(๔)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มลักษณะงาน ครั้งละ
๑,๐๐๐ บาท
(๕)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มนายจ้าง ครั้งละ
๓,๐๐๐ บาท
(๖)
การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มท้องที่
หรือสถานที่ทำงาน ครั้งละ
๑,๐๐๐ บาท
(๗) การอนุญาตให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเงื่อนไข
ในการอนุญาต ครั้งละ
๑๕๐ บาท
ข้อ ๔
ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการจ้างคนต่างด้าวซึ่งมิใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการในสาขาอาชีพ
ดังต่อไปนี้
(๑) สาขาอาชีพตามข้อ ๑
และข้อ ๓
(ก) ในท้องที่จังหวัดตามข้อ
๑ (๑) รายละ
๒๐๐ บาท
(ข) ในท้องที่จังหวัดตามข้อ
๑ (๒) รายละ
๓๐๐ บาท
(ค) ในท้องที่จังหวัดตามข้อ
๑ (๓) รายละ
๔๐๐ บาท
(ง) ในท้องที่จังหวัดตามข้อ
๑ (๔) รายละ
๖๐๐ บาท
(๒) สาขาอาชีพตามข้อ ๒
ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร รายละ ๒๐๐ บาท
ข้อ ๕ ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ ฉบับละ
๑๐๐ บาท
ให้ไว้ ณ วันที่ ๔
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ไพฑูรย์ แก้วทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่สมควรกำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานและการจ้างคนต่างด้าว
ให้สอดคล้องกับสาขาอาชีพ หรือสาขาอาชีพและท้องที่ทำงานของคนต่างด้าว จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๔ มกราคม ๒๕๕๓
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๔ มกราคม ๒๕๕๓
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๙๕ ก/หน้า ๒๐/๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ |
619108 | กฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติพม่าซึ่งผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2552 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติพม่า
ซึ่งผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
พ.ศ.
๒๕๕๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๒
ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติพม่า
ซึ่งเป็นคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ (๒) และได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว
ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ทั้งนี้
เฉพาะช่วงเวลาที่ใบอนุญาตทำงานเดิมนั้นยังไม่สิ้นอายุ
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ไพฑูรย์ แก้วทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๙ ธันวาคม ๒๕๕๑
เห็นชอบให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติพม่าซึ่งได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว
และผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ทั้งนี้
เฉพาะช่วงเวลาที่ใบอนุญาตทำงานเดิมนั้นยังไม่สิ้นอายุ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๓๐
พฤศจิกายน ๒๕๕๒
นันท์นภัสร์/ตรวจ
๓๐
พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๓๐
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๘๗ ก/หน้า ๔๗/๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ |
600624 | กฎกระทรวงกำหนดลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. 2552
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตทำงาน
พ.ศ. ๒๕๕๒[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
คนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา
๙ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(๒)
เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรคดังต่อไปนี้
(ก)
โรคเรื้อน
(ข)
วัณโรคในระยะอันตราย
(ค)
โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
(ง)
โรคติดยาเสพติดให้โทษ
(จ)
โรคพิษสุราเรื้อรัง
(ฉ)
โรคซิฟิลิสในระยะที่ ๓
(๓)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนวันขอรับใบอนุญาต
ให้ไว้ ณ วันที่ ๕
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ไพฑูรย์ แก้วทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติให้คนต่างด้าวซึ่งจะขอรับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา ๙
ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๑๕ ก/หน้า ๓/๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ |
568491 | กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2550
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
กำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๐[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔๗ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (ง) ใน (๑) ของข้อ ๒
แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๕
(ง) ใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี ให้เก็บค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
ข้อ ๒
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (ง) ใน (๒) ของข้อ ๒
แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๕
(ง) การต่ออายุใบอนุญาตเกินหนึ่งปี ให้เก็บค่าธรรมเนียม
สำหรับระยะเวลาที่เกินหนึ่งปีเพิ่มขึ้นตามอัตราใน
(ก) (ข) หรือ (ค)
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๘
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
อภัย จันทนจุลกะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากการกำหนดค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวในสาขาอาชีพรับจ้างทำงานโดยใช้กำลังกายเป็นหลักหรือรับจ้างทำงานในบ้านตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม
การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๕
ยังไม่ครอบคลุมกรณีใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตที่มีอายุเกินหนึ่งปี
และโดยที่มาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๙ มกราคม ๒๕๕๑
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๙๙ ก/หน้า ๓๐/๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๐ |
566112 | กฎกระทรวง ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติลาวและกัมพูชา ซึ่งผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2550
| กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติลาวและกัมพูชา
ซึ่งผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔๗ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๒๑
อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา
๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑[๑] กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓
เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ข้อ ๒
ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติลาวและกัมพูชาซึ่งเป็นคนต่างด้าวตามมาตรา
๑๒ (๒) และได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว
ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ทั้งนี้
เฉพาะช่วงเวลาที่ใบอนุญาตทำงานเดิมนั้นยังไม่สิ้นอายุ
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
อภัย จันทนจุลกะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๕๐
เห็นชอบให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติลาวและกัมพูชา
ซึ่งได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว
และผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ทั้งนี้
เฉพาะช่วงเวลาที่ใบอนุญาตทำงานเดิมนั้นยังไม่สิ้นอายุ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ภัทรวีร์/ปรับปรุง
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๗๖ ก/หน้า ๔/๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.